ตอนที่ 303 พลาดท่า
ตอนที่ 303 พลาดท่า
“อ่า…” สาวรับใช้ส่งเสียงร้องออกมา ร่างกายของนางพลันอ่อนยวบลง ซูหวานหว่านรีบเข้าไปประคองร่างของนางเอาไว้ทันที
เมื่อได้ยินการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นด้านนอก สวีซูจึงเอ่ยขึ้นมาว่า “เกิดอะไรขึ้น?”
“ไม่…ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ ข้าเพียงเดินสะดุดก้อนหิน” ซูหวานหว่านใช้พลังวิเศษเลียนเสียงของสาวใช้คนนั้น
“ไร้ประโยชน์สิ้นดี! กับอีแค่ก้อนหินเล็กแค่นั่นยังจะสะดุด!” สวีซูเอ่ยพร้อมทั่งยืนขึ้น เสียงน้ำหยดดังมาจากในห้อง เมื่อคิดว่าสวีซูกำลังจะออกมา ความตื่นตระหนกภายในหัวใจของซูหวานหว่านก็กลับมาอีกครั้ง หากแต่นางไม่กล้าจะส่งเสียงเอ่ยคำใดออกมา เพราะกลัวว่าสวีซูจะรู้เสียก่อน
ซูหวานหว่านลากสาวใช้คนนั้นออกห่างจากห้องน้ำเล็กน้อย ทันใดนั้นก็มีเสียงดังมาขึ้นมาว่า “เจ้าหยุดก่อน!”
“…”
สวีซูคิดจะทำอะไร?
ความรู้สึกประหม่าพลันก่อขึ้น และสวีซูก็ถามออกมาว่า “ข้ายังไม่ได้ให้เครื่องหอมกับเจ้าเลย! เจ้าจะไปแล้วอย่างงั้นหรือ?”
ไม่คิดว่าสาวใช้คนนี้จะทำอะไรเช่นนี้! ยังไม่ได้รับของแล้วออกมาได้อย่างไร! ซูหวานหว่านเหลือบมองสาวใช้ที่อยู่ในอ้อมแขนของตน หญิงสาวอยากจะจับสาวใช้โยนเข้าไปในมิติฟาร์ม แต่พอคิดดูแล้วก็ต้องห้ามตัวเองไว้ก่อน
“เป็นอะไรไป ใบ้ไปแล้วหรือยังไง? ทำไมถึงยังไม่เข้ามาของอีก! จะต้องให้ข้าเอาออกไปให้เจ้าอย่างงั้นรึ!”
สวีซูพูดออกมาด้วยความขุ่นเคือง
จะให้นางเข้าไป? ซูหวานหว่านรู้สึกกังวล รูปร่างของนางและสาวใช้คนนั้นไม่มีส่วนใดคล้ายคลึงกัน หากนางเข้าไปจะต้องโดนจับได้อย่างแน่นอน?
ในขณะที่ซูหวานหว่านคิดว่าจะทำอย่างไรดี จู่ ๆ ประตูห้องก็เปิดออกกว้างและกล่องใบเล็กก็ถูกโยนออกมา “เอาไปซะ! พรุ่งนี้เช้าจงเอามันไปวางไว้ที่ซอกข้างประตูเข้าบ้าน จากนั้นก็หลบไปซะ! อย่าให้องค์ชายสามจับได้!”
“เจ้าค่ะ” ซูหวานหว่านตอบรับและเดินออกไปทันที เมื่อได้ยินเสียงประตูที่ปิดลง ก็กลัวว่าสาวใช้ที่อยู่ในอ้อมแขนจะตื่นขึ้นมาสร้างปัญหาในเช้าวันรุ่งขึ้น นางจึงนำยานอนหลับขนาดแรงให้สาวใช้คนนั้นกิน จับนางมัดแล้วขังไว้ในห้องเก็บฟืนของตำหนักองค์ชายสาม จากนั้นไปที่บ้านของสวีซูและนำกล่องไม้วาง ‘ของขวัญ’ ให้กับสวีซูอย่างเงียบ ๆ
เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น สวีซูและฉีเฉิงเฟิงเดินทางไปที่จวนของท่านแม่ทัพ ชายหนุ่มจึงเอ่ยเปิดประเด็นขึ้นมาว่า “หลักฐานที่เจ้าพูดอยู่ที่ไหน?”
“มันอยู่ที่…” สวีซูกำลังจะเอ่ยปากบอก ทันใดคนใช้ในจวนก็วิ่งเข้ามาด้วยความเร่งรีบและบอกกล่าวว่า “คุณหนู นายท่านกลับมาแล้ว! อีกทั้งยังจับคุณหนูจ้าวได้ที่บริเวณลานบ้านของเรา คุณหนูจ้าวขอร้องกับนายท่านว่าอยากพบคุณหนู นางบอกว่าคุณหนูจะต้องรักษาคำพูดที่ตนเองเคยพูดเอาไว้ ตระกูลจ้าวของพวกนางไม่เหลืออะไรแล้ว นางต้องการอยู่กับองค์ชายสาม และกำลังคุกเข่าอ้อนวอนนายท่าน ตอนนี้นายท่านกำลังโกรธเป็นอย่างมาก!”
ซูหวานหว่านคิดจะทำอะไรกันแน่?
คิ้วของฉีเฉิงเฟิงขมวดเข้าหากันเล็กน้อย เมื่อวานนี้ตอนที่เขาและซูหวานหว่านปรึกษาหารือกัน นางไม่ได้พูดถึงการแสดงนี้! ถ้าหากบอกว่าซูหวานหว่านเห็นเขากับสวีซู ก็ไม่ควรโกรธขนาดนี้ทั้งยังไม่จำเป็นต้องมายังจวนสวี และไม่ทำตัวเหมือนยอมแพ้แบบนี้!
“ฝ่าบาท” เสียงขานเรียกเบา ๆ ดังขึ้น หัวคิ้วของฉีเฉิงเฟิงขมวดเข้าหากันเป็นปมแน่น ร่องรอยของความโศกเศร้าปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของสวีซู “ถึงแม้ว่าข้าจะได้ยินมาว่าคุณหนูจ้าวแสดงกิริยามารยาทที่ไม่เหมาะสมต่อฝ่าบาทที่โรงน้ำชาเมื่อวาน แต่เมื่อท่านใส่ใจนางมากขนาดนี้ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วสวีเอ๋อร์ก็ยิ่งรู้สึกอยากช่วยนาง เต็มใจที่จะหาหลักฐานและคืนความบริสุทธิ์ให้กับสกุลจ้าว”
“โอ้” ฉีเฉิงเฟิงเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา เมื่อได้ยินคำพูดแบบนี้ของสวีซู โทสะภายในใจก็ดูเหมือนจะเพิ่มมากขึ้น แต่เขาก็ต้องข่มอารมณ์อดทนเอาไว้ และพูดออกมาว่า “ข้าไม่ได้เหมือนกับพ่อของข้าหรอกนะ พวกเราไปกันเถอะ ไปดูให้เห็นว่านางต้องการอะไร”
เมื่อฉีเฉิงเฟิงพูดแบบนี้ออกมา นางก็ทำเป็นร้องไห้ออกมา และเร่งฝีเท้าของตนเองให้เร็วขึ้น แล้วทำท่าทางว่าเป็นห่วงซูหวานหว่านยิ่งนัก ทั้ง ๆ ที่จริงภายในใจของสวีซูแอบพูดว่า ซูหวานหว่าน เจ้ามาก็ดีแล้ว! ข้าอยากจะทำให้เจ้าเห็นว่าฉีเฉิงเฟิงรักข้า!
เมื่อทั้งสองเดินมาถึงห้องโถง พวกเขาเห็นซูหวานหว่านนั่งอยู่บนพื้น ผมเผ้าของนางดูยุ่งเหยิงเล็กน้อย มองดูแล้วช่างน่าเวทนายิ่งนัก อีกทั้งใบหน้าของนางเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตา “ท่านแม่ทัพ! ท่านจะต้องช่วยข้า! ตอนนี้ข้าเป็นเหมือนคนไร้บ้าน ถ้าข้าไม่สามารถแต่งงานกับองค์ชายสามได้ ข้าจะไม่มีที่ไปแล้ว!”
เมื่อเห็นแบบนี้ สวีซูก็เดินเข้าไปด้วยรอยยิ้มทันทีแล้วจับมือของซูหวานหว่านไว้ ปากกล่าวออกมาว่า “คุณหนูจ้าว อย่าเพิ่งเป็นกังวลไป ข้าจะช่วยเจ้าอย่างแน่นอน”
“ช่วยอะไร?” ฉีเฉิงเฟิงเอ่ยออกมาอย่างเย็นชา เขาเหลือบไปมองซูหวานหว่าน เมื่อเห็นแววตาที่มองมา เขาไม่อาจรู้ได้ว่านางคิดสิ่งใดอยู่ ทำเอาชายหนุ่มรู้สึกประหม่าเล็กน้อย แต่ก็ยังคงแสร้งทำเป็นไม่รู้สึกอะไร “เจ้าไม่ต้องไปเป็นห่วงนางหรอก เมื่อวานนี้ที่นางพูดกับข้าต่อหน้าทุกคน มันทำให้ข้าโกรธมาก! ที่ข้าขอหลักฐานจากเจ้าก็เพื่อที่จะเอามาทำลายทิ้งต่างหาก!”
เมื่อได้ยินแบบนี้ ทุกคนก็ต่างตกตะลึง พวกเขาไม่คิดว่าฉีเฉิงเฟิงจะคิดแบบนั้น
คนที่มีความสุขที่สุดในหมู่พวกเขาก็คือสวีซูที่พยายามกลั้นรอยยิ้มเอาไว้ หญิงสาวขมวดคิ้วและพูดออกมาว่า “แต่คุณหนูจ้าวน่าสงสารมาก ตอนนี้…”
“ลูกพ่อ เหตุใดเราจะต้องสนใจนางด้วย นางเคยทำดีกับเจ้าหรือเปล่า?” แม่ทัพสวีอดไม่ได้ที่จะพูดออกมา
ด้านคนใช้ที่อยู่ด้านข้าง ๆ ก็กล่าวออกมาว่า “เมื่อเช้าตรู่นายท่านได้ไปยืดเส้นยืดสายตามปกติ และเห็นว่าคุณหนูจ้าวกำลังทำอะไรบางอย่างอยู่ที่หน้าประตูบ้านของเรา ดังนั้นนายท่านคิดจับตัวนางเพื่อส่งไปยังศาลาว่าการ ใครจะไปคาดคิดว่านางจะมาขอร้องอ้อนวอนนายท่านให้ช่วยนาง! และแต่ละคำพูดก็เอาแต่พูดเรื่องขององค์ชายสาม!”
“อ่า? เป็นไปไม่ได้ คุณหนูจ้าวไม่ใช่คนแบบนั้น เจ้าเข้าใจนางผิดแล้ว” วาจาของนางเอ่ยออกมาเช่นนี้ แต่ดวงตาของนางกำลังยกยิ้มอยู่และก็เอ่ยขึ้นมาอีกว่า “คุณหนูจ้าว…”
เมื่อได้ยินแบบนี้! แม่ทัพสวีก็พูดออกมาอย่างโกรธเคืองว่า “เจ้าเป็นคนที่มีจิตใจที่เมตตา! เจ้าไม่เหมือนกับแม่นางคนนี้เลยแม้แต่น้อย!”
ฉีเฉิงเฟิงก็แสร้งทำเป็นไม่พอใจ และเล่นละครต่อไป เขารู้สึกอึดอัดใจกับคำพูดทุกคนที่กำลังเอ่ยตำหนิซูหวานหว่าน แต่เขาก็ต้องพูดว่า “คุณหนูสวี ไม่ต้องกังวลเรื่องของนางหรอก เจ้ามอบหลักฐานให้ข้าจะได้ไหม?”
“ข้าจะมอบมันให้กับท่าน” สวีซูตอบออกมา นางเดินหันหลังกลับไปดึงซูหวานหว่านมากอดเอาไว้แล้วร้องไห้ออกมา “คุณหนูจ้าวโชคร้ายมาก ขอองค์ชายสามอย่าทำลายหลักฐานนี้เลย เราควรมอบมันให้กับนางดีหรือไม่ ไม่อย่างนั้นตระกูลจ้าวของนางจะหาความบริสุทธิ์ของตัวเองไม่ได้!”
ซูหวานหว่านรู้สึกขยะแขยงขึ้นมา เมื่อได้ยินคำพูดตลบตะแลงของสวีซู หากไม่ใช่เพราะว่านางได้ยินคำพูดของฉีเฉิงเฟิงที่พูดกับสวีซูเมื่อวานนี้ ไหนจะเรื่องกล่องไม้เมื่อคืน นางก็คงจะสะเทือนใจกับคำพูดของฉีเฉิงเฟิงไปแล้ว!
ถึงแม้ว่านางจะรู้สึกขยะแขยง แต่นางก็ต้องแสดงละครต่อไปด้วยการพูดและยิ้มว่า “ขอบคุณคุณหนูสวี”
“เจ้าไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้า บางทีต่อไปในอนาคตเราอาจจะเป็นพี่น้อง” สวีซูยิ้มออกมา และมองไปที่ฉีเฉิงเฟิงอย่างเงียบ ๆ เมื่อเห็นว่าดวงตาของฉีเฉิงเฟิงมองนางอย่างอ่อนโยน นางก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา วันนี้ดูเหมือนว่าฉีเฉิงเฟิงจะมองนางต่างไปจากเดิมจริง ๆ!
อย่างที่ทุกคนรู้ ฉีเฉิงเฟิงนั้นมองแค่ซูหวานหว่านเท่านั้น!
เมื่อทุกคนเดินออกไปลานบ้าน ชายรับใช้ที่ดูเหมือนจะรู้อะไรบางอย่างจึงจากไป และเดินไปที่ทางเข้าที่มีซอกเล็ก ๆ อยู่ ซูหวานหว่านคิดว่านางได้จัดฉากดีแล้ว แต่นางก็เห็นกล่องไม้นั้นอยูู่ออกมาข้างนอกพุ่มหญ้า ข้าง ๆ มีสุนัขกำลังพยายามจะเปิดมันอยู่
“นี่…” สวีซูตกใจ และสาวใช้ที่อยู่ข้าง ๆ ก็พูดอย่างโกรธเคืองว่า “หมาบ้าที่ไหน มันคาบกล่องอะไรมา!”
ซูหวานหว่านสนใจแต่กล่อง และเมื่อนางมองใกล้ ๆ ก็เห็นเป็นกล่องไม้ที่ตนเองเอามา! นี่ไม่ได้หมายความว่าแผนของนางถูกมองออกแล้ว?
แล้วเช่นนั้น มันจะเป็นยังไงต่อไปกัน…?
ซูหวานหว่านอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย เมื่อเห็นสวีซูยิ้มเบา ๆ และยื่นกล่องจากในแขนเสื้อให้ฉีเฉิงเฟิง “องค์ชายสาม โปรดดูเพคะ”
เมื่อเห็นรอยยิ้มของสวีซู ซูหวานหว่านก็ตื่นตระหนก… เกรงว่าข้างในกล่องจะต้องมีแผนร้ายของอีกฝ่ายอัดแน่นไว้อย่างแน่นอน!
นางทำพลาด!
ตอนที่ 320 ผิดก็ต้องรับผิด
ตอนที่ 320 ผิดก็ต้องรับผิด
“เช่นนั้นก็ดีเหมือนกัน บัดนี้ฤดูหนาวได้มาเยือนแล้ว พวกเราควรหาเรื่องสนุก ๆ ดูเพื่อคลายหนาว” ซูหวานหว่านเอ่ยอย่างเริงร่า และทั้งสองก็เดินออกไปทันที
นายท่านเย่มีตำแหน่งเป็นถึงโหวเจวี๋ย [1] ซึ่งเป็นบรรดาศักดิ์ตำแหน่งที่ขุนนางที่สูงที่สุด แม้แต่อัครเสนาบดีสือที่เป็นขุนนางขั้น 1 ยังตำแหน่งอัครมหาเสนาบดียังไม่กล้าท้าทายเขาเลย นับประสาอะไรกับตำแหน่งแม่ทัพ คิดว่าเขาไม่กล้าทำอะไรงั้นหรือ?
ความครึกครื้นครั้งนี้ช่างน่าสนุกจริง ๆ
ซูหวานหว่านส่งเสียงหัวเราะออกมาเมื่อถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น
เวลานี้ บรรยากาศในวังนั้นเงียบสงัด
ทุกคนก้มหน้าก้มตา ในขณะที่ฮ่องเต้กำลังดื่มด่ำกับน้ำชา
ทันใดนั้นก็มีชายคนหนึ่งเข้ามา คุกเข่าอยู่หน้าเก้าอี้มังกร พลางเอ่ยร้องทุกข์ “ฝ่าบาท เรื่องราวของตระกูลสวีและคุณหนูสวีซูจะต้องได้การแก้ไข! ตระกูลขุนนางของเราไม่สามารถปล่อยให้แม่หนูนั่นมารังแกได้!”
“ท่านขุนนาง อย่าเพิ่งโกรธไป ค่อย ๆ พูดเถิดว่าเกิดสิ่งใดขึ้น” ฉีเฉิงกล่าวพร้อมกับวางชาในมือลง
ท่านขุนนางเย่อธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นออกมาอย่างละเอียด “คุณหนูสวีสนับสนุนให้หลานชายและลูกสาวของข้ากำจัดซูหวานหว่าน แต่ใครจะไปคิดกันว่าพวกเขาจะ… เฮ้อ! ฝ่าบาท หากพระองค์ไม่ทวงความยุติธรรมมาให้ตระกูลเย่ของพวกเรา จะถือว่าท่านไร้น้ำใจไม่สนใจตระกูล”
สวีซู? ไม่ใช่หญิงสาวที่ต้องแต่งงานกับฉีเฉิงเฟิงหรือ สีหน้าของฮ่องเต้เปลี่ยนไปทันที “ท่านขุนนาง ท่านอย่าได้กล่าววาจาซี้ซั้ว คุณหนูตระกูลสวีนั้นกำลังจะแต่งงานกับองค์ชายสามในวันพรุ่งนี้”
“ฝ่าบาท! หากพระองค์ไม่เชื่อหม่อมฉัน! เช่นนั้นแล้วจงตามพวกเขามาไต่สวนให้รู้แล้วรู้รอดดีหรือไม่ กระหม่อมคิดว่าคุณหนูสวีไม่สมควรแต่งงานกับองค์ชายสาม มิฉะนั้นนางอาจนำความเสื่อมเสียและอับอายมาให้แก่ราชวงศ์!” ขุนนางเย่กล่าว พลางจับไปที่หน้าอกของตัวเอง
ฉีเฉิงเงียบลงฉับพลัน รับสั่งให้ทหารออกไปตามตัวคุณหนูสวีและคนอื่น ๆ ใช้เวลาเพียงไม่นาน พวกเขาก็มาถึงในวัง แม้แต่ซูหวานหว่านและฉีเฉิงเฟิงเองก็มาเช่นกัน
เมื่อสวีซูเห็นใบหน้าของทั้งสองคน ใบหน้าของนางพลันซีดลง นางเดินเข้าไปจับแขนซูหวานหว่าน “ท่านพี่หวานหว่าน เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเป็นเพราะเจ้าไม่ใช่เหรอ? เจ้ายอมรับผิดเสียดีกว่า โทษหนักจะได้กลายเป็นเบา”
กำลังจะเกลี้ยกล่อมให้นางยอมรับโทษ? ซูหวานหว่านปัดมือของสวีซูออกอย่างเย็นชา และกล่าวว่า “คุณหนูสวี ข้าว่าคำถามนี้ท่านควรจะถามตัวเองเสียมากกว่านะ?”
“ท่านพี่หวานหว่านพูดอะไร ซูเอ๋อร์คนนี้ไม่เข้าใจ” สวีซูกล่าวพร้อมกับหัวใจที่เป็นกังวล หยาดน้ำสีใสหลั่งรินออกมา แต่การกระทำแบบนี้ไม่สามารถที่หลอกซูหวานหว่านได้ หัวใจของนางสั่นสะท้าน และเอ่ยออกมาอย่างเย็นชา “วันนี้ข้ามาที่นี่พร้อมกับองค์ชายสามเพื่อมาเป็นพยานให้กับนายท่านเย่ เจ้าหยุดดิ้นรนและบ่ายเบี่ยงจะดีกว่า เจ้าควรรีบสารภาพออกมา อย่าเล่นตุกติกอีกเลย!”
เมื่อได้ยินคำพูดแบบนี้ ฉีเฉิงก็ชี้นิ้วไปที่ซูหวานหว่านทันที หากแต่นายท่านเย่กับรับหน้าแทนซู หวานหว่านทันทีเพื่อที่จะได้ตัดสินคนผิด พร้อมทั้งเอาหลักฐานที่ได้มาจากบ้านตระกูลจ้าวออกมา เย่ซิงซินและเย่หลิงเฉินที่ได้ฟัง พวกเขาจึงสารภาพทุกสิ่งและบอกว่าทั้งหมดนี้คือแผนการของสวีซู
“ฝ่าบาท เรื่องทั้งหมดมันเป็นเพราะสวีซู หากไม่ใช่เพราะว่านาง เรื่องอัปยศเช่นนี้จะไม่เกิดขึ้นในตระกูลเย่…” เมื่อเห็นนายท่านเย่กล่าวด้วยน้ำตานองหน้า สีหน้าของฉีเฉิงก็เปลี่ยน และก็ไม่รู้ว่าจะเอ่ยอะไรถึงเป็นการดี หลังจากที่เงียบอยู่นาน เขาเอ่ยออกรับสั่งออกมา ให้ส่งสวีซูไปอยู่วัดลั่วซุยเป็นเวลาสิบปี
สิบปี! นางยังไม่ได้แต่งงาน หากนางกลับมาก็ต้องไม่มีผู้ใดอยากแต่งงานกับนาง ใบหน้าของสวีซูพลันเปลี่ยนสี ยิ่งนางคิดถึงเรื่องนี้นางก็ยิ่งอึดอัดมากขึ้นเท่านั้น ก่อนจะปล่อยโฮร้องไห้ออกมา เย่ซิงซินและเย่หลิงเฉินที่เห็นเช่นนั้นก็มีความรู้สึกเครียดแค้นเกิดขึ้น พวกเขาทั้งสองคนวิ่งเข้าไปทุบตีสวีซู หญิงสาวกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวดแต่ไม่มีผู้ใดกล้าห้ามปราม
กระทั่งเวลาผ่านไปไม่นาน เมื่อขุนนางเย่พาเย่ซิงซินและเย่หลิงเฉินกลับไป เหล่าองครักษ์ก็ลากตัวของสวีไป ในตอนนี้มีเพียงซูหวานหว่าน ฉีเฉิงเฟิง และฉีเฉงเท่านั้นที่อยู่ในห้องโถงใหญ่
บรรยากาศรอบตัวนั้นอึมครึม เขาพระราชทานงานแต่งงานให้ฉีเฉิงอยู่หลายครั้งหลายครา แต่ก็ไม่เคยประสบความสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว ยิ่งฉีเฉิงคิดเรื่องนี้มากเท่าไรเขาก็ยิ่งอึดอัดมากขึ้น ในที่สุดเขาก็เอ่ยปาก “ลูกชายในวันนี้เจ้าควรที่จะมาพระราชสำนักได้แล้ว?”
“แล้วเจอกันพรุ่งนี้” หลังจากนั้นชายหนุ่มก็จูงมือซูหวานหว่านเดินจากไปทันที ในขณะนั้นนางก็ได้ยินเสียงดังสั่นสนั่นดังขึ้นมาภายในห้องโถง หญิงสาวหันไปมองเล็กน้อย ก็พบฉีเฉิงโยนถ้วยน้ำชาลงบนพื้น
ขณะที่ทั้งสองคนเดินออกไป ซูหวานหว่านก็พูดออกมาว่า “เหตุใดเขาถึงให้เจ้าไปยังราชสำนักในวันพรุ่งนี้ รู้หรือไม่ว่าเขาคิดจะทำอะไร?”
“ถึงข้าจะไม่รู้ แต่ว่าไม่ใช่เรื่องที่ดีอย่างแน่นอน” ฉีเฉิงเฟิงกล่าวออกมาพร้อมกับขมวดคิ้วเล็กน้อย และทันใดนั้นเขาก็สังเกตเห็นถึงเสื้อผ้าที่ซูหวานหว่านสวมอยู่ สายตาไม่รักดีเหลือบมองส่วนที่นูนขึ้นมาบริเวณหน้าอกของซูหวานหว่าน ไม่นานเขาก็เอ่ยออกมาแบบประหลาดใจว่า “ปีนี้เจ้าอายุเท่าไหร่แล้ว เป็นผู้ใหญ่แล้วหรือยัง?”
เหตุใดจู่ ๆ เขาถึงถามคำถามนี้ออกมา ซูหวานหว่านประหลาดใจและเมื่อเห็นสายตาที่ร้อนแรงของฉีเฉิงเฟิง หญิงสาวก็รู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อยและปล่อยมือของตัวเองออกจากฉีเฉิงเฟิง แล้วก้าวถอยหลังออกไป “ฉีเฉิงเฟิง เจ้า….เจ้าคิดจะทำอะไร?”
“ไม่มีอะไร ฮูหยินเจ้าอย่าเพิ่งกลัวไป” เมื่อเห็นฉีเฉิงเฟิงกล่าวออกพร้อมกับรอยยิ้มที่ไม่อาจคาดเดาได้ นั่นทำให้ซูหวานหว่านไม่เข้าใจ
ฉีเฉิงเฟิงเดินเข้ามาแล้วจับมือของซูหวานหว่านอีกครั้ง ดึงร่างหญิงสาวเข้ามาไว้ในอ้อมกอด และวางคางลงบนหัวของหญิงสาว เขาจ้องมองไปในเสื้อของซูหวานหว่าน และเอ่ยขึ้นมา “ฮูหยินเจ้าดูไม่เด็กแล้วนะ ทำไมพวกเราถึงไม่รีบแต่งงานเสียทีล่ะ? มิฉะนั้น สามีของเจ้าจะถูกคนอื่นแย่งชิงไปอีกนะ”
รีบแต่งงาน? ดวงตาของซูหวานหว่านเบิกกว้าง หญิงสาวยื่นมือไปปิดตาของฉีเฉิงเฟิง จำได้ว่าเมื่อคืนนี้ที่ฉีเฉิงเฟิงบอกว่าอากาศหนาว และมุดเขาไปมาในผ้าห่มผืนเดียวกับนาง ใบหน้าของของหญิงสาวขึ้นสีแดงก่ำ และกล่าวออกมาอีกว่า “เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน ค่อยเป็นค่อยไปจะดีกว่า”
หลังจากที่พูดออกมาเช่นนี้ ซูหวานหว่านก็รู้สึกเหมือนว่าร่างกายของตนเองจะร้อนขึ้น พร้อมกับใบหน้าที่ค่อย ๆ ขึ้นสีแดงระเรื่อ นางสะบัดตัวออกจากฉีเฉิงเฟิงและรีบเดินออกไปทันที
ฉีเฉิงเฟิงรีบเดินตามซูหวานหว่านไปทันที และพูดด้วยออกมาด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่ต้องกลัวไปฮูหยิน ถ้าพวกเราแต่งงานกัน สามีคนนี้จะทะนุถนอมเจ้าเป็นอย่างดี”
“…”
เมื่อนึกถึงความหมายของคำเหล่านี้ ใบหน้าของซูหวานหว่านก็แดงขึ้น แต่มันกลับทำให้ก็ดูงดงามยิ่งขึ้น
พอกลับมาถึงบ้านตระกูลจ้าว ซูหวานหว่านไม่ได้คุยอะไรกับฉีเฉิงเฟิงอีกเลยตลอดทั้งคืน และฉีเฉิงเฟิงก็ไม่ได้ทำอะไรเช่นกัน รุ่งเช้าเขาตื่นขึ้นมาพร้อมกับสั่งให้คนใช้เตรียมทำอาหารเช้ารอซู หวานหว่าน ส่วนตัวเองก็เดินทางไปยังพระราชสำนักในวัง
ฉีเฉิงเฟิงไม่รู้ว่าก่อนที่ตัวเองจะเดินไปถึงพระราชสำนักภายในห้องต่างหารือกันอย่างจริงจังเพราะคำพูดของฉีเฉิง
“ขุนนางเย่ องค์ชายสามก็ถึงวัยที่จะแต่งงานแล้ว ท่านลองคิดสิว่าหญิงสาวคนไหนที่เหมาะสมกับฉีเฉิงเฟิงที่สุด ท่านพอจะแนะนำให้ข้าได้บ้างหรือไม่” เมื่อฉีฉิงกล่าวออกมาเช่นนี้ ทุกคนก็มองหน้ากันไปมาและเริ่มเอ่ยออกมา
ขุนนางคนหนึ่งเอ่ยขึ้นมาว่า “ฝ่าบาท ข้าเองมีลูกสาว ปีนี้นางมีอายุสิบสามปี เป็นกุลสตรี สุภาพอ่อนโยน มีคุณธรรม รูปลักษณ์หน้าตาไม่ได้งดงามนัก หากแต่ก็เป็นคนน่ารักคนหนึ่ง…”
ขุนนางอีกคนหนึ่งก็พูดออกมาว่า “ฝ่าบาท! ลูกสาวของข้าก็เช่นกัน ปีนี้นางก็อายุสิบสองปี และเกิด…”
“…”
เหล่าขุนนางต่างเอ่ยถึงลูกสาวของตนเอง โดยหวังว่าลูกสาวของตัวเองอาจจะถูกฉีเฉิงรับเอาไว้พิจารณา
ฉีเฉิงก็พยักหน้าเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ และทำท่าครุ่นคิด
เมื่อฉีเฉิงเฟิงก้าวเข้ามาในห้องและได้ยินถึงเรื่องนี้ หัวใจของเขาก็พลันเต้นไม่เป็นจังหวะ รู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดี ใบหน้าของเขาเปลี่ยนสีและก็ก้าวเดินเข้าไปในห้อง บรรยากาศภายในห้องเงียบลงทันที และเหล่าขุนนางพูดถึงเรื่องนี้ออกมาอีกครั้ง หลังจากนั้นไม่นานฉีเฉิงก็ขยิบตาส่งสัญญาณ และขุนนางคนนั้นก็เดินออกมาทันที
[1] 侯爵 โหวเจวี๋ย คือ ตำแหน่งเจ้าพระยา
ตอนที่ 320 ผิดก็ต้องรับผิด
ตอนที่ 320 ผิดก็ต้องรับผิด
“เช่นนั้นก็ดีเหมือนกัน บัดนี้ฤดูหนาวได้มาเยือนแล้ว พวกเราควรหาเรื่องสนุก ๆ ดูเพื่อคลายหนาว” ซูหวานหว่านเอ่ยอย่างเริงร่า และทั้งสองก็เดินออกไปทันที
นายท่านเย่มีตำแหน่งเป็นถึงโหวเจวี๋ย [1] ซึ่งเป็นบรรดาศักดิ์ตำแหน่งที่ขุนนางที่สูงที่สุด แม้แต่อัครเสนาบดีสือที่เป็นขุนนางขั้น 1 ยังตำแหน่งอัครมหาเสนาบดียังไม่กล้าท้าทายเขาเลย นับประสาอะไรกับตำแหน่งแม่ทัพ คิดว่าเขาไม่กล้าทำอะไรงั้นหรือ?
ความครึกครื้นครั้งนี้ช่างน่าสนุกจริง ๆ
ซูหวานหว่านส่งเสียงหัวเราะออกมาเมื่อถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น
เวลานี้ บรรยากาศในวังนั้นเงียบสงัด
ทุกคนก้มหน้าก้มตา ในขณะที่ฮ่องเต้กำลังดื่มด่ำกับน้ำชา
ทันใดนั้นก็มีชายคนหนึ่งเข้ามา คุกเข่าอยู่หน้าเก้าอี้มังกร พลางเอ่ยร้องทุกข์ “ฝ่าบาท เรื่องราวของตระกูลสวีและคุณหนูสวีซูจะต้องได้การแก้ไข! ตระกูลขุนนางของเราไม่สามารถปล่อยให้แม่หนูนั่นมารังแกได้!”
“ท่านขุนนาง อย่าเพิ่งโกรธไป ค่อย ๆ พูดเถิดว่าเกิดสิ่งใดขึ้น” ฉีเฉิงกล่าวพร้อมกับวางชาในมือลง
ท่านขุนนางเย่อธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นออกมาอย่างละเอียด “คุณหนูสวีสนับสนุนให้หลานชายและลูกสาวของข้ากำจัดซูหวานหว่าน แต่ใครจะไปคิดกันว่าพวกเขาจะ… เฮ้อ! ฝ่าบาท หากพระองค์ไม่ทวงความยุติธรรมมาให้ตระกูลเย่ของพวกเรา จะถือว่าท่านไร้น้ำใจไม่สนใจตระกูล”
สวีซู? ไม่ใช่หญิงสาวที่ต้องแต่งงานกับฉีเฉิงเฟิงหรือ สีหน้าของฮ่องเต้เปลี่ยนไปทันที “ท่านขุนนาง ท่านอย่าได้กล่าววาจาซี้ซั้ว คุณหนูตระกูลสวีนั้นกำลังจะแต่งงานกับองค์ชายสามในวันพรุ่งนี้”
“ฝ่าบาท! หากพระองค์ไม่เชื่อหม่อมฉัน! เช่นนั้นแล้วจงตามพวกเขามาไต่สวนให้รู้แล้วรู้รอดดีหรือไม่ กระหม่อมคิดว่าคุณหนูสวีไม่สมควรแต่งงานกับองค์ชายสาม มิฉะนั้นนางอาจนำความเสื่อมเสียและอับอายมาให้แก่ราชวงศ์!” ขุนนางเย่กล่าว พลางจับไปที่หน้าอกของตัวเอง
ฉีเฉิงเงียบลงฉับพลัน รับสั่งให้ทหารออกไปตามตัวคุณหนูสวีและคนอื่น ๆ ใช้เวลาเพียงไม่นาน พวกเขาก็มาถึงในวัง แม้แต่ซูหวานหว่านและฉีเฉิงเฟิงเองก็มาเช่นกัน
เมื่อสวีซูเห็นใบหน้าของทั้งสองคน ใบหน้าของนางพลันซีดลง นางเดินเข้าไปจับแขนซูหวานหว่าน “ท่านพี่หวานหว่าน เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเป็นเพราะเจ้าไม่ใช่เหรอ? เจ้ายอมรับผิดเสียดีกว่า โทษหนักจะได้กลายเป็นเบา”
กำลังจะเกลี้ยกล่อมให้นางยอมรับโทษ? ซูหวานหว่านปัดมือของสวีซูออกอย่างเย็นชา และกล่าวว่า “คุณหนูสวี ข้าว่าคำถามนี้ท่านควรจะถามตัวเองเสียมากกว่านะ?”
“ท่านพี่หวานหว่านพูดอะไร ซูเอ๋อร์คนนี้ไม่เข้าใจ” สวีซูกล่าวพร้อมกับหัวใจที่เป็นกังวล หยาดน้ำสีใสหลั่งรินออกมา แต่การกระทำแบบนี้ไม่สามารถที่หลอกซูหวานหว่านได้ หัวใจของนางสั่นสะท้าน และเอ่ยออกมาอย่างเย็นชา “วันนี้ข้ามาที่นี่พร้อมกับองค์ชายสามเพื่อมาเป็นพยานให้กับนายท่านเย่ เจ้าหยุดดิ้นรนและบ่ายเบี่ยงจะดีกว่า เจ้าควรรีบสารภาพออกมา อย่าเล่นตุกติกอีกเลย!”
เมื่อได้ยินคำพูดแบบนี้ ฉีเฉิงก็ชี้นิ้วไปที่ซูหวานหว่านทันที หากแต่นายท่านเย่กับรับหน้าแทนซู หวานหว่านทันทีเพื่อที่จะได้ตัดสินคนผิด พร้อมทั้งเอาหลักฐานที่ได้มาจากบ้านตระกูลจ้าวออกมา เย่ซิงซินและเย่หลิงเฉินที่ได้ฟัง พวกเขาจึงสารภาพทุกสิ่งและบอกว่าทั้งหมดนี้คือแผนการของสวีซู
“ฝ่าบาท เรื่องทั้งหมดมันเป็นเพราะสวีซู หากไม่ใช่เพราะว่านาง เรื่องอัปยศเช่นนี้จะไม่เกิดขึ้นในตระกูลเย่…” เมื่อเห็นนายท่านเย่กล่าวด้วยน้ำตานองหน้า สีหน้าของฉีเฉิงก็เปลี่ยน และก็ไม่รู้ว่าจะเอ่ยอะไรถึงเป็นการดี หลังจากที่เงียบอยู่นาน เขาเอ่ยออกรับสั่งออกมา ให้ส่งสวีซูไปอยู่วัดลั่วซุยเป็นเวลาสิบปี
สิบปี! นางยังไม่ได้แต่งงาน หากนางกลับมาก็ต้องไม่มีผู้ใดอยากแต่งงานกับนาง ใบหน้าของสวีซูพลันเปลี่ยนสี ยิ่งนางคิดถึงเรื่องนี้นางก็ยิ่งอึดอัดมากขึ้นเท่านั้น ก่อนจะปล่อยโฮร้องไห้ออกมา เย่ซิงซินและเย่หลิงเฉินที่เห็นเช่นนั้นก็มีความรู้สึกเครียดแค้นเกิดขึ้น พวกเขาทั้งสองคนวิ่งเข้าไปทุบตีสวีซู หญิงสาวกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวดแต่ไม่มีผู้ใดกล้าห้ามปราม
กระทั่งเวลาผ่านไปไม่นาน เมื่อขุนนางเย่พาเย่ซิงซินและเย่หลิงเฉินกลับไป เหล่าองครักษ์ก็ลากตัวของสวีไป ในตอนนี้มีเพียงซูหวานหว่าน ฉีเฉิงเฟิง และฉีเฉงเท่านั้นที่อยู่ในห้องโถงใหญ่
บรรยากาศรอบตัวนั้นอึมครึม เขาพระราชทานงานแต่งงานให้ฉีเฉิงอยู่หลายครั้งหลายครา แต่ก็ไม่เคยประสบความสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว ยิ่งฉีเฉิงคิดเรื่องนี้มากเท่าไรเขาก็ยิ่งอึดอัดมากขึ้น ในที่สุดเขาก็เอ่ยปาก “ลูกชายในวันนี้เจ้าควรที่จะมาพระราชสำนักได้แล้ว?”
“แล้วเจอกันพรุ่งนี้” หลังจากนั้นชายหนุ่มก็จูงมือซูหวานหว่านเดินจากไปทันที ในขณะนั้นนางก็ได้ยินเสียงดังสั่นสนั่นดังขึ้นมาภายในห้องโถง หญิงสาวหันไปมองเล็กน้อย ก็พบฉีเฉิงโยนถ้วยน้ำชาลงบนพื้น
ขณะที่ทั้งสองคนเดินออกไป ซูหวานหว่านก็พูดออกมาว่า “เหตุใดเขาถึงให้เจ้าไปยังราชสำนักในวันพรุ่งนี้ รู้หรือไม่ว่าเขาคิดจะทำอะไร?”
“ถึงข้าจะไม่รู้ แต่ว่าไม่ใช่เรื่องที่ดีอย่างแน่นอน” ฉีเฉิงเฟิงกล่าวออกมาพร้อมกับขมวดคิ้วเล็กน้อย และทันใดนั้นเขาก็สังเกตเห็นถึงเสื้อผ้าที่ซูหวานหว่านสวมอยู่ สายตาไม่รักดีเหลือบมองส่วนที่นูนขึ้นมาบริเวณหน้าอกของซูหวานหว่าน ไม่นานเขาก็เอ่ยออกมาแบบประหลาดใจว่า “ปีนี้เจ้าอายุเท่าไหร่แล้ว เป็นผู้ใหญ่แล้วหรือยัง?”
เหตุใดจู่ ๆ เขาถึงถามคำถามนี้ออกมา ซูหวานหว่านประหลาดใจและเมื่อเห็นสายตาที่ร้อนแรงของฉีเฉิงเฟิง หญิงสาวก็รู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อยและปล่อยมือของตัวเองออกจากฉีเฉิงเฟิง แล้วก้าวถอยหลังออกไป “ฉีเฉิงเฟิง เจ้า….เจ้าคิดจะทำอะไร?”
“ไม่มีอะไร ฮูหยินเจ้าอย่าเพิ่งกลัวไป” เมื่อเห็นฉีเฉิงเฟิงกล่าวออกพร้อมกับรอยยิ้มที่ไม่อาจคาดเดาได้ นั่นทำให้ซูหวานหว่านไม่เข้าใจ
ฉีเฉิงเฟิงเดินเข้ามาแล้วจับมือของซูหวานหว่านอีกครั้ง ดึงร่างหญิงสาวเข้ามาไว้ในอ้อมกอด และวางคางลงบนหัวของหญิงสาว เขาจ้องมองไปในเสื้อของซูหวานหว่าน และเอ่ยขึ้นมา “ฮูหยินเจ้าดูไม่เด็กแล้วนะ ทำไมพวกเราถึงไม่รีบแต่งงานเสียทีล่ะ? มิฉะนั้น สามีของเจ้าจะถูกคนอื่นแย่งชิงไปอีกนะ”
รีบแต่งงาน? ดวงตาของซูหวานหว่านเบิกกว้าง หญิงสาวยื่นมือไปปิดตาของฉีเฉิงเฟิง จำได้ว่าเมื่อคืนนี้ที่ฉีเฉิงเฟิงบอกว่าอากาศหนาว และมุดเขาไปมาในผ้าห่มผืนเดียวกับนาง ใบหน้าของของหญิงสาวขึ้นสีแดงก่ำ และกล่าวออกมาอีกว่า “เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน ค่อยเป็นค่อยไปจะดีกว่า”
หลังจากที่พูดออกมาเช่นนี้ ซูหวานหว่านก็รู้สึกเหมือนว่าร่างกายของตนเองจะร้อนขึ้น พร้อมกับใบหน้าที่ค่อย ๆ ขึ้นสีแดงระเรื่อ นางสะบัดตัวออกจากฉีเฉิงเฟิงและรีบเดินออกไปทันที
ฉีเฉิงเฟิงรีบเดินตามซูหวานหว่านไปทันที และพูดด้วยออกมาด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่ต้องกลัวไปฮูหยิน ถ้าพวกเราแต่งงานกัน สามีคนนี้จะทะนุถนอมเจ้าเป็นอย่างดี”
“…”
เมื่อนึกถึงความหมายของคำเหล่านี้ ใบหน้าของซูหวานหว่านก็แดงขึ้น แต่มันกลับทำให้ก็ดูงดงามยิ่งขึ้น
พอกลับมาถึงบ้านตระกูลจ้าว ซูหวานหว่านไม่ได้คุยอะไรกับฉีเฉิงเฟิงอีกเลยตลอดทั้งคืน และฉีเฉิงเฟิงก็ไม่ได้ทำอะไรเช่นกัน รุ่งเช้าเขาตื่นขึ้นมาพร้อมกับสั่งให้คนใช้เตรียมทำอาหารเช้ารอซู หวานหว่าน ส่วนตัวเองก็เดินทางไปยังพระราชสำนักในวัง
ฉีเฉิงเฟิงไม่รู้ว่าก่อนที่ตัวเองจะเดินไปถึงพระราชสำนักภายในห้องต่างหารือกันอย่างจริงจังเพราะคำพูดของฉีเฉิง
“ขุนนางเย่ องค์ชายสามก็ถึงวัยที่จะแต่งงานแล้ว ท่านลองคิดสิว่าหญิงสาวคนไหนที่เหมาะสมกับฉีเฉิงเฟิงที่สุด ท่านพอจะแนะนำให้ข้าได้บ้างหรือไม่” เมื่อฉีฉิงกล่าวออกมาเช่นนี้ ทุกคนก็มองหน้ากันไปมาและเริ่มเอ่ยออกมา
ขุนนางคนหนึ่งเอ่ยขึ้นมาว่า “ฝ่าบาท ข้าเองมีลูกสาว ปีนี้นางมีอายุสิบสามปี เป็นกุลสตรี สุภาพอ่อนโยน มีคุณธรรม รูปลักษณ์หน้าตาไม่ได้งดงามนัก หากแต่ก็เป็นคนน่ารักคนหนึ่ง…”
ขุนนางอีกคนหนึ่งก็พูดออกมาว่า “ฝ่าบาท! ลูกสาวของข้าก็เช่นกัน ปีนี้นางก็อายุสิบสองปี และเกิด…”
“…”
เหล่าขุนนางต่างเอ่ยถึงลูกสาวของตนเอง โดยหวังว่าลูกสาวของตัวเองอาจจะถูกฉีเฉิงรับเอาไว้พิจารณา
ฉีเฉิงก็พยักหน้าเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ และทำท่าครุ่นคิด
เมื่อฉีเฉิงเฟิงก้าวเข้ามาในห้องและได้ยินถึงเรื่องนี้ หัวใจของเขาก็พลันเต้นไม่เป็นจังหวะ รู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดี ใบหน้าของเขาเปลี่ยนสีและก็ก้าวเดินเข้าไปในห้อง บรรยากาศภายในห้องเงียบลงทันที และเหล่าขุนนางพูดถึงเรื่องนี้ออกมาอีกครั้ง หลังจากนั้นไม่นานฉีเฉิงก็ขยิบตาส่งสัญญาณ และขุนนางคนนั้นก็เดินออกมาทันที
[1] 侯爵 โหวเจวี๋ย คือ ตำแหน่งเจ้าพระยา
ตอนที่ 320 ผิดก็ต้องรับผิด
ตอนที่ 320 ผิดก็ต้องรับผิด
“เช่นนั้นก็ดีเหมือนกัน บัดนี้ฤดูหนาวได้มาเยือนแล้ว พวกเราควรหาเรื่องสนุก ๆ ดูเพื่อคลายหนาว” ซูหวานหว่านเอ่ยอย่างเริงร่า และทั้งสองก็เดินออกไปทันที
นายท่านเย่มีตำแหน่งเป็นถึงโหวเจวี๋ย [1] ซึ่งเป็นบรรดาศักดิ์ตำแหน่งที่ขุนนางที่สูงที่สุด แม้แต่อัครเสนาบดีสือที่เป็นขุนนางขั้น 1 ยังตำแหน่งอัครมหาเสนาบดียังไม่กล้าท้าทายเขาเลย นับประสาอะไรกับตำแหน่งแม่ทัพ คิดว่าเขาไม่กล้าทำอะไรงั้นหรือ?
ความครึกครื้นครั้งนี้ช่างน่าสนุกจริง ๆ
ซูหวานหว่านส่งเสียงหัวเราะออกมาเมื่อถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น
เวลานี้ บรรยากาศในวังนั้นเงียบสงัด
ทุกคนก้มหน้าก้มตา ในขณะที่ฮ่องเต้กำลังดื่มด่ำกับน้ำชา
ทันใดนั้นก็มีชายคนหนึ่งเข้ามา คุกเข่าอยู่หน้าเก้าอี้มังกร พลางเอ่ยร้องทุกข์ “ฝ่าบาท เรื่องราวของตระกูลสวีและคุณหนูสวีซูจะต้องได้การแก้ไข! ตระกูลขุนนางของเราไม่สามารถปล่อยให้แม่หนูนั่นมารังแกได้!”
“ท่านขุนนาง อย่าเพิ่งโกรธไป ค่อย ๆ พูดเถิดว่าเกิดสิ่งใดขึ้น” ฉีเฉิงกล่าวพร้อมกับวางชาในมือลง
ท่านขุนนางเย่อธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นออกมาอย่างละเอียด “คุณหนูสวีสนับสนุนให้หลานชายและลูกสาวของข้ากำจัดซูหวานหว่าน แต่ใครจะไปคิดกันว่าพวกเขาจะ… เฮ้อ! ฝ่าบาท หากพระองค์ไม่ทวงความยุติธรรมมาให้ตระกูลเย่ของพวกเรา จะถือว่าท่านไร้น้ำใจไม่สนใจตระกูล”
สวีซู? ไม่ใช่หญิงสาวที่ต้องแต่งงานกับฉีเฉิงเฟิงหรือ สีหน้าของฮ่องเต้เปลี่ยนไปทันที “ท่านขุนนาง ท่านอย่าได้กล่าววาจาซี้ซั้ว คุณหนูตระกูลสวีนั้นกำลังจะแต่งงานกับองค์ชายสามในวันพรุ่งนี้”
“ฝ่าบาท! หากพระองค์ไม่เชื่อหม่อมฉัน! เช่นนั้นแล้วจงตามพวกเขามาไต่สวนให้รู้แล้วรู้รอดดีหรือไม่ กระหม่อมคิดว่าคุณหนูสวีไม่สมควรแต่งงานกับองค์ชายสาม มิฉะนั้นนางอาจนำความเสื่อมเสียและอับอายมาให้แก่ราชวงศ์!” ขุนนางเย่กล่าว พลางจับไปที่หน้าอกของตัวเอง
ฉีเฉิงเงียบลงฉับพลัน รับสั่งให้ทหารออกไปตามตัวคุณหนูสวีและคนอื่น ๆ ใช้เวลาเพียงไม่นาน พวกเขาก็มาถึงในวัง แม้แต่ซูหวานหว่านและฉีเฉิงเฟิงเองก็มาเช่นกัน
เมื่อสวีซูเห็นใบหน้าของทั้งสองคน ใบหน้าของนางพลันซีดลง นางเดินเข้าไปจับแขนซูหวานหว่าน “ท่านพี่หวานหว่าน เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเป็นเพราะเจ้าไม่ใช่เหรอ? เจ้ายอมรับผิดเสียดีกว่า โทษหนักจะได้กลายเป็นเบา”
กำลังจะเกลี้ยกล่อมให้นางยอมรับโทษ? ซูหวานหว่านปัดมือของสวีซูออกอย่างเย็นชา และกล่าวว่า “คุณหนูสวี ข้าว่าคำถามนี้ท่านควรจะถามตัวเองเสียมากกว่านะ?”
“ท่านพี่หวานหว่านพูดอะไร ซูเอ๋อร์คนนี้ไม่เข้าใจ” สวีซูกล่าวพร้อมกับหัวใจที่เป็นกังวล หยาดน้ำสีใสหลั่งรินออกมา แต่การกระทำแบบนี้ไม่สามารถที่หลอกซูหวานหว่านได้ หัวใจของนางสั่นสะท้าน และเอ่ยออกมาอย่างเย็นชา “วันนี้ข้ามาที่นี่พร้อมกับองค์ชายสามเพื่อมาเป็นพยานให้กับนายท่านเย่ เจ้าหยุดดิ้นรนและบ่ายเบี่ยงจะดีกว่า เจ้าควรรีบสารภาพออกมา อย่าเล่นตุกติกอีกเลย!”
เมื่อได้ยินคำพูดแบบนี้ ฉีเฉิงก็ชี้นิ้วไปที่ซูหวานหว่านทันที หากแต่นายท่านเย่กับรับหน้าแทนซู หวานหว่านทันทีเพื่อที่จะได้ตัดสินคนผิด พร้อมทั้งเอาหลักฐานที่ได้มาจากบ้านตระกูลจ้าวออกมา เย่ซิงซินและเย่หลิงเฉินที่ได้ฟัง พวกเขาจึงสารภาพทุกสิ่งและบอกว่าทั้งหมดนี้คือแผนการของสวีซู
“ฝ่าบาท เรื่องทั้งหมดมันเป็นเพราะสวีซู หากไม่ใช่เพราะว่านาง เรื่องอัปยศเช่นนี้จะไม่เกิดขึ้นในตระกูลเย่…” เมื่อเห็นนายท่านเย่กล่าวด้วยน้ำตานองหน้า สีหน้าของฉีเฉิงก็เปลี่ยน และก็ไม่รู้ว่าจะเอ่ยอะไรถึงเป็นการดี หลังจากที่เงียบอยู่นาน เขาเอ่ยออกรับสั่งออกมา ให้ส่งสวีซูไปอยู่วัดลั่วซุยเป็นเวลาสิบปี
สิบปี! นางยังไม่ได้แต่งงาน หากนางกลับมาก็ต้องไม่มีผู้ใดอยากแต่งงานกับนาง ใบหน้าของสวีซูพลันเปลี่ยนสี ยิ่งนางคิดถึงเรื่องนี้นางก็ยิ่งอึดอัดมากขึ้นเท่านั้น ก่อนจะปล่อยโฮร้องไห้ออกมา เย่ซิงซินและเย่หลิงเฉินที่เห็นเช่นนั้นก็มีความรู้สึกเครียดแค้นเกิดขึ้น พวกเขาทั้งสองคนวิ่งเข้าไปทุบตีสวีซู หญิงสาวกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวดแต่ไม่มีผู้ใดกล้าห้ามปราม
กระทั่งเวลาผ่านไปไม่นาน เมื่อขุนนางเย่พาเย่ซิงซินและเย่หลิงเฉินกลับไป เหล่าองครักษ์ก็ลากตัวของสวีไป ในตอนนี้มีเพียงซูหวานหว่าน ฉีเฉิงเฟิง และฉีเฉงเท่านั้นที่อยู่ในห้องโถงใหญ่
บรรยากาศรอบตัวนั้นอึมครึม เขาพระราชทานงานแต่งงานให้ฉีเฉิงอยู่หลายครั้งหลายครา แต่ก็ไม่เคยประสบความสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว ยิ่งฉีเฉิงคิดเรื่องนี้มากเท่าไรเขาก็ยิ่งอึดอัดมากขึ้น ในที่สุดเขาก็เอ่ยปาก “ลูกชายในวันนี้เจ้าควรที่จะมาพระราชสำนักได้แล้ว?”
“แล้วเจอกันพรุ่งนี้” หลังจากนั้นชายหนุ่มก็จูงมือซูหวานหว่านเดินจากไปทันที ในขณะนั้นนางก็ได้ยินเสียงดังสั่นสนั่นดังขึ้นมาภายในห้องโถง หญิงสาวหันไปมองเล็กน้อย ก็พบฉีเฉิงโยนถ้วยน้ำชาลงบนพื้น
ขณะที่ทั้งสองคนเดินออกไป ซูหวานหว่านก็พูดออกมาว่า “เหตุใดเขาถึงให้เจ้าไปยังราชสำนักในวันพรุ่งนี้ รู้หรือไม่ว่าเขาคิดจะทำอะไร?”
“ถึงข้าจะไม่รู้ แต่ว่าไม่ใช่เรื่องที่ดีอย่างแน่นอน” ฉีเฉิงเฟิงกล่าวออกมาพร้อมกับขมวดคิ้วเล็กน้อย และทันใดนั้นเขาก็สังเกตเห็นถึงเสื้อผ้าที่ซูหวานหว่านสวมอยู่ สายตาไม่รักดีเหลือบมองส่วนที่นูนขึ้นมาบริเวณหน้าอกของซูหวานหว่าน ไม่นานเขาก็เอ่ยออกมาแบบประหลาดใจว่า “ปีนี้เจ้าอายุเท่าไหร่แล้ว เป็นผู้ใหญ่แล้วหรือยัง?”
เหตุใดจู่ ๆ เขาถึงถามคำถามนี้ออกมา ซูหวานหว่านประหลาดใจและเมื่อเห็นสายตาที่ร้อนแรงของฉีเฉิงเฟิง หญิงสาวก็รู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อยและปล่อยมือของตัวเองออกจากฉีเฉิงเฟิง แล้วก้าวถอยหลังออกไป “ฉีเฉิงเฟิง เจ้า….เจ้าคิดจะทำอะไร?”
“ไม่มีอะไร ฮูหยินเจ้าอย่าเพิ่งกลัวไป” เมื่อเห็นฉีเฉิงเฟิงกล่าวออกพร้อมกับรอยยิ้มที่ไม่อาจคาดเดาได้ นั่นทำให้ซูหวานหว่านไม่เข้าใจ
ฉีเฉิงเฟิงเดินเข้ามาแล้วจับมือของซูหวานหว่านอีกครั้ง ดึงร่างหญิงสาวเข้ามาไว้ในอ้อมกอด และวางคางลงบนหัวของหญิงสาว เขาจ้องมองไปในเสื้อของซูหวานหว่าน และเอ่ยขึ้นมา “ฮูหยินเจ้าดูไม่เด็กแล้วนะ ทำไมพวกเราถึงไม่รีบแต่งงานเสียทีล่ะ? มิฉะนั้น สามีของเจ้าจะถูกคนอื่นแย่งชิงไปอีกนะ”
รีบแต่งงาน? ดวงตาของซูหวานหว่านเบิกกว้าง หญิงสาวยื่นมือไปปิดตาของฉีเฉิงเฟิง จำได้ว่าเมื่อคืนนี้ที่ฉีเฉิงเฟิงบอกว่าอากาศหนาว และมุดเขาไปมาในผ้าห่มผืนเดียวกับนาง ใบหน้าของของหญิงสาวขึ้นสีแดงก่ำ และกล่าวออกมาอีกว่า “เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน ค่อยเป็นค่อยไปจะดีกว่า”
หลังจากที่พูดออกมาเช่นนี้ ซูหวานหว่านก็รู้สึกเหมือนว่าร่างกายของตนเองจะร้อนขึ้น พร้อมกับใบหน้าที่ค่อย ๆ ขึ้นสีแดงระเรื่อ นางสะบัดตัวออกจากฉีเฉิงเฟิงและรีบเดินออกไปทันที
ฉีเฉิงเฟิงรีบเดินตามซูหวานหว่านไปทันที และพูดด้วยออกมาด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่ต้องกลัวไปฮูหยิน ถ้าพวกเราแต่งงานกัน สามีคนนี้จะทะนุถนอมเจ้าเป็นอย่างดี”
“…”
เมื่อนึกถึงความหมายของคำเหล่านี้ ใบหน้าของซูหวานหว่านก็แดงขึ้น แต่มันกลับทำให้ก็ดูงดงามยิ่งขึ้น
พอกลับมาถึงบ้านตระกูลจ้าว ซูหวานหว่านไม่ได้คุยอะไรกับฉีเฉิงเฟิงอีกเลยตลอดทั้งคืน และฉีเฉิงเฟิงก็ไม่ได้ทำอะไรเช่นกัน รุ่งเช้าเขาตื่นขึ้นมาพร้อมกับสั่งให้คนใช้เตรียมทำอาหารเช้ารอซู หวานหว่าน ส่วนตัวเองก็เดินทางไปยังพระราชสำนักในวัง
ฉีเฉิงเฟิงไม่รู้ว่าก่อนที่ตัวเองจะเดินไปถึงพระราชสำนักภายในห้องต่างหารือกันอย่างจริงจังเพราะคำพูดของฉีเฉิง
“ขุนนางเย่ องค์ชายสามก็ถึงวัยที่จะแต่งงานแล้ว ท่านลองคิดสิว่าหญิงสาวคนไหนที่เหมาะสมกับฉีเฉิงเฟิงที่สุด ท่านพอจะแนะนำให้ข้าได้บ้างหรือไม่” เมื่อฉีฉิงกล่าวออกมาเช่นนี้ ทุกคนก็มองหน้ากันไปมาและเริ่มเอ่ยออกมา
ขุนนางคนหนึ่งเอ่ยขึ้นมาว่า “ฝ่าบาท ข้าเองมีลูกสาว ปีนี้นางมีอายุสิบสามปี เป็นกุลสตรี สุภาพอ่อนโยน มีคุณธรรม รูปลักษณ์หน้าตาไม่ได้งดงามนัก หากแต่ก็เป็นคนน่ารักคนหนึ่ง…”
ขุนนางอีกคนหนึ่งก็พูดออกมาว่า “ฝ่าบาท! ลูกสาวของข้าก็เช่นกัน ปีนี้นางก็อายุสิบสองปี และเกิด…”
“…”
เหล่าขุนนางต่างเอ่ยถึงลูกสาวของตนเอง โดยหวังว่าลูกสาวของตัวเองอาจจะถูกฉีเฉิงรับเอาไว้พิจารณา
ฉีเฉิงก็พยักหน้าเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ และทำท่าครุ่นคิด
เมื่อฉีเฉิงเฟิงก้าวเข้ามาในห้องและได้ยินถึงเรื่องนี้ หัวใจของเขาก็พลันเต้นไม่เป็นจังหวะ รู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดี ใบหน้าของเขาเปลี่ยนสีและก็ก้าวเดินเข้าไปในห้อง บรรยากาศภายในห้องเงียบลงทันที และเหล่าขุนนางพูดถึงเรื่องนี้ออกมาอีกครั้ง หลังจากนั้นไม่นานฉีเฉิงก็ขยิบตาส่งสัญญาณ และขุนนางคนนั้นก็เดินออกมาทันที
[1] 侯爵 โหวเจวี๋ย คือ ตำแหน่งเจ้าพระยา