องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ – บทที่ 543 ผักกาดขาวที่ดีล้วนถูกหมูกัดกินจนไม่เหลือชิ้นดี

บทที่ 543 ผักกาดขาวที่ดีล้วนถูกหมูกัดกินจนไม่เหลือชิ้นดี

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 543 ผักกาดขาวที่ดีล้วนถูกหมูกัดกินจนไม่เหลือชิ้นดี
ฉีเฟยอวิ๋นและหนานกงเย่ถูกขวางอยู่หน้าประตูวัง เสี่ยวสวีจื่อรุดหน้าขึ้นมาพร้อมกับพระราชโองการ คงไม่มีอะไรมากไปกว่าการออกคำสั่งให้หนานกงเย่เข้าเฝ้า ณ ตำหนักบำรุงหฤทัย

หนานกงเย่ไม่ยอมรับพระราชโองการ เสี่ยวสวีจื่อจึงได้คุกเข่าลง

ฉีเฟยอวิ๋นจึงทำได้แค่ต้องรับพระราชโองการนั้น ทั้งสองคนจึงแยกจากกัน

เมื่อมาถึงประตูตำหนักเย็น ฉีเฟยอวิ๋นเอ่ยถามขันทีน้อยที่ตามอยู่ด้านหลัง : “สองวันนี้เต๋อเฟยดีขึ้นบ้างหรือไม่?”

ขันทีน้อยมองหน้ามองหลัง จากนั้นก็ยื่นหน้าเข้าไปกระซิบข้างหูของฉีเฟยอวิ๋นด้วยเสียงเบา ๆ ว่า : “เต๋อเฟยดีขึ้นบ้างแล้วพ่ะย่ะค่ะ สองวันนี้ฝ่าบาทเสด็จมาเยี่ยมเยียนทุกวัน ซึ่งเต๋อเฟยก็ไม่ได้ปฏิเสธ ยังคงปฏิบัติตัวปกติเฉกเช่นเดิม แต่ฝ่าบาททรงพระราชทานรางวัลให้มากมาย ทั้งหมดถูกส่งมายังตำหนักหรงเต๋อแล้ว เพียงแต่เต๋อเฟยไม่อยากออกจากตำหนักเย็น พระราชโองการก็รับไปแล้ว แต่นางไม่ยอมออกมาพ่ะย่ะค่ะ”

ฉีเฟยอวิ๋นพยักหน้า รู้สึกลำบากใจอยู่ภายใน มู่เหมียนก็ยังอ่อนเยาว์ แต่ดันหาผู้ชายที่โตกว่าเสด็จพ่อของนาง แล้วจะปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปได้อย่างไร?

ครั้นมาถึงภายในตำหนักเย็น ฉีเฟยอวิ๋นก็เดินเข้าไปและเห็นมู่เหมียนกำลังเหม่อลอย เมื่อได้ยินมามีคนมามู่เหมียนจึงมองไปยังฉีเฟยอวิ๋นด้านนั้น จากนั้นก็เลิกคิ้วสูงเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้สนใจนาง

ฉีเฟยอวิ๋นเหงื่อผุดพรายเต็มหน้าผาก นี่มันบ่งบอกได้หลายความหมายเชียวนะ ให้นางมา แล้วนางยังต้องมาเจอกับการแสดงออกเช่นนี้อีก

นางเป็นถึงหวงกุ้ยเฟย ช่างเถอะ ไม่อยากทะเลาะ

ฉีเฟยอวิ๋นเดินมาถึงข้างกายของมู่เหมียน ย่อกายเล็กน้อย : “หม่อมฉันน้อมทักทายเต๋อเฟยเพคะ”

มู่เหมียนเงยหน้าขึ้น มองพิจารณาฉีเฟยอวิ๋นอย่างเงียบ ๆ ก่อนจะกล่าวถามว่า : “เห็นข้าแล้วอึดอัดมากหรือ?”

“…….” ฉีเฟยอวิ๋นไม่รู้ว่าควรจะกล่าวสิ่งใดออกไป ตกลงผู้ใดกันแน่ที่ควรจะอึดอัด

“หม่อมฉันไม่ได้อึดอัด ที่มาก็เพราะเป็นห่วงกลัวว่าเต๋อเฟยจะอึดอัดเพคะ”

ทั้งสองคนถามคำตอบคำ ขันทีน้อยเองก็เหงื่อออกเต็มใบหน้า เห็น ๆ อยู่ว่าทั้งสองคนก็เคยดีต่อกัน บัดนี้กลับเหมือนจะเข่นฆ่ากันและกัน เหมือนกับศัตรูที่อิจฉาตาร้อนเมื่อพบเจอกัน

ในเมื่อมู่เหมียนไม่มีเหตุผล ฉีเฟยอวิ๋นจึงทำได้แค่ไม่พูดสิ่งใด แต่สุดท้ายนางก็เอ่ยขึ้นว่า : “หม่อมฉันผิดไปแล้ว พอใจแล้วใช่หรือไม่?”

มู่เหมียนแสดงสีหน้าเคร่งขรึม จากนั้นก็มองไปทางคนรอบตัวแวบหนึ่ง : “ออกไป”

ทุกคนจึงพากันถอยออกไป ฉีเฟยอวิ๋นเองก็ไม่เกรงใจอีกต่อไป นั่งลงข้าง ๆ จากนั้นก็ดึงมือจองมู่เหมียนไป จับข้อมือเพื่อตรวจวัดชีพจรของนาง

มู่เหมียนแค่อ่อนเพลียเท่านั้น อย่างอื่นไม่มีสิ่งใดต้องเป็นกังวล

“ดูท่าทางพิษคงจะจางลงมากแล้ว”

ฉีเฟยอวิ๋นตั้งใจเตรียมยาบำรุงมาให้มู่เหมียน นางวางลงตรงหน้าของมู่เหมียน แต่มู่เหมียนได้แต่มองไม่ยอมขยับแต่อย่างใด

“ไม่สบายหรือเพคะ?” ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวถาม ครานี้มีความลังเลขึ้นมาเล็กน้อย

มู่เหมียนหลุบตามองต่ำ : “ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรนี่ก็แค่ปรับตัวไม่ได้ จู่ ๆ ก็มาดีกับข้าเช่นนี้ ก็เพื่อต้องการให้ร่างกายของข้าดีขึ้นเท่านั้น”

ฉีเฟยอวิ๋นเองก็จนปัญญา : “ท่านนึกถึงใจฝ่าบาทบ้างเถอะเพคะ?”

“หากเขาให้ข้า บางทีข้าก็อาจจะนึกถึงใจเขาบ้าง แต่ตอนนี้ก็ไม่เห็นจะทำสิ่งใด….” มู่เหมียนหน้าแดงเล็กน้อย : “เจ้าไม่ต้องมาสนใจหรอก”

ฉีเฟยอวิ๋นแปลกใจ : “ท่านไม่ชมชอบฝ่าบาทหรือเพคะ?”

มู่เหมียนมองออกไป กลอกตาที่ดูหมิ่นไปทางฉีเฟยอวิ๋น : “เขาเป็นถึงองค์จักรพรรดิแล้วอย่างไร? หรือเขาไม่ใช่พระสวามีของข้า ข้าชมชอบเขาไม่ใช่เรื่องปกติหรือ ข้าไม่ชมชอบเขานั่นสิถึงจะแปลก”

“ก็จริงอยู่ เพียงแต่….”

ฉีเฟยอวิ๋นไม่เข้าใจเล็กน้อย นี่คงไม่ได้ต้องการปั่นป่วนหรอกกระมัง?

มู่เหมียนค่อย ๆ ปรายตามองฉีเฟยอวิ๋นด้วยสายตาเหยียดหยาม : “เรื่องอายุเขาสู้ท่านอ๋องเย่ไม่ได้ แต่ร่างกายขอเขาก็ยังถือว่าไม่แย่ หากข้าต้องอยู่ในวังอย่างที่เจ้าพูด แล้วข้าจะยังออกไปได้อีกหรือ ในเมื่อออกไม่ได้ เช่นนั้นไม่สู้แก่ตายในวังดีกว่า”

“มู่เหมียน….หรือว่าท่านชมชอบฝ่าบาทจริง ๆ ?” ฉีเฟยอวิ๋นก็ยังคงไม่เข้าใจ นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันแน่

“ฝ่าบาทเสด็จ” ในขณะที่กำลังจะเอ่ย เสี่ยวสวีจื่อก็ตะโกนขึ้น ฉีเฟยอวิ๋นรีบลุกขึ้นยืนทันที

มู่เหมียนยังคงเอนกายพิงเก้าอี้อย่างเกียจคร้านต่อไป ไม่ขยับไปไหน ฉีเฟยอวิ๋นมองออกไป มู่เหมียนไม่เพียงแต่จะไม่ลุกขึ้นทำความเคารพแล้ว ตรงกันข้ามยังหยิบพุทราลูกหนึ่งขึ้นมากินอย่างสบายใจอีกด้วย

จักรพรรดิอวี้ตี้เดินเข้ามา ตามมาด้วยหนานกงเย่ ฉีเฟยอวิ๋นรีบคุกเข่าทำความเคารพทันที : “น้อมทักทายฝ่าบาทเพคะ”

จักรพรรดิอวี้ตี้กล่าวอย่างเรียบเฉย : “ลุกขึ้นเถิด”

ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวขอบพระคุณจากนั้นก็ลุกขึ้น จักรพรรดิอวี้ตี้มองไปทางมู่เหมียนพลางกล่าวถามว่า : “ดีขึ้นบ้างหรือไม่?”

“อื้อ” มู่เหมียนตอบสั้น ๆ จักรพรรดิอวี้ตี้เดินเข้าไป นั่งลงจากนั้นก็วางมือลงบนมือของมู่เหมียน มู่เหมียนผลักเล็กน้อย จากนั้นก็กินพุทราต่อ

“อร่อยหรือไม่?” จักรพรรดิอวี้ตี้กล่าวถาม ราวกับกำลังปลอบใจเด็ก

มู่เหมียนยื่นให้เขาหนึ่งลูก จักรพรรดิอวี้ตี้อ้าปากกัดไปหนึ่งคำ ความเปรี้ยวได้แผ่ซ่านทั่วปาก หัวคิ้วขมวดเข้าหากัน แต่กลับยังกินต่อ

หนานกงเย่มองไปยังทั้งสองคนอย่างไม่สบอารมณ์นัก ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า : “ฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องต้องจัดการ ขอทูลลา”

จักรพรรดิอวี้ตี้จึงได้กล่าวขึ้นว่า : “อยู่ต่อเถอะ หลายวันมานี้มู่เหมียนเองก็ดูจะอึดอัดใจไม่น้อย คงจะอยากให้สองสามีภรราอย่างพวกเจ้าสองคนอยู่ทานอาหารด้วยกัน บังเอิญว่าข้าเพิ่งจะได้พักพอดีหลังจากที่ยุ่งมาสองวันเต็ม อยู่ต่อเถอะ”

“เพคะ” ฉีเฟยอวิ๋นไม่รอให้หนานกงเย่ปฏิเสธจึงรีบตอบรับไป สีหน้าของหนานกงเย่เคร่งเครียดลง พร้อมกับตอบกลับไปด้วยความอึดอัดใจ

การอยู่กินอาหารต่อในวัง ฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่คุ้นชินทั้งสิ้น

จักรพรรดิอวี้ตี้นั่งลงข้างกายของมู่เหมียน มู่เหมียนยังคงปฏิบัติตัวดี กฎระเบียบในวังนางกลับเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว

เสื้อผ้าของกุ้ยเฟย นางก็สวมใส่ได้อย่างสง่างาม

ฉีเฟยอวิ๋นชื่นชมอยู่ลึก ๆ ในใจ แค่นอนกับชายเพียงคนผู้เดียวแค่คืนเดียว ก็ยังสามารถเปลี่ยนผู้หญิงคนหนึ่งได้ถึงเพียงนี้ ช่างน่ามหัศจรรย์ยิ่งนัก

แต่เมื่อนึกถึงผู้ชายเพียงผู้เดียวแต่กลับมีผู้หญิงหลายคน นางก็มักจะรู้สึกสงสารมู่เหมียนจับใจ

ดั่งคำที่ว่าผักกาดขาวล้วนถูกหมูกัดกิน หญิงสาวต่อให้บริสุทธิ์แค่ไหนเมื่อถูกชายย่ำยีก็ไม่เหลือชิ้นดี

ส่วนเรื่องยาพิษของมู่เหมียน ฉีเฟยอวิ๋นรู้ดี ว่าเป็นฝีมือของพระพันปี แต่จักรพรรดิอวี้ตี้ยังพอมีเหตุผลบ้าง ถือว่าทุกคนย่อมมีระดับของตนเอง

เรื่องนี้จึงจับมือใครดมไม่ได้ ทำสิ่งใดไม่ได้

ทั้งสี่คนทานอาหารด้วยกัน มีเพียงหนานกงเย่ที่รู้สึกไม่ดีอยู่ในใจ เขาฝืนกินอาหารตรงหน้า หนานกงเย่จึงต้องหาข้ออ้างขอตัวกลับจวน

ฉีเฟยอวิ๋นไม่อยากไป อยากอยู่พูดคุยกับมู่เหมียนก่อน

มู่เหมียนแสดงท่าทีไม่สนใจ ฉีเฟยอวิ๋นจึงทำได้แค่ลุกขึ้นและจากไป

หลังจากตามหนานกงเย่ออกมานอกวังแล้วฉีเฟยอวิ๋นก็ได้หันกลับไปมอง ซึ่งภายในวังตอนนี้กำลังครึกครื้นมายิ่งนัก!

หนานกงเย่คว้ามือของฉีเฟยอวิ๋นไว้ และจากไปอย่างไม่รีรอ

ฉีเฟยอวิ๋นตามเขาออกจากวัง หนานกงเย่หงุดหงิดใจทั้งวัน และไม่สนใจฉีเฟยอวิ๋นเลยทั้งวัน ซึ่งนางก็ได้พบว่าตนนั้นไม่เข้าใจผู้ชายคนนี้เอาเสียเลย เรื่องราวมากมายถึงได้ยุ่งยากถึงเพียงนี้

มาโวยวายตรงหน้าฝ่าบาทแล้วได้อะไร หรือตั้งใจจะมาโวยวายกับนาง?

อยากโวยวายก็โวยวาย ใครเล่าจะไม่หงุดหงิดใจ

แต่เรื่องมู่เหมียนฉีเฟยอวิ๋นยังคงไม่วางใจ ดังนั้นจึงต้องมีคนเข้ามาสอบถามมากมาย ผลลัพธ์หลังจากสอบถามไปสอบถามมาปรากฎว่ามู่เหมียนได้ออกจากตำหนักเย็น กลับไปยังตำหนักหรงเต๋อแล้ว

ทั้งยังได้ยินว่าฝ่าบาททรงพระราชทานรางวัลมากมาย และยังพระราชทานรางวัลให้แก่คนในวังมากมาย ทั้งภายในและภายนอกก็ล้วนมีบรรยากาศที่เปลี่ยนไป

ฉีเฟยอวิ๋นกลับมาถึงยามราตรีก็เข้าพักผ่อนทันที แต่แล้วก็มีคนเคาะประตู

หนานกงเย่ไม่อยู่ ฉีเฟยอวิ๋นจึงอยู่พักผ่อนกับบุตรชายของตนเอง ไม่มีผู้ชายก็ไม่เป็นไรมีบุตรชายก็พอแล้ว

เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นมา แต่จู่ ๆ ก็นึกถึงเรื่องของมู่เหมียนได้ ฉีเฟยอวิ๋นเดาได้ว่าเป็นผู้ใดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ผลลัพธ์คือทันทีที่ปิดประตูลมหนาวกลุ่มใหญ่ก็ปะทะเข้ามา คนที่เข้ามาไม่ใช่หนานกงเย่แล้วจะเป็นผู้ใดไปได้

ฉีเฟยอวิ๋นขบขันอย่างพอใจ : “ท่านอ๋องมาได้อย่างไรเพคะ?”

เมื่อปะทะกับแสงที่สาดส่องท่ามกลางหิมะที่ขาวโพลน ใบหน้าของชายหนุ่มนั้นแดงระเรื่อเพราะความเหน็บหนาว ฉีเฟยอวิ๋นมองไปยังคนที่เดินเข้ามาและกำลังปิดประตูอย่างขบขัน

หนานกงเย่โน้มตัวลงไปอุ้มฉีเฟยอวิ๋นขึ้นมาพลางถอดรองเท้าและเดินเข้าไปภายใน กระโปรงยาวสีขาวพระจันทร์อ่อนพลิ้วไสว ฉีเฟยอวิ๋นได้กลิ่นความหอมจากร่างกายของชายหนุ่ม ช่างชวนหลงใหล!

จากนั้นก็ยื่นมือออกไปแตะหน้าอกของชายหนุ่ม ภายในไม่ได้สวมใส่สิ่งใด เห็นได้ชัดว่าแช่น้ำเสร็จแล้วก็ตรงมานี่ทันที

ซึ่งนางชอบมาก

ชุดคลุมยาวลากอยู่ด้านหลังหนานกงเย่เดินมาด้านใน ได้แต่ครุ่นคิดอยู่ในใจ ช่างงดงามยิ่งนัก

เขาแค่แต่งตัวเล็กน้อยเท่านั้น แต่เมื่อเห็นดวงตาที่หรี่เล็กน้อยของนาง ทำเขาโกรธไม่น้อย

เขาโกรธมาก นางเองก็ไม่รู้ว่าจะปลอบใจอย่างไร เพราะมันคนละเรื่อง

ไม่มีมโนธรรมสำนึกเอาเสียเลย!

มู่เหมียนดิ้นอย่างสุดแรง ดวงตาสีฟ้าของนาง ค่อย ๆ ลดความแข็งกร้าวลง

หนานกงเย่กดไว้ไม่อยู่อีกต่อไป ขาของมู่เหมียนเกี่ยวขาของเขาไว้ แม้ว่าศิลปะการต่อสู้ของเขาจะยอดเยี่ยมมาก ก็ยังทำเรื่องนี้ไม่ไหว มู่เหมียนเกี่ยวเขาและลุกขึ้นจากเตียงทันที แต่เขากลับอุ้มฉีเฟยอวิ๋น ถอยหลังเตรียมจะออกไป

มู่เหมียนลุกขึ้นมาอย่างเขินอาย นางมองไปทางคนตรงหน้า พร้อมกับจ้องเขม็งไปยังจักรพรรดิอวี้ตี้

สายตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวอย่างมาก หนานกงเย่กล่าวขึ้นว่า : “เรื่องของฝ่าบาทก็ทรงจัดการเองเถิด กระหม่อมยังมีเรื่องสำคัญต้องไปทำพ่ะย่ะค่ะ ขอทูลลา”

กล่าวจบก็อุ้มฉีเฟยอวิ๋นเดินไป มู่เหมียนเดินโซเซไปตรงหน้าของจักรพรรดิอวี้ตี้ จากนั้นก็ยื่นมือออกไปลูบไล้ไปบนใบหน้าขอจักรพรรดิอวี้ตี้ มู่เหมียนหน้าแดงก่ำจนแยกแยะไม่ออกว่าคนตรงหน้าคือผู้ใด

มู่เหมียนดึงเสื้อของจักรพรรดิอวี้ตี้สองครั้ง นางคิดจะเข้าไปสวมกอด แต่จักรพรรดิอวี้ตี้ฉีกเสื้อผ้าที่รุ่งริ่งบนร่างกายของมู่เหมียนออก เมื่อร่างกายสัมผัสกับอากาศเย็นยะเยือกภายนอก มู่เหมียนจึงได้แต่ยืนนิ่งไม่เคลื่อนไหวแต่อย่างใด

แต่ในเสี้ยวเวลาหนึ่ง สมองของมู่เหมียนก็ได้สติกลับมาฉับพลัน แต่นางกลับเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม

จักรพรรดิอวี้ตี้ขยับเข้าไปใกล้ บีบปลายคางของมู่เหมียนไว้ มองพิจารณาอย่างละเอียด จักรพรรดิอวี้ตี้อุ้มนางขึ้นมา

มู่เหมียนมองไปทางจักรพรรดิอวี้ตี้ แววตาวูบไหวไปมา เหมือนกับเด็กน้อย

จากนั้นก็ดึงม่านคลุมเตียงลง ช่างเป็นค่ำคืนที่แสนยาวนานมาก

หนานกงเย่ตั้งใจจะจากไป แต่ฉีเฟยอวิ๋นไม่วางใจไม่ยอมจากไป

หนานกงเย่นั่งลงอยู่นอกตำหนัก เสี่ยวสวีจื่อเองก็ตื่นตกใจไม่แพ้กัน ยืนตัวสั่นงันงกด้วยความงุนงง

ผู้อื่นในวังก็ล้วนเป็นเช่นนี้ ภายในปั่นป่วนจนไม่อาจสงบลงได้อีก เสียงหัวเราะสนุกสนานดังขึ้นเป็นระลอก แต่กลับสร้างความตื่นตกใจให้แก่ผู้ที่อยู่ภายนอกจนไม่กล้าหายใจ และไม่กล้าคิดมั่วซั่วอีก

ฉีเฟยอวิ๋นหน้าแดงก่ำ อายุเท่านี้ กระดูกกระเดี้ยวยังทำงานได้ปกติอีกหรือ?

สีหน้าของหนานกงเย่แย่ลงมาก จากนั้นเขาก็มองไปทางคนที่อยู่ในเหตุการณ์ : “ออกไปเถอะ เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้หากมีคนแพร่งพรายออกไป ข้าจะฆ่าล้างบางทั้งตระกูล”

หนานกงเย่เป็นผู้ใด ใครเล่าจะไม่รู้จักใครเล่าจะไม่ทราบ มีสักกี่คนที่กล้าไม่ฟังคำสั่งของเขา

คนในวังทยอยกันคุกเข่า : “พวกบ่าวจะปิดปากเงียบ ไม่กล่าวสิ่งใดทั้งนั้นพ่ะย่ะค่ะ”

“อื้อ ออกไปเถอะ”

เวลานี้หนานกงเย่หงุดหงิดอย่างมาก ครั้นนึกถึงเรื่องที่ฉีเฟยอวิ๋นถูกกดอยู่บนเตียงเขาก็ยิ่งเจ็บปวดอยู่ในหัวใจ รู้สึกว่าไม่น่าช่วยมู่เหมียนเสียด้วยซ้ำ

ตายไปก็ดี

เวลานี้ใบหน้าของฉีเฟยอวิ๋นที่แดงก่ำจนถึงใบหูแสดงออกถึงความกังวล ไม่รู้ว่าร่างกายของมู่เหมียนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง นางจำได้แค่ว่า ในตอนที่นางโดนยาพิษก่อนหน้านั้น ทั้งสองคนเพิ่งจะเดินออกมาในวันที่สาม

หนานกงเย่กล่าวว่า : “มานั่งข้างข้า”

ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นและเดินไปตรงหน้าของหนานกงเย่ มือข้างหนึ่งของหนานกงเย่ได้ยื่นออกไป ฉีเฟยอวิ๋นถูกดึงมานั่งบนตักของเขา

จากนั้นก็หลุบตามองต่ำ ฉีเฟยอวิ๋นยิ่งเป็นกังวลกว่าเดิม

หนานกงเย่อุ้มฉีเฟยอวิ๋น จากนั้นก็กัดไปบนใบหูของนางอย่างอดใจไม่ได้ เขามีความปรารถนามาก

เขาอยากจะควบคุมเรื่องนี้ให้ได้ แต่เมื่อเขานึกถึงเสน่ห์อันน่าเย้ายวนภายใต้เสื้อผ้านี้ เขาก็อดใจไม่ไหว

แต่เขาก็ทั้งโกรธทั้งเกลียดชัง : “ข้าจะโกรธแล้วนะ!”

ฉีเฟยอวิ๋นหันไปมอง และก็เห็นว่าอีกฝ่ายโกรธมากจริง ๆ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยจิตสังหาร

ฉีเฟยอวิ๋นจะคิดสิ่งใดได้ล่ะ ก็พรมจูบลงบนริมฝีปากของหนานกงเย่อย่างแผ่วเบา ความโกรธของหนานกงเย่หายไปครึ่งหนึ่ง ตามมาด้วยมือไม้ที่เริ่มซุกซนของหนานกงเย่ : “หากไม่มีคำอธิบายในเรื่องนี้ ข้าไม่มีวันยอมปล่อยผ่าน”

“จะอธิบายสิ่งใดละเพคะ ก็ไม่ใช่ความผิดของหม่อมฉันเสียหน่อย”

แววตาของหนานกงเย่สะท้อนความโกรธ : “ให้นางแตะต้องเนี่ยอ่านะ?”

“นางก็เป็นผู้หญิง มี….”

“บังอาจ!” ทันทีที่หนานกงเย่ได้ยินก็บันดาลโทสะทันใด กับผู้หญิงก็ได้อย่างนั้นหรือ?

ฉีเฟยอวิ๋นไม่อยากทะเลาะ อีกทั้งนางยังคิดว่าหากหนานกงเย่โดนผู้ชายทำอะไรเช่นนั้น ก็คงไม่มีวันยอมแน่ ๆ

“แล้วจะทำอย่างไรละเพคะ?”

ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกขบขัน นางยังโดนจูบด้วยเสียอย่างนั้น หรือว่านางต้องตายสถานเดียว?

หนานกงเย่โกรธเกรี้ยวอย่างมาก : “ข้าไม่มีวันหายโกรธเรื่องนี้ง่าย ๆ เป็นแน่ มีข้าก็ต้องไม่มีนาง”

“ท่านอ๋อง นี่ท่านกำลังหึงอยู่นะเพคะ ท่านมีสิ่งใดต้องหึงหวงหรือ หม่อมฉันเองก็ไม่ได้ชมชอบมู่เหมียนเสียหน่อย อีกอย่างนางก็โดนยาพิษ หากไม่ใช่ก็คงไม่เป็นเช่นนี้”

“ข้าว่านางต้องคิดไม่ดีเป็นแน่” หนานกงเย่กล่าวอย่างโกรธเคือง

ฉีเฟยอวิ๋นไม่อยากทะเลาะกับหนานกงเย่ ยิ่งไปกว่านั้นนางก็สู้เขาไม่ได้ด้วย ผู้ชายต้องเป็นฝ่ายมาเกลี้ยกล่อม นี่คือเหตุผลที่มีมาตั้งแต่โบราณกาล

ฉีเฟยอวิ๋นหันไปจูบหนานกงเย่ : “ท่านอ๋อง จริง ๆ แล้วเรากลับไปพูดเรื่องนี้ในจวนก็ได้ตอนนี้หม่อมฉันเหนื่อยมากแล้ว”

หนานกงเย่มองคนที่จุดไฟแต่กลับไม่ยอมดับไฟตรงหน้าด้วยความไม่สบอารมณ์ จากนั้นก็จูบกลับอย่างไม่พอใจหนึ่งครั้ง : “รอกลับไปดูละกันว่าข้าจะสะสางเจ้าอย่างไร”

ฉีเฟยอวิ๋นพยักหน้า : “กลับไป หม่อมฉันจะปรนนิบัติอย่างดี ให้ท่านอ๋องพึงพอใจเลยเพคะ!”

เวลานี้หนานกงเย่อารมณ์ไม่ดีอย่างมาก และขี้เกียจจะจะพูดกับนาง เขาโอบกอดเอวนุ่ม ๆ ของนาง จากนั้นก็จับนางลอยขึ้น และนั่งลง

การรับมือกับเสียงที่ดังขึ้นลงเป็นจังหวะนั้น รบกวนอ๋องผู้นี้ จนทนไม่ไหวในที่สุด

หนานกงเย่ลุกขึ้นและอุ้มฉีเฟยอวิ๋นเดินออกไปนอกตำหนัก ฉีเฟยอวิ๋นรีบเรียกเขาไว้ : “ท่านอ๋อง ไม่ดีกระมัง”

“ในตำหนักเย็นมีห้องเล็กใหญ่เป็นร้อยห้อง ที่นี่มีแค่ห้องเดียว จะไม่ดีอย่างไร?”

“แต่ที่นี่มันหนาวถึงเพียงนี้ จะไปที่ใดได้ ยิ่งไปกว่านั้นหม่อมฉันเองก็ไม่วางใจมู่เหมียนด้วยเพคะ”

“วางใจหรือไม่วางใจข้าไม่สน”

หนานกงเย่เดินสาวเท้าใหญ่ออกไป อุ้มฉีเฟยอวิ๋นเข้าไปในสถานที่ที่ใกล้ที่สุด

ฉีเฟยอวิ๋นยังคงไม่ยอม เพราะรู้สึกว่าสถานที่มากมายในตำหนักเย็นแห่งนี้ล้วนแต่เคยมีคนตายทั้งสิ้น นางไม่ได้กลัวคนตายหรอก แต่หากไปทำเรื่องอย่างว่าบนเตียงที่คนตายเคยหลับนอนมาก่อนล่ะ ฉีเฟยอวิ๋นรับไม่ได้เป็นแน่

แต่เมื่อขึ้นไปบนเตียงแล้วไฉนเลยนางจะอดกลั้นได้ หนานกงเย่รีบพรวดขึ้นไปบนเรือนร่างของนาง กัดไปบนส่วนที่เผยออกมาภายนอก เขากำลังหงุดหงิดงุ่นง่าน ดังนั้นฉีเฟยอวิ๋นจึงไม่อยากขัดขวางเขา

ทั้งสองคนออกมาในตอนที่ฟ้าสว่างแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นตามหนานกงเย่กลับไป และรออยู่ด้านนอก

รอจนกระทั่งเที่ยงวัน เสี่ยวสวีจื่อจึงได้ถูกเรียกเข้าไป

ไม่นานเสี่ยวสวีจื่อก็รีบร้อนออกมาจากในตำหนัก เดินมาตรงหน้าของฉีเฟยอวิ๋นด้วยความอึดอัดใจ : “พระชายาเย่ ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้พระชายาเย่บริจาคพระโลหิตหนึ่งถ้วย บอกว่าอยากจะฟื้นบำรุงพระวรกายของพระสนมเต๋อเฟย เพราะพระวรกายของพระสนมเต๋อเฟยนั้นทรงอ่อนแอมากพ่ะย่ะค่ะ”

ทันทีที่ได้ยินว่าอยากดื่มเลือด ใบหน้าของหนานกงเย่ก็เคร่งขรึมลง อย่างไรก็ไม่ยอม

“ข้าไม่ให้ พระชายาเย่ก็ยังไม่ได้เตรียมตัว ไม่เห็นวัวม้าแกะสักตัว มีเลือดที่ไหนกัน กลับไปทูลฝ่าบาทด้วย ไม่มีเลือด”

หนานกงเย่ปฏิเสธทันที ฉีเฟยอวิ๋นรู้แก่ใจดีว่าคนที่ดื่มนั้นไม่ใช่มู่เหมียน แต่อาจเป็นไปได้ว่าจะเป็นพิษของมู่เหมียนจึงยังจำเป็นต้องดื่ม

ฉีเฟยอวิ๋นเดินเข้าไปด้านหลัง ถ่ายเลือดลงถ้วย

เสี่ยวสวีจื่อตื่นตกใจอย่างมาก แต่ก็รีบเข้าไปยกมันออกมา หนานกงเย่เจ็บปวดมาก ทุบโต๊ะอย่างแรงด้วยความโกรธ

ฉีเฟยอวิ๋นนั่งรอ นางอยากรู้ ว่ามู่เหมียนจะไม่เป็นอะไร

รอจนกระทั่งฟ้ามืด ก็ยังไม่มีข่าวคราวใดออกมาจากข้างใน

กระทั่งภายนอกเริ่มปูผ้ากันแล้ว

ฉีเฟยอวิ๋นกำลังจะใช้ เสี่ยวสวีจื่อก็เดินออกมาอย่างรีบร้อน

“ท่านอ๋อง พระชายาเย่ ฝ่าบาททรงตรัสเชิญทั้งสองออกจากวังพ่ะย่ะค่ะ”

ฉีเฟยอวิ๋นวางตะเกียบลง : “แล้วเต๋อเฟยละ? บัดนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”

“เมื่อครู่ที่เข้าไปข้าน้อยก็ยังไม่เห็นนาง แต่ดูเหมือนจะหลับอยู่บนเตียงแล้ว ข้าน้อยเห็นฝ่าบาทกอดนางอยู่บนเตียงพ่ะย่ะค่ะ”

เสี่ยวสวีจื่อกล่าวเสียงบางเบา ฉีเฟยอวิ๋นมองไปทางหนานกงเย่แวบหนึ่ง เขาไม่เป็นไรก็ดี

“เช่นนั้นเราไปกันเถอะ ท่านอ๋อง” ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้น จากนั้นก็ดึงหนานกงเย่เตรียมจะเดินจากไป

อ๋องผู้นี้ลุกขึ้นยืน พร้อมกับมองไปทางห้องด้วยสายตาเย็นชา พยายามข่มอารมณ์โกรธไว้ จากนั้นก็ดึงตัวฉีเฟยอวิ๋นออกจากวังไป

วันรุ่งขึ้น ฉีเฟยอวิ๋นได้รับพระราชโองการ เชิญเข้าวังเพื่อตรวจอาการของเต๋อเฟย

ฉีเฟยอวิ๋นรีบตามหนานกงเย่เข้าวังทันที เพื่อไปพบมู่เหมียน

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท