องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 588 สามพี่น้องเป็นเช่นนี้นี่เอง
อ๋องตวนเหลือบมองฉีเฟยอวิ๋นและกล่าวว่า:“การยืมเงินไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่เงินในสำนักการเงินของเราดอกเบี้ยต่ำ ตามดอกเบี้ยปัจจุบัน เงินหนึ่งพันตำลึงคิดเป็นดอกเบี้ยหนึ่งตำลึงต่อวัน เงินห้าล้านตำลึงก็ดอกเบี้ยห้าพันตำลึงต่อวัน หากหนึ่งเดือนจะเป็นเงินหนึ่งแสนห้าหมื่นตำลึง แต่หากเป็นหนึ่งปีก็จะเป็นหนึ่งล้านแปดแสนตำลึง
กล่าวอีกนัยหนึ่ง หากเจ้าหอเฟิงยืมเงินห้าล้านตำลึง เช่นนั้นปีหน้าก็จะต้องคืนเงินหกล้านแปดแสนตำลึง นี่ไม่ใช่จำนวนเงินน้อย ๆ เลย เพื่อที่จะเตรียมสินเดิมให้ฝ่ายหญิง ต้องสิ้นเปลืองเงินเช่นนี้เชียวหรือ!”
“ท่านอ๋องทรงตรัสเช่นนี้ก็ไม่ถูกนะเพคะ แม้ว่าครอบครัวของหม่อมฉันจะไม่มีเงิน แต่ตอนที่หม่อมฉันแต่งงาน สินเดิมก็มีมากมาย” อวิ๋นหลัวฉวนไม่พอใจ
แน่นอนว่าอ๋องตวนไม่ได้ดูถูกดูแคลนสินเดิมของอวิ๋นหลัวฉวน เขาเหลือบมองอวิ๋นหลัวฉวนและกล่าวว่า:“ก็ใช่”
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปทางเฟิงอู๋ชิง:“เจ้าหอเฟิงเห็นว่าอย่างไร?”
“เงินไม่ใช่ปัญหา ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ข้าไม่มีเงินอยู่ในมือเลยจริง ๆ แต่อีกไม่กี่เดือนก็คงมีเงินมากพอ ท่านนำเงินออกมาก่อน แล้วข้าจะเขียนหลักฐานให้!”
เดิมทีเฟิงอู๋ชิงไม่ได้สนใจเงิน เงินแค่ไม่กี่ล้านตำลึง ไม่ได้อยู่ในสายตาของเขาเลย
ฉีเฟยอวิ๋นจึงกล่าวว่า:“เช่นนั้นข้าจะนำกระดาษและเครื่องเขียนมาให้!”
ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นแล้วออกไปข้างนอก ไม่นานนางก็กลับมาพร้อมกระดาษและเครื่องเขียน จากนั้นก็วางลงข้างหน้าเฟิงอู๋ชิง เขาลุกขึ้นและเขียนหลักฐานการยืมเงินด้วยตนเอง จากนั้นก็เขียนชื่อลงไปด้วย
หลังจากเขียนเสร็จแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นก็เขียนชื่อลงไปเช่นกัน และนำโฉนดที่ดินของจวนอ๋องเย่มาให้อ๋องตวนดู จากนั้นอ๋องตวนก็ลุกขึ้นและกลับไปเตรียมเงิน ฉีเฟยอวิ๋นจึงส่งเขาออกไป
เมื่อออกไปแล้ว อ๋องตวนก็เหลือบมองฉีเฟยอวิ๋นและถามว่า:“จะไปหาเงินมาจากไหน?”
“ท่านอ๋องตวน พระองค์รีบเข้าไปหาท่านอ๋องในวังเดี๋ยวนี้เลยเพคะ ในเวลานี้เขาน่าจะอยู่ในวังและยังไม่ได้กลับมา แม้ว่าเงินหนึ่งล้านแปดแสนตำลึงจะไม่มาก แต่ก็มากสำหรับพวกเรา หากเฟิงอู๋ชิงไม่คืนเงินให้หม่อมฉัน ปีหน้าก็จะเป็นเงินสิบล้านตำลึง”
อ๋องตวนเลิกคิ้ว เพื่อเฟิงอู๋ชิงผู้นั้นแล้วไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย เขาจะต้องสูญเสียเงินไปห้าล้านตำลึงในหนึ่งปี
“ก็ดี ข้าจะเข้าไปในวัง”
ฉีเฟยอวิ๋นเฝ้ามองอ๋องตวนและอวิ๋นหลัวฉวนจากไป จากนั้นก็กำลังจะหันหลังกลับไป และอวิ๋นเซวียนอี้ก็มา
ตระกูลอวิ๋นมากันไม่น้อยเลย แน่นอนว่าการมาสู่ขอจะทำส่งเดชไม่ได้ ส่วนสินสอดที่นำม่ก็มีแต่กล่องใหญ่ ๆ แต่จวนกั๋วกงไม่ได้มั่งคั่ง ฉีเฟยอวิ๋นไม่กล้าคิดเลยว่าสิ่งที่อยู่ในกล่องนั้นคืออะไร
ฉีเฟยอวิ๋นเชิญเว่ยหลินชวน อวิ๋นหลัวฉาย และคนอื่น ๆ เข้าไปด้วยถ้ายคำที่มีพิธีรีตอง คราวนี้ผู้ที่มาสู่ขอเป็นเว่ยหลินชวนและภรรยา พร้อมด้วยอวิ๋นเซวียนอี้
ในเวลานี้อู๋กั่วก็ได้เตรียมการเรียบร้อยแล้ว เมื่อได้ยินว่าผู้ที่จะมาสู่ขอมาถึงแล้ว นางก็รีบออกไปต้อนรับ
เมื่อผู้คนเดินเข้ามา เฟิงอู๋ชิงก็ลุกขึ้นแล้วนั่ง
เว่ยหลินชวนและภรรยาของเขาสุภาพเรียบร้อย จากนั้นก็เริ่มพูดถึงเรื่องการสู่ขอ
อวิ๋นเซวียนอี้และอู๋กั่วต่างก็เต็มใจ ทั้งสองไม่มีข้อโต้แย้ง ดังนั้นพวกเขาจึงพูดคุยกันเรื่องสินสอด อู๋กั่วเพิ่งรู้ว่าจวนกั๋วกงเป็นสถานที่สะอาด และไม่ได้มีเงินมากมาย พวกเขาล้วนแต่อาศัยเบี้ยหวัด ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีเงินจำนวนมากมาเป็นสินสอด
นางจึงถือโอกาสกล่าวว่า:“ข้าไม่ได้ชอบเงิน จะให้เท่าไหร่ก็ได้ ลูกหลานของชาวยุทธภพ ไม่ได้ร้องขอความฟุ้งเฟ้อเหล่านั้น”
หัวใจของเฟิงอู๋ชิงสั่นสะท้าน ไม่ได้ร้องขอ แต่ก็ต้องคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วน
“นี่เป็นสิ่งที่พวกเรากำลังจะพูด วันนี้จวนกั๋วกงนำสินสอดมาไม่มากนัก แต่ก็ไม่สามารถปฏิบัติต่อแม่นางอู๋กั่วอย่างไม่ยุติธรรมได้ และยิ่งต้องแสดงความจริงใจ
ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่เหล่าผู้อาวุโสของจวนกั๋วกงได้จัดเตรียมไว้ เจ้าหอเฟิงได้โปรดรับไว้!”
อวิ๋นหลัวฉายพาพ่อบ้านของจวนกั๋วกงมาด้วย ซึ่งสามารถพูดได้ดี
เมื่อเปิดกล่อง เป็นเครื่องประดับหนึ่งกล่อง ผ้าไหมหนึ่งกล่อง อาวุธหนึ่งกล่อง เครื่องเขียนหนึ่งกล่อง และโฉนดที่ดินสองฉบับ
อู๋กั่วมองดูและหยิบดาบขึ้นมา แน่นอนว่าเทียบไม่ได้กับดาบของนาง เมื่อคิดว่าจวนกั๋วกงทุ่มเทที่จะมาสู่ขอ นางก็พอใจมาก
และนางก็ไม่ได้แต่งงานเพื่อเงิน
อู๋กั่วกล่าวว่า:“นายท่าน ข้าชอบสินสอดเหล่านี้มาก”
“เช่นนั้นก็รับไว้เถอะ”
เฟิงอู๋ชิงไม่สนใจสิ่งเหล่านี้ อู๋กั่วเต็มใจก็ดีแล้ว
อู๋กั่วยิ้มด้วยความพอใจ:“แล้วสินเดิมของข้าล่ะ?”
“สินเดิมเป็นเงินห้าล้านตำลึง ส่วนร้านค้าของเจ้าจะให้เจ้าในปีหน้า ในเวลานี้ยังให้ไม่ได้ ส่วนเครื่องประดับได้เตรียมไว้แล้ว หลังจากสองสามวันเจ้าค่อยพาคนมาขนออกไป”
ฉีเฟยอวิ๋น เว่ยหลินชวน และคนอื่น ๆ ต่างก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
อู๋กั่วพอใจเป็นอย่างมาก:“เช่นนั้นก็ดี เมื่อเงินมาถึงแล้ว ข้าก็จะแต่งงานกับเขา”
เฟิงอู๋ชิงมองไป ราวกับว่ากลัวว่าเขาจะบิดพลิ้ว
“อืม”
เว่ยหลินชวนมองไปที่พ่อบ้านที่เขาพามา พ่อบ้านหัวเราะเหอะ ๆ และกล่าวว่า:“ไม่ต้องห่วงเรื่องเงิน พวกเราได้กำหนดวันไว้แล้ว บางทีคุณชายสามอาจจะต้องไปชายแดนในอีกไม่กี่วัน ดังนั้นฮูหยินใหญ่จึงต้องการให้มาสู่ขอไว้ล่วงหน้า”
อู๋กั่วรู้สึกมีความสุขมาก นางมองไปที่อวิ๋นเซวียนอี้อย่างเขินอาย ทั้งสองรักใคร่ซึ่งกันและกัน และอยากจะรีบแต่งงาน
เฟิงอู๋ชิงอยากจะให้อู๋กั่วจากไป เพื่อที่เห็นแล้วจะได้ไม่กระวนกระวายใจ
เขาจึงพยักหน้าตกลง
อ๋องตวนเข้าไปในวังเพื่อไปพบหนานกงเย่ ผู้คนต่างกำลังถกเถียงกันอยู่ที่พระที่นั่งบำรุงฤทัย
อ๋องตวนเข้าไปถวายบังคมจักรพรรดิอวี้ตี้ และบอกเหตุผลที่มาที่นี่ จักรพรรดิอวี้ตี้มองไปที่หนานกงเย่:“เฟิงอู๋ชิงเป็นใคร?”
หนานกงเย่จึงอธิบายสถานะของเฟิงอู๋ชิงอย่างเรียบง่ายและชัดเจน จักรพรรดิอวี้ตี้ยืนเอามือไพล่หลังอย่างเคร่งขรึม:“ไม่ใช่ว่าชาวยุทธภพจะย่างก้าวเข้ามาในต้าเหลียงของข้าไม่ได้ แต่หากเกิดอะไรขึ้นจริง ๆ แล้วจะจัดการอย่างไร?”
“ฝ่าบาท กระหม่อมมีวิธีพ่ะย่ะค่ะ และสามารถจับเฟิงอู๋ชิงได้อย่างแน่นอน”
“งั้นหรือ?เช่นนั้นก็ต้องนำเงินจากในท้องพระคลังไปให้เขาใช้ แล้วให้เขาจ่ายดอกเบี้ย?”
“ถึงแม้ว่าเงินห้าล้านตำลึงจะไม่มากสำหรับท้องพระคลัง แต่หากจำเป็น ผู้ที่เป็นอย่างเฟิงอู๋ชิงก็ไม่ได้กลัวว่าท้องพระคลังจะว่างเปล่า
ในยามนี้ขาดแคลนเงิน จึงยากที่จะปฏิเสธ
กระหม่อมคิดว่าหากเงินเข้าไปอยู่ในจวนกั๋วกง จวนกั๋วกงจะต้องไม่เก็บไว้ในจวนอย่างแน่นอน และไม่กล้าพูดเรื่องบริจาค เป็นไปได้ว่าจะนำไปที่กองทัพ จะต้องรองให้เฟิงอู๋ชิงนำเงินหกล้านแปดแสนตำลึงมาให้แก่กองทัพต้าเหลียงของเรา และท้องพระคลังก็จะเปลี่ยนวิธีการในการนำเงินออกมาแล้วหมุนกลับไป”
จักรพรรดิอวี้ตี้อารมณ์ดีมาก:“ไม่เลว ข้อตกลงนี้เสร็จสิ้นแล้ว แต่เฟิงอู๋ชิงเป็นชาวยุทธภพ และเขาก็เป็นเจ้าหอทิงเฟิง แน่นอนว่าไม่ใช่คนธรรมดา เขาจะฟังพวกเจ้าหรือ?”
“เฟิงอู๋ชิงเป็นคนที่สบาย ๆ เงินของเขามีมากกว่านั้นมาก ได้ยินมาว่าเขามีภูเขาเงินภูเขาทอง ส่วนเหตุผลที่เขาไม่สามารถนำเงินออกมาได้ในตอนนี้ กระหม่อมคงต้องคิดก่อน
แต่มีอย่างหนึ่งคือหากเขาสามารถอยู่ที่ต้าเลียงของเราได้ สำหรับกระหม่อมแล้วเป็นเรื่องดี รวมทั้งฝ่าบาทด้วย
ประการแรกคือสามารถเก็บไว้ใช้ประโยชน์ได้ และประการที่สองคืออู๋กั่วกลายเป็นสะใภ้ของจวนกั๋วกง เขาคงจะไม่ทำอะไรที่จะเป็นภัยต่อต้าเหลียง เพียงแต่ต้องการให้คุณชายสามคอยเป่าหู
สะใภ้ของจวนกั๋วกง ถือว่าสถานการณ์โดยรวมเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เรื่องนี้กระหม่อมแน่ใจว่าคุณชายสามสามารถทำได้”
“อืม เช่นนั้นก็ได้ แล้วเจ้าแน่ใจหรือว่าพวกเขาจะไม่ฆ่าคน?และจะยอมคืนเงิน?”
“แน่นอน ขอเพียงแค่อู๋กั่วแต่งงานเข้าไปในจวนกั๋วกง ก็เป็นไปได้!”
ทั้งสามพี่น้องมองหน้ากัน ที่นี่ไม่มีคนนอกที่มาทำข้อตกลงร่วมกัน เพื่อที่จะเติมเต็มท้องพระคลัง ทุกอย่างล้วนแค่เป็นไปได้
หนานกงเย่นำพระราชโองการกลับไปที่จวนอ๋องเย่ และอ๋องตวนก็นำเงินห้าล้านตำลึงเข้าไปในจวนอ๋องเย่
“อวิ๋นเซวียนอี้ของจวนกั๋วกง และอู่กั่วรับพระราชโองการ” หนานกงเย่อ่านพระราชโองการ และทุกคนก็คุกเข่าลง
“ด้วยพระราชโองการแห่งสวรรค์ ฝ่าบาททรงมีพระบัญชาให้อวิ๋นเซวียนอี้ ผู้ที่เพียบพร้อมไปด้วยคุณธรรม มีความดีความชอบในการศึกเป็นที่เลื่องลือ บัดนี้ขอพระราชทานงานอภิเษกสมรสให้แก่อวิ๋นเซวียนอี้และอู๋กั่ว มีคำสั่ง……แต่งตั้งอวิ๋นเซวียนอี้ให้เป็นแม่ทัพน้อย และแต่งตั้งอู๋กั่วให้เป็นฮูหยินในลำดับชั้นสูงสุด มอบจวนให้หนึ่งหลัง และเงินหนึ่งหมื่นตำลึง!”
ฉีเฟยอวิ๋นสะเทือนใจเล็กน้อย สูง สูงมากจริง ๆ!
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 595 ก้นของเสือ
อ๋องตวนไม่ยอมรับตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์และองค์จักรพรรดิอวี้ตี้ก็ทรงประทับนั่งอยู่ด้านบนอย่างเฉยเมย: “อ๋องตวน เจ้าหรือข้าที่เป็นฝ่าบาทของเมืองต้าเหลียง?”
อ๋องตวนหดหู่ใจ: “ฝ่าบาท แน่นอนว่าเป็นพระองค์พะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นข้าจะแต่งตั้งให้เจ้าเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เหตุใดเจ้าถึงไม่ยอมหล่ะ? เจ้ากำลังคิดที่จะให้ข้าลากเจ้าออกไปโบยหนึ่งร้อยกระดานหรือ?” องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงพระทัยแข็งซะแล้ว หากไม่จัดการอ๋องตวนให้ดีจะไหวได้เช่นไร พระองค์ก็ไม่รู้ว่าพระองค์ที่ทรงเป็นฝ่าบาทนี้เป็นเสือหรือว่าเป็นแมวซะแล้ว!
อ๋องตวนเต็มไปด้วยความเคร่งเครียดแต่กลับไม่กล้าแสดงออกมา: “กระหม่อมมิกล้าพะย่ะค่ะ แต่หากว่าฝ่าบาททรงโบยแล้วถึงจะหายกริ้วเช่นนั้นก็ทรงโบยเถอะ กระหม่อมไม่ต้องการเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ร้านค้าของกระหม่อมมีสามร้อยกว่าร้าน ในตอนนี้ก็ได้อยู่ทั่วทุกหนแห่งในเมืองต้าเหลียง รอจนถึงเวลาปลายฤดูใบไม้ร่วงปีหน้าแม้ว่าจะไม่มีภาษีผุ้คนให้เก็บ กระหม่อมก็สามารถที่จะนำเงินมาเลี้ยงกองทัพให้พอเพียงได้ ขอฝ่าบาททรงเห็นแก่ที่เงินส่วนใหญ่ของกระหม่อมยังสามารถหลั่งไหลเข้าในท้องพระคลังให้กระหม่อมได้เป็นอ๋องผู้มีอิสระเสรีด้วยพะย่ะค่ะ”
“ดูเหมือนว่าก้นที่ถูกโบยของเจ้าจะไม่เป็นไรแล้ว เจ้ากล้าที่จะขอเป็นอ๋องอิสระเสรีอันใดกับข้า ข้ายังไม่มีที่ใดให้ไปข้ายังต้องการจะเป็นจักรพรรดิอิสระเสรีหน่ะ”
เมื่อองค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงกริ้วขึ้นมานั้นไม่มีผู้ใดที่สามารถยับยั้งได้
เห็นอ๋องเย่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูก็ยิ่งทรงกริ้วมากขึ้น
หนึ่งคนสองคนก็เป็นเช่นนี้ องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงตบโต๊ะ: “ข้าจะเก็บก้นไว้ให้เจ้า เบิกตัวพระชายาตวนเข้ามาน้อมทักทายพระมเหสีหวาในวัง เมื่อวานข้าอยู่ที่สนามล่าสัตว์กลับมาก็ค่ำซะแล้ว
พระมเหสีทรงเป็นกังวลยิ่งนักจนข้าสุดจะทนไม่ไหวจึงได้เบิกตัวพระชายาตวนเข้าวังเพื่อน้อมทักทายและอยู่เป็นเพื่อนสักสองสามวัน ”
ทันทีที่องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงตรัสเช่นนี้ จู่ๆอ๋องตวนก็ไม่กล้าบอกกล่าวว่าถูกกลั่นแกล้งอย่างไม่เป็นธรรม เงยหน้าขึ้นมององค์จักรพรรดิอวี้ตี้: “ทูลฝ่าบาท ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ใช่การช่วยเหลือราชกิจของราชสำนักหรือไม่?”
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้รู้สึกว่าอ๋องตวนเปิดใจแล้วและมองไปยังอ๋องตวนสองครั้งด้วยความรู้สึกอันน่ารังเกียจ: “ใช่”
“เช่นนั้นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ของรัชทายาทกับขุนนางผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ผู้ใดใหญ่?” อ๋องตวนต้องถามให้กระจ่างเพื่อมิให้มีคนบิดพริ้ว
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงรำคาญ: “แล้วเจ้าว่าหล่ะ? บ้านเมืองใหญ่หรือว่าขุนนางใหญ่?”
“กระหม่อมเข้าใจแล้ว ทูลฝ่าบาทกระหม่อมยินยอมที่จะรับการแต่งตั้ง สำหรับเรื่องที่เสด็จแม่ตกพระทัยนั้นรอให้กระหม่อมออกจากตำหนักบำรุงฤทัยก็จะไปเยี่ยมเสด็จแม่ พรุ่งนี้กระหม่อมจะพาพระชายาตวนเข้าวังมาน้อมทักทายเสด็จแม่ หากว่าไม่มีเรื่องอันใดก็ขอทูลลากลับจวนก่อน สองสามวันนี้ร่างกายพระชายาเหน็ดเหนื่อยอยู่ตลอดโดยไร้เรี่ยวแรงแม้แต่จะเดิน กำลังคิดที่จะเดินขยับกายไปหาพระชายาเย่เพื่อให้พระชายาเย่ดู”
อ๋องตวนกล่าวจบองค์จักรพรรดิอวี้ตี้ก็ทรงหาประเด็นสำคัญแล้วทรงถามว่า: “กล่าวเช่นนี้พรุ่งนี้เจ้าจะเข้าประชุมขุนนางแล้วหรือ?”
อ๋องตวนนั้นเพื่อให้อวิ๋นหลัวฉวนอยู่เคียงข้างเขาก็เรียนรู้ได้อย่างไหลลื่นซะแล้ว
“พะย่ะค่ะ กระหม่อมรับพระบัญชา”
เป็นการยากที่องค์จักรพรรดิอวี้ตี้จะทรงพอพระทัย คนผู้นั้นต้องมีจุดอ่อนและจุดอ่อนของอ๋องตวนก็คืออวิ๋นหลัวฉวน
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ไม่ทรงรู้ว่าอ๋องตวนและอวิ๋นหลัวฉวนเดินด้วยกันมาถึงวันนี้ได้เช่นไร สรุปแล้วทำให้องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงรู้สึกประหลาดพระทัย
ท่านอ๋องผู้เยือกเย็นเสมือนหยกและแม่ทัพหญิงผู้อยู่ในสนามรบเช่นไรก็ไม่ถือว่าคู่ควรกัน
แต่สามารถเดินด้วยกันมาจนถึงวันนี้ได้ องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ก็ทรงยินดีเช่นกัน
มีอวิ๋นหลัวฉวนแล้วถือว่าองค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงสามารถกุมอ๋องตวนได้แล้ว
ก็เช่นเดียวกับอ๋องเย่ เดิมทีเขาเป็นม้าตัวหนึ่งให้ทำสิ่งใดก็จะไม่ทำสิ่งนั้นรู้แต่สี่ขาเตะออกเพื่อความสุขและทำร้ายผู้คนไปทั่ว ตอนนี้ดีแล้วมีฉีเฟยอวิ๋นอ๋องเย่ก็เหมือนดังกับขาม้าสี่ข้างดูราวกับเสือติดปีก วิ่งขึ้นมารวดเร็วยิ่งนักแต่ต้องการจัดการเขาก็ยิ่งง่ายดายด้วย
โซ่ตรวนก็คือโซ่ตรวน ตะปูอยู่ในเนื้อ เช่นนั้นจะเหมือนกันได้หรือ วิ่งขึ้นมานั้นหนักอึ้ง!
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงคิดมีแต่ทางได้ไม่มีทางเสียและมองอ๋องเย่กับอ๋องตวนด้วยอารมณ์อันดียิ่ง
“อ๋องตวน เจ้าลุกขึ้นก่อนเถอะ” หลังจากองค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงตรัสเรียบร้อยแล้วก็มองไปยังอ๋องเย่ อ๋องตวนลุกขึ้นมองดูหนานกงเย่อย่างหดหู่ใจ เรื่องนี้นั้นเป็นความผิดของเขา
หนานกงเย่กล่าวอย่างเฉยเมยว่า: “กระหม่อมคารวะฝ่าบาทพะย่ะค่ะ”
ในราสำนักไร้ซึ่งบิดาและบุตร ยิ่งไม่มีพี่น้อง เช่นไรก็ต้องเกรงใจสักสามส่วน
แต่ก็เป็นแค่สามส่วน หนานกงเย่ผู้นี้เขาเป็นเช่นนี้มาตั้งแต่เด็ก ต่อหน้าพระพักตร์องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ซึ่งเป็นเจ้านายผู้ขนาบข้าง
อ๋องตวนทรงปฏิบัติตามกฎระเบียบตั้งแต่เด็กรู้ว่าควรทำเช่นไร แต่หนานกงเย่นั้นชอบที่จะทำสิ่งใดก็ทำสิ่งนั้น อย่าว่าแต่ไม่มีคนนอกถึงแม้ว่าจะมีในตัวเขาก็ไม่ได้มีระเบียบมากมายนัก
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงทอดพระเนตรไป: “ตั้งแต่วันนี้อ๋องตวนก็เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เจ้าทั้งสองต้องเคารพและรักซึ่งกันและกันพร้อมทั้งจัดการเรื่องราวให้ดี”
“กระหม่อมรับพระบัญชา” หนานกงเย่ตอบอย่างรวดเร็วและอ๋องตวนก็เหลืองมองเขา
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงถามว่า: “พักผ่อนเรียบร้อยแล้วหรือ?”
“ทูลตอบฝ่าบาท พักผ่อนดีแล้วพะย่ะค่ะ”
“ที่ชายแดนนั้นเป็นเช่นไรบ้าง เหตุใดเจ้าถึงกลับมาเร็วเช่นนี้” เมื่อวานองค์จักรพรรดิอวี้ตี้ก็ทรงครุ่นคิดอยู่ทั้งคืน ในตอนนี้มู่เหมียนนั้นยังนอนอยู่บนเตียงและในใจรู้ว่าหนานกงเย่กลับมาเพราะพระองค์
“ได้รับข่าวลับมาว่ามีคนต้องการทำร้ายฝ่าบาทจึงได้ย้อนกลับมา ชายแดนถูกเตรียมการเอาไว้เรียบร้อยแล้วและเชื่อว่าไม่นานก็จะมีการรายงานเร่งด่วน”
“หาเรื่อง ในเวลานี้ไม่ควรกลับมาแต่กลับกลายเป็นการให้โอกาสผู้คนเหล่านั้นแทนซะแล้ว” องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงลุกขึ้น ก้าวเสด็จลงจากบันไดสูงและทรงก้าวทีละก้าวๆไปยังตรงหน้าหนานกงเย่และอ๋องตวน
“ในตอนนี้อ๋องตวนอยู่นี่เจ้าไปอย่างวางใจได้ ข้าก็จะรอเจ้ากลับมาอยู่ในวังอย่างระแวดระวัง การสู้รบของเมืองอู๋โยวเป็นเรื่องอันน่าวิตกกังวลใหญ่หลวงในใจข้า
ข้าไม่ได้สู้รบมาหลายปีแล้วและยังจำเวลาที่พาพวกเจ้าออกไปเป็นครั้งแรกได้ พวกเจ้านั้นยังเป็นเด็กและตะโกนตามอยู่ด้านหลังข้า
ข้าแก่แล้วและออกไปไม่ได้แล้ว แต่ว่าพวกเจ้านั้นได้อาศัยเวลาที่สามารถออกไปได้ไปดู
ในเมื่อเริ่มสู้รบแล้ว การต่อสู้ครั้งนี้นั้นไม่สามารถพ่ายแพ้ได้! ”
หนานกงเย่หลับตาลง เดิมทีเรื่องราวที่จริงจังเรื่องหนึ่ง เขาเปิดปากก็กลายเป็นเรื่องราบเรียบ: “ก็แค่สู้รบกันเท่านั้น”
” ……” องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงถูกทำให้กริ้วจนอัดอั้นอยู่ในลำคอ
“ความหมายของเจ้าคือการรบครั้งนี้จะไม่พ่ายแพ้”
“ชนะหรือแพ้เป็นเรื่องธรรมดาของการทหาร หากยังทำการรบไม่เสร็จผู้ใดก็ไม่สามารถบอกได้ว่าจะชนะหรือแพ้” หนานกงเย่ยิ่งกล่าวก็ยิ่งโกรธมากขึ้น องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ก็ทรงเดินกลับไปอย่างรู้สึกรำคาญ
ต่อมาทั้งสามพี่น้องก็คุยเรื่องการรบกันต่อ เดิมทีอ๋องตวนคิดที่จะวางแผนขนเสบียงขึ้นไปก่อน แม้ว่าอ๋องตวนจะไม่สนใจการบ้านการเมืองแต่ตั้งแต่การรบที่ชายแดนตึงเครียดและเตรียมเปิดสงคราม อ๋องตวนก็รวบรวมเงินทองและเสบียงซึ่งตระเตรียมได้พอประมาณแล้วและพร้อมที่จะขนไป
ท้ายที่สุดหนานกงเย่จึงได้กล่าวว่า: “ไม่รีบ ส่งให้ทหารรักษาชายแดนผู้อื่นซะก่อน เสบียงได้จัดการเอาไว้เรียบร้อยแล้ว”
“……”อ๋องตวนและองค์จักรพรรดิอวี้ตี้รู้เรื่องหนานกงเย่ เขาบอกว่าไม่ต้องเช่นนั้นก็ต้องมีหนทางอื่นอีกด้วยเป็นแน่
แต่ทั้งสองคนนั้นสงสัย เสบียงของกองทัพห้าแสนคนได้ส่งไปยังชายแดนอื่นทั้งสิ้น เขาส่งเสบียงไปจากที่ใดกันแน่?
อ๋องตวนถามว่า: “เจ้าไปหาเงินมาจากที่ใดเพื่อขนเสบียงไป?”
“ไม่มีเงิน ข้าคิดที่จะขอยืมเสบียงเล็กน้อย”
“ยืม?” อ๋องตวนยิ่งแปลกใจไปใหญ่
หนานกงเย่พยักหน้า: “ถูกต้อง ขอยืมเสบียง”
จูเก๋อเลี่ยงยืมลูกธนูจากเรือฟางและเขาจะยืมเสบียงในยามค่ำคืน
อ๋องตวนและองค์จักรพรรดิอวี้ตี้มองหน้ากันแล้วก็ถามหนานกงเย่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อให้แน่ใจว่าได้ขนเสบียงไปยังชายแดนอื่นแล้ว
“เหตุใดพี่รองถึงได้จู้จี้เช่นนี้ หรือว่าข้าจะไม่มีเรื่องใดแล้วพูดเรื่องไร้สาระ” หนานกงเย่ก็รู้สึกรำคาญซะแล้ว หน้าตาของอ๋องตวนนั้นหดหู่จึงได้หยุดกล่าวและรอดูเมื่อถึงเวลาแล้วหนานกงเย่ร้องไห้อ้อนวอนกับเขา
แต่อ๋องตวนก็มีความคิดอีกอย่างเอาไว้และเริ่มตระเตรียมเสบียงและเงินชุดที่สอง
“ยังมีเรื่องอีกหรือไม่?” องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงถามเรื่องของชายแดนแล้วก็ทรงต้องการแยกย้าย หนานกงเย่ก็ไม่ได้กล่าวถึงเรื่องการลอบสังหารแต่มองดูองค์จักรพรรดิอวี้ตี้อยู่ตลอด มองดูจนองค์จักรพรรดิอวี้ตี้รู้สึกอึดอัดโดยที่อ๋องตวนก็อัดอั้นอยู่เต็มอก มีเรื่องก็กล่าวมาโดยตรงเจ้ามองเขาแล้วจะมีประโยชน์หรือ สักครู่เขาไม่พอใจก็จะเอาเรื่องกับเจ้า
ก้นของเสือเจ้าแค่จับๆแล้วก็ช่างเถอะ เจ้ายังอยากจะตีอีกด้วยหรือ?
หมายเหตุ
จูเก๋อเลี่ยง ชื่อรองว่า ข่งหมิง สำเนียงฮกเกี้ยนว่า ขงเบ้ง เป็นรัฐบุรุษและนักยุทธศาสตร์
การทหารชาวจีน
