องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ – บทที่ 359 จวินฉูฉู่ถูกลดสถานะ

บทที่ 359 จวินฉูฉู่ถูกลดสถานะ

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บบที่ 359 จวินฉูฉู่ถูกลดสถานะ
ทั้งสองคนกำลังจะถกเถียง อวิ๋นหลัวฉวนก็เกิดอาการสำรอกออกมา พะอืดพะอมเล็กน้อย ท่านอ๋องตวนไม่วางใจ รีบเข้าไปกอดไว้ทันที

“ปล่อยข้า”

อวิ๋นหลัวฉวนโกรธเกรี้ยว โกรธจนอยากจะอาเจียนออกมา

มือของหนานกงเหยี่ยนลูบไปบนแผ่นหลังของอวิ๋นหลัวฉวน : “อย่าโกรธไปเลย กินลูกท้อเปรี้ยวก่อนเถอะ”

หนานกงเหยี่ยนหยิบลูกท้อยัดใส่ปากของอวิ๋นหลัวฉวน แต่นางกินไม่ได้จึงผลักหนานกงเหยี่ยนออกไป : “หยุดเสแสร้งได้แล้ว”

ท่านอ๋องตวนไม่สนใจนาง และมองไปทางจวินฉูฉู่

ใบหน้าที่กำลังโกรธของจวินฉูฉู่เปลี่ยนเป็นซีดเผือด ทั้งโกรธทั้งชิงชัง ต่อหน้าของนางยังทำเรื่องเช่นนี้

นางตายไปแล้วรึ?

ท่านอ๋องตวนกล่าวถามว่า : “ฉูฉู่ เหตุใดเจ้าถึงให้คนในจวนทะเลาะกัน?”

จวินฉูฉู่ทั้งเย่อหยิ่งและก้าวร้าวมาก : “ข้าเป็นนายหญิงของจวนอ๋องตวน ข้าไม่มีสิทธิ์ควบคุมพวกเขาเช่นนั้นหรือ?”

“เจ้ามีสิทธิ์ แต่เจ้าจะโมโหโดยไร้เหตุผลไม่ได้ หรือเจ้าไม่รู้ว่าควรทำตัวให้เป็นแบบอย่าง?” ท่านอ๋องตวนแสดงสีหน้าเคร่งขรึม แต่ดวงตาของเขายังคงไม่ละไปจากอวิ๋นหลัวฉวน

เขาอยากรู้อารมณ์ความรู้สึกทางสีหน้าของนาง แต่กลับโมโหจวินฉูฉู่ไปเสียแล้ว

จวินฉูฉู่ยกมือขึ้นจะตบอวิ๋นหลัวฉวน อวิ๋นหลัวฉวนจึงมองออกไปด้วยความโกรธเกรี้ยว ท่านอ๋องตวนจึงคว้ามือของจวินฉูฉู่ด้วยมือข้างหนึ่ง จากผลักเจ้าตัวออกไป

จวินฉูฉู่ถอยไปด้านหลัง ด้วยความตกใจสุดขีด

“ท่านอ๋องกล้าทำเช่นนี้กับข้าหรือเพคะ?”

ท่านอ๋องตวนไม่กล่าวสิ่งใด อวิ๋นหลัวฉวนจึงกล่าวด้วยความโกรธเกรี้ยวว่า : “เขาคือท่านอ๋อง เหตุใดจะไม่กล้า? จวินฉูฉู่ เจ้าคงสติฟั่นเฟือนไปแล้วกระมัง? เด็กรับใช้ภายในจวนต้องคอยปรนนิบัติเจ้าอย่างทุกข์ทรมาน ต้องค่อยตรากตรำรับใช้เจ้าทั้งวัน เจ้าไม่สนใจไยดีพวกเขาก็ช่าง เจ้ายังกล้าทำร้ายพวกนาง เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือ?”

“อวิ๋นหลัวฉวน เจ้าหยุดพูดจากล่าวหาข้าเช่นนี้ เจ้าเป็นใคร เจ้าเอาแต่พร่ำบอกว่าไม่มีใจกับท่านอ๋องตวน แต่เจ้ากลับล่อลวงเขา จนเจ้าตั้งครรภ์ ที่นี้เจ้าก็ไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะพูดได้”

จวินฉูฉู่ถลึงตาใส่ท่านอ๋องตวนและอวิ๋นหลัวฉวนด้วยสายตาเย็นชา ท่านอ๋องตวนส่ายหน้า : “ในเมื่อเจ้าคิดเช่นนี้ ข้าก็คงไม่มีสิ่งใดจะพูด ถึงอย่างไรพระชายารองอวิ๋นก็เป็นพระชายารองของข้า หากตอนนี้นางไม่อยู่ในจวน เจ้าก็คงไม่ต้องโมโหถึงเพียงนี้

ข้าจะไปเยี่ยมฮูหยินพ่อบ้าน อีกประเดี๋ยวพระชายาเย่คงจะเสด็จมาถึง

เรื่องนี้ข้าจะไม่ตรวจสอบอีก เพียงแต่เกรงว่าเสด็จแม่อาจจะตรวจสอบเรื่องนี้

ฮูหยินพ่อบ้านก็คือคนของเสด็จแม่ ไม่ใช่คนที่เจ้าจะควบคุมได้โดยง่าย เรื่องที่น่าอับอายในวันนี้ ข้าทำได้แค่ต้องแบกรับ”

หนานกงเหยี่ยนมองไปทางใบหน้าเล็ก ๆ ที่กำลังโกรธของอวิ๋นหลัวฉวน จึงยิ่งเป็นกังวลมากกว่าเดิม : “นางคือพระชายาเอก เจ้าคือพระชายารอง ความน่าเคารพและความต่ำต้อยต่างกัน เจ้าต้องจำไว้ว่าอย่าพูดจามั่วซั่วยั่วโมโหนางอีก วันนี้นางจึงต้องทำร้ายเจ้า ให้อภัยนางซะ

ไปกันเถอะ”

หนานกงเหยี่ยนดึงข้อมือของอวิ๋นหลัวฉวน จากนั้นก็หมุนตัวและพานางเดินจากไป

จวินฉูฉู่กัดฟันกรอดด้วยความโกรธ หนานกงเหยี่ยนเดินออกไปหน้าประตูและกำชับกับทหารข้างนอกว่า : “ส่งคนไปคุ้มกันพระชายาด้วย อย่าให้พระชายาเป็นอะไรไปเด็ดขาด สองสามวันนี้ห้ามให้นางออกจากจวน ดูแลเรื่องดื่มเรื่องกินให้นางเต็มที่ อย่าให้บกพร่องแม้แต่น้อย”

ระหว่างนั้นมีคนกลุ่มหนึ่งวิ่งมาด้วยความเร็ว จากนั้นก็คุกเข่าลงคารวะ

อวิ๋นหลัวฉวนไม่เคยเห็นคนเหล่านั้น นางกลับรู้สึกคุ้นหน้าเหมือนจะเป็นทหารองครักษ์จากวังหลวง

อวิ๋นหลัวฉวนไม่สบายใจนัก แต่นางก็ถูกลากจากไป

หลังจากออกจากจวนมาแล้วพวกเขาก็ตรงไปเยี่ยมเยือนพ่อบ้านและฮูหยินพ่อบ้านในลานหลังจวน อวิ๋นหลัวฉวนมีความเป็นกังวลเล็กน้อย นางและพ่อบ้านไม่มีความสัมพันธ์อะไรต่อกัน ประกอบกับที่พ่อบ้านก็ปฏิบัติกับนางไม่ดีด้วย

แต่เมื่อนึกถึงเรื่องที่พ่อบ้านถูกรังแก นางยังคงขุ่นเคืองอยู่ไม่น้อย

หลังจากมาถึงลานหลังจวนก็เจอกับฮูหยินพ่อบ้าน อวิ๋นหลัวฉวนถึงกับร้องไห้ด้วยความปวดใจ

“ทำอย่างไรดี? หม่อมฉันรักษาไม่ได้หรอกนะเพคะ” อวิ๋นหลัวฉวนนั่งลงพลางเอ่ยขึ้น ฮูหยินพ่อบ้านค่อย ๆ ลืมตาอย่างช้า ๆ เวลานี้นางอ่อนแอจนแทบจะประคองชีวิตไม่ไหว แต่เมื่อนางเห็นอวิ๋นหลัวฉวนนางก็ยังคงคลี่ยิ้มอย่างอบอุ่น

“พระชายารองอวิ๋นไม่ต้องเป็นกังวล ชีวิตของบ่าวมันถึงเวลาแล้ว ไม่นานก็ต้องจากไป แต่ก่อนจากไปบ่าวยังได้เห็นหน้าท่าน บ่าวก็พอใจมากแล้วเจ้าค่ะ”

อวิ๋นหลัวฉวนเช็ดคราบน้ำตา : “อีกไม่นานท่านพี่เสียนเฟยก็จะมาถึงแล้ว เจ้าต้องอยู่ต่อนะ”

น้ำตาของอวิ๋นหลัวฉวนไหลพรากดั่งสายฝน ร้องไห้แทบขาดใจ

ท่านอ๋องตวนยืนมองพ่อบ้านที่ไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใดจากด้านข้าง ยิ่งนึกถึงใบหน้าของจวินฉูฉู่ ก้ยิ่งเกลียดชัง

ในขณะที่กำลังร้องไห้นั้น ฉีเฟยอวิ๋นก็เดินเข้ามาอย่างรีบร้อน ตามมาด้วยหนานกงเย่และอาอวี่ที่ถือกล่องยาอยู่ในมือ

เมื่อเข้ามาฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่สนใจผู้ใด เร่งฝีเท้ามาตรงหน้าของฮูหยินพ่อบ้านกุมข้อมือของนางและตรวจวัดชีพจรของนาง

หลังจากตรวจแล้วพบว่าอ่อนแอไร้ซึ่งกำลัง ระบบไหลเวียนเลือดได้รับการอุดตัน ประกอบกับอาการบาดเจ็บภายนอก อีกไม่นานเจ้าตัวก็คงจะทนพิษบาดแผลไม่ไหว

ฉีเฟยอวิ๋นฉีดยากระตุ้นหัวใจก่อนเป็นอันดับแรก ตามด้วยการให้น้ำเกลือ ภายในล้วนเป็นยาบำรุงยาเสริมทั้งสิ้น ครึ่งชั่วยามผ่านไป ฮูหยินพ่อบ้านก็ค่อย ๆ ฟื้นตัวขึ้น ใบหน้าเริ่มมีสีเลือดฝาด

พ่อบ้านเห็นว่านางค่อย ๆ ดีขึ้น จึงซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก คุกเข่าก้มหน้าโขกพื้นดินไปทางฉีเฟยอวิ๋น : “ขอบพระคุณในพระมหากรุณาธิคุณที่พระชายาช่วยชีวิตนางไว้พ่ะย่ะค่ะ

ก่อนหน้านั้นกระหม่อมสร้างความหนักใจให้กับพระชายาเย่มาตลอด ล้วนเชื้อคำขู่ของจวินฉูฉู่ ล้วนเป็นความโง่เขลาของกระหม่อมเอง”

น้ำเสียงของพ่อบ้านอาวุโสสั่นเครือ ฉีเฟยอวิ๋นกลับไม่ได้คิดสิ่งใด หมุนตัวและมองไปทางท่านอ๋องตวน : “เรื่องในวันนี้ คงสร้างความตื่นตระหนกให้แก่พระมเหสีอย่างมาก ก่อนมาที่นี่พระมเหสีได้ทรงกำชับว่าให้หม่อมฉันจัดการอย่างยุติธรรม”

ท่านอ๋องตวนจะกล่าวสิ่งใดได้อีก เขาทำได้แค่ปิดปากไม่กล่าวสิ่งใด

อวิ๋นหลัวฉวนรีบกล่าวขึ้นว่า : “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นข้าก็คงต้องพาท่านพี่เสียนเฟยไปแล้ว”

กล่าวจบอวิ๋นหลัวฉวนก็เช็ดน้ำตา ลุกขึ้นและเตรียมเดินจากไป

ฉีเฟยอวิ๋นดึงนางไว้ : “เจ้าไม่ต้องไปหรอก ข้าตัดสินใจเอง เรื่องความขัดแย้งภายในจวนของท่านอ๋องตวนข้าไม่สนใจได้ แต่ทำร้ายคนราวกับผักกับปลา เกี่ยวพันถึงพระมเหสีที่ประทับอยู่ในวัง ข้าคงยอมพวกเจ้าไม่ได้”

ฉีเฟยอวิ๋นมองไปทางท่านอ๋องตวน : “ท่านอ๋องตวน เรื่องความขัดแย้งภายในจนของท่านข้าไม่สนใจได้ แต่เรื่องของฮูหยินพ่อบ้านข้าต้องตรวจสอบ”

“เรื่องทั้งหมดที่ฉูฉู่ทำ ล้วนอยู่ใต้อาณัติของข้า หากนางกระทำผิด ข้าและนางจะแบกรับร่วมกัน”

หนานกงเหยี่ยนหมุนตัวเดินจากไป ฉีเฟยอวิ๋นกลับชื่นชมในตัวของท่านอ๋องตวน ถึงตอนนี้ เขาก็ยังไม่สามารถปล่อยจวินฉูฉู่ไปได้ หรือเรียกได้ว่าเพราะความหลงใหล

ออกจากจวนไปฉีเฟยอวิ๋นก็ไปตรวจสอบทันที อวิ๋นหลัวฉวนอยู่เป็นเพื่อนฮูหยินพ่อบ้าน

เวลานี้แม่นมเว่ยได้มาถึงแล้ว เมื่อเห็นพี่น้องถูกทรมานจนมีสภาพเป็นเช่นนี้ น้ำตาจึงได้เอ่อล้นออกมา

เมื่อเห็นนางร้องไห้ อวิ๋นหลัวฉวนก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นเช่นกัน

หลังจากตรวจสอบชัดเจนแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นก็ไปยังลานกว้างของจวินฉูฉู่ เวลานี้จวินฉูฉู่กำลังนั่งดื่มชาอย่างสบายอารมณ์อยู่บนม้านั่งหินในลานกว้าง หลังจากได้รับการขัดเกลามาหลายครั้งหลายครา ครั้งนี้นางสงบที่สุด

เมื่อเห็นฉีเฟยอวิ๋น จวินฉูฉู่ยังคงแต่งกายด้วยชุดคลุมสีแดงยาว

เมื่อฉีเฟยอวิ๋นเข้ามาและเดินมาถึงตรงหน้าของนาง ตามมาด้วยอาอวี่ เรื่องเดียวที่จวินฉูฉู่ผิดหวังคือเรื่องนี้ นางคิดว่าหนานกงเย่จะตามมาด้วย พวกเขาจะได้พบเจอกัน

คาดไม่ถึงว่า หนานกงเย่จะไม่มา

นางผิดหวังอย่างมาก จึงดื่มชาไปหัวเราะไป

ท่าทางดูหมิ่นเช่นนี้ ในสายตาของฉีเฟยอวิ๋น นางไม่เข้าใจอย่างยิ่ง เดิมทีเป็นผู้ที่งดงามพร้อม เหตุใดถึงได้เปลี่ยนไปเป็นเช่นนี้?

“ข้าได้รับคำสั่งจากฝ่าบาท ได้รับความไว้วางใจจากพระมเหสี ตรวจสอบเรื่องที่เจ้าทำร้ายคนในจวน และได้รับการตรวจสอบแล้วว่าเป็นความจริง วันนี้จึงมายึดฐานันดรความเป็นพระชายาของเจ้า ลดสถานะให้เหลือเพียงแค่หญิงสามัญชน!”

จวินฉูฉู่เงยหน้ามองฉีเฟยอวิ๋น พลางหัวเราะขบขัน : “เจ้าคิดว่าตนเองเป็นใคร ยึดฐานันดรพระชายาเอกของข้า หรือว่าเจ้าตัดสินใจเองได้ ข้าต้องการเข้าเฝ้าฝ่าบาท”

“หากเจ้ามีความสามารถ ก็ไปขอเข้าเฝ้าเลย”

ฉีเฟยอวิ๋นยืดตัวขึ้น พลางมองไปทางจวินฉูฉู่แวบหนึ่ง ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป

จวินฉูฉู่ยกแก้วชาพลางมองไปยังฉีเฟยอวิ๋นที่เดินจากไป มือของนางถือแก้วชาไว้แน่น กระทั่งฉีเฟยอวิ๋นจากไปไม่เห็นแม้แต่เงา แก้วชาในมือของนางจึงได้หกลงบนพื้น

ดวงตาของนางเบิกกว้าง จ้องเขม็งไปทางประตู

“ท่านอ๋องละ?” จวินฉูฉู่ไม่เห็นหนานกงเหยี่ยน

สาวใช้จึงรีบคุกเข่า : “บ่าวไม่ทราบเพคะ”

“หึ….หนานกงเหยี่ยน เจ้าจะทำเช่นนี้กับข้าใช่หรือไม่?

เวลานี้ท่านอ๋องตวนยืนอยู่หน้าประตูลานกว้างจวินฉูฉู่ ได้ยินบทสนทนาของจวินฉูฉู่ เขาไม่เข้าไป แต่กลับหมุนตัวเดินจากไป

ฉีเฟยอวิ๋นและหนานกงเย่ยังไม่จากไปไหน ฉีเฟยอวิ๋นเงยหน้ามองแผ่นหลังของท่านอ๋องตวนที่เดินจากไปด้วยความรู้สึกจนปัญญา!

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 370 จวนแม่ทัพตกเป็นเป้าสายตา
ในวันที่สามหลังจากหนานกงเย่จากไป ฉีเฟยอวิ๋นก็รู้สึกเบื่อหน่าย ยิ่งไม่ต้องพูดว่าไปเป็นเวลาหนึ่งเดือนเลย

ท้องของนางโตขึ้นทุกวัน และทำให้นางคิดถึงหนานกงเย่

เขาไปเป็นเวลาหนึ่งเดือนและไม่มีข่าวคราว

ไม่ว่าใครก็ไม่สบายใจ

หลังทานอาหารกลางวันแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นก็เรียกอาอวี่มาและถามเขาเกี่ยวกับเรื่องที่ชายแดน

อาอวี่ส่ายหัว:“คราวนี้ไม่รู้อะไรเลยพ่ะย่ะค่ะ และในเวลานี้เมืองหลวงก็สงบมาก แต่ทุกครั้งก็แตกต่างกันออกไป”

“ทุกครั้ง?” ฉีเฟยอวิ๋นไม่แปลกใจเลย อย่างไรเสียในโลกนี้ก็มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และเดิมทีการมาที่นี่ก็เป็นเรื่องเหลือเชื่อ ดังนั้นจึงไม่มีอะไรน่าแปลก

อาอวี่อธิบายว่า:“เมื่อก่อนตอนที่ท่านอ๋องไม่อยู่ ในเมืองหลวงมักจะส่งข่าวคราวออกไป แม้ว่าท่านอ๋องจะอยู่ที่ชายแดนก็จะได้รับข่าวคราวจากเมืองหลวง

และข่าวคราวก็มาจากกองทัพของท่านอ๋อง ข้าก็เป็นคนของกองทัพ หากมีข่าวคราว ข้าก็ต้องรู้ แต่ในตอนนี้ไม่มีข่าวคราวใด ๆ เลยพ่ะย่ะค่ะ

เงียบจนน่าประหลาดใจ”

“ท่านอ๋องของเจ้ามีกำลังพลเยอะหรือไม่?” ฉีเฟยอวิ๋นไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน

อาอวี่กล่าวว่า:“ก็ไม่ได้เยอะพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่บางคนจะถูกจัดตามความสามารถของพวกเขา”

ฉีเฟยอวิ๋นมองไปที่อาอวี่อยู่ครู่หนึ่ง เขาไม่ได้บอกว่าก็คงจะมีเหตุผลที่เขาไม่สามารถบอกได้ นางจึงไม่ถามอีก หากนางอยากรู้ นางก็ไปถามหนานกงเย่จะง่ายกว่า

ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นและออกไปจากห้องนางออกไปจากสวนดอกกล้วยไม้ และเดินไปรอบ ๆ จวนอ๋องเย่ ในตอนนี้จวนอ๋องเย่เป็นระเบียบเรียบร้อย มั่งคั่งอุดมสมบูรณ์ และมีผู้คนไม่มากนัก ไม่มีประโยชน์ที่จะถือครองใต้หล้าไว้ในมือ นับประสาอะไรกับจวนอ๋องเย่

ฉีเฟยอวิ๋นออกจากจวนอ๋องเย่และไปที่จวนแม่ทัพ แม่ทัพฉีกำลังฝึกยุทธ์อยู่ เมื่อได้ยินว่าบุตรสาวกลับมา เขาก็รีบออกไปจากห้องฝึกซ้อม

ฉีเฟยอวิ๋นรีบเดินไปหาแม่ทัพฉี:“ท่านพ่อ ระยะนี้ท่านเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ?”

“สบายดี ไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้ว”

แม่ทัพฉีมองไปที่ฉีเฟยอวิ๋น บุตรสาวของเขาอ้วนขึ้นเล็กน้อย และท้องของนางก็กลม

แม่ทัพฉีไม่ได้รู้สึกเหมือนว่ามีเด็กหลายคน แค่คนเดียวก็ดีมากแล้ว

เมื่อเทียบกับคนอื่น ๆ แม่ทัพฉีรู้สึกว่ามีคนเดียวดีกว่า

มีหลายคนเช่นนั้น อันตรายมาก คนเดียวก็เพียงพอแล้ว

“อวิ๋นอวิ๋น เจ้าตรวจดูแล้วหรือไม่ว่ามีกี่คนกันแน่?เหตุใดพ่อถึงมองว่ามีแค่คนเดียว?”

“ตรวจดูแล้วเจ้าค่ะ แต่ไม่ออกว่ามีกี่คนกันแน่ ต้องรอให้คลอดก่อนถึงจะรู้เจ้าค่ะ แต่จากที่ดูแล้วท้องของข้าใหญ่กว่าท้องของคนอื่น ๆ นิดหน่อย”

“ใหญ่งั้นหรือ?” แม่ทัพดูไม่ออกและส่ายหัว

“ใหญ่สิเจ้าคะ”

ฉีเฟยอวิ๋นดึงแม่ทัพฉีและเหลือบมองไปที่ลานบ้าน

เป็นที่ทราบกันดีว่าอวิ๋นหลัวฉวนแท้งบุตรและพักฟื้นอยู่ที่จวนแม่ทัพ

ฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้มาบ่อยนัก แต่เป็นเพราะพระพันปีทรงตรัสว่านางก็เป็นคนที่ตั้งครรภ์คนหนึ่ง ไม่ใช่เรื่องดีที่จะเข้าออกห้องของหญิงที่แท้งบุตร

วันนี้ครบหนึ่งเดือนเต็ม และนางก็ตั้งใจมาเยี่ยมอวิ๋นหลัวฉวนด้วย

แม่ทัพฉีประหลาดใจ:“อวิ๋นอวิ๋นไม่รู้หรือ?”

ฉีเฟยอวิ๋นก็ประหลาดใจเช่นกัน:“ไปแล้วหรือเจ้าคะ?”

“เมื่อสองวันก่อนเป็นวันที่ครบหนึ่งเดือนเต็ม มีคนในวังมารับตัวนางไปแล้ว”

แม่ทัพฉีคิดว่าฉีเฟยอวิ๋นรู้แล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ได้บอกนาง

“แล้วใครมาเจ้าคะ?” ฉีเฟยอวิ๋นไม่รู้เรื่องนี้เลย

แม่ทัพฉีกล่าวว่า:“แม่นมเว่ยมาที่นี่”

“เช่นนั้นมีคนจากตระกูลอวิ๋นหรือไม่เจ้าคะ?” เรื่องนี้มีลับลมคมใน และฉีเฟยอวิ๋นก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ

“ไม่มี เป็นคนในวังที่มาตัวไปแต่เช้า จวนกั๋วกงมาช้าและทุกคนก็จากไปแล้ว”

“ท่านอ๋องตวนล่ะเจ้าคะ?”

“ไม่เห็น”

ฉีเฟยอวิ๋นพอที่จะเข้าใจแล้ว เพื่อที่จะทำให้อวิ๋นหลัวฉวนเปลี่ยนใจ เกรงว่าท่านอ๋องตวนจะพยายามอย่างสุดความสามารถ

หลังจากทานอาหารเย็นแล้วฉีเฟยอวิ๋นออกจากจวนแม่ทัพและกลับไป เมื่อกลับถึงจวน นางก็เห็นฮูหยินใหญ่ของฉีกั๋วกงรออยู่ที่จวนอ๋องเย่แล้ว

ฉีเฟยอวิ๋นพยักหน้า:“ฮูหยินใหญ่”

“หม่อมฉันคารวะพระชายาเย่”

“ฮูหยินใหญ่เชิญนั่งลงก่อน ใครก็ได้ มารินน้ำชา”

หงเถารีบมาเปลี่ยนน้ำชาใหม่ ฉีเฟยอวิ๋นและฮูหยินใหญ่กั๋วกงนั่งลง ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า:“ฮูหยินใหญ่มาที่นี่ มีเรื่องอะไรหรือ?”

“หม่อมฉันขอพูดตรง ๆ ฉวนเอ๋อร์หายตัวไป”

ฉีเฟยอวิ๋นตกใจ:“ฮูหยินใหญ่ บอกว่าหายตัวไปงั้นหรือ?”

“เพคะ หายตัวไป เรื่องเป็นอย่างนี้เพคะ เมื่อสองวันก่อนเป็นวันที่ฉวนเอ๋อร์แท้งบุตรครบหนึ่งเดือน ในเดือนนี้หม่อมฉันต้องที่จะดูแลฉวนเอ๋อร์ด้วยตนเอง พ่อแม่ของนางไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง หม่อมฉันเลี้ยงฉวนเอ๋อร์มาเองกับมือ นางต้องมาพบเจอเรื่องเช่นนี้ก็เป็นเพราะหม่อมฉันเองที่ไม่ดี

เป็นเพราะในตอนนั้นหม่อมฉันเชื่อคำพูดของพระมเหสีหวาและท่านราชครูจวิน และตกลงให้ฉวนเอ๋อร์แต่งงานกับท่านอ๋องตวน

ฉวนเอ๋อร์เองไม่ได้เต็มใจ เป็นหม่อมฉันที่เกลี้ยกล่อมนาง นางบอกว่าท่านอ๋องตวนแต่งงานกับจวินฉูฉู่แล้ว จวินฉูฉู่จิตใจโหดเหี้ยม และต้องการให้นางแต่งงานเป็นพระชายารองของท่านอ๋องตวน ก็เพื่อที่จะปกป้องอ๋องตวนให้ปลอดภัย

จึงถูกบีบบังคับให้จำใจต้องแต่งงาน

นึกถึงตระกูลอวิ๋นของข้าที่จงรักภักดี และทำเพื่อปกป้องต้าเหลียง

แม้ว่าท่านอ๋องตวนเป็นหนึ่งในผู้ที่จะได้รับเลือกให้เป็นมกุฎราชกุมาร จะละเลยได้อย่างไร

หญิงสาวคนนี้เชื่อฟังคำพูดของหม่อมฉัน

และครั้งนี้ก็พยายามอย่างเต็มที่จะปกป้องท่านอ๋องตวน ล้วนแต่เป็นเพราะคำพูดหลอกลวงของหม่อมฉัน

ในตอนนี้หม่อมฉันรู้สึกทุกข์ทรมานใจ

และคิดที่จะให้หย่าร้างกับอ๋องตวน และบอกเรื่องนี้ให้ฉวนเอ๋อร์

ฉวนเอ๋อร์ก็ต้องการที่จะหย่าร้าง และหม่อมฉันก็ต้องการที่จะตัดสินจแทนนาง

แต่มีความเร่งด่วน จึงลืมเรื่องอลหย่าร้างไป

กั๋วกงอาวุโสได้ไปเข้าเฝ้าพระพันปีและฝ่าบาทเพื่อกราบทูลเรื่องนี้แล้ว และหม่อมฉันไม่ได้เข้าไปในวัง เพราะอาการของฉวนเอ๋อร์ไม่ค่อยดี หม่อมฉันจึงอยู่ดูแลนาง และรอให้นางอาการดีขึ้นเสียก่อน จึงจะไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท พระพันปี และพระมเหสีหวา

หม่อมฉันรอจนกระทั่งฉวนเอ๋อร์พักฟื้นครบหนึ่งเดือน และสามารถออกมาจากจวนแม่ทัพได้ หม่อมฉันเตรียมที่จะไปรับฉวนเอ๋อร์กลับมาที่จวน

แต่ไม่คิดว่าเมื่อหม่อมฉันไปรับฉวนเอ๋อร์ก็ไม่พบนางแล้ว แม่ทัพฉีบอกหม่อมฉันว่ามีคนในวังมารับตัวนางไปแล้ว

หม่อมฉันจึงเข้าไปหาในวัง แต่ก็ไม่พบนาง

พระมเหสีหวาทรงตรัสว่าแม่นมเว่นเป็นผู้ที่คอยปรนนิบัติรับใช้ฉวนเอ๋อร์มาโดยตลอด และไม่เคยถูกเรียกตัวกลับเข้ามาในวัง

และยังตรัสว่าเรื่องที่ฉวนเอ๋อร์ครบกำหนดหนึ่งเดือนเต็มนั้น พระองค์ก็กำลังคิดที่จะพูดคุยกับหม่อมฉันว่าจะรับตัวกลับไปที่จวนอ๋องตวนอย่างไรดี

หม่อมฉันจึงไปจวนอ๋องตวน แต่แม่นมเว่ยก็ไม่อยู่ที่นั่น และไม่พบฉวนเอ๋อร์

และท่านอ๋องตวนก็บอกว่าพระองค์ไม่รู้ว่าเรื่องที่ฉวนเอ๋อร์ถูกรับตัวเข้าไปในวัง

และพูดเกี่ยวกับแม่นมเว่ยว่านางบอกว่าจะไปที่จวนแม่ทัพจริง ๆ แต่ไม่ได้ไปรับคน เพียงแค่จะไปพูดคุยสองสามคำ แล้วจะกลับมาที่จวนอ๋องตวน

นางเป็นแค่บ่าวคนหนึ่ง กล้าดีอย่างไรถึงไปรับพระชายารองกลับจวนด้วยตนเอง?”

“……” ฉีเฟยอวิ๋นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากที่ได้ฟังเรื่องนี้แล้ว นางก็เข้าใจ

อวิ๋นหลัวฉวนหายตัวไป และไม่รู้ว่าใครพาตัวไป แต่เมื่อสืบสาวราวเรื่องแล้ว เดิมทีนางอยู่ที่จวนแม่ทัพ

พระมเหสีหวาไม่ยอมรับ ฝ่าบาททรงใส่พระทัย และพระพันปีก็คอยเฝ้าดูอยู่

จวนกั๋วกงต้องการคน จะว่าไปแล้วท่านพ่อของนางก็กลายเป็นคนที่ซวย

“ฮูหยินใหญ่ นางจะต้องไม่เป็นอะไรอย่างแน่นอน และท่านพ่อของข้าก็ไม่ได้โกหก!” ฉีเฟยอวิ๋นต้องการล้างมลทินก่อนว่าท่านพ่อของนางและจวนแม่ทัพนั้นเป็นผู้บริสุทธิ์

ฮูหยินใหญ่กั๋วกงพยักหน้า:“นี่เป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว”

“เช่นนั้นต่อไปก็ต้องหาคนอยู่ที่ไหน และใครเป็นคนมารับตัวไป”

ฉีเฟยอวิ๋นรู้ว่าที่ฮูหยินใหญ่กั๋วกงมาหาก็เพื่อต้องการที่จะตามหาอวิ๋นหลัวฉวน และหากไม่พบก็จะไม่หยุดหา

และท่านพ่อของนาง รวมทั้งจวนแม่ทัพก็ตกเป็นเป้าสายตา

“พระชายาเย่เป็นคนที่มีเหตุผล และหม่อมฉันก็ไม่ต้องการที่จะทำให้พระชายาเย่ทรงลำบากพระทัย แต่มีเพียงพระชายาเย่เท่านั้นที่จะสามารถจัดการเรื่องนี้ได้ ใคร ๆ ก็บอกว่าพระชายาเย่ทรงเป็นยอดนักตรวจสอบคดี”

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท