ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน (花娇) – ตอนที่ 61 เข้าใจ

ตอนที่ 61 เข้าใจ

หากไม่ใช่เพราะไว้ใจเถ้าแก่ใหญ่ถง อวี้เหวินก็คงไม่เล่าเรื่องราวอย่างหมดเปลือกให้เขาฟังยามที่ไปหา ในสายตาของคนทั่วไปเรื่องที่อวี้ถังสืบเกี่ยวกับเว่ยเสี่ยวชวนนั้นนับว่ามีความสามารถไม่น้อย ในใจอวี้เหวินจริงๆ แล้วเขาภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก คิดว่าลูกสาวที่เหลือเพียงคนเดียวในสกุล หากไม่สามารถดูแลครอบครัว แม้ว่าจะรับลูกเขยเข้าสกุลมา ก็เพียงคลอดบุตรอบรมลูกสาว ขยายกิ่งก้าน สืบต่อสกุลอวี้เท่านั้น พอพวกเขาสองสามีภรรยาล่วงลับไป อวี้ถังไม่แน่ว่าจะสามารถดูแลลูกเขยและบุตรธิดาได้ ถึงเวลานั้นคนที่ลำบากก็ยังคงเป็นอวี้ถัง

เถ้าแก่ใหญ่ถงถามเขาว่าอวี้ถังรู้เรื่องเว่ยเสี่ยวซานหรือไม่ เขาลังเลไปพักใหญ่ ก่อนจะบอกเถ้าแก่ใหญ่ถงอย่างตรงไปตรงมา  รู้สิ คนที่พบว่าผิดปกติก็คือนาง ทั้งคนที่หาวิธีสืบเรื่องของเว่ยเสี่ยวซานก็เป็นนางอีกเช่นกัน 

เถ้าแก่ถงตกใจอย่างยิ่ง แต่เมื่อครุ่นคิดอย่างละเอียด คุณหนูผู้นี้กล้ามาหลอกเขาถึงร้านค้าของสกุลเผย ย่อมไม่ใช่คนที่ขี้ขลาดตาขาว หลังจากตกใจ ก็แปรเปลี่ยนเป็นยิ้มออกมา เอ่ยกับอวี้เหวิน  ลูกสาวผู้นี้ของเจ้าแตกต่างจากคนอื่นจริงๆ  คล้อยหลังก็นึกถึงการตายของเว่ยเสี่ยวซาน อดเสียดายแทนเด็กคนนี้ขึ้นมาไม่ได้ เพียงแต่เว่ยเสี่ยวซานไม่อยู่แล้ว พูดเรื่องพวกนี้ต่อไปก็พาให้คนยิ่งรู้สึกเสียใจเท่านั้น คำพูดร้อยพันพวกนั้นกลับกลายเป็นเสียงถอนหายใจ  ก็นับว่าเป็นโชคดีของเสี่ยวซานที่ สามารถทำให้เขาตายอย่างได้รับความเป็นธรรม 

แต่หากไม่ได้พบกับพวกอาถัง ก็คงจะไม่ประสบเคราะห์ร้ายเช่นนี้กระมัง?

เวลานี้จู่ๆ อวี้เหวินก็เข้าใจความรู้สึกของอวี้ถังขึ้นมาบ้าง เข้าใจว่าเหตุใดอวี้ถังจึงยอมเสี่ยงอันตรายสืบหาสาเหตุการตายของเว่ยเสี่ยวซานให้กระจ่างชัด

นึกขึ้นมาได้ว่านี่เป็นลูกสาวที่เขาอบรมสั่งสอนมา เขาก็อดยืดหลังตรงขึ้นมาไม่ได้ ปรึกษากับเถ้าแก่ใหญ่ถง  ท่านรู้จักมักคุ้นกับนางอยู่บ้าง ย่อมชมนางเช่นนี้ กลัวก็แต่ว่า…  นายท่านสามจะไม่คิดอย่างนั้น อวี้เหวินพะวงอยู่ในใจ ไม่กล้านินทาเผยเยี่ยนต่อหน้าเถ้าแก่ถง ทำเพียงกล่าวอ้อมๆ  ช่วงนี้ผู้คนพูดกันว่าอะไรนะ ‘สตรีไร้ความสามารถจึงจะนับว่ามีจรรยา[1]’ ไม่ใช่หรอกรึ? 

เถ้าแก่ใหญ่ถงกลับไม่ทราบถึงความคิดเห็นของเผยเยี่ยนในเรื่องนี้ เขาอ้ำอึ้งไปเล็กน้อย  เจ้าวางใจ ข้าพบนายท่านสามก็จะพินิจดูว่าควรจะพูดกับนายท่านสามอย่างไร 

อวี้เหวินค่อยโล่งใจขึ้นมา

เถ้าแก่ใหญ่ถงกลับไปรายงานเผยเยี่ยน  คุณหนูอวี้รู้เรื่องนี้ สกุลอวี้รู้สึกผิดกับสกุลเว่ย ดังนั้นจึงลอบตรวจสอบเรื่องนี้อยู่เรื่อยมา 

เผยเยี่ยนกำลังคัดอักษร

บนโต๊ะหนังสือไม้หนานมู่[2]ตัวยาวมีกระดาษซวนจื่อที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอ่อนกองอยู่ ในแจกันประดับด้วยดอกซานฉาสีขาว พู่กันหูปี่[3]ที่ทำด้วยไผ่เซียงเฟยแขวนอยู่บนราวแขวนพู่กันไม้จื่อถานแกะสลักลายลำน้ำขุนเขาอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ท่ามกลางความโบราณเรียบง่ายเผยให้เห็นเสน่ห์ความยาวนานของวันเวลา

 กล่าวเช่นนี้ คุณหนูอวี้ก็คงเห็นด้วยที่ให้ข้ามาเป็นคนกลาง?  เขาคัดตัวอักษรสุดท้ายด้วยท่าทีสบายๆ ก่อนจะวางพู่กันในมือที่แท่นวางลวดลายภูเขาบนโต๊ะหนังสือ รับผ้าร้อนจากอาหมิง เด็กรับใช้ในห้องหนังสือมาเช็ดมือ เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ

เถ้าแก่ใหญ่ถงกลับพูดไม่ออก ไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไรอยู่พักใหญ่

เรื่องของสกุลอวี้ย่อมมีอวี้เหวินเป็นผู้ตัดสินใจชี้ขาด ลูกสาวสกุลใดจะสามารถข้ามหน้าข้ามตาบิดากัน? แต่ฟังจากความหมายของนายท่านสาม ก็คือเรื่องนี้ยังต้องดูความต้องการของคุณหนูอวี้

แม้ว่านายท่านสามเพิ่งรับช่วงต่อสกุลเผย แต่อย่างไรก็เป็นผู้สืบทอดของสกุลเผย สามารถขอให้เขาออกหน้าเป็นคนกลาง สกุลอวี้จะร้องไห้อย่างซาบซึ้งใจก็ไม่ทันแล้ว คุณหนูอวี้เป็นเด็กสาวคนหนึ่ง หรือยังกล้าคัดค้านอะไรอย่างนั้นรึ? ทั้งแม้ว่าคุณหนูอวี้จะคัดค้าน หรือนายท่านสามจะดูท่าทีของคุณหนูอวี้แล้วค่อยลงมือทำเรื่องอย่างนั้นรึ?

เถ้าแก่ใหญ่ถงไม่เข้าใจอยู่บ้างว่านี่คือสถานการณ์แบบใด

เผยเยี่ยนกระตุกยิ้ม มองเรื่องราวทะลุปรุโปร่ง

คาดว่าเดิมทีเถ้าแก่ใหญ่ถงคงไม่รู้ว่าคุณหนูอวี้เป็นคนอย่างไร ก็ไม่แปลก นอกจากเขา ยังจะมีอีกกี่คนที่บังเอิญเจอคุณหนูอวี้ก่อเรื่องอยู่หลายครั้งหลายคราอย่างพอดี?

เขาไม่รอให้เถ้าแก่ใหญ่ถงเข้าใจ  คนของสกุลหลี่ขอหมั้นไม่สำเร็จ ทำร้ายคนที่ดูตัวกับนาง สกุลอวี้ไม่แจ้งทางการ กลับเชิญข้าให้เป็นคนกลาง พวกเขาเคยคิดไหมว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร? 

อย่างอื่นยังไม่พูดถึง อย่างน้อยพวกเศรษฐีชนบทในเมืองหลินอันก็จะทราบเรื่องนี้ แม้ว่าเรื่องนี้เป็นความผิดของสกุลหลี่ แต่ผู้คนส่วนมากมักนำความผิดพลาดโยนให้สตรี คิดว่าหากหญิงสาวรู้จักสงบเสงี่ยมเจียมตัว คงจะไม่ทำให้ชายหนุ่มเกิดความแค้น มุ่งร้ายกัน ภายหลังคุณหนูสกุลอวี้อยากแต่งกับสกุลใด หรือแต่งกับสกุลที่เกี่ยวพันกับพวกเขาย่อมเป็นเรื่องยากลำบากแล้ว

เวลานี้เถ้าแก่ใหญ่ถงจึงเข้าใจขึ้นมา

เขาอดถอนหายใจไม่ได้

เขาหมายความว่า อย่างไรเขาก็เป็นคนกลางให้สกุลอวี้ได้ แต่ความต้องการของนายท่านอวี้เป็นอะไรไม่สำคัญ กลับต้องถามความประสงค์ของคุณหนูอวี้ก่อน?

ที่แท้ก็กังวลว่าคุณหนูอวี้อายุยังน้อย ไม่รู้จักความเหมาะสม

ขอเพียงนายท่านสามไม่เข้าใจผิดเรื่องทั้งหมดที่คุณหนูอวี้ทำต่อสกุลหลี่ก็เพียงพอแล้ว

เถ้าแก่ใหญ่ถงรีบกล่าว  ฟังจากความต้องการของนายท่านอวี้ เดิมทีเรื่องนี้ควรรายงานต่อทางการ แต่ท่านก็รู้ว่าท่านข้าหลวงทังผู้นี้ไม่ชอบยุ่งเรื่องราวผู้อื่น พวกเขากลัวว่า…ฆาตกรที่แท้จริงจะรอดตัวไร้รอยขีดข่วน ไม่ต้องรับโทษตามกฎหมาย กระทั่งผู้ที่รู้ความจริงก็ยังไม่มีสักคน 

ก็หมายความว่า สกุลอวี้รู้ดีแม้มีหลักฐานพิสูจน์ว่าสกุลหลี่เป็นผู้บงการให้ฆ่าคน เชิญเขาออกหน้าเป็นคนกลาง ก็ยังคงยากที่ฆาตกรจะถูกตัดสินโทษตาย

อย่างไรสกุลหลี่ก็มีเพียงลูกชายสองคน เรื่องนี้หากหลี่จวิ้นเป็นคนสั่งการยังพูดง่าย แต่หากเป็นฝีมือหลี่ตวน คาดว่าสกุลหลี่คงยอมให้หลี่จวิ้นเป็นแพะรับบาปดีกว่าต้องให้หลี่ตวนถูกตัดสินโทษตาย

อาหมิงยกน้ำชาเข้ามา

เผยเยี่ยนเชิญเถ้าแก่ใหญ่ถงดื่มชา ตัวเองกลับนั่งบนเก้าอี้หลังโต๊ะหนังสือตัวใหญ่อย่างเอื่อยเฉื่อย หยิบพู่กันขึ้นมาอีกครั้ง  เช่นนั้นข้าก็จะเป็นคนกลางให้แล้วกัน 

เถ้าแก่ใหญ่ถงคาดไม่ถึงว่าเผยเยี่ยนจะตอบรับง่ายๆ เช่นนี้ ดีใจเป็นอย่างยิ่ง หยัดกายขึ้นขอบคุณเผยเยี่ยน

เผยเยี่ยนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม  เจ้าก็อย่าขอบคุณข้าเร็วไป ถึงเวลานั้นขอสกุลอวี้อย่าได้ไม่พอใจต่อข้าก็เพียงพอแล้ว 

 จะเป็นไปได้อย่างไร!  เถ้าแก่ใหญ่ถงละล่ำละลักเอ่ย  ความร้ายแรงของเรื่องนี้นายท่านอวี้ล้วนรู้ดี ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ขอร้องท่านหรอก นายท่านอวี้บอกกับข้าแล้ว ไม่หวังให้เรื่องนี้มีผลลัพธ์สวยหรูอะไร ขอแค่ทำให้ทุกคนรู้ว่าสกุลหลี่ทำเรื่องอะไรบ้างก็เพียงพอแล้ว 

เผยเยี่ยนผงกศีรษะ เอ่ยยิ้มๆ  นี่ย่อมไม่ใช่ปัญหา 

เถ้าแก่ใหญ่ถงขอบคุณซ้ำๆ ยามที่เดินไปก็ยังอดถอนหายใจไม่ได้  ยามนี้ยังไม่รู้ว่านายท่านอวี้จะลำบากใจเพียงใดกับทางสกุลเว่ย ก่อนที่ท่านจะทำหน้าที่เป็นคนกลาง อย่างไรก็ควรบอกกล่าวกันเสียหน่อย! 

เผยเยี่ยนได้ยินจู่ๆ ก็เกิดความสงสัยขึ้นมาหลายส่วน สั่งการเผยหม่าน  เจ้าจับตาดูหน่อย ถึงเวลานั้นก็บอกกล่าวกับข้า 

เผยหม่านรับคำสั่ง ในใจกลับอดลังเลไม่ได้

เมื่อก่อนเขาเป็นผู้ดูแลของนายท่านสาม จัดการเพียงเรื่องสำคัญรอบกายนายท่านสามมาโดยตลอด พ่อบ้านใหญ่คนก่อนที่ตายไป ก็เพราะอำนาจของนายท่านสามจึงไม่อาจก้าวก่ายเรื่องเขาได้ หลังจากนายท่านสามสืบทอดตำแหน่งผู้นำสกุล ฉากหน้าเผยหม่านรับช่วงต่องานของพ่อบ้านใหญ่ ในความเป็นจริงยังคงจัดการเรื่องรอบกายของนายท่านสามเป็นหลัก เป้าหมายปลายทางของนายท่านสาม แต่ไหนแต่ไรก็ไม่ใช่เมืองหลินอันเล็กๆ แห่งนี้

ตั้งแต่เมื่อใดกันที่เรื่องเล็กๆ ของคนธรรมดาผู้หนึ่งก็ตกอยู่ในมือของเขาเช่นนี้?

เผยหม่านสั่นศีรษะ แม้ว่าในใจจะเต็มไปด้วยความสงสัย แต่ก็ยังคงส่งคนไปจับตาดูสกุลอวี้อย่างแข็งขัน

ด้านอวี้เหวินก็ปวดหัวไม่รู้จะบอกเรื่องนี้กับทางสกุลเว่ยอย่างไร คาดไม่ถึงว่าผู้ที่แก้ไขสถานการณ์นี้กลับเป็นเว่ยเสี่ยวชวน…เขาเล่าความจริงการตายของเว่ยเสี่ยวซานให้บิดามารดาฟัง

นายท่านเว่ยและนายหญิงเว่ยเจ็บปวดรวดร้าว ชั่วขณะยามที่เพิ่งทราบข่าวนั้น แม้ว่าจะเกิดความรู้สึกเสียใจขึ้นมาอย่างไม่หยุดหย่อน คิดว่าหากตอนแรกไม่เจรจาแต่งงานกับอวี้ถังก็คงจะดี รอจนสติสัมปชัญญะคืนมา ก็รู้สึกละอายใจกับความคิดเสียใจเมื่อครู่ที่เกิดขึ้น

สกุลอวี้ก็เป็นผู้เคราะห์ร้ายเช่นกัน

คนปกติใครจะฆ่าคนเพราะขอหมั้นไม่สำเร็จบ้างกัน?

เมื่อคิดเช่นนี้ กลับกันยิ่งรู้สึกว่าอวี้ถังและคนสกุลอวี้เป็นคนดี หลังจากเกิดเรื่องขึ้นนอกจากไม่ปกปิดเรื่องนี้เพราะกังวลถึงชื่อเสียงของลูกสาว ตรงกันข้ามยังพยายามสืบหาฆาตกร หาทางให้ฆาตกรถูกลงโทษ

หลังจากสองสามีภรรยาก่นด่าสกุลหลี่อย่างรุนแรงไปพักใหญ่ก็ปรึกษากันด้วยดวงตาแดงก่ำ คิดว่าเรื่องนี้ไม่อาจให้สกุลอวี้ออกหน้าแทนตัวเองเพียงผู้เดียวเช่นนี้ได้ ลูกชายของพวกเขา หากไม่รู้สาเหตุการตายก็แล้วไป เมื่อรู้แล้ว ก็ควรร่วมกับสกุลอวี้ร้องหาความเป็นธรรมจากสกุลหลี่จึงจะถูก

นายท่านเว่ยบอกเรื่องนี้กับเว่ยเสี่ยวหยวนซึ่งเป็นลูกชายคนโต คล้อยหลังก็พาเว่ยเสี่ยวชวนไปสกุลอวี้

อวี้เหวินเมื่อได้พบนายท่านเว่ยก็รู้สึกผิดจนไม่รู้จะวางไม้วางมืออย่างไร ขอโทษนายท่านเว่ยอย่างลำบากใจ

นายท่านเว่ยเพิ่งผ่านการร้องไห้มาแต่ยังเอ่ยปลอบอวี้เหวินด้วยดวงตาแดงก่ำ  สกุลพวกเจ้าก็คาดไม่ถึงเช่นกันว่าจะพบกับสกุลบ้าบอเช่นนี้ คุณหนูของพวกเจ้าสบายดีหรือไม่? เกิดเรื่องเช่นนี้ นางคงจะเป็นคนที่เจ็บปวดที่สุด เจ้าพูดกับนางนะว่า สกุลพวกเราล้วนเป็นคนที่มีเหตุผล ไม่อาจโทษนาง ให้นางไปเที่ยวเล่นที่สกุลเราได้อย่างสบายใจ 

อวี้เหวินยังมีอะไรจะพูดได้อีก

สองวันนี้พูดได้ว่าอวี้ถังเชื่อฟัง ยอมรับการลงโทษของเขาอย่างสงบเสงี่ยม คัดอักษรแต่โดยดี ทว่าท่าทีก็ยังคงหม่นหมองอยู่ตลอดเวลา คาดว่าในใจคงยากจะรับไหวเช่นกัน ยามนี้สกุลเว่ยยังข่มกลั้นความเจ็บปวดที่สูญเสียลูกชายมาปลอบใจอวี้ถัง…เขาค้อมกายคำนับให้กับนายท่านเว่ย

นายท่านเว่ยรีบพยุงอวี้เหวินขึ้นมา คิดในใจว่าน่าสงสารความรักที่พ่อแม่มีต่อลูก ชั่วขณะก็รู้สึกสนิทใจกับอวี้เหวินขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เขาจึงตั้งใจทำเรื่องดีให้ถึงที่สุด กำชับเว่ยเสี่ยวชวนว่า  เจ้าห้า ข้าว่าอย่างไรเจ้าไปพูดดีกว่า! เจ้าไปพูดกับพี่สาวสกุลอวี้ดีๆ เถิด 

เว่ยเสี่ยวชวนเผยหน้าเรียบนิ่ง พยักหน้าอย่างจริงจังก่อนจะไปหาอวี้ถัง

หลังจากอวี้ถังรู้ว่าเผยเยี่ยนรับปากเป็นคนกลางให้ ก็ค่อยถอนหายใจอย่างโล่งอก

ในเมื่อยืนยันแล้วว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือของสกุลหลี่ นางก็ย่อมไม่อาจเลิกราง่ายๆ

จัดการสกุลหลี่อย่างโจ่งแจ้งไม่ไหว นางก็จะทำในที่มืด

เพียงแต่ยามนี้ไม่รู้ว่าตกลงเป็นใครในสกุลหลี่ที่วางแผนให้สังหารเว่ยเสี่ยวซาน? ทั้งยังมีเรื่องแผนที่เดินเรือ สกุลหลี่ในชาติก่อนย่อมรู้เรื่องแผนที่อยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นพวกเขาก็คงไม่อาจทำการค้าทางทะเลขึ้นมาอย่างกะทันหันได้หรอก

ชาตินี้พวกเขาอย่าได้คิดเพ้อเจ้อเลย!

อวี้ถังเริ่มหวนนึกเรื่องในชาติก่อนอย่างละเอียด

อย่างเช่นว่า ยามที่พวกหลานฝ่ายมารดาของคนสกุลหลินมาเป็นแขกที่สกุลหลี่เคยพูดอะไรไว้บ้าง เกิดเรื่องอันใดขึ้นบ้าง ปกติสกุลหลี่มักให้นางไปส่งของขวัญในเทศกาลต่างๆ ให้คนแปลกหน้าคนใดบ้าง ทั้งคนสกุลหลินสนิทสนมกับนายหญิงหรือฮูหยินสกุลใดบ้าง

พวกนี้ดูเหมือนเป็นเรื่องยิบย่อยไม่สลักสำคัญอะไร แต่กลับสามารถบอกความสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงกันของสกุลหลี่กับนาง ทำให้นางคิดวิธีวิเคราะห์เรื่องราวได้อย่างละเอียด หาสาเหตุที่สกุลหลี่ร่ำรวยขึ้นมาในชาติก่อนได้

ยามนี้เรื่องแรกที่ต้องจัดการก็คือแผนที่เดินเรือนั่น

อวี้ถังคัดตัวอักษรของวันนี้เสร็จ ก็นำแผนที่นั้นมากางบนโต๊ะหนังสือ สำรวจตรวจตราอย่างละเอียด

เว่ยเสี่ยวชวนเคาะประตูหลายครั้ง นางก็ไม่ได้ยิน จวบจนเขาตะโกนเรียกนางจากข้างนอก นางจึงดึงสติกลับมา ลุกไปเปิดประตู

 พี่สาว เจ้าสบายดีหรือไม่?  เขากลัวว่าหากตัวเองเสียใจจะทำให้บิดามารดายิ่งเจ็บปวดไปอีก จึงข่มกลั้นน้ำตาไว้เรื่อยมา พออยู่เบื้องหน้าอวี้ถังที่ร่วมกันวางแผนทั้งเป็นคนที่เขารู้สึกชื่นชม ท้ายที่สุดน้ำตาก็ไหลทะลักออกมา กล่าวสะอึกสะอื้น  ครอบครัวของข้ารู้เรื่องหมดแล้ว กล่าวว่าพอถึงเวลานั้นจะไปที่เรือนสกุลเผยกับพวกเจ้าด้วย 

ยังคงเป็นครั้งแรกที่อวี้ถังเห็นเว่ยเสี่ยวชวนร้องไห้ราวกับเด็กน้อย นางอดไม่ได้ที่จะลูบศีรษะของเขาด้วยความสงสาร ควักผ้าเช็ดน้ำตาให้เขา  พวกเราไปตัดสินความกัน ไม่ใช่ไปทะเลาะกันเสียหน่อย จะต้องการคนมากมายไปทำไม? 

นางคิดมาตลอดว่าเผยเยี่ยนเป็นคนที่ไม่ชอบเรื่องวุ่นวาย

 ครั้งนี้นายท่านสามสกุลเผยสามารถช่วยพวกเราได้ ข้ารู้สึกเหนือความคาดหมายไม่น้อย  นางกล่าวอย่างไม่สบายใจ  ถึงเวลานั้นพวกเราฟังเขาก็เพียงพอแล้ว 

ชาติที่แล้ว ดูเหมือนว่าเผยเยี่ยนเคยเป็นคนกลางให้คนอื่นเพียงสองสามครั้งเท่านั้น แต่ทุกครั้งล้วนได้รับการชื่นชมจากผู้คน เห็นได้ว่าคนผู้นี้ยังคงมีความเที่ยงธรรมไม่น้อย

—————————————–

[1]สตรีไร้ความสามารถจึงจะนับว่ามีจรรยา เป็นความเชื่อของสังคมจีนโบราณที่คิดว่า สตรีไม่จำเป็นต้องมีความสามารถมากมาย แค่เชื่อฟังสามีก็เพียงพอแล้ว

[2]ไม้หนานมู่ ถือเป็นของล้ำค่าและหายาก มักนำมาใช้สร้างเรือและพระราชวัง

[3]พู่กันหูปี่ เป็นพู่กันขึ้นชื่อของหูโจว มีลักษณะปลายแหลม หัวกลมมน ขนเรียบและแข็งแรง

 

อวี้เหวินเห็นอวี้ถังสำนึกผิด มีท่าทีเปลี่ยนไปในทางที่ดี ท้ายที่สุดในใจก็รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง แต่ความใจกล้าของบุตรสาว แค่เขาคิดก็ยังคงรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนไม่หาย

เขาอดตำหนิอวี้ถังไปอีกทีไม่ได้ เวลานี้จึงถามถึงเบาะแสของคนลี้ภัยสองคนนั้น

อวี้ถังกล่าวว่าอยู่กับพี่น้องสกุลชวี

อวี้เหวินฉวยโอกาสในเวลากลางคืนไปเรือนของพี่น้องสกุลชวี เมื่อรู้ว่าคำพูดของลูกสาวเป็นความจริงทุกประการ วันรุ่งขึ้นก็เดินทางไปยังสกุลเผย

เผยเยี่ยนคิดว่าอวี้เหวินมาเพื่อขอโทษ จึงไม่อยากพบ แต่อวี้เหวินกล่าวว่ามีเรื่องสำคัญเร่งด่วนอยากขอให้เขาทำหน้าที่เป็นคนกลาง เขาเดาว่าอวี้เหวินอาจมาเพราะเรื่องขัดแย้งกับสกุลหลี่ นึกถึงครั้งแรกที่อวี้ถังและหลี่จวิ้นพูดจาตีสนิทกันที่วัดเจาหมิง เขาก็ยิ่งไม่อยากสอดมือยุ่ง กระทั่งในใจเกิดความดูแคลนขึ้นมาอย่างเลือนราง ตำหนิหูซิ่งที่เข้ามารายงาน  เหตุใดพวกเจ้าจึงไม่ตระหนักว่าข้ายังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ หากไม่ดึงข้าออกไปวิ่งวุ่น ก็พาเรื่องยิบย่อยไม่สลักสำคัญมารบกวนข้า พวกเจ้าจะให้ข้าคัดลอกคัมภีร์ สวดมนต์ภาวนาให้ท่านพ่ออย่างเงียบๆ ไม่ได้เลยหรือไร? 

หูซิ่งรู้สึกว่าตัวเองคาดเดาความต้องการของเผยเยี่ยนผิดอีกครั้งแล้ว

ชั่วขณะนั้นเขาก็เหงื่อผุดพรายเต็มหน้าผาก ละล่ำละลักเอ่ย  ข้าน้อยผิดเองขอรับ ข้าเห็นว่านายท่านอวี้ผู้นั้นมีท่าทีรีบร้อน… 

เผยเยี่ยนถลึงตาใส่เขา

หูซิ่งเอ่ยทันที  ข้าจะให้เขาไปเดี๋ยวนี้ขอรับ 

เผยเยี่ยนไม่ได้ขัดอะไร ก้มหน้าคัดลอกคัมภีร์ของเขาต่อไป

หูซิ่งไม่กล้ารั้งตัวนาน หมุนกายออกไปหาอวี้เหวิน

อวี้เหวินผิดหวังไม่น้อย รู้สึกได้อย่างเลือนรางว่าเผยเยี่ยนไม่อยากพบเขาเท่าไร แต่เหตุใดเผยเยี่ยนจึงให้หมอหลวงหยางมารักษาอาการป่วยของนายหญิงเขากัน?

เขาคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ จึงไปหาเถ้าแก่ใหญ่ถงอย่างรู้แล้วรู้รอดไป

เถ้าแก่ใหญ่ถงก็ไม่รู้ว่าภายในมีสิ่งผิดปกติอันใด ทำได้เพียงปลอบใจอวี้เหวิน  ทุกคนล้วนรู้ว่านายท่านสามคือลูกหลงของท่านผู้เฒ่า ยามที่ท่านผู้เฒ่ามีชีวิตอยู่ อมไว้ในปากก็กลัวละลาย ประคองไว้ในมือก็กลัวบาดเจ็บ[1] ความสัมพันธ์ของสองพ่อลูกไม่รู้ว่าดีถึงขนาดไหน! ยามที่ท่านผู้เฒ่าจากไป ท่าทีของนายท่านสาม เฮ้อ เจ้าคงไม่เห็นกระมัง นั่นแทบไม่ต่างอะไรกับท้องฟ้าพังถล่มลงมา นายท่านรองก็เป็นคนกตัญญู กลัวว่าท่านแม่เฒ่าจะเสียใจ ยังฝืนรวบรวมสติมาจัดการงานศพของท่านผู้เฒ่าได้ แต่นายท่านสามกลับคล้ายวิญญาณหลุดลอยออกไปก็มิปาน คิดจะพูดอย่างไรก็พูดอย่างนั้น หากใครกล้าโต้แย้งเขาในเรื่องของท่านผู้เฒ่าออกมาคำเดียว เขาก็สามารถตอกกลับด้วยใบหน้าที่หลากหลายอารมณ์ได้ทันที ไว้ทุกข์เพื่อท่านผู้เฒ่า นั่นย่อมเป็นความตั้งใจจริงไม่ใช่แสร้ง ท่านแม่เฒ่ารักและเอ็นดูลูกหลาน กลัวว่าร่างกายพวกลูกหลานจะรับไม่ไหว ลอบกำชับให้ นายท่านนายหญิงและพวกคุณชายคุณหนูนั้นกินมังสวิรัติ แต่น้ำแกงต้องเป็นน้ำแกงใส ไข่ไก่ผลไม้ไม่อาจขาด มีเพียงนายท่านสามที่ไม่แตะต้องอาหารที่มีเนื้อติดแม้แต่น้อย อย่าพูดถึงท่านแม่เฒ่าเลย แม้แต่นายท่านรองก็ไม่อาจเกลี้ยกล่อมได้ เวลานี้เจ้าไปหาเขา หากไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร เขาย่อมไม่อาจพบหรอก 

 อีกอย่าง หากเจ้าแค่อยากขอบคุณ ทำตามที่ข้าบอกเถิด ไม่จำเป็นต้องขอบคุณหรอก นายท่านสามไม่ใช่คนที่หลงใหลในชื่อเสียงจอมปลอม เขาได้รับความไว้วางใจจากท่านผู้เฒ่าให้เป็นผู้นำของสกุลเผย สร้างความผาสุกให้กับบ้านเกิดเมืองนอน เรื่องที่สามารถทำได้ เขาย่อมไม่ผลักความรับผิดชอบ เพียงแค่นิสัยเย็นชาไปบ้างเท่านั้น เริ่มแรกพวกเจ้าอาจจะไม่คุ้นชินสักหน่อย 

นายท่านสกุลเผยเป็นคนที่มีน้ำใจคนหนึ่ง

เช้าตรู่ออกจากเรือนไปเดินเล่น หากพบคนขายผักก็มักจะไถ่ถามว่าหลายวันนี้เก็บเกี่ยวเป็นอย่างไรบ้าง ปฏิบัติตัวสุภาพอ่อนโยนกับผู้อื่น ชาวบ้านในเมืองหลินอันต่างก็ให้ความเคารพเขาเป็นอย่างมาก

อวี้เหวินคิดว่าในเมื่อเผยเยี่ยนมีนิสัยเช่นนี้ เรื่องนี้อย่างไรก็ไม่ควรปกปิดไว้ ต้องพูดออกไป

เขาครุ่นคิดเล็กน้อย เรียบเรียงคำพูด ก่อนจะเล่าเรื่องที่สกุลหลี่สั่งให้คนไปสังหารเว่ยเสี่ยวซานให้เถ้าแก่ถงฟัง สุดท้ายยังเอ่ยว่า  หากไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวพันกับผู้คนหลายสกุล ข้าก็คงไม่อาจรบกวนขอพบนายท่านสามครั้งแล้วครั้งเล่าเช่นกัน เรื่องนี้ อย่างไรขอพี่ชายช่วยเหลือด้วย ดูว่าพอจะสามารถให้พ่อบ้านในจวนผ่อนปรนให้ข้าพบนายท่านสามได้หรือไม่ 

เถ้าแก่ใหญ่ถงฟังจบก็ตกใจไม่น้อย

งานแต่งครั้งนี้อย่างไรเขาก็ช่วยเป็นพ่อสื่อ

เขาหน้าถอดสี รีบเอ่ย  เจ้ากล่าวว่าสกุลหลี่สั่งคนไปสังหารเว่ยเสี่ยวซานมีหลักฐานหรือไม่? สกุลพวกเจ้าค้นพบเรื่องนี้ได้อย่างไร? สกุลเว่ยทราบเรื่องนี้หรือไม่? เมื่อครู่เจ้าเพิ่งพูดว่า เรื่องเกี่ยวพันกับหลายสกุล พอถึงเวลานั้นจะพูดว่าเป็นการเข้าใจผิดไม่ได้เชียว 

อวี้เหวินไม่อยากดึงอวี้ถังเข้ามาพัวพัน เพียงกล่าวว่าตัวเองเป็นคนค้นพบ ทั้งเรื่องพวกนั้นที่อวี้ถังทำก็เล่าใหม่เป็นตัวเองทำ

เถ้าแก่ใหญ่ถงพูดไม่ออกอยู่พักใหญ่

เขาคาดไม่ถึงเป็นอย่างมากว่า ความปรารถนาดีของตัวเองกลับกลายเป็นทำร้ายชีวิตของเว่ยเสี่ยวซาน

เถ้าแก่ใหญ่ถงทั้งรู้สึกผิดและละอายใจ

อวี้เหวินคิดว่าเถ้าแก่ใหญ่ถงกำลังกังวลว่าจะทำให้เผยเยี่ยนเสียเปรียบโดยใช่เหตุ  สกุลเผยมีพระคุณกับข้า ไหนเลยข้าจะทำลายชื่อเสียงของนายท่านสามได้ เรื่องนี้ไม่เพียงมีหลักฐาน แต่กระทั่งคนก็จับได้แล้ว แค่ไม่กล้าส่งให้ศาลาว่าการ กลัวว่าจะดึงเรื่องงานแต่งของลูกสาวมาข้องเกี่ยว จึงอยากขอให้นายท่านสามเป็นคนกลาง ตัดสินอย่างเป็นธรรม 

เถ้าแก่ใหญ่ถงช่วยเป็นพ่อสื่อให้สกุลอวี้และสกุลเว่ย ทั้งยังมีความสัมพันธ์ที่ดีกับสกุลเว่ย

เรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้ว ก็ไม่มีทางเลือกให้เขาไม่เชื่อ

เขาเสียใจเป็นอย่างยิ่ง  ข้าจะเข้าจวนไปขอพบนายท่านสามเดี๋ยวนี้ หากเขาไม่รับปาก ข้าก็จะคุกเข่าอยู่ตรงนั้นไม่ลุก! 

เขาเป็นคนเก่าแก่ของสกุลเผย เผยเยี่ยนนิสัยเป็นอย่างไร เขาย่อมกระจ่างใจดี เขาทำขนาดนี้ ย่อมสามารถทำให้เผยเยี่ยนช่วยเหลือได้ แต่เขาทำเช่นนี้ นับว่าบีบให้เผยเยี่ยนช่วยออกหน้าแทนสกุลอวี้เช่นกัน แน่นอนว่าจะกระทบตำแหน่งเขาที่อยู่ในใจของเผยเยี่ยน หรือถึงขั้นกระทบกับตำแหน่งของสกุลถงที่อยู่ในใจของเผยเยี่ยน แต่เขาก็จำเป็นต้องทำเช่นนี้จริงๆ

มิเช่นนั้น เขาจะขอการอภัยจากสกุลเว่ยได้อย่างไร

อวี้เหวินอยู่อย่างอิสระจนชินแล้ว ย่อมไม่รู้ถึงความซับซ้อนในใจคน เพียงคิดว่าตัวเองไม่ได้มาหาคนผิด กล่าวขอบคุณเถ้าใหญ่ถงไม่หยุดหย่อน

เถ้าแก่ใหญ่ถงจิตใจสับสนวุ่นวาย ไม่มีอารมณ์จะเกรงใจอวี้เหวิน เขาโบกมือ เอ่ยว่า  เจ้ารอข่าวจากข้าก็เพียงพอแล้ว  ก่อนจะหมุนกายไปจวนสกุลเผย

เผยเยี่ยนยังคงให้ความสำคัญกับเถ้าแก่ใหญ่ถงไม่น้อย ได้ยินว่าเขาขอพบก็ให้คนนำเขาไปที่ห้องหนังสือของตนทันที

รอจนเถ้าแก่ใหญ่ถงพูดจุดประสงค์ที่มาอย่างกระจ่างชัด สีหน้าของเผยเยี่ยนก็เยือกเย็นอยู่บ้าง

เถ้าแก่ใหญ่ถงเพียงคิดว่าเผยเยี่ยนไม่พอใจที่เขาสอดมือยุ่งเรื่องนี้ รีบกล่าวขอร้องกับเผยเยี่ยน  งานแต่งครั้งนี้ข้าเป็นพ่อสื่อ ในใจข้ารับไม่ได้เหลือทน หากนายท่านสามมีเวลาว่าง อย่างไรก็ขอให้มาร่วมด้วยเสียหน่อย ข้าขอขอบคุณท่านตรงนี้ล่วงหน้า!  พูดจบ ก็จะคุกเข่าลงจะคำนับให้กับเผยเยี่ยน

เผยเยี่ยนรู้สึกว่าเรื่องนี้เหนือความคาดหมายอยู่มาก เขาคาดไม่ถึงว่าเรื่องงานแต่งของอวี้ถังจะมีเถ้าแก่ใหญ่ถงข้องเกี่ยวด้วย

เขาพยุงเถ้าแก่ใหญ่ถงขึ้น เอ่ยอย่างแปลกใจ  เรื่องนี้คุณหนูอวี้ทราบหรือไม่? 

เถ้าแก่ใหญ่ถงยังไม่รู้ว่าอวี้ถังทราบหรือไม่ เขาเอ่ยอย่างไม่มั่นใจ  คง…รู้กระมัง? เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ความต้องการของสกุลอวี้คืออยากออกหน้าให้สกุลเว่ย ดังนั้นคุณหนูอวี้ย่อมต้องรู้…แต่ว่า อาจไม่รู้ก็ได้ นายท่านอวี้มีลูกสาวเพียงคนเดียว คนที่พบปะดูตัวถูกคนที่เคยขอหมั้นทำร้าย ไม่ว่าใครรู้ในใจย่อมยากจะทนรับ ยิ่งไปกว่านั้นคุณหนูอวี้อายุยังน้อย ยังต้องออกเรือน หากมีรอยด่างพร้อยในใจก็คงไม่ดี… 

เผยเยี่ยนลูบคาง  เด็กสกุลเว่ยคนนั้นพบปะดูตัวกับคุณหนูอวี้เมื่อใด? 

เถ้าแก่ใหญ่ถงเอ่ย  ฤดูร้อน หลังจากเคลื่อนศพท่านผู้เฒ่าไม่นานเท่าใด วันอะไร ข้าก็จำได้ไม่ชัดเจนแล้ว 

เผยเยี่ยนครุ่นคิด นั่นไม่ใช่ก่อนที่เขาจะช่วยคุณหนูอวี้หรอกรึ

เห็นสถานการณ์ในยามนั้น คุณหนูอวี้และหลี่จวิ้น ลูกคนรองของสกุลหลี่ผู้นั้นยังเกรงอกเกรงใจกันอยู่ ไม่ทีท่าทีเหมือนจะแตกหักกันแต่อย่างใด

เขาเอ่ยว่า  เช่นนั้นเจ้าไปถามให้ชัดเจน ตกลงคุณหนูสกุลอวี้รู้เรื่องนี้หรือไม่ แล้วพวกเราค่อยว่ากัน 

เถ้าแก่ใหญ่ถงชะงักไป

เรื่องนี้ไม่ใช่ควรทำให้กระจ่างว่าสกุลหลี่ได้สั่งให้คนฆ่าเว่ยเสี่ยวซานที่กำลังดูตัวกับคุณหนูอวี้เหมือนดั่งที่สกุลอวี้บอกหรือไม่หรอกรึ? ไฉนสิ่งที่นายท่านสามกังวลที่สุดกลับเป็นเรื่องที่คุณหนูอวี้ทราบเรื่องนี้หรือไม่ล่ะ?

นายท่านสามคิดอย่างไรกัน?

นี่ไม่ใช่ว่าให้ความสนใจผิดที่หรอกรึ?

เถ้าแก่ใหญ่ถงมึนงงอยู่บ้าง แต่เขาเป็นเถ้าแก่โรงจำนำมาทั้งชีวิต นอกจากต้องตาดีตาไวมองของที่มาจำนำให้ชัดเจนแล้ว ยังต้องรู้จักสังเกตสีหน้าและคำพูด มองคนที่นำของมาจำนำให้ออก

เขาสามารถพูดได้ว่าสังเกตอย่างละเอียดรอบคอบมาทั้งชีวิต

ปฏิกิริยานายท่านสามไม่ถูกต้อง!

หัวเขาแล่นอย่างว่องไว ใบหน้ากลับกล่าวอย่างนอบน้อม  เรื่องนี้ข้ายังทำได้ไม่ดี ข้าจะไปถามเดี๋ยวนี้ว่าคุณหนูสกุลอวี้รู้เรื่องนี้หรือไม่ 

เผยเยี่ยนผงกศีรษะ

เถ้าแก่ใหญ่ถงรีบไปสกุลอวี้

เผยเยี่ยนคัดลอกคัมภีร์ของเขาต่อ ในใจกลับไม่เหมือนยามปกติที่สามารถรวบรวมสมาธิได้อย่างรวดเร็วอีกแล้ว ในหัวมักปรากฏภาพครั้งแรกที่อวี้ถังเดินพราวเสน่ห์ไปหาหลี่จวิ้นที่วัดเจาหมิง

เขาไม่รู้สึกว่าคุณหนูอวี้เป็นหญิงสาวที่อ่อนโยนราวกับสายน้ำ สุภาพกิริยางาม มิเช่นนั้นนางก็คงไม่วิ่งโร่ไปโรงจำนำ ทำตัวเป็นนักต้มตุ๋น ทั้งดึงสกุลเผยมาข่มขู่คนอื่นหรอก

ยามที่อวี้ถังอยู่วัดเจาหมิงแปดถึงเก้าในสิบส่วนย่อมชอบพอกับหลี่จวิ้น จึงได้หลอกล่อให้หลี่จวิ้นลุ่มหลง

ส่วนหลี่จวิ้น กำลังอยู่ในช่วงเยาว์วัย คาดว่าคงไม่มีสมองเท่าใด ถูกคุณหนูสกุลอวี้ปั่นหัวจนหน้ามืดตามัว ไม่เพียงตกหลุมพรางของคุณหนูอวี้ ยังเอาชื่อเสียงอนาคตไปไว้กับนาง ร้องไห้โวยวายจะแต่งเข้าสกุลอวี้

มองจากจุดนี้ คุณหนูอวี้ก็นับว่าเป็นคนใจกล้าทั้งรู้จักวางแผน ใต้ต้นสนตื่นรู้มีชายหนุ่มมากความสามารถขนาดนั้น นางไม่ได้ถูกใจเสิ่นฟางที่โดดเด่นที่สุด กลับพบรักกับหลี่จวิ้นที่ไม่มีความคิดอะไรในพริบตาเดียว สายตาเช่นนี้ เกรงว่าในหมู่หญิงสาวคงมีเพียงคนเดียว

เผยเยี่ยนตระหนักถึงตรงนี้ ก็หวนนึกภาพที่พบอวี้ถังในสำนักศึกษาประจำอำเภอขึ้นมา

สายตาที่หลี่ตวนมองคุณหนูอวี้กระจ่างพร่างพราวราวกับเปลวไฟ แทบปกปิดไม่มิดแม้แต่น้อย

คุณหนูอวี้ก็คงจะรู้ดี ยังหลบเลี่ยงท่าทีของหลี่ตวนเล็กน้อย

เพียงไม่รู้ว่าจุดประสงค์ของคุณหนูอวี้คือต้องการตกลูกเขยเข้าบ้าน? หรืออยากแต่งออกไปสกุลหลี่กันแน่?

หลี่ตวนเป็นลูกชายคนโต สกุลหลี่แต่งภรรยาให้เขา คงให้ความสำคัญกับสกุลเป็นอันดับแรก แน่นอนว่าคุณหนูอวี้ย่อมหมดหวัง แต่พูดตามตรง หลี่ตวนนั้นมีความสามารถมากกว่าหลี่จวิ้น ยากจะรับประกันว่าหลังจากคุณหนูอวี้เห็นหลี่ตวนแล้วจะรังเกียจที่หลี่จวิ้นไร้ประโยชน์

ใครจะรู้ว่าภายในมีเรื่องราวอะไร?

ไม่แน่ว่าเด็กสกุลเว่ยตายก็อาจเป็นแผนของคุณหนูสกุลอวี้คนนั้น

หากเป็นเช่นนี้ นั่นก็น่าสนุกขึ้นมาบ้างแล้ว

จู่ๆ เผยเยี่ยนก็จิตใจฟุ้งซ่าน กระทั่งคัมภีร์ก็ไม่อยากคัดแล้ว

เขาเรียกเผยหม่านมาถาม  หลี่ตวนหมั้นหมายหรือยัง? เป็นคุณหนูของสกุลใด? 

สกุลหลี่มีความหมายต่อสกุลเผยอย่างไร คนอื่นไม่รู้ แต่เผยหม่านที่เป็นพ่อบ้านใหญ่กลับกระจ่างแจ้งดี

แม้เขาจะไม่อาจพูดได้ว่ารู้เกี่ยวกับสกุลหลี่อย่างทะลุปรุโปร่ง แต่เรื่องธรรมดาก็ล้วนทราบหมด

เผยหม่านตอบทันที  หมั้นหมายแล้วขอรับ เป็นลูกสาวภรรยาเอกบ้านรองของสกุลกู้ในหังโจว น้องสาวของใต้เท้ากู้ฉ่าง 

เขารู้จักกู้ฉ่าง

สอบเป็นซู่จี๋ซื่อก่อนเขาหนึ่งรุ่น ปัจจุบันรับตำแหน่งจี่ซื่อจง[2]ในกรมพิธีการ เป็นลูกหลานที่สกุลกู้เห็นว่ามีอนาคตที่สุด

นี่ก็ถูกแล้ว!

ไม่ว่าคุณหนูอวี้จะวางแผนอย่างไร เกรงว่าจะไม่ได้ง่ายสมใจขนาดนั้น

ทางด้านเถ้าแก่ถงใหญ่ถามขึ้นมาว่าอวี้ถังรู้เรื่องที่สกุลหลี่สั่งคนไปฆ่าเว่ยเสี่ยวซานหรือไม่ อวี้เหวินกลับยืนกรานปฏิเสธ เถ้าแก่ใหญ่ถงกลับกล่าวอย่างจริงจังว่า  เรื่องนี้เจ้าต้องบอกความจริงแก่ข้า ข้าไปพบนายท่านสามมา นายท่านสามไม่ได้ถามอะไรทั้งนั้น ถามเพียงว่าคุณหนูอวี้ทราบเรื่องนี้หรือไม่ จะเห็นได้ว่าเรื่องนี้สำคัญเป็นอย่างมาก เจ้าอย่าได้ปิดบังเรื่องราว ถึงเวลานั้นหากมีสกุลหลี่ร่วมด้วย กล่าวเรื่องไม่เหมือนที่นายท่านสามรู้มา ก็จะเป็นการทำร้ายนายท่านสาม ยกก้อนหินขึ้นมาทับเท้าตัวเอง! 

—————————-

[1]อมไว้ในปากก็กลัวละลาย ประคองไว้ในมือก็กลัวบาดเจ็บ อุปมาถึง ความรักใคร่ทะนุถนอมของพ่อแม่ที่มีต่อลูก

[2]จี่ซื่อจง เป็นขุนนางที่ช่วยเหลือฮ่องเต้จัดการข้อราชการของขุนนาง รับผิดชอบตรวจสอบการทำงานของหกกรม จดลงทะเบียนจัดเก็บราชโองการและสาสน์ต่างๆ ทั้งยังมีอำนาจในการเข้าร่วมประชุมเรื่องสำคัญในราชสำนัก

 

คำพูดของพวกคนลี้ภัย อย่าพูดถึงอวี้ถังและเว่ยเสี่ยวชวนเลย กระทั่งสองพี่น้องสกุลชวีก็ยังนิ่งอึ้งไปหมด

เรื่องที่สกุลหลี่ลอบปล่อยข่าวลือต้องการตัวคนลี้ภัยสองคนที่ไม่เชื่อฟังนั้น พี่น้องสกุลชวีรู้มาก่อนแล้ว แต่นี่นับว่าเป็นความลับของลูกค้า ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ไม่อาจบอกกับบุคคลที่สาม คาดไม่ถึงว่าสองคนนี้จะไม่มีความเกรงกลัวแม้แต่น้อย กลับพูดออกมาหมดเปลือก ไม่มีปิดบังสักนิด ทั้งยังข่มขู่สกุลเว่ยอย่างตรงๆ

เห็นได้ว่าสองคนนี้จนตรอกไม่มีทางให้หนีแล้วจริงๆ ก่อนตายจึงขอกัดสกุลหลี่หนึ่งคำอย่างไม่สนใจอันใด

เว่ยเสี่ยวชวนโมโหจนเส้นเลือดขึ้นที่ขมับ

เขายังไม่เคยพบคนหน้าไม่อายเช่นนี้มาก่อน

คาดไม่ถึงว่า จะเป็นเพราะความคิดเห็นแก่ตัว อยากดึงอวี้ถังเข้ามาข้องเกี่ยว

ที่จริงเขาและอวี้ถังปรึกษากันดีแล้ว หากสองคนนี้ฆ่าเว่ยเสี่ยวซานเหมือนที่พวกเขาคาดการณ์ไว้ ก็จะส่งพวกเขาให้ศาลาว่าการ ให้พวกเขาและสกุลหลี่กัดกันเอง

ยามนี้กลับไม่อาจทำเช่นนั้นแล้ว

พี่รองเขาล่วงลับไปแล้ว เขาไม่อาจให้อวี้ถังที่มีชีวิตอยู่ถูกทำร้ายอะไรอีก

แต่อย่างไรเขาก็ยังอายุน้อย ไม่อาจใช้ความสุขุมจัดการกับเรื่องราวเท่าใด ทั้งคิดวิธีที่ดีกว่านี้ไม่ออกแล้ว

เขาเดินเข้าไปอย่างมีโทสะ ถีบคนลี้ภัยพวกนั้นอย่างแรง กล่าวเสียงดัง  เช่นนั้นก็ดี! พวกเราจะส่งพวกเจ้าให้สกุลหลี่ พี่ชายสกุลชวีทั้งสองยังสามารถรับเงินจากสกุลหลี่ได้ ข้ากลับอยากเห็นว่า พวกเจ้าตกอยู่ในมือสกุลหลี่แล้วจะมีอะไรดี?  เขาพูดจบ ก็เอ่ยกับพี่น้องสกุลชวี  พี่ชายทั้งสอง พวกเจ้าคงจะสามารถรับเงินจากสกุลหลี่ได้อีกกระมัง? 

เหตุผลที่สกุลหลี่ไม่ให้กระทั่งเงินมัดจำ เป็นเพราะว่าสกุลหลี่เห็นข้ารับใช้ผู้มีอิทธิพลคนอื่นดีกว่า ไม่ได้เชื่อใจพวกเขาขนาดนั้น หากพวกเขาสามารถหาตัวคนลี้ภัยสองคนนี้ก่อนข้ารับใช้ผู้มีอิทธิพลคนอื่นได้ ชื่อเสียงพวกเขาในแวดวงข้ารับใช้ผู้มีอิทธิพลย่อมก้าวขึ้นไปอีกขั้น ไม่แน่ว่ายังสามารถผูกสัมพันธ์กับสกุลหลี่ได้เพราะเหตุนี้ ทั้งสามารถทำการค้ากับสกุลหลี่ได้

แต่ว่า ทั้งสองล้วนรู้สึกว่าความซื่อสัตย์เป็นสิ่งที่สำคัญกว่า ฟังจบก็อดหันไปมองอวี้ถังที่หลบอยู่หลังกำแพงดอกไม้แวบหนึ่งไม่ได้

คนที่สั่งการพวกเขาสองพี่น้อง เป็นคุณหนูสกุลอวี้คนนี้ต่างหาก

อวี้ถังได้ฟังคำพูดของเว่ยเสี่ยวชวนกลับใจสั่นคลอน

ชาติที่แล้ว เพื่อจะหลุดพ้นจากสกุลหลี่ นางเคยสืบเสาะทำความเข้าใจสกุลหลี่อย่างละเอียด ภายหลังออกจากสกุลหลี่ได้ ก็ใช้ประโยชน์จากความสัมพันธ์สลับซับซ้อนของญาติพี่น้องสกุลหลี่

แม้บ้านของหลี่ตวนจะเป็นสายภรรยาเอกของสกุลหลี่ กลับไม่ใช่บ้านสายตรงแต่อย่างใด บ้านของพวกเขาเริ่มโดดเด่นขึ้นมาจากปู่ของหลี่ตวน อาจจะเป็นเพราะถูกสกุลเผยกดไว้อย่างหนัก ปู่ของหลี่ตวนจึงพยายามคิดเอาอย่างท่านผู้เฒ่าสกุลเผย ไม่เพียงกลายเป็นสกุลต้นๆ ของเมืองหลินอัน แต่ยังคิดกลายเป็นบ้านสายตรงของสกุลหลี่

ชาติที่แล้ว เพราะบ้านของหลี่ตวนประสบความสำเร็จในการค้าที่ฝูเจี้ยน ทำให้บ้านของหลี่ตวนกลายเป็นครอบครัวที่มีเงินและอำนาจที่สุดของสกุลหลี่ รอจนปู่สิบสองของบ้านสายตรงสกุลหลี่ล่วงลับ หลี่อี้ซึ่งเป็นบิดาของหลี่ตวน ก็กดขี่หลี่เหอ ลูกชายของปู่สิบสองสกุลหลี่ กลายเป็นบ้านสายตรงของสกุลหลี่

ปีนั้นอวี้ถังก็อาศัยหลี่เหอที่ไม่พอใจต่อหลี่อี้จึงออกจากสกุลหลี่มาได้

ครั้งนี้ พวกเขาก็สามารถใช้ประโยชน์จากเครือญาติพวกนี้ของสกุลหลี่ได้เหมือนกันใช่หรือไม่?

อวี้ถังเรียกเว่ยเสี่ยวชวนและพี่น้องสกุลชวีมาพูดคุย  ท่านข้าหลวงทังไม่ใช่คนที่ชอบยุ่งเรื่องคนอื่นเท่าใด แม้ว่าพวกเราจะส่งพวกเขาสองคนไปที่ศาลาว่าการ สกุลหลี่ออกหน้าทักทายกับทางข้าหลวงทัง เรื่องทั้งหมดก็คงถูกผลักมาที่สองคนนี้ สกุลหลี่ย่อมไร้รอยขีดข่วน ข้าว่า ความคิดของเสี่ยวชวนไม่เลวเลย พวกเราก็ส่งพวกเขาให้สกุลหลี่ แต่ว่า ไม่ใช่บ้านของหลี่อี้ แต่เป็นบ้านของหลี่เหอ เพียงแต่พี่ชายทั้งสองต้องเสียเปรียบเล็กน้อย เกรงว่าจะไม่ได้เงินรางวัลจากหลี่ตวน แต่ข้าจะพยายามชดเชยค่าเสียหายให้ทั้งสองคนเท่าที่ข้าสามารถทำได้แล้วกัน 

เสี่ยวชวนไม่รู้เรื่องของสกุลหลี่ แต่พี่น้องสกุลชวีที่ทำงานเป็นข้ารับใช้ผู้มีอิทธิพลย่อมกระจ่างชัด

บ้านสายตรงของสกุลหลี่ ไม่พอใจบ้านของหลี่อี้มานานแล้ว แต่เพราะหลายปีมานี้บ้านสายตรงมีเพียงซิ่วไฉออกมาคนเดียว หลายเรื่องยังคงต้องพึ่งพาทางบ้านของหลี่อี้จึงได้อดทนอยู่เรื่อยมา

พี่น้องสกุลชวีได้ยินอวี้ถังพูดเช่นนี้ แววตาที่มองอวี้ถังก็เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม

พวกเขาเป็นคนที่มักอาศัยการพินิจคำพูดและสังเกตสีหน้าคนอื่น พิจารณาประเมินสถานการณ์ต่างๆ คุณหนูคนนี้ของสกุลอวี้ไม่เพียงขอให้พวกเขาช่วยจับคน แต่ยังกล้าถอนเขี้ยวจากปากเสือ[1]หาเรื่องให้สกุลหลี่ ไม่พูดถึงอย่างอื่น แต่อาศัยแค่ความกล้านี้ ภายหลังย่อมไม่อาจเป็นเพียงคนธรรมดาแน่

พวกเขาชอบคบค้าสมาคมกับคนเช่นนี้เป็นที่สุด…มีความกล้า ย่อมไม่มีชีวิตที่น่าเบื่อ ไม่มีชีวิตที่ธรรมดาผาสุก ก็จะดิ้นรน ดิ้นรนแล้วก็จะต้องการคนอย่างพวกเขาช่วยทำเรื่องที่ไม่ถูกทำนองคลองธรรมเท่าใด

คุณหนูอวี้คนนี้อายุยังน้อย พวกเขาเคยได้ยินมาก่อนเช่นกันว่า สกุลอวี้ต้องการหาลูกเขยแต่งเข้าสกุลให้นาง ภายหลังสามารถเป็นผู้ดูแลสกุลได้ ความสัมพันธ์ที่ค่อยๆ สั่งสมไปทีละนิด จึงจะนับได้ว่าเป็นความสัมพันธ์ที่ยาวไกลที่สุด

สองพี่น้องแลกเปลี่ยนสายตากัน ตัดสินใจฝากตัวให้กับฝั่งอวี้ถังทันที

 บ่าวคนเดียวไม่รับใช้สองนาย หญิงสาวไม่แต่งสามีสองคน  เหล่าต้า ‘พี่ใหญ่’ ของสกุลชวีเอ่ยขึ้น  ในเมื่อพวกเราทำการค้าขายกับคุณหนูอวี้แล้ว ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงทิศทาง ค่าชดเชยไม่จำเป็นหรอก คุณหนูอวี้แค่พูดว่าต้องทำอย่างไรก็เพียงพอแล้ว! 

อวี้ถังคาดไม่ถึงว่าพี่น้องสกุลชวีจะพูดง่ายกว่าชาติที่แล้วเป็นอย่างมาก

หรือเป็นเพราะยามนี้พวกเขายังไม่มีชื่อเสียงเหมือนชาติก่อน ไม่ค่อยได้รับงานเท่าใด?

นางไม่ได้คิดมาก ทั้งไม่ได้ใจกว้างแสร้งมีเงิน คุกเข่าลงขอบคุณพี่น้องสกุลชวี  บุญคุณของทั้งสอง ข้าทำได้เพียงคืนให้ภายหลังเท่านั้น 

พี่น้องสกุลชวีหมุนกาย หลบการคารวะจากอวี้ถัง

เหล่าเอ้อร์ ‘เจ้ารอง’ ของสกุลชวีเห็นเบื้องหน้าเป็นคุณหนูที่อยู่ติดห้องหับผู้หนึ่ง อีกคนก็เป็นเพียงเด็กเท่านั้น จึงใจอ่อนไปอย่างไม่รู้ตัว กล่าวเตือนอวี้ถัง  คุณหนูอวี้ยังคงต้องระวัง ยามนี้ไม่แน่ว่าหลี่เหอจะยอมล่วงเกินหลี่ตวนเพื่อผลประโยชน์เล็กๆ พวกนี้ 

ไม่มีผลประโยชน์ที่เพียงพอ สกุลหลี่จะทำใจละทิ้งหลี่ตวนที่กำลังจะประสบความสำเร็จ ทั้งใกล้จะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้แล้วอย่างไร

อวี้ถังขอบคุณพี่น้องสกุลชวีอีกครั้ง พูดอ้อมค้อม  ข้าจะให้ผู้ใหญ่ของสกุลพวกเราเป็นคนออกหน้า 

เดิมทีสกุลอวี้ก็ไม่ได้มีอำนาจมากกว่าสกุลหลี่ แม้ว่าผู้ใหญ่จะออกหน้าแล้วอย่างไร?

ผู้ทำหน้าที่เป็นมันสมองของสองพี่น้อง เหล่าเอ้อร์สกุลชวีคิดว่าอวี้ถังยังคงไร้เดียงสาไปอยู่บ้าง แต่ว่ากลิ่นหอมของดอกเหมยเกิดจากความเหน็บหนาว หากไม่ได้รับความลำบาก คุณหนูอวี้ผู้นี้ก็คงไม่รู้ว่าหนทางบนใต้หล้าแห่งนี้ยากเย็นแสนเข็ญเพียงใด ให้นางได้เผชิญอุปสรรคเสียหน่อยก็ไม่แย่อะไร

พี่น้องสกุลชวีไม่พูดอะไรอีกแล้ว ทำตามคำสั่งของอวี้ถัง พาคนลี้ภัยทั้งสองจากไป ทั้งให้ซ่อนตัวไว้สองวันค่อยมอบให้หลี่เหอ

เว่ยเสี่ยวชวนไม่เข้าใจ แต่เขาก็เชื่อมั่นอวี้ถังเป็นอย่างยิ่ง

หากไม่ใช่อวี้ถัง เดิมทีเขาก็คงไม่รู้ว่าการตายของพี่รองมีเงื่อนงำ ทั้งคงไม่อาจจับมือสังหารได้ด้วยเช่นกัน

ดังนั้นเขารอจนพี่น้องสกุลชวีจากไปจึงค่อยเอ่ยถามอวี้ถัง  พี่สาว พวกเราต้องให้ลุงอวี้เป็นคนออกหน้าจริงๆ รึ? 

เขาเป็นเพียงถงเซิง ทั้งยังเรียนหนังสือที่สำนักศึกษาประจำอำเภอ เรื่องระหว่างสกุลบัณฑิตนั้นเขารู้ดีกว่าใคร

ซิ่วไฉพบจวี่เหรินต้องสละที่นั่งให้ก่อน ไม่ว่าเจ้าจะอายุมากกว่าเท่าใด อาวุโสแค่ไหน

เช่นเดียวกัน หากจวี่เหรินพบจิ้นซื่อก็ต้องก้มหัว

อวี้เหวินเป็นเพียงซิ่วไฉคนหนึ่ง

สกุลหลี่นอกจากจวี่เหรินแล้วยังมีจิ้นซื่ออีก

อวี้ถังเผยยิ้มออกมา ดวงตาล้วนเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว พูดไม่ถูกว่าเป็นความงดงามอ่อนโยนอย่างไร แต่คำที่พูดออกมากลับไม่เข้ากันสักนิด  แน่นอน เรื่องดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่ใช่เรื่องของพวกเราเพียงแค่สกุลสองสกุล ขุนนางลำเอียงปกป้องกัน ทางการก็ย่อมทำงานอย่างขายผ้าเอาหน้ารอด พวกเราต้องหาคนที่สามารถเป็นผู้ตัดสินแทนพวกเราได้มาฟ้องร้องคดีความเรื่องนี้ 

เว่ยเสี่ยวชวนยิ่งงุนงงกว่าเดิม

เขาเกาศีรษะ

อวี้ถังยิ้มอย่างอ่อนโยนขึ้นไปอีก  เมืองหลินอันของพวกเราสามารถอยู่อย่างสงบสุขทุกวันนี้ได้ ไม่ใช่อาศัยท่านข้าหลวงที่รับตำแหน่งมาสามปี แต่พึ่งพาสกุลเผยที่ตรอกเสี่ยวเหมยต่างหาก 

 ใช่แล้ว!  เว่ยเสี่ยวชวนดีใจจนแทบจะกระโดดโลดเต้นขึ้นมา  ไฉนข้าจึงนึกไม่ถึงกัน! ท่านข้าหลวงทังเข้าข้างสกุลหลี่ พวกเราควรไปเชิญสกุลเผยช่วยเป็นคนกลางให้ก็เพียงพอแล้ว สกุลเผยเป็นสกุลที่สั่งสมความดี กระทำเรื่องเที่ยงธรรมเป็นที่สุดแล้ว ท่านข้าหลวงไม่สนใจ สกุลเผยย่อมสนใจ พวกเขาไม่อาจนั่งดูสกุลหลี่ฆ่าคนบริสุทธิ์เช่นนี้ได้หรอก 

อวี้ถังพยักหน้า  เจ้าคงรู้ว่าเหตุใดข้าจึงให้พี่น้องสกุลชวีซ่อนตัวคนลี้ภัยพวกนั้นไว้ก่อนสองวันแล้วกระมัง? รอผู้ใหญ่ของสกุลพวกเราพูดคุยกันดีแล้ว ค่อยเอาหลักฐานออกมา ป้องกันพอถึงเวลานั้นก่อนคนลี้ภัยทั้งสองจะถูกหลี่ตวนฆ่าปิดปาก 

เว่ยเสี่ยวชวนพยักหน้า คล้อยหลังกลับคล้ายผักกวางตุ้งที่ผ่านน้ำ จู่ๆ ก็ห่อเหี่ยว

อวี้ถังคิดว่าเขาคงนึกถึงเว่ยเสี่ยวซานขึ้นมา อดลอบถอนหายใจไม่ได้

ไม่ว่าอย่างไร เว่ยเสี่ยวซานก็ตายเพราะเกี่ยวข้องกับนาง

นางจะไม่รู้สึกเจ็บปวดได้อย่างไร!

อวี้ถังลูบศีรษะเว่ยเสี่ยวชวนเบาๆ เอ่ยอย่างอ่อนโยน  วันนี้เจ้าหยุดไม่ใช่รึ? ไปดื่มชาที่เรือนข้าเถิด! ยามนี้พวกเราสองสกุลเป็นญาติกันแล้ว เจ้ายังสามารถไปเล่นกับพี่ชายข้าได้ เขาเป็นคนดีทีเดียว เมื่อลูกพี่ลูกน้องเจ้าแต่งเข้ามา พี่ชายข้าย่อมจะปฏิบัติตัวดีกับนาง 

เว่ยเสี่ยวชวนกลับส่ายศีรษะ เอ่ยเสียงเบา  ข้าไม่อยากไปเที่ยว ข้าต้องกลับไปทบทวนตำรา 

อวี้ถังไม่อาจรั้งเขา  เช่นนั้นก็ไปนั่งที่เรือนข้า เดี๋ยวข้าจะให้อาเสาจ้างเกี้ยว ไปส่งเจ้ากลับเรือน 

เว่ยเสี่ยวชวนขานรับเสียงเบา ไปพบอวี้เหวินและคนสกุลเฉินพร้อมอวี้ถัง เพียงเอ่ยว่าเว่ยเสี่ยวชวนบังเอิญผ่านมา นางจึงเชิญเขากลับมานั่งเล่น

เดิมทีคนสกุลเฉินก็เอ็นดูเว่ยเสี่ยวชวนที่หน้าตาสะอ้านสะอาด ยิ่งไปกว่านั้นยามนี้ทั้งสองสกุลจะเกี่ยวดองกันแล้ว เห็นเว่ยเสี่ยวชวนก็ยิ่งชื่นชอบ รีบเรียกให้ป้าเฉินไปซื้อขนมผลไม้ให้เว่ยเสี่ยวชวนกลับไปที่สกุลเว่ย  ให้แม่ พี่สะใภ้และลูกพี่ลูกน้องของเจ้าชิมเสีย  ยังกำชับเขา  หากต้องการซักเสื้อผ้า ก็ให้คนส่งจดหมายมา ข้าจะให้ป้าเฉินไปเอามาช่วยซักให้เจ้า ยามวันหยุด หากอากาศไม่ดีก็มาพักที่นี่ได้ มีบทเรียนอะไรไม่เข้าใจ ก็มาถามลุงอวี้เจ้า  พูดจบ ก็รู้สึกว่าเขายังเด็กเกินไป คงยังเหนียมอาย นางพูดมากกว่านี้ เด็กคนนี้ก็เพียงเห็นเป็นคำพูดตามมารยาทเท่านั้น  ไอหยา ดูข้าสิ พูดเรื่องพวกนี้กับเจ้าทำไม เดี๋ยวข้าจะให้อาหย่วน พี่เจ้าไปส่งกลับเรือน ฝากบอกกล่าวกับแม่เจ้าแทน 

เว่ยเสี่ยวชวนรีบหยัดกายขึ้นขอบคุณ

คนสกุลเฉินให้อาเสาเรียกอาหย่วนที่ยุ่งอยู่ที่ถนนฉางซิ่งกลับมา รอจนเกี้ยวมาก็ให้เขาไปส่งเว่ยเสี่ยวชวนกลับสกุลเว่ยด้วยตัวเอง

ด้านอวี้ถังดึงบิดาไปที่ห้องหนังสือ นำเรื่องที่ตรวจสอบเรื่องของสกุลหลี่กับเว่ยเสี่ยวชวนเล่าให้อวี้เหวินฟังอย่างละเอียดถี่ถ้วน

อวี้เหวินตกใจจนหน้าซีดขาวไปหมด ยามที่อวี้ถังบรรยายก็อยากขัดบทสนทนาของอวี้ถังอยู่หลายครั้ง แต่กลัวว่าภายใต้ความใจร้อนของตัวเองจะพูดอะไรออกไปทำร้ายจิตใจลูกสาวจึงข่มกลั้นเอาไว้ รอคอยอวี้ถังเล่าเรื่องทั้งหมดออกมาอย่างชัดเจนแล้ว ชั่วขณะนั้นก็ระเบิดอารมณ์  เจ้ายังเห็นพ่อเจ้าอยู่ในสายตาหรือไม่!? เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ คาดไม่ถึงว่าเจ้าจะไม่บอกใคร พาเสี่ยวชวนเด็กที่ยังไม่โตดีทำเรื่องเสี่ยงอันตรายเช่นนี้ออกมา ดูท่าปกติข้าจะตามใจเจ้าเกินไป นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าต้องอยู่ในบ้านอย่างสงบเสงี่ยมดีๆ ให้ข้า หากยังคัดอักษรไม่จบห้าหมื่นครั้ง ก็ไม่อนุญาตให้ไปไหนทั้งนั้น! 

อวี้ถังรู้ว่าตัวเองทำไม่ถูกจึงเชื่อฟังคำสั่งสอนแต่โดยดี

คนในสกุลไม่รู้ว่านางกลับมาเกิดใหม่ ทั้งไม่รู้ว่านางดิ้นรนด้วยตัวคนเดียวอยู่ในสกุลหลี่มาเจ็ดแปดปี สิ่งลำบากที่ได้รับ เรื่องเสียเปรียบที่เคยเผชิญก็หนักหนากว่าคนทั่วไปไม่รู้ตั้งเท่าใด การกระทำในชาตินี้ของนางล้วนมาจากความทุกข์ทรมานในชาติก่อน ถึงกระทั่งใช้ชีวิตแลกกลับมา หากทำร้ายถึงคนในสกุล นางก็ไม่กล้าทำหรอก

บิดาได้ฟังเรื่องเช่นนี้ ย่อมต้องกังวลใจ

นางก้มหน้ารับผิด  ท่านพ่อ ต่อไปข้าจะไม่ทำเช่นนี้อีก ข้าจะอยู่ในเรือนคัดอักษรดีๆ 

————————————————–

[1]ถอนเขี้ยวจากปากเสือ หมายถึง ทำเรื่องเสี่ยงอันตราย

 

เพียงแต่ไม่ว่าเรื่องอะไรล้วนมีข้อดีและข้อเสียทั้งนั้น

แม้พี่น้องสกุลชวีจะน่าเชื่อถือ แต่ราคาที่ต้องจ่ายก็ไม่น้อยเช่นกัน

เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ล้วนต้องใช้แปดถึงสิบตำลึง หากยากหน่อย ก็ต้องจ่ายถึงยี่สิบสามสิบตำลึง

ยามนี้อวี้ถังก็กำลังเผชิญสถานการณ์ลำบากเหมือนชาติก่อน…คือไม่มีเงิน!

ไม่สิ ยามนี้นางถึงขั้นยากจนกว่าชาติก่อนด้วยซ้ำ

ชาติก่อนอย่างไรนางก็มีสินเดิมคอยช่วยเหลืออยู่บ้าง ยามนี้มารดาและบิดาอย่างมากที่สุดก็ให้เงินค่าขนมนางสองสามตำลึงเท่านั้น หากนางกล่าวว่าใช้หมดแล้ว ก็ยังถามต่ออีกว่าเอาไปใช้อย่างไร เงินหายไปที่ไหนหมด

ไม่กี่วันก่อนเพราะเรื่องของเว่ยเสี่ยวซาน นางก็แอบให้ข้ารับใช้ผู้มีอิทธิพลช่วยเป็นธุระ ล้วนเป็นงานสืบข่าวเล็กๆ ไม่ได้จำกัดว่าใครต้องเป็นคนทำ และแม้จะเป็นเช่นนี้ เงินเก็บของนางก็ถูกใช้ไปไม่น้อยแล้ว ย่อมไม่อาจขอร้องสองพี่น้องสกุลชวีได้แน่

หากนางสามารถหาเงินเหมือนคนอื่นได้ก็คงจะดี!

อวี้ถังหงุดหงิดใจเป็นอย่างมาก

นางนั่งเท้าศอกกับโต๊ะหนังสือใกล้หน้าต่าง มองดอกเบญจมาศในลานที่ใกล้จะบานสะพรั่งไม่ขยับเขยื้อนไปไหน ทว่าในหัวกลับแล่นอย่างว่องไว

ชาติก่อน ตั้งแต่นางเริ่มสงสัยสกุลหลี่ นางก็ตรวจสอบเรื่องของสกุลหลี่เป็นอันดับแรก คอยจับตาดูคนของสกุลหลี่ เวลานั้นนางจึงได้รู้ว่า ที่แท้ผู้หญิงก็สามารถทำกิจการได้เช่นกัน โดยเฉพาะผู้หญิงทางซูโจวและหังโจว หลายคนที่นำเงินส่วนตัวลงทุนกับการค้าทางทะเล เรือเดินสมุทรกลับมาอย่างปลอดภัยก็สามารถหาเงินซื้อเรือนได้เป็นหลัง แต่หากเรือเดินสมุทรไม่อาจกลับมา ความเสียหายก็เทียบเท่าแค่เงินซื้อเครื่องแป้งผงชาดเท่านั้น

แต่ว่า ทำกิจการเช่นนี้จำเป็นต้องมีลู่ทาง

หากไม่ได้อาศัยที่บิดาหรือพี่ชายทำการค้าขาย ก็ต้องพึ่งพาเส้นสายจากญาติพี่น้อง

ไม่อย่างนั้นก็ง่ายจะถูกหลอก

นำเงินไป เพียงกล่าวว่าจะลงทุนกับกลุ่มเรือใด รอสักครึ่งปีหรือหนึ่งปี กลับมาพูดว่ากลุ่มเรือล่มแล้ว ขาดทุนย่อยยับ เงินที่จ่ายออกไปย่อมลงทุนโดยสูญเปล่า

แต่ไม่ว่าเรื่องอะไรล้วนมีข้อยกเว้น

เจียงหลิง หญิงสาวสกุลเจียงเมืองซูโจว ยามอายุสิบหกปีก็แต่งให้กับคุณชายใหญ่ที่หมั้นหมายกันตั้งแต่ยังเด็ก อายุสิบเจ็ดกลายเป็นหม้าย

เริ่มพัฒนาจากจุดเล็กๆ ต่างจากหญิงสาวธรรมดาคนอื่น หลังจากครอบครัวตกอับ เพื่อเลี้ยงดูแม่สามีในยามชราและน้องสามีที่ยังอยู่ในวัยเด็ก จึงขายสินเดิมของตนเอง นำทรัพย์สินจำนวนมากร่วมลงทุนกับกลุ่มเรือสินค้าของเจียงเฉาผู้เป็นพี่ชาย เริ่มทำการค้าขายทะเลขึ้นมา เวลาสั้นๆ เพียงห้าหกปี ก็ทำให้สกุลเจียงที่เป็นพ่อค้าธรรมดากลายเป็นสกุลที่ร่ำรวยที่สุดในซูโจว สกุลอวี๋ก็มั่งคั่งชั่วข้ามคืนเพราะเรื่องนี้เช่นกัน กลายเป็นสกุลที่นับได้ว่าร่ำรวยในเมืองซูโจว

ก่อนที่อวี้ถังจะตาย สกุลเจียงนั้นกำลังคิดทะเยอทะยานจะทำการค้ากับราชวงศ์

สกุลหลี่อิจฉาตาร้อนเป็นที่สุด

เรื่องการค้าทางทะเล สกุลหลี่และสกุลหลินก็เคยเสียเงินไปไม่น้อยเพราะกลุ่มเรือส่งสินค้าเกิดปัญหาเช่นกัน

หลินเจวี๋ยถึงขั้นคิดจะอาศัยลู่ทางของสกุลเจียง เสนอความคิดกับหลี่ตวน  ทำการค้ากับราชวงศ์เป็นเรื่องง่ายขนาดนั้นที่ไหนกัน ราชสำนักไม่มีคนเลยรึ แทบไม่ต้องคิด เจ้ามิสู้พบปะกับเจียงเฉาเสียหน่อย ดูว่าสามารถร่วมลงทุนกันได้หรือไม่ 

หลี่ตวนคิดว่าเรื่องนี้ไม่ค่อยเป็นไปได้เท่าใด  กิจการของเจียงเฉามาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่รู้ว่ามีคนมากน้อยเท่าใดยินดีจะเพิ่มลายดอกลงบนผ้าแพร[1]! พวกเรารู้จักเจียงเฉาช้าไปหน่อย ยิ่งไปกว่านั้นแถบซูโจวหังโจว มีสกุลขุนนางมากหน้าหลายตา มีสกุลที่ลึกลับซับซ้อนไม่รู้ตั้งเท่าใด สกุลของพวกเรายังนับว่าเทียบไม่ได้อยู่บ้างจริงๆ 

หลินเจวี๋ยแนะนำให้หลี่ตวนดีกับกู้ซีให้มากหน่อย  อย่าได้ทิ้งแตงโมไปเก็บงา[2] ปีนี้พี่ชายภรรยาของเจ้าไม่ทันสามสิบปีก็ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นขุนนางหลางจง[3]กรมขุนนางแล้ว เจ้าอย่าได้ทำอะไรเลอะเลือนเชียว จะเสียการใหญ่เพราะสิ่งเล็กๆ 

แตงโมคือกู้ซี งาที่ว่าก็คืออวี้ถัง

หลี่ตวนนั้นรับฟัง มีช่วงหนึ่งที่รักใคร่กู้ซีปานจะกลืนกิน อวี้ถังโล่งใจไม่น้อย คิดว่าหลี่ตวนปล่อยนางไปแล้ว ใครจะรู้ว่าไม่ถึงครึ่งปี หลี่ตวนก็เริ่มออกลาย คิดวางแผนกับนางอีกครั้ง

นางรู้สึกไร้ค่าแทนกู้ซี ทั้งอิจฉาเจียงหลิงที่มีพี่น้องสกุลมารดาคอยสนับสนุน นางทุ่มเทแรงกายแรงใจไปไม่น้อยจึงค่อยใช้นามของอาเสา ลงเงินห้าสิบตำลึงร่วมลงทุนกับกลุ่มเรือสินค้าของเจียงเฉา

สองปีให้หลัง กลุ่มเรือสินค้าก็กลับมาอย่างปลอดภัยอีกครั้ง

อวี้ถังทำเงินได้สี่ร้อยตำลึง

เวลานั้น นางดีใจกับเรื่องที่ไม่คาดฝัน พลิกไปพลิกมานอนไม่หลับ ไม่รู้ว่าเงินนี้จะเอาไปใช้อย่างไรดี

และก็นับเป็นโชคดี เพราะเงินพวกนี้ นางจึงสามารถนำไปสั่งการพี่น้องสกุลชวีได้ ท้ายที่สุดก็ถูกคนสกุลหลินและหลี่ตวนจัดการ หลุดพ้นจากสกุลหลี่ไป

วันนี้มาคิดดู ยามนี้สกุลเจียงยังไม่ได้ร่ำรวย หลายปีที่ผ่านมา เจียงเฉาก็เริ่มเกลี้ยกล่อมให้คนอื่นร่วมลงทุนเพื่อจัดตั้งกลุ่มเรือส่งสินค้าจากทั่วสารทิศ กำลังอยู่ในสถานการณ์ลำบาก

หากนางสามารถคว้าโอกาสนี้ได้ กลายเป็นหนึ่งในพันธมิตรของสกุลเจียงได้เร็วที่สุด ไม่ใช่ว่าจะสามารถร่ำรวยเหมือนสกุลอวี๋ได้หรอกรึ?

อวี้ถังทอดถอนหายใจ

แต่จะอย่างไร ก็ติดเรื่องเงินอยู่ดี

นางในยามนี้ไหนเลยจะนำเงินมาร่วมลงทุนกับสกุลเจียงได้…

ในขณะที่อวี้ถังกำลังกลัดกลุ้ม ก็มีคนทิ้งดอกไม้ใส่นาง

ดอกไม้หล่นถูกจมูกนาง ทำให้นางมึนงงไปเล็กน้อย

นางเงยหน้าดู กลับพบอวี้หย่วน

 นี่เจ้าเป็นอะไรกัน? 

อวี้หย่วนถามด้วยยิ้มเริงร่า ระหว่างคิ้วนั้นปกปิดท่าทีสุขล้นและกระปรี้กระเปร่าไม่มิดเลยสักนิด

ชั่วพริบตานั้นอวี้ถังก็รู้สึกว่าเบื้องหน้าเปล่งประกายขึ้นมา

นางไม่มีเงินก้อนโต แต่เงินเล็กๆ น้อยๆ นางจะยืมมาไม่ได้เชียวหรือ?

นางยื่นมือยืมเงินจากอวี้หย่วน  ข้าอยากซื้อของ 

ยามนี้อวี้หย่วนกำลังอารมณ์ดี อย่าพูดเลยว่าตอนนี้อวี้ถังเพียงอยากยืมเงินเขา แต่หากให้เขาแบกนางวิ่งรอบเมืองหลินอันสองครั้ง เขาก็เต็มใจลำบากเช่นกัน

อวี้ถังเอ่ยอย่างเจ้าเล่ห์  ข้าอยากได้ห้าสิบตำลึง! 

 หา!  อวี้หย่วนที่มือล้วงเข้าไปอยู่ในแขนเสื้อแล้วถึงกับชะงัก  เจ้าต้องการเงินมากมายขนาดนั้นไปทำอะไร? 

เขาไม่ได้มีเงินส่วนตัวมากถึงเพียงนั้นเสียหน่อย!

อวี้ถังเอ่ยด้วยรอยยิ้ม  เช่นนั้นก็สามสิบตำลึง? เดี๋ยวท่านก็แต่งงานแล้ว พอมีครอบครัว ก็เป็นสามีของคนอื่นแล้ว ไม่ใช่พี่ชายเพียงคนเดียวของข้าอีกต่อไป ภายหลังข้าอยากได้อะไรจากท่านก็ยากแล้ว ท่านพี่ก็ให้ข้าสักครั้งไม่ได้รึ? 

อวี้หย่วนหน้าแดงระเรื่อ เอ่ยอย่างเขินอาย  จะแต่งแล้วที่ไหนกัน ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องรอต้นฤดูใบไม้ผลิปีหน้า นี่เป็นความต้องการของนายหญิงเว่ย กลัวว่างานแต่งของพวกเราสองสกุลจะรีบร้อนเกินไป ทำให้คนอื่นซุบซิบนินทาคุณหนูเซียง 

ทั่วใบหน้าของอวี้ถังล้วนเผยความตกใจ  ท่านพี่ ยังไม่ทันแต่งภรรยาก็ลืมน้องเสียแล้ว คาดไม่ถึงว่าท่านจะไม่โต้แย้งข้า พูดว่าท่านแต่งงานแล้วก็ยังเป็นพี่ชายคนเดียวของข้าอยู่ดี! 

สองสกุลกำหนดจัดพิธีแต่งงานของอวี้หย่วนและคุณหนูเซียงในต้นฤดูใบไม้ผลิ นางได้ฟังจากมารดาแล้ว เพียงแต่นางคาดไม่ถึงว่าอวี้หย่วนยังไม่ทันแต่งงาน ใจดวงนี้ก็เอนเอียงไปทางคุณหนูเซียงเสียแล้ว

 ไม่ ไม่ใช่ ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น  อวี้หย่วนกล่าวอธิบายอย่างกระอึกกระอัก  ข้าจะพูดว่า ในเมื่อข้าเป็นพี่ชายของเจ้า ก็จะเป็นพี่ชายของเจ้าตลอดไป แต่หากคุณหนูเซียงแต่งเข้ามา อย่างไรก็แปลกหน้าสำหรับครอบครัวเราอยู่บ้าง พวกเราควรจะดีต่อนางเสียหน่อยต่างหาก 

 คงเป็นท่านพี่ที่อยากดีกับนางมากกว่ากระมัง?  อวี้ถังไล่ต้อน ในใจกลับรู้สึกดีจริงๆ

ชาติก่อน อวี้หย่วนไม่เคยปกป้องคนสกุลเกาเช่นนี้มาก่อน

จะเห็นได้ว่าคุณหนูเซียงเป็นคนที่เขาชอบ และอยู่ในดวงใจจริงๆ

ชาตินี้ ญาติผู้พี่ของนางย่อมมีความสุขได้แน่

อวี้ถังเย้าแหย่เขาต่อ  หากท่านไม่ให้เงินข้า ข้าจะไปบอกป้าสะใภ้ใหญ่เดี๋ยวนี้ กล่าวว่าภายหลังท่านมีภรรยาแล้วก็ไม่สนใจความเป็นความตายของน้องสาวอีก 

 ไม่ใช่เสียหน่อย!  อวี้หย่วนรีบร้อนกล่าว แม้เขาจะไม่รู้ว่าระหว่างแม่สามีและลูกสะใภ้มักจะไม่ชอบหน้ากัน ทั้งถึงกระทั่งกลายเป็นศัตรูคู่อาฆาตเพราะประโยคที่ไม่ตั้งใจเพียงประโยคเดียว แต่อย่างไรก็กลัวว่ามารดาของเขาจะเข้าใจคุณหนูเซียงผิดไป กลายเป็นไม่ชอบนางไป  เจ้าอยากยืมเท่าใด? มากไป…มากไปไม่มีหรอกนะ 

แท้จริงที่เขาอยากพูดคือมากไปกว่านี้เขาจะเอาไปซื้อพวกที่คาดผมไข่มุกให้คุณหนูเซียง ถือว่าเป็นของขวัญที่เขาส่งให้กับคุณหนูเซียงด้วยตัวเอง เห็นท่าทางอวี้ถังไม่พอใจเท่าใด กลัวว่าพูดคำนี้ออกมาจะทำให้อวี้ถังอิจฉา เขาจึงกลืนคำพูดลงไปอย่างรวดเร็ว เปลี่ยนเป็นอีกประโยค

อวี้ถังพอใจแล้ว เอ่ยเสียงเบาว่า  ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องได้สามสิบตำลึง! 

เวลานี้พี่น้องสกุลชวีเพียงมีชื่อเสียงเล็กๆ เท่านั้น คงยังไม่ได้ค่าตัวแพงเหมือนชาติก่อนที่นางไปหา แต่เห็นท่าทีของอวี้หย่วน นางคาดว่านี่ก็คงเป็นครั้งสุดท้ายที่จะขอเงินจากเขาแล้ว ทั้งภายหลังนางย่อมไม่อาจขออะไรจากอวี้หย่วนได้ง่ายๆ แล้วเช่นกัน เขาแต่งงานแล้ว ของทุกอย่างก็ควรให้ภรรยาของเขา แม้นางจะอยากยืมเงิน ก็ต้องยืมจากคุณหนูเซียง ไม่ใช่ขอยืมจากอวี้หย่วน ทั้งยืมแล้วก็ต้องคืนด้วย

นี่เป็นประสบการณ์ที่นางได้มาจากชาติก่อน

อวี้หย่วนเก็บเงินไว้สิบตำลึง  มากสุดยี่สิบตำลึง มากกว่านี้ข้าก็ไม่มีแล้ว! 

อวี้ถังไม่กล้าบีบเค้นอวี้หย่วน กลัวเขาพลั้งปากบอกคนอื่นไป กระทั่งเงินยี่สิบตำลึงนี้ก็คงหายไปเช่นกัน

 ขอบคุณท่านพี่!  นางกล่าวทันที  ภายหลังข้าย่อมจะปฏิบัติกับคุณหนูเซียงดีๆ 

 เจ้าพูดไร้สาระอะไรกัน!  อวี้หย่วนตำหนิอวี้ถัง แต่ก็ไม่กล้าสั่งสอนนางอย่างจริงจัง กลัวนางจะพาลโกรธ ทำตัวไม่ดีกับคุณหนูเซียง รีบกลับบ้านไปเอาตั๋วเงินมา  เจ้าใช้ประหยัดๆ หน่อย 

อวี้ถังให้บิดาไปแจ้งทางการ คิดอยากแหวกหญ้าให้งูตื่น ยามนี้คนลี้ภัยในที่นาของสกุลหลี่ส่วนมากก็แยกย้ายหนีกันไปแล้ว หากสองคนนั้นที่สังหารเว่ยเสี่ยวซานก็อยู่ในที่นา หนีไปแบบนี้ ย่อมคิดว่าไม่คุ้มค่า แปดถึงเก้าส่วนต้องมาขอเงินจากสกุลหลี่สักเล็กน้อยแล้วค่อยหนีเป็นแน่

อวี้ถังผงกศีรษะติดต่อกัน ให้อาเสาไปหาพี่น้องสกุลชวีก่อน ให้พี่น้องสกุลชวีจับตาดูหลี่ตวน หากมีใครไปขอเงินจากหลี่ตวน ก็ให้หาวิธีจับคนส่งไปยังท้ายตรอกชิงจู๋

ยามนี้สองพี่น้องสกุลชวีเพิ่งมีชื่อเสียงเล็กๆ ในละแวกนี้ เป็นเวลาที่กำลังสร้างความเชื่อมั่นและเกรงขาม หลังจากรับปากก็เริ่มจับตาดูคนของสกุลหลี่ทุกวันทุกคืนทันที

อวี้ถังนำเงินในมือที่เหลืออยู่สิบสองตำลึงขึ้นมาอย่างเจ็บปวด

พี่น้องสกุลชวีเก็บค่าตัวแพงเสียจริง!

ยามนี้นางกลายเป็นยาจกอีกแล้ว

แต่พี่น้องสกุลชวีทำเรื่องได้เป็นที่น่าพอใจ ยังไม่ทันถึงเทศกาลฉงหยาง พี่น้องสกุลชวีก็ให้คนส่งจดหมายมาให้นาง กล่าวว่าจับคนลี้ภัยที่ไปขอเงินจากหลี่ตวนได้แล้ว แต่ว่า สองคนนี้ก็เป็นผู้ที่คนอื่นก่อนหน้านี้ต้องการตัวเช่นกัน พวกเขาคาดไม่ถึงว่าผู้ที่สองสกุลต้องการตัวจะเป็นกลุ่มคนเดียวกัน แม้ว่าอีกฝ่ายจะพูดก่อนหน้านาง กลับไม่ได้ให้เงินไว้ อวี้ถังที่มาทีหลัง แต่วางเงินทั้งหมดให้ พวกเขาจึงตัดสินใจส่งคนให้อวี้ถังแทน

อวี้ถังนึกกลัวในภายหลังอยู่พักหนึ่ง ทั้งรู้สึกดีใจที่ชาติก่อนได้รู้จักรูปแบบการทำงานของสองพี่น้องสกุลชวี ไม่อย่างนั้นแม้ว่าจะมีวิธีก็คงจับตัวสองคนนี้ไม่ได้อยู่ดี

นางส่งข่าวให้เว่ยเสี่ยวชวน มีอาเสาคอยอยู่เป็นเพื่อน พวกเขาพบกันที่ท้ายตรอกชิงจู๋

ไม่ว่าจะอวี้ถังหรือเว่ยเสี่ยวชวน ล้วนไม่เคยพบเจอสองคนนี้ เรื่องของเว่ยเสี่ยวซานก็เป็นเพียงความสงสัยและข้อสันนิษฐาน เว่ยเสี่ยวชวนและอวี้ถัง คนหนึ่งอยู่ในที่แจ้งอีกคนอยู่ที่ลับ เริ่มสอบสวนทั้งสองคนที่ถูกพี่น้องสกุลชวีทรมานจนร่างกายเขียวช้ำไปหมด

คาดไม่ถึงว่าเรื่องราวจะราบรื่นจนพาให้อวี้ถังสงสัยว่ายามนี้พระโพธิสัตว์คงจะยืนอยู่ข้างนางแล้ว

ยามที่เว่ยเสี่ยวชวนถามพวกเขา นึกไม่ถึงว่าพวกเขาจะรับสารภาพอย่างไม่อ้อมค้อม ได้รับคำสั่งจากสกุลหลี่ให้สังหารเว่ยเสี่ยวซาน จุดประสงค์เพื่อทำลายงานแต่งเชื่อมความสัมพันธ์ของสกุลเว่ยและสกุลอวี้ ทั้งยังเอ่ยถึงเรื่องบุญคุณความแค้นของสกุลหลี่เป็นน้ำไหลไฟดับ  ที่จริงทำงานช่วยเหลือเรื่องพวกนี้ให้สกุลพวกเขา ยังคิดว่าสกุลพวกเขามีเบื้องลึกเบื้องหลังใหญ่โต ใครจะรู้ว่าพอทางการเข้าไป สกุลพวกเขาจะไม่กล้าผายลมด้วยซ้ำ สร้างความหวาดกลัวให้พวกเราฆ่าเจ้าหน้าที่จึงค่อยหนีออกมา ยามนี้กลัวพวกเราดึงพวกเขาออกมา ส่งคนหลายกลุ่มมาหาพวกเรา พวกเราก็ไม่ได้กินแต่พืชผัก ให้ต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายไปข้างหนึ่งย่อมไม่ไหวหรอก! 

พูดมาจนถึงสุดท้าย คนลี้ภัยสองคนนี้ก็ยังเอะอะโวยวายอย่างกำเริบเสิบสาน กล่าวทำนองว่า  พวกเจ้ามีอะไรก็ไปหาสกุลหลี่ พวกเราเพียงแค่เป็นคนลงมือ แต่สกุลหลี่ต่างหากที่มีจิตเป็นฆาตกร มาหาพวกเราทำไม   สกุลเว่ยของพวกเจ้าดูแล้วพี่น้องก็มากมาย คาดไม่ถึงว่าจะเป็นเพียงพวกไร้ค่า ลูกพลัมต้องเก็บลูกที่สุกนิ่ม[4]อยู่แล้ว   พวกเจ้าจับพวกเราแล้วจะอย่างไรต่อ หรือยังกล้าส่งพวกเราให้ทางการอย่างนั้นรึ? สกุลหลี่อยากทำลายงานแต่งของคุณหนูอวี้ พวกเจ้าส่งพวกเราให้ทางการ ก็ตรงกับที่สกุลหลี่ต้องการพอดี 

————————————————-

[1]เพิ่มลายดอกลงบนผ้าแพร หมายถึง ทำสิ่งที่ดีอยู่แล้วให้ดียิ่งขึ้นไปอีก

[2]ทิ้งแตงโม ไปเก็บงา หมายถึงให้ความสนใจกับเรื่องไม่สลักสำคัญจนละเลยประเด็นหลักไป

[3]หลางจง ขุนนางที่ดูแลคุ้มกันจักรพรรดิ ติดตาม คอยเสนอความเห็น ให้คำปรึกษาเรื่องต่างๆ ทั้งปฏิบัติงานภายนอกตามที่ได้รับมอบหมาย

[4]ลูกพลัมต้องเก็บลูกที่สุกนิ่ม อุปมาว่า เลือกรังแกคนที่อ่อนแอ

 

เผยเยี่ยนและโจวจื่อจินก็จากไปเช่นนี้ หูซิ่งมองอย่างตกตะลึง ขวางเผยหม่านที่เตรียมจะออกไปสะสางธุระ  พ่อบ้านใหญ่ ปกติเจ้าก็พูดคุยกับนายท่านสามเช่นนี้รึ? เจ้าไม่กลัวนายท่านสามโกรธหรอกหรือ? 

เผยหม่านกล่าว  สิ่งที่นายท่านสามเกลียดที่สุดคือคนอื่นไม่พูดความจริง ไม่ใช่เรื่องที่ไม่ยอมพูดแต่อย่างใด เจ้าปฏิสัมพันธ์กับนายท่านสามนานเข้าก็จะรู้เอง 

หูซิ่งครุ่นคิด ตัวเองเข้าจวนตั้งแต่อายุเจ็ดขวบ ทั้งเป็นคนแก่ในเรือนไปแล้ว แบบไหนจึงจะเรียกว่าปฏิสัมพันธ์ยาวนานกับนายท่านสามอีก?

นี่ไม่ใช่คำกล่าวไร้สาระ

เหตุที่หูซิ่งผู้นี้สามารถโดดเด่นท่ามกลางสกุลเผยที่บ่าวรับใช้เต็มจวนได้ นอกจากฉลาดเฉลียว ทะเยอทะยาน ข้อได้เปรียบที่สุดก็คือรู้จักตรวจสอบความคิดการกระทำของตัวเอง

แม้ว่าเขาจะไม่พอใจ แต่ยังคงครุ่นคิดถึงสีหน้าและท่าทางที่เผยเยี่ยนคุยกับเผยหม่านเมื่อครู่อยู่หลายครั้ง จู่ๆ ก็เข้าใจความหมายของเผยหม่านขึ้นมาบ้าง

ด้านสกุลอวี้ หลายวันนี้สามารถเรียกได้ว่าเรื่องมงคลคู่มาเยือนถึงหน้าประตู

เริ่มจากเรื่องงานแต่งของอวี้หย่วนและคุณหนูเซียง แม้ว่าจะมีอุปสรรคอยู่บ้าง แต่สุดท้ายยังคงแลกเปลี่ยนวันเดือนปีเกิดของทั้งคู่อย่างเป็นทางการแล้ว ผ่านเทศกาลฉงหยางไปก็จะส่งมอบสินสอดแล้ว ยามที่คนสกุลหวังนึกถึงเรื่องนี้ล้วนคิดกังวลภายหลังอยู่บ้าง ลอบกล่าวกับคนสกุลเฉิน  คาดไม่ถึงว่าแม่เลี้ยงของคุณหนูเซียงจะร้ายกาจเพียงนี้ กล่าวว่างานแต่งครั้งนี้ไม่ได้บอกผ่านนางก่อน นางไม่เห็นด้วย ยังดีที่นายหญิงเว่ยกล้าจัดการแทนคุณหนูเซียง ไม่กลัวว่าจะล่วงเกินแม่เลี้ยงของคุณหนูเซียง ยกแม่ที่ล่วงลับไปของคุณหนูเซียงออกมา ต้อนให้แม่เลี้ยงคุณหนูเซียงถอยหลบไป ข้ากลัวก็แต่ว่าภายหลังคุณหนูเซียงคงไม่มีสกุลมารดาให้กลับแล้ว 

คนสกุลเฉินคิดว่าคนสกุลหวังตีตนไปก่อนไข้  คุณหนูเซียงในตอนนี้ มีสกุลมารดาก็เหมือนไม่มี ยิ่งไปกว่านั้นตั้งแต่เล็กก็เติบใหญ่มากับนายหญิงเว่ย สนิทสนมกับลูกพี่ลูกน้องยิ่งกว่าพี่น้องของตัวเองเสียอีก ภายหลังจะยกเอาสกุลเว่ยเป็นสกุลมารดาอย่างเป็นทางการก็คงไม่ต่างกัน ข้าว่านายหญิงเว่ยกล้าแข็งข้อเช่นนี้กับแม่เลี้ยงของคุณหนูเซียง ก็เพราะว่าวางแผนจะทำเช่นนี้กระมัง? มิเช่นนนั้นจะจัดการเรื่องอย่างเด็ดขาดเช่นนี้ต่อหน้าพวกเราไปทำไม 

คนสกุลหวังใคร่ครวญดูก็คิดว่ามีเหตุผล อดสงสารคุณหนูเซียงขึ้นมาไม่ได้  คนอื่นพูดว่าลูกสาวออกเรือนก็เหมือนน้ำที่สาดออกไป ข้าก็จะทำเหมือนว่าข้ามีลูกสาวเพิ่มอีกคน ปฏิบัติกับคุณหนูเซียงดีๆ ก็แล้วกัน 

ในขณะที่ทั้งสองคนแสดงความเห็นอกเห็นใจคุณหนูเซียง นายท่านเซียงกลับแอบมาพบอวี้เหวินอย่างเงียบๆ มอบกล่องไม้หอมใบเล็กให้อวี้เหวิน ให้เขาส่งต่อแก่คุณหนูเซียง กล่าวว่านายหญิงเว่ยให้คุณหนูเซียงแต่งงานในนามสกุลเว่ย แม่เลี้ยงคุณหนูเซียงตอบรับแล้ว ภายหลังกลัวว่าคุณหนูเซียงคงยากที่จะได้กลับเรือนไปเยี่ยมเขาซึ่งเป็นพ่อ นี่เป็นความอาทรเล็กๆ สุดท้ายที่พ่ออย่างเขาพอจะทำเพื่อคุณหนูเซียงได้ ให้คุณหนูเซียงรับไว้ ภายหลังก็เก็บไว้ให้ลูกหลานตัวเอง

อวี้เหวินรู้สึกว่าแม้นายท่านเซียงจะแต่งนายหญิงที่มีฐานะเกินตัวเข้ามา แต่เล่นแง่แค่นี้นับว่ายังน้อยไป ไม่ได้ชื่นชมนายท่านเซียงเท่าใด แต่ก็ไม่ได้คิดมาก นำกล่องนี้ส่งให้อวี้หย่วน อวี้หย่วนคิดว่าไม่ว่าจะอย่างไรสิ่งนี้ก็เป็นของแทนใจของนายท่านเซียง เพื่อไม่ให้คุณหนูเซียงคิดว่าตัวเองออกเรือน บิดากลับไม่สนใจอันใด เขาจึงส่งไปให้สกุลเว่ยในคืนนั้น

นายหญิงเว่ยเพราะปรึกษาเรื่องสินเดิมในการออกเรือนของคุณหนูเซียงกับสกุลเซียงจึงเกิดขัดแย้งกันขึ้นมา นางคิดว่ายามนี้นายท่านเซียงมีชีวิตอยู่ นายหญิงเซียงยังกล้ากดขี่ข่มเหงคุณหนูเซียงอย่างนี้ ภายหลังหากนายท่านเซียงไม่อยู่แล้ว เกรงว่าสกุลเซียงจะทำเป็นไม่มีลูกสาวคนนี้ไป คิดที่จะเรียกร้องสินเดิมจากสกุลเซียงให้คุณหนูเซียงมากหน่อย เวลานี้จึงทะเลาะกับนายหญิงเซียงขึ้นมา เพียงแต่เรื่องนี้ทุกคนล้วนห่วงเรื่องหน้าตา ไม่ว่าจะนายหญิงเว่ยหรือนายหญิงเซียงต่างก็ไม่ได้เอาไปพูดข้างนอกตรงๆ

วันนี้เห็นอวี้หย่วนส่งของเข้ามา นายหญิงเว่ยก็โมโหจนเขวี้ยงกล่องไม้นั้นลงพื้น  ใครต้องการของจอมปลอมของเขากัน กล่าวว่าอะไรนะ นอกจากสินเดิมของแม่อาอิงและเงินสามพันตำลึง ก็ไม่มีอะไรไปมากกว่านี้… 

นางพูดยังไม่ทันจบ ทุกคนต่างก็ตกตะลึง

กล่องไม้ที่ร่วงลงบนพื้นดัง ‘ตุ้บ’ ถูกเปิดออก ตั๋วเงินกองใหญ่ถูกลมเย็นของฤดูใบไม้ร่วงพัดปลิวราวกับผีเสื้อที่บินว่อน

 เร็ว เร็วเข้า  ยังคงเป็นนายท่านเว่ยที่สั่นเทิ้ม ดึงสติกลับมาเป็นคนแรก  อย่าให้ลมพัดไปเชียว ตั๋วเงินของร้านขายเครื่องเงินพวกนี้เริ่มที่สิบตำลึง ข้าดูขนาดแล้วอย่างน้อยก็คงประมาณหนึ่งร้อยตำลึง… 

นายหญิงเว่ยก็ตะลีตะลาน รีบเรียกอวี้หย่วน  ยังยืนนิ่งอยู่ที่นั่นทำไม รีบเก็บตั๋วเงินพวกนี้ขึ้นมาเร็วเข้า 

อวี้หย่วนใจฝ่อเป็นอย่างยิ่ง ล้วนไม่รู้ว่าตัวเองถูกให้ค้างคืนที่สกุลเว่ยได้อย่างไร ทั้งรีบเดินทางกลับมาสกุลอวี้ตั้งแต่ยามที่ประตูเพิ่งเปิดได้อย่างไร จำได้เพียงว่ายืนสั่นอยู่เบื้องหน้าคนสกุลหวังเอ่ยกับบิดา  ตั๋วเงินเยอะมากจริงๆ นายหญิงเว่ยกล่าวว่า อย่างน้อยก็มีประมาณสี่หมื่นห้าหมื่นตำลึง สามารถซื้อร้านขายเครื่องเงินสกุลเผยในถนนฉางเซิ่งแห่งนั้นจนหมดเกลี้ยงได้ ยังถามข้าว่า เอาเงินไปไว้ในร้านขายเครื่องเงินก็ได้ไม่กี่บาท ถามข้าว่าอยากซื้อร้านค้าสักแห่งในหังโจว แล้วย้ายไปค้าขายที่นั่นหรือไม่ 

คนสกุลหวังและอวี้ป๋อต่างก็ตกใจ เรียกอวี้เหวินและคนสกุลเฉินตื่นจากฝัน ถามเรื่องนี้กับอวี้เหวินว่าควรทำอย่างไรดี  สกุลเว่ยหมายความว่าอยากให้อาหย่วนย้ายไปหังโจว? หรือว่าเพียงอยากถามสกุลพวกเราว่าเงินมากมายขนาดนั้นจะใช้อย่างไร? 

อวี้ถังสะดุ้งตื่นจากเสียงดัง ยังคงสับสนมึนนงงอยู่บ้าง ได้ยินคำพูดนี้ก็ตื่นเต็มตาขึ้นมา

นางพยายามนึกเรื่องในชาติก่อน

ยังคงไม่เคยได้ยินเรื่องสกุลเว่ยกับคุณหนูเซียงจริงๆ

ทั้งไม่รู้ว่าชาติที่แล้วคุณหนูเซียงแต่งไปสกุลใด

งานแต่งของญาติผู้พี่ครั้งนี้นับว่าทุบถูกไข่ทองคำจริงๆ

อวี้เหวินกลับเผยท่าทีปกติ หาวหวอดอยู่เบื้องหน้าพี่ชายที่นั่งไม่ติดที่  ข้าเพียงได้ยินมาบ้างว่าสกุลเซียงมีเงิน ตอนแรกที่สกุลเสิ่นและสกุลเซียงเกี่ยวดองกัน ถึงกระทั่งไม่รังเกียจนายท่านเซียงที่เคยแต่งงานมาแล้ว ล้วนเป็นเพราะนายท่านเซียงผู้นี้ทำการค้าขายเก่งเป็นอย่างมาก คาดไม่ถึงว่าจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ จากความเห็นข้า พวกเจ้าควรจะทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้นไป หรือไม่มีตั๋วเงินสี่หมื่นห้าหมื่นตำลึงนี้ พวกเจ้าก็จะไม่รับคุณหนูเซียงเข้าสกุลแล้ว? 

อวี้ป๋อได้ยินน้องชายกล่าวเช่นนี้ ก็ค่อยสงบลงมา ครุ่นคิดเล็กน้อย  เจ้าพูดมีเหตุผล เป็นพวกเราที่เห็นเงินก็เกิดความคิดชั่ววูบ สูญเสียความตั้งใจเดิมไป สินเดิมอย่างไรก็เป็นทรัพย์สินส่วนตัวของสะใภ้ นางจะใช้อย่างไร ย่อมขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนาง ข้าเพียงกลัวว่าถึงเวลานั้นอาหย่วนของพวกเราจะเสียเปรียบ 

อวี้เหวินบอกเป็นนัยให้ป้าเฉินไปชงชาเข้มๆ ให้เขา พอได้จิบชา เวลานี้จึงกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา ก่อนจะให้ป้าเฉินไปทำอาหารเช้า  เดิมทีสกุลเว่ยสนใจสกุลพวกเรา ไม่ใช่เพราะพวกเราอบรมเลี้ยงดูพวกลูกๆ ได้ดีหรอกรึ? พวกเราไม่อาจตำหนิสกุลอื่นที่ร่ำรวยเพียงเพราะสกุลตัวเองไม่มีเงินเหมือนพวกเขาได้กระมัง? 

 มิผิด มิผิด  อวี้ป๋อกล่าว

 ดังนั้นทุกคนจึงต้องรักษาความตั้งใจเดิม  อวี้เหวินยากที่จะมีโอกาสอธิบายเหตุผลให้พี่ชายตัวเองฟัง วางท่าพูดอย่างน้ำไหลไฟดับอยู่บ้าง  พวกเราต้องไม่นึกถึงเงินของคนอื่น เวลานี้สู้สกุลอื่นไม่ได้ หรือจะสู้ไม่ได้ทั้งชั่วชีวิตเชียว ภายหลังลูกสะใภ้แต่งเข้ามา ตรงไหนไม่ดีก็ต้องพูด ตรงไหนที่ดีแล้วก็ยังคงต้องพูดชม อย่าได้สูญเสียความเที่ยงธรรมก็เพียงพอแล้ว… 

ยามที่บิดาพูด อวี้ถังก็เอาแต่มองญาติผู้พี่อยู่ตลอด

นางเห็นหูของอวี้หย่วนแดงไปหมด หาโอกาสลอบย้ายไปนั่งข้างๆ เขา กระซิบข้างหู  ท่านคงไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองก็แปลกๆ ไปเช่นกันกระมัง? 

อวี้หย่วนมองท่านอาที่กำลังพูดคุยกับบิดามารดาเขาอยู่แวบหนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงเบา  มีบ้าง แต่ข้าคิดว่าท่านอาพูดถูก คนอื่นมีเงินก็เป็นเรื่องของคนอื่น ขอเพียงแค่พวกเราไม่โลภมาก ย่อมสามารถเดินทางที่ซื่อตรง นั่งอย่างผ่าเผยได้  พูดมาถึงตรงนี้ เขาก็ชะงักไปเล็กน้อย เอ่ยต่ออย่างสองจิตสองใจ  แต่ว่ายามที่นายหญิงเว่ยบอกให้ข้าซื้อร้านค้าแห่งหนึ่งในหังโจว ข้านั้นหวั่นไหวอยู่จริงๆ หรือเวลานั้นที่ข้าคิดฟุ้งซ่าน เป็นเพราะเกิดละโมบขึ้นมา 

นี่ไม่อาจโทษอวี้หย่วนได้ อวี้ถังครุ่นคิด ตั้งแต่ครั้งก่อนที่นาง บิดาและพี่ชายไปหังโจวด้วยกัน กระทั่งนางก็คิดว่าทำการค้าขายที่หังโจวจะรุ่งเรืองกว่า ยิ่งไปกว่านั้นทั้งสองชาติอวี้หย่วนล้วนคิดจะทำการค้าใหญ่ ต้องการให้สกุลอวี้มีการพัฒนาก้านหน้าขึ้น

ทุกคนในครอบครัวพูดคุยเรื่องนี้เกือบหนึ่งชั่วยาม เมื่อท้องฟ้าเริ่มสว่าง จึงล้อมวงกินข้าวด้วยกัน

อวี้เหวินยังไม่ทันแกะไข่เค็มเสร็จดี หูซิ่ง พ่อบ้านสามของสกุลเผยก็มาหาถึงหน้าประตู อวี้หย่วนตกใจ พวกผู้หญิงในเรือนต่างรีบยกจานข้าว เข้าไปหลบในห้องครัว ด้านอวี้เหวินก็เชิญหูซิ่งกินข้าวเช้าด้วยกัน

 กินตั้งแต่เช้าแล้ว  หูซิ่งยิ้มจนแก้มแทบปริ  ข้าตั้งใจมาบอกพวกเจ้าว่า อีกเดี๋ยวหมอหลวงหยางจะกลับซูโจว ก่อนไปจะเข้ามาตรวจอาการให้นายหญิงท่าน เรื่องกะทันหันอยู่บ้าง ข้าจึงล่วงหน้ามาบอกกล่าวก่อน อาหารเช้าไม่เป็นไรหรอก สักพักยังต้องเข้ามาเป็นเพื่อนหมอหลวงหยาง 

สกุลอวี้ย่อมดีใจกับเรื่องที่คาดไม่ถึง

อวี้เหวินไปส่งหูซิ่งออกจากประตูด้วยตัวเอง กล่าวขอบคุณอย่างซาบซึ้ง

หูซิ่งยิ้มขัด  นี่เป็นความต้องการของนายท่านสาม ภายหลังขอเพียงหมอหลวงหยางมาหลินอัน ก็เข้ามาตรวจสุขภาพให้นายหญิงของท่านด้วย หากพวกท่านอยากขอบคุณอะไร บอกกล่าวกับนายท่านสามและหมอหลวงหยางก็เพียงพอแล้ว ข้าแค่เป็นคนวิ่งเรื่องแทน ท่านทำเช่นนี้ข้ารับไว้ไม่ได้หรอก 

เมื่อก่อนคนของสกุลเผยก็เกรงอกเกรงใจต่อสกุลอวี้ กลับไม่เหมือนตอนนี้ ในความเกรงใจแฝงด้วยความเคารพอยู่หลายส่วน พี่น้องสกุลอวี้ย่อมมองออกถึงความแตกต่างภายใน ส่งหูซิ่งไปแล้ว อวี้เหวินก็อดเอ่ยกับอวี้ป๋อไม่ได้  นี่มันเกิดเรื่องอะไรกันแน่? 

อวี้ป๋อคิดวนไปเวียนมาก็ยังไม่เข้าใจ เอ่ยเพียงว่า  อาการป่วยของน้องสะใภ้ มีหมอหลวงหยางดูแล ย่อมสามารถรักษาจนอาการดีขึ้น หายขาดจากโรคภัย นี่เป็นเรื่องดี เรื่องของภายหลังก็ค่อยพูดกันภายหลังเถิด 

อวี้เหวินเกาศีรษะ

อวี้ถังก็ไม่รู้ว่าเผยเยี่ยนหมายความว่าอย่างไร แต่คิดไปคิดมาอย่างไรเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องดี ติดหนี้มาก กังวลไปก็ไร้ประโยชน์ หนี้ที่พวกเขาติดค้างสกุลเผยไม่อาจจะทดแทนในเวลาสั้นๆ ได้ แค่จำไว้ก่อนก็เพียงพอแล้ว

หลังจากหมอหลวงหยางมาจับชีพจรให้คนสกุลเฉิน ปรับเปลี่ยนสำรับยาเล็กน้อย กำชับให้อวี้เหวินอย่าให้คนสกุลเฉินเหน็ดเหนื่อยเกินไป ทั้งยามที่คนสกุลเฉินโมโหก็อย่าได้เดินจากไปเฉยๆ

สกุลอวี้กลับพากันดีอกดีใจ นึกถึงฤดูร้อน คนสกุลเฉินก็จะไม่ป่วยไข้อีกแล้ว ภายหลังขอเพียงหมอหลวงหยางให้ยารักษาคนสกุลเฉินต่อ ไม่ช้าก็เร็วอาการคนสกุลเฉินย่อมจะดีขึ้น ด้านอวี้เหวินก็คิดจะส่งวัตถุโบราณให้เผยเยี่ยนสักชิ้นหนึ่ง

น่าเสียดายที่สกุลอวี้มีทรัพย์สินในบ้านเพียงน้อยนิด อวี้เหวินหาอยู่หลายวันก็ยังคงหาของที่เหมาะสมไม่ได้

ด้านอวี้ถังก็ครุ่นคิดว่าจะขอพี่น้องสกุลชวีของตำบลป่านเฉียวมาช่วยตัวเองทำเรื่องเหมือนชาติที่แล้วดีหรือไม่

ชาติก่อน เพื่อที่คนสกุลหลินจะขังนางอยู่ในสกุล ยามที่นางถือป้ายวิญญาณของหลี่จวิ้นเข้าสกุลก็ป่าวประกาศไปทั่วว่านางตั้งประณิธานครองพรหมจรรย์ให้หลี่จวิ้น ถึงขั้นที่คนของสกุลหลี่กล่าวว่า สกุลหลี่จะแย่งซุ้มเกียรติยศความซื่อสัตย์กลับมาหรือไม่ ก็ต้องฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่นางแล้ว

นี่เป็นสาเหตุที่ค้นพบภายหลังว่าสกุลหลี่เป็นเหมือนหนองบึงโคลนลึก คิดจะหลบหนีจากสกุลหลี่กลับต้องเสียเวลาห้าหกปี

เวลานั้นการตายของลุงใหญ่และญาติผู้พี่ทำให้นางรู้สึกว่าสิ่งที่สกุลของตัวเองได้เผชิญมีความเกี่ยวข้องกับสกุลหลี่ เพื่อหาหลักฐาน นางขอความช่วยเหลือจากข้ารับใช้ผู้มีอิทธิพลในเมืองหลินอันอยู่บ่อยครั้ง ทั้งถูกหลอกหลายคราเช่นกัน…เพราะอยู่ในนามหญิงหม้ายของสกุลหลี่ นางไม่กล้าออกหน้าด้วยตัวเอง มักจะยืมมือคนอื่นสืบเรื่องสกุลหลี่ ด้วยเหตุนี้คนส่วนมากเมื่อรับเงินนางไปแล้วกลับไม่ช่วยนางทำเรื่อง ทั้งทำให้นางไม่ค่อยมีเงินช่วยเหลือป้าสะใภ้ใหญ่เช่นกัน

พี่น้องสกุลชวี นับว่าเป็นคนที่ค่อนข้างน่าเชื่อถือในหมู่ข้ารับใช้ผู้มีอิทธิพลพวกนี้แล้ว

————————-

 

ในส่วนของเมืองหลินอัน เรื่องให้ที่กบดานกับพวกลี้ภัยอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องเล็ก เศรษฐีมั่งมีของหลินอันส่วนมากก็ล้วนเคยรับพวกลี้ภัยมาก่อน ไม่จำเป็นต้องจดเข้าทะเบียนบ้าน ขอเพียงแค่ไม่อดตาย อยากใช้อะไรก็ใช้ได้ทั้งนั้น หนำซ้ำยังมีประโยชน์มากกว่าให้ชาวไร่ชาวสวนคนอื่นเช่าที่เสียอีก เรื่องของสกุลหลี่เปรียบเหมือนโยนก้อนหินลงน้ำ แตกกระทบเป็นวงกว้าง บางคนกลัวว่าข้าหลวงทังจะตัดสินใจทำผลงานจากเรื่องนี้ ไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ บางคนกลัวคนลี้ภัยพวกนั้นจะรู้ว่าแท้จริงแล้วทางการสามารถช่วยจดทะเบียนลงในท้องที่ได้จะไม่ฟังคำสั่งอีกแล้ว อาจลุกฮือก่อเรื่องก่อราวขึ้นมา ทำร้ายผลประโยชน์ของสกุลตน หลังจากคหบดีชนบทหลายสกุลที่พอมีทรัพย์สินอยู่บ้างในเมืองหลินอันปรึกษาหารือกัน ก็ไปหาทางสกุลเผย

 นายท่านสาม  คหบดีชนบทคนนั้นเช็ดทั้งน้ำมูกน้ำตา ไม่รู้ว่ากล่าวด้วยความเสียใจเท่าใด คล้ายกับว่าตอนแรกผู้ที่หลอกคนลี้ภัยพวกนั้นโดยไม่ให้ผ่านทางการ ลอบเขียนสัญญาขายตัวด้วยความปรารถนาดีนั้นไม่ใช่เขา  พวกเราก็แค่เห็นว่าคนพวกนั้นน่าสงสาร พวกที่รับไว้ก็ล้วนเป็นคนแก่ชราเจ็บป่วยพิการ ใครจะรู้ว่าสกุลหลี่จะใจกล้าถึงเพียงนั้น แค่พวกแข็งแรงกำยำก็มีตั้งสามสิบสี่สิบคน เจ้าหน้าที่ของศาลาว่าการไปสืบความ ยังสังหารคนอีก นี่ไม่ใช่ว่าไม่เห็นแก่ความปลอดภัยของเมืองหลินอันและสกุลเผยอยู่ในสายตาเลยหรอกรึ? เรื่องนี้ ไม่ว่าอย่างไรท่านก็ควรจะออกหน้าพูดกับท่านข้าหลวงทังสักหน่อย ลงโทษอย่างเด็ดขาดกับคนลี้ภัยพวกนั้น มิเช่นนั้นชาวบ้านตาดำๆ อย่างพวกเราคงนอนหลับไม่ลงกัน! 

เผยเยี่ยนนั่งอย่างสง่าผ่าเผยอยู่บนเก้าอี้ เป่าใบชาปี้หลัวชุน[1]ที่ลอยอยู่ในถ้วยชาเบาๆ แทบไม่ปราดสายตามองพวกคหบดีเบื้องหน้าที่อายุน้อยสุดก็ปาเข้าไปสี่สิบปีแล้ว

เรื่องนี้เขาได้ยินมานานแล้ว

สกุลหลี่ทำตัวไม่เหมาะสม เขาก็รู้มานานแล้วเช่นกัน

แต่ว่า ปีนั้นสกุลเผยย้ายจากถิ่นเดิมมาอยู่ที่นี่ เพราะสร้างความโกรธเคืองให้ทุกคนในถิ่นเดิม มีอำนาจล้นฟ้า ล่วงเกินผลประโยชน์ของคนส่วนมาก ถึงกระทั่งทำให้ราชสำนักเกิดความไม่พอใจ จึงต้องเสียสละส่วนน้อยรักษาส่วนใหญ่ ทำได้เพียงพกทรัพย์สินส่วนหนึ่งวิ่งมาที่เมืองหลินอัน ก่อร่างสร้างตัว ลงหลักปักฐานที่นี่ นับแต่นั้นมา สกุลเผยจึงเริ่มปฏิบัติตัวเป็นกลางกับสกุลอื่น ใช้อำนาจเพียงในเมืองหลินอัน ไม่สอดมือไปยุ่งเรื่องของใคร และก็เป็นเพราะเช่นนี้ สิ่งที่สกุลเผยยึดมั่นตลอดมาคือความใจกว้างมีเมตตากับเพื่อนบ้าน เหลือพื้นที่ให้คนอื่นได้ลืมตาอ้าปาก ถึงกระทั่งจงใจตั้งสกุลหนึ่งขึ้นมาคานอำนาจกับสกุลเผยในที่แจ้ง เพื่อไม่ให้สกุลเผยสูงเด่นเพียงลำพัง ถูกคนอิจฉาริษยา ก่อเรื่องเดือดร้อนมาให้

และสกุลหลี่ ก็คือเป้าที่เกิดขึ้นมาในช่วงเวลานี้ของพวกเขา

แน่นอนว่าเผยเยี่ยนไม่อาจให้สกุลพวกเขาล้มลงได้

เขาจิบชาอยู่หลายคำ รอพวกคหบดีเหล่านั้นระบายความไม่พอใจออกมาจนหมดสิ้น เวลานี้จึงค่อยกล่าวขึ้นมาอย่างไม่เร็วไม่ช้า  เรื่องที่พวกเจ้าพูด ข้าได้ฟังมาบ้างแล้ว ทางข้าหลวงทัง ก่อนหน้านี้ข้าได้พูดพอเป็นพิธีกับเขาแล้ว เรื่องนี้ให้จบลงที่สกุลหลี่ ไม่อาจซักไซ้ไล่เลียงอีก ส่วนคนลี้ภัยพวกนั้น ข้าจะพูดกับข้าหลวงทังตามความเห็นของทุกคนอีกที ให้คนหาวิธีขับไล่พวกนั้นออกจากหลินอัน แม้การจดทะเบียนลงท้องที่จะเป็นเพราะราชสำนักเมตตาต่อคนลี้ภัย แต่นี่ก็ต้องดูสถานการณ์ด้วยเช่นกัน มีชายหนุ่มเลือดร้อนมากมายขนาดนั้น หากเกิดเรื่องขึ้นมา พวกเราสกุลใหญ่ทั้งหลายของหลินอันก็ไม่อาจผลักภาระได้ ทั้งสกุลเผยของข้าก็ไม่อาจรับโทสะของสวรรค์ได้เช่นกัน 

แม้ใบหน้าของเผยเยี่ยนจะดูเรียบนิ่ง ทว่าคำพูดที่ออกมากลับกล่าวได้ถูกจุด พวกคหบดีเหล่านั้นอดเบิกบานใจไม่ได้ เอ่ยเซ็งแซ่  นายท่านสามพูดเช่นนี้พวกเราก็วางใจแล้ว 

บางคนก็ประจบประแจงอยู่ตรงนั้น เอ่ยประมาณว่า ‘หลินอันมีเรื่องอะไรก็ต้องเป็นนายท่านสามสกุลเผยที่ออกหน้า’ ‘สกุลเผยมีนายท่านสามเป็นผู้ดูแล ย่อมเจริญเฟื่องฟู ก้าวหน้าไปอีกขั้น’ มีกระทั่งพูดว่า ‘ไม่มีสกุลเผย จะมีหลินอันดั่งเช่นวันนี้ได้อย่างไร’

เผยเยี่ยนได้ฟังก็ราวกับกลืนเนื้อติดมันก้อนโตลงไป เลี่ยนจนทนไม่ไหว รีบหยัดกายขึ้น หาข้ออ้างว่าโจวจื่อจินมาเป็นแขกอยู่ในบ้าน ส่งคหบดีชนบทพวกนั้นออกไป

หูซิ่ง พ่อบ้านสามที่พุงขาวย้วยราวกับคนท้องเดินยิ้มตาหยีเข้ามา เอ่ยว่า  อวี้ซิ่วไฉของตรอกชิงจู๋เพิ่งส่งป้ายชื่อมา กล่าวว่าอยากพบท่านขอรับ ข้าเห็นว่าหลายวันนี้ท่านหงุดหงิดที่ต้องคบค้าสมาคมกับคนภายนอกไม่น้อย จึงตัดสินใจพลการ ถามเหตุผลที่มาของอวี้ซิ่วไฉ เขากล่าวว่าหลังจากหมอหลวงหยางจ่ายยาบำรุงร่างกายให้นายหญิงของเขา อาการของนางก็ดีอยู่เรื่อยมา ได้ยินว่าหมอหลวงหยางมาตรวจสุขภาพให้นายหญิงใหญ่ จึงอยากเชิญหมอหลวงหยางไปตรวจดูนายหญิงเขาอีกครั้ง ดูว่าต้องเปลี่ยนสำรับยาหรือไม่ 

สำรับยาบำรุงร่างกาย ฤดูหนาวและฤดูร้อนมีความแตกต่างเป็นอย่างมาก

และยามนี้อากาศก็หนาวเย็นลงเรื่อยๆ

เผยเยี่ยนฟังแล้วก็ขมวดคิ้ว ไม่ได้กล่าวอันใด

ใบหน้าของหูซิ่งยังคงประดับรอยยิ้ม ทว่าแผ่นหลังกลับชุ่มไปด้วยเหงื่อ

นายท่านสามของพวกเขาคนนี้ ตั้งแต่เล็กก็ดื้อรั้นไม่เหมือนใคร ยามที่ท่านผู้เฒ่าเผยมีชีวิตอยู่ ก็ไม่สามารถจ้ำจี้จ้ำไชเขาได้แต่อย่างใด ยามนี้ท่านผู้เฒ่าไม่อยู่แล้ว นายท่านรองปิดประตูไม่รับแขก ทุกวันไม่เพียงคัดลอกคัมภีร์ให้ท่านผู้เฒ่า ยังให้นายหญิงรอง คุณหนูใหญ่และนายน้อยสามคัดลอกคัมภีร์ด้วยกัน คุณหนูใหญ่ยังพอว่าเพราะเรียนรู้มาตั้งแต่สามขวบ อายุสิบสองปีแล้ว นายน้อยสามเพิ่งจะหกขวบ แทบจะไม่รู้ว่าจับพู่กันอย่างไรด้วยซ้ำ…ยังมีนายหญิงใหญ่และนายน้อยอีกสองคน เอาแต่อยู่ในหอทิงหลันสุ่ยอย่างสงบเสงี่ยมไม่ยอมออกมา กระทั่งเสียงก็ยังไม่ได้ยิน

หากกล่าวว่านายท่านสามไม่ได้ลอบทำอะไรบางอย่าง เขาคนหนึ่งแล้วที่ไม่เชื่อ

ปรนนิบัติรับใช้เจ้านายคนหนึ่งเช่นนี้ ทั้งเขายังเป็นคนที่รักษาตำแหน่งพ่อบ้านของตัวเองได้จากเรื่องที่ ‘คนใหญ่คนโตขัดแย้งกัน’ ไหนเลยจะกล้าเล่นลูกไม้ต่อหน้าเผยเยี่ยน?

เผยเยี่ยนขมวดคิ้ว นี่คือไม่พอใจที่เขาตัดสินใจโดยพลการกระมัง?

หูซิ่งไล่เลียงเรื่องที่ตัวเองทำมาหลายวันนี้ในใจ พบว่านอกจากเรื่องนี้ก็ยังก็ไม่มีเรื่องใดที่ทำผิดไปจริงๆ เวลานี้เขาจึงเอ่ยทั้งใคร่ครวญ  นายท่านสาม เรื่องนี้ข้าน้อยทำไม่ถูก ครั้งต่อไป… 

ใครจะรู้ว่าเผยเยี่ยนกลับโบกมือ ตัดบทสนทนาของเขา เอ่ยอย่างเรียบนิ่ง  รอเผยหม่านมาค่อยว่ากัน 

เผยหม่านไปส่งแขก พวกเขารออยู่พักใหญ่ เขาก็ย้อนกลับมา

เผยเยี่ยนถามเขา  เรื่องของสกุลหลี่นั้น เป็นอวี้ซิ่วไฉที่เปิดเผยออกไปอย่างนั้นรึ? 

เผยหม่านเอ่ยอย่างนอบน้อม  ข้าไปพิสูจน์ด้วยตัวเองแล้ว อวี้ซิ่วไฉไปบอกเรื่องนี้กับท่านข้าหลวงทังจริงๆ ขอรับ 

เผยเยี่ยนพยักหน้า มุมปากเผยรอยยิ้มออกมาอย่างเลือนราง  คาดไม่ถึงว่าอวี้ซิ่วไฉจะยึดมั่นในคุณธรรมเช่นนี้ เขาไม่กลัวว่าจะถูกสกุลหลี่จะจัดการอย่างนั้นรึ? 

เวลานี้เผยหม่านจึงกล่าว  ก่อนหน้านี้เพราะเรื่องงานแต่งของบุตรสาว สกุลอวี้จึงได้หมางใจกับสกุลหลี่ แม้ว่าอวี้ซิ่วไฉจะไม่ไปร้องเรียนเรื่องครั้งนี้กับท่านข้าหลวงทัง คาดว่าสกุลหลี่ก็จะไม่ปล่อยสกุลอวี้ไปอยู่ดีขอรับ 

ในหัวของเผยเยี่ยนพลันปรากฏใบหน้าของอวี้ถังขึ้นมา

อวี้ถังควรรู้ตัวเองว่าชั่วพริบตาที่ถูกช่วยไว้นั้น ยามที่มองเข้ามาดวงตาเปล่งประกายคล้ายกับดวงดารา…แต่หลังจากรู้ว่าคนที่ช่วยเหลือเป็นเขาแววตาก็ค่อยหม่นแสงลง…ยามที่ขอบคุณเขาในดวงตาวาบวาวอย่างเจ้าเล่ห์…เขาไม่เคยเห็นดวงตาของใครเหมือนคุณหนูสกุลอวี้ผู้ที่ไม่สงบเสงี่ยมคนนั้นมาก่อน ราวกับสามารถบอกเล่าเรื่องราวได้ ยามที่มองดูอะไรก็มักจะแฝงด้วยความสงสัยอยู่หลายส่วน ดูคล้าย ดูคล้ายกับเด็กน้อย…ยามที่พบเขาในโรงจำนำก็มองพินิจอย่างเงียบเชียบ อยากรู้อยากเห็นเป็นอย่างมาก พบเขาที่ถนนฉางซิ่งในตอนกลางคืน เอาแต่ลอบมอง สงสัยเป็นอย่างยิ่ง เจอเขาที่ท่าเรือเสาซี ทำหูตั้งฟังความเคลื่อนไหวของเขาแต่กลับแสร้งนิ่งเฉย ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ที่ตลาดกลางคืน อยากกินขาหมูทั้งทำหล่นจากตะเกียบหลายครั้ง รีบมองดูเขา คิดว่าเขาไม่ได้สนใจ ก็เผยสีหน้ายินดีปรีดาทันที ค่อยๆ คว้าขาหมูขึ้นมากัด…

เขาอดกล่าวไม่ได้  เรื่องที่เกี่ยวข้องกับงานแต่งของสกุลอวี้และสกุลหลี่เกิดอันใดขึ้นกัน? 

เผยหม่านกล่าว  ข้าน้อยไม่ได้สืบความมาอย่างละเอียด สิ่งที่ได้ยินมาล้วนเป็นข่าวซุบซิบนินทา เรื่องราวเป็นอย่างไรกันแน่ ข้าน้อยก็ไม่ชัดเจนเช่นกันขอรับ 

เผยหม่านผู้นี้ เป็นคนที่เผยเยี่ยนพากลับมาจากเมืองหลวง เมื่อก่อนทำอะไร เป็นคนที่ไหน เขียนสัญญาเป็นข้ารับใช้ให้สกุลเผยได้อย่างไร ทั้งยังได้ใช้สกุล ‘เผย’ นี้ พวกเขาล้วนไม่รู้อะไรเลย แต่จากการที่เขาดูแลจัดการหลายเรื่องก็มองออกแล้วว่า เป็นคนที่ยอดเยี่ยมคนหนึ่ง

ได้ยินเขาตอบเช่นนี้ หูซิ่งก็ตกใจยกใหญ่

แม้จะพูดข่าวลือที่ได้ยินมา หากพวกเจ้านายอยากรู้ เจ้าก็พูดออกมาพอเป็นพิธีหน่อยก็ได้!

จากนิสัยของนายท่านสามที่ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ชอบจับผิด เขาคงไม่ถูกตำหนิหรอกกระมัง?

คาดไม่ถึงว่านอกจากเผยเยี่ยนไม่ตำหนิเขาแล้ว ยังเอ่ยด้วยอารมณ์ดี  เมื่อครู่หูซิ่งบอกข้าว่า สกุลอวี้อยากเชิญหมอหลวงหยางไปตรวจดูอาการนายหญิงอวี้ อีกเดี๋ยวเข้าไปบอกกับหมอหลวงหยาง ภายหลังหากเขามาตรวจสุขภาพให้นายหญิงใหญ่ก็ถือโอกาสผ่านทางไปที่สกุลอวี้ด้วย 

เห็นได้ชัดว่าเผยหม่านเหนือความคาดหมายอยู่บ้าง กล่าวยืนยันอีกครั้ง  ภายหลังทุกครั้งที่มาตรวจสุขภาพให้นายหญิงใหญ่ ให้ไปที่สกุลอวี้ด้วยหรือขอรับ? 

หยางโต่วซิงเป็นหมอที่ถูกเลือกให้ตรวจสุขภาพนายหญิงใหญ่ สกุลเผยก็ให้เกียรติและความเคารพต่อเขา ทุกครั้งไม่เพียงให้ค่ารักษาก้อนโต ยังให้พ่อบ้านใหญ่รับผิดชอบไปรับส่งด้วยตัวเอง และสกุลเผยกับสกุลอวี้นั้นเรือนหนึ่งอยู่ทางตะวันออก อีกเรือนอยู่ทางตะวันตก อย่างไรก็ไม่อาจผ่านทางได้หรอก!

เผยเยี่ยนคล้ายว่าไม่ได้ตระหนักถึงเรื่องนี้เช่นกัน ได้ยินเผยหม่านพูดเช่นนี้ กลับชะงักนิ่งไป ก้มศีรษะครุ่นคิดเล็กน้อย เวลานี้จึงกล่าว  คนบ้านใกล้เรือนเคียง เช่นนั้นก็บอกกล่าวกับหมอหลวงหยาง ให้เขาเข้าไปที่นั่นสักหน่อยก็เพียงพอแล้ว 

ค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่หยางโต่วซิงมาหลินอันล้วนอยู่ในความรับผิดชอบของสกุลเผย ไปรักษาให้สกุลอวี้ เรื่องเกี้ยวก็ย่อมเป็นสกุลเผยที่จัดการ

เผยหม่านขานรับ โจวจื่อจินเปลี่ยนสวมรองเท้าเดินตึกตักเข้ามา กล่าวทั้งเลิกคิ้ว  เรื่องในโลกีย์มีอะไรให้คุยสนุกกัน เจ้าก็อย่าหลบข้าเลย ข้ามาก็เพราะอยากพูดเรื่อง ‘คัมภีร์ชุนชิว[2]’ ที่เจ้าไปฟังมาครั้งที่แล้ว…เหตุใดเจ้าจึงเลือก ‘คัมภีร์กู่เหลียง[3]’ แต่ไม่เลือก ‘คัมภีร์กงหยาง[4]’ ศิษย์พี่รองเจ้าเป็นบัณฑิตสายขงจื่อผลักดัน ‘คัมภีร์กงหยาง’ ละทิ้ง ‘คัมภีร์กู่เหลียง’ ข้าว่าศิษย์พี่รองเจ้าคงนั่งหน้าเขียวอยู่ข้างล่างแล้ว เจ้าสามารถนั่งฟังคำสอนต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ ล้วนเป็นเขาที่ช่วยเจ้าคว้าโอกาส เจ้ากลับเรือนไว้ทุกข์ ข้าพบว่าศิษย์พี่รองเจ้าไม่ไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบเจ้าแม้แต่คำเดียว เจ้ากับศิษย์พี่รองก็ไม่ได้เขียนจดหมายให้กันบ่อยๆ เหมือนเมื่อก่อนแล้ว เจ้าบอกกับข้ามาตามตรง เจ้าแตกหักกับศิษย์พี่รองรึ? ภายหลังไว้ทุกข์เสร็จแล้วเจ้ายังคิดจะให้ศิษย์พี่รองช่วยเหลืออยู่หรือไม่? ในหมู่ศิษย์พี่ศิษย์น้องพวกเจ้า ศิษย์พี่รองนั้นดีที่สุดแล้ว เจ้าอย่าได้ทำเรื่องโง่ๆ เชียว! 

เผยเยี่ยนได้ฟังก็อารมณ์เสียขึ้นมา ยืนขึ้นด้วยใบหน้าบึ้งตึง  ไม่ใช่ว่าเจ้าจะไปชิงซานหูรึ? จะไปหรือไม่ไป? 

 ดูนิสัยเสียของเจ้านี่สิ!  โจวจื่อจินกล่าวอย่างโมโห  ข้าคุยอย่างจริงจังกับเจ้า เจ้าอย่ามาพูดจาบ่ายเบี่ยงข้า หากวันนี้เจ้าไม่พูดให้ชัดเจนกับข้า ข้าก็ไม่ไปที่ไหนทั้งนั้น 

 เจ้าไม่ไปก็ดี  เผยเยี่ยนเอ่ยอย่างไม่เห็นด้วย  หลายวันมานี้ข้าวิ่งโร่กับเจ้าไปทั่วเหนื่อยเหลือทน เจ้าไม่ไป เหมาะที่ข้าจะพักหลายวันอยู่พอดี  พูดจบ เขาก็หยัดกายขึ้นเดินออกไป

โจวจื่อจินนั้นอึ้งไป ผ่านไปพักใหญ่จึงดึงสติกลับมา วิ่งไล่ตามเขาออกไป กล่าวอยู่ข้างหลังเขา  เจ้าหมายความว่าอย่างไร? หากไม่ใช่พี่รองเจ้าเชิญข้ามา ข้าก็ไม่เข้ามาหรอก 

เผยเยี่ยนไม่แม้แต่จะหันกลับไปพูด  เช่นนั้นเจ้าก็ไปหาพี่รองข้า เขาเอาแต่ทำตัวลึกลับซับซ้อนอยู่ในเรือนทุกวัน เจ้าจะได้อยู่เป็นเพื่อนเขาพอดี 

———————————————–

[1]ชาปี้หลัวชุน เป็นชาเขียวที่มีถิ่นกำเนิดจากเจียงซู มีกลิ่นหอมของดอกไม้ รสชาติหอมหวาน

[2]คัมภีร์ชุนชิว พงศาวดารที่บันทึกเรื่องราวแต่ละยุคสมัยของจีน ภายหลังสูญหายเหลือเพียงเรื่องราวที่ขงจื้อรวบรวมเกี่ยวกับแคว้นหลู่ ก่อนจะมีการเรียบเรียงใหม่ในราชวงศ์ฮั่น โดยมีการเรียกคัมภีร์จั่วซื่อ คัมภีร์กงหยาง และคัมภีร์กู่เหลียง ทั้งสามรวมกันว่า คัมภีร์ชุนชิว

[3]คัมภีร์กู่เหลียง เป็นคัมภีร์อรรถาธิบาย ‘คัมภีร์ชุนชิว’ เน้นให้ความสำคัญกับการเคารพอำนาจกษัตริย์ ปลูกฝังสั่งสอนมารยาท การรักใคร่ในวงศ์สกุล เป็นต้น

[4]คัมภีร์กงหยาง เป็นคัมภีร์อรรถาธิบาย ‘คัมภีร์ชุนชิว’ โดยเฉพาะ มีความข้องเกี่ยวกับการเมือง อธิบายการเปลี่ยนแปลงระบบปกครอง เน้นย้ำการรวมเป็นหนึ่ง กลับตัวกลับใจแก้ไขเดินในทางที่ถูกต้อง เป็นต้น

 

อวี้ถังได้ฟัง ใจก็เต้นดั่งรัวกลอง “เจ้าต้องการจะพูดอะไร?”
เว่ยเสี่ยวชวนเอ่ย “สกุลพวกเขารับคนลี้ภัยอยู่ในความดูแล พวกเราสามารถร้องเรียนพวกเขาได้หรือไม่?”
ราชสำนักมีข้อบังคับ ไม่อนุญาตให้รับผู้ลี้ภัยอย่างส่งเดช
เพราะคนลี้ภัยพวกนี้ไม่มีทะเบียนบ้าน ไม่มีที่ดิน เพื่อปากท้องของตัวเอง สามารถยอมเสี่ยงตาจน ก่อเรื่องทำร้ายผู้คนได้ง่าย เมื่อพบเรื่องเช่นนี้บ่อยๆ หากศาลาว่าการไม่ออกหน้าส่งกลับภูมิลำเนาเดิม ก็จดเข้าอยู่ในทะเบียนของท้องที่ ให้รางวัลพวกเขาได้ลงหลักปักฐานเริ่มต้นชีวิตใหม่
หากสิ่งที่เว่ยเสี่ยวชวนพูดเป็นความจริง สกุลหลี่รับคนลี้ภัยเช่นนี้ก็นับว่าไม่สมควรอยู่บ้าง
ชาติก่อน นางคล้ายได้ยินว่าสกุลหลี่มีที่นาอย่างนี้เช่นกัน แต่เวลานั้นนางไม่ได้สนใจ ทั้งเหตุผลที่นางจำที่นาแห่งนี้ได้ เป็นเพราะว่าภายหลังสกุลหลี่รู้สึกว่าคนลี้ภัยพวกนั้นควบคุมยาก จึงไล่คนลี้ภัยพวกนั้นออกไป มีคนไม่ยินยอม ก่อเรื่องฆ่าคนตาย สกุลหลี่แจ้งทางการ ภายหลังศาลาว่าการออกหน้าจึงค่อยจัดการให้เรื่องนี้สงบลงได้
เพราะเรื่องนี้คนสกุลหลินจึงอารมณ์เสียอยู่หลายวัน ทั้งยังมักระบายโทสะในเรือน กล่าวว่าเป็นคนไม่อาจจะเมตตากรุณาเกินไป สกุลหลี่ทำเรื่องดีกลับกลายเป็นเรื่องร้าย ภายหลังย่อมไม่อาจจะรับคนลี้ภัยพวกนั้นอีก
เวลานั้นนางก็คิดว่าคนลี้ภัยพวกนั้นไม่รู้จักบุญคุณ…แต่มาดูวันนี้ เกรงว่าเรื่องราวจะไม่เหมือนชาติก่อนที่นางเข้าใจเช่นนั้นแล้ว
ไม่แน่ว่าเว่ยเสี่ยวชวนอาจจับพลัดจับพลู ค้นพบเบาะแสสำคัญเข้าอย่างไม่ตั้งใจก็ได้
อวี้ถังเอ่ย “หลังจากกลับมาจากสกุลพวกเจ้า ข้าครุ่นคิดอยู่นาน คิดว่าหากสกุลหลี่ทำเรื่องเลวร้าย พวกเขาไปหาคนมาจากไหนกัน? อย่างไรก็เป็นชีวิตคนๆ หนึ่ง หาหลักฐานไปแจ้งทางการได้ สกุลพวกเขาก็ต้องโทษแล้ว หากไม่อยากมีปัญหาในอนาคต อาจจะให้ผู้ดูแลคนสนิทในสกุลเป็นผู้ลงมือ ไม่อย่างนั้นก็จ้างคนภายนอก ผู้ดูแลของสกุลหลี่ ข้าได้ไปสืบความมาแล้ว ล้วนอยู่อย่างปกติในเมือง เย็นวันนั้นก็ไม่มีใครว่าจ้างอะไรอยู่ข้างนอก ผู้ที่กล้าทำเรื่องนี้ หากเป็นข้ารับใช้ผู้มีอิทธิพล ข้าก็ไปสืบมาแล้วเช่นกัน ข้ารับใช้ผู้มีอิทธิพลที่มีชื่อเสียงในหลินอันนั้น หลายวันมานี้ล้วนแล้วแต่อยู่ในเมืองหลินอัน ไม่มีใครหลบหนี…”
เว่ยเสี่ยวชวนได้ยินพลันตากระจ่างขึ้นมา “ดังนั้นฆาตกรที่ทำร้ายพี่รองข้า เป็นไปได้ว่าก็คือคนลี้ภัยในที่นาพวกนั้น?”
อวี้ถังขานรับเสียงเบา
เว่ยเสี่ยวชวนรีบเอ่ย “เช่นนั้นข้าจะลาหยุด พรุ่งนี้จะไปดูที่นาแห่งนั้นสักหน่อย”
“ไม่ได้!” อวี้ถังเอ่ยทันที “หากเจ้าถูกคนสงสัย อาศัยแค่คนผอมแห้งอย่างเจ้า เกรงว่าวิ่งหนียังจะไม่ไหว ยามนี้พวกเราไม่อาจทำเรื่องโดยใช้อารมณ์ได้”
“ก็ได้!” เว่ยเสี่ยวชวนเอ่ยอย่างท้อใจ “ข้าได้ยินญาติผู้พี่กล่าวว่า คนในที่นานั้นล้วนอยู่ดีกินดี ไม่ได้ถือเสียมถือจอบทำไร่ทำนาแต่อย่างใด เรื่องนี้ย่อมมีอะไรแฝงอยู่ เจ้าก็ต้องระวัง อย่าถูกคนจับได้ฆ่าปิดปากเชียว เจ้าไม่ได้กล่าวหรือว่า พวกเราไม่อาจทำเรื่องโดยใช้อารมณ์ได้?”
สกุลหลี่จ้างพวกอันธพาลมาฉุดนาง ทำลายชื่อเสียงนาง มีอะไรแตกต่างจากฆ่าคนปิดปากอย่างนั้นรึ?
อวี้ถังเอ่ย “เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าไม่ไปเองหรอก ข้าจะให้คนช่วย”
เว่ยเสี่ยวชวนใคร่ครวญดูก็คิดว่าเช่นนี้ดีแล้ว เขาเอ่ยว่า “เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน เข้าเรียนวันแรก พวกอาจารย์จะขานชื่อ ข้าไม่อาจไปสาย หากเจ้ามีข่าวคราวอะไร ก็อย่าลืมให้คนไปส่งจดหมายให้ข้าล่ะ”
อวี้ถังย่อมไม่อาจรั้งเขา รีบเอ่ยว่า “เจ้านั่งเกี้ยวข้าไปเถิด! ข้าจ่ายเงินเอง”
เว่ยเสี่ยวชวนปฏิเสธ “ข้าไปทางถนนเล็กๆ ใช้เวลาไม่นาน เจ้าไม่ต้องสนใจข้าหรอก เสียดายที่คนในที่นาสกุลพวกเราไม่เห็นหน้าของสองคนนั้นชัดเจน ไม่อย่างนั้นข้าคงจะสามารถพาคนไปยืนยันได้แล้ว”
อวี้ถังถอนหายใจ “ยังดีที่คนในที่นาพวกเจ้าไม่เห็นหน้าของสองคนนั้นชัดเจน หากทำอย่างเจ้า พาคนไปตรงๆ เช่นนี้ แม้ว่าจะยืนยันได้ พวกเขาก็ย่อมมีวิธีโยนความผิดไปให้คนอื่น เรื่องนี้ไม่อาจทำอย่างส่งเดช ต้องใช้ไหวพริบ เจ้ารีบไปเข้าเรียนเถิด เรื่องนี้ข้าจะจัดการอย่างเหมาะสมเอง”
เว่ยเสี่ยวชวนเพียงอยากบ่นสักหน่อยเท่านั้น ฟังจบก็ก้มหน้าเดินจากไป
อวี้ถังกลับมาถึงเรือน ตลอดทั้งคืนก็เอาแต่คิดถึงเรื่องนี้ รอจนยามที่ฟ้าใกล้สว่าง ในที่สุดนางก็ตัดสินใจไปหาอวี้เหวิน
อวี้เหวินและคนสกุลเฉินกำลังตรวจดูสิ่งของในเรือน คัดแยกออกมา เตรียมส่งไปให้อวี้ป๋อ ตั้งใจจะจัดการงานแต่งของอวี้หย่วนให้เสร็จสมบูรณ์เป็นอันดับแรก
อวี้ถังและบิดามารดาพูดคุยกันไม่กี่คำ ก่อนจะขยิบตาเป็นนัยให้บิดา
อวี้เหวินเข้าใจ เอ่ยกับคนสกุลเฉิน “ข้าเพิ่งนึกได้ปีก่อนมีสหายมาจากเหมยโจว มอบผ้าไหมสูจิ่น[1]ให้พวกเราผืนหนึ่ง เจ้าค้นมันออกมาแล้วส่งไปให้พี่ใหญ่ด้วยเถิด!”
ผ้าผืนนั้นแข็งเกินไป ทำเป็นเสื้อสวมก็คงจะไม่สบายตัว ทว่าขอบเสื้อกลับงดงามไม่น้อย เดิมทีคนสกุลเฉินเตรียมจะเก็บไว้ให้อวี้ถัง เวลานี้ได้ยินอวี้เหวินพูด นางจึงอดลังเลไปครู่หนึ่งไม่ได้ คิดว่าแม้ผ้าไหมสูจิ่นจะหายาก แต่ก็ใช่ว่าจะหาซื้อไม่ได้ เพียงแค่ราคาสูงไปหน่อยเท่านั้น อย่างไรลวดลายขอบเสื้อน่าจะเยอะไปอยู่บ้าง ให้อวี้หย่วนก็ให้อวี้หย่วน นางตอบรับ ก่อนจะไปยังห้องเก็บของ
อวี้เหวินให้งานคนสกุลเฉินทำแล้ว เวลานี้จึงค่อยวางใจ ไปห้องหนังสือกับอวี้ถัง
อวี้ถังยังคงไม่รู้ว่าผ้าไหมสูจิ่นที่เดิมทีควรเป็นของนางกลับหายไปเช่นนี้แล้ว
นางเอ่ยกับอวี้เหวิน “เมื่อวานยามที่กลับมาข้าพบกับคุณชายห้าสกุลเว่ย เขาบอกข้าว่า ยามที่เขาไปส่งของขวัญให้ตาในเทศกาลไหว้พระจันทร์ก็พบว่า ห่างจากที่นาของตาเขาไม่ไกลมีที่นาของสกุลหลี่อยู่แห่งหนึ่ง รับคนลี้ภัยไว้ไม่น้อย…”
“มีเรื่องเช่นนี้ด้วยรึ!” อวี้เหวินตกใจ เอ่ยอย่างมีโทสะ “หากคนลี้ภัยพวกนั้นก่อจลาจลขึ้นมา เมืองหลินอันย่อมมิพ้นมีคนตาย หรือสกุลหลี่จะไม่รู้เรื่องนี้เชียว? ไม่ได้ เรื่องนี้ข้าต้องบอกให้ท่านข้าหลวงทังทราบ”
อวี้ถังดึงบิดาไว้ “ท่านพ่อ ท่านไม่อาจไปหาท่านข้าหลวงทังแบบนี้ได้”
อวี้เหวินไม่เข้าใจ
อวี้ถังเอ่ย “ท่านลองคิดดู สกุลหลี่นั้นนับว่าเป็นสกุลขุนนาง อันตรายของพวกลี้ภัย คนอื่นอาจไม่รู้ แต่สกุลพวกเขาจะไม่รู้ได้อย่างนั้นรึ? พวกเขาจ้างอันธพาลมาฉุดข้าได้ ก็สามารถส่งคนลี้ภัยพวกนั้นมาก่อความวุ่นวายในเรือนได้เช่นกัน ความหมายของข้าคือ ท่านมิสู้ปรึกษาเรื่องนี้กับท่านข้าหลวงทังก่อน ให้เขาอาศัยชื่อของทางการตรวจสอบ กล่าวไปว่ามีคนรายงานว่ามีการรับพวกญี่ปุ่นมาอยู่ในที่นา หากสกุลหลี่ทำเรื่องดีรับคนพวกนั้นไว้ก็แล้วไป หากผิดปกติ ท่านข้าหลวงทังย่อมรู้ว่าควรจะจัดการอย่างไร”
อวี้เหวินตรึกตรอง รู้สึกว่าความคิดนี้ดีกว่าการที่ตัวเองเข้าไปหาข้าหลวงทังตรงๆ
พื้นที่ในการดูแลของตัวเองมีคนรับพวกลี้ภัยไว้ เขากลับไม่รู้ หากไม่เกิดเรื่องอะไรก็แล้วไป แต่เมื่อเกิดปัญหา ผลงานตลอดสามปีของเขาที่สั่งสมมาก็นับว่าเป็นอันจบ ไม่ถูกถอดยศก็คงจะกระทบกับการเลื่อนตำแหน่ง ยิ่งไปกว่านั้นสกุลอวี้และสกุลหลี่เป็นดั่งน้ำกับไฟที่อยู่ร่วมกันไม่ได้แล้ว แม้ว่าสกุลหลี่จะรู้ว่าเขาเป็นคนรายงานแล้วอย่างไร? หรือเขาไม่รายงานสกุลหลี่ สกุลหลี่ก็จะปล่อยสกุลอวี้ไปอย่างนั้นรึ?
อวี้เหวินเอ่ย “ข้ารู้ว่าควรพูดอย่างไรแล้ว เจ้าไปอยู่เป็นเพื่อนแม่เจ้าเถิด! ตอนนี้อากาศเย็นลงเรื่อยๆ ข้าได้ยินว่าอีกไม่กี่วันหมอหลวงหยางจะมาตรวจสุขภาพให้นายหญิงใหญ่สกุลเผย อยากจะเชิญเขาเข้ามาดูแม่เจ้าเสียหน่อย เจ้าจับตาดูแม่เจ้าไว้ อย่าให้นางจับไข้เชียว…หากจับไข้ ก็ต้องรอให้หายป่วยก่อนจึงจะจัดยาบำรุงได้ ไม่แน่ว่าหมอหลวงหยางจะรออยู่ถึงเวลานั้นเสียทีเดียว”
ตั้งแต่กินยาของหยางโต่วซิง คนสกุลเฉินก็ไม่ป่วยอีกเรื่อยมา ความเชื่อมั่นของอวี้เหวินที่มีหยางโต่วซิงจึงเพิ่มมากขึ้น คิดว่าขอเพียงสามารถเชิญหยางโต่วซิงมาทำการรักษา ร่างกายของคนสกุลเฉินก็จะไม่เจ็บป่วยอะไรแล้ว
อวี้ถังรับปากอย่างดี
ก่อนอวี้เหวินจะเดินทางไปศาลาว่าการ
อวี้ถังจึงจัดเตรียมของที่จะส่งไปให้ลุงใหญ่เป็นเพื่อนคนสกุลเฉิน รอจนอวี้เหวินกลับมาก็ไปเรือนลุงใหญ่ด้วยกัน
ระหว่างทางอวี้ถังถามบิดา “ท่านข้าหลวงทังว่าอย่างไร?”
อวี้เหวินเอ่ย “ท่านข้าหลวงทังคิดว่าสกุลพวกเราจะแก้แค้นสกุลหลี่ แม้จะรับปากไปตรวจสอบ แต่ข้าเห็นว่าไม่กระตือรือร้นเท่าใด เวลานั้นข้าจึงคิดขึ้นมาอย่างว่องไว ยามที่จะจากมากล่าวว่าจะไปเชิญหมอหลวงหยางที่สกุลเผยมาตรวจดูอาการป่วยเสียหน่อย ท่าทีเขาก็เปลี่ยนไปทันที” พูดมาถึงตรงนี้ เขาก็ถอนหายใจ “ติดหนี้บุญคุณสกุลเผยอีกแล้ว ก็ไม่รู้ว่ายามใดจะสามารถคืนได้หมด”
ประเด็นอยู่ที่ว่ายังคงไม่รู้จะคืนอย่างไร
อวี้ถังคิดว่าไม่ออกว่าเผยเยี่ยนยังขาดแคลนอะไร
โดยเฉพาะเผยเยี่ยนที่คิดว่านางมีใจคิดไม่ซื่ออยู่เรื่อยมา ทำเรื่องอะไรล้วนมีจุดประสงค์แอบแฝง มองนางขัดหูขัดตาเป็นอย่างยิ่ง
นึกมาถึงตรงนี้ อวี้ถังจึงถอนหายใจอย่างหงุดหงิดอยู่บ้าง
ช่างเถิด บุญคุณอันใหญ่หลวงของสกุลเผย นางทำได้เพียงค่อยคืนในชาติหน้าเท่านั้น
หากนางยังสามารถเกิดในชาติหน้าได้ละก็?
ระหว่างที่พูดกันไม่กี่ประโยค พวกเขาก็มาถึงเรือนของอวี้ป๋อ เรื่องนี้จึงหยุดชะงักไปเช่นนี้
อวี้ถังสั่งให้อาเสามอบเงินจำนวนหนึ่งให้อาลิ่วที่ขายสาลี่อยู่ตรงธารเสี่ยวเหมย ให้เขาจับตาดูสกุลหลี่
ไม่กี่วันต่อมา ทั่วเมืองหลินอันก็มีคนเล่าลือกันว่า สกุลหลี่ปรารถนาดีรับพวกลี้ภัยไว้จำนวนมาก เมื่อข้าหลวงทังทราบ จึงส่งคนไปตรวจสอบถึงหน้าประตูว่า คนลี้ภัยพวกนั้นเคยทำเรื่องผิดกฎหมายหรือไม่ ใครจะรู้ว่าคนลี้ภัยพวกนั้นจะร้อนตัว ยามที่คนของศาลาว่าการเข้าไปสอบสวน ก็ได้เกิดการปะทะกับคนลี้ภัยพวกนั้น ทำให้เจ้าหน้าที่เสียชีวิตไปสองคน
สกุลหลี่หน้าถอดสี เสียใจอย่างยิ่งที่ปรารถนาดีรับคนพวกนั้นไว้ คุณชายใหญ่สกุลหลี่ออกหน้าด้วยตัวเองจัดการกับเรื่องนี้ ไม่เพียงปลอบใจครอบครัวชาวไร่ชาวนาที่อยู่รอบๆ ยังควักเงินออกมาจัดงานศพอย่างยิ่งใหญ่ให้สองเจ้าหน้าที่ จ่ายเงินค่าทำขวัญกองโตให้เสร็จสรรพ
อวี้ถังยิ้มเยาะ
นางไม่เชื่อว่าแผนล่อเสือออกจากถ้ำนี้ของนางจะล้มเหลว
เพียงแต่เมื่อสองคนนั้นปรากฏตัว นางจะนำคนมาไว้ในมืออย่างไรดี
อวี้ถังครุ่นคิดอยู่อย่างนั้นว่าจะขอให้ใครช่วยเหลือ
หากนางมีพี่น้องมากหน่อยก็คงจะดี!
นางถอนหายใจอยู่ตรงนั้น จู่ๆ ท่านข้าหลวงทังก็มาเยี่ยมอวี้เหวินถึงหน้าประตู
อวี้ถังให้ซวงเถาใช้โอกาสที่ยกชาให้ท่านข้าหลวงทังลอบฟังเสียหน่อย
ซวงเถามาบอกนาง “ท่านข้าหลวงทังมาขอโทษนายท่านของพวกเรา กล่าวว่าเรื่องครั้งที่แล้ว คุณชายใหญ่สกุลหลี่มาไถ่ถามเขาด้วยตัวเอง เขาไม่อาจปิดบังจึงบอกเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้คุณชายใหญ่สกุลหลี่ฟัง ยังดีที่คุณชายใหญ่สกุลหลี่เป็นคนมีเหตุผล พูดขอโทษนายท่านพวกเราอย่างตรงๆ ยังกล่าวว่า รอเรื่องสงบแล้ว เขาจะมาขอโทษถึงเรือนด้วยตัวเอง ขอให้นายท่านอย่าได้เอ่ยถึงเรื่องนี้ยามที่ไปสกุลเผย” พูดจบ นางก็เบิกตาโตถามอวี้ถังอย่างแปลกใจ “คุณหนูใหญ่ เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ? เหตุใดท่านข้าหลวงทังถึงกระทั่งมาขอโทษนายท่านพวกเราด้วยตัวเอง?”
“เรื่องของเจ้านายเจ้าไม่ต้องยุ่ง” อวี้ถังไล่ซวงเถาออกไปอย่างไม่จริงจังนัก ในใจกลับดูแคลนข้าหลวงทังเป็นอย่างยิ่ง
เขามาขอโทษบิดาของนางที่ไหนกัน เห็นได้ชัดว่ามาบอกบิดาของนาง สกุลหลี่นั้นรู้แล้วว่าคนที่รายงานต่อทางการคือบิดาของนาง เขาเห็นแก่สกุลเผยจึงลอบมาส่งข่าวให้บิดานาง ยังบอกบิดานางว่า เรื่องนี้หลี่ตวนสอดมือยุ่งแล้ว หากสกุลอวี้และสกุลหลี่ทั้งสองเกิดแตกหักอันใด ก็ไม่เกี่ยวกับเขา
มิน่าเล่าข้าหลวงทังรับราชการที่หลินอันอยู่เก้าปีเต็มจึงย้ายไปที่อื่น ยอมไกล่เกลี่ยให้สองฝ่ายจบเรื่อง ประจบประแจงทั้งคู่ ขี้ขลาดตาขาวไม่กล้ารับผิดชอบในหน้าที่ สามารถเป็นขุนนางใหญ่ได้ก็แปลกแล้ว!
อวี้เหวินวางแผนฉีกหน้ากับสกุลหลี่ตั้งนานแล้ว ย่อมไม่ใส่ใจในคำพูดของข้าหลวงทัง เขาต้อนรับข้าหลวงทังอย่างกระตือรือร้น คุยเรื่องร่ายกาพย์กลอน ทั้งยังนัดขึ้นเขาชมดอกเบญจมาศในยามเทศกาลฉงหยาง ไม่เอ่ยถึงความขัดแย้งกับสกุลหลี่แม้แต่คำเดียว
เดิมทีข้าหลวงทังก็เห็นแก่สกุลเผยจึงได้มาบอกกล่าว หากสกุลเผยปกป้องสกุลอวี้ต่อไป แม้ว่าสกุลหลี่จะรู้ก็ไม่อาจทำอะไร หากสกุลเผยไม่สนใจ สกุลอวี้ก็เหมือนเอาไข่ไปทุบหิน อย่างมากที่สุดเขาทำได้เพียงถอนหายใจเท่านั้น
เขาดึงตัวเองออกมาก็เพียงพอแล้ว ส่วนอย่างอื่น เขาไม่อยากจะล่วงเกินใคร ทั้งไม่มีความสามารถจะจัดการด้วย
———————————————
[1]ผ้าไหมสูจิ่น ผ้าไหมขึ้นชื่อของเสฉวน สีสันหลากหลาย มีความประณีตชดช้อย

เรื่องที่คนสกุลหวังและคนสกุลเฉินกังวลไม่ได้เกิดขึ้น กลับเป็นสกุลเว่ยที่กลัวว่าสกุลอวี้จะไม่ชอบใจที่คุณหนูเซียงรูปร่างสูงเกินไป แม่สื่อมาถ่ายทอดคำพูด คนสกุลหวังและคนสกุลเฉินจึงค่อยวางใจลง ตั้งใจว่ารอหลังจากเทศกาลไหว้พระจันทร์ก็จะไปเจรจาเรื่องงานแต่งกับสกุลเว่ยอย่างเป็นทางการ

อวี้เหวินกลับพูดเรื่องในใจกับอวี้ถังที่ห้องหนังสือ  พบตัวอาเจ็ดเจ้าแล้ว คาดว่าเขาคงจะรู้ว่าตัวเองทำผิด เตรียมที่จะหลบหนี แต่คนผู้นี้ แต่ไหนแต่ไรก็เป็นคนเงอะงะ วิ่งหนีได้ไม่เกินสามลี้ก็ถูกคนของลุงใหญ่หาตัวพบ ลุงใหญ่เจ้าไปถามด้วยตัวเอง ผู้ที่ให้เขาทำเรื่องนี้ เป็นคนสกุลหลี่จริงๆ ส่วนเขาก็คิดว่าตัวเองกำลังช่วยเจ้าอยู่ 

พูดถึงตรงนี้ เขาก็เอ่ยต่อด้วยรอยยิ้มขมขื่น  คนอย่างเขา เจ้าคงไม่เข้าใจเท่าใด แต่ว่าลุงใหญ่เจ้าพูดกับปู่ห้าแล้ว เขาไม่อาจอยู่ในหมู่บ้านได้อีก อย่างน้อยก็ไม่อาจรั้งอยู่ที่สกุลพวกเรา เขาเป็นบุตรบุญธรรมของปู่ห้า เขาออกจากสกุลอวี้ไป วัยชราของปู่ห้าเจ้าย่อมไร้ที่พึ่งพา แต่ว่าปู่ห้าเจ้าก็บอกแล้ว เดิมทีรับอาเจ็ดมาเลี้ยงก็เพราะอยากใช้ชีวิตอย่างมีความสุขยามแก่เฒ่า วันนี้กลับกลายเป็นเช่นนี้ ไม่อาจมีความสุขยามชราได้แล้ว ยังมาถูกอาเจ็ดเจ้าทำให้เดือดร้อน เขาไม่ต้องการบุตรบุญธรรมคนนี้แล้ว วันนี้ก็ไปหาปู่เก้า คิดจะเปิดหอบรรพชนลบความเกี่ยวข้องกับลูกบุตรบุญธรรม ลุงใหญ่เจ้าคิดว่าเป็นเช่นนี้ก็ดี แอบให้เงินปู่ห้ายี่สิบตำลึง สัญญาว่าภายหลังจะช่วยดูแลเขายามแก่เฒ่า เมื่อเป็นเช่นนี้ คนอื่นก็ไม่กล้ายุ่งเรื่องของเจ้าอย่างส่งเดชอีกแล้ว 

อวี้ถังคิดว่าจัดการเช่นนี้ก็ดีมากแล้ว

นางเอ่ย  ลำบากลุงใหญ่เสียแล้ว ยามงานเลี้ยงเทศกาลไหว้พระจันทร์ต้องขอบคุณเขาดีๆ สักหน่อยกระมัง! 

 สมควรอย่างยิ่ง!  อวี้เหวินเอ่ย  ลุงใหญ่เจ้าเทียวไปเทียวมาเพราะเจ้า เรื่องของอาหย่วน เจ้าก็ทำได้ดีเช่นกัน เรื่องในเรือนควรเป็นเช่นนี้แหละ พี่น้องดูแลกัน 

อวี้ถังพยักหน้าระรัว

ไม่มีคนสกุลเกา การใช้ชีวิตของญาติผู้พี่ก็คงราบรื่นแล้วกระมัง!

นางเอ่ยถึงเรื่องของศาลาว่าการ  ทางด้านอันธพาลพวกนั้นให้คำตอบหรือยัง? 

 ให้คำตอบแล้ว!  อวี้เหวินพูดถึงเรื่องนี้ก็มีโทสะอยู่บ้าง ขมวดคิ้วเอ่ย  คนพวกนั้นแค่เข้าประตูศาลาว่าการไป ทั้งยังไม่ทันได้ใช้ทัณฑ์ทรมานก็ปริปากออกมาทันที กล่าวว่าสกุลหลี่อยากแต่งเจ้าเข้าสกุล สกุลพวกเราไม่ตอบรับ สกุลหลี่จึงให้พวกเขาสร้างสถานการณ์ ไม่ได้วางแผนจะทำอะไรเจ้า เพียงแค่อยากข่มขู่ให้เจ้ากลัว จากนั้นก็ให้คุณชายรองสกุลหลี่ หลี่จวิ้นทำตัวเป็นวีรบุรุษมาช่วยสาวงาม กลายเป็นเรื่องราวหวานซึ้งฉากหนึ่ง ยามที่ท่านข้าหลวงทังบอกเรื่องนี้กับข้ายังแสดงเป็นนัยว่าคดีเช่นนี้เขาก็ไม่ง่ายที่จะตัดสินโทษสถานหนัก ทางสกุลหลี่ อย่างมากที่สุดก็ปรับเงินจำนวนหนึ่งชดใช้ให้สกุลพวกเรา เรื่องนี้เผยแพร่ออกไปยังอาจจะทำลายชื่อเสียงของเจ้า เขานั้นหว่านล้อมข้าและสกุลหลี่อย่างลับๆ 

อวี้ถังรีบเอ่ยว่า  เช่นนั้นหลี่จวิ้นไม่รู้เรื่องมาก่อนหรือเจ้าคะ? 

อวี้เหวินกล่าว  ฟังจากท่านข้าหลวงทัง หลี่จวิ้นนั้นไม่รู้มาก่อน  พูดถึงตรงนี้ น้ำเสียงเขาก็ชะงักไปเล็กน้อย  ท่านข้าหลวงทังแนะนำให้ข้ายอมรับงานแต่งครั้งนี้… 

 นั่นเป็นไปไม่ได้!  อวี้ถังกลัวบิดาจะเปลี่ยนความคิด ลนลานขึ้นมาทันที  แม้ว่าข้าต้องครองตัวไปชั่วชีวิต ก็ไม่อาจจะแต่งเข้าสกุลหลี่ของพวกเขา! 

 ข้ารู้ ข้ารู้  อวี้เหวินรีบยืนยันกับลูกสาว  ข้าไม่อาจกำหนดงานแต่งของเจ้าโดยที่ไม่บอกเจ้าก่อนได้หรอก ข้ากลัวว่าพวกเราและสกุลหลี่เผชิญหน้าเช่นนี้ต่อไป คนที่เสียเปรียบจะมีเพียงพวกเรา ต้องคิดวิธีจบเรื่องนี้จึงจะถูก 

อวี้ถังยิ้มเย็น นางตัดสินใจจะให้หลี่จวิ้นรู้เรื่องนี้ให้เร็วที่สุด

หากหลี่จวิ้นเลือกร่วมมือกระทำความชั่วด้วยกัน นางจะหาวิธีให้สกุลหลี่ยั้งมือ หากหลี่จวิ้นเลือกสาบานไม่อยู่ร่วมกับอีกฝ่าย นางก็จะใช้อีกวิธีหนึ่งจัดการกับสกุลหลี่ และหากหลี่จวิ้นเลือกที่จะอยู่คนเดียว ไม่สนใจผู้อื่น วิธีของนางก็จะเปลี่ยนไปเช่นกัน

แต่นางคิดว่าแทบไม่มีความเป็นไปได้ที่หลี่จวิ้นจะเลือกสาบานไม่อยู่ร่วมกับอีกฝ่าย

ทั้งไม่ว่าจะอย่างไร นางล้วนตัดสินใจให้สกุลหลี่จ่ายค่าตอบแทนของเรื่องนี้ออกมา

อวี้ถังลอบวางแผนอยู่ในใจ ให้อาเสาส่งจดหมายไปให้หลี่จวิ้น เล่าเรื่องของอาเจ็ดและอันธพาลพวกนั้นให้เขาฟัง ทั้งยังฝากไปบอกเขาว่า  หากเจ้าไม่เชื่อ สามารถไปถามท่านข้าหลวงทังได้ 

หลี่จวิ้นไม่ได้ตอบกลับ

อวี้ถังไม่รีบร้อน

พรุ่งนี้ก็เป็นเทศกาลไหว้พระจันทร์แล้ว ไม่ว่าจะอย่างไรนางก็ต้องให้คนอื่นเขาฉลองเทศกาลอย่างพร้อมหน้าพร้อมตากระมัง?

แม้ว่าจะเป็นอย่างนั้น ในใจของนางยังคงหม่นหมอง ดีที่คนสกุลเฉินและคนสกุลหวังต่างก็จมปลักอยู่กับเรื่องงานแต่งของอวี้หย่วน จึงไม่ได้สังเกตถึงความผิดปกติของนาง ทุกคนพากันฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์อย่างคึกคักรื่นเริง

รอจนเทศกาลไหว้พระจันทร์ผ่านไป คนสกุลหวังที่อยากแสดงว่าตนให้ความสำคัญต่อคุณหนูเซียง ก็เสียเงินมากมายในการเชิญแม่สื่อ ด้านคนสกุลเฉินก็ตรวจดูทรัพย์สินอยู่ในเรือน ดูว่ามีอันไหนพอใช้ได้บ้าง อวี้ถังกลับถูกหม่าซิ่วเหนียงเชิญไปเป็นแขกที่เรือน

หม่าซิ่วเหนียงจะออกเรือนก่อนเทศกาลฉงหยาง มีของมากมายที่ต้องตระเตรียม อยากให้อวี้ถังช่วยนางดู

อวี้ถังโยนเรื่องของตัวเองทิ้งไว้อีกด้าน ตั้งใจช่วยหม่าซิ่วเหนียงจัดเตรียมข้าวของ

หลี่จวิ้นส่งคนมาหาที่เรือนหม่าซิ่วเหนียง กล่าวว่าอยากพบนางสักหน่อย

อวี้ถังคาดว่าเขาคงจะมีความเคลื่อนไหวแล้วเช่นกัน แต่นางต้องการดูท่าทีของหลี่จวิ้นที่มีต่อเรื่องนี้ จึงเอ่ยกับคนที่มา  คุณชายหลี่มีเรื่องอะไร ให้คนมาส่งจดหมายก็เพียงพอแล้ว พบหน้ากันคงไม่จำเป็น ข้ากลัวว่าข้าจะตกหลุมพรางอะไรอีก 

ผู้ที่มาอายุประมาณสิบห้าสิบหก ชาติก่อนอวี้ถังเคยพบเขามาก่อน เป็นผู้ดูแลบัญชีที่นาคนหนึ่งของสกุลหลี่ นางเคยได้ยินคนของสกุลหลี่กล่าวว่า เขาเป็นบ่าวรับใช้ข้างกายหลี่จวิ้นมาก่อน หลังจากหลี่จวิ้นตาย สกุลหลี่เห็นแก่เขาที่เคยรับใช้หลี่จวิ้น จึงให้ค่าตอบแทนเขาอย่างงาม

อวี้ถังลืมไปนานแล้วว่าคนผู้นี้ชื่ออะไร

มองเห็นคนผู้นี้ อวี้ถังจึงนึกขึ้นมาได้ หลี่จวิ้นนั้นตกม้าวันที่สองเดือนสิบ

ชาติก่อนกับชาตินี้มีความแตกต่างเป็นอย่างมาก ไม่รู้ว่าภายหลังหลี่จวิ้นจะมีชะตาเป็นอย่างไร?

บ่าวรับใช้ของหลี่จวิ้นได้ยินก็มีท่าทีลำบากใจไม่น้อย คำนับนางอย่างเร่งรีบ ก่อนจะวิ่งออกไป

หม่าซิ่วเหนียงไม่รู้เรื่องราวภายใน มองแล้วก็ถอนหายใจ  เจ้าว่าเจ้าไม่ชอบคุณชายรองสกุลหลี่เลยรึ เขาปฏิบัติต่อเจ้าดีไม่น้อย! 

อวี้ถังเผยยิ้ม เปลี่ยนไปคุยประเด็นอื่น

ระหว่างทางกลับเรือน นางก็พบหลี่จวิ้น

หลี่จวิ้นรอนางอยู่ที่ทางเข้าตรอกชิงจู๋

เห็นเกี้ยวของนาง เขาก็รีบวิ่งเข้ามา  คุณหนูอวี้ ข้ารู้ว่าสกุลข้าทำผิดต่อเจ้า เจ้าไม่อยากพบข้าก็สมควรแล้ว เช่นนั้นข้าจึงมาพบเจ้าแทน 

อวี้ถังเลิกม่านเกี้ยว  ข้าว่าคงไม่จำเป็น ก่อนหน้านี้ข้าและคุณชายก็ได้พูดอย่างชัดเจนแล้ว 

 จำเป็น!  หลี่จวิ้นเอ่ย ขอบตาแดงไปหมด

เวลานี้อวี้ถังจึงพบว่าหลี่จวิ้นสวมชุดต้าวผาวเนื้อหยาบสีครามที่ยับยู่ยี่ ใส่ผ้าคาดเก็บผมอย่างลวกๆ มีสิวขึ้นที่หน้าผาก มุมปากมีคราบติดอยู่ ทั่วร่างไม่เพียงสกปรกซูบเซียวอย่างเห็นได้ชัด แต่ยังดูจิตใจล่องลอย คล้ายมะเขือม่วงที่ถูกความหนาวเย็นจู่โจม ดูอ่อนล้าเหลือทน

อวี้ถังวูบไหวในใจ คิดว่าอย่างน้อยหลี่จวิ้นก็หลงเหลือความดีอยู่บ้าง ไม่เหมือนคนสกุลหลินผู้เป็นมารดาและหลี่ตวนพี่ชายที่ทำเรื่องเกินขอบเขตไปไกล ขอเพียงแค่ตัวเองมีความสุขก็เพียงพอแล้ว

นางครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะลงจากเกี้ยว

ท่าทีของหลี่จวิ้นผ่อนคลายลง ค้อมกายต่ำให้อวี้ถัง กล่าวอย่างจริงใจ  ข้าต้องขอโทษเจ้าแทนคนในสกุลข้า เดิมทีข้าก็ไม่รู้เรื่องนี้ แต่ไม่ว่าจะอย่างไร เรื่องก็เกิดขึ้นเพราะข้า ข้าควรมาขอโทษเจ้าด้วยตัวเอง ข้ารับประกันกับเจ้า ภายหลังจะไม่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีก 

เขาพูดจบ สีหน้าก็ยิ่งหม่นหมอง แผ่นหลังนั้นราวกับจะยืดตรงขึ้นมาไม่ได้แล้ว

อวี้ถังไม่ได้เกลียดชังอะไรหลี่จวิ้น แต่ทนกับคนสกุลหลินกับหลี่ตวนที่สร้างบาปกรรมไม่ได้

ก็เหมือนกับสกุลอวี้พวกเขา ‘คนธรรมดาย่อมไร้ความผิด แต่จะผิดเมื่อครอบครองหยก’ แม้จะกล่าวว่าสกุลพวกเขาได้รับภาพนั้นมาโดยไม่ตั้งใจ แต่สกุลพวกเขาก็ทำได้เพียงหาวิธีปลีกตัวออกจากเรื่องนี้เช่นกัน

หลี่จวิ้นไม่ผิด หากจะโทษ ก็ทำได้เพียงโทษเขาที่ถูกคนในครอบครัวทำให้ติดร่างแหไปด้วย

อวี้ถังเอ่ยกับเขาอย่างจริงใจ  ข้าและคุณชายหลี่ไม่มีความขุ่นข้องหมองใจอันใดต่อกัน สามารถรู้จักกันได้นับเป็นความบังเอิญของโชคชะตา เพียงแต่สกุลของพวกเจ้าทำเรื่องเกินไปหน่อย ข้าไม่อยากข้องเกี่ยวอะไรกับเจ้าและสกุลพวกเจ้าแล้วจริงๆ อย่างไรหลังจากคุณชายกลับไปก็ขอให้บอกพ่อแม่เจ้าให้ชัดเจน ภายหลังอย่าได้สร้างปัญหาให้สกุลอวี้ของพวกเราอีก คนธรรมดาอย่างพวกเรา ไม่อาจรับมือกับสกุลพวกเจ้าได้อยู่แล้ว 

ตั้งแต่หลี่จวิ้นรู้ว่าเรื่องลักพาตัวอวี้ถังเป็นฝีมือของครอบครัวตัวเอง เขาก็รู้แล้วว่าชีวิตนี้คงจะไร้วาสนาต่ออวี้ถังแล้ว เขาไปหาคนสกุลหลินผู้เป็นมารดา คนสกุลหลินตอบอย่างตรงไปตรงมา ยังพูดอย่างฉะฉานว่านี่เป็นเพราะกำลังช่วยเขาอยู่ เวลานั้นเขาถึงกับนิ่งอึ้งไป เจ็บปวดจนไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี

เทศกาลไหว้พระจันทร์ล้วนผ่านไปอย่างสับสนมึนนงงเช่นนี้

ลำพังแค่พี่ชายเขายังโน้มน้าว กล่าวว่าเพราะหวังดีต่อเขา ให้เขาอย่าได้คิดมาก รอเพียงแต่งคุณหนูอวี้เข้าสกุลก็เพียงพอแล้ว

ชั่วพริบตา เขาก็สัมผัสถึงความโมโหของอวี้ถังขึ้นมาได้เช่นกัน…เห็นได้ชัดว่านางเป็นผู้เคราะห์ร้าย คนอื่นกลับไม่เห็นเป็นเรื่องอันใด ไม่คิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผิด

เวลานั้นเขาร้อนใจเป็นอย่างมาก แทบจะทนอยู่ในเรือนต่อไปไม่ไหว

แม้ว่าเขาไม่อาจให้ความกระจ่างแจ้งกับอวี้ถังได้ แต่อย่างไรก็ควรไปขอโทษกับอวี้ถังเสียหน่อยไม่ใช่รึ?

หลี่จวิ้นไม่ได้คิดมาก อาศัยยามที่เลือดร้อนพลุ่งพล่านมาหาอวี้ถัง

อวี้ถังไม่เหมารวมเขา ยอมรับความจริงอย่างมีเมตตา นี่ยิ่งทำให้ใจเขายากจะรับไว้

เห็นได้ชัดว่าพวกเขาสามารถมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันในภายหลังได้ กลับกลายเป็นความผิดพลาด เปลี่ยนไปดั่งเช่นตอนนี้เสียแล้ว

หลี่จวิ้นเผยสีหน้าละอายใจ ยังคงเอ่ยว่า ‘ขอโทษ’ อย่างสุภาพ

อวี้ถังสั่นศีรษะ  ข้าไม่อาจให้อภัยสกุลของพวกเจ้า ภายหลังพวกเราก็ทำเป็นไม่รู้จักกัน คุณชายหลี่รีบกลับเรือนเสียเถิด มารดาของเจ้าจะได้ไม่วางแผนอะไรออกมาอีก ครั้งนี้ข้าโชคดี มีนายท่านสามยื่นมือช่วยเหลือ หากยังมีครั้งต่อไป ข้าก็ไม่กล้ารับประกันว่าข้าจะยังโชคดีเช่นนี้หรือไม่ 

หลี่จวิ้นเดินก้มหน้าจากไปอย่างโศกเศร้า

อวี้ถังทอดมองแผ่นหลังเขา รู้สึกสงสารอยู่บ้าง

สกุลหลี่อาจมีเพียงหลี่จวิ้นที่ยังจิตใจดีเท่านั้น

นางหมุนกายเตรียมจะขึ้นเกี้ยว ใครจะรู้ว่าพอหันกลับไปจะพบกับเว่ยเสี่ยวชวนที่อยู่ใต้ต้นไม้ปากทางเข้าตรอก

 เสี่ยวชวน!  อวี้ถังเดินเข้าไปอย่างประหลาดใจ  เจ้ามาตั้งแต่เมื่อใด? ไฉนไม่เข้าไปนั่งในเรือน?  ก่อนจะเห็นในมือเขาถือตะกร้าใส่ตำราเรียน  วันหยุดของเทศกาลสิ้นสุดแล้ว เจ้าจึงมาเรียนอย่างนั้นรึ? 

เว่ยเสี่ยวชวนขานรับ ‘อืม’ ก่อนกล่าว  ข้าได้ยินว่าลูกพี่ลูกน้องของข้ากำลังจะคุยเรื่องแต่งงานกับญาติผู้พี่ของเจ้า? 

 ใช่แล้ว  อวี้ถังไม่เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา อดเอ่ยขึ้นมาอย่างระวังไม่ได้  เจ้าไม่พอใจรึ? 

 ไม่ใช่!  เว่ยเสี่ยวชวนเอ่ย  ลูกพี่ลูกน้องของข้านิสัยดี สกุลพวกเจ้าก็ดีไม่น้อย นางแต่งเข้าสกุลพวกเจ้าย่อมไม่ถูกครอบครัวพวกเจ้ารังเกียจ 

อวี้ถังชะงักไป

เว่ยเสี่ยวชวนเอ่ย  สกุลหลี่มีที่นาเล็กๆ แห่งหนึ่งไม่ไกลจากที่นาของตาข้ามาก ช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์ ข้าไปส่งของขวัญให้ทางสกุลของท่านตา ข้าสืบเรื่องสกุลหลี่จากญาติผู้พี่มา เขากล่าวว่า ที่นาเล็กๆ แห่งนั้นของสกุลหลี่ คนที่ถูกจ้างล้วนเป็นผู้ลี้ภัยหนีมาจากที่อื่น แต่ละคนน่ากลัวดุร้าย เรือนข้างๆ ล้วนไม่กล้ายุ่งย่าม เขายังพูดว่า เมื่อก่อนยามที่สกุลหลี่แย่งคันนากับคนอื่น คนพวกนั้นก็วิ่งเข้าไป… 

————————-

 

 ใช่ ใช่  อวี้ป๋อละล่ำละลักเอ่ย คิดว่าอย่างไรจัดการเรื่องในเรือนของตัวเองก่อนค่อยว่ากันจะดีกว่า

เสิ่นฟางมองหลี่จวิ้นที่กล่าวอย่างหนักแน่นแต่กลับส่ายศีรษะ

เขากลัวจริงๆ ว่าหลี่จวิ้นพูดอะไรที่ไม่อาจย้อนกลับมาแก้ไขได้

เขาคว้าแขนหลี่จวิ้นไว้ เอ่ยกับอวี้เหวินด้วยท่าทีจริงจัง  นายท่านอวี้ เรื่องเกี่ยวพันกับหลายสกุล ทั้งเกิดอย่างกะทันหัน ข้าว่าอาจวิ้นคงอยากจะกลับไปครุ่นคิดดีๆ พวกเราคงต้องขอตัวก่อน รอมีข่าวคราวอะไรแล้วค่อยว่ากันอีกที 

อวี้เหวินก็ไม่อาจรั้งหลี่จวิ้นไว้ ส่งทั้งสองคนออกจากประตูด้วยตัวเอง

อวี้หย่วนดึงอวี้ถังมาคุยด้านข้างทันที  เรื่องนี้จะเกี่ยวกับภาพนั้นหรือไม่? 

อวี้ถังตกใจในไหวพริบของอวี้หย่วน แต่ตอนบ่ายเขายังต้องไปดูตัว นางไม่อาจทำให้งานแต่งของอวี้หย่วนล่าช้าได้

 ไม่รู้!  นางเอ่ย  เรื่องเกิดขึ้นแล้ว จะคาดเดามากไปกว่านี้ก็ไม่มีประโยชน์ มิสู้รอคอยอย่างใจเย็น 

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือไม่รู้ว่าอาเจ็ดไปอยู่ที่ไหน?

อวี้หย่วนพยักหน้าอย่างใจลอยอยู่บ้าง

อวี้ถังทำได้เพียงให้กำลังใจเขา  ไม่ว่าจะพูดอย่างไร คนพวกนั้นก็ทำไม่สำเร็จ ทั้งคนที่ส่งมาจับตัวข้าก็ถูกทรมานอยู่ในคุกแล้ว หลังจากพวกนั้นทราบข่าวย่อมต้องหงุดหงิดใจ อีกฝ่ายหงุดหงิด ก็นับว่าเป็นความสุขของพวกเรา พวกเราควรดีใจจึงจะถูก 

เพราะเหตุผลไร้สาระของอวี้ถัง อวี้หย่วนจึงหัวเราะขึ้นมา

อวี้ถังค่อยโล่งใจ  ท่านพี่ คนดีย่อมได้รับการคุ้มครองจากสวรรค์ เจ้าดูสิ ข้าประสบกับเรื่องเช่นนี้กลับได้พบนายท่านสาม หลี่จวิ้นและเสิ่นฟางก็ตามเข้ามาช่วยเช่นกัน ท่านพี่ ลุงใหญ่ ทั้งท่านพ่อก็มาด้วยกันทั้งหมด ข้ารู้สึกว่าความโชคดีมักจะตามหลังข้ามาเสมอ 

 หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น  ขณะที่อวี้หย่วนพูด ก็ครุ่นคิดอย่างละเอียด รู้สึกว่าคำพูดของอวี้ถังมีเหตุผลอยู่บ้างจริงๆ เขาอดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ อารมณ์ก็ผ่อนคลายลงมาก  ภายหลังเจ้าออกไปวิ่งโร่ข้างนอกน้อยๆ หน่อยเถิด ข้างนอกนั้นวุ่นวายเกินไปแล้ว 

อวี้ถังเอ่ยด้วยรอยยิ้ม  เช่นนั้นท่านรีบแต่งพี่สะใภ้กลับมาให้ข้า ข้ามีเพื่อน ย่อมไม่อาจออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกบ่อยๆ แล้ว 

อวี้หย่วนหัวเราะ ดูเขินอายไม่น้อย

แม้ว่าจะมีคลื่นลมเช่นนี้ แต่เรื่องของสกุลเว่ยกลับไม่อาจเปลี่ยนวันได้ แม้จะยังหาอาเจ็ดไม่พบ พวกเขาก็จำเป็นต้องจากมา

อวี้เหวินกลัวว่าอวี้ถังจะได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจ ถามนางว่าอยากจะกลับเข้าเมืองก่อนหรือไม่

อวี้ถังเอ่ย  สกุลเว่ยรู้แล้วว่าข้าเดินทางมาด้วย ถึงเวลานั้นหากข้าไม่ปรากฏตัว สกุลเว่ยถามขึ้นมา ท่านจะกล่าวว่าอย่างไร? 

อวี้เหวินยังคิดจะพูดอะไรอีก อวี้ถังจึงดันเขาออกจากประตูไป  ท่านพ่อ ข้าไม่เป็นไร นี่ไม่ใช่ว่ามีพวกท่านปกป้องข้าอยู่รึ? ข้าไม่ใช่คนที่รับมือกับเรื่องราวอะไรไม่ได้เสียหน่อย  ขณะที่พูด นางก็เรียกคนสกุลเฉิน  ท่านแม่ พวกเราจะไปเมื่อใดกัน? สายมากแล้วนะเจ้าคะ 

คนสกุลเฉินและคนสกุลหวังกำลังพูดคุยเรื่องส่วนตัวกัน ได้ยินเสียงเรียก ทั้งสองคนก็เดินยิ้มร่าออกมา เห็นอวี้ถังอยู่ในสภาพทุลักทุเลจึงพากันตกใจ

อวี้ถังพูดเพียงว่าไปเก็บดอกไม้กับอาเจ็ด พลาดหกล้ม เพราะเหตุนี้อาเจ็ดได้รับบาดเจ็บ จึงไปหาหมอในเมือง

คนสกุลเฉินไม่เชื่อว่าเป็นอย่างนั้น แต่อวี้เหวินคอยพูดช่วยอวี้ถังอยู่ด้านข้าง คนสกุลเฉินยังคิดว่าอวี้ถังก่อเรื่องเหมือนตอนเด็ก และอวี้เหวินช่วยนางปกปิด ดึงนางมาอยู่ข้างๆ มองสำรวจทั้งตัวอย่างละเอียด พบว่านางไม่ได้บาดเจ็บ แต่ก่อนออกไปยังพกเสื้อผ้าไปเปลี่ยนด้วย จึงแสร้งปิดตาข้างหนึ่งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น คล้อยตามพวกเขาไป

อวี้ถังไปล้างหน้าล้างตาแต่งตัวอีกครั้ง คนทั้งหมดเดินทางไปยังสกุลเว่ย

ผู้ที่ออกมาต้อนรับพวกเขาคือสองสามีภรรยาสกุลเว่ย ลูกชายคนโตและภรรยา ได้ยินว่าลูกคนอื่นๆ ล้วนเดินทางไปส่งของขวัญเทศกาลไหว้พระจันทร์ที่สกุลเดิมของนายหญิงเว่ย

อวี้ถังคิดว่านายหญิงเว่ยนั้นกลัวในเรือนมีคนเยอะเกินไป เสียงดังเซ็งแซ่ อาจจะดูไม่งาม

คนของสกุลอวี้ นอกจากคนสกุลหวังแล้ว คนอื่นๆ ก็ล้วนเคยคบค้าสมาคมกับคนของสกุลเว่ยมาก่อน ทั้งยังมีความประทับใจที่ดีต่อกันไม่น้อย พบเจอกัน หลังจากแนะนำให้รู้จักกันแล้ว ย่อมคุ้นเคยขึ้นมา พูดคุยสนุกสนานครึกครื้นเป็นอย่างยิ่ง มีเพียงอวี้หย่วน บางทีอาจเป็นเพราะสถานะเปลี่ยนไป ก้มหน้าก้มตาอย่างขวยเขิน หดตัวอยู่หลังอวี้ป๋อ ไม่มีท่าทีหนักแน่นเป็นกันเองเฉกเช่นวันปกติ คล้ายเปลี่ยนไปเป็นคนละคนโดยสิ้นเชิง

คนสกุลหวังนั้นร้อนใจ ฉวยโอกาสยามที่คนของสกุลเว่ยไม่ได้สนใจ ฟาดมือที่หลังลูกชายไปที กระซิบกล่าว  เจ้ายืนตรงๆ หน่อย อย่ามาทำเสียเรื่องข้าในเวลาสำคัญเช่นนี้ 

อวี้หย่วนยืดหลังตรง แต่ใบหน้านั้นแดงก่ำเป็นอย่างมาก

ดีที่นายหญิงเว่ยรู้สึกว่าเช่นนี้จึงนับว่าปกติ มองอวี้หย่วนรื่นหูรื่นตายิ่ง ต้อนรับให้ทุกคนนั่งลง ก่อนจะกำชับสาวใช้  คุณหนูใหญ่สกุลอวี้ก็มาเช่นกัน เจ้าให้คุณหนูเซียงเข้ามาพบปะหน่อยเถิด 

นี่จึงจะนับเป็นเหตุผลที่อวี้ถังอยู่ในยามนี้

อวี้ถังอดทำตาโตทอดมองออกไปไม่ได้

ไม่นานนัก สาวใช้ผู้นั้นก็พาหญิงสาวที่ดูเหมือนอายุสิบเจ็ดสิบแปดเข้ามา นางรูปร่างสูงเพรียว ผมสีดำขลับทั้งศีรษะม้วนเป็นทรงก้นหอย ผิวสีน้ำผึ้ง คิ้วหนาตาโต สวมชุดต่วนหรูผ้าหังโฉวสีขาวบริสุทธิ์ ใส่ต่างหูไข่มุกขนาดประมาณเม็ดบัว ยามที่มองผู้คนแววตาเผยความสดใสจริงใจ รอยยิ้มร่าเริง ดูใจกว้างเป็นอย่างยิ่ง

แม้จะไม่ได้หน้าตางดงามมาก แต่อวี้ถังกลับมีความรู้สึกดีกับนางขึ้นมา

คุณหนูเซียงเดินมาข้างหน้าทั้งรอยยิ้ม คำนับให้สกุลอวี้ทุกคน

อวี้ถังเห็นอวี้หย่วนชำเลืองมองคุณหนูเซียงแวบหนึ่งอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นก็ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นอีกเลย ก่อนจะมองคุณหนูเซียงที่เผยท่าทีสุภาพเรียบร้อยอีกครั้ง จู่ๆ ก็รู้สึกว่าน่าสนใจ

ในเรือนของลุงใหญ่ ลุงใหญ่นั้นเคารพให้เกียรติป้าสะใภ้ใหญ่เป็นอย่างมาก ไม่ว่าเรื่องอันใดก็บอกกล่าวป้าสะใภ้ใหญ่ก่อน ทั้งมักจะฟังความคิดเห็นจากป้าสะใภ้ใหญ่ ดูแล้วเหมือนว่าลุงใหญ่จะดูแลจัดการเรื่องในเรือน แท้จริงแล้วกลับเป็นป้าสะใภ้ใหญ่ที่ที่ตัดสินใจชี้ขาด

หากญาติผู้พี่และคุณหนูเซียงแต่งงานกัน ไม่แน่ว่าการอยู่ร่วมกันของทั้งสองคนก็จะเหมือนกับลุงใหญ่และป้าสะใภ้ใหญ่?

นี่เข้ากับคำโบราณที่ว่า ‘คนที่นิสัยเหมือนกัน ถึงจะอยู่ร่วมกันได้’

ยามที่อวี้ถังคำนับตอบคุณหนูเซียง จึงพบว่าคุณหนูเซียงยังสูงกว่านางอยู่บ้าง

ก็หมายความว่า คุณหนูเซียงและอวี้หย่วนสูงพอๆ กัน

ทั้งสองคนพูดคุยกันเป็นมารยาทไม่กี่คำ คุณหนูเซียงก็ขอตัวออกไป

การดูตัววันนี้นับว่าสิ้นสุดลงอย่างเป็นทางการ

เรื่องต่อจากนี้ก็จะเป็นแม่สื่อที่ออกหน้า คอยถ่ายทอดคำพูดระหว่างสองสกุล

อวี้ถังกังวลอยู่บ้างว่าอวี้หย่วนจะไม่ชอบความสูงของคุณหนูเซียง ระหว่างทางกลับก็แอบถามอวี้หย่วน  ท่านได้เห็นหน้าคุณหนูเซียงชัดเจนหรือไม่? ท่านคิดว่าเป็นอย่างไร? 

อวี้หย่วนเอ่ยทันที  เจ้าเป็นเพียงน้องสาวคนหนึ่ง จะรู้เรื่องราวมากไปทำไม? 

อวี้ถังเห็นอวี้หย่วนไม่คล้ายผิดหวังเสียใจ ก็อดเอ่ยไม่ได้  นี่ไม่ใช่ว่าข้ากลัวป้าสะใภ้ใหญ่และท่านแม่ข้าจะยุ่งวุ่นวายเสียเปล่าหรอกรึ?  ทั้งเอ่ยว่า  ท่านพี่ไม่อยากบอกข้าก็แล้วไป อย่างไรรอยามที่ป้าสะใภ้ใหญ่และลุงใหญ่ถามท่าน ข้าค่อยไปถามก็ได้แล้ว 

 เหตุใดเจ้าจึงพูดมากเช่นนี้?  อวี้หย่วนเอ่ยอย่างไม่ค่อยชอบใจ อดกลั้นอยู่พักใหญ่ ก่อนจะกล่าว  งานแต่งของลูกสกุลไหนบ้างที่พ่อแม่ไม่ได้เป็นคนตัดสินใจ ข้าเชื่อฟังพ่อแม่ก็เพียงพอแล้ว 

เชื่อฟังลุงใหญ่และป้าสะใภ้ใหญ่ นั่นก็หมายความว่ายินยอม!

เขายังจะพูดอ้อมค้อมเช่นนี้อีก

อวี้ถังลอบยิ้ม กลับไปถึงเรือนก็คล้ายกับเป็นหางของคนสกุลเฉินมิปาน คนสกุลเฉินไปที่ใดนางก็ไปที่นั่น

คนสกุลเฉินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม  นี่เจ้าจะทำอะไร? 

อวี้ถังหัวเราะ  ยามที่พวกท่านจะปรึกษาเรื่องงานแต่งของท่านพี่ ให้ข้าอยู่ฟังข้างๆ ด้วยนะเจ้าคะ! 

คนสกุลเฉินกลืนไม่เข้าคายไม่ออก  เจ้าว่าลูกคุณหนูกุลสตรีอย่างเจ้า ไฉนจึงชอบฟังเรื่องพวกนี้กัน? 

อวี้ถังกล่าวฉะฉานอย่างมีเหตุผล  นี่ไม่ใช่เรื่องคนอื่นเสียหน่อย พี่ชายข้า ข้าสนใจบ้างจะเป็นไรไป? 

คนสกุลเฉินเอ่ยยิ้มๆ  ได้ ได้ ได้ ข้าจะพาเจ้าไป หากข้าไม่พาเจ้าไป เจ้าก็คงหาวิธีแอบฟังหรือสืบข่าวอยู่ดี 

อวี้ถังยิ้มมุมปาก

อวี้เหวินเดินเข้ามา ส่งสายตาเป็นนัยให้อวี้ถังเป็นอันดับแรก คล้อยหลังก็เอ่ยกับคนสกุลเฉิน  ข้ามีธุระ จะออกไปข้างนอกเสียหน่อย เรื่องของอาหย่วน ข้าคิดว่าสกุลเราและสกุลเว่ยเห็นพ้องต้องกันก็เป็นอันเสร็จสรรพแล้ว ตอนเย็นข้าอาจจะกลับมาช้าหน่อย เจ้าก็อย่ารอข้าเลย 

คนสกุลเฉินเอ่ยอย่างกังวล  การพบปะวันนี้เกี่ยวพันกับเรื่องสำคัญในชีวิตของอาหย่วน เจ้าไม่เข้าไปคงไม่ค่อยดีกระมัง? อีกเดี๋ยวท่านพี่ถามขึ้นมา ข้าจะตอบอย่างไร? 

อวี้เหวินกล่าว  เรื่องนี้ท่านพี่รู้แล้ว ข้าได้พูดกับเขาแล้ว พวกเจ้าแค่เข้าไปด้วยก็พอ ท่านพี่ไม่อาจถามอะไรหรอก 

อวี้ถังสงสัยว่าอวี้เหวินจะไปสืบข่าวที่ศาลาว่าการ

นางละล่ำละลักเอ่ย  ท่านพ่อ ข้าจะไปส่งท่านที่ประตู 

ศาลาว่าการอยู่กลางเมือง จากตรอกชิงจู๋ไป ทำได้เพียงเดินไปทางตะวันออก

นางอยากรู้ว่าอวี้เหวินไปทำอะไรในเวลาเย็นขนาดนี้?

อวี้เหวินก็ไม่ได้เตรียมจะปิดบังนาง ออกจากประตู ก็เอ่ยกับนาง  เจ้าอยู่ที่เรือนดีๆ รอข้ากลับมา  จากนั้นก็เดินไปทางตะวันออก

อวี้ถังและคนสกุลเฉินไปเรือนของลุงใหญ่

ลุงใหญ่ก็ไม่อยู่ที่เรือนเช่นกัน กล่าวว่ามีธุระที่ร้านค้า ป้าสะใภ้ใหญ่ยังพร่ำบ่น  เวลาไหนไม่ไป กลับมาไปในยามนี้ นี่ก็เย็นแล้ว หรือแค่คืนนี้คืนเดียวจะรอไม่ได้เชียว เขาไม่สนใจเรื่องของอาหย่วนเกินไปแล้ว ข้าถามเขาว่าเป็นเพราะเห็นหน้าค่าตาคุณหนูเซียงชัดๆ แล้วจึงไม่ชอบใช่หรือไม่ เขาก็กล่าวว่าชอบ ยังพูดว่า คุณหนูเซียงรูปร่างสูงเพรียว ไม่แน่ว่าหลังจากคลอดหลาน ก็จะสามารถสูงตามคุณหนูเซียงได้เช่นกัน 

อวี้ถังสงสัยว่าลุงใหญ่และพ่อของนางอาจจะไปศาลาว่าการด้วยกัน ปกติบิดาของนางยังคงถือตัวในฐานะซิ่วไฉอยู่บ้าง ยามที่คบค้าสมาคมกับผู้คนก็วางท่าอยู่เล็กน้อย แต่ลุงใหญ่กลับไม่เหมือนกัน ทำการค้าขาย หัวเราะก่อนคนอื่นพูด ทั้งสามารถโยนเรื่องตำแหน่งหน้าตาทิ้งไปได้ สถานที่เฉกเช่นศาลาว่าการ แต่ไหนแต่ไรก็เป็นพวกนักเลงถ่อยที่ก่อปัญหามากที่สุด มีลุงใหญ่ของนางออกหน้า เรื่องราวย่อมง่ายขึ้นมาก

คนสกุลเฉินกลับไม่ได้คิดมาก ดึงมือคนสกุลหวัง  ก่อนหน้านี้ข้าเห็นว่าคุณหนูเซียงยอดเยี่ยมไม่น้อย วันนี้พอได้เห็นก็ยิ่งรู้สึกพอใจ แค่ไม่รู้ว่าอาหย่วนคิดอย่างไร ทั้งคุณหนูเซียงชื่นชอบอาหย่วนหรือไม่ อาหย่วนนั้นสูงแทบพอๆ กับคุณหนูเซียง 

คนสกุลหวังเอ่ยด้วยรอยยิ้ม  เจ้าไม่ต้องกังวลหรอก ตั้งแต่ข้ากลับมาก็ถามอาหย่วนไปแล้ว เขาบอกว่าล้วนให้พ่อแม่เป็นคนตัดสินใจ พ่อของเขากล่าวว่าคุณหนูเซียงตัวสูง เขาก็ยังดูยินดีปรีดา ยามนี้ต้องดูทางสกุลเว่ยแล้ว 

คนสกุลเฉินกล่าว  คำโบราณนั้นกล่าวได้ดี แต่งลูกสาวเงยหน้า รับลูกสะใภ้ก้มหัว[1] ในเมื่อทุกคนล้วนรู้สึกดี สกุลของพวกเราก็ควรจะเป็นฝ่ายรุกเสียหน่อย ไม่เพียงรีบเชิญแม่สื่อมาพูดเรื่องแต่งงาน ยังต้องพยายามทำเรื่องให้สำเร็จจึงจะดี…นายหญิงเว่ยยังมีอะไรไม่พอใจ พวกเราทำเรื่องจนสกุลพวกเขาพอใจก็เพียงพอแล้วมิใช่รึ? 

คนสกุลหวังเอ่ยด้วยรอยยิ้ม  เจ้ากลับคิดเหมือนกับข้า หากงานแต่งครั้งนี้สำเร็จ คุณหนูอวี้อายุไม่น้อยแล้ว อาหย่วนของพวกเราก็ปล่อยให้ยืดเยื้อมานานอย่างนี้ ข้าอยากให้พวกเขาแต่งงานกันเร็วๆ ข้าว่าอาหย่วนอยู่ที่ห้องเซียงฝางนั้นไม่ได้แล้ว ต้องปรับปรุงแต่งเติมเสียหน่อย ยังมีสินสอดทองหมั้น เสื้อผ้าเครื่องประดับอะไรอีก ลำพังแค่ร้านค้ายังต้องเสียเงิน…นี่ไม่ใช่เวลาเลยจริงๆ 

คนสกุลเฉินกล่าวทั้งเผยยิ้ม  เจ้ากังวลอะไร พวกเราสองสกุลอยู่ด้วยกันยังกลัวอาหย่วนจะแต่งสะใภ้เข้าเรือนไม่ได้อีกรึ? แม้จะกล่าวว่าอาถังก็ถึงอายุที่จะแต่งงานแล้ว แต่ก็ต้องเรียงลำดับอาวุโสไป เรื่องของอาหย่วนมีเค้าลางมาแล้ว ย่อมต้องสนใจอาหย่วนก่อน เรื่องของอาถัง ถึงเวลานั้นค่อยพูดเถิด 

คนสกุลหวังรู้สึกลำบากใจอย่างยิ่ง เอ่ยทันที  จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร 

คนสกุลเฉินยากที่จะพูดอย่างเฉียบขาด  เรื่องนี้ก็ตัดสินใจแบบนี้แหละ แม้ฮุ่ยหลี่จะกลับมา ก็ย่อมเห็นด้วยกับข้าเช่นกัน 

คนสกุลหวังยังอยากจะกล่าวอะไรอีก อวี้ถังรู้ว่าป้าสะใภ้ใหญ่กังวลเรื่องนาง นางจึงจงใจทอดถอนหายใจกล่าวอยู่ด้านข้าง  นี่ข้าไปล่วงเกินใครมาถึงซวยอย่างนี้กัน? สินเดิมที่เตรียมไว้ให้ข้ากลับกลายเป็นสินสอดทองหมั้นของท่านพี่ไปเช่นนี้เสียแล้ว! 

คนสกุลเฉินได้ฟังก็ยิ้มขึ้นมา ก่นว่า  อะไร เจ้ายังกล้าออกความคิดเห็นอีกรึ? 

 ไม่ใช่เสียหน่อย  อวี้ถังรีบเอ่ย  ข้าเพียงมีคำขอร้องอยู่นิดหน่อยเท่านั้น…หลังจากท่านพี่แต่งงานแล้ว มีสะใภ้ก็อย่าลืมข้าที่เป็นน้องสาวเชียว ต้องปฏิบัติกับข้าเหมือนเช่นเคย 

คนสกุลเฉินและคนสกุลหวังหัวเราะเสียงดัง คนสกุลหวังกอดนางไว้  เจ้าวางใจ หากพี่เจ้าปฏิบัติต่อเจ้าไม่ดี ดูสิว่าข้าจะจัดการกับเขาอย่างไร 

อวี้ถังก็หัวเราะตามขึ้นมาเช่นกัน

———————–

[1]แต่งลูกสาวเงยหน้า รับลูกสะใภ้ก้มหัว อุปมาว่า ลูกสาวเมื่อแต่งงานออกไปก็เหมือนน้ำที่ถูกสาด แต่การรับสะใภ้เป็นการรับสมาชิกครอบครัวเพิ่มเข้ามา ย่อมได้เปรียบ ดังนั้นแม้ฝ่ายเจ้าสาวจะร้องขอความต้องการจากครอบครัวฝ่ายชาย ฝ่ายชายก็ควรทำตามคำขอของครอบครัวฝ่ายหญิง

 

แต่ว่า สิ่งที่เหนือความคาดหมายของอวี้ถังมากที่สุด ยังคงเป็นการพบเจอกับเผยเยี่ยน

ยามที่อยู่หังโจว เพราะเรื่องของแผนที่ อวี้เหวินจึงชักช้าอยู่หลายวัน รอจนยามที่จะไปขอบคุณเผยเยี่ยน เขาก็ไปไหวอันเสียแล้ว หลังจากกลับเมืองหลินอัน อวี้เหวินก็ไปจวนสกุลเผยอยู่หลายครั้ง แต่พวกผู้ดูแลของสกุลเผยล้วนกล่าวว่าเผยเยี่ยนยังไม่กลับมา

และครั้งล่าสุดที่อวี้เหวินไปจวนสกุลเผย ก็คือสองวันก่อน

เผยเยี่ยนนั้นยุ่งจริงๆ หรือว่าไม่อยากเจอบิดาของนางกันแน่?

อวี้ถังคิดว่าเป็นอย่างหลัง

กระนั้นไม่ว่าอย่างแรกหรืออย่างหลัง เผยเยี่ยนไม่ได้เจตนาจะคบค้าสมาคมกับสกุลพวกนางกลับเป็นเรื่องจริง

อย่าพูดว่าเผยเยี่ยนช่วยนางเลย แม้ว่าจะเป็นคนไม่รู้จัก นางก็ไม่อาจฝืนใจคนอื่นได้เช่นกัน

อวี้ถังขอบคุณเผยเยี่ยนอีกครั้ง ไม่ได้เอ่ยให้บิดาของนางไปขอบคุณด้วยตัวเองที่จวนสกุลเผยแต่อย่างใด

ไม่รู้เพราะเผยเยี่ยนคิดว่าการกระทำของอวี้ถังตรงกับที่เขาคิดพอดี หรือว่าเขาไม่ได้เก็บเรื่องที่ช่วยนางมาใส่ใจอยู่แล้ว เขาผงกศีรษะ ไม่ได้มากความ ส่งเสียงเรียกคนขับรถม้า ‘เจ้าเจิ้น’  เจ้าส่งคนให้คุณหนูอวี้ พวกเราล่วงหน้าไปก่อนเถิด! 

เจ้าเจิ้นขานรับทันที กลับใช้มือสับอันธพาลพวกนั้นราวกับสับแตงหวานให้สลบกองอยู่กับพื้น เวลานี้จึงค่อยวิ่งเข้ามายิ้มให้อวี้ถัง  คุณหนูอวี้ ท่านวางใจเถิด ก่อนเจ้าหน้าที่ของศาลาว่าการจะมา คนพวกนี้ไม่อาจตื่นก่อนแน่นอน 

อวี้ถังแปลกใจอยู่บ้าง

เผยเยี่ยนวางตัวเย็นชาทั้งเย่อหยิ่งต่อผู้คน นางคาดไม่ถึงว่าคนขับรถม้าที่ชื่อเจ้าเจิ้นก็ดี เด็กชายที่พยุงนางก็ดี ล้วนเป็นคนใจดีและอบอุ่นทั้งสิ้น

พวกเขาเป็นเช่นนี้ ย่อมเกี่ยวข้องกับท่าทีปกติของเผยเยี่ยนที่ปฏิบัติต่อพวกเขาโดยตรง

จะเห็นได้ว่าความเข้าใจของนางที่มีต่อเผยเยี่ยนบิดเบี้ยวไปอยู่บ้าง

ไม่พูดถึงเรื่องอื่น แต่อย่างน้อยเขาก็ใจกว้างมีเมตตากับคนรอบกาย

เดิมทีก็เจอกันโดยบังเอิญ อวี้ถังย่อมไม่อาจจะถ่วงเวลาเผยเยี่ยนอีก

นางกล่าวขอบคุณกับเจ้าเจิ้น  ครั้งนี้โชคดีที่ได้เจ้าช่วยหยุดยั้งอันธพาลพวกนี้ 

เจ้าเจิ้นโบกมือ กล่าวด้วยยิ้มขัดเขิน  ข้า ข้าก็เพียงทำตามคำสั่งเท่านั้น หากท่านจะขอบคุณ ก็ขอบคุณนายท่านของพวกเราเถิด!  พูดจบ ก็รีบวิ่งไปที่ข้างรถม้า ดึงบังเหียน ก่อนจะเรียกเด็กคนนั้น  อาหมิง พวกเราไปเถิด 

เด็กที่ถูกเรียกว่า ‘อาหมิง’ ขานรับอย่างร่าเริง บอกลาอวี้ถัง ก่อนจะหมุนกายปีนขึ้นรถม้า นั่งอยู่ด้านหน้า

อวี้ถังอดยิ้มไม่ได้ โบกมือให้อาหมิง

อาหมิงยิ้มอย่างขัดเขิน

รถม้าของเผยเยี่ยนเคลื่อนไปแล้ว

หลี่จวิ้นและเสิ่นฟางยืนส่งสายตามองเผยเยี่ยนจากไปอยู่หน้าทางเข้าหมู่บ้าน เมื่อรถม้าไปไกลแล้ว ทั้งสองคนจึงค่อยชี้ไปยังพวกอันธพาลที่นอนระเกะระกะบนพื้น  คุณหนูอวี้วางแผนจะทำอย่างไร? 

อวี้ถังตั้งใจจะรั้งหลี่จวิ้นไว้ ได้ยินดังนั้นก็รีบคว้าโอกาส  คุณชายหลี่ คุณชายเสิ่น ครั้งนี้ต้องขอบคุณพวกเจ้าทั้งสอง แม้เจ้าเจิ้นจะกล่าวว่าเจ้าหน้าที่จะมาถึงก่อนที่คนพวกนี้จะตื่น แต่ยังคงต้องระมัดระวัง ข้าขอเสียมารยาทรั้งตัวคุณชายทั้งสองอยู่ที่นี่สักครู่ เจ้าหน้าที่พวกนั้นมา ก็สามารถช่วยเป็นพยานได้ เดี๋ยวข้าจะเรียกคนในหมู่บ้านให้เรียกผู้นำหมู่บ้านและพ่อของข้าเข้ามา เรื่องนี้ไม่อาจจะปล่อยไปเฉยๆ เช่นนี้ได้ 

หลี่จวิ้นและเสิ่นฟางล้วนคิดว่าสมควรเช่นกัน อวี้ถังรีบไปเคาะประตูของครอบครัวหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากพวกเขา นำเงินให้เขาจำนวนหนึ่ง ขอให้พวกเขาไปแจ้งข่าวที่เรือนเก่าสกุลอวี้ ทั้งยังกล่าว  อย่าให้พ่อข้าบอกเรื่องนี้กับท่านแม่และป้าสะใภ้ใหญ่ หาอาเจ็ดพบก็พาเขามาด้วย 

เมื่อครู่นางไม่เห็นอาเจ็ด ไม่รู้ว่าเขาวิ่งหนีไปแล้วหรือว่าคอยดักนางอยู่ทางอื่น

คนผู้นั้นเห็นพวกอันธพาลนอนกองที่พื้นก็ตกใจเสียยกใหญ่ คิดจะเข้ามาดูเรื่องสนุก แต่ก็จำได้ว่ารับเงินมาแล้ว จึงรีบกวาดสายตาแวบหนึ่ง ก่อนจะสับขาวิ่งไปทางเรือนเก่าสกุลอวี้

หลี่จวิ้นและเสิ่นฟางเอ่ยถึงเผยเยี่ยนขึ้นมา  นายท่านสามสกุลเผยดูภายนอกคล้ายเย็นชาและเย่อหยิ่ง คาดไม่ถึงว่ากลับเป็นคนที่ใจดีมีความเอื้อเฟื้อผู้หนึ่ง ถึงกับยื่นมือช่วยเหลือคุณหนูอวี้ 

เสิ่นฟางกลอกตาไปที  ใครพบเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ก็คงยื่นมือช่วยเหลือกันทั้งนั้นกระมัง? ข้าไม่เห็นมองออกถึงความใจดีมีเมตตาของเขา! 

 เจ้าคงไม่รู้ ไม่กี่วันก่อนสกุลพวกเราเกิดเรื่อง  หลี่จวิ้นกล่าวแก้ต่าง  เรือส่งสินค้าลำหนึ่งของลูกพี่ลูกน้องข้าถูกหน่วยตรวจการไท่หูควบคุมเอาไว้ ลูกพี่ลูกน้องของข้าส่งคนมาขอความช่วยเหลือจากท่านพ่อ พ่อของข้าก็ไม่รู้จักคนของหน่วยตรวจการไท่หู แม้จะรู้ว่าเรื่องนี้ไร้ทางแก้ไข ก็ทำได้เพียงโอบกอดความหวังสุดท้าย ไปหาทางนายท่านสามสกุลเผย นายท่านสามไม่ได้ถามให้มากความ ก็นำป้ายชื่อให้พี่ใหญ่ข้าไปหาข้าหลวงของไท่หู เรื่องนี้จึงผ่านพ้นไปได้ นายท่านสามไม่เลวเลยจริงๆ 

เสิ่นฟางตกตะลึง  ลูกพี่ลูกน้องเจ้า? ลูกพี่ลูกน้องคนไหนของเจ้า? 

หลี่จวิ้นกล่าว  ลูกพี่ลูกน้องคนที่ทำการค้าอยู่ทางฝูเจี้ยน ลูกชายคนโตของลุงข้า เขาไม่เลวเลย ครั้งหน้าหากเขามาหลินอัน ข้าจะแนะนำให้เจ้ารู้จัก 

เสิ่นฟางขานรับอย่างขอไปที ในสายตาของอวี้ถัง เสิ่นฟางไม่ได้มีจุดประสงค์อยากจะรู้จักลูกพี่ลูกน้องของหลี่จวิ้น แต่เห็นได้ชัดว่าหลี่จวิ้นมองไม่ทะลุปรุโปร่ง ยังคงกล่าวอยู่ตรงนั้น  ลูกพี่ลูกน้องคนนี้อายุเท่ากับพี่ใหญ่ข้า กลับได้เป็นผู้ช่วยของลุงข้าแล้ว… 

อวี้ถังรู้ว่าคนที่เขาพูดถึงคือใคร

หลานชายฝั่งมารดาของคนสกุลหลิน ลูกชายภรรยาเอกคนโตของสกุลหลิน หลินเจวี๋ย

เขาเป็นคนที่มีฝีมือทำการค้า สกุลหลินตกไปอยู่ในมือเขาไม่กี่ปี ก็กลายเป็นพ่อค้ารายใหญ่อันดับต้นๆ ของฝูเจี้ยน สกุลหลี่ก็พึ่งพาเขา ริเริ่มทำการค้าทางทะเล มั่งคั่งร่ำรวยขึ้นมา

ชาติก่อน เขาไปเยือนสกุลหลี่บ่อยครั้ง หลี่ตวนและเขาสนิทสนมกันเป็นอย่างมาก มีครั้งหนึ่งหลี่ตวนคิดอกุศลกับนาง ก็เป็นหลินเจวี๋ยที่ช่วยเหลือ…

อวี้ถังจมดิ่งลึกในความทรงจำของอดีต ข้างหูกลับปรากฏเสียงดังวุ่นวายขึ้นมา

นางเงยหน้าก็เห็นบิดาและลุงใหญ่ ญาติผู้พี่พาชายหนุ่มอีกเจ็ดแปดคนวิ่งเข้ามาอย่างโกรธเกรี้ยว

อวี้ถังรีบเดินไปหา

อวี้เหวินคว้าแขนของอวี้ถังไว้ สำรวจนางด้วยใบหน้าที่ซีดขาว ทั้งกล่าวถามอย่างร้อนใจไปพลาง  เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่? 

 ข้าไม่เป็นไร!  อวี้ถังรีบบอก  ท่านแม่ไม่รู้เรื่องนี้กระมัง?  ขณะที่นางพูด ก็ชะโงกดูพวกคนที่มา

ไม่เห็นอาเจ็ด

อวี้เหวินกล่าว  ข้าได้ยินคนมาแจ้งก็ตกใจไม่น้อย ไม่ทันได้หาอาเจ็ดเจ้าก็ไปพาคนมาพร้อมลุงใหญ่เจ้าเสียก่อน อาเจ็ดเจ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น? ไม่ใช่ว่าเขาอยู่กับเจ้าหรอกรึ? 

อวี้ถังกล่าว  เรื่องนี้อีกเดี๋ยวค่อยพูดเถิด คุณชายหลี่และคุณชายเสิ่นอยู่ที่นี่ คุณชายทั้งสองมีคุณธรรมสูงเทียมฟ้า ได้ยินว่าข้าเกิดเรื่องก็รีบตามมาทันที! 

อวี้เหวินไม่รีรอเดินเข้าไปขอบคุณทั้งสองคน

หลี่จวิ้นและเสิ่นฟางค้อมตัวหลบ ไม่ยอมรับการคารวะจากอวี้เหวิน ต่างก็กล่าวด้วยหน้าแดงอยู่บ้าง  พวกเรามาถึงทีหลัง ผู้ที่ช่วยคุณหนูอวี้ไว้คือนายท่านสามสกุลเผยต่างหาก! 

คนที่ไปส่งข่าวก็ไม่รู้เรื่องว่าหลักๆ เกิดอะไรขึ้นเช่นกัน อวี้เหวินจู่ๆ ได้ยินว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเผยเยี่ยนก็ตกใจขึ้นมา  นายท่านสาม? 

อวี้ถังกล่าว  เขามีธุระกลับไปก่อนแล้ว 

 เช่นนั้นรอพวกเรากลับเข้าเมืองแล้วก็ไปขอบคุณนายท่านสาม  ขณะที่อวี้เหวินกล่าว ก็ยังคงขอบคุณหลี่จวิ้นและเสิ่นฟางอย่างจริงใจ  แม้จะกล่าวว่าคุณชายทั้งสองมาทีหลัง แต่ความคิดที่จะช่วยเหลือคนล้วนมีเหมือนกัน ทั้งสองคนอย่าได้ถ่อมตัวเลย อีกเดี๋ยวก็ไปดื่มน้ำดื่มสุราที่บ้านข้า ให้ข้าได้แสดงน้ำใจหน่อยเถิด 

หลี่จวิ้นและเสิ่นฟางยังคงกล่าวถ่อมตัวอยู่ตรงนั้น ก่อนเจ้าหน้าที่ของศาลาว่าการจะเข้ามา

อย่างไรอวี้เหวินก็เป็นซิ่วไฉ มีชื่อเสียงด้านการเขียนบทประพันธ์ในเมืองหลินอันอยู่บ้าง เดิมทีก็เป็นที่คุ้นเคยกับเจ้าหน้าที่ของศาลาว่าการ รวมกับมีหลี่จวิ้นและเสิ่นฟางเป็นพยาน เจ้าหน้าที่จึงจับพวกนั้นมัดไว้อย่างรวดเร็ว อวี้ป๋อยังแอบติดสินบนจำนวนหนึ่ง ขอให้เจ้าหน้าที่อย่าดึงเรื่องมาเกี่ยวข้องกับอวี้ถัง รอกลับเข้าเมืองทุกคนไปร่วมดื่มสุรากัน เจ้าหน้าที่ก็นับว่าทำเรื่องอย่างคล่องแคล่ว พาอันธพาลพวกนั้นกลับไปยังศาลาว่าการ

หลี่จวิ้นและเสิ่นฟางเห็นเช่นนั้นก็คิดจะกลับบ้าง  ได้ยินว่าพวกเสี่ยวหวั่นก็ร้อนใจเช่นกัน หากไม่ใช่เพราะฝีมือขี่ม้าไม่ชำนาญ ก็คงจะตามมาด้วยแล้ว พวกเราต้องกลับไปบอกกล่าวกับพวกเขาเสียหน่อย 

อวี้เหวินนึกขึ้นมาได้ว่าอีกสักพักพวกเขายังต้องไปสกุลเว่ย จึงครุ่นคิดว่าจะเปลี่ยนวันอื่นขอบคุณหลี่จวิ้นและเสิ่นฟางดีหรือไม่ ทว่าอวี้ถังกลับกล่าว  ที่นี่ก็ไม่มีคนอื่นแล้ว อย่างไรเชิญทั้งสองคนรั้งตัวอยู่ ไปดื่มชาบ้านพวกเราเถิด ข้ามีบางอย่างอยากจะพูดกับคุณชายหลี่ 

หลี่จวิ้นและเสิ่นฟางมองหน้ากัน ใคร่ครวญเล็กน้อย ก่อนทั้งสองจะตอบตกลง

คนทั้งหมดจึงเดินทางไปเรือนเก่าของสกุลอวี้

คนสกุลเฉินและคนสกุลหวังยังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น รู้เพียงว่ามีคนมาหาที่หน้าเรือน จึงไม่ได้สนใจเท่าใด

อวี้ถังเชิญหลี่จวิ้นและเสิ่นฟางเข้ามานั่งในโถงรับแขก ทั้งเชิญปู่ห้าเข้ามา ก่อนจะเล่าเรื่องที่อาเจ็ดทำให้ทุกคนฟัง

ทุกคนต่างก็ตกใจจนพูดไม่ออก ปู่ห้ากระโดดโผลงขึ้นคนแรก กล่าวอย่างไม่เชื่อ  เป็นไปไม่ได้! จะเป็นไปได้อย่างไร? เขาเป็นคนซื่อตรงถึงขนาดนั้น จะทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร? หลานสาว เจ้าฟังผิดหรือไม่? 

คนที่เด้งตัวขึ้นคนที่สองคือหลี่จวิ้น

ใบหน้าเขาแดงก่ำไปหมด  ไม่ เป็นไปไม่ได้! แม่ข้าจะทำเรื่องที่ทำลายชื่อเสียงคนเช่นนี้ได้อย่างไร? แม้ว่าเจ้าจะแต่งเข้าสกุลเรา พวกเราทั้งสองก็จะกลายเป็นศัตรู…แม่ของข้าไม่อาจทำเช่นนั้นกับข้าหรอก! 

แม้แต่อวี้เหวินก็คิดว่าเรื่องนี้ไร้สาระเกินไป  หรือว่าจะมีคนประสงค์ร้าย คิดโยนความผิดให้สกุลหลี่? เรื่องนี้ต้องตรวจสอบอย่างชัดเจน 

อวี้ป๋อรวบรวมสติกลับคืนมา  ใช่แล้ว ใช่แล้ว! เรื่องเช่นนี้ไม่อาจพูดซี้ซั้วได้ หากมีคนตั้งใจขัดแข้งขัดขาจริงๆ ไม่ใช่จะกลายเป็นว่าพวกเราใส่ร้ายสกุลหลี่หรอกรึ 

มีเพียงอวี้หย่วนและเสิ่นฟางที่ไม่ปริปากกล่าว

อวี้หย่วนคล้ายกำลังคิดอะไรอยู่ ด้านเสิ่นฟางมองหลี่จวิ้น ก่อนจะมองอวี้ถัง สุดท้ายแววตาก็จมดิ่งเล็กน้อย หยุดสายตาไว้ที่อวี้ถัง

 เป็นการเข้าใจผิดหรือไม่ รอหาตัวอาเจ็ดพบ ทางศาลาว่าการจับกุมผู้เกี่ยวข้องได้ทั้งหมด เรื่องก็จะกระจ่างแล้ว  อวี้ถังกล่าวอย่างใจเย็น  เรื่องนี้ไม่อาจปล่อยให้จบไปเช่นนี้ได้ มีครั้งแรกก็ย่อมมีครั้งที่สอง ไม่ดึงตัวผู้ที่อยู่เบื้องหลังออกมา จะป้องกันอย่างไรก็ล้วนมีวันพลาด กลัวว่ากระทั่งแค่นอนหลับก็คงจะหลับได้ไม่สนิท 

หลี่จวิ้นใบหน้าขึ้นสี ราวกับเลือดไหลก็มิปาน เขากล่าวอ้อมแอ้ม  คุณหนูอวี้ เจ้า เจ้าไม่เชื่อข้ารึ? 

อวี้ถังกล่าว  ข้าเชื่อหรือไม่เชื่อเจ้าไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญคือเรื่องนี้ใครเป็นคนทำ วิธีการสกปรกต่ำช้าเกินไป เปลี่ยนเป็นคนอื่นก็คงยอมไม่ได้เช่นกัน 

หลี่จวิ้นลุกขึ้นยืนทันที โมโหอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ไม่รู้ว่านึกถึงเรื่องอะไรได้ ทำปากอ้าๆ หุบๆ ไม่ได้กล่าวอะไร

เสิ่นฟางเห็นก็ยืนขึ้นเช่นกัน  เป็นดั่งที่คุณหนูอวี้ว่า เรื่องนี้ต้องมีหลักฐาน ยามนี้พวกเราพูดอะไรล้วนไร้ประโยชน์ ตอนบ่ายนายท่านอวี้ยังมีธุระ มิสู้พวกเราแยกย้ายกันไปก่อน รอตามหาอาเจ็ดผู้นั้นของพวกท่านพบ ทั้งทางศาลาว่าการมีข่าวคราว ค่อยมาคุยเรื่องนี้ก็ไม่สาย 

อวี้เหวินรู้สึกว่าหลี่จวิ้นและเสิ่นฟางมาช่วยอวี้ถัง สุดท้ายยังถูกอวี้ถังสงสัย เสียมารยาทเกินไป กล่าวอย่างละอายใจ  หากทำเช่นนั้น… 

 ท่านอา!  จู่ๆ อวี้หย่วนก็ลุกขึ้นตัดบทสนทนาของอวี้เหวิน  คุณชายหลี่และคุณชายเสิ่นก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล หาอาเจ็ดให้พบก่อนเป็นเรื่องที่สำคัญกว่า 

หลี่จวิ้นฟังแล้วก็กล่าวคล้อยตามเสียงดัง  นายท่านอวี้ คุณชายอวี้กล่าวมีเหตุผล ข้าว่าอย่างไรหาอาเจ็ดของพวกท่านให้พบเร็วที่สุดเป็นเรื่องสำคัญกว่า 

———————————————-

Related

 

 คุณหนูใหญ่  อาเจ็ดกล่าวอย่างร้อนใจอยู่บ้าง  เจ้าอย่ากลัวไป พวกเขาไม่อาจทำอะไรเจ้าหรอก เป็นสกุลหลี่ พวกเขาอยากแต่งงานกับเจ้า แต่บิดามารดาเจ้าไม่ยอม สกุลหลี่อับจนหนทางจึงได้วางแผนเช่นนี้  ขณะที่เขาพูด ก็รู้สึกว่าตัวเองนั้นพูดมีเหตุผลขึ้นเรื่อยๆ น้ำเสียงค่อยๆ ดังขึ้นตามอย่างมั่นใจ  คุณชายรองสกุลหลี่ชื่นชอบเจ้าเป็นอย่างมาก เจ้าวางใจ รอเจ้าแต่งเข้าไปเป็นสะใภ้ใหญ่ในสกุลหลี่ก็จะรู้เอง อาเจ็ดไม่ได้จะทำร้ายเจ้า ข้าได้คุยกับพวกเขาแล้ว ถึงเวลานั้นข้าจะตามพวกเขาไปด้วย จะปกป้องเจ้าเอง 

อวี้ถังก่นด่าในใจหนึ่งประโยค

นางวางแผนรับมือเสียดิบดี ระแวงซ้ายระวังขวา กลับคาดไม่ถึงว่าจะตกหลุมพรางคนกันเองในช่วงเวลาสำคัญ ทั้งแม้เจ้าจะพูดเรื่องเหตุผลกับเขาก็ยังไม่รู้ว่าเขาจะเข้าใจหรือไม่

อวี้ถังเห็นอันธพาลพวกนั้นใกล้ตัวเองเข้ามาเรื่อยๆ หัวแล่นขึ้นมาฉับพลัน ถอดผ้าคาดเอวอย่างว่องไว ปล่อยให้อาเจ็ดดึงคอเสื้อนาง พอผละออกจากชุดคลุมตัวนอกได้ก็วิ่งไปทางเรือนเก่าทันที

 เร็ว รีบไปจับนาง!  หัวหน้าของพวกอันธพาลเห็นก็รีบตะโกนเสียงดังใส่อาเจ็ด  หากนางวิ่งกลับไปเรือนเก่าสกุลอวี้ก็จบเห่ ความพยายามที่พวกเราทุ่มเทล้วนจะเสียเปล่า! 

อาเจ็ดดึงสติกลับมา สาวเท้าไล่ตามอวี้ถังไป

สายลมพาดผ่านข้างหูนางไป ป่าหญ้ารกเกี่ยวพันเสื้อผ้า

นางวิ่งไปอย่างทุลักทุเล ไม่กล้าที่จะหยุด พยายามตะโกนคำว่า ‘ช่วยด้วย’ อย่างสุดชีวิต

พื้นที่ป่าเขาอยู่ด้านหลังเรือนเก่าสกุลอวี้ แต่หากนางจะวิ่งกลับเรือนเก่าสกุลอวี้ กลับต้องวิ่งตามถนนสายเล็กของตีนเขาไปอีกทาง ไม่ก็วิ่งฝ่าลำธารไปในหมู่บ้าน

ถนนสายเล็กตรงตีนเขาค่อนข้างขรุขระ น้อยคนนักที่จะใช้เส้นทางนี้

อวี้ถังหันไปมองที่ตีนเขา เห็นชายวัยกลางคนสองคนเฝ้าตรงถนนราวกับไม่มีอะไรทำ

อวี้ถังกระโดดลงสะพานทางไปในหมู่บ้าน ตะโกนคำว่า ‘ช่วยด้วย’ เสียงดัง

ในหมู่บ้านนั้นเงียบสงัด มีเพียงวัวสองตัวที่ถูกผูกอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ทางเข้าหมู่บ้านส่งเสียงร้อง ‘มอๆ’ ตอบรับนาง

แย่แล้ว นางลืมไป เวลานี้เป็นช่วงเวลาอาหารกลางวัน คาดว่าคนในหมู่บ้านคงจะกินข้าวกันในบ้าน

อวี้ถังกรีดร้องอยู่ในใจ

นางคงไม่โชคร้ายขนาดนั้นกระมัง?

อวี้ถังรีบหันกลับไปมองข้างหลัง

คนพวกนั้นคาดว่ากลัวนางวิ่งเข้าไปในหมู่บ้าน ทำให้คนในหมู่บ้านตกใจ สีหน้าจึงดุดันขึ้นมาบ้าง กำลังจะตามนางทันในไม่ช้า

อวี้ถังหน้าถอดสี ก่อนจะเห็นถนนทางเข้าหมู่บ้านมีรถม้าประดับม่านเขียวผ่านมาคันหนึ่ง

ด้านหน้ารถม้ามีคนขับรถรูปร่างกำยำคนหนึ่งนั่งอยู่ ด้านข้างยังมีเด็กผู้ชายช่วงวัยสิบขวบคนหนึ่ง

เด็กคนนั้นอายุประมาณสิบสองสิบสาม ใบหน้าอ้วนกลมนั้นปะแป้งขาว มัดผมจุกสองข้าง สวมชุดต้าวผาวผ้าหังโฉวสีเขียว ในมือไม่รู้ว่าถือขนมอะไรสีขาวๆ มุมปากเปรอะเปื้อนไปด้วยเศษขนม กำลังกินอย่างเอร็ดอร่อย

คาดไม่ถึงว่าจะเป็นเด็กคนที่นางพบที่น้ำตกสีปี่ วัดเจาหมิง

อวี้ถังตื้นตันจนน้ำตาแทบจะไหลออกมา

นางวิ่งไปทางรถม้า  ช่วยด้วย! ช่วยข้าด้วย! 

คนขับรถม้าและเด็กคนนั้นหันมามองโดยพร้อมเพรียงกัน

ดวงตาของเด็กชายเบิกกว้างจนกลมเกลี้ยงเป็นลูกลำไย คนขับรถม้ากลับสบถออกมา กระโดดลงจากรถม้า ถือแส้วิ่งเข้ามา

อวี้ถังดีใจเป็นอย่างยิ่ง ตะโกน  ช่วยด้วย!  อย่างไม่หยุดหย่อน

แส้ม้าวาดผ่านอากาศสะบัดไปยังด้านหลังนาง

เบื้องหลังนางปรากฏเสียงร้องโหยหวนและสาปแช่งตามมา

ชายหนุ่มร่างกำยำขมวดคิ้ว ตะโกนเสียงดังอื้ออึง  กลางวันแสกๆ รังแกผู้หญิงแล้วยังจะโวยวายส่งเดชอีก! 

เขาสาวเท้าผ่านไหล่อวี้ถังไป แส้ม้าในมือร่ายระบำขึ้นอีกครั้ง

อวี้ถังหยุดฝีเท้าลง เวลานี้พบว่าตัวเองหอบหายใจอย่างหนัก เจ็บหน้าอกคล้ายถูกฉีกอย่างไรอย่างนั้น

นางอดงอตัวพยุงมือไว้กับเข่าไม่ได้

 พี่สาว พี่สาว  มือเล็กที่เนียนนุ่ม เปรอะเปื้อนเศษขนม พยุงนางไว้  เจ้าไม่ต้องกลัว นายท่านของเราและเหล่าเจ้าล้วนอยู่ที่นี่ พวกเขาย่อมไม่กล้ารังแกเจ้าอีกแล้ว เจ้าอย่าได้กังวล ข้าพยุงเจ้าไปนั่งตรงก้อนหินข้างๆ ดีหรือไม่? 

ทางเข้าหมู่บ้านมีก้อนหินก้อนใหญ่อยู่ ทั้งยังมีวัวผูกไว้

อวี้ถังไม่เคยวิ่งถึงขนาดนี้มาก่อน นางหายใจเข้าลึก พูดไม่ออก ทำได้เพียงส่ายศีรษะ

 เช่นนั้น เช่นนั้นข้าพยุงเจ้าไป…  น้ำเสียงนุ่มเล็กคิดไม่ออกไปชั่วขณะ

คงหาสถานที่ที่พอจะนั่งไม่ได้กระมัง?

อวี้ถังอยากจะหัวเราะ กลับหัวเราะไม่ออก

นางเงยหน้า เห็นใบหน้าขาวเนียนของเด็กชายดูนุ่มนิ่มราวกับหมั่นโถว

 ขอบ ขอบคุณ เจ้า…  อวี้ถังกล่าว

เด็กชายส่ายศีรษะราวกับกลองไม้เขย่า  พี่สาวไม่ต้องพูดแล้ว เจ้าพักอยู่ที่ไหน พวกเราจะไปส่งเจ้า 

อวี้ถังสูดลมหายใจลึกหลายครั้ง รู้สึกว่าดีขึ้นมากแล้วก็ยืดตัวตรง คิดจะขอบคุณนายท่านของพวกเขาก่อนค่อยไปเรียกคนในหมู่บ้าน ใครจะรู้ว่าพอนางเงยหน้า ก็พบกับเผยเยี่ยนเผยแววตาเรียบนิ่งนั่งอยู่หน้ารถม้า

 เหตุใดเจ้าจึงอยู่ที่นี่?  อวี้ถังถอยหลังไปสองก้าว

วัดเจาหมิง…เด็กชาย…รถม้าประดับม่านเขียว…ชายหนุ่มกำยำ…

อวี้ถังมองเด็กชายและชายหนุ่มที่จัดการพวกอันธพาลจนนอนกองกับพื้น ทั้งหันมามองเผยเยี่ยน พูดติดอ่างกับเด็กคนนั้น  พวกเจ้า นายท่านของพวกเจ้า คงไม่ใช่นายท่านสามสกุลเผยหรอกกระมัง? 

 ใช่แล้ว ใช่แล้ว!  เด็กชายยิ้มอย่างสดใส เผยท่าทีราวกับภาคภูมิใจเช่นกัน  นายท่านของพวกเราก็คือนายท่านสามสกุลเผย! เจ้ารู้จักนายท่านสามสกุลพวกเราได้อย่างไรกัน? นายท่านสามของพวกเราเป็นคนดีอย่างยิ่ง ไม่เพียงงดเว้นค่าเช่าที่นา ยังบริจาคเงินให้วัดเจาหมิงทำพระโพธิสัตว์หล่อทอง เจ้าไปพูดคุยกับนายท่านสามของพวกเราเถิด ให้นายท่านสามพวกเราส่งอันธพาลพวกนี้ไปที่ศาลาว่าการ 

อวี้ถังทำอะไรไม่ถูก ชั่วขณะนั้นล้วนไม่รู้จะพูดอะไรดี

เผยเยี่ยนมองนาง มุมปากกระตุกเล็กน้อย

คุณหนูอวี้คนนี้ พวกเขาพบกันอีกแล้ว

สิ่งที่แตกต่างคือครั้งแรกที่พบเป็นความเจ้าเล่ห์กลับกลอก ครั้งที่สองงดงามพราวเสน่ห์ ครั้งที่สามทำตัวตามสบายไม่สนอะไร…ส่วนครั้งนี้ เผยเยี่ยนมองพินิจอวี้ถัง

ผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้าหลุดลุ่ย เม็ดเหงื่อผุดพรายเต็มหน้าผาก รองเท้าข้างหนึ่งอยู่ที่เท้า ส่วนอีกข้างไม่รู้ว่าทำร่วงที่ใด ทุลักทุเลราวกับหญิงสาวที่หนีตาย

อวี้ถังอดพินิจตัวเองตามสายตาเขาไม่ได้

กระโปรงสีม่วงไม่รู้ว่าถูกเกี่ยวขาดตั้งแต่เมื่อไร เผยให้เห็นรองเท้าปักลายข้างซ้ายที่ขาดเป็นรูขนาดใหญ่ ทั้งถุงเท้าสีขาวข้างขวาก็สกปรกเปรอะเปื้อนไปหมด

ชั่วขณะนั้นอวี้ถังก็ใบหน้าร้อนฉ่า

นางหันไปมองทางเผยเยี่ยนทันที

เผยเยี่ยนกลับบิดหน้าหนี คล้ายกับว่าไม่อยากมองเห็นนาง

อวี้ถังอึดอัดใจอยู่บ้าง แต่ความอึดอัดใจนี้เกิดขึ้นเพียงไม่นานก็สลายหายไป

แต่ไหนแต่ไรเผยเยี่ยนก็ดูแคลนนาง ยิ่งไปกว่านั้นครั้งที่แล้วยามที่นางอยู่หังโจว หลังจากถูกเขาเห็นนางใช้มือกัดขาหมูแล้ว ทั้งยังให้เขารู้ว่านางกินตะกละจนปวดท้อง…คำโบราณที่กล่าวว่า ‘เก่งแต่กิน คร้านทำงาน’ ล้วนเป็นกันทุกบ้าน ก่อนหน้านี้นางยังหลอกเถ้าแก่ถงให้ช่วยตรวจดูภาพ ‘ตกปลาใต้ต้นสนริมน้ำ’ ใช้ชื่อเสียงของสกุลเผยข่มขู่หลู่ซิ่น…นางอยู่ต่อหน้าเขายังจะพูดอะไรได้อีก? มีอะไรให้เชิดหน้าชูตาได้อีกหรือ?

แค่เสื้อผ้าไม่เรียบร้อยเท่านั้น เทียบกับก่อนหน้านี้ ก็ดีมากแล้ว

ชั่วขณะนั้นอวี้ถังก็ปลดปล่อยอารมณ์ในใจทิ้งไป

ยามที่ซวยกว่านี้ก็ผ่านมาได้แล้ว นางมีอะไรต้องกลัวอีก? มีอะไรให้เขินอายกัน?

อวี้ถังที่ปล่อยวางเรื่องในใจ แปรเปลี่ยนเป็นคุณหนูที่วางตัวอย่างเหมาะสม สง่าผ่าเผย ทั้งพูดจาอ่อนโยนต่อหน้าผู้คน

นางกล่าว  นายท่านเผย ขอบคุณท่านที่ยื่นมือช่วยเหลือ ท่านพ่อและท่านแม่ของข้าล้วนอยู่ที่หมู่บ้าน หากท่านไม่มีเรื่องด่วน มิสู้ไปดื่มชาที่เรือนเก่าสกุลอวี้ของพวกเราเป็นอย่างไร? ให้ท่านพ่อและท่านแม่ข้าได้ขอบคุณท่านดีๆ 

เผยเยี่ยนขมวดคิ้ว  เจ้าอยู่กับพ่อและแม่เจ้ารึ? 

หรือเขาคิดว่านางวิ่งมาถึงที่นี่คนเดียวอย่างนั้นรึ?

อวี้ถังผงกศีรษะ กำลังจะพูดเป็นมารยาทกับเผยเยี่ยนเสียหน่อย ข้างหูพลันมีเสียงเกือกม้าดังขึ้นมา

นางและเผยเยี่ยนอดหันไปมองไม่ได้

เห็นเพียงหลี่จวิ้นและเสิ่นฟางขี่ม้าคนละตัวพุ่งมาทางนี้

อวี้ถังเผยใบหน้าดำคล้ำ

ม้าของหลี่จวิ้นและเสิ่นฟางมาถึงเบื้องหน้า

เสียงหอบหายใจดังขึ้น ก่อนทั้งสองจะดึงบังเหียนหยุดม้า ม้ายกขาหน้าขึ้นมา คล้อยหลังพวกเขาก็กระโดดลงพื้น

 คุณหนูอวี้ เจ้าไม่เป็นไรกระมัง?  หลี่จวิ้นถามอย่างกังวล มองพินิจนางทั้งตัว

เสิ่นฟางเดินเข้ามา เขาเผยสีหน้าเคร่งขรึม  คุณหนูอวี้ เจ้าเป็นอะไรหรือไม่? 

อวี้ถังยกคิ้วขึ้น

หลี่จวิ้นรีบกล่าว  ข้าและพวกเสี่ยวหวั่นดื่มชาอยู่ในโรงน้ำชา ได้ยินคนเอ่ยถึงคุณหนูอวี้ กล่าวว่าคุณหนูอวี้มีทรัพย์สินของสกุลมากมาย มีคนอยากแต่งเป็นเขยเข้าบ้านเจ้า ทราบมาว่าวันนี้เจ้าจะกลับมาเรือนเก่านอกเมือง จึงขอพวกเขาให้มาฉุดคุณหนูอวี้ แม้ว่าเขาจะไม่กล้ารับการจ้างวานนี้ กลับมีคนยอมเสี่ยงอันตรายเพราะเข้าตาจน…ข้าได้ฟังก็ร้อนใจเป็นอย่างยิ่ง บังเอิญพบกับพี่เสิ่นที่มาหาเสี่ยวหวั่นจึงไล่ตามมากับพี่เสิ่น…  พูดมาถึงตรงนี้ เขาจึงค่อยทักทายกับเผยเยี่ยน  นายท่านเยี่ยน! ดูท่าแล้วท่านคงช่วยคุณหนูอวี้ไว้ ช่างโชคดีจริงๆ! 

เขาเช็ดเหงื่อที่หน้าผาก จากนั้นก็วิ่งไปด้านข้างคนขับรถม้าอย่างแค้นเคือง ถีบอันธพาลพวกนั้นไปหลายครั้งอย่างแรง กล่าวกับอวี้ถัง  คุณหนูอวี้ ยังดีที่เจ้าไม่เป็นอะไร ยามที่ข้ามาได้กำชับให้บ่าวถือป้ายชื่อพี่ใหญ่ไปแจ้งความที่ศาลาว่าการแล้ว อีกไม่นานเจ้าหน้าที่ก็คงตามมา 

ตั้งแต่เขากระโดดลงจากม้า อวี้ถังก็มองเขาแทบไม่ละสายตา ในใจกลับขบคิดอย่างว่องไว

นี่หลี่จวิ้นหมายความว่าอะไร?

ผู้ที่คิดจะบังคับฝืนใจไม่ใช่สกุลหลี่ของพวกเขาหรอกรึ?

เขาไม่รู้จริงๆ หรือแกล้งไม่รู้กันแน่?

แต่ดูท่าทีนี้ของเขา ก็ไม่เหมือนเสแสร้ง

โดยเฉพาะเสิ่นฟางก็มาด้วย

แม้นางและเสิ่นฟางจะเคยพบกันที่วัดเจาหมิงเพียงครั้งเดียว แต่เขาสามารถทำให้ฟู่เสี่ยวหวั่นเชื่อฟังเขาได้ ก็คงไม่ใช่คนที่จะถูกใครวางแผนได้ง่ายๆ หากสกุลหลี่อยากให้เขาเป็นพยาน กลับไม่ใช่เรื่องง่ายดายถึงเพียงนั้น

อวี้ถังขอบคุณหลี่จวิ้น กล่าวด้วยสีหน้าเช่นเคย  ยังดีที่คุณชายเสิ่นไปหาคุณชายฟู่พอดี ทั้งรีบร้อนตามมา แต่ว่าพวกเจ้าทั้งสองก็เสี่ยงอันตรายไปอยู่บ้าง ภายหลังหากพบเจอเรื่องเช่นนี้ก็ควรหาคนมาช่วยให้มากหน่อย 

เสิ่นฟางไม่ได้กล่าวอันใด มองอวี้ถังอย่างลุ่มลึก

หลี่จวิ้นกลับรีบกล่าว  เวลานั้นข้าก็รีบจนหัวหมุนไปหมด หากไม่ใช่ว่าพี่เสิ่นเตือนสติ คงจะลืมกระทั่งให้คนไปแจ้งทางการเช่นกัน 

อวี้ถังคารวะขอบคุณเสิ่นฟางอีกครั้ง

เสิ่นฟางกลับกล่าวอย่างแฝงความนัย  วันนี้ข้าบังเอิญจริงๆ มาอย่างกะทันหัน ไม่อย่างนั้นอาจวิ้นจะพูดว่าโชคดีจริงๆ ได้อย่างไร! 

เสิ่นฟางผู้นี้ก็เป็นคนมีความคิดละเอียดรอบคอบไม่น้อย

อวี้ถังพยักหน้าให้เขาทั้งรอยยิ้ม

เสิ่นฟางเผยรอยยิ้มเข้าใจออกมา

อวี้ถังกระตุกในใจ ในหัวปรากฏความคิดบ้าบิ่นขึ้นมา

ชาติก่อน หลังจากหลี่จวิ้นและนางหมั้นหมายกันได้ไม่นานเขาก็จากไปอย่างกะทันหัน

นางไม่รู้เรื่องของคนผู้นี้

หากหลี่จวิ้นและสกุลหลี่ไม่ใช่พวกเดียวกันล่ะ?

เรื่องราวทั้งหมดก็ล้วนอธิบายได้

สกุลหลี่คิดใช้แผนสกปรกบีบให้นางแต่งเข้าสกุล ไม่ได้รับการร่วมมือจากหลี่จวิ้นย่อมไม่ได้ ดังนั้นสกุลหลี่จึงวางแผนเล่นงานทั้งนางและหลี่จวิ้นด้วยกันทั้งคู่ เริ่มแรกให้อาเจ็ดเชื่อเขาว่าทำเช่นนี้ก็เพื่อช่วยนาง ทั้งตั้งใจให้หลี่จวิ้นทราบถึงสถานการณ์ของนาง วางแผนให้หลี่จวิ้นเข้ามาช่วยเหลือ

เพียงแค่สกุลหลี่ไม่ได้คาดคิดว่า จู่ๆ เผยเยี่ยนก็ผ่านมาทางนี้ ทั้งเสิ่นฟางจะพบกับหลี่จวิ้นอย่างไม่คาดฝัน

————————————————

Related

 

เว่ยเสี่ยวชวนตื่นตัวขึ้นมา รีบกล่าว  พี่สาว เจ้าวางใจ แม้เขาจะอยู่สำนักศึกษาประจำจังหวัด ข้าอยู่สำนักศึกษาประจำอำเภอ แต่ข้ามีคนที่คุ้นเคยอยู่ แต่ละวันเขาทำอะไรบ้าง ข้ารับรองว่าจะบอกเจ้าให้หมด 

อวี้ถังกล่าว  เช่นนั้นเจ้าก็อย่าได้ทิ้งการเรียนเชียว 

สกุลหลี่ต้องการภาพนั้น หากไม่ติดกับนาง ไม่ว่าจะขโมยหรือแย่งชิง ‘ของต่างหน้า’ ของหลู่ซิ่นไปไว้ในมือ ก็คงจะทำเหมือนชาติก่อน ไล่ต้อนนางให้ออกเรือนกับหลี่จวิ้น

หากสกุลหลี่ตกหลุมพรางของนาง สิบปีล้างแค้นย่อมไม่สาย นางอาจจะเสียเวลาสิบปี ยี่สิบปีค่อยๆ สืบสาเหตุการตายที่แท้จริงของเว่ยเสี่ยวซาน แต่ชาตินี้กับชาติก่อนไม่เหมือนกันแล้ว นางมีบิดามารดา มีพี่ชาย หากสกุลหลี่คิดจะสอดมือยุ่งเรื่องงานแต่งของนาง ทำได้เพียงต้องใช้ไหวพริบ ไม่อาจบีบบังคับ ย่อมยังมีไม้เด็ดอยู่อีกแน่

นางแค่รอหน่อยก็เพียงพอแล้ว

ยามนี้เรื่องสำคัญที่ต้องจัดการคือปลอบใจเว่ยเสี่ยวชวนให้ดี อย่าให้เรื่องนี้กระทบกับการเรียนหรืออนาคตของเขา

เว่ยเสี่ยวชวนเผยรอยยิ้มบาง  พี่สาววางใจ ข้ารู้จักความเหมาะสมอยู่แล้ว 

เขาเพิ่งจะพูดจบ อวี้ถังก็ได้ยินเสียงของมารดา  เจ้ามาทำอะไรที่นี่กัน? 

ทั้งสองคนหันไปตามเสียงอย่างพร้อมเพรียงกัน

คนสกุลเฉินตกใจ กล่าวอย่างลังเล  นี่คือเสี่ยวชวนกระมัง? คุณชายห้าของสกุลเว่ย? 

เว่ยเสี่ยวชวนรีบก้าวเข้ามาคารวะคนสกุลเฉิน

คนสกุลเฉินดึงเขาเข้ามากอดอย่างดีใจ  เด็กดี เจ้ามาที่เรือนพวกเราทำไมรึ? เหตุใดไม่เข้าไปคุยด้านใน? อยู่ตรงประตูหลังไม่ดีนัก ไป ไป ไป ตามข้าเข้าไปด้านใน  ก่อนจะเรียกซวงเถาเสียงดัง  เอาขนมที่คุณชายหย่วนซื้อกลับจากหังโจวไม่กี่วันก่อนมาให้เสี่ยวชวนชิมหน่อย 

เว่ยเสี่ยวชวนใบหน้าแดงก่ำ เขารีบกล่าว  ท่านป้า ไม่ต้องหรอก! ข้ามาเยี่ยมท่านพี่เท่านั้น จะฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์แล้ว สำนักศึกษาของพวกเราจึงหยุด ข้ายังต้องกลับช่วยที่บ้านทำไร่ทำนา! 

 ไอหยา!  คนสกุลเฉินได้ฟังก็ยิ่งชอบเข้าไปใหญ่  เจ้าเรียนในสำนักศึกษาแล้ว ยังช่วยที่บ้านทำไร่ทำนาอีก! ดีจริงๆ ไม่เหมือนบัณฑิตบางคน เรียนตำราไม่กี่เล่ม เรื่องอื่นๆ ก็คร้านที่จะทำแล้ว ในเมื่อเจ้ารีบกลับไปฉลองเทศกาล ข้าก็ไม่รั้งเจ้าแล้ว แต่ขนมนั้นเจ้าต้องเอาไปด้วย หากเจ้าไม่ชอบกิน ก็ให้พวกพี่น้องชิมดูก็ได้ 

เว่ยเสี่ยวชวนรับปาก ก่อนจะขอบคุณคนสกุลเฉินแล้วถือขนมกลับบ้านไป

คนสกุลเฉินปิดประตูถามอวี้ถังทันที  เสี่ยวชวนเป็นเพียงเด็กน้อยไม่รู้ประสา ทั้งยังเรียนอยู่ที่สำนักศึกษา ไฉนจู่ๆ จึงวิ่งมาหาเจ้าเช่นนี้? 

อวี้ถังทำได้เพียงกล่าว  ข้าสืบเรื่องคุณหนูเซียงจากเขาไม่ได้รึ? 

คนสกุลเฉินตีนางไปหนึ่งที  เรื่องนี้ยังไม่สำเร็จเสร็จสรรพ หากเกิดปัญหาอะไรเพราะเจ้า ดูสิว่าข้าจะขังเจ้าไว้ในโรงฟืนหรือไม่ 

อวี้ถังรู้ว่ามารดานั้นปากร้ายแต่ใจดีกับนางมาตลอด ตั้งแต่เด็กนางไม่รู้ว่าก่อเรื่องไปตั้งเท่าใด แต่ก็ไม่เคยถูกมารดาลงโทษแม้แต่ปลายนิ้ว นางตั้งใจหยอกเย้ามารดา ร้องเรียกเสียงดัง ‘ท่านพ่อ’ ก่อนกล่าว  ท่านแม่จะตีข้า! 

อวี้เหวินรีบออกมาจากห้องหนังสือ ยังไม่ทันเห็นคนก็ส่งเสียงมาก่อน  มีอะไรค่อยพูดค่อยจา จะตีลูกทำไมกัน! 

 อวี้ถัง!  คนสกุลเฉินหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก

อวี้ถังวิ่งมาหลบอยู่ด้านข้างอวี้เหวิน

อวี้เหวินมองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าอวี้ถังหยอกเล่น ยักไหล่อย่างจนใจไปทางคนสกุลเฉิน  เอาเถิด เอาเถิด ข้าจะไปเขียนหนังสือต่อละ เรื่องของพวกเจ้าข้าไม่ยุ่งแล้ว 

อวี้ถังวิ่งกลับไปขอโทษมารดา ทั้งยังเบี่ยงประเด็นเอ่ยถึงเรื่องดูตัวในวันพรุ่งนี้  ข้าสวมชุดอะไรดี หากข้ามหน้าข้ามตาคุณหนูเซียง นางยังไม่ทันแต่งเข้าสกุลก็มาเกลียดน้องสามีอย่างข้าก่อน จะทำอย่างไร? 

 เช่นนั้นก็แต่งเจ้าออกไป  คนสกุลเฉินบิดแก้มลูกสาว แต่ก็ยังคงช่วยลูกเลือกเสื้อผ้า

อวี้ถังเลือกชุดสีม่วงอ่อนของดอกติงเซียงที่ใส่เป็นเพื่อนหม่าซิ่วเหนียงในยามเจรจางานแต่ง แม้ว่าคนสกุลเฉินจะไม่ค่อยพอใจ แต่ก็ไม่ได้พูดมาก เมื่อถึงเช้าตรู่ของอีกวัน ก็นั่งเกี้ยวกับพวกคนสกุลหวังไปที่นาของสกุลอวี้ที่ตั้งอยู่ในแถบชนบท รอหลังจากกินข้าวกลางวันเสร็จ ก็แสร้งทำเป็นกลับบ้านโดยผ่านทางเรือนของสกุลเว่ย แล้วเข้าไปเยี่ยมเยียน

อวี้ถังมองทิวทัศน์ตลอดทาง ในใจรู้สึกเศร้าอยู่บ้าง

ปกติการดูตัวเช่นนี้มักจะเลือกนัดหมายที่วัดไม่ก็อารามแม่ชี

สกุลพวกเขาและสกุลเว่ยกลับจัดการอย่างอ้อมไปอ้อมมาให้อยู่ที่สกุลเว่ย เป็นไปได้ว่ากลัวจะกระทบความรู้สึกนางยามนึกถึงเรื่องงานแต่งของตัวเอง

บิดามารดารักนางอย่างสุดหัวใจ นางกลับไม่อาจทำอะไรเป็นการตอบแทน

อวี้ถังสูดลมหายใจลึก เตือนตัวเองว่าอยู่ต่อหน้ามารดาต้องมีความสุขเข้าไว้

เรือนเก่าที่อยู่นอกเมืองของสกุลอวี้ยังนับว่าใหญ่ไม่น้อย เป็นเรือนก่อด้วยอิฐสีเทา มีพื้นที่ห้าส่วน ในเรือนมีพ่อม่ายที่เป็นญาติห่างๆ อยู่คนหนึ่งทั้งรับลูกของญาติมาเลี้ยงดูเป็นลูกชายอีกคนอยู่ที่นั่น คอยดูแลเรือน จัดการเรื่องที่นาให้พวกเขา อวี้ถังต้องเรียกเขาว่าปู่ห้า เรียกลูกชายคนนั้นของเขาว่าอาเจ็ด

ปู่ห้าคนนี้อายุประมาณหกสิบปี ซื่อสัตย์จริงใจ ชาติก่อนก็ช่วยสกุลอวี้ดูแลเรือนเก่าหลังนี้มาโดยตลอด พอรู้ว่าพวกอวี้เหวินจะกลับมา เขาก็ปัดกวาดทำความสะอาดเรือนล่วงหน้า จัดเตรียมโต๊ะอาหารต้อนรับอย่างเพียบพร้อม

อวี้ถัง มารดา ป้าสะใภ้ใหญ่ พวกผู้หญิงนั้นกินข้าวอยู่ในเรือน ส่วนอวี้เหวินและพวกปู่ห้าไม่กี่คนนั่งดื่มสุราอยู่ด้านนอก

ปู่ห้าถามอวี้เหวิน  ยังไม่ได้ถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์ แม้ว่าจะเก็บผลิตผลจากที่นาแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ลงในบัญชี เจ้าไปดูในโรงนาก่อนดีหรือไม่? 

อวี้เหวินกล่าวด้วยรอยยิ้ม  วันนี้พวกเรากลับบ้านมาเที่ยวเล่นเท่านั้น เรื่องในที่นา ก็ว่าตามปีที่ผ่านมาเถิด 

ปู่ห้ามองท้องฟ้าที่มืดครึ้มอยู่บ้าง ไม่เข้าใจว่าอากาศเช่นนี้กลับบ้านนอกมาเที่ยวเล่นอะไร

แต่เขาเป็นคนที่จริงใจคนหนึ่ง อวี้เหวินไม่พูด เขาก็ไม่อาจถาม เพราะว่าเรื่องของอวี้หย่วน ตอนบ่ายยังต้องไปสกุลเว่ย อวี้เหวินจึงไม่ได้ดื่มสุรา ทั้งกว่าจะถึงเวลานัดกับสกุลเว่ยยังอีกนาน กินข้าวเสร็จก็ไม่ได้แยกย้ายไปไหน ดื่มชาไปพลาง คุยเรื่องที่นากับปู่ห้าไปพลาง

อาเจ็ดเป็นชายวัยสี่สิบต้นๆ สูงพอเหมาะพอควร ผิวพรรณดำคล้ำ รูปร่างกำยำ ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงไม่แต่งภรรยาเสียที ตอนเด็กๆ ยามที่อวี้ถังตามบิดามาที่นา เขาก็มักจะพานางขี่คอไปเที่ยวเล่นทุกหนทุกแห่ง ทั้งยังซื้อขนม ยางรัดผมให้นาง ชื่นชอบนางเป็นอย่างยิ่ง

ภายหลังบิดาและมารดานางจากไป เขาก็ตั้งใจเดินทางไปเคารพศพ ทั้งยังแบกข้าวมาส่งนางบางครั้งบางคราว

อาเจ็ดยืนกวักมือเรียกนางอยู่นอกประตู

คนสกุลเฉินและคนสกุลหวังยิ้มกล่าวกับอวี้ถัง  ไปเถิด! ให้อาเจ็ดเจ้าพาไปเดินดูหมู่บ้านเสียหน่อย เจ้าจะได้ไม่เบื่อ 

หลังจากกลับชาติมาเกิดอีกครั้ง อวี้ถังยังไม่เคยพบอาเจ็ดผู้นี้เลย

นางเดินยิ้มออกไป

อาเจ็ดคว้าบางอย่างที่เห็นก็รู้แล้วว่าเป็นกรงนกแบบง่ายๆ ที่เขาทำเองออกมาจากด้านหลัง  ให้เจ้าเล่น 

อวี้ถังมองดู ในกรงนั้นมีนกกระจอกหลายตัวถูกขังอยู่

คงเป็นอาเจ็ดที่จับมา

เมื่อก่อนยังเคยพานางย่างนกกระจอกด้วย

นางยิ้มมุมปาก ขอบคุณอาเจ็ด ก่อนจะรับกรงนกมา

อาเจ็ดถามนาง  อีกเดี๋ยวข้าจะไปเก็บดอกกุ้ยฮวา เจ้าอยากไปหรือไม่? ข้าจะทำดอกกุ้ยฮวาลอยน้ำเชื่อมให้เจ้ากิน 

อวี้ถังไม่ค่อยอยากไป แต่นางอยากไปดูพื้นที่ป่าของสกุลลุงใหญ่

ชาติก่อน หลังจากขายพื้นที่ป่าเขานี้ให้กับสกุลเผย สกุลเผยก็ปลูกผลไม้ชนิดหนึ่งในพื้นที่แห่งนี้ จากนั้นก็แปรรูปเป็นผลไม้อบแห้งขาย ได้ยินว่าขายที่เมืองหังโจวได้ดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะเรื่องนี้ คนสกุลเกาจึงมักด่าอวี้หย่วนว่าเป็นคนไร้ค่า เห็นแหล่งทำเงินเป็นของไร้ราคา คาดไม่ถึงว่าจะขายที่ดินดีขนาดนั้นไป

หลังจากอวี้ถังได้ยินก็โมโหจนไม่กินข้าวไปหลายวัน แต่ในใจจำต้องยอมรับ การดูแลจัดการของสกุลเผยทำได้ดีจริงๆ พื้นที่ป่าเขาเช่นนี้พอตกไปอยู่ในการดูแลของพวกเขาล้วนสามารถหาสารพัดวิธีทำเงินได้

ชาตินี้ นางก็คิดที่จะลองดู

อวี้ถังเอากรงนกเข้าไปให้คนสกุลเฉินและคนสกุลหวัง  ให้ท่านพี่เอาไปเล่นกับคุณหนูเซียง ข้าจะไปเก็บดอกกุ้ยฮวากับอาเจ็ดนะเจ้าคะ 

คนสกุลเฉินรีบกำชับนาง  อย่าได้ไปเก็บเองเชียว ระวังน้ำหวานดอกไม้เปื้อนมือด้วย ต้องล้างกันเป็นค่อนวัน  ทว่ายังไม่วางใจจึงเรียกอาเจ็ดเข้ามาให้เขาช่วยดูแลอวี้ถัง

อาเจ็ดรับปากเป็นดิบดี

อวี้ถังและอาเจ็ดไปยังตีนเขาที่ปลูกดอกกุ้ยฮวาด้วยกัน

ท่ามกลางใบไม้เขียวที่มันวาว เต็มไปด้วยดอกสีเหลืองอร่ามที่เบ่งบาน

อาเจ็ดยื่นกระเป๋าผ้าให้นาง  เจ้ายืนรออยู่ใต้ร่มไม้ ข้าจะไปเก็บดอก 

อวี้ถังตอบรับด้วยรอยยิ้ม

ยามที่อาเจ็ดเก็บดอกไม้ นางก็เขย่งมองซ้ายมองขวา พูดคุยกับเขา  ข้าเห็นพื้นที่ป่าเขาของคนอื่นล้วนปลูกต้นเหอเถา[1] ต้นท้อบ้าง ลูกไหนบ้าง ไฉนที่ของพวกเราจึงไม่มีอะไรเลยเล่า? 

อาเจ็ดสาละวนกับการเก็บดอกไม้  พื้นที่ภูเขาของลุงใหญ่เจ้าทำไม่ได้ สภาพดินแย่เป็นอย่างมาก ยามที่ปู่เจ้าอยู่ก็เคยปลูกต้นเหอเถา แต่ผลปรากฏว่าออกลูกมาทั้งขมทั้งฝาด ขายไม่ออก ภายหลังก็ปลูกหน่อไม้ ป่าไผ่นั้นเติบโตเป็นวงกว้าง แต่หน่อไม้ที่ออกมากลับคล้ายดั่งฟืน ต้นท้อเอย ลูกไหนเอย ยิ่งไม่ต้องพูดถึง…จนมาถึงคราวลุงใหญ่ของเจ้า ก็ยึดตามนั้นไป ปลูกต้นไม้ทั่วไปขายเป็นฟืนได้ก็เพียงพอแล้ว! เด็กสาวอย่างเจ้าไม่รู้หรอกว่า เมื่อถึงฤดูหนาว ฟืนก็ขายดีเช่นกัน แค่เมืองหลินอันของพวกเราก็ล้วนไม่เพียงพอต่อความต้องการ…ข้าได้ยินคนอื่นกล่าวว่า เมืองหังโจวขายได้ราคาดีกว่านี้เสียอีก แต่ปู่ห้าของเจ้าร่างกายไม่แข็งแรง ข้าไม่อาจเดินทางไกลเกินไปได้ ไม่อย่างนั้นข้าก็คงไปขายฟืนที่เมืองหังโจวแล้ว… 

อวี้ถังงุนงงอยู่บ้าง

ไปขายฟืนที่หังโจว? เงินที่ขายฟืนได้ยังไม่พอค่าขนส่งทางเรือเลยกระมัง?

ชาติก่อนนางไม่เคยใส่ใจเรื่องพวกนี้ เข้าหูซ้ายก็ทะลุหูขวาออกไปแล้ว รู้สึกว่าอาเจ็ดผู้นี้พูดอะไรล้วนน่าสนใจ ชาตินี้กลับ…

อวี้ถังสั่นศีรษะลอบยิ้มขมขื่นกับตัวเอง

มีประสบการณ์จากชาติที่แล้ว นางจะแสร้งอย่างไร ก็ไม่มีทางกลับไปเป็นเหมือนตอนแรก

นางจัดเรียงดอกกุ้ยฮวาที่อาเจ็ดเก็บลงมา ก่อนจะมีเสียงดังกรอบแกรบลอยขึ้นมาข้างหู คล้ายว่ามีใครเดินฝ่าพุ่มไม้เข้ามาทางนี้

อวี้ถังเงยหน้า เห็นพวกชายหนุ่มที่มีท่าทีเอ้อระเหยลอยชายเดินเข้ามา

เมื่อเห็นอวี้ถัง คนพวกนั้นก็ตาเป็นประกาย ทั้งยังใช้สายตาสื่อสารเป็นนัยให้กัน ดูแล้วไม่น่าจะมีเจตนาดี

อวี้ถังส่งเสียงดังเรียกอาเจ็ด  คนพวกนี้ท่านรู้จักหรือไม่? 

อาเจ็ดหันกลับมา กล่าวยิ้มๆ  อ๋อ เป็นพวกเด็กหนุ่มเกเรในหมู่บ้านพวกเรา เจ้าไม่ต้องสนใจเขา พวกเขาไม่กล้าทำอะไรหรอก! 

แม้ว่าจะพูดเช่นนั้น เขากลับดูตื่นตัวเป็นอย่างมาก เมื่อครู่ดึงเบาๆ ก็เด็ดดอกลงมาได้แล้ว ยามนี้ออกแรงอยู่พักใหญ่กลับเด็ดลงมาไม่ได้แต่อย่างใด

หรืออาเจ็ดเคยไปขัดแย้งอะไรกับพวกเขาหรือเปล่า?

อวี้ถังกล่าวอย่างร้อนใจ  อาเจ็ด อย่างไรพวกเรากลับไปก่อนเถิด! อีกเดี๋ยวข้ายังต้องไปสกุลเว่ยเป็นเพื่อนท่านแม่และป้าสะใภ้ใหญ่ ครั้งหน้าเจ้าค่อยมาเก็บเถิด  พูดจบ ก็ดึงชายเสื้อของอาเจ็ด

มุมปากของอาเจ็ดกระตุกสั่น กลับกล่าว  ไม่ล่ะ เจ้าอย่าเพิ่งไป อีกเดี๋ยวข้าก็จะเก็บเสร็จแล้ว 

ผิดปกติ!

อวี้ถังหันไปมองพวกอันธพาล คนพวกนั้นกำลังสาวเท้ามาหานาง

ท่าทางดุดันไม่น้อย

อวี้ถังหันไปมองอาเจ็ดอีกครั้ง

มือของเขาที่กำลังเด็ดดอกไม้จับที่กิ่งไม้แน่นจนข้อต่อขึ้นสีขาว

จู่ๆ อวี้ถังก็นึกถึงสกุลหลี่ที่นางเตรียมรับมือมาโดยตลอด…

นางออกตัววิ่งทันที

 นังคนนี้ หยุดเดี๋ยวนี้นะ!  คนพวกนั้นวิ่งตามนาง ตะโกนเสียงดังขึ้นมา

คล้อยหลังคอเสื้อของนางก็ถูกคนดึงไว้

อวี้ถังหันกลับไป เห็นใบหน้าของอาเจ็ดที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด

———————————————————

[1] ต้นเหอเถา ต้นวอลนัท

Related

 

ไม่มีใครเห็นว่าเย็นวันนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้น

ไม่รู้ว่าออกไปตอนไหน ไม่รู้ว่าตายเมื่อไร ไม่รู้ว่าก่อนที่เขาตายได้พบเจอกับเรื่องอันใด อาศัยจากที่เห็นศพของเขาลอยขึ้นมาในน้ำ ทั้งข้างลำธารที่ทิ้งอุปกรณ์จับปลาเอาไว้ ก็ตัดสินว่าเขาไม่ทันระวังจึงจมน้ำตาย

อวี้ถังฟังจบ ผ่านไปค่อนวันก็ยังไม่อาจลุกขึ้นยืนได้

อาเสาเห็นท่าทีของนาง คิดว่านางคงหวาดกลัวไม่น้อย ถามอย่างระวัง  เช่นนั้น คุณหนู ข้า ข้ายังต้องไปสืบต่อหรือไม่ขอรับ? 

 ไม่ต้อง!  ในใจของอวี้ถังราวกับมีกองไฟสุมอยู่ข้างใน ทั้งคล้ายถูกน้ำเย็นแทรกซึมเข้ามาเช่นกัน

ผู้ที่อาศัยใกล้ๆ ที่นาของสกุลเว่ยล้วนเป็นคนคุ้นเคยของสกุลเว่ย อาเสาเป็นคนแปลกหน้า หากมีคนสงสัย ไม่นานก็ย่อมสืบความได้ว่าอาเสาเป็นใคร นางไม่อาจทำให้สกุลเว่ยตกใจ ทำให้คนในสกุลเว่ยเจ็บปวดไปมากกว่านี้ เรื่องนี้ หยุดที่นางก็เพียงพอแล้ว

ก็ให้คนในสกุลเว่ยคิดว่าเขาจมน้ำตายไป

ความจริงเป็นอย่างไร นางจะสืบหาให้กระจ่างเอง

หากเขาตายเพราะถูกวางแผนจริงๆ ไม่ว่าจะเพราะอะไร ใครเป็นคนทำ นางจะพยายามอย่างสุดชีวิต หาความเป็นธรรม คืนความยุติธรรมให้เขา

อวี้ถังหยัดกายขึ้นจากโต๊ะอย่างช้าๆ ผลักหน้าต่างออก

ใกล้ถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์แล้ว

ดอกกุ้ยฮวาก็บานสะพรั่งขึ้นมาตามลำดับ

กลิ่นหอมฟุ้งลอยแตะจมูก

นี่เป็นเทศกาลหนึ่งที่ครอบครัวกลับมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตา ทุกคนควรจะมีความสุขกันถึงจะถูก

อวี้ถังนั่งทำปิ่นดอกไม้อยู่ใต้ต้นกุ้ยฮวาตรงลานบ้าน

ครั้งนี้นางทำดอกซานฉา รูปแบบหลากหลาย วัสดุแต่ละประเภท ทั้งสีที่แตกต่างกันไป รอจนผ่านสองสามเดือน นางก็สามารถทำใส่ได้หลายกล่องแล้ว ถึงเวลานั้นนอกจากมารดา ป้าสะใภ้ใหญ่ และพวกหม่าซิ่วเหนียงแล้ว นางก็วางแผนจะให้พวกสตรีสกุลเว่ยด้วย

อวี้ถังก้มหน้าก้มตา ค่อยนำกลีบดอกกำมะหยี่ที่ตัดไว้ดีแล้วเย็บร้อยเรียงเข้าด้วยกัน ไม่นานก็ทำออกมาเป็นดอกหนึ่ง จากนั้นแต่งเติมใบสีเขียวเข้าไป ไม่ก็ใช้ไข่มุกทำเป็นน้ำค้าง หรือใช้เศษผ้าทำเป็นผึ้งเกาะอยู่ด้านบน ดูแล้วเหมือนของจริงเป็นอย่างยิ่ง

ผ้ากำมะหยี่นั้นส่วนมากจะเป็นสีแดงช้ำ มีขนอ่อนเล็กๆ ลูบแล้วก็คล้ายเป็นกลีบดอกของดอกซานฉาจริงๆ นุ่มละเอียดทั้งรับรู้ถึงเนื้อสัมผัส

ไม่รู้ว่ามีหยดน้ำจากที่ใดตกลงมา ทำให้ผ้าลู่โฉว[1]ที่นางตัดเป็นใบไม้ในมือเปียกชื้น

อวี้ถังขมวดคิ้ว

เมื่อเงยหน้ากลับพบว่าท้องฟ้าปลอดโปร่ง ไร้เมฆบดบัง

หยดน้ำมาจากที่ไหนกัน

นางแปลกใจ รู้สึกถึงความเหนอะหนะบนใบหน้า เมื่อลองลูบดู ก็พบว่ามือเปียกไปด้วยน้ำ

อวี้ถังงุนงงอยู่บ้าง ข้างหูกลับปรากฏเสียงร้องอย่างตกใจของซวงเถา  คุณหนู เกิดเรื่องอะไรเจ้าคะ? ไฉนท่านจึงร้องไห้ขนาดนี้? ข้า ข้าจะไปเรียกนายหญิงเดี๋ยวนี้… 

นางรีบคว้าซวงเถาเอาไว้  ข้าร้องไห้รึ? 

ซวงเถามองนางอย่างเกรงกลัวอยู่บ้าง ชี้ไปที่หน้าของนาง กล่าวเสียงเบา  ใบหน้าท่านมีแต่น้ำตา 

 อย่าให้ท่านแม่รู้  อวี้ถังกล่าว  เจ้าไปตักน้ำมาให้ข้าล้างหน้าล้างตาหน่อยเถิด 

ซวงเถาก็กลัวว่าจะทำให้คนสกุลเฉินตกใจ จึงรีบไปตักน้ำ

อวี้ถังจึงกลับเข้าไปในห้อง ส่องดูตัวเองในกระจก

เป็นดั่งที่ซวงเถาว่าจริงๆ ดวงตานางแดงก่ำ น้ำตาเปรอะเปื้อนไปทั้งหน้า

อวี้ถังนั่งนิ่งอยู่หน้ากระจกพักใหญ่ ในหัวคิดว้าวุ่น นางไม่รู้ว่าตัวเองกำลังคิดอะไรอยู่ รอจนซวงเถาตักน้ำเข้ามา ล้างหน้าเปลี่ยนชุดใหม่อีกครั้ง จู่ๆ อาเสาก็เข้ามารายงาน กล่าวว่าเว่ยเสี่ยวชวนต้องการพบนาง  เขารออยู่ที่ประตูหลังขอรับ 

 ข้าจะไปดู  นางหยัดกายขึ้นก่อนจะไปด้านหลังเรือน

เว่ยเสี่ยวชวนถือตะกร้าใส่ตำรา พิงกำแพงด้านหลังเรือนของพวกเขาทั้งเตะก้อนหินเล็กๆ ใต้เท้าอย่างเบื่อหน่าย

เมื่อเห็นอวี้ถัง เขาก็ยืดตัวตรงขึ้นมาทันที  คุณหนูอวี้ ข้ามีเรื่องจะพูดกับเจ้าตามลำพัง 

อวี้ถังผงกศีรษะ ให้เขาเข้ามา ก่อนจะไล่ซวงเถาและอาเสาออกไป

เว่ยเสี่ยวชวนถามนาง  เหตุใดอาเสาจึงมาสืบเรื่องพี่รองของข้า? สกุลพวกเจ้ามีเรื่องอะไรปิดบังพวกเราใช่หรือไม่? อีกอย่าง ครั้งที่แล้ว มาถามเรื่องพวกนั้นถึงสำนักศึกษาของข้าตกลงมันคืออะไรกันแน่? 

อวี้ถังคาดไม่ถึงว่าเว่ยเสี่ยวชวนจะฉลาดเกินวัย มีไหวพริบถึงขนาดนี้ นางครุ่นคิดหาข้ออ้าง ตั้งใจจะปกปิดเว่ยเสี่ยวชวน นึกไม่ถึงว่าเว่ยเสี่ยวชวนจะเอ่ยว่า  หากเจ้าพูดความจริงกับข้า ไม่แน่ว่าข้าอาจช่วยเจ้าได้ หากเจ้าโกหกข้า ข้าจะบอกเรื่องนี้กับผู้ใหญ่ทั้งสองสกุล 

 หา!  อวี้ถังเบิกตาโต

เว่ยเสี่ยวชวนเผยสีหน้าลำพองใจ  เจ้าอย่าคิดว่าข้าอายุน้อย ไม่รู้เรื่องอะไร เจ้าแอบมาเจอข้าที่สำนักศึกษา ผู้ใหญ่ที่เรือนของเจ้าย่อมไม่รู้เรื่อง อาเสาก็เป็นไปได้ว่ามาตามคำสั่งของเจ้า ข้าเตือนให้เจ้ากล่าวตามตรงดีกว่า อย่าบังคับให้ข้าต้องใช้วิธีข่มขู่ 

ต่อให้อวี้ถังจะรู้สึกโศกเศร้าเท่าใดก็แทบหายไปเพราะคำพูดนี้ของเว่ยเสี่ยวชวน

นางกลืนไม่เข้าคายไม่ออก  เจ้าอายุเท่านี้ คาดไม่ถึงว่าจะมาข่มขู่ข้า เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะไปรายงานกับสกุลเจ้ารึ? 

 ควรจะเป็นเจ้าที่กลัวข้ารายงานมากกว่ากระมัง?  เว่ยเสี่ยวชวนแค่นเสียง  อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ หากเจ้าอยากให้ผู้อาวุโสของสกุลข้ารู้ ก็คงส่งคนไปถามตรงๆ ตั้งนานแล้ว เห็นได้ชัดว่าเจ้าทำเรื่องมีลับลมคมใน  กล่าวต่อ  ข้าก็ไม่ได้จะข่มขู่เจ้า เป็นเจ้าที่ทำเรื่องบกพร่องเกินไป หลังจากข้ากลับไปก็ครุ่นคิดอย่างละเอียด เจ้าสอบถามเรื่องพวกนั้นของพี่รองข้า ล้วนวนเวียนอยู่กับคำถามที่ว่าพี่รองข้าตายอย่างไร  เขาพูดมาถึงตรงนี้ ใบหน้าเล็กก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นมา ในแววตาปรากฏความเศร้าโศก

 ข้าก็รู้สึกว่าพี่รองข้าไม่ใช่คนสะเพร่าขนาดนั้น ข้ายังคิดว่าเป็นข้าเองที่คิดมากไป…เจ้าต้องรู้อะไรมาแน่ๆ  เขามองอวี้ถังอย่างขอร้อง  เจ้า เจ้าบอกข้าเถิด! แม้ข้าต้องติดค้างน้ำใจเจ้า แต่ภายหลังข้าย่อมจะตอบแทนเจ้าแน่นอน 

อวี้ถังตกตะลึง

เว่ยเสี่ยวชวนกลับแน่ใจว่านางรู้เบื้องหลังอะไรบางอย่าง มองนางอย่างดื้อรั้น คล้ายกับว่าหากนางไม่พูด เขาก็จะไม่ยอมง่ายๆ

อวี้ถังถอนหายใจยาว

หากนี่เป็นกรรม เช่นนั้นเดิมทีกรรมนี้นางก็เป็นคนก่อ นางเป็นคนนำมา หรือหากนางจะปกปิดก็สามารถปกปิดไว้ได้แล้วรึ? ทำเป็นเหมือนว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น?

เวลาไม่คอยนาง ยิ่งไปกว่านั้น ยามนี้นางต้องการให้คนช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน

 ได้!  อวี้ถังแทบจะตัดสินใจในทันที นางกล่าวอย่างจริงจัง  ข้าบอกเจ้าได้ แต่เจ้าต้องสาบาน จะไม่มีคนที่สามรู้เห็นกับเรื่องนี้ 

ส่วนผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร นางจะรับผิดชอบเอง

เว่ยเสี่ยวชวนลังเลเล็กน้อย ก่อนจะสาบาน

อวี้ถังเล่าความกังวลใจของตัวเองให้เว่ยเสี่ยวชวนฟัง แต่ไม่ได้พูดถึงเรื่องภาพวาด นางกลัวว่าเว่ยเสี่ยวชวนหรือสกุลเว่ยจะถูกติดร่างแหไปด้วย พูดแค่เพียงว่าสงสัยว่าจะมีคนก่อศึกชิงรักหักสวาท

 ข้าเดาไม่ผิด ข้าเดาไม่ผิดจริงๆ  เว่ยเสี่ยวชวนพึมพำ  ข้าว่าแล้ว พี่รองข้าเป็นคนที่เชื่อฟังถึงขนาดนั้น อีกวันจะไปเจรจาเรื่องงานแต่งแล้ว ไฉนกลับออกไปข้างนอกโดยไม่บอกไม่กล่าว แม่น้ำลำธารใกล้ๆ ที่นาของข้าก็เหมือนเรือนหลังของพี่รอง พี่รองข้าจะไปจับปลาแล้วตกน้ำตกท่าได้อย่างไร เวลานั้นเป็นยามที่กุ้งหอยปูปลาอุดมสมบูรณ์ เด็กๆ ในที่นา หากมีเวลาว่างย่อมพากันออกมาจับกบจับปลา เหตุใดกลับไม่มีคนเห็นพี่รองข้าแม้แต่คนเดียว… 

เด็กยังไม่ทันโตดี มีท่าทีขวัญหายก็ทำให้คนเอ็นดูเป็นพิเศษ

อวี้ถังอยากจะปลอบเขาสักคำสองคำ เขากลับเงยหน้าขึ้นมาอย่างกะทันหัน จ้องมาที่อวี้ถังอย่างแน่วแน่  คุณหนูอวี้ เป็นสกุลหลี่ใช่หรือไม่! 

เด็กคนนี้ ฉลาดเกินไปแล้ว!

อวี้ถังอ้าปากค้างกว่าค่อนวัน

เว่ยเสี่ยวชวนกล่าวอย่างเคืองโกรธ  ข้าเดาว่าเป็นพวกเขา นอกจากสกุลพวกเขาแล้ว ก็ไม่ได้มีสกุลอื่นอยากแต่งกับเจ้า 

อวี้ถังมีท่าทีลำบากใจ ขอโทษเสียงเบา  ขอโทษด้วย ข้ายังไม่มีหลักฐาน ไม่รู้ว่าเป็นพวกเขาทำหรือไม่… 

 เจ้ามีอะไรให้ขอโทษกัน  เว่ยเสี่ยวชวนกล่าวอย่างไม่พอใจ  หากจะพูดว่าผิด ก็เป็นความผิดของพวกเขา หรือเพราะว่าเจ้าหน้าตางดงาม พวกเขาต่างละโมบโลภมาก ก็ผลักภาระนี้ไว้ที่เจ้าได้อย่างนั้นรึ? เจ้าไม่ต้องขอโทษข้า ทั้งไม่ต้องขอโทษกับใคร 

 เว่ยเสี่ยวชวน!  อวี้ถังกล่าวอู้อี้ จู่ๆ ภาพเบื้องหน้าก็เปลี่ยนเป็นเลือนรางอยู่บ้าง

ชาติก่อน หลี่จวิ้นตายแล้วก็ดี หลี่ตวนอยากครอบครองนางก็ดี คนสกุลหลินมักกล่าวว่าเป็นความผิดของนาง แมลงวันไม่ตอมไข่ที่ไร้รอยแตก[2]นางใช้เวลาไปมากมายจึงค่อยเข้าใจ บางครั้ง เหตุผลก็ยืนอยู่ข้างคนส่วนน้อย

นางไม่ได้ผิด ผู้ที่ผิดคือคนจิตใจสกปรกพวกนั้น

ตั้งแต่นางกลับชาติมาเกิดอีกครั้ง นี่นับเป็นครั้งแรกที่มีคนพูดกับนางอย่างแน่วแน่ว่า นางไม่ใช่คนผิด

อวี้ถังน้ำตาพรั่งพรูออกมา

เว่ยเสี่ยวชวนกลับเผยใบหน้ารังเกียจ  หญิงสาวอย่างพวกเจ้าชอบร้องไห้เสียจริง! เรื่องใหญ่ร้องไห้ เรื่องเล็กร้องไห้ ยามที่ดีใจร้องไห้ ยามที่เสียใจก็ร้องไห้ มีเรื่องหรือไม่มีเรื่องล้วนร้องไห้ เจ้าไม่ร้องไม่ได้รึ เจ้าทำเช่นนี้น่ารำคาญไม่น้อย เจ้ารู้หรือไม่? 

แม้ปากเขาจะก่นว่า ทว่าหูกลับแดงก่ำ

อวี้ถังหัวเราะทั้งน้ำตา ลองลูบศีรษะของเขา  ข้าทำไม่ถูกเอง ภายหลังจะไม่ร้องเช่นนี้แล้ว 

เว่ยเสี่ยวชวนบิดศีรษะหลบมือนาง  เช่นนั้นข้าไปแล้ว รอหากมีข่าวคราวจะมาบอกเจ้าอีกที 

อวี้ถังกลัวว่าเขาจะทำซี้ซั้ว รีบดึงเขาไว้  เรื่องนี้พวกเราต้องสืบให้ชัดเจนก่อน ขอเพียงแค่สืบกระจ่างแล้ว ไม่ว่าใครจะเป็นคนทำ ข้าล้วนมีแผนที่จะจัดการกับพวกเขา เจ้าอย่าได้ทำอะไรพลการ ทำเสียเรื่องของข้า 

 รู้แล้ว รู้แล้ว  เว่ยเสี่ยวชวนกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ  แม้ว่าข้าจะอยากทำอะไร ก็ไร้หนทางจะลงมือในช่วงเวลาสั้นๆ ถึงจำเป็นต้องหาผู้ช่วยอย่างไรเล่า! 

ที่แท้นางคือคนที่ถูกเว่ยเสี่ยวชวนเลือกให้เป็นผู้ช่วย!

ในที่สุดอวี้ถังก็เข้าใจขึ้นมาบ้างว่า เหตุใดเว่ยเสี่ยวชวนจึงมาหานาง ทั้งพูดเช่นนี้ออกมา

แต่ว่า นางก็ต้องการผู้ช่วย หากมีเว่ยเสี่ยวชวนคอยช่วย ย่อมมีประโยชน์กว่าอาเสา

อวี้ถังให้ซวงเถายัดกล่องขนมให้เว่ยเสี่ยวชวน  เจ้าอยู่ในวัยกำลังโต เอาไปกินในหอเรียนเสีย หากกินไม่หมด ก็ให้สหายร่วมห้องของเจ้ากินด้วย 

ชีวิตความเป็นอยู่ของสกุลเว่ยไม่นับว่าแย่มากมาย แต่อย่างไรก็เป็นคหบดีชนบท ลูกชายมาก ภาระหนัก วันปกติธรรมดา พวกเด็กๆ ย่อมไม่คุ้นชินที่จะกินขนมของว่าง นับประสาอะไรกับการแบ่งปันสหายร่วมห้อง ยามที่อยู่หอเรียนเขาเป็นคนที่เก็บตัวอยู่บ้าง ไม่ใช่ว่าเขาผูกสัมพันธ์คนอื่นไม่เป็น แต่ประเด็นหลักอยู่ที่การคบค้าสมาคมกับผู้คนนั้นต้องใช้เงิน เขาสงสารพ่อแม่ ไม่อยากเสียเงินเพราะเรื่องนี้

เขากลับไม่อยากได้ขนมของอวี้ถัง กลอกตา คิดจะยัดกลับไป อวี้ถังกลับเอ่ยว่า  ถือเสียว่าเป็นค่าตอบแทนที่เจ้าช่วยข้าสืบข่าว 

เว่ยเสี่ยวชวนรับรู้ถึงความปรารถนาดีของนาง ลังเลอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะรับขนมไว้ คิดว่าภายหลังหากตัวเองเป็นขุนนางใหญ่แล้ว ค่อยซื้อคืนให้นางเป็นแปดเท่าสิบเท่า ตอบแทนน้ำใจนางก็เพียงพอแล้ว

อวี้ถังทอดมองแผ่นหลังของเว่ยเสี่ยวชวนที่เดินจากไปคนเดียว เผยยิ้มทั้งสั่นศีรษะ รู้สึกว่าเด็กผู้นี้ฉลาดเกินวัยจนทำให้คนรู้สึกเอ็นดู

ไม่ถึงสองวัน อวี้หย่วนก็กลับมา

อวี้เหวิน อวี้ถังและอวี้หย่วนก็หลบคนสกุลเฉินมาพูดคุยในห้องหนังสืออีกครั้ง

 อาจารย์เฉียนซาบซึ้งเป็นอย่างมากที่พวกเราตั้งใจไปบอกกล่าวกับเขา  อวี้หย่วนกล่าวเสียงเบา  เขากล่าวว่า ยามที่เขาเพิ่งจะเห็นภาพนั้นก็สงสัยว่าเป็นแผนที่เดินเรือ เพียงไม่อยากข้องเกี่ยวไปด้วย ดังนั้นจึงไม่ได้พูดอะไร เขาก็คิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ วางแผนจะไปหลบอยู่กับศิษย์พี่ของเขาสักสองสามปี หากทำการค้าขายทางนั้นได้ดี เขาก็จะไม่กลับมา ให้พวกเราไม่ต้องกังวล เขายังพูดอีกว่า หากพวกเราตัดสินใจไปฝูเจี้ยน เขามีเพื่อนคนหนึ่งอยู่ทางนั้น ตอนเยาว์วัยชอบศึกษาเรื่องแผนที่เป็นอย่างยิ่ง ไม่แน่ว่าอาจจะรู้จัก เขายังบอกที่อยู่คนผู้นั้นกับข้าทั้งให้พวกเราลองไปดู 

อวี้เหวินและอวี้ถังฟังจบก็โล่งใจในเวลาเดียวกัน อดดีใจขึ้นมาไม่ได้

 เช่นนั้นก็ดี!  อวี้เหวินกล่าว  จะเห็นได้ว่าคำกล่าวของบรรพบุรุษนั้นมีเหตุผล ทำดีก็ย่อมได้รับสิ่งดีๆ ตอบ พวกเราเพียงช่วยตักเตือนอาจารย์เฉียน อาจารย์เฉียนกลับให้ความช่วยเหลือเช่นนี้แก่พวกเรา พอดีเชียว ข้าก็ไม่ต้องไปสืบว่าสกุลใดมีคนทำการค้าอยู่ที่ฝูเจี้ยนบ้าง แค่ไปหาคนที่อาจารย์เฉียนแนะนำมาก็เพียงพอแล้ว 

อวี้ถังพยักหน้ารับ

คนสกุลเฉินเคาะประตูอยู่ด้านนอก บ่นว่า  ไฉนพวกเจ้าลงดาลประตูอีกแล้ว? ข้ามีเรื่องจะพูด พวกเจ้ารีบเปิดประตูหน่อย 

พวกอวี้เหวินสามคนต่างมองหน้ากัน อวี้ถังรีบไปเปิดประตู

คนสกุลเฉินเดินขมวดคิ้วเข้ามา  ฤดูใบไม้ผลิอากาศเย็นสบาย พวกเจ้ามีเรื่องอะไรไยไม่พูดในลานบ้าน กลับมาหลบกันในห้องหนังสือ? 

อวี้เหวินรีบเบี่ยงประเด็น  เจ้ามาหาพวกเรามีเรื่องด่วนอันใดรึ? 

คนสกุลเฉินกล่าว  มีแม่สื่อมาหา… 

ในใจของอวี้ถังมีโล่กำบังตั้งขึ้นมาทันที

เรื่องของสกุลหลี่ยังไม่ทันแก้ไข เวลานี้นางพูดคุยเรื่องงานแต่งกับสกุลใดล้วนเป็นการทำร้ายทั้งนั้น!

 ท่านแม่ เรื่องงานแต่งของข้า ท่านพักไว้ชั่วคราวก่อนเถิด!  นางกล่าวอย่างร้อนรน  ใกล้จะถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์แล้ว หลังจากผ่านเทศกาลไหว้พระจันทร์ไปก็เป็นเทศกาลฉงหยาง[3] อย่างไรรอถึงเดือนสิบแล้วค่อยว่ากันเถิดเจ้าค่ะ! 

คนสกุลเฉินฟังก็หัวเราะขึ้นมา  หากข้าดึงดันจะกำหนดงานแต่งให้เจ้าจนได้เล่า? 

อวี้ถังอ้าปากค้าง กลับมองเห็นความหยอกล้อในสายตาของมารดา

 ท่านแม่!  นางกล่าวอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร

คนสกุลเฉินหัวเราะก่อนจะเขกศีรษะนาง กล่าวด้วยรอยยิ้ม  เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นที่หมายปองของชายหนุ่มหรืออย่างไร? ผู้ที่มาสกุลเราจะทาบทามเจ้าเพียงคนเดียวอย่างนั้นรึ? 

อวี้ถังงงงัน  หรือว่าไม่ใช่ล่ะเจ้าคะ? 

คนสกุลเฉินเอามือทาบอกหัวเราะ  สกุลของพวกเราไม่ใช่ยังมีพี่เจ้าอีกคนหรือไร? 

ทุกคนต่างตกใจ

อวี้หย่วนใบหน้าขึ้นสี

อวี้เหวินรีบถาม  นี่ตกลงเป็นเรื่องอะไรกันแน่? ทาบทามให้อาหย่วน ไฉนไม่ไปหาพี่สะใภ้ใหญ่กลับมาหาทางเจ้า? 

ใช่แล้ว!

อวี้ถังทำหูตั้ง

คนสกุลเฉินกล่าว  เป็นสกุลเว่ย นายหญิงเว่ยฝากฝังมา กล่าวว่าเรื่องของอาถังและลูกชายคนรองของสกุลพวกเขานั้นน่าเสียดาย อยากจะเชื่อมสัมพันธ์กับสกุลพวกเราต่อ กลัวว่าพี่สะใภ้ใหญ่จะติดขัดอันใด จึงให้แม่สื่อมาหยั่งเชิงข้าก่อน ข้ามาหาเจ้าก็เพราะปรึกษาเรื่องนี้ 

อวี้หย่วนใบหน้าแดงก่ำ อยากไปฟังเช่นกัน แต่กลับกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพียงยืนอยู่ตรงนั้น

อวี้เหวินกล่าว  สกุลพวกเขาไม่ใช่ว่ามีเพียงลูกชายห้าคนหรอกรึ? ลูกสาวมาจากไหนกัน? หรือสกุลเว่ยยังมีครอบครัวอื่นอยู่อีก? 

คนสกุลเฉินป้องปากหัวเราะ  นายหญิงเว่ยอยากเป็นแม่สื่อให้หลานสาวผู้ที่อยู่ในสกุลเว่ยตั้งแต่เล็กจนโตคนนั้นกับอาหย่วนของพวกเรา 

 แม่หนูคนนั้นเอง!  เห็นได้ชัดว่าอวี้เหวินมีความประทับใจอยู่บ้าง  ได้ ได้ ข้าคิดว่าใช้ได้ เช่นนั้นเจ้าเข้าไปพูดกับพี่สะใภ้หน่อยเถิด สกุลเว่ยนั้นใจดีมีเมตตา ข้าก็เสียดายที่ไม่อาจแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับพวกเขา 

คนสกุลเฉินมองอวี้หย่วนด้วยรอยยิ้มไปที  เช่นนั้นข้าไปล่ะ แม่สื่อของเขายังรอคำตอบอยู่!  แม้จะพูดเช่นนี้ แต่คนกลับไม่ขยับไปไหน ทำเอาอวี้หย่วนเขินอายจนอยากจะขดตัวเป็นวงกลม

สองสามีภรรยาอวี้เหวินหัวเราะ ถามอวี้หย่วน  เจ้าว่าอย่างไร? แม้จะกล่าวว่าเรื่องใหญ่อย่างงานแต่งต้องฟังพ่อแม่ แต่พวกเราก็คาดหวังให้พวกเจ้าสามารถใช้ชีวิตที่ดีด้วยกันได้ เจ้าก็ลองคิดดูว่ายินยอมหรือไม่ 

อวี้หย่วนหน้าแดงจนแทบจะไหลเป็นหยดเลือดได้ ผงกศีรษะอย่างส่งๆ ไป

———————————————————–

[1] ผ้าลู่โฉว ผ้าไหมชนิดหนึ่งของซานซี เนื้อผ้าหนาและทนทาน

[2] แมลงวันไม่ตอมไข่ที่ไร้รอยแตก เปรียบเปรยว่า เรื่องราวที่เกิดขึ้น ย่อมมีเหตุผล

[3] เทศกาลฉงหยาง เป็นเทศกาลที่ตรงกับวันที่เก้าเดือนเก้า ชาวจีนถือว่าเป็นเลขมงคล เป็นวันที่เหมาะกับการยินดีเฉลิมฉลอง ทั้งในวันนี้จะเฉลิมฉลองโดยการชมดอกเบญจมาศ เที่ยวขึ้นเขาหรือที่สูงเพื่ออธิษฐานขอพร ทัดใบจูอวี๋ (สมุนไพรจีนชนิดหนึ่ง) ดื่มเหล้าเบญจมาศ กินขนมฉงหยาง (ขนมนึ่งที่ทำด้วยแป้งข้าว แต่งหน้าด้วยธัญพืช) เป็นต้น

Related

 

ยามนี้ตะวันกำลังลาลับพอดี ก้อนเมฆแผ่แสงสีแดงราวกับเพลิงไหม้อยู่ปลายขอบฟ้า ย้อมห้องหนังสือครึ่งหนึ่งให้กลายเป็นสีแดง

อวี้ถังจับม้วนภาพแน่น

แผนที่แผ่นนั้นที่อาจารย์ลอกแบบมา ครึ่งหนึ่งวางบนโต๊ะหนังสือ อีกครึ่งแขวนอยู่กลางอากาศ

อวี้เหวินตกใจเสียงร้องของอวี้ถัง รีบเดินตัวปลิวเข้ามา  เป็นอะไร 

อวี้ถังใบหน้าซีดเผือด พละกำลังทั้งหมดคล้ายถูกดึงออกไป ชี้ไปที่แผนที่นั้นอย่างสั่นๆ  ท่านดู ท่านดู ชุนสุ่ยถัง! 

อวี้เหวินไม่เข้าใจว่าหมายความว่าอย่างไร เดินเข้าไปพินิจอย่างละเอียด กลับไม่พบอะไร

อวี้ถังรีบยัดม้วนภาพใส่มือบิดา  ท่านลองมองจากตรงนี้ มองผ่านแสงตะวัน ยอดเขานั้นมีตราประทับอยู่ ประทับคำว่าชุนสุ่ยถัง 

อวี้เหวินรับม้วนภาพจากลูกสาว มองจากวิธีที่อวี้ถังบอกก่อนหน้านี้ คาดไม่ถึงว่าจะเห็นรางๆ ผ่านแสงตะวัน ตรา ‘ชุนสุ่ยถัง’ ที่แกะสลักด้วยตัวอักษรฉินซู[1]

เขาขมวดคิ้วแน่น เรียกอาเสาเข้ามาเป็นอันดับแรก ให้เขาไปเรียกอวี้หย่วนที่ช่วยอวี้ป๋อซ่อมแซมร้านเข้ามา จากนั้นก็ปิดประตูด้วยใบหน้าเคร่งขรึม กล่าวเสียงเบากับอวี้ถัง  เจ้าอย่าลนลานไป นี่เป็นลูกไม้ที่ช่างพวกนั้นชอบใช้…เพื่อตบตา กลับคิดทิ้งชื่อให้เป็นที่ประจักษ์อย่างภาคภูมิ ประทับตราตัวเองลงในที่คนปกติไม่อาจสังเกตเห็นได้ง่าย ให้คนพบอย่างบังเอิญไม่ก็พบหลังจากร้อยปีผ่านไปว่าสิ่งนี้เขาเป็นคนทำขึ้นมา 

หากก่อนหน้านี้กล่าวว่าอวี้เหวินชื่นชมในตัวอาจารย์เฉียนผู้นี้เท่าใด ในยามนี้ก็ระอาใจกับเขามากเท่านั้น

 ก็ไม่รู้ว่านอกจากตราประทับนี้ เขายังหลงเหลืออะไรไว้หรือไม่? ตราประทับนี้สามารถเห็นได้ในยามพลบค่ำ แล้วยังเห็นในสถานการณ์แบบใดได้อีก?  สีหน้าของอวี้เหวินย่ำแย่  รออาหย่วนกลับมา พวกเราทั้งสามต้องช่วยกันดูดีๆ อีกที 

อวี้ถังพยักหน้าอย่างปลกๆ ในใจนั้นเละเทะวุ่นวายประหนึ่งข้าวต้มไปแล้ว

นางไม่ได้เข้าใจผิด ‘ชุนสุ่ยถัง’ นั้นและตราประทับในภาพ ‘ตกปลาใต้ต้นสนริมน้ำ’ ของนางในชาติก่อนเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน

ตอนบิดามารดาล่วงลับ สกุลหลี่ก็มาทาบทามรับปากจะช่วยฟื้นฟูกิจการของสกุลพวกเขา นางออกเรือนกับหลี่จวิ้น สกุลหลี่ไม่ชอบใจที่สินเจ้าสาวนางน้อยเกินไป จึงมอบที่ดินซึ่งเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวให้นางเป็นสินเจ้าสาว จากนั้น สกุลหลี่ก็ถูกโจรกรรม สิ่งของหายเพียงเล็กๆ น้อยๆ ขนาดที่ว่าคนสกุลหลินก็ยังไม่ไปแจ้งกับทางการ…

ทั้งหมดทั้งมวลนี้คล้ายไข่มุกที่ร่วงลงมากระจัดกระจาย ถูกตราประทับ ‘ชุยสุ่ยถัง’ ร้อยเรียงเรื่องทั้งหมดเข้าด้วยกัน

อวี้ถังคล้ายกับเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดในชั่วพริบตา ทั้งคล้ายกับไม่รู้อะไรเลยเช่นกัน

ในหัวนางยุ่งเหยิงไปหมด สองขาอ่อนแรง ทั้งยืนไม่อยู่ ทรุดตัวนั่งลงเก้าอี้ด้านหลัง

อวี้เหวินเห็นก็กล่าวขึ้นมา  อาถัง เจ้าอย่าหวาดกลัวไป เรื่องเช่นนี้ไม่ถูกผู้ที่ตกเป็นเหยื่อเห็นความผิดปกติก็แล้วไป หากมองออก พวกเราสามารถให้อาจารย์เฉียนผู้นั้นจ่ายเงินทดแทนได้ ทั้งขอให้เขาวาดภาพใหม่ให้พวกเราได้เช่นกัน ดีที่อีกหลายวันกว่าจะครบรอบสี่สิบเก้าวันของลุงหลู่ เวลานี้ให้พี่เจ้าวิ่งโร่ไปที่หังโจวอีกครั้งก็ยังไม่สาย  ขณะที่พูด เขาก็ถอนหายใจด้วยรอยยิ้มขมขื่น  ใครจะรู้ว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ ก่อนหน้านี้ข้ายังคิดเสียดายแทนเขา กลัวก็แต่ว่าเขาจะทำเรื่องเช่นนี้มาไม่น้อยแล้ว 

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เรื่องนี้ของพวกเขาเกี่ยวพันกับความเป็นความตายของคน พวกเรายังไม่รู้ว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังนั้นเป็นใคร หากอีกฝ่ายจิตใจโหดเหี้ยม ไม่แน่ว่าอาจารย์เฉียนก็อาจจะโดนดีด้วยเช่นกัน

อวี้ถังขนลุกชันขึ้นมา

อาจารย์เฉียน!

ภาพวาดชาติก่อนนั้นในมือนางก็คืออาจารย์เฉียนที่เป็นผู้ลอกภาพวาด ทั้งหมายความว่า ครานั้นมีคนตระหนักได้เหมือนกับนาง ขอให้อาจารย์เฉียนลอกภาพวาดปลอมขึ้นมา ทั้งใช้การขโมยภาพ สลับภาพจริงในมือนางไป

ยังมีลุงหลู่

ที่แท้นางก็กล่าวโทษเขาผิดไป

สิ่งที่เขาขายให้กับสกุลนางก็คือภาพจริงที่เขามี

เป็นนาง

เป็นนาง กี่ปีแล้วที่เอาแต่ทะนุถนอมภาพปลอมนั้นไว้ในมือ เห็นของปลอมเป็นของจริง ยังคิดไปเองอย่างมั่นใจว่าภาพที่ลุงหลู่ขายให้สกุลนางเป็นของปลอม

อวี้ถังอดตำหนิตัวเองไม่ได้

 อาถัง อาถัง!  อวี้เหวินเห็นนางราวกับรู้สึกผิด รีบเข้าไปตบไหล่ลูกสาว ปลอบโยนเสียงเบา  เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของเจ้า ความคิดของเจ้านั้นดีทุกอย่าง พ่อยังไม่เคยเห็นคนที่ฉลาดเหนือเจ้ามาก่อน หากไม่ใช่เจ้า ตอนนี้พ่อก็คงยังไม่รู้อะไร เรื่องนี้พ่อจะหาวิธีเอง ไม่อาจเกิดปัญหาอะไรหรอก 

ยิ่งบิดาพูดเช่นนี้ ในใจอวี้ถังก็ยิ่งรู้สึกทนไม่ได้

นางสะอื้นเสียงเบาเนิ่นนานก่อนจะเอ่ย  ท่านพ่อ ท่านถูกแล้ว ลุงหลู่นั้นเป็นคนที่ไม่เลวคนหนึ่ง แม้ว่าจะเคยหลอกท่าน กลับเคยช่วยเหลือท่านอย่างจริงใจเช่นกัน เมื่อก่อนเป็นข้าที่ผิด ไม่ใช่ว่าเขาใกล้จะครบยี่สิบเอ็ดวันแล้วหรอกรึ? ข้าอยากไปกราบไหว้เขาดีๆ 

นับว่าชดเชยให้เขา

อวี้เหวินหลุดยิ้ม  นี่เจ้าเป็นอะไรไป? จู่ๆ ก็พูดถึงลุงหลู่ในทางที่ดีขึ้นมา หากเขาในปรโลกรู้ย่อมต้องดีใจ 

หลู่ซิ่นไม่ใช่คนโง่ คนอื่นๆ ของสกุลอวี้ดูแคลนเขา เขาย่อมรู้แก่ใจดี

อวี้ถังควักผ้าขึ้นมาเช็ดหน้า ทั้งผงกศีรษะ

อวี้หย่วนวิ่งเข้ามาอย่างกระหืดกระหอบ ทักทายไม่กี่คำกับอวี้เหวิน อวี้ถัง ก่อนจะเรียกให้ป้าเฉินยกชาเข้ามาให้เขา เอ่ยกับอวี้เหวินและอวี้ถัง  กระหายน้ำไม่ใช่น้อย เผยหม่านผู้นั้น พูดมากเสียจริง ถามอันนี้เสร็จก็ถามอันนั้น แต่ว่าคนผู้นี้ก็เก่งกาจไม่เบา กระทั่งยังเก่งกว่าพ่อบ้านใหญ่คนก่อนมาก รู้จักพูดอย่างแท้จริง แค่เพียงเวลาหนึ่งวัน แววตาที่ทุกคนมองเขาล้วนแตกต่างกันไป ตำแหน่งพ่อบ้านใหญ่ของเขานับว่ามั่นคงแล้ว 

อวี้เหวินรีบถาม  เกิดอะไรขึ้น? 

อวี้หย่วนจึงเริ่มเล่า  พ่อบ้านใหญ่สกุลเผย เผยหม่าน ไปดูร้านค้าที่ถนนฉางซิ่งว่าสร้างไปถึงไหนแล้ว ทั้งยังไล่เลียงถามทีละเรือนว่าพวกเราไม่ใช้วัสดุที่ร้านค้าสกุลเผยแล้วใช้สิ่งใด ได้สร้างตามที่ตกลงไว้ก่อนหน้านี้กับสกุลเผยหรือไม่ เหลือพื้นที่ให้รางระบายน้ำเท่าใด เผื่อพื้นที่ระบายน้ำใต้ดินไว้หรือไม่…ท่านว่า เพลิงไหม้ครั้งนี้ ใครจะไม่กล้าเหลือทางระบายน้ำไว้บ้าง? ครั้งนี้นายท่านสามสกุลเผยมีจิตใจเมตตา ยินดีให้พวกเรายืมเงินมาซ่อมแซมร้านค้าใหม่ หากครั้งหน้าพบเรื่องเช่นนี้อีก สกุลเผยไม่สนใจ พวกเราหลายหลังคาเรือนนอกจากต้องขายที่ดินแล้ว ก็คงไม่มีทางเลือกอื่น 

อวี้เหวินกล่าวยิ้มๆ  คนผู้นั้นจะถามก็ไม่แปลก! หากร้านค้าของพวกเราไฟไหม้อีกครั้ง ร้านค้าของสกุลเผยย่อมติดร่างแหไปด้วย! 

ทั้งสองคนพูดเรื่องถนนฉางซิ่ง อวี้ถังกลับฟังไม่เข้าหูแม้แต่ประโยคเดียว

นางนึกถึงความอู้ฟู่อย่างฉับพลันของสกุลหลี่

เป็นเรื่องหลังจากที่สกุลหลี่ถูกโจรกรรม

ภายหลัง สกุลของพวกเขาก็อาศัยเส้นสายสกุลเดิมของคนสกุลหลิน ทำกิจการเกี่ยวกับขนส่งทางทะเลขึ้นมา

แผนที่ที่ถูกซ่อนในภาพ ‘ตกปลาใต้ต้นสนริมน้ำ’ นั้น จะเป็นแผนที่เดินเรือหรือเปล่า?

หลังจากนางแต่งเข้าสกุลหลี่ บางครั้งก็จะพบลูกหลานพวกนั้นของคนสกุลหลินมาเยี่ยมเยียนที่สกุลหลี่ นางยังจำได้ว่านางเคยได้ยินหลานชายคนหนึ่งของคนสกุลหลินคุยโวลำพองตนว่า การขนส่งทางทะเลนั้นไม่ใช่ว่าสกุลใดก็ทำได้ ไม่เพียงต้องมีเรือ มีคนคุมหางเสือ คนงานเรือที่พึ่งพาได้ แต่ยังต้องรู้ว่าควรจะเดินทางอย่างไร…แล้วก็พูดว่า ต้องมีแผนที่เดินเรือ

และแผนที่เดินเรือนี้ ย่อมเป็นของที่ไม่อาจประเมินค่าได้

อย่าเพิ่งพูดถึงอย่างอื่นเลย แต่คนที่วาดแผนที่นี้ขึ้นมา ไม่เพียงต้องขับเรือเป็น แยกแยะทิศทางออก ต้องรู้หลักการน้ำขึ้นน้ำลง ทั้งยังต้องรู้หนังสือ เข้าใจภูมิศาสตร์ หลายสิบปีถึงกระทั่งร้อยปีล้วนแทบไม่มีผู้ที่มีพรสวรรค์เช่นนี้ ทั้งแม้ว่าจะเกิดผู้ที่มีความสามารถเช่นนี้ขึ้นมาจริงๆ ไฉนไม่ใช้เวลาหลายสิบปีนั้นไปสอบจวี่เหรินหรือจิ้นซื่อเป็นขุนนางใหญ่เสีย กลับทำเรื่องที่เสี่ยงชีวิต ทั้งไร้ประโยชน์และชื่อเสียง ทิ้งเวลาทั้งชีวิตลอยเคว้งอยู่ในทะเล?

เวลานี้ แม้ว่าจะเป็นฮ่องเต้ ก็ทำได้เพียงมองตาปริบๆ เท่านั้น

พวกคนที่รู้ว่าจะเดินทางในทะเลอย่างไร ล้วนอาศัยเวลาหลายชั่วอายุคน ถึงกระทั่งบรรพบุรุษหลายสิบคนใช้ชีวิตและประสบการณ์สั่งสมขึ้นมาทีละเล็กทีละน้อย หากสกุลใดมีความสามารถเช่นนี้ ก็คล้ายโอบกอดขุมทรัพย์ไว้ในมือ นอนรอเสวยสุขอยู่บนกองเงินกองทองเท่านั้น

อวี้ถังยังจำได้ หลังจากหลานชายคนนี้ของคนสกุลหลินพูดเช่นนี้ออกมา นางก็ไม่เคยเห็นคนผู้นี้ในสกุลหลินอีกเลย

เมื่อก่อนนางคิดว่าเป็นเพราะนางครองพรหมจรรย์ จึงไม่ค่อยพบคนภายนอก วันนี้มาคิดดู เห็นได้ชัดว่าเป็นอีกเรื่องที่นางไม่รู้

แผนที่นั้นต้องเป็นแผนที่เดินเรือเป็นแน่

เบื้องหลังนี้ย่อมเป็นสกุลหลี่

อวี้ถังยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าป่าไม้ที่ปกคลุมไปด้วยหมอกควันเบื้องหน้าถูกพายุพัดพาจนกระจัดกระจาย เผยให้เห็นหลายด้านที่นางไม่เคยให้ความสนใจมาก่อน

นี่ก็สามารถอธิบายได้แล้วว่าเหตุใดหลี่จวิ้นไม่รู้จักนาง แต่คนสกุลหลินกลับโกหก

ทั้งอธิบายได้ว่าไฉนสกุลหลี่จึงต้องมาขอนางแต่งงานโดยไม่สนใจเรื่องชื่อเสียงหน้าตา

แต่ในขณะเดียวกันอวี้ถังก็เกิดความหวาดกลัวขึ้นมา เพราะสกุลหลี่ก็รู้จักกับอาจารย์เฉียนผู้นี้ เช่นนั้นแผนการของพวกเขาอาจจะถูกสกุลหลี่ค้นพบได้ทุกเมื่อ

ความหวาดกลัวนี้ นางยังไม่สามารถบอกบิดาและพี่ชายได้

อวี้ถังเดินไปเดินมาในห้องหนังสือ คล้ายกับสัตว์ร้ายที่ติดอยู่ในกรงขัง

 อาถัง!  อวี้เหวินตระหนักถึงความผิดปกติของลูกสาวได้เป็นคนแรก เขาเรียกอย่างเป็นกังวล  เจ้าเดินจนข้าเวียนหัวหมดแล้ว เจ้านั่งพักหน่อยเถิด! เมื่อครู่ข้าเพิ่งพูดกับอาหย่วนไป พรุ่งนี้เช้าตรู่อาหย่วนจะเดินทางไปหังโจว ทางด้านอาจารย์เฉียนเจ้าวางใจเถิด ในเมื่อเขาทำอาชีพนี้แล้ว ย่อมต้องรู้ว่าความเสี่ยงของมัน เรื่องเช่นนี้ เขาควรจะเตรียมการณ์เนิ่นๆ จึงจะถูก 

อวี้ถังหยุดฝีเท้า กลับไม่อาจหยุดความหวาดกลัวในใจ  ท่านพ่อ เพราะภาพนี้จึงมีคนตายไปหนึ่งคนแล้ว แม้ว่าอาจารย์เฉียนจะเดินริมน้ำบ่อยๆ แต่ก็ย่อมมียามที่รองเท้าเปียก เขาเกิดเรื่องไม่คาดฝันอันใด แม้ไม่เกี่ยวกับพวกเรา แต่ก็ไม่อาจให้เขาทิ้งชีวิตเพราะเรื่องของพวกเราเช่นกัน 

 ข้าเข้าใจ!  อวี้หย่วนฟัง สีหน้าก็ค่อยๆ จริงจังขึ้นมา  ข้าจะบอกเรื่องนี้กับเขา ดูว่าเขามีวิธีปกป้องตัวเองอย่างไร หรือให้เขาหลบหน้าไม่ออกไปไหนชั่วคราว 

เวลานี้อวี้ถังก็ไม่มีวิธีที่ดีไปกว่านี้เช่นกัน!

นางนวดขมับอย่างเมื่อยล้า

ยังมีเรื่องของสกุลหลี่ อย่างไรก็ต้องคิดวิธีหลุดออกมาให้เร็วที่สุด

อวี้ถังในยามนี้คิดว่าตัวเองเข้าใจวิธีการของสกุลหลี่มาบ้างแล้ว

พวกเขาใช้ความคิดของคนต้อยต่ำไปคาดเดาผู้ที่มีคุณธรรมสูงส่ง คิดว่าแผนที่นี้ล้ำค่าถึงขนาดนี้ คนที่รู้คุณค่าของมัน ย่อมไม่ปล่อยมือ ดังนั้นจึงลงมือในที่ลับ ยอมก่อเรื่องขโมยออกมา ดีกว่าต้องไปซื้อภาพนี้กับสกุลพวกเขาตรงๆ

แต่ว่า ชาติก่อนกับชาตินี้มีสิ่งที่แตกต่างอย่างใหญ่หลวง

นางรู้ว่าผู้ที่ลงมือเบื้องหลังคือใคร

เพียงแต่สกุลหลี่จะมั่นใจได้อย่างไรว่าภาพนี้จะกลายเป็นสินเจ้าสาวติดตามนางเข้าสกุลของพวกเขาเหมือนชาติที่แล้ว?

ชาติก่อน บิดาและมารดาของนางล่วงลับ ทรัพย์สินที่บิดาและมารดาเหลือไว้ย่อมติดตัวไป แต่ว่าชาตินี้…

นึกมาถึงตรงนี้ อวี้ถังก็แข็งทื่อไปทั้งร่าง

นางนึกถึงงานแต่งของนางและสกุลเว่ย

ไม่หรอกกระมัง?

สกุลหลี่เพียงอยากได้ภาพนี้ หรือยังจะเข้าไปสอดเรื่องงานแต่งของนาง?

ในใจอวี้ถังคิดเช่นนี้ แต่ในหัวกลับมีเสียงดังไม่หยุดหย่อน ตายไปคนหนึ่งแล้ว ฆ่าอีกคนยังมีอะไรให้กลัวรึ?

อวี้ถังหายใจลำบาก ไม่อาจอยู่นิ่งในห้องหนังสือเช่นนี้ต่อไปได้แล้ว

นางอยากรู้ว่าการตายของเว่ยเสี่ยวซานเกี่ยวข้องกับสกุลหลี่หรือไม่

นางอยากพบเว่ยเสี่ยวชวน สืบข่าวจากเขาว่าก่อนที่เว่ยเสี่ยวซานจะตายเกิดอะไรกันแน่

นางหวังให้ตัวเองเป็นโรคขี้ระแวง คิดฟุ้งซ่านไปเอง

อวี้ถังรีบออกไปจากห้องหนังสือทันที

 อาถัง!  อวี้เหวินและอวี้หย่วนตะโกนเรียกอย่างกังวล ไล่ตามออกมา

ฤดูร้อนสิ้นสุดแล้ว ต้นดอกกุ้ยฮวาที่เขียวชอุ่มในเรือน ระหว่างใบมันวาวนั้นมีกลีบดอกสีเหลืองชูช่อ เมื่อลมราตรีโชยมา กลิ่นหอมฟุ้งก็ลอยล่องเป็นครั้งคราว

อวี้ถังสูดลมหายใจลึกเฮือกใหญ่ ยามที่หันกลับไป ใบหน้าก็แต่งแต้มด้วยรอยยิ้ม  ข้าไม่เป็นไร ได้กลิ่นดอกไม้ในห้องหนังสือ จึงออกมาดู 

อวี้เหวินและอวี้หย่วนมีท่าทีผ่อนคลายลง

อวี้หย่วนกล่าวด้วยรอยยิ้ม  ข้าไปหังโจวก็คงไม่อาจไปเดินเล่นอะไรได้นัก อยากให้ข้าซื้อของอะไรมาให้เจ้าหรือไม่? 

 ท่านพี่กลับมาอย่างปลอดภัยก็เพียงพอแล้วเจ้าค่ะ  เกิดเรื่องเช่นนี้ อวี้ถังก็ยิ่งรู้สึกว่าครอบครัวอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาล้วนดีกว่าเรื่องใดทั้งนั้น นางกดเสียงเบา  ท่านพี่ เจ้าต้องโน้มน้าวให้อาจารย์เฉียนอย่าได้ประมาทไป แผนที่นี้ หากข้าเดาไม่ผิด ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นแผนที่เดินเรือ 

อวี้หย่วนตกตะลึงไป

อวี้เหวินร้อนรนยิ่งกว่า  เจ้าพบอะไรใช่หรือไม่? 

อวี้ถังไร้ทางที่จะอธิบายการคาดเดาของตัวเอง ทำได้เพียงกล่าว  ยามที่ข้าไปซื้อของทำปิ่นดอกไม้ บังเอิญพบคนที่ขายสินค้าทางเรือ เหมือนจะได้ยินมาเช่นนั้น เวลานั้นไม่ได้ใส่ใจ ตอนนี้จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ รู้สึกว่าแผนที่นี้ของพวกเราคล้ายกับแผนที่เดินเรือพวกนั้นเป็นอย่างมาก 

อวี้เหวินและอวี้หย่วนไม่รู้ว่าแผนที่เดินเรือนั้นล้ำค่าเพียงใด กลับรู้ว่าการค้าขายทางทะเลของฝูเจี้ยนนั้นมีการแข่งขันเป็นอย่างมาก ฆ่าคนวางเพลิงแทบจะเกิดขึ้นปีเว้นปี คดีโหดเหี้ยมฆ่าล้างสกุลที่ส่งให้เบื้องบนรับทราบก็มีไม่น้อย

คนธรรมดาที่เข้าไปข้องเกี่ยวล้วนมีชีวิตรอดไม่กี่คนเท่านั้น

ทั้งสองคนต่างก็สั่นสะท้านในใจ

อวี้เหวินคว้ามืออวี้ถังไว้  เจ้า เจ้าคิดว่านี่เป็นแผนที่เดินเรือจริงๆ หรือ? 

 ข้าก็ไม่ได้มั่นใจมาก  อวี้ถังไม่กล้ามั่นใจเกินไป  ข้ายิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกคลับคล้ายคลับคลา ท่านลองคิดดู เมื่อก่อนใต้เท้าจั่วทำอะไร? ในอดีตพ่อของลุงหลู่ทำอะไร? แม้ว่าจะเป็นแผนที่ ทั้งไม่ใช่สิ่งที่ราชสำนักซักไซ้เอาความ หาไม่เจอก็ไม่ได้ค้นบ้านรื้อทรัพย์สิน เหตุใดจึงต้องการเอามาไว้ในมืออย่างไม่เลิกรา 

 เมื่อก่อนใต้เท้าจั่วขับไล่พวกโจรสลัดญี่ปุ่น  อวี้เหวินพึมพำ  พ่อของพี่หลู่เคยเป็นที่ปรึกษาทางทหารของใต้เท้าจั่ว มีเพียงแผนที่ที่สามารถกำเนิดทรัพย์มหาศาล จึงจะเป็นที่จดจำของผู้คน แผนที่ทั่วไปล้วนได้ใช้ในยามทำศึกสงคราม แม้จะเป็นขุนนางของราชสำนัก ถือไว้ในมือก็ไม่มีประโยชน์อันใด! พี่หลู่คงจะไม่รู้ความลับของภาพนี้ เพราะพ่อของพี่หลู่ก็ไม่รู้? หรือแม้ว่าพ่อเขาจะรู้ ก็เหมือนพวกเรา ไม่รู้จะทำอย่างไร จึงให้มันซ่อนอยู่ในภาพอย่างรู้แล้วรู้รอดไป? 

อวี้หย่วนฟังก็หน้าถอดสี กล่าวอย่างร้อนใจ  ท่านอา เช่นนั้น เช่นนั้นพวกเราควรทำอย่างไร? 

เมื่อก่อนแค่รู้สึกว่าเผือกร้อนชิ้นนี้โยนออกไปก็เพียงพอแล้ว แต่ยามนี้เผือกร้อนจะโยนออกไปได้หรือไม่ยังเป็นเรื่องที่พูดยาก

อวี้เหวินก็อับจนหนทาง

บิดาของหลู่ซิ่นอย่างไรก็ยังรู้จักคนอย่างใต้เท้าจั่ว ส่วนเขาเป็นแค่บัณฑิตซิ่วไฉบ้านนอกธรรมดาคนหนึ่ง จะมีวิธีเหนือกว่าบิดาของหลู่ซิ่นได้อย่างนั้นรึ?

ครั้งนี้เปลี่ยนเป็นอวี้เหวินเดินวนอยู่ในลานบ้าน

คนสกุลเฉินที่มาเรียกพวกเขากินข้าวก็อดแปลกใจไม่ได้  พวกเจ้าปรึกษาอะไรกันอีกแล้ว? ดูมีลับลมคมใน จะกินข้าวอยู่หรือไม่? 

——————————

[1] ตัวอักษรฉินซู ซึ่งก็คือตัวอักษรลี่ซู เป็นตัวอักษรจีนโบราณที่พัฒนามาจากตัวอักษรจ้วนซู ใช้ในสมัยรัชวงศ์ฉินและรัชวงศ์ฮั่น โดยในรัชวงศ์ฉินมีการเรียกตัวอักษรนี้ว่า ฉินซู

Related

 

ไม่ว่าลูกจะเติบโตเท่าใดก็ยังเป็นเด็กในสายตาบิดามารดาทั้งนั้น

คนสกุลเฉินคิดว่าคำพูดของอวี้เหวินนั้นไม่ค่อยจริงจังเท่าใด แต่เมื่อหันไปมองอีกทีก็พบว่าอวี้เหวินนอนหลับไปแล้ว อดหาข้อแก้ตัวให้สามีไม่ได้ คิดว่าเขาอาจจะเหนื่อยเกินไป นางครุ่นคิดคนเดียวอยู่ตรงนั้นเนิ่นนาน รู้สึกว่าตัวเองละเลยต่อลูกสาวเกินไป

เช้าตรู่ของอีกวัน จึงทำน้ำแกงข้าวหมากใส่ไข่ด้วยตัวเอง ยกเข้าไปถึงในห้องอวี้ถัง

ชาติก่อนอวี้ถังกลับพบเจอกับเรื่องเช่นนี้บ่อยครั้ง แต่หลังจากเกิดใหม่ นี่ยังคงนับเป็นครั้งแรก อดตกใจขึ้นมาไม่ได้ รีบปีนป่ายออกมาจากกองผ้าห่ม  ท่านแม่ นี่อะไรกันเจ้าคะ? 

คนสกุลเฉินไม่ได้ตอบ มองนางสวมเสื้อผ้าด้วยรอยยิ้ม  หลายวันแล้วที่แม่ไม่ได้พูดคุยกับเจ้าดีๆ วันนี้เจ้าอยากไปกินเจที่วัดกับข้าหรือไม่? 

หลังจากท่านผู้เฒ่าสกุลเผยจากไป คนสกุลเฉินก็มักไปทำบุญให้ท่านผู้เฒ่าสกุลเผยที่วัดบ่อยๆ

อวี้ถังใช้เกลือบ้วนปาก  วันนี้ป้าเฉินไม่ว่างหรือเจ้าคะ? ข้าและท่านพ่อวางแผนจะไปทำความสะอาดสุสานลุงหลู่ ใกล้จะครบรอบยี่สิบเอ็ดวันของเขาแล้ว ท่านพ่อกล่าวว่าจะเผากระดาษให้เขาสักหน่อย  ทั้งให้คนในเมืองหลินอันรับรู้ การที่พวกเขาไปเมืองหังโจวก็เพื่อนำของต่างหน้าของหลู่ซิ่นกลับมา เตรียมที่จะเผาให้เขา

คนสกุลเฉินผิดหวังอยู่บ้าง แต่ว่าอวี้ถังออกไปกับอวี้เหวิน พวกเขาสองพ่อลูกสนิทสนมกลมเกลียว นางก็ยังคงชื่นใจ

 ได้!  นางตอบอย่างพอใจ  รีบดื่มน้ำแกงที่แม่ทำให้เจ้าเสีย เดี๋ยวเย็นก็จะไม่อร่อยแล้ว ข้าจะให้ป้าเฉินทำขนมแป้งอบให้เจ้าและพ่อเจ้าพกไปด้วย 

หลู่ซิ่นถูกฝังที่ชิงซานหูตรงชานเมือง เดินทางจากเมืองหลินอันต้องใช้เวลาประมาณสองชั่วยาม ตลอดทางล้วนเป็นขุนเขา ไม่มีกระทั่งร้านน้ำชา ทำได้เพียงกินอาหารแห้งเท่านั้น

อวี้ถังขานรับ ก่อนจะเปลี่ยนสวมชุดต่วนหรูเนื้อหยาบสีจันทร์กระจ่าง เกล้าผมขึ้นอย่างง่ายๆ ดื่มน้ำแกงที่มารดาทำ ก่อนจะออกไปกินอาหารเช้าข้างนอกกับบิดาและมารดา

กินข้าวเสร็จ ขนมแป้งอบของป้าเฉินก็เสร็จพอดี คนสกุลเฉินตักกับข้าวใส่กล่อง ไม่ลืมกำชับอาเสา  ระหว่างทางก็ระวังหน่อย อย่าให้นายท่านและคุณหนูหิวเชียว 

อวี้เหวินเป็นห่วงคนสกุลเฉินมากกว่า  ให้อาเสาอยู่รับใช้พวกเจ้าเถิด! ข้ามีอาถังเป็นเพื่อนแล้ว 

สองสามีภรรยาต่างข้ายอมให้เจ้า เจ้ายอมให้ข้า อวี้ถังกระตุกยิ้มขึ้นมา ขอตะกร้าสานจากป้าเฉิน

คนสกุลเฉินกล่าว  เจ้าจะเอาตะกร้าสานไปทำอะไร? 

อวี้ถังส่งสายตาเป็นนัยให้บิดา  ก็ไม่ใช่ว่าต้องเอาไปใส่ธูปเทียนให้ลุงหลู่หรอกรึ? 

คนสกุลเฉินไปหาตะกร้าสานขนาดพอเหมาะมาให้อวี้ถัง อวี้ถังและบิดาออกจากเรือนไปซื้อธูปเทียน

เป็นดังที่คาด พอทั้งสองคนออกไปข้างนอกก็พบเจอคนคุ้นเคยไม่ใช่น้อย ทุกคนล้วนรู้ว่าหลายวันมานี้อวี้เหวินไปหังโจว พอเขากลับมาวันที่สองก็เห็นถือของเซ่นไหว้ไม่รู้จะเอาไปทำอะไร ต่างพากันแปลกใจ เก้าในสิบคนถามว่าเขาจะไปทำอะไร มีเพียงคนเดียวที่รั้งตัวถามพวกเขาว่าหังโจวมีที่ไหนสนุกบ้าง

อวี้เหวินตอบทุกคนตามที่ปรึกษาหารือมากับอวี้ถังก่อนหน้านี้  หลู่ซิ่วไฉยังมีของบางอย่างทิ้งไว้ที่หังโจว ข้าจึงไปช่วยเขาเก็บเสียหน่อย รอจนครบสี่สิบเก้าวัน ก็จะเผาสิ่งของไปให้เขา 

ทุกคนต่างชื่นชมว่าอวี้เหวินมีเมตตามากคุณธรรม

อวี้เหวินถ่อมตัวอยู่ค่อนวัน เวลานี้จึงค่อยจ้างเกี้ยวสองหลังเดินทางไปชิงซานหู

หลุมฝังศพของหลู่ซิ่น ต้นสนสูงใหญ่เขียวขจีอยู่รอบทิศ หน้าหลุมศพยังหลงเหลือเศษซากประทัดสีแดงที่จุดในยามฝังศพ

อวี้เหวินถอนหายใจ คุกเข่าลงบนหินหน้าป้ายหลุมศพเผากระดาษเงินให้หลู่ซิ่น  ก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่เจ้าพูดต่อหน้าข้า เรื่องไหนเป็นเรื่องจริงเรื่องไหนเป็นเท็จ แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ข้าล้วนหวังให้เจ้าลืมเรื่องของชาตินี้ สามารถไปเกิดในที่ดีๆ ได้ในเร็ววัน อย่าได้ไม่เป็นโล้เป็นพายเหมือนในชาตินี้ 

อวี้ถังมองพินิจป้ายหลุมศพของคนอื่นอยู่ด้านข้างด้วยความอยากรู้อยากเห็น

บางคนมีทั้งลูกสาวลูกชาย นับว่าสุขสมหวัง บางคนอายุยังน้อยก็มาด่วนจากไป บางคนเหลือที่อีกครึ่งหนึ่งเพื่อรอฝังคู่ชีวิตร่วมกัน ทั้งมีสุสานคู่ที่ฝังร่วมกันตั้งนานแล้ว

ลมของสารทฤดูพัดมา พาให้ไพรพนาที่ไร้ผู้คนเกิดเสียงหวีดหวิว ทั้งหอบเอาความหนาวเหน็บเข้ามา

อวี้ถังใช้สองมือลูบแขน  ท่านพ่อ ท่านหนาวหรือไม่? ที่นี่ดูอึมครึมน่ากลัว พวกเรากลับไปก่อนดีกว่ากระมัง! 

อวี้เหวินผงกศีรษะ ลงเขาไปพร้อมกับอวี้ถัง

ผู้คนมากมายในเมืองหลินอันล้วนทราบถึงข่าวนี้

กระทั่งหม่าซิ่วเหนียงก็ยังถือโอกาสที่มาขอบคุณอวี้ถัง ถามถึงเรื่องนี้อย่างสงสัย  หลู่ซิ่วไฉทิ้งอะไรไว้บ้างรึ? 

 แค่พวกภาพวาดตำรา  อวี้ถังกล่าว  ล้วนเป็นสิ่งของที่เขาใช้ในยามปกติ ทั้งไม่อาจจะทิ้งไว้ในเรือนพวกเรา 

หม่าซิ่วเหนียงกล่าวอย่างเห็นใจ  ท่านลุงอวี้ก็โชคไม่ดีที่คบหาสหายอย่างเขา เขาตายไปก็ไม่รู้อะไรอีกแล้ว ท่านลุงอวี้กลับต้องเก็บกวาดช่วยเขา 

อวี้ถังไม่อยากพูดเรื่องนี้กับนางมาก ถามนางด้วยรอยยิ้ม  ยามที่สกุลสามีมาส่งสินสอดทองหมั้น เจ้าจะสวมชุดอะไรรึ?  นางก็เลือกชุดที่ไม่เป็นที่สะดุดตาเพื่อขับให้หม่าซิ่วเหนียงดูเด่น ไม่อาจจะฉกฉวยความสนใจไปจากหม่าซิ่วเหนียงได้

หม่าซิ่วเหนียงกล่าวอย่างขัดเขิน  แม่ข้าเตรียมชุดสีแดงสดให้ข้าแล้ว 

อวี้ถังเผยยิ้ม  เช่นนั้นข้าใส่ชุดสีม่วงอ่อนดีกว่า! 

หม่าซิ่วเหนียงขานตอบรับในลำคอ ก่อนจะคุยเรื่องส่วนตัวกับอวี้ถังเสียงเบา  แม่ของข้าแอบเอาตั๋วเงินสิบตำลึงสามใบให้ข้า ไม่ให้บอกใคร หลังจากแต่งงานจะได้ไม่ต้องยื่นมือขอเงินคุณชายจางซื้อเครื่องแป้ง เครื่องชาด 

แต่ไหนแต่ไรอวี้ถังก็ไม่เคยมีประสบการณ์เช่นนี้มาก่อน นางถามอย่างแปลกใจ  ไม่ใช่ว่าเจ้ามีที่ยี่สิบหมู่เป็นสินเดิมแล้วหรอกรึ? 

หม่าซิ่วเหนียงกล่าว  แม่ข้าบอกแล้ว แม้จะกล่าวว่าที่ยี่สิบหมู่นั้นเป็นสินเดิม แต่ทรัพย์สินพวกนั้นล้วนจัดแจงไว้ดีแล้ว สกุลจางไม่ได้มั่งคั่ง หากข้าฟุ้งเฟ้อ กลัวว่าคนของพวกเขาจะไม่ชอบใจ… 

อวี้ถังอดดีใจไม่ได้ที่ตัวเองไม่ต้องแต่งออกไป

ผ่านไปเช่นนี้อยู่หลายวัน เมืองหลินอันก็แพร่ข่าวไปทั่ว อวี้ถังคิดว่าเรื่องนี้น่าจะพอเหมาะพอควรแล้ว…คนพวกนั้นไม่มาขโมยของต่างหน้าของหลู่ซิ่น พวกเขาก็จะเผามันทิ้งแล้ว ไม่ว่าจะอย่างหน้าหรืออย่างหลัง เผือกร้อนในมือก็สามารถโยนทิ้งไปได้แล้ว

หลายวันนี้หากอวี้เหวินไม่ศึกษาเรื่องแผนที่อยู่ในเรือน ก็ไปสืบข่าวอย่างระมัดระวังว่าในเมืองหลินอันมีใครบ้างที่ทำการค้าขายที่ฝูเจี้ยน? ทำกิจการใหญ่หรือเล็ก? คนผู้ไหนเปิดเผยใจกว้าง เป็นต้น มีครั้งหนึ่งถูกคนถามว่าเหตุใดเขาจึงสืบเสาะเรื่องพวกนี้ หรือสกุลอวี้เตรียมจะเปลี่ยนไปทำมาหากินอย่างอื่น

เขาแสร้งโง่ กล่าวอย่างขอไปทีออกไป กลับมาถึงบ้านก็พบว่าเหงื่อชุ่มไปทั้งตัว

อวี้เหวินเล่าเรื่องนี้ให้อวี้ถังฟัง  เห็นได้ชัดว่าข้านั้นไม่ถนัดทำเรื่องเลวร้ายเอาเสียเลย 

อวี้ถังหัวเราะ กังวลอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าเหมาะสมหรือไม่ที่บิดาจะไปสืบข่าวที่เมืองหลวงและฝูเจี้ยน

อวี้เหวินกลับปลอบใจนาง  มีครั้งแรกก็ย่อมมีครั้งที่สอง มนุษย์ล้วนต้องการโอกาสในการฝึกฝนทั้งนั้น 

คำพูดนี้ก็มีเหตุผล

ชาติที่แล้วนางเป็นคนที่ไม่สนใจเรื่องราวของผู้อื่น ตอนนี้หาได้เป็นเช่นนั้นไม่

อวี้เหวินกลัวนางคิดมาก จึงนำภาพทั้งสองที่อาจารย์เฉียนลอกแบบขึ้นมาชม  เจ้าว่า อาจารย์เฉียนผู้นี้มีฝีมือยอดเยี่ยมถึงขนาดนี้ เหตุใดจึงทำอาชีพนี้อยู่? แม้จะกล่าวว่าหาเงินได้มาก แต่ความเสี่ยงก็ไม่น้อยเช่นกัน ทั้งไม่อาจทิ้งชื่อเสียงสู่คนรุ่นหลังได้ น่าเสียดายจริงๆ 

ใครจะไม่มีต้นสายปลายเหตุบ้างกัน

อวี้ถังไม่พูดอันใดเกี่ยวกับเรื่องนี้ รอจนมารดาเรียกกินมื้อเย็น ยามที่นางช่วยบิดาจัดเตรียมโต๊ะอาหารกลับยืนนิ่งราวกับถูกฟ้าผ่าอยู่ตรงนั้น

 นี่ นี่มันอะไรกัน?  นางร้องเสียงหลง

——————————-

Related

 

อวี้ถังเป็นคนใจกว้างคนหนึ่ง

ไม่อย่างนั้นเวลาหลายปีที่อยู่สกุลหลี่ นางก็คงถูกคนสกุลหลินบีบให้เป็นบ้าไปนานแล้ว

ในเมื่อตัดสินใจแล้ว นางก็ไม่อาจคิดมากอีก

เพียงทำตามการปรึกษาหารือของพวกเขาก็เพียงพอแล้ว

ทางอาจารย์เฉียนกล่าวว่า หากจะเอาภาพคืนสู่สภาพเดิม ทั้งต้องทำของปลอมให้พวกเขา ลอกภาพออกมาสามแผ่น ไม่อาจส่งของให้ในเวลาสั้นๆ ไม่ว่า แต่ยังต้องเพิ่มเงินอีกสามสิบตำลึง

อวี้เหวินตัดสินใจอย่างฉับไว ขอยืมเงินกับเถ้าแก่รองถงลับๆ สามสิบตำลึง สัญญาว่าหลังจากกลับหลินอันจะคืน ยังกลัวว่าเถ้าแก่รองถงจะแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป อาจทำให้คนอื่นสงสัยจุดประสงค์การมาหังโจวของพวกเขา อวี้เหวินจึงขอร้องครั้งแล้วครั้งเล่าให้เถ้าแก่รองถงเก็บเป็นความลับ  อย่างไรข้าก็เป็นซิ่วไฉ เรื่องนี้หากเผยแพร่ออกไปคงขายหน้าแย่ เจ้าก็ช่วยข้าปกปิดหน่อยเถิด 

แต่ในความเป็นจริงนั้นกลัวว่าจะมีคนสงสัยจุดประสงค์ในการมาหังโจวของพวกเขา

บัณฑิตตกอับนั้นมีถมเถไป กระทั่งขุนนางบางคนก็ไร้เงินในมือเช่นกัน เถ้าแก่รองถงพบเจอมามาก เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า  ท่านวางใจ เรื่องนี้ข้าไม่บอกใครหรอก  จากนั้นก็ให้อวี้เหวินเขียนหลักฐานการยืมเงิน เก็บไว้ในคลังเก็บสินค้าของโรงรับจำนำ  ที่นี่น่าเชื่อถือกว่าคลังเก็บสินค้าของศาลาว่าการเมืองหังโจวเสียอีก ท่านวางใจเถิด! 

หากอวี้เหวินไม่เชื่อมั่นในโรงรับจำนำสกุลเผย ก็คงไม่มายืมเงินที่นี่หรอก

เขาขอบคุณเถ้าแก่รองถงเป็นมั่นเป็นเหมาะ เวลานี้จึงกลับไปโรงเตี๊ยม

อวี้ถังอยู่ในโรงเตี๊ยมไม่มีอะไรทำ ทั้งสองวันนี้ไม่เพียงใช้เวลาหมดไปกับการทำปิ่นดอกไห่ถังคู่ให้มารดา แต่ยังทำปิ่นดอกเหมยกำมะหยี่สีแดงให้เถ้าแก่เนี้ยของโรงเตี๊ยม

หลังจากที่เถ้าแก่เนี้ยได้รับก็ดีใจยกใหญ่ ชมว่านางทำปิ่นดอกไม้ได้อย่างงดงาม ยังกล่าวว่า  หลายปีมาแล้วที่ข้าไม่ได้เห็นของที่ประณีตงดงามเช่นนี้ เจ้าอยากจะใช้สิ่งนี้หารายได้ให้ตัวเองบ้างหรือไม่? หากเจ้าสนใจ ข้าสามารถช่วยเจ้าถามร้านฮวาเฟิ่นของสกุลไช่ได้ว่ารับซื้อเท่าใด? หลังจากเจ้ากลับไปหลินอัน สามารถส่งปิ่นดอกไม้ที่ทำเสร็จแล้วให้เถ้าแก่ใหญ่ถงของโรงรับจำนำพาเข้ามาได้ ข้าจะช่วยเจ้านำไปขายในร้านฮวาเฟิ่นของสกุลไช่ 

ทั้งสองชาติของอวี้ถังล้วนไม่ได้นึกถึงว่าจะใช้สิ่งนี้ในการหาเงินได้ นางอดลังเลอยู่บ้างไม่ได้  ปิ่นดอกไม้ของข้าดีขนาดนั้นเลยรึ? ร้านฮวาเฟิ่นจะยินดีอย่างนั้นรึ? ข้าไม่รู้ว่าในหนึ่งเดือนจะสามารถทำได้กี่อัน ในใจยังไม่มีแผนอันใดเลย 

เถ้าแก่เนี้ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม  หากเจ้ามีใจจะทำการค้าขายสิ่งนี้จริงๆ ก็กลับไปครุ่นคิดดีๆ เสีย ดูว่าเดือนหนึ่งเจ้าสามารถทำได้กี่อัน แต่ละอันต้องใช้ต้นทุนเท่าใด? รอเจ้าได้คำตอบแล้วค่อยมาหาข้าก็ไม่สาย อย่างไรข้าก็อยู่ที่นี่ตลอดเวลาอยู่แล้ว เพียงแค่เจ้ามาก็หาข้าเจอแล้ว 

อวี้ถังขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่า ใช้เวลาว่างหลายวันนี้ทำปิ่นดอกไม้ติดต่อกันเจ็ดแปดอัน ประจวบเหมาะที่อวี้หย่วนกลับมาเปลี่ยนเสื้อผ้าพอดี นางยังเรียกอวี้หย่วนขอให้เขาช่วยนางคิดต้นทุน

นี่หากไม่คำนวณก็ไม่รู้จริงๆ พอคำนวณดูถึงกับตกใจ

แค่ปิ่นดอกไม้เจ็ดแปดอัน เสียเงินไม่ถึงสิบอีแปะ อย่างน้อยดอกหนึ่งขายสามสิบอีแปะ ก็ได้เงินมากมายแล้ว

อวี้หย่วนทำท่าคล้ายกับกำลังคิดอะไรอยู่ ปรึกษากับอวี้ถัง  เจ้าว่าพวกเราทำการค้าขายนี้จะเป็นอย่างไร? 

บางครั้งหากมีเวลาว่างทำปิ่นดอกไม้ไม่กี่อันเพื่อช่วยภาระค่าใช้จ่ายในบ้านนั้นย่อมได้ แต่ทำการค้านี้ระยะยาว อวี้ถังไม่เคยนึกถึงมาก่อน แต่เรื่องที่อวี้หย่วนอยากทำ นางล้วนสนับสนุนทั้งนั้น

 เช่นนั้นท่านพี่ไปสำรวจความต้องการในตลาดดู!  อวี้ถังกล่าว

อวี้หย่วนครุ่นคิดเล็กน้อย สุดท้ายก็ยังคงถอนหายใจ เผยรอยยิ้มขมขื่นอยู่บ้าง  อย่างไรก็ปล่อยไปก่อนเถิด! ท่านพ่อนั้นต้องการลงแรงส่งเสริมร้านเครื่องลงรักของพวกเรา 

อวี้ถังไม่เคยเดินเล่นที่เมืองหังโจวดั่งเช่นตอนนี้มาก่อน คิดว่าร้านค้าของสกุลนั้นดีมาโดยตลอด ยามนี้มาเที่ยวเล่นที่เมืองหังโจว จึงรู้สึกว่าหลินอันเล็กไปอยู่บ้าง เข้าใจอวี้หย่วนว่าเหตุใดเขาจึงทำตัว ‘ไม่เหมาะสม’ อยู่บ้าง แต่บางเส้นทาง อวี้หย่วนจำเป็นต้องเดินด้วยตนเอง สัมผัสด้วยตนเอง เลือกด้วยตนเอง ทั้งช่วงชิงด้วยตนเอง

นางเผยยิ้ม ถามเรื่องทางอาจารย์เฉียนขึ้นมา  หลายวันนี้ท่านพี่อยู่ที่นั่น ราบรื่นดีหรือไม่? 

 ราบรื่นดี!  อวี้หย่วนกล่าว  ฝีมือของอาจารย์เฉียนนั้นแทบไม่ต้องพูดถึง 

รอจนยามที่เขานำงานที่เสร็จกลับมา ทุกคนพากันส่องซ้ายมองขวา กลับมองไม่ออกว่าแตกต่างกับภาพต้นฉบับอย่างไร อวี้เหวินถึงกับประหลาดใจ อยากทำความรู้จักอาจารย์เฉียนเป็นอย่างมาก แต่ถูกอาจารย์เฉียนปฏิเสธอย่างตรงๆ อวี้เหวินผิดหวังไม่น้อย แต่รู้ว่าเรื่องเช่นนี้ไม่อาจดึงดันได้ จึงจัดเก็บสัมภาระเตรียมที่จะกลับหลินอัน

อวี้ถังให้อวี้หย่วนไปตรอกขายเครื่องแป้งเครื่องประดับผมเป็นเพื่อนนาง ซื้อวัสดุและอุปกรณ์ในการทำปิ่นดอกไม้ ก่อนที่จะเดินทางกลับหลินอัน อวี้เหวินวางแผนจะพาพวกเขาไปกล่าวขอบคุณเผยเยี่ยนด้วย

แต่เผยเยี่ยนและโจวจ้วงหยวนไปเมืองไหวอัน

ตามที่เถ้าแก่รองถงกล่าว หลานชายของโจวจ้วงหยวนย้ายมาเป็นข้าหลวงที่ไหวอัน โจวจ้วงหยวนจึงลากเผยเยี่ยนไปด้วยกัน

อวี้เหวินอิจฉาไม่น้อย  อ่านหนังสือหมื่นเล่ม เดินทางหมื่นลี้ ก็ไม่รู้ว่าวันใดข้าจะสามารถเป็นเช่นนี้ได้บ้าง 

ล่องเรือควบม้าล้วนมากอันตราย อวี้ถังกลับไม่อยากให้อวี้เหวินเดินทางไกล

นางกล่าวไปตรงๆ  นั่นเพราะว่านายท่านสามสกุลเผยและโจวจ้วงหยวนล้วนมีคนรู้จักมักคุ้น อย่างไรท่านอยู่บ้านเป็นเพื่อนท่านแม่กับข้าดีกว่า! 

อวี้เหวินหัวเราะเสียงดัง ลูบเส้นผมนุ่มลื่นของลูกสาว กล่าวด้วยรอยยิ้ม  วางใจเถิด ข้าก็เพียงอิจฉาเท่านั้น ให้ข้าทิ้งเจ้าและแม่เจ้าออกไปเที่ยว สามวันสี่วันยังพอว่า แต่หากนานไปก็คงไม่ไหว 

อวี้ถังกระตุกยิ้มขึ้นมา

พวกเขาขอบคุณเถ้าแก่และเถ้าแก่เนี้ยของโรงเตี๊ยม ก่อนจะขึ้นเรือที่ท่าเรือเล็กๆ ซึ่งไม่ไกลจากโรงรับจำนำสกุลเผย

การเดินทางนั้นราบรื่น ไม่ถึงสองชั่วยามก็เห็นท่าเรือเสาซีในครรลองสายตา

ป้ายของโรงรับจำนำสกุลเผยยังคงปลิวไสวสู้ลม ท่าเรือก็คึกคักอยู่เช่นนั้นไม่เปลี่ยน

อวี้ถังรู้สึกคล้ายจากไปเกือบครึ่งปี เสียงจ้อกแจ้กจอแจพวกนั้นเปลี่ยนเป็นคุ้นเคยขึ้นมา

นางกระโดดลงจากเรือ

เถ้าแก่ถงตะโกนบอกนางจากไกลๆ  ช้าหน่อย ช้าหน่อย ระวังตกน้ำเอา 

อวี้ถังหัวเราะ เข้าไปคารวะเถ้าแก่ถง

เถ้าแก่ถงเดินเข้ามาหาอย่างอารมณ์ดี กล่าวทักทายอวี้เหวิน  น้องข้าบอกว่าพวกเจ้าจะกลับมาวันนี้ เมื่อครู่ข้ายังคิดว่าไฉนพวกเจ้าจึงยังไม่ถึง แต่พวกเจ้ากลับมาถึงพอดี ไปหังโจวราบรื่นดีหรือไม่? 

 ราบรื่นดี!  อวี้เหวินและเถ้าแก่ถงเดินเคียงคู่ไปด้านหน้า ทั้งกล่าวขอบคุณเขาไปพลาง  หากไม่ใช่เพราะน้องชายเจ้า ลูกสาวของข้าคงแย่ไม่น้อย  ก่อนจะเล่าเรื่องที่เชิญหมอให้เถ้าแก่ถงฟัง

อวี้ถังโมโหอยู่ด้านข้าง  ท่านพ่อ ท่านพูดกับเถ้าแก่ถงก็พอแล้ว อย่าได้ไปพูดกับใครอีกนะเจ้าคะ 

อวี้เหวินและเถ้าแก่ถงชะงักไป คล้อยหลังก็หัวเราะขึ้นมา  สาวน้อยอายเสียแล้ว ภายหลังพวกเราย่อมไม่พูดแล้ว ไม่พูดแน่นอน 

เถ้าแก่ถงเชิญอวี้เหวินไปดื่มชา พักผ่อนในร้าน

อวี้เหวินเป็นห่วงคนสกุลเฉินที่รออยู่ที่เรือน จึงปฏิเสธอย่างสุภาพไป

ด้านอวี้ถังก็มอบปิ่นดอกไม้ที่ตัวเองทำให้กับพวกหญิงสาวในสกุลถง

นายหญิงถงและนายหญิงเล็กถงล้วนชื่นชอบเป็นอย่างมาก รู้ว่าอวี้ถังทำเอง ก็นำผ้าเช็ดหน้าไม่ก็ถุงเท้ามอบให้เป็นการตอบแทน ยังกำชับกับอวี้ถังว่าหากว่างๆ ก็เข้ามาเที่ยวเล่นที่นี่พร้อมคนสกุลเฉินได้

อวี้ถังรับปากทั้งรอยยิ้ม

หลังจากกลับถึงบ้านก็เริ่มแจกจ่ายของที่ตัวเองทำอย่างใจกว้าง

คนสกุลเฉิน ป้าเฉิน ซวงเถา หม่าซิ่วเหนียง นายหญิงหม่า…พวกหญิงสาวของสกุลนายท่านอู๋ข้างบ้านก็มอบกล่องไม้เล็กๆ ให้เช่นกัน

ทุกคนต่างพากันชมฝีมือของอวี้ถัง มีเพียงคนสกุลเฉินที่ถามอวี้ถังอย่างสงสัย  นี่เจ้าทำเองจริงๆ รึ? ไม่ใช่ซื้อมาหรอกหรือ? 

อวี้ถังจึงทำตรงนั้นให้คนสกุลเฉินอีกอัน

คนสกุลเฉินตกใจเป็นอย่างยิ่ง กอดอวี้ถังทั้งรอยยิ้ม  เจ้าเด็กคนนี้ คาดไม่ถึงว่าจะมีฝีมือเช่นนี้ ไปร่ำเรียนมาเมื่อใด? ไฉนข้าจึงไม่รู้? 

อวี้ถังไม่บอกคนสกุลเฉิน

จนถึงยามเย็น ยามที่คนสกุลเฉินและอวี้เหวินพูดคุยกันเป็นการส่วนตัวก็ตำหนิตัวเองอยู่บ้าง  แม้จะกล่าวว่าข้าป่วย ไม่มีเวลามาดูแลทุกเรื่องของอวี้ถัง แต่ข้ายังคงละเลยนางเกินไป กระทั่งนางทำปิ่นดอกไม้เป็น ข้าก็ยังไม่รู้ 

อวี้เหวินกลับนึกถึงเรื่องแผนที่นั้น พึมพำตอบกลับ  รีบนอนเถิด! เจ้าก็อย่าคิดมาก ตอนนี้อาถังมีความคิดความอ่านแล้ว ภายหลังนางสามารถประคับประคองครอบครัวขึ้นได้ ไม่แน่ว่าพวกเราจะได้เสวยสุขจากนางจริงๆ 

———————

Related

 

 ไม่ได้!  อวี้เหวินแทบไม่ต้องใช้เวลาคิดก็ปฏิเสธอวี้ถังทันที

อวี้ถังและอวี้หย่วนมองไปยังอวี้เหวิน

อวี้เหวินกล่าว  หากอวี้ถังเดาไม่ผิด เก้าส่วนการตายของหลู่ซิ่นย่อมเกี่ยวพันกับภาพวาดนี้ เดิมทีพวกเราก็ไม่รู้ว่าเบื้องหลังของคนผู้นี้เป็นใคร แล้วจะให้นายท่านสามสกุลเผยมาเดือดร้อนด้วยได้อย่างไร? 

อวี้ถังใบหน้าร้อนฉ่า

นางคิดเพียงว่าชาติก่อน เผยเยี่ยนเป็นผู้ที่เก่งกาจเหนือใคร กลับลืมไปว่าเผยเยี่ยนในชาติก่อนไม่ได้ข้องเกี่ยวกับเรื่องในสกุลพวกเขา ถึงกระทั่งไม่รู้จักนางแต่อย่างใด

บิดาพูดถูก

ภาพวาดนี้แบกรับชีวิตคนๆ หนึ่งไว้แล้ว พวกเขาไม่อาจเห็นแก่ตัวลากเผยเยี่ยนลงมาด้วยได้

เวลานี้อวี้ถังจึงค่อยค้นพบอย่างตกใจว่า เส้นทางของตัวเองได้เดินไปอย่างบิดเบี้ยวแล้ว

นางกล่าวตามตรง  ท่านพ่อ เช่นนั้นพวกเราควรทำอย่างไรดีเจ้าคะ? 

 เจ้าให้เวลาข้าคิดหน่อยเถิด!  อวี้เหวินยิ้มอย่างขมขื่น

เห็นได้ชัดว่าเขาก็อับจนหนทางเช่นกัน

อวี้ถังนึกถึงหลู่ซิ่นขึ้นมา

เขาก็คงไม่รู้ว่าภาพนี้ซ่อนความลับไว้ภายในหรอกกระมัง? มิเช่นนั้นเขาก็คงไม่จากไปเช่นนี้

หลังจากนางกลับหลินอัน คงต้องจุดธูปไหว้เขาเสียแล้ว

อวี้ถังถอนหายใจอย่างเงียบเชียบ จู่ๆ ในใจก็ปรากฏความคิดหนึ่งขึ้นมา

นางหยั่งเชิงกล่าว  ท่านพ่อ ไม่อย่างนั้น พวกเราให้ลุงหลู่เป็นแพะรับบาปไปเลย? อย่างไรเรื่องนี้ก็เป็นเขาที่ก่อเรื่อง สกุลหลู่เองก็ตัดสัมพันธ์เขาแล้ว ไม่ได้ไปมาหาสู่ ย่อมไม่อาจติดร่างแห 

อวี้เหวินก็อับจนหนทางแล้วจริงๆ ตระหนักได้ว่าคนธรรมดาสามคน เอาชนะขงเบ้งคนเดียว[1] ตั้งแต่เล็กอวี้ถังก็ฉลาดมีไหวพริบ ไม่แน่ว่าอาจจะมีความคิดอะไรดีๆ  เจ้าลองพูดให้ข้าฟังสิ 

อวี้ถังกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา  ท่านลองคิดดูสิเจ้าคะ ลุงหลู่เอาชีวิตมาทิ้งเพราะเรื่องนี้ คนพวกนั้นย่อมเคยมาหาลุงหลู่แล้ว หากไม่เป็นเพราะรู้ว่าภาพวาดอยู่ที่สกุลเรา ก็คงเป็นเพราะลุงหลู่ไม่รู้ความลับในภาพนี้เช่นกัน จึงไม่ได้กำชับอะไรให้ชัดเจนทั้งสิ้น ข้าตรึกตรองดู ไม่ว่าจะเป็นอย่างหน้าหรืออย่างหลัง เรื่องสำคัญที่พวกเราควรต้องจัดการอย่างเร่งด่วนก็คือดึงสกุลของพวกเราออกมาจากเรื่องนี้ เช่นนั้นมิสู้พวกเราก็เอาภาพนี้ให้พวกเขาไปเลย 

 ข้าเข้าใจที่เจ้าพูด  อวี้เหวินเอ่ย  แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าจะเอาภาพนี้ให้พวกเขาอย่างไร? 

อวี้ถังเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า  คนพวกนั้นเข้าไปค้นเรือนของพวกเราแล้วไม่พบภาพมิใช่หรือ? ยามที่พวกเรากลับไป มิสู้บอกกับคนอื่นว่าพวกเรามาหังโจวเพื่อเก็บของต่างหน้าให้ลุงหลู่ หากพวกเขาได้ยินคำพูดนี้ ย่อมจะหาวิธีเอาของต่างหน้าของลุงหลู่มาไว้ในมือ ถึงเวลานั้นพวกเราก็บอกกับคนอื่นว่าจะเอาของต่างหน้าของลุงหลู่เผาไปให้เขาทั้งหมด… 

อวี้หย่วนตาเป็นประกาย  นี่เป็นความคิดที่ดี! พวกเขาต้องคิดวิธีให้ของต่างหน้าพวกนี้มาอยู่ในมือเป็นแน่ พวกเราก็แค่ส่งภาพนั้นออกไปด้วย? 

อวี้ถังพยักหน้าติดต่อกัน คล้อยตามอวี้หย่วน ก่อนกล่าวกับอวี้เหวิน  ท่านไม่ต้องพูดว่าภาพนั้นคือแผนที่ คนทั่วไปอย่าพูดเลยว่าเคยเห็น แต่แค่ได้ยินก็คงไม่เคยเช่นกัน พวกเราไม่รู้จักย่อมเป็นเรื่องปกติ ถึงเวลานั้นพวกเราก็แค่พูดว่า ไม่รู้ว่าสิ่งนี้คืออะไร แค่นี้ก็สามารถดึงตัวเองออกมาจากเรื่องนี้ได้แล้วกระมัง 

 เจ้าพูดมีเหตุผล  อวี้เหวินปัดความรู้สึกมืดมัวเมื่อครู่ทิ้งไป เดินหัวเราะรอบห้อง  แต่ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ พวกเรายังคงต้องปรึกษาหารือกันดีๆ 

แต่ทิศทางส่วนใหญ่ก็คงไม่ผิดพลาดอะไรแล้ว

อวี้ถังและอวี้หย่วนต่างก็โล่งใจ อดเผยยิ้มให้กันไม่ได้

ด้านอวี้เหวินกลับกล่าวพึมพำอยู่ตรงนั้น  ต้องคิดวิธีปิดบังคนพวกนั้น ไม่อาจให้พวกเขาทราบว่าพวกเรารู้ความลับของภาพนี้  พูดมาถึงตรงนี้ เขาก็หยุดฝีเท้ากะทันหัน กล่าวกับอวี้หย่วน  เรื่องนี้ยังต้องรบกวนอาจารย์เฉียน ให้เขาหาวิธีเก็บภาพไว้เหมือนเดิม 

 ท่านพ่อ!  อวี้ถังตัดบทสทนาของอวี้เหวิน  คืนสู่สภาพเดิมเกรงว่าคงไม่เหมาะเท่าไร…ทุกคนต่างรู้ว่าสกุลของเราซื้อภาพ ‘ตกปลาใต้ต้นสนริมน้ำ’ จากลุงหลู่แล้ว 

ใช่แล้ว! หากมีคนถามถึงภาพของพวกเขาขึ้นมาจะทำอย่างไร?

อวี้เหวินถามอวี้หย่วน  เช่นนั้นในเมื่ออาจารย์เฉียนอยู่ในแวดวงนี้ เจ้าลองถามเขาได้หรือไม่ ดูว่าเขารู้จักนักคัดลอกภาพวาดโบราณฝีมือดีหรือไม่ พวกเราก็เชิญคนมาคัดลอกภาพ ‘ตกปลาใต้ต้นสนริมน้ำ’ มาไว้ในบ้านของพวกเรา 

เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ไร้ข้อผิดพลาดแล้ว

อวี้หย่วนกล่าวด้วยรอยยิ้ม  แกว่งขวานหน้าช่างมีฝีมือ เชิญใครก็มิสู้เชิญอาจารย์เฉียน…เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนี้อยู่แล้ว 

 ดีเหลือเกิน!  อวี้เหวินกล่าว  เมื่อครู่ข้ายังกังวลว่าจะดึงคนมาเกี่ยวข้องมากเกินไป เกรงว่าเก็บความลับไม่อยู่ 

อวี้หย่วนยิ้ม  ท่านวางใจเถิด อาจารย์เฉียนไม่รู้ว่าพบเจอเรื่องเช่นนี้มามากน้อยเท่าใดแล้ว ไม่อย่างนั้นพอเจอภาพที่ถูกประกบอยู่ด้านในก็คงไม่เรียกข้าเข้าไปดูทันทีเช่นนี้หรอก 

อวี้เหวินผงกศีรษะ  เช่นนั้นก็เอาแบบนี้แหละ! 

อวี้หย่วนตอบรับ เก็บภาพ เตรียมจะไปหาทางอาจารย์เฉียนทันที  ฉวยยามที่ฟ้ายังไม่สว่างเท่าใด ทำเรื่องนี้ให้เสร็จเร็วขึ้นดีกว่า พวกเราก็จะได้สบายใจเร็วขึ้นเช่นกัน รีบกลับไปหลินอัน 

อวี้ถังกลับรั้งอวี้หย่วนไว้ กล่าวกับอวี้เหวิน  ท่านพ่อ เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนนัก ข้ามาใคร่ครวญดีๆ ในเมื่ออาจารย์เฉียนผู้นั้นมีฝีมือทางด้านนี้ เรื่องทั้งหมดอยู่ในความรับผิดชอบของผู้เดียว มิสู้พวกเราขอให้เขาช่วยลอกแผนที่นี้ด้วยล่ะเจ้าคะ 

 อวี้ถัง  อวี้เหวินไม่เห็นด้วย  พวกเราไม่อาจข้องเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกได้ หากสามารถถอยห่างได้ไกลเท่าใดก็ถอยให้ไกลเท่านั้น ไม่ว่าในนี้จะมีความลับอันใด พวกเราก็อย่าได้ลอบมองเลย บางที ยิ่งรู้มากก็ยิ่งตายไว ทั้งยังตายอย่างอเนจอนาถ 

อวี้ถังกล่าวด้วยเสียงอ่อนโยน  ท่านพ่อ หลักการนี้ข้าก็เข้าใจ แต่ข้ารู้สึกว่าพึ่งพาใครก็มิสู้พึ่งตัวเอง พวกเราสามารถส่งภาพไปอย่างราบรื่นย่อมเป็นเรื่องดี แต่หากคนพรรค์นั้น เดิมทีก็ไม่เชื่อพวกเราล่ะ? หรือพวกเรายังหวังให้พวกเขามอบความเมตตาให้ได้? จิตใจคิดร้ายผู้อื่นมิควรมี แต่การระวังคนอื่นก็มิควรขาดเช่นกัน! 

นี่เป็นบทเรียนที่นางได้รับหลังจากแต่งเข้าสกุลหลี่

ทั้งเป็นการตัดสินใจแน่วแน่หลังจากที่นางกลับมาเกิดอีกครั้ง

พึ่งภูเขายังมียามที่เขาล้ม พึ่งน้ำก็มียามที่น้ำแห้งเช่นกัน มีแค่ต้องควบคุมทุกอย่างไว้ในมือตัวเองเท่านั้น จึงจะสามารถพลิกแพลงตามสถานการณ์ ไม่อาจพ่ายแพ้

 ท่านพ่อเจ้าคะ…  นางโน้มน้าวอวี้เหวิน  ครั้งนี้ท่านฟังข้าเถิด! ไม่ว่าเรื่องอันใดก็ไม่ควรประมาท หากคนพวกนั้นรู้ว่าพวกเราพบความลับของภาพนี้ พวกเขาจะไม่คิดฆ่าพวกเราปิดปากหรือ? จะสงสัยว่าภาพนั้นปลอมหรือไม่? พวกเราควรจะรู้ว่าเรื่องราวทั้งหมดเป็นมาอย่างไร? ก็เหมือนลุงหลู่ หากเขารู้ว่าในภาพนี้มีสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ เขาจะยังมีจุดจบเช่นนี้หรือ? คนอื่นไม่รู้ แต่พวกเรารู้ เขาไม่รู้ว่าในภาพนี้มีความลับ แต่คนพวกนั้นก็ยังไม่ปล่อยให้เขามีชีวิตรอด 

อวี้เหวินและอวี้หย่วนมองนางอย่างตกตะลึง ค่อนวันก็ยังไม่กล่าวอะไร

อวี้ถังกลับไม่หลบสายตาของบิดาและพี่ชายแม้แต่น้อย นางยืนอย่างมั่นคง ปล่อยให้พวกเขาพินิจนาง ใช้ท่าทีเช่นนี้บอกพวกเขาว่านางนั้นตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ไม่อาจจะเปลี่ยนอย่างง่ายๆ ทั้งคิดตกในเรื่องนี้แล้วให้บิดาและพี่ชายวางใจ นางเติบใหญ่จนสามารถรับผิดชอบได้

เนิ่นนาน ก่อนแววตาที่เคร่งขรึมของอวี้เหวินจะถูกย้อมไปด้วยรอยยิ้ม

เขามองอวี้หย่วนไปทีหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นมา  สกุลอวี้นั้น ภายหลังต้องมอบให้พวกเจ้าสองพี่น้องแล้ว ข้าและพ่อเจ้าล้วนแก่แล้ว กลัวเรื่องกลัวราว ทั้งตามความเปลี่ยนแปลงของโลกนี้ไม่ทันแล้ว 

 ท่านพ่อ! 

 ท่านอา! 

อวี้ถังและอวี้หย่วนพูดขึ้นมาพร้อมเพรียงกัน

อวี้เหวินโบกมือ กล่าวด้วยรอยยิ้ม  พวกเจ้าอย่าได้คิดว่าข้าพูดเพราะท้อแท้ แต่ข้ากำลังดีใจอยู่ เห็นได้ว่าคำกล่าวของบรรพบุรุษนั้นยังคงมีเหตุผล มนุษย์นั้นใช้ได้หรือไม่ ต้องดูยามที่มีเรื่องสำคัญว่าสามารถประคองได้หรือเปล่า พวกเจ้าล้วนเป็นเด็กที่ประคองเรื่องราวในยามสำคัญได้ ข้าวางใจเป็นอย่างยิ่ง  พูดจบ เขาก็สูดลมหายใจเข้าลึก  เช่นนั้นก็ทำตามนี้แหละ! 

อวี้หย่วนและอวี้ถังรีบห้ามขึ้นพร้อมกัน  ท่านเบาเสียงหน่อย! กำแพงมีหู ประตูมีช่อง! 

อวี้เหวินหัวเราะเสียงดัง พอหอมปากหอมคอก็หยุดไป เอ่ยเสียงเบาว่า  ฟังพวกเจ้า ล้วนต้องฟังพวกเจ้า 

อวี้ถังและอวี้หย่วนส่งยิ้มให้กันอีกครั้ง ล้วนมองออกถึงความดีใจจากแววตาอีกฝ่าย อวี้ถังถึงขนาดรู้สึกว่า เพราะเรื่องนี้ ความสัมพันธ์ของนางและญาติผู้พี่จึงเปลี่ยนเป็นแน่นแฟ้นขึ้นในชั่วพริบตา

อวี้เหวินเก็บภาพพวกนั้น ทั้งถามอวี้ถังอย่างสนใจไปพลาง  เจ้ายังมีอะไรจะกำชับอีกหรือไม่? 

เพราะว่าบิดาและพี่ชายต่างก็ร่วมแรงร่วมใจ อวี้ถังจึงหัวแล่นอย่างว่องไว  ท่านพ่อ เกี่ยวกับเรื่องแผนที่นั้น ข้ามีวิธีหนึ่งเจ้าค่ะ 

อวี้เหวินได้ฟัง ก็สนใจขึ้นมา  เจ้าลองว่ามา! 

เวลานี้อวี้หย่วนก็ไม่รีบแล้ว นั่งลงข้างโต๊ะอีกครั้ง

ทั้งสามคนล้อมวงกันพูดคุยภายใต้แสงไฟริบหรี่

อวี้ถังกล่าว  ท่านพ่อ ข้ารู้สึกว่าลุงหลู่มีบางคำพูดที่ยังพูดถูก ตัวอย่างเช่น พ่อของเขาเคยเป็นที่ปรึกษาทางทหารให้ใต้เท้าจั่ว จั่วกวงจง ไม่แน่ว่า ภาพนี้อาจจะเป็นของใต้เท้าจั่วจริงๆ 

ส่วนกล่าวว่าได้มาหรือใช้วิธีอื่นฉกชิงมา นั่นก็ไม่มีใครรู้แล้ว

อวี้ถังกล่าว  ดังนั้นข้าคิดว่า หากท่านจะสืบเรื่องแผนที่ ทางที่ดีที่สุดควรไปเมืองหลวงหรือไม่ก็ฝูเจี้ยนเจ้าค่ะ 

อวี้เหวินฟังก็ตื่นตัวขึ้นมา  เจ้าหมายความว่า…เมืองหลวงมีมังกรซ่อนพยัคฆ์เร้น ผู้ที่มีความรู้มากมาย ใต้เท้าจั่ว เป็นนักรบที่มีชื่อเสียงในการขับไล่โจรสลัดญี่ปุ่น จึงมีอดีตผู้ใต้บังคับบัญชาอยู่ทางฝูเจี้ยนเป็นจำนวนมาก? 

 ข้ากระทั่งคิดว่าไปฝูเจี้ยนจึงจะได้อะไรมากกว่า  อวี้ถังกล่าวต่อ  นอกจากทางใต้เท้าจั่ว สกุลหลู่ก็คงไม่อาจเอาภาพนี้มาได้ หากเป็นเช่นนี้ ใต้เท้าจั่วล่วงลับไปสิบกว่าปีแล้ว หากแผนที่สูญหาย ยามที่ใต้เท้าจั่วมีชีวิตอยู่ก็ควรจะมีคนมาซักไซ้ไล่เลียง แต่เรื่องนี้กลับเพิ่งมาเกิดเอาตอนนี้ ย่อมไม่ใช่คนของราชสำนักที่มาสืบสาวราวเรื่อง… 

ถึงเวลานั้นย่อมต้องอันตรายเป็นอย่างมาก!

แต่หากสลัดจากเรื่องร้ายนี้ไม่พ้นเล่า?

พวกเขาจำเป็นต้องเตรียมการไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ

อวี้เหวินและอวี้หย่วนล้วนรู้ว่าคำพูดที่ยังกล่าวไม่จบของนางคืออะไร

อวี้ถังกล่าวต่อ  น้ำที่วาดบนแผนที่นี้ หากไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับแม่น้ำก็คงเกี่ยวข้องกับทะเล ส่วนถึงเวลานั้นพวกเราจะพูดแบบไหน อย่างไรเสียพวกเราก็ต้องขออาจารย์เฉียนลอกภาพวาดและแผนที่นี้ให้อยู่ดี ฉะนั้นแล้วเหตุใดจึงไม่ทำให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย ภาพต้นฉบับเอาไว้ที่เรา ส่วนของเลียนแบบก็ให้เป็นของต่างหน้าของลุงหลู่ จากนั้นพวกเราแบ่งภาพต้นฉบับอีกครั้ง แอบเอาภาพหนึ่งไปถามว่ายามที่พวกเราจัดการของต่างหน้าของลุงหลู่ก็พบภาพนี้เข้า ขอความชี้แนะจากคนพวกนั้นว่าภาพนี้วาดอะไร เป็นที่แห่งใด? ก็ได้แล้วนี่เจ้าคะ! 

ยามนี้เรื่องสำคัญที่เร่งด่วนคือเตรียมสิ่งที่ควรจะเตรียมไว้ให้พร้อม ไม่แน่ว่าอาจจะได้ใช้ในอนาคต

 ไม่เลว!  อวี้เหวินแปะมือนาง  เอาแบบนี้แหละ! เตรียมภาพวาดให้ดีก่อน เผื่อมีการเปลี่ยนแปลงอะไรกระชั้นชิด พวกเราจะรับมือไม่ทัน 

 แต่ท่านก็อย่าได้ฝืนเกินไป  อวี้ถังกำชับบิดา  เรื่องนี้จะเล็กจะใหญ่ รักษาชีวิตไว้ย่อมเป็นเรื่องสำคัญที่สุด 

 เจ้าวางใจ ข้ายังต้องรอดูเจ้ารับลูกเขยเข้าบ้านอยู่!  อวี้เหวินหยอกล้อลูกสาว

อวี้ถังยิ้มให้บิดา ในใจกลับไม่ได้ผ่อนคลายลงสักนิด

นางมีลางสังหรณ์อย่างเลือนรางว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

นางเพียงหวังว่าลมฝนครั้งนี้จะไม่กระทบผู้คนมากไปกว่านี้

อวี้หย่วนกลับยกนิ้วโป้งให้อวี้ถังอย่างชื่นชม

อวี้ถังกระตุกยิ้มให้เขา

ประกายไฟในตะเกียงส่งเสียงแตก ‘เปรี๊ยะๆ’ อยู่พักใหญ่ อวี้เหวินกล่าวกับอวี้ถังและอวี้หย่วนด้วยใบหน้าเคร่งขรึม  เอาตามที่อวี้ถังกล่าว ขออาจารย์เฉียนช่วยทำภาพสามแผ่น แผ่นแรกอิงตามภาพ ‘ตกปลาใต้ต้นสนริมน้ำ’ ที่พวกเราส่งไปก่อนหน้านี้ คืนสู่สภาพเดิม อีกแผ่นลอกภาพ ‘ตกปลาใต้ต้นสนริมน้ำ’ อีกแผ่นก็ลอกแผนที่นั้น ภาพต้นฉบับพวกเราเก็บไว้ ลองคิดดูก่อนว่าตัวเองจะสามารถรู้ได้หรือไม่ว่าแผนที่นี้วาดอะไรบ้าง หากไม่ไหวจริงๆ ข้าก็จะไปฝูเจี้ยน แล้วค่อยไปเมืองหลวง เดี๋ยวข้าจะไปหาคนที่คุ้นเคย ดูว่ามีใครจะไปฝูเจี้ยนหรือไม่ เมื่อไปฝูเจี้ยนก็จะมีคนที่คุ้นเคยคอยสืบข่าวได้ 

นี่คงจะต้องเสียเงินในบ้านมิใช่น้อยอีกแล้ว

ยังมีอวี้หย่วน ร้านค้าที่ถนนฉางซิ่ง เมื่อถึงสิ้นปีก็จะสร้างเสร็จ ร้านเครื่องลงรักของสกุลอวี้ก็ต้องฉวยโอกาสใช้ช่วงปลายปีเปิดกิจการอีกครั้งเช่นกัน อวี้หย่วนต้องไปดูแลช่วยเหลือร้านค้า ถึงเวลานั้นใครจะออกไปเป็นเพื่อนบิดานางกัน?

เรื่องต่างๆ นานา ล้วนพาให้อวี้ถังปวดหัว

แต่อวี้หย่วนไม่รู้ถึงความกังวลของอวี้ถัง เห็นว่าได้จัดการเรื่องราวอย่างเหมาะสมแล้ว ก็หยัดกายขึ้นอย่างร่าเริง เก็บภาพสามแผ่นพกติดกาย ออกจากประตูไป

อวี้ถังสูดลมหายใจเข้าเบาๆ

คิดได้ ก็ต้องทำได้ นางจะพยายามอย่างเต็มที่

ความพยายามอยู่ที่คน ความสำเร็จอยู่ที่ฟ้า!

ในยามที่อวี้ถังกำลังครุ่นคิดในใจ เวลานี้จึงค่อยพบว่าตัวเองหิวจนแทบนั่งตัวตรงไม่ได้

นางขอร้องกับอวี้เหวิน  ท่านพ่อ ข้าคงไม่ต้องงดอาหารแล้วกระมัง? ยามนี้ข้ากินข้าวต้มได้สามชามเชียว 

เรื่องนี้มีทางออกแล้ว อวี้เหวินก็ผ่อนคลายขึ้นมา หยอกลูกสาวว่า  หึ เจ้าคิดว่าเจ้ายังกินอะไรได้กัน? หลังจากงดอาหารก็ทำได้เพียงกินข้าวต้มเท่านั้น ทั้งต้องค่อยๆ กินไปทีละนิด กินไปชามเดียวก่อน หากไม่เป็นอะไรจึงค่อยเพิ่มจำนวนไป เมื่อวานข้าพูดกับเถ้าแก่เนี้ยแล้ว เช้าวันนี้นางจะต้มข้าวต้มให้เจ้า 

อวี้ถังมองท้องฟ้าที่ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีขาวก็คร่ำครวญขึ้นมา  ท่านพ่อ ยามนี้ฟ้ายังไม่สางเลย ไม่รู้ว่าทางครัวต้มข้าวต้มแล้วหรือยัง ข้าหิวจนหน้ามืดตาลายแล้ว ท่านไปซื้อซาลาเปาไส้เนื้อให้ข้าสักสองลูกเถิดนะเจ้าคะ เมื่อวานยามที่ข้าออกไป ไม่ไกลจากด้านหน้าโรงรับจำนำสกุลเผย ละแวกตรงที่พวกเราลงเรือ ท่าเรือเล็กๆ ของถนนเสี่ยวเหอ ตรงนั้นย่อมมีอาหารเช้าขายแต่เช้าตรู่ ซาลาเปาไส้เนื้อไม่ได้ เต้าฮวยก็ยังดี! ท่านพ่อ ข้าขอร้องท่านล่ะ! 

อวี้เหวินหัวเราะ ก่อนจะออกไปซื้ออาหารเช้าให้อวี้ถัง

อวี้ถังนอนคว่ำหน้ารออวี้เหวินตรงบานหน้าต่างอย่างน่าสงสาร

อวี้เหวินไม่เพียงซื้อเต้าฮวยกลับมา แต่ยังซื้อซาลาเปาไส้เนื้อมาด้วย

ดวงตาอวี้ถังเป็นประกาย

แต่อวี้เหวินกลับวางเต้าฮวยลงเบื้องหน้าอวี้ถัง  นี่ของเจ้า!  คล้อยหลังก็ยัดซาลาเปาไส้เนื้อใส่ปากตัวเอง กล่าวด้วยเสียงอู้อี้  นี่ของข้า 

อวี้ถังร้องไม่ออก ดื่มเต้าฮวยไปหนึ่งคำอย่างหงุดหงิด

ยังดีที่บิดานางไม่ได้ถึงกับละเลยนาง เต้าฮวยนี้อย่างไรก็หวานอร่อย ทำให้นางได้ฟื้นฟูกำลังขึ้นบ้าง

ส่วนข้าวต้มของเถ้าแก่เนี้ย นางก็ไม่ได้ละเลย กินจนเกลี้ยงชาม

อวี้เหวินยังคงกระตุ้นนาง  เจ้าอยู่ที่นี่ทำปิ่นดอกไม้ดีๆ อย่าลืมทำให้แม่เจ้าหนึ่งอันด้วย ตอนเย็นข้าวางแผนจะไปเดินเที่ยวตลาดกลางคืนตรงถนนเสี่ยวเหอกับพี่เจ้า ถึงเวลานั้นกลับมาจะเล่าให้เจ้าฟัง 

อวี้ถังแกล้งแทงเข็มที่กลีบเลี้ยงดอกไม้บนปิ่นแรงๆ ในใจกลับคล้ายเอ่อล้นไปด้วยน้ำเชื่อม หัวตาก็มีหยาดน้ำแวววับเช่นกัน

มีบิดาอยู่ข้างกาย มีมารดาอยู่รอคอย วันเวลาเช่นนี้ จึงจะนับเป็นความสุขที่แท้จริง!

———————————

[1] คนธรรมดาสามคน เอาชนะขงเบ้งคนเดียว อุปมาว่า หลายหัวย่อมดีกว่าหัวเดียว

Related

 

อวี้หย่วนกลับมาโรงเตี๊ยมในยามพลบค่ำ มือซ้ายหอบซาลาเปาใบบัว[1] มือขวาถือโถแก้วใบหนึ่ง เห็นอวี้เหวินลงหมากอยู่ในโถงรับแขกก็ถลาเข้าไปทันที ยกของในมือให้ดูด้วยรอยยิ้ม  ท่านอา ท่านดูสิ ข้าเอาอะไรกลับมา? 

ยามที่เขาเข้ามาใกล้ อวี้เหวินก็ได้กลิ่นของพะโล้ เขาสูดดมอย่างเต็มปอด  หัวหมูตุ๋นของร้านเจิ้นเป่ยเฉิง 

อวี้หย่วนหัวเราะเสียงดัง  ท่านอา จมูกท่านดีจริงๆ 

 แน่อยู่แล้ว!  อวี้เหวินกล่าวยิ้มๆ  เจ้าก็ไม่คิดเสียบ้าง ครั้งแรกที่เจ้ากินหัวหมูตุ๋น ใครเป็นคนซื้อจากหังโจวกลับไปให้? หากกระทั่งร้านหัวหมูตุ๋นของเขา ข้ายังดมไม่ออก ยังจะเรียกว่าตะกละตะกลามได้อย่างไร?  ขณะที่พูด เขาก็ชี้ไปที่โถแก้วในมืออวี้หย่วน  นี่คืออะไร? ใช้โถแก้วบรรจุไว้ โถนี้คงหลายตำลึง เจ้าไปได้จากไหนมา? 

อวี้หย่วนและเถ้าแก่ทักทายกัน ยอบตัวนั่งลงที่ม้านั่งยาวด้านข้างอย่างโอ้อวดอยู่บ้าง  อันนี้ท่านเดาไม่ได้หรอกรึ? นี่คือเหล้าองุ่น เหยาซานเอ๋อร์ให้ข้ามา 

 เหล้าองุ่น?  อวี้เหวินขมวดคิ้ว  เหยาซานเอ๋อร์? 

 ก็ลูกชายคนที่สามสกุลเหยาที่อยู่เฉิงเป่ย ตั้งแต่เด็กก็เติบใหญ่มาพร้อมข้า ภายหลังทำการค้าขายตามอาของเขาผู้นั้นอย่างไร  อวี้หย่วนกล่าวอย่างดีใจ  บ่ายวันนี้ข้าไปเที่ยวเล่นที่เฉิงเป่ย คาดไม่ถึงว่าจะพบเขา ตอนนี้เขาเป็นเถ้าแก่ เปิดร้านขายของชำอยู่ที่ประตูอู่หลิน พอรู้ว่าข้าและท่านมาด้วยกัน เดิมทีเขาอยากจะมาทักทายท่านเสียหน่อย แต่ที่ร้านกลับมีของเข้ามิอาจปลีกตัวมาได้ จึงให้เหล้าองุ่นโถนี้แก่ข้ามา กล่าวว่ามาจากทางอาหรับ ตอนนี้ผู้มั่งคั่งร่ำรวยในเมืองหังโจวต่างก็ส่งของสิ่งนี้ให้เป็นของขวัญกันทั้งนั้น และเพื่อแสดงความเคารพต่อท่าน อยากให้ท่านอยากชิมดู หัวหมูตุ๋นจากร้านเจิ้นเป่ยเฉิงก็เป็นเขาที่ซื้อมาเช่นกัน เขาเตรียมจะมาเยี่ยมเยียนท่านในวันพรุ่งนี้ 

อวี้เหวินนึกขึ้นได้  ที่แท้ก็เป็นเขา! ปีนั้นเขาสูญเสียทั้งพ่อและแม่ เจ้ามักจะให้เงินช่วยเหลือเลี้ยงข้าวเขาบ่อยๆ คาดไม่ถึงว่าเขาจะยังจำเจ้าได้ นี่คงเป็นโชคชะตาแล้ว 

อวี้หย่วนพยักหน้าติดต่อกัน เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า  ยามนี้เขาไม่เลวเลยจริงๆ ยังซื้อเรือนเล็กๆ หลังหนึ่งที่ประตูชิ่งชุน แต่งหญิงสาวในเมืองหังโจวเข้าบ้าน ลงหลักปักฐานในเมืองหังโจวแล้ว 

อวี้เหวินผงกศีรษะ เชิญเถ้าแก่มาดื่มสุราด้วยกันกับเขา  ยากที่พวกเราจะถูกชะตากันเช่นนี้ เจ้าก็อย่าเกรงใจเลย พวกเรามาชิมด้วยกันเถิดว่าเหล้าองุ่นนี้จะรสชาติเป็นอย่างไร 

เถ้าแก่โรงเตี๊ยมและอวี้เหวินคบค้าสมาคมกันมาหลายครั้งแล้ว รู้ว่าเขาเป็นคนที่ใจกว้าง รวมทั้งช่วงนี้เหล้าองุ่นก็มีชื่อเสียงจนทุกคนต่างอยากรู้อยากเห็น จึงไม่คิดเกรงใจ ให้เถ้าแก่เนี้ยไปยกอาหารมาเพิ่มไม่กี่อย่าง ก่อนจะย้ายไปที่ลานด้านนอกพร้อมกับอวี้เหวินและอวี้หย่วน เทหัวหมูตุ๋นใส่จาน ดื่มสุรากัน

อวี้หย่วนถือกา

พอรินสุรานี้ลงในแก้ว อวี้เหวินก็ได้กลิ่นหอมของผลไม้ แตกต่างกับสุราที่เขาดื่มยามปกติอย่างสิ้นเชิง เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะก้มลงดูในแก้วเครื่องเคลือบสีขาว สุรานั้นกลับแดงช้ำราวกับสีเลือด เขาตกใจเสียยกใหญ่  ไฉนจึงเป็นสีนี้? 

อวี้หย่วนรีบกล่าว  เป็นสีนี้มิผิด ก่อนหน้านี้เหยาซานเอ๋อร์ยังกำชับข้าเป็นพิเศษ หากไม่ใช่สีนี้ นั่นก็เป็นสุราปลอมแล้ว 

อวี้เหวินพยักหน้า ฝืนดื่มไปหนึ่งคำ

เถ้าแก่โรงเตี๊ยมรีบถาม  เป็นอย่างไร? รสชาติดีหรือไม่? 

อวี้เหวินปิดปากเงียบ ก่อนจะกล่าวอย่างเรียบนิ่ง  สุรานี้เหมือนกับชา รสชาติขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคน ข้าว่ารสชาติไม่เลว เจ้าอาจจะคิดว่าแย่ ย่อมต้องชิมดูจึงจะรู้เอง 

เถ้าแก่โรงเตี๊ยมคิดว่าคำพูดนี้มีเหตุผลจึงยกแก้วขึ้นดื่มหนึ่งคำ…จากนั้น ก็นิ่งค้างอยู่อย่างนั้น

อวี้หย่วนเห็นว่าผิดปกติ กล่าวอย่างร้อนรน  เป็นอย่างไร? ผิดปกติตรงไหนหรือไม่? 

เถ้าแก่โรงเตี๊ยมมองอวี้เหวินไปแวบหนึ่ง กลืนสุราในปากลงไป เวลานี้จึงค่อยกล่าวกับอวี้หย่วน  เจ้าชิมดูก็จะรู้ 

อวี้หย่วนมองทั้งสองคนอย่างสงสัย ลองดื่มดู เพียงแต่สุรานี้ยังไม่ทันลงคอก็ถูกเขาพ่นออกมาก่อน

 นี่มันรสชาติอะไรกัน?  เขาขมวดคิ้ว  ไม่ใช่กล่าวว่ามีชื่อเสียงมากหรอกรึ? 

อวี้เหวินและเถ้าแก่โรงเตี๊ยมหัวเราะเสียงดังขึ้นมา เวลานี้อวี้เหวินจึงค่อยกล่าวตรงๆ  สุราชื่อดังอะไรกัน? ไม่เห็นจะเทียบกับสุราจินหวา[2]ของพวกเราได้? แต่ว่า ลองชิมครั้งแรกก็พอใช้ได้ ลองเอาไปให้น้องเจ้าชิมสักแก้วสิ ยากที่จะมาเยือนหังโจว เปิดหูเปิดตากับสิ่งใหม่ๆ จึงจะนับว่าคุ้มค่า! 

อวี้หย่วนกะพริบตาก่อนจะยกสุราไปให้อวี้ถัง

อวี้ถังมองอวี้หย่วนอย่างสงสัย  ไม่ใช่กล่าวว่าให้ข้างดอาหารหรอกหรือเจ้าคะ? 

 สุรานี้มีชื่อเสียงไม่น้อย เจ้าลองดมดู ชิมดูคำหนึ่ง เจ้าคิดว่าข้าจะให้เจ้าดื่มหมดแก้วเลยหรืออย่างไร!  อวี้หย่วนกล่าว

อวี้ถังไม่เคลือบแคลงอันใด ดื่มเข้าไปอึกหนึ่ง

ทั้งขมทั้งเปรี้ยว นี่มันสุราอะไรกัน!

อวี้ถังหยัดกายขึ้นเตรียมจะลงไม้ลงมือกับอวี้หย่วน

อวี้หย่วนวิ่งวุ่นอยู่รอบโต๊ะเป็นวงกลม  ท่านอาให้ข้ายกมาให้เจ้าชิม 

 แต่ท่านก็ไม่ควรทำเช่นนี้! 

ทั้งพี่น้องกำลังตะลุมบอนวุ่นวาย เด็กของโรงเตี๊ยมก็เคาะประตูอยู่ข้างนอก  คุณชายอวี้ มีคนมาหาขอรับ! 

อวี้ถังไม่อาจจัดการกับเขาอีกแล้ว อวี้หย่วนจัดเสื้อให้เข้าที่เข้าทาง กล่าวถามไปพลาง  เป็นใครกัน? 

เด็กคนนั้นตอบ  เป็นเด็กอายุประมาณสิบสองสิบสามคนหนึ่ง กล่าวเพียงว่ามาหาท่าน ไม่ยอมบอกว่าตัวเองเป็นใครขอรับ 

อวี้หย่วนกล่าวอย่างงุนงง  ใครกัน?  จากนั้นก็กล่าวกับอวี้ถัง  ข้าไปดูเสียหน่อยแล้วจะกลับมา 

อวี้ถังพยักหน้า ส่งอวี้หย่วนออกจากประตู

ไม่นานอวี้หย่วนก็ย้อนกลับมา เขากระซิบข้างหูอวี้ถัง  อาจารย์เฉียนส่งคนมาตามข้า รอท่านอากลับมา เจ้าก็บอกกล่าวกับเขาหน่อยเถิด 

เวลานี้อวี้เหวินกำลังดื่มสุรากับเถ้าแก่โรงเตี๊ยม

อวี้ถังกล่าวอย่างกังวล  ไม่ได้บอกหรือว่าเรื่องอะไร? 

อวี้เหวินส่ายศีรษะ  เจ้าวางใจ หากมีเรื่องอะไร ข้าจะให้คนส่งจดหมายมารายงานพวกเจ้าทันที 

อวี้ถังจะกังวลใจอย่างไรก็ทำได้เพียงปล่อยเขาไป

ยามที่กลองตีบอกเวลายามสอง อวี้เหวินก็ออกมาจากวงสุรา เขาเข้ามาดูอวี้ถัง  เจ้าดีขึ้นหรือยัง? 

 ดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะ!  อวี้ถังประคองบิดาให้นั่งลงบนตั่ง ก่อนจะรินชาร้อนให้เขา

อวี้เหวินเห็นงานเย็บที่อวี้ถังทำทิ้งไว้ครึ่งหนึ่งบนโต๊ะ ก็อดยกขึ้นมาส่องใกล้ตะเกียงดูไม่ได้  ไอหยา คาดไม่ถึงว่าเจ้าจะทำมันได้ แมลงตัวเล็กนี้ทำได้สมจริงไม่น้อย จุดดำเจ็ดแห่งที่หลังล้วนไม่เลวเลย ไม่เลวเลยจริงๆ! 

อวี้ถังชำนาญในการทำแมลงเป็นอย่างมาก นอกจากเต่าทอง ยังมีแมลงปอ ตั๊กแตน ผึ้ง…นางล้วนทำได้เสมือนจริง

อวี้เหวินกล่าว  ดอกไม้นี้ก็ทำได้ดี ข้ามองแล้วเหมือนดอกไป๋โถวเวิง[3]รอเจ้ากลับไป ก็ทำให้แม่เจ้าใส่สักอัน 

นี่นับว่าเป็นการชมเชยและยอมรับจากบิดา

อวี้ถังดีใจเป็นอย่างมาก กล่าวด้วยรอยยิ้ม  ข้าวางแผนแล้วว่าจะทำดอกโบตั๋นให้ท่านแม่เจ้าค่ะ 

อวี้เหวินกลับกล่าว  ข้าคิดว่าแม่เจ้าสวมดอกไห่ถัง[4]ไม่ก็ดอกติงเซียงจะเหมาะกว่า 

หรือว่าในใจของท่านพ่อ มารดานั้นคล้ายดอกไห่ถังไม่ก็ดอกติงเซียง?

อวี้ถังพยักหน้า เผยยิ้มเริงร่า ก่อนจะบอกเรื่องอวี้หย่วนกับอวี้เหวิน

อวี้เหวินกังวลใจไม่น้อย แต่ไม่กล้าแสดงออกมาให้อวี้ถังเห็น กล่าวเรียบง่ายหนึ่งประโยค  ข้าเข้าใจแล้ว  ก่อนจะกำชับอวี้ถัง  เจ้านอนเร็วหน่อยเถิด พรุ่งนี้ก็ทำปิ่นดอกไม้ให้แม่เจ้า พวกเราลองพูดว่าซื้อมาจากเมืองหังโจว ดูสิว่าแม่เจ้าจะแยกออกหรือไม่ 

อวี้ถังตอบรับทั้งรอยยิ้ม

กลางดึกนางกลับนอนพลิกตัวไปมา ไม่ว่าอย่างไรก็นอนไม่หลับ

ฟ้ายังไม่สว่าง อวี้หย่วนก็กลับมา

ยามที่เขาเข้ามาในห้องก็ทำให้อวี้ถังที่พะว้าพะวังอยู่ห้องด้านข้างตกใจตื่นเช่นกัน นางค่อยๆ สวมเสื้อคลุมก่อนจะออกไปห้องบิดา

อวี้หย่วนมาเปิดประตู

อวี้เหวินสวมเสื้อคลุม เผยสีหน้าเรียบนิ่ง ยืนอยู่หน้าโต๊ะหนังสือ เห็นอวี้ถังเข้ามาก็ไม่ได้พูดอะไร

รอจนอวี้ถังเดินเข้ามาใกล้ เวลานี้จึงพบว่าบนโต๊ะหนังสือมีภาพวาดสามแผ่นที่ยังไม่ได้เอาเข้าม้วนภาพ สองภาพในนั้นสามารถมองออกว่าเป็นภาพ ‘ตกปลาใต้ต้นสนริมน้ำ’ ยังมีอีกภาพที่ดูเหมือนภูเขาทั้งคล้ายกับทะเล ด้านบนยังมีสัญลักษณ์ต่างๆ ที่ทำให้คนดูไม่เข้าใจ

อวี้เหวินกล่าวอย่างเงียบเชียบ  อาถัง เจ้าเดาถูกจริงๆ ด้วย ในภาพนี้มีเงื่อนงำอยู่! 

ไม่จำเป็นต้องให้บิดาพูด อวี้ถังก็มองออกแล้ว นางมองไปทางอวี้หย่วน

สีหน้าของอวี้หย่วนก็ไม่ได้ดูดีไปกว่ากันเท่าไร เขากดเสียงเบา  นี่เป็นภาพสามแผ่นที่อาจารย์เฉียนแกะออกมา ภาพ ‘ตกปลาใต้ต้นสนริมน้ำ’ อยู่ชั้นบนและล่าง ส่วนตรงกลางไม่รู้ว่าเป็นสิ่งใด กระทั่งอาจารย์เฉียนล้วนไม่ทันได้ใส่ม้วนภาพก็เอากลับมาให้พวกเราดูก่อนเสียแล้ว 

เห็นได้ว่าอาจารย์เฉียนก็มองออกว่าภายในมีสิ่งผิดปกติ

อวี้ถังชี้ไปที่ภาพซึ่งไม่รู้ว่าคืออะไร  นี่คืออะไรหรือเจ้าคะ? 

อวี้หย่วนส่ายศีรษะ  ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน 

อวี้เหวินจ้องภาพที่ไร้ชื่อ พ่นสองคำออกมาด้วบใบหน้าอึมครึม  แผนที่! 

 อะไรนะ?!  อวี้ถังและอวี้หย่วนร้องเสียงหลงอย่างพร้อมเพรียงกัน

อวี้เหวินกล่าวอธิบาย  เป็นภาพภูมิประเทศภูเขาแม่น้ำ เมื่อก่อนทำศึกสงคราม ทำชลประทาน ล้วนต้องใช้แผนที่เช่นนี้จึงจะสามารถรู้ได้ว่าบริเวณรอบๆ เป็นภูเขาหรือแม่น้ำ เป็นป่าเขาหรือเป็นพื้นที่ราบ 

อวี้ถังนึกถึงตัวเองเมื่อครั้งไปวัดเจาหมิง ไม่มีคนนำทางล้วนไม่รู้ว่าควรจะไปอย่างไร ชั่วขณะนั้นคิดว่าคนที่สามารถวาดเช่นนี้ออกมาได้คงจะเป็นที่ได้รับการนับหน้าถือตาจากผู้คนไม่น้อย ทั้งย่อมต้องเสียกำลังคนกำลังทรัพย์เป็นอย่างมากเช่นกัน มีคุณค่าอย่างแน่นอน นางกล่าว  หรือสิ่งที่พวกเขาหาก็คือภาพแผ่นนี้ 

อวี้เหวินและอวี้หย่วนไม่ได้เอ่ยขัด ยอมรับคำพูดของนางโดยปริยาย เป็นนานกว่าอวี้เหวินจะเอ่ย  แผนที่เป็นสิ่งที่ล้ำค่าและหายาก หากไม่อยู่ในการดูแลของกรมกลาโหมก็คงเป็นกรมโยธาธิการ คนทั่วไปล้วนไม่อาจได้ครอบครอง เมื่อก่อนที่แม่ทัพออกรบ ต้องเป็นขุนนางขั้นสามหรือขุนนางขั้นผู้ใหญ่จึงจะสามารถนำเอกสารราชการจากกรมกลาโหมไปเอาแผนที่จากกรมโยธาธิการได้ ทำศึกสงครามเสร็จแล้ว แผนที่ก็ควรคืนกลับสู่ที่เดิม นี่เป็นสิ่งที่ข้าบังเอิญได้ฟังมาจากหลู่ซิ่น 

อวี้หย่วนได้ฟังก็อดหวาดกลัวขึ้นมาบ้างไม่ได้  ภาพนี้รั่วไหลมาจากที่ใดกัน? ตกลงเป็นใครกันที่ตามหาภาพนี้? เขารู้ได้อย่างไรว่าในภาพนี้มีสิ่งนี้ซ่อนอยู่? ไฉนเขาจึงไม่มาขอซื้อที่สกุลเราอย่างตรงไปตรงมาเลยล่ะ? 

คำถามพวกนี้ใครก็ไม่อาจตอบได้

อวี้เหวินก็ดี อวี้ถังก็ดี ไม่เคยตระหนักได้อย่างชัดเจนเท่าเวลานี้มาก่อน สกุลของพวกเขากำลังประสบปัญหาใหญ่แล้ว

อวี้หย่วนกล่าว  เช่นนั้น เช่นนั้นพวกเราควรทำอย่างไรดี? 

อวี้เหวินทรุดนั่งอย่างไร้เรี่ยวแรงบนเก้าอี้โบราณที่อยู่ด้านหลังโต๊ะหนังสือ  เจ้าให้ข้าครุ่นคิด ให้ข้าได้คิด…แม้ข้าจะมองออกว่านี่คือแผนที่ แต่ภาพนี้เป็นภูมิลักษณ์ของที่ใดกันแน่ มีประโยชน์อย่างไรกลับไม่รู้แม้แต่น้อย…หากอยากรู้คงทำได้เพียงต้องตามหาคนที่เคยเห็นแผนที่ หรือกระทั่งคนที่เข้าใจและคุ้นเคยกับแผนที่ประเภทต่างๆ เป็นอย่างดี…  ขณะที่กล่าว เขาก็ชี้ที่เส้นคลื่นในภาพวาด ซึ่งแทนความหมายของน้ำ  ไม่มีสัญลักษณ์อะไรเลย เดิมก็ไม่รู้ว่าเป็นแม่น้ำทางเหนือหรือทางใต้ พวกเราถือภาพนี้ไว้ ก็เหมือนกับเด็กที่ถือมีดเล่มใหญ่ ไม่เพียงข่มขู่คนอื่นไม่ได้ แต่ยังจะเป็นภัยต่อตัวเอง 

คนที่เคยเห็นแผนที่ คนที่เข้าใจและคุ้นเคยกับแผนที่เป็นอย่างดี…ในหัวอวี้ถังพลันปรากฏใบหน้าของเผยเยี่ยนขึ้นมา

 ท่านพ่อ!  อวี้ถังอ้ำอึ้ง  ไม่อย่างนั้น พวกเราไปหานายท่านสามดีหรือไม่? 

อวี้เหวินหันมามองนางทันที

ชั่วขณะนั้นอวี้ถังก็ร้อนใจอย่างแปลกประหลาด รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา คล้ายถูกคนฉีกชุดด้านนอกอย่างไรอย่างนั้น  ไม่อย่างนั้น ไม่อย่างนั้น ไปหาโจวจ้วงหยวนก็ได้ พวกเขาล้วนเป็นคนที่มีความรู้ ย่อมต้องรู้ว่าภาพนี้วาดอะไรไว้… 

———————————

[1] ซาลาเปาใบบัว เป็นซาลาเปาที่มีลักษณะคล้ายใบบัว ข้างในใส่ไส้เนื้อสัตว์ต่างๆ

[2] สุราจินหวา สุราที่มีชื่อเสียงของเจ้อเจียง

[3] ดอกไป๋โถวเวิง เป็นดอกสีม่วง เกสรด้านในสีเหลือง มีขนอ่อนขึ้นตามลำต้น ใบ และดอก

[4] ดอกไห่ถัง ดอกบีโกเนีย

Related

 

ยามบ่าย อวี้หย่วนกลับมา ทำตามแผนได้อย่างราบรื่น…ตอนนี้ก็ต้องรอดูทางอาจารย์เฉียนว่าพบอะไรบ้างหรือไม่เท่านั้น

อวี้เหวินรอจนร้อนใจ จึงเล่นหมากรุกฆ่าเวลากับเถ้าแก่ของโรงเตี๊ยม อวี้หย่วนก็นั่งไม่ติดที่อยู่บ้าง ทักทายอวี้เหวิน ก่อนจะไปเดินเล่นข้างนอก อยากดูว่ากิจการใดรุ่งเรืองในเมืองหังโจว ทุกคนทำการค้าขายอะไรกันบ้าง ทั้งดำเนินการอย่างไร

อวี้ถังทำปิ่นดอกไม้อยู่ในห้อง

มีคนเข้ามา  นายท่านอวี้อยู่ที่นี่หรือไม่? 

อวี้เหวินเงยศีรษะขึ้น  ผู้ใดมาหาข้ารึ! 

ผู้ที่มาอายุประมาณสิบห้าสิบหกปี ปากแดงฟันขาว แต่งกายคล้ายบ่าวติดตาม เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม  ข้าเป็นบ่าวของนายท่านโจว นายท่านของพวกเราให้ข้ามาดูว่าท่านอยู่โรงเตี๊ยมหรือไม่  ขณะที่พูด ก็วิ่งไปแทบไม่เห็นฝุ่น

อวี้เหวินกล่าวอย่างสงสัย  นายท่านโจว? นายท่านโจวคนใดกัน 

เขาพูดไม่ทันจบ ก็เห็นบ่าวผู้นั้นเดินเข้ามาพร้อมกับโจวจื่อจินและเผยเยี่ยน

อวี้เหวินหัวเราะขึ้นมา รีบลุกขึ้นไปต้อนรับ ประสานมือคารวะ  ข้าก็คิดว่าใคร? ที่แท้คือโจวจ้วงหยวน ท่านมาได้อย่างไรกัน? มีเรื่องอะไรกับข้างั้นหรือ?  ก่อนจะคารวะเผยเยี่ยนเช่นกัน

เผยเยี่ยนยังคงมีท่าทีเยือกเย็น ผงกศีรษะไปทางอวี้เหวินอย่างเรียบนิ่ง

โจวจื่อจินกล่าว  ได้ยินว่าลูกสาวของท่านไม่สบาย? พวกเราควรมาเยี่ยมเมื่อวาน แต่เมื่อวานข้านัดคนผู้หนึ่งไปกินข้าวกลางวัน กินกันจนถึงบ่าย ข้าก็ดื่มจนเมามาย ไม่อาจเสียมารยาทจึงไม่ได้เข้ามา เป็นอย่างไร ลูกสาวท่านดีขึ้นหรือยัง? มีอะไรให้พวกเราช่วยหรือไม่? 

อวี้เหวินได้ยินก็ซาบซึ้งใจ  ลูกของข้ากินของซี้ซั้ว ได้นำป้ายชื่อของนายท่านสามไปเชิญหมอหลวงหวังมาดูแล้ว กล่าวว่าไม่เป็นอะไร แค่ให้อดอาหารเท่านั้น ทำให้ท่านทั้งสองเป็นห่วงแล้ว ข้าเตรียมจะไปขอบคุณที่สกุลเผยอีกสองวัน คาดไม่ถึงว่าท่านทั้งสองจะเข้ามาก่อน รู้สึกผิดจริงๆ  พูดจบ ก็คารวะขอบคุณเผยเยี่ยน

เผยเยี่ยนไม่ได้กล่าวอะไร รับการคารวะจากอวี้เหวิน

อวี้เหวินกล่าว  โจวจ้วงหยวนและนายท่านเผยมีธุระที่ใดหรือไม่? มิสู้ให้ข้าเป็นเจ้ามือ หาแผงลอยไม่ก็ร้านอาหารใกล้ๆ สักแห่ง ข้าจะเลี้ยงสุราพวกท่านทั้งสองเสียหน่อย 

โจวจื่อจินตาใสกระจ่าง เห็นได้ชัดว่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ใครจะรู้ว่าเผยเยี่ยนที่อยู่ด้านข้างกลับชิงเอ่ยปากขึ้นมาก่อนเขา  ไม่เป็นไร ยามนี้ท่านคงจะมีธุระอีกมาก ภายหลังมีโอกาสค่อยไปร่วมดื่มด้วยกันเถิด! 

อวี้เหวินเพียงคิดว่าเขาเกรงใจ น้ำเสียงก็ยิ่งจริงใจขึ้นมา  เรื่องของภายหลัง ภายหลังพวกเราพบก็ค่อยว่ากันเถิด พวกท่านมาเยี่ยมลูกสาวของข้า ในใจข้าดีใจจนไม่รู้จะพูดอย่างไร! หากไปเช่นนี้ ท่านจะให้ข้าคิดอย่างไร? โดยเฉพาะนายท่านเผย เมื่อวานหากไม่ใช่ป้ายชื่อนั้นของท่าน ลูกสาวของข้าก็ยังไม่รู้ว่าจะประสบพบเจอเรื่องอันใด! 

 นั่นเป็นความบังเอิญ!  เผยเยี่ยนเอ่ยอย่างเรียบเย็น ดึงดันจะไป

โจวจื่อจินกลับอยากอยู่ต่อ แต่เห็นท่าทีของเผยเยี่ยน จึงทำได้เพียงออกหน้า  ไม่ได้เกรงใจกับท่านจริงๆ วันนี้พวกเราเพียงเข้ามาดูลูกสาวของท่าน ในเมื่อลูกสาวของท่านไม่เป็นอะไร พวกเราก็คงต้องบอกลาแล้ว 

แน่นอนว่าอวี้เหวินไม่อาจปล่อยให้พวกเขาไปเช่นนี้ได้จึงรั้งทั้งสองคนไว้ไม่ปล่อย

โจวจื่อจินจนใจ  ไม่ใช่ว่าพวกเราไม่ไว้หน้าท่าน จริงๆ แล้ว สยากวง เขา…ลูกสาวท่านกินจนปวดท้อง เพราะเหตุนี้เขาจึงขัดขวางข้า ไม่ให้ข้าไปตลาดกลางคืนตรงถนนเสี่ยวเหอ… 

ท่าทีเสียใจเป็นอย่างยิ่ง

เพียงแต่เขาพูดยังไม่ทันจบ ก็ได้ยินเสียงปิดประตูดัง ‘ปัง’ มาจากห้องพักชั้นสอง

ทุกคนอดไม่ได้ที่จะหันไปมองอย่างพร้อมเพรียง

เห็นเพียงประตูห้องที่ปิดสนิท

อวี้เหวินครุ่นคิด เอ่ยด้วยรอยยิ้ม  น่าจะลูกสาวของข้า ขอโทษจริงๆ! 

 ไม่หรอก ไม่หรอก!  โจวจื่อจินยังคงมีรอยยิ้มอยู่เต็มหน้า

แววตาของเผยเยี่ยนตั้งแต่ต้นจนจบกลับไม่เคลื่อนไหวแม้แต่น้อย

อวี้ถังที่อยู่ในห้องหน้าแดงก่ำ กัดเล็บมือวนอยู่อย่างนั้น

ไม่ใช่ว่าเผยเยี่ยนมาพบผู้ตรวจการอะไรนั่นหรอกหรือ? วิ่งมาที่นี่ทำไมกัน? สะพานเหมยเจียกับโรงเตี๊ยมหรูอี้นั้นอยู่กันแทบจะคนละทิศละทาง

แต่ว่า โรงรับจำนำสกุลเผยอยู่ที่นี่

หรือเขามาทำธุระที่โรงรับจำนำสกุลเผย พอผ่านมาก็ถูกโจวจ้วงหยวนลากมาด้วย?

ไฉนนางจึงไม่ได้นึกถึงจุดนี้!

ช่างขายหน้าเหลือเกิน!

กินอาหารมั่วซั่วจนปวดท้อง

นี่ก็ทำให้เผยเยี่ยนหัวเราะได้ทั้งชีวิตเลยกระมัง?

อวี้ถังรู้ว่าตัวเองไม่มีหน้าจะไปพบผู้คนแล้ว

โดยเฉพาะเมื่อครู่…ได้ยินคนเรียกบิดาของนาง ก่อนจะวิ่งออกไป ผลปรากฏว่านางเห็นเผยเยี่ยนจึงหุนหันไปชั่วครู่ ยามที่ปิดประตูจึงลืมนึกถึงความเหมาะสม เกิดเสียงดังขึ้นมา…นางอยากจะมุดดินหนีจริงๆ!

อวี้ถังรู้สึกหงุดหงิดใจเป็นที่สุด จู่ๆ ก็รู้สึกดีใจที่ตัวเองยังอยู่ในช่วงอดอาหาร

เป็นเช่นนี้นางก็สามารถหลบอยู่ในห้องไม่ออกไปได้

อวี้ถังรู้สึกโล่งใจขึ้นมา คิดว่าตัวเองควรเอาปิ่นดอกไม้ออกมาทำดีๆ หากทำได้เร็ว ไม่แน่ว่ายังอาจจะทำให้ท่านแม่ได้อีกหนึ่งอัน

แต่ถือเข็มไว้ในมือ ผ่านไปพักใหญ่นางกลับไม่รู้ว่าควรจะเย็บที่ใด ในหัวสับสนวุ่นวายไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ แม้จะรู้ดีว่าตัวเองทำเช่นนี้ไม่ถูก กระนั้นกลับทำให้ตัวเองกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาไม่ได้ คิดว่าใครไม่แอบขี้เกียจบ้างกัน นางรออีกเดี๋ยวค่อยเร่งทำก็คงไม่สาย

คิดได้เช่นนี้ รอจนยามที่นางดึงสติกลับมา ตะวันก็คล้อยแล้ว เถ้าแก่เนี้ยยกน้ำอุ่นเข้ามาให้นาง

เวลานี้อวี้ถังรู้สึกว่าตัวเองหิวจนแทบนั่งตัวตรงไม่ได้

นางกล่าวอย่างเร่งรีบ  ท่านพ่อข้าเล่า? 

 เล่นหมากรุกกับสามีข้าอยู่ด้านล่าง  เถ้าแก่เนี้ยยิ้มหวาน กล่าวอย่างอิจฉา  เมื่อวานยามที่ข้าเห็นเถ้าแก่รองถงถือป้ายชื่อของนายท่านเผยเข้ามาก็คิดไปทีหนึ่งแล้ว สกุลพวกเจ้าและสกุลเผยช่างมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน คาดไม่ถึงว่าวันนี้นายท่านเผยจะมาเยี่ยมไข้ด้วยตัวเอง สกุลของพวกเจ้าก็คงเป็นคนที่มีหน้ามีตาในหลินอันกระมัง? นายท่านอวี้กลับดูสมถะเรียบง่าย สมแล้วที่เป็นสกุลบัณฑิต ทำการอันใดก็อ่อนน้อมสุภาพ 

อวี้ถังชะงักไป

บิดาของนางไม่ได้เชิญเผยเยี่ยนไปกินข้าวหรอกรึ?

นางอดถามไม่ได้  ท่าน ท่านก็รู้จักนายท่านสามสกุลเผยหรือ? 

 รู้จักสิ จะไม่รู้จักได้อย่างไร!  เถ้าแก่เนี้ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม  คนแถวนี้ใครจะไม่รู้จักนายท่านสามกัน! พวกเราล้วนพึ่งพาอาศัยสกุลเผยในการทำมาหากิน โรงเตี๊ยมนี้ของพวกเราก็เช่าของสกุลเผยมาเช่นกัน ถนนเส้นนั้นที่เจ้าไปซื้อปิ่นดอกไม้ไข่มุกก็เป็นของสกุลเผยเช่นกัน แต่ว่า นายท่านสามกลับเป็นครั้งแรกที่มาหาพวกเราที่นี่ นายท่านสามหน้าตาหล่อเหลาไม่เบา! ครั้งที่แล้วพบเขา ท่านผู้เฒ่ายังอยู่ในช่วงอายุที่รุ่งโรจน์ เขาก็อายุเพียงสิบสามสิบสี่ ท่านผู้เฒ่ามาตรวจสอบบัญชีที่โรงรับจำนำ เขามีท่าทีราวกับไม่ชอบใจเท่าใด จึงนั่งรอบนรั้วหินริมแม่น้ำด้านนอก ทุกคนต่างไม่เคยพบคนที่รูปงามราวเทพบุตรเช่นนี้ อยากจะชื่นชมให้ชัดๆ ก็ไม่กล้า จึงหาเหตุผลเดินวนเวียนรอบกายเขา มีเพียงคุณหนูสกุลไช่ที่อยู่ท้ายถนนใจกล้าที่สุด ทำดอกไม้ดอกหนึ่งหล่นใส่เขา เขามองเพียงแวบเดียวก็ไม่ปริปากกล่าวอันใด ทุกคนคิดว่าน่าสนใจ ต่างก็เลียนแบบคุณหนูสกุลไช่จึงทำดอกไม้หล่นใส่เขา บ้างก็เป็นผ้าเช็ดหน้า 

 เขาโมโหเหลือทน วิ่งหนีจนแทบไม่เห็นฝุ่น 

 จนถึงวันนี้แล้วข้ายังจำท่าทีตอนนั้นของเขาได้ดี 

 จริงรึ!  อวี้ถังนึกตามก็เบิกบานใจขึ้นมา หัวเราะเสียงดัง

 จริงสิ!  เถ้าแก่เนี้ยก็หัวเราะเช่นกัน แววตาเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนขึ้นมา  พริบตาเดียว เวลาก็ผ่านไปหลายปีแล้ว นับวันนายท่านสามก็สง่างามขึ้นเรื่อยๆ แต่ดูเหมือนว่าจะมีปัญหาเรื่องนิสัยไม่น้อย 

 ใช่แล้ว!  อวี้ถังว่าตาม นึกถึงหลายครั้งที่นางพบเขา ท่าทีนั้นของเขา ทั้งตรึกตรองคำพูดของเถ้าแก่เนี้ย นอกจากไม่รู้สึกกลัวแล้ว ยังรู้สึกคุ้นชินขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด  นายท่านเผยไปเมื่อใดรึ? ท่านพ่อข้าไม่ได้รั้งเขาให้กินข้าวหรอกหรือ? 

 รั้งแล้ว  เถ้าแก่เนี้ยคิดว่าน้อยครั้งที่จะได้พูดเรื่องเผยเยี่ยนกับคนอื่น กล่าวด้วยรอยยิ้ม  นายท่านเผยไม่ตอบรับ โจวจ้วงหยวนก็ทำได้เพียงว่าตาม เขายังคงเหมือนกับเมื่อก่อน ไม่ชอบคบค้าสมาคม 

อวี้ถังฉีกยิ้ม ความหงุดหงิดในใจหายไปในพริบตา เรื่องที่กินจนปวดท้องก็ไม่ได้ใส่ใจมากแล้ว

อย่างไรเทียบกับเรื่องที่เผยเยี่ยนถูกพวกสาวน้อยโยนดอกไม้ใส่จนต้องวิ่งหนีไปอย่างเขินอาย เรื่องของนางก็ไม่นับเป็นเรื่องใหญ่อันใดแล้วกระมัง?

———————-

Related

 

แสงสว่างในห้องเริ่มมืดลงโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว เวลานี้อวี้ถังพบว่าตะวันคล้อยลงแล้ว

นางหยัดกายขึ้น ขยี้ตาที่ปวดอยู่บ้าง ก่อนจะออกจากประตู เรียกบ่าวรับใช้คนหนึ่งเข้ามาถาม  นายท่านอวี้และคุณชายอวี้กลับมาหรือยัง? 

 ยังขอรับ!  บ่าวผู้นั้นตอบ ก่อนอวี้ถังจะเห็นเถ้าแก่รองถงเดินเข้ามา

เขาและเถ้าแก่ใหญ่ถงคล้ายกันมาก ไม่ใช่รูปลักษณ์ แต่เป็นกิริยาท่าทาง ต่างให้ความรู้สึกเป็นมิตรและรู้จักพูดจา

เถ้าแก่ของโรงเตี๊ยมกำลังจัดการบัญชีอยู่ที่โต๊ะด้านหน้า

เขาถามเถ้าแก่ของโรงเตี๊ยม  เถ้าแก่เนี้ยไม่อยู่รึ? คุณหนูสกุลอวี้เป็นอย่างไรบ้าง? ข้าตั้งใจจะเข้ามาถามนานแล้ว ปรากฏว่าวันนี้ที่ร้านกลับยุ่งวุ่นวาย ไม่มีเวลาให้ปลีกตัว 

ธรรมเนียมระหว่างชายหญิงนั้นเข้มงวด

เถ้าแก่ของโรงเตี๊ยมก็ไม่อาจไปเยี่ยมดูอวี้ถังเช่นกัน  คงจะไม่เป็นไรแล้วกระมัง? ก่อนหน้านี้ยังได้ยินจากเด็กในโรงเตี๊ยมว่าคุณหนูสกุลอวี้ออกไปซื้อของมา…ไปเดินเล่นได้ คงจะดีขึ้นไม่น้อยแล้ว  แต่แท้จริงแล้วดีหรือไม่ เขาก็ไม่รู้เช่นกัน พูดจบ เขาก็ให้คนเรียกเถ้าแก่เนี้ยออกมา

เถ้าแก่เนี้ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม  ดีขึ้นแล้ว ดีขึ้นแล้ว! เพียงแค่ไม่ค่อยมีชีวิตชีวา แต่ไม่ว่าใครไม่ได้กินอะไรทั้งวันก็คงจะไม่มีชีวิตชีวาด้วยกันทั้งนั้น! 

 เช่นนั้นก็ดี  เถ้าแก่รองถงมีท่าทีโล่งใจ  นายท่านสามของพวกเรารู้ว่าข้าใช้ป้ายชื่อของเขาเชิญหมอมารักษาคุณหนูอวี้แล้ว ถึงเวลานั้นหากนายท่านสามเอ่ยถามเรื่องสกุลอวี้ขึ้นมา ข้าก็รู้แล้วว่าควรจะตอบอย่างไร!  จากนั้นเขาก็ถามถึงอวี้เหวินและอวี้หย่วน จึงรู้ว่าพวกเขาทั้งสองออกไปแต่เช้าตรู่ ยังไม่ได้กลับมา  เช่นนั้นข้าก็ไม่ไปเยี่ยมคุณหนูอวี้แล้ว หากนายท่านและคุณชายอวี้กลับมา ท่านช่วยแจ้งให้พวกเขาหน่อย พรุ่งนี้ข้าจะมาเยี่ยมพวกเขาอีกครั้ง 

เถ้าแก่และเถ้าแก่เนี้ยรับปาก ก่อนจะส่งเถ้าแก่รองถงออกไป

อวี้ถังก็อายเกินกว่าจะออกไปทักทาย จึงย้อนกลับไปในห้องตัวเอง

ยามที่ฟ้ามืด อวี้เหวินก็กลับมาเป็นคนแรก

เขามีสีหน้าเหนื่อยล้า ยามที่เถ้าแก่ทักทายเขา รอยยิ้มของเขาก็ดูฝืนไปอยู่บ้าง เขาพูดคุยกับเถ้าแก่พอเป็นมารยาทไม่กี่คำก็กลับห้องไป

อวี้ถังได้ยินความเคลื่อนไหว ก็ไปห้องของบิดา

 นั่งเถิด!  แววตาของอวี้เหวินแฝงความอ่อนล้า ราวกับมาจากก้นบึ้งในใจ เขานวดขมับ  เจ้าไม่มาหาข้า ข้าก็เตรียมจะไปดูเจ้าอยู่แล้ว วันนี้เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? ยังปวดท้องอยู่หรือไม่? ยามที่พวกเราไม่อยู่ เจ้าทำอะไรในโรงเตี๊ยมคนเดียว? 

อวี้ถังค่อยๆ ตอบไล่เลียงไป จากนั้นก็รินชาร้อนให้บิดา เวลานี้จึงค่อยนั่งลงด้านข้างเขา  ท่านไปเจอเรื่องอะไรมาใช่หรือไม่? 

อวี้เหวินพยักหน้า ยกถ้วยชาแต่กลับไม่ได้ดื่มชา นั่งมองอวี้ถังอย่างนิ่งงัน แววตาดิ่งลึก เห็นได้ชัดว่าว่ามีท่าทีจริงจัง

อวี้ถังใจเต้นตึกตัก

ตามแผนก่อนหน้านี้ของพวกเขา เพื่อไม่ให้ตกเป็นเป้าสนใจของผู้คน บิดาของนางจะไปสืบเรื่องของหลู่ซิ่น ดูว่าการตายของหลู่ซิ่นมีอะไรผิดปกติหรือไม่ ส่วนอวี้หย่วนก็ไปหาอาจารย์สกุลเฉียนผู้นั้น ดูว่าเขาจะสามารถแกะภาพ ‘ตกปลาใต้ต้นสนริมน้ำ’ ได้หรือไม่ ยามนี้อวี้หย่วนยังไม่กลับมา ไม่รู้ว่าอาจารย์สกุลเฉียนผู้นั้นให้คำตอบอย่างไรกับเขา แต่ดูจากสีหน้าอวี้เหวินแล้ว คงจะไม่ใช่ข่าวดีอะไร

นางรวบรวมสติ รอบิดาไตร่ตรองว่าจะพูดเรื่องนี้กับนางอย่างไร

คาดไม่ถึงว่าอวี้เหวินจะเงียบไปเนิ่นนาน เวลานี้จึงเอ่ยว่า  อาถัง เจ้าถูกแล้ว! การตายของลุงหลู่เจ้านั้น เกรงว่าจะเป็นอย่างที่เจ้าคาดเดา! 

ได้รับข้อมูลเช่นนี้ อวี้ถังกลับรู้สึกสบายใจขึ้นมา นางกล่าว  หรือลุงหลู่ถูกคนทำร้ายจนตาย? 

 ไม่รู้ว่าถูกคนทำร้ายจนตายหรือไม่ แต่ตามหลักเหตุผลแล้ว เขาไม่ควรตายเช่นนี้  อวี้เหวินบอกอวี้ถังเกี่ยวกับเรื่องที่เขาสืบมาได้อย่างละเอียด  ก่อนหน้าที่ลุงหลู่จะตาย ยังติดหนี้ค่าห้องของโรงเตี๊ยมและค่าสุราของร้านอาหารเล็กๆ ในตรอก นอกจากนี้เขาเพิ่งจะผูกมิตรกับผู้ตรวจการศึกษาที่ขึ้นรับตำแหน่งใหม่ ได้ยินเถ้าแก่ของโรงเตี๊ยมผู้นั้นกล่าวว่า เขาได้รับการแนะนำจากผู้ตรวจการศึกษาคนนั้น อีกสองวันก็จะไปเรียนหนังสือที่กั๋วจื่อเจี้ยน [1] ในเมืองหลวง… 

อวี้ถังขมวดคิ้ว  เป็นไปได้หรือไม่ว่าหลู่ซิ่วไฉจะคุยโว? 

 ไม่ว่าจะโม้โอ้อวดหรือไม่ แต่ที่เขาเตรียมตัวไปเมืองหลวงคือเรื่องจริง  อวี้เหวินกล่าว  เขายังไปขอยืมเงินจากคนรู้จักหลายคน คิดจะจัดการค่าที่พักและค่าสุราให้เรียบร้อย ทางโรงเตี๊ยมยังพอว่า แต่เถ้าแก่ร้านอาหารผู้นั้นได้ยินว่าเขาจะไปแล้ว กลัวว่าเขาจะเบี้ยวเงินค่าสุราหนีไป จึงส่งลูกชายของตัวเองติดตามลุงหลู่อยู่ตลอด เถ้าแก่ร้านอาหารผู้นั้นบอกว่า เย็นวันนั้นลูกชายของเขาเห็นกับตาว่าลุงหลู่ของเจ้ากลับไปพักผ่อนที่โรงเตี๊ยมแล้ว กลัวว่าลุงหลู่เจ้าจะถูกคนเรียกออกไปเที่ยวเล่นกลางดึก ลูกชายเถ้าแก่ร้านอาหารรอจนถึงกระทั่งเสียงตีกลองบอกเวลายามสอง [2] เมื่อเฝ้าไม่ไหวจริงๆ จึงค่อยกลับไป 

 ใครจะรู้ว่าเช้าตรู่ของวันที่สอง กลับพบว่าลุงหลู่ของเจ้าจมน้ำตายในแม่น้ำเถาฮวาไม่ไกลจากโรงเตี๊ยม 

 ข้าก็ได้ถามจากเถ้าแก่โรงเตี๊ยมเช่นกัน เถ้าแก่โรงเตี๊ยมสาบานอย่างจริงใจว่าไม่เห็นลุงหลู่เจ้าออกไป 

อวี้ถังสั่นสะท้านในใจ

อวี้เหวินก็มีท่าทีหดหู่เช่นกัน

ทั้งสองคนล้วนรู้สึกว่าสถานการณ์ไม่ค่อยดี ไม่กล้าสืบต่อไป กลัวจะแหวกหญ้าให้งูตื่น ทั้งไม่กล้าแสร้งทำเป็นไม่รู้อะไร รอให้ภัยร้ายมาเคาะถึงประตูแบบนี้เช่นกัน

ชั่วขณะนั้น สองพ่อลูกต่างก็อับจนหนทาง

อวี้เหวินทำได้เพียงปลอบใจตัวเอง  บางทีพวกเราอาจจะคิดซับซ้อนเกินไป รออาหย่วนกลับมาค่อยว่ากันเถิด 

คนทำการค้าอย่างอาจารย์เฉียน ปกติก็ล้วนระมัดระวังคนแปลกหน้า วันนี้อวี้หย่วนเข้าไป ไม่ได้นำภาพไปด้วย แต่ขอให้สหายคนหนึ่งที่มีความสัมพันธ์ส่วนตัวดีกับอาจารย์เฉียนผู้นั้นเป็นคนกลาง ลองขอให้อาจารย์เฉียนช่วยเหลือ

ส่วนจะสำเร็จหรือไม่ก็ยากจะพูด

อวี้ถังเห็นบิดาเศร้าโศกอยู่บ้าง จึงกล่าวว่า  ท่านพ่อ ท่านยังไม่ได้กินข้าวเย็นกระมัง? ข้าให้เถ้าแก่เนี้ยยกอาหารขึ้นมาสักหน่อยดีหรือไม่เจ้าคะ วันนี้โรงเตี๊ยมทอดปลา ข้านั่งในห้องยังได้กลิ่นหอมตลบอบอวล 

โรงเตี๊ยมแห่งนี้มีอาหารที่จัดไว้ให้เป็นเวลา ทั้งสามารถสั่งอาหารขึ้นมาได้เช่นกัน

พวกอวี้เหวินไม่รู้ว่าเรื่องราวจะเป็นอย่างไร ไม่มีอาหารที่จัดไว้แล้ว ทำได้เพียงสั่งขึ้นมาเท่านั้น

 อย่างไรรออวี้หย่วนกลับมาก่อนเถิด!  อวี้เหวินกล่าวอย่างไม่มีอารมณ์ คล้อยหลังอวี้หย่วนก็กลับมา

เขากลับมีท่าทีกระปรี้กระเปร่า กล่าวอย่างดีใจ  ท่านอา อาจารย์เฉียนให้พวกเราไปพบพรุ่งนี้เช้าตรู่ ต้องดูภาพก่อนจึงจะให้คำตอบที่แน่นอนกับพวกเราได้ 

นี่นับว่าเป็นข่าวดี

อวี้เหวินพยายามทำให้ตัวเองสดชื่นขึ้นมา แต่อวี้หย่วนยังคงมองออกถึงความผิดปกติ

อวี้เหวินก็ไม่ได้ปิดบังเขา เล่าความเป็นมาของเรื่องราวให้อวี้หย่วนฟัง

อวี้หย่วนมีสีหน้าเคร่งขรึม  เช่นนั้นพรุ่งนี้พวกเราก็ต้องระมัดระวังมากขึ้นหน่อย 

อวี้เหวินถอนหายใจ  กินข้าวเถิด! ความพยายามอยู่ที่คน ความสำเร็จอยู่ที่ฟ้า [3] เรื่องของพรุ่งนี้ก็ค่อยว่ากันในวันพรุ่งนี้เถิด 

อวี้ถังรีบไปสั่งอาหาร

กินข้าวเสร็จ เดิมทีตั้งใจจะไปตลาดกลางคืนของถนนเสี่ยวเหอ แต่ทุกคนต่างก็ไม่มีกะจิตกะใจ จึงแยกย้ายกลับห้องพักของตนเอง

อวี้ถังทำปิ่นดอกไม้ต่อจนได้ยินเสียงกลองตีบอกเวลายามสาม [4] จึงล้มตัวลงนอน

ยามที่นางตื่นขึ้นมาอีกวัน ก็ได้ยินอวี้เหวินกำลังคุยกับเถ้าแก่โรงเตี๊ยม ส่วนอวี้หย่วนนำภาพวาดออกจากประตูไปนานแล้ว

แต่ว่าครั้งนี้เขากลับมาค่อนข้างเร็ว

ก่อนเวลาอาหารกลางวันก็กลับมา ทั้งยังทิ้งภาพไว้ที่อาจารย์เฉียน

สองตาของเขาเป็นประกาย กล่าวเสียงเบากับอวี้เหวินและอวี้ถัง  อาจารย์เฉียนดูภาพแล้ว กล่าวว่าภาพนี้อย่างน้อยที่สุดยังสามารถแกะได้สามชั้น ถามพวกเราว่าอยากจะแกะกี่ชั้น ข้าคิดว่าอย่างไรก็ต้องรบกวนเขาอยู่ดี จึงไม่ได้เกรงใจ เขาสามารถแกะได้กี่ชั้นก็เอาตามนั้น แต่ว่า เงินนั้นเยอะกว่าที่คุยไว้ตอนแรก เขาต้องการห้าตำลึง ตอนบ่ายพรุ่งนี้ถึงจะได้ของ 

ตั้งแต่เมื่อวานที่อวี้เหวินรู้เรื่องการตายของหลู่ซิ่นก็จิตใจหม่นหมอง ฟังจบก็ตอบรับสั้นๆ ว่า ‘ได้’ ก่อนจะเอาเงินให้อวี้หย่วน

อวี้หย่วนนำเงินไป ก่อนจะออกไปอีกครั้ง

————————————

[1] กั๋วจื่อเจี้ยน คือสำนักศึกษาระดับสูงสุด ทั้งเป็นหน่วยงานบริหารการศึกษาในสมัยโบราณ

[2] ยามสอง เวลาประมาณ 21:00 – 22:59 น.

[3] ความพยายามอยู่ที่คน ความสำเร็จอยู่ที่ฟ้า อุปมาว่า ฟ้าเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน ไม่สามารถคาดเดาอะไรได้ ดังนั้นพยายามทำเรื่องของตัวเองให้ดีที่สุดก็พอ

[4] ยามสาม เวลาประมาณ 23:00 – 24:59 น

Related

 

อวี้ถังนอนบนเตียงอย่างหมดอาลัยตายอยาก อีกฟากของฉากกั้นห้อง หมอหวังไป๋ผู้ที่ใบหน้าขาวซีด ตัวอ้วนฉุ เผยยิ้มจนแทบมองไม่เห็นดวงตากำลังพูดกับอวี้เหวินอยู่  ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด! เด็กผู้หญิง ตั้งแต่เล็กก็ถูกเลี้ยงประคบประหงมในห้องหับ จู่ๆ ตามเจ้าออกมากินดื่มซี้ซั้ว ท้องไส้จึงรับไม่ไหว ไม่จำเป็นต้องกินยาอะไร งดอาหารสองวันก็เพียงพอแล้ว หลังจากนี้ก็ต้องเพลาๆ พวกอาหารเผ็ดลงหน่อย 

อวี้เหวินรู้สึกเสียใจไม่น้อย ค้อมกายผงกศีรษะ กล่าวรับทราบ

หวังไป๋ยังคงจำพวกเขาได้ ถามด้วยรอยยิ้ม  อาการป่วยของนายหญิงพวกเจ้าดีขึ้นแล้วหรือ? เหล่าหยาง คนผู้นั้นอย่ามองว่าเขาหน้านิ่งเย็นชาเลย นั่นเป็นเพราะฝีมือการรักษาของเขายอดเยี่ยม มากความความสามารถ ยาที่เขาจ่ายให้ย่อมไม่มีอะไรผิดพลาด 

แม้ว่าครั้งที่แล้วเขาและหยางโต่วซิงจะไปรักษาอาการป่วยให้คนสกุลเฉิน แต่คนที่จ่ายยากลับเป็นหยางโต่วซิง

อวี้เหวินรีบร้อนกล่าว  ภรรยานั้นสำนึกบุญคุณของท่านทั้งสอง! ไม่กี่วันก่อนยังไปวัดขอพรให้ท่านทั้งสองอยู่สุขกายสบายใจ หากไม่ใช่ว่าท่านทั้งสองกำลังอยู่ในช่วงรุ่งเรืองที่สุดของชีวิต ก็คงจะมอบป้ายอวยพรอายุยืนให้แล้ว! 

 ฮ่าๆ!  หวังไป๋หัวเราะเสียงดัง  ข้าไม่เป็นไรหรอก แต่หยางโต่วซิงกลับหมกมุ่นในชื่อเสียงเกียรติยศ ชอบเรื่องพวกนี้เป็นที่สุด ครั้งหน้าหากเจ้าพบเขา ย่อมต้องบอกเขา ภายนอกเขาอาจทำหน้าเรียบนิ่ง แต่ในใจต้องดีใจจนเนื้อเต้นแน่นอน 

บัณฑิตดูแคลนกัน เพื่อนร่วมอาชีพโค่นล้มกันก็มีไม่น้อย

คำพูดนี้ไม่ว่าใครก็ยากจะรับปาก

อวี้เหวินต่อบทสนทนาอย่างอ้อมแอ้ม  ท่านทั้งสองต่างเป็นคนที่มีภาระรัดตัว สามารถเจอกันหนึ่งครั้งก็นับว่าเป็นวาสนาแล้ว ไหนเลยจะพบเจอบ่อยๆ ได้ 

 นั่นก็ไม่แน่  หวังไป๋กล่าวด้วยรอยยิ้ม  หลายวันมานี้นายหญิงใหญ่สกุลเผยอาการไม่ค่อยดี หยางโต่วซิงนั้นแทบจะอยู่ที่หลินอันแล้ว พวกเจ้ามีเรื่องอันใด ก็สามารถไปขอพบที่จวนสกุลเผยได้ 

ครั้งนี้ก็ไม่ใช่ว่าป้ายชื่อของสกุลเผยก็เรียกเขาออกมากลางดึกหรอกรึ?

คนสกุลอวี้ตกตะลึง ก่อนจะดีใจขึ้นมาทันควัน

มีหมอที่มีชื่อเสียงเช่นนี้อยู่ใกล้ๆ แม้บางครั้งอาจจะไม่ได้เรียกหา แต่กลับรู้สึกอุ่นใจขึ้นมา

อวี้เหวินขอบคุณแล้วขอบคุณอีก หยอกหวังไป๋ให้หัวเราะ ก่อนจะส่งเขากลับไป ยามที่กลับมา แม้ว่าจะเป็นต้นฤดูใบไม้ร่วง แต่หน้าผากก็มีเหงื่อผุดพรายเต็มไปหมด  เฮ้อ คนมีชื่อเสียงพวกนี้ คบค้าสมาคมยากคนแล้วคนเล่า 

อวี้หย่วนรีบรินชาให้อวี้เหวิน ก่อนจะขอบคุณเถ้าแก่รองถง

เถ้าแก่รองถงเห็นว่าที่นี่ไม่มีเรื่องอันใดแล้ว ก็กล่าวลาทั้งรอยยิ้ม  หากมีเรื่องอันใดก็ให้เด็กในโรงเตี๊ยมไปส่งข่าวที่ร้านค้าด้านหน้าได้ คนบ้านเดียวกัน พบกันข้างนอกก็ควรให้ความช่วยเหลือกัน ท่านอย่าได้เกรงใจไป 

อวี้เหวินและอวี้หย่วนรีบเอ่ยขอบคุณ ส่งเถ้าแก่รองถงออกจากประตูด้วยตัวเอง  รอสักสองวันคนของพวกเราดีขึ้นแล้ว ข้าจะไปขอบคุณกับนายท่านสามสกุลเผยอีกครั้ง 

นี่ย่อมไม่ใช่เรื่องที่เถ้าแก่รองถงตัดสินใจได้

เขาตอบรับด้วยรอยยิ้ม พูดว่า ‘ดูแลลูกสาวให้ดีๆ’ ก่อนจะกลับไปพักผ่อน

เมื่อรู้ว่าอวี้ถังไม่เป็นอะไรแล้ว ใจที่แขวนกลางอากาศของอวี้เหวินและอวี้หย่วนก็ร่วงลงมา อวี้หย่วนถึงขนาดกล่าวหยอกล้อนาง  ใครใช้ให้เจ้าไม่รู้จักบันยะบันยัง ยามนี้คงรู้จักควบคุมแล้วกระมัง? 

อวี้ถังนอนมองอวี้หย่วนอย่างไร้เรี่ยวแรงอยู่ตรงนั้น

อวี้หย่วนรู้สึกว่านางน่าสงสารอยู่บ้าง เดินไปรินน้ำร้อน ก่อนจะพยุงนางขึ้นดื่มน้ำ

อวี้ถังปิดปากแน่น กล่าวขอร้องกับญาติผู้พี่อย่างน่าสงสาร  ข้าดื่มน้ำไปสองกาแล้ว หากดื่มอีก ท้องคงกลายเป็นถุงหนังใส่น้ำแล้ว 

 สมน้ำหน้า!  อวี้เหวินได้ยินก็กล่าวยิ้มๆ  ใครใช้ให้เจ้าไม่เชื่อฟัง? 

อวี้ถังเถียงกลับเสียงดัง  ข้าไม่เชื่อฟังหรือท่านไม่ได้กำชับข้า ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าของพวกนั้นจะร้ายแรงขนาดนี้ ข้ากลับไปจะรายงานท่านแม่ บอกท่านแม่ว่าท่านพาข้าออกมา กลับไม่ดูแลข้า ให้ข้ากินซี้ซั้ว 

 เจ้ากล้ารึ!  อวี้เหวินไม่อยากให้คนสกุลเฉินเดือดเนื้อร้อนใจจริงๆ  หากเจ้ากลับไปกล้าปริปากฟ้องแม่เจ้าแม้แต่คำเดียว คราวหลังข้าไปไหนก็จะไม่พาเจ้าไปด้วยอีกแล้ว 

อวี้ถังส่งเสียงในลำคอแสดงความไม่พอใจ จากนั้นก็ต่อรองกับบิดา  เช่นนั้นท่านกลับไปก็อย่าบอกว่าข้ากินอาหารจากตลาดกลางคืนจนปวดท้อง 

อวี้เหวินงงงัน

อวี้หย่วนหัวเราะ  ท่านอา ท่านตกหลุมพรางอาถังแล้ว นางไม่อยากให้ท่านบอกคนอื่นว่านางกินอาหารจากตลาดกลางคืนจนปวดท้อง 

อวี้เหวินหัวเราะขึ้นมา ดีดหน้าผากอวี้ถัง  เจ้าเด็กมากเล่ห์ ข้าและพี่ชายเจ้าจะปิดปากเงียบ เจ้าพอใจแล้วหรือยัง? 

 นี่ค่อยใช้ได้หน่อย!  อวี้ถังพึมพำเสียงเบา เพราะดื่มน้ำมากจึงอยากเข้าห้องน้ำอีกครั้ง

อวี้เหวินและอวี้หย่วนพากันหัวเราะ ขอเถ้าแก่เนี้ยของโรงเตี๊ยมให้ช่วยดูแลอวี้ถัง ก่อนจะกลับห้องของตัวเอง

พลิกกายไปมาอยู่ค่อนคืน ยามที่ฟ้าใกล้สว่างอวี้ถังจึงเพิ่งจะหลับสนิท รอจนนางตื่นขึ้นมา ถูกความหิวประท้วงจนตื่นยังไม่ว่า แต่อวี้เหวินและอวี้หย่วนกลับไม่อยู่ในโรงเตี๊ยมอีก

เถ้าแก่เนี้ยเป็นหญิงอายุประมาณสี่สิบปี ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความจริงใจ ยกน้ำร้อนเข้ามาให้นางด้วยรอยยิ้ม  เจ้าดื่มน้ำสักหน่อย ยามที่บิดาและพี่ชายเจ้าออกไปเอาแต่กำชับพวกเราซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า ไม่อาจให้เจ้ากินอะไร ดื่มได้เพียงน้ำเท่านั้น เจ้าอดทนเสียหน่อยเถิด พรุ่งนี้ก็ดีขึ้นแล้ว 

อวี้ถังรู้สึกว่าตัวเองใกล้จะกลายเป็นถุงหนังเก็บน้ำแล้ว ในท้องล้วนมีแต่น้ำ ขยับนิดหน่อยก็สั่นกระเพื่อม นางปฏิเสธน้ำจากเถ้าแก่เนี้ย กล่าวถามแทน  ท่านรู้หรือไม่ว่าพ่อและพี่ชายข้าไปที่ใด? 

 เห็นบอกว่าออกไปเดินเล่น  เถ้าแก่เนี้ยก็ไม่ฝืนใจนาง วางน้ำอุ่นไว้ที่ตั่งตัวเล็กข้างเตียงนางด้วยรอยยิ้ม  บอกว่าหากเจ้าตื่นแล้ว ก็ให้พักผ่อนอยู่ที่นี่ ตอนเย็นพวกเขาจะกลับมา 

หรือไปหาอาจารย์สกุลเฉียนผู้นั้น?

อวี้ถังไม่กล้าถามมากความ กลัวจะถูกคนอื่นรู้ความลับ กล่าวเป็นมารยาทกับเถ้าแก่เนี้ยของโรงเตี๊ยมไม่กี่คำ ก็แสร้งหาวหวอดขึ้นมา

เถ้าแก่เนี้ยเห็นก็หยัดกายขึ้นบอกลาทันที  ท่านพักผ่อนเถิด มีเรื่องอะไรก็เรียกหาข้าตรงๆ 

อวี้ถังขอบคุณเถ้าแก่เนี้ย รอจนเถ้าแก่เนี้ยจากไป นางก็ยิ่งรู้สึกหิวกว่าเก่า น่าเสียดายที่ไม่อาจกินอะไรได้

นางนับเงินที่มารดาแอบบิดาเอาใส่กระเป๋าให้นางก่อนออกจากบ้าน คิดว่าครั้งนี้เสียเปรียบจริงๆ

บิดาและพี่ชายไม่อยู่ นางไม่อาจวิ่งเต้นไปทั่วได้ ขังตัวเองอยู่ในโรงเตี๊ยมนั่งนิ่งอยู่ค่อนวัน จู่ๆ ก็รู้สึกว่าตัวเองคล้ายจะย้อนกลับไปมีชีวิตเหมือนอยู่ในคุกของสกุลหลี่ชาติก่อน…เพราะนางเคยรับปากสกุลหลี่ว่าจะครองพรหมจรรย์ นางจึงควบคุมตัวเองอย่างเคร่งครัดเพื่อให้ถึงจุดหมาย ตั้งใจกับทุกอย่าง ระมัดระวังทุกสิ่ง นางรักษาสัญญา แต่สกุลหลี่กลับทรยศต่อคำพูด…นึกถึงเรื่องพวกนี้ ความไม่พอใจที่ถูกนางกดไว้ข้างในเหล่านั้นก็คล้ายจะแตกทะลัก สาดซัดรุนแรงอย่างไม่อาจหยุดยั้ง

นางไม่อาจนั่งนิ่งอยู่ที่นี่แบบนี้

นางอยากออกไปเดินข้างนอก

ไม่ก็หาเรื่องอะไรให้ตัวเองทำสักหน่อย

ชาติก่อน นางสลัดคืนวันที่กลัดกลุ้มพวกนั้นไปได้อย่างไรนะ?

ทำปิ่นดอกไม้

ใช่แล้ว ทำปิ่นดอกไม้

ทำปิ่นดอกไม้หลากหลายรูปแบบ

ยามที่นางรับปากสกุลหลี่ คิดว่าเรื่องราวนั้นง่ายดาย คิดว่าชีวิตคนผ่านไปไม่กี่สิบปี พริบตาเดียวกับล่วงลับดับขันธ์แล้ว หากสามารถตอบแทนบุญคุณของครอบครัวลุงใหญ่ ครอบครัวทั้งสองของพวกเขามีครอบครัวหนึ่งที่สามารถปีนขึ้นฝั่งได้ นางเหน็ดเหนื่อยเสียหน่อยจะเป็นไรไป? รอจนนางเริ่มครองพรหมจรรย์จริงๆ จึงค่อยเข้าใจ ที่แท้วันเวลานั้นผ่านพ้นไปอย่างลำบากยากเข็ญ จากฟ้ามืดรอฟ้าสว่าง จากฟ้าสว่างคอยให้ฟ้ามืด จากแสงอาทิตย์ส่องทั่วฟ้านั่งจนตะวันรอนลาลับ สิบห้านาที หนึ่งชั่วยาม นับให้ผ่านพ้นไป นางรู้สึกว่าไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไปกับชีวิต มักจะหงุดหงิดใจ ทำเรื่องอะไรก็ทำได้ไม่ดี ทั้งไม่อยากทำ ปลูกดอกไม้ ปักผ้า ทอเสื้อ ล้วนทำมาหมดแล้ว ก็ยังคงรู้สึกแย่

จวบจนถึงเทศกาลไหว้บ๊ะจ่างในปีหนึ่ง สาวใช้ที่ชื่อไป๋ซิงของสกุลหลี่ผู้นั้นแอบเอาปิ่นดอกไม้กำมะหยี่สีแดงก่ำมาให้นาง ยังกระซิบกับนางว่า  ข้ารู้ว่าท่านไม่อาจสวมได้ แต่ท่านเก็บไว้ได้ หากว่างๆ ก็ควักออกมาชมเล่น 

นั่นเป็นปิ่นดอกไม้ที่แสนจะธรรมดา

ทำเป็นรูปแบบดอกซานฉา [1]

ขนาดประมาณถ้วยสุราเล็กๆ

ลวดที่ทำเป็นก้านดอกไม้นั้นพันระเกะระกะ ปรากฏให้เห็นสนิมประปราย

ไม่มีความบรรจงประณีต

หากเป็นยามที่นางอยู่บ้านเกิด คาดว่าซวงเถาก็คงไม่ซื้อมาเช่นกัน

แต่ก็มีเพียงดอกนี้ที่นางมักหยิบขึ้นมาดูบ่อยๆ

กลีบดอกไม้สีแดงก่ำ แฝงด้วยขนกำมะหยี่บางเบา คาดไม่ถึงว่าจะค่อยๆ บรรเทาความหงุดหงิดใจของนาง

นางเริ่มใช้ผ้าไหมพันรอบก้านดอกไม้ที่ขึ้นสนิม ใช้ผ้าใยป่านสีเขียวทำกลีบเลี้ยงให้ดอกไม้…ภายหลัง นางก็เริ่มทำปิ่นดอกไม้ให้พวกสาวใช้

ผ้าหังโฉว [2] ผ้ากำมะหยี่ ผ้าปักด้ายทอง ผ้าทอเนื้อหยาบ ผ้าฝ้ายเนื้อนิ่ม…ดอกติงเซียง [3] ดอกอวี้จาน [4] ดอกมะลิ ดอกโบตั๋น…ขนาดเท่าถ้วยสุราเล็กๆ ขนาดเท่าฝาแก้ว ขนาดเท่าเล็บมือ…ร้อยด้วยมุกทองแดง มุกเงิน ลูกปัดหลากสี…ภายหลังถึงขั้นเอาของปลอมมาปนของจริง ในเดือนหกได้ทำดอกอวี้หลันไปแขวนบนต้นการบูร…

นางใช้เวลาส่วนมากหมดไปกับการทำปิ่นดอกไม้

อวี้ถังปิดหน้าตัวเอง

ตั้งแต่กลับมาเกิดอีกครั้ง นางรู้สึกว่าตัวเองควรจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ ลืมเรื่องในอดีตทั้งหมดให้เสียสิ้น

โดยเฉพาะความคุ้นชินที่บ่มเพาะขึ้นในสกุลหลี่

นางไม่ได้แตะต้องปิ่นดอกไม้อีก ไม่ได้ตามไปล้างแค้นสกุลหลี่ กระทั่งอารามดับทุกข์ที่ตัวเองตาย นางก็ไม่เคยไปดูสักครั้ง

แต่บางเรื่องเกิดขึ้นแล้วก็คือเกิดขึ้นแล้ว สลักลึกอยู่ในใจนาง หลอมรวมกับเลือดเนื้อภายใน

นางไม่อาจเปลี่ยน ไม่อาจลบเลือน

อวี้ถังอยากทำปิ่นดอกไม้อันหนึ่ง

ดอกเล็กๆ สีชมพู ทำกลีบดอกซ้อนเป็นชั้นแบบดอกซานฉา มีแมลงตัวเล็ก ขนาดเท่าถั่วเขียว ดูมีชีวิตเสมือนจริง เกาะอยู่บนดอกซานฉา ปักที่บนผมของนาง

นั่นเป็นการแต่งกายของชาติก่อน ทว่านับตั้งแต่หลี่จวิ้นตาย นางก็ไม่ได้แต่งอีกเลย

อวี้ถังในเวลานี้คล้ายกับนักเดินทางที่กระหายน้ำ ไม่อาจข่มกลั้นต่อความปรารถนาในใจได้

นางหยัดกายขึ้นสางผมแต่งตัว

มองหญิงสาวในกระจกทองเหลืองที่มีแววตาสุกสกาวดุจดวงดารา ใสกระจ่างราวกับสามารถส่องสว่างบนท้องนภาในยามราตรี

นางค่อยๆ เสียบปิ่นดอกไม้ลูกปัดให้ตัวเอง สวมหมวกเหวยเม่า [5] ก่อนจะลุกไปหาเถ้าแก่เนี้ย  แถวๆ นี้มีพวกผ้าไหม ลวดทองแดงขายที่ไหนบ้าง? ข้าอยากทำปิ่นดอกไม้เสียหน่อย 

เถ้าแก่เนี้ยรู้ว่านางเป็นบุตรีสกุลบัณฑิต ส่วนมากสกุลบัญฑิตล้วนต้องการให้สตรีในบ้านเย็บปักถักร้อย ใช้ความรู้ทำมาหากิน นางเพียงมองอวี้ถังด้วยความเห็นใจ ก่อนจะชี้ไปที่ถนนเล็กด้านนอก  จากที่นี่ออกไปเจอสี่แยกให้เลี้ยวซ้าย ตรอกเส้นนั้นขายปิ่นดอกไม้ หวีผม ผ้าเช็ดหน้า กระเป๋าเหอเปา [6] เต็มไปหมด 

ไม่เพียงมีของพวกนี้ขาย แต่ยังมีวัสดุที่ทำของพวกนี้ขายด้วย

มีร้านที่รับของเหล่านี้ ทั้งมีพ่อค้าต่างถิ่นที่ขายของพวกนี้เช่นกัน

เถ้าแก่เนี้ยคิดว่าสกุลพวกเขาและสกุลเผยคุ้นเคยกัน จึงเรียกบ่าวใช้คนหนึ่งตามนางไปด้วย  ให้เขาช่วยยกข้าวของ คอยนำทาง  เจอพวกลามกบ้ากาม จะได้ช่วยข่มขู่หรือไปเรียกคนมาช่วยได้

อวี้ถังขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก่อนจะออกไปข้างนอกโดยมีบ่าวผู้นั้นคอยนำทาง

เสียเงินไปสามตำลึง ใช้เวลาไปครึ่งวัน นางซื้อลวดทองแดงหนึ่งม้วนใหญ่ มุกทองมุกเงิน ลูกปัดหลากสี ทั้งเศษผ้าประเภทต่างๆ กองหนึ่งกลับมา

ดื่มน้ำเล็กน้อย ก่อนนางจะนั่งอยู่ตรงบานหน้าต่างเริ่มทำปิ่นดอกไม้

อุปกรณ์ที่คุ้นเคย วัสดุที่คุ้นชิน สีสันที่คุ้นตา…ใจของอวี้ถังค่อยรู้สึกสงบลงมา ไม่รู้สึกถึงความเหน็ดเหนื่อย ทั้งไม่รู้สึกหิวเช่นกัน

——————————————

[1] ดอกซานฉา ดอกคามิเลีย

[2] ผ้าหังโฉว ผ้าไหมชนิดหนึ่งของหังโจว เนื้อผ้าบางและนุ่ม

[3] ดอกติงเซียง ดอกไลแลค

[4] ดอกอวี้จาน มีสีขาว ลักษณะคล้ายกับดอกซ่อนกลิ่น

[5] หมวกเหวยเม่า หมวกที่มีผ้าตาข่ายคลุมทุกด้าน ยาวจนถึงลำคอ ปิดบังใบหน้าเอาไว้

[6] กระเป๋าเหอเปา กระเป๋าเล็กๆ ที่ปักลวดลายสวยงาม มักพกติดตัวเพื่อใช้ใส่ของกระจุกกระจิก

Related

 

อวี้ถังกำลังกัดขาหมู

เดิมทีนางใช้ตะเกียบแต่ภายหลังพบว่าใช้ตะเกียบไม่สะดวกนัก ขาหมูร่วงตกลงมาครั้งแล้วครั้งเล่า คนด้านข้างล้วนใช้มือกัดอย่างเอร็ดอร่อย นางมองไปรอบกาย พบว่าคนพวกนี้เอาแต่ดื่มสุราคุยโวเท่านั้น ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าสาวน้อยอย่างนางติดตามบิดาและพี่ชายมากินข้าวด้วย จึงค่อยวางใจลง แอบวางตะเกียบลงเปลี่ยนเป็นใช้มือแทน

มีสองมือช่วย ขาหมูพวกนั้นก็ถูกนางแทะจนเกลี้ยง

เผยเยี่ยนกำลังมองมืออวี้ถังอยู่

มือของอวี้ถังนั้นงดงาม ผิวขาวละเอียด นิ้วมือเรียวยาว ขนาดพอเหมาะ ไม่มีตำหนิแม้แต่น้อย

แต่ยามนี้ มือที่สวยงามทั้งสองข้างกลับเปื้อนไปด้วยพริกสีแดง มันเยิ้ม ทั้งสะท้อนแสง

ราวกับไข่มุกที่ถูกฝุ่นปกคลุม ราวกับหยกพิสุทธิ์ที่ถูกไฟลน พาให้คนมองรู้สึกไม่สบายตาขึ้นมา

กระทั่งเผยเยี่ยนเองก็ไม่รู้ตัวว่าเขาได้เริ่มจ้องอวี้ถังตั้งแต่เมื่อใด

อวี้ถังกำลังเคี้ยวขาหมูด้วยความพอใจ กลับรับรู้ถึงสายตาที่มีอานุภาพมองมายังตน

นางเงยหน้าขึ้นก็พบกับใบหน้าเย็นชาของเผยเยี่ยนที่แฝงด้วยความโมโหอย่างเลือนราง

อวี้ถังงุนงง

ไฉนเขาจึงมองตนเองเช่นนี้?

เมื่อครู่นางไม่ได้ทำอะไรเสียหน่อย!

นางกินไม่น่ามอง?

หรือนางแต่งตัวไม่เหมาะสม?

อวี้ถังก้มลงสังเกตตัวเอง

จากนั้นก็ค้นพบอย่างน่าตกใจว่า บนเสื้อของนางมีน้ำมันเปื้อนหยดหนึ่ง

ไฉนจึงเป็นเช่นนี้?

อวี้ถังรู้สึกว่าตัวเองเลอะเทอะไปอยู่บ้าง

นางยกขาหมูมองไปยังเผยเยี่ยน คิดว่าตัวเองควรจะอธิบายอะไรให้เขาฟังเสียหน่อย

แต่ไม่ทันที่นางจะเอ่ยปาก เผยเยี่ยนก็ย้ายสายตาไปทางอื่นอย่างเรียบนิ่ง

อวี้ถังกะพริบตาปริบๆ

เผยเยี่ยน นี่คือเขาเกลียดชังนางรึ?

อวี้ถังพลันรู้สึกน้อยใจเป็นอย่างยิ่ง

ม้ายังมีคราวที่ทำฮ่องเต้พลัดหล่น คนก็มียามที่พลาดพลั้ง…วันนี้ทั้งวันนางล้วนไม่ได้กินอะไรจริงๆ จังๆ เห็นของอร่อยเช่นนี้ ไหนเลยจะทำเป็นมองไม่เห็น ควบคุมตัวเองได้? อีกอย่าง นี่เป็นตลาดกลางคืน มากินของอร่อยที่ตลาดกลางคืนย่อมต้องตื่นเต้นเป็นธรรมดาไม่ใช่หรือ?

เมื่อครู่นางยังตื่นตะลึงในอาหารเลิศรส ช่วงพริบตาเดียวกลับทำให้นางหมดความอยากอาหาร

เฮ้อ!

นางรู้อยู่แล้ว นางและนายท่านสามสกุลเผยผู้นี้ไม่ถูกชะตากัน ขอเพียงแค่พบกันย่อมไม่เกิดเรื่องดีอันใด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงภาพลักษณ์ของนางเมื่ออยู่ต่อหน้าเขาเป็นอย่างไร!

อวี้ถังนึกโกรธตัวเองอยู่ในใจ ทว่าจู่ๆ เผยเยี่ยนก็หันหน้ากลับมา ขมวดคิ้ว ก่อนจะควักผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งออกจากเสื้อทิ้งลงเบื้องหน้านาง  เช็ดเสีย! 

นางตกตะลึง

อวี้หย่วนกำลังรินสุรา อวี้เหวินที่กำลังยกแก้วดื่ม ทั้งโจวจื่อจินที่ได้ยินล้วนหันมามอง

อวี้เหวินและโจวจื่อจินหัวเราะขึ้นมา อวี้เหวินถึงขนาดชี้ไปที่มุมปากของอวี้ถัง  มีต้นหอมติดอยู่ 

อวี้ถังเบิกตาโต  ท่านพ่อ มีใครเขาทำแบบท่านกัน? 

อวี้เหวินไม่เข้าใจ  ข้าทำไม?  ขณะที่พูด มือก็ชี้ที่มุมปากของตัวเอง บอกเป็นนัยให้อวี้ถังรีบเช็ดปาก

มีคนนอกอยู่มากมาย เขาจะแอบกระซิบบอกนางเป็นการส่วนตัวมิได้เชียวรึ?

อวี้ถังฉุนขึ้นมา รู้สึกว่าผ้าเช็ดหน้าที่เผยเยี่ยนทิ้งไว้ให้นางคล้ายเป็นเข็มแหลมที่ทิ่มแทง อย่าพูดถึงหยิบมาใช้เลย แต่แค่เห็นก็ไม่สบายตาแล้ว

นางควักผ้าเช็ดหน้าของตัวเองออกมา เช็ดมุมปากไปแรงๆ จากนั้นก็เช็ดไม้เช็ดมือไปด้วย ปล่อยให้ผ้าเช็ดหน้าสีขาวทิ้งอยู่บนโต๊ะเช่นนั้น

เผยเยี่ยนค่อยโล่งอก รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง

อวี้เหวินและโจวจื่อจินหัวเราะอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะทิ้งเรื่องนี้ไปแล้วดื่มสุราของพวกเขาต่อ พูดคุยสัพเพเหระ อวี้หย่วนที่นั่งอยู่ข้างกาสุราก็นั่งฟังพวกเขาด้วยท่าทีสนใจ

อวี้ถังดึงสายตากลับมาจากเผยเยี่ยน กัดขาหมูต่ออีกครั้ง

สายตาของเผยเยี่ยนหยุดอยู่ที่เสื้อของนาง

อวี้ถังมุมปากกระตุก

เขาจะเอาอย่างไรกันแน่

มิใช่ว่าเป็นผู้ชาย หากเรื่องอะไรไม่เหมาะสมก็ไม่ควรดูหรอกหรือ? เขาแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นจะเป็นไรไป?

อวี้ถังกระทืบเท้าอยู่ในใจอย่างโมโห

นางว่าแล้ว เขาต้องเป็นคนใจแคบ เอาแต่จับผิดข้อเสียของคนอื่น อย่าพูดถึงเรื่องอื่นเลย นางและเขาก็นับว่าพบกันหลายครั้งแล้ว แต่เขาเคยเผยรอยยิ้มให้ใครเห็นบ้างกัน?

ทั้งยังคิดว่าตัวเองถูกอยู่ตลอดเวลา

ครั้งแรกพบนาง คิดว่านางจะหลอกเอาเงิน ครั้งที่สองพบนาง คิดว่านางเป็นนักต้มตุ๋น ครั้งที่สามพบนาง คิดว่านางเป็นหญิงใจง่าย…นึกถึงเรื่องพวกนี้ อวี้ถังก็คล้ายกับลูกหนังที่ถูกเข็มทิ่มแทง

อย่างไรก็ตาม คาดว่าในสายตาของเขา นางก็คงไม่ใช่คนดีอะไร

ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาแตกต่างราวฟ้ากับดิน แม้ว่านางจะไม่ใช่คนดี แล้วจะเกี่ยวกับเขาตรงไหนกัน?

พออวี้ถังคิดเช่นนี้ ก็รู้สึกดีขึ้นมาในชั่วพริบตา

นางไม่จำเป็นต้องวิตกกับผลได้ผลเสียของตัวเองเช่นนี้ ช่วงเวลานี้ก็เพียงบังเอิญพบเผยเยี่ยนบ่อยขึ้นเท่านั้น ชาติก่อน นางใช้ชีวิตอยู่ที่หลินอันกว่ายี่สิบปีก็ไม่เคยพบเขาแต่อย่างใด

เห็นได้ว่าไม่มีเผยเยี่ยน นางก็สามารถใช้ชีวิตอย่างดีได้

เช่นนั้นเผยเยี่ยนจะมองนาง คิดกับนางอย่างไร แล้วมันจะอย่างไร?

ไยนางจะต้องสิ้นเปลืองความคิดกับคนที่แทบไม่มีความเกี่ยวข้องกัน?

อวี้ถังรู้สึกว่าตัวเองคิดตกแล้ว

นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเริ่มกัดขาหมูอีกครั้ง

อาหารร้านแม่นางกวนซานอร่อยจริงๆ!

หากครั้งหน้ามีคนถามขึ้นมา นางย่อมจะบอกแน่ ร้านของแม่นางกวนซาน นอกจากปลาเผา ยังมีขาหมู แน่นอนว่าบะหมี่แห้งของพวกเขาก็เลิศรสเช่นกัน

อวี้ถังฟื้นฟูความสดใสและความกระตือรือร้นก่อนหน้ากลับมาอีกครั้ง

เผยเยี่ยนแทบจะถลึงดวงตาออกมา

เด็กสาวผู้นี้ ไฉนจึงไม่สนใจอะไร นอกจากคำพูดแล้วก็ล้วนมองอย่างอื่นไม่ออก

กินจนมือเลอะไปด้วยน้ำมัน มีเด็กสาวเช่นนี้ที่ไหนกัน?

แต่อวี้ถังที่วางภาระในใจลง กลับไม่มีความกังวลอะไรแล้ว

นางไม่เพียงใช้มือกัดขาหมู แต่ยังยืนดื่มบัวลอยสุราดอกกุ้ยฮวาข้างแผงร้านค้า เดินไปพลาง กินน้ำตาลปั้นไปพลาง ชิมเนื้อลา ลงเดิมพันทั้งสองฝั่ง…เผยเยี่ยนอยากจะจ้องนางเท่าใดก็ให้จ้องไป นางไม่ใช่คนของสกุลเผยที่หากจะใช้เงินค่าขนมของเขา ก็ต้องให้เกียรติเขาเสียหน่อย

คืนนี้ นางมีความสุขกว่าคืนไหนๆ

นี่คงเป็นความสุขของท่านพ่อและท่านแม่กระมัง?

อวี้ถังประคองบิดาที่ดื่มจนเมา ครุ่นคิดอย่างพอใจ

ออกมาครั้งนี้ พอกลับไปหลินอันแล้ว นางคงจะไม่ได้ออกมาเที่ยวเล่นง่ายๆ แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการออกมาเดินเล่นกับบิดาเช่นนี้

ต่อไปคงยากที่จะมีความสุขเช่นนี้แล้วกระมัง?

อวี้ถัง บิดาและพี่ชายเดินทอดน่องอย่างช้าๆ บนถนนเสี่ยวเหอ ลมยามราตรีพัดโชยผ่านใบหน้านาง พกพาความเย็นของต้นฤดูใบไม้ร่วง ทำให้คนที่เพิ่งผ่านอากาศร้อนอบอ้าวอย่างยาวนานรู้สึกเย็นสบายขึ้นมา

ความสุขล้นย่อมพาความทุกข์ยากมาภายหลัง

อวี้ถังกลับถึงโรงเตี๊ยม ล้างหน้าสางผม ล้มตัวนอนไม่ทันไร ก็เริ่มปวดท้องขึ้นมา

นางสะดุดใจเล็กน้อย ในหัวปรากฏภาพพวกเผยเยี่ยนที่เนื้อตัวซีดขาวนั่งแผงลอยในตลาดท่ามกลางควันคละคลุ้ง

หรือนางกินมากจนปวดท้อง!

อวี้ถังกุมท้องที่ปวดหนักขึ้นเรื่อยๆ ไปเคาะประตูของอวี้หย่วนทันที

อวี้หย่วนสวมชุดคลุมก่อนจะไปตามหมอมาให้นาง

อาการเมาของอวี้เหวินหายเป็นปลิดทิ้ง

แต่กลางค่ำกลางคืนเช่นนี้ ทั้งพวกเขายังเป็นคนต่างถิ่น ไหนเลยจะหาหมอพบง่ายๆ!

อวี้เหวินไม่มีทางเลือก ทำได้เพียงไปเคาะประตูโรงจำนำของสกุลเผย

ผู้ดูแลของโรงจำนำสกุลเผยแห่งนี้คือน้องชายของเถ้าแก่ถง เถ้าแก่รองถง

เขาและอวี้เหวินรู้จักกัน ได้ยินเช่นนั้นก็ไปหาป้ายชื่อที่เผยเยี่ยนวางไว้ในร้านอย่างเร่งด่วน  หมอหลวงหวังไป๋บังเอิญอยู่ในหังโจวพอดี ข้าจะไปเชิญเขามาดูคุณหนูอวี้เดี๋ยวนี้ 

อวี้เหวินขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่า สวมรองเท้าตามเถ้าแก่รองถงไปทันที

อวี้ถังกลับใช้ผ้าห่มคลุมหน้า

ป้ายชื่อของนายท่านสามสกุลเผย…พรุ่งนี้เขาย่อมมิวายรู้เรื่องเป็นแน่!

อวี้ถังรู้สึกว่าตัวเองไม่อาจออกไปพบหน้าคนได้

——————-

Related

 

นี่มันชะตากรรมอะไรของนาง?

ไม่ใช่ว่าเผยเยี่ยนอยู่ที่เรือนหรูหราตรงเขาเฟิ่งหวงไม่ก็ที่สะพานเหมยเจียหรอกหรือ? เขาถ่อมาตลาดพื้นๆ ทางเหนือทำไมกัน?

อวี้ถังเบิกตาค้างอย่างตกตะลึง

เผยเยี่ยนก็คล้ายจะคาดไม่ถึงเช่นกัน เบิกตากว้างมองนาง

ทั้งสองคนชะงักอยู่เช่นนั้นท่ามกลางผู้คนที่เดินกันขวักไขว่ เจ้ามองข้า ข้ามองเจ้า ไม่มีใครปริปากพูด ยิ่งไม่ต้องถามเรื่องทักทาย

ยังคงเป็นโจวจื่อจินที่เห็นอวี้เหวิน  ไอหยา นี่ไม่ใช่อวี้ซิ่วไฉหรอกรึ? ไฉนท่านจึงมาอยู่ที่นี่? 

ขณะที่เขาพูดก็ปราดสายตามองอวี้ถังแวบหนึ่ง

อวี้ถังสวมชุดคลุมเนื้อหยาบสีฟ้าปักดอก ทั้งใช้ผ้าคลุมผมไว้ มองแวบๆ คล้ายกับสาวชาวบ้านที่เข้าเมืองมาดูความคึกคัก มีเพียงมือที่ขาวเนียนโผล่ออกมาให้เห็นเท่านั้น งดงามราวกับดอกอวี้หลัน [1] ที่เพิ่งออกดอกเบ่งบาน

อวี้เหวินก็คาดไม่ถึงเช่นกันว่าจะพบกับเผยเยี่ยนและโจวจื่อจินที่นี่ เขารู้สึกดีใจที่ได้พบคนรู้จักที่นี่  โจวจ้วงหยวน นายท่านสาม! บังเอิญเสียจริง! ข้าคิดว่าในเมื่อมาเมืองหังโจว ก็ควรมาเดินเล่นตลาดกลางคืนทางเหนือเสียหน่อย จึงพาหลานชายและลูกสาวมา พวกท่านก็มาตลาดทางเหนือเช่นกันรึ? พวกท่านมาด้วยกันแค่สองคนหรือ? 

เผยเยี่ยนผงกศีรษะอย่างเรียบนิ่ง

โจวจื่อจินกลับกระตือรือร้นกว่ามาก เอ่ยทั้งรอยยิ้ม  พวกเราพักอยู่ตรงสะพานเหมยเจียด้านนั้น สะพานเหมยเจียห่างจากที่นี่ไม่มาก ข้าก็ไม่ได้มาหลายปีแล้ว จึงลากสยากวงออกมาเที่ยวเล่น  ขณะที่เขาพูดก็มองอวี้ถังไปอีกครั้ง

เขามีความประทับใจต่อคุณหนูผู้นี้ไม่น้อย

คนที่หน้าตาสะสวย ใช่ว่าเขาไม่เคยพบมาก่อน แต่คนอย่างอวี้ถัง ผู้ที่สามารถทำให้สองพี่น้องยินยอมมอบใจ ทำให้ชายหนุ่มตะโกนก้องว่าจะแต่งเข้าบ้านเป็นลูกเขยของพวกเขา นับว่าเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก

ทั้งอวี้ถังที่เขาเห็นครั้งนี้กลับแตกต่างจากครั้งก่อน

ครั้งที่แล้ว แม้ว่าอวี้ถังจะแต่งตัวธรรมดา กลับเป็นหญิงสาวที่พาให้คนตาเป็นประกาย งดงามจนไม่อาจละสายตา ครั้งนี้แต่งกายราวกับสาวบ้านนอก ทว่ากลับยากจะปกปิดความพริ้มพราย เห็นได้ชัดว่าเด็กสาวผู้นี้มีบุคลิกกิริยาที่งดงามเป็นของตัวเอง ไม่ว่าจะแต่งหน้าทำผมอย่างไรก็ไม่อาจทำลายความโดดเด่นของนางได้

โจวจื่อจินอดถามอวี้เหวินไม่ได้  แม่นางน้อยผู้นี้เป็นลูกสาวของสกุลพวกท่านจริงๆ รึ? 

อวี้เหวินไม่รู้ว่าเหตุใดเขาจึงถามเช่นนี้ อดหัวเราะไม่ได้  หรือไม่ใช่อย่างนั้นรึ? 

โจวจื่อจินหัวเราะ  ข้าเพียงเสียดายอยู่บ้างเท่านั้น ท่านคงไม่รู้ ช่วงนี้ข้ากำลังวาดภาพสิบสองสาวงาม… 

คนงามย่อมงามจากภายในหาใช่ใบหน้า

หากสาวน้อยผู้นี้ไม่ใช่ลูกสาวของสกุลอวี้ก็คงจะดี

เขาจะได้สามารถควักเงินจำนวนหนึ่งเพื่อขอนางออกมาเป็นแบบวาดภาพได้

เผยเยี่ยนที่อยู่ด้านข้างรู้ว่าโจวจื่อจินนั้นเป็นคนที่คลั่งไคล้การวาดภาพ เพราะเรื่องนี้ถึงกระทั่งลาออกจากหกกรมไม่ว่า แต่เมื่อเห็นสาวงามหรือเด็กตัวน้อยๆ ดวงตาก็จะคล้ายถูกตรึงเอาไว้ ไม่อาจขยับไปไหนได้

เขาขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจนัก ไม่รอให้โจวจื่อจินได้พูดจนจบก็เอ่ยเสียงทุ้มกับอวี้เหวิน  นายท่านอวี้เพิ่งมาหรือกำลังจะไปแล้ว? 

อวี้เหวินก็เดาคำพูดที่กล่าวไม่จบของโจวจื่อจินได้เช่นกัน เขาพาลูกสาวออกมาเผยหน้าค่าตาเป็นเรื่องหนึ่ง ให้คนวาดภาพลูกสาวก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เขามองเผยเยี่ยนอย่างซาบซึ้งไปที  พวกเราเพิ่งมา! นายท่านเผยและโจวจ้วงหยวนเพิ่งมาหรือเตรียมจะกลับแล้ว? อยากจะไปเดินเที่ยวกับพวกเราหรือไม่? 

เผยเยี่ยนกลับเอ่ยว่า  ไม่เป็นไร ตลาดแห่งนี้ควันไฟคละคลุ้ง ร้อนอบอ้าว ข้าเดินดูเป็นเพื่อนเขาก็พอ… 

โจวจื่อจินรีบขัด  สยากวง ในเมื่อออกมาแล้ว เจ้าก็อย่าทำตัวน่าเบื่อเลย พบคนรู้จักไกลบ้านเช่นนี้ นับเป็นเรื่องที่น่ายินดี มิสู้พวกเราเดินเที่ยวด้วยกัน 

อวี้เหวินมองออกว่าเผยเยี่ยนไม่ค่อยยินดีนัก ไม่ทันได้พูดปฏิเสธออกมา ก็ถูกโจวจื่อจินคว้าไหล่ ผลักให้เดินไปด้านในอย่างไร้ทางโต้แย้ง  ไป! ต้นปียามที่ข้ามา กินขนมแป้งทอดของร้านถังเอ้อร์ส่าจื่อไปครั้งหนึ่งก็ลืมไม่ลงจนถึงวันนี้ ครั้งนี้ข้ามาตลาดประตูเหนือก็เพื่อขนมแป้งทอดนี่แหละ 

อวี้เหวินกลับชอบนิสัยเป็นกันเองของโจวจื่อจินมาก เขาครุ่นคิดและรู้สึกว่าทุกคนไปด้วยกันก็คงดีไม่น้อย ยิ่งกว่านั้นโจวจื่อจินและเผยเยี่ยนล้วนเป็นคนที่มีฐานะหน้าตา ย่อมไม่อาจพูดอะไรที่เขาพาลูกสาวออกมาเที่ยวตลาดกลางคืน จึงตัดสินใจตามโจวจื่อจินเดินไปด้านใน ทั้งคุยกับเขาไปพลาง  ข้ายังคิดว่าท่านจะชอบกินบัวลอยสุราดอกกุ้ยฮวาเสียอีก ท่านเป็นคนเมืองหนานทงไม่ใช่รึ? คนทางใต้อย่างพวกเราล้วนชอบกินสิ่งนี้ทั้งนั้น 

 ข้าเป็นคนทางใต้! แต่เกิดในเมืองหลวง ทั้งเติบโตในเมืองหลวง  โจวจื่อจินกล่าวด้วยรอยยิ้ม  แต่ข้าชอบกินอาหารประเภทเส้น! 

คุยกันไม่กี่คำ เงาของทั้งสองก็แทบกลืนไปกับฝูงชน

อวี้หย่วนรีบเรียกอวี้ถัง  เจ้ามาเดินข้างหน้าข้า จะได้ไม่พลัดหลง 

อวี้ถังมองเผยเยี่ยนที่ทำสีหน้าอึมครึม ก็จัดแจงผมอย่างไม่เป็นตัวเองอยู่บ้าง เวลานี้จึงค่อยทำตามที่อวี้หย่วนบอก เดินอยู่ด้านหลังอวี้เหวิน

ด้านหน้ามีการแสดงละครลิงอยู่

อวี้เหวินและโจวจื่อจินเบียดเข้าไปดู ทั้งกวักมือเรียกอวี้ถังเช่นกัน

สีหน้าของเผยเยี่ยนบูดบึ้งยิ่งกว่าเก่า

อวี้ถังกับอวี้หย่วนกลับสนใจเป็นอย่างมาก

อวี้หย่วนคว้าแขนเสื้ออวี้ถังก่อนจะเบียดเข้าไปด้านใน

อวี้ถังอดมองเผยเยี่ยนแวบหนึ่งไม่ได้

เขาสวมชุดคลุมเนื้อหยาบสีคราม ยังคงไม่มีเครื่องประดับหรือแขวนห้อยอะไร ใบหน้าขาวกระจ่าง หน้าตาหล่อเหลา เผยท่าทีเคร่งขรึม เดินประสานมือไพล่หลังอยู่หน้าแผงลอยของตลาดท่ามกลางผู้คนมากมาย กระนั้นกลับสามารถพาความเงียบเหงาเข้ามาแทนที่ความสดใสอย่างง่ายดาย

คนผู้นี้ช่างสันโดษเสียจริง!

อวี้ถังตรึกตรองในใจ ก่อนจะทิ้งเรื่องนายท่านสามสกุลเผยไว้ด้านหลัง ไปดูละครลิงกับอวี้หย่วนอย่างครื้นเครง

แต่ว่า เพียงดูสักพักหนึ่ง อวี้ถังก็เริ่มรู้สึกไม่ดีขึ้นมาอยู่บ้าง

ดวงตาสีดำของลิงน้อยนั้นสุกสกาว ยามที่มองคนก็คล้ายมีอะไรอยากจะพูด ร่างกายที่ผอมเล็กปกคลุมไปด้วยขนสีเหลืองเบาบาง เคลื่อนไหวคล่องแคล่ว เจ้าของให้ทำอะไรมันก็ทำอย่างนั้น ยังรู้จักประสานมือทักทายขอของกินจากคน น่ารักไม่หยอก ทว่าที่คอของมันกลับถูกคล้องด้วยโซ่เหล็ก อาจจะเพราะตอนรัดห่วงลิงโตแล้ว ขนรอบคอจึงร่วงไปหมด ยิ่งมันเชื่อฟังเชื่องขึ้นมากเท่าใด นางก็ยิ่งทนดูไม่ได้เท่านั้น

ลิงพวกนี้เติบโตในป่าใหญ่ ถูกคนเหล่านี้จับตัวมาฝึกละคร ต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อขอความเมตตาจากมุนษย์จึงจะค่อยได้กินอิ่ม มีชีวิตอยู่ต่อไปได้

นางรู้สึกหดหู่ในใจ ดึงแขนเสื้ออวี้หย่วน ก่อนจะกระซิบข้างหูเขา  พวกเราอย่าดูเลยดีกว่า ตอนกลางวันพวกเรากินเนื้อแห้งรองท้องเท่านั้น ข้าหิวแล้ว พวกเราไปหาอะไรกินเสียหน่อยเถิด 

ลิงน้อยตัวนั้นกำลังแสดงการระบำสะบัดธง อวี้หย่วนมองด้วยความสนใจ เอ่ยแบบขอไปที  เจ้ารอเดี๋ยวก่อน ข้าดูจบแล้วจะไปหาของกินกับเจ้า 

อวี้ถังคิดว่าแขนขาของลิงน้อยพวกนี้เดิมทีก็ควรอยู่บนพื้น ตอนนี้กลับถูกบังคับให้ยืนสองขา…ยิ่งทนดูไม่ได้ กล่าวด้วยท่าทีหม่นหมอง  เช่นนั้นท่านพี่อยู่ดูเถิด ข้าจะรอเจ้าด้านนอก 

อวี้หย่วนได้ยินพลันดึงสติกลับมา รีบกล่าว  เช่นนั้นข้าไม่ดูแล้ว ไปรอท่านอาเป็นเพื่อนเจ้าดีกว่า 

อวี้เหวินก็ยังไม่ได้กินข้าวเย็น

อวี้ถังผงกศีรษะ เบียดออกไปกับอวี้หย่วน

อวี้หย่วนไปตามอวี้เหวิน

อวี้ถังกวาดสายตาแวบเดียวก็พบเผยเยี่ยนยืนอยู่ใต้ต้นไม้ด้านข้าง

เขาไม่ไปดูละครลิง แต่กลับยืนนิ่งเงียบอยู่ใต้ต้นไม้

อาจจะเป็นเพราะรู้สึกได้ว่าอวี้ถังกำลังมองเขาอยู่ เขาจึงหันมามองอวี้ถังแวบหนึ่ง

อวี้ถังส่งยิ้มเป็นมารยาทให้เขา

เขากลับแสดงสีหน้าเรียบนิ่งหันกลับไป

อวี้ถังถูกกระตุ้นโทสะไม่น้อย

คนผู้นี้มันอะไรกัน?

มองไม่ออกหรืออย่างไร?

นางแสดงความเป็นมิตรกับเขาก่อน คาดไม่ถึงว่าเขาจะทำท่าทีเช่นนี้!

ในหัวอวี้ถังดัง ‘วิ้งๆ’ ขึ้นมา ใช้เวลาพักใหญ่กว่าจะดึงสติกลับมาได้

อวี้เหวิน อวี้หย่วนและโจวจื่อจินเดินเข้ามา

โจวจื่อจินกล่าวอย่างรู้สึกผิด  ข้าไม่รู้ว่าพวกท่านยังไม่ได้กินมื้อเย็น ข้าเลี้ยงเอง พวกท่านอยากกินอะไร?  ประโยคสุดท้ายกลับถามอวี้ถัง

อวี้ถังจะกล้าไปกินข้าวที่โจวจื่อจินเลี้ยงเปล่าๆ ได้อย่างไร รีบกล่าวเป็นมารยาท  ท่านอย่าได้เกรงใจ ข้ากินอะไรก็ได้ทั้งนั้น 

โจวจื่อจินได้ยินก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม  เช่นนั้นพวกเราไปกินปลาเผาของแม่นางกวนซานกันดีหรือไม่? ข้ากินครั้งที่แล้ว รู้สึกว่าไม่เลวเลย 

คนเจียงหนานชอบกินปลาอยู่แล้ว

อวี้ถังรู้สึกดีกับโจวจื่อจินขึ้นมาโดยพลัน ส่งยิ้มขอบคุณโจวจื่อจิน

โจวจื่อจินโบกมือ  เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องเล็กน้อย…  พูดถึงตรงนี้ เขาก็หยุดชะงัก

เผยเยี่ยนเรียก ‘จื่อจิน’ ขึ้นมาอย่างเยือกเย็น  ตอนเย็นเจ้ากินปลาปักเป้าย่างไปหนึ่งกิโล เจ้ายังกินได้อีกรึ? 

 ไอหยา! ทำไมจะกินไม่ได้กัน  โจวจื่อจินกล่าวทันที  ข้าเดินมาเกือบค่อนวัน ปลาปักเป้าย่างนั่นไม่รู้ไปอยู่ที่ใดแล้ว แน่นอนว่าต้องไปลิ้มรสปลาเผาของร้านแม่นางกวนซาน  ขณะที่เขาพูด ก็กล่าวอย่างสงสัย  หรือเจ้าจะไม่กิน? 

เผยเยี่ยนบอกปัดอย่างรังเกียจ  ไม่กิน! 

สายตาของพวกอวี้ถังล้วนพุ่งเป้าไปที่โจวจื่อจิน

โจวจื่อจินเอ่ยอย่างร้อนใจ  อย่างไรข้าก็เป็นแขก! สยากวง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลหรือความรู้สึก อย่างไรเจ้าก็ควรไปเป็นเพื่อนข้า! 

เผยเยี่ยนชำเลืองสายตามองเขาไปที ก่อนจะเดินตรงไปข้างหน้าอย่างไม่อ้อมค้อม  เจ้าไม่ใช่พูดว่าจะกินปลาเผาของแม่นางกวนซานหรอกรึ? ยังไม่มาอีก! 

 เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้ว  โจวจื่อจินตามไปทันที

อวี้เหวินส่ายศีรษะ พาอวี้หย่วนและอวี้ถังตามไปเช่นกัน

อวี้ถังกระซิบถามอวี้เหวิน  ท่านพ่อ พวกเราจำเป็นต้องตามไปด้วยหรือเจ้าคะ? 

ท่าทีของเผยเยี่ยนเสียมารยาทเกินไปแล้ว นางรู้สึกว่านางตามไปย่อมกินข้าวไม่ลง

อวี้เหวินกล่าว  อย่างไรพวกเราก็ต้องไปกินข้าว มิสู้ไปกินที่ร้านของแม่นางกวนซาน บะหมี่แห้งของพวกเขาก็รสชาติไม่เลว ครั้งที่แล้วข้ายังพูดกับแม่เจ้าว่า อยากให้ป้าเฉินเรียนไว้หน่อย ปรากฏว่าไม่ว่าอย่างไรป้าเฉินก็ทำไม่เหมือน 

ก็ได้!

อวี้ถังตัดสินใจแล้ว เพื่ออาหารเลิศรส อย่างไรก็อดทนเสียหน่อยเถิด

ร้านปลาเผาของแม่นางกวนซานยังนับว่าค่อนข้างกว้าง กระนั้นคนก็นั่งเบียดเสียดกันอยู่มากมาย

โจวจื่อจินทำท่าเป็นผู้ดี ควักเงินออกมาตรงๆ ให้คนมอบโต๊ะแก่พวกเขา

ทุกคนเตรียมจะนั่งลง ไม่รู้ว่าเผยเยี่ยนควักผ้าเช็ดหน้าสีขาวผืนหนึ่งมาจากไหน เช็ดตรงที่เขาจะนั่งอย่างละเอียดลออไปทีหนึ่ง

อวี้ถังเห็น ก็แอบลูบโต๊ะเล็กน้อย

โต๊ะตัวนั้นแม้จะดูเก่า ภายใต้แสงไฟคล้ายส่องมันวาว แต่เมื่อลูบดูกลับสะอาดไม่น้อย อย่าพูดถึงคราบน้ำมันเลย กระทั่งเศษฝุ่นก็ไม่มีให้เห็น

นางนั่งลงอย่างวางใจ ก่อนเผยเยี่ยนจะเริ่มเช็ดโต๊ะอีกครั้ง

โจวจื่อจินทนไม่ไหว  สยากวง เจ้าอย่าพิถีพิถันขนาดนี้ได้หรือไม่? 

เผยเยี่ยนเม้มปาก ยังคงเช็ดโต๊ะจนเสร็จ

โจวจื่อจินจนใจ จึงหันไปหารือกับอวี้เหวิน สั่งอาหารขึ้นชื่อของร้านมา

เป็นที่รู้จักในตลาดกลางคืนแห่งนี้ได้ย่อมต้องมีชื่อเสียงสมคำร่ำลือ

ปลาเผากรอบหอมมัน บะหมี่แห้งคลุกพริกน้ำมัน ขาหมูก็ไม่เลี่ยนเกินไป น้ำแกงเห็ดหูหนูหวานกลมกล่อม…อวี้ถังนั้นกินอย่างเอร็ดอร่อย ด้านโจวจื่อจินก็ชมไม่ขาดปาก

เผยเยี่ยนกลับนั่งอยู่ตรงนั้น ไม่แตะอาหารแม้แต่คำเดียว

โจวจื่อจินแสร้งกระซิบกล่าวถึงเขากับอวี้เหวิน  ท่านดู ช่างเป็นคนที่น่าเบื่อจริงๆ! วันนี้หากไม่เจอพวกท่าน แม้ข้าจะกินของเลิศรสปานใดเข้าไปก็คงกลายเป็นก้อนหินถ่วงในใจข้าอยู่ดี 

อวี้เหวินเห็นว่าเผยเยี่ยนนั่งอยู่สบายๆ ตรงนั้น กลับคล้ายต้นสนที่ยืนตระหง่านท่ามกลางหิมะ แผ่ความทระนงออกมาจากภายในอย่างเลือนราง รู้สึกว่าโจวจื่อจินกล่าวไม่เหมาะสมกับเผยเยี่ยนอยู่บ้าง

 ทุกคนล้วนมีนิสัยเฉพาะตัวต่างกันไป สหายที่ดีย่อมไม่ควรสร้างความอึดอัดใจต่อกัน  อวี้เหวินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม ยกแก้วสุราไปทางโจวจื่อจิน  แก้วนี้ข้าดื่มให้กับท่าน 

โจวจื่อจินหัวเราะ ก่อนจะทิ้งเรื่องพวกนั้นไว้ด้านหลัง

เผยเยี่ยนกลับไม่อาจควบคุมสายตาตัวเองได้ มองไปยังอวี้ถังที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขา

———————————

[1] ดอกอวี้หลัน ดอกแมกโนเลีย

Related

 

เจียงหนานเมืองริมน้ำ สายธารไหลเชื่อมทั่วสารทิศ ชาวบ้านออกเดินทางมาจากต่างถิ่น ล้วนมักจะอาศัยเส้นทางน้ำ

ท่าเรือน้อยใหญ่ของเมืองหังโจวมีไม่กี่แห่ง ในนั้นสามท่าเรือที่ใหญ่ที่สุดอยู่ใกล้กัน แบ่งเป็นประตูอู่หลิน ประตูหย่งจินและประตูเฉียนถัง

ท่าเรือประตูอู่หลินตั้งอยู่ทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเมือง เชื่อมต่อกับคลองต้าอวิ้นเหอ [1] ของเจียงหนาน เป็นเส้นทางน้ำที่ต้องผ่านยามขึ้นเหนือล่องใต้ เพราะว่าวัดเซียงจีอายุเก่าแก่ห่างจากที่นี่ไม่มาก ท่าเรือนี้จึงมีอีกชื่อหนึ่งว่าท่าเรือวัดเซียงจี

ท่าเรือประตูหย่งจินอยู่ทางตะวันตกของเมือง ด้านข้างเป็นทะเลสาบซีหู ซึ่งเป็นเส้นทางสำคัญไปยังทะเลสาบไท่หู และหลินอัน

ท่าเรือประตูเฉียนควันธูปคละคลุ้งตลอดทั้งปี ผู้แสวงบุญมากมายดุจมวลเมฆ จึงมีคำพูดที่ว่า ‘นอกประตูเฉียนถังควันธูปลอยล่อง’

เรือโดยสารของพวกอวี้ถังจอดเทียบท่าเรือประตูหย่งจิน

พวกเขาต้องลงเรือที่นี่ อาจต้องเปลี่ยนไปนั่งเรืออูเผิง [2] ลำเล็ก ไม่ก็จ้างเกี้ยวเพื่อเข้าเมือง

นั่งเรือนั้นสะดวกและสบายกว่านั่งเกี้ยวมาก ทั้งยังสามารถชื่นชมทัศนียภาพตลอดทาง สิ่งที่แย่อย่างเดียวคือใช้เวลามากกว่าการนั่งเกี้ยว ดีที่พวกอวี้เหวินวางแผนจะอยู่เมืองหังโจวหลายวัน มีเวลาเหลือเฟือ เขาจึงตัดสินใจจะนั่งเรืออูเผิงเข้าเมืองตั้งนานแล้ว

อาจเป็นเพราะว่านั่งเรือนานเกินไป ยามที่ลงเรือ อวี้ถังจึงแข้งขาอ่อน รู้สึกว่าร่างกายสั่นไหวไปหมด

อวี้หย่วนประคองนาง ชี้ไปยังใต้ต้นไหว [3] ที่มีแผงขายชาตั้งอยู่  เจ้าอยากดื่มชาพักผ่อนสักหน่อยหรือไม่? 

ท่าเรือผู้คนเบียดเสียด ไหล่ถูกกระทบไม่หยุดหย่อน เสียงขายของ เสียงตะโกน เสียงร้องเรียกและเสียงเอะอะโวยวาย สารพัดเสียงที่ดังแข่งกันโกลาหลอลหม่านจนพาให้รู้สึกเวียนศีรษะ

 ไม่เป็นไร!  อวี้ถังเอ่ยด้วยเสียงเจือความอ่อนเพลีย  อย่างไรรีบไปโรงเตี๊ยมให้เร็วๆ ดีกว่า! 

พอถึงโรงเตี๊ยม นางก็จะได้พักผ่อนดีๆ แล้ว

อวี้หย่วนผงกศีรษะ

อวี้ถังฉวยโอกาสกวาดสายตาสังเกตท่าเรือ

บันไดหินปูนแข็งหนา สะพานโค้งห้ารูที่งดงามราบเรียบ เรือแต่ละประเภทจอดอยู่ริมน้ำ

นางกลับไม่เห็นเรือของสกุลเผย

อวี้เหวินไปติดต่อเรืออูเผิงไว้แล้ว หนึ่งคนห้าเหรียญอีแปะ ส่งถึงถนนเสี่ยวเหอด้านข้างโรงเตี๊ยมหรูอี้

เขากล่าว  ข้ามาเมืองหังโจว ส่วนมากก็มักจะพักที่นี่ สะดวกสบาย ห้องหับสะอาดสะอ้าน เถ้าแก่ไม่เลว อาหารก็เลิศรส 

อวี้ถังและอวี้หย่วนผงกศีรษะ ตามอวี้เหวินขึ้นเรืออูเผิงไป

คนพายเรือยกน้ำชามาต้อนรับพวกเขา

อวี้ถังทนไม่ไหว ถามอวี้หย่วนเสียงเบา  เรือของสกุลเผยควรจะมาถึงก่อนเรา ไฉนจึงไม่เห็นเลยเล่า? 

อวี้หย่วนหัวเราะเสียงดัง เอ่ยหยอกล้อนาง  เจ้าไม่ใช่กล่าวว่า แม้จะมองอย่างไร ก็เป็นเรือของคนอื่นอยู่ดีไม่ใช่รึ? อะไรกัน เจ้าก็สนใจเรือของพวกเขาเช่นกันหรือ? 

อวี้ถังทั้งเขินทั้งโมโห  ช่างเถิด ไม่พูดแล้ว 

อวี้หย่วนหัวเราะเบาๆ ขึ้นมาอีก  พวกเขาน่าจะเข้าทางท่าเรือประตูอู่หลิน 

อวี้ถังไม่เข้าใจ

อวี้หย่วนเอ่ยต่อ  ท่าเรือวัดเซียงจีเชื่อมต่อกับแม่น้ำเถาฮวาในเมือง พวกเขาล่องเรือสองเสากระโดง คงจะเข้าเมืองไปโดยตรงเลย 

มีเรือเป็นของตัวเองช่างสบายเสียจริง

อวี้ถังเบะปาก

อวี้หย่วนชี้ไปที่เรือนริมน้ำและต้นหลิวสองข้างทางให้นางดู  สวยหรือไม่? 

ใบหลิวที่เรียวบางย้อยลงบนผิวน้ำราวกับเส้นผม เรือนริมน้ำปกคลุมไปด้วยดอกเถิงหลัว ข้างโต๊ะหินเก้าอี้ไผ่เต็มไปด้วยดอกไม้สีสันสดใสบานสะพรั่ง ระเบียงกลางแจ้งตากพวกกะหล่ำปลีและหน่อไม้ไว้ หญิงสาวแรกรุ่นสวมเสื้อสีสดสวย พวกเด็กๆ เตะลูกขนไก่ กระโดดเชือกอยู่หน้าประตู ยังมีพ่อค้าหาบเร่เรียกขาย ‘ขนมถั่วตัด’ และ ‘กรรไกรตัดด้าย’

 สวยมากจริงๆ เจ้าค่ะ!  อวี้ถังมองอย่างหลงใหล

อวี้หย่วนกล่าวอย่างอิจฉา  หากสามารถย้ายมาที่นี่ได้ก็คงจะดี กิจการต้องรุ่งเรืองอย่างแน่นอน 

นี่ไม่ใช่ ‘พอเห็นสิ่งแปลกใหม่ก็ลืมบ้านเกิดเมืองนอน’ หรอกรึ?

ชาติที่ผ่านมา อวี้ถังกลับไม่รู้ว่าอวี้หย่วนมีความคิดความอ่านขนาดนี้

อาจเป็นเพราะชาติที่แล้ว ใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก เขาจึงไม่กล้าคิดกระมัง? หรือว่านางเองก็ยุ่งอยู่กับตัวเองจนไม่รู้อะไร?

รอยยิ้มของอวี้ถังเลือนหายไปจากใบหน้าเล็กน้อย

อวี้หย่วนทอดสายตามองทิวทัศน์ของทั้งสองฝั่ง ยังคงพูดขึ้นมาอย่างตื่นเต้น  ยามที่ข้าตามท่านพ่อมาเมืองหังโจวเป็นครั้งแรกก็รู้สึกว่าที่นี่ไม่เลว แม้จะขายปลาตากแห้ง ลูกค้าก็ย่อมมากกว่าเมืองของพวกเรา ทางเมืองของพวกเราไม่ค่อยเปิดกว้าง คนที่ไปๆ มาๆ ก็มีแต่พวกเดียวกัน จะว่าไปแล้วล้วนเป็นเพราะเรื่องพวกนั้น… 

อวี้ถังฟังอย่างนิ่งเงียบ ดื่มชาอย่างช้าๆ

เรืออูเผิงเข้าฝั่ง ทั้งสองฟากล้วนเป็นร้านค้าที่มีประตูด้านหน้าสามถึงห้าบาน ป้ายร้านหากไม่ปักด้วยด้ายทอง ก็ปักล้อมรอบด้วยด้ายเงิน ผู้คนที่เดินอยู่บนถนนส่วนมากก็สวมใส่ผ้าไหมผ้าแพร มีบ่าวรับใช้ห้อยสอยติดตาม ทั่วทั้งถนนดูสดใสรื่นตาไปหมด

แต่ว่าโรงเตี๊ยมหรูอี้อยู่ที่ไหนกัน?

ยามที่อวี้เหวินจ่ายเงิน อวี้ถังก็กอดสัมภาระ มองซ้ายมองขวา

ก่อนป้ายตัวอักษรคำว่า ‘ตัง [4] ’ ที่เขียนไว้ตัวใหญ่ ด้านล่างปักด้ายทองว่า ‘เผยซื่อ [5] ’ จะปลิวไสวอยู่เบื้องหน้า ดึงดูดสายตาของนาง

อวี้ถังตกตะลึง

โรงรับจำนำของสกุลเผยอย่างนั้นหรือ?

ไม่ใช่ว่าอยู่ที่แม่น้ำซือเยา ฝ่างเหรินหลี่อะไรมิใช่รึ?

ไม่ใช่ว่าพวกเขาต้องไปถนนเสี่ยวเหอหรอกหรือ?

เช่นนั้นตอนนี้นางอยู่ที่ใดกัน?

อวี้ถังรีบดึงแขนเสื้ออวี้เหวิน ชี้ไปยังป้ายที่โบกสะบัด  ท่านพ่อ ดูสิ! 

อวี้เหวินกลับไม่ตกใจแต่อย่างใด กล่าวกับนางด้วยรอยยิ้ม  เจ้าตาดีเสียจริง นั่นเป็นโรงรับจำนำของสกุลเผย น่าเสียดายที่เถ้าแก่ถงไม่อยู่ ไม่อย่างนั้นข้าคงพาเจ้าไปแวะทักทายแล้ว 

เช่นนั้นพวกเขามาทำไมกัน?

อวี้ถังเบิกตากว้าง

อวี้เหวินคิดขึ้นมาได้

เขาหัวเราะเสียงดัง  เด็กโง่ แม่น้ำตรงหน้าพวกเรานี้ก็คือแม่น้ำซือเยา ถนนที่พวกเรายืนอยู่ก็คือถนนเสี่ยวเหอ ทางโรงรับจำนำของสกุลเผยนั้นเรียกว่าฝ่างเหรินหลี่ เห็นตรอกเล็กๆ เส้นนั้นข้างโรงรับจำนำหรือไม่ ตั้งแต่นั่นมาจนถึงพวกเราเรียกว่า จีซั่นหลี่ โรงเตี๊ยมหรูอี้ก็อยู่ในตรอกนั้นแหละ 

ก็หมายความว่า พวกเขาพักอยู่ด้านหลังโรงรับจำนำของสกุลเผย

อวี้ถังโมโหขึ้นมา

นางมาถึงเมืองหังโจวแล้ว ไฉนยังพบกับสกุลเผยไม่จบไม่สิ้นเสียที!

อวี้เหวินคิดว่าลูกสาวมีท่าทีสนใจ จึงชี้ไปที่โรงหนังสือด้านข้างโรงรับจำนำสกุลเผย  เห็นหรือไม่? นั่นก็เป็นของสกุลเผย ด้านข้างยังมีร้านขายวัตถุโบราณ ร้านขายเครื่องแป้ง ร้านขายผมปลอมและปิ่นดอกไม้ ล้วนเป็นของสกุลพวกเขาทั้งหมด…ฝ่างเหรินหลี่ จี้ซั่นหลี่ ทั้งยังมีตรอกจือหว่าที่อยู่ใกล้เคียง รวมถึงเรือนพำนักส่วนตัวล้วนเป็นของสกุลพวกเขา 

เช่นนั้นมีที่ไหนไม่ใช่ของพวกเขาบ้าง?

อวี้ถังกล่าว  นายท่านสามสกุลเผยก็พักที่นี่หรือเจ้าคะ? 

 จะเป็นไปได้อย่างไร?  อวี้เหวินกล่าวยิ้มๆ  สกุลของพวกเขามีเรือนนอกอยู่ที่เขาเฟิ่งหวง แถวประตูชิงปัว สะพานเหมยเจีย วัดหมิงชิ่งก็ล้วนมีเรือนพำนักอยู่ แต่ว่า ในเมื่อพวกเขาเข้าเมืองทางท่าเรือวัดเซียงจี หากไม่อยู่เรือนนอกที่เขาเฟิ่งหวง ก็คงพักอยู่ที่เรือนตรงสะพานเหมยเจียกระมัง 

อวี้หย่วนถามด้วยความสงสัย  ท่านอารู้ได้อย่างไรกัน? ข้ากลับเพิ่งได้ยินเป็นครั้งแรก 

อวี้เหวินกล่าวอย่างโอ้อวดอยู่บ้าง  เถ้าแก่ถงเป็นคนบอกข้า ได้ยินเถ้าแก่ถงพูดว่า เรือนทางสะพานเหมยเจียและประตูชิงปัว เป็นของนายท่านสามสกุลเผยเอง ท่านตาของนายท่านสามเป็นผู้ทิ้งไว้ให้เขา ไม่ได้เป็นทรัพย์สินของสกุลเผยแต่อย่างใด 

อวี้หย่วนประหลาดใจ  นายหญิงของสกุลเผยเป็นคุณหนูจากสกุลใดกัน? 

 คุณหนูสกุลเฉียนแห่งเฉียนถัง  อวี้เหวินกล่าว  เฉียนที่เป็นสกุลของชาวอู๋เยวี่ย [6]  

สี่สกุลใหญ่ของเจียงหนาน สกุลเฉียนนับเป็นอันดับหนึ่ง

อวี้หย่วนกล่าว  ท่านตาของนายท่านสามไม่มีลูกชายหรอกหรือ? 

 ได้ยินว่ามีลูกชายคนหนึ่ง อายุยังไม่ถึงยี่สิบปีก็ป่วยตายเสียก่อน  อวี้เหวินกล่าว  แม้ว่าภายหลังจะรับเด็กจากญาติพี่น้องมาเลี้ยงดูเป็นลูก แต่ทรัพย์สินในสกุลครึ่งหนึ่งก็มอบให้นายหญิงเป็นสินเดิม ทั้งยังมีอีกครึ่งหนึ่งที่แบ่งให้พวกหลานๆ ยามที่ท่านผู้เฒ่าสกุลเฉียนจะจากไป นายท่านใหญ่สกุลเผย นายท่านรองก็ล้วนเป็นฝั่งเป็นฝาหมดแล้ว มีเพียงนายท่านสามที่อายุยังน้อย ท่านผู้เฒ่าสกุลเฉียนกลัวว่านายท่านสามจะเสียเปรียบพวกพี่ๆ ตอนสู่ขอ จึงทิ้งทรัพย์สินไว้ให้เขามากมาย 

 ว้าว!  ดวงตาอวี้หย่วนระยิบระยับขึ้นมาทันที  ช่างเป็นดั่งที่ว่าฮ่องเต้เทิดทูนบุตรคนโต ชาวบ้านเอ็นดูลูกคนเล็ก นายท่านสามสกุลเผยวาสนาดีเสียจริง! 

 มิผิด  อวี้เหวินพูดสัพเพเหระกับอวี้หย่วน  เถ้าแก่ถงบอกว่า เรือนที่อยู่ทางสะพานเหมยเจีย ก็มีบ่าวรับใช้เป็นร้อยแล้ว เรือนตรงประตูชิงปัวนั้นใหญ่ยิ่งกว่าที่นั่นอีก ปกติก็ไม่มีคนไปอยู่ แค่ค่าใช้จ่ายสองเรือนนี้ก็ไม่น้อยแล้ว ทั้งค่าใช้จ่ายพวกนี้ล้วนเป็นนายท่านสามที่ดูแลจัดการเอง เห็นว่านายท่านสามยังมีทรัพย์สินของตัวเอง แต่ทรัพย์สินพวกนั้นอยู่ที่ไหน? มีเท่าใด? ใครล้วนไม่อาจรู้ เพราะว่าเรื่องนี้ ยามที่ท่านผู้เฒ่าสกุลเผยยังมีชีวิตอยู่ ลูกชายคนโตของสกุลเผยก็เอาแต่สงสัยมาตลอดว่าท่านผู้เฒ่าสกุลเผยแอบมอบทรัพย์สินส่วนตัวให้นายท่านสามสกุลเผย… 

อวี้หย่วนกล่าว  หากเป็นข้า ข้าก็สงสัยเช่นกัน นายท่านสามเพิ่งจะอายุเท่าใดเอง… 

อย่างไรก็เป็นเพราะสกุลเผยมีเงินมากมาย!

อวี้ถังนิ่งเงียบเป็นเป่าสาก

นางไม่อยากพูดอะไร

ยามที่เดินตามบิดา เลี้ยวซ้ายอ้อมขวาจนมาถึงโรงเตี๊ยมหรูอี้ นางก็ไม่มีความตื่นตาตื่นใจอะไรสักนิด เพียงเดินตามเด็กรับใช้ของโรงเตี๊ยมขึ้นไปยังห้องตัวเอง นางไม่มีอารมณ์แม้แต่จะสำรวจดูโรงเตี๊ยมหรูอี้ พอล้มตัวนอนลงได้ก็เข้าสู่นิทราทันที

อวี้หย่วนเข้ามาปลุกนาง  ท่านลุงบอกว่าจะพาพวกเราไปเดินเล่นที่ตลาดกลางคืน เจ้ารีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเสีย ท่านลุงบอกว่า อีกสิบห้านาที พวกเราจะออกเดินทาง 

อวี้ถังโตขนาดนี้แล้วยังไม่เคยไปตลาดกลางคืนมาก่อน ในที่สุดนางก็กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาเล็กน้อย เปลี่ยนเป็นสวมชุดต่วนหรู [7] ใช้ผ้าคลุมผมก่อนจะออกไปพร้อมกับบิดาและพี่ชาย

ท้องฟ้านั้นเกือบโพล้เพล้แล้ว พวกเขาเดินทางไปตามทิศเหนือ คนที่สัญจรไปมากลับไม่ลดน้อยลงแต่อย่างใด

อวี้หย่วนบอกนาง  พวกเราจะไปประตูอู่หลิน ตลาดกลางคืนประตูเหนืออยู่ด้านนอกประตูอู่หลิน 

พวกเขาคงไม่เจอเผยเยี่ยนหรอกกระมัง?

อวี้ถังกล่าว  เมืองหังโจวมีตลาดกลางคืนเพียงแห่งเดียวหรือเจ้าคะ? 

 เมืองหังโจวมีตลาดกลางคืนอยู่หลายแห่ง แต่ตลาดกลางคืนทางประตูเหนือกลับมีชื่อเสียงมากที่สุด  อวี้หย่วนกล่าวด้วยรอยยิ้ม  ผู้ที่เดินทางมาเมืองหังโจวส่วนมากก็ล้วนแต่มาเที่ยวเล่นซื้อของ แต่หากเป็นคนหังโจวที่อยู่มานานแล้วกลับชอบไปตลาดกลางคืนของถนนเสี่ยวเหอ ตลาดที่นั่นมีคนน้อยกว่าหน่อย ข้าวของก็แพงกว่าเล็กน้อย ส่วนตลาดกลางคืนประตูเหนือล้วนเป็นพ่อค้าต่างถิ่นที่ขึ้นเหนือล่องใต้ไม่ก็คนเรือที่ไปเที่ยว 

อวี้เหวินที่เดินอยู่ด้านหน้าได้ยินก็ตอบรับบทสนทนาของอวี้หย่วน  ที่สำคัญคือเจ้าไม่เคยไป ข้าอยากให้เจ้าเห็น เป็นสตรี ภายหลังออกเรือนย่อมไม่อาจทำตัวตามใจได้แล้ว ยามนี้สามารถฉวยโอกาสเที่ยวได้มากเท่าใดก็เที่ยวให้ได้มากเท่านั้น เกิดเป็นมนุษย์ ต้องเปิดหูเปิดตาจึงจะมีความกล้า รอวันพรุ่งนี้ ข้าจะพาเจ้าไปตลาดกลางคืนทางถนนเสี่ยวเหอ ให้เจ้าได้เห็นว่าตลาดทั้งสองแห่งแตกต่างกันที่ใด 

คนอย่างเผยเยี่ยน หากจะเดินตลาดกลางคืน ก็คงเดินที่ถนนเสี่ยวเหอกระมัง?

อวี้ถังมีความสุขขึ้นมา กล่าวถามบิดาด้วยรอยยิ้ม  ตลาดทางเหนือมีอะไรอร่อยบ้างหรือเจ้าคะ? 

อวี้เหวินกล่าวยิ้มๆ  ปลาเผาของแม่นางกวนซาน บัวลอยสุราดอกกุ้ยฮวาของป้าหวัง ขนมแป้งทอดของถังเอ้อร์ส่าจือ…มากมายนับไม่ถ้วน เจ้าอย่ากินเยอะเกินไปก็แล้วกัน 

อวี้ถังอดตื่นเต้นไม่ได้  ครั้งหน้าต้องพาท่านแม่มาด้วยนะเจ้าคะ! 

อวี้เหวินแย้มยิ้ม  ยามที่ข้าและมารดาของเจ้าแต่งงานกันใหม่ๆ เคยมาที่นี่สองครั้งแล้ว ภายหลังร่างกายมารดาของเจ้าไม่ค่อยแข็งแรง ข้าจึงไม่กล้าพานางออกมา ทั้งเพราะเจ้า ข้ากลัวนางจะเป็นห่วง จึงไม่พาเจ้าออกมาด้วยเช่นกัน 

ทั้งสามคนคุยเล่นกันไป ก่อนจะออกจากประตูอู่หลิน

อวี้ถังคาดไม่ถึงว่าตลาดกลางคืนประตูเหนือจะไกลจากที่พวกเขาพักถึงขนาดนี้ เดินจนเท้าปวดไปหมด

อวี้หย่วนเห็นฝูงชนเดินเบียดเสียดจนแทบแทรกเข้าไปไม่ได้ ใช้เวลากว่าค่อนวันจึงหาร้านอาหารที่มีที่นั่งแห่งหนึ่งได้ กล่าวปรึกษากับอวี้เหวิน  พวกเราพักกันสักหน่อยดีหรือไม่? 

อวี้เหวินลังเลอยู่บ้าง กล่าวเสียงเบา  การค้าคึกคักเช่นนี้ ร้านของพวกเขากลับไม่มีคน แสดงว่าของอาจจะไม่อร่อย พวกเราเดินไปข้างหน้าอีกหน่อยดีกว่ากระมัง? 

พวกเขาไม่อาจนั่งร้านคนอื่นเฉยๆ โดยไม่สั่งของอะไรได้กระมัง?

อวี้ถังก็คิดเช่นนั้น เพียงแต่ขณะที่นางกำลังจะพูด เงยหน้าขึ้น ก็พบกับเผยเยี่ยนและโจวจื่อจินยืนอยู่ข้างร้านอาหาร

———————————–

[1] คลองต้าอวิ้นเหอ เป็นคลองขุดเพื่อให้เดินเรือได้สะดวก ทั้งเชื่อมต่อดินแดนภาคเหนือและใต้เข้าด้วยกัน

[2] เรืออูเผิง เป็นยานพาหนะทางน้ำที่เป็นเอกลักษณ์ของพื้นที่เจียงหนาน โดยมีการทากันสาดเรือเป็นสีดำ ตัวเรือแคบเล็ก หลังคาเตี้ย

[3] ต้นไหว เป็นไม้ดอกยืนต้นชนิดหนึ่ง มีดอกสีขาว

[4] 当โรงรับจำนำ

[5] 裴氏 สกุลเผย

[6] อู๋เยวี่ย ชาวพื้นเมืองโบราณที่เคยอาศัยในเจ้อเจียง

[7] ชุดต่วนหรู เป็นชุดฮั่นฝู (ชุดของชาวฮั่น) ชนิดหนึ่ง เสื้อตัวบนจะยาวไม่เกินเข่า ใส่คู่กับกระโปรงยาวคล่องตัว

Related

 

เผยเยี่ยนสวมเสื้อคลุมลำลองตัวบางสีเขียวใบไผ่ แม้แต่ปิ่นก็ยังไม่ปัก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเครื่องประดับอย่างอื่น ทั่วร่างเผยความสะอาดสะอ้าน ยังคงทำหน้านิ่งขรึม ไม่สนใจอะไร ด้านโจวจื่อจินสวมชุดคลุมผ้าไหมสีม่วงอมแดงปักด้วยกิ่งดอกสีฟ้ากระจ่าง ที่เอวห้อยหยกแขวน จินซานซื่อ [1] รวมถึงกระเป๋าเล็กๆ บนหัวปักปิ่นมรกต ถือพัดสีแดงเคลือบทองในมือ กำลังพูดอะไรบางอย่างกับเผยเยี่ยน เผยเยี่ยนพยักหน้าเป็นครั้งคราว ท่าทีไม่ใส่ใจนัก

เบื้องหน้าของทั้งสองคนมีเรือเทียบอยู่ลำหนึ่ง

เรือใบสองเสากระโดง ยาวประมาณสิบจั้ง [2] ผิวไม้มันวาวจนสะท้อนเห็นเงาคน หน้าต่างช่องตารางแกะสลักอย่างงดงาม คลุมด้วยผ้าม่านสีขาว แขวนโคมไฟเคลือบเงา

ไม่ใช่เรือลำเดียวกับที่โจวจื่อจินนั่งมาในวันนั้น

แต่ประณีตชดช้อยกว่ามาก

เผยหม่านกำกับบ่าวรับใช้ให้ยกสัมภาระอยู่ด้านข้างเรือ ดูท่าแล้วคงจะมีใครออกเดินทาง

อวี้ถังยื่นคอกวาดสายตามองไปแวบหนึ่ง

อวี้เหวินกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา เผยยิ้มกล่าวกับอวี้ถังและอวี้หย่วน  คาดไม่ถึงว่าจะเจอนายท่านสามสกุลเผยที่นี่ พวกเจ้ารออยู่ตรงนี้ก่อน ข้าจะเข้าไปทักทายเสียหน่อย 

อวี้ถังนึกถึงท่าทีเย่อหยิ่งไร้มารยาทของเผยเยี่ยน ไม่อยากให้บิดาถูกเขาทำลายน้ำใจจึงดึงแขนเสื้ออวี้เหวินไว้ กระซิบเสียงเบา  เขาไม่ได้เห็นพวกเราเสียหน่อย แล้วเขาก็มากับสหายด้วย พวกเราจำเป็นต้องเข้าไปทักทายด้วยหรือ? 

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือบิดาของนางไม่คิดที่จะสอบจวี่เหรินแล้ว ทั้งไม่ตั้งใจจะรับราชการ มีความจำเป็นต้องผูกสัมพันธ์กับสกุลเผยถึงขนาดนั้นเลยรึ?

อวี้เหวินกลับกล่าว  นายท่านสามเป็นคนดีคนหนึ่ง ยามที่ท่านผู้เฒ่าสกุลเผยล่วงลับ ข้าก็อยู่ช่วยเหลือมิใช่รึ? นายท่านสามมาทักทายพวกเราทุกวัน ทั้งยังส่งบ่าวอีกสองคนมารับใช้พวกเราเป็นพิเศษ ดูแลอย่างดี ปฏิบัติด้วยความจริงใจ วันนี้พบเขา ไฉนจึงต้องทำเป็นไม่เห็นไปได้? 

แต่ท่านให้ความสำคัญเขา ใช่ว่าเขาจะให้ความสำคัญท่าน?

อวี้ถังดึงแขนเสื้อของอวี้เหวินไม่ปล่อย  ท่านพ่อ เรือของพวกเราใกล้จะถึงแล้วเจ้าค่ะ 

พวกเขาจะนั่งเรือโดยสารไปเมืองหังโจว

อวี้เหวินกล่าว  ยังมีเวลาเหลือเฟือ หากเรือมาถึงก็ต้องพักที่ท่าเรืออีกสิบห้านาที ไม่กินเวลามากหรอก  พูดจบก็สะบัดแขนเสื้อเดินไป

อวี้ถังกระทืบเท้าเงียบๆ อย่างโมโห

ทว่าอวี้เหวินกลับคล้ายคิดอะไรได้ ชะงักฝีเท้าก่อนจะหมุนกายกลับมา

อวี้ถังเผยสีหน้าดีใจ คิดว่าอวี้เหวินเปลี่ยนใจแล้ว

ใครจะรู้ว่าอวี้เหวินกลับกวักมือเรียกอวี้หย่วน  เจ้าก็ตามมาทักทายนายท่านสามสกุลเผยกับข้าด้วย เผยหม่านก็อยู่พอดี ให้เขาได้เห็นหน้าค่าตา ภายหลังเจ้ามีเรื่องอะไร มาหาเขาก็จะสะดวกราบรื่น 

บิดาของนางเป็นฝ่ายเข้าไปทักทายเผยเยี่ยน ลูกผู้พี่ยังต้องทำความรู้จักกับเผยหม่าน อวี้ถังนั้นโกรธเหลือทน

แต่อวี้หย่วนกลับวิ่งตามบิดานางไปอย่างอารมณ์ดี นางจะโกรธไปก็เปล่าประโยชน์

อวี้ถังปิดตาตัวเอง ไม่อยากเห็นบิดาของนางถูกเผยเยี่ยนปฏิบัติอย่างเย็นชา แต่สิ่งที่ทำให้นางตกตะลึงก็คือ เผยเยี่ยนยังคงมีสัมมาคารวะต่อเขาไม่น้อย ระหว่างที่พูดคุยยังเงยหน้ามองมาที่นางแวบหนึ่ง การมองของเขาครั้งนี้ ทำให้โจวจื่อจินสังเกตเห็นนางเช่นกัน ทอดสายตามายังนาง จากนั้นก็ไม่รู้ว่าพูดอะไรกับบิดาของนาง บิดาของนางโบกไม้โบกมือพักใหญ่ โจวจื่อจินก็หัวเราะออกมา ก่อนจะหันกลับไปทางเผยเยี่ยน

เผยเยี่ยนเผยสีหน้าเรียบนิ่ง ไม่กล่าวคำใดออกมา

โจวจื่อจินก็ไม่พูดอะไรเช่นกัน

เผยเยี่ยนตะโกนเรียกเผยหม่าน

เผยหม่านวางงานในมือลง ก่อนจะสาวเท้าเข้ามาทันที

เผยเยี่ยนชี้ไปที่อวี้หย่วน

เผยหม่านประสานมือคารวะอวี้หย่วน

อวี้หย่วนรีบร้อนคารวะตอบ เห็นได้ชัดว่าตื่นเต้นอยู่บ้าง

เผยเยี่ยนพูดอะไรบางอย่างอีกเล็กน้อย คล้อยหลังอวี้หย่วนก็คารวะเผยหม่านอีกครั้ง เผยหม่านคารวะตอบ ก่อนจะหมุนกายไปสะสางงานของเขาต่อ

อวี้เหวินและเผยเยี่ยนพูดคุยกันอีกไม่กี่คำ เผยเยี่ยนผงกศีรษะ อวี้เหวินและโจวจื่อจินทักทายกันอีกครั้ง ก่อนทุกคนจะแยกย้ายกันไป

อวี้ถังค่อยโล่งใจ รอจนบิดาของนางเดินเข้ามาก็อดถามไม่ได้  ท่านพ่อ นายท่านสามพูดอะไรกับท่านบ้างรึ? 

อวี้เหวินเผยใบหน้าอิ่มเอมราวกับดีใจเป็นอย่างยิ่ง  นายท่านสามไม่เลวเลยจริงๆ สหายคนนั้นของเขาก็ใช้ได้เช่นกัน ได้ยินว่าพวกเราจะไปเมืองหังโจวทางเดียวกับพวกเขาพอดีจึงเชิญพวกเรานั่งเรือไปด้วยกัน ข้าเห็นท่าทางของนายท่านสามคล้ายมีเรื่องสำคัญจึงปฏิเสธอย่างสุภาพไป คาดไม่ถึงว่านายท่านสามก็ไม่ได้รั้งข้าแต่อย่างใด แต่ว่า เขาอายุน้อยเช่นนี้ก็สามารถฝึกงานกับหกกรมได้แล้ว ย่อมไม่ใช่คนไร้เหตุผล ข้ากับเขาเพิ่งคุยไม่กี่คำ เขาก็เรียกเผยหม่านเข้ามาแนะนำให้พี่เจ้ารู้จักแล้ว อาศัยแค่สายตากว้างไกลของเขาภายหลังย่อมก้าวหน้าในหน้าที่การงานและไต่เต้าสู่ความสำเร็จได้แน่ 

อวี้ถังลอบเบะปากอยู่ในใจ

ก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ไต่เต้าสู่ความสำเร็จอย่างนั้นรึ ในอนาคตเขาก็ไม่ได้รับราชการเสียหน่อย

ทั้งอายุน้อยก็ฝึกงานในหกกรม ไม่ใช่เพราะเขาสอบในตำแหน่งซู่จี๋ซื่อได้รึ? ไม่เกี่ยวกับว่าเขาสายตากว้างไกลเสียหน่อย?

ส่วนคำชมที่บิดามีต่อเผยเยี่ยน เดิมทีนางก็ไม่เชื่ออยู่แล้ว คิดว่าบิดามองเขาด้วยความเมตตา ดังนั้นจึงได้ชมเขาเช่นนี้

ไม่อย่างนั้น ตอนที่โจวจื่อจินเสนอให้พวกเขาร่วมเดินทางไปหังโจว เหตุใดเขาจึงไม่คล้อยตามเป็นมารยาทเสียหน่อย?

เดิมทีเขาก็ไม่อยากให้พวกนางร่วมทางไปด้วยเถอะ

หนำซ้ำแค่ท่าทีสีหน้าธรรมดาก็ประคองไว้ไม่ได้ คำพูดเป็นมารยาทไม่มีสักคำ

ชั่วขณะนั้นอวี้ถังก็นึกถึงยามที่พบกับเผยเยี่ยนครั้งที่แล้ว แววตาเผยเยี่ยนยามมองนาง

ช่างน่าโมโหเสียจริง!

นางพองลมจนเต็มแก้ม

กระทั่งอวี้หย่วนก็ชมเผยเยี่ยนไม่ขาดปากเช่นกัน  อ่อนน้อมถ่อมตนทั้งยังสุภาพ ไม่เย่อหยิ่งจองหองสักนิด ข้ายังคิดว่าคนอายุน้อยที่ประสบความสำเร็จอย่างเขาจะถือตัวเหมือนกันหมดเสียอีก ไม่อยากคบค้าสมาคมกับคนอย่างพวกเรา สมแล้วที่นายท่านสามสกุลเผยเป็นบัณฑิต ในท้องมีกวีและหนังสือ บุคลิกย่อมงามสง่าโดยธรรมชาติ มีความสุภาพอ่อนโยน กิริยาน่ามอง 

อวี้ถังทนฟังต่อไปไม่ไหว  ท่านพี่ ‘คนอย่างพวกเรา’ หมายความว่าอย่างไร สกุลของเราไม่ดีตรงไหนกันเจ้าคะ? ท่านอย่าได้ดูถูกตัวเองจนเกินไป! 

อวี้หย่วนเผยสีหน้าลำบากใจ

อวี้เหวินหัวเราะเสียงดัง ตบไหล่หลานชาย  ตอนแรกข้าก็คิดว่าเจ้าควรจะเรียนหนังสือดีๆ ตามข้า แต่พี่ใหญ่จะให้เจ้าค้าขายเหมือนเขาให้ได้ คงเห็นแล้วกระมัง? ผู้ที่เป็นบัณฑิตได้รับความนับหน้าถือตาจากผู้อื่นมากกว่า เจ้าไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสืออีกแล้ว ภายหลังลูกของเจ้าไม่อาจจะซ้ำรอยเดิมเจ้าได้เชียว แม้ว่าต้องขายร้านค้าประจำสกุลออกไป ก็ต้องให้พวกเด็กๆ ได้เรียนหนังสือ 

อวี้หย่วนเห็นด้วยอย่างยิ่ง ผงกศีรษะไม่หยุดหย่อน

อวี้ถังกลับไม่คิดเช่นนั้น นางกล่าวแก้ต่างให้อวี้หย่วน  หากท่านพี่ไม่ทำการค้าตามท่านลุง อย่าพูดถึงท่านลุงเลย แต่ค่ากินค่าอยู่อาศัยของพวกเราคงมิพ้นจะเป็นปัญหาเสียหมด ข้ากลับคิดว่าท่านลุงใหญ่ทำถูกแล้ว 

 เจ้าเด็กคนนี้!  อวี้เหวินกล่าว  ไฉนจึงเหมือนประทัดเช่นนี้ แค่จุดก็ติดไฟ ไม่สิ ไม่ต้องจุดก็ติดไฟแล้ว ข้าไม่ได้จะพูดอะไร เพียงอยากให้สายตาพี่ของเจ้ากว้างไกลกว่านี้ เด็กๆ จำเป็นต้องได้เรียนหนังสือ 

สองพ่อลูกเถียงกันไปมา ก่อนเรือจะเข้ามาเทียบท่า

อวี้ถังตามบิดาและพี่ชายขึ้นเรือ

ก่อนจะเข้าไปในเรือ นางก็ยังทอดสายตามองไปทางเผยเยี่ยนอีกครั้งอย่างอดไม่ได้

บ่าวรับใช้พวกนั้นยังคงขนสัมภาระ

นางนึกถึงเหตุการณ์ยามที่โจวจื่อจินมา อดกล่าวถามอวี้หย่วนเสียงเบาไม่ได้  ท่านพี่ พวกเขาไปทำอะไรที่เมืองหังโจว? นายท่านสามก็ไปด้วยหรือ? 

อวี้หย่วนชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะมองไปทางเผยเยี่ยน  ได้ยินโจวจ้วงหยวนผู้นั้นกล่าวว่า ผู้ตรวจการศึกษาเจ้อเจียงคนใหม่เป็นศิษย์ร่วมสำนักของนายท่านสามสกุลเผย โจวจ้วงหยวนเหมือนว่าจะมีเรื่องอะไรอยากให้ผู้ตรวจการศึกษาช่วยเหลือ จึงลากนายท่านสามไปด้วยกัน มิเช่นนั้นนายท่านสามก็คงยังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ ไม่ถ่อไปถึงเมืองหังโจวหรอก 

อวี้ถังเหนือความคาดหมายอยู่บ้าง ในใจคาดเดาเผยเยี่ยนในแง่ลบ

ไม่แน่ว่าเขาพูดกับบิดาของนางเช่นนี้ ก็เพราะต้องการให้บิดานางช่วยพูดแทนเขาว่าไปเมืองหังโจวด้วยเหตุใด คนอื่นจะได้ไม่คิดว่าเขาไม่อยู่เรือนช่วงไว้ทุกข์ กลับออกมาเที่ยวเล่นในเมืองหางโจวเช่นนี้

อวี้ถังมองเผยเยี่ยนอย่างดูแคลนไปอีกครั้ง

วันนี้คนโดยสารเรือมีไม่มาก กระจัดกระจายกันไป จึงมีที่ว่างเหลือเฟือ

พวกเขาหามุมนั่งลง

หลังจากเรือออกท่า ลมเย็นต้นสารทฤดูก็ปะทะใบหน้า สดชื่นและเย็นสบาย สุขอุราเป็นอย่างยิ่ง

อวี้หย่วนไปซื้อน้ำชาเข้ามาให้สองพ่อลูก ก่อนทั้งสามคนจะนั่งดื่มชาพูดคุยกัน

อวี้เหวินถามอวี้ถัง  เจ้ามีที่ใดอยากไปหรือไม่? หรืออยากจะซื้อของอะไร? 

อวี้ถังยังคงพะวงเกี่ยวกับภาพวาด ไหนเลยจะมีใจไปเที่ยวเล่น? แต่ว่าในเมื่อนางมาเมืองหังโจว อย่างไรก็ควรซื้อของไปฝากท่านแม่และหม่าซิ่วเหนียงเสียหน่อย

นางนวดแขนให้บิดาอย่างออดอ้อน  ข้าจะซื้อผ้าเช็ดหน้ากับผ้าคลุมผมกลับไปสักสองสามผืนได้หรือไม่เจ้าคะ? 

อวี้เหวินรู้สึกแปลกใจ  ซื้อแค่นี้งั้นหรือ? 

ทุกครั้งที่เขาออกจากบ้าน อวี้ถังแทบอยากจะเขียนรายการสิ่งของใส่กระดาษยาวๆ ให้เขาซื้อของกลับมาทั้งหมด

อวี้ถังหน้าแดง กล่าวอ้อมแอ้ม  นั่นข้ายังไม่ค่อยรู้ความเท่าไรต่างหาก? 

อวี้เหวินฟังก็หัวเราะออกมา ในใจกลับรู้สึกเงียบสงบอย่างแปลกประหลาด โบกมือไปมา  เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องเงิน อยากซื้ออะไรก็ซื้อ รอหลังจากพ้นเทศกาลไหว้พระจันทร์ไปเสียก่อน กำไรจากที่นาย่อมถูกส่งเข้ามา ในบ้านก็มีเงินใช้แล้ว 

อวี้ถังลอบถอนหายใจกับตัวเอง

เหตุใดชาติก่อนนางจึงไม่รู้ว่า บิดามีรายได้ไม่พอกับรายจ่ายกันนะ

แต่ว่า นางก็เหมือนจะ…

อวี้ถังเผยสีหน้าอึดอัดใจ

มีคนเกาะหน้าต่างเรือส่งเสียงร้อง

คนในเรือล้วนตกใจ รีบหันมองออกไปอย่างวุ่นวาย

ก่อนจะพบกับเรือใบเงาวาวสองเสากระโดงล่องน้ำมาอย่างคล่องแคล่วราวกับมัจฉา ฝ่าลมโต้คลื่นผ่านด้านข้างพวกเขาไป

 เป็นเรือของสกุลเผย!  มีคนตะโกนเสียงดัง  ข้าเคยเห็น ยามที่ท่านผู้เฒ่าเผยมีชีวิตอยู่ ทุกครั้งที่ไปเมืองหังโจวก็จะนั่งเรือแบบนี้แหละ 

 จริงรึ?  คนผู้นั้นไม่พูดยังจะดีกว่า พอพูดออกมา ก็มีคนถลาไปเกาะดูที่หน้าต่างเรือเพิ่มขึ้นอีก

 ช่างเร็วเสียจริง! 

 งามยิ่งนัก! 

ทุกคนต่างพากันชม

ก่อนจะมีคนตะโกน  พวกเจ้ารีบดู นั่นใช่ป้ายทางการหรือไม่! มีใครรู้หนังสือบ้าง รีบดูสิว่าเขียนว่าอะไร? 

อวี้หย่วนก็ชะโงกดูเช่นกัน

อวี้ถังดึงเขากลับมา  ท่านพี่ มีอะไรให้ดูกันนักหนา ก็แค่เรือลำเดียวเท่านั้น คนอื่นจะคิดว่าพวกเราไม่เคยเห็นเอาได้ 

อวี้หย่วนหัวเราะ  นี่ไม่ใช่ว่าข้าอิจฉาหรอกหรือ? หากมีวันใดที่สกุลของพวกเราขับเรือเช่นนั้นได้ก็คงจะดี 

อวี้ถังยู่ปาก

อวี้หย่วนลูบศีรษะนาง  อาถังอย่าได้โกรธไป ภายหลังพี่ย่อมจะหาเงินมากๆ ให้หลานของเจ้าได้เรียนหนังสือดีๆ ยามที่อาถังกลับบ้านเกิด ข้าก็จะให้หลานของเจ้าชักป้ายของทางการ ใช้เรือใหญ่เช่นนั้นไปรับเจ้า 

พี่ชายของนางคนนี้ช่างพูดไปเรื่อย!

อวี้ถังเอ่ยด้วยน้ำเสียงเอาแต่ใจ  ข้าจะอยู่ที่เรือน ไม่แต่งออกให้ใคร กลับบ้านเกิดอะไรกัน! 

อวี้หย่วนยิ้มอย่างฝืดๆ ก่อนจะมองไปทางอวี้เหวินคล้ายกับขอความช่วยเหลือ

อวี้เหวินที่ไม่ปริปากตั้งแต่เมื่อครู่กลับตบโต๊ะขึ้นมา เอ่ยอย่างจริงจัง  อาถังพูดถูก ควรจะทำกิจการให้ดี แล้วค่อยคิดวิธีให้ลูกหลานเรียนหนังสือ สกุลเผยก็เป็นเช่นนั้น ยามที่เพิ่งจะย้ายมาที่นี่ก็ไม่ได้สอบเคอจวี่ [3] ในทันที แต่เริ่มต้นจากรุ่นที่สอง  ก่อนจะพูดกับอวี้หย่วนต่อ  หลายปีมานี้ข้าเข้าใจบิดาของเจ้าผิดไป รอกลับไปหลินอัน ข้าจะไปเลี้ยงสุราพี่ใหญ่! 

อวี้หย่วนพูดคำว่า ‘มิกล้า’ ติดต่อกันอย่างขัดเขิน

อวี้ถังกลับหมดอารมณ์ที่จะพูดอีกแล้ว

เหตุใดไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็พบแต่คนของสกุลเผย พูดอะไรก็ล้วนแต่เอ่ยถึงสกุลเผย!

นางไม่อาจใช้ชีวิตที่ไม่มีเผยเยี่ยน ไม่มีสกุลเผยได้เลยหรือ?

ช่างน่าโมโหเสียจริง!

————————————————

[1] จินซานซื่อ เครื่องใช้สามชนิดที่คนโบราณนิยมห้อยพกติดตัว ได้แก่แหนบ ที่แคะฟัน และไม้แคะหู

[2] หนึ่งจั้ง ประมาณ 3.33 เมตร

[3] เคอจวี่ การสอบเข้ารับราชการของจีน แบ่งเป็นระดับต้นคือถงซื่อ ระดับกลางคือเซียงซื่อ ระดับสูงคือฮุ่ยซื่อ และระดับสูงสุดคือเตี้ยนซื่อ

Related

 

ผู้ที่นอนไม่หลับอีกคนยังมีมารดาของเด็กที่ขโมยของผู้นั้น

เมื่อมารดาของเด็กคนนั้นได้ยินความเคลื่อนไหวของสกุลอวี้ นางก็จัดการตัวเองอย่างรวดเร็วแล้วออกมาด้านนอก เห็นป้าเฉินกำลังกวาดลานบ้าน นางไม่ปริปากกล่าวอันใด หาไม้กวาดมาอันหนึ่งก็เริ่มทำความสะอาดทันที ป้าเฉินขัดขวาง นางจึงกอดไม้กวาดพลางวิงวอนอย่างขื่นขม  ท่านให้ข้าช่วยทำอะไรเพื่อพวกท่านบ้างเถิด มิเช่นนั้น ข้าคงไม่มีหน้าไปพบนายหญิงอวี้ 

ป้าเฉินไม่อาจห้ามนางได้ จึงมอบงานกวาดลานบ้านให้นางอย่างรู้แล้วรู้รอดไป ส่วนตัวเองก็ไปยุ่งอยู่ในครัวแทน

มารดาของเด็กคนนั้นดีอกดีใจ ตั้งใจปัดกวาดลานอย่างขะมักเขม้น

อวี้ถังยืนอยู่ข้างหน้าต่าง ฟังเสียงกวาดพื้น ครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนไปเคาะประตูห้องอาเสา

อาเสาหาวหวอดออกมาเปิดประตู เมื่อเห็นว่าเป็นอวี้ถังก็ตกใจพลันตื่นเต็มตาทันที รีบร้อนกล่าว  คุณหนู มีเรื่องอะไรหรือขอรับ? 

อวี้ถังกล่าว  เจ้าเรียกขโมยผู้นั้นออกมา 

อาเสาจึงเข้าไปเรียกคน

บางทีอาจเป็นเพราะนอนไม่ค่อยหลับ เด็กคนนั้นจึงมีท่าทีเซื่องซึม ดวงตาแดงก่ำราวกับเมล็ดลูกท้อ

อวี้ถังชี้ไปยังหญิงที่กวาดลานบ้านอยู่  เจ้าดูสิ เจ้าทำเรื่องงามหน้าไว้ กลับต้องให้มารดาช่วยเจ้าชดใช้ วันนี้ฟ้าไม่ทันสางนางก็ลุกขึ้นมาช่วยคนของข้ากวาดลานบ้านแล้ว 

เด็กคนนั้นน้ำตารื้นขึ้นมาทันที

อวี้ถังกล่าว  ท่านพี่ของข้าไปตามท่านพ่อแล้ว เจ้ามีอะไรจะพูดก็รีบบอกข้าให้เร็วๆ เสีย มิเช่นนั้น หากรอให้ท่านพ่อสืบหาได้เอง เจ้าก็รอรับผลที่ตามมาได้เลย 

 ข้าพูดในสิ่งที่รู้ไปหมดแล้ว  เด็กคนนั้นน้ำตานอง สะอื้นกล่าว  จากนี้ข้าไม่กล้าทำอีกแล้วจริงๆ 

อวี้ถังเห็นว่าไม่อาจถามอะไรได้ ก็กำชับให้อาเสาดูคนให้ดี ก่อนจะไปหาคนสกุลเฉิน

คนสกุลเฉินก็นอนไม่ค่อยหลับเช่นกัน กำลังคลึงศีรษะไปมา

อวี้ถังเรียก ‘ท่านแม่’ ก่อนจะเข้าไปช่วยนวดขมับ กล่าวปลอบโยน  ท่านอย่าได้กังวลใจไปเลย ท่านพี่ไปตามท่านพ่อแล้ว ต่อจากนี้จะไม่มีคนมาขโมยของง่ายๆ อีก 

 ขอให้เป็นเช่นนั้นเถิด!  คนสกุลเฉินถอนหายใจ

อวี้ถังครุ่นคิดเล็กน้อย  เมื่อวานโชคดีที่เพื่อนบ้านช่วยเหลือไว้ ท่านว่าทำขนมไปส่งให้พวกเขาที่บ้านเพื่อขอบคุณเสียหน่อยดีหรือไม่เจ้าคะ 

 จริงสิ  คนสกุลเฉินได้ฟังก็กระปรี้กระเปร่าขึ้นมา กล่าวชม  อาถังของพวกเราโตเป็นผู้ใหญ่แล้วจริงๆ รู้จักมีมนุษย์สัมพันธ์เสียด้วย 

คนสกุลเฉินเผยท่าทีชื่นอกชื่นใจ

อวี้ถังอมยิ้ม

คนสกุลเฉินมีเรื่องให้ทำ จึงไม่นึกถึงเรื่องเมื่อวานอีกแล้ว

หลังจากกินข้าวเช้า นางและป้าเฉินก็ทำขนมไป๋ถังเกา [1] หนึ่งหม้อ ทั้งแบ่งใบชาในเรือนออกมา ก่อนจะนำไปให้แต่ละบ้านเพื่อแสดงความขอบคุณ รอจนส่งขนมเสร็จแล้ว ก็ถึงเวลาอาหารเที่ยงพอดี

อวี้เหวินกลับมาโดยขี่ล่อของนายท่านอู๋

 แล้วอาหย่วนล่ะ?  คนสกุลเฉินถามอย่างแปลกใจ

อวี้เหวินเอ่ยอย่างอ้อมค้อม  ข้าให้เขาไปทำธุระนิดหน่อย อาหารเสร็จแล้วหรือ? อีกสักพักยังต้องเอาล่อไปคืนนายท่านอู๋ ทั้งต้องเตรียมของให้เป็นมารยาท เรื่องเมื่อวาน เขาช่วยไว้ไม่น้อย 

เห็นได้ชัดว่ามีเรื่องปิดบังคนสกุลเฉิน

คนสกุลเฉินเห็นเขามีท่าทีไม่ค่อยดี จึงกำชับอวี้ถังไปช่วยป้าเฉินจัดโต๊ะในครัว ส่วนตัวเองก็ไปตักน้ำ ล้างหน้าสางผมให้อวี้เหวิน

อวี้เหวินผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า ล้างหน้าล้างตา ก่อนจะถามคนสกุลเฉิน  ขโมยผู้นั้นกับแม่ของเขาล่ะ? 

คนสกุลเฉินกล่าว  อยู่ในโรงฟืน กลัวว่าใครจะมาเห็นเข้า 

อวี้เหวินไม่ได้สนใจสองแม่ลูกคู่นั้น เพียงร่วมโต๊ะอาหารกับคนสกุลเฉินและอวี้ถังก่อนจะหิ้วขนมและน้ำชา ไปคืนล่อให้นายท่านอู๋ด้วยตัวเอง เวลานี้จึงค่อยได้นั่งลงดีๆ พูดคุยกับคนสกุลเฉินและอวี้ถัง  หลังจากข้าไปเรือนนายท่านอู๋ ก็ไปหาผู้นำหมู่บ้าน ตรอกชิงจู๋ของพวกเราไม่เคยมีคนลักเล็กขโมยน้อยมาตั้งหลายปี เด็กผู้นี้ปล่อยไว้ไม่ได้ แต่เห็นแก่หน้าเพื่อนบ้าน ข้าจะไม่ส่งเขาให้ทางการ มอบเขาให้ครอบครัวจัดการลงโทษกันเอง ผู้นำหมู่บ้านก็เห็นด้วย อีกสักพักเขาจะเข้ามาพาคนไป 

คนสกุลเฉินโล่งใจขึ้นมา  แบบนี้ก็ดี จะได้ไม่เสียชื่อเสียงของตรอกชิงจู๋พวกเราด้วย  จากนั้นนางก็ถามเรื่องของหลู่ซิ่น  กำหนดฤกษ์ฝังศพแล้วหรือยัง? มีอะไรให้พวกเราช่วยหรือไม่? 

เอ่ยถึงเรื่องนี้ อวี้เหวินก็รู้สึกเศร้าโศก  เรื่องนี้ล้วนเป็นความผิดของข้า จะให้ดึงพวกเจ้าเข้าไปเกี่ยวได้อย่างไร ข้าและพระในวัดจะฝังศพเขาพรุ่งนี้ ถึงเวลานั้นให้อาหย่วนไปช่วยเสียหน่อยก็เพียงพอแล้ว พวกเจ้าพักผ่อนสบายๆ อยู่ที่เรือนเถิด ทำเรื่องของพวกเจ้าไป 

ระหว่างที่พูด อวี้หย่วนก็กลับมา

อวี้เหวินเอ่ยกับคนสกุลเฉิน  อีกเดี๋ยวข้าจะกลับไปที่วัด หลู่ซิ่นไร้บุตรธิดา คืนนี้ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนเขา อากาศหนาวขึ้นเรื่อยๆ เจ้าเตรียมเสื้อผ้าหนาๆ ให้ข้าสักตัวสองตัวเถิด ยามที่ข้าไปวัดจะพกไปด้วย 

คนสกุลเฉินตอบรับก่อนจะออกไป

อวี้เหวินเรียกอวี้ถังทันที  เจ้าตามข้าไปที่ห้องหนังสือ 

อวี้ถังตระหนักได้ว่าบิดาย่อมต้องถามเรื่องภาพนั้นเป็นแน่ ผงกศีรษะ ก่อนจะตามบิดาไปห้องหนังสืออย่างเงียบๆ

อวี้หย่วนก็อยู่เช่นกัน

ทั้งสามคนพูดคุยกันด้วยเสียงเบา

เวลานี้อวี้ถังจึงรู้ว่า ที่แท้อวี้หย่วนได้รับคำสั่งจากอวี้เหวินให้ไปบ่อนพนัน ผู้ดูแลบ่อนไม่ยอมรับว่าถูกคนไหว้วาน ยืนยันว่าตัวเองได้ยินมาว่าเรือนของพวกเขามีภาพวาดเช่นนี้อยู่ ทั้งไม่อยากเสียเงินซื้อ ดังนั้นจึงจ้างวานเด็กคนหนึ่งไปขโมยของที่เรือนพวกเขา

ผู้ดูแลบ่อนกล่าวเช่นนี้ อวี้หย่วนก็ไม่อาจให้เขาเป็นคนกลางได้

ส่วนการตายของหลู่ซิ่นกลับไม่ได้รับข้อมูลอะไร

อวี้เหวินกล่าวว่า  เวลานั้นข้าเพียงคิดอยากย้ายศพกลับมาให้เร็วที่สุดเท่านั้น คนไร้ลมหายใจ เขาตายเมื่อไร ก่อนตายมีอะไรแปลกๆ ทั้งทิ้งของต่างหน้าไว้หรือไม่ ข้าคิดว่าคนตายก็เหมือนตะเกียงที่มอดดับ จึงไม่ได้ถามให้มากความแต่อย่างใด 

เขากล่าวอย่างรู้สึกเสียดาย  หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ ข้าคงถามให้ชัดเจนไปแล้ว 

เย็นวันนี้อวี้ถังครุ่นคิดมากมาย ในใจปรากฏความคิดหนึ่งขึ้นมาอย่างเงียบๆ รอจนบิดาและญาติผู้พี่พูดจบแล้ว นางจึงค่อยกล่าวหยั่งเชิง  ท่านพ่อ ข้าคิดว่าเรื่องนี้พวกเราต้องสืบให้แน่ชัด อย่าเพิ่งพูดถึงอย่างอื่นเลยแต่อย่างน้อยพวกเราก็ควรรู้ว่าเพราะเหตุใดอีกฝ่ายจึงจ้องจะเอาภาพนี้ให้ได้ แม้ว่าพวกเขาอยู่ที่ลับ พวกเราอยู่ที่แจ้ง พวกเราก็ควรหาวิธีจัดการกับอีกฝ่าย มิเช่นนั้นพวกเราคงจะถูกกระทำเพียงฝ่ายเดียว ไม่แน่ว่าอาจจะเหมือนหลู่ซิ่วไฉ… 

อวี้เหวินได้ฟัง ใบหน้าก็เขียวคล้ำขึ้นมา

อวี้ถังกล่าว  ท่านพ่อ ท่านพี่ ข้ามีวิธีหนึ่ง 

สายตาของอวี้เหวินและอวี้หย่วนพุ่งเป้าไปที่นาง

ยามนี้นางจึงเอ่ยต่อ  ก่อนหน้านี้เถ้าแก่ถงพูดว่า ภาพ ‘คนตกปลาใต้ต้นสนริมน้ำ’ ไม่ถึงกับปลอมทั้งหมด เป็นอาจารย์ที่มีฝีมือยอดเยี่ยมคนหนึ่งแกะกระดาษซวนจื่อ [2] ชั้นบนสุดออกไปแผ่นหนึ่ง เหลือชั้นด้านล่างเอาไว้ จากนั้นก็ลอกภาพวาดจากร่องรอยที่เหลือใหม่อีกครั้งไม่ใช่รึ? เถ้าแก่ถงยังพูดว่า กระดาษซวนจื่อมีหลายชั้น เช่นนั้นแล้ว พวกเราก็หาอาจารย์ที่มีฝีมือชำนาญ แกะภาพชั้นบนสุดนี้ออก ให้พวกเขาขโมยไป เมื่อเป็นเช่นนี้ นอกจากพวกเราจะคลี่คลายสถานการณ์ได้ ยังสามารถตรวจสอบอย่างละเอียดว่าภาพวาดนี้มีความลับอะไรกันแน่ ท่านว่าเป็นอย่างไร? 

ดวงตาของอวี้เหวินและอวี้หย่วนใสกระจ่างขึ้นมา อวี้เหวินไม่ปิดบังความดีใจของตัวเองแม้แต่น้อย ชื่นชมลูกสาว  อาถัง ตั้งแต่เล็กเจ้าก็หลักแหลมมีไหวพริบ เพื่อลูกอมไม่กี่เม็ด ความคิดพิเรนทร์อันใดก็ล้วนคิดออกมาได้ ในที่สุดวันนี้ความฉลาดของเจ้าก็ใช้อย่างถูกเรื่องเสียที เจ้าพูดมีเหตุผล แทนที่จะให้อีกฝ่ายสงสัยว่าพวกเราส่งภาพปลอมให้เขา สงสัยพวกเราว่าไม่ยินดีขายภาพให้เขา ยังมิสู้ทำอย่างที่เจ้าว่า พวกเราก็ทำของปลอมขึ้นมาอันหนึ่งก็เพียงพอแล้ว 

อวี้หย่วนกล่าว  อารอง อาถัง ก่อนหน้านี้ที่ข้าดูแลกิจการเครื่องลงรัก ได้รู้จักช่างเลียนแบบวัตถุโบราณคนหนึ่ง พวกเราไปถามเขาได้ 

อวี้เหวินเอ่ยถาม  ไว้ใจได้หรือไม่? หากมีข่าวลืออะไรแพร่งพรายออกไป จะได้ไม่คุ้มเสีย 

อวี้หย่วนตอบด้วยรอยยิ้ม  คนผู้นั้นแซ่เฉียน อาศัยอยู่ที่เมืองหังโจว เพราะไม่ได้ค้าขายอย่างตรงไปตรงมา ดังนั้นจึงพักอยู่ในสถานที่ที่เรียกว่าตรอกสือจื้อ ที่นั่นเป็นสถานที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดของเมืองหังโจว ถนนสองข้างทางมีร้านค้าตั้งเรียงราย ไม่รู้ว่าทุกวันมีคนเข้าออกจำนวนมากมายเท่าใด ทั้งถนนหนทางก็เชื่อมต่อกันไปหมด ครึกครื้นเป็นอย่างยิ่ง หากเกิดเรื่อง วิ่งออกจากตรอกไปก็หาตัวไม่เจอแล้ว ท่านวางใจเถิด ยามที่พวกเราไปก็เดินอ้อมไปอ้อมมา ระวังให้มากหน่อย ย่อมไม่อาจถูกคนพบเห็น 

อวี้เหวินเหนือความคาดหมายอยู่บ้าง กล่าวพึมพำ  อยู่เมืองหังโจวนี่เอง! 

 ใช่แล้ว!  อวี้หย่วนคิดโน้มน้าวอวี้เหวิน  ท่านลองคิดดู คนที่ทำกิจการเช่นนี้ จะเร้นกายหลบอยู่บ้านนอกได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้นเมืองหังโจวก็อยู่ไม่ไกลจากพวกเรา นั่งเรืออย่างมากที่สุดครึ่งค่อนวันก็ถึงแล้ว ทั้งหากมีคนถามขึ้นมาก็รับมือง่าย นี่ไม่ใช่ใกล้ถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์แล้วหรือ? แค่เอ่ยว่าอยากไปซื้อข้าวของที่เมืองหังโจวเสียหน่อยก็จบแล้ว 

อวี้เหวินครุ่นคิดเล็กน้อยพร้อมตบโต๊ะ  เช่นนั้นก็เอาแบบนี้แหละ! 

อวี้ถังรีบขัด  ท่านพ่อ เช่นนั้นข้าต้องไปหรือไม่? ข้าอยากไปกับพวกท่านด้วย ข้าเคยไปเมืองหังโจวตั้งแต่ยังเล็กเพียงครั้งเดียวเอง! ท่านก็พาข้าไปด้วยเถิดนะเจ้าคะ 

อวี้เหวินลังเลไปสักพัก ก่อนจะตัดสินใจ  ได้ พาเจ้าไปด้วย แต่ว่าระหว่างทางไม่อนุญาตให้ก่อเรื่อง เบิกตาให้กว้าง ปิดปากให้สนิท แต่หากพบเจออะไรผิดปกติ ต้องรีบบอกข้าและท่านพี่ของเจ้าทันที 

นี่บิดาเชื่อมั่นในความสามารถของนางแล้วกระมัง!

อวี้ถังดีใจอย่างถึงที่สุด เดินเข้าไปกอดบิดา  ท่านใจดีจริงๆ 

อวี้เหวินกลับแสร้งทำหน้านิ่ง เอ่ยอย่างเคร่งขรึม  เจ้าอย่าเพิ่งประจบเร็วไป เรื่องนี้ต้องปิดบังแม่ของเจ้า เจ้ารู้หรือไม่? 

 เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ!  อวี้ถังรับประกัน

อวี้เหวินเผยยิ้ม กล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่นกับอวี้หย่วน  ทางพี่ชายและพี่สะใภ้ เจ้าก็อย่าได้แพร่งพรายอันใด พวกเขาสองคนจะได้ไม่เป็นห่วงพวกเรา 

 เข้าใจแล้วขอรับ!  อวี้หย่วนเอ่ยอย่างนอบน้อม

อวี้ถังวิ่งหายวับไปกับตา  ท่านพ่อ ข้าจะไปเก็บของแล้ว 

อวี้เหวินและอวี้หย่วนเห็นเช่นนั้นก็ยิ้มทั้งส่ายศีรษะ

คนสกุลเฉินรู้ว่าอวี้เหวินจะพาอวี้ถังไปเมืองหังโจว ก็อดบ่นพึมพำไม่ได้  แม้จะพูดว่าใกล้เทศกาลไหว้พระจันทร์แล้ว แต่ก็ไม่มีความจำเป็นต้องไปซื้อของถึงเมืองหังโจวหรอกกระมัง? เมืองหลินอันขาดแคลนสิ่งใดกัน? 

อวี้เหวินยินดีพาอวี้ถังไปเที่ยวเล่นเมืองหังโจว แน่นอนว่านางดีใจ แต่ยามนี้ เงินในบ้านแทบไม่มี อวี้เหวินเป็นคนหนึ่งที่สุรุ่ยสุร่าย ยังมีอวี้ถัง เด็กคนนั้น แม้ออกจากบ้านไม่เจออะไรถูกใจ ก็ยังต้องซื้อลูกอมกลับมาสองสามเม็ด หากพวกเขาใช้เงินเช่นนี้ ช่วงเวลาครึ่งปีหลัง สกุลของพวกเขาจะผ่านไปได้อย่างไรเล่า?

อวี้ถังคาดเดาความคิดของมารดาได้อย่างเลือนราง นางนวดแขนให้มารดาอย่างแข็งขัน  ท่านแม่ ข้าไปกับท่านพ่อ ก็เพื่อคอยดูเขา ไม่ให้เขาซื้อของตามอำเภอใจ 

คนสกุลเฉินหัวเราะออกมา ลูบศีรษะของลูกสาว  เจ้าสามารถดูแลตัวเองได้ก็พอแล้ว เจ้ายังจะช่วยข้าควบคุมพ่อของเจ้าอีกหรือ? 

 จริงๆ นะเจ้าคะ!  อวี้ถังสาบาน  หากข้าซื้อของสุรุ่ยสุร่าย ก็ลงโทษไม่ให้ออกจากบ้านหนึ่งเดือน 

คนสกุลเฉินบิดจมูกลูกสาว ไม่ได้เชื่อคำพูดของนาง กระนั้นก็ไม่อยากขัดขวางลูกสาวและสามี เก็บความคิดไว้ในใจ ทำเป็นไม่รู้อะไร

หากเกิดเรื่องร้ายแรง ครึ่งปีหลังนางค่อยเอาเครื่องประดับไปจำนำสักชิ้นสองชิ้น

สองแม่ลูกนั่งเล่นพูดคุย ก่อนผู้นำหมู่บ้านจะพาคนจำนวนหนึ่งเข้ามา

อวี้เหวินต้อนรับพวกเขาอยู่ที่ห้องโถง

ดื่มชาไปครึ่งถ้วย ไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบไม่กี่คำ คนพวกนั้นก็พาเด็กคนนั้นและมารดาของเขาจากไป

ได้ยินว่า คนที่ตามผู้นำหมู่บ้านมาล้วนเป็นคนในสกุลเด็กคนนั้น ส่วนพวกเขาจะจัดการลงโทษแม่ลูกคู่นี้อย่างไร ก็จะต้องขึ้นอยู่กับชะตาแล้ว

ฝังศพหลู่ซิ่นแล้ว อวี้เหวินก็เก็บซ่อนภาพไว้ พาอวี้หย่วนและอวี้ถังไปยังเมืองหังโจว

ที่ท่าเรือเสาซี พวกเขาพบกับเผยเยี่ยนและโจวจื่อจิน

———————————————–

[1] ไป๋ถังเกา เป็นขนมที่ทำจากแป้งข้าวเจ้าและน้ำตาลทรายขาว เนื้อขนมเป็นสีขาวฟู

[2] กระดาษซวนจื่อ กระดาษที่ใช้เขียนอักษรและวาดภาพในสมัยโบราณ

Related

 

ภาพวาด!

ภาพวาดแบบใดกัน?

อวี้ถังใจเต้นระรัว หายใจถี่ขึ้นมา

 เจ้ารู้หนังสือหรือไม่?  นางได้ยินเสียงของตัวเองแหบพร่าไปอยู่บ้าง

 ไม่รู้  เด็กคนนั้นร้องไห้ด้วยใบหน้าโศกเศร้า เผยท่าทีราวกับไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว  ผู้ดูแลบ่อนให้ข้ามาขโมย กล่าวว่าหากขโมยออกมาได้ จะให้ข้าห้าตำลึง เป็นภาพที่ชายแก่สองคนตกปลาริมแม่น้ำในป่า… 

ชายแก่สองคนตกปลาริมแม่น้ำในป่า!

อวี้ถังนึกถึง ภาพวาด ‘ตกปลาใต้ต้นสนริมน้ำ’ ขึ้นมาทันที

นางรู้สึกว่าตัวเองใจเต้นตึกตัก มือไม้สั่นไปหมด

 เป็นภาพนี้ใช่หรือไม่?  อวี้ถังแทบไม่รู้ว่าตัวเองเดินไปกลับห้องอย่างไร ทั้งเอาม้วนภาพมาให้เด็กผู้นั้นดูอย่างไร ทราบแค่เพียงว่ายามที่นางคลี่ภาพออกมา เด็กคนนั้นพลันตาเป็นประกาย คำพูดพรั่งพรูออกมา  ภาพนี้แหละ เป็นภาพนี้แน่นอน ผู้ดูแลเคยบอกกับข้า ด้านบนภาพจะประทับตราบนผมของเด็กชายถัดจากชายแก่ เป็นภาพนี้ไม่ผิดแน่! 

เรื่องในอดีตที่ละเลยไปเหล่านั้นค่อยๆ ย้อนกลับเข้ามาในหัวของอวี้ถังอย่างวุ่นวาย

ชาติที่แล้วสกุลหลี่ถูกขโมยขึ้นเรือน ความอู้ฟู่ที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันของสกุลหลี่…การขโมยทั้งสองครั้งในชาตินี้ ตราประทับ ‘เหมยหลิน’ อยู่ที่บนผมของเด็กน้อย ทั้งยังมีตราประทับ ‘ชุนสุ่ยถัง’ แทนที่ ‘เหมยหลิน’…นางราวกับกระจ่างแจ้งขึ้นมา อีกด้านก็คล้ายกับสับสนงงงวย ไม่รู้อะไรเช่นกัน

 อาถัง นี่เจ้าเป็นอะไรไป?  คนสกุลเฉิน อวี้หย่วน ซวงเถาและคนอื่นๆ ต่างก็พากันล้อมเข้ามา คนสกุลเฉินประคองอวี้ถัง เอ่ยออกมาอย่างไม่เข้าใจ  เจ้าเด็กคนนี้ ไฉนจึงค้นภาพนี้ออกมากัน? ภาพนี้มีอะไรไม่ถูกต้องอย่างนั้นรึ? หรือว่า…  นางถามพลางมองเด็กที่พยายามขโมยของบนเรือนของพวกเขา ก่อนจะมองอวี้ถังอีกที

มีบางเรื่องที่ยังไม่กระจ่าง…และถึงแม้จะกระจ่างหรือต่อให้มารดาของนางทราบเรื่องราว แต่นอกจากกังวลและร้อนใจไปด้วยแล้ว ก็คงจะทำอะไรไม่ได้อยู่ดี

 ไม่มีอะไร  อวี้ถังพยายามควบคุมเกลียวคลื่นที่ถาโถมภายในใจ เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ  เขาบอกว่ามาขโมยภาพที่เรือนของพวกเรา ข้าก็แค่ถามเขาไปเท่านั้น 

เด็กคนนั้นพอได้ยิน ก็เอ่ยเสียงดังออกมาทันที  คือว่า…! 

อวี้ถังกลับแสร้งใช้ม้วนภาพตบปากเด็กคนนั้นอย่างไม่ตั้งใจไปที ทำให้คำพูดของเด็กคนนั้นฟังแทบไม่ได้ศัพท์  ท่านแม่ เขาไม่รู้หนังสือ บอกว่าคนอื่นให้เขามาขโมยของที่เรือนของพวกเรา ข้าว่าเรื่องนี้ยังคงต้องค่อยๆ ปรึกษากันให้ดี รอท่านพ่อกลับมาก็เพียงพอแล้ว ยามนี้มอบเขาให้ท่านพี่จัดการเถิด เขาจะได้ไม่พูดจาไร้สาระ หาความจริงไม่ได้เช่นนี้ พวกเราฟังไปก็โมโหเปล่าๆ  พูดจบนางก็ยังคงส่งสายตาเชิงข่มขู่ให้เด็กคนนั้น

คนสกุลเฉินนั้นเชื่อมั่นลูกสาวและสามีอย่างสนิทใจ ย่อมไม่คลาแคลงอันใด ทว่าอวี้หย่วนกลับมองทะลุปรุโปร่ง เขากวาดสายตาพินิจอวี้ถังอย่างละเอียด ก่อนจะช่วยอวี้ถังคลายสถานการณ์  ใช่แล้ว! อาถังพูดถูก ที่นี่มีข้าอยู่ อาสะใภ้รีบไปพักผ่อนจะดีกว่า ร่างกายของท่านไม่ค่อยแข็งแรง ไปๆ มาๆ เช่นนี้ หากเกิดเจ็บป่วยอันใดก็ยุ่งแล้ว 

อวี้ถังมองอวี้หย่วนไปที รู้ว่าอวี้หย่วนจับผิดเรื่องภายในได้ แต่กลับช่วยนาง นางจึงคล้อยตามอวี้หย่วนเช่นกัน  ท่านแม่ เพราะงานศพของหลู่ซิ่น พวกเรายังคงต้องจ่ายหนี้ให้เถ้าแก่ถง! 

คนสกุลเฉินไม่กล้าดึงดันอยู่ที่นี่แล้ว กระนั้นยังคงถามด้วยความสงสัย  หรือมีคนคิดว่าภาพนี้เป็นของจริง? 

 ก็เป็นไปได้  ยามนี้อวี้ถังคิดอยากจะตะล่อมให้มารดาไปนอนเท่านั้น กล่าวด้วยรอยยิ้ม  ตอนแรกท่านพ่อก็ดูพลาดว่าเป็นของจริงไม่ใช่หรือ? 

คนสกุลเฉินผงกศีรษะ เดินกลับห้องนอนโดยมีซวงเถาเดินห้อยตามหลังไป

มารดาของเด็กคนนั้นเข้ามาขอร้องอวี้หย่วน

อวี้หย่วนจ้องมองอวี้ถัง

อวี้ถังส่งสายตาเป็นนัยให้เขา

อวี้หย่วนจึงกล่าวกับมารดาของเด็กคนนั้น  เจ้าก็อย่าใจร้อนเกินเหตุเลย พวกเราไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำ เพียงแต่เรื่องนี้เป็นเรื่องของท่านอารอง ข้าไม่อาจตัดสินใจได้ทันที ข้าว่าเจ้าก็เหน็ดเหนื่อยไม่น้อย แต่ถ้าให้เจ้ากลับไปเกรงว่าเจ้าคงจะไม่ยอม เช่นนั้น วันนี้เจ้านอนกับป้าเฉินสักคืน ส่วนลูกของเจ้า ก็ให้ข้าคุมตัวไว้ชั่วคราว รอท่านอากลับมา พวกเราค่อยปรึกษาหารือว่าจะทำอย่างไร 

มารดาของเด็กคนนั้นขอบคุณครั้งแล้วครั้งเล่า เอ็ดให้เด็กคนนั้นโขกศีรษะแก่อวี้หย่วน ทั้งตำหนิที่เขาไม่รู้จักพัฒนาตัวเอง

ป้าเฉินก็พอจะมองเรื่องราวออกจึงตัดบทสนทนา ก่อนจะดึงมารดาของเด็กคนนั้นออกไป

อวี้หย่วนเรียกอาเสาให้มัดเด็กคนนั้น ก่อนจะขังไว้ในห้องเขา

สองคนพี่น้องยืนพูดคุยข้างกอไผ่ในลานบ้าน

 ข้าก็รู้สึกแปลกๆ หลอกถามเจ้าเด็กนั่นไม่กี่คำ เจ้าเด็กนั่นก็เล่าให้ข้าฟังแล้ว  อวี้ถังเล่าเรื่องที่สอบถามได้เมื่อครู่ให้อวี้หย่วนฟัง  ก็ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่? ท่านพี่ ต่อให้ท่านไม่มาหาข้า ข้าก็จะไปขอคำปรึกษาจากท่านอยู่ดี 

นางพูดจบก็เดินไปห้องหนังสือกับอวี้หย่วน จุดโคมไฟขึ้นอีกครั้ง กางภาพออกบนโต๊ะหนังสือตัวใหญ่ พินิจภาพนี้อย่างละเอียด ทั้งกล่าวไปพลาง  แต่ข้าคิดไม่ออกจริงๆ ว่า ภาพนี้มีความพิเศษตรงไหน…แม้ว่ามันจะเป็นของจริง ก็ควรแลกเป็นเงินได้จึงจะถูก ตอนแรกยามที่หลู่ซิ่วไฉขายภาพนี้ หาได้มาหาท่านพ่อคนเดียวไม่ คนผู้นั้นหากชื่นชอบภาพนี้ ไฉนจึงไม่ยอมจ่ายเงินเพิ่มซื้อเอาไว้ เหตุใดจึงต้องทำเรื่องยุ่งยาก ยิ่งไปกว่านั้นภาพนี้เป็นของปลอม เถ้าแก่ถงก็เป็นคนบอกเอง หากเขาอยากได้ภาพนี้มาโดยตลอด ก็ควรจะรู้อยู่แล้วสิ 

อวี้หย่วนอ่านตำรามากกว่าอวี้ถังไม่น้อย ทั้งยังชื่นชอบตัวอักษรและภาพวาดจีน จึงมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้กว่าอวี้ถังอยู่มาก

เขากวาดสายตามองภาพนี้อย่างละเอียด กระนั้นก็มองไม่ออกจริงๆ ว่ามีความแตกต่างตรงไหน  หรือคราวนี้เถ้าแก่ถงก็มองพลาดไปเช่นกัน? 

อวี้ถังชะงักไป

เหตุใดนางจึงคิดว่าเถ้าแก่ถงไม่อาจมองพลาดได้นะ?

ประการแรก ชาติก่อนเถ้าแก่ถงไม่เคยมีข่าวเสียหาย นางจึงยึดมั่นเช่นนั้น ประการที่สอง ชาติก่อน ยามที่ภาพนี้อยู่ในมือนางก็ถูกนางตรวจสอบไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว นางย่อมไม่อาจมองผิด!

แต่คำพูดของอวี้หย่วนราวกับน้ำที่หยดลงในน้ำมัน พาให้น้ำมันสาดกระเซ็นซัดไปทั่ว

หากภาพนั้นเป็นของปลอมเล่า?

อวี้ถังเพียงรู้สึกว่าในใจสว่างวาบขึ้นมาฉับพลัน

เมื่อครู่มิใช่ว่านางเกิดความคิดที่บ้าบิ่นออกมาหรอกหรือ?

หากชาติก่อน บิดาของนางซื้อภาพวาดนี้และภาพวาดนี้ก็กลายเป็นสินเดิมยามที่นางแต่งเข้าสกุลหลี่ ครั้งนั้นที่สกุลหลี่ถูกขโมยทรัพย์สิน มีคนสับเปลี่ยนภาพของนางไป…เช่นนั้นเรื่องทั้งหมดก็คล้ายจะเข้าที่เข้าทางแล้ว

นี่เป็นของจริง!

เป็นเถ้าแก่ถงที่มองพลาดไป

ภาพวาดในมือของนางชาติก่อนนั้นจึงจะเป็นของปลอม!

แต่เป็นใครกันที่สับเปลี่ยนของจริงในมือนางไป?

สมองของอวี้ถังแล่นอย่างว่องไว

เวลานั้นนางกราบไหว้บรรพบุรุษเข้าไปอยู่ในสกุลหลี่แล้ว กลายเป็นหญิงม่ายที่ครองความบริสุทธิ์ คนทั้งเมืองหลินอันต่างก็จับตามองนาง ดูว่าเมื่อใดนางจะได้รับซุ้มเกียรติยศความซื่อสัตย์ [1] ให้แก่เมืองหลินอันและสกุลหลี่ นางไม่ค่อยออกจากเรือน แต่เมื่อใดที่นางออกไปข้างนอก พบเจอคนที่รู้จักนาง พวกเขาก็มักจะแสดงความเห็นใจนางสามส่วน สะท้อนใจสามส่วน ทั้งนับถืออีกสามส่วน

ใครกันที่ไร้สมองเข้ามาขโมยของจากนาง

ใครกันที่ใจกล้าเข้ามาขโมยถึงสกุลหลี่

อีกทั้ง การขโมยครั้งนั้นสกุลหลี่ก็ปิดเป็นความลับอย่างแน่นหนามาโดยตลอด

เมื่อก่อนนางคิดว่าสกุลหลี่อาจกลัวข่าวไม่ดีแพร่งพรายออกไป กระทบกับการครองพรหมจรรย์ของนาง

แต่หากเรื่องไม่ได้เป็นเช่นนั้นล่ะ?

หากผู้ที่ขโมยภาพของนางไปก็คือคนของสกุลหลี่ล่ะ?

ยังมีความอู้ฟู่ของสกุลหลี่ที่เกิดขึ้นหลังจากภาพวาดของนางหายไปไม่นานนัก

อวี้ถังนึกมาถึงตรงนี้ก็รู้สึกโมโหจนยากจะควบคุม เสียงดัง ‘วิ้งๆ’ ในหัวเต็มไปหมด

นางย้ายตะเกียงสองอันมาที่โต๊ะหนังสือ กล่าวกับอวี้หย่วน  ท่านพี่ เจ้ามองออกหรือไม่ว่าภาพนี้มีความพิเศษตรงไหน? 

อวี้หย่วนสั่นศีรษะ หยิบภาพนั้นมองแล้วมองอีกอยู่ค่อนวัน ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้มขมขื่น  มิน่าเล่า คนมักกล่าวกันว่าพอถึงคราวที่จะใช้ความรู้จริงๆ กลับต้องเสียใจเพราะเรียนมาน้อย หากข้าอ่านเขียนเรียนตำราให้มากกว่านี้ก็คงจะดี 

เวลานี้อวี้ถังก็นึกถึงเผยเยี่ยนขึ้นมา

นางส่ายศีรษะเป็นพัลวัน ราวกับหากทำเช่นนี้ก็จะสามารถสลัดความคิดเช่นนั้นออกไปได้

เผยเยี่ยนคือนายท่านสามของสกุลเยี่ยน หากนางนำภาพที่เถ้าแก่ถงรับรองว่าเป็นของปลอมไปให้เขาช่วยตรวจสอบ เกรงว่าเผยเยี่ยนคงไม่เพียงไล่นางออกมา บางทีอาจจะคิดว่านางเข้าไปก่อเรื่องเสียอีก

นางคงบ้าไปแล้วจริงๆ ที่คิดให้เผยเยี่ยนช่วย!

ไม่แปลกใจที่ก่อนหน้านี้เผยเยี่ยนจะดูถูกนาง นางช่าง…ทำเรื่องไม่ยั้งคิด!

อวี้ถังถอนหายใจ ถามอวี้หย่วน  ท่านพี่ ท่านว่า พวกเราควรนำภาพนี้ไปให้คนที่ชำนาญช่วยดูดีหรือไม่? ข้าคิดว่า หากเด็กคนนั้นไม่ได้หลอกลวงพวกเรา พวกเราย่อมต้องถูกคนที่บงการเขาจับตาดูอยู่ คนผู้นั้นไม่ได้ภาพไป คงต้องเกิดเรื่องอีกแน่ พวกเราไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร แม้จะคิดเสียทรัพย์เพื่อแลกกับความสงบ ส่งภาพนี้ให้เขาก็อับจนหนทางที่จะติดต่อเขาเช่นกัน! 

อวี้หย่วนครุ่นคิดเล็กน้อย  พรุ่งนี้ข้าจะไปหาท่านอา เล่าเรื่องนี้ให้เขาฟัง จากนั้นค่อยขอให้เจ้าหน้าที่หลี่ช่วยสืบเรื่องจากผู้ดูแลบ่อนคนนั้น ดูว่าจะสามารถให้คำตอบได้หรือไม่ว่าเป็นใครที่ต้องการภาพวาดของพวกเรา หากท่านอารับปาก พวกเราก็ให้ผู้ดูแลบ่อนคนนั้นเป็นคนกลาง ขายภาพวาดนี้ให้กับอีกฝ่ายก็เพียงพอแล้ว 

อวี้ถังกล่าวอย่างกังวล  หากพวกเขาคิดว่าพวกเราขายภาพปลอมให้พวกเขาเล่า? 

อวี้หย่วนชะงักไปพักหนึ่งก่อนกล่าว  เช่นนั้น เจ้ามีความคิดอะไรดีๆ หรือไม่? 

 ข้าคิดว่าอย่างไรก็ต้องหาวิธีพิสูจน์ภาพวาดนี้ให้ชัดเจนจะดีที่สุด  ขณะที่อวี้ถังกล่าว จู่ๆ ก็นึกไปถึงหลู่ซิ่น นางเงียบไปทันที มองไปทางอวี้หย่วน

อวี้หย่วนเห็นความสับสน ลังเล กังวล ถึงกระทั่งความตกใจในแววตาของญาติผู้น้อง

เขาวูบไหวในใจ นึกไปถึงที่มาของภาพนี้

หรือว่าการตายของหลู่ซิ่นก็เกี่ยวพันกับภาพวาดนี้เช่นกัน?

ความจริงหลู่ซิ่นผู้นี้เป็นคนเห็นแก่ตัวอย่างมาก ทุกครั้งที่เขาดื่มสุราจนเมามาย ล้วนเป็นผู้อื่นที่ออกเงินให้ แต่ไหนแต่ไรตัวเขาเองแทบที่จะไม่ซื้อสุราดื่มเลย หากกระหาย ส่วนมากก็มักจะคิดหาวิธีไปร่วมดื่มกับผู้อื่นโดยไม่เสียเงิน ยามที่ไม่อาจทำได้ จึงค่อยสั่งสุรามากินให้พอหายอยากอย่างจำใจ

 ข้า ข้าจะไปหาท่านอาเดี๋ยวนี้แหละ  อวี้หย่วนเด้งตัวขึ้นมาทันที  หลู่ซิ่นนั้นตายอย่างไร พวกเราล้วนไม่รู้ ทำได้เพียงต้องถามท่านอา 

อวี้เหวินกำลังสาละวนกับงานศพของหลู่ซิ่นในวัดหนึ่งตรงชานเมือง

 คนธรรมดาย่อมไร้ความผิด แต่จะผิดเมื่อครอบครองหยก [2] !  อวี้ถังมองภาพบนโต๊ะหนังสือ อยากที่จะนำมันไปเผาไฟทิ้งเสียเดี๋ยวนั้น  นี่ช่างเป็นเคราะห์ร้ายโดยแท้! 

กระนั้นนางก็ไม่กล้า

นางกลัวว่าแม้นางจะเผาภาพนี้ทิ้งจริงๆ หากคนที่ต้องการภาพไม่เชื่อ ก็อาจจะสร้างปัญหาให้ครอบครัวนางได้ ทั้งเมื่อถึงเวลานั้นพวกเขาไม่ส่งภาพออกมา สถานการณ์คงจะลำบากยิ่งกว่าตอนนี้เป็นแน่

อวี้ถังเดินไปดูนาฬิกาน้ำ  อย่างเร็วที่สุดก็อีกสองชั่วยาม ประตูเมืองถึงจะเปิด ท่านไปนอนสักงีบเถิด ถึงเวลานั้นข้าจะให้ซวงเถาไปเรียกท่าน จากนั้นให้อาเสาไปยืมล่อของนายท่านอู๋มาตัวหนึ่ง เช้าตรู่หากจ้างรถม้าไม่ได้ เจ้าก็ยังมีล่อขี่ เร็วกว่าเดินเท้าเป็นไหนๆ! 

อวี้หย่วนรู้ว่าการจัดการเช่นนี้ของอวี้ถังเป็นวิธีที่ดีที่สุด

แม้ว่าจิตใจของเขาจะหนักอึ้ง แต่ก็ยังคงทำตามที่อวี้ถังบอก ข่มตานอนหลับสักงีบ

ด้านอวี้ถังกลับไม่ได้นอนทั้งคืน

นางเอาแต่จ้องมองภาพวาดนั้น หวังจะหาส่วนที่แตกต่างจากชาติก่อนให้พบ รอจนยามที่ฟ้าใกล้สว่าง นางจึงไปเรียกซวงเถาให้ช่วยอวี้หย่วนตระเตรียมเสบียง จากนั้นก็ให้อาเสาไปปลุกอวี้หย่วน ส่งเขาออกจากเรือน

———————————————–

[1] ซุ้มเกียรติยศความซื่อสัตย์ ในสมัยโบราณ ฮ่องเต้จะมีการประทานซุ้มเกียรติยศความซื่อสัตย์ให้กับหญิงสาวที่ยืนหยัดครองพรหมจรรย์หลังจากสามีตาย ฆ่าตัวตายฝังร่วมกับสามี หรือประพฤติชอบตามเงื่อนไขศีลธรรมอันดีในสมัยนั้น เพื่อเป็นการเชิดชูและเป็นเกียรติแก่วงศ์สกุล

[2] คนธรรมดาย่อมไร้ความผิด แต่จะผิดเมื่อครอบครองหยก อุปมาว่า ของมีค่าอาจก่อให้เกิดหายนะได้

Related

 

อวี้ถังได้ยินเสียงก่นด่าของป้าเฉินก็ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย

แต่ที่ป้าเฉินกล่าวมีเหตุผลอยู่จริงๆ

ถูกขโมยขึ้นเรือนสองครั้ง ล้วนเป็นช่วงเวลาที่อวี้เหวินไม่อยู่

ไฉนจึงได้บังเอิญถึงขนาดนั้น?

คนสกุลเฉินก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องบังเอิญเช่นกันจึงพาอวี้ถังไปถึงเรือนของอวี้ป๋อ อยากจะเชิญอวี้หย่วนมาพักในเรือนยามที่อวี้เหวินไม่อยู่เสียหน่อย

อวี้ป๋อยังคงยุ่งกับเรื่องร้านค้า คนสกุลหวังตกปากรับคำทันที กล่าวปรึกษากับคนสกุลเฉิน  ไม่อย่างนั้น จัดการเรื่องงานแต่งของอวี้ถังให้เร็วหน่อยดีหรือไม่? หากเรือนของพวกเจ้ามีคน คนพวกนั้นย่อมไม่กล้าเข้าออกโดยพลการ 

เรือนของพวกเขามีคนน้อยเกินไปจริงๆ

คนสกุลเฉินถอนหายใจ  รอเด็กสกุลเว่ยผู้นั้นจัดพิธีครบยี่สิบเอ็ดวันแล้วค่อยว่ากันเถิด! คนเขาใจกว้างมีคุณธรรม พวกเราไม่อาจใจร้อนเกินไปได้ อาถังก็รอไหวเช่นกัน 

คนสกุลหวังทอดถอนหายใจ ให้บ่าวใช้ในเรือนขนย้ายข้าวของที่อวี้หย่วนมักจะใช้ตามเข้าไป

มีเพื่อนบ้านบังเอิญพบเห็น ก็อดถามไถ่ออกมาไม่ได้

คนสกุลเฉินเล่าเรื่องในบ้านให้เพื่อนบ้านคนนั้นฟัง เพื่อนบ้านคนนั้นถอนหายใจตาม ปลอบใจคนสกุลเฉิน  หากสกุลของพวกเจ้าได้ลูกเขย ก็คงจะดีขึ้นแล้ว 

 ขอให้เป็นดั่งที่เจ้าว่าเถิด! 

คนสกุลเฉินไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบกับเพื่อนบ้านอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะกลับเข้าไปในเรือนจัดเตรียมห้องรับแขก

อวี้ถังนั่งหมอบหยอกล้อเสี่ยวหวงอยู่ตรงระเบียง ทว่าในใจกลับนึกถึงเผยเยี่ยน

คนผู้นี้อวดดีจริงๆ รู้เรื่องเพียงผิวเผินก็ด่วนสรุปเสียแล้ว ไม่คิดจะฟังคนอื่นอธิบาย หากทรัพย์สินมหาศาลของสกุลเผยตกอยู่ในมือเขา ก็ไม่รู้ว่าเขาจะประคองไว้อย่างไร

อวี้ถังถอนหายใจแผ่วเบา รู้สึกว่าตัวเองดวงซวย ช่วงนี้โชคไม่ดีเอาเสียเลย

นางกอดเสี่ยวหวง ลูบขนมันเบาๆ ก่อนเจ้าหน้าที่สองคนจะมาหาหน้าประตู กล่าวว่าได้รับคำสั่งจากเจ้านาย ภายหลังหากออกลาดตระเวน จะเดินตรวจตราแถวนี้ให้มากขึ้น

ป้าเฉินกล่าวขอบคุณไม่หยุดหย่อน เชิญทั้งสองคนเข้ามาดื่มชา ก่อนจะกำชับให้ซวงเถาไปซื้อของว่างและน้ำชาเข้ามา

ทั้งสองคนไม่เพียงอาศัยที่เมืองหลินอันมาหลายปี แต่ยังเป็นเพราะได้รับคำสั่งให้สืบทอดตำแหน่งที่นี่ แม้จะเป็นเจ้าหน้าที่ของศาลาว่าการ แต่เมื่อกระทำการอันใดกลับต้องทำอย่างเหมาะสม ยามที่ควรรับสินบนก็ไม่อ้อมค้อม ยามที่ควรให้ความช่วยเหลือก็เต็มที่ ปกติก็เดินตรวจตราละแวกบ้านของคนใหญ่คนโตในเมืองเช่นกัน

เห็นป้าเฉินกล่าวด้วยความจริงใจ ในเมืองหลินอัน อวี้เหวินก็ขึ้นชื่อเรื่องความใจกว้าง พวกเขาจึงนั่งดื่มชาระหว่างทางเดินของเรือนหน้าอย่างไม่เกรงใจ พูดคุยสัพเพเหระกับป้าเฉิน

 จะว่าไปก็แปลก แถวนี้สงบร่มเย็นมาโดยตลอด เหตุใดเรือนของพวกเจ้าจึงถูกขโมยขึ้นได้ ทั้งยังติดๆ กันถึงสองครั้ง คงไม่ใช่ว่าครั้งที่แล้วได้ของดีจากพวกเจ้าไปเลยติดใจกระมัง?  เจ้าหน้าที่หลี่ถามขึ้นมา

ป้าเฉินกล่าว  ไม่หรอกกระมัง! ครั้งที่แล้วเรือนของพวกเราก็ไม่มีอะไรหาย อีกอย่าง ไม่ว่าใครล้วนรู้ดี สกุลของพวกเราเกิดเรื่องมากมาย เงินในบ้านใช้แทบหมดแล้ว อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องอื่นเลย แค่งานศพหลู่ซิ่วไฉ นายท่านของพวกเรายังไปยืมเงินไม่กี่ตำลึงจากเถ้าแก่ถงเลย! หากจะขโมยก็ไม่ควรมาที่เรือนของพวกเราสิ! 

เจ้าหน้าที่สกุลหวังอีกคนกล่าว  ต้องมีของอะไรหายไปแต่พวกเจ้าไม่รู้เป็นแน่ จากประสบการณ์ของข้า หากขโมยของไม่สำเร็จ ก็ไม่อาจกลับมาเรือนของเจ้าถึงสองหนในช่วงเวลาสั้นๆ เช่นนี้หรอก อาจจะมีของบางอย่างที่ต้องตา ครั้งที่แล้วขโมยไม่สำเร็จ ครั้งนี้จึงย้อนกลับมา 

ลึกๆ อวี้ถังคิดว่าเป็นเช่นนั้น

แต่ว่า เป็นของอะไรที่ต้องตาขโมยเล่า?

นางนึกถึงห้องหนังสือของอวี้เหวิน

หรือเรือนของพวกเขายังมีมรดกตกทอดล้ำค่าอะไรที่แม้แต่ท่านพ่อก็ไม่รู้อยู่

นางเล่าให้คนสกุลเฉินฟัง

คนสกุลเฉินหัวเราะขึ้นมา  ก่อนท่านปู่ของเจ้าจะจากไป ได้แบ่งทรัพย์สินอย่างชัดเจนแล้ว หลังจากถอดชุดไว้ทุกข์ให้ปู่ของเจ้า ลุงใหญ่และบิดาของเจ้าจึงแบ่งกันอย่างเป็นทางการ ลุงใหญ่ของเจ้าเป็นคนละเอียด ยามที่แบ่งทรัพย์สินกลัวว่าจะไม่ชัดเจน นอกจากเชิญผู้นำหมู่บ้านแล้วยังเชิญเพื่อนบ้านมาอีกสองคน หากมีของอะไรคงถูกคนหมายตาไปตั้งนานแล้ว ยังจะรอถึงเวลานี้อยู่หรือ? 

อวี้ถังนึกถึงชาติที่แล้ว เพื่อนบ้านที่ย้ายเข้ามาใหม่ข้างสกุลหลี่เกลียดต้นการบูรที่ปลูกในเรือน ผลลัพธ์กลับขุดเจอหีบเงินใบหนึ่งอยู่ใต้ต้นไม้…

อย่างไรก็ว่างจนไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว หลายวันมานี้คนสกุลเฉินไม่ได้กวดขันให้นางเย็บปักถักร้อยแต่อย่างใด นางไปช่วยบิดาจัดการห้องหนังสือให้รู้แล้วรู้รอดดีกว่า

สิงโตเตะลูกหนังที่หล่นใต้ตู้หนังสือ บทกวี ‘ปิ่นทองที่ถูกทอดทิ้ง’ เต็มไปด้วยฝุ่นตรงชั้นบน ‘แบบคัดตัวหนังสือของฮูหยินเว่ย [1] ’ กองอยู่ข้างโต๊ะหนังสือตัวเล็ก…อวี้ถังถึงกระทั่งพบแท่งฝนหมึกเฉาซื่อจื่ออวิ๋นตรงมุมห้องหนังสือ

นางถือโอกาสจัดเก็บแบบร่างต่างๆ ทั้งภาพวาดของบิดาให้เข้าที่เข้าทาง

ยามที่คนสกุลเฉินเข้ามาก็เห็นกระดาษ หมึก หนังสือ และภาพวาดระเกะระกะเต็มพื้น เละเทะราวกับถูกขโมยขึ้นบ้านก็มิปาน ด้านอวี้ถังกลับส่งเสียงหัวเราะ ยืนพิงตู้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งอย่างเพลิดเพลิน

 เจ้าเด็กคนนี้!  คนสกุลเฉินเก็บข้าวของที่กระจัดกระจายบนพื้น ทั้งกล่าวตำหนิยิ้มๆ  ข้าว่าเจ้านี่ร้ายกว่าขโมยผู้นั้นเสียอีก ดูห้องนี้สิ แค่ที่จะให้วางเท้ายังไม่มี 

อวี้ถังหัวเราะ วางหนังสือในมือลง หยิบกระเป๋าซอมซ่อใบหนึ่งขึ้นมา  ท่านแม่ ท่านลองทายสิเจ้าคะว่าในนี้มีอะไร? 

 มีสิ่งใดกัน?  คนสกุลเฉินเผยยิ้ม เก็บกวาดที่ให้พอเดินออกมา

 ภาพดอกไม้ที่ข้าวาดให้ท่านในตอนเด็ก  นางวิ่งเอามาให้คนสกุลเฉินดูอย่างเบิกบานใจ  ข้ายังจำได้ว่าข้าบอกว่าจะเก็บไว้ดีๆ ภายหลังกลับไม่รู้ทำไมถึงหาไม่เจอ วันนี้คาดไม่ถึงว่าจะหาพบ ท่านดูสิ ด้านบนนี้ยังมีอักษรที่ข้าเขียนไว้ด้วยเจ้าค่ะ 

คนสกุลเฉินรับมาดู บนนั้นมีตัวอักษรคำว่า ‘ครั้งแรก’ เขียนอย่างโย้เย้อยู่

นางก็นึกขึ้นมาได้เช่นกัน อดกล่าวด้วยรอยยิ้มไม่ได้  นี่เป็นภาพดอกไม้ที่ข้าให้เจ้าวาดเป็นครั้งแรก 

อวี้ถังผงกศีรษะติดต่อกัน  คาดไม่ถึงว่าเวลานั้นข้าจะเก็บไว้ที่ห้องหนังสือของท่านพ่อ 

คนสกุลเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม  ห้องหนังสือของบิดาเจ้าคงต้องเก็บกวาดดีๆ เสียแล้ว 

สองแม่ลูกพูดคุยหยอกล้อพากันจัดเก็บห้องหนังสือ

ภาพวาดปลอมที่หลู่ซิ่นขายให้พวกเขานั้นร่วงลงมาจากระหว่างชั้นหนังสือ

 เหตุใดจึงวางอยู่ตรงนี้ล่ะ?  คนสกุลเฉินพึมพำ คิดจะเก็บมันสู่ที่เดิม

อวี้ถังกลับรู้สึกไม่ดีนัก  คนไม่อยู่แล้ว ยังจะเก็บมันไว้อีกทำไม พรุ่งนี้ข้าจะเอาไปที่โรงจำนำของเถ้าแก่ถง เถ้าแก่ถงบอกแล้ว ภาพวาดนี้สามารถขายได้ไม่กี่ตำลึง อย่างไรก็นำมาช่วยเหลือค่าใช้จ่ายของสกุลเสียหน่อยเถิด เพื่อจัดงานศพของเขา ท่านพ่อยังต้องไปยืมเงินจากเถ้าแก่ถง หากสามารถทดแทนส่วนของเถ้าแก่ถงได้ ภาพวาดนี้ก็นับว่าได้กลับคืนสู่เจ้าของแล้ว 

คนสกุลเฉินคิดว่านี่เป็นความคิดที่ดี กล่าวยิ้มๆ  เป็นเจ้าที่ฉลาด 

อวี้ถังย่นจมูกอย่างน่ารัก ม้วนภาพเก็บกลับไปยังห้องของตัวเอง

กลางดึก พวกเขาตกใจตื่นด้วยเสียงของเสี่ยวหวง เสียงตะโกนอย่างโมโหของอวี้หย่วนดังมาจากทางห้องหนังสือ  ผู้ใดกันวิ่งมาขโมยของที่เรือนพวกเรา?! 

อวี้ถังสวมชุดคลุมวิ่งออกมา ก่อนจะเห็นอวี้หย่วนต่อสู้กับคนชุดดำผอมแห้งคนหนึ่ง

 จับขโมยได้แล้ว! จับขโมยได้แล้ว!  อวี้ถังตะโกนเสียงดัง

เพื่อนบ้านต่างก็ตกใจตื่นเพราะเสียงนั่น

แสงไฟค่อยๆ สว่างตามกันขึ้นมา ตรอกชิงจู๋ที่เงียบเหงากลับกลายเป็นโกลาหลทันที

เพื่อนบ้านบางคนถือไม้ตะบอง บางคนก็หยิบมีดทำอาหารวิ่งเข้ามา

คนชุดดำผู้นั้นถูกควบคุมตัวไว้

ป้าเฉินเดินถือตะเกียงเข้าไป

คาดไม่ถึงว่าหัวขโมยจะเป็นเด็กคนหนึ่งในตรอกชิงจู๋ของพวกเขา

ผู้คนต่างพากันซุบซิบวุ่นวาย

นายท่านอู๋ส่งคนไปเรียกพ่อแม่ของเด็กคนนั้นอย่างโกรธเกรี้ยว  จำต้องแจ้งให้ครอบครัวของเจ้าทราบ คนอย่างเจ้านั้นสมควรถูกไล่ออกจากสกุล 

เด็กคนนั้นตกใจร้องไห้ฟูมฟาย กอดขานายท่านอู๋ขอความเมตตา  ท่านอย่าบอกพ่อแม่ของข้าเลย ข้า…ข้าถูกคนใส่ร้าย ข้าเพียงอยากขโมยเงินไม่กี่ตำลึงไปใช้เท่านั้น ข้าไม่ได้มีเจตนาทำร้ายหรือสังหารใคร ทั้งไม่กล้าทำอย่างนั้นเช่นกัน! 

นายท่านอู๋ไม่เชื่อแต่อย่างใด  ถูกคนใส่ร้าย? ใครใส่ร้ายเจ้ากัน? ข้าว่าปกติเจ้าก็ไม่ร่ำเรียนหนังสือ เวลานี้จึงเกิดคิดอกุศลขึ้นมา คนอย่างเจ้า ปล่อยไปย่อมไม่เป็นผลดีต่อใครทั้งนั้น! 

เขากล่าวอย่างมีโทสะ มารดาของเด็กคนนั้นมาแล้ว พอเห็นเหตุการณ์นี้ก็ทรุดลงกับพื้นดัง ‘ตุ้บ’ อยู่เบื้องหน้าคนสกุลเฉิน ขอความเมตตาให้ลูกชายด้วยศีรษะที่สั่นงันงก  ขอเพียงแค่ไม่จับส่งทางการ ท่านเอ่ยปากอะไรล้วนได้ทั้งนั้น 

คนสกุลเฉินรู้สึกลำบากใจเป็นอย่างยิ่ง

ไม่ลงโทษเด็กคนนี้ เรือนของพวกเขาก็ถูกคนขโมยโดยไม่ได้รับความเป็นธรรมเช่นนี้หรือ แต่หากลงโทษเด็กคนนี้ ทุกคนต่างก็อยู่บ้านใกล้เรือนเคียงมาหลายปี พบหน้ากันอยู่บ่อยครั้ง ภายหลังหากเจอคนของสกุลพวกเขาจะทำอย่างไรเล่า?

อวี้ถังเห็นแล้วก็มีใจคล้อยตาม

นางไม่เคยรู้จักเด็กคนนี้มาก่อน แต่เมื่อครู่ที่มารดาของเขาโขกศีรษะ เขากลับบิดหน้าหนีไปทางอื่น คล้ายกับทนดูฉากนั้นไม่ได้ ทั้งไม่ขอความเมตตาจากนายท่านอู๋แล้วเช่นกัน

นางเดินเข้าไป

เด็กคนนั้นกำลังร้องไห้อย่างเงียบๆ

อวี้ถังครุ่นคิดในใจ เด็กคนนี้ก่อเรื่องใหญ่ขนาดนี้ บิดาของเขากลับไม่มา

ไม่รู้ว่าไม่มีบิดา? หรือว่าบิดาไม่สนใจ?

ไม่ว่าจะเป็นอย่างแรกหรืออย่างหลัง กลับสามารถใช้ประโยชน์ได้ทั้งสิ้น

นางเข้าไปดึงแขนเสื้อของคนสกุลเฉิน กระซิบเสียงเบา  พวกเพื่อนบ้านต่างก็มาช่วยเหลือ ท่านเชิญพวกเขาไปดื่มชาในเรือนก่อนเถิด มีท่านพี่อยู่ เด็กคนนี้มัดไว้ก่อนให้อาเสาคอยเฝ้า รอท่านพ่อกลับมาแล้วค่อยจัดการ 

คนสกุลเฉินคิดว่านี่เป็นความคิดที่ดี หลังจากปรึกษากับอวี้หย่วนก็เชิญทุกคนไปดื่มชาในเรือน

ทุกคนเห็นว่าหมดเรื่องหมดราวแล้ว ดึกดื่นมืดค่ำเช่นนี้ ไหนเลยจะมีใจดื่มชา พากันกล่าวขอบคุณ ก่อนจะบอกลาคนสกุลเฉิน

คนสกุลเฉินส่งพวกเขาทีละคนออกจากเรือนอย่างซาบซึ้งใจ

มีเพียงมารดาของเด็กผู้นั้น นั่งร่ำไห้เงียบๆ อย่างไร้เรี่ยวแรงราวกับสูญเสียบิดามารดาไปก็มิปาน

นายท่านอู๋รู้สึกไม่วางใจอยู่บ้าง  ไม่อย่างนั้นให้บ่าวใช้ของสกุลพวกข้ามาช่วยเหลือดีหรือไม่? 

 ขอบคุณท่านมาก!  อวี้หย่วนประสานมือคารวะนายท่านอู๋อีกครั้ง  ข้าจัดการได้ นี่ก็ดึกมากแล้ว รอท่านอากลับมา ข้าและท่านอาจะไปขอบคุณถึงหน้าประตูอีกครั้ง 

นายท่านอู๋เห็นว่าอวี้หย่วนเป็นคนรอบคอบ ผงกศีรษะรับคำก่อนจะประสานมือไพล่หลังกลับเรือนไป

ด้านมารดาของเด็กคนนั้นโขกศีรษะขอความเมตตากับคนสกุลเฉินอย่างไม่หยุดหย่อน

เด็กคนนั้นร้องไห้สะอึกสะอื้นจนตัวโยน

อวี้ถังชี้ไปที่มารดาของเด็กคนนั้น กล่าวกับเขา  เจ้าดูสิ เจ้าก่อเรื่องแต่กลับทำให้แม่ของเจ้าต้องติดร่างแหไปด้วย เจ้าทุกข์ไม่ร้องเรียน ทางการย่อมไม่ซักไซ้ เจ้าบอกความจริงข้ามาเถิด ตกลงเจ้ามาที่เรือนของพวกเราทำไมกันแน่? หากเจ้าพูดกับข้าด้วยสัตย์จริง ข้าจะช่วยขอร้องให้ท่านพ่อปล่อยเจ้าไป มารดาของเจ้าก็จะไม่ถูกดูแคลน ไม่ต้องเป็นคนที่เงยหน้าไม่ขึ้นทั้งชั่วชีวิต 

เด็กคนนั้นได้ยินพลันเงยหน้ามองอวี้ถังแวบหนึ่ง เผยสีหน้าลังเล

อวี้ถังมีแผนในใจ  การขโมยของนั้นน่ารังเกียจที่สุด เจ้าลองดูกฎของสกุลเหล่านั้น สกุลใดบ้างจะยอมปล่อยโจรที่ขโมยของไป ท่านพ่อของข้าและนายท่านอู๋แทบไม่ต่างกัน เกลียดเรื่องเช่นนี้อย่างถึงที่สุด เขาอาจจะไม่แจ้งทางการแต่ย่อมต้องทำให้สกุลของเจ้าขับไล่เจ้าออกไป ลบชื่อออกจากสกุลเป็นแน่ ถึงเวลานั้นมารดาของเจ้าล่วงลับ คงจะไม่มีแม้แต่คนจุดธูปเทียนกราบไหว้… 

เด็กคนนั้นน้ำตาไหลนองหยดแล้วหยดเล่า กล่าวสะอึกสะอื้น  ท่านพ่อของข้าเล่นพนันข้างนอก กระทั่งเอาบ้านของบรรพบุรุษขายออกไป ข้า…ข้าเพียงอยากนำเงินไม่กี่ตำลึงไปเช่าบ้านเท่านั้น 

อวี้ถังกล่าวทั้งถอนหายใจ  เช่นนั้นข้าก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว เจ้ารอท่านพ่อข้ากลับมาส่งเจ้าไปให้ทางการ จากนั้นก็ค่อยไปหาครอบครัวของเจ้าแล้วกัน 

 ไม่ใช่! ไม่ใช่!  เด็กคนนั้นได้ยินก็กล่าวอย่างร้อนใจ  คุณหนูอวี้ ท่าน หากท่านให้ข้าห้าตำลึง ไม่สิ ให้ข้าสามตำลึงก็ได้ ข้าจะบอกท่าน 

อวี้ถังไม่คล้อยตามแต่อย่างใด  เจ้ายังจะหลอกข้าอีก! ตำลึงเดียวก็ไม่มี เจ้าไม่พูดก็แล้วไป  พูดจบ ก็หยัดกายขึ้น ทำท่าราวกับจะเรียกคนเข้ามา

เด็กคนนั้นลนลาน กล่าวอย่างรีบร้อน  มีคนให้เงินข้าห้าตำลึง วานให้ข้าขโมยภาพวาดหนึ่งที่เรือนของพวกท่าน…ท่านอย่าส่งข้าให้ทางการเลย ข้าเองก็ขโมยไม่สำเร็จ 

——————————————–

[1] ฮูหยินเว่ย นักเขียนอักษรพู่กันจีนหญิง สมัยราชวงศ์จิ้นตะวันออก

Related

 

ตอนนั้นเองอวี้ถังเพิ่งรู้สึกตัวว่านายท่านสามสกุลเผยก็อยู่ที่นี่ด้วย

นางมองไปทางเผยเยี่ยน

เขาอยู่ในชุดคลุมตัวหลวมสีฟ้าอ่อน นอกจากปิ่นไม้ไผ่บนศีรษะแล้ว ทั่วร่างก็ไม่มีของประดับชิ้นอื่นอีก สีหน้าเขาวางเฉย สายตาหม่นแสง ดูอารมณ์คุกรุ่นยิ่งกว่าหลายครั้งที่เจอก่อนหน้านี้เสียอีก

อวี้ถังตะลึงไป

เขามิใช่ผู้ชนะในการแก่งแย่งของสกุลเผยหรือ? เหตุใดไม่มีท่าทียินดีสักนิดเล่า?

อวี้ถังเพราะความสงสัย รู้สึกว่าร่างกายค่อยๆ รับรู้ถึงความอบอุ่น มือเท้าที่ชาหนึบตอนที่เห็นหลี่ตวนค่อยๆ กลับมาขยับเคลื่อนไหวได้

เรื่องบางเรื่อง นางนึกว่าตัวเองปล่อยวางได้แล้วเสียอีก

แต่ความจริงกลับไม่ใช่เลย!

พอได้เจอหลี่ตวน นางยังคงเดือดดาล ยังคงโกรธแค้นและรู้สึกไม่เป็นธรรม

นางข่มใจอดกลั้นถึงไม่ได้หลุดปากด่าทออย่างหยาบคายออกไป

ทว่าหลี่ตวนในตอนนี้ไม่มีเวลามาสนใจอวี้ถังแล้ว

วันนี้เขาตั้งใจพาหลี่จวิ้นมาให้ทุกคนรู้จัก นี่ก็เพิ่งจะได้พบพวกเผยเยี่ยน ยังไม่ทันได้คุยกันสักประโยค เผยเยี่ยนก็จะจากไปแล้ว…เขามิอาจปล่อยให้เป็นเช่นนั้นได้!

หลี่ตวนเร่งสาวเท้าไปด้านหน้า เอ่ยกับเผยเยี่ยนว่า  ท่านอา ท่านโจวยากนักจะได้มาเยือนสักหน ข้านำชาเหมาเจียนชั้นเลิศติดมาด้วย อาจารย์ทางนั้นยังมีชุดน้ำชาหรูเหยาสีฟ้าอยู่ชุดหนึ่ง ต้นดอกกุ้ยฮวาร้อยปีที่ลานด้านหลังสำนักศึกษาก็ใกล้จะบานแล้ว หากจะรีบร้อนกลับไป มิสู้ไปดื่มชาที่ลานด้านหลังก่อน อาศัยครึ่งวันที่ยังว่าง ไปสูดกลิ่นหอมของดอกกุ้ยฮวาด้วยขอรับ 

อาจารย์ของเผยเยี่ยนคืออดีตเจ้ากรมขุนนางนามว่าจางอิง ทั้งเจ้ากรมโยธาซึ่งควบตำแหน่งมหาบัณฑิตหอตงเก๋อนามว่าเจียงฮวาและรองเจ้ากรมขุนนางอย่างเฟ่ยจื้อเหวินก็ล้วนเป็นศิษย์พี่สำนักเดียวกับเขา ว่ากันตามเหตุผล ไม่ว่าหลี่อี้ บิดาของสองพี่น้องสกุลหลี่คิดจะก้าวหน้า หรือว่าหลี่ตวนอยากจะราบรื่นในเส้นทางขุนนาง การแบกหน้าเข้าหาผู้อื่นมีหรือจะสู้เข้าทางเผยเยี่ยนผู้อยู่เมืองเดียวกันได้

แต่เผยเยี่ยนกลับมีนิสัยแปลกประหลาด เขามึนตึงกับบ้านใหญ่ไม่พอ ทั้งกับบ้านรองก็ไม่ไปมาหาสู่

หลี่อี้แม้จะรุ่นราวคราวเดียวกับนายท่านรองสกุลเผย หลังจากที่เผยเซวียนกลับมาหลี่ตวนก็ไปขอคำชี้แนะจากเขาอยู่บ่อยๆ แต่กลับไม่เคยมีโอกาสได้สนทนากับเผยเยี่ยนสักหน

หลี่ตวนอับจนหนทาง จึงได้เข้าทางท่านอาจารย์เฉินซ่านเหยียนแทน

เฉินซ่านเหยียนฝากความหวังอันยิ่งใหญ่ไว้กับลูกศิษย์คนนี้ ถึงได้ถือโอกาสตอนที่เผยเยี่ยนมาเยี่ยมเขาเป็นเพื่อนโจวจื่อจิน ตั้งใจเรียกหลี่ตวนมาหา คิดใช้จังหวะนี้ให้เขากับเผยเยี่ยนได้ผูกสัมพันธ์กัน

เวลานี้เขาย่อมช่วยพูดแทนหลี่ตวน  สยากวง จื่อฉุนพูดถูก ยากนักที่เจ้าจะมาสำนักศึกษาสักครั้ง ไม่สู้อยู่ดื่มชาก่อนแล้วค่อยกลับ 

หลี่ตวนมีชื่อว่าจื่อฉุน

เผยเยี่ยนไม่ได้พูดอะไร สีหน้าไร้อารมณ์มองไปทางหลี่ตวนทีหนึ่ง แล้วมองไปทางอวี้ถังอีกทีหนึ่ง

คนทั้งหมดพากันตกตะลึง

หลี่ตวนคิดถึงท่าทีเสียมารยาทเมื่อครู่ของตนได้ ดวงหน้าพลันเปลี่ยนเป็นสีแดง แล้วพึมพำแก้ต่างกับเผยเยี่ยนว่า  แม่นางอวี้ เกือบจะได้หมั้นหมายกับสกุลของข้าขอรับ! 

ดวงตาของอวี้ถังเบิกโต

หลี่ตวนหมายความว่าอย่างไร?

อะไรคือเกือบจะได้หมั้นหมายกับสกุลของเขา?

อวี้ถังเดือดดาลจนปอดแทบระเบิด

เผยเยี่ยนกลับไม่ใส่ใจ ส่งเสียง ‘อ้อ’ อย่างขอไปที

อวี้ถังมึนงงไปหมด

พักหนึ่งสายตาของโจวจื่อจินก็หันไปมองอวี้ถัง พักหนึ่งก็หันไปจ้องหลี่ตวน

อวี้ถังพลันคิดออก เข้าใจทุกอย่างในทันที

เผยเยี่ยนคงไม่ได้สงสัยว่านางกับหลี่ตวน…

จะเป็นไปได้อย่างไร?

เผยเยี่ยนเหตุใดถึงเข้าใจเช่นนั้น?

แต่พอนางคิดว่ามีความเป็นไปได้ เลือดร้อนก็พุ่งขึ้นหน้าทันที

อวี้ถังส่งเสียงเรียก  นายท่านสาม  ไปทีหนึ่ง

เผยเยี่ยนทำเหมือนไม่ได้ยิน เขาพลันหันไปพูดกับเฉินซ่านเหยียนว่า  เช่นนั้นก็ไปดื่มชาที่ลานด้านหลังก่อน 

เฉินซ่านเหยียนลอบยินดี ด้วยกลัวว่าเผยเยี่ยนจะเปลี่ยนใจจึงลากเขามุ่งไปทางลานด้านหลัง  ความจริงข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า ตั้งแต่ที่เจ้าขึ้นเป็นผู้นำสกุลเผย ข้าก็ยังไม่ได้คุยกับเจ้าจริงๆ จังๆ สักครั้ง ตอนที่ท่านผู้เฒ่าเผยยังอยู่ก็คอยช่วยเหลือสำนักศึกษาของเราไว้มาก บัดนี้เขาจากไปแล้ว เด็กๆ ที่เคยได้รับการดูแลก็ล้วนแต่กังวลใจ หากว่าเจ้าไม่มา อีกไม่กี่วันข้าก็เตรียมตัวจะไปหาเจ้าอยู่เหมือนกัน… 

สองคนค่อยๆ เดินห่างออกไป

อวี้ถังโมโหจนทนไม่ไหว ตะโกนเสียงดังไล่หลังว่า  นายท่านสาม ข้ามีเรื่องจะพูดกับท่าน! 

เรื่องบางอย่างนางต้องพูดกับเขาให้ชัดเจนจึงจะถูก

สองครั้งแรกเป็นนางที่ทำผิด แต่ว่าครั้งนี้ เป็นเขาที่กล่าวหานาง

ทุกคนหันหน้ากลับมามอง

เผยเยี่ยนราวกับว่าไม่ได้ยินเสียง เขายังเดินหน้าต่อไปเรื่อยๆ

เฉินซ่านเหยียนมองอวี้ถังทีหนึ่ง ครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วก็เดินตามเผยเยี่ยนไป

โจวจื่อจินกลับรู้สึกสนใจยิ่งนัก

เขากระตุกยิ้มมุมปาก แล้วสะบัดพัดกางออกดัง ‘พรึบ’ เพียงแต่ยังไม่ทันได้เปิดปากพูด ก็ถูกคนที่มีดวงตาติดอยู่ด้านหลังอย่างเผยเยี่ยนหันกลับมาหิ้วคอเสื้อไปเสียก่อน แล้วลากเขาเดินไปข้างหน้า เอ่ยว่า  เจ้าไม่ดื่มชารึ? ถ้าไม่ดื่มชาก็กลับเมืองหลวงไปเสีย! 

โจวจื่อจินรีบหุบปากฉับ

หลี่ตวนมองสถานการณ์ตรงหน้าอย่างมึนงง ลากแขนหลี่จวิ้นแล้วเดินตามเผยเยี่ยนไป

หลี่จวิ้นไม่กล้าเปิดปาก ได้แต่มองอวี้ถังอยู่อย่างนั้น

อวี้ถังโมโหจนแทบตาย ข้างหูพลันได้ยินเสียงตีฆ้องดัง ‘เหง่ง เหง่ง เหง่ง’

สำนักศึกษาถึงเวลาเลิกเรียนแล้ว

นักเรียนรุ่นเยาว์สองสามคนทะยอยกันเดินออกมา

อวี้ถังกระทืบเท้าลงพื้น แล้วโยนหลี่ตวนก็ดี หลี่จวิ้นก็ช่างทิ้งไว้เบื้องหลัง กลับเรือนไปด้วยความหัวฟัดหัวเหวี่ยง แต่เพราะกลัวว่ามารดาจะมองออก จึงกำชับอาเสาไม่ให้พูดเรื่องในวันนี้ออกไป

อาเสาพยักหน้าหงึกหงัก

นั่นเป็นนายท่านสามสกุลเผยเชียวนะ!

เขามีหรือจะกล้าพูดเหลวไหล

อวี้เหวินกลับมาจากหังโจวแล้ว

สิ่งที่กลับมาพร้อมกัน ยังมีโลงศพของหลู่ซิ่น

 ครั้งนี้จ่ายไปก้อนใหญ่เลย  อวี้เหวินยิ้มขื่น  โลงศพไม่ต้องพูดถึง แค่ผู้อื่นได้ยินว่าข้าจะย้ายโลงศพกลับบ้าน ต่างไม่มีใครยอมมาส่งสักคน ข้าจึงต้องจ้างเรือไว้เลยหนึ่งลำ แล้วส่งโลงศพเขาไปที่วัด ที่นั่นก็เก็บเงินค่าทำบุญไปเยอะเหมือนกัน  เขารู้สึกผิดต่อภรรยามากจึงได้รับปากกับคนสกุลเฉินและอวี้ถังว่า  นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ต่อไปจะไม่มีเช่นนี้อีก 

คนสกุลเฉินเป็นคนใจกว้าง คิดว่าเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วพูดมากไปมีแต่จะทำลายน้ำใจของอีกฝ่าย จึงไม่เพียงไม่กล่าวโทษเขา ซ้ำยังเอ่ยปลอบเขาว่า  เป็นคนขอเพียงใจสงบ พวกเราอย่างไรก็นับว่าไม่ผิดต่อนายท่านหลู่ก็พอแล้ว 

อวี้เหวินถอนหายใจ  เจ้าไม่รู้อะไร พวกเรายังคงต้องหาทางติดต่อกับสกุลหลู่ด้วย ไม่อย่างนั้นยังต้องช่วยเขาจัดการเรื่องสุสาน ต่อไปยังต้องหาคนมาเซ่นไหว้เขาอีก 

คนสกุลเฉินพูดว่า  ก็มิใช่ว่าไร้หนทางหรอก พรุ่งนี้ข้าจะให้ป้าเฉินเตรียมของว่างและน้ำชาเอาไว้ ท่านก็ไปเรือนสกุลหลู่สักครั้ง ผู้ตายนับว่าเป็นใหญ่ ข้าเชื่อว่าสกุลหลู่คงไม่ไร้เหตุผลถึงเพียงนั้น 

 หวังว่าจะเป็นเช่นนั้นนะ 

อวี้เหวินเดินทางไปเรือนสกุลหลู่ด้วยความวิตกกังวล

คนสกุลหลู่เห็นว่าอวี้เหวินช่วยไปจัดการเรื่องศพหลู่ซิ่น ทั้งยังขนโลงศพกลับมา จึงได้ยอมถอยก้าวหนึ่ง ตอบตกลงให้ฝังหลู่ซิ่นไว้ในสุสานบรรพชน

อวี้เหวินถอนหายใจโล่งอก วันถัดมาจึงเดินทางไปวัด เตรียมเชิญพระในวัดสวดส่งวิญญาณให้เขาเป็นเวลาสามวันจากนั้นค่อยเลือกวันดีในการฝังศพ

สกุลอวี้ถูกขโมยขึ้นเรือนอีกครั้ง

ครั้งนี้หัวขโมยถูกพบตอนที่กำลังรื้อห้องหนังสือของอวี้เหวิน และเสี่ยวหวงเป็นผู้พบเห็น

เสี่ยวหวงอย่างไรก็ยังเล็กอยู่ มันกระโจนใส่หัวขโมยแล้วเห่า ‘โฮ่งๆ!’ ทั้งมันยังงับขากางเกงของหัวขโมยจนถูกถีบไปทีหนึ่ง เจ็บตัวจนครางหงิงๆ

อาเสาแม้จะไปถึงทันเวลา แต่ก็ไม่กล้าประมือตรงๆ กับหัวขโมย ได้แต่ไล่คนกับตื่นตกใจจนหัวขโมยหลบหนีไปได้

อวี้ถังกอดเสี่ยวหวงเบาๆ แล้วลูบขนมันไปมาอย่างปวดใจ

คนสกุลเฉินรู้สึกหวาดกลัวมาก หยิบเงินห้าตำลึงส่งให้อาเสา แล้วสั่งให้เขาไปหาอวี้เหวิน  เงินนี้ให้คนของศาลาว่าการไปดื่มเหล้า ต่อให้จับหัวขโมยไม่ได้ก็ขอให้พวกเขามาเดินตรวจหน้าเรือนเราหลายๆ รอบหน่อย จะได้ขู่หัวขโมยให้มันกลัวเสียบ้าง 

อาเสาตอบรับคำ

อวี้ถังคิดว่าหลายวันนี้อวี้เหวินก็วิ่งวุ่นไปมา จึงได้ไปเก็บกวาดห้องหนังสือให้เขา ทั้งช่วยบิดาตรวจนับสิ่งของไปพร้อมกันด้วย ดูว่ามีอะไรหายไปบ้างหรือไม่

ในห้องยังคงเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่รู้ว่าหัวขโมยคนนั้นยังไม่ทันได้ลงมือหรือเพราะลงมืออย่างระมัดระวังกันแน่ ถึงได้เบาไม้เบามือจนคนแทบสังเกตไม่ออก

อวี้ถังค่อยๆ จัดของให้บิดาอย่างไม่รีบร้อน หัวขโมยนั้นขโมยกระดาษเซวียนจื่อของบิดาไปครึ่งพับ พวกแท่นฝนหมึกเฉิงหนีเยี่ยนที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษถูกรื้อออกมาแต่กลับไม่ได้หยิบเอาไปด้วย

เพราะหัวขโมยผู้นั้นมีตาแต่ไม่มีแววหรือ?

อวี้ถังมองข้างแท่นฝนหมึกที่แกะสลักเป็นรูปนกกางเขนเสมือนจริงกับรูปดอกเหมยที่คล้ายฟื้นขึ้นมามีชีวิตอีกครั้ง กลับรู้สึกว่าเรื่องนี้มีเงื่อนงำบางอย่าง

หากคิดขโมยเงินทอง ก็น่าจะไปที่ห้องด้านในของบิดามารดาไม่ใช่หรือ? หากต้องการขโมยของในห้องหนังสือ ก็ย่อมต้องรู้จักของดี ไม่อย่างนั้นจะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งใดมีค่าสิ่งใดไม่มีค่า?

ป้าเฉินโมโหใหญ่โตกำลังตะโกนด่าคนอยู่กลางลาน  พวกมันรังแกพวกเราเพราะเห็นว่านายท่านไม่อยู่บ้าน ไม่อย่างนั้นจะกล้าเข้ามาขโมยของครั้งแล้วครั้งเล่าได้อย่างไร! 

—————————–

Related

 

อวี้ถังรู้ว่านี่ไม่ใช่ความผิดของตนเอง แต่พอนางคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาทีไร ก็รู้สึกปวดใจทุกที

อาเสาที่มาเป็นเพื่อนนางกลับไม่พอใจอย่างมาก เอ่ยว่า  คุณหนู ข้าจะไปจับเขากลับมา เด็กคนนั้น พูดจาเช่นนี้ออกมาได้อย่างไร? สกุลเขาเกิดเรื่อง แล้วจะมาโยนบาปให้สกุลเราหรือ 

อวี้ถังดึงเขาไว้ เอ่ยว่า  เขายังเด็ก จู่ๆ ต้องมาเสียพี่ชายไป ย่อมจะทำใจไม่ได้ พูดจาเหลวไหลไปบ้าง ก็เป็นเรื่องปกติ เจ้าอย่าโวยวายเพราะเรื่องนี้ ผู้ใหญ่ของสองสกุลรู้เข้าคงต้องเสียใจแน่ 

ชาติก่อน หลังจากที่บิดามารดาตาย นางเคยพาลโกรธทุกคน รวมไปถึงสกุลเผยด้วย คิดว่าหากไม่ใช่เพราะหน่วยลาดตระเวนของสกุลเผยทำงานบกพร่อง แล้วถนนฉางซิ่งจะถูกไฟไหม้ได้อย่างไร? ทว่าหน้าที่ลาดตระเวนยามวิกาลเดิมก็ไม่ใช่ความรับผิดชอบของสกุลเผย สกุลเผยแค่เพราะเห็นว่าบนถนนฉางซิ่งเป็นร้านค้าของตนเสียส่วนใหญ่ ถึงได้ช่วยเหลือลาดตระเวนให้กับพวกเขาที่มีร้านค้าและมีกิจการอยู่บนถนนฉางซิ่งไปด้วย สุดท้ายพอสกุลนางเกิดเรื่อง นางก็ยังแอบกล่าวโทษสกุลเผยในใจอีก

อาเสาไม่อาจไปตามหาเว่ยเสี่ยวชวน ปากจึงได้แต่งึมงำพูด เวลานั้นพลันได้ยินเสียงตื่นเต้นดีใจของบุรุษดังขึ้นที่ข้างหูอวี้ถัง  แม่นางอวี้? 

อวี้ถังหันไปมองตามเสียง กลับเป็นหลี่จวิ้น

เขาสวมชุดคลุมหลวมสีน้ำเงินลายเมฆ ผมดำขลับรวบมัดขึ้นสูง ปักด้วยปิ่นหยกขาว หน้าผากสะอาดเกลี้ยงเกลา ดวงตากระจ่างใส เทียบกับครั้งก่อนแล้วดูจะแต่งตัวมีอายุกว่ามาก

 เป็นเจ้าจริงๆ ด้วย!  หลี่จวิ้นมีความยินดีแผ่กระจายเต็มหน้า แล้วรีบเอ่ยว่า  ข้ามองจากไกลๆ เห็นว่าคล้ายเจ้า ตอนนั้นพลันไม่เชื่อสายตาตัวเอง เจ้ามาทำอะไรที่สำนักศึกษาหรือ? มีอะไรให้ข้าช่วยหรือไม่? 

อวี้ถังหันไปยิ้มให้เขาอย่างเกรงใจ ตอบว่า  ไม่มีอะไร แค่มาเยี่ยมน้องของญาติเท่านั้น 

ดวงตาของนางยังมีร่องรอยผ่านการร้องไห้มาก่อน

หลี่จวิ้นพลันชะงักสิ่งที่อยากพูดไป

อวี้ถังบอกลาเขา

หลี่จวิ้นรีบเรียกนางไว้ เอ่ยอย่างจริงใจว่า  แม่นางอวี้ ถ้าเจ้ามีเรื่องอะไร สามารถพูดกับข้าได้จริงๆ นะ ปกติข้าจะอยู่ที่สำนักศึกษาจังหวัดด้วยติดตามท่านพี่ชายมาเล่าเรียน แต่ว่าสำนักศึกษาอำเภอนี้มีท่านเฉินซ่านเหยียน ซึ่งเป็นญาติผู้น้องของบิดาเฉินฟางมาบรรยาย เขาเป็นทั่นฮวา [1] ในปีจี๋เหม่า และเคยเป็นมหาบัณฑิตของสำนักฮั่นหลิน [2] มาก่อน แตกฉานในตำราคัมภีร์ ภายหลังเบื่อหน่ายกับการแก่งแย่งในวงขุนนาง ถึงได้ตอบรับคำเชิญของสกุลเผยมาเป็นอาจารย์ธรรมดาๆ อยู่ที่เมืองหลินอันแห่งนี้ เขาเป็นคนมีวิชาความรู้ เป็นอาจารย์ผู้มีพระคุณของพี่ชายข้า แม้ว่าข้าทำไม่ได้ แต่สามารถขอท่านพี่ข้าให้ออกหน้าช่วยเจ้าขอพบอาจารย์เฉินได้ 

อวี้ถังงงงวยไปหมด

สองชาติที่ผ่านมา นางไม่เคยรู้มาก่อนว่าสำนักศึกษาประจำอำเภอแห่งเมืองหลินอัน ที่แท้มีมังกรหลับซ่อนตัวอยู่ด้วย

หลี่จวิ้นพลันตื่นเต้นขึ้นมาโอ้อวดต่อว่า  แม่นางอวี้ ข้าติดตามท่านพี่มาทางนี้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าโจวจื่อจินก็มาที่หลินอันเช่นกัน แต่ว่า เจ้าอาจจะรู้อะไรไม่มาก ใต้เท้าโจวได้เป็นจ้วงหยวนในปีเหรินอู่ เป็นลูกหลานสายหลักของสกุลโจวแห่งหนานทง ท่านปู่ของเขาเป็นราชครู บิดาเขาเคยเป็นโซ่วฟู่ [3] พี่ชายคนโตของเขาคือเจ้ากรมขุนนางคนปัจจุบัน เขายังมีท่านอาอยู่ที่ศาลต้าหลี่ ตัวเองก็เคยเป็นจี้ซื่อจง [4] อยู่กรมอาญา ทั้งสกุลล้วนแต่เป็นเลิศ เขามาหลินอันเพื่อเยี่ยมเยียนนายท่านสาม นายท่านสามเจ้าคงรู้จักอยู่แล้ว ก็คือเผยสยากวง เผยเยี่ยน ใต้เท้าโจวรู้ว่าท่านเฉินจะมาบรรยายที่สำนักศึกษาอำเภอ เลยตั้งใจมาคารวะท่านเฉินพร้อมกับนายท่านสามด้วย ทุกคนคงไม่รู้ เพราะบิดาข้าอายุรุ่นราวคราวเดียวกับนายท่านรองสกุลเผย พี่ชายข้าก็ไปที่จวนสกุลเผยเพื่อขอคำชี้แนะเรื่องการเรียนจากนายท่านรองบ่อยๆ ถึงได้รู้ว่าพวกเขาจะมาที่สำนักศึกษาอำเภอ พี่ชายข้าเลยตั้งใจพาข้ามาให้พวกเขาเห็นหน้าเห็นตาไว้บ้าง… 

เขาเป็นเหมือนนกยูงรำแพนหาง คิดจะดึงดูดความสนใจจากอวี้ถัง

อวี้ถังได้ยินว่าหลี่ตวนก็อยู่ที่นี่ด้วย ก็รู้สึกไม่สบายตัวราวกับทั่วร่างมีหนอนไต่ยั้วเยี้ย

นางตัดบทวาจาของหลี่จวิ้นว่า  คุณชายรองสกุลหลี่ใส่ใจเกินไปแล้ว ข้าไม่มีธุระอันใดจริงๆ ผู้ใหญ่ที่เรือนยังรอให้ข้ากลับไป ขอตัวก่อน  พูดจบ ก็หันไปส่งสายตาให้อาเสา แล้วหมุนกายเตรียมจากไป

หลี่จวิ้นชะงักกึก เห็นว่าอวี้ถังเดินไปไกลเกินสิบเก้าแล้ว เขาถึงได้สติกลับมา รีบตะโกนเรียกอวี้ถังเอาไว้

อวี้ถังหมุนตัวกลับมาอย่างงงๆ

หลี่จวิ้นยืนอยู่ที่เก่าด้วยสีหน้าแดงเถือก ทำท่าอึกๆ อักๆ ไม่รู้ว่าต้องการจะพูดอะไร

อวี้ถังมีหรือจะไม่เข้าใจ

ชาติก่อน หลี่จวิ้นไม่เคยได้พบนาง คนสกุลหลินบอกว่าเขาฝังใจกับนางมาก นางจึงอาศัยการสวดมนต์ เพื่ออดทนกับคนสกุลหลินมานานปี ชาตินี้ สวรรค์กลั่นแกล้งคน หลี่จวิ้นได้พบนางแล้ว ซึ่งสอดคล้องกับคำโกหกของคนสกุลหลินในชาติก่อน…หลี่จวิ้นปักใจต่อนางตั้งแต่แรกเห็น

น่าเสียดาย นางขยะแขยงสกุลหลี่จนแทบทนไม่ไหว ไม่ว่าหลี่จวิ้นจะประเสริฐปานใด จริงใจต่อนางเพียงไหน นางก็ไม่คิดจะมีความเกี่ยวพันใดๆ กับสกุลหลี่อย่างเด็ดขาด

อวี้ถังยิ้มเย็นพลางเอ่ยว่า  ครั้งหน้าคุณชายหลี่คิดให้ดีก่อนว่าจะพูดอะไรกับข้าแล้วค่อยเรียกข้าเถอะ! 

ถ้าอยากให้หลี่จวิ้นตัดใจต่อนาง นางยิ่งไม่อาจแสดงท่าทีใกล้ชิดต่อเขา

หลี่จวิ้นพลันรู้สึกขายหน้าทันใด

อวี้ถังพาอาเสาเดินออกไปด้านนอก

หลี่จวิ้นกัดริมฝีปาก คิดจะตามไปด้วย

 แม่นางอวี้!  เขามาดักหน้านางเอ่ยติดๆ ขัดๆ ว่า  แม่นางอวี้ เอ่อ คือว่านายหญิงทังกับท่านแม่ข้าบอกว่า ไปเยือนที่เรือนเจ้าหลายครั้งแล้ว สกุลเจ้า…ต้องการหาเขยแต่งเข้า ขอเจ้าอย่าใจร้อน รอสักไม่กี่วัน ท่านพ่อข้าอีกสองสามวันก็คงตอบจดหมายกลับมาแล้ว…ข้า ข้ายินดี… 

คำพูดของเขายังไม่ทันพูดจบ ก็เห็นสีหน้าของอวี้ถังซีดเผือดและแข็งทื่ออย่างรวดเร็ว

เกิดอะไรขึ้นรึ?

หลี่จวิ้นพึมพำในใจ น้ำเสียงที่ใช้จึงดังยิ่งกว่าเดิม ราวกับตัดสินใจแน่วแน่แล้ว  แม่นางอวี้ เจ้าวางใจได้ สกุลข้ามีบุตรชายสองคน ข้ารู้ว่าสกุลเจ้าต้องการให้เขยชายแต่งเข้า ไม่ว่าอย่างไรข้าต้องให้ท่านพ่อรับปากให้ได้ เจ้ารอข้านะ! 

 หลี่จวิ้น เจ้าพูดจาเพ้อเจ้ออะไร!  มีบุรุษพูดแทรกเขาด้วยความเดือดดาล  ไสหัวของเจ้ากลับมาหาข้าเดี๋ยวนี้! 

น้ำเสียงอันคุ้นเคยนี้…

หลี่จวิ้นรีบหันไปมอง เห็นดวงหน้าหล่อเหลาทว่าเขียวคล้ำของพี่ชายตน อีกทั้งด้านหลังเขา ยังมีดวงหน้าสูงส่งทว่าไม่อาจคาดเดาของนายท่านสาม เผยเยี่ยน ดวงหน้าที่ดูสนุกกับความทุกข์ของผู้อื่นของโจวจ้วงหยวน และดวงหน้าตกตะลึงของท่านเฉิน

 ท่านพี่!  หลี่จวิ้นไหล่ตก เรียกหลี่ตวนไปทีหนึ่งอย่างระมัดระวัง

หลี่ตวนอยากจะตบหน้าน้องชายไร้สมองคนนี้ให้ตายจริงๆ

วันนี้เป็นโอกาสดีเพียงใด คนหนึ่งเป็นถึงจ้วงหยวน คนหนึ่งเป็นถึงทั่นฮวา ยังมีจิ้นซื่อสองป้ายอีก คนอื่นคิดประจบยังหาโอกาสไม่ได้ เขากลับวิ่งมาตอแยหญิงสาวสกุลอื่นอยู่ที่นี่ ยังกล้าพูดอย่างไร้สำนึกว่าจะแต่งเข้าเป็นเขยผู้อื่น ช่างเป็นการกระทำที่ไม่สมกับฐานะของบัณฑิตเอาเสียเลย

ความคิดแวบผ่าน หัวใจเขาพลันกระตุก

แต่งเขยชายเข้าบ้าน!

หรือว่าจะเป็นหญิงสาวผู้นั้น แม่นางสกุลอวี้?

หลี่ตวนอดจะมองหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าน้องชายทีหนึ่งไม่ได้

ทว่าเพียงครั้งเดียว เขาก็ไม่อาจย้ายสายตาไปไหนได้อีก

ส่วนสูงปานกลาง รูปร่างไม่ได้ผอมบางอย่างที่นิยมกันเหมือนตอนนี้ ทว่ามีขาเรียวยาวเอวแน่งน้อย มีเส้นเว้าโค้งสวยงาม สวมเสื้อตัวสั้นสีขาวธรรมดา ท่อนล่างเป็นกระโปรงจับจีบสีแดงเข้มปักลายดอกไม้ หวีผมทรงก้นหอยสองข้าง เสียบดอกมะลิเอาไว้หนึ่งช่อ ตุ้มหูดอกติงเซียงสีเงินสะท้อนวิบวับใต้แสงอาทิตย์ เมื่อรวมกับหางตาที่แดงเรื่อของนาง ช่างเป็นการแต่งแต้มสีสันให้กับความงดงามอีกทีหนึ่ง

มิน่าขนาดสกุลฟู่ยังไปขอหมั้นหมาย

ที่แท้ก็งามถึงเพียงนี้

หลี่ตวนพลันสติหลุดลอยไปชั่วขณะ

โจวจ้วงหยวนที่ยืนอยู่ข้างๆ หัวเราะชอบใจ สะบัดพัดจินชวนสีดำให้กางออก ทำลายความเงียบทิ้งในชั่ววินาที  คนหนึ่งสะเทิ้นอายหน้าแดง คนหนึ่งทำหน้าเหมือนร้องไห้ ไม่รู้ว่าได้รับความขุ่นข้องหมองใจหรืออย่างไร  เขาพูดพลางมองไปทางหลี่ตวนอย่างขำๆ  มาๆ มีเรื่องอะไรก็พูดกับพวกข้าได้ พวกข้าจะเป็นคนชี้ขาดให้เอง 

ทำเหมือนกับว่าหลี่ตวนเป็นหวังหมู่เหนียงเหนียงที่ทำลายวาสนาของผู้อื่นเสียอย่างนั้น

 จื่อจิน!  เฉินซ่านเหยียนเรียกชื่อโจวจ้วงหยวนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เอ่ยว่า  ที่นี่ไม่ใช่เมืองหลวง เจ้าสงบเสงี่ยมลงเสียบ้าง อย่าได้เอาอุบายที่ชอบใช้ในเมืองหลวงมาใช้ที่เมืองหลินอัน 

เขาเป็นบุรุษวัยประมาณห้าสิบปี รูปร่างผอมสูง ผมเคราขาวโพลน สีหน้าเข้มงวด อยู่ในชุดผ้าคลุมเนื้อหยาบสีน้ำเงิน ดูไม่คล้ายกับทั่นฮวา แต่เหมือนบัณฑิตตกต่ำที่สอบไม่ผ่านเสียมากกว่า

โจวจ้วงหยวนคล้ายว่าจะกลัวเขาอยู่บ้าง เห็นว่าเขาไม่พอใจ ก็หัวเราะเหอะๆ สองที ก่อนจะมองไปทางเผยเยี่ยน

ทว่าเผยเยี่ยนกลับมองอวี้ถังอยู่

แม่นางผู้นี้อีกแล้ว

เขายังจำภาพตอนที่เจอนางครั้งก่อนตอนอยู่วัดเจาหมิงได้

นางสวมชุดผ้าไหมปักลายดอกไม้สีแดงเข้ม ขมวดผมเป็นก้อนกลมกลางศีรษะ ขณะที่เดิน ผ้าไหมเนื้อบางจะแนบติดกับเรือนร่างของนาง เอวน้อยอรชรดั่งกิ่งหลิว ปิ่นเงินชุบฝังไข่มุกที่ปักเอียงๆ อยู่บนผมขยับไหวเหมือนกับชิงช้า เคียงใกล้ดวงหน้าขาวผ่องของนาง

เหล่าชายหนุ่มใต้ต้นสนตื่นรู้ต่างพากันยื้อแย่งเพื่อออกแรงช่วยเหลือนาง

ทว่าตอนนี้…ดวงตานางกลับแดงช้ำ ดวงหน้าซีดเซียว มองไปทางหลี่ตวนด้วยความตกตะลึง

เผยเยี่ยนอดจะหันไปมองหลี่ตวนไม่ได้

อาจเพราะจะมาพบพวกเขา หลี่ตวนจึงแต่งตัวอย่างเป็นทางการ เสื้อคลุมตัวหลวมตัดจากผ้าหังโจวสีแดงพุทราลายอู่ฝู พร้อมผ้าโพกศีรษะสีดอกบัว ที่เอวห้อยถุงผ้ากับจินซานซื่อ ผิวพรรณขาวผ่อง เครื่องหน้าหล่อเหลา รูปร่างดั่งต้นสน เขายืนแน่นิ่งกับที่อยู่อย่างนั้น ทำให้คนนึกถึงคำชื่นชมประเภท ‘ดอกหลันจือต้นอวี้ซู่ [5] ’ขึ้นมาได้

เพียงแต่สีหน้าของเขาในเวลานี้ดูไม่ค่อยถูกต้องนัก

ดวงตามองตรงไปที่แม่นางน้อยสกุลอวี้ จ้องจนตาไม่กะพริบ…

หรือว่าทั้งคุณชายน้อยและคุณชายใหญ่สกุลหลี่ต่างก็มีเรื่องราวความหลังกับแม่นางอวี้ผู้นี้?

เผยเยี่ยนเม้มปาก แต่เกือบซวนเซเพราะแขนของโจวจื่อจินที่วางพาดไหล่ลงมา

โจวจื่อจินกระซิบข้างหูเขาว่า  นี่ สายตาเจ้าเหตุใดเป็นเช่นนั้น? เจ้าคงมิใช่รู้จักแม่นางผู้นั้นด้วยกระมัง? นี่มันสถานการณ์ใดกัน? สามารถทำให้บุรุษตะโกนว่าอยากแต่งเข้าไปเป็นเขยชายให้ได้อย่างไม่สนใจสิ่งใด แม่นางผู้นี้ไม่ธรรมดาจริงๆ! เจ้าบอกให้ข้าฟังบ้างสิ ข้ารับรองจะเก็บเป็นความลับ! 

เผยเยี่ยนขมวดคิ้ว แล้วปัดแขนเขาออกจากไหล่ด้วยสีหน้าหมดความอดทน  เจ้าอย่าบ้าให้มันมาก 

โจวจื่อจินกระตุกยิ้มมุมปาก ทำทีเหมือนมีถ้อยคำอยากจะพูด หัวใจของเฉินซ่านเหยียนกระตุกใหญ่ กลัวว่าเขาจะพูดอะไรที่ไม่น่าฟังอีก จึงไอเสียงดังไปหลายครั้ง

หลี่ตวนไม่นับว่าเลอะเลือนเกินเยียวยา ดึงสติกลับมาทันที

เขารู้สึกกระดากเล็กน้อย

สิบปีที่เล่าเรียนมาอย่างยากลำบาก เขาไม่เคยจะมองสตรีคนใดสักครั้ง แต่แม่นางที่อยู่เบื้องหน้านี้ กลับทำให้เขาคันยุบยิบในหัวใจจนไม่อาจไม่จ้องมองอย่างละเอียดได้

เขารีบจัดการความคิดของตนเองแล้วพูดกับหลี่จวิ้นว่า  ยังไม่รีบคารวะผู้อาวุโสอีก ตำราที่ท่องมามากมายหายลงท้องไปแล้วหรือ 

หลี่จวิ้นเดินขึ้นไปข้างหน้าทุกคนด้วยสีหน้าแดงก่ำ

เผยเยี่ยนโบกมือให้อย่างไม่ใส่ใจ บอกเป็นนัยว่าไม่ต้องทำความเคารพ จากนั้นก็หันไปพูดกับโจวจื่อจินด้วยสีหน้าเฉยเมยว่า  เจ้าจะไปหรือไม่? ถ้าไม่ไป ข้าไปก่อนล่ะ! 

————————————————————-

[1] ทั่นฮวา คือคำเรียนจิ้นซื่อที่สอบได้เป็นอันดับสาม อันดับหนึ่งเรียกว่าจ้วงหยวน อันดับสองเรียกว่าปั่งเหยียน

[2] สำนักฮั่นหลิน เป็นสำนักที่ทรงอิทธิพลมากสำหรับบัณฑิตในยุคนั้น หน้าที่ของสำนักฮั่นหลิน คือบันทึกและแก้ไขประวัติศาสตร์ของราชวงศ์ รวมไปถึงการวางแผนการศึกษาและการสอบเพื่อเฟ้นหาบัณฑิตเข้ารับราชการอีกด้วย

[3] โซ่วฟู่ เป็นตำแหน่งผู้อาวุโสของหกกรม

[4] จี้ซื่อจง เป็นตำแหน่งที่มีอยู่ในทั้งหกฝ่าย แม้ว่าลำดับศักดิ์ไม่สูง แต่มีอำนาจมาก ภารกิจที่ฮ่องเต้มอบหมายให้ศาลาว่าการแต่ละแห่งจะมีทั้งหกฝ่ายคอยติดตามและจดบันทึกทุกๆ ห้าวัน หากล่าช้าหรือทำงานไม่มีประสิทธิภาพ หกฝ่ายสามารถรายงานต่อฮ่องเต้ได้

[5] ดอกหลันจือต้นอวี้ซู่ เป็นคำเปรียบเปรยถึงคนรุ่นหลังที่เฉิดฉายโดดเด่น

Related

 

วันรุ่งขึ้น อวี้เหวินไม่รอให้คนของศาลาว่าการมาสอบความเรื่องคดีที่เรือนก็เร่งออกเดินทางไปหังโจวแล้ว

คนสกุลเฉินกับอวี้ถังไปส่งเขาที่ท่าเรือ

คนที่เฝ้าโรงจำนำอยู่กลับเป็นเถ้าแก่น้อยถง มิใช่เถ้าแก่ถง

อวี้เหวินอดจะถามไม่ได้ว่า  เถ้าแก่ถงไปไหนเสียเล่า? 

เถ้าแก่น้อยถงหัวเราะแล้วบอกว่า  สกุลเผยมีโรงจำนำอยู่ที่หังโจวอีกหลายร้าน ทุกๆ ต้นเดือน ท่านพ่อจะต้องไปตรวจบัญชีขอรับ พอดีช่วงนี้เมืองหลินอันเกิดเรื่องมากมาย ท่านพ่อมัวยุ่งกับเรื่องทางนี้ ไม่ได้ไปที่หังโจวหลายเดือนแล้ว จึงถือโอกาสที่หลายวันนี้ไม่ค่อยยุ่งข้ามไปดูสักหน่อย 

นายท่านใหญ่กับท่านผู้เฒ่าสกุลเผยเสียชีวิตติดๆ กัน ก็มิแปลกที่เถ้าแก่ถงจะไม่ได้ออกไปไหน

อวี้ถังคิดในใจเช่นนั้น แต่อวี้เหวินกลับตื่นเต้นดีใจยิ่ง เอ่ยว่า  สกุลเผยมีโรงจำนำที่หังโจวด้วยรึ? โรงจำนำตั้งอยู่ที่ไหน? ข้ากำลังจะไปหังโจวพอดี ถึงเวลานั้นจะไปกินข้าวกับเขาสักหน่อย  แล้วบอกอีกว่า  ถ้ารู้แต่แรกว่าเขาจะไปหังโจว ทุกคนไปพร้อมกันจะได้มีเพื่อนร่วมทางคงจะดี 

เถ้าแก่น้อยถงสั่งคนตระเตรียมน้ำชาให้คนสกุลอวี้ดื่มทั้งยังเอ่ยอย่างเป็นห่วงว่า  นายท่านอวี้จะไปทำอะไรที่หังโจวหรือขอรับ? โรงจำนำสกุลเผยตั้งอยู่ที่ฝ่างเหรินหลี่ข้างแม่น้ำซือเยา แถบๆ นั้น เป็นร้านค้าห้าคูหา มีป้ายธงสูงเท่าตัวคน มองเห็นได้แต่ไกลๆ บิดาข้าจะยังอยู่ที่นั่นอีกสองสามวัน ข้างโรงจำนำยังมีร้านหนังสือหลายร้าน มีโรงจำนำของเก่าแก่โบราณ นายท่านอวี้หากได้ไป สามารถไปเดินเลือกซื้อกับบิดาข้าได้ 

อวี้เหวินหน้านิ่วคิ้วขมวด

เขาก็อยากจะเดินซื้ออยู่หรอกนะ แต่ว่าหลู่ซิ่นคงรอไม่ไหวน่ะสิ!

เขาเอ่ยว่า  คงได้แต่รอนัดแนะกับบิดาเจ้ารอบหน้าแล้ว 

สองคนพูดคุยกันไป เรือที่จะไปหังโจวก็มาเทียบท่าพอดี

อวี้ถังกับมารดาส่งอวี้เหวินขึ้นเรือด้วยตนเอง

เรือยังไม่ทันออกจากท่า ก็มีเรือลำใหญ่หรูหราลำหนึ่งมาเทียบท่าข้างเรือโดยสาร

ทุกคนต่างชี้ไม้ชี้มือหันไปมอง

อวี้ถังเห็นบุรุษชุดเขียวรูปร่างผอมสูงพาคนเร่งรุดเข้าไปหา สั่งการให้คนรีบวางไม้สะพานให้เรียบร้อย

มีคนกระซิบกระซาบอยู่ด้านข้างว่า  เห็นแล้วหรือไม่ นั่นก็คือพ่อบ้านใหญ่สกุลเผย เผยหม่าน 

 จริงด้วย จริงด้วย!  มีคนพูดต่อว่า  เดินขยับไปหน่อย ให้ข้าดูบ้าง 

อวี้ถังประหลาดใจเล็กน้อย เขย่งเท้ามองดูอยู่หลายที

คนที่ชื่อเผยหม่านอายุได้ประมาณยี่สิบหกยี่สิบเจ็ด ดวงหน้าผ่ายผอม สายตามุ่งมั่น สีหน้าเคร่งขรึม ดูท่าไม่ใช่คนที่คุยด้วยได้ง่ายเลย

อวี้ถังเม้มปาก

บ่าวก็เหมือนกับนาย

มองแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นคนที่นายท่านสามชอบใช้งาน

ก็เหมือนเขานั่นแหละ!

นางลอบเสียดสีในใจ จากนั้นก็เห็นบุรุษในชุดผ้าแพรสีขาวผู้หนึ่งเดินลงมาจากเรือลำใหญ่ อายุสามสิบน่าจะได้ เขาไว้หนวดเหนือริมฝีปาก ในมือถือพัดจินชวนสีดำเล่มหนึ่ง ท่วงท่าเย่อหยิ่งยิ่งนัก พอลงจากเรือก็ทำหน้าตึงใส่เผยหม่านทันที แล้วพูดว่า  สยากวงเล่า? ทำไมเขาไม่มารอรับข้า? ข้ามาตั้งไกลจากเมืองหลวงเพื่อมาหาเขาโดยเฉพาะ! เขาไม่ไปรอรับข้าที่เมืองหังโจวก็แล้วไปเถอะ นี่ข้ามาถึงท่าเรือเสาซีแล้ว เขาก็ยังไม่มารับข้าอีกรึ นี่คือการต้อนรับแขกของสกุลเผยหรืออย่างไร? 

เผยหม่านวางตัวนอบน้อมอย่างยิ่ง เดินเข้าไปคารวะคนผู้นั้นด้วยความเคารพ เรียกคนผู้นั้นว่า ‘โจวจ้วงหยวน’ แล้วเอ่ยว่า  นายท่านสามถูกธุระในเรือนรัดตัว ความสัมพันธ์แน่นแฟ้นของท่านกับนายท่านสาม นายท่านสามจะไม่มารอรับท่านได้อย่างไรขอรับ? 

โจวจ้วงหยวนร้องเสียงเหอะสองทีแล้วบ่นว่า  ข้าบอกให้เขาไม่ต้องสนใจเรื่องจุกจิกพวกนั้น บ้านนอกคอกนาเช่นนี้ มีอะไรให้รั้งอยู่นานกัน เขาก็ไม่ยอมฟัง ตอนนี้เป็นอย่างไร อากาศดีๆ เช่นนี้กลับต้องมาวุ่นวายธุระในเรือน คิดแล้วข้ายังปวดใจแทนเขาเลย 

เผยหม่านยิ้มตามแต่ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ

โจวจ้วงหยวนคงไม่ได้หวังให้เผยหม่ายตอบคำแต่แรก หันไปโบกมือให้เขาบอกว่า  ไปเถอะ! เกี้ยวอยู่ที่ไหน? สยากวงรู้จักนิสัยข้าดี ในเกี้ยวอบเครื่องหอมอะไรไว้? 

เผยหม่านรีบตอบว่า  เรื่องนี้นายท่านสามสั่งการไว้ด้วยตนเอง ต้องเป็นกลิ่นดอกสาลี่ขาวที่นายท่านสามทำด้วยตนเองขอรับ 

โจวจ้วงหยวนได้ยินก็หันไปมองเผยหม่านทีหนึ่งแล้วหัวเราะออกมา  มิน่าสยากวงถึงเลือกเจ้าให้ทำงานข้างกาย คนอย่างเจ้าที่โกหกไม่กะพริบตา ซ้ำไม่ทำให้คนชังน้ำหน้าได้ ก็เหมาะสมกับหน้าที่นี้แล้ว…นายท่านสามของเจ้า แต่ไรก็ไม่เคยใช้เครื่องหอม ยิ่งไม่ต้องพูดถึงลงมือทำด้วยตนเอง 

เผยหม่านนับว่าเป็นคนพูดจาเก่งจึงหัวเราะและเอ่ยตอบ  ทุกคนต่างพูดว่าท่านกับนายท่านสามเป็นมิตรแท้ที่คอยทัดทานกัน คงมีเพียงท่านที่เข้าใจนายท่านสามของพวกเราขอรับ 

แม้ตอนที่เขายิ้มก็ยังมีกระแสเย็นชาหลายส่วน ไม่ได้ดูสนิทสนมมากนัก

ทว่าคำพูดของเขากลับทำให้โจวจ้วงหยวนพอใจ โจวจ้วงหยวนไม่เรื่องมากอีก เขาคลี่พัดดัง ‘พรึบ’ แล้วโบกไปมาสองทีและสั่งว่า  นำทางไปสิ 

เผยหม่านรีบทำไม้ทำมือบอกให้ ‘เชิญเขาเดินนำ’ แล้วพาโจวจ้วงหยวนไปยังเกี้ยวซึ่งจอดไว้ด้านข้างท่าเรือ

บ่าวรับใช้หามเอาหีบลังลงจากเรือมาเป็นขบวน

อวี้ถังหันไปมองทีหนึ่ง เห็นว่าหีบลังมีมากกว่าสิบ แต่ละลังล้วนทาน้ำมันต้นถงอย่างดี มันเป็นเงาจนแทบจะส่องเห็นหน้าคนได้ สี่มุมหุ้มด้วยแผ่นทองเหลืองตีลายเมฆมงคล ยังมีสตรีอีกเจ็ดแปดคนที่สวมชุดสีเรียบ ใส่หมวกคลุมหน้ายืนอยู่ข้างเรือ ดูท่าคงกำลังรอลงจากเรือ แต่ไม่รู้ว่าเป็นสาวใช้หรือว่าสตรีในเรือนของโจวจ้วงหยวนผู้นั้นกันแน่

คนรอบข้างที่มองอยู่พลันระเบิดเสียงซุบซิบนินทาทันที

 นี่คงเป็นสหายสนิทของนายท่านสามกระมัง? 

 มาจากเมืองหลวง ทั้งยังเป็นจ้วงหยวน [1] ด้วย นายท่านสามสกุลเผยช่างมีหน้ามีตายิ่ง 

 ดูจากความฟุ่มเฟือยหรูหราแล้ว จ้วงหยวนท่านนี้ต้องเกิดในสกุลใหญ่โตเป็นแน่ 

อวี้ถังกลับกำลังคิดว่า ที่แท้นายท่านสามก็มีชื่อรองว่า ‘สยากวง’

เป็น ‘รักล้ำฝังดวงใจ เหตุไฉนไร้วาจา’ รึ? หรือว่า ‘เนิ่นนานยาวพันปี ไร้คนดีคลายเศร้าหมอง’

หรือว่าจะเป็น ‘สีเขาเขียวครึ้มนอกรั้วแดง แสงไกลกระทบลอดสาดยอดสน’?

ทว่า นายท่านสามสกุลเผยสง่าเหมือนดั่งต้นสนต้นไผ่ เจิดจ้าดั่งแสงไฟดั่งไข่มุกโดดเด่นเหนือผู้ใด

ทั้งยังมีโจวจ้วงหยวนคนนั้นอีก

ชาติก่อนนางไม่เคยได้ยินมาก่อน ไม่รู้ว่าเขาเป็นจ้วงหยวนจากสำนักใด แต่ท่าทางหยิ่งผยองวางโตเช่นนี้ก็เหมือนกันกับนายท่านสามอย่างกับอะไรดี สองคนสมแล้วที่เป็นสหายกัน

ขณะที่อวี้ถังครุ่นคิด เรือโดยสารของอวี้เหวินก็ออกจากท่าเรือไปแล้ว

นางกับมารดาโบกมือให้กับบิดา กระทั่งเรือเคลื่อนออกไปไกลแล้ว นางถึงได้พยุงมารดาไปที่โรงจำนำแล้วบอกลาเถ้าแก่ถงน้อยก่อนจะขอตัวกลับบ้าน

โจวจ้วงหยวนกับเผยหม่านนั้นไม่เห็นเงาแล้ว ทิ้งผู้ดูแลเอาไว้สองสามคนคอยสั่งการบ่าวรับใช้ให้เคลื่อนย้ายหีบ

หีบใบสูงกองอยู่บนรถม้าสองคันแต่ก็ยังใส่ได้ไม่หมด

อวี้ถังอดจะกัดลิ้นเล่นไม่ได้

แค่มาเป็นแขกกลับนำของมามากมายปานนี้ มองออกทันทีว่าคนผู้นี้ต้องเรื่องมากเป็นที่สุด

นางอดจะอยากรู้ฐานะความเป็นมาของโจวจ้วงหยวนผู้นี้ไม่ได้

พอกลับถึงบ้าน อาเสาอุ้มสุนัขสีน้ำตาลกลับมาตัวหนึ่งตามคำสั่งของอวี้เหวิน

ตัวมันเล็กนิดเดียว ขนก็นุ่มนิ่ม ดวงตาสีดำสนิท ทำให้คนที่เห็นรู้สึกอบอุ่นใจยิ่งนัก

อวี้ถังนั่งยองๆ ลงไปลูบหัวสุนัขน้อย มันที่อยู่ในฝ่ามือนางก็ร้องออกมาเบาๆ

หัวใจของนางละลายทันที ถามอาเสาว่า  ไปจับมาจากไหน? ตั้งชื่อแล้วหรือยัง? 

อาเสาหัวเราะ  จับมาจากบ้านชาวนาที่บ้านเกิดข้าขอรับ ชื่อว่าซานหวง 

อวี้ถังร้อง  เอ๊ะ  ด้วยความสงสัย  ทำไมถึงชื่อว่าซานหวงล่ะ? 

อาเสาหัวเราะบอกว่า  เห็นว่าคลอดคอกหนึ่งออกมาตั้งสี่ตัว มันเป็นตัวที่สาม จึงเรียกว่าซานหวงขอรับ 

อวี้ถังหัวเราะ  แต่ที่เรือนนี้มีมันแค่ตัวเดียวนี่นา เรียกเสี่ยวหวงก็พอแล้ว 

ทุกคนต่างร้องว่า  ดี 

ป้าเฉินคลุกข้าวกับน้ำต้มกระดูกให้มันกิน

เสี่ยวหวงก็กินไปพลางหอบแฮกๆ

คนสกุลเฉินเห็นว่าน่าสนุกจึงเดินเข้ามาลูบหัวมันบ้าง

อวี้ถังนึกได้ว่าในห้องนางยังมีเนื้อแผ่นที่หม่าซิ่วเหนียงมอบให้ ก็วิ่งกลับห้องไปหยิบมา แต่กลับได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจากประตูหลังเสียก่อน

คนในเรือนต่างอยู่ที่ลานด้านหน้า หรือว่าขโมยขึ้นเรือนอีกแล้ว?

อวี้ถังครุ่นคิด มือคว้าท่อนไม้ที่ใช้ดาลประตูมาถือไว้แล้วตะโกนเสียงดังว่า  ใครอยู่ตรงนั้นน่ะ! 

ประตูหลังทางนั้นไม่เพียงไม่เงียบเสียงลง กลับมีเสียง ‘ตึง’ ดังขึ้นมาอีก มีคนโยนก้อนหินเข้ามาที่เรือนหลัง

นี่มิใช่ขโมยแล้ว แต่มีคนไม่พอใจสกุลนางต่างหาก

อวี้ถังเดือดดาลมาก

สกุลนางแต่ไรก็ปฏิบัติต่อผู้อื่นเป็นอย่างดี ระหว่างเพื่อนบ้านก็ไม่เคยมีปากเสียง แล้วยังขโมยที่่เข้ามารอบก่อน ก็หยิบเอาแค่ของกินไปเท่านั้น ไม่แน่อาจมีใครทำเรื่องตลกร้ายนี้ขึ้นมาก็ได้

นางสองก้าวเดินสามก้าววิ่งไปผลักประตูหลังให้เปิดออก เห็นเด็กผู้ชายชุดสีฟ้าอ่อนกำลังวิ่งออกไปจากหลังเรือนอย่างรวดเร็ว

เพราะว่ายังเช้าอยู่มาก ทั้งเป็นด้านหลังตรอกจึงไม่มีใครอื่นอยู่เลย อวี้ถังเห็นคนได้อย่างชัดเจน นางหยุดตะลึงไปพักหนึ่ง แล้วพึมพำด้วยเสียงมึนงงว่า  เว่ยเสี่ยวชวน! 

ไม่ผิดแน่ เด็กผู้ชายคนนั้นก็คือเว่ยเสี่ยวชวนที่นางเจอตอนนัดดูตัวครั้งก่อน

เขามาทำอะไรที่ด้านหลังเรือนของนาง? ทั้งๆ ที่รู้ว่าถูกเจอตัวแล้ว แต่ก็ยังขว้างก้อนหินใส่ประตูหลังอีก? ราวกับว่าไม่พอใจอะไรบางอย่าง

นางนึกถึงท่าทางครั้งก่อนที่เขาใช้กิ่งไม้ฟาดต้นหญ้าข้างกายเล่น

นั่นก็เหมือนโมโหอะไรมา อารมณ์ไม่พอใจอย่างที่สุด

สกุลนางไปหาเรื่องอะไรเขาเข้าอย่างนั้นรึ?

พอคิดถึงเว่ยเสี่ยวซาน นางก็ค่อยๆ เรียกอาเสาไปสืบความ  บุตรคนสุดท้องของสกุลเว่ย ชื่อเว่ยเสี่ยวชวน เจ้าลองสืบหน่อยว่าช่วงนี้เขาทำอะไรอยู่? 

อาเสาเคยตามอวี้เหวินไปที่เรือนสกุลเว่ย ตอบว่า  น่าจะเข้าเรียนที่สำนักศึกษาประจำอำเภออยู่นะขอรับ? ข้าได้ยินคนสกุลเว่ยพูดว่า ตอนที่พวกพี่ชายของเขาเริ่มเรียนเขาก็จะคอยฟังอยู่ข้างๆ อายุสามขวบก็รู้จักตัวอักษรแล้ว อายุห้าขวบก็ท่อง ‘เสี่ยวจิง’ ได้ทั้งเล่ม แม้อายุจะน้อย แต่ก็เข้าสำนักศึกษาได้อย่างรวดเร็ว คิดว่าปีหน้าก็คงเข้าร่วมสนามสอบแล้ว 

อวี้ถังประหลาดใจมาก ยิ่งเป็นห่วงว่าใช่เกิดเรื่องอะไรกับเด็กคนนี้หรือไม่ ตามหลักแล้ว เด็กที่เฉลียดฉลาดปานนั้น ไม่ควรมีท่าทีเกรี้ยวกราดเช่นนี้ถึงจะถูก

อาเสารับคำแล้วจากไป ไม่ทันไรก็กลับมาตอบนางว่า ตอนนี้เว่ยเสี่ยวชวนอยู่ที่สำนักศึกษาประจำอำเภออย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย!

อวี้ถังใคร่ครวญดูแล้วให้ซวงเถาหยิบขนมมาหลายกล่อง พาอาเสามุ่งไปที่สำนักศึกษาประจำอำเภอ

เพราะว่าให้คนไปสอบถามจากอาจารย์สำนักศึกษา แม้เว่ยเสี่ยวชวนจะไม่ยินยอม แต่ก็ต้องเดินหน้าตึงออกมาจากห้องเรียน ถามอวี้ถังเสียงเย็นชาว่า  เจ้าหาข้ามีเรื่องอะไร? พวกเราสองสกุลไม่เกี่ยวข้องกันแล้ว! 

อวี้ถังยิ่งเชื่อว่าเรื่องนี้ต้องมีปัญหาอะไรซ่อนอยู่แน่

นางเอ่ยว่า  เจ้าอย่าบอกนะว่าจะปฏิเสธว่าคนที่ขว้างหินใส่เรือนข้าเมื่อเช้าไม่ใช่เจ้า ลูกผู้ชายกล้าทำก็ต้องกล้ารับ มีคำก็พูดออกมา มีปัญหาก็ถามออกไป มุดหัวมุดหางเช่นนี้ นับเป็นผู้ชายประสาอะไรได้? 

อย่างไรเด็กก็ยังเป็นเด็ก เว่ยเสี่ยวชวนได้ยินก็ร้อนรนจนตาแดงก่ำร้องเสียงดังว่า  เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าไปหาเจ้าอย่างนั้นรึ เป็นพี่สี่ที่ห้ามข้าเอาไว้ ไม่ให้ข้าไปหาเจ้า เจ้ามันเป็นนางจิ้งจอก เป็นต้นเหตุของหายนะ พี่รองข้าว่ายน้ำเก่งจะตาย ก็เพราะว่าต้องแต่งกับเจ้านั่นแหละ ถึงได้ไปจับปลาที่แม่น้ำ สุดท้ายเลยต้องจมน้ำตาย ทั้งยังพี่สามอีก พอได้ยินว่าเจ้าสะสวย แต่สกุลเจ้ากลับเลือกพี่รองเป็นเขยชาย เขาจึงต้องทะเลาะกับพี่รอง ตอนนี้พี่รองข้าไม่อยู่แล้ว พี่สามก็เสียใจหนัก คิดว่าระหว่างพี่น้องไม่อาจเงยหน้ามองใครได้อีก ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้า พี่รองกับพี่สามข้าจะเป็นแบบนี้ได้อย่างไร! 

อวี้ถังตะลึงงัน

 เจ้าไม่ต้องมาหาข้าอีก! ถ้าเจ้ามา ข้าจะเอาเรื่องงามหน้าที่เจ้าเคยทำไปบอกคนอื่น!  เว่ยเสี่ยวชวนตะโกนใส่นาง ก่อนจะวิ่งหายลับไป

อวี้ถังเพียงรู้สึกเย็นวาบไปทั่วร่าง คล้ายจะยืนไม่อยู่

ชาติก่อน คนสกุลหลินด่าว่านางเป็นนางจิ้งจอก นางก็แค่แสยะยิ้มอยู่ในใจ ตอนนี้ เว่ยเสี่ยวชวนด่าทอนาง นางกลับคิดไปถึงสายตาคู่นั้นของเว่ยเสี่ยวซานที่มองนางด้วยความชื่นชอบและตกตะลึง ดวงตาที่พราวระยับดั่งดวงดาวคู่นั้น

น้ำตาของนางพลันไหลลงมาอย่างกลั้นไม่อยู่

————————————————————-

[1] จ้วงหยวน ผู้ที่ได้คะแนนสูงสุดอันดับหนึ่งในการสอบจิ้นซื่อ โดยอันดับที่สองเรียกว่าปั่งเหยี่ยน และอันดับสามเรียกว่า ทั่นฮวา

Related

 

กลางดึกคืนนั้น อวี้เหวินและอวี้หย่วนกลับมาจากเรือนสกุลเว่ย อวี้ป๋อที่ได้ข่าวก็ตามมาด้วย

คนในครอบครัวนั่งคุยเรื่องนี้ในโถงรับรอง อวี้เหวินแสดงออกชัดถึงความเสียดายในการหมั้นหมายครั้งนี้  ช่างเป็นสกุลที่เปี่ยมคุณธรรมเหลือเกิน นายท่านเว่ยไม่พูดอะไรด้วยเป็นบุรุษ แต่นายหญิงเว่ยนั้น พอเห็นข้าก็ไม่มีกล่าวโทษสักคำ เอาแต่ขอโทษอาถังของพวกเราไม่ยอมหยุด บอกกับข้าซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าต่อไปหากมีข่าวลืออะไรไม่น่าฟัง ก็ผลักไปให้พวกเขาฝั่งโน้นได้เลย เจ้าดูสิ เหตุใดตอนแรกเราถึงไม่หมั้นกับเจ้าสามของพวกเขานะ? ไม่อย่างนั้นก็คงไม่เกิดเรื่องเช่นนี้แล้ว 

อวี้ป๋อได้ฟังก็รู้สึกเสียดายและเอ่ยว่า  เช่นนั้นพรุ่งนี้ข้าจะไปมอบของเซ่นไหว้ให้สักหน่อย! อาหย่วน เจ้าก็ไปช่วยงานสกุลเว่ย ผู้อื่นมีคุณธรรม พวกเราย่อมไม่อาจไม่เหลียวแลไต่ถาม ต่อให้ภายหลังมีข่าวลืออะไรออกมา ก็ไม่อาจโยนไปให้สกุลเว่ยได้ เด็กคนนั้นจากไปอีกภพภูมิแล้ว จะให้เสื่อมเสียชื่อเขาได้อย่างไร? ลูกหลานของเรานับเป็นลูกหลาน แล้วลูกหลานของบ้านอื่นมิใช่ลูกหลานเช่นเดียวกันหรือ? 

 เหตุผลนี้ถูกต้องแล้ว  คนสกุลหวังถอนหายใจ แต่กลัวว่าอวี้ถังได้ยินแล้วจะไม่สบายใจ จึงหันไปมองนาง

อวี้ถังนั่งเงียบๆ อยู่ข้างหน้าต่าง สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

ตอนที่ได้ยินข่าวการตายของเว่ยเสี่ยวซาน นางเพียงรู้สึกตกใจแต่หลังจากตกใจก็คือความเสียดาย และต่อจากความเสียดายก็คือความเจ็บปวดอันหนักอึ้ง

อายุเท่านี้ก็มาจากไปเสียแล้ว

บิดามารดาย่อมไม่อาจรับไหวแน่!

ใจเขาใจเรา

คิดถึงตอนนั้น ที่นางได้ฟังข่าวร้ายเกี่ยวกับบิดามารดาของตน มันเหมือนฟ้าถล่มลงมาอย่างไรอย่างนั้น

การตายของเขาจะต้องทำให้บิดามารดารู้สึกเหมือนฟ้าถล่มลงมาไม่ต่างกันแน่

พอนางว่างขึ้นมาก็จะนึกถึงดวงตาที่มองนางด้วยความชอบพอคู่นั้นของเขา

อวี้ถังพลันกลั้นน้ำตาให้เอ่อออกมาไม่ได้

ยิ่งคิดถึงความมีคุณธรรมของสกุลเว่ย นางก็ยิ่งเสียดายวาสนาที่ยังไม่ได้เริ่มต้นในครั้งนี้

นางนั่งซึมอยู่ตรงนั้น ไม่พูดอะไรสักคำ

คนสกุลหวังเดินเข้าไปกอดนางเบาๆ เอ่ยเสียงต่ำว่า  อาถัง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า ชีวิตคนยังอีกยืนยาว นี่เป็นเพียงความทุกข์เล็กน้อยที่ต้องก้าวผ่าน พอเวลาผ่านไป ก็จะดีขึ้นเอง 

คนสกุลเฉินตอนนี้เพิ่งรู้ตัวว่าละเลยความรู้สึกของบุตรสาวไป รีบเดินเข้าไปหาแล้วช่วยคนสกุลหวังปลอบโยนนาง

อวี้ถังไม่อยากให้ผู้ใหญ่ในเรือนต้องเป็นกังวล จึงเรียกสติแล้วพูดจากับพวกเขา สุดท้ายยังถามไปว่า  ข้าไปจุดธูปไหว้ศพคุณชายรองสกุลเว่ยได้หรือไม่เจ้าคะ? 

คนสกุลเฉินกับคนสกุลหวังมองหน้ากัน หยุดคิดเล็กน้อยแล้วตอบอย่างไม่มั่นใจว่า  อาถัง พวกเราต่างรู้ว่าเจ้าเสียใจ แต่อย่างไรสกุลเราก็มิได้มีความเกี่ยวพันกับสกุลเว่ย เจ้าไปคงไม่เหมาะสม 

อวี้ถังพยักหน้า

แม้นางจะสงสารนายหญิงเว่ยที่ต้องสูญเสียบุตรชาย ทว่าก็ต้องใส่ใจความรู้สึกของบิดามารดาตนยิ่งกว่า

กระทั่งวันต่อมาตอนที่อวี้หย่วนไปเรือนสกุลเว่ย นางก็ให้อวี้หย่วนช่วยจุดธูปไหว้เว่ยเสียวซานแทนนาง แล้วแสดงความเสียใจต่อคนสกุลเว่ยด้วย

อวี้หย่วนตอบรับคำขอของญาติผู้น้องในทันที

นายหญิงเว่ยรู้เรื่องก็ร้องไห้จนน้ำตานอง พูดออกมาเว่ยเสี่ยวซานไร้ซึ่งวาสนา

อวี้หย่วนมองด้วยความโศกเศร้าอยู่เงียบๆ อีกหลายวันถัดไปก็คอยอยู่ช่วยงานที่เรือนสกุลเว่ย

เว่ยเสี่ยวซานเพราะยังไม่ได้แต่งงาน ทั้งเป็นการตายกะทันหัน บิดามารดาและลุงป้าต่างยังมีชีวิตอยู่ ตามธรรมเนียมแล้วไม่อาจเข้าฝังในสุสานของสกุล ยิ่งไม่อาจตั้งศพไว้สี่สิบเก้าวัน คนสกุลเว่ยปรึกษากันว่าจะยกบุตรชายคนรองของเว่ยเสี่ยวหยวนให้เป็นลูกบุญธรรมของเว่ยเสี่ยวซาน เช่นนี้ เว่ยเสี่ยวซานก็จะมีผู้สืบทอด แล้วเข้าฝังในสุสานบรรพชนได้ แต่ปัญหาก็คือ เว่ยเสี่ยวหยวนบัดนี้มีบุตรชายอยู่เพียงคนเดียว หากจะยกให้เป็นลูกบุญธรรมก็ต้องรอให้เขามีบุตรชายคนรองเสียก่อน แล้วคนโยนอ่างถือป้ายจะทำอย่างไรเล่า?

เว่ยเสี่ยวหยวนเสนอให้น้องชายคนเล็กเว่ยเสี่ยวชวนเป็นคนทำแทน

คนสกุลเว่ยก็เห็นชอบว่าสามารถทำได้

เว่ยเสี่ยวชวนตอบตกลงด้วยดวงตาบวมแดง

พวกผู้ใหญ่ในสกุลเว่ยกำหนดให้ตั้งศพเว่ยเสี่ยวซานไว้สิบสี่วัน

นายหญิงเว่ยไม่เห็นด้วย บอกจะตั้งศพบุตรชายไว้ยี่สิบเอ็ดวัน

แต่การตั้งศพยี่สิบเอ็ดวัน มีเงินทองที่ต้องใช้จ่าย สกุลเว่ยที่ตอนแรกยอมรับปากยกบุตรชายหนึ่งคนให้ไปเป็นเขยสกุลอวี้ ก็เพราะการมีบุตรชายมากเกินไปนั้นทำให้มีค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ โดยเฉพาะเมื่อมีบุตรคนเล็กอย่างเว่ยเสี่ยวชวนที่มีพรสวรรค์ด้านการเล่าเรียน คนในเรือนจึงเริ่มแบกรับไม่ไหว

สกุลเว่ยผู้เป็นบิดาต้องคิดให้ไกล…คนตายแม้จะสำคัญ แต่คนที่มีชีวิตอยู่นั้นสำคัญยิ่งกว่า

เขาจึงเอนเอียงไปทางสิบสี่วัน

สกุลเว่ยผู้เป็นบิดาและมารดาจึงขัดแย้งกันเอง

อวี้เหวินหลังจากรู้เรื่องนี้จากอวี้หย่วน ก็เตรียมเงินยี่สิบตำลึงแล้วไปที่สกุลเว่ยพร้อมกับคนสกุลเฉิน

อวี้ถังทางนั้นจิตใจเศร้ามอง นางอยากไปพูดคุยตามประสาสตรีกับหม่าซิ่วเหนียง

ชาติก่อน หลี่จวิ้นตกม้าตาย ชาตินี้ เว่ยเสี่ยวซานจมน้ำตาย

มีหรือที่นางจะไม่คิดอะไรเลย?

หม่าซิ่วเหนียงก็รู้เรื่องของเว่ยเสี่ยวซาน จึงยินดีต้อนรับให้อวี้ถังมาเป็นแขกที่เรือน ไม่เพียงเท่านั้น นางยังไล่น้องชายของตนไปยังจางฮุ่ย ซื้อขนมและอาหารว่างมามากมายเพื่อรับรองอวี้ถัง

อวี้ถังมีความคิดหลายอย่างตีกันมั่วเต็มท้องไปหมด หลังจากที่ได้พบหม่าซิ่วเหนียงแล้ว กลับไม่รู้จะพูดอะไรดี

หม่าซิ่วเหนียงเป็นคนเข้าใจผู้อื่น อวี้ถังไม่พูดนางก็ไม่ถามถึง นั่งเงียบๆ อยู่เป็นเพื่อนอวี้ถังในลานกว้างข้างต้นกล้วยอยู่ครึ่งค่อนวัน ไม่ได้พูดคุยอะไรกันสักคำ ก่อนที่อวี้ถังจะกลับไป นางยังถามอวี้ถังว่าต้องการให้นางไปอยู่เป็นเพื่อนที่เรือนหรือไม่

หัวใจของอวี้ถังอบอุ่นไปหมด พลันรู้สึกดีขึ้นมาในทันที

นางกอดหม่าซิ่วเหนียงแน่นก่อนจะเดินทางกลับเรือนไป

ทว่าเพิ่งนั่งเกี้ยวผ่านเข้าตรอกชิงจู๋ได้ไม่เท่าไร นางก็พบว่าหน้าประตูเรือนมีเพื่อนบ้านอออยู่หลายคน

อวี้ถังหัวใจบีบรัด เร่งให้ยกเกี้ยวเข้าไป ไม่รอให้เกี้ยวหยุดนิ่งดีเสียก่อนก็เลิกม่านแล้วลงมาจากเกี้ยวแล้ว

มีเพื่อนบ้านที่รู้จักอวี้ถังเห็นนางจึงรีบพูดมา  แม่นางอวี้ เจ้าไปไหนมา? เรือนเจ้าถูกขโมยขึ้นแล้ว อาเสาไปตามนายท่านอวี้ เจ้าก็รีบเข้าบ้านไปดูเถอะ! 

อวี้ถังตกอกตกใจ ผลักคนที่มุงอยู่ออกแล้วเข้าประตูไป

ป้าเฉินกำลังกวาดพื้นเห็นว่าอวี้ถังกลับมาแล้วก็ดิ่งเข้ามารับพร้อมเอ่ยว่า  คุณหนู ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ หายไปแค่มีดแล่เนื้อกับข้าวสารครึ่งถัง 

อวี้ถังขมวดคิ้ว

เมืองหลินอันหลายปีมานี้ลมดีฝนพอ กระทั่งของตกบนถนนยังไม่มีคนหยิบไป น้อยนักที่จะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ได้ แต่ภายหลังเกิดปีแห่งภัยพิบัติ สกุลเผยก็เปิดคลังแจกเสบียง ทั้งปิดประตูเมืองปฏิเสธไม่ให้ผู้อพยพเข้ามา ก็เหมือนจะไม่มีเหตุการณ์ลักขโมยอะไรแบบนี้ขึ้นด้วยซ้ำ

เห็นได้ชัดว่านายท่านสามผู้เป็นผู้นำสกุลเผยนี้ก็ทำเรื่องที่ดีๆ อยู่บ้าง

อวี้ถังพูดว่า  เจ้าตรวจนับดีแล้วหรือไม่? 

 ตรวจนับแล้วเจ้าค่ะ  ป้าเฉินตอบ  โรงเก็บของของนายหญิงข้าเอาบันทึกมาตรวจไล่ทีละชิ้นแล้ว ล้วนอยู่ครบเจ้าค่ะ  พูดถึงตรงนี้นางก็ตบอกด้วยความโล่งใจ  โชคดีที่ข้าย้อนกลับมากลางทาง ไม่อย่างนั้นข้าต้องรับโทษหนักแล้ว! 

อวี้ถังสอบถามอย่างละเอียดต่อไป ที่แท้เพราะป้าเฉินเห็นว่าในเรือนไม่มีคน เตรียมตัวจะไปแวะเวียนเรือนข้างๆ เดินได้ครึ่งทางก็คิดว่าตอนที่คุยกันมือไม้ก็ยังว่าง ไม่สู้หยิบเอางานเย็บปักติดมือไปด้วย ถึงได้มาปะหน้ากับขโมยเข้าพอดี เลยไม่ได้หยิบสิ่งของอย่างอื่นไปมากมาย

 เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่?  อวี้ถังถามอย่างเป็นห่วง

ป้าเฉินตอบหน้าแดงว่า  ไม่เจ้าค่ะ ไม่เป็นไร รู้แต่แรกข้าคงไม่ออกไปข้างนอกแล้ว 

อวี้ถังเอ่ยว่า  ต่อไประวังให้มากหน่อยก็พอแล้ว 

ป้าเฉินบ่นว่า  ตรอกชิงจู๋ของพวกเราหลายปีมานี้ไม่มีเรือนไหนมีของหายเลยด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าพวกสารเลวนี้มาจากไหน 

อวี้ถังถามอีกว่า  แจ้งทางการหรือยัง? 

 แจ้งแล้วเจ้าค่ะ!  ป้าเฉินพูดต่อว่า  นายท่านอู่เรือนข้างๆ ช่วยแจ้งให้ แต่ประตูไม่พังหน้าต่างไร้รอยงัดแงะเช่นนี้ กลัวว่าแจ้งทางการไปก็คงสืบอะไรออกมาไม่ได้แน่ 

ที่สำคัญคือของที่หายไปไม่ใช่ของสำคัญ ศาลาว่าการย่อมไม่สนใจ

ไม่ว่าอย่างไร เมื่อมีคนแปลกหน้าเคยบุกรุกเข้าเรือนมาแล้ว…อวี้ถังย่อมกระวนกระวายใจแน่

อวี้เหวินกับคนสกุลเฉินกลับมาถึงก็ค่ำมืดแล้ว เมื่อได้ยินเรื่องนี้ อวี้เหวินก็ร้อนใจ สั่งกับอาเสาว่า  เจ้าไปซื้อสุนัขสีน้ำตาลมาเฝ้าบ้านตัวหนึ่ง 

แต่ก่อนเรือนนางไม่เคยเลี้ยงสุนัข หลักๆ ก็เพราะอวี้ถังยังเล็กกลัวว่ามันจะกัดอวี้ถังเข้า วันนี้มีขโมยขึ้นบ้านย่อมไม่อาจทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้

อาเสารับคำแล้วรีบไปทันที

อวี้ถังถามอวี้เหวินเรื่องที่ไปเรือนสกุลเว่ย

อวี้เหวินถอนหายใจ  สกุลเว่ยไม่ยอมรับเงินจากเรา ดีที่ข้าพูดจนปากเปียกปากแฉะ สุดท้ายถึงยอมรับไปได้ แต่บอกว่าเป็นการยืม จะให้ดอกเบี้ยพวกเราหกส่วนและจะคืนให้ครบในสามปี 

อวี้ถังรู้สึกประหลาดใจ

นางคิดไม่คิดว่าสกุลเว่ยจะยากจนถึงเพียงนี้

อวี้เหวินพูดว่า  เจ้าคิดเหลวไหลอะไร? ปีก่อนคนที่ช่วยพวกเขากลั่นน้ำมันล้มป่วย พวกเขาไม่เพียงช่วยดูแลรักษา ยังรับเลี้ยงเด็กอีกสองคนจากครอบครัวนั้น กำลังทรัพย์จึงไม่ค่อยพอใช้ 

คนสกุลเฉินได้ฟังก็เอ่ยเรื่องสกุลเว่ยขึ้นมาว่า  นายท่านเว่ยกับนายหญิงเว่ยล้วนเป็นคนมีเมตตา เรือนพวกเขายังมีแม่นางน้อยอีกคน เห็นว่าเป็นหลานฝั่งมารดาของนายหญิงเว่ย แต่เล็กก็กำพร้าแม่ จึงถูกรับมาเลี้ยงที่สกุลเว่ย นายหญิงเว่ยก็เห็นนางเป็นเหมือนบุตรสาวแท้ๆ คนหนึ่ง สอนให้อ่านเขียนทั้งสอนงานบ้าน งานศพครานี้ธุระในเรือนส่วนใหญ่เป็นแม่นางคนนี้แหละที่คอยช่วยเหลืออยู่ข้างๆ ข้าเห็นว่าท่าทีจัดการเรื่องราวต่างๆ คล้ายกับนายหญิงเว่ยยิ่งนัก ฉลาดเฉลียวแต่ไม่ขาดคุณธรรมนับว่าหาได้ยาก 

อวี้ถังไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกนี้ นางถามเพียงว่า  พิธีศพของเว่ยเสี่ยวซาน จะตั้งไว้กี่วันหรือเจ้าคะ? 

คนสกุลเฉินตอบว่า  ยี่สิบเอ็ดวัน 

เช่นนั้นก็ดี!

อวี้ถังลอบถอนหายใจ

ด้านนอกมีเสียงบุรุษพูดจาดังลอดเข้ามา

พวกอวี้ถังคิดว่าเป็นคนจากศาลาว่าการที่จะมาตรวจสอบคดีลักทรัพย์ในวันนี้ อวี้เหวินไม่รอให้ป้าเฉินร้องแจ้ง ก็ผลักประตูออกไปทันที ใครจะคิดว่าคนที่เข้ามาเป็นชายแปลกหน้าอ้วนท้วมหน้าขาวผู้หนึ่ง

เขาอยู่ในชุดคลุมหลวมผ้าหังโจวสีครามลายดอก ศีรษะกลมโต เมื่อเห็นอวี้เหวินก็รีบร้อนร้องถามว่า  ท่านคือนายท่านอวี้ ฮุ่ยหลี่ ใช่หรือไม่? 

 ข้าเอง!  อวี้เหวินตอบรับ

บุรุษผู้นั้นแสดงท่าทีโล่งอก เอ่ยว่า  ข้ามาจากหังโจว นายท่านหลู่ หลู่ซิ่น ท่านรู้จักใช่หรือไม่? 

อวี้เหวินรวมถึงคนสกุลเฉินกับอวี้ถังที่ตามออกมาภายหลังต่างก็ตกตะลึง

ชายผู้นั้นเอ่ยต่อว่า  ข้าเป็นคนไท่หู หลายวันก่อนเข้าพักที่โรงเตี๊ยมเดียวกับเขา ห้าวันก่อนเขาดื่มเหล้าเกินขนาด จู่ๆ ก็ตายอยู่ที่โรงเตี๊ยมแห่งนั้น เถ้าแก่โรงเตี๊ยมแจ้งไปยังทางการ ทางการให้จัดการกันเอาเอง เถ้าแก่โรงเตี๊ยมเคยได้ยินนายท่านหลู่เล่าว่าผูกพันกับท่านเหมือนพี่น้อง เห็นว่าข้าจะเดินทางกลับบ้านเกิด จึงฝากความให้ข้ามาส่งถึงท่านด้วย ถามว่าท่านจะช่วยเขาซื้อโลงศพแล้วทำการฝังศพเขาได้หรือไม่ ไม่อย่างนั้นเถ้าแก่โรงเตี๊ยมก็จะให้คนลากศพเขาไปโรงพักศพไร้ญาติแล้ว 

 หา?  อวี้เหวิน คนสกุลเฉินและอวี้ถังต่างมองหน้ากันไปมา

นี่มันเรื่องอะไรอีกเนี่ย!

คนสกุลเฉินเอ่ยกับชายผู้นั้นว่า  ท่านควรจะไปแจ้งข่าวที่สกุลหลู่มิใช่หรือ? 

ชายผู้นั้นยิ้มขื่น บอกว่า  ข้าไปมาแล้วแต่ว่าผู้อื่นก็บอกว่า หลู่ซิ่นกับบิดาเป็นญาติห่างๆ กับพวกเขาเกินกว่าห้ารุ่น ปกติก็ไม่เคยไปมาหาสู่ หลู่ซิ่นก่อนจะจากไปยังขายเรือนของบรรพชนทิ้ง กลับขายให้คนนอกเพียงเพื่อเงินไม่กี่ตำลึง เขาจะอยู่หรือตายย่อมไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเขาอีก  ชายคนนั้นกลัวว่าอวี้เหวินจะไม่สนใจเรื่องนี้เหมือนกับคนสกุลหลู่ จึงเอ่ยต่อว่า  อย่างไรข่าวข้าก็แจ้งไปหมดแล้ว ท่านจะไปช่วยเก็บศพเขาหรือไม่นั่นก็เป็นเรื่องของท่าน ข้ายังต้องรีบเดินทางกลับบ้านเกิด ขอไม่รบกวนพวกท่านแล้ว  พูดจบ ก็หมุนกายเดินหนี กระทั่งชาสักถ้วยก็ไม่หยุดดื่ม

อวี้เหวินเดินวนไปวนมา

คนสกุลเฉินพูดขึ้นว่า  ท่านคงจะไม่ไปเก็บศพเขาที่หังโจวกระมัง? 

อวี้เหวินมองอวี้ถังทีหนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า  ข้าควรไปสักหน่อยจะดีกว่า! ถือว่าเพิ่มพูนกุศลให้อาถังของพวกเรา 

คนสกุลเฉินกลืนคำพูดที่อยากเอ่ยลงท้องไปหมด

นางคิดไปถึงสกุลเว่ย

ทำคุณงามความดีทิ้งไว้ให้คนรุ่นหลัง พวกนางมีเพียงอวี้ถังเป็นบุตรสาวคนเดียว ขอเพียงมีสิ่งดีๆ ก็หวังจะให้บุตรสาวของตนได้รับไป

คนสกุลเฉินย่ำเท้าไปมา แล้วสั่งให้ป้าเฉินเตรียมเก็บสัมภาระให้อวี้เหวิน

อวี้ถังเดิมคิดจะคัดค้านก็ฉุกคิดได้ว่าทั้งชีวิตของบิดาล้วนทำแต่สิ่งดีๆ ต่อผู้อื่น หลู่ซิ่นต่อให้เป็นคนเลวอย่างไร ก็ได้ตายไปแล้ว ต่อไปก็ไม่อาจมาสร้างปัญหาให้บิดาได้อีก เพื่อให้บิดาสบายใจก็ให้เขาเดินทางไปหังโจวสักครั้งจะดีกว่า

ถือเสียว่าทำบุญ

ชาติก่อนนางไม่เคยรู้ข่าวของหลู่ซิ่น

ไม่รู้ว่าหลู่ซิ่นจะตายที่ต่างถิ่นเหมือนอย่างตอนนี้หรือไม่? หรือเพราะบิดามารดาของนางเสียไปถึงได้ตัดขาดข่าวคราวจากเขา

นี่นับเป็นอีกหนึ่งปริศนาแล้ว

————————————

Related

 

เวลาเพียงไม่นาน คนในตรอกชิงจู๋ต่างรู้เรื่องที่สกุลอวี้ใกล้จะดองกับสกุลเว่ยแล้ว

เพียงแต่คนสกุลเฉินยังไม่ทันได้รับของขวัญอย่างเป็นทางการจากแม่สื่อสกุลเว่ย นายหญิงทังกลับมาถึงก่อนแล้ว

นางโผล่เข้าประตูมาก็โอดครวญทันที  มิใช่ข้าบอกให้เจ้ารอก่อนหรือ? เหตุใดเจ้าถึงรีบร้อนจนทนรอไม่ไหวเล่า มองไปให้ทั่วเมืองหลินอันสิ มีใครเทียบกับสกุลหลี่ เทียบคุณชายรองสกุลหลี่ได้บ้าง เจ้าอย่าได้สายตาสั้นเช่นนี้ คนที่ยอมแต่งเข้าเป็นเขยชายให้เจ้า ยังมีที่ดีๆ อยู่อีกนะ 

วาจานี้พูดจนคนสกุลเฉินเกิดโมโห นางจึงตอบกลับอย่างไม่เกรงใจบ้าง

คนสกุลเฉินจิบน้ำชาอย่างไม่รีบร้อน แล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า  ก็ต้องดูว่าเป็นคนเช่นไร บุตรสาวสกุลข้านับว่ามีวาสนาเช่นนี้เอง ต่อให้สกุลหลี่ดีเพียงไหน ก่อนหน้านี้ที่เจ้าให้พวกเรารอ ก็มิใช่เพราะต้องรอสกุลหลี่พิจารณาเรื่องคุณชายรองแต่งเข้ามาเป็นเขยชายให้พวกเรารึ? สกุลหลี่จริงใจได้ไม่มากเท่าสกุลเว่ย สกุลเว่ยแซงหน้าพวกเขาไปแล้ว นายหญิงทัง เหตุใดท่านจึงพูดว่าสกุลเว่ยเทียบไม่ได้เล่า? 

นายหญิงทังสำลักทันที

คนสกุลเฉินพูดต่ออีกว่า  นายหญิงทังคงยังไม่รู้กระมัง? พวกเราสองสกุลเตรียมว่าก่อนหน้าวันไหว้พระจันทร์จะต้องตกลงเรื่องงานแต่งให้เสร็จสรรพ ถึงเวลานั้นเชิญนายหญิงทังมาร่วมดื่มสุรามงคลด้วย ขอนายหญิงทังอย่าได้ปฏิเสธ 

นายหญิงทังเดินหน้าบูดบึ้งออกไป

คนสกุลเฉินร้องเสียง ‘เพ่ย’ ส่งตามหลังนางเสียงหนึ่ง แล้วสั่งกับป้าเฉินว่า  เอาถ้วยชาที่นางดื่มไปโยนทิ้งเสีย 

ป้าเฉินหัวเราะพูดว่า  ท่านไม่จำเป็นต้องเดือดดาล ต่อให้เป็นถ้วยชาเก่า แต่ก็ราคาหลายเหรียญ มิสู้เก็บเอาไว้ก่อน รอให้มีขอทานผ่านมาขอข้าวขอน้ำจากเรา ก็ยังใช้ใส่น้ำชาให้ได้นะเจ้าคะ 

คนสกุลเฉินยิ้มเย็นพลางเอ่ยว่า  จะให้ขอทานใช้ยังกลัวจะไปสกปรกผู้อื่นเลย 

ป้าเฉินหัวเราะฮ่าๆ ออกมา

คนสกุลเฉินไปควบคุมอวี้ถังปักรองเท้าโดยไม่พูดอะไรอีก

ฮูหยินหลี่ได้รับคำตอบจากนายหญิงทัง สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำ อยากจะตะโกนออกไปว่าช่างมันเสีย แต่พอคิดถึงบุตรชายคนเล็กที่ยังอาละวาดไม่เลิกกับแม่สามีที่เรียกนางไปตำหนิแล้วยกหนึ่ง จึงเอ่ยอย่างติดๆ ขัดๆ ออกไปว่า  สกุลอวี้นี้ ช่าง ช่างไม่รู้จักประมาณตน 

นายหญิงทังคิดว่าเรื่องคงจบลงเช่นนี้แล้ว จึงถอนหายใจโล่งอก เวลาเดียวกันก็เอ่ยกับคนสกุลหลินด้วยน้ำเสียงเดือดดาลราวกับมีศัตรูคนเดียวกันว่า  ก็ใช่น่ะสิ คนสกุลเฉินผู้นั้น ช่างกำเริบเสิบสานจนไม่รู้ขอบเขตแล้ว ก็แค่คลอดบุตรสาวออกมาคนหนึ่ง อาศัยว่าตนเองมีรูปโฉมดีหน่อยก็ทำเป็นดูถูกอันนี้ มองข้ามอันนั้น ความงามหมดไปความรักย่อมจืดจาง นางก็ไม่กลัวว่าวันไหนเขยชายนั่นจะไม่เชื่อฟังขึ้นมาบ้าง… 

ใครจะคิดว่าคนสกุลหลินกลับเอ่ยว่า  มิใช่รับอนุสักหน่อย? ความงามหมดไป ความรักจืดจางอะไรกัน? 

นายหญิงทังหมดสนุก คิดว่าคุณหนูนายหญิงสกุลเผยยังไม่เคยหักหน้านางเช่นนี้เลย ในใจก็เริ่มไม่สบอารมณ์ ชวนคุยเป็นพิธีอีกสองสามคำก็ขอตัวกลับแล้ว

ส่วนทางเรือนสกุลอวี้ อวี้เหวินยังให้คนสองสามคนไปตามสืบ ล้วนบอกว่าสกุลเว่ยเป็นคนนิสัยดี ระหว่างครอบครัวด้วยกันต่างช่วยเหลือเกื้อกูล เว่ยเสี่ยวซานยิ่งเป็นคนเถรตรงกตัญญู อวี้เหวินถึงได้วางใจ แล้วปรึกษากับคนสกุลเฉินเรื่องงานแต่งของสองสกุล  ในเมื่อสกุลเว่ยให้เกียรติเราถึงเพียงนี้ พวกเราก็ไม่อาจไม่ไว้หน้าสกุลเว่ย ไม่ต้องให้พวกเขาเอาอะไรมาหรอก ตอนที่ตบแต่งพวกเราก็วางเงินหนึ่งร้อยตำลึง หมูสองหัว สุราจินฮวาสิบไห ใบชาหนึ่งหาบ ข้าวสารหนึ่งหาบ เสื้อผ้าของสี่ฤดูเจ้าก็จัดเตรียมให้ดี สรุปก็คือ อย่าให้ผู้อื่นติฉินนินทาได้ 

คนสกุลเฉินเอ่ยอย่างลำบากใจว่า  หนึ่งร้อยตำลึงรึเจ้าคะ? ไหนจะต้องตกแต่งเรือนใหม่ เครื่องประดับศีรษะของอาถังก็ต้องเพิ่มอีกหน่อย… 

จะให้ควักทั้งหมดออกมาในทีเดียวค่อนข้างจะติดขัดอยู่บ้าง

อวี้เหวินหัวเราะ บอกว่า  ข้าคุยกับเถ้าแก่ถงไว้แล้ว เขาจะให้ข้ายืมหกสิบตำลึง ดอกเบี้ยหกส่วน หนึ่งปีคืนจนครบ เจ้าวางใจก็พอแล้ว เรื่องพวกนี้ข้าจัดการเอง เจ้าแค่เตรียมการให้ดีก็พอ 

คนสกุลเฉินเอ่ยอย่างยินดีว่า  เถ้าแก่ถงครานี้ช่วยเราไว้มาก เขามีหลานแล้วหรือยังเจ้าคะ? ถ้ามีหลานตัวน้อยแล้ว ข้าจะทำเสื้อผ้าให้พวกเขาหลายๆ ชุด 

 ยังหรอก!  อวี้เหวินตอบ  เขากำลังทุกข์ใจเรื่องนี้อยู่น่ะ! ถ้าเจ้ามีเวลา ก็ไปคุยกับนายหญิงถงหน่อย…แต่ก่อนเจ้าไม่ได้ไปวัดบ่อยหรือ? ลองดูสิว่าวัดไหนมีของศักดิ์สิทธิ์ แล้วให้นายหญิงถงลองไปกราบไหว้ดู 

คนสกุลเฉินพูดอย่างลังเลว่า  พูดถึงเรื่องศักดิ์สิทธิ์ ก็ต้องวัดหลิงอิ่นเจ้าค่ะ แต่วัดหลิงอิ่นค่อนข้างไกล… 

อวี้เหวินหัวเราะ บอกว่า  จะเป็นไรไปเล่า รอให้อาถังของเราแต่งงานแล้ว เจ้าก็ว่างพอดี ไปพร้อมกับนายหญิงถงก็ได้ จะได้ไปเสี่ยงเซียมซีให้อาถังของเราด้วย 

คนสกุลเฉินพลันรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันตา ชวนอวี้เหวินคุยเรื่องอาหารเลิศรสของหังโจว  ถึงเวลานั้นท่านก็ไปด้วยกันนะเจ้าคะ อาถังก็ด้วย พวกเราสกุลอวี้ถือโอกาสไปเที่ยวเมืองหังโจวด้วยเลย 

อวี้เหวินเห็นว่าภรรยาอารมณ์ดีเช่นนี้ ก็พยักหน้าหงึกหงัก ทั้งยังคิดวางแผนเป็นจริงเป็นจัง

คิดไม่ถึงว่า เมื่อถึงเวลาที่แม่สื่อของสกุลเว่ยควรจะมาเยือนกลับไม่มีใครมา

คนสกุลเฉินร้อนใจ คิดจะให้อาเสาไปสืบความ แต่ก็กลัวจะเผยพิรุธให้คนอื่นคิดว่าสกุลอวี้รีบร้อนแต่งลูกสาว จะกลายเป็นส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของอวี้ถัง จึงได้แต่เดินวนไปวนมาในเรือน ทั้งไม่อาจให้ผู้อื่นรู้เรื่องได้อีก

ทว่าอวี้เหวินที่รออยู่ในเรือนกลับเริ่มโมโห คิดว่าสกุลเว่ยไม่รักษาสัจจะ จึงเริ่มคลางแคลงใจเรื่องงานหมั้นหมายที่มีกับสกุลเว่ย แต่เพราะกลัวคนสกุลเฉินร้อนใจจนล้มป่วย จึงได้ข่มอารมณ์แล้วเอ่ยปลอบใจนางว่า  พวกเขาบอกแล้วว่าจะมาวันนี้ แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นเช้าหรือบ่าย เรือนสกุลเว่ยก็ห่างจากพวกเราไปตั้งสี่ห้าลี้ หากว่ามีเรื่องอะไรล่าช้าขึ้นมา ก็อาจจะมาถึงเรือนเราช่วงบ่าย หรือจะให้ผู้อื่นมาอาศัยกินข้าวเรือนเรารึ? คนชนบทนั้น รู้ว่าข้าวยากหมากแพง ไม่ยอมไปกินข้าวเรือนผู้อื่นง่ายๆ หรอก 

คนสกุลเฉินฝืนยิ้มออกมาตอบเสียงอ่อยว่า  แม้จะพูดเช่นนั้น แต่มิใช่ควรเตรียมตัวแต่เช้าตรู่ แล้วออกจากบ้านตอนฟ้ายังไม่สางหรือ? เช่นนี้ยามบ่ายจึงจะถึง… 

เห็นชัดว่ายังขาดความจริงใจ

สองสามีภรรยากำลังพูดจากัน คนสกุลหวังที่มาช่วยรับรองแขกก็เข้ามา

นางเห็นว่าในเรือนยังว่างโล่ง ก็สะดุ้งตกใจไปทีหนึ่ง รีบถามว่า  อ้าว? แม่สื่อสกุลเว่ยยังไม่มารึ? 

คนสกุลเฉินส่ายหน้ากลัดกลุ้ม

คนสกุลหวังทำหน้าตึงเครียดแล้วเอ่ยต่อ  นี่ไม่ใช่ปัญหา เดี๋ยวข้าให้อาเสาไปถามดู 

คนสกุลเฉินรั้งมือคนสกุลหวังไว้ก่อนจะบอกว่า  รออีกสักหน่อยเถอะ! บางทีอาจเกิดเรื่องทำให้ล่าช้า 

คนสกุลหวังได้แต่ยอมเชื่อฟัง แต่ในใจกลับยังไม่สบายใจ

แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่อาจปิดบังต่ออวี้ถังได้

นางตะลึงไป ก่อนที่ในใจจะเริ่มรู้สึกผ่อนคลาย

คิดว่าหากการหมั้นหมายล้มเลิกไปเช่นนี้ก็ไม่เป็นไร นางยังสามารถใช้ชีวิตวัยเยาว์ต่อไปได้อีกหลายปี กลัวแต่ผู้ใหญ่ในเรือนจะไม่พอใจ อย่างไรคนก็ดูตัวกันแล้ว ทั้งคนในสกุลก็ชอบพอเว่ยเสี่ยวซานมาก

นางไปหาคนสกุลเฉินกับคนสกุลหวัง เห็นว่าทั้งสองฝืนยิ้มแข็งทื่อต่อหน้านาง ก็อดจะเกิดความรู้สึกผิดไม่ได้ เอ่ยว่า  ท่านแม่ ป้าสะใภ้ เรื่องดีๆ ย่อมมีอุปสรรค หากไม่มีงานหมั้นหมายของสกุลเว่ย พูดได้เพียงว่าวาสนาของพวกเราไม่มากพอ พวกท่านทั้งสองอย่าได้ปวดใจไปเลยเจ้าค่ะ 

 เจ้าเด็กคนนี้  คนสกุลเฉินดึงสติกลับมาแล้วปลอบใจอวี้ถัง  เรื่องของผู้ใหญ่ไม่ต้องมาวุ่น เรื่องงานแต่งมารดาเจ้ารู้ว่าต้องทำอย่างไร เจ้าไปคอยอยู่ในห้องแล้วปักรองเท้าให้เสร็จก็พอแล้ว  จากนั้นก็ไล่นางกลับเข้าห้องไปทำงานเย็บปักต่อ

อวี้ถังได้แต่สั่งซวงเถาเอาไว้ หากว่ามีคนจากสกุลเว่ยมาก็ให้ไปแจ้งนางสักคำ นางจะได้รู้ว่างานหมั้นหมายของนางกับสกุลเว่ยเกิดข้อผิดพลาดใดกันแน่

ซวงเถารับคำด้วยสีหน้าบูดบึ้ง

คนของสกุลเว่ยมาถึงก็เลยยามอู่ [1] ไปแล้ว

อีกทั้งเป็นบุตรชายคนโตเว่ยเสี่ยวหยวนมาพร้อมกับแม่สื่อ

ทั้งสองมือไม้ว่างเปล่า สวมเสื้อสีเรียบ ตรงเอวผูกเชือกไว้ทุกข์

หัวใจของคนสกุลอวี้เต้นตึกตักไปมา

คนสกุลเฉินกับคนสกุลหวังพึมพำกันอยู่ในห้องว่า  ใครในสกุลเว่ยตายไปอย่างนั้นรึ? สกุลนั้นเพิ่งจะคุยเรื่องหมั้นหมายกับอาถัง นางจะถูกดึงเข้าไปเกี่ยวด้วยหรือไม่? 

คนสกุลหวังตอบกลับในทันที  ไป ไปดูกัน! 

ตามมารยาท เว่ยเสี่ยวหยวนจึงไปพบอวี้เหวินก่อน

คนสกุลเฉิน คนสกุลหวังรวมถึงอวี้ถังที่เพิ่งได้ข่าว ต่างก็รอฟังเรื่องราวอยู่ด้านนอกห้องหนังสือของอวี้เหวิน

 ท่านลุงอวี้  เว่ยเสี่ยวหยวนตาแดงก่ำ สีหน้ามีเพียงความโศกเศร้า  เป็นเพราะเสี่ยวซานของเราไร้วาสนากับคุณหนูอวี้ เสี่ยวซาน เสี่ยวซานเมื่อวานออกไปหาปลา แล้วไม่ได้กลับมาอีก ตอนเช้าพวกเราถึงรู้ว่า เขา เขาจมน้ำตายแล้ว! 

 หา!  อวี้เหวินที่เตรียมทางลงเอาไว้ให้สกุลเว่ยมือสั่นเทาจนทำถ้วยชาตกพื้นดัง ‘เคร้ง’ น้ำชากระฉอกไปโดนรองเท้าหัวโตที่เขาเพิ่งเปลี่ยนมาใหม่

 ได้อย่างไรเล่า?  เขาเดือดดาล  พวกเจ้าไม่รู้ว่าต้องหมั้นหมายหรอกรึ? เขายังวิ่งออกไปหาปลา? พวกเจ้าขาดแคลนเงินหรือไร? 

ทว่าในใจเขากลับท่องคำว่า ‘ตายแล้ว ตายแล้ว’ อาถังของพวกเขาเพิ่งจะตกลงหมั้นหมายกับสกุลเว่ย เว่ยเสี่ยวซานก็มาตายไปเช่นนี้ เกรงว่าตราบาป ‘กินสามี’ ย่อมจะตกบนศีรษะอาถังของพวกเขาแน่

สามคนที่แอบฟังอยู่ก็นิ่งอึ้งไปตามๆ กัน

คำพูดของอวี้เหวินพูดได้บาดใจนัก เว่ยเสี่ยวหยวนเพิ่งจะสูญเสียน้องชาย หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่นคงได้ทะเลาะกับอวี้เหวินไปแล้ว เว่ยเสี่ยวหยวนนั้นไม่เพียงไม่ทะเลาะกับอวี้เหวิน กระทั่งวาจารุนแรงก็ไม่มีสักประโยค ยังอดทนเอ่ยด้วยความปวดใจว่า  ท่านลุงอวี้ เรื่องนี้เป็นสกุลเราที่ทำผิด ดังนั้นที่ข้ามาในเวลานี้ ก็เพราะครึ่งวันก่อนหน้าได้หารือกับบิดาข้ามาเรียบร้อยแล้ว ด้วยกลัวจะทำให้คุณหนูอวี้เสื่อมเสียชื่อเสียง บิดาข้าคิดว่า หากมีคนถามถึงก็ให้บอกว่าคนที่คุณหนูอวี้ไปดูตัวคือเจ้าสาม แต่ด้วยเพราะเกิดเรื่องร้ายเช่นนี้กับคนในครอบครัว เวลานี้จึงไม่เหมาะจะจัดงานมงคล ให้พวกท่านบอกไปว่ารอไม่ไหว แล้วค่อยหาคู่หมายที่ดีกว่าให้คุณหนูอวี้ เพราะตอนแรกก็ไม่ได้พูดชัดเจนว่าจะหมั้นหมายกับเจ้าสองหรือเจ้าสามกันแน่ 

 หา!  เป็นเรื่องน่าตกใจอีกแล้ว

อวี้เหวินตกตะลึงไปครึ่งวันก็ยังพูดอะไรไม่ออก

คนด้านนอกสามคนที่แอบฟัง โดยเฉพาะคนสกุลเฉินกับคนสกุลหวังนั้น น้ำตาพลันร่วงหล่นลง

 สกุลที่ประเสริฐเพียงนี้…เด็กที่ดีเช่นนี้…  คนสกุลเฉินแทบจะกลั้นเสียงสะอื้นไม่อยู่

อวี้ถังนึกถึงสายตาชอบพอตอนที่เว่ยเสี่ยวซานมองตน ก็ร้องไห้เงียบๆ ตามไปด้วย

อวี้เหวินกับเว่ยเสี่ยวหยวนได้ยินเสียงข้างนอกก็รีบออกมา เห็นว่าสามคนน้ำตาไหลเป็นสาย อวี้เหวินอดจะถอนหายใจหนักๆ ไม่ได้ เขาค่อยๆ สงบสติลงแล้วกล่าวขอโทษเว่ยเสี่ยวหยวนว่า  เมื่อครู่เป็นข้าที่พูดจาขาดการไตร่ตรอง เจ้าอย่าได้ถือโทษโกรธลุงเลย ใครมาเจอเรื่องเยี่ยงนี้ ล้วนย่อมเจ็บปวดทั้งนั้น เจ้าก็กล่อมบิดามารดาเจ้า ให้ตัดอกตัดใจเสีย อีกเดี๋ยวข้าจะตามไปดูที่เรือนเจ้า ให้ญาติผู้พี่ของนางไปจุดธูปไหว้เว่ยเสี่ยวซานด้วย 

สกุลเว่ยมีเหตุมีผลเพียงนี้ แม้จะเจ็บปวดจากการสูญเสียแต่ก็ไม่วายคำนึงถึงชื่อเสียงของอวี้ถัง พวกเขาควรจะรู้สึกซาบซึ้งจึงจะถูก

เว่ยเสี่ยวหยวนก็ประหลาดใจมาก มองไปทางอวี้ถังที่ทางหนึ่งก็น้ำตานองหน้า ทางหนึ่งก็ปลอบพวกผู้ใหญ่ไปด้วยแล้ว ในใจพลันรู้สึกปวดแปลบ

ความรักที่เหนือความหลงใหลและดื้อดึงไม่อาจอยู่ได้ยืนยาว

เสี่ยวซานก็พอรู้ว่าคนสกุลอวี้ชอบพอตน ถึงเอาแต่ดีใจจนทำตัวไม่ถูก

แต่คิดไม่ถึงเลย ว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันเช่นนี้

หากว่าสองคนได้เป็นสามีภรรยากัน จะเป็นเรื่องที่ดีเพียงใด!

ทว่า เสี่ยวซานไม่อยู่แล้ว สกุลอวี้กลับไม่หลีกลี้หนีห่าง คุณหนูอวี้ยังเสียน้ำตาให้เขา หากเสี่ยวซานที่อยู่ใต้ปรโลกษ์รับรู้เขาจะต้องดีใจมากแน่ๆ

เขาอยากจะปลอบใจอวี้ถังสักคำ อวี้เหวินกลับตบที่บ่าเขา แล้วเอ่ยเสียงเศร้าว่า  ข้าจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเดี๋ยวนี้ ให้คนเรียกอาเสามาที ข้าจะไปเรือนเจ้ากับเจ้าด้วย 

เว่ยเสี่ยวหยวนมองอวี้ถังอย่างลังเลทีหนึ่ง อยากจะพูดเรื่องน้องชายกับอวี้ถังสักหน่อย แต่ก็เปลี่ยนใจเมื่อคิดได้ว่า ต่อให้อวี้ถังรู้แล้วอย่างไร? ก็แค่ปวดใจมากขึ้นเท่านั้น หากต่อไปใช้ชีวิตอย่างเป็นสุขได้ก็พอแล้ว เมื่อใดมีเรื่องทุกข์ร้อน จะเอาแต่คิดถึงคู่หมายที่ไม่ได้หมั้นมีแต่จะทำให้นางไม่อาจใช้ชีวิตอย่างสงบได้

สุดท้ายเขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป หันไปคารวะสตรีสกุลอวี้อย่างเคร่งขรึม แล้วเดินออกประตูใหญ่ไป

———————————————————

[1] ยามอู่ เวลา 11:00-12:59 น.

Related

 

สองสามีภรรยาพูดคุยเปิดอกกันอย่างสบายใจ ป้าสะใภ้ใหญ่สกุลหวังหอบสาลี่สดใหม่มาจากตลาด บอกว่าให้อวี้ถังลองชิม สะใภ้ทั้งสองอดจะคุยเรื่องงานหมั้นหมายของอวี้ถังไม่ได้ พอรู้ว่าเถ้าแก่ถงจะเป็นพ่อสื่อให้อวี้ถัง คนสกุลหวังก็เอ่ยยินดีว่า  ถ้ากำหนดวันได้แล้ว อย่าลืมบอกข้าด้วย ข้าก็อยากไปเห็น 

คนสกุลเฉินหัวเราะ  ไม่รู้ว่าจะตกล่องปล่องชิ้นหรือไม่? เพียงไปดูลาดเลาก่อนเท่านั้น 

คนสกุลหวังยิ้มเพราะไม่คิดว่าเป็นเช่นนั้น  อาศัยอาถังของพวกเรา มีแต่นางที่เลือกผู้อื่น ไม่มีหรอกที่ผู้อื่นเลือกนาง 

คนสกุลเฉินค่อนข้างคาดหวังกับคู่หมายนี้เช่นกัน จึงยิ้มแล้วเอ่ยต่อว่า  ต้องหยิบยืมความโชคดีของท่านแล้ว 

บางทีอาจจะมีวาสนาต่อกันจริง เพราะไม่นานเถ้าแก่ถงก็ตอบจดหมายกลับมา บอกว่าบุตรชายคนรองกับคนที่สามของสกุลเว่ยล้วนรุ่นราวคราวเดียวกับอวี้ถัง ให้สกุลอวี้เลือกได้ตามใจ

คนสกุลหวังได้ยินก็หัวเราะจนหุบปากไม่ได้ พูดกับอวี้ป๋อว่า  ดูแล้วสกุลเว่ยน่าจะเป็นคนจริงใจไม่เลว ไม่แน่อาจเป็นคู่หมายที่ดีก็ได้! 

อวี้ถังเป็นดั่งไข่มุกบนฝ่ามือ ยิ่งเป็นเรื่องใหญ่ของทั้งชีวิต อวี้ป๋อแม้จะไม่ได้ไปถามไถ่ด้วยตนเอง แต่ก็ห่วงใยอย่างมาก พอได้ยินอย่างละเอียดแล้วก็กำชับคนสกุลหวังว่า  เจ้าอายุมากกว่าน้องสะใภ้ จัดการเรื่องใดก็ละเอียดรอบคอบ เรื่องของอาถังนี้ เจ้าต้องคอยดูให้ดี สิ่งอื่นล้วนเป็นรอง นิสัยใจคอมาเป็นอันดับหนึ่ง ครอบครัวกับเรื่องอื่นๆ หากเป็นคนอารมณ์ร้อน ต่อให้เก่งกาจ หล่อเหลาเพียงใด ซื่อตรงเพียงไหน ก็ไม่อาจใช้ชีวิตอย่างสงบสุขได้ 

 ทราบแล้ว ทราบแล้ว!  คนสกุลหวังพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาก็นึกถึงบุตรชายของตน ขณะที่นั่งหวีผมอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งก็เอ่ยกับอวี้ป๋อว่า  งานแต่งของหย่วนเอ๋อร์ ท่านตัดสินใจแล้วหรือยัง 

แต่ก่อนคนสกุลหวังคิดจะดองกับพี่น้องสกุลฝั่งมารดา ใครจะคิดว่าเด็กคนนั้นอายุได้แปดขวบก็จากไปเสียแล้ว คนสกุลหวังใจหายใจคว่ำ ไปวัดเพื่อทำนายชะตาให้อวี้หย่วน ได้ความว่าอวี้หย่วนไม่เหมาะจะแต่งงานเร็วเกินไป งานมงคลของเขาถึงได้ยืดเยื้อมาจนบัดนี้

สกุลอวี้มีลูกหลานน้อย แต่ไรก็เห็นความสำคัญของเด็กๆ เป็นที่สุด อวี้ป๋อจึงไม่กล้าตัดสินใจลวกๆ  รอให้ข้าปรึกษากับฮุ่ยหลี่ก่อนค่อยว่ากัน  ทั้งถามคนสกุลหวังอีกรอบว่า  จะไปดูตัวเด็กทั้งสองคนเลย หรือเลือกแล้วว่าจะไปดูคนไหน? 

คนสกุลหวังหัวเราะ  น้องสะใภ้เล่าว่า บุตรคนรองโตกว่าอวี้ถังสองปี อายุมากกว่าหน่อย น่าจะรู้ความ จึงจะไปดูตัวบุตรคนรองของพวกเขา 

อวี้ป๋อพยักหน้า ไม่ถามเรื่องนี้ต่ออีก

อวี้ถังทางนั้นพอถึงเวลา ในใจกลับกระวนกระวายรู้สึกไม่สงบ

งานแต่งงานของนาง จะจบลงเช่นนี้แล้วจริงหรือ?

ไม่รู้ว่าคนที่ชื่อเว่ยเสี่ยวซานจะหน้าตาเช่นไร? นิสัยแบบไหน? แล้วมองการแต่งงานครั้งนี้อย่างไรบ้าง?

นางถอนหายใจยาวเหยียด แล้วบอกกับตัวเองว่า สกุลเว่ยมีความจริงใจเต็มเปี่ยม ได้ยินว่าบุตรคนโตสกุลเว่ยยังสอบเป็นถงเซิงได้ด้วย สามารถมีคู่หมายเช่นนี้ ก็นับว่าคู่ควรเหมาะสม นางควรจะพอใจจึงจะถูก แต่แม้จะคิดเช่นนั้น หัวใจกลับไม่ฟังคำสั่งของนาง มันมีแต่ความกลัดกลุ้ม ไม่รู้สึกยินดีเลยสักนิด

จนถึงวันที่ไปดูตัว คนสกุลเฉินก็เชิญหม่าซิ่วเหนียงไปเป็นเพื่อนอวี้ถังด้วย

เพราะสถานที่ดูตัวนัดหมายไว้คือวัดเจาหมิง อวี้ถังนอกจากต้องเช่ารถม้า ตระเตรียมอาหารแห้ง ยังต้องไปจองอาหารเจที่วัดเจาหมิงล่วงหน้าและเชิญคนกลาง…คนสกุลเฉินมัววุ่นหน้าวุ่นหลัง อวี้ถังก็จงใจปกปิด คนสกุลเฉินจึงไม่เห็นท่าทีผิดปกติของอวี้ถัง ทว่าหม่าซิ่วเหนียงกลับสังเกตเห็นแล้ว

นางหาข้ออ้างไล่ซวงเถาที่รับใช้อยู่ในห้องออกไปด้านนอก ดึงมืออวี้ถังแล้วกระซิบถามนางว่า  เจ้าเป็นอะไรไปอีก? ไม่พอใจรึ? หรือว่ามีความคิดเป็นอื่น? อีกเดี๋ยวต้องไปดูตัวแล้ว หากว่าไม่มีอะไรย่ำแย่เกินเหตุ เรื่องนี้แปดเก้าส่วนคงตกลงกันได้ ถ้าเจ้ารู้สึกว่ามีอะไรไม่ดี ถือโอกาสตอนไม้ยังไม่กลายเป็นเรือ รีบพูดมันออกมาเสีย ถ้าเรื่องหมั้นหมายกำหนดเรียบร้อยแล้ว ต่อให้เจ้ามีพันความคิดหมื่นคำพูด ก็ต้องกดเอาไว้ในใจชั่วชีวิต นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะ มีแต่จะเป็นผลร้ายต่อผู้อื่นและตัวเจ้าเองด้วย 

หม่าซิ่วเหนียงไม่เชื่อว่าอวี้ถังจะไม่รู้สึกหวั่นไหวสักนิดต่อผู้ที่ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตาหรือความจริงใจก็ไม่อาจหาข้อบกพร่องอย่างหลี่จวิ้นได้

อวี้ถังหันไปยิ้มให้หม่าซิ่วเหนียง เพียงแต่นางคงไม่รู้ว่า รอยยิ้มของตนฝืดเฝื่อนปานใด

 ข้ารู้น่า  นางตอบเสียงเบา  ท่านแม่กับท่านพ่อข้าใช่ว่าเป็นคนไร้เหตุผล ข้าเพียงรู้สึกว่า ถ้าต้องแต่งออกไปเช่นนี้… 

นางกลัว

คิดถึงตอนแรก หลี่ตวนกับกู้ซี ไม่รู้ว่ามีคนมากมายเท่าไรคอยอิจฉา ขนาดนางเองตอนที่ยังไม่รู้ว่าหลี่ตวนเป็นคนมีความคิดวิปริต ก็ยังเคยรู้สึกว่าสามีภรรยาคู่นี้ไม่ว่าจะดื่มสุรารอบวง เขียนคิ้วให้กัน ช่างเหมือนกับนกยวนยางคู่หนึ่งหรือ?

หม่าซิ่วเหนียงไม่เชื่อ แต่กลัวว่าถ้านางพูดมากไปจะทำให้อวี้ถังรู้สึกต่อต้าน ต่อไปหากมีเรื่องใดก็จะไม่ปรึกษานางอีก เหมือนก่อนหน้าที่เที่ยวก่อกวนจะไปดูหน้าหลี่จวิ้นที่วัดเจาหมิงให้ได้ ถ้านางก่อเรื่องอะไรขึ้นมาอีกต้องแย่แน่ๆ มิสู้คอยจับตาดูให้มากหน่อย อย่าให้เกิดเรื่องกับอวี้ถัง

 ทุกคนก็เหมือนกันนั่นแหละ!  นางคล้อยตามคำพูดของอวี้ถังแล้วปลอบใจนาง  เจ้าดูข้าสิ กับคุณชายจางแม้นับได้ว่ารู้จักกันมาตั้งแต่เล็ก แต่ตอนที่คุยเรื่องหมั้นหมาย จะตบแต่งกันจริงๆ ในใจข้าก็เป็นกังวลอยู่ตลอด กลัวว่าตอนนี้จะทำได้ไม่ดีพอ ตอนนั้นจะทำออกมาแย่ รอให้ผ่านช่วงนี้ไป ก็จะค่อยๆ ดีขึ้นเอง 

อวี้ถังขอบคุณหม่าซิ่วเหนียงด้วยรอยยิ้ม เหมือนว่าได้รับคำปลอบโยนจากนางแล้ว ทว่าใจยิ่งไม่อาจสงบลงได้มากกว่าเดิม

สิ่งที่นางกลัวกับความกลัวที่หม่าซิ่วเหนียงพูดถึงไม่เหมือนกัน

นางไม่กลัวสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป ทั้งไม่กลัวว่าพอแต่งออกไปแล้วจะไม่มีความสุข สิ่งที่นางกลัว คือนางไม่อยากแต่งให้คนผู้นี้ ไม่อยากให้เรื่องราวจบแบบชาติก่อนอีก…

ความคิดที่แวบผ่าน ทำให้อวี้ถังชะงักไป

ที่แท้อวี้ถังไม่อยากแต่งให้คนผู้นี้อย่างนั้นรึ?

แต่คนผู้นี้มีอะไรไม่ดีกันเล่า?

ทุกคนก็เหมือนกันหมดมิใช่หรือ? บิดามารดาจัดการ แม่สื่อชี้แนะบอกนำ เมื่อคู่ควรเหมาะสม ก็แต่งงานกันได้แล้ว

สกุลเว่ยยังโค้งเอวแทบติดพื้น บุตรชายสองคนให้พวกนางเลือกได้ตามใจชอบ นางยังมีอะไรให้ไม่พอใจอีก?

นางต้องการคนเช่นไรกันแน่?

อวี้ถังถูกความคิดตัวเองทำให้ตกใจยกใหญ่ อยากจะพูดออกไปให้หม่าซิ่วเหนียงฟัง แต่กลับไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน

คนสกุลเฉินเร่งพวกนางอยู่ด้านนอกแล้ว  พวกเจ้าเก็บของเสร็จหรือยัง? รถม้ามาถึงแล้ว เราต้องรีบไปให้ทันมื้อเที่ยงที่วัดเจาหมิงอีกนะ! 

หม่าซิ่วเหนียงรีบร้องตอบกลับ แล้วช่วยอวี้ถังเก็บข้าวของก่อนออกประตูไป

คำพูดมากมายของอวี้ถังจึงติดอยู่ในลำคอ

วัดเจาหมิงยังคงโอ่อ่ายิ่งใหญ่ดั่งที่เคยเป็น แต่ในสายตาของอวี้ถังในตอนนี้ กลับรู้สึกว่ามันจอแจเกินไป ไม่มีความน่าเกรงขามและเงียบสงบอย่างที่วัดใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองควรจะมี

อาจเพราะหัวใจเปลี่ยนไปแล้ว อารมณ์ที่ใช้มองสิ่งต่างๆ จึงเปลี่ยนไปด้วย

นางแอบครุ่นคิดเงียบๆ จนคนสกุลเฉินพามาถึงวิหารเทียนหวัง

คนที่มาดูตัวเป็นเพื่อนอวี้ถังนับว่าไม่น้อยทีเดียว นอกจากคู่สามีภรรยาอวี้เหวิน ฝ่ายสตรียังมีหม่าซิ่วเหนียงกับคนสกุลหวัง แขกบุรุษมีเถ้าแก่ถง อวี้ป๋อและอวี้หย่วน

ตามที่นัดหมายกับสกุลเว่ยเอาไว้ หลังจากที่สองสกุลแยกกันกินอาหารเที่ยงแล้ว ทุกคนจะไปเดินเล่นที่ด้านหลังเขา จากนั้นค่อยทำทีเป็นบังเอิญพบกันที่น้ำตกสีปี่ สองสกุลก็ถือโอกาสนี้มองฝ่ายตรงข้ามให้มากหน่อย

อวี้ถังกินมื้อเที่ยงด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง นางคล้องแขนหม่าซิ่วเหนียงเอาไว้ เดินตามอยู่ด้านหลังคนสกุลเฉินกับคนสกุลหวัง มุ่งหน้าไปยังน้ำตกสีปี่

เพื่อไม่ให้โดดเด่นเกินหน้าตัวหลัก วันนี้หม่าซิ่วเหนียงจึงสวมเสื้อกั๊กยาวปี๋เจี่ยตัวบาง ปักปิ่นชุบเงิน ห้อยตุ้มหูดอกติงเซียง ดูแล้วเรียบง่ายยิ่งนัก อวี้ถังกลับสวมเสื้อกั๊กตัวยาวที่ตัดจากผ้าหังโจวสีแดงปักขอบด้วยด้ายเขียว หวีผมทรงก้นหอยสองข้าง เสียบหวีสับฝังหินสีน้ำเงิน ทั้งงดงามและมีชีวิตชีวายิ่ง

คนสกุลเว่ยมองปราดเดียวก็เห็นอวี้ถังในทันที

นายหญิงเว่ยไม่รอดูท่าทีของบุตรชายก็พออกพอใจยิ่งแล้ว

กระทั่งหันไปมองบุตรชาย เห็นว่าเขาดวงหน้าแดงก่ำ แทบไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมา

นายหญิงเว่ยอดจะเม้มปากยิ้มไม่ได้

คนในสกุลอวี้ก็มองเห็นเว่ยเสี่ยวซานในทันทีเช่นเดียวกัน

เขาอยู่ในชุดใหม่เอี่ยมที่มีรอยจีบ รูปร่างสูงใหญ่ ผิวค่อนข้างคล้ำ แต่คิ้วหนาตาโต ท่าทีซื่อสัตย์แฝงความองอาจผึ่งผายอยู่หลายส่วน เป็นชายหนุ่มที่มีกำลังวังชายิ่ง ตอนที่เขามองอวี้ถังดวงตาสองข้างก็เปล่งแสงพราวระยับ แสดงให้เข้าใจได้ในทันทีถึงความชมชอบ ไม่ต้องพูดถึงลูกสาวของนางแล้ว ขนาดอวี้ถังที่ตอนมาไม่ค่อยจะสดใส ยังพลันรู้สึกดีตามไปด้วย หัวใจที่ลอยเคว้งก็เริ่มไม่คลอนแคลนอีก

หากเป็นคนนี้ นับว่าพอไหว

นางคิดในใจ พลางลอบประเมินคนในสกุลเว่ยอยู่ในที

ผู้เป็นบิดาเป็นคหบดีชนบทที่เงียบขรึม นายหญิงเว่ยเปิดเผยชาญฉลาด สายตาซื่อตรงเที่ยงธรรม บุตรชายคนโตกับเว่ยเสี่ยวซานหน้าตาคล้ายกันมาก ทว่าดวงหน้าออกแนวคงแก่เรียนมากกว่าน้องชายอยู่หลายส่วน สะใภ้ใหญ่ของสกุลเว่ยก็นับว่าไม่เลว งดงามอ่อนโยน พูดจาเรื่อยๆ ไม่รีบร้อน คล้ายเป็นผู้เล่าเรียนเขียนอ่าน ผู้ที่ติดตามมาด้วยยังมีพี่สะใภ้ฝั่งมารดาของนายหญิงเว่ย ท่าทางสบายๆ คล่องแคล่วยิ่งนัก กลับเป็นบุตรคนที่ห้าของสกุลเว่ยนามว่าเว่ยเสี่ยวชวน เขาอายุเพิ่งครบสิบขวบดี แต่พอเห็นอวี้ถังก็ฮึดฮัดไม่พอใจ ตอนที่สองสกุลพูดคุยกัน เขาก็ไปอยู่ด้านหลังสุด ไม่รู้ว่าไปหักกิ่งไม้มาได้ตั้งแต่ตอนไหน ครู่หนึ่งก็กวาดไม้ไปทางต้นหญ้าที่สูงถึงเข่า ครู่หนึ่งก็เปลี่ยนไปตีกิ่งไม้ข้างกาย บางครั้งก็ทำเสียงดังลอยมา ขัดความสำราญในการสนทนาของสองสกุลยิ่งนัก

นายหญิงเว่ยเห็นแล้วก็ขมวดคิ้ว เรียกบุตรคนโตเข้าไปหาแล้วกระซิบสองสามคำ บุตรชายคนโตสกุลเว่ยนามเว่ยเสี่ยวหยวนจึงหิ้วคอเว่ยเสี่ยวชวนไปด้านข้างด้วยสีหน้าทะมึน ตำหนิเขาเสียงเบาไปหลายที เว่ยเสี่ยวชวนกลับยิ่งโมโหแล้ววิ่งหนีไป

คนในสกุลอวี้ทุกคนเห็นแล้วก็รู้สึกประหลาดใจ

คงเพราะสังเกตสีหน้าของทุกคนอยู่ตลอด นายหญิงเว่ยจึงรีบอธิบายต่อคนสกุลเฉินว่า  เด็กคนนี้เป็นลูกคนสุดท้อง ถูกคนในเรือนตามใจจนเคยตัว วันนี้เดิมไม่คิดพาเขามาด้วย แต่พอถึงวัดเจาหมิงเพิ่งพบว่าไม่รู้เขาตามมาแต่เมื่อไร ได้แต่พาขึ้นเขามาด้วยกัน พวกท่าน…เอ่อ นายหญิงอวี้อย่าได้ใส่ใจ กลับไปข้าจะสั่งสอนเขาให้ดี 

คนสกุลเฉินมีนิสัยเจ้าให้เกียรติข้าหนึ่งฉื่อ ข้าต้องให้คืนหนึ่งจั้ง เห็นว่านายหญิงเว่ยเกรงอกเกรงใจถึงเพียงนี้ รีบตอบว่า  เด็กๆ ก็ซุกซนเช่นนี้เป็นธรรมดา นายหญิงเว่ยก็อย่าได้ใส่ใจนัก 

นายหญิงเว่ยได้ยิน ก็รีบเอ่ยเสริมคนสกุลเฉินทันที แม้หัวข้อส่วนใหญ่ที่คุยจะเป็นเรื่องจิปาถะประจำวันทั่วไป แต่ก็พอจะมองออกว่านางใส่ใจคนสกุลเฉินยิ่งนัก อยากจะเกี่ยวดองกับสกุลอวี้เป็นที่สุด

คนสกุลเฉินก็พอใจกับคนของสกุลเว่ยเป็นหนักหนา ตอนแยกย้ายยังพูดกับนายหญิงเว่ยอย่างชัดเจนว่าหากมีเวลาก็เชิญมาเป็นแขกนั่งเล่นที่เรือนได้

คนในสกุลเว่ย รวมถึงสกุลเว่ยผู้เป็นบิดา ล้วนแต่มีสีหน้ายินดี

ระหว่างทางที่กลับไป หม่าซิ่วเหนียงก็เยินยอเว่ยเสี่ยวซานไปตลอดทาง

อวี้ถังถอนหายใจ เลิกผ้าม่านรถม้าขึ้นแล้วมองวัดเจาหมิงที่ค่อยๆ เลื่อนห่างออกไป หัวใจที่เต้นไม่เป็นสุขถึงค่อยๆ สงบลงได้

เช้าตรู่วันถัดมา สกุลเว่ยได้เชิญแม่สื่อมาถึงประตูเรือน พูดชื่นชมอวี้ถังไปหลายกระบุง แต่สีหน้าของคนสกุลเฉินหาได้บ่ายเบี่ยง สุดท้ายก็ตอบตามจารีตไปว่าจะพิจารณาดูอย่างรักษาท่าที

แม่สื่อดูออกว่าการหมั้นหมายครานี้มั่นใจได้ถึงเก้าส่วนได้ ก็รับเงินตอบแทนจากคนสกุลเฉินไปอย่างหน้าชื่นตาบาน

ป้าสะใภ้คิดถึงเรื่องก่อนหน้าที่ผู้คนซุบซิบนินทาหาว่าอวี้ถังเย่อหยิ่งใฝ่สูงคิดหาบัณฑิตแต่งเข้าเป็นเขยชาย จึงได้ปล่อยข่าวเรื่องนี้ออกไปทันที

————————–

Related

 

สิ่งที่คนสกุลเฉินกับคนสกุลหวังกังวลมิใช่ว่าไร้เหตุผล

ไม่นาน ก็มีข่าวลือออกมาว่า ‘บุตรสาวสกุลอวี้ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ อาศัยว่าตนเป็นโฉมงาม คิดจะหาบัณฑิตแต่งเข้าเป็นเขยชาย’ รอจนข่าวลือนี้ลอยมาถึงหูของคนสกุลเฉินกับอวี้ถัง ชาวเมืองหลินอันก็ลือกันเป็นคุ้งเป็นแควแล้ว น้อยคนนักที่จะไม่รู้เรื่อง

คนสกุลเฉินเดือดดาลจนตัวสั่น พูดไม่ออกอยู่เป็นนาน

อวี้ถังกลัวว่านางจะเป็นอะไรไป รีบให้อาเสาไปเชิญท่านหมอมา

คนสกุลเฉินคว้าหมับที่มืออวี้ถัง กรอบตาพลันรื้นด้วยน้ำตาพลางเอ่ยว่า  อาถัง ไปเชิญท่านป้าสะใภ้เจ้ามาด้วย ข้ามีเรื่องจะคุยกับนาง 

อวี้ถังได้ยินแล้วก็เริ่มครุ่นคิด

หากว่านางยังแสร้งทำตัวเป็นแม่นางน้อยต่อไป ในเรือนมีปัญหาอะไรเกรงว่าคงไม่มีใครหารือกับนางแน่ ทว่านางกลับเป็นคนที่รู้ตอนจบของเรื่องราวทั้งหมด และถ้าอยากให้บิดามารดาเชื่อมั่นในตัวนาง นางก็ต้องหาวิธีมาทำให้พวกเขาเชื่อว่านางมีความสามารถ มีความรู้ สามารถช่วยเหลือสกุลให้รอดพ้นจากสถานการณ์ลำบากได้

 ท่านแม่!  อวี้ถังตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ไม่เพียงไม่ไปเชิญป้าสะใภ้มา ทั้งยังนั่งลงที่หัวเตียงของคนสกุลเฉิน เอ่ยออกไปตรงๆ ว่า  เพราะเรื่องข่าวลือที่แพร่อยู่ด้านนอกหรือเจ้าคะ? 

คนสกุลเฉินไม่ต้องการให้บุตรสาวกังวลใจจึงเอ่ยว่า  เรื่องของผู้ใหญ่เจ้าไม่ต้องยุ่ง บอกให้เจ้าไปเชิญป้าสะใภ้มาก็ไปเชิญเสีย เด็กดี 

อวี้ถังยิ้มแล้วเอ่ยว่า  ท่านแม่ ข้าโตแล้วเจ้าค่ะ ปัญหาบางอย่าง ท่านลองคุยกับข้าก่อนก็ได้ หากข้าพูดไม่ถูกต้องอย่างไร ท่านค่อยให้ข้าไปเชิญป้าสะใภ้ก็ยังไม่สายเจ้าค่ะ 

คนสกุลเฉินรู้สึกฉงน

อวี้ถังจึงรีบพูดว่า  ถ้าหากท่านจะหาป้าสะใภ้ด้วยเรื่องอื่น ข้าจะไปเชิญป้าสะใภ้มาเดี๋ยวนี้ หากเพราะเรื่องข่าวลือข้างนอกเกี่ยวกับงานหมั้นหมายของข้า ข้ากลับมีความคิดอยู่บ้าง ท่านแม่ลองฟังดูไหมเจ้าคะ 

คนสกุลเฉินมองบุตรสาวที่ทำท่าเหมือนเตรียมความพร้อมมาอย่างดี ก็อดจะลังเลมิได้

อวี้ถังยิ้มแล้วเอ่ยว่า  จริงๆ แล้วเรื่องนี้ไม่ยากเลย ท่านแค่เชิญแม่สื่อจากทางการมา จากนั้นมอบเงินให้นางก้อนหนึ่ง แล้วบอกนางไปว่าสกุลเราต้องการเขยชายแบบไหนก็สิ้นเรื่องแล้ว! 

คนสกุลเฉินรีบพูดว่า  ได้อย่างไรกัน? แม่สื่อของทางการพึ่งพาไม่ค่อยจะได้ 

อวี้ถังหัวเราะ  พวกเราก็ไม่ได้ต้องการให้แม่สื่อหาคู่ให้สำเร็จจริงๆ เสียหน่อย จะพึ่งพาได้หรือไม่สำคัญตรงไหนเจ้าคะ? 

คนสกุลเฉินยืดตัวนั่งตรงอย่างตื่นตะลึงรีบพูดว่า  เจ้าหมายความว่าอย่างไร? 

อวี้ถังจึงได้ค่อยๆ อธิบายให้มารดาฟังอย่างละเอียด  ลองคิดดูสิเจ้าคะ ข่าวลือด้านนอกนั่นก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเริ่มมาจากตรงไหน พวกเราสืบไปก็คงสืบไม่เจออะไรหรอก ต่อให้พวกเราบังเอิญสืบเจอขึ้นมา แค่ผู้อื่นตอบว่า ‘ก็แค่พูดไปเรื่อยเปื่อย’ เราก็ทำอะไรเขาไม่ได้อยู่ดี จะรับมือกับเรื่องนี้ วิธีที่ดีที่สุดคือเราต้องปล่อยข่าวออกไปเช่นกัน คนพวกนั้นมิใช่บอกว่าข้าไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ คิดจะหาบัณฑิตมาแต่งเข้าเป็นเขยชายหรือ? พวกเราก็ประกาศคุณสมบัติของเขยชายออกไปเสียเลย ให้ข่าวลือนั้นมันเงียบหายไปเองโดยไม่ต้องชี้แจงใดๆ เพียงเท่านี้เราก็แก้ปัญหาได้แล้วมิใช่หรือเจ้าคะ? 

คนสกุลเฉินเหมือนว่ายังคิดตามเรื่องราวที่บุตรสาวพูดไม่ทัน  หรือว่าเราจะหาเขยชายที่เป็นใครก็ได้อย่างนั้นรึ? คนที่เคยเรียนหนังสือกับไม่เคยเรียนหนังสือนั้นต่างกัน ก่อนจะสอนให้คนรู้จักจารีตและความละอาย ควรให้เขาได้กินอิ่มนุ่งอุ่นเสียก่อน หากว่าครอบครัวยากจนเกินไป ข้าวยังกินไม่อิ่ม แล้วจะไปพิถีพิถันเรื่องอื่นได้อีกหรือ? ถึงเวลานั้นต่อให้แต่งเข้าเรือนเรามา วันนี้เขาคงอยากได้สิ่งนี้ พรุ่งนี้วางแผนเอาสิ่งโน้น ไม่มีอะไรก็คงก่อเรื่องขึ้นมาได้ หากว่าลูกๆ ได้รับผลกระทบจากบิดาขึ้นมา…เจ้าคิดว่าจะใช้ชีวิตอย่างสงบสุขได้อยู่หรือ? 

 จะเป็นใครก็ได้ได้อย่างไรเจ้าคะ?  อวี้ถังหัวเราะ  ท่านคิดมากเกินไปแล้ว 

คนสกุลเฉินขมวดคิ้ว

อวี้ถังจึงค่อยๆ อธิบายต่อ  บัณฑิตใช่ว่าจะมียศศักดิ์ทุกคนนะเจ้าคะ! 

คนสกุลเฉินพลันเข้าใจแจ่มแจ้ง พลิกมือมาบีบมือบุตรสาวเอาไว้ เอ่ยทันทีว่า  เหตุใดข้าเลอะเลือนเช่นนี้ เหตุใดข้าเลอะเลือนเช่นนี้! 

อวี้ถังเม้มปากกลั้นยิ้ม

คนสกุลเฉินพูดอย่างตื่นเต้น  พวกมียศศักดิ์ย่อมไม่ยินยอมแต่งเข้าแน่ อีกอย่างต่อให้แต่งเข้ามา ภายภาคหน้าก็ต้องยุ่งยาก พวกเราควรจะหาครอบครัวที่ใกล้เคียงกัน เคยเล่าเรียนเขียนอ่าน เป็นคนดีมีคุณธรรม อ่านออกเขียนได้ จะได้ช่วยงานเล็กๆ น้อยๆ ในเรือน ต่อไปหากมีหลาน สายเลือดทางบิดาก็นับว่าไม่เลว แล้วค่อยส่งให้บิดาเจ้าชี้แนะสั่งสอน ไม่แน่สกุลเราอาจจะมีจวี่เหรินหรือจิ้นซื่อบ้างก็ได้?  นางยิ่งพูดก็ยิ่งรู้สึกว่าเข้าท่า  คนเช่นนี้ บิดามารดาย่อมไม่ใช่ประเภทเจอปัญหาแล้วนิ่งเฉย ต่อไปถ้าพวกเราไปมาหาสู่บ่อยเข้า ก็นับว่ามีญาติพี่น้องเพิ่มขึ้น พวกเจ้าหากประสบเรื่องราวอันใด ทางนั้นก็นับว่าช่วยเหลือส่งเสริมได้ พวกเรายังสามารถรับปากพวกเขาได้ด้วยว่า สามรุ่นคืนสกุล [1] ถึงเวลานั้นบ้านเล็กก็ยังกลับไปใช้สกุลของเขา 

พูดถึงตรงนี้ ความกลัดกลุ้มของคนสกุลเฉินพลันหายวับ กลายเป็นตื่นเต้นจนแทบจะนั่งไม่ติด

นางเรียกป้าเฉินเข้ามา กำเงินเหรียญจำนวนหนึ่งส่งให้ป้าเฉิน บอกให้นางไปเชิญแม่สื่อจากทางการมาที่เรือน ทั้งสั่งว่า  เชิญมาหลายคนหน่อย อย่างไรก็ต้องแพร่ข่าวออกไปให้ไกล ยิ่งคนรู้มากยิ่งดี 

ป้าเฉินเห็นว่าเรื่องของอวี้ถังมีทางออกแล้ว ในใจก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง เดินจากไปด้วยความเบิกบาน

คนสกุลเฉินหัวเราะฮ่าๆ หมุนกายมาจับมือบุตรสาวไว้แล้วมองสำรวจขึ้นๆ ลงๆ

อวี้ถังคิดว่าที่แท้นางมีตรงไหนต่างออกไปจากเมื่อก่อนหรือไม่ ในใจอดจะรู้สึกกลัวไม่ได้ จึงถามออกไปอย่างประหม่าว่า  ท่านแม่ ท่านทำอะไรหรือเจ้าคะ? 

 ข้ากำลังมองว่าอาถังของข้าโตเป็นผู้ใหญ่แล้วจริงๆ  ดวงหน้าของคนสกุลเฉินเปี่ยมด้วยความอิ่มเอม  เมื่อก่อนเป็นข้ากับบิดาเจ้าที่ไม่รู้ มักคิดแต่ว่าเจ้าชอบก่อเรื่อง แต่เจ้าดูสิ่งที่เจ้าทำตลอดหลายวันนี้ แม้จะบอกว่าแก่นแก้วเกินไป แต่ก็มีหลักมีการ ถูกต้องเหมาะสมยิ่งนัก  พูดแล้ว นางก็ถอนหายใจเฮือกทีหนึ่ง เอ่ยอย่างภูมิใจว่า  แต่ก่อนพวกเราไม่แน่ว่าจะให้เจ้าอยู่กับเรือนไปตลอด กลัวว่าเจ้าจะดูแลเรือนนี้ไม่ไหว แต่วันนี้มองแล้ว มารดากับบิดาเจ้าน่าจะกังวลเกินเหตุ ไม่เคยรู้ว่าอาถังของเราเป็นแม่นางที่มีความคิดและมีความรับผิดชอบเช่นนี้! 

พวกท่านมองคนไม่ผิดเลย!

เป็นสวรรค์ที่ให้โอกาสข้าอีกครั้งหนึ่ง ข้าถึงได้มาแบกภาระหนักหนานี้ไว้ในยามที่ครอบครัวควรมีใครสักคนมาช่วยเหลือ

หางตาอวี้ถังแดงเรื่อ นางบีบมือมารดาแน่น แล้วพึมพำด้วยความรู้สึกผิดและเจ็บปวดว่า  ท่านแม่ ท่านอย่าพูดเช่นนี้ เป็นข้า เป็นข้าที่ผิด… 

 ดูเจ้าสิ พูดจาเหลวไหลอีกแล้ว  คนสกุลเฉินมีหรือจะเดาออกว่าอวี้ถังคิดอะไรอยู่ นึกไปว่าบุตรสาวไม่รู้จะพูดอะไรดี จึงหัวเราะแล้วดันตัวนางออก เห็นว่าอวี้ถังมีน้ำตานองเต็มหน้า ก็ถามอย่างแปลกใจว่า  เจ้าเป็นอะไรไปอีกเล่า? 

มารดาไม่รู้เรื่องนางกลับชาติมาเกิด แต่กลับทำให้อวี้ถังรู้สึกถึงความหนักแน่นมั่นคงยิ่งขึ้น

นางเช็ดน้ำตาแล้วเอ่ยยิ้มๆ ว่า  ข้า ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ก็แค่นานแล้วที่ท่านแม่ไม่ได้เอ่ยปากชมข้าเช่นนี้! 

 เจ้าเด็กคนนี้!  คนสกุลเฉินทำหน้าหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก  ให้เจ้าทำรองเท้าเจ้าปักเสร็จแล้วหรือยัง? ถ้าหาคนที่เหมาะสมได้จริงๆ ขึ้นมา ก็ต้องจัดงานแต่งให้เจ้าในเร็วๆ นี้แล้ว เจ้าพอถึงเวลาอย่าได้ต้องไปหาซื้อรองเท้าที่ร้านเชียวนะ 

ตามประเพณีของเจียงหนาน วันที่สองที่หญิงแต่งงานใหม่ต้องไปคารวะญาติอีกฝ่าย จะต้องมอบถุงเท้ารองเท้าที่ปักด้วยตนเองให้ญาติๆ อย่างพ่อสามีและแม่สามีด้วย

อวี้ถังแต่เด็กก็ไม่ชอบนั่งอยู่นิ่งๆ ทั้งบิดามารดาก็ตามใจ ฝีมืองานเย็บปักจึงแค่พอถูไถ ภายหลังแต่งให้สกุลหลี่ เห็นว่าคนสกุลหลินปฏิบัติต่อนางไม่ดี นางยิ่งไม่อยากจะเย็บปักอะไรให้ใคร กระทั่งดอกไม้ใบไม้ยังปักให้งามไม่ได้ด้วยซ้ำ

คนสกุลเฉินจ้องนางไม่ยอมหยุด นางมีหรือจะกล้าพูดมาก จึงได้แต่เผ่นแน่บหนีไป

คนสกุลเฉินมองตามแผ่นหลังของบุตรสาว หัวเราะจนเอวไม่อาจตั้งตรงได้ ทว่ากลับถูกอวี้เหวินที่รีบร้อนกลับมาจากถนนฉางซิ่งเห็นเข้าพอดี

เขาถอนหายใจเฮือก เอ่ยยิ้มๆ ว่า  เรื่องอะไรทำให้เบิกบานเพียงนี้? เมื่อครู่เจอกับอาเสา บอกว่าร่างกายเจ้าไม่ดี ต้องไปเชิญท่านหมอมา… 

คนสกุลเฉินหัวเราะพลางเล่าเรื่องเมื่อครู่ให้อวี้เหวินฟัง ทั้งบอกว่า  ได้ความคิดนี้ของอาถัง อาการป่วยของข้าย่อมหายเป็นปลิดทิ้งแล้ว 

 มีเรื่องเช่นนี้ด้วยรึ?!  อวี้เหวินตื่นตกใจ  ไม่เจอกันสามวัน ผู้อื่นก้าวไปข้างหน้าแล้ว ไม่อาจมองด้วยสายตาแบบเดิมได้อีก คิดไม่ถึงจริงๆ เลย 

 ก็ใช่น่ะสิเจ้าค่ะ! 

สองสามีภรรยาทอดถอนใจกันอยู่ครึ่งค่อนวัน

อวี้เหวินเรียกอวี้ถังไปที่ห้องหนังสือแล้วเอ่ยชมเชยนางรอบหนึ่ง ทั้งมอบแท่นฝนหมึกเฉิงหนีเยี่ยน [2] สีเขียวที่เป็นของตกทอดของสกุลอวี้ให้นาง

อวี้ถังถือแท่นฝนหมึกไปฟ้องกับมารดาว่า  แท่นฝนหมึกที่สูงค่าเช่นนี้ ถ้าข้าใช้ไป ท่านพ่อต้องร้องโวยวายแน่ นี่จะนับเป็นรางวัลได้อย่างไร? ก็แค่เปลี่ยนสถานที่มาให้ข้าเป็นคนเก็บรักษาไว้ก็เท่านั้น 

คนสกุลเฉินยิ้มแล้วจิ้มนิ้วบนหน้าผากอวี้ถัง เอ่ยว่า  ให้เป็นหนึ่งในสินเดิมของเจ้าไม่นับว่ามีหน้ามีตาพอหรือ? 

อวี้ถังหัวเราะฮ่าๆ

คนสกุลเฉินรักใคร่บุตรสาว ไม่ต้องการให้นางผิดหวัง จึงไปที่หอเครื่องเงินสั่งทำชุดปิ่นไข่มุกหนึ่งชุด กับเครื่องประดับศีรษะไข่มุกหนึ่งชุดไว้ให้อวี้ถัง  ตอนที่พี่สาวหม่าของเจ้าแต่งงาน เจ้าจะได้ใช้ตอนไปดื่มสุรามงคล 

อวี้ถังถามอย่างแปลกใจว่า  วันแต่งงานของนางกำหนดแล้วหรือเจ้าคะ? 

คนสกุลเฉินพยักหน้ายิ้มๆ  กำหนดไว้วันที่หกเดือนเก้า ของที่จะใส่กล่องของขวัญเจ้าเตรียมแล้วหรือไม่? หากว่ายังไม่มี ก็รีบไปสั่งทำที่ร้านเสีย ข้าจะออกเงินให้ 

งานเย็บปักของบุตรสาวนั้น นางไม่คาดหวังแล้ว

อวี้ถังอยากจะมอบของให้หม่าซิ่วเหนียงหลายๆ ชิ้นหน่อย เงินนั้นได้มายิ่งมากก็ยิ่งดี

นางออดอ้อนแล้วขอเงินจากมารดามาได้ห้าตำลึง เมื่อไปถึงหอเครื่องเงินก็สั่งทำกำไลเงินให้หม่าซิ่วเหนียงคู่หนึ่ง

ไม่นาน แม่สื่อของทางการก็ประกาศคุณสมบัติเขยชายที่สกุลอวี้ต้องการไปจนทั่ว ทั้งยังอธิบายว่า  มิใช่ว่าคุณชายของหลายสกุลนั้นไม่ดี แต่ไม่สอดคล้องกับคุณสมบัติที่สกุลอวี้ต้องการ นี่ก็เป็นเรื่องที่จนปัญญาเช่นกัน 

ทุกคนต่างรู้สึกว่าเรื่องนี้มีเหตุมีผล เกี่ยวกับข่าวลือที่อวี้ถัง ‘มักใหญ่ใฝ่สูงจะหาบัณฑิตมาแต่งเข้าเป็นเขยชายนั้น’ ก็ค่อยๆ จางหายไป

ทว่า งานหมั้นหมายของอวี้ถังก็เป็นที่สนใจของคนหลายคน

วันนี้หลังจากที่อวี้เหวินกลับมาจากการไปส่งขนมไหว้พระจันทร์ให้เถ้าแก่ถง เขาก็อารมณ์ดียิ่งขึ้น เอ่ยกับคนสกุลเฉินด้วยความมึนเมาเล็กน้อยว่า  เถ้าแก่ถงบอกว่าจะเป็นพ่อสื่อให้อาถังของเราล่ะ! 

คนสกุลเฉินทางหนึ่งก็ประคองน้ำแกงสร่างเมาให้อวี้เหวิน ทางหนึ่งก็ถามอย่างยินดี  เถ้าแก่ถงเป็นคนดี คู่หมั้นหมายที่หามาย่อมไม่มีชั่วแน่ ท่านนั่งลงเล่าให้ข้าฟังอย่างละเอียดหน่อยสิเจ้าคะ 

อวี้เหวินยกน้ำแกงสร่างเมาในมือดื่มรวดเดียวหมด ก่อนจะนั่งใต้แสงตะเกียงเอ่ยกับคนสกุลเฉินว่า  เถ้าแก่ถงบอกว่า เขามีสหายสนิทผู้หนึ่ง สกุลเว่ย สองสามีภรรยาล้วนเป็นคนสบายๆ ไม่เคร่งครัด ครอบครัวทำโรงงานคั้นน้ำมันพืช มีที่ดินสองร้อยกว่าหมู่ ทั้งยังมีภูเขาปลูกต้นดอกกุ้ยฮวาไว้สามร้อยกว่าต้น สกุลมีบุตรชายห้าคน ล้วนแต่เป็นผู้มีวิชาความรู้ เขาเองก็เห็นมาตั้งแต่เล็กจนโต บุตรคนโตต้องเก็บไว้สืบสานกิจการของสกุลแน่แล้ว บุตรชายคนอื่นๆ น่าจะแต่งเข้าเป็นเขยชายได้ทั้งสิ้น หากเจ้าคิดว่าใช้ได้ เขาก็จะลองไปพูดคุยให้ก่อน แล้วนัดคนออกมาให้พวกเราได้พบ ถ้าสำเร็จ ก็ให้อาถังของเราปักรองเท้าให้เขาสักคู่ ถ้าไม่สำเร็จ ก็คิดเสียว่าข้านับเป็นลูกหลานแล้ว 

 บุตรชายห้าคน?  คนสกุลเฉินหัวเราะ  เป็นเรื่องดีสิ หากว่างานหมั้นหมายนี้ลุล่วง พวกเราก็จะมีเครือญาติมารับมือต่อแล้ว ท่านดูซิ่วไฉอย่างท่านสิ ยังต้องมาจัดการเรื่องในร้านค้าด้วยตัวเองอยู่เลย ถ้าในเรือนมีเด็กๆ หลายคนหน่อย ท่านกับท่านลุงใหญ่ก็ไม่ต้องลำบากเช่นนี้ 

อวี้เหวินด้วยเพราะงานมงคลของอวี้ถังเริ่มมีเค้าราง ในใจก็ยินดีนัก จึงเอ่ยล้อเล่นว่า  จะว่าไปแล้ว ต้องโทษสกุลเผย ถ้ามิใช่สกุลเผยออกเงินช่วยเหลือเหล่าบัณฑิตทุกปี เมืองหลินอันมีหรือจะมีซิ่วไฉมากมายขนาดนี้ เจ้าลองมองดูที่อื่นสิ ซิ่วไฉมีหน้ามีตาเพียงใด แล้วกลับมามองหลินอันของพวกเรานี่ เทียบกันแล้ว ช่างน่าโมโหยิ่งนัก! 

 เอาล่ะ เอาล่ะ ท่านก็พูดให้น้อยลงหน่อย  คนสกุลเฉินหัวเราะ เอ่ยว่า  ดื่มเหล้าแล้วพูดจาเลอะเทอะ สกุลเผยทำความดี แล้วไปขัดขวางอะไรท่านเล่า? ข้ากลับคิดว่า ซิ่วไฉจังหวัดหลินอันของเรายิ่งไม่ต้องมีหน้ามีตายิ่งดี เดินออกไปไหนก็น่าฟังหน่อย! คนที่ทำมาค้าขายอยู่ข้างนอกนั้น ผู้อื่นจะได้ไม่กล้ารังแกตามอำเภอใจ 

————————————————————-

[1] สามรุ่นคืนสกุล หมายถึง เมื่อบุรุษแต่งเข้าเป็นเขยของสกุลฝ่ายหญิง จะต้องเปลี่ยนสกุลตามสกุลฝ่ายหญิงด้วย แต่ภายหลังเมื่อให้กำเนิดเด็กรุ่นที่สามออกมา ต้องกลับไปใช้สกุลเดิมของท่านปู่

[2] แท่นฝนหมึกเฉิงหนีเยี่ยน เป็นหนึ่งในสี่ของแท่นฝนหมึกที่เลื่องชื่อของจีน

Related

 

คนสกุลเฉินชะเง้อชะแง้คอมอง เป็นนานกว่าอวี้ถังจะกลับมาถึงเรือนได้ นางไม่รอให้อวี้ถังลงมาจากเกี้ยวแล้วยืนให้มั่นคง ก็ลากแขนบุตรสาวเข้าห้องรับรองไปเสียแล้ว

ทางหนึ่งเดินไป ทางหนึ่งก็หันไปสั่งกับซวงเถาว่า  หั่นแตงหวานที่แช่ไว้ในบ่อยกตามเข้ามา ไปตักน้ำมาดูแลคุณหนูให้ล้างหน้าเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อย 

ซวงเถารับคำแล้วจากไป

อวี้ถังถูกมารดากดให้นั่งลงที่เก้าอี้ไท่ซือ [1] ในห้องรับรอง

คนสกุลเฉินเห็นว่าปอยผมนางชื้นเหงื่อไปหมด ก็ปวดใจไม่น้อย หมุนตัวแล้วไม่รู้หยิบเอาพัดกลมมานั่งโบกพัดอยู่ข้างนาง  เจ้าอธิบายมาให้ดีๆ สิ วันนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่? เหตุใดถึงกลางทางเจ้ากลับให้อาเสาส่งสารมาบอกข้า? ทำเอาข้าตกใจจนนั่งไม่ติด กลัวว่าจะเกิดเรื่องกับเจ้า 

อวี้ถังคาดไม่ถึงเช่นกัน

นางรีบเอ่ยขอโทษมารดาว่า  ข้ารู้สึกว่านายหญิงทังผู้นั้นเกาะติดเกินไป กลัวว่านางจะพูดจาไปเรื่อย แล้วท่านแม่กับท่านพ่อจะหวั่นไหวเอาได้ 

คนสกุลเฉินหัวเราะ เอ่ยว่า  เจ้าคิดว่าบิดาเจ้ากับข้าเลอะเลือนอย่างนั้นรึ! 

อวี้ถังหัวเราะเหอะๆ

คนสกุลเฉินเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า  เป็นเพราะคุณชายรองสกุลหลี่มีอะไรไม่ดีงามหรือ? 

แม้ตอนออกจากเรือนไปบุตรสาวจะบอกเหตุผลไว้อย่างเลือนราง ทว่านางมีประสบการณ์กว่าบุตรสาวมาก ใคร่ครวญแล้วคิดว่าเป็นไปได้มากที่อวี้ถังจะกังวลเรื่องการหมั้นหมายกับสกุลหลี่ อยากจะไปดูคุณชายรองสกุลหลี่ให้เห็นกับตาว่าเขารูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร สกุลนางก็ไม่ใช่ตระกูลผู้ดีที่มีกฎระเบียบมากมาย ไม่ใช่สกุลยิ่งใหญ่ที่มีลูกหลานเต็มเมือง พวกนางสามีภรรยาเพียงหวังให้วันข้างหน้าบุตรสาวของตนมีความสุขก็พอ หากว่าสายตาเลือกคนถูก เช่นนั้นก็นับว่าเป็นการหมั้นหมายที่ดีมิใช่หรือ? ดังนั้นนางจึงแสร้งหลับตาข้างหนึ่ง ให้อาเสาออกไปเป็นเพื่อนอวี้ถัง

เห็นว่าบุตรสาวยังไม่กลับมาก็ส่งอาเสามาแจ้งความกับนางเสียแล้ว นางจะไม่เป็นห่วงได้อย่างไร?

อวี้ถังเล่าเรื่องที่ไปเจอหลี่จวิ้นในวันนี้ให้คนสกุลเฉินฟังอย่างละเอียด

คนสกุลเฉินตื่นตะลึงจนไม่อาจหุบปากที่อ้าค้างได้ กระทั่งซวงเถายกแตงหวานเข้ามา รับใช้อวี้ถังให้หวีผมเปลี่ยนเสื้อผ้าและขอตัวจากไป นางถึงได้ตามหาเสียงของตนเองเจอ แล้วถามอวี้ถังอย่างระมัดระวังพลางกินแตงหวานไปด้วยว่า  ก็หมายความว่า คุณชายรองสกุลหลี่ไม่เคยรู้จักเจ้าด้วยซ้ำ คำที่ฮูหยินหลี่ฝากความนายหญิงทังมาพูดตอนมาขอหมั้นก็ตกแต่งเกินจริง? 

อวี้ถังพยักหน้า รู้สึกว่าแตงหวานในวันนี้หอมหวานเป็นพิเศษ จึงป้อนใส่ปากมารดาไปชิ้นหนึ่ง แล้วบอกสิ่งที่ตนสงสัยให้มารดาฟัง  ข้าคิดว่าสกุลหลี่นั้นต้องการอะไรบางอย่างจากสกุลเราเป็นแน่เจ้าค่ะ น่าเสียดาย ข้าคิดไม่ออกว่าเรามีอะไรให้พวกเขาคิดครอบครอง 

คนสกุลเฉินมองดวงหน้าของบุตรสาวที่แม้อยู่ในห้องมืดสลัวก็คล้ายถูกเคลือบด้วยความเงางามอีกหนึ่งชั้น อดจะรู้สึกปลาบปลื้มใจไม่ได้

แม่นางที่มีรูปโฉมงดงามเช่นอาถังของสกุลนาง ไม่ต้องพูดถึงเมืองหลินอัน ต่อให้เป็นเมืองหังโจว เกรงว่าก็ยังหาได้ไม่กี่คน

หรือว่ามิใช่เพราะถูกใจความสะสวยของอาถังกระมัง?

คนสกุลเฉินแม้จะคิดเช่นนั้น แต่ก็รู้ว่าไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไร

นางกล่าวว่า  ข้าให้คนไปส่งจดหมายถึงบิดาเจ้าแล้ว ให้วันนี้เขากลับมาเร็วหน่อย บิดาเจ้าอย่างไรก็เป็นถึงซิ่วไฉ มีวิชาความรู้ก้าวหน้ากว่าพวกเรา เรื่องนี้ย่อมต้องให้เขาตัดสินใจ 

คนเขลาสามคน เทียบเท่าหนึ่งจูเก๋อเลี่ยง [2]

อวี้ถังชอบให้ทุกคนในครอบครัวล้อมวงพร้อมหน้า ปรึกษาหารือกันไม่ว่าจะเจอปัญหาใดๆ

นางถามว่า  ท่านพ่อวันนี้ไปที่ท่าเรือหรือเจ้าคะ? 

เผยหม่านพ่อบ้านใหญ่ที่มารับตำแหน่งใหม่ทำงานได้คล่องแคล่ว ท่านผู้เฒ่าสกุลเผยยังเสียไม่ครบสี่สิบเก้าวัน งานก่อสร้างที่ถนนฉางซิ่งก็เริ่มต้นขึ้นแล้ว ก่อนหน้านี้นางได้ยินอาเสาพูดว่า สกุลเผยซื้ออิฐและกระเบื้องจากหังโจวมาหลายลำเรือ สองวันนี้คงจะมาถึงท่าเรือเสาซีแล้ว ช่วงนี้อวี้เหวินจึงต้องตัวติดกันกับอวี้ป๋อ

คนสกุลเฉินส่งเสียง  อืม  คำหนึ่ง รู้สึกว่าแตงหวานลูกนี้หวานอร่อยกว่าวันอื่นอยู่จริงๆ จึงเอ่ยกับอวี้ถังว่า  เจ้าเหลือไว้ให้บิดาเจ้ากินบ้างสิ! แตงหวานก็เหลืออยู่เท่านี้แล้ว 

อวี้ถังหันไปกะพริบตาปริบๆ ใส่มารดา อวี้เหวินก็พลันกลับมาถึงพอดี

คนสกุลเฉินรีบร้อนเข้าไปรับ ช่วยอวี้เหวินล้างหน้าล้างมือ

อวี้ถังลุกยืนขึ้นแล้วเรียก  ท่านพ่อ  เสียงหนึ่ง รอกระทั่งอวี้เหวินจัดการตนเองเสร็จแล้วก็ยกแตงหวานไปให้อวี้เหวินกิน

อวี้เหวินชื่นชมบุตรสาวว่า  เด็กดี  คำหนึ่ง แล้วถามคนสกุลเฉินว่า  มีเรื่องอะไรรีบร้อนอย่างนั้นหรือถึงได้เร่งข้ากลับมา วันนี้ข้าว่าจะเชิญเถ้าแก่ถงไปดื่มเหล้าที่ร้านปลาจางเอ้อสักหน่อย! จะกินปลาต้องฤดูนี้แหละยอดเยี่ยมที่สุด 

คนสกุลเฉินเอ่ยว่า  ข้าก็ว่าเหตุใดท่านหายไปตั้งนาน? เรื่องอิฐและกระเบื้องราบรื่นดีหรือไม่? 

 ราบรื่น  อวี้เหวินตอบ  ที่เรือนเกิดเรื่องใดขึ้นเล่า? 

คนสกุลเฉินเล่าเรื่องที่อวี้ถังไปวัดเจาหมิงให้ฟังไปรอบหนึ่ง

อวี้เหวินนับว่าใจใหญ่ เอ่ยตอบอย่างไม่แยแสว่า  สนใจไปไยว่าพวกเขาต้องการสิ่งใด พวกเราไม่ตอบตกลงก็สิ้นเรื่อง 

คนสกุลเฉินขมวดคิ้ว เอ่ยตอบสามีว่า  แต่หากเป็นเช่นนี้ กลัวแต่พวกเขาจะใช้อุบายเลวทราม หากไม่มีเรื่องนี้ ก็ต้องหาเรื่องอื่นมาบีบพวกเราอีก ป้องกันอย่างไรก็ไม่ไหวแน่ 

อวี้เหวินหัวเราะ  นอกจากเรื่องหาคนที่เหมาะสมเพื่อฝากฝังอาถังของพวกเราแล้ว เรื่องอื่นมีอะไรน่ากังวลกัน? เงินทองหมดไปก็หาใหม่ได้น่า! 

 ท่านพูดดีไปเถอะ  คนสกุลเฉินกล่าวอย่างไม่พอใจ  ข้ากลัวว่าเขาจะสอดมือมายุ่งเรื่องงานแต่งของอาถัง 

 เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องยุ่งแล้ว  อวี้เหวินบอก  ข้ามีวิธีของข้า 

อวี้ถังได้ยินก็หนังศีรษะชาหนึบ

ตั้งแต่เรื่องที่หลู่ซิ่นขายภาพวาดให้ นางก็เหมือนได้ทำความรู้จักกับบิดาของตนใหม่อีกรอบ

วิธีที่เขาพูดถึง นางไม่รู้สึกวางใจเลยสักนิด

อวี้ถังเขย่าแขนของมารดา ทำออดอ้อนว่า  ท่านแม่ ท่านดูท่านพ่อสิเจ้าคะ ไม่ห่วงใยข้าเลยสักนิด นั่นเป็นเรื่องใหญ่ทั้งชีวิตข้าเชียว เขาไม่คิดจะหารือกับใครก็จบเรื่องไปเช่นนี้ได้ที่ไหนกัน! ต่อให้ไปซื้อโต๊ะยังต้องไปดูตั้งหลายรอบเลยนะเจ้าคะ! 

 เจ้าเด็กคนนี้ พูดจาอย่างไรกันนะ?  อวี้เหวินหันไปถลึงตาใส่บุตรสาว เอ่ยว่า  การเลือกเขยชายเหมือนกับการซื้อโต๊ะอย่างนั้นรึ? เจ้าคิดว่าเรื่องนี้ข้าไม่ร้อนใจรึ มิใช่เพราะไม่มีตัวเลือกที่ดีหรืออย่างไร? ข้ารู้ว่าเจ้ากลัวว่าข้าจะให้เจ้าแต่งกับสกุลหลี่ เจ้าวางใจเถอะ หากเจ้าไม่เห็นด้วย สกุลไหนข้าก็ไม่ตกปากรับคำทั้งนั้น! 

อวี้ถังร้องเสียงดีอกดีใจ รีบวิ่งเอาจานที่มีแตงหวานไปประเคนให้ข้างมืออวี้เหวินทันที แล้วเอ่ยเอาอกเอาใจเขาว่า  ท่านพ่อ ใต้หล้านี้ท่านนับว่าดีต่อข้าที่สุดแล้ว ท่านเป็นบิดาที่ประเสริฐที่สุดในใต้หล้าเลยเจ้าค่ะ! 

 แน่นอนอยู่แล้ว!  อวี้เหวินแม้จะรู้สึกว่าคำพูดของอวี้ถังกล่าวได้เกินจริงไปหน่อย ทว่าไปไม่อาจกดรอยยิ้มมุมปากลงได้ รู้สึกอิ่มเอมยิ่ง

คนสกุลเฉินได้แต่ส่ายหน้าไปมา

เช้าตรู่วันถัดมา คนสกุลเฉินส่งคนนำจดหมายตอบกลับไปส่งให้นายหญิงทัง บอกว่าสกุลนางได้ตัดสินใจรับเขยชายเข้าเรือนเพื่ออวี้ถังแล้ว เกรงว่าไม่อาจเกี่ยวดองกับสกุลหลี่ได้อีก

นายหญิงทังได้รับจดหมายก็กระวีกระวาดมาที่เรือนสกุลอวี้ทันที ทางหนึ่งก็หอบแฮกๆ ทางหนึ่งก็ส่งยิ้มชืดๆ ให้คนสกุลเฉินและเอ่ยว่า  ข้ารู้ว่าสกุลเจ้าคิดจะรับเขยชายแต่งเข้า เรื่องนี้ข้าก็บอกกับคุณชายรองสกุลหลี่ไปแล้ว แต่คิดไม่ถึงเลยว่า ขอเพียงได้แต่งกับบุตรสาวท่านต่อให้ต้องแต่งเข้าเป็นเขยชายเขาก็ยินยอม กลายเป็นว่า เรื่องนี้ลุกลามใหญ่โตจนคุณชายใหญ่สกุลหลี่รู้เรื่องเขา เขาจึงขังคุณชายรองไว้ในเรือน ทั้งเขียนจดหมายถึงฮูหยินหลี่ด้วย คุณชายรองก็ดึงดันไม่ยอมแพ้ ตอนนี้เริ่มอดอาหารประท้วงแล้ว 

 ฮูหยินหลี่รักบุตรชายอย่างกับอะไรดี ทั้งกลัวว่าคุณชายรองจะมีอันเป็นไป ทั้งเกรงว่าใต้เท้าหลี่รู้เรื่องแล้วจะพาลโมโห คนของท่านก้าวเท้าจากไป นางก็ตามมาถึงทันที ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องให้ข้ามาเพื่อช่วยคุณชายรองของพวกเขาสักครั้ง บอกว่าบุตรชายของนางชอบพอคุณหนูเรือนเจ้าด้วยความจริงใจ อย่างไรก็ขอโอกาสให้คุณชายรองของพวกเขาสักครั้ง อย่าได้เพิ่งรีบร้อนตกลงเรื่องงานหมั้นหมายของบุตรสาว จะสามารถแต่งเข้าเป็นเขยชายได้หรือไม่นั้น มากที่สุดไม่เกินสามเดือน พวกเขาย่อมให้คำพูดที่แน่นอนแก่เจ้าได้ 

พูดจบ นางก็ถอนหายใจยาวเหยียด ดึงมือของคนสกุลเฉินมาแล้วพูดว่า  บรรดานายหญิงของซิ่วไฉในเมืองนี้ ข้าก็อิจฉาแต่เจ้านี่แหละ สามีรักเดียวใจเดียวต่อเจ้าไม่ต้องพูดถึง กระทั่งบุตรสาวเลี้ยงออกมายังเป็นหน้าเป็นตาให้เจ้าได้ เจ้าคิดดูสิ สกุลหลี่เป็นสกุลเช่นไร เขาเป็นคุณชายรองอยู่ดีๆ ไม่ชอบ ร้องจะมาเป็นเขยชายให้สกุลเจ้า ไม่ว่าการหมั้นหมายครั้งนี้จะสำเร็จหรือไม่ ชาตินี้เจ้านับว่าคุ้มค่าแล้ว 

คนสกุลเฉินกับอวี้ถังถูกการพลิกผันของเรื่องราวทำเอาตกตะลึง

ไม่คิดว่าเงื่อนไขอันยากเย็นที่สกุลอวี้เรียกร้องนี้ สกุลหลี่กลับยังจะรับไว้พิจารณา

นี่ทำให้อวี้ถังหวาดระแวงการหมั้นหมายและหวาดกลัวสกุลหลี่ยิ่งกว่าเก่า ทั้งคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นตามมานี้ล้วนเป็นผลจากเมื่อวานที่นางไปเจอหลี่จวิ้น…

อวี้ถังรู้สึกสับสน

กระทั่งตกบ่าย นางก็ยิ่งอยากตบตนเองสักหลายฉาด ภาวนาให้เวลาย้อนกลับได้

เฉินเหยาเชิญแม่สื่อมาขอหมั้นหมายนางถึงหน้าประตู

คนสกุลเฉินอ้าปากค้าง เอ่ยกับป้าเฉินว่า  นี่โผล่มาจากไหนอีกคนเล่า? 

ป้าเฉินถูกเรื่องราวที่เกิดขึ้นในระยะนี้ทำเอาหัวหมุนไปหมด นางกล่าวว่า  บอกว่าเล่าเรียนอยู่สำนักศึกษาประจำอำเภอ เมื่อวานตอนไปเที่ยวที่วัดเจาหมิงบังเอิญได้เจอกับคุณหนู ก็จำฝังใจไม่ลืม พอแจ้งเรื่องนี้แก่บิดามารดา จึงได้เชิญคนมาขอหมั้นหมายเจ้าค่ะ 

คนสกุลเฉินถามต่อว่า  เช่นนั้นเขารู้หรือไม่ว่าสกุลเราต้องการเขยชายแต่งเข้าสกุล? 

ป้าเฉินตอบว่า  เห็นว่ารู้อยู่เจ้าค่ะ ซ้ำยังบอกว่าสกุลเขามีบุตรชายห้าคน เขาเป็นลำดับที่สาม ทางครอบครัวอนุญาตให้แต่งเข้าเป็นเขยชายแล้ว 

อวี้ถังนวดขมับไปมา ได้แต่ออกมาเก็บกวาดเรื่องยุ่งเหยิง นางเล่าเรื่องให้มารดาฟังว่าไปเจอกับเฉินเหยาที่วัดเจาหมิงได้อย่างไร ทั้งพูดเสริมว่า  เฉินเหยาคนนี้ไม่ได้ นิสัยไม่ผ่านเจ้าค่ะ 

คนสกุลเฉินไม่คิดว่ามีเรื่องเช่นนี้ด้วย จึงถามอวี้ถังอย่างอยากรู้ว่า  เฉินเหยาผู้นี้พบหน้าเจ้าแค่ครั้งเดียวจริงๆ รึ? 

 เพิ่งเคยพบครั้งเดียวจริงๆ เจ้าค่ะ!  อวี้ถังรู้สึกปวดศีรษะ  ท่านคิดจะให้เขาพบหน้าข้ากี่รอบกัน? 

 อย่าใจร้อน อย่าใจร้อน  คนสกุลเฉินปลอบบุตรสาว เอ่ยว่า  ข้าแค่นึกไม่ถึงว่าจะมีคนที่พบหน้าเจ้าเพียงครั้งเดียวแล้วมาขอหมั้นหมายเจ้าอยู่จริงๆ 

เหตุใดอวี้ถังฟังแล้วรู้สึกว่าน้ำเสียงของมารดามีความภาคภูมิใจเจืออยู่หลายส่วน

นางตอบอย่างหมดแรงว่า  ท่านช่วยไล่แม่สื่อผู้นั้นกลับไปก่อนได้หรือไม่? นางขนข้าวของมากองบังหน้าประตูเราเช่นนี้ ข้ากลัวผู้อื่นเข้าใจผิดคิดว่าข้าจะรีบร้อนออกเรือนเสียอีก! 

คำพูดของอวี้ถังเตือนสติคนสกุลเฉิน นางรีบสั่งป้าเฉินว่า  เร็วเข้า รีบไปบอกให้แม่สื่อกลับไปก่อน บอกว่าเรื่องงานแต่งงานของอวี้ถังนั้น บิดาของนางได้ตัดสินใจไปแล้ว ตอนนี้จะไม่เจรจาเรื่องนี้อีก 

ป้าเฉินรับคำแล้วจากไป

ทว่าดวงหน้ากลับอิ่มเอมเปรมปรีย์

เห็นชัดว่าดีอกดีใจยิ่งนักที่มีคนมาขอหมั้นหมายถึงเรือน

อวี้ถังคิดว่าเรื่องราวจะจบลงไปเช่นนี้แล้ว

ไม่คิดว่าผ่านไปอีกสองวัน ฟู่เสี่ยวหวั่นก็เชิญแม่สื่อมาคุยเรื่องหมั้นหมาย

ทว่าหลังจากที่สกุลฟู่รู้ว่าสกุลอวี้ต้องการให้เขยชายแต่งเข้า ก็กลับไปอย่างผิดหวัง

ดีชั่วก็ยังมีคนปกติอยู่บ้างแหละ!

อวี้ถังค่อยโล่งอก

แต่ชื่อเสียงด้านรูปโฉมของนางกลับถูกเล่าลือออกไปไกลด้วยเหตุนี้

กระทั่งตอนที่ครอบครัวลุงใหญ่ได้ยินข่าว ก็เป็นช่วงมอบของขวัญในวันไหว้พระจันทร์แล้ว

ป้าสะใภ้ใหญ่สกุลหวังหัวเราะพลางล้อคนสกุลเฉินว่า  อาถังของเราช่างวาสนาดี สกุลหนึ่งมีบุตรสาวอยู่คนเดียว อีกร้อยสกุลกลับอยากจะขอไป เรื่องนี้คงอ่านเจอแต่ในตำรา ไม่คิดว่าจะได้เห็นกับตาเป็นครั้งแรก 

คนสกุลเฉินกลัดกลุ้ม แล้วบอกความในใจกับคนสกุลหวังว่า  พี่สะใภ้ว่าข้าขี้ขลาดเกินไปหรือไม่? ไม้เด่นเกินไพร ลมพัดย่อมหักโค่น [3] เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าชื่อเสียงคราวนี้ของอวี้ถังมิใช่เรื่องดีเลย คิดแล้วหัวใจก็เต้นไม่เป็นจังหวะอยู่เรื่อย 

คนสกุลหวังตื่นตะลึง กล่าวว่า  อาถังของพวกเรามีพี่ชายคอยคุ้มครอง ทั้งยังมีบิดาเป็นซิ่วไฉ หาใช่เป็นสกุลเล็กๆ ไร้ที่พึ่งพา มีอะไรให้กลัวกันเล่า แต่ว่าผู้เป็นสตรีมีชื่อเสียงด้านคุณธรรมย่อมสำคัญกว่ารูปโฉม งานแต่งของอาถัง ต้องรีบกำหนดให้เรียบร้อยจึงจะถูก 

———————————————————

[1] เก้าอี้ไท่ซือ เก้าอี้ไม้มีพนักพิง มีที่วางแขน ฐานรองนั่งกว้าง

[2] คนเขลาสามคน เทียบเท่าหนึ่งจูเก๋อเลี่ยง มีความหมายว่า แม้เป็นคนเขลาก็ตาม แต่หากมีความร่วมแรงร่วมใจกันเปิดกว้างรับความคิดเห็นของกันและกัน ก็จะสามารถคิดวิธีดีๆ ออกได้เช่นเดียวกับผู้มีปัญญาอย่างจูเก๋อเลี่ยง (ขงเบ้ง)

[3] ไม้เด่นเกินไพร ลมพัดย่อมหักโค่น เปรียบเปรยว่าหากทำตัวโดดเด่น มีแต่จะตกเป็นเป้าหมายของผู้อื่น ซ่อนเร้นความสามารถถึงจะเป็นทางเลือกที่ดี

Related

 

อวี้ถังกลัวหนักหนาว่าเรื่องราวจะซ้ำรอยเก่า ต้องไปพัวพันกับสกุลหลี่อีกชาติ แต่ก็ไม่อยากให้หม่าซิ่วเหนียงต้องหมดสนุก จึงค่อยๆ เรียกอาเสามาหาแล้วเอ่ยว่า  เจ้ากลับไปบอกท่านแม่ข้านะ ฮูหยินหลี่โกหก ก่อนที่ข้าจะกลับเรือนไป ไม่ว่าจะเรื่องใดก็ตามห้ามตอบตกลงสกุลหลี่เด็ดขาด 

อาเสาจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่วันนี้อวี้ถังมาเพื่อดูคุณชายรองสกุลหลี่ เมื่อครู่ก็ยังสนทนากับคุณชายรองสกุลหลี่อยู่เลย อวี้ถังกลับรอไม่ไหวจนให้เขากลับเรือนไปส่งข่าวก่อน คิดว่าเรื่องนี้ต้องสำคัญมากเป็นแน่ จึงรีบตอบรับคำ แล้ววิ่งลงเขาไปอย่างไม่เห็นฝุ่น

อวี้ถังค่อยสงบใจลงได้ ถึงพอมีอารมณ์ไปน้ำตกสีปี่เป็นเพื่อนหม่าซิ่วเหนียง

ในใจหม่าซิ่วเหนียงเริ่มเกิดความเคลือบแคลงเอ่ยกับอวี้ถังว่า  เป็นเพราะคุณชายรองสกุลหลี่พูดอะไรที่ไม่เหมาะสมหรือ? เมื่อครู่ข้าได้ยินพวกเขาเอะอะเสียงดังกัน! 

ตามความคิดนาง บุรุษนิสัยเช่นนี้นับว่าใช้ไม่ได้อย่างที่สุด ต่อให้พื้นฐานครอบครัวดีอย่างไร หน้าตางดงามเพียงไหน ก็ไม่อาจตอบตกลงได้

สองชาติที่ผ่านมา หลี่จวิ้นไม่เคยทำเรื่องใดที่ผิดต่ออวี้ถัง อวี้ถังก็ไม่ได้กล่าวโทษเขาเพียงเพราะสหายเขาเช่นกัน

นางตอบว่า  มิใช่หรอก ข้าแค่ไม่ชอบคนที่หน้าตาอย่างเขาเท่านั้นเอง 

หม่าซิ่วเหนียงรู้สึกเสียดายเล็กน้อย  เช่นนั้นก็ช่วยไม่ได้แล้ว ลางเนื้อชอบลางยา ไม่อาจบังคับกันได้ 

ยิ่งอวี้ถังได้รู้จักหม่าซิ่วเหนียงมากเท่าไร ก็ยิ่งรู้สึกว่านางเข้าอกเข้าใจและใส่ใจผู้อื่นนัก นับว่าเป็นสหายที่หาได้ยากคนหนึ่ง

นางหัวเราะแล้วคล้องแขนหม่าซิ่วเหนียงไว้ เรียกนางว่า ‘พี่สาว’ อย่างสนิทชิดเชื้อ แล้วชวนคุยเรื่องที่นางสนใจ  วันแต่งงานของเจ้ากับคุณชายจางกำหนดแล้วหรือ? ถึงเวลานั้นยังต้องสั่งทำเครื่องเรือน สั่งทำขนมเปี๊ยะมงคล เชิญเฉวียนฝูเหริน [1] อีก จะทันการหรือไม่? 

 ทันสิ!  หม่าซิ่วเหนียงยอมเปลี่ยนบทสนทนาตามคาด นางเล่าเรื่องของตัวเองอย่างมีความสุข  เครื่องเรือนพวกนั้น ท่านแม่ข้าแต่ก่อนก็สั่งทำหีบไม้การบูรไว้ให้สองใบแล้ว ส่วนอย่างอื่น ก็ให้ใช้ของสกุลจางไปก่อน มีเท่าไรก็เท่านั้น… 

สองคนคุยกันไป ไม่นานก็มาถึงน้ำตกสีปี่

น้ำตกสีปี่เป็นเพียงตาน้ำเล็กๆ ใต้ตาน้ำมีแอ่งขนาดไม่ใหญ่นักซึ่งครึ่งหนึ่งซ่อนอยู่ใต้โขดหินและอีกครึ่งหนึ่งโผล่ออกมาด้านนอก ความกว้างไม่เกินสามฉื่อ ลึกไม่ถึงหัวเข่า น้ำใสแจ๋วจนเห็นถึงก้น สองข้างมีต้นไม้ที่ลำต้นหนาเท่าปากชาม ไม่รู้ว่าเป็นต้นอะไร ทว่ากิ่งก้านแผ่กว้างดั่งร่ม กิ่งที่เตี้ยหน่อยก็ละอยู่บนผิวแอ่งน้ำ ยังมีใบไม้ไม่รู้ชื่อที่ลอยอยู่บนผิวน้ำอีกด้วย

สตรีออกเรือนเจ็ดแปดคนกำลังมุงรอบแอ่งน้ำเพื่อตักน้ำอยู่

จางฮุ่ยพาเด็กรับใช้ไปยืนรออยู่ที่หินปูนตะแคงนอนก้อนใหญ่ที่อยู่ไกลๆ พอเห็นพวกนางดวงตาก็วาววับ

หม่าซิ่วเหนียงเม้มปากกลั้นยิ้ม

สองคนไม่ได้พูดจากันสักคำ แต่อารมณ์บนหน้ากลับเปรมปรีย์ยิ่งนัก ทำให้คนมองรู้สึกสบายตาไม่น้อย

อวี้ถังเห็นว่าเส้นทางบนเขาที่มุ่งสู่น้ำตกสีปี่ยังคดเคี้ยวต่อไปเบื้องบนอีก คล้ายว่าสามารถปีนขึ้นไปได้ นางจึงอดจะหัวเราะแล้วกระซิบกับหม่าซิ่วเหนียงไม่ได้ว่า  พวกเจ้าอยากปีนเขาหรือไม่? ข้ากับสี่เชวี่ยจะพักอยู่ที่นี่ ดื่มน้ำสักนิดแล้วค่อยไป 

หม่าซิ่วเหนียงหน้าแดงก่ำ ตอบด้วยเสียงอันเบา  เจ้าไปปีนเขากับพวกเราจะดีกว่า 

อวี้ถังส่ายหน้าดิกๆ รีบเอ่ยว่า  ข้าเหนื่อยแล้ว ข้าจะพักอยู่ที่นี่แหละ 

หม่าซิ่วเหนียงไม่มีทางปล่อยนางทิ้งไว้อย่างไม่ไยดีแน่ นางกำลังจะพูดอะไรต่อ อวี้ถังก็เอ่ยขัดขึ้นมาเสียก่อน  เมื่อครู่ข้าเพิ่งได้เจอคุณชายรองสกุลหลี่ ข้าอยากจะอยู่เงียบๆ คนเดียว พิจารณาว่าต่อไปจะทำอย่างไรดี 

หม่าซิ่วเหนียงคิดตามแล้วก็เห็นด้วย ไม่เกลี้ยกล่อมนางอีก แล้วหันไปกำชับสี่เชวี่ยอีกหลายประโยค พอเห็นว่าคนที่มาตักน้ำเหลือน้อยลงแล้ว จึงได้ส่งสายตาให้จางฮุ่ยทีหนึ่ง ก่อนจะเดินขึ้นเขาไป

จางฮุ่ยไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น มองอวี้ถังทีหนึ่งอย่างสงสัย รอกระทั่งหม่าซิ่วเหนียงเดินไปได้ระยะหนึ่งแล้ว เขาถึงได้ตามไป

อวี้ถังกำลังใคร่ครวญอยู่จริงๆ ว่าต่อไปจะทำอย่างไร

เรื่องราวของสกุลหลี่อย่างไรก็ต้องสืบให้กระจ่าง มิเช่นนั้นต่อให้นางแต่งเขยชายแล้วเฝ้าอยู่ในเรือน สกุลหลี่ก็มีวิธีที่จะจัดการสกุลนางได้อย่างง่ายดาย

ชาติก่อนนางได้ตาสว่างกับสารพัดอุบายของสกุลหลี่แล้ว

ไม่รู้เพราะเหตุใด อวี้ถังพลันคิดไปถึงนายท่านสามสกุลเผย

นางพลันรู้สึกว่า นางคิดเช่นนี้ไม่ถูกต้องทั้งหมด

หากว่านางร้องขอความคุ้มครองจากสกุลเผย สกุลหลี่คงไม่กล้าเล่นงานสกุลอวี้ได้ตามใจ

ปัญหาเกิดขึ้นตรง ‘ตามใจ’ สองคำนี้นี่เอง

เหตุใดสกุลเผยต้องยอมเป็นปฏิปักษ์กับสกุลหลี่เพียงเพราะสกุลของนางด้วยเล่า?

สิ่งที่คนสกุลหลินต้องการมีความสำคัญกับสกุลหลี่มากมายเพียงใด สกุลหลี่คงไม่ยินยอมแตกหักกับสกุลเผยเพราะสิ่งนี้กระมัง?

คิดถึงสิ่งเหล่านี้ อวี้ถังเริ่มรู้สึกรำคาญใจ

เหตุใดสกุลนางจะต้องพึ่งพาสกุลเผยหรือว่ายอมโอนอ่อนต่อสกุลหลี่ด้วยเล่า?

พูดไปพูดมา ต้องยอมรับว่าเพราะสกุลนางไม่มีอำนาจบารมีเพียงพอ

ทว่าสกุลนางมีคนหนุ่มไม่กี่คน จะให้ญาติผู้พี่ไปเล่าเรียนวิชาตอนนี้ก็คงไม่ทันการแล้ว!

อย่างไรน้ำไกลก็ดับความกระหายในตอนนี้ไม่ได้

นี่ยังพอจะมีหนทางที่สองให้เดินหรือไม่?

ทำกิจการค้าขายต่อไป ย้ายไปจากหลินอัน?

เมืองหังโจวมีขุนนางและชนชั้นสูงมากมาย พวกเขาย้ายมาจากต่างถิ่น ยากนักที่จะได้รับการคุ้มครองจากสกุลใหญ่ๆ เช่นนั้นมิสู้อยู่ที่หลินอัน อย่างไรรอบข้างก็ยังมีเพื่อนบ้านที่รู้กำพืดกันดี สกุลอวี้เป็นมิตรกับทุกคนอยู่แล้ว หากว่าสกุลนางเกิดเรื่อง เพื่อนบ้านในตรอกย่อมยื่นมือช่วยเหลือ

ชาติก่อน หลังจากที่บิดามารดาของนางจากไป นางก็ได้รับการช่วยเหลืออย่างมากจากพวกเขา

เฮ้อ!

ไปทางขวาก็ยาก ไปทางซ้ายก็ยากจริงๆ เลย

หากว่านายท่านสามเจอปัญหาแบบนี้ ไม่รู้ว่าเขาจะแก้สถานการณ์อย่างไร?

อวี้ถังนั่งขบคิดอย่างกลัดกลุ้มอยู่ตรงนั้น

สี่เชวี่ยเห็นว่านางนั่งเงียบๆ แน่นิ่งอยู่ตรงนั้นไม่พูดไม่จามาเกือบสองเค่อได้แล้ว รู้สึกเบื่อหน่ายเล็กน้อย จึงหลบไปม้วนกิ่งไม้เป็นมงกุฎเล่นตรงบริเวณที่สามารถมองเห็นนางได้ง่ายๆ

มีคนเดินมาตักน้ำอีกแล้ว

อวี้ถังมองตามไป

เป็นเด็กน้อยอายุสิบสองสิบสามปี มัดผมสองแกละ สวมต้าวผาวหังโจวสีม่วง ในอกกอดถังไม้ใบเล็กอยู่ใบหนึ่ง ดวงหน้ากลมดิกสีอมชมพู มองแล้วน่าเอ็นดูยิ่งนัก

เมื่อรู้สึกว่าถูกอวี้ถังจับจ้อง เขาก็มองอวี้ถังกลับด้วยความอยากรู้ ก่อนสีหน้าจะเปลี่ยนเป็นตกตะลึงในภายหลัง เป็นนานก็ไม่ยอมย้ายสายตาหนี

อวี้ถังมองว่ารอบด้านไร้ผู้คน เด็กคนนี้ก็น่ารักน่าชังนัก จึงกระเซ้าเขาว่า  เจ้ารู้จักข้า? 

เด็กน้อยเหมือนได้รับความตกใจ พลันส่ายหน้ารัว ไม่กล้ามองนางอีก แล้วหมุนกายไปตักน้ำ

อวี้ถังเห็นแล้วรู้สึกขัน อารมณ์ก็เริ่มดีขึ้นไม่น้อย

เด็กน้อยทางหนึ่งก็ตักน้ำไป ทางหนึ่งก็แอบมองนาง เหมือนว่านางเป็นเสือตัวใหญ่ที่พออ้าปากก็จะจับเขากลืนลงไปอย่างไรอย่างนั้น น่าสนุกเป็นที่สุด

อวี้ถังเอ่ยว่า  เจ้ากำลังจะทำอะไรหรือ? 

แม้ถังไม้ในอกเขาจะใบเล็ก แต่ดูแล้วสามารถใส่น้ำได้ถึงสี่ห้าจิน เด็กคนนี้อายุยังน้อย เวลาสั้นๆ คงไม่เป็นไร แต่ถ้าระยะทางไกล คิดว่าคงอุ้มไม่ไหวแน่ อีกอย่างเด็กคนนี้ก็แต่งตัวเหมือนคนสกุลสูงศักดิ์ ทว่ากลับทำเรื่องที่เป็นหน้าที่ของบ่าวรับใช้ เชื่อว่าคงเป็นนายท่านสักคนที่เลี้ยงไว้เป็นเพื่อนเรียนแน่ๆ อีกอย่างคนผู้นี้ต้องไม่เพียงร่ำรวยเท่านั้น ทั้งต้องปฏิบัติต่อบ่าวรับใช้ข้างกายเป็นอย่างดี ไม่เช่นนั้นสีหน้าของเด็กน้อยคงไม่มีชีวิตชีวาร่าเริงเพียงนี้

นางคิดว่าเก้าในสิบส่วน เด็กคนนี้ต้องตามเจ้านายสกุลใดมาเที่ยวเล่นที่วัดเจาหมิงเป็นแน่

เด็กน้อยครุ่นคิด บอกเสียงเขินอายว่า  เป็นท่านเจ้าอาวาสต้องการต้มชา นายท่านของข้าจึงให้มาตักน้ำ 

บ่าวรับใช้ในเรือนยังแต่งกายขนาดนี้ จะได้รับการดูแลจากเจ้าอาวาสวัดเจาหมิงด้วยตนเองก็เป็นเรื่องปกติอยู่

อวี้ถังหัวเราะ บอกว่า  ข้าได้ยินมาว่าน้ำตกนี้ดื่มแล้วชำระสายตาชำระปอด ไม่รู้ว่าใช้ต้มชาได้ด้วย แล้วต้มชาอร่อยหรือไม่เล่า? 

เด็กน้อยได้ยินก็เอ่ยยิ้มๆ ว่า  ไม่อร่อย! ทว่าเจ้าอาวาสพูดแล้ว การดื่มชาคือเจตนารมณ์ของท่านเจ้าอาวาส ทว่านายท่านเรือนข้ามิชอบหักหน้าผู้อื่น จึงปล่อยเขาทำตามใจ อย่างไรนายท่านข้าก็ไม่ดื่มอยู่แล้ว 

อวี้ถังได้ฟังก็ชะงักไป ถึงกับวิจารณ์เจ้าอาวาสวัดเจาหมิงเช่นนี้…นางรู้สึกว่านายท่านของเด็กคนนี้น่าสนใจไม่น้อย จึงหัวเราะเสียงดังออกมา

เด็กน้อยเห็นแล้วก็หัวเราะตามนางเช่นกัน คล้ายว่ายิ่งให้ความสนิทกับอวี้ถังมากกว่าเดิม

เขายกถังไม้ที่ตักน้ำได้ครึ่งหนึ่งแล้ววางไว้บนแผ่นหินข้างๆ แล้วเล่าอย่างตัดพ้อกึ่งภูมิใจว่า  จริงๆ นะ! นายท่านของข้าพูดแล้ว น้ำตกอันดับหนึ่งในใต้หล้า น้ำหิมะพันปีอะไรกัน ล้วนแต่เป็นพวกปัญญาชนว่างงานแต่งออกมาเพื่อมอมเมาผู้คนเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นน้ำอะไร พักไว้กี่วัน ล้วนใช้ได้เหมือนกันหมด นายท่านของข้ายังเคยพูดอีกว่า นายท่านมีศิษย์น้องอยู่คนหนึ่ง ซื้อเรือมาหนึ่งลำ กลางคืนดึกดื่นก็จอดไว้กลางแม่น้ำ พอเรือจมลงไปได้สามจั้งค่อยตักน้ำหนึ่งถังขึ้นมาชงชา ทั้งยังต้องแบ่งตามหน้าร้อนหนาวผลิโรยอะไรอีก เป็นปุถุชนกลับแก่งแย่งกรีดกราย ชั่วนาทีพลันหลงใหลได้ปลื้ม ล้วนแต่เป็นคนบ้าทั้งสิ้น 

อวี้ถังหัวเราะฮ่าๆ สุดเสียง หันไปยกนิ้วหัวแม่มือให้เด็กน้อย เอ่ยว่า  นายท่านของเจ้าช่างเป็นปัญญาชนที่ไม่ถือเนื้อถือตัว มีปณิธานอันยิ่งใหญ่โดยแท้ 

เด็กน้อยฟังแล้วก็เผยสีหน้าภูมิใจออกมา กอดถังไม้ใบน้อยเอาไว้ พลางเอ่ยว่า  ท่านเจ้าอาวาสกับนายท่านของข้ากำลังรอน้ำจากข้าอยู่ ข้าต้องไปก่อนแล้ว 

อวี้ถังหันไปโบกมือให้เขาแล้วบอกว่า  เดินช้าหน่อย ระวังจะหกล้มล่ะ 

เด็กน้อยพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย แล้วถามนางว่า  ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่คนเดียว? หรือว่า รอข้าเอาน้ำไปส่งแล้ว ข้าแจ้งกับนายท่านสักคำ แล้วมาอยู่เป็นเพื่อนเจ้าดีหรือไม่ รอให้คนของเรือนเจ้ากลับมาข้าค่อยจากไป? 

 ไม่ต้องหรอก!  อวี้ถังชี้ไปทางสี่เชวี่ยที่อยู่ไกลๆ  ข้าจะพักอยู่ที่นี่สักครู่! 

เด็กน้อยทำท่าถอนหายใจ แล้วบอกลานางด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเดินอุ้มถังไม้จากไป

อวี้ถังครุ่นคิดเรื่องสกุลหลี่ต่อ

ถ้าหากไม่อาศัยผู้อื่น ทำอย่างไรจะรอดพ้นจากสกุลหลี่ได้?

สกุลหลี่มีผู้ใดหรือเรื่องใดสามารถหลอกใช้ได้บ้าง?

นางค่อยๆ ระลึงถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากนางแต่งเข้าสกุลหลี่ในชาติก่อน

ภายหลังสกุลหลี่ร่ำรวยขึ้นมาจากการค้าขายทางทะเล ไม่เหมือนกับคนเมืองหลินอันคนอื่นๆ คนเมืองหลินอันที่ค้าขายทางทะเล ล้วนต้องหาลู่ทางผ่านหังโจว ทว่าสกุลหลี่นั้นมีลู่ทางจากฝั่งฝูเจี้ยน เป็นเส้นสายที่สกุลฝั่งมารดาของคนสกุลหลินติดต่อให้ วิธีการที่สกุลหลี่ใช้ก็ยิ่งรวดเร็วและดุดัน ซึ่งก็คือหลังจากร่ำรวยอู้ฟู่แล้ว ก็กำเริบเสิบสานใช้ตำแหน่งขุนนางเป็นโล่กำบัง แต่นี่ล้วนเป็นสิ่งที่ตอนนี้ยังไม่เกิดขึ้น เดิมก็ไม่อาจใช้เป็นจุดอ่อนอะไรได้

แน่นอนว่า ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่สามารถใช้ได้ นั่นก็คือความปรารถนาที่หลี่ตวนมีต่อนาง

ทว่ามันน่าขยะแขยงเกินไป

นางยอมตายยังดีกว่าได้ใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้

คิดถึงตรงนี้ สายตานางก็สว่างวาบ

แล้วหลี่จวิ้นเล่า?

ถ้านางหลอกใช้หลี่จวิ้นเล่า?

อย่างเช่น เรื่องที่หลี่จวิ้นตายไปด้วยอุบัติเหตุ

หากว่านางช่วยหลี่จวิ้นได้ ย่อมเป็นเจ้าบุญคุณเขา แล้วขอให้เขาเอ่ยสัตย์สาบาน ไม่แต่งนางเป็นภรรยา และไม่วางตัวเป็นศัตรูกับสกุลอวี้?

อวี้ถังยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าแผนนี้เป็นไปได้

ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดก็คือต้องกำจัดความสนใจที่หลี่จวิ้นมีต่อนาง

เช่นนั้นก็ต้องบอกปฏิเสธหลี่จวิ้นให้ชัดเจนเป็นกิจลักษณะ หรือว่ารีบหาคนมาหมั้นหมายให้เร็วที่สุด จากนั้นก็จัดการให้คู่หมั้นของนางไปช่วยชีวิตหลี่จวิ้นเสีย

ภรรยาของผู้มีพระคุณ อย่างไรเขาย่อมไม่กล้ารังแกแน่!

อวี้ถังรู้สึกว่าความกลัดกลุ้มตลอดหลายวันค่อยๆ สลายไป อารมณ์เริ่มเบิกบานขึ้นแล้ว

ทว่า สุดท้ายก็ต้องลุกขึ้นมาเข้มแข็งด้วยตัวเองให้ได้จึงจะดี

แต่ตอนนี้นางยังไม่มีความคิดดีๆ เลย ได้แต่ค่อยๆ พิจารณาไปช้าๆ

อวี้ถังติดสินใจเป็นมั่นเป็นเหมาะ นางเดินไปหาสี่เชวี่ย แล้วทำมงกุฎดอกไม้ด้วยกัน

รอกระทั่งหม่าซิ่วเหนียงกับจางฮุ่ยกลับมา นางก็แบ่งมงกุฎดอกไม้ให้หม่าซิ่วเหนียงไปหลายอัน

เพื่อหลีกเลี่ยงพวกของหลี่จวิ้น พวกนางไม่ได้รับประทานอาหารเจที่วัดเจาหมิง แต่ซื้อของว่างเจที่มีเฉพาะแต่วัดเจาหมิงเท่านั้นมาหลายกล่อง แล้วหยิบยืมมุมลับสายตาของร้านอาหารข้างทางในหมู่บ้านหมีถัว นั่งกินเสบียงที่ตัวเองเตรียมกันมา รอจนอาเสามารับ พวกเขาจึงแยกย้ายกลับทางใครทางมัน

———————————————–

[1] เฉวียนฝูเหริน หมายถึง คนสำคัญในงานแต่ง สตรีที่บิดามารดายังมีชีวิตและแข็งแรงดี มีสามี และมีบุตรสาวบุตรชาย ตามธรรมเนียมแต่งงานพื้นบ้าน มีหลายขั้นตอนที่ต้องให้นายหญิงผู้นี้คอยชี้แนะ เพื่อให้สามีภรรยาโชคดีสมปรารถนาในอนาคต

Related

 

นี่คือผลลัพธ์ที่อวี้ถังต้องการ

นางสาวเท้าเดินต่อไป ไม่สนใจสายตาที่มองมา แสร้งเกี่ยวหมวกคลุมหน้าให้เปิดออกด้วยความอยากรู้

จากนั้นนางก็มองเห็นดวงหน้าที่อ้าปากค้าง ตาเบิกโต

ต้าวผาวสีเขียวใบไผ่…ถุงผ้าสองใบ…ใบหนึ่งสีเขียวน้ำไหล อีกใบสีเขียวทะเลสาบ…

อวี้ถังตามหาหลี่จวิ้นที่นั่งอยู่ท่ามกลางผู้คนเบี่ยงไปทางทิศตะวันตกเจออย่างรวดเร็ว

เขายังไม่ถึงวัยสวมหมวก ผิวพรรณขาวผ่อง เครื่องหน้าหล่อเหลา หน้าตาสำราญยิ้มแย้ม กำลังพูดอะไรบางอย่างกับคนที่อยู่ข้างๆ

เมื่อสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่ผิดปกติ เขาจึงหันหน้ามามอง สายตาก็พลันเห็นอวี้ถังเข้าพอดี

อวี้ถังเห็นปากของเขาเปิดอ้าอย่างช้าๆ ดวงตาก็ค่อยๆ เบิกโต จ้องเขม็งมาที่นางอย่างไม่วอกแวกราวกับคนเสียสติ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง

ผู้นี้ก็คือหลี่จวิ้นหรือ?

อวี้ถังกะพริบตาปริบๆ

ในจินตนาการของนาง หากว่าหลี่จวิ้นรู้จักนาง เมื่อเห็นว่านางโผล่มาที่นี่กะทันหัน เขาควรจะประหลาดใจถึงจะถูก หากไม่รู้จักนาง ก็ต้องรู้สึกแปลกหน้า หรือมองทีหนึ่งก็ผละสายตาหนี เหมือนกับนายท่านสามสกุลเผยตอนที่เจอนางครั้งแรก ไม่ก็อาจจะมองสำรวจนางด้วยความอยากรู้

ทว่า…อวี้ถังคิดไม่ถึงว่าปฏิกิริยาของหลี่จวิ้นจะเป็นเช่นนี้

มันทำให้นางไม่อาจตัดสินได้ว่าเขาเคยรู้จักนางมาก่อนหรือไม่

แต่นางก็ไม่อาจถอยกลับ…เรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้ว จะหาโอกาสเช่นนี้อีกคงยากเย็นนัก สิ่งที่สำคัญเหนืออื่นใด นางกลัวว่าบิดามารดาจะชมชอบคู่หมายคนนี้ แล้วลอบตอบตกลงกับสกุลหลี่ไปก่อน

อวี้ถังครุ่นคิด ก่อนจะส่งยิ้มให้หลี่จวิ้น

ดวงหน้าของหลี่จวิ้นพลันขึ้นสีแดงก่ำ แต่เขาก็ดึงสติกลับมาได้

เขาก้มหน้าลงอย่างละอาย แสร้งจิบชาอึกหนึ่ง แต่ก็ห้ามตัวเองไม่ให้เงยหน้ามองอวี้ถังไม่ได้ ท่าทีคล้ายว่าสนใจอยากรู้เป็นที่สุด

อวี้ถังเดินขึ้นไปอีกหลายก้าว จนหยุดที่ใต้ต้นสนตื่นรู้ นางมองหลี่จวิ้น แล้วเอ่ยว่า  ขอถามทางคุณชายทุกท่านได้หรือไม่? 

หลี่จวิ้นทำหน้าลังเล คุณชายที่อยู่ใกล้อวี้ถังที่สุดลุกยืนขึ้น ดวงหน้าแดงแจ๋ แล้วเปล่งเสียงค่อนข้างสูงคล้ายตื่นเต้นออกมา  แม่นางท่านนี้ ท่านสามารถถามข้าได้  พูดจบ ก็หันไปประสานมือคารวะอวี้ถังทีหนึ่ง  ข้าสกุลเฉิน เป็นคนหลินอัน อำเภอป่านเฉียว อยู่ที่หมู่บ้านเฉินเจียทางตะวันออกของป่านเฉียว… 

บัณฑิตสกุลเฉินยังไม่ทันได้สาธยายจนจบ ก็ถูกคนผู้หนึ่งผลักไปด้านข้าง แล้วโผล่มาพูดกับอวี้ถังว่า  แม่นางไม่ต้องฟังเขา เขาเป็นคนป่านเฉียว จะรู้ดีกว่าข้าที่ทะเบียนราษฎร์อยู่หมู่บ้านหมีถัวได้อย่างไร แม่นางต้องการถามทางไปที่ใดหรือ? 

 เฮ้ยๆ! ฟู่เสี่ยวหวั่น เจ้าจะเกินไปแล้วนะ  บัณฑิตสกุลเฉินชี้หน้าคนที่พูดกับอวี้ถังด้วยความโมโห  กระทั่งกฎมาก่อนมาหลังยังไม่รู้จัก เสียทีเป็นถึงศิษย์สำนักขงจื่อ ผู้เลื่อมใสในเมิ่งจื่อ 

 แล้วเกี่ยวอะไรกับการเรียนเล่า?  มีคนเดินเข้ามาจับไหล่คนที่ชื่อฟู่เสี่ยวหวั่น หัวเราะใส่บัณฑิตสกุลเฉินแล้วเอ่ยว่า  เฉินเหยา พวกเราช่วยแก้ปัญหาให้ผู้อื่น เป็นแค่การทำความดีเท่านั้น นานาจิตตัง ต่างคนต่างคิด เจ้าอย่าคิดว่าผู้อื่นจะเหมือนกับเจ้า  อาจเพราะวาจานี้ไม่น่าฟังเท่าไร คนผู้นั้นจึงพูดไว้อย่างคลุมเครือ

ผู้ที่ถูกเรียกว่าเฉินเหยาโมโหจนเลือดขึ้นหน้า

ทันใดก็มีคนเข้ามาคลี่คลายสถานการณ์  เอาล่ะ เอาล่ะ เฉินฟาง เฉินเหยา ฟู่เสี่ยวหวั่น พวกเจ้าพูดให้น้อยลงหน่อย พวกเจ้าทำผู้อื่นตกใจเสียแล้ว 

อวี้ถังหันไปมอง เป็นหลี่จวิ้น

หลี่จวิ้นมอบรอยยิ้มอบอุ่นให้นาง ประสานมือคารวะแล้วเอ่ยว่า  แม่นาง สหายบัณฑิตเหล่านี้ของข้าล้วนเป็นคนดี เพียงแค่ชอบล้อเล่นเท่านั้น ไม่ได้ทำให้ท่านตกใจกระมัง! 

ฟู่เสี่ยวหวั่นปล่อยเสียงหัวเราะพรวดออกมา เอ่ยว่า  หลี่จวิ้น คนยืนพูดย่อมไม่ปวดเอว [1] คนอย่างเจ้า ข้าก็ไม่เห็นว่าจะมีมารยาทกว่ากันสักเท่าไร! 

 เสี่ยวหวั่น!  เฉินฟางห้ามปรามฟู่เสี่ยวหวั่น มองออกได้ทันทีว่า พวกเขามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน

ฟู่เสี่ยวหวั่นไม่ได้พูดอะไรอีก

อวี้ถังพลันรู้สึกยินดี

นางไม่ได้มองหาผิดคน ทั้งยังได้สนทนากับหลี่จวิ้นด้วย

อวี้ถังเอ่ยกับหลี่จวิ้นด้วยรอยยิ้มว่า  คุณชายท่านนี้ ขอบใจมาก! ข้าต้องการไปน้ำตกสีปี่ ไม่ทราบว่าต้องเดินไปทางใด? 

หลี่จวิ้นชี้ทางบอกนางอย่างกระตือรือร้น  เจ้าตรงไปทางนี้ จะมองเห็นมุมประตูสีแดง แล้วเดินไปทางซ้ายก่อน… 

เหล่าสหายข้างกายเขาพลันโห่ร้องขึ้นมาจากด้านหลัง

ฟู่เสี่ยวหวั่นยิ่งกระเซ้าต่อว่า  ที่แท้แม่นางอยากให้คุณชายหลี่เป็นคนบอกทางนี่เอง! มิน่ามิสนใจพวกข้าเลย! 

เพียงแต่วาจานี้ของเขายังไม่ทันพูดจบ ก็ถูกเฉินฟางตบเข้าที่ไหล่เสียก่อน พลางเอ่ยตำหนิว่า  พูดจาเหลวไหลอะไร? 

ฟู่เสี่ยวหวั่นหัวเราะชอบใจ

มีคนพูดขึ้นว่า  เขาเป็นถึงคุณชายรองสกุลหลี่แห่งตอนใต้ นามว่าหลี่จวิ้น ชื่นชอบการไปขี่ม้าที่ทางม้าเร็วนอกเมืองที่สุด แม่นางจำไว้ให้ดี ครั้งหน้าหากหลงทางอีก สามารถไปสอบถามที่นั่นได้ 

หลี่จวิ้นทำท่ากระอักกระอ่วนอย่างหนัก แต่ก็ไม่ได้ห้ามปรามหรือปฏิเสธคำพูดของคนผู้นั้น

อวี้ถังประหลาดใจ

หลี่จวิ้นทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?

มิใช่เข้าใจผิดว่านางชอบพอเขากระมัง?

อวี้ถังกำลังขบคิดว่าทำอย่างไรจะกำจัดความเข้าใจผิดนี้ไปได้ ก็ได้ยินเฉินเหยาพูดด้วยท่าทีกะล่อนว่า  คุณชายหลี่ช่างไม่รู้ความเอาเสียเลย ยังไม่รีบถามอีกว่าแม่นางผู้นี้เป็นคนสกุลใด อย่าได้ทำลายความรู้สึกอันลึกซึ้งที่ผู้อื่นมีให้เสียเล่า 

วาจานี้ออกจะมากเกินไปหน่อย

อวี้ถังขมวดคิ้ว

หลี่จวิ้นหันกลับไปถลึงตาใส่เฉินเหยาด้วยความไม่พอใจ

เฉินฟางเบิกตาโตด้วยความเดือดดาล ตวาดใส่เฉินเหยาไปว่า  พูดจาไม่เป็นก็ไม่ต้องพูด ไม่มีใครคิดว่าเจ้าเป็นใบ้หรอก 

เฉินเหยาเอ่ยว่า  คุณชายเฉินมาจากสกุลใหญ่โต ทั้งมาจากเมืองหังโจว เป็นธรรมดาที่จะไม่เห็นพวกบ้านนอกอย่างเราอยู่ในสายตา 

 เจ้าหมายถึงใคร?  ฟู่เสี่ยวหวั่นออกหน้าแทนเฉินฟาง โมโหใส่อีกฝ่ายว่า  เจ้าพูดจาอะไรให้มันน้อยๆ หน่อยนะ 

 ข้าพูดถึงเฉินฟาง เกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย? 

พวกฟู่เสี่ยวหวั่นกับเฉินเหยาเริ่มโต้เถียงกัน

หลี่จวิ้นไม่เพียงเข้าไปช่วย แต่กลับยืนอยู่ตรงหน้าอวี้ถัง อึกๆ อักๆ อยู่พักใหญ่ ประสานมือคารวะให้นางอีกรอบ เอ่ยว่า  ยังไม่ทราบเลยว่าแม่นางเป็นลูกหลานสกุลใด? มีสาวใช้และบ่าวรับใช้ติดตามมาด้วยหรือไม่? ทางโน้นมีตั่งหินเตี้ย หากว่าแม่นางไม่รังเกียจ มิสู้ไปนั่งพักสักครู่ ข้าจะให้บ่าวรับใช้ไปตามคนของแม่นางมาที่นี่ 

อวี้ถังพลันเหมือนถูกแช่ในธารน้ำแข็ง

ความจริงเข้าปะทะโดยไม่ทันตั้งตัว

นางคิดว่าตนต้องออกแรงเพิ่มอีกหน่อย ใครจะคิดว่าหลังจากไม่กี่ประโยคของหลี่จวิ้นก็เปิดเผยเรื่องราวออกมาแล้ว

หลี่จวิ้นแต่เดิมก็ไม่รู้จักนาง

ไม่รู้ด้วยซ้ำว่านางคือใคร

คนสกุลหลินโกหก!

แต่ทำไมนางต้องโกหกด้วยเล่า?

เพราะต้องการให้นางแต่งกับหลี่จวิ้นหรือ?

คนสกุลหลินต้องการอะไรกันแน่?

ชาติก่อน นางสูญเสียบิดามารดา ครอบครัวตกต่ำ ขนาดสินเจ้าสาว ก็มีเหลืออยู่ไม่เท่าไร?

เหตุใดคนสกุลหลินถึงดึงดันให้นางแต่งกับหลี่จวิ้นให้ได้?

หรือเพราะคนสกุลหลินรู้ว่าหลี่จวิ้นมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน?

อวี้ถังรีบปัดความคิดนี้ตกไปทันที

ต่อให้หลี่จวิ้นจะจากไปเร็ว แต่สกุลหลี่จะหาหมิงฮุน [2] ให้หลี่จวิ้นก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ เหตุใดต้องทำเรื่องให้วุ่นวายซับซ้อน จะต้องเป็นนางให้ได้ด้วย?

อวี้ถังคิดไม่ออกจริงๆ

ชั้นสองของหอเก็บคัมภีร์ที่ตั้งอยู่ด้านข้าง เผยเยี่ยนได้เห็นทุกความเคลื่อนไหวอยู่ในสายตา ใบหน้าขมวดเกร็งแน่น ดวงหน้าเดิมที่ไร้ซึ่งอารมณ์ยิ่งเย็นเยียบ หนาวยะเยือก

ยังไม่ทันเข้าหน้าหนาว ก็ทำให้คนรู้สึกเย็นเยือกถึงไขกระดูกได้แล้ว

ท่านอาจารย์ฮุ่ยคงเจ้าอาวาสวัดเจาหมิงที่มาถึงได้ไม่นานมองมือแข็งเกร็งที่บีบราวระเบียงสีแดงเข้มอยู่ มันขาวผ่องดั่งหยก ยาวเรียวดั่งลำไผ่ แต่กลับกุมอำนาจของสกุลเผยไว้ในมือ ทำให้คนมองไม่กล้าขยับตัว และอดจะลอบส่ายหน้าในใจมิได้  ประสกมองดูอะไรจากตรงนี้หรือ? 

เผยเยี่ยนดึงสายตากลับมา มองฮุ่ยคงอย่างเฉยเมยทีหนึ่ง มิได้ส่งเสียงใดๆ

ฮุ่ยคงไม่ได้ถือสา เดินไปที่ข้างกายเขา มองเหล่าชายหญิงให้ต้นสนตื่นรู้ แล้วเอ่ยยิ้มๆ ว่า  หากว่าประสกไม่มีความเห็นอื่น อาตมาอยากเชิญให้ประสกดูภาพม้วนหนึ่ง 

เผยเยี่ยนไม่ได้พูดจา เส้นลมปรานสีเขียวจางๆ นูนขึ้นหลังมือเขา คล้ายว่ามือนั้นจะกำแน่นยิ่งกว่าเดิม

ฮุ่ยคงชี้ไปที่พวกอวี้ถังกับหลี่จวิ้นที่อยู่เบื้องล่าง เอ่ยว่า  ประสกท่านดูนั่นสิ! 

เขาไม่คาดหวังว่าเผยเยี่ยนจะตอบกลับ ดังนั้นจึงเอ่ยต่อไป  พวกเรามองลงไปจากชั้นสอง รู้สึกเพียงว่าพวกเขาเป็นกิ่งทองใบหยก สวรรค์สรรสร้างคู่หนึ่ง คุณชายท่านนั้นคล้ายว่าจะปักใจต่อแม่นางท่านนั้นยิ่งนัก เขาพูดคุยกับนางด้วยท่าทีระมัดระวังยิ่ง แต่ความจริงแล้ว คุณชายกับแม่นางท่านนั้นไม่ได้รู้จักกันสักนิด อีกอย่างเป็นแม่นางท่านนั้นที่เดินเข้าไปเสวนากับคุณชายท่านนั้นเอง เห็นได้ว่าความจริงกับสิ่งที่คิดนั้นมีระยะห่างที่ไกลกันลิบลับ 

 ข้ากับบิดาท่านเดินเส้นทางคนละสาย ตอนที่เขาเรียกท่านกลับมา ก็เคยพูดให้ข้าฟังอยู่ 

 ตอนนั้นข้าคิดว่าบิดาท่านทำถูกต้อง 

 แต่ใครจะรู้ว่าบิดาท่านจะจากไปด้วยเหตุนี้? 

 ดังนั้น ท่านก็ตัดจิตตัดใจเสียเถิด อย่าให้สิ่งที่คิดซ้อนทับกับความจริง อย่าใช้อนาคตมาลงทัณฑ์ปัจจุบันอีกเลย 

 ท่านควรอยู่กับเวลาตรงหน้า 

 ไม่อย่างนั้น ที่ท่านผู้เฒ่าสกุลเผยเรียกท่านกลับมาจะมีความหมายอันใดเล่า? 

เผยเยี่ยนหลุบตาลง

ขนตายาวงอนเหมือนกับพัดที่เรียงเส้นเป็นระเบียบ ทิ้งเป็นเงาสายหนึ่งใต้ดวงตา

ฮุ่ยคงจ้องมอง ท่องว่า ‘อามิตตาพุทธออกมาคำหนึ่ง’ แล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนาว่า  ประสกต้องการยืมหอคัมภีร์ใช้งาน นับเป็นเกียรติของทางวัดยิ่งนัก ไม่ทราบว่าประสกสนใจตำราเล่มไหนในหอคำภีร์? ปกติอาตมามักจะท่อง ‘จินกังจิง [3] ’ เป็นประจำ ไม่รู้ว่าประสกเคยอ่านหรือไม่? 

จู่ๆ เผยเยี่ยนก็ลืมตาขึ้นมา จากนั้นก็เอ่ยเสียงเย็นตัดบทฮุ่ยคงว่า  ซินจิง [4]  

ฮุ่ยคงพลันคิดตามไม่ทัน  อะไรนะ? 

 ข้าบอกว่า ‘ซินจิง’  สายตาของเผยเยี่ยนยังคงอยู่ที่เก่า พูดว่า  ท่านถามว่าข้าสนใจอะไร ข้าสนใจ ‘ซินจิง’ 

ฮุ่ยคงถอนหายใจยาวเหยียด

เผยเยี่ยนยอมพูดคุยกับเขานับว่าใช้ได้แล้ว

หลังจากที่ท่านผู้เฒ่าเผยสิ้นไป เผยเยี่ยนก็ไม่คบค้ากับผู้อื่นอีก วาจาที่เอ่ยออกมาก็แฝงไอสังหารราวอยู่กลางสนามรบ ไม่เพียงทำให้คนรอบข้างเขาอึดอัด ทั้งยังเกิดข่าวลือมากมายที่ส่งผลเสียกับสกุลเผยอีกด้วย

นี่คือสิ่งที่พระอาจารย์ฮุ่ยคงผู้มีสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับท่านผู้เฒ่าสกุลเผยไม่อยากเห็น

 ตั้งแต่เล็กเจ้าก็มีความสามารถขอเพียงผ่านตาก็จำได้ไม่ลืม ‘ซินจิง’ สั้นๆ แค่ร้อยกว่าตัวอักษร คิดว่าคงถูกเจ้าท่องได้ขึ้นใจแล้ว…  ฮุ่ยคงทางหนึ่งพูดกับเผยเยี่ยน ทางหนึ่งก็มองริมฝีปากที่เมื่อครู่กระตุกขึ้นของเขา จึงอดจะหันไปมองตามสายตาเขาไม่ได้ ก็เห็นว่าสตรีที่เดิมยืนอยู่ใต้ต้นสนตื่นรู้นั้นหายไปแล้ว มีเพียงหลี่จวิ้นคุณชายรองสกุลหลี่ยืนอยู่คนเดียวอย่างโดดเดี่ยว

เหล่าบัณฑิตอายุน้อยที่อยู่หลังเขายังโต้เถียงกันไม่เลิก ทว่าสีหน้าเขากลับงงงวย ราวกับว่าถูกคนทอดทิ้งอย่างนั้น

เกรงว่าคงมีอีกหนึ่งเหตุการณ์เกิดขึ้นกระมัง

ฮุ่ยคงดึงความคิดกลับมา แล้วคุยเรื่อง ‘ซินจิง’ กับเผยเยี่ยนต่อ เขาอยากใช้ช่องทางนี้ คลี่คลายปมในใจของเผยเยี่ยน

อวี้ถังนั้นถูกหม่าซิ่วเหนี่ยงลากออกไป

ตอนที่หม่าซิ่วเหนี่ยงได้ยินเสียงเอะอะมาจากคนกลุ่มนั้นก็กลัวอวี้ถังจะเจอเรื่องวุ่นวาย นางจึงเดินสองก้าววิ่งสามก้าวเข้าไปหา แล้วพูดกับหลี่จวิ้นอย่างรีบร้อนว่า  ขออภัย ข้ากับน้องสาวเดินพลัดหลงกัน  จากนั้นก็ลากอวี้ถังออกมาจากใต้ต้นสนตื่นรู้

อวี้ถังก้าวขาสูงบ้างต่ำบ้าง กระทั่งปีนขึ้นมาถึงเส้นทางบนเขาที่พุ่งตรงสู่น้ำตกสีปี่แล้วจึงพอหายใจหายคอได้

นางแทบจะอยากพุ่งกลับเรือนเสียเดี๋ยวนั้น เพื่อเล่าสิ่งที่ตัวเองค้นพบให้มารดาฟัง แล้วสืบหาให้กระจ่างว่าเหตุใดทั้งสองชาตินี้คนสกุลหลินถึงอยากได้นางเป็นสะใภ้

แต่ว่าไม่ง่ายที่หม่าซิ่วเหนียงจะได้ออกมาข้างนอกพร้อมกับคุณชายจาง นางจึงไม่อาจสนใจแต่ตัวเองแล้วละเลยผู้อื่นได้

————————————————————-

[1] คนยืนพูดย่อมไม่ปวดเอว เปรียบเปรยถึง คนที่ไม่ได้อยู่ในสถานการณ์เดียวกันย่อมไม่เข้าใจ

[2] หมิงฮุน คือพิธีแต่งงานหลังความตาย เป็นประเพณีการจัดพิธีแต่งงานให้แก่ชายหรือหญิงที่เสียชีวิตไปแล้ว ด้วยเชื่อว่าดวงวิญญาณของผู้ตายจะเป็นสุขและส่งผลให้สกุลเจริญรุ่งเรื่อง

[3] จินกังจิน คือ วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร เป็นชื่อพระสูตรสำคัญหมวดปรัชญาปารมิตาของพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน เชื่อกันว่าพระสูตรหมวดปรัชญาปารมิตานี้เป็นพระสูตรมหายานรุ่นแรก ๆ ที่เกิดขึ้น มีความหมายตามตัวอักษรว่า พระสูตรว่าด้วยปัญญาญาณอันสมบูรณ์ประดุจเพชรที่จะตัดภาพมายา คืออวิชชาและอุปาทานอันเป็นเครื่องกีดขวางมิให้บุคคลบรรลุถึงความรู้แจ้ง

[4] ซินจิง คือ ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร พระสูตรที่สำคัญและเป็นที่นิยมยิ่งในพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน มีความหมายตามตัวอักษรว่า พระสูตรอันเป็นหัวใจแห่งปฏิปทาอันยวดยิ่งแห่งความรู้แจ้ง

Related

 

วัดเจาหมิงตั้งอยู่ที่เขาเทียนมู่ตะวันออก ตีนเขามีหมู่บ้านหนึ่งชื่อว่าหมีถัว

อวี้ถัง หม่าซิ่วเหนียงและคุณชายจางนัดว่าจะไปพบกันที่นั่น จากนั้นจะก็ทำเป็นเหมือนพบกันโดยบังเอิญ แล้วเดินทางไปวัดเจาหมิงด้วยกัน

หม่าซิ่วเหนียงกับคุณชายจางมาถึงก่อนอวี้ถังแล้ว

อวี้ถังลงจากเกี้ยว ขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่

หม่าซิ่วเหนียงพาสาวใช้ชื่อสี่เชวี่ยมาด้วย นางเม้มปากกลั้นยิ้ม แล้วดึงแขนของอวี้ถัง เอ่ยว่า  พวกเราก็ไม่ได้มาถึงก่อนเจ้านานนักหรอก  แล้วถามอวี้ถังว่า  เจ้ากินมื้อเช้ามาหรือยัง? แล้วได้เตรียมน้ำชาอาหารว่างมาด้วยหรือไม่?  พูดจบ ก็หันไปมองอาเสาที่หอบแฮกๆ อยู่

ทางไปวัดเจาหมิง ต้องปีนเขาไปครึ่งลูก เส้นทางค่อนข้างไกล ทุกคนอาจด้วยมีความตั้งใจอยากไหว้พระ หรืออาจเพราะการจ้างเกี้ยวขึ้นเขาราคาสูงลิ่ว โดยทั่วไปจึงมักจอดเกี้ยวไว้ที่ตีนเขา แล้วเดินเท้าต่อ

อาเสาตบลงที่ห่อผ้าสะพายหลังหลายครั้ง เอ่ยว่า  คุณหนูหม่าวางใจได้ขอรับ เมื่อวานป้าเฉินเตรียมให้พวกเราเรียบร้อยแล้ว  ก่อนจะเดินไปข้างหน้าเพื่อคารวะคุณชายจาง

คุณชายจางพยักหน้ารับเล็กน้อย

อวี้ถังเหลือบมองเขาไวๆ ทีหนึ่งด้วยความสนใจอยากรู้

อายุประมาณสิบแปดสิบเก้าปี รูปโฉมสำอาง ผิวขาว ตัวผอมสูง มองแล้วดูเป็นคนที่อ่อนโยนผู้หนึ่ง

ในสถานการณ์ที่ฐานะทางบ้านไม่ได้โดดเด่น ทว่ายังสามารถสอบเป็นถงเซิงได้แต่อายุเท่านี้ เห็นชัดว่าความหมั่นเพียรและสติปัญญานับว่าไม่เลว

อวี้ถังชมชอบคนฉลาด

คุณชายจางพาบ่าวมาด้วยคนหนึ่ง เขาให้หม่าซิ่วเหนียงกับอวี้ถังเดินนำหน้า

อวี้ถังดึงหม่าซิ่วเหนียงมาใกล้ตัว แล้วกระซิบหยอกเย้าว่า  พี่เขยมองแล้วดูดีทีเดียวเลย! ท่านลุงนับว่าเลือกคู่หมายที่ประเสริฐให้เจ้าแล้ว 

หม่าซิ่วเหนียงเขินอายจนหน้าแดงก่ำ ทว่าวาจาเกรงอกเกรงใจกลับไม่มีหลุดออกมาสักคำ

เห็นได้ชัดว่านางก็พออกพอใจกับคู่ครองคนนี้นัก

อวี้ถังจึงพูดว่า  พี่เขยชื่อว่าอะไรหรือ? 

หม่าซิ่วเหนียงกดเสียงเบา ตอบว่า  ชื่อหนึ่งอักษรนามว่าฮุ่ย ยังไม่ได้รับการตั้งชื่อเลย 

จางฮุ่ยหรือ?

ไม่รู้ว่าชาติก่อนเขาสอบผ่านเป็นซิ่วไฉได้ตั้งแต่เมื่อไร?

อวี้ถังทอดถอนใจกับตัวเองอีกครั้งที่ชาติก่อนตนไม่เคยใส่ใจกับเรื่องอะไรเลย

อาจเพราะมีคนเดินเท้าจำนวนมาก เส้นทางบนภูเขาที่มุ่งสู่วัดเจาหมิงแม้คดเคี้ยวแต่ก็ราบเรียบ และเพราะไม่ได้มีการจัดธรรมเทศนาหรือจาริกแสวงบุญ คนที่ไปจุดธูปไหว้พระจึงมีไม่มาก ทั้งส่วนใหญ่ก็เป็นคนเฒ่าคนแก่และสตรีกลางคนที่ออกเรือนแล้ว พวกเด็กสาวอายุน้อยๆ อย่างพวกนาง กับกลุ่มคุณชายด้านหลังที่อยู่ห่างไปไกลๆ จึงเป็นที่ดึงดูดสายตาคนให้สนใจนัก คนที่เดินผ่านไปล้วนต้องหันหลังมามองพวกนางอีกทีสองที

แม้จะสวมหมวกคลุมหน้าเอาไว้ แต่หม่าซิ่วเหนียงก็อายจนทนไม่ได้ เอ่ยเสียงแผ่วกับอวี้ถังว่า  พวกเรา พวกเรานัดสถานที่อีกแห่งหนึ่ง แล้วค่อยไปเจอกับคุณชายจางที่นั่นเถอะ? 

กลางวันแสกๆ ท้องฟ้าสดใสเช่นนี้ หม่าซิ่วเหนียงพาสาวใช้ติดตัวมาด้วย นางก็มีบ่าวรับใช้ อวี้ถังหยุดคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะหัวเราะแล้วพยักหน้ารับ

หม่าซิ่วเหนียงหมุนตัวกลับไปพูดกับสี่เชวี่ยหลายประโยค สี่เชวี่ยปิดปากหัวเราะแล้วนำสารไปบอกแก่คุณชายจาง

จางฮุ่ยเงยหน้ามองหม่าซิ่วเหนียงหลายที ก่อนจะผงกศีรษะอย่างไม่ค่อยยินยอมนัก ทำให้อวี้ถังต้องหลุดขำออกมาอีกรอบ

หม่าซิ่วเหนียงบิดเนื้ออวี้ถัง แสร้งเคืองๆ เอ่ยว่า  พวกเรามิใช่ทำเพื่อเจ้าหรืออย่างไร หากว่าคนอื่นมองออกขึ้นมา พวกเราจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน! 

อวี้ถังขออภัยไปหลายคำ กระเซ้าว่า  พี่สาววางใจได้ รอให้ถึงตอนเจ้าออกเรือน ไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะปักหมอนลายนกยวนยางคู่กับมือมอบให้เจ้าเป็นของขวัญ 

 เจ้าเด็กคนนี้ ยังจะพูดจาไปเรื่อยอีก 

หม่าซิ่วเหนียงกับอวี้ถังหัวเราะคิกคัก เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ตอนที่ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นสูง พวกนางก็มาถึงวัดเจาหมิงแล้ว

สองคนตรงไปที่วิหารเทียนหวัง

อวี้ถังปลดหมวกคลุมหน้าออก

หม่าซิ่วเหนียงตกใจร้องบอกเสียงเบาว่า  อาถัง วันนี้เจ้างดงามเหลือเกิน! 

วันนี้อวี้ถังสวมเสื้อคลุมผ้าไหมหังโจวสีแดงสดปักลายดอกไม้

นางยิ้มให้บางๆ

หลี่จวิ้นผู้นั้นบอกว่าตกหลุมรักในรูปโฉมนาง นางก็อยากจะเห็นเหมือนกันว่า รูปโฉมของนางจะทำให้หลี่จวิ้นชอบพอได้สักกี่ส่วน

นางไม่เพียงบำรุงผิวหน้า ขัดหน้าผาก และเขียนคิ้ว

ทั้งยังแต่งหน้ามาอย่างบรรจง

หม่าซิ่วเหนียงถามพลางทอดถอนใจว่า  เวลาปกติเจ้าก็ควรจะแต่งตัวให้มากหน่อย 

อาจเพราะมารดาของนางเป็นหญิงงามผู้หนึ่ง อวี้ถังแม้จะได้ยินคนชมว่าสะสวย แต่คนที่เอ่ยปากชมล้วนเป็นญาติๆ และสหายในเรือน ไม่ก็พวกผู้เฒ่าที่อยู่บ้านใกล้เรือนเคียง ตอนที่ส่องกระจกอยู่ข้างๆ มารดา ก็ไม่ได้รู้สึกว่าตนเองสวยเพริศพริ้งเท่าใดนัก คิดว่าทุกคนคงชมไปตามมารยาท ต่อมาเมื่อแต่งให้สกุลหลี่ จนถูกหลี่ตวนคุกคาม นางถึงเพิ่งสังเกตว่าตนอาจจะงดงามเกินหน้าผู้อื่นอยู่ แต่ตอนนั้นนางเป็นหญิงม่าย จะแต่งตัวสวมใส่อะไรล้วนมีระเบียบไปหมด คนสกุลหลินเห็นนางเป็นตะปูตำตา นางเองก็ไม่คิดจะแหกกฎธรรมเนียม แต่ละวันก็พยายามแต่งตัวให้ธรรมดาและไม่โดดเด่นเข้าไว้

เมื่อกลับมาเกิดใหม่ ความคุ้นชินบางอย่างก็ยังแก้ไม่หาย ก็มิแปลกที่หม่าซิ่วเหนียงจะออกอาการตกตะลึงเช่นนี้

สองคนไปจุดธูปไหว้พระ แล้วไปนั่งพักที่อู่ฟางสำหรับรับรองแขก อาเสาออกไปสืบว่าหลี่จวิ้นตอนนี้อยู่ที่ไหนแล้ว

หม่าซิ่วเหนียงจ้องหน้าอวี้ถังอีกรอบก่อนจะถอนหายใจ  ข้าว่านะ ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่าเจ้างดงามนัก โดยเฉพาะอารมณ์ตอนเจ้าคุยกับข้ากับสายตาที่เจ้าใช้มองข้า เหมือนว่ามันต่างไปจากแต่ก่อนมากเหลือเกิน แต่ข้ามองแล้วก็เห็นเจ้าเปลี่ยนไปแค่เสื้อผ้ากับมีเครื่องประดับเพิ่มมาไม่กี่ชิ้นเท่านั้น! เป็นเพราะแต่ก่อนข้าไม่ค่อยได้ไปมาหาสู่กับเจ้าอย่างนั้นรึ? 

อาจเพราะประสบการณ์บางอย่างเมื่อชาติก่อนสลักลึกอยู่ในกระดูกนาง นางในเวลานี้ จึงมีความคิดเป็นของตนเอง ทั้งใจกล้ายิ่งกว่าเก่า

อวี้ถังหัวเราะ เอ่ยว่า  เจ้าน่ะ พอรักใครชอบใครก็เห็นว่าคนผู้นั้นดีงามไปเสียหมด ไม่รู้ว่าพี่เขยในสายตาของเจ้าก็เป็นเช่นนี้ด้วยหรือไม่? 

 เจ้ามันนิสัยไม่ดี ข้าช่วยเจ้า แต่เจ้ากลับหัวเราะเยาะข้า! 

สองคนเริ่มทะเลาะกันวุ่นวาย

เป็นเวลานานหม่าซิ่วเหนียงถึงรู้ตัวว่านอนแยกกันกับอวี้ถังอยู่บนตั่งไม้ยาว

นางเอ่ยขึ้นว่า  ข้าคิดว่า อาศัยรูปร่างหน้าตาของเจ้า มีแต่เจ้าที่จะไม่ตอบตกลงผู้อื่น ไม่มีผู้อื่นจะไม่ตอบตกลงเจ้า หากเจ้ารู้สึกว่าคุณชายรองสกุลหลี่หน้าตาพอใช้ได้ เจ้าจะยอมรับการหมั้นหมายครั้งนี้หรือไม่? 

หม่าซิ่วเหนียงไม่เคยพบหลี่จวิ้นตัวเป็นๆ ไม่รู้ว่าที่แท้หลี่จวิ้นมีหน้าตาอย่างไรแน่

ไม่มีทาง!

อวี้ถังเกือบจะหลุดปากออกไป

นางกลับมาคิดอีกรอบว่าหากเจอสถานการณ์เช่นนี้ แล้วนางบอกปฏิเสธหลี่จวิ้นไป ย่อมจะทำให้คนอื่นแปลกใจแน่ จึงเอ่ยว่า  แต่งงานมิใช่แต่งให้เขาเพียงคนเดียว แต่แต่งให้กับคนทั้งสกุลของเขาด้วย 

 เจ้าพูดถูกแล้ว  หม่าซิ่วเหนียงหยุดคิด เอ่ยว่า  หากว่าข้ามีแม่สามีอย่างฮูหยินหลี่นั่น ข้าคงหงุดหงิดตาย 

สองคนมองหน้ากันก่อนจะปล่อยเสียงหัวเราะออกมา

ในที่สุดหม่าซิ่วเหนียงก็เลิกโน้มน้าวนาง

อวี้ถังถามหม่าซิ่วเหนียงถึงเรื่องงานแต่ง

หม่าซิ่วเหนียงเล่าให้ฟังว่า นางกับคุณชายจางจะแต่งงานกันช่วงปลายปี บอกว่าเรือนของคุณชายจางขาดคนที่ดูแลเรื่องหุงหาอาหาร อยากให้นางแต่งเข้ามาเร็วๆ หน่อย  ท่านแม่ก็เป็นคนเปิดเผย คิดว่าหากไม่ตกลงก็คือไม่ตกลง แต่ในเมื่อตกลงแล้ว ก็คือครอบครัวเดียวกัน อย่างไรการใช้ชีวิตอย่างมีความสุขก็เป็นสิ่งที่ถูกต้อง เรื่องบางเรื่อง ปล่อยผ่านไปสบายๆ เป็นใช้ได้แล้ว  พูดจบ ก็กระซิบเสียงเบาบอกว่า  มารดาข้าบอกกับคนนอกว่าพวกเราสองสกุลหารือเรื่องงานแต่งมานานแล้ว เพียงเพราะพวกเราอายุยังน้อย จึงไม่ได้พูดคุยกันเป็นจริงเป็นจัง คนอื่นจะได้ไม่ครหาพวกเราหาว่าเท้าหน้าเพิ่งตกลงหมั้นหมาย เท้าหลังก็จะแต่งงานเสียแล้ว หากมีคนมาถามถึง เจ้าอย่าได้หลุดปากเป็นอันขาดล่ะ 

 ข้ารู้แล้ว ข้ารู้แล้ว!  อวี้ถังรู้สึกอิจฉาเล็กน้อยที่งานแต่งของหม่าซิ่วเหนียงราบรื่นถึงเพียงนี้

ไม่รู้เหมือนกันว่านางจะตบแต่งให้กับผู้ใด?

การแต่งเขยชายเข้าบ้านพูดแล้วฟังดูไม่ยาก แต่ถ้าต้องการคนที่สง่าผ่าเผยและเฉลียวฉลาดด้วยแล้วนั้นไม่ง่ายเลย

อวี้ถังลอบถอนหายใจยาวเหยียด

อาเสากลับมารายงานว่า  คุณชายรองสกุลหลี่สวมชุดต้าวผาวหังโจวสีเขียวใบไผ่ ปักปิ่นหยกไม้ไผ่สีขาว ผูกผ้ารัดเอวสีขาว ห้อยถุงผ้าหนึ่งคู่ ใบหนึ่งสีเขียวน้ำไหล ทรงถุงหอม อีกใบสีเขียวทะเลสาบ ทรงหรูอี้ ตอนนี้นั่งดื่มชากับสหายบัณฑิตอยู่ใต้ต้นสนตื่นรู้ขอรับ 

ต้นสนตื่นรู้ตั้งอยู่ข้างหอคัมภีร์ฝั่งตะวันออกของวัดเจาหมิง เป็นสนโบราณต้นหนึ่ง แผ่กิ่งก้านดั่งร่ม ร่มเงาแผ่ขยายออกไปหลายจั้ง บัณฑิตจำนวนมากในหลินอันชอบไปนั่งต่อกลอน ดื่มชา และเดินหมากที่นั่น พระสงฆ์ในวัดจึงจัดโต๊ะหิน ตั่งหินเตี้ย และเสื่อไม้ไผ่ไว้ใต้ต้นไม้ ให้เหล่าวิญญูชนได้เสพสำราญ

อวี้ถังเอ่ยว่า  ตรงนั้นไกลจากน้ำตกสีปี่ที่เรานัดคุณชายจางเอาไว้มากหรือไม่? 

น้ำตกสีปี่เป็นอีกสถานที่ที่น่าสนใจแห่งหนึ่งของวัดเจาหมิง ตั้งอยู่ที่หน้าผาหลังเขาของวัด มีลำธารเล็กๆ ไหลมาจากยอดเขาสายหนึ่ง น้ำตรงนั้นใสสะอาดหวานชื่นใจ เล่ากันว่าหากดื่มน้ำจากน้ำตกจะสามารถชำระจิต เพิ่มพูนปัญญา ชาวเมืองหลินอันหลายคนที่มีบุตร โดยเฉพาะบุตรชาย ล้วนมาที่นี่เพื่อรองน้ำหนึ่งเหยือกไปให้บุตรชายดื่ม ขอให้บุตรของตนดื่มแล้วมีสติปัญญาฉลาดเฉลียว ถึงขนาดที่ว่าบางคนปวดหัวตัวร้อน ก็มารองน้ำที่นี่กลับไปดื่มเช่นกัน คนที่มาไหว้พระที่วัดเจาหมิงยิ่งไม่ต้องพูดถึง ย่อมจะต้องมาที่น้ำตกนี้เพื่อดื่มน้ำสักอึกให้ได้

อาเสาตอบอย่างหัวไวว่า  ข้าไปดูมาแล้วขอรับ พวกเราผ่านประตูทางออกมุ่งไปทางทิศตะวันตก พอถึงต้นสนตื่นรู้ก็เลี้ยวไปทางทิศเหนือ มีประตูทางเข้าอีกแห่งที่นำไปสู่หลังเขาวัดเจาหมิง พอออกจากประตูก็มุ่งหน้าสู่ทิศตะวันออก มีเส้นทางสายหนึ่งเชื่อมไปถึงน้ำตกสีปี่ขอรับ 

หรือพูดอีกอย่างว่า พวกนางต้องเดินอ้อมไปทางต้นสนตื่นรู้ทีหนึ่ง

ถ้ามิใช่ตรงนั้นมีประตูเชื่อมต่อกับด้านหลังเขาวัดเจาหมิง หากมีคนมาพบเข้า พวกนางต้องบอกว่าตนเองหลงทางหรือ?

หม่าซิ่วเหนียงยกมือปิดหน้า

สถานที่นัดพบกับคุณชายจางนั้น นางเป็นคนเลือกเอง

อวี้ถังหัวเราะจนตัวงอ เร่งนางว่า  พวกเรารีบไปเถอะ ระวังว่าถ้าชักช้าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงอีก 

หม่าซิ่วเหนียงไม่มีเวลาเขินอาย รีบตอบว่า  พวกเรารีบไปกันเถอะ! 

อวี้ถังจัดแต่งปอยผม สวมหมวกคลุมหน้าอีกรอบ แล้วเดินทางไปที่ต้นสนตื่นรู้กับหม่าซิ่วเหนียง

ใต้ต้นสนตื่นรู้มีเสื่อไม้ไผ่ปูไว้เจ็ดแปดผืน บัณทิตอายุน้อยหลายคนกำลังนั่งขัดสมาธิสนทนากัน มีบ่าวรับใช้สิบกว่าคนอยู่ข้างๆ ไม่ก็คอยโบกพัด จุดเครื่องหอม และต้มน้ำชาให้…ยังมีบางคนที่คอยชมดูความสนุกด้วย

ดูท่าศาสนิกชนของวัดเจาหมิงจะมารวมตัวกันที่นี่หมดแล้ว

หม่าซิ่วเหนียงพูดขึ้นมาด้วยความกังวลว่า  ทำอย่างไรดี? ต่อให้พวกเราเดินผ่านไปแบบนี้ พวกเขาก็ไม่หันมาสนใจเราหรอก! 

อวี้ถังหัวเราะ

มิใช่ฮูหยินหลี่บอกว่าหลี่จวิ้นตกหลุมรักนางรึ?

เช่นนั้นเขาต้องรู้จักนางแน่ ทั้งยังต้องจดจำได้อย่างลึกซึ้งด้วย

หม่าซิ่วเหนียงถามอย่างระแวงว่า  เจ้าคิดจะทำอะไร? 

หากทำตามที่พวกนางวางแผนไว้ ขอเพียงพวกนางเดินผ่านไปเพื่อดึงดูดความสนใจของหวี่จวิ้นก็พอแล้ว

อวี้ถังตอบว่า  พี่สาว เจ้ารออยู่ตรงนี้ ข้าจะทำเป็นไปชมดูความสนุกแล้วแอบมองสักนิดก็ใช้ได้แล้ว 

หม่าซิ่วเหนียงเอ่ยอย่างลังเลว่า  ไม่ค่อยดีกระมัง? 

อวี้ถังรู้ดีว่าเช่นนี้มีความเสี่ยง ดังนั้นจึงไม่อาจลากหม่าซิ่วเหนียงมาเกี่ยวด้วย

นางยิ้ม ตอบว่า  ไม่เป็นไร เจ้าเชื่อข้าสิ ไม่มีผิดแน่  พูดจบ ไม่รอให้หม่าซิ่วเหนียงตั้งตัว ก็หันไปกำชับสี่เชวี่ยคำหนึ่งว่า  ดูแลคุณหนูของพวกเจ้าให้ดี  จากนั้นก็สาวเท้าไปทางต้นสนตื่นรู้

หม่าซิ่วเหนียงคิดตะโกนเรียกนางกลับมา คิดไม่ถึงว่านางจะเดินเร็วถึงเพียงนี้ เพียงชั่วครู่ก็ห่างไปหลายจั้งแล้ว นางหันซ้ายขวามองคนรอบด้าน ได้แต่กดเสียงนั้นลงคอไป

อวี้ถังแม้ส่วนสูงจะไม่มาก แต่ว่าเอวบางขาเรียว ฝีเท้าเบาแผ่ว งดงามอ่อนหวาน คนยังเดินไปไม่ถึงต้นสนตื่นรู้ ทว่าเหล่าวิญญูชนน้อยใหญ่ใต้ต้นสนตื่นรู้กลุ่มนั้นกลับสังเกตเห็นนางแล้ว แต่ละคนเบิกตาโตจ้องมาทางนาง

เสียงสรวลเสใต้ต้นสนตื่นรู้พลันค่อยๆ เงียบลง

———————————

Related

 

อวี้ถังมีใจระแวงต่อนายหญิงทัง นางเรียกซวงเถาเข้ามา แล้วสั่งว่า  เจ้าไปดูสิว่านายหญิงทังมาทำอะไร? 

ซวงเถารับคำแล้วจากไป

อารมณ์อยากเล่นสนุกของอวี้ถังกับหม่าซิ่วเหนียงจืดจางไปมาก สองคนนั่งกินน้ำแข็งบนตั่งไม้อย่างเรียบร้อย คุยถึงเรื่องซุบซิบในเมือง และเรื่องซุบซิบในเมืองที่ผู้คนให้ความสนใจมากที่สุดก็คือเรื่องของสกุลเผย

 เจ้าเคยได้ยินหรือไม่?  หม่าซิ่วเหนียงกดเสียงต่ำ  ป้าสะใภ้ของคุณชายใหญ่สกุลเผยต้องการพาคุณชายใหญ่กลับไปเล่าเรียนที่เมืองหลวง นายท่านสามเรียกผู้อาวุโสของสกุลเผยไปที่หอบรรพชน แล้วถามต่อหน้าทุกๆ คนว่า คุณชายใหญ่ควรไว้ทุกข์อยู่ที่จวนหรือว่ากลับไปอยู่สกุลท่านตาเพื่อเล่าเรียนเขียนอ่าน… 

 ฮะ!  อวี้ถังถามอย่างประหลาดใจว่า  นายท่านสามทำเช่นนี้ ต่อให้คุณชายใหญ่อยากกลับไปอยู่สกุลท่านตาเพื่อเล่าเรียนก็คงไม่กล้าหรอก…หากว่าเขาไปจริงๆ ก็ต้องถูกตราหน้าว่า ‘อกตัญญู’ ต่อไปก็อย่าหวังจะได้เป็นขุนนางเลย 

แม้นางจะรู้ว่าชาติก่อนคุณชายใหญ่ถูกนายท่านสามกดข่มเอาไว้แค่ในสกุล แต่ไม่รู้ว่าเขาใช้วิธีการใด

 ก็ใช่น่ะสิ!  หม่าซิ่วเหนียงพูดต่อว่า  บิดาข้าบอกว่า นายท่านสามใจร้ายนัก บอกอีกว่า ถ้าต่อไปสกุลของเราไม่ไปเกี่ยวข้องกับสกุลเผยได้ก็ให้พยายามหลีกเลี่ยงให้มากที่สุด 

อวี้ถังหัวเราะเหอะๆ

หม่าซิ่วเหนียงกลับถอนหายใจ  ยังมีสกุลของพ่อบ้านใหญ่อีก ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรบ้างแล้ว? บิดาข้าเล่าว่า หลังจากที่พ่อบ้านใหญ่ตายไป คนในเมืองหลินอันก็ไม่มีใครได้เห็นหน้าครอบครัวของพ่อบ้านใหญ่อีก 

อวี้ถังตกตะลึง ถามอย่างสงสัยว่า  น่าจะถูกขับออกจากเมืองหลินอันแล้วกระมัง?! 

หม่าซิ่วเหนียงตอบว่า  แต่ก็ไม่มีใครเห็นครอบครัวของพ่อบ้านใหญ่ออกจากประตูเมืองนี่นา! 

ความหมายในวาจาก็คือ ครอบครัวของพ่อบ้านใหญ่ประสบโชคร้ายแล้ว

 ไม่หรอกน่า!  อวี้ถังเอ่ย  ครอบครัวของพ่อบ้านใหญ่น่าจะมีคนจำนวนไม่น้อยกระมัง! 

 เรื่องแบบนี้ไม่มีใครรู้ชัดหรอก  หม่าซิ่วเหนียงแสดงชัดว่าไม่เชื่อนายท่านสาม เอ่ยว่า  ใครทำเรื่องเลวร้ายแล้วจะเขียนประกาศติดหน้าจวนตนเองเล่า! 

คนผู้นั้นฆ่าคนจริงๆ รึ?

อวี้ถังเงียบเสียงไปพักใหญ่

ซวงเถาวิ่งเข้ามาหา  คุณหนูเจ้าคะ คุณหนู นายหญิงทังมาเป็นแม่สื่อให้ท่านเจ้าค่ะ! 

 ว่าอย่างไรนะ?!  อวี้ถังกับหม่าซิ่วเหนียงลุกขึ้นพร้อมกัน

อวี้ถังขมวดคิ้วมุ่น หม่าซิ่วเหนียงเข้าไปจับแขนซวงเถาด้วยความตื่นเต้น  บอกมาเร็วเข้า นายหญิงทังมาขอหมั้นหมายให้สกุลใด? 

ซวงเถายิ้มแล้วตอบว่า  เป็นคุณชายรองของจิ้นซื่อสกุลหลี่จากทางใต้เจ้าค่ะ! 

 หลี่จวิ้น!  อวี้ถังตกใจจนนิ่งไป

หม่าซิ่วเหนียงเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์บนหน้า ชี้ไปทางอวี้ถังแล้วพูดว่า  อาถัง เจ้าบอกความจริงข้ามา ต้องมีเรื่องลับลมคมในแน่ ข้าคนนี้ จะเก็บเป็นความลับให้เจ้าเอง ไม่อย่างนั้น ข้าจะไปฟ้องท่านป้า บอกว่าเจ้ารู้จักคุณชายรองสกุลหลี่จากทางใต้ผู้นั้น… 

 พูดบ้าอะไรน่ะ?  อวี้ถังร้อนใจไปหมด เอ่ยว่า  ข้าจะไปรู้จักหลี่จวิ้นได้อย่างไร? 

สิ่งที่นางพูดคือความจริง

แม้ชาติก่อนนางจะแต่งให้หลี่จวิ้น แต่นางไม่เคยพบคนผู้นี้มาก่อน

ตอนที่คุยเรื่องหมั้นหมาย นางคิดว่าหลี่จวิ้นคงเคยพบนาง ทั้งยังปักใจต่อนาง อย่างน้อยก็ดีกว่าต้องแต่งกับคนที่ไม่เคยรู้หน้าค่าตากันและกัน ภายหลังที่นางแต่งเข้าสกุลหลี่ หลี่จวิ้นก็ไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว

หม่าซิ่วเหนียงไม่เชื่อนาง เอ่ยว่า  แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าคุณชายรองสกุลหลี่มีชื่อว่าหลี่จวิ้น? 

อวี้ถังตอบนางกลับไปอย่างขอไปทีเพราะใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว  ก่อนหน้านี้ข้าเคยได้ยินคนพูด  จากนั้นก็หันไปถามซวงเถาอย่างร้อนรนว่า  ท่านแม่ข้าว่าอย่างไร? 

ซวงเถาหัวเราะ ตอบว่า  นายหญิงบอกว่าเดิมทีสกุลเราคิดจะรับเขยชาย ไม่คิดให้ท่านแต่งออกไป เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ นายหญิงต้องหารือกับนายท่านก่อนถึงจะให้คำตอบแก่สกุลหลี่ได้เจ้าค่ะ 

อวี้ถังตะลึงไป

เหตุใดมารดานางจึงตอบกลับนายหญิงทังไปเช่นนั้น?

นางถามต่อว่า  นายหญิงทังยังพูดอะไรอีกบ้าง? 

ซวงเถาเม้มปากหัวเราะ เอ่ยเป็นนัยๆ ว่า  นายหญิงทังบอกว่า คุณชายรองสกุลหลี่เคยพบท่านโดยบังเอิญ หากมิใช่ท่านจะไม่แต่งเด็ดขาด ก่อนหน้านี้ก็เพราะคุณชายรองโวยวายอยู่ที่เรือน ดังนั้นฮูหยินหลี่จึงขอให้นายหญิงทังมาลองหยั่งเชิงนายหญิงก่อน ต่อมาพอนายหญิงทังกลับไปให้คำตอบฮูหยินหลี่ ฮูหยินหลี่คงไม่ยอมตัดใจ ถึงได้มาพูดคุยกับนายหญิงอีกรอบ พอคุณชายรองรู้เรื่องเข้า ไม่เพียงไม่ล้มเลิกความคิด ยังโวยวายร้องว่าจะเป็นเขยชายแต่งเข้าสกุลอวี้ ใครพูดอะไรก็ไม่ยอมฟัง ฮูหยินหลี่ก็จนปัญญา ได้แต่ฝากฝังนายหญิงทังให้มาเจรจากับนายหญิงเจ้าค่ะ 

มิน่าท่าทีของมารดาจึงอ่อนลง!

ไม่ว่าบิดาหรือมารดา สิ่งที่เป็นห่วงมากที่สุดคือความรู้สึกของนาง หากว่านางมีความสุข จะมีเขยชายแต่งเข้าหรือไม่นั้นล้วนไม่ใช่เรื่องสำคัญ อย่างมากก็ให้ญาติผู้พี่อวี้หย่วนเป็นผู้สืบทอดของสองครอบครัวก็ยังได้

แต่ว่าเรื่องนี้มีพิรุธเกินไป

ชาติก่อน คนสกุลหลินบอกชัดเจนว่าหลี่จวิ้นได้เจอนางที่งานวัด เหตุใดตอนนี้กลับพูดอีกแบบเสียเล่า!

อวี้ถังอดจะพึมพำออกมาไม่ได้  เหตุใดเป็นเช่นนี้? 

หรือว่านางไม่อาจหนีรอดจากโชคชะตาที่ต้องแต่งเข้าสกุลหลี่จริงๆ?!

ทันใดนั้น สีหน้าของอวี้ถังก็พลันเปลี่ยนเป็นดูไม่ได้

หม่าซิ่วเหนียงกับซวงเถามองหน้ากัน

อวี้ถังถามซวงเถาว่า  นายหญิงทังกลับไปหรือยัง? 

ซวงเถาตอบว่า  เพิ่งไปเจ้าค่ะ! 

อวี้ถังร้อนใจอย่างมาก ขอโทษหม่าซิ่วเหนียงแล้วขอตัวจากไป นางรวบม่านขึ้นเตรียมตัวไปหาคนสกุลเฉินผู้เป็นมารดา

หม่าซิ่วเหนียงดูออกในทันที อวี้ถังไม่พอใจการหมั้นหมายครั้งนี้ นางรีบจับอวี้ถังเอาไว้ พูดว่า  เจ้ามีเรื่องเช่นนี้ ไม่ต้องสนใจข้าหรอก ข้าจะกลับไปก่อน รอเจ้าว่างแล้ว ข้าค่อยมาเที่ยวเรือนเจ้าใหม่ 

อวี้ถังรู้สึกผิดเป็นอย่างมาก บอกให้หม่าซิ่วเหนียงอยู่กินมื้อเย็นแล้วค่อยกลับ

หม่าซิ่วเหนียงตอบอย่างสบายๆ ว่า  พวกเรายังเป็นพี่น้องที่ดีต่อกันหรือไม่? หากว่าเจ้าเห็นข้าเป็นพี่สาว ก็ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ไปลาท่านป้าสักหน่อย แล้วข้าก็จะกลับเลย 

อวี้ถังกอดหม่าซิ่วเหนียง เอ่ยว่า  พี่สาว ขอโทษด้วยจริงๆ คราวหน้าพวกเรามาเจอกันใหม่นะ 

หม่าซิ่วเหนียงพยักหน้ารับ อวี้ถังไปเป็นเพื่อนนางเพื่อบอกลาคนสกุลเฉิน

ในห้องรับรองมีโต๊ะสี่เหลี่ยมสีดำอยู่ตรงกลาง มีกล่องของขวัญกองเป็นพะเนิน

คนสกุลเฉินกับป้าเฉินกำลังตรวจนับของขวัญกันอยู่

พอรู้ว่าหม่าซิ่วเหนียงจะกลับแล้ว คนสกุลเฉินก็ให้คนไปหยิบขนมหลายกล่องมาให้หม่าซิ่วเหนียง พูดเชิญหม่าซิ่วเหนียงมาเยี่ยมที่เรือนบ่อยๆ ทั้งสั่งอาเสาไปเช่าเกี้ยวมีหลังคามาหนึ่งหลัง ให้อาเสาส่งนางกลับเรือน

หม่าซิ่วเหนียงบอกลาคนสกุลเฉิน อวี้ถังประคองมารดาให้กลับไปที่เรือนหลัก

นางเอ่ยตรงไปตรงมาว่า  ท่านแม่ ข้าอยากจะอยู่เรือนนี้ต่อไป 

คนสกุลเฉินมองว่านางอายุยังน้อย มีหลายเรื่องที่ไม่อาจคิดให้รอบคอบ จึงยิ้มแล้วเอ่ยว่า  ที่อยากให้เจ้าอยู่กับเรือน เพราะกลัวแต่งออกไปเจ้าจะลำบาก หากว่ามีคนดีๆ เข้ามา บิดาเจ้ากับข้าให้อาหย่วนคอยดูแลก็เหมือนๆ กัน 

เรื่องราวเป็นอย่างที่อวี้ถังคิดเอาไว้

นางเอ่ยว่า  ไม่รู้ว่ามีคนตั้งเท่าไรที่ก่อนแต่งงานก็พูดเสียดิบดี พอแต่งกันไปก็เปลี่ยนแล้ว ท่านอย่าได้ฟังวาจาสวยหรูของนายหญิงทัง ฮูหยินหลี่แต่ไรก็ชอบดูถูกผู้อื่น ข้าไม่ชอบแม่สามีเช่นนี้เจ้าค่ะ 

คนสกุลเฉินหัวเราะ เอ่ยว่า  เด็กโง่ เจ้าไม่ใช่ว่าต้องอยู่กับแม่สามีไปชั่วชีวิตเสียหน่อย อีกอย่าง หากว่าเขยชายยินดีปกป้องเจ้า แม่สามีบ้านไหนจะมารังแกลูกสะใภ้ได้ง่ายๆ เล่า? 

 นั่นก็ไม่แน่หรอกเจ้าค่ะ!  อวี้ถังกล่าวว่า  ร้อยเรื่องกตัญญูมาที่หนึ่ง สามีบ้านใดจะยอมทะเลาะกับมารดาเพื่อลูกสะใภ้กัน 

คนสกุลเฉินไม่อยากทำให้อวี้ถังอารมณ์ไม่ดี อีกอย่างก็ยังไม่ได้เอาวันเดือนปีเกิดมาลองผูกดวงชะตากันเลย

นางกล่อมบุตรสาวว่า  ได้ๆ ล้วนฟังเจ้าทั้งสิ้น รอให้บิดาเจ้ากลับมา พวกเราค่อยมองหาจากสกุลอื่นอย่างจริงจังด้วย แล้วค่อยตัดสินใจเรื่องงานแต่งเจ้าให้เรียบร้อย 

อวี้ถังเห็นว่ามารดาไม่ได้สนใจสิ่งที่นางพูดจริงๆ ก็ร้อนใจไม่หยุด คิดว่าทำอย่างไรจะโน้มน้าวให้มารดาเปลี่ยนใจได้

รุ่งเช้าของวันถัดมาหม่าซิ่วเหนียงก็มาเยี่ยมอวี้ถังอีกครั้ง

 เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ?  อวี้ถังตกอกตกใจ

หม่าซิ่วเหนียงดื่มน้ำชาไปหลายถ้วยติดๆ กัน ถึงได้ตอบว่า  อาถัง เมื่อวานข้าให้…  นางพูดอะไรคล้ายๆ ว่า ‘คุณชายจาง’ แล้วเล่าต่อว่า  ช่วยไปสืบข่าวหลี่จวิ้นผู้นั้นดู  จากนั้นปากที่คล้ายมีหัวไชเท้าอยู่ด้านในก็เรียกชื่อ ‘คุณชายจาง’ อีกครั้ง พูดว่า  บอกว่าหลี่จวิ้นแม้จะหยิ่งผยอง แต่ปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างจริงใจ ทำอะไรเปิดเผย ความประพฤติมิด่างพร้อย เป็นคนที่เจ้าจะฝากชีวิตเอาไว้ได้ 

คิดไม่ถึงว่าหลี่จวิ้นจะเป็นคนแบบนี้

ยิ่งคิดไม่ถึงว่าหม่าซิ่วเหนียงจะช่วยเหลือนางเพียงนี้

อวี้ถังกรอบตารื้นชื้น เอ่ยว่า  ขอบคุณพี่สาวมาก! และช่วยขอบคุณพี่เขยด้วยสักคำ 

หม่าซิ่วเหนียงได้ฟัง หน้าก็ขึ้นสีแดงก่ำ เอ่ยอย่างเขินอายว่า  ไม่ต้อง ไม่ต้อง ช่วยเจ้าได้ก็ดีแล้ว  นางถามด้วยความอยากรู้ว่า  แล้วเจ้าคิดจะอยู่ที่เรือนต่อไปหรือไม่? 

 ข้ายังอยากอยู่ที่เรือนต่อไป  อวี้ถังบอกนางไปตามความจริง  ข้ารู้ว่าคู่หมายนี้ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก 

หม่าซิ่วเหนียงกล่อมนาง  มีอะไรไม่ดีกัน? เขาก็บอกแล้ว ขอเพียงได้แต่งกับเจ้า ยินดีแต่งเข้าสกุลเจ้ามาเป็นเขยชาย เจ้ายังต้องการอะไรอีก? ผู้อื่นมิใช่ว่าต้องการเจ้าคนนี้หรอกหรือ? 

คำพูดของนางทำให้อวี้ถังพลันได้สติราวกับรู้ตื่น

จริงด้วย! สกุลหลี่ต้องการเกี่ยวดองกับสกุลนาง เพราะต้องการสิ่งใดหรือ?

หรือว่าเป็นนางคนนี้จริงๆ?

ชาติก่อน สกุลนั้นก็รับนางแต่งเข้าเรือนด้วยความจริงใจอันเต็มเปี่ยม ทว่านางก็ต้องกลายเป็นม่ายขันหมาก และคนสกุลหลินก็ไม่ได้ปฏิบัติกับนางด้วยความเมตตา

หรือเพราะการตายของหลี่จวิ้นทำให้คนสกุลหลินพาลโกรธเกลียดนาง?

แต่คนสกุลหลินก็ไม่ได้ทำดีกับกู้ซีมากไปกว่านางสักเท่าไร!

อวี้ถังลอบเบะปากในใจ

นางตัดสินใจจะไปเจอ ‘คู่หมาย’ ที่ชาติก่อนไม่เคยได้เห็นหน้าสักครั้ง

 พี่เขยสนิทกับคุณชายรองสกุลหลี่มากหรือไม่?  นางถามหม่าซิ่วเหนียง

หม่าซิ่วเหนียงตอบว่า  เจ้าคิดจะทำอะไร? 

 ข้าอยากเจอคุณชายรองสกุลหลี่สักหน่อย ถึงเวลานั้นอยากเชิญพี่เขยกับพี่สาวไปเป็นเพื่อนข้าด้วย 

หม่าซิ่วเหนียงคิดว่าอวี้ถังกลัวหลี่จวิ้นจะมีหน้าตาอัปลักษณ์ ต้องเห็นด้วยตาสักครั้งจึงจะวางใจ จึงหัวเราะแล้วตอบว่า  เจ้าสบายใจได้ คุณชายรองผู้นั้นนับว่าเป็นผู้โดดเด่นคนหนึ่ง ไม่รู้ว่ามีคนมากเท่าไรที่คิดอยากได้เขามาเป็นเขย รับประกันว่าเจ้าจะไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน 

อวี้ถังหัวเราะออกมา

นางไม่คิดอยากรู้สักนิดว่าหลี่จวิ้นหน้าตาเป็นอย่างไร นางอยากรู้ว่า หลี่จวิ้นต้องการนางมากแค่ไหน

นางไปทำอะไรให้เขากันแน่ นางนั่งเล่นอยู่ในเรือนเฉยๆ ความวุ่นวายก็หล่นใส่ศีรษะ ทั้งสองชาติไม่อาจให้นางได้อยู่อย่างสงบ

หม่าซิ่วเหนียงกลัวว่าถ้าตนไม่รับปากอวี้ถัง อวี้ถังจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ แล้วไปขอให้ผู้อื่นไปเป็นเพื่อนแทน กลายเป็นก่อเรื่องใหญ่ขึ้นอีก

นางกล่าวว่า  เช่นนั้นเจ้ารอให้ข้าไปถาม…คุณชายจาง… 

อวี้ถังรับคำยิ้มๆ

พอส่งหม่าซิ่วเหนียงกลับไป นางก็เรียกอาเสามาหา แล้วให้เงินเขาไปสิบกว่าเหรียญ สั่งว่า  เจ้าเอาเงินให้อาลิ่วที่ขายสาลี่อยู่ธารเสี่ยวเหมย บอกให้เขาจับตาดูคุณชายรองสกุลหลี่ ดูว่าวันๆ หนี่งเขาทำเรื่องอะไรบ้าง? 

สกุลอวี้มีบ่าวเพียงสามคน ป้าเฉิน ซวงเถาแล้วก็อาเสา ในเรือนไม่ว่าจะเรื่องอะไรล้วนปิดสามคนนี้ไม่มิด อาเสาเองแน่นอนว่าต้องเคยได้ยินเรื่องคุณชายรองสกุลหลี่มาขอหมั้นหมายอยู่ก่อนแล้ว คิดว่าคุณหนูใหญ่คงกลัวว่าคุณชายรองสกุลหลี่จะมีหน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่แน่ๆ เขาเองก็กังวลว่าคุณชายรองสกุลหลี่จะไม่คู่ควรกับคุณหนูใหญ่ของเขาเช่นกัน จึงรีบรับปากด้วยรอยยิ้ม แล้วบอกว่า  คุณหนูใหญ่ท่านวางใจได้เลยขอรับ ข้าไม่มีทางบอกนายหญิงแน่ 

อวี้ถังจึงตกรางวัลให้อาเสาด้วยเงินอีกสิบกว่าเหรียญ

ผ่านไปสองวัน หม่าซิ่วเหนียงให้คนมาส่งข่าวนาง บอกว่าคุณชายจางรับปากจะไปพบหลี่จวิ้นเป็นเพื่อนพวกนางแล้ว

อาลิ่วก็สืบข่าวของหลี่จวิ้นมาได้ว่า  คุณชายรองสกุลหลี่นัดกับสหายจะไปกินเจที่วัดเจาหมิง 

อวี้ถังไปบอกเรื่องนี้กับหม่าซิ่วเหนียง สองคนวางแผนเรียบร้อยเสร็จสรรพ โดยคุณชายจางกับอาเสาจะไปไหว้พระที่วัดเจาหมิงเป็นเพื่อนพวกนางด้วย

—————————————

Related

 

อวี้เหวินกับคนสกุลเฉินต่างสะดุ้งตกใจ

แต่ก่อนอวี้ถังไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้มาก่อน อีกทั้งวาจาที่ออกมาก็บาดหูยิ่งนัก

คนสกุลเฉินรีบเอ่ยว่า  เจ้าเด็กคนนี้ เหตุใดถึงพูดเช่นนี้เล่า? ผู้ตายย่อมเป็นใหญ่! ถ้าไปอยู่ข้างนอก ห้ามพูดแบบนี้เด็ดขาด ผู้อื่นจะหาว่าเจ้าใจคอโหดเหี้ยม 

อวี้ถังไม่คิดเช่นนั้น ทั้งรู้สึกว่าไม่อาจให้บิดามารดาตกหลุมพรางของพ่อบ้านใหญ่เด็ดขาด จึงพูดว่า  เดิมทีก็เป็นพ่อบ้านใหญ่ที่ทำไม่ถูก! ท่านลองคิดดูสิเจ้าคะ ทันทีที่เขาฆ่าตัวตาย เขาก็รอดตัวแล้ว ได้ชื่อว่าเป็นผู้ซื่อสัตย์ภักดี แต่ว่าคนที่อยู่ต่อเล่า? แล้วภาระหน้าที่ของสกุลเขานับว่าจบสิ้นแล้วรึ? ไม่หรอกเจ้าค่ะ ไม่ใช่เพียงสกุลเขาเท่านั้น ต่อให้เป็นสกุลอื่นที่มีความเกี่ยวข้องกับเขา เกรงว่าต่อไปคงไม่อาจรับใช้สกุลเผยได้อีก ทั้งบ้านใหญ่เองก็ด้วย แม้บอกว่านายท่านสามขึ้นเป็นผู้นำสกุลเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง แต่เขาก็มีคำสั่งเสียของท่านผู้เฒ่าอยู่จริง ต่อให้ภายในมีแผนการซับซ้อนซ่อนไว้ แพ้เป็นโจรชนะเป็นอ๋อง ไม่ยินยอมก็ลุกขึ้นมาสู้ใหม่ได้ แต่เขามาตายไปเช่นนี้ ผู้อื่นจะมองบ้านใหญ่อย่างไร? นี่คือการแสดงความไม่พอใจต่อการตัดสินใจของท่านผู้เฒ่าหรือ? หรือว่าคิดแก่งแย่งตำแหน่งผู้นำกับนายท่านสามเล่า? สกุลเผยมิใช่ของคนเพียงสกุลเดียว พวกเขามีสามสกุลสาขา พ่อบ้านใหญ่ก่อเรื่องเช่นนี้ ไม่กลัวจะถูกอีกสองสกุลสาขาหัวเราะเยาะรึ? หรือจะบอกว่า บ้านใหญ่ไม่สนใจหน้าตาหรือศักดิ์ศรีแล้ว คิดแต่จะลากนายท่านสามลงจากม้าเพียงอย่างเดียว? 

อวี้เหวินกับคนสกุลเฉินต่างจ้องหน้ากัน

นี่คือบุตรสาวที่รู้จักแต่การเที่ยวเล่นดื่มกินของพวกเขาใช่ไหม?

ตั้งแต่เมื่อไร ที่บุตรสาวมีความคิดความอ่านเช่นนี้?

อวี้ถังยังไม่รู้ตัว ยังถามบิดาต่อว่า  หรือข้าพูดไม่ถูกต้องเจ้าคะ? ข้ารังเกียจผู้ใหญ่ที่แสวงหาลาภยศโดยไม่สนใจวิธีการอย่างพ่อบ้านใหญ่ที่สุดเลย…สนใจแต่ชื่อเสียงก่อนตายของตน ไม่สนความเป็นตายของผู้อื่น เขามาตายไปเช่นนี้ นายท่านสามย่อมยากจะปฏิเสธความผิด บ้านใหญ่ก็จะถูกคนซุบซิบนินทาเช่นเดียวกัน 

นางกำลังคิดว่านกอีก๋อยสู้กันกับหอย ชาวประมงกลับได้ประโยชน์ไป [1] เช่นนี้ ไม่แน่ว่าอาจเป็นแผนที่นายท่านรองคิดออกมาก็ได้

อย่างไรเขาก็เป็นผู้ได้ประโยชน์จากเรื่องนี้

ทว่า อวี้ถังไม่ได้กังวลว่าเผยเยี่ยนจะพ่ายแพ้

ชาติก่อนเขาคือฝ่ายที่คว้าชัย

ที่ต่างไปจากชาติก่อนก็คือ ชาติก่อนนางคิดว่านายท่านสามใช้ชีวิตอย่างราบรื่นสุขสบาย แต่มาในชาตินี้ คิดว่าคงไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว

อวี้ถังถอนหายใจ ถามบิดาว่า  ท่านเคยเจอนายท่านรองไหมเจ้าคะ? เขาเป็นคนเช่นไรหรือ? 

เวลานี้นางเริ่มรู้สึกเสียใจที่ชาติก่อนไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้ของสกุลเผยให้มากหน่อย

อวี้เหวินดึงสติกลับมา ตอบว่า  ข้าต้องเคยเจอนายท่านรองอยู่แล้ว เขาเป็นคนไม่เลวเลยทีเดียว มีความรู้ มีมารยาท นิสัยนุ่มนวลใจกว้าง ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความละเอียดรอบคอบ ทำให้คนรู้สึกเหมือนลมวสันต์พัดผ่าน เป็นวิญญูชนที่ยากจะพานพบ 

นายท่านรองได้คะแนนประเมินสูงเพียงนี้เชียว?

อวี้ถังออกจะแปลกใจอยู่บ้าง!

แค่พอลองมองอีกมุมหนึ่ง บิดานางมองใครล้วนว่าดีไปเสียหมด ขนาดหลู่ซิ่นที่ขายภาพคัดลอกให้เขา หลอกเอาเงินเขาไป เขาก็ยังเลือกที่จะให้อภัยหลู่ซิ่น ทั้งยังไม่โกรธเคืองสักนิด

หากใช้คำพูดของบิดานาง การเคียดแค้นผู้อื่นต้องสิ้นเปลืองเรี่ยวแรง หากจะต้องโกรธเกลียดใคร มิสู้ไปปีนเขา ไปซื้อพู่กันหูโจว ไปตัดเสื้อผ้าชุดใหม่ เพื่อให้ตัวเองเบิกบานใจดีกว่า

พอคิดถึงตรงนี้ นางก็นึกไปถึงตราประทับ ‘ชุนสุ่ยถัง’ ที่อยู่บนภาพวาดผืนนั้น

ในเมื่อร่องรอยของตราประทับถูกต้อง เช่นนั้นภาพที่ตกอยู่ในมือนางเมื่อชาติก่อนมีที่มาอย่างไรแน่?

อวี้ถังคิดว่า รอบหน้าตอนที่บิดาไปหาเถ้าแก่ถง นางควรจะรบเร้าขอไปด้วยสักครั้ง แล้วถามเถ้าแก่ถงว่ามีสกุลใดที่แกะตราประทับส่วนตัวว่า ‘ชุนสุ่ยถัง’ หรือไม่

ขณะที่นางครุ่นคิดอยู่นั้น ก็ได้ยินคนสกุลเฉินที่ไม่ส่งเสียงสักคำเอ่ยกับบิดาของนางว่า  ฮุ่ยหลี่ ข้าคิดว่าอวี้ถังพูดมีเหตุผล หากว่าพ่อบ้านใหญ่คิดว่าบ้านใหญ่ได้รับความไม่เป็นธรรม ต้องการออกหน้าแทนบ้านใหญ่แล้ว ก็สามารถรอให้จบพิธีแห่ศพของท่านผู้เฒ่าแล้วค่อยไปถามหาความยุติธรรมจากนายท่านสามได้ 

อวี้ถึงรู้สึกยินดีกับการที่มารดาคิดได้เช่นนี้มาก

อวี้เหวินหัวเราะขื่น บอกว่า  เรื่องภายในสกุลเผยมีต้นสายปลายเหตุอย่างไร เราเองก็ไม่รู้ ย่อมไม่ควรวิพากษ์วิจารณ์  เขาบอกเป็นนัยๆ ให้คนสกุลเฉินกับอวี้ถังไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้อีก

อวี้ถังรับคำพร้อมรอยยิ้มแฉ่ง

คนสกุลเฉินก็พยักศีรษะรับ

ครอบครัวอวี้ป๋อมาเยือนถึงเรือน

อวี้เหวินรีบกินข้าวให้เสร็จ คนสกุลเฉินสั่งให้ป้าเฉินกับซวงเถารีบเก็บถ้วยชาม แล้วไปชงชาด้วยตนเอง

ส่วนอวี้ถังนั้นไปช่วยล้างผลไม้

สองบ้านนั่งลงสนทนากัน

อวี้ป๋อสอบถามเรื่องพ่อบ้านใหญ่กับอวี้เหวิน  เจ้ารู้แล้วใช่หรือไม่? 

 รู้แล้ว!  อวี้เหวินเล่าสิ่งที่เขาเข้าใจให้กับพี่ชายฟัง รวมถึงความเห็นเมื่อครู่ที่อวี้ถังมีต่อพ่อบ้านใหญ่ด้วย

อวี้ถังค่อนข้างจะแปลกใจ

นางนึกไม่ถึงว่า ข่าวการแขวนคอตายของพ่อบ้านใหญ่จะกระจายไปเร็วเช่นนี้

ลองคำนวณดูดีๆ พ่อบ้านใหญ่เพิ่งจะตายไปไม่กี่ชั่วยามก่อนนี่เอง

แต่ที่บิดาลึกๆ แล้วก็เห็นด้วยกับคำพูดของนาง นางรู้สึกดีใจนัก จึงแอบยิ้มมุมปากอยู่ข้างๆ

อวี้ป๋อก็คิดเหมือนกับอวี้เหวินก่อนหน้านี้ ล้วนคิดว่าพ่อบ้านใหญ่เป็นคนรับใช้ที่ซื่อสัตย์ แต่พอได้ยินสิ่งที่อวี้เหวินเล่า เขาก็รู้สึกว่าวิธีการของพ่อบ้านใหญ่ไม่ถูกต้อง เพียงแต่เขามาที่นี่ด้วยสาเหตุอื่น จึงเอ่ยกับน้องชายอย่างทอดถอนใจว่า  อาตี้ [2] เจ้ารู้หรือไม่ว่าใครรับช่วงต่องานของพ่อบ้านใหญ่? 

อวี้เหวินแต่ไรก็ไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้ เขาลังเลก่อนตอบว่า  มิใช่พ่อบ้านสามหรอกรึ? 

 ข้าได้ยินมาว่าไม่ใช่  อวี้ป๋อเอ่ยอย่างกังวล  ฟังว่าคนที่มารับงานต่อจากพ่อบ้านใหญ่ไม่ใช่พ่อบ้านอีกสองคน ทั้งไม่ใช่หนึ่งในเจ็ดของผู้ดูแล แต่กลับเป็นอีกคนที่ชื่อเผยหม่าน ข้าไม่เคยได้ยินชื่อคนผู้นี้มาก่อน หลายวันนี้เจ้าช่วยงานอยู่ที่จวนสกุลเผย เคยได้ยินชื่อนี้ผ่านหูบ้างหรือไม่? 

 ไม่เคยเลย!  อวี้เหวินประหลาดใจ เอ่ยว่า  สกุลเผยหรือ ทั้งยังทำงานเป็นบ่าวรับใช้ ไม่มีทางเป็นพี่น้องกับสกุลเผยแน่ เช่นนั้นก็ต้องได้รับแต่งตั้งสกุลใหม่ การได้รับแต่งตั้งสกุล ย่อมเป็นบ่าวรับใช้ที่โดดเด่นอย่างมาก ทว่าสกุลเผยก็อยู่ร่วมเมืองเดียวกับพวกเรา หากมีคนที่โดดเด่นเช่นนี้จริง ต่อให้ไม่เคยเห็นหน้าก็สมควรจะได้ยินชื่อเสียงผ่านหู แต่เผยหม่านผู้นี้อยู่ดีๆ ก็ผุดขึ้นมา ทั้งได้ขึ้นเป็นพ่อบ้านใหญ่ในทันที… 

 ข้าก็คิดเช่นนั้น  อวี้ป๋อเอ่ยอย่างหมดหวัง  นึกว่าข้าเป็นเพียงพ่อค้า ไม่ได้ไปมาหาสู่กับสกุลเผย ถึงได้ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน! 

อวี้เหวินบอกว่า  เจ้าอยากรู้เรื่องนี้ทำไม? ก่อนหน้านี้เรื่องสร้างร้านค้าใหม่มิใช่ว่านายท่านสามรับปากแล้วรึ? ตอนนี้เขาเป็นผู้นำสกุล ยิ่งไม่มีทางที่จะกลับคำแน่ 

อวี้ป๋อเกาศีรษะ เอ่ยว่า  ข้าไม่ได้กังวลเรื่องนี้ ข้ากำลังคิดว่าถ้าเผยหม่านขึ้นเป็นพ่อบ้านใหญ่ ข้าต้องไปแสดงความยินดีอย่างไร หากรู้ข่าวจากเจ้าทางนี้สักหน่อย ถึงเวลานั้นก็ยังพูดคุยกับเขาได้สักหลายประโยค หากว่าเจ้าไม่รู้ วันนี้คงจัดการอะไรได้ยากแล้ว พวกแม่แบบลวดลายที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ก็ถูกเหมาไปหมด ข้าก็คิดอยู่ว่า หากสร้างร้านค้าขึ้นมาใหม่ พวกเราจะเปลี่ยนไปค้าขายอย่างอื่นดีหรือไม่? 

อวี้เหวินพลันชะงักวาจาที่อยากพูด

อวี้ถังรู้สึกว่าญาติผู้พี่ของนางทำการค้าเก่งกว่าท่านลุงใหญ่ จึงตัดสินใจช่วยญาติผู้พี่อีกแรง นางอาศัยว่าตนยังเป็นแม่นางน้อย บิดามารดาทั้งท่านลุงใหญ่ป้าสะใภ้ก็ตามใจนักหนา จึงสอดปากไปว่า  ท่านลุงใหญ่บอกว่ายากจะทำการค้า หากว่าเราเปลี่ยนเป็นสินค้าอื่น ไม่สู้ให้ท่านพี่อวี้หย่วนออกไปสำรวจข้างนอกดู ท่านพี่ได้รับการสั่งสอนจากท่านลุงใหญ่โดยตรง ย่อมจะได้อะไรกลับมาแน่ๆ เจ้าค่ะ 

อวี้ป๋อเห็นว่าหลานสาวประจบเอาใจตน ก็อ้าปากหัวเราะเสียงดัง อารมณ์เบิกบานเป็นที่สุด แล้วโบกมือไปมาเอ่ยว่า  ก็ได้! อย่างไรช่วงนี้ข้าก็มัวแต่ยุ่งเรื่องสร้างร้านค้า ให้ท่านพี่เจ้าไปสำรวจที่หังโจวสักหลายวัน ดูว่าผู้อื่นทำมาค้าขายอย่างไร 

เขาไม่รู้สึกว่าอวี้หย่วนจะมีความคิดดีๆ อะไรได้

อวี้หย่วนเป็นบุรุษ อวี้ป๋อจึงค่อนข้างเข้มงวดกับเขา เขาเองก็ค่อนข้างเป็นคนมีระเบียบรู้กฎเกณฑ์ ตอนที่ผู้ใหญ่คุยกันก็ไม่กล้าพูดแทรก

เขาถลึงตาใส่อวี้ถังทีหนึ่ง ก่อนจะคล้อยตามอย่างยินดีว่า  ขอรับ 

อวี้ป๋อกับอวี้ถังคุยเรื่องสัพเพเหระกันต่อ อวี้หย่วนหาจังหวะพาอวี้ถังลุกออกมา แล้วขู่นางว่า  ถ้าเจ้าพูดจาเช่นนี้อีก ตอนที่ข้าไปหังโจวจะไม่ซื้อหวีสางกับไม้คาดผมมาให้เจ้า พวกเราสกุลอวี้สืบทอดเครื่องลงรักมาจากบรรพบุรุษ จะพูดว่าเปลี่ยนก็เปลี่ยนกิจการได้ง่ายๆ อย่างไร? อีกอย่างแต่ละงานแต่ละสาขาล้วนต้องมีเคล็ดลับเฉพาะตัว ไม่ใช่เหมือนอย่างที่เจ้าพูด ที่ไปสำรวจดูเรื่อยเปื่อยก็จะเชี่ยวชาญได้ 

อวี้ถังไม่มีความรู้เรื่องค้าขายสักกระผีก แต่นางรู้อย่างหนึ่งว่า หากต้องการทำเรื่องดีๆ ก็ต้องเป็นคนดีให้ได้ก่อน หากอยากเป็นคนดี ก็ต้องมีสายตาเฉียบคมและแบบแผน หากอยากมีสายตาเฉียบคมและแบบแผนก็ต้องออกไปสัมผัสเรื่องราว บ้านเมือง ผู้คน ไปดูไปฟังให้มากๆ เข้าไว้

 ท่านพี่ ท่านวางใจได้เจ้าค่ะ ข้าไม่ได้กำลังทำเรื่องเหลวไหลอยู่หรอก  นางยิ้มตาหยีแล้วอธิบายให้อวี้หย่วนฟังว่า  ต่อให้ท่านไม่เห็นด้วยกับวิธีของท่านลุงใหญ่ แต่ท่านก็คัดค้านไม่ได้ แล้วอย่างท่านที่ไม่ยินยอมจะทำเรื่องใดๆ ข้างกายท่านลุงใหญ่ มิสู้ออกไปเปิดหูเปิดตาข้างนอกโน่น…ดูว่าร้านค้าที่มีชื่อเสียงโด่งดังในใต้หล้าเขาดูแลต้อนรับแขกอย่างไรก็ยังดีนะเจ้าคะ 

หัวใจของอวี้หย่วนพลันสั่นไหว

อวี้ถังพูดต่อว่า  ท่านพี่ ข้าช่วยสมทบทุนให้ท่านห้าตำลึงเลย 

อวี้หย่วนเคาะลงศีรษะของอวี้ถัง พูดว่า  เงินเท่านี้ของเจ้า มากพอจะซื้อซาลาเปาเกลียวไหมได้สองสามลูกเท่านั้น ยังคิดจะมาสมทบทุนให้ข้า 

 ท่านพี่ ท่านไม่ควรดูถูกผู้อื่นเช่นนี้! 

สองพี่น้องเริ่มทะเลาะกันวุ่นวาย

กระทั่งส่งครอบครัวท่านลุงใหญ่กลับไป อวี้ถังก็เตรียมตัวต้อนรับเรื่องที่หม่าซิ่วเหนียงจะมาเป็นแขกที่เรือน เพราะเรื่องนี้อวี้เหวินถึงได้ตั้งใจไปสั่งทำน้ำแข็งที่ตลาดเอาไว้เป็นพิเศษ กำชับอาเสาว่ารอให้หม่าซิ่วเหนียงมาถึงก่อนค่อยไปรับของที่ร้าน

หม่าซิ่วเหนียงได้ทานเฉาก๊วยในน้ำเชื่อมดอกกุ้ยฮวาใส่น้ำแข็ง ก็อิจฉาจนดวงตาพราวระยับ เอนตัวพิงตั่งไม้ที่ปูรองด้วยเสื่อไม้ไผ่ เคี้ยวน้ำแข็งเสียงดังกร้วมๆ แล้วพูดเสียงไม่เต็มปากว่า  อาถัง…อร่อยนัก…เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ เจ้ารับน้องรองข้าเป็นเขยชายเถอะ…ถึงแม้ปีนี้เขาจะอายุแค่แปดขวบ แต่ถ้าเลี้ยงเอาไว้ตั้งแต่เล็กๆ จะต้องเชื่อฟังเจ้าแน่… 

อวี้ถังเองก็ไม่ได้กินเฉาก๊วยในน้ำเชื่อมดอกกุ้ยฮวาใส่น้ำแข็งมานานแล้ว

แต่ก่อนตอนที่ยังไม่ออกเรือน คนสกุลเฉินไม่ยอมให้นางกิน กลัวว่าจะทำให้ท้องเย็น ต่อมาเมื่อแต่งเข้าสกุลหลี่ เพราะคนสกุลหลินคิดทรมานนาง ใครๆ ต่างก็ได้กิน มีแต่นางที่ไม่ได้กิน

นางใช้ช้อนตักน้ำแข็งคำใหญ่เข้าปากอย่างมีความสุข ส่งเสียง ‘เหอะ’ ใส่หม่าซิ่วเหนียงทีหนึ่ง เอ่ยว่า  ข้าไม่ช่วยเจ้าเลี้ยงน้องหรอกนะ ครอบครัวข้าต้องการเขยชาย ย่อมต้องหาเขยชายที่ทำมาค้าขายเป็น ไม่เอาพวกที่มัวแต่อ่านหนังสือหรอก! 

 เพราะเหตุใดเล่า?  หม่าซิ่วเหนียงถามอย่างสงสัย  ซิ่วไฉไม่ต้องจ่ายภาษี ทั้งได้รับการยกย่องนับถือ 

อวี้ถังเอ่ยอย่างไม่เห็นด้วย  คนที่อ่านออกเขียนได้ที่ไหนจะยอมแต่งเข้าบ้านภรรยาเล่า อย่างไรเสียสกุลข้าก็มีท่านพ่อเป็นซิ่วไฉอยู่แล้ว ต้องหาคนที่ดูแลกิจการได้สิ ให้ฐานรากของครอบครัวมั่นคงยิ่งขึ้น ต่อไปจะได้ส่งเสริมให้ลูกหลานเล่าเรียนเขียนอ่าน 

 ฮี่ฮี่ฮี่!  หม่าซิ่วเหนียงปิดปากหัวเราะ พลางพูดว่า  ที่แท้เจ้าคิดจะให้บุตรชายของเจ้าไขว่คว้าบรรดาศักดิ์พระราชทาน [3] ให้เจ้ารึ! 

เมื่อเด็กสาวอยู่ด้วยกันมักพูดจาเลอะเทอะไปทั่ว แต่กับหม่าซิ่วเหนียงผู้นี้ มักทำให้คนรู้สึกขัดเขินยิ่ง

 เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร!  อวี้ถังวางชามลงแล้วจี้ที่รักแร้ของหม่าซิ่วเหนียง  ข้าว่าเจ้านั่นแหละที่รอให้เขยชายคว้าบรรดาศักดิ์พระราชทานให้! 

หม่าซิ่วเหนียงร้องโอ๊ยๆ แล้ววิ่งหนีจากตั่งไม้ไปที่หน้าประตู

อวี้ถังพลันชะงักมือ หันไปมองไผ่เซียงเฟยที่อยู่นอกหน้าต่าง แล้วขมวดคิ้ว

 มีอะไรรึ?  หม่าซิ่วเหนียงหมุนตัว แล้วหันไปมองตาม

ด้านนอกหน้าต่าง ป้าเฉินกำลังพาสาวรับใช้ของนายหญิงทังเดินไปทางเรือนหลักของคนสกุลเฉิน

 นางมาทำอะไร?  หม่าซิ่วเหนียงย้ายมายืนข้างอวี้ถัง พูดเป็นทำนองเดียดฉันท์ว่า  คนผู้นี้ ชอบแต่ประจบเอาใจผู้มีอำนาจ หากไม่มีเรื่องอะไรไม่มีทางมาถึงที่นี่แน่ 

————————————————————-

[1] นกอีก๋อยสู้กันกับหอย ชายประมงกลับได้ประโยชน์ไป หมายถึง สองฝ่ายที่ต่อสู้กันต่างไม่ได้รับผลประโยชน์ แต่กลับให้ฝ่ายที่สามกอบโกยผลประโยชน์ไป

[2] อาตี้ เป็นภาษาจีน มาจากคำว่า ตี้ตี้ แปลว่าน้องชาย

[3] บรรดาศักดิ์พระราชทาน คือ บรรดาภรรยาหรือมารดาของขุนนางที่มียศศักดิ์ โดยจะได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ตามลำดับขั้น ยิ่งขุนนางผู้นั้นมียศสูงเท่าไร จำนวนคนในสกุลก็จะได้พระราชทานบรรดาศักดิ์มากตามไปด้วย

Related

 

ไม่ว่าอวี้ถังจะอยู่ในอารมณ์ไหน แต่เวลาก็ยังเดินไปข้างหน้า ไม่นานก็ถึงวันพิธีแห่ศพของท่านผู้เฒ่าสกุลเผย

สุสานบรรพชนของสกุลเผยตั้งอยู่บริเวณแนวสันเขาตะวันออกของเขาเทียนมู่ ด้านหลังอิงภูเขาด้านหน้ามีแม่น้ำ ทุกคนต่างพูดว่าพื้นที่ตรงนั้นมีฮวงจุ้ยที่ดี คนสกุลเผยไม่ว่ากี่รุ่นต่อกี่รุ่นถึงได้รุ่งเรืองยิ่งๆ ขึ้นไปไม่หยุดหย่อน

หนึ่งวันก่อนที่จะฝังร่างของท่านผู้เฒ่า อวี้เหวินก็พักที่จวนสกุลเผยเสียเลย อวี้ถังกับมารดาก็ตระเตรียมกระดาษเงินกระดาษทองและธูปหอมตั้งแต่เช้า วันต่อมาฟ้ายังไม่สางก็ลุกขึ้นมาหวีผม เปลี่ยนมาใส่ชุดสีสุภาพ พาป้าเฉินกับซวงเถา รวมถึงนายหญิงหม่าแม่ลูกออกเดินทางไปยังธารเสี่ยวเหมวยด้วยกัน

พวกนางจะไปส่งท่านผู้เฒ่าเป็นครั้งสุดท้าย

ตลอดทางเต็มไปด้วยผู้คน

ทุกคนรวมกันเป็นกลุ่มใหญ่ พูดคุยกันถึงงานพิธีศพของท่านผู้เฒ่า

 ต่อให้อากาศจะร้อนตับแตกแต่ไม่ต้องอนาถถึงเพียงนี้กระมัง! ตั้งศพไว้แค่เจ็ดวันยังไม่ต้องพูดถึง โลงศพยังแห่เข้าไปฝังในสุสานเลย นี่เป็นความคิดของใครกัน? 

 ได้ยินว่าเป็นความต้องการของนายท่านสาม  มีคนรู้เรื่องเอ่ยเสียงเบาว่า  คุณชายใหญ่ของนายท่านใหญ่ถึงกับทะเลาะกับนายท่านสาม แต่เขาเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง จะเถียงชนะท่านอาได้อย่างไร! เรื่องนี้จึงได้จบลงแบบนี้! 

 แล้วนายท่านรองไม่พูดอะไรบ้างเลยรึ? เขาก็เป็นท่านอาคนหนึ่งเหมือนกันนี่! 

 ตอนนี้นายท่านสามเป็นผู้นำสกุล เขาจะพูดอะไรได้? 

 มันก็ใช่  อีกคนถอนหายใจ  ตอนที่นายท่านใหญ่จากไป โลงศพยังแห่รอบเมืองถึงเจ็ดวัน ให้ทุกคนได้เคารพศพระหว่างทาง ตอนนี้พวกเราจะเผากระดาษเงินกระดาษทองให้ท่านผู้เฒ่ายังไม่ได้ ได้แต่ส่งท่านผู้เฒ่าขึ้นภูเขาอย่างหยาบๆ เช่นนี้ 

ส่วนคนที่สนใจผลประโยชน์ของตนเองมากกว่า ก็แอบถามเป็นการส่วนตัวว่า  พวกเจ้าพูดว่าตอนนี้สกุลเผยมีนายท่านสามเป็นผู้นำสกุล มีหลักฐานอะไรหรือไม่? 

 เจ้าดูหลายวันนี้สิ พ่อบ้านใหญ่โผล่หน้าบ้างหรือไม่?  มีคนซุบซิบต่อว่า  แต่ก่อนพ่อบ้านใหญ่เป็นถึงเพื่อนเรียนของนายท่านใหญ่ มีเรื่องใดในสกุลเผยบ้างที่เขาตัดสินใจไม่ได้? ยังมีพ่อบ้านรองอีก หลายวันนี้เจ้าเห็นหน้าพวกเขาบ้างหรือไม่เล่า? 

 พ่อบ้านใหญ่ข้ารู้จักอยู่ แต่มันเกี่ยวอะไรกับพ่อบ้านรองล่ะ? พ่อบ้านรองหนึ่งปีสี่ฤดูมิใช่คอยแต่ดูทิศทางลมของพ่อบ้านใหญ่หรือ? 

 เจ้าไม่รู้อะไรเสียเลย ก็โดนหางเลขไปด้วยอย่างไรเล่า? พ่อบ้านรองยืนฝั่งพ่อบ้านใหญ่ พ่อบ้านใหญ่ล้มแล้ว เขายังจะได้ดิบได้ดีอยู่รึ? 

 เฮ้อ! สกุลของซั่นจื่อหลิวคงขาดทุนย่อยยับ พวกเขาเพิ่งจะให้บุตรสาวแต่งเข้าสกุลของพ่อบ้านใหญ่ 

 มิใช่แต่งให้ธรรมดา เรียกว่าประเคนให้มากกว่า!  เอ่ยถึงเรื่องดอกท้อ ทุกคนก็เริ่มคึกคัก

 ไม่ว่าจะประเคนหรือแต่ง ซั่นจื่อหลิ่วก็เรียกตนเองให้คนข้างนอกฟังว่าเป็นญาติสนิทของพ่อบ้านใหญ่… 

อวี้ถังได้ยินการใส่ร้ายป้ายสีเช่นนี้ ก็นึกถึงดวงหน้าอึมครึมของเผยเยี่ยน

ทำไมต้องสร้างเรื่องให้คนนินทาว่าร้ายด้วย?

ก็แค่จัดพิธีศพให้ยิ่งใหญ่สมเกียรติไม่ใช่รึ?

สกุลเผยก็ใช่ว่าขาดแคลนเงินทอง แค่ทุ่มเงินเข้าไปก็เป็นใช้ได้แล้ว

หรือว่า นี่เป็นหนึ่งในแผนการที่เขาใช้ต่อกรกับบ้านใหญ่?

อวี้ถังเดาไปสุ่มสี่สุ่มห้า ก็มาถึงจวนสกุลเผยแล้ว

นายหญิงหม่าลากพวกนางไปที่ร้านขายของจิปาถะร้านหนึ่งตรงท่าเรือ เอ่ยว่า  นี่เป็นร้านที่ข้าคุ้นเคย พวกเราพักที่นี่ก่อน รอให้แห่โลงท่านผู้เฒ่าออกมา พวกเราค่อยออกไปก็ยังทัน! 

ทว่านางยังพูดไม่ทันจบ ด้านนอกก็มีเสียงจอแจ มีคนตะโกนว่า  ทุบหม้อ [1] แล้ว 

ฝูงชนต่างเข้าไปเบียดเสียดที่หน้าประตูใหญ่จวนสกุลเผย

อวี้ถังได้ยินคนพูดขึ้นมาว่า  เหตุใดเป็นนายท่านสามถือป้ายวิญญาณ? บ้านใหญ่เล่า? ต่อให้นายท่านใหญ่ตายไปแล้ว ก็ยังมีนายท่านรอง นับตามลำดับอย่างไรก็เรียงไม่ถึงเขาหรอก! 

 เลิกพูดได้แล้ว!  มีคนเอ่ยขึ้น  เจ้ายังมองไม่ออกอีกรึ? ข่าวลือเป็นเรื่องจริง ต่อไปสกุลเผยก็มีนายท่านสามเป็นผู้นำสกุลแล้ว 

พิธีทุบหม้อกับถือป้ายวิญญาณล้วนเป็นหน้าที่ของบุตรชายไม่ก็หลานชายคนโต!

ต่อให้นายท่านใหญ่สิ้นแล้ว แต่ว่านายท่านใหญ่ก็ยังมีบุตรชายอีกสองคน

แม้จะบอกว่าชาติก่อนนายท่านสามขึ้นเป็นผู้นำสกุล ทว่าชาตินี้ก็มีเรื่องแตกต่างออกไปจากชาติก่อนเล็กน้อย อย่างเช่นว่า ชาติก่อนสกุลเผยเพียงรับซื้อพื้นที่ร้านค้า ไม่เคยให้ชาวบ้านหยิบยืมเงินทอง

เพียงแค่อวี้ถังได้ยินก็ร้อนใจแทนเผยเยี่ยนแล้ว

นี่เรียกว่าให้เขาเป็นผู้นำสกุลที่ไหน เรียกว่าจับเขามัดไว้แล้วย่างบนกองไฟมากกว่า!

ท่านผู้เฒ่าสกุลเผยทิ้งคำสั่งเสียไว้อย่างไรกันแน่?

ต่อให้ต้องการตั้งเผยเยี่ยนเป็นผู้นำสกุล แต่ไม่อาจรอให้พิธีแห่ศพจบไปก่อน แล้วเหล่าพี่น้องค่อยมานั่งพูดคุยเพื่อหาข้อสรุปหรือ? เหตุใดต้องตบหน้าบ้านใหญ่กลางพิธีเช่นนี้? ทำเหมือนว่าบ้านใหญ่เป็นเพียงญาติสายรอง เปลี่ยนเป็นผู้อื่นคงไม่มีใครทนรับได้?

อวี้ถังเขย่งเท้ามองไปทางด้านใน

นายท่านสามถูกคนประคองเดินออกมาแล้ว

เขาก้มหน้าต่ำ

แสงอาทิตย์แรกของหน้าร้อนส่องกระทบที่หมวกไว้ทุกข์ของเขา กลายเป็นเงาสายหนึ่งบดบังดวงหน้าของเขาเอาไว้

 ลูกหลานคารวะ  ตามเสียงตะโกนของพิธีแห่ศพ เหล่าลูกหลานของสกุลเผยต่างพากันคุกเข่าลงแล้วโขกศีรษะกับพื้นสามครั้ง

ผู้คนรอบด้านที่มาเคารพศพท่านผู้เฒ่าต่างก็เริ่มจุดประทัดและจุดธูป

ผู้นำพิธีตะโกนว่า  ส่งวิญญาณ 

โลงศพถูกหามขึ้น เดินหน้าไปสามก้าว

ผู้นำพิธีตะโกนอีกรอบว่า  ลูกหลานคารวะ  โลงศพก็หยุดลง ลูกหลานก็โขกศีรษะอีกสามที

นายหญิงหม่าลากหม่าซิ่วเหนียง แล้วบอกกับคนสกุลเฉินว่า  พวกเรารีบเอากระดาษเงินกระดาษทองไปเผาเถอะ ไม่อย่างนั้นรอให้คนอื่นจุดประทัดแล้ว ถูกกระเด็นใส่ขึ้นมาไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เลย 

คนสกุลเฉินเพิ่งเคยพาบุตรสาวมาร่วมงานแห่ศพเป็นครั้งแรก

นางพยักหน้าอย่างไม่มั่นใจ แล้วเดินตามหลังนายหญิงหม่าไปติดๆ

เสียงประทัดดังขึ้น กลางอากาศมีแต่ควันที่ทำให้คนสำลักลอยว่อน

อวี้ถังกับมารดาเพิ่งจะยืนได้มั่น ก็เห็นว่าชายผอมสูงคนหนึ่งพุ่งเข้าไปที่ขบวนแห่ศพของสกุลเผย เขาคุกเข่าเสียงดัง ‘ตึง’ ลงบนพื้นหน้าโลงศพของท่านผู้เฒ่า ร้องไห้คร่ำครวญเสียงดังว่า  ท่านผู้เฒ่าเผย! ท่านลืมตาขึ้นมามองให้ชัดๆ เถอะขอรับ ท่านเลือกคนเนรคุณใจดำมาคนหนึ่ง! เขาแทบจะบีบเหล่าคุณชายบ้านใหญ่จนไม่เหลือทางรอดแล้ว… 

ฝูงชนแตกฮือเป็นวงกว้าง

 พ่อบ้านใหญ่นี่! 

 เป็นพ่อบ้านใหญ่หรอกรึ! 

 นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น? 

 หรือว่านายท่านสามขึ้นเป็นผู้นำอย่างมีเงื่อนงำ? 

นายท่านสามเงยหน้าขึ้นมา แล้วมองไปทางพ่อบ้านใหญ่ทีหนึ่ง

เย็นชา เบื่อหน่าย และอึมครึม

อวี้ถังตกใจจนสะดุ้งสุดตัว

มีคนเข้าไปลากพ่อบ้านใหญ่ออกมา

เขาทางหนึ่งก็ดิ้นรน ทางหนึ่งก็แหกปากโวยวาย น่าเสียดายที่เสียงประทัดดังเกินไป อวี้ถังจึงไม่ได้ยิน

มีคนตะโกนขึ้นมาด้วยเสียงอันดังว่า  ขอให้ท่านผู้เฒ่าไปสู่สุคติ  ทุกคนต่างชะงักไป ภายหลังจึงระลึกได้ถึงบุญคุณที่ท่านผู้เฒ่าเคยมีให้กับตน แล้วพากันร้องไห้ออกมา

ขบวนแห่ศพกลับคืนสู่ลำดับขั้นตอนของพิธีอีกครั้ง ไม่นานก็เริ่มเคลื่อนขบวน

เสียงประทัดคล้ายว่าจะส่งเสียงดังกว่าเก่า

อวี้ถังคิดว่าเสียงที่ตะโกนขึ้นมานั้นไม่ได้ไร้เจตนา

อวี้ถังมองหาเจ้าของเสียงร้องไห้ท่ามกลางฝูงชน ทว่ากลับไม่พบอะไร

อวี้ถังเขย่งเท้าอีกครั้งเพื่อมองหาร่างของบิดา

ฝูงชนเบียดเสียด มองไปทางใดก็มีแต่ศีรษะคน

ท่านพ่อไม่รู้กำลังวุ่นวายอยู่ตรงไหน?

อวี้ถังถอนหายใจ

ตอนที่แยกกับนายหญิงหม่า เมื่อกลับไปที่เรือน ก็เลยยามอู่แล้ว

อวี้ถังเหงื่อโชกตัว เสื้อชั้นในแนบติดกับร่างไปหมด

นางเข้าไปอาบน้ำอีกรอบ จากนั้นก็เปลี่ยนมาใส่เสื้อคลุมผ้าไหมหังโจวโปร่งสบาย หลังจากรับอาหารเที่ยงแล้ว ก็นอนหลับจนตะวันตกดิน

อวี้เหวินกลับมาแล้วเช่นกัน เขาอยู่ในเรือนรับแขกทางหนึ่งกินอาหารทางหนึ่งก็บ่นไม่หยุดว่า  พ่อบ้านใหญ่ก็ถือว่าเสียสละไม่น้อย เพื่อนายท่านใหญ่แล้ว ถึงกลับเอาชีวิตคนทั้งบ้านไปเสี่ยงด้วย เฮ้อ น่าเสียดาย 

อวี้ถังได้ยินหัวใจพลันกระตุก รีบเดินเข้าไปหาทันที เอ่ยว่า  ท่านพ่อ ท่านพูดว่าอะไรนะเจ้าคะ? 

คนตระกูลเฉินนั่งอยู่ข้างกายกำลังโบกพัดให้สามี พอได้ยินก็พูดขึ้นว่า  เป็นเด็กเป็นเล็ก ผู้ใหญ่พูดอยู่ต้องหยุดฟัง เรื่องที่ไม่ควรยุ่งก็ห้ามยุ่ง ผ้าเช็ดหน้าที่ให้เจ้าปักทำไปถึงไหนแล้ว? ไม่ใช่บอกว่าอีกสองวันซิ่วเหนียงจะมาเล่นที่เรือนรึ? น้ำแข็งกับแตงหวานที่เจ้าสัญญากับนางไว้เตรียมเสร็จแล้วหรือยัง? 

อวี้ถังเดินยิ้มตาหยีเข้าไปบีบไหล่ให้อวี้เหวิน เอ่ยว่า  ท่านแม่ ข้าก็กำลังขอท่านพ่ออยู่นี่อย่างไรเจ้าคะ? ในมือข้ามีเงินเก็บอยู่สองตำลึง ถ้าเอาไปซื้อน้ำแข็งกับแตงหวานก็จะไม่มีเงินแล้วเจ้าค่ะ! 

 ใครให้เจ้าชอบใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย  มารดาตำหนินาง แต่ก็ยังหันไปบอกป้าเฉินว่า  ไปที่ห้องข้าแล้วหยิบเงินสองสามตำลึงให้อาถัง 

 ท่านแม่ดีที่สุดเลยเจ้าค่ะ!  อวี้ถังพุ่งไปนวดไหล่ให้มารดา

คนสกุลเฉินทำหน้าไม่ถูก แล้วดึงมือของบุตรสาวที่อยู่บนไหล่ของตนลงมา เอ่ยว่า  ห้ามดื้อซนอีก ไปนวดไหล่ให้บิดาเจ้าเสีย ท่านพ่อเจ้าไปช่วยงานที่สกุลเผยอยู่หลายวัน ต้องเหน็ดเหนื่อยมากแล้ว 

 ได้สิเจ้าคะ!  อวี้ถังย้ายไปนวดไหล่ให้อวี้เหวินอีกรอบ ทั้งพูดว่า  ท่านพ่อ ข้าดีต่อท่านไหมเจ้าคะ? 

อวี้เหวินมองภรรยาที่อยู่เบื้องหน้า ดวงตาหัวเราะจนเป็นเส้นโค้ง ตอบว่า  ดี ดี ดี! เรือนหลังนี้อวี้ถังดีที่สุดแล้ว! 

 เช่นนั้นก็ดีเลยเจ้าค่ะ!  อวี้ถังยื่นมือไปหาอวี้เหวิน  ท่านพ่อก็ช่วยข้าออกเงินหน่อยสิเจ้าคะ! อย่าให้ข้าต้องขายหน้าต่อหน้าสหาย 

 อวี้ถัง!  คนสกุลเฉินแสร้งโมโห

อวี้เหวินรีบกล่อมภรรยาว่า  อย่าโกรธสิ อย่าโกรธ หมอหลวงหยางกับหมอหลวงหวังบอกแล้วว่าห้ามให้เจ้ามีน้ำโห  จากนั้นก็หันไปอบรมอวี้ถัง  ถ้าเจ้ายังกล้าทำเช่นนี้อีก ระวังข้าสั่งกักบริเวณเจ้าอีกรอบ ลงโทษให้เจ้าคัดตัวอักษรพันตัวด้วย 

อวี้ถังเดิมก็คิดจะหยอกล้อทุกคน แต่ผลกลับเลวร้ายกว่าที่คิด นางเสียใจเป็นอย่างมาก รีบเข้าไปออดอ้อนมารดาทันที

อวี้เหวินถึงได้เรียกชื่อภรรยาว่า  ซิ่วเหยียน เจ้าดูสิ อวี้ถังตกใจจนหน้าซีดแล้ว เจ้าก็เลิกโมโหเถอะ! อีกอย่างพวกเราก็มีอวี้ถังเป็นลูกคนเดียว ต่อไปกิจการต่างๆ ย่อมเป็นของนาง พวกเราจะยกให้ตอนนี้หรือยกให้ภายหลังก็ไม่ต่างกัน เจ้าว่าจริงหรือไม่เล่า? 

คนสกุลเฉินถอนหายใจอย่างจนปัญญา แล้วสั่งป้าเฉินต่อว่า  หยิบเงินแท่งเล็กให้นางไปแท่งหนึ่ง  พูดจบก็กลอกตาใส่สามี ถามว่า  ท่านพอใจหรือยังเจ้าคะ! 

 พอใจแล้ว พอใจแล้ว!  อวี้เหวินหัวเราะตาแทบปิด แล้วหันไปขยิบตาให้อวี้ถัง  เจ้าดูมารดาเจ้าสิ นางดีต่อเจ้าขนาดไหน วันก่อนข้าถูกใจพู่กันของหูโจวด้ามหนึ่ง ต้องใช้เงินถึงสองตำลึง มารดาเจ้าเสียดายไม่อยากซื้อให้ข้า แต่พอเจ้าเอ่ยปากกลับได้ตั้งสิบตำลึงเชียว 

 ขอบคุณท่านแม่เจ้าค่ะ!  อวี้ถังหัวเราะเหอะๆ พลางกล่าวขอบคุณมารดา

คนสกุลเฉินส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ

อวี้ถังถามบิดาเรื่องของสกุลเผยว่า  ท่านพ่อ ท่านเมื่อครู่กำลังพูดถึงพ่อบ้านใหญ่สกุลเผยหรือเจ้าคะ? เขาเป็นอย่างไรบ้าง? 

อวี้เหวินกลัวว่าคนสกุลเฉินจะพูดเรื่องเงินสองตำลึงไม่ยอมจบ จึงยอมเปลี่ยนหัวข้อสนทนาตามบุตรสาว  กำลังพูดถึงเขาอยู่นี่อย่างไร หลังจากกลับไปเขาก็แขวนคอตาย!  พูดถึงตรงนี้ สีหน้าเขาก็หม่นแสง เอ่ยต่อว่า  ตอนที่ข้ากลับมา ได้ยินว่าเพราะเรื่องนี้ นายท่านสามก็สั่งให้กักตัวบ้านใหญ่ไว้ที่หอทิงหลันสุ่ย ไม่ยอมให้ใครเข้าพบ พี่สะใภ้ฝั่งมารดาของนายหญิงใหญ่กับหลานชายก็ยังไม่ได้กลับไป ถึงได้เอะอะโวยวายกันอยู่ตรงนั้น 

คนสกุลเฉินก็เพิ่งรู้เรื่องเช่นกัน อุทานว่า  ไอหยา  คำหนึ่ง เอ่ยว่า  นายท่านสามผู้นี้ก็ช่าง ช่าง… 

นางพลันหาคำที่เหมาะสมมาอธิบายการกระทำของนายท่านสามสกุลเผยไม่ได้

อวี้เหวินส่ายศีรษะ พูดว่า  ทุกคนต่างก็พูดเช่นนี้ ข้าคิดว่าสกุลเผยต้องเผชิญคลื่นลมครั้งใหญ่แน่ จึงได้อ้างว่าต้องกลับมาดูแลอาการป่วยของเจ้าแล้วขอตัวกลับมาก่อน พวกทังซิ่วไฉสองสามคนยังอยู่ที่จวนสกุลเผยอยู่เลย 

อวี้ถังนึกไปถึงบทสนทนาระหว่างนายหญิงใหญ่สกุลเผยกับฮูหยินหยาง ก็ขมวดคิ้วทันที คิดว่าที่บิดาเล่ามาไม่ถูกต้อง เอ่ยว่า  นี่จะโทษนายท่านสามได้อย่างไร? ในฐานะพ่อบ้านใหญ่ เรื่องใดๆ ล้วนต้องคำนึงถึงสกุลเผยเป็นหลัก วันนี้เป็นวันแห่ศพของท่านผู้เฒ่า เขากลับแขวนคอตาย เขาคิดจะทำอะไรกันแน่? หากว่าข้าเป็นนายท่านสาม ข้าไม่มีทางเก็บศพลงโลงให้แน่ จะให้คนแบกศพออกไปเสียอย่างนั้นเลย 

————————————————————-

[1] ทุบหม้อ เป็นหนึ่งในขั้นตอนก่อนพิธีแห่ศพออกจากเรือนเพื่อไปฝังที่สุสาน โดยบุตรชายคนโตหรือหลานชายคนโตของผู้ตายต้องเอาอ่างดินที่ใช้เผากระดาษเงินกระดาษทองมาโยนให้แตก ถึงจะเคลื่อนขบวนแห่ศพได้ หากโยนไม่แตก จะไม่มีการโยนซ้ำอีกครั้ง แต่จะให้ผู้แบกโลงศพเหยียบข้ามให้แตกแทน

Related

 

การได้พบคนสกุลหลินในเวลานี้ ก็จุดความทรงจำที่อวี้ถังมีต่อนางให้เปิดออกอีกครั้ง

สีหน้าของนางยังคงความสูงส่งไว้หลายส่วน ทว่าน้ำเสียงนุ่มนวล รอยยิ้มเป็นมิตร มองที่อวี้ถังและหม่าซิ่วเหนียงแล้วเอ่ยว่า  นี่คงเป็นสุดดวงใจของท่านทั้งสองกระมัง? ดั่งดอกหลันฮวากลางวสันต์ ดอกจวี๋ฮวากลางเหมันต์ [1] งามกันคนละแบบจริงๆ ก่อนหน้านี้นายหญิงทังก็เล่าให้ข้าฟัง ข้ายังคิดว่านายหญิงทังอวดโอ้เกินจริง ไม่คิดว่าเป็นข้าที่ไม่รู้อะไรเอาเสียเลย 

คนสกุลเฉินกับนายหญิงหม่าล้วนไม่ใช่คนที่เชี่ยวชาญด้านการพบปะเข้าสังคม ก่อนหน้าก็ไม่เคยสนทนากับคนสกุลหลินมาก่อน จึงอดจะระแวดระวังไม่ได้ พอได้ยินดังนั้นก็รีบเอ่ยวาจาเกรงใจตอบกลับไปเพียงว่า  หามิได้ หามิได้   ฮูหยินกล่าวชมเกินไปแล้ว 

คนสกุลหลินกลับทำทีเหมือนคนสกุลเฉินและนายหญิงหม่าเป็นสหายเก่าแก่ เอ่ยปากชื่นชมอวี้ถังกับหม่าซิ่วเหนียงอีกหลายคำ ทั้งยังล้วงป้ายหยกสองชิ้นออกจากแขนเสื้อเพื่อมอบให้อวี้ถังกับหม่าซิ่วเหนียงเป็นของขวัญแรกพบ บอกทำนองว่าไม่คิดจะได้พบพวกนางสองคนที่นี่ เป็นเพียงของขวัญเล็กน้อย ขอให้พวกนางอย่าได้รังเกียจ

มือที่ยื่นไปย่อมไม่ตบคนที่ส่งยิ้มให้ [2] ยิ่งกว่านั้น หลายปีมานี้หลี่อี้ก็เป็นถึงท่านข้าหลวงรื่อเจ้าอย่างราบรื่น สกุลเก่าของคนสกุลหลินได้ยินว่าเป็นพ่อค้าใหญ่แห่งฝูเจี้ยน แม้นางจะเย่อหยิ่งไปบ้าง ก็นับว่ามีเหตุอันให้เข้าใจได้ อีกทั้งนางก็ปฏิบัติต่อพวกนางด้วยมารยาท จึงบอกให้บุตรสาวรับของขวัญไว้ นัดแนะว่าคราวหน้าถ้ามีโอกาสจะไปขอบคุณถึงหน้าประตู

คนสกุลหลินยิ้มเอ่ยว่า  ถึงเวลานั้นก็พาแม่นางทั้งสองมาด้วย ข้าให้กำเนิดบุตรชายเพียงสองคน วันๆ เจอแต่เรื่องปวดหัว แต่ไรมาก็อยากจะมีลูกสาว ทว่าวาสนามิได้ดีเพียงนั้น  พูดจบ ยังถอนหายใจยาวเหยียดตามด้วย

คนสกุลเฉินตั้งแต่สุขภาพไม่แข็งแรง น้อยครั้งที่จะออกจากเรือน จึงไม่ค่อยรู้เรื่องสกุลหลี่นัก นายหญิงหม่ายังดีกว่าคนสกุลเฉินอยู่หน่อย พวกจิ้นซื่อ จวี่เหริน ซิ่วไฉ ทั่วทั้งเมืองก็มีอยู่ไม่กี่สกุล งานแต่งงานศพก็มักเจอหน้ากันบ้าง พอเห็นว่าคนสกุลหลินเยินยอพวกนาง จึงคืนลูกหลี่กลับ [3] เป็นคำชื่นชมเช่นกันว่า  พวกเราต้องอิจฉาที่ฮูหยินมีบุตรชายที่ประเสริฐ อายุไม่เท่าไรก็เป็นถึงจวี่เหรินแล้ว! เจ้าตัวเสเพลบ้านข้าหากว่าดีได้สักครึ่งของคุณชาย ข้าคงนอนตื่นมาหัวเราะกลางดึกแล้ว 

ไม่ว่าจะชาติก่อนหรือชาตินี้ หลี่ตวนก็คือความภาคภูมิใจของคนสกุลหลิน

นายหญิงหม่าพูดตรงจุดคันของนางพอดี

นางปิดสีหน้าลำพองไว้ไม่มิด เล่าถึงหลี่ตวนเหมือนน้ำที่ไหลไม่ขาดสายว่า  นายหญิงหม่าก็กล่าวเกินไป! เด็กคนนั้น ก็แค่ไม่เคยให้ข้าเป็นกังวลเรื่องเขียนอ่าน…แต่เล็กก็ป่วยกระปอดกระแปด กลัวว่าจะอยู่ไม่ถึงโต…พอถึงตอนที่ตบแต่งภรรยา ก็ต้องมาปวดหัวอีกรอบ…ยังดีที่สกุลกู้เห็นเขาเป็นเมล็ดพันธุ์ชั้นยอดในการเล่าเรียน ถึงได้ตอบตกลงเรื่องหมั้นหมาย…ข้าก็หวังว่าเขาจะแต่งงานให้เร็วหน่อย เมื่อถึงสนามสอบขุนนางตอนหน้าร้อนปีถัดไป จะได้มีชื่อติดบนป้ายบ้าง… 

หากถามว่าอะไรในชีวิตที่ทำให้นางรู้สึกภาคภูมิใจที่สุดก็ย่อมจะเป็นการสอบขุนนางของบุตรชายหลี่ตวน ส่วนเรื่องรองลงมาก็คือช่วยให้หลี่ตวนแต่งกับคุณหนูใหญ่ซึ่งเป็นบุตรสาวของภรรยาเอกจากบ้านรองสกุลกู้แห่งหังโจวได้สำเร็จ

สี่สกุลใหญ่แห่งเจียงหนาน

คือสกุลกู้ สกุลเฉิน สกุลลู่ และสกุลเฉียน

ภรรยาของหลี่ตวนชื่อว่ากู้ซี ก็เป็นสตรีจากสกุลกู้แห่งหังโจวนี่เอง

คนสกุลเฉินกับนายหญิงหม่าฟังไปด้วยท่าทีสนใจ บางทีก็พูดเสริมบ้างบางจังหวะ

อวี้ถังลอบประเมินอยู่ข้างๆ ด้วยสายตาเย็นชา

ราวกับว่าใต้หล้านี้มีเพียงหลี่ตวนที่เป็นอัจฉริยะ เป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่กว่าผู้อื่นอย่างไรอย่างนั้น

นางนึกไปถึงตอนที่หลี่ตวนกระทำเรื่องเช่นนั้นต่อนาง นางไปอ้อนวอนขอความช่วยเหลือจากคนสกุลหลิน คนสกุลหลินกับด่าทอว่านางหน้าด้าน หาว่านางยั่วยวนหลี่ตวน…

อวี้ถังอยากจะให้คนสกุลหลินได้ลิ้มลองความรู้สึกเจ็บปวดนั้นบ้าง ความทรมานจบเกือบจะเป็นความสิ้นหวัง

นางจงใจใช้น้ำเสียงที่คล้ายกดต่ำทว่าคนรอบข้างล้วนได้ยินกันครบ กระซิบกับหม่าซิ่วเหนียงด้วยความสงสัยว่า  คุณชายใหญ่สกุลหลี่อายุเท่าไรหรือ? เมื่อครู่ข้าได้ยินคนในจวนพูดว่า นายท่านสามสกุลเผยตอนอายุยี่สิบเอ็ดก็สอบจิ้นซื่อได้แล้ว 

คนสกุลหลินเหมือนถูกตบหน้า น้ำเสียงพลันหยุดกึกในทันที

คนสกุลเฉินหน้าขึ้นสีเรื่อ แล้วตำหนิอวี้ถังว่า  พูดจาเหลวไหลอะไรกัน? เรื่องของนายท่านสาม เจ้าเอามาวิจารณ์ได้อย่างนั้นรึ?  จากนั้นก็เอ่ยขอขมากับคนสกุลหลินว่า  บุตรสาวเรือนข้าไม่รู้ความ ท่านอย่าได้เก็บมาใส่ใจ 

ทว่ารอยยิ้มบนหน้าของคนสกุลหลินคล้ายจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ไปแล้ว

นายหญิงทังเห็นว่าบรรยากาศเริ่มไม่ดี ก็รีบหัวเราะเพื่อแก้สถานการณ์ให้คนสกุลหลิน  วาจาเด็กไม่รู้ประสา! วาจาเด็กไม่รู้ประสา! 

คนสกุลหลินได้ฟัง ก็ทำหน้าเหมือนกดข่มเพลิงโทสะในใจแล้วหันไปยิ้มให้คนสกุลเฉินอย่างฝืดเฝื่อน

อวี้ถังลอบสะใจเงียบๆ

คนสกุลหลินเป็นคนอารมณ์เย็นเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน!

นึกถึงแต่ก่อน ตอนที่นางแต่งเข้าสกุลหลี่ คนสกุลหลินอยากจะต่อว่านางอย่างไรก็ต่อว่าอย่างนั้น ต่อให้เป็นสะใภ้ที่นางพออกพอใจที่สุดอย่างกู้ซี หากว่าทำอะไรไม่ได้ดั่งใจคนสกุลหลินเข้า คนสกุลหลินก็จะอาละวาดใส่นางอย่างไม่ไว้หน้า

ดูท่าแล้วใช่ว่านางจะอดทนไม่เป็นเสียทีเดียว

แต่สำหรับลูกสะใภ้ ก็แค่ไม่อยากจะอดกลั้นสักกระผีกก็เท่านั้น

อวี้ถังลอบเสียดสีในใจ

คนสกุลหลินพลันพูดขึ้นมาว่า  ข้าผู้นี้ วาจาออกจะมากไปหน่อย พอได้พูดแล้วก็มักจะหยุดไม่อยู่ 

 ล้วนไม่ต่างกัน  คนสกุลเฉินกับนายหญิงหม่าส่งเสริมนาง

ใครจะรู้ว่าคนสกุลหลินไม่ได้คิดจะจากไปเลยสักนิด กลับวกมาสนทนาต่อว่า  เรือนใครต่างก็มีคัมภีร์ที่สวดยาก [4] แม้ข้าจะรักบุตรคนโต ทว่ากลับเป็นห่วงบุตรคนเล็กที่สุด เขาอ่อนกว่าพี่ชายอยู่สี่ปี ทั้งเป็นบุตรคนรอง ไม่ต้องสืบทอดวงศ์สกุล แม่สามีข้าก็ตามใจเขาเต็มที่ โตมาเป็นคนไม่สนใจโลกภายนอก ตอนนี้อายุได้สิบแปดแล้ว ยังไม่รู้ความอยู่อย่างนั้น รังเกียจว่าสาวใช้ที่จวนจู้จี้ ไม่ยอมให้รับใช้ข้างกาย วันๆ ก็เอาแต่เตะลูกหนังขี่ม้ากับบ่าวชายที่ติดตาม หรือไม่ก็ตามคนคุมบัญชีในเรือนไปตรวจสอบบัญชีที่ร้านค้า เรื่องงานหมั้นหมายของเขา ข้ากลัดกลุ้มใจยิ่งแล้ว! 

พูดจบ นางก็มองอวี้ถังอย่างลึกซึ้งทีหนึ่ง

คนที่อยู่ตรงนั้นล้วนตะลึงไปตามๆ กัน

โดยเฉพาะอวี้ถังเอง

นางกับสกุลหลี่มีเวรกรรมอะไรต่อกันอย่างนั้นรึ?

ชาติก่อนได้ฟังว่าหลี่จวิ้นตกหลุมรักนาง ชาตินี้นางซ่อนตัวจากหลี่จวิ้น แต่กลับถูกคนสกุลหลินจับจ้องไว้แล้ว

ทว่า ก็ต้องขอบคุณนางจริงๆ

สะใภ้สกุลหลี่นั้น นางไม่ได้นึกเสียดายเลยสักนิด

คิดถึงตรงนี้ นางพลันนึกไปถึงกู้ซีด้วย

หากว่ากู้ซีได้รู้ว่าหลังแต่งเข้าสกุลหลี่ไปแล้วจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง เกรงว่านางคงไม่มีวันแต่งให้หลี่ตวนแน่!

เช่นนั้น ทำลายงานแต่งของนางกับหลี่ตวนทิ้งดีหรือไม่?

คนสกุลหลินคงโมโหจนเต้นเป็นเจ้าเข้าแน่!

อวี้ถังแค่คิดก็รู้สึกมีความสุขจนไม่อาจหุบยิ้มได้เลย

คนสกุลเฉินตอนนี้เพิ่งได้สติกลับมา

เข้าใจในที่สุดว่าที่คนสกุลหลินร่ายยาวมากมาย ก็เพราะถูกใจอวี้ถังของนางนี่เอง!

เมื่อครู่ทั้งๆ ที่นางได้ปฏิเสธนายหญิงทังอย่างชัดเจนไปแล้ว เหตุใดคนสกุลหลินยังมาดักพวกนางแล้วดึงดันจะพูดเรื่องนี้ให้ได้เล่า?

คนสกุลเฉินรู้ฐานะของตนเองดี

หากพูดเรื่องรูปโฉม อวี้ถังของนางต่อให้เป็นสกุลเผยก็ยังแต่งให้ได้ แต่ถ้าเรื่องใหญ่อย่างงานแต่งพิจารณาจากแค่รูปโฉมได้ แล้วจะมีคำพูดที่ว่าเหมาะสมคู่ควรได้อย่างไร

นางมองไปทางนายหญิงทังทีหนี่ง

นายหญิงทังไม่กล้าสบตากับนาง คล้ายว่าทำอะไรผิดมาอย่างนั้น

คนสกุลเฉินกระจ่างในทันที

ที่แท้ก่อนหน้านี้ที่นายหญิงทัง ‘บังเอิญ’ พบพวกนางที่เรือนรับรอง เพราะได้รับการไหว้วานจากคนสกุลหลินนี่เอง

และที่คนสกุลหลินไม่คำนึงถึงความแปลกหน้าของสองสกุล มายืนคุยเรื่องน่ากระอักกระอ่วนกับนางตรงนี้ ก็เพราะไม่คิดจะยอมแพ้นั่นเอง!

เรื่องประเภทนี้ไม่อาจปล่อยให้ค้างคา ดึงไปลากมามีแต่จะเกิดคำครหาอีกมากมาย

อาถังของนางก็ถึงวัยที่ต้องเตรียมเรื่องหมั้นหมายแล้ว ไม่อาจให้เรื่องนี้มากระทบเด็ดขาด

คนสกุลเฉินส่งยิ้มให้คนสกุลหลิน เอ่ยว่า  สิ่งที่ท่านเป็นห่วงนั้นเหมือนกับข้าไม่มีผิด เรือนข้าก็มีบุตรสาวเพียงคนเดียว บิดานางประคองไว้กลางฝ่ามือก็กลัวหล่น อมไว้ในปากก็กลัวจะละลายหาย จึงตั้งใจแน่วแน่ว่าจะแต่งเขยชายเข้าเรือน ทว่าหาลูกเขยเข้าเรือนมิใช่หากันง่ายๆ ผมบนศีรษะข้าแทบจะร่วงหมดแล้ว 

คนสกุลหลินตกตะลึง

อวี้ถังแอบสะใจ

คนสกุลหลินคงคาดไม่ถึงว่าตนจะถูกปฏิเสธน่ะสิ!

คนสกุลหลินไม่อาจรักษารอยยิ้มไว้บนหน้าได้อีกครั้ง นางเอ่ยกับคนสกุลเฉินอย่างลวกๆ อีกสองสามคำ จากนั้นก็ขอตัวกลับไปพร้อมกับนายหญิงทังอย่างรีบร้อน

อวี้ถังอยากกระโดดกอดแล้วหอมแก้มมารดาสักสองฟอด

นางมองตามแผ่นหลังของคนสกุลหลินไปด้วยใจที่คลายโมโห ก่อนตัดสินใจมอบ ‘ของขวัญ’ ให้คนสกุลหลินสักชิ้น

 ท่านแม่  นางเอ่ยพลางยิ้มตาหยีว่า  สกุลหลี่ที่อยู่ทางใต้ ใช่สกุลหลี่ที่ขายผลไม้หรือไม่เจ้าคะ? 

บรรพบุรุษของหลี่อี้ ก่อร่างสร้างตัวมาจากการค้าผลไม้

แน่นอนว่า นี่เป็นเรื่องตั้งแต่หลายสิบปีก่อนแล้ว

ตอนนี้คนในเมืองหลินอันก็มีคนรู้ไม่มาก

หลังจากที่นางแต่งเข้าสกุลหลี่ นางก็บังเอิญได้ยินเรื่องนี้จากบ่าวเก่าแก่ของสกุลหลี่คนหนึ่ง

สกุลฝั่งมารดาของคนสกุลหลินนั้นค้าขายผ้าไหมและใบชา เป็นพ่อค้าใหญ่ที่สืบทอดกิจการมาหลายรุ่น นางสั่งห้ามอย่างเคร่งครัดไม่ให้ใครพูดเรื่องที่บรรพบุรุษสกุลหลี่เคยขายผลไม้มาก่อน

คนสกุลเฉินกับนายหญิงหม่าต่างไม่เคยได้ยินเรื่องนี้

พวกนางพลันไม่รู้ว่าจะตอบกลับอย่างไร

อวี้ถังกลับเห็นชัดเจนว่าฝีเท้าของคนสกุลหลินสะดุดกึก ร่างแทบจะเซล้ม

มารร้ายในตัวของอวี้ถังอ้าปากหัวเราะกึกก้อง นางตัดสินใจส่ง ‘ของขวัญ’ ให้คนสกุลหลินอีกชิ้น  ท่านแม่ หรือว่าพวกท่านไม่เคยได้ยินมาก่อน? ขนาดป้าหวังที่เปิดแผงขายผลไม้ที่ถนนตะวันออกกับอาลิ่วที่ขายสาลี่อยู่ธารเสี่ยวเหมยยังรู้เลยนะเจ้าคะ 

 จริงรึ?  คนสกุลเฉินกับนายหญิงหม่าคิดว่าอวี้ถังพูดจาเรื่อยเปื่อย จึงตอบไปอย่างไม่ใส่ใจ

อวี้ถังกลับรู้สึกได้ว่าคนสกุลหลินแทบจะยืนไม่มั่นแล้ว

นางหัวเราะคิกคัก ยังคิดจะแดกดันคนสกุลหลินอีกสักหลายประโยค หางตาพลันเหลือบไปเห็นว่าข้างระเบียงทางเดินมีคนยืนอยู่

อวี้ถังเงยหน้าขึ้นมอง สีหน้าพลันอับจน ก้าวถอยหลังไปสองก้าว

คราวนี้เปลี่ยนเป็นนางที่แทบทรงตัวไม่อยู่แทน

ทว่าซิ่วเหนียงประคองนางไว้ด้วยมือไม้ที่ว่องไว ถามอย่างเป็นห่วงว่า  เจ้าเป็นอะไรไป? ยืนไม่มั่นเพราะเท้าแพลงรึ? 

 เปล่าหรอก เปล่าหรอก  อวี้ถังตอบด้วยสีหน้าแดงเรื่อ  ข้าไม่เป็นไร! 

คนกลับเขย่งเท้า ชะเง้อคอยืดยาวไปมองด้านหลังของหม่าซิ่วเหนียง

หม่าซิ่วเหนียงก็หันไปมองตามนางอยู่หลายครั้ง

หลังคาระเบียงทางเดินทาสีเทาเข้ม หินเขียววาววับ ก้านไผ่หยุดนิ่ง ว่างเปล่าไร้คน ทว่าอุดมชุ่มด้วยสีเขียว จากที่ที่ไกลออกไป มีสายลมเย็นโชยพัดผ่านมา

 เจ้ามองอะไรน่ะ?  คนอื่นๆ ก็ถามอวี้ถังอย่างไม่เข้าใจ

 ไม่ได้มองเจ้าค่ะ! ไม่ได้มอง!  อวี้ถังกลบเกลื่อนด้วยท่าทีนิ่งเฉย แล้วกระตุกแขนเสื้อของมารดา เอ่ยว่า  แขกกลับเรือนเจ้าบ้านจะได้สงบ พวกเรารีบกลับกันเถอะเจ้าค่ะ! 

ทุกคนต่างก็เหนื่อยล้า

 ไปสิ!  นายหญิงหม่าเชื้อเชิญอวี้ถังกับมารดาด้วยความอบอุ่นว่า  ถ้าพวกเจ้าพอมีเวลา ก็ไปนั่งเล่นที่เรือนข้าได้ บิดาของนางไปหังโจว อีกตั้งเจ็ดแปดวันถึงจะกลับ ถ้าพวกเจ้ามา จะได้อยู่เป็นเพื่อนข้าบ้าง 

คนสกุลเฉินตอบตกลง แล้วพูดคุยกับนายหญิงหม่าแม่ลูก ก่อนจะเดินไปบอกอวี้เหวินเอาไว้สักคำ จากนั้นเดินทางกลับเรือน

อวี้ถังใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

ช่วงนี้โชคชะตานางเป็นอย่างไรหนอ? เหตุใดไม่ว่าไปตรงไหนก็เจอนายท่านสามไปเสียทุกที่

อีกทั้งยังเป็นตอนที่นางน่าขายหน้าที่สุด…เมื่อครู่ตอนที่อยู่สกุลเผย นางยิ้มไปแล้ว

พิธีศพที่ต้องสำรวมตามกาลเทศะ นางกลับหัวเราะออกมา ซ้ำยังหัวเราะอย่างเบิกบาน แล้วดันมาถูกนายท่านสามจับได้คาหนังคาเขา

เขาจะคิดหรือไม่ว่านางมีเจตนาหลบหลู่ผู้ตาย!

อีกอย่าง สีหน้าของเขาเมื่อครู่ก็ไม่น่ามองสักนิด

มันดำมืดจนแทบจะมีน้ำหมึกหยดลงมาอยู่แล้ว

ไม่รู้ว่าเพราะเขาได้ยินเสียงนางหัวเราะถึงได้เดือดดาล? หรือเพราะว่าเขาอารมณ์ไม่ดีอยู่แล้วกันแน่?

ทว่า เขาตัวคนเดียว เหตุใดจึงไปโผล่ตรงนั้นแล้วบังเอิญเจอพวกนางได้เล่า?

เขาเห็นแค่ว่านางหัวเราะหรือกระทั่งวาจาที่เยาะหยันคนสกุลหลินก็ได้ยินทั้งหมดด้วย?

อวี้ถังถอนหายใจ

นางในสายตาเขาคงไม่เหลือชิ้นดีแล้วกระมัง!

อวี้ถังนึกไปถึงต้นไม้ของสกุลเผยที่ถูกตัดดอกออกจนเกลี้ยง

มีเพียงความเขียวขจีผืนใหญ่

ไร้ซึ่งสีสันโดยสิ้นเชิง

ไม่รู้ว่านางจะเหมือนกับดอกไม้ที่อยู่บนต้นไม้เหล่านั้นหรือไม่ ถูกเขากำจัดทิ้ง…

ทว่า จะพูดอีกอย่างหนึ่ง จิตใจเขาออกจะคับแคบเกินไปหน่อยกระมัง

แค่เรื่องเล็กๆ ก็ทำหน้าไม่สบอารมณ์แล้ว

เป็นถึงตั้งซู่จี๋ซื่อแล้วนะ?

ทว่าบัดนี้บิดาเขาจากไปแล้ว เขาคงจะต้องอยู่เฝ้าจวนเพื่อไว้ทุกข์?

ต่อไปไม่แน่อาจจะได้พบหน้ากันอีก…

เหตุใดนางจึงโชคร้ายเช่นนี้

อวี้ถังซึมเศร้าไปหลายวัน

————————————————————-

[1] ดอกหลันฮวากลางวสันต์ ดอกจวี๋ฮวากลางเหมันต์ อุปมาถึงแต่ละคนต่างมีจุดแข็งของตัวเอง และแต่ละสิ่งก็มีข้อดีของมัน

[2] มือที่ยื่นไปย่อมไม่ตบคนที่ส่งยิ้มให้ หมายถึง เมื่อยื่นมือออกไปจะตีอีกฝ่ายที่เป็นคนผิด ทว่าอีกฝ่ายก็ยอมรับผิดทั้งส่งยิ้มกลับมาให้ ถึงเวลานั้นเจ้าตัวย่อมใจอ่อน ไม่อาจตัดใจตีคนได้อีก

[3] คืนลูกหลี่กลับ มาจากสำนวน มอบลูกท้อมา คืนลูกหลี่กลับ หมายถึง ตอบแทนน้ำใจซึ่งกันและกัน ตรงกับสำนวนไทยว่า หมูไปไก่มา

[4] เรือนใครต่างก็มีคัมภีร์ที่สวดยาก หมายถึง ทุกบ้านทุกครอบครัว ล้วนมีปัญหาของตัวเอง

Related

 

อวี้ถังตั้งใจฟังที่หม่าซิ่วเหนียงพูดอย่างใจจดใจจ่อ พลันมีคนเดินเข้ามาทักทายคนสกุลเฉิน  เจ้าเป็นแขกที่หาตัวจับยากนัก! วันที่อากาศร้อนเช่นนี้ ข้าคิดว่าเจ้าไม่มีทางก้าวออกจากประตูแน่ คิดไม่ถึงว่าจะมาคารวะศพท่านผู้เฒ่าด้วย 

คนสกุลเฉินกับนายหญิงหม่าซิ่วไฉต่างลุกขึ้นยืน ทักทายผู้มาเยือนอย่างเกรงใจว่า  นายหญิงทัง ท่านก็มาคารวะศพท่านผู้เฒ่าด้วยหรือ! 

อวี้ถังเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นดวงหน้าของสตรีที่เต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์คนหนึ่ง

สายตาของนางเย็นเยียบ

ภรรยาของทังซิ่วไฉ ‘นายหญิงทัง’

นางคือคนที่ชาติก่อนได้รับการไหว้วานจากสกุลหลี่ให้มาเจรจากับนางลับๆ หากว่านางตอบรับงานมงคลกับสกุลหลี่ สกุลหลี่ก็ยินดีให้สกุลอวี้หยิบยืมเงินห้าพันตำลึง

ชาติก่อน นางนับถือนายหญิงทังว่าเป็นผู้มีพระคุณ คิดว่านางช่างมีน้ำใจและจริงใจยิ่ง

ต่อมาพอเริ่มรู้อะไรมากขึ้น นางถึงคิดได้ว่า ที่นายหญิงทังผู้นี้สามารถข้ามหน้าป้าสะใภ้แล้วมายุยงให้แม่นางน้อยอย่างนางตอบรับงานมงคลกับสกุลหลี่อย่างลับๆ ได้ ย่อมเป็นคนใจคอเลวทราม ยากแท้หยั่งถึง และมีเจตนาไม่ดีแอบแฝงต่างหาก

นายหญิงทังทักทายคนสกุลเฉินและนายหญิงหม่ากลับตามมารยาท นางดึงผ้าเช็ดหน้าออกมาซับตรงหางตาที่ไม่ได้มีน้ำตาสักหยด เอ่ยพร้อมสีหน้าเจือความเจ็บปวดว่า  ถูกต้องแล้ว! การจากไปของท่านผู้เฒ่า ถือเป็นเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่งของเมืองหลินอันของพวกเรา! ฮูหยินจวนผู้ตรวจการก็มาด้วย ก็นี่แหละ ข้านั่งพักผ่อนเป็นเพื่อนนางอยู่ที่เรือนทางโน้นตลอด ไม่ได้สังเกตว่าพวกเจ้าก็มาด้วย 

คนสกุลเฉินกับนายหญิงหม่าไม่ค่อยอยากเสวนาพาทีกับนายหญิงทังผู้นี้มากนัก ความจริงก็เพราะนายหญิงทังผู้นี้ไม่เพียงชมชอบออกงานพบปะ ปีนป่ายเกาะพวกชนชั้นสูง ทั้งชอบคุยโวโอ้อวดอีกด้วย

ท่านข้าหลวงทังกับทังซิ่วไฉมีชื่อสกุลเหมือนกัน ไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลกลใด ถึงยอมให้ท่านข้าหลวงทังที่อ่อนกว่าทังซิ่วไฉถึงสองปีเป็นท่านลุงร่วมสกุลของถังซิ่วไฉไปได้ นายหญิงทังผู้นี้ก็ตามประจบประแจงฮูหยินทังภรรยาของข้าหลวงทังทั้งวี่วัน กระตือรือร้นจนบางครั้งก็ทำให้ฮูหยินทังเองก็รับมือไม่ไหว

เมื่อได้ยินนางเริ่มต้นคุยโว คนสกุลเฉินกับนายหญิงหม่าที่ไม่ค่อยชอบนางก็ถามคำตอบคำไปไม่กี่ประโยค เตรียมจะไล่นางให้จากไป

ใครจะคิดว่าคนที่ปกติเมื่อฮูหยินทังอยู่ในสายตาแล้วจะมองไม่เห็นหัวใครอีกอย่างนายหญิงทัง วันนี้คล้ายว่ากินยาผิดขนาน ไม่เพียงไม่ยอมจากไป ยังยิ้มหยดย้อยพลางสำรวจอวี้ถังกับหม่าซิ่วเหนียงไปด้วย เอ่ยว่า  ไม่เจอกันแค่ไม่กี่วัน แม่นางน้อยอวี้กับแม่นางน้อยหม่าล้วนโตเป็นสาวกันแล้ว ทั้งงดงามและอ่อนหวาน หากว่าเจอกันบนถนน ข้าไม่มีทางจำได้แน่ 

คนสกุลเฉินกับนายหญิงทังจึงต้องให้บุตรสาวของตนออกมาคารวะนายหญิงทัง แล้วพูดถ่อมตนไปสองสามคำ

ราวกับว่านายหญิงทังมองไม่เห็นการสนทนาแบบขอไปทีของคนสกุลเฉินกับนายหญิงหม่า ยังเอ่ยอย่างสนิทสนมว่า  ข้าถึงได้พูดกับฮูหยินทังอย่างไรเล่า นายหญิงซิ่วไฉทั่วทั้งเมืองก็มีแต่พวกเจ้าสองคนนี่แหละที่มีคุณธรรมเพียบพร้อมกว่าใคร ในเรือนมีแม่นางน้อยที่งดงามเพียงนี้ยังไม่ยอมให้ผู้คนได้ยลโฉมบ้าง หากว่าข้ามีบุตรสาวที่เป็นหน้าเป็นตาเช่นนี้คงพาเดินอวดไปทั่วเมืองแล้ว 

สองคนไม่อยากเสวนากับนางมาก จึงได้แต่อือออตอบกลับ

ไม่รู้ว่าอวี้ถังคิดมากไปเองหรือไม่ นางรู้สึกว่านายหญิงทังกำลังมองสำรวจนางกับหม่าซิ่วเหนียง ทั้งให้ความสนใจกับนางมากเป็นพิเศษ

นางเบี่ยงตัวไปหลบอยู่หลังมารดาอย่างเงียบๆ

นายหญิงทังหัวเราะพลางดึงมือหม่าซิ่วเหนียงที่นั่งอยู่ข้างๆ มาจับไว้ เอ่ยถามนายหญิงหม่าว่า  ข้าจำได้ว่าแม่นางน้อยเรือนเจ้าปักปิ่นไปเมื่อเดือนสามปีก่อน หมั้นหมายแล้วหรือยังเล่า? พวกเรามีคุณหนูที่โดดเด่นเช่นนี้ ไม่อาจยกให้ใครไปง่ายๆ 

หม่าซิ่วเหนียงเขินอายจนก้มหน้างุดๆ

นายหญิงหม่ากลับเริ่มขมวดคิ้ว

ต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้ นายหญิงทังกลับพูดเรื่องงานมงคลของหม่าซิ่วเหนียงต่อหน้าเจ้าตัวอย่างตรงไปตรงมา นี่เป็นเรื่องที่เสียมารยาทอย่างยิ่ง

นายหญิงหม่าพูดอย่างไม่พอใจว่า  นายหญิงทังจำผิดแล้ว ปักปิ่นเดือนสามเป็นแม่นางน้อยสกุลอวี้ บุตรสาวข้าปักปิ่นตอนเดือนห้า 

 ไอหยา! ดูความจำของข้าสิ!  นายหญิงทังหัวเราะ มองไปทางคนสกุลเฉินแม่ลูก เอ่ยว่า  แม่นางอวี้มีคุยเรื่องหมั้นหมายแล้วหรือไม่? อยากให้ข้าช่วยดูให้ไหมเล่า เจ้าลองเดาดูสิว่าเมื่อครู่ข้าไปเจอใครมา? ฮูหยินหยางที่เป็นพี่สะใภ้ของนายหญิงใหญ่สกุลเผยนั่นอย่างไร ฮูหยินหยางหนนี้ไม่ได้มาคนเดียว ยังพาหลานชายของบ้านฝั่งมารดามาด้วย! อีกอย่างข้าได้ยินมาว่า สามีของฮูหยินหยางเป็นถึงทงเจิ้งสื่ออยู่ที่สำนักทงเจิ้งเชียวนะ! ซ้ำเป็นขุนนางขั้นสามแล้ว ไม่อย่างนั้นฮูหยินหยางคงไม่คอยอยู่ที่โน่นเป็นเพื่อนหรอก! 

วาจานี้หมายความว่าอย่างไร?

ฮูหยินหยางพาใครมาด้วยแล้วเกี่ยวอะไรกับอวี้ถังเล่า?

คิดจะใช้บารมีของสกุลหยางมาหลอกล่อสกุลอวี้อย่างนั้นรึ?

คนสกุลเฉินเริ่มโกรธ น้ำเสียงที่ตอบไปจึงแข็งทื่อ  ไม่ต้องรบกวนนายหญิงทังให้เสียเวลาหรอก อวี้ถังของเราจะเก็บไว้เตรียมรับเขยชายแล้ว 

นายหญิงทังตะลึงไป

ร่างกายผอมบางของคนสกุลเฉินบังอยู่เบื้องหน้าอวี้ถัง ไม่มีขยับเลยสักนิด

นายหญิงทังฝืนยิ้มส่งให้ทีหนึ่ง บอกว่า  เช่นนั้นข้าไม่รบกวนแล้ว ขอไปอยู่เป็นเพื่อนฮูหยินทังก่อน รอมีเวลาจะไปเยี่ยมที่เรือนพวกเจ้า 

 ข้าไม่ส่งแล้วกัน!  คนสกุลเฉินเอ่ยเสียงเบา

นายหญิงทังจากไปพร้อมความขุ่นเคือง

นายหญิงหม่าถอนหายใจยาวเหยียด ก่อนจะพูดถึงนายหญิงทังด้วยความนึกรังเกียจอย่างไม่ปิดบัง  ยังดีที่นางรู้ตัวจากไปเอง ถ้ายังพูดมากอีกสองคำ ข้าคงหมดความอดทนแล้ว  พูดจบก็เรียกอวี้ถังกับหม่าซิ่วเหนียงให้มานั่ง แล้วทำหน้าเข้มงวดใส่พวกนาง  เป็นสตรี ต่อไปถ้าเรื่องเจอแบบนี้อีกก็ไม่ควรฟังไม่ควรถาม ให้เดินหลบไปเสีย รู้หรือไม่? 

หม่าซิ่วเหนียงร้องออกมาอย่างเจ็บช้ำน้ำใจว่า  ข้าก็ไม่ได้อยากฟัง… 

 ผู้ใหญ่กำลังพูดเด็กต้องหยุดฟัง  นายหญิงหม่าไม่รอให้นางพูดจบก็ตัดบททันที จากนั้นก็ไม่สนใจบุตรสาว หมุนตัวไปคุยกับคนสกุลเฉินต่อว่า  เจ้าว่านายหญิงทังผู้นี้คิดอะไรอยู่? ฮูหยินทังก็ดี ฮูหยินหยางก็ดี สกุลผู้อื่นจะโดดเด่นเพียงไรก็เป็นเรื่องของสกุลอื่น นางเที่ยวแต่จะป่ายปีนเกี่ยวเกาะแบบนี้ ไม่เห็นว่าจะได้ดิบได้ดีอะไร! 

ได้ดี?!

อวี้ถังชะงักไป

คนสกุลเฉินเข้าร่วมวง แล้วเริ่มวิจารณ์นายหญิงทังกับนายหญิงหม่าเสียงเบา หม่าซิ่วเหนียงก็ลากอวี้ถังมากระซิบกระซาบว่า  ข้าจะบอกให้ มีคนมาทาบทามเรื่องหมั้นหมายที่เรือนข้าแล้ว แต่ว่าสกุลโน้นไม่มีมารดา ในเรือนยังมีน้องสาวน้องชายอีกหลายคน ท่านแม่ข้ากำลังลังเลอยู่ จึงยังไม่ได้พูดออกไป 

หมั้นหมาย?

ตอนนี้เพิ่งจะเริ่มหมั้นหมายหรือ?

เป็นถงเซิงสกุลจางเหมือนกับชาติก่อนหรือไม่?

อวี้ถังถูกคำพูดของหม่าซิ่วเหนียงดึงดูดความสนใจไป จึงไม่มีกะใจครุ่นคิดคำพูดของนายหญิงทัง หันไปถามหม่าซิ่วเหนียงเรื่องคนที่มาขอหมั้นหมายด้วยความอยากรู้

หม่าซิ่วเหนียงตอบอย่างเขินอายแต่ก็อดจะอวดๆ ไม่ได้ว่า  เป็นศิษย์พี่จางที่ศึกษาเล่าเรียนกับท่านพ่อข้า คนก็ดียิ่งนัก ซื่อสัตย์มีความรับผิดชอบ แต่ไรก็ไม่เคยออกไปเที่ยวเล่นดื่มสุรากับคนพวกนั้น ทั้งยังหมั่นเพียรศึกษา ท่านพ่อข้าพูดแล้วว่า อย่างไรเขาก็น่าจะสอบเป็นซิ่วไฉได้ หากว่าตกลงเรื่องหมั้นหมายเรียบร้อย เกรงว่าต้องรีบจัดงานแต่งทันที 

อวี้ถังฟังแล้วในใจก็รู้สึกผิด

ชาติก่อน หม่าซิ่วเหนียงดูแลนางเป็นอย่างดี นางจมดิ่งอยู่ในความเจ็บปวดที่ต้องสูญเสียทั้งบิดาและมารดาไป จึงไม่ค่อยได้ใส่ใจหม่าซิ่วเหนียงมากนัก หม่าซิ่วเหนียงหมั้นหมายกับจางถงเซิงตอนไหน แต่งงานออกไปเมื่อไรล้วนไม่รู้เรื่องทั้งสิ้น หากมิใช่กำไลเงินหนักห้าตำลึงนั่น เกรงว่านางคงไม่มีความทรงจำใดเกี่ยวกับหม่าซิ่วเหนียงอีกแล้ว

นางปฏิบัติต่อหม่าซิ่วเหนียงได้ไม่เท่ากับที่ความจริงใจที่หม่าซิ่วเหนียงมีให้ต่อนางเลย

 เจ้าจะต้องมีความสุขแน่!  อวี้ถังไม่รู้เลยว่าหลังแต่งออกไปนางมีชีวิตเป็นอย่างไรบ้าง จึงได้แต่มอบคำอวยพรอันจืดชืดให้นาง

หม่าซิ่วเหนียงกลับพยักหน้ารับอย่างแรง คล้ายว่าคำอวยพรนี้ของอวี้ถังมันมากพอสำหรับนางแล้ว

อวี้ถังบีบมือหม่าซิ่วเหนียงไว้แน่น

เรือนรับรองเริ่มมีอาหารมาขึ้นโต๊ะแล้ว

อวี้ถังนึกไปถึงคนสกุลหลิน แม่สามีในชาติก่อนของนาง

พ่อสามีเมื่อชาติก่อนของนางคือหลี่อี้ ตอนนี้รับตำแหน่งเป็นท่านข้าหลวงอยู่ที่ซานตง คนสกุลหลินมักจะคุยโตว่าตนเป็นสายเลือดขุนนาง ไม่เห็นสกุลธรรมดาสามัญอยู่ในสายตาสักนิด พวกบุตรสาวของเหล่าซิ่วไฉยิ่งเป็น ‘คนบ้านนอกที่ล้างกลิ่นความจนออกไม่หมด’ ในสายตานาง ปกติเวลาเจอนางก็จะเอาจมูกชี้ขึ้นฟ้า แสร้งทำว่ามองไม่เห็น นี่ก็คือเหตุผลว่าทำไม แม้จะเป็นคนเมืองเดียวกัน แต่อวี้ถังกลับไม่กลัวที่จะบังเอิญเจอนางเลยสักนิด

หากลองกวาดตามองทั่วเมืองหลินอัน ฮูหยินของจิ้นซื่อก็มีอยู่แค่ไม่กี่คนจริงๆ

ฮูหยินทังกับคนสกุลหลินจึงได้ไปมาหาสู่กัน นับว่ามีความสัมพันธ์ไม่เลว

ในเมื่อฮูหยินหยางมาแล้วก็ต้องมีฮูหยินทังอยู่เป็นเพื่อน คิดว่าคนสกุลหลินก็คงต้องเป็นหนึ่งในนั้นแน่

นายหญิงทังปรี่เข้ามาทักทายพวกนางอย่างงงๆ นางคงไม่ได้ไปเจอกับคนสกุลหลินอย่างงงๆ ด้วยกระมัง?

อวี้ถังก้มหน้าก้มตากินข้าว ตัดสินใจหลบเลี่ยงสตรีสูงศักดิ์พวกนั้น…นางไม่กลัวคนสกุลหลิน แต่นางกลัวตัวเองจะข่มกลั้นไม่ไหวแล้วสาดน้ำชาใส่หน้า สุดท้ายไม่อาจให้คำอธิบายอะไรได้ จนทำให้มารดาของนางต้องขายหน้า

แต่บางเวลา อะไรที่ยิ่งไม่อยากให้เกิด มันก็ดันเกิดขึ้นจนได้

อวี้ถังนั่งกินอาหารเจที่สกุลเผยอย่างว่างเปล่า เบื้องหน้าเห็นว่าแสงแดดยิ่งแรงขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนหนังตาเริ่มหย่อน คนสกุลเฉินกับนายหญิงหม่าพาบุตรสาวเตรียมตัวไปบอกกล่าวลากลับ พอออกจากเรือนรับรอง กลับต้องเผชิญหน้ากับนายหญิงทังและคนสกุลหลินผู้เป็นแม่สามีของนางเมื่อชาติก่อน

คนสกุลหลินยังคงทำให้อวี้ถังรู้สึกรังเกียจได้เหมือนเคย ผมสีดำขลับถูกม้วนขึ้นอย่างบรรจง ติดดอกฉาฮวาสีขาวสองดอก [1] สวมเสื้อตัวบนที่ตัดจากผ้าไหมหังโจวสีฟ้าอ่อน กระโปรงจับจีบสีเข้ม ทำหน้าบอกบุญไม่รับ สีหน้าเคร่งขรึม เจือความเย่อหยิ่งอยู่หลายส่วน

จากที่ไกลๆ อวี้ถังก็รู้สึกได้ว่าสายตาของนางจับจ้องอยู่ที่ตน รอกระทั่งนายหญิงทังไม่รู้กระซิบอะไรที่ข้างหูจนเสร็จ สายตาที่จับจ้องอวี้ถังอยู่ก็ยิ่งทวีความสนใจมากกว่าเดิม

นี่มันหมายความว่าอย่างไร?

อวี้ถังรู้ตัวว่าตนหน้าตาสะสวย อีกทั้งเพราะสะสวยจึงถูกคนมองบ่อยๆ แต่นางก็ไม่ได้ภาคภูมิใจอะไร ที่คนไร้เมตตาไร้น้ำใจอย่างคนสกุลหลินจะสังเกตเห็นนางหรือถึงขั้นมาสนใจนางเพราะหน้าตาที่สะสวยนี้

ในใจนางพลันมีความคิดบางอย่างแวบผ่าน แต่พอจะคว้าไว้ กลับหายวับไปทันตา

 นายหญิงอวี้ นายหญิงหม่า!  นายหญิงทังหัวเราะเสียงดังแล้วเดินเข้ามาหา เอ่ยว่า  นับว่ามีวาสนาต่อกันจริงๆ  พูดจบ นางก็แนะนำคนสกุลหลินที่อยู่ข้างกายให้คนสกุลเฉินกับนายหญิงหม่ารู้จัก  นี่คือ ‘ฮูหยินหลี่สกุลหลิน’ นางเป็นฮูหยินของใต้เท้าหลี่ที่รับตำแหน่งท่านข้าหลวงอยู่ที่รื่อเจ้า ซึ่งอยู่ทางใต้ของเมือง ทั้งเขายังอายุเท่ากับนายท่านรองด้วย 

คนสกุลเฉินกับนายหญิงหม่าทำได้เพียงหยุดฝีเท้าลง แล้วเอ่ยทักทายพวกนาง

คนสกุลหลินยังมองอวี้ถังอีกหลายที

อวี้ถังตอนนี้มั่นใจแล้วว่าสัญชาตญาณของตนไม่ผิด

นายหญิงทังก็ดี คนสกุลหลินก็ดี ล้วนแต่พุ่งเป้ามาที่นาง

แล้วนางมีอะไรที่มีค่าพอให้พวกนางมาสนใจเล่า?

ตอนนี้หลี่จวิ้นก็ยังไม่เคยเจอนางเสียหน่อย!

คนสกุลหลินทักทายมารดาของอวี้ถังกับนายหญิงหม่าอย่างสง่างาม เอ่ยปากพูดด้วยความสนิทสนมอ่อนโยน  ได้ยินชื่อเสียงอันดีงามของสองท่านมานานแล้ว บุพเพไม่นำพา ถึงไม่มีโอกาสได้เจอกันเสียที ตอนนี้นับว่ามีวาสนาถึงได้เจอกันในที่สุด 

คนสกุลเฉินกับนายหญิงหม่าล้วนประสานเสียงบอกว่าไม่กล้ารับ

สายตาของคนสกุลหลินมักจะวนเวียนไปทางอวี้ถังเสมอคล้ายไม่ตั้งใจ

อวี้ถังแสยะยิ้มในใจ ปล่อยให้นางมองตามสบาย

แม้ผิวของนางจะขาวมาก ละเอียดเกลี้ยงเกลาจนไร้ซึ่งตำหนิ ทว่าแก้มสองข้างยังเหมือนเด็กๆ ที่ค่อนข้างจะมีเนื้อ รูปร่างของนางก็เช่นกัน นุ่มนิ่มละเมียดละไม แม้จะหยดย้อยแต่ก็อวบอิ่ม ไม่เหมือนบุตรสาวจากหลายสกุลในตอนนี้ ที่ยื่นมือออกมาก็เห็นแต่กระดูก ด้วยเหตุนี้คนสกุลหลินถึงนึกรังเกียจว่านางอ้วน คำชมที่ออกมาจึงเหลือแค่ผิวพรรณงดงามเท่านั้น

นางในชาติก่อน มีช่วงเวลาหนึ่งที่รู้สึกต่ำต้อยนัก กินข้าวยังไม่กล้ากินมากเกินไป

กระทั่งพี่สะใภ้ของนางในชาติก่อน ซึ่งก็คือกู้ซีภรรยาของหลี่ตวนบอกว่าอิจฉารูปร่างเช่นนี้ของนางซึ่งเหมาะกับการให้กำเนิดบุตร นางถึงคิดได้ว่าคนสกุลหลินนั้นหากระดูกในไข่ [2] เพราะคิดว่านางทำให้หลี่จวิ้นต้องตาย นึกรังเกียจนางก็เท่านั้นเอง

————————————————————-

[1] ดอกฉาฮวา คือ ดอกคาเมลเลีย

[2] หากระดูกในไข่ หมายถึง พยายามหาข้อตำหนิติเตียนคนหรือสิ่งของ ทั้งที่ไม่มีข้อให้ตำหนิ

Related

 

แต่อย่างไร อวี้ถังกับมารดาก็เหมือนนั่งอยู่บนพรมเข็ม สถานที่แห่งนี้ไม่อาจรั้งอยู่ได้นาน สองคนหารือกันเสร็จ คิดว่าจะบอกกับเล่ยจือไว้สักคำ ว่าพวกตนจะล่วงหน้าไปยังสถานที่จัดเลี้ยงอาหารเจของสกุลเผยก่อน

ใครจะรู้ว่าตอนที่พวกนางเดินออกมา กลับเจอบ่าวกลุ่มหนึ่งกำลังย้ายหีบลังกันอยู่

ฟังจากน้ำเสียง เป็นฮูหยินหยางพี่สะใภ้ของนายหญิงใหญ่เผยที่มาร่วมแสดงความเสียใจ ตอนนี้กำลังย้ายข้าวของเข้าไปพักในเรือนซึ่งห่างจากตรงนี้ไม่ไกล

มิน่าเมื่อครู่ได้ยินเสียงเอะอะโวยวาย

คนสกุลเฉินกับอวี้ถังกลัวว่าจะเป็นจุดสนใจ จึงตามหาเล่ยจือเงียบๆ แล้วบอกลานาง

เล่ยจือนึกว่าพวกนางสองแม่ลูกรู้สึกว่าเรือนนี้เงียบเหงาเกินไป คิดว่านี่ก็ใกล้ถึงเวลากินข้าวแล้ว จึงทิ้งงานในมือ แล้วพาพวกนางไปที่เรือนรับรองซึ่งจัดอาหารกลางวันไว้

เที่ยงตรงของฤดูร้อน แสงอาทิตย์สาดแสงทิ่มแทงตา ทว่าต้นไม้ใหญ่สองฝั่งของระเบียงทางเดินกลับบดบังได้มิดชิด ลมเย็มโชยผ่าน สบายตัวยิ่งนัก

ด้านหน้าไกลๆ อวี้ถังเห็นบุรุษหลายคนกำลังเดินจากระเบียงทางเดินตรงเข้ามา

บุรุษที่อยู่ตรงกลาง อายุประมาณยี่สิบสามยี่สิบสี่ปี รูปร่างสูงใหญ่ผ่าเผย สวมชุดไว้ทุกข์ สีหน้าขาวซีด สันจมูกโด่งสูง สันกรามที่เครียดเขม็งยกขึ้นเล็กน้อย แม้ท่าทีจะดูเปิดเผย ทว่ากลางหว่างคิ้วกลับแสดงอารมณ์อึมครึม

เขาคือบุรุษชุดเขียวที่นางเจอในโรงจำนำวันนั้นนี่

ดวงตาดั่งผลซิ่งของอวี้ถังเบิกกว้าง

เขา มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?

นี่เป็นเรือนชั้นในของสกุลเผยนะ!

เล่ยจือวุ่นวายกับการลากชายเสื้อของอวี้ถัง พูดเสียงร้อนรนว่า  คุณหนูใหญ่อวี้ นั่นคือนายท่านสามและสหายของท่านเจ้าค่ะ ท่าน ท่านต้องหลบสักหน่อย 

นายท่านสาม?!

นายท่านสามสกุลเผย?!

ไม่น่าใช่หรอก?!

อวี้ถังมองไปทางเล่ยจือ แล้วก็มองไปที่คนตรงหน้า คิดว่าตัวเองหูตาฝ้าฟางไปแล้ว

เล่ยจือเห็นว่าสายตาของอวี้ถังไม่มีหลบเลี่ยง เอาแต่จ้องเขม็งที่นายท่านสามตรงๆ ก็ร้อนใจจนเหงื่อผุดเต็มหน้า ไม่อาจมัวสนใจเรื่องมารยาทได้อีก จึงลากอวี้ถังไปหลบที่มุมหัวโค้งของระเบียงทันที

คนสกุลเฉินเห็นสถานการณ์ดังนั้น ก็ขึ้นมายืนบังอวี้ถังไว้

เผยเยี่ยนไม่ได้แลตามอง เพียงเดินผ่านระเบียงตรงหน้าไป

ทว่าเป็นบุรุษที่เดินตามเขาอยู่ข้างหลัง หันหน้ากลับมามองอวี้ถังอยู่หลายที

อวี้ถังไม่ได้สังเกตเห็นสิ่งเหล่านี้ นางยังตกอยู่ในความสะพรึงที่ว่าบุรุษชุดเขียวผู้นั้นก็คือนายท่านสามสกุลเผย

รอจนเล่ยจือพานางเดินต่อไปเบื้องหน้า นางก็ยังถามย้ำกับเล่ยจืออีกรอบอย่างทำใจเชื่อไม่ลงว่า  นายท่านสาม เหตุใดถึงอายุน้อยขนาดนี้? 

เล่ยจือตอบว่า  นายท่านสามเป็นลูกหลงของท่านผู้เฒ่าเจ้าค่ะ! 

นางรู้อยู่แล้วว่าเขาเป็นลูกหลง!

แต่นางไม่รู้ว่าเขาจะอายุน้อยถึงเพียงนี้!

นึกถึงตอนแรก นางยังเดาว่าเขาเป็นคุณชายของสกุลสาขาอีกสองสายอยู่เลย

เชื่อว่าเขาต้องเป็นญาติของสกุลเผยแน่

มิน่าตอนนั้นเขาถึงทำหน้าไม่พอใจ

อวี้ถังหน้าขึ้นสี เอ่ยว่า  นายท่านสามของเจ้าสอบผ่านเป็นซู่จี๋ซื่อได้ตอนอายุเท่าไร? 

เล่ยจือตอบว่า  ยี่สิบเอ็ดเจ้าค่ะ 

จะโทษนางก็ไม่ได้

บิดานางตอนที่อายุยี่สิบเอ็ดยังเป็นถงเซิงอยู่เลย

อวี้ถังทำปากยู่

คนสกุลเฉินเอ่ยปรามอวี้ถังว่า  ห้ามเสียมารยาท! ตั้งใจเดินไปก็พอ 

มาวิจารณ์คนของสกุลเผยในจวนสกุลเผย จะไร้มารยาทเกินไปแล้ว

อวี้ถังได้แต่ปิดปากเงียบ

คนสกุลเฉินยังไม่วางใจ พูดต่อว่า  เจ้ารับปากข้าแล้ว จะไม่ก่อเรื่อง ถ้าเจ้ายังอยากรู้ไม่เลิก ก็ข่มกลั้นเอาไว้เสีย 

อวี้ถังผงกศีรษะอย่างจนใจ

เล่ยจือฟังออกว่าสองแม่ลูกพูดจาเป็นนัย จึงถามอย่างวิตกว่า  เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ? 

คนสกุลเฉินตอบว่า  ไม่มี ไม่มี เจ้าเด็กคนนี้ ก็แค่อยากรู้อยากเห็นไปทั่วน่ะ 

นัยน์ตาของเล่ยจือมีกระแสขบขันพาดผ่าน เอ่ยว่า  คนที่ได้เจอหน้านายท่านสามสกุลเราล้วนแต่ตื่นตะลึงทุกคน คุณหนูใหญ่อวี้มิใช่คนแรกหรอกเจ้าค่ะ  นางพูดไป ก็หันไปมองข้างหลังทีหนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยเสียงเบาว่า  นายท่านสามน่าจะไปเยี่ยมฮูหยินหยางเจ้าค่ะ 

 เยี่ยมฮูหยินหยาง?  อวี้ถังทวนคำด้วยสีหน้าประหลาด

นายท่านสามสกุลเผยกับฮูหยินหยางมีอะไรให้คุยกันรึ?

 ก็คือพี่สะใภ้ฝั่งมารดาของนายหญิงใหญ่เผยเจ้าค่ะ  เล่ยจือตอบ  พี่น้องฝั่งมารดาของนายหญิงใหญ่เผยเป็นทงเจิ้งสื่ออยู่ที่สำนักทงเจิ้ง [1]   พูดถึงตรงนี้ เล่ยจือก็หันซ้ายขวามองรอบทิศ เห็นว่าไม่มีใคร ก็เผยสีหน้าดูถูกออกมา เอ่ยว่า  เมื่อครู่ฮูหยินหยางไม่สบายเจ้าค่ะ บอกว่าจัดให้อยู่ในเรือนคงไม่ดี สั่งให้พ่อบ้านใหญ่เปลี่ยนเป็นหลังอื่น พ่อบ้านใหญ่ก็จริงๆ เลย เรื่องเล็กเท่านี้ก็ต้องรายงานให้นายท่านสามทราบ…เพราะเรื่องท่านผู้เฒ่าทำให้หลายวันนี้นายท่านสามกินดื่มอะไรแทบไม่ลงอยู่แล้ว นอนก็แทบไม่ได้นอน อารมณ์คงไม่ดีเท่าไร พ่อบ้านใหญ่โผล่พรวดพราดเข้าไป ท่านคอยดูเถอะ เดี๋ยวพ่อบ้านใหญ่ต้องถูกตำหนิแน่ 

ไม่รู้นี่ใช่หนึ่งในแผนการของฮูหยินหยางหรือไม่?

อวี้ถังขบคิด

คนสกุลเฉินได้ฟังก็รู้สึกหวาดกลัวมาก เอ่ยเสียงแผ่วว่า  บางทีพ่อบ้านใหญ่อาจจะไม่รู้ต้องทำอย่างไรกับฮูหยินหยาง? 

 ฮูหยินหยางไม่ใช่คนเช่นนั้นเจ้าค่ะ!  เล่ยจือไม่เห็นด้วย  พ่อบ้านใหญ่ชอบถือว่าตนอาวุโสกว่าแล้วเที่ยวดูถูกผู้อื่น ทว่านายท่านสามเกลียดคนแบบนี้ที่สุด แต่ก่อนเขายังมีท่านแม่เฒ่าคอยคุ้มครอง วันนี้ท่านแม่เฒ่าล้มป่วยลงเพราะท่านผู้เฒ่าแล้ว ใครก็ไม่มีอำนาจไปสั่งเขา! เขาก็ไม่ดูเสียบ้างว่านี่มันเป็นเวลาเช่นใด! 

นี่จะร้องละครบทไหนกันอีก?

คนสกุลเฉินกับอวี้ถังไม่สะดวกจะออกความเห็น คนสกุลเฉินเออออกับเล่ยจือไปสองสามคำ ก็มาถึงเรือนรับรองที่จัดเลี้ยงพอดี

ด้านในเรือนรับรองร้อนอบอ้าว มีคนนั่งอยู่แน่นขนัดไปหมด

อวี้ถังเห็นคนคุ้นหน้าหลายคน น่าจะเป็นบรรดาเพื่อนบ้านของนาง

อาจเพราะออกมาจากโถงเซ่นไหว้ ความรู้สึกโศกเศร้าจางหายไปอย่างรวดเร็ว ทุกคนพูดคุยหัวเราะ เรือนรับรองจึงเต็มไปด้วยเสียงจอแจและความวุ่นวาย ไม่คล้ายกับงานศพ แต่เหมือนกับมีงานมงคลมากกว่า

อวี้ถังนึกถึงท่าทีเมื่อครู่ของนายท่านสามแห่งสกุลเผย แล้วนึกย้อนไปถึงความเจ็บปวดเมื่อชาติก่อนตอนที่นางได้รับข่าวการตายของบิดามารดา อดจะถอนหายใจออกมาไม่ได้

มีเพียงผู้เป็นครอบครัวจริงๆ เท่านั้นถึงจะเข้าใจความเจ็บปวดที่รวดร้าวในอกได้

เล่ยจือจัดให้คนสกุลเฉินกับอวี้ถังนั่งลงตรงโต๊ะแถวหลัง

ตรงนั้นค่อนข้างเงียบ ลมที่พัดผ่านเข้ามาทำให้เย็นสบายไม่น้อย คนที่นั่งร่วมโต๊ะล้วนเป็นเหล่าสตรีของครอบครัวคหบดีในชนบท หนึ่งในนั้นมีแม่นางน้อยหน้ากลมผู้หนึ่ง อายุน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับอวี้ถัง พอเห็นนางก็ยิ้มแฉ่งส่งมาให้เป็นการทักทาย ทั้งยังจะมานั่งข้างนางอีก

อวี้ถังนึกอยู่ครึ่งวันเพิ่งจะนึกออกว่านางก็คือหม่าซิ่วเหนียง บุตรสาวของสกุลหม่าซิ่วไฉในเมืองนี่เอง

ชาติก่อนในช่วงนี้ พวกนางเล่นด้วยกันได้ดี ตอนที่นางแต่งงาน หม่าซิ่วเหนียงได้ออกเรือนไปกับถงเซิงสกุลจางแล้ว แต่ยังฝากคนให้นำกำไลเงินคู่หนึ่งที่มีมูลค่ากว่าห้าตำลึงมามอบให้เป็นของขวัญ พร้อมกับฝากคำพูดมาด้วยว่า หากมีปัญหาให้ไปหานางได้เลย

ทว่าภายหลังสกุลหลี่โหดเหี้ยมนัก นางกลัวจะพานทำให้หม่าซิ่วเหนียงลำบาก จึงไม่กล้าติดต่อไป กระทั่งก่อนจะตาย ตนก็ยังไม่เคยได้กล่าวขอบคุณนางเลยสักครั้ง

อวี้ถังกรอบตารื้นชื้น จับมือหม่าซิ่วเหนียงเอาไว้แล้วนั่งอยู่ข้างกายนาง

นายหญิงหม่าผู้เป็นภรรยาของหม่าซิ่วไฉพูดกับคนสกุลเฉินว่า  เจ้าดูเด็กสองคนนั้นสิ แทบจะรวมเป็นร่างเดียวกันอยู่แล้ว ทำเหมือนว่าพวกเราเป็นหวังหมู่เหนียงเหนียงแยกแม่น้ำ [2] จะจับแยกพวกนางออกจากกันหรืออย่างไร 

คนสกุลเฉินอดจะหัวเราะออกมาไม่ได้

หม่าซิ่วเหนียงถามอวี้ถังว่า  เจ้าหายไปไหนมา? เมื่อครู่ข้าตามหาเจ้าอยู่นะ? 

อวี้ถังตอบว่า  ข้าก็อยู่ในจวนนี่แหละ! แล้วเมื่อครู่เจ้าไปไหนมา? ข้าก็ไม่เห็นเจ้าเหมือนกัน 

หม่าซิ่วเหนียงบ่นอุบอิบว่า  ช่างแปลกจริงๆ 

อวี้ถังเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที เอ่ยว่า  เจ้ามาถึงตั้งแต่เมื่อไร? พวกเราไม่เจอหน้ากันช่วงหนึ่งแล้ว เจ้ามัวยุ่งกับเรื่องอะไรอยู่หรือ? 

หม่าซิ่วเหนียงเล่าเรื่องราวของตัวเองให้ฟัง

คนสกุลเฉินเห็นว่าอวี้ถังระวังปากระวังคำ ก็ค่อยวางใจลง แล้วหันไปสนทนากับนายหญิงหม่าต่อ

อวี้ถังทางนี้หูก็ฟังไปโดยที่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

นางกำลังคิดเรื่องนายท่านสามอยู่

ต่อให้นอนฝันนางก็คาดไม่ถึงจริงๆ ว่าเขาคือผู้นำสกุลที่ถูกเล่าลือคนนั้น

ก่อนหน้านี้นางยังกังวลแทนเขาว่าจะเลือกยืนผิดฝั่งในศึกครานี้ ใครจะไปนึกว่าเขากลับเป็นเจ้านายที่ไม่มีทางถูกเอาเปรียบแน่

ชาติก่อนเขาไม่เพียงครอบครองตำแหน่งผู้นำสกุลอย่างมั่นคง ทั้งยังบงการเหล่าพี่น้องสกุลเผยที่เป็นขุนนางอยู่ด้านนอกจนหัวปั่นไปหมด

ภายหลังสกุลเผยมีจิ้นซื่อเพิ่มมาอีกสองคน คนหนึ่งคือคุณชายใหญ่จากบ้านใหญ่ อีกคนคือคุณชายฉานจากสกุลสาขา

คุณชายใหญ่จากบ้านใหญ่นั้นถูกเขากดข่มไว้ ไม่รู้ว่าคุณชายฉานจากสกุลสาขาผู้นั้นได้รับการสนับสนุนจากเขาหรือไม่?

จะว่าไปแล้ว ก่อนหน้านี้เขาไม่เอาเรื่องนางที่ไปแอบอ้างบารมีของสกุลเผย นางถือว่าติดหนี้น้ำใจเขาหนหนึ่ง

เดิมคิดว่าเขาคงเป็นคุณชายจากสกุลสาขา นางก็แค่หาภาพวาดเก่าแก่สักผืนส่งไปให้เขา นับว่าเป็นการแสดงความขอบคุณแล้ว ทว่าบัดนี้เขาเป็นถึงนายท่านสามสกุลเผย ต่อให้นางหาภาพวาดโด่งดังล้ำค่ามาได้ เขาก็คงไม่เห็นในสายตา

หรือว่า ทำเหมือนเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น? นางก็ทำเป็นไม่รู้ฐานะของเขาไปเสีย?

พออวี้ถังนึกว่าบุรุษชุดเขียวผู้นั้นคือคนที่อยู่เบื้องหลังสกุลเผยในความทรงจำของนาง ก็เหมือนกับเงามืดของนายท่านสามสกุลเผยที่ปกคลุมเมืองหลินอันเอาไว้ นางรู้สึกหวาดระแวง ต้องคอยระวังตัว ราวกับว่าอันตรายอาจจะมาโผล่อยู่ตรงหน้าได้ทุกเวลา

เฮ้อ นายท่านใหญ่เผยย่อมมีเรื่องให้คิดมากมาย ขอให้เขาลืมนางกับเรื่องที่นางเคยทำไปให้หมดด้วยเถอะ

ทว่า สีหน้าของเขาอึมครึมกว่าตอนที่นางเจอครั้งก่อนอยู่มาก หนแล้วที่เจอเขาให้ความรู้สึกเย็นชาและห่างเหินกับนาง ทว่าตอนนี้กลับให้อารมณ์ดุร้ายและใจร้อน คล้ายว่าพร้อมจะระเบิดและสูญเสียสัมปชัญญะได้ตลอด

สาเหตุเพราะบิดาที่จากไปหรือ?

ตอนที่บิดามารดาของนางสิ้น นางก็เสียใจมาก แต่ไม่เหมือนกับเขาแบบนี้

การจากไปของท่านผู้เฒ่าเหมือนจะเอาความสงบและความสุขุมบนร่างเขาจากไปพร้อมกันด้วย

ตอนที่บิดามารดานางจากไป สิ่งที่ทะลักท่วมสำหรับนางก็คือความเจ็บปวด

นายท่านสามกับท่านผู้เฒ่าคงต้องมีความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นอย่างยิ่ง

อวี้ถังลอบทอดถอนใจ จู่ๆ พลันรู้สึกว่าหม่าซิ่วเหนียงกำลังเขย่ามือนาง ทั้งเอ่ยว่า  ข้าคุยกับเจ้าอยู่นะ เจ้าได้ฟังหรือไม่? คิดอะไรอยู่อย่างนั้นรึ? 

นางรีบดึงสติกลับมา เอ่ยว่า  ขออภัย เมื่อครู่ข้าคิดเรื่องอื่นอยู่ เจ้าจะบอกอะไรข้าหรือ ขอรอฟังอยู่นะ! 

หม่าซิ่วเหนียงไม่ได้เซ้าซี้ พูดว่า  ข้าบอกว่าอีกไม่เกินสิบวันจะมีงานที่วัดเจาหมิง เจ้าจะไปกับข้าหรือไม่? 

ถ้านางไม่พูดถึง อวี้ถังคงลืมเรื่องนี้ไปแล้ว

ชาติก่อน คุณชายรองสกุลหลี่ ซึ่งก็คือหลี่จวิ้น ได้ยินว่าเขาได้เจอกับนางที่วัดเจาหมิงเป็นครั้งแรก เขาตกหลุมรักนางทันที จะเป็นจะตายให้ได้ หากไม่ใช่นางจะไม่มีวันแต่งเด็ดขาด สกุลหลี่พิจารณาแล้วว่าเขาไม่ใช่บุตรชายที่จะมาสืบทอดสกุล จึงกล้ำกลืนตอบตกลงงานแต่งนี้ ให้แม่สื่อมาทาบทามเรื่องหมั้นหมาย

ชาตินี้ นางไม่ต้องการเกี่ยวพันใดๆ กับสกุลหลี่อีก

 ข้าไม่ไปหรอก  อวี้ถังตอบ  เจ้าก็รู้ว่าท่านแม่ข้าสุขภาพไม่ดี ข้าต้องอยู่ที่เรือนเป็นเพื่อนท่านแม่ 

หม่าซิ่วเหนียงพยักหน้าเป็นเชิงบอกว่าเข้าใจ ทว่าคนสกุลเฉินที่นั่งฟังอยู่ข้างๆ กลับพูดขึ้นว่า  ไม่ง่ายที่ซิ่วเหนียงจะชวนเจ้าออกไปข้างนอก เจ้าก็ไปเถอะ! ที่เรือนยังมีป้าเฉินอยู่อีกคน 

ชาติก่อน ท่านแม่ก็โน้มน้าวนางให้ออกไปเที่ยวเล่นด้านนอกเช่นนี้

อวี้ถังกรอบตาเริ่มชื้นๆ เอ่ยว่า  ข้าไม่ไป อากาศร้อนเหลือเกิน ข้าอยู่ที่เรือนดีกว่า เดี๋ยวจะเป็นลมแดดไป 

นายหญิงหม่าได้ฟัง ก็อบรมหม่าซิ่วเหนียงไปยกหนึ่งว่า  เจ้าดูอาถังเป็นตัวอย่างสิ เจ้าก็อยู่เรือนเสีย ไม่ต้องออกไปไหนทั้งนั้น 

 ท่านแม่!  หม่าซิ่วเหนียงเหมือนถูกฟ้าผ่า นางออดอ้อนอยู่ครึ่งวัน นายหญิงหม่าก็ไม่ยอมใจอ่อน

อวี้ถังหน้าเสีย เอ่ยว่า  ถ้าอย่างนั้น เจ้ามาเล่นที่เรือนข้าก็แล้วกัน! งานวัดมีอะไรน่าสนุกกัน? ร้อนจะตายไป น้ำแข็งยังไม่ทันกินก็ละลายเต็มมือแล้ว เจ้ามาที่เรือนข้าดีกว่า ข้าจะให้ท่านพ่อไปซื้อน้ำแข็งให้ แล้วก็มีแตงหวานร้านจิ่งสุ่ยไพ่ด้วย 

หม่าซิ่วเหนียงตกลงทันทีด้วยความตื่นเต้น นางดีใจจนเล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้ให้นางฟังไม่หยุด

————————————————————-

[1] สำนักทงเจิ้งเป็นหน่วยงานส่วนกลางที่ตั้งขึ้นเพื่อเป็นฝ่ายสนับสนุน มีหน้าที่ดูแลรับส่งเอกสารราชการและหนังสือทูลเกล้าต่างๆ

[2] หวังหมู่เหนียงเหนียง เป็นเทวีตามศาสนาชาวบ้านจีนซึ่งปรากฏมาแต่โบราณกาล ได้รับความนิยมและเชื่อถือว่าเป็นผู้ประทานอายุยืนยาว มั่งมีเงินทองและความสงบสุข

Related

 

นางบอกว่าจะไปดู ทว่าเพราะไม่รู้ด้านนอกสถานการณ์เป็นอย่างไร อวี้ถังถึงผลักหน้าต่างออกไปแล้วแอบมองผ่านช่อง

ในลานไร้ซึ่งผู้คน

เสียงเอะอะน่าจะดังมาจากด้านนอกลานเรือนโน่น

อวี้ถังกำลังลังเลว่าจะออกไปดูดีหรือไม่ ก็เห็นหญิงรับใช้ห้าหกคนกับสาวใช้เจ็ดแปดคน รุมล้อมฮูหยินสองคนเดินตรงเข้ามา

พวกหญิงรับใช้กับสาวใช้ล้วนสวมเสื้อกั๊กยาวปี๋เจี่ย [1] สีน้ำเงิน ประดับดอกไม้ผ้าสีขาวขนาดเท่าปากจอกสุราเอาไว้

ฮูหยินสองท่านอยู่ในช่วงวัยบุปผาผลิบาน รูปร่างสูงโปร่ง คนหนึ่งแต่งขาวทั้งชุด มีเพียงตุ้มหูไข่มุกขนาดเท่าเม็ดบัวห้อยอยู่หนึ่งคู่ อีกคนหนึ่งใส่เสื้อตัวบนสีขาวอมเงินที่ตัดจากผ้าไหมหังโจวลายตรง สวมกับกระโปรงร้อยจีบสีเขียว บนศีรษะปักปิ่นหินเขียวเลี่ยมทองแดงสองอัน ข้อมือสองข้างมีกำไลหยกสีเขียวแวววาวอยู่ฝั่งละวง

 พวกเจ้าเฝ้าอยู่ตรงนี้  อวี้ถังเห็นฮูหยินที่ใส่เสื้อผ้าไหมหังโจวสั่งพวกหญิงรับใช้กับสาวใช้เสียงเย็นเยียบ  ห้ามให้ใครเข้ามาได้ล่ะ! 

หญิงรับใช้และสาวใช้ต่างหยุดฝีเท้าลงอย่างพร้อมเพรียง ย่อเข่าลงครึ่งหนึ่งคล้ายคารวะ แล้วตอบว่า  เจ้าค่ะ  อย่างนอบน้อม

ฮูหยินเสื้อผ้าไหมหังโจวลากแขนฮูหยินที่แต่งขาวทั้งตัวเดินเข้ามาทางอวี้ถัง

ไม่รู้ว่าฮูหยินสองคนนี้คิดจะทำอะไร?

อวี้ถังคาดเดาไม่ออก

ทว่ามองดูก็รู้ว่าฮูหยินทั้งสองมาจากสกุลที่สูงส่ง

หากว่าเป็นแขกของสกุลเผยฉะนั้นต้องพักผ่อนอยู่ในห้อง สกุลเผยควรจะจัดหญิงรับใช้และสาวรับใช้ให้คอยนำทางอยู่ข้างหน้ามิใช่หรือ?

หรือเป็นคนสกุลเผย? เพราะว่าเห็นจี้ต้าเหนียงเลยคิดมาหาเรื่องพวกนาง…พวกนางสกุลอวี้คงไม่ได้หน้าใหญ่ปานนั้น?

หรือพวกนางกำลังหาเรือนเงียบๆ เพื่อคุยเรื่องลับๆ กัน?

ขณะที่อวี้ถังกำลังคิดไม่ตก ฮูหยินทั้งสองก็จูงมือกันมาถึงหน้าบันไดห้องเซียงฝางแล้ว อวี้ถังจึงมองเห็นหน้าตาของทั้งคู่ได้ชัดเจน

ฮูหยินที่สวมเสื้อผ้าไหมหังโจวผู้นั้นมีรูปหน้ายาว คิ้วทรงใบหลิว จมูกทรงเซวียนต่าน [2] ริมฝีปากอิงเถา [3] รับกับโครงหน้าสละสลวยดั่งภาพวาดพู่กัน ทว่าดวงตาแข็งกร้าว สีหน้าซีดเซียว

ส่วนอีกคนที่อยู่ในชุดขาวไว้ทุกข์ ดวงหน้าเรียวยาว ดวงตาดั่งผลซิ่งแดงก่ำทั้งสองข้าง สีหน้าขาวซีดไม่ต่างกัน

สิ่งที่ผิดจริยธรรมอย่าฟัง สิ่งที่ผิดจริยธรรมอย่าพูด

อวี้ถังพลันรู้สึกเสียใจที่ตนไม่ส่งเสียงออกไปก่อนหน้านี้ เพื่อให้ฮูหยินทั้งสองรู้ว่าเรือนน้อยหลังนี้ยังมีผู้อื่นอยู่ด้วย ทว่ายังไม่ทันให้นางได้แก้ไข ฮูหยินที่สวมเสื้อผ้าไหมหังโจวก็เปิดปากตำหนิฮูหยินที่สวมชุดไว้ทุกข์สีขาวเสียแล้ว  เจ้าเลอะเลือนเพียงนี้ได้เช่นไร? เห็นว่าสถานการณ์ไม่ดีควรจะรีบหาทางส่งข่าวให้ข้ากับพี่ชายเจ้าสิ แล้วดูเจ้า มาร้อนใจเอาตอนนี้ยังมีประโยชน์หรือ? เจ้าสามใช้คำสั่งเสียของพ่อสามีเจ้ามาเป็นเกราะกำบัง พวกเราจะคัดค้านก็ไม่ทันเสียแล้ว! 

เจ้าสาม?

พ่อสามี?

อวี้ถังพลันมึนงง

ฮูหยินคนที่ใส่ชุดไว้ทุกข์สีขาวคือนายหญิงใหญ่ของสกุลเผย?

ส่วนฮูหยินที่ใส่เสื้อผ้าไหมหังโจวคือพี่สะใภ้ฝั่งสกุลมารดาของนายหญิงใหญ่?

พวกนางกำลังแอบนินทาเรื่องที่นายท่านสามจะขึ้นเป็นผู้นำสกุลหรือ?

อวี้ถังถูกการเปลี่ยนแปลงอันไม่คาดฝันทำให้สับสน จนขนลุกตั้งไปทั้งตัว

พวกสกุลใหญ่และสูงส่งเช่นนี้ ไม่ว่าในจวนจะมีเรื่องสกปรกเพียงใด แต่ภายนอกก็ต้องตีหน้าเป็นลูกหลานกตัญญู พี่น้องรักใคร่ปรองดองเอาไว้อยู่เสมอ

เห็นชัดว่านายหญิงใหญ่เผยผู้นี้มีเรื่องจะสนทนากับคู่สะใภ้ของตน

นางต้องมาเจอเรื่องลับๆ เช่นนี้ แล้วนางกับมารดาจะถูกฆ่าปิดปากหรือไม่หนอ?

อวี้ถังรู้สึกร้อนรน พลันหมุนตัวไปหามารดาแล้วทำมือ ‘เงียบเสียง’ ส่งให้นาง

คนสกุลเฉินก็แปลกใจ ไม่รอให้นางเอ่ยปากถาม เสียงของนายหญิงใหญ่เผยก็ดังลอดเข้ามา  ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าข้าเลี้ยงงูพิษที่จะแว้งกัดข้าเอาไว้? ดูตอนแรกสิ เขาดื้อรั้นไม่เชื่อฟัง ข้าก็คอยช่วยพูดกับท่านผู้เฒ่าเผยและท่านแม่เฒ่าให้ เขาไม่ตั้งใจเล่าเรียน ก็เป็นข้าที่ไปขอร้องให้ท่านพ่อช่วยสอนเขาด้วยตนเอง ไม่เช่นนั้นชื่อเขาจะติดอยู่บนป้ายประกาศสอบผ่านซู่จี๋ซื่อได้หรือ? แล้วก็เป็นเขานั่นแหละที่บอกว่าจะแต่งกับสตรีเชื่อฟังกตัญญู พี่สะใภ้ฝั่งมารดาของท่านถูกใจเขา เขาก็เอาแต่บ่ายเบี่ยง หากมิใช่เพราะข้า เขาจะสอบผ่านเป็นซู่จี๋ซื่อ ได้เป็นเจิ้งกวนหกกรมอย่างราบรื่นได้เหมือนทุกวันนี้รึ? 

 เอาเถอะ เอาเถอะ!  พี่สะใภ้ของนายหญิงใหญ่เผยเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจว่า  เรื่องที่ผ่านมาแล้ว จะยกขึ้นมาพูดอีกทำไม? พูดไปพูดมา ก็เพราะเขาคิดว่าสกุลฝั่งมารดาข้าต่ำต้อยเกินไป คนเดินขึ้นที่สูง น้ำไหลลงที่ต่ำ นี่ก็เป็นเรื่องธรรมดาของคน หากจะโทษ ก็โทษที่พี่น้องฝั่งมารดาข้าไม่เอาไหน ไม่อาจสอบผ่านจนเป็นบัณฑิตได้ 

ถึงขนาดได้ฟังเรื่องที่น่าตกใจเช่นนี้

อวี้ถังกับมารดาหันมาสบตากัน แม้แต่หายใจออกแรงๆ ยังไม่กล้า

 เรื่องนี้จะโทษพี่สะใภ้ได้อย่างไรกัน!  นายหญิงใหญ่เผยคล้ายว่าพูดถึงเรื่องนี้ก็โมโหยิ่งกว่าเก่า  ต้องโทษที่เจ้าสามไม่เห็นความหวังดีของผู้อื่นเอง… 

แม้น้ำเสียงพี่สะใภ้ของนายหญิงใหญ่จะไม่ได้กล่าวโทษ แต่ความจริงก็คงอัดอั้นอยู่ในใจมานานแล้ว พอได้ฟังก็หัวเราะเสียงเย็นพูดแทรกนายหญิงใหญ่เผยว่า  คงมีแต่เจ้าที่คิดว่าเขาไม่เห็นความหวังดีของผู้อื่น! แผนการของเขาวางเอาไว้อย่างแยบยล ผลักไสสกุลเราออก แล้วหันหน้าไปหาสกุลหลีโน่น 

 สกุลหลี?  นายหญิงใหญ่เผยร้องตกใจ  สกุลของหลีซวิ่นที่เป็นเจ้ากรมพิธีการ และมหาบัณฑิตหอเหวินหยวน? 

 นอกจากสกุลหลีนั้น เจ้าคิดว่ายังมีสกุลหลีไหนที่ทำให้เจ้าสามมองเห็นในสายตาได้อีก?  พี่สะใภ้ของนายหญิงใหญ่เผยพูดประชดประชัน  ดูท่าเรื่องนี้เจ้าจะไม่รู้อะไร แต่ก่อนข้าก็บอกว่าเจ้าโง่งม ให้คอยระวังเจ้าสามเอาไว้ เจ้าก็ไม่ยอมฟัง ตอนนี้รู้หรือยังล่ะว่าเขาร้ายกาจเพียงใด? ท่านผู้เฒ่าของพวกเจ้าลำเอียงจะตายไป! พูดถึงสกุลหลีทางนั้น คุณหนูสามสกุลหลีกับถงกวนของพวกเราอายุไล่เลี่ยกัน หากอ้างว่าทำเพื่อสกุลเผย ก็คงต้องให้ถงกวนแต่งงานเชื่อมไมตรีกับสกุลหลี 

 พี่สะใภ้ ท่านคงเข้าใจอะไรผิดแล้ว  นายหญิงใหญ่เผยพูดอย่างไม่อาจทำใจให้เชื่อได้  ก่อนหน้านี้ไม่เห็นเคยได้ยินมาก่อนเลย 

พี่สะใภ้ของนายหญิงใหญ่เผยร้องเหอะทีหนึ่ง เอ่ยว่า  เรื่องอื่นข้าอาจจะฟังมาผิด แต่เรื่องนี้ไม่มีทางพลาดแน่ ฮูหยินหลีสนิทกับทางสกุลข้า นางแอบมาพบข้า เพราะต้องการถามเรื่องในเรือนของเจ้าสาม ข้ามีหรือจะเข้าใจผิด! 

นายหญิงใหญ่สกุลเผยสูดลมหายใจเย็นเยือกเข้าปอด

พี่สะใภ้ของนายหญิงใหญ่เผยบอกต่อว่า  ท่านผู้เฒ่าเผยดันมาด่วนจากไป บ้านรองกับบ้านสามก็ต้องไว้ทุกข์สามปี เรื่องหลังจากสามปีนี้ใครจะไปรู้ได้? ตอนนี้ที่ต้องกังวลคือตำแหน่งผู้นำสกุลของเจ้าสาม นิสัยของเจ้าสามเจ้าก็รู้ดี เคยยอมลงให้ใครเสียที่ไหน พี่ชายเจ้าดีกับเขาถึงเพียงนั้น แล้วเขาล่ะ จะหักหลังกันก็ทำได้ง่ายๆ ไม่สงสารเห็นใจกันสักนิด หากว่าเขานั่งตำแหน่งผู้นำสกุลได้มั่นคงเมื่อไร บ้านใหญ่คงต้องจบเห่แน่ 

นายหญิงใหญ่ถามอย่างสงสัยว่า  เขาจะขัดขวางไม่ให้ถงกวนของข้าไปสอบขุนนางได้รึ? ท่านพ่อพูดไว้ว่าถงกวนของเราเป็นเมล็ดพันธุ์ชั้นยอดในการเล่าเรียน ขอเพียงถงกวนสอบได้ลำดับไม่เลว เจ้าสามจะทำอะไรพวกเราได้? สกุลเผยยังต้องพึ่งพาถงกวนของข้านำความรุ่งโรจน์มาให้สกุลสิ! 

นายหญิงใหญ่เผยนับว่ามองการณ์ไกลอยู่บ้าง

อวี้ถังได้ยินก็เริ่มคิดตามทันที

ชาติก่อน ปีที่ห้าหลังจากที่ท่านผู้เฒ่าเผยสิ้นไป คุณชายใหญ่เผยก็สอบเป็นจวี่เหรินได้ ภายหลังก็สอบผ่านเป็นจิ้นซื่อได้อีก

เพียงแต่ชาติก่อนนางเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับการเอาตัวรอดจากสกุลหลี่ เรื่องของสกุลเผยรู้อยู่ไม่มาก ไม่แน่ใจว่าคุณชายเผยผู้นี้ภายหลังเป็นอย่างไรต่อ

ทว่า นางได้ยินจากมารดาของหลี่จวิ้น ซึ่งก็คือคนสกุลหลินผู้เป็นแม่สามีของนางในชาติก่อน นางเคยคุยกับหลี่ตวนว่า นายหญิงใหญ่เผยมีบิดาที่รู้จักคนกว้างขวาง ทั้งยังมีพี่น้องที่ได้เลื่อนขั้นเป็นขุนนางขั้นสามด้วย คุณชายใหญ่ผู้นั้นต่อให้ไม่อาศัยสกุลเผย อนาคตก็ไม่มีทางลำบากแน่

พี่สะใภ้ของนายหญิงใหญ่เผยไม่คิดเช่นนั้น กล่าวว่า  เจ้าเหมือนที่แม่สามีพูดไม่มีผิด เสียแรงที่โตมาขนาดนี้ ถงกวนสามปีนี้คงต้องอยู่เมืองหลินอันเพื่อไว้ทุกข์ให้น้องเขยก่อน เมื่อเจ้าสามขึ้นเป็นผู้นำสกุล ซ้ำยังเป็นอาแท้ๆ ของถงกวน ต่อให้พ่อสามีกับพี่ชายเจ้าอยากรับเขาไปเรียนอ่านเขียนด้วย ก็ต้องให้เขาพยักหน้าเห็นด้วยจึงจะไปได้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น แค่เขาตัดสินใจให้ถงกวนเล่าเรียนที่เมืองหลินอัน แล้วไม่ยอมตั้งใจสั่งสอนถงกวนให้ดี ไม่ต้องพูดถึงสามปี ต่อให้สามสิบปี ถงกวนก็อย่าคิดจะได้ลืมตาอ้าปากเลย 

พี่สะใภ้ของนายหญิงใหญ่เผยผู้นี้ต้องการมายุยงคนมากกว่ามาช่วยแก้ปัญหากระมัง?

อวี้ถังยิ่งฟังยิ่งรู้สึกว่าพี่สะใภ้ของนายหญิงใหญ่เผยผู้นี้เหมือนผู้ชมละครไม่ต้องกลัวตกเวที [4] มากกว่า ไม่เหมือนกำลังช่วยนายหญิงใหญ่เผยคิดหาทางออกอย่างจริงใจ

ทว่า สะใภ้ของนายหญิงใหญ่เผยพูดถูกอยู่เรื่องหนึ่ง

ชาติก่อน คุณชายใหญ่เผยก็อาศัยอยู่ที่หลินอันตลอด กระทั่งครบช่วงไว้ทุกข์ ก็ไม่ได้เข้าร่วมการสอบเคอจวี่ แต่เพราะบิดาของนายหญิงใหญ่ล้มป่วยหนัก ส่งจดหมายมาบอกว่าก่อนตายอยากจะเจอหน้าคุณชายใหญ่เผยสักครั้ง คุณชายใหญ่เผยถึงได้ออกจากหลินอันไป จากนั้นก็ใช้ทะเบียนราษฎร์เมืองหลวง จนสอบเป็นจวี่เหรินได้

เรื่องจริงที่เกิดขึ้นเป็นดังที่พี่สะใภ้ของนายหญิงใหญ่เผยพูดเอาไว้ไม่มีผิด!?

อวี้ถังรู้สึกอีกครั้งหนึ่งว่า สกุลเผยช่างยากแท้หยั่งถึง คนธรรมดาอย่างพวกนางควรจะหลบไปให้ไกลๆ ไว้เป็นดี

 พี่สะใภ้ ท่านว่าทำอย่างไรดีเล่า?  นายหญิงใหญ่เผยได้ฟังที่พี่สะใภ้พูดก็เอ่ยอย่างร้อนใจว่า  หากไม้กลายเป็นเรือแล้ว เรายังจะกระโดดออกมาขัดขวางคำสั่งเสียของท่านผู้เฒ่าได้หรือ? คนอื่นคงเอาเราไปพูดว่าพวกเราคิดแย่งสมบัติกับน้องสามี! มีแต่จะทำให้ชื่อเสียงของถงกวนมัวหมอง? 

 เหตุใดเจ้าไม่เข้าใจเสียทีนะ!  พี่สะใภ้ของนายหญิงใหญ่เผยกล่าวเสียงเหี้ยมว่า  มิใช่ยังมีนายท่านรองอยู่รึ? ต่อให้ตำแหน่งผู้นำสกุลจะมาไม่ถึงพวกเรา แต่จะยอมถอยให้เจ้าสามง่ายๆ แบบนี้ได้อย่างไร! 

 เป็นไปไม่ได้หรอก!  นายหญิงใหญ่เผยกล่าว  อารองเป็นคนซื่อสัตย์และใจกว้าง เขาไม่มีทางออกตัวแก่งแย่งแน่ อีกอย่าง การแย่งชิงสิ่งเหล่านี้ก็ไม่ส่งผลดีอะไรต่อเขา? 

พี่สะใภ้ของนายหญิงใหญ่เผยเอ่ยว่า  เขาคงไม่ออกหน้าแก่งแย่ง แต่เขาออกมาพูดสิ่งที่เป็นธรรมได้นี่นา! สกุลเผยไม่ใช่ว่ามีอีกสองสายรึ? นายท่านอี้กับนายท่านวั่งเล่า ไม่แน่ก็อาจจะมีอะไรที่อยากพูดก็ได้? เจ้าไม่อยากได้สมบัติกองโตของสกุลเผย แต่นายท่านอี้กับนายท่านวั่งจะไม่เสียดายรึ? พวกเขาอีกสองสายไม่เหมือนพวกเจ้าที่ผลิตบัณฑิตออกมาได้ทุกรุ่น ถ้าเป็นข้า ของที่ข้าไม่ได้ คนอื่นก็อย่าคิดจะฉกไปได้ง่ายๆ เลย 

นายหญิงใหญ่เผยเงียบเสียงไปพักใหญ่

พี่สะใภ้ของนายหญิงใหญ่เผยก็ไม่ได้เร่งเร้านาง ไม่รู้ว่าทำอะไรกันอยู่ ใต้ชายคาเงียบเชียบ ไร้เสียงพูดคุย

อวี้ถังกับมารดากลั้นหายใจนิ่ง กลัวว่าจะถูกคนพบเข้า

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร นายหญิงใหญ่เผยก็เอ่ยเสียงต่ำว่า  พี่สะใภ้ เรื่องนี้ข้าจะเชื่อท่าน! 

อวี้ถังได้ยินเสียงเจือความพอใจและยินดีของพี่สะใภ้นายหญิงใหญ่เผย เอ่ยว่า  เจ้าควรจะเชื่อแต่แรกแล้ว! เมื่อก่อนยังมีน้องเขยคุ้มครองเจ้า เจ้าก็เลยไม่ต้องสนใจอะไร แต่มาวันนี้ น้องเขยไม่อยู่แล้ว คิดเสียว่าทำเพื่อหลานทั้งสองคน เจ้าจะต้องเข้มแข็งกว่านี้ถึงจะถูก! 

นายหญิงใหญ่เผยส่งเสียง  อืม  คำหนึ่ง

พี่สะใภ้ของนายหญิงใหญ่เผยยังกล่าวต่อว่า  เจ้าเอียงหูมาทางนี้ ข้าจะบอกว่าควรทำเช่นไร! 

อวี้ถังมองเห็นศีรษะของนายหญิงใหญ่เผยกับพี่สะใภ้ของนางสุมรวมอยู่ด้วยกัน

ส่วนพูดอะไรกันบ้างนั้นนางได้ยินไม่ชัดเจน

นับหรือไม่ว่าตนได้เป็นประจักษ์พยานเห็นช่วงเวลาดำมืดของนายหญิงใหญ่เผยแล้ว?

อวี้ถังส่ายหน้า

ไม่รู้ว่าบ้านใหญ่กับนายท่านสามขัดแย้งเรื่องอันใดกัน ทำให้ระหว่างพวกเขาต้องตัดสินแพ้ชนะให้ชัดเจนถึงเพียงนี้ แต่ก็น่าเสียดาย ที่สุดท้ายบ้านใหญ่ก็ต้องพ่ายแพ้อยู่ดี

เป็นนาน กว่านายหญิงใหญ่เผยกับพี่สะใภ้ของนางจะเดินออกไป อวี้ถังกับมารดาต่างถอนหายใจยาวเหยียดอย่างโล่งอก คนสกุลเฉินกำชับบุตรสาวด้วยความกังวลว่า  สิ่งที่เจ้าได้ยินต้องเก็บไว้ในท้องเท่านั้น เรื่องภายในจวนเช่นนี้ พ่อตาบอกตัวเองมีเหตุผล แม่ยายบอกตัวเองมีเหตุผล [5] พวกเราต่างเป็นคนนอก ไม่อาจยื่นมือเข้าไปวุ่นวายเรื่องในจวนผู้อื่นได้ 

อวี้ถังพยักหน้าหงึกหงัก

คนสกุลเฉินยังคงไม่วางใจ ให้อวี้ถังเอ่ยคำสาบานพร้อมแช่งชักตนเองไปรอบหนึ่ง ถึงได้สบายใจและยอมปล่อยอวี้ถังไป

———————————————————–

[1] เสื้อกั๊กยาวปี๋เจี่ย คือ เสื้อกั๊กที่ไม่มีแขนและไม่มีคอเสื้อ สาบเสื้อตรง ยาวถึงเข่า

[2] จมูกทรงเซวียนต่าน คือ สันจมูกสูงปานกลาง ปีกจมูกโค้งได้รูป เห็นเป็นโครงชัดเจน ปลายจมูกมนกลมอวบอิ่ม สันจมูกแคบเข้า เชื่อว่าเป็นทรงจมูกของผู้มีวาสนาดี

[3] อิงเถา คือ เชอร์รี่

[4] ผู้ชมละครไม่ต้องกลัวตกเวที หมายถึง เป็นแค่ผู้ชมจึงไม่กลัวว่าตนจะตกลงจากเวที ใช้เสียดสีคนที่ไม่คิดถึงจิตใจผู้อื่น

[5] พ่อตาบอกตัวเองมีเหตุผล แม่ยายบอกตัวเองมีเหตุผล เปรียบได้ถึง ต่างคนต่างก็บอกว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูก

Related

 

แม่ยายคนใดไม่ชอบฟังผู้อื่นชื่นชมลูกเขยตนเองบ้างเล่า!

จี้ต้าเหนียงยิ่งให้ความสนิทสนมกับพวกนางมากกว่าเดิม นางปลดเกราะกำบังในใจลง แล้วเล่าเรื่องสกุลเผยให้พวกนางฟัง  งานในจวนมีไม่จบไม่สิ้น พ่อบ้านใหญ่ทั้งสิ้นมีสามคน มีอีกเจ็ดคนเป็นผู้ดูแล พ่อบ้านใหญ่ดูแลเรื่องน้อยใหญ่ในจวน พ่อบ้านรองดูแลธุระจุกจิกกับแขกเหรื่อ พ่อบ้านสามดูแลบัญชีกับเถ้าแก่ด้านนอก ส่วนผู้ดูแลทั้งเจ็ดคนนั้น ผู้ดูแลใหญ่ติดตามพ่อบ้านใหญ่ ผู้ดูแลรองกับผู้ดูแลสามติดตามพ่อบ้านรอง คนอื่นๆ อีกสี่คนติดตามพ่อบ้านสาม ทว่าผู้ดูแลเจ็ดจะดูแลธุระของเรือนในด้วย อย่างเช่นข้า ข้าขึ้นตรงกับผู้ดูแลเจ็ด 

 ส่วนเถ้าแก่ถงที่พูดถึงนั้น บรรพบุรุษของเขารับใช้สกุลเผยมาหลายชั่วคน ต่อมาสกุลเผยมาตั้งหลักสร้างฐานที่เมืองหลินอัน พวกเขาก็สร้างคุณงามความดีใหญ่หลวง ก่อนที่บรรพชนสกุลเผยจะสิ้นก็คืนสัญญาทาสให้เขา ทว่าบรรพบุรุษสกุลถงรู้จักคุณคน แม้จะบอกว่าคืนหนังสือสัญญาทาสให้ แต่ก็ไม่เคยจากไป ยังคงช่วยเป็นเถ้าแก่ดูแลโรงจำนำให้ มีหน้ามีตายิ่งนักแล้ว ไม่เหมือนกับข้ารับใช้คนอื่นๆ หรอกเจ้าค่ะ  น้ำเสียงที่เล่าเจือด้วยความภาคภูมิใจ

ขอเพียงใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลินอัน จะมากจะน้อยอย่างไรก็หนีไม่พ้นต้องเกี่ยวพันกับสกุลเผยอยู่ดี

สกุลอวี้ในวันนี้ ไม่ว่าจะสร้างร้านค้าขึ้นมาใหม่ หรือเพราะเรื่องภาพวาดผืนนั้น ล้วนต้องเกี่ยวพันกับสกุลเผยอย่างลึกซึ้ง

ชาติก่อน นายท่านสามได้ขึ้นเป็นผู้นำสกุล

ด้วยเหตุนี้ อวี้ถังจึงไม่ได้คิดเดาอะไรมากมายเหมือนกับอวี้เหวินและคนสกุลเฉิน

ทว่างานศพของท่านผู้เฒ่าเผยแสดงให้เห็นถึงข้อมูลหลายต่อหลายอย่าง

อย่างเช่นว่า พวกพ่อค้าในเมืองหลินอันมีเรื่องอันใดก็จะไปพูดขอร้องกับพ่อบ้านใหญ่ แต่พอท่านผู้เฒ่าเผยสิ้นไป พ่อบ้านสามที่สมควรดูแลกิจการด้านนอกกลับเป็นตัวหลักในการจัดพิธีศพให้ท่านผู้เฒ่า แล้วพ่อบ้านรองที่เวลานี้น่าจะก้าวออกมาช่วยเหลืองานศพกลับไม่รู้ไปทำอะไรอยู่ที่ไหน?

นายท่านสามขึ้นเป็นผู้นำสกุลได้อย่างไร?

ช่วงเวลานี้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอีก?

พ่อบ้านทั้งสามคนเวลานี้ล้วนสนับสนุนให้นายท่านสามขึ้นเป็นใหญ่ หรือว่าต่างคนต่างใจต่างความคิด?

แล้วใครเป็นคนของนายท่านสามบ้าง? ใครบ้างที่ยืนอยู่ข้างบ้านใหญ่ฝั่งนั้น?

อวี้ถังในชาติก่อนเมื่อแต่งเข้าสกุลหลี่ไป เพราะถูกขังอยู่แต่ในเรือนหลัง เกี่ยวกับสกุลเผยนางจึงไม่ค่อยรู้เรื่องมากนัก

ชาติก่อน นางไม่เคยได้ยินด้วยซ้ำว่ามีคนวิพากษ์วิจารณ์นายท่านสาม

คล้ายว่าทันทีที่เขาปรากฏตัวขึ้นในสกุลเผยก็กุมทุกอย่างไว้ในกำมือ วาจาของเขาคือคำชี้ขาด คนในสกุลล้วนเคารพเชื่อฟัง หาได้มีใครกล้าแย้งเขาไม่

นางไม่ต้องการให้สกุลอวี้เข้าไปพัวพันกับเรื่องพวกนี้ของสกุลเผย

ยังมีบุรุษชุดเขียวที่นางเจอตอนอยู่โรงจำนำอีก มองจากอายุอานามแล้วไม่น่าใช่คุณชายน้อยสองคนจากบ้านใหญ่ เช่นนั้นเขามีความสัมพันธ์อย่างไรกับสกุลเผยกันแน่?

หรือว่าเป็นคุณชายน้อยของนายท่านที่เหลืออีกสองคน?

แล้วตอนนี้เขายืนอยู่ข้างไหน?

เขาจะรู้หรือไม่ว่าสุดท้ายแล้วผู้ชนะในสงครามสนามนี้คือนายท่านสามสกุลเผย?

หากให้คาดเดานิสัยของนายท่านสามสกุลเผยโดยดูจากชาติก่อน หลังจากนายท่านสามได้ขึ้นมาเป็นผู้นำสกุลแล้ว เก้าในสิบคงเป็นพวกเชื่อฟังคำคนย่อมได้ดี คิดขัดมีเพียงความตายแน่ๆ

ไม่รู้ว่าบุรุษชุดเขียวผู้นั้นจะหลบเลี่ยงออกไปด้วยเหตุผลนี้หรือไม่

ดูจากท่าทาง เขาก็เป็นพวกพยศ ไม่เชื่อฟังใครง่ายๆ คนหนึ่งเลย…

ในใจของอวี้ถังว้าวุ่นไปหมด นางไม่มั่นใจว่าตอนนี้นางต้องการให้สกุลอวี้รอดพ้นเคราะห์ภัยครานี้ไปได้หรือต้องการรู้ความเป็นมาของบุรุษชุดเขียวมากกว่ากัน…แต่นางก็ห้ามตัวเองให้หยุดสนใจเรื่องของสกุลเผยไม่ได้เสียแล้ว

อวี้ถังเอ่ยว่า  พ่อบ้านสามคงยุ่งตัวเป็นเกลียวแน่! ไหนจะต้องจัดการเรื่องนอกจวน ไหนจะต้องดูแลเรื่องในจวน พ่อบ้านใหญ่กับพ่อบ้านรองไม่มาช่วยแบ่งเบาบ้างหรือ? 

จี้ต้าเหนียงตกใจเพราะรู้ตัวว่าตนหลุดปากไปมาก แต่พอเห็นสีหน้าบริสุทธิ์ไม่เข้าใจโลกภายนอกของอวี้ถัง นางก็ตอบอย่างคลุมเครือว่า  พ่อบ้านใหญ่กับพ่อบ้านรองยังมีเรื่องอื่นต้องจัดการเจ้าค่ะ  จากนั้นนางก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที  ข้าว่าสุขภาพของนายหญิงซิ่วไฉยังอ่อนแออยู่มาก ถ้าหากท่านจุดธูปเคารพท่านผู้เฒ่าเสร็จแล้ววางแผนจะกินอาหารเจที่จวนก่อนแล้วค่อยกลับ ข้าจะให้คนพาท่านไปพักที่อู่ฝาง [1] หลังโถงรอง เที่ยงตรงแบบนี้ตะวันร้อนแรงนัก ท่านต้องระวังจะเป็นลมแดดไป 

ด้วยกลัวว่าจะทำให้จี้ต้าเหนียงสงสัย อวี้ถังจึงต้องหยุดไว้ชั่วคราวเพียงเท่านี้

คนสกุลเฉินกล่าวขอบใจจี้ต้าเหนียง แล้วเล่าถึงบุญคุณที่ท่านผู้เฒ่าเผยมีต่อนาง

อวี้ถังทางหนึ่งก็เงี่ยหูฟัง ทางหนึ่งก็คอยสังเกตรอบข้างไปด้วย

นางพบว่าตลอดเส้นทางที่เดินผ่าน ไม่มีดอกไม้สีอื่นให้เห็นได้เลยจริงๆ

เห็นได้ชัดว่าคำสั่งของนายท่านสามในตอนนี้ เบื้องหน้าไม่มีใครกล้าไม่เชื่อฟัง

อวี้ถังยิ่งกังวลมากกว่าเก่า

เพียงแต่ไม่รู้เลยว่านายท่านสามจะขึ้นนั่งตำแหน่งได้อย่างไร?

เขาจะใช้คำสั่งเสียของท่านผู้เฒ่ามาบีบบังคับให้ทุกคนเชื่อฟัง? หรือว่าตั้งแต่ก่อนหน้าที่พวกหลู่ซิ่นจะปล่อยข่าวลือออกมา นายท่านสามก็ควบคุมฮ่องเต้สั่งการใต้หล้า [2] ไปแล้ว?

นางจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว กระทั่งได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว ถึงพบว่าตนกับมารดาได้ตามจี้ต้าเหนียงเข้ามาในลานที่เต็มไปด้วยเสียงร้องไห้ดังระงม ชาวเมืองคล้ายพวกนางหลายต่อหลายคนกำลังร่ำไห้หน้าโลงศพ เสียงสวดบริกรรมดังยาวอย่างมีจังหวะจะโคน ติ่งทองแดงสามขาสูงเหนือคนมีธูปปักอยู่แน่น ควันขาวลอยโขมง หากมิใช่เห็นผ้าขาวแขวนไว้ทั่วทุกมุม นางคงนึกว่าตัวเองหลงเข้ามาอยู่ในวัดเสียแล้ว

คนสกุลเฉินสูดเข้าไปจนสำลักไอหลายที

จี้ต้าเหนียงเอ่ยว่า  โปรดตามข้ามา! 

พวกนางถูกนำทางให้เดินผ่านเหล่าสตรีออกเรือนแล้วกลุ่มใหญ่ที่กำลังร้องไห้หน้าโลงศพแล้วเดินเข้าไปที่โถงข้าง จากนั้นก็ไปโขกศีรษะจุดธูปไหว้ภาพเหมือนของท่านผู้เฒ่าเผยซึ่งตั้งอยู่กลางห้อง

ตอนที่ลุกยืนขึ้นอวี้ถังก็พิจารณาภาพเหมือนของท่านผู้เฒ่าอย่างตั้งอกตั้งใจ

หนวดเคราสามจุก ทรงคิ้วหนอนไหม ดวงตาผลซิ่ง หน้าผากกว้างสองแก้มอิ่ม สวมชุดคลุมตัวยาวแขนกว้างคอกลมสีเขียว ปักดิ้นทองลวดลายอู่ฝู [3] ยิ้มจนตาแทบปิด ดูแล้วเป็นคนใจดียิ่งนัก

ไม่รู้ภาพนี้ถูกวาดโดยใคร ลายเส้นพู่กันนับว่ายอดเยี่ยม ไม่เพียงหน้าตาวาดออกมาได้สมจริง ทั้งสีหน้าอารมณ์อันละเอียดอ่อนก็ล้วนวาดออกมาได้หมด ขนาดอวี้ถังที่ไม่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับภาพวาด ก็ยังรับรู้ได้ถึงความสามารถของจิตรกร

ไม่รู้ว่าเป็นจิตรกรผู้ยิ่งใหญ่ท่านใด

ไม่รู้ว่าตอนที่ท่านผู้เฒ่าเผยถูกวาดภาพเหมือนภาพนี้อยู่ จะเคยคิดหรือไม่ว่าสกุลเผยจะเกิดเรื่องแก่งแย่งตำแหน่งผู้นำสกุลหลังจากที่เขาตายไปแล้ว?

เห็นทีว่าโลกนี้ช่างอนิจจัง

ท่ามกลางเสียงร้องไห้ อวี้ถังพลันจมอยู่กับความรู้สึกโศกาอาดูร

กรอบตานางรื้นชื้น หยดน้ำตาร่วงหล่น

คนสกุลเฉินทางนั้นกลับปล่อยโฮออกมาอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้

อวี้ถังกับจี้ต้าเหนียงประคองคนสกุลเฉินคนละฝั่งแล้วพาเดินออกมาจากโถงรอง

จี้ต้าเหนียงหยุดคิดพักหนึ่ง แล้วเรียกสาวใช้ที่ชื่อ ‘เล่ยจือ’ เข้ามาสั่งงานว่า  นี่คือนายหญิงและคุณหนูใหญ่ของอวี้ซิ่วไฉ เจ้าพานายหญิงกับคุณหนูใหญ่ไปพักที่เซียงฝาง [4] ด้านหลังก่อน  และหันมาพูดกับคนสกุลเฉินว่า  ด้านนอกข้ายังมีเรื่องต้องจัดการ ไม่อาจอยู่เป็นเพื่อนพวกท่านได้ อีกสักครู่ข้าค่อยมาหาใหม่เจ้าค่ะ 

อู่ฝางเปลี่ยนมาเป็นเซียงฝาง เห็นชัดว่าจี้ต้าเหนียงดูแลพวกนางเป็นพิเศษ

คนสกุลเฉินกับอวี้ถังรีบขอบคุณนางเป็นพัลวัน เอ่ยว่า  พวกเราคอยอยู่ที่ห้องอู่ฝางก็ใช้ได้แล้ว 

จี้ต้าเหนียงลดเสียงเบา เอ่ยว่า  ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ! ห้องเซียงฝางเดิมให้แขกสตรีเรือนในพัก ตอนนี้ไม่ได้ใช้งาน ให้พวกท่านพักสักวันหนึ่ง มิใช่เรื่องใหญ่โต 

นี่ก็เป็นความปรารถนาดีของจี้ต้าเหนียง

สองแม่ลูกกล่าวขอบคุณซ้ำอีกหลายรอบ เห็นว่าจี้ต้าเหนียงเอ่ยด้วยใจจริง ทั้งมีบ่าวรับใช้เข้ามาขอคำชี้แนะ จึงไม่กล้ารบกวนเวลานางอีก ได้แต่ตอบตกลงอย่างซาบซึ้งใจ แล้วตามเล่ยจือขึ้นระเบียงทางเดินไปฝั่งตะวันตก

 คนดีๆ เช่นนี้ เหตุใดจึงมาจากไปเสียดื้อๆ นะ?! 

อวี้ถังปลอบใจมารดาอยู่หลายประโยค พอเงยหน้าก็พบว่าพวกนางเดินตามทางอันคดเคี้ยวเลี้ยวลดตามเล่ยจือมาโผล่ยังเรือนน้อยที่เงียบสงบหลังหนึ่ง

ในลานมีลำธารและต้นไผ่ สะพานไม้และก้อนหิน ตกแต่งไว้อย่างประณีตบรรจง เสียงร้องไห้แว่วลอยตามมา เสริมให้เรือนน้อยหลังนี้เงียบสงัดยิ่งกว่าเดิม

เล่ยจือผลักประตูเซียงฝางฝั่งตะวันตกให้เปิดออก เชิญคนสกุลเฉินกับอวี้ถังเข้าไปด้านใน เอ่ยเสียงเบาว่า  นายหญิงอวี้ เชิญท่านพักที่นี่ก่อน ถึงเวลาทานมื้อเที่ยงข้าจะมาเชิญอีกรอบเจ้าค่ะ  พูดจบ ก็รินชาให้ทั้งสองด้วยตนเอง

อวี้ถังมองดูเครื่องเรือนสีเข้มเพียงสีเดียวที่อยู่ในห้องเซียงฝาง ม่านกั้นสีฟ้าอ่อน ในแจกันดอกไม้สีครามมีดอกอวี้หลันขาวสูงต่ำไม่เท่ากันขนาดประมาณปากชามปักอยู่สองดอก การจัดวางเรียบง่ายทว่างดงาม เรียบง่ายสบายตายิ่ง

จากอู่ฝางเปลี่ยนเป็นเซียงฝาง นางเดาว่าสถานที่แห่งนี้คงจะเตรียมเอาไว้ให้ญาติพี่น้องไม่ก็สหายสนิทที่เป็นสตรีของสกุลเผยใช้พักผ่อน อาจเพราะจี้ต้าเหนียงเห็นว่าบิดานางเป็นซิ่วไฉ มารดานางร่างกายอ่อนแอซ้ำยังพูดคุยถูกคอ จึงได้ดูแลเป็นพิเศษ จัดการให้พวกนางแม่ลูกเข้ามาพักที่นี่

คนสกุลเฉินรับน้ำชามา เอ่ยขอบคุณเล่ยจือเสียงนุ่ม

อวี้ถังคิดว่าจี้ต้าเหนียงเรียกใช้งานเล่ยจือ แสดงว่าเล่ยจือผู้นี้คงมีความสัมพันธ์กับจี้ต้าเหนียงไม่เลวทีเดียว นางรับถ้วยชามาจากเล่ยจือ กล่าวขอบคุณอีกฝ่าย  ลำบากพี่เล่ยจือแล้ว  แล้วพูดต่อว่า  พวกเราได้เข้ามาพักที่นี่ ทั้งหมดต้องขอบคุณจี้ต้าเหนียงกับพี่เล่ยจือ รอผ่านไปหลายวันให้จี้ต้าเหนียงกับพี่เล่ยจือไม่ยุ่งแล้ว พวกเราจะมาขอบคุณอีกครั้ง 

เล่ยจือคิดไม่ถึงว่าแม่ลูกของซิ่วไฉสกุลอวี้จะเกรงอกเกรงใจตนถึงเพียงนี้ จึงอดเหลือบมองอวี้ถังหลายครั้งไม่ได้

เครื่องประดับและอาภรณ์ของอวี้ถังธรรมดาทั่วไป ส่วนสูงระดับกลางๆ เครื่องหน้างดงาม กิริยาอ่อนหวาน ผิวพรรณเกลี้ยงเกลา ขาวผ่องยิ่งกว่าหิมะ

เล่ยจือตกตะลึง

คุณหนูสกุลอวี้มีรูปโฉมงดงามไม่แพ้เหล่านายหญิงและคุณหนูของสกุลเผยเลย

อวี้ถังเดิมก็เป็นคนนิสัยใจคอกว้างขวาง ภายหลังได้ประสบกับเรื่องไม่คาดฝัน กิริยาท่าทางจึงไม่แข็งกร้าวจนดูเย่อหยิ่ง ไม่ถ่อมตัวจนดูต้อยต่ำ ทั้งยังสุขุมเยือกเย็น

นางปล่อยให้เล่ยจือมองตามสบาย

จนเป็นเล่ยจือเองที่รู้สึกเสียมารยาท นางก้มศีรษะต่ำ เอ่ยอย่างนอบน้อมว่า  คุณหนูอวี้เกรงใจแล้ว คำพูดของท่าน ข้าจะนำส่งให้ถึงแน่เจ้าค่ะ 

 จี้ต้าเหนียงกับแม่นางเล่ยจือช่างมีน้ำใจนัก!  คนสกุลเฉินเสริมวาจาตามมารยาทกับเล่ยจืออีกหลายประโยค แล้วเดินไปส่งเล่ยจือที่ประตูด้วยตนเอง หลังจากหย่อนตัวนั่งบนตั่งนอนไม้ในห้อง สีหน้าถึงได้เผยความอ่อนล้าให้เห็น

อวี้ถังคิดว่านี่ีคือการดูแลเป็นพิเศษที่จี้ต้าเหนียงมอบให้ หากว่าคนอื่นรู้เข้าคงไม่ดี จึงปิดหน้าต่างฝั่งลานเรือน แล้วเปิดหน้าต่างฝั่งด้านนอกแทน และถึงแม้จะเปิดออก แต่ก็ไม่กล้าเปิดอ้าเต็มที่ เพียงเปิดค้างไว้ครึ่งเดียวเท่านั้น นางเข้าไปช่วยมารดาบิดผ้าเช็ดหน้าแล้วซับเหงื่อให้  ท่านแม่ ท่านพักสักครู่เถอะเจ้าค่ะ ถึงมื้อกลางวันเมื่อไรเดี๋ยวเล่ยจือจะมาเรียกพวกเราเอง 

คนสกุลเฉินพยักหน้า เอ่ยอย่างรู้สึกไม่สบายใจว่า  ถ้าสุขภาพข้าไม่เป็นปัญหา พวกเราคงไม่ต้องเบียดเบียนอาหารเจของสกุลเผยไปหนึ่งมื้อ ปากบอกว่ามาจุดธูปเคารพท่านผู้เฒ่าเผย กลับมาขอข้าวเขากินเสียได้ 

อวี้ถังกล่อมมารดาว่า  สกุลเผยบุญหนักศักดิ์สูง ไม่มาสนใจอาหารมื้อสองมื้อหรอกเจ้าค่ะ 

คนสกุลเฉินเห็นว่าบนหน้าผากของอวี้ถังมีแต่เหงื่อ ก็เอ่ยอย่างปวดใจว่า  เจ้าก็อย่าฝืนตัวเองมาก หากว่ารู้สึกร้อน ก็หาที่เย็นๆ หลบไปพักก่อน อย่าได้ต้องเจ็บไข้เพราะมาจุดธูปเคารพท่านผู้เฒ่าเผยล่ะ 

 ทราบแล้วเจ้าค่ะ!  อวี้ถังรับคำ แล้วยกตั่งไม้เตี้ยเดินมาหา จะช่วยนวดขาให้คนสกุลเฉิน

คนสกุลเฉินทั้งประหลาดใจและยินดี เอ่ยว่า  ไอหยา! เหลือเชื่อจริงๆ ข้าไม่เคยรู้สึกมาก่อนว่าการมีลูกสาวจะสุขสบายปานนี้! 

ถูกต้องแล้ว!

แต่ไรนางก็ไม่เคยรู้ความ ไม่เคยรู้จักรักษาสิ่งล้ำค่าในมือ

ตอนนี้เพิ่งจะได้รู้ว่าการได้อยู่พร้อมหน้ากัน มันยากเย็นและมีค่ามากเพียงใด

ดวงตาอวี้ถังรื้นชื้น แสร้งทำทีออดอ้อนเพื่อกลบเกลื่อน แล้วนั่งลงข้างคนสกุลเฉินเพื่อบีบนวดขาให้นาง

คนสกุลเฉินกำลังอิ่มเอิบกับความกตัญญูของบุตรสาว ทางหนึ่งก็บ่นกับนางว่า  โบราณว่าเอาไว้ คนมีวาสนามักเกิดเดือนหก คนอาภัพเดือนหกมักตาย [5] …เพราะท่านผู้เฒ่าทำกุศลบุญไว้มากมาย…จึงโชคดีที่นายท่านทั้งสองอยู่พร้อมหน้า ใกล้สิ้นยังมีบุตรชายอยู่ข้างๆ ทว่าก็โชคร้ายเหลือเกิน คนผมขาวต้องส่งคนผมดำ เพราะนายท่านใหญ่มาจากไปก่อน… 

อวี้ถังฟังเข้าหูซ้ายทะลุออกหูขวา กำลังนึกถึงสวนป่าแลไร่ชา ถนนแลท่าเรือ ที่เขียนคำว่า ‘เผย’ ติดไว้ทุกหนทุกแห่ง นางคิดอย่างทอดถอนใจว่า หรือเป็นเพราะว่าสกุลเผยล้วนแต่ทำทานสร้างกุศล?

ด้านนอกพลันมีเสียงโหวกเหวกดังลอดเข้ามา

คนสกุลเฉินกับอวี้ถังพากันชะงักกึก

อวี้ถังนึกถึงคำของจี้ต้าเหนียง จึงกระซิบบอกมารดาว่า  ท่านแม่นั่งอยู่ก่อน ข้าไปดูเองเจ้าค่ะ! 

————————————————————-

[1] อู่ฟาง คือ ห้องเล็ก 2 ห้องที่อยู่ตรงข้ามกับห้องโถงใหญ่

[2] ควบคุมฮ่องเต้สั่งการใต้หล้า หมายถึง แอบอ้างเบื้องสูงเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน

[3] อู่ฝู คือ สัญลักษณ์มงคลของจีน หมายถึงความสุขทั้งห้าประการ ได้แก่ อายุมั่นยืนยาว มั่นคงมั่งคั่งร่ำรวย สุขภาพพลานามัยแข็งแรง ประพฤติตนในกรอบศีลธรรมอันดี และตายอย่างสงบสุข

[4] เซียงฝาง เป็นห้องที่อยู่ด้านทิศตะวันตกและทิศตะวันออกของจวน

[5] คนมีวาสนามักเกิดเดือนหก คนอาภัพเดือนหกมักตาย อธิบายได้ว่า เดือนหกเป็นช่วงเวลาเก็บเกี่ยวข้าวสาลี เดือนแปดเก็บเกี่ยวข้าวโพด เช่นนี้ก็ไม่ต้องกลัวอดอยาก ทั้งเดือนหกอากาศเริ่มอบอุ่น ไม่ต้องทนรับลมหนาว จึงนับว่าเด็กที่เกิดเดือนหกมีโชควาสนา แต่ในทางกลับกัน อากาศที่เริ่มอบอุ่นจะทำให้ศพเน่าเปื่อยและส่งกลิ่นเหม็นเร็วขึ้น ครอบครัวมักตั้งศพไว้เพียงสามวันแล้วฝังทันที ไม่มีดูฤกษ์เลือกยาม ทั้งชาวไร่ชาวนามักวุ่นวายกับการเก็บเกี่ยว พิธีศพจึงเป็นอย่างลวกๆ และเร่งร้อน นับว่าคนที่ตายเดือนหกช่างอาภัพยิ่ง

Related

 

เมืองหลินอันทั้งสามด้านล้อมรอบด้วยภูเขา แม่น้ำเสาซีไหลเอื่อยอ้อมผ่านเมืองหลินอันจากตะวันออกไปตะวันตก บรรจบกับแม่น้ำเฉียนถัง กลายเป็นเส้นทางสายสำคัญในการเดินทางออกนอกเมืองของชาวเมืองหลินอัน

จวนสกุลเผยสร้างอยู่บนตรอกเสี่ยวเหมยของเมืองฝั่งตะวันออก เรือนพักที่สร้างอิงภูเขานั้นวิจิตรซับซ้อน กินพื้นที่ของตรอกเสี่ยวเหมยทั้งหมด ส่วนแม่น้ำสายน้อยที่ไหลลงสู่ท่าเรือเสาซี จะชักน้ำมาจากแม่น้ำเสาซีอีกที มันวางตัวคดเคี้ยวผ่านหลังจวนสกุลเผย และถูกชาวเมืองหลินอันเรียกในชื่อธารเสี่ยวเหมย และเพราะธารเสี่ยวเหมยเป็นแม่น้ำสายเดียวในเมืองที่เชื่อมต่อกับท่าเรือและเดินเรือผ่านได้ พอพ้นศาลาว่าการและสำนักศึกษาช่วงใจกลางเมืองไป สองฝั่งแม่น้ำจะเริ่มมีรวงร้านตั้งกันเบียดเสียด ผู้คนขวักไขว่เนืองแน่น แม้ไม่รุ่งเรืองเท่ากับร้านค้าบนถนนฉางซิ่งเมืองฝั่งตะวันตก แต่ความคึกคักก็ไม่น้อยหน้าถนนฉางซิ่งเลย

รุ่งเช้าในฤดูร้อน แม้อาทิตย์ยังไม่ปรากฏตัว ทว่าในอากาศก็แผ่ซ่านไปด้วยกลิ่นสดชื่นของต้นไม้ใบหญ้าและน้ำค้าง

อวี้ถังติดดอกไม้ผ้าสีขาว สวมเสื้อตัวสั้นแขนกว้างทับด้วยกระโปรงยาวสีเรียบซึ่งตัดจากผ้าโปร่งเหมาะกับหน้าร้อน ประคองมารดาเดินผ่านรวงร้านที่ตั้งอยู่สองข้างทางธารเสี่ยวเหมย

ตรอกเสี่ยวเหมยตั้งอยู่ไกลสุดสายตา ทว่าบนหน้าผากกลับมีเหงื่อผุดออกมาแล้ว

นางดึงผ้าเช็ดหน้าสีม่วงอ่อนที่ตัดจากผ้าไหมหังโจวออกมาเช็ดหงื่อ แล้วหันไปมองทางมารดาอย่างไม่รู้สึกตัว

เห็นว่าจอนผมของนางมีเหงื่อชุ่ม อวี้ถังจึงรีบส่งผ้าเช็ดหน้าให้ เอ่ยเสียงเบาว่า  ท่านแม่ ท่านก็เช็ดเหงื่อหน่อยสิเจ้าคะ! 

คนสกุลเฉินส่ายหน้า แล้วดึงผ้าเช็ดหน้าของตนออกมาซับเหงื่อ พูดชมนางคำหนึ่งว่า  เด็กดี  แล้วเอ่ยว่า  เจ้าไม่ต้องสนใจข้า เจ้าดูแลตนเองให้ดีก็พอแล้ว 

อวี้เหวินที่เดินอยู่ข้างหน้าอดจะบ่นไม่ได้  ข้าบอกให้เช่าเกี้ยวมาหลังหนึ่ง เจ้าก็ว่าเป็นการไม่เคารพผู้ตาย ร่างกายของเจ้ากว่าจะบำรุงให้ดีขึ้นมาหน่อยได้ มิใช่ทรมานตนเองจนล้มป่วยไปเสียอีก หากถามข้า ข้าว่าเจ้าไม่สมควรมาเลย ข้าพาอาถังมาด้วยก็พอแล้ว 

คนสกุลเฉินรูปร่างผอมสูง สีหน้าขาวซีด เพราะเจ็บป่วยอยู่ตลอดทำให้เครื่องหน้าอันวิจิตรของนางดูน่าสงสารคล้ายดอกสาลี่กลางฤดูฝนอยู่สามส่วน นางยิ้มพลางปลอบอวี้เหวินว่า  เอาล่ะ เอาล่ะ ข้ารู้ว่าท่านพี่เป็นห่วง ข้าจะเดินตามที่กำลังของข้าไหว ไม่ให้ท่านกับอาถังต้องกังวล ท่านผู้เฒ่าเผยมีบุญคุณกับข้า หากว่าร่างกายข้าแข็งแรง ก็คงเดินสามก้าวโขกศีรษะหนึ่งทีไปจนถึงวัด เพื่อขอพรให้พระโพธิสัตว์คุ้มครองท่านผู้เฒ่าสู่แดนสุขาวดีแล้ว ทว่าตอนนี้กลับเดินไปจุดธูปเคารพท่านผู้เฒ่าอย่างเอื่อยเฉื่อย อาศัยว่าท่านผู้เฒ่าเป็นคนเมตตาอารีย์ จึงได้แอบอู้ก็เท่านั้น  พูดถึงตรงนี้ กรอบตาของนางก็เริ่มแดงเรื่อ

หลังจากที่รู้ข่าวการตายของท่านผู้เฒ่าเผย คนสกุลเฉินก็รู้สึกผิดมาก

อวี้ถังรีบพูดปลอบใจนางว่า  ท่านแม่ ท่านยังบอกเลยว่าท่านผู้เฒ่ามีเมตตา ท่านผู้เฒ่าคงไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องเท่านี้หรอก ต่อไปถ้าพวกเรามีโอกาส ค่อยไปสวดมนต์ขอพรให้ท่านผู้เฒ่าที่วัดก็ได้เจ้าค่ะ 

คนสกุลเฉินพยักหน้ารับ

อวี้เหวินสั่งกำชับสองแม่ลูกว่า  สกุลเผยเป็นสกุลใหญ่มีกิจการมาก สามกิ่งก้านแม้จะแยกบ้านกันแต่ไม่ได้แยกบรรพบุรุษ ท่านผู้เฒ่าเผยสายนั้นอาศัยอยู่ที่ถนนตะวันออก หอบรรพชนสกุลเผยก็ตั้งอยู่ถนนตะวันออกเช่นกัน ทว่าสถานที่ตั้งศพของท่านผู้เฒ่าเผยนั้น ด้วยมีคนมาเคารพศพอย่างล้นหลาม จึงให้ตั้งศพที่โถงรองในเรือนหลักบนถนนกลาง แขกบุรุษให้จุดธูปไหว้เคารพในโถงรอง แขกสตรีจะจัดสถานที่อีกสองแห่งไว้ให้จุดธูปเคารพที่ถนนตะวันออก แห่งหนึ่งสำหรับญาติพี่น้องและมิตรสหายสตรี อีกแห่งสำหรับชาวเมืองเช่นพวกเรา ตอนที่พวกเจ้าเข้าไปต้องคอยเดินตามหลังผู้ดูแลให้ดี อย่าได้ไปผิดที่ล่ะ 

หลังจากตั้งศพได้สามวัน โถงเซ่นไหว้ก็เริ่มเปิดให้ชาวเมืองเข้าไปเคารพศพ

อวี้เหวินเคยไปมาหาสู่กับสกุลเผยด้วยเรื่องรักษาอาการป่วยของคนสกุลเฉิน ทั้งเขายังมีฐานะซิ่วไฉติดตัว จึงได้ไปสอบถามล่วงหน้า หลายวันนี้เขาล้วนแต่อยู่ช่วยงานที่จวนสกุลเผย วันนี้ถึงค่อยพาภรรยาและบุตรสาวมาเคารพศพท่านผู้เฒ่าเผย

คนสกุลเฉินไม่เคยพบเจอพิธีศพที่จัดอย่างยิ่งใหญ่เช่นนี้มาก่อน ในใจรู้สึกประหม่าอยู่บ้าง จึงตอบกลับเสียงไร้ความมั่นใจไปทีหนึ่ง

อวี้ถังแม้จะมีชีวิตมาสองชาติแล้ว แต่ถูกสกุลหลี่กักขังไว้แต่ในเรือนหลัง ออกมาสักครั้งก็ต้องหลบๆ ซ่อนๆ จึงไม่เคยเห็นพิธีที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้เหมือนกัน แต่นางคิดว่าดีชั่วอย่างไรตนก็ถูกสกุลหลี่เคี่ยวกรำมาหลายปี เจอแข็ง ต้องแกร่งกว่า ต่อให้เกิดเรื่องอะไรขึ้น ขอเพียงไม่เกี่ยวพันถึงผลประโยชน์ ทั้งสกุลเผยก็ค่อนข้างใจกว้าง หากถูกตำหนิก็แก้ให้ถูกเสีย หากไม่ผิดพลาดก็ให้กำลังใจตนเองต่อ นางจึงไม่ค่อยเป็นกังวลเท่าใดนัก

อาจเพราะสกุลเผยมีบุญคุณต่อชาวเมืองหลินอันเป็นจำนวนมาก อีกทั้งวันนี้ยังเป็นวันแรกที่โถงเซ่นไหว้เปิดให้เข้าเคารพศพ ตลอดเส้นทางที่เดินผ่านมา ร้านค้าแผงลอยในตรอกเสี่ยวเหมยจำนวนมากล้วนปิดร้าน คนที่เดินจับจ่ายซื้อของมีบางตา กระทั่งเดินถึงสำนักศึกษาประจำอำเภอ นางถึงเห็นว่าสำนักศึกษาไม่ได้เปิดสอน ทั้งยังแขวนธงขาวอีกด้วย

อวี้เหวินถอนหายใจ  เหล่าถงเซิง [1] ของสำนักศึกษาประจำอำเภอหากไม่ได้เงินช่วยเหลือจากท่านผู้เฒ่าเผย มีหรือจะผลิตซิ่วไฉออกมาได้แทบทุกสองสามปี บัดนี้ท่านผู้เฒ่าเผยสิ้นแล้ว สกุลเผยก็ยังไม่รู้ใครจะขึ้นมาเป็นผู้นำ ทุกคนย่อมกังวลใจกันมาก เกินกว่าครึ่งคงไม่อาจสงบใจเล่าเรียนต่อได้… 

คนสกุลเฉินได้ฟังก็เอ่ยว่า  ท่านคงไม่เชื่อวาจาเหลวไหลของหลู่ซิ่นกระมัง? หากข้ามหน้าบ้านใหญ่แล้วให้บ้านสามเป็นผู้นำสกุลแทน เช่นนี้ย่อมเกิดเรื่องแน่ 

ต่อให้เป็นราชสำนัก ก็ยังต้องแต่งตั้งตามบ้านหลักรอง อายุมากน้อย

อวี้เหวินลังเลไปพักใหญ่ ก่อนกระซิบเสียงเบาว่า  มีข่าวลือเช่นนี้ออกมาก็ไม่แปลกหรอก นายท่านใหญ่สิ้นแต่อายุไม่ถึงสี่สิบ บุตรชายสองคนยังไม่ผ่านพิธีสวมหมวก ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยจับงานยิบย่อยของสกุลเผยมาก่อน… 

คนสกุลเฉินกลับเถียงว่า  ในสกุลมิใช่มีพ่อบ้านอยู่แล้วรึ? ใครเกิดมาก็ทำเป็นเลยเล่า? ขอเพียงยินดีเรียนรู้ก็พอแล้ว! 

อวี้เหวินสงสัยต่อว่า  แต่ข้าได้ยินคนพวกนั้นถกเถียงกัน บอกว่าท่านอาของคุณชายสกุลเผยทั้งสองคนนั้น นายท่านรองไม่เชี่ยวชาญศาสตร์คำนวณ…ไม่แน่นี่อาจเป็นที่มาของข่าวลือก็ได้ 

เพียงแต่เมื่อเป็นเช่นนี้ สกุลเผยจึงไม่อาจเลี่ยงเหตุยุ่งยากได้

พี่น้องใจเดียวกัน แม้แท่งทองก็บั่นลงได้

หากว่าภายในเกิดการแก่งแย่ง ต่อให้ต้นไม้จะใหญ่เพียงใดก็โค่นล้มลงมาได้

อวี้เหวินกับคนสกุลเฉินพลันตกอยู่ในความเงียบพร้อมกัน

อวี้ถังเห็นว่าบรรยากาศไม่ค่อยดี จึงหัวเราะเอ่ยเสียงสนใจใคร่รู้ว่า  ท่านพ่อ สถานที่ที่สกุลเผยอยู่เหตุใดจึงเรียกว่าตรอกเสี่ยวเหมยเล่าเจ้าคะ? ตรอกเสี่ยวเหมยกลับไม่มีต้นเหมยสักต้น ทั้งไม่มีอะไรที่เกี่ยวกับต้นเหมยเลยด้วย 

คำถามนี้นางอยากถามตั้งแต่ชาติก่อนแล้ว

เพียงแค่ไม่รู้จะไปถามใคร

อวี้เหวินหัวเราะ ตอบว่า  เจ้าไม่มีทางเห็นหรอก ข้าก็เพิ่งได้ยินมาจากเถ้าแก่ถงเหมือนกัน เล่าว่าตอนที่บรรพบุรุษของสกุลเผยอพยพคนมาหลบโลกภายนอกที่เมืองหลินอันนี้ ก็เจอกับต้นเหมยป่าต้นหนึ่ง จึงได้สร้างเรือนพักอาศัยอยู่ข้างต้นเหมยต้นนั้น ตั้งชื่อให้ว่าตรอกเสี่ยวเหมย ทว่าต่อมาสกุลเผยมีลูกหลานมากมาย จึงค่อยๆ ขยายเรือนออกไปกว้างขวาง ต้นเหมยเก่าแก่ต้นนั้นจึงนับว่าอยู่ในเรือนหลัก แขกเหรื่อทั่วไปยากจะมีใครได้เห็น ทว่าก็ทิ้งชื่อตรอกเสี่ยวเหมยเอาไว้ให้ 

ทั้งสามคนปีนขึ้นเนินไปอย่างไม่รีบร้อน จนถึงจวนสกุลเผยในที่สุด

นอกประตูใหญ่เป็นภาพขาวโพลนทั้งแถบ

บ่าวไพร่เดินสวนกันไปมา ยุ่งงานในมือทว่าไม่ไร้ระเบียบ

พอเห็นอวี้เหวิน คนที่ท่าทีคล้ายพ่อบ้านก็เดินเข้ามาทักทาย  ท่านอวี้มาแล้ว เชิญไปนั่งที่โถงรองก่อนขอรับ 

อวี้เหวินรีบชี้นิ้วไปทางคนสกุลเฉินกับอวี้ถัง  นายหญิงของข้ากับบุตรสาว ได้รับความเมตตาใหญ่หลวงจากท่านผู้เฒ่า ไม่ว่าอย่างไรก็จะขอมาจุดธูปโขกศีรษะให้ท่านผู้เฒ่าให้ได้ 

คนเช่นนี้มีมากมายเหลือคณา

พ่อบ้านผู้นั้นคารวะคนสกุลเฉินกับอวี้ถังอย่างเกรงอกเกรงใจ เรียกหญิงรับใช้ซึ่งอยู่ในชุดผ้ากระสอบสีขาวเข้ามาหา สั่งนางให้พาคนสกุลเฉินกับอวี้ถังไปเคารพท่านผู้เฒ่าเผย

คนสกุลเฉินกับอวี้ถังเกรงอกเกรงใจยกใหญ่ จากนั้นก็ตามหญิงรับใช้ไปฝั่งตะวันออก

อวี้ถังเพิ่งจะมีเวลามองสำรวจจวนของสกุลเผย

ไม่เสียชื่อผู้ครอบครองพื้นที่อันดับหนึ่งของเมืองหลินอัน ในเมืองหลินอันที่มากด้วยภูเขา น้อยที่ราบ กลับหาลานกว้างที่จอดรถม้าได้อย่างน้อยยี่สิบคันได้ ต้นไม้รอบลานหลายต้นมีขนาดใหญ่กว่าสองแขนโอบ ใบไม้หนาดกทึบ กิ่งก้านแผ่กว้างเหมือนคันร่ม ต้นสนรับแขกตั้งสูงเหนือศีรษะคน กิ่งที่ยื่นสลับไปมายาวเกินกว่าสามฉื่อ [2] ระเบียงทางเดินทอดยาวมุงด้วยหลังคากระเบื้องเขียว ราวระเบียงไม้แดง ด้านบนสุดวาดลวดลายสีน้ำเงิน เสาทั้งต้นถูกพันด้วยผ้าขาว ระหว่างต้นไม้เขียวชอุ่มสองฟากมีดอกไม้ผ้าสีขาวขนาดเท่าปากชามใบใหญ่แขวนประดับอยู่

นี่ต้องใช้เงินทองเท่าใดกัน!

อวี้ถังลอบตื่นตระหนกในใจ

จากนั้นนางก็ค้นพบเรื่องที่แปลกยิ่งกว่า

ตลอดทางที่เดินผ่าน นางยังไม่เห็นดอกไม้สีอื่นนอกจากสีขาวเลย

จวนของผู้รากมากดีมักจะชอบปลูกต้นไม้ใบไม้ที่แฝงความหมายอวยพรให้สกุลเจริญรุ่งเรือง ดั่งเถาแตงเส้นยาวที่ออกดอกผลมีลูกหลานมากมาย โดยเฉพาะฤดูกาลนี้ เป็นฤดูที่ต้นทับทิมและต้นพุทราผลิดอก ไม่ต้องพูดถึงต้นไม้พวกนี้ แม้แต่ดอกไม้ที่เห็นได้ทั่วไปอย่างดอกชบา ดอกยี่เข่งและดอกกุหลาบก็ยังไม่มีให้เห็น

ฝีเท้าของอวี้ถังชะลอช้า พิจารณาต้นไม้ข้างระเบียงทางเดินที่ยื่นกิ่งก้านออกมาอย่างละเอียด

หญิงรับใช้ที่คอยจับตาแขกผู้มาเยือนอยู่ก่อนแล้วสังเกตเห็นความผิดปกติได้ในทันที นางเดินช้าลง แล้วเอ่ยถามเสียงนุ่มว่า  แม่นางน้อยมองหาสิ่งใดหรือเจ้าคะ? มีสิ่งใดให้ข้าน้อยช่วยเหลือหรือไม่? 

คนสกุลเฉินหันหน้ากลับมามองอย่างมึนงง

อวี้ถังรีบดึงสายตากลับ สาวเท้าเดินให้ทันคนสกุลเฉิน กลัวว่าหญิงรับใช้ผู้นี้จะเข้าใจผิดคิดว่านางแอบด้อมมองเรือนใน ไร้การอบรมสั่งสอน จึงอธิบายว่า  ข้าเห็นว่าต้นไม้ต้นนี้คล้ายกับต้นทับทิม แต่กลับไม่เห็นมีดอกเลย… 

หญิงรับใช้ชะงักไป

อาจเพราะกลัวอวี้ถังเข้าใจผิดว่าต้นทับทิมของสกุลเผยไม่ผลิดอก นางหยุดคิดสักครู่แล้วตอบว่า  เดิมทีก็ออกดอกเจ้าค่ะ นี่เป็นเพราะว่าท่านผู้เฒ่ามาสิ้นไป นายท่านและนายน้อยในจวนล้วนเห็นแล้วไม่สบายใจ จึงได้สั่งให้ตัดทิ้งเสียเจ้าค่ะ 

ที่แท้ก็เพราะเหตุนี้เอง

อวี้ถังรู้สึกคำตอบที่ได้ฟังเหนือความคาดหมายอยู่บ้าง

คนสกุลเฉินก็ประหลาดใจ ถามต่อว่า  ตัดทิ้งทั้งหมดเลยรึ? 

เท่าที่มองจวนสกุลเผยมีพื้นที่กว้างขวาง ดอกไม้ก็ปลูกเอาไว้มาก หากว่าต้องตัดทิ้งทั้งหมด ต้องใช้แรงคนสักเท่าใดกัน!

หญิงรับใช้ผู้นั้นทำราวกับตนเป็นคนเหน็ดเหนื่อยตัดต้นไม้เอง พอได้ฟังก็ยิ้มขื่นว่า  ก็ใช่น่ะสิเจ้าคะ! ตั้งแต่ที่นายท่านสามบอกว่าไม่อยากเห็นดอกไม้บานที่สีสันฉูดฉาดเกินไป นี่ก็ใช้เวลาสองวันเต็มๆ พ่อบ้านสามทั้งต้องยุ่งเรื่องจัดงานศพ ทั้งต้องคอยสั่งให้คนตัดดอกไม้ พวกเราข้ารับใช้ก็คอยรับคำสั่ง ตอนนี้มือแทบยกไม่ขึ้นแล้วเจ้าค่ะ 

 ลำบากพวกเจ้าแล้วจริงๆ!  คนสกุลเฉินเอ่ยอย่างเห็นใจ  ผ่านช่วงนี้ไปก็สบายขึ้นแล้วล่ะ 

คงเพราะวาจาของคนสกุลเฉินพูดออกมาจากใจ ทั้งน้ำเสียงอบอุ่นที่เปล่งออกมายังแฝงความอ่อนโยนเหนือผู้ใดสามส่วน หญิงรับใช้ผู้นั้นจึงลอบสังเกตคนสกุลเฉินอีกหลายครั้ง แล้วเอ่ยถามในที่สุดว่า  สกุลสามีข้าสกุลจี้ ทุกคนล้วนเรียกข้าว่า จี้ต้าเหนียง หากท่านมีเรื่องอันใด สามารถให้คนมาบอกข้าได้เลยเจ้าค่ะ 

สามารถให้ผู้อื่นเรียกว่า ‘ต้าเหนียง’ ได้ หาใช่เป็นบ่าวรับใช้ทั่วไปที่พอมีหน้ามีตา ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าย่อมเป็นผู้ที่รับใช้สกุลเผยมาหลายชั่วคน ทั้งอาจจะเฉลียวฉลาดเป็นงาน จนถูกเจ้านายบ้านใดมองเห็นความสำคัญ แล้วมอบหมายให้รับผิดชอบงานด้านใดด้านหนึ่ง

คนสกุลเฉินเอ่ยปากเรียก ‘ต้าเหนียง’ คำหนึ่งอย่างเกรงอกเกรงใจ

อวี้ถังคล้ายถูกโจมตีด้วยคลื่นลมลูกใหญ่

คนสกุลเฉินฟังไม่ออก ทว่านางฟังเข้าใจทันที

ไม่ชมชอบดอกไม้สีสดคือนายท่านสาม วุ่นวายจัดงานศพกับสั่งงานคนให้ตัดดอกไม้คือพ่อบ้านสาม แล้วพ่อบ้านใหญ่กับพ่อบ้านรองมัวทำอะไรกันอยู่เล่า?

หรือสกุลเผยจะเป็นอย่างที่หลู่ซิ่นเล่าให้ฟังจริงๆ ในมุมที่ผู้อื่นมองไม่เห็นได้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายใน รื้อระบบการจัดการใหม่ทั้งหมดแล้ว?

นางไม่ได้กระโตกกระตาก แสร้งทำทีไร้เดียงสา หลอกถามจี้ต้าเหนียงด้วยสีหน้าอยากรู้ว่า  สกุลเผยสมกับเป็นสกุลอันดับหนึ่งในเมืองหลินอัน ขนาดพ่อบ้านยังมีตั้งสามคน แล้วปกติต้องมีพ่อบ้านกี่คนกันเจ้าคะ? ท่านพ่อข้ารู้จักกับเถ้าแก่ถง เขาเล่าว่าเถ้าแก่ถงมีความรู้กว้างขวางและเก่งกาจยิ่ง แล้วเถ้าแก่ถงเป็นผู้ดูแลในจวนหรือว่าเป็นพ่อบ้านล่ะเจ้าคะ? 

จี้ต้าเหนียงได้ฟังสายตาก็พลันเปลี่ยนเป็นอบอุ่นขึ้นมา เอ่ยว่า  เถ้าแก่ถงเป็นพ่อสามีของลูกสาวข้าเอง 

หรือพูดได้ว่า บุตรสาวของจี้ต้าเหนียงแต่งให้กับเถ้าแก่น้อยถง

 ไอหยา ช่างบังเอิญเสียจริง!  อวี้ถังกับคนสกุลเฉินอุทานเบาๆ ออกมาเป็นเสียงเดียวกัน จากนั้นอวี้ถังจึงเริ่มไล่เรียงว่านางรู้จักเถ้าแก่ถงพ่อลูกได้อย่างไรให้จี้ต้าเหนียงฟังด้วยท่าทีสมจริงสมจัง พร้อมเอ่ยเยินยอเถ้าแก่น้อยถงไปหนึ่งยกใหญ่

————————————————————-

[1] ถงเซิง หมายถึง บัณฑิตรุ่นเยาว์ที่สอบผ่านระดับอำเภอ และระดับจังหวัด

[2] หนึ่งฉื่อ ประมาณ 10 นิ้ว

Related

 

ผ่านไปเช่นนี้อีกสิบวัน อวี้ป๋อกับอวี้หย่วนก็กลับจากเจียงซี

อวี้เหวินกำลังวาดรูปอยู่ พอได้ยินข่าวก็ตื่นเต้น เอ่ยว่า  เหตุใดพวกเขากลับมาเร็วเช่นนี้? หรือว่าเจออุปสรรคใดเข้า? 

จากที่นี่นั่งเรือไปเจียงซี เมืองหนานชัง ต้องใช้เวลาถึงสองเดือนกว่า

อวี้ถังกลับคิดตรงข้ามกับอวี้เหวิน

หากเรื่องราวไม่ราบรื่น เช่นนั้นถึงต้องใช้เวลามากกว่าเดิม แต่ถ้าประสบความสำเร็จ พวกเขาย่อมล่วงหน้ากลับมาก่อน

 เรือนท่านลุงอยู่ข้างๆ นี้เอง  อวี้ถังกดยิ้มเจ้าเล่ห์ เอ่ยว่า  หรือว่า ให้ข้าไปถามดูหน่อยไหมเจ้าคะ? 

คนสกุลเฉินนั่งปักผ้าเป็นเพื่อนอวี้ถังอยู่ เอ่ยดุอวี้ถังพลางหัวเราะว่า  ข้าว่าเจ้าไม่ได้อยากไปช่วยถามข่าวมาให้บิดาเจ้าหรอก เจ้าแค่จะแอบอู้ใช่หรือไม่? 

อวี้ถังในชาติก่อน เพราะคิดถึงคนในครอบครัว ตกดึกต้องนอนร้องไห้จนหมอนชุ่มทุกคืน บัดนี้นางย้อนเวลากลับมาได้ นางต้องทำให้บิดามารดามีความสุข นางแทบจะหล่อพระพุทธรูปทองถวายวัดให้รู้แล้วรู้รอดด้วยซ้ำ แล้วนางจะกลับไปเป็นตัวเองคนที่ไม่รู้ความอย่างเมื่อก่อน ทำให้บิดามารดาห่วงกังวลและเป็นทุกข์ได้อย่างไร?

สิบวันมานี้ นางเอาแต่ปักผ้าอยู่ในห้องอย่างสงบเสงี่ยม ทั้งยังวาดลายดอกไม้ซึ่งภายหลังเป็นที่นิยมอีกสองสามลายให้คนสกุลเฉินรู้สึกว่า บุตรสาวผ่านการอบรมในครั้งนี้ได้เปลี่ยนเป็นคนใหม่ นางย่อมภาคภูมิใจยิ่ง

 ท่านแม่รู้ใจข้าที่สุด  นางออดอ้อนเอาใจ ถูศีรษะกับไหล่ของคนสกุลเฉินไปมา เอ่ยว่า  ท่านแม่ ท่านให้ข้าออกไปสูดอากาศนะเจ้าคะ! ข้าไม่ได้ออกจากเรือนตั้งหลายวันแล้ว 

คนสกุลเฉินสงสารบุตรสาวยิ่งนัก บวกกับหลายวันก่อนได้ดื่มยาของหยางโต่วซิง ตนรู้สึกหายใจสะดวกและกระปรี่กระเปร่าขึ้นมาก คิดว่าต่อให้บุตรสาวก่อเรื่อง ก็ไม่จำเป็นต้องให้อวี้เหวินคอยเก็บกวาดคนเดียวอีกต่อไป จึงส่งยิ้มให้เอ่ยว่า  ก็ได้! เจ้าไปดูที่เรือนลุงใหญ่กับท่านพ่อเจ้าเถอะ 

อวี้ถังส่งเสียงร้องดีใจ

ทว่าอวี้ป๋อกับอวี้หย่วนมาเยือนถึงเรือนเสียก่อน

ทุกคนมาพร้อมหน้ากัน นั่งล้อมวงอยู่ใต้ร่มไม้กลางลานกว้าง มีซวงเถาคอยรินน้ำชาให้

อวี้ป๋อเล่าเรื่องที่เดินทางไปเจียงซีในครั้งนี้ว่า  โชคดียิ่งนัก! พวกเราเพิ่งจะผ่านเข้าเขตเจียงซีก็เผอิญได้เจอกับพ่อค้าเมืองกว่างโจว เขาเร่ขายเครื่องเขียนสีและกำลังเดินทางไปเสี่ยงดวงที่หนิงโป ข้าเห็นว่าสินค้าเขาก็มีไม่น้อย จึงเจรจากับเขาอยู่ครึ่งค่อนวัน เขาถึงได้ยอมแบ่งของให้พวกเราครึ่งหนึ่ง บังเอิญว่าเถ้าแก่หวงที่สั่งสินค้ากับเราไม่ได้จำกัดว่าต้องเป็นของประเภทใด ขอให้ทันกองเรือออกเดินทะเลก็พอแล้ว การค้าครั้งนี้จึงเจรจาสำเร็จลุล่วง ทว่า สกุลเราอย่างไรก็ผิดคำพูดต่อผู้อื่น ข้าจึงรับปากว่าจะชดเชยให้เถ้าแก่หวงห้าสิบตำลึง… 

 สมควรยิ่ง สมควรยิ่ง  อวี้เหวินรีบตอบ  เงินก้อนนี้ท่านพี่ตัดสินใจได้เลย 

ร้านค้าเครื่องลงรักของสกุลอวี้ผูกรวมอยู่ด้วยกัน ค้าขายร่วมกัน ค่าสินค้าออกร่วมกัน เมื่อสรุปบัญชีตอนสิ้นปีออกมาค่อยแบ่งสรรปันกำไร

ไม่ต้องชดเชยด้วยจำนวนเงินที่สูงลิ่ว คนในสกุลก็ดีใจมากแล้ว

อวี้เหวินรั้งให้อวี้ป๋อกับอวี้หย่วนอยู่กินข้าวด้วยกันก่อน

อวี้ป๋อปฏิเสธ เอ่ยว่า  ข้ายังต้องรีบไปสกุลเผยอีก ได้ยินว่าสกุลเผยจะก่อสร้างถนนฉางซิ่งใหม่อีกครั้ง ข้าจะไปสืบข่าวดู 

อวี้เหวินค่อนข้างประหลาดใจ ถามว่า  ข่าวนี้เชื่อได้แค่ไหน? ข้าอยู่ที่เมืองหลินอันไม่เคยได้ยินมาก่อน ท่านพี่เพิ่งกลับมาถึงก็รู้ข่าวแล้วรึ? 

อวี้ป๋อหัวเราะ  เจ้าสนใจแต่ตำราคัมภีร์ เรื่องค้าขายเหล่านี้ ต่อให้มีคนพูดให้เจ้าฟัง เจ้าก็คงไม่ได้ใส่ใจ จะเทียบกับข้าที่ติดตามบิดาจัดการดูแลร้านเครื่องเขียนสีของสกุลเราตั้งแต่เด็กได้อย่างไร 

อวี้เหวินถามต่อ  จู่ๆ สกุลเผยก็คิดจะสร้างถนนฉางซิ่งขึ้นใหม่? 

อวี้ป๋อตอบ  น่าจะเป็นความต้องการของท่านข้าหลวง มีคนเชิญนายท่านรองเผยไปหารือโดยเฉพาะ ถึงได้มีข่าวลือนี้ออกมา 

อวี้ถังฟังอยู่ข้างๆ รู้สึกว่าเหมือนกับชาติก่อนไม่มีผิด สกุลเผยตกลงจะสร้างถนนฉางซิ่งขึ้นใหม่ โดยมีเงื่อนไขว่า หากร้านค้าที่ไม่ใช่ของสกุลเผยร้านใดไม่มีกำลังทรัพย์ สกุลเผยสามารถซื้อต่อพื้นที่ร้านของพวกเขาได้

ชาติก่อนตอนที่นางไม่รู้ถึงความไม่ชอบมาพากลของเรื่องราวก็ยังนึกว่าสกุลเผยกำลังทำบุญสร้างกุศล ต่อมาเมื่อเข้าใจกระจ่างก็ลอบกร่นด่าสกุลเผยไปยกใหญ่ ชาตินี้นางรู้ความลับของสกุลเผยเข้า ทว่าตนกลับติดหนี้บุญคุณครั้งใหญ่ต่อสกุลเผย…

อวี้ถังถอนหายใจในอก

นางถือว่าการไม่ได้ยินได้ฟังย่อมทำใจให้สงบได้มากกว่า จึงกลับไปปักผ้าที่ห้องของตน

พี่น้องสกุลอวี้หารือเรื่องนี้ที่ห้องหนังสือต่อ

อวี้เหวินเสนอให้สองบ้านขายพื้นที่คนละหนึ่งคูหาให้สกุลเผย สกุลเผยก็จะช่วยพวกเขาสร้างร้านค้าขึ้นมาใหม่ เช่นนี้ แม้ทรัพย์สินของสกุลอวี้จะหายไปครึ่งหนึ่ง แต่ดีชั่วอย่างไรอีกครึ่งหนึ่งก็ยังรักษาไว้ได้

อวี้ป๋อกังวลว่าสกุลเผยจะไม่เห็นด้วย เอ่ยว่า  ร้านส่วนใหญ่บนถนนฉางซิ่งเป็นของสกุลเผย พวกเขาก็แค่ไม่สนใจเรา ถึงเวลานั้นพวกเราก็ต้องขายพื้นที่ร้านให้สกุลเผยวันยังค่ำ 

อวี้เหวินกลับเสนอขึ้นว่า  ท่านพี่คอยดูข้าก็แล้วกัน! 

หลังจากเขารู้ว่าหลู่ซิ่นหลอกขายภาพคัดลอกให้และตนมองไม่ออก ก็สนใจอยากรู้ความสามารถในการประเมินสิ่งของของเถ้าแก่ถงยิ่งนัก มีสองสามครั้งที่หอบเหล้ายาปลาปิ้งไปให้เถ้าแก่ถง บางครั้งก็ขอคำชี้แนะเคล็ดลับในการประเมินของโบราณต่างๆ ซ้ำยังยกตัวเองว่าเป็นสหายสนิทของเถ้าแก่ถงไปแล้วครึ่งคน

อวี้เหวินคิดว่าเขาอาจจะใช้เส้นสายของเถ้าแก่ถงได้

คนเมืองหลินอันต่างรู้ว่าสกุลของเถ้าแก่ถงรุ่นแล้วรุ่นเล่าล้วนช่วยสกุลเผยดูแลโรงจำนำ ถึงตอนนี้ก็นับว่ามีเจ็ดแปดรุ่นแล้ว ถือเป็นคนเก่าแก่ที่พอมีหน้ามีตาและพูดคุยกับสกุลเผยได้

อวี้ป๋อกลับไม่ได้มองโลกในแง่ดีอย่างอวี้เหวิน

หากว่าเถ้าแก่ถงเป็นคนพูดง่ายเพียงนั้น มีเรื่องอันใดก็ช่วยออกหน้าไปพูดกับสกุลเผยจริงๆ มีหรือที่จะยืนอยู่ถึงทุกวันนี้ได้

ทว่าอวี้เหวินกำลังตื่นเต้นยินดี เขาจึงไม่อยากสาดน้ำเย็นใส่หน้า จึงได้แต่พูดส่งเสริมน้องชายสองประโยค แล้วพาอวี้หย่วนไปช่วยจัดการเรื่องที่ร้าน

อวี้เหวินกินอาหารกลางวันเสร็จ จากนั้นก็เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกไปข้างนอก

ตกดึกกลับมา เขาบอกกับภรรยาอย่างหน้าชื่นตาบานว่า  เถ้าแก่ถงเป็นคนไม่เลวจริงๆ เขารับปากจะไปถามความให้สกุลเราแล้ว 

คนสกุลเฉินก็ปลื้มใจเป็นหนักหนา

ทว่าอวี้ถังกลับตกตะลึง

อวี้เหวินหยิบภาพ ‘ตกปลาใต้ต้นสนริมน้ำ’ ออกมาเปิดส่องใต้ไฟ ทางหนึ่งพินิจมอง ทางหนึ่งก็เอ่ยอย่างทอดถอนใจกับอวี้ถังว่า  เห็นหรือไม่ เป็นคนอย่าได้เจ้าคิดเจ้าแค้นมากเกินไป เจ้าดูสิ ข้าซื้อภาพคัดลอกมาก็จริง แต่มันก็ทำให้ข้าได้เจอสหายใหม่คนหนึ่ง 

อวี้ถังเบ้ปากใส่

หากมิใช่นางคิดหาวิธีพิสูจน์ข้อเท็จจริงของภาพผืนนี้ สกุลของนางมีหรือจะรู้จักมักจี่กับเถ้าแก่ถงได้ ทว่า ก็ถูกอย่างที่บิดานางพูด เถ้าแก่ถงเป็นคนไม่เลวเลยจริงๆ

อวี้ถังคิดถึงเรื่องเมื่อชาติก่อนอีกครั้ง

ตามความหมายของเถ้าแก่ถง ภาพผืนนี้ถูกลอกชั้นออกมาจากภาพวาดต้นแบบ หมายความว่า ตราประทับซึ่งสืบต่อกันมาไม่มีปัญหาอะไร แล้วภาพที่ตกอยู่ในมือนางเมื่อชาติก่อนมีที่มาอย่างไรแน่? เป็นของจริงหรือของปลอมกันเล่า?

อวี้ถังอยากหาโอกาสไปถามเถ้าแก่ถง แต่ว่านางหาจังหวะไม่ได้เสียที อวี้เหวินพลันบอกคนสกุลเฉินกับอวี้ถังด้วยน้ำเสียงคึกคักดีใจ  ร้านค้าสกุลเรามีทางรอดแล้ว! 

 นี่มันเรื่องอันใดกันเจ้าคะ?  คนสกุลเฉินวางเข็มกับด้ายในมือลง แล้วรินชาให้อวี้เหวินด้วยตนเอง

อวี้เหวินกรอกอึกๆ ลงคอ ความยินดีพุ่งทะลุออกจากใบหน้า เอ่ยว่า  เถ้าแก่ถงตอบกลับข้ามาแล้ว บอกว่าพ่อบ้านใหญ่สกุลเผยตอนแรกก็ไม่ยอม คิดว่าแค่พื้นที่สองคูหาคงไม่พอสร้างร้านค้าสองร้านขึ้นมาใหม่ เถ้าแก่ถงคิดถึงเรื่องที่วันก่อนสกุลเราถูกหลอกเอาเงินไปขึ้นมาได้ คิดจะขอความเห็นใจให้พวกเรา ให้สกุลเราเพิ่มเงินอีกสักหน่อยก็ใช้ได้ พ่อบ้านใหญ่บอกว่าไม่อาจให้เป็นเยี่ยงย่าง ถ้าสกุลอื่นที่ร้านค้าถูกไฟไหม้ทำเลียนแบบแล้วจะทำอย่างไร ใครจะคิดว่าตอนที่สองคนกำลังถกเถียงกันอยู่ นายท่านสามสกุลเผยผ่านมาได้ยินพอดี จึงตัดสินใจรับปากเรื่องนี้ ทั้งยังบอกอีกว่า ทุกสกุลที่ร้านค้าถูกไฟไหม้ สกุลเผยจะช่วยสร้างร้านค้าขึ้นมาใหม่ให้ก่อน ค่าใช้จ่ายทั้งหมดสกุลเผยจะเป็นคนออกให้ล่วงหน้า แล้วแบ่งจ่ายหนี้เป็นห้าปีหรือสิบปี โดยไม่คิดดอกเบี้ย 

 ฮะ!  อวี้ถังตกตะลึง

ถ้าเป็นเช่นนี้ ทุกสกุลที่ร้านค้าถูกไฟไหม้ก็ก้าวผ่านความยามลำบากไปได้อย่างราบรื่นแล้วน่ะสิ

 สกุลเผยช่างเป็นพระโพธิสัตว์กวนอิมที่มาช่วยผู้ตกทุกข์ได้ยากเสียจริง!  คนสกุลเฉินพนมมือ แล้วโค้งตัวไหว้ไปทางที่ตั้งของจวนสกุลเผยอยู่หลายครั้ง

นี่มันต่างไปจากชาติก่อนโดยสิ้นเชิง

สาเหตุมาจากการที่นางกลับมาเกิดใหม่หรือ?

เช่นนั้นตอนที่สกุลหลี่มาขอหมั้นหมาย นางก็ไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น แล้วปฏิเสธงานมงคลไปเลยใช่หรือไม่?

แล้วต่อไปนางก็ไม่ต้องเกี่ยวพันใดๆ กับสกุลหลี่อีก?

เพราะแผนเดิมของสกุลนางคือหาเขยชายแต่งเข้าต่างหาก!

อวี้ถังคิดถึงเรื่องนี้ก็รู้สึกเบาสบายไปหมด

คนสกุลเฉินเอ่ยอย่างปรีดาว่า  เช่นนั้นพวกเราก็ไม่ต้องขายพื้นที่ร้านแล้วสิเจ้าคะ? 

 เกรงว่าจะไม่ได้!  อวี้เหวินลูบท้ายทอยอย่างลำบากใจ  ก่อนหน้านี้สกุลเราก็เคยเอ่ยเรื่องขายพื้นที่ร้านให้กับสกุลเผยไปแล้ว สกุลเผยใจบุญสุนทาน ยินดีให้ทุกคนหยิบยืมเงินทอง แล้วพวกเราจะผิดคำพูดต่อสกุลเผยได้อย่างไร! 

คนสกุลเฉินสีหน้าหม่นไปเล็กน้อย ถอนหายใจอย่างผิดหวัง

อวี้เหวินเอ่ยปลอบคนสกุลเฉินว่า  เช่นนี้ก็นับว่าดีมากแล้ว เจ้าคิดแบบนี้สิ หากไม่ใช่พวกเราขอร้องเถ้าแก่ถงไปเจรจา แล้วนายท่านสามสกุลเผยจะรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร? ถ้านายท่านสามไม่ตกลงรับปาก สกุลเผยมีหรือจะให้สกุลอื่นที่ร้านค้าถูกไฟไหม้หยิบยืมเงินทองอย่างไม่หวังผลตอบแทน จะว่าไปแล้ว สกุลเรานับว่าได้ทำเรื่องประเสริฐเรื่องหนึ่ง 

คนสกุลเฉินถึงได้ยิ้มออก แสร้งเอ่ยเสียงบึ้งตึงว่า  มีแต่ท่านคนเดียวที่ใจกว้าง 

อวี้เหวินหัวเราะเหอะๆ

อวี้ป๋อที่ได้ยินข่าวก็เข้าใจว่าคงไม่ต้องขายพื้นที่ร้านค้าของสกุลแล้ว ตอนที่วิ่งมาปรึกษาเรื่องนี้กับอวี้เหวินถึงได้รู้ว่ามีต้นสายปลายเหตุอื่นอีก เขาหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ทว่าก็คิดเห็นไปทางเดียวกับอวี้เหวิน ด้วยจิตใจกว้างขวางทัดเทียมกัน จึงเอ่ยอย่างเบิกบานว่า  ถือเสียว่าสกุลเราไร้ซึ่งวาสนานั้นก็แล้วกัน 

เมื่อสองพี่น้องสกุลอวี้ตัดสินใจเรียบร้อย คนอื่นก็ไม่มีอะไรต้องพูดอีก

หลายวันผ่านไป สกุลเผยกับสกุลอื่นๆ ที่ร้านค้าถูกไฟไหม้ก็ร่วมหารือว่าจะสร้างร้านค้าใหม่อย่างไร ทว่าท่านผู้เฒ่าเผยกลับเสียชีวิตอย่างกะทันหัน

 เป็นไปไม่ได้!  อวี้เหวินที่ได้รับแจ้งข่าวกลางดึกคลุมเสื้อคลุมยืนอยู่กลางลานกว้าง หูก็ได้ยินเสียงแมลงร้องแข่งกันระงม เขากุมมือคนสกุลเฉินเอาไว้ด้วยสีหน้าตื่นตระหนก  เมื่อวานตอนที่ข้าไปจวนสุลเผยยังถามถึงท่านผู้เฒ่าเผยอยู่เลย เขาบอกว่าท่านผู้เฒ่าสบายดี เหตุใดจู่ๆ ก็จากไปเช่นนี้เล่า? 

คนสกุลเฉินเอ่ยอย่างระทมเศร้าว่า  หรือเป็นโรคเฉียบพลันเจ้าคะ? ท่านผู้เฒ่าเผยก็อายุเกินหกสิบแล้วกระมัง? 

 กะทันหันเกินไปจริงๆ  อวี้เหวินแทบไม่อยากเชื่อ หันไปสั่งกับอาเสาว่า  เจ้าไปลองสืบอีกที ใช่เรื่องเข้าใจผิดหรือไม่? 

อาเสาทางหนึ่งก็ใช้มือเช็ดน้ำตา ทางหนึ่งก็สะอื้นตอบว่า  ข้าถามดูแล้วขอรับ สกุลเผยตีฆ้องประกาศแล้ว ตอนนี้เตรียมแจ้งข่าวพิธีศพต่อสกุลอื่น วัดเจาหมิงกับอารามชิงซวีล้วนได้รับแจ้งแล้วเช่นกัน เจ้าอาวาสทั้งสองแห่งกำลังเร่งเดินทางมา ข่าวนี้ไม่มีทางผิดแน่ขอรับ! 

อวี้ถังพิงอยู่ข้างประตู เพียงรู้สึกถึงหมอกหนายามราตรีอันหนักอึ้งที่เสียดแทงเข้าอก

นางให้ความสนใจเรื่องอาการของท่านผู้เฒ่าเผยอยู่ตลอด ทุกคนต่างพูดว่าท่านผู้เฒ่าเผยแข็งแรงดี เหตุใดท่านผู้เฒ่าเผยถึงได้เสียชีวิตลงเล่า?

อวี้ถังรู้สึกเสียใจอย่างมาก

นางไม่ควรจะฟังข่าวจากผู้อื่นอย่างเดียว นางควรจะไปดูให้เห็นกับตาสักครั้ง

สกุลเผยช่วยเหลือสกุลนางมากมาย นางกลับไม่เคยดิ้นรนเพื่อช่วยสกุลเผยสักครั้ง

อวี้ถังเดินเข้าไปดึงแขนของมารดาไว้ เอ่ยว่า  ท่านแม่ พวกท่านจะไปเคารพศพท่านผู้เฒ่าเผยหรือไม่? ถึงตอนนั้นพาข้าไปด้วยนะเจ้าคะ? 

——————————

Related

 

อย่ามองว่าวาจาของอวี้ถังพูดได้เป็นเหตุเป็นผล ฟังดูมีพลังโน้วน้าวใจคนได้ เพราะความจริงในใจนางล้วนเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด

นางแอบอ้างชื่อของสกุลเผย นับว่านางทำไม่ถูก

แต่นอกจากวิธีนี้แล้ว นางไม่มีทางอื่นอีก

นางลอบคิดในใจ รอให้เรื่องนี้ผ่านไปก่อน นางจะต้องไปวัดแล้วจุดธูปขอพรให้ท่านผู้เฒ่าสกุลเผยแน่ ขอบคุณที่สกุลเผยปกป้องคุ้มครองสกุลนาง และเหล่าชาวเมืองมาตลอดหลายปี หากว่ามีโอกาสใช้ความสามารถของตนทำอะไรเพื่อตอบแทนสกุลเผยได้ นางจะทุ่มเทกายใจ ไม่มีย่นย่อแม้สักนิด

หลู่ซิ่นฟังคำของอวี้ถังแล้วยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง

ไม่กลัวเหตุที่แน่นอน กลัวก็แต่เหตุไม่คาดฝัน

สกุลอวี้กับสกุลเผยไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน ทว่าหลายวันก่อนเขากลับเชื่อมสะพานให้ด้วยตนเอง เชิญหมอหลวงจากสกุลเผยไปตรวจอาการให้กับคนสกุลเฉิน อวี้เหวินเคยพูดกับเขาว่า ต้องการไปคารวะน้ำใจท่านผู้เฒ่าสกุลเผยด้วยตนเอง ใครจะรู้ว่าระหว่างพวกเขาได้สนทนาสิ่งใดไปบ้าง?

คิดถึงตรงนี้ เขาก็กระทืบเท้าด้วยความเจ็บใจ

ถ้ารู้แต่แรกว่าจะเป็นเช่นนี้ เขาก็คงไม่เข้าไปยุ่งเรื่องของสกุลอวี้หรอก

แต่ถ้าไม่เข้าไปยุ่งเรื่องของสกุลอวี้ แล้วอวี้เหวินจะยอมควักเงินสองร้อยตำลึงมาซื้อภาพวาดของเขาอย่างง่ายดายเช่นนี้หรือ?

หลู่ซิ่นเอ่ยต่ออย่างดึงดันว่า  ข้าจะไปพบบิดาเจ้า! ข้ามีบุญคุญด้วยเคยช่วยเหลือภรรยาเขามาก่อน เขาตอบแทนข้าเยี่ยงนี้ได้รึ! 

อวี้ถังก้มหน้ามองเขา เอ่ยว่า  เจ้าคิดว่าข้าจะกล้าทำถึงขั้นนี้หากไม่ได้รับการเห็นชอบจากท่านพ่อหรือ? ท่านพ่อข้าก็แค่ไม่ต้องการเห็นหน้าสหายที่ไร้สัจจะแบบเจ้าอีกก็เท่านั้น  พูดจบ นางก็ส่งสายตาให้อาเสา เอ่ยว่า  เจ้าพาคนไปส่งให้เถ้าแก่ถงก่อน พรุ่งนี้ค่อยมาถกกันใหม่ 

อาเสาตอบเสียงดังฟังชัดว่า  ขอรับ 

หลู่ซิ่นพลันกระสับกระส่าย ทำเป็นเอ่ยเสียงแข็งว่า  เจ้าคิดจะทำอะไร? เจ้าไม่กลัวเสื่อมเสียชื่อเสียง วันข้างหน้าหาคนแต่งงานไม่ได้รึ? 

อวี้ถังตอบอย่างไม่ใส่ใจว่า  สกุลข้าถูกเจ้าต้มตุ๋นจนบ้านแตกสาแหรกขาด ข้ายังจะแต่งให้คนดีๆ ที่ใดได้อีก? 

สองคนแลกเปลี่ยนวาจาคมกริบไปพักหนึ่ง อย่างไรหลู่ซิ่นก็เกรงกลัวสกุลเผย จึงเอ่ยว่า  ถ้าจะเอาเงินก็ไม่มีหรอก…ข้าใช้จ่ายไปห้าสิบตำลึงแล้ว 

อวี้ถังให้อาเสาค้นตัวเขา เจอตั๋วเงินทั้งสิ้นหนึ่งร้อยแปดสิบตำลึง

นางสบถใส่หลู่ซิ่นไปคำหนึ่ง แล้วร่างหนังสือขึ้นมาตรงนั้นให้หลู่ซิ่นประทับลายนิ้วมือลงไป  พวกเรามาตกลงกันให้ชัดเจน เจ้ายินดีขายภาพ ‘ตกปลาใต้ต้นสนริมน้ำ’ ฉบับคัดลอกผืนนั้นให้สกุลข้าในราคายี่สิบตำลึง ให้หนังสือฉบับนี้เป็นหลักฐาน ต่อไปไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกันอีก อีกอย่างข้าก็จ่ายสามสิบตำลึงนี้ให้เจ้าใช้เป็นค่าเดินทาง เรื่องนี้ถือว่าเลิกแล้วต่อกัน 

หลู่ซิ่นมีหรือจะพอใจ

อวี้ถังข่มขู่เขาต่อว่า  ได้ยินว่ามีหลายคนถูกไฟคลอกตายที่ถนนฉางซิ่ง หากว่าข้าซ่อนเจ้าไว้ตรงนี้ ไม่รู้เมื่อใดจึงจะมีคนมาพบ 

หลู่ซิ่นจ้องเขม็งที่อวี้ถังอย่างโกรธแค้นราวกับงูพิษตัวหนึ่ง

อวี้ถังในชาติก่อนพบเจอเรื่องที่ยากลำบากกว่านี้นัก มีหรือจะรู้สึกสั่นไหวเพียงเพราะสายตาคู่นั้นของหลู่ซิ่น?

นางกดนิ้วของหลู่ซิ่นให้ประทับลงบนหนังสือราวกับว่ารอบข้างไร้ผู้คน เสร็จแล้วก็เก็บหนังสือไว้อย่างดี โยนตั๋วเงินสามสิบตำลึงให้หลู่ซิ่น แล้วบอกให้เขาไสหัวไป

หลู่ซิ่นจากไปพร้อมความเคียดแค้น

อวี้ถังล้วงเงินออกมาอีกยี่สิบตำลึงเพื่อขอบคุณเหล่าฮูหยินที่มาช่วยเหลือ หลังจากส่งพวกนางกลับไปแล้ว ก้อนหินใหญ่ที่อยู่ในใจพลันวางลงได้เสียที

อาเสาเอ่ยอย่างกังวลใจว่า  คุณหนูใหญ่ หลู่ซิ่วไฉคงไม่เอาเรื่องนี้ไปฟ้องนายท่านหรอกนะขอรับ 

อวี้ถังตบหนังสือสัญญาที่เก็บใส่ในถุงหอมข้างเอว เอ่ยว่า  ถ้าเขากล้าโผล่หน้าไปก็ลองดู 

อาเสาค่อยสบายใจขึ้น แล้วเริ่มรู้สึกเสียดายเงินสามสิบตำลึงนั้นขึ้นมา  เหตุใดท่านยังให้เงินเขาไปตั้งมากมายล่ะขอรับ? 

อวี้ถังตอบอย่างไม่ใส่ใจว่า  คนเท้าเปล่าไม่กลัวคนใส่รองเท้าหรอก [1] มิใช่ว่าเขาร้อนใจจะไปเมืองหลวงหรือ? ถ้าพวกเราไม่ให้เงินเขาแม้สักอีแปะเดียว ปิดตายทางรอดของเขา ไม่แน่เขาอาจจะเข้าตาจน แล้วย้อนมาแว้งกัดสกุลเราก็เป็นได้ สามสิบตำลึงนั้นถือว่าซื้อความสงบสุขก็แล้วกัน 

หวังว่าหลู่ซิ่นจะเหมือนกับชาติที่แล้ว หลังจากเดินทางไปเมืองหลวงก็ไม่เคยกลับมาอีกเลย

อาเสาหัวเราะอย่างเข้าอกเข้าใจ

อวี้ถังพลันสบายใจขึ้นมาเปราะหนึ่ง

เพียงแต่คาดไม่ถึงว่า พอนางหันหลังกลับมา ก็เห็นดวงตามืดสลัวคู่หนึ่งอยู่หลังเงากำแพงเก่าฝั่งตรงข้าม จ้องเขม็งมาที่นางอย่างนิ่งเงียบ

อวี้ถังตกใจหัวใจแทบวาย

หรือนั่นคือวิญญาณคนที่ถูกไฟคลอกตายบนถนนฉางซิ่ง?

นางก้าวขาเตรียมจะออกวิ่ง ใครจะคิดว่าเท้าสองข้างคล้ายถูกถ่วงด้วยตะกั่ว จะออกแรงอย่างไรก็ยกไม่ขึ้น

อวี้ถังสั่นระริกไปทั้งตัว กอดอาเสาจนแทบจะรวมร่างเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว

เจ้าของดวงตาคู่นั้นเคลื่อนตัวออกมาจากหลังกำแพงอย่างไร้สุ้มเสียง

แสงจันทร์ส่องกระทบลงที่ดวงหน้าของเขา

อายุประมาณยี่สิบสามยี่สิบสี่ปี คิ้วตาน่ายล ทว่าเย็นเยียบดั่งบึงน้ำในฤดูหนาว เครื่องหน้าดั่งหยกแต่แผ่อำนาจกดข่มคน

ที่แท้ก็คือบุรุษชุดเขียวที่นางได้พบที่โรงจำนำนี่เอง

เขาในตอนนี้กำลังสาวเท้าเข้ามาอย่างเชื่องช้า ซากปรักหักพังบนถนนฉางซิ่งคล้ายกลายเป็นสวนหลังบ้านของเขาไปแล้ว

อวี้ถังเบิกตาโต

เขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?

อวี้ถังรีบเคลื่อนสายตาไปมองด้านหลังเขา

มีเงา!

นางค่อยถอนหายใจเฮือก

ดีชั่วอย่างไรก็เป็นคน ไม่ใช่ภูตผีปีศาจ!

อวี้ถังตบอกตัวเองเบาๆ เป็นการปลอบขวัญ พอนึกถึงท่าทีที่เขามีต่อนางตอนอยู่ในโรงจำนำ ก็ไม่รู้ว่าต้องทักทายเขาอย่างไร ทว่าบุรุษชุดเขียวกลับมองนางแล้วเลิกคิ้วถามว่า  สกุลเผย? เจ้าสนิทกับเถ้าแก่ถงของโรงจำนำสกุลเผยรึ? ทั้งเถ้าแก่ถงยังบอกกับเจ้าอีกว่านี่เป็นภาพคัดลอก? 

น้ำเสียงเขาราบเรียบเย็นชา อวี้ถังได้ฟังพลันหน้าขึ้นสี รู้สึกจนตรอกอย่างที่สุด

เรื่องเหลวไหวที่สุดที่นางเคยทำมา หนึ่งคือเอาภาพไปจำนำที่โรงจำนำสกุลเผย สองคือแอบอ้างชื่อสกุลเผยมาข่มขู่หลู่ซิ่น

แล้วทั้งสองเรื่องนี้กลับตกอยู่ในสายตาของบุรุษที่อยู่เบื้องหน้าทั้งหมด

เขาต้องคิดว่านางเป็นคนเลวทรามต่ำช้า อวดอ้างแสดงตนเพื่อหลอกลวงผู้อื่นไปทั่วเป็นแน่

พอคิดได้ดังนั้น อวี้ถังก็รู้สึกไม่สบายตัวเอาเสียเลย นางรีบเอ่ยว่า  ไม่ใช่นะ ไม่ใช่! เจ้าฟังข้าพูดก่อน นี่ก็คือคนที่ขายภาพนั้นให้ข้า… 

 ถ้าไม่ใช่เห็นแก่ที่เจ้าเป็นผู้เสียหาย เจ้าคิดว่าตนจะมีโอกาสแอบอ้างชื่อสกุลเผยแล้วพูดจาเหลวไหลอยู่ตรงนี้ได้หรือ?  บุรุษผู้นั้นเอ่ยเสียงคมกริบ ไม่คิดจะฟังนางอธิบายแม้สักคำเดียว เขาเอ่ยแทรกตัดบทอย่างไร้ซึ่งความเกรงใจ  เห็นแก่ที่เจ้าอายุยังน้อย เพียงหวังเอาเงินทองที่ถูกหลอกไปกลับคืนมา เรื่องนี้ข้าจะไม่สืบสาวเอาความ หากว่ามีครั้งต่อไป จะไม่อ่อนข้อให้อีก! 

ที่แท้เขาก็เห็นทั้งหมดแล้วสินะ!

โชคดีที่เขาไม่เข้ามาเปิดโปงนาง

อวี้ถังค่อยใจชื้นขึ้นบ้าง

ทว่า ฟังจากน้ำเสียงเช่นนี้ของเขา หากมิใช่เป็นคนสกุลเผยก็ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับสกุลเผยแน่

หากว่าเปลี่ยนเป็นนางที่เจอคนทำตัวเป็นจิ้งจอกอาศัยบารมีเสือเช่นนี้ นางคงกระโดดเข้าใส่แต่แรกแล้ว ไม่เหมือนเขาที่ตำหนิคนสองประโยคแล้วจบเรื่อง

อวี้ถังก้มหน้ายอมรับผิดโดยดี

บุรุษผู้นั้นไม่คิดสนทนากับนางต่อ สาวเท้ายาวๆ ไปทางตรอกฮวาเอ๋อร์

อวี้ถังกำลังลังเลว่าควรตามเขาไปถามชื่อเสียงเรียงนามสักคำดีหรือไม่ เพื่อภายหลังค่อยเชิญบิดาไปเยี่ยมเยียนกล่าวขอบคุณด้วยตนเอง ทว่าบุรุษผู้นั้นเหมือนมีดวงตาติดอยู่ที่แผ่นหลัง เขาหันหน้ามาปรายตามองนางทีหนึ่ง

สายตาคู่นั้น คล้ายมีดคมกริบที่วิ่งผ่านกลางอากาศแล้วกรีดลงบนร่างนาง

อวี้ถังพลันสูญสิ้นซึ่งความกล้าหาญนั้นไป

แม้จะพูดได้ว่าทำไปเพราะมีเหตุผล แต่ทำผิดอย่างไรก็คือผิด ดูจากท่าทีเขา คงไม่อยากรู้จักข้องเกี่ยวกับนางแม้แต่เสี้ยวเดียว แล้วจะให้นางไปตอแยอย่างหน้าไม่อายได้อย่างไร?

บุรุษผู้นั้นเดินจากไปแล้ว

ชายหนุ่มท่าทางคล่องแคล่วเจ็ดแปดคนโผล่ออกมาจากเงามืด เดินประกบอยู่ข้างกายเขา

ที่แท้มีคนซ่อนตัวอยู่ในเงามืดอีกตั้งหลายคนรึ?

อวี้ถังประหลาดใจเป็นที่สุด

นางมองไม่ออกแม้แต่นิดเดียวด้วยซ้ำ

บุรุษผู้นั้นกับคนที่ล้อมรอบอยู่ข้างกายเขาเดินหายไปในความมืดยามราตรีอย่างรวดเร็ว

อวี้ถังสะท้านสั่นด้วยความเหน็บหนาว

อาเสาคล้ายเพิ่งปีนออกมาจากถ้ำน้ำแข็ง ฟันบนกับฟันล่างกระทบกันกึกๆ เอ่ยว่า  คุณ คุณหนูใหญ่ เขาเป็นใครหรือขอรับ? เหตุใดน่ากลัวเช่นนี้? เขาคงไม่เอาเรื่องเราไปฟ้องสกุลเผยหรอกใช่ไหม? 

อวี้ถังยิ้มขื่น  คงจะไม่หรอก! 

เขาผู้นั้นไม่ได้เห็นพวกนางอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ

ใครจะมาคิดเล็กคิดน้อยกับคนที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกัน

ความคิดของอวี้ถังตีกันวุ่น ยิ่งสนใจใคร่รู้เกี่ยวกับบุรุษผู้นั้นมากกว่าเดิม

นางสั่งอาเสาว่า  เจ้าไปถามเถ้าแก่ถงดู สืบมาหน่อยว่าเขาเป็นใครกันแน่? 

อาเสาค่อนข้างขลาดกลัว แต่พอคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในสกุลหลายวันมานี้ สุดท้ายก็ฝืนตอบตกลง

อวี้ถังเก็บตั๋วเงินหนึ่งร้อยสามสิบตำลึงกลับเรือน มอบมันให้กับอวี้เหวิน เล่าเรื่องราวที่ประสบมาทั้งหมดให้เขาฟังโดยไม่ปิดบังหลบเลี่ยง

อวี้เหวินตกใจจนหน้าถอดสี แตกตื่นจนเหงื่อเย็นๆ ซึมทั่วร่าง ซ้ำตำหนิบุตรสาวว่า  เหตุใดถึงใจกล้าเช่นนี้? เจ้าเป็นเด็กสาวตัวคนเดียว กล้าไปสถานที่แบบนั้นได้เช่นไร? หากว่าเกิดเรื่องกับเจ้าขึ้นมา เจ้าจะให้ข้ากับมารดาเจ้าทำอย่างไร? แล้วก็อาเสาอีกคน กำเริบเสิบสานใหญ่แล้ว ถึงกับไปตรอกฮวาเอ๋อร์กับเจ้าแล้วจ้างฮูหยินพวกนั้นมาทำให้หลู่ซิ่นอับอาย ถ้าหลู่ซิ่นโมโหเลือดขึ้นหน้า ลากเจ้าให้ลำบากไปด้วยเล่า เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าจะรับมืออย่างไร?  พูดจบก็รู้สึกซาบซึ้งใจที่บุรุษชุดเขียวผู้นั้นได้รับการสั่งสอนมาดี

 เรื่องนี้เป็นข้าที่ไม่ดีเองเจ้าค่ะ!  อวี้ถังเอ่ย พลางเชิดชูความมีคุณธรรมของเถ้าแก่ถงว่า  เพราะไม่รู้ว่าภาพผืนนั้นเป็นของจริงหรือปลอม ในมือก็มีเงินทองเหลืออยู่ไม่เท่าไร ถึงได้อ้างไปว่าต้องการจำนำของ ความจริงควรจะไปขอร้องตรงๆ ให้เถ้าแก่ถงช่วยตรวจสอบให้ ส่วนทางเถ้าแก่ถง ต้องขอให้ท่านพ่อเตรียมของขวัญไปขอบคุณเขาสักหน่อยนะเจ้าคะ 

อย่างไรนางก็เป็นแค่เด็กสาวอายุสิบห้าสิบหกเท่านั้น เรื่องสำคัญเช่นนี้ ต้องให้ผู้ใหญ่ในสกุลออกหน้าจึงจะถูกต้องเหมาะสม

 สมควรเป็นเช่นนั้น!  อวี้เหวินพยักหน้าติดๆ กัน เอ่ยว่า  หากสามารถรู้ได้ว่าบุรุษชุดเขียวผู้นั้นเป็นใครจะยิ่งดี…สมควรไปขอโทษเขาสักครั้งด้วย 

อวี้ถังผงกศีรษะ ยกภาพวาดในมือขึ้น ถามว่า  แล้วจะทำอย่างไรกับภาพผืนนี้เจ้าคะ? 

อวี้เหวินถอนหายใจเฮือก ตอบว่า  เก็บไว้เป็นที่ระลึกแล้วกัน! ถือเสียว่าจ่ายเงินซื้อบทเรียน ท่านลุงหลู่ของเจ้าอับอายขายหน้าเพียงนั้น คงไม่น่ากลับมาที่หลินอันอีกแล้ว 

อย่างนั้นย่อมดีที่สุด!

จะได้ไม่มีคนมาคอยชักชวนบิดานางให้ทำเรื่องโน้นเรื่องนี้ไปเรื่อยเปื่อย

อวี้ถังส่งเสียง ‘อืม’ ทีหนึ่ง แล้วเอ่ยเรื่องท่านผู้เฒ่าเผยขึ้นมาอีกรอบ  ท่านพ่อ ตอนที่ไปจวนสกุลเผยก็ลองถามอาการป่วยของท่านผู้เฒ่าเผยในช่วงหลายวันนี้ดูนะเจ้าคะ เฮ้อ! สกุลเราติดค้างหนี้น้ำใจเขาก้อนใหญ่ถึงเพียงนี้ หากว่ามีสิ่งใดที่พวกเราพอจะช่วยเหลือได้ ก็ต้องช่วยเหลืออย่างเต็มที่ 

อวี้เหวินถลึงตาใส่นางทีหนึ่ง เอ่ยว่า  สกุลเผยจะขาดแคลนสิ่งใดไปได้? มีหรือที่ต้องให้เรายื่นมือช่วยเหลือ? 

อวี้เหวินเม้มปากหัวเราะ

อวี้เหวินรู้สึกขอบคุณสกุลเผย ตอนที่ไปเยือนจวนสกุลเผยจึงสอบถามอาการป่วยของท่านผู้เฒ่าอย่างจริงจัง

พ่อบ้านใหญ่สกุลเผยรู้เรื่องที่ท่านผู้เฒ่าเชิญหมอหลวงหยางกับหมอหลวงหวังไปตรวจอาการให้คนสกุลเฉิน ทั้งกิริยาของอวี้เหวินก็นอบน้อมจริงใจ จึงตอบเขาอย่างไม่ปิดบังว่า  ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก ก็แค่ไม่สบายทางใจ ถึงเรียกนายท่านสองกับนายท่านสามกลับมา นายท่านสามเป็นคนอยู่นิ่งไม่เป็น ทว่านายท่านสองแต่ไหนแต่ไรก็เป็นคนเงียบๆ หลายวันนี้ก็ดื่มชาสนทนาเป็นเพื่อนท่านผู้เฒ่า ทั้งมีท่านหมอหลายคนคอยดูแล สังเกตว่าสีหน้าท่านผู้เฒ่าก็ดีขึ้นทุกวันๆ อยู่ 

ส่วนเรื่องที่ว่าบุรุษชุดเขียวเป็นใคร พ่อบ้านใหญ่สกุลเผยก็ตอบอย่างคลุมเครือไม่ชัดเจน

อวี้เหวินคิดว่าต้องเป็นคนของสกุลเผยแน่นอนแล้ว คนของสกุลเผยไม่ยอมพูด เห็นชัดว่าไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ เขาก็ไม่สะดวกจะซักไซ้ จึงได้แต่จดจำน้ำใจนี้เอาไว้เท่านั้น

เขากลับมาก็เทศนาอวี้ถังต่อทันทีว่า  ถ้าเจ้ากล้าก่อเรื่องวุ่นวายอีก ข้าจะตีขาเจ้าให้หัก! 

อวี้ถังเดินเข้าไปบีบนวดไหล่ให้บิดาอย่างว่านอนสอนง่าย

อวี้เหวินไม่รู้จะจัดการกับบุตรสาวที่มาในรูปแบบนี้อย่างไร จึงได้แต่ถอนหายใจอย่างอับจน

วันที่สองเขาก็หิ้วพวกขนมน้ำชาสุราและของกินเล่นไปขอขมาเถ้าแก่ใหญ่ถง

เถ้าแก่ใหญ่ถงรับรู้ที่มาที่ไปของเรื่องราวทั้งหมดก็หัวเราะลั่น ไม่เพียงไม่กล่าวโทษอวี้ถัง ซ้ำชมว่านางกล้าหาญมีความรู้ ถึงกับฝากขนมดอกกุ้ยฮวา [2] มาให้อวี้ถังทานเล่นหนึ่งห่อ

เพียงแต่เขาก็ไม่ยอมบอกอวี้เหวินเช่นเดียวกันว่าบุรุษชุดเขียวผู้นั้นเป็นใคร

ความรู้สึกที่อวี้ถังมีต่อเถ้าแก่ใหญ่ถงจึงดีขึ้นไปอีกขั้น

พอเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น อวี้เหวินกับคนสกุลเฉินกลัวว่าอวี้ถังจะออกไปก่อเรื่องอีก หลังจากหารือกันเสร็จ ก็สั่งกักบริเวณอวี้ถัง ให้นางฝึกเย็บปักถักร้อยอยู่แต่ในเรือน

อาเสาตามสืบอยู่เป็นนานแต่ก็สืบไม่รู้เสียทีว่าบุรุษที่โรงจำนำในวันนั้นมีฐานะเช่นใดกันแน่

มีเรื่องใดในเมืองหลินอันบ้างที่จะรอดพ้นจากสายตาของคนสกุลเผยไปได้

เห็นอยู่ชัดๆ ว่าผู้อื่นไม่ยินดีจะพบนาง

อวี้ถังค่อยๆ ลืมเรื่องนี้ไป เพียงแต่บางทีก่อนเข้านอน ก็แวบไปคิดถึงเรื่องนี้จนนอนไม่หลับ นึกถึงสายตาที่บุรุษผู้นั้นใช้มองนาง ทำให้หัวใจไม่อาจสงบสุขได้เลย

————————————————————-

[1] คนเท้าเปล่าไม่กลัวคนใส่รองเท้า หมายถึง คนที่ไม่มีอะไรให้เสียกับคนที่ครอบครองหลายสิ่งมาต่อสู้กัน ฝ่ายแรกย่อมเป็นผู้ชนะเสมอ เพราะเขาไม่มีอะไรให้กลัวจะสูญเสียอีกแล้ว

[2] ขนมดอกกุ้ยฮวา เป็นขนมทานเล่นที่นิยมขายทั่วไปตามท้องถนน มีทั้งทำจากแป้งข้าวเจ้า เนื้อจะเป็นเหมือนเค้กเบา ทำจากแป้งข้าวเหนียว ให้สัมผัสนุ่มหนึบ ทำจากแป้งแห้วหรือวุ้น เป็นต้น

Related

 

บุรุษชุดเขียวสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของเถ้าแก่ใหญ่ถง ถึงหมุนกายกลับมา

อวี้ถังจึงได้เห็นดวงหน้าที่งดงามและมีอำนาจกดข่มคนอย่างรุนแรง

นางหยุดหายใจไปในทันที

แต่ก็ถูกสายตาเฉยเมยที่บุรุษผู้นั้นใช้มองมาทิ่มแทงจนบาดเจ็บ

ดวงหน้าอวี้ถังร้อนเป็นไฟ รีบอธิบายไปว่า  ข้าไม่ได้เอาของปลอมมาจำนำ บิดาข้าซื้อภาพนี้มาจากสหายผู้หนึ่ง… 

บุรุษชุดเขียวไม่เชื่อนางสักนิด มองนางราวกับวัตถุล่องหน เขายกสันกรามขึ้นเล็กน้อยเป็นการพยักหน้าให้เถ้าแก่ใหญ่ถง จากนั้นก็เดินผ่านอวี้ถังไป

เหตุใดเป็นเช่นนี้เล่า?!

อวี้ถังกรีดร้องในใจ นางนิ่งอึ้งอยู่ค่อนวัน แล้วหันไปมองตามอย่างไม่รู้ตัว ตะโกนอย่างขุ่นเคืองว่า  ข้าไม่ได้มาต้มตุ๋นผู้อื่นจริงๆ… 

บุรุษชุดเขียวหันกลับมามองนางทีหนึ่ง

นัยน์ตาสีนิลนั้นใสกระจ่าง รินระเรื่อยดั่งบึงน้ำลึกในฤดูหนาว เย็นเยียบเข้าลึกถึงกระดูก

อวี้ถังพลันสะท้านสั่นในอก

วาจามากมายที่คิดจะแก้ต่างกลับติดอยู่ในลำคอ

นางยืนนิ่งอยู่ที่เก่า

เถ้าแก่ใหญ่ถงรีบร้อนเดินตามไปส่งบุรุษชุดเขียวอย่างกระตือรือร้น

อวี้ถังเพิ่งจะสังเกตเห็นในตอนนี้เองว่า หน้าประตูใหญ่มีรถม้าประดับม่านสีเขียวมาจอดรออยู่ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้

เถ้าแก่ใหญ่ถงย้ายตั่งวางเท้ามาวางให้ด้วยตนเอง กำลังจะเข้าไปประคองบุรุษผู้นั้นให้ปีนขึ้นรถม้า ทว่ากลับถูกชายร่างผอมในชุดตัวสั้นสีดำ ซึ่งยืนอยู่ข้างรถม้าชิงตัดหน้าถลกม่านขึ้นให้เสียก่อน เถ้าแก่ใหญ่ถงไม่ได้ถือสา ค้อมหลังถอยออกมาหลายก้าว มองจนรถม้าวิ่ง ‘ตึงๆ’ จากไปไกล จึงค่อยยืดหลังตรงแล้วหมุนกายเดินกลับเข้าโรงจำนำ เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้มตาหยีว่า  แม่นาง เหตุใดท่านถึงย้อนกลับมาอีกขอรับ? มีเรื่องสำคัญใดอีกหรือไม่? 

อวี้ถังอดจะส่งยิ้มสว่างไสวให้กับเถ้าแก่ใหญ่ถงไม่ได้ กล่าวว่า  คุณชายเมื่อสักครู่คือใครหรือ? 

เถ้าแก่ใหญ่ถงหัวเราะอย่างอ่อนโยน ไม่ได้ตอบคำถามของนางอย่างตรงไปตรงมา ค้อมตัวยื่นมือบอกเป็นนัยว่าให้นางเข้าไปคุยกันด้านใน พร้อมทั้งฉีกยิ้มพูดว่า  แม่นางมีเรื่องใดก็เข้าไปสนทนาด้านในเถอะขอรับ 

อวี้ถังพลันได้สติขึ้นมา

แม้จะบอกว่าใช้ชีวิตมาแล้วสองชาติ ทว่านางก็ยังไม่เคยพบใครที่งดงามยิ่งไปกว่าบุรุษชุดเขียวผู้นั้นเลย แต่นางผู้เป็นสตรี กลับไต่ถามผู้อื่นว่าบุรุษผู้นั้นเป็นใคร…ยังดีที่เถ้าแก่ใหญ่ถงเป็นคนจิตใจกว้างขวาง ไม่ได้แดกดันนางอย่างเดียว ไม่เช่นนั้นนางคงต้องเอาศีรษะมุดดินหนีไปแล้ว

อวี้ถังทำทีว่าลำบากใจ ก่อนจะส่งภาพผืนนั้นให้เถ้าแก่ใหญ่ถง แล้วขอคำชี้แนะอย่างตรงไปตรงมา  เถ้าแก่ใหญ่ ท่านบอกว่าภาพนี้เป็นของปลอม ท่านมีหลักฐานอะไรหรือไม่? 

เถ้าแก่ใหญ่ถงพลันชะงักนิ่งไป

เถ้าแก่น้อยถงคิดว่านางย้อนกลับมาเพื่อหาเรื่อง จึงรีบก้าวขึ้นมาขวางเถ้าแก่ใหญ่ถงไว้ด้านหลัง เอ่ยว่า  แม่นาง โรงจำนำสกุลเผยของพวกเราเป็นร้านเก่าแก่ในเมืองหลินอันมาร้อยกว่าปี ท่านพอเปิดปากก็เรียกชื่อพวกเราถูก คิดว่าคงสืบข่าวมาก่อนแล้ว โรงจำนำของพวกเราไม่เคยทำเรื่องสลับสับเปลี่ยนสินค้ามาก่อน หากว่าท่านไม่เชื่อ สามารถตรวจสอบภาพวาดอย่างละเอียดดูก็ได้ ท่านเดินถือเข้ามาอย่างไร พวกเราก็คืนกลับไปเช่นนั้น แม้จะบอกว่า ภาพ ‘ตกปลาใต้ต้นสนริมน้ำ’ ภาพนี้มีชื่อเสียง แต่โรงจำนำของพวกเราใช่ว่าไม่เคยเห็นของดีมีราคา เพียงเพื่อภาพนั้นของท่านแลกกับชื่อเสียงที่ต้องป่นปี้ พวกเราคงแลกไม่ลงหรอกขอรับ 

อวี้ถังอับอายจนหน้าแดงเถือก รีบเอ่ยว่า  ไม่ใช่ ไม่ใช่ ข้าไม่ได้สงสัยว่าพวกเจ้าสับเปลี่ยนของ ภาพวาดผืนนี้ ผู้อื่นก็ขายต่อให้สกุลข้ามาอีกที ข้าแค่อยากจะรู้ว่าภาพผืนนี้มีปัญหาที่ตรงไหน ถึงเวลานั้นข้าจะได้ไปเอาเรื่องคนถูก! 

เถ้าแก่ถงทั้งสองต่างถอนหายใจอย่างโล่งอก

เถ้าแก่น้อยถงพูดอย่างรวดเร็วว่า  พวกท่านไม่ควรเห็นแก่ผลประโยชน์เล็กน้อยเลย…พวกเราสกุลเผยเปิดโรงจำนำมาตั้งกี่ปีแล้ว ไม่ว่าจะจำนำเป็นหรือจำนำตาย [1] ล้วนไม่บังคับใจผู้อื่น ถ้าเขาขัดสนเงินทองจริงๆ เหตุใดไม่เอามาจำนำกับร้านของเราเล่า… 

 เจ้าพูดจากับลูกค้าเช่นนี้ได้ด้วยรึ?  เถ้าแก่ใหญ่ถงตวาดใส่เถ้าแก่น้อยถงพร้อมกับตัดบทเขา จากนั้นก็หยุดคิดเล็กน้อยแล้วเอ่ยว่า  จะบอกว่าภาพนี้เป็นของปลอม ก็ไม่ถูกต้องเสียทั้งหมดขอรับ 

อวี้ถังชะงักไป แล้วถามว่า  ท่านหมายความว่าอย่างไร? 

เถ้าแก่ใหญ่ถงพูดต่อว่า  แม่นางอาจจะไม่รู้ ภาพเก่าแก่ที่ตกทอดกันมาหลายๆ รุ่น ส่วนใหญ่มักใช้กระดาษเซวียนจื่อวาด กระดาษเซวียนจื่อนี้ มีลักษณะเด่นอยู่สองประการ หนึ่งคือดูดซับหมึกได้ยอดเยี่ยม หรือพูดว่าหมึกสามารถซึมทะลุผ่านหลังกระดาษไปได้ ส่วนลักษณะเด่นอีกประการ มันทำมาจากเยื่อกระดาษที่ซ้อนทับกันหลายชั้นแล้วตากแดดซ้ำๆ จิตรกรชั้นสูงที่ฝีมือถึงขั้น มักจะแยกชั้นกระดาษเซวียนจื่อออกมาเป็นแผ่นๆ ได้ เหตุใดข้าจึงพูดว่าภาพเก่าแก่ผืนนี้ของท่านเป็นงานคัดลอกแต่ไม่ใช่ของปลอมน่ะรึ? เมื่อครู่พวกเราได้ให้คุณชายที่เชี่ยวชาญในการประเมินภาพวาดของร้านเราดูแล้ว ภาพผืนนี้ของท่านเป็นฝีมือของหลี่ถังจริง ทว่ากระดาษชั้นบนสุดถูกผู้อื่นลอกออกไปแล้ว ภาพผืนนี้ เป็นแผ่นที่อยู่ด้านล่างลงมา ดังนั้นท่านว่า… 

เขาพูดไปก็คลี่ม้วนกระดาษออก แล้วชี้ให้อวี้ถังดู  ตรงนี้ ตรงนี้ เห็นชัดว่ามีการวาดเติมเข้าไปภายหลัง ยังขาดอารมณ์อันยิ่งใหญ่และจับต้องไม่ได้อยู่… 

ไม่ใช่เพราะตราประทับหรอกหรือ?

อวี้ถังรู้สึกสับสนอยู่บ้าง

เถ้าแก่ใหญ่ถงมองหน้าอ่อนหัดของอวี้ถัง ไม่อาจทนใจแข็งต่อได้ จึงเอ่ยต่อด้วยความเห็นอกเห็นใจว่า  หากแม่นางเดือดร้อนเรื่องเงินจริงๆ คิดจะจำนำภาพผืนนี้ ก็ใช่ว่าจะไม่ได้ ทว่าจำนำได้ไม่กี่ตำลึงเท่านั้น 

อวี้ถังฟังจบก็ชี้ไปที่ตราประทับ ‘เหมยหลิน’ ที่อยู่ด้านบน ถามว่า  ตราประทับนี้มีปัญหาอะไรหรือไม่? 

เถ้าแก่ใหญ่ถงได้ยินดังนั้น ก็มองนางอย่างลึกซึ้งทีหนึ่ง

ในใจอวี้ถังร้องตะโกนว่าแย่แล้ว

นางถามไปอย่างนั้น เห็นชัดว่าเป็นการปล่อยไก่…ในเมื่อสงสัยว่าตราประทับมีปัญหา รู้อยู่แล้วว่าภาพผืนนี้ไม่ถูกต้อง ยังคิดเอามาจำนำที่ร้านอีก…

อวี้ถังเหลือบมองสีหน้าของเถ้าแก่ใหญ่ถง ซึ่งไม่เหลือไมตรีดังเก่า

นางพยายามอธิบายว่า  มิใช่เช่นนั้น ข้าคิดว่าในเมื่อใต้เท้าจั่วเป็นผู้เก็บรักษามัน มันก็ไม่ควรจะมีปัญหาสิ… 

เพียงแต่เถ้าแก่ใหญ่ถงไม่เชื่อใจนางอีกแล้ว สีหน้ามีเพียงความเกรงใจและห่างเหินอย่างที่พ่อค้ามักทำกัน เขาเอ่ยยิ้มๆ ว่า  แม่นางกล่าวถูกแล้ว ภาพผืนนี้สุดท้ายตกอยู่ในมือของใต้เท้าจั่ว ทว่าภาพผืนนี้ของแม่นางก็เป็นของคัดลอกมิผิดแน่ ขออภัยที่โรงจำนำของเราไม่อาจรับไว้ได้ หากว่าแม่นางยังมีของดีอย่างอื่น ค่อยกลับมาหาพวกเราใหม่เถอะขอรับ 

เถ้าแก่น้อยถงจึงรีบส่งแขกด้วยตนเอง

อวี้ถังโมโหจนวิงเวียนศีรษะ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองเดินกลับมาได้อย่างไร หลังกลับมาก็ดื่มชาใบหยาบไปสองถ้วย ถึงค่อยสงบอารมณ์ลงได้

หลู่ซิ่นช่างไร้ยางอายจริงๆ!

ได้เงินจากสกุลนางไปแล้วคิดจะหนีอย่างนั้นรึ มีเรื่องดีๆ เช่นนี้ที่ไหนกัน?!

อวี้ถังตะโกนเรียกอาเสา แล้วให้เหรียญทองแดงเขาไปสิบกว่าเหรียญ สั่งการว่า  เจ้าไปสืบหาที่อยู่ของหลู่ซิ่วไฉมาที อย่าให้ท่านพ่อรู้ล่ะ 

อาเสาคอยวิ่งซื้อขนมให้อวี้ถังลับหลังอวี้เหวินและคนสกุลเฉินบ่อยๆ เขารับคำยิ้มๆ อย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นก็ออกไปตามสืบเรื่องของหลู่ซิ่นทันที

กระทั่งตกบ่าย เขาก็กระหืดกระหอบกลับมารายงานอวี้ถังว่า  นายท่านหลู่ไม่รู้ไปล่วงเกินใครเข้า? เขาถึงกับเอาเรือนไปจำนำไว้กับผู้อื่น บอกว่าจะไปหาญาติที่เมืองหลวง แต่ต่อให้มีญาติพี่น้องอยู่เมืองหลวง แล้วจะอาศัยอยู่เรือนผู้อื่นไปตลอดชีวิตเลยหรือขอรับ? 

ชาติก่อน หลู่ซิ่นไม่เคยกลับมาที่เมืองหลินอันอีก

อวี้ถังหัวเราะเสียงเย็น ถามว่า  แล้วตอนนี้เขาออกเดินทางหรือยัง? 

 ทุกคนต่างเข้าใจว่าเขาจากไปแล้ว  อาเสาตอบอย่างฉลาดเฉลียว  แต่บ่าวสืบมาแน่ชัดแล้ว เขามีคนรักอยู่ที่ตรอกฮวาเอ๋อร์ หลายวันนี้เขาก็กินนอนอยู่ที่ตรอกนั่น เกรงว่าคงตัดใจจากคนรักไปไม่ลงขอรับ 

สมองของอวี้ถังหมุนแล่นเร็วจี๋ นางถอนหายใจหนึ่งเฮือก แล้วประนมมือไหว้ไปทางทิศตะวันตก จากนั้นก็กวักมือเรียกอาเสา สั่งงานข้างหูเขาพักใหญ่

ตรอกฮวาเอ๋อร์ตั้งอยู่ด้านหลังถนนฉางซิ่ง เป็นตรอกคดเคี้ยวสายหนึ่ง ทิศตะวันออกเชื่อมกับถนนฉางซิ่ง ทิศตะวันตกเชื่อมกับถนนศาลาว่าการ สองข้างทางล้วนปลูกการบูรต้นใหญ่จนคนโอบไม่รอบ พอตกค่ำ โคมแดงจะถูกแขวนสูงเด่น แว่วเสียงสตรีหัวเราะคิกคัก ผู้คนวุ่นวายจอแจ

เพราะถนนฉางซิ่งถูกไฟไหม้ ร้านค้าก็โดนเผาวอดวายไม่มีเหลือ ซากปรักหักพังเห็นแล้วไม่น่ามอง จึงมีคนใช้ผ้ากันฝนไปกั้นเส้นทางที่เชื่อมไปสู่ถนนฉางซิ่งเอาไว้ เหลือเพียงเส้นที่เชื่อมกับถนนศาลาว่าการเท่านั้น

ตกค่ำช่วงยามซวี [2] นับเป็นเวลาที่ตรอกฮวาเอ๋อร์คึกคักที่สุด รถม้าหนึ่งคันหยุดลงหน้าร้านของฉู่ต้าเหนียง ฮูหยินเอวหนาร่างใหญ่เจ็ดแปดคนเฮโลกันลงมาจากรถม้า มือกำไม้กระบอง เดินดุ่มๆ เข้าไปในร้านทันที

ทุกคนต่างเป็นคนเก่าแก่ในตรอกเฟิงเยวี่ย พอเห็นรูปการณ์เช่นนี้ก็รู้ทันทีว่าบ้านใหญ่คงมาตามเอาเรื่องเป็นแน่ จึงได้ล้อมวงกันเข้ามาดูอย่างตื่นเต้น รอดูเรื่องขำขันพร้อมปากที่ซุบซิบไม่หยุด

เสียงข้าวของแตกโครมครามดังขึ้นในร้านฉู่ต้าเหนียง ฮูหยินร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่งกระชากคอเสื้อหลู่ซิ่นลากไปนอกร้าน ทางหนึ่งก้าวเท้าสวบๆ ทางหนึ่งก็พูดเสียงดังลั่นว่า  เจ้ามาดื่มกินที่ร้านก็ดื่มกินไป เหตุใดเพื่อเด็กสาวในร้านแล้วถึงกลับเอาเรือนไปจำนำเสียได้? ต่อไปเจ้าจะให้พวกข้าไปอยู่ที่ไหน? เอาอะไรกิน? เอาอะไรดื่ม? 

เมืองหลินอันจะว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่ จะว่าเล็กก็ไม่เล็ก ยิ่งหลู่ซิ่นเป็นคนที่ชอบยุ่งเรื่องคนอื่นไปทั่ว ที่ไหนมีเรื่องล้วนต้องยื่นเท้าเข้าไปสอด คนที่รู้จักเขาจึงมีมาก พอเห็นว่าเหตุการณ์ลุกลามใหญ่โตคนก็ยิ่งหัวเราะเสียงดังลั่น…

มีคนพูดขึ้นว่า  มิน่าหลู่ซิ่วไฉวันๆ เห็นเอาแต่กกตัวอยู่ที่ร้าน ที่แท้ฮูหยินในเรือนก็สูงใหญ่บึกบึนเพียงนี้ ถ้าเป็นข้า ข้าก็คงอยู่ไม่ไหวเหมือนกัน 

จากนั้นก็มีคนตั้งข้อสงสัยต่อว่า  มิใช่พูดกันว่าหลังจากฮูหยินของหลู่ซิ่วไฉเสียไปก็ไม่ได้แต่งงานใหม่ ไม่มีกระทั่งบุตรสาวบุตรชายหรอกรึ? แล้วนี่มีฮูหยินโผล่มาจากไหนได้? 

มีคนเดาว่า  อาจจะเป็นคนรักเหมือนกันก็ได้ ทว่าคนหนึ่งเลี้ยงไว้ในเรือน คนหนึ่งเลี้ยงไว้นอกเรือน 

หลู่ซิ่นเดือดดาลจนปากแทบเบี้ยว ไม่รู้ว่ามีฮูหยินจากไหนโผล่มาก่อเรื่องต่อหน้าเขา เขาคิดจะแก้ต่างให้ตนเองสักคำ ทว่าคอเสื้อก็รัดลำคอแน่น สักประโยคก็พูดออกมาไม่ได้ เขาต้องอยู่ในท่านั้นกระทั่งฮูหยินผู้นี้ลากเขาขึ้นรถม้า ยัดผ้าขี้ริ้วอุดปากเขา แล้วออกรถวิ่งไปจากตรอกฮวาเอ๋อร์

เกรงว่าเรื่องในวันนี้ของเขาจะถูกคนเมืองหลินอันเอาไปนินทากันจนชั่วชีวิต

หลู่ซิ่นเกร็งฟันขบแน่นด้วยความเดือดดาลสุดขีด

ถ้าหากรู้ว่าผู้ใดวางแผนเล่นงานเขาละก็ เขาไม่ทางปล่อยเอาไว้แน่!

รถม้าหยุดลงที่หน้าถนนฉางซิ่ง

หลู่ซิ่นถูกกระชากตัวลงมา

แสงจันทร์สาดกระทบหัวเสาและเศษกระเบื้องบนถนนฉางซิ่ง เห็นเป็นภาพเปลี่ยวร้างได้รางๆ เสียงขับร้องบรรเลงเพลงที่ดังลอยมาจากตรอกฮวาเอ๋อร์ซึ่งอยู่ถัดไปฟังแล้วให้อารมณ์แปร่งหู ทำให้หนังศีรษะเขาชาหนึบ สองขาสั่นระริก

 เจ้า พวกเจ้าคิดจะทำอะไร?  หลู่ซิ่นถามออกไปอย่างระแวดระวัง

อวี้ถังใช้ผ้าโพกศีรษะไว้ แล้วเดินออกมาจากเงามืดหลังกำแพงรกร้าง

หลู่ซิ่นจำนางได้ในแวบแรกที่เห็น

เขากระโดดตัวโยนราวกับโดนเหยียบหาง ชี้หน้าด่าทอนางว่า  เหตุใดเป็นเจ้า? เจ้าคิดจะทำอะไร? ข้าจะให้บิดาเจ้าเป็นคนตัดสินเรื่องนี้! 

อวี้ถังตอบกลับคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม  จะให้บิดาข้าตัดสินทำไม! เจ้ากับข้าไปให้ศาลาว่าการตัดสินให้ดีกว่า! 

หลู่ซิ่นตกตะลึง

อวี้ถังโยนภาพผืนนั้นลงที่ข้างเท้าของหลู่ซิ่น  เจ้ามิใช่บอกว่านี่เป็นภาพ ‘ตกปลาใต้ต้นสนริมน้ำ’ ของหลี่ถังในราชวงศ์ก่อนรึ? เถ้าแก่ถงที่โรงจำนำสกุลเผยเป็นเพื่อนกับสกุลข้าพอดี ข้าถือภาพผืนนี้ไปให้เถ้าแก่ตรวจสอบแล้ว เถ้าแก่ถงพูดเองกับปากว่า นี่เป็นภาพคัดลอก อย่างมากก็ขายได้สามตำลึงห้าตำลึงเท่านั้น เลือกมาสิ ข้ากับเจ้าจะไปที่ศาลาว่าการสักครั้ง หรือเจ้าจะคืนเงินที่หลอกเอาจากบิดาข้าไป! 

หลู่ซิ่นแทบเต้นเร่าๆ  เจ้ามันเด็กเลี้ยงแกะ คิดห่มหนังเสือมาพูดจาใหญ่โต หวังจะใช้สกุลเผยมาข่มข้าอย่างนั้นรึ?! สกุลเจ้ามีพื้นเพอย่างไรคิดหรือว่าข้าไม่รู้? เจ้าพูดว่าเป็นภาพคัดลอกก็เป็นภาพคัดลอกจริงๆ ได้หรือ ข้าว่าเจ้าแอบสับเปลี่ยนของเองมากกว่า อยากได้ภาพแต่ไม่คิดจ่ายเงินล่ะสิ ถึงปรักปรำข้าว่าขายของปลอมให้สกุลของเจ้า 

ฮูหยินผู้นั้นออกแรงเพิ่ม กดหลู่ซิ่นลงบนพื้นอีกครั้งหนึ่ง

อวี้ถังเอ่ยอย่างดูแคลนว่า  ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าต้องไม่ยอมรับ และไม่หวังให้เจ้ายอมรับผิดด้วย พรุ่งนี้ตอนฟ้าสางพวกเราก็ไปที่ศาลาว่าการ ข้าเชิญเถ้าแก่ถงมาเป็นพยานให้แล้ว ของจริงไม่อาจปลอม ของปลอมไม่อาจจริง ถึงเวลานั้นเจ้าก็รอรับโทษอย่างคนพ่ายแพ้ไปแล้วกัน! 

————————————————————-

[1] จำนำตาย หมายถึง การขายขาดสิ่งของชิ้นนั้นให้กับโรงจำนำ ทิ้งสิทธิ์ในการไถ่ของคืน การจำนำประเภทนี้จะได้เงินค่อนข้างสูง ซึ่งจะตรงข้ามกับจำนำเป็นที่ได้เงินตอบแทนน้อยกว่า แต่ยังสามารถกลับมาไถ่ของคืนได้

[2] ยามซวี คือเวลาประมาณ 19:00 – 20:59 น.

Related

 

อวี้เหวินรู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นความผิดของตน เมื่อถูกบุตรสาวเค้นถาม เขาจึงอดรู้สึกผิดไม่ได้ ตอบเสียงแผ่วว่า  อาถัง แม้ตอนนี้มารดาเจ้าต้องกินยา แต่ไม่ต้องไปเมืองหลวงแล้ว เงินก้อนนี้ก็ถือว่าเป็นเงินที่ข้าพามารดาเจ้าไปเมืองหลวงก็แล้วกัน อีกอย่าง ท่านลุงหลู่ของเจ้าปฏิบัติต่อสกุลเราเช่นไร เจ้าก็คงเห็นกับตาตัวเองแล้ว แล้วตอนนี้ข้าจะมัวสนใจแต่เรื่องตนเองจนไม่ไยดีความเป็นตายของเขาได้อย่างไร? 

อวี้ถังโมโหสุดขีด เอ่ยว่า  ตอนนี้เขาเจอเรื่องคอขาดบาดตายอย่างนั้นรึ? ไม่มีสองร้อยตำลึงก็มีชีวิตอยู่ไม่ได้แล้วหรือเจ้าคะ? 

 ก็ประมาณนั้น!  อวี้เหวินตอบ  ท่านลุงหลู่ของเจ้าไปล่วงเกินคนของสกุลเผย ไม่อาจรั้งตัวอยู่ที่เมืองหลินอันได้แล้ว ปีหน้าจะมีการเปิดสอบเอินเคอ [1] แล้ว หากเขาไม่มีผู้ให้การรับรองอย่างจริงจัง เส้นทางบัณฑิตคงยากจะก้าวหน้าได้ 

เรื่องประเภทนี้อวี้ถังพอเข้าใจอยู่

ขุนนางที่เกษียณอายุแล้วล้วนยินดีจะสร้างความสุขสงบเพื่อปวงประชา หากในท้องถิ่นมีคนหนุ่มเข้าไปสอบในเมืองหลวง ก็จะเขียนจดหมายแนะนำไปยังขุนนางที่ตนรู้จักหรือสนิทสนม ขอให้พวกเขาช่วยจัดการเรื่องที่พักหรืออาจถึงขั้นช่วยชี้แนะบทเรียน เมื่อผลสอบประกาศออกมาจะได้อยู่ในลำดับที่สูงขึ้น

นางแสยะยิ้มเย็น เอ่ยว่า  ถ้าข้าจำไม่ผิด ท่านลุงหลู่มิใช่ยังเป็นแค่ซิ่วไฉหรือเจ้าคะ? สกุลเผยถึงจะเขียนจดหมายแนะนำให้เขา เกรงว่าเขาก็คงไม่ได้ใช้อยู่ดี? อีกอย่าง สกุลเผยแต่ไรก็ชอบช่วยเหลือผู้คนอยู่แล้ว เขาไปทำอันใดถึงได้ล่วงเกินคนสกุลเผยเข้า ท่านพ่อเคยขบคิดอย่างละเอียดดูหรือไม่เจ้าคะ? 

เห็นชัดว่าอวี้เหวินไม่ต้องการอธิบายความยืดยาว เพียงตอบว่า  เขาตัดสินใจที่จะย้ายไปอยู่เมืองหลวงแล้ว วันข้างหน้าไม่รู้จะได้กลับมาอีกหรือไม่ ถือเสียว่าข้าช่วยเขาครั้งสุดท้าย ตอบแทนที่เขาช่วยชีวิตมารดาของเจ้าไว้ เจ้าก็ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้อีก 

เรื่องมาถึงขั้นนี้ อวี้ถังยังจะพูดอะไรได้อีก

นางเอ่ยเสียงแข็งต่อว่า  ภาพวาดล่ะเจ้าคะ? 

ภาพผืนนั้นอย่างไรก็เป็นวัตถุเก่าแก่ นับว่ามีค่าไม่น้อย ต่อไปหากครอบครัวไม่อาจควักเงินมาซื้อยาให้มารดา ก็สามารถนำของไปจำนำได้อยู่

อวี้เหวินส่งม้วนภาพวาดให้อวี้ถังอย่างเอาอกเอาใจ

ทางด้านอวี้ถังก็คลี่ม้วนภาพกางออกบนโต๊ะหนังสือ พร้อมกับงึมงำเสียงเบาว่า  มีแต่ท่านที่ใจดีถึงเพียงนี้ เงินตั้งสองร้อยตำลึง หากเขานำภาพไปจำนำ อย่างมากก็ได้แค่หนึ่งร้อยตำลึงเท่านั้น… 

วาจานางพูดยังไม่ทันจบดี ดวงตาก็เบิกโตกว้าง

นี่ไม่ใช่ภาพ ‘ตกปลาใต้ต้นสนริมน้ำ’ ผืนนั้นที่นางหยิบมาดูเล่นบ่อยๆ เมื่อชาติก่อน

ชาติก่อน หลังจากเกิดเรื่องกับบิดา ภาพผืนนี้ก็ถูกทิ้งไว้ที่เรือน โดนผู้คนหลงลืมไป กระทั่งนางแต่งงาน ท่านลุงใหญ่คำนึงว่าสกุลหลี่ที่นางต้องแต่งเข้าไปเป็นสกุลบัณฑิต อยากจะซื้อภาพวาดพู่กันเพิ่มเพื่อให้ขบวนสินเดิมมีหน้ามีตาไม่อายใคร ภาพผืนนี้ถึงได้ถูกรื้อออกมา และเพราะภาพผืนนี้มีส่วนเกี่ยวกับการจากไปของบิดา นางจึงใช้เป็นของระลึกต่างหน้า เก็บรักษามันไว้อย่างดี และหยิบออกมาดูอยู่บ่อยครั้ง

นางจำได้อย่างชัดเจน ภาพผืนนี้มีตราประทับอยู่ยี่สิบสามตรา ตราประทับสองลำดับท้ายสุดมีชื่อว่า ‘ชุนสุ่ยถัง’ และ ‘โซ่วเหมยเวิง’ โดยที่ ‘ชุนสุ่ยถัง’ จะถูกประทับอยู่ด้านข้างของ ‘โซ่วเหมยเวิง’ ทว่าตอนนี้ ตำแหน่งเดิมที่ควรจะมีตราประทับว่า ‘ชุนสุ่ยถัง’ กลับกลายเป็นคำว่า ‘เหมยหลิน’ เสียได้

ภาพผืนนี้เป็นของปลอม!

อวี้ถังเดือดดาลสุดขีด เอ่ยว่า  ท่านพ่อ หลู่ซิ่นมันเป็นคนชั่วช้า! 

อวี้เหวินเห็นว่าบุตรสาวป้ายสีสหายของตนครั้งแล้วครั้งเล่า ในใจก็เริ่มไม่ยินดีนัก เขาเดินเข้าไปหา ทางหนึ่งจะม้วนภาพเก็บ ทางหนึ่งก็เอ่ยว่า  เจ้าเด็กคนนี้ เหตุใดพูดจาเช่นนี้เล่า? เกิดเป็นคนใครบ้างไม่มีข้อด้อย เจ้าอย่าได้จับจ้องแต่ส่วนที่ไม่ดีของท่านลุงหลู่อยู่แบบนั้น การมองคน สำคัญอยู่ที่… 

 ไม่ใช่นะเจ้าคะ!  อวี้ถังตัดบทแทรกอวี้เหวิน ห้ามไม่ให้บิดาม้วนภาพผืนนั้นไปเก็บ นิ้วชี้ไปที่ตราประทับซึ่งเขียนว่า ‘เหมยหลิน’ แล้วพูดว่า  ท่านพ่อ ท่านดูสิ ตราประทับตรงนี้สมควรจะเป็น ‘ชุนสุ่ยถัง’… 

อวี้เหวินหัวเราะขึ้นมาทันใด ตอบว่า  ปกติให้เจ้าตั้งใจท่องหนังสือเจ้าไม่เคยสนใจ ตอนนี้กลายเป็นเรื่องขบขันไปเสียแล้ว! ‘ชุนสุ่ยถัง’ เป็นตราประทับของใครข้าไม่รู้หรอก แต่ว่า ‘เหมยหลิน’ เป็นตราประทับส่วนตัวของใต้เท้าจั่ว สมัยก่อนข้าเคยศึกษาลายมือและตราประทับของท่านโดยเฉพาะ ภาพผืนนี้ของท่านลุงหลู่ของเจ้านั้น บิดาผู้ล่วงลับของเขาได้รับมอบมาจากใต้เท้าจั่ว ถ้าไม่มีตราประทับนี้สิจึงจะนับว่าแปลก เจ้าดูนะ ‘โซ่วเหมยเวิง’ ตรงนี้ ก็คือฉายาของบิดาของท่านลุงหลู่ของเจ้า 

อวี้ถังพลันรู้สึกยุ่งเหยิงไปหมด

หรือว่าภาพผืนที่นางเอาออกมาจับเล่นบ่อยๆ เมื่อชาติก่อนจะเป็นของปลอม?

อวี้ถังไม่แล้วแก่ใจ นางขอให้อวี้เหวินหาคนมาพิสูจน์

อวี้เหวินกลับไม่เห็นด้วย  บิดาเจ้าอาจเล่าเรียนไม่สำเร็จ แต่ภาพวาดเก่าสมัยราชวงศ์ก่อนมีไม่กี่ผืน อย่างไรก็ไม่มีทางมองพลาดไปได้ 

ความเคลือบแคลงสงสัยในใจอวี้ถังเริ่มเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ

ชาติก่อน หลังจากที่นางแต่งเข้าสกุลหลี่ เรือนนางถูกขโมยขึ้นไปหนึ่งครั้ง ภายหลังทุกคนช่วยกันตรวจนับข้าวของ ก็พบว่าเครื่องประดับทองของนางหายไปเพียงสองสามชิ้น ตอนนั้นนางยังคิดสงสัย สกุลหลี่ที่ใหญ่โตและกำแพงสูงลิบเช่นนี้ เมื่อมีขโมยขึ้นเรือน กลับหยิบของติดมือไปเพียงไม่กี่ชิ้นเท่านั้นหรือ?

หรือว่าภาพผืนนี้ได้ถูกคนขโมยไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว?

ช่วงเวลาที่อยู่ในสกุลหลี่ อวี้ถังไม่ใคร่อยากจะนึกถึงมากนัก ปฏิเสธไม่ได้ว่าในใจนางมีปมอยู่กระจุกหนึ่ง โดยเฉพาะความเจ็บแค้นที่มีต่อคนสกุลหลี่ หากแตะต้องเพียงนิดเดียวก็ทำให้นางสะท้านสั่นด้วยความชิงชัง เจ็บแค้นจนพูดอะไรไม่ออก

ไม่ได้!

นางไม่อาจทำเลอะเลือน ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นไม่ได้

อวี้ถังขอภาพ ‘ตกปลาใต้ต้นสนริมน้ำ’ มาจากอวี้เหวินไปชื่นชมอย่างละเอียด ก่อนจะแอบเอาภาพนั้นไปที่โรงจำนำสกุลเผยอย่างเงียบเชียบ

สกุลเผยเปิดโรงจำนำที่หลินอันเพียงแห่งเดียวเท่านั้น

ตั้งอยู่ที่สี่แยกถนนด้านหน้าท่าเรือหลินอัน

เถ้าแก่ก็ยังเป็นคนที่ร่างท้วมๆ ขาวๆ นามว่าถงกุ้ย

ชาติก่อน อวี้ถังนำสินเจ้าสาวมาจำนำกับเขาจำนวนไม่น้อย

นางโพกศีรษะ แต่งตัวเป็นหญิงชาวบ้านที่ออกเรือนแล้ว เดินเข้าไปในโรงจำนำอย่างเงียบๆ

เถ้าแก่ถงไม่อยู่ร้าน ผู้ที่เฝ้าอยู่ตรงโต๊ะคือบุตรชายของเถ้าแก่ถง นามว่าถงไห่

เขาเหมือนกับเถ้าแก่ถงทุกกระเบียด หน้าตาขาวผ่อง ดูท้วมๆ แม้ปีนี้อายุยังไม่ถึงยี่สิบดี แต่เจอคนก็มีรอยยิ้มประดับเต็มหน้า เห็นแล้วน่าคบหาอย่างยิ่ง

อวี้ถังส่งภาพผืนนั้นให้เขา เอ่ยเสียงเบาไปคำหนึ่งว่า  จำนำชั่วคราว 

ถงไห่รับของไปพร้อมยิ้มตาหยี ค่อยๆ คลี่ม้วนภาพออกอย่างไม่ร้อนใจ ทว่าวินาทีที่เห็นภาพม้วนนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที แม้ภายหลังจะกลบเกลื่อนด้วยรอยยิ้มอย่างรวดเร็ว แต่ความแตกตื่นบนหน้าเขากลับถูกอวี้ถังจับได้เสียแล้ว

เห็นได้ชัดว่าถงไห่ในตอนนี้ฝึกฝนจนมีสายตาที่คมกริบแล้ว

 แม่นางโปรดรอสักครู่ เชิญท่านไปดื่มชารอที่โถงด้านในก่อนขอรับ  เขายิ้มแล้วเหมือนกับพระสังกัจจายน์ยิ่งนัก  สิ่งที่ท่านนำมาจำนำเป็นภาพวาดพู่กันเก่าแก่ ต้องให้ผู้ประเมินของร้านเราตรวจสอบก่อนจึงจะตีราคาได้ขอรับ 

เหตุใดถึงบอกว่าโรงจำนำของสกุลเผยเที่ยงตรงเป็นธรรมน่ะหรือ? โรงจำนำหลายแห่งพอเห็นผู้อื่นนำของมาจำนำ ก็เริ่มต้นหลอกลวงคนก่อนแล้ว ถามว่าอยากจะจำนำเท่าไร ทั้งไม่ว่าผู้อื่นจะตอบจำนวนมากน้อยเพียงไร พวกเขาก็จะลดค่าของสิ่งนั้นจนไม่เหลือราคา โน้มน้าวให้คนจำนำถาวรไปเสีย

อวี้ถังพยักหน้า ความร้อนรนที่สุมอกตั้งแต่บิดาซื้อภาพนี้มาค่อยๆ คลายลงไปได้

ชะตาของนางนับว่าประหลาดนัก เรื่องใดๆ ล้วนเปลี่ยนไปเสียหมด แต่อย่างน้อยโรงจำนำสกุลเผยที่นางคุ้นเคยแห่งนี้ เถ้าแก่น้อยและเถ้าแก่ใหญ่ของร้านล้วนยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน

นางเดินตามเถ้าแก่น้อยถงเข้าไปที่โถงด้านใน

ลมพัดผ่านมาวูบหนึ่ง ต้นการบูรในลานร้านโบกไหวจนเกิดเสียง เป็นผลให้ปลาจิ๋นหลี่ [2] หลายตัวที่เลี้ยงไว้ในสระใต้ต้นการบูรต้องโผล่หน้าออกมาจากใต้ใบของต้นบัวสาย

อวี้ถังชะลอฝีเท้าลงอย่างไม่รู้ตัว นางจ้องมองอยู่หลายที กระทั่งได้ยินเสียงคนพูดคุยดังลอดออกมาจากด้านหลังประตูกั้นเคลือบสีที่อยู่ตรงหน้า

นางหันไปมองตามทิศทางเสียง

นางมองไม่เห็นหน้าคน เห็นเพียงเงาร่างของบุรุษสองคนผ่านรอยต่อของประตู

คนที่อวบอ้วนผู้นั้นก็คือ ถงกุ้ย นางเห็นแวบเดียวก็จำได้ทันที ส่วนอีกคนรูปร่างสูงใหญ่ อยู่ในชุดต้าวผาว [3] สีเขียวครามเรียบตัดจากผ้าไหมหังโจว แผ่นหลังยืดตรง สองมือไพล่หลัง แม้จะมองจากที่ไกลๆ ทั้งถูกกั้นด้วยประตูอีกชั้นหนึ่ง ก็ยังรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายภูมิฐาน ไม่ใช่คนธรรมดาสามัญ

คงจะเป็นลูกค้าคนพิเศษของร้านกระมัง

อวี้ถังมาจำนำสิ่งของโดยไม่เปิดเผยตัวตน เพราะกลัวจะถูกจับได้ จึงไม่กล้ามองหลายที แต่อดจะเก็บไปขบคิดต่อในใจไม่ได้

ท่าทางโดดเด่นเพียงนี้ แต่กลับมาจำนำของ ไม่รู้ว่าเป็นคุณชายจากสกุลไหน…

นางสะบัดศีรษะไปมา จู่ๆ รู้สึกเสียดายขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล

นางดื่มน้ำชาไปสองถ้วยแล้ว ในที่สุดเถ้าแก่น้อยและเถ้าแก่ใหญ่ก็เดินออกมาพร้อมกัน

 แม่นางท่านนี้  เถ้าแก่ใหญ่ถงถือม้วนภาพวาดที่นางส่งให้เถ้าแก่น้อยถงไปก่อนหน้านี้ไว้ในมือ ปาดเหงื่อเล็กน้อยพลางพูดว่า  ภาพวาดผืนนี้ของท่านเป็นงานคัดลอกขอรับ 

ภาพปลอม?!

นางกระเด้งตัวลุกขึ้นมาทันที

นางรู้อยู่แล้ว หลู่ซิ่นผู้นี้ไม่ใช่คนดีอะไร!

ชาติก่อน บิดาไม่ได้ปฏิเสธและซื้อภาพของเขามา ดีชั่วอย่างไรเขาก็ยังขายภาพจริงให้กับบิดานาง ชาตินี้ บิดานางไม่ยินดีจะซื้อภาพของเขา เขาถึงกับขายภาพปลอมให้บิดานางเชียวรึ?

อวี้ถังได้แค่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

แต่ในใจก็อดจะยอมรับไม่ได้ หากมิใช่ว่านางสอดมือเข้าไปยุ่ง ชาตินี้ก็คงไม่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น

ในเมื่อนางเป็นคนก่อเรื่อง แน่นอนว่านางต้องเป็นคนเก็บกวาดเรื่องยุ่งๆ นี้เอง

ถ้าไม่เอาภาพจริงในมือของหลู่ซิ่นคืนมา ก็ต้องเอาเงินในมือของเขากลับมาแทน!

อวี้ถังพลันแย่งภาพผืนนั้นมาจากมือเถ้าแก่ใหญ่ถง เอ่ยเสียงแข็งว่า  ขอบคุณเถ้าแก่ใหญ่ถงมาก รบกวนท่านแล้ว 

เถ้าแก่ใหญ่และเถ้าแก่น้อยล้วนมองนางอย่างตกตะลึง คล้ายกับถูกทำให้ตกใจ

อวี้ถังทำได้เพียงฝืนยิ้มออกมาบางๆ

นางจะเคียดแค้นหลู่ซิ่นก็เคียดแค้นไปสิ แต่ไม่สมควรจะพาลใส่เถ้าแก่ใหญ่ถงไปด้วย

 ขอประทานโทษด้วย!  นางเอ่ยขอขมา  ข้าคิดไม่ถึงว่านี่จะเป็นภาพปลอม ทำให้พวกท่านต้องเสียเวลาแล้ว 

เถ้าแก่ใหญ่และเถ้าแก่น้อยล้วนถูกอบรมมาเป็นอย่างดี หากว่าเปลี่ยนเป็นผู้อื่น การถือภาพปลอมมาจำนำ คงถูกคนของโรงจำนำโยนออกไปกลางถนนให้ผู้อื่นหัวเราะเยาะเพราะคิดว่าเป็นนักต้มตุ๋นตั้งแต่แรกแล้ว

 มิใช่ขอรับ!  เถ้าแก่น้อยพูดจาติดๆ ขัดๆ  ท่าน ผ้าคลุมท่านร่วงน่ะขอรับ 

ผ้าคลุมร่วงแล้วเป็นอย่างไรเล่า?

ผ่านไปพักหนึ่งอวี้ถังถึงเพิ่งคิดออก

เพราะต้องการเอาของมาจำนำ นางจึงจงใจเลือกเสื้อผ้าเก่าๆ ของซวงเถามาชุดหนึ่ง นางยังหวีผมทรงหญิงออกเรือน เสียบด้วยดอกไม้สีแดงบานเย็นดอกหนึ่ง เดิมยังคิดว่าต้องผัดแป้งสักหน่อยหรือไม่ เพื่อให้ดวงหน้าดูอ่อนล้าซีดเซียว แต่ตอนที่หาตลับแป้งของซวงเถาเจอ นางก็เดียดฉันท์ว่าแป้งผัดหน้าที่ซวงเถาใช้ไม่เนียนละเอียดพอ ซวงเถาบอกว่าจะไปที่ร้าน ‘เซี่ยฟู่เซียง’ เพื่อซื้อตลับใหม่ให้ แต่นางก็รู้สึกอีกว่าช่างไม่คุ้มเงินสองตำลึงที่ต้องจ่ายไปเสียเลย…เงินสองตำลึงนั่นมากพอให้มารดาซื้อยาได้ตั้งครึ่งเดือน

อวี้ถังนึกย้อนไปถึงชาติก่อน นางเพียงโพกศีรษะอย่างลวกๆ เข้าไปที่ร้านก็ไม่เห็นมีใครจำได้ จึงได้ใจกล้าโพกศีรษะออกไปอีกครั้ง กลับลืมไปว่าตอนนี้ตนเพิ่งจะถึงวัยปักปิ่น ดวงหน้ายังละอ่อนราวกับต้นอิงเถาที่แตกยอดออกผลได้สามเดือน ปิดบังความน่ารักอ่อนหวานไม่มิด มองอย่างไรก็เหมือนเด็กคนหนึ่งที่เอาชุดผู้ใหญ่มาใส่เล่น ต่อให้คนตาบอดก็ยังมองออกว่านางเจตนาปลอมตัวมา

ดวงหน้าอวี้ถังขึ้นสีแดงเรื่อ มือก็วุ่นวายกุมศีรษะไว้ แล้วกำม้วนภาพหมุนตัวออกจากโรงจำนำ

กลางวันช่วงฤดูร้อนแสงตะวันสาดส่องแรงกล้า แผดเผาจนคนลืมตาแทบไม่ขึ้น

บนท่าเรือไร้ซึ่งผู้คน ใต้ชายคาของร้านค้าข้างๆ กัน มีเถ้าแก่นอนเปิดเสื้อท่อนบนอยู่บนเก้าอี้โยกพลางโบกพัดใบกกไปมา สุนัขของร้านนอนขดตัวอย่างเบื่อหน่ายอยู่ข้างเก้าอี้โยก มันร้องครางไปเรื่อยอย่างไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย ทำให้ช่วงบ่ายที่เงียบเหงาน่าอึดอัดยิ่งกว่าเดิม

อวี้ถังได้สติกลับมา

นางถามไปแค่ว่าภาพนี้เป็นของจริงหรือของปลอม แต่กลับลืมถามให้ชัดเจนว่ามันปลอมที่ตรงไหน?

หากว่าหลู่ซิ่นพลิกลิ้นขึ้นมา นางควรจะพูดอย่างไรต่อเล่า?

อวี้ถังลังเลอยู่พักหนึ่ง นางกัดฟันแน่น แล้วย้อนกลับไปที่โรงจำนำอีกครั้ง

ภายในโรงจำนำ บุรุษชุดเขียวครามที่นางเห็นก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่าออกมาตั้งแต่เมื่อใด กำลังยืนพูดกับเถ้าแก่ใหญ่ถงว่า  อายุเท่านี้ก็รู้จักหลอกลวงคนแล้ว ต่อไปหากมีเรื่องทำนองนี้อีก ห้ามปล่อยไปง่ายๆ เด็ดขาด! 

เถ้าแก่ใหญ่ถงยืนค้อมหลังผงกศีรษะอยู่เบื้องหน้าบุรุษผู้นั้น ขณะกำลังเอ่ยตอบ ก็เงยหน้าขึ้นมาเห็นอวี้ถังเสียก่อน

เขาอ้าปากค้าง ทำหน้ากระอักกระอ่วน

————————————————————-

[1] เอินเคอ ก็คือการสอบเคอจวี่ประเภทหนึ่ง ‘เอิน’ แปลว่า บุญคุณ เป็นการจัดสอบเฉพาะกิจในช่วงเวลาพิเศษ เช่น เนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนม์พรรษาของไทเฮา เป็นต้น

[2] ปลาจิ๋นหลี่ หรือก็คือปลาคาร์พ นิยมเลี้ยงไว้เพื่อเสริมความเป็นสิริมงคล

[3] ชุดต้าวผาว เป็นชุดเสื้อยาวทรงตรง คอเสื้อป้ายทับกัน จะคาดด้วยเข็มขัด เชือกหรือใช้แถบผ้าผูกทับก็ได้

Related

 

ภาพวาด ‘ตกปลาใต้ต้นสนริมน้ำ’ ของหลี่ถังในราชวงศ์ก่อนเป็นภาพที่มีชื่อเสียง นับเป็นวัตถุเก่าแก่

ราคาสองร้อยตำลึงนี้ นับว่าไม่แพง

อีกทั้งอวี้เหวินยังชื่นชอบมากเป็นพิเศษ ดูท่าหลู่ซิ่นตอนนี้ก็กำลังลำบาก ในฐานะสหายของหลู่ซิ่น ด้วยน้ำใจหรือเหตุผลของอวี้เหวินก็ดี สมควรจะซื้อภาพนี้เอาไว้

ทว่าสองวันนี้ อวี้ถังเพิ่งจะคำนวณบัญชีให้เขาดู

ถ้าหากว่าซื้อภาพนี้ไว้ก็จะไม่เหลือเงินซื้อยาให้ภรรยาแล้ว

ความโปรดปรานของเขาไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด อาการป่วยของภรรยาต่างหากที่มาเป็นอันดับแรก

อวี้เหวินแม้จะมีนิสัยอ่อนโยน จัดการเรื่องราวโดยละมุนละม่อม แต่ใครมีน้ำหนักมากน้อยกว่ากันนั้นกลับแยกแยะได้ชัดเจน

 พี่หลู่  ดวงหน้าเขาขึ้นสีแดงเรื่อ  เรื่องนี้เป็นข้าที่ผิดต่อเจ้า เจ้าก็น่าจะรู้ ร้านค้าของสกุลข้าถูกไฟไหม้ไปแล้ว ตอนนี้ข้าไม่มีเงินมากเพียงนั้นหรอก…  พูดไป ก็เดินไปหยิบภาพวาดนั้นมาคืนให้หลู่ซิ่น  เจ้าลองถามผู้อื่นดูว่ามีใครชมชอบภาพนี้หรือไม่… 

หลู่ซิ่นไม่เชื่อ กล่าวว่า  สกุลเจ้าแต่เดิมก็มีทรัพย์ ทั้งหาได้มีภาระอะไร เงินแค่สองร้อยตำลึงมีหรือจะจ่ายไม่ไหว? 

อวี้เหวินรู้สึกอับอายกว่าเก่า เอ่ยว่า  ยังต้องเก็บเงินไว้ให้นายหญิงที่เรือนข้ารักษาตัวอีก 

หลู่ซิ่นไม่พอใจ

ไม่ว่าอย่างไรอวี้เหวินก็ไม่ยอมอ่อนข้อ เพียงพูดออกไปตรงๆ  เป็นข้าที่ทำผิดต่อพี่หลู่ 

หลู่ซิ่นยังตามกัดไม่ปล่อย  ใช่ว่าเจ้ายังมีที่นาชั้นดีอีกหนึ่งร้อยหมู่หรือ? 

หลินอันมากด้วยภูเขา น้อยด้วยที่นา หากเป็นเขตพื้นที่อื่น ที่นาหนึ่งร้อยหมู่ขายได้ประมาณห้าถึงหกร้อยตำลึง แต่ที่หลินอัน อาจขายได้ถึงหนึ่งพันตำลึงเป็นอย่างต่ำ

อวี้เหวินงึมงำตอบไปว่า  ค่ารักษาภรรยาข้าเดิมก็ไม่ค่อยจะพออยู่แล้ว กลัวว่าถึงตอนนั้นคงต้องขายที่ขายทาง ข้าไม่อาจยอมให้การรักษาของนางต้องติดขัดเพราะมีข้าเป็นต้นเหตุ 

หลู่ซิ่นคิดจะเปิดปากพูดต่อ ทว่าอวี้ถังที่เพิ่งรู้ข่าวแล้วรีบบึ่งตามมา พลันเมื่อมาถึงก็ผลักประตูเข้ามาพอดี นางเอ่ยด้วยรอยยิ้มแฉล้มว่า  ท่านลุงหลู่หากว่าขัดสนร้อนเงิน ไม่สู้เอาภาพนี้ไปจำนำชั่วคราวก่อน รอให้การเงินในมือใช้จ่ายคล่องแล้ว ค่อยไปไถ่กลับมาก็ไม่สาย โรงจำนำสกุลเผยนับว่าเที่ยงธรรมโดยแท้ 

ชาติก่อน นางเคยเอาสิ่งของไปจำนำ แม้ราคาจะถูกกดจนต่ำ แต่เทียบกับโรงจำนำอื่นๆ แล้ว กลับนับว่าไม่เลวร้ายเลยทีเดียว

หลู่ซิ่นรู้สึกเสียหน้า ใบหน้าจึงเปลี่ยนสีทันใด เอ่ยปากกับอวี้เหวินว่า  แม้สกุลอวี้จะเป็นแค่สกุลพ่อค้า แต่ในสกุลยังพอมีบัณฑิตอย่างเจ้าอยู่คนหนึ่ง เป็นสาวเป็นนาง ควรจะอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนฝึกวิชาเย็บปักถักร้อยให้มากหน่อยจึงจะเข้าที! 

อวี้เหวินเริ่มเหงื่อตก

อวี้ถังกลับแสยะยิ้มในใจ เบิกตารูปผลซิ่ง [1] ทั้งสองข้างจนโต แสร้งทำทีเป็นไร้เดียงสาแล้วเอ่ยว่า  วาจานี้ของท่านลุงหลู่เอ่ยได้ผิดถนัด ข้ายังช่วยท่านพ่อวิ่งเอาของไปจำนำอยู่บ่อยๆ เลยนะเจ้าคะ 

อวี้เหวินพลันชะงักคำที่กำลังจะเอ่ยออกไปทันที

เขามองออกว่าบุตรสาวคงกลัวว่าเขาจะให้หลู่ซิ่นหยิบยืมเงิน

เห็นชัดว่านางเป็นกังวลอย่างหนักว่าเขาจะผิดสัญญาที่เคยให้ไว้กับนาง

อวี้เหวินรู้สึกปวดใจ เปลี่ยนใจคิดว่าเป็นเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน หลู่ซิ่นจะได้ไม่มาตำหนิเขา ว่าไม่ยอมยื่นมือช่วยเหลือเมื่อสหายตกทุกข์ได้ยาก

หลู่ซิ่นก้าวขาฉับๆ จากไปด้วยความโมโห

อวี้ถังสะใจยิ่งนัก นางเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้คนสกุลเฉินผู้เป็นมารดาฟัง  ท่านดูสิเจ้าคะ เพื่อท่านแล้ว ท่านพ่อถึงขั้นยอมล่วงเกินท่านลุงหลู่ อีกเดี๋ยวถ้าเจอท่านพ่อ ท่านแม่ต้องปลอบใจท่านพ่อดีๆ นะเจ้าคะ 

คนสกุลเฉินได้ฟังดวงตาสองข้างก็รื้นชื้น กลับห้องไปก็เอ่ยขอบคุณอวี้เหวิน

เช้าตรู่วันที่สอง อวี้ถังกับมารดาถืออาหารแห้งและกับข้าวง่ายๆ ที่เตรียมไว้ตามอวี้เหวินไปส่งอวี้ป๋อและอวี้หย่วนออกเดินทาง

อวี้ป๋อสั่งกับอวี้เหวินไว้ว่า  เรื่องของร้านค้าเจ้าไม่ต้องทำสิ่งใด รอให้ข้ากลับมาค่อยหารือกัน 

อวี้เหวินพยักหน้ารับหลายที

หลังจากส่งอวี้ป๋อจากไปแล้ว เขายังไปเยี่ยมเยียนเรือนพ่อค้าที่ประสบกับเหตุการณ์ไฟไหม้อีกหลายคนด้วยความเป็นห่วง ตกค่ำกลับมาถึงเรือนก็ถอนหายใจเอ่ยกับภรรยาว่า  ทุกคนต่างก็รอดูท่าทีของสกุลเผย! มีสองครอบครัวคิดจะกลับไปทำนาที่บ้านเก่าแล้วขายพื้นที่ร้านทิ้ง เพียงแต่เวลาแบบนี้ นอกจากสกุลเผยแล้ว ยังมีสกุลใดยินดีจะมารับช่วงต่อ ทั้งไม่รู้เลยว่าปัญหาของสกุลเผยจะสะสางลงเอยได้เมื่อไร 

อวี้ถังสนใจใคร่รู้เรื่องของสกุลเผยนัก จึงถามว่า  คนในสกุลเผยแตกคอกันจริงๆ อย่างที่ท่านลุงหลู่เล่าให้ฟังไหมเจ้าคะ? 

 ลุงหลู่ของเจ้าน่าจะพูดจาเกินจริงไปหน่อย  อวี้เหวินตอบ  ครอบครัวสกุลเผยล้วนเป็นบัณฑิต มีวิชา รู้มารยาท แล้วจะทะเลาะกันได้อย่างไร? อย่างมากก็อาจจะพี่น้องโต้เถียงกันสองสามประโยค อีกอย่างท่านผู้เฒ่าเผยก็ยังมีชีวิตอยู่ สุดท้ายจะสรุปอย่างไร ก็ต้องฟังคำจากท่านผู้เฒ่าเผยอยู่ดี 

กลัวแต่ว่าท่านผู้เฒ่าคนนั้นจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานน่ะสิ

อวี้ถังแอบคิดอยู่ในใจ

หลู่ซิ่นผู้นั้นพลันย้อนกลับมาอีก

นางเริ่มจะรู้สึกรำคาญขึ้นมาบ้างแล้ว งอแงกับบิดาจะตามไปห้องหนังสือด้วย

ครั้งนี้หลู่ซิ่นไม่ได้มาเสนอขายภาพวาดของเขาแล้ว แต่นำข่าวใหม่มาบอกต่อสกุลอวี้ว่า  หวังไป๋ก็เดินทางมาจากเขาผู่ถัวแล้วเช่นกัน! 

อวี้เหวินทั้งตกใจและยินดี

หลู่ซิ่นอดจะเอ่ยอย่างอิจฉาไม่ได้  ยังคงเป็นสกุลเผยที่เก่งกาจ! เกษียณอายุเร้นกายอะไรกัน แค่เทียบเชิญของสกุลเผยที่ส่งออกไป หวังไป๋ก็กระหืดกระหอบวิ่งมาถึงหลินอันแล้ว 

อวี้เหวินเอ่ยว่า  จะพูดเช่นนั้นก็ไม่ถูก ท่านผู้เฒ่าเผยเป็นคนดี เมื่อเขาล้มป่วย หมอหลวงหยางก็ดี หมอหลวงหวังก็ดี หากพอช่วยได้ก็คงอยากช่วยกระมัง! 

 เหอะ!  หลู่ซิ่นกลับไม่เห็นด้วย เอ่ยว่า  มีคนจิตใจดีเช่นนั้นเสียที่ไหนเล่า! 

อวี้เหวินยิ้มออกมาอย่างกระอักกระอ่วน

หลู่ซิ่นพูดต่อว่า  ข้าช่วยเจ้าตระเตรียมไว้หมดแล้ว พรุ่งนี้เช้าเจ้าก็ตามข้าไปพบท่านผู้เฒ่าที่จวนสกุลเผย ขอร้องท่านผู้เฒ่าช่วยออกหน้าให้ ให้หมอหลวงหยางไม่ก็หมอหลวงหวังมาตรวจอาการน้องสะใภ้ดูหน่อย 

ไม่ต้องพูดถึงอวี้เหวิน ขนาดอวี้ถัง ยังยินดีแทบบ้ากับเรื่องคาดไม่ถึงนี้

อวี้ถังถึงขั้นรู้สึกผิดขึ้นมาเล็กน้อย

ต่อให้หลู่ซิ่นจะนิสัยไม่ดีอย่างไร แต่เขาก็ปฏิบัติต่อบิดานางอย่างดี อาศัยแค่จุดนี้ ต่อไปหากเขามาเกาะบิดานางดื่มกินอีก นางตั้งใจจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเสีย

อวี้เหวินกล่าวขอบคุณหลู่ซิ่นซ้ำไปซ้ำมา เอ่ยว่า  ไม่ว่าอาการป่วยของนายหญิงของข้าจะรักษาได้หรือไม่ เจ้าล้วนเป็นผู้มีพระคุณยิ่งใหญ่ต่อข้าเช่นเดียวกัน 

หลู่ซิ่นกลับไม่เกรงใจเลยสักนิด กล่าวว่า  เจ้าก็ไม่ดูเสียบ้างว่าพวกเรานับเป็นสหายสนิทเพียงใด เรื่องของเจ้า ข้าล้วนจำใส่ใจไว้แล้ว เพียงแต่ความสามารถข้ามีอย่างจำกัด ช่วยเหลืออะไรเจ้าไม่ได้มาก 

 วาจานี้เจ้าพูดห่างเหินเกินไปแล้ว!  อวี้เหวินกับหลู่ซิ่นแลกเปลี่ยนวาจาเกรงอกเกรงใจกันสองสามคำ จากนั้นก็เรียกอาเสาไปสั่งอาหารที่หอสุรามาโต๊ะหนึ่ง แล้วสั่งป้าเฉินให้ไปซื้อสุรากลับมา

 ซื้อสุราดีมาเลยนะ!  อวี้ถังยิ้มแฉ่ง ควักเงินเก็บของตนเองให้ป้าเฉินไปหนึ่งตำลึง  ท่านลุงหลู่นับว่าช่วยเราครั้งใหญ่เลย 

ป้าเฉินหัวเราะเหอะๆ แล้วจากไป

คืนนั้นหลู่ซิ่นก็ดื่มสุราจนเมาพับที่เรือนสกุลอวี้อีกครั้ง ยังดีที่เขาไม่ลืมเรื่องที่ต้องไปจวนสกุลเผยกับอวี้เหวิน จึงลุกจากเตียงตั้งแต่เช้าตรู่ หลังจากล้างหน้าล้างตา ก็กินบะหมี่ผัดแห้งไปถ้วยหนึ่ง ดื่มน้ำเต้าหู้ไปสองชาม แล้วออกจากเรือนไปพร้อมกับอวี้เหวิน

อวี้ถังรออยู่ที่เรือนด้วยความกระวนกระวาย

ช่วงบ่าย หลู่ซิ่นกับอวี้เหวินสะพายล่วมยาแยกกันมาคนละใบ ก่อนจะเชิญบุรุษแปลกหน้าสองคนผ่านประตูใหญ่เข้ามาด้วยความระมัดระวังและกระตือรือร้น ผู้ที่เดินอยู่ข้างอวี้เหวินมีรูปร่างสูงกว่าเล็กน้อย ผมเคราขาวโพลน มองดูแล้วน่าจะอายุหกสิบเป็นอย่างน้อย ท่าทางมีกำลังวังชา สีหน้าเคร่งขรึม ส่วนผู้ที่เดินอยู่ข้างหลู่ซิ่นนั้นหน้าขาวไร้เครา ค่อนข้างอ้วนท้วม ยิ้มจนตาหยี หน้าผากชุ่มไปด้วยเหงื่อ ทำให้คนรู้สึกน่าเข้าใกล้

อวี้เหวินถลึงตาใส่อวี้ถังทีหนึ่ง บอกใบ้ให้นางหลบไปที่อื่นก่อน

อวี้ถังกลับไปที่ห้องของตนเอง แต่ก็ส่งซวงเถาไปแอบฟังข่าวอย่างไม่วางใจ

ซวงเถาหายไปเกือบหนึ่งชั่วยามเต็มๆ ถึงได้กลับมา ตอนที่มาถึงดวงตาหัวคิ้วล้วนเต็มไปด้วยความยินดี ทำให้อวี้ถังเกิดความหวังอันไร้ขีดจำกัด

 คุณหนูใหญ่  ซวงเถาไม่ทำให้อวี้ถังผิดหวัง เปิดปากก็มีแต่เรื่องดีๆ ออกมาทั้งสิ้น  ท่านผู้เฒ่าเผยช่างเป็นคนมีเมตตายิ่ง อาการป่วยของตนยังรักษาไม่หาย แต่ก็ให้ท่านหมอมาตรวจอาการนายหญิงที่เรือนเราก่อน อีกทั้งยังส่งท่านหมอมาถึงสองท่าน…หมอหลวงหยางกับหมอหลวงหวังล้วนมากันครบ หมอหลวงสองท่านจับชีพจรให้นายหญิงแล้ว บอกว่าเป็นโรคเก่าที่เรื้อรังมาแต่ตอนที่คลอด ขอเพียงไม่ออกแรงให้เหนื่อยจนเกินไป ไม่โมโหเดือดดาล รักษาตัวให้ดีเป็นใช้ได้แล้ว หากให้ดื่มยาทุกวันๆ กลับมิใช่เรื่องดีอะไร หมอหลวงหวังยังเขียนใบเทียบยาให้นายหญิงด้วย บอกว่าต้องทำเป็นยาลูกกลอน กินวันละหนึ่งเม็ด เช่นนี้จะอยู่รอป้อนข้าวให้หลานก็ไม่มีปัญหา นายท่านดีใจยิ่งกว่าอะไรดี ถึงขนาดลั่นวาจาว่าจะตั้งป้ายสรรเสริญให้หมอหลวงทั้งสองเลยเจ้าค่ะ 

คิดไม่ถึงว่าท่านผู้เฒ่าสกุลเผยจะส่งหมอหลวงมาให้ถึงสองคน

 อามิตตาพุทธ!  อวี้ถังอดจะพนมมือแล้วสวดมนต์ออกมาคำหนึ่งไม่ได้ ในใจรู้สึกขอบคุณสกุลเผยอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

ไม่ว่าสกุลเผยจะเป็นเช่นไร แต่ท่านผู้เฒ่าเผยช่วยชีวิตมารดาของนางไว้ ช่วยเหลือสกุลอวี้ของพวกนางไว้ นี่คือเรื่องจริงแท้

อวี้ถังนึกขึ้นได้ว่าอีกไม่กี่วันท่านผู้เฒ่าเผยก็ต้องหมดลม ในใจพลันรู้สึกร้อนรนขึ้นมาทันที

นางต้องส่งสารบอกคนของสกุลเผยหรือไม่ หรือว่าต้องเอ่ยเตือนไว้ล่วงหน้า?

เช่นนี้ ไม่แน่ว่าท่านผู้เฒ่าเผยอาจจะเอาชีวิตรอดจากคราวเคราะห์นี้ไปได้

แต่จะส่งสารหรือเอ่ยเตือนสกุลเผยอย่างไรจึงจะไม่ให้นางถูกกล่าวหาว่าเสียสติ สมองของอวี้ถังตีกันวุ่น เมื่อคิดอะไรไม่ออก ก็ได้แต่ทำตามที่หัวใจเรียกร้อง นางเดินไปทางห้องหนังสือของอวี้เหวิน เห็นว่าอวี้เหวินกำลังยืนส่งหลู่ซิ่นกับหมอหลวงสองท่านอยู่หน้าประตูพอดี

 เรือนเจ้ายังมีคนป่วย ไม่ต้องมากพิธีนักหรอก  ผู้ที่ตัวท้วมหน้าตาใจดีเอ่ยด้วยรอยยิ้มตาหยี  ท่านผู้เฒ่าเผยทางนั้น ยังรอให้พวกข้ากลับไปส่งข่าวน่ะ! 

อีกท่านที่เคราผมขาวโพลนกลับพยักหน้าให้อวี้เหวินด้วยท่าทีเย็นชา เอ่ยว่า  พวกเรามาถึงที่นี่ ก็เพราะเห็นแก่หน้าท่านผู้เฒ่าเผย เจ้าอยากจะขอบคุณ ก็ไปขอบคุณท่านผู้เฒ่าเถอะ 

อวี้เหวินกล่าวตอบด้วยท่าทีนอบน้อมถ่อมตนว่า  สำหรับท่านผู้เฒ่านั้น อย่างไรข้าต้องไปโขกศีรษะคารวะแน่ขอรับ แต่หมอเทวดาอย่างสองท่านข้าก็ต้องขอบพระคุณด้วยเช่นกัน 

แค่พูดจาไม่กี่คำ ท่านหมอที่ผมเคราขาวโพลนผู้นั้นก็เริ่มเผยสีหน้าหมดความอดทน

หลู่ซิ่นรีบตัดบทว่า  ฮุ่ยหลี่ เจ้าอยู่เรือนดูแลน้องสะใภ้เถอะ ข้าจะไปส่งท่านหมอทั้งสองกลับจวนสกุลเผยแทนเจ้าเอง 

อวี้เหวินได้แต่รับปาก แอบยัดเงินก้อนน้อยให้หลู่ซิ่นหลายก้อน ถึงได้ส่งทั้งสามคนออกประตูไป

อวี้ถังรีบปรี่เข้าไปหาทันที ถามบิดาว่า  ท่านแม่มีทางรอดแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ ท่านพ่อไปขอร้องท่านผู้เฒ่าเผยว่าอย่างไรหรือเจ้าคะ? 

อวี้เหวินหัวเราะแล้วตอบว่า  ต้องขอบใจท่านลุงหลู่ของเจ้า เขาพูดจนพ่อบ้านใหญ่ยอมไปแจ้งข่าวแก่ท่านผู้เฒ่าเผย ท่านผู้เฒ่าเป็นคนดีมีเมตตา จึงสั่งให้ท่านหมอทั้งสองมาตรวจอาการให้มารดาเจ้าทันที ข้ายังไม่ทันได้พบหน้าท่านผู้เฒ่าเลยด้วยซ้ำ  พูดถึงตรงนี้ เขาก็ลูบผมที่ดำขลับดั่งขนกาของนาง  บุญคุณครั้งนี้ เจ้าต้องจำใส่ใจไว้ให้ดีล่ะ! 

อวี้ถังส่งเสียงรับทราบ เอ่ยถามถึงอาการป่วยของท่านผู้เฒ่าเผยบ้าง  รู้หรือไม่เจ้าคะว่าไม่สบายที่ตรงไหน? 

อวี้เหวินตอบว่า  ได้ยินว่าเป็นเพราะกลัดกลุ้มเกินไป อาจเพราะคนผมขาวต้องส่งคนผมดำ คงยังทำใจไม่ได้ 

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ชาติก่อนเหตุใดจึงเสียชีวิตเล่า?

คงไม่ใช่เพราะมีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรอีกกระมัง?

อวี้ถังนึกถึงเรื่องแก่งแย่งตำแหน่งผู้นำสกุลที่หลู่ซิ่นเล่าให้ฟังก่อนหน้านี้ขึ้นมาได้ ในใจก็ยิ่งไม่สงบ แต่นางไม่มีสิ่งใดเพื่อไปหยุดยั้งเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในชาติก่อน

นางควรทำเช่นไรดี?

ตอนที่อวี้ถังกำลังหมดอาลัยอยู่นั่นเอง นางพลันพบว่าท่านพ่อทำเหมือนกับชาติที่แล้วไม่มีผิด เขาขายที่นาชั้นดีซึ่งเป็นมรดกจากบรรพบุรุษไปแล้วยี่สิบหมู่

 ท่านจะเอาเงินพวกนี้ไปทำอะไรหรือเจ้าคะ?  เรื่องของท่านผู้เฒ่าเผยยังคิดหาหนทางไม่ออก บิดานางก็ก่อเรื่องอีกแล้ว นางอดจะรู้สึกขุ่นเคืองไม่ได้ จึงพูดออกไปอย่างไม่ค่อยเกรงใจนัก  ข้าพูดกี่รอบต่อกี่รอบแล้ว มิให้ท่านขายที่นาของสกุลตามอำเภอใจมิใช่หรือ? ตอนนี้อาการป่วยของท่านแม่เพิ่งจะพอมีลู่ทาง ร้านค้าของสกุลก็ยังไม่มีรายรับเข้ามา ต่อให้ต้องขายที่นาออกไป ก็ต้องค่อยๆ แบ่งขายเพื่อซื้อยามาให้ท่านแม่กิน! 

ใบเทียบยาที่หยางโต่วซิงเขียนให้มีโสมเป็นองค์ประกอบ นับเดือนสะสมปี สำหรับสกุลอวี้แล้วถือว่าเป็นรายจ่ายก้อนใหญ่เลยทีเดียว

————————————————————-

[1] ผลซิ่ง คือ แอปปริคอท

Related

 

ชาติก่อน อวี้ถังไม่มีความทรงจำใดๆ เกี่ยวกับตอนที่นายท่านสามได้ขึ้นเป็นผู้นำของสกุลเผย สาเหตุหลักก็เพราะนางมารู้ว่านายท่านสามเป็นผู้นำสกุลเผยก็ตอนที่นางแต่งเข้าสกุลหลี่แล้ว แต่ตอนนี้มาคิดๆ ดู นางกลับไม่เข้าใจเลยสักนิด

ต่อให้กิจการของสกุลเผยจะยิ่งใหญ่เพียงใด สำหรับบัณฑิตคนหนึ่ง การรับตำแหน่งผู้นำสกุล หมายถึงต้องเดินออกห่างจากเส้นทางขุนนาง การรั้งตัวอยู่บ้านนอกเพื่อดูแลกิจการของสกุล จะเทียบกับการเข้าเป็นส่วนหนึ่งของราชสำนัก ได้รับจารึกชื่อบนหน้าประวัติศาสตร์ได้อย่างไร?

อีกทั้งสกุลใหญ่อย่างเช่นสกุลเผยนี้ เพื่อให้มั่นใจว่าลูกหลานที่ออกไปรับตำแหน่งยังต่างถิ่นจะไม่ล้มเหลวด้วยเหตุจากกำลังทรัพย์ ทุกๆ ปีจะมีเงินสนับสนุนส่งให้ก้อนหนึ่ง ลูกหลานของสกุลเผยที่เป็นขุนนางต่างแดนสามารถแสดงออกถึงอุดมการณ์อันสูงส่งของตนได้โดยไม่มีข้อจำกัดเรื่องเงินทอง ไม่ต้องกังวลเรื่องปากท้อง นี่คือเหตุผลว่าทำไมหลังจากสกุลหลี่ได้ขึ้นมาเป็นผู้มีอำนาจใหม่ถึงได้พยายามกวาดเงินจากทุกทาง…สกุลหลี่อยากจะเป็นให้ได้อย่างสกุลเผย เป็นสกุลยิ่งใหญ่ที่มีบัณฑิตและขุนนางสืบต่อกันจากรุ่นสู่รุ่น

แน่นอนว่า อวี้ถังเพิ่งรู้เรื่องราวเหล่านี้หลังจากที่แต่งเข้าสกุลหลี่แล้ว

หลู่ซิ่นผู้นี้แม้นิสัยจะไม่ได้ดีเด่ แต่คบเพื่อนเจ้าเล่ห์ไม่ได้ความไว้หลายคน ข่าวสารของเขาฉับไว แม้จะเชื่อไม่ได้ทั้งหมด แต่ใช่ว่าทั้งหมดจะเชื่อไม่ได้ ในเมื่อเขาบอกว่าสกุลเผยกำลังทะเลาะกันเรื่องใครจะขึ้นเป็นผู้นำสกุล เป็นไปไม่ได้ว่าจะไม่มีมูลความจริงเลย อย่างน้อยคนของสกุลเผยก็ต้องมีปากมีเสียงกันเพราะเรื่องนี้

ทว่านายท่านสามสกุลเผยเป็นคนเช่นนั้นหรือ?

อวี้ถังเค้นความทรงจำที่มีต่อนายท่านสามเมื่อชาติก่อน

ลึกลับ เก็บตัว แข็งแกร่งและสูงส่งเหนือผู้คน

เขากอบกุมชะตากรรมสุกลเผยไว้ในกำมือ และควบคุมเมืองหลินอันไว้ทั้งหมด

เหมือนกับเหยี่ยวที่บินวนอยู่บนท้องฟ้า เวลาปกติทุกคนจะไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ของมัน แต่พอเจอกับเรื่องใหญ่โตเข้า ก็จะสัมผัสได้ถึงเงาที่ถูกเขาครอบงำอยู่

ขนาดสกุลหลี่ประจบประแจงสกุลเผยถึงเพียงนั้น นางยังไม่เคยพบหน้านายท่านสามเลยสักหน สกุลหลี่คิดสอดมือเข้าไปแย่งการค้าของสกุลเผยครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ไม่กล้าลงมือจริงจังเสียที

คนเช่นนี้ จะลงไปทะเลาะกับลูกหลานบ้านใหญ่เพื่อตำแหน่งผู้นำตระกูลหรือ?

อวี้ถังฉงนใจนัก

นางอดจะหันไปเอ่ยกับหลู่ซิ่นยิ้มๆ ไม่ได้ว่า  ข่าวสารของท่านลุงหลู่ฉับไวยิ่ง! ในเมื่อการให้นายท่านสามรั้งตัวอยู่เพื่อสืบทอดกิจการเป็นความต้องการของท่านผู้เฒ่า หมื่นเรื่องนั้น กตัญญูคือสิ่งแรก บ้านใหญ่มีอะไรให้โต้แย้งกัน? 

เมื่อก่อนอวี้ถังไม่เคยใส่ใจเรื่องพวกนี้ หลู่ซิ่นได้ยินก็ฉงนในใจ ตื่นตะลึงเล็กน้อย เขาหัวเราะแล้วหันไปเอ่ยกับอวี้เหวินว่า  อาถังโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว มีความคิดเป็นของตัวเองแล้วสินะ! 

ความหมายก็คือ พวกเขาคนโตกำลังสนทนากัน อวี้ถังเป็นสตรีนางหนึ่ง ไม่ควรสอดปากตามอำเภอใจ

น่าเสียดาย อวี้เหวินแต่ไรก็ไม่เคยรู้สึกว่าบุตรสาวของตนเองเป็นคนนอก หากสงสัยก็ถามออกมา มีสิ่งใดไม่ถูกต้องเล่า

เขายิ้มพลันเอ่ยว่า  ก็ใช่น่ะสิ อาถังของพวกเราโตแล้ว รู้ความ รู้จักคิดแทนและดูแลบิดามารดาได้แล้ว  ระหว่างที่พูด เขาก็คิดได้ว่าที่บุตรสาวทำตัวเป็นผู้ใหญ่เช่นนี้ก็เพราะสกุลอวี้กำลังประสบปัญหา ในใจพลันรู้สึกเจ็บปวด สีหน้าก็หม่นแสง ถอนหายใจไปเฮือกหนึ่ง

อวี้ป๋อกลับถูกวาจาของหลู่ซิ่นดึงความสนใจไป

เขาทำมาค้าขายอยู่ด้านนอก รู้จักถึงความยิ่งใหญ่ของสกุลเผย ถึงขนาดพูดได้ว่า ถ้าสกุลเผยทางนั้นมีการเคลื่อนไหวแม้เพียงใบหญ้าปลิว พวกเขาที่ทำมาค้าขายก็ต้องโยกไหวขยับตัวตามไปด้วยเช่นกัน

 เช่นนั้นสกุลเผยจะมีบ้านใหญ่เป็นผู้สืบทอดหรือว่าเป็นนายท่านสามกันแน่เล่า?  เขาใส่ใจปัญหานี้มากกว่า  ท่านหลู่สามารถพูดให้ชัดเจนอีกสักนิดได้หรือไม่ 

หลู่ซิ่นเห็นว่าสองพี่น้องไม่ได้คล้อยตาม ในใจก็ไม่ค่อยสบอารมณ์นัก แต่ก็พูดอะไรมากไม่ได้ เพียงเอ่ยเสียงอู้อี้ตอบไปว่า  ตำแหน่งผู้นำสกุลเผยจะตัดสินใจเลือกอย่างเร่งร้อนได้อย่างไร? แม้ท่านผู้เฒ่าเผยจะเป็นผู้นำสกุล แต่สกุลเผยบัดนี้แตกกอเป็นสามกิ่งก้าน หากส่งต่อให้ลูกชายคนโตของภรรยาเอก ใครก็พูดอะไรไม่ได้ทั้งสิ้น ทว่าท่านผู้เฒ่าเผยกลับข้ามหน้าบ้านใหญ่กับบ้านรองไปเช่นนี้ สองกิ่งก้านนั้นย่อมไม่ยินดีแน่! เรื่องนี้อย่างไรก็ต้องยื้อแย่งกันดู 

เขาพูดจนจบประโยค น้ำเสียงเจือความยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นพบเจอกับหายนะ

อวี้ถังยิ่งรู้สึกรังเกียจคนผู้นี้ยิ่งกว่าเก่า

เมื่อครู่ยังไปเกาะข้าวเขากิน พอหันหลังกลับก็อยากเห็นสกุลเผยเกิดเรื่องจนทนไม่ไหว

นางลอบกลอกตาใส่หลู่ซิ่น

อวี้ป๋อรู้ว่าหลู่ซิ่นเป็นคนพูดจาเช่นนี้แต่ไหนแต่ไร จึงไม่ได้เก็บมาใส่ใจ เพียงเอ่ยอย่างกังวลว่า  ไม่รู้ว่าปัญหาของสกุลเผยจะยุติลงเมื่อไร หากว่าพวกเขาปล่อยทิ้งถนนฉางซิ่งไม่สนใจเช่นนี้… 

ต่อให้สกุลอวี้มีเงินทองมาสร้างร้านค้าใหม่อีกครั้ง แต่ก็ไม่มีปัญญาเปิดกิจการได้อยู่ดี

ใครจะมาเดินหาซื้อข้าวของกลางซากปรักหักพังกันเล่า?

หลู่ซิ่นไม่ใส่ใจเรื่องพวกนี้ เขาพูดพร่ำถึงเรื่องซุบซิบในสกุลเผยไม่หยุดปาก อย่างเช่นว่า นายท่านใหญ่สกุลเผยแต่งกับบุตรสาวคนโตของผู้ทำพิธีบวงสรวงคนปัจจุบันแห่งราชสำนัก บุตรชายสองคนล้วนเป็นต้นอ่อนชั้นดีในการเล่าเรียนเขียนอ่าน ตั้งแต่เล็กก็ติดตามท่านตาศึกษาหาความรู้ อายุเพียงไม่มาก แต่กลับมีวิชาความรู้เป็นเลิศแล้ว

นายท่านรองนิสัยดั่งพระโพธิสัตว์ดินปั้น [1] ไม่ว่าเจอะเจอเรื่องใดล้วนพูดเพียงว่าประเสริฐอยู่คำเดียว เขาแต่งกับบุตรสาวของจวี่เหริน [2] ซึ่งเป็นสหายร่วมเรียนกับท่านผู้เฒ่า มีบุตรสาวและบุตรชายอย่างละหนึ่งคน

นายท่านสามเป็นลูกหลง ตั้งแต่เด็กก็ดื้อซนยิ่งนัก ชอบเล่นปืนผาหน้าไม้ ไม่ชอบเขียนอ่าน อายุได้เจ็ดแปดขวบก็ยังนั่งนิ่งๆ ไม่เป็น มักจะโดดเรียนจากสำนักศึกษาไปดูละครขับร้องไม่ก็การแสดงปาหี่ที่หลีหยวน [3] พอโตขึ้นมาหน่อย ก็รู้จักเข้าบ่อนพนันชนไก่ ก่อเรื่องให้ผู้ดูแลต้องคอยตามหาไปทั่วท้องถนน เป็นคุณชายจอมเสเพลที่ขึ้นชื่อในเมืองหลินอัน นายท่านใหญ่สกุลเผยคิดจะสั่งสอนน้องชายคนสุดท้องผู้นี้สักครั้ง แต่ล้วนถูกท่านผู้เฒ่าเผยห้ามเอาไว้ ตอนนั้นใครๆ ต่างก็พูดว่า ชื่อเสียงนับร้อยปีของสกุลเผยคงต้องจบลงด้วยน้ำมือของนายท่านสามเผยเป็นแน่ ใครจะคาดคิดว่าเขากลับสอบผ่านเป็นจิ้นซื่อได้อย่างราบรื่น? ไม่ต้องพูดถึงคนนอก แค่คนสกุลเผยเองก็ยังแตกตื่นตกใจกันถ้วนหน้า คิดว่านี่ใช่เรื่องเข้าใจผิดกันหรือไม่ ท่านผู้เฒ่าเผยยังลำเอียงจนเกินงาม เมื่อรู้ว่านายท่านสามสอบผ่าน ก็เอาเหรียญอีแปะใส่เต็มตะกร้าไม้ไผ่สานไปโปรยหน้าประตูใหญ่ ประกาศเรื่องงานมงคลให้บุตรชายคนเล็กอย่างใหญ่โตว่า ต้องแต่งกับบุตรีภรรยาเอกจากสกุลขุนนางขั้นสามขึ้นไปเท่านั้น สิ่งที่ร้ายยิ่งกว่านั้นก็คือ เรื่องนี้กลับสมหวังดั่งใจท่านผู้เฒ่าเผยเสียได้ รองมหาเสนาบดีแห่งราชสำนักคนปัจจุบันต้องชะตากับนายท่านสามเผย หากมิใช่เพราะนายท่านใหญ่มาสิ้นไปก่อน งานมงคลนี้คงสำเร็จไปแล้ว…

อวี้ถังฟังอย่างออกรสออกชาติยิ่ง

ชาติก่อนนางไม่เคยได้ยินเรื่องเล่าของนายท่านทั้งสามแห่งสกุลเผยมาก่อน

คนอื่นเมื่อพูดถึงนายท่านสามเผย ทั้งทางตรงทางอ้อมล้วนแฝงถึงความภาคภูมิใจและเป็นเกียรติทำนองว่า ‘ข้ารู้จัก’ หรือไม่ก็ ‘ข้าเคยเจอ’ ‘ข้าเคยดื่มสุราร่วมโต๊ะอาหารกับนายท่านสามมาก่อน’ นางไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าตอนที่นายท่านสามยังเยาว์จะเคยคึกคะนองไม่เป็นโล้เป็นพายเยี่ยงนี้

นางนึกว่านายท่านสามเป็นคุณชายผู้หนักแน่น รู้ความ เพียบพร้อมด้วยมารยาทตั้งแต่เด็กเสียอีก

อวี้เหวินคล้ายว่าไม่เคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับนายท่านสามนี้เช่นกัน พึมพำแต่ว่าไม่น่าเชื่อ

หลู่ซิ่นเอ่ยอย่างไม่เห็นด้วยว่า  แพ้เป็นอ๋อง ชนะเป็นโจร ตอนนี้เขาอายุยังน้อยแต่ได้เป็นถึงเจิ้งกวนแห่งหกกรม ทั้งสกุลเผยมีเจตนาปูทางให้เขา ใครจะสมองตื้นขนาดนั่งวิจารณ์นายท่านสามต่อเล่า ไม่เหมือนเช่นพวกเรานี้ ไร้หลักยึดเหนี่ยว ถูกผู้อื่นเล่นงานเพราะเห็นเป็นแค่ดอกจอกที่ลอยไปลอยมา 

อวี้เหวินรู้ทันว่าเขาจะเริ่มคร่ำครวญอีก รีบร้อนกล่อมเขาว่า  เจ้าก็ยังดีกว่าข้า บิดาข้าเป็นพ่อค้าขายเครื่องลงรัก บิดามารดาเจ้าเป็นถึงซิ่วไฉ เคยเป็นถึงที่ปรึกษาทางการทหารให้ใต้เท้าจั่ว นับว่าเป็นสกุลบัณฑิต 

ใต้เท้าจั่วมีนามว่ากวงจง เป็นจิ้นซื่อสองป้าย ตอนรับตำแหน่งเป็นผู้ตรวจการที่ซูโจวและเจ้อเจียง ก็ขับไล่โจรสลัดไปได้หลายครั้ง สร้างความสงบสุขให้ปวงประชาชาวซูโจวและเจ้อเจียง เขาถูกเลื่อนขั้นให้เป็นเจ้ากรมกลาโหม ภายหลังเมื่อเสียชีวิตก็ได้รับพระราชทานนามเพื่อเป็นเกียรติศักดิ์แด่ผู้วายชนม์ว่าเซียงเม่า เขาเป็นขุนนางที่มีความสามารถ มีชื่อเสียงและได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงในซูโจวและเจ้อเจียง

กระทั่งเด็กสาวที่ไม่เคยสนใจโลกภายนอกอย่างอวี้ถังยังเคยได้ยินชื่อและเรื่องเล่าของใต้เท้าผู้นี้

หลู่ซิ่นเริ่มลำพองใจ ให้มารดาของอวี้ถังยกสุรามา เขาต้องการจะดื่มกับสองพี่น้องสกุลอวี้สักยก หลังจากดื่มไปได้พักใหญ่ก็เริ่มพูดเรื่องบรรพบุรุษของเขาขึ้นมาว่า  …บิดาข้าเคยติดตามใต้เท้าจั่วออกทะเล วาดผังแผนที่ ทั้งยังช่วยใต้เท้าจั่วฝึกฝนทหารเรือ 

อวี้ถังคิดว่าหลู่ซิ่นกำลังคุยโว

อาหารหนึ่งมื้อนั่งทานกันจนพระจันทร์แขวนโด่งบนปลายยอดต้นหลิว อวี้หย่วนประคองหลู่ซิ่นที่เมาโซเซและพูดจาเลอะเลือนไม่หยุดปากเข้าไปพักที่เรือนสกุลอวี้

เช้าวันต่อมา หลู่ซิ่นนอนหลับจนตะวันสายโด่งถึงจะตื่น

สีหน้าเขาขาวซีด ปากก็พ่นกลิ่นเหล้าออกมาพลางเดินหัวหมุนไปทั่วห้องเพื่อหารองเท้า  เวรแล้ว! เวรแล้ว! หลี่ฮุ่ย บ่าวรับใช้ของเจ้าหาจากไหนกัน? เหตุใดเรื่องเล็กน้อยเท่านี้ก็ทำให้ดีไม่ได้ ทั้งๆ ที่รู้ว่าเช้านี้มีขบวนแห่ศพของนายท่านใหญ่เผย ข้ายังต้องไปช่วยจัดการงานพิธีอีก ตอนเช้ากลับไม่มีใครมาปลุกข้า! เจ้าทำข้าเสียเรื่องแล้ว! 

อวี้เหวินในใจรู้สึกผิด ทางหนึ่งก็ช่วยเขาหารองเท้าที่ไม่รู้ถูกโยนไปใต้เตียงตอนไหนจนเจอ ทางหนึ่งก็เอ่ยอย่างลุแก่โทษว่า  ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร สกุลเผยห่างจากเรือนข้าไปนิดเดียว ข้าให้อาเสาพาเจ้าไปทางลัดก็แล้วกัน 

 เร็ว! เร็ว! เร็ว!  หลู่ซิ่นร้องเร่ง น้ำชายังไม่ทันได้ดื่มสักอึก ก็ตามบ่าวรับใช้ของอวี้เหวินที่ชื่อว่าอาเสาออกนอกประตูไปแล้ว

อวี้ถังที่อยู่หลังผ้าม่านเม้มปากหัวเราะ แล้วหมุนกายไปรับอาหารเช้าเป็นเพื่อนมารดา

ท่านป้าสะใภ้ใหญ่กับญาติผู้พี่อวี้หย่วนมาพบอวี้เหวิน

อวี้หย่วนมารับบทสรรเสริญที่อวี้เหวินเขียนทั้งคืนแล้วจากไป ส่วนป้าสะใภ้รั้งตัวอยู่ต่อ

อวี้ถังคิดว่าน่าจะเป็นเพราะเรื่องสินค้าชุดนั้นที่ถูกไฟไหม้ไปพร้อมกับร้าน ถึงได้คอยแอบฟังผ่านลูกกรงหน้าต่าง

ท่านป้าสะใภ้ใหญ่คิดไหว้วานบิดานางไปเกลี้ยกล่อมท่านลุงให้เดินทางไปซื้อเครื่องลงรักที่เจียงซีจริงๆ เสียด้วย

อวี้ถังถึงค่อยวางใจได้บ้าง

หลังจากส่งท่านป้าสะใภ้ใหญ่และรับประทานมื้อเที่ยงเรียบร้อยแล้ว อวี้เหวินก็ออกไปข้างนอก บอกว่าจะไปดูร้านค้า

คนสกุลเฉินรู้แล้วว่าร้านค้าของสกุลถูกไฟไหม้ แต่ไม่รู้ถึงระดับความเสียหายที่เกิดขึ้น นางมาส่งอวี้เหวินหน้าประตูพร้อมกำชับว่า  เงินทองเป็นของนอกกาย เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในเรือนล้วนมีท่านลุงใหญ่เป็นคนจัดการดูแล หากไม่มีท่านลุงใหญ่ กิจการของเราคงไม่อาจอยู่รอดมาได้ มีปัญหาอะไรก็ค่อยๆ พูดจากันนะเจ้าคะ เรือนเรายอมเสียหายมากกว่าหน่อยก็ไม่เป็นไรเลยเจ้าค่ะ 

อวี้เหวินพยักหน้าหงึกหงักอย่างขอไปที ตอนดึกกลับมาก็บอกคนสกุลเฉินกับอวี้ถังว่า  พี่ใหญ่กับอาหย่วนมีเรื่องด่วนต้องเดินทางไปเจียงซีสักหน พวกเราก็เตรียมอาหารแห้งและกับข้าวง่ายๆ ให้พวกเขาพกไปกินระหว่างทางเถอะ 

คนสกุลเฉินยิ้มรับจนตาหยี แล้วพาป้าเฉินไปที่ห้องครัว

อวี้ถังถึงได้ถอนหายใจพรูดอย่างโล่งอก

ปัญหาในเรือนสุดท้ายก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปในทางที่ดี ขอเวลาอีกไม่นานเท่านั้น จะต้องรอดพ้นชะตากรรมเลวร้ายอย่างชาติก่อนไปได้แน่

อวี้ถังไปช่วยงานคนสกุลเฉินที่ห้องครัวด้วยความเบิกบานใจ

หลู่ซิ่นหน้าม่อยคอตกกลับมาเยือนอีกครั้ง

เขาพูดกับอวี้เหวินด้วยสีหน้าบูดบึ้งว่า  ครั้งนี้เจ้าทำข้าลำบากเกือบตาย! เมื่อเช้าตอนที่ข้าไปถึงจวนสกุลเผย คุณชายใหญ่เผยได้ทุ่มกระถางแตกไปแล้ว พ่อบ้านใหญ่สกุลเผยก็ถลึงตาใส่ข้าไม่หยุด ระยำ! มันคิดว่ามันเป็นตัวอะไร? ก็แค่สุนัขตัวหนึ่งที่สกุลเผยเลี้ยงเอาไว้ ถ้าไม่ใช่เห็นแก่หน้าสกุลเผย ใครอยากจะรู้จักมันบ้าง! 

น้อยครั้งที่หลู่ซิ่นจะด่าทอผู้อื่นเสียๆ หายๆ อวี้เหวินตะลึงไปครู่หนึ่ง หลู่ซิ่นก็พูดต่ออีกว่า  ไม่ได้การแล้ว! ข้าอยู่หลินอันต่อไปไม่ได้แล้ว น้ำนิ่งต้องตายในบึง หากข้ายังอยู่ที่นี่ต่อไปก็คงไม่มีอะไรดีขึ้น ข้าจะไปเมืองหลวง บิดาข้ายังพอมีสหายเก่าที่เมืองหลวงอยู่บ้าง  เขาพูดจบก็หมุนตัวไปลากมืออวี้เหวินมาจับไว้  หลี่ฮุ่ย ภาพ ‘ตกปลาใต้ต้นสนริมน้ำ’ ผืนนั้นไม่ใช่ว่าอยู่ที่เจ้าหรือ? วันก่อนเจ้าบอกว่าชื่นชอบนักอยากจะซื้อต่อ เอาอย่างนี้ พวกเรามาซื้อขายกันให้จบ ข้าไม่ขอพูดอะไรมาก สองร้อยตำลึง จ่ายมาสองร้อยตำลึงเจ้าก็เอาภาพนี้ไปได้เลย 

————————————————————-

[1] พระโพธิสัตว์ดินปั้น หมายถึง ต่อให้เป็นคนดีแสนประเสริฐเพียงใด ก็ย่อมมีอารมณ์และเส้นตายที่ไม่อาจก้าวข้าม

[2] จวี่เหริน ผู้ที่ผ่านการสอบคัดเลือกเข้ารับราชการระดับภูมิภาค โดยผู้ที่เข้าสอบรอบนี้ต้องผ่านการสอบซิ่วไฉ ซึ่งก็คือการสอบระดับท้องถิ่นมาก่อน

[3] หลีหยวน หรือสวนลูกแพร์ คำนี้เกิดขึ้นในสมัยราชวงศ์ถัง โดยจักรพรรดิถังเสวียนจงให้บรรดานักดนตรีและนักแสดงมาฝึกร้องรำทำเพลงในบริเวณสวนลูกแพร์ที่สร้างขึ้นโดยเฉพาะ

Related

 

คนสกุลอวี้ล้วนมีรูปโฉมน่ามอง

สันจมูกโด่ง ตาโต ผมสีดำขลับ ผิวพรรณขาวผ่อง หากพูดถึงจุดด้อย ก็คือรูปร่างไม่สูงใหญ่นัก

ตรงตามมาตรฐานของคนทางใต้ทั่วไป

ด้วยเหตุนี้ แม้อวี้ป๋อจะเลยวัยสามสิบมานานแล้ว และเพราะเป็นคนทำมาค้าขายอยู่ตลอด ใบหน้ามักมีรอยยิ้มประดับอยู่สามส่วน มองดูแล้วให้กลิ่นอายของบัณฑิตมากกว่าพ่อค้าเสียอีก

ลูกพี่ลูกน้องของอวี้ถังที่ชื่อว่าอวี้หย่วนยิ่งไม่ต้องพูดถึง นอกจากดวงหน้าจะที่งดงามเรียบร้อยแล้ว กิริยาวาจาล้วนมีความเหนียมอายแฝงอยู่หลายส่วน เห็นแล้วนึกถึงคุณชายน้อยผู้สุภาพเรียบร้อยข้างๆ บ้าน มองแล้วให้ความรู้สึกน่าเข้าใกล้

แต่อวี้ถังรู้ดีว่า ลูกพี่ลูกน้องของนางคนนี้มีความคิดเป็นของตนเอง ชาติก่อน หากมิใช่มีเขาคอยค้ำจุน ต่อให้มีเงินห้าพันตำลึงมาอยู่ในมือ ท่านลุงใหญ่ของนางก็อาจจะซื้อสมบัติตกทอดที่ถูกขายออกไปกลับมาทีละชิ้นๆ ไม่ได้

อวี้ถังรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณของลูกพี่ลูกน้องผู้นี้นัก

ตอนที่บิดากับท่านลุงใหญ่กำลังสนทนากัน นางก็ใช้น้ำชาแทนสุรา ยกขึ้นคารวะอวี้หย่วนอย่างเงียบๆ

อวี้หย่วนมึนงงในทันที

น้องสาวของเขาคนนี้ถูกท่านอาและน้าสะใภ้ตามใจจนเคยตัว แม้จะถึงวัยปักปิ่นแล้ว แต่ยังนิสัยเหมือนเด็กๆ อยู่ นอกจากหาของกินดื่มอร่อยๆ แล้ว เรื่องในสกุลไม่เคยสนใจ เรื่องคบค้าสมาคมด้านนอกก็ไม่เคยข้องเกี่ยว

อวี้หย่วนลดเสียงถามอวี้ถังว่า  เจ้ามีเรื่องอะไรจะให้ข้าไปทำใช่หรือไม่? 

หรือไม่นางก็คงไปก่อเรื่องอะไรมา จำเป็นต้องให้เขาพูดชมนางสักหลายคำต่อหน้าท่านอาและน้าสะใภ้

อวี้ถังถูกทำให้โง่งมไปครู่หนึ่ง

ที่แท้เมื่อชาติก่อน ในสายตาของญาติผู้พี่นางเป็นคนเช่นนี้เองหรือ?

นางอดจะพิจารณาตัวเองใหม่อีกครั้งไม่ได้

อวี้หย่วนเห็นท่าทางเช่นนั้นของนางก็เข้าใจผิดคิดว่าตนเองเดาถูก จึงอดจะปลอบใจนางเสียงเบาไม่ได้  เจ้าอย่าเพิ่งร้อนใจ มีเรื่องอะไรค่อยๆ เล่าให้ข้าฟังก็ได้ ถ้าเร่งด่วนนัก ข้าจะช่วยเจ้าเดี๋ยวนี้ แต่ถ้าไม่ด่วน เจ้าก็รอข้าสักสองวันเถอะ…สองวันนี้ข้าต้องช่วยท่านพ่อสะสางเรื่องร้านค้า ถ้าจัดการเรียบร้อยแล้วสองวันต่อจากนี้จะไปช่วยเจ้านะ 

อวี้ถังหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก

พอไตร่ตรองดูอย่างละเอียด ชาติก่อนนางก็มีเรื่องไม่น้อยที่ต้องรบกวนญาติผู้พี่คนนี้อยู่จริงๆ

นางหันไปส่งยิ้มหวานให้อวี้หย่วน แล้วยกถ้วยชาคารวะเขาจากที่ไกลๆ  ข้าเห็นว่าท่านพี่เหนื่อยมาหลายวันแล้ว ถึงได้คารวะสุราเจ้า 

 จริงรึ?!  อวี้หย่วนยังแคลงใจอยู่

อวี้ถังทำปากยื่น คล้ายอยากจะพูดบางอย่าง ทว่าท่านลุงใหญ่ที่นั่งอยู่หัวโต๊ะพลันพูดเสียงดังขึ้นมาก่อนว่า  เรื่องนี้ข้าไม่เห็นด้วย! หากท่านพ่อท่านแม่ที่อยู่ในปรโลกรับรู้ ก็ไม่มีวันเห็นด้วยเด็ดขาด 

ภายในห้องพลันเงียบกริบเพราะประโยคนั้นของเขา

อวี้หย่วนกับอวี้ถังก็กระเด้งตัวนั่งหลังตรงทันที

คนสกุลเฉินดึงชายแขนเสื้อของอวี้เหวิน เอ่ยเสียงเบาว่า  ท่านพี่ ข้าเองก็ไม่เห็นด้วย 

อวี้เหวินมองหน้าภรรยาแล้วถอนหายใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง พอจะเปิดปากพูด กลับถูกป้าสะใภ้ใหญ่ตัดบทว่า  น้องสามี พวกเราต่างรู้ว่าเจ้าร้อนใจ แต่ว่าการรีบร้อนก็ไม่อาจแก้ไขปัญหาได้ เจ้าก็พูดเองนี่ว่าหมอหลวงหวังเชี่ยวชาญตรวจรักษาเด็กเล็ก อาจจะสั่งยาได้ไม่ตรงโรค รักษาน้องสะใภ้ไม่หายสักทีเดียว เมืองหลวงทางนั้นพวกเราก็ไม่รู้จักลู่ทาง ประตูสำนักหมอหลวงเปิดไปทางใดก็ไม่อาจรู้ เจ้าก็จะบุ่มบ่ามพาน้องสาวไปแล้วหรือ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าจะหาหมอที่เหมาะสมเจอหรือไม่ แค่ร่างกายของน้องสะใภ้เอง เกรงว่าจะรับความทรมานขนาดนั้นไม่ไหวหรอก! 

ตอนที่ท่านปู่ของอวี้ถังยังมีชีวิตอยู่ก็ยกย่องสะใภ้ใหญ่ของตนผู้นี้มาก คำพูดคำจาของคนสกุลหวังจึงค่อนข้างมีน้ำหนักอยู่พอตัว

อวี้เหวินหันไปมองคนสกุลหวังอย่างทำอะไรไม่ถูก  เช่นนั้น เช่นนั้นจะทำอย่างไร? ข้าไม่อาจทนมองให้มารดาของลูกผ่ายผอมลงไปทุกวันๆ เช่นนี้ได้หรอก!  พูดไป ดวงตาของเขาก็แดงเรื่อ

คนสกุลเฉินรีบร้อนอธิบายว่า  ท่านพี่ ข้าเป็นเช่นนี้เพราะอากาศร้อน ไม่ใช่เพราะอาการเจ็บป่วยทรุดหนัก ข้ารู้ว่าท่านเป็นห่วงข้า แต่ที่ท่านลุงกับพี่สะใภ้พูดก็มีเหตุผล ต่อให้จะไปหาหมอที่เมืองหลวง ก็ต้องหาคนไปช่วยสืบข่าวเสียก่อน รอให้ร่างกายของข้าดีขึ้นหน่อยค่อยว่ากันใหม่เถอะเจ้าค่ะ 

อวี้เหวินชั่วขณะหนึ่งพลันรู้สึกสลดใจนัก

คนสกุลหวังหันไปส่งสายตาให้สามี จนใจที่อวี้ป๋อยังรู้สึกโมโหน้องชายอยู่จึงกล่าวว่า  เจ้าโตจนเป็นพ่อคนแล้ว ยังจะให้ข้าพูดอะไรอีก… 

นี่เป็นประโยคเปิดทุกครั้งที่เขาจะใช้เวลาอบรมสั่งสอนอวี้เหวิน คนในสกุลล้วนรู้กันดี อวี้หย่วนกลัวว่าบิดากับท่านอาจะทะเลาะกัน จึงเปิดปากตัดบทอวี้ป๋อโดยไม่สนใจสิ่งใดว่า  ท่านพ่อ มีเรื่องหนึ่งที่ท่านต้องหารือกับท่านอาขอรับ 

อวี้ป๋อชะงักบทสนทนาไว้เท่านั้น ส่วนสายตาของอวี้เหวินก็จับจ้องอยู่ที่ร่างของอวี้หย่วน

อวี้หย่วนเล่าว่า  ข้าได้ยินมาว่า ศพของนายท่านใหญ่สกุลเผยจะมีพิธีแห่ในวันพรุ่งนี้ พวกเราต้องไปดักเคารพศพกลางทางหรือไม่ขอรับ ไม่ว่าอย่างไร แต่ก่อนตอนที่ค้าขายอยู่บนถนนฉางซิ่ง สกุลเผยก็ให้การดูแลสกุลเราอยู่ไม่น้อย 

กิจการบนถนนฉางซิ่งแปดถึงเก้าในสิบส่วนล้วนเป็นของสกุลเผย พวกมือปราบของศาลาว่าการไม่เพียงไม่กล้ามาอวดเบ่งบนถนนฉางซิ่ง ซ้ำยังต้องคอยเดินลาดตระเวนบ่อยๆ พวกเขาที่มีกิจการค้าขายบนถนนฉางซิ่งก็ได้อาศัยบารมีนี้ไปด้วย ไม่เพียงอยู่กันอย่างสงบ ทั้งยังไม่เคยมีเหตุการณ์ข่มขู่หรือขูดรีดใดๆ

 สมควรต้องไปดักคารวะศพกลางทาง  อวี้ป๋อพยักหน้าหลายครั้ง เอ่ยกับอวี้เหวินว่า  เจ้าเขียนบทสรรเสริญมาสักบทสิ เจ้าเป็นซิ่วไฉ เรื่องแค่นี้สำหรับเจ้าคงลงมือเขียนเสร็จได้ทันทีกระมัง?

อวี้เหวินรับคำ ตอบว่า  ข้าจะเขียนให้เสร็จคืนนี้ พรุ่งนี้จะให้คนนำไปส่งที่จวนสกุลเผย 

อวี้ป๋อหยุดคิดเล็กน้อย  ให้อาหย่วนนำไปส่งเถอะ ถนนฉางซิ่งถูกไฟไหม้ สกุลเผยไม่มีทางนั่งมองทิ้งพื้นที่ให้ว่างเปล่าต่อไปเช่นนี้แน่ ให้อาหย่วนไปมาหาสู่กับสกุลเผยสักหลายครั้ง พวกพ่อบ้านกับผู้ดูแลของสกุลเผยจะได้คุ้นหน้าคุ้นตาเขาบ้าง ต่อไปหากมีเรื่องอะไรก็จะได้มีลู่ทางให้พูดคุยได้ 

อวี้เหวินพยักหน้ารับ ซวงเถาพลันวิ่งเข้ามารายงานว่า  ท่านหลู่มาถึงแล้วเจ้าค่ะ! 

ชื่อท่านหลู่ที่ถูกเรียกในสกุลอวี้ ทั้งมาถึงในเวลารับประทานอาหารเช่นนี้ มีเพียงหลู่ซิ่นคนเดียวเท่านั้น

อวี้ถังขมวดคิ้วมุ่น

อวี้เหวินออกไปรับคนเข้ามาด้วยตนเอง

 พี่ใหญ่! พี่สะใภ้! น้องสะใภ้!  หลู่ซิ่นอาศัยความสัมพันธ์อันสนิทชิดเชื้อราวครอบครัวเดียวกันถามไถ่สารทุกข์สุกดิบของทุกคนที่นั่งอยู่ เขาเอ่ยต่อด้วยรอยยิ้มว่า  อาหย่วนกับอาถังก็อยู่ด้วยรึ! ดูท่าวันนี้จะพร้อมหน้าพร้อมตาเป็นครอบครัวสุขสันต์สินะ! 

ทุกคนต่างลุกขึ้นเพื่อต้อนรับหลู่ซิ่นอย่างมีมารยาท

คนสกุลเฉินสั่งให้ซวงเถาไปจัดเตรียมถ้วยชามมาให้หลู่ซิ่นเพิ่มอีกชุดหนึ่งอย่างกระตือรือร้น  ก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่าท่านจะมา จึงไม่ได้เตรียมอาหารสุราดีๆ ไว้ให้ ท่านก็ทานพอกล้อมแกล้มไปก่อน เดี๋ยวข้าให้คนไปผัดกับข้าวเพิ่มสักหลายจาน ท่านดื่มสุรากับลุงใหญ่และอวี้หย่วนไปพลางๆ ก่อนนะเจ้าคะ 

หลู่ซิ่นเช็ดปากที่มันแผลบไปด้วยน้ำมัน หัวเราะพลางเอ่ยว่า  น้องสะใภ้เกรงใจไปแล้ว ข้าทานข้าวเสร็จแล้วถึงได้มาที่นี่ 

อวี้ถังเลิกคิ้วมอง

หลู่ซิ่นเป็นซิ่วไฉเช่นเดียวกันกับบิดาของนาง แต่เพราะบิดาของนางไม่ต้องการจึงได้เลิกเรียน ทว่าหลู่ซิ่นด้วยฐานะทางบ้านยากจน ไม่มีเงินจะส่งเรียนต่อได้ เช่นนี้บิดาของนางจึงเชื่อว่าหลู่ซิ่นเป็นแค่ปลาที่ถูกซัดมาเกยตื้น จำต้องตกยากเพียงชั่วครู่ชั่วคราว อย่างไรก็ต้องมีชื่อติดบนป้ายประกาศทองจนได้ เขาไม่เพียงชวนหลู่ซิ่นมาเกาะข้าวบ้านผู้อื่นกินบ่อยๆ ซ้ำยังช่วยเหลือหลู่ซิ่นด้านเงินทองอยู่หลายครั้ง

ชาติก่อน อวี้ถังไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องใหญ่โตอะไร

ต่อให้หลู่ซิ่นกับบิดาจะเป็นเพื่อนสนิทกินดื่มกัน แต่นั่นก็นับเป็นสหาย ทำให้บิดาเบิกบานใจได้เช่นกัน

แต่นับจากที่รู้ว่าข่าวเรื่องหวังไป๋ออกมาจากปากหลู่ซิ่น นางก็ไม่ค่อยจะปลาบปลื้มเขาเสียเท่าไร

นางสังเกตเห็นว่าชุดคลุมตัวยาวตัดจากผ้าไหมหังโจวสีเขียวนกแก้วของเขามีคราบน้ำมันเลอะอยู่หลายจุด จึงแสร้งถามอย่างไร้เดียงสาทว่าคมกริบไปว่า  ท่านลุงหลู่ไปกินข้าวที่ไหนมาหรือเจ้าคะ? วันนี้บ้านเราทำขาหมูพะโล้ด้วย ป้าเฉินบอกว่า ท่านชอบกินจานนี้ที่สุด ครั้งก่อนที่ท่านมาบ้าน ก็กินขาหมูพะโล้ทั้งจานจนหมดเกลี้ยงเลย 

ดวงหน้าของหลู่ซิ่นขึ้นสีแดง รีบร้อนกล่าวว่า  ข้าไปทานที่จวนสกุลเผยมาน่ะ นายท่านใหญ่เผยมิใช่ป่วยตายหรอกรึ? นายท่านรองกับนายท่านสามล้วนกลับมาหมด ในจวนมีแขกเหรื่อมากมาย คนมีหน้ามีตามีชื่อเสียงทั้งนั้น สกุลเผยกลัวว่าพ่อบ้านจะดูแลไม่ทั่วถึง จึงเชิญให้ข้ากับสหายสองสามคนไปช่วยต้อนรับเป็นพิเศษ 

อวี้ถังลอบเบะปากใส่

ต้อนรับแขกอะไรกัน ไปหลอกกินหลอกดื่มของจวนสกุลเผยสิไม่ว่า!

อวี้เหวินกลับไม่เคลือบแคลงเลยสักนิด สั่งให้ซวงเถาไปชงชาให้หลู่ซิ่น แล้วเชิญเขาให้นั่งร่วมวง  เช่นนั้นก็เชิญทานอีกสักหน่อยเถอะ 

หลู่ซิ่นแต่ไหนแต่ไรก็เห็นสกุลอวี้เป็นเหมือนครอบครัวตนเอง หาได้บอกปัดตามมารยาท แล้วเข้าร่วมโต๊ะทันที

อวี้เหวินพูดขึ้นว่า  นายท่านสามกลับมาไม่นับว่าแปลกอันใด นายท่านสองก็กลับมาด้วยหรือ? 

นายท่านทั้งสามคนของสกุลเผย นายท่านใหญ่กับนายท่านรองอายุเท่ากัน ครานั้นสอบได้ตำแหน่งซู่จี๋ซื่อ [1] พร้อมกันด้วยมิต้องการตกเป็นขี้ปากชาวบ้าน สองพี่น้องจึงมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะได้อยู่เมืองหลวง นายท่านรองเสนอตัวออกมา ไปรับหน้าที่นายอำเภอฮั่นหยางแห่งจังหวัดอู่ชัง บัดนี้มีตำแหน่งเป็นท่านข้าหลวงแห่งจังหวัดอู่ชังแล้ว ส่วนนายท่านสาม ปีที่แล้วที่มีการจัดสอบก็สามารถสอบผ่านเป็นซู่จี๋ซื่อได้ ปัจจุบันเป็นเจิ้งกวน [2] อยู่ที่กรมอาญา

นายท่านใหญ่เสียชีวิต นายท่านสามที่อยู่เมืองหลวงจะติดตามกลับมาด้วยย่อมเป็นเรื่องปกติ นายท่านรองถึงขั้นเดินทางกลับมาจากจังหวัดอู่ชัง จะทำเรื่องลาสักครั้งมิใช่เรื่องง่าย

 ก็ใช่น่ะสิ!  หลู่ซิ่นเล่าต่อว่า  ไม่อย่างนั้นนายท่านรองจะได้ชื่อว่าเป็นคนซื่อสัตย์ มือสะอาด และกตัญญูได้อย่างไร! ข้าคิดว่าการมาร่วมงานศพของนายท่านใหญ่เป็นเพียงส่วนหนึ่ง สาเหตุหลักน่าจะเพราะได้ข่าวว่าท่านผู้เฒ่าล้มป่วยถึงได้กลับมาดูแล  พูดถึงตรงนี้ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นตื่นเต้นเกินจริงแล้วเรียกชื่ออวี้เหวินเสียงต่ำว่า  ฮุ่ยหลี่ ข้าได้ยินมาว่า นายท่านรองเห็นอาการของท่านผู้เฒ่า ก็ใช้ชื่อของตนส่งคนไปเมืองซูโจวทันที… 

ดวงตาของอวี้เหวินสว่างวาบ ถามว่า  เจ้าจะบอกว่า? 

หลู่ซิ่นหัวเราะหึๆ อย่างมีเลศนัย  ข้าไปสืบข่าวมาให้เจ้าชัดเจนแล้ว หยางโต่วซิงจะมาถึงหลินอันพรุ่งนี้ค่ำ เจ้าต้องรักษาโอกาสนี้ไว้ให้ดี 

 ประเสริฐยิ่ง!  อวี้เหวินแทบอยากจะลุกออกไปทันที ภายหลังสีหน้ากลับเปลี่ยนเป็นหม่นหมอง  ครั้งก่อนพวกเราไปตามหาหมอหลวงหยาง ลูกศิษย์ของเขามิใช่บอกว่าเส้นเอ็นที่มือทั้งสองข้างของเขาบาดเจ็บ จนรักษาอาการป่วยไม่ได้แล้วหรือ? 

หลู่ซิ่นกลับไม่คิดเช่นนั้น  เช่นนั้นก็รอดูว่าพรุ่งนี้เขาจะมาที่หลินอันจริงหรือไม่! 

ความหมายก็คือ หากว่าคนมาจริง เรื่องที่สองมือเส้นเอ็นบาดเจ็บก็เป็นเพียงข้ออ้างเพื่อบ่ายเบี่ยงเท่านั้น

อวี้เหวินกล่าวอย่างทุกข์ใจว่า  ในเมื่อเป็นข้ออ้างเพื่อบ่ายเบี่ยง ต่อให้เขามาถึงหลินอัน ก็ไม่แน่ว่าจะรับปากรักษาอาการของนางให้ 

 เหตุใดเจ้าถึงซื่อบื้อเช่นนี้!  หลู่ซิ่นเริ่มหมดความอดทน  ตอนที่อยู่เมืองซูโจวเป็นเพราะเราอับจนหนทาง แต่ที่นี่คือหลินอัน พวกเราก็ไปขอร้องสกุลเผยสิ คนบ้านเดียวกันแท้ๆ สกุลเผยจะไม่ช่วยพูดสักสองประโยคเลยหรือ? 

อวี้เหวินพยักหน้าหงึกหงัก เริ่มมองเห็นถึงความหวัง

อวี้ถังถือเสียว่าฟังเรื่องไร้สาระเรื่องหนึ่ง

ชาติก่อน นางไม่รู้ว่าหยางโต่วซิงมาที่หลินอันหรือไม่ และไม่รู้ว่าหลู่ซิ่นได้บอกข่าวนี้กับบิดาของนางหรือเปล่า ผลลัพธ์ก็คือ ไม่กี่วันหลังจากที่นายท่านใหญ่สกุลเผยเสียชีวิต ท่านผู้เฒ่าก็ล้มป่วยและจากไปเช่นกัน นายท่านรองกับนายท่านสามกลับมาเพื่อไว้ทุกข์ จากนั้นบิดาของนางก็พามารดาเดินทางไปรักษาตัวที่เขาผู่ถัว

เห็นชัดเจนว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น หยางโต่วซิงไม่มีประโยชน์อันใดต่ออาการป่วยของมารดานางเลย

อวี้ป๋อกลัวว่าอวดฉลาดเกินไปจะกลายเป็นก่อเรื่อง จึงกล่าวด้วยนิสัย  ข้ารู้จักพ่อบ้านใหญ่ของสกุลเผย มิสู้ให้อาหย่วนไปลองถามไถ่ดูก่อน! 

 อย่าเลยดีกว่า!  หลู่ซิ่นคัดค้าน  ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติ พวกเจ้าจะไปถามถึงหน้าประตูก็ไม่มีปัญหา แต่ว่าตอนนี้  เขาพูดทิ้งไว้แค่นั้น หันมองซ้ายทีขวาที ก่อนจะเอ่ยเสียงเบาทำทีมีลับลมคมในว่า  ข้าได้ยินมาว่า ท่านผู้เฒ่าต้องการให้นายท่านสามรั้งตัวอยู่เพื่อดูแลกิจการของสกุล ครอบครัวของนายท่านใหญ่ไม่เห็นด้วย ทุกคนกำลังทะเลาะกันอยู่! 

 ฮะ!  ทุกคนสูดลมหายใจเย็นเยือกเข้าลึกพร้อมกันโดยไม่นัดหมาย

บรรพบุรุษสกุลเผยกลัวว่าลูกหลานจะไม่ได้ความ ผลาญสมบัติที่ตกทอดจนสกุลล่มจม พาลสร้างความลำบากให้เหล่าลูกหลานไม่มีเงินทองร่ำเรียน มีเมล็ดพันธุ์ผู้รู้หนังสือแต่กลับไม่อาจก่อร่างสร้างตัว จึงได้ออกกฎว่าหากใครเป็นผู้นำสกุล ผู้นั้นจะได้ครอบครองสี่ในห้าส่วนของมรดกทั้งหมด

นั่นหาใช่จำนวนที่น้อยๆ เลย

แน่นอนว่า กิจการทั้งหลายหาใช่มอบให้ผู้นำสกุลนำไปเสวยสุขเพียงอย่างเดียว ในฐานะผู้นำของสกุลเผย มีภาระและหน้าที่ใช้ทรัพย์ของสกุลช่วยเหลือคนในสกุลที่ฐานะยากจนข้นแค้นและต้องการจะเล่าเรียนเขียนอ่าน ดำรงไว้ซึ่งความรุ่งเรืองก้าวหน้าของบัณฑิตในสกุล เพื่อให้มั่นใจว่ากิจการของสกุลเผยจะถูกส่งมอบต่อๆ ไปจากรุ่นสู่รุ่น

สิ่งนี้ทำให้อวี้ถังคิดถึงอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้

ชาติก่อน ผู้นำของสกุลเผยก็คือนายท่านสาม ‘เผยเยี่ยน’ นั่นเอง

————————————————————-

[1] ซู่จี๋ซื่อ เป็นตำแหน่งระยะสั้น เลือกจากผู้ที่สอบได้เป็นจิ้นซื่อ ให้ฝึกปฏิบัติงานก่อนมอบตำแหน่งอย่างเป็นทางการให้

[2] เจิ้งกวน หมายถึง ผู้ที่สอบผ่านเป็นจิ้นซื่อแล้วจะไม่ได้รับราชการในทันที แต่จะถูกส่งไปเรียนรู้งานราชการทั้งหกกรมที่ศาลาว่าการเสียก่อน

Related

 

ห้องหนังสือของอวี้เหวินถูกจัดให้อยู่ในเรือนข้างฝั่งทิศตะวันตกของเรือน เป็นห้องใหญ่ขนาดกว้างขวางห้องหนึ่ง ผนังสี่ด้านมีหนังสือกองสุม โต๊ะหนังสือหลังใหญ่ตั้งอยู่กลางห้อง ข้างโต๊ะมีอ่างลายครามวางอยู่หลายใบ ในอ่างม้วนภาพวาดสูงๆ ต่ำๆ เสียบอยู่ บนโต๊ะหนังสือมีอ่างปลาหลากสีใบเล็กตั้งอยู่ เลี้ยงปลาทองสีแดงกับสีดำเอาไว้อย่างละตัว

อวี้ถังดันหลังบิดาเข้าไปในห้องหนังสือ แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะมาทวงหยกแท่งก้อนนั้น นางต้องการหารือกับอวี้เหวินถึงอาการป่วยของมารดา

ก่อนที่บิดาจะกลับมา นางได้ขบคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว ชาติก่อนที่ครอบครัวนางต้องบ้านแตกสาแหรกขาด ดูคล้ายว่ามีต้นเหตุมาจากเหตุการณ์ไฟไหม้ที่ถนนฉางซิ่ง ตามจริงแล้วเป็นเพราะอาการป่วยที่รักษาไม่หายขาดของมารดาต่างหากที่เป็นจุดเริ่มต้น

หากนางต้องการเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของชาติก่อน จำต้องลงมือจากเรื่องการเจ็บป่วยของมารดา

มีเพียงรักษาอาการป่วยของมารดาให้หายขาด บิดาของนางจะได้เลิกร้อนใจวิ่งเสาะหาหมอไปทั่วสารทิศ เลิกเชื่อคำคนเป็นจริงเป็นจังเพียงเพราะได้ข่าวลือเบาๆ เพียงเสียงลมพัด แล้วพามารดาเดินทางไปรักษาตัวทุกที่ ส่วนเรื่องทรัพย์สมบัติ หากจะหมดก็ให้หมดสิ้นไป รักษาคนไว้ได้ถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุด

 ท่านพ่อ ท่านมิใช่ไปหาหมอหลวงหยางที่เมืองซูโจวหรือเจ้าคะ?  อวี้ถังจับกระถางไผ่ใบเกล็ดที่ตั้งอยู่บนชั้นหนังสือเล่น  ท่านหมอหลวงหยางว่าอย่างไรเจ้าคะ? อาการป่วยของท่านแม่เขารักษาได้หรือไม่? 

อวี้เหวินยังเห็นอวี้ถังเป็นเพียงเด็กน้อย ตอบว่า  นี่เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ เจ้าไม่ต้องยุ่ง เจ้ารับผิดชอบอยู่เป็นเพื่อนมารดาของเจ้าให้ดีก็พอแล้ว อาการป่วยของมารดาเจ้า มีข้าอยู่แล้วนี่ไง! 

อวี้ถังเอื้อมมือไปเด็ดไผ่ใบเกล็ดออกมากิ่งหนึ่ง แล้วแกล้งแหย่ปลาที่ว่ายวนอยู่ในอ่างเล่น  ท่านพ่อเลิกมองข้าเป็นเด็กเล็กๆ ได้แล้ว เรื่องที่ถนนฉางซิ่งไฟไหม้ข้ารู้ตั้งแต่แรกแล้วเจ้าค่ะ ตอนนั้นข้ายังไปดูความวุ่นวายด้วยอยู่เลย และข้าก็ยังช่วยป้าสะใภ้ปิดบังเรื่องนี้จากท่านแม่ จนถึงวันนี้กระทั่งข่าวลือเล็กๆ ก็ไม่มีกระเด็นเข้าหู แม้แต่ป้าสะใภ้ยังเอ่ยชมข้าเลยนะเจ้าคะ 

อวี้เหวินประหลาดใจยิ่ง มองดูบุตรสาวก่อกวนปลาทองสองตัวในอ่างจนว่ายน้ำวุ่นวายไปหมด เขาหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่  เจ้าดูสภาพเจ้าสิ แหย่แมวไล่สุนัขไปวันๆ มีตรงไหนเหมือนเด็กสาวที่โตแล้วบ้าง? ข้าจะมองเจ้าว่าโตเป็นผู้ใหญ่แล้วได้อย่างไร? 

ตลอดเจ็ดปีที่อยู่ในสกุลหลี่ช่างขมขื่นนัก หากนางไม่มองหาความสำราญท่ามกลางความทุกข์ระทม เกรงว่านางคงไม่อาจมีชีวิตรอดมาถึงทุกวันนี้

อวี้ถังแกล้งเอ่ยอย่างขุ่นเคือง  แล้วมันเกี่ยวกับเรื่องโตเป็นผู้ใหญ่หรือเจ้าคะ? ท่านก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่ก็ยังตะกละกินขนมแห้วของร้านทิวนอกเขาอยู่มิใช่หรือ 

อวี้เหวินกระแอมเสียงสองทีอย่างเคอะเขิน แล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนา  ช่วงนี้อาการของมารดาเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? นางชอบปิดบังข้า ข้าไม่เคยรู้ความจริงเสียที! 

อวี้ถังรอประโยคนี้ของบิดาอยู่พอดี นางรีบกล่าว  ท่านไม่บอกความลับของท่าน ข้าก็ไม่อยากบอกความลับของข้าให้ท่านฟังเช่นกัน 

 ไอหยา! เจ้าตัวกลมของเรารู้จักต่อรองเสียแล้วสิ  อวี้เหวินกระเซ้าบุตรสาว เขาช้อนตาขึ้นมองสีหน้าจริงจังของนาง ในใจพลันเกิดความรู้สึกไม่คุ้นเคยขึ้นมาระลอกหนึ่ง คล้ายว่าเวลาเพียงชั่วพริบตา บุตรสาวของเขาก็เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ไม่เพียงรู้ความ แต่ยังรู้จักห่วงใย ใส่ใจ และเข้าอกเข้าใจผู้เป็นบิดามารดา

สิ่งนี้ทำให้เขาทั้งทอดถอนใจและภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง

ผู้อื่นล้วนบอกว่าเขาตามใจบุตรสาวเกินพอดี ทว่าบุตรสาวของเขาหาได้ถูกตามใจจนเสียนิสัยสักนิดไม่

ทั้งยิ่งกตัญญูรู้คุณขึ้นทุกวัน

อวี้เหวินจึงเคารพความต้องการของบุตรสาว

ตัดสินใจมอบหยกแท่งที่บุตรสาวปรารถนาก้อนนั้นให้นางไปเล่นเสีย

ทางหนึ่งเขาก็รื้อกล่องหาหยกแท่ง ทางหนึ่งก็เอ่ยว่า  ข้าไม่ได้พบหมอหลวงหยางหรอก ลูกศิษย์ของเขาบอกว่า หมอหลวงหยางนั้นได้รับบาดเจ็บตรงเส้นเอ็นที่มือสองข้างจึงไม่อาจรักษาใครได้อีก ถึงได้ลาออกมาจากสำนักหมอหลวง แล้วข้าจะดึงดันพบเขาให้ได้ได้อย่างไร 

อวี้ถังชะงักไปเล็กน้อย

ชาติก่อน หลังจากหมอหลวงหยางเดินทางกลับบ้านเก่าก็ไม่ได้รักษาโรคอีก นางนึกว่าหมอหลวงหยางชราภาพร่างกายทรุดโทรม คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเพราะสาเหตุนี้

นางเอ่ยต่อว่า  ท่านพ่อ อาการป่วยของท่านแม่ ใช่ว่าต้องขอความช่วยเหลือจากท่านหมอหลวงหยางเท่านั้นหรือ? 

ถ้าท่านพ่อคิดจะพาท่านแม่เดินทางไปเขาผู่ถัว ไม่ว่าอย่างไรนางจะต้องขัดขวางให้จงได้

อวี้เหวินหาหยกแท่งก้อนนั้นเจอในที่สุด ก่อนจะตัดสินใจค้นหากล่องที่เหมาะสมสักใบมาใส่หยกแท่งให้นาง

เขาเริ่มรื้อตู้และคว่ำกล่องอีกครั้ง  ลุงหลู่ของเจ้าเป็นคนแนะนำหมอหลวงหยางให้ข้า บอกว่าหมอหลวงหยางแต่ก่อนอยู่ในวังหลวงก็เชี่ยวชาญเรื่องโรคของสตรี ตอนที่พระพันปีตั้งพระครรภ์ฮ่องเต้ก็มีหมอหลวงหยางคอยให้การดูแล โรคเก่าของมารดาเจ้าเหลือทิ้งไว้หลังจากที่คลอดเจ้าออกมา แน่นอนว่าไปหาหมอหลวงหยางย่อมจะดีที่สุด 

ลุงหลู่มีชื่อว่าหลู่ซิ่น อายุรุ่นราวคราวเดียวกับบิดาของนาง สองคนคบหาสนิทสนมกัน เขาก็คือคนที่ขายภาพ ‘ตกปลาใต้ต้นสนริมน้ำ’ ให้กับบิดาของนาง เขายังเคยกล่อมให้บิดานางแต่งตำรากลอนขาย หลอกล่อให้บิดาควักเงินก้อนใหญ่ ผลสุดท้ายได้ตำรากลอนที่กลอนมากกว่าครึ่งเล่มเป็นของเขา ไม่มีผู้ใดจดจำบิดาของนางผู้ซึ่งเป็นคนออกทุนได้ ทว่ากลอนของหลู่ซิ่นกลับค่อยๆ ถูกเผยแพร่ออกไปด้วยเหตุฉะนี้เอง

อวี้ถังถึงได้ไม่ชอบคนผู้นี้ จึงบอกว่า  ไม่ว่าเรื่องใดท่านก็อย่าเชื่อเขาไปเสียหมด ในเมื่อเขารู้ว่าหมอหลวงหยางขอลาออกกลับบ้านเก่า แล้วทำไมไม่สืบต่ออีกสักหน่อยเล่าว่าเขาลาออกด้วยเหตุผลใด? ผลกลับทำให้ท่านพ่อต้องวิ่งวุ่นเหนื่อยเปล่า ซ้ำทำให้ท่านแม่ต้องคอยห่วงกังวลอีก 

ในที่สุดอวี้เหวินก็หากล่องแกะสลักสีแดงใบเล็กที่เหมาะสมเจอ เขานั่งลงบนเก้าอี้เกือกม้าที่อยู่หลังโต๊ะหนังสือ  เจ้าอย่าได้พูดจาเช่นนี้ ลุงหลู่ของเจ้าทำไปเพราะหวังดี ไม่เพียงเดินทางไปเมืองซูโจวเป็นเพื่อนข้าด้วยตนเอง ทั้งยังช่วยข้าสืบเรื่องหมอหลวงอีกคนนามว่าหวังไป๋ที่เก็บตัวอยู่บนเขาผู่ถัวอีกด้วย ทว่าหวังไป๋เชี่ยวชาญด้านเด็กเล็ก ไม่รู้จะรักษามารดาเจ้าให้หายได้หรือไม่? 

ที่แท้เรื่องเขาผู่ถัวก็เกี่ยวพันกับหลู่ซิ่นด้วย

อวี้ถังขุ่นเคืองหนัก กล่าวด้วยความโมโห  ท่านพ่อ ลุงหลู่เดินทางไปเมืองซูโจวเป็นเพื่อนท่าน เป็นท่านที่ออกเงินให้หรือว่าเป็นเขาที่ออกเงินเองเจ้าคะ? 

อวี้เหวินหัวเราะแล้วตอบว่า  เจ้าเด็กคนนี้ ทำไมคิดเล็กคิดน้อยนักเล่า? 

นางรู้อยู่แล้วว่าหลู่ซิ่นหลอกใช้บิดานาง

อวี้ถังเอ่ยอย่างกรุ่นโกรธว่า  ข้ากลับรู้สึกว่า ในเมื่อลุงหลู่รู้จักเหล่าหมอหลวงดีถึงเพียงนี้ เหตุใดถึงไม่แนะนำให้ท่านพาท่านแม่ไปหาหมอที่เมืองหลวงเสีย อย่างไรในเมืองหลวงก็มีหมอหลวงเดินอยู่ให้ทั่ว คนนี้ใช้ไม่ได้ก็ยังมีคนโน้น อย่างไรก็ต้องมีคนที่รักษาอาการของท่านแม่ได้แน่เจ้าค่ะ 

อวี้เหวินหลุดหัวเราะ  เจ้าคิดว่าหมอหลวงเป็นตัวอะไร? ถึงจะได้เดินอยู่ทั่ว! ลุงหลู่ของเจ้าเป็นห่วงข้า ถึงได้คอยติดตามข่าวของหมอหลวงให้เป็นพิเศษ เจ้าจะพูดจาถึงลุงหลู่เช่นนี้ไม่ได้ ไม่ถูกมารยาทเลย 

อวี้ถังอย่างไรก็จะเกลี้ยกล่อมให้บิดาพามารดาไปรักษาที่เมืองหลวงให้ได้

ขอเพียงหลีกเลี่ยงสถานที่อันตรายนั้น นางก็จะรักษาครอบครัวไว้ได้ ครอบครัวของนางก็จะอยู่กันพร้อมหน้าและสงบสุข

อวี้เหวินฟังอวี้ถังพูดจนเริ่มเอนเอียง แต่การเดินทางไปเมืองหลวงเป็นเรื่องใหญ่ หากว่าตัดสินใจแล้ว ย่อมจะมีหลายสิ่งต้องตระเตรียม

เขาลองหยิบหยกแท่งใส่ลงในกล่อง เอ่ยอย่างใจลอยว่า  นี่เป็นหยกแท่งที่เจ้าอยากได้หนักหนา เก็บรักษาให้ดี อย่าได้ทำหายล่ะ ของสิ่งนี้ข้าแย่งมาจากมือลุงหลู่ของเจ้าเชียวนะ! 

อวี้ถังในตอนนี้กระทั่งชื่อก็ไม่อยากจะได้ยินเพิ่มสักคำแล้ว  เช่นนั้นข้าไม่แย่งของรักของผู้อื่นหรอกเจ้าค่ะ ท่านยกแท่นฝนหมึกรูปใบบัวอันนั้นให้ข้าก็แล้วกัน! 

 ให้เจ้าแล้วก็รับไปสิ!  อวี้เหวินยื่นของให้แล้วไม่เก็บกลับมาอีก ก่อนจะแกล้งแหย่อวี้ถังว่า  ข้าจะเก็บแท่นฝนหมึกรูปใบบัวเอาไว้ก่อน เอาไว้ใช้ต่อรองกับเจ้าครั้งหน้าเวลาที่เจ้าดื้อรั้น! หากว่าให้เจ้าไปตอนนี้ ข้ามิใช่ขาดทุนย่อยยับรึ! 

อวี้ถังคิดได้ว่าหยกแท่งชิ้นนี้แท้จริงก็เป็นของดีมีค่า นางไม่ควรเอาความโกรธที่มีต่อหลู่ซิ่นมาพาลลงกับสิ่งของ

หากว่านางรู้สึกเดียดฉันท์ไม่ชอบใจ ถึงเวลานั้นค่อยมอบเป็นของขวัญให้ผู้อื่นก็ยังได้

อวี้ถังรับกล่องมาถือ เอ่ยขอบคุณบิดา หลังจากสองคนหารือกันหลายประโยคว่าหยกแท่งก้อนนี้ควรจะแกะเป็นตราประทับอย่างไรดี นางก็เอ่ยเตือนบิดาว่า  ท่านพ่อ หากต้องไปหาหมอที่เมืองหลวง ย่อมจะใช้เงินทองมากมาย ภาพ ‘ตกปลาใต้ต้นสนริมน้ำ’ ผืนนั้น ท่านก็รับมาชื่นชมหลายวันแล้วมิใช่หรือ 

อวี้เหวินแสร้งหัวเราะเหอะๆ

ถ้าอวี้ถังไม่พูดขึ้นมา เขาก็คงลืมเรื่องนี้ไปแล้ว

อวี้เหวินไม่เคยวางแผนเรื่องเงินทอง ทั้งไม่เคยเรียกร้องต้องการ เขาจึงเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า  ข้ากับลุงหลู่ของเจ้าเป็นเพื่อนรู้ใจ จ่ายเงินล่าช้าไปหลายวันหน่อยเขาก็ไม่ว่าอันใดหรอก อีกอย่างต่อให้ครอบครัวเราขัดสนเงินทอง แต่ไม่ขาดเงินค่ายาของมารดาเจ้าแน่ เจ้าไม่ต้องกังวล 

อวี้ถังรู้อยู่แล้วว่าบิดาต้องตอบเช่นนี้

นางเอ่ยต่อว่า  ท่านพ่อแต่ไรมาก็ไม่เคยดูบัญชีของครอบครัวกระมัง? ท่านลองไปถามป้าเฉินดูก็ได้เจ้าค่ะ 

คนสกุลเฉินด้วยเหตุผลด้านสุขภาพ แต่ไรมาก็ไม่เคยดูแลงานจุกจิกยิบย่อยในเรือน ป้าเฉินเองก็ไม่ทำให้คนสกุลเฉินผิดหวัง ธุระในเรือนที่อยู่ในมือนางล้วนได้รับการจัดการอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่เคยผิดพลาดเลยสักครั้ง

อวี้เหวินถามด้วยสงสัยว่า  ไม่ถึงขึ้นที่ว่า…กระทั่งยาของมารดาเจ้าก็ซื้อไม่ไหวกระมัง? 

อวี้ถังแค้นใจนักที่ไม่อาจเปลี่ยนเหล็กให้เป็นเหล็กกล้า และกล่าวอย่างเจ็บแค้น  กินใช้อย่างเดียวไม่หาเข้าอย่างไรก็ต้องหมด ร้านค้าของสกุลถูกไฟไหม้ไปแล้ว คงอีกนานที่จะไม่มีรายรับเข้ามา ยาของท่านแม่ไม่อาจขาดได้แม้แต่วันเดียว ท่านลุงก็คิดจะสร้างร้านค้าขึ้นมาใหม่ ท่านว่าเงินทองเหล่านี้จะเอามาจากไหนกัน? 

อวี้เหวินรู้ว่าอวี้ถังไม่มีทางพูดจาเกินจริงเพียงเพราะไม่ต้องการให้เขาซื้อภาพวาดนั้นแน่

เมื่องานอดิเรกส่วนตัวกับอาการป่วยของภรรยาสุดที่รักต้องขัดแย้งกัน อวี้เหวินก็ยอมถอยให้กับอาการป่วยของภรรยาโดยไร้ความลังเล

 ข้ารู้แล้ว  เขารับปากด้วยท่าทีละอายเล็กน้อย

อวี้ถังเชื่อว่าบิดาจะไม่ซื้อภาพวาดผืนนั้นแล้ว

นางถอนหายใจโล่งอก แล้วยกเรื่องร้านค้ามาพูดอีกครั้ง  ป้าสะใภ้ใหญ่เกิดในตระกูลพ่อค้า ตอนที่ท่านปู่ยังอยู่ ก็เห็นว่าป้าสะใภ้เก่งกาจ ถึงไปสู่ขอป้าสะใภ้มาให้ท่านลุง อีกอย่างตอนที่ท่านปู่สิ้นใจก็สั่งเสียเอาไว้ ต่อไปเรื่องในร้านค้าห้ามกีดกันป้าสะใภ้เด็ดขาด ความหมายก็คือ ให้ท่านกับท่านลุงฟังความเห็นของป้าสะใภ้ให้มากหน่อย ปัญหาที่เกี่ยวกับร้านค้า ท่านควรปรึกษาป้าสะใภ้สักหน่อยหรือไม่เจ้าคะ? ข้าเห็นว่าหลายวันนี้ท่านลุงกับพี่ชายวิ่งวุ่นจนซูบผอมแล้ว ปกติมีแต่ท่านลุงที่คอยช่วยเหลือเกื้อกูลครอบครัวเรา เวลาลำบากเช่นนี้ ท่านควรจะไปช่วยเหลือลุงใหญ่นะเจ้าคะ 

ก่อนที่ท่านปู่ของนางจะจากไป ได้ฝากฝังเอาไว้เช่นนี้จริงๆ

อวี้เหวินพยักหน้ารับ

อวี้ถังจึงฉีกยิ้มจนตาหยี

เกี่ยวกับปัญหาในครอบครัว นับว่าแก้ไขไปได้เปลาะเล็กๆ เปลาะหนึ่งแล้ว

อวี้เหวินลูบศีรษะอวี้ถังเล่นพลางเอ่ยว่า  เช่นนั้นเจ้าก็ช่วยรับหน้ามารดาเจ้าหน่อย ข้าได้โอกาสเหมาะก็จะไปหาท่านลุงใหญ่ของเจ้า 

อวี้ถังตอบรับอย่างดีใจ มือก็ถือกล่องแกะสลักสีแดงเดินออกมาจากห้องหนังสือพร้อมกับบิดา

คนสกุลเฉินให้อวี้ถังไปตามครอบครัวของลุงใหญ่มาทานข้าวที่เรือน  ช่วงที่ท่านพ่อเจ้าไม่อยู่บ้านต้องลำบากลุงใหญ่เจ้าไม่น้อย เจ้าไปเชิญลุงใหญ่มาดื่มสุรากับท่านพ่อเจ้าเถอะ จะได้คลายล้าได้บ้าง 

พี่น้องสกุลอวี้แม้จะแยกเรือนกันอยู่ แต่เรือนสองหลังก็อยู่ติดๆ กัน ไปมาหาสู่กันอย่างสนิทสนมยิ่ง

อวี้ถังพาซวงเถาออกทางประตูหลังแล้วเดินไปที่เรือนของลุงใหญ่

คนสกุลหวังกำลังตรวจนับสินเจ้าสาวเดิมของตนอยู่

อวี้ถังวิ่งพรวดเข้าไปในห้องของคนสกุลหวัง อวดอ้างความชอบของตนที่ข้างหูป้าสะใภ้ว่า  ข้าพูดกับท่านพ่อแล้วเจ้าค่ะ ท่านพ่อบอกว่า เรื่องของร้านค้าจะมาหารือกับท่าน 

นางหวังให้ป้าสะใภ้เป็นฝ่ายรุกสักหน่อย ไม่เช่นนั้นบิดาจับคนไหนได้ก็คงไปปรึกษาคนผู้นั้นอย่างไม่คิดมากอีก

ป้าสะใภ้ปลาบปลื้มนัก จะยื่นมือไปหยิกแก้มอวี้ถังเล่น  เด็กดี ยิ่งฉลาดขึ้นทุกวัน มีแววจะดูแลผู้อื่นได้แล้วสิ 

อวี้ถังหมุนศีรษะ เบี่ยงตัวหลบ ‘กรงเล็บ’ ของป้าสะใภ้ใหญ่ แล้วลากซวงเถาวิ่งหนีไป  ท่านรีบตามมานะเจ้าคะ ท่านแม่กับท่านพ่อข้ารออยู่ที่เรือนแล้วเจ้าค่ะ! 

——————————–

Related

 

พอนึกถึงเรื่องในอดีตมีแต่จะให้คนหัวใจหม่นหมอง

ชาตินี้ของอวี้ถังไม่ยินดีจะข้องเกี่ยวกับสกุลหลี่อีก ยิ่งไม่ขอรู้จักผูกสัมพันธ์กับคนสกุลเผย

นางจึงถือโอกาสนี้เป่าหูป้าสะใภ้เสียหน่อย  กระทั่งร้านค้าของสกุลเผยยังไหม้หมดแล้ว ร้านค้าของพวกเรายิ่งไม่ต้องพูดถึง โชคดีที่รากฐานพอมี โอกาสย่อมจะยังเหลืออยู่ อย่างไรคงก็สามารถลุกขึ้นมาได้อีกครั้ง ส่วนสินค้าที่อยู่ในร้าน หากต้องชดเชยด้วยเงินทอง คงต้องจ่ายถึงสองเท่าเป็นแน่ หากว่าสามารถต่อรองกับพ่อค้าได้ ไม่แน่ผู้อื่นอาจจะยอมขยายเวลาออกไปให้หน่อย พวกเราค่อยผลิตสินค้าชุดใหม่ให้กับพ่อค้าอีกครั้ง บางทีอาจจะลดเงินค่าปรับลงได้เล็กน้อย เหตุการณ์ไฟไหม้ที่ถนนฉางซิ่ง ใครต่างก็คาดไม่ถึง ทั้งไม่มีใครอยากให้เกิดทั้งนั้น 

 แม้จะพูดแบบนั้น แต่ยืดเวลาส่งของออกไปคงไม่ได้  ป้าสะใภ้ได้ฟังก็ยิ้มขื่นและเอ่ยว่า  เจ้ายังเล็กอยู่ ปกติเรื่องในเรือนคงไม่มีใครพูดกับเจ้า หลายปีมานี้ คนทางฝั่งหมิ่นหนานออกทะเลไปหาเงินมาได้เป็นกอบเป็นกำ ผู้คนในเมืองหังโจวได้ฟังก็ใจสั่น ใครพอมีเงินมีความสามารถ ครอบครัวหนึ่งก็ออกเรือลำหนึ่ง ลำเลียงพวกผ้าไหม ใบชา ทั้งพวกเครื่องเคลือบต่างๆ แล้วรวมตัวเป็นกองเรือออกทะเลไปขายสินค้า คนที่ไม่ค่อยจะมีเบี้ย ก็ใช้พวกใบชากับผ้าไหมมาขอเป็นหุ้นส่วนออกทะเล คนที่สั่งทำเครื่องลงรักกับเรา ก็ต้องออกทะเลไปค้าขายเช่นกัน กองเรือได้กำหนดวันออกเรือเสร็จสรรพแล้ว หากว่าถึงเวลาไม่อาจส่งมอบสินค้าที่ถือเป็นของแลกเปลี่ยนได้ การค้านี้คงล่มไม่เป็นท่า พวกเขาอย่างไรก็ต้องให้เราชดเชยเป็นสองเท่า 

อวี้ถังในชาติก่อนไม่รู้เรื่องเหล่านี้

แต่อวี้ถังในชาตินี้ได้รับทราบแล้ว

สกุลหลี่ถือเป็นสกุลใหม่ในเมืองหลินอัน

สกุลของพวกเขาแต่ก่อนก็มีทรัพย์สิน แต่เพราะที่เหนือขึ้นไปยังมีสกุลเผย สกุลของพวกเขาถึงไม่ได้มีหน้ามีตาเท่าไร ได้ยินว่านับไปก่อนหน้านี้สามชั่วอายุ ทุกๆ วันแรกของปีใหม่สกุลหลี่ต้องไปเยี่ยมคารวะที่จวนสกุลเผยทุกปี กระทั่งท่านผู้เฒ่าของสกุลหลี่ ซึ่งก็คือท่านปู่ของหลี่ตวนกับหลี่จวิ้นสอบได้เป็นจวี่เหริน [1] บิดาของพวกเขาก็สอบได้เป็นจิ้นซื่อ ทั้งยังมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับนายท่านรองเผย ภายหลังถึงได้ค่อยๆ ยืดหลังตรงได้เต็มที่ ทุกๆ วันแรกของปีใหม่ตอนที่ไปเยี่ยมคารวะสกุลเผย คนของสกุลหลี่ก็สามารถร่วมนั่งดื่มน้ำชาในห้องโถงกับคนสกุลเผยได้แล้ว

ด้วยเหตุฉะนี้เอง แม้สกุลหลี่จะเริ่มมีฐานะหน้าตาขึ้นมา แต่ก็หมดปัญญาจะใช้อำนาจในมือแผ่ขยายกิจการของสกุลให้ใหญ่โตได้…ไม่ว่าจะเป็นภูเขาแม่น้ำในเมืองหลินอันก็ดี ร้านค้าบนท้องถนนก็ดี ล้วนแต่เป็นของสกุลเผยทั้งสิ้น ที่เหลือรอดเงื้อมือก็มีเพียงเล็กน้อย สกุลใดบ้างที่จะขายอาชีพซึ่งตกทอดจากบรรพบุรุษง่ายๆ เล่า? ต่อให้ต้องขายทิ้ง ทุกคนก็อยากจะขายให้กับสกุลเก่าแก่อย่างสกุลเผยอยู่แล้ว

หรือว่าสกุลหลี่จะกล้ายื่นมือเข้ามายื้อแย่งกับสกุลเผยเล่า

หากต้องการความเจริญก้าวหน้าในเส้นทางขุนนาง ย่อมไม่อาจละโมบ ทั้งต้องให้สินจ้างแก่ผู้บังคับบัญชา สองอย่างนี้ล้วนต้องใช้เงินทอง สกุลหลี่ต้องการเพิ่มพูนทรัพย์สินให้มากกว่านี้ จึงได้แต่ทอดมองสายตาไปยังด้านนอกอันไกลโพ้น

ไปๆ มาๆ สกุลหลี่ก็ไปจับกิจการเดินเรือออกทะเล

แน่นอนว่าการออกทะเลมีความเสี่ยง ต้องประสบกับลมพายุ อาจสูญเงินทั้งหมดโดยไม่ได้อะไรตอบแทน ในเมืองหังโจวก็มีหลายสกุลที่หมดตัวด้วยเหตุนี้ สกุลหลี่นับว่ามีโชคไม่เลว เก้าในสิบของการลงทุนกับกองเรือไปล้วนกลับมาอย่างปลอดภัยทุกครั้ง หลังจากนางแต่งเข้าไปในฐานะภรรยาของหลี่จวิ้น สกุลหลี่ก็เริ่มมั่งคั่งร่ำรวย มารดาของหลี่จวิ้นชมว่านางมีชะตาเสริมลาภสามี เพราะเหตุนี้หลี่ตวนจึงยิ่งตอแยนางมากกว่าเก่า

ช่างน่าขันเมื่อตอนที่หลี่จวิ้นตกม้าลงมาตาย มารดาของหลี่จวิ้นชี้นิ้วใส่จมูกด่าทอนางว่า ‘นังจิ้งจอก’ ก่นด่านางว่าหญิงงามเป็นบ่อเกิดแห่งหายนะ

พอนึกถึงเรื่องเก่าๆ ก็มีแต่ทำให้ปวดใจ

อวี้ถังรีบกดเรื่องราวในอดีตไว้ส่วนลึกสุดใจ ก่อนจะคุยเรื่องร้านค้ากับป้าสะใภ้ต่อ  สามารถต่อรองกับพ่อค้าได้หรือไม่เจ้าคะ ว่าให้พวกเราออกหน้าช่วยเขาหาซื้อสินค้าชุดใหม่ รับรองว่าปริมาณและคุณภาพจะไม่ต่างกัน 

คนสกุลหวังได้ยินก็มองอวี้ถังด้วยสายตาสว่างวาบ พูดว่า  เจ้าคิดได้เหมือนข้าไม่มีผิดเลย 

นางเริ่มนินทาสามีทันทีราวกับตามหาผู้รู้ใจตัวเองพบ  ลุงใหญ่ของเจ้าไม่เห็นด้วย บอกว่าสกุลอวี้ของเราเป็นเจ้าเก่าแก่ร้อยปีแล้ว ไม่ต้องพูดถึงเมืองหลินอัน ต่อให้ทั่วทั้งเมืองหังโจวก็ไม่มีร้านใดที่จะมีฝีมือเหนือว่าสกุลอวี้ไปได้ เอาสินค้าชั้นสองไปสวมรอยแทนสินค้าชั้นหนึ่ง เรื่องพรรค์นี้เขาไม่ทำเด็ดขาด 

 ลูกชายข้าก็บอกแล้วว่าเจียงซีทางนั้นมีร้านเครื่องลงรักเก่าแก่ร้อยปีอยู่หลายร้าน สินค้าหาได้ด้อยกว่าของเราเลย หากลุงเจ้ากังวลว่าพ่อค้านั่นจะถูกเอาเปรียบ ก็ไปดูด้วยตนเองสักครั้ง คอยจับตาดูผู้อื่นผลิตของออกมาก็ได้แล้ว ลุงของเจ้ายังเถียงอีกว่าสินค้าที่เจียงซีทางนั้นขายถูกกว่าเรา หากว่าเรื่องนี้ถูกผู้อื่นรู้เข้า ชื่อเสียงนับร้อยปีของสกุลอวี้ย่อมถูกทำลายสิ้นแน่ หากพ่อค้าพวกนั้นยอมเสียผลประโยชน์อันน้อยนิด ทิ้งของใกล้มือไปคว้าของไกลตัว มัดจำสินค้ากับทางเจียงซีแทน ถึงเวลานั้นไม่ต้องพูดถึงชื่อเสียงของสกุลที่ย่อยยับ ซ้ำยังออกแรงเหนื่อยเปล่าส่งพ่อค้าไปให้ร้านเครื่องลงรักถึงเจียงซีอีก 

อวี้ถังรู้ว่าลุงใหญ่ค่อนข้างหัวแข็งดื้อรั้นเรื่องทำการค้า ไม่เช่นนั้นชาติที่แล้วคงไม่มีความเห็นแตกกันกับลูกชายเพราะเรื่องนี้ แต่นางคาดไม่ถึงว่าลุงใหญ่จะดื้อรั้นถึงขั้นนี้

นางกล่าวว่า  เช่นนั้นท่านมิสู้ให้ลุงใหญ่ไปเมืองหังโจวสักครั้ง ข้าได้ยินว่าการค้าในทะเลนิยมพวกใบชา เครื่องเคลือบและผ้าไหมเป็นที่สุด พวกเครื่องลงรัก เครื่องดีบุกนั้นไม่ค่อยต้องการนัก มีคนรู้ว่าร้านค้าที่เจียงซีทางนั้นมีฝีมือสูสีไม่ด้อยกว่าเรา ราคาก็ยังต่ำกว่า แต่การจะไปก็ต้องเสี่ยงไม่น้อย หากสินค้ามีปัญหาขึ้นมายากจะเปลี่ยนคืน ต่อให้หลีกทางให้พวกเขาแล้วอย่างไรเล่า? 

คนสกุลหวังพยักหน้า ในใจก็ดีดลูกคิดเสียงดังกึกก้อง

คำพูดนี้ลูกชายของนางก็เคยพูด แต่เพราะสามีหัวรั้นเกินคน ฟังไม่เข้าหัวสักครั้ง แต่หากให้ออกจากปากของน้องสามี ย่อมจะได้ผลลัพธ์ที่ต่างออกไปแน่

คนสกุลหวังจึงตั้งหน้าตั้งตาคอยให้บิดาของอวี้ถังหรือก็คืออวี้เหวินกลับมาถึงไวๆ

อวี้ถังย้อนกลับมาจากสิบปีให้หลัง ทั้งอายุและความคิดความอ่านก็อยู่ในจุดนั้นด้วย เมื่อเจอปัญหาย่อมจะสุขุมเยือกเย็นกว่าเด็กสาววัยสิบห้า ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเป็นเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว ให้ใจร้อนเป็นไฟอย่างไรย่อมไม่เกิดประโยชน์ สภาพอารมณ์ของนางจึงดีขึ้นกว่าเดิมมาก

นางทำตามที่ป้าสะใภ้ต้องการ คือหมกตัวอยู่ที่เรือนทั้งวัน จากนั้นก็ตามป้าหวังบ่าวรับใช้ของป้าสะใภ้ใหญ่ไปเรียนทำขนมตังเมเกล็ดหิมะ

สิ่งที่ต่างไปจากชาติก่อนก็คือ ชาติก่อนนางหมดเวลาไปสองวันกว่าจะเรียนทำขนมสำเร็จ ในชาตินี้ด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมมาจากชาติที่แล้ว มิเพียงคล่องแคล่วชำนาญอย่างรวดเร็ว ซ้ำยังทำขนมตังเมเกล็ดหิมะเพิ่มมากขึ้นอีกสองหม้อเพื่อให้ป้าหวังเอาไปแจกเพื่อนบ้านในตรอกด้วย…ชาติก่อน ครอบครัวของนางเจอปัญหา เพื่อนบ้านในตรอกช่วยเหลือเกื้อกูลไว้มาก นางจำได้ดีเสมอมา ในใจก็รู้สึกซาบซึ้ง

รอถึงวันที่บิดานางอวี้เหวินกลับมาถึงเรือน ก็เป็นสี่วันให้หลังแล้ว

อวี้ถังเพิ่งช่วยมารดาสระผมเสร็จ นั่งอยู่ตรงลานกว้างช่วยหวีผมให้นาง

ป้าเฉินด้านหนึ่งก็โบกพัดให้คนสกุลเฉิน มารดาของนางไปพลาง อีกด้านก็เอ่ยถึงอวี้ถังว่า  นายหญิงดูคุณหนูใหญ่สิเจ้าคะ ช่างรู้ความนัก กตัญญูเป็นที่สุด! ต่อไปท่านก็คอยเสพสุขจากคุนหนูใหญ่กับท่านเขยได้เลยเจ้าค่ะ! 

คนสกุลเฉินหัวเราะ

ดวงหน้าผ่ายผอมซีดเซียวเผยให้เห็นความรู้สึกผิด

งานมงคลของอวี้ถังไม่ราบรื่น เป็นเพราะครอบครัวนางต้องการให้ลูกเขยแต่งเข้า

ชาติก่อนอวี้ถังไม่มีความคิดเห็นใดๆ เกี่ยวกับงานมงคลของตน ทุกอย่างล้วนยกให้บุพการีเป็นคนตัดสินใจทั้งสิ้น กระทั่งผ่านเรื่องราวต่างๆ จากชาติที่แล้วมานางถึงได้รู้ หากสามารถให้เขยชายแต่งเข้ามาได้ นางก็จะสามารถอยู่ข้างกายบิดามารดา นั่นย่อมเป็นโชควาสนาอันยิ่งใหญ่ของนาง

เห็นว่ามารดาตำหนิตนเองถึงเพียงนั้น นางจึงยื่นหน้าไปข้างๆ ไหล่ของมารดาคล้ายออดอ้อน  ข้าอยากได้คนที่รูปงาม ไม่เอาอย่างพี่สาวข้างบ้านที่แต่งให้คนเตี้ยม่อต้อนะเจ้าคะ! 

นี่เป็นครั้งแรกที่อวี้ถังแสดงความเห็นของตนที่มีต่องานแต่งเบื้องหน้ามารดา

คนสกุลเฉินอดจะตื่นเต้นยินดีไม่ได้ ถามนางอย่างระมัดระวังว่า  เช่นนั้น เจ้ายินดีให้เขยแต่งเข้ามาหรือไม่? 

 ยินดีสิเจ้าคะ!  อวี้ถังร่วมวงอย่างกระตือรือร้น  ให้สามีแต่งเข้ามาอยู่ที่เรือน ข้าก็จะได้อยู่เป็นเพื่อนท่านพ่อกับท่านแม่ไปตลอดชีวิต เรื่องในเรือนล้วนถือคำของข้าเป็นใหญ่ เหตุใดข้าถึงจะไม่ยินดีให้เขยชายแต่งเข้ามาเล่า? 

คนสกุลเฉินเห็นว่านางตอบอย่างจริงจังตั้งใจ ก็เป็นปลื้มขึ้นมาทันที ลากอวี้ถังมาอยู่ตรงหน้า แล้วพูดกับนางอย่างจริงจังว่า  เจ้าวางใจได้ แม่กับพ่อจะต้องช่วยเจ้าเลือกเป็นอย่างดี ไม่มีทางให้อาถังของพวกเราต้องลำบาก จะไม่ให้เจ้าต้องเจ็บช้ำน้ำใจ 

อวี้ถังพยักหน้ารับหงึกหงัก

ป้าเฉินเห็นว่าบรรยากาศไม่เลว จึงเข้าผสมโรงด้วย  นายหญิงอย่าลืมเชียวนะเจ้าคะ ต้องเลือกคนที่รูปงามเข้าไว้ คุณหนูใหญ่ของเราชอบคนรูปงามเจ้าค่ะ 

อย่างไรก็ไม่วาดหวังจะให้สามีเก่งกล้าสามารถอยู่แล้ว แน่นอนว่าต้องเลือกอาหารตาไว้ก่อน

อวี้ถังพยักหน้าอีกรอบ  ท่านแม่จำให้มั่นนะเจ้าคะ! ต้องตัวสูงๆ และว่านอนสอนง่ายด้วยเจ้าค่ะ 

คนสกุลเฉินมองสีหน้าเพราะด้วยไร้เดียงสาจึงไร้ซึ่งความกลัวของนาง แล้วหัวเราะเสียงดัง

อวี้เหวินในชุดคลุมยาวกลิ่นอายบัณฑิตเดินเข้ามาท่ามกลางเสียงหัวเราะ  แม่ลูกคุยเรื่องอะไรกัน? อารมณ์ดีถึงปานนั้น! เล่าให้ข้าฟังบ้างสิ! 

 ท่านพี่!  ดวงตาของคนสกุลเฉินทอประกายวิบวับ

สายตาของอวี้เหวินก็จับจ้องอยู่ที่ร่างของคนสกุลเฉินไม่ห่างเช่นกัน

 ไม่เจอแค่ไม่กี่วัน เหตุใดเจ้าผอมลงอีกแล้ว  เขาถามภรรยาอย่างเป็นห่วงและปวดใจ  เพราะอาถังอยู่ในเรือนเอาแต่หาเรื่องปวดหัวให้เจ้ารึ? หรือเพราะหลายวันนี้อากาศร้อน เจ้าเลยทานอะไรไม่ลง? เดี๋ยวข้าสั่งคนไปซื้อน้ำแข็งที่ตลาดกลับมา ให้ป้าเฉินต้มน้ำถั่วเขียวให้เจ้าดื่ม 

 ไม่ต้อง ไม่ต้องหรอกเจ้าค่ะ  คนสกุลเฉินตอบพลางยิ้มตาหยี กวาดตาสำรวจอวี้เหวินตั้งแต่หัวจรดเท้า ราวกับกลัวว่าเขาออกจากเรือนไปแล้วจะได้รับความลำบากกลับมา  ท่านหมอหลิวที่โรงยาจี้หมินมิใช่บอกแล้วหรือว่าอาการป่วยของข้าไม่อาจถูกความเย็นได้ เหตุใดท่านถึงรบเร้าให้ข้าทานน้ำแข็งอีก 

อวี้เหวินหัวเราะและกล่าวอย่างเจ้าเล่ห์  ข้าก็อยากให้เจ้าได้เบิกบานบ้างสักหน่อยอย่างไรเล่า 

นี่ก็คือนิสัยของบิดานาง

เขาเป็นคนดีมาก จริงใจ มองโลกในแง่บวก ใจดี มีอารมณ์ขัน…ไม่ว่าเรื่องใดก็ไม่อินังขังขอบ ไม่เคยเก็บเรื่องใดมาใส่ใจ ยินดีมีสุขกับทุกสถานการณ์ที่เจอ ตั้งแต่เล็กเขาก็ตั้งหน้าตั้งตาเล่าเรียนเขียนอ่าน พอโตขึ้นก็พึ่งพาครอบครัวพี่ชายช่วยเป็นธุระจัดการงานเล็กๆ น้อยๆ ไม่ง่ายกว่าจะสอบได้เป็นซิ่วไฉ [2] แต่กลับรู้สึกว่าการร่ำเรียนช่างทุกข์ยากยิ่งนัก จึงได้ล้มเลิกไป

หากไม่เกิดเรื่องอะไรก็ดีไป ทว่าเมื่อต้องเจอปัญหา เกรงว่าอาจจะรับมือไม่อยู่

อวี้ถังลอบถอนหายใจ ก่อนจะก้าวขึ้นไปทำความเคารพบิดา

อวี้เหวินเพิ่งจะสังเกตเห็นลูกสาวของตน จึงเอ่ยอย่างรู้สึกผิดว่า  อาถัง หลายวันนี้พ่อไม่อยู่เรือน เจ้าดื้อรั้นหรือไม่? เชื่อฟังคำพูดของมารดาเจ้าหรือเปล่า? 

อวี้ถังใช้ชีวิตมาสองชาติ ล้วนแต่ชื่นใจที่บิดาปฏิบัติต่อมารดาเป็นอย่างดี

นางเอ่ยอย่างขุ่นเคืองว่า  แล้วผงโป่งรากสนที่ท่านรับปากเอาไว้เล่าเจ้าคะ? ข้ารอจะทำยาโป่งรากสนอยู่นะ! 

อวี้เหวินได้ข่าวว่าร้านค้าของสกุลไฟไหม้ ก็ร้อนใจจนแทบบ้า ยังจะจำเรื่องโป่งรากสนได้อีกหรือ?

เขาพูดอะไรไม่ออก

อวี้ถังลอบถอนหายใจเฮือกอีกครั้ง

เพราะอวี้เหวินไม่ต้องการให้คนสกุลเฉินเป็นห่วง มีครั้งไหนบ้างที่กลับมาจากด้านนอกแล้วหน้าตาไม่สดใสชื่นมื่น ดังนั้นพวกนางจึงไม่เคยสังเกตเห็นอาการทุกข์ร้อนของเขาเลย

หลายปีมานี้ กำไรที่ได้จากร้านค้าล้วนนำไปใช้ซื้อยาให้มารดาหมด พอบิดารู้ว่าถนนฉางซิ่งไฟไหม้ ในใจไม่รู้จะทรมานเพียงไหน จะลืมหาของขวัญกลับมาให้นางก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผล

ในชาติก่อน นางเคยทะเลาะกับบิดาอยู่ครั้งหนึ่ง ภายหลังเขาพานางไปเลี้ยงอาหารเลิศรสที่ร้านทิวนอกเขา นางถึงยอมจบเรื่อง ทว่านางในชาตินี้ เพียงคิดว่าจะทำอย่างไรให้บิดามารดารอดพ้นวิกฤติไปให้ได้

 ท่านพ่อไม่รักษาสัญญา  อวี้ถังทำทีตลกเฮฮา แล้วดันหลังบิดาไปทางห้องหนังสือ  ข้าอยากได้หยกแท่งก้อนนั้นที่ท่านพ่อซ่อนเอาไว้ 

อวี้เหวินปวดใจราวกับถูกแล่เนื้อเถือหนัง ทางหนึ่งก็ถูกลูกสาวดันหลัง ทางหนึ่งก็เริ่มเปิดการต่อรอง  ข้ามอบแท่นฝนหมึกรูปใบบัวให้เจ้าดีหรือไม่? หรือว่าจะเอาพู่กันขนจิ้งจอกที่เจ้าพูดถึงคราวก่อนดี? 

 หึ!  อวี้ถังทำเสียงไม่พอใจ  ข้าไม่มีทางหลงกลหรอก! ข้าจะเอาหยกแท่งก้อนนั้น ข้าจะเอาไปแกะสลักตราประทับ เอาแบบที่เหมือนท่านพ่อ ห้อยเอาไว้ที่เอว 

อวี้เหวินเอ่ยว่า  บุรุษเท่านั้นที่จะห้อยตราประทับไว้ที่เอว เด็กผู้หญิงอย่างเจ้าห้อย ‘สามสิ่ง’ ก็พอ ข้าสั่งทำ ‘ทองสามสิ่ง’ [3] ให้เจ้าดีหรือไม่? 

ครอบครัวแทบจะไม่เหลือเงินซื้อยาให้มารดาอยู่แล้ว ทว่าท่านพ่อกลับคิดจะสั่งทำ ‘ทองสามสิ่ง’ เพื่อนาง

อวี้ถังร้องเหอะเสียงเย็น

คนสกุลเฉินหัวเราะจนตัวงอไปหมด

สองพ่อลูกยื้อยุดกันหายเข้าไปในห้องหนังสือ

————————————————————-

[1] บัณฑิตที่สอบผ่านสนามสอบระดับมณฑล ซึ่งจัดขึ้นทุกๆ 3 ปี ผู้ที่สอบได้เป็นอันดับหนึ่งเรียกว่า เจี่ยหยวน

[2] ซิ่วไฉ ผู้ที่ผ่านการสอบคัดเลือกเข้ารับราชการระดับท้องถิ่น

[3] ทองสามสิ่ง คล้ายกับพวงกุญแจอเนกประสงค์ ส่วนประกอบที่พบบ่อยจะมีไม้เคาะหู ไม้จิ้มฟัน และแหนบ

Related

 

เรื่องที่เหนือความคาดหมายอย่างการเกิดใหม่นั้น อวี้ถังนึกว่าจะทำให้ตนเองนอนไม่หลับ ใครจะคิดว่าทันทีที่หัวถึงหมอน ได้ดมกลิ่นส้มโอมืออันคุ้นเคยที่ลอยอบอวล แม้กระทั่งฝันก็ยังไม่มีให้เห็น พอหลับลงก็ข้ามไปอีกวันหนึ่งทันที

ทว่านางไม่ได้รู้สึกตัวตื่นเอง

แต่ถูกซวงเถาปลุกให้ตื่น  คุณหนูใหญ่ นายหญิงใหญ่มาแล้วเจ้าค่ะ! 

ทุกครั้งตอนที่อวี้ถังตื่นนอนมักจะสะสึมสะลือง่วงงุนอยู่บ้าง

นางนั่งเอนพิงหัวเตียง พยายามปรือตากลมโตที่วาววับชุ่มฉ่ำ ผ่านไปครึ่งวันกว่าจะเรียกสติกลับมาได้ นางอ้าปากหาวทีหนึ่ง  ป้าสะใภ้ใหญ่? ป้าสะใภ้ใหญ่มาตั้งแต่เมื่อไร? 

ระหว่างที่พูด อวี้ถังก็นึกออกในทันใด สัมปชัญญะพลันตื่นขึ้นอย่างสมบูรณ์

ชาติก่อน วันที่สองหลังจากถนนฉางซิ่งไฟไหม้ ฟัายังไม่ทันจะสว่าง ป้าสะใภ้ของนางก็เดินทางมาถึง บอกว่าอากาศร้อนอบอ้าว นอนไม่ค่อยหลับ แต่ละวันผ่านไปอย่างทรมาน จึงได้หยิบเข็มกับด้ายมาทำงานด้วย ความจริงก็แค่หาข้ออ้างรั้งตัวนางกับมารดาให้อยู่แต่ในเรือนทั้งวัน กระทั่งตกเย็น ลุงใหญ่กับลูกชายของเขาจัดการธุระที่ร้านค้าเสร็จ ส่งจดหมายถึงบิดาที่อยู่ไกลออกไปถึงเมืองซูโจวแล้ว ป้าสะใภ้ถึงได้เดินทางกลับ

ต่อให้เป็นเช่นนี้ แต่ตอนที่ป้าสะใภ้กลับไปก็ยังกำชับบ่าวรับใช้ในเรือนไว้เป็นพิเศษว่า ไม่อนุญาตให้หลุดปากบอกข่าวเรื่องที่ร้านให้นางกับมารดารู้แม้แต่นิดเดียว แล้วทิ้งป้าหวังซึ่งเป็นบ่าวรับใช้ข้างกายของป้าสะใภ้เอาไว้ที่เรือน บอกให้นางทำขนมตังเมเกล็ดหิมะ

มารดาของนางชื่นใจหนักหนาเมื่อเห็นว่านางสนใจงานครัว จึงย้ายเก้าอี้ไปนั่งในห้องครัวเป็นเพื่อนนาง แค่ขนมตังเมเกล็ดหิมะ ก็ควบคุมให้พวกนางสองแม่ลูกอยู่ในเรือนได้จนกระทั่งบิดากลับมาถึง

ตอนที่บิดามาถึง ก็รู้รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องร้านค้าเพียงผิวเผินเท่านั้น ถ้ามิใช่เพราะภาพ ‘ตกปลาใต้ต้นสนริมน้ำ’ ผืนนั้นที่ผู้อื่นมาทวงถามเงิน มารดาก็คงยังไม่รู้ว่าครอบครัวขัดสนเงินทอง ส่วนนางก็เพิ่งรู้ว่าครอบครัวเหลือเพียงที่นาชั้นดีห้าสิบหมู่ผืนนั้นก็หลังจากที่บิดาเสียชีวิตแล้ว

เหตุการณ์ไฟไหม้ที่ถนนฉางซิ่งนั้น นางก็เพิ่งรู้ตอนที่แต่งเข้าสกุลหลี่จนถูกหลี่ตวนผู้เป็นพี่ชายของสามีคิดครอบครอง และเป็นจุดพลิกผันที่สำคัญจุดหนึ่งในชีวิตนาง

อวี้ถังรีบร้อนลุกขึ้นจากเตียง  ป้าสะใภ้ใหญ่อยู่กับใคร? ท่านแม่รู้หรือไม่ว่าป้าสะใภ้ใหญ่มา? 

ซวงเถาทางหนึ่งก็รับใช้สางผมให้นาง อีกทางก็ตอบว่า  มาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางเลยเจ้าค่ะ เห็นบอกว่าอากาศร้อนเกินไปนอนไม่หลับ บอกไม่ให้พวกข้ารบกวนท่านกับนายหญิง ตอนนี้ป้าเฉินอยู่เป็นเพื่อนนางพักคลายร้อนที่ลานโล่งเจ้าค่ะ 

อวี้ถังพยักหน้ารับ

เหมือนกับชาติที่แล้วไม่มีผิด

ทว่า ชาตินี้นางไม่มีทางผลักเรื่องเหล่านี้ให้กับผู้ใหญ่ในสกุลอีกแล้ว

อวี้ถังเร่งรุดไปที่ลานโล่งทันที

คนสกุลหวัง ป้าสะใภ้ใหญ่ของนางอยู่ในชุดกระโปรงสีครามที่ทำจากผ้าสำหรับหน้าร้อน นางนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ใต้ต้นการบูร มีป้าเฉินกับป้าหวังยืนขนาบข้างซ้ายขวา คนหนึ่งสนทนาเป็นเพื่อน อีกคนหนึ่งช่วยโบกพัดให้ สีหน้าของป้าสะใภ้ดูเหนื่อยล้า ใต้ตาเห็นสีดำคล้ำชัดเจน มองดูก็รู้ทันทีว่าไม่ได้รับการพักผ่อน

นางในชาติที่แล้วต้องคิดน้อยเพียงใด ถึงได้ไม่เคยสังเกตเห็นความผิดปกติของป้าสะใภ้แม้แต่นิดเดียว

 ท่านป้า!  อวี้ถังเดินเข้าไปเบื้องหน้าแล้วคารวะป้าสะใภ้ใหญ่สกุลหวัง ดวงตาแทบข่มน้ำตาที่จะทะลักออกมาไว้ไม่อยู่

ชาติก่อน ท่านลุงใหญ่กับลูกชายต้องมาติดร่างแหจนตายก็เพราะนาง ป้าสะใภ้ไร้ที่พึ่งพา จึงกลับบ้านเก่าครองตัวเป็นม่าย อาศัยฝากชีวิตไว้กับกับหลานชายหลานสะใภ้ ป้าสะใภ้ไม่เพียงไม่กล่าวโทษนาง ซ้ำตอนที่นางตกระกำลำบาก ยังฝากฝังนางให้ไปอยู่กับลูกพี่ลูกน้องซึ่งออกบวชเป็นผู้ดูแลอยู่ที่อาราม

 เจ้าเด็กคนนี้ ร้องไห้ทำไมกัน?  คนสกุลหวังมองอวี้ถังแล้วถอนหายใจ นางเดินเข้าไปพยุงนางขึ้นมาด้วยตนเอง ก่อนจะทำท่าบอกให้ป้าหวังยกเก้าอี้มาให้อวี้ถังนั่ง จากนั้นก็เอ่ยเสียงอบอุ่นว่า  ข้าได้ยินมาว่าเมื่อวานเจ้าไปที่ถนนฉางซิ่ง ไม่คิดว่าเจ้าจะรู้ความเช่นนี้ คำพูดมากมายนั้นข้าคงไม่ต้องพูดแล้ว เรื่องที่ร้านค้า ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องปิดไม่ให้แม่เจ้ารู้ แม่เจ้าสุขภาพไม่ดี หากรู้เรื่องเข้าต้องกังวลใจแน่ พ่อเจ้าก็ไม่อยูเรือน หากว่าแม่เจ้ากลุ้มอกกลุ้มใจจนเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา เจ้าจะให้พ่อเจ้าทำอย่างไร? 

อวี้ถังพยักหน้าหงึกหงัก ประคองให้คนสกุลหวังนั่งลงอีกรอบ รินชาเก๊กฮวยมาให้ถ้วยหนึ่ง แล้วหย่อนตัวนั่งลงข้างๆ นาง แล้วเอ่ยว่า  ป้าสะใภ้วางใจได้ ข้าเข้าใจเป็นอย่างดีเจ้าค่ะ 

คนสกุลหวังพยักหน้ารับ รู้สึกว่าอวี้ถังในวันนี้ไม่เหมือนกับวันก่อนๆ จึงอดจะมองสำรวจนางไม่ได้

เด็กสาวอายุสิบห้าสิบหก ไม่ว่าจะแต่งตัวอย่างไรล้วนสวยงามน่ารัก โดยเฉพาะอวี้ถังที่ได้ชื่อว่ามีดวงหน้าจิ้มลิ้มพริ้มเพราในซอยชิงจู๋ แต่เพราะปกติถูกตามใจจนเคยตัว มองดูแล้วให้อารมณ์เด็กยังไม่โตอยู่บ้าง ทว่าวันนี้แผ่นหลังกลับยืดตรง ทอประกายเข้มแข็งขึ้นหลายส่วน สายตาใสกระจ่างมีชีวิตชีวา ทั่วร่างคล้ายกับต้นไผ่ที่เพิ่งแทงยอดอ่อน มองแล้วช่างน่าพิศเจริญตา ทำให้ผู้คนชมชอบยิ่งนัก

คนสกุลหวังแอบชื่นชมอยู่ในใจ  ได้ยินว่าเมื่อวานศีรษะเจ้าถูกกระแทก ดีขึ้นแล้วหรือยัง? 

อวี้ถังตอบทันทีว่า  ข้าไม่เป็นอะไรเลย! เหตุการณ์เกิดเร็วมาก ตอนนั้นข้าเลยตกใจ แต่ไม่ทันไรก็หายดีแล้วเจ้าค่ะ 

คนสกุลหวังไม่ค่อยเชื่อ เอ่ยต่อว่า  เมื่อครู่ป้าเฉินเล่าว่า เจ้าสลบไปตั้งสองชั่วยาม ฟื้นขึ้นมาก็พูดจาเลอะๆ เลือนๆ ไม่รอให้ซวงเถาไปแจ้งแม่ของเจ้า เจ้าก็ลากนางไปชมความวุ่นวายที่ถนนฉางซิ่งแล้ว ห้ามอย่างไรก็ห้ามไม่อยู่ หากมิใช่ว่าป้าเฉินจัดการช่วยเจ้าหาข้ออ้างร้อยแปดมาปิดบังแม่เจ้าได้ เกรงว่านางคงวิ่งไปตามหาเจ้าบนถนนแล้ว 

อวี้ถังรู้ตัวจึงเอ่ยอย่างสำนึกผิดว่า  เป็นข้าที่ทำไม่ถูก ต่อไปจะไม่ทำเช่นนั้นอีกแล้วเจ้าค่ะ 

คนสกุลหวังเห็นดวงหน้าขาวราวหิมะขมวดมุ่น พลันรู้สึกสงสาร ไม่อาจตัดใจตำหนินางได้ จึงเอ่ยยิ้มๆ ว่า  เอาล่ะ ข้าไม่ได้มีเจตนาติเตียนเจ้าหรอก เพียงแต่พ่อแม่เจ้าก็มีเจ้าอยู่เพียงคนเดียว จะต่อว่าก็กลัวคนละลายหาย จะประคองไว้ก็กลัวพลาดทำตก อดจะคิดมากกังวลไปเสียหมดมิได้ เจ้าต้องเข้าใจหัวอกคนเป็นพ่อแม่ให้มากถึงจะใช้ได้ เรื่องที่คนอื่นทำได้ ใช่ว่าเจ้าจะทำได้เช่นเดียวกัน 

 ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ!  อวี้ถังรับคำสอนอย่างเชื่อฟัง

อาจเพราะในใจยังพะวงถึงสามีและลูกชาย คนสกุลหวังจึงเอ่ยถึงเหตุการณ์ไฟไหม้เมื่อวานกับนางด้วยเสียงเบาต่ำ  ลุงใหญ่กับพี่ชายเจ้าวิ่งวุ่นอยู่ค่อนวัน ให้คนส่งจดหมายมา บอกว่าไม่เพียงแต่ร้านค้าของสกุลเรา ขนาดร้านค้าของสกุลเผยก็ถูกเผาจนเหลือแต่ตอ สกุลเผยทางนั้นดันเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น กระทั่งคนตัดสินใจสักคนยังไม่มี ท่านข้าหลวงสกุลทังทุกวันนี้ยังจนปัญญา ไม่รู้จะเขียนฎีกาถวายให้ราชสำนักอย่างไร 

สกุลเผยนับเป็นสกุลใหญ่ในเมืองหลินอันแห่งนี้

เป็นสกุลใหญ่โตมากบารมีอย่างจริงแท้

ไม่ว่าใครจะเข้ามาเป็นข้าหลวงในเมืองหลินอัน ก่อนจะเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการล้วนต้องไปคารวะเยี่ยมเยือนสกุลเผยก่อนทั้งสิ้น

ก่อนที่นางจะตาย สกุลเผยได้กลายเป็นสกุลที่มีหน้ามีหน้าตาที่สุดในเมืองหลินอันแล้ว

ถนนฉางซิ่งซึ่งคึกคักรุ่งเรืองที่สุดในเมืองหลินอัน นอกจากร้านค้าที่เปิดกิจการมาหลายต่อหลายรุ่นอย่างสกุลอวี้ที่มีประมาณเจ็ดแปดร้านแล้ว ที่เหลือล้วนเป็นของสกุลเผยทั้งสิ้น ภูเขา ที่นา ไร่ชา สวนหม่อนที่อยู่นอกเมืองเกินกว่าครึ่งก็เป็นของสกุลเผย ผู้คนมากมายอาศัยบารมีของสกุลเผยเพื่อหาเลี้ยงชีพ

ชาติก่อน ที่นาชั้นดีหนึ่งร้อยหมู่ของสกุลอวี้ก็ขายให้กับสกุลเผยเช่นกัน

สกุลเผยมั่งคั่งอู้ฟู่มาหลายชั่วอายุคน

จากราชวงศ์ก่อนจนถึงวันนี้ก็มีคนสอบเข้าได้เป็นจิ้นซื่อสองป้าย [1] ยี่สิบกว่าคน และมีเจ็ดแปดคนที่เป็นขุนนางชั้นหนึ่ง

มาถึงรุ่นนี้ นายท่านทั้งสามคนของสกุลเผยล้วนสอบผ่านขั้นจิ้นซื่อสองป้าย ผ่านไปอีกไม่กี่ปี คุณชายน้อยของสกุลเผยอีกสองคนก็จะสอบติดจิ้นซื่อเช่นกัน

ท่านผู้เฒ่าของสกุลเผย ก็คลับคล้ายว่าจะป่วยตายตอนช่วงเวลานี้เช่นกัน

อวี้ถังพลันหลุดปากออกมาว่า  จะบังเอิญเกินไปหรือไม่ ท่านผู้เฒ่าของสกุลเผยนั้นเหตุใดพอจะสิ้นก็สิ้นไปง่ายๆ เสียแบบนี้! 

ใครจะคิดว่าป้าสะใภ้จะชะงักกึก ย้อนถามว่า  ท่านผู้เฒ่าเผยหรือ? ใครบอกเจ้าว่าท่านผู้เฒ่าเผยสิ้นแล้ว? เป็นบุตรชายคนโตของสกุลเผยต่างหาก นายท่านใหญ่เผยคนที่เป็นผู้ช่วยเจ้ากรมโยธาในเมืองหลวง ได้ยินว่าก่อนหน้านี้ไม่นานก็ล้มป่วยที่เมืองหลวงจนเสียชีวิต ข่าวเพิ่งจะส่งมาถึงเมืองหลินอันนี่เอง ท่านผู้เฒ่าเผยก็พลันล้มพับไปอีกคน เมื่อคืนวานเหล่าคุณชายสกุลเผยจึงเร่งรุดไปที่ถังเจียหลิง พวกผู้ดูแลมัววุ่นวายอยู่กับงานศพของนายท่านใหญ่เผย ไม่มีใครว่างไปดูแลงานที่ถนนฉางซิ่ง 

อวี้ถังตะลึงไป ทว่ากลับไม่มีเวลาให้หยุดคิดมากนัก

ไม่ว่าจะเป็นชาติก่อนหรือชาตินี้ สกุลเผยล้วนแต่อยู่ไกลนางเกินเอื้อม เรื่องของสกุลเผยนางก็แค่ได้ยินได้ฟังผ่านๆ หู หาได้มีความเกี่ยวข้องอันใดไม่

คนสกุลหวังทอดถอนใจและกล่าวว่า  เหตุเพลิงไหม้ที่ถนนฉางซิ่งเกิดขึ้นเร็วในชั่วพริบตา ลุงใหญ่ของเจ้าบอกว่า ไฟไหม้ครานี้ดูไม่ชอบมาพากลเท่าไรนัก…บ้านผู้อื่นไฟไหม้ล้วนเริ่มไหม้จากจุดๆ เดียว จากนั้นค่อยไหม้ลามไปยังที่อื่นๆ ลุงใหญ่ของเจ้าสงสัยว่ามีคนลอบวางเพลิง ยังคิดไปแจ้งเรื่องที่ศาลาว่าการอยู่เลย น่าเสียดายที่สกุลเผยเกิดเรื่องเสียก่อน ท่านข้าหลวงถังย่อมไม่มีกะจิตกะใจมาจัดการเรื่องนี้เป็นแน่… 

อวี้ถังได้ฟัง หัวใจก็เต้นระรัว

ชาติก่อน สกุลหลี่มาขอหมั้นหมายนางหลังจากที่สกุลนางจะเกิดเรื่อง ตอนนั้นนางไม่ใคร่จะเต็มใจเท่าไร รู้สึกว่าตนยังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ การมาหารือพูดคุยเรื่องทำนองนี้ไม่เหมาะสม แต่ลุงใหญ่กับป้าสะใภ้คิดว่าหากรอให้พ้นช่วงไว้ทุกข์ไป นางก็อายุสิบหกปีแล้ว ถึงเวลานั้นคงหาสกุลดีๆ มาแต่งด้วยไม่ได้ จึงปรึกษานางว่าให้หมั้นหมายกับสกุลหลี่ไว้ก่อน พอผ่านช่วงไว้ทุกข์แล้วค่อยมาคุยเรื่องงานมงคลกัน

นางยังลังเลอยู่บ้าง ทว่าสกุลหลี่ส่งคนมาคุยกับนางอย่างลับๆ บอกว่าหากนางยอมตกลงหมั้นหมาย สกุลหลี่ยินดีให้ลุงใหญ่หยิบยืมเงินห้าพันตำลึงโดยไม่คิดดอกเบี้ย ให้ครอบครัวของลุงใหญ่ได้ก่อร่างสร้างตัวใหม่อีกครั้ง

เหตุเพลิงไหม้ที่ถนนฉางซิ่ง ร้านค้าของครอบครัวนางถูกเผาจนวอด ร้านค้าของครอบครัวท่านลุงก็วอดวายไม่ต่างกัน ตอนที่สกุลหลี่ยื่นข้อเสนอนี้มาให้ สกุลเผยกำลังซ่อมแซมถนนฉางซิ่งอยู่ พื้นที่ฐานรากเดิมมีอยู่แล้ว ทว่าเงินที่จะสร้างร้านค้าขึ้นมาใหม่ล้วนควักเงินของใครของมัน หากผู้ใดไม่มีกำลังทรัพย์จะสร้างร้านค้าขึ้นมาใหม่อีกครั้ง สามารถตีราคาแล้วขายต่อให้สกุลเผยได้

คนส่วนใหญ่ล้วนขายพื้นที่ให้กับสกุลเผย

ทว่าลุงใหญ่ของนางไม่ต้องการจะขายทิ้ง

นั่นเป็นกิจการที่บรรพบุรุษของสกุลอวี้ตกทอดไว้ให้

ไม่เพียงปฏิเสธการขายต่อ ท่านลุงถึงขนาดคิดจะสร้างร้านค้าอีกสองคูหาของบิดานางขึ้นมาใหม่ด้วยซ้ำ

ตอนที่ท่านปู่ของนางเสีย ลุงใหญ่กังวลว่าบิดานางไม่เก่งเรื่องทำมาค้าขาย ถึงได้แบ่งร้านค้าสี่คูหากันคนละครึ่งกับที่ดินสองร้อยหมู่ โดยแบ่งที่นาชั้นดีหนึ่งร้อยหมู่ให้กับบิดานาง ที่นาชั้นกลางอีกห้าสิบหมู่ รวมถึงที่บนภูเขาอีกห้าสิบหมู่ด้วย

การสร้างร้านใหม่ขนาดสี่คูหาต้องใช้เงินสี่พันตำลึง ต่อให้ขายที่นาทั้งหมดของลุงใหญ่ก็เหมือนกับการราดน้ำหนึ่งถ้วยเพื่อดับรถลากฟืนที่ลุกไหม้ กระทั่งเสาร้านก็ยังซื้อไม่ได้ด้วยซ้ำไป

พอนางได้ฟังข้อเสนอของสกุลหลี่ คิดว่างานมงคลนี้ของนางดีชั่วก็สามารถทำให้ครอบครัวของลุงใหญ่รอดพ้นสภาวะยากลำบากไปได้ นางไม่ทันบอกกับลุงใหญ่ให้ทราบสักคำก็รับปากตกลงเรื่องงานมงคลกับคุณชายรองสกุลหลี่นามว่าหลี่จวิ้นทันที

ภายหลัง ลุงใหญ่รู้สึกผิดต่อนาง ทั้งได้ยินข่าวว่าหากเอาข้าวไปแลกเกลือที่จิ่วเปียนจะได้กำไรก้อนใหญ่ จึงหอบเงินห้าพันตำลึงของสกุลหลี่ไปที่หูก่วงทันที

แม้ว่าลุงใหญ่กับลูกชายแทบจะเอาตัวไม่รอดแต่ก็ได้เงินมาก้อนโต ทว่ากลับทิ้งปัญหาเอาไว้เบื้องหลัง…ลุงใหญ่กับลูกชายเพื่อที่จะหาสินเจ้าสาวให้นางแล้ว เดินทางเข้าออกจิ่วเปียนอยู่หลายรอบ โดยเริ่มจากสร้างร้านค้าสองคูหาที่บิดาทิ้งไว้ให้นางจนเสร็จ ต่อมาก็ทุ่มเทอย่างหนักเพื่อซื้อที่นาชั้นดีซึ่งครอบครัวขายออกไปคืนกลับมา…ทว่าด้วยเหตุนี้ไม่เพียงทำให้ลุงใหญ่ต้องมีปากเสียงกับลูกชายถึงเป้าหมายในการใช้ชีวิต ซ้ำระหว่างทางไปจิ่วเปียนก็ถูกโจรเข้าปล้นชิง แม้ร่างก็ยังตามหาไม่เจอ

นางเมื่อชาติก่อน ถูกเลี้ยงให้อยู่แต่ในห้องหอไม่รับรู้เรื่องราวภายนอก ต่อให้รู้ว่าถนนฉางซิ่งเกิดไฟไหม้ใหญ่ รู้ว่าเพลิงไหม้ครั้งนี้เกิดขึ้นอย่างไม่ชอบกล แต่ก็หาได้คิดอะไรมาก ทว่าอวี้ถังในตอนนี้ เคยตกอยู่ใต้ความต่ำตมของสกุลหลี่ ประสบกับวิธีสกปรกมาตั้งมากน้อยเท่าไร พอได้ยินเรื่องราวเข้าหู ก็เข้าใจทันทีว่าวิธีที่สกุลเผยใช้เขมือบกลืนร้านค้านี้ไม่ต่างอะไรกับวิธีที่สกุลหลี่หลอกล่อนางในปีนั้นเลย

ขอเพียงแค่มีโอกาส ก็พร้อมจะรังแกผู้น้อยที่อ่อนแอกว่าเสมอ

จิตใจเหี้ยมโหดไม่ต่างกัน เลวทรามต่ำช้าไม่มีผิด!

————————————————————-

[1] จิ้นซื่อสองป้าย หมายถึง ผู้ที่สอบผ่านได้เป็นจวี่เหรินในการสอบระดับมณฑล และยังสอบผ่านได้เป็นจิ้นซื่อในการสอบเบื้องหน้าพระพักตร์

Related

 

เปลวเพลิงสูงเสียดฟ้า เสียงแตก ‘เปรี๊ยะๆ’ ดังต่อเนื่อง แสงฉาบบนฟากฟ้าที่แดงก่ำไปครึ่งหนึ่ง คลื่นร้อนระอุลูกแล้วลูกเล่าแข่งกันโหมตัวสูง คนที่วิ่งผ่านไปมาล้วนร้องตะโกนว่า  ไฟไหม้! ไฟไหม้! 

สองขาของอวี้ถังอ่อนยวบ หากไม่ใช่ซวงเถาประคองนางไว้ เกรงว่านางคงทรุดลงไปกองกับพื้นแล้ว

 คุณหนูใหญ่ คุณหนูใหญ่!  เหตุการณ์ตรงหน้าทำให้ซวงเถาตกใจจนพูดติดขัด  เหตุใดเป็นเช่นนี้? มิใช่ว่าผู้คุมของสกุลเผยกับคนของศาลาว่าการจะมาเดินลาดตระเวนตรวจตราร้านค้าของพวกเขายามดึกหรือ นายท่านสามบอกว่าหน้าร้อนปีนี้จะร้อนหนัก อากาศแห้งแล้ง น่ากลัวจะเกิดไฟไหม้ หลายวันก่อนยังสั่งเป็นพิเศษให้คนวางโอ่งน้ำใหญ่สามสิบแปดใบไว้สองฝั่งของถนนฉางซิ่ง ทุกวันก็ให้เถ้าแก่แต่ละร้านคอยเติมน้ำให้เต็มโอ่ง ถนนฉางซิ่งจะไฟไหม้ได้อย่างไร? แล้วร้านค้าของสกุลเราจะเป็นเช่นไรล่ะเจ้าคะ? 

จริงด้วย!

แล้วร้านค้าของสกุลพวกนางจะทำอย่างไรเล่า?

ดวงตาสองข้างของอวี้ถังรื้นน้ำตา ภาพเบื้องหน้าพลันเลือนรางไม่ชัดเจน

นางได้กลับมาเกิดใหม่หรือนี่!

ซ้ำยังกลับมาตอนคืนวันที่ร้านค้าของสกุลนางไฟไหม้อีกด้วย

ครอบครัวนางรักใคร่ปรองดอง มีสัมพันธ์แน่นแฟ้น นางเติบโตมาอย่างราบรื่นสมใจจนถึงวัยปักปิ่น ก่อนหน้านั้น สิ่งที่ขัดอกขัดใจนางมากที่สุดในชีวิตก็คือบิดามารดาไม่ยอมให้นางปีนป่ายต้นไม้หรือลงเล่นน้ำในแม่น้ำ พวกเขาบังคับให้นางร่ำเรียนวิชาเย็บปักถักร้อยไม่ให้ออกไปไหน ความทรงจำนั้นเป็นสุขและอุ่นวาบ ทว่าจำได้ไม่แม่นยำนัก เพียงเพราะหน้าร้อนปีนั้น เหตุการณ์ไฟไหม้อันไม่คาดฝันได้เผาร้านค้าทั้งหมดในถนนฉางซิ่งจนวอด ร้านค้าเครื่องลงรัก [1] ของสกุลนางกับท่านลุงใหญ่ก็หาได้โชคดีหลบเลี่ยงภัยร้ายนี้ไปได้ ไม่เพียงวัตถุดิบในร้านที่มอดไหม้ ทั้งโรงเก็บสินค้าและโรงงานหลังร้านก็ถูกเผาจนวอด สินค้าที่ใกล้จะต้องส่งมอบหายวับ แม่แบบอันล้ำค่าที่บรรพบุรุษทิ้งเอาไว้ให้ก็ไม่มีเหลือ สกุลอวี้ล้มครืน เริ่มตกต่ำนับตั้งแต่วันนั้น

ห่างไปไม่ไกลมีคนพยายามพุ่งเข้าไปในร้านเพื่อดับไฟ ทว่ากลับถูกคานไม้ถล่มลงมาทับอยู่ใต้กองเพลิง

 ตาเฒ่า! ตาเฒ่า!  หญิงสาววิ่งเข้าไปช่วยคน ทว่ามือเท้าสับสนไม่รู้จะช่วยอย่างไร ก่อนจะถูกคนห้ามเอาไว้ก่อน

ทั้งยังมีชายผู้หนึ่งนั่งกองอยู่บนพื้น มือฟาดลงที่ขาพลางร้องไห้โหยหวน  แล้วพวกข้าจะอยู่ต่อไปอย่างไรเล่า? 

อวี้ถังกับซวงเถาถูกคนที่รู้ข่าวแล้ววิ่งผ่านไปมาเป็นระลอกชนเข้าที่ไหล่ ซวงเถาถึงได้สติในที่สุด

นางรีบดึงอวี้ถังมายืนด้านข้าง เอ่ยอย่างร้อนรนว่า  คุณหนูใหญ่ นายหญิงยังป่วยอยู่ นายท่านก็ไม่อยู่ที่เรือน ท่านไม่บอกอะไรสักคำก็วิ่งออกมาแล้ว… 

อวี้ถังพลันได้สติขึ้นมาเช่นกัน

สำหรับซวงเถาในตอนนี้ อวี้ถังเพิ่งจะตกจากชิงช้ากลางอากาศสลบไปครึ่งค่อนวันเพราะยืนไม่มั่น แต่สำหรับนางแล้ว นางได้ประสบกับความตกต่ำของตระกูล บิดามารดาสิ้นชีพ สามีก็ด่วนจากไป ขณะครองตัวเป็นม่ายยังถูกพี่ชายสามีคิดรวบหัวรวบหาง ไม่ง่ายกว่าจะเอาตัวรอดจากบ้านสามีมาได้ แต่กลับมาถูกฆ่าตายที่อารามซึ่งคุ้มครองนางเสียอย่างนั้น

แม้เหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งนี้จะสำคัญ ทว่าสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่า คืออาการป่วยของมารดานาง

บิดาของนาง อวี้เหวิน กับมารดาสกุลเฉินผูกสมัครรักใคร่ แม้ตอนที่มารดาคลอดนางจะทำให้ร่างกายอ่อนแอจนให้กำเนิดบุตรไม่ได้อีก แต่บิดานางก็ทะนุถนอมรักใคร่มารดาราวกับของล้ำค่า ไม่เคยวางตัวห่างเหิน ทว่านับแต่มารดาคลอดนางออกมาก็โรคภัยรุมเร้า เจ็ดในสิบวันต้องคอยดื่มยาอยู่ตลอด ไม่กี่วันก่อนบิดาของนางรู้ข่าวจากสหายว่าหมอหลวงหยางโต่วซิงเกษียณอายุกลับไปอยู่บ้านเกิด จึงตั้งใจมุ่งหน้าไปที่เมืองซูโจวเพื่อหาวิธีการรักษาและยาดีมาให้มารดา

ชาติก่อน บิดาของนางกลับมามือเปล่า มารดาสะเทือนใจเรื่องที่นางตกจากชิงช้าจนอาการทรุดลุกจากเตียงไม่ได้อีก บิดาจึงตัดสินใจพามารดาเดินทางไปเขาผู่ถัวตามหาหมอหลวงเร้นกายนามว่าหวังไป๋เพื่อหาทางรักษา ทว่าระหว่างเดินทางกลับเรือเจอคลื่นพายุจนอับปาง และสิ้นชีวิตลงในอุบัติเหตุครั้งนั้น

 ไปเร็ว รีบกลับเรือนกันเถอะ!  อวี้ถังใจร้อนเป็นไฟ ลากซวงเถาวิ่งไปยังทิศทางกลับเรือน

 เดี๋ยวก่อนเจ้าค่ะ เดี๋ยวก่อน!  ซวงเถาหอบแฮ่กๆ เพราะวิ่งตามนาง ก่อนจะเอ่ยปากว่า  ท่านจะไปที่ใดเจ้าคะ? เรือนอยู่ทางนั้น! 

อวี้ถังชะงักเท้า นิ่งเงียบไปพักหนึ่ง

สิบปีแล้วที่นางไม่ได้กลับไปยังเรือนซึ่งตั้งอยู่บนตรอกชิงจู๋ นางเกือบลืมไปแล้วว่าจากถนนฉางซิ่งไปตรอกชิงจู๋ยังมีทางลัดเส้นนี้อยู่ด้วย

อาจเพราะถนนฉางซิ่งถูกไฟไหม้ ตรอกเล็กๆ ที่ปกติมักเงียบเหงาจึงยังพอมีคนสัญจรไปมาอยู่บ้าง ทว่าทุกคนต่างสาวเท้าอย่างเร่งร้อน เงยหน้าขึ้นมองกันทีหนึ่ง ก่อนจะเดินสวนไหล่กันไปด้วยสีหน้าคร่ำเคร่ง

ยามนี้ที่เรือนด้านหลังเงียบสงัด ไผ่เซียงเฟยหลายกอที่ตั้งตรงเป็นแนวกำลังแกว่งไกวกิ่งก้านอยู่ใต้แสงจันทร์ เสียงจอแจและความวุ่นวายบนถนนฉางซิ่งคล้ายเป็นเรื่องของโลกอีกใบโดยสิ้นเชิง

เสียงไอของมารดาลอยมาชัดเจน ฟังคล้ายว่าไอสุดแรงจนตัวโยน  อาถังเป็นอย่างไรบ้าง? ตื่นแล้วหรือยัง? 

คนที่ตอบคำถามมารดาคือป้าเฉินที่รับใช้อยู่ข้างกาย  ตื่นแต่เช้าแล้วเจ้าค่ะ บอกว่าต้องกินเกาลัดคั่วน้ำตาลถึงจะดีขึ้น ท่านว่าฤดูนี้ ข้าจะไปหาเกาลัดคั่วน้ำตาลจากไหนมาให้นางได้? นางมาหลอกทานดอกกุ้ยฮวาลอยน้ำเชื่อมไปถ้วยหนึ่ง กับขนมเถาซู [2] อีกสามชิ้น ถึงได้ยอมนอนพัก 

น้ำตาของอวี้ถังพลันทะลักออกมา

ชาติก่อน นางไม่เคยคิดอะไรมากมาย มารดาแม้จะล้มป่วยเป็นประจำ แต่นางก็ไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องใหญ่โต ซ้ำยังเอาเรื่องที่ตนตกชิงช้ามาหลอกกินของอร่อย เรื่องที่ปกติมารดาไม่อนุญาตให้ทำนางก็ทำเสียจบครบ แม้วันที่บิดาพามารดาไปเสาะหายาดี ก่อนออกเดินทางนางยังงอแงให้บิดาหาผงโป่งรากสนมาฝากนางด้วยสองห่อ ไม่เช่นนั้นนางจะไม่ยอมท่องหนังสืออีก

 ท่านแม่!  อวี้ถังยืนอยู่หน้าห้องของมารดา ส่งเสียงเรียกนางทีหนึ่งอย่างยากจะสะกดอารมณ์

เสียงประตูดัง ‘แอ๊ด’ ทีหนึ่งก่อนจะเปิดออก

ป้าเฉินยื่นศีรษะออกมาแล้วส่งสายตาให้นาง  คุณหนูใหญ่อยากทานอะไรหรือเจ้าคะ? ป่านนี้เตาไฟในครัวคงจะมอดแล้ว อย่างมากก็คั่วข้าวให้ท่านรองท้องได้ชามหนึ่ง มากกว่านี้ไม่มีแล้วเจ้าค่ะ 

อวี้ถังชะงักกึก

นางหาใช่เด็กสาวที่ถูกบิดาประคบประหงมไว้กลางฝ่ามือ ไร้หัวคิด และไม่รู้ประสาอะไรคนนั้นอีกแล้ว

ป้าเฉินทำหน้าประหลาดใจ สมองของนางจึงหมุนแล่นเร็วพลัน

หรือว่าเวลานี้เมื่อชาติก่อน อาการของมารดาย่ำแย่เหลือเกินแล้ว?

อวี้ถังสีหน้าเคร่งเครียด สายตาที่มองป้าเฉินจึงเจือความหนักอึ้งอยู่หลายส่วน นางทำมือบอกให้ป้าเฉินตามนางมา ทว่ากลับใช้น้ำเสียงที่แฝงความเย่อหยิ่งของเด็กสาวกล่าวว่า  ท่านแม่ข้าดีขึ้นบ้างหรือไม่? ข้าไม่ได้หิว ข้าอยากจะคุยกับท่านแม่สองสามคำ 

อวี้ถังคนนี้ทำให้ป้าเฉินรู้สึกแปลกหน้าและประหลาดใจนัก นางไม่ทันได้คิดมากก็พยักหน้าส่งให้อวี้ถัง แต่เอ่ยห้ามนางเอาไว้  นายหญิงเพิ่งจะดื่มยา ตอนนี้บ้วนปากและพักผ่อนแล้ว คุณหนูใหญ่มีเรื่องอันใดค่อยมาพรุ่งนี้เถอะเจ้าค่ะ 

อวี้ถังชะโงกศีรษะเข้าไปดูในห้อง

มารดาที่เมื่อครู่ยังพูดคุยกับป้าเฉินไม่ได้ส่งเสียงใดๆ

เห็นชัดว่าไม่ต้องการพบนาง

หัวใจของอวี้ถังหนักอึ้ง นางพยายามเลียนแบบน้ำเสียงของตนตอนอายุสิบห้าอย่างเต็มที่  ก็ได้! ข้าจะกลับไปนอนก่อน เจ้าอย่าลืมบอกท่านแม่ล่ะว่าข้ามาหา 

 ไม่ลืมเจ้าค่ะ! ไม่ลืม!  ป้าเฉินหัวเราะ แล้วจงใจเอ่ยเป็นนัยว่า  ลมหนาวน้ำค้างหนักเช่นนี้ ให้ข้าไปส่งคุณหนูกลับห้องนะเจ้าคะ 

ฤดูกาลนี้มีลมมีน้ำค้างเมื่อไรกัน? ก็แค่ต้องการหาโอกาสพูดคุยกับนางเป็นการส่วนตัวก็เท่านั้น

อวี้ถังผงกศีรษะ แล้วเดินกลับไปที่เรือนข้างๆ ของตนพร้อมกับป้าเฉิน

เพราะว่ารีบร้อนออกไป ผ้าห่มยังกองขยุกขยุยอยู่บนเตียง รองเท้าใส่ในเรือนก็กระจายอยู่คนละทิศ ข้างหนึ่งอยู่หน้าเตียง อีกข้างอยู่กลางห้อง ป้าเฉินจึงตำหนิซวงเถาเสียงดุทันที  เจ้าดูแลคุณหนูอย่างไร? ห้องรกรุงรังไปหมด ถ้านายหญิงมาเห็นคงต้องอบรมเจ้าอีกแน่ 

ซวงเถาหน้าร้อนวูบ พลันหมุนตัวไปเก็บกวาดห้องทันที

อวี้ถังลากป้าเฉินมาพูดคุย  ท่านแม่เป็นอะไรกันแน่? เจ้าอย่าได้คิดหลอกข้านะ ข้ารู้ว่าปกติหลิวซานเทียที่อยู่โรงยาจี้หมินเป็นคนมาตรวจอาการท่านแม่ ไม่อย่างนั้นข้าจะไปถามเขาที่โรงยาจี้หมินด้วยตัวเอง 

ป้าเฉินมองอวี้ถังอย่างฉงนทีหนึ่ง

อวี้ถังถูกเลี้ยงดูอย่างตามใจจนเติบใหญ่ แม้พูดไม่ได้ว่าถูกตามใจจนเสียคน แต่ก็หาได้เป็นเด็กสาวที่แข็งกร้าว นับว่าเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นนางพูดจาบีบคั้นเช่นนี้

ป้าเฉินอดจะออกอาการลังเลมิได้

อวี้ถังรู้จักตัวเองดีว่าเป็นคนเช่นไร พูดน่าฟังหน่อยเรียกว่าคนไร้เล่ห์เหลี่ยม พูดให้ระคายหูหน่อยเรียกว่าคนไร้สมอง ไม่ว่าในเรือนจะเกิดเรื่องใดขึ้น นางย่อมไม่ใช่ที่พึ่งพา ทุกคนก็ไม่เคยบอกเล่าอะไรให้นางฟังเช่นกัน

นางพูดกับป้าเฉินต่อไปว่า  เจ้าดูสภาพข้าสิ ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง ข้าเพิ่งวิ่งไปข้างนอกมา ถนนฉางซิ่งไฟไหม้แล้ว ร้านค้าของสกุลเราก็ถูกเผาจนเกลี้ยง 

อาศัยแสงโคมอันริบหรี่ ป้าเฉินเพิ่งจะเห็นว่าเสื้อผ้าของอวี้ถังหลุดลุ่ย นางเอ่ยอย่างตื่นตระหนกว่า  ท่านว่าอะไรนะเจ้าคะ? ถนนฉางซิ่งไฟไหม้? 

อวี้ถังพยักหน้า  สินค้าในร้านไม่มีเหลือแล้ว แปลงนาก็ต้องรอให้ผ่านวันไหว้พระจันทร์ไปก่อนถึงจะเก็บผลผลิตได้ ทั้งยังต้องรักษาอาการป่วยของท่านแม่อีก บ้านเราไม่เหลือเงินแล้ว 

วาจานี้ไม่ใช่การข่มขู่ป้าเฉินแต่อย่างใด

ชาติก่อนเรื่องราวก็ดำเนินไปเช่นนี้

สกุลอวี้กำลังทรัพย์ถดถอย ทว่าไม่ถึงขั้นตกอับเพียงเพราะร้านค้าสองแห่งถูกไฟไหม้ ทว่าไฟไหม้ครั้งนี้ ทำให้ของ

ในโรงเก็บสินค้าที่ผู้อื่นมัดจำเอาไว้ถูกเผาจนวอดวาย สกุลอวี้ต้องชดใช้ด้วยเงินก้อนโต ภาพวาด ‘ตกปลาใต้ต้นสนริมน้ำ’ ของหลี่ถังในราชวงศ์ก่อนซึ่งบิดาได้ขอซื้อต่อจากสหายก็ถึงเวลาต้องจ่ายเงินแล้ว มารดาไม่อยากให้บิดาผิดหวัง จึงตัดสินใจขายที่นาชั้นดีของครอบครัวไปสามสิบหมู่ [3] โดยพลการ กระทั่งตอนที่บิดาพามารดาเดินทางไปเขาผู่ถัว ก็แอบมารดาขายที่นาชั้นดีไปอีกยี่สิบหมู่…ภายหลังบิดามารดาสิ้น เพราะต้องจัดงานศพให้สมหน้าสมตา นางจึงได้ขายที่นาชั้นดีซึ่งเหลืออยู่ห้าสิบหมู่ไปจนเกลี้ยง

สมบัติที่ท่านปู่แบ่งให้บิดาหมดไปแล้ว ส่วนทางฝั่งท่านลุงก็เจอปัญหา จึงไม่อาจช่วยเหลือนางได้

นางถึงต้องตอบตกลงแต่งงานกับคนสกุลหลี่

ภาพความทรงจำแวบผ่าน สีหน้าอวี้ถังหนักอึ้งขึ้นหลายส่วน

นางเอ่ยหน้าตึงว่า  หากว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับท่านแม่ล่ะก็ เมื่อท่านพ่อกลับมาต้องไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่! 

ป้าเฉินหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก

นางเป็นสาวใช้ที่ติดตามคนสกุลเฉินมาด้วยตอนออกเรือน ทั้งยังเป็นแม่นมของคนสกุลเฉิน ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับคนสกุลเฉิน นางย่อมร้อนรนและปวดใจยิ่งกว่าใครเสียอีก ทว่าคุณหนูใหญ่กลับมาข่มขู่นาง

เมื่อต้องเจอกับคุณหนูใหญ่ในรูปแบบนี้ นางกลับรู้สึกปลื้มอกปลื้มใจอย่างบอกไม่ถูก

นางหยุดคิดเล็กน้อย แล้วบอกอวี้ถังว่า  อากาศร้อนนัก นายหญิงไม่ค่อยเจริญอาหาร ทานอะไรไม่ลงสักอย่าง ซ้ำด้วยเป็นห่วงอาการบาดเจ็บของคุณหนู จึงกินไม่ได้นอนไม่หลับอีก นางซูบผอมไปมาก แต่ไม่กล้าบอกให้คุณหนูรู้เจ้าค่ะ 

อวี้ถังอดจะรู้สึกผิดและตำหนิตัวเองไม่ได้

นางในชาติก่อน มีแต่ทำให้บิดามารดาต้องกังวลใจอยู่เสมอ ไม่เคยคอยดูแลห่วงใย ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงการเป็นที่พึ่งพิง

คิดถึงตรงนี้ อวี้ถังพลันประนมมือหันไปทางทิศตะวันตก แล้วเอ่ยว่า ‘อามิตตาพุทธ’

ชาติก่อน นางหาใช่ผู้มีศรัทธาเลื่อมใสในศาสนา ทว่าพระพุทธองค์ก็เวทนานาง ส่งนางกลับมายังเวลานี้ใหม่อีกครั้ง กลับมายามที่บิดามารดายังมีชีวิตอยู่ นางย่อมหวงแหนช่วงเวลานี้เป็นอย่างดี มิให้เรื่องเลวร้ายในอดีตต้องเกิดซ้ำ มิให้ครอบครัวต้องล่มจมตกอับ แตกแยกซ่านกระเซ็น

อวี้ถังปล่อยให้น้ำตาไหลเป็นสายดั่งหยาดฝน

————————————————————-

[1] เครื่องลงรัก คือ สิ่งของเครื่องใช้ที่ทำด้วยไม้เป็นต้น ฉาบรักสมุกให้ทั่ว แล้วแต่งผิวให้เรียบ

[2] ขนมเถาซู เป็นขนมอบกรอบคล้ายกับคุกกี้วอลนัต

[3] หมู่ เป็นหน่วยวัดพื้นที่ของจีนหน่วยหนึ่งที่ยังใช้กันอยู่ในปัจจุบัน (ราว 666 ตารางเมตร / 1 ไร่เทียบเท่ากับ 2.4 หมู่)

Related

 

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน (花娇)

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน (花娇)

Status: Ongoing

นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค-ดราม่า ผลงานใหม่จาก ‘จือจือ’ แนวชิงไหวชิงพริบแวดวงค้าขาย และรักต่างชนชั้นน่าลุ้น! ‘อวี้ถัง’ บุตรสาวคนโตของตระกูลพ่อค้า ลืมตาตื่นขึ้นมาในวันที่กิจการครอบครัวถูกไฟไหม้วอดวาย วันนั้น…คือห้วงเวลาก่อนที่ตัวนางต้องแต่งงานเข้าสกุลหลี่เพื่อพยุงกิจการครอบครัว แล้วกลายเป็นม่ายตั้งแต่ยังสาว และถึงคราวพบจุดจบแสนอาภัพ เมื่อโชคชะตาไม่ใจร้าย ส่งให้นางย้อนกลับมาแก้ไขเรื่องราวก่อนจะสายเกินไป นางจึงต้องทำทุกทาง แม้กระทั่งไปพัวพันกับคนสกุลเผยที่สถานะสูงศักดิ์เหนือผู้ใด เพื่อกอบกู้ฐานะทางการเงิน เพื่อรักษาครอบครัวให้ยังอยู่พร้อมหน้า ทักษะทางการค้า ไหวพริบ เล่ห์กลจึงต้องมี ทว่า ‘เผยเยี่ยน’ นายท่านสามแห่งสกุลเผย ผู้ที่ครั้งก่อนไม่เคยอยู่ในสายตากลับปรากฏตัวให้นางเห็นอยู่ร่ำไป นอกจากชะตาครั้งใหม่ เห็นทีเรื่องหัวใจอาจเป็นฤดูกาลใหม่เช่นกัน ฤดูใหม่นี้… หญิงสาวไร้เดียงสาดั่งบุปผากลีบบาง จะเปลี่ยนเป็นบุปผางามที่แข็งแกร่ง นี่คือ ห้วงเวลาของบุปผาที่กำลังผลิบาน บนย่านการค้าแห่งนี้ที่แข่งกันเร่าร้อนดั่งฟอนไฟ!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท