เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] – ตอนที่ 602 ข้าบอก… ให้คุกเข่า!

ตอนที่ 602 ข้าบอก... ให้คุกเข่า!

กลุ่มคนตื่นเต้น

ความโกรธแค้นที่อัดแน่นอยู่ในใจชาวเมืองสุดท้ายก็ระเบิดออกมา

ต่อให้เป็นเด็กทารกก็ยังยกมือสนับสนุนบิดามารดาและตะโกนว่า  พวกเราต้องสู้ 

 พวกเจ้า… บาปของพวกเจ้ามันเกินกว่าจะให้อภัย 

นักบวชหรงคำรามด้วยเสียงเย็นชาและอำมหิต

เคล้ง! เคล้ง! เคล้ง!

นักรบชาวทะเลที่รวมตัวกันอยู่บริเวณตีนเขาใช้อาวุธเคาะกับเกราะเหล็กของตนเองเสียงดังเกรียวกราว

เสียงเคาะเกราะเหล็กเหล่านั้นฟังดูน่าขนลุก เต็มไปด้วยจิตสังหาร

ตึง! ตึง! ตึง! ตึง!

เสียงย่ำเท้าของพวกมันดังกังวานเป็นจังหวะจะโคน

หลังจากนั้น กองทัพชาวทะเลก็เคลื่อนที่มาข้างหน้าอย่างเชื่องช้าแต่มั่นคง ไม่ต่างจากกำแพงเหล็กมฤตยู

ความตายกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้ชาวเมืองมากขึ้นทุกที

 คุณชายหลิน ไม่ทราบว่าพวกเราสมควรทำอย่างไรดี?  อู๋เฟิ่งกูรู้สึกแข้งขาอ่อนระทวย ขาสั่นพั่บๆ แทบยืนไม่อยู่แล้ว

ยังคงมีความหวาดกลัวปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชาวเมืองหยุนเมิ่งจำนวนมาก

จะอย่างไรพวกเขาก็เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาเท่านั้น

หรือต่อให้เป็นยอดฝีมือประจำเมือง ยามเผชิญหน้ากับกองทัพของศัตรูที่มีจำนวนมากมายมหาศาล ก็ยังต้องสีหน้าเปลี่ยนแปลงไปแล้วเช่นกัน

 โอกาสสุดท้าย… 

นักบวชหรงพูดด้วยน้ำเสียงที่เหมือนนายพรานพยายามเกลี้ยกล่อมสัตว์นักล่าให้เข้าไปอยู่ในกรงขัง  จะยอมมอบตัวหรือว่าจะยอมตาย 

เกิดความเงียบบนภูเขาเสี่ยวซี

 มอบตัวกับผีน่ะสิ 

หลินเป่ยเฉินยิ้มกว้าง

เด็กหนุ่มหันหน้ากลับมากวาดสายตามองผู้คนรอบตัว ซึ่งผู้คนเหล่านั้นกำลังจ้องมองมาทางเขาด้วยความเชื่อมั่นและศรัทธา  เอาล่ะ สุภาพบุรุษและสตรีทุกท่าน ไม่ว่าจะเป็นผู้เยาว์หรือผู้เฒ่า อย่างไรเสียพวกเราถือกำเนิดเกิดมาก็มีเพียงชีวิตเดียว เอาให้รู้กันไปเลยว่าเมื่อเราร่วมแรงร่วมใจกันแล้ว จะไม่สามารถสู้กับหญิงชราเพียงคนเดียวได้เชียวหรือ… 

จากนั้น เด็กหนุ่มก็ชูนิ้วกลางขึ้นไปบนท้องฟ้า

การทำสัญลักษณ์นี้ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรมากมาย

มันย่อมมีความหมายเป็นการดูหมิ่นอยู่แล้ว

ไม่ทราบเลยว่าใครส่งเสียงหัวเราะออกมา

ต่อจากนั้น ชาวเมืองนับหมื่นคนก็ทำตามอย่างหลินเป่ยเฉินด้วยการชูนิ้วกลางขึ้นไปบนท้องฟ้า

นี่คือภาพที่น่าเหลือเชื่อ

เสียงหัวเราะยิ่งดังกึกก้องมากขึ้น

ความหวาดกลัวที่เคยยึดครองจิตใจทุกคนก่อนหน้านี้สลายหายไปสิ้น

ใช่แล้ว

เสียงหัวเราะคือสิ่งที่สามารถนำมาซึ่งความกล้าหาญและความหวังได้เสมอ

 ช่างโง่เขลากันเหลือเกิน 

นักบวชหรงผู้ยืนอยู่บนหัวมังกรเขียวยิ้มเหยียดหยามด้วยความขุ่นเคืองใจ

ในชีวิตอันยาวนานของนาง หญิงชราไม่เคยพบเจอเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน

ไม่เคยมีผู้คนจำนวนนับหมื่นชูนิ้วกลางให้กับนางด้วยความสามัคคีถึงขนาดนี้

แม้ไม่เข้าใจอะไรมากนัก

แต่นักบวชหรงรู้สึกว่าตนเองกำลังถูกลบหลู่อย่างร้ายกาจ

 พวกเจ้าจะต้องชดใช้ให้กับการกระทำที่แสนโง่เขลาของตัวเอง  นางยกมือขึ้นสูงและค่อยๆ ลดระดับมือลงอย่างเชื่องช้า

แล้วมวลพลังลมปราณสีฟ้าครามที่วนเวียนอยู่รอบร่างกายขนาดเล็กจ้อยของนางก็เปลี่ยนสภาพกลายเป็นพายุน้ำแข็ง

ในเวลาเดียวกันนั้น ลำแสงสีฟ้าค่อยๆ พุ่งออกมาจากรูจมูกของมังกรเขียว

มังกรยักษ์อ้าปากออกอย่างแช่มช้า

ทุกคนมองเห็นอย่างชัดเจนว่าส่วนลึกในลำคอของมันมีแสงสว่างเจิดจ้า

มังกรเขียวตัวนี้มีอายุห้าพันปี เคยเผชิญหน้าศัตรูผู้แข็งแกร่งมาแล้วทุกรูปแบบ ไม่เคยมีใครสามารถหลบหนีการโจมตีด้วยเปลวไฟน้ำแข็งของมันสำเร็จมาก่อน และสิ่งที่มันชื่นชอบที่สุดก็คือการได้จ้องมองทุกสิ่งทุกอย่างบนพื้นดินกลายเป็นน้ำแข็งไปในพริบตาเดียว

มันชอบที่จะได้ส่งมอบความตายอย่างงดงามราวกับศิลปะชั้นสูง

เพราะมันรู้สึกว่าตนเองไม่ต่างจากเทพเจ้า

และสักวันหนึ่ง หญิงชราหลังค่อมที่กำลังเหยียบอยู่บนหัวของมันผู้นี้ ก็จะต้องชดใช้ที่กดขี่ข่มเหงมันตลอดเวลาเช่นกัน

แต่บัดนี้ มังกรเขียวทำได้เพียงแต่รอคอยโอกาสและเสแสร้งปฏิบัติตามคำสั่งของนางอย่างเชื่อฟัง

ทว่า นักบวชหรงยังไม่ทันได้ปลดปล่อยพลังของตนเองเสร็จสิ้น

บนภูเขาเสี่ยวซีที่อยู่ด้านล่าง รัศมีสีขาวได้ระเบิดออกมาจากร่างกายของหลินเป่ยเฉิน

ก่อนที่เด็กหนุ่มจะลอยตัวขึ้นไปบนท้องฟ้า

ด้านหลังของเขามีปีกกระบี่คู่หนึ่งงอกออกมา

พลังศักดิ์สิทธิ์แผ่ออกมาจากร่างกาย

และนั่นก็ทำให้การขยายอาณาเขตพลังสีฟ้าครามของนักบวชหรงต้องหยุดชะงักลง

 เจ้ายังสามารถใช้พลังของเทพีกระบี่ได้อีกหรือ? 

นักบวชหรงตกตะลึง

 เป็นไปไม่ได้ 

นางได้ดูบันทึกภาพการต่อสู้ระหว่างหลินเป่ยเฉินกับแม่ทัพฉลามอู๋หยาแล้ว และทราบดีว่าหากหลินเป่ยเฉินสามารถใช้งานพลังศักดิ์สิทธิ์จากเทพีกระบี่ได้เมื่อไหร่ ความน่ากลัวที่แท้จริงของเขาก็จะเปิดเผยออกมาเมื่อนั้น ดังเช่นตอนที่เด็กหนุ่มนำกระบี่จันทราพิฆาตออกมาใช้งานนั่นเอง

แต่บัดนี้ กระบี่จันทราพิฆาตถูกทำลายลงไปแล้ว

แล้วหลินเป่ยเฉินยังสามารถใช้พลังศักดิ์สิทธิ์อีกได้อย่างไร?

 หรือว่าในตัวเจ้ามีเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์? 

นักบวชหรงขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

หลินเป่ยเฉินคลี่ยิ้มอย่างผู้ชนะ ยืนเท้าเอวอยู่กลางอากาศ ตอบกลับไปว่า  ฮ่าฮ่าฮ่า รู้แล้วใช่ไหมล่ะว่าข้ามีความน่ากลัวขนาดไหน ถ้าอย่างนั้นก็จงสั่งให้ทหารของพวกเจ้าถอนกำลังกลับไปซะ และก็ปล่อยให้พวกเราอพยพผู้คนออกไปนอกเมืองแต่โดยดี อย่าบังคับให้ข้าต้องลงมือเลย 

บนพื้นดิน ฉู่เหิน หลิวฉีไห่ พานเว่ยหมิน และคนอื่นๆ เมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ก็ต้องขมวดคิ้วหน้าย่น

อาการกำเริบอีกแล้วสิ

หลินเป่ยเฉินมักจะมีอาการทางสมองกำเริบตอนหน้าสิ่วหน้าขวานทุกทีเลยสิน่า

แต่ในเวลาเดียวกันนั้น

คำพูดของหลินเป่ยเฉินกลับทำให้ผู้คนนับหมื่นบนภูเขาเสี่ยวซีมีขวัญกำลังใจแกร่งกล้า และมีความหวังที่จะรอดชีวิตเพิ่มมากขึ้น

พวกเขาไม่รู้เลยว่าพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ไหลรินออกมาจากร่างกายหลินเป่ยเฉินในขณะนี้ ไม่ได้เป็นพลังจากเทพีกระบี่ แต่มันเป็นพลังจากแรงศรัทธาของทุกๆ คนนั่นเอง

ยิ่งพวกเขามีความศรัทธาในตัวหลินเป่ยเฉินมากเท่าไหร่ หลินเป่ยเฉินก็ยิ่งมีพลังมากขึ้นเท่านั้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สีหน้าที่มั่นใจในตัวเองเป็นนักหนาของหลินเป่ยเฉิน ที่ทำให้ชาวเมืองแน่ใจว่าเด็กหนุ่มผู้นี้จะต้องมีหนทางพาพวกเขาอพยพออกไปจากที่นี่ได้สำเร็จแน่นอน

ด้วยเหตุนี้ ความศรัทธาของทุกคนจึงเพิ่มพูนมากขึ้น

พลังศักดิ์สิทธิ์จากตัวหลินเป่ยเฉินจึงไหลทะลักออกมาไม่หยุดยั้ง

แววตาของนักบวชหรงเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ก่อนที่มุมปากของนางจะปรากฏรอยยิ้มเยาะหยัน

 พลังศักดิ์สิทธิ์เพียงเท่านี้ คิดว่าจะเปลี่ยนแปลงสิ่งใดได้หรือ ถ้าการที่เจ้าสามารถนำชาวเมืองมารวมตัวกันได้ จะทำให้เจ้ามั่นใจว่าจะสามารถอพยพทุกคนออกไปได้สำเร็จ ข้าก็ขอบอกเอาไว้เลยว่าเจ้าไร้เดียงสาเกินไปแล้ว 

ได้ยินดังนั้น หลินเป่ยเฉินก็แค่นหัวเราะในลำคอ

 ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่ ขอแค่ข้าออกคำสั่งเพียงคำเดียว เจ้าก็ต้องคุกเข่าให้กับข้าแล้ว อยากลองดูไหมล่ะ? 

เขาพูดเสียงเรียบ

 ต่อให้เจ้าใช้พลังของเทพีกระบี่ แต่สิ่งที่เจ้าพูดก็ไม่มีทางเป็นไปได้เด็ดขาด 

นักบวชหรงจ้องมองหลินเป่ยเฉินที่ยังคงลอยอยู่ในอากาศด้วยปีกกระบี่บนแผ่นหลัง ต่อจากนั้น หญิงชราก็แสยะยิ้ม  ในสายตาของพวกเราชาวทะเล เจ้าเป็นเพียงเศษขยะข้างถนนเท่านั้น หาได้มีค่าให้พวกเราเชื่อฟังไม่ 

หลินเป่ยเฉินระเบิดเสียงหัวเราะออกมาแล้ว

เป็นเสียงหัวเราะอย่างมีความสุข

เป็นเสียงหัวเราะด้วยความภาคภูมิใจ

เป็นเสียงหัวเราะที่ฟังดูชั่วร้ายอย่างยิ่ง

 จริงหรือ? 

ทันใดนั้น เด็กหนุ่มก็ชูมือขึ้นมาเปิดเผยให้เห็นถึงวัตถุบางอย่างที่อยู่ในมือของเขา

มันเป็นเครื่องรางดาวทะเลสีเหลือง

เครื่องรางส่องประกายระยิบระยับ

เมื่อสายลมโชยพัด เสียงของหลินเป่ยเฉินก็กังวานไปทั่วแผ่นฟ้า

 เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่าเมื่อสักครู่นี้พูดคำใดออกมา? 

หลินเป่ยเฉินถามกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

บัดนี้ สีหน้าที่มีแต่ความเย็นชาของนักบวชหรงได้แข็งค้างไปแล้ว

ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ

แม้แต่เสาอากาศที่อยู่บนหน้าผากทั้งสองข้างของหญิงชราหลังค่อมก็ยังหยุดการเคลื่อนไหว

 เป็นไปไม่ได้… 

นักบวชหรงอุทานออกมาในที่สุด

หลินเป่ยเฉินยิ้มมุมปากและออกคำสั่ง  คุกเข่าซะ 

 เจ้าไปเอามาจากไหน… 

นักบวชหรงยังคงไม่อยากเชื่อสายตาของตัวเอง

 ข้าบอก… 

หลินเป่ยเฉินพูดเน้นย้ำทีละคำ  ให้… คุก… เข่า… ลง! 

ดาวทะเลในมือของเขาเพิ่มแสงสว่างมากขึ้น

มวลพลังที่แปลกประหลาดได้แผ่กระจายไปรอบบริเวณ

ระหว่างพื้นดินและผืนฟ้าเต็มไปด้วยคลื่นพลังที่แผ่ออกมาจากเครื่องรางดาวทะเล

นักบวชหรงต้องคุกเข่าลงไปโดยทันที

ห่างออกไปประมาณหนึ่งลี้

สูงขึ้นไปบนท้องฟ้า

องค์หญิงเค่อเอ๋อร์ที่ยืนอยู่บนก้อนเมฆเคียงข้างเจ้าชายอวี้ชินหวังผู้เป็นบิดา ก็อดอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจไม่ได้ว่า  ของสิ่งนั้นคืออะไรกันนะ? 

ถ้าอ่าน  เซียนกระบี่มาแล้ว  ถึงบทนี้แล้วยังไม่จุใจ งั้นไปอ่านกันต่อได้ที่เว็บ Enjoybook.co เพราะที่นั่นลงนำไปแล้วกว่า 30 ตอน !! #อ่านก่อนใครได้ที่เว็บเอนจอย

 

เดิมทีนั้น องค์หญิงเค่อเอ๋อร์มั่นใจว่าเมื่อตนเองนำผ้าเช็ดหน้าปักลายมอบให้แก่หลินเป่ยเฉิน เด็กหนุ่มผู้นี้จะต้องเกิดความสับสนและทำทุกวิถีทางเพื่อเข้าหานางให้ได้

แต่คิดไม่ถึงเลยว่าหลินเป่ยเฉินกลับไม่สนใจผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นสักนิด

เหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

นั่นทำให้องค์หญิงเค่อเอ๋อร์เกิดความหงุดหงิดใจมากกว่าเก่า เพราะนี่เป็นการบอกให้รู้ว่าหลินเป่ยเฉินไม่ได้เห็นนางอยู่ในสายตา

แต่ภายหลัง เมื่อเด็กสาวได้มีเวลาคิดไตร่ตรองอย่างจริงจัง องค์หญิงเค่อเอ๋อร์ถึงได้รู้ว่าทั้งหมดในหัวใจของหลินเป่ยเฉินขณะนี้ เขาทุ่มเทความสนใจให้แก่ชาวเมืองหยุนเมิ่งหมดสิ้น ไม่มีเวลามาสนใจเรื่องส่วนตัวอีกแล้ว

นี่คือสิ่งที่เด็กหนุ่มต้องเลือกระหว่างเรื่องส่วนรวมกับเรื่องส่วนตัว

ดังนั้น หลินเป่ยเฉินผู้ถูกเรียกว่าเป็นความหวังของเมืองหยุนเมิ่ง จึงไม่สามารถละทิ้งชาวเมืองได้เด็ดขาด

ผลก็คือ องค์หญิงเค่อเอ๋อร์ยิ่งเกิดความรู้สึกอยากครอบครองหลินเป่ยเฉินมากขึ้นและมากขึ้น

ในความคิดของเด็กสาว มีแต่เอาชนะใจหลินเป่ยเฉินให้ได้ และทำทุกวิถีทางเพื่อให้เขายอมศิโรราบอยู่ใต้ชายกระโปรงของนางเท่านั้น ถึงจะเป็นการพิสูจน์ว่าองค์หญิงเค่อเอ๋อร์ผู้นี้ คือบุคคลทรงเสน่ห์ที่แท้จริง

นับเป็นภารกิจที่ยากพอสมควร

แต่ยิ่งมีความยากลำบากมากเท่าไหร่ องค์หญิงเค่อเอ๋อร์ก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้นมากเท่านั้น

วันนี้ นางตั้งใจมารับชมการสังหารหมู่ชาวเมืองหยุนเมิ่ง

แต่ในเวลาเดียวกันนั้น เด็กสาวก็ตั้งใจเอาไว้ว่าหากหลินเป่ยเฉินตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายถึงชีวิต ตนเองก็จะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ

นี่คือแผนการขั้นตอนแรกในการเอาชนะใจเขาให้ได้

องค์หญิงเค่อเอ๋อร์มั่นใจมากว่าตนเองจะสามารถพิชิตใจหลินเป่ยเฉินได้ในท้ายที่สุด

ดังนั้น เด็กสาวจึงคิดไม่ถึงเลยว่าเพียงขั้นตอนแรก แผนการของนางก็ล้มเหลวเสียแล้ว

องค์หญิงเค่อเอ๋อร์ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าหลินเป่ยเฉินจะมีเครื่องรางรูปดาวทะเลสีเหลืองนั้นอยู่ในการครอบครอง และเห็นได้ชัดว่ามันต้องเป็นเครื่องรางที่มีสถานะสูงส่งมากพอ มิฉะนั้นแล้ว นักบวชหรงผู้ยิ่งใหญ่ของชาวทะเลและเป็นผู้ที่บงการแผนการตลอดระยะเวลาหลายวันที่ผ่านมา คงไม่คุกเข่าลงไปเช่นนั้น

นั่นคือสิ่งที่ยืนยันว่าเครื่องรางดาวทะเลไม่ใช่ของธรรมดา

แม้แต่นักบวชระดับสูงจากมหาวิหารสมุทร ก็ยังต้องคุกเข่าแสดงความเคารพต่อหน้าหลินเป่ยเฉิน

แม้จะไม่เต็มใจเลยก็ตาม

ทันใดนั้น องค์หญิงเค่อเอ๋อร์ก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้

 หรือว่านั่นจะเป็นเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์จากเทพเจ้าแห่งท้องทะเล 

บรรดาองครักษ์ที่ยืนอยู่บนก้อนเมฆทางด้านหลังส่งเสียงถามออกมาด้วยความตกตะลึง  เหตุไฉนมนุษย์ธรรมดาถึงมีเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์นั้นอยู่ในการครอบครองได้ล่ะขอรับ? 

ดวงตาขององค์หญิงเค่อเอ๋อร์เป็นประกายระยิบระยับ

 เขาต้องได้มาจากอาจารย์ของตนเองแน่ๆ… 

เด็กสาวพูดออกมาได้เพียงเท่านั้น

บัดนี้ อาจารย์ของหลินเป่ยเฉินมีสถานะเป็นเจ้าเมืองคนใหม่แห่งเมืองหยุนเมิ่ง

ว่ากันว่าองค์หญิงแห่งท้องทะเลเป็นคนรักของเขา

เพื่อติงซานฉือ องค์หญิงแห่งท้องทะเลไม่ลังเลที่จะมีเรื่องขัดใจกับบิดาของตนเอง รวมไปถึงมีเรื่องขัดแย้งกับมหาวิหารสมุทรและชาวทะเลจำนวนมาก นางถึงกับยอมรับโทษทัณฑ์ถูกจองจำ 15 ปีเพื่อติงซานฉือ และยังคลอดลูกสาวของเขาออกมาอีกด้วย…

ดังนั้น ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ที่องค์หญิงแห่งท้องทะเลจะขโมยเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ออกมาจากวิหารใต้สมุทรและมอบมันให้แก่หลินเป่ยเฉิน

แต่ติงซานฉือต้องเป็นบุคคลที่ทรงเสน่ห์ขนาดไหนกันนะ องค์หญิงแห่งท้องทะเลผู้สูงส่งทั้งทางด้านสถานะและระดับพลัง ถึงยินดีทำเพื่อเขาขนาดนี้?

องค์หญิงเค่อเอ๋อร์ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย

 เป็นไปได้อย่างไรกัน? 

อีกด้านหนึ่งนั้น

ภายใต้การปกคลุมของกลุ่มก้อนเมฆขาว องค์หญิงแห่งท้องทะเลมีสีหน้าแตกตื่นตกใจยิ่งกว่าพวกขององค์หญิงเค่อเอ๋อร์เสียอีก

ติงซานฉือผู้ที่ยืนอยู่ข้างกายนางกระซิบถามออกมาว่า  ของที่อยู่ในมือเจ้าเด็กน้อยผู้นั้นคือสิ่งใด? 

องค์หญิงแห่งท้องทะเลตอบว่า  นั่นคือเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ระดับสูงของเทพเจ้าแห่งท้องทะเล 

 เครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ระดับสูง? 

 ถูกแล้ว ในวิหารใต้สมุทร นี่คือเครื่องรางที่มีความพิเศษมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์ไหน ถ้ามีเครื่องรางดาวนำโชคอยู่ในมือ ก็สามารถออกคำสั่งให้เผ่าพันธุ์ชาวทะเลทำทุกอย่างได้ตามที่ต้องการ ถึงแม้คนผู้นั้นจะเป็นนักบวชระดับสูงหรือเชื้อพระวงศ์ก็ตาม 

 มีของเช่นนี้ด้วยหรือ? แล้วเจ้าไปแอบหยิบยื่นให้เด็กนั่นตั้งแต่เมื่อไหร่? 

 ไม่นะ ข้าไม่ได้มอบให้กับเขา… 

 หืม แต่นั่นคงหมายความว่าเจ้าเด็กแสบคงกลับมามีทางรอดแล้วสินะ? 

 คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของพวกเราระบุเอาไว้ว่า ผู้ใดก็ตามที่ถือครองเครื่องรางดาวนำโชคจะสามารถสั่งงานได้ทุกอย่าง หากคำสั่งเหล่านั้นไม่ก่อให้เกิดการเสียผลประโยชน์ต่อเผ่าพันธุ์ชาวทะเล ดังนั้น หากลูกศิษย์ของท่านคิดจะสั่งให้กองทัพชาวทะเลถอนกำลังกลับไป นั่นก็ใช่ว่าจะเป็นไปได้ 

 ถ้าเครื่องรางชิ้นนี้มาอยู่ในมือเจ้า เจ้าจะทำอย่างไร? 

 หากเครื่องรางชิ้นนี้มาอยู่ในมือข้า ข้าก็จะออกคำสั่งให้ชาวทะเลถอนกำลังกลับ แต่ทว่า… ท่านย่อมรู้ดี ข้าไม่สามารถทำเช่นนั้นได้อีก เพื่อท่านและลูกของท่าน ข้าต้องทำผิดต่อชาวทะเลมามากพอแล้ว 

 ถ้าอย่างนั้นก็ถือว่าลูกศิษย์ของข้าฉลาดมาก ที่ไม่มอบเครื่องรางชิ้นนั้นให้แก่เจ้า 

 ท่านคงสงสัยแล้วกระมังว่าลูกศิษย์ของตนเอง ไปเอาเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ของเทพเจ้าแห่งท้องทะเลมาจากไหน? 

 บอกตามตรง ข้าไม่เคยสงสัยในตัวหลินเป่ยเฉินอีกแล้ว… เพราะข้ารู้ดีว่าระดับความเข้าใจของตนเองยังต่ำต้อยมากเกินไป และหลินเป่ยเฉินก็สามารถทำให้อาจารย์คนนี้ประหลาดใจได้เสมอ 

 แค่คุกเข่าธรรมดามันไม่พอหรอกนะ 

หลินเป่ยเฉินกระพือปีกกระบี่บนแผ่นหลัง มวลอากาศเกิดความปั่นป่วน ในมือซ้ายของเขาชูเครื่องรางดาวนำโชคขึ้นสูงและพูดด้วยใบหน้าที่ยิ้มร่า  นักบวชหรง นี่คือเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ระดับสูงของเทพเจ้าที่พวกเจ้าเคารพรักไม่ใช่หรือ หากจะคุกเข่าลงไปทั้งที เอาให้มันดูนอบน้อมมากกว่านี้หน่อยได้ไหม? 

นักบวชหรงเกือบจะสบถคำหยาบออกมาแล้ว

สำหรับบรรดานักบวชแห่งอาณาจักรใต้ทะเล เมื่อพบเห็นเครื่องรางดาวนำโชคชิ้นนี้ ก็ไม่ต่างจากพบเจอท่านนักบวชเทวะ

นางต้องคุกเข่าทำความเคารพด้วยความนอบน้อม

ไม่มีโอกาสหลีกหนีหรือหลบเลี่ยง

หลินเป่ยเฉินบินเข้ามาใกล้ๆ อย่างแช่มช้าและใช้เท้าของเขาเหยียบลงไปบนศีรษะของหญิงชราหลังค่อม

นักบวชหรงประสานมือทั้งสองข้างออกมาข้างหน้า

ความโกรธแค้นและความอับอายทำให้ร่างกายหญิงชราสั่นเทา นิ้วมือของนางที่กำรวบเข้าหากันเกิดเสียงดังกร๊อบแกร๊บออกมาอย่างรุนแรง

เลือดสายหนึ่งไหลทะลักออกมาจากมุมปาก

นักบวชหรงกำลังกัดริมฝีปากตนเองด้วยความโกรธแค้น

หลินเป่ยเฉินเพิ่มแรงกดลงไปที่เท้าของตนเอง ศีรษะของนักบวชหรงจึงก้มต่ำลงไปใต้แขนทั้งสองข้างของนางมากขึ้นเรื่อยๆ

หลังจากนั้น เด็กหนุ่มก็หันมากวาดตามองกองทัพชาวทะเลที่อยู่ด้านล่าง

กองทัพกำแพงเหล็กของชาวทะเลปลดปล่อยรังสีอำมหิตออกมาด้วยความโกรธแค้น แต่บัดนี้ ก็จนใจที่พวกมันทำอะไรไม่ได้ นักรบชาวทะเลทุกตัวยืนนิ่งเฉยไม่ต่างจากรูปปั้นดินเหนียวอยู่ที่เชิงเขาต่อไป พวกมันไม่เคยพบเจอสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน จึงทำอะไรไม่ถูกอีกแล้ว

ในฐานะสาวกผู้ศรัทธาเทพเจ้าแห่งท้องทะเล พวกมันย่อมรู้ดีว่าของในมือหลินเป่ยเฉินคือสิ่งใด

เป็นเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ระดับสูง

เป็นเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ที่พวกมันยินดีเสียสละเลือดเนื้อและชีวิต เพื่อปกป้องสุดความสามารถ

ตั้งแต่ตอนที่เห็นเครื่องรางดาวทะเลปรากฏอยู่ในมือของหลินเป่ยเฉิน นักรบชาวทะเลเหล่านี้ ก็รู้สึกหัวสมองว่างเปล่าไปทันที

หลังจากนั้น นายทหารที่อยู่แถวหน้าสุด ก็คุกเข่าลงไปบนพื้นดิน

ตามมาด้วยนายทหารที่อยู่แถวหลังต่อๆ กันไป

พรึ่บพรั่บ!

เสียงคุกเข่า เสียงชุดเกราะกระทบกัน และเสียงโขกศีรษะกระทบพื้นดินคือสิ่งที่ดังขึ้นไล่เลี่ยกัน

การกระทำเหล่านี้เกิดเป็นระลอกคลื่นอย่างต่อเนื่อง

กองทัพชาวทะเลคุกเข่าลงไปหมดแล้ว

แม้แต่แม่ทัพใหญ่ของชาวทะเลสายพันธุ์ต่างๆ ไม่ว่าจะมาจากเผ่าพันธุ์ฉลามวาฬ เผ่าพันธุ์ฉลามเสือ หน่วยไล่ล่าของนักรบแมวน้ำ ลูกน้องเก่าของแม่ทัพฉลามอู๋หยาผู้เกลียดชังหลินเป่ยเฉินจับใจ ไปจนถึงนายทหารกุ้งทะเลซึ่งเป็นทหารระดับต่ำต้อย…

ทุกสายพันธุ์ ทุกหน่วยรบ

ต่างก็ต้องคุกเข่าลงไปกับพื้นดิน

โดยไม่จำเป็นให้หลินเป่ยเฉินออกคำสั่งแม้แต่คำเดียว

สีหน้าของพวกมันเต็มไปด้วยความศรัทธา สายตาที่มองเครื่องรางดาวทะเลในมือหลินเป่ยเฉิน เป็นสายตาแห่งความเคารพเทิดทูน ไม่ต่างจากได้พบเห็นเทพเจ้าแห่งท้องทะเลตัวจริง

พวกมันคุกเข่าลงไปบนพื้นดิน

โขกศีรษะลงไปบนพื้นดิน

เสียงชุดเกราะกระทบกันดังโกร่งกร่าง

กองทัพชาวทะเลหลายพันตัว ไม่ว่าจะเป็นแม่ทัพผู้นำหรือนายทหารผู้ติดตาม ต่างก็คุกเข่าลงไปและโขกศีรษะคำนับหลินเป่ยเฉินด้วยความเคารพนอบน้อม

ชาวเมืองหยุนเมิ่งที่ยืนอยู่บนภูเขาจ้องมองเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ด้วยความตกตะลึง

พวกเขาไม่เข้าใจเลยว่าเกิดอะไรขึ้น!

ถ้าอ่าน  เซียนกระบี่มาแล้ว  ถึงบทนี้แล้วยังไม่จุใจ งั้นไปอ่านกันต่อได้ที่เว็บ Enjoybook.co เพราะที่นั่นลงนำไปแล้วกว่า 30 ตอน !! #อ่านก่อนใครได้ที่เว็บเอนจอย

 

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

Status: Ongoing

หืมมม วิชานี้น่าสนใจดี แชะ ! ติ๊งง คุณได้รับแอพพลิเคชั่นวิชากระบี่ทะลวงจันทร์ ต้องการติดตั้งหรือไม่ ! ด้วยสมาร์ทโฟนในมือของเจ้าแกะดำหลิวเป่ยเฉิน ทำให้เขาสามารถผงาดบนโลกจอมยุทธ์นี้ได้อย่างง่ายดาย…. แต่ข้าไม่เอาหรอก ใครมันจะอยากอยู่โลกแบบนี้กัน YouTube ก็ไม่มี Facebook ก็เข้าไม่ได้ ข้าขอกลับโลกเดิมไปนั่งเล่นเกมในห้องแอร์เย็น ๆ ดีกว่าโว้ยยย !!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท