ในสายตาของคนนอก ความทะเยอทะยานของจูชูอวี้ สำหรับหนานกงมั่วเรื่องนี้มิใช่เรื่องเลวร้าย แต่สำหรับเยี่ยนอ๋องแล้วแน่นอนว่านี่มิใช่ข้อดี ในภายภาคหน้า ด้วยความทะเยอทะยานของจูชูอวี้ สุดท้ายจะยุยงเซียวเชียนเหว่ยจนพี่น้องต้องแตกหักหรือไม่
เพราะเหตุผลเหล่านี้จึงตัดสินเอาไว้แล้วไม่ว่าจูชูอวี้จะมีประโยชน์ต่อจวนเยี่ยนอ๋องหรือมีจุดประสงค์อื่นใด เยี่ยนอ๋องจำต้องกดนางเอาไว้ไม่อาจใช้งานนาง เพียงแต่จูชูอวี้ไม่เข้าใจในจุดนี้
เนิ่นนาน หนานกงมั่วจึงส่ายศีรษะ เอ่ย “เรื่องนี้ เกรงว่าคงทำให้น้องสะใภ้ผิดหวังแล้ว”
“พี่สะใภ้ไม่ยอมช่วยข้าหรือ” จูชูอวี้ผิดหวังเล็กน้อย อีกทั้งยังคาดการณ์เอาไว้บ้างแล้ว
หนานกงมั่วเอ่ย “น้องสะใภ้คิดว่าข้าสามารถควบคุมการตัดสินใจเสด็จลุงได้หรือ”
จูชูอวี้เอ่ยเสียงเบา “ยามนี้ในเมืองโยวโจว คนที่เสด็จพ่อเชื่อใจที่สุดคงเป็นคุณชายเว่ยและพี่สะใภ้แล้ว หากพี่สะใภ้ยังทำไม่ได้ แล้วจะมีใครเล่าที่ช่วยข้าได้”
หนานกงมั่วส่ายศีรษะ มองนางนิ่งๆ เอ่ย “หากน้องสะใภ้อยากให้เสด็จลุงเชื่อใจเจ้าจริงๆ บางทีเจ้าคงต้องดูตำแหน่งของตนเองให้ชัดเจนเสียก่อน”
“ตำแหน่งหรือเจ้าคะ” จูชูอวี้ชะงัก เอ่ยอย่างไม่เข้าใจ
หนานกงมั่วเอ่ย “เจ้าเป็นฮูหยินน้อยรองจวนเยี่ยนอ๋อง”
ใบหน้าสวยของจูชูอวี้มีแววฉงน เห็นชัดว่านางไม่เข้าใจว่าตนเองทำอันใดได้ไม่ดี แต่งเข้ามาในจวนเยี่ยนอ๋อง นอกจากเรื่องวุ่นวายนอกเหนือความต้องการของนางในวันแต่งงาน นางก็ถ่อมตัวมาโดยตลอด ไม่ต่อสู้แก่งแย่ง หลายวันก่อนไม่ง่ายเลยกว่านางจะคิดทำเรื่องอันใดทว่ากลับถูกหนานกงมั่วยื่นมือเข้ามายุ่งนางก็ไม่ได้แสดงท่าทีไม่พอใจอันใด หรือว่าในสายตาของเยี่ยนอ๋องและพระชายาเยี่ยนอ๋องนางยังเป็นลูกสะใภ้ที่ไม่ดี
เห็นท่าทีของนาง หนานกงมั่วจึงส่ายศีรษะ เอ่ย “น้องสะใภ้ลองกลับไปคิดให้ดีเถิด”
จูชูอวี้รู้ดี แม้หนานกงมั่วจะไม่ถูกกับนางแต่น้อยนักที่นางจะเอ่ยวาจาไร้สาระ ในเมื่อนางเอ่ยปากแน่นอนว่าต้องมีความหมายโดยนัย เพียงแต่ในเวลานี้นางยังไม่เข้าใจเท่านั้น จึงไม่ได้อยู่ต่อ ลุกขึ้นด้วยท่าทีเหม่อลอยพร้อมกล่าวลาหนานกงมั่ว หนานกงมั่วเองก็ไม่ยื้อนางเอาไว้ เพียงสั่งสาวใช้ให้ไปส่งนาง
เดินมาถึงหน้าประตู เจอเข้ากับเว่ยจวินมั่วที่กำลังเดินเข้ามาพอดี จูชูอวี้ย่อตัวเคารพเว่ยจวินมั่วเล็กน้อย จากนั้นจึงเดินสวนกันไป
“นางมาทำไมหรือ” เว่ยจวินมั่วหันไปมองหน้าประตูที่ไม่มีใครอยู่แล้ว ขมวดคิ้วเอ่ยถาม หนานกงมั่วรู้สึกขำขัน เอ่ย “ไยนางจะมาไม่ได้เล่า มาดูเยาเยากับอานอานมิได้หรือ” เว่ยจวินมั่วส่งเสียงรับในลำคอไม่เอ่ยสิ่งใดอีก เดินมาซ้อนหลังหนานกงมั่วโอบกอดนางเอาไว้ทั้งตัว ก้มลงไปมองดวงตากลมโตของลูกน้อยทั้งสอง
“เสด็จลุงเรียกท่านไปมีเรื่องอันใดหรือ” หนานกงมั่วเอ่ยถาม หลายวันมานี้เว่ยจวินมั่วนอกจากจะอยู่กับนางและลูกก็คงใช้ชีวิตอยู่ในห้องหนังสือของเยี่ยนอ๋องแล้ว ในเมื่อเยี่ยนอ๋องตบหน้าคนมาถ่ายทอดราชโองการเพียงนั้น แน่นอนว่าต้องเตรียมใจรับการเอาคืนจากเซียวเชียนเยี่ย
เว่ยจวินมั่วเอ่ยด้วยรอยยิ้มบาง “ไม่มีเรื่องใหญ่อันใด เพียงแต่สองวันมานี้คล้ายกับว่าฝั่งลิ่นฉังเฟิงเองก็มีความเคลื่อนไหว”
“นี่ยังเรียกว่าไม่มีอันใดได้อีกหรือ” หนานกงมั่วเลิกคิ้ว นึกถึงลิ่นฉังเฟิงที่โอดครวญอยู่ทุกวัน เว่ยจวินมั่วคงไม่ได้ตั้งใจจะแกล้งสหายหรอกใช่หรือไม่
เว่ยจวินมั่วเอ่ยอย่างใจเย็น “ลิ่นฉังเฟิงรับมือได้ ไม่ต้องกังวล”
หนานกงมั่วยักไหล่ อย่างไรตอนนี้นางก็ไม่มีอำนาจออกเสียง ฟ้าถล่มทลายแล้วอย่างไรก็มีคนสูงกว่าคอยค้ำอยู่นี่นา
“เอาเถิด ท่านเองต้องระวัง หากไม่ระวังลิ่นฉังเฟิงและเจี่ยนชิวหยางเป็นอันใดไปแล้วคงแย่”
“อืม ไม่หรอก” เว่ยจวินมั่วตอบรับเสียงเบา หาใครที่มีความสามารถและจัดการได้อย่างลิ่นฉังเฟิงนั้นไม่ง่าย แม้ลิ่นฉังเฟิงจะพูดจาเรื่อยเปื่อย แต่คุณชายเว่ยคิดว่าข้อเสียนี้เมื่อเทียบกับข้อดีที่ลิ่นฉังเฟิงมีสามารถละเลยไม่ถือสาได้
“อุแว้…” ซาลาเปาน้อยเยาเยาตัวขาวนุ่มนิ่มไม่รู้ทำไมอยู่ดีๆ จึงร้องไห้เสียงดังขึ้นมา อานอานที่นอนอยู่ด้านข้างไม่รู้ว่าได้ยินเสียงน้องสาวร้องไห้หรือรับรู้ถึงความเสียใจ ปากน้อยๆ เบะร้องไห้ตามขึ้นมา เว่ยจวินมั่วที่กำลังจะยื่นมือไปหาบุตรีพลันชะงักนิ่งอยู่เช่นนั้น มือที่ยื่นออกไปยังไม่ทันได้ดึงกลับมา ดวงตาสีม่วงจึงหันไปทางหนานกงมั่วอย่างช่วยไม่ได้
ซาลาเปาทั้งสองนั้นมิได้รับการถ่ายทอดดวงตาสีม่วงของเว่ยจวินมั่ว นี่ทำให้เว่ยจวินมั่วและองค์หญิงฉังผิงถอนหายใจ แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้รังเกียจลูกของตนเอง แต่ยุคสมัยนี้สิ่งที่แตกต่างมักจะไม่ดี ทว่าหนานกงมั่วรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ซาลาเปาน้อยสองลูกนั้นงดงามทั้งคู่ ไม่ว่าใครคนใดที่ได้รับถ่ายทอดดวงตาสีม่วงของบิดามา อนาคตคงงดงามอย่างน่าทึ่งเป็นแน่
หนานกงมั่วยื่นมือไปตบลูกสาวเบาๆ อย่างชำนาญ อุ้มนางขึ้นมาอย่างรักใคร่ “เป็นอันใดหรือ เพิ่งดื่มนมไปมิใช่หรือ” ตรวจดูอีกครั้ง ผ้าอ้อมก็ไม่ได้เปียก ทารกน้อยร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ในอ้อมแขนของหนานกงมั่ว ทว่าเสียงร้องไห้เบาลงไปมากแล้ว อานอานที่อยู่คนเดียวยังคงร้องไห้เสียงดัง
หนานกงมั่วจึงจำต้องยกเยาเยาที่อยู่ในมือไปให้เว่ยจวินมั่ว ก้มลงไปอุ้มอานอานขึ้นมาอีกครั้ง เยาเยาถูกส่งมาอยู่ในมือของบิดา ย่นจมูกเล็กเบาๆ และหยุดเสียงร้องไห้ลง เหลือไว้เพียงเสียงสะอื้น บางทีเมื่อมาอยู่ในอ้อมแขนของบิดา ทารกน้อยคงจะสัมผัสได้ถึงความปลอดภัยมากขึ้น ไม่นานก็หลับลงไปอีกครั้ง
คุณชายเว่ยอุ้มเยาเยาอย่างเกร็งๆ ก้มลงไปมองก้อนนิ่มกลมอยู่ในอ้อมแขนไม่ขยับ แม้ว่าลูกจะคลอดมาหลายวันแล้ว แต่นอกจากวันคลอดที่ได้อุ้มลูกทั้งสองแล้ว ก็ไม่เคยได้อุ้มอีกเลย แม้จะถูกผ้าอ้อมห่อพันเอาไว้ ลูกน้อยก็ยังดูนุ่มนิ่ม มือเล็กๆ เท้าเล็กๆ ลำคอเล็กๆ ดูเหมือนยังไม่มีเรี่ยวแรงเลยสักนิด ทำให้คนที่อยากแตะต้องต้องคอยระมัดระวัง กลัวว่าหากไม่ระวังจะเจ็บเอาได้
ได้ยินเสียงเด็กๆ ร้องไห้ แม่นมที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูก็เดินเข้ามา หนานกงมั่วโบกมือให้พวกเขาบอกว่าไม่มีอันใด ทุกคนจึงพ่นลมหายใจและถอยออกไปด้วยท่าทีนอบน้อม
หนานกงมั่วมองท่าทางแข็งเกร็งของเว่ยจวินมั่ว ยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้ “ไม่ต้องกลัว ลูกไม่ได้บอบบางเพียงนั้น เพียงระวังเล็กน้อยก็พอแล้ว แม้ตอนนี้ลูกจะยังไม่รู้เรื่องอันใด แต่พวกเขาชอบที่จะให้พ่อแม้อุ้ม” นอกจากจำเป็นจริงๆ เด็กทั้งสองนั้นล้วนแล้วแต่เป็นหนานกงมั่วที่ดูแลด้วยตนเอง แม่นมทั้งสี่ของเรือนชิงมั่วเกรงว่าคงเป็นแม่นมที่สบายที่สุดในเมืองโยวโจวแล้ว เวลาปกตินอกจากให้นมแล้ว เรื่องอื่นพวกนางไม่จำเป็นต้องลงมือเอง อย่าว่าแต่หนานกงมั่ว แม้แต่องค์หญิงฉังผิงเองก็แย่งพวกนางดูแลเด็กๆ
คุณชายเว่ยก้มลงมองบุตรสาวที่กำลังหลับสบายอยู่ในอ้อมแขน ยื่นมือไปจับมือเล็กๆ ที่กำมือเอาไว้ ส่งนิ้วมือเข้าไปกลางมือเล็กๆ ของนาง ปฏิกิริยาของทารกน้อยที่กำลังหลับสนิทคือการกำเอาไว้แน่น มองดูทารกน้อยที่กำนิ้วมือของตนเอาไว้แน่นแล้วมุมปากของคุณชายเว่ยพลันปรากฏรอยยิ้มอ่อนโยนขึ้นมา
หนานกงมั่วมองบุตรชายในอ้อมแขน จากนั้นมองสามีและบุตรสาวที่อยู่ด้านข้าง ใบหน้าสวยพลันปรากฏรอยยิ้มอ่อนหวานขึ้นมา
วันนี้หนานกงมั่วพาเด็กๆ ทั้งสองมานั่งพูดคุยอยู่กับองค์หญิงฉังผิงอยู่ในห้อง ใบหน้างดงามขององค์หญิงฉังผิงยามมองไปยังเด็กๆ ทั้งสองนั้นเต็มไปด้วยความรักใคร่ ยื่นมือไปจับมือเล็กๆ ของหลานตัวน้อย องค์หญิงฉังผิงเอ่ยถาม “อีกไม่กี่วันก็เป็นพิธีครบรอบเดือนของเยาเยากับอานอานแล้ว เจ้ากับจวินเอ๋อร์วางแผนเช่นไร” หนานกงมั่วลังเลอยู่ชั่วครู่ เอ่ย “พิธีสรงสามก็เตะตามากแล้ว อีกทั้งยามนี้ยังมีเรื่องมากมาย พิธีครบรอบเดือนคงไม่…”
