[“เจ็บๆ ว๊อยเจ็บ! ใจเย็นๆก่อนเซ้ มิโอริ”]
[“ฮิๆ…อย่างที่คิด พอได้เห็นใบหน้าตอนพี่จะเเพ้เนี่ย มันน่าสนุกจริงๆ”]
[“ขะ ขอล่ะ…ช่วยทําอ่อนข้อให้หน่อยเถอะ…”]
[“ไม่มีทาง นี่คือบทลงโทษสำหรับการกระทำที่ไร้มนุษยธรรมของพี่ ที่ทิ้งฉันไว้อยู่คนเดียว เเล้วกลับบ้านในเช้าวันต่อมาค่ะ”]
[“ฮ่าๆ! กะ เกจ¹…พลังของฉันมัน…!”]
¹ : เกจ (Gauge) ในภาษาเกมหมายถึงหลอดเเถบพลัง เมื่อเต็มเเล้วจะสามารถใช้ท่าไม้ตายหรือสกิลได้
ตอนนี้ พวกเราเล่นเกมต่อสู้ “สเเมชบัสเตอร์” กันอยู่
มิโอริอารมณ์เสียที่ถูกปล่อยให้อยู่คนเดียว เธอเลยลงโทษผมโดยการขอให้เล่นเกมด้วยกัน
มิโอริเป็นมือใหม่ของเกมเเนวต่อสู้ เเต่เธอกลับทําคอมโบใส่ผมยับๆโดยไร้ความเมตตา
เกจพลังของตัวละครที่ผมเล่นอยู่นั้นลดลงอย่างรวดเร็ว
ในเกมที่ผู้เล่นสามารถร่วมมือกันจัดการมอนสเตอร์ตัวใหญ่ มิโอริมักจะช่วยเหลือผู้ที่อ่อนเเอกว่า เเต่เมื่อเป็นเกมเเนวสู้กันเองเเล้ว เธอกลับกลายเป็นคนไร้ความปรานี
[“มิโอริ…ช่วยด้วย…เมตตาฉันด้วย──อ๊า!?”]
ผมตื่นขึ้นมาในสภาพที่ร่างกายเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ
มันคงจะเป็นผลข้างเคียงจากฝันร้ายที่โดนมิโอริซ้อมในเกม
ไม่สิ ต้องบอกว่าผมโดนมิโอริซ้อมในเกม เนื่องด้วยเหตุผลผมลาเรียน จนถึงเวลาเข้านอนเลยเเหละ…
[“เป็นฝันร้ายที่น่ากลัวจริงๆ…”]
มันคงจะดีกว่า ถ้าผมไม่ไปเล่นเกมกับมิโอริอีก
เพราะมันคงเป็นปมในใจผมสักวันเเน่ๆ
ผมเปิดดูโทรศัพท์เพื่อที่จะเช็คเวลา ตอนนี้ก็ปาไปห้าทุ่มเเล้ว
เพราะวันนี้ผมนอนไวกว่าปกติ เลยทําให้ตื่นมาในเวลานี้
[“หืม? เรย์นะส่งข้อความมานี่นา…”]
พวกเราได้เเลกไลน์กันเมื่อวาน
จะว่าไป เรย์นะกับเรียได้ทะเลาะอะไรกันรึเปล่าหว่า
ผมยังไม่ค่อยชินกับบุคลิกของเรย์นะสักเท่าไหร่นัก เเต่มีโอกาสที่เธอจะทําอะไรบางอย่าง เมื่อได้เจอกับเรียตัวต่อตัว
เเต่ไม่คิดเลยว่าเธอจะไปคุยกับเรียโดยที่ไม่มีเราเนี่ย…
[“ไหน ดูซิ๊~? วันนี้ฉันไปคุยกับคุณชิอินะมา เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของพวกเราเนี่ยเเหละ นอกจากนี้ ฉันสัญญากับคุณชิอินะไว้เเล้วว่าฉันจะไม่ติดต่อกับชินเซย์โดยไม่มีความจําเป็น เเล้วก็คุณชิอินะจะมีโอกาสพูดคุยกับชินเซย์หลังจากนี้โดยต้องมีฉันอยู่ต่อหน้าด้วย”]
ตรงข้ามกับที่คิดไว้เลยเเฮะ ดูเหมือนว่าเรย์นะจะพูดคุยหลายๆอย่างกับเรียโดยไม่มีผม
ผมไม่รู้ว่าบทสนทนาเป็นยังไง เเต่ผมรู้สึกซาบซึ้งจริงๆ ที่เธอบอกให้เรียหยุดติดต่อผม
บอกตามตรงว่าตอนนี้ผมไม่อยากเจอหน้าเรียเลยด้วยซ้ำ
ถ้าผมได้คุยกับเรียตอนนี้ ในสมองคงมีเเต่ความเครียดเกินครึ่งเเน่ๆ
[“หลังจากนี้เนี่ย…เเสดงว่าเราก็กําหนดวันเวลาได้รึเปล่านะ”]
เรื่องนี้ ผมกับเรีย ต้องคุยกันให้รู้เรื่อง
มันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
พรุ่งนี้ เราต้องทําส่วนของตัวเองให้เสร็จทั้งหมด
เเต่ว่าผมกลัวความเป็นจริงที่เธอจะพูดจากปาก
ความเป็นจริงที่ผมกลัวคือ เรียนอกใจผมมานานเเค่ไหนเเล้ว
ความทรงจำอันเเสนสนุกสนานนั้นจะกลายเป็นเรื่องที่น่าเจ็บปวด หากเรียนอกใจผมตั้งเเต่ช่วงนั้น
[“เเต่สุดท้ายเเล้ว เราก็หลีกเลี่ยงความเป็นจริงไม่ได้อยู่ดี…”]
ในโลกนี้ มีบางสิ่งบางอย่างที่ใช้เวลาเเก้ได้
เเต่ในทางกลับกัน เวลาอาจจะไม่ใช่คําตอบเสมอไป
ความบาดหมางที่เกิดขึ้นระหว่างเราสองคนก็ปล่อยทิ้งไว้ตลอดไม่ได้
ผมหันหลังให้กับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรียไม่ได้
[“…พรุ่งนี้ไปคุยกับเรียดีไหมนะ…”]
หลังจากผมคิดไตร่ตรองดีเเล้ว ผมส่งข้อความไปหาเรย์นะว่า “ฉันจะไปคุยกับเรียพรุ่งนี้หลังเลิกเรียน”
ไม่กี่วินาทีต่อมา เรย์นะก็ได้ตอบกลับมา
(เข้าใจเเล้ว จะว่าไปชินเซย์จะนอนเเล้วหรอ?)
(อืม จะนอนเเล้ว ถึงจะหลับไปตื่นนึงเเล้วก็เถอะนะ)
(นอนเยอะๆก็ไม่ใช่เรื่องดีนะ …ฉันจะรอเจอนายพรุ่งนี้นะ)
(อืม)
(เเค่ไม่ได้เจอหน้าชินเซย์เเค่ครึ่งวันทําเอาฉันเหงาเลยล่ะ)
(เวอร์ไปนะ)
(ฉันได้กลิ่นตัวนายที่เตียงด้วยล่ะ)
(หรือว่า…ที่เธอนอนไม่หลับเพราะมีกลิ่นตัวฉันติดเตียง?)
(ป่าว มันทําให้ฉันรู้สึกเหมือนมีนายนอนอยู่ข้างๆ จนทําให้ฉันนอนหลับปุ๊ยได้เลยน่ะ)
(งะ งั้นเหรอ ค่อยยังชั่ว)
เรียบอกว่าเตียงของตัวเองมีกลิ่นคล้ายๆกับกลิ่นตัวผู้ชาย เธอก็เลยฉีดสเปรย์ระงับกลิ่นลงไปบนนั้น
(ถ้างั้นก็ ฝันดีนะ เรย์นะ)
(ค่า ฝันดีนะ ชินเซย์)
คืนนี้ผมนอนไม่ค่อยหลับสักเท่าไหร่
เป็นเพราะผมเข้านอนเร็วเกินไปหรือเพราะผมกังวลเกี่ยวกับเรื่องพรุ่งนี้กันนะ
สุดท้ายเเล้ว พรุ่งนี้ผมค่อยไปงีบในห้องเรียนต่อก็ได้
ค่ำคืนที่นอนไม่หลับได้ผ่านไป เเละแสงแดดยามเช้าก็ส่องเข้ามาผ่านทางหน้าต่าง
[“เช้าล่ะหรอเนี่ย…”]
ผมกลิ้งลงมาจากเตียง เเละบังคับให้ร่างกายที่ยังอยู่ในสภาวะสะลึมสะลือ ลุกขึ้น
หลังจากที่ออกมาจากห้อง ผมมุ่งหน้าไปที่ห้องครัว
ผมต้องตื่นเช้าทุกวันเพื่อที่จะมาทําข้าวเช้าสําหรับตัวเองกับน้องสาว โดยปกติ ผมมักจะทำข้าวกล่องให้มิโอริคนเดียว แต่นับจากนี้ไป ผมก็ต้องทําส่วนของตัวเองด้วย
ในวันธรรมดา การฝึกซ้อมช่วงเช้าของชมรมฟุตบอลจะเริ่มช่วงเจ็ดโมงเช้า ผมเลยต้องตื่นแต่เช้าเพื่อทำอาหารโดยคำนึงถึงเวลาที่ใช้ในการเดินทางไปโรงเรียนด้วย
ถึงตอนนี้เคยชินไปเเล้วก็เถอะ เเต่มันก็ยังเป็นเรื่องยากอยู่ดี
ทั้งต้องออกไปซื้อวัตถุดิบทํากับข้าว ซื้อของใช้ทั่วๆไป ซักผ้าและทํางานบ้าน
ผมรับผิดชอบเรื่องงานบ้านทั้งหมด ส่วนมิโอริก็ไม่ทําอะไรเลย
ขณะที่ผมกำลังจัดจานข้าวเช้าอยู่บนโต๊ะ มิโอริที่งัวเงียก็โพล่หน้ามาในห้องนั่งเล่น
[“ฉวัดดีตอนเช้าค่า…พี่…”]
[“ก่อนจะมากิน ไปล้างหน้าล้างตาก่อนไป๊”]
[“ค่าา…”]
ผมกินข้าวเช้าเสร็จก่อนมิโอริจึงเดินกลับไปที่ห้องเพื่อไปเปลี่ยนชุดเป็นชุดวอร์ม
จากนั้น ผมก็นําชุดเครื่องเเบบนักเรียน ข้าวกล่องสําหรับมื้อเที่ยง และเสื้อผ้าที่ยืมมาจากโชว ใส่ลงไปในกระเป๋าแล้วเดินออกจากบ้าน
ระหว่างทาง ผมตัดสินใจเดินฝั่งตรงข้ามของบ้านของเรียที่อยู่ละแวกนี้
ผมมองไปที่หน้าต่างห้องของเรีย ซึ่งมันเป็นที่ที่ผมเคยไปอยู่บ่อยครั้ง ปรากฏว่าไฟไม่ได้เปิดอยู่
เธอเองคงสบายน่าดูที่ไม่ต้องตื่นเเต่เช้าเพื่อมาทําข้าวกล่องให้เราเเล้ว
[“ไปต่อเลยดีกว่า…”]
ผมพลางหาวในขณะเดินผ่านบ้านของเรียไป
◇
…ผมลืมคิดเรื่องนี้ไปซะสนิท
นั่นก็คือผมเป็นคนที่พาสาวที่สวยที่สุดในโรงเรียนกลับบ้าน
[“เห้ย อาซาฮิโอกะ…จริงรึเปล่าทีนายพาฟุตาบะ เรย์นะคนนั้นกลับบ้านอ่ะ?”]
[“ไม่ว่ายังไงก็ตามเเต่ นายเตรียมขุดหลุมศพให้ตัวเองรอไว้เลย”]
เรื่องราวที่เกิดขึ้นในงานนัดบอดได้เเพร่กระจายออกไปทั่ว สมาชิกชมรมได้รับรู้เรื่องนี้อย่างที่คาดเอาไว้
สมเเล้วที่ฝ่ายตรงข้ามเป็นสาวสวยที่สุดของโรงเรียน ข่าวลือได้แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว
ถ้าเกิดว่าผมเล่าให้พวกเขาฟังว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาคงเกลียดขี้หน้าผมเเล้วทิ้งผมเเหงๆ
และเมื่อผมคืนเสื้อผ้าที่ยืมมาให้กับโชว เขาไม่แม้แต่จะมองมาที่ผมด้วยซ้ำ
ถึงกระนั้น ที่พวกเขาไม่ถามผมว่ามีปัญหาอะไรกับเรียรึเปล่า เพราะเขาต้องการรักษานํ้าใจรึเปล่านะ อย่างไรก็ตาม ผมว่าพวกเขาจะเข้ามาถามผมถึงต้นตอของเรื่องนี้เเน่นอน เมื่อผมไปอยู่กับเพื่อนร่วมทีม
ดังนั้นผมจึงตัดสินใจไปที่ที่ห่างไกลจากสายตาพวกเขาและวอร์มร่างกายด้วยตัวเอง
ก่อนอื่นก็ต้องยืดเหยียดกล้ามเนื้อเสียก่อน
ผมนั่งลงไปบนที่ราบ กางขาทั้งสองข้างออกคล้ายๆกับพัด เเล้วเหยียดเเขนทั้งสองข้างพร้อมกับโน้มตัวไปข้างหน้า
โดยปกติแล้ว ผมจะยืดเส้นยืดสายโดยมีคนมาช่วยผลักจากข้างหลัง แต่ถ้าผมปล่อยให้เพื่อนร่วมทีมมาผลักหลังให้ ผมคงจะถูกเเทงจากข้างหลังเเทน
[“จะ จะ เจ็บวุ้ย….สงสัยเส้นจะตึงเเหงๆ”]
[“รุ่นพี่อาซาฮิโอกะคะ~”]
[“หว๊าา!? ซะ โซระ!?”]
ทันทีที่ผมรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างอยู่ตรงเเผ่นหลัง ปรากฏว่าเป็นโซระที่เข้ามากอดผมจากด้านหลัง
โซระปล่อยนํ้าหนักลงบนตัวผมจากด้านหลัง ทําให้ผมก็งอตัวท่อนบนไปข้างหน้า
[“เอ้า~ ถ้าไม่ยืดให้มากกว่านี้ ระวังจะยืดเหยียดกล้ามเนื้อไม่ได้เอานะคะ~”]
[“ดะ เดี๋ยวเถอะโซระ นะ หน้าอกมัน!”]
[“อาเร๊~? หรือว่าฉันไปทําให้ท่อนล่างตื่นเหรอคะ~?”]
โซระกล่าว “ย๊า~” เเล้วเอาหน้าอกสุดนุ่มนิ่มของตัวเองมาทาบเข้ากับหลังของผม
ทรงผมทวินเทลสีชมพูของโซระที่เธอชอบนํามาเเตะกับใบหน้าของผมอยู่บ่อยครั้ง นั้นมีกลิ่นคล้ายกับกุหลาบประกอบกับลมหายใจอันหอมหวานของเธอ ทําให้ใบหน้าของผมรู้สึกอบอุ่นและสดชื่นทุกครั้งที่เธอพูดออกมา
[“หยุดหยอกฉันซักทีเถอะ!”]
[“ฉันไม่ได้หยอกสักหน่อยนะคะ~?”}
[“งั้น เธอจะทําอะไรกันเเน่?”]
[“มาทําเเบบนี้เพื่อให้กลิ่นตัวของฉันติดไปที่ชุดของรุ่นพี่อาซาฮิโอกะยังไงล่ะคะ เหมือนกับการทําสัญลักษณ์ค่ะ!”]
[“เห็นฉันเป็นหมารึไง!?”]
[“ฉันเป็นทาสเเมวค่ะ”]
[“ฉันไม่ได้อยากรู้สักหน่อย…”]
ผมอยากจะเอาโซระออกจากหลัง แต่ผมขยับไม่ได้เพราะเธอคอยกดผมลงอยู่ เหมือนเมื่อวานที่ผมตื่นขึ้นมาแล้วเจอเรย์นะขึ้นคร่อม
[“เดิมทีเเล้ว…รุ่นพี่อาซาฮิโอกะทําฉันโกรธนะคะ~?”]
[“กะ โกรธ? …ฉันไปทําอะไรให้โกรธ?”]
จู่ๆ ก็มีเสียงอันเย็นยะเยือกมากระซิบข้างหูผม ถึงขั้นทําให้ผมต้องเหลือบไปมองหน้าคนที่ส่งเสียงซึ่งก็คือโซระ
โซระยิ้มมุมปากตามปกติแต่เมื่อมองมาที่ผม ดวงตาของเธอกลับค้างอย่างกับเวลาถูกหยุดไว้
[“เมื่อตอนนั้นฉันก็พูดไปเเล้วนะคะ? ที่ว่าตอนที่ใส่กางเกงในที่ฉันให้เป็นของขวัญ ‘อย่าไปทําอะไรเเปลกๆกับผู้หญิง’ น่ะ”]
[“อ๊ะ…จะว่าไป เธอเคยบอกฉันนี่หว่า…”]
[“ถ้าจะทําอะไรเเปลกๆล่ะก็ มาทํากับฉันสิคะ?…”]
[“เดี๋ยวก่อนๆ เธอล้อเล่นใช่ไหม?”]
[“อาจจะไม่ใช่เรื่องล้อเล่นก็ได้นะคะ~?”]
หลังจากพูดเช่นนั้น โซระนํามือมาวางบนไหล่ของผม
[“บอกไปตะกี้ล่ะนะ อย่าหยอกฉันเล่นสิ…”]
[“ฉันรู้จักรุ่นพี่อาซาฮิโอกะดีกว่ารุ่นพี่ฟุตาบะอีกนะคะ อีกทั้งยังปลอบอย่างอ่อนโยนกว่าอีกนะ~”]
[“โซระปลอบฉันมามากพอเเล้วล่ะ ขอบคุณที่ปลอบฉันนะ เมื่อตอนนั้น”]
[“หน้าอกของฉันใหญ่กว่ารุ่นพี่ฟุตาบะอีกนะคะ?”]
[“ฉันรู้สึกว่า…มันไม่ค่อยต่างกันสักเท่าไหร่นะ”]
[“ถ้าข้องใจขนาดนั้นล่ะก็เอามือมาจับเลยก็ได้นะคะ~?”]
[“เฮ้อ…อย่าพูดอะไรบ้าๆออกมาสิ ช่วยออกห่างจากฉันซักทีจะได้ไหม ถ้าอยู่ในสภาพนี้เเล้วเรย์นะมาเห็นเข้าล่ะก็…”]
ถึงจะไม่ใช่เรย์นะก็เถอะ เเต่ก็ยังมีสายตาของสมาชิกในชมรมคนอื่นๆ ที่จ้องมองมายังผมจากที่ห่างไกลด้วยความรู้สึกเจ็บแปล๊บๆ
โซระควรตระหนักว่าตัวเองเป็นที่นิยมมากจนเป็นหนึ่งในนักเรียนคะเเนนดีที่สุดในโรงเรียน
[“งื้อ~…ทั้งๆที่ฉันคิดว่าหน้าอกตัวเองจะเบิ้มเเล้วเเท้ๆ~…”]
ในที่สุดโซระก็ผละตัวออกจากผม แก้มของเธอพองออกด้วยความหงุดหงิด
[“…จะว่าไป รุ่นพี่เรียกรุ่นพี่ฟุตาบะด้วยชื่อจริงเเล้วสินะคะ~”]
[“…ก็นะ”]
[“งั้นช่วยเรียกฉันเเบบนั้นด้วยสิคะ!”]
[“ก็เรียกอยู่เเล้วไม่ใช่รึไง!?”]
[“นั้นมันเพราะว่าชื่อของฉันเหมือนกับพี่ชายเลยเรียกฉันเเบบนั้นไม่ใช่รึไงคะ? มีเเค่รุ่นพี่ชิอินะเเละรุ่นพี่ฟุตาบะที่รุ่นพี่เรียกด้วยชื่อจริง มันดูไม่ยุติธรรมเลยนะคะ~”]
[“ถึงเธอจะบอกว่าไม่ยุติธรรมก็เถอะ…”]
ขณะที่ผมกําลังลําบากใจกับหน้ามุ่ยและบึ้งตึงของโซระ ที่ปรึกษาของชมรมก็เรียกเข้าประชุม
[“…ชิ หมดเวลาเเล้วสินะคะ”]
[“เหมือนจะเป็นเเบบนั้นนะ ฉันต้องรีบไปเข้าประชุมล่ะ”]
ผมยืนขึ้นและปัดทรายออกจากก้นด้วยตัวเอง
สุดท้ายเเล้ว ก็ลงเอยด้วยการคุยเม้ากันจนไม่ได้ยืดเหยียดกล้ามเนื้อตามที่ตั้งใจไว้
เเต่ผมกลับรู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก
ก่อนที่ผมคุยเรื่องนี้กับเรีย ผมรู้สึกกังวลใจเพราะผมต้องเจอหน้าเธอในห้องเรียนหลังจากนี้
[“เอ่อ…รุ่นพี่อาซาฮิโอกะคะ”]
ในขณะที่ผมกำลังจะเดินไปประชุม จู่ๆโซระก็คว้าไหล่ผมไว้
[“หืม มีอะไรหรอ?”]
[“ฉัน ไม่ยอมเเพ้หรอกนะคะ”]
[“…ไม่ยอมเเพ้? …หมายถึงอะไร?”]
[“ไม่รู้สินะ? อะไรกันน้า~?”]
โซระหัวเราะอย่างขบขันขณะที่เธอพูดเช่นนั้น
[“หรือว่า…เธอหมายถึงไปเดทคาเฟ่เเมวหรอ?”]
[“อย่ามาบ๊องกับเรื่องเเบบนี้สิค้า!”]
◇
หลังจากซ้อมช่วงเช้าเสร็จ ผมเปลี่ยนชุดเป็นชุดนักเรียนในห้องชมรม ในขณะที่สมาชิกชมรมคนอื่นเข้ามาหยอกล้อผม
สุดท้ายเเล้วผมก็ต้องไปเข้าเรียนห้องเดียวกับเรีย
ผมรู้สึกฟุ้งซ่านในตอนที่เตะลูกบอล เพราะอารมณ์ความเศร้าโศกก็ได้หวนคืนกลับมา
[“เห้อ…ชักเป็นเรื่องเเล้วสิ”]
ผมออกจากห้องชมรม เเละกําลังพึมพำกับตัวเองขณะที่กำลังจะเดินไปตึกเรียนด้วยความเฉื่อยชา
[“ฉันคือใครเอ่ย?”]
ผมได้ยินเสียงซุกซนจากด้านหลังและในขณะเดียวกันนั้นดวงตาของผมก็ได้มืดสนิท
เท่าที่ผมรู้ มีเเค่คนเดียวที่เคยเล่นกลอุบายเด็กๆเเบบนี้เช่นเอามือมาปิดตาและเอาหน้าอกที่ทั้งนุ่มและแน่นแนบกับหลัง ผมเพิ่งถูกกอดในลักษณะเดียวกัน
[“โซระ มีคนเดียวที่ฉันรู้จักเล่นเเบบนี้”]
[“…”]
[“หืม? ทําไมไม่พูดอะไรเล──จะ เจ็บๆๆๆ!!”]
ทันใดนั้นเอง นิ้วหัวแม่มือของคนที่ปิดตาผม กดมาที่ขมับของผมอย่างแรง จนทําให้ผมร้องโอดครวญโดยไม่ได้ตั้งใจ
[“ทําอะไรของเธอเนี่ยห๊ะ!? ไม่ชอบรึไงที่ฉันเดาถูก!?”]
เมื่อผมกล่าวถึงคนที่ปิดตา มือของเขาปิดตาผมอยู่ค่อยๆเคลื่อนออก
[“ให้ตายสิ ฉันมาหยอกรุ่นพี่ตัวเองเล่นเเบบนี้…สิ อ่าว?”]
ผมส่งเสียงอย่างงงงวยและสิ่งแรกที่ผมเห็นคือโซระที่ยืนอยู่ตรงหน้าผมไม่ไกลมากนัก
โซระมองมาที่ผมและวางมือบนหน้าผากของตัวเองราวกับกําลังจะสื่อว่า “อุ๊ย ตายเเล้ว”
[“…คงไม่เป็นอย่างที่คิดหรอกม้าง”]
ทันใดนั้น ผมก็รู้สึกหนาวสะท้านไปยันสันหลัง ทําให้ตอนนี้ผมตระหนักได้ถึงความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่ง
บางทีมันอาจจะไม่ใช่เป็นเพียงเเค่สัญชาตญาณ แต่ผมรู้สึกได้ถึงรังสีอำมหิตอันโหดเหี้ยมจากด้านหลัง
[“ไม่เป็นอย่างที่คิดนั้นเเหละ น่าเสียดายจังที่ฉันไม่ใช่ผู้หญิงที่ชื่อว่าโซระ”]
เจ้าของเสียงที่ดูไม่พอใจได้เข้ามากระซิบข้างหูของผม
จากนั้นก็เอาคางมาเกยไหล่จากด้านหลังแล้วมองมาที่ผม
[“…อะ..อรุณสวัสดิ์ครับ ท่านเรย์นะ…”]
ผมพูดออกไปด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ถ้าให้ว่ากันตามตรงตอนนี้ ผมรู้สึกไม่มีชีวิตชีวาสักเท่าไหร่นัก
ผมไม่คิดเลยว่าเรย์นะจะมารับผมที่หน้าห้องชมรม
[“อรุณสวัสดิ์ ชินเซย์”]
เรย์นะ ซึ่งเป็นผู้ก่อเรื่อง แกล้งยิ้มที่มุมปากแล้วบิดแขนรอบตัวผม
[“เดี๋ยวก่อนสิ…ทําเเบบนี้ในที่เเบบนี้มันน่าอายนะ…”]
เรนะจับแขนผมไว้แน่น ทําให้ผมต้องพยายามขยับออกห่างจากสมาชิกคนอื่นในชมรมที่ยังอยู่เเถวนี้ แต่ในทางกลับกันนั้น เรย์นะกลับจับผมไว้แน่นไว้เเน่นกว่าเดิม
แขนของผมถูกทับโดยหน้าอกอันใหญ่โตของเรย์นะไว้อยู่
[“ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย? เพราะนี่คือวิธีไม่ให้ชินเซย์หนีไปจากฉันตั้งเเต่เเรกยังไงล่ะ”]
[“เธอจะสื่อว่าอะไรกันเเน่?”]
[“ฉันขอฟังความสัมพันธ์ของนายกับผู้หญิงที่ชื่อโซระหน่อย”]
ดูเหมือนว่า เรย์นะจะสงสัยในความสัมพันธ์ระหว่างผมกับโซระ
ถ้าให้โซระอธิบายความสัมพันธ์พวกเรา คงจะมีเรื่องเข้าใจผิดผุดขึ้นเเน่ๆ
เมื่อผมมองไปทางที่โซระยืนอยู่ก่อนหน้านี้ แต่เธอกลับหายตัวไปเเล้ว
ไม่อยากมีเรื่องก็เลยตัดสินใจที่หนีไปสินะ…คนไร้หัวใจเอ๊ย
[“งั้นเราไปกันดีกว่า”]
เรย์นะกล่าวเช่นนั้นแล้วเดินตรงต่อไปโดยที่พาผมไปด้วย
ผมเดินตามเรย์นะไปโดยที่ขาพันกันเล็กน้อย
ผมได้ยินเสียงเเดะลิ้นจากข้างหลัง แต่มันไม่ใช่เวลาไปสนใจเรื่องนั้น
ระหว่างที่เดินไปยังห้องเรียน ผมอธิบายให้เรย์นะฟังอย่างละเอียดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของผมกับโซระ
ถ้าเธอเข้าจากผิดไปอย่างมหันต์ อาจนําพาไปสู่ความคิดนอกใจได้
[“…สรุปว่าชินเซย์มองคุณทาคานาชิ โซระ เป็นเพียงน้องสาวของเพื่อนสนิทตัวเองเเค่นั้นสินะ”]
[“ใช่ ไม่ใช่ความสัมพันธ์ฉาบฉวยอะไรทํานองนั้นหรอก”]
[“…งั้นเหรอ เข้าใจเเล้วว่าตามนั้นละกัน”]
อย่างไรก็ตาม ผมรู้สึกว่าเธอกำลังบอกเป็นนัยว่า ‘วันนี้ฉันปล่อยนายไปก่อนนะ’ อะไรเเบบนั้น
ครั้งต่อไป ถ้าผมยังจําสลับกันอีก ชีวิตของผมคงไม่เหลือเเหล่เเน่ๆ
ในขณะเดียวกันนั้น พวกเราก็ได้มาถึงหน้าห้องเรียน ผมกับเรย์นะก็มองตากัน
[“อย่าบอกนะว่าเธอตั้งใจจะส่งฉันยันในห้อง?”]
[“ใช่สิ มีปัญหาอะไรรึเปล่า?”]
[“ปัญหาเนี่ย…”]
ปฏิกิริยาของสมาชิกชมรมฟุตบอลกับความโด่งดังของเรย์นะนั้นอยู่ในระดับเดียวกับไอดอลชั้นนำ
การที่พาผู้หญิงคนนี้มาด้วยในตอนเช้า ก็ไม่ต่างจากการหาเรื่องใส่ตัว เเม้ว่าตัวก็ผมเพิ่งเลิกกับเรียไปหมาดๆก็เถอะ
[“…อย่างงี้นี่เอง ไม่อยากโดนผู้ชายพวกนั้นตะลุมบอลด้วยความอิจฉาสินะ”]
[“…ใช่ อย่างที่พูดเลย”]
เรย์นะวางมือทาบคางและทําหน้าครุ่นคิด
[“งั้น ไว้เจอกันนะ”]
เธอหันหลังกลับไปและเข้าไปในห้องเรียนของตนที่อยู่ติดกัน
[“งั้น…เข้าไปล่ะนะ”]
หลังจากหายใจเข้าลึกๆ ผมก็ได้วางมือบนประตูของห้องเรียน
เมื่อผมเข้าไปในห้องเรียน คนที่ผมเห็นเป็นคนเเรกคือเรีย
ถึงเราจะไม่ได้นั่งใกล้กัน เเต่ผมก็ไม่อยากเห็นหน้า
ผมรู้สึกพะอืดพะอมเเละใจสั่นเล็กน้อย
ผมยังจำเหตุการณ์วันนั้นได้ขึ้นใจ
ที่นั่งของเรียอยู่ข้างหน้าที่นั่งผม
ผมนั่งลงไปโดยไม่ให้เรียสังเกตเห็น
ผมไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงต้องทําเหมือนกลัวเรียขนาดนั้น
ถ้าเรียที่ถูกจับได้ว่านอกใจผมเข้ามาถามผมถึงเกี่ยวกับอารมณ์ความรู้สึกก็เข้าใจอยู่หรอก แต่สถานการณ์ในตอนนี้ราวกับ พวกเรานั่งอยู่กันคนละฟากของโต๊ะ
เรียนั่งบนที่นั่งของตนอย่างสง่างาม ในขณะที่ผมนั่งโดยให้หลังค่อม
แน่นอนว่าผมใจแคบเฉพาะกับเรย์นะ แต่ผมกลับรู้สึกตื่นตระหนกเรียมาก
ผมกําลังกลัวอยู่สินะ
ปากของเรีย บอกว่าเธอไม่เคยรักผมจริงๆจังๆ
สิ่งที่ผมกลัวมากกว่าสิ่งใดคือการที่ถูกบอกว่าความทรงจําที่เรามีความสุขด้วยกันมานั้น…ล้วนเป็นเรื่องโกหก
เมื่อคุณถูกนอกใจ คุณก็ต้องเตรียมใจไว้ในระดับหนึ่ง
เรีย…ตอนนี้เธอคิดจะทําอะไรอยู่กันเเน่?
ผมพลางคิดเรื่องนั้นขณะที่มองไปที่แผ่นหลังของเรีย
[“…!?”]
เหมือนกับครั้งนั้น เรียได้หันกลับมาหาผม
ไม่สิครั้งนี้ต่างออกไป ครั้งนี้เธอมองตรงมาที่ผม
[“…”]
เธอหันมาโดยไม่ได้พูดอะไรกับผม เธอเพียงแค่หันกลับมาเพื่อจ้องมองมาที่ผมอย่างเงียบๆ
เป็นนัยน์ตาที่ดูสงบเเละไร้ความรู้สึก
ผมแทบไม่อยากเชื่อเลยว่าสายตานั้นมันพุ่งตรงมาที่ผมซึ่งเป็นแฟนเก่า เเม้ว่าผมได้เลิกรากับเธอไปเเล้วเพราะนอกใจ
ก็อย่างที่พูดไป ผมไม่ต้องการให้เธอมารู้สงรู้สึกเสียใจอะไรกับผมอีกเเล้ว
[“…เอ๋?”]
ทันใดนั้น บรรยาอากาศในห้องเรียนก็ได้เปลี่ยนไป
สาเหตุที่ทําให้บรรยากาศเปลี่ยนไปคือ การปรากฏตัวของแขกเข้ามาในห้องเรียน
เเขกเหลือบมองมาทางผมอย่างรวดเร็วเเล้วเดินตรงมายังที่นั่งที่เรียนั่งอยู่
จากนั้น เรียก็หันไปคุยกับเเขก
เพื่อนร่วมชั้นต่างเริ่มมีปากเสียง
ในเวลานั้น ผมตระหนักได้ถึงข่าวลือได้แพร่สะพัดในชั้นเรียนไปมากเพียงใด
เรื่องระหว่างผมกับเรีย──แล้วก็เรย์นะที่พึ่งเลิกกันไปไม่นานนั้นเป็นเรื่องที่คนรอบๆก็รู้กันดี
[“เดี๋ยวก่อนๆ เธอมาที่นี่ทําไมเนี่ย เรย์นะ?”]
การกระทําของเรย์นะมักคาดเดาไม่ได้อยู่เเล้ว แต่คราวนี้ ผมมองความตั้งใจของเธอไม่ออกเลย
ไม่ว่าจะเป็นกรณีไหนก็ตาม การที่ทั้งสองจะคุยกันในตอนนี้คงจะสร้างการคาดเดาได้มากมาย
[“เเฟนเก่าของอาซาฮิโอกะเผชิญหน้ากับเเฟนใหม่งั้นเหรอ…?”]
[“นี่คงจะเป็นฉากต่อสู้กันระหว่างสองสาวสินะ น่าสนใจจริงๆ”]
ถึงเพื่อนร่วมชั้นของผมเเซวกันเบาๆ แต่สําหรับผมเเล้วนี่ไม่ใช่เรื่องตลก
เหงื่อเย็นได้ไหลหยดลงมา
[“ไหนๆพวกเราก็เจอหน้ากันครบทั้งสามคนเเล้ว งั้นวันนี้หลังเลิกเรียน เรามาคุยกันดีไหม?”]
เอ๊ะ อ่อ ทั้งคู่ยังยังไม่ได้เเลกช่องทางการติดต่อของกันเเละกันสินะ
ไม่มีทางที่ปากของผมจะพูดกับเรียโดยตรงได้ ดังนั้นเรย์นะเลยพยายามที่จะเข้ามาเเทรกสินะ
ก็รู้สึกขอบคุณอยู่หรอกกับการกระทําเเบบนั้น เเต่ผมไม่อยากให้มันโดดเด่น
ผมพยายามที่จะจัดการกับข่าวลือที่แพร่กระจายและการคาดเดาแปลกๆ ในเมื่อสิ่งนี้มันเกิดขึ้นเเล้ว
[“ก็ได้ ถ้าชินเซย์อยากคุยกับฉันอ่ะนะ”]
ไม่อยากจะเชื่อ เรียอยากคุยกับผมงั้นเหรอ?
ผมได้เเต่สงสัยว่าเรียกำลังคิดหาข้อแก้ตัวบางอย่างอยู่หรือเปล่า
ชื่อเสียงเรียงนามของผู้หญิงที่นอกใจนั้นไม่มีอะไรส่งผลดีกับชีวิตม.ปลายของเธอในอนาคต
เพราะฉะนั้น เพื่อที่จะลบข่าวลือ เธอคงจะประกาศตัวเองว่าตัวเองไม่ได้นอกใจผม
ถ้าเป็นเเบบนั้นจริงขึ้นมาคงมีเรื่องเสียๆหายๆต่อความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเรย์นะ
เเต่ เรื่องที่เธอนอกใจผมหรือไม่นั้น มันขึ้นอยู่กับผมรู้สึกยังไงเกี่ยวกับเรื่องนี้
การที่ไปหาเเละจับมือกับผู้ชายคนอื่นโดยลับหลังเเถมยังไม่บอกให้ผมรู้
เพียงเเค่นั้นก็บอกได้เเล้ว
ถ้ามันเป็นสถานกาณ์ที่เลี่ยงไม่ได้ ผมก็นึกไม่ออกอยู่ดีว่ามันต้องอยู่สถานการณ์เเบบนั้นถึงกลายเป็นเเบบนั้นได้
[“เเน่นอน ฉันจะพาชินเซย์ไปด้วย ส่วนสถานที่เอาเป็น──ที่เดียวกับเมื่อวานเเล้วกัน”]
เรียพยักหน้ารับทราบเเทนการพูด ว่าเเต่เมื่อวานพวกเธอไปคุยกันที่ไหนหว่า?
ขณะที่ผมกำลังคิดเรื่องนี้อยู่ เรย์นะก็เดินเข้ามาหาผม
สายตาของเพื่อนร่วมชั้นจับจ้องไปที่เรย์นะที่เดินเข้ามาหาผม
ทุกคนที่นี่กำลังมองมาที่ผมและเรย์นะ เเน่นอนว่า เรียก็จ้องมองมาที่ผมเช่นกัน
อึดอัดชิบ…
[“ฉันบอกไปเเล้วนะว่าอย่าเข้ามาในห้อง…ที่เราคุยกันหน้าห้องเมื้อกี้มันเปล่าประโยชน์ใช่ไหม?”]
[“ช่วยไม่ได้นี่นา ฉันมีธุระกับคุณชิอินะเเล้วก็ชินเซย์ผู้ลืมของอยู่ตลอด”]
[“ฉันว่าฉันไม่ได้ลื…อื้อ!?”]
เรย์นะคว้าเนคไทที่คอผมแล้วดึงเข้าหาตัวเอง จากนั้นริมฝีปากของพวกเราก็ได้ประกบกัน
ในช่วงเวลานี้ ผมคิดว่ามันคงเป็นเรื่องโกหกเเน่ๆเเต่…มันสายไปซะเเล้ว
[“อื้อ! อื้อ!?”]
จู่ๆ ห้องเรียนก็เงียบสงบลง มีเพียงเเต่เสียงจูบของเรย์นะที่กําลังดื่มดํากับริมฝีปากของผม
ผมพยายามผลักเรย์นะออกจากตัว แต่ผมไม่สามารถผลักเธอออกไปได้ เพราะเธอจับเนคไทของผมไว้
เมื่อผมละสายตาจากเรย์นะที่อยู่ตรงหน้า ผมเห็นใบหน้าของเพื่อนร่วมชั้นที่กําลังตกตะลึง
ซึ่งในหมู่พวกเขาก็มี เรีย ที่น้ำตาคลอเบ้าและกัดริมฝีปาก
เมื่อผมเห็นเรีย ซึ่งควรที่จะนอกใจผมเเท้ๆ กลับดูเศร้าโศกด้วยเหตุผลบางอย่าง ทําให้ผมเริ่มสับสนมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่
ไม่ใช่ว่า เรียนอกใจผมเพราะไม่รักผมหรอกเหรอ?
ถึงกระนั้น ผมก็ยังคงไม่เข้าใจความหมายของการร้องไห้อย่างเศร้าสร้อยเช่นนั้นของเธอ
หรือว่า…เธอยังมีใจให้กับผมอยู่ เเม้ว่ามันจะน้อยนิดก็ตามงั้นหรอ?
[“…ฉันว่ามันคงเพียงพอสําหรับช่วงเช้านี้ล่ะเนอะ?”]
เรย์นะที่ไม่รู้ว่ากําลังคิดอะไรอยู่ จู่ๆเมื้อกี้ก็เข้ามาจูบเเรงพอๆกับเรีย ไม่สิ เเรงกว่าอีก แล้วก็ถอนริมฝีปากห่างออกไปก่อนจะพูดด้วยท่าทางไม่ยินดียินร้าย
เอาไว้เท่านี้อะไรเล่า เเม่คนนี้นี่
ผมอยากจะตระโกนออกมาดังๆ แต่พูดตามตรง การที่ได้จูบกับเรย์นะนั้น ทําให้รู้สึกดีจนสมองปลอดโปร่งและปากของผมทํางานไม่สอดคล้องกัน เนื่องจากความแตกต่างระหว่างความอับอายต่อหน้าผู้คนกับความสุขที่ได้จากการจูบ
ขณะที่ผมตกตะลึงและอ้าปากค้างไว้อยู่นั้น เรย์นะก็หันไปหาเรีย
เรียจ้องไปที่เรย์นะ บางทีอาจมองว่าเป็นการยั่วยุก็ได้
[“ฟุฟุ ดูเหมือนชัยชนะจะเป็นของฉันนะคะ”]
เรย์นะพึมพำด้วยความพอใจและกล่าว “ไว้เจอกันใหม่ครั้งหน้า” ก่อนออกจากห้องเรียนไป
เรียเฝ้ามองเเผ่นหลังของเรย์นะอย่างเงียบๆ
หลังจากที่เรย์นะออกไปจากห้อง เพื่อนร่วมชั้นก็เข้ามารุมถามผมเกี่ยวกับเรื่องนู้นเรื่องนี้
เรียอยากที่จะคุยกับผม เธอเลยพยายามเข้ามาหาผมแต่ด้วยสถานการณ์เมื่อกี้ทําให้ฝูงชนก็เข้ามารุมล้อมผม จนทําให้เธอต้องตัดสินใจกลับไปนั่งที่นั่งของตัวเอง
ถ้านี่คือสิ่งที่เรย์นะเล็งไว้และจูบผมเพื่อเป็นการยืนยันความสัมพันธ์ล่ะก็ เธอคงจะเป็นคนเจ้าเล่ห์น่าดู
ขณะที่พวกเพื่อนร่วมชั้นเข้ามาคุยกับผมในทุกๆช่วงที่มีการพักเบรค จนกระทั่งถึงเวลาพักเที่ยง
[“ไปนั่งกินที่ไหนดีหว่า…”]
ทุกครั้งผมจะนั่งกินกับเรีย เเต่คราวนี้…
ในขณะนั้น ผมรู้สึกว่าใครกําลังส่งสายตามาหาผมอยู่
เมื่อผมมองไปข้างหน้า ผมเห็นเรียมองมาที่ผมพร้อมกล่องข้าวในมือข้างหนึ่ง
เธอคงไม่คิดที่จะกินข้าวกับผมใช่ไห…
[“ชินเซย์เรามากินข้าวด้วยกันดีไหม? ให้เหมือนเป็นคู่รักกันหน่อย”]
เรย์นะ เข้ามาในห้องเรียนก่อนที่ผมจะรู้สึกตัวเสียอีก ราวกับเธอต้องการขัดจังหวะเรีย
เรย์นะยิ้มและเข้ามานั่งข้างๆผม
[“อะ อ่า นั้นสินะ…”]
หลังจากที่ผมมองไปที่เรย์นะเเล้วผมก็วกกลับมามองที่เรียอีกครั้ง
[“…อุ๊ก!”]
ใบหน้าของเรียนั้นบูดบึ้งไปชั่วครู่ จากนั้นเธอก็รีบวิ่งออกไปจากห้องเรียน
หลังจากที่พวกเรากินข้าวเเละพลางพูดคุยด้วยกัน เรย์นะก็เเสดงสีหน้าดูพึงพอใจ
[“งั้นฉันไปก่อนนะชินเซย์ ฉันจะมาหาใหม่หลังเลิกเรียน”]
หลังจากที่เรย์นะพูดเช่นนั้น เธอก็กลับไปที่ห้องเรียนของตัวเอง
เครื่องเคียงทั้งหมดที่เรย์นะแบ่งมาให้ผมนั้นอร่อยรสชาติดีมาก และเมื่อเธอเห็นผมมีความสุขตอนที่ผมกินมัน เธอบอกอีกว่า เธอจะทำข้าวกล่องมาให้ผมในต่อไปเอง
ถึงจะรู้สึกผิดนิดๆก็เถอะ แต่ในเมื่อเรย์นะรู้ว่าเรียทำข้าวกล่องให้ผมทุกวัน เธอก็ยิ่งมุ่งมั่นที่จะทํามันเข้าไปอีก
นั้นคือข้อเเลกเปลี่ยนในช่วงเวลานั้น เเละเเล้วก็ถึงเวลาเลิกเรียน
[“ฉันมารับเเล้วนะ ชินเซย์”]
[“อ่า…ไปกันเถอะ”]
สถานที่ไร้เสียงรบกวนที่ใช้สําหรับการพูดคุยกับเรียนั้นก็คือดาดฟ้านั้นเอง
โดยปกติแล้ว พื้นที่ชั้นดาดฟ้านั้นเป็นพื้นที่ต้องห้าม ประตูจึงถูกล็อคไว้ แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่เป็นอันตรายอะไร เรย์นะเลยตัดสินใจสะเดาะกลอน ถึงผมจะคิดว่ามันคงไม่เป็นไรด้วยก็เถอะ…
[“ช่วยหลบหน่อยได้ไหม คุณชิอินะ”]
[“…เข้าใจเเล้ว”]
เรียยืนขึ้นเเละมองมาที่เรย์นะด้วยความเย็นชา
ไม่ใช่ว่าตลอดทั้งวันผมไม่ได้มองเรียเลย เเต่ทุกครั้งที่เรย์นะมาหาผม ผมมักจะมองไปที่เธออยู่เสมอเเค่นั้นเอง
ไม่ว่าจะช่วงเช้าหรือช่วงพักเที่ยง เรียจะจ้องด้วยใบหน้าที่ดูสํานึกผิด ขณะที่เรย์นะกับผมทําตัวเหม็นเขียว
ผมไม่รู้ว่าทําไมเธอถึงดูสํานักผิดมากขนาดนั้นทั้งๆที่ตัวเองเป็นคนนอกใจเเละหักหลังผมไปเเล้วเเท้ๆ
ส่วนเหตุผลของมัน คงจะได้รู้หลังจากนี้สินะ
เมื่อพวกเรามาถึงประตูทางขึ้นชั้นดาดฟ้า เรย์นะก็เข้าไปสะเดาะกลอนด้วยกิ๊บหนีบผม
ผมรู้สึกประทับใจกับการสกิลการสะเดาะกลอนของเธอที่ทําจนชํานาญ
ส่วนเรียก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษ คงเพราะได้เห็นจากการที่ขึ้นมาคุยครั้งก่อนเเล้วล่ะมั้ง
หลังจากขึ้นมาบนดาดฟ้า เรย์นะที่ยืนกอดอกอยู่ข้างๆผมถึงกับอ้าปากค้างเมื่อได้มองไปทางเรีย
[“ก่อนอื่นเลย ฉันเข้าใจว่าคุณชิอินะมีสิ่งที่อยากจะบอกเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวันก่อน เเต่ก่อนอื่น เรามาฟังเรื่องนี้จากทางฝั่งชินเซย์กันก่อนดีกว่า”]
เรย์นะถอนหายใจออกมาหลังจากพูดเช่นนั้น
[“…เรื่องที่อยากจะบอกล่ะ เรีย”]
[“ชินเซย์…ฉันไม่ได้นอกใจนายนะ”]
ผมไม่เข้าใจความหมายของสิ่งที่เรียพูดออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง
ไม่ได้นอกใจ? พูดอะไรออกมา? ยังกล้าพูดออกมาได้ทั้งๆ กลางวันเเสกๆเนี่ยนะ!
เมื่อผมสบตากับเรย์นะ ผมส่งสายตาไปบอกเธอว่า “โกหกชัวร์ๆ”
[“ห๊า!? ฉันไม่ได้โกหกนะ! วันนั้นเป็นวันเดียวที่ฉันออกไปคนเดียวกับผู้ชายคนนั้น!”]
[“อย่างงั้นเหรอ เเสดงว่าเธอไปเดทกับคนเจ้าชู้คนนั้นเเค่วันเดียวสินะ”]
[“ไม่ใช่ซะหน่อย! มันไม่ใช่เดทสักหน่อย!”]
เรียม้วนผมของตัวเองด้วยความรู้สึกที่หงุดหงิดเเละปฏิเสธคําถามโดยการตระโกนออกมา
เเต่สําหรับผมเเล้ว การกระทําของคนสองคนต่างเพศ จูงมือกันออกไปข้างนอกนั้น ไม่ต่างจากการออกไปเดท
เเม้เเต่เพื่อนสนิทต่างเพศ เขายังไม่ยอมให้จับมือกันเลย
[“จับมือกันเเถมยังดูมีความสุขอีก เเต่เธอกลับบอกฉันว่านั้นไม่ใช่การเดทงั้นเหรอ?”]
[“ฉันเเค่ถูกเขาบังคับให้จับมือเท่านั้นเอง”]
[“ถ้าถูกบังคับเเล้วทําไมเธอถึงไม่สลัดมันทิ้งล่ะ?”]
เรย์นะพูดตามสิ่งที่เราคิดไว้
[“ถ้าทําเเบบนั้นบรรยากาศมันจะดูอึดอัดน่ะสิ เพราะฉะนั้น ฉันเลยต้องยิ้มเเย้มไว้ เเต่ชินเซย์กลับเผอิญมาเห็นฉันในตอนนั้นพอดี”]
ถึงเธอจะเเก้ตัวเเบบนั้น เเต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะเชื่อใจเธอได้
[“อย่างเเรกเลย…ทําไมเรียถึงลงเอยไปอยู่กับผู้ชายเจ้าชู้คนนั้นได้?”]
[“เขาเป็นเพื่อนเก่าที่ฉันเคยเล่นด้วยตอนสมัยประถม เเล้วพวกเราก็แยกทางกันไปตั้งแต่ที่เขาย้ายไปเรียนที่โรงเรียนต่างจังหวัด แต่ในปีนี้เขากลับมาที่นี่เพราะเขาต่อมหาลัยเเถวๆนี้ เเล้วจู่ๆ เราก็ไปบังเอิญเจอหน้ากันในเมืองเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เเละด้วยความที่เราคิดถึงกันมาก เลยตัดสินใจเล่นด้วยกันเฉยๆ”]
ตอนช่วงประถมเรียกับผม เรียนกันอยู่คนละที่
ดูเหมือนว่าคนเจ้าเล่ห์คนนั้น จะเป็นเพื่อนสมัยเด็กของเรียที่ผมไม่รู้จัก
แต่ทั้งหมดนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าผมเชื่อในสิ่งที่เรียพูดไหม
อย่างไรก็ตาม เธอพูดได้ลื่นไหลไม่ติดขัดอย่างกับเธอท่องสคริปต์มาก่อนหน้านี้เเล้ว
[“ถ้าเกิดว่าสิ่งที่คุณชิอินะมาเป็นเรื่องจริง…”]
[“ฉันไม่ได้ใส่เรื่องโกหกลงไปหรอกนะ”]
[“งั้นเหรอ ฉันหวังว่าเธอจะรักษาคําพูดนะ”]
เรย์นะส่งสายตามาหาผม
[“…ฉันยังมีเหตุผลอื่นอีก ที่ทําให้ฉันยังเชื่อใจเรียในตอนนี้ไม่ได้”]
[“เหตุผลอื่นเนี่ยคืออะไร…?”]
จริงอยู่ที่ มันมีความเป็นไปได้ที่ผมบังเอิญไปเจอฉากที่เรียพูดถึง
แต่ ผมก็มีเหตุผลหลายอย่างที่ทําให้ ผมเชื่อว่า เรีย นอกใจผมมาสักพักนึงเเล้ว
[“ตอนที่เรียเริ่มย้อมผมเป็นสีบลอนด์ นั่นคือตอนที่เพื่อนสมัยเด็กคนนั้นของเธอได้เข้ามหาลัยเเถวนี้และมาอาศัยอยู่เเถวนี้ใช่ไหม?”]
มีเเค่ปีนี้ปีเดียวที่เรียเริ่มย้อมผมเป็นสีบลอนด์และแต่งหน้าฉูดฉาด
[“ก็ใช่อยู่หรอก ทําไมหรอ?”]
[“ก็…ถ้าลองคิดดูจากกรอบเวลาเเล้ว เรีย กลายเป็นสาวเเกลเพราะคนเจ้าเล่ห์คนนั้นไม่ใช่เหรอ?”]
คนเจ้าเล่ห์กลับมาที่นี่ในฤดูใบไม้ผลิ เเละยังเข้ามหาลัยเเถวนี้อีก
ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น เรียก็ได้กลายเป็นสาวเเกล ผมไม่คิดว่านี่เป็นเพียงเเค่เรื่องบังเอิญ
หากเรียกับคนเจ้าเล่ห์เจอกัน ในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ เรื่องราวที่พวกเขาตัดสินใจเล่นด้วยกันเพราะบังเอิญเจอกันเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาก็คงเป็นเรื่องโกหก
ซึ่งอาจบอกเป็นอีกนัยหนึ่งได้ว่า เรียอาจเคยเจอกับคนเจ้าเล่ห์ก่อนหน้านั้น
[“ฉันเพิ่งเปลี่ยนลุคตอนขึ้นปีสองเองนะ เเล้วก็ไม่ใช่ว่าฉันเปลี่ยนไปเพราะเขาซะหน่อย”]
[“คุณชิอินะจะสื่อว่า มันก็เเค่เรื่องบังเอิญที่ตัวเองมีรสนิยมเหมือนเพื่อนสมัยเด็กที่ตัวเอง เเล้วไม่ได้ตั้งใจเปลี่ยนตัวเองเพื่อเอาใจเขาสินะ”]
[“ถึงมันจะดูไม่น่าเชื่อก็เถอะ เเต่ทุกอย่างมันคือเรื่องจริงนะ!”]
เรียเเย้งเรย์นะ
[“ฉันพึ่งบังเอิญไปเจอเขาเมื่ออาทิตย์ที่เเล้วเองนะ…”]
[“สรุป เธออยากจะสื่อว่าเป็นเรื่องจริงที่ตัวเองมีความสุขที่ได้เจอเพื่อนสมัยเด็กอีกครั้งเลยตัดสินใจเล่นกับเขาสินะ?”]
[“ใช่เเล้ว”]
[“เเล้วทําไม…เธอถึงไม่บอกฉันก่อนหน้านั้นล่ะ?”]
ทำไมเธอถึงไม่บอกผมเกี่ยวกับเพื่อนสมัยเด็กของตัวเอง
ผมอดคิดไม่ได้ที่จะคิดว่าพวกเขามีบางอย่างที่ต้องทํา
[“เพราะฉันลืมบอกกับชินเซย์เเค่นั้นเเหละ”]
[“เธอไม่ควรที่จะลืมนะ…”]
ในเมื่อที่เธอบอกว่าเธอลืมที่จะบอกผม ผมก็ไม่มีอะไรจะเถียงกับเธอเเล้ว
เพราะมันไม่มีทางที่ผมจะพิสูจน์ได้ว่า ‘เธอจงใจหรือไม่’
อย่างไรก็ตาม ในวันนั้นผมก็ได้บอกกับเรียไปเเล้วว่าผมกลับบ้านกับโซระ
มันจึงเป็นเรื่องที่เหลือจะเชื่อกับการที่บอกว่าเธอลืมบอกผม สําหรับเรื่องที่ไปเดินกับเพื่อนสมัยเด็ก หลังจากได้รับข้อความจากผม
[“เธอเเค่ลืมจริงๆหรอ? เธอไม่ได้จงใจไม่บอกหรอ?”]
[“ก็อย่างที่บอกไป ฉันลืมจริงๆ เหมือนกับที่ ชินเซย์ตอนเจอเพื่อนสมัยเด็กของตัวเอง เมื่อฤดูร้อนที่เเล้วนั้นเเหละ นายไม่เห็นจะบอกอะไรกับฉันเลย”]
[“เพราะตอนนั้นเราเลยเข้าใจผิดกันไง เเล้วเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์เเบบตอนนั้นอีก เราเลยตั้งกฏขึ้นมาว่า ‘เมื่ออยู่กับเพศตรงข้ามสองต่อสอง เราจะบอกสถานการณ์ของให้กันเเละกัน’ หรือจะบอกว่าตัวเองลืมกฏข้อนั้นไป ถ้าเป็นเเบบนั้นฉันคงไม่ไว้ใจเธอเเล้วล่ะ”]
[“ชินเซย์ไม่เชื่อใจสิ่งที่ฉันพูดหรอ?”]
[“ถ้าเอาตรงๆ ตอนนี้ฉันไม่เชื่อทุกสิ่งทุกอย่างที่ออกมาจากปากเธอในตอนนี้เลยล่ะ”]
มันเป็นความตั้งใจของผมเอง
ดูเหมือนว่าความทรงจำทั้งหมดที่ผมมีกับเรียล้วนเป็นเรื่องโกหก
ผมสิ้นหวังในตัวตนของคนที่ผมรักมากจากก้นบึ้งของหัวใจ
[“มะ ไม่จริง…ทั้งๆที่ฉันชอบชินเซย์ขนาดนั้นเเท้ๆ…”]
น้ำตาไหลรินอาบแก้มของเรีย ในขณะที่เธอพูดด้วยเสียงอันสั่นเครือ
จนถึงตอนนี้ ผมไม่เคยเห็นเรียร้องไห้มาก่อนเลย
[“…ฉันชอบชินเซย์ที่ตั้งใจซ้อมฟุตบอล ฉันชอบชินเซย์ผู้ใจดีเเละตั้งใจเรียนเพื่อฮิโยริ…ฉันชอบชินเซย์ที่บอกว่ารักฉัน…”]
เรียที่ร้องไห้เข้ามาจับเสื้อเชิ้ตของผม
[“เพราะงั้นขอร้องล่ะ…เชื่อฉันทีสิ”]
[“…”]
การกระทำที่คนรักทำ จะเป็นการนอกใจหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับว่าอีกฝ่ายรู้สึกยังไง
การจับมือกับเพศตรงข้ามถือเป็นการนอกใจหรือไม่ขึ้นอยู่กับความคิดของแต่ละคน
ผมจึงตัดสินใจว่า เรียนอกใจผมเพราะเธอเดินจับมือกับคนเจ้าเล่ห์โดยไม่บอกผม
แต่ถ้าการจับมือ เป็นเรื่องที่เธอถูกบังคับให้ทำ และเธอไม่ได้ตั้งใจจะเก็บไว้เป็นความลับ เธอเพียงแค่ลืมบอกเรื่องนี้ให้ผมรู้…?
แม้ว่ามันจะเป็นความเข้าใจผิดที่เกิดจากเรีย แต่ผมก็มีส่วนผิดที่ด่วนตัดสินใจไปเอง
เพราะตอนนั้น ผมไม่ฟังเรียเลย เเล้วมามีความสัมพันธ์กับเรย์นะเเทน ผมตัดสินใจไปเองโดยไม่คำนึงถึงคำพูดของโซระ
ถ้าผมฟังเรียเเละไม่หนีไปจากเธอก่อน ผมคงไม่ได้มาลงเอยกับเรย์นะเเบบนี้
ผมไม่ได้จบลงด้วยการเลิกกับเรียด้วยวิธีที่เลวร้ายที่สุด…
[“…ฉันเข้าใจสิ่งที่เรียพูดนะ”]
[“…ถ้างั้นกลับมาคบกันฉันสิ”]
[“ฉันทําเเบบนั้นไม่ได้…ฉันคบกับเรย์นะเเล้ว”]
[“อะไรกัน…”]
ตอนนั้นเองที่ผมตระหนักว่า ผมได้ทำบางสิ่งบางอย่างที่แก้ไขไม่ได้ไปเเล้ว
นี่คือปัญหาระหว่างเรียเเละผม เราสื่อสารกันไม่ดีพอเเละเอาเเต่เห็นเเก่ตัว
เรียได้ไปพบกับเพื่อนสมัยเด็กโดยไม่ได้บอกผม ส่วนผมเลือกที่จะเลิกกับเธอโดยไม่ฟังคําพูดอะไรจากปากเธอเลย
เราไม่ได้คิดถึงเเละกันเลย ก่อนที่จะลงมือทําเเบบนั้น
เเละผลลัพธ์ของการเห็นเเก่ตัวนั่นก็คือ สถานการณ์ในตอนนี้
[“คุณชิอินะ มีบางอย่างติดใจฉันอยู่ ฉันขอถามได้ไหม”]
เรย์นะซึ่งเฝ้าดูอยู่อย่างเงียบๆ พูดขัดขึ้นมาขณะกอดอก
[“…อะไรหรอ?”]
[“เธอไม่มีหลักฐานที่จะทําให้คําพูดของตัวเธอเองมีนํ้าหนักขึ้นมาเลย สุดท้ายเเล้วเธอก็เลยร้องห่มร้องไห้ให้กับชินเซย์ เเต่ในความเป็นจริงเเล้วตราบใดที่เธอไม่มีหลักฐาน ทั้งหมดที่เธอพล่ามมามันก็เป็นเพียงข้อเเก้ตัวที่สะดวกสบาย มโนขึ้นมาได้ เท่านั้นเเหละนะ”]
[“ฉันรู้ว่ามันฟังดูเหมือนข้อเเก้ตัวที่ดูมโนขึ้นมาได้ เเต่ทั้งหมดนั้นคือเรื่องจริง”]
[“ก่อนอื่นเลยนะ ไม่ว่าความจริงจะเป็นยังไงก็เถอะ เเต่มันเป็นเรื่องจริงที่เธอทําให้ชินเซย์จิตใจยํ่าเเย่ เธอควรจะขอโทษเขาก่อนไม่ใช่หรอ?”]
[“นั้นมัน…”]
เรียที่โดนเรย์นะเตือนได้ก้มหัวเเละกล่าว “ฉันขอโทษ…” ให้กับผม
มันไม่ใช่ความผิดของเรียเเค่ฝ่ายเดียว ฝ่ายผมด้วยที่ผิดที่ไม่ฟังเธอ
การขอโทษอาจไม่ใช่สิ่งที่ช่วยแก้ไขสถานการณ์ได้ แต่เมื่อผมกําลังก้มศีรษะลงในลักษณะเดียวกัน เรย์นะก็ได้เข้ามาหยุดผม
[“ชินเซย์ไม่จำเป็นต้องขอโทษหรอก เพราะเรายังไม่รู้ความจริงว่า สิ่งที่คุณชิอินะพูดนั้นเป็นเรื่องจริงรึเปล่า เเถมมันยังมีเเววด้วยว่าเธอนอกใจจริงๆ”]
หลังจากที่ฟังมา โดยส่วนตัวเเล้ว ผมเชื่อว่าเรียไม่ได้ตั้งใจที่จะนอกใจผม แต่ทางฝั่งเรย์นะกลับไม่เชื่ออะไรที่เรียพูดเลย
แน่นอนว่าสิ่งที่เรย์นะพูดนั้นก็ถูก เรายังไม่ได้พิสูจน์ว่าเรียไม่ได้ตั้งใจที่จะนอกใจ
[“นี่ คุณชิอินะ ที่ขอโทษเนี่ย ขอโทษเรื่องอะไร?”]
[“เรื่องที่ฉันทำให้ชินเซย์เข้าใจผิดไปเองว่าฉันนอกใจเขา…”]
[“เเต่นั้นก็บอกได้เป็นอีกนัยหนึ่งว่ามันคือการบ่นเเบบทางอ้อม ว่าเหตุการณ์นี้จะไม่เกิดขึ้นถ้าชินเซย์ไม่เข้าใจผิดสินะ?”]
[“ฉัน…ไม่เคยคิดเเบบนั้นเลยนะ!”]
[“ถ้างั้น เธอควรขอโทษเขาก่อนสิ เธอไม่ได้ขอโทษเขาตั้งเเต่เเรกเเต่ เธอกลับเปิดประเด็นมาด้วยการเเก้ตัวเเทนซึ่งนั่นเป็นหลักฐานว่า ‘เธอคิดว่าตัวเองเป็นไม่เป็นฝ่ายผิด’ งั้นสินะ?”]
[“มะ ไม่เลย…ฉันสํานึกผิดไปเเล้ว”]
ในความคิดของเรีย เธออาจคิดว่า ถ้าตัวเองขอโทษตั้งเเต่เริ่มมันหมายถึง ‘ตัวเองยอมรับผิดว่านอกใจจริง’ เเละกลัวว่าผมจะไม่รับฟังบทสนทนาต่อจากนั้น
[“การได้รับการไว้วางใจจากคนอื่นมันก็ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของคนๆนั้น อย่างชินเซย์มีวินัยและบอกคุณชิอินะเมื่อเขาอยู่กับผู้หญิงคนอื่น แต่เมื่อมองไปที่ตัวคุณชิอินะเองเเล้ว กลับละเลยเเละเลือกที่จะไม่บอกเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ถ้าหากเเฟนตัวเอง ไม่ได้ทําตามกฏที่เคยตกลงกันเอาไว้เเละการไปหาเพศตรงข้ามโดยลับหลัง คนๆนั้นก็ไม่มีสิทธิที่จะบ่นแม้ว่ามันอาจถูกเชื่อมโยงเข้ากับการมีโอกาสที่จะนอกใจ อ่ะนะ”]
[“ถึงเธอไม่บอกฉันก็รู้ดีน่า…”]
[“ถึงเธอจะพูดเเบบนั้นก็เถอะ เเต่เธอได้ปฏิบัติตามซะทีไหนกันเล่า ถ้าผู้ชายคนนั้นแค่บังคับให้เธอจับมือด้วย เธอก็ควรที่จะสะบัดมันออกสิ และถ้าเธอไม่ต้องการให้ชินเซย์คิดว่าตัวเธอเองกำลังนอกใจเขาอยู่ เธอก็ควรจะบอกเขาล่วงหน้าว่าเธอกำลังเจอกับผู้ชายอื่นสิ เเละนั่นก็เป็นเหตุผลว่า…ทําไมฉันถึงเเย่งชินเซย์มาจากเธอได้ยังไงกันล่ะ”]
[“ส่วนเธอยังมั่นหน้าพูดออกมาได้อีกนะทั้งๆที่เเย่งชินเซย์ของฉันไปเนี่ย”]
[“เเน่นอนอยู่เเล้ว เพราะว่าฉันไม่รู้สึกผิดอะไรเลยสักนิดกับผู้หญิงไร้สมองอย่างเธอเนี่ย”]
[“!?”]
เรียกัดริมฝีปากของตัวเองด้วยความเจ็บใจและมองเขม่นไปที่เรย์นะ ในขณะที่ใบหน้าของตัวเองย้อมเป็นสีแดง
[“…เราพูดสิ่งที่เราอยากพูดไปเเล้ว กลับกันเถอะชินเซย์”]
[“ดะ เดี๋ยวก่อนสิ! ฉันยังไม่ได้คุยกับชินเซย์เล──”]
[“ที่บอก ‘คุย’ เนี่ยหมายถึง ‘กลับมาคบกัน’ สินะ? ถ้าเป็นเเบบนั้น ชินเซย์ก็บอกไปเมื้อกี้เเล้วไม่ใช่หรอ ว่ามันเป็นไปไม่ได้น่ะ?”]
[“…นั่นยัง…”]
[“ทําไมเธอยังไม่ยอมเเพ้สักทีอีก? ในความคิดฉัน ถึงเธอจะกลับไปคบกับเขาเเต่เดี๋ยวสักวันในอนาคตอันใกล้ก็ต้องเลิกกันอยู่ดีนั้นเเหละ”]
[“คุณฟุตาบะจะไปรู้อะไรเกี่ยวกับพวกเรากัน? พวกเราไม่รู้หรอกว่าในอนาคตอะไรจะเกิดอะไรขึ้น!”]
[“ไม่หรอก…บางทีอาจเป็นเหมือนที่เรย์นะพูด”]
[“…ชินเซย์?”]
คําคาดการณ์นั้นออกมาจากปากของผมอย่างปฏิเสธไม่ได้
เรียออกไปกับผู้ชายคนอื่นโดยไม่บอกหรือไม่ก็ลืมบอกผม ผมโกรธมากเมื่อเธอทําสิ่งเดียวกันก่อนหน้านี้ เเต่เธอไม่รู้ว่าตัวเองเป็นคนทําขึ้นมาเอง
เราไม่รู้ว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นอีกกี่ครั้งในอนาคต เเละถ้าพวกเราทะเลาะกันทุกครั้งมันก็ส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองเราก็จะเยือกเย็นลงเรื่อยๆ
พวกเขากำลังเลิกกันในอนาคตอันใกล้นี้ อาจจะเป็นเพียงเพราะวันนั้น
ผมรู้สึกผิดต่อเรีย ที่ได้ทําอะไรไม่ดีกับเธอไป
เเทนที่จะไล่ตามความจริงไป เเต่ผมกลับใช้ความคิดตัวเองเพียงคนเดียวในการคิดว่า เรียนั้นนอกใจ ทําให้เราต้องไปมีความสัมพันธ์กับเรย์นะ
เราทำสิ่งที่ไม่สามารถเอาย้อนกลับมาเเก้ไขได้อีก ผมคิดเช่นนั้น
เเต่หลังจากเหตุการณ์นี้ไป ความเชื่อมั่นในตัวเรียในสายตาของผมจะมอดหายไป
แม้ว่าเธอจะไม่นอกใจ แต่ก็มีเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้ผมไม่สามารถเชื่อใจเรียได้
ในความสัมพันธ์แบบนี้ ต่อให้อยู่ด้วยกันแล้วนับประสาอะไรกับการกลับมาอยู่ด้วยกัน ไม่ช้าก็เร็วก็คงต้องเลิกกันอยู่ดี
[“เรีย ฉันขอพูดอีกครั้งนะ…เราเลิกกันเถอะ”]
[“ระ…เรื่องเเบบนั้น อย่านะ…”]
เรียพูดยํ้าออกมา “อย่านะ” เเละร้องไห้ครํ่าครวญออกมา
ผมไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะดูเเละหรือคุยกับเรียได้อีกต่อไปเเล้ว
เรย์นะจับมือผมและทิ้งเรียไว้คนเดียวบนดาดฟ้า
◇
[“หน้าตาดูไม่ได้เลยนะ ชินเซย์”]
[“ก็ นะ…”]
พวกเรากําลังนั่งพักอยู่หน้าร้านสะดวกซื้อที่เรย์นะเเวะซื้อ ‘ยาง’ ครั้งที่เเล้ว
นี่ก็ประมาณสามสิบนาทีเเล้ว หลังจากที่ผมบอกเลิกเรียไป
เเต่ผมก็ยังเอาเสียงของเรียออกจากหัวไปไม่ได้
[“เราจะอยู่ตรงนี้ตลอดไปไม่ได้หรอกนะ เพราะมันใกล้จะมืดเเล้ว”]
[“อืม นั่นสินะ…”]
[“…ถ้างั้น ฉันกลับก่อนนะ เรื่องในวันนี้ชินเซย์ต้องมูฟออนออกมาให้ได้ด้วยตัวเองนะ”]
เรย์นะมองมาหาผมด้วยความเป็นห่วง แต่สุดท้ายเเล้ว เธอก๋ยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน
◇
หลังจากที่เรย์นะกลับบ้านไป ผมก็ยังไม่ได้ลุกออกจากตรงนั้น ผมตัดสินใจเดินกลับบ้านท่ามกลางความมืด
สิ่งที่อยู่ในหัวผมตอนนี้คือความทรงจําของเรีย
ถ้าตอนนั้น ผมเป็นอยู่เเบบนี้
ถ้าตอนนั้น ผมตอบตกลงออกไป
ชิ้นส่วนความทรงจําความโศกเศร้าเเต่ละชิ้น ได้พุดขึ้นมาในหัวของผม
ผมใช้เวลามากมายอยู่กับเรีย
พวกเราเริ่มคบกันตั้งเเต่ตอนม.ต้น เจอกันเเทบทุกวันจนถึงปัจจุบัน
พอเราเจอหน้ากันก็คุยกันในเเบบเพื่อน
วันเเล้ววันเล่า พวกเราก็เริ่มคุยกันในฐานะคนรักกัน
เเต่ หลังจากวันนั้น…ความสัมพันธ์ของพวกเราก็ได้ขาดสะบั้นลง
[“ตั้งเเต่พรุ่งนี้…เราต้องกลับมาทําตัวปกติให้ได้…”]
กิจกรรมชมรมหลังเลิกเรียนวันนี้ผมก็ไม่ได้เข้า เมื่อวานก็ยังขาดเรียนอีก
ช่วงนี้ผมเอาเเต่พัก
ผมจะไปสร้างปัญหาให้กับคนรอบข้างไม่ได้ เพราะนี่เป็นสิ่งที่ผมต้องจัดการด้วยตัวเอง
โดยเฉพาะ เรย์นะที่ผมไปสร้างปัญหาให้เธอมากมาย
ผมจะต้องชดใช้ให้ได้ในสักวันหนึ่ง
[“เราต้องเผชิญหน้ากับเรย์นะเเละตามเธอให้ทันให้ได้…”]
ถึงเเม้ว่านี่เป็นคือครั้งเเรกของเรย์นะที่มีความรัก เเต่เธอก็ยังคงสงบสติอารมณ์ในห้องได้
เรย์นะดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่าพวกเราเเม้ว่าเราจะโตมาจากทารกเหมือนกัน
[“สักวันนึงเธอก็คงจะเบื่อเเละทิ้งเราไป…”]
ความวิตกกังวลได้ก่อตัวขึ้นในหัวผม
◇
ผมคุยกับเรียแล้วเเละได้เลิกกันไปเเล้ว แต่ผมกังวลเมื่อคิดถึงวันพรุ่งนี้
มันเป็นเรื่องน่าอึดอัดใจที่ได้เห็น เรียในวันถัดไปหลังจากที่เลิกกันไปหมาดๆ
ยิ่ง บทสนทนายังไม่ได้ตกลงอะไรกันเสร็จสรรพทั้งสองฝ่ายด้วย
ดังนั้นมันจะดีมากถ้าเรียมีอะไรพูดกับผม
แต่เมื่อผมไปถึงโรงเรียนในเช้าวันรุ่งขึ้น เรียกลับไม่ได้อยู่ในห้องเรียน
เรียไม่ได้มาโรงเรียนในวันรุ่งขึ้นเเละวันถัดๆไป
[“ยังกังวลเกี่ยวกับเรื่องคุณชิอินะอยู่อีกหรอ?”]
ตั้งแต่วันนั้นมา เรย์นะ ได้เอาข้าวกล่องทําเองมากินกับผมทุกวันตอนพักเที่ยง เเล้วก็ถามผมในขณะที่ผมมองไปที่โต๊ะเรียนของเรียอันว่างเปล่า
[“ชินเซย์อุตส่าห์มีเเฟนน่ารักเเบบฉันเเล้วทั้งที เเต่กลับดื้อรั้นกว่าที่ฉันคิดไว้อีกนะเนี่ย”]
เรย์นะบ่นพึมพําด้วยใบหน้ามุ่ย
[“เปล่า ไม่ใช่เเบบนั้นหรอก ฉันเเค่กังวลเรื่องที่เธอไม่มาโรงเรียนหลายวันเเล้ว…”]
[“คุณชิอินะเขาทําตัวเอง ชินเซย์ไม่ต้องไปคิดมากหรอก เเล้วก็ ช่วยดูนี่หน่อยได้ไหม?”]
เรย์นะเอาโทรศัพท์มาให้ผมดู บางทีเธออาจต้องการให้ผมไม่ต้องไปคิดเรื่องของเรีย
ภาพบนหน้าจอโทรศัพท์นั้นคือโปสเตอร์ของภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง
ภายใต้ท้องฟ้าสีคราม นักเเสดงชายหญิงที่กําลังเป็นที่พูดถึงในตอนนี้กําลังเอนตัวเข้าหากันพร้อมหัวเราะอย่างมีความสุข
[“ดูเหมือนว่านี่จะเป็นภาพยนตร์โรแมนติกยอดฮิตช่วงนี้ ชินเซย์สนใจเรื่องนี้ไหม?”]
[“อ่อ ภาพยนตร์ของผู้กํากับอิจิโนเสะสินะ เมื่อปีที่เเล้วฉันเคยดูหนังที่เขากํากับอยู่…มันดูน่าสนใจดีนะ”]
[“…ไอคําพูดที่ดูคลุมเครือนั้นคืออะไร?”]
เรย์นะตอบสนองต่อความเงียบเล็กน้อยของผมด้วยการเอียงศีรษะและหรี่ตาลง
[“มะ ไม่มีอะไรหรอกน่า”]
[“งั้นหรอ ถ้าให้ฉันเดา ช่องว่างระหว่างคําพูดดูคลุมเครือนั้นน่าจะเป็น “กับเรีย” สินะ?”]
สมเเล้วที่เป็นนักเรียนที่เก่งที่สุดคนหนึ่งในโรงเรียน ไม่ว่าจะมีปัญหาอะไร ก็สามารถแก้ไขได้อย่างง่ายดาย
เรย์นะไม่เคยพลาดจนเปิดช่องว่างตัวเองเลยจริงๆ
[“เธอไม่อยากให้ฉันเอ่ยชื่อเเฟนเก่าใช่ไหมล่ะ…?’”]
[“ไม่เป็นไร เรื่องนั้นฉันไม่คิดมากหรอก”]
การที่เรย์นะบอกกับผมว่าไม่คิดมาก เเต่เธอกลับทําหน้ามุ่ย
ไม่ว่าจะมองยังไง เธอกําลังงอนผมอยู่
[“ไม่คิดมากจริงๆหรอ?”]
[“จริงสิ ฉันไม่คิดมากหรอกนะ มันเป็นเรื่องช่วยไม่ได้หรอกถ้านายกับคุณชิอินะไปดูหนังด้วยกันเมื่อปีก่อน นอกจากนี้ชินเซย์ของฉันยังต้องกังวลเกี่ยวกับคุณชิอินะที่หักหลังอยู่ด้วย”]
เส้นกั้นบางๆที่ยากจะตัดสินว่าเธอกำลังชมเชยอย่างจริงใจหรือเหน็บแนมกันเเน่
[“เเล้วมีอะไรอีกไหมที่เธอไม่ชอบ?”]
[“เเทนที่จะบอกว่าไม่ชอบ…”]
เรย์นะได้หยุดพูดไว้เพียงเท่านั้น
[“เราทําเรื่องลามกกันเเล้วเเท้ๆ เเต่เราไม่เคยไปเดทกันสักครั้งเลย มันไม่ดูเเปลกไปหน่อยหรอ? ฉันมั่นใจว่านายกับคุณชิอินะไปเดทกันบ่อยๆ เเต่นี่มันไม่ยุติธรรมกับฉันเลยไม่ใช่หรอ?”]
จู่ๆ เธอก็ยกประเด็นนี้ขึ้นมา
[“ถึงจะพูดเเบบนั้นก็เถอะ เเต่เรายังหาเวลาที่เหมาะเจาะกับการเดทไม่ได้เลยนะ…”]
ผมเริ่มคบกับเรย์นะเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาเอง
ถึงจะไปออกเดทเเต่เรายังหาเวลาที่เหมาะเจาะไม่ได้เลย
[“ถ้างั้นสุดสัปดาห์นี้ไปเดทกันเถอะ”]
[“สุดสัปดาห์?”]
[“ใช่เเล้ว วันเสาร์ช่วงบ่ายชินเซย์ไม่มีกิจกรรมชมรมไม่ใช่หรอ?”]
[“ก็จริงอยู่เเหละที่ว่างช่วงนั้น…”]
เเต่วันนั้นเคยเป็นวันที่ผมเคยสัญญาว่าจะไปออกเดทกับเรีย
ผมรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยที่จะไปออกเดทกับเเฟนคนปัจจุบันในวันนั้น
บางทีผมอาจจะคิดมากไปเองก็ได้…เพราะผมพึ่งเลิกกับเรียไปเมื่อวันก่อน เเละผมยังมูฟออนไม่ได้
[“…หรือว่ามีธุระอะไรในวันนั้นรึเปล่า?”]
[“ก็ไม่มีหรอก…”]
ตอนเเรก ผมคิดจะบอกเรย์นะตรงๆอยู่ว่าทําไมผมดูกังวล เเต่เธอกลับเปิดปากก่อน
[“การตอบสนองเเบบนั้นเเสดงว่ามีเรื่องติดใจอยู่สินะ เป็นไปได้สูงว่านายสัญญากับคุณชิอินะว่าจะไปเดทในวันนั้น”]
[“…อย่างที่เธอพูดนั้นเเหละ”]
เมื่อผมยอมรับตามตรงเพราะเก็บอาการไม่เป็น เรย์นะก็ได้ยิ้มอย่างมีเลศนัยด้วยเหตุผลบางอย่าง
[“…มีเรื่องอะไรน่าสนใจเกิดขึ้นในวันนั้นหรอ?”]
[“ไม่รู้สินะ? เเต่นายเชื่อใจฉันได้เลยเพราะฉันจะคิดเเผนการเดทกันสมบูรณ์เเบบเองเอาซะจนทําให้ลืมคุณชิอินะไปเลยล่ะ”]
เรย์นะยิ้มอย่างมีชัยราวกับว่าเธอมั่นใจว่าการออกเดทจะเป็นไปด้วยดี
…ถ้าเป็นเรย์นะล่ะก็ อาจจะทําให้เราลืมเรียไปจริงๆก็ได้
———————-
บทนี้เป็นบทที่เเปลเหนื่อยสุดๆครับ บางท่อนก็มีการเเปลเองงงเองด้วย ขออภัยด้วยครับถ้าอ่านเเล้วมันไม่ลื่น
ติดตามผู้เเปลได้ที่เพจ FB : Mxgic