เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] – เล่ม 4 บทที่ 168.2

เล่ม 4 บทที่ 168.2

เล่ม 4 บทที่ 168.2

เบเจอร์ตะคอกเสียงดังใส่ลาลาเน่

“นี่เจ้ามีหัวคิดบ้างหรือไม่! จะก่อเรื่องอะไรก็ควรที่จะมีขอบเขตบ้าง!ทำตัวไร้หัวคิดเช่นนี้ ไม่ได้มีแค่เจ้าเท่านั้น แต่ตระกูลรูมันเองก็จะต้องเผชิญปัญหาใหญ่รู้มั้ย ลาลาเน่!”

“อา……” ลาลาเน่ได้แต่ก้มหน้านิ่ง

“เรื่องวันนี้ข้าจะถือเสียว่าไม่เคยเข้ามาเห็นก็แล้วกัน ท่านชายน้อยรูมัน!”

เบเจอร์กัดฟันพูดเสียงรอดไรฟัน ก่อนจะคว้าแขนของลาลาเน่เอาไว้

“พอเถอะครับ!” อาบีน็อกซ์รั้งมือของเบเจอร์เอาไว้ ราวกับต้องการที่จะหักมือข้างนั้นทิ้งลงได้ทุกเมื่อ

แต่ทว่า

“……ปล่อยเถอะค่ะ ท่านอาบีน็อกซ์”

ลาลาเน่เอ่ยว่าเสียงสั่นเทา

“ท่านลาลาเน่…….”

อาบีน็อกซ์มองแขนของลาลาเน่ที่ถูกมือหยาบกร้านของเบเจอร์จับไว้แน่นด้วยความทรมานใจ ราวกับตัวเขาเองเป็นฝ่ายเจ็บปวด

พอเห็นว่าลาลาเน่ส่ายหน้าอีกเป็นครั้งที่สอง มือที่จับเบเจอร์เอาไว้ก็คลายออกอย่างไร้เรี่ยวแรง

“ไปเดี๋ยวนี้ ลาลาเน่”

เบเจอร์ลากตัวลาลาเน่เดินออกไป ทำท่าราวกับไม่อยากอยู่ที่นี่ต่ออีกแม้แต่วินาทีเดียว

ส่วนลาลาเน่เองก็ได้แต่ยอมถูกมือหยาบกร้านของบิดาลากตัวออกไปโดยไม่อาจต่อต้านอะไรได้แม้แต่น้อย

และเบเจอร์ก็พบเข้ากับเธอที่ยืนนิ่งอยู่หน้าประตูจนได้

เพียะ!

ไม่มีจังหวะให้หลบ ใบหน้าของเธอถูกตบจนสะบัดไปด้านข้าง

“ทะ เทีย!”

“ท่านฟีเรนเทีย!” อาบีน็อกซ์สะดุ้งตกใจ ส่วนลาลาเน่กรีดร้องเสียงดัง

ดูเหมือนปากจะแตก รู้สึกได้ถึงรสขมปร่าของเลือดที่ไหลออกมา

ถุย!เบเจอร์ถ่มน้ำลายใส่เธอที่ยืนนิ่งปล่อยให้อีกฝ่ายตบจนหน้าหัน

“นังชั้นต่ำโสโครก กล้าดียังไงมาทำลายอนาคตของบุตรสาวข้า”

เบเจอร์โมโหเดือดพล่านจนหายใจหอบ ขนาดได้ลงไม้ลงมือตบเธอแล้วก็ยังไม่ช่วยให้เขารู้สึกอารมณ์ดีขึ้นได้อยู่ดี

แต่ก็ยังรีบร้อนพาตัวลาลาเน่ออกไปจากเรือนกระจกอย่างรวดเร็ว ราวกับกลัวว่าจะมีใครมาเห็นฉากนี้เข้า

“ท่านฟีเรนเทีย เป็นอะไรมั้ยครับ” อาบีน็อกซ์รีบเข้ามาสำรวจเธอทันที

เธอผลักมือข้างนั้นออกไปเบา ๆ ถ่มเลือดผสมน้ำลายทิ้งลงบนพื้น

ที่จริงเธอเคยโดนตบหน้าแรงๆ แบบนี้มาก่อนแล้ว เลยไม่ได้ช็อกอะไรขนาดนั้น

ตอนนี้เรื่องนี้มันไม่ใช่เรื่องสำคัญเลยสักนิดเธอมองหน้าอาบีน็อกซ์ตรง ๆ ก่อนจะเอ่ยถามขึ้น

“จะเอายังไงต่อคะ”

“ท่านลาลาเน่ตอบรับคำขอแต่งงานของข้าแล้วอย่างแน่นอนครับ”

อาบีน็อกซ์ตอบทันที ขณะเดียวกันก็เดินไปเก็บกล่องแหวนที่กระเด็นตกอยู่บนพื้นขึ้นมา

“ตอนนี้ท่านลาลาเน่เป็นคู่หมั้นของข้า ข้าจะไม่ยอมแพ้แน่ครับ”

นัยน์ตาคู่นั้นลุกเป็นไฟ มันลุกโชนมากเสียจนไม่อาจคิดได้เลยว่า คน ๆ นี้ใช่อาบีน็อกซ์ผู้อ่อนโยนในทุก ๆ วันคนนั้นจริงหรือเปล่า

“……แบบนี้ค่อยถูกใจหน่อย”

ถ้าจะปกป้องลาลาเน่ มันก็ต้องระดับนี้นี่แหละ

เธอหยิบกล่องแหวนมาจากมือของอาบีน็อกซ์ แล้วเอ่ยขึ้นว่า

“อันนี้ข้าจะนำไปมอบให้ลาลาเน่เองค่ะ”

อาบีน็อกซ์ดูจะงุนงงไปบ้าง แต่เพียงไม่นานก็พยักหน้าตกลงเขาเชื่อใจเธอ

เธอตรวจเช็คให้แน่ใจว่าแหวนปลอดภัยดี ก่อนจะปิดกล่องลงเสียง ‘ปึก’ ในอุ้งมือดังขึ้นก้องไปทั่วเรือนกระจก

คิดว่าเธอจะยอมแพ้แค่นี้หรือไง

* * *

ณ ห้องประชุมใหญ่ประจำพระราชวัง

การประชุมระหว่างจักรพรรดิและบรรดาสภาขุนนางจบลงแล้ว

ไม่มีอะไรพิเศษ เป็นเพียงแค่การประชุมธรรมดาทั่วไป

แต่จู่ ๆ โยบาเนสกลับเอ่ยกับบรรดาขุนนางที่กำลังเตรียมตัวทยอยกันเดินออกไปจากห้องประชุมขึ้นมา

“ข้ามีเรื่องจะประกาศ”

ในที่สุดบรรดาขุนนางก็เริ่มสังเกตอะไรบางอย่างได้ จึงพากันเดินกลับไปนั่งประจำที่

จักรพรรดิมองจนแน่ใจว่าทุกคนนั่งประจำที่กันหมดแล้ว หลังจากนั้นจึงค่อยหันไปมองรูลลัก ลอมบาร์เดียและยิ้มเจ้าเล่ห์พลางเอ่ยขึ้นว่า

“ข้าโยบาเนส ตัดสินใจรับบุตรสาวของเบเจอร์ลอมบาร์เดีย ลาลาเน่ ลอมบาร์เดีย เข้ามาเป็นคู่ครองของเจ้าชายลำดับที่หนึ่งอาสทาน่า ขอให้ลอร์ดทุกท่านรับทราบตามนี้ด้วย”

สีหน้าผ่อนคลายราวกับเพียงแค่พูดล้อกันเล่นแต่ผลกระทบที่ตามมาหลังจากนั้นไม่น้อยเลย

“เฮือก!”

“ละ ลอมบาร์เดีย?” หลายคนที่ยังไม่ได้ยินข่าวลือได้แต่ตกตะลึง

“ข่าวลือเป็นเรื่องจริงสินะ!”

“ลอมบาร์เดียกับราชวงศ์…….”

ผู้คนที่พอจะได้ยินข่าวลือมาบ้าง ต่างก็ส่ายหน้าไม่อยากเชื่อ

“ด้วยการตัดสินใจเกี่ยวดองกันระหว่างตระกูลลอมบาร์เดียกับราชวงศ์ ข้าเชื่อว่าอาณาจักรแลมบลูของพวกเราจะต้องร่มเย็นเป็นสุข และสมบูรณ์แบบมากยิ่งกว่าเดิมอีกระดับอย่างแน่นอน”

ตอนนี้ขุนนางทุกคนต่างก็มองตรงไปยังจุดเดียวกันหมด

รูลลัก ลอมบาร์เดียกำลังจ้องจักรพรรดิด้วยใบหน้าบึ้งตึง

ปฏิกิริยาแตกต่างจากโยบาเนสที่ฉีกยิ้มกว้างน่ารังเกียจอย่างสิ้นเชิง และนั่นก็ทำให้ความใคร่รู้วาบผ่านขึ้นบนใบหน้าของพวกเขา

ไม่ได้คุยกันไว้แล้วหรอกหรือ

หรือนี่เป็นการประกาศเอาเองฝ่ายเดียว

เพราะเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียที่เหล่าขุนนางรู้จักดี เป็นคนที่ไม่มีวันคิดอยากเกี่ยวดองกับราชวงศ์ด้วยการแต่งงานอย่างเด็ดขาด

นั่นไงล่ะ

รูลลัก ลอมบาร์เดียหยัดกายลุกขึ้นจากที่นั่ง

และเอ่ยเสียงทุ้มต่ำไปทางจักรพรรดิ

“กระหม่อมขอปฏิเสธพ่ะย่ะค่ะ”

“ปะ ปฏิเสธอย่างนั้นหรือ!”

คราวนี้ความโกลาหลปกคลุมไปทั่วห้องประชุมหนักยิ่งกว่าตอนที่โยบาเนสประกาศเรื่องการแต่งงาน

“ทะ ทำเช่นนั้นไม่อันตรายไปหน่อยหรือ”

“ปฏิเสธการหมั้นหมายอย่างเป็นทางการของราชวงศ์เนี่ยนะ…….”

หากไม่ใช่ลอมบาร์เดีย แต่เป็นตระกูลชั้นสูงทั่วไปแล้วล่ะก็ การทำเช่นนี้ย่อมต้องถูกลากตัวไปลงโทษด้วยข้อหาขัดรับสั่งของจักรพรรดิมันทันทีแล้ว

“นี่คิดจะขัดคำสั่งข้าอย่างนั้นหรือ เจ้าตระกูลลอมบาร์เดีย”

จักรพรรดิโยบาเนสจ้องรูลลักเขม็งด้วยความเย็นชา ในขณะที่เอ่ยถามขึ้น

แต่รูลลักกลับไม่แม้แต่จะกระพริบตาด้วยซ้ำไป

เขาจ้องหน้าจักรพรรดิไม่หลบสายตา เอ่ยปากอย่างชัดถ้อยชัดคำทุกคำพูด ราวกับต้องการประกาศแจ้งให้ทราบกันถ้วนหน้า

“ลอมบาร์เดียขอปฏิเสธการหมั้นหมายของราชวงศ์พ่ะย่ะค่ะ”

ไม่เพียงแค่นั้น รูลลักยังหมุนตัวเดินออกไปจากห้องประชุมโดยไม่ร่ำไม่ลา

ปกติก่อนที่จักรพรรดิจะประกาศเลิกประชุมอย่างเป็นทางการ จะไม่มีใครสามารถเดินออกไปจากห้องประชุมได้ทั้งสิ้น

ในตอนที่รูลลักเอื้อมมือไปจับลูกบิดประตู โยบาเนสก็ตวาดลั่นด้วยโทสะ

“หากเจ้าเปิดประตูออกไปตอนนี้ล่ะก็ จะไม่มีวันได้ย่างกรายเหยียบเข้ามาในเมืองหลวงอีก เจ้าตระกูลลอมบาร์เดีย!”

นั่นหมายความว่า จะออกราชโองการสั่งห้ามเดินทางเข้าออก

ราชโองการสั่งห้ามไม่ให้เดินทางเข้าออกเมืองหลวงซึ่งเป็นผืนดินขององค์จักรพรรดิ เป็นสถานที่จัดงานสำคัญต่าง ๆ รวมถึงการประชุมขุนนาง เป็นหนึ่งในมาตรการลงโทษที่เหล่าชนชั้นสูงหวาดกลัวมากที่สุด

แต่รูลลักที่ได้ยินเสียงตวาดนั้นเพียงแค่กระตุกมุมปากข้างหนึ่งขึ้นแล้วหันกลับมาเผชิญหน้ากับโยบาเนส

“ราชโองการสั่งห้ามงั้นหรือ” มันเป็นการลงโทษที่บิดาของโยบาเนส อดีตจักรพรรดิเคยสั่งลงโทษรูลลักมาแล้วครั้งหนึ่ง

และหลังจากการต่อสู้มาตลอดระยะเวลายี่สิบปี อดีตจักรพรรดิก็ต้องพับเก็บราชโองการสั่งห้ามฉบับนั้นกลับคืนมา

รูลลักโค้งศีรษะให้โยบาเนสเล็กน้อย แล้วเอ่ยขึ้นว่า “ทำตามที่ฝ่าบาทต้องการเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

“เจ้าตระกูลลอมบาร์เดีย!”

ได้ยินเสียงของโยบาเนสดังไล่ตามหลังมา แต่รูลลักไม่คิดที่จะสนใจอีกต่อไปแล้ว เขาผลักประตูบานใหญ่ออกสุดแรง ก้าวเท้าเดินออกไปจากห้องประชุมด้วยฝีเท้าหนักแน่นมั่นคง

เล่ม 4 บทที่ 168.1
ตอนที่ 168

การที่อาบีน็อกซ์สวมใส่ชุดงดงามดูหล่อเหลาเป็นพิเศษในวันนี้ เนื่องจากวันนี้เป็นวันที่มีความหมายมากกว่าวันอื่น ๆ

เธอกับอาบีน็อกซ์เดินวนไปรอบ ๆ ตามสถานที่ที่มีคนมากมายเดินผ่าน เหมือนกับที่เคยทำเมื่อคราวก่อน

และไม่นานก็เดินมุ่งหน้าไปยังเรือนกระจกของลาลาเน่ทันที

ดูเหมือนว่าฝ่ายนั้นจะสังเกตอะไรได้

ลาลาเน่ไม่อาจออกไปนอกคฤหาสน์ได้อย่างอิสระ เพราะเซรัลออกคำสั่งกักบริเวณเอาไว้ แต่โล่งอกที่ไม่ได้ห้ามไม่ให้นางไปไหนมาไหนในคฤหาสน์

เธอเลยตัดสินใจใช้ช่องว่างนี้ช่วยให้ทั้งสองคนได้พบหน้ากันในวันนี้

“ข้าบอกลาลาเน่เอาไว้แล้วว่าให้มาเจอกันที่นี่ค่ะ อ๊ะ อยู่ตรงนั้นไง”

“ท่านลาลาเน่……” อาบีน็อกซ์พึมพำด้วยความสงสาร

ทุกครั้งยามที่อยู่ได้ในเรือนกระจก ลาลาเน่มักจะจัดดอกไม้ด้วยท่าทางสดใสเปล่งประกายอยู่เสมอแต่วันนี้กลับแตกต่างไปจากที่เคย

ภาพลาลาเน่นั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ในเรือนกระจกอย่างไร้เรี่ยวแรง มันทำให้อาบีน็อกซ์รู้สึกสะเทือนใจมากเหลือเกิน

“ถ้าอย่างนั้นข้าขอตัว……”

“ไม่ครับ”

แต่แล้วในจังหวะที่เธอตั้งใจจะหมุนตัวหลบออกไปจากบริเวณนี้ เพื่อที่ลาลาเน่กับอาบีน็อกซ์จะได้ใช้เวลาด้วยกันสองต่อสอง อาบีน็อกซ์ก็รั้งเธอเอาไว้

“ท่านฟีเรนเทียช่วยเป็นพยานให้พวกเราสองคนทีนะครับ”

อาบีน็อกซ์ยังคงมีสีหน้าตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด แต่เขาก็ยังยิ้มให้เธอในขณะที่เอ่ยออกมา

“ถ้าท่านลาลาเน่ตอบรับคำขอแต่งงานของข้า ข้าตั้งใจว่าจะส่งสารหมั้นหมายในนามตระกูลรูมันมาให้เจ้าตระกูลลอมบาร์เดียกับบิดามารดาของท่านลาลาเน่ครับ ข้าเองก็ได้รับอนุญาตจากท่านพ่อเรียบร้อยแล้วด้วย”

พูดง่าย ๆ ก็คือ ตั้งใจจะขอแต่งงานอย่างถูกต้องตามประเพณีของชนชั้นสูงถึงขนาดไปขออนุญาตเจ้าตระกูลรูมันมาเรียบร้อยแล้วด้วยเหรอเนี่ย

ตั้งใจจริง แน่วแน่ดีเหมือนกัน

“ถึงจะลงมือช้าเกินไป แต่ในเมื่อทางราชวงศ์ยังไม่ได้ส่งหนังสือหมั้นหมายอย่างเป็นทางการมาที่ตระกูลลอมบาร์เดีย และยังไม่มีการประกาศเรื่องนี้อย่างเป็นทางการด้วย ดังนั้นข้าเองก็ยังมีโอกาสอยู่ครับ”

อาบีน็อกซ์กำหมัดแน่น ในขณะที่กล่าวเช่นนั้น

“แน่นอนว่า……ถ้าท่านลาลาเน่ยอมตอบรับคำขอแต่งงานของข้านะครับ”

และกลับไปตื่นเต้นเหมือนเดิมอีกแล้ว

เธอตบไหล่ให้กำลังใจอาบีน็อกซ์ แล้วเอ่ยขึ้นว่า

“ทราบแล้วค่ะ เช่นนั้นข้าจะเป็นพยานให้ทั้งสองคนเองก็แล้วกันนะคะ”

“ขอบคุณครับ!”

“เช่นนั้น ไปกันเลยดีมั้ยคะ”

อาบีน็อกซ์เดินตัวเกร็งจนกระดูกแทบจะส่งเสียงดังก๊อกแก๊ก ก่อนที่เขาจะเป็นฝ่ายนำหน้าเปิดประตูเรือนกระจกออก

อื้ออ ทำเอาเธอตื่นเต้นไปด้วยเลย!

“ท่านอาบีน็อกซ์…….?”

ลาลาเน่เรียกอาบีน็อกซ์เสียงสั่นเทา ราวกับไม่อยากเชื่อนัยน์ตาของตัวเอง

อาบีน็อกซ์เดินเข้าไปหาลาลาเน่ ก่อนจะถามด้วยเสียงอ่อนโยน

“หน้าตาดูหมองไปนะครับ เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”

“ข้าไม่เป็นอะไรค่ะ…..เห็นไม่ตอบจดหมายของข้า ข้าเลยกังวลว่าท่านอาบีน็อกซ์เป็นอะไรหรือเปล่า…….”

ลาลาเน่หยุดพูดในทันทีเพราะอาบีน็อกซ์ค่อย ๆ คุกเข่าข้างหนึ่งลงอย่างช้า ๆ

“ทะ ท่านอาบีน็อกซ์?”

“คุณหนูลาลาเน่ลอมบาร์เดียความกล้าของข้าคงสายเกินไปมากเลยใช่มั้ยครับ”

อาบีน็อกซ์หยิบกล่องใบเล็กออกมาจากอกเสื้อ เขาเปิดมันออก ยื่นมันออกไปตรงหน้าลาลาเน่

“ให้เกียรติแต่งงานกับข้าได้มั้ยครับ”

ความเงียบกลืนกินไปทั่วเรือนกระจกอยู่ครู่หนึ่งอาบีน็อกซ์ผู้ถือแหวนเอาไว้แทบจะหยุดหายใจอยู่แล้ว

เธอเองก็หลบมายืนด้านหลัง พยายามไม่เข้าไปรบกวนทั้งคู่ อินมากจนเผลอกลั้นลมหายใจตามไปด้วย

และก็พลันได้ยินเสียงแผ่วเบาดังขึ้น

ติ๋ง ติ๋ง

เสียงหยาดน้ำตาไหลรินลงมาจากนัยน์ตาของลาลาเน่ดังขึ้นเบา ๆ

“ทะ ท่านอาบีน็อกซ์……..”

ลาลาเน่ประสานมือทั้งสองข้างเอาไว้แน่น ก้มลงมองหน้าอาบีน็อกซ์และรอยยิ้มงดงามก็แต่งแต้มบนใบหน้าแสนสวย ลาลาเน่ยิ้มกว้าง

“ตกลงค่ะ ท่านอาบีน็อกซ์…….”

แต่แล้วในจังหวะที่ลาลาเน่กำลังจะตอบรับคำขอแต่งงาน

โครม!

เสียงสนั่นดังขึ้นพร้อมกับประตูเรือนกระจกที่ถูกเปิดออกอย่างรุนแรง

“ทะ ท่านพ่อ……!”

“ทำบ้าอะไรกัน ลาลาเน่!”

คนที่วิ่งพรวดเข้ามาคือ เบเจอร์

คนแรกที่มีปฏิกิริยาก่อนใครคือ อาบีน็อกซ์เขาก้าวเท้าออกไปยืนขวางหน้าลาลาเน่ ราวกับต้องการจะปกป้องนางเอาไว้ในทันที

“ท่านชายลอมบาร์เดีย โปรดฟังข้าสักครู่เถอะครับ”

แต่มันกลับทำให้นัยน์ตาของเบเจอร์ยิ่งลุกโชนไปด้วยเปลวเพลิง

เบเจอร์จ้องเด็กหนุ่มที่ทำท่าราวกับต้องการจะปกป้องบุตรสาวของเขา ทั้ง ๆ ที่อยู่ในระหว่างพูดคุยเรื่องการหมั้นหมายด้วยนัยน์ตาดุร้าย

“ใบหน้านี่เคยเห็นที่ไหนแน่ ๆ …….หรือว่า ตระกูลรูมัน…….?”

เมื่อรู้ว่าอาบีน็อกซ์เป็นใคร เบเจอร์ก็ยิ่งมีสีหน้าไม่พอใจเขารู้ดีกว่า ตระกูลรูมันจากตะวันออกเป็นตระกูลที่เลือกยืนข้างเฟเรสอย่างเปิดเผย

ริกนีเต้ รูมันเองก็เป็นสหายที่สนิทสนมกับเฟเรสตั้งแต่ตอนศึกษาอยู่ที่อะคาเดมี่ และเฟเรสยังช่วยให้ทางตะวันออกได้รับเงินช่วยเหลือด้านการค้า อีกทั้งคราวก่อนที่เกิดเรื่องที่ไอบัน ตระกูลรูมันก็ยังถึงกับอาสาขอติดตามขบวนเดินทางไปด้วย

“นี่มันเรื่องอะไรกัน ท่านชายน้อยรูมัน!” เบเจอร์ตวาดเสียงดัง ยกมือขึ้นปัดแหวนที่อาบีน็อกซ์ถือไว้ในมือ จนมันกระเด็นตกไปไกล

แหวนที่อาบีน็อกซ์ทนุถนอมด้วยความหวงแหนไว้ในอ้อมอกอย่างล้ำค่ามาจนถึงที่นี่ กลิ้งตกอยู่บนพื้นเรือนกระจกอย่างไร้ค่า

อาบีน็อกซ์เหลือบมองแหวนวงนั้น ก่อนจะเอ่ยเสียงนิ่งสงบ

“ขออภัยที่ไม่อาจมาแนะนำตัวได้ก่อนหน้านี้ครับ แต่ข้ากับท่านลาลาเน่ต่างก็ศึกษาดูใจกันมาโดยตลอด ตระกูลรูมันของข้าเองก็ตั้งใจที่จะส่งหนังสือหมั้นหมายอย่างเป็นทางการมาที่ลอมบาร์เดียครับ ข้าทราบว่าทางนี้เองก็มีการพูดคุยเรื่องแต่งงานไว้อยู่แล้ว แต่ช่วยพิจารณา…….”

“นี่ ท่านชายน้อยรูมัน” เบเจอร์เดินเข้าไปใกล้ด้วยท่าทีคุกคาม ก่อนจะเอ่ยกดดันเด็กหนุ่ม

“รู้อยู่แล้วว่าบุตรสาวของข้าจะต้องแต่งงานกับใคร แต่ก็ยังจะทำเช่นนี้งั้นหรือ”

“…….ทราบอยู่แล้วครับ”

“รู้อยู่แล้ว? หมายความว่าตระกูลรูมันที่พยายามเข้ามาอยู่ในภาคกลางของอาณาจักร อยากจะโดนขับไล่ออกไปด้วยฐานะศัตรูของราชวงศ์สินะ”

“……..เพื่อท่านลาลาเน่แล้ว ข้าพร้อมทุกอย่างครับ”

“ทะ ท่านอาบีน็อกซ์!” ลาลาเน่หลั่งน้ำตาอีกครั้ง ในขณะที่ส่ายศีรษะไปมาเพื่อห้ามปรามเด็กหนุ่ม

เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล]

เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล]

Status: Ongoing

เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล 이번 생은 가주가 되겠습니다 I shall master this family 김로아 คิมโรอา เขียน หนทางการขึ้นเป็นเจ้าตระกูลของหญิงสาวผู้กลับมาชาติมาเกิดใหม่ถึงสองครั้งสองครา เมื่อ ฟีเรนเทีย ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์และได้มาเกิดใหม่ในตระกูลลอมบาร์เดียที่ยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรแลมบลู ในฐานะหลานสาวของเจ้าตระกูลที่เกิดจากมารดาสามัญชนทำให้โดนรังเกียจจากคนในตระกูล เมื่อพ่อและปู่ขอเธอตายจากไป เธอถูกขับไล่ออกจากตระกูล สองปีหลังจากนั้น ตระกูลลอมบาร์เดียก็ล่มสลาย แต่แล้ว เมื่อเธอประสบอุบัติเหตุอีกครั้งและมีโอกาสได้ย้อนกลับมาเมื่อตอน 7 ขวบ ครั้งนี้เธอจึงตั้งมั่นที่จะเปลี่ยนแปลงอนาคตและตั้งใจจะขึ้นเป็นเจ้าตระกูลคนถัดไปให้ได้ หนทางแห่งการขึ้นเป็นเจ้าตระกูลจะลำบากยากเย็นเพียงไหน มาเอาใจช่วย ฟีเรนเทียได้ใน “ชาตินี้ข้าจะเป็นเจ้าตระกูล”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท