องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 541 ในเลือดมีพิษ
วันนี้มู่เหมียนดีขึ้น พระพันปีจึงส่งไห่กงกงไปเยี่ยมที่ตำหนักเย็น ไห่กงกงก็เป็นคนหนึ่งที่เห็นมู่เหมียนเติบโตมา ประกอบกับความสัมพันธ์ของฉีเฟยอวิ๋น เมื่อไห่กงกงเห็นสถานการณ์ในตอนนี้ของมู่เหมียนก็รู้สึกไม่สบายใจ หลังจากที่กลับไปแล้วก็กราบทูลสถานการณ์ของมู่เหมียนแก่พระพันปี และยังบอกว่าน่าสงสาร แน่นอนว่าพระพันปีทรงไม่สบายพระทัย
จึงสั่งให้คนนำสิ่งของไปส่งให้มู่เหมียน แล้วถามไห่กงกงว่า:“ได้ยินมาว่าทั้งสองตำหนักเคยไปเยี่ยมมาแล้ว?”
ไห่กงกงส่ายหัว:“ไม่เคยพ่ะย่ะค่ะ ฮองเฮาทรงประทับอยู่แต่ในพระอุโบสถทั้งวันและถือศีลกินเจ ทรงไม่ได้เสด็จออกมาจากประตูเลย ส่วนพระสนมเอกเซียวก็ไม่เสด็จออกไปไหน แต่เป็นเพราะพระสนมเอกเซียวใกล้จะคลอดบุตรแล้ว ฝ่าบาทจึงเสด็จไปที่นั่นหลายครั้งแล้ว”
“งั้นหรือ?” พระพันปีมองไปที่ไห่กงกง และไห่กงกงก็เข้าใจในทันที เขาจึงบอกให้คนอื่น ๆ ออกไปก่อน แล้วเดินไปข้าง ๆ พระพันปี พระพันปีโน้มตัวไปที่ข้างหูของไห่กงกง จากนั้นไห่กงกงก็พยักหน้า
“บ่าวเข้าใจแล้ว พระองค์ทรงพักผ่อนก่อนเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
พระพันปีจึงลุกขึ้นไปพักผ่อน และไห่กงกงก็รีบไปจัดการ
หลังจากทานอาหารเย็นแล้ว มู่เหมียนก็รู้สึกไม่สบาย แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร นางมีไข้และตัวร้อน นางสังเกตว่ามีบางอย่างผิดปกติ และคิดว่าถูกคนวางยาพิษ
ขันทีน้อยไม่กล้าละเลย และไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จึงรีบให้คนไปรายงานพระยาเย่
มู่เหมียนรู้สึกทุกข์ทรมานในห้อง และฉีเฟยอวิ๋นก็ได้รับข่าวแล้ว
ฉีเฟยอวิ๋นลุกจากเตียงและกำลังจะเข้าไปในวัง
หนานกงเย่หยุดนางไว้:“ไม่สวมเสื้อผ้าแล้วจะเข้าไปในวังได้หรือ?ยังจะไว้หน้าข้าอยู่หรือไม่?”
หนานกงเย่สวมเสื้อผ้าอย่างเร่งรีบ และพาฉีเฟยอวิ๋นเข้าไปในวัง
เมื่อมาถึงตำหนักเย็น ฉีเฟยอวิ๋นก็เห็นขันทีน้อยร้อนใจเป็นอย่างมาก นางจึงตรงเข้าไปในวังหลัง หนานกงเย่กังวลว่าเกิดเรื่องไม่ดี จึงรออยู่ที่ด้านนอกตำหนัก
หลังจากเข้าไปแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นก็เห็นมู่เหมียนจ้องมองไปที่ขันทีน้อย และขันทีน้อยก็ตกใจจนตัวสั่น
“มู่เหมียน” ฉีเฟยอวิ๋นรีบดินเข้าไป เมื่อมู่เหมียนเห็นฉีเฟยอวิ๋นก็ตกตะลึง แต่ไม่นานก็หมดสติไป และยังต้องการจะเข้าไปใกล้ขันทีน้อย ฉีเฟยอวิ๋นจึงเข้าไปจับมือของมู่เหมียน แล้วใช้วมาธิในการตรวจดู จากนั้นก็รู้ว่ามู่เหมียนถูกวางยาพิษ และยังเป็นยาชนิดหนึ่งที่ก่อให้เกิดอารมณ์
“มู่เหมียน ข้าจะถอนพิษให้เจ้า” ตอนที่ฉีเฟยอวิ๋นบอกว่าจะถอนพิษให้มู่เหมียน แต่มู่เหมียนไม่สามารถแยกแยะได้ว่าเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง นางกอดข้างหลังของฉีเฟยอวิ๋นไว้และเริ่มนัวเนียจนทำให้ฉีเฟยอวิ๋นตกใจ
“มู่เหมียน มู่เหมียน……”
ขันทีและนางกำนัลก็ตกใจมากเช่นกัน จากนั้นก็หันหลังวิ่งออกไป เมื่อหนานกงเย่เห็นว่ามีคนวิ่งออกไป เขาก็รีบเขาไปในทันที และได้ยินเสียงของเสี่ยวสวีจื่อดังมาจากด้านหลัง:“ฝ่าบาทเสด็จแล้ว หรงเต๋อเฟยออกมาน้อมต้อนรับ”
หนานกงเย่หันกลับมามองอยู่ไม่ไกล จักรพรรดิอวี้ตี้และผู้ติดตามกลุ่มหนึ่งมาถึงแล้ว ขันทีและนางกำนัลที่อยู่หน้าตำหนักเย็นรีบคุกเข่าลงบนพื้น และหนานกงเย่ก็ก้มศีรษะลง:“กระหม่อมถวายบังคมฝ่าบาท”
จักรพรรดิอวี้ตี้สวมเสื้อคลุมลายมังกรเป็นประกาย และมองไปที่เสื้อคลุมลายมังกรสีเหลืองของหนานกงเย่ แต่ก็ตลกดี
“เข้ามาในวังกลางดึก มีเรื่องอะไร?ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าเจ้ากับหรงเต๋อเฟยมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกันเช่นนี้?และต้องมาพบกันถึงที่ตำหนักเย็น?”
ขันทีและนางกำนัลกลัวจนตัวสั่น หนานกงเย่เงยขึ้นและสงบสติอารมณ์ลง:“เดิมทีวันนี้กระหม่อมเข้ามาในวังเพื่อคารวะเสด็จแม่ เพราะเมื่อคืนกระหม่อมฝันว่าเสด็จแม่ทรงคิดถึงกระหม่อม จึงพาอวิ๋นอวิ๋นมาด้วย แต่เมื่อเข้ามาในวังแล้วก็ได้ยินว่าเกิดเรื่องขึ้นกับหรงเต๋อเฟย อวิ๋นอวิ๋นและหรงเต๋อเฟยเป็นพี่น้องกันอย่างลึกซึ้ง แต่ยังไม่ทันได้ไปกราบทูลฝ่าบาท ฝ่าได้โปรดอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“งั้นหรือ เช่นนั้นก็หมายความว่าพระชายาเย่อยู่ข้างใน?” จักรพรรดิอวี้ตี้มองไปรอบ ๆ และนางกำนัลก็ตกใจกลัว
จักรพรรดิอวี้ตี้เข้าไปในตำหนักเย็น และหนานกงเย่ก็เดินตามเข้าไป
ในทันทีที่เข้ามา หนานกงเย่ก็โบกมือให้คนอื่น ๆ ไม่ต้องเข้ามา และมีเพียงเสี่ยวสวีจื่อเท่านั้นที่ตามเข้ามา
จากนั้นก็ได้ยินเสียงฉีเฟยอวิ๋นตะโกนว่าอย่า สีหน้าของหนานกงเย่ทรุดลง และเมื่อคิดว่าเรื่องขึ้นระหว่างมู่เหมียนกับฉีเฟยอวิ๋น เขาก็เดินเข้าไป และจักรพรรดิอวี้ตี้ก็ตามเข้าไปด้วย
เมื่อเข้ามาแล้วก็เห็นฉีเฟยอวิ๋นถูกกดลงบนเตียง เสื้อผ้าของนางก็ถูกฉีกขาด และจนเผยให้เห็นขาของนาง
สีหน้าของหนานกงเย่ทรุดลง:“สารเลว!”
ฉีเฟยอวิ๋นเศร้าใจอยู่ครู่หนึ่งและเกือบจะร้องไห้ออกมา
หนานกงเย่ดึงเสื้อคลุมออกมา แล้วโยนมู่เหมียนออกไป จากนั้นก็นำสื้อคลุมไปห่มฉีเฟยอวิ๋นไว้ ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกตกใจมาก และไม่เคยคิดไม่เคยฝันว่าจะพบเจอเรื่องเช่นนี้ ดังนั้นนางจึงโผเข้าไปในอ้อมแขนของหนานกงเย่ และร้องออกมา:“ท่านอ๋อง!”
หนานกงเย่กอดฉีเฟยอวิ๋นไว้แน่น และจ้องมองไปที่มู่เหมียนด้วยสายตาที่โกรธเคือง:“ข้าจะฆ่าเจ้า!”
หลังจากที่พูดจบ หนานกงเย่ก็กำลังจะลงมือ และฉีเฟยอวิ๋นก็คว้ามือของหนานกงเย่ไว้:“ท่านอ๋อง พระองค์อย่าทำร้ายมู่เหมียนนะเพคะ นางไม่ได้สติและไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น”
ฉีเฟยอวิ๋นเช็ดน้ำตา นางหันกลับไปจัดเสื้อผ้าแล้วเดินไปหามู่เหมียน ในเวลานี้มู่เหมียนคิดว่าฉีเฟยอวิ๋นเป็นผู้ชาย เมื่อเห็นร่างของฉีเฟยอวิ๋นก็รู้สึกกระวนกระวายใจ นางก็เข้ามาใกล้ฉีเฟยอวิ๋น และเตรียมจะอิงแอบแนบกาย
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกกลัวนาง จึงรีบกล่าวว่า:“ท่านอ๋อง พระองค์รีบช่วยข้าจับมู่เหมียนไว้หน่อย ข้าจะถอนให้นาง”
จักรพรรดิอวี้ตี้รู้สึกกระสับกระส่าย เมื่อครู่ตอนที่เขาเห็นมู่เหมียนและฉีเฟยอวิ๋นอยู่บนเตียง ร่างกายของเขาก็ตอบสนอง
เป็นเพราะมู่เหมียน หรือว่าเป็นเพราะฉีเฟยอวิ๋น หรือว่าทั้งสองคน
แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นผู้ชาย
“เจ้าออกไปเถอะ” จักรพรรดิอวี้ตี้กล่าวเสี่ยวสวีจื่อจึงรีบถอยออกไปและปิดประตู
มู่เหมียนถูกจับตัวไว้ แต่นางยังคงมองไปที่ฉีเฟยอวิ๋น และฉีเฟยอวิ๋นก็จนปัญญา หรือว่าคนที่มู่เหมียนชอบจะไม่ใช่เฉินอวิ๋นเจี๋ย แต่เป็นไป๋ซู่ซู่?
ฉีเฟยอวิ๋นไม่สนใจสิ่งอื่นใด นางเอาเลือดที่เตรียมไว้ให้มู่เหมียนกิน
หนานกงเย่ถามว่า:“จะได้ผลหรือไม่?”
ฉีเฟยอวิ๋นส่ายหัว นัยน์ตาดูเคร่งขรึม:“ไม่ทราบเพคะ แต่มันสามารถรักษาบาดแผลได้ ส่วนจะถอนพิษที่ทำให้ลุ่มหลงได้หรือไม่นั้นก็ยังไม่รู้”
“ไม่มีวิธีอื่นแล้วหรือ?” หนานกงเย่ยังคงจับมู่เหมียนไว้ แล้วมองไปที่ฉีเฟยอวิ๋น แม้แต่จักรพรรดิอวี้ตี้ก็ยังสงสัยว่ามูู่เหมียนชอบฉีเฟยอวิ๋น
ฉีเฟยอวิ๋นส่ายหัว:“หม่อมฉันไม่ทราบเพคะ วิธีเดียวที่จะถอนพิษได้ก็คือทำเช่นนั้น แต่ในเมื่อตอนนี้ได้เชิญฝ่าบาทมาที่นั่นแล้ว หากไม่มีวิธีอื่นจริง ๆ ก็คงต้องตาย”
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกเศร้าใจ:จะทำอย่างไรดี?”
เมื่อเห็นว่าฉีเฟยอวิ๋นเศร้าใจ หนานกงเย่ก็โกรธมาก:“ข้ายังไม่ตาย ไม่ต้องคิดไปถึงเรื่องหย่า และอย่าร้องไห้!”
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกคับข้องใจ:“……”
จักรพรรดิอวี้ตี้เฝ้ามองอยู่ครู่หนึ่งแล้วเดินไปข้างหน้า:“ข้าก็อยู่ด้วยมิใช่หรือ?”
ฉีเฟยอวิ๋นตกตะลึง นางไม่คิดว่าจักรพรรดิอวี้ตี้จะอยู่ที่นี่ ฉีเฟยอวิ๋นจึงหันกลับไปแล้วรับคารวะ
“หม่อมฉันถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ”
เมื่อเห็นว่าฉีเฟยอวิ๋นร้องไห้ ความคิดของจักรพรรดิอวี้ตี้ก็ยุ่งเหยิง สายตาของเขาจ้องมองไปที่ร่างของฉีเฟยอวิ๋น หน้าแดง ผมเผ้ายุ่งเหยิง และเป็นตนที่จิตใจเบิกบาน
จักรพรรดิอวี้ตี้มองไปที่มู่เหมียนที่ค่อย ๆ สงบลง และกล่าวอย่างราบเรียบว่า:“ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นไรแล้ว”
ฉีเฟยอวิ๋นจึงมองไปและรู้สึกว่าใกล้จะเป็นปกติแล้ว จากนั้นนางก็จับข้อมือของมู่เหมียนเพื่อตรวจดูอาการ แต่หลังจากที่ตรวจดูแล้ว สีหน้าของฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่น่ามองมากขึ้นเรื่อย ๆ
“ทำไมถึงรุนแรงขึ้นมาได้?” ฉีเฟยอวิ๋นไม่อยากจะเชื่อเลย นางมองไปที่หนานกงเย่:“ดูเหมือนว่ายาจะแข็งแกร่งมากขึ้น”
“……” สีหน้าของหนานกงเย่ทรุดลง:“ในวันที่อวิ๋นอวิ๋นแต่งงานกับข้าก็ถูกคนวางยาเช่นกัน หลังจากนั้นก็เกิดอาการขึ้นอย่างฉับพลัน หรือว่าจะยังมีอยู่ในเลือด?”
“……”
ฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่กล้ารับรอง นางเพียงแค่มองไปที่มู่เหมียนและรู้สึกเป็นกังวล!
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 580 หมอเทวดาอยากเป็นลูกศิษย์
ท่านแม่ทัพฉีมองอยู่ครู่หนึ่ง : “พักผ่อนเถอะ”
ท่านแม่ทัพฉีกลับไปก่อน ส่วนสามคนที่เหลือก็กลับเข้าห้องของตนเอง สวีกงกงชำเลืองตามองไปยังฝ่ายตรงข้าม จากนั้นก็กลับเข้าไปในห้องและยืนมองอยู่หน้าประตู คนที่มาปรนนิบัติรับใช้ได้กล่าวถามว่า : “กงกง นี่คือ?”
“ก็แค่ดูว่าพวกเขาทำสิ่งใด ไม่ใช่เรื่องเสียหายเสียหน่อย”
ผลลัพธ์กลับร้องไห้เป็นครึ่งค่อนคืน ร้องจนตาแดงก่ำ
“ใคร ๆ ก็ไม่ใช่อู๋ซัง อู๋หมิง เหตุใดเจ้า….” เฟิงอู๋ชิงอยากให้อู๋กั่วหยุดสร้างปัญหา แต่อู๋กั่วกลับยิ่งโหดร้ายมากกว่าเดิม
“แล้วมันเหมือนกับตรงไหนเล่า อู๋ซังเขาเป็นคนดี เขาปกป้องเจ้าได้ ไม่เคยทำร้ายใคร ส่วนอู๋หมิงเขาจะกลัวด้วยเหตุอันใด เขาเป็นหมอจะมีชื่อหรือไม่มีชื่อเสียงก็ไม่มีวันทำร้ายชีวิตของผู้อื่นเด็ดขาด!”
“แต่ข้าต่างหาก ที่ไม่มีสิ่งใดเลยสักอย่าง ไม่มีผลลัพธ์ แล้วเจ้าจะวางใจได้อย่างไร?”
อู๋กั่วโวยวายเช่นนี้ อาการป่วยของเฟิงอู๋ชิงที่เดิมทีคงที่แล้วกลับทรุดลงอีกครั้ง เขาตื่นขึ้นมาในตอนเช้าแล้วก็ทรุดลงทันใด หมอเทวดาเห็นดังนั้นก็ตระหนกตกใจ อาการอของเฟิงอู๋ชิงไม่มีท่าทีจะทุเลาแต่กลับร้ายแรงยิ่งขึ้น
“เร็วเข้า ไปเชิญพระชายาเย่มาเร็ว”
อู่ซังวิ่งไปเชิญฉีเฟยอวิ๋นอย่างรวดเร็ว เมื่อมาถึงสวนดอกกล้วยไม้ก็ถูกลี่ว์หลิ่วขวางทางไว้ อู๋ซังบอกถึงเจตนารมณ์ที่มา ลี่ว์หลิ่วรีบเข้าไปรายงานทันที
ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือ ใส่เสื้อคลุมยาวและเดินไปยังเรือนจวินจื่อ หนานกงเย่กลับเข้ามาและเดินเข้าไปนั่ง เขาพับขาลงข้างหนึ่ง จากนั้นก็ยกซุปโสมขึ้นดื่ม
ฉีเฟยอวิ๋นไม่มีเวลามาสนใจหนานกงเย่ ช่วงนี้เขาดูแลสุขภาพเป็นอย่างดี ตื่นขึ้นมาดื่มซุปโสมตั้งแต่เช้าตรู่โดยไม่กินข้าวกินปลา!
เมื่อมาถึงฉีเฟยอวิ๋นเริ่มตรวจอาการทันที นางตรวจสอบและนั่งลงด้านข้าง จากนั้นก็เปิดกล่องยาฉีดยาให้เฟิงอู๋ชิงก่อน : “ลี่ว์หลิ่ว เจ้าไปเชิญหมอประจำจวนโจวมาเถอะ”
“พ่ะย่ะค่ะ” ลี่ว์หลิ่วรีบไปเชิญหมอประจำจวนโจวมาทันที ฉีเฟยอวิ๋นหยิบขวดยาออกมา และทำการการฉีดยาให้แก่เฟิงอู๋ชิงอีกครั้ง
เฟิงอู๋ชิงมองไปยังขวดยาขวดนั้น ของเหลวที่อยู่ภายในได้ไหลเข้าสู่ร่างกายของเขา สายตาของเขาเต็มไปด้วยความแปลกใจ หญิงสาวอัปลักษณ์ผู้นี้เก่งเรื่องวิชามารด้วยเช่นนั้นหรือ?
ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นอธิบาย : “ห้ามให้ตัวเย็น ห้ามโกรธ และห้ามดื่มเหล้าดื่มน้ำชาเด็ดขาด อาหารเย็นและเผ็ดร้อนก็ไม่ได้เจ้าค่ะ
อีกประเดี๋ยวหมอประจำจวนโจวก็มาถึง เขาจะอธิบายให้พวกเจ้าฟังเอง
เจ้าเป็นหมอเทวดาหรือ?”
ฉีเฟยอวิ๋นได้ยินเรื่องที่อวิ๋นจิ่นเอ่ยถึงหอทิงเฟิง พูดได้ว่ารู้จนทะลุปรุโปร่งเลยทีเดียว
หมอเทวดารีบเดินขึ้นหน้า : “ข้าเอง?”
“เมื่อหมอประจำจวนโจวมาถึง เจ้าจงจำในสิ่งที่เขาชี้แนะ เขาจะบอกได้ว่าควรต้องรักษาโรควัณโรคนี้อย่างไร โรคนี้จะหนักข้อขึ้นเรื่อย ๆ หากไม่มีการบำรุงรักษา การรักษานั้นไม่ยาก เพียงแต่ต้องขอความร่วมมือกับเจ้าหอ ทั้งยังต้องการความตั้งใจของเขาด้วย”
“พ่ะย่ะค่ะ ขอบพระคุณพระชายาที่มาให้การช่วยเหลือพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่เป็นไรข้ากับเจ้าหอเป็นสหายกัน อีกทั้งเจ้าหอก็เป็นท่านอาจารย์ของเสี่ยวอู่น้อยของข้า ….. ไม่สิ นับตั้งแต่วันนี้ไปไม่ใช่อีกแล้ว” ฉีเฟยอวิ๋นมองไปทางเฟิงอู๋ชิงที่นอนอยู่บนเตียง เมื่อเห็นเขาแสดงท่าทางแปลกใจ จึงตั้งใจกล่าวขึ้นว่า : “เมื่อวานข้าได้ปรึกษาหารือกับท่านอ๋องแล้ว เนื่องจากไม่อยากรบกวนเจ้าหอที่เป็นถึงท่านอาจารย์ของเรามาหลายชั่วอายุคน ท่านอ๋องจึงมีแผนการอื่น”
ความรู้สึกนี้เหมือนกับความรู้สึกที่หนานกงเย่เจอกับยอดฝีมือที่แข็งแกร่งกว่าเฟิงอู๋ชิง สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปอย่างช้า ๆ
“ว่าอย่างไรเล่า? เจ้าหอไม่เหมาะสมเช่นนั้นหรือ?”
“ไมใช่….แค่รู้นึกว่า มันลำบากเกินไป ดังนั้นข้าและท่านอ๋องจึงตั้งใจวางแผนอื่น” ฉีเฟยอวิ๋นอธิบายด้วยน้พเสียงราบเรียบ
หนานกงเย่วางถ้วยชาในมือลง : “ข้าไม่กล้ารบกวนเจ้าหอหรอก เจ้าหอวางใจได้”
“วางใจหรือ?” เฟิงอู๋ชิงมองไปทางหนานกงเย่ด้วยสีหน้าดูหมิ่นอย่างมาก เรื่องที่เขาคิดได้คือหนานกงเย่ตามหาคนที่เก่งกาจกว่าเขาได้แล้ว
“เจ้าหอเฟิง แม้ว่าเจ้าจะอยากฆ่าคนของพระชายามากเพียงใด ทั้งยังยอมรับบุตรชายของข้าเป็นลูกศิษย์ได้ เรื่องนี้จะไม่ขัดแย้งกันและกันหรือ?”
“……..”
เฟิงอู๋ชิงเงียบลงทันที ก็จริง!
อู๋กั่วคิดได้ว่ายังต้องค้นหาเรื่องราวของอาอวี่ จึงได้ร้อนใจ
หากกลายเป็นศัตรูกัน สังหารผู้เป็นนายของอาอวี่ จะยิ่งทำให้ไม่ได้ผลลัพธ์อย่างที่หวัง
“ท่านอ๋อง ข้าคิดว่าฆาตกรต้องวางแผนกันในระยะยาวเป็นแน่ เพราะไม่ว่าอย่างไรพระชายาเย่ก็เป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตของเจ้า และเป็นผู้พิทักษ์หนึ่งในสี่ของเจ้าอีกด้วย หากเจ้าฆ่านางไม่เป็นการดูหมิ่นหรอกหรือ เจ้าฆ่าผู้มีพระคุณช่วยชีวิตนั่นคือการเนรคุณแล้ว เจ้าฆ่าผู้พิทักษ์โดยไร้ข้ออ้าง เอ่ยออกไป คนของหอทิงเฟิงไม่กล่าวหาว่าเจ้าทำร้ายสหายด้วยกันหรือ?”
เฟิงอู๋ชิงมองไปทางอู๋กั่วอย่างไม่สบอารมณ์ เพื่อชายเพียงผู้เดียว ถึงกับคิดหักหลังเขาเลยหรือ?
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปทางอู๋กั่ว กระทั่งได้ผลการตอบสนองที่ดี
ฉีเฟยอวิ๋นพยักหน้าให้กับอู๋กั่ว ซึ่งอู๋กั่วได้แต่ก้มหน้าลงด้วยความรู้สึกไม่ดี
“เดิมทีเจ้าหอมีสุขภาพร่างกายไม่แข็งแรงนัก จึงไม่อยากพูดคุยเรื่องนี้ชั่วคราว เราค่อยมาปรึกษาหารือเรื่องนี้กันวันหลังเถอะ”
“พ่ะย่ะค่ะ”
อู๋กั่วรีบตอบรับทันที ฉีเฟยอวิ๋นเองก็ไม่ร้อนใจจะทำสิ่งใด แค่เอ่ยเตือน ก็ทำให้เฟิงอู่ชิงร้อนใจไม่น้อยแล้ว
หนานกงเย่ลุกขึ้น : “ในเมื่อเจ้าหอเฟิงไม่เป็นอะไร เช่นนั้นเราก็ต้องขอตัวกลับก่อน”
ฉีเฟยอวิ๋นเก็บกล่องยาและยื่นมันให้กับหนานกงเย่ : “ท่านอ๋องท่านกลับก่อนเถอะ หม่อมฉันจะรอหมอประจำจวนโจว ท่านหิวไม่ใช่หรือเพคะ?”
หนานกงเย่มองไปทางฉีเฟยอวิ๋นแวบหนึ่ง ก่อนจะหมุนตัวเดินไป
เขาหิวที่ไหนกัน เขาดื่มซุปโสมแล้วตรงเข้าวังทันที เพราะมีเรื่องต้องจัดการ
หลังจากออกมาหนานกงเย่ก็กลับก่อน ส่วนฉีเฟยอวิ๋นก็อยู่รอหมอประจำจวนโจวต่อ
หมอประจำจวนโจวรีบเดินเข้ามาอย่างร้อนรนใจ เมื่อเห็นฉีเฟยอวิ๋นก็รีบทำความเคารพ ฉีเฟยอวิ๋นอธิบายรายละเอียดอย่างชัดเจนและจากไป
เฟิงอู๋ชิงมองไปทางฉีเฟยอวิ๋นที่เดินจากไป ด้วยท่าทีเศร้าสร้อย หญิงสาวอัปลักษณ์ผู้นี้ บังอาจมาออกคำสั่งกับท่านอ๋อง สั่งให้เขาออกไปก็ออกไป
หลังจากปิดประตูแล้ว เสียงบทสนทนาบางอย่างระหว่างหมอประจำจวนโจวและหมอเทวดาก็ดังขึ้นข้างหูของเฟิงอู๋ชิง
หมอประจำจวนโจวอธิบายอย่างละเอียด จากนั้นก็ยืนรออย่างนอบน้อมอยู่ด้านข้าง หมอเทวดาจึงซักถามว่า : “นี่คือสิ่งใดกัน เหตุใดข้าถึงไม่เคยเห็นมาก่อน?”
“ของสิ่งนี้ข้ารู้เพียงแค่ว่ามันคือสายน้ำเกลือ นี่คือสายน้ำเกลือ นี่คือขวดยา นี่คือเข็มฉีดยา ปลายเข็มได้เจาะลงไปในเส้นเลือดที่อยู่ใต้เนื้อ เรียกวิธีการนี้ว่าการฉีดเข้าหลอดเลือดดำ……”
หมอประจำนวนโจวบอกหมอเทวดาตามที่ตนเองได้เรียนรู้มา
เวลานี้ หมอประจำจวนโจวล้วนภูมิใจในตนเองมาก ที่ได้เจอะเจอกับคนเฉกเช่นพระชายา ได้เรียนรู้สิ่งของมากมายเช่นนี้ ช่างโชคดีมากเสียจริง
“หมอโจว ความหมายของท่านก็คือ ท่านเองก็ไม่แน่ใจว่าสิ่งนี่คืออะไร สาเหตุที่รู้ว่าสิ่งเหล่านี้คืออะไร นั้นเพราะพระชายาเย่บอกเจ้าใช่หรือไม่?”
“ถูกต้อง”
หมอเทวดาพยักหน้า เป็นอันเข้าใจ
หมอประจำจวนโจวดึงเข็มออกจากเฟิงอู๋ชิง หยิบหูฟังหมอของเขาออกมาตรวจให้กับเฟิงอู่ชิง หมอเทวดาแสดงสีหน้าตื่นเต้น พลางชี้ไปยังหูฟังของหมอในมือของหมอประจำจวนโจว และเอ่ยถามเสียงดังว่า : นี่คืออาวุธลับอะไรเนี่ย?”
หมอประจำจวนโจวมองไปทางหมอเทวดา ด้วยความเยาะเย้ยที่สะท้อนออกมาทางสายตา กบในกะลาจริง ๆ ไม่รู้หรือว่านี่คือสิ่งใด?
หมอประจำจวนโจวพอใจอย่างมาก นี่แหละน่ะหมอเทวดา คนอย่างหมอเทวดาไม่เข้าใจวิชาการแพทย์ของพระชายา
“นี่ไม่ใช่อาวุธลับ แต่เรียกว่าหูฟังหมอ ใช้ฟังเสียงอวัยวะภายในร่างกายของมนุษย์ เช่นเสียงหัวใจเสียงปอด…..”
หมอประจำจวนโจวจึงให้หมอเทวดาลองฟัง เพื่อพิสูจน์คำพูดของตนเอง หมอเทวดาตื่นเต้นดีใจอย่างมาก รีบฟังทันที หลังจากได้ฟังแล้วก็ยิ่งตื่นเต้นจนยากจะสงบจิตสงบใจได้ จนเกือบคุกเข่าลงไปทำความเคารพต่อหมอประจำจวนโจว ทำเอาหมอประจำจวนโจวตกใจจนต้องรีบเข้ามาประคองหมอเทวดาทันที
ไม่ใช่เพราะเขาไม่อยากรับหมอเทวดาเป็นลูกศิษย์หรอก แต่คนแบบหมอเทวดามาเป็นลูกศิษย์ ออกสู่โลกภายนอกจะดูน่าเกรงขามได้อย่างไร?
แต่หมอเทวดาเป็นคนอย่างไร หมอโจวเล็ก ๆ อย่างเขาจะต้องตื่นตระหนกมาแค่ไหน?
ก็คงต้องมอบให้แก่พระชายาแล้ว
หมอประจำจวนโจวกล่าวอย่างลำบากใจ : “หูฟังหมอไม่ใช่ของข้าหรอก เป็นของพระชายา แต่พระชายาทรงให้ของชิ้นนี้แก่ข้า นางต้องตรวจสอบอย่างละเอียดก่อนถึงจะมีได้ อายุอย่างเจ้าเรียกข้าว่าอาจารย์ ครั้นเจอกับพระชายาก็ต้องเรียกนางว่าปรมาจารย์ ไม่สู้เจ้าเรียกพระชายาว่าอาจารย์ดีกว่า”
