องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ – บทที่ 545 โรคของต้ากั๋วจิ้วกำเริบ

บทที่ 545 โรคของต้ากั๋วจิ้วกำเริบ

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 545 โรคของต้ากั๋วจิ้วกำเริบ
หวังฮวายเต๋อไม่คิดว่าฉีเฟยอวิ๋นจะฟื้นตัวได้เร็วเช่นนี้ หากว่าเขาไม่ได้เห็นบาดแผลจากมีดของฉีเฟยอวิ๋นด้วยตาตนเองเขาคงรู้สึกว่าถูกหลอก

ประตูคุกเปิดออกอาวี่ส่งหีบยาให้กับฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นพาเพียงแค่อวิ๋นหลัวฉวนเข้าประตูไปเท่านั้น ประตูคุกปิดลงเป็นอาอวี่และตงเอ๋อร์ที่เฝ้าอยู่ตรงหน้าประตู

หากว่าคราวนี้ผู้ใดกล้าฝ่าฝืน อาอวี่ตั้งใจจะหมุนศีรษะคนผู้นั้นออกมาเลยโดยตรงถือว่าเป็นลูกบอลแล้วนำไปเตะ

อาอวี่ก็ต้องการรักษาหน้า เรื่องที่คุกเขารู้สึกว่าน่าขายหน้าหลังจากนั้นทังเหอก็กล่าวตำหนิเขายกใหญ่ ปกป้องพระชายาไว้ไม่สำเร็จก็ช่างที่สำคัญคือเขาพบเจอเหตุการณ์แล้วมุทะลุจนท่านอ๋องเกือบจะส่งเขาไปที่ชายแดน

เขาตื่นตระหนกตกใจยิ่งนัก

หากเขาไปยังชายแดนจริงๆ เขาจะเป็นดังลูกธนูที่ออกจากคันธนูอย่างแท้จริง ไปแล้วกลับไม่ได้ซะแล้ว

ต่อหน้าตงเอ๋อร์อาอวี่ก็เสียหน้ามากเช่นกัน

ตงเอ๋อร์สามารถเข้าใจได้ว่าคนก็เสมือนม้าสามารถสะดุดล้มได้เช่นกัน ผู้ใดที่จะไม่ทำผิดพลาดเลยสักนิด

ตงเอ๋อร์มองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมดานัก แต่อาอวี่ไม่มีหน้ามองผู้คนซะแล้วซึ่งตัวเขาเองรู้สึกว่าทำสิ่งใดไม่ถูก

ฉีเฟยอวิ๋นหยิบหูฟังแพทย์ออกมาจากหีบยา หวังฮวายเต๋อเคยเห็นสิ่งนี้จึงรู้ว่าใช้ดูอาการป่วยถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่ามันเรียกว่าอะไร

ในเวลานี้หวังฮวายเต๋อรู้สึกอึดอัดยิ่งนัก มองไปยังอวิ๋นหลัวฉวนซึ่งยืนอยู่ตรงข้ามแล้วกล่าวว่า: “พระชายาตวนก็มีเวลามาด้วยหรือ?”

“กั๋วจิ้วสบายดีหรือไม่ ข้ามาเยี่ยมกั๋วจิ้วกับท่านพี่ ได้ยินมาว่ากั๋วจิ้วสุขภาพไม่ดีจึงได้ตั้งใจมาเยี่ยมโดยเฉพาะ”

อวิ๋นหลัวฉวนกำหมัดแล้วกล่าวว่า ร่างกายอันสง่าน่าเกรงขามและมีท่าทีความเป็นแม่ทัพ หวังฮวายเต๋อกล่าวไม่ออกครู่หนึ่ง สมกับที่เป็นคนของจวนกั๋วจิ้ว คำกล่าวและการกระทำนั้นเป็นกิริยาท่าทางของจวนกั๋วจิ้ว

“พระชายาเกรงใจแล้ว” หวังฮวายเต๋อขวยเขินเล็กน้อย หญิงสาวตัวเล็กๆยังต้องให้นางเว้นการทำความเคารพอีก

“กั๋วจิ้วไม่ต้องเกรงใจ มู่เหมียนไม่อยู่ข้างกาย พวกเราเป็นพี่น้องของมู่เหมียนก็ต้องใช้กำลังอันน้อยนิดดูแลกั๋วจิ้วให้ดีที่สุด ร่ายกายกั๋วจิ้วไม่สบายพวกเราก็ไม่สามารถนิ่งนอนใจได้”

อวิ๋นหลัวฉวนกล่าวและพร้อมกับเข้าใกล้ไปด้วย หวังฮวายเต๋อมีความรู้สึกว่าเป็นภาพลวงตา ในตอนนี้เป็นช่วงเวลาของคนหนุ่มสาวซะแล้ว เขาแก่แล้วก็ต้องอยู่ในเรือนอย่างซื่อตรงเพื่อหลีกเลี่ยงการออกมาทำความขายหน้า

หวังฮวายเต๋อมองยังฉีเฟยอวิ๋น อัดอั้นตันใจเป็นเวลานานจนใบหน้าของเขานั้นแดงก่ำ: “ขอบใจเจ้าด้วย!”

หวังฮวยเต๋อขอบคุณอย่างไม่สบายใจ ฉีเฟยอวิ๋นเงยหน้าขึ้นมองแล้วก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็ยิ้มทันที: “กั๋วจิ้วอย่าได้เห็นเป็นคนนอก ท่านกับข้าเป็นครอบครัวเดียวกันไม่จำเป็นต้องเกรงใจเช่นนี้”

หวังฮวายเต๋อรู้สึกอึดอัดในใจ รู้ดีแก่ใจว่าหากไม่ใช่เพราะฉีเฟยอวิ๋นเขาคงตายไปแล้วเป็นแน่

ฉีเฟยอวิ๋นรู้ว่ามันไม่ง่ายสำหรับต้ากั๋วจิ้วที่จะกล่าวคำขอบคุณ นางจึงไม่กล้าละเลย

หวังฮวายเต๋อไม่กล่าวสิ่งใด ส่วนฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า: “ท่านต้องถอดเสื้อนอกออกและเปิดเสื้อตัวในของท่านออกมาถึงจะได้”

“หือ?” หวังฮวายเต๋อหน้าแดงก่ำจากนั้นมองไปยังฉีเฟยอวิ๋น สะใภ้น้อยผู้หนึ่งทำเช่นนี้ได้เยี่ยงไร?

แต่เมื่อนึกถึงว่าภรรยาของเขาเจ็บป่วยก็เป็นเช่นนี้ หวังฮวายเต๋อก็ปล่อยวางได้ แม้ว่าจะไม่รู้สึกสบายใจแต่เขาก็ปลดเสื้อผ้าออก

ฉีเฟยอวิ๋นฟังด้วยหูฟังแพทย์ก่อนแล้วเริ่มการตรวจดูให้หวังฮวายเต๋อใหม่อีกครั้ง

การตรวจในครั้งที่แล้วพบว่าเป็นโรคหอบหืด เนื่องจากความวิตกกังวลจึงไม่ได้ตรวจดูให้ละเอียด ตอนนี้หลังจากตรวจอาการแล้วฉีเฟยอวิ๋นก็อดแปลกใจไม่ได้จึงคลายมือออกแล้วถามต้ากั๋วจิ้วสองสามประโยค

ต้ากั๋วจิ้วรู้สึกเขินเล็กน้อยแต่ก็พยักหน้ากล่าวถึงเรื่องปัสสาวะติดขัดและในบางครั้งก็ปวดหลังด้วย

โดยพื้นฐานแล้วฉีเฟยอวิ๋นนั้นมั่นใจจึงได้กล่าวว่า: “ที่นี่ไม่เหมาะที่กั๋วจิ้วจะรักษาอาการป่วย”

หวังฮวายเต๋อไม่คิดที่จะออกไป ได้ยินก็ทำเป็นไม่ได้ยิน

อวิ๋นหลัวฉวนถาม: “เช่นนั้นในตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง กั๋วจิ้วยื่นขอลาออกแล้วไม่ใช่หรือ ฝ่าบาทยังไม่ทรงอนุญาตหรือ?”

“เรื่องนี้คงต้องถามกั๋วจิ้วแล้ว เรื่องของกั๋วจิ้วนั้นได้ละเว้นโทษตาย ในตอนนี้จวนกั๋วจิ้วนั้นปลอดภัยแล้วไม่รู้ว่าเหตุใดกั๋วจิ้วถึงไม่ยอมออกจากคุก?” ฉีเฟยอวิ๋นนั้นรู้สึกแปลกใจ

หวังฮวายเต๋อกล่าวอย่างเย็นชาว่า: “ข้ากั๋วจิ้วกระทำผิดลบหลู่เบื้องสูงเช่นนี้ก็ต้องรับผิดชอบในความผิดเป็นธรรมดา ฝ่าบาททรงละเว้นข้าเกรงว่าจะเป็นการยากที่จะโน้มน้าวผู้คนจำนวนมากได้?”

ฉีเฟยอวิ๋นนั้นเข้าใจว่าหวังฮวายเต๋อมีความห่วงกังวลของเขาเอง ฝ่าบาททรงละเว้นเขา สำหรับเขาแล้วเพียงแค่ต้องการให้ฝ่าบาททรงเห็นคุณค่าของมู่เหมียน การลบหลู่นั้นไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการอย่างแน่นอน

ตอนนี้ฝ่าบาทใช้มือของเขาจัดการกรมการคลังทั้งกรม เขาสร้างปัญหาไว้หนักหนาแล้ว แต่ฝ่าบาทยังทรงละเว้นโทษให้แก่เขา ไว้ชีวิตอันแก่เฒ่าให้อยู่จนแก่ชรา ไม่ว่าเขาจะเต็มใจหรือไม่เรื่องมาถึงในวันนี้ก็เป็นเวลาของมันแล้วไม่มีสิ่งใดให้ทนทรมานอีกแล้ว

ส่วนมู่เหมียนนั้นเป็นความหวังสุดท้ายของเขาในเวลานี้เขาจะต้องพิจารณาถึงมู่เหมียนถึงจะถูก เรื่องที่มู่เหมียนถูกส่งเข้าไปในตำหนักเย็นนั้นเขาน่าจะรู้เรื่องแล้ว แต่เรื่องที่มู่เหมียนได้รับความโปรดปรานนั้นเขาไม่รู้แน่ชัดเท่าใด

ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า: กั๋วจิ้วไม่พอใจเรื่องที่ฝ่าบาททรงโปรดปรานเต๋อเฟยหรือ?”

หวังฮวายเต๋อเงยหน้าขึ้นมองไปยังฉีเฟยอวิ๋นอย่างงุนงงเล็กน้อย: “โปรดปราน?”

อวิ๋นหลัวฉวนก็งุนงงเช่นกันแล้วมองไปยังฉีเฟยอวิ๋น: “เห็นบอกว่ามู่เหมียนถูกส่งเข้าไปในตำหนักเย็นไม่ใช่หรือ?”

หวังฮวายเต๋ออยู่ในอารมณ์สับสน เขาคิดว่าสร้างปัญหาแล้วฝ่าบาทจะทรงดีกับบุตรสาวของเขาสักนิด เข้าวังมาเนิ่นนานเช่นนี้แล้วยังไม่ได้รับความโปรดปราน นี่ถือเป็นความอัปยศอันใหญ่หลวงสำหรับเขา

ฝ่าบาทไม่ได้ทรงเห็นเขาอยู่ในสายตาจริงๆ แต่เมื่อเขาสร้างปัญหาขึ้นก็ส่งลูกสาวเข้าไปในตำหนักเย็นเขาจึงรู้สึกเสียใจอยู่บ้างซะแล้ว

ตอนนี้นั้นประการแรกเขาต้องการให้บุตรสาวมีความเป็นอยู่ที่ดีจขึ้นมาบ้าง ประการที่สองคือต้องการตอบแทนฉีเฟยอวิ๋น เช่นไรก็ได้รับความเมตตาจากผู้อื่น

แต่เมื่อได้ยินฉีเฟยอวิ๋นบอกว่าลูกสาวเป็นที่โปรดปรานนั้นหวังฮวายเต๋อก็งุนงงอยู่บ้าง

ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า: “เรื่องนี้ข้ากล่าวสิ่งใดมากไม่ได้ แต่สุขภาพของต้ากั๋วจิ้วนั้นสำคัญไม่เช่นนั้นก็ออกไปก่อนค่อยพูดคุยกัน?”

“……”หวังฮวายเต๋อลังเล็กน้อย แต่หลังจากลังเลแล้วเขาก็กล่าวว่า: “ไม่ออกไปจะดีกว่า”

“เช่นนั้นไม่ออกไปกั๋วจิ้วเป็นคนกล่าวเอง หากว่าร่างกายย่ำแย่ก็อย่าได้โทษผู้อื่น” ฉีเฟยอวิ๋นเก็บหีบยาแล้วก็จากไปแต่ถูกอวิ๋นหลัวฉวนรั้งเอาไว้

“ท่านไปไม่ได้ ร่างกายของกั๋วจิ้วสำคัญต่อให้กั๋วจิ้วไม่ไปก็ยังต้องเขียนใบสั่งยามา” อวิ๋นหลัวฉวนนั้นคิดแต่ต้องการช่วยมู่เหมียนอย่างสุดใจ

ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า: “แม้ว่าจะเขียนใบสั่งยาก็ไม่สามารถต้มออกมาได้ แม้ว่าจะต้มออกมาได้ก็ไม่มีผู้ใดเฝ้าดูอยู่ทั้งวัน ที่นี่เป็นคุกไม่มีผู้ใดสามารถเข้ามาได้ตามอำเภอใจ ถึงแม้ว่าจะมีคนอยู่ดูแลกั๋วจิ้ว กินยาไม่ใช่กินลูกอมกินหากเกิดเรื่องขึ้นมาข้ารับผิดชอบไม่ไหว ด้วยเหตุนี้ข้าจึงไม่สามารถสั่งเขียนใบสั่งยานี้ได้อย่างแน่นอน

การรักษาโรคทำได้เพียงออกไปด้านนอก ยังต้องให้ข้าไปที่เรือนวันละครั้งถึงจะสั่งยาให้ต้ากั๋วจิ้วได้ นอกจากนี้ก็ไม่มีทางอื่นอีก”

อวิ๋นหลัวฉวนมองไปยังต้ากั๋วจิ้วด้วยสีหน้าเป็นกังวล: “กั๋วจิ้วเรื่องถึงชีวิตท่านก็อายุปูนนี้แล้ว อยู่ในสถานที่เช่นนี้เพียงลำพังหากว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นจริงๆ ข้าจะบอกกับมู่เหมียนได้เช่นไร?”

ต้ากั๋วจิ้วขยับตัวมองไปยังอวิ๋นหลัวฉวนแล้วกล่าวว่า: “ร่างกายของข้ากั๋วจิ้วข้าเองรู้ดีแก่ใจไม่รบกวนพวกเจ้าหรอก ไปเถอะ ไปกันให้หมด เรื่องของข้าเองไม่ต้องการให้ผู้ใดมารับผิดชอบ”

อวิ๋นหลัวฉวนวิตกกังวลและต้องการจะกล่าวบางอย่างฉีเฟยอวิ๋นก็ดึงนางออกมาซะแล้ว

“ท่านกำลังทำสิ่งใด?” อวิ๋นหลัวฉวนงุงงงและไม่พอใจเล็กน้อย

“กั๋วจิ้วไม่อยากออกมา ต่อให้มัดออกมาเขาก็จะกลับไปอยู่ดี พวกเราไปกันเถอะต่างคนต่างมีความปรารถนาของตนไม่สามารถบังคับกันได้”

ฉีเฟยอวิ๋นส่งหีบยาให้อาอวี่แล้วหันหลังจากไปเลย

อวิ๋นหลัวฉวนไม่มีทางเลือกจึงได้ตามฉีเฟยอวิ๋นออกไป

อย่างไรก็ตามในคืนนั้นโรคของต้ากั๋วจิ้วก็กำเริบหนักจนเกือบจะเสียชีวิตอยู่ในคุก!

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 544 อาอวี่ไม่น่าเชื่อใจ
มือของฉีเฟยอวิ๋นลูบคลำไปที่หน้าอกของหนานกงเย่หลายครั้ง ทำไมรูปร่างของผู้ชายคนนี้ช่างดีเช่นนี้นะ?

หลังจากถูกวางลงฉีเฟยอวิ๋นก็พลิกตัวขึ้นไปนั่งบนร่างกายของเขา หนานกงเย่นอนลงและยกมือขึ้นมาประคองเอวของฉีเฟยอวิ๋น

หนานกงเย่ทำสีหน้าเย็นชาโกรธที่ตัวเองไม่สามารถสนองได้ รอไม่ได้จนต้องริเริ่มด้วยตัวเอง

เห็นได้ชัดว่าเขาโกรธ แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าเธอโกรธ

ไม่ยินยอม!

ผู้หญิงคนนี้มีดีอะไร?

ฉีเฟยอวิ๋นไม่พอใจกับการเบี่ยงเบนความสนใจของหนานกงเย่ เธอลงโทษเขาด้วยการบีบหนึ่งครั้ง สีหน้าของหนานกงเย่เปลี่ยนไปและกดมือลงที่หลังของฉีเฟยอวิ๋น และมืออีกข้างหนึ่งก็กดมือของเธอไว้ จากนั้นจึงพลิกตัวและสลับตำแหน่ง

ฉีเฟยอวิ๋นยังคงไม่สงบนัก เธอและผู้หญิงที่เมืองต้าเหลียงต่างกัน เธอเกิดในยุคสมัยที่ผู้หญิงและผู้ชายมีความเท่าเทียบกัน ความคิดของเธอก็คือผู้หญิงผู้ชายก็เหมือนกัน ถึงแม้จะเป็นเรื่องการหลับนอน

แต่หนานกงเย่กลับไม่คิดเช่นนั้น ผู้ชายต้องสูงส่งและผู้หญิงต้องต่ำต้อย เขาสามารถให้ทุกสิ่งที่เธอต้องการได้ ยกเว้นเพียงเรื่องนี้ที่หนานกงเย่เป็นผู้มีอำนาจตัดสินใจเพียงผู้เดียว

ฉีเฟยอวิ๋นก็รู้ว่าเขากำลังคิดอะไร ฉะนั้นจึงไม่คิดมาก ทุกครั้งที่ถึงจุดสุดยอด สุดท้ายก็ต้องปล่อยให้เขารู้สึกว่าเขาได้พิชิตผู้หญิงคนนี้ไว้ได้ ไม่ใช่ว่าถูกผู้หญิงคนนี้พิชิต

แต่ทุกครั้งที่ฉีเฟยอวิ๋นหลับไปก็รู้สึกพึงพอใจมากที่เธอสามารถได้ครอบครองสิ่งหนึ่งที่ผู้ชายจะต้องได้รับมัน และรวมไปถึงผู้หญิงทุกคนต่างใฝ่ฝันอยากจะได้มาครอบครอง

ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ให้แต่เธอก็ไม่ลดละความพยายาม แต่เขามีความคิดแบบผู้ชายเป็นใหญ่และบ้าอำนาจ อีกทั้งจักรพรรดิในปัจจุบันก็ไม่ได้อยู่ในสายตาของเขา สำหรับเขาแล้วทั้งหมดนี้เขาได้ทุ่มเทไปหมดแล้ว

การถอยของเขาก็เพียงพอที่จะให้ผู้หญิงคนหนึ่งใช้ไปตลอดชีวิตแล้ว

ฉีเฟยอวิ๋นพอใจอย่างมากและโอบกอดหนานกงเย่ไว้ การแนบชิดอยู่ในอ้อมแขนของเขานี้รู้สึกอบอุ่นกว่าทุกครั้งราวกับหยกที่อ่อนโยน

หนานกงเย่กอดฉีเฟยอวิ๋นและกล่าวว่า “ตั้งแต่วันนี้ไปอย่าไปเจอเขาอีก เพื่อข้าจะได้ไม่ตื่นตระหนกจนอยากเอาศีรษะไปกระแทกเสาตาย”

“มู่เหมียนและหม่อมฉันบริสุทธิ์ใจ หรือท่านอ๋องจะยังคิดเรื่องนี้อย่างไม่ลดละเลยหรือเพคะ?” ฉีเฟยอวิ๋นไม่เข้าใจ ทำไมเขาถึงยังดื้นรั้นเช่นนี้นะ

เธอและมู่เหมียนเป็นผู้หญิงจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นได้!

“ข้าบอกว่าไม่เจอก็ไม่เจอ” หนานกงเย่รู้สึกโกรธขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นจึงลุกขึ้นมา

ฉีเฟยอวิ๋นเห็นว่าเขาเกือบจะทำให้เด็กๆ ตื่นขึ้น

จึงรีบดึงเขาลงไปนอนอีกครั้ง “ก็ได้ ท่านบอกว่าไม่ไปเจอก็ไม่ไปเจอ หม่อมฉันจะไม่เข้าวังไป อีกอย่างตอนนี้นางก็เป็นถึงพระสนมเอกเต๋อ หม่อมฉันก็คงไม่มีโอกาสเข้าไปเดินเล่นในเขตวังหลวงได้หรอกเพคะ”

“อืม!” หนานกงเย่นอนลงไปและปิดตาไม่ยินยอมที่จะพูดอะไรมากไปกว่านี้

ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบมองเขาครู่หนึ่ง จากนั้นยกมือขึ้นไปโอบกอดเขา เขาจึงรู้สึกอบอุ่นขึ้นเล็กน้อยและกุมมือของฉีเฟยอวิ๋นหลับไป

เมื่อเขาหลับไปแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นจึงถอนหายใจด้วยความโล่งใจ ผู้ชายช่างเอาใจยากลำบากเหลือเกิน เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ยังคิดมากเป็นจริงเป็นจังไปได้

ได้ยินว่ามู่เหมียนได้ออกจากตำหนักเย็นไปแล้ว อวิ๋นหลัวฉวนก็ได้ออกจากจวนท่านอ๋องตวนมาหาฉีเฟยอวิ๋นตั้งแต่เช้า

เช้าตรู่ก็ถูกปลุกให้ตื่น หนานกงเย่จึงรู้สึกไม่มีความสุขนัก ตอนนี้ผู้หญงิบ้านไหนมาหาฉีเฟยอวิ๋นเขาก็รู้สึกไม่มีความสุข

เมื่อเห็นการแต่งกายของอวิ๋นหลัวฉวน หนานกงเย่ก็มีสีหน้าที่ไม่เคร่งขรึมมากขึ้น โดยเฉพาะสายตาของฉีเฟยอวิ๋นที่พิจารณาอวิ๋นหลัวฉวน เขาจึงดึงฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นมองเขาด้วยความไม่เข้าใจเล็กน้อย “ท่านอ๋องมีอะไรหรือเพคะ?”

“ข้ารู้สึกไม่สบาย วันนี้รู้สึกปวดหัวเล็กน้อยจึงไม่อยากออกไปไหน”

“เช่นนั้นท่านอ๋องก็อยู่บ้านพักผ่อน หม่อมฉันจะไปเยี่ยมต้ากั๋วจิ้วที่คุกเสียหน่อยเพคะ”

“ไม่ต้องไปเยี่ยมหรอก เขาได้ลาออกและเขาอยากอยู่ในเมืองหลวงต่อไปเพื่อใช้ชีวิตที่เหลืออยู่” หนานกงเย่ทำสีหน้าบูดบึ้ง ยังจะมีใครบ้างที่ไม่รู้ว่าเขาไม่มีความสุขเลย

แต่อวิ๋นหลัวฉวนมีความโง่เขลาอยู่เล็กน้อยจะดูออกได้อย่างไร แถมยังพุงเข้ามาด้วยความดีใจ

“ท่านอ๋องเย่ ข้าไม่ได้ทำให้ท่านขุ่นเคืองอะไร เพียงแค่มาพูดคุยกับท่านพี่ที่จวนก็เท่านั้น ทำไมท่านถึงทำสีหน้าไม่พอใจเช่นนี้หรือ?” อวิ๋นหลัวฉวนเป็นคนที่เก็บความรู้สึกไม่อยู่ นางจึงไม่ชอบสีหน้าของหนานกงเย่ที่ดูไม่พอใจคนอื่นเช่นนี้

เดิมทีคิดว่าท่านอ๋องเย่จะดีกว่าท่านอ๋องตวน แต่ตอนนี้ทั้งน้องทั้งสองคนก็ไม่ต่างกัน

“หึ ประตูจวนของข้าไม่ได้คอยเปิดต้อนรับเจ้าหรอกนะ” หนานกงเย่บอกอวิ๋นหลัวฉวน

อวิ๋นหลัวฉวนโกรธจนกระทืบเท้าใส่และชี้หนานกงเย่ “หากข้าไม่เห็นแก่หน้าของท่านพี่ ท่านคิดว่าข้าอยากจะมางั้นหรือ ข้าจะกลับไปเดี๋ยวนี้เลย”

อวิ๋นหลัวฉวนหันหลังเดินกลับออกไป แต่เมื่อนางหันหลังก็รู้สึกแปลกไป จากนั้นจึงหันหลังกลับมาอีก

“ทำไมข้าต้องกลับ ข้าจะอยู่ที่นี่” อวิ๋นหลัวฉวนต้องการทำให้เขาโกรธ

ฉีเฟยอวิ๋นอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา หนานกงเย่เห็นเข้าก็รู้สึกหงุดหงิด “ห้ามหัวเราะ!”

ฉีเฟยอวิ๋นหยุดหัวเราะ จากนั้นจึงกุมมือของหนานกงเย่ “ท่านอ๋องก้มศีรษะลงสิเพคะ หม่อมฉันจะบอกอะไร”

หนานกงเย่ให้ความร่วมมืออย่างดี เขาก้มศีรษะลงไป จากนั้นฉีเฟยอวิ๋นก็พูดกระซิบไม่กี่คำและเดินจากไป

ใบหูของหนานกงเย่แดงมาก “จริงหรือ?”

“เพคะ!”

ฉีเฟยอวิ๋นพยักหน้า จากนั้นหนานกงเย่จึงกล่าวว่า “เช่นนั้นก็ไปเถอะ”

ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบมองเจ้าห้าที่อยู่ในอ้อมแขนของหนานกงเย่และหอมแก้มก่อนที่จะพาอาอวี่และอวิ๋นหลัวฉวนออกไป

ทังเหอไม่เข้าใจ “ท่านอ๋องขอรับ พระชายาพูดอะไรหรือขอรับ? บอกข้าน้อยได้หรือไม่ขอรับ?”

พ่อบ้านขมวดคิ้วขึ้นและมองไปที่ทังเหอ

หนานกงเย่มองออกไปอย่างเงียบๆ “พระชายาบอกอะไรกับข้า ทังเหอไม่ต้องรู้หรอก”

“……” ทังเหอรู้สึกอาบอยู่ครู่หนึ่ง ราวกับพูดเรื่องระหว่างสามีภรรยาคุยกันเท่านั้น แต่มองลักษณะของพระชายาแล้วกลับไปทำเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับสามีภรรยาเลย หรือจะถูกพระชายาหลอกล่อด้วยกลยุทธ์อะไรเข้าแล้ว?

คิดเช่นนี้ ทังเหอจึงมองไปที่ท่านอ๋องที่กำลังอุ้มองค์รัฐทายาทอยู่

ตอนนี้ท่านอ๋องได้สูญเสียกรงเล็บไปแล้ว และสิ่งที่เพิ่มเข้ามาคือความอ่อนโยน ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องร้ายหรือเรื่องดี

หนานกงเย่หันไปส่งเจ้าห้าให้กับท่านแม่ทัพฉี “ข้ามีธุระต้องออกไปข้างนอก วันนี้เด็กๆ มอบให้กับท่านพ่อตาและอวิ๋นจิ่นดูแล”

“เจ้าปวดหัวไม่ใช่หรือ?” แม่ทัพฉีได้ยินว่าเขาเพิ่งพูดไปเมื่อครู่

หนานกงเย่กล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ไม่ปวดแล้ว จะไปชำระบัญชีที่จวนราชครูเสียหน่อย”

“วันนั้นไม่ได้ทำไปสำเร็จแล้วหรือ?” แม่ทัพฉีรู้เรื่องบางเรื่องของจวนราชครู หากไม่ใช่เป็นเพราะฮูหยินรองของราชครูจวินเสี่ยงตายหนีออกไปจากจวนราชครู ก็คงไม่รู้เรื่องที่ลูกสาวเกิดเรื่องขึ้น เพียงแต่……

แม่ทัพฉีเหลือบไปมองที่เรือนจวินจื่อด้วยความรู้สึกเรียบเฉย กักกุมตัวของฮูหยินรองของคนอื่นโดยไม่ปล่อยเช่นนี้ก็ไม่ถูก วันนี้เจ้ายังกลับไปที่จวนราชครู เจ้ายังจะก่อเรื่องอะไรอีก?

แม่ทัพฉีอุ้มเจ้าห้ากลับไปนั่งและรู้สึกว่า ลูกสาวและลูกเขยเป็นคนที่ไม่รู้จักอะไรเลยจริงๆ

ฉีเฟยอวิ๋นออกเดินทางไปที่คุกเพื่อไปเยี่ยมต้ากั๋วจิ้วโดยเฉพาะ

ระหว่างทางฉีเฟยอวิ๋นถามอวิ๋นหลัวฉวนบางเรื่อง “เจ้าและท่านอ๋องตวนเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”

“ก็ยังคงเป็นเช่นนั้น ตอนนี้ข้ากำลังเกลี้ยกล่อมให้เขาออกหนังสือหย่าร้างให้กับข้า ตอนนี้เขาเริ่มเกลียดข้าบ้างแล้ว ข้าคิดว่าเขาคงทนได้อีกไม่นานก็จะสามารถทำหนังสือหย่าร้างให้กับข้าได้แล้ว ถึงตอนนั้นหากได้หนังสือหย่าร้างแล้ว ข้าก็จะไม่ใช่คนของจวนท่านอ๋องตวนอีกต่อไปแล้ว” อวิ๋นหลัวฉวนรู้สึกค่อนข้างภาคภูมิใจอย่างมากกับเรื่องนี้ ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกปาดเหงื่อกับเรื่องของอวิ๋นหลัวฉวน เธอมองไม่เห็นความน่าจะเป็นที่ท่านอ๋องตวนจะออกหนังสือหย่าร้างให้กับนาง ท่านอ๋องตวนไม่ใช่คนโง่เขลา เกรงว่านางจะถูกทำให้เข้าใจผิดและยังไม่รู้

เมื่อเดินทางมาถึงคุก ฉีเฟยอวิ๋นได้เตรียมตัวไว้เพื่อจะมาที่นี่ และมอบป้ายคล้องเอวที่หานกงเย่มอบไว้ให้ ครั้งนี้เธอไม่เชื่ออาวี่ เธอจัดการทำด้วยตัวเองทุกอย่าง

หากเชื่ออาอวี่ทั้งหมดจริง แม่หมูก็คงปีนขึ้นต้นไม้ได้แล้ว

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท