เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] – ตอนที่ 605 ข้าเป็นเพียงบุคคลสมองเสื่อม ยังไม่ถึงขั้นเสียสติ

ตอนที่ 605 ข้าเป็นเพียงบุคคลสมองเสื่อม ยังไม่ถึงขั้นเสียสติ

สีหน้าของนักบวชหรงแข็งค้างไปทันที

กุยเหนียนเองก็อ้าปากค้างด้วยความตกตะลึงเช่นกัน

ไม่น่าเลยจริงๆ

มนุษย์เต่าทะเลแทบไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ามันหลุดปากบอกข้อมูลสำคัญนั้นให้หลินเป่ยเฉินรับทราบ

กุยเหนียนย่อมคิดไม่ถึงว่าเครื่องรางดาวนำโชคและเครื่องรางน้ำตาเทพเจ้าจะถูกนำมาใช้ต่อรองกันเช่นนี้

เพราะไม่เคยมีใครทำสิ่งนี้มาก่อน

 มัวยืนเฉยอยู่ทำไมอีก? 

หลินเป่ยเฉินยกเครื่องรางดาวนำโชคในมือให้นักบวชหรงเห็นอย่างถนัดตาและพูดด้วยน้ำเสียงรำคาญใจ  หรือว่าเจ้าคิดที่จะปฏิเสธอำนาจเครื่องรางเทพเจ้า? 

นักบวชหรงปวดหัวอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน…

นางเริ่มเกิดความรู้สึกหวาดกลัวหลินเป่ยเฉินขึ้นมาโดยแท้จริง

ไม่มีใครสามารถคาดเดาความคิดของเด็กคนนี้ได้ทั้งนั้น

 ข้าจะนับถึงสาม 

หลินเป่ยเฉินพูดด้วยน้ำเสียงคุกคาม  ถ้านับถึงสามแล้วเจ้ายังไม่ยอมส่งน้ำตาเทพเจ้าออกมา เท่ากับคิดปฏิเสธอำนาจของเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ นั่นหมายความว่านักบวชหรงผู้ยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรใต้ทะเล ได้เสื่อมศรัทธาในตัวของเทพเจ้าแห่งท้องทะเลแล้วใช่หรือไม่? 

บนพื้นดินด้านล่างในขณะนี้

กองทัพชาวทะเลพากันเงยหน้ามองขึ้นมาที่นักบวชหรง

นักบวชหรงย่อมเข้าใจว่าสายตาเหล่านั้นหมายถึงอะไร

การปฏิเสธอำนาจเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ เท่ากับคิดก่อกบฏต่อเทพเจ้าแห่งท้องทะเล

หากข่าวนี้แพร่กระจายออกไป อย่าว่าแต่ตำแหน่งนักบวชของนางจะถูกปลด แม้แต่ชีวิตก็คงไม่มีทางเหลือรอด

หญิงชราหลังค่อมหันกลับมามองเต่าทะเลกุยเหนียน

สายตาของนางเต็มไปด้วยความดุดันราวกับต้องการจะถลกเนื้อเถือหนังที่ปรึกษาเต่าทะเลทั้งเป็น

กุยเหนียนได้แต่อ้าปากพะงาบๆ เหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่มีคำใดหลุดรอดออกมา

 ย่อมได้ ไม่มีปัญหา 

นักบวชหรงนำเครื่องรางน้ำตาเทพเจ้าสีฟ้าครามออกมา และใช้พลังลมปราณควบคุมมันให้ลอยออกไปข้างหน้าอย่างช้าๆ

หลินเป่ยเฉินมองเครื่องรางรูปทรงหยดน้ำตาด้วยแววตาเป็นประกายระยิบระยับ

น้ำตาเทพเจ้ามีรูปลักษณ์เป็นอัญมณีที่ไม่มีใครเหมือน

แต่เพื่อป้องกันให้แน่ใจว่าเครื่องรางที่เขาได้รับมานี้ไม่ใช่ของปลอม หลินเป่ยเฉินจึงเตรียมแผนสำรองเอาไว้ก่อนแล้ว

เด็กหนุ่มพูดเน้นย้ำทีละคำ  สิ่งที่ข้าต้องการคือเครื่องรางน้ำตาเทพเจ้า ซึ่งมีอำนาจสามารถสั่งการกองทัพชาวทะเลได้ทุกสิ่งทุกอย่าง หวังว่าเจ้าคงไม่คิดนำของปลอมแปลงมาให้ข้า เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว นักบวชหรงคงรู้ดีว่าการแอบอ้างเทพเจ้านั้น มีโทษทัณฑ์หนักหนาสาหัสเช่นไร 

 เจ้ามนุษย์ผู้ยโสโอหัง 

นักบวชหรงระเบิดเสียงคำรามออกมาอีกครั้ง  ข้าเป็นถึงผู้มีตำแหน่งสูงส่งในมหาวิหารสมุทร จะลดตัวลงไปทำเรื่องต่ำช้าเช่นนั้นได้อย่างไร 

 ถ้าเช่นนั้นก็ดีแล้ว 

หลินเป่ยเฉินยื่นมือออกไปหาอัญมณีสีฟ้าครามรูปทรงหยดน้ำตา

แล้วเครื่องรางชิ้นนั้นก็หล่นลงมาอยู่บนฝ่ามือของเขา

น้ำตาเทพเจ้ามีขนาดเท่ากับกำปั้นมือเด็กทารก แต่กลับมีน้ำหนักมากกว่าที่คิด

หลินเป่ยเฉินจึงมั่นใจว่ามันเป็นของจริง

เครื่องรางศักดิ์สิทธิ์รูปทรงหยดน้ำตาสะท้อนประกายกับแสงตะวันวิบวาว

ทันใดนั้น เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงหญิงสาวร้องไห้ดังออกมาจากเครื่องรางชิ้นนี้ และถ้าลองตั้งใจฟังให้ดี เสียงร้องไห้นั้นก็ดังมาพร้อมกับเสียงคลื่นทะเลซัดสาดใกล้ๆ อีกด้วย

ด้านในเครื่องรางมีพลังแปลกประหลาดหมุนเวียน

หลินเป่ยเฉินถึงกับเบิกตาโตด้วยความไม่อยากเชื่อ

 เอาล่ะ คำสั่งแรกที่ข้าจะมอบต่อพวกเจ้าก็คือ… 

หลินเป่ยเฉินหันหน้ากลับมามองนักบวชหรงและคนอื่นๆ

นักบวชหรงพูดสวนกลับมาด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ  เจ้าเป็นมนุษย์ ต่อให้มีน้ำตาเทพเจ้าอยู่ในมือ ก็ไม่สามารถออกคำสั่งได้ตามอำเภอใจ ยิ่งคิดจะมาออกคำบัญชาพวกเรา นับว่าเป็นเรื่องเพ้อฝันเกินไป… 

 ว่าไงนะ? 

หลินเป่ยเฉินยิ้มกริ่มและถามว่า  ไม่ทราบนักบวชหรงมีความคิดเห็นเช่นนั้นจริงๆ หรือ? 

หญิงชราหลังค่อมแค่นหัวเราะในลำคอ  นับว่าเจ้าเป็นเด็กที่ฉลาดในเรื่องโง่เง่าสมคำเล่าลือ โอกาสหนีรอดของพวกเจ้าได้หลุดลอยออกไปแล้ว แทนที่เจ้าจะใช้สิทธิ์ที่ได้รับจากเครื่องรางดาวนำโชค ออกคำสั่งอพยพทุกคนไปจากเมืองหยุนเมิ่งอย่างปลอดภัย แต่เจ้ากลับเอามันมาใช้เรียกร้องขอครอบครองน้ำตาเทพเจ้าเสียอย่างนั้น ฮ่าฮ่าฮ่า 

สองประโยคหลังสุด น้ำเสียงของนักบวชหรงเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม

หลินเป่ยเฉินไม่ได้พูดอะไรออกมา

 เจ้าบอกว่าที่ปรึกษากุยเหนียนเป็นผู้ให้ข้อมูลใช่หรือไม่  หญิงชราหัวเราะในลำคอต่อไป  ทว่ามันก็เป็นเพียงลูกเต่าโสโครกตัวหนึ่ง จะไปรู้ข้อมูลระดับสูงได้อย่างไร 

กุยเหนียนที่ยืนอยู่ด้านข้างเลิกคิ้วขึ้นสูงและหันขวับไปมองหน้านักบวชหรงทันที…

แต่ดูเหมือนหลินเป่ยเฉินจะคาดเดาเหตุการณ์นี้ได้นานแล้ว จึงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ  แน่ใจหรือ? เพราะในวันนั้นที่ปรึกษากุยเหนียนได้บอกข้าว่า หากเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์เช่นน้ำตาเทพเจ้าเกิดการสูญหายหรือถูกทำลายขึ้นมา ภูเขาไฟปีศาจใต้ทะเลลึก ก็จะระเบิดต่อเนื่องเป็นเวลาถึง 3,650 วันเชียวนะ ไม่ทราบว่านั่นคือความจริงหรือไม่? 

นักบวชหรงคลี่ยิ้มเย็นชา  มันจะเป็นจริงได้อย่างไร? น้ำตาเทพเจ้าอยู่ในมือเจ้า จึงเท่ากับว่าไม่ใช่การสูญหาย ไม่ว่าอย่างไรเดี๋ยวข้าก็ต้องหาทางเอากลับคืนมาได้อยู่ดี ส่วนเรื่องการทำลายนั้น เจ้าจะลองดูก็ได้ ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่ามนุษย์ผู้ต่ำต้อยอย่างเจ้าจะมีปัญญาทำลายเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไร 

 ก็ไม่รู้เหมือนกันสินะว่ากระบี่ในมือข้าจะสามารถทำลายเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ได้หรือไม่? 

หลินเป่ยเฉินดาวน์โหลดกระบี่สายฟ้ามาถือในมือ

สีหน้าของนักบวชหรงพลันเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด

 เหอเหอเหอ กระบี่สายฟ้านับเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์แห่งจักรวรรดิเป่ยไห่ ว่ากันว่านี่เป็นอาวุธที่เทพีกระบี่ประทานมาด้วยตนเอง จึงสามารถตัดและทำลายสิ่งของได้ทุกอย่างบนโลกใบนี้ 

หลินเป่ยเฉินมือหนึ่งถือกระบี่สายฟ้าอีก มือหนึ่งถือเครื่องรางน้ำตาเทพเจ้า

เด็กหนุ่มแลบลิ้นเลียริมฝีปาก สีหน้าซุกซน พูดน้ำเสียงตื่นเต้น  กระบี่ที่สามารถทำลายได้ทุกอย่างกับเครื่องรางที่ไม่มีสิ่งใดสามารถทำลายได้ อิอิ ไม่รู้นะว่าอย่างไหนจะมีความแข็งแกร่งมากกว่ากัน? 

นักบวชหรงตัวสั่นเทาแล้ว

หลินเป่ยเฉินส่งมอบรอยยิ้มอบอุ่นให้แก่หญิงชรา ก่อนพูดว่า  นักบวชหรงก็คงอยากรู้คำตอบเหมือนกันแล้วกระมัง? งั้นพวกเราสวมจิตวิญญาณอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เซอร์ไอแซก นิวตัน มาดามคูรี เทพีอาธีน่า เทพเจ้าอะพอลโลและพระบิดาแห่งพันธุ์ข้าวลูกผสมหยวนหลงผิง มาค้นหาความจริงกันดีกว่า… 

แล้วหลินเป่ยเฉินก็ทำท่าจะใช้กระบี่ในมือฟันลงไปที่เครื่องรางน้ำตาเทพเจ้าจริงๆ

 หยุดก่อน 

นักบวชหรงส่งเสียงร้องออกมา  นี่เจ้า… เสียสติไปแล้วหรือ? 

 หามิได้ 

หลินเป่ยเฉินตอบกลับไปสีหน้าเคร่งเครียดจริงจัง  ความจริงนั้น ข้าเป็นเพียงบุคคลสมองเสื่อม ยังไม่ถึงขั้นเสียสติ 

นักบวชหรงพูดอะไรไม่ออก

นางยิ่งมีความหวาดกลัวมากกว่าเดิม

เพราะในที่สุด หญิงชราก็สามารถยืนยันข่าวลือก่อนหน้านี้ได้แล้วว่า หลินเป่ยเฉินเป็นบุคคลสมองเสื่อมจริงๆ…

ถ้าอ่าน  เซียนกระบี่มาแล้ว  ถึงบทนี้แล้วยังไม่จุใจ งั้นไปอ่านกันต่อได้ที่เว็บ Enjoybook.co เพราะที่นั่นลงนำไปแล้วกว่า 30 ตอน !! #อ่านก่อนใครได้ที่เว็บเอนจอย

 

กลุ่มคนตื่นเต้น

ความโกรธแค้นที่อัดแน่นอยู่ในใจชาวเมืองสุดท้ายก็ระเบิดออกมา

ต่อให้เป็นเด็กทารกก็ยังยกมือสนับสนุนบิดามารดาและตะโกนว่า  พวกเราต้องสู้ 

 พวกเจ้า… บาปของพวกเจ้ามันเกินกว่าจะให้อภัย 

นักบวชหรงคำรามด้วยเสียงเย็นชาและอำมหิต

เคล้ง! เคล้ง! เคล้ง!

นักรบชาวทะเลที่รวมตัวกันอยู่บริเวณตีนเขาใช้อาวุธเคาะกับเกราะเหล็กของตนเองเสียงดังเกรียวกราว

เสียงเคาะเกราะเหล็กเหล่านั้นฟังดูน่าขนลุก เต็มไปด้วยจิตสังหาร

ตึง! ตึง! ตึง! ตึง!

เสียงย่ำเท้าของพวกมันดังกังวานเป็นจังหวะจะโคน

หลังจากนั้น กองทัพชาวทะเลก็เคลื่อนที่มาข้างหน้าอย่างเชื่องช้าแต่มั่นคง ไม่ต่างจากกำแพงเหล็กมฤตยู

ความตายกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้ชาวเมืองมากขึ้นทุกที

 คุณชายหลิน ไม่ทราบว่าพวกเราสมควรทำอย่างไรดี?  อู๋เฟิ่งกูรู้สึกแข้งขาอ่อนระทวย ขาสั่นพั่บๆ แทบยืนไม่อยู่แล้ว

ยังคงมีความหวาดกลัวปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชาวเมืองหยุนเมิ่งจำนวนมาก

จะอย่างไรพวกเขาก็เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาเท่านั้น

หรือต่อให้เป็นยอดฝีมือประจำเมือง ยามเผชิญหน้ากับกองทัพของศัตรูที่มีจำนวนมากมายมหาศาล ก็ยังต้องสีหน้าเปลี่ยนแปลงไปแล้วเช่นกัน

 โอกาสสุดท้าย… 

นักบวชหรงพูดด้วยน้ำเสียงที่เหมือนนายพรานพยายามเกลี้ยกล่อมสัตว์นักล่าให้เข้าไปอยู่ในกรงขัง  จะยอมมอบตัวหรือว่าจะยอมตาย 

เกิดความเงียบบนภูเขาเสี่ยวซี

 มอบตัวกับผีน่ะสิ 

หลินเป่ยเฉินยิ้มกว้าง

เด็กหนุ่มหันหน้ากลับมากวาดสายตามองผู้คนรอบตัว ซึ่งผู้คนเหล่านั้นกำลังจ้องมองมาทางเขาด้วยความเชื่อมั่นและศรัทธา  เอาล่ะ สุภาพบุรุษและสตรีทุกท่าน ไม่ว่าจะเป็นผู้เยาว์หรือผู้เฒ่า อย่างไรเสียพวกเราถือกำเนิดเกิดมาก็มีเพียงชีวิตเดียว เอาให้รู้กันไปเลยว่าเมื่อเราร่วมแรงร่วมใจกันแล้ว จะไม่สามารถสู้กับหญิงชราเพียงคนเดียวได้เชียวหรือ… 

จากนั้น เด็กหนุ่มก็ชูนิ้วกลางขึ้นไปบนท้องฟ้า

การทำสัญลักษณ์นี้ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรมากมาย

มันย่อมมีความหมายเป็นการดูหมิ่นอยู่แล้ว

ไม่ทราบเลยว่าใครส่งเสียงหัวเราะออกมา

ต่อจากนั้น ชาวเมืองนับหมื่นคนก็ทำตามอย่างหลินเป่ยเฉินด้วยการชูนิ้วกลางขึ้นไปบนท้องฟ้า

นี่คือภาพที่น่าเหลือเชื่อ

เสียงหัวเราะยิ่งดังกึกก้องมากขึ้น

ความหวาดกลัวที่เคยยึดครองจิตใจทุกคนก่อนหน้านี้สลายหายไปสิ้น

ใช่แล้ว

เสียงหัวเราะคือสิ่งที่สามารถนำมาซึ่งความกล้าหาญและความหวังได้เสมอ

 ช่างโง่เขลากันเหลือเกิน 

นักบวชหรงผู้ยืนอยู่บนหัวมังกรเขียวยิ้มเหยียดหยามด้วยความขุ่นเคืองใจ

ในชีวิตอันยาวนานของนาง หญิงชราไม่เคยพบเจอเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน

ไม่เคยมีผู้คนจำนวนนับหมื่นชูนิ้วกลางให้กับนางด้วยความสามัคคีถึงขนาดนี้

แม้ไม่เข้าใจอะไรมากนัก

แต่นักบวชหรงรู้สึกว่าตนเองกำลังถูกลบหลู่อย่างร้ายกาจ

 พวกเจ้าจะต้องชดใช้ให้กับการกระทำที่แสนโง่เขลาของตัวเอง  นางยกมือขึ้นสูงและค่อยๆ ลดระดับมือลงอย่างเชื่องช้า

แล้วมวลพลังลมปราณสีฟ้าครามที่วนเวียนอยู่รอบร่างกายขนาดเล็กจ้อยของนางก็เปลี่ยนสภาพกลายเป็นพายุน้ำแข็ง

ในเวลาเดียวกันนั้น ลำแสงสีฟ้าค่อยๆ พุ่งออกมาจากรูจมูกของมังกรเขียว

มังกรยักษ์อ้าปากออกอย่างแช่มช้า

ทุกคนมองเห็นอย่างชัดเจนว่าส่วนลึกในลำคอของมันมีแสงสว่างเจิดจ้า

มังกรเขียวตัวนี้มีอายุห้าพันปี เคยเผชิญหน้าศัตรูผู้แข็งแกร่งมาแล้วทุกรูปแบบ ไม่เคยมีใครสามารถหลบหนีการโจมตีด้วยเปลวไฟน้ำแข็งของมันสำเร็จมาก่อน และสิ่งที่มันชื่นชอบที่สุดก็คือการได้จ้องมองทุกสิ่งทุกอย่างบนพื้นดินกลายเป็นน้ำแข็งไปในพริบตาเดียว

มันชอบที่จะได้ส่งมอบความตายอย่างงดงามราวกับศิลปะชั้นสูง

เพราะมันรู้สึกว่าตนเองไม่ต่างจากเทพเจ้า

และสักวันหนึ่ง หญิงชราหลังค่อมที่กำลังเหยียบอยู่บนหัวของมันผู้นี้ ก็จะต้องชดใช้ที่กดขี่ข่มเหงมันตลอดเวลาเช่นกัน

แต่บัดนี้ มังกรเขียวทำได้เพียงแต่รอคอยโอกาสและเสแสร้งปฏิบัติตามคำสั่งของนางอย่างเชื่อฟัง

ทว่า นักบวชหรงยังไม่ทันได้ปลดปล่อยพลังของตนเองเสร็จสิ้น

บนภูเขาเสี่ยวซีที่อยู่ด้านล่าง รัศมีสีขาวได้ระเบิดออกมาจากร่างกายของหลินเป่ยเฉิน

ก่อนที่เด็กหนุ่มจะลอยตัวขึ้นไปบนท้องฟ้า

ด้านหลังของเขามีปีกกระบี่คู่หนึ่งงอกออกมา

พลังศักดิ์สิทธิ์แผ่ออกมาจากร่างกาย

และนั่นก็ทำให้การขยายอาณาเขตพลังสีฟ้าครามของนักบวชหรงต้องหยุดชะงักลง

 เจ้ายังสามารถใช้พลังของเทพีกระบี่ได้อีกหรือ? 

นักบวชหรงตกตะลึง

 เป็นไปไม่ได้ 

นางได้ดูบันทึกภาพการต่อสู้ระหว่างหลินเป่ยเฉินกับแม่ทัพฉลามอู๋หยาแล้ว และทราบดีว่าหากหลินเป่ยเฉินสามารถใช้งานพลังศักดิ์สิทธิ์จากเทพีกระบี่ได้เมื่อไหร่ ความน่ากลัวที่แท้จริงของเขาก็จะเปิดเผยออกมาเมื่อนั้น ดังเช่นตอนที่เด็กหนุ่มนำกระบี่จันทราพิฆาตออกมาใช้งานนั่นเอง

แต่บัดนี้ กระบี่จันทราพิฆาตถูกทำลายลงไปแล้ว

แล้วหลินเป่ยเฉินยังสามารถใช้พลังศักดิ์สิทธิ์อีกได้อย่างไร?

 หรือว่าในตัวเจ้ามีเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์? 

นักบวชหรงขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

หลินเป่ยเฉินคลี่ยิ้มอย่างผู้ชนะ ยืนเท้าเอวอยู่กลางอากาศ ตอบกลับไปว่า  ฮ่าฮ่าฮ่า รู้แล้วใช่ไหมล่ะว่าข้ามีความน่ากลัวขนาดไหน ถ้าอย่างนั้นก็จงสั่งให้ทหารของพวกเจ้าถอนกำลังกลับไปซะ และก็ปล่อยให้พวกเราอพยพผู้คนออกไปนอกเมืองแต่โดยดี อย่าบังคับให้ข้าต้องลงมือเลย 

บนพื้นดิน ฉู่เหิน หลิวฉีไห่ พานเว่ยหมิน และคนอื่นๆ เมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ก็ต้องขมวดคิ้วหน้าย่น

อาการกำเริบอีกแล้วสิ

หลินเป่ยเฉินมักจะมีอาการทางสมองกำเริบตอนหน้าสิ่วหน้าขวานทุกทีเลยสิน่า

แต่ในเวลาเดียวกันนั้น

คำพูดของหลินเป่ยเฉินกลับทำให้ผู้คนนับหมื่นบนภูเขาเสี่ยวซีมีขวัญกำลังใจแกร่งกล้า และมีความหวังที่จะรอดชีวิตเพิ่มมากขึ้น

พวกเขาไม่รู้เลยว่าพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ไหลรินออกมาจากร่างกายหลินเป่ยเฉินในขณะนี้ ไม่ได้เป็นพลังจากเทพีกระบี่ แต่มันเป็นพลังจากแรงศรัทธาของทุกๆ คนนั่นเอง

ยิ่งพวกเขามีความศรัทธาในตัวหลินเป่ยเฉินมากเท่าไหร่ หลินเป่ยเฉินก็ยิ่งมีพลังมากขึ้นเท่านั้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สีหน้าที่มั่นใจในตัวเองเป็นนักหนาของหลินเป่ยเฉิน ที่ทำให้ชาวเมืองแน่ใจว่าเด็กหนุ่มผู้นี้จะต้องมีหนทางพาพวกเขาอพยพออกไปจากที่นี่ได้สำเร็จแน่นอน

ด้วยเหตุนี้ ความศรัทธาของทุกคนจึงเพิ่มพูนมากขึ้น

พลังศักดิ์สิทธิ์จากตัวหลินเป่ยเฉินจึงไหลทะลักออกมาไม่หยุดยั้ง

แววตาของนักบวชหรงเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ก่อนที่มุมปากของนางจะปรากฏรอยยิ้มเยาะหยัน

 พลังศักดิ์สิทธิ์เพียงเท่านี้ คิดว่าจะเปลี่ยนแปลงสิ่งใดได้หรือ ถ้าการที่เจ้าสามารถนำชาวเมืองมารวมตัวกันได้ จะทำให้เจ้ามั่นใจว่าจะสามารถอพยพทุกคนออกไปได้สำเร็จ ข้าก็ขอบอกเอาไว้เลยว่าเจ้าไร้เดียงสาเกินไปแล้ว 

ได้ยินดังนั้น หลินเป่ยเฉินก็แค่นหัวเราะในลำคอ

 ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่ ขอแค่ข้าออกคำสั่งเพียงคำเดียว เจ้าก็ต้องคุกเข่าให้กับข้าแล้ว อยากลองดูไหมล่ะ? 

เขาพูดเสียงเรียบ

 ต่อให้เจ้าใช้พลังของเทพีกระบี่ แต่สิ่งที่เจ้าพูดก็ไม่มีทางเป็นไปได้เด็ดขาด 

นักบวชหรงจ้องมองหลินเป่ยเฉินที่ยังคงลอยอยู่ในอากาศด้วยปีกกระบี่บนแผ่นหลัง ต่อจากนั้น หญิงชราก็แสยะยิ้ม  ในสายตาของพวกเราชาวทะเล เจ้าเป็นเพียงเศษขยะข้างถนนเท่านั้น หาได้มีค่าให้พวกเราเชื่อฟังไม่ 

หลินเป่ยเฉินระเบิดเสียงหัวเราะออกมาแล้ว

เป็นเสียงหัวเราะอย่างมีความสุข

เป็นเสียงหัวเราะด้วยความภาคภูมิใจ

เป็นเสียงหัวเราะที่ฟังดูชั่วร้ายอย่างยิ่ง

 จริงหรือ? 

ทันใดนั้น เด็กหนุ่มก็ชูมือขึ้นมาเปิดเผยให้เห็นถึงวัตถุบางอย่างที่อยู่ในมือของเขา

มันเป็นเครื่องรางดาวทะเลสีเหลือง

เครื่องรางส่องประกายระยิบระยับ

เมื่อสายลมโชยพัด เสียงของหลินเป่ยเฉินก็กังวานไปทั่วแผ่นฟ้า

 เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่าเมื่อสักครู่นี้พูดคำใดออกมา? 

หลินเป่ยเฉินถามกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

บัดนี้ สีหน้าที่มีแต่ความเย็นชาของนักบวชหรงได้แข็งค้างไปแล้ว

ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ

แม้แต่เสาอากาศที่อยู่บนหน้าผากทั้งสองข้างของหญิงชราหลังค่อมก็ยังหยุดการเคลื่อนไหว

 เป็นไปไม่ได้… 

นักบวชหรงอุทานออกมาในที่สุด

หลินเป่ยเฉินยิ้มมุมปากและออกคำสั่ง  คุกเข่าซะ 

 เจ้าไปเอามาจากไหน… 

นักบวชหรงยังคงไม่อยากเชื่อสายตาของตัวเอง

 ข้าบอก… 

หลินเป่ยเฉินพูดเน้นย้ำทีละคำ  ให้… คุก… เข่า… ลง! 

ดาวทะเลในมือของเขาเพิ่มแสงสว่างมากขึ้น

มวลพลังที่แปลกประหลาดได้แผ่กระจายไปรอบบริเวณ

ระหว่างพื้นดินและผืนฟ้าเต็มไปด้วยคลื่นพลังที่แผ่ออกมาจากเครื่องรางดาวทะเล

นักบวชหรงต้องคุกเข่าลงไปโดยทันที

ห่างออกไปประมาณหนึ่งลี้

สูงขึ้นไปบนท้องฟ้า

องค์หญิงเค่อเอ๋อร์ที่ยืนอยู่บนก้อนเมฆเคียงข้างเจ้าชายอวี้ชินหวังผู้เป็นบิดา ก็อดอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจไม่ได้ว่า  ของสิ่งนั้นคืออะไรกันนะ? 

ถ้าอ่าน  เซียนกระบี่มาแล้ว  ถึงบทนี้แล้วยังไม่จุใจ งั้นไปอ่านกันต่อได้ที่เว็บ Enjoybook.co เพราะที่นั่นลงนำไปแล้วกว่า 30 ตอน !! #อ่านก่อนใครได้ที่เว็บเอนจอย

 

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

Status: Ongoing

หืมมม วิชานี้น่าสนใจดี แชะ ! ติ๊งง คุณได้รับแอพพลิเคชั่นวิชากระบี่ทะลวงจันทร์ ต้องการติดตั้งหรือไม่ ! ด้วยสมาร์ทโฟนในมือของเจ้าแกะดำหลิวเป่ยเฉิน ทำให้เขาสามารถผงาดบนโลกจอมยุทธ์นี้ได้อย่างง่ายดาย…. แต่ข้าไม่เอาหรอก ใครมันจะอยากอยู่โลกแบบนี้กัน YouTube ก็ไม่มี Facebook ก็เข้าไม่ได้ ข้าขอกลับโลกเดิมไปนั่งเล่นเกมในห้องแอร์เย็น ๆ ดีกว่าโว้ยยย !!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท