กลุ่มคนตื่นเต้น
ความโกรธแค้นที่อัดแน่นอยู่ในใจชาวเมืองสุดท้ายก็ระเบิดออกมา
ต่อให้เป็นเด็กทารกก็ยังยกมือสนับสนุนบิดามารดาและตะโกนว่า พวกเราต้องสู้
พวกเจ้า… บาปของพวกเจ้ามันเกินกว่าจะให้อภัย
นักบวชหรงคำรามด้วยเสียงเย็นชาและอำมหิต
เคล้ง! เคล้ง! เคล้ง!
นักรบชาวทะเลที่รวมตัวกันอยู่บริเวณตีนเขาใช้อาวุธเคาะกับเกราะเหล็กของตนเองเสียงดังเกรียวกราว
เสียงเคาะเกราะเหล็กเหล่านั้นฟังดูน่าขนลุก เต็มไปด้วยจิตสังหาร
ตึง! ตึง! ตึง! ตึง!
เสียงย่ำเท้าของพวกมันดังกังวานเป็นจังหวะจะโคน
หลังจากนั้น กองทัพชาวทะเลก็เคลื่อนที่มาข้างหน้าอย่างเชื่องช้าแต่มั่นคง ไม่ต่างจากกำแพงเหล็กมฤตยู
ความตายกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้ชาวเมืองมากขึ้นทุกที
คุณชายหลิน ไม่ทราบว่าพวกเราสมควรทำอย่างไรดี? อู๋เฟิ่งกูรู้สึกแข้งขาอ่อนระทวย ขาสั่นพั่บๆ แทบยืนไม่อยู่แล้ว
ยังคงมีความหวาดกลัวปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชาวเมืองหยุนเมิ่งจำนวนมาก
จะอย่างไรพวกเขาก็เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาเท่านั้น
หรือต่อให้เป็นยอดฝีมือประจำเมือง ยามเผชิญหน้ากับกองทัพของศัตรูที่มีจำนวนมากมายมหาศาล ก็ยังต้องสีหน้าเปลี่ยนแปลงไปแล้วเช่นกัน
โอกาสสุดท้าย…
นักบวชหรงพูดด้วยน้ำเสียงที่เหมือนนายพรานพยายามเกลี้ยกล่อมสัตว์นักล่าให้เข้าไปอยู่ในกรงขัง จะยอมมอบตัวหรือว่าจะยอมตาย
เกิดความเงียบบนภูเขาเสี่ยวซี
มอบตัวกับผีน่ะสิ
หลินเป่ยเฉินยิ้มกว้าง
เด็กหนุ่มหันหน้ากลับมากวาดสายตามองผู้คนรอบตัว ซึ่งผู้คนเหล่านั้นกำลังจ้องมองมาทางเขาด้วยความเชื่อมั่นและศรัทธา เอาล่ะ สุภาพบุรุษและสตรีทุกท่าน ไม่ว่าจะเป็นผู้เยาว์หรือผู้เฒ่า อย่างไรเสียพวกเราถือกำเนิดเกิดมาก็มีเพียงชีวิตเดียว เอาให้รู้กันไปเลยว่าเมื่อเราร่วมแรงร่วมใจกันแล้ว จะไม่สามารถสู้กับหญิงชราเพียงคนเดียวได้เชียวหรือ…
จากนั้น เด็กหนุ่มก็ชูนิ้วกลางขึ้นไปบนท้องฟ้า
การทำสัญลักษณ์นี้ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรมากมาย
มันย่อมมีความหมายเป็นการดูหมิ่นอยู่แล้ว
ไม่ทราบเลยว่าใครส่งเสียงหัวเราะออกมา
ต่อจากนั้น ชาวเมืองนับหมื่นคนก็ทำตามอย่างหลินเป่ยเฉินด้วยการชูนิ้วกลางขึ้นไปบนท้องฟ้า
นี่คือภาพที่น่าเหลือเชื่อ
เสียงหัวเราะยิ่งดังกึกก้องมากขึ้น
ความหวาดกลัวที่เคยยึดครองจิตใจทุกคนก่อนหน้านี้สลายหายไปสิ้น
ใช่แล้ว
เสียงหัวเราะคือสิ่งที่สามารถนำมาซึ่งความกล้าหาญและความหวังได้เสมอ
ช่างโง่เขลากันเหลือเกิน
นักบวชหรงผู้ยืนอยู่บนหัวมังกรเขียวยิ้มเหยียดหยามด้วยความขุ่นเคืองใจ
ในชีวิตอันยาวนานของนาง หญิงชราไม่เคยพบเจอเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน
ไม่เคยมีผู้คนจำนวนนับหมื่นชูนิ้วกลางให้กับนางด้วยความสามัคคีถึงขนาดนี้
แม้ไม่เข้าใจอะไรมากนัก
แต่นักบวชหรงรู้สึกว่าตนเองกำลังถูกลบหลู่อย่างร้ายกาจ
พวกเจ้าจะต้องชดใช้ให้กับการกระทำที่แสนโง่เขลาของตัวเอง นางยกมือขึ้นสูงและค่อยๆ ลดระดับมือลงอย่างเชื่องช้า
แล้วมวลพลังลมปราณสีฟ้าครามที่วนเวียนอยู่รอบร่างกายขนาดเล็กจ้อยของนางก็เปลี่ยนสภาพกลายเป็นพายุน้ำแข็ง
ในเวลาเดียวกันนั้น ลำแสงสีฟ้าค่อยๆ พุ่งออกมาจากรูจมูกของมังกรเขียว
มังกรยักษ์อ้าปากออกอย่างแช่มช้า
ทุกคนมองเห็นอย่างชัดเจนว่าส่วนลึกในลำคอของมันมีแสงสว่างเจิดจ้า
มังกรเขียวตัวนี้มีอายุห้าพันปี เคยเผชิญหน้าศัตรูผู้แข็งแกร่งมาแล้วทุกรูปแบบ ไม่เคยมีใครสามารถหลบหนีการโจมตีด้วยเปลวไฟน้ำแข็งของมันสำเร็จมาก่อน และสิ่งที่มันชื่นชอบที่สุดก็คือการได้จ้องมองทุกสิ่งทุกอย่างบนพื้นดินกลายเป็นน้ำแข็งไปในพริบตาเดียว
มันชอบที่จะได้ส่งมอบความตายอย่างงดงามราวกับศิลปะชั้นสูง
เพราะมันรู้สึกว่าตนเองไม่ต่างจากเทพเจ้า
และสักวันหนึ่ง หญิงชราหลังค่อมที่กำลังเหยียบอยู่บนหัวของมันผู้นี้ ก็จะต้องชดใช้ที่กดขี่ข่มเหงมันตลอดเวลาเช่นกัน
แต่บัดนี้ มังกรเขียวทำได้เพียงแต่รอคอยโอกาสและเสแสร้งปฏิบัติตามคำสั่งของนางอย่างเชื่อฟัง
ทว่า นักบวชหรงยังไม่ทันได้ปลดปล่อยพลังของตนเองเสร็จสิ้น
บนภูเขาเสี่ยวซีที่อยู่ด้านล่าง รัศมีสีขาวได้ระเบิดออกมาจากร่างกายของหลินเป่ยเฉิน
ก่อนที่เด็กหนุ่มจะลอยตัวขึ้นไปบนท้องฟ้า
ด้านหลังของเขามีปีกกระบี่คู่หนึ่งงอกออกมา
พลังศักดิ์สิทธิ์แผ่ออกมาจากร่างกาย
และนั่นก็ทำให้การขยายอาณาเขตพลังสีฟ้าครามของนักบวชหรงต้องหยุดชะงักลง
เจ้ายังสามารถใช้พลังของเทพีกระบี่ได้อีกหรือ?
นักบวชหรงตกตะลึง
เป็นไปไม่ได้
นางได้ดูบันทึกภาพการต่อสู้ระหว่างหลินเป่ยเฉินกับแม่ทัพฉลามอู๋หยาแล้ว และทราบดีว่าหากหลินเป่ยเฉินสามารถใช้งานพลังศักดิ์สิทธิ์จากเทพีกระบี่ได้เมื่อไหร่ ความน่ากลัวที่แท้จริงของเขาก็จะเปิดเผยออกมาเมื่อนั้น ดังเช่นตอนที่เด็กหนุ่มนำกระบี่จันทราพิฆาตออกมาใช้งานนั่นเอง
แต่บัดนี้ กระบี่จันทราพิฆาตถูกทำลายลงไปแล้ว
แล้วหลินเป่ยเฉินยังสามารถใช้พลังศักดิ์สิทธิ์อีกได้อย่างไร?
หรือว่าในตัวเจ้ามีเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์?
นักบวชหรงขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
หลินเป่ยเฉินคลี่ยิ้มอย่างผู้ชนะ ยืนเท้าเอวอยู่กลางอากาศ ตอบกลับไปว่า ฮ่าฮ่าฮ่า รู้แล้วใช่ไหมล่ะว่าข้ามีความน่ากลัวขนาดไหน ถ้าอย่างนั้นก็จงสั่งให้ทหารของพวกเจ้าถอนกำลังกลับไปซะ และก็ปล่อยให้พวกเราอพยพผู้คนออกไปนอกเมืองแต่โดยดี อย่าบังคับให้ข้าต้องลงมือเลย
บนพื้นดิน ฉู่เหิน หลิวฉีไห่ พานเว่ยหมิน และคนอื่นๆ เมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ก็ต้องขมวดคิ้วหน้าย่น
อาการกำเริบอีกแล้วสิ
หลินเป่ยเฉินมักจะมีอาการทางสมองกำเริบตอนหน้าสิ่วหน้าขวานทุกทีเลยสิน่า
แต่ในเวลาเดียวกันนั้น
คำพูดของหลินเป่ยเฉินกลับทำให้ผู้คนนับหมื่นบนภูเขาเสี่ยวซีมีขวัญกำลังใจแกร่งกล้า และมีความหวังที่จะรอดชีวิตเพิ่มมากขึ้น
พวกเขาไม่รู้เลยว่าพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ไหลรินออกมาจากร่างกายหลินเป่ยเฉินในขณะนี้ ไม่ได้เป็นพลังจากเทพีกระบี่ แต่มันเป็นพลังจากแรงศรัทธาของทุกๆ คนนั่นเอง
ยิ่งพวกเขามีความศรัทธาในตัวหลินเป่ยเฉินมากเท่าไหร่ หลินเป่ยเฉินก็ยิ่งมีพลังมากขึ้นเท่านั้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สีหน้าที่มั่นใจในตัวเองเป็นนักหนาของหลินเป่ยเฉิน ที่ทำให้ชาวเมืองแน่ใจว่าเด็กหนุ่มผู้นี้จะต้องมีหนทางพาพวกเขาอพยพออกไปจากที่นี่ได้สำเร็จแน่นอน
ด้วยเหตุนี้ ความศรัทธาของทุกคนจึงเพิ่มพูนมากขึ้น
พลังศักดิ์สิทธิ์จากตัวหลินเป่ยเฉินจึงไหลทะลักออกมาไม่หยุดยั้ง
แววตาของนักบวชหรงเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ก่อนที่มุมปากของนางจะปรากฏรอยยิ้มเยาะหยัน
พลังศักดิ์สิทธิ์เพียงเท่านี้ คิดว่าจะเปลี่ยนแปลงสิ่งใดได้หรือ ถ้าการที่เจ้าสามารถนำชาวเมืองมารวมตัวกันได้ จะทำให้เจ้ามั่นใจว่าจะสามารถอพยพทุกคนออกไปได้สำเร็จ ข้าก็ขอบอกเอาไว้เลยว่าเจ้าไร้เดียงสาเกินไปแล้ว
ได้ยินดังนั้น หลินเป่ยเฉินก็แค่นหัวเราะในลำคอ
ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่ ขอแค่ข้าออกคำสั่งเพียงคำเดียว เจ้าก็ต้องคุกเข่าให้กับข้าแล้ว อยากลองดูไหมล่ะ?
เขาพูดเสียงเรียบ
ต่อให้เจ้าใช้พลังของเทพีกระบี่ แต่สิ่งที่เจ้าพูดก็ไม่มีทางเป็นไปได้เด็ดขาด
นักบวชหรงจ้องมองหลินเป่ยเฉินที่ยังคงลอยอยู่ในอากาศด้วยปีกกระบี่บนแผ่นหลัง ต่อจากนั้น หญิงชราก็แสยะยิ้ม ในสายตาของพวกเราชาวทะเล เจ้าเป็นเพียงเศษขยะข้างถนนเท่านั้น หาได้มีค่าให้พวกเราเชื่อฟังไม่
หลินเป่ยเฉินระเบิดเสียงหัวเราะออกมาแล้ว
เป็นเสียงหัวเราะอย่างมีความสุข
เป็นเสียงหัวเราะด้วยความภาคภูมิใจ
เป็นเสียงหัวเราะที่ฟังดูชั่วร้ายอย่างยิ่ง
จริงหรือ?
ทันใดนั้น เด็กหนุ่มก็ชูมือขึ้นมาเปิดเผยให้เห็นถึงวัตถุบางอย่างที่อยู่ในมือของเขา
มันเป็นเครื่องรางดาวทะเลสีเหลือง
เครื่องรางส่องประกายระยิบระยับ
เมื่อสายลมโชยพัด เสียงของหลินเป่ยเฉินก็กังวานไปทั่วแผ่นฟ้า
เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่าเมื่อสักครู่นี้พูดคำใดออกมา?
หลินเป่ยเฉินถามกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
บัดนี้ สีหน้าที่มีแต่ความเย็นชาของนักบวชหรงได้แข็งค้างไปแล้ว
ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ
แม้แต่เสาอากาศที่อยู่บนหน้าผากทั้งสองข้างของหญิงชราหลังค่อมก็ยังหยุดการเคลื่อนไหว
เป็นไปไม่ได้…
นักบวชหรงอุทานออกมาในที่สุด
หลินเป่ยเฉินยิ้มมุมปากและออกคำสั่ง คุกเข่าซะ
เจ้าไปเอามาจากไหน…
นักบวชหรงยังคงไม่อยากเชื่อสายตาของตัวเอง
ข้าบอก…
หลินเป่ยเฉินพูดเน้นย้ำทีละคำ ให้… คุก… เข่า… ลง!
ดาวทะเลในมือของเขาเพิ่มแสงสว่างมากขึ้น
มวลพลังที่แปลกประหลาดได้แผ่กระจายไปรอบบริเวณ
ระหว่างพื้นดินและผืนฟ้าเต็มไปด้วยคลื่นพลังที่แผ่ออกมาจากเครื่องรางดาวทะเล
นักบวชหรงต้องคุกเข่าลงไปโดยทันที
ห่างออกไปประมาณหนึ่งลี้
สูงขึ้นไปบนท้องฟ้า
องค์หญิงเค่อเอ๋อร์ที่ยืนอยู่บนก้อนเมฆเคียงข้างเจ้าชายอวี้ชินหวังผู้เป็นบิดา ก็อดอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจไม่ได้ว่า ของสิ่งนั้นคืออะไรกันนะ?
ถ้าอ่าน เซียนกระบี่มาแล้ว ถึงบทนี้แล้วยังไม่จุใจ งั้นไปอ่านกันต่อได้ที่เว็บ Enjoybook.co เพราะที่นั่นลงนำไปแล้วกว่า 30 ตอน !! #อ่านก่อนใครได้ที่เว็บเอนจอย
ตอนที่ 606 คมกริบและแข็งแกร่ง
อันที่จริงก่อนหน้านี้ นักบวชหรงไม่คิดว่ามันจะเป็นความจริง
เพราะถ้าหลินเป่ยเฉินเป็นบุคคลสมองเสื่อม
ก็หมายความว่าสมองของเขามีปัญหา
เด็กคนนี้ย่อมสามารถทำได้ทุกอย่าง
ถ้ากดดันหนักหน่วงมากเกินไป…
สุดท้าย นักบวชหรงก็ต้องถอนหายใจ พูดออกมาอย่างไม่มีทางเลือก เจ้าต้องการอะไร โปรดว่ามา
น่าเสียดายจังเลยน้า
หลินเป่ยเฉินว่า แต่ในเมื่อนี่เป็นความต้องการของเจ้า ข้าก็ไม่คิดปฏิเสธ…
หญิงชราหลังค่อมเสแสร้งแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน
นางไม่มีทางแบกรับความผิดโทษฐานเป็นผู้ที่ทำให้น้ำตาเทพเจ้าสูญหายหรือถูกทำลายได้เด็ดขาด
นับจากนี้ไป กลายเป็นว่านักบวชหรงตกเป็นเบี้ยล่างหลินเป่ยเฉินทุกประตูแล้ว
มีแต่ต้องจำยอมรับคำสั่งแต่โดยดีเท่านั้น
ความปรารถนาแรกของข้าก็ไม่มีอะไรมาก นักบวชหรงสามารถทำได้โดยไม่มีปัญหา นั่นก็คือการปิดข่าวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ มิให้มีผู้ใดล่วงรู้ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายมนุษย์หรือฝ่ายชาวทะเลก็ตาม รอจนให้ชาวเมืองหยุนเมิ่งไปถึงนครเจาฮุยอย่างปลอดภัยเสียก่อน ถึงจะสามารถเผยแพร่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ต่อสาธารณชนได้
หลินเป่ยเฉินออกคำสั่ง
นั่นเป็นเพราะเขากังวลว่าหากข่าวนี้เผยแพร่ออกไปสู่กลุ่มชาวทะเลในวงกว้าง ก็อาจจะเกิดความเปลี่ยนแปลงตามมาได้โดยไม่คาดคิด
นักบวชหรงรับคำ ย่อมได้
นางตอบรับโดยไม่ลังเล
นี่คือสิ่งที่นางก็คิดเอาไว้แล้วเช่นกัน
มิหนำซ้ำ การปิดข่าวยังเป็นประโยชน์ต่อนางอีกด้วย
หลินเป่ยเฉินกล่าวต่อไป ความปรารถนาข้อที่สอง เจ้าต้องปล่อยตัวเพื่อนทั้งสองคนของข้าออกมา และให้ที่ปรึกษากุยเหนียนเป็นผู้นำพวกเขามาส่งข้าที่ตรงนี้… เพราะในกลุ่มชาวทะเลของพวกเจ้า ข้าสามารถเชื่อใจท่านที่ปรึกษากุยเหนียนได้เพียงคนเดียวเท่านั้น เฮ้อ
กุยเหนียนได้ยินดังนั้นก็สะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ
หลินเป่ยเฉินเจ้าตัวร้ายกาจ
เหตุไฉนถึงต้องลากมันไปให้เดือดร้อนด้วยเล่า?
แต่เมื่อเห็นสายตาของนักบวชหรง กุยเหนียนก็ไม่กล้าต่อรองอะไรอีก มันรีบนำตัวฮันปู้ฟู่กับเยว่หงเซียงออกไปส่งมอบให้แก่หลินเป่ยเฉินแต่โดยดี
ขอบคุณมาก ท่านที่ปรึกษา… ฮื่อ ท่านนับเป็นสหายที่ดีของข้ามาโดยตลอดจริงๆ
หลินเป่ยเฉินยื่นมือออกมาจับมือกับกุยเหนียนเขย่าด้วยความสนิทสนม
มนุษย์เต่าทะเลมีใบหน้าแข็งค้าง ดวงตาเหม่อลอย ขณะที่เขย่ามือกับหลินเป่ยเฉินมันก็ได้แต่ถามตัวเองอยู่ในใจว่า ‘ข้าเป็นใคร ข้าอยู่ที่ไหน และข้ามาทำอะไรที่นี่’
ไต้จือฉุนกับฉู่เหินลอยตัวขึ้นมาในอากาศและรับตัวฮันปู้ฟู่กับเยว่หงเซียงกลับลงไป
เมื่อส่งตัวมนุษย์เต่าทะเลกุยเหนียนกลับไปแล้ว หลินเป่ยเฉินก็กล่าวต่ออีกครั้ง ความปรารถนาข้อที่สาม พวกเจ้าคงทราบดี ข้าขอสั่งให้กองทัพชาวทะเลถอนกำลังกลับไปอยู่ในที่มั่นของพวกเจ้า และจงเปิดทางให้คนของข้าอพยพได้โดยปลอดภัย หวังว่านักบวชหรงคงออกคำสั่งต่อกองทัพได้ไม่มีปัญหา และจงทำให้แน่ใจว่าระหว่างที่พวกข้าเดินทางนั้น จะไม่มีชาวทะเลเข้ามาปั่นป่วนแทรกแซงหรือก่อความวุ่นวาย มิฉะนั้น…
หลินเป่ยเฉินยกกระบี่สายฟ้าขึ้นทาบลงไปบนน้ำตาเทพเจ้าอีกครั้ง
นักบวชหรงพยักหน้าเร่งร้อน เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้ว
หลินเป่ยเฉินยิ้มมุมปาก ความปรารถนาข้อที่สี่…
หญิงชราหลังค่อมมีใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความอึดอัดขัดใจ พอเสียที เจ้าอย่าโลภมากให้เกินไปนัก…
หลินเป่ยเฉินยังคงพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม อย่าเพิ่งใจร้อนสิ ความปรารถนาข้อที่สี่จะเป็นอะไรนั้นข้าก็ลืมไปแล้ว เอาเป็นว่าขอเวลาข้าคิดก่อนก็แล้วกัน… แต่อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลยนะ นักบวชหรงสนใจร่วมเดินทางไปพร้อมกับพวกเราหรือไม่? อย่างน้อยเจ้าก็จะได้แน่ใจว่าน้ำตาเทพเจ้าปลอดภัยดีและไม่ได้สูญหายไปไหน
หลินเป่ยเฉินรู้ดีว่าควรจะหยุดเวลาใด
คนเราไม่ควรกดขี่ข่มเหงฝ่ายตรงข้ามมากเกินไป
มิฉะนั้นแล้ว อาจกลายเป็นฝ่ายตนเองที่ตกม้าตายได้ง่ายๆ
ย่อมได้
นักบวชหรงพยักหน้า แต่เมื่อพวกเจ้าเดินทางไปถึงนครเจาฮุยแล้ว หลินเป่ยเฉิน เจ้าต้องคืนน้ำตาเทพเจ้ามาให้ข้า มิเช่นนั้น จะถือว่าข้อตกลงของเราเป็นอันโมฆะ
หลินเป่ยเฉินผงกศีรษะ ตอบรับกลับไป ม.ม.ป.ห.
หญิงชราขมวดคิ้วด้วยความมึนงง
หมายความว่าไม่มีปัญหา
ประเสริฐ ข้าเชื่อถือในคำพูดของเจ้า
พูดจบ นักบวชหรงก็ยกมือโบกสะบัดเล็กน้อย
แล้วกองทัพชาวทะเลที่รวมพลกันอยู่บริเวณตีนเขาก็ถอนกำลังกลับไปอย่างรวดเร็ว
ชาวเมืองหยุนเมิ่งล้วนถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
ปลอดภัยแล้ว
ในที่สุด พวกเขาก็ปลอดภัยแล้ว
เกิดเสียงโห่ร้องดังออกมาจากภูเขาเสี่ยวซียิ่งกว่าเสียงภูเขาไฟระเบิด
เป็นเสียงโห่ร้องด้วยความดีใจของผู้คน
ผู้เฒ่าผู้แก่และสตรีกำลังร้องไห้ออกมาด้วยความปลาบปลื้ม
ในโลกนี้ไม่มีใครประเสริฐเท่ากับคุณชายหลินอีกแล้ว
ขอให้คุณชายหลินอายุยืนหมื่นปี
ขอให้คุณชายหลินมีความแข็งแกร่งเช่นนี้ตลอดไป
เสียงร้องตะโกนดังกังวานท่วมภูเขาเสี่ยวซี
หลินเป่ยเฉินไม่มีเวลามาชื่นชมกับคำสรรเสริญของชาวเมือง
เขาออกคำสั่งให้ทุกคนเริ่มการอพยพโดยทันที
ก่อนหน้านี้ เด็กหนุ่มได้อัปโหลดศิลาบูชาที่ขุดขึ้นจากเหมืองหินใต้ดินเก็บไว้ในแอปไป่ตู้ เน็ตดิสก์หมดแล้ว แม้แต่ของมีค่าเล็กๆ น้อยๆ เขาก็ไม่ปล่อยทิ้งเอาไว้
เมื่อชาวเมืองทำพิธีคำนับคนตายบนภูเขาเสี่ยวซีอย่างรวบรัดเรียบร้อย พวกเขาก็เริ่มต้นการอพยพอย่างเป็นทางการ
หลินเป่ยเฉินเปิดดูแอปไป่ตู้ แมป และเลือกเส้นทางที่ปลอดภัยมากที่สุด นำขบวนชาวเมืองลงจากภูเขาเสี่ยวซี เดินทางขึ้นเหนือ
นักบวชหรงยืนอยู่บนหัวมังกรเขียวบินติดตามมาบนท้องฟ้าทางด้านหลัง
ดวงตาสีแดงก่ำของมังกรให้ความรู้สึกเหมือนโลกนี้มีพระจันทร์สีเลือดอยู่สองดวง และเป็นพระจันทร์ที่แผ่รังสีอำมหิตออกมาตลอดเวลา
แต่ชาวเมืองหยุนเมิ่งก็ไม่ได้หวาดกลัวอีกแล้ว
ระหว่างการเดินทาง พวกเขารับประทานอาหารอย่างรวดเร็ว
ภายใต้การสั่งงานของหลินเป่ยเฉิน โอสถต้าชิงชุดแรกได้ถูกแจกจ่ายออกมา
โอ้โห ยอดเยี่ยมเหลือเกิน
พอกินเข้าไปแล้วข้าก็ไม่รู้สึกหิวอีกเลย
กำลังวังชาของข้าก็ฟื้นฟูกลับมาแล้ว
ได้ข่าวว่านี่เป็นยาลูกกลอนวิเศษที่คุณชายหลินจัดเตรียมไว้ให้กับพวกเราโดยเฉพาะ
คุณชายช่างมีเมตตาเหลือเกิน ข้ารู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนัก
ใช่แล้ว ข้าแทบนับไม่ไหวแล้วว่าเขาช่วยเหลือพวกเราไว้กี่ครั้งกัน
แทนที่จะเรียกว่าโอสถต้าชิง เหตุไฉนเราถึงไม่เรียกยาลูกกลอนนี้ว่าโอสถเป่ยเฉินล่ะ?
จริงด้วย เพราะนี่คือยาลูกกลอนที่เกิดขึ้นมาได้จากความเมตตาของคุณชายหลินแท้ๆ
นั่นสินะ
ชาวเมืองหยุนเมิ่งพูดคุยกันอย่างมีความสุข และในที่สุด พวกเขาก็เปลี่ยนชื่อยาวิเศษมาเป็นชื่อของหลินเป่ยเฉินโดยที่เด็กหนุ่มไม่รู้ตัวแม้แต่น้อยฃ
ถ้าอ่าน เซียนกระบี่มาแล้ว ถึงบทนี้แล้วยังไม่จุใจ งั้นไปอ่านกันต่อได้ที่เว็บ Enjoybook.co เพราะที่นั่นลงนำไปแล้วกว่า 30 ตอน !! #อ่านก่อนใครได้ที่เว็บเอนจอย
เดิมทีนั้น องค์หญิงเค่อเอ๋อร์มั่นใจว่าเมื่อตนเองนำผ้าเช็ดหน้าปักลายมอบให้แก่หลินเป่ยเฉิน เด็กหนุ่มผู้นี้จะต้องเกิดความสับสนและทำทุกวิถีทางเพื่อเข้าหานางให้ได้
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าหลินเป่ยเฉินกลับไม่สนใจผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นสักนิด
เหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
นั่นทำให้องค์หญิงเค่อเอ๋อร์เกิดความหงุดหงิดใจมากกว่าเก่า เพราะนี่เป็นการบอกให้รู้ว่าหลินเป่ยเฉินไม่ได้เห็นนางอยู่ในสายตา
แต่ภายหลัง เมื่อเด็กสาวได้มีเวลาคิดไตร่ตรองอย่างจริงจัง องค์หญิงเค่อเอ๋อร์ถึงได้รู้ว่าทั้งหมดในหัวใจของหลินเป่ยเฉินขณะนี้ เขาทุ่มเทความสนใจให้แก่ชาวเมืองหยุนเมิ่งหมดสิ้น ไม่มีเวลามาสนใจเรื่องส่วนตัวอีกแล้ว
นี่คือสิ่งที่เด็กหนุ่มต้องเลือกระหว่างเรื่องส่วนรวมกับเรื่องส่วนตัว
ดังนั้น หลินเป่ยเฉินผู้ถูกเรียกว่าเป็นความหวังของเมืองหยุนเมิ่ง จึงไม่สามารถละทิ้งชาวเมืองได้เด็ดขาด
ผลก็คือ องค์หญิงเค่อเอ๋อร์ยิ่งเกิดความรู้สึกอยากครอบครองหลินเป่ยเฉินมากขึ้นและมากขึ้น
ในความคิดของเด็กสาว มีแต่เอาชนะใจหลินเป่ยเฉินให้ได้ และทำทุกวิถีทางเพื่อให้เขายอมศิโรราบอยู่ใต้ชายกระโปรงของนางเท่านั้น ถึงจะเป็นการพิสูจน์ว่าองค์หญิงเค่อเอ๋อร์ผู้นี้ คือบุคคลทรงเสน่ห์ที่แท้จริง
นับเป็นภารกิจที่ยากพอสมควร
แต่ยิ่งมีความยากลำบากมากเท่าไหร่ องค์หญิงเค่อเอ๋อร์ก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้นมากเท่านั้น
วันนี้ นางตั้งใจมารับชมการสังหารหมู่ชาวเมืองหยุนเมิ่ง
แต่ในเวลาเดียวกันนั้น เด็กสาวก็ตั้งใจเอาไว้ว่าหากหลินเป่ยเฉินตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายถึงชีวิต ตนเองก็จะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ
นี่คือแผนการขั้นตอนแรกในการเอาชนะใจเขาให้ได้
องค์หญิงเค่อเอ๋อร์มั่นใจมากว่าตนเองจะสามารถพิชิตใจหลินเป่ยเฉินได้ในท้ายที่สุด
ดังนั้น เด็กสาวจึงคิดไม่ถึงเลยว่าเพียงขั้นตอนแรก แผนการของนางก็ล้มเหลวเสียแล้ว
องค์หญิงเค่อเอ๋อร์ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าหลินเป่ยเฉินจะมีเครื่องรางรูปดาวทะเลสีเหลืองนั้นอยู่ในการครอบครอง และเห็นได้ชัดว่ามันต้องเป็นเครื่องรางที่มีสถานะสูงส่งมากพอ มิฉะนั้นแล้ว นักบวชหรงผู้ยิ่งใหญ่ของชาวทะเลและเป็นผู้ที่บงการแผนการตลอดระยะเวลาหลายวันที่ผ่านมา คงไม่คุกเข่าลงไปเช่นนั้น
นั่นคือสิ่งที่ยืนยันว่าเครื่องรางดาวทะเลไม่ใช่ของธรรมดา
แม้แต่นักบวชระดับสูงจากมหาวิหารสมุทร ก็ยังต้องคุกเข่าแสดงความเคารพต่อหน้าหลินเป่ยเฉิน
แม้จะไม่เต็มใจเลยก็ตาม
ทันใดนั้น องค์หญิงเค่อเอ๋อร์ก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้
หรือว่านั่นจะเป็นเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์จากเทพเจ้าแห่งท้องทะเล
บรรดาองครักษ์ที่ยืนอยู่บนก้อนเมฆทางด้านหลังส่งเสียงถามออกมาด้วยความตกตะลึง เหตุไฉนมนุษย์ธรรมดาถึงมีเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์นั้นอยู่ในการครอบครองได้ล่ะขอรับ?
ดวงตาขององค์หญิงเค่อเอ๋อร์เป็นประกายระยิบระยับ
เขาต้องได้มาจากอาจารย์ของตนเองแน่ๆ…
เด็กสาวพูดออกมาได้เพียงเท่านั้น
บัดนี้ อาจารย์ของหลินเป่ยเฉินมีสถานะเป็นเจ้าเมืองคนใหม่แห่งเมืองหยุนเมิ่ง
ว่ากันว่าองค์หญิงแห่งท้องทะเลเป็นคนรักของเขา
เพื่อติงซานฉือ องค์หญิงแห่งท้องทะเลไม่ลังเลที่จะมีเรื่องขัดใจกับบิดาของตนเอง รวมไปถึงมีเรื่องขัดแย้งกับมหาวิหารสมุทรและชาวทะเลจำนวนมาก นางถึงกับยอมรับโทษทัณฑ์ถูกจองจำ 15 ปีเพื่อติงซานฉือ และยังคลอดลูกสาวของเขาออกมาอีกด้วย…
ดังนั้น ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ที่องค์หญิงแห่งท้องทะเลจะขโมยเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ออกมาจากวิหารใต้สมุทรและมอบมันให้แก่หลินเป่ยเฉิน
แต่ติงซานฉือต้องเป็นบุคคลที่ทรงเสน่ห์ขนาดไหนกันนะ องค์หญิงแห่งท้องทะเลผู้สูงส่งทั้งทางด้านสถานะและระดับพลัง ถึงยินดีทำเพื่อเขาขนาดนี้?
องค์หญิงเค่อเอ๋อร์ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย
…
เป็นไปได้อย่างไรกัน?
อีกด้านหนึ่งนั้น
ภายใต้การปกคลุมของกลุ่มก้อนเมฆขาว องค์หญิงแห่งท้องทะเลมีสีหน้าแตกตื่นตกใจยิ่งกว่าพวกขององค์หญิงเค่อเอ๋อร์เสียอีก
ติงซานฉือผู้ที่ยืนอยู่ข้างกายนางกระซิบถามออกมาว่า ของที่อยู่ในมือเจ้าเด็กน้อยผู้นั้นคือสิ่งใด?
องค์หญิงแห่งท้องทะเลตอบว่า นั่นคือเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ระดับสูงของเทพเจ้าแห่งท้องทะเล
เครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ระดับสูง?
ถูกแล้ว ในวิหารใต้สมุทร นี่คือเครื่องรางที่มีความพิเศษมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์ไหน ถ้ามีเครื่องรางดาวนำโชคอยู่ในมือ ก็สามารถออกคำสั่งให้เผ่าพันธุ์ชาวทะเลทำทุกอย่างได้ตามที่ต้องการ ถึงแม้คนผู้นั้นจะเป็นนักบวชระดับสูงหรือเชื้อพระวงศ์ก็ตาม
มีของเช่นนี้ด้วยหรือ? แล้วเจ้าไปแอบหยิบยื่นให้เด็กนั่นตั้งแต่เมื่อไหร่?
ไม่นะ ข้าไม่ได้มอบให้กับเขา…
หืม แต่นั่นคงหมายความว่าเจ้าเด็กแสบคงกลับมามีทางรอดแล้วสินะ?
คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของพวกเราระบุเอาไว้ว่า ผู้ใดก็ตามที่ถือครองเครื่องรางดาวนำโชคจะสามารถสั่งงานได้ทุกอย่าง หากคำสั่งเหล่านั้นไม่ก่อให้เกิดการเสียผลประโยชน์ต่อเผ่าพันธุ์ชาวทะเล ดังนั้น หากลูกศิษย์ของท่านคิดจะสั่งให้กองทัพชาวทะเลถอนกำลังกลับไป นั่นก็ใช่ว่าจะเป็นไปได้
ถ้าเครื่องรางชิ้นนี้มาอยู่ในมือเจ้า เจ้าจะทำอย่างไร?
หากเครื่องรางชิ้นนี้มาอยู่ในมือข้า ข้าก็จะออกคำสั่งให้ชาวทะเลถอนกำลังกลับ แต่ทว่า… ท่านย่อมรู้ดี ข้าไม่สามารถทำเช่นนั้นได้อีก เพื่อท่านและลูกของท่าน ข้าต้องทำผิดต่อชาวทะเลมามากพอแล้ว
ถ้าอย่างนั้นก็ถือว่าลูกศิษย์ของข้าฉลาดมาก ที่ไม่มอบเครื่องรางชิ้นนั้นให้แก่เจ้า
ท่านคงสงสัยแล้วกระมังว่าลูกศิษย์ของตนเอง ไปเอาเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ของเทพเจ้าแห่งท้องทะเลมาจากไหน?
บอกตามตรง ข้าไม่เคยสงสัยในตัวหลินเป่ยเฉินอีกแล้ว… เพราะข้ารู้ดีว่าระดับความเข้าใจของตนเองยังต่ำต้อยมากเกินไป และหลินเป่ยเฉินก็สามารถทำให้อาจารย์คนนี้ประหลาดใจได้เสมอ
…
แค่คุกเข่าธรรมดามันไม่พอหรอกนะ
หลินเป่ยเฉินกระพือปีกกระบี่บนแผ่นหลัง มวลอากาศเกิดความปั่นป่วน ในมือซ้ายของเขาชูเครื่องรางดาวนำโชคขึ้นสูงและพูดด้วยใบหน้าที่ยิ้มร่า นักบวชหรง นี่คือเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ระดับสูงของเทพเจ้าที่พวกเจ้าเคารพรักไม่ใช่หรือ หากจะคุกเข่าลงไปทั้งที เอาให้มันดูนอบน้อมมากกว่านี้หน่อยได้ไหม?
นักบวชหรงเกือบจะสบถคำหยาบออกมาแล้ว
สำหรับบรรดานักบวชแห่งอาณาจักรใต้ทะเล เมื่อพบเห็นเครื่องรางดาวนำโชคชิ้นนี้ ก็ไม่ต่างจากพบเจอท่านนักบวชเทวะ
นางต้องคุกเข่าทำความเคารพด้วยความนอบน้อม
ไม่มีโอกาสหลีกหนีหรือหลบเลี่ยง
หลินเป่ยเฉินบินเข้ามาใกล้ๆ อย่างแช่มช้าและใช้เท้าของเขาเหยียบลงไปบนศีรษะของหญิงชราหลังค่อม
นักบวชหรงประสานมือทั้งสองข้างออกมาข้างหน้า
ความโกรธแค้นและความอับอายทำให้ร่างกายหญิงชราสั่นเทา นิ้วมือของนางที่กำรวบเข้าหากันเกิดเสียงดังกร๊อบแกร๊บออกมาอย่างรุนแรง
เลือดสายหนึ่งไหลทะลักออกมาจากมุมปาก
นักบวชหรงกำลังกัดริมฝีปากตนเองด้วยความโกรธแค้น
หลินเป่ยเฉินเพิ่มแรงกดลงไปที่เท้าของตนเอง ศีรษะของนักบวชหรงจึงก้มต่ำลงไปใต้แขนทั้งสองข้างของนางมากขึ้นเรื่อยๆ
หลังจากนั้น เด็กหนุ่มก็หันมากวาดตามองกองทัพชาวทะเลที่อยู่ด้านล่าง
กองทัพกำแพงเหล็กของชาวทะเลปลดปล่อยรังสีอำมหิตออกมาด้วยความโกรธแค้น แต่บัดนี้ ก็จนใจที่พวกมันทำอะไรไม่ได้ นักรบชาวทะเลทุกตัวยืนนิ่งเฉยไม่ต่างจากรูปปั้นดินเหนียวอยู่ที่เชิงเขาต่อไป พวกมันไม่เคยพบเจอสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน จึงทำอะไรไม่ถูกอีกแล้ว
ในฐานะสาวกผู้ศรัทธาเทพเจ้าแห่งท้องทะเล พวกมันย่อมรู้ดีว่าของในมือหลินเป่ยเฉินคือสิ่งใด
เป็นเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ระดับสูง
เป็นเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ที่พวกมันยินดีเสียสละเลือดเนื้อและชีวิต เพื่อปกป้องสุดความสามารถ
ตั้งแต่ตอนที่เห็นเครื่องรางดาวทะเลปรากฏอยู่ในมือของหลินเป่ยเฉิน นักรบชาวทะเลเหล่านี้ ก็รู้สึกหัวสมองว่างเปล่าไปทันที
หลังจากนั้น นายทหารที่อยู่แถวหน้าสุด ก็คุกเข่าลงไปบนพื้นดิน
ตามมาด้วยนายทหารที่อยู่แถวหลังต่อๆ กันไป
พรึ่บพรั่บ!
เสียงคุกเข่า เสียงชุดเกราะกระทบกัน และเสียงโขกศีรษะกระทบพื้นดินคือสิ่งที่ดังขึ้นไล่เลี่ยกัน
การกระทำเหล่านี้เกิดเป็นระลอกคลื่นอย่างต่อเนื่อง
กองทัพชาวทะเลคุกเข่าลงไปหมดแล้ว
แม้แต่แม่ทัพใหญ่ของชาวทะเลสายพันธุ์ต่างๆ ไม่ว่าจะมาจากเผ่าพันธุ์ฉลามวาฬ เผ่าพันธุ์ฉลามเสือ หน่วยไล่ล่าของนักรบแมวน้ำ ลูกน้องเก่าของแม่ทัพฉลามอู๋หยาผู้เกลียดชังหลินเป่ยเฉินจับใจ ไปจนถึงนายทหารกุ้งทะเลซึ่งเป็นทหารระดับต่ำต้อย…
ทุกสายพันธุ์ ทุกหน่วยรบ
ต่างก็ต้องคุกเข่าลงไปกับพื้นดิน
โดยไม่จำเป็นให้หลินเป่ยเฉินออกคำสั่งแม้แต่คำเดียว
สีหน้าของพวกมันเต็มไปด้วยความศรัทธา สายตาที่มองเครื่องรางดาวทะเลในมือหลินเป่ยเฉิน เป็นสายตาแห่งความเคารพเทิดทูน ไม่ต่างจากได้พบเห็นเทพเจ้าแห่งท้องทะเลตัวจริง
พวกมันคุกเข่าลงไปบนพื้นดิน
โขกศีรษะลงไปบนพื้นดิน
เสียงชุดเกราะกระทบกันดังโกร่งกร่าง
กองทัพชาวทะเลหลายพันตัว ไม่ว่าจะเป็นแม่ทัพผู้นำหรือนายทหารผู้ติดตาม ต่างก็คุกเข่าลงไปและโขกศีรษะคำนับหลินเป่ยเฉินด้วยความเคารพนอบน้อม
ชาวเมืองหยุนเมิ่งที่ยืนอยู่บนภูเขาจ้องมองเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ด้วยความตกตะลึง
พวกเขาไม่เข้าใจเลยว่าเกิดอะไรขึ้น!
ถ้าอ่าน เซียนกระบี่มาแล้ว ถึงบทนี้แล้วยังไม่จุใจ งั้นไปอ่านกันต่อได้ที่เว็บ Enjoybook.co เพราะที่นั่นลงนำไปแล้วกว่า 30 ตอน !! #อ่านก่อนใครได้ที่เว็บเอนจอย
