ผู้ใดเคยมีประสบการณ์พบเจอกับความหมดหวังที่สุดในชีวิตบ้าง?
ผู้ใดเคยได้ลิ้มลองรสชาติการหลบหนีจากความตายในระยะกระชั้นชิดบ้าง?
ผู้ใดเคยได้สัมผัสความสวยงามยามดอกไม้บานบ้าง?
ชีวิตและความตาย นับเป็นเรื่องที่สามารถเกิดความผกผันได้ในพริบตาเดียว และความรู้สึกเหล่านั้นก็คือสิ่งที่ชาวเมืองหยุนเมิ่งเพิ่งจะเผชิญอยู่เมื่อสักครู่นี้
พวกของฉู่เหินไม่เข้าใจเลยว่าของที่อยู่ในมือหลินเป่ยเฉินคืออะไร
แต่สำหรับชาวเมืองหยุนเมิ่ง พวกเขารู้สึกว่าวันนี้ตนเองคงยังไม่ถึงที่ตายเป็นแน่แท้ และนั่นก็ไม่สำคัญอีกแล้วว่าสิ่งของที่อยู่ในมือหลินเป่ยเฉินมันคืออะไรกันแน่
ทุกคนเฝ้ามองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความตกตะลึง
ความศรัทธาที่พวกเขามีต่อเด็กหนุ่มยิ่งพุ่งทะยานขึ้นสูง
พลังศักดิ์สิทธิ์ที่ไหลทะลักออกมาจากร่างกายของหลินเป่ยเฉินก็ยิ่งมากล้นตามไปด้วย
ปีกกระบี่ที่อยู่บนแผ่นหลังแผดแสงสว่างเจิดจ้า เมื่อหลินเป่ยเฉินกระพือปีก รอบกายของเขาพลันเกิดพายุลมหมุนขึ้นมาอย่างรุนแรง!
พลังศักดิ์สิทธิ์แผ่กระจายไปรอบทิศทาง
เพียงไม่กี่ลมหายใจ ระดับพลังของหลินเป่ยเฉินก็เลื่อนขึ้นไปอีกหนึ่งขั้น
สำหรับกับเด็กหนุ่มแล้ว นี่คือความเปลี่ยนแปลงที่น่าเหลือเชื่อ
เขาคิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าแรงศรัทธาของชาวเมืองจะมีผลมากมายถึงเพียงนี้
หลินเป่ยเฉินรู้สึกขนลุกกับพลังศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในตัวไม่ใช่น้อย
แต่ในทันใดนั้นเอง…
พอได้แล้ว
นักบวชหรงที่คุกเข่าก้มศีรษะใต้เท้าหลินเป่ยเฉินอยู่ถึง 20 ลมหายใจเต็มๆ พลันระเบิดเสียงคำรามออกมาจากในลำคอ เสียงคำรามของนางนั้นราวกับเป็นเสียงคำรามของสัตว์ร้ายจากนรกก็ไม่ปาน
การพบเห็นผู้ที่ถือครองเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ มีกฎระเบียบคือต้องคุกเข่าแสดงความเคารพ
แต่การก้มศีรษะคำนับมีระยะเวลากำหนดไว้
เพราะมันเป็นการคุกเข่าแสดงความเคารพต่อเทพเจ้าแห่งท้องทะเลผู้ศักดิ์สิทธิ์
มิใช่การคุกเข่ายอมแพ้ต่อผู้ถือครองเครื่องราง
ยิ่งไปกว่านั้น เครื่องรางดาวนำโชคกลับตกไปอยู่ในมือของเผ่าพันธุ์มนุษย์
นั่นยิ่งเป็นการทำให้นักบวชหรงทำใจลำบากที่จะต้องคุกเข่าก้มศีรษะต่อไป
หลินเป่ยเฉินถอยกายกลับไปทันที
เว้นระยะห่างที่ปลอดภัย
เพราะวันนั้นเขาคาดคั้นคำตอบจากที่ปรึกษาเต่าทะเลกุยเหนียนได้สำเร็จ หลินเป่ยเฉินจึงรู้แล้วว่าเครื่องรางดาวทะเลชิ้นนี้มีความสามารถทำอะไรได้บ้าง
ดังนั้น เด็กหนุ่มจึงรู้ตั้งแต่แรกว่าเขาไม่สามารถทำให้นักบวชหรงก้มหัวคุกเข่าได้ตลอดไป
ใบหน้าของหญิงชราหลังค่อมเต็มไปด้วยความโกรธแค้น
นางเงยหน้าขึ้นมาอย่างแช่มช้า
ดวงตาจ้องมองหลินเป่ยเฉินด้วยความขื่นขม
จากนั้นจึงลุกขึ้นยืน
นักบวชหรงยกมือปาดคราบเลือดออกไปจากมุมปาก
ว่ามา เจ้ามีความปรารถนาใด?
หญิงชราถอนหายใจออกมายาวแรง สีหน้าที่โกรธแค้นปรากฏความเยือกเย็นกลับมาเป็นปกติดังเดิม
เหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นสักนิดเดียว
แม้แต่เสียงพูดของนางก็ยังเยือกเย็นไม่เปลี่ยนแปลง
มีเพียงส่วนลึกของดวงตาเท่านั้นที่อธิบายความรู้สึกแท้จริงได้ในขณะนี้
หลินเป่ยเฉินหัวเราะในลำคอ เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ?
นักบวชหรงคลี่ยิ้มเยือกเย็นและพูดว่า ผู้ใดก็ตามที่ถือครองเครื่องรางดาวนำโชค ย่อมสามารถออกคำสั่งต่อชาวทะเลได้แทบทุกอย่าง แม้ว่าผู้ถือครองนั้นจะไม่ได้เป็นชาวทะเลก็ตาม แต่คำสั่งของเจ้าต้องไม่ก่อให้เกิดการเสียผลประโยชน์ต่อเผ่าพันธุ์ของพวกเรา ดังนั้น ถ้าเจ้าอยากจะให้กองทัพชาวทะเลถอนกำลังกลับไปจากแผ่นดินใหญ่ ก็จงลองคิดดูให้ดี เพราะนั่นคือสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
หลินเป่ยเฉินพูดว่า ไม่คิดบ้างหรือว่าบางที ข้าอาจจะสั่งให้เจ้าอยู่ที่นี่ตลอดไปเลยก็ได้
หญิงชราหลังค่อมชะงักไปเล็กน้อย
หากหลินเป่ยเฉินออกคำสั่งให้นางฆ่าตัวตายอยู่ที่นี่ นั่นย่อมไม่นับเป็นการเสียผลประโยชน์ต่อชาวทะเลแน่นอน
และนางคงไม่มีโอกาสได้กลับมาแก้แค้นอีกแล้ว
หากเจ้าโง่เง่ามากพอ จะลองดูก็ย่อมได้
นักบวชหรงเสแสร้งแกล้งพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา ถึงอย่างไรเสีย ข้าก็ยังมีเพื่อนอีกสองคนของเจ้าอยู่ในมือ ถ้าข้าเกิดเป็นอะไรขึ้นมา เจ้าก็มาเก็บศพเพื่อนของตนเองกลับไปด้วยแล้วกัน
เพื่อสนับสนุนให้คำพูดของหญิงชรามีความหนักแน่นมากพอ ที่ปรึกษาเต่าทะเลกุยเหนียนจึงลากตัวฮันปู้ฟู่กับเยว่หงเซียงออกมาข้างหน้า
เด็กหนุ่มและเด็กสาวคู่นี้ถูกชาวทะเลสร้างม่านพลังปริศนาอำพรางสายตา
ผู้คนที่มองขึ้นมาจากข้างล่างจะมองไม่เห็นพวกเขา
แน่นอนว่าย่อมมองไม่เห็นถึงกระบี่ที่กำลังพาดอยู่บนลำคอของเด็กทั้งสองคนด้วยเช่นกัน
ตราบใดที่นักบวชหรงออกคำสั่ง กระบี่เหล่านั้นก็สามารถตัดศีรษะของฮันปู้ฟู่กับเยว่หงเซียงได้ตลอดเวลา
หลินเป่ยเฉินยิ้มออกมาเล็กน้อย
เขาจ้องมองนักบวชหรง พูดด้วยน้ำเสียงท้าทาย ข้าขอเดิมพันด้วยสุราหมัก 30 ปี เจ้าไม่มีทางกล้าสังหารพวกเขาเด็ดขาด
เมื่อหญิงชราหลังค่อมใช้ฮันปู้ฟู่กับเยว่หงเซียงเป็นเครื่องมือข่มขู่หลินเป่ยเฉิน นั่นก็แสดงให้เห็นว่าขณะนี้นางเริ่มเกิดความรู้สึกหวาดกลัวหลินเป่ยเฉินขึ้นมาจริงๆ แล้ว
เมื่อเห็นว่าลูกไม้ของตนเองใช้ไม่ได้ผล
สีหน้าของนักบวชหรงก็กลับมาเคร่งเครียดอีกครั้ง
นั่นแหละ เวลาที่เจ้าโกรธ เวลาที่เจ้าอับจนหนทาง เวลาที่เจ้าไม่รู้ว่าสมควรทำอย่างไรต่อไป มันทำให้ข้ารู้สึกดีเหลือเกิน เลิกเสแสร้งแกล้งทำเป็นเยือกเย็นได้แล้ว ข้าไม่เชื่อว่าหญิงชราอย่างเจ้าจะไม่รู้สึกหงุดหงิดใจ
หลินเป่ยเฉินยังคงเหยียดหยามต่อไป
บอกความปรารถนาของเจ้าออกมาได้แล้ว
นักบวชหรงกัดฟันกรอด หน้าอกไหวกระเพื่อมขึ้นลงจากการสูดอากาศหายใจอย่างรุนแรง หากเจ้าต้องการอพยพผู้คนออกไปจากเมืองหยุนเมิ่งอย่างปลอดภัย ข้าก็จะไม่ขัดขวาง
นี่คือข้อเสนอที่เย้ายวนใจ
นี่คือข้อเสนอที่ยากต่อการปฏิเสธ
และบรรดาชาวเมืองหยุนเมิ่งที่ยืนอยู่บนภูเขาในขณะนี้ ต่างก็มีดวงตาลุกวาวขึ้นมาทันที
เพราะนี่คือโอกาสที่พวกเขาจะได้หลบหนีออกไปอย่างปลอดภัย
ที่แท้การที่หลินเป่ยเฉินเรียกให้พวกเขามารวมตัวกันบนภูเขาแห่งนี้ ก็เพราะเด็กหนุ่มมีความมั่นใจตั้งแต่แรกว่าตนเองจะสามารถนำทุกคนอพยพออกไปได้อย่างปลอดภัยนั่นเอง
ไม่มีแผนการใดจะสมบูรณ์แบบมากไปกว่านี้อีกแล้ว
ทุกคนรู้สึกโล่งใจ
ไม่เคยมีครั้งไหนที่ชาวเมืองจะรู้สึกว่าชีวิตของตนเองมีความหวังมากไปกว่านี้
หลินเป่ยเฉินยกมือนวดขมับอย่างใช้ความคิดพร้อมกับพูดว่า ฟังดูเป็นข้อเสนอที่ดีไม่ใช่น้อย นับว่านักบวชหรงห่วงใยพวกเราชาวเมืองหยุนเมิ่งอย่างแท้จริง… ฮ่าฮ่า แต่ระหว่างเดินทางล่ะ พวกเราจะทำอย่างไร ผู้คนจำนวนนับหมื่นคงต้องการอาหารปริมาณมากมายมหาศาล ไม่ทราบว่าเจ้าพอจะแบ่งปันอาหารทะเลมาให้พวกเราได้บ้างหรือไม่?
หญิงชราหลังค่อมยิ้มมุมปาก ตอบกลับไปว่า นั่นถือเป็นความปรารถนาข้อที่สอง และเครื่องรางดาวนำโชคในมือเจ้า ก็สามารถสั่งให้พวกข้าทำอะไรก็ได้เพียงข้อเดียวเท่านั้น
หลังหยุดชะงักเล็กน้อย นักบวชหรงก็กล่าวต่อ เมื่อสักครู่นี้ ข้าลืมบอกเจ้าไปเลยว่าหากเจ้าเลือกที่จะอพยพผู้คนออกไปจากเมืองนี้อย่างปลอดภัย เจ้าก็ต้องเสียสละชีวิตเพื่อนทั้งสองคนของเจ้าด้วยเช่นกัน
นางกำลังหมายถึงฮันปู้ฟู่และเยว่หงเซียง
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ ในที่สุด สีหน้าของหญิงชราก็กลับมามีความสบายใจขึ้นอีกครั้ง
นางอยากจะเห็นสีหน้าที่เจ็บปวดใจของหลินเป่ยเฉิน เพราะเขาไม่รู้ว่าตนเองสมควรตัดสินใจอย่างไร
นี่คือก้าวแรกแห่งการแก้แค้นของนักบวชหรง
ไม่คิดว่าเป็นการเอาเปรียบกันเกินไปหน่อยหรือ?
หลินเป่ยเฉินยิ้มออกมาด้วยความจริงใจ บัดนี้ เราลืมเรื่องเครื่องรางเทพเจ้าไปสักครู่ และมาแลกเปลี่ยนตัวประกันกันก่อนดีหรือไม่?
เด็กหนุ่มหมุนวนมือในอากาศ
แล้วร่างที่อยู่ในสภาพครึ่งเป็นครึ่งตายของเหลียวหวังซูก็ลอยขึ้นมาจากพื้นดิน
ท่านนักบวช… ได้โปรดช่วยข้าด้วย… ท่านนักบวชหรง… ช่วยข้าน้อยด้วย…
แววตาของเหลียวหวังซูเต็มไปด้วยความขอร้องอ้อนวอน
เขามองเห็นถึงความหวังที่จะรอดชีวิตอีกครั้ง
ต้องไม่ลืมว่าเหลียวหวังซูมีสถานะเป็นผู้ส่งสาส์นของเว่ยหมิงเฉิน แล้วชาวทะเลจะไม่ช่วยเหลือเขาได้อย่างไร?
แต่อย่างไรก็ตาม…
เจ้าคิดจะล้อเล่นหรือไร?
นักบวชหรงตอบกลับมาด้วยความเย็นชาและเหยียดหยาม คิดจะใช้มนุษย์เพียงคนเดียวแลกเปลี่ยนมนุษย์ถึงสองคนเนี่ยนะ? หึหึ คิดจะเอาเปรียบกันมากเกินไปแล้ว บุคคลที่อยู่ในมือเจ้า ไม่มีความสำคัญต่อพวกข้าแต่อย่างใด ไม่ว่ามันจะเป็นหรือตาย ก็ไร้ความหมายสำหรับชาวทะเล
นี่เจ้า…
เหลียวหวังซูอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจและความโกรธแค้น
ชายชราคิดไม่ถึงเลยว่าตนเองจะถูกถีบหัวส่งรวดเร็วถึงขนาดนี้
หลินเป่ยเฉินถอนหายใจออกมาด้วยความเบื่อหน่าย
ข้ารู้ตั้งนานแล้ว
หลังจากนั้น เขาก็โคจรพลังปราณธาตุไม้เร่งการเจริญเติบโตของเมล็ดพืชในตัวเหลียวหวังซู
ไม่กี่ลมหายใจตอบมา เมล็ดพืชเหล่านั้นก็ออกผลงอกงามตามเส้นเลือดและกล้ามเนื้อทะลุขึ้นมาบนผิวหนังของเหลียวหวังซู และดูดซับพลังงานจากอวัยวะภายในร่างกาย จนอวัยวะเหล่านั้นเหี่ยวแห้งปราศจากชีวิต
นี่คือชะตากรรมที่ชายชราผู้ละทิ้งศักดิ์ศรีของตนเองต้องพบเจอ เมื่อเขาเลือกที่จะเล่นบทนกสองหัว รับใช้ทั้งสองเผ่าพันธุ์อย่างไร้ยางอาย
ข้ารู้สึกเสียใจเหลือเกิน…
ลมหายใจสุดท้ายก่อนความตายมาเยือน เหลียวหวังซูได้แต่ถอนหายใจออกมาด้วยความเศร้าโศก
แล้วหลินเป่ยเฉินก็โยนซากศพของเหลียวหวังซูกลับลงไปบนพื้นดิน
ว่าแต่เจ้าไม่อยากรู้หรือไงว่าข้าไปเอาเครื่องรางดาวนำโชคชิ้นนี้มาจากไหน?
หลินเป่ยเฉินจ้องมองไปที่นักบวชหรง
หญิงชราหลังค่อมแค่นหัวเราะในลำคอ ต่อให้มีสถานะเป็นถึงองค์หญิงแห่งท้องทะเล แต่การขโมยเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ระดับสูงออกมาจากวิหารใต้สมุทรเช่นนี้ ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้พระองค์ต้องถูกลงโทษด้วยการจำคุกไปอีกหลายสิบปี
นักบวชหรงมั่นใจว่าองค์หญิงแห่งท้องทะเลต้องขโมยเครื่องรางชิ้นนี้ออกมาจากวิหารใต้สมุทร และมอบมันให้แก่องค์หญิงเค่อเอ๋อร์ ก่อนที่องค์หญิงผู้นั้นจะนำมามอบให้แก่หลินเป่ยเฉินอีกทีหนึ่ง
หลินเป่ยเฉินยิ้มแย้มและไม่อธิบาย
เพราะเขาไม่สามารถอธิบายได้เลยจริงๆ
ลองนึกดูสิว่าชาวทะเลจะทำสีหน้าอย่างไร ถ้าหลินเป่ยเฉินบอกความจริงว่า ตนเองพบเจอกับเทพเจ้าแห่งท้องทะเลผ่านทางแอปหาคู่ และเทพเจ้าแห่งท้องทะเลก็มอบเครื่องรางชิ้นนี้มาให้ เพราะอยากจะช่วยเหลือเขาให้กลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในเร็ววัน
เด็กหนุ่มยกมือขึ้นนวดขมับอีกครั้ง
และพูดออกมาว่า ความจริง ก่อนหน้านี้ข้าก็ไม่รู้หรอกนะว่าเครื่องรางดาวนำโชคชิ้นนี้มันคืออะไร ต้องขอบคุณที่ปรึกษากุยเหนียนที่ช่วยให้คำชี้แนะโดยละเอียด
หลินเป่ยเฉินโบกมือทักทายมนุษย์เต่าทะเลกุยเหนียน นี่ หันมาทักทายกันหน่อยสิท่านที่ปรึกษา ขอบใจท่านมากนะ เพื่อนยาก วันนั้นถ้าไม่ได้ท่านช่วยบอกข้อมูล วันนี้ข้าคงแย่แล้วแน่ๆ
ใบหน้าของมนุษย์เต่าทะเลกุยเหนียนผู้ยืนอยู่ด้านหลังนักบวชหรงกลายเป็นสีเขียวคล้ำด้วยความโกรธแค้นและอับอาย
มันรู้ดีว่าหลินเป่ยเฉินตั้งใจพูดออกมาเพื่อปั่นป่วนสถานการณ์
หลินเป่ยเฉินพยายามขุดหลุมพรางรอให้มันตกลงไปในกับดัก
ดังนั้น กุยเหนียนจึงไม่ตอบโต้อะไร
อ้อ จริงด้วยสิ พูดถึงเรื่องนี้แล้ว ข้าก็นึกขึ้นมาได้ว่าวันนั้นท่านที่ปรึกษาบอกความลับออกมาอย่างหนึ่ง การขึ้นบกมาครั้งนี้ของนักบวชหรงได้พกเอาเครื่องรางที่ชื่อว่าน้ำตาเทพเจ้ามาด้วย มันเป็นเครื่องรางที่สามารถสั่งงานชาวทะเลได้ก็จริง แต่ก็ยังมีสถานะต่ำต้อยมากกว่าเครื่องรางดาวนำโชคชิ้นนี้ใช่หรือไม่?
หลินเป่ยเฉินพูดด้วยน้ำเสียงสบายใจ
เจ้าหมายความว่าอย่างไร?
หัวใจของนักบวชหรงกระตุกวูบด้วยลางสังหรณ์อัปมงคลชนิดหนึ่ง
พลัน หลินเป่ยเฉินระเบิดเสียงหัวเราะจนไหล่สั่น
เขายังคงหัวเราะคิกคิกขณะพูดว่า ความปรารถนาของข้านั้นไม่มีอะไรซับซ้อน ในเมื่อข้าสามารถขออะไรก็ได้จากพวกเจ้าหนึ่งข้อ …เพราะฉะนั้น ข้าก็จะขอสั่งให้เจ้ามอบเครื่องรางน้ำตาเทพเจ้ามาให้ข้าเสียดีๆ
ถ้าอ่าน เซียนกระบี่มาแล้ว ถึงบทนี้แล้วยังไม่จุใจ งั้นไปอ่านกันต่อได้ที่เว็บ Enjoybook.co เพราะที่นั่นลงนำไปแล้วกว่า 30 ตอน !! #อ่านก่อนใครได้ที่เว็บเอนจอย
สีหน้าของนักบวชหรงแข็งค้างไปทันที
กุยเหนียนเองก็อ้าปากค้างด้วยความตกตะลึงเช่นกัน
ไม่น่าเลยจริงๆ
มนุษย์เต่าทะเลแทบไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ามันหลุดปากบอกข้อมูลสำคัญนั้นให้หลินเป่ยเฉินรับทราบ
กุยเหนียนย่อมคิดไม่ถึงว่าเครื่องรางดาวนำโชคและเครื่องรางน้ำตาเทพเจ้าจะถูกนำมาใช้ต่อรองกันเช่นนี้
เพราะไม่เคยมีใครทำสิ่งนี้มาก่อน
มัวยืนเฉยอยู่ทำไมอีก?
หลินเป่ยเฉินยกเครื่องรางดาวนำโชคในมือให้นักบวชหรงเห็นอย่างถนัดตาและพูดด้วยน้ำเสียงรำคาญใจ หรือว่าเจ้าคิดที่จะปฏิเสธอำนาจเครื่องรางเทพเจ้า?
นักบวชหรงปวดหัวอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน…
นางเริ่มเกิดความรู้สึกหวาดกลัวหลินเป่ยเฉินขึ้นมาโดยแท้จริง
ไม่มีใครสามารถคาดเดาความคิดของเด็กคนนี้ได้ทั้งนั้น
ข้าจะนับถึงสาม
หลินเป่ยเฉินพูดด้วยน้ำเสียงคุกคาม ถ้านับถึงสามแล้วเจ้ายังไม่ยอมส่งน้ำตาเทพเจ้าออกมา เท่ากับคิดปฏิเสธอำนาจของเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ นั่นหมายความว่านักบวชหรงผู้ยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรใต้ทะเล ได้เสื่อมศรัทธาในตัวของเทพเจ้าแห่งท้องทะเลแล้วใช่หรือไม่?
บนพื้นดินด้านล่างในขณะนี้
กองทัพชาวทะเลพากันเงยหน้ามองขึ้นมาที่นักบวชหรง
นักบวชหรงย่อมเข้าใจว่าสายตาเหล่านั้นหมายถึงอะไร
การปฏิเสธอำนาจเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ เท่ากับคิดก่อกบฏต่อเทพเจ้าแห่งท้องทะเล
หากข่าวนี้แพร่กระจายออกไป อย่าว่าแต่ตำแหน่งนักบวชของนางจะถูกปลด แม้แต่ชีวิตก็คงไม่มีทางเหลือรอด
หญิงชราหลังค่อมหันกลับมามองเต่าทะเลกุยเหนียน
สายตาของนางเต็มไปด้วยความดุดันราวกับต้องการจะถลกเนื้อเถือหนังที่ปรึกษาเต่าทะเลทั้งเป็น
กุยเหนียนได้แต่อ้าปากพะงาบๆ เหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่มีคำใดหลุดรอดออกมา
ย่อมได้ ไม่มีปัญหา
นักบวชหรงนำเครื่องรางน้ำตาเทพเจ้าสีฟ้าครามออกมา และใช้พลังลมปราณควบคุมมันให้ลอยออกไปข้างหน้าอย่างช้าๆ
หลินเป่ยเฉินมองเครื่องรางรูปทรงหยดน้ำตาด้วยแววตาเป็นประกายระยิบระยับ
น้ำตาเทพเจ้ามีรูปลักษณ์เป็นอัญมณีที่ไม่มีใครเหมือน
แต่เพื่อป้องกันให้แน่ใจว่าเครื่องรางที่เขาได้รับมานี้ไม่ใช่ของปลอม หลินเป่ยเฉินจึงเตรียมแผนสำรองเอาไว้ก่อนแล้ว
เด็กหนุ่มพูดเน้นย้ำทีละคำ สิ่งที่ข้าต้องการคือเครื่องรางน้ำตาเทพเจ้า ซึ่งมีอำนาจสามารถสั่งการกองทัพชาวทะเลได้ทุกสิ่งทุกอย่าง หวังว่าเจ้าคงไม่คิดนำของปลอมแปลงมาให้ข้า เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว นักบวชหรงคงรู้ดีว่าการแอบอ้างเทพเจ้านั้น มีโทษทัณฑ์หนักหนาสาหัสเช่นไร
เจ้ามนุษย์ผู้ยโสโอหัง
นักบวชหรงระเบิดเสียงคำรามออกมาอีกครั้ง ข้าเป็นถึงผู้มีตำแหน่งสูงส่งในมหาวิหารสมุทร จะลดตัวลงไปทำเรื่องต่ำช้าเช่นนั้นได้อย่างไร
ถ้าเช่นนั้นก็ดีแล้ว
หลินเป่ยเฉินยื่นมือออกไปหาอัญมณีสีฟ้าครามรูปทรงหยดน้ำตา
แล้วเครื่องรางชิ้นนั้นก็หล่นลงมาอยู่บนฝ่ามือของเขา
น้ำตาเทพเจ้ามีขนาดเท่ากับกำปั้นมือเด็กทารก แต่กลับมีน้ำหนักมากกว่าที่คิด
หลินเป่ยเฉินจึงมั่นใจว่ามันเป็นของจริง
เครื่องรางศักดิ์สิทธิ์รูปทรงหยดน้ำตาสะท้อนประกายกับแสงตะวันวิบวาว
ทันใดนั้น เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงหญิงสาวร้องไห้ดังออกมาจากเครื่องรางชิ้นนี้ และถ้าลองตั้งใจฟังให้ดี เสียงร้องไห้นั้นก็ดังมาพร้อมกับเสียงคลื่นทะเลซัดสาดใกล้ๆ อีกด้วย
ด้านในเครื่องรางมีพลังแปลกประหลาดหมุนเวียน
หลินเป่ยเฉินถึงกับเบิกตาโตด้วยความไม่อยากเชื่อ
เอาล่ะ คำสั่งแรกที่ข้าจะมอบต่อพวกเจ้าก็คือ…
หลินเป่ยเฉินหันหน้ากลับมามองนักบวชหรงและคนอื่นๆ
นักบวชหรงพูดสวนกลับมาด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ เจ้าเป็นมนุษย์ ต่อให้มีน้ำตาเทพเจ้าอยู่ในมือ ก็ไม่สามารถออกคำสั่งได้ตามอำเภอใจ ยิ่งคิดจะมาออกคำบัญชาพวกเรา นับว่าเป็นเรื่องเพ้อฝันเกินไป…
ว่าไงนะ?
หลินเป่ยเฉินยิ้มกริ่มและถามว่า ไม่ทราบนักบวชหรงมีความคิดเห็นเช่นนั้นจริงๆ หรือ?
หญิงชราหลังค่อมแค่นหัวเราะในลำคอ นับว่าเจ้าเป็นเด็กที่ฉลาดในเรื่องโง่เง่าสมคำเล่าลือ โอกาสหนีรอดของพวกเจ้าได้หลุดลอยออกไปแล้ว แทนที่เจ้าจะใช้สิทธิ์ที่ได้รับจากเครื่องรางดาวนำโชค ออกคำสั่งอพยพทุกคนไปจากเมืองหยุนเมิ่งอย่างปลอดภัย แต่เจ้ากลับเอามันมาใช้เรียกร้องขอครอบครองน้ำตาเทพเจ้าเสียอย่างนั้น ฮ่าฮ่าฮ่า
สองประโยคหลังสุด น้ำเสียงของนักบวชหรงเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม
หลินเป่ยเฉินไม่ได้พูดอะไรออกมา
เจ้าบอกว่าที่ปรึกษากุยเหนียนเป็นผู้ให้ข้อมูลใช่หรือไม่ หญิงชราหัวเราะในลำคอต่อไป ทว่ามันก็เป็นเพียงลูกเต่าโสโครกตัวหนึ่ง จะไปรู้ข้อมูลระดับสูงได้อย่างไร
กุยเหนียนที่ยืนอยู่ด้านข้างเลิกคิ้วขึ้นสูงและหันขวับไปมองหน้านักบวชหรงทันที…
แต่ดูเหมือนหลินเป่ยเฉินจะคาดเดาเหตุการณ์นี้ได้นานแล้ว จึงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แน่ใจหรือ? เพราะในวันนั้นที่ปรึกษากุยเหนียนได้บอกข้าว่า หากเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์เช่นน้ำตาเทพเจ้าเกิดการสูญหายหรือถูกทำลายขึ้นมา ภูเขาไฟปีศาจใต้ทะเลลึก ก็จะระเบิดต่อเนื่องเป็นเวลาถึง 3,650 วันเชียวนะ ไม่ทราบว่านั่นคือความจริงหรือไม่?
นักบวชหรงคลี่ยิ้มเย็นชา มันจะเป็นจริงได้อย่างไร? น้ำตาเทพเจ้าอยู่ในมือเจ้า จึงเท่ากับว่าไม่ใช่การสูญหาย ไม่ว่าอย่างไรเดี๋ยวข้าก็ต้องหาทางเอากลับคืนมาได้อยู่ดี ส่วนเรื่องการทำลายนั้น เจ้าจะลองดูก็ได้ ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่ามนุษย์ผู้ต่ำต้อยอย่างเจ้าจะมีปัญญาทำลายเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไร
ก็ไม่รู้เหมือนกันสินะว่ากระบี่ในมือข้าจะสามารถทำลายเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ได้หรือไม่?
หลินเป่ยเฉินดาวน์โหลดกระบี่สายฟ้ามาถือในมือ
สีหน้าของนักบวชหรงพลันเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด
เหอเหอเหอ กระบี่สายฟ้านับเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์แห่งจักรวรรดิเป่ยไห่ ว่ากันว่านี่เป็นอาวุธที่เทพีกระบี่ประทานมาด้วยตนเอง จึงสามารถตัดและทำลายสิ่งของได้ทุกอย่างบนโลกใบนี้
หลินเป่ยเฉินมือหนึ่งถือกระบี่สายฟ้าอีก มือหนึ่งถือเครื่องรางน้ำตาเทพเจ้า
เด็กหนุ่มแลบลิ้นเลียริมฝีปาก สีหน้าซุกซน พูดน้ำเสียงตื่นเต้น กระบี่ที่สามารถทำลายได้ทุกอย่างกับเครื่องรางที่ไม่มีสิ่งใดสามารถทำลายได้ อิอิ ไม่รู้นะว่าอย่างไหนจะมีความแข็งแกร่งมากกว่ากัน?
นักบวชหรงตัวสั่นเทาแล้ว
หลินเป่ยเฉินส่งมอบรอยยิ้มอบอุ่นให้แก่หญิงชรา ก่อนพูดว่า นักบวชหรงก็คงอยากรู้คำตอบเหมือนกันแล้วกระมัง? งั้นพวกเราสวมจิตวิญญาณอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เซอร์ไอแซก นิวตัน มาดามคูรี เทพีอาธีน่า เทพเจ้าอะพอลโลและพระบิดาแห่งพันธุ์ข้าวลูกผสมหยวนหลงผิง มาค้นหาความจริงกันดีกว่า…
แล้วหลินเป่ยเฉินก็ทำท่าจะใช้กระบี่ในมือฟันลงไปที่เครื่องรางน้ำตาเทพเจ้าจริงๆ
หยุดก่อน
นักบวชหรงส่งเสียงร้องออกมา นี่เจ้า… เสียสติไปแล้วหรือ?
หามิได้
หลินเป่ยเฉินตอบกลับไปสีหน้าเคร่งเครียดจริงจัง ความจริงนั้น ข้าเป็นเพียงบุคคลสมองเสื่อม ยังไม่ถึงขั้นเสียสติ
นักบวชหรงพูดอะไรไม่ออก
นางยิ่งมีความหวาดกลัวมากกว่าเดิม
เพราะในที่สุด หญิงชราก็สามารถยืนยันข่าวลือก่อนหน้านี้ได้แล้วว่า หลินเป่ยเฉินเป็นบุคคลสมองเสื่อมจริงๆ…
ถ้าอ่าน เซียนกระบี่มาแล้ว ถึงบทนี้แล้วยังไม่จุใจ งั้นไปอ่านกันต่อได้ที่เว็บ Enjoybook.co เพราะที่นั่นลงนำไปแล้วกว่า 30 ตอน !! #อ่านก่อนใครได้ที่เว็บเอนจอย
