เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] – เล่ม 4 บทที่ 167.2

เล่ม 4 บทที่ 167.2

เล่ม 4 บทที่ 167.2

ใบหน้าของโยบาเนสที่ยังคงยิ้มแย้มไม่สร่าง ทำเอาจักรพรรดินีรู้สึกขนลุกชัน

“ว่ายังไงล่ะ ถ้าช่วยให้อาสทาน่าได้แต่งงานกับบุตรหลานของตระกูลลอมบาร์เดีย ก็ถือว่าไม่ใช่การค้าที่อังเกนัสเสียผลประโยชน์อะไรมากเสียหน่อย”

จักรพรรดินีราวีนีพยายามกล่อมตัวเองให้ตั้งสติ ขณะเดียวกันก็เริ่มคิดคำนวณอยู่ในใจ

สถานการณ์ทางการเงินของอังเกนัสไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก แต่ก็ยังมีสินเดิมของลาลาเน่ ลอมบาร์เดียที่เซรัลให้สัญญาไว้ และผลประโยชน์ทั้งหลายที่จักรพรรดินีจะได้รับผ่านการแต่งงานในครั้งนี้อีกมากมาย

ราวีนีจึงพยักหน้าตกลง

“ได้เพคะ ฝ่าบาท”

“เยี่ยมมาก” โยบาเนสยิ้มด้วยความพอใจ

“พรุ่งนี้เปลี่ยนเหมืองแร่นั่นให้เป็นชื่อของกลุ่มการค้าเรดเสียล่ะ ข้าอยากจะเริ่มลงมือขุดทันที”

จักรพรรดิโยบาเนสรู้สึกตื่นเต้นคันไม้คันมือเป็นอย่างยิ่ง

กระทั่งตัวตนของจักรพรรดินีที่ยังคงนั่งอยู่ข้างกาย ก็ยังอยู่นอกเหนือความสนใจของพระองค์ในตอนนี้ไปเสียแล้ว

* * *

“กลับมาแล้วหรือครับ ท่านเจ้าตระกูล”

พ่อบ้านโยฮันออกมารอต้อนรับรูลลักที่เดินทางกลับจากพระราชวังเหมือนทุกครา เขารู้สึกได้ทันทีว่ามีอะไรบางอย่างผิดแปลกไปจากปกติ

บรรยากาศรอบกายรูลลักยามก้าวลงจากรถม้าดูน่ากลัวเป็นอย่างยิ่งผิดไปจากที่เขาคิดเสียที่ไหนกัน

“เรียกตัวเบเจอร์มาพบข้า”

รูลลักออกคำสั่งสั้น ๆ ก่อนจะหมุนตัวเดินเข้าไปในห้องทำงานเพียงลำพัง

“เรียกข้าหรือครับ ท่านพ่อ” ไม่นานหลังจากนั้น เบเจอร์ก็เดินตามเข้ามาในห้องทำงาน

คล้ายกับพอจะคาดการณ์ได้อยู่แล้วว่ารูลลักเรียกมาพบด้วยธุระเรื่องใด เบเจอร์จึงเอาแต่ยืนนิ่ง ไม่นั่งลงบนเก้าอี้

“เบเจอร์”

“ครับ ท่านพ่อ”

“ยกเลิกการแต่งงานระหว่างลาลาเน่กับเจ้าชายลำดับที่หนึ่งเสีย”

“ทำเช่นนั้นไม่ได้หรอกครับ”

“นี่เจ้าคิดจะขัดคำสั่งข้าอย่างนั้นหรือ” แววตาของรูลลักส่องประกายคมกริบ

แต่เบเจอร์ก็ยังคงยืนกรานเสียงแข็ง

“ลาลาเน่เป็นบุตรสาวข้าครับ”

“ใช่ แต่เดิมทีการแต่งงานของคนในตระกูลจะขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเจ้าตระกูล คงไม่ได้ลืมหรอกใช่มั้ยว่า การแต่งงานของเจ้ากับเซรัลเองก็เกิดขึ้นจากความต้องการของอดีตจักรพรรดิ”

ถ้าให้รูลลักเลือกล่ะก็ จะไม่มีวันเกิดเรื่องให้เบเจอร์ต้องผูกสัมพันธ์กับอังเกนัสเด็ดขาด

“…….ข้าก็แค่เลือกทางเลือกที่ดีที่สุดแทนลาลาเน่เท่านั้นเองครับ การได้เป็นสมาชิกของราชวงศ์ย่อมเป็นโอกาสที่ดีอย่างแน่นอนครับ”

“โอกาสที่ดี?” รูลลักทุบโต๊ะหนังสือเสียงดังปัง

“พูดให้ถูกเบเจอร์ ไม่ใช่โอกาสสำหรับลาลาเน่ แต่เป็นโอกาสที่ดีสำหรับเจ้าเองน่ะสิ!”

“เรื่องนั้น…….!”

“เจ้าเองก็รู้ดีไม่ใช่หรือไงว่าอาสทาน่าเป็นผู้ชายแบบไหน!แล้วยังจะบอกว่านั่นเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดต่อบุตรสาวของเจ้าอีกงั้นหรือ!”

รูลลักโมโหหนักยิ่งกว่าตอนไหน ๆ

จนถึงตอนนี้เบเจอร์ได้ก่อเรื่องผิดพลาดเล็กใหญ่ซ้ำแล้วซ้ำเล่ามาหลายต่อหลายหน

แต่ไม่เคยมีครั้งใดที่รูลลักจะโกรธหนักขนาดนี้

“การที่ข้ายอมหลับตามองข้ามความผิดของเจ้าตลอดเวลาที่ผ่านมา เป็นเพราะเจ้าเป็นสายเลือดของข้า เป็นสายเลือดของลอมบาร์เดีย แต่ต่อให้เป็นเจ้าก็เถอะ การเสียสละบุตรสาวของตัวเอง เพื่อผลประโยชน์ส่วนตนนั้น ข้าไม่มีทางให้อภัยเด็ดขาด นี่เป็นคำเตือนครั้งสุดท้าย เบเจอร์”

แผ่นหลังสั่นสะท้านเมื่อได้รับสายตากราดเกรี้ยวจากรูลลักแต่เบเจอร์ก็กัดฟันแน่น หมุนตัวเดินออกไปจากห้องทำงาน

เรื่องนี้จักรพรรดินีเคยเตือนเขาเอาไว้แล้วว่าบิดาจะต้องคัดค้านอย่างหนักแน่นอน

แต่ขอแค่เบเจอร์อดทนต่อไป พระองค์ให้คำมั่นสัญญาแล้วว่า จะจัดการให้ลาลาเน่ได้แต่งงานกับเจ้าชายลำดับที่หนึ่งให้สำเร็จจนได้

“นี่เป็นคำเตือนครั้งสุดท้าย เบเจอร์”

คำกล่าวของบิดายังคงดังก้องอยู่ในหูราวกับเสียงฟ้าร้องคำราม แต่เบเจอร์ก็พยายามที่จะสลัดความกลัวนั่นทิ้งไป

* * *

ณ ห้องทำงานของร้านค้าเพลเลส

เครย์ลีบันกับไวโอเล็ตรายงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว

เธอเอ่ยถามทั้งสองคนที่กำลังจัดเก็บเอกสารกันอยู่

“ตารางเดินเรือสำราญครั้งหน้าเมื่อไหร่นะคะ”

“อีก 3 วันให้หลังจะออกเดินทางจากท่าเรือเชซายูครับ” เครย์ลีบันเอ่ยตอบ

อา ทำไมต้องเป็นแบบนี้นะ

“แล้วถัดจากนั้นล่ะคะ”

คราวนี้เป็นไวโอเล็ตที่เอ่ยตอบแทน

“เรือที่สร้างขึ้นใหม่กำลังอยู่ระหว่างเตรียมการขั้นตอนสุดท้ายค่ะ กำหนดเดินทางที่ตั้งไว้คืออีกสิบวันให้หลัง”

สิบวันอย่างนั้นเหรอระยะเวลาประมาณนั้น ไม่รู้ว่าจะมากพอหรือเปล่า

“ทำไมหรือคะ ท่านฟีเรนเทีย”

“พอดีอาจจะต้องพาแขกพิเศษขึ้นเรือโดยสารไปด้วยน่ะค่ะ รายละเอียดเอาไว้ข้าจะอธิบายให้ฟังทีหลังนะคะ”

หลังจากยิ้มให้ไวโอเล็ตกับเครย์ลีบันที่มองเธอด้วยความสงสัย เธอก็รีบปลีกตัวออกมาจากร้านค้าเพลเลสอย่างรวดเร็ว

วันนี้มีกำหนดการพิเศษรอเธออยู่ต้องรีบกลับไปลอมบาร์เดียให้เร็วที่สุด

เมื่อเดินทางกลับมาถึงคฤหาสน์ ใครคนหนึ่งที่รอเธออยู่ก่อนแล้วก็กล่าวต้อนรับเธอด้วยความยินดี

“มาแล้วหรือครับ ท่านฟีเรนเทีย” อาบีน็อกซ์สวมเสื้อผ้าดูหล่อเหลามากทีเดียว

เธอมองหน้าอาบีน็อกซ์ ก่อนจะเอ่ยถามขึ้น

“พร้อมแล้วใช่มั้ยคะ ท่านอาบีน็อกซ์” อาบีน็อกซ์ยิ้ม แล้วพยักหน้าตอบคำถามเธอ

“แหวนล่ะคะ”

“อยู่นี่ครับ”

อาบีน็อกซ์ตบลงบนกระเป๋าเสื้อบริเวณหน้าอก ในขณะที่เอ่ยตอบอย่างมั่นใจ

เล่ม 4 บทที่ 167.1

ตอนที่ 167

รูลลักเลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นเหมือนกับคนที่กำลังประหลาดใจจริง ๆ

โยบาเนสมองภาพตรงหน้าพลางลอบยิ้มในใจ

ตอนแรกที่จักรพรรดินีเสนอแนะเรื่องนี้ขึ้นมา พระองค์ไม่ได้สนใจอะไรทั้งสิ้น ไม่ว่าผลลัพธ์ที่ได้จะออกมาเป็นยังไงก็ช่าง

เขาไม่ได้สนใจในเรื่องคู่หมายของอาสท่าน่า ทั้งที่อีกฝ่ายเป็นถึงลอมบาร์เดียและการต่อกรรับมือกับรูลลักเองก็เป็นเรื่องยุ่งยากจนเขาไม่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องแต่พอมาลองไตร่ตรองคิดให้ละเอียดถี่ถ้วนแล้ว มันก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไรขนาดนั้นไม่สิ ต้องบอกว่าถูกใจเสียมากกว่าด้วยซ้ำหลานสาวของรูลลักผู้เย่อหยิ่งจองหองคนนี้ จะกลายมาเป็นลูกสะใภ้ของเขาอย่างนั้นหรือ

อีกอย่าง ลอมบาร์เดียเองก็มีสายเลือดขุนนางชั้นสูงอันแสนสูงส่งจนไม่มีใครเทียม ย่อมต้องมีประโยชน์อย่างใหญ่หลวงในการรักษาสายเลือดของราชวงศ์เป็นแน่คราวนี้โยบาเนสเห็นด้วยจากใจจริงว่า จักรพรรดินีเองก็คิดเรื่องที่มีประโยชน์ได้เหมือนกัน

และเรื่องนี้ก็ดีมากพอที่เขาจะโลภอยากได้จักรพรรดิประเมินเช่นนั้น

‘หากมอบสิ่งอื่นให้ข้าเป็นเงื่อนไขในการช่วยขัดขวางการแต่งงาน ก็อีกเรื่อง’

ที่เรียกรูลลักมาพบในวันนี้ ก็เพื่อจะลองประเมินดูว่าเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียมีแนวโน้มอยากจะต่อรองหรือไม่

โยบาเนสพยายามเก็บซ่อนรอยยิ้มที่เกือบจะหลุดออกมาให้อีกฝ่ายเห็นอย่างสุดความสามารถ ในขณะที่เอ่ยถามขึ้น

“ท่าทางจะตกใจพอควร คงไม่ทราบเกี่ยวกับเรื่องการหมั้นหมายสินะครับ”

เหนือสิ่งใดคือ รู้สึกตื่นเต้นไปทั่วร่างที่ได้ยั่วอารมณ์ของรูลลักแบบนี้

“ดูเหมือนจะตกใจมาก…….”

“เปล่า กระหม่อมทราบเรื่องการพูดคุยแต่งงานของหลานสาวอยู่ก่อนแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

รูลลักยังคงนั่งอยู่บนโซฟาด้วยท่วงท่าผ่อนคลายไม่เปลี่ยน ในขณะที่ส่ายหน้าไปมาพลางเอ่ยเช่นนั้น

“ไม่นึกเลยว่าฝ่าบาทจะทรงคิดจริงจังไปด้วยแบบนี้ ฮ่าฮ่า นี่มันช่างจริง ๆ เลยเชียว”

รูลลักหัวเราะราวกับนี่เป็นเรื่องไร้สาระชวนขบขัน

“กระหม่อมเองก็พอจะคาดเดาได้ว่าเป็นความคิดของผู้ใดพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทไม่มีทางสนใจเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว”

เสียงของรูลลักกดต่ำลงด้วยความไม่พอใจ

“เหตุผลที่พูดเรื่องนี้ขึ้นมาในตอนนี้ ก็คงแค่จะอ้างเรื่องการแต่งงานของหลานสาวกระหม่อม เพราะคิดอยากจะกอบโกยอะไรบางอย่างจากลอมบาร์เดียสินะพ่ะย่ะค่ะ”

จักรพรรดิโยบาเนสขมวดคิ้วแน่นโดยไม่พูดอะไรรู้สึกไม่พอใจที่ถูกรูลลักล่วงรู้ความคิดทุกเรื่อง

บทสนทนากับรูลลัก ลอมบาร์เดีย มักจะดำเนินไปในรูปแบบนี้อยู่เสมอ

ตอนที่โยบาเนสเพิ่งขึ้นเป็นจักรพรรดิก็เช่นกัน หรือกระทั่งตอนนี้ที่พระองค์ก็กลายเป็นชายวัยกลางคนแล้ว แต่ก็ยังเป็นเหมือนเคย

รูลลักมองสบนัยน์ตาของโยบาเนสที่มีสีหน้าบึ้งตึง ก่อนจะลุกขึ้นจากที่นั่งอย่างช้า ๆ

“การจับทั้งลอมบาร์เดียและอังเกนัสเอาไว้ในมือทั้งสองข้าง เพื่อถ่วงดุลอำนาจนั้นเป็นการพยายามที่ดีมากจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมขอชมเชยจากใจ แต่ว่า”

รูลลักเงยหน้าขึ้นช้า ๆ ราวกับต้องการเอ่ยเตือน

“ไม่ใช่สายเลือดของกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท สายเลือดของกระหม่อมไม่ใช่สิ่งที่จะเอามาต่อรองได้”

นัยน์ตาสีน้ำตาลของรูลลักหลุบต่ำส่องประกายเย็นชายามมองเหยียดอีกฝ่ายและทิ้งท้ายไว้เพียงแค่คำพูดประโยคเดียว ก่อนจะเดินออกไปจากห้องทำงานของจักรพรรดิ

“หลังจากหลงกลในคำพูดของจักรพรรดินี ก็อย่าได้นึกเสียใจทีหลังก็แล้วกันพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”

รูลลักเดินออกไปด้วยจังหวะฝีเท้าเอ้อระเหยไม่เร่งรีบ

หลังจากเหลืออยู่คนเดียวในห้อง โยบาเนสก็กระดกเหล้าฤทธิ์แรงลงคอ

พฤติกรรมจองหองของรูลลักมันทำให้เขาโกรธเสียจนไม่อาจอดกลั้นไว้ได้แต่ก็ไม่อาจลงมือทำสิ่งใดได้อยู่ดี

ต่อให้เป็นถึงองค์จักรพรรดิแห่งอาณาจักรแลมบลู แต่เขาเองก็รู้ตัวมาตั้งนานแล้วว่า จักรพรรดิไม่ได้ยืนอยู่เหนือทุกสิ่งแต่อย่างใด

จักรพรรดินีเข้ามาพบองค์จักรพรรดิที่ยังคงนั่งกัดฟันกรอดด้วยความโกรธอยู่คนเดียวในห้อง

“เป็นยังไงบ้างเพคะ”

ท่าทางของจักรพรรดินีที่ถามขึ้นมาโดยแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง ทั้ง ๆ ที่รู้ทุกอย่างอยู่แล้ว ทำให้โยบาเนสยิ่งรู้สึกหงุดหงิดมากกว่าเดิม

จักรพรรดินีเอ่ยราวกับรู้สึกสงสาร เมื่อเห็นจักรพรรดิยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มแทนคำตอบ

“ตายจริง เจ้าตระกูลลอมบาร์เดียทำให้ฝ่าบาทโมโหอีกแล้วสินะเพคะ เจ้าคนจองหองนั่นไม่เคยรู้จักหวาดกลัวราชวงศ์เลยจริง ๆ”

จักรพรรดินีมีความสามารถดีเยี่ยมในการอ่านความในใจว่า แท้จริงแล้วอีกฝ่ายต้องการได้ยินคำพูดแบบไหน

ตอนนี้ก็เช่นกัน เพียงแค่คำพูดไม่กี่ประโยค ถึงกับทำให้ความขุ่นเคืองของโยบาเนสในตัวจักรพรรดินีลดน้อยลงไปกว่าเดิมมาก

“ใช้โอกาสนี้ไล่ต้อนเสียเลยสิเพคะ ฝ่าบาท การแต่งงานของอาสทาน่าจะช่วยให้ความสัมพันธ์ระหว่างฝ่าบาทกับเจ้าตระกูลลอมบาร์เดีย เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างใหญ่หลวงเลยล่ะเพคะ”

“เปลี่ยนแปลง?”

“ลองคิดดูสิเพคะ หลานสาวได้เข้ามาอยู่ในราชวงศ์ แล้วลอมบาร์เดียจะยังหยิ่งยโสได้เหมือนตอนนี้อีกหรือเพคะ”

“ก็จริง เจ้านั่นเป็นพวกยึดติดในสายเลือดของตัวเองมากเสียด้วย”

โยบาเนสพูดพึมพำกับตัวเองขณะที่นึกถึงนัยน์ตาเย็นชายามเอ่ยกับเขาว่า ‘สายเลือดของกระหม่อมไม่ใช่สิ่งที่จะเอามาต่อรองได้’ เมื่อครู่นี้ขึ้นมา

“ต่อให้ต่อต้านแค่ไหน แต่หากไล่ต้อนไปจนแต่งงานได้สำเร็จล่ะก็ ถือว่าจบเรื่องแล้วล่ะเพคะ เซรัลกับเบเจอร์เองก็เห็นด้วยกับการแต่งงานของบุตรสาวอยู่แล้ว เจ้าตระกูลลอมบาร์เดียย่อมไม่อาจยืนกรานคัดค้านต่อไปได้นานแน่”

จักรพรรดินีลอบยิ้มในใจ เมื่อเห็นจักรพรรดิพยักหน้าลงอย่างว่าง่าย

การหว่านล้อมจักรพรรดิที่กำลังโกรธ และรู้สึกเสียศักดิ์ศรีนั้นเป็นเรื่องที่ง่ายดายยิ่ง

แต่คำพูดประโยคถัดมาของโยบาเนส กลับทำให้ใบหน้าของราวีนี่กระตุกเกร็ง

“แล้วถ้าข้าตกลงกับการแต่งงานครั้งนี้ จักรพรรดินีจะมอบสิ่งใดให้ข้าล่ะ”

“…….เพคะ”

“ใช่แล้ว แค่เหมืองเหล็กบนลุ่มน้ำเซเบสที่อยู่ในครอบครองของอังเกนัสก็น่าจะพอ”

คราวนี้จักรพรรดินีราวีนีเป็นฝ่ายผวาเฮือกมองปราดเดียวยังเห็นว่าร่างกายของนางสั่นเทาเพียงใด

“อันที่อยู่ใต้นามของตระกูลบาราพอร์ทยังไงล่ะ เหมืองแร่ที่ซื้อมาราวกับขโมยไปจากลอมบาร์เดียผ่านทางเบเจอร์ ลอมบาร์เดียเมื่อสิบกว่าปีก่อน”

“ฝ่าบาท เหมือนนั่นเป็นเพียงแค่เหมืองถ่านหินเล็ก ๆ …….”

“เลิกโกหกหน้าด้าน ๆ ว่ามันเป็นแค่เหมืองถ่านหินได้แล้ว จักรพรรดินี วันนี้ข้าไม่อยากระบายโทสะใส่เจ้าหรอกนะ”

โยบาเนสกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้มมุมปากของจักรพรรดินีสั่นเทาเล็กน้อย

เหมืองที่จักรพรรดิกล่าวถึงนั่นเป็นเหมืองที่อังเกนัสลอบซื้อมาอย่างลับ ๆ เมื่อสิบกว่าปีก่อน โดยใช้ชื่อของบาราพอร์ท

เพราะอังเกนัสไม่ได้รับอนุญาตจากราชวงศ์ให้ครอบครองเหมืองแร่เหล็ก จึงเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้

ตอนนี้ก็ไม่ได้ขุดแร่ขุดถ่านหินกันแล้ว เหมือนนั่นจึงมีแต่แร่เหล็กจำนวนไม่มากนักซุกซ่อนอยู่ข้างใต้ทำให้มันถูกลืมเลือนไปจากความทรงจำของราวีนี

ราวีนีมองสบตากับจักรพรรดิ

ถึงแม้จะไม่ใช่คนฉลาดหลักแหลม หรือปราดเปรื่องอะไรนัก แต่โยบาเนสก็เป็นคนที่เก่งกาจในเรื่องเกี่ยวกับผลประโยชน์ของตัวเองยิ่งเฉกเช่นตอนนี้

รู้เรื่องเหมืองเหล็กนั่นตั้งแต่เมื่อไหร่กันแน่

เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล]

เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล]

Status: Ongoing

เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล 이번 생은 가주가 되겠습니다 I shall master this family 김로아 คิมโรอา เขียน หนทางการขึ้นเป็นเจ้าตระกูลของหญิงสาวผู้กลับมาชาติมาเกิดใหม่ถึงสองครั้งสองครา เมื่อ ฟีเรนเทีย ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์และได้มาเกิดใหม่ในตระกูลลอมบาร์เดียที่ยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรแลมบลู ในฐานะหลานสาวของเจ้าตระกูลที่เกิดจากมารดาสามัญชนทำให้โดนรังเกียจจากคนในตระกูล เมื่อพ่อและปู่ขอเธอตายจากไป เธอถูกขับไล่ออกจากตระกูล สองปีหลังจากนั้น ตระกูลลอมบาร์เดียก็ล่มสลาย แต่แล้ว เมื่อเธอประสบอุบัติเหตุอีกครั้งและมีโอกาสได้ย้อนกลับมาเมื่อตอน 7 ขวบ ครั้งนี้เธอจึงตั้งมั่นที่จะเปลี่ยนแปลงอนาคตและตั้งใจจะขึ้นเป็นเจ้าตระกูลคนถัดไปให้ได้ หนทางแห่งการขึ้นเป็นเจ้าตระกูลจะลำบากยากเย็นเพียงไหน มาเอาใจช่วย ฟีเรนเทียได้ใน “ชาตินี้ข้าจะเป็นเจ้าตระกูล”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท