สีหน้าของนักบวชหรงแข็งค้างไปทันที
กุยเหนียนเองก็อ้าปากค้างด้วยความตกตะลึงเช่นกัน
ไม่น่าเลยจริงๆ
มนุษย์เต่าทะเลแทบไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ามันหลุดปากบอกข้อมูลสำคัญนั้นให้หลินเป่ยเฉินรับทราบ
กุยเหนียนย่อมคิดไม่ถึงว่าเครื่องรางดาวนำโชคและเครื่องรางน้ำตาเทพเจ้าจะถูกนำมาใช้ต่อรองกันเช่นนี้
เพราะไม่เคยมีใครทำสิ่งนี้มาก่อน
มัวยืนเฉยอยู่ทำไมอีก?
หลินเป่ยเฉินยกเครื่องรางดาวนำโชคในมือให้นักบวชหรงเห็นอย่างถนัดตาและพูดด้วยน้ำเสียงรำคาญใจ หรือว่าเจ้าคิดที่จะปฏิเสธอำนาจเครื่องรางเทพเจ้า?
นักบวชหรงปวดหัวอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน…
นางเริ่มเกิดความรู้สึกหวาดกลัวหลินเป่ยเฉินขึ้นมาโดยแท้จริง
ไม่มีใครสามารถคาดเดาความคิดของเด็กคนนี้ได้ทั้งนั้น
ข้าจะนับถึงสาม
หลินเป่ยเฉินพูดด้วยน้ำเสียงคุกคาม ถ้านับถึงสามแล้วเจ้ายังไม่ยอมส่งน้ำตาเทพเจ้าออกมา เท่ากับคิดปฏิเสธอำนาจของเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ นั่นหมายความว่านักบวชหรงผู้ยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรใต้ทะเล ได้เสื่อมศรัทธาในตัวของเทพเจ้าแห่งท้องทะเลแล้วใช่หรือไม่?
บนพื้นดินด้านล่างในขณะนี้
กองทัพชาวทะเลพากันเงยหน้ามองขึ้นมาที่นักบวชหรง
นักบวชหรงย่อมเข้าใจว่าสายตาเหล่านั้นหมายถึงอะไร
การปฏิเสธอำนาจเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ เท่ากับคิดก่อกบฏต่อเทพเจ้าแห่งท้องทะเล
หากข่าวนี้แพร่กระจายออกไป อย่าว่าแต่ตำแหน่งนักบวชของนางจะถูกปลด แม้แต่ชีวิตก็คงไม่มีทางเหลือรอด
หญิงชราหลังค่อมหันกลับมามองเต่าทะเลกุยเหนียน
สายตาของนางเต็มไปด้วยความดุดันราวกับต้องการจะถลกเนื้อเถือหนังที่ปรึกษาเต่าทะเลทั้งเป็น
กุยเหนียนได้แต่อ้าปากพะงาบๆ เหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่มีคำใดหลุดรอดออกมา
ย่อมได้ ไม่มีปัญหา
นักบวชหรงนำเครื่องรางน้ำตาเทพเจ้าสีฟ้าครามออกมา และใช้พลังลมปราณควบคุมมันให้ลอยออกไปข้างหน้าอย่างช้าๆ
หลินเป่ยเฉินมองเครื่องรางรูปทรงหยดน้ำตาด้วยแววตาเป็นประกายระยิบระยับ
น้ำตาเทพเจ้ามีรูปลักษณ์เป็นอัญมณีที่ไม่มีใครเหมือน
แต่เพื่อป้องกันให้แน่ใจว่าเครื่องรางที่เขาได้รับมานี้ไม่ใช่ของปลอม หลินเป่ยเฉินจึงเตรียมแผนสำรองเอาไว้ก่อนแล้ว
เด็กหนุ่มพูดเน้นย้ำทีละคำ สิ่งที่ข้าต้องการคือเครื่องรางน้ำตาเทพเจ้า ซึ่งมีอำนาจสามารถสั่งการกองทัพชาวทะเลได้ทุกสิ่งทุกอย่าง หวังว่าเจ้าคงไม่คิดนำของปลอมแปลงมาให้ข้า เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว นักบวชหรงคงรู้ดีว่าการแอบอ้างเทพเจ้านั้น มีโทษทัณฑ์หนักหนาสาหัสเช่นไร
เจ้ามนุษย์ผู้ยโสโอหัง
นักบวชหรงระเบิดเสียงคำรามออกมาอีกครั้ง ข้าเป็นถึงผู้มีตำแหน่งสูงส่งในมหาวิหารสมุทร จะลดตัวลงไปทำเรื่องต่ำช้าเช่นนั้นได้อย่างไร
ถ้าเช่นนั้นก็ดีแล้ว
หลินเป่ยเฉินยื่นมือออกไปหาอัญมณีสีฟ้าครามรูปทรงหยดน้ำตา
แล้วเครื่องรางชิ้นนั้นก็หล่นลงมาอยู่บนฝ่ามือของเขา
น้ำตาเทพเจ้ามีขนาดเท่ากับกำปั้นมือเด็กทารก แต่กลับมีน้ำหนักมากกว่าที่คิด
หลินเป่ยเฉินจึงมั่นใจว่ามันเป็นของจริง
เครื่องรางศักดิ์สิทธิ์รูปทรงหยดน้ำตาสะท้อนประกายกับแสงตะวันวิบวาว
ทันใดนั้น เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงหญิงสาวร้องไห้ดังออกมาจากเครื่องรางชิ้นนี้ และถ้าลองตั้งใจฟังให้ดี เสียงร้องไห้นั้นก็ดังมาพร้อมกับเสียงคลื่นทะเลซัดสาดใกล้ๆ อีกด้วย
ด้านในเครื่องรางมีพลังแปลกประหลาดหมุนเวียน
หลินเป่ยเฉินถึงกับเบิกตาโตด้วยความไม่อยากเชื่อ
เอาล่ะ คำสั่งแรกที่ข้าจะมอบต่อพวกเจ้าก็คือ…
หลินเป่ยเฉินหันหน้ากลับมามองนักบวชหรงและคนอื่นๆ
นักบวชหรงพูดสวนกลับมาด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ เจ้าเป็นมนุษย์ ต่อให้มีน้ำตาเทพเจ้าอยู่ในมือ ก็ไม่สามารถออกคำสั่งได้ตามอำเภอใจ ยิ่งคิดจะมาออกคำบัญชาพวกเรา นับว่าเป็นเรื่องเพ้อฝันเกินไป…
ว่าไงนะ?
หลินเป่ยเฉินยิ้มกริ่มและถามว่า ไม่ทราบนักบวชหรงมีความคิดเห็นเช่นนั้นจริงๆ หรือ?
หญิงชราหลังค่อมแค่นหัวเราะในลำคอ นับว่าเจ้าเป็นเด็กที่ฉลาดในเรื่องโง่เง่าสมคำเล่าลือ โอกาสหนีรอดของพวกเจ้าได้หลุดลอยออกไปแล้ว แทนที่เจ้าจะใช้สิทธิ์ที่ได้รับจากเครื่องรางดาวนำโชค ออกคำสั่งอพยพทุกคนไปจากเมืองหยุนเมิ่งอย่างปลอดภัย แต่เจ้ากลับเอามันมาใช้เรียกร้องขอครอบครองน้ำตาเทพเจ้าเสียอย่างนั้น ฮ่าฮ่าฮ่า
สองประโยคหลังสุด น้ำเสียงของนักบวชหรงเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม
หลินเป่ยเฉินไม่ได้พูดอะไรออกมา
เจ้าบอกว่าที่ปรึกษากุยเหนียนเป็นผู้ให้ข้อมูลใช่หรือไม่ หญิงชราหัวเราะในลำคอต่อไป ทว่ามันก็เป็นเพียงลูกเต่าโสโครกตัวหนึ่ง จะไปรู้ข้อมูลระดับสูงได้อย่างไร
กุยเหนียนที่ยืนอยู่ด้านข้างเลิกคิ้วขึ้นสูงและหันขวับไปมองหน้านักบวชหรงทันที…
แต่ดูเหมือนหลินเป่ยเฉินจะคาดเดาเหตุการณ์นี้ได้นานแล้ว จึงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แน่ใจหรือ? เพราะในวันนั้นที่ปรึกษากุยเหนียนได้บอกข้าว่า หากเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์เช่นน้ำตาเทพเจ้าเกิดการสูญหายหรือถูกทำลายขึ้นมา ภูเขาไฟปีศาจใต้ทะเลลึก ก็จะระเบิดต่อเนื่องเป็นเวลาถึง 3,650 วันเชียวนะ ไม่ทราบว่านั่นคือความจริงหรือไม่?
นักบวชหรงคลี่ยิ้มเย็นชา มันจะเป็นจริงได้อย่างไร? น้ำตาเทพเจ้าอยู่ในมือเจ้า จึงเท่ากับว่าไม่ใช่การสูญหาย ไม่ว่าอย่างไรเดี๋ยวข้าก็ต้องหาทางเอากลับคืนมาได้อยู่ดี ส่วนเรื่องการทำลายนั้น เจ้าจะลองดูก็ได้ ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่ามนุษย์ผู้ต่ำต้อยอย่างเจ้าจะมีปัญญาทำลายเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไร
ก็ไม่รู้เหมือนกันสินะว่ากระบี่ในมือข้าจะสามารถทำลายเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ได้หรือไม่?
หลินเป่ยเฉินดาวน์โหลดกระบี่สายฟ้ามาถือในมือ
สีหน้าของนักบวชหรงพลันเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด
เหอเหอเหอ กระบี่สายฟ้านับเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์แห่งจักรวรรดิเป่ยไห่ ว่ากันว่านี่เป็นอาวุธที่เทพีกระบี่ประทานมาด้วยตนเอง จึงสามารถตัดและทำลายสิ่งของได้ทุกอย่างบนโลกใบนี้
หลินเป่ยเฉินมือหนึ่งถือกระบี่สายฟ้าอีก มือหนึ่งถือเครื่องรางน้ำตาเทพเจ้า
เด็กหนุ่มแลบลิ้นเลียริมฝีปาก สีหน้าซุกซน พูดน้ำเสียงตื่นเต้น กระบี่ที่สามารถทำลายได้ทุกอย่างกับเครื่องรางที่ไม่มีสิ่งใดสามารถทำลายได้ อิอิ ไม่รู้นะว่าอย่างไหนจะมีความแข็งแกร่งมากกว่ากัน?
นักบวชหรงตัวสั่นเทาแล้ว
หลินเป่ยเฉินส่งมอบรอยยิ้มอบอุ่นให้แก่หญิงชรา ก่อนพูดว่า นักบวชหรงก็คงอยากรู้คำตอบเหมือนกันแล้วกระมัง? งั้นพวกเราสวมจิตวิญญาณอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เซอร์ไอแซก นิวตัน มาดามคูรี เทพีอาธีน่า เทพเจ้าอะพอลโลและพระบิดาแห่งพันธุ์ข้าวลูกผสมหยวนหลงผิง มาค้นหาความจริงกันดีกว่า…
แล้วหลินเป่ยเฉินก็ทำท่าจะใช้กระบี่ในมือฟันลงไปที่เครื่องรางน้ำตาเทพเจ้าจริงๆ
หยุดก่อน
นักบวชหรงส่งเสียงร้องออกมา นี่เจ้า… เสียสติไปแล้วหรือ?
หามิได้
หลินเป่ยเฉินตอบกลับไปสีหน้าเคร่งเครียดจริงจัง ความจริงนั้น ข้าเป็นเพียงบุคคลสมองเสื่อม ยังไม่ถึงขั้นเสียสติ
นักบวชหรงพูดอะไรไม่ออก
นางยิ่งมีความหวาดกลัวมากกว่าเดิม
เพราะในที่สุด หญิงชราก็สามารถยืนยันข่าวลือก่อนหน้านี้ได้แล้วว่า หลินเป่ยเฉินเป็นบุคคลสมองเสื่อมจริงๆ…
ถ้าอ่าน เซียนกระบี่มาแล้ว ถึงบทนี้แล้วยังไม่จุใจ งั้นไปอ่านกันต่อได้ที่เว็บ Enjoybook.co เพราะที่นั่นลงนำไปแล้วกว่า 30 ตอน !! #อ่านก่อนใครได้ที่เว็บเอนจอย
กลุ่มคนตื่นเต้น
ความโกรธแค้นที่อัดแน่นอยู่ในใจชาวเมืองสุดท้ายก็ระเบิดออกมา
ต่อให้เป็นเด็กทารกก็ยังยกมือสนับสนุนบิดามารดาและตะโกนว่า พวกเราต้องสู้
พวกเจ้า… บาปของพวกเจ้ามันเกินกว่าจะให้อภัย
นักบวชหรงคำรามด้วยเสียงเย็นชาและอำมหิต
เคล้ง! เคล้ง! เคล้ง!
นักรบชาวทะเลที่รวมตัวกันอยู่บริเวณตีนเขาใช้อาวุธเคาะกับเกราะเหล็กของตนเองเสียงดังเกรียวกราว
เสียงเคาะเกราะเหล็กเหล่านั้นฟังดูน่าขนลุก เต็มไปด้วยจิตสังหาร
ตึง! ตึง! ตึง! ตึง!
เสียงย่ำเท้าของพวกมันดังกังวานเป็นจังหวะจะโคน
หลังจากนั้น กองทัพชาวทะเลก็เคลื่อนที่มาข้างหน้าอย่างเชื่องช้าแต่มั่นคง ไม่ต่างจากกำแพงเหล็กมฤตยู
ความตายกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้ชาวเมืองมากขึ้นทุกที
คุณชายหลิน ไม่ทราบว่าพวกเราสมควรทำอย่างไรดี? อู๋เฟิ่งกูรู้สึกแข้งขาอ่อนระทวย ขาสั่นพั่บๆ แทบยืนไม่อยู่แล้ว
ยังคงมีความหวาดกลัวปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชาวเมืองหยุนเมิ่งจำนวนมาก
จะอย่างไรพวกเขาก็เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาเท่านั้น
หรือต่อให้เป็นยอดฝีมือประจำเมือง ยามเผชิญหน้ากับกองทัพของศัตรูที่มีจำนวนมากมายมหาศาล ก็ยังต้องสีหน้าเปลี่ยนแปลงไปแล้วเช่นกัน
โอกาสสุดท้าย…
นักบวชหรงพูดด้วยน้ำเสียงที่เหมือนนายพรานพยายามเกลี้ยกล่อมสัตว์นักล่าให้เข้าไปอยู่ในกรงขัง จะยอมมอบตัวหรือว่าจะยอมตาย
เกิดความเงียบบนภูเขาเสี่ยวซี
มอบตัวกับผีน่ะสิ
หลินเป่ยเฉินยิ้มกว้าง
เด็กหนุ่มหันหน้ากลับมากวาดสายตามองผู้คนรอบตัว ซึ่งผู้คนเหล่านั้นกำลังจ้องมองมาทางเขาด้วยความเชื่อมั่นและศรัทธา เอาล่ะ สุภาพบุรุษและสตรีทุกท่าน ไม่ว่าจะเป็นผู้เยาว์หรือผู้เฒ่า อย่างไรเสียพวกเราถือกำเนิดเกิดมาก็มีเพียงชีวิตเดียว เอาให้รู้กันไปเลยว่าเมื่อเราร่วมแรงร่วมใจกันแล้ว จะไม่สามารถสู้กับหญิงชราเพียงคนเดียวได้เชียวหรือ…
จากนั้น เด็กหนุ่มก็ชูนิ้วกลางขึ้นไปบนท้องฟ้า
การทำสัญลักษณ์นี้ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรมากมาย
มันย่อมมีความหมายเป็นการดูหมิ่นอยู่แล้ว
ไม่ทราบเลยว่าใครส่งเสียงหัวเราะออกมา
ต่อจากนั้น ชาวเมืองนับหมื่นคนก็ทำตามอย่างหลินเป่ยเฉินด้วยการชูนิ้วกลางขึ้นไปบนท้องฟ้า
นี่คือภาพที่น่าเหลือเชื่อ
เสียงหัวเราะยิ่งดังกึกก้องมากขึ้น
ความหวาดกลัวที่เคยยึดครองจิตใจทุกคนก่อนหน้านี้สลายหายไปสิ้น
ใช่แล้ว
เสียงหัวเราะคือสิ่งที่สามารถนำมาซึ่งความกล้าหาญและความหวังได้เสมอ
ช่างโง่เขลากันเหลือเกิน
นักบวชหรงผู้ยืนอยู่บนหัวมังกรเขียวยิ้มเหยียดหยามด้วยความขุ่นเคืองใจ
ในชีวิตอันยาวนานของนาง หญิงชราไม่เคยพบเจอเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน
ไม่เคยมีผู้คนจำนวนนับหมื่นชูนิ้วกลางให้กับนางด้วยความสามัคคีถึงขนาดนี้
แม้ไม่เข้าใจอะไรมากนัก
แต่นักบวชหรงรู้สึกว่าตนเองกำลังถูกลบหลู่อย่างร้ายกาจ
พวกเจ้าจะต้องชดใช้ให้กับการกระทำที่แสนโง่เขลาของตัวเอง นางยกมือขึ้นสูงและค่อยๆ ลดระดับมือลงอย่างเชื่องช้า
แล้วมวลพลังลมปราณสีฟ้าครามที่วนเวียนอยู่รอบร่างกายขนาดเล็กจ้อยของนางก็เปลี่ยนสภาพกลายเป็นพายุน้ำแข็ง
ในเวลาเดียวกันนั้น ลำแสงสีฟ้าค่อยๆ พุ่งออกมาจากรูจมูกของมังกรเขียว
มังกรยักษ์อ้าปากออกอย่างแช่มช้า
ทุกคนมองเห็นอย่างชัดเจนว่าส่วนลึกในลำคอของมันมีแสงสว่างเจิดจ้า
มังกรเขียวตัวนี้มีอายุห้าพันปี เคยเผชิญหน้าศัตรูผู้แข็งแกร่งมาแล้วทุกรูปแบบ ไม่เคยมีใครสามารถหลบหนีการโจมตีด้วยเปลวไฟน้ำแข็งของมันสำเร็จมาก่อน และสิ่งที่มันชื่นชอบที่สุดก็คือการได้จ้องมองทุกสิ่งทุกอย่างบนพื้นดินกลายเป็นน้ำแข็งไปในพริบตาเดียว
มันชอบที่จะได้ส่งมอบความตายอย่างงดงามราวกับศิลปะชั้นสูง
เพราะมันรู้สึกว่าตนเองไม่ต่างจากเทพเจ้า
และสักวันหนึ่ง หญิงชราหลังค่อมที่กำลังเหยียบอยู่บนหัวของมันผู้นี้ ก็จะต้องชดใช้ที่กดขี่ข่มเหงมันตลอดเวลาเช่นกัน
แต่บัดนี้ มังกรเขียวทำได้เพียงแต่รอคอยโอกาสและเสแสร้งปฏิบัติตามคำสั่งของนางอย่างเชื่อฟัง
ทว่า นักบวชหรงยังไม่ทันได้ปลดปล่อยพลังของตนเองเสร็จสิ้น
บนภูเขาเสี่ยวซีที่อยู่ด้านล่าง รัศมีสีขาวได้ระเบิดออกมาจากร่างกายของหลินเป่ยเฉิน
ก่อนที่เด็กหนุ่มจะลอยตัวขึ้นไปบนท้องฟ้า
ด้านหลังของเขามีปีกกระบี่คู่หนึ่งงอกออกมา
พลังศักดิ์สิทธิ์แผ่ออกมาจากร่างกาย
และนั่นก็ทำให้การขยายอาณาเขตพลังสีฟ้าครามของนักบวชหรงต้องหยุดชะงักลง
เจ้ายังสามารถใช้พลังของเทพีกระบี่ได้อีกหรือ?
นักบวชหรงตกตะลึง
เป็นไปไม่ได้
นางได้ดูบันทึกภาพการต่อสู้ระหว่างหลินเป่ยเฉินกับแม่ทัพฉลามอู๋หยาแล้ว และทราบดีว่าหากหลินเป่ยเฉินสามารถใช้งานพลังศักดิ์สิทธิ์จากเทพีกระบี่ได้เมื่อไหร่ ความน่ากลัวที่แท้จริงของเขาก็จะเปิดเผยออกมาเมื่อนั้น ดังเช่นตอนที่เด็กหนุ่มนำกระบี่จันทราพิฆาตออกมาใช้งานนั่นเอง
แต่บัดนี้ กระบี่จันทราพิฆาตถูกทำลายลงไปแล้ว
แล้วหลินเป่ยเฉินยังสามารถใช้พลังศักดิ์สิทธิ์อีกได้อย่างไร?
หรือว่าในตัวเจ้ามีเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์?
นักบวชหรงขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
หลินเป่ยเฉินคลี่ยิ้มอย่างผู้ชนะ ยืนเท้าเอวอยู่กลางอากาศ ตอบกลับไปว่า ฮ่าฮ่าฮ่า รู้แล้วใช่ไหมล่ะว่าข้ามีความน่ากลัวขนาดไหน ถ้าอย่างนั้นก็จงสั่งให้ทหารของพวกเจ้าถอนกำลังกลับไปซะ และก็ปล่อยให้พวกเราอพยพผู้คนออกไปนอกเมืองแต่โดยดี อย่าบังคับให้ข้าต้องลงมือเลย
บนพื้นดิน ฉู่เหิน หลิวฉีไห่ พานเว่ยหมิน และคนอื่นๆ เมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ก็ต้องขมวดคิ้วหน้าย่น
อาการกำเริบอีกแล้วสิ
หลินเป่ยเฉินมักจะมีอาการทางสมองกำเริบตอนหน้าสิ่วหน้าขวานทุกทีเลยสิน่า
แต่ในเวลาเดียวกันนั้น
คำพูดของหลินเป่ยเฉินกลับทำให้ผู้คนนับหมื่นบนภูเขาเสี่ยวซีมีขวัญกำลังใจแกร่งกล้า และมีความหวังที่จะรอดชีวิตเพิ่มมากขึ้น
พวกเขาไม่รู้เลยว่าพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ไหลรินออกมาจากร่างกายหลินเป่ยเฉินในขณะนี้ ไม่ได้เป็นพลังจากเทพีกระบี่ แต่มันเป็นพลังจากแรงศรัทธาของทุกๆ คนนั่นเอง
ยิ่งพวกเขามีความศรัทธาในตัวหลินเป่ยเฉินมากเท่าไหร่ หลินเป่ยเฉินก็ยิ่งมีพลังมากขึ้นเท่านั้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สีหน้าที่มั่นใจในตัวเองเป็นนักหนาของหลินเป่ยเฉิน ที่ทำให้ชาวเมืองแน่ใจว่าเด็กหนุ่มผู้นี้จะต้องมีหนทางพาพวกเขาอพยพออกไปจากที่นี่ได้สำเร็จแน่นอน
ด้วยเหตุนี้ ความศรัทธาของทุกคนจึงเพิ่มพูนมากขึ้น
พลังศักดิ์สิทธิ์จากตัวหลินเป่ยเฉินจึงไหลทะลักออกมาไม่หยุดยั้ง
แววตาของนักบวชหรงเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ก่อนที่มุมปากของนางจะปรากฏรอยยิ้มเยาะหยัน
พลังศักดิ์สิทธิ์เพียงเท่านี้ คิดว่าจะเปลี่ยนแปลงสิ่งใดได้หรือ ถ้าการที่เจ้าสามารถนำชาวเมืองมารวมตัวกันได้ จะทำให้เจ้ามั่นใจว่าจะสามารถอพยพทุกคนออกไปได้สำเร็จ ข้าก็ขอบอกเอาไว้เลยว่าเจ้าไร้เดียงสาเกินไปแล้ว
ได้ยินดังนั้น หลินเป่ยเฉินก็แค่นหัวเราะในลำคอ
ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่ ขอแค่ข้าออกคำสั่งเพียงคำเดียว เจ้าก็ต้องคุกเข่าให้กับข้าแล้ว อยากลองดูไหมล่ะ?
เขาพูดเสียงเรียบ
ต่อให้เจ้าใช้พลังของเทพีกระบี่ แต่สิ่งที่เจ้าพูดก็ไม่มีทางเป็นไปได้เด็ดขาด
นักบวชหรงจ้องมองหลินเป่ยเฉินที่ยังคงลอยอยู่ในอากาศด้วยปีกกระบี่บนแผ่นหลัง ต่อจากนั้น หญิงชราก็แสยะยิ้ม ในสายตาของพวกเราชาวทะเล เจ้าเป็นเพียงเศษขยะข้างถนนเท่านั้น หาได้มีค่าให้พวกเราเชื่อฟังไม่
หลินเป่ยเฉินระเบิดเสียงหัวเราะออกมาแล้ว
เป็นเสียงหัวเราะอย่างมีความสุข
เป็นเสียงหัวเราะด้วยความภาคภูมิใจ
เป็นเสียงหัวเราะที่ฟังดูชั่วร้ายอย่างยิ่ง
จริงหรือ?
ทันใดนั้น เด็กหนุ่มก็ชูมือขึ้นมาเปิดเผยให้เห็นถึงวัตถุบางอย่างที่อยู่ในมือของเขา
มันเป็นเครื่องรางดาวทะเลสีเหลือง
เครื่องรางส่องประกายระยิบระยับ
เมื่อสายลมโชยพัด เสียงของหลินเป่ยเฉินก็กังวานไปทั่วแผ่นฟ้า
เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่าเมื่อสักครู่นี้พูดคำใดออกมา?
หลินเป่ยเฉินถามกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
บัดนี้ สีหน้าที่มีแต่ความเย็นชาของนักบวชหรงได้แข็งค้างไปแล้ว
ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ
แม้แต่เสาอากาศที่อยู่บนหน้าผากทั้งสองข้างของหญิงชราหลังค่อมก็ยังหยุดการเคลื่อนไหว
เป็นไปไม่ได้…
นักบวชหรงอุทานออกมาในที่สุด
หลินเป่ยเฉินยิ้มมุมปากและออกคำสั่ง คุกเข่าซะ
เจ้าไปเอามาจากไหน…
นักบวชหรงยังคงไม่อยากเชื่อสายตาของตัวเอง
ข้าบอก…
หลินเป่ยเฉินพูดเน้นย้ำทีละคำ ให้… คุก… เข่า… ลง!
ดาวทะเลในมือของเขาเพิ่มแสงสว่างมากขึ้น
มวลพลังที่แปลกประหลาดได้แผ่กระจายไปรอบบริเวณ
ระหว่างพื้นดินและผืนฟ้าเต็มไปด้วยคลื่นพลังที่แผ่ออกมาจากเครื่องรางดาวทะเล
นักบวชหรงต้องคุกเข่าลงไปโดยทันที
ห่างออกไปประมาณหนึ่งลี้
สูงขึ้นไปบนท้องฟ้า
องค์หญิงเค่อเอ๋อร์ที่ยืนอยู่บนก้อนเมฆเคียงข้างเจ้าชายอวี้ชินหวังผู้เป็นบิดา ก็อดอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจไม่ได้ว่า ของสิ่งนั้นคืออะไรกันนะ?
ถ้าอ่าน เซียนกระบี่มาแล้ว ถึงบทนี้แล้วยังไม่จุใจ งั้นไปอ่านกันต่อได้ที่เว็บ Enjoybook.co เพราะที่นั่นลงนำไปแล้วกว่า 30 ตอน !! #อ่านก่อนใครได้ที่เว็บเอนจอย
