เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า – บทที่ 1165

บทที่ 1165

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1165

ส่วนหน้าของเสื้อผ้าสะบัดตามสายลม ปราณชี่บนตัวลู่ฝานราวกับมังกรตัวเล็กเลื้อยวนไปมาไม่หยุด

เทียนชิงหยางช้อนตามองลู่ฝาน สีหน้าเปลี่ยนจากเร่าร้อนเป็นบิดเบี้ยวอย่างรวดเร็ว เขาชี้หน้าลู่ฝานแล้วกัดฟันพูดว่า “ลู่ฝาน นายมาทำไม!”

ลู่ฝานก้มมองเทียนชิงหยางแล้วพูดว่า “ฉันแค่มาช่วยคนเท่านั้น!”

เทียนชิงหยางมองอู่คงหลิงที่อยู่ด้านหลังลู่ฝาน แล้วพูดว่า “นายคงไม่ได้มาช่วยอู่คงหลิงใช่ไหม”

ลู่ฝานพูดอย่างแน่วแน่ว่า “นายเดาถูกแล้ว ใช่ ฉันมาช่วยอู่คงหลิง”

ระหว่างพูด ลู่ฝานยื่นมือเข้าไปคว้าตัวอู่คงหลิง ตัวเธอลอยขึ้นจากพื้น เข้ามาในอ้อมอกของเขา

ลู่ฝานกอดอู่คงหลิงเอาไว้ แล้วถามเสียงเบาว่า “เธอไม่เป็นไรใช่ไหม”

อู่คงหลิงเบิกดวงตาเป็นประกาย มองลู่ฝานด้วยรอยยิ้ม เธอค่อยๆ ซบศีรษะลงบนอกลู่ฝาน มือสองข้างกอดคอลู่ฝานเอาไว้

การกระทำเพียงอย่างเดียว ทำให้ทุกคนตกตะลึงเป็นอย่างมาก

เทียนชิงหยางถลึงตาจนจะหลุดออกมาแล้ว มือชี้ลู่ฝาน ปราณในร่างกายเริ่มสั่น

“นาย ลู่ฝาน อู่คงหลิง ที่แท้พวกนาย……”

ลู่ฝานขี้เกียจอธิบายให้เขาฟัง เขาเด้งตัวเหาะขึ้นไปบนฟ้า กระบี่หนักไร้คมด้านล่างเท้าก็ลอยตามขึ้นมา ไม่ต้องมีคนสั่ง ก็สามารถเสียบไว้ด้านหลังลู่ฝานอย่างแม่นยำ!

“หยุดเดี๋ยวนี้!”

เทียนชิงหยางโมโหแต่ไม่สามารถระบายออกมาได้ เขาแผดเสียงดังออกมา

จู่ๆ เขากระทืบเท้าลงบนเรืออย่างแรง เทียนชิงหยางเหาะตามขึ้นไป

เรือไม่ได้รับความเสียหายอะไร แต่วินาทีต่อมาน้ำด้านล่างเรือ เกิดการระเบิดขึ้นมาสูงหลายเมตร

คนนับไม่ถ้วนตกใจจนทำอะไรไม่ถูก แต่พวกนักบู๊ที่วิทยายุทธสูงหน่อย กลับพากันเพ่งมองขึ้นไปบนฟ้า

พวกเขาอยากเห็นการต่อสู้ของลู่ฝานกับเทียนชิงหยาง นี่เป็นเหตุการณ์ที่พลาดไม่ได้เด็ดขาด

วิชากายของเทียนชิงหยางรวดเร็ว เหมือนเคล็ดวิชาบู๊เหาะเหินเดินอากาศของเขา จะเก่งกาจมากเหมือนกัน คิดไม่ถึงว่าจะเร็วกว่าย่ำก้าวยอดเมฆาฟ้าของลู่ฝานนิดหน่อย

เทียนชิงหยางตามลู่ฝานทันอย่างรวดเร็ว

กระบี่มังกรคำรามโจมตีออกไป พร้อมพลังปราณอันน่ากลัว พุ่งเข้าไปด้านหน้าลู่ฝาน

ลู่ฝานเตะออกไปโดยไม่มองสักนิด

บนเท้ามีการหมุนวนของพลัง พุ่งสวนไปปะทะกับกระบี่มังกรคำรามของเทียนชิงหยาง

เท้ากับกระบี่ปะทะกัน เดิมทีเทียนชิงหยางคิดว่ากระบี่ของตัวเองจะแทงลงใต้ฝ่าเท้าของลู่ฝาน

แต่วินาทีต่อมามีพลังออกมาจากบนเท้าลู่ฝานเก้าพลังติดต่อกัน รุนแรงขึ้นและแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ คิดไม่ถึงว่าจะต้านทานกระบี่มังกรคำรามของเขาได้ทันที

“ถอย!”

ปราณชี่ระเบิดขึ้น จู่ๆ พลังฟ้าดินรอบตัวโดนดันออกไปจนหมด

เทียนชิงหยางก็โดนปราณชี่ของลู่ฝานดันออกไปไกลหลายเมตร พลิกตัวลงมาบนเรืออีกครั้ง

ลู่ฝานเหาะไปไกลราวกับใบหลิว เทียนชิงหยางกัดฟันจนจะแตกแล้ว เขาแผดเสียงดังออกมา จากนั้นร่างแยกออกมามากมาย

เทียนชิงหยางนับไม่ถ้วนปรากฏอยู่บนแม่น้ำหย่งอาน แล้วแผดเสียงออกมาพร้อมกัน

“ฟาดฟันจันทรา!”

ปราณกระบี่รูปจันทร์เสี้ยวนับไม่ถ้วนพุ่งขึ้นไปบนฟ้า และพุ่งตรงเข้าไปฆ่าลู่ฝาน

เกราะเกล็ดมังกรปรากฏขึ้นบนตัวลู่ฝาน ปกคลุมอู่คงหลิงเข้าไปข้างในด้วย

กระบี่หนักลอยออกมาขวางไว้ด้านหน้าลู่ฝานเอง ปราณกระบี่นับไม่ถ้วน ระเบิดลงมาใส่กระบี่หนักไร้คม

วินาทีต่อมา ทั้งท้องฟ้ามีแสงงดงามระเบิดออกมา เหมือนจุดพลุเป็นอย่างมาก

“ตายหรือยัง”

หลิ่วเจินถามขึ้น

คนอื่นก็มองไปทางเทียนชิงหยางเช่นกัน!

ตอนนี้ไม่เห็นความโกรธบนตัวเทียนชิงหยางแล้ว เขาแผดเสียงขึ้นไปบนท้องฟ้าว่า “ลู่ฝาน ถ้ามีปัญญาก็มาสู้เป็นตายกับฉันในรอบที่สาม!”

เสียงเหมือนฟ้าผ่าดังสะเทือนเลือนลั่นไปไกล

ที่ริมฝั่งแม่น้ำหย่งอาน มีแสงหนึ่งร่วงลงมา

ลู่ฝานวางอู่คงหลิงลงบนพื้นเบาๆ หันไปมองทางเทียนชิงหยางแวบหนึ่ง แล้วหัวเราะเบาๆ ออกมา

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1164

จู่ๆ เทียนชิงหยางที่ถือแก้วเหล้าอยู่หัวเราะลั่น จากนั้นเขาวางแก้วเหล้าลงอีกครั้ง

“เกินไปหน่อยนะ”

จู่ๆ หลิ่วเจินเตรียมขอโทษ แต่ขณะนั้นเทียนชิงหยางพูดต่อ “แต่ว่าคุณคงหลิง เธอกับฉันรู้จักกันมาระยะหนึ่งแล้ว ฉันยังไม่เคยเห็นใบหน้าแท้จริงของเธอเลย! ฉันว่าถือโอกาสวันนี้ถอดผ้าปิดหน้าของเธอออกเถอะ ให้เราได้เห็นความงามของเธอเป็นไง”

ประกายประหลาดแวบขึ้นมานัยน์ตาอู่คงหลิง

กลุ่มคนส่งเสียงโห่ร้องตามขึ้นมาอีกครั้ง “ใช่ คุณคงหลิง ถอดผ้าปิดหน้าออกเถอะ”

“ใบหน้าสวยขนาดนี้ โดนผ้าปิดบังใบหน้าเอาไว้ตลอด น่าเสียดายมากเลยนะ!”

“ถอดออกให้เราได้เห็นเถอะ!”

……

ฟันขาวสวยขบกันเบาๆ จู่ๆ อู่คงหลิงยกแก้วเหล้าขึ้นมาพูดว่า “คุณชายเทียน ผ้าปิดหน้าของฉัน มีเพียงสามีในอุดมคติของฉันเท่านั้นที่ถอดได้ ทำไมคุณชายรีบร้อนขนาดนี้ล่ะ เรามาดื่มเหล้ากันก่อนดีไหมคะ!”

เทียนชิงหยางหัวเราะลั่นแล้วพูดว่า “สามีในอุดมคติถึงจะถอดได้เหรอ ปัจจุบันนี้ยังมีสาวพรหมจรรย์ขนาดนี้ หายากมาก! แต่ไม่สำคัญหรอก จะถอดช้าถอดเร็วก็ถอด มาให้ฉันช่วยเธอถอดสิ!”

ระหว่างพูด จู่ๆ เทียนชิงหยางยื่นมือจะไปถอดผ้าบนหน้าอู่คงหลิงออก

อู่คงหลิงรีบลุกขึ้นยืน ถอยไปด้านหลังสองสามก้าว แล้วพูดอย่างตกใจกลัวว่า “คุณชายเทียนจะทำอะไร”

ตอนนี้เทียนชิงหยางหน้าแดงไปหมด เห็นได้ชัดว่าความหื่นขึ้นหัวแล้ว ความอยากได้ผู้หญิงขึ้นสมอง ไม่สนใจอะไรทั้งนั้นแล้ว

เทียนชิงหยางค่อยๆ ลุกขึ้นยืนแล้วพูดว่า “คุณคงหลิง คนอย่างเทียนชิงหยาง เกิดในชาติตระกูลสูงส่ง พร้อมทั้งบู๊และบุ๋น ส่วนเรื่องวิทยายุทธไม่กล้าพูดอะไรมาก สามารถปกป้องเธอได้เหลือเฟือ ตระกูลโดดเด่นมีอำนาจ ทั้งประเทศอู่อานก็โด่งดังมาก น่าจะคู่ควรกับเธอ ฉันว่าวันนี้เป็นวันที่ดีงาม เธอยอมฉันดีกว่า ฉันรับรองว่าต่อไปจะรักเดียวใจเดียวกับเธอ อยู่ด้วยกันนานแสนนาน ไม่มีวันแยกจากกัน”

พูดจบ เทียนชิงหยางก้าวเข้าไปหาอู่คงหลิง

ตอนนี้หลิ่วเจินหัวเราะอยู่ข้างหลัง “สหายชิงหยางห้าวหาญจริงๆ ฮีโร่! สาวงามคู่กับฮีโร่ เป็นเรื่องราวที่ได้รับการยกย่องจากผู้คนมาแต่โบราณถึงปัจจุบัน ดูเหมือนวันนี้พวกเราจะได้พยานแล้ว!”

พวกคุณชายร่ำรวย ลุกขึ้นเชียร์เสียงดัง

เทียนชิงหยางเกือบเดินถึงหน้าอู่คงหลิงแล้ว

จู่ๆ เทียนชิงหยางยื่นมือไปดึงแขนเสื้ออู่คงหลิง แล้วพูดว่า “อย่าหนีเลย ยอมฉันไม่ดีกว่าเหรอ เธอดูคนในครอบครัวเธอสิ ส่งเธอขึ้นมาบนเรือแบบนี้ หมายความว่าต้องการให้เธอแต่งกับฉัน เธอจะกังวลอะไรอีกล่ะ”

ระหว่างพูด เทียนชิงหยางยื่นมือเข้าไป เพื่อที่จะดึงผ้าปิดหน้าของอู่คงหลิง

ขณะนั้นจู่ๆ อู่คงหลิงดันมือเขาออกไปไกล นัยน์ตาเต็มไปด้วยความเย็นยะเยือก

ทุกคนตะลึง หลังจากนั้นพากันหัวเราะลั่นแล้วพูดว่า “รุนแรงจริงๆ!”

“นี่เรียกว่าใจจริงอยากได้แต่แกล้งทำเป็นไม่ต้องการ พวกนายจะไปรู้อะไร!”

“คุณชายเทียนต้องแรงกว่านี้อีกนิด ถึงจะแสดงความองอาจของผู้ชายออกมาอย่างชัดเจน!”

……

ตอนนี้เทียนชิงหยางแสยะยิ้มร้ายกาจตรงมุมปาก แล้วพูดว่า “เป็นม้าพยศสินะ ฉันชอบเลยล่ะ!”

ระหว่างพูด เทียนชิงหยางเดินเข้าไปหาอู่คงหลิงอีกครั้ง ตอนนี้ในแขนเสื้อของอู่คงหลิง เธอกำพวงระฆังเอาไว้ในมือแล้ว

เทียนชิงหยางยื่นมือเข้าไปหาอู่คงหลิงอีก ความปรารถนาในแววตาพลุ่งพล่านถึงขีดสูงสุดแล้ว

แต่ขณะนั้นเอง จู่ๆ มีเงาดำลงมาจากท้องฟ้า!

พลั่ก!

เทียนชิงหยางปฏิกิริยารวดเร็ว เขาถอยหลังทันที

เสียงหัวเราะของทุกคนหยุดลง มองไปด้านหน้าด้วยความตกใจ เห็นกระบี่หนักเล่มหนึ่งปักอยู่ข้างหน้าอู่คงหลิง

หลังจากนั้นใครคนหนึ่งค่อยๆ ลอยลงมา สองมือไพล่หลัง เท้าเหยียบอยู่บนด้ามกระบี่ แววตาราวกับมีด

เมื่ออู่คงหลิงเห็นคนคนนี้ เธอพูดอย่างตกตะลึงว่า “ลู่ฝาน!”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1163

ท่าทางเดินที่งดงามและสูงส่ง ผ้าบางปิดบังใบหน้า

เดินอย่างช้าๆ ร่างอ่อนช้อยงดงามปรากฏขึ้นบนเรือ

วินาทีที่คนคนนี้ปรากฏตัว คนที่อยู่ในนี้ ไม่มีใครที่ไม่โดนรูปร่างสมบูรณ์แบบของเธอดึงดูดสายตา

วันนี้อู่คงหลิงสวมชุดแพรยาวสีชมพูอ่อนปกคลุมร่างกาย ด้านนอกคลุมด้วยเสื้อบางสีขาว เผยให้เห็นช่วงคอที่เพรียวบางและเห็นไหปลาร้าอย่างชัดเจน กระโปรงเป็นจีบราวกับแสงจันทร์เคลื่อนไหวเบาๆ บนพื้น ลากยาวประมาณเมตรกว่า เห็นรูปร่างงดงามสุดยอดอย่างชัดเจน

ผิวขาวใสเนียนละเอียด มีกลิ่นหอมโชยมาจากไกลๆ อู่คงหลิงเดินอย่างสุภาพและงดงามอ่อนโยน ผมหนาถูกคาดด้วยผ้าคาดศีรษะ ปักปิ่นผีเสื้อไว้บนศีรษะ ปอยผมดำปรกอยู่ตรงหน้าอก ไข่มุกเม็ดกลมหลายเม็ดประดับประดาอยู่บนผมตามใจชอบ ทำให้ผมสวยดำขลับดูอ่อนนุ่มเงางามขึ้นไปอีก

ดวงตาสวยมองไปรอบๆ ราวกับกระชากวิญญาณ ทุกที่ที่มองไป เต็มไปด้วยกลิ่นหอมอ่อนๆ อย่างเรียบง่าย

แม้ไม่เปิดเผยใบหน้าที่แท้จริง ก็ทำให้คุณชายนับไม่ถ้วนในนี้เคลิบเคลิ้มไปกับเธอ

หลิ่วเจินที่กำลังดื่มเหล้าอยู่ วินาทีที่เขาเห็นอู่คงหลิง ก็สติหลุดไปทันที เหล้าหกใส่ตัวก็ยังไม่รู้สึก

เทียนชิงหยางก็อึ้งไปครู่หนึ่ง เขายังไม่เคยเห็นท่าทางงดงามขนาดนี้ของอู่คงหลิงมาก่อน

ตามคาดสินะ ยังไงผู้หญิงก็ต้องแต่งตัว

เมื่อผู้หญิงไม่สวยแต่งตัว สามารถทำให้ดูดีได้ เมื่อผู้หญิงสวยแต่งตัว ยิ่งทำให้สวยขึ้นอีก และผู้หญิงที่สวยสุดยอดอยู่แล้วแต่งตัวอีก ผู้หญิงคนนี้ก็จะมีแค่บนสวรรค์เท่านั้น ยากที่จะหาเจอบนโลกมนุษย์

อู่คงหลิงมองเทียนชิงหยางแล้วพูดว่า “ยินดีที่ได้พบคุณชายเทียน!”

เทียนชิงหยางกับหลิ่วเจินเพิ่งตั้งสติได้ หลิ่วเจินรีบวางแก้วเหล้าลง ส่วนเทียนชิงหยางลุกขึ้นพูดว่า “มานั่งทางนี้สิคงหลิง”

นักบู๊ที่นั่งโต๊ะเดียวกับเทียนชิงหยาง พากันลุกขึ้นหลีกทางให้อย่างรู้งาน หลิ่วเจินก็ลุกขึ้นตามด้วย แต่เมื่อเห็นรูปร่างงดงามสุดยอดของอู่คงหลิง เขาก็ไม่อยากไปจริงๆ เขาอยากมองอู่คงหลิงใกล้ๆ

อู่คงหลิงนั่งลงช้าๆ รักษาระยะห่างที่เหมาะสมกับทั้งสองคน

เทียนชิงหยางดึงหลิ่วเจินเอาไว้แล้วพูดว่า “หลิ่วเจิน นายนั่งลงสิ คงหลิง ฉันแนะนำให้เธอรู้จักสักหน่อย นี่คือคุณชายหลิ่วเจินแห่งตระกูลหลิ่ว”

หลิ่วเจินพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ยินดีที่ได้เจอคุณคงหลิง”

อู่คงหลิงอมยิ้มแล้วพูดว่า “ยินดีที่ได้เจอคุณชายหลิ่วค่ะ!”

เสียงเหมือนเสียงของธรรมชาติ จู่ๆ หลิ่วเจินสติหลุดไปอีกแล้ว

ตอนนี้ทุกคนเพิ่งตั้งสติได้ ต่างพากันเอ่ยชมว่า “ผู้หญิงคนนี้สวยจริงๆ!”

“ใช่ สวมผ้าปิดหน้ายังสวยขนาดนี้ ถ้าถอดผ้าปิดหน้าออก จะไม่งามล่มเมืองเลยเหรอ!”

“คุณชายเทียนชิงหยางช่างมีบุญจริงๆ!”

……

คำชมของทุกคนลอยเข้าหูเทียนชิงหยาง

เทียนชิงหยางหัวเราะลั่นแล้วพูดว่า “คุณคงหลิง ฉันดื่มคารวะให้เธอ วันนี้ความสวยของเธอ ทำให้ทุกคนตกตะลึง!”

เสียงหัวเราะลั่นของเทียนชิงหยาง ลอยออกไปตามสายลม

ตอนนี้ลู่ฝานที่กำลังหาอยู่บนเรือไปทั่ว แอบได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ตาเขาเป็นประกายทันที เท้าย่ำก้าวยอดเมฆาฟ้า เหาะไปตามทางที่เสียงหัวเราะลอยมาอย่างรวดเร็ว

บนเรืองดงาม

จู่ๆ นัยน์ตาของเทียนชิงหยางเต็มไปด้วยความอยากเป็นเจ้าของ ความเร่าร้อนในแววตาที่เขามองอู่คงหลิงใกล้ถึงขีดสุดแล้ว

เหมือนอู่คงหลิงยังไม่ทันสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของเทียนชิงหยาง มือขาวสวยยกกาเหล้าขึ้นมา เทเหล้าให้หลิ่วเจินกับเทียนชิงหยางเงียบๆ แล้วพูดว่า “เชิญค่ะคุณชายทั้งสองท่าน!”

หลิ่วเจินยกแก้วเหล้าขึ้นมาสูดดมก่อน จากนั้นเอ่ยชมว่า “กลิ่นหอมตีจมูก คุณคงหลิงเป็นสาวงามสุดยอดจริงๆ ไม่ทราบว่าวันนี้จะได้เห็นใบหน้าแท้จริงของเธอสักหน่อยได้ไหม!”

อู่คงหลิงขมวดคิ้วขึ้นมา พูดอย่างราบเรียบว่า “คุณชายหลิ่วเพิ่งเจอฉันครั้งแรก ก็อยากถอดผ้าปิดหน้าฉันแล้ว ดูเกินไปหน่อยไหมคะ”

ระหว่างพูด อู่คงหลิงมองเทียนชิงหยางอย่างตำหนิเล็กน้อย

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1162

เทียนชิงหยางเห็นเขาก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ชื่อเสียงจอมปลอมเท่านั้น สหายหลิ่วเชิญนั่ง ยากที่นายจะให้เกียรติ คนตระกูลอื่นฉันยังเชิญมาไม่ได้เลย มาดื่มกับฉันสักแก้ว!”

หลิ่วเจินนั่งลงช้าๆ เทียนชิงหยางมองเขาด้วยรอยยิ้ม ยกแก้วขึ้นชนกัน

ช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ ตอนเขาไม่ลงรอยกับคนตระกูลหาน คนตระกูลใหญ่อื่นๆ กลัวจนพากันหลีกหนีจากเขาแทบไม่ทัน มีเพียงคนตระกูลหลิ่วที่มาดื่มกับเขา

นี่แสดงให้เห็นไม่มากก็น้อยว่าตระกูลหลิ่วยืนข้างเขา

ตระกูลหลิ่วแสดงออกเช่นนี้ ตระกูลหานยิ่งไม่สามารถลงมือ เทียนชิงหยางอารมณ์ดีมาก เงยหน้ากระดกเหล้าดื่มรวดเดียวจนหมด

หลิ่วเจินพูดต่อ “สหายชิงหยาง อันดับหนึ่งในการคัดเลือกครั้งนี้ น่าจะเป็นของนายแล้วล่ะ ต่อไปถ้านายไปเข้าร่วมการแข่งนานาประเทศ ต้องสู้เพื่อเป็นหน้าเป็นตาให้ประเทศอู่อานของเรานะ!”

เทียนชิงหยางสะบัดฝ่ามือ เชิดหน้าพูดอย่างอกผายไหล่ผึ่งว่า “ก็แค่การแข่งนานาประเทศ ฉันอยากไปตั้งนานแล้ว ได้ยินว่าอันดับหนึ่งของการแข่งนานาประเทศ ยังได้รางวัลเป็นสมบัติล้ำค่าไร้เทียมทานด้วย เมื่อถึงตอนนั้นฉันจะเอาสมบัติล้ำค่ากลับมาให้ทุกคนดูด้วยกัน”

คนที่อยู่ในที่นี้หัวเราะลั่น

“คุณชายเทียนพูดแล้วต้องทำให้ได้นะ!”

“ใช่ เมื่อถึงตอนนั้นทำให้เราได้เปิดหูเปิดตาหน่อย”

“ฉันว่าถ้าคุณชายเทียนไป ต้องเป็นเรื่องที่ง่ายดายมากแน่ๆ”

……

คำพูดเยินยอมากมาย ทำให้เทียนชิงหยางจะลอยแล้ว หลิ่วเจินอมยิ้มอยู่ข้างๆ ไม่พูดอะไร เขาแค่จิบเหล้าเบาๆ เท่านั้น

เทียนชิงหยางโบกมือไปมาแล้วพูดว่า “เฮ้อ แต่เรื่องพวกนี้ตัดสินตอนนี้ยังเร็วเกินไป ทุกคนต้องรอหน่อย ทานข้าวกันก่อน คืนนี้ทุกคนกินดื่มสนุกให้เต็มที่ ฉันจ่ายให้ทั้งหมด”

เทียนชิงหยางยกแก้วเหล้าขึ้นมาคารวะให้ทุกคน จู่ๆ ทุกคนพากันลุกขึ้นอย่างประหม่า

หลิ่วเจินก็ลุกขึ้นยืนแล้วปัดก้น จากนั้นพูดว่า “เทียนชิงหยางช่างองอาจจริงๆ หลิ่วเจินสู้ไม่ได้จริงๆ”

เทียนชิงหยางตีแขนหลิ่วเจินแล้วพูดว่า “สหายหลิ่วล้อฉันเล่นเหรอ มานั่งดื่มสิ ยืนทำไมล่ะ”

หลิ่วเจินนั่งพลางพูดว่า “สหายชิงหยาง ได้ยินว่านายมีความแค้นกับเจ้าบ้าหานเพราะผู้หญิงคนหนึ่งเหรอ เรื่องนี้จริงหรือเปล่า”

ทุกคนหูผึ่งทันที ข่าวซุบซิบแบบนี้ปกติไม่ได้ยินกันง่ายๆ นะ

เทียนชิงหยางพูดด้วยรอยยิ้ม “สหายหลิ่วรู้เยอะจริงๆ เพราะผู้หญิงคนหนึ่งจริงๆ เธอไม่ยอมไปกับเขา เธออยากอยู่กับฉัน เขาเลยร้อนใจ เอาแต่จะสู้กับฉัน ฉันก็ทำได้เพียงทำให้เขาพิการ”

หลิ่วเจินพูดด้วยตาเป็นประกาย “งั้นเราขอเจอผู้หญิงคนนี้หน่อยได้ไหม ได้ยินว่าเป็นคนสวยสุดยอด!”

เทียนชิงหยางชะงักไปครู่หนึ่ง พูดอย่างลังเลเล็กน้อยว่า “เอ่อ……”

กลุ่มคนข้างๆ ส่งเสียงโห่ร้องออกมาทันที “คุณชายเทียน ขอพวกเราดูหน่อยเถอะ”

“ใช่ ให้เราดูแวบเดียวก็ได้ เรายังไม่เคยเห็นเลยว่าคนสวยสุดยอดหน้าตาเป็นยังไง”

หลิ่วเจินเห็นท่าทีลังเลของเทียนชิงหยาง เขาพูดด้วยรอยยิ้มว่า “แล้วไปเถอะ ถือว่าฉันไม่เคยพูดละกัน ที่แท้สหายชิงหยางก็ไม่ใช่คนเปิดเผยตรงไปตรงมาจริงๆ”

เทียนชิงหยางแอบกัดฟันพูดว่า “ดูก็ดูสิ ไปเรียกคุณอู่คงหลิงมา”

ทันใดนั้น พวกคนใช้ส่งเสียงตอบรับ แล้วรีบเดินออกไป

ทุกคนมองไปด้านข้างด้วยความสงสัย แต่ละคนตื่นเต้นเป็นอย่างมาก

แต่ตอนนี้เอง มีเงาคนลอยลงมาจากฟ้า มาถึงริมแม่น้ำหย่งอาน

มองเรืองดงามนับไม่ถ้วนบนแม่น้ำ ลู่ฝานขมวดคิ้วพูดพึมพำว่า “ที่นี่แหละ อู่คงหลิง เธออยู่ตรงไหนกันแน่”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1161

ลู่ฝานขมวดคิ้วมองออร่าปีศาจค่อยๆ หายไปจากตัวปีศาจเฒ่ากลืนจิต ทั้งตัวทรุดลงกับพื้น เลือดไหลออกมาไม่หยุด

“นี่มันกระบวนท่าอะไร น่าสนใจมาก!”

ลู่ฝานถามออกมา เขาไม่เข้าใจจริงๆ มีอย่างที่ไหนเมื่อปล่อยกระบวนท่าไม้ตายออกมา จะทำให้ตัวเองกลายเป็นแบบนี้ ผู้ฝึกชั่วร้ายชอบเล่นตลกแบบนี้เหรอ งั้นงานกำจัดปีศาจก็ง่ายขึ้นน่ะสิ

“ช่วย……ฉันด้วย!”

ปีศาจเฒ่ากลืนจิตเบิกตาโตมองลู่ฝานแล้วเอ่ยขึ้น

ตอนนี้ท่อนล่างของเขากลายเป็นเลือดไปหมดแล้ว ไม่เหลือแม้แต่เนื้อหนังจริงๆ

ลู่ฝานลากเก้าอี้มานั่งมองเขาแล้วพูดว่า “ช่วยนายเหรอ ปีศาจเฒ่ากลืนจิต นายไม่โดนแว้งกัดใช่ไหม!”

ลู่ฝานแสยะยิ้มมุมปาก จากนั้นเอาแผนที่ออกมา มองปีศาจเฒ่ากลืนจิตกลายเป็นเลือดไปพลางหาตำแหน่งของแม่น้ำหย่งอานในแผนที่ เขาได้ยินทุกคำพูดของปีศาจเฒ่ากลืนจิตอย่างชัดเจน ถ้าเขาเอาอู่คงหลิงให้เทียนชิงหยางเหมือนที่เขาพูดจริง และเทียนชิงหยางจะจัดงานเลี้ยงเหล้าที่นั่น ถ้าอย่างนั้นลู่ฝานต้องไปสั่งสอนเทียนชิงหยางที่แม่น้ำหย่งอานแล้วล่ะ

ร่างกายของปีศาจเฒ่ากลืนจิตกลายเป็นเลือดหมดแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงหัวเท่านั้น

เขายังเบิกตาโตมองลู่ฝาน แต่กลับพูดอะไรไม่ได้สักคำ

ผู้แข็งแกร่งแดนปราณฟ้าที่ฝึกฝนชั่วร้ายผู้ยิ่งใหญ่ ตายอย่างอนาถขนาดนี้ ถือว่าเขาก่อกรรมเอง ไม่สมควรมีชีวิตอยู่

ลู่ฝานเห็นปีศาจเฒ่ากลืนจิตตายแล้วจริงๆ จึงเหยียบหัวของเขาจนเละ ถือว่าเป็นการส่งเขาครั้งสุดท้าย

บนพื้นเหลือเพียงเสื้อผ้าและเครื่องประดับต่างๆ รวมถึงแหวนของปีศาจเฒ่ากลืนจิตด้วย

ลู่ฝานไม่มีเวลาดูอย่างละเอียด เขาโยนของเข้าไปในเข็มขัดทันที

เลือดหยดสุดท้ายของปีศาจเฒ่ากลืนจิต ซึมลงไปบนพื้นอย่างรวดเร็ว หายไปเหมือนคนคนนี้ไม่เคยอยู่บนโลกนี้

ดีเหมือนกัน ตายอย่างสะอาดหมดจด ลดความวุ่นวายไปได้เยอะ

ลู่ฝานก้าวเท้าออกจากห้อง จากนั้นเท้าย่ำก้าวยอดเมฆาฟ้า ออกไปอย่างรวดเร็ว

อู่คงหลิง ฉันมาแล้ว!

เธอห้ามตายเด็ดขาดนะ!

……

แม่น้ำหย่งอาน

ร้องเล่นเต้นระบำ คนดื่มเหล้าด้วยกันอย่างคึกคัก

แม่น้ำกว้างใหญ่ แต่กลับสงบนิ่งมาก บนแม่น้ำมีเรืองดงามอยู่มากมาย ล้วนเป็นสถานที่หาความสุขทั้งนั้น

เวลาปกติจะมีเสียงเครื่องดนตรีประเภทสายและปี่ดังขึ้นต่อเนื่อง สาวงามก็มีอย่างต่อเนื่องเช่นกัน

วันนี้เป็นวันที่เทียนชิงหยางแห่งตระกูลเทียนจัดงานเลี้ยงแขก ยิ่งทำให้คึกคักขึ้นไปอีก

เรืองดงามเกือบร้อยเรียงต่อกัน ไหลไปตามสายน้ำ แต่กลับนิ่งเหมือนอยู่บนฝั่ง นักร้องสาวมากมายเดินขวักไขว่ในนั้น มีเสียงหัวเราะดังเป็นระยะ โถมเข้าไปในอ้อมอกของคุณชายคนใดคนหนึ่ง แล้วพูดว่า “คุณชายร้ายมาก!”

เรือลำตรงกลางสุด ดอกไม้สีสันสดใส เหมือนดอกไม้สดงอกเป็นเรือทั้งลำ

โต๊ะดอกไม้นานาชนิด เก้าอี้หวาย ล้วนเป็นของมีค่าทั้งนั้น

บนโต๊ะมีอาหารแสนแพงและรสชาติอร่อย ด้านล่างมีสาวงามเต้นระบำ คนใช้ชีวิตบนโลก ก็เพื่อความเพลิดเพลิน

พวกคุณชายหลับตาส่ายหัวไปมาอย่างมีความสุข ฟังเสียงเครื่องดนตรีประเภทสายและปี่ จิตวิญญาณล่องลอย

บนโต๊ะหลัก เทียนชิงหยางเคาะโต๊ะเบาๆ รอยยิ้มเต็มใบหน้า

สองสามวันมานี้ เป็นช่วงเวลาที่เขาพอใจที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา

เข้าจวนเซียนบู๊เทียนซ่วน ทำลายตันเถียนของหานหยวนหนิง

สองเรื่องนี้ ไม่ว่าเป็นเรื่องไหน ล้วนเป็นเรื่องที่สั่นสะเทือนไปทั้งเมืองหลวง รวมถึงทั้งประเทศอู่อานด้วย

วันนี้ใครไม่รู้จักชื่อเสียงอันโด่งดังของเทียนชิงหยางแห่งตระกูลเทียนบ้าง

ตอนนี้ไม่รู้บ่อนพนันตั้งเท่าไร ปรับอัตราต่อรองที่เทียนชิงหยางจะได้ที่หนึ่งในการคัดเลือกครั้งนี้ลงไปต่ำสุด

“ฮ่าๆ สหายชิงหยาง ยินดีด้วยๆ ตอนนี้นายขึ้นเป็นที่หนึ่งในรายชื่อประเทศแล้ว!”

หลิ่วเจินแห่งตระกูลหลิ่วเดินเข้ามาช้าๆ

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1160

กลืนจิตพูดว่า “คนที่ยื้อไม่ไหวคือนายต่างหาก ลืมบอกนายไป ตอนนี้อู่คงหลิงเพื่อนรักของนาย คงกำลังนอนร้องครวญครางอยู่ใต้ตัวเทียนชิงหยาง อีกไม่นานเธอคงตายอยู่บนเตียงพร้อมเทียนชิงหยาง ฉันบอกนายหรือยังว่าอันที่จริงอู่คงหลิงคือหนึ่งในนักฆ่าที่ฉันส่งออกไป เหอะๆ เหมือนฉันใช้คำไม่เหมาะสมเท่าไร ไม่ถือว่าเธอเป็นนักฆ่า ควรเรียกว่าหน่วยกล้าตายดีกว่า มีเพียงความตาย ไม่มีทางรอด ไปแล้วไม่มีวันกลับ ถ้านายไปช้าอีกนิด กลัวว่าแม้แต่ศพของเธอก็คงไม่ได้เห็น”

สีหน้าลู่ฝานมีความอึมครึม กระแสลมทั้งเก้าบนตัวเริ่มหมุนอย่างรวดเร็ว

เหมือนกลืนจิตดูออกว่าลู่ฝานกำลังโมโห เขาหัวเราะดังขึ้นอีก

“นายโมโหมาก ฮ่าๆ ฉันจะบอกสิ่งที่นายยังไม่รู้อีกนิด เพื่อนสุดที่รักของนาย โดนฉันกรอกยาพิษ นายเคยเห็นคนกลายเป็นเลือดแล้วตายไหม ผิวหนังกับกระดูกอ่อนนุ่มอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นผิวหนังและเนื้อกลายเป็นน้ำ สุดท้ายหายไปจากโลกนี้ การตายแบบนี้ สิ่งที่น่าสนใจที่สุดคือตอนที่ร่างกายเหี่ยวลงอย่างรวดเร็ว จะไม่ทำให้คนตายคาที่ นายจะได้เห็นร่างกายตัวเองหายไป รับรู้ถึงความเจ็บปวดไม่รู้จบ แต่ก็รับรู้ได้เป็นอย่างดี หลังจากนั้นก็จบชีวิตท่ามกลางความสิ้นหวัง ความหวาดกลัว สุดยอดอะไรอย่างนี้ ใช่ไหม ฮ่าๆๆๆๆๆ!”

เสียงหัวเราะของกลืนจิตแปรเปลี่ยนเป็นเสียสติไปแล้ว

ลู่ฝานทนฟังไม่ได้อีกแล้ว เขายกกระบี่หนักไร้คมในมือขึ้นสูง

“ยินดีด้วย นายยั่วโมโหฉันสำเร็จแล้ว! ครั้งที่สาม เปลี่ยนเทพมาร!”

กล้ามเนื้อขยายใหญ่ ปราณชี่หายไปอย่างรวดเร็ว แสงเขตวิถีบนกระบี่หนักไร้คม ตอนนี้ถูกกดกลับไปในตัวกระบี่

ทันใดนั้น บนตัวลู่ฝานมีอักษรยันต์หมุนเป็นเกลียวขนาดใหญ่ ปรากฏขึ้นบนตัวลู่ฝานเก้าอักษรยันต์ ปกคลุมทั้งตัวลู่ฝาน

ทั้งตัวลู่ฝานดูลึกลับและน่ากลัวอย่างยิ่ง พลังอันแข็งแกร่งทำให้เสื้อผ้าท่อนบนของลู่ฝานขาดทันที ความมืดมิดรอบตัวหยุดการเคลื่อนไหวทันที

รอยร้าวชัดเจนปรากฏขึ้นในความมืดมิด เมื่อมองผ่านรอยร้าว ลู่ฝานเห็นพื้นที่แท้จริงภายนอก อันที่จริงพวกเขายังอยู่ในห้องหมายเลขหนึ่ง

หลังจากนั้นเริ่มเกิดรอยร้าวเป็นแถบ กลืนจิตค่อยๆ มองลู่ฝาน แล้วพูดด้วยเสียงไม่อยากเชื่อ “คิดไม่ถึงว่านายจะทำร้ายฉันได้!”

กลืนจิตพุ่งเข้ามาหาลู่ฝานพร้อมใบหน้าโหดเหี้ยม

“มังกรปีศาจ!”

ตัวกลายเป็นมังกรปีศาจแปดหัว กลืนจิตชนใส่ตัวลู่ฝาน

ลู่ฝานพลิกมือเอากระบี่ฟันลงบนตัวกลืนจิต ทั้งสองคนกระเด็นถอยหลังพร้อมกัน ชนเข้ากับความมืดมิดอย่างแรง

ทันใดนั้น ความมืดมิดทรุดตัวลง กลายเป็นดวงแสงเล็กๆ

ลู่ฝานกับกลืนจิตร่วงลงบนพื้น กระแทกลงไปในพื้นของห้อง

เลือดสดไหลออกมาทางมุมปาก ลู่ฝานไม่เช็ดสักนิด ใช้มือหนึ่งค้ำกระบี่ยืนขึ้นอีกครั้ง

กลืนจิตก็เด้งตัวขึ้นเช่นกัน เขาจ้องลู่ฝานเขม็ง

“นายมันก็แค่นั้น!”

ลู่ฝานแสยะยิ้มเย็นชาแล้วเอ่ยขึ้น

กลืนจิตมองลู่ฝานด้วยใบหน้าบิดเบี้ยว เขาแผดเสียงออกมาว่า “งั้นนายรับกระบวนท่านี้ของฉันไปซะ เทพมารลงจากสวรรค์!”

จู่ๆ ควันดำปกคลุมทั้งตัวกลืนจิต เริ่มมีเงาคนขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นด้านหลังเขา

ลู่ฝานควงกระบี่อย่างรวดเร็ว สูดหายใจลึก ร่างกายของเขาถึงจุดสูงสุดเช่นกัน

ขณะที่พวกเขาจะสู้กันอีกครั้ง

จู่ๆ กลืนจิตส่งเสียงร้องตกใจกลัวออกมา

“อ้ากกกก!!!”

เห็นได้ด้วยตาเปล่าว่าตัวของกลืนจิตเริ่มเหี่ยวลง เลือดสดไหลนอง พุ่งออกมาจากรูขุมขนของเขา สภาพเหมือนตัวกลายเป็นเลือดแล้วตายไป ที่เขาพูดออกมาเองเป็นอย่างมาก

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1159

“ครั้งนี้คือความจริงสินะ!”

ส่งเสียงหึออกมาอย่างเย็นชา ปราณชี่ทั้งตัวลู่ฝานลดลง นัยน์ตามีแสงสว่างวาบ วิชาชิงวิญญาณ ปรากฏ!

คำพูดของกลืนจิตชะงักไปทันที แต่หลังจากนั้นมีแสงสีดำพุ่งออกมาจากตัวของกลืนจิต คิดไม่ถึงว่าจะทำลายกรงคุกฟ้าดินจนแตกสลาย อีกทั้งยังรัดตัวลู่ฝานเอาไว้เหมือนงูหลาม

ในแสงสีดำเต็มไปด้วยพลังกลืนกิน ลู่ฝานรู้สึกว่าพลังปราณของตัวเองลดลงอย่างรวดเร็ว

และประกายในแววตากลืนจิตก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมอย่างรวดเร็ว!

“จะดูดกลืนใช่ไหม มาสิ!”

ลู่ฝานใช้วิชาหลอมรวมปราณชี่ทันที ดูดพลังปราณของกลืนจิตเข้ามาในร่างกายตัวเองอย่างบ้าคลั่ง

ทั้งสองคนเริ่มดูดพลังปราณของอีกฝ่ายอย่างบ้าคลั่ง ตอนนี้กลืนจิตตั้งสติได้ เขากัดฟันมองลู่ฝานแล้วพูดว่า “คิดไม่ถึงว่าเด็กอย่างนายจะรู้วิชาของผู้ฝึกชั่วร้าย!”

แสงสีดำทะลักไปทั้งตัวกลืนจิต ในเวลาเดียวกันเมื่อกัดปลายลิ้น เลือดสดพุ่งออกมาจากปากเขา

เลือดสดลอยกระจายอยู่ในความมืดมิด หลังจากนั้นคิดไม่ถึงว่ามันจะกลายเป็นดวงตาสีเลือดเป็นคู่ๆ ปรากฏอยู่ในความมืดมิด

ต่อจากนั้น ลู่ฝานรู้สึกถึงพลังมหาศาลจู่โจมมาจากด้านข้าง

เมื่อหลบไม่ทัน มีเสียงอึกทึกดังมาจากตัวลู่ฝาน

ลู่ฝานกัดฟัน เตะลงบนตัวกลืนจิต

ทันใดนั้น กลืนจิตถูกเตะเข้าไปในความมืดมิด และหายไปอีกครั้ง แต่ดวงตาสีเลือดรอบตัว ยังคงจ้องเขาอยู่อย่างนั้น

“เคล็ดวิชาบู๊เลือดจับตัว! เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ รีบฆ่าเขาให้ตาย ไม่งั้นเลือดของเจ้านายจะโดนดวงตาสีเลือดพวกนี้ดูดจนหมด”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดออกมาทันที เมื่อลู่ฝานได้ยินคำพูดของไอ้เก้า ฝ่ามือเขาจับกระบี่หนักไร้คมเอาไว้แน่น

เป็นคนที่รับมือยากจริงๆ นักบู๊แดนปราณฟ้าแต่ละคนรับมือไม่ง่ายเลยจริงๆ

เคล็ดวิชาบู๊ที่กลืนจิตใช้ออกมา ให้ความรู้สึกเหมือนมีเขตวิถีอยู่เล็กน้อย

ขอแค่อยู่ในความมืดมิดเช่นนี้ เหมือนเขาจะไม่พ่ายแพ้เลย ดูเหมือนสิ่งสำคัญที่ต้องทำตอนนี้ คือทำลายความมืดมิดนี่เสียก่อน

เมื่อคิดเช่นนี้ ลู่ฝานปักกระบี่หนักลงบนพื้นทันที

ปล่อยปราณชี่ออกมาอย่างบ้าคลั่ง!

“กระจาย!”

ทันใดนั้น พลังฟ้าดินรอบตัวทั้งหมดรวมถึงความมืดมิด โดนดันออกไปจนหมด

ลู่ฝานเห็นเงาของกลืนจิตทันที อยู่ข้างหน้าห่างจากเขาประมาณสองก้าว

กลืนจิตมองลู่ฝานอย่างตกตะลึง เห็นได้ชัดว่าคิดไม่ถึงว่าลู่ฝานจะใช้กระบวนท่าแบบนี้

ลู่ฝานก็ไม่เกรงใจเช่นกัน เขาเหวี่ยงกระบี่ฟันออกไป!

สวบ!

เงาของกลืนจิตหายไปเหมือนหมอกควันอีกแล้ว วินาทีต่อมาความมืดมิดรวมตัวกลับมาอีกครั้ง

ลู่ฝานแอบกัดฟันทันที

“ให้ตายเถอะลู่ฝาน ฝีมือนายทำให้ฉันประหลาดใจมาก นายเกือบทำให้ฉันบาดเจ็บได้แล้ว!”

เสียงของกลืนจิตดังมาจากรอบๆ พร้อมเสียงสะท้อนดังก้องไม่หยุด

ตอนนี้ฝ่ามือลู่ฝานเริ่มมีเหงื่อ ดูเหมือนวันนี้คงเป็นการต่อสู้ที่ยากลำบากแล้วล่ะ

“ทำไมนายถึงไม่โดนพลังของฉันควบคุม ทำไมนายถึงใช้วิชาของผู้ฝึกชี่ได้ แล้วนายดันคุกแห่งความมืดมิดของฉันออกไปได้ยังไง”

กลืนจิตรัวคำถามออกมาสามคำถาม

ลู่ฝานพูดเสียงดังว่า “อยากรู้เหรอ ปรากฏตัวออกมาสู้กับฉันอย่างเต็มที่สิ”

เสียงหัวเราะของกลืนจิตดังขึ้นอีกครั้ง เขาพูดว่า “คนหนุ่มผู้โง่เขลา ทำไมฉันต้องสู้กับนายอย่างเต็มที่ล่ะ แม้ฉันไม่ค่อยอยากยอมรับ แต่ทักษะการโจมตีของนาย ทำให้นักบู๊แดนปราณฟ้าอย่างฉันรู้สึกปวดหัวจริงๆ ฉันค่อยๆ ทำให้นายตายดีกว่า แบบนี้น่าจะง่ายกว่านิดหน่อย”

ลู่ฝานพูดว่า “นายจะยื้อเวลากับฉันอย่างนั้นเหรอ เหอะๆ กลัวว่านายจะยื้อไม่ไหวน่ะสิ”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1158

กลืนจิตหัวเราะลั่นออกมา เสียงหัวเราะดุดันและแสบหู

“ฆ่าฉันงั้นเหรอ แค่นักบู๊ปราณดินธรรมดาๆ กล้าพูดว่าฆ่าฉัน เป็นเรื่องที่ตลกที่สุดในโลก!”

เสียงเหมือนคลื่นกระจายออกมา คลื่นเสียงโจมตีลงบนตัวลู่ฝาน ทะลุเกราะเกล็ดมังกร จนทำให้เนื้อหนังลู่ฝานสะเทือนตามไปด้วย

แม้ลู่ฝานดูออกว่าอีกฝ่ายคือยอดฝีมือแดนปราณฟ้า แต่เขาไม่กลัวเลยสักนิด

“ยอดกระบี่หวนคืน!”

ไม่พูดพร่ำทำเพลง ลู่ฝานเข้ามาด้วยพลังทั้งหมด

แสงเก้าสีสว่างขึ้น ฟันกระบี่ลงบนความมืดมิด แสงเก้าสีเหมือนสายน้ำเก้าสาย กระแทกความมืดมิดจนกระจาย

เขตวิถีบนกระบี่เปิดออก จู่ๆ ลู่ฝานรู้สึกว่ากระบี่ของตัวเองโจมตีโดนสิ่งของที่สัมผัสได้ ปราณชี่ทั้งตัวลู่ฝานพุ่งขึ้นมาอย่างไม่ลังเลสักนิด

ตู้ม!

เสียงระเบิดดังขึ้น ความมืดมิดรอบตัวสั่นสะเทือนอย่างแรง

เสียงของกลืนจิตดังขึ้นอีกครั้ง

“วิทยายุทธไม่เลวตามคาด ขนาดนักบู๊แดนปราณฟ้าอย่างฉัน ยังต้องหลบความแหลมคมของกระบี่นาย นายกล้าหาญมาก!”

ลู่ฝานกวาดตามองรอบตัวไม่หยุด ตอนนี้ตัวของกลืนจิตแทรกซึมเข้าไปในความมืดมิดแล้ว

ความมืดที่เคลื่อนไหวขึ้นลงเหมือนกองของเหลวข้นหนืด เริ่มรวมตัวกันอีกครั้ง ค่อยๆ กรูกันเข้ามาหาลู่ฝาน

กระบี่หนักของลู่ฝานตั้งตรง ปราณชี่ก่อตัวเป็นวงแผ่ซ่านอยู่ใต้เท้า ต้านทานความมืดมิดที่โจมตีเข้ามา

จิตใจวูบไหวเล็กน้อย ลู่ฝานกำลังสัมผัสตำแหน่งของกลืนจิตอย่างละเอียด

ทันใดนั้น ลู่ฝานพลิกมือฟันกระบี่ไปทางด้านหลัง สายฟ้าบนกระบี่ทะลักออกมา เกิดเสียงดังฉิ้ง คิดไม่ถึงว่าจะฟันโดนกลืนจิตเต็มๆ

กลืนจิตใช้มือหนึ่งจับตัวกระบี่หนักไร้คมเอาไว้ ส่วนอีกมือหนึ่งยื่นไปจับคอลู่ฝาน

ปราณชี่ลู่ฝานพุ่งอย่างรวดเร็ว เขตวิถีบู๊บนกระบี่ดีดมือของกลืนจิตออก

กระบี่ของลู่ฝานฟันลงบนตัวกลืนจิต แต่กลับรู้สึกเหมือนโจมตีลงบนหมอกควัน มันทะลุผ่านไป

มือของกลืนจิตมาอยู่บนคอของเขา พลังอันดุดันแหลมคม ทะลุเกราะเกล็ดมังกรบนคอลู่ฝานทันที ไม่รอให้ร่างกายของลู่ฝานได้ตั้งตัว พลังที่มีกลิ่นอายของการกัดกร่อน พุ่งเข้ามาในตัวเขาทันที

ตัวของกลืนจิตค่อยๆ ลอยมาตรงหน้าลู่ฝานอีกครั้ง

ใบหน้าอันน่าเกลียด เข้ามาอยู่ใกล้มาก

“ปฏิกิริยาโต้ตอบไม่เลว แต่ประสบการณ์ต่อศัตรูยังแย่มาก การต่อสู้อย่างเป็นตาย ไม่ใช่การประลองบนเวที นายยังห่างชั้นอีกเยอะ!”

กลืนจิตใช้นิ้วมือแตะลงบนหน้าผากลู่ฝาน แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ร่างกายสมบูรณ์แบบขนาดนี้ โอ้ ฉันสัมผัสได้ถึงพลังพลุ่งพล่านในตัวนาย เป็นวัสดุชั้นเยี่ยมในการทำหุ่นเชิดจริงๆ ถ้าหาผู้ฝึกชี่มารมาสร้าง ร่างกายนี้คงสามารถทำให้เป็นหุ่นเชิดโลหิตชั้นดีได้เลย!”

นิ้วของกลืนจิตวาดลงบนแก้มของลู่ฝาน มองเส้นเลือดเต้นตุ้บๆ อยู่บนหน้าผากลู่ฝาน แล้วพูดต่อ “อย่าขัดขืน ยิ่งขัดขืนยิ่งเจ็บ พลังปราณกระหายเลือดของฉัน สามารถเข้าไปในกระดูกนายได้ แทรกซึมเข้าไปทุกตารางนิ้วของผิวนาย ทุกส่วนของเลือดเนื้อนาย นายจะเห็นรูปร่างของนรกระหว่างที่นายกำลังเจ็บปวด คุกเข่าสิ สั่นสิ อ้อนวอนสิ! ฮ่าๆๆๆๆ”

กลืนจิตหัวเราะอย่างบ้าคลั่งขึ้นมา

แต่ทันใดนั้นเอง ลู่ฝานหัวเราะออกมา

รอยยิ้มปรากฏตรงมุมปาก เส้นเลือดที่เต้นอยู่ตรงหน้าผากเขาหายไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาพูดว่า “คนที่ควรอ้อนวอนคือนายต่างหาก!”

กลืนจิตรู้สึกผิดปกติทันที เมื่อก้มลงมอง แสงห้าธาตุพุ่งขึ้นไปบนฟ้าอย่างรวดเร็ว

“กรงคุกฟ้าดิน!”

ทันใดนั้น แสงห้าธาตุแยกกลืนจิตกับความมืดมิดภายนอกออกจากกัน

กลืนจิตพูดเสียงดังด้วยความตกใจกลัวว่า “นี่เป็นวิชาของผู้ฝึกชี่ ทำไมนาย……”

ยังไม่ทันพูดจบ ลู่ฝานใช้มือหนึ่งจับตัวเขาเอาไว้

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1157

จู่ๆ ลู่ฝานหรี่ตาลง รู้สึกถึงอะไรผิดปกติทันที

ลู่ฝานจ้องตาอู่คงหลิงเขม็ง ทันใดนั้นลู่ฝานถือกระบี่หนักไร้คมเอาไว้ในมือ มองอู่คงหลิงแล้วพูดว่า “ไม่ใช่ เธอไม่ใช่อู่คงหลิง เธอเป็นใคร”

“อู่คงหลิง” ชะงักฝีเท้าลง แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “นายรู้ได้ยังไงว่าฉันไม่ใช่อู่คงหลิง”

ปราณชี่พุ่งขึ้นบนตัวลู่ฝาน เขาจ้องเธอเขม็งแล้วพูดว่า “สายตาของอู่คงหลิงไม่ได้ว่างเปล่าเหมือนเธอ เธอเป็นใครกันแน่”

“อู่คงหลิง” หัวเราะลั่นทันที จากนั้นพูดว่า “นายนี่รู้จักเธอดีจริงๆ ดูเหมือนความสัมพันธ์ของเธอกับนายจะไม่ธรรมดานะ ยัยเด็กผู้หญิงคนนี้โปรยเสน่ห์ไปทั่วจริงๆ!”

ระหว่างพูดตัวของ “อู่คงหลิง” กลายเป็นกลุ่มควันสีดำอย่างรวดเร็ว ลู่ฝานใช้กระบี่ฟันลงบนควันสีดำ วินาทีต่อมาควันสีดำแตกกระจาย ปกคลุมไปทั่วทั้งห้องอย่างรวดเร็ว

ทันใดนั้นสิ่งของทุกอย่างในห้องหายไปทั้งหมด ลู่ฝานรู้สึกว่าตัวเองอยู่ในอากาศเวิ้งว้างแห่งหนึ่ง

ขณะนี้เงาใครคนหนึ่งปรากฏขึ้นในอากาศเวิ้งว้าง นั่นมันใบหน้าน่าเกลียดขนาดไหนกัน เหมือนหนอนนับไม่ถ้วนดิ้นไปดิ้นมา จ้องเขม็งมาที่ลู่ฝาน

“ฉันคือเจ้าสำนักหัวใจปีศาจ นายเรียกฉันว่ากลืนจิตก็ได้ อู่คงหลิงเพื่อนสุดที่รักของนาย เป็นเพียงหมากตัวหนึ่งในมือฉันเท่านั้น”

ลู่ฝานเกร็งไปทั้งตัว เกราะเกล็ดมังกรปกคลุมร่างกายทันที

อีกฝ่ายดึงเขาเข้ามาในอากาศเวิ้งว้างอย่างรวดเร็ว แค่ฝีมือนี้ ก็ยืนยันได้ว่าอย่างน้อยเขาต้องเป็นผู้แข็งแกร่งแดนปราณฟ้า

สัมผัสพลังรอบตัวที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ วงแสงทั้งเก้าสว่างขึ้นบนตัวลู่ฝาน

“ปีศาจเฒ่ากลืนจิต นายบีบบังคับให้อู่คงหลิงทำเรื่องพวกนี้ใช่ไหม”

ลู่ฝานถามเสียงดัง

กลืนจิตหัวเราะลั่นแล้วพูดว่า “ใช่ ฉันบังคับให้เธอทำ ใบหน้าที่งดงามและสมบูรณ์แบบตั้งแต่เกิดของเธอ เป็นบุคคลที่เหมาะสมที่สุดในการทำเรื่องแบบนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะร่างกายฉันโดนคนทำลายไปแล้วครึ่งหนึ่ง ฉันก็จะลิ้มลองคนสวยแบบที่นายทำเหมือนกัน”

ระหว่างพูด กลืนจิตแลบลิ้นน่าขยะแขยงออกมาเลียริมฝีปาก

การกระทำของเขาน่าขยะแขยงเหมือนเขา ลู่ฝานเห็นแล้วยิ่งโมโหเข้าไปใหญ่

“ที่แท้เป็นกะเทยที่ท่อนล่างใช้การไม่ได้ ปีศาจเฒ่ากลืนจิต นายเอาอู่คงหลิงไปไว้ที่ไหน”

ลู่ฝานถามอีกครั้ง

ปีศาจเฒ่ากลืนจิตหัวเราะแล้วพูดว่า “ก็ช่วยมัดเธอแล้วส่งให้เทียนชิงหยาง ให้เทียนชิงหยางเล่นกับเธออย่างเต็มที่ ทำแบบนี้จะได้ทำให้หานหยวนหนิงโมโหตายไม่ใช่เหรอ ฮ่าๆ นายอยากไปช่วยเธอไหม สายไปแล้วล่ะ ลู่ฝานเอ๋ย เดิมทีฉันคิดว่าคงมีสักวัน ที่สามารถเปลี่ยนอัจฉริยะอย่างนายให้เป็นหุ่นเชิดของฉัน แต่คิดไม่ถึงว่าวันนี้นายจะมาหาถึงที่! นี่เป็นลิขิตของพระเจ้าบ้าบอหรือเปล่า ฮ่าๆ จิตวิญญาณแห่งนรกภูมิ นายก็ต้องเปิดหูเปิดตาสักรอบนะ!”

เมื่อพูดเช่นนี้ จู่ๆ ความมืดมิดโจมตีเข้ามาหาลู่ฝาน

ลู่ฝานยกมือฟันกระบี่ใส่ แต่กลับพบว่ากระบี่ของตัวเองโจมตีใส่อากาศ ความมืดมิดยังคงเข้ามาหาเขาเหมือนเดิม

“ไม่มีประโยชน์ ลู่ฝานนักกระบี่แห่งตงหวา วิทยายุทธแค่นั้นของนาย เมื่ออยู่ต่อหน้าฉันก็แค่กากเดน อยู่ต่อหน้าความมืดมิดของฉัน นายก็เหมือนอาหารจานหนึ่ง ตอนนี้ฉันจะกลืนกินนายช้าๆ กินนายทีละนิด! ฮ่าๆๆๆๆ”

จู่ๆ ความมืดมิดเข้ามาในตัวลู่ฝาน ลู่ฝานชะงักไปทั้งตัว แต่วินาทีต่อมา กลืนจิตกลับเป็นคนอุทานออกมาอย่างตกใจเอง

“นี่มันอะไรกัน”

แสงพุ่งออกมาจากในตัวลู่ฝาน ทำลายล้างความมืดมิดรอบตัวจนหมด

ลู่ฝานยกกระบี่หนักไร้คมขึ้นสูง เปิดเขตวิถี แล้วพูดเสียงก้องกังวานว่า “นี่คือพลังที่จะคร่าชีวิตนาย!”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1156

“ขอโทษด้วยนะลู่ฝาน! ฉันขอโทษแทนหยวนหนิง ตอนนี้เขาคงไม่ฟังคำเกลี้ยกล่อมอะไรแล้ว”

หานอู๋ซวงพูดเสียงเบา

ลู่ฝานครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ลุงหาน อันที่จริงเรื่องนี้ฉันก็มีส่วนต้องรับผิดชอบ”

หานอู๋ซวงขมวดคิ้วพูดว่า “นายมีอะไรต้องรับผิดชอบ”

ลู่ฝานส่ายหน้า ไม่ตอบอะไร หลังจากนั้นพูดว่า “ลุงหาน สองสามวันนี้ฉันอยู่ที่ตระกูลหานได้ไหม”

หานอู๋ซวงพยักหน้าพูดว่า “ไม่มีปัญหา นายอยู่ห้องเดิมได้เลย ยังไงตอนนี้ตระกูลหานก็วุ่นวายแล้ว เพิ่มนายอีกคนจะเป็นไรไป!”

ลู่ฝานพูดว่า “ขอบคุณลุงหานมากครับ งั้นลุงหานช่วยแจ้งสิบสามพ่อบ้านฉันหน่อย ให้เขามาที่นี่ด้วย ฉันจะออกไปทำธุระนิดหน่อย”

หานอู๋ซวงพูดว่า “ไปเถอะ ลู่ฝาน นายก็ต้องระวังเทียนชิงหยางนะ”

ลู่ฝานส่งเสียงตอบรับ หลังจากนั้นเดินออกจากตระกูลหานอย่างรวดเร็ว

ลู่ฝานค่อยๆ เอาของอย่างหนึ่งออกมาจากอก นั่นเป็นที่อยู่ที่อู่คงหลิงให้เขา

ลู่ฝานเอาแผนที่ออกมาดูครู่หนึ่ง จากนั้นเขารีบไปตามที่อยู่อย่างรวดเร็ว

ผ่านหนทางคดเคี้ยวเลี้ยวลด

หลังจากผ่านจุดวาร์ปค่ายกลเคลื่อนฟ้าหลายแห่ง ลู่ฝานมาถึงหน้าโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง

“โรงเตี๊ยมร่ำรวย!”

ชื่อเป็นมงคลและธรรมดามาก แต่ดูจากการตกแต่งแล้ว

โรงเตี๊ยมแห่งนี้เหมาะสมที่จะเรียกว่าร่ำรวยจริงๆ

เดินเข้ามาในโรงเตี๊ยม ลู่ฝานให้เด็กที่ทำงานในโรงเตี๊ยมพาไปที่ห้องหมายเลขหนึ่ง

ที่อยู่ที่อู่คงหลิงทิ้งไว้ให้เขาคือที่นี่

ลู่ฝานเคาะประตูห้อง มีเสียงผู้หญิงที่คุ้นเคยดังมาจากข้างใน

“ใคร”

ลู่ฝานตอบว่า “ฉันเอง ลู่ฝาน!”

เสียงผู้หญิงถามต่อ “ลู่ฝานคือใคร”

ลู่ฝานขมวดคิ้วเบาๆ แล้วพูดว่า “ทำเป็นจำไม่ได้อีกแล้วเหรอ”

ระหว่างที่พูด ลู่ฝานผลักประตูห้องแล้วเดินเข้าไป

ห้องงดงามแบบผู้ดี ควันไม้จันทน์ลอยขึ้นมาเบาๆ

สิ่งที่ปรากฏในสายตาคือร่างงดงาม ทำให้ลู่ฝานขมวดคิ้วแน่นขึ้นอีก

ผ้าปกปิดใบหน้า ชุดคลุมดำปกคลุมร่างกาย ลู่ฝานมองอู่คงหลิง แล้วพูดตรงๆ ว่า “เธอทำแบบนี้ต่อไปไม่ได้อีก ฉันนั่งดูเธอทำลายตระกูลหานกับตระกูลเทียนไม่ได้ เธอยุยงให้หานหยวนหนิงกับเทียนชิงหยาง ทะเลาะกันจนอยู่ในสภาพแบบนี้ใช่ไหม เธอจะทำอะไรกันแน่”

อู่คงหลิงสะบัดมือปิดประตู มองลู่ฝานด้วยสายตาประหลาดแล้วพูดว่า “นายนี่รู้มากจริงๆ ทำไมถึงทำลายตระกูลเทียนกับตระกูลหานไม่ได้”

ลู่ฝานขมวดคิ้วพูดว่า “หานเฟิงเป็นศิษย์พี่ฉัน ตระกูลหานเป็นตระกูลของเขา ลุงหานก็ดีกับฉันด้วย เทียนหยาจื่อเป็นท่านผอ.ของฉัน แล้วก็ดีกับฉันมากเช่นกัน ทั้งสองตระกูลมีบุญคุณกับฉัน แน่นอนว่าฉันจะปล่อยให้เธอทำลายพวกเขาไม่ได้”

อู่คงหลิงยิ้มเย็นชาแล้วพูดว่า “แต่ฉันทำแบบนี้ไปแล้ว หานหยวนหนิงเหมือนไม่มีชีวิตไปแล้ว มีแค่แรงเฮือกสุดท้ายเท่านั้น ส่วนเทียนชิงหยาง เหอะๆ ตอนนี้มีจิตใจที่เร่าร้อนฮึกเหิม คืนนี้ยังจัดงานเลี้ยงเหล้าที่แม่น้ำหย่งอานด้วย ยโสโอหังอย่างยิ่ง อวดดีอย่างมาก สองตระกูลนี้ไม่ตีกันจนตายไปข้างสิถึงจะแปลก ถึงฉันไม่ไปส่งเสริมยุยงครั้งสุดท้าย พวกเขาก็ต้องตีกันอยู่ดี”

ลู่ฝานฟังความลับอะไรบางอย่างจากคำพูดของอู่คงหลิง เขาพูดว่า “ครั้งสุดท้ายเหรอ เธอจะทำอะไรอีก”

อู่คงหลิงพูดด้วยรอยยิ้ม “ง่ายดายมาก ก็ทำให้หานหยวนหนิงโมโหจนตายยังไงล่ะ หลังจากนั้นค่อยส่งหน่วยกล้าตายไปฆ่าเทียนชิงหยาง ไม่ว่าจะฆ่าสำเร็จหรือไม่ ทุกสิ่งก็เป็นที่แน่นอนแล้ว!”

อู่คงหลิงลุกขึ้นยืน ค่อยๆ เดินมาหาลู่ฝาน เดินพลางพูดว่า “แค่สองตระกูลตีกัน ต้องเจ็บหนักทั้งสองฝ่าย ในสิบตระกูลใหญ่ของประเทศอู่อาน ตระกูลเทียนกับตระกูลหานทรงพลังที่สุด เมื่อพละกำลังของทั้งสองตระกูลได้รับความเสียหาย ก็เท่ากับพละกำลังของประเทศอู่อานได้รับความเสียหาย เป้าหมายของฉันก็จะสำเร็จ!”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1155

ทุกคนครุ่นคิดเงียบๆ จู่ๆ ลูกหลานตระกูลหานคนหนึ่งวิ่งเข้ามาพูดว่า “ผู้อาวุโสทุกท่าน ลู่ฝานมาหาครับ จะให้ไล่เขาออกไปไหมครับ”

หานอู๋ซวงหัวเราะร่าแล้วพูดว่า “ลู่ฝาน คิดไม่ถึงว่าเด็กคนนี้จะมาแล้ว ตั้งแต่หานหยวนหนิงเกิดเรื่อง ลูกหลานตระกูลอื่นไม่มีใครมาสักคน แม้แต่ตระกูลสุ่ยที่เดิมทีมีความสัมพันธ์อันดีกับเรามาก ยังไม่ให้สุ่ยสือฉวนมาไถ่ถามสักคำ แต่คนที่มากลับเป็นลู่ฝานที่ฉันไล่เขาออกไป”

ผู้อาวุโสใหญ่พูดว่า “เด็กคนนี้มีความสัมพันธ์กับตระกูลหานของเราพอใช้ได้ ในเมื่อเขามาแล้ว ก็ให้เขาเข้ามาเถอะ”

หานอู๋ซวงพูดว่า “ไปเชิญเขาเข้ามา นอบน้อมหน่อย อย่าเสียมารยาท”

ผู้อาวุโสสองสามคนพูดว่า “ช่างเถอะ เรื่องนี้ไว้คุยกันพรุ่งนี้ เฮ้อ ถ้าตอนนี้เจ้าบ้านไม่เก็บตัวก็ดีสิ ให้หยวนหนิงได้พักผ่อนอย่างเต็มที่สักหน่อย นายดูเขาไว้หน่อย อย่าให้เขาทำเรื่องโง่ๆ”

หานอู๋ซวงพยักหน้า ส่งพวกผู้อาวุโสกลับไปอย่างนอบน้อม

ไม่นาน เงาของลู่ฝานปรากฏอยู่ในสายตาหานอู๋ซวง

สองมือไพล่หลัง หานอู๋ซวงมองลู่ฝานเดินเข้ามาอย่างรวดเร็วด้วยสีหน้านิ่ง จู่ๆ เขาพูดเสียงดังว่า “เจ้าเด็กลู่ ฉันไล่นายออกจากตระกูลหานแล้ว นายกลับมาทำไมอีก”

ลู่ฝานตอบกลับเสียงดัง “ฉันมาแทนหลู่เฉิงเซี่ยง ดูว่าตระกูลหานจะทำสงครามใหญ่กับตระกูลเทียนจริงหรือเปล่า”

หานอู๋ซวงชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นหัวเราะออกเสียงแล้วพูดว่า “นายนี่ตรงไปตรงมาจริงๆ”

ลู่ฝานเดินมาหน้าประตูห้องหานหยวนหนิง เขามองผ่านหน้าต่าง เห็นหานหยวนหนิงนอนอยู่ด้านใน

หานอู๋ซวงตบไหล่ลู่ฝานแล้วพูดว่า “ลู่ฝาน ถ้าตระกูลหานทำสงครามใหญ่กับตระกูลเทียนจริงๆ นายจะช่วยไหม”

ลู่ฝานส่ายหน้าพูดว่า “ฉันช่วยไม่ได้หรอก และไม่สามารถช่วยได้ ถ้าฉันช่วยตระกูลหานก็จะรู้สึกผิดต่อท่านผอ. ถ้าฉันช่วยตระกูลเทียนก็จะรู้สึกผิดต่อศิษย์พี่และลุงหานด้วย”

หานอู๋ซวงพยักหน้าเข้าใจ แล้วถอนหายใจออกมา

“ไปพักผ่อนเถอะ ฉันบอกนายได้แค่ว่าตอนนี้ตระกูลหานจะไม่แตะต้องตระกูลเทียน”

ลู่ฝานพูดว่า “ฉันขอดูหานหยวนหนิงหน่อยได้ไหม”

หานอู๋ซวงพยักหน้าพูดว่า “ได้อยู่แล้ว เขาอยู่ข้างใน นายเข้าไปสิ พูดอะไรระวังหน่อย ตอนนี้เขา……อ่อนแอมาก”

ลู่ฝานค่อยๆ เดินเข้ามาในห้อง ส่วนหานอู๋ซวงยืนมองแสงจันทร์อยู่นอกประตู

เพิ่งเดินเข้ามา หานหยวนหนิงพูดเสียงดังว่า “ลู่ฝาน นายมาเยาะเย้ยฉันเหรอ”

ลู่ฝานชะงักฝีเท้าลง หันมามองหานหยวนหนิงแล้วพูดว่า “ทำไมนายพูดแบบนี้ล่ะ”

หานหยวนหนิงใช้มือข้างเดียวค้ำตัวขึ้นนั่งบนเตียง แล้วพูดว่า “ถ้าไม่ได้มาเยาะเย้ยฉัน แล้วนายมาหาฉันทำไม”

ลู่ฝานดึงเก้าอี้มานั่ง ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ฉันไม่มีความคิดเยาะเย้ยนาย ฉันแค่มาดูอาการบาดเจ็บของนาย บางทีฉันอาจรักษานายได้ ยังไงนายก็เป็นลูกพี่ลูกน้องของศิษย์พี่ฉัน”

หานหยวนหนิงมองลู่ฝานอย่างดูหมิ่น หัวเราะพรืดแล้วพูดว่า “ผู้อาวุโสตระกูลหานของเรายังรักษาอาการบาดเจ็บไม่ได้ นายจะทำอะไรได้ รีบไปให้พ้น ฉันไม่อยากเห็นนาย”

ลู่ฝานพูดว่า “ฉันเข้าใจความรู้สึกนาย……”

จู่ๆ หานหยวนหนิงพูดตัดบทลู่ฝานด้วยเสียงดัง “นายเข้าใจอะไร นายเข้าใจความรู้ของการเป็นสิ่งไร้ค่าเหรอ นายเข้าใจเหรอ ไปให้พ้น!”

ลู่ฝานค่อยๆ ลุกขึ้นยืน จ้องหานหยวนหนิงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเดินไปทางประตู

ขณะที่เขาก้าวออกจากประตู ลู่ฝานหันมาพูดกับหานหยวนหนิงเป็นครั้งสุดท้ายว่า “นายอาจไม่เชื่อ อันที่จริงฉันเป็นสิ่งไร้ค่ามานานกว่านายด้วยซ้ำ ฉันรู้ดีกว่านายเยอะ!”

พูดจบ ลู่ฝานก็เดินออกจากห้อง

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1154

ตระกูลหาน เมฆดำทะมึนเต็มไปหมด

หลังจากหานหยวนหนิงโดนแบกกลับมา ตระกูลหานเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความอาฆาต

เสียงหัวเราะพูดคุยเมื่อก่อนหายไปจนหมด ตอนนี้ลูกหลานตระกูลหานเตรียมพร้อมไปฆ่าที่ตระกูลเทียนทุกเมื่อ

“เงียบ เงียบ! วุ่นวายอะไรกัน พวกนายรู้แต่การแก้แค้นเหรอ รอคำสั่งจากเจ้าบ้าน ถ้าไม่มีคำสั่งจากเจ้าบ้าน ใครก็ห้ามขยับไปไหนทั้งนั้น”

ที่ลานประลองบู๊ตระกูลหาน หานจุนตะโกนพูดเสียงดัง

พวกลูกหลานตระกูลหานที่เต็มไปด้วยความแค้นเคืองต่อความไม่เป็นธรรม ยกอาวุธขึ้นมา ไม่สนใจเสียงตะโกนของหานจุน ยังคงส่งเสียงดังโวยวายอยู่อย่างนั้น

“ตระกูลหานของเราเคยเสียเปรียบขนาดนี้เมื่อไรไม่ได้ ฉันจะไปทำลายประตูตระกูลเทียนตอนนี้เลย”

“เปิดศึก ตระกูลเทียนของเขาเก่งมากเหรอ ทำลายพวกเขาซะ!”

“หานหยวนหนิงจะเสียเลือดฟรีไม่ได้!”

เสียงดังขึ้นเรื่อยๆ จู่ๆ หานจุนสูดหายใจลึก แล้วแผดเสียงพูดออกมา

“หุบปากให้หมด!”

เสียงทำให้ลานประลองบู๊สั่นสะเทือนจนแกว่งไปมาครู่หนึ่ง

ตอนนี้ลูกหลานตระกูลหานทุกคนพากันหุบปากอย่างว่าง่าย แต่พวกเขาก็ยังมองหานจุนอย่างเดือดดาล

หานจุนกระวนกระวายจนตกอยู่ภายใต้ความกดดัน เขาก็โมโหสุดขีดเหมือนกัน อยากไปฆ่าถึงตระกูลเทียน แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาจริงๆ

หลังภูเขาตระกูลหาน กลุ่มคนล้อมอยู่หน้าบ้านไม้หลังหนึ่ง

คนที่นอนอยู่ในห้องคือหานหยวนหนิง

ตอนนี้หานหยวนหนิงดูสงบมาก ใบหน้าไม่สะทกสะท้าน มองดวงดาวบนฟ้านอกหน้าต่างอย่างเงียบๆ

แต่พวกคนที่อยู่นอกประตู กลับพูดคุยกันอย่างเคร่งเครียด

ในนั้นมีพี่ใหญ่ตระกูลหานอย่างหานอู๋ซวงอยู่ด้วย

“ผู้อาวุโสทุกท่าน ไม่มีวิธีรักษาตันเถียนของหยวนหนิงจริงๆ เหรอครับ อย่าบอกนะว่าตระกูลหานที่ยิ่งใหญ่ของเราจะหาผู้สูงส่งมารักษาเขาให้หายไม่ได้จริงๆ”

หานอู๋ซวงดูโมโหมาก ขณะพูดมีความเย็นชากะพริบอยู่นัยน์ตา

ผู้อาวุโสสองสามคนที่อยู่ข้างๆ ถอนหายใจแล้วส่ายหน้า พวกเขาเป็นผู้อาวุโสของตระกูลหาน เป็นผู้แข็งแกร่งที่ถ้าไม่มีสถานการณ์เร่งด่วน จะไม่ปรากฏตัวออกมาง่ายๆ

ผ่านไปนาน ผู้อาวุโสหนึ่งในนั้นพูดว่า “ถ้าแค่ตันเถียนโดนทำลายก็ดีสิ แค่คิดหาวิธีเชิญอริยปราชญ์มาช่วยสร้างร่างกายขึ้นมาใหม่ ซ่อมแซมตันเถียนกลับมา ค่อยๆ ฝึกวิทยายุทธกลับมาอีกครั้ง แต่ร่างกายของหยวนหนิงมีการถ่ายทอดของเซียนบู๊จิ่วหวา ถ้าสร้างร่างกายเขาขึ้นมาใหม่ จะทำลายการถ่ายทอดของเซียนบู๊จิ่วหวาจนหมด นี่เป็นเรื่องที่ยากลำบาก”

หานอู๋ซวงพูดว่า “แล้วไม่มีวิธีที่รักษาเอาไว้ทั้งสองอย่างเหรอครับ”

ผู้อาวุโสส่ายหน้าพูดว่า “เว้นแต่จะเชิญขุนพลังสุดเหนือฟ้า อาศัยพลังของโลกมาช่วย ไม่งั้นคงไม่มีวิธีแล้ว!”

หานอู๋ซวงแผดเสียงออกมาว่า “ขุนพลังสุดเหนือฟ้าเหรอ ไม่แน่ว่าทั้งประเทศอู่อานอาจหาขุนพลังสุดเหนือฟ้าไม่เจอด้วยซ้ำ ไม่ได้การแล้ว ตระกูลเทียนทำลายอัจฉริยะตระกูลฉัน ฉันจะไปสับเทียนชิงหยางให้เละ แก้แค้นให้หยวนหนิง!”

ผู้อาวุโสสองสามคนห้ามหานอู๋ซวงเอาไว้พร้อมกัน

ผู้อาวุโสใหญ่ที่เป็นหัวหน้า ดึงหานอู๋ซวงกลับมาแล้วพูดว่า “ไร้สาระ นายจะสร้างสงครามภายในสิบตระกูลใหญ่เหรอ นายคิดว่าฝ่าบาทจะนิ่งดูดายไม่สนใจเหรอ นายจะให้ตระกูลหานกลายเป็นตระกูลฉู่ตระกูลที่สองใช่ไหม!”

ผู้อาวุโสอีกคนพูดว่า “ตอนนี้ยังไม่เหมาะ ยังไงพวกเขาก็สู้กันอย่างยุติธรรมบนเขาวิถีบู๊ ความเป็นตายล้วนเป็นไปตามโชคชะตาของแต่ละคน เทียนชิงหยางไม่ได้ฆ่าหยวนหนิงทันที ถือว่าไว้หน้าแล้ว ทั้งด้านความรู้สึกและด้านเหตุผล เราไม่สามารถแย้งอะไรได้เลย”

หานอู๋ซวงกัดฟันพูดว่า “นี่ก็ไม่ได้ นั่นก็ไม่ได้ งั้นควรทำยังไง”

ผู้อาวุโสใหญ่พูดเสียงกังวานว่า “แพ้ยังไง ก็ต้องเอาชนะกลับมาให้ได้อย่างนั้น ตระกูลหานของเราไม่เคยเสียเปรียบขนาดนี้มาก่อน ต้องเอาชัยชนะกลับมาให้ได้!”

ผู้อาวุโสสองสามคนพยักหน้าแรง หานอู๋ซวงขมวดคิ้วพูดว่า “แต่หานหยวนหนิงเป็นลูกหลานที่โดดเด่นที่สุด ในบรรดาคนอายุน้อยของตระกูลหานแล้วนะครับ ขนาดเขายังสู้ไม่ได้ จะไปหาใครได้อีก ถึงเป็นลูกหลานที่โดดเด่นของตระกูลอื่น คงไม่มีใครสามารถสยบเทียนชิงหยางได้ เด็กคนนี้มีพรสวรรค์สูงมาก ตอนนี้ยังได้การถ่ายทอดจากไอ้แก่ทุเรศเทียนซ่วนบรรพบุรุษของพวกเขาอีก ต้องหยิ่งยโสโอหังจนไม่เห็นใครอยู่ในสายตาไปแล้ว!”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1153

ตอนมาถึงศูนย์กลางเมือง เดิมทีลู่ฝานเข้าใจว่าจะเหมือนกับตอนเข้ามาครั้งก่อน ที่ได้ยินเสียงเชียร์จากกลุ่มคนด้านล่าง

แต่เมื่อก้มลงไปมอง กลับเห็นถนนว่างเปล่า ทุกบ้านปิดประตู ร้านค้าไม่เปิด เต็มไปด้วยความเงียบเหงา

ลู่ฝานพูดอย่างประหลาดใจว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น ฉันเพิ่งขึ้นไปบนเขาวิถีบู๊ไม่กี่วันเอง ทำไมเมืองหลวงถึงเงียบแบบนี้ล่ะครับ”

ฉินฝานพูดว่า “สหายลู่ฝาน อย่าบอกนะว่านายไม่รู้เรื่องหานหยวนหนิง”

ลู่ฝานส่ายหน้าพูดว่า “ไม่ทราบครับ เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอครับ”

ฉินฝานพูดอย่างประหลาดใจว่า “นายไม่รู้จริงๆ ด้วย สองสามวันนี้นายไปเก็บตัวที่อุโมงค์สวรรค์แห่งไหนมา คิดไม่ถึงว่าจะไม่รู้เรื่องอะไรเลย หานหยวนหนิงโดนเทียนชิงหยางซัดจนพิการ ตอนนี้ในเมืองหลวงมีสัญญาณว่ากำลังจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างยิ่งใหญ่!”

“พิการงั้นเหรอ พิการยังไงเหรอครับ”

ลู่ฝานถาม

“แขนขาดหนึ่งข้าง ตันเถียนแตกสลายหมด ชีวิตนี้คงไม่มีหวังในการฝึกฝนอีกแล้ว”

ฉินฝานถอนหายใจเบาๆ เหมือนกำลังถอนหายใจกับความอนาถที่หานหยวนหนิงเจอ

ลู่ฝานอ้าปากกว้างแล้วพูดว่า “เป็นถึงขนาดนี้ ตระกูลหานก็ต้องไปสู้สุดชีวิตกับตระกูลเทียนน่ะสิครับ”

ฉินฝานพูดว่า “ก็ใช่น่ะสิ นายเดาออก คนอื่นก็เดาออกเหมือนกัน คนทั้งเมืองหลวงก็เดาออกทั้งนั้น ดังนั้นทุกคนจึงไม่ค่อยกล้าเดินบนท้องถนน กลัวว่าตอนเดินบนถนนจะเห็นคนตระกูลหานยกพวกไปคิดบัญชีตระกูลเทียน หลังจากนั้นจะเกิดสงครามใหญ่ เกิดการบาดเจ็บล้มตายมากมาย!”

ลู่ฝานพูดว่า “ตระกูลหานจะทำแบบนี้เหรอ”

ฉินฝานส่ายหน้าพูดว่า “ใครจะไปรู้ล่ะ เสด็จพ่อฉันยังไม่แน่ใจเลย ตอนนี้ทำได้เพียงควบคุมเรื่องนี้ไว้ ไม่ให้เกิดโศกนาฏกรรมแบบตระกูลโอวหยางในตอนนั้นขึ้นอีกครั้ง สงครามใหญ่ครั้งนั้นทำลายศูนย์กลางเมืองไปเกือบครึ่ง ขอแค่เป็นคนเก่าคนแก่ของเมืองหลวง ล้วนจำการต่อสู้อันเจ็บปวดครั้งนั้นได้ดี หวังว่าเหตุการณ์แบบนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก”

พูดพลาง เรือมังกรทองห้ากรงเล็บบินเข้ามาในเมืองชั้นใน และลอยลงด้านหน้าตำหนักไท่เหอ

เห็นพวกข้าราชการใหญ่เข้าพบฝ่าบาทเรียบร้อย กำลังเดินออกมาอย่างรวดเร็วพอดี

ลู่ฝานกับฉินฝานเดินลงจากเรือมังกร มองแวบเดียวก็เห็นหลู่เฉิงเซี่ยงเดินสวนมา

เมื่อเงยหน้าขึ้นเห็นลู่ฝาน หลู่เฉิงเซี่ยงรีบเดินมาอย่างรวดเร็ว เขาทำความเคารพฉินฝานก่อน แล้วพูดว่า “องค์ชายรอง”

หลังจากนั้นหลู่เฉิงเซี่ยงพูดกับลู่ฝานว่า “นายกลับมาสักที”

ฉินฝานเดินเข้าไปในตำหนักไท่เหอ ขณะนั้นหลู่เฉิงเซี่ยงจับแขนเขาเอาไว้แล้วพูดว่า “องค์ชายรอง ตอนนี้ทางที่ดีอย่าเพิ่งเข้าไปก่อนดีกว่าครับ เมื่อครู่ฝ่าบาทเพิ่งยกเลิกงานเลี้ยงต้อนรับพวกเทียนชิงหยาง”

ฉินฝานตอบรับอย่างเข้าใจ แล้วพูดว่า “ขอบคุณหลู่เฉิงเซี่ยง งั้นฉันขอตัวกลับก่อน”

ก่อนไปจู่ๆ ฉินฝานยัดป้ายอันหนึ่งใส่มือลู่ฝานแล้วพูดว่า “ถ้ามีเวลาว่างมาดื่มชากับฉันนะ”

ฉินฝานเดินออกไปอย่างรวดเร็ว หลู่เฉิงเซี่ยงดึงลู่ฝานมาอีกด้านหนึ่ง แล้วพูดว่า “ลู่ฝาน ตอนนี้ฉันมีเรื่องหนึ่งอยากรบกวนนาย นายยินดีไปให้ฉันไหม”

ลู่ฝานพูดว่า “หลู่เฉิงเซี่ยงจะให้ฉันไปตระกูลหานใช่ไหม”

หลู่เฉิงเซี่ยงพูดด้วยตาเป็นประกาย “ฉลาด ลู่ฝาน ช่วยฉันหน่อยเถอะ ถือว่าช่วยประเทศอู่อานด้วยสักครั้ง”

ลู่ฝานพยักหน้าเข้าใจแล้วพูดว่า “ฉันเข้าใจแล้ว”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1152

ความรู้สึกที่เรื่องยากทุกอย่างเป็นเรื่องง่ายขนาดนี้ มันช่างดีจริงๆ!

ลู่ฝานมองท้องฟ้าไกลๆ รู้สึกว่าสภาพจิตใจโล่งปลอดโปร่ง ทุกอย่างอยู่ในมือทั้งหมด

เท้าย่ำก้าวยอดเมฆาฟ้า ลู่ฝานเหาะออกจากหลังภูเขา

เขาเขียวต้นไม้เขียวชอุ่ม 76 อุโมงค์สวรรค์ยังอยู่เหมือนเดิม

ลมพัดผ่านป่าไม้จนเสื้อผ้าปลิวไปมา

ลู่ฝานยืนอยู่บนยอดไม้ มองทั้งเขาวิถีบู๊จากไกลๆ เพิ่งพบว่าบนเขาวิถีบู๊ไม่มีคนแล้ว

อย่าบอกนะว่าลงเขาไปหมดแล้ว

ลู่ฝานเดินลงจากเขาด้วยความสงสัยเช่นกัน

ตอนเขาเดินลงมาถึงตีนเขา พลานุภาพสร้างความกดดันของเทพบู๊โจมตีใส่ตัวเขาอีกแล้ว

ไม่ได้เก็บปราณชี่กลับมา แต่ครั้งนี้ลู่ฝานกลับมีพลังเดินไปข้างหน้าต่อได้

แม้ระดับวิทยายุทธของเขาไม่ได้ก้าวหน้าขึ้นเท่าไร แต่ความแข็งแกร่งของร่างกาย ยกระดับขึ้นไม่ใช่น้อยๆ

ต้านทานพลานุภาพสร้างความกดดันของเทพบู๊ ลู่ฝานเดินออกมาจากซุ้มประตูทันที

ทันใดนั้น สิ่งที่ปรากฏอยู่ในสายตาคือเรือมังกรทองห้ากรงเล็บ

มีเพียงคนเดียวที่ยืนตระหง่านอยู่บนเรือมังกร

ลู่ฝานหัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “องค์ชายรอง!”

ใช่แล้ว คนที่รออยู่บนเรือมังกรคือองค์ชายรองฉินฝาน

เมื่อเห็นลู่ฝานออกมา ฉินฝานพูดด้วยรอยยิ้มว่า “สหายลู่ฝาน นายให้ฉันรอนานเลยนะ!”

พูดพลาง ฉินฝานเด้งตัวลงจากเรือมังกร แล้วเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว

ลู่ฝานมองซ้ายมองขวาก็ไม่เห็นคนอื่น เขาพูดด้วยรอยยิ้มว่า “องค์ชายรองตั้งใจมารอฉันเลยเหรอ”

ฉินฝานพูดด้วยรอยยิ้ม “คนอื่นลงมาอย่างช้าสุดก็เมื่อวานซืน ตอนนี้ทั้งเขาวิถีบู๊ นอกจากสหายลู่ฝานแล้วจะมีใครอีกล่ะ แน่นอนว่าฉันมารอนาย”

ลู่ฝานพยักหน้าพูดว่า “ดูเหมือนฉันออกมาช้าแล้ว”

ฉินฝานผายมือขวาแล้วพูดว่า “สหายลู่ฝาน เชิญขึ้นเรือมังกรเถอะ!”

ลู่ฝานก้าวขึ้นไปบนเรือมังกรทองห้ากรงเล็บกับฉินฝาน ตอนนี้บนเรือมังกรมีโต๊ะวางอยู่หนึ่งตัว เหล้าหนึ่งกา และแก้วชาสองใบ

มังกรทองห้ากรงเล็บบินขึ้นไปบนฟ้า พร้อมเสียงคำรามของมังกร

ฉินฝานเทชาให้ลู่ฝานจนเต็มแก้ว แล้วพูดว่า “สหายลู่ฝาน ช่วงเวลาก่อนหน้านี้ได้ล่วงเกินไปมาก หวังว่าจะอภัยให้กัน”

ลู่ฝานพูดด้วยรอยยิ้มว่า “องค์ชายรอง พูดอะไรกันล่ะ”

ลู่ฝานจิบชาเบาๆ แล้วมองฉินฝานอย่างประเมิน

ตอนนี้ลู่ฝานสามารถเห็นกระแสลมโปร่งแสงบนตัวฉินฝาน แม้เป็นเพียงชั้นบางๆ แต่กลับรวมเป็นหนึ่งกับฟ้าดิน ปกคลุมฉินฝานเอาไว้ข้างในอย่างแน่นหนา กระแสลมก่อตัวเป็นรูปร่างคล้ายค่ายกล ทรงพลังและแข็งแกร่ง

ลู่ฝานคาดเดาอยู่ครู่หนึ่ง แม้ตอนนี้ตัวเองลงมืออย่างกะทันหัน ก็คงไม่สามารถทำอะไรฉินฝานที่อยู่ตรงหน้าได้

นี่คือวิธีคุ้มครองของพระราชวังเหรอ น่าสนใจแฮะ

ทำไมเมื่อก่อนเขาไม่สังเกตเห็นนะ!

ตอนลู่ฝานกำลังมองสำรวจฉินฝาน มีหรือที่ฉินฝานจะไม่มองสำรวจเขาเหมือนกัน

ตอนนี้ในสายตาของฉินฝาน ลู่ฝานดูคาดเดากว่ายากกว่าเมื่อก่อน

พลังบนตัวถูกปกปิดไว้ แต่รู้สึกถึงวิถี มองดูแล้วเหมือนหนังสือวิถีบู๊เล่มหนึ่งที่ตีความยาก

เป็นไปตามคาด การที่เขามารอลู่ฝานที่นี่ในครั้งนี้ เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง

อนาคตของคนคนนี้ ไร้ขีดจำกัดแน่นอน นักบู๊ทั่วไปไม่สามารถเทียบได้เลย

หึ ตอนนี้คนอื่นไปพูดเยินยอเทียนชิงหยางแห่งตระกูลเทียนกันหมดแล้ว แต่กลับไม่คิดถึงลู่ฝานที่อยู่เหนือกว่าเทียนชิงหยางบนสะพานสายรุ้ง

ฉินฝานก็ไม่ได้คาดหวังว่าต่อไปลู่ฝานจะเหนือกว่าเทียนชิงหยาง แม้ความสำเร็จของลู่ฝานในอนาคต จะเป็นเพียงแค่ครึ่งของเทียนชิงหยาง งั้นการแสดงออกอันเป็นมิตรของเขาในตอนนี้ ถือว่าถูกต้องที่สุดแล้ว

ทั้งสองดื่มชากันอย่างเงียบๆ เรือมังกรทองห้ากรงเล็บบินเข้าไปในอุโมงค์ข้ามมิติ และบินออกมาจากอุโมงค์ข้ามมิติ

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1151

หลังผ่านไปไม่กี่วัน

แสงหนึ่งร่วงลงมาจากฟ้า พุ่งตรงลงมาทางด้านหลังเขาวิถีบู๊

ลำแสงกระแทกเข้ามาในห้องหิน จนฝุ่นตลบอบอวลไปทั่ว

“ไม่ง่ายเลยนะ ในที่สุดก็ได้กลับมาแล้ว!”

ลู่ฝานปัดฝุ่นบนตัว ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

เดิมทีจักรพรรดิอู่จะกลืนกินเขา แล้วตัวเองก็กลับมา แต่ปรากฏว่ากลืนกินไม่สำเร็จ อีกทั้งยังเกือบทำให้ลู่ฝานติดอยู่ในอากาศเวิ้งว้างอีกด้วย

โชคดีที่ตอนนี้โลกใบเล็กของจักรพรรดิอู่เป็นของเขาแล้ว หลังจากควานหาอยู่ไม่กี่วัน ในที่สุดก็หาวิธีกลับมาได้

กระบี่หนักไร้คมร่วงลงมาอยู่ในมือ ตอนนี้จิตที่อยู่ในกระบี่หายไปแล้ว มีเพียงแค่พลังที่ลู่ฝานใส่เข้าไปกับเขตวิถีโลกใบเล็กที่รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน

เดิมที่จิตที่อยู่ในกระบี่หนักไร้คมดับสูญไปนานแล้ว มีเพียงจิตวิญญาณโหยหาที่จักรพรรดิอู่ใส่เข้าไป

ตอนนี้ความโหยหาของจักรพรรดิอู่โดนเขาผนึกไว้ในร่างกายเรียบร้อยแล้ว

แน่นอนว่าจิตวิญญาณเล็กน้อยที่อยู่ในกระบี่หนักไร้คม ก็จางหายไปเหมือนหมอกควันด้วยเช่นกัน

ตอนนี้กระบี่หนักไร้คมเป็นของลู่ฝานเพียงคนเดียวเท่านั้น สิ่งเดียวที่ต้องให้ความสำคัญคือตัวเองต้องบ่มเพาะดูแลภูติอาวุธ

แต่เรื่องนี้ค่อยเป็นค่อยไปได้!

ตอนนี้สามารถเก็บกระบี่หนักไร้คมไว้ในตัวเขาได้แล้ว แปดเปื้อนพลังของโลกได้ทุกเมื่อ

การบ่มเพาะดูแลภูติอาวุธออกมา เป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก

เพิ่งได้โลกใบเล็กมาหนึ่งวัน ลู่ฝานรู้สึกว่าปราณชี่ของตัวเองเริ่มมีสติปัญญา

ระหว่างที่ใช้ เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงหลากหลายขึ้น คิดว่าถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป คงถึงขั้นที่ลู่ฝานไม่ต้องควบคุมมัน มันก็สามารถมีปฏิกิริยาตอบกลับเองได้

นี่เป็นเรื่องดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัยเลย ลู่ฝานรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก

ได้รับสิ่งดีที่ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง ถึงแม้จะอันตรายรุนแรงไปหน่อยก็เถอะ

แต่อยากได้ของดีก็ต้องเสี่ยง มีโลกใบเล็กรวมอยู่ในร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นร่างกายหรือพลังของเขา ล้วนยกระดับสูงขึ้นเป็นอย่างมาก

และสิ่งสำคัญกว่านั้น หนทางยังราบรื่น วิถีที่แฝงอยู่ในโลกใบเล็ก เพียงพอให้ฝึกฝนถึงขุนพลังสุดเหนือฟ้าเลยล่ะ

คนอื่นฝึกบู๊ เริ่มตั้งแต่ขั้นปราณฟ้า จำเป็นต้องทำความเข้าใจวิถีสั่งสมไปเรื่อยๆ ถึงกระทั่งที่ต้องท่องไปทั่วใต้หล้า สอบถามจากอาจารย์ เพื่อจะทะลุระดับ ด้วยเหตุนี้หากสามารถฝึกฝนถึงแดนปราณฟ้าขั้นสูงสุด ถือว่ามีโอกาสและโชคชะตานับไม่ถ้วน มีบุญวาสนามาก

แต่คนอย่างลู่ฝาน สามารถตัดทั้งหมดนี้ทิ้งไปได้

โลกใบเล็กใบนี้ เหมือนหนังสือที่เขียนวิถีทุกอย่างเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ใส่เข้าไปในตัวลู่ฝาน พร้อมให้เขาอ่านดูได้ทุกเมื่อ

ขอแค่วิทยายุทธเพียงพอถึงขั้น ก็สามารถนั่งทำความเข้าใจได้ทันที

ขอแค่ไม่โง่เขลาเกินไป ชีวิตนี้ก้าวเข้าสู่แดนเซียนบู๊ น่าจะไม่มีปัญหาอะไรแล้ว

ถ้าพูดเรื่องนี้ออกไป ไม่รู้ว่ามีนักบู๊ตั้งเท่าไรที่อยากสับเขาให้ตายเพราะความอิจฉา

ถึงเป็นพวกผู้แข็งแกร่งแดนปราณฟ้า หรือพวกที่เป็นเซียนบู๊แล้ว จะมีใครที่ไม่อยากเห็นโลกใบเล็กของจักรพรรดิอู่บ้างล่ะ

ลู่ฝานฮัมเพลงแล้วหันมามองรูปปั้นในบ้านหิน เขาพูดด้วยรอยยิ้มว่า “จักรพรรดิอู่นะจักรพรรดิอู่ ไม่ว่ายังไงก็ขอบคุณโลกใบเล็กของจักรพรรดิอู่มากนะ”

เมื่อพูดเช่นนี้ ลู่ฝานเดินออกไปข้างนอก

ขยับฝ่ามือเล็กน้อย น้ำหนึ่งหยดในมือของเขา เปลี่ยนรูปร่างเป็นรูปทรงต่างๆ มากมาย

เริ่มต้นด้วยไฟ เป็นสายฟ้า หลังจากนั้นห้าธาตุรวมตัวกัน ก่อตัวเป็นไข่มุกเม็ดหนึ่ง

หลังจากถอดรกเปลี่ยนกระดูก ลู่ฝานรู้สึกว่าความสามารถในการฝึกฝนเคล็ดวิชาบู๊ของตัวเอง ได้รับการยกระดับขึ้นอย่างมหาศาล

ไม่ว่าจะเป็นเคล็ดวิชาบู๊อะไร เมื่ออยู่ต่อหน้าเขาล้วนง่ายดายมาก

อย่างเช่นเคล็ดวิชาบู๊สรรพสิ่งไร้รูปร่าง ลู่ฝานแอบรู้สึกว่าตัวเองเริ่มจับต้นชนปลายได้แล้ว อีกไม่นานน่าจะมีความรู้เบื้องต้นแล้ว

ส่วนเคล็ดวิชาบู๊อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นกลายร่างฟ้าดินของเซียนบู๊หวางเหมิ่ง วิชากระบี่บำเพ็ญเพียรที่ยอดฝีมือลึกลับมอบให้เขาที่โรงเหล้า รวมไปถึงวิชาจิตบู๊ไท่อี่ ลู่ฝานรู้สึกเหมือนไม่ใช่เรื่องยากอะไร แค่เขาหาเวลาว่าง ก็สามารถฝึกฝนให้สำเร็จอย่างง่ายดาย ส่วนพวกวิชาที่เขาฝึกฝนสำเร็จแล้ว ตอนนี้แค่เคลื่อนไหวปราณชี่เล็กน้อย ก็จะมีความเข้าใจใหม่ๆ

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1150

แต่ต่อจากนั้น ร่างแยกนับไม่ถ้วนของเทียนชิงหยางรวมตัวกันที่จุดเดียว เขาไม่ขยับสักก้าว แต่พลังปราณทั้งตัวหานหยวนหนิงแตกสลาย รอยแผลจากกระบี่มากมายปรากฏขึ้นมา

“ยอมไหม!”

เทียนชิงหยางพูดเสียงเย็นชา

หานหยวนหนิงล้มลงบนพื้น กระอักเลือดออกจากปากแล้วพูดว่า “ไม่ยอม!”

เทียนชิงหยางเดินมาข้างหน้าหานหยวนหนิง ใช้กระบี่มังกรคำรามชี้ไปที่ตันเถียนของหานหยวนหนิง

“ฉันได้ยินว่าตันเถียนของเซียนบู๊จิ่วหวาเคยโดนคนทำลาย หลังจากนั้นอาศัยวิชาฝึกฝนกลับมา ไม่รู้ว่าคนที่ได้รับการถ่ายทอดอย่างนาย จะทำได้เหมือนกันหรือเปล่า!”

หานหยวนหนิงโมโหเป็นอย่างมาก เขาตะโกนเสียงดังว่า “เทียนชิงหยาง ฉันจะฆ่านาย!”

เทียนชิงหยางใช้แรงแทงกระบี่ไปที่ท้องของหานหยวนหนิง พลังปราณพุ่งเข้าไปที่ตันเถียนของหานหยวนหนิง หานหยวนหนิงชะงักไปทันที เลือดทะลักออกมาทั้งตัว

ดึงกระบี่ยาวออกมา เทียนชิงหยางเอากระบี่เช็ดลงบนเสื้อของหานหยวนหนิงด้วยความขยะแขยง เขาเช็ดจนกระบี่สะอาด

มองหานหยวนหนิงที่นอนอยู่บนพื้น เทียนชิงหยางพูดว่า “หลังจากนี้ไป นายไม่ใช่นักบู๊อีกแล้ว”

หานหยวนหนิงล้มอยู่บนพื้นพูดอย่างอ่อนแรง “ฆ่าฉัน นายกล้าดีก็ฆ่าฉันสิ”

เทียนชิงหยางมองเขาอย่างดูหมิ่นแวบหนึ่ง จากนั้นหัวเราะแล้วพูดว่า “ฆ่านายทำให้กระบี่ของฉันแปดเปื้อน”

พูดจบ เทียนชิงหยางเดินลงไปด้านล่าง

ไม่นาน นักบู๊กลุ่มหนึ่งปรากฏอยู่ในสายตา

นักบู๊กลุ่มนี้เห็นคนที่เดินลงมาคือเทียนชิงหยาง ต่างมีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้นโค้งคำนับเบาๆ ความนอบน้อมปรากฏขึ้นบนใบหน้า

เทียนชิงหยางมองท่าทีของพวกเขาด้วยความพอใจ จากนั้นเดินลงเขาวิถีบู๊

ในเวลาเดียวกัน แสงสองสามแสงปรากฏขึ้นข้างตัวหานหยวนหนิงทันที

พวกเขาล้อมรอบตัวหานหยวนหนิง มองอย่างเงียบๆ แต่กลับไม่มีใครประคองหานหยวนหนิงขึ้นมาเลย

สุ่ยสือฉวนมองหานหยวนหนิงที่อยู่บนพื้น แล้วพูดว่า “ลูกหลานตระกูลหานที่ยิ่งใหญ่ อยู่ในสภาพแบบนี้ น่าสงสาร!”

สือเฉินพูดว่า “เจ้าบ้าหาน นายว่ามันคุ้มค่าไหม ยังไม่ได้ใช้แม้กระทั่งพลังสายเลือด ก็สู้กับเทียนชิงหยางแล้ว รนหาที่ตายชัดๆ ดูเหมือนชีวิตนี้นายคงใช้มันไม่ได้แล้ว”

ถานไถเก๋อปิดจมูกพูดว่า “เลือดคาวมาก”

หลิ่วเจินสะบัดพัดไปมา แล้วพูดว่า “น่าเศร้า น่าหดหู่ เจ้าบ้าหาน ดูเหมือนนายอยู่ในเมืองหลวงไม่ได้อีกแล้ว”

หานหยวนหนิงที่นอนอยู่บนพื้น มองหลิ่วเจินที่ยืนอยู่ด้านข้าง ริมฝีปากขยับเบาๆ

หลิ่วเจินค่อยๆ ก้มลงมาพูดว่า “นายพูดอะไร ให้ฉันช่วยนายเหรอ เหอะๆ เจ้าบ้าหานนะเจ้าบ้าหาน นายกับฉันไม่ใช่พวกเดียวกันอีกแล้ว ทำไมฉันต้องช่วยนายด้วยล่ะ นายอย่าเอาเลือดของนายมาเปื้อนมือฉัน”

พูดจบ ทั้งสี่คนมองหน้ากันแล้วหัวเราะ ตัวกลายเป็นแสงหายออกไป

หานหยวนหนิงใบหน้าสิ้นหวัง ตอนนี้เขาเพิ่งรู้ความโหดร้ายคืออะไร

หานหยวนหนิงผู้ยิ่งใหญ่อย่างเขา ดูเหมือนวันนี้คงต้องตายอยู่ที่นี่

ขณะที่หานหยวนหนิงกำลังจะหลับตารอความตาย เงาคนที่ค้ำไม้เท้าเดินมาตรงหน้าเขา

หลู่หยิน!

ค้ำไม้เท้าเอาไว้สองข้าง หลู่หยินมองหานหยวนหนิงอย่างละเอียดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “น่าสงสารมาก ตันเถียนโดนทำลายแล้ว ดูเหมือนพลานุภาพของเทียนชิงหยางดุดันจนไม่สามารถต้านทานได้แล้ว นี่ นายยังมีชีวิตอยู่ไหม ถ้ายังมีชีวิตอยู่ก็กะพริบตาสิ!”

หานหยวนหนิงกะพริบตามองหลู่หยิน

หลู่หยินฉีกยิ้มออกมา ลักยิ้มสองข้างปรากฏขึ้นบนใบหน้าเล็กแสนน่ารัก

เธอยื่นไม้เท้าออกมา แตะลงบนตัวหานหยวนหนิง จู่ๆ หานหยวนหนิงพบว่าตัวเองลอยขึ้นมา

หลู่หยินยิ้มแล้วพูดว่า “ถือว่านายโชคดีนะ ฉันเพิ่งได้สิ่งที่ตัวเองต้องการพอดี จึงอารมณ์ดี เดี๋ยวจะพานายลงเขาเอง”

หานหยวนหนิงมองด้านหลังหลู่หยิน ยกยิ้มมุมปากที่ดูน่าเกลียด หลังจากนั้นก็ค่อยๆ ปิดตาทั้งสองข้างลง

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1149

หลังผ่านไปหนึ่งวัน!

เขาวิถีบู๊เละเทะไปหมด

จวนเซียนบู๊เทียนซ่วนยังคงสว่างอยู่ และไม่ได้รับความเสียหายเลยสักนิด

แต่พื้นดินด้านหน้าจวนกลับมีหลุมลึกมากมาย เละเทะหนักมาก

กลุ่มคนแยกย้ายกันไปไหนแล้วไม่รู้ เหลือเพียงเทียนชิงหยางกับหานหยวนหนิงสองคน พวกเขาต่อสู้กันมาหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว!

เลือดสดหยดลงมาจากปลายกระบี่ เทียนชิงหยางมองหานหยวนหนิงที่อยู่ข้างหน้า แล้วพูดว่า “อย่าคิดว่าสายเลือดตระกูลหานของพวกนายจะไร้เทียมทาน ภายใต้กระบี่ของฉัน ยังไงนายก็ต้องตายอยู่ดี!”

หานหยวนหนิงมองหน้าอกตัวเอง ตรงนั้นมีรอยกระบี่ลึกหนึ่งรอย เนื้อและเลือดเปิดออกมาข้างนอก

แผลจากกระบี่ไม่นับประสาอะไร สำหรับลูกหลานตระกูลหาน แผลภายนอกทั่วไปก็แค่เพิ่มพลังต่อสู้ให้พวกเขาเท่านั้น

แต่รอยแผลจากกระบี่ที่เทียนชิงหยางแทงลงบนตัวเขา กลับทำให้หานหยวนหนิงเจ็บปวดเป็นอย่างมาก

เพราะกระบี่นี้ของเทียนชิงหยาง คิดไม่ถึงว่าจะทำลายความบ้าคลั่งของเขา!

แสงสีแดงนัยน์ตาหายไป หานหยวนหนิงไม่อยากเชื่อจริงๆ

สภาวะบ้าคลั่ง เป็นหนึ่งในไพ่ไม้ตายของตระกูลหานมาโดยตลอด มันสามารถเพิ่มพลังการต่อสู้ให้นักบู๊ได้อย่างมาก อีกทั้งไม่เกรงกลัวอาการบาดเจ็บ กล้าที่จะสู้สุดชีวิต

ใช้แผลแลกแผล นั่นเป็นเรื่องปกติธรรมดา ใช้พลังของมือและเท้าแลกชีวิต ยิ่งเป็นอะไรที่ปกติธรรมดาเข้าไปใหญ่

เมื่อได้ใช้แล้วจะไม่จบไม่สิ้น

แต่วันนี้ความบ้าคลั่งของเขา กลับโดนเทียนชิงหยางทำลาย

แค่กระบี่ธรรมดาๆ เพียงกระบี่เดียว ก็สามารถทำลายได้!

หานหยวนหนิงไม่รู้ว่าเทียนชิงหยางทำได้อย่างไร เขารู้เพียงว่าพลังของตัวเองกำลังหายไปอย่างรวดเร็ว

ผลข้างเคียงของการบ้าคลั่ง ยิ่งคงอยู่เป็นเวลานานเท่าไร ผลข้างเคียงก็ยิ่งรุนแรงขึ้นเท่านั้น บางครั้งอาจอันตรายถึงชีวิต

หานหยวนหนิงหอบหายใจอย่างแรง เงาเก้าเงาด้านหลัง เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นเลือนราง

ตอนเขาได้รับการถ่ายทอดจากเซียนบู๊จิ่วหวา เวลาสั้นเกินไป ทำให้ไม่ได้ฝึกเคล็ดวิชาบู๊นี้จนถึงขั้นสูงสุด

เมื่อพลังไม่มั่นคง จะทำให้เงาทั้งเก้าเริ่มสลายหายไปด้วย

หานหยวนหนิงรู้สึกว่าทุกสิ่งรอบตัวเริ่มหมุนเคว้ง

หันมาดูฝั่งเทียนชิงหยาง ดูสุขุมและใจเย็นกว่ามาก

เทียนชิงหยางค่อยๆ เอานิ้วมือปาดเลือดบนปลายกระบี่ทิ้ง

กระบี่วิเศษไม่เปื้อนคราบเลือด เมื่อใช้มือปาด เลือดสดก็กระเด็นใส่หน้าหานหยวนหนิงทันที

เลือดสดนั่นราวกับหมัดหนักโจมตีใส่สองครั้ง ทำให้หานหยวนหนิงถอยหลังไปอีกหลายก้าว

เทียนชิงหยางมองหานหยวนหนิงแล้วพูดว่า “ถ้านายใช้พลังสายเลือด ยังพอมีคุณสมบัติสู้กับฉันได้ แต่ตอนนี้นายไม่มีแม้กระทั่งคุณสมบัติที่จะเห็นพลังสุดแข็งแกร่งของฉัน นายทำได้แค่ให้ฉันฝึกกระบี่เท่านั้น”

เทียนชิงหยางก้าวเข้ามาข้างหน้า แทงกระบี่ลงบนไหล่หานหยวนหนิงอีกครั้ง

แต่ขณะนั้นเอง จู่ๆ หานหยวนหนิงไม่ถอยแต่กลับพุ่งเข้าไป ใช้ไหล่รับกระบี่มังกรคำรามของเทียนชิงหยาง หลังจากนั้นพลิกมือจู่โจมด้วยกระบี่ ฟันไปทางคอของเทียนชิงหยาง

เงาทั้งเก้าเข้าไปในกระบี่ของหานหยวนหนิงอย่างรวดเร็ว กลายเป็นแสงเก้าสีโจมตีใส่คอของเทียนชิงหยาง

ฉิ้ง!

กระบี่ยาวไม่ได้ฟันลงไปที่คอของเทียนชิงหยาง แต่กลับโดนพลังสีขาวขุ่นหนึ่งชั้นต้านทานเอาไว้

ในเวลาเดียวกัน ไหล่ของหานหยวนหนิงโดนเทียนชิงหยางแทงจนทะลุ

เทียนชิงหยางมองหน้าหานหยวนหนิงแล้วพูดว่า “นายนี่ไม่ยอมแพ้จริงๆ!”

พลิกข้อมืออย่างรวดเร็ว ไหล่ซ้ายของหานหยวนหนิงระเบิดออกทันที

หานหยวนหนิงกัดฟัน ถอยไปด้านหลังหลายก้าว พลังปราณบนตัวกะพริบขึ้น ผนึกเส้นลมปราณเอาไว้ทันที ไม่ให้เลือดไหลออกมา

ไหล่ซ้ายขาดไปแล้ว หานหยวนหนิงยังจ้องหน้าเทียนชิงหยางอยู่อย่างนั้น

เทียนชิงหยางถลึงตามองเขาแล้วพูดว่า “ยังไม่ยอมแพ้อีกเหรอ”

หานหยวนหนิงแผดเสียงออกมาว่า “จะให้ฉันยอมแพ้ ฝันไปเถอะ!”

จู่ๆ ตัวของเทียนชิงหยางเปลี่ยนแปลงเป็นร้อยแปดพันเก้าอีกครั้ง หานหยวนหนิงใช้พลังปราณปกคลุมทั่วร่างกายทันที

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1148

ลู่ฝานก็ไม่รู้ว่าจะหยุดอย่างไร ทำได้เพียงมองด้านในร่างกายตัวเอง เริ่มมีลวดลายประหลาดปรากฏขึ้น ด้วยความตกตะลึง หลังจากนั้นพลังของจักรพรรดิอู่หายไปจนหมด

จิตวิญญาณของลู่ฝานพูดเสียงดังว่า “ไอ้เก้า ไอ้เก้าออกมา!”

จู่ๆ เสียงของเจดีย์เสวียนเก้ามังกรดังออกมาจากในตันเถียน

“เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ เรียกฉันมีอะไรเหรอ!”

ลู่ฝานพูดเสียงดังว่า “เมื่อกี้ฉันต่อสู้ในร่างกายดุเดือดขนาดนั้น แกไม่รู้สึกเหรอ”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดอย่างประหลาดใจว่า “ไม่นะ เจ้านายต่อสู้เหรอ เอ๊ะ พลังธาตุบนตัวเจ้านายมาจากไหนเหรอ ฉันขอยืมสักหน่อยได้ไหม”

ลู่ฝานพูดว่า “ไม่มีทาง ฉันอาศัยมันทำให้รอดชีวิต จิตวิญญาณของจักรพรรดิอู่เพิ่งทะลักเข้ามาในตัวฉัน รีบหามันให้เจอ ทำลายมันทิ้งซะ ทำลายเหมือนทำลายวิญญาณมังกรของเทพมังกรทำลายล้าง!”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรฟังเจตนาอาฆาตของลู่ฝานออก มันรีบพูดตอบรับรัวๆ

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรมีแสงร้อนระอุขึ้นมาทันที หลังจากวนอยู่ในตัวลู่ฝานรอบหนึ่ง มันพูดออกมาว่า “เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ ฉันหาเจอแล้ว แต่จิตวิญญาณของเขาแทรกซึมลงไปในทุกส่วนของร่างกายเจ้าแล้ว ไม่สามารถทำลายได้”

ลู่ฝานพูดว่า “ไม่สามารถทำลายได้เหรอ แกหมายความว่ายังไง”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดว่า “เว้นเสียแต่เจ้านายไม่ต้องการร่างนี้แล้ว ไม่งั้นจะไม่มีทางทำลายเขาได้ แต่ฉันสัมผัสได้ว่าเขาก็บาดเจ็บสาหัสเช่นกัน กำลังตกอยู่ในความเงียบสงบ ในระยะเวลาสั้นๆ น่าจะออกมาหาเรื่องเจ้านายไม่ได้ ฉันช่วยเจ้านายคิดหาวิธีผนึกเขาได้ แต่กลัวว่าอีกฝ่ายคือขุนพลังสุดเหนือฟ้า จิตวิญญาณของคนประเภทนี้ นอกจากพลังธาตุของเจ้านาย ต้องทำลายไม่ได้ง่ายๆ แน่นอน”

ลู่ฝานถอนหายใจแล้วพูดว่า “งั้นก็ผนึกเถอะ ครั้งนี้อันตรายมากจริงๆ อาจารย์ ยาของท่านช่วยชีวิตผมไว้เลยนะ!”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรรีบวางคาถาต้องห้ามต่างๆ นานาไว้ในตัวลู่ฝาน

ได้ยินเสียงพึมพำของลู่ฝาน เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดเสียงเบาออกมาว่า “เจ้านายเก่งกาจจริงๆ คิดไม่ถึงว่าจิตวิญญาณของขุนพลังสุดเหนือฟ้ายังทำอะไรเขาไม่ได้ ดูเหมือนฉันติดตามถูกคนแล้ว อิอิ!”

กระบี่ธาตุในมือลู่ฝานหายไปอย่างรวดเร็ว

ไม่นาน ลู่ฝานรู้สึกถึงพลังธาตุในจิตวิญญาณของตัวเอง เหลืออยู่น้อยนิดเท่านั้น อีกทั้งความน้อยนิดนี้ สามารถหายไปพร้อมกับกาลเวลาได้ด้วย

“ยังไงก็แค่พลังของยาเพียงเม็ดเดียวนี่นา!”

จิตวิญญาณของลู่ฝานค่อยๆ กลายเป็นความทรงจำในสมองอีกครั้ง

ความทรงจำในสมองค่อยๆ ฟื้นคืนมา ตอนนี้ลู่ฝานเพิ่งรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงในร่างกายตัวเอง ที่เหมือนกับพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน

นี่ยังใช่ร่างกายเขาไหม

นี่มันโลกใบเล็กทั้งใบชัดๆ!

ปราณชี่เคลื่อนไหวในร่างกายตัวเองตามอำเภอใจ ทุกที่ที่ผ่านไป ราวกับโดนโลกใบเล็กในร่างกาย ใช้พลังของโลกสร้างความแปดเปื้อนเล็กน้อย

ลู่ฝานลองกระตุ้นโลกใบเล็กในร่างกาย จู่ๆ ลู่ฝานเห็นแสงดาวเต็มท้องฟ้าในร่างกายเคลื่อนไหว สะดุดตาเป็นอย่างมาก

พลังของโลกส่วนนี้ แฝงวิถีทั้งชีวิตของจักรพรรดิอู่เอาไว้

และตอนนี้วิถีเหล่านี้อยู่ในตัวเขา พร้อมให้เขาทำความเข้าใจได้ทุกเมื่อ

ลู่ฝานยิ้มบางๆ เขารู้สึกว่าตัวเองอยู่ไม่ห่างจากการเป็นผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงไม่ไกลเท่าไรนัก

ถ้าวันหนึ่ง เขาสามารถนำโลกใบเล็กผืนนี้มาเป็นของตัวเองได้ งั้นเขาจะได้เป็นขุนพลังสุดเหนือฟ้าอย่างแท้จริง

นี่สิถึงจะเรียกว่าการถ่ายทอด การถ่ายทอดอย่างสมบูรณ์ของจักรพรรดิอู่!

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1147

“เป็นไปไม่ได้ นี่มันพลังอะไรกัน!”

จักรพรรดิอู่พูดอย่างตกตะลึง

คิดไม่ถึงว่าเขาจะสัมผัสถึงพลังแข็งแกร่งอย่างยิ่ง จากในแสงสุดท้ายของลู่ฝาน วิถีที่แฝงอยู่ในนั้นไม่ด้อยไปกว่าตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่เลย!

ต่อจากนั้น แสงด้านบนเริ่มสว่างขึ้นเรื่อยๆ จู่ๆ มีพลังประหลาดแผ่ออกมาจากในตัวลู่ฝาน

จักรพรรดิอู่สัมผัสอย่างละเอียดครู่หนึ่ง แล้วพูดเสียงเย็นชาว่า “ฤทธิ์ยา นายกินยารักษาชีวิตด้วยงั้นเหรอ”

ขณะกำลังพูดอยู่ แสงเริ่มขยายใหญ่อย่างรวดเร็ว เพียงไม่นาน คิดไม่ถึงว่าจะก่อตัวเป็นรูปร่างของลู่ฝานอีกครั้ง

แสงนับไม่ถ้วนรอบๆ สว่างตามขึ้นมาอีกครั้ง อีกทั้งยังเข้ามารวมตัวกันด้วย

ลู่ฝานค่อยๆ ลืมตาขึ้น ใช้รูปร่างจิตวิญญาณใหม่เอี่ยมมองจักรพรรดิอู่

ค่ายกลที่ไม่มีกฎเกณฑ์ปรากฏบนจิตวิญญาณของลู่ฝาน ลวดลายที่คดเคี้ยวนั่น ดูเหมือนไม่ใช่ตัวอักษร และไม่ใช่อักษรยันต์ห้าธาตุด้วย

จักรพรรดิอู่มองอย่างละเอียดครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “นายกินยาอะไรกันแน่ ถึงสามารถรักษาจิตวิญญาณของนายไม่ให้ดับสลายได้!”

ลู่ฝานมองร่างจิตวิญญาณของตัวเอง ที่ส่องแสงระยิบระยับ ครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ยารวมศูนย์ ใช่ นี่คือยารวมศูนย์ที่อาจารย์ให้ฉัน!”

จู่ๆ ลู่ฝานพลิกฝ่ามือ พลังแปลกประหลาดปรากฏขึ้นในมือเขา

พลังนั่นไม่มีสีสัน แต่ก็เหมือนรวมสีทุกสีเอาไว้ด้วยกัน ความรู้สึกขัดแย้งแบบนี้ ไม่ใช่แค่ลู่ฝานที่รู้สึก จักรพรรดิอู่ก็เช่นกัน

“พลังธาตุ!”

จักรพรรดิอู่ถอยหลังไปหนึ่งก้าว แล้วพูดด้วยความตกใจกลัว

ลู่ฝานมองพลังในมือ แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ที่แท้นี่คือพลังธาตุนี่เอง!”

ลู่ฝานเหวี่ยงมือเบาๆ ทันใดนั้นมีกระบี่ธาตุปรากฏขึ้นในมือหนึ่งเล่ม ตัวกระบี่กว้างและใหญ่ เป็นรูปร่างของกระบี่หนักไร้คม

มองกระบี่ธาตุที่มีพลังยิ่งใหญ่ในมือลู่ฝาน

ใบหน้าของจักรพรรดิอู่บิดเบี้ยว

“น่าเกลียด คิดไม่ถึงว่านายจะมีพลังธาตุที่ขุนพลังสุดเหนือฟ้ามอบให้คุ้มกันตัว! อย่าบอกนะว่าสวรรค์ลงโทษฉัน ให้ฉันไม่สามารถกลับตัวได้ชั่วนิรันดร์ ฉันไม่ยอม!”

เมื่อจักรพรรดิอู่เหวี่ยงฝ่ามือ ร่างจิตวิญญาณขนาดใหญ่เริ่มหดตัวลง ในมือเขาก็มีกระบี่ปรากฏออกมาหนึ่งเล่ม

เป็นรูปร่างของกระบี่หนักไร้คมเหมือนกัน!

ร่างจิตวิญญาณทั้งสองมองหน้ากัน หลังจากนั้นก็ลงมือพร้อมกัน

ทั้งสองคนไม่มีท่าทีว่าจะป้องกัน กระบี่ปะทะกันฟาดฟันลงบนตัวอีกฝ่ายทันที

เป็นจิตวิญญาณเหมือนกัน แข่งกันเรื่องพลังของจิตวิญญาณ

กระบี่ของลู่ฝานแทงเข้าไปในร่างของจักรพรรดิอู่ ทำลายร่างของเขาอย่างต่อเนื่อง

ส่วนกระบี่ของจักรพรรดิอู่แยกร่างของลู่ฝานเป็นสอง แต่ต่อจากนั้น พลังธาตุที่ออกมาจากในร่างของลู่ฝาน ซ่อมแซมมันกลับมาอีกครั้ง

จักรพรรดิอู่แผดเสียงดังว่า “พลังธาตุ พลังธาตุบ้าบอ! ตอนนั้นฉันแพ้ให้กับธาตุสวรรค์ คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะเป็นมันอีก!”

ลู่ฝานพลิกข้อมือ ฟันแขนจิตวิญญาณของจักรพรรดิอู่ทิ้ง

จักรพรรดิอู่ส่งเสียงร้องโอดครวญ ถอยไปด้านหลังอย่างต่อเนื่อง

เขามองกระบี่รวมในมือลู่ฝานด้วยความตกใจกลัว รู้ว่าวันนี้คงไม่สามารถทำอะไรลู่ฝานได้

จักรพรรดิอู่พูดเสียงดังว่า “เด็กลู่ฝาน ฉันไม่เชื่อหรอกว่าจิตวิญญาณของนาย จะถูกพลังธาตุคุ้มครองตลอดเวลา ต้องมีสักวันที่ฉันทำลายจิตวิญญาณนายได้ และแย่งร่างของนายมา ชิงทุกสิ่งทุกอย่างของนาย”

ลู่ฝานเดินเข้ามาฟันลงไปอีก กระบี่นี้ฟันจนจิตวิญญาณของจักรพรรดิอู่แยกเป็นสอง

จิตวิญญาณของจักรพรรดิอู่หายไปอย่างไร้ร่องรอย พร้อมเสียงร้องโอดครวญ

ลู่ฝานรู้สึกว่าพลังในตัวเริ่มเคลื่อนไหว เกราะชั้นแรกนอกตัวกลายเป็นแสง พุ่งเข้ามาทั่วร่างกายเขา กลายเป็นส่วนหนึ่งของเนื้อหนังของร่างกายเขา

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1146

ตบลงมาอีกครั้ง ความทรงจำในหัวสมองลู่ฝานระเบิดออก กลายเป็นแสงเต็มท้องฟ้า

ความทรงจำในหัวสมองได้รับความเสียหาย จิตวิญญาณดับสลาย

ในช่วงเวลานี้ ลู่ฝานเห็นทุกอย่างในอดีตที่ผ่านมาของตัวเอง ภาพทั้งหมดวนไปวนมาอยู่ในแสง

การฝึกฝนอย่างยากลำบากตอนเด็ก ความอับอายตอนวัยรุ่น

ช่วงเวลาโรแมนติกกับจางเยว่หาน ภาพที่ล้มลงบนพื้นหิมะ

ฝากตัวเป็นศิษย์กับอาจารย์หวูเฉิน ฝึกฝนที่เขาซีซาน ทดสอบที่ลานกว้าง

เข้าสถาบันสอนวิชาบู๊ แย่งชิงอันดับหนึ่งของคณะ

เข้ามาในเมืองตงหวา ต่อสู้ดุเดือดกับกุยวัว ได้ตำแหน่งผู้ตรวจกลางระดับกลาง

เข้าไปในคุกใต้ดิน ดูป้ายศิลาเทพฝน รอดตายแบบเกือบเอาชีวิตไม่รอด ฝึกพลังความเป็นความตายวนเวียนสำเร็จ

ผ่านอุโมงค์มิติเข้าสู่เมืองหลวง ต่อสู้อย่างหนักหน่วงกับแปดผู้โดดเด่น

เหยียบลงบนสะพานสายรุ้ง เข้าสู่เขาวิถีบู๊ เข้าไปในบ้านหินของจักรพรรดิอู่

ทุกสิ่งทุกอย่าง ย้อนไปมาอยู่ในแสงทั้งหมด

จักรพรรดิอู่มองอดีตในชีวิตของลู่ฝานอย่างเงียบๆ จากนั้นพูดพึมพำว่า “ชีวิตของนายช่างมีสีสันจริงๆ ที่แท้พลังของนาย คือการฝึกทั้งบู๊และชี่ ดีสุดยอดไปเลย ดีสุดยอดจริงๆ ดูเหมือนฉันต้องก้าวข้ามผ่านโลกนี้ได้แน่ๆ!”

จักรพรรดิอู่หัวเราะอย่างบ้าคลั่งออกมา

ตอนนี้ใบหน้าของเขาแปรเปลี่ยนเป็นโหดเหี้ยมน่ากลัว

ในประวัติศาสตร์ จักรพรรดิอู่คนที่สู้กับฟ้าดินอย่างหนักหน่วง สร้างอู่อาน สยบสัตว์อสูร อันที่จริงหายไปกับฝุ่นผงในประวัติศาสตร์ตั้งนานแล้ว

สิ่งที่หลงเหลืออยู่ที่นี่ เป็นเพียงแค่ความโหยหาของเขา

แต่ความโหยหาเพียงแค่นี้ กลับทำลายลู่ฝานจนพินาศย่อยยับคาที่ในวันนี้

ในแสงเต็มท้องฟ้า มีความไม่พอใจอย่างไม่สิ้นสุดวนเวียนอยู่ เหมือนกับไม่ยอมหายไป

แต่ความไม่พอใจเหล่านี้ ไม่เป็นผลอะไรกับจักรพรรดิอู่เลย

เพียงแค่เขาเหวี่ยงมือเบาๆ ทุกสิ่งทุกอย่างของลู่ฝานจะเหมือนหมอกควันผ่านตา หายไปอย่างสมบูรณ์ ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ร่างกายนี้จะเป็นของเขา

แม้เขาเป็นจิตวิญญาณเล็กๆ ความโหยหาเพียงเล็กน้อยของจักรพรรดิอู่

แต่ไม่ด้อยไปกว่าจิตวิญญาณสมบูรณ์แบบของนักบู๊ทุกคน

เขาไม่ต้องการความทรงจำในหัวสมอง ก็สามารถควบคุมร่างกายได้

แค่มีร่างกายอยู่ในมือ เขาสามารถกลับไปในแดนจักรพรรดิอู่ดั่งตอนแรก และสู้กับฟ้าดินอีกครั้ง!

จักรพรรดิอู่ยื่นมือออกมา พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ฉันสัมผัสได้ถึงความไม่พอใจของนาย แต่นี่ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ความจริงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ด้วยความคิดของนายหรอก!”

จักรพรรดิอู่เหวี่ยงมือเบาๆ แสงหายไปทั้งแถบ

แสงแต่ละแสงเป็นความทรงจำส่วนหนึ่งของลู่ฝาน เป็นตัวแทนอดีตของลู่ฝาน

เมื่อแสงเหล่านี้หายไปจนหมด จะเป็นตอนที่ลู่ฝานตายอย่างสมบูรณ์

แสงหายไปอย่างรวดเร็ว เพียงครู่เดียวเหลืออยู่เพียงแถบสุดท้ายแล้ว

ในแสงเหล่านี้ ไม่มีความทรงจำของลู่ฝานแล้ว เหลือเพียงความไม่พอใจและความโหยหาของลู่ฝาน

จักรพรรดิอู่มองแสงสุดท้ายด้วยรอยยิ้ม แล้วพูดว่า “ความโหยหาคือสิ่งที่น่ากลัวตามคาด มันสามารถทำให้คนที่ตายไปแล้ว ยังคงหลงเหลือร่องรอยสุดท้ายของการดำรงอยู่!”

พูดจบ จักรพรรดิอู่เหวี่ยงมืออีกครั้ง แสงสุดท้ายโดนเหวี่ยงจนกระจาย

จักรพรรดิอู่พยักหน้าอย่างพอใจ เตรียมยึดร่างของลู่ฝาน แต่ขณะนั้นเอง จู่ๆ มีแสงสว่างขึ้นมาอีกครั้ง

“หืม”

จักรพรรดิอู่ขมวดคิ้วมองแสงเล็กๆ นี้ คิดไม่ถึงว่ามันจะไม่โดนเหวี่ยงจนกระจาย

จักรพรรดิอู่ยื่นมือออกมาปาดลงไปด้านบน แสงมืดลงทันที แต่ก็กลับมาสว่างอย่างรวดเร็ว

จู่ๆ จักรพรรดิอู่หัวเราะออกมา

“นี่มันความโหยหาอะไรกัน คิดไม่ถึงว่าจะกำจัดทิ้งไม่ได้ อย่านะว่าความโหยหาของนาย แข็งแกร่งกว่าพลังของฉัน”

พูดจบ จักรพรรดิอู่ยื่นหนึ่งนิ้วเข้าไปหาแสง ใช้แรงกดลงไป เขาจะกดความโหยหานี้ทิ้งไป

แต่ช่วงเวลาที่นิ้วของเขาแตะลงบนแสง จู่ๆ เหมือนจักรพรรดิอู่สัมผัสโดนสายฟ้า จนต้องชักมือกลับมา

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1145

แสงดวงดาวขนาดใหญ่แต่ละดวงรวมตัวกัน จากนั้นกลายเป็นรูปร่างของอวัยวะภายใน ตั้งอยู่ในอกของลู่ฝานอีกครั้ง

ตันเถียนรวมตัวขึ้นอีกครั้ง แต่กลายเป็นผืนน้ำกว้างใหญ่ นั่นคือต้นกำเนิดของชีวิต

กระบี่เล่มหนึ่งกลายเป็นพระจันทร์และพระอาทิตย์ หมุนวนอยู่ในตันเถียน นี่คือกระบี่หนักไร้คม!

เหมือนเจดีย์เสวียนเก้ามังกรก็สัมผัสถึงความเปลี่ยนแปลงในตัวลู่ฝานได้ มันตะโกนด้วยความตกใจว่า “อย่าบอกนะว่านี่คือเขตวิถีหลอมร่างกายในตำนาน”

ทันใดนั้น เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพุ่งกลับเข้าไปในตัวลู่ฝานอีกครั้ง แทรกซึมเข้าไปในตันเถียน

จู่ๆ เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดอย่างตกใจว่า “พลังรุนแรงมาก ฮ่าๆ เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ ฉันรู้สึกว่าจังหวะของฉันมาแล้วล่ะ!”

ทันใดนั้นมีแสงสว่างขึ้นทั้งตัวเจดีย์เสวียนเก้ามังกร กลายเป็นมวลแสงร้อนระอุ ดูดพลังของต้นกำเนิดของชีวิตไม่หยุด

ในความคิดของลู่ฝาน มันกลายเป็นพระอาทิตย์ร้อนระอุ ส่องแสงไปกับกระบี่หนักไร้คม!

จู่ๆ มีประโยคผุดขึ้นในใจลู่ฝาน “พระจันทร์และพระอาทิตย์ลอยสูง!”

ที่แท้นี่คือความหมายแฝงของโคลงที่สอง ที่ซุ้มประตูเขาวิถีบู๊

ลู่ฝานค่อยๆ นั่งขัดสมาธิอยู่กลางอากาศเวิ้งว้าง

ด้านหน้าของเขา ตัวของจักรพรรดิอู่เริ่มโปร่งแสง ราวกับว่าอีกเดี๋ยวจะหายไปพร้อมสายลมอย่างไรอย่างนั้น

ตอนนี้จักรพรรดิอู่มองหน้าลู่ฝาน แล้วพึมพำว่า “นี่เป็นโอกาสสุดท้ายของฉันแล้ว”

จักรพรรดิอู่ยื่นมือออกมาลูบพระอาทิตย์ร้อนระอุข้างตัวลู่ฝาน

วินาทีต่อมา พระอาทิตย์ร้อนระอุกลายเป็นเกราะหนึ่งชุด!

พระจันทร์กลายเป็นกระบี่ ซึ่งเป็นกระบี่หนักไร้คม!

พระอาทิตย์ร้อนระอุกลายเป็นเกราะ ซึ่งเป็นเกราะเหล็กเสวียนเทียน!

นี่คือของล้ำค่าสุดท้ายของจักรพรรดิอู่ และเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้จิตวิญญาณของเขาคงอยู่มาถึงตอนนี้

จักรพรรดิอู่มองเกราะเหล็กเสวียนเทียนในมือ แต่ละร่องรอยด้านบน ล้วนเป็นสิ่งยืนยันที่เขาสู้กับสวรรค์

จักรพรรดิใช้มืออากาศเวิ้งว้างของตัวเอง ลูบเกราะที่ตอนนี้พังเสียหายไปแล้ว เอาวิถีสุดท้ายของตัวเองรวมเข้าไปในเกราะ

ร่างกายที่โปร่งแสง กำลังจะสลายหายไปแล้ว จู่ๆ ดวงตาทั้งสองข้างของจักรพรรดิอู่ดุดันขึ้นมา

เขามองลู่ฝานอย่างละเอียด แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ร่างกายที่ศักยภาพไม่สิ้นสุด พลังปราณแปลกประหลาด ไม่เลว เป็นการฝึกคู่ที่ไม่เลวจริงๆ!”

แสงค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนเกราะเหล็กเสวียนเทียน

ตอนนี้ตัวของจักรพรรดิอู่ เข้าไปในเกราะเหล็กเสวียนเทียนแล้ว

จักรพรรดิอู่มองลู่ฝาน จู่ๆ เขายิ้มกว้างแล้วพูดว่า “ฉันให้โลกทั้งใบกับนาย นายมอบร่างกายให้ฉันเถอะ วางใจได้เลย ฉันจะทำให้ชื่อของนาย กลายเป็นสิ่งที่โด่งดังที่สุดในโลก ฉันจะพาร่างกายของนายทะลุไปยังขอบฟ้า มุ่งไปสู่โลกอีกใบหนึ่ง!”

เมื่อพูดเช่นนี้ เงาเลือนรางสุดท้ายของจักรพรรดิอู่ เข้าไปในเกราะเหล็กเสวียนเทียนจนหมด

วินาทีต่อมา เกราะเหล็กเสวียนเทียนปกคลุมตัวลู่ฝานทันที

จู่ๆ ลู่ฝานรู้สึกว่าจิตใจตัวเองสั่นสะเทือน!

นี่มันเกิดอะไรขึ้น!

จู่ๆ ลู่ฝานรู้สึกว่าเขาไม่สามารถควบคุมร่างกายตัวเองได้อีกแล้ว

หลังจากนั้นภายในความทรงจำในหัวสมองลู่ฝาน มีเงาที่คุ้นเคยปรากฏขึ้น แต่กลับสูงใหญ่กว่าเขาเกินร้อยเท่า

“จักรพรรดิอู่!”

ลู่ฝานพูดอย่างตกใจ

จักรพรรดิอู่มองลู่ฝาน แล้วพูดเสียงเย็นชาว่า “ไอ้หนุ่ม บอกชื่อนายมา”

ลู่ฝานตอบอย่างราบเรียบ “ฉันชื่อลู่ฝาน ท่านมีอะไรจะสั่งอีกไหม!”

จักรพรรดิอู่พูดว่า “ไม่มี แค่อยากรู้ว่าต่อไปฉันต้องเรียกว่าอะไรแค่นั้น”

จักรพรรดิอู่ยื่นมือออกมาตบลงบนความทรงจำในหัวสมองลู่ฝาน

ทันใดนั้นความทรงจำในหัวสมองลู่ฝานแกว่งไปมาอย่างแรง เกือบโดนทำลายด้วยฝ่ามือเดียว

“ทำไม”

ลู่ฝานตะโกนพูดเสียงดัง

จักรพรรดิอู่พูดอย่างราบเรียบ “ไม่ทำไม เอาร่างกายของนายมาให้ฉัน!”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1144

ลู่ฝานกลืนน้ำลาย ให้ทุกอย่างที่นี่กับเขา งั้นเขาจะได้เป็นผู้แข็งแกร่งภายในพริบตาใช่ไหม

ลู่ฝานพูดเสียงเบาว่า “ฉันไม่รู้ว่าแบบไหนถึงเรียกว่าเตรียมพร้อม ผู้อาวุโสจักรพรรดิอู่ ท่านแน่ใจเหรอว่าฉันมีคุณสมบัติที่จะได้รับโลกใบนี้”

จักรพรรดิอู่พูดว่า “ฉันบอกว่านายมีคุณสมบัติก็ต้องมีสิ ปลดปล่อยทุกอย่างของนาย ให้โลกใบนี้เข้าไปในร่างกายนาย สัมผัสวิถีด้านในอย่างละเอียด นี่เป็นเส้นทางไปสู่การเป็นผู้แข็งแกร่งที่เร็วที่สุดของนาย”

ลู่ฝานสูดหายใจลึก อ้าแขนออกทั้งสองข้าง

วินาทีต่อมา โลกทั้งใบเริ่มสั่นสะเทือน

ทันใดนั้น ลู่ฝานรู้สึกว่าประสาทสัมผัสทั้งหกของตัวเองปิดตายทั้งหมด

หูไม่ได้ยิน ตามองไม่เห็น ปากพูดไม่ได้ ในใจเหลือความสว่างบริสุทธิ์เพียงเล็กน้อย

พลังที่ยิ่งใหญ่มหาศาลทะลักเข้ามาในตัวเขา พุ่งเข้าไปในตันเถียนของเขา เหมือนพลังนี้ไม่มีที่สิ้นสุด ชะล้างร่างกายเขา มีเสียงดังจากตัวลู่ฝานไม่หยุด รูขุมขนทั้งตัวเปิดออก แสงสลัวส่องออกมาจากข้างใน แอบเห็นรางๆ ว่ามีไซโคลนขนาดเล็กบนผิวหนังทุกตารางนิ้วของเขา

ถอดรกเปลี่ยนกระดูก นี่คือโอกาสและโชคชะตายิ่งใหญ่ในตำนานนักบู๊

นี่ไม่ใช่การถอดรกเปลี่ยนกระดูกครั้งแรกของลู่ฝาน ตอนอยู่ที่บ้านเกิดในตอนนั้น ลู่ฝานที่ชีวิตลำบากระหกระเหิน ภายใต้การช่วยเหลือของอาจารย์หวูเฉิน เขาได้รับโอกาสถอดรกเปลี่ยนกระดูกหนึ่งครั้ง และเป็นเพราะการถอดรกเปลี่ยนกระดูกครั้งนั้น จนถึงตอนนี้วิทยายุทธของลู่ฝานยกระดับอย่างรวดเร็ว เจอความยากลำบากน้อยมาก

ตอนนี้เป็นครั้งที่สอง

ลู่ฝานสัมผัสได้ว่าร่างกายตัวเองกำลังผ่านการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ กำลังมีพลังมหาศาลเข้ามาในทุกส่วนของร่างกาย

พลังที่ทะลักเข้ามา ไม่ใช่พลังฟ้าดิน ไม่ใช่พลังปราณ พลังชี่ แต่เป็นพลังอย่างหนึ่งที่ลู่ฝานไม่เคยเห็นมาก่อน

ความยิ่งใหญ่ของมัน เต็มไปด้วยพลังทำลาย ราวกับว่าแค่กระแทกเบาๆ ก็สามารถทำลายล้างทุกอย่างได้

แต่มันก็มีพลังชีวิตเต็มเปี่ยมเช่นกัน ราวกับทุกสรรพสิ่งสามารถเติบโตจากการหล่อเลี้ยงของพลังนี้

ลู่ฝานไม่เคยเห็นพลังแบบนี้มาก่อน เขาสัมผัสได้เพียงวิถีที่ไม่สิ้นสุดภายในนั้น

กฎของโลก วิถีบู๊เทียมฟ้า กระแทกใส่เขาราวกับเกลียวคลื่น

วิถีที่คนนับไม่ถ้วนใฝ่ฝันโหยหา กำลังพุ่งอย่างรวดเร็วในตัวเขา ลู่ฝานไม่กล้าใช้จิตใจดูสักเท่าไร กลัวว่าถ้าตัวเองไม่มีสมาธิเพียงนิดเดียว จะโดนพลังนี้กลืนจนจมหายไปหมด

พลังพวกนี้พุ่งตรงไปในตันเถียนของเขา หลังจากนั้นลู่ฝานเห็นมุกเทพของตัวเองมีแสงสว่างจ้า จากนั้นมุกเทพเริ่มขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว

เริ่มจากไข่มุกทรงกลม กลายเป็นสี่เหลี่ยม และกลายจากสี่เหลี่ยมเป็นกลุ่มเมฆหมอกที่ไม่เป็นรูปเป็นร่าง

หลังจากนั้นในกลุ่มเมฆบาง เริ่มมีอากาศเวิ้งว้างสีดำปรากฏขึ้น

ทันใดนั้น อากาศเวิ้งว้างระเบิดออก

ตัวของลู่ฝานชะงักไปครู่หนึ่ง ตันเถียนระเบิดออกทั้งหมด

วินาทีนี้ลู่ฝานรู้สึกว่าตันเถียนของตัวเองหายไปแล้ว รวมถึงเส้นลมปราณและอวัยวะภายในของเขา ระเบิดจนกลายเป็นผุยผงทั้งหมด แต่ตัวลู่ฝานกลับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดแม้แต่น้อย!

ระหว่างที่ยังคลุมเครือ ลู่ฝานได้ยินไอ้เก้าตะโกนด้วยเสียงเศร้าและโมโห ทันใดนั้นเจดีย์เล็กๆ โผล่ขึ้นมาในฝ่ามือเขา นี่ไม่ใช่เงาเลือนราง แต่เป็นร่างจริง มุกเทพมังกรทำลายล้างและมุกเวิ้งว้างลอยวนอยู่ข้างเจดีย์เสวียนเก้ามังกร ไอ้เก้าไม่สามารถอยู่ในตัวลู่ฝานต่อได้อีกแล้ว

หลังจากนั้น อากาศเวิ้งว้างแผ่ซ่านไปทั้งตัว แสงดาวระยิบระยับปรากฏขึ้น

เหมือนดวงดาวมากมายบนท้องฟ้ากะพริบอยู่ในอกของเขา แสงดาวเริ่มหมุนวน

กาแล็กซี่ปรากฏขึ้นเป็นทาง ลู่ฝานมองกาแล็กซี่เหล่านี้ รวมตัวเป็นรูปร่างของเส้นลมปราณด้วยความอึ้ง เริ่มซ้อนทับไปมาอยู่ในตัวเขา

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1143

แต่เหมือนจักรพรรดิอู่ที่อยู่ตรงหน้า เกินกว่าขั้นนี้ไปแล้ว

เขตวิถีของเขาไม่สามารถเรียกว่าเขตวิถีได้อีก แต่ควรเรียกว่าโลกทั้งใบต่างหาก!

ที่นี่มีพระจันทร์และพระอาทิตย์ มีดวงดาวและผืนแผ่นดินกว้างใหญ่ ถึงกระทั่งที่มีต้นกำเนิดของสิ่งมีชีวิต นั่นก็คือน้ำใสที่ลู่ฝานกำลังเหยียบอยู่

เมื่อลู่ฝาน “นึกออก” ทั้งหมด เขามองจักรพรรดิอู่ตรงหน้าอย่างตกตะลึง

พูดด้วยความอึ้งว่า “ท่านก้าวข้ามฟ้าดินเหรอ”

จักรพรรดิอู่ส่ายหน้าพูดว่า “เปล่า แต่ฉันขาดอีกก้าวเดียวเท่านั้น เฮ้อ……”

เสียงถอนหายใจครั้งเดียว เหมือนผ่านประวัติศาสตร์มาเป็นพันเป็นร้อยปี การเปลี่ยนแปลงแบบกลับตาลปัตรโถมเข้ามา

ลู่ฝานถามว่า “ทำไมล่ะ”

จักรพรรดิอู่ชี้เนบิวลาข้างหน้าแล้วพูดว่า “ชีวิต ฉันต้องการชีวิต ทั้งชีวิตของฉันฝึกฝนแค่วิชาทำลายล้าง แม้ไปสู่ขีดสูงสุดแล้ว แต่ไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้อีก จนกระทั่งโดนฟ้าดินทำลาย ก่อนตายฉันได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ ผู้ที่ตั้งตนอยู่ในธรรม หยินหยางมีระเบียบแบบแผน เหมือนการโคจรของพระจันทร์และพระอาทิตย์ มีตายก็มีเกิด การทำลายก็คือการสร้างใหม่ น่าเสียดายที่ฉันทำทันแค่สร้างโลกใบนี้ แต่ไม่สามารถสร้างสิ่งมีชีวิตออกมาได้”

ลู่ฝานไม่พูดอะไรสักคำ จากแดนวิถีบู๊ของเขาในตอนนี้ ไม่สามารถพูดคุยกับจักรพรรดิอู่ที่อยู่ตรงหน้าได้เลย นี่ไม่ใช่การสนทนาระดับเดียวกัน เขาทำได้เพียงฟังอยู่ข้างๆ เท่านั้น

เหมือนจักรพรรดิอู่ไม่ได้คุยกับคนมาหลายปีมาก เขาคุยจ้อต่อไป “นายดูเนบิวลานี่สิ แผ่นดินกว้างใหญ่ในนั้น เป็นสถานที่เกิดที่ดีที่สุด ซึ่งฉันได้เลือกไว้สำหรับมนุษย์ที่ฉันต้องการสร้าง ถ้าพวกเขาสามารถเกิด มีชีวิตและเติบโตในโลกของฉันได้ ฉันคิดว่าฉันต้องเข้าใจกฎทั้งหมดของโลกแน่นอน จากนั้นหลุดพ้นจากมัน ไปยังโลกใบใหม่”

ลู่ฝานขมวดคิ้วพูดว่า “โลกใบใหม่เหรอครับ”

จักรพรรดิอู่พูดว่า “ใช่ โลกใบใหม่ เมื่ออยู่ที่สักแห่งเป็นเวลานาน จะรู้สึกเหงา ไม่ว่าโลกนี้จะใหญ่แค่ไหน สุดท้ายก็ต้องเดินจนจบ ความปรารถนาใหญ่ที่สุดในชีวิตฉัน คือการได้เห็นโลกใบใหม่สักครั้ง แต่น่าเสียดาย ความปรารถนาของฉันคงไม่สามารถเป็นจริงได้แล้ว นายยินดีช่วยฉันไหม”

ลู่ฝานพูดอย่างอึ้งๆ ว่า “ฉันเหรอ ฉันจะช่วยท่านยังไง ตอนนี้ฉันเป็นแค่นักบู๊แดนปราณดินตัวเล็กๆ เท่านั้น”

จักรพรรดิอู่พูดด้วยรอยยิ้ม “ใช่ ตอนนี้นายอ่อนแอมาก อ่อนแอจนน่าสงสาร แต่ต่อไปนายจะแข็งแกร่ง ไม่คมเลือกนายแล้วไม่ใช่เหรอ”

พูดพลาง จู่ๆ ลู่ฝานเห็นพระจันทร์รอบตัวเริ่มเปลี่ยนไป ไม่นานมันเปลี่ยนเป็นรูปร่างของกระบี่หนักไร้คม!

ลู่ฝานพูดอย่างตกตะลึงว่า “กระบี่หนักไร้คมกลายมาจากพระจันทร์ในโลกของท่านเหรอ”

จักรพรรดิอู่พูดด้วยรอยยิ้ม “ใช่ ตอนนั้นที่ฉันได้มันมา มันยังมีชื่อว่ากระบี่เสวียนอู่ เป็นอาวุธวิเศษชิ้นหนึ่ง แต่ตอนต่อสู้กับสวรรค์ อาวุธวิเศษโดนทำลาย กระบี่หักคนตาย ก่อนตายฉันทำให้มันเป็นพระจันทร์ในโลกของฉัน หลังจากนั้นให้มันเปื้อนพลังของโลกนิดหน่อย ออกไปแสวงหาผู้สืบทอด”

ลู่ฝานพูดว่า “นี่คือที่มาของเขตวิถีในกระบี่เหรอครับ”

จักรพรรดิอู่พยักหน้าพูดว่า “ใช่ มันตามหานายมาได้แล้ว งั้นนายกำลังจะเป็นผู้สืบทอดของฉัน ไม่ว่านายจะยินดีหรือไม่ ไม่ว่าต่อไปนายจะประสบความสำเร็จหรือไม่”

ลู่ฝานเลิกคิ้วขึ้นพูดว่า “ท่านจะถ่ายทอดทุกอย่างของท่านให้ฉันเหรอ”

จักรพรรดิอู่พูดด้วยรอยยิ้ม “ทุกอย่างเหรอ พูดอย่างนั้นก็ได้ โลกใบนี้เป็นเครื่องพิสูจน์เพียงอย่างเดียว ว่าฉันเคยมีอยู่จริง สิ่งที่เหลืออยู่ที่นี่คือทุกอย่างของฉัน ผู้สืบทอดของฉัน นายเตรียมพร้อมรับมันหรือยัง”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1142

จู่ๆ เทียนชิงหยางหัวเราะ เริ่มจากหัวเราะเบาๆ หลังจากนั้นหัวเราะลั่น

เทียนชิงหยางถือกระบี่มังกรคำรามในมือ หัวเราะเสียงดังแล้วพูดว่า “หานหยวนหนิง นายคิดว่าได้การถ่ายทอดของเซียนบู๊จิ่วหวาก็จะแข่งกับฉันได้งั้นเหรอ”

พลังปราณบนตัวหานหยวนหนิงลุกโชน เขาแผดเสียงดังออกมา “เทียนชิงหยาง ไม่ต้องพูดไร้สาระ รับกระบี่ฉันไปก่อน!”

จู่ๆ มีเงาขนาดใหญ่เก้าเงาปรากฏขึ้นด้านหลังหานหยวนหนิง

มืดฟ้ามัวดิน โหดเหี้ยมน่ากลัว!

“วิชากระบี่ครองสวรรค์!”

เสื้อผ้าบนตัวหานหยวนหนิงขาดออกหมด ตอนนี้พลังของเขาถึงขั้นนักบู๊แดนปราณฟ้าแล้ว

เทียนชิงหยางที่เอาแต่นับนิ้วชะงักไปทันที

มือหนึ่งกำกระบี่เอาไว้ ส่วนอีกมือหนึ่งยื่นนิ้วออกมาสองนิ้ว ดีดเบาๆ ลงบนปลายกระบี่!

“ครืน!”

เสียงสะเทือนออกไป ตัวของเทียนชิงหยางเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

“วิชากระบี่ทะยานเมฆา!”

เทียนชิงหยางลงมือในเวลาเดียวกันนับครั้งไม่ถ้วน แสงสว่างจ้า!

วิชากระบี่ของทั้งสองคนปะทะกัน ฝุ่นกลายเป็นคลื่นม้วนออกไป พื้นดินแตกร้าว พลังลมกระจายไปทั่ว เสียงระเบิดดังสนั่นเลือนลั่น

ทันใดนั้น มีเสียงฟ้าร้องอย่างน่าตกใจบนเขาวิถีบู๊ เสียงสะเทือนสวรรค์!

นักบู๊แทบทุกคน พากันมองมาทางสถานที่ที่ทั้งสองคนต่อสู้กัน……

อากาศเวิ้งว้างไม่สิ้นสุด แสงสว่างพุ่งขึ้นสูงเสียดฟ้า

ลู่ฝานค่อยๆ ฟื้นขึ้นมา ไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน

เท้าเหยียบลงบนผืนน้ำใส ลึกจนมองไม่เห็นด้านล่าง

ด้านซ้ายมีพระจันทร์สว่างหมุนรอบตัวเขา ด้านขวามีพระอาทิตย์ร้อนแรงลอยอยู่ ส่องแสงร้อนระอุออกมา

ด้านหลังคือดวงดาวนับไม่ถ้วน ส่องแสงกะพริบระยิบระยับ

ด้านหน้าคือเนบิวลา ด้านในยังมีพื้นที่ขนาดใหญ่

ตอนนี้ลู่ฝานเพิ่งพบว่าร่างกายตัวเองใหญ่ขึ้นอย่างมาก ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้

พระอาทิตย์และพระจันทร์อยู่ข้างหน้าเขา มีขนาดเท่าไข่ไก่เท่านั้น

แม้เขาไม่รู้ว่าทำไมมองเพียงแวบเดียว ก็รู้ว่าวัตถุทรงกลมทั้งสองที่ลอยอยู่ด้านหน้าคือพระอาทิตย์และพระจันทร์

เขามีหลายอย่างที่ไม่เข้าใจ รอคนมาคลายความสงสัยให้เขา

ตอนนี้น้ำใสด้านล่างเท้าค่อยๆ รวมตัวเป็นเงาคน

เป็นกระดูกก่อน จากนั้นจึงเป็นเส้นลมปราณ เลือดเนื้อและผิวหนัง

ลู่ฝานมองทุกอย่างเงียบๆ ทิศทางการไหลของเส้นลมปราณทุกเส้นและการประกอบกันของเลือดเนื้อทุกส่วนที่ชัดเจน ผุดขึ้นมาในหัวเขาเอง

ความรู้ประหลาดพวกนี้ เหมือนมีคนพยายามยัดเข้ามาในหัวของเขา

ในที่สุด เมื่อคนนี้ก่อตัวเสร็จสมบูรณ์ ลู่ฝานจำหน้าเขาได้

“จักรพรรดิอู่!”

ลู่ฝานพูดเสียงเบา

จักรพรรดิอู่มองลู่ฝานอย่างเรียบเฉย แล้วพูดว่า “คนรุ่นหลังล้วนเรียกฉันแบบนี้เหรอ ชื่อนี้ถือว่าไม่เลวนะ”

ลู่ฝานมองซ้ายมองขวา แล้วพูดว่า “ที่นี่คือที่ไหน ทำไมผมถึงมาโผล่อยู่ที่นี่”

จักรพรรดิอู่พูดว่า “ตอนนี้นายอยู่ในโลกของฉัน เหมือนนายมีหลายสิ่งที่ไม่เข้าใจ”

ลู่ฝานถามว่า “โลกของท่านเหรอ หมายความว่ายังไง”

จักรพรรดิอู่พูดด้วยรอยยิ้ม “คิดดูดีๆ นายเข้ามาในโลกของฉันในฐานะคนนอก อีกทั้งยังได้ความรู้ทุกอย่างบนโลกใบนี้ นายจะคิดออกเอง!”

ลู่ฝานขมวดคิ้ว ครุ่นคิดเงียบๆ

จู่ๆ เขา “คิดออก” แล้วจริงๆ

โลกใบนี้คือเขตวิถีของจักรพรรดิอู่!

นักบู๊ฝึกถึงแดนหยินหยาง จากนั้นอาศัยแดนหยินหยางสร้างเขตวิถีขึ้นมา นำวิถีบู๊ของตัวเองเข้ามาด้านใน ด้วยเหตุนี้ในเขตวิถีจึงสามารถเปลี่ยนแปลงกฎของโลกได้ นี่คือเซียนบู๊ ผู้ฝึกชี่ก็เช่นกัน แต่ผู้ฝึกชี่สร้างเขตวิถีจากฟ้าดิน เรียกว่าอริยปราชญ์

และเมื่อผ่านแดนเซียนขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง จะสามารถสร้างกฎขึ้นเองได้ และต้านทานกับฟ้าดิน

เมื่อถึงขั้นนี้ เหมือนจะเป็นจุดสูงสุดของมนุษย์ ดังนั้นจึงเรียกมันว่าขุนพลังสุดเหนือฟ้า

เวลาเป็นพันเป็นหมื่นปีมานี้ ดูเหมือนจะไม่มีใครผ่านขั้นนี้ได้ คนที่ต้านทานกับฟ้าดิน จุดจบมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น นั่นก็คือความตาย

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1141

จุดไกลๆ ที่พวกเขาไม่ทันสังเกต ตรงมุมขอบของพื้นอากาศเวิ้งว้าง มีแสงหนึ่งกำลังพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว

เหมือนมันพุ่งออกจากขอบเขตของพื้นอากาศเวิ้งว้าง ไม่รู้ว่าไปที่ไหน

และเงาคนบางๆ ที่อยู่ในแสง คือรูปร่างของลู่ฝาน!

……

เขาวิถีบู๊

หน้าจวนเซียนบู๊เทียนซ่วน

เทียนชิงหยางเดินออกมาช้าๆ แม้ตั้งแต่เขาเข้าไปจนออกมา เป็นเวลาเพียงหนึ่งวัน

แต่อยู่ดีๆ ก็มีตอหนวดเล็กๆ อยู่บนใบหน้าเทียนชิงหยาง รูปร่างของเขาก็ผอมลงไม่น้อย ผมเผ้ายุ่งเหยิง กระบี่มังกรคำรามในมือมีคราบเลือดเต็มไปหมด

เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง ท่าทางของเทียนชิงหยางดูตกอับมาก แต่แค่มีคนเห็นดวงตาของเขา ก็จะไม่คิดแบบนี้อีกแล้ว

ดวงตาแหลมคมคู่นั้น เหมือนแสงกระบี่แทงคนจริงๆ

เมื่อกวาดตามอง อากาศรอบๆ บิดเบี้ยวตามไปด้วย

“ในที่สุดก็ออกมาแล้ว! ฉันนึกว่าจะออกมาไม่ได้ตลอดไปซะแล้ว!”

เทียนชิงหยางหันไปมองจวนเซียนบู๊เทียนซ่วนด้านหลัง ถ้ารู้ว่าสภาพด้านในเป็นถึงขนาดนั้น เขาต้องเตรียมตัวให้พร้อมกว่านี้แล้วค่อยเข้าไป

ครั้งนี้เกือบตายแบบเฉียดฉิวนับครั้งไม่ถ้วน เมื่อนึกขึ้นมา เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขารอดชีวิตมาได้อย่างไรหลายครั้ง

เทียนชิงหยางมองจวนอย่างเงียบๆ รออยู่ครู่หนึ่ง จวนของเซียนบู๊เทียนซ่วนยังคงมีแสงกะพริบอยู่เหมือนเดิม

นัยน์ตามีความโมโหเล็กน้อย เทียนชิงหยางกัดฟันพูดว่า “ไม่ได้มอบให้ฉันทั้งหมดตามคาดจริงๆ เซียนบู๊เทียนซ่วน อย่าบอกนะว่าจิตใจแห่งวิถีบู๊ของฉัน ในสายตานายมันแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ ทำไมถึงไม่ถ่ายทอดวิชาสุดท้ายให้ฉัน!”

ดวงตาเทียนชิงหยางแฝงไปด้วยความโกรธ เหวี่ยงกระบี่ลงบนพื้นอย่างโมโห

ไม่มีแสงกระบี่ ไม่มีรอยกระบี่ กระบี่นี้ของเทียนชิงหยาง แม้แต่หินสักก้อนบนพื้นยังฟันไม่โดนเลย

แต่ใต้ดินลึกลงไปพันหกร้อยกว่าเมตรในภูเขา หินขนาดใหญ่ก้อนหนึ่ง โดนฟาดฟันจนกลายเป็นผุยผง และนอกจากหินก้อนนี้ หินก้อนอื่นๆ กลับไม่ได้รับความเสียหายอะไรเลยสักนิด

จู่ๆ คนบางส่วนเดินมาทางเทียนชิงหยาง

คนพวกนี้เห็นจวนของเซียนบู๊เทียนซ่วนมีแสงสว่าง เหมือนมีอะไรเกิดขึ้นจึงรีบพากันมา

ตอนทุกคนเห็นเทียนชิงหยางในสภาพทุเรศทุรัง แต่ละคนดูประหลาดใจมาก

เทียนชิงหยางขมวดคิ้วเบาๆ หลังจากนั้นพูดเสียงดังว่า “มองฉันทำไม ไสหัวไป!”

นักบู๊ทุกคนรีบถอยออกมาทันที ต่างมองเทียนชิงหยางด้วยสายตาประหลาด นี่ใช่คุณชายถ่อมตัวที่พวกเขารู้จักหรือเปล่า นี่มันคนบ้าชัดๆ

แต่ขณะนั้นเอง จู่ๆ มีเงาคนเดินขึ้นมาจากด้านล่าง

มีนักบู๊สิบกว่าคนเดินตามข้างๆ เป็นหานหยวนหนิงที่เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งเหมือนกัน!

“เทียนชิงหยาง นายก็ออกมาแล้วเหรอ!”

หานหยวนหนิงฉีกยิ้ม นัยน์ตาเต็มไปด้วยประกายเย็นชา

เทียนชิงหยางมองหานหยวนหนิงตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “นายเข้าไปในอุโมงค์สวรรค์แห่งไหนกัน ฉันจำได้ว่าจวนบรรพบุรุษตระกูลหานของพวกนาย ไม่ได้อยู่บนเขาวิถีบู๊นิ นายได้รับการถ่ายทอดของใครเหรอ!”

หานหยวนหนิงพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “การถ่ายทอดของเซียนบู๊จิ่วหวา เทียนชิงหยาง นายก็ได้ของดีไม่น้อยเหมือนกันใช่ไหม”

เทียนชิงหยางพยักหน้าพูดว่า “ใช่ ได้ของดี หานหยวนหนิง ดูจากท่าทางของนาย จะมาสู้สุดชีวิตกับฉันใช่ไหม”

พูดพลาง เทียนชิงหยางเริ่มนับนิ้วขึ้นมา ประกายนัยน์ตาสว่างขึ้นอีก

หานหยวนหนิงจ้องนิ้วเทียนชิงหยาง แล้วพูดว่า “ใช่ วันนี้นายกับฉันมีเพียงคนเดียวที่จะได้ลงจากเขาวิถีบู๊!”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1140

ลมพัดต้นไม้ปลิวไปมาอย่างแรงจนเกิดเสียงดัง เต็มไปด้วยความเขียวชอุ่ม

เมื่อมาถึงที่นี่ สิ่งที่ปรากฏอยู่ในสายตาคือทะเลเมฆ ไอหมอกเต็มไปหมด

เมื่อมองไกลๆ เข้าไปในป่า เห็นบ้านหินตั้งเดี่ยวอยู่หนึ่งหลัง

ลู่ฝานมองซ้ายมองขวาอยู่รอบหนึ่ง ไม่เห็นสิ่งก่อสร้างอย่างอื่นเลย ทำได้เพียงเดินไปทางบ้านหิน

ถนนบนภูเขาขรุขระ ลู่ฝานตัดสินใจเด้งตัวขึ้นไปบนยอดไม้

เท้าย่ำก้าวยอดเมฆาฟ้า ลู่ฝานเหาะอย่างรวดเร็วอยู่บนต้นไม้มากมาย เมื่อมองลงไปจากด้านบน ลู่ฝานเห็นเรื่องน่าสนใจอย่างหนึ่ง

นั่นก็คือป่าไม้ด้านหลังภูเขา ก่อตัวกลายเป็นตัวอักษรคำว่า “จิ้ง”

อย่าบอกนะว่าต้นไม้หลังภูเขา มีคนตั้งใจปลูกมันไว้

เขาวิถีบู๊เรียกอีกอย่างว่าเขาอู่จิ้ง แน่นอนว่าต้องมีเหตุผล

ไม่นานลู่ฝานมาถึงบ้านหิน

ค่อยๆ ลอยลงมาจากฟ้า ลู่ฝานมองบ้านหินด้านหน้า

เป็นบ้านที่ธรรมดามาก ด้านในมีแค่รูปปั้นหนึ่งองค์ รูปปั้นที่รู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด ลู่ฝานรู้สึกว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน

ทันใดนั้น ลู่ฝานนึกออกแล้ว

นี่มันรูปปั้นของจักรพรรดิอู่ไม่ใช่เหรอ ตอนเขามาเมืองหลวง เคยเห็นที่นอกประตูอู่เซิ่ง

แม้ท่าทางไม่เหมือนกัน แต่ใบหน้าของรูปปั้นเหมือนกัน!

ลู่ฝานพึมพำว่า “จักรพรรดิอู่!”

จู่ๆ กระบี่หนักไร้คมในมือลู่ฝานสั่นอย่างแรงขึ้นมา เหมือนพยายามจะออกจากมือเขา

แม้ลู่ฝานไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขาสัมผัสได้ถึงความรู้สึกรุนแรงที่ส่งมาจากกระบี่หนักไร้คม นั่นเป็นความรู้สึกโหยหาอย่างยิ่ง

ลู่ฝานปล่อยมือ กระบี่หนักไร้คมเข้าไปอยู่ในมือรูปปั้นทันที

วินาทีที่รูปปั้นกำกระบี่หนักไร้คมเอาไว้ เกิดแสงสว่างขึ้นทั้งบ้านหิน ลมพัดแรงกวาดออกไปจากในบ้านหิน พัดจนแขนเสื้อลู่ฝานเกิดเสียงดังพึ่บพั่บ ถึงกับต้องหรี่ตาลงเบาๆ

หลังจากลมพัดแรงผ่านไป ลู่ฝานเห็นลายค่ายกลมากมายแผ่ซ่านออกไปจากด้านล่างของบ้านหิน

มันแผ่ออกไปช้ามาก ทำให้ลู่ฝานรู้สึกถึงแรงกดดันจนหายใจไม่ออก

ตอนนี้รูปปั้นหินในบ้านหิน ค่อยๆ ลืมตาทั้งสองข้างขึ้น

ดวงตาคู่นั้นมันอะไรกัน ลึกเหมือนอากาศเวิ้งว้าง แต่กลับเป็นประกายเหมือนดวงดาว

แสงด้านในเปลี่ยนแปลงไปร้อยแปดพันเก้า ราวกับโลกทั้งใบอยู่ในดวงตาของเขา

จู่ๆ ลู่ฝานรู้สึกว่าตัวเองขยับตัวไม่ได้แล้ว แสงค่ายกลก็ค่อยๆ แผ่ซ่านเข้ามาถึงใต้เท้าของเขา

“ครืน!”

เสียงอื้ออึงหนักอึ้ง ดังขึ้นในหัวของเขา

เหมือนลู่ฝานได้ยินเสียงของการต่อสู้เข่นฆ่า ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวของแม่น้ำและภูเขาดังกึกก้อง ได้ยินเสียงระเบิดจากการที่โลกสลาย ได้ยินเสียงชัดเจนจากการเกิดใหม่ของโลก

ลู่ฝานค่อยๆ ลอยเข้าไปในบ้านหิน

เขามองดวงตาทั้งสองข้างของรูปปั้นหิน เหมือนเห็นทุกสิ่งทุกอย่างของโลก!

เมื่อลู่ฝานเดินเข้ามาในบ้านหิน แสงในบ้านหายไป ค่ายกลก็หายไปด้วย

สายลมรุนแรงพัดกลับไป จู่ๆ ตัวของลู่ฝานกลายเป็นแสงอย่างรวดเร็ว จากนั้นหายไปจากในห้องหิน

เหมือนทุกอย่างกลับสู่ปกติ แต่รูปปั้นในห้องกลับมีกระบี่หินอยู่ในมือหนึ่งเล่ม

ไม่รู้กระบี่หนักไร้คมหายไปไหน สายลมเย็นพัดวนอยู่ในห้องหิน แอบได้ยินเสียงกรีดร้องในสายลม

ไม่มีใครรู้ว่าลู่ฝานไปไหน เหมือนแค่พริบตาเดียว ตัวเขาก็หายไปทันที

ในตำหนักไท่เหอที่พระราชวัง บนพื้นอากาศเวิ้งว้างมีแสงกะพริบไม่หยุด เหมือนต้องการจับทิศทางของลู่ฝาน

องครักษ์ในตำหนักขมวดคิ้วมองภาพนี้ ทำไมวันนี้พื้นอากาศเวิ้งว้างดูสูญเสียการควบคุม

ขณะที่องครักษ์เกราะทองกำลังจะไปรายงานเบื้องบน จู่ๆ แสงของพื้นอากาศเวิ้งว้างหายไป ไม่กะพริบอีก กลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม

องครักษ์เกราะทองมองหน้ากัน จากนั้นก็ยืนเฝ้าต่อ

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1139

ฉินซางต้าตี้ก็วางหนังสือลงแล้วพูดว่า “เสียงดังเอะอะเรื่องอะไร ให้เขาเข้ามา”

องครักษ์เกราะทองรีบเข้ามาในห้องทรงพระอักษร คุกเข่าข้างหนึ่งลงบนพื้นแล้วพูดเสียงดัง “ฝ่าบาท ลู่ฝานแห่งเขตตงหวาออกมาจากจวนเซียนบู๊กระบี่คลั่งแล้วครับ”

ฉินซางต้าตี้พูดด้วยรอยยิ้ม “งั้นเหรอ มาเปิดม่านน้ำสรวงสวรรค์ ให้ฉันดูหน่อยว่าลู่ฝานได้ของดีอะไร”

นางข้าหลวงคนหนึ่งรีบเดินเข้ามา ถือไข่มุกสีน้ำเงินในมือ โยนเบาๆ ขึ้นไปในอากาศ

ทันใดนั้น ม่านน้ำสรวงสวรรค์ขนาดใหญ่เปิดออก นิ้วของฉินซางต้าตี้ขยับเบาๆ ด้านในม่านน้ำสรวงสวรรค์ มีแสงและเงากะพริบทันที

ไม่นานเงาของลู่ฝานปรากฏอยู่ในม่านน้ำสรวงสวรรค์ เป็นภาพที่ลู่ฝานเดินออกมาจากจวนเซียนบู๊กระบี่คลั่งพอดี

ฉินซางต้าตี้หัวเราะ มองคนหลายสิบคนล้อมลู่ฝานเอาไว้ อีกทั้งยังโจมตีใส่ด้วย ยังหัวเราะแล้วดูลู่ฝานโยนซุนจื้อออกไปไกลเท่าไรไม่รู้ อีกทั้งยังถลึงตาใส่นักบู๊คนหนึ่งจนทรุดลงบนพื้น

เมื่อดูทุกอย่างจบ ฉินซางต้าตี้พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ลู่ฝานเดินไปไหนก็มีแต่คนเล่นงานเขา”

ไท่จื่อฉินอวิ่นที่อยู่ข้างๆ หวาดกลัวขึ้นในใจ แต่ไม่กล้าแสดงความไม่เหมาะสมออกมาบนใบหน้า

ฉินซางต้าตี้ชี้จวนเซียนบู๊กระบี่คลั่งในม่านน้ำสรวงสวรรค์ แล้วพูดว่า “ลู่ฝานออกมาจากในจวน แต่แสงของจวนยังอยู่ ดูเหมือนได้ของดีไม่มากเท่าไร อย่างน้อยก็ไม่ได้รับการถ่ายทอดอย่างสมบูรณ์ น่าเสียดายๆ!”

ไท่จื่อฉินอวิ่นยกยิ้มมุมปาก ฉินฝานที่อยู่ข้างๆ ก้มหน้าไม่พูดอะไร

ขณะกำลังพูดอยู่ จู่ๆ องครักษ์เกราะทองอีกคนตะโกนขึ้นมา

“รายงาน!”

ฉินซางต้าตี้สะบัดมือเบาๆ องครักษ์เกราะทองคนนี้รีบพุ่งเข้ามาพูดว่า “ฝ่าบาท หานหยวนหนิงแห่งตระกูลหานออกมาจากจวนเซียนบู๊จิ่วหวาแล้วครับ!”

ฉินซางต้าตี้สะบัดมือไปทางม่านน้ำสวรรค์อีกครั้ง ทันใดนั้น สิ่งที่ปรากฏอยู่ในสายตาคือจวนเซียนบู๊จิ่วหวาที่มืดมนไร้แสง รวมถึงหานหยวนหนิงที่เปลือยท่อนบน ท่าทางดุดันทรงพลัง

“ดี! ตระกูลหานมีเด็กที่ไม่เลวออกมา คิดไม่ถึงว่าหานหยวนหนิงจะได้รับการถ่ายทอดอย่างสมบูรณ์แบบจากเซียนบู๊จิ่วหวา รีบออกคำสั่ง มอบอาวุธวิเศษหนึ่งชิ้นกับของขวัญชิ้นใหญ่หนึ่งอย่าง เป็นรางวัลให้ตระกูลหาน!”

ฉินซางต้าตี้หัวเราะเสียงดังสามครั้ง

ครั้งนี้ในที่สุดก็มีคนได้รับการถ่ายทอดอย่างสมบูรณ์แบบสักที

หานหยวนหนิงแห่งตระกูลหาน!

ฉินซางต้าตี้จำชื่อนี้เอาไว้แล้ว ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป หานหยวนหนิงจะกลายเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงของประเทศอู่อาน

ผู้สืบทอดของเซียนบู๊จิ่วหวา!

นี่ยังไม่จบ ขณะที่ฉินซางต้าตี้กำลังดีใจ มีองครักษ์เกราะทองอีกคนหนึ่งพุ่งเข้ามา

“ฝ่าบาท เทียนชิงหยางแห่งตระกูลเทียน ออกมาจากจวนเซียนบู๊เทียนซ่วนแล้วครับ!”

ฉินซางต้าตี้อึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นพูดอย่างตกใจว่า “จวนของเซียนบู๊เทียนซ่วน เป็นจวนบรรพบุรุษตระกูลเทียนของพวกเขาไม่ใช่เหรอ ครั้งนี้ตระกูลเทียนมีลูกหลานได้รับการถ่ายทอดแล้วเหรอ”

จู่ๆ ฉินซางต้าตี้หัวเราะเสียงดัง เสียงหัวเราะดังลั่นทะลุไปบนฟ้า

“นี่มันสัญญาณแห่งความรุ่งเรืองของอู่อานหรือเปล่า ดีมาก รอเทียนชิงหยางออกมา ฉันก็มีของรางวัลใหญ่ให้เหมือนกัน ผู้สืบทอดศักดิ์สิทธิ์ พวกตาเฒ่าตระกูลเทียนต้องยิ้มจนปากฉีกแน่ๆ!”

ฉินอวิ่นกับฉินฝานลุกขึ้นพร้อมกัน แล้วพูดว่า “สวรรค์คุ้มครองเสด็จพ่อ อู่อานยิ่งใหญ่งดงาม”

ฉินซางต้าตี้ชี้ฉินอวิ่นกับฉินฝานแล้วพูดว่า “เพราะพวกนายสองคนไม่เอาไหน ถ้าพวกนายเข้าไปในจวนจักรพรรดิอู่ได้ นั่นคงเป็นเรื่องโชคดีที่สุดของอู่อานของฉัน”

ฉินอวิ่นกับฉินฝานก้มหน้าลง ไม่กล้าพูดอะไรออกมา

พวกเขาสองคนขึ้นไปบนเขาวิถีบู๊หลายครั้งจนนับไม่ถ้วนแล้ว แต่กลับไม่ได้อะไรสักอย่าง พูดขึ้นมาก็เป็นเรื่องที่น่าอายมาก

ตอนนี้ฉินซางต้าตี้ที่กำลังอารมณ์ดี ขี้เกียจจะว่าอะไรพวกเขา โบกมือไปมาแล้วพูดว่า “ออกคำสั่งไปว่าให้เตรียมงานเลี้ยง รอพวกเขาออกมาจากเขาวิถีบู๊ ฉันจะเชิญเหล่าข้าราชการมาร่วมงานเลี้ยง”

ฉินอวิ่นกับฉินฝานตอบรับเสียงเบา

คำสั่งต่างๆ ออกมาจากในห้องทรงพระอักษร

ไม่จำเป็นต้องใช้เวลานาน เรื่องที่หานหยวนหนิงแห่งตระกูลหานได้รับการถ่ายทอดจากเซียนบู๊จิ่วหวา กับเรื่องที่เทียนชิงหยางแห่งตระกูลเทียนออกมาจากจวนเซียนบู๊เทียนซ่วน แพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวง

สองคนนี้ต้องกลายเป็นเป็นกำลังสำคัญในประเทศอู่อานแน่นอน ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปสองคนนี้จะมีอนาคตที่สวยงามราวกับผ้าไหมทอดิ้น เจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน!

อีกทั้งเมื่อเทียบกันแล้ว การประสบความสำเร็จของลู่ฝาน ก็โดดเด่นสะดุดตาขนาดนั้นแล้ว

แม้เขาได้เข้าไปในจวน ได้รับของดีเหมือนกัน แต่เมื่อเทียบกับสองคนนี้ ไม่ได้ต่างกันแค่น้อยๆ

ถ้าลู่ฝานได้รับการถ่ายทอดอย่างสมบูรณ์แบบ ยังพอนำมาเทียบกับพวกเขาสองคนได้

ตอนนี้ลู่ฝานกำลังเดินไปหลังภูเขา

จากไกลๆ ลู่ฝานเห็นบ้านหินหลังหนึ่ง ใช้มือสัมผัสลงบนกระบี่หนักไร้คม

ลู่ฝานพึมพำว่า “ใช่ที่นั่นหรือเปล่า ไม่คมเอ๋ย ไม่คม แกจะต้องชี้ทางให้ฉันนะ!”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1138

ได้ยินคำเยาะเย้ยของลู่ฝาน ทุกคนมองหน้ากันไปมา ไม่มีใครยอมออกมาโจมตีลู่ฝาน

ลู่ฝานก้าวเท้าเดินผ่านพวกเขาไปตรงๆ จู่ๆ มีนักบู๊ตะโกนขึ้นในกลุ่มคน “ทุกคน จะกลัวเขาไปทำไม ฆ่าเลย……”

ยังไม่ทันพูดจบ ลู่ฝานคว้ามือซ้ายกลางอากาศ นักบู๊คนนี้ปลิวออกมาจากกลุ่มคน ร่วงลงมาอยู่ในมือลู่ฝานทันที

นักบู๊มองลู่ฝานอย่างตกตะลึง แต่เขาก็ฟันกระบี่ลงมาตามสัญชาตญาณ

กระบี่มีสายฟ้า แสงไม่อ่อนด้อยเลย พลานุภาพของกระบี่นี้ เกินกว่าระดับที่นักบู๊แดนปราณชีวิตจะปล่อยออกมาได้ วิทยายุทธของไอ้หมอนี่ไม่ด้อยเลย

อากาศเวิ้งว้างข้างหน้าลู่ฝานโดนฟันจนจะเอียง แต่ทันใดนั้นแสงสายฟ้าโดนลู่ฝานบีบจนแตกสลาย

แสงนัยน์ตาทั้งสองข้างกะพริบ ทันใดนั้นนักบู๊คนนี้แข็งทื่อทั้งตัว เลือดออกเจ็ดทวาร

ลู่ฝานโยนเขาไปด้านข้างเหมือนโยนขยะ

แค่พละกำลังเกือบจะเข้าสู่แดนปราณดิน กล้ามาอวดดีต่อหน้าเขา

ปราณชี่ในตัวไหลอย่างต่อเนื่องเหมือนสายน้ำ ตอนนี้ลู่ฝานมีความคิดถึงขนาดที่อยากสู้กับนักบู๊แดนปราณฟ้าแล้ว

นักบู๊ที่วิทยายุทธไม่ถึงแดนปราณดิน เคล็ดวิชาบู๊ไม่ถึงระดับดินขั้นสูงสุด ไม่มีทางสู้ต่อหน้าเขาได้เกินสามกระบวนท่า

ลู่ฝานกวาดตามองคนที่เหลือ แม้ไม่พูดอะไรสักคำ แต่ทุกคนสัมผัสถึงคำพูดจากใบหน้าของลู่ฝาน

เรียกว่า “ยังมีใครอีกไหม!”

ไม่มีใครกล้าพูดอีก ท่าทางดุดันเด็ดเดี่ยวของลู่ฝาน ทำให้พวกเขาตกใจจริงๆ

คนพวกนี้ ส่วนใหญ่เป็นคนที่ใช้เงินจำนวนมากซื้อโควตารายชื่อจากไท่จื่อ เพื่อเข้าร่วมการคัดเลือก วิทยายุทธเพียงพอ แต่โดยพื้นฐานแล้วยังไม่เคยเห็นภาพการเข่นฆ่าเลย เห็นลู่ฝานแค่มอง ก็ทำให้คนล้มลงบนพื้นเลือดไหลออกมาไม่หยุดได้ ขาทั้งสองข้างของนักบู๊บางส่วนเริ่มสั่น

ลู่ฝานประเมินพวกเขาไม่ผิดเลย

คนพวกนี้คือพวกหัวมังกุท้ายมังกร เป็นถุงเงินของไท่จื่อชัดๆ

ทำอันดับในการคัดเลือก กลับไปคุยโม้ที่บ้าน เป็นข้าราชการได้ง่ายแค่นั้น!

ถ้ามองพวกเขาเป็นผู้โดดเด่นในบรรดานักบู๊อายุน้อยของประเทศอู่อาน นั่นสิถึงจะเรียกว่าเอาของไม่ดีมาปนกับของดี

ลู่ฝานคิดว่าถ้าพวกศิษย์พี่ใหญ่มา อาจแข็งแกร่งกว่าคนพวกนี้ด้วยซ้ำ แม้วิทยายุทธของศิษย์พี่ใหญ่สู้พวกเขาไม่ได้ แต่ทางด้านจิตใจแห่งวิถีบู๊ อาจแข็งแกร่งกว่าคนพวกนี้เป็นร้อยเท่า

ก้าวเท้าเดินออกไป ไม่มีใครกล้าขวางลู่ฝานสักคน

คนหลายสิบคนมองด้านหลังลู่ฝานหายลับไปจากสายตา พากันมองหน้ากันแล้วก้มหน้าเดินออกไป

ไม่มีหน้าพูดอะไรอีกแล้วจริงๆ คิดไม่ถึงว่าคนหลายสิบคนอยู่ต่อหน้าคนคนเดียว ไม่มีความคิดจะลงมือผุดขึ้นมาเลย

ลู่ฝานคนเดียวต้านทานพลังปราณของหลายสิบคน ยังแสดงให้เห็นว่าไม่เป็นอะไรเลย ทำให้พวกเขาตกตะลึงจริงๆ ต่อไปถ้าพวกเขาเจอลู่ฝานอีก คงทำได้เพียงหลบเท่านั้น

กลุ่มคนเดินแยกย้ายออกไปด้วยความสลด สองสามคนที่ฉลาดหน่อย กลับเร่งฝีเท้าจะตามลู่ฝานให้ทัน ดูว่าลู่ฝานจะไปที่ไหน

พวกเขาไม่กล้าลงมือกับลู่ฝาน แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่ยินดีให้คนที่มีความสามารถลงมือกับลู่ฝาน

อย่างเช่นพวกเทียนชิงหยาง ในใจคนพวกนี้ คงมีแค่ลูกหลานสิบตระกูลใหญ่ที่สามารถแข่งกับลู่ฝานได้

……

ในตำหนักไท่เหอ แสงหายไปจากเสามังกรขดต้นหนึ่ง

ตอนนี้ในตำหนักไม่มีใครสักคน มีเพียงองครักษ์เกราะทองที่เห็นภาพนี้

องครักษ์เกราะทองรีบมองบนพื้นทันที ทันใดนั้นแสงที่เคลื่อนไหวสะท้อนภาพลู่ฝานเดินออกมาจากจวนเซียนบู๊กระบี่คลั่ง

องครักษ์เกราะทองรีบเดินออกไปทางห้องทรงพระอักษรทันที

“รายงาน! ลู่ฝานแห่งเขตตงหวาทดสอบเรียบร้อยแล้วครับ ออกมาจากจวนเซียนบู๊กระบี่คลั่งแล้วครับ!”

องครักษ์วิ่งพลางตะโกนเสียงดัง ไม่นานก็มาถึงหน้าห้องทรงพระอักษร

ตอนนี้ในห้องทรงพระอักษร ฉินซางต้าตี้กำลังอ่านสรุปจากหนังสือและพูดคุยกับลูกชายทั้งสองคนของตัวเอง กำลังอ่านสรุปจากหนังสือและพูดคุยกัน

ฉินซางต้าตี้อ่านหนังสือแล้วเอียงหัวไปมาอย่างมีความสุข ส่วนไท่จื่อฉินอวิ่นกับองค์ชายรองฉินฝานฟังจนจะหลับ

จู่ๆ ได้ยินเสียงตะโกนนอกประตู ไท่จื่อฉินอวิ่นกับองค์ชายรองฉินฝานสะดุ้งตาสว่างขึ้นทันที

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1137

ลู่ฝานขมวดคิ้วเบาๆ แอบพูดในใจว่าผ่านไปหนึ่งวันแล้วเหรอ

เวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วจริงๆ! เพียงแค่หลับตาแล้วลืมตาขึ้น เวลาหนึ่งวันก็หายไปแล้ว

เดินออกจากจวน ลู่ฝานมองคนพวกนี้แล้วพูดว่า “พวกนายรอฉันทำไม”

ซุนจื้อที่เป็นหัวหน้าเดินเข้ามาสองสามก้าว ปรายตามองลู่ฝานอย่างเย็นชา แล้วพูดว่า “นายว่าทำอะไรล่ะ ลู่ฝาน นายไม่เห็นใครอยู่ในสายตา อวดดีจองหอง มีดีอะไรถึงได้การถ่ายทอดจากเซียนบู๊ ตอนนี้ส่งสิ่งล้ำค่าของการถ่ายทอดออกมาซะดีๆ เราจะทำให้ศพนายครบ !”

ลู่ฝานขมวดคิ้วพูดว่า “ศพครบเหรอ พวกนายมาฆ่าฉันเหรอ เป็นคำสั่งของไท่จื่ออีกแล้วเหรอ”

ซุนจื้อพูดเสียงดังว่า “สำคัญหรือไงว่าจะเป็นคำสั่งของใคร นายรู้แค่ว่าหัวของนาย มีค่าทางตำแหน่งทางราชการหลายตำแหน่งก็พอ ลู่ฝาน ยังไม่ยอมจำนนอีก!”

เมื่อพูดเช่นนี้ เกราะปราณสว่างขึ้นบนตัวซุนจื้อ พละกำลังของนักบู๊แดนปราณดิน ถูกเปิดเผยออกมาอย่างชัดเจน

นักบู๊คนอื่นก็ปล่อยพลังปราณของตัวเองออกมาเช่นกัน

แย่สุดยังเป็นวิทยายุทธแดนปราณชีวิตชั้น 7-8 คนที่ขึ้นมาบนเขาวิถีบู๊ได้ จะมีคนที่อ่อนแอเหรอ ลู่ฝานกวาดตามองทุกคน แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ขอโทษด้วย ยอมจำนนไม่ใช่สไตล์ของฉันจริงๆ ถ้าพวกนายอยากได้ ก็ลงมือเถอะ!”

เมื่อพูดจบ ลู่ฝานสะบัดกระบี่หนักไร้คมในมือจนมีประกายกระบี่ออกมา จากนั้นปักลงบนพื้นทันที

ปราณชี่บนตัวพลุ่งพล่าน เกราะเกล็ดมังกรปกคลุมตัว จู่ๆ ลู่ฝานพบว่าตัวเองเข้าสู่แดนปราณดินชั้นสองอย่างไม่รู้ตัว!

ปราณชี่ถูกปล่อยออกมา บีบให้ซุนจื้อถอยหลังไปหลายก้าวทันที

รอยยิ้มบนใบหน้าลู่ฝานกว้างขึ้นอีก ดูเหมือนผู้อาวุโสหวางเหมิ่งไม่ได้ให้เขาแค่วิชา ยังถ่ายทอดวิทยายุทธให้นิดหน่อยด้วย!

ซุนจื้อเห็นปราณชี่บนตัวลู่ฝานรุนแรงดุดันขนาดนี้ เขาประหลาดใจก่อนครู่หนึ่ง จากนั้นตะโกนเสียงดังว่า “ลู่ฝาน นายได้อะไรดีๆ มาจริงด้วย แม้แต่วิทยายุทธยังเพิ่มขึ้นเยอะขนาดนี้ แต่วันนี้นายหนีความตายไม่รอดหรอก!”

ทันใดนั้น ซุนจื้อลงมือทันที กระบี่ยาวในมือกลายเป็นงูอนาคอนดาเลื้อยพุ่งเข้าไปฆ่าลู่ฝาน

ตัวของเขาเปลี่ยนแปลงมากมาย เพียงพริบตาเดียวตัวของซุนจื้อกลายเป็นเงาหลายร้อย แม้แต่งูอนาคอนดาที่เลื้อยไปมา ยังแยกออกเป็นร้อยตัว

นักบู๊คนอื่นที่อยู่ด้านหลังพุ่งเข้ามาพร้อมกัน พลังปราณสีต่างๆ สะดุดตาเป็นอย่างมาก ทันใดนั้นพลังอันน่ากลัวปกคลุมลู่ฝานกับจวนของเซียนบู๊กระบี่คลั่งเอาไว้ด้วยกัน

ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!

เสียงระเบิดดังขึ้นไม่หยุด พื้นตรงที่ลู่ฝานยืนอยู่โดนระเบิดจนเรียบทันที

แม้แต่จวนของเซียนบู๊กระบี่คลั่ง ก็แกว่งไปแกว่งมาอย่างแรงตามไปด้วย

“ตายซะเถอะลู่ฝาน!”

“หึหึ เราทุกคนร่วมมือกัน นายต้องตายแน่นอน!”

กลุ่มนักบู๊หัวเราะเบาๆ แล้วเอ่ยขึ้น

แต่วินาทีต่อมา ปราณชี่สั่นสะเทือนกวาดออกมา

“ครั้งที่หนึ่ง ฟ้าดินสะเทือน!”

ปราณกระบี่นับไม่ถ้วนพุ่งออกมาจากตัวทุกคน เลือดสาดกระเซ็น จู่ๆ คนสิบกว่าคนล้มลงบนพื้นทันที

คนที่เหลือก็พากันตกใจกลัว ถอยไปด้านหลังไม่หยุด

ฝุ่นควันโดนสายลมพัดไป สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าทุกคน คือลู่ฝานที่กำลังหิวซุนจื้ออยู่ในมือ

ตอนนี้ซุนจื้อเลือดเต็มตัวไปหมด ไม่มีใครรู้ว่าช่วงเวลาเมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น แต่พวกเขาเห็นรอยยุบน่ากลัวทั้งตัวซุนจื้อ เหมือนโดนหมัดนับไม่ถ้วนซัดใส่สามวันสามคืน

ลู่ฝานบีบคอซุนจื้อแล้วพูดว่า “นายมีพละกำลังแค่นี้ กล้ามาท้าประลองฉัน ไม่รู้นายไปเอาความกล้ามาจากไหน!”

นัยน์ตาซุนจื้อแฝงความตกใจกลัว เขาพูดว่า “ฉันผิดไปแล้ว คุณชายลู่ฝาน นายอย่าฆ่าฉันเลย!”

ในมือลู่ฝานมีแสงประหลาดกะพริบอยู่ พลังทั้งตัวซุนจื้อถูกเขาดูดเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง บาดแผลที่โดนระเบิดบนตัวกำลังฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว แม้แต่เกราะเกล็ดมังกรก็ฟื้นฟูกลับมาเป็นเหมือนเดิม

ลู่ฝานยิ้มอย่างเรียบเฉย กล้ามเนื้อบนแขนปูดขึ้น สะบัดมือเหวี่ยงซุนจื้อออกไปไกล

ทันใดนั้นซุนจื้อหายไปที่ขอบฟ้า พร้อมกับเสียงร้องโอดครวญ

ลู่ฝานปัดมือไปมา จะเป็นหรือตาย ก็ขึ้นอยู่กับว่าซุนจื้อดวงแข็งหรือเปล่า

ลู่ฝานหันมามองนักบู๊คนอื่นแล้วพูดว่า “พวกนายจะสู้อีกไหม”

ทุกคนถอยไปด้านหลังอีกครั้ง!

ลู่ฝานหัวเราะเบาๆ แล้วเก็บกระบี่หนักไร้คมกลับมา จากนั้นพูดว่า “พวกหัวมังกุท้ายมังกร!”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1136

ไม่รู้ผ่านไปนานแค่ไหน ลู่ฝานฟื้นขึ้นมาท่ามกลางความมืดมิด

ตอนที่เขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง เขาพบว่าตัวเองยืนอยู่ในลานบ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง

ไม่มีที่รกร้าง ไม่มีศพ มีเพียงลานบ้านเล็กๆ ที่เงียบเหงา กับรูปปั้นหินข้างหน้า นั่นคือหวางเหมิ่งเซียนบู๊กระบี่คลั่ง

ขยับร่างกายครู่หนึ่ง จู่ๆ ลู่ฝานรู้สึกว่าทุกส่วนของร่างกายตัวเอง เต็มไปด้วยพลังที่ทำให้ระเบิดได้

มีลายเปลวเพลิงเลือนราง สว่างขึ้นบนผิวของเขา

วิชาหนึ่งชุด ปรากฏขึ้นในหัวของเขาโดยอัตโนมัติ

“กลายร่างฟ้าดิน ฝึกกายว่างเปล่าก่อน จากนั้นค่อยฝึกร่างจริง เปลี่ยนจากว่างเปล่าเป็นความจริง ใช้ความจริงทำลายความว่างเปล่า……”

ลู่ฝานลองวิชาอยู่ในสมองแบบเงียบๆ รอบหนึ่ง เป็นวิชาที่แข็งแกร่งสุดยอดตามคาดจริงๆ

วิชานี้สามารถบีบอัดพลังทุกอย่างเข้ามาในร่างกายได้ จากนั้นอาศัยพลังสนับสนุนร่างกาย สุดท้ายกลายเป็นคนที่มีรูปร่างใหญ่โต

ไม่ว่าจะเป็นพลัง ระดับความแข็งแกร่งของร่างกาย หรือพลังปราณ ล้วนมีความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้น

นี่ไม่ใช่แค่เคล็ดวิชาบู๊ที่ทำให้คนกลายร่างใหญ่ขึ้น แต่เป็นชุดวิชาระดับสูงเกี่ยวกับการฝึกร่างอย่างไร

มันเหมือน “สูตรการกลั่นยา” ฝึกฝนร่างกายสูตรหนึ่ง บอกนายว่าควรฝึกร่างกายอย่างไรให้มีสภาพที่สมบูรณ์แบบและทรงพลังที่สุด

วิชาแบบนี้ ต้องเป็นระดับฟ้าขึ้นไปแน่นอน

แต่เป็นระดับฟ้าขั้นกลางหรือขั้นต้น ลู่ฝานไม่แน่ใจ ต้องรอให้เขาฝึกสำเร็จ แล้วค่อยทดสอบดู

ค่อยๆ ถอนหายใจออกมา มีวิชานี้อยู่ เขามาเขาวิถีบู๊รอบนี้ไม่เสียเที่ยวแล้ว

ลู่ฝานคารวะให้รูปปั้นของเซียนบู๊กระบี่คลั่ง โค้งคำนับอย่างนอบน้อม

ได้วิชาของเขา ก็ควรเคารพปฏิบัติเหมือนศิษย์

ลู่ฝานไม่ใช่คนอกตัญญู มองรูปปั้นของเซียนบู๊กระบี่คลั่ง

ลู่ฝานพูดว่า “ผู้อาวุโสหวางเหมิ่ง แม้ผมเป็นผู้สืบทอดของท่านไม่ได้ แต่ต่อไปผมจะพยายามหาผู้สืบทอดที่สมบูรณ์แบบมาให้ท่าน”

พูดจบ ลู่ฝานโค้งคำนับอีกครั้ง

จากนั้นจึงหันกลับมา ถือกระบี่หนักไร้คมไว้ในมือ ตอนนี้ลู่ฝานมองมันอยู่นาน

“หลังเขาวิถีบู๊!”

ลู่ฝานพูดพึมพำ

เซียนบู๊หวางเหมิ่งไม่รับเขาเป็นผู้สืบทอด เพราะกระบี่หนักไร้คม อีกทั้งจากคำพูดของเขา ลู่ฝานแอบรู้สึกว่าเหมือนมีการถ่ายทอดอื่นรอเขาอยู่บนเขาวิถีบู๊ เหตุผลก็คือกระบี่หนักไร้คมเล่มนี้!

ลู่ฝานครุ่นคิดครู่หนึ่ง ถามไอ้เก้าในใจอย่างรวดเร็ว “ไอ้เก้า ถามกระบี่หนักไร้คมให้ฉันหน่อย มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ บนเขามีการถ่ายทอดที่เกี่ยวข้องกับมันจริงไหม”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดรัวว่า “ได้ เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ ฉันจะไปถามให้เจ้านายเดี๋ยวนี้”

ผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงของเจดีย์เสวียนเก้ามังกรดังขึ้น

“เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ ไม่คมบอกว่ามีบางอย่างกำลังเรียกหามัน อยู่ด้านหลังภูเขา แต่มันก็ไม่รู้ว่าคืออะไร เพราะตอนนี้มันยังไม่สามารถฟื้นฟูกลับมาได้ สิ่งที่ผ่านมาเป็นเวลานานเกินไป ล้วนถูกลืมไปหมดแล้ว!”

ลู่ฝานพยักหน้าพูดว่า “มีก็ดี งั้นฉันไปดูที่หลังภูเขาดีกว่า หวังว่าจะมีการสืบทอดรอฉันอยู่จริง เช่นนั้นฉันจะได้ของมีค่ามากมาย!”

ลู่ฝานรอยยิ้มเต็มใบหน้า ก้าวเท้าเดินออกไปข้างนอก

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรรีบพูดเยินยอ “เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ แค่เจ้านายต้องการ การถ่ายทอดทั้งหมดที่นี่ เป็นเรื่องเล็กๆ ง่ายนิดเดียว เราไม่ต้องรีบ ค่อยๆ ไปทีละแห่ง”

ลู่ฝานเปิดประตูจวน ทันใดนั้นแสงแสบตาส่องเข้ามาจากข้างนอก

ลู่ฝานหรี่ตาลงแล้วมองไปข้างนอก สิ่งที่ปรากฏอยู่ในสายตาคือกลุ่มนักบู๊

“ฮ่าๆ ลู่ฝาน ในที่สุดนายก็ออกมาแล้ว เรารอนายมาตั้งหนึ่งวันเต็มๆ!”

พูดพลาง นักบู๊หลายสิบคนขยับเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1135

ขนาดนี้ยังเป็นแค่สภาพหลังตายของเซียนบู๊กระบี่คลั่ง ถ้าเขายังมีชีวิตอยู่ล่ะ ไม่รู้จริงๆ ว่าจะเป็นแบบไหน

ทันใดนั้น เซียนบู๊กระบี่คลั่งพูดว่า “ถือว่านายพูดเก่ง หน้าด้านพอ ไม่รู้ใครสอนนายมา ต่อไปถ้านายไม่เป็นผู้แข็งแกร่งค้ำฟ้าเหมือนฉัน ก็คงเป็นหายนะบนโลกแห่งนี้ ช่างเถอะ ฉันจะถ่ายทอดอะไรนิดหน่อยให้นาย ปกติเคล็ดวิชาบู๊ที่ฉันชำนาญที่สุดมีสองอย่าง อย่างแรกคือวิชากระบี่ของฉัน วิชากระบี่ตามเจตนา กระบี่เคลื่อนไหวตามเจตนา อาศัยเจตนาสะเทือนใต้หล้า มองออกอย่างรวดเร็ว และรู้ว่าศัตรูคิดอย่างไร ฆ่าด้วยกระบี่เดียว และรู้ว่าโลกจะเป็นไปตามความประสงค์ของฉัน นายจะเรียนไหม”

ลู่ฝานฟังแล้วขมวดคิ้ว จากนั้นพูดว่า “ผู้อาวุโสอาศัยสิ่งนี้ มองความคิดในใจฉันออกอย่างนั้นเหรอ”

เซียนบู๊กระบี่คลั่งพูดว่า “ใช่ ทุกสิ่งที่คนคิดในใจ ล้วนเป็นเจตนา อย่าคิดว่าความคิดในใจนายไม่ส่งผลกระทบกับโลกนี้ ทุกคำที่นายพูดในใจ พลังฟ้าดินรอบตัวจะเคลื่อนไหวตามมันเล็กน้อย คนทั่วไปมองไม่ออก สัมผัสไม่ได้ ยิ่งตีความไม่ออก แต่แค่ฝึกวิชากระบี่ตามเจตนาของฉัน จะสามารถมองความคิดคนอื่นได้อย่างชัดเจน ราบรื่นไปทุกอย่าง คนบนโลกหัวเราะเยาะว่าฉันบ้า แต่ฉันกลับหัวเราะเยาะคนบนโลก ที่มองสรรพสิ่งบนโลกไม่ทะลุปรุโปร่ง!”

ในใจลู่ฝานเหมือนเข้าใจอะไรนิดหน่อย แต่เขารีบระงับความคิดตัวเองอย่างรวดเร็ว เซียนบู๊กระบี่คลั่งที่อยู่ตรงหน้าสามารถอ่านความคิดคนอื่นได้ ตอนนี้ไม่ใช่จังหวะที่เขาจะคิดเรื่องอื่น เขายังไม่อยากให้เซียนบู๊กระบี่คลั่งรู้ความลับของเขา

โยนความคิดฟุ้งซ่านทิ้งไป ลู่ฝานพูดต่อ “แล้วอีกกระบวนท่าล่ะ”

เซียนบู๊กระบี่คลั่งพูดเสียงดัง “อีกกระบวนท่าคือการกลายร่างฟ้าดินของฉัน เมื่อศึกษาเบื้องต้นได้แล้ว จะสามารถกลายเป็นยักษ์ตัวสูงใหญ่ ระยะรู้ความสามารถยกภูเขาสูงด้วยมือเดียวได้ ถ้าฝึกถึงขั้นสมบูรณ์ คนเดียวสามารถทำลายประเทศได้ ไม่ได้โม้นะ รอนายเข้าสู่แดนหยินหยาง เปิดเขตวิถี กลายเป็นเซียนบู๊ แล้วค่อยเอาเขตวิถีรวมเข้ากับร่างกาย ก็จะเป็นเหมือนฉัน ตัวฉันก็คือฟ้าดิน!”

ลู่ฝานสูดหายใจลึก วิชานี้ สามารถอธิบายได้ด้วยคำว่าทรงพลังเท่านั้น

เซียนบู๊กระบี่คลั่งหัวเราะลั่น “ใช่แล้ว วิชาของฉัน สามารถอธิบายได้ด้วยคำว่าทรงพลังเท่านั้น ไม่ได้ทรงพลังธรรมดา แต่ทรงพลังมาก แต่ฉันต้องเตือนนายไว้ก่อน วิชาทั้งสองวิชานี้ ต้องการพรสวรรค์ที่แตกต่างกัน ฝึกวิชาวิชากระบี่ตามเจตนา จำเป็นต้องมีความรู้สึก จิตใจนายมีความอาฆาตมากมาย อีกทั้งยังสามารถกวาดปราณกระบี่ออกไปได้เป็นหมื่นลี้ ถ้าในใจนายไม่มีความอาฆาต กระบี่เจตนาอยู่ในมือนายก็เสียของ ฉันเป็นคนเย่อหยิ่ง แม้ไม่อยากยอมรับ แต่มันเป็นนิสัยและวิชากระบี่”

ชะงักไปครู่หนึ่ง เซียนบู๊กระบี่คลั่งพูดต่อ “ส่วนการกลายร่างฟ้าดิน จำเป็นต้องมีร่างกายที่แข็งแกร่ง ถ้าร่างกายไม่แข็งแกร่งทนทานพอ เมื่อศึกษาเบื้องต้นสามารถคร่าชีวิตนายได้เลย นายคิดดูให้ดีว่าจะเลือกอันไหน อย่าบอกฉันว่าจะเลือกทั้งสองอย่าง นายเป็นแค่ผู้สืบทอดของฉันเพียงครึ่งเดียว ให้นายหนึ่งวิชาก็ถือว่าไม่เลวแล้ว”

ลู่ฝานกัดฟันกรอด จู่ๆ เขาพูดว่า “ฉันจะเรียนวิชากลายร่างฟ้าดิน!”

เหมือนเซียนบู๊กระบี่คลั่งประหลาดใจเล็กน้อย เขาพูดว่า “คิดไม่ถึงว่านายจะเลือกวิชานี้ นายคิดดีแล้วเหรอ”

ลู่ฝานพูดเสียงดังว่า “ใช่ วิชานี้แหละ ร่างกายสูงใหญ่ ปิดแม่น้ำภูเขาด้วยมือเดียว นี่คือเคล็ดวิชาบู๊ที่ฉันต้องการ!”

เซียนบู๊กระบี่คลั่งหัวเราะลั่นแล้วพูดว่า “ดี มีความทะเยอทะยาน จากความห้าวหาญของนาย เดาว่าฝึกวิชาวิชากระบี่ตามเจตนา ก็คงประสบความสำเร็จเหมือนกัน แต่น่าเสียดาย ในมือนายมีกระบี่ของไอ้หมอนั่น ฉันไม่กล้าแย่งผู้สืบทอดจากเขาหรอก ไอ้หนุ่ม เอาวิชาไป!”

ทันใดนั้น ตรงหน้าลู่ฝานมืดลง เหมือนโลกทั้งใบดันลงมา

ลู่ฝานรู้สึกเกร็งไปทั้งตัว พลังอันแข็งแกร่งพุ่งเข้ามาในทุกส่วนของร่างกายเขา รวมถึงเส้นลมปราณและกระดูก

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1134

ในจวนเซียนบู๊กระบี่คลั่ง จู่ๆ มีแสงสว่างพุ่งขึ้นไปบนฟ้า

แสงนี้ทำให้เขาวิถีบู๊ตกอยู่ในความสั่นสะเทือน ทุกคนมองมาทางนี้ด้วยความตกตะลึง

ตอนนี้ด้านนอกจวนเซียนบู๊กระบี่คลั่ง มีคนรออยู่หลายสิบคนแล้ว

พวกเขาล้วนตามซุนจื้อมา รอลู่ฝานออกมาจากการทดสอบ

เห็นเหตุการณ์แบบนี้ ไม่มีใครที่ไม่อ้าปากค้าง

แสงร่วงลงไปด้านหลังยอดเขา ด้านหลังยอดเขามีบ้านหินเล็กๆ อยู่หนึ่งหลัง

ในบ้านหินมีรูปปั้นอยู่องค์หนึ่ง ตั้งตระหง่านอยู่ตรงกลาง แสงทั้งหมดร่วงลงบนตัวมัน จากนั้นโดนดูดเข้ามาจนหมด

แสงสว่างต่อเนื่องอยู่นานจึงหายไป ทุกอย่างกลับเป็นปกติอีกครั้ง

“สมบัติล้ำค่าปรากฏออกมาแล้ว การถ่ายทอดปรากฏออกมาแล้ว ต้องเป็นเช่นนี้แน่ๆ ทุกคน ถ้าลู่ฝานออกมา เราจะล้อมโจมตีเขา ส่วนสิ่งของที่ถ่ายทอด ผู้แข็งแกร่งได้ครอบครองมัน ทุกคนคิดว่าอย่างไร”

ซุนจื้อพูดเสียงดัง

คนสิบกว่าคนส่งเสียงตอบรับ นัยน์ตาคนจำนวนไม่น้อย เต็มไปด้วยประกายความโลภ

พวกเขาเดินไปเดินมาบนเขาหลายวันแล้ว พบว่าตัวเองคือคนที่หมดหวังในการเข้าไปในอุโมงค์สวรรค์

อยากได้อะไรบนเขาวิถีบู๊ คงอาศัยได้แค่การแย่งชิง และตอนนี้คนที่ทุกคนเต็มใจจะแย่งก็คือลู่ฝาน ไม่มีเหตุผลใดอื่น เพราะมีคนแย่งเยอะไง!

คนหลายสิบคนอยู่ด้วยกัน มีเหตุผลที่จะแย่งของมาไม่ได้เหรอ

ทุกคนทำเหมือนเหตุการณ์ใหญ่โต ล้อมจวนเอาไว้

ไม่ว่าลู่ฝานออกมาตรงไหน ต้องเจอกับการต่อสู้ที่ดุเดือด

ในจวนตอนนี้

ลู่ฝานมองกระบี่หนักไร้คมในมือด้วยความอึ้ง วินาทีเมื่อกี้ เขารู้สึกเหมือนกระบี่หนักไร้คมกำลังร้องเรียกอะไร เขตวิถีในกระบี่เด้งออกมาเอง ปกคลุมตัวกระบี่เอาไว้

ลู่ฝานเจอเหตุการณ์แบบนี้เป็นครั้งแรก เขามองเซียนบู๊กระบี่คลั่งแล้วพูดว่า “เกิดอะไรขึ้น”

ไซโคลนรุนแรงดุดันปรากฏขึ้นบนฟ้า เมื่อมองดูดีๆ จึงเห็นว่าใบหน้าของเซียนบู๊กระบี่คลั่งบิดเป็นก้อน

“กระบี่เล่มนี้จริงๆ คิดไม่ถึงว่าเด็กอย่างนายคือคนที่เขาเลือก ความโกรธของฉัน ช่างเถอะๆ ใครใช้ให้เราครองถิ่นของเขาล่ะ ไอ้เด็กเวร ฉันไม่สามารถถ่ายทอดให้นายได้แล้ว นายไปหาการถ่ายทอดที่นายต้องการอย่างแท้จริงที่หลังเขาเถอะ”

พูดจบ เซียนบู๊กระบี่คลั่งมีท่าทีว่าจะไป ท้องฟ้าค่อยๆ กลับมาเป็นเหมือนเดิม

เมื่อลู่ฝานได้ยินก็ตะโกนเสียงดังทันที “หมายความว่ายังไง การถ่ายทอดที่แท้จริงอะไรกัน กว่าฉันจะเข้ามาได้ ไหนพูดกันไว้แล้วว่าจะถ่ายทอดให้ ผู้อาวุโสหวางเหมิ่ง ท่านคงไม่ได้จะไม่รักษาคำพูดใช่ไหม!”

ไม่มีใครตอบกลับ พื้นดินกลับเป็นเหมือนเดิม ท้องฟ้าเป็นสีครามอย่างยิ่ง

ลู่ฝานแอบกัดฟัน จู่ๆ เขากลอกตาไปมาแล้วแผดเสียงดังว่า “เซียนบู๊กระบี่คลั่งผู้ยิ่งใหญ่ ไม่รักษาคำพูด หลอกฉันมาที่นี่ ไม่ให้เคล็ดวิชาบู๊ฉันสักเล่ม แย่มาก ไม่คู่ควรเรียกว่าเซียนบู๊เลย!”

ทันใดนั้น ใบหน้าของเซียนบู๊กระบี่คลั่งปรากฏขึ้นอีกครั้ง พูดตะโกนเสียงดังว่า “คำพูดฉันหนักแน่นมาตลอด เคยไม่รักษาคำพูดตอนไหน ไอ้เด็กเวรอย่างนายเดี๋ยวโดนฉันตบตาย”

ลู่ฝานพูดเสียงดังว่า “เอาสิ ตบฉันให้ตายเลย ฉันมารับการถ่ายทอดของนาย ถ้าท่านฆ่าฉันตาย ถ้าพูดออกไป ฉันจะดูสิว่าวิชาของท่านยังสามารถสืบทอดต่อไปได้จริงหรือเปล่า ท่านรออยู่ที่นี่ไปอีกเป็นพันเป็นหมื่นปีเถอะ!”

เสียงฟ้าร้องน่ากลัวดังขึ้นบนท้องฟ้า สะเทือนจนลู่ฝานปวดแก้วหู รีบปิดผนึกประสาทสัมผัสทั้งหก ตัวเซไปมาครู่หนึ่ง อวัยวะภายในปั่นป่วน

นั่นเป็นเสียงหึอย่างเย็นชา จากความโมโหของเซียนบู๊กระบี่คลั่ง เสียงหึอย่างเย็นชาสามารถทำให้ลู่ฝานสะเทือนจนเกือบกระอักเลือด พละกำลังระดับนี้ ต่างกันราวฟ้ากับเหวจริงๆ

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1133

ลู่ฝานพึมพำว่า “เปิดเผย เมื่อกี้เขาพูดว่าเปิดเผยเหรอ!”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดว่า “เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ เจ้านายคิดอะไรออกเหรอ”

ลู่ฝานดึงกระบี่หนักไร้คมออกมา จู่ๆ เขาก็กวาดศพบนพื้นจนเรียบเป็นแถบ เผยให้เห็นพื้นดินของที่รกร้าง

ลู่ฝานก้มตัวลง เอาฝ่ามือตัวเองกดลงบนพื้น

ทันใดนั้น ใบหน้าลู่ฝานเต็มไปด้วยความตะลึง

“ไม่มีพลังห้าธาตุฟ้าดิน แต่ทะลุพลังปราณได้ อย่าบอกนะว่า……”

ลู่ฝานใช้กระบี่กวาดศพนับไม่ถ้วนข้างตัวออกไป ทำให้เห็นพื้นดินชัดเจนขึ้น

จู่ๆ ลู่ฝานเห็นรอยแยกลึกรอยหนึ่งบนพื้นดิน นั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาใช้กระบี่ฟันออกมา แต่มันมีอยู่นานแล้ว แต่แค่โดนศพปิดอยู่ด้านบน

ลู่ฝานเดินเข้าไปมองดูแป๊บนึง แล้วพูดว่า “ปราณชี่แหลมคม วิทยายุทธที่แข็งแกร่ง แต่กลับฟันลงบนพื้น”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดอย่างกลัดกลุ้ม “ใครมันว่างถึงขั้นมาฝึกกระบี่ที่นี่!”

ลู่ฝานพูดว่า “ใช่ ใครมันว่างขนาดนี้ ฝึกกระบี่ที่นี่ นี่ไม่ใช่รอยแยก แต่เป็นรอยกระบี่ เซียนบู๊หวางเหมิ่ง ศพของนายคือพื้นที่กว้างใหญ่แห่งนี้สินะ หรือจะเรียกว่าพื้นที่กว้างใหญ่แห่งนี้คือนาย!”

“ฮ่าๆๆๆ!”

เสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งดังมาจากทุกทิศ ขณะนั้นอยู่ดีๆ พื้นดินก็สั่นสะเทือนขึ้นอย่างรุนแรง

ศพนับไม่ถ้วนบนที่รกร้าง กลายเป็นแสงกระจัดกระจาย ซึมลงไปในพื้นดิน

หลังจากนั้นลู่ฝานเห็นตรงสุดสายตา มีมือหนึ่งปรากฏขึ้น

มันไม่ใช่มือ แต่เหมือนภูเขาที่ทอดยาว

มือยักษ์ที่น่ากลัวคว้าขึ้นไปบนฟ้า ตอนนี้ทั้งท้องฟ้ากลายเป็นหน้าคน เป็นใบหน้าของเซียนบู๊หวางเหมิ่ง

“เด็กที่ดี นายดูออกหมดแล้ว ฉันนึกว่านายจะคิดนานซะอีก!”

มือยักษ์นั่นวนไปมาบนฟ้าสองสามครั้ง กำลังเกาอาการคันชัดๆ ขอบฟ้าแกว่งไปแกว่งมาครู่หนึ่ง

แม้ลู่ฝานเตรียมใจไว้แล้ว แต่ก็ยังตกใจกับเซียนบู๊กระบี่คลั่งอยู่ดี

ตัวเป็นพื้นดิน หัวเป็นท้องฟ้า นิ้วทั้งห้าเป็นภูเขา

นี่คือลักษณะของผู้แข็งแกร่งเหรอ

เหมือนเซียนบู๊กระบี่คลั่งมองความคิดลู่ฝานออก หัวเราะลั่นแล้วพูดว่า “ไม่ต้องตกใจ ถึงเป็นขุนพลังสุดเหนือฟ้า ก็มีแค่ไม่กี่คนที่ใหญ่กว่าฉัน ฉันฝึกเขตวิถีเป็นร่างกายเชียวนะ ถ้าจะเทียบความใหญ่กัน หมิงเยว่และคนอื่นบนภูเขารวมกันยังสู้ฉันไม่ได้เลย ฮ่าๆๆๆ”

เซียนบู๊กระบี่คลั่งก้มหน้าลงมาข้างล่าง ในความคิดของลู่ฝาน เหมือนทั้งท้องฟ้าดันตัวลงมา

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรในตัวเริ่มตะโกนพูดว่า “เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ คนนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว เรารีบไปกันเถอะ ดูเหมือนคนนี้คงเข้าสู่ขีดสุดแล้ว ถึงตายไปแล้ว ฟ้าดินก็ไม่สามารถดึงวิญญาณเขาไปได้ คิดไม่ถึงว่าจะสามารถทิ้งธรรมกายไว้ที่นี่ได้ อีกทั้งยังใหญ่ขนาดนี้ด้วย พระเจ้า”

ลู่ฝานไม่ขยับ แม้เขาตกใจเหมือนกัน แต่ก็เอาแต่จ้องเซียนบู๊กระบี่คลั่งอยู่อย่างนั้น

ทันใดนั้น เซียนบู๊กระบี่คลั่งหัวเราะลั่นแล้วพูดว่า “ไอ้หนุ่ม บอกชื่อนายมา จากนั้นแสดงวิทยายุทธของนายออกมา แสดงวิชาที่นายสามารถใช้ได้ออกมาให้ฉันดูหนึ่งรอบ ถ้าฉันเห็นแล้วพอใจ นายจะเป็นผู้สืบทอดของฉัน”

ลู่ฝานคารวะแล้วพูดว่า “ลู่ฝานแห่งเขตตงหวา”

พูดพลาง ปราณชี่บนตัวลู่ฝานพุ่งขึ้นมา

เซียนบู๊กระบี่คลั่งฉีกยิ้ม แล้วพูดว่า “ไม่เลวๆ แดนปราณชีวิต มีกลิ่นอายของวิถีอยู่เล็กน้อย”

เกราะเกล็ดมังกรปรากฏออกมา ไฟลุกโชนขึ้นทั้งตัวลู่ฝาน

เซียนบู๊กระบี่คลั่งพูดต่อด้วยรอยยิ้ม “ธาตุไฟเหมาะสมตามวิถี เหมือนฉันพอดีเลย ดีมาก ต่อไป!”

ลู่ฝานดึงกระบี่หนักไร้คมออกมา จากนั้นใส่ปราณชี่เข้าไป สายฟ้าเข้าไปในตัว

จู่ๆ เซียนบู๊กระบี่คลั่งจ้องกระบี่หนักไร้คมของลู่ฝานเขม็ง ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ทำไมรู้สึกคุ้นกระบี่ของนายจัง”

ขณะนั้นจู่ๆ เซียนบู๊กระบี่คลั่งตะโกนเสียงดังว่า “คงไม่ใช่กระบี่เล่มนั้นใช่ไหม”

จู่ๆ แสงหนึ่งพ่นออกมาจากปากเซียนบู๊กระบี่คลั่ง เหมือนเสาแสงที่เชื่อมต่อกับฟ้าดิน ร่วงลงมาบนกระบี่หนักไร้คม

ทันใดนั้น กระบี่หนักไร้คมส่งเสียงดังอื้ออึงออกมา หลังจากนั้นจู่ๆ เขาวิถีบู๊สั่นสะเทือนตามไปด้วย

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1132

จวนเซียนบู๊กระบี่คลั่ง

ลู่ฝานยังเดินเอ้อระเหยลอยชายอยู่ในพื้นที่รกร้าง ตอนนี้เขาไม่รู้ว่าด้านนอกมีคนรอให้เขาออกจากจวน ตอนนี้เขาคิดแค่ว่าต้องรีบหาศพของเซียนบู๊กระบี่คลั่งบ้าบออะไรนั่นว่าอยู่ตรงไหน

ที่รกร้างแห่งนี้แทบจะไม่มีที่สิ้นสุด ลู่ฝานพุ่งไปด้านหน้าอย่างสุดชีวิต ก็ไม่เห็นที่สิ้นสุด

ใช้ย่ำก้าวยอดเมฆาฟ้าเหาะขึ้นบนฟ้า ก็เห็นแค่ศพนับไม่ถ้วนในพื้นที่รกร้าง

พูดตามหลักเหตุผล บนเขาวิถีบู๊ไม่ควรมีพื้นที่รกร้างขนาดนี้สิ ความเป็นไปได้ที่ลู่ฝานคิดออกเป็นอย่างแรก นั่นคือพื้นที่รกร้างแห่งนี้คือแดนมายา

แต่เจดีย์เสวียนเก้ามังกรกลับบอกเขาว่าไม่ใช่ เหตุผลก็ง่ายดายมาก เพราะมันยังอยู่

ถ้าเข้าไปในแดนมายา ไอ้เก้าไม่น่าจะอยู่ได้

ลู่ฝานยอมรับเหตุผลนี้ เขานึกถึงสภาพที่เข้าไปในแดนมายาบนเกาะผนึกวิญญาณครั้งก่อน เป็นอย่างที่ไอ้เก้าพูดจริงๆ เขาเข้าไปได้ แต่ไอ้เก้าเข้าไปไม่ได้

งั้นโลกจริงหรือเปล่า แล้วที่รกร้างแห่งนี้จริงหรือเปล่า

ลู่ฝานค่อยๆ ลอยลงจากฟ้า ยืนอยู่บนกองศพ ครุ่นคิดเงียบๆ

“เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ ทุกการทดสอบผู้สืบทอด มีเพียงสองสถานการณ์เท่านั้น อย่างแรกคือพิจารณาจิตใจ นิสัย วิชาวิทยายุทธของคนที่มา อีกอย่างคือยึดตามความชอบและนิสัยของผู้อาวุโส ทำตามอำเภอใจ เจ้านายไม่ลองเริ่มคิดจากสองด้านนี้สักหน่อยเหรอ ไม่แน่อาจก้าวผ่านไปได้ก็ได้!”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรเสนอความคิดให้ลู่ฝาน ลู่ฝานกลับส่ายหน้า แล้วพูดในใจว่า “ไม่ใช่ ที่รกร้างแห่งนี้ต้องมีความหมายที่แฝงอยู่ เซียนบู๊ที่ยิ่งใหญ่คงไม่ทิ้งของไร้ประโยชน์ไว้ก่อนตายหรอก ถ้าบอกว่านิสัยและความชอบ ตอนเข้ามาก็ถือว่าผ่านการเลือกแล้ว ที่รกร้างแห่งนี้น่าจะอยากให้ฉันพบอะไรบางอย่าง แล้วมันคืออะไรกันแน่ล่ะ”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดว่า “เขาบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าเป็นศพของเขา”

ลู่ฝานพูดว่า “ถ้าแค่หาศพ หาที่นี่เป็นสิบปีก็คงหาไม่เจอ เซียนบู๊จะว่างจนเล่นเกมแบบนี้เหรอ ฉันว่าต้องอยู่ในที่ที่สะดุดตาแน่นอน น่าจะเห็นได้อย่างชัดเจน แต่แค่เราโดนบางอย่างบังตาเอาไว้ ทำให้มองไม่เห็น ฉันพอเดาความคิดของเขาได้ นั่นก็คือให้ฉันเปิดหูเปิดตา”

ลู่ฝานเพิ่งพูดในใจจบ ตอนนี้จู่ๆ มีเสียงดังขึ้นบนฟ้าอีกครั้ง “นายพูดถูก ฉันต้องการให้นายเปิดหูเปิดตา เด็กน้อยอย่างนายฉลาดมาก ฉลาดกว่าฉันเยอะเลย ในเมื่อนายเดาได้แล้ว งั้นหาเจอหรือเปล่าล่ะ”

ลู่ฝานพูดอย่างตกใจว่า “นายได้ยินคำพูดในใจฉันด้วยเหรอ”

แสงหนึ่งปรากฏข้างหน้าลู่ฝาน เป็นเงาของหวางเหมิ่ง เซียนบู๊กระบี่คลั่ง

“ถ้านายอยู่ที่อื่น ฉันไม่ได้ยินเสียงในใจนายหรอก แต่เมื่ออยู่ที่นี่ ขอโทษด้วยนะ ฉันพูดได้เพียงว่าแค่นายอ้าปาก ฉันก็เห็นลิ้นไก่แล้ว ฮ่าๆๆๆๆ!”

ลู่ฝานสีหน้ามีความอึมครึม เซียนบู๊กระบี่คลั่งคนนี้ หยาบคายใช้ได้เลย

แต่ลู่ฝานได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์จากคำพูดของเขา

“เขตวิถี ต้องเป็นเขตวิถีแน่ๆ นายได้ยินความคิดในใจฉัน ความเป็นไปได้เดียวคือเขตวิถี”

ลู่ฝานตาเป็นประกายขึ้นมาทันที

เซียนบู๊กระบี่คลั่งหัวเราะแล้วพูดว่า “สมองไวจริงๆ ดูเหมือนฉันคุยกับนายอีกไม่ได้แล้ว ไม่งั้นอีกเดี๋ยวฉันคงจะเปิดเผยออกมา นายรีบหาให้เจอ นายยิ่งเข้าตาฉันขึ้นเรื่อยๆ แล้ว นายเป็นผู้คัดเลือกการสืบทอดวิชาของฉันที่ใช้ได้เลย ฮ่าๆๆๆ”

เงาของเซียนบู๊กระบี่คลั่งหายไปอย่างไร้ร่องรอยอีกครั้ง

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1131

“ลู่ฝานเข้าไปในจวนของเซียนบู๊กระบี่คลั่งแล้ว!”

นักบู๊คนหนึ่ง วิ่งอย่างรวดเร็วบนเขาวิถีบู๊ ทุกที่ที่ผ่านไปฝุ่นตลบอบอวล

เสียงตะโกนของเขา เรียกความสนใจจากคนจำนวนไม่น้อย เมื่อได้ยินชื่อลู่ฝาน ยิ่งสั่นสะเทือนประสาทคนบางส่วน

“ลู่ฝานเหรอ ใช่ลู่ฝานนักกระบี่แห่งตงหวาไหม ร่างกายเขาโดนแว้งกัด ยืนอยู่ที่ตีนเขาไม่ใช่เหรอ ตอนนี้เขาขึ้นมาแล้วเหรอ”

“ไม่น่าเป็นไปได้ ความต้องการของเซียนบู๊กระบี่คลั่งโหดขนาดนี้ เอาหัวโขกพื้นแล้วยังไม่ให้เข้าไปอีก เขาเข้าไปได้ยังไง”

“ไม่รู้ ไปดูกันเถอะ! ยังไงฉันก็ไม่มีปัญญาเปิดจวนเหล่านี้อยู่แล้ว รอให้คนที่เขาไปในจวนพวกนั้นออกมา เผื่อจะได้เศษเล็กเศษน้อยอะไรบ้าง!”

“ฉันไปด้วย ไปๆ ไปดูด้วยกัน”

……

นอกอุโมงค์สวรรค์ตามจุดต่างๆ บนเขาวิถีบู๊ พวกนักบู๊เดินไปยังจวนของเซียนบู๊กระบี่คลั่ง

ส่วนพวกนักบู๊ที่วิ่งมาตลอดทาง วิ่งมาถึงหน้าตำหนักที่โอ่อ่าทรงพลัง แล้วชะงักฝีเท้าลง

ด้านนอกตำหนัก คนสิบกว่าคนกำลังนั่งทำความเข้าใจอย่างสงบ

บนประตูสีทอง มีเพียงคำว่า “หมิงเยว่” นี่คือจวนของเซียนบู๊หมิงเยว่

เป็นไม่กี่จวนที่มีชื่อเสียงที่สุด ในบรรดา 76 อุโมงค์สวรรค์ของเขาวิถีบู๊ น่าจะเป็นเพราะว่าเซียนบู๊หมิงเยว่ ยังถูกคนบนโลกเรียกว่านักปราชญ์เยว่ เป็นขุนพลังสุดเหนือฟ้าที่แท้จริงอีกหนึ่งท่าน

“สหายซุนจื้อ แย่แล้ว ลู่ฝานเข้าไปในจวนของเซียนบู๊กระบี่คลั่งแล้ว!”

เมื่อคนที่มาถึงเห็นซุนจื้อหน้าประตู ก็ตะโกนพูดเสียงดังทันที

ซุนจื้อลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วพูดว่า “อะไรนะ ฉันให้พวกเฉิงชิงไปจัดการลู่ฝานไม่ใช่เหรอ ฆ่าเขาไม่ตายยังไม่เท่าไร ทำไมถึงให้เขาเข้าไปในจวนของเซียนบู๊กระบี่คลั่ง”

ซุนจื้อลุกขึ้นเดินจ้ำอ้าวไปด้านนอก เขาไม่ได้เดินลงไปล่างภูเขา แต่กลับรีบเดินไปด้านบนเขา

ซุนจื้อเดินอย่างรวดเร็วจนมาถึงหน้าจวนแห่งหนึ่ง

จวนแห่งนี้สง่างามเป็นอย่างมาก ประตูเปิดออก กลิ่นดอกไม้รุนแรง นกบินไปบินมา

หน้าประตูมีคนนั่งขัดสมาธิอยู่เพียงคนเดียว นั่นคือเทียนชิงหยาง

เมื่ออยู่ห่างจากเทียนชิงหยางสิบก้าว ซุนจื้อชะงักฝีเท้าลง แล้วพูดช้าๆ ว่า “สหายชิงหยาง มีข่าวไม่ดี ลู่ฝานเข้าไปในจวนเซียนบู๊กระบี่คลั่งแล้ว”

เทียนชิงหยางหลับตาลงทั้งสองข้าง พูดออกมาว่า “งั้นเหรอ ไอ้หมอนี่ทำเรื่องที่คนคาดไม่ถึงตลอด เซียนบู๊กระบี่คลั่ง คือคนที่หยาบคายสิ้นดี ตายแล้วยังให้คนคำนับเอาหัวโขกพื้นคนนั้นใช่ไหม คนแบบนี้จะถ่ายทอดแบบไหนกัน”

ซุนจื้อพูดว่า “สหายชิงหยาง ฉันจะไปฆ่าเขาเดี๋ยวนี้ ไม่ว่าเขาจะได้อะไรในจวน……”

เทียนชิงหยางพูดอย่างราบเรียบว่า “เป็นของนายทั้งหมด รางวัลของไท่จื่อ ก็เป็นของนายด้วย”

ซุนจื้อยิ้มแล้วพูดว่า “เยี่ยมไปเลย งั้นฉันขอยืมชื่อเสียงนาย ออกไปหาพวกคนมาช่วยฆ่าลู่ฝานหน่อยได้ไหม!”

เทียนชิงหยางยังคงไม่ลืมตาขึ้นมา เขาพูดอย่างราบเรียบว่า “ไม่ต้องยืม นี่คือความคิดของฉัน นายหาคนไปฆ่าลู่ฝานด้วยกัน ทำให้เขาหายไปโดยเร็ว!”

ซุนจื้อพูดด้วยรอยยิ้ม “ได้ งั้นฉันขออวยพรให้สหายชิงหยาง เข้าไปในอุโมงค์สวรรค์ได้ไวๆ นะ!”

เมื่อพูดจบ ตัวซุนจื้อกลายเป็นสายลมเย็นลอยหายไป

ทันใดนั้น เทียนชิงหยางลืมตาขึ้น แล้วลุกขึ้นช้าๆ

เทียนชิงหยางมองจวนตรงหน้า จากนั้นพูดอย่างเรียบเฉยว่า “ฉันเป็นคนมีความสามารถของตระกูลเทียน ถ้าท่านเป็นบรรพบุรุษตระกูลเทียนจริงๆ กรุณาอวยพรให้ตระกูลเทียนมีผู้โดดเด่นออกมาอีก!”

เทียนชิงหยางก้าวเท้าเข้าไปในจวน

วินาทีที่เขาก้าวเท้าเข้าไปในจวน ตัวของเทียนชิงหยางหายไปอย่างไร้ร่องรอย

ตอนนี้ในตำหนักไท่เหอ เสามังกรขดสว่างขึ้นอีกหนึ่งต้น

……

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1130

“ถอยออกไป เขาจะโดนระเบิดตายแล้ว!”

กลุ่มนักบู๊รีบถอยไปด้านข้าง ขณะนั้นเสียงกึกก้องดังขึ้นมา จู่ๆ พื้นด้านล่างเท้าเริ่มสั่นสะเทือน

เสียงหนึ่งดังขึ้นรอบๆ

“เด็กป่าเถื่อนจากที่ไหน กล้าทำลายค่ายกลของฉัน!”

แสงเงาหนึ่งปรากฏหน้าประตูจวน เห็นอย่างเลือนรางว่านั่นคือชายรูปร่างกำยำสูงสามเมตรกว่า เคราหยิกเต็มหน้า กล้ามเนื้อเต็มตัว

ลู่ฝานถือกระบี่ด้วยมือข้างเดียว พูดเสียงดังว่า “ฉันเปิดประตูไง! มีความผิดตรงไหน”

แสงเงาแผดเสียงว่า “ไอ้เด็กเวร ทำลายค่ายกลของฉัน นายยังมีหน้ามาอ้างอีกเหรอ อยากตายใช่ไหม!”

ลู่ฝานหัวเราะเสียงดังสามครั้ง แล้วพูดเสียงก้องว่า “ค่ายกลธรรมดาๆ ที่แม้แต่ฉันก็ทำลายได้อยู่ตรงหน้า ผู้อาวุโสหวางเหมิ่งยังจะสนใจอีกเหรอ”

จู่ๆ หวางเหมิ่งหัวเราะลั่น

“สมองไม่เลว ดูเหมือนนายไม่ใช่คนอ่อนแอนะ ดี ฉันจะให้โอกาสนายหนึ่งครั้ง!”

เมื่อพูดเช่นนี้ แสงเงาหายไปทันที ประตูจวนตรงหน้าเปิดออกเสียงดัง

นักบู๊คนอื่นที่อยู่รอบๆ พากันตกตะลึง!

นี่ประตูเปิดออกแล้วเหรอ!

ทำแบบนี้เปิดประตูได้เลยเหรอ

ทำไมถึงเป็นแบบนี้ล่ะ

เซียนบู๊หวางเหมิ่ง ท่านจะล้อเล่นแบบนี้ไม่ได้นะ! นี่ท่านกำลังล้อคนเล่นชัดๆ ไหนพูดไว้แล้วว่าเอาหัวโขกพื้นจนครบ จึงจะเข้าไปได้ไง

จู่ๆ พวกนักบู๊ที่เอาหัวโขกพื้น รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนปัญญาอ่อนอย่างสมบูรณ์แบบ!

ลู่ฝานยิ้มบางๆ ก้าวเท้าเข้าไปในจวน

นักบู๊คนอื่นจะพุ่งตามลู่ฝานเข้าไป แต่พวกเขาเพิ่งมาถึงหน้าประตู กลับโดนพลังรุนแรงดุดันไล่กลับไปอีกแล้ว

เหมือนกับฝ่ามือใหญ่เหวี่ยงไล่แมลงวันอย่างไรอย่างนั้น นักบู๊พวกนี้โดนเล่นงานจนหน้าตามอมแมมไปหมด

ลู่ฝานเพิ่งเดินเข้ามาด้านใน ประตูปิดลงเสียงดังอีกครั้ง

เมื่อมองภาพตรงหน้า ลู่ฝานรู้สึกว่าตัวเองเข้ามาผิดลานบ้านหรือเปล่า

สิ่งที่ปรากฏในสายตาคือสถานที่รกร้างกว้างและว่างเปล่าไม่มีอะไรเลย บนที่รกร้างมีศพคนตายเต็มไปหมด เลือดไหลนอง ศพเกลื่อนกลาด ดูสภาพเหมือนกับเพิ่งตาย

เมื่อมองออกไป สถานที่รกร้างกว้างสุดลูกหูลูกตา เหมือนไม่มีที่สิ้นสุด

เสียงดังขึ้นจากรอบๆ อีกครั้ง

“ไอ้เด็กเวร อยากได้การถ่ายทอดของฉัน ก็หาศพฉันให้เจอก่อน”

ลู่ฝานพูดเสียงดัง “ฉันจะรู้ได้ยังไงว่าศพไหนเป็นของนาย”

เสียงเบาลอยมากลางอากาศ

“นั่นมันเรื่องของนาย ฉันให้เวลานายแค่สิบวัน ถ้าให้ไม่เจอนายก็ไสหัวไปซะ!”

เมื่อพูดจบ เสียงหายไปทันที

ทั้งสถานที่รกร้างมีเพียงเสียงดังสะท้อนว่า “นายก็ไสหัวไปซะ”

ลู่ฝานใบหน้าหดหู่ เซียนบู๊หวางเหมิ่งคนนี้ ทำอะไรไม่มีความรับผิดชอบเลย

มีคนที่เลือกผู้สืบทอดแบบเขาไหม

ดูเซียนสือฟางในตอนแรกสิ ง่ายและตรงไปตรงมาขนาดไหน มาถึงก็ให้เลย พลังและวิชา จวนยา ไม่ขาดตกบกพร่องสักอย่าง

การถ่ายทอดทั้งใต้หล้าควรมาศึกษาจากเขา!

ลู่ฝานบ่นพึมพำ จากนั้นก้าวเท้าเดินเข้าไปในพื้นที่รกร้าง ศพเยอะขนาดนี้เมื่อไรจะดูจนหมดล่ะ!

และขณะที่ลู่ฝานเดินเข้าไปในจวนของหวางเหมิ่ง

ในตำหนักไท่เหอ บนพื้นอากาศเวิ้งว้างมีแสงสว่างขึ้น จุดเสามังกรขดต้นหนึ่งให้สว่างขึ้น

ฉินซางต้าตี้ที่กำลังปรึกษาหารือเรื่องประเทศกับพวกข้าราชบริพาร เห็นเสามังกรขดสว่างขึ้นอีกหนึ่งต้น จู่ๆ เขาดีใจเป็นอย่างมาก “มีคนเข้าไปในจวนได้อีกแล้ว รับการทดสอบผู้สืบทอดแล้วเหรอ คนนี้เป็นใครกัน”

ทันใดนั้น ข้าราชบริพารทุกคนมองไปที่พื้น ที่นั่นสะท้อนทุกสิ่งของเขาวิถีบู๊ออกมา

“ฝ่าบาท ลู่ฝานเข้าไปในจวนของเซียนบู๊กระบี่คลั่ง!”

หลู่เฉิงเซี่ยงหัวเราะเบาๆ แล้วเอ่ยขึ้น

ทันใดนั้น ไท่จื่อฉินอวิ่นสีหน้ามีความอึมครึมขึ้นมา

ฉินซางต้าตี้พูดด้วยรอยยิ้ม “ดี ส่งผู้เชี่ยวชาญไปจับตามองเขา ถ้าเขาทดสอบสำเร็จ รีบรายงานฉัน!”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1129

ทุกคนก้มหน้ามองป้ายเหล็กบนพื้น สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปทันที

“หม่านเวย เฉิงชิง นะ……นี่เป็นไปไม่ได้ พวกเขาตายคามือนายหมดเลยเหรอ”

นักบู๊คนหนึ่งชี้หน้าลู่ฝานแล้วเอ่ยขึ้น

ลู่ฝานหันมามองเขาแวบหนึ่ง เขาตกใจจนรีบชักมือกลับอย่างรวดเร็ว

ลู่ฝานเดินไปข้างหน้าโดยไม่พูดอะไรสักคำ

นักบู๊พวกนี้จะกล้าขวางทางลู่ฝานได้อย่างไร พากันหลีกเป็นสองทาง ราวกับองครักษ์เฝ้าประตูที่ยืนแยกเป็นสองแถว

เมื่อมาถึงหน้าแท่นศิลา ลู่ฝานอ่านตัวอักษรบนแท่นศิลาด้วยเสียงเบา

“คนคลั่งหวางเหมิ่งเกิดและตายที่นี่ อยากได้การถ่ายทอดของฉัน คำนับหัวโขกพื้นหน้าประตูก่อน 999 ครั้ง จากนั้นเดินเข้ามาอย่างนอบน้อม คำนับหัวโขกพื้นอีก 9,999 ครั้ง ไม่งั้นก็ไสหัวไปซะ!”

รอยยิ้มปรากฏขึ้นตรงมุมปาก ผู้แข็งแกร่งท่านนี้น่าสนใจจริงๆ ตายแล้วยังหยอกล้อคนอื่นอีก

ในเมื่อเขาเป็นคนคลั่ง จะเอาพวกแมลงกระจอกที่โขกหัวบนพื้นแทบเป็นแทบตายอยู่หน้าประตูเป็นผู้สืบทอดได้อย่างไร ลู่ฝานแน่ใจได้เลยว่าถ้าใครโขกหัวบนพื้นหน้าประตู ไม่มีทางเข้าไปในจวนได้แน่นอน

แต่ต้องยืนยันสักหน่อย ลู่ฝานหันไปถามนักบู๊คนหนึ่งที่อยู่ข้างๆ “นายเอาหัวโขกพื้นไปกี่ครั้งแล้ว”

นักบู๊คนนี้ตอบตามตรงว่า “หลายพันแล้ว”

ลู่ฝานหัวเราะแล้วพูดว่า “หลายพันแล้วเหรอ ยังเข้าไปไม่ได้อีกเหรอ”

นักบู๊คนนั้นกัดฟันพูดว่า “หน้าประตูมีค่ายกลขวางอยู่ ตอนฉันเอาหัวโขกพื้นครบ 999 ครั้ง มันสว่างแป๊บนึง จากนั้นก็ไม่มีอะไรอีกเลย ถ้านายไม่เชื่อก็ลองดูได้!”

พูดจบ นักบู๊คนนี้ถอยไปด้านข้าง คนอื่นก็เว้นระยะห่างกับลู่ฝาน ดูว่าเขาจะทำอย่างไร

นักบู๊คนหนึ่งรีบเดินออกไป เห็นได้ชัดว่าเขาจะไปเรียกคนมา

แต่ลู่ฝานไม่สนใจ เขาเดินมาถึงหน้าประตู ยื่นมือไปสัมผัสข้างหน้าครู่หนึ่ง

ทันใดนั้น เขาสัมผัสค่ายกลนั่นได้ พลังรุนแรงดุดันพุ่งเข้ามาที่ตัวเขา จนเขาต้องชักมือกลับมาทันที

“พลังเกรี้ยวกราดดุดันมาก!”

ลู่ฝานอุทานออกมาด้วยความตกใจ

อันที่จริงพลังด้านในไม่ได้แข็งแกร่งมาก อยากมากก็แค่ระดับนักบู๊แดนปราณชีวิตขั้นสูงสุด แต่ความรู้สึกเกรี้ยวกราดดุดัน เขาเพิ่งเคยเจอครั้งแรกในชีวิต ถ้าคนที่จิตใจไม่เข้มแข็ง วินาทีที่สัมผัสโดน คงพังทลายทั้งตัว!

นี่คือวิถีบู๊ของเซียนบู๊หวางเหมิ่งอย่างนั้นเหรอ

ลู่ฝานพึมพำในใจ แววตาจริงจังขึ้นมา ลู่ฝานดึงกระบี่หนักไร้คมของตัวเองออกมาทันที

“ลู่ฝาน นายจะทำอะไร จะต่อสู้กัน พวกเราไม่กลัวนายหรอกนะ!”

ตอนนี้ นักบู๊ 7-8 คนด้านหลังลุกขึ้นยืนทันที เสื้อปราณปกคลุมตัวแต่ละคน พากันมองมาทางลู่ฝาน

ลู่ฝานหันมามองพวกเขาแวบหนึ่ง หมดคำจะพูดไปครู่หนึ่ง

ใครจะสู้กับพวกนายล่ะ พวกนายว่างมาก แต่เขาไม่ได้มีความสนใจเลย

ลู่ฝานขี้เกียจสนใจพวกเขา เหวี่ยงมือฟันกระบี่ลงบนค่ายกลด้านหน้า

สายลมทำลาย!

ทันใดนั้น กระบี่หนักไร้คมของลู่ฝานฟันค่ายกลจนมีแสงสว่างออกมานับไม่ถ้วน

พลังอันรุนแรงดุดันพุ่งเข้ามาใส่ตัวเขาทันที แต่ลู่ฝานไม่ถอยแม้แต่ก้าวเดียว ปราณชี่พลุ่งพล่าน

“กระบี่มังกรเพลิงคำราม!”

กระบี่มีเปลวไฟลุกโชน ฟันลงไปอีกครั้ง ครั้งนี้ลู่ฝานทำให้ค่ายกลด้านหน้าแยกเป็นสอง ฟันจนแยกออกโดยสมบูรณ์

เปลวไฟราวกับมังกรยักษ์พุ่งตรงไปบนประตูจวน แต่ไม่สามารถสร้างความเสียหายให้ประตูได้เลย

การกระทำของลู่ฝาน ทำให้นักบู๊ทุกคนที่อยู่ตรงนี้ตกตะลึงเป็นอย่างมาก

พวกเขาแต่ละคนมองลู่ฝานด้วยสายตาตกตะลึง ตะโกนอย่างตกใจว่า “ลู่ฝาน นายมันบ้า ดูสิว่านายทำอะไรลงไป”

“ไม่เคารพจวนเซียนบู๊ขนาดนี้ นายรนหาที่ตายชัดๆ!”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1128

ในนั้นมีป้ายของหยวนเลี่ยเองด้วย

เมื่อเก็บป้ายเรียบร้อย หยวนเลี่ยเอาที่เหลือยื่นให้ลู่ฝานแล้วพูดว่า “เก็บไว้สิ ถือว่าเป็นรางวัลที่ได้จากสงคราม”

ลู่ฝานรับป้ายมา แล้วพูดว่า “คนปัญญาอ่อนพวกนี้ มีป้ายแต่ไม่รู้จักใช้ ไม่งั้นพวกเขาอาจหนีรอดก็ได้”

หยวนเลี่ยพูดด้วยรอยยิ้ม “คนอยู่ภายใต้ความหวาดกลัวสุดขีด มักจะลืมเรื่องบางอย่าง สหายลู่ฝาน ต่อไปถ้านายเจอคนแบบนี้บนเขาวิถีบู๊อีก ต้องรีบฆ่าทันที อย่าให้พวกเขาได้มีโอกาสบีบป้ายให้แตก”

ลู่ฝานพยักหน้า เอาป้ายเปื้อนเลือดพวกนี้เก็บเข้าไปในเข็มขัด

หยวนเลี่ยมองลู่ฝานแล้วพูดว่า “ดูเหมือนผมคงอยู่บนเขาวิถีบู๊ต่อไปไม่ได้แล้ว น่าเสียดายจัง ไม่ได้รับการถ่ายทอดอะไรสักอย่าง ดูเหมือนผมไม่มีโชค”

ลู่ฝานพูดว่า “นายไม่ต้องไปก็ได้นะ ตามฉันมาสิ ฉันจะพานายบุกเข้าไปในจวนพวกนั้น”

หยวนเลี่ยส่ายหน้าพูดว่า “ช่างเถอะ ผมไม่อยากเป็นตัวถ่วงของนาย สหายลู่ฝาน ขอให้นายเจอการถ่ายทอดดีๆ บนเขาวิถีบู๊ กลายเป็นผู้แข็งแกร่งอย่างแท้จริง”

ลู่ฝานมองหยวนเลี่ย แล้วพูดช้าๆ ว่า “ฉันคิดว่าการถ่ายทอดเป็นเรื่องรอง ยังไงนักบู๊ก็ต้องพึ่งตัวเอง”

หยวนเลี่ยพยักหน้าพูดว่า “ใช่ นักบู๊ต้องพึ่งตัวเอง ได้ครับ สหายลู่ฝาน ถือว่าประโยคนี้ของนาย เป็นสิ่งยิ่งใหญ่ที่ผมได้รับบนเขาวิถีบู๊ ไปละ การคัดเลือกนี้สิ้นสุดลงแล้ว อย่าลืมมาเที่ยวหาพวกเราที่เขตเยี่ยนนะ พวกเฝิงอิ่งก็อยู่ด้วย”

ลู่ฝานเข้าใจความหมายของหยวนเลี่ย พวกเขาอยู่ในเมืองหลวงต่อไปไม่ได้แล้ว ตอนนี้ต้องกลับเขตเยี่ยนให้เร็วที่สุด

ลู่ฝานทอดถอนใจ แล้วพูดกับหยวนเลี่ยด้วยรอยยิ้ม “แน่นอน!”

หยวนเลี่ยฝืนยิ้มออกมา บาดแผลบนใบหน้า ทำให้รอยยิ้มของเขาดูตลกมาก โดยเฉพาะฟันซี่ที่หายไปในปาก ดูแล้วซื่อบื้อมาก

ค่อยๆ บีบป้ายให้แตก แสงหนึ่งปกคลุมหยวนเลี่ยเอาไว้ ค่ายกลด้านล่างเท้าสว่างขึ้น หลังจากนั้นตัวของหยวนเลี่ยหายไปอย่างไร้ร่องรอย

ลู่ฝานสูดหายใจลึก วันนี้ช่างยากลำบากจริงๆ ถ้าเขาเรียกไอ้เก้าออกมาช้าอีกแค่นิดเดียว กลัวว่าวันนี้หยวนเลี่ยคงต้องตายแน่นอน

สะบัดมือไปมา แล้วทำความสะอาดสถานที่ต่อสู้

ของที่เอาไปได้ก็เอามาทั้งหมด ไม่ว่ายังไงสี่คนนี้ก็เป็นยอดฝีมือที่มาร่วมการคัดเลือก ไม่มีใครเชื่อหรอกว่าจะไม่มีอะไรเก็บไว้บนตัว

สิ่งที่สามารถกลืนกินได้ ก็ให้ไอ้เก้ากินเป็นอาหาร ส่วนที่เหลือกองไว้ในตำหนักดวงดาวในเข็มขัด เก็บไว้กับพวกของขวัญครั้งที่แล้ว มีเวลาค่อยจัดระเบียบแล้วกัน

สะบัดมือปล่อยเปลวไฟ เผาศพทั้งสี่จนมอดไหม้ จากนั้นลู่ฝานเดินช้าๆ ขึ้นไปบนเขา

หลังจากเดินได้ประมาณหลายร้อยก้าว ลู่ฝานรู้สึกว่าพลานุภาพสร้างความกดดันของเทพบู๊หายไปหมดแล้ว

ในที่สุดเขาก็สามารถใช้ปราณชี่ของตัวเองอีกครั้ง!

ความรู้สึกนี้ดีสุดยอดไปเลย ลู่ฝานถอนหายใจยาวออกมา

แค่ใช้ปราณชี่ได้ ถึงมีนักบู๊แบบเมื่อกี้มาอีกสัก 40 คน เขาก็สามารถฆ่าพวกนั้นได้ด้วยมือเดียว

ไม่ไกล ลู่ฝานเห็นจวนแรก มีคนเอาหัวโขกพื้น กองกันอยู่หน้าประตู!

เห็นว่าแปลก ลู่ฝานจึงรีบเดินเข้าไป

ส่วนคนที่กำลังเอาหัวโขกพื้นอยู่หน้าประตู เห็นลู่ฝานเดินเข้ามา พากันหน้าเปลี่ยนสี

“ลู่ฝาน เขาขึ้นมาแล้ว! เขาขึ้นมาได้ยังไง เมื่อกี้พวกหม่านเวยไปจัดการเขาไม่ใช่เหรอ รีบไปแจ้งซุนจื้อว่าลู่ฝานขึ้นมาแล้ว”

มีคนสองสามคนมาขวางหน้าลู่ฝานทันที จากนั้นพูดว่า “ลู่ฝาน ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่นายมาได้ รีบไสหัวไป อุโมงค์สวรรค์นี้เป็นของพวกเรา!”

ลู่ฝานยกยิ้มมุมปาก สะบัดมือโยนป้ายเหล็กเปื้อนเลือดออกมาสี่อัน

“เมื่อกี้ฉันได้ยินไม่ค่อยชัด นายพูดอีกรอบสิ ฉันมาได้หรือเปล่า”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1127

พลั่ก! พลั่ก!

คนสองคนโดนลู่ฝานโยนมาข้างหน้าเฉิงชิง

สายตาสิ้นหวังและหวาดผวาของทั้งสองคน อยู่ในสายตาของเฉิงชิงทั้งหมด

ลู่ฝานมองเฉิงชิงอย่างเรียบเฉย ใบหน้าไม่มีความสะทกสะท้าน ประกายนัยน์ตานิ่งเหมือนบ่อน้ำที่ลึกจนไม่สามารถคาดเดาได้

“ฉันจะถามแค่ครั้งเดียว ใครให้พวกนายมา”

เฉิงชิงกัดฟัน ไม่ตอบอะไร

ลู่ฝานรออยู่ครู่หนึ่ง หลังจากนั้นซัดหมัดใส่จงหงที่อยู่ข้างขวา

เดิมทีจงหงบาดเจ็บสาหัสอยู่แล้ว โดนหมัดนี้ของลู่ฝานเข้าไป ทำให้พลังชีวิตของเขามลายหายไปทันที

ดวงตาที่เบิกโตตอนใกล้ตาย จ้องเฉิงชิงอยู่อย่างนั้น

ทันใดนั้นเฉิงชิงสั่นไปทั้งตัว

ลู่ฝานมองเฉิงชิงแล้วพูดว่า “จะบอกไหม!”

ฟันของเฉิงชิงเริ่มสั่นกึกกัก ลู่ฝานรออีกครู่หนึ่ง จากนั้นยกหมัดขึ้นอีกครั้ง

ตอนนี้อิ้งหยวนตะโกนเสียงดังขึ้นมา

“ฉันรู้ ฉันรู้หมดทุกอย่าง นายอย่าฆ่าฉันนะ!”

ลู่ฝานไม่ฟังเขาสักนิด ซัดหมัดลงบนหัวอิ้งหยวน

พลังหมัดระเบิดซีกหน้าครึ่งหนึ่งของอิ้งหยวนจนกระจุย หลังจากนั้นอิ้งหยวนชักกระตุกอย่างแรง แล้วก็ตายคาที่

เฉิงชิงหลับตาลงทั้งสองข้าง ความหวาดผวาสุดขีดครอบงำจิตใจและร่างกายของเขาหมดแล้ว

ลู่ฝานพูดอย่างเรียบเฉย “โอกาสครั้งสุดท้าย!”

เมื่อพูดจบ เฉิงชิงสัมผัสถึงความอาฆาตที่น่ากลัวปกคลุมตัวเองอีกครั้ง

ทันใดนั้น เฉิงชิงลืมตาขึ้น หมอบเหมือนสุนัขตรงหน้าลู่ฝาน แล้วพูดว่า “ฉันบอกแล้ว ฉันบอกแล้ว ซุนจื้อ ไม่สิ ไท่จื่อให้พวกเราฆ่านาย ไท่จื่อจะให้รางวัล บอกว่าแค่ฆ่านาย จะได้รับตำแหน่งเป็นขุนนาง เลื่อนตำแหน่งอย่างสบายนับแต่นี้ไป มีซุนจื้อเป็นหัวหน้า ทุกคนอยากฆ่านายเพื่อรับรางวัล ซุนจื้อให้ฉันจับหยวนเลี่ย หลังจากนั้นพามายั่วโมโหนาย ทำให้พลังปราณของนายปั่นป่วน โดนพลานุภาพสร้างความกดดันของเทพบู๊ฆ่าตายที่ตีนเขา”

ลู่ฝานหัวเราะพรืดแล้วพูดว่า “อยากฆ่าฉันแบบชนะสงครามอย่างง่ายดาย โดยที่ดาบไม่เปื้อนเลือดเลยสักนิด เขาวาดฝันไว้สวยหรูจริงๆ ดูเหมือนบนเขาวิถีบู๊แห่งนี้ มีคนจำนวนไม่น้อยต้องการศีรษะที่สำคัญของฉัน! มิน่าล่ะแค่เทียนชิงหยางพูดว่าจะจัดการฉัน ก็มีคนตอบรับมากมาย”

เฉิงชิงไม่กล้าพูดอะไรสักคำ หมอบตัวสั่นงันงกอยู่ตรงหน้าลู่ฝาน

การแสดงออกของเขาในตอนนี้ ไม่เหมือนนักบู๊เลยสักนิด เหมือนสุนัขที่กระดิกหางประจบมากกว่า

ลู่ฝานไม่สนใจเขา เดินตรงไปข้างตัวหยวนเลี่ย

ทันใดนั้น ลู่ฝานเอายาออกมาจากอก ยื่นให้หยวนเลี่ยแล้วพูดว่า “ขอโทษด้วยนะสหายหยวนเลี่ย ทำให้นายลำบากขนาดนี้!”

หยวนเลี่ยหัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “ไม่เป็นไรหรอก ร่างกายผมยังไหว พวกเขาไม่ได้ทำลายตันเถียนของผม กลับไปดูแลรักษาสักพักก็หายดีแล้ว”

ลู่ฝานพยักหน้าพูดว่า “วางใจเถอะ ฉันจะแก้แค้นให้นาย ทางที่ดีอย่ากินยาพวกนี้ที่นี่ นายค่อยกินหลังจากออกไป ส่วนเฉิงชิงฉันยกให้นาย!”

พูดพลาง ลู่ฝานส่งพลังปราณให้หยวนเลี่ย ช่วยให้หยวนเลี่ยลุกขึ้นยืน

หยวนเลี่ยมองเฉิงชิงด้วยสีหน้าเย็นยะเยือก แล้วพูดว่า “ไอ้หมอนี่กรีดลงบนตัวผม 30 กว่าแผล ผมต้องคืนให้เขาอย่างสาสม!”

เมื่อเฉิงชิงได้ยิน เขาสั่นไปทั้งตัว

หยวนเลี่ยเดินกะโผลกกะเผลกไปทางเฉิงชิง แต่ทันใดนั้นเอง คิดไม่ถึงว่าเฉิงชิงจะลุกขึ้นวิ่งหนี วิ่งพลางพยายามเอาอะไรบางอย่างออกมาจากอก

ไม่รู้หยวนเลี่ยไปเอาแรงมาจากไหน จู่ๆ เขาใช้มือหนึ่งหยิบกระบี่ยาวที่ตกอยู่ข้างๆ ขึ้นมา โยนเข้าไปหาเฉิงชิงอย่างรวดเร็ว

สวบ! กระบี่ยาวปักลงบนคอเฉิงชิงทันที แม่นยำเป็นอย่างมาก!

“วิชากระบี่ดี!”

ลู่ฝานหัวเราะเบาๆ แล้วเอ่ยขึ้น

หยวนเลี่ยทรุดนั่งลงบนพื้น แล้วพูดว่า “สามสิบกว่าแผลแลกกับหนึ่งกระบี่ ดูจะเสียเปรียบเขาแล้ว!”

พูดพลางหยวนเลี่ยเริ่มค้นหาของบนตัวจงหง ไม่นานเขาคลำป้ายประจำตัวออกมาสองสามอัน

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1126

พลังปราณดุดันรุนแรง พุ่งผ่านหมัดของลู่ฝานเข้าไปในตันเถียนของเฉิงชิง

ไม่มีทักษะที่งดงามตระการตาอะไรทั้งนั้น มีเพียงแค่พลังระเบิดเท่านั้น!

ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!

มีเสียงระเบิดดังออกมาจากในตัวเฉิงชิง หลังจากนั้นเฉิงชิงกระอักเลือดแล้วทรุดลงบนพื้น ตันเถียนแตกสลาย!

ท่าไม้ตายของหม่านเวย อิ้งหยวนและจงหง ก็โจมตีใส่ตัวลู่ฝานเช่นกัน

แสงทั้งสามแสงกลืนตัวลู่ฝานจนมิด เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น เกราะเกล็ดมังกรที่ไม่มีปราณชี่ค่อยช่วยแตกออกทันที

ทั้งสามพลิกมือปล่อยกระบวนท่าโจมตีใส่ลู่ฝานอีกครั้ง

กระบี่สองเล่ม มาจากด้านหน้าและด้านหลัง ปักลงบนหน้าอกและด้านหลังของลู่ฝาน เป็นตำแหน่งหัวใจ แต่ปลายกระบี่เข้าไปได้เพียงหนึ่งนิ้ว ก็ไม่สามารถเข้าไปได้อีก

ค้อนใหญ่ของหม่านเวย กระแทกลงบนหัวลู่ฝานเช่นกัน แต่ไม่ได้มีเสียงแตกเหมือนแตงโมระเบิดอย่างที่หม่านเวยคิดไว้ กลับกันเขารู้สึกว่าค้อนใหญ่ของตัวเอง โจมตีลงบนหินที่แข็งแรงทนทานมาก แรงสะท้อนกลับทำให้เขาเจ็บง่ามมือระหว่างนิ้วโป้งและนิ้วชี้!

ทั้งสามคนเพ่งมอง เห็นลู่ฝานยังยืนอย่างแข็งแกร่ง บนตัวไม่มีแม้กระทั่งเลือดสักหยด

ลู่ฝานใช้มือจับกระบี่มังกรฟ้าหนึ่งเมตรของอิ้งหยวน ใช้แรงที่ฝ่ามือ ลูกไฟปรากฏขึ้นมา เขาบิดกระบี่ของอิ้งหยวนจนงอทันที

อิ้งหยวนมองภาพนี้ด้วยความตกตะลึง จากนั้นหมัดของลู่ฝานกระแทกลงบนหน้าเขาอย่างแรง ถึงขั้นที่เขาไม่สามารถมองเห็นชัดเจนว่าลู่ฝานออกหมัดยังไง

หมัดเปลวเพลิง ไม่เพียงแต่เผาไหม้หน้าของเขา ยังพุ่งเข้าไปในร่างกายเขาอีกด้วย เผาไหม้เส้นลมปราณและพลังปราณของเขา

พลิกตัวเตะอีกครั้ง ลู่ฝานเตะลงบนหัวจงหง การโจมตีด้วยแรงมหาศาล ลู่ฝานใช้วิธีปล่อยพลังของพลังความเป็นความตายวนเวียน เมื่อเตะโจมตี จงหงโดนเตะปลิวออกไปไกล กระแทกลงบนหินก้อนใหญ่อย่างแรง จากนั้นหินแตกกระจุยกระจาย!

“พลังปราณยี่สิบเปอร์เซ็นต์!”

ลู่ฝานพูดพึมพำ เขากำลังคำนวณว่าเมื่อกี้ตัวเองใช้พลังปราณไปเท่าไร พลังปราณที่เขาแปรเปลี่ยนออกมามากขนาดนั้น แน่นอนว่าต้องเก็บเอาไว้ใช้ แต่พลังปราณ 20 เปอร์เซ็นต์จัดการคนพวกนี้ก็เหลือเฟือแน่นอน

หม่านเวยตกใจจนอ้าปากค้าง มือที่กำค้อนใหญ่เอาไว้เริ่มสั่น

แต่ลู่ฝานไม่ให้โอกาสเขาได้ตั้งตัว ใช้มือจับค้อนใหญ่เอาไว้ ลู่ฝานยกหม่านเวยขึ้นมาพร้อมกับค้อน

เหวี่ยงอย่างรวดเร็ว หม่านเวยโดนกระแทกลงบนพื้นอย่างแรง เขาจะปล่อยมือ แต่วินาทีต่อมา หมัดเปลวเพลิงของลู่ฝานโจมตีใส่หน้าเขา

เพียงหมัดเดียว ฟันของหม่านเวยแตกหมดทั้งปาก

อีกหนึ่งหมัด เลือดสดของหม่านเวยพุ่งออกไปไกล

ลู่ฝานโจมตีด้วยหมัดติดต่อกัน เพียงพริบตาเขาโจมตีหมัดออกมาเป็นร้อยแล้ว เห็นหม่านเวยยุบไปทั้งตัว เขาโดนซัดเหมือนกระสอบทราย

พลังปราณในตัวเพิ่งรวมตัวกันได้ ก็โดนทำลายจนกระจาย หมัดสุดท้ายของลู่ฝานกระแทกลงบนหัวเขา

หมัดนี้ทำให้เขาคอหักทันที

ลูกตาของหม่านเวยถลึงออกมา ล้มลงบนพื้นด้วยความไม่พอใจและตกตะลึง พลังชีวิตดับสูญ

มีเลือดติดอยู่บนหมัด ลู่ฝานเหมือนปีศาจชั่วร้าย ยืนอยู่ในสายตาเฉิงชิง

ตอนนี้เฉิงชิงเพิ่งรู้ว่าตัวเองไม่ได้ยั่วโมโหลูกแกะอ่อนแอไร้เดียงสา แต่เป็นเสือร้ายที่จะกินคน!

ลู่ฝานไม่มองเขาสักนิด เดินตรงเข้าไปหาสองคนที่เหลือทันที!

หยวนเลี่ยนอนอยู่บนพื้น มองภาพนี้ด้วยดวงตาแดงก่ำที่พร่าเลือน

นี่คือธาตุแท้ของลู่ฝานอย่างนั้นเหรอ

น่ากลัวมาก เขาแข็งแกร่งมากจริงๆ!

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1125

เหตุการณ์ที่แค่คิดก็กลายเป็นชี่ได้ ในบรรดานักบู๊พบเห็นได้น้อยมาก มีเพียงผู้แข็งแกร่งที่ปีนป่ายออกมาจากกองโครงกระดูก ถึงจะมีพลานุภาพแบบนี้ได้

ทั้งสี่คนเริ่มรู้สึกว่าตัวเองหายใจไม่ค่อยคล่อง

เพื่อเสริมสร้างความกล้าให้ตัวเอง เฉิงชิงแผดเสียงใส่ลู่ฝานว่า “ลู่ฝาน นายกล้าเดินเข้ามาจริงๆ ดูเหมือนวันนี้เขาวิถีบู๊คงเป็นที่ฝังศพนาย”

ลู่ฝานกวาดตามองทั้งสี่คน แล้วพูดอย่างเรียบเฉยว่า “ยังมีอะไรจะพูดอีกไหม รีบพูดมา!”

หม่านเวยหัวเราะลั่นแล้วพูดว่า “ไอ้อวดดี นายมีแค่คนเดียว อย่าบอกนะว่ากล้าสู้กับเราสี่คน ทุกคนลงมือเลย!”

เมื่อตะโกนขึ้น นักบู๊สี่คนลงมือพร้อมกัน

เมื่อมาถึงตรงนี้ พลานุภาพสร้างความกดดันของเทพบู๊ลดลงกว่าครึ่ง นักบู๊อย่างพวกเขา สามารถใช้พลังปราณได้นิดหน่อย

เห็นกระบี่ยาวสองเล่ม ค้อนใหญ่หนึ่งอัน มีดสั้นหนึ่งเล่มพุ่งมาฆ่าลู่ฝานพร้อมกัน

ลู่ฝานไม่หลบสักนิด พุ่งสวนเข้าไปหาทันที

วินาทีต่อมา ฉิ้ง ฉิ้ง ฉิ้ง ฉิ้ง!

เสียงดังติดต่อกันสี่ครั้ง อาวุธของทั้งสี่คนโจมตีใส่เกราะเกล็ดมังกรของลู่ฝาน

พลังปราณอันน้อยนิด ไม่สามารถรวมตัวเป็นเกราะปราณได้ แต่เกราะเกล็ดมังกรของลู่ฝาน ไม่จำเป็นต้องใช้พลังปราณอะไรทั้งนั้น!

เกราะเกล็ดมังกรปกคลุมร่างกาย ทันใดนั้น การโจมตีของทั้งสี่คนเหมือนการจั๊กจี้เท่านั้น!

ร่างกายไม่ซวนเซแม้แต่น้อย จู่ๆ ฝ่ามือลู่ฝานทะลุออกมาจากอาวุธ คล่องตัวราวกับงูเลื้อย!

ลู่ฝานใช้มือจับเฉิงชิงเอาไว้!

เฉิงชิงตกใจกลัวจนแผดเสียงดังออกมาทันที “ฆ่าเขา เร็ว ฆ่าเขา!”

ทันใดนั้นทั้งสี่คนลงมืออีกครั้ง เสียงดังติดต่อกันอีกครั้ง

ลู่ฝานก็ยังไม่ขยับเหมือนเดิม เขาแผดเสียงดัง กล้ามเนื้อทั้งตัวหดลงจากนั้นก็เด้งออก

“ท่าแนบตัว!”

พลั่ก!

ทั้งสามคนกระเด็นถอยหลังไป โดนลู่ฝานชนจนกระเด็นไปไกล

พลังปราณอะไรกัน จัดการขยะพวกนี้ เขาไม่จำเป็นต้องใช้เลย แค่พลังของร่างกายก็เพียงพอจัดการพวกขาแล้ว

มีเพียงเฉิงชิงที่โดนลู่ฝานจับอยู่ ไม่ได้กระเด็นออกไป ลู่ฝานใช้มือกระแทกเขาลงบนพื้น

ตู้ม!

เหมือนอุกกาบาตร่วงลงบนพื้น เฉิงชิงกระแทกลงบนพื้นจนกลายเป็นหลุมรูปคนทันที

เลือดออกมาทางปากและจมูก เฉิงชิงคิดไม่ถึงเลยว่าพลังของร่างกายลู่ฝานจะดุดันทรงพลังขนาดนี้ เกือบเทียบกับยอดฝีมือเผ่าทรงพลังที่ฝึกฝนพลังบริสุทธิ์ได้แล้ว!

แน่นอนว่าเฉิงชิงไม่รู้ ยอดฝีมือเผ่าทรงพลังเทียบพละกำลังกับลู่ฝาน ยังสู้ไม่ได้เลย อันดับสองในแปดผู้โดดเด่นอย่างสวี่ฉู ก็ตายคามือเขาไม่ใช่หรือไง!

กัดฟันกรอด เฉิงชิงที่ร่วงลงบนพื้นพลิกมือเอามีดสั้นแทงลงบนข้อเท้าลู่ฝาน มีดสั้นมีแรงสะเทือน เป็นเคล็ดวิชาบู๊สะเทือนดวงดาวที่ทำให้เขามีชื่อเสียง ใช้แรงสะเทือนที่รวดเร็วตัดทุกอย่าง ทำลายได้กระทั่งสิ่งที่ทนทาน!

มีดสั้นของเฉิงชิง ทำลายเกราะเกล็ดมังกรบนข้อเท้าลู่ฝานทันที กำลังจะเฉือนเท้าของลู่ฝานแล้ว! แต่ทันใดนั้นเอง พลังมหาศาลโจมตีลงบนแขนเขา

เสียงหักดังขึ้นอย่างชัดเจน ลู่ฝานเหยียบแขนเขาจนเละ

“อ๊าก!”

เฉิงชิงร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด ดังสะเทือนเลือนลั่นไปทั่ว

นักบู๊จำนวนไม่น้อยที่อยู่ด้านนอกอุโมงค์สวรรค์ กำลังศึกษาว่าจะเข้าไปอย่างไร เมื่อได้ยินเสียงร้องโอดครวญนี้ รีบหันไปมองทางตีนเขา รวมซุนจื้อและเทียนชิงหยางอยู่ในนั้นด้วย

“ลู่ฝาน นายกล้าเหรอ!”

หม่านเวย อิ้งหยวนและจงหง ทั้งสามคนพุ่งเข้ามาฆ่าอีกครั้ง

ตอนนี้พวกเขาไม่สนใจการแว้งกัดอะไรนั่นแล้ว ความแข็งแกร่งของลู่ฝานเหนือการคาดเดาของพวกเขา

ปล่อยพลังปราณ แสงสว่างแสบตา พุ่งเข้ามาฆ่าทันที

ลู่ฝานไม่แม้แต่จะมองพวกเขา ทำเพียงแค่ใช้มือหนึ่งจับเฉิงชิงขึ้นมา หลังจากนั้นใช้หมัดต่อยลงไปที่จุดตันเถียนของเฉิงชิง

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1124

“โอ้ กระวนกระวายใจด้วย นายเข้ามาซัดฉันสิ! นายขยับได้ไหม”

นักบู๊คนที่เป็นหัวหน้า ใช้ฝ่าเท้าขยี้ไปมาบนหัวหยวนเลี่ยอย่างแรง เลือดสดไหลออกมา

“เฉิงชิง เบาหน่อย เหยียบเขาตายขึ้นมาจะไม่สนุกนะ ลู่ฝาน นายเห็นหรือยัง เพื่อนนายใกล้ตายแล้ว นายจะไม่ขยับหน่อยเหรอ นายมันขี้ขลาดตาขาว!”

นักบู๊คนที่อยู่ข้างๆ เดินเข้ามาช้าๆ ตัวอ้วนเหมือนหมู ถูกปกคลุมอยู่ภายใต้ชุดคลุมยาวตัวใหญ่

ใบหน้าดุดันน่ากลัว แอบมีความสับปลับเล็กน้อย ค้อนขนาดใหญ่สองอันเสียบอยู่ด้านหลัง เขาใช้มือกระชากหยวนเลี่ยที่อยู่ใต้เท้าเฉิงชิงขึ้นมา

ลู่ฝานทนไม่ไหวแล้ว เขาก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าว

เมื่อเขาขยับ ทำให้นักบู๊สี่คนที่อยู่ด้านบนหัวเราะลั่น

“ขยับแล้วจริงด้วย เดินมาข้างหน้าอีกสิ เดินต่อสิ!”

เฉิงชิงหัวเราะลั่น ใช้มือหยิบมีดสั้นออกมาจากข้างในอก แล้วจ่อไว้ที่คอหยวนเลี่ย

ตอนนี้พลังปราณทั้งตัวหยวนเลี่ยสลายไปหมดแล้ว อ่อนแอถึงขั้นที่มีดเล็กๆ เพียงเล่มเดียวสามารถจบชีวิตเขาได้

หยวนเลี่ยหอบหายใจแรง พูดเสียงดังออกมาว่า “ลู่ฝาน นายอย่าเข้ามา พวกเขาจะฆ่านาย หนีไป!”

สีหน้าเฉิงชิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาปักมีดสั้นลงบนไหล่หยวนเลี่ย

“ฉันให้นายพูดเหรอ”

คนอ้วนที่อยู่ข้างๆ ใช้ฝ่ามือตบหน้าหยวนเลี่ย

เห็นฟันกระเด็นออกมาหนึ่งซี่ทันที เลือดสาดเต็มหน้าไปหมด

หยวนเลี่ยส่งเสียงสะอื้นออกมา แม้แต่ร้องโอดครวญเขายังไม่สามารถร้องออกมาได้

ยังมีนักบู๊อีกสองคนที่หัวเราะเบาๆ อยู่ด้านข้าง ราวกับเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สนุกมาก

นัยน์ตาลู่ฝานมีเส้นเลือด เร่งฝีเท้าเดินขึ้นไปด้านบน ความอาฆาตรุนแรงพุ่งออกมาจากตัว ถึงอยู่ห่างกันขนาดนี้ แต่ทั้งสี่คนสามารถสัมผัสได้

เฉิงชิงโยนหยวนเลี่ยไปด้านข้าง ทั้งสี่คนยืนเรียงเป็นหน้ากระดาน มองมายังลู่ฝาน

เฉิงชิงขมวดคิ้วแน่น แล้วพูดว่า “เกิดอะไรขึ้น บนตัวไอ้หมอนั่นมีพลานุภาพน่ากลัวแผ่ซ่านออกมาขนาดนี้ ทำไมถึงไม่มีพลานุภาพสร้างความกดดันของเทพบู๊ ทำไมถึงไม่ไล่เขาออกจากภูเขา แล้วก็ไม่มีการแว้งกัดด้วย”

คนอ้วนที่อยู่ข้างๆ พูดว่า “อย่าบอกนะว่าเขาไม่ได้ใช้พลังปราณ เป็นไปไม่ได้ ไม่ใช้พลังปราณจะปล่อยพลานุภาพแข็งแกร่งขนาดนี้ออกมาได้ยังไง ฝีเท้าของเขายังเร็วขึ้นเรื่อยๆ ด้วย เขาต้องขยับไม่ได้ไม่ใช่เหรอ!”

เฉิงชิงพูดว่า “ซุนจื้อบอกให้เรายั่วโมโหเขา และทำให้เขาเกิดการแว้งกัดของพลังปราณ ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะทำไม่ได้แล้ว อิ้งหยวน จงหง พวกนายคิดว่าทำยังไงดี”

อิ้งหยวนพูดว่า “สู้เราฆ่าเขาเลยดีกว่า ยังไงไท่จื่อออกคำสั่งแล้วว่าใครฆ่าเขาตาย จะได้รางวัลใหญ่ แทนที่จะให้ซุนจื้อได้ค่าตอบแทน สู้เราแบ่งกันสี่คนแล้วแบ่งให้เขาส่วนหนึ่งไม่ดีกว่าเหรอ”

จงหงพยักหน้าพูดว่า “เราตั้งสี่คน เขาแค่คนเดียว จะกลัวเขาไปทำไม ที่นี่สามารถใช้พลังปราณได้นิดหน่อย เราซัดเขาคนละหมัดจนตายก็จบแล้ว เฉิงชิง หม่านเวย พวกนายจะลงมือไหม”

เฉิงชิงฉีกยิ้มแล้วพูดว่า “เอาแบบนี้แหละ”

เจ้าอ้วนหม่านเวยเอาค้อนสองอันของตัวเองออกมา มองลู่ฝานที่กำลังเดินมาแล้วหัวเราะเบาๆ

เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น ไม่นานร่างกายของลู่ฝานเปลี่ยนจากแข็งทื่อเป็นด้านชา หลังจากนั้นกลับสู่สภาวะปกติ

ความสามารถในการฟื้นฟูร่างกายที่แข็งแกร่ง ช่วยเขาระงับอาการบาดเจ็บเอาไว้อีกครั้ง

ลู่ฝานลูบไม้ลูบมือ ก้าวเข้าไปหาเฉิงชิงและคนอื่น ความอาฆาตบนตัวใกล้จะปกคลุมไปทั้งโลกแล้ว!

เฉิงชิงกลืนน้ำลาย ความอาฆาตรุนแรงบนตัวลู่ฝาน ทำให้เขารู้สึกไม่ปลอดภัยเป็นอย่างมาก

เมื่ออยู่ใกล้ขึ้น ทุกคนเห็นได้ชัดเจน ความอาฆาตบนตัวลู่ฝานไม่ได้ปล่อยออกมาจากพลังปราณ แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงของฟ้าดินโดยอัตโนมัติ

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1123

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดว่า “เพราะมันคิดว่าเจ้านายไม่ใช่นักบู๊ ขอแค่เป็นสิ่งที่มีพลังชี่ หรือเป็นคนที่มีพลังชี่ในตัว ก็จะโดนกดดันควบคุมทันที เห็นได้ชัดว่ามันมองเจ้านายออกแล้ว!”

จู่ๆ ลู่ฝานถึงกับพูดไม่ออก รู้สึกว่าใช่สาเหตุนี้

มิน่าล่ะเขาถึงใช้ปราณชี่ไม่ได้ ที่แท้เห็นเป็นพลังชี่นี่เอง พลานุภาพสร้างความกดดันของเทพบู๊สารเลวพวกนี้ เห็นปราณชี่ในตัวเขาเป็นพลังปราณไม่ได้หรือไง มีแค่นิดเดียวก็กดดันงั้นเหรอ ไม่แยกถูกแยกผิดบุ่มบ่ามวู่วามจริงๆ

“แล้วจะทำยังไงดี ฉันจะทำลายปราณชี่ของตัวเองไม่ได้นะ”

ลู่ฝานใช้หัวสมองครุ่นคิด เริ่มคิดหาวิธี

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดว่า “เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ แม้ฉันใช้พลังไม่ได้แล้ว แต่ฉันสามารถปล่อยค่ายกลที่เก็บไว้ในเจดีย์ออกมาได้ น่าจะช่วยเจ้านายต้านทานพลานุภาพกดดันได้ครู่หนึ่ง เจ้านายสามารถใช้เวลานี้เปลี่ยนแปลงปราณชี่ทั้งหมดให้เป็นพลังปราณ ได้แค่ไหนเอาแค่นั้น ส่วนที่เหลือให้เก็บกลับมาที่ตันเถียน ห้ามปล่อยออกมาแม้แต่น้อย เมื่อเป็นเช่นนี้ น่าจะไม่มีปัญหาอะไรแล้ว!”

ลู่ฝานพูดอย่างดีใจทันที “ไม่เลว งั้นทำตามนี้”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดว่า “ได้ครับ เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ เจ้านายพร้อมหรือยัง ฉันจะเริ่มปล่อยค่ายกลออกมาแล้วนะ!”

ลู่ฝานสูดหายใจเบาๆ แล้วพูดว่า “เริ่ม!”

เมื่อสิ้นเสียง จู่ๆ ค่ายกลสองสามค่ายกลปรากฏขึ้นบนตัวลู่ฝาน

ทันใดนั้นพลานุภาพสร้างความกดดันของเทพบู๊หายไป ลู่ฝานรีบเปลี่ยนแปลงปราณชี่อย่างสุดชีวิต

เพียงครู่เดียว!

ค่ายกลแตกร้าว ค่ายกลที่ไม่มีพลังสนับสนุนของลู่ฝานและเจดีย์เสวียนเก้ามังกร อ่อนแอจนน่าสงสาร แต่ภายใต้พลานุภาพสร้างความกดดันของเทพบู๊ ถึงมีแรงสนับสนุนจากลู่ฝานและเจดีย์เสวียนเก้ามังกร ก็คงไม่ช่วยอะไรเลย

อีกครู่หนึ่งค่ายกลแตกสลายเรียบร้อย พลานุภาพสร้างความกดดันของเทพบู๊อันแข็งแกร่งโจมตีใส่ตัวลู่ฝานอีกครั้ง

ในเวลาเดียวกัน ลู่ฝานเอาปราณชี่ที่ยังไม่ทันเปลี่ยนแปลงเก็บเข้าไปในตันเถียน

ทันใดนั้นพลังปราณในตัวลู่ฝานเคลื่อนไหว พลังกดดันบนตัวเริ่มหายไปอย่างรวดเร็ว

ลู่ฝานถอนหายใจยาวออกมา ในที่สุดจัดการได้แล้ว!

แต่ตอนนี้ ลู่ฝานยังไม่กล้าดูดซับพลังฟ้าดินรอบตัวมาฟื้นฟูอาการบาดเจ็บ

เขาลองขยับร่างกายที่แข็งทื่อของตัวเอง ลู่ฝานค่อยๆ ก้าวขาไปข้างหน้าหนึ่งก้าว

เพียงแค่ก้าวเดียว กลับทำให้ลู่ฝานเกือบน้ำตาคลอเบ้า

ขยับได้แล้ว ในที่สุดก็ขยับได้แล้ว ผ่านมาห้าวัน ในที่สุดเขาก็ขยับได้แล้ว

ตอนที่ลู่ฝานกำลังตื่นเต้น จู่ๆ มีเสียงหัวเราะดังขึ้น

“ฮ่าๆ ลู่ฝาน นายยังยืนอยู่อีกเหรอ ฝืนไม่ไหวแล้วสินะ งั้นก็ไม่ต้องฝืนสิ!”

จู่ๆ มีเงาคนสองสามคนเดินลงเขามาจากไกลๆ หัวเราะแล้วมองลู่ฝาน

ลู่ฝานรู้จักพวกคนที่เดินนำมา คือพวกคนที่โยนหินใส่เขาไม่กี่วันก่อนหน้านี้

ลู่ฝานอ้าปากพูดด้วยเสียงที่แหบพร่ามาก “พวกนายจะมาโยนหินใส่อีกแล้วเหรอ”

พวกนักบู๊หัวเราะออกมาพร้อมกัน หนึ่งในนั้นปรบมือแล้วพูดว่า “เปล่า ฉันมาให้นายดูเรื่องสนุกต่างหาก!”

เมื่อพูดเช่นนี้ คนพวกนั้นพาชายที่เนื้อตัวเต็มไปด้วยเลือดออกมา จากนั้นโยนลงบนพื้นเหมือนขยะ

“นายรู้จักคนนี้สินะ ฮ่าๆ หยวนเลี่ย เจอเพื่อนนายแล้ว นายมีอะไรอยากพูดไหม”

นักบู๊ที่นำมา เหยียบลงบนหัวหยวนเลี่ย

หยวนเลี่ยกัดฟัน ไม่พูดอะไรสักคำ!

ลู่ฝานเห็นภาพนี้ เขาค่อยๆ กำหมัดแน่น ความเย็นยะเยือกปรากฏขึ้นนัยน์ตาทันที

ลู่ฝานพูดด้วยเสียงแหบพร่า “พวกนายกำลังรนหาที่ตาย!”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1122

ในการมองเห็นของเขา ถึงขั้นที่เริ่มมีแถบแสงเป็นเส้นๆ ปรากฏขึ้น สีสันแพรวพราว เคลื่อนไหวอยู่ข้างหน้าเหมือนอุโมงค์ข้ามมิติ

เคลื่อนไหวแบบไหน แสงเปลี่ยนแปลงอย่างไร ล้วนอยู่ในสายตาของเขาทั้งหมด

จู่ๆ ลู่ฝานมองจนเหม่อลอย เขาจมไปกับภาพฟ้าดินอันลึกลับที่ปรากฏออกมา

เขามองอยู่เกือบหนึ่งชั่วยาม มีเสียงดังแบบอึดอัดออกมาจากตัวลู่ฝาน ไม่สามารถกลั้นลมหายใจในร่างกายได้ ถูกปล่อยออกมาทั้งหมด โลกกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง!

จู่ๆ ลู่ฝานรู้สึกเหมือนมีเลือดที่ลำคอ เหมือนเลือดสดกำลังจะพุ่งขึ้นมา

นี่คือสัญญาณที่อวัยวะภายในกำลังจะพังทลาย ลู่ฝานแอบตระหนกใจ แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่น

พลังฟื้นฟูร่างกายของเขาแข็งแกร่งมาก เขาอาศัยสิ่งนี้ จึงสามารถยืนนิ่งอยู่ตรงนี้ได้ห้าวัน ถ้าเป็นนักบู๊ทั่วไป ไม่ถึงสิบลมหายใจ ก็คงล้มลงบนพื้นแล้วตายไปเลย

แต่ตอนนี้เขาใกล้จะฝืนไม่ไหวแล้วเช่นกัน

ลู่ฝานคำนวณอยู่ครู่หนึ่ง ตั้งแต่เลือดพลุ่งพล่าน จนถึงร่างกายพังทลาย อย่างมากยังเหลือเวลาอีกหนึ่งวัน

นั่นหมายความว่าในหนึ่งวันนี้ ถ้าเขาคิดหาวิธีไม่ได้ เขาคงทำได้เพียงเลิกต้านทาน ให้ตัวเองสลบไป และโดนป้ายประจำตัวพาออกจากเขาวิถีบู๊ ความพยายามสูญเปล่า!

เวลาเพียงหนึ่งวัน!

ลู่ฝานแอบกัดฟัน ดูเหมือนคงทำได้แค่ฮึดสู้แล้วล่ะ!

ลู่ฝานสูดหายใจลึกอีกครั้ง ครั้งนี้เขาจะใช้วิชาเทพเต่าปรับลมหายใจ ดูว่าจะทำให้ปราณชี่ของตัวเองพุ่งขึ้นมาได้สักเล็กน้อยหรือเปล่า

รูขุมขนปิดลงตามไปด้วย ลู่ฝานเข้าสู่สภาวะซ่อนลมหายใจอย่างสมบูรณ์

ตอนนี้เขาสามารถเห็นลมหายใจของตัวเอง ไหลผ่านหลอดลมเข้าไปในตัว

ลู่ฝานพยายามเอาลมหายใจนี้เข้าไประเบิดในตันเถียน เขาไม่สนใจการบาดเจ็บอะไรแล้ว นี่คือการสู้สุดชีวิต!

ลู่ฝานค่อยๆ พยายามเอาลมหายใจนี้เข้าไปในท้อง

สำหรับคนที่ฝึกทั้งบู๊และชี่อย่างเขา ชี่ฟ้าดินกับพลังฟ้าดิน แท้จริงแล้วคือสิ่งเดียวกัน

ลู่ฝานใช้วิธีระเบิดพลังฟ้าดิน ระเบิดลมหายใจนี้

จู่ๆ ลู่ฝานรู้สึกว่าเส้มลมปราณตรงท้องของตัวเองขาด มีเลือดไหลซึมออกมาตามไรฟัน

ตรงตันเถียน ปราณชี่ถูกกระตุ้นขึ้นมา ร่างกายสั่นสะเทือนไปหมด

ลู่ฝานพยายามสุดชีวิตเพื่อที่จะควบคุมปราณชี่ส่วนหนึ่งที่กระตุ้นขึ้นมา แต่ต่อมาพลังกดดันที่แข็งแกร่ง กดมันกลับไปอีกครั้ง!

“ทุเรศ น่าเกลียด!”

ลู่ฝานตะโกนเสียงดังในใจ

ตอนนี้จู่ๆ ก็มีเสียงอ่อนแรงดังขึ้น

“เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ ในที่สุดฉันก็เชื่อมต่อกับเจ้านายได้สักที”

ลู่ฝานฟังออกว่าเป็นเสียงของใคร เขาพูดด้วยความดีใจอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง “ไอ้เก้า ฮ่าๆ ในที่สุดแกก็ปรากฏตัวสักทีนะไอ้เก้า”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดเสียงเบา “เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ ฉันก็อยากปรากฏออกมานะ ใครจะไปรู้ว่าพลานุภาพสร้างความกดดันของเทพบู๊บนเขาวิถีบู๊จะเก่งกาจขนาดนี้ ผนึกของทุกอย่างที่มีพลังชี่เอาไว้ทั้งหมด ขนาดฉันยังเกือบโดนผนึกตาย อีกแค่นิดเดียวเท่านั้น! ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้านายระเบิด ทำให้ฉันโผล่ออกมาจากตันเถียน ฉันต้องโดนขังไว้ในนั้นแน่ๆ”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรเริ่มบ่นความน่ารังเกียจของพลานุภาพสร้างความกดดันของเทพบู๊ ว่าไร้เหตุผลและน่าขยะแขยงขนาดไหน

ลู่ฝานรีบพูดตัดบทมันทันที “อย่ามัวพูดไร้สาระ แกแค่เกือบโดนผนึก ฉันโดนกดดันอยู่ที่นี่ห้าวันแล้ว รีบบอกมาว่าฉันจะทำลายมันยังไง”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดว่า “เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ พลานุภาพสร้างความกดดันของเทพบู๊ เป็นการรวมตัวจากความตั้งใจของเซียนบู๊เขาวิถีบู๊จำนวนหลายสิบคน จะทำลายได้ยังไงล่ะ ทำได้เพียงคล้อยตามมันเท่านั้น”

ลู่ฝานพูดว่า “ฉันไม่ได้ยั่วโมโหมันสักหน่อย มันมีสิทธิ์อะไรมากดดันฉัน อย่าบอกนะว่าเซียนบู๊หลายสิบคนเป็นคนที่ไร้เหตุผลขนาดนี้เลยเหรอ”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1121

ดวงจันทร์หายไปพระอาทิตย์ลอยขึ้นมา มีทั้งเมฆที่เกาะกลุ่มและกระจายตัว เพียงพริบตาก็ผ่านไปห้าวันแล้ว

ห้าวันนี้ เป็นห้าวันที่ลู่ฝานรู้สึกว่าเวลาผ่านไปช้ามาก โลกเงียบสงบเป็นอย่างมาก นานมากแล้วที่เขาไม่ได้ยินเสียงการเจริญเติบโตของต้นไม้ใบหญ้า และเสียงของสายลมระหว่างฟ้าดิน

ตัวแข็งทื่อ ปราณชี่ไม่เคลื่อนไหว ตัวเหมือนก้อนหิน นี่คือสภาพของลู่ฝานในตอนนี้

ห้าวันมานี้พลานุภาพสร้างความกดดันของเทพบู๊ไม่ลดและไม่เพิ่มสักนิด คงที่เป็นอย่างมาก

ร่างกายของลู่ฝานเริ่มจากอาการชาจนอ่อนล้า และเจ็บปวด สุดท้ายกลายเป็นแข็งทื่อ ผ่านมาสี่ขั้นเต็มๆ

ตอนนี้เขาใกล้จะไม่รู้สึกถึงร่างกายตัวเองแล้ว พลังกดดันนั้น ถึงขนาดที่ทำให้เขาลืมความเจ็บปวด หลงเหลือเพียงความคิดที่ยังวนเวียนอยู่ในสมอง

ลู่ฝานไม่รู้ว่าจะเป็นแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน

เขารู้เพียงว่าขืนเป็นแบบนี้ต่อไป เขาต้องตายแน่นอน!

ดังนั้นเขาใช้วิธีต่างๆ นานา มาทำให้เคลื่อนไหวได้ แต่ไม่ได้ช่วยอะไรเลย

สุดท้ายลู่ฝานพบวิชาลมหายใจประเภทหนึ่ง เหมาะสมกับสภาพของเขาในตอนนี้มาก

วิชาลมหายใจนี้ มาจากหนึ่งในสามเคล็ดวิชาบู๊ที่เพิ่มเข้ามาในหัวลู่ฝาน

สรรพสิ่งไร้รูปร่าง!

ตอนนี้ลู่ฝานนึกเรื่องที่เกิดขึ้นในโรงเหล้าตอนนั้นออกแล้ว

และรู้อย่างชัดเจนว่าเคล็ดวิชาบู๊ทั้งสาม เป็นสุดยอดอภินิหารเคล็ดวิชาบู๊ที่ถึงระดับฟ้า ดังนั้นช่วงนี้เขาจึงศึกษาและดูอย่างละเอียดมาโดยตลอด โชคดีที่เป็นเช่นนี้ ไม่งั้นตอนนี้เขาคงจบเห่ไปแล้ว

ตอนนี้ความหวังเดียวของลู่ฝาน ก็คือเคล็ดวิชาบู๊สรรพสิ่งไร้รูปร่างที่ผู้อาวุโสหลิวถ่ายทอดให้เขา

ในเคล็ดวิชาบู๊ประเภทนี้ มีวิชาเทพเต่าปรับลมหายใจอยู่วิชาหนึ่ง สามารถนำมาปรับอวัยวะภายใน เส้นลมปราณและกระดูก อีกทั้งเปิดรูขุมขนเพื่อช่วยในการหายใจ

ตอนนี้ลู่ฝานพูดตามตรง แม้แต่หายใจยังลำบากจริงๆ

มีเพียงการอาศัยวิชาลมหายใจเต่า ถึงจะฝืนยืนต่อไปได้ และสัมผัสสภาวะแท้จริงในร่างกายตัวเองผ่านวิชานี้

สิ่งเดียวที่น่าเสียดายคือ เขายังไม่ทันฝึกวิชาเทพเต่าปรับลมหายใจจนถึงขั้นสมบูรณ์

ไม่งั้นคงอาศัยการซ่อนลมหายใจกลั้นลมหายใจ จากนั้นปล่อยพลังระเบิดที่เกิดจากการปลดปล่อยอย่างกะทันหัน ไม่แน่อาจทำให้เขาขยับร่างกายได้

ถึงยกนิ้วมือได้เพียงนิ้วเดียว เคลื่อนไหวปราณชี่เล็กน้อยก็ยังดี!

ตอนนี้ลู่ฝานพยายามฝึกฝนวิชาเทพเต่าปรับลมหายใจอย่างสุดชีวิต นี่เป็นวิชาเบื้องต้นของเคล็ดวิชาบู๊สรรพสิ่งไร้รูปร่าง ไม่แน่ถ้าฝึกวิชานี้สำเร็จ สามารถใช้วิชาสรรพสิ่งไร้รูปร่างออกมาได้นิดหน่อย ดูจากลักษณะของมัน เหมือนจะสามารถกลายเป็นสัตว์ขนาดเล็กชนิดใดชนิดหนึ่งได้ ตอนนี้ลู่ฝานอยากให้ตัวเองกลายเป็นหนอนจริงๆ ถ้าเป็นเช่นนั้น พลังกดดันต้องลดลงมากแน่ๆ

มีลมพัดผ่าน เสื้อผ้าบนตัวลู่ฝานสะบัดไปมา

เสื้อผ้าของเขาไม่โดนพลังอะไรควบคุมเอาไว้เลย เหมือนพลังกดดันที่น่ากลัวเหล่านั้น ใช้ได้แค่บนร่างกาย ขนาดหนอนที่เดินผ่านไปช้าๆ ด้านล่างยังมีสภาพปกติ

ลู่ฝานกำลังพยายามฝึกฝน เขาไม่ใช่คนที่ยอมแพ้ง่ายๆ ถ้าพูดให้ถูกก็คือตั้งแต่เด็กเขาเป็นคนที่ดื้อดึงดันหัวชนฝา ขอแค่ไม่ตาย จะต้องผ่านมันไปให้ได้

ยิ่งยากลำบากมากเท่าไร ยิ่งปลุกความฮึกเหิมของเขา

ตอนนี้สิ่งที่ลู่ฝานคิดอยู่ในใจคือยังไงก็ทนมาได้ตั้งห้าวันแล้ว ทนอีกสักห้าสิบวันจะเป็นไรไป

เขาไม่เชื่อหรอกว่าพลังกดดันนี้จะฆ่าเขาได้จริงๆ!

จู่ๆ ลู่ฝานสูดหายใจเข้าอย่างแรง หลังจากนั้นเริ่มกลั้นหายใจ อาศัยหายใจทางรูขุมขนเล็กๆ ของร่างกาย

ทุกอย่างรอบตัวเริ่มเงียบลง ต้นไม้ใบหญ้าสิ่งมีชีวิต หนอนเกาะบนใบไม้ แต่ละอย่างผ่านหน้าไป

สภาวะเงียบสงบเช่นนี้ ทำให้ลู่ฝานเห็นพลังฟ้าดินรอบตัวได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1120

สีหน้าเทียนชิงหยางเปลี่ยนไปเล็กน้อย พูดด้วยความหงุดหงิดนิดหน่อย “ที่แท้เป็นแบบนี้นี่เอง สหายสุ่ยเข้าใจอะไรมากมายจริงๆ”

สุ่ยสือฉวนหัวเราะเบาๆ ไม่พูดอะไรอีก เขาดูออกว่าเหมือนเทียนชิงหยางไม่พอใจที่เขาพูดมาก คนจิตใจคับแคบแบบนี้ ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรเยอะอีก

ทั้งสองเดินมาถึงหน้าจวนแรก แท่นศิลาร่วงลงมาหน้าประตูจวน

ด้านบนเขียนว่า “คนคลั่งหวางเหมิ่งเกิดและตายที่นี่ อยากได้การถ่ายทอดของฉัน คำนับหัวโขกพื้นหน้าประตูก่อน 999 ครั้ง จากนั้นเดินเข้ามาอย่างนอบน้อม คำนับหัวโขกพื้นอีก 9,999 ครั้ง ไม่งั้นก็ไสหัวไปซะ!”

คำพูดหยาบคายขนาดนี้ เทียนชิงหยางเห็นแล้วขมวดคิ้วทันที “นี่คือคำพูดที่เซียนบู๊ผู้ยิ่งใหญ่ทิ้งเอาไว้อย่างนั้นเหรอ ทำไมฉันคิดว่าเหมือนคำพูดของคนไร้ความรู้ตามตลาดเลยล่ะ”

สุ่ยสือฉวนหัวเราอยู่ข้างๆ แล้วพูดว่า “แท่นศิลาเป็นศิลาจารึกคำพูดศักดิ์สิทธิ์ของประเทศอู่อาน ตั้งใจให้ผู้แข็งแกร่งเซียนบู๊ใช้ฝากคำพูดเอาไว้ ไม่ใช่ของปลอมแน่นอน คนคลั่งหวางเหมิ่ง ฉันเคยได้ยินปู่พูด เขาเป็นคนที่ได้รับการถ่ายทอดจากเซียนบู๊ชื่อหยาง วิทยายุทธทั้งตัวเขาแข็งแกร่งดุดันมาก มือเดียวสามารถดึงภูเขาและแม่น้ำ เป็นผู้แข็งแกร่งแห่งยุค!”

เทียนชิงหยางส่ายหน้าพูด “การถ่ายทอดจากคนคลั่งหยาบคายแบบนี้ ไม่ต้องดูก็ได้”

เทียนชิงหยางสะบัดมือ แล้วเดินไปด้านบนต่อ สุ่ยสือฉวนก็ไม่อยากไปโขกหัวคำนับหน้าประตูอย่างเห็นได้ชัด เขาเดินไปด้านบนต่อพร้อมกับเทียนชิงหยาง หลังจากพวกเขาออกไป กลับมีนักบู๊สิบกว่าคนพุ่งเข้ามา เอาหัวโขกพื้นดังพลั่กๆ ไม่หยุด!

เดินเป็นเวลาประมาณหนึ่งก้านธูป ทั้งสองมาถึงหน้าจวนอีกแห่งหนึ่ง

ตอนนี้หน้าประตูจวนมีคนสี่คน แต่เมื่อเห็นสุ่ยสือฉวนกับเทียนชิงหยางเดินมาด้วยกัน ก็รีบหลบให้ทันที

เทียนชิงหยางเดินเข้ามาดูแท่นหิน

ลายมืองดงาม เห็นได้ชัดว่าเป็นข้อความที่เซียนบู๊หญิงทิ้งไว้

“หลุมศพเทพธิดาถูหลิง ทิ้งวิชากระบี่พลิ้วไหวไว้บนโลก”

มีคำว่าพลิ้วไหวขนาดใหญ่อยู่ด้านล่างแท่นศิลา

เห็นได้ชัดว่าความต้องการของเซียนบู๊หญิงคนนี้คือ ทำความเข้าใจคำว่าพลิ้วไหวให้ถ่องแท้เสียก่อน หลังจากนั้นค่อยถ่ายทอดวิชากระบี่

“เทพธิดาถูหลิง ที่แท้เป็นเซียนบู๊กระบี่น้ำ สหายชิงหยาง ได้โปรดอย่าแย่งกับฉันเลย ฉันต้องการการถ่ายทอดนี้!”

สุ่ยสือฉวนพูดพลาง นั่งลงหน้าแท่นศิลาทันที

เทียนชิงหยางพูดด้วยรอยยิ้ม “สหายสุ่ยหาการถ่ายทอดที่ตัวเองต้องการ ได้เร็วขนาดนี้เลยเหรอ น่ายินดีจริงๆ ฉันไม่แย่งกับสหายสุ่ยอยู่แล้ว การถ่ายทอดวิชากระบี่พลิ้วไหวนี้ ไม่เหมาะสมกับฉันด้วย ฉันต้องการวิชากระบี่ทะยานเมฆาของบรรพบุรุษตระกูลเทียนของฉัน”

สุ่ยสือฉวนพูดด้วยรอยยิ้ม “สหายชิงหยางห้าวหาญจริงๆ นี่คงเป็นความปรารถนาของลูกหลานตระกูลเทียนนับไม่ถ้วนสินะ ฉันขอให้สหายชิงหยางประสบความสำเร็จ!”

เทียนชิงหยางอมยิ้มแล้วหันหลังเดินไป ก่อนไปยังพูดกับสี่คนที่ยืนบื้ออยู่ข้างๆ ว่า “จะยืนอยู่ทำไมล่ะ พวกนายจะรบกวนการฝึกฝนอย่างสงบของสหายสุ่ยเหรอ”

ทั้งสี่คนแอบกัดฟัน แต่เมื่อมองเทียนชิงหยาง แล้วมองสุ่ยสือฉวน ก็ทำได้เพียงเดินออกไปด้วยความจำใจ

เทียนชิงหยางเงยหน้ามองยอดเขา เขารู้ว่าจวนของบรรพบุรุษตระกูลเทียนอยู่ที่นั่น ตอนนี้เขาต้องไปดูให้เต็มตา

คนที่ทำเหมือนกับเขา หานหยวนหนิงก็มาถึงหน้าจวนแห่งหนึ่งเช่นกัน จวนมืดไร้แสง เหมือนไร้การถ่ายทอดไปนานแล้ว

“สุสานจิ่วหวาผู้เป็นอิสระ ไม่มีการถ่ายทอด ไม่ชอบก็ไม่ต้องเข้ามา!”

หานหยวนหนิงดูตัวอักษรบนแท่นศิลา แล้วยิ้มบางๆ

“เซียนบู๊จิ่วหวา หาท่านมานานแล้ว ให้ผมเก็บการถ่ายทอดของท่านไว้เถอะ ความปรารถนาสุดท้ายของท่าน ผมจะไม่ทำให้ผิดหวัง!”

เมื่อพูดเช่นนี้ หานหยวนหนิงเอากระบี่หักเล่มหนึ่งออกมากดลงบนหิน

วินาทีต่อมา แท่นศิลาสว่างขึ้น ตัวอักษรด้านบนหายไปทันที

หลังจากนั้นภายใต้การมุงดูของนักบู๊สิบกว่าคนข้างๆ ประตูจวนเปิดออกเสียงดัง จากนั้นดึงหานหยวนหนิงเข้าไปทันที!

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1119

เขาวิถีบู๊ การถ่ายทอดแผ่ซ่านออกไปไม่รู้จบ

ย้อนกลับไปตอนแรกเริ่ม จักรพรรดิอู่ตายที่นี่ ทิ้งการถ่ายทอดเอาไว้ หลังจากนั้นผู้แข็งแกร่งแต่ละรุ่นมาที่นี่ และสืบทอดต่อไปเรื่อยๆ สุดท้ายจึงกลายเป็นเขาวิถีบู๊ที่สว่างเรืองรองในตอนนี้

จนถึงปัจจุบัน เขาวิถีบู๊มีจวนทั้งหมดเจ็ดสิบหกจวน มีชื่อว่า เจ็ดสิบหกอุโมงค์สวรรค์

วันเวลาผ่านไป เวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในเจ็ดสิบหก อุโมงค์สวรรค์ มีเพียง 43 อุโมงค์สวรรค์ที่ยังคงรักษาการถ่ายทอดเอาไว้

ส่วนอีก 33 อุโมงค์สวรรค์ที่เหลือ โดนคนเอาการถ่ายทอดไปนานแล้ว เหลือเพียงตำหนักที่มืดมนไร้แสง มันบอกเล่าช่วงเวลาที่เปลี่ยนไปและอดีตของประเทศอู่อาน

ทั้ง 33 คนที่เอาการถ่ายทอดไป กลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่มีชื่อเสียงโด่งดังทั้งนั้น

แย่สุดก็คือยอดฝีมือแดนปราณฟ้าขั้นสูงสุด!

ในตำนานบอกว่าสี่อุโมงค์สวรรค์สุดท้ายในเจ็ดสิบหกอุโมงค์สวรรค์ เป็นสิ่งที่ผู้แข็งแกร่งในบรรดาสามสิบสามคนหลงเหลือเอาไว้

ไม่ใช่ว่าการถ่ายทอดที่พวกเขาหลงเหลือไว้ไม่แข็งแกร่ง จึงถูกเอาไว้หลังสุด

แต่เป็นเพราะพวกเขาหลงเหลือการถ่ายทอดเอาไว้ช้า อีกทั้งไม่ยอมอยู่เหนือการจวนของอาจารย์ จึงยินดีหลงเหลือไว้ที่ไหล่เขา

อุโมงค์สวรรค์ทุกแห่งล้วนมีโอกาสและโชคชะตาใหญ่ ถ้าได้เคล็ดวิชาบู๊ภายในนั้นเพียงเศษเล็กเศษน้อย จะทำให้นักบู๊สบายไปทั้งชีวิต

ถ้าได้รับการถ่ายทอดจากผู้แข็งแกร่งอย่างสมบูรณ์ จะประสบความสำเร็จ ทะยานขึ้นไปอย่างพุ่งพรวด

ถึงแม้เมื่อก่อนนายเป็นแค่คนธรรมดาไม่มีอะไรเลย แค่ได้การถ่ายทอดอย่างสมบูรณ์แบบ จะยืนยันความสำเร็จของนายในอนาคต ต้องอยู่เหนือกว่าแดนปราณฟ้าแน่นอน อีกทั้งยังมีโอกาส 80 เปอร์เซ็นต์ มองทะลุหยินหยาง กลายเป็นเซียนบู๊

เรียกว่าได้อุโมงค์สวรรค์ที่นี่หนึ่งแห่ง เท่ากับได้โลกทั้งใบ

หลังจากเทียนชิงหยางและคนอื่นเข้าใกล้จวนแรก ก็รู้สึกว่าพลังกดดันทั้งตัวหายไป กลับมาเป็นปกติทุกอย่าง

นักบู๊ทุกคนที่รู้รายละเอียดของเขาวิถีบู๊ รีบพุ่งเข้าไปหาจวนต่างๆ ทันที

คนเยอะแต่จวนน้อย เหลืออุโมงค์สวรรค์แค่ 43 แห่ง แน่นอนว่าไม่มีเพียงพอแบ่งให้คนละอุโมงค์

อีกทั้งเรื่องที่ต้องการโอกาสและโชคชะตาแบบนี้ จะต้องช่วงชิงมาให้ได้ก่อน

บางครั้งช้าเพียงก้าวเดียว อาจไม่ได้อะไรเลยสักอย่าง

กลุ่มคนกระจายตัวออกไปทั่ว เริ่มฝึกฝนบนเขาวิถีบู๊เป็นเวลาสิบวัน

อันที่จริงบนเขาวิถีบู๊ ไม่มีค่ายกลใดๆ ขัดขวางเลย อันที่จริงความลำบากมีเพียงอย่างเดียว นั่นก็คือการช่วงชิงที่มาจากนักบู๊คนอื่น

แต่แค่เพียงอย่างเดียว ก็เหนือกว่าทุกอย่างแล้ว

บนเขาวิถีบู๊ ฆ่าคนแย่งสมบัติ ทำลายวิทยายุทธคน เป็นเรื่องที่เห็นบ่อยมาก

เพราะที่นี่เป็นที่เดียวที่ไม่มีคนตรวจตราดูแล

ที่นี่มีกฎเพียงอย่างเดียว นั่นก็คือปลาใหญ่กินปลาเล็ก อยู่ถึงสิบวัน ยังต้องการโอกาสและโชคชะตา นั่นเป็นเรื่องที่สุดยอดมากแล้ว

แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับเทียนชิงหยางเท่าไรนัก

ตอนนี้เพิ่งเห็นข้อดีของการเกิดเป็นลูกหลานสิบตระกูลใหญ่ มีอำนาจยิ่งใหญ่ของตระกูล ถึงคนอื่นอยากแตะต้องพวกเขา ต้องคำนึงว่าหลังจากตัวเองออกไป จะรับการแก้แค้นของสิบตระกูลใหญ่ไหวหรือเปล่า

บวกกับลูกหลานของสิบตระกูลใหญ่ มีคนไหนหาเรื่องได้ง่ายบ้าง ดังนั้นถึงแย่งชิงสิ่งของกัน ลูกหลานของสิบตระกูลใหญ่ก็ครองข้อได้เปรียบทั้งหมด

เทียนชิงหยางมองกลุ่มคนที่กระจัดกระจายเหมือนผึ้งแตกรัง เขาพูดด้วยรอยยิ้มว่า “คนพวกหนี วิ่งเร็วแล้วมีประโยชน์อะไร พละกำลังไม่เพียงพอ ได้การถ่ายทอดก็รักษาชีวิตเอาไว้ไม่ได้ ส่วนคนมีพละกำลัง ถึงไปช้าหน่อย ก็แย่งกลับมาได้!”

สุ่ยสือฉวนที่อยู่ข้างๆ พูดด้วยรอยยิ้มว่า “สหายชิงหยาง นายคิดแบบนี้ไม่ถูกต้องนะ วันนี้เป็นแค่วันแรก ทุกคนรีบกระจายตัวไปทั่ว หาการถ่ายทอดที่ตัวเองต้องการ ดังนั้นปกติจะไม่เกิดการต่อสู้ ดังนั้นทุกคนจึงคิดจะใช้โอกาสนี้ คว้าอะไรดีๆ เอาไว้ ถ้าถึงพรุ่งนี้ 43 อุโมงค์สวรรค์มีคนเต็มแล้ว นายลองดูว่าจะมีใครกล้าเข้าไปเอาการถ่ายทอดอย่างง่ายดายอีก”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1118

“สมน้ำหน้า นายดูเหงื่อบนหน้าเขาสิเหมือนฝนตกเลย ทำไมนายยังไม่ไสหัวออกไปอีก คนที่มีไอคิวแบบนายมาที่แบบนี้ได้ด้วยเหรอ”

เสียงหัวเราะดังเข้าหูไม่หยุด ทุกคนเดินไปต่อข้างหน้า

ดูจากการพูดของพวกเขา ถ้าไม่ใช่เพราะที่นี่ใช้พลังปราณไม่ได้ พวกเขาต้องลงมือกับลู่ฝานแน่ๆ เรื่องซ้ำเติมคนที่กำลังลำบาก พวกเขาชอบทำอยู่แล้ว

จู่ๆ ผู้ชายคนหนึ่งส่งกระแสจิตให้เทียนชิงหยาง “จะให้จัดการเขา……”

เทียนชิงหยางยกมือขึ้น ขยับปากเล็กน้อยแล้วตอบกลับ “สหายซุนจื้อ ไม่รีบ ให้เขาสนุกกับพลานุภาพสร้างความกดดันของเทพบู๊ไปก่อน ลงมือที่นี่เสี่ยงเกินไป ไม่คุ้มค่า ทำไมไม่รอให้เราได้โชคชะตาและโอกาสจากเขาวิถีบู๊มาก่อน จากนั้นค่อยกลับมาเล่นงานลู่ฝานก็ได้ เขาหนีไม่พ้นหรอก!”

ซุนจื้อพยักหน้า ยกยิ้มร้ายกาจที่มุมปาก มองไปทางลู่ฝาน

เทียนชิงหยางละสายตาออกมา เดินต่อไปข้างหน้า ฝีเท้าเร็วขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเร็วยิ่งเหมือนลอยได้

ตอนนี้ในใจของเขา ลู่ฝานกลายเป็นคนตายไปนานแล้ว

ลู่ฝานเมินคนที่ด่าพวกนั้นไปโดยอัตโนมัติ คำพูดแย่กว่านี้เขาก็เคยได้ยินมาแล้ว อีกทั้งยังฟังจนเอียนตั้งนานแล้ว นี่จะนับประสาอะไรล่ะ!

สิ่งสำคัญที่ต้องทำตอนนี้ คือต้องเข้าใจให้ได้ว่าทำไมพลังกดดันที่โจมตีใส่ลู่ฝาน ถึงแข็งแกร่งขนาดนี้ ประสบการณ์ของเขายังไม่พอจริงๆ ดังนั้นจึงทำได้เพียงตะโกนเรียกไอ้เก้าอย่างสุดชีวิตในใจ

แต่วันนี้แปลกมากเลย เรียกอยู่สิบกว่าครั้ง ไอ้เก้าก็ไม่ตอบ

ลู่ฝานก่นด่าในใจว่า “ไอ้เก้า หายหัวตอนช่วงสำคัญ ไปตายที่ไหนแล้ว”

ยังไม่มีคำตอบเหมือนเดิม จู่ๆ ลู่ฝานฉุกคิดขึ้นในใจ “อย่าบอกนะว่าไอ้เก้าก็โดนควบคุมเหมือนกัน”

ลู่ฝานเกิดความตกตะลึงในใจ รีบสะบัดความคิดนี้ทิ้งไปก่อน

เพราะถ้าเป็นเช่นนี้ ครั้งนี้เขาคงลำบากแล้วจริงๆ

ยืนเงียบๆ อยู่ตรงนั้น ลู่ฝานเหมือนรูปปั้นหินองค์หนึ่ง

นักบู๊สองสามคนด่าอย่างมีความสุข พอด่าเหนื่อยก็โยนหินใส่ลู่ฝาน จากนั้นจึงเดินไปด้วยความพอใจ

หินกระแทกโดนตัวลู่ฝาน ไม่เจ็บไม่คัน ไม่มีพลังปราณ แค่พลังฝ่ามือของพวกเขา ถึงเอาหินก้อนใหญ่มาโยนใส่เขา ตัวลู่ฝานก็ไม่สะเทือนหรอก

ในกลุ่มคน หยวนเลี่ยมองมาทางลู่ฝานด้วยสายตากังวลตลอดเวลา

แต่เขาก็ไม่รู้จะทำอย่างไร สับสนวุ่นวายเป็นอย่างมาก

ตอนนี้เขาหวังว่าลู่ฝานจะตัดสินใจออกจากเขาวิถีบู๊ไปเลย เพื่อจะได้ไม่ตายบนเขา แต่เห็นคนอื่นทำให้ลู่ฝานอับอายขนาดนี้ เขาก็รู้สึกโมโหมาก

ลู่ฝานขยับลูกตาไปมา เห็นหยวนเลี่ยอยู่ในกลุ่มคนเช่นกัน

เขาเอาแต่มองหยวนเลี่ยอยู่อย่างนั้น นัยน์ตาเต็มไปด้วยความแน่วแน่

หยวนเลี่ยมองสายตาลู่ฝานออก เขาถอนหายใจแล้วหันหลังเดินไป ลู่ฝานจึงเลิกมอง

ทุกคนเดินไปแล้ว ที่ตีนเขาเหลือลู่ฝานเพียงคนเดียว

ลู่ฝานไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ และไม่รู้ว่าตัวเองจะทนได้อีกนานแค่ไหน เขารู้สึกว่าพลังกดดันที่หนักหน่วง ทำให้ขาของเขาเริ่มไม่มีแรง เริ่มชาแล้ว

จู่ๆ เขาคิดขึ้นได้ ตอนได้กระบี่หนักไร้คมในตอนแรก ก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน

เขาหัวเราะในใจเบาๆ จู่ๆ ลู่ฝานมีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมขึ้นมา

ตอนนั้นยากขนาดนั้นเขายังอดทนผ่านมาได้ ตอนนี้จะทนไม่ได้อย่างนั้นเหรอ

ลู่ฝานยืนอยู่ตรงนี้อย่างแน่วแน่ เว้นเสียแต่เขาจะเป็นลมตายไป ไม่งั้นไม่มีใครไล่เขาออกจากภูเขาได้

พลานุภาพสร้างความกดดันของเทพบู๊แล้วยังไง เขาวิถีบู๊แล้วยังไง

ฉันคือลู่ฝาน ใครจะขวางฉันได้!

ฉันจะสู้กับพลานุภาพกดดันนี้ ดูสิว่าใครจะอยู่ได้นานกว่ากัน!

ยอดเขาสูงตระหง่าน วิถีบู๊สว่างระยิบระยับ

จวนแต่ละจวนที่นี่ เป็นสัญลักษณ์วิถีบู๊ของผู้แข็งแกร่งแต่ละท่าน

ในตำนานมีแค่ผู้แข็งแกร่งแดนหยินหยางขั้นสมบูรณ์ ที่ประเทศอู่อาน ไปสู่เป้าหมายวิถีบู๊สูงสุด ถึงจะสามารถทิ้งการถ่ายทอดของตัวเองไว้บนเขาวิถีบู๊ได้

ตอนที่พวกเขาตายและสูญเสียวิถี ทิ้งเชื้อเพลิงที่ไม่มีวันดับไว้ให้ประเทศอู่อาน หลายปีมานี้ ช่วยนักบู๊อายุน้อยเปลี่ยนแปลงร่างกายซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุด จนสำเร็จไปตั้งเท่าไรแล้วก็ไม่รู้ เรียกได้ว่าเข้ามาในเขาวิถีบู๊แล้วไม่ได้อะไร ก็เท่ากับเข้ามาในคลังสมบัติ แล้วกลับไปมือเปล่า นั่นเป็นพฤติกรรมที่น่าอายมาก คนจำนวนมากอยากเข้ามาแต่ไม่สามารถเข้ามาได้!

เมื่อจวนเหล่านี้ปรากฏขึ้น แรงกดดันที่น่ากลัวออกมาจากทั่วทุกแห่ง

ราวกับพริบตาเดียว ทุกคนรู้สึกว่ายกเท้าเดินลำบากมาก มีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดขึ้นมาบนใบหน้าคนจำนวนไม่น้อยทันที

“นี่คือพลานุภาพสร้างความกดดันของเทพบู๊ในตำนาน เป็นการกดขี่ที่ก่อตัวจากความตั้งใจก่อนตายของผู้แข็งแกร่งนับไม่ถ้วน แข็งแกร่งจริงๆ! ทุกคนต้องต้านทานให้ได้ ถ้าล้มลงตอนนี้ ก็เท่ากับมาเขาวิถีบู๊เสียเที่ยว จำไว้ว่าก่อนปรับตัวให้เข้ากับพลานุภาพสร้างความกดดันของเทพบู๊ ห้ามใช้พลังปราณใดๆ ทุกคนเดินช้าๆ ขึ้นไปข้างบน ยิ่งเดินขึ้นไป พลานุภาพสร้างความกดดันของเทพบู๊จะยิ่งลดลง”

จู่ๆ เทียนชิงหยางพูดตะโกนเสียงดังขึ้นมา

เขาเพิ่งตะโกนจบ นักบู๊สองสามคนกระอักเลือดล้มลงบนพื้น พลังปราณปั่นป่วนไปทั้งตัว

เห็นได้ชัดว่าสองสามคนนี้เพิ่งใช้พลังปราณ จึงโดนพลานุภาพสร้างความกดดันของเทพบู๊ซัดจนพินาศ ตอนนี้พลังแว้งกัดจนสลบไปทันที

ป้ายประจำตัวในอกของพวกเขาสว่างขึ้นทันที หลังจากนั้นสองสามคนลอยไปด้านหลัง ร่วงลงนอกเขาวิถีบู๊

ทุกคนถึงกับสูดหายใจเฮือกด้วยความหวาดกลัว จากนั้นมองเทียนชิงหยางด้วยสายตาซาบซึ้ง

ถ้าเทียนชิงหยางไม่เอ่ยปากเตือน คงไม่รู้ว่าในบรรดาพวกเขา จะโดนขับไล่ออกจากเขาวิถีบู๊ตั้งกี่คน

ทันใดนั้น เทียนชิงหยางสร้างความประทับใจให้ทุกคนได้

เดินช้าๆ ทุกคนเริ่มต้านทานพลังกดดัน ค่อยๆ เดินขึ้นไปด้านบน

แต่ละก้าวจะมีเหงื่อหยดลงบนพื้น หลังจากนั้นก็หายไปอย่างรวดเร็ว

เขาวิถีบู๊ไม่มีเส้นทาง มีเพียงแถวของรอยเท้าที่ชัดเจน ที่คาดเดาโดยคนรุ่นก่อนท่ามกลางต้นไม้เขียวชอุ่ม

ทุกคนเดินตามรอยเท้าพวกนี้ขึ้นไปด้านบน แต่กลับมีหนึ่งคนที่ยังไม่ขยับ

รอจนทุกคนเดินไปได้หลายสิบก้าว ยังพบว่าคนนั้นยังยืนอยู่ตรงนั้น

ถูกต้อง คนเดียวที่ยังไม่ขยับก็คือลู่ฝานอีกแล้ว!

แต่ครั้งนี้ใช่ว่าลู่ฝานไม่อยากขยับ แต่เขาไม่สามารถขยับได้ต่างหาก

พลังกดดันอันน่ากลัว กำลังอัดร่างกายของเขาอย่างสุดชีวิต

ลู่ฝานสัมผัสได้ชัดเจนว่านั่นไม่ใช่พลังฟ้าดิน ไม่ใช่ค่ายกล แต่เป็นเขตวิถีบู๊

คิดไม่ถึงว่าที่นี่จะมีเขตวิถีบู๊ขัดขวางไม่ให้เขาเข้าไป!

ลู่ฝานไม่กล้าแม้กระทั่งกะพริบตา เพราะเขากลัวว่าถ้าตัวเองหลับตาแล้วจะไม่ได้ลืมตาขึ้นมาอีก

เปลือกตาหนักจนน่ากลัว ทั้งตัวไม่มีส่วนไหนที่ไม่ปวด ตอนนี้ลู่ฝานกัดฟันอดทนไว้ เขาไม่เข้าใจว่าคนอื่นยังเดินได้อย่างไร

หรือเขตวิถีบู๊นี้มีพลังกดดันอย่างหนักกับเขาเพียงคนเดียว!

เทียนชิงหยางที่เดินอยู่หน้าสุด ยังสามารถหันมามองเขาได้ เมื่อเห็นลู่ฝานยังยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น

เทียนชิงหยางหัวเราะพรืดแล้วพูดว่า “ลู่ฝาน นายจะเล่นกลอุบายอีกแล้วเหรอ ที่นี่ไม่ใช่สะพานสายรุ้งนะ สนุกเหรอ”

ลู่ฝานไม่ได้ตอบเขา เขาอยากตอบก็ตอบไม่ได้ ยังยืนอยู่ได้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว

พวกหานหยวนหนิงก็หันกลับมา ยิ้มอย่างดูหมิ่นใส่ลู่ฝาน

นักบู๊สองสามคนที่ปากไม่ดี หัวเราะเสียงดังแล้วพูดว่า “ลู่ฝาน อย่าบอกนะว่านายเดินไม่ไหวแล้ว”

“ฉันว่าเมื่อกี้เขาไม่ฟังคำพูดคุณชายเทียนแน่ๆ ใช้พลังปราณ ตอนนี้กำลังทนกับการแว้งกัดอยู่”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1116

ความคิดไม่เข้าท่าวนเวียนในสมอง เรือมังกรทองห้ากรงเล็บวนอยู่บนท้องฟ้าศูนย์กลางเมืองครู่หนึ่ง จากนั้นพุ่งเข้าไปในอุโมงค์ข้ามมิติทันที ครั้งนี้ลู่ฝานเห็นการไหลนับไม่ถ้วนไหลไปทางเดียวกัน

ที่นั่นคือภูเขาสูงใหญ่หนึ่งลูก การไหลนับไม่ถ้วน ใช้แสงเก้าสีก่อตัวเป็นเขาขนาดใหญ่ ปรากฏในสายตาทุกคน

“นี่คือเขาวิถีบู๊เหรอ”

ลู่ฝานถามเสียงเบา

ไม่มีใครตอบเขา ทุกคนตกตะลึงกับภาพที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้

แสงไหลเวียน พลังนับไม่ถ้วนรวมตัวกัน ทับซ้อนกันไปมา แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นเขาสูงหนึ่งลูก

ลู่ฝานสัมผัสได้ถึงการไหลนี้ ต้องรวมตัวจากรูปแบบค่ายกลใดค่ายกลหนึ่งแน่นอน แต่เขาพูดชื่อค่ายกลนี้ไม่ออก และไม่เข้าใจรูปแบบการไหลรวม

สิ่งเดียวที่รู้คือ ยอดเขาแห่งนี้มีพลังที่น่ากลัวเป็นอย่างมากแฝงอยู่!

ไม่นาน มังกรทองห้ากรงเล็บพาทุกคนมาถึงหน้ายอดเขา

ทันใดนั้น มังกรทองห้ากรงเล็บพุ่งออกจากอุโมงค์ข้ามมิติ ทิวทัศน์ของโลกเปลี่ยนไปทันที สิ่งที่ปรากฏในสายตาคือฟ้าครามเมฆขาว อีกทั้งยอดเขาสูงตระหง่านที่อยู่ไม่ไกล เหมือนเขาที่ก่อตัวจากอุโมงค์มิติไม่มีผิด!

เขาวิถีบู๊ นี่คือเขาวิถีบู๊!

เขาวิถีบู๊ หรือเรียกอีกอย่างว่าเขาอู่จิ้ง หรือไม่ก็เขาอู่หยู่

เมฆหมอกปกคลุม ไอหมอกเต็มไปหมด

มองจากไกลๆ ความยิ่งใหญ่ของยอดเขา เหมือนกระบี่ยักษ์เล่มหนึ่ง ปักตรงขึ้นไปบนฟ้า

มังกรทองห้ากรงเล็บบินต่อไปด้านหน้า ผ่านเมฆหมอก ผ่านป่าไม้ สุดท้ายมาถึงตีนเขาวิถีบู๊

ข้างหน้ามีซุ้มประตู ไม่งดงาม ไม่ยิ่งใหญ่ แคบขนาดที่คนเดินเรียงกันเข้าไปได้แค่สามคน

ลู่ฝานและคนอื่นที่เห็นห้องใหญ่จนชิน จู่ๆ มาเห็นซุ้มประตูเล็กขนาดนี้ รู้สึกปรับตัวไม่ได้ชั่วขณะ

บนซุ้มประตูด้านซ้ายเขียนว่า “หยินหยางมีลำดับชัดเจน พลานุภาพยิ่งใหญ่สะเทือนทั่วใต้หล้า”

บนซุ้มประตูด้านขวาเขียนว่า “อาทิตย์ดวงจันทร์ลอยบนฟ้า พลานุภาพปกคลุมทั้งใต้หล้า”

กลางซุ้มประตู มีอักษรสลักเอาไว้ว่า “ฝึกบู๊” !

ตัวอักษรทุกตัว เส้นขีดทุกเส้น เหมือนผ่านการทุบตีนับร้อยพันครั้ง สับด้วยมีดกระแทกด้วยขวาน

ลู่ฝานสัมผัสได้ว่าตัวอักษรทุกตัวมีพลัง มีจิตวิญญาณแฝงอยู่ในนั้น มองนานมากไม่ได้ ถ้าระดับแดนไม่เพียงพอ จะเป็นการทำความเข้าใจทันที อาจโดนจิตวิญญาณด้านใน ส่งผลกระทบกับจิตวิถีบู๊ของตัวเอง

ลู่ฝานละสายตาออกมา แต่บางคนไม่ได้ละสายตาออกมา

ไม่นาน มีเสียงกระอักเลือดดังออกมาจากกลุ่มคน

ขนาดเทียนชิงหยางมองดูไม่กี่ครั้ง ยังจำใจต้องละสายตาออกมา

ตอนนี้หัวหน้าองครักษ์เกราะทองถือพระราชโองการไว้ในมือ พูดเสียงดังว่า “นักบู๊ทุกคนเข้าสู่เขาวิถีบู๊ อีกสิบวันเรือมังกรจะมารับ ถ้ามีสถานการณ์เร่งด่วน ป้ายเหล็กประจำตัวของตัวเองให้แตกก็พอ!”

เมื่อทุกคนได้ยินจึงพยักหน้า จากนั้นเดินไปทางซุ้มประตู

ลู่ฝานยืนอยู่หน้าสุด เพียงสองก้าวก็ข้ามซุ้มประตูแล้ว

วินาทีที่ก้าวเข้าไป ลู่ฝานรู้สึกว่าตัวเองข้ามฉากกั้นอันหนึ่ง

เมื่อเงยหน้ามองไปด้านหน้า ตอนนี้ยอดเขาด้านหน้าเกิดการเปลี่ยนแปลงอีกแล้ว จู่ๆ มีตำหนักที่แตกหักปรากฏขึ้นบนเขาวิถีบู๊ อีกทั้งยังเริ่มส่องแสงออกมาด้วย

ลู่ฝานมองตำหนักเหล่านี้ ใจเขาสั่นเล็กน้อย

ทันใดนั้น เสียงเจดีย์เสวียนเก้ามังกรดังขึ้น

“เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ คือจวน คือจวนอากาศธาตุทั้งหมด รวยแล้ว ที่นี่เป็นการถ่ายทอดทั้งนั้น เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ พุ่งไปเลย!”

ลู่ฝานอ้าปาก แววตาวูบไหว

“คิดไม่ถึงว่าจะใช่ทั้งหมดเลย!”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1115

เพียงพริบตาผ่านไปแล้วห้าวัน ในที่สุดการประกาศเริ่มการแข่งขันรอบสองก็มาถึง

มาที่ตำหนักไท่เหออีกครั้ง ครั้งนี้ทุกคนมีพลังเต็มเปี่ยม จิตใจเร่าร้อนฮึกเหิม ลูบไม้ลูบมือรอการคัดเลือกรอบสองเริ่มต้นขึ้น

ตอนนี้ลู่ฝานยืนอยู่แถวแรกในกลุ่มคน เป็นตำแหน่งที่สะดุดตาที่สุด สายตาคนส่วนใหญ่พากันมองมาที่เขา

ฉินซางต้าตี้โบกมือให้ทุกคนแล้วพูดว่า “วันนี้เป็นด่านที่สองของการคัดเลือก คิดว่าพวกนายคงรู้กันแล้วว่าด่านที่สองคืออะไร บุกเข้าไปในเขาวิถีบู๊ นี่เป็นกฎที่มีมายาวนานของนักบู๊ประเทศอู่อาน ฉันไม่พูดอะไรมาก สรุปว่าผู้ที่อยู่บนเขาวิถีบู๊ได้สิบวันเต็ม ถือว่าผ่านด่าน พวกนายต้องรักษาโอกาสครั้งนี้ไว้ เขาวิถีบู๊อาจเป็นโอกาสและโชคชะตาครั้งใหญ่ที่หายากในชีวิตพวกนาย”

ทุกคนพูดตอบรับเสียงดัง แล้วตะโกนว่า “จะไม่ทำให้ฝ่าบาทผิดหวังครับ!”

ฉินซางต้าตี้สะบัดมือแล้วพูดว่า “ดี ขึ้นเรือมังกร!”

พูดจบ เสียงดังกึกก้องดังมาจากด้านนอก

ทุกคนหันไปมอง เห็นเงาสีดำขนาดใหญ่ ปรากฏขึ้นหน้าประตูตำหนักไท่เหอ

ทุกคนยืดคอมองไปข้างนอก จึงเห็นชัดๆ ว่านั่นคืออะไร

ด้านหนึ่งของเรือยักษ์มังกรทองห้ากรงเล็บ ปรากฏอยู่ในสายตา

ตัวเรือยาวเป็นพันคืบ สูงเป็นร้อยคืบ ราวกับมังกรยักษ์ร่วงลงด้านนอกตำหนักไท่เหอ เสียงมังกรคำรามดังขึ้นหนึ่งครั้ง คิดไม่ถึงว่าเรือลำนี้เป็นสิ่งมีชีวิต!

“ขึ้นเรือมังกร!”

หัวหน้าองครักษ์เกราะทองพูดเสียงดัง

ภายใต้การนำขององครักษ์เกราะทอง นักบู๊ทุกคนเดินออกจากตำหนักไท่เหอ

เรือมังกรทองห้ากรงเล็บลอยลงมาด้านนอกตำหนัก แสงสว่างแสบตา

มังกรทองยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งลงมาข้างหน้าตำหนัก ทุกคนเดินขึ้นไปบนกรงเล็บมังกรตามลำดับ หลังจากนั้นถูกมังกรทองห้ากรงเล็บวางไว้บนหลังตัวเอง ซึ่งก็คือภายในเรือที่หลอมจากเกล็ดมังกร

ลู่ฝานยืนอยู่บนตัวเรือ พื้นด้านล่างเป็นเนื้อหนังของมังกรยักษ์ พลังพลุ่งพล่านผ่านไปใต้ฝ่าเท้า ลู่ฝานเห็นแล้วอดทึ่งไม่ได้

ไม่นาน นักบู๊ร้อยกว่าคนขึ้นมาบนเรือมังกรทั้งหมด กลุ่มองครักษ์เกราะทองก็ยืนอยู่ตามที่ต่างๆ บนตัวมังกร หัวหน้าองครักษ์เกราะทองพูดเสียงดัง

“ขึ้นไป!”

ทันใดนั้นมังกรยักษ์บินขึ้นไปบนฟ้า พร้อมเสียงคำราม พุ่งไปนอกพระราชวังทันที!

สายลมรุนแรง พัดจนแขนเสื้อของลู่ฝานและคนอื่นปลิวไปมา

ความเร็วของมังกรยักษ์เร็วสุดขีดจริงๆ คิดไม่ถึงว่าแค่กระโจนทีเดียวก็ออกมาจากเมืองชั้นในแล้ว!

“รีบมาดูเร็ว! มังกรเทพบินออกจากวังแล้ว!”

กลางเมืองชั้นใน คนนับไม่ถ้วนเห็นเงาของมังกรเทพ ต่อจากนั้นคนนับไม่ถ้วนเห็นลู่ฝานและคนอื่น ที่อยู่บนตัวของมังกรยักษ์!

“นั่นพวกลู่ฝานนักกระบี่แห่งตงหวา พวกเขาจะไปเขาวิถีบู๊แล้ว!”

“จริงเหรอ รอบสองเริ่มขึ้นแล้ว พวกลู่ฝานออกเดินทางแล้ว!”

ทุกคนพูดอย่างตกใจ เรือมังกรห้ากรงเล็บบินผ่านหัวพวกเขาไปอย่างรวดเร็ว!

ทุกที่ที่ผ่านไป กลุ่มคนราวกับมดเงยหน้ามองลู่ฝานและคนอื่น ถึงตัวอยู่ท่ามกลางเมฆหมอก ลู่ฝานยังได้ยินเสียงตะโกนด้านล่าง

“คุณชายลู่ฝาน ฉันรักนาย ฉันไม่แต่งงานกับคนอื่นถ้าไม่ใช่นาย!”

“เทียนชิงหยาง คุณชายเทียน นายหล่อมาก!”

“พระเจ้า คุณชายลู่ฝานมีเสน่ห์มากเลย ฉันควรชอบใครดี!”

สิ่งที่เรียกว่าโฆษณาโอ้อวดไปตามถนนเพื่อดึงดูดความสนใจจากผู้คน รูปร่างสูงใหญ่ พกดอกไม้สีแดงบนตัว วิธีเหล่านี้ เมื่อเทียบกับตอนนี้ช่างอ่อนแอสิ้นดี

แค่มังกรทองห้ากรงเล็บตัวนี้ ไม่รู้ดึงดูดสายตาผู้คนตั้งเท่าไรแล้ว ทำให้คนตั้งเท่าไรร้องเสียงหลงออกมา

ถึงนายน่าเกลียดจนไม่รู้จะน่าเกลียดยังไงแล้ว ขี้เหร่จนไม่รู้จะขี้เหร่ยังไงแล้ว แค่นั่งบนเรือมังกรทอง ก็จะมีคนส่งเสียงเชียร์นายทันที

เป็นไปตามคาด ผู้ชายต้องอาศัยพาหนะ ลู่ฝานเห็นท่าทางตื่นเต้นของคนนับไม่ถ้วนด้านล่าง แอบคิดในใจว่า เมื่อไรเจ้าดำจะกลายเป็นมังกรยักษ์แบบนี้บ้าง เขาจะได้เท่บ้าง

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1114

ลู่ฝานพูดว่า “แสดงให้เห็นว่านายไม่ใช่พวกเดียวกับฉันไง เมื่อเป็นแบบนี้ นายจะปลอดภัย”

หยวนเลี่ยพูดว่า “แต่ว่า……”

ลู่ฝานยกมือขึ้นมาแล้วพูดว่า “สหายหยวนเลี่ย นาย เฝิงอิ่ง และเซี่ยงจู้ เป็นเพื่อนที่ฉันมีอยู่ไม่มากในเมืองหลวง ฉันไม่อยากให้นายเป็นอะไรจริงๆ พวกเขาต้องการจัดการฉัน ฉันไม่กลัวเลย เพราะฉันมั่นใจว่าพวกเขาฆ่าฉันไม่ตาย แต่ถ้าเป็นนาย ต้องรู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี นี่ก็ถือว่าช่วยฉันแล้ว!”

หยวนเลี่ยมองตาลู่ฝาน เขาเห็นเพียงความจริงใจและแน่วแน่

ผ่านไปนาน หยวนเลี่ยพูดด้วยรอยยิ้ม “ได้ครับ สหายลู่ฝาน ทำไมนายถึงเก่งขนาดนี้ ผมผ่านด่านแรกได้ถือว่าสุดขีดจำกัดแล้ว ส่วนรอบที่สองมีโอกาส 80 เปอร์เซ็นต์ที่จะโดนคัดออก ต่อไปถ้ามีโอกาส นายต้องให้คำชี้แนะผมอย่างเต็มที่สักรอบ ผมจะได้กลับไปโอ้อวดที่เขตเยี่ยนได้”

ลู่ฝานพยักหน้าพูดว่า “ได้แน่นอน!”

จากนั้นหยวนเลี่ยยกแก้วชาขึ้นดื่ม

หลังจากนั้นหยวนเลี่ยลุกขึ้นบอกลา ลู่ฝานเดินมาส่งเขาที่ประตูลานบ้าน

มองหยวนเลี่ยเดินออกไป ลู่ฝานเอาสองมือไพล่หลัง ยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “เขาเป็นเพื่อนที่น่าคบหา”

ลู่ฝานหันหลังเดินกลับไป ฝ่ามือขยับเบาๆ ปราณชี่ไหลเวียนอยู่ปลายนิ้ว เหมือนเขากำลังทดสอบวิชาอะไรบางอย่าง วิชาใหม่ที่ไม่เคยฝึกฝนมาก่อน……

ทางด้านนี้ หยวนเลี่ยกลับมาที่บ้านตัวเอง

ยังไม่ทันเข้ามา จู่ๆ หยวนเลี่ยรู้สึกผิดปกติ จึงหันไปมองด้านหลัง

กวาดตามองดู ไม่มีการเคลื่อนไหวแปลกๆ หยวนเลี่ยพึมพำว่า “คิดไปเองเหรอ ทำไมฉันรู้สึกเหมือนมีคนตามฉันมา เฮ้อ ใครจะไม่มีอะไรทำจนตามฉันมาล่ะ!”

หยวนเลี่ยสะบัดหัว ขำตัวเองไปสองครั้ง เดินเข้ามาในลานบ้าน นางข้าหลวงคนหนึ่งเดินมาด้วยรอยยิ้ม

หลังจากตัวของหยวนเลี่ยหายไป องครักษ์เกราะทองคนหนึ่งรีบเดินออกไป

องครักษ์เกราะทองสองสามคน ที่ช่วยหยวนเลี่ยเฝ้าประตู ทำเหมือนไม่เห็นคนคนนี้ ปล่อยให้เขาเดินออกไป

จวนไท่จื่อ ในสวนหลังบ้าน

ไท่จื่อฉินอวิ่นกำลังตกปลาอีกแล้ว ดูมีความพึงพอใจและมีความสุข

เหรินเจียงและคนอื่นยืนเรียงตามลำดับอยู่ด้านหลัง แต่แปดผู้โดดเด่นเหลือแค่พวกเขาไม่กี่คนแล้ว

องครักษ์เกราะทองคนหนึ่งรีบเดินเข้ามา คุกเข่าข้างหนึ่งลงตรงหน้าไท่จื่อ

“เตี้ยนเซี่ย ทุกอย่างเรียบร้อยครับ คุณชายเทียนรับเงื่อนไขของเรา อีกทั้งยังปลุกปั่นนักบู๊ทั้งหมด เตรียมฆ่าลู่ฝานบนเขาวิถีบู๊ครับ!”

“ดี!”

ไท่จื่อฉินอวิ่นพูดเสียงดัง จากนั้นสะบัดมือ เหรินเจียงรีบเดินเข้ามา เอาธนบัตรเป็นรางวัลให้องครักษ์เกราะทองคนนี้

ไท่จื่อฉินอวิ่นพูดต่อ “จับตามองลู่ฝานต่อไป ถ้าเขามีการกระทำแปลกๆ รีบรายงานฉันทันที จำไว้ว่าการกระทำแปลกๆ อย่างเช่น ถ้าเขาถอดใจกลางคันอะไรทำนองนั้น ให้รีบรายงานทันที”

องครักษ์เกราะทองตอบรับเสียงดัง จากนั้นพูดต่อ “วันนี้มีคนหนึ่งเอาข่าวนี้ไปแจ้งลู่ฝาน แต่เหมือนลู่ฝานไม่มีความคิดถอดใจกลางคันครับ ในทางตรงกันข้ามกลับสนใจเพิ่มขึ้นอีก จะสู้ตัดสินพละกำลังกับนักบู๊คนอื่นด้วย”

ไท่จื่อฉินอวิ่นขมวดคิ้วพูดว่า “แจ้งงั้นเหรอ ใครแจ้ง ไอ้เลวคนไหนปากมาก”

องครักษ์เกราะทองพูดเสียงดังว่า “เตี้ยนเซี่ย นักบู๊ที่ชื่อหยวนเลี่ยครับ!”

ไท่จื่อฉินอวิ่นครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “หยวนเลี่ย ฉันนึกออกแล้ว คนเขตเยี่ยนที่ใช้เงินจำนวนมากซื้อโควตารายชื่อ หึ ฉันใจดีให้โควตารายชื่อกับเขาหนึ่งรายชื่อ คิดไม่ถึงว่าเขาจะไม่รักษาดูแลขนาดนี้ กลับเป็นศัตรูกับฉันด้วย ไปบอกซุนจื้อและคนอื่น ให้ขึ้นไปบนเขาวิถีบู๊ จัดการเขาด้วย กำจัดทิ้งพร้อมกันเลย!”

พูดจบ เบ็ดในมือไท่จื่อฉินอวิ่นสั่นเบาๆ

ฉินอวิ่นยกเบ็ดขึ้นทันที ปลาตัวใหญ่ถูกเขาดึงขึ้นมา

“ฮ่าๆ ติดเบ็ดแล้ว!”

เหรินเจียงและคนอื่นที่อยู่ข้างๆ เอ่ยชมไม่หยุด “ไท่จื่อเป็นยอดฝีมือในการตกปลาจริงๆ ครับ!”

ฉินอวิ่นหัวเราะร่า ยื่นมือไปจับปลาตัวใหญ่ แต่ขณะนั้นเอง ปลาตัวใหญ่ตัวนั้นสะบัดอย่างแรง หลุดออกจากเบ็ดตกปลา ตกลงไปในบึง!

ฉินอวิ่นอึ้งไปครู่หนึ่ง หลังจากนั้นเขากำมือหักคันเบ็ดทิ้งทันที!

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1113

ลู่ฝานจำเขาได้ พูดขึ้นมาพวกเขาก็มาด้วยกันตลอดทาง

“หยวนเลี่ย ไม่ได้เจอกันนานเลย”

ลู่ฝานเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม องครักษ์เกราะทองทั้งสองคนจึงหลีกทางให้ หยวนเลี่ยรีบเดินเข้าไปในลานบ้าน

“คุณชายลู่ ไม่มีเวลาพูดเรื่อยเปื่อยแล้ว ผมมีเรื่องจะคุยกับนาย”

หยวนเลี่ยพูดด้วยใบหน้ากังวล

ลู่ฝานยิ้มให้หยวนเลี่ยแล้วพูดว่า “เรื่องอะไร อย่าบอกนะว่านายโดนคนไล่ฆ่า ศัตรูอยู่ไหนล่ะ ฉันช่วยกำจัดทิ้งเอง!”

หยวนเลี่ยเดินเข้ามาพูดเสียงเบาว่า “คุณชายลู่ ผมไม่ได้โดนไล่ฆ่า แต่นายโดนคนเพ่งเล็ง นายไม่รู้หรอก ตอนนี้ทุกคนคิดจะจัดการนาย พวกเขาจะร่วมมือกันจัดการนายตอนรอบที่สอง ถึงกระทั่งที่จะฆ่านายบนเขาวิถีบู๊ด้วย!”

รอยยิ้มบนใบหน้าลู่ฝานไม่จางหายไปเลย เขาพูดว่า “งั้นเหรอ นี่เป็นความคิดใครเหรอ เขามีความสามารถจริงๆ ทำให้ทุกคนรวมตัวกันฆ่าฉันได้”

หยวนเลี่ยพูดว่า “จะใครอีกล่ะ ใครก็ดูออกว่าเทียนชิงหยางจงใจทำ คุณชายลู่ฝาน ผมว่าคุณชายรีบถอยเพื่อเอาชีวิตรอดดีกว่า ยังไงแล้วนายก็ได้ที่หนึ่งในรอบแรกแล้ว ตอนนี้แสร้งทำเป็นป่วย แล้วออกจากการคัดเลือก รักษาชีวิตเอาไว้ได้ อีกทั้งยังไม่เสียหน้าด้วย”

ลู่ฝานส่ายหน้าพูดว่า “ไม่มีทาง ฉันไม่ถอยหรอก สหายหยวนเลี่ย เข้ามานั่งสิ เฝิงอิ่งกับเซี่ยงจู้ล่ะ พวกเขาเข้าร่วมการคัดเลือกหรือยัง”

หยวนเลี่ยเห็นลู่ฝานไม่ตกใจสักนิด ถึงขั้นที่หนังตาไม่กระตุกเลย จึงอดพูดอย่างประหลาดใจไม่ได้ “คุณชายลู่ฝาน อย่าบอกนะว่านายไม่กังวลเลย”

ลู่ฝานพูดด้วยรอยยิ้ม “กังวลล้วนเป็นสิ่งที่เกินความจำเป็น พวกเขาจะมาก็มาสิ การสอบประเมินผู้ตรวจการในตอนนั้น ฉันก็โดนกลุ่มคนล้อมโจมตี แต่แล้วยังไงล่ะ ซัดให้ล้มทั้งหมดก็จบ ถ้าเป็นแบบนี้ ไม่แน่อาจไม่ต้องแข่งรอบสามก็ได้ ประกาศไปเลยว่าฉันชนะ!”

ลู่ฝานหัวเราะออกเสียง

หยวนเลี่ยอ้าปากค้างมองลู่ฝาน หุบปากไม่ลงอยู่นาน

ลู่ฝานฉุดกระชากหยวนเลี่ยเข้ามาในห้อง

ไม่ต้องให้ลู่ฝานพูดอะไรมาก องครักษ์เกราะทองคนหนึ่ง เอาชามาวางไว้บนโต๊ะหนึ่งกาอย่างรู้งาน

ชาหอมมาก ต้องเป็นชาชั้นยอดแน่ๆ แต่หยวนเลี่ยไม่มีกะจิตกะใจดื่มชาจริงๆ เขามองลู่ฝานแล้วพูดขึ้นว่า “คุณชายลู่ฝาน ตอนเพิ่งรู้จักนาย ผมรู้แค่ว่านายเป็นนักบู๊ ไม่มีประสบการณ์ ออกมาเป็นครั้งแรก แม้แต่สิ่งที่เดินทางผ่านมิติยังควบคุมไม่เป็น แต่หลังจากผ่านรังหนอน ผมได้รู้ว่านายเป็นนักบู๊ที่เก่งกาจ พละกำลังแข็งแกร่งมาก เหนือกว่านักบู๊ทั่วไปมาก ผมอยากเรียนรู้จากนาย หลังจากถึงเมืองหลวง ผมเพิ่งรู้ว่านายเป็นยอดฝีมือในรายชื่อประเทศ นักกระบี่แห่งตงหวา เป็นแบบอย่างของผม ตอนนี้ชื่อเสียงนายดังกระฉ่อนไปทั้งเมืองหลวง ยังได้อันดับหนึ่งในรอบแรกด้วย กลายเป็นบุคคลที่ผมเลื่อมใส ผมไม่อยากเห็นนายตกม้าตาย จบชีวิตที่เขาวิถีบู๊หรอกนะครับ!”

ลู่ฝานค่อยๆ รินชาให้ตัวเอง แล้วพูดว่า “วางใจเถอะ ฉันไม่มีทางตาย”

หยวนเลี่ยพูดว่า “นายมั่นใจขนาดนี้เลยเหรอ”

ลู่ฝานพยักหน้าพูดว่า “อืม มั่นใจขนาดนี้ คำตอบนี้นายพอใจแล้วหรือยัง”

หยวนเลี่ยถอนหายใจแล้วพูดว่า “ได้ครับ งั้นผมไม่พูดอะไรมากแล้ว คุณชายลู่ นายกับผมได้เจอกัน ถือว่าเป็นเพื่อนกันแล้ว ถ้ามีอะไรที่ผมช่วยได้ บอกผมมาได้เลย ไม่มีปัญหา”

ลู่ฝานครุ่นคิดแล้วพูดว่า “ก็มีอยู่นะ สหายหยวนเลี่ย เมื่อถึงตอนขึ้นเขาวิถีบู๊ ทางที่ดีนายอยู่ให้ห่างจากฉัน ทำเหมือนไม่รู้จักฉัน หนำซ้ำฆ่าฉันไปกับพวกเขาก็ได้”

หยวนเลี่ยขมวดคิ้วพูดว่า “ทำไมล่ะครับ”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1112

“ใช่ ฉันก็จะขอคำแนะนำจากเขาสักสองกระบวนท่า!”

“หึ คนแบบนี้คิดจะเอาอันดับหนึ่งอีกรอบ ฝันไปเถอะ เขาวิถีบู๊คือจุดจบของเขา!”

“ทุกท่าน สู้เราร่วมมือกัน ขับไล่ลู่ฝานออกจากการแข่งขัน ที่เขาวิถีบู๊ก่อนไม่ดีกว่าเหรอ”

“ดี ฉันเห็นด้วยกับเรื่องนี้”

“เราก็เห็นด้วย!”

กลุ่มคนส่งเสียงดังออกมา

หานหยวนหนิงยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “ลู่ฝานจบเห่แล้ว วิธีนี้ของเทียนชิงหยางฉลาดมาก หาคนสนับสนุน บีบลู่ฝานให้อยู่ตรงข้ามกับทุกคน ให้เขาทำให้ทุกคนโกรธ จากนั้นโดนคัดออก ไม่ต้องลงแรงเยอะเลย”

หลิ่วเจินกัดน่องไก่พลางพูดว่า “ทำไม เจ้าบ้าหาน นายก็กลัวเหมือนกันเหรอ เทียนชิงหยางใช้ไม้นี้ ก็จัดการได้แค่คนไม่มีรากฐาน ไม่มีอำนาจในเมืองหลวงอย่างลู่ฝาน ถ้าคนพวกนี้คิดจะรุมพวกเรา พวกเขาต้องคิดดูให้ดี ไม่ต้องกลัวหรอก!”

หานหยวนหนิงพยักหน้าพูดว่า “ใช่ ดูเหมือนถูกต้องที่ฉันมาวันนี้ ทำให้ฉันได้เห็นจิตใจโหดเหี้ยมของเทียนชิงหยาง!”

เมื่อพูดถึงประโยคสุดท้าย หานหยวนหนิงกัดฟันขึ้นมา

สือเฉินจ้องหานหยวนหนิงเขม็ง แล้วพูดว่า “เจ้าบ้าหาน นายไม่ได้จะสู้เป็นตายกับเทียนชิงหยางบนเขาวิถีบู๊ใช่ไหม!”

หานหยวนหนิงพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ความแค้นฝังลึก ไม่เขาก็ฉันที่ต้องตาย!”

หลิ่วเจินกับสือเฉินมองตากัน ทั้งสองเผยสีหน้าเหนื่อยใจออกมา

ทุกคนเดือดแค้นเป็นอย่างยิ่ง คนกลุ่มหนึ่งดื่มเหล้าเยอะเกินไป เริ่มตะเบ็งเสียงก่นด่าลู่ฝาน

คนคือสัตว์ที่คล้อยตามคนหมู่มากได้ง่าย แค่คนกลุ่มหนึ่งกำลังก่นด่าใครสักคน คนที่เหลือก็จะด่าตามไปด้วย ไม่ว่าจะเกลียดคนคนนั้นจริงหรือไม่ อีกทั้งยิ่งด่ายิ่งมีพลัง ยิ่งด่ายิ่งเสียงดัง นี่เรียกว่าไม่มีความคิดเป็นของตัวเอง

ในสถานการณ์แบบนี้ คนที่ยังดุดันอยู่มีแค่ไม่กี่คน

เมื่อมองดูแล้ว ก็มีแค่สิบกว่าคน

ตอนนี้มีคนค่อยๆ ลุกขึ้น ตัวเซไปมา เหมือนคนคออ่อนดื่มเหล้าได้ไม่มาก เขาพูดว่า “ทุกคน ฉันขอตัวกลับก่อน ดื่มเยอะไปหน่อย ต้องไปฉี่แล้ว!”

“ไอ้หยวน นายคออ่อนใช้ไม่ได้เลย ไปเถอะๆ อย่ามาฉี่ตรงนี้!”

คนข้างๆ หัวเราะพรืด ผลักไอ้หยวนออกไป

ไอ้หยวนเดินออกมาจากลานบ้านเทียนชิงหยางช้าๆ

เพิ่งออกมาจากลานบ้าน ไอ้หยวนเป็นปกติทันที รีบไปที่ลานบ้านลู่ฝานอย่างรวดเร็ว

เวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูป ไอ้หยวนมาถึงหน้าประตู องครักษ์เกราะทองสองคนขวางไอ้หยวนเอาไว้ แล้วพูดว่า “ขอโทษด้วยคุณชาย คุณชายลู่กำลังเก็บตัวอยู่ ไม่พบใครทั้งนั้น!”

ไอ้หยวนพูดเสียงดังว่า “นายไปบอกคุณชายลู่ เพื่อนเก่ามาหา มีเรื่องสำคัญจะคุยด้วย”

องครักษ์เกราะทองทั้งสองคนทำเหมือนไม่ได้ยิน เอาแต่ขวางอยู่ด้านหน้าไอ้หยวน

ไอ้หยวนตะโกนเสียงดังอย่างร้อนใจ “ลู่ฝาน ออกมา!”

ขณะนั้นเอง แสงหนึ่งพุ่งออกมาจากในห้องลู่ฝาน แสงแสบตาทำลายประตูจนกลายเป็นผุยผงทันที

“ที่แท้เป็นแบบนี้นี่เอง ที่แท้ไม่ใช่ความฝัน!”

เสียงหัวเราะของลู่ฝานดังมาจากในห้อง ตอนนี้ไอ้หยวนตะโกนเสียงดังอีกครั้ง “ลู่ฝาน!”

ครั้งนี้ลู่ฝานได้ยินเสียงตะโกนแล้ว เขาเดินออกมาจากห้องช้าๆ

ลู่ฝานมองเห็นคนที่อยู่ตรงประตูลานบ้านจากไกลๆ เขาพูดอย่างประหลาดใจว่า “นายเองเหรอ!”

สองวันนี้ลู่ฝานมักจะรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่าง จะเด้งออกมาจากสมองตัวเอง

ดังนั้นเขาจึงขังตัวเองไว้ในห้อง ไม่พบเจอใครเลย

รวมถึงนักบู๊คนอื่นที่ตั้งใจมาทำความรู้จักเขาด้วย ลู่ฝานปิดประตูไม่เจอใครทั้งนั้น

การกระทำของเขา ทำให้นักบู๊จำนวนไม่น้อยเกิดความไม่พอใจ

มาคัดเลือกเหมือนกัน ทำความรู้จักกันไว้ ต่อไปทุกคนจะได้ดูแลกัน

คนที่มาที่นี่ได้ ไม่มีใครเป็นคนโง่ รู้ถึงความสำคัญของการอยู่กันเป็นกลุ่มในสังคมนี้

แต่ลู่ฝานเอาแต่ไม่เจอใครแบบนี้ ดูยโสเกินไปหน่อยไหม

จู่ๆ มีนักบู๊จำนวนไม่น้อย แอบพูดถึงลู่ฝาน

หันมาดูเทียนชิงหยาง แตกต่างโดยสิ้นเชิง ตั้งแต่เข้ามาในตำหนักเสินอู่วันแรก ก็ทำความรู้จักคนไปทั่ว นับถือกันเป็นพี่น้อง

ระยะเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่วัน ร้อยกว่าคนในที่นี้ กลายเป็นเพื่อนเทียนชิงหยางเกือบทั้งหมด

ไม่ว่าพวกเขาจะชอบหรือไม่ชอบเทียนชิงหยาง ยังไงก็ต้องไว้หน้า อีกทั้งสองสามวันนี้การแสดงออกของเทียนชิงหยางก็เหมาะสมมาก ทั้งไม่อวดดีและไม่หยิ่ง กลับดูถ่อมตัวมากอย่างเห็นได้ชัด มีมารยาทและสุภาพเรียบร้อยมาก!

แม้แต่พวกสุ่ยสือฉวนที่เป็นลูกหลานสิบตระกูลใหญ่เหมือนกัน ยังหาข้อบกพร่องไม่เจอสักนิด

คืนนี้เทียนชิงหยางยังเชิญนักบู๊ทั้งหมด มางานเลี้ยงที่ลานบ้านตัวเองด้วย

ทุกคนมาถึงงาน ขนาดหานหยวนหนิงยังโดนคนเรียกมาอย่างไม่เต็มใจ มีเพียงลู่ฝานที่ปิดประตูไม่ออกมา

“ทุกท่าน คืนนี้ไม่มีเรื่องอื่น ล้วนเป็นนักบู๊ของอู่อาน และเข้าร่วมการคัดเลือกในปีเดียวกัน ต่อไปเราก็เป็นนักบู๊ในบัญชีรายชื่อเดียวกันแล้ว ชนแก้ว!”

เทียนชิงหยางยกแก้วขึ้นสูง ทุกคนคล้อยตามคำพูดไปด้วย

กินดื่มกันพอประมาณแล้ว

เทียนชิงหยางเห็นลู่ฝานยังไม่มา จู่ๆ เขายิ้มบางๆ จากนั้นแอบส่งสายตาให้นักบู๊คนหนึ่งที่อยู่ข้างๆ

ทันใดนั้น นักบู๊ผอมสูงคนนี้ยืนขึ้น พูดเสียงดังว่า “ทุกท่าน วันนี้คุณชายเทียนเชิญเรามาดื่มกิน เป็นเกียรติแก่พวกเราอย่างยิ่ง แต่ฉันมองดูอยู่รอบหนึ่ง เหมือนใครบางคนไม่ได้มา อย่าบอกนะว่าไม่มีคนบอกเขา”

ทุกคนรู้ว่าใครบางคนคือใคร นอกจากลู่ฝานจะเป็นใครได้อีกล่ะ

นักบู๊ร่างกายสูงใหญ่กำยำคนหนึ่ง พูดเสียงดังว่า “ฉันว่าเขาไม่มาแล้ว ตอนคนนี้เข้ามาในตำหนักเซินอู่ก็เก็บตัวทันที ใครไปหาก็ไม่ยอมพบ เหมือนเราไม่อยู่ในสายตาเขา ไม่อยากทำความรู้จักพวกเรา!”

มีนักบู๊หน้าตาร้ายกาจคนหนึ่งลุกขึ้นพูดว่า “ฉันว่าลู่ฝานไม่รู้เรื่องอะไรเลย อย่าบอกนะว่ามาถึงตำหนักเสินอู่ จะไม่กินไม่ดื่มอะไรเลย แม้แต่นางข้าหลวงแสนสวยก็ยังโดนส่งออกมา นี่มันเพราะอะไรกัน ฉันว่ามีโอกาส 80 เปอร์เซ็นต์ที่ใช้ไม่ได้แล้ว!”

นักบู๊สองสามคนพูดแซวว่า “นายพูดให้ชัดเจนว่าตรงไหนใช้ไม่ได้”

นักบู๊หน้าตาร้ายกาจหัวเราะแล้วพูดว่า “คงใช้ไม่ได้หมดเลย!”

ทุกคนหัวเราะลั่น ขนาดหานหยวนหนิงที่นั่งตรงมุมยังหัวเราะแห้งๆ ออกมาสองสามครั้ง

แต่ในกลุ่มคน กลับมีหนึ่งคนที่ขำไม่ออก สีหน้าดูหนักใจขึ้นด้วย

จู่ๆ เทียนชิงหยางโบกมือไปมาแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “เฮ้อ พวกนายเดามั่วแบบนี้ ระวังเขาหาว่าพวกนายใส่ร้ายนะ คุณชายลู่ฝานคือใคร นักกระบี่แห่งตงหวาผู้ยิ่งใหญ่ ด่านแรกทำสะพานสายรุ้งขาด ยอดฝีมือที่ได้อันดับหนึ่ง เขาสุดยอดมาก สุดยอดจนไม่เห็นฉันและทุกคนอยู่ในสายตา รอให้เขาได้อันดับหนึ่งทั้งรอบสองและรอบสาม ถึงตอนนั้นเราคงต้อยต่ำจนเขาไม่เห็นค่าเลยมั้ง!”

นักบู๊หน้าตาร้ายกาจ ปาแก้วหยกในมือลงบนพื้นอย่างแรง แล้วพูดว่า “ฉันจะไม่ยอมให้ลู่ฝานได้อันดับหนึ่งอีก รอบที่สองบุกเข้าไปในเขาวิถีบู๊ สามารถสู้ได้ตามใจชอบ ไม่พูดถึงเรื่องเป็นตาย ถ้าฉันเจอเขาบนเขาวิถีบู๊ ต้องขอคำแนะนำจากเขาสักสองสามกระบวนท่า ดูว่าวิชาในมือเขาจะสูงส่งขนาดนั้นหรือเปล่า!”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1110

ตำหนักเสินอู่ กลิ่นดอกไม้หอมรุนแรง

คนที่ไม่เคยมาตำหนักเสินอู่ คงจินตนาการไม่ออกว่าตำหนักแห่งนี้ จะมีวิวทิวทัศน์งดงามได้ถึงเพียงนี้

ภูเขาและแม่น้ำซ่อนอยู่ด้านใน ศาลา ตึก หอต่างๆ มีอย่างครบถ้วน

งดงามกว่าสวนหอมปาฟางที่ลู่ฝานเคยพัก

สวนด้านหลังตำหนักมีห้องหลายร้อยห้อง นักบู๊ที่คัดเลือกครั้งนี้สามารถเข้าพักได้ทั้งหมด

คนละห้อง เพิ่มลานบ้านอีกหนึ่งแห่ง

ในลานบ้านมีศาลากลางน้ำ ดอกไม้สดเต็มสวน

องครักษ์และนางข้าหลวงไม่ขาดตกบกพร่อง องครักษ์ไม่ต้องพูดถึง องครักษ์เกราะทอง ดูจากเกราะก็รู้ถึงวิทยายุทธ

และนางข้าหลวงที่เข้ามาในวังได้ ล้วนคัดเลือกมาอย่างประณีต ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหรือกิริยาท่าทางล้วนดีที่สุด เพียบพร้อมด้วยมารยาท หาข้อบกพร่องไม่เจอเลย

สิ่งที่ยากกว่านั้น นางข้าหลวงในวังต้องเป็นสาวพรหมจรรย์

ถ้าไม่ใช่ เบาหน่อยคือโดนไล่ออกจากวัง หนักหน่อยก็อาจโดนลงโทษ

ด้วยเหตุนี้ เพิ่งเข้ามาในตำหนักเสินอู่ นักบู๊จำนวนไม่น้อยร้องโหยหวนเหมือนผีด้วยความตื่นเต้น

สำหรับคนจำนวนมาก ได้แต่งนางข้าหลวงกลับบ้านสักคน ถือเป็นบุญที่บรรพบุรุษสั่งสมมาแล้ว พากลับบ้านเป็นเรื่องที่มีหน้ามีตามาก

นางข้าหลวงสามารถแต่งกับนักบู๊แบบพวกเขาได้ เป็นผู้โดดเด่นของประเทศ แค่พวกเขาได้รับความเห็นชอบจากฝ่าบาท ก็สามารถพานางข้าหลวงกลับบ้านได้ และฝ่าบาทใจกว้างกับเรื่องนี้มาโดยตลอด โดยพื้นฐานแล้วขอแค่ทั้งสองมีความรู้สึกต่อกัน สามารถอนุมัติได้

นี่ไม่ใช่เรื่องที่เคยเกิดขึ้นแค่ 1-2 ครั้ง ว่ากันว่าเคยมีหัวหน้าเขตคนหนึ่ง เข้าเมืองมามอบของขวัญวันเกิด พาองครักษ์นักบู๊หนุ่มมาหนึ่งคน ผลปรากฏว่าในงานเลี้ยงวันเกิด องครักษ์คนนี้คบกับนางข้าหลวงคนหนึ่ง แล้วโดนคนจับได้ทันที

ผลปรากฏว่าฝ่าบาทไม่เพียงแต่จะไม่ตำหนิหัวหน้าเขตคนนี้ กลับหัวเราะร่า เห็นชอบให้นางข้าหลวงคนนี้แต่งงานกับองครักษ์ทันที หลังผ่านไปสองสามปี องครักษ์คนนี้รู้สึกซาบซึ้งในพระคุณเป็นอย่างยิ่ง มุมานะทำงานหนักเพื่อความเจริญรุ่งเรือง จนได้เป็นหัวหน้าเขต รอจนเขาได้เข้าเมืองมาอีกครั้ง ฝ่าบาทจำเขาได้ หลังจากซักถาม ยังมอบนางข้าหลวงให้เขาอีกสิบคน เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องราวดีๆ ทันที!

ลองคิดดูแล้ว ตอนนั้นฝ่าบาทยังใจกว้างกับองครักษ์ธรรมดาๆ ของหัวหน้าเขตขนาดนี้

งั้นพวกเขาที่เป็นอนาคตของประเทศ จะจิตใจคับแคบได้อย่างไรล่ะ

ดังนั้นเมื่อคนจำนวนไม่น้อยเข้ามาในตำหนักเสินอู่ ก็เริ่มจีบนางข้าหลวงทันที

ส่วนนางข้าหลวงพวกนี้ มีคนไหนที่ไม่รู้ดีแก่ใจบ้าง เป้าหมายใหญ่ในชีวิตของพวกเธอ ก็คือแต่งงานกับคนตระกูลดีๆ

ถ้าโชคดีหน่อยก็เหมือนนางข้าหลวงคนนั้น แต่งกับหัวหน้าเขต ถ้าโชคชะตาปกติทั่วไป ก็เป็นอนุภรรยาของผู้ดีมีเงินสักคน คนที่ลำบากหน่อยอาจต้องทนอยู่ในวังจนวันเวลาหมดไป ใบหน้าแก่ชรา จากนั้นออกจากวังไปแต่งกับคนรวยสักคน

ถ้าตอนนี้ได้แต่งกับนักบู๊หนุ่มอนาคตก้าวไกล เป็นเรื่องที่ดีสุดๆ ไปเลยไม่ใช่เหรอ

ด้วยเหตุนี้ นางข้าหลวงพวกนี้ก็ชอบแต่แสร้งทำเป็นไม่ชอบ ใบหน้าแดงระเรื่อ แต่ในใจกลับยินยอมตั้งนานแล้ว

เข้ามาตำหนักเสินอู่คืนวันเดียวกัน ลู่ฝานได้ยินเสียงหอบหายใจครางดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไปทั่วตำหนักเสินอู่ ราวกับเสียงเพลงในฤดูใบไม้ผลิ

เรื่องแบบนี้เขา เขาทำเพียงหัวเราะออกมา ปลงที่นักบู๊พวกนี้ไม่ทำเรื่องเป็นการเป็นงาน กลับเข้ามาในวังเพื่อจีบสาว

ลู่ฝานไม่มีความคิดแบบนี้ เขาต้องปรับสภาพอย่างเต็มที่

แม้ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าการคัดเลือกรอบที่สองจะเริ่มตอนไหน แต่คิดว่าคงไม่ยื้อเวลานาน อย่างมากก็ให้พวกเขาได้พัก 2-3 วัน

นางข้าหลวงที่จะมาปรนนิบัติเขา โดนลู่ฝานบอกให้ออกไป พูดตามตรงตอนเห็นนางข้าหลวงพวกนี้ออกไป ด้วยท่าทางน้ำตาคลอเบ้า ลู่ฝานรู้สึกทนไม่ได้เล็กน้อย แต่เขาทำได้แค่ทำแบบนี้ ตอนนี้เขาต้องการความสงบที่สุด

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1109

เห็นบนท้องฟ้ามีตัวอักษรขนาดใหญ่สว่างขึ้น

นั่นเป็นรายชื่อของคนที่ผ่านการคัดเลือกรอบแรก ด้านหลังยังแสดงจำนวนขั้นที่แต่ละคนเดินได้ด้วย

อักษรเหล่านี้ แต่ละตัวใหญ่จนน่าทึ่ง หลังจากระเบิดออกมา ราวกับฝังเอาไว้ในท้องฟ้าอย่างไรอย่างนั้น

ด้านบนสุด ชื่อคนแรกปรากฏในสายตา

ชื่อลู่ฝานขนาดใหญ่ ทำให้คนนับไม่ถ้วนอุทานออกมาด้วยความตกใจ

“ลู่ฝาน คิดไม่ถึงว่าลู่ฝานนักกระบี่แห่งตงหวา จะได้อันดับหนึ่งในรอบแรก!”

“พระเจ้า ลู่ฝานนักกระบี่แห่งตงหวา เป็นผู้แข็งแกร่งในบรรดาผู้แข็งแกร่ง ได้อันดับหนึ่ง”

“เงินฉัน พระเจ้า เงินฉัน ลู่ฝานทำไมนายถึงได้ที่หนึ่งล่ะ!”

เสียงอุทานอย่างตกใจ เสียงร้องโหยหวน เสียงทอดถอนใจ ดังขึ้นไม่หยุด

คนนับไม่ถ้วนชี้ไปยังตัวอักษรขนาดใหญ่บนฟ้า แล้วพากันพูดคุย

อู่คงหลิงได้ยินชื่อลู่ฝาน ก็รีบเดินออกมา เงยหน้ามองฟ้าทันที

“ลู่ฝานจริงด้วย!”

ภายใต้ผ้าปิดหน้าของอู่คงหลิงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

คนชุดดำลูบหนวด แล้วพูดพึมพำว่า “ลู่ฝานน่าสนใจดี ผู้โดดเด่นของสิบตระกูลใหญ่ ล้วนโดนเขาควบคุมเอาไว้หมด คงหลิง ฉันจำได้ว่าเธอรู้จักคนนี้ใช่ไหม”

อู่คงหลิงพูดอย่างเรียบเฉย “ใช่ค่ะ ฉันรู้จัก”

จู่ๆ คนชุดดำมีรอยยิ้มเต็มหน้า แล้วพูดว่า “ดีมากๆ!”

ที่ตระกูลหาน

หานอู๋ซวงมองฟ้าไกลๆ แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “โอ้ เด็กลู่ฝานเจ๋งขึ้นเรื่อยๆ แล้ว! ได้อันดับหนึ่งด้วย”

หานจุนที่อยู่ข้างๆ ชี้ไปที่อันดับสาม แล้วพูดว่า “หานหยวนหนิงก็ได้ที่สาม ไม่เลวๆ เหนือกว่าพวกตระกูลสุ่ย เป็นหน้าเป็นตาให้ตระกูลได้แล้ว!”

หานอู๋ซวงพูดด้วยรอยยิ้ม “นี่ไม่นับว่าเป็นความสามารถ ถ้าสามารถเหนือกว่าเทียนชิงหยางเหมือนลู่ฝานได้ ถึงจะใช้ได้”

หานจุนหัวเราะร่าแล้วพูดว่า “ฉันคิดว่าเรียกลู่ฝานกลับมาดื่มเหล้าด้วยกันได้แล้ว ตอนนี้ไท่จื่อจะแตะต้องเขาคงยากแล้ว”

หานอู๋ซวงหัวเราะแล้วพูดว่า “ได้ เรียกหานสงมาสิ ให้เขาไป เด็กลู่ฝานมีความสามารถจริงๆ!”

ที่ตระกูลเทียน

เทียนหยาจื่อโบกพัดไปมาอย่างสุขุม

“ลู่ฝานเหนือกว่าเทียนชิงหยาง อืม คิดไม่ถึงจริงๆ ดูเหมือนฉันต้องหลบสักพัก นักเรียนของฉันเหนือกว่าผู้สืบทอดในอนาคตของตระกูลเทียน เจ้าบ้านต้องมาคุยกับฉันแน่ๆ อืม ควรหลบก่อน!”

เทียนหยาจื่อพูดจบก็หยิบเหล้าข้างๆ ขึ้นมา เงยหน้าดื่มอึกใหญ่

ดื่มเสร็จแล้วเช็ดมุมปาก แล้วพูดต่อ “แต่ทำไมฉันถึงมีความสุขขนาดนี้นะ หึหึ!”

ในโรงเหล้าแห่งหนึ่งที่ซอยเก่า

เถ้าแก่อ้วนยืนอยู่หน้าประตู ยกเหล้าขึ้นดื่ม กำถั่วขึ้นมากิน พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไอ้หลิว ยัยแก่หยาง ตาเฒ่าเซวียนหยวน มาดูสิ เด็กลู่ฝานได้ที่หนึ่งในรอบแรก”

ไอ้หลิวลูบเคราแล้วพูดว่า “ต้องได้อยู่แล้ว ศิษย์ที่ฉันถูกใจ จะไม่เก่งได้เหรอ ฉันพนันเลยว่าการคัดเลือกสามรอบ เขาจะชนะทั้งหมด”

ยัยแก่หยางพูดด้วยรอยยิ้ม “นี่ก็ใกล้ปลดผนึกแล้วสิ อีกไม่นานเด็กลู่ฝานจะคิดถึงวิชาทั้งสามวิชาของเรา พวกนายเดาว่าเขาจะเลือกวิชาไหน”

ตาเฒ่าเซวียนหยวนพูดอย่างเรียบเฉยว่า “เลือกวิชาไหนไม่สำคัญ เขาฝึกทั้งสามวิชายังได้ สิ่งสำคัญคือฝึกให้ดี ฝึกให้ทรงพลัง ฉันจะไปดูตอนคัดเลือกรอบที่สาม ไม่แน่เขาอาจใช้วิชากระบี่ของฉันก็ได้”

ไอ้หลิวพูดด้วยรอยยิ้ม “ความเข้าใจของเด็กคนนี้ไม่เลว วิชาของฉัน มีความเป็นไปได้ 80 เปอร์เซ็นต์ที่จะเรียนรู้เบื้องต้นได้ ฉันก็จะไปดูเหมือนกัน”

ยัยแก่หยางพูดว่า “พวกนายไปกันหมด งั้นฉันไม่ไปไม่ได้แล้ว ไอ้อ้วนตง นายไปไหม”

เถ้าแก่อ้วนพูดด้วยรอยยิ้ม “ฉันไม่ไปหรอก ฉันต้องเฝ้าร้านนะ!”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1108

“ประกาศอันดับ!”

ประตูเมืองชั้นในเปิดออกทันที แสงหนึ่งส่องขึ้นจากบนกำแพงเมืองชั้นใน พุ่งขึ้นไปบนฟ้า

แสงสว่างแสบตา ยิ่งพุ่งไปข้างบน แสงก็ยิ่งแสบตาอย่างชัดเจน สว่างจ้าขึ้นเรื่อยๆ

ไม่นาน ไม่ว่าจะเป็นเมืองชั้นใน ศูนย์กลางเมือง หัวเมือง เมืองชั้นนอก ล้วนเห็นแสงที่พุ่งขึ้นไปบนฟ้า

คนนับไม่ถ้วนพากันมองไปยังแสงนี้

“ประกาศอันดับแล้วๆ แสงประเทศปล่อยออกมาแล้ว!”

“ดูแสงนั่น ผลรอบแรกใกล้ออกมาแล้ว ลูกหลานสิบตระกูลใหญ่ของฉันต้องได้ที่หนึ่งแน่นอน เป็นไปได้สูงว่าจะเป็นเทียนชิงหยางขวัญใจฉัน!”

“สุ่ยสือฉวนก็เป็นไปได้นะ! ว่ากันว่าหานหยวนหนิงตระกูลหานก็ไม่เลว โอ๊ย ฉันจะดูชัดๆ ว่าใครได้อันดับหนึ่งในรอบแรก!”

“คุณชายลู่ฝานจะได้ที่เท่าไรนะ แม้ไม่ได้ที่หนึ่ง ก็ต้องได้อันดับดีแน่นอน”

“หมดเวลาแล้วๆ! โอกาสสุดท้าย รีบวางเดิมพันเร็วๆ ใครได้ที่หนึ่ง 1:10 โอกาสสุดท้ายแล้ว!”

คนนับไม่ถ้วนทั้งเมืองหลวงเดินมาบนถนน เงยหน้ามองขึ้นไปบนฟ้า

มีคนปีนขึ้นไปบนหลังคา ยกกระจกจำภาพขึ้นมา เตรียมบันทึกภาพวินาทีประวัติศาสตร์เอาไว้!

แสงพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้สว่างเหมือนดวงอาทิตย์แล้ว

ในโรงน้ำชาแห่งหนึ่ง อู่คงหลิงกับคนชุดดำคนหนึ่งนั่งตรงข้ามกัน

คนชุดดำจิบชาเบาๆ แล้วพูดว่า “ต้องเป็นเทียนชิงหยางแน่นอน ในบรรดาคนหนุ่มในประเทศอู่อาน เขาเป็นคนที่มีความสามารถที่สุด หลังจากการคัดเลือกครั้งนี้ เขาน่าจะเป็นตัวแทนประเทศอู่อานไปเข้าร่วมการแข่งนานาประเทศ คงหลิง ตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขาเป็นยังไงกันแน่ งานที่มอบหมายให้เธอ ทำไมถึงเสร็จช้ากว่ากำหนดล่ะ”

อู่คงหลิงพูดอย่างราบเรียบว่า “เจ้าสำนัก เสร็จแล้วค่ะ หานหยวนหนิงจะสู้เป็นตายกับเทียนชิงหยางตอนคัดเลือก คิดว่ารอถึงการคัดเลือกรอบที่สอง พวกเขาต้องสู้กันจนตายไปข้าง ตัดสินแพ้ชนะ อย่างน้อยต้องมีคนตายหนึ่งคน!”

คนชุดดำพูดว่า “อืม แบบนี้ใช้ได้หน่อย งั้นฉันรออีก 2-3 วัน ตระกูลหานกับตระกูลเทียนไม่วุ่นวาย เรื่องใหญ่ของเราก็จะจัดการยาก”

อู่คงหลิงกัดฟันถามว่า “เจ้าสำนัก เรื่องใหญ่อะไรกันแน่คะ บอกฉันได้ไหม”

คนชุดดำเงยหน้ามองอู่คงหลิงครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ช่างเถอะ ไม่ช้าก็เร็ว ยังไงก็ต้องยกตำแหน่งเจ้าสำนักให้เธอ ฉันจะบอกเธอนิดหน่อย รู้จักจิตใจเต๋าสำนักมารหรือเปล่า”

สายตาอู่คงหลิงดูหวาดกลัว ตัวสั่นแล้วพูดว่า “รู้ค่ะ!”

คนชุดดำพูดว่า “รู้ก็ดี เรื่องพวกนี้ที่เราทำ อันที่จริงเป็นเรื่องที่จิตใจเต๋าสำนักมารวางแผนมา อันที่จริงสำนักมารที่ทำเหมือนพวกเรายังมีอีกเท่าไรไม่รู้ ใครสร้างผลงานให้จิตใจเต๋าสำนักมารได้ก่อน คนนั้นก็จะได้โอกาสก่อน ต่อไปตอนที่ถูกจัดสรรมายังใต้หล้า จะได้พื้นที่เพิ่มมากขึ้น”

อู่คงหลิงพูดอย่างประหลาดใจว่า “จัดสรรมายังใต้หล้าเหรอคะ”

คนชุดดำพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ตกใจเหรอ ไม่ต้องตกใจขนาดนี้หรอก เธอไม่คิดเหรอว่าถึงเวลาที่ผู้ฝึกชั่วร้ายจะครองโลกแล้ว”

อู่คงหลิงพูดอย่างประหลาดใจ “ครองโลกได้ยังไงกัน ผู้ฝึกชั่วร้ายจะต้านทานกับใต้หล้าได้ยังไงคะ”

คนชุดดำพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เมื่อก่อนไม่ได้ แต่ตอนนี้ได้แล้ว ฉันรู้จากช่องทางลับสุดยอด จิตใจเต๋าสำนักมารได้สิ่งของสำคัญที่สุดในการแย่งชิงอำนาจใต้หล้ามาแล้ว มาร……”

คนชุดดำยังพูดไม่ทันจบ มีเสียงระเบิดดังขึ้นบนท้องฟ้า สั่นสะเทือนจนอู่คงหลิงสะเทือนไปทั้งตัว

“ออกมาแล้วๆ!”

ทุกคนตะโกนเสียงดัง คนชุดดำลุกขึ้นยืนเช่นกัน เดินมาที่หน้าต่างแล้วมองไปด้านนอก

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1107

สามารถพักอยู่ที่นั่นได้ เป็นความพิเศษของฐานะ ถ้าพูดออกไป สามารถคุยโวโอ้อวดได้เลย

เมื่อได้ยินว่าไปตำหนักเสินอู่ ขนาดเทียนชิงหยางและคนอื่นตายังเป็นประกาย

ทุกคนรีบเดินตามองครักษ์เกราะทองไปยังตำหนักเสินอู่!…..

ขณะนี้ในตำหนักไท่เหอ

ฉินซางต้าตี้กลับมาเป็นร่างทองขนาดใหญ่อีกแล้ว

พลานุภาพยิ่งใหญ่น่าเกรงขามกับเสียงอันดังก้อง “ทุกท่านคิดว่าด่านสะพานสายรุ้งในวันนี้เป็นอย่างไรบ้าง”

นายพลคนหนึ่งก้าวออกมาพูดทันที “ด่านสะพานสายรุ้งในวันนี้ มี 1-2 ร้อยคนผ่านร้อยขั้น เห็นได้ชัดว่าประเทศอู่อานเจริญขึ้นเรื่อยๆ คนมีความสามารถปรากฏตัวขึ้นอย่างไม่ขาดสาย ในบรรดานั้นมีลู่ฝานแห่งเขตตงหวา เทียนชิงหยางแห่งตระกูลเทียน ที่เดินถึงเขตสีฟ้า ซึ่งเห็นได้น้อยมากในประวัติศาสตร์การคัดเลือก ถ้าไม่ใช่เพราะสะพานสายรุ้งขาดกะทันหัน ผมคิดว่าพวกเขาสองคนยังไปต่อได้เรื่อยๆ ครับ ไม่แน่อาจไปถึงเขตสีม่วง ทำลายสถิติของสุ่ยเจินหรานในตอนนั้น”

ขนนางบุ๋นอีกคนเดินออกมาพูดเสียงก้องว่า “วันนี้การที่สะพานสายรุ้งขาด ล้วนเป็นเพราะลู่ฝาน ผมคิดว่าการที่เด็กคนนี้ทำสะพานขาด เพราะต้องการขัดขวางไม่ให้คนอื่นตามเขาทัน จิตใจแบบนี้จะเป็นผู้แข็งแกร่งได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้น สะพานสายรุ้งคือสิ่งอัศจรรย์ของประเทศ ทำลายมันแบบนี้เท่ากับดูหมิ่นเกียรติของประเทศ ผมขอเสนอให้รีบสอบสวนลู่ฝานอย่างเข้มงวดครับ!”

ขนนางบุ๋นอีกสองสามคนเดินออกมาพร้อมกัน จากนั้นพูดว่า “ผมเห็นด้วยครับ!”

ฉินซางต้าตี้ทำเพียงปรายตามองพวกเขาเบาๆ หลังจากนั้นหันมาถามผู้อาวุโสคนหนึ่งว่า “อีเฉิน นายคิดว่ายังไง”

อีเฉินมองฉินฝาน ตอนนี้สีหน้าฉินฝานปกติ แต่กระดิกนิ้วไปมาเบาๆ

อิเฉินเข้าใจความคิดขององค์ชายรองฉินฝานทันที เขาพูดเสียงดังว่า “ผมคิดว่าการลงโทษลู่ฝานไม่เหมาะสมครับ การที่สะพานสายรุ้งขาด แม้เกี่ยวข้องกับลู่ฝาน แต่เป็นเพราะลู่ฝานต่อสู้ ขอถามทุกคนหน่อยว่าเวลาต่อสู้แบบเป็นตาย ยังจะคำนึงว่าพื้นดินด้านล่างจะเสียหายอีกไหม ยิ่งไปกว่านั้น การคัดเลือกคนมีความสามารถของประเทศ เป็นเรื่องใหญ่ ต้องจัดการอย่างระมัดระวังรอบคอบ ครั้งนี้ลู่ฝานเป็นอันดับหนึ่งในด่านแรก ทุกคนเห็นประจักษ์แก่สายตา ถ้าลงโทษเขาเพราะเหตุนี้ คนในโลกจะมองอย่างไร คนคงหัวเราะเยาะอู่อานที่ยิ่งใหญ่ของเรา ที่เอาแต่คิดเล็กคิดน้อยกับสะพานสายรุ้งแค่แห่งเดียว”

ฉินซางต้าตี้หัวเราะเบาๆ สองครั้ง จากนั้นหันมามองหลู่เฉิงเซี่ยงแล้วพูดว่า “หลู่เฉิงเซี่ยง นายคิดยังไง”

หลู่เฉิงเซี่ยงเดินมาข้างหน้า จากนั้นพูดด้วยรอยยิ้ม “สะพานสายรุ้งซ่อมได้ เพียงแค่เชิญเซียนบู๊แดนหยินหยาง หรือไม่ก็อริยปราชญ์ฟ้าดินมาช่วยเท่านั้น แค่เรื่องเล็กน้อย ไม่ได้ส่งผลกระทบใหญ่! ทุกท่านไม่จำเป็นต้องโกรธเคืองเรื่องนี้เลย”

คำพูดของหลู่เฉิงเซี่ยง ทำให้ฉินซางต้าตี้หัวเราะไม่หยุด

ไท่จื่อฉินอวิ่นอ้าปากเหมือนจะพูดอะไร แต่เมื่อเขาได้ยินเสียงหัวเราะของฉินซางต้าตี้ แล้วมองหลู่เฉิงเซี่ยงกับอีเฉิน สุดท้ายก็ไม่ออกมาพูดอะไร

หลับตาลงช้าๆ ถือเสียว่าตาไม่เห็น ใจไม่วุ่น

ส่วนฉินฝานก้มหน้าเหมือนกำลังหลับ เพราะทุกครั้งที่เขาขึ้นมาบนตำหนักมักเป็นแบบนี้ คนอื่นก็ไม่ได้ว่าอะไร

ฉินซางต้าตี้พูดด้วยรอยยิ้มว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นก็เปิดประกาศของประเทศ ประกาศผลการคัดเลือกรอบแรก เลิกประชุม!”

ทุกคนพูดเสียงดังว่า “ฝ่าบาททรงปรีชาญาณ!”

เงาของฉินซางต้าตี้หายไปจากที่นั่งทันที

ตอนนี้ฉินอวิ่นรีบเดินมาข้างหน้า จับแขนหลู่เฉิงเซี่ยงเอาไว้ แล้วพูดว่า “หลู่เฉิงเซี่ยง คุยกันหน่อยได้ไหม”

หลู่เฉิงเซี่ยงพูดด้วยรอยยิ้ม “คำสั่งของไท่จื่อ ใครกล้าขัดขืน เชิญเลยครับ”

ทั้งสองเดินมาอีกด้านหนึ่ง ฉินอวิ่นถอนหายใจพูดว่า “หลู่เฉิงเซี่ยง นายก็รู้จักฉัน อย่างอื่นไม่มีอะไรมาก แค่นิสัยไม่ดี ลู่ฝานล่วงเกินฉัน ฉันก็เอาแต่จะฆ่าเขา แต่ตอนนี้ฉันพบว่าเหมือนพ่อชื่นชมเขามาก นายว่าฉันควรทำยังไง!”

นายกรัฐมนตรีเงยหน้ามองฉินอวิ่น ยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “ไท่จื่อคิดเอาไว้แล้วไม่ใช่เหรอครับ ทำไมต้องถามผมอีกล่ะ ไท่จื่อ ผมขอตัวก่อนนะครับ!”

พูดจบ หลู่เฉิงเซี่ยงรีบเดินออกไป

ฉินอวิ่นชะงักฝีเท้าลง มองด้านหลังหลู่เฉิงเซี่ยงแล้วพูดว่า “คนเจ้าเล่ห์ นายเดาออกด้วย แต่ในเมื่อนายเดาออกแล้ว ฉันก็ไม่จำเป็นต้องเตือนนาย ทางที่ดีนายรู้ประสีประสาหน่อย อย่าเป็นศัตรูกับฉัน!”

ฉินอวิ่นสะบัดแขนเสื้อ ส่งเสียงหึอย่างเย็นชาแล้วเดินจ้ำอ้าวออกไป

สิ่งที่ตามมากับเสียงหักที่ดังชัดเจน สะพานสายรุ้งเขตสีฟ้า กลายเป็นจุดแสงเต็มท้องฟ้าราวกับฝนตกลงมา

เทียนชิงหยางถอยกลับมาในเขตสีเขียวอย่างทุลักทุเล ถ้าช้าเพียงก้าวเดียว เขาก็จะร่วงลงไปด้วย

“สะพานสายรุ้งขาดแล้ว!”

ฉินอวิ่นอ้าปากพูดพึมพำ

ฉินซางต้าตี้เห็นภาพนี้ กลับหัวเราะเสียงดัง หัวเราะจนตัวโยน น้ำตาเกือบไหลออกมา

สีหน้าของหลู่เฉิงเซี่ยงเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี

เทียนชิงหยางและคนอื่น มองสะพานขาดข้างหน้า พากันงุนงงไปหมด

“นี่ไม่ให้คนอื่นข้ามไปชัดๆ!”

“นี่มันอะไรกัน ลู่ฝาน นายทำลายสะพานสายรุ้งจนพัง นายควรได้รับบทลงโทษแบบไหนกัน!”

“นี่ไม่ยุติธรรม เขาทำสะพานขาด คนอื่นจะข้ามไปยังไงล่ะ!”

เสียงตะโกนต่างๆ นานาดังขึ้น จู่ๆ ลู่ฝานกลายเป็นเป้าโจมตีทันที

ลู่ฝานยืนอยู่ในเขตสีน้ำเงิน สัมผัสถึงความเย็นยะเยือกถึงกระดูก กำลังกัดกินร่างกายของเขา เขารีบก่อตัวปราณชี่ไว้ที่ขา สกัดไม่ให้ความเย็นแทรกซึมเข้ามา

เขาเงยหน้ามองฉินซางต้าตี้ที่อยู่ด้านหน้า เสียงตะโกนของเทียนชิงหยางและคนอื่นไม่เป็นผล ต้องให้ฉินซางต้าตี้พูดเพียงประโยคเดียว ถึงจะกำหนดว่าลู่ฝานมีโทษหรือไม่

ลู่ฝานแอบด่าเจดีย์เสวียนเก้ามังกรอยู่สองสามครั้ง เห็นได้ชัดว่าที่สะพานสายรุ้งขาด เกี่ยวข้องกับการที่เขาเก็บสัตว์อสูรสายลมเอาไว้

ไอ้เก้าสมควรตายจริงๆ รู้แค่ว่าจะเอาสัตว์อสูรห้าธาตุมาเป็นสัตว์คุ้มครองเจดีย์ให้เขา แต่ไม่รู้ว่าเมื่อทำแบบนี้ เป็นการหลอกเขาอย่างรุนแรง

ขนนางทั้งหมดมองไปทางฉินซางต้าตี้

ผ่านไปนาน ฉินซางต้าตี้หยุดขำ แล้วพูดว่า “ด่านสะพานสายรุ้งในวันนี้ สิ้นสุดลงเท่านี้ คนที่ผ่านร้อยขั้น ถือว่าผ่านด่าน ส่วนคนที่เหลือโดนคัดออก เรียงลำดับรายชื่อตามจำนวนขั้น ทำเหมือนเดิมทุกอย่าง!”

หัวหน้าองครักษ์เกราะทองที่อยู่ข้างๆ พูดเสียงดังว่า “ด่านสะพานสายรุ้งสิ้นสุดลงแล้ว กลับ!”

เมื่อเสียงตะโกนของหัวหน้าองครักษ์เกราะทองดังขึ้น แสงบนหินอวี่ฮั่วที่อยู่ด้านล่างหายไป

จู่ๆ สะพานสายรุ้งหายไปจากใต้เท้า ทุกคนค่อยๆ ลอยลงมาจากฟ้า

ราวกับมีพลังบางอย่างดึงพวกเขาลงสู่พื้นดิน

ฉินซางต้าตี้สะบัดมือ แสงค่ายกลสว่างขึ้นอีกครั้ง ทุกคนหมุนเคว้งทันที เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ก็กลับมาอยู่ในตำหนักไท่เหอแล้ว

ทุกอย่างเหมือนเดิม จำนวนคนไม่ขาดไม่เกิน ขนาดจุดที่ยืนอยู่ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงเท่าไร

ราวกับสิ่งที่เจอเมื่อครู่ เป็นเพียงความฝันเท่านั้น!

แต่ทุกคนยังเห็นรอยแผลบนร่างกายตัวเอง รวมถึงพลังในตัวที่สูญเสียไป

นี่เป็นเครื่องพิสูจน์ได้ว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อกี้เป็นความจริง

“การคัดเลือกด่านแรกสิ้นสุดแล้ว กลับ!”

ทุกคนก้มหน้า พูดเสียงดังว่า “ถวายบังคมฝ่าบาท อู่อานยิ่งใหญ่งดงาม” หลังจากนั้นจึงค่อยๆ เดินออกจากตำหนักไท่เหอ!

กลุ่มองครักษ์เกราะทองพาลู่ฝานและคนอื่นออกมาทางประตูตำหนักไท่เหอ กลุ่มคนเดินออกมาข้างนอก แต่ขณะนั้นเอง ลู่ฝานกลับโดนองครักษ์เกราะทองคนหนึ่งเรียกด้วยเสียงเบา “ผู้ตรวจการลู่ นายไม่ต้องออกไปครับ!”

ลู่ฝานชะงักฝีเท้าลง มองซ้ายมองขวา พบว่าไม่ใช่เขาคนเดียวที่โดนเรียก ยังมีคนอีก 1-2 ร้อยคนที่โดนเรียกเหมือนกัน

ไม่ต้องสงสัยเลย คนพวกนี้ล้วนเป็นนักบู๊ที่ผ่านด่านแรก

พวกคนที่ไม่ถูกเรียก นัยน์ตามีน้ำตาคลอเบ้า หรือไม่ก็ความโกรธเคือง

ลังเลอยู่ในตำหนักไท่เหอครู่หนึ่ง เห็นได้ชัดว่าไม่อยากกลับ แต่สุดท้ายก็ต้องเดินกระทืบเท้าออกไป

“ผู้ตรวจการลู่ เชิญไปที่ตำหนักเสินอู่ครับ!”

กลุ่มองครักษ์เกราะทองพาคนร้อยกว่าคนไปทางซ้ายของตำหนักไท่เหอ

ลู่ฝานเคยได้ยินชื่อตำหนักเสินอู่ นั่นเป็นสถานที่ที่พระราชวังต้อนรับผู้แข็งแกร่ง ว่ากันว่าได้พักที่ตำหนักเสินอู่หนึ่งคืน ต้องมีคุญปการอันยิ่งใหญ่ต่อประเทศอู่อาน หรือไม่ก็เป็นผู้แข็งแกร่งระดับเซียนบู๊ขึ้นไป

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1105
ร่างกายคนบิดตัวยากมาก แต่สำหรับสัตว์อสูรห้าธาตุที่ไม่มีร่างจริง กลับเป็นเรื่องที่ปกติมาก

อาวุธทั้งหกเล่มปักลงบนตัวลู่ฝาน ตอนนี้ปราณชี่ของลู่ฝานแสดงพลังป้องกันอันแข็งแกร่งออกมา เหมือนฟองน้ำที่ยุบลงไป แข็งแกร่งจนอาวุธทั้งหกเล่มไม่สามารถทำลายได้

“ห้าลมหายใจ หกลมหายใจ ไอ้เก้า จัดการได้หรือยัง!” ลู่ฝานตะโกนเรียกในใจ

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดเสียงดังว่า “ใกล้แล้ว ใกล้แล้ว!”

“นี่ลู่ฝานกำลังทำอะไรอยู่”

ไท่จื่อฉินอวิ่นหัวเราะออกเสียง ชี้หน้าลู่ฝานแล้วพูดว่า “อย่าบอกนะว่าเขาไม่รู้ว่าสัตว์อสูรห้าธาตุคืออะไร อย่าบอกนะว่าเขาจะแล่เนื้อเถือหนังสัตว์อสูรห้าธาตุ เพื่อเอาแก้วหิน”

พวกข้าราชการที่เป็นพรรคพวกของไท่จื่อ พากันหัวเราะตาม

ฉินซางต้าตี้กับฉินฝานส่ายหน้าเบาๆ การกระทำของลู่ฝานไม่ฉลาดเลย

มีความสามารถแบบนี้ รีบชิงออกจากเขตสีฟ้าไม่ดีกว่าเหรอ

จะเหยียบมันไว้ทำไม อีกเดี๋ยวถ้ามันกลายเป็นสายลมหายตัวไป จะอับอายขายหน้ามากนะ!

ตอนนี้หานหยวนหนิงเดินออกจากเขตสีเขียวแล้ว เขามองการกระทำของลู่ฝานอยู่ในเขตสีฟ้า ส่งเสียงหึอย่างเย็นชาแล้วพูดว่า “คนโง่!”

เสียงหัวเราะพรืดดังขึ้นด้านหลังไม่หยุด

ลู่ฝานก็ได้ยินเหมือนกัน แต่เขาไม่สนใจ และไม่มีเวลาไปสนใจด้วย

สัตว์อสูรสายลมที่อยู่ใต้เท้าพยายามจะกลายเป็นสายลมหายตัวไป ลู่ฝานเปิดเขตวิถีบนกระบี่หนักไร้คมทันที จึงสามารถควบคุมมันเอาไว้ได้!

ไม่งั้นมันคงหนีไปนานแล้ว!

“เก้าลมหายใจ สิบลมหายใจ ไอ้เก้า!”

ลู่ฝานกัดฟันพูดเบาๆ

ทันใดนั้น แสงหนึ่งสว่างขึ้นในมือลู่ฝาน เป็นเงาของเจดีย์ล้ำค่า

แสงสว่างแสบตา ทำให้คนดูออกยากว่าด้านในคืออะไร ฉินซางต้าตี้และคนอื่นเพ่งมองมาในมือลู่ฝาน แต่พวกเขาเห็นเพียงมวลแสงเท่านั้น มองไม่เห็นอย่างอื่นเลย

แสงนี้ร่วงลงบนตัวสัตว์อสูรสายลม

ทันใดนั้น สัตว์อสูรสายลมเริ่มหดตัวเล็กลงอย่างรวดเร็ว

ท่ามกลางสายตาของทุกคน สัตว์อสูรสายลมเปลี่ยนจากความสูงประมาณตัวคน กลายเป็นครึ่งตัวคน และกลายขนาดเหมือนทารก สุดท้ายเหลือขนาดเท้านิ้วหัวแม่มือ ร่วงลงมาในมือลู่ฝาน

ตกตะลึงอ้าปากค้าง!

คนนับไม่ถ้วนตกใจจนช็อกไปแล้ว เทียนชิงหยางที่เพิ่งพูดเมื่อกี้ มองลู่ฝานเหมือนเห็นผี!

หลังจากนั้นลู่ฝานกำมือ แสงสว่างหายไป

ทันใดนั้น ลู่ฝานรู้สึกถึงพลังเย็นแทรกซึมเข้าไปในตันเถียนของเขา จากนั้นโดนเจดีย์เสวียนเก้ามังกรควบคุมเอาไว้

“สัตว์อสูรคุ้มครองเจดีย์ ฮ่าๆ ตัวที่สองแล้ว สัตว์อสูรสายลมที่ดีขนาดนี้ ถ้าเลี้ยงดีๆ ต่อไปอาจเป็นเทพอสูรมารสายลมก็ได้!”

ลู่ฝานขี้เกียจสนใจเสียงพึมพำของไอ้เก้า

เขารู้สึกเพียงว่าปราณชี่ทั้งตัวเขาใกล้หมดแล้ว!

หน้าดำหน้าแดงสลับไปมา แผลบนตัวฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ทั้งเขตสีฟ้าเริ่มวุ่นวายขึ้นมา

พลังสีฟ้าด้านในเริ่มระเบิดออกไป!

“แย่แล้ว!”

ลู่ฝานรีบกุลีกุจอพุ่งไปด้านหน้า แม้การเคลื่อนไหวไม่งดงาม แต่ต้องรักษาชีวิตเอาไว้ก่อน!

ยังดีที่เขาอยู่ไม่ห่างจากทางออกเขตสีฟ้า เพียงพริบตาเดียวก็พุ่งออกมาได้

แต่ต่อมา สะพานสายรุ้งของเขตสีฟ้า เริ่มมีรอยร้าวปรากฏออกมาให้เห็น

เทียนชิงหยางเห็นว่าผิดปกติ รีบถอยไปด้านหลังทันที

ต่อจากนั้น สะพานสายรุ้งของเขตสีฟ้าพังลงมาทั้งหมด

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1104
ปราณชี่ในตัวพยายามกดลมรุนแรงนี้เอาไว้ ลู่ฝานพุ่งเข้าไปอีกครั้ง โดยไม่ลังเลเลยสักนิด

กระบี่หนักราวกับสายลม เพียงพริบตาเดียว ลู่ฝานฟาดฟันปราณกระบี่ออกมาสิบกว่าปราณ

สัตว์อสูรสายลมไม่ยอมอ่อนข้อสักนิด กระบี่ยาวทั้งหกเล่มเหวี่ยงลงมาพร้อมกัน

แขนทั้งหกเหมือนบินได้ เร็วจนไม่เห็นการเคลื่อนไหว ได้ยินเพียงเสียงอากาศระเบิด เพียงพริบตาเดียว สัตว์อสูรสายลมกับลู่ฝานต่อสู้ผ่านไปแล้วสิบกว่ากระบวนท่า!

ลู่ฝานส่งเสียงถอนหายใจอย่างอึดอัดออกมา คิดไม่ถึงว่าจะโดนสัตว์อสูรฟันกระบี่โดนที่อก เกราะเกล็ดมังกรแตกออกเล็กน้อย

ลู่ฝานถอยไปด้านหลังสิบกว่าก้าว จากนั้นมองอกตัวเองด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

ตอนนี้เทียนชิงหยางไม่รีบเดินเข้ามา เขายกยิ้มมุมปากมองลู่ฝาน

“นายพุ่งเข้าไปสิ พุ่งเข้าไปอีก!”

เทียนชิงหยางยิ้มอย่างได้ใจ

กระบี่หนักของลู่ฝานค้ำลงบนพื้น เขาเงยหน้ามองสัตว์อสูรสายลม

“เป็นสัตว์ที่เก่งกาจจริงๆ!”

ขณะนั้นเอง จู่ๆ เจดีย์เสวียนเก้ามังกรตะโกนขึ้นในตัวลู่ฝาน

“เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ เก็บมันไว้ รีบเก็บมัน พอดีเลย ฉันยังขาดสัตว์อสูรสะเทือนเจดีย์อีกสองสามตัว สัตว์อสูรบริสุทธิ์ที่ก่อตัวจากพลังฟ้าดินแบบนี้เหมาะสมสุดๆ เจ้านาย เก็บมันไว้!”

ลู่ฝานพูดในใจว่า “มันไม่ใช่ค่ายกลสักหน่อย จะเก็บยังไงล่ะ!”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดเสียงดังว่า “เจ้านาย แค่เจ้านายทำให้มันสงบครู่หนึ่ง ฉันจะสามารถเก็บมันได้ หรือใช้เวลาน้อยกว่านั้นก็ได้!”

ลู่ฝานยกยิ้มมุมปาก จากนั้นพูดในใจว่า “ครู่หนึ่งใช่ไหม ได้!”

ร่างกายเหมือนลูกธนูถูกยิงออกไป ลู่ฝานพุ่งเข้าไปหาสัตว์อสูรสายลมอีกครั้ง

ครั้งนี้กระบี่หนักไร้คมไม่ได้ฟาดฟันพลานุภาพลงไป แต่กลับตบลงไป

ไซโคลนเก้าลูกปรากฏขึ้นบนตัวลู่ฝาน ปราณชี่ทะลักเข้าไปหากระบี่ของลู่ฝานอย่างบ้าคลั่ง

“ครั้งที่หนึ่ง สะเทือนฟ้าดิน!”

ลู่ฝานใช้กระบี่ตบลงบนตัวสัตว์อสูรสายลม กระบี่ยังไม่ทันถึงตัว พลังมหาศาลทำให้ตัวของสัตว์อสูรสายลม เริ่มเลือนรางเล็กน้อย

อาวุธทั้งหกเล่มกันไว้ด้านหน้า เสียงแตกดังออกมาจากตัวสัตว์อสูรสายลมทันที

สลายร่าง!

ตัวของสัตว์อสูรสายลมแตกเป็นชิ้นนับไม่ถ้วน แต่เพียงพริบตาก็รวมตัวกันอีกครั้ง

เหมือนท่าไม้ตายนี้ของลู่ฝาน ไม่ได้ผลกับมันมากเท่าไร!

แต่ทันใดนั้น กระบี่หนักไร้คมของลู่ฝานกลับตบลงบนตัวสัตว์อสูรสายลมอย่างแข็งแกร่งมั่นคง

ทันใดนั้น คิดไม่ถึงว่าสัตว์อสูรสายลมจะส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวดออกมา จากนั้นถอยหลังไปหลายก้าว!

“ฉันไม่ได้ตาฝาดใช่ไหม ลู่ฝานใช้กระบี่เดียว ทำให้สัตว์อสูรสายลมเซถอยหลัง สัตว์อสูรแบบนี้ไม่มีร่างจริงไม่ใช่เหรอ จะโดนโจมตีได้ยังไง”

“พลังพิเศษสามารถทำได้ พลังปราณของเด็กคนนี้ไม่ธรรมดา!”

ทุกคนมีตั้งใจดูการต่อสู้ของลู่ฝาน

ตอนนี้ลู่ฝานใช้กระบี่ตบลงไปอีกครั้ง กระบี่นี้ตบโดนหัวของสัตว์อสูรสายลมเต็มๆ

สัตว์อสูรสายลมโดนลู่ฝานใช้กระบี่ตบลงบนสะพานสายรุ้ง ลู่ฝานใช้โอกาสนี้เหยียบลงบนตัวมัน

แต่ขณะนั้นเอง ตาทั้งหกของสัตว์อสูรสายลมปล่อยแสงสีฟ้าออกมาพร้อมกัน

ลู่ฝานที่ตั้งตัวไม่ทัน จู่ๆ เขาโดนโจมตี เกราะเกล็ดมังกรเป็นรูทันที บนตัวลู่ฝานมีแผลปรากฏขึ้นพร้อมกันสิบกว่าแผล

แต่ลู่ฝานไม่สนใจสักนิด ยังคงเหยียบสัตว์อสูรสายลมอยู่อย่างนั้น

เทียนชิงหยางมองการต่อสู้ของลู่ฝาน จู่ๆ เขาหัวเราะเสียงดัง แล้วพูดว่า “ลู่ฝาน นายปัญญาอ่อนหรือเปล่า รับมือสัตว์อสูรห้าธาตุแบบนี้ นายไม่ทำลายธรรมกายของมัน ควบคุมมันไว้จะทำอะไรได้ นายปัญญาอ่อนหรือเปล่า”

คำพูดของเขา ทำให้ทุกคนหัวเราะเบาๆ

แต่ลู่ฝานขี้เกียจมองเขา กล้ามเนื้อทั้งตัวปูดขึ้น ปราณชี่พลุ่งพล่าน!

สัตว์อสูรสายลมที่อยู่ใต้เท้าลู่ฝาน ดิ้นไปดิ้นมาไม่หยุด แต่ทำยังไงก็หนีไม่พ้น

ทันใดนั้น แขนของสัตว์อสูรสายลมบิดเป็นวง ฟาดฟันอาวุธใส่ลู่ฝาน

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1103
ลมพัดอย่างรวดเร็วจนเกิดเสียง ลู่ฝานอยู่ด้านหน้าสุด รีบไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

อันที่จริงเขาไม่สามารถอยู่ในสภาพนี้ได้นานเท่าไรนัก แต่ใช้ผ่านเขตสีฟ้าน่าจะไม่มีปัญหาอะไร

เทียนชิงหยางที่อยู่ด้านหลัง ตามมาอย่างรวดเร็ว เทียบกับลู่ฝานที่เงียบสงบ เรียกได้ว่าเทียนชิงหยางมีอานุภาพเกรียงไกร ทุกที่ที่ผ่านไป ลมสีฟ้าเกือบทำให้สะพานสายรุ้งฉีกขาด

แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ เทียนชิงหยางก็โดนโจมตีหนักขึ้นมาก ราวกับว่าลมทั้งเขตสีฟ้าพากันโจมตีใส่เขา

ในทางตรงกันข้าม กลับทำให้คนที่เดินอยู่ข้างหน้าอย่างลู่ฝานลดความกดดันไปเยอะ การที่เขาทำแบบนี้ทำให้นายพลสองสามคนส่ายหน้าเบาๆ

“ไม่แข็งแกร่งเลย!”

“เฮ้อ โดนคนยั่วยุนิดหน่อยก็ทำอะไรบุ่มบ่าม จิตใจยังไม่ดีพอ!”

“ส่วนลู่ฝานก็เจ้าเล่ห์ เพียงประโยคเดียวทำให้เทียนชิงหยางช่วยเขาต้านทานแรงกดดันเอาไว้อย่างน้อยสามสิบเปอร์เซ็นต์”

ลู่ฝานหันมามองเทียนชิงหยางแวบหนึ่ง จากนั้นยิ้มบางๆ ออกมา

เดินต่อไปข้างหน้า กำลังจะผ่านเขตสีฟ้าไปแล้ว จู่ๆ ลู่ฝานใจสั่นเล็กน้อย ขนลุกชัน ความรู้สึกอันตรายอย่างรุนแรงปรากฏขึ้น

ลู่ฝานรีบถอยหลังหนึ่งก้าว แต่ขณะที่เขากำลังถอย กระบี่ลมสีฟ้าที่ก่อตัวเป็นรูปร่างปักอยู่ข้างหน้าเขา จากนั้นมีสัตว์อสูรสีฟ้าขนาดใหญ่ปรากฏอยู่บนกระบี่ยาว

ใบหน้าเขียวแสยะเขี้ยว ร้อยตาหกแขน ท่อนล่างเป็นกระบี่ บนหัวมีเขาสองอัน

น่าตกใจมาก มันคือสัตว์อสูรสายลมในตำนาน!

ลู่ฝานเข้าใจมาตลอดว่าสัตว์อสูรที่ก่อตัวจากพลังฟ้าดินเหมือนแบบนี้ มีอยู่แค่ในตำนาน คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะได้เห็นกับตาตัวเอง

สัตว์อสูรสายลมแผดเสียงคำราม ลมรอบๆ แปรเปลี่ยนรุนแรงขึ้นทันที

ในแขนทั้งหก มีกระบี่ยาวหกเล่มปรากฏขึ้นพร้อมกัน บนกระบี่แต่ละเล่ม มีอักษรยันต์สว่างขึ้น เป็นตัวอักษรที่ไขว้กันเหมือนตัว “X” !

ลู่ฝานดึงกระบี่หนักไร้คมออกมาทันที มีสัตว์อสูรสายลมแบบนี้ขวางทางอยู่ ดูเหมือนคงผ่านเขตสีฟ้ายากแล้ว

จู่ๆ เทียนชิงหยางที่อยู่ด้านหลังชะงักฝีเท้าลง

วินาทีที่เห็นสัตว์อสูรสายลมตัวนี้ ประกายนัยน์ตาเทียนชิงหยางเริ่มวูบไหว ราวกับเกิดความหวาดกลัวขึ้นเล็กน้อย!

“ห้ามผ่านทางนี้!”

คิดไม่ถึงว่าสัตว์อสูรสายลมจะพูดภาษาคน กระบี่ขนาดใหญ่หกเล่มชี้หน้าลู่ฝาน

ลู่ฝานมองมันอย่างราบเรียบ แล้วพูดว่า “ทางมีให้คนเดิน ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าห้ามผ่าน!”

ตอนนี้เกราะเกล็ดมังกรปรากฏบนตัวลู่ฝาน ปราณชี่พุ่งขึ้น ร่างผสานฟ้าดินหายไป กระบี่สายลมสีฟ้าอันดุดันร่วงใส่ตัวลู่ฝานไม่หยุด

บนเกราะเกล็ดมังกร มีลายมังกรปรากฏขึ้นช้าๆ พร้อมเสียงมังกรคำรามเบาๆ ปล่อยแสงออกมาต้านทานกระบี่สายลมสีฟ้าเอาไว้

ตัวลู่ฝานถูกปกคลุมด้วยเกราะเกล็ดมังกรทั้งตัว ตอนนี้แม้แต่ด้ามกระบี่หนักไร้คม ก็มีเกล็ดมังกรเล็กละเอียดปรากฏขึ้นด้วย

เมื่อมองดู เหมือนกระบี่งอกอยู่บนมือของลู่ฝาน!

ไม่รอให้สัตว์อสูรสายลมพูดประโยคที่สองออกมา ลู่ฝานพุ่งไปด้านหน้า ยกมือฟันกระบี่ลงไป!

กระบี่ฆ่าพิชิตฟ้า!

ตัวอักษรคำว่าฆ่าขนาดใหญ่ ปกคลุมสัตว์อสูรสายลมเอาไว้ทั้งตัว แสงกระบี่อันน่ากลัวทำลายอากาศข้างหน้าในพริบตา รวมถึงกวาดลมรอบๆ ออกไปด้วย

แต่ปฏิกิริยาของสัตว์อสูรสายลมดุดันขึ้นอีก หมุนกระบี่ยักษ์ทั้งหกเล่ม กระบี่ฆ่าของลู่ฝานโดนทำลายทันที ในเวลาเดียวกัน มีแสงสีฟ้าเข้มปล่อยออกมาจากเขาของสัตว์อสูรสายลม

ลู่ฝานยกกระบี่หนักขึ้นมาต้านทานมันไว้ แต่พลังน่ากลัวที่แฝงอยู่ในนั้น ทำให้ลู่ฝานสีหน้าเปลี่ยนไปทันที

ราวกับลมรุนแรงพัดเข้ามาในเส้นลมปราณของเขา พัดเข้าสู่อวัยวะภายในของเขา

พัดจนเส้นลมปราณของเขาสั่นอย่างรุนแรง จนเกือบจะแตกหัก พัดจนอวัยวะภายในของเขาเคลื่อนตัวปั่นป่วนไปหมด

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1102
แต่ไท่จื่อฉินอวิ่นรู้สึกสยองขึ้นมาในใจจริงๆ นักบู๊ที่มีศักยภาพน่าทึ่งยังไม่เท่าไร แต่ถ้าบวกกับการเป็นศิษย์ของขุนพลังสุดเหนือฟ้า คงวุ่นวายจนน่าตกใจแน่นอน

“ฆ่าทิ้ง ต้องรีบฆ่าทิ้งให้เร็วที่สุด”

ฉินอวิ่นตะโกนอย่างเย็นชาในใจ ถ้าลู่ฝานไม่ตาย เขาต้องกินไม่ได้นอนไม่หลับแน่นอน

ฉินฝานเอนหลังพิงเก้าอี้ สูดหายใจลึก

“ลู่ฝานนะลู่ฝาน ที่มาของนายไม่ธรรมดาจริงๆ!”

ลู่ฝานยังพุ่งไปข้างหน้าเรื่อยๆ ไม่รู้เลยว่าตัวเองผ่านมาสี่เขตต่อเนื่องอย่างสบายๆ ทำให้คนเดาเคล็ดวิชาบู๊ของเขาได้แล้ว ใช่แล้ว ลู่ฝานอาศัยร่างกายที่ตัวเองเคยฝ่าอันตรายจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด มาทำการฝ่าด่าน

เปรียบเทียบดูแล้ว ความยากลำบากในการฝ่าอันตรายจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด บดขยี้ร่างกายจนเกือบตาย นับประสาอะไรกับสิ่งเหล่านี้

ไม่เห็นจะเป็นไร ถ้าผ่านไปไม่ได้ ก็ไม่ต้องไป ไม่ได้เป็นอันตรายกับชีวิตสักนิด

เข้าสู่เขตสีฟ้า ลู่ฝานเพิ่งสัมผัสว่าความยากเพิ่มขึ้นมาก

ลมพัดอย่างรวดเร็ว!

ลมสีฟ้าสามารถพัดคนให้จิตวิญญาณแตกกระเจิง ร่างกายกลายเป็นผุยผงได้

ตอนนี้ฝีเท้าของลู่ฝานเริ่มระมัดระวังขึ้น เขาเคยเจอกับลมที่พัดอย่างรวดเร็ว รู้ถึงความน่ากลัวในนั้น

เดินไปข้างหน้าอีก 20 ขั้น ก็จะสามารถตามเทียนชิงหยางที่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมทันแล้ว

ลู่ฝานเดินอย่างระมัดระวังมาก พยายามเดินทุกก้าวด้วยความมั่นคง

เสียงลมเหมือนเสียงโหยหวนของผี มีเสียงกระชากวิญญาณ หากชะล่าใจเพียงเล็กน้อย จะเลือดออกเจ็ดทวารทันที

ยิ่งเดินเข้าไปเรื่อยๆ เสียงลมพัดแรงขึ้นเรื่อยๆ เกราะเกล็ดมังกรบนตัวมีเสียงเหมือนจะแตกสลายดังออกมา

ในที่สุดลู่ฝานเดินมาถึงข้างเทียนชิงหยางแล้ว เดินไปข้างหน้าอีกก้าวเดียว ลมสีฟ้ากลายเป็นกระบี่สีฟ้านับไม่ถ้วน ฉีกทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง!

ทั้งสองยืนอยู่ตรงนี้ เสื้อผ้าเกิดเสียงดังจากลมพัด

เทียนชิงหยางหันมามองลู่ฝานเล็กน้อย จากนั้นพูดว่า “วิชาไม่เลว แต่เสียดายที่วิทยายุทธแย่ไปนิด นายอยากผ่านด่านนี้ ยากแล้วล่ะ!”

ลู่ฝานตอบกลับอย่างเรียบเฉยว่า “ยังไงก็ต้องลองดู ไม่ลองจะรู้ได้ไง”

เทียนชิงหยางหัวเราะพรืด แล้วพูดว่า “จากพลังปราณของนาย เดินเข้าไปอีกสองก้าว จะโดนฉีกเป็นชิ้น ถึงตอนนั้นศพนายก็จะไม่เหลือ นายแน่ใจเหรอว่าจะลอง”

ลู่ฝานพูดว่า “เก่งกาจขนาดนั้นเลยเหรอ ฟังดูแล้วทำให้นายกลัวจริงๆ นายไม่เข้าไปข้างในแล้วเหรอ”

เทียนชิงหยางยกยิ้มมุมปาก เดินขึ้นไปหนึ่งก้าว ทันใดนั้นกระบี่ลมมากมายร่วงลงบนตัวเขา

รอบตัวเทียนชิงหยางก็มีลมรุนแรงต้านทานมันเอาไว้ เทียนชิงหยางขมวดคิ้ว พูดโดยไม่หันมามองว่า “ยอมแพ้เถอะ นายตามฉันไม่ทันหรอก”

ลู่ฝานก็ยิ้มออกมาเช่นกัน ตอนนี้เขาเก็บพลังรอบตัวทั้งหมด ขนาดกระบี่หนักไร้คมเขาก็เก็บด้วยเช่นกัน

ลู่ฝานสูดหายใจลึก แล้วพึมพำว่า “ตัวฉันดั่งสายลม ลมจะทำร้ายฉันได้ยังไง!”

ลู่ฝานก้าวขาเดินออกมาหนึ่งก้าว แต่กระบี่ลมรอบๆ ไม่ได้โจมตีใส่เขา

ลู่ฝานเอาสองมือไพล่หลัง เดินอย่างสง่างามไปด้านหน้า

คิดไม่ถึงว่าตอนนี้กระบี่ลมนับไม่ถ้วนทะลุผ่านตัวเขาไป แต่ไม่สามารถทำอะไรเขาได้เลย!

ลู่ฝานเดินช้าๆ มาถึงข้างตัวเทียนชิงหยาง จากนั้นพูดด้วยรอยยิ้มว่า “วิทยายุทธของนายไม่เลว แต่สมองแย่ไปหน่อย!”

พูดจบ ลู่ฝานเร่งฝีเท้าเดินไปข้างหน้า

ร่างผสานฟ้าดิน ปราณชี่ในตัวลู่ฝานเผาผลาญไปอย่างรวดเร็ว แต่ฝีเท้าของเขาเบาและเร็วมาก ไม่นานก็เดินออกจากเขตสีฟ้า

ทุกคนพากันตะลึง เทียนชิงหยางเห็นภาพนี้ ก็แอบกัดฟัน

“คิดไม่ถึงว่าไอ้หมอนี่กล้าเยาะเย้ยฉัน!”

เทียนชิงหยางมองด้านหลังลู่ฝาน เขาเร่งฝีเท้าเดินไปข้างหน้าเช่นกัน ความยโสของเขาไม่มีวันยอมให้ใครเหนือกว่าเขา!

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1101

ลู่ฝานสัมผัสถึงความไม่เป็นมิตรเล็กน้อย จากน้ำเสียงของหานหยวนหนิง

ลู่ฝานขมวดคิ้วเบาๆ ไม่เข้าใจว่าทำไมหานหยวนหนิงถึงไม่เป็นมิตรกับตัวเอง

แต่ในเมื่อหานหยวนหนิงพูดแล้วว่าไม่ต้องการความช่วยเหลือจากตัวเอง งั้นลู่ฝานก็ไม่ทำเรื่องที่ทำให้ตัวเองดูแย่ เขาตัดสินใจเดินต่อไปข้างหน้า

หมอกพิษลอยลงมาบนตัวลู่ฝาน แต่ลู่ฝานไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย นี่ดูง่ายกว่าสองสามด่านก่อนหน้านี้เสียอีก

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรในตัวมีความสุขจนจะบ้าแล้ว

“ฮ่าๆ พลังฟ้าดินบริสุทธิ์มาก แล้วก็เป็นพิษทั้งนั้น ฉันชอบพิษที่สุด พิษแบบนี้ฉันสามารถดูดซับได้ มาเยอะๆ หน่อย ฉันรู้สึกว่าใกล้ฟื้นฟูพลังได้ 20 เปอร์เซ็นต์แล้ว เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ อีกไม่นานฉันจะสามารถก่อตัวเป็นธรรมกาย ร่วมสู้รบกับเจ้านายแล้ว!”

ลู่ฝานขี้เกียจสนใจความตื่นเต้นของเจดีย์เสวียนเก้ามังกร

เขาหวังแค่ว่าตอนช่วงสำคัญ เจดีย์เสวียนเก้ามังกรใช้ได้ผลก็พอแล้ว อย่างเช่นพิษด้านหน้าพวกนี้ อย่าเดินต่อไปเรื่อยๆ แล้วไม่สามารถดูดซับได้ก็พอ

แต่ครั้งนี้ความกังวลของลู่ฝานมากเกินไป

จนกระทั่งลู่ฝานเดินผ่านเขตสีเขียว ไอ้เก้าก็ยังดูดกลืนอย่างบ้าคลั่ง

ลู่ฝานยิ้มตาหยี แล้วเก็บกระบี่หนักไร้คมของตัวเอง

ตอนนี้พวกนักบู๊ที่มองเขา รวมหานหยวนหนิงอยู่ในนั้นด้วย พากันเงียบทุกคน

ผ่านไปนาน สุ่ยสือฉวนพูดออกมาเป็นคนแรก “ไม่มีอุปสรรคเลย ดูเหมือนต่อกรกับคนคนนี้ พิษคงใช้ไม่ได้!”

หลิ่วเจินพูดต่อ “ต้านทานพิษได้น่าทึ่งขนาดนี้ แต่พลังไม่กระจัดกระจาย ร่างกายเขาต้องแข็งแกร่งขนาดไหนกันนะ!”

ตอนนี้หลู่เฉิงเซี่ยงก็ตกใจเล็กน้อย เขารู้ว่าวิทยายุทธของลู่ฝานไม่เลว ศักยภาพน่าทึ่ง แต่ไม่คิดไม่ฝันว่าลู่ฝานจะสร้างความตื่นตะลึงบนสะพานสายรุ้งได้ขนาดนี้

ฉินซางต้าตี้มองลู่ฝาน จู่ๆ เขาหัวเราะแล้วพูดว่า “ผ่านอีกแล้ว ร่างกายระดับนี้ วิชาธรรมดาทั่วไปคงไม่สามารถฝึกออกมาเป็นแบบนี้ได้ ไม่กลัวเปลวเพลิง อาวุธทำให้บาดเจ็บไม่ได้ หินขนาดใหญ่กดทับได้ยาก ควันพิษไม่เป็นผล อืม รวมสิ่งเหล่านี้ไว้ด้วยกัน ทำให้ฉันนึกถึงวิชาพิเศษวิชาหนึ่ง!”

หลู่เฉิงเซี่ยงใจสั่นเล็กน้อย จากนั้นพูดว่า “ฝ่าบาทหมายถึงวิชาของท่านเทพอักษรเหรอครับ”

ฉินซางต้าตี้ยิ้มแล้วพูดว่า “ใช่ พลังความเป็นความตายวนเวียนของเทพอักษร นักบู๊ที่ฝึกฝนวิชาประเภทนี้ ถึงจะมีร่างกายน่าทึ่งขนาดนี้ ฝึกวิชาฝ่าอันตรายจนเกือบเอาชีวิตไม่รอดก็ผ่านมาแล้ว นับประสาอะไรกับสิ่งที่อยู่บนสะพานสายรุ้ง”

เมื่อได้ยินคำว่าเทพอักษร ไท่จื่อฉินอวิ่นตัวสั่นอย่างแรง

องค์ชายรองฉินฝานอ้าปากค้าง นัยน์ตาเต็มไปด้วยความตกตะลึง

หลู่เฉิงเซี่ยงพูดต่อด้วยรอยยิ้ม “ฝ่าบาทสายตาหลักแหลม น่าจะเป็นเช่นนี้ ตอนนั้นท่านเทพอักษร ท่องหาประสบการณ์ในอู่อาน ทิ้งวิชาให้สืบทอดไว้ทั่วทุกที่ แต่หาลูกศิษย์ที่สืบทอดไม่ได้ ในบรรดานั้นเขาเคยไปเขตตงหวา ทิ้งการสืบทอดไว้ที่นั่นเป็นเรื่องที่เป็นไปได้สูง อีกทั้งเทียนหยาจื่อแห่งสถาบันสอนวิชาบู๊ที่เขตตงหวา มีโอกาสได้เจอท่านเทพอักษรหนึ่งครั้ง ท่านเทพอักษรชี้แนะทักษะให้เขาเล็กน้อย งั้นถ้าท่านเทพอักษรทิ้งการสืบทอดเอาไว้ที่สถาบันสอนวิชาบู๊ หลังจากไปตงหวา ก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล ลู่ฝานมาจากเขตตงหวา และเรียนจากสถาบันสอนวิชาบู๊ด้วย เขาฝึกพลังความเป็นความตายวนเวียนของท่านเทพอักษรได้สำเร็จ เป็นเรื่องดีงามเรื่องหนึ่งของอู่อานเลยครับ”

ฉินซางต้าตี้ยิ้มแล้วพูดว่า “ใช่ น่าเสียดายที่เทพอักษรหายไปอย่างไร้ร่องรอยนานแล้ว ถ้าเขายังมีชีวิตอยู่ และรู้ว่าในอู่อานของฉันมีคนฝึกพลังความเป็นความตายวนเวียนของเขาสำเร็จ เขาต้องดีใจมากแน่ๆ ไม่แน่อู่อานของเราอาจมีศิษย์ของขุนพลังสุดเหนือฟ้าเพิ่มขึ้นอีกคนก็ได้”

“ขุนพลังสุดเหนือฟ้า!”

ฉินอวิ่นกลืนน้ำลาย ตอนนี้เขารู้สึกว่าความสยองขวัญกำลังปกคลุมเขาอยู่

คิดไม่ถึงว่าไท่จื่อผู้ยิ่งใหญ่ จะตกใจกลัวผู้ตรวจการธรรมดาๆ อย่างลู่ฝานแห่งตงหวา พูดไปคงไม่มีใครเชื่อ

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1100
บนสะพานสายรุ้ง ตอนนี้ลู่ฝานพุ่งออกมาจากเขตสีส้มแล้ว ตามถานไถเก๋อและคนอื่นทันแล้ว

เดินเข้ามาในเขตสีเหลือง ลู่ฝานเก็บปราณชี่ ใช้เกราะเกล็ดมังกร พลังชี่ฟ้าดินทั้งหมดในเขตสีเหลือง สามารถกลายเป็นอาวุธแหลมคมเข้ามาโจมตีได้

การดันออกไปไม่ใช่ความคิดที่ฉลาด ทำได้เพียงอาศัยเกราะกับร่างกายต้านทานไว้

เสียงโลหะกระทบกันดังขึ้นไม่หยุด เกราะเกล็ดมังกรบนตัวลู่ฝานทนทานมาก ทนต่อการโดนฟัน ดังนั้นเขาจึงเดินอย่างมั่นคงมาก

เมื่อลู่ฝานเดินมาถึงข้างถานไถเก๋อ จู่ๆ ถานไถเก๋อชะงักฝีเท้าลง

มองลู่ฝานอย่างยั่วยวนแล้วพูดว่า “ลู่ฝานนักกระบี่แห่งตงหวา มีเวลาว่างกินข้าวด้วยกันไหม”

ลู่ฝานหันไปมองถานไถเก๋อ แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ขอบคุณที่เธออุตส่าห์ชวน ค่อยว่ากันหลังจากลู่ฝานเสร็จธุระแล้วกัน!”

พูดจบ ลู่ฝานเดินไปข้างหน้าต่อ

ถานไถเก๋อมองด้านหลังลู่ฝาน แล้วยิ้มบางๆ อย่างดงาม

หลิ่วเจินและคนอื่นมองลู่ฝานเดินมาอย่างเงียบๆ และแซงพวกเขาไป

นักบู๊ที่ไม่รู้จักชื่อสองสามคน มองลู่ฝานด้วยสายตาประหลาด นัยน์ตามีความคิดต่อสู้ มีความหวาดระแวง มีความอาฆาต ลู่ฝานไม่ได้สนใจเลย

ตอนลู่ฝานแซงสุ่ยสือฉวน จู่ๆ สุ่ยสือฉวนจับไหล่ลู่ฝานเอาไว้ พูดอย่างราบเรียบว่า “อย่าเดินเร็วเกิน ระวังจะตายอยู่ข้างหน้า”

ลู่ฝานดันมือสุ่ยสือฉวนออกเบาๆ แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ฉันเดินช้ามากแล้ว!”

เพียงประโยคเดียว ทำให้สือเฉินและคนอื่นหน้าเปลี่ยนสี

ถ้าลู่ฝานบอกว่าตัวเองเดินช้ามากแล้ว งั้นก็หมายความว่าพวกเขากำลังคลานเหมือนเต่าน่ะสิ

ลู่ฝานเดินต่อไปข้างหน้า อาวุธแข็งแกร่งและแหลมคมขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมาถึงด้านหลัง กระบี่ยาวทะยานฟ้าหลายเล่มแทงเข้าที่ตัวของลู่ฝาน

เกราะเกล็ดมังกรบนตัวโดนทำลายจนเป็นรูใหญ่หลายรู สุ่ยสือฉวนและคนอื่นมีรอยยิ้มออกมาทันที

ขณะที่ทุกคนคิดว่าลู่ฝานไม่สามารถเดินต่อไปได้อีก จู่ๆ เกราะเกล็ดมังกรเริ่มฟื้นฟูอัตโนมัติ

ลู่ฝานไม่ต้องกระตุ้น มันสามารถรวบรวมพลังฟ้าดินฟื้นฟูเองได้

เมื่อแตกก็ซ่อม ซ่อมแล้วก็แตก เกราะเกล็ดมังกรยังเปลี่ยนรูปร่างเรื่อยๆ ต้านทานอาวุธมากมายที่โจมตีเข้ามา

หลายครั้งที่ต้านทานอาวุธไม่ได้ ก็โดนลู่ฝานใช้มือปัดทิ้งไปอีกด้าน

ความเร็วของฝีเท้าไม่ลดลงแม้แต่น้อย ลู่ฝานผ่านเขตสีเหลืองอย่างรวดเร็ว เมื่อเงยหน้ามอง ข้างหน้าเหลือเพียงเทียนชิงหยางกับหานหยวนหนิง

ตอนนี้เทียนชิงหยางผ่านเขตกัดกร่อนสีเขียวได้แล้ว เข้าสู่เขตลมฟ้าสีฟ้า

หานหยวนหนิงยังดิ้นรนอย่างยากลำบากอยู่ในเขตสีเขียว เกราะกับพลังปราณบนตัว ใกล้จะต้านทานการกัดกร่อนของเขตสีเขียวไม่ไหวแล้ว

ลู่ฝานยิ้มบางๆ จู่ๆ เขาโยนกระบี่หนักไร้คมของตัวเองลงบนพื้น

ขณะที่ทุกคนไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไร ลู่ฝานใช้เท้าเหยียบลงบนกระบี่หนักไร้คมทันที จากนั้นก็ไถออกไป

คนกลัวการกัดกร่อน แต่กระบี่หนักไร้คมของลู่ฝานไม่กลัวการกัดกร่อน ส่วนหมอกพิษกัดกร่อนที่อยู่ด้านใน ลู่ฝานไม่กลัวสักนิด เขาขอแค่แสงสีเขียวด้านล่างเท้า ไม่ขัดขวางการไปต่อของเขาก็พอ

กระบี่หนักไร้คมเหมือนเรือลำเล็ก ไหลลึกเข้าไปในเขตสีเขียวอย่างรวดเร็ว

ตอนนี้ทุกคนไม่พูดอะไรแล้ว สำหรับการกระทำของลู่ฝาน ไม่มีใครว่าเขาโกง แต่ทุกคนรู้สึกประหลาด ตอนนี้มีนักบู๊จำนวนไม่น้อยพูดเสียงดังว่า “กระบี่ใหญ่ก็มีประโยชน์จริงๆ นะ!”

ลู่ฝานมาถึงข้างหานหยวนหนิงอย่างรวดเร็ว

ลู่ฝานมองหานหยวนหนิงด้วยรอยยิ้ม แล้วพูดว่า “ให้ฉันช่วยไหม”

หานหยวนหนิงจ้องลู่ฝานเขม็ง

“นายดูแลตัวเองให้ดีเถอะ!”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1099

ฝีเท้ารวดเร็ว ไม่นานลู่ฝานเดินมาถึง 20 กว่าขั้นสุดท้ายของเขตสีส้ม

เมื่อถึงตรงนี้ พลังฟ้าดินรอบตัวรวมตัวกันจนน่าตกใจ เหมือนพลังฟ้าดินแต่ละพลังแฝงไปด้วยพลังมหาศาล เหมือนหินขนาดใหญ่กดลงมาจากฟ้า

แม้ปราณชี่ของลู่ฝานดันมันออกไปได้ แต่ก็สูญเสียพลังไปไม่น้อย ทุกก้าวที่เดินจะเสียพลังไปอย่างรวดเร็ว

แต่ลู่ฝานไม่ได้หยุดเพราะเหตุนี้ แต่กลับเร่งฝีเท้าเดินต่อไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

เขาเร่งความเร็วแบบนี้ ทำให้ทุกคนตะลึงไปอีก ขนาดพวกนายพลด้านหลังฉินซางต้าตี้ ต่างพูดด้วยความตกใจว่า “เร่งความเร็วได้อีกเหรอ ร่างกายของเด็กคนนี้ อย่าบอกนะว่าแข็งแกร่งจนถึงขั้นที่ต่อต้านฟ้าดินได้แล้ว”

“เขาคงไม่ได้ใช้เคล็ดวิชาบู๊เหาะเหินเดินอากาศที่ประหลาดใช่ไหม ฝ่าเท้าไม่ติดพื้นเลย ทำไมหินอวี่ฮั่วไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลยล่ะ”

“เล่ห์เหลี่ยม ต้องเป็นเล่ห์เหลี่ยมแน่ๆ นักบู๊แดนปราณดิน ไม่มีทางที่จะไม่ถูกควบคุมโดยฟ้าดิน”

ฉินซางต้าตี้รอยยิ้มเต็มใบหน้า ไม่พูดอะไรสักคำ

ตาของเขาเอาแต่จ้องไปที่ฝ่าเท้าของลู่ฝาน เหมือนตรงนั้นคือจุดสำคัญ

ไท่จื่อฉินอวิ่นกับฉินฝาน มองตามสายตาของฉินซางต้าตี้ แอบมองไปที่ฝ่าเท้าของลู่ฝาน

ทันใดนั้น ฉินซางต้าตี้ถามว่า “ฉินอวิ่น ฉินฝาน พวกนายสองคนคิดว่ายังไง”

ฉินอวิ่นพูดว่า “คนคนนี้ไม่ได้ใช้แรงที่ฝ่าเท้า ต้องใช้วิธีที่มีลับลมคมใน ไม่แน่อาจใช้เคล็ดวิชาบู๊เหาะเหินเดินอากาศ ที่หินอวี่ฮั่วไม่สามารถรับรู้ได้ พ่อ ฉันขอเสนอให้เขารีบหยุด แล้วถามเขา”

ฉินซางต้าตี้มองฉินฝานแล้วพูดว่า “นายล่ะคิดยังไง”

ฉินฝานอ้าปาก จู่ๆ เขากลอกตาไปมา หดคอแล้วพูดว่า “ลูกโง่เขลา มองอะไรไม่ออกเลยครับ”

ฉินอวิ่นหัวเราะอย่างดูหมิ่น แต่ฉินซางต้าตี้กลับยิ้มแล้วพูดว่า “วิชาที่แม้แต่พวกนายสองคนยังดูไม่ออก ดูเหมือนเป็นของหายากจริงๆ!”

เมื่อพูดจบ ฉินซางต้าตี้เอนหลังลงบนบัลลังก์มังกร ไม่พูดอะไรอีก

ไท่จื่อฉินอวิ่นรอคำพูดต่อไปของฉินซางต้าตี้ แต่พบว่าฉินซางต้าตี้ไม่มีท่าทีจะพูดต่อ

จู่ๆ สีหน้าของไท่จื่อฉินอวิ่นเปลี่ยนไป ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนเรื่องราวผิดปกติ ทำไมดูมาตั้งนาน เหมือนพ่อมีท่าทางชื่นชมลู่ฝานมาก!

ถ้าเป็นแบบนี้ ก็แย่น่ะสิ!

ในใจเกิดความคิดนับไม่ถ้วน สายตาที่ไท่จื่อฉินอวิ่นมองลู่ฝาน แฝงด้วยความอาฆาต

เดิมทีเขาคิดจะฆ่าลู่ฝาน แต่หลังจากการต่อสู้ตอนเทศกาลเซ่นไหว้ประจำปี ชื่อเสียงของลู่ฝานดังกระฉ่อน อีกทั้งยังอยู่ในเจดีย์ยา ทำให้เขาไม่มีโอกาสลงมือ ทำได้เพียงส่งของขวัญ แสร้งทำเป็นญาติดีกับลู่ฝาน

ตอนนี้คิดไม่ถึงว่าลู่ฝานยังได้ความชื่นชมจากเตี้ยนเซี่ย เป็นไปได้ยังไงกันล่ะ

ถ้าต่อไปลู่ฝานเข้ามาในราชสำนัก และกลายเป็นข้าราชการใหญ่จริงๆ มีอำนาจอยู่ในมือ นั่นจะกลายเป็นขวากหนามของเขาทันทีไม่ใช่หรือไง โดยเฉพาะตอนนี้ลู่ฝานยังเด็กมาก และมีศักยภาพขนาดนี้ เส้นทางในอนาคตไร้ขีดจำกัดจริงๆ!

เรื่องแบบนี้ ถ้ามีโอกาสเป็นไปได้เพียงเล็กน้อย ต้องรีบกำจัดทิ้งแต่เนิ่นๆ

ไท่จื่อฉินอวิ่นกำหมัดขึ้นมา แต่สิ่งที่เขาไม่ทันสังเกตคือการกระทำของเขา อยู่ในสายตาของฉินฝานและฉินซางต้าตี้

แววตาล้ำลึกของฉินซางต้าตี้ ฉายแวววูบไหวเล็กน้อย

ส่วนฉินฝาน กลับมีรอยยิ้มตรงมุมปาก

“พี่ชายสุดที่รักของฉัน ถ้าพี่ทำเรื่องผิดพลาดอีก ฉันจะมีความสุขมาก”

ฉินฝานเกือบจะหัวเราะออกมาดังๆ ในใจ ดูท่าทางฉินอวิ่น ใช้หัวแม่เท้าเดาเขาก็รู้ว่าฉินอวิ่นจะทำอะไร

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1098
เปลิวเพลิงรอบตัวกลายเป็นเปลวไฟสีขาวสว่างจ้า แต่สีหน้าและแววตาของลู่ฝานยังปกติ

ตอนนี้เขาแซงคนมาได้ 90 เปอร์เซ็นต์แล้ว ด้านหน้าเขามีคนหลายสิบคนกำลังฝ่าด่านอยู่!

คนพวกนี้ล้วนเดินมาเป็นระยะทางเกินร้อยขั้นแล้ว แต่ยังเดินต่อไปเรื่อยๆ ไม่มีอะไรนอกจากทดสอบว่าตัวเองจะเดินได้ไกลแค่ไหน

คิดว่าคงมีแค่ไม่กี่คนที่เดินถึงร้อยขั้นแล้วจะไม่เดินต่อ เหตุผลง่ายมาก เพราะการฝ่าด่านของพวกเขาในตอนนี้ แม้ดำเนินอยู่ในวัง แต่ไม่นานจะดังไปทั่วใต้หล้า ถ้าเดินอีกสักหน่อย ไม่แน่อาจเป็นหน้าเป็นตาให้ตัวเองก็ได้

แน่นอนว่าเดินได้เท่าไรก็เท่านั้น ค่อยหยุดตอนที่เดินไม่ไหวแล้วจริงๆ

ลู่ฝานเดินมาถึงขั้นที่ 100 กระบี่เปลวเพลิงปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว

แต่มันยังไม่ทันฟาดฟันลงมา ลู่ฝานกลับปีนขึ้นไป จับตัวกระบี่เอาไว้

หลังจากนั้นใช้แรงจับเอาไว้ กระบี่เปลวเพลิงแหลกสลาย กลายเป็นสะเก็ดไฟทันที

ลู่ฝานไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเลย เดินช้าๆ ผ่านสิบกว่าขั้นสุดท้าย ผ่านพื้นที่สีแดงออกไปทันที

หลู่ยินตามอยู่ด้านหลังลู่ฝาน เธอเดินอย่างผ่อนคลายจนผิดปกติเหมือนกัน

“ฮ่าๆ คิดไม่ผิดจริงๆ ที่ตามนายมา หึ นายต้องเคยผ่านไฟสวรรค์มาแล้วแน่ๆ ร่างกายใกล้จะเป็นอมตะแล้ว การผ่านด่านนี้คงเป็นอะไรที่ผ่อนคลายและมีความสุข แวบเดียวฉันก็ดูออกแล้ว”

หลู่ยินยิ้มอย่างได้ใจ

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “ฉลาดนักนะ ครั้งนี้เธอติดหนี้น้ำใจฉันแล้ว ต่อไปอย่าหลอกฉันอีก”

หลู่ยินพูดว่า “ได้ ถ้าด่านต่อไปฉันเจอนาย ฉันจะเบามือกับนาย โอเค นายฝ่าด่านต่อเถอะ ฉันไปละ!”

เมื่อพูดจบ คิดไม่ถึงว่าหลู่ยินจะกระโดดลงจากสะพานสายรุ้ง

หมุนไม้ค้ำสองอันเบาๆ คิดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นปีกเหล็กขนาดใหญ่สองอัน พาหลู่ยินลอยลงสู่พื้น

องครักษ์เกราะทองที่อยู่ด้านข้างพูดเสียงดังว่า “หลู่ยินตระกูลหลู่ 111 ขั้น ผ่านด่าน!”

เมื่อได้ยินชื่อหลู่ยิน ฉินซางยิ้มแล้วพูดว่า “เด็กคนนี้รีบถอยออกจากสงคราม ผ่านด่านแล้วก็แยกย้าย มีสไตล์ของตระกูลหลู่จริงๆ!”

ไท่จื่อฉินอวิ่นที่อยู่ข้างๆ พูดว่า “ลูกหลานตระกูลหลู่ เชี่ยวชาญการหลบซ่อนมาตลอด พวกเขาไม่มีทางเอาพละกำลังของตัวเองออกมาจนหมดภายในครั้งเดียวโดยไม่มีเหตุผลหรอกครับ”

ฉินซางมองฉินอวิ่นแวบหนึ่ง เขาไม่ได้พูดอะไร

เมื่อสัมผัสกับสายตาของพ่อ ไท่จื่อฉินอวิ่นพูดอีกว่า “แต่การคัดเลือกครั้งนี้ ถึงเธอจะหลบ ก็หลบได้ไม่นานหรอก”

เพิ่งพูดจบ หลู่เฉิงเซี่ยงหัวเราะออกมา ฉินซางต้าตี้ก็หัวเราะออกมาด้วย

ขุนนางบุ๋นแม่ทัพบู๊ที่อยู่ข้างหลัง ไม่รู้ว่าทั้งสองคนหัวเราะอะไร แต่สองคนนี้หัวเราะแล้ว พวกเขามีเหตุผลอะไรที่จะไม่หัวเราะ ทำได้แค่หัวเราะตามเท่านั้น

บนสะพานสายรุ้ง ลู่ฝานมองหลู่ยินที่กระโดดลงไป เขาส่ายหน้าเบาๆ แล้วพูดว่า “เธอกระโดดลงไปแล้ว ยังให้ฉันเดินไปต่อ อืม คำพูดก่อนหน้านี้ 80 เปอร์เซ็นต์คงจงใจหลอกล่อฉัน โอเค ถือว่าเธอชนะแล้ว ฉันอยากลองดูว่าตัวเองจะเดินได้ไกลแค่ไหน”

พูดพลาง ลู่ฝานเดินไปข้างหน้าต่อ

ตอนนี้ทุกคนเพิ่งพากันมองมาทางเขา

สือเฉินยิ้มแล้วพูดว่า “ลู่ฝานนักกระบี่แห่งตงหวา ดูน่าสนใจนะ”

นัยน์ตาถานไถเก๋อมีประกายประหลาดวนไปมา เธอยิ้มแล้วพูดว่า “ถ้าเขาตามฉันทัน ฉันจะให้โอกาสเขาเลี้ยงข้าวฉัน”

หลิ่วเจิน สุ่ยสือฉวนและคนอื่น กลับมีแววตาหวาดระแวงผุดขึ้นมา

ลู่ฝานผ่านเขตสีแดงมาอย่างง่ายดาย เรียกความสนใจจากพวกเขาได้อย่างชัดเจน

เดินต่อไปข้างหน้า เทียนชิงหยางที่อยู่ข้างหน้าสุด เดินไปถึงตรงกลางของเขตสีเหลืองแล้ว

ส่วนหานหยวนหนิงและคนอื่น ก็ใกล้จะเดินออกจากเขตสีส้มแล้ว

“ย๊าก!”

หานหยวนหนิงแผดเสียงออกมาเบาๆ เท้าและขามีเสียงโลหะดังออกมา ทันใดนั้นพุ่งออกไปสิบกว่าก้าว เดินออกมาจากจุดสีส้ม

หลิ่วเจินและคนอื่นไม่ยอมน้อยหน้า พากันเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น

ลู่ฝานเดินช้าๆ เข้าไปข้างใน รู้สึกว่าแรงกดดันรอบๆ เริ่มมากขึ้น

แรงดึงดูดของสะพานสายรุ้งด้านล่างเท้า ก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกัน

ทันใดนั้น ลู่ฝานนึกถึงลานประลองฝึกฝนตอนอยู่ที่สถาบันสอนวิชาบู๊

เหมือนจะเป็นวิธีนี้เหมือนกัน ดูเหมือนท่านผอ.เทียนหยาจื่อ มีโอกาส 80 เปอร์เซ็นต์ ที่เขาจะเรียนมาจากที่นี่

ลู่ฝานแยกฝ่าเท้าออกเล็กน้อย ปราณชี่ปรากฏด้านล่างเท้าของเขา

ทันใดนั้น ปราณชี่ดันพลังฟ้าดินรอบตัวเขาหนึ่งฟุตออกไป

ลู่ฝานรีบเดินไปข้างหน้า เหมือนเดินเล่นอยู่บนถนนตามปกติ

แต่การกระทำของเขา กลับทำให้คนนับไม่ถ้วนอุทานด้วยความตกใจไม่หยุด

“ทำไมเขาเดินเร็วขนาดนั้น ทำไมรู้สึกว่าเขตสีส้มไม่เป็นผลกับเขาเลย!”

“เป็นไปไม่ได้! นี่เขาใช้วิธีอะไรกัน พวกนายดูสิ แรงที่ขาและเท้าของเขาไม่ได้เพิ่มขึ้นเลย! เขาทำได้ยังไง”

ทุกคนตกตะลึง ส่วนลู่ฝานทำเหมือนไม่เห็นสีหน้าของพวกเขา

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1097

ลมเย็นทำให้สะพานสายรุ้งแกว่งไปมา เมฆสีสะท้อนท้องฟ้าสดใส

ลู่ฝานเดินไปข้างหน้าพลางชมวิวรอบตัว เหมือนไฟสวรรค์รอบๆ เป็นเพียงฟองอากาศไร้ความหมาย

เปลวไฟเป็นลูกๆ ระเบิดรอบตัวเขา เปลวไฟร่วงลงบนตัวลู่ฝาน แต่ไม่เป็นผลเลย

อย่าว่าแต่เผาไหม้เลย แม้แต่ผิวลู่ฝานก็ยังไม่แดงเลยด้วยซ้ำ

เดินผ่านท่ามกลางเปลวไฟ รอยยิ้มบนใบหน้าไม่ลดลงเลย

หลู่ยินหลบอยู่ด้านหลังลู่ฝาน เปลวไฟส่วนใหญ่โดนลู่ฝานต้านทานเอาไว้ทั้งหมด สะเก็ดไฟเล็กน้อยยังไม่ทันถึงหน้าหลู่ยิน จู่ๆ ก็ลอยไปทางอื่นโดยอัตโนมัติ

ลู่ฝานมองหลู่ยินอย่างละเอียด ยิ้มแล้วพูดว่า “ฝีมือไม่เลวนี่ มุกขจัดไฟหรือการหมุนห้าธาตุล่ะ”

หลู่ยินพูดอย่างได้ใจว่า “ถ้าให้นายรู้ฉันจะเล่นอะไรได้อีกล่ะ รีบเดินเถอะๆ ตามคนข้างหน้าให้ทัน ถ้าเดินหมดทั้งสะพานสายรุ้ง มีรางวัลใหญ่ด้วยนะ”

ลู่ฝานเงยหน้ามองสะพานสายรุ้ง แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “แค่ 900 กว่าขั้นเอง ไม่แน่ฉันอาจเดินจนครบก็ได้นะ!”

หลู่ยินหัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “อืม ฉันชื่นชมนิสัยคุยโม้ไร้ยางอายของนายจริงๆ! รีบเดินสิ นายเดินไม่เร็วเท่าคนพิการอย่างฉันเลย!”

ทั้งสองเดินพูดคุยเรื่อยเปื่อยต่อไปด้านหน้า

นักบู๊จำนวนไม่น้อยที่อยู่ข้างๆ เห็นแล้วงงไปหมด

คนจำนวนไม่น้อย โดนไฟที่ระเบิดอยู่ด้านหน้าขวางเอาไว้ กำลังเดินไปอย่างยากลำบาก พยายามประคองเอาไว้

เห็นลู่ฝานกับหลู่ยินยังพูดคุยยิ้มแย้ม ถึงกับพูดไม่ออก

คนเทียบกันไม่ได้จริงๆ ทำไมเขาสองคนถึงผ่อนคลายได้ขนาดนี้

ด้านหน้า เทียนชิงหยางก็เดินมาถึงตรงกลางเขตสีส้มแล้ว

แสงสีส้มด้านล่างเท้า เหมือนปลักโคลน ทำให้เขาเดินยากมาก แรงกดดันรอบตัว ก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เทียนชิงหยางเริ่มสูดลมหายใจเข้าออก ปรับสภาพร่างกายตัวเอง ค่อยๆ เดินไปด้านหน้าทีละก้าว

ตอนนี้หานหยวนหนิงตามมาทันแล้ว คิดไม่ถึงว่าเขาก้าวเดินเร็วกว่าเทียนชิงหยางนิดหน่อย

“ด่านนี้แข่งกันด้านพละกำลัง วิชาของตระกูลเทียน เชี่ยวชาญด้านความเร็วและทักษะ ตระกูลหานได้เปรียบด้านพละกำลังมากกว่า!”

“น่าเสียดาย วิทยายุทธของหานหยวนหนิงไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก ไม่รู้เขาใช้พลังสายเลือดแล้วหรือยัง”

“น่าจะยัง ในบรรดาลูกหลานตระกูลหาน หานหยวนหนิงเป็นคนที่มีพรสวรรค์แข็งแกร่งที่สุด ถ้าเขาใช้พลังสายเลือด แล้วยังได้แค่นี้ งั้นระดับความสามารถของคนอายุน้อยของตระกูลหาน คงน่าเป็นห่วงแล้วล่ะ”

“ถ้ายังไม่ใช้ งั้นเขากับเทียนชิงหยางคงได้แข่งกันอย่างห้าวหาญอีกครั้ง” ……

แม่ทัพบู๊สองสามคนพูดคุยเสียงดัง ฉินซางต้าตี้มองแล้วแอบพยักหน้า

นี่คือผู้โดดเด่นของคนอายุน้อย เป็นตัวแทนอนาคตของประเทศอู่อาน อีกสิบปี ยี่สิบปี ในบรรดาคนพวกนี้ มีโอกาสมากที่จะมีผู้แข็งแกร่งรุ่นใหม่ในประเทศอู่อาน

ฉินซางมองแววตาของพวกเขา เหมือนมองอัญมณีแต่ละเม็ดที่ยังส่องประกายไม่เต็มที่

เขาต้องเลือกเม็ดที่มีศักยภาพที่สุดออกมาจากข้างใน จากนั้นขัดเกลาอย่างตั้งใจ

ตอนนี้ต้องดูว่าอัญมณีเหล่านี้ ใครจะส่องประกายได้สว่างที่สุดออกมาก่อน

จู่ๆ เทียนชิงหยางดึงกระบี่ของตัวเองออกมา กวาดกระบี่ลงไปในอากาศเวิ้งว้างด้านหน้า

ลมแรงพัดขึ้นมา เทียนชิงหยางลอยตัวขึ้น ฝ่าเท้าลอยขึ้นจากสะพานสายรุ้งสีส้ม พุ่งขึ้นไปด้านบน

แต่เพิ่งพุ่งมาได้ไม่กี่ก้าว พลังประหลาดปล่อยออกมาจากหินสีดำด้านล่างสุด พุ่งเข้ามาบนตัวเขาทันที กดเขากลับลงไปอีกครั้ง เทียนชิงหยางใช้โอกาสนี้ พุ่งไปด้านหน้าอีกหลายสิบก้าว ตัวเป็นเงาออกมา พุ่งออกมาจากเขตสีส้มอย่างรวดเร็ว!

“ดี!”

ตอนนี้องค์ชายรองฉินฝานปรบมือส่งเสียงเชียร์ ทักษะการยืมพลังพุ่งไปด้านหน้าของเทียนชิงหยาง เรียกว่าใช้ได้อย่างชาญฉลาด

ข้ามสะพานสายรุ้งไม่อนุญาตให้ใช้เคล็ดวิชาบู๊เหาะเหินเดินอากาศ ใครกล้าใช้จะโดนการโจมตีของหินสีดำทันที

เห็นได้ชัดว่าเทียนชิงหยางรู้กฎนี้ จึงจงใจให้ฝ่าเท้าห่างจากสะพานสายรุ้ง และพุ่งไปด้านหน้าหลายก้าว หลังจากนั้นรอให้พลังของหินสีดำโจมตีมายังตัวเอง แล้วอาศัยพลังพุ่งไปด้านหน้า

ครั้งนี้ทำให้เขาทิ้งห่างกับหานหยวนหนิงและคนอื่นอย่างสมบูรณ์

ทันใดนั้น สุ่ยสือฉวน สือเฉินและคนอื่นพากันอึ้งไป

ถานไถเก๋อยิ้มแล้วพูดว่า “เทียนชิงหยาง นายฉลาดมากนะ”

ตอนนี้เทียนชิงหยางยืนอยู่ที่เขตสีเหลือง หันมายิ้มสดใสให้ถานไถเก๋อแล้วพูดว่า “แค่เล่ห์เหลี่ยมเท่านั้น!”

ลู่ฝานก็เห็นภาพนี้ เขายกยิ้มมุมปาก

“วิชาของเทียนชิงหยาง คิดไม่ถึงว่าจะมีความแข็งแกร่งอยู่ในความอ่อนโยน เปลี่ยนพลังมาเป็นของตัวเอง ตระกูลเทียนมีวิชาที่สาบสูญไปแล้ว!”

ลู่ฝานเอ่ยชม

หลู่ยินที่อยู่ข้างหลังพูดว่า “วิชาของตระกูลเทียน คือวิชาที่รวมทั้งอ่อนโยนและแข็งแกร่ง เริ่มจากวิชากาย รองลงมาคือวิชากระบี่ และค่ายกล เทียนชิงหยางมีความรู้ด้านวิชากระบี่และวิชากายมาก เรียกได้ว่าเป็นผู้สืบทอดแท้จริงของตระกูลเทียนมากเท่าที่จะมากได้แล้ว บวกกับกระบี่มังกรคำรามในมือ สามารถต่อสู้ซึ่งหน้ากับนักบู๊แดนปราณฟ้าได้เลย คุณชายลู่ ถ้านายสู้กับเขา กลัวว่าจะไม่มีโอกาสชนะเลย”

ลู่ฝานถอนหายใจพูดว่า “เฮ้อ วิทยายุทธไม่เพียงพอ แต่ฉันก็ขอไม่มากหรอก ได้อันดับดีๆ ก็พอแล้ว ถือว่าสู้หน้าพ่อแม่พี่น้องญาติมิตรที่บ้านเกิดได้แล้ว!”

หลู่ยินมองลู่ฝานอย่างดูหมิ่น แล้วพูดว่า “ไม่เอาไหน เขาว่ากันว่านักกวีไม่มีที่หนึ่ง นักบู๊ไม่มีที่สอง ทำไมคนอย่างนายไม่มีจิตวิญญาณของการต่อสู้แย่งชิงเป็นอันดับหนึ่งเลยสักนิด ดูเหมือนฉันประเมินนายสูงเกินไป!”

ลู่ฝานอมยิ้มไม่พูดอะไร หนำซ้ำยังฮัมเพลงแล้วเดินขึ้นไปต่อ

เขาเดินมาได้ 90 กว่าขั้นอย่างไม่รู้ตัว

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1096

100 ขั้น ทันใดนั้นเปลวไฟสีขาวสว่างจ้า ก่อตัวเป็นกระบี่ขนาดใหญ่ ฟันมาทางเทียนชิงหยางและคนอื่น

เทียนชิงหยางยกมือขึ้นมา แล้วแผดเสียงดัง!

กระบี่ยักษ์เปลวเพลิงฟันลงบนแขนเขา ทันใดนั้นเปลวไฟระเบิดออกมาเป็นแถบ กระจายไปทั่วทุกที่

คนด้านหลังโดนลูกหลงไปด้วย เปลวไฟสีขาวสว่างจ้า ทำให้คนอย่างน้อยร้อยคนร้องโอดครวญอย่างเจ็บปวด แล้วร่วงลงไปด้านล่าง ความโหยหวนของเสียง ดังสนั่นเลือนลั่น

ลมแรงปรากฏขึ้นบนตัวเทียนชิงหยาง สะเทือนเปลวไฟที่เหลือออกไปทันที

ทันใดนั้นเขาก้าวไปด้านหน้าสิบกว่าขั้น เทียนชิงหยางพุ่งออกมาจากเขตสีแดง เข้าสู่เขตสีส้มแล้ว!

“เทียนชิงหยางแห่งตระกูลเทียนผ่านแล้ว ท้าประลองต่อไป จะได้รับรางวัลความกล้าหาญ!”

องครักษ์เกราะทองคนหนึ่งตะโกนเสียงดัง

ลู่ฝานได้ยินคำว่ารางวัลความกล้าหาญ จิตใจวูบไหวเล็กน้อย

เทียนชิงหยางยิ้มบางๆ แล้วเดินต่อไปด้านหน้า

ตอนนี้หานหยวนหนิงและคนอื่น ก็ผ่านเขตสีแดงมาได้แล้ว!

“ดี ดี ดี!”

ฉินซางต้าตี้พูดด้วยรอยยิ้ม “ประเทศอู่อานยังมีคนมีความสามารถ เทียนชิงหยางแห่งตระกูลเทียน วิทยายุทธไม่ธรรมดา น่ายกย่อง ฉินอวิ่น ในการคัดเลือกด่านสะพานสายรุ้ง ใครเป็นสถิติสูงสุด”

ไท่จื่อฉินอวิ่นพูดว่า “สถิติสูงสุดคือ 743 ขั้นครับ ผู้ที่ทำได้คือผู้อาวุโสสุ่ยเจินหรานแห่งตระกูลสุ่ย”

ฉินซางต้าตี้ชี้เทียนชิงหยางแล้วพูดว่า “ฉันว่าครั้งนี้เทียนชิงหยางมีโอกาสทำลายสถิตินี้ ผ่านไฟสวรรค์โดยไม่บาดเจ็บเลย วิทยายุทธนี้ผ่านอีกสักสองสามด่าน คิดว่าไม่น่าจะมีปัญหา”

กลุ่มขุนนางที่อยู่ด้านหลังพยักหน้าเห็นด้วย

ฉินฝานที่นั่งอยู่ข้างๆ ไม่ได้มองเทียนชิงหยางเท่าไร แต่มองลู่ฝานที่อยู่ด้านล่าง

ตอนนี้ลู่ฝานเคลื่อนไหวแล้ว

เขาลุกขึ้นปัดก้น เดินไปทางสะพานสายรุ้ง ร้อยขั้นเป็นอย่างไร เขาเห็นอย่างชัดเจนแล้ว ไม่จำเป็นต้องรออีกต่อไป!

ลู่ฝานค่อยๆ เดินขึ้นไปด้านบน

ทันใดนั้น ขุนนางบุ๋นสองสามคนยิ้มแล้วพูดว่า “ในที่สุดเด็กคนนี้ก็ขยับแล้ว ฉันคิดว่าเขาจะไม่ขึ้นไปแล้ว”

“นี่ อย่าสบประมาทเขาขนาดนั้น ฉันว่าเมื่อกี้เขาเห็นแล้วเข่าอ่อน ก็เลยขยับไม่ได้ ตอนนี้คงผ่อนคลายขึ้นแล้ว!”

“มีเหตุผลๆ ฉันว่าเขาเดินได้ 50 ขั้นก็ไม่เลวแล้ว” ……

ขุนนางบุ๋นสองสามคนพูดเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย ราวกับจะพูดให้คนรอบๆ ได้ยิน

มีคนเห็นด้วย มีคนส่ายหัว ส่วนคนอีกจำนวนมากเงียบกริบ

หลู่เฉิงเซี่ยงมองคนพวกนี้แวบหนึ่ง แล้วยิ้มบางๆ มองไปทางฉินอวิ่น

ไม่ต้องสงสัยเลย ขุนนางบุ๋นพวกนี้ต้องเป็นสุนัขรับใช้ของไท่จื่อแน่นอน ไท่จื่อจงใจดูถูกลู่ฝานต่อหน้าเตี้ยนเซี่ย!

ไท่จื่อเข้าใจว่าเตี้ยนเซี่ยไม่รู้จักลู่ฝาน บวกกับขุนนางบุ๋นพูดแบบนี้ ก็จะดูถูกลู่ฝานตามไปด้วยงั้นเหรอ

หลู่เฉิงเซี่ยงยิ้มอย่างไม่ใส่ใจกับการกระทำของไท่จื่อ

ไม่ได้เรื่อง ไม่ได้เรื่องจริงๆ!

ไท่จื่อผู้น่าสงสาร พ่อตัวเองจ้องคนแบบไหนอยู่ยังไม่รู้เลย น่าเศร้าจริงๆ

เป็นถึงไท่จื่อ แต่กลับเดาความคิดของจักรพรรดิไม่ได้ ทำสิ่งที่ค้านกับเตี้ยนเซี่ย นี่มันหาเรื่องใส่ตัวไม่ใช่หรือไง

หลู่เฉิงเซี่ยงไม่พูดอะไรสักคำ นั่งด้วยความสุขุมอยู่ตรงนั้น เพราะเขาตัดสินใจว่าวันนี้จะไม่พูดอะไร ถ้าคนอื่นถามเขาจะไม่พูด นอกจากเตี้ยนเซี่ย เดิมทีเขากะว่าวันนี้จะไม่มาดู เพราะด่านแรกของวันนี้ หนึ่งคือไม่ได้สำคัญมาก สองคือจะดูหรือไม่ดู ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบกับเรื่องอื่น ดังนั้นเขาจึงไม่มา แต่เตี้ยนเซี่ยส่งคนมารับเขา เขาจึงทำอะไรไม่ได้

ตอนนี้ฉินฝานที่นั่งอยู่อีกด้าน แอบมองหลู่เฉิงเซี่ยงแวบหนึ่ง

เห็นหลู่เฉิงเซี่ยงดูแน่วแน่ รอยยิ้มบนใบหน้าไม่ลดลงเลย สีหน้าเหมือนดูละคร ฉินฝานขมวดคิ้วขึ้นเบาๆ

จู่ๆ ฉินซางต้าตี้ถามฉินฝานว่า “ฉินฝาน นายคิดว่าเด็กคนนี้เป็นยังไง”

ฉินฝานคิดแล้วพูดว่า “ฉันคิดว่าเขาดูว่าคนอื่นข้ามสะพานสายรุ้งยังไง จากนั้นค่อยเริ่มเคลื่อนไหว คนที่วางแผนก่อนลงมือ แน่นอนว่าเป็นผู้มีปัญญา ฉันคิดว่าเขาน่าจะผ่านร้อยขั้น”

ฉินซางต้าตี้หัวเราะเบาๆ แล้วลูบหัวฉินฝาน

แม้ฉินซางต้าตี้ไม่พูดอะไรสักคำ แต่การกระทำของเขากลับอธิบายทุกอย่างแล้ว

ทันใดนั้น สีหน้าฉินอวิ่นแปรเปลี่ยนเป็นไม่สู้ดี

ตอนนี้บนสะพานสายรุ้ง

ลู่ฝานเดินช้าๆ ขึ้นไปข้างบน แซงคนจำนวนมากไปอย่างไม่รู้ตัว

เขาเดินไม่เร็ว แต่มั่นคงมาก ไม่ได้ปล่อยปราณชี่ออกมาบนตัว เดินตรงไปข้างหน้าอย่างนั้น เหมือนเขาไม่รู้สึกถึงไฟที่แผดเผาบนตัว

60 ขั้น 70 ขั้น!

ไม่นาน ลู่ฝานเดินมาถึงข้างหลู่ยิน

หลู่ยินค้ำไม้เท้าอยู่สองอัน แน่นอนว่าเดินช้ามาก แต่เด็กสาวคนนี้กลับเดินไปพลางฮัมเพลงไปพลาง

เมื่อเห็นว่าลู่ฝานตามตัวเองทัน จู่ๆ หลู่ยินดึงปกเสื้อลู่ฝานแล้วพูดว่า “นี่ นี่ เห็นคนเดินไม่สะดวก นายจะไม่ช่วยหน่อยเหรอ”

ลู่ฝานมองเธอด้วยรอยยิ้มแล้วพูดว่า “ได้สิ เดินตามฉันมาสิ”

หลู่ยินฉีกยิ้มแล้วพูดว่า “นายพูดเองนะ”

พูดจบ หลู่ยินดึงปกคอเสื้อของลู่ฝานไม่ปล่อย

ลู่ฝานส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจ จากนั้นเดินต่อไปข้างหน้า

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1095

เมื่อสิ้นเสียง พวกนักบู๊พุ่งขึ้นไปด้านบนอย่างสุดชีวิต

สะพานสายรุ้งกว้างมาก กว้างจนรถม้าหลายคันสามารถวิ่งขนาบกันได้ ดังนั้นคนจำนวนมากกรูขึ้นไปแบบนี้ จึงไม่ทำให้สะพานสายรุ้งดูแออัด

ตอนนี้ร่างทองของฉินซางต้าตี้หายไปแล้ว กลับมารูปร่างเหมือนเดิม เขามองภาพนี้ด้วยรอยยิ้มแล้วพูดว่า “คนอายุน้อยมีแรงฮึกเหิม ฉินอวิ่น ฉินฝาน พวกนายมานี่สิ มาดูด้วยกันกับฉัน ไปเรียกหลู่เฉิงเซี่ยงมาด้วย”

ฉินอวิ่นกับฉินฝานคำนับและส่งเสียงตอบรับ จากนั้นนั่งลงทางซ้ายและขวาของฉินซางต้าตี้

ไม่นาน แสงสีทองพาหลู่เฉิงเซี่ยงมาถึง หลังจากคำนับทำความเคารพ หลู่เฉิงเซี่ยงนั่งลงด้านหลังฉินซางต้าตี้

บนสะพานสายรุ้ง ทุกคนพุ่งไปได้ยี่สิบขั้นแรกแล้ว เข้าสู่เขตสีแดงอย่างสมบูรณ์แบบ

สะพานสายรุ้งแบ่งออกเป็นเก้าสี แต่ไม่เหมือนสายรุ้งทั่วไป ที่แสงเก้าสีปะปนอยู่ด้วยกัน

เขตทั้งเก้าสีแบ่งออกอย่างชัดเจน แสงเก้าสีได้แก่ สีแดง ส้ม เหลือง เขียว ฟ้า น้ำเงิน ม่วง ดำ ขาว เขตแต่ละเขตประมาณ 111 ขั้น ทั้งเก้าสีมีทั้งหมด 999 ขั้น

นี่คือสวรรค์ชั้นเก้าของสะพานสายรุ้ง หรือเรียกอีกอย่างว่าสะพานสายรุ้งสัจธรรมฟ้า

ตู้ม!

ตอนกลุ่มคนที่อยู่ด้านหน้า พุ่งไปได้สามสิบขั้น รอบตัวพวกเขาเริ่มมีไฟสวรรค์

เขตสีแดงอันแรก เป็นเขตเพลิงสีแดง ถ้าไม่มีความสามารถรับมือกับไฟสวรรค์ ตะบี้ตะบันพุ่งเข้าไป จะโดนไฟเผาจนมอดไหม้

ลู่ฝานยืนอยู่ที่เดิม เมื่อเห็นภาพตรงหน้า เขายิ้มบางๆ ออกมา

ที่แท้นี่คือการประเมิน!

เขาไม่ได้ทำเหมือนคนอื่นที่พุ่งเข้าไปทันที

เพราะไม่ได้มีกฎบอกว่าคนแรกที่พุ่งเข้าไปจะผ่านด่านได้ งั้นจะขึ้นไปช้าหรือเร็ว ก็ไม่ต่างกัน ลู่ฝานกะว่าจะดูให้ชัดเจนก่อนแล้วค่อยขึ้นไป ดังนั้นเขาจึงกลายเป็นคนสุดท้าย

“ร้อนมาก ร้อนสุดๆ!”

ตรงขั้นที่ 40 มีนักบู๊คนหนึ่งทนการเผาไหม้ของไฟสวรรค์ไม่ไหวแล้ว ร่วงลงมาจากสะพานสายรุ้งทันที

ตัวยังไม่ทันถึงพื้น ก็โดนแสงสีทองแสงหนึ่งพาไป

ในเวลาเดียวกันองครักษ์เกราะทองพูดเสียงดังว่า “โจวเสี่ยวถงแห่งเขตซวี่หยางตกรอบ!”

เมื่อมีคนตกรอบเป็นคนแรก ก็มีคนที่สอง คนที่สามตามมาอย่างรวดเร็ว

ทุกคนที่ร่วงลงมา องครักษ์เกราะทองจะประกาศออกมาทีละคน

ไม่นาน มีคนร่วงลงมาสิบกว่าคนแล้ว และทุกคนพุ่งไปได้ 50 ขั้นแล้ว

ตอนนี้ทุกคนเพิ่งสังเกตว่ายังมีอีกคนที่ยังไม่ได้ขึ้นมาบนสะพานสายรุ้ง

ฉินซางต้าตี้ยิ้มบางๆ แสร้งทำเป็นไม่รู้ ชี้ไปทางลู่ฝานแล้วพูดว่า “คนนี้คือใคร ทำไมถึงไม่ขึ้นไปบนสะพานสายรุ้ง”

ไท่จื่อฉินอวิ่นที่อยู่ข้างๆ พูดว่า “เด็กคนนี้คือลู่ฝานแห่งเขตตงหวา เป็นคนที่ใช้วิธีการไม่ชอบเพื่อให้ได้มาซึ่งชื่อเสียงเกียรติยศ ตอนนี้ไม่ขึ้นไปบนสะพาน คงตกใจจนหัวหดมั้งครับ”

ฉินซางต้าตี้มองฉินอวิ่นแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “อ๋อ อย่างนี้นี่เอง งั้นก็ให้เขายืนอยู่แบบนั้นเถอะ”

ฉินอวิ่นอึ้งไปครู่หนึ่ง คิดไม่ถึงว่าพ่อจะตอบกลับแบบนี้

หลู่เฉิงเซี่ยงที่อยู่ด้านหลังหัวเราะออกมา มองไท่จื่อฉินอวิ่นแล้วส่ายหน้าเบาๆ

ปัง! ปัง! ปัง!

จู่ๆ เสียงเปลวไฟระเบิดดังขึ้นบนสะพานสายรุ้ง

นักบู๊หลายสิบคนไม่ทันตั้งตัว โดนระเบิดจนตกลงมาจากสะพานสายรุ้ง ตอนนี้พวกเขาเดินมาได้ 60 ขั้นแล้ว เมื่อถึงตรงนี้ ไม่ใช่ไฟสวรรค์ธรรมดาๆ อีกแล้ว

เปลวไฟพวกนั้นระเบิดได้ ก่อตัวเป็นลูกไฟโจมตีได้ อีกทั้งยังสามารถก่อตัวเป็นเครื่องพันธนาการเปลวไฟขวางทางไปข้างหน้า

คนจำนวนไม่น้อยถึงตรงนี้แล้วไปต่อได้ยาก ไฟสวรรค์พวกนี้เผาจนพลังปราณของพวกเขากระจาย สั่นไปทั้งตัว กลิ่นเนื้อย่างลอยฟุ้งไปทั่ว

มีเพียงสิบกว่าคน ที่สามารถเดินต่อไปข้างหน้าอย่างสบายๆ ราวกับเปลวไฟพวกนี้ เป็นเพียงภาพลวงตา ไม่สามารถทำอะไรร่างกายพวกเขาได้

คนที่นำอยู่ด้านหน้าคือเทียนชิงหยางแห่งตระกูลเทียน!

“ไฟสวรรค์ธรรมดาๆ คิดจะขวางฉันเหรอ น่าขำ!”

เทียนชิงหยางเดินตรงขึ้นไป 70 ขั้น 80 ขั้น ไม่เป็นปัญหาเลย

เมื่อถึงตรงนี้ ไฟสวรรค์ไม่ใช่เปลวไฟสีแดงอีกแล้ว แต่เปลี่ยนเป็นเปลวไฟสีน้ำเงินเข้ม ก่อตัวเป็นกำแพงเปลวไฟ ขวางทางข้างหน้าเอาไว้

เกาะปราณของเทียนชิงหยางปรากฏออกมา ก้าวเท้าเดินไปข้างหน้า เปลวไฟพวกนี้ไม่สามารถหยุดเขาได้!

คนที่ตามหลังเขามาติดๆ ก็คือหานหยวนหนิงแห่งตระกูลหาน!

เหมือนคิดจะแข่งกับเทียนชิงหยาง หานหยวนหนิงเดินจ้ำไปข้างหน้า เหมือนจะแซงเทียนชิงหยางได้ตลอดเวลา

เมื่อมองไปข้างหลัง เป็นสุ่ยสือฉวนและคนอื่น พวกลูกหลานสิบตระกูลใหญ่ ก็ไม่ทิ้งห่างคนอื่น อย่างมากก็ห่างแค่ 1-2 ขั้น เดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ยังมียอดฝีมือที่ไม่รู้จักชื่ออีกสองสามคน ที่เดินไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่องเหมือนกัน พวกเขากำลังจะผ่านระยะทางร้อยขั้นแล้ว!

ลู่ฝานยังไม่ขยับ เขานั่งลงบนพื้นแล้วมองดู

เขาไม่รีบ ไม่รีบเลยสักนิด จากความคิดของเขา ดูว่าพวกเขาเดินจนจบร้อยขั้นยังไง แล้วค่อยขึ้นไปไม่ดีกว่าเหรอ อย่างเช่นตอนนี้เขารู้แล้วว่าทุกสิบขั้น ไฟสวรรค์พวกนั้นจะยิ่งรุนแรงขึ้น เมื่อไปถึงด้านหลังเปลวไฟจะกลายเป็นไฟสีขาวลุกโชน

90 ขั้น ฝีเท้าของเทียนชิงหยางช้าลง เปลวไฟสีขาวสว่างจ้า เผาเกราะปราณของเขาจนเกิดเสียงเผาไหม้ เขาต้องเคลื่อนไหวพลังปราณอย่างต่อเนื่อง ถึงจะรักษาเกราะปราณที่สูญเสียไปเอาไว้ได้

มีเหงื่อไหลลงมาจากหน้าผากหนึ่งหยด ระดับความรุนแรงของไฟสวรรค์นี้ เหนือกว่าที่เขาคาดไว้แล้ว แต่เดินต่อไปก็ไม่ใช่ปัญหา

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1094

เมื่อมองมาทางลู่ฝาน สายตาหยุดอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากนั้นละสายตาออกมาแล้วพูดว่า “การคัดเลือกผู้มีความสามารถ เป็นเรื่องสำคัญอันดับหนึ่งของประเทศอู่อาน พวกนายล้วนเป็นนักบู๊อายุน้อยที่มีความสามารถโดดเด่นของประเทศอู่อาน ผ่านการแนะนำเป็นขั้นๆ กว่าจะมาถึงตรงนี้ เรียกได้ว่าแค่คนที่สามารถเข้ามาในตำหนักวันนี้ ล้วนเป็นกำลังสำคัญของประเทศ อนาคตของประเทศอู่อานในภายภาคหน้า ล้วนต้องพึ่งพาอาศัยพวกนาย”

ขณะนั้น กลุ่มคนส่งเสียงตะโกนขึ้นทันที

“ฝ่าบาททรงพระเจริญ ประเทศอู่อานยิ่งใหญ่!”

ลู่ฝานสะดุ้งกับเสียงตะโกนของคนพวกนี้ รีบก้มหน้าตามอย่างรวดเร็ว

การกระทำของเขา อยู่ในสายตาคนจำนวนไม่น้อย จู่ๆ เสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้นเป็นจำนวนมาก

“ประเพณีพิธีการยังทำไม่เป็นเลย เข้าถูกคัดเลือกมาได้ยังไง”

“นักกระบี่แห่งตงหวาแค่นี้เองเหรอ คงไม่ได้มีดีแค่ชื่อใช่ไหม!”

ขุนนางบุ๋นสองสามคนหัวเราะออกมา สายตาที่มองลู่ฝานยิ่งดูหมิ่นเข้าไปอีก

ในบรรดานักบู๊อายุน้อย ก็มีคนจำนวนไม่น้อยหัวเราะพรืดใส่ลู่ฝาน โดยเฉพาะหลู่ยิน ที่ทำท่าทำทางดูหมิ่นใส่ลู่ฝาน

ลู่ฝานกะพริบตาอย่างไม่สนใจ ก็เข้าไม่ได้เรียนประเพณีพิธีการจริงๆ นิ

หลู่เฉิงเซี่ยงบอกว่าจะส่งคนมาสอนเขา แต่ผลปรากฏว่าเขาไปอ่านหนังสือคนเดียวตั้งหลายวัน ก็ไม่มีใครมาสอนเขา

เห็นฉินซางต้าตี้ไม่มีท่าทีจะไล่เขาออกไป ลู่ฝานแอบถอนหายใจอย่างโล่งอก

ไม่เกิดเรื่องก็ดีแล้ว ส่วนเรื่องขายหน้า ไม่สนใจหรอก!

ฉินซางต้าตี้สะบัดมือ บอกให้ทุกคนลุกขึ้นยืน แล้วพูดต่อ “ฉันหวังว่าหลังจากสิบวัน จะได้เจอพวกนายที่ตำหนักอีก”

ฉินซางต้าตี้กวักมือให้ฉินอวิ่นที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุด

ไท่จื่อฉินอวิ่นค่อยๆ เดินออกมา พูดเสียงดังกับพวกนักบู๊อายุน้อยว่า “นักบู๊ทุกคนที่เข้าร่วมการคัดเลือก ไปแท่นบูชาอวี่ฮั่ว เดินทางสัจธรรมฟ้า ข้ามสะพานสายรุ้ง!”

ทุกคนตอบรับเสียงดัง ไท่จื่อฉินอวิ่นสะบัดมือ หินเวิ้งว้างด้านล่าง ส่องแสงสว่างแสบตา

ไม่ต้องดูก็รู้ว่านี่คือแสงของจุดค่ายกลเคลื่อนฟ้า

ลู่ฝานสูดหายใจลึก ต่อมาฟ้าดินเกิดการเปลี่ยนแปลง เวลาเพียงพริบตาเดียว พวกเขามาถึงบนลานประลองขนาดมหึมาแห่งหนึ่ง

ลานประลองใหญ่มาก อย่างน้อยก็ใหญ่กว่าลานประลองที่ลู่ฝานประลอง ตอนเทศกาลเซ่นไหว้ประจำปีเป็นสิบเท่า

ตรงกลางมีหินขนาดใหญ่อยู่หนึ่งก้อน ดำขลับเหมือนหมึก บนหินมีตัวอักษรคำว่า “แท่นบูชาอวี่ฮั่ว!”

ลู่ฝานหันไปมองรอบๆ เห็นฉินซางต้าตี้และคนอื่น นั่งเรียงตามลำดับอยู่ในชั้นเมฆ

ตอนนี้ฉินอวิ่นมองลงมาจากยอดเมฆ เขาพูดเสียงดังอีกครั้ง “การคัดเลือกด่านแรก สะพานสายรุ้งทางสัจธรรมฟ้า นักบู๊ทุกคน คนที่สามารถเดินขึ้นสะพานสายรุ้งได้ร้อยขั้น ถือว่าผ่านด่าน คนที่ไม่ถึงร้อยขั้น ถือว่าตกรอบ!”

เมื่อสิ้นเสียง ทุกคนพูดตอบรับ

ลู่ฝานพบว่าคนอื่นไม่ได้ส่งเสียงอุทานอย่างตกใจ เห็นได้ชัดว่าพวกเขารู้เกี่ยวกับด้านนี้เป็นอย่างดี

บางทีคนในที่นี้ อาจมีแค่เขาที่ไม่รู้ว่าการคัดเลือกตอนผ่านด่านไหนบ้าง!

ทันใดนั้น มีวงแหวนเก้าสีสว่างขึ้นบนหินก้อนใหญ่

ลำแสงพุ่งขึ้นไปบนฟ้า คิดไม่ถึงว่าจะพุ่งไปข้างหน้าฉินซางต้าตี้

ลำแสงรวมตัวกันเป็นสายรุ้ง เชื่อมต่อกับขอบฟ้า เหมือนสะพานลอยขึ้นไปด้านบน นี่คือสะพานสายรุ้ง!

เมื่อนักบู๊ทุกคนเห็นภาพนี้ ต่างพากันทำสมาธิตั้งสติ ลูบไม้ลูบมือตั้งท่าต่อสู้

หลู่ยินที่อยู่ข้างลู่ฝานพูดเสียงเบาว่า “ลู่ฝาน นายรู้ไหมว่าทุกครั้งด่านนี้จะมีคนตกรอบอย่างน้อย 50 เปอร์เซ็นต์เลยนะ!”

ลู่ฝานพูดด้วยรอยยิ้ม “เธอพูดเรื่องแบบนี้กับฉันทำไม”

หลู่ยินพูดว่า “ฉันเตือนนายไง ถ้านักกระบี่แห่งตงหวาผู้ยิ่งใหญ่ ตกรอบตั้งแต่ด่านแรก นั่นมันน่าอายมากเลยนะ!”

ยังไม่ทันพูดจบ ไท่จื่อฉินอวิ่นที่อยู่บนฟ้าพูดเสียงดังว่า “เริ่ม!”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1093
“ไม่ต้องมีพิธีรีตองหรอก!”

ฉินซางต้าตี้พูดพร้อมเสียงหัวเราะ

อาจเป็นเพราะตัวใหญ่เกินไป เสียงของเขาให้ความรู้สึกแบบโลหะที่หนักอึ้ง

ลู่ฝานมองตัวของฉินซางต้าตี้ จิตใจวูบไหว เกือบโดนแสงอบอุ่นนั่นโจมตีเข้าให้แล้ว

ว่ากันว่าร่างแท้จริงของฉินซางต้าตี้ อันที่จริงก็ตัวเท่าคนทั่วไป แต่เพราะชี่ของตำหนักไท่เหอ กับบัลลังก์แกะสลักมังกรปิดทอง แสดงให้เห็นร่างกายสีทองขนาดใหญ่

นี่คือร่างแห่งประมุข แข็งแกร่งทำลายยาก ไม่สลายไม่ดับสูญ

แค่เขาอยู่ในสภาพแบบนี้ เขาจะไม่มีวันพ่ายแพ้

ช่วงนี้ลู่ฝานอ่านหนังสือ อ่านเจอหนังสือประวัติศาสตร์ประเทศอู่อานพอดี

ว่ากันว่าประเทศเป่ยเสินเคยส่งผู้แข็งแกร่งเซียนบู๊อันดับต้นๆ สิบคน มาฆ่าฉินหวนประมุขของประเทศอู่อานในตอนนั้น

ผลปรากฏว่าฉินหวนเพียงคนเดียว ใช้ร่างแห่งประมุขทำลายเซียนบู๊สิบคน ในตำหนักแห่งนี้ ฆ่าพวกเขาจนหมดภายในเวลาอันรวดเร็ว

ส่วนฉินหวนเป็นจักรพรรดิที่มัวแต่ห่วงเล่นและไม่น่าเชื่อถือที่สุด ในบรรดาประมุขแห่งประเทศอู่อาน

ว่ากันว่าเขาไม่เคยเรียนเคล็ดวิชาบู๊อะไรเลย พลังปราณแย่มาก วิทยายุทธแค่แดนปราณนอก แต่คนแบบนี้อาศัยร่างแห่งประมุข ทำเรื่องที่สะท้านฟ้าสะเทือนดินขนาดนี้ออกมาได้

หลังจากนั้นเป็นต้นมา การฆ่าประมุขของประเทศอู่อาน จึงกลายเป็นเรื่องที่โง่เขลาที่สุด

ถึงเป็นประเทศใหญ่ๆ ภายในโลก ก็ไม่กล้าส่งคนมาชี้นิ้วสั่งการส่งเดชกับประเทศอู่อานตามอำเภอใจ เพราะสาเหตุอย่างนี้!

ลู่ฝานมองร่างสีทองของฉินซางต้าตี้อยู่นาน

แต่คนจำนวนไม่น้อยที่อยู่ข้างเขา พากันก้มหน้าลง ตอนนี้คนที่สามารถจ้องตัวของฉินซางต้าตี้ได้ น้อยจนสามารถนับนิ้วได้

ขุนนางบุ๋นและแม่ทัพบู๊ที่อยู่ข้างๆ ต่างมองลู่ฝานและคนอื่นด้วยรอยยิ้ม

เห็นลู่ฝานเอาแต่มองร่างทองของฉินซางต้าตี้ ด้วยใบหน้าที่แน่วแน่ คนจำนวนไม่น้อยพยักหน้าเบาๆ

คนที่เหมือนกับลู่ฝานยังมีอีกสองสามคน สองคนในนั้นคือเทียนชิงหยางแห่งตระกูลเทียน รวมไปถึงหานหยวนหนิงแห่งตระกูลหาน!

“ดูเหมือนครั้งนี้เทียนชิงหยางแห่งตระกูลเทียนจะเอาจริง ดูแววตาสุขุมของเขา เห็นได้ชัดว่าวิทยายุทธล้ำลึก จิตใจก็ไม่แย่”

“เด็กตระกูลหาน ก็ยังมีท่าทางแบบนี้เหมือนเดิม สีหน้าเย่อหยิ่งอวดดีบนใบหน้า เหมือนเคาะออกมาจากพิมพ์เดียวกัน แต่ประกายนัยน์ตาหานหยวนหนิง ทำไมมันดูล้ำลึกจัง”

“ลูกหลานตระกูลหานเก็บซ่อนความคิด ไม่ใช่เรื่องดีนะ!”

“นี่คือลู่ฝานที่ทำให้เมืองหลวงเกิดความโกลาหลในช่วงนี้สินะ มีความห้าวหาญองอาจไปทั้งตัว!”

“ถ้าเด็กคนนี้ยอมเป็นทหาร ต่อไปต้องเป็นนายพลใหญ่แน่นอน”

“ฉันดูสีหน้าแววตาเขานิ่งเหมือนน้ำ ประกายนัยน์ตาแวววาว แต่ก็ยังเก็บงำเอาไว้ น่าจะเป็นคนฉลาดแถมมีความกล้าอีกต่างหาก”

“ได้ยินว่าตอนนี้เขาเรียนอยู่ที่ตระกูลของหลู่เฉิงเซี่ยง”

“หืม เข้าธรรมจักษุของหลู่เฉิงเซี่ยงได้ด้วย ไม่ธรรมดานะ!” ……

เสียงพูดคุยดังขึ้นข้างๆ ขุนนางบุ๋นและแม่ทัพบู๊พวกนี้ ไม่ใช่คนธรรมดา การประเมินของพวกเขาเรียกได้ว่ามีคุณค่าทรงพลัง

เรื่องที่นักบู๊อายุน้อยพวกนี้เข้ามาในตำหนักวันนี้ จะถูกขุนนางด้านงานประวัติศาสตร์บันทึกเอาไว้ ถ้าต่อไปพวกเขาประสบความสำเร็จ คำพูดของพวกขุนนางในวันนี้ จะเป็นการประเมินแรกในชีวิตของพวกเขา เป็นไปได้ว่าจะส่งผลกับเส้นทางของพวกเขาในอนาคต

ด้วยเหตุนี้ นักบู๊จำนวนไม่น้อยพยายามอกผายไหล่ผึ่ง เพื่อที่จะได้รับคำประเมินที่ดี

แต่น่าเสียดาย บางคนไม่ต้องทำอะไรเลย ก็มีคนนับไม่ถ้วนพูดถึง ส่วนบางคน ถึงถอดกางเกงต่อหน้าทุกคน ก็ไม่สามารถทำให้คนอื่นมองได้

สายตาของฉินซางต้าตี้ กวาดตามองนักบู๊อายุน้อยเหล่านี้

บทที่ 1092
บทที่ 1094

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1092

พวกคุณชายบ้านรวยคิดจะใช้พลังปราณสัมผัสปลาพวกนี้กลางอากาศ แต่คนที่รู้สถานการณ์ภายในที่อยู่ข้างๆ รีบห้ามพวกเขาเอาไว้ ปลาพวกนี้ไม่สามารถแตะต้องได้จริงๆ

เมื่อข้ามสะพานเมฆ คือตำหนักไท่เหอ ตำหนักแรกในตำหนักทั้งเก้าของวัง

อะไรที่เรียกว่าสีทองสว่างระยิบระยับ อะไรที่เรียกว่าทรงพลังยิ่งใหญ่

แวบแรกที่ลู่ฝานเห็นตำหนักไท่เหอ คำที่คิดได้เป็นอย่างแรกในหัวก็คือ

“พลังอำนาจกลืนภูเขาและแม่น้ำ!”

แม้เป็นเพียงสิ่งก่อสร้างแห่งหนึ่ง แต่เหมือนมีจิตวิญญาณอย่างไรอย่างนั้น

ชายคาที่โค้งขึ้นแบบจีนเหมือนปีก ป้ายประตูราวกับดวงตา ตำหนักเหมือนร่างกาย ประตูหลักเหมือนปาก ทั้งตำหนักเหมือนสัตว์ร้ายขนาดมหึมานอนอยู่ที่นี่ แผ่พลานุภาพที่ดูเย่อหยิ่งออกมา

บวกกับมังกรและเสือหน้าตำหนัก รู้สึกเหมือนโดนกระชากวิญญาณออกไป

“หยุด!”

เสียงตะโกนดังขึ้นในตำหนัก รถม้าทุกคันหยุดลงทันที

หลู่เฉิงเซี่ยงจัดแจงปกคอเสื้อชุดจีนโบราณ พูดกับลู่ฝานด้วยรอยยิ้ม “ไปกันเถอะ ออกไปได้แล้ว”

ลู่ฝานเดินตามหลู่เฉิงเซี่ยงออกจากรถม้า

เงยหน้าขึ้นมอง บันไดหินสูงขึ้นไปข้างบนจนถึงประตูของตำหนักไท่เหอ มีองครักษ์เกราะทองยืนอยู่ทั้งสองข้างของบันไดหิน ดวงอาทิตย์ที่ส่องลงมา ทำให้เกิดแสงระยิบระยับแสบตา

หลู่เฉิงเซี่ยงมองไปด้านหลังแวบหนึ่ง รถม้าขนาดเล็กกว่าหน่อยหยุดลงเช่นกัน หลังจากนั้นหลู่ยินค้ำไม้เท้าสองข้างลงมาจากรถม้า

หลู่ยินรีบเดินเข้ามา พูดกับหลู่เฉิงเซี่ยงอย่างออดอ้อนว่า “ปู่ เวลาแบบนี้ คิดไม่ถึงว่าปู่จะไม่อยู่บนรถม้าคันเดียวกับหนู ปู่คิดว่าหนูแย่กว่าไอ้หมอนี่ใช่ไหม เป็นหน้าเป็นตาให้ปู่ไม่ได้ใช่ไหม”

ลู่ฝานหัวเราะอยู่ข้างๆ แต่ไม่พูดอะไร สิบสามยืนอย่างนอบน้อมอยู่ข้างหลังลู่ฝาน

หลู่เฉิงเซี่ยงพูดกับหลู่ยินอย่างเอ็นดู “หลู่ยิน เธอควรจะรู้เหตุผลสิ ยังต้องให้ปู่อธิบายอีกเหรอ”

หลู่ยินเบะปาก ย่นจมูกใส่หลู่เฉิงเซี่ยง จากนั้นไปยืนข้างลู่ฝาน แล้วพูดเสียงเบาว่า “เรื่องครั้งก่อนยังไม่จบ!”

ลู่ฝานพูดอย่างราบเรียบ “ไม่ จบแล้ว”

ตอนนี้กลุ่มคนลงจากรถม้าอย่างรวดเร็ว มีเสียงอุทานอย่างตกใจเป็นระยะ เหมือนกำลังชื่นชมความยิ่งใหญ่ของตำหนักไท่เหอ

ขณะนั้นมีเสียงหนึ่งดังขึ้นรอบทิศอีกครั้ง

“นักบู๊ขึ้นมาบนตำหนัก คนที่ไม่เกี่ยวข้องถอยไป!”

ลู่ฝานพยักหน้าให้สิบสาม จากนั้นรีบเดินขึ้นไปด้านบน

สิบสามยืนข้างรถม้า ไม่ได้ตามขึ้นไปด้วย เขาไม่มีโควตารายชื่อคัดเลือก เข้ามาในวังได้ก็ถือว่ามากที่สุดแล้ว ส่วนการเข้าไปในตำหนักไท่เหอ เขาไม่มีคุณสมบัตินั้น

ยังมีคนที่เหมือนเขาอีกมากมาย แม้แต่หลู่เฉิงเซี่ยงยังไม่ขึ้นไปเลย มีเพียงคนที่มีโควตารายชื่อคัดเลือกหลายร้อยคน ขึ้นไปบนบันไดหิน เดินไปยังประตูตำหนักไท่เหอ ภายใต้การจับจ้องขององครักษ์เกราะทอง

ในที่สุดคนหลายร้อยคนมาถึงหน้าประตูตำหนักไท่เหอ

พวกเขาทั้งหมดรวมกัน ยังไม่กว้างเท่าประตูตำหนักเลย

จู่ๆ ทุกคนชะงักฝีเท้าลง เพราะเงาของเสือและมังกรขวางอยู่ข้างนอกประตูตำหนัก

นี่คือมังกรและเสือปิดประตู ถ้าไม่ได้รับคำสั่งจะไม่สามารถเข้าไปข้างในได้

เสียงตะโกนดังขึ้นอีกครั้ง

“เปิด! นักบู๊เข้ามาในตำหนัก!”

เงามังกรและเสือหายไปทันที คนหลายร้อยคนก้าวเข้าไปในตำหนักไท่เหอพร้อมกัน

ลู่ฝานเงยหน้ามองด้านบนสุด เขาเห็นร่างใหญ่เหมือนภูเขาอยู่ตรงนั้น

คนที่นั่งอยู่บนบัลลังก์แกะสลักมังกรปิดทอง คือฉินซางต้าตี้ ฮ่องเต้ของประเทศอู่อาน

เงาขนาดใหญ่ ส่องแสงสะดุดตาและอบอุ่น

ทั้งสองข้างยืนเรียงเป็นแถวทั้งบุ๋นบู๊ คนที่เป็นผู้นำคือฉินอวิ่นและฉินฝาน องค์ชายทั้งสองพระองค์

ทุกคนเดินมาถึงตรงกลางก็ชะงักฝีเท้าลง กลุ่มคนคำนับแล้วพูดอย่างพร้อมเพรียงว่า “ถวายบังคมฝ่าบาท!”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1091

เมืองชั้นในหรือเรียกอีกอย่างว่าวัง คือประมุขแห่งประเทศ

พลับพลายก กำแพงสีแดงพร้อมรั้วสูง หอสังเกตการณ์กระจายล้อมเป็นวง

ประตูยิ่งใหญ่ทรงพลังสูงเสียดฟ้า

มังกรทองฮึกเหิม ลอยอยู่ในพลับพลา

ลำแสงสว่างไสวเป็นแถบ ทางเดินในวังล้วนเป็นลายเมฆ

หอเอนข้างตำหนักมีสัตว์อสูรยืนอยู่หกตัว เปิดปิดรับการคุ้มครองจากฟ้าดิน

กระเบื้องเคลือบ เสาจากแร่ล้ำค่า สิ่งที่ปรากฏในสายตาเป็นอันดับแรกคือตัวอักษรขนาดใหญ่คำว่าอู่อานที่อยู่บนพื้น

ตัวอักษรคำว่าอู่ แข็งแกร่งองอาจ ราวกับมีดฟันขวานสับ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์

ตัวอักษรคำว่าอานดูเรียบง่าย ราวกับกระบี่สายลมกวาดไปเบาๆ แฝงด้วยฟ้าดิน

ตัวอักษรทั้งสองตัวเป็นหยินหยาง ปราณหนึ่งไหลเวียนอยู่บนพื้น

ขอแค่เป็นคนที่เคยเรียนเกี่ยวกับค่ายกล หรือเป็นคนที่รู้จักค่ายกล จะดูออกเลยว่านี่คือค่ายกลสองขั้วแบบดั้งเดิม หรือเรียกอีกอย่างว่าค่ายกลไท่จี๋

แม้ค่ายกลเรียบง่าย แต่กลับแข็งแกร่งจนน่ากลัว

มีคำกล่าวไว้ว่า ค่ายกลมืดอ่อนแอกว่าพลัง ค่ายกลสว่างแข็งแกร่งกว่าพลานุภาพ!

นี่คือค่ายกลใหญ่ค่ายกลแรกในวัง และเป็นค่ายกลสว่างอย่างสมบูรณ์แบบ

ทุกคนที่เข้ามา ล้วนรู้สึกถึงค่ายกลนี้ได้ สัมผัสกับความแข็งแกร่งที่กว้างใหญ่ไร้ขอบเขตเหมือนจักรวาลของค่ายกลนี้ อีกทั้งยังต่อเนื่องเหมือนสายน้ำที่ไหลไม่หยุด

ลู่ฝานนั่งอยู่ในรถม้า ยังรู้สึกได้ถึงพลังน่ากลัวที่มีอยู่ทุกที่รอบตัว

หลู่เฉิงเซี่ยงมองท่าทางตึงเครียดของลู่ฝานด้วยรอยยิ้ม จากนั้นพูดว่า “สัมผัสได้แล้วเหรอ ค่ายกลของวัง ก่อตัวขึ้นจากพลังฟ้าดินทั้งประเทศอู่อาน รู้จักอุโมงค์ข้ามมิติไหม”

ลู่ฝานพยักหน้าพูดว่า “รู้จัก ตอนมาก็ลอยมาในอุโมงค์ข้ามมิติครับ”

หลู่เฉิงเซี่ยงลูบเคราแล้วพูดว่า “นี่คือปลายทางของอุโมงค์ข้ามมิติทั้งหมด พลังฟ้าดินทั้งหมดรวมตัวกันที่นี่ ก่อตัวเป็นค่ายกลการเคลื่อนไหวของชี่ที่แข็งแกร่งยิ่งใหญ่ หลังจากนั้นดูดและแปรเปลี่ยนพลังฟ้าดินโดยค่ายกล ส่วนหนึ่งใช้หมด อีกส่วนขับออกไป ส่วนหนึ่งกลายเป็นชี่ที่เคลื่อนไหวในอาณาจักร คนที่อยู่ในค่ายกล จะได้รับการควบคุมของค่ายกล ในเวลาเดียวกันก็อยู่ภายใต้ข้อจำกัดของเตี้ยนเซี่ย แค่เตี้ยนเซี่ยเกิดความคิดในใจ เขาสามารถฆ่าทุกคนที่อยู่ในวังได้ ถ้าแผ่ขยายค่ายกลออกไป เขาสามารถฆ่าทุกคนในเมืองหลวงได้”

ลู่ฝานพูดว่า “ใช้พละกำลังของประเทศกดดันไว้ ถึงเป็นผู้แข็งแกร่งระดับอริยปราชญ์ ก็ต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย”

หลู่เฉิงเซี่ยงหัวเราะแล้วพูดว่า “ใช่ ดังนั้นอย่าคิดเป็นศัตรูกับอาณาจักร ถึงนายกลายเป็นผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทาน ก็อย่าคิดเป็นศัตรูกับประเทศ นั่นเป็นเรื่องที่โง่เขลามาก!”

ลู่ฝานพยักหน้าเบาๆ มองออกไปนอกหน้าต่างรถม้า

ในสายตาของเขา เขาสามารถเห็นพลังฟ้าดินที่รุนแรงจนน่ากลัวบริเวณรอบตัว

พลังฟ้าดินพวกนี้ เหมือนจะมีสติของตน เหมือนพลังฟ้าดินแต่ละสายมีจิต ถึงขนาดที่พวกมันสามารถควบคุมคนได้ด้วยตัวเอง ราวกับว่าวิทยายุทธยิ่งสูง ก็จะยิ่งโดนพวกมันควบคุมหนักขึ้น เมื่อลู่ฝานมองออกไป เขาเห็นรถม้าสองสามคัน โดนพลังฟ้าดินปกคลุมจนสว่างแสบตาเหมือนพระอาทิตย์สว่างจ้า

รถม้าเคลื่อนตัวไปข้างหน้าไม่รู้นานเท่าไร จู่ๆ ลู่ฝานเห็นรถม้าขึ้นไปบนสะพานเมฆ

สะพานมีห้าแห่ง กว้างขวางเป็นอย่างมาก มีแสงห้าสีสว่างขึ้น ทอง เขียว ฟ้า แดง เหลือง สอดคล้องกับธาตุทั้งห้า ทอง ไม้ น้ำ ไฟ ดิน

ด้านล่างสะพานมีทะเลเมฆ ในทะเลมีปลาห้าสีว่ายไปมา

ลู่ฝานมองอย่างชัดเจน นี่มันใช่ปลาเป็นๆ ที่ไหนกันล่ะ เป็นรูปร่างที่แปรเปลี่ยนออกมาจากพลังฟ้าดินที่มีจิตชัดๆ

แต่ในทะเลเมฆ เหมือนมีพลังอะไรควบคุมให้พวกมัน เป็นได้แค่ปลาตัวเล็กขยับไปมา อย่าดูถูกปลาตัวเล็กห้าสีเหล่านี้ พลังที่แฝงอยู่ในแต่ละตัว มากกว่าปราณชี่ของลู่ฝานไม่น้อยเลย ไม่ว่าตัวไหนระเบิดพลังออกมา แย่ที่สุดก็สามารถระเบิดยอดฝีมือแดนปราณดินจนตายได้ ถ้าปลาพวกนี้กรูเข้ามาพร้อมกัน คนที่อยู่ในนี้คงหนีไม่พ้น

ยังดีที่ลู่ฝานกังวลเกินไป อย่างมากปลาพวกนี้ก็ทำได้แค่กระโดดออกมาจากทะเลเมฆ และมองทุกคนแวบหนึ่ง

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1090

เมื่อพูดเช่นนี้ ฝ่ามือของลู่ฝานคว้าเบาๆ ข้างหน้า

ทันใดนั้น น้ำหยดหนึ่งปรากฏในมือเขา หลังจากนั้นพลิกฝ่ามือ จู่ๆ หยดน้ำกลายเป็นลูกไฟ มอดไหม้จนหมดสิ้น

ลู่ฝานก็ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงทำแบบนี้ แต่สัญชาตญาณของเขาอยากทำแบบนี้ เหมือนเคยมีคนทำแบบนี้ต่อหน้าเขา!

การกระทำของลู่ฝาน อยู่ในสายตาของนักเรียนจำนวนไม่น้อยบริเวณรอบๆ

ตอนนี้ผู้อาวุโสเดินออกมา ลูบเคราแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “อ่านหนังสือก็ช่วยเรื่องฝึกฝนได้หรือ น้ำกลายเป็นไฟได้หรือ”

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “สรรพสิ่งล้วนฝึกจิต ในเมื่อการฝึกบู๊คือการฝึกจิต การอ่านหนังสือก็คือการฝึกจิตเหมือนกัน ก็เหมือนกับน้ำและไฟ ถึงแม้เข้ากันไม่ได้ แต่สามารถกลายรูปได้! ในหนังสือบอกว่าน้ำปริมาณน้อย ยังสามารถช่วยเผาไหม้ได้ด้วย!”

ผู้อาวุโสหัวเราะเสียงดังออกมา หลู่เฉิงเซี่ยงก็หัวเราะเหมือนกัน

แต่ลูกหลานตระกูลหลู่ที่อยู่รอบๆ ไม่เข้าใจว่าพวกเขาหัวเราะอะไร หลู่เฉิงเซี่ยงพยักหน้ายิ้มให้ลู่ฝาน “ดูเหมือนนายอ่านจนเห็นผลแล้ว ควรไปกันได้แล้ว!”

ลู่ฝานพยักหน้า พาสิบสามเดินตามหลู่เฉิงเซี่ยงออกไป

ผู้อาวุโสมองด้านหลังลู่ฝาน แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เขาทำความเข้าใจได้แล้ว! ตั้งแต่นี้ไป สวรรค์ขวางเขาไม่ได้อีกแล้ว ที่เหลือก็ดูว่าเขาจะอยู่ได้นานแค่ไหน”

ลูกหลานตระกูลหลู่ที่อยู่ข้างๆ พูดอย่างประชดเล็กน้อย “เขาเพิ่งอ่านหนังสือได้ไม่นานเท่าไร ทำไมถึงทำความเข้าใจได้แล้วล่ะครับ พวกเราอ่านสิบกว่าปี ยังไม่เห็นอาจารย์พูดว่าทำความเข้าใจได้เลย!”

ผู้อาวุโสตบหัวลูกหลานตระกูลหลู่คนนี้ไปหนึ่งที แล้วพูดเสียงดังว่า “ไอ้โง่ นายอ่านสิบกว่าปีก็ตามเขาที่อ่านแค่วันเดียวไม่ได้หรอก เพราะเขาตั้งใจอ่าน ส่วนนายใช้แรงตะบี้ตะบันอ่าน กลับไปทบทวนความคิดให้ดี อย่าพูดประชดแบบนี้ออกมาอีก!”

ลูกหลานตระกูลหลู่ทุกคนคำนับแล้วส่งเสียงตอบรับ……

ส่วนทางด้านนี้ ลู่ฝานตามหลู่เฉิงเซี่ยงขึ้นมาบนรถม้าแล้ว ส่วนสิบสามนั่งอยู่ข้างคนขับรถม้า

หลู่เฉิงเซี่ยงมองลู่ฝานด้วยรอยยิ้มแล้วพูดว่า “ตื่นเต้นไหม”

ลู่ฝานถามว่า “ทำไมต้องตื่นเต้นด้วยล่ะครับ”

หลู่เฉิงเซี่ยงพูดว่า “ไปวังไง อย่าบอกนะว่านายไม่อยากเห็นวัง”

ลู่ฝานตาเป็นประกาย แล้วพูดว่า “การคัดเลือกจัดขึ้นในวังเหรอครับ”

หลู่เฉิงเซี่ยงหัวเราะแล้วพูดว่า “พูดให้ถูกคือรอบแรกจัดขึ้นในวัง ลู่ฝาน นายเตรียมตัวพร้อมหรือยัง”

ลู่ฝานยิ้มบางๆ ไม่ตอบอะไร

หลู่เฉิงเซี่ยงมองแววตาที่เต็มไปด้วยความมั่นใจของลู่ฝาน หัวเราะอย่างเบิกบานใจ เมื่อสะบัดมือรถม้าขับเข้าไปในอุโมงค์ข้ามมิติ

หลังผ่านไปครู่หนึ่ง รถม้าปรากฏขึ้นอีกครั้ง

ตอนนี้กำแพงสูงในเมืองปรากฏอยู่ในสายตา

ตอนนี้นอกกำแพงเมือง มีรถม้าจอดเรียงราย ประตูใหญ่ยังไม่เปิด

ลู่ฝานมองผ่านหน้าต่างรถม้า สิ่งที่ปรากฏในสายตาคือรถม้าของตระกูลใหญ่ที่มีชื่อเสียง เมื่อกวาดตามองดู จะเห็นรถม้าของสิบตระกูลใหญ่สองสามคันอย่างชัดเจน

ขบวนรถของตระกูลหานที่มีพลานุภาพน่ากลัว ขบวนรถของตระกูลเทียนที่องอาจสง่างาม ขบวนรถของตระกูลสุ่ยที่เป็นสีฟ้าเหมือนน้ำทะเล

คนที่ควรมาเหมือนจะมากันหมดแล้ว

ลู่ฝานพูดว่า “คนเยอะมาก ใช่คนพวกนี้หมดเลยเหรอ โควตารายชื่อคัดเลือกเยอะขนาดนี้เลยเหรอครับ”

หลู่เฉิงเซี่ยงพูดว่า “โควตารายชื่อไม่น้อย แต่ไม่ได้เยอะขนาดนี้ ส่วนมากเป็นคนที่มามุงดู ลู่ฝาน นี่คือคุณสมบัติคัดเลือกของนาย เก็บไว้ให้ดี ห้ามทำหายเด็ดขาด! ในการคัดเลือก ป้ายอันนี้คือชีวิตของนาย!”

หลู่เฉิงเซี่ยงเอาป้ายสีดำขลับอันหนึ่งส่งถึงมือลู่ฝาน เหมือนมังกรทองห้ากรงเล็บด้านบนจะโผล่ออกมาข้างนอก

ด้านหลังมีชื่อลู่ฝานที่ทรงพลังเป็นอย่างมาก!

ลู่ฝานกำลังดูอยู่ ขณะนั้นเอง ประตูในเมืองเกิดเสียงดังกึกก้อง จากนั้นค่อยๆ เปิดออก

ในเวลาเดียวกัน เสียงตะโกนดังอยู่บนกำแพงเมือง

“เข้าประตูวัง!”

บทที่ 1089

บทที่ 1091

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1089
เพียงพริบตาเดียว ผ่านไปไม่รู้กี่วันแล้ว ลู่ฝานศึกษาอยู่ในตระกูลหลู่อย่างสงบใจ ลืมทุกอย่างด้านนอกไปตั้งนานแล้ว

สิ่งที่ผู้อาวุโสสอนมีเยอะมาก ไม่ได้มีแค่การพูดเจรจาปราศรัย ยังมีสิ่งเล็กน้อยอีกมากมายไปหมด

อย่างเช่น ในป่าควรแกล้งตายหลบสัตว์อสูรยังไง ปลดแม่กุญแจเรือนจำราชทัณฑ์ด้วยเล็บยังไง

สิ่งเหล่านี้ คิดว่าตระกูลอื่นคงไม่มีทางสอน แต่ในตระกูลหลู่ จำเป็นต้องเรียน แม้แต่ข้อปฏิบัติที่ลึกซึ้งจนคาดเดาไม่ถูก จะไม่ต้องจำก็ได้ แต่วิธีเล็กน้อยวุ่นวายเหล่านี้ กลับต้องเรียนรู้ให้ได้

ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องปกติ

มีพวกวิชาที่ไม่ปกติ ลู่ฝานได้ยินแล้วเกือบเดินหนี

อย่างเช่น ทำอย่างไรในสภาพที่ไม่มีน้ำสักหยด อยู่รอดเป็นเวลาหนึ่งเดือนกับของเหลวที่ตัวเองขับออกมา

อะไรที่เรียกว่าการเรียนรู้เบ็ดเตล็ดทั่วไป ครั้งนี้ถือว่าลู่ฝานได้สัมผัสด้วยตัวเองแล้ว

ผู้อาวุโสยังเอาหนังสือมาให้ลู่ฝานอ่านบ่อยๆ จากวิทยายุทธของลู่ฝานในตอนนี้ และบนการสร้างของเทพยอดกลั่นยาอู๋จี๋ ถึงขนาดที่เขาสามารถอ่านหนังสือหลายเล่มพร้อมกันได้

ใช้สมาธิหลายด้าน ไม่เป็นปัญหา ด้วยเหตุนี้หนังสือที่เขาอ่านในช่วงนี้ เกือบจะเทียบเท่ากับผลรวมของสิบหรือยี่สิบปีก่อนหน้า

กองหนังสือมากมาย ช่วงนี้ลู่ฝานตั้งใจอ่านหนังสือ จนแทบจะปล่อยปละละเลยการฝึกฝน

ภายใต้การชี้นำของเขา สิบสามก็อ่านด้วยเหมือนกัน

แต่สิบสามอ่านหนังสือที่ลู่ฝานอ่านแล้ว อีกทั้งยังมีหนังสือที่ตั้งใจเลือกมาอ่านเองด้วย

เหมือนสิบสามชอบอ่านประเภททักษะและผลงานที่แปลกใหม่ มีหนังสือเล่มหนึ่งที่บอกว่าใช้อวัยวะฆ่านักบู๊แดนปราณฟ้าอย่างไร เขาอ่านไปมาหลายสิบรอบ ดูเหมือนจะท่องจำหนังสือทั้งเล่ม

ช่วงนี้ไม่มีใครมารบกวนลู่ฝาน

ขนาดหลู่เฉิงเซี่ยง ยังไม่เคยมาเยี่ยมเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว ราวกับลืมเขาไปแล้วอย่างไรอย่างนั้น

ตอนวันแรกๆ ลู่ฝานยังสงสัยเล็กน้อย

ตกลงกันแล้วว่าจะสอนประเพณีมารยาท ตกลงกันแล้วว่าจะเข้าเฝ้าจักรพรรดิ

แต่ต่อมา ลู่ฝานที่จมอยู่ในกองหนังสือมากมาย ก็ลืมเรื่องพวกนี้ไปหมดแล้ว

แม้แต่เคล็ดวิชาบู๊เขาก็ไม่ฝึกแล้ว จะไปสนใจเรื่องเข้าเฝ้าจักรพรรดิทำไม

วันนี้ลู่ฝานก็นั่งอ่านหนังสือใต้ต้นไม้อีกแล้ว ในมือคือหนังสือแผนที่อาณาจักรโลก

ด้านในบันทึกอาณาจักรส่วนใหญ่ในโลกเอาไว้ เหมือนคนที่เขียนหนังสือเล่มนี้ เคยไปประเทศต่างๆ มาไม่น้อย เขาสามารถบรรยายแต่ละประเทศ ได้อย่างเป็นระเบียบแบบแผน ลักษณะเด่นของคนและพื้นที่ ไม่ขาดตกบกพร่องเลย ลู่ฝานรู้สึกว่าหนังสือเล่มนี้น่าสนใจมาก!

ขณะกำลังอ่านอย่างมีความสุข จู่ๆ มีคนตะโกนเรียกชื่อเขาข้างหู

“ลู่ฝาน!”

ลู่ฝานเงยหน้าขึ้นมองทันที สิ่งที่ปรากฏในสายตาคือเงาของหลู่เฉิงเซี่ยง

“วางหนังสือลงก่อนเถอะ คุณชายลู่ฝาน ควรออกไปกันได้แล้ว”

หลู่เฉิงเซี่ยงพูดด้วยรอยยิ้ม

ลู่ฝานขมวดคิ้วพูดว่า “มีเรื่องอะไรเหรอครับ ทำไมต้องออกไปข้างนอก”

หลู่เฉิงเซี่ยงพูดด้วยรอยยิ้ม “การคัดเลือกไง อย่าบอกนะว่านายจะไม่เข้าร่วมแล้ว”

เมื่อลู่ฝานได้ยิน ก็วางหนังสือลงแล้วพูดว่า “การคัดเลือกจะเริ่มแล้วเหรอ”

หลู่เฉิงเซี่ยงพยักหน้า “ใช่ เริ่มวันนี้ ตามฉันมาสิ!”

ลู่ฝานถอนหายใจแล้วพูดว่า “ดูเหมือนหมดเวลาอ่านหนังสือแล้ว”

พูดจบ ลู่ฝานวางหนังสือเบาๆ ลงข้างตัว แล้วลุกขึ้นช้าๆ

ประกายล้ำลึกนัยน์ตา ตอนนี้เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานนัยน์ตาของลู่ฝาน เป็นประกายแวววาวส่องสว่างอีกครั้ง

ตอนนี้ในตัวของลู่ฝาน มีเสียงดังออกมาทันที

เดินไปด้านหน้าหนึ่งก้าว กระแสลมแผ่กระจายออกไป

หลู่เฉิงเซี่ยงพูดอย่างตกใจและสงสัย “นี่นาย……”

ลู่ฝานพูดเสียงเบาว่า “ไม่มีอะไรครับ อ่านหนังสือมานาน มีความเข้าใจขึ้นมานิดหน่อยเท่านั้น!”

บทที่ 1088
บทที่ 1090

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1088

ผู้อาวุโสถามอีกว่า “แล้วคุณชายลู่อยู่ระดับไหน”

ลู่ฝานพูดอย่างเรียบเฉยว่า “เพิ่งเข้าสู่แดนปราณดิน”

ผู้อาวุโสหัวเราะแล้วพูดว่า “อายุแค่นี้ แต่เข้าสู่แดนปราณดินแล้ว เรียกได้ว่าพรสวรรค์ไร้เทียมทาน แล้วคุณชายลู่ สัมผัสถึงวิถีบู๊หรือยัง”

ลู่ฝานขมวดคิ้วพูดว่า “ไม่ทราบว่าวิถีบู๊ที่อาจารย์พูดถึงคืออะไร”

ผู้อาวุโสพูดว่า “ก็คือสัมผัสถึงบนสวรรค์ เข้าใจจิตใต้พิภพ คุณชายลู่เคยสัมผัสหรือเปล่า”

ลู่ฝานพูดว่า “เคยสัมผัส 1-2 ครั้ง”

ผู้อาวุโสพูดต่อ “รู้สึกว่าทุกสิ่งทะลุปรุโปร่ง เห็นทุกสิ่งทุกอย่าง รู้สึกดีเป็นอย่างมาก พละกำลังเพิ่มขึ้นใช่ไหม”

ลู่ฝานพยักหน้าเบาๆ

ผู้อาวุโสอมยิ้มแล้วพูดว่า “ถ้าเป็นเช่นนี้ คุณชายลู่น่าจะเข้าใจ นักบู๊ฝึกฝนจนถึงท้ายที่สุด อันที่จริงคือการฝึกจิตใจ นายฝึกฝนต่อไปเรื่อยๆ รอตอนที่นายเข้าสู่แดนปราณฟ้าได้ จะรู้สึกว่าแท้จริงแล้วฟ้าดินกำลังกดนายอยู่ ไม่ว่าจะฝึกบู๊หรือกลั่นยา พูดกันตามตรง คือการทำลายกฎของธรรมชาติ ความสามารถล้ำเลิศที่ว่า ก็แค่ภาพลวงตา พละกำลังที่นายใช้ ก็แค่สิ่งที่ฟ้าดินให้นายยืม มันจะให้นายก็ให้ ไม่อยากให้ก็ไม่ให้ ท้ายที่สุดเหลือแค่จิตใจของตัวเอง!”

ผู้อาวุโสชี้หัวใจของลู่ฝาน

ลู่ฝานฟังแล้วตระหนักได้เล็กน้อย เหมือนจับอะไรได้ แต่ไม่สามารถคว้าเอาไว้ได้

ผู้อาวุโสเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพูดต่อ “ดังนั้นนักบู๊ที่ผ่านแดนปราณฟ้า ผู้ฝึกชี่ที่ผ่านเซียนบำเพ็ญชี่ไปแล้ว สุดท้ายพลังที่ใช้ล้วนไม่ใช่พลังฟ้าดิน แต่เป็นพลังที่รวบรวมจากจิตใจตัวเอง บวกกับกฎบางอย่างที่ตัวเองเรียนรู้จากความเข้าใจฟ้าดิน กลายเป็นเขตวิถี พลังเหล่านี้มาจากไหนล่ะ ก็เป็นเพียงแค่แก่นแท้ พลัง และจิตวิญญาณของมนุษย์เท่านั้น พูดให้เข้าใจก็คือชีวิตของมนุษย์ ดังนั้นสุดท้ายวิถีของพลัง ก็ยังคงเป็นวิถีของชีวิตที่ยืนยาว อยู่ได้นาน พลังก็แข็งแกร่ง ถ้านายมีชีวิตนานกว่าโลกนี้ นายก็คือโลกใหม่”

พูดพลาง ผู้อาวุโสหยิบหมดตัวหนึ่งขึ้นมาจากพื้นเบาๆ

“สำหรับแมลง ไก่เป็ดห่านสุนัข มีชีวิตอยู่ได้นาน ดังนั้นมดจึงคิดว่าไก่เป็ดห่านสุนัขคือฟ้าอันสูงส่ง สำหรับไก่เป็ดห่านสุนัข มนุษย์มีชีวิตอยู่ได้นาน ดังนั้นมนุษย์คือฟ้าอันสูงส่ง สำหรับมนุษย์ ฟ้าดินมีอยู่อย่างยาวนาน ดังนั้นฟ้าดินจึงควรค่าแก่การเคารพเลื่อมใสราวกับเทพเทวดา แต่ถ้านายมีชีวิตยาวนานกว่าฟ้าดิน นายจะกลายเป็นอะไร”

แววตาของลู่ฝานเบลอไปหมดแล้ว ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ลู่ฝานจึงพูดว่า “ที่แท้เป็นแบบนี้นี่เอง อาจารย์จะบอกฉันว่าอย่าแสวงหาพละกำลังจนเกินไป การมีชีวิตอยู่คือเหตุผลที่เชื่อถือได้!”

ผู้อาวุโสหัวเราะร่า แล้วพูดว่า “นายตระหนักได้ถึงขั้นนี้ถือว่าใช้ได้แล้ว เฮ้อ นายไม่ใช่ลูกหลานตระกูลหลู่ ถ้านายเป็นลูกหลานตระกูลหลู่ ฉันคงถ่ายทอดอะไรให้นายมากกว่านี้”

ลู่ฝานพูดว่า “ฟังจากที่อาจารย์พูด ก็ทำให้นักเรียนตระหนักได้เยอะแล้วนะครับ ต่อไปฉันมาเรียนบ่อยๆ ได้ไหมครับ”

ผู้อาวุโสยิ้มแล้วพูดว่า “ได้อยู่แล้ว”

ลู่ฝานยกแก้วชาขึ้นมา คำนับทำความเคารพผู้อาวุโส……

ลู่ฝานอยู่เรียนอย่างมีสมาธิกับผู้อาวุโสทั้งวัน

ตอนกลางคืน หลู่เฉิงเซี่ยงกลับมาจากวังแล้ว

ใบหน้ามีรอยยิ้มบางๆ เห็นได้ชัดว่าไปครั้งนี้ได้อะไรมาไม่น้อย

“เป็นเด็กที่โชคดี คิดไม่ถึงว่าความคาดหวังที่เตี้ยนเซี่ยมีต่อเขา จะยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ตอนนี้ก็ต้องดูว่าเด็กคนนี้เอาการเอางานหรือเปล่า แค่เขาได้อันดับที่ไม่เลวในการคัดเลือก เขาจะกลายเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงที่สุดในประเทศอู่อาน โอ๊ย ทำไมตอนนั้นฉันถึงไม่โชคดีแบบนี้นะ!”

หลู่เฉิงเซี่ยงพูดพึมพำไม่หยุด จากนั้นเดินลงมาจากรถม้าช้าๆ

กลับมาที่ห้องหนังสือ หลู่เฉิงเซี่ยงเรียกผู้อาวุโสที่ดูเหมือนพ่อบ้าน “วันนี้ลู่ฝานอยู่ในตระกูลหลู่เป็นยังไงบ้าง เขาทำอะไรบ้าง”

พ่อบ้านอาวุโสยิ้มแล้วพูดว่า “คุณชายลู่ไปที่ห้องของหลู่ยิน ทำให้หลู่ยินโมโหยกใหญ่ ขว้างถ้วยชาไปหลายใบ”

หลู่เฉิงเซี่ยงยิ้มแล้วพูดว่า “80 เปอร์เซ็นต์ หลู่ยินคงมองลู่ฝานเป็นศัตรูในจินตนาการ อืม คงรังแกเขาไม่ได้จึงโมโห หลังจากนั้นล่ะ”

พ่อบ้านอาวุโสพูดต่อ “จากนั้นเจ้าหกทำตามคำแนะนำของนาย พาลู่ฝานไปแถวสถานที่ศึกษาเรียนรู้ วัยรุ่นมีความอยากรู้อยากเห็นมาก จึงไปดูที่สถานที่ศึกษาเรียนรู้ ฟังทฤษฎีอายุยืนของผู้อาวุโสไป๋ แล้วก็หลงใหลเป็นอย่างมาก ตอนนี้ยังฟังอยู่เลยครับ”

หลู่เฉิงเซี่ยงหัวเราะอย่างมีความสุข แล้วพูดว่า “ดี ต้องอย่างนี้สิ เด็กคนนี้มีความห้าวหาญเหลือล้น แต่ยังไม่ค่อยรู้จักการพลิกแพลง ให้เขาเรียนรู้จากผู้อาวุโสไป๋เยอะๆ ต่อไปไม่ว่าจะอยู่ในราชสำนักหรือในยุทธจักร ล้วนมีผลดีอย่างยิ่งใหญ่”

พ่อบ้านอาวุโสพูดต่อ “ไม่เพียงแค่นั้น เขาเรียนวิถีชีวิตยืนยาวของตระกูลหลู่ของเราด้วยครับ เท่ากับว่าต่อไปเขาเป็นสมาชิกคนหนึ่งของตระกูลหลู่แล้ว ยังไงก็แล้วแต่ เขาติดหนี้น้ำใจตระกูลหลู่ของเราแล้ว จากนิสัยที่เป็นสุภาพบุรุษของเขา ต้องตอบแทนบุญคุณแน่นอน”

หลู่เฉิงเซี่ยงยกแก้วชาขึ้นมา ส่ายหัวไปมาอย่างมีความสุขแล้วพูดว่า “พ่อบ้านอาวุโสรู้จักฉันดีจริงๆ!”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1087

แค่คิดไม่ถึงว่าหลู่ยินจะเป็นเด็กผู้หญิง ความจริงกับจินตนาการช่างแตกต่างกันมากจริงๆ

เจ้าหกพาลู่ฝานมาถึงสวนหลังบ้านของตระกูลหลู่ ครั้งนี้เจ้าหกไม่ได้หลอกเขาอีก ด้านหน้าเป็นห้องรับรองแขกจริงๆ

เจ้าหกยิ้มแล้วพูดว่า “คุณชายลู่ฝาน เมื่อกี้ได้ล่วงเกินไปมาก หวังว่านายจะอภัยให้ ห้องรับรองแขกที่นี่ นายพักได้ตามสบาย อยากพักห้องไหนก็พักได้เลยครับ”

ลู่ฝานพยักหน้า ผลักประตูห้องห้องหนึ่ง

การตกแต่งงดงามแบบผู้ดี เฟอร์นิเจอร์ชั้นดี ห้องรับรองแขกกว้างขวาง นี่คือวิธีการต้อนรับ

ลู่ฝานพูดอย่างพอใจว่า “อืม งั้นฉันพักที่นี่ละกัน”

เจ้าหกรีบส่งเสียงตอบรับ จู่ๆ มีเสียงอ่านหนังสือและบทกวีดังมาจากไม่ไกล ลู่ฝานเงี่ยหูฟัง เขาได้ยินรางๆ ว่ามีคนท่องหนังสือและบทกวี

ลู่ฝานพูดด้วยรอยยิ้มว่า “มีคนอ่านหนังสืออยู่แถวนี้ด้วยเหรอ”

เจ้าหกยิ้มแล้วพูดว่า “คุณชายลู่ฝาน ลูกหลานตระกูลลู่ของเรา ไม่เรียนบู๊ได้ ไม่ฝึกชี่ได้ แต่ต้องอ่านหนังสือ ไม่ว่าจะเป็นคุณหนูหรือคุณชาย คนใช้หรือคนที่ทำหน้าที่ทุกสิ่งทุกอย่าง อย่างน้อยต้องอ่านหนังสือหนึ่งชั้นวางเต็มๆ ไม่งั้นจะถูกไล่ออกจากตระกูลหลู่”

ลู่ฝานพูดอย่างประหลาดใจ “กฎนี้ของตระกูลหลู่แปลกใหม่ดี ฉันเป็นดูสถานที่อ่านหนังสือของพวกนายได้ไหม”

เจ้าหกพูดว่า “ได้ครับ ตระกูลหลู่ของเรายินดีต้อนรับคนนอกมาเยี่ยมชมสถานที่ศึกษาเรียนรู้ เชิญครับคุณชายลู่ฝาน!”

ลู่ฝานเดินตามเจ้าหก เข้าไปจนถึงส่วนลึกของคฤหาสน์ หลังจากผ่านถนนเส้นเล็กในสวนไผ่ บ้านไม้ไผ่เป็นแถบปรากฏอยู่ในสายตา

เด็ก 3-5 คน กำลังกอดหนังสือ ส่ายหัวไปมาท่องเสียงดังอย่างมีความสุข บัณฑิต 7-8 คน นั่งคนเดียวอยู่ใต้ต้นไผ่ ค่อยๆ สัมผัสม้วนหนังสือในมืออย่างประณีต

ผู้อาวุโสที่ดูเหมือนอาจารย์ กำลังสอนหนังสือให้คนสิบกว่าคน

ลู่ฝานเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว ฟังอย่างเงียบๆ

“ชาวโลกกลัวความตาย จึงมีวิธีทำให้อายุยืน และวิธีที่ทำให้อายุยืนแบ่งออกเป็นสองประเภทคือนักบู๊ ผู้ฝึกชี่ นักบู๊ฝึกฝนร่างกาย ผู้ฝึกชี่ฝึกฝนด้านยา ว่ากันถึงแก่นแท้แล้ว ก็เพื่อการมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้นเท่านั้น นักบู๊ที่ฝึกพลังปราณออกมาได้เป็นคนแรกของโลก คงคิดไม่ถึงว่าพลังปราณที่ตัวเองสร้างออกมา ต่อมาจะกลายเป็นเครื่องมือสังหารที่น่ากลัวกว่าอาวุธ ผู้ฝึกชี่ที่กลั่นยาออกมาได้เป็นคนแรกของโลก ก็คงเดาไม่ได้ว่าต่อไปยาจะไม่ใช่แค่ช่วยคนได้ ยังทำร้ายคนได้ด้วย”

ผู้อาวุโสเอาสองมือไพล่หลัง เดินไปพูดไป

ลู่ฝานได้ยินแล้วสนใจ จึงตัดสินใจนั่งลงด้านข้าง

ผู้อาวุโสพูดต่อ “อย่างไรก็ตาม หลังจากวิวัฒนาการนับพันปีจนถึงปัจจุบัน นักบู๊กับผู้ฝึกชี่สูญเสียความตั้งใจเดิมไปหมดแล้ว ฝึกบู๊ไม่ใช่เพื่อร่างกายที่แข็งแกร่ง แต่เพื่อฆ่าเอาชีวิตคน กลั่นยาไม่ใช่เพื่ออายุที่ยืนยาว แต่เพื่อเพิ่มพละกำลัง ดังนั้นหลายพันปีมานี้ นักบู๊และผู้ฝึกชี่เติบโตก้าวหน้าขึ้นนับไม่ถ้วน แต่อายุขัยของคนกลับไม่เพิ่มขึ้นเท่าไร หนำซ้ำยังลดลงด้วยซ้ำ ช่วงเวลานานแสนนานก่อนหน้านี้ เผ่าพันธุ์มนุษย์โบราณ มีอายุขัยประมาณสองร้อยปี นักบู๊มีอายุขัยได้ถึง 500 ปี ถ้ากินยาอายุวัฒนะสามารถมีอายุเกินพันปี แต่ตอนนี้เจอคนชราอายุร้อยปียากมาก นักบู๊ที่อายุเกิน 300 ปี ก็น้อยจนนับนิ้วได้ ผู้ฝึกชี่ที่อายุเกิน 500 ปี ก็หายาก วางลำดับความสำคัญสลับกัน ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ ลูกหลานตระกูลหลู่ของเรา ห้ามทำผิดพลาดแบบนี้เด็ดขาด วิถีของพละกำลัง ไม่ว่ายังไงก็คือวิถีเล็กๆ ผู้ที่บรรลุอย่างแท้จริง คือผู้ที่อายุยืนยาว!”

พวกลูกหลานตระกูลหลู่พยักหน้าตาม

ขณะนั้นลู่ฝานหัวเราะแล้วพูดว่า “ขอถามอาจารย์ ถ้าไม่มีพละกำลังจะอายุยืนได้ยังไงครับ”

จู่ๆ ทุกคนมองมายังลู่ฝาน

ผู้อาวุโสลูบหนวดแล้วพูดว่า “ผู้มีปัญญา อายุยืนด้วยตัวเอง”

ลู่ฝานส่ายหน้าพูดว่า “ผู้มีปัญญาถึงจะรู้ความล้ำค่าของพละกำลัง เหมือนก่อนเกิดภัยพิบัติ คนทั่วไปทำได้เพียงหนีเอาชีวิตรอด แต่นักบู๊สามารถฉุดกระชากภูเขาและแม่น้ำได้”

ผู้อาวุโสยิ้มแล้วพูดว่า “ผู้มีปัญญา จะป้องกันก่อนเกิดภัยพิบัติ อย่างเช่นน้ำท่วม สามารถสร้างเขื่อน ภัยแล้งและน้ำท่วม สามารถนำไปสู่ทะเลได้ ภัยธรรมชาติมีอะไรน่ากลัว จะมีหรือไม่มีนักบู๊ แล้วยังไง คุณชายท่านนี้คงไม่ใช่ลูกหลานตระกูลหลู่ใช่ไหม”

ลู่ฝานคำนับแล้วพูดว่า “ลู่ฝาน เป็นแขกของหลู่เฉิงเซี่ยงครับ!”

เมื่อได้ยินชื่อลู่ฝาน กลุ่มคนด้านหน้าเงยหน้าขึ้นทันที มองเขาด้วยแววตาลุกโชน

ผู้อาวุโสพูดว่า “ที่แท้ก็ลู่ฝานนักกระบี่แห่งตงหวานี่เอง ชื่อของคุณชาย ดังกระฉ่อนไปทั่วเมืองหลวงแล้ว ฉันพอมีโอกาสเชิญคุณชายคุยกันสักหน่อยได้ไหม”

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “เป็นเกียรติอย่างยิ่ง”

เมื่อพูดจบ ลู่ฝานเดินตามผู้อาวุโสเข้าไปในบ้านไม้ไผ่ พวกลูกหลานตระกูลหลู่อ่านหนังสืออยู่ข้างนอกต่อไป

ไม่มีโต๊ะเก้าอี้ มีเพียงเบาะกลมสองอัน

ลู่ฝานนั่งตรงข้ามกับผู้อาวุโส ผู้หญิงชุดขาวข้างๆ รีบรินชาให้ทั้งสองคน

ผู้อาวุโสมองลู่ฝานด้วยรอยยิ้ม แล้วพูดว่า “ได้ยินที่คุณชายถามเมื่อครู่ เหมือนไม่ค่อยเห็นด้วยกับการมีชีวิตยืนยาว”

ลู่ฝานพูดว่า “นิดหน่อยครับ จากที่ฉันเห็นมา คนที่อายุยืนยาว จำเป็นต้องฝึกบู๊หรือไม่ก็กลั่นยา คนทั่วไปแม้จะมีปัญญาฉลาดหลักแหลม แต่จะอยู่ได้นานขนาดไหนล่ะครับ ด้วยเหตุนี้พละกำลังคือพื้นฐาน คือทุกสิ่ง วิถีแห่งชีวิตยืนยาวที่ว่าเป็นสิ่งที่เพิ่มเติมเข้ามา มนุษย์มีชีวิตอยู่ ยิ่งใหญ่มีพลานุภาพ ถ้ายอดเยี่ยมไร้เทียมทาน จำเป็นต้องชีวิตยืนยาวด้วยเหรอ”

ผู้อาวุโสยิ้มแล้วพูดว่า “ฟังจากที่คุณชายลู่พูด ก็รู้ว่าคุณชายลู่เป็นผู้มีปัญญา คุณชายลู่ สำหรับสิ่งเหล่านี้ที่คุณพูดมา ฉันขอถามเพียงประโยคเดียว รู้ระดับแดนของนักบู๊ไหม!”

ลู่ฝานพูดว่า “ทำไมจะไม่รู้ล่ะ แดนปราณใน แดนปราณนอก แดนปราณชีวิต แดนปราณดิน และแดนปราณฟ้า ถ้าสูงขึ้นไปอีกก็เซียนบู๊”

ลู่ฝานชี้ภาพแล้วพูดว่า “บอกได้ไหมว่านี่คือภาพวาดอะไร”

หลู่ยินยิ้มแล้วพูดว่า “ได้สิ ภาพวาดดึงวิญญาณ มีค่ายกลคำสาปซ่อนอยู่ข้างใน!”

ลู่ฝานขมวดคิ้วขึ้น พูดอย่างตกใจว่า “อะไรนะ”

หลู่ยินพลิกข้อมือ ม้วนภาพหายไป

เธอหัวเราะร่ามองลู่ฝานแล้วพูดว่า “พี่ลู่ฝาน อย่าโกรธสิ วางใจเถอะ ค่ายกลคำสาปมีผลกับคนที่เขียนชื่อไว้บนภาพเท่านั้น ไม่ทำร้ายคนบริสุทธิ์ที่ไม่เกี่ยวข้อง!”

สายตาของลู่ฝานจ้องเขม็งไปที่หลู่ยิน แล้วพูดว่า “เธอจงใจเหรอ”

หลู่ยินยิ้มเจ้าเล่ห์ แล้วพูดว่า “ใช่แล้ว มีเพียงการทำแบบนี้ ฉันถึงจะรับรองได้ว่านายจะไม่คิดร้ายกับฉัน เพราะฉันสามารถฆ่านายผ่านคำสาปได้ทุกเมื่อ!”

หลู่ยินยกยิ้มมุมปาก เอนหลังพิงรถเข็น

ตอนนี้กลิ่นอายความอ่อนเยาว์บนใบหน้าเธอหายไปหมดแล้ว ถูกแทนที่ด้วยความฉลาดหลักแหลมเต็มไปหมด

แม้ตัวเธอเป็นเด็ก หน้าเด็ก ทว่าตอนนี้เธอให้ความรู้สึกเหมือนคนคนหนึ่งมาก หลู่เฉิงเซี่ยง!

ถูกต้อง เด็กน้อยตรงหน้าที่ดูเหมือนอายุยังไม่ครบสิบขวบ กลับทำให้ลู่ฝานรู้สึกถึงอันตรายรุนแรง

ลู่ฝานขมวดคิ้วพูดว่า “เธอจะทำอะไรกันแน่”

ตอนนี้หลู่ยินยกแก้วชาขึ้นเบาๆ ยิ้มแล้วพูดว่า “เปล่า พี่ลู่ฝาน นายก็เป็นคนที่เข้าร่วมการคัดเลือก นั่นหมายความว่า อีกไม่นานนายจะกลายเป็นคู่แข่งของฉัน แน่นอนว่าต้องใช้วิธีการทุกอย่าง ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกลกับคู่แข่ง ฉันใช้ภาพหนึ่งภาพ ซื้ออนาคตตอนที่นายสู้กับฉัน ต้องแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย นี่เป็นเรื่องที่คุ้มค่ามากไม่ใช่เหรอ”

ลู่ฝานพูดเสียงขรึม “คิดไม่ถึงว่าคนอายุน้อยอย่างเธอ จะมีวิธีโหดเหี้ยมถึงขั้นนี้”

หลู่ยินหัวเราะแล้วพูดว่า “มีความทะเยอทะยาน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับอายุไม่ใช่เหรอ โอเค พี่ลู่ฝาน นายไปได้แล้ว”

ลู่ฝานพูดว่า “เธอไม่เอาภาพวาดให้ฉัน ฉันจะไปได้ยังไง”

หลู่ยินมองลู่ฝานอย่างดูหมิ่น แล้วพูดว่า “ทำไม นายคิดจะแย่งงั้นเหรอ อย่าลืมสิว่าที่นี่คือตระกูลหลู่! ถ้านายแตะต้องฉันแม้แต่ปลายฉัน วันนี้นายต้องตายคาที่แน่นอน”

หลู่ยินปรบมือเบาๆ จู่ๆ ลู่ฝานรู้สึกว่าพื้นด้านล่างเท้าผิดปกติขึ้นมาอีกแล้ว

ความรู้สึกคุ้นเคยแบบนี้ ก็คือค่ายกลในห้องหนังสือเมื่อกี้ไม่ใช่เหรอ

คิดไม่ถึงเลยว่าค่ายกลนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในห้องหนังสือ

หลู่ยินมองลู่ฝานอย่างได้ใจ สีหน้าเหมือนบอกว่านายจัดการฉันสิ

ลู่ฝานพยักหน้าพูดว่า “คำนวณไว้อย่างดี คำนวณไว้อย่างดี! คิดไม่ถึงว่าฉันจะเสียท่าให้กับเด็กคนหนึ่ง”

หลู่ยินโบกมือไปมาแล้วพูดว่า “วางใจเถอะ ไม่ใช่แค่นาย อีกไม่นานทั้งใต้หล้าจะได้รู้จักชื่อของหลู่ยิน นายไปได้แล้ว เสี่ยวลิ่วจื่อ หาห้องดีๆ ให้คุณชายลู่ฝานหน่อย อย่าให้เขาว่าตระกูลหลู่ของเราเพิกเฉยเขา”

ลู่ฝานลุกขึ้นเดินไปข้างนอกช้าๆ ตอนเขาเดินถึงหน้าประตู ลู่ฝานหันมาพูดว่า “สาวน้อย เธอลองดูภาพอีกครั้งสิ!”

พูดจบ ลู่ฝานสะบัดมือพาสิบสามออกไป

หลู่ยินขมวดคิ้วเบาๆ ไม่เข้าใจความหมายของลู่ฝาน

เธอค่อยๆ เอาภาพออกมาอีกครั้ง เมื่อเธอเห็นตัวอักษรคำว่าหลู่ยิน เขียนเป็นระเบียบอยู่บนม้วนภาพ หลู่ยินโมโหจนหน้าแดงทันที!

“อะไรกัน!”

ลู่ฝานได้ยินเสียงกรีดร้องทางด้านหลัง เขายกยิ้มมุมปากอย่างมีความสุข

“หลู่ยิน!”

ลู่ฝานพึมพำออกมา

เขาเคยได้ยินชื่อนี้ ตอนอู่คงหลิงแนะนำสิบตระกูลใหญ่ หลู่ยินแห่งตระกูลหลู่ ลู่ฝานจำชื่อนี้ได้

ลู่ฝานรีบมองเข้าไปในห้อง ห้องขนาดใหญ่อยู่ในสายตาทั้งหมด แต่เขากลับไม่เห็นคนที่พูด

ขณะนั้นเอง จู่ๆ เด็กผู้หญิงผูกฉันหางม้าคนหนึ่ง โผล่หัวออกมาจากด้านหลังผ้าห่มที่พับไว้เรียบร้อย

คาบถังหูลู่ไว้ในปากหนึ่งไม้ มองลู่ฝานด้วยรอยยิ้มแล้วพูดว่า “คุณชายลู่ ฉันขอเชิญนายดื่มชาสักแก้วได้ไหม”

ลู่ฝานมองเธออย่างไม่เข้าใจ ลูกหลานตระกูลหลู่ที่อยู่ข้างๆ พูดเสียงเบาเหมือนยุงว่า “คุณชายลู่ นี่คือคุณหนูใหญ่ของตระกูลหลู่ ทางที่ดีนายเข้าไปตามที่เธอพูดเถอะครับ ไม่งั้นจะแย่”

ลู่ฝานขมวดคิ้วเบาๆ เขาได้ยินความหวาดกลัวออกมาจากคำพูดของลูกหลานตระกูลหลู่คนนี้ ตอนที่คนนี้กำลังพูด เสียงก็สั่นเครือ ราวกับด้านในไม่ใช่เด็กผู้หญิงแสนน่ารัก แต่เป็นสัตว์อสูรน่ากลัวที่สามารถกินคนได้

ลู่ฝานพยักหน้าให้สิบสาม เพื่อบอกให้สิบสามยืนด้านนอก ส่วนตัวเองก้าวเข้าไปข้างใน

เด็กผู้หญิงค่อยๆ ปีนมาที่ขอบเตียง ลู่ฝานเพิ่งสังเกตเห็นว่าขาทั้งสองข้างของเธอดูเหมือนจะหัก

ยื่นมือมาดึงรถเข็นไม้จากข้างเตียง เด็กผู้หญิงนั่งลงไปบนรถเข็น จากนั้นเข็นมาตรงหน้าลู่ฝาน

เบิกตาโตเป็นประกายแวววาว เด็กผู้หญิงนวดหน้าอมชมพูดของตัวเอง แล้วพูดว่า “คุณชายลู่ ฉันรอนายมานานมาก”

ลู่ฝานมองเธอด้วยรอยยิ้ม ยื่นมือไปหยิบแก้วชาบนโต๊ะ เทชาให้เด็กผู้หญิงหนึ่งแก้ว และเทให้ตัวเองด้วยหนึ่งแก้ว

“รอฉันนานมาก เธอรู้เหรอว่าฉันจะมาตระกูลหลู่”

เด็กผู้หญิงพูดอย่างได้ใจว่า “เดายากตรงไหน ลู่ฝานนักกระบี่แห่งตงหวา ศักยภาพน่าตกใจ แต่กลับไม่มีทุนทรัพย์อะไรเลย พละกำลังโดดเด่นกว่าคนอื่น อีกทั้งยังไม่อาศัยอำนาจใด ปู่ต้องเรียกคนแบบนี้มาลองเชิงที่ตระกูลหลู่อยู่แล้ว ดูว่านายเป็นกำลังสำคัญของชาติได้หรือเปล่า ดังนั้นฉันจึงพูดกับเสี่ยวลิ่วจื่อเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ถ้าปู่บอกให้เขาพานายไปห้องรับรองแขก ให้พานายมาที่นี่”

คำพูดอย่างผ่อนคลายของเด็กผู้หญิง ตรงประเด็นสำคัญ ทำให้ลู่ฝานเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งทันที

เขาเพิ่งรู้ว่าหลู่เฉิงเซี่ยงกำลังพิจารณาเขาเรื่องอะไร

จริงๆ เลย ถ้าพูดอย่างนี้ตั้งแต่แรกก็เข้าใจแล้ว จำเป็นต้องทำลับๆ ล่อๆ พาเขาวาร์ปมาที่นี่ไหม แค่จดหมายฉบับเดียว ไม่แน่เขาอาจวิ่งสะบัดตูดมาเลยก็ได้

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “เด็กน้อยช่างฉลาดมีไหวพริบจริงๆ ใครสอนเธอเหรอ”

เด็กผู้หญิงย่นปากยู่มองลู่ฝาน แล้วพูดว่า “ฉันไม่ได้ชื่อเด็กน้อย ฉันเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งในบรรดาคนอายุน้อยของตระกูลหลู่ ฉันคือหลู่ยิน!”

พูดจบ หลู่ยินชี้หน้าลู่ฝานแล้วพูดว่า “หึ ถ้าเรียกฉันว่าเด็กน้อยอีก ระวังนายจะออกไปจากประตูนี้ไม่ได้”

ลู่ฝานยกมือยอมจำนน แล้วพูดว่า “โอเคๆ คุณหนูหลู่ยิน บอกได้ไหมว่าที่เธอตั้งใจเรียกฉันมาเป็นพิเศษ เพราะอะไรเหรอ”

จู่ๆ หลู่ยินเอาภาพวาดวิวทิวทัศน์กับปากกาออกมา แล้วพูดว่า “พี่ลู่ฝาน เซ็นให้ฉันหน่อย!”

ลู่ฝานหมดคำจะพูดไปครู่หนึ่ง ส่วนหลู่ยินเอามือกอดอก รอยยิ้มเต็มใบหน้า

ไม่ว่าใครโดนเด็กผู้หญิงน่ารักขนาดนี้จ้องใส่ ก็ต้องยอมจำนน ลู่ฝานมองภาพวาดในมือด้วยรอยยิ้ม เป็นภาพวาดวิวทิวทัศน์ที่ใช้พู่กันจุ่มหมึกและสะบัดลงไป เป็นภาพที่ไม่เลว คิดไม่ถึงเลยว่าเด็กคนหนึ่งจะชอบของแบบนี้ ลู่ฝานกวาดสายตาลงบนม้วนภาพสองสามครั้ง จู่ๆ ลู่ฝานรู้สึกว่าปราณชี่ของตัวเองผิดปกติเล็กน้อย

ไม่ใช่สิ ทำไมภาพนี้ถึงมีความรู้สึกพิเศษบางอย่าง

ลู่ฝานเงยหน้ามองหลู่ยิน ในใจเกิดความหวาดระแวงขึ้น เมื่อมีสิ่งผิดปกติย่อมมีอะไรประหลาด เขาระวังไว้ก่อนจะดีที่สุด!

เมื่อคิดเช่นนี้ ลู่ฝานเซ็นตัวหนังสือสองตัวลงบนภาพวาด จากนั้นคืนให้หลู่ยิน

หลู่ยินรับภาพมา ยิ้มอย่างมีความสุขเป็นอย่างยิ่ง

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1084
พูดจบ หลู่เฉิงเซี่ยงไม่รอให้ลู่ฝานตอบ เขาลุกขึ้นหยิบแก้วชาที่ลู่ฝานยังไม่ได้ดื่มขึ้นมา จากนั้นวางลงในมือลู่ฝาน

หลู่เฉิงเซี่ยงพูดทิ้งท้ายช้าๆ ว่า “นายเป็นคนฉลาด ฉันอยากให้นายเป็นคนฉลาดขึ้นอีกนิด นายสนใจไหม”

นัยน์ตาลู่ฝานเต็มไปด้วยความระแวง เขาพูดว่า “ทำไมฉันต้องเชื่อท่านด้วย”

หลู่เฉิงเซี่ยงยิ้มแล้วพูดว่า “เพราะนายเป็นคนฉลาด และที่นี่คือตระกูลหลู่ อยากรู้ไหมว่าอู่คงหลิงเพื่อนรักของนายกำลังทำอะไรอยู่ อยู่ต่อสิ”

หลู่เฉิงเซี่ยงตบไหล่ลู่ฝานเบาๆ จากนั้นเดินออกไปช้าๆ

ลู่ฝานมองแก้วชาในมือ จู่ๆ เขาหัวเราะขึ้นมาเบาๆ แล้วดื่มชารวดเดียวจนหมดแก้ว

สิบสามเดินเข้ามาพูดว่า “เจ้านาย อยู่ต่อเหรอ”

ลู่ฝานพูดว่า “เจอตาเฒ่าแบบนี้ ช่วยไม่ได้ อยู่ต่อก็อยู่ต่อสิ!” ……

เฉิงเซี่ยงค่อยๆ เดินออกมาจากประตูตระกูลหลู่ ขึ้นไปนั่งบนรถม้า แล้วเอาปากกากับกระดาษออกมาจากในอก

“ไปวัง ฉันต้องการเข้าเฝ้าจักรพรรดิ!”

ล้อรถเคลื่อนตัวไปข้างหน้าทันที ไม่นานก็ตรงเข้าไปในอุโมงค์ข้ามมิติ

หลู่เฉิงเซี่ยงถือปากกาเอาไว้ในมือ พูดด้วยรอยยิ้มบางๆ ว่า “เด็กคนนี้จิตใจงดงามมาก ในช่วงวิกฤต ไม่มีความคิดฆ่าคนเพื่อหนี ถึงคนที่ขวางทางเป็นเพียงพวกผู้หญิงอ่อนแอ ตั้งแต่เข้ามาในห้องหนังสือ ไม่ขโมยหนังสือเคล็ดวิชาบู๊สักเล่ม ไม่เอาเงินทองแม้แต่น้อย ไม่มักมากในกาม คนแบบนี้นับวันยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ ส่วนคนใช้ของเขา แม้เป็นผู้ฝึกชั่วร้าย แต่ไม่ได้ทำอะไรเกินสถานะ ดูจากวิชาของเขา เหมือนกินยาเปลี่ยนโลหิต อืม คิดว่าคนนี้เป็นหน่วยกล้าตาย ไม่จำเป็นต้องกำจัดเขา”

ระหว่างที่พูด เฉิงเซี่ยงเขียนตัวอักษรลงบนกระดาษ

“คุณธรรมเข้มแข็ง เป็นคนมีความสามารถแค่ไม่แสดงออก!”

ค่อยๆ ม้วนกระดาษให้เรียบร้อย อีกเดี๋ยวตัวอักษรเหล่านี้จะต้องส่งให้เตี้ยนเซี่ย

ใช่ การที่เขาทำแบบนี้ เพราะต้องการช่วยเตี้ยนเซี่ยทดสอบว่าลู่ฝานเป็นอย่างไร

วิทยายุทธเป็นเพียงด้านหนึ่ง สำหรับคนคนหนึ่ง บางครั้งจิตใจและธาตุแท้สำคัญยิ่งกว่าวิทยายุทธและพรสวรรค์

“หาได้ยาก หาได้ยาก”

หลู่เฉิงเซี่ยงพูดแล้วส่ายหัวไปมาอย่างมีความสุข

คำว่าหาได้ยากที่เขาพูดถึง แน่นอนว่าคือลู่ฝาน เขาจินตนาการได้เลยว่าเมื่อเขามอบข้อความเกี่ยวกับความคิดเห็นนี้ให้เตี้ยนเซี่ย

หลังจากนั้นสิ่งที่รอลู่ฝานอยู่คืออะไร!

จะเป็นข้าราชการใหญ่ในเส้นทางขุนนาง หรือเป็นผู้แข็งแกร่งในวิถีบู๊ ก็ขึ้นอยู่กับว่าเตี้ยนเซี่ยจะพิจารณาอย่างไร!

แค่เตี้ยนเซี่ยกำหนดมา ทรัพยากรที่เหมือนภูเขา จะกองอยู่บนตัวลู่ฝาน แม้คนปัญญาอ่อน ก็สามารถเป็นผู้มีฝีมือด้านใดด้านหนึ่งได้ นั่นเป็นทรัพยากรทั้งประเทศเชียวนะ

แน่นอนว่าลู่ฝานคงไม่รู้ การแสดงออกของเขาในวันนี้ จะตัดสินเส้นทางในอนาคตของเขา

ภายใต้การนำของลูกหลานตระกูลหลู่คนหนึ่ง ตอนนี้ลู่ฝานเดินมาถึงที่พักที่เขาต้องอยู่ในช่วงนี้

เมื่อเข้าไป ลู่ฝานถึงกับตกใจ พรมและกำแพงสีชมพู เครื่องประทินโฉมเต็มไปหมด นี่มันห้องของผู้หญิงชัดๆ

ลู่ฝานมองลูกหลานตระกูลหลู่ที่อยู่ข้างๆ แล้วพูดว่า “นายกำลังล้อฉันเล่นอยู่สินะ”

ลูกหลานตระกูลหลู่อมยิ้มไม่พูดอะไร แค่คำนับแล้วเชิญลู่ฝานเข้าไป

ลู่ฝานยืนลังเลหน้าประตูอยู่นาน ก็ยังไม่เข้าไป ถ้าอยู่ห้องของผู้หญิงแบบนี้ ขืนพูดออกไปก็เป็นเรื่องตลก ลู่ฝานยังไม่ได้โง่ถึงขั้นนั้น

“เปลี่ยนห้องได้ไหม ถ้าตระกูลหลู่ไม่เหลือห้องรับรองแขกแล้ว ทำห้องไม้ให้ฉันก็ได้ ไม่มีปัญหาเลย!”

ลู่ฝานหันมาพูดกับลูกหลานตระกูลหลู่ที่อยู่ข้างๆ

แต่เหมือนอีกฝ่ายไม่ได้ยินคำพูดของลู่ฝาน ทำเพียงแค่คำนับแล้วมองเขา

ทันใดนั้น จู่ๆ มีเสียงที่ดูค่อนข้างเด็กดังขึ้นในห้อง

“พอแล้ว คุณชายลู่ฝาน นายไม่ต้องทำให้เขาลำบากใจแล้ว ฉันให้เขาพานายมาเอง”

หลู่เฉิงเซี่ยงยิ้มแล้วพูดว่า “นายไม่ต้องเข้าใจหรอก นายแค่รู้ว่านายผ่านการพิจารณาแล้วก็พอ”

ลู่ฝานพูดว่า “ผ่านแล้วได้อะไรดีๆ บ้างครับ”

หลู่เฉิงเซี่ยงยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “อะไรดีๆ มีมากมาย ต่อไปนายจะรู้เอง”

ลู่ฝานส่ายหน้าพูดว่า “ไม่เอาต่อไปสิครับ ฉันอยากรู้ตอนนี้เลย”

เมื่อพูดเช่นนี้ ลู่ฝานใช้สายตาดุดันมองหลู่เฉิงเซี่ยง

ไม่ว่าใครโดนหลอกแบบเมื่อกี้ อารมณ์ต้องไม่ดีแน่นอน ลู่ฝานสามารถระงับความโกรธของตัวเองได้ ก็ถือว่าหาได้ยากแล้ว

หลู่เฉิงเซี่ยงวางแก้วชาลง พูดด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าหนุ่ม อย่าโกรธขนาดนั้นสิ ฉันลองเชิงนายรอบเดียว มีผลดีทั้งฉันและนาย รวมถึงราชสำนักด้วย ฉันบอกใบ้ให้นายนิดหน่อยก็ได้ หนทางชีวิตการเป็นขุนนางของนายราบรื่นแล้ว ถ้านายอยากเป็นหัวหน้าเขต ตอนนี้ฉันรับปากนายได้เลย ไม่ถึงสองวัน คำสั่งแต่งตั้งจะลงมาทันที”

ลู่ฝานอึ้งไป มองหลู่เฉิงเซี่ยงอย่างสงสัย

เขาไม่เข้าใจจริงๆ การทดสอบเมื่อกี้ เกี่ยวอะไรกับการเป็นหัวหน้าเขตของเขา

เหมือนหลู่เฉิงเซี่ยงชอบเห็นลู่ฝานหน้านิ่วคิ้วขมวด เขายิ้มแล้วพูดว่า “ผลประโยชน์นี้ไม่แล้วใช่ไหม พอใจหรือยัง”

ลู่ฝานส่ายหน้าพูดว่า “ขอบคุณหลู่เฉิงเซี่ยง แต่ฉันมาเมืองหลวง เพื่อเข้าร่วมการคัดเลือก เรื่องหัวหน้าเขต ปล่อยมันไปก่อนเถอะครับ”

หลู่เฉิงเซี่ยงยิ้มแล้วพูดว่า “จริงเหรอ จากที่ฉันรู้จักนาย นายน่าจะไม่ค่อยสนใจการคัดเลือกสิถึงจะถูก คนอย่างนายให้ความสำคัญแค่พละกำลังกับคนในครอบครัว มีที่ผืนหนึ่งให้พักพิงฝึกฝน อีกทั้งยังทำให้อำนาจของตระกูลแข็งแกร่งขึ้น เป็นสิ่งที่นายต้องการไม่ใช่เหรอ เมื่อถึงตอนนั้น ถ้านายไม่อยากเป็นหัวหน้าเขต ให้ลู่หมิง ลูกพี่ลูกน้องของนายมาเป็นก็ได้ ถึงขั้นที่นายสามารถให้หลิงเหยาคนรักของนายมาช่วยดูแลพื้นที่หนึ่งเขต คิดว่าเธอน่าจะมีความสนใจมากกว่านาย”

คำพูดของหลู่เฉิงเซี่ยง ทำให้ลู่ฝานตกใจจนคิ้วกระตุกครู่หนึ่ง

สีหน้าอึมครึม ลู่ฝานพูดว่า “ใต้เท้าเฉิงเซี่ยงรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไง”

หลู่เฉิงเซี่ยงหัวเราะหึหึ แล้วพูดว่า “จะสืบเรื่องนายไม่ใช่เรื่องง่าย เขตตงหวาก็เป็นพื้นที่ของประเทศอู่อาน แค่เป็นคนและเรื่องในประเทศอู่อาน ฉันอยากสืบ ก็สืบได้อยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น นายยังเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงแบบนี้ด้วย”

ลู่ฝานเคาะนิ้วลงบนโต๊ะเป็นจังหวะ

เขาคิดไม่ถึงเลยว่าหลู่เฉิงเซี่ยงจะตั้งใจสืบเรื่องเขาโดยเฉพาะ นี่ทำให้ลู่ฝานรู้สึกหวาดกลัว รู้สึกเหมือนโดนคนมองจนทะลุปรุโปร่ง

แม้หลู่เฉิงเซี่ยงที่อยู่ด้านหน้า ดูไม่มีพละกำลังอะไรเลยสักนิด แต่กลับทำให้เขารู้สึกกดดันอย่างไม่มีเหตุผล

ไม่ได้การแล้ว อยู่ที่นี่นานไม่ได้แล้ว

ลู่ฝานครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วลุกขึ้นพูดว่า “ใต้เท้าเฉิงเซี่ยง ในเมื่อท่านทดสอบฉันเสร็จแล้ว งั้นฉันขอตัวก่อนนะครับ!”

หลู่เฉิงเซี่ยงยกแก้วชาขึ้นมา พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ทำไม มองฉันเป็นหายนะหรือไง ฉันก็แค่คนธรรมดา มีพละกำลังเพียงน้อยนิด ถ้าขนาดฉันนายยังกลัว ถ้าได้กลายเป็นผู้แข็งแกร่งแท้จริงขึ้นมา”

ลู่ฝานชะงักฝีเท้าลง แม้เขารู้ว่านี่คือวิธีที่หลู่เฉิงเซี่ยงยั่วยุเขา แต่เขาต้องยอมรับว่าอีกฝ่ายพูดมีเหตุผลมาก

หลู่เฉิงเซี่ยงยิ้มแล้วพูดว่า “อยู่อย่างวางใจเถอะ ลู่ฝาน ในเมื่อฉันเชิญนายมาแล้ว ไม่ว่าใช้วิธีอะไร สรุปว่านายมาแล้ว แน่นอนว่าคงไม่ปล่อยนายไปง่ายๆ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ให้นายพักที่ตระกูลหลู่ ส่วนทางเจดีย์ยา ฉันจะส่งคนไปคุย แล้วจะส่งของของนายมาให้”

ลู่ฝานหันมามองหลู่เฉิงเซี่ยงแล้วพูดว่า “ท่านจะกักบริเวณฉันเหรอ”

หลู่เฉิงเซี่ยงส่ายหน้าพูดว่า “ไม่ เป็นการฝึกฝนอบรม ลู่ฝาน อีกไม่นานก็จะถึงวันคัดเลือกแล้ว นายไม่เรียนรู้ประเพณีมารยาทสักหน่อย จะเข้าเฝ้าจักรพรรดิได้ยังไง ช่วงนี้ก็อยู่ในตระกูลหลู่ เรียนรู้ประเพณีมารยาทอย่างเต็มที่ แน่นอนว่าถ้านายดื้อจะหนีไป ก็ไม่มีใครขวางนาย ประตูตระกูลหลู่เปิดกว้างเสมอ”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1082
หลู่เฉิงเซี่ยงมองลู่ฝานที่ตะโกนเสียงดังในม่านน้ำสรวงสรรค์ เขาหัวเราะแล้วพูดว่า “ฉันไม่มีปัญญาสู้กับนายหรอก ฉันสู้ไม่เป็น! มาสิลู่ฝาน ให้ฉันได้เห็นการตัดสินใจ ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายของนายหน่อย ดูจิตใจของนายสักหน่อย!”

แสงค่ายกลสว่างขึ้นเรื่อยๆ พลังมหาศาลกดดันจนลู่ฝานใกล้จะขยับไม่ได้แล้ว

คิดไม่ถึงเลยว่าปราณชี่ทั้งตัวเขา จะโดนกดดันจนไม่สามารถปล่อยออกมาได้

ลู่ฝานกัดฟันพูดว่า “คิดไม่ถึงว่าค่ายกลนี้ จะมีความรู้สึกของเขตวิถี!”

ตอนนี้เจดีย์เสวียนเก้ามังกรตะโกนพูดเสียงดังอยู่ในตัวลู่ฝาน “เจ้านาย ค่ายกลนี้เข้าสู่เขตวิถีแล้ว ฉันทำลายไม่ได้!”

ลู่ฝานแผดเสียงออกมา เหวี่ยงกระบี่ออกไป แต่พลังของเขา เพิ่งพุ่งไปข้างหน้าเพียงหนึ่งฟุต ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

ตอนนี้ตัวของสิบสามขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว กลายเป็นนักบู๊ชุดดำตัวใหญ่มหึมา ยืนอยู่ข้างหน้าลู่ฝาน

มีเขี้ยวยื่นออกมานอกปาก ดวงตาสองข้างแดงเป็นสีเลือด ตอนนี้เขาเปิดเผยพลังทั้งหมดของตัวเองออกมา นี่เป็นครั้งแรกที่เขาใช้พละกำลัง หลังจากดื่มยาเปลี่ยนโลหิตเข้าไป

จู่ๆ ลู่ฝานรู้สึกว่าแรงกดดันลดลงไปเล็กน้อย

แต่ทันใดนั้นเอง พวกผู้หญิงที่อยู่ด้านหลังกรีดร้องออกมา

“คุณชาย มีประตูแล้ว!”

ทันใดนั้น ลู่ฝานหันไปมอง เห็นมีประตูเปิดออกด้านหลังผู้หญิงพวกนั้น

กลิ่นหอมของดอกไม้ใบหญ้าหยาดฝนและน้ำค้างด้านนอกลอยเข้ามา ลู่ฝานรีบดึงสิบสามถอยไปด้านหลัง

แต่ทันใดนั้นเอง ผู้หญิงพวกนั้นเบียดกันอยู่หน้าประตูเหมือนคนบ้า

เดิมทีประตูก็แคบอยู่แล้ว ตอนนี้มีคนเบียดกันเต็มไปหมด ลู่ฝานออกไปไม่ได้เลย

จู่ๆ แสงหนึ่งพุ่งออกมาจากด้านข้าง

ลู่ฝานวางกระบี่หนักในแนวตั้ง ต้านทานมันเอาไว้ พลังอันแข็งแกร่ง สะเทือนจนง่ามมือระหว่างนิ้วโป้งและนิ้วชี้ของเขาแตกออกเล็กน้อย

“รีบออกไปทีละคน!”

ลู่ฝานแผดเสียงออกมา แววตาเต็มไปด้วยความร้อนใจ ขืนเป็นแบบนี้ต่อไป พวกเขาต้องตายอยู่ที่นี่แน่นอน

อีกแสงหนึ่งพุ่งเข้าไปฆ่าผู้หญิงพวกนั้น

ลู่ฝานไม่ลังเล เหาะเข้าไปใช้กระบี่ต้านทานไว้ กระบี่หนักไร้คมเริ่มสั่นเล็กน้อย

ตอนนี้สิบสามกระแทกหมัดลงในอากาศ สะเทือนจนห้องหนังสือสั่นไปมา

ลู่ฝานโมโหแล้ว เขาแผดเสียงดังออกมา

“จะฆ่าฉัน ไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก!”

แสงไซโคลนบนตัวทั้งเก้าลูกสว่างขึ้น เขาเตรียมจะสู้สุดชีวิต

แต่ขณะนั้นเอง แสงค่ายกลหายไปอย่างรวดเร็ว ทุกอย่างกลับสู่ปกติทันที

ลู่ฝานอึ้งไปอีกแล้ว เขารีบหันไปมอง เห็นผู้หญิงพวกนั้นไม่เบียดกันออกไปอีกแล้ว พากันหันมายิ้มให้ลู่ฝาน

จู่ๆ ลู่ฝานเข้าใจอะไรขึ้นเยอะ

ตอนนี้ทั้งห้องเกิดเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น

จู่ๆ ลู่ฝานรู้สึกว่าโลกหมุนเคว้ง เขาเข้ามาในอุโมงค์มิติอีกแล้ว

แต่ต่อมา เท้าสัมผัสกับพื้นดิน

ลู่ฝานเงยหน้ามอง เขามาอยู่ในโถงใหญ่แห่งหนึ่ง

ชาสามแก้วถูกเตรียมไว้เรียบร้อย ยังมีควันลอยขึ้นมาอยู่

ผู้อาวุโสคนหนึ่งมองเขาด้วยรอยยิ้ม จากนั้นสะบัดมือพูดกับพวกผู้หญิงด้านหลังลู่ฝาน “พวกเธอไปได้แล้ว”

พวกผู้หญิงโค้งตัวคำนับ แล้วพูดว่า “ค่ะ ใต้เท้าเฉิงเซี่ยง!”

ลู่ฝานจิตใจวูบไหวทันที เขามองผู้อาวุโสแล้วพูดว่า “เฉิงเซี่ยงเหรอ เฉิงเซี่ยงสามัญชน หลู่ชิงโหวเหรอ”

หลู่เฉิงเซี่ยงยกแก้วชาขึ้น พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ใช่ คุณชายลู่ฝาน เชิญนั่ง!”

ลู่ฝานมองตาหลู่เฉิงเซี่ยง จากนั้นเงียบอยู่ครู่หนึ่ง

หลู่เฉิงเซี่ยงก็ไม่พูดอะไร ทำเพียงมองลู่ฝานด้วยรอยยิ้ม

ผ่านไปนาน ลู่ฝานละสายตาออกมาแล้วนั่งลงช้าๆ “หลู่เฉิงเซี่ยง ฉันอยากถามหน่อย ที่ทำไปวันนี้เพื่ออะไรเหรอครับ”

หลู่เฉิงเซี่ยงยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “ลองเชิง นายเรียกมันว่าการพิจารณาก็ได้”

ลู่ฝานพูดว่า “พิจารณาเหรอ ฉันไม่ค่อยเข้าใจ”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1081
หลู่เฉิงเซี่ยงยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “ไม่มักมากในกาม ไม่เลว ไว้ใจได้กว่าลูกหลานตระกูลหานนิดหน่อย ผู้หญิงสิบสามคนนี้ ล้วนเป็นสาวงามแบบต่างๆ ที่คัดสรรมาอย่างดี ไม่ว่าผู้ชายชอบหุ่นแบบไหน หน้าตาแบบไหน หาสเปกที่ชอบได้หมด ปฏิกิริยาแรกของลู่ฝานไม่ใช่ดีใจอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง แววตาไม่ได้เป็นประกาย แต่กลับขมวดคิ้วแน่น และไม่ได้เข้ามาแก้มัดให้ ดูเป็นคนที่ระมัดระวังมาก ระมัดระวังอย่างดี ระมัดระวังอย่างดีสุดๆ!”

ลู่ฝานส่งสายตาให้สิบสาม สิบสามเดินไปข้างหน้า ดึงท่อนไม้เล็กๆ ที่ยัดอยู่ในปากผู้หญิงคนหนึ่งออกมา ทันใดนั้น ท่อนไม้นั้นกลายเป็นอักษรยันต์อยู่ในมือสิบสามทันที

สิบสามไม่มองสักนิด เขาพลิกมือซัดหมัดทำลายมันจนกระจุย

ลู่ฝานเดินเข้ามาพูดว่า “ที่แท้เป็นอักษรยันต์ผนึก เธอชื่ออะไร ทำไมถึงโดนจับมาที่นี่”

ผู้หญิงพูดเสียงเศร้าว่า “พวกเราก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงถูกจับมาอยู่ที่นี่ เราเป็นนางโลมต้อนรับแขกอยู่ที่หอเฟิ่งเซียน เมื่อวานไปอวยพรวันเกิดที่บ้านนายโม่ที่นอกเมือง ผลปรากฏว่าระหว่างทางกลับมา โดนคนจี้ตัวมาที่นี่ คุณชายช่วยเราออกไปได้ไหม เรามีเงินตำลึงอยู่ โดนพวกเขาค้นแล้วทิ้งไว้ข้างๆ นายลองดูทางนั้น นายช่วยพวกเราออกไป ของพวกนั้นจะเป็นของนายทั้งหมด”

ลู่ฝานหันไปมองอีกด้านหนึ่ง ตรงนั้นมีของวางกองอยู่ไม่น้อย

กล่องผ้าดิ้น เครื่องหยก เครื่องประดับอัญมณี แล้วก็เงินทองอีกไม่น้อย ดูไม่ออกเลยว่านางโลมพวกนี้รวยมาก ลู่ฝานลองคำนวณคร่าวๆ ของพวกนี้ยังไงก็ต้องมีมูลค่ามาก

แต่ลู่ฝานไม่สนใจสิ่งเหล่านี้สักนิด เขากวาดตามองผู้หญิงพวกนี้แวบหนึ่ง

พูดตามตรง ผู้หญิงพวกนี้สวยมาก มีทั้งผู้หญิงเซ็กซี่มีเสน่ห์ ผู้หญิงที่ยังสาวและน่ารักก็มี ผู้หญิงที่สุภาพและงดงามก็มี ผู้หญิงที่กิริยาท่าทางงดงาม จนทำให้จิตใจหวั่นไหวก็ยังมี บวกกับตอนนี้พวกเธออยู่ในสภาพเสื้อผ้ายับยู่ยี่ ยิ่งเพิ่มความงามเย้ายวนดึงดูดใจเข้าไปอีก

แต่สิ่งที่ลู่ฝานสนใจไม่ใช่สิ่งนี้ แต่ทว่าพวกเธอมีลมปราณหรือพลังชี่ไหม

ตอนนี้ลู่ฝานสงสัยเป็นอย่างมาก ว่านี่คือการจัดฉากหรือเปล่า!

มองอยู่สักครู่ ลู่ฝานไม่พบว่าคนในบรรดาผู้หญิงพวกนี้ เป็นนักบู๊หรือผู้ฝึกชี่

คิดไปคิดมา ลู่ฝานพูดว่า “ฉันแก้มัดให้พวกเธอได้ แต่ต่อจากนี้พวกเธอต้องฟังฉัน เป้าหมายของเราคือหนีออกไป หวังว่าพวกเธอจะไม่สร้างปัญหา”

ผู้หญิงทั้งหมดพยักหน้าสุดชีวิต ลู่ฝานสะบัดมือให้สิบสาม

ทันใดนั้นทั้งสองคนกำจัดผนึกบนตัวผู้หญิงพวกนี้ออกทั้งหมด

ผู้หญิงพวกนี้กลับมาเป็นอิสระ สิ่งที่ทำเป็นอย่างแรกคือกอดกันร้องไห้

ส่วนลู่ฝานมองรอบๆ อย่างระแวดระวัง รอจนเสียงร้องไห้ของผู้หญิงพวกนี้ค่อยๆ หายไป ลู่ฝานจึงถามว่า “พวกเธอรู้ไหมว่าออกจากที่นี่ยังไง”

ผู้หญิงทั้งหมดเริ่มส่ายหน้า เพื่อบอกว่าไม่รู้!

ลู่ฝานกัดฟัน นี่เป็นเรื่องที่วุ่นวายจริงๆ

ขณะที่ลู่ฝานจะไปหาดูรอบๆ จู่ๆ ค่ายกลใต้เท้าส่องแสงสว่างขึ้นมา

พลังอันน่ากลัวส่งขึ้นมาทางด้านล่างเท้า ในเวลาเดียวกันเสียงอึกทึกดังขึ้นรอบๆ ราวกับเสียงคำรามพร้อมกันของสัตว์อสูรเป็นพันเป็นหมื่น

ลู่ฝานรีบถามเจดีย์เสวียนเก้ามังกรว่า “นี่มันเรื่องอะไรกัน นี่คือค่ายกลอะไร รีบทำลายเร็วๆ!”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรรีบตอบรับเสียงสูง หลังจากนั้นมีแสงสว่างขึ้นจากด้านล่างเท้าของลู่ฝานเป็นแถบ ไอ้เก้าเริ่มทำลายค่ายกลอย่างจริงจัง

ลู่ฝานใช้มือจับกระบี่หนักไร้คมเอาไว้แน่น แล้วตะโกนออกมาว่า “ใครกันแน่ ออกมาสู้กันสิ!”

ห้องหนังสือใหญ่มาก อย่างน้อยมีบริเวณรอบๆ สามร้อยกว่าเมตร

ลู่ฝานเดินตรงเข้าไปข้างใน สิ่งที่ปรากฏอยู่ในสายตาคือหนังสือทุกชนิด

จากหนังสือปกิณกะด้านหน้า จนไปถึงหนังสือประวัติศาสตร์บนชั้นด้านใน เมื่อเห็นหนังสือคำอธิบายค่ายกลอย่างละเอียด เคล็ดวิชาบู๊ ทักษะของผู้ฝึกชี่ มีหมดทุกอย่าง

ราวกับเจ้าของห้องหนังสือแห่งนี้ หนังสือทุกเล่มดูไม่ใหม่ เหมือนโดนคนเปิดดูแล้ว

บนหนังสือไม่มีฝุ่น เหมือนมีคนมาทำความสะอาดทุกวัน

ลู่ฝานเดินเข้าไปด้านใน ครุ่นคิดตลอดทาง ถ้ามีคนอ่านหนังสือพวกนี้หมดแล้วจริงๆ จะเป็นคนยังไงกันนะ

ขณะกำลังคิด จู่ๆ ลู่ฝานได้ยินเสียงสะอื้นเบาๆ ดังมาจากด้านข้าง

เสียงเล็กและเบามาก เหมือนผู้หญิงโดนคนปิดปากเอาไว้

ลู่ฝานใช้วิชากาย พุ่งไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว ในเวลาเดียวกันก็ยัดเจ้าดำเข้าไปในเข็มขัด

สิบสามตามอยู่ข้างหลังลู่ฝาน วิชากายรวดเร็วเหมือนกัน ตอนนี้เขาสามารถตามลู่ฝานทันแล้ว

มาถึงด้านหน้ากำแพง ลู่ฝานเงี่ยหูฟัง เหมือนเสียงจะออกมาจากในกำแพง

มนุษย์ล้วนมีความอยากรู้ ลู่ฝานมองซ้ายมองขวา มองไม่เห็นทางออก เหมือนห้องหนังสือแห่งนี้ปิดตายอย่างสมบูรณ์แบบ งั้นกำแพงที่มีเสียงสะอื้นดังออกมา จะใช่ทางออกหรือเปล่า!

ลู่ฝานคิดไปพลาง เอามือวางลงบนกำแพงเบาๆ

ทันใดนั้น เสียงเจดีย์เสวียนเก้ามังกรดังขึ้นในตัวลู่ฝาน

“เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ ในกำแพงมีค่ายกล จะให้ทำลายไหม!”

ลู่ฝานพูดในใจว่า “ทำลาย! แต่ทำเบาๆ หน่อย”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรส่งเสียงตอบรับเบาๆ จากนั้นมีแสงสว่างขึ้นในฝ่ามือลู่ฝาน ซึมเข้าไปในกำแพง

หลู่เฉิงเซี่ยงที่มองผ่านม่านน้ำสรวงสรรค์ ตอนนี้เขาลุกขึ้นมาข้างหน้าม่านน้ำสรวงสรรค์ หลู่เฉิงเซี่ยงจ้องมือลู่ฝานผ่านม่านน้ำสรวงสรรค์ที่ชัดเจน นัยน์ตามีประกายแวววาวส่องออกมา

ทันใดนั้น หลู่เฉิงเซี่ยงหยิบกระดาษกับปากกาเมื่อครู่ขึ้นมาเขียนต่อ

“วิชาที่ไม่ทราบชื่อ เหมือนมีประสิทธิภาพในการทำลายค่ายกล พลังในฝ่ามือ ไม่ใช่ทั้งพลังปราณและพลังชี่ พลังกระจายออกไปเหมือนใยไหม เล็กละเอียดเป็นอย่างมากเป็นพลังที่ดีที่สุดในการทำลายค่ายกลและรวมค่ายกล”

ลู่ฝานไม่รู้ว่าทุกการกระทำของเขา โดนคนมองเห็นอย่างทะลุปรุโปร่ง

ตอนนี้เขาสัมผัสได้เพียงแค่ค่ายกล ไหลผ่านฝ่ามือเขาตรงเข้ามาในร่างกาย

หลังจากนั้นกำแพงตรงหน้า แยกออกเป็นสองด้าน พื้นด้านล่างเท้าเริ่มส่งเสียงดังก้องออกมา

ประกายในดวงตาหลู่เฉิงเซี่ยงสว่างเข้าไปอีก ตวัดปากกาเขียนต่อไป

“ทำลายค่ายกลผนึกแบบทั่วไป เพียงไม่กี่อึดใจ ไม่เคยได้ยินวิชาระดับนี้มาก่อน ดูจากท่าทางของเขา เหมือนจะไม่ใช่แค่ทำลายค่ายกล แต่จะดูดแก่นแท้ของค่ายกลไปด้วย”

เมื่อเขียนถึงตรงนี้ จู่ๆ หลู่เฉิงเซี่ยงหยุดลง ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “วิธีนี้ เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน”

หลับตาครุ่นคิดครู่หนึ่ง จู่ๆ หลู่เฉิงเซี่ยงพูดว่า “เซียนสือฟาง นี่คือวิธีที่เซียนสือฟางเคยใช้ อย่าบอกนะว่าสือฟางยังไม่ตาย อีกทั้งยังรับนักบู๊เป็นศิษย์ด้วย”

หลู่เฉิงเซี่ยงแอบคาดเดาเอาเอง ตอนนี้กำแพงข้างหน้าลู่ฝาน เปิดออกจนหมดแล้ว
หลู่เฉิงเซี่ยงแอบคาดเดาเอาเอง ตอนนี้กำแพงข้างหน้าลู่ฝาน เปิดออกจนหมดแล้ว

แต่ภาพที่ปรากฏในสายตาเขา กลับทำให้เขาตกใจมาก

เห็นผู้หญิงสิบกว่าคนเสื้อผ้ายับยู่ยี่ ถูกมัดเอาไว้ด้วยกัน มีท่อนไม้สั้นๆ ยัดอยู่ในปากทุกคน เมื่อเห็นลู่ฝาน ก็ร้องตะโกนออกมาทันที

ลู่ฝานยืนอึ้งอยู่ที่เดิมครู่หนึ่ง ไม่ได้พุ่งเข้าไปแก้มัดให้ผู้หญิงสิบกว่าคนนี้ทันที

ลู่ฝานมองผู้หญิงสิบกว่าคนนี้ แล้วพูดเสียงดังว่า “อย่าส่งเสียง”

ทันใดนั้น ผู้หญิงสิบกว่าคนหยุดร้องตะโกนทันที ลู่ฝานแอบกัดฟัน ทำไมที่นี่ถึงขังผู้หญิงเอาไว้เยอะขนาดนี้!

สีหน้าของลู่ฝานอยู่ในสายตาของหลู่เฉิงเซี่ยงทั้งหมด

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1079
เขตนอกเมืองหลวงที่ค่อนข้างห่างไกล หรือแม้กระทั่งถนนตามหัวเมือง ยังไม่สามารถวาร์ปไปได้ แต่เทียบกับเขตตงหวาที่กว้างใหญ่เหมือนกัน วิธีการเดินทางแบบนี้ ถือว่าเร็วมากแล้ว

ลู่ฝานเดินทางจากที่นี่กลับเจดีย์ยา ต้องวาร์ปสามครั้ง

ดังนั้นลู่ฝานจึงกำเหรียญทองเตรียมไว้ในมือสามเหรียญ ทหารยามเฝ้าค่ายกลเห็นลู่ฝาน มีรอยยิ้มเต็มใบหน้าทันที

“สวัสดีครับคุณชายลู่!”

ลู่ฝานพยักหน้า ยัดเหรียญทองเข้าไปในมือทหารยามหนึ่งเหรียญ

ทหารยามทั้งสองคนรีบเปิดค่ายกล เชิญลู่ฝานกับสิบสามเข้าไปอย่างนอบน้อม

ไม่มีอะไรแตกต่างจากปกติ แสงค่ายกลเคลื่อนไหว พลังมิติรวมตัวกัน

ลู่ฝานไม่ได้คิดอะไรมาก ก้าวเท้าเข้าไป

ทันใดนั้น โลกหมุนเคว้ง แสงนับไม่ถ้วนพาดผ่านไปทางด้านหลังลู่ฝาน

ลู่ฝานรออยู่ครู่หนึ่ง พบว่าตัวเองยังไม่ได้ออกจากค่ายกล นี่มันผิดปกติแล้ว

ปกติเดินทางด้วยจุดค่ายกลเคลื่อนฟ้า หลังจากเข้าไปแล้ว จะออกมาอย่างรวดเร็ว

วันนี้เขากลับอยู่ในอุโมงค์มิตินานขนาดนี้ แต่ยังไม่สามารถออกไปได้ ขณะที่ลู่ฝานย้ายมือไปวางไว้บนด้ามจับกระบี่หนักไร้คมที่อยู่ด้านหลัง ในที่สุดอุโมงค์มิติหายไป สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าลู่ฝานคือห้องหนังสือ

หนังสือเต็มห้อง เหมือนวางกองเต็มสายตา ลู่ฝานมองรอบๆ ด้วยความตกใจ แล้วพูดว่า “นี่วาร์ปมาที่ไหนกัน”

สิบสามแววตาเคร่งขรึม มีแสงสีแดงสว่างขึ้นบนตัว ตัวเขาขยายใหญ่ขึ้นหนึ่งเท่า กล้ามเนื้อปูดขึ้น พลานุภาพที่ไม่ด้อยไปกว่านักบู๊แดนปราณชีวิตระดับสูงสุด แผ่กระจายออกไป

ลู่ฝานก็ขมวดคิ้วขึ้นมาเหมือนกัน ค่อยๆ ดึงกระบี่หนักไร้คมออกมา แล้วพึมพำว่า “ค่ายกลมีปัญหาเหรอ”

คำพูดของเขา ไม่ใช่แค่ความสงสัย แต่เป็นการถามไอ้เก้าด้วย ไอ้เก้าที่อยู่ในตัวตอบกลับว่า “เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ ไม่น่าเป็นไปได้ ถ้าค่ายกลมีปัญหา น่าจะดันคนออกไปทันทีถึงจะถูก ผู้ฝึกชี่ที่สามารถสร้างจุดค่ายกลเคลื่อนฟ้าในเมืองหลวงได้ ไม่มีทางไร้วิธีการป้องกัน มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว นั่นคือมีคนจงใจให้เจ้านายวาร์ปมาที่นี่”

ลู่ฝานขมวดคิ้วพูดว่า “จงใจเหรอ แล้วเป็นใครกันล่ะ องค์ชายทั้งสองคน จะเป็นองค์ชายคนไหน”

ระหว่างที่พูด ลู่ฝานพลิกหนังสือที่อยู่ข้างตัว

หนังสือที่นี่เยอะมาก วางจนไม่สามารถยัดเข้าไปในชั้นวางได้อีก ทำได้เพียงวางไว้บนพื้น กองจนเต็มไปหมด แต่วางได้อย่างเป็นระเบียบมาก

ลู่ฝานพลิกหนังสือดูสองสามเล่ม จากนั้นส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ค่อนข้างผิดปกติ หนังสือที่นี่มีครบทุกอย่าง ไม่เหมือนหนังสือที่ราชวงศ์เก็บสะสมไว้!”

ลู่ฝานดึงหนังสือออกมาเล่มหนึ่ง บนหน้าปกมีตัวหนังสือเขียนไว้ว่า “วิชาลับในห้อง!”

เมื่อเปิดดู มีภาพสีพร้อมคำอธิบาย ลู่ฝานอ่านครู่หนึ่ง เขาขมวดคิ้วแน่นขึ้นอีก

ค่อยๆ วางหนังสือกลับเข้าไป ลู่ฝานเดินไปข้างหน้าช้าๆ

แต่สิ่งที่เขาไม่ทันสังเกตคือ ในกำแพงที่เต็มไปด้วยหนังสือทั้งสองด้าน มีไข่มุกหนึ่งเม็ดที่ใหญ่กว่าไข่มุกเรืองแสงทั่วไปเล็กน้อย ในไข่มุกสะท้อนทุกสิ่งในห้อง!

ภายในห้องเล็กๆ ด้านหลังกำแพง ผู้อาวุโสคนหนึ่งมองม่านน้ำสรวงสรรค์ด้านหน้าด้วยรอยยิ้ม

ทุกการกระทำของลู่ฝานในห้องหนังสือ รวมถึงคำพูดที่ลู่ฝานพูดทั้งหมด ล้วนอยู่ในสายตาและการได้ยินของผู้อาวุโส

“อืม สติปัญญาไม่แย่ ใจเย็นมากด้วย อาวุธในมือมีเขตวิถีแฝงอยู่ เป็นอาวุธวิเศษ คนใช้ข้างๆ มีกลิ่นเลือด ยาปิดบังออร่าปีศาจของเขา ต้องดูอีกทีว่าใช่ผู้ฝึกชั่วร้ายหรือเปล่า!”

ผู้อาวุโสค่อยๆ เขียนสิ่งเหล่านี้ลงบนกระดาษ หลังจากนั้นเงยหน้าขึ้นยิ้มบางๆ แสงส่องลงมาบนใบหน้าเขา

เป็นเฉิงเซี่ยงสามัญชน หลู่ชิงโหว!

ขนลุกไปทั้งตัวอยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆ ลู่ฝานฟื้นขึ้นมาบนโต๊ะ

โต๊ะไม้ยังเป็นโต๊ะไม้ตัวเดิม เหล้ายังเป็นเหล้าไหเดิม ร้านก็ยังเป็นร้านเดิม เถ้าแก่อ้วนก็คนเดิม

ลู่ฝานประคองหัวตัวเองที่รู้สึกมึนเล็กน้อย มองเถ้าแก่อ้วนแล้วพูดว่า “เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น พวกเขาโยนอะไรเข้ามาในหัวฉัน”

เถ้าแก่อ้วนยิ้มอยู่ข้างๆ แล้วพูดว่า “นายดื่มจนเมาแล้ว”

ลู่ฝานเงยหน้าขึ้น มองซ้ายมองขวา ร้านว่างเปล่า มีเพียงเขากับสิบสามที่กำลังหลับลึก ไม่มีเงาของยอดฝีมือทั้งสามคน

ลู่ฝานมองเถ้าแก่อ้วน แล้วพูดอย่างสงสัยว่า “เมื่อกี้ฉันหลับตลอดเลยเหรอ”

เถ้าแก่อ้วนแทะเมล็ดแตงโมพลางพูดว่า “ก็ใช่น่ะสิ ฉันนึกว่านายจะคอแข็งขึ้นซะอีก คิดไม่ถึงว่าพอดื่มก็คอพับ นายยังต้องฝึกอีกนะ!”

ลู่ฝานพยักหน้า ยื่นมือไปตบปลุกสิบสาม เอาเจ้าดำมาวางไว้บนไหล่

“ดื่มไม่ได้อีกแล้ว ดื่มอีกจะเสียการเสียงาน เถ้าแก่อ้วน ขอตัวก่อนนะครับ ฉันวางค่าเหล้าไว้บนโต๊ะนะครับ”

เมื่อพูดจบ ลู่ฝานเอายาออกมาวางไว้บนโต๊ะหนึ่งขวด

เขาไม่รู้ราคาของเหล้านี้ แต่เขาคิดว่าเหล้าน่าจะราคานี้

วันนี้เถ้าแก่อ้วนก็แปลก ไม่ให้ลู่ฝานเก็บยาเอาไว้ ปกติเขาไม่ยอมรับของของลู่ฝานเด็ดขาด

ลู่ฝานเดินโงนเงนออกจากร้านเหล้า

ลู่ฝานตบหัว จำไม่ค่อยได้ว่าเมื่อกี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นข้างใน

เขาจำได้ว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น แต่นึกไม่ออก เหมือนตื่นจากฝันแล้วจำความฝันไม่ได้

สิบสามที่อยู่ด้านหลังก็มีใบหน้าสับสน เขาไม่เคยดื่มจนเมามาก่อนเลย

ไม่ใช่เพราะเขาคอแข็ง แต่เมื่อเขารู้สึกว่าตัวเองเริ่มเมา เขาจะไม่ดื่มอีก แต่วันนี้มันเกิดอะไรขึ้น

ลู่ฝานกับสิบสามเดินมาออกมาข้างนอก สายลมของการเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิ พัดผ่านหน้าเบาๆ

บนถนน มีคนจำลู่ฝานได้ จึงเอ่ยทักทายจากไกลๆ “สวัสดีครับคุณชายลู่”

คนเมืองหลวง มีประสบการณ์มากมายจริงๆ แม้จะนับถือเลื่อมใส แต่ไม่เหมือนคนในเมืองเล็กๆ ที่กรูกันเข้ามาขอลายเซ็น ถึงขั้นที่อยากให้คนที่ตัวเองเลื่อมใสนับถือ เปลื้องเสื้อผ้าของเขาออกทันที และทำตัวเหลวไหลไร้สาระ

ประชาชนส่วนใหญ่ของเมืองหลวง ล้วนมีใจที่เย่อหยิ่งอยู่บ้าง

พวกเขาก็ชอบและเลื่อมใสใครสักคนเหมือนกัน แต่ไม่มีทางทำเรื่องอย่างเช่นขวางทางคนอื่นบนถนน เพื่อต้องการสิ่งของ พวกเขาคิดว่านั่นคือการกระทำที่ไร้ระดับสุดๆ เจอคนไร้มารยาทแบบนี้ คนข้างๆคงอดลากคนแบบนี้ออกไปไม่ไหว

ดังนั้นลู่ฝานจึงเดินบนถนนได้อย่างสบาย

“ใช่เขาหรือเปล่า”

บนร้านอาหารแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล คุณชายถือพัดขนนกคนหนึ่ง มองลู่ฝานจากไกลๆ แล้วเอ่ยขึ้น

มองลู่ฝานจากตรงที่เขาอยู่ ถ้าเป็นคนอื่นคงเห็นเพียงกองจุดดำเล็กๆ ถ้าเป็นคนที่วิทยายุทธไม่ดี การมองเห็นไม่แข็งแกร่ง ไม่มีทางเห็นหน้าลู่ฝานได้อย่างชัดเจน

“ใช่เขา!”

คนสวมชุดข้าราชการที่อยู่ข้างๆ เอ่ยขึ้น

เข็มขัดทองสัมฤทธิ์ที่เอว มีตัวอักษรเขียนไว้ว่า “ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุข” ไม่ต้องถามอะไรมาก คือเครื่องแต่งกายขององครักษ์ดูแลเมือง แต่ดูเขามีลายประดับเล็กน้อย เสื้อที่มีไหมสีเงินตรงชายแขนเสื้อ คิดว่าเขาน่าจะเป็นระดับหัวหน้า

“อืม ดีมาก ทำตามที่คุณท่านสั่ง”

คุณชายพูดเสียงเบา หัวหน้าองครักษ์ดูแลเมืองตรงหน้าคำนับพร้อมส่งเสียงตอบรับ สะบัดมือไปฝั่งไกลๆ ฝั่งนั้นมีจุดค่ายกลเคลื่อนฟ้าอยู่แห่งหนึ่ง

ลู่ฝานมาถึงจุดวาร์ปอย่างรวดเร็ว

จุดค่ายกลเคลื่อนฟ้าของเมืองหลวง ถือว่าเป็นจุดที่เป็นเอกลักษณ์มาก

เสาอักษรยันต์สี่ต้น องครักษ์สองคน แสงค่ายกลหนึ่งแสง เป็นรูปแบบมาตรฐาน

จุดค่ายกลเคลื่อนฟ้าแห่งหนึ่ง ระยะทางที่สามารถวาร์ปได้ไกลสุดคือประมาณหมื่นลี้ จำกัดให้ใช้ได้แค่ในเมืองหลวงเท่านั้น

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1077
ตาเฒ่าเซวียนหยวนจับกระบี่หักที่เอว

ไอ้หลิวกับยัยแก่หยางสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย พูดขึ้นมาพร้อมกันว่า “จะประลองกันไหม”

ตาเฒ่าเซวียนหยวนพูดว่า “สู้ตัวต่อตัว พวกนายสู้ฉันไม่ได้ ระวังจะโดนฉันฟันด้วยกระบี่ จนต่อไปมาดื่มเหล้าไม่ได้อีก”

ไอ้หลิวหัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “ฉันอยากลองวิชากระบี่ของคนคลั่งอย่างนาย ไม่ได้ลงมือหลายสิบปีแล้ว วันนี้ลงมือสักหน่อย ก็ไม่น่าเป็นอะไร”

ยัยแก่หยางก็ลุกขึ้นยืน แล้วพูดว่า “ฉันก็อยากขอคำแนะนำวิชากระบี่สักสองกระบวนท่า”

ลู่ฝานมองทั้งสามคนเตรียมสู้กันด้วยความตะลึง

นี่มันเรื่องอะไรกัน เขามาดื่มเหล้าเฉยๆ ทำไมถึงทำให้ยอดฝีมือทั้งสามคนประลองกันได้ล่ะ

ผู้อาวุโสหลิวต้องเป็นยอดฝีมือระดับเซียนบู๊แน่นอน งั้นสองคนข้างๆ ก็คงไม่แตกต่างกันสักเท่าไร

นั่นหมายความว่า ยอดฝีมือระดับเซียนบู๊สามคนกำลังแย่งกันเพื่อจะเอาเขามาเป็นศิษย์ ถ้าเป็นคนอื่นคงดีใจแทบแย่แล้ว

แต่ตอนนี้ลู่ฝานอยากรีบออกไปมาก

เมื่อรวบรวมปราณชี่ ลู่ฝานดูดพลังทั้งหมดที่อยู่รอบๆ เข้ามาในตัวทันที

ไม่ว่าเขาจะควบคุมยังไง ลู่ฝานใช้วิธีป่าเถื่อนที่สุดทำลายมันทันที

ลู่ฝานลุกขึ้นยืน อุ้มเจ้าดำที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมา หันไปพูดกับสิบสามว่า “ไปกันเถอะ”

ลู่ฝานค่อยๆ เดินไปทางประตู

ตอนนี้ทั้งสามคนเห็นลู่ฝานลุกขึ้นมา ต่างพากันอึ้ง ขนาดเถ้าแก่อ้วน ยังมองลู่ฝานอย่างอึ้งเล็กน้อย

“หยุด! เมื่อกี้นายทำลายการควบคุมยังไง”

เมื่อเถ้าแก่อ้วนเอ่ยขึ้น ลู่ฝานรู้สึกว่าตัวเองเดินไม่ได้แล้ว

ลู่ฝานหันมาพูดว่า “ตอนนี้ฉันไม่อยากฝากตัวเป็นศิษย์กับใคร ให้ฉันไปเถอะ”

เถ้าแก่อ้วนหัวเราะ แล้วพูดว่า “รอก่อนสิ นายจะรีบไปทำไม ให้พวกเขาสามคนทะเลาะกันเสร็จก่อน บอกมาก่อนว่านายทำลายได้ยังไง”

ลู่ฝานเงียบ เขาไม่มั่นใจว่าถ้าตัวเองพูดโกหกต่อหน้าผู้แข็งแกร่งระดับเซียนบู๊ แล้วจะไม่โดนจับได้

ตอนนี้ตาเฒ่าเซวียนหยวนหัวเราะแล้วพูดว่า “น่าสนใจ ทำลายการควบคุมฟ้าดินของไอ้อ้วนตงได้ในพริบตา ฝีมือนี้ ตอนฉันเป็นหนุ่มยังทำไม่ได้เลย”

ไอ้หลิวพูดด้วยรอยยิ้ม “เหลือเชื่อมาก ฉันก็ยังดูไม่รู้เรื่องเลย เขาทำได้ยังไง คล้ายการกลืนกินของผู้ฝึกชั่วร้าย แต่ไม่มีออร่าปีศาจกับกลิ่นเลือดสักนิด”

ยัยแก่หยางพูดว่า “เหมาะสมมาก เด็กคนนี้ฝึกวิชาของฉัน ต้องได้ผลคุ้มค่าแน่นอน”

พูดจบ ทั้งสามคนมองกันไปมา ความไม่เป็นมิตรผุดขึ้นบนใบหน้า

ไอ้หลิวพูดอย่างไม่เกรงใจว่า “เรื่องเกี่ยวกับผู้สืบทอด ดูเหมือนฉันคงหลีกทางให้ไม่ได้แล้ว”

“พวกนายจะเอายังไง ว่าเงื่อนไขมาเลย”

ยัยแก่หยางพูดดุดันกว่าเล็กน้อย

ตอนนี้ตาเฒ่าเซวียนหยวนมีความคิดแล้ว เขามองเถ้าแก่อ้วนแล้วพูดว่า “ไอ้อ้วนตง นายคงไม่ได้รอดูพวกเราสู้กันใช่ไหม”

เถ้าแก่อ้วนยิ้มแล้วพูดว่า “ฉันมีความคิดหนึ่ง อยู่ที่ว่าพวกนายจะยอมหรือเปล่า”

ไอ้หลิวพูดเสียงดังว่า “ว่ามา!”

เถ้าเก้าอ้วนหัวเราะหึหึ แล้วพูดว่า “ในเมื่อพวกนายต่างไม่ยอมกัน งั้นก็ให้เด็กคนนี้เลือกเองสิ เอาวิชาของพวกนายให้เขา เขายินดีฝึกวิชาไหน ก็ฝึกวิชานั้น หลังจากนั้นเขาก็ไปหาถึงที่อยู่แล้ว”

ไอ้หลิวขำ แล้วพูดว่า “นายนี่จริงๆ เลยไอ้อ้วน ฉันเข้าใจแล้ว นี่เป็นวิธีที่นายใช้ แต่ฉันยอม ก็แค่วิชา ฉันให้ได้อยู่แล้ว!”

ยัยแก่หยางก็มองอะไรบางอย่างออก พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่มีปัญหา แค่วิชาธรรมดาๆ เอาออกไปให้คนเห็นได้อยู่แล้ว ฉันก็ให้เหมือนกัน”

ตาเฒ่าเซวียนหยวนพูดว่า “ให้กันหมดแล้ว งั้นฉันก็ไม่งกหรอก ฉันก็ให้!”

ทั้งสามคนตอบตกลง เถ้าแก่อ้วนผายมือสองข้างใส่ลู่ฝาน แล้วพูดว่า “ฉันบอกแล้วว่าวันนี้เป็นวันที่เปลี่ยนโชคชะตาของนาย!”

ลู่ฝานยังไม่ทันตั้งตัว จู่ๆ เห็นแสงสามแสงปรากฏออกมา จากนั้นเข้ามาในหัวสมองของเขาทันที

เถ้าแก่อ้วนขำ ขำอย่างมีความสุขเป็นอย่างมาก

เขาพูดกับลู่ฝานว่า “นายวางใจเถอะ ไม่ใช่ร้านที่เปิดเพื่อฆ่าคนหรอก ไม่มีทางเอาชีวิตนายหรอก”

เพิ่งพูดจบ จู่ๆ เงาหนึ่งปรากฏขึ้นหน้าประตู

คนคนนี้เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง นัยน์ตาหม่นหมอง บนหน้ามีแผลเป็นเต็มไปหมด มีกระบี่หักอยู่ที่เอวหนึ่งเล่ม

“ตาเฒ่าเซวียนหยวน นายก็มาแล้วเหรอ!”

คนยังไม่ทันเดินเข้ามา ไอ้หลิวพูดเสียงดังขึ้นมา

ตาเฒ่าเซวียนหยวนเดินเข้ามาในร้าน จากนั้นกวาดตามอง ยกยิ้มมุมปากแล้วพูดว่า “ไอ้หลิว ยัยแก่หยาง คิดไม่ถึงว่าทั้งสองคนจะอยู่ด้วย ไอ้อ้วนตง นายจงใจให้เรามาทะเลาะกันใช่ไหม”

เถ้าแก่อ้วนยิ้มแล้วพูดว่า “ฉันมาแนะนำศิษย์ให้พวกนาย ส่วนพวกนายจะทะเลาะกันหรือไม่ เป็นเรื่องของพวกนาย แต่ฉันขอพูดไว้ก่อน ใครทำร้านฉันพัง ฉันจะเอาชีวิตคนนั้น ไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม”

สีหน้าของทั้งสามคนเปลี่ยนไปทันที ตาเฒ่าเซวียนหยวนไปนั่งอีกด้าน

ลู่ฝานพอจับใจความอะไรได้บ้างแล้ว เขามองเถ้าแก่อ้วนแล้วพูดว่า “เดี๋ยวนะ แนะนำศิษย์เหรอ ท่านไม่ได้หมายถึงฉันใช่ไหม ทำไมฉันรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นปลาบนเขียง ปล่อยให้คนเชือดเฉือนตามอำเภอใจ ฉันแค่มาดื่มเหล้าเท่านั้น!”

เถ้าแก่อ้วนยิ้มแล้วพูดว่า “ไอ้หนุ่ม นายคิดว่าเหล้าของฉันกินฟรีเหรอ นั่งไปเถอะ วันนี้เป็นวันที่เปลี่ยนแปลงโชคชะตาของนาย”

เถ้าแก่อ้วนพูดพลางเดินไปด้านหลังเคาน์เตอร์ เอาสมุดเล่มเล็กๆ ออกมาจากเอว

ลู่ฝานรู้สึกว่าอยู่ที่นี่นานไม่ได้แล้ว เพิ่งลุกขึ้นจะออกไป กลับพบว่าตัวเองขยับลำบาก เหมือนมีพลังที่มองไม่เห็นควบคุมเขาอยู่

ขณะนั้นไอ้หลิวกระแอมเบาๆ สองครั้ง แล้วพูดเสียงดังว่า “ยัยแก่หวาง ตาเฒ่าเซวียนหยวน ฉันถูกใจเด็กคนนี้ก่อน พวกนายไม่ต้องแย่งกับฉันแล้ว ฉันก็เป็นคนที่อายุมากแล้ว ยังขาดเด็กที่เป็นผู้สืบทอด”

ยัยแก่หยางหัวเราะแล้วพูดว่า “ไอ้หลิว คนที่มาร้านไอ้อ้วนตง มีใครที่ไม่ขาดผู้สืบทอดบ้างล่ะ เด็กคนนี้มีพลังห้าวหาญบนตัว ร่างกายเหมือนเหล็กกล้า พลังการฟื้นฟูน่าตกใจ ฝึกวิชาจิตบู๊ไท่อี่ของฉันได้พอดี”

ไอ้หลิวพูดว่า “ยัยแก่หยาง วิชาจิตบู๊ไท่อี่ของเธอ ทำให้คนฝึกจนตายได้ จิตใจต้องบริสุทธิ์เหมือนน้ำ ใสดั่งกระจก ไม่งั้นจะตายแบบไม่เหลือซาก เธอหาเด็กสาวจิตใจเยือกเย็น มาสืบทอดวิชาของเธอเถอะ ฉันคิดว่าเธอไปประเทศเป่ยเสิน ต้องได้แน่นอน ทำไมต้องมาแย่งกับฉันด้วย”

ยัยแก่หยางพูดว่า “เคล็ดวิชาบู๊สรรพสิ่งไร้รูปร่างของนายฝึกง่ายเหรอ กลายเป็นมังกร เป็นเสือ เป็นตัวเรือด ถ้าฝึกไม่ดีจะกลายเป็นก้อนหิน ไม่สามารถกลับเป็นเหมือนเดิมได้อีก ถ้าไม่ใช่เพราะศิษย์สองสามคนก่อนหน้านี้ของนาย ที่สุดท้ายกลายเป็นฝุ่นดิน นายคงได้ถ่ายทอดวิชาความรู้ไปนานแล้ว”

ตาเฒ่าเซวียนหยวนที่ดูอยู่ข้างๆ ตลอด กลับจ้องไปที่กระบี่หนักไร้คมด้านหลังลู่ฝานตลอดเวลา

ทันใดนั้น ตาเฒ่าเซวียนหยวนพูดเสียงดังว่า “เจ้าหนุ่ม นายก็เป็นคนใช้กระบี่เหมือนกัน บอกฉันหน่อยว่ากระบี่คืออะไร”

ลู่ฝานได้ยินคำถามของตาเฒ่าเซวียนหยวน จึงขมวดคิ้วพูดว่า “กระบี่ก็คือกระบี่ จะเป็นอะไรได้อีกล่ะครับ”

ตาเฒ่าเซวียนหยวนหัวเราะออกมา ชี้หน้าลู่ฝานแล้วพูดว่า “เด็กคนนี้จริงใจจริงๆ ไม่เสแสร้ง ฉันรับไว้เป็นศิษย์!”

ไอ้หลิวกับยัยแก่หยาง หันมามองตาเฒ่าเซวียนหยวนทันที

ไอ้หลิวพูดเสียงดุว่า “ตาเฒ่าเซวียนหยวน วิชากระบี่ที่แทบตายของนาย จะถ่ายทอดหรือไม่ถ่ายทอดก็ไม่เห็นเป็นไร ไม่ถ่ายทอดยิ่งดี จะได้ไม่เป็นภัยกับโลก”

ยัยแก่หยางพูดว่า “วิชากระบี่ที่ทำให้คนฝึกจนเป็นฆาตกรคลั่งได้ทุกเมื่อ ยังมีชื่ออันไพเราะว่ากระบี่บำเพ็ญเพียร น่าอายไหม! จะถ่ายทอดไปทำไม”

ตาเฒ่าเซวียนหยวนไม่โกรธสักนิด เขาพูดอย่างเฉยเมยว่า “บำเพ็ญเพียร บำเพ็ญเพียร ฝึกฝนจนเป็นตัวเราอย่างแท้จริง รักษาไว้ซึ่งความจริง ถ้าฝึกไม่ถึงตัวเราอย่างแท้จริง แน่นอนว่าต้องเป็นคนบ้าคลั่ง ระดับไม่เพียงพอ วิชาไม่ถึง จะโทษใครได้ล่ะ ฉันว่าจิตใจของเด็กคนนี้ใช้ได้ ร่างกายก็แข็งแรงดี เป็นเด็กที่ดี ไม่แน่อาจทำความปรารถนาของฉันให้เป็นจริงก็ได้ พวกนายใครก็ไม่ต้องมาแย่งฉัน ไม่งั้น……”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1075
ผู้อาวุโสยิ้มแล้วพูดว่า “ร่างแห่งสรรพสิ่ง เป็นวิชามหัศจรรย์อย่างหนึ่ง หลังจากฝึกสำเร็จ สามารถเคลื่อนย้ายกระดูก หมุนเส้นลมปราณได้ตามใจชอบ ถ้าฝึกถึงขั้นสมบูรณ์ จะไร้รูปร่าง เป็นอิสระ วิชาของมนุษย์เผ่ามังกร เคล็ดวิชาบู๊ของเผ่าเหนือมนุษย์อะไรนั่น ล้วนฝึกได้ทั้งหมด”

ลู่ฝานได้ยินแล้วจิตใจวูบไหว แต่ไม่ได้พูดตอบ

จู่ๆ ผู้อาวุโสหมุนฝ่ามือ เหล้าหนึ่งหยดลอยออกมาจากกาเหล้า

ผู้อาวุโสแตะนิ้วลงเบาๆ ทันใดนั้น หยดเหล้ากลายเป็นดวงไฟลุกโชนขึ้น เมื่อแตะนิ้วลงไปอีกครั้ง เปลวเพลิงกลายเป็นก้อนน้ำแข็ง ไอเย็นแผ่ซ่านไปทั่ว

เมื่อหมุนฝ่ามือ จู่ๆ ก้อนน้ำแข็งกลายเป็นกระบี่แสงเล่มหนึ่ง มีแสงหยินหยางเคลื่อนไหวอยู่ด้านบน

เมื่อใช้มือข้างหนึ่งจับเอาไว้ กระบี่แสงหายไป กลายเป็นมุกในมือผู้อาวุโส โปร่งใสเป็นอย่างมาก เมื่อมองเข้าไป ด้านในสะท้อนโลกทั้งใบ

มีภูเขาและแม่น้ำ มีฟ้าครามและเมฆขาว อีกทั้งยังมีทุ่งหญ้าด้วย

ลู่ฝานมองตาค้าง ตอนนี้ประสบการณ์ของเขาก็พอใช้ได้ อย่างน้อยก็เห็นความน่ากลัวตอนที่ผู้อาวุโสพลิกฝ่ามือไปมา

เขตวิถี นี่เป็นเรื่องที่เขตวิถีสามารถทำได้เท่านั้น

มีเพียงเขตวิถีที่จะทำให้วัตถุที่เหมือนกัน ละเมิดกฎดั้งเดิมของโลกนี้ได้ และมีเพียงเขตวิถีที่จะทำเรื่องน่าทึ่งขนาดนี้ได้

นั่นหมายความว่าผู้อาวุโสคนด้านหน้า เป็นเซียนบู๊!

สุดท้ายผู้อาวุโสตบลงบนมุก สะบัดมือโยนออกไป หยดน้ำร่วงลงบนโต๊ะของลู่ฝาน

หยดน้ำ ก็เป็นหยดเหล้านั่น พอดิบพอดี แวววาวระยิบระยับ

แต่ทุกอย่างที่มันผ่านมาเมื่อกี้ เพียงพอที่จะทำให้ทุกคนอุทานด้วยความตกใจออกมาได้

ผู้อาวุโสมองลู่ฝานด้วยรอยยิ้ม แล้วพูดว่า “เป็นไง สนใจจะเรียนไหม”

ลู่ฝานอยากพูดออกมาทันทีว่า “อยาก” แต่คำพูดติดอยู่ตรงปาก เขากลับไม่พูดออกมา

ผู้อาวุโสไม่ได้รีบร้อน มองสีหน้าที่เปลี่ยนไปของลู่ฝานอย่างเงียบๆ ส่วนเถ้าแก่อ้วนมองอย่างมีความสุข

แต่ขณะนั้นเอง มีใครคนหนึ่งเดินเข้ามาจากนอกประตู

“หลิวหมาง นายหลอกศิษย์แบบนี้ดีเหรอ ทำตัวไม่น่าเคารพไปหน่อยหรือเปล่า!”

คนที่เดินเข้ามาพร้อมเสียงคือผู้หญิงคนหนึ่ง อายุประมาณ 40-50 ปี เป็นผู้หญิงวัยกลางคนที่ยังดูมีเสน่ห์

ผู้อาวุโสหลิวมองผู้หญิงแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “หยางซี ยัยแก่หยาง ทำไมเธอถึงมาล่ะ นี่ยังไม่ถึงเวลาเธอดื่มเหล้าเลย!”

ผู้หญิงหันไปมองเถ้าแก่อ้วนแวบหนึ่ง จากนั้นพูดด้วยรอยยิ้มว่า “มีคนเรียกฉันมา บอกว่าจะแนะนำศิษย์ดีให้ฉัน”

พูดจบ ผู้หญิงมองไปทางลู่ฝาน ดวงตาที่มีแสงสีเขียวเล็กน้อย มองลู่ฝานอย่างประเมิน

ทันใดนั้น ยัยแก่หยางพูดว่า “ไม่เลว เป็นคนที่มีความสามารถ ไม่เสียแรงที่ฉันมา!”

ยัยแก่หยางพูดพลาง ยื่นมือข้างหนึ่งไปทางลู่ฝาน ลู่ฝานเห็นมือของเธอเข้ามา กลับรู้สึกว่าตัวเองหลบไม่ได้

แต่ทันใดนั้น มือของยัยแก่หยางโดนเหล้าหยดหนึ่งขวางเอาไว้

เหล้าหยดน้ำหยุดอยู่ข้างหน้ายัยแก่หยาง ไม่ขยับไปไหน ยัยแก่หยางไม่กล้าเข้ามาอีก

ยัยแก่หยางหันมาหาไอ้หลิวแล้วพูดว่า “นายหมายความว่ายังไง”

ไอ้หลิวพูดอย่างเรียบเฉยว่า “ฉันยังไม่ได้ถามเธอเลยว่าหมายความว่ายังไง”

“นี่นายจะไม่หลีกทางให้เหรอ”

ยัยแก่หยางพูดด้วยรอยยิ้ม แต่รอยยิ้มดูเย็นยะเยือก

ไอ้หลิวก็ไม่กลัวเธอ พูดอย่างเฉยเมยว่า “ไม่หลีกให้หรอก”

พูดจบ ลู่ฝานรู้สึกว่ามีพลานุภาพน่ากลัวสองพลานุภาพ ปรากฏขึ้นในร้านเหล้าแห่งนี้ทันที

ขณะที่พลานุภาพนี้กำลังจะปกคลุมเขาจนหมด เสียงเถ้าแก่อ้วนดังขึ้นมา

“ทั้งสองคนนั่งลงเถอะ วันนี้ไม่ได้มีแค่พวกนายสองคนที่มาดู”

คำพูดของเถ้าแก่อ้วน ราวกับสายฟ้าผ่าลงบนพลานุภาพของทั้งสองคนจนกระจาย

สีหน้าของยัยแก่หยางกับไอ้หลิวเปลี่ยนไปเล็กน้อย หลังจากนั้นยัยแก่หยางไปนั่งอีกด้านหนึ่ง

เถ้าแก่อ้วนมองลู่ฝานด้วยรอยยิ้ม แล้วพูดว่า “ตอนนี้นายคิดอะไรอยู่”

ลู่ฝานจ้องเถ้าแก่อ้วนแล้วพูดว่า “ฉันกำลังคิดว่าร้านนี้เปิดเพื่อฆ่าหรือปล้นลูกค้าหรือเปล่า!”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1074
หิมะฤดูหนาวค่อยๆ ละลาย อรุณสีชาด ลมโชยเบาๆ

เพียงพริบตาก็ผ่านไปแล้วหนึ่งเดียว

น้ำที่ละลายจากหิมะไหลเข้าไปในดิน มอบความชุ่มชื้นให้แก่ผืนดิน ต้นหญ้าเล็กๆ สีเขียวขจี งอกขึ้นจากดิน ต้อนรับฤดูใบไม้ผลิแห่งการเริ่มต้นปีใหม่

สรรพสิ่งฟื้นคืน ไม่มีความหนาวเหน็บจนเข้ากระดูกของหิมะ บนถนนของเมืองหลวง มีผู้คนขวักไขว่ไปมาอย่างคับคั่งอีกครั้ง

ในซอยเก่าบนถนนลึก

ในร้านเหล้าแห่งหนึ่ง ลู่ฝานดื่มเหล้าดีอย่างเต็มที่

เถ้าแก่อ้วนที่อยู่ข้างๆ พูดด้วยรอยยิ้ม “ไอ้หนุ่ม ดื่มเก่งจริงๆ ผ่านมาหนึ่งเดือน คอแข็งขึ้นนะเนี่ย”

ลู่ฝานเช็ดคราบเหล้ามุมปาก แล้วพูดเสียงดังว่า “เอาเหล้ามาๆ เพราะดื่มฟรี เลยจะไม่ให้คนดื่มเยอะๆ เหรอ”

เถ้าแก่อ้วนลูบพุงตัวเอง แล้วพูดว่า “วิธีการดื่มของนาย ฉันมีของสต๊อกเท่าไร นายก็คงดื่มจนหมด ให้นายดื่มอีกไห ดื่มหมดแล้วก็ไสหัวไปซะ”

เถ้าแก่อ้วนเหวี่ยงไหเหล้ามาหนึ่งไห ลู่ฝานยื่นมือมารับ

สิบสามที่อยู่ข้างๆ ก็จิบเหล้าทีละนิด ดื่มไปพลาง นิ้วมือก็เคลื่อนไหวเหมือนอาการชัก

นี่เป็นวิชาที่เขาเรียนมาใหม่ ชื่อว่าอะไร ลู่ฝานจำไม่ค่อยได้แล้ว แต่เป็นวิชาผู้ฝึกชั่วร้ายของแท้ที่ได้มาจากอู่คงหลิง

สิบสามดื่มยาเปลี่ยนโลหิตเข้าไปแล้ว จึงทำได้แค่ฝึกวิชาของผู้ฝึกชั่วร้าย แต่ยังดีที่เขาเกิดมาจากผู้ฝึกชั่วร้าย การฝึกวิชาของผู้ฝึกชั่วร้าย จึงไม่มีปัญหาอะไรเลย สิ่งเดียวที่ต้องกังวลคือจะระงับกลิ่นเลือดกับออร่าปีศาจบนตัวเขายังไง ดังนั้นช่วงนี้ลู่ฝานจึงใช้เวลามาก ในการกลั่นยากลั้นลมหายใจให้สิบสามสองสามหม้อ ตอนนี้ดูเหมือนประสิทธิภาพใช้ได้เลย

เจ้าดำหมอบกอดชามเหล้าอยู่บนโต๊ะ มันดื่มจนเมาไปเรียบร้อยแล้ว

เถ้าแก่อ้วนมองลู่ฝานด้วยรอยยิ้ม แล้วพูดว่า “ไอ้หนุ่ม ที่พูดแนะนำยอดฝีมือผู้สูงส่งกับนายครั้งก่อน นายคิดได้หรือยัง”

ลู่ฝานพูดว่า “ผู้สูงส่งเหรอ พอได้แล้ว ผู้สูงส่งอยู่ไหนล่ะ”

เถ้าแก่อ้วนชี้หน้าลู่ฝานแล้วพูดว่า “ไอ้หนุ่ม นายดูถูกฉันใช่ไหม นายรอเลย อีกเดี๋ยวผู้สูงส่งก็มาแล้ว นายเตรียมฝากตัวเป็นศิษย์ได้เลย”

ลู่ฝานเงยหน้าดื่มเหล้าเข้าไปอีก จากนั้นหัวเราะเบาๆ สองครั้ง

ขณะนั้นเอง ผู้อาวุโสคนหนึ่งเดินเข้ามา พูดเสียงดังว่า “ไอ้อ้วนตง เอาเหล้ามาหนึ่งกา”

เมื่อเถ้าแก่อ้วนเห็นผู้อาวุโสคนนี้ เขายิ้มแล้วพูดว่า “มาแล้วเหรอไอ้หลิว”

ไอ้หลิวนั่งอยู่อีกด้านหนึ่ง หันมามองลู่ฝาน จู่ๆ ก็มีรอยยิ้มเต็มใบหน้า

“อืม วันนี้มีลูกค้าเหรอ!”

เถ้าแก่อ้วนยิ้มแล้วพูดว่า “ไร้สาระ ร้านฉันมีวันไหนที่ไม่มีลูกค้าบ้างล่ะ”

พูดพลาง เถ้าแก่อ้วนเอากาเหล้าวางลงบนโต๊ะของไอ้หลิว

ไอ้หลิวไม่ได้ยกขึ้นมาดื่ม แต่เอากาเหล้ามาเล่นอยู่บนมือ แล้วพูดว่า “ชายหนุ่มท่านนี้ คือลู่ฝานที่ต่อสู้บนลานประลองช่วงก่อนหน้านี้สินะ”

ลู่ฝานเงยหน้ามองผู้อาวุโสแวบหนึ่ง พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ใช่ ผู้อาวุโสรู้จักฉันเหรอ”

ไอ้หลิวพูดด้วยรอยยิ้ม “เห็นการประลองของนาย ทำให้คนจดจำได้เป็นอย่างดี เคล็ดวิชาบู๊ของนายไม่เลว แค่น่าเสียดายที่เขตวิถีด้อยไปนิด โดยเฉพาะกระบวนท่าสุดท้าย มังกรเทพทำลายล้างสังหาร ต้องอาศัยมุกเทพมังกรทำลายล้าง ถึงจะใช้ออกมาได้ ถ้านายเอาพลังทำลายล้างมาเป็นของตัวเองได้ หรือไม่ก็ฝึกร่างแห่งสรรพสิ่ง ก็ไม่จำเป็นต้องใช้มุกเทพมังกรทำลายล้างแล้ว”

ลู่ฝานตกตะลึง ผู้อาวุโสคนข้างหน้ามีความรู้ไม่ธรรมดาเลย!

ไอ้หลิวหัวเราะเบาๆ ลูบเคราตัวเอง ทำท่าทางเหมือนฉันรู้ทุกอย่าง

จู่ๆ เถ้าแก่อ้วนที่อยู่ข้างๆ หัวเราะออกมา แล้วพูดว่า “ดูสิ ฉันบอกแล้วว่ามีผู้สูงส่ง!”

ลู่ฝานขมวดคิ้ว คารวะผู้อาวุโสแล้วพูดว่า “ขอถามผู้อาวุโส ไม่ทราบว่าร่างแห่งสรรพสิ่งคืออะไรครับ”

ลู่ฝานพูดอย่างประหลาดใจว่า “ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง ก็เป็นเฉิงเซี่ยงได้เหรอ”

อู่คงหลิงพยักหน้าพูดว่า “ใช่ นี่คือจุดเก่งของตระกูลหลู่ หลู่ชิงโหว เฉิงเซี่ยงสามัญชน แม้ไม่มีพลังปราณสักนิด พลังชี่ก็ไม่มี แต่ทั้งประเทศอู่อาน กลับไม่มีใครฆ่าเขาได้ ส่วนสาเหตุนั้น ไม่มีใครรู้ เพราะคนที่ต้องการฆ่าเขา ตายไปหมดแล้ว รวมผู้แข็งแกร่งแดนปราณฟ้าชั้นเก้าสามคนอยู่ในนั้นด้วย”

ลู่ฝานพยักหน้าอย่างเข้าใจ จดจำตระกูลหลู่เอาไว้อย่างดี

อู่คงหลิงพูดต่อ “ส่วนตระกูลฉู่ เป็นตระกูลที่ตกต่ำ แม้เป็นหนึ่งในสิบตระกูลใหญ่ แต่ใกล้จะพินาศแล้ว ลูกหลานในตระกูลน้อยลงเรื่อยๆ จนถึงตอนนี้เป็นเวลาสิบกว่าปีแล้ว ที่ไม่ได้เห็นความยิ่งใหญ่ของลูกหลานตระกูลฉู่ ปัจจุบันไม่รู้ว่าตระกูลฉู่มีบุคคลที่มีฝีมือหรือเปล่า แต่ถึงแม้ว่าจะพบเจอปัญหาทำให้สะดุด แต่สภาพความเป็นอยู่ของเขาก็ยังดีกว่าใครอีกหลายคน แค่ไม่มีใครกล้าท้าประลองเขาเท่านั้น”

เซียวเฮ่าที่อยู่ข้างๆ พูดแทรกขึ้นมาว่า “เรื่องนี้ฉันก็ได้ยินมาเหมือนกัน ว่ากันว่าคฤหาสน์ตระกูลฉู่ ไม่ได้เปิดมาแปดปีแล้ว”

ลู่ฝานถามว่า “อืม นี่ก็แปดตระกูลใหญ่แล้ว แล้วอีกสองตระกูลใหญ่ล่ะ”

อู่คงหลิงพูดว่า “อีกสองตระกูลใหญ่ที่เหลือ ไม่จำเป็นต้องสนใจอะไรแล้ว ตระกูลแรกคือตระกูลโอวหยาง หลังจากมีปีศาจชั่วร้ายอย่างโอวหยางยุ่นออกมา ก็ปิดล็อกประตูไม่ให้คนเข้าออกเลย แม้กำลังของตระกูลยังคงแข็งแกร่ง แต่ได้ประกาศออกมาแล้วว่าจะไม่ติดต่อกับโลกภายนอกพันปี จะไม่ออกมาจากภูเขาอีก ผ่านไปได้เลย ส่วนอีกตระกูลหนึ่ง คือตระกูลฉิน ตระกูลนี้ฉันคงไม่ต้องพูดอะไรมาก”

เมื่อได้ยินคำว่าฉิน สีหน้าทุกคนเคร่งขรึมทันที แน่นอนว่าไม่ต้องพูดอะไรมาก ตระกูลฉินก็คือราชวงศ์ไม่ใช่หรือไง

รู้สึกว่าตระกูลที่แข็งแกร่งที่สุดในสิบตระกูลใหญ่ ก็คือตระกูลราชวงศ์

ลู่ฝานกลอกตาไปมาแล้วพูดว่า “สิบตระกูลใหญ่เป็นอย่างนี้นี่เอง”

อู่คงหลิงส่งเสียงตอบรับ แล้วพูดว่า “ใช่ ลู่ฝาน ถ้านายอยากได้อันดับดีๆ ในการคัดเลือก อันที่จริงคนที่ต้องระวังมีแค่เจ็ดคนคือ หานหยวนหนิงแห่งตระกูลหาน เทียนชิงหยางแห่งตระกูลเทียน สุ่ยสือฉวนแห่งตระกูลสุ่ย ถานไถเก๋อแห่งตระกูลถานไถ หลิ่วเจินแห่งตระกูลหลิ่ว สือเฉินแห่งตระกูลสือ และหลู่ยินแห่งตระกูลหลู่ เจ็ดคนนี้ล้วนอยู่ในรายชื่อประเทศ นายไปดูเคล็ดวิชาบู๊ของพวกเขาอย่างละเอียดได้ แต่ในบันทึกของรายชื่อประเทศ เป็นของเมื่อสองสามปีที่แล้ว ดังนั้นนายแค่ดูไว้ ไม่ต้องเชื่อทั้งหมด”

พูดพลาง อู่คงหลิงเอาหนังสือออกมาเล่มหนึ่ง จากนั้นยื่นให้ลู่ฝาน

ลู่ฝานรับมาอย่างจริงจัง พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ของขวัญชิ้นนี้ของอู่คงหลิง ดีกว่าของขวัญทั้งหมดที่ฉันได้รับในวันนี้!”

อู่คงหลิงพูดว่า “งั้นเหรอ นายเป็นคนพูดเก่งตั้งแต่เมื่อไร แต่ให้ของขวัญในเทศกาลเซ่นไหว้ประจำปี เป็นเรื่องปกติไม่ใช่เหรอ นายมีของขวัญอะไรให้ฉันไหม”

ลู่ฝานชะงักไป เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีประเพณีแบบนี้ด้วย

แต่ในเมื่ออู่คงหลิงพูดแล้ว เขาจะงกไม่ได้ เขาชี้ไปที่ของขวัญมากมายนอกประตู แล้วพูดว่า “เลือกได้ตามสบาย”

อู่คงหลิงหัวเราะอย่างมีความสุข ค่อยๆ ถอดผ้าปิดหน้าของตัวเองออก

แม้ไม่ได้เห็นใบหน้าแสนสมบูรณ์แบบของอู่คงหลิงเป็นครั้งแรก แต่หัวใจไม่เอาไหนของลู่ฝานก็ยังเต้นอย่างแรงอยู่หลายครั้ง

จู่ๆ เซียวเฮ่ากับอูลี่คุนหัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน หยิบกล่องใบหนึ่งมาจากด้านข้าง แล้วพูดว่า “พี่ลู่ฝาน นี่เป็นของขวัญที่เราให้พี่”

ลู่ฝานชะงักไปอีกครั้ง ดูเหมือนมีประเพณีนี้จริงด้วย อู่คงหลิงไม่ได้โกหกเขา!

เมื่อเปิดกล่อง สิ่งที่ปรากฏในสายตาคือหนังสืออธิบายยาของนักบู๊อย่างละเอียด

เซียวเฮ่ายิ้มแล้วพูดว่า “พี่ลู่ฝาน ไม่ง่ายเลยกว่าเราจะหาหนังสือเล่มนี้มาให้พี่ได้ ด้านในอธิบายเกี่ยวกับยาหลายสิบชนิด ที่ไม่ต้องใช้พลังชี่ ใช้แค่ฝีมือและสมุนไพรประกอบกัน ทำให้นักบู๊สามารถปรุงยาออกมาเองได้ หนังสือเล่มนี้หายากมาก ถือว่าเป็นน้ำใจจากเรานะครับ”

ลู่ฝานไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ถ้าเขาเป็นแค่นักบู๊ ได้หนังสือเล่มนี้คงดีใจอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง แต่เขาเป็นผู้ฝึกชี่ด้วย! จะกลั่นยาก็กลั่นได้เลย ยังต้องสนใจพลังชี่อะไรนั่นด้วยเหรอ

แต่ลู่ฝานมองเซียวเฮ่ากับอูลี่คุนด้วยรอยยิ้ม แล้วพูดว่า “นี่เป็นของขวัญชิ้นแรกที่ฉันได้ เอางี้แล้วกัน ฉันก็ให้ของขวัญพวกนายเหมือนกัน”

เมื่อพูดเช่นนี้ ลู่ฝานเอาหนังสือออกมาเล่มหนึ่ง จากนั้นยื่นให้เซียวเฮ่า

“วิชาหนึ่งเดียวแดนไกลโพ้น!”

เซียวเฮ่าพูดอย่างสงสัย

เมื่อได้ยินชื่อหนังสือ อู่คงหลิงกลับสั่นไปทั้งตัว

ลู่ฝานพูดด้วยรอยยิ้ม “หนังสือเล่มนี้เป็นวิชาของผู้ฝึกชี่ ให้พวกนายแล้วกัน ทำความเข้าใจให้เต็มที่ ไม่แน่ต่อไปพวกนายอาจเป็นยอดฝีมือที่แท้จริงก็ได้”

เซียวเฮ่าส่งเสียงตอบรับ จากความรู้ของเขา เขายังดูไม่ออกว่านี่คือวิชาระดับฟ้า

อู่คงหลิงพูดกับลู่ฝานเสียงเบาว่า “นายให้หนังสือวิชาระดับฟ้ากับพวกเขาง่ายๆ แบบนี้เลยเหรอ”

ลู่ฝานส่งกระแสจิตตอบกลับไปว่า “ยังไงฉันก็ท่องจำได้แล้ว ไม่เป็นไรหรอก! ใช่สิ เธอมีวิชาผู้ฝึกชั่วร้ายอะไรไหม ให้ฉันสักชุดสองชุดสิ ฉันจะเอาของมาแลกกับเธอ”

อู่คงหลิงยิ้มแล้วพูดว่า “ได้สิ งั้นฉันต้องการของหนึ่งอย่าง”

ลู่ฝานพูดว่า “พูดมาสิ พูดมาได้เลย เธอต้องการอะไร”

จู่ๆ อู่คงหลิงดึงลู่ฝานขึ้นมา แล้วพูดว่า “ไปกัน ขึ้นไปข้างบน”

ลู่ฝานพูดอย่างประหลาดใจว่า “เธอจะทำอะไรกันแน่”

อู่คงหลิงเลิกคิ้วขึ้นพูดว่า “นายขึ้นไปก็รู้เอง”

เมื่อพูดจบ อู่คงหลิงลากลู่ฝานเดินขึ้นไปด้านบน ท่ามกลางเสียงหัวเราะเบาๆ ของเซียวเฮ่ากับอูลี่คุน

คืนนี้คงเป็นคืนที่แสงเทียนอุ่น เกิดภาพทับซ้อนสั่นไหวบนเตียงม่านบางสีแดง

เป็นคืนที่ช่างงดงามจริงๆ!

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1072
ยามราตรี ทุกบ้านสว่างไสว

คืนนี้เป็นคืนแห่งเทศกาลเซ่นไหว้ประจำปี และเป็นช่วงเวลาเริ่มต้นปีใหม่

การดื่มกิน กินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตาทั้งครอบครัว เป็นประเพณีที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้

ในเมืองหลวง ทุกคนล้วนกลับบ้านฉลองเทศกาล มีคำอวยพรเป็นครั้งคราว ดังออกมาจากถนนตรอกซอกซอย ลอยวนอยู่บนท้องฟ้าในเมืองหลวง

ในเจดีย์ยา

ลู่ฝาน สิบสาม เซียวเฮ่า และอูลี่คุน ทั้งสี่คนตั้งโต๊ะหม้อไฟ

เนื้อแกะต้มสมุนไพรต้นตำรับ เสริมพลังชี่บำรุงร่างกายอีกทั้งยังอร่อยด้วย เป็นฝีมือของเซียวเฮ่า จากที่เขาพูด เขาเลือกเนื้อแต่ละชิ้นด้วยความตั้งใจ กลิ่นหอมเป็นอย่างมาก

ด้านนอกมีของขวัญต่างๆ กองเต็มพื้นไปหมด

มีเด็กรับใช้ตะโกนเสียงดังเป็นระยะ

“คุณชายลู่ คุณท่านหลู่ส่งของขวัญล้ำค่ามาให้ เชิญคุณชายลู่ไปชมจันทร์วันพรุ่งนี้ครับ”

“คุณชายลู่ ท่านซือถูส่งของขวัญมาให้ อีกสามวันเชิญคุณชายลู่ไปล่องเรือและพูดคุยกันเรื่องสุรา” ……

เสียงตะโกนต่างๆ มาพร้อมกับเสียงของขวัญวางลงบนพื้น

ลู่ฝานขี้เกียจไปนับ ของขวัญเยอะเกินไป ตอนนี้ไปเก็บของทั้งหมดขึ้นมา เป็นเรื่องที่วุ่นวาย เลยตัดสินใจวางไว้ตรงนั้นก่อน

เซียวเฮ่าพูดด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “พี่ลู่ฝาน ตอนนี้ชื่อเสียงของพี่ดังกระฉ่อนแล้ว ตอนนี้บรรดาผู้สูงศักดิ์ที่มีอำนาจในเมืองหลวง ล้วนอยากทำความรู้จักกับพี่”

อูลี่คุนใส่เนื้อเป็นกองลงไปในหม้อ แล้วพูดว่า “พี่ลู่ฝานคงไม่คิดพึ่งพาอาศัยอำนาจใหญ่หรอก คนพวกนี้ก็เหมือนกัน ส่งของขวัญอย่างโจ่งแจ้งแบบนี้ ไม่กลัวไท่จื่อจัดการพวกเขาเหรอ”

เซียวเฮ่าหัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “เธอคงไม่รู้สินะ เธอมองของขวัญกองใหญ่ที่หน้าประตูนั่นสิ นั่นเป็นของที่ไท่จื่อส่งมา องค์ชายรองก็ส่งของขวัญมาด้วย แม้ไม่ได้ทิ้งชื่อไว้ แต่อักษรยันต์เครื่องบรรณาการของราชวงศ์ด้านบน ก็ไม่สามารถหลอกลวงได้”

อูลี่คุนพูดอย่างตกใจว่า “จริงเหรอ เตี้ยนเซี่ยทั้งสองพระองค์ส่งของขวัญมาแล้วเหรอ ไม่ใช่สิ พี่ลู่ฝานล่วงเกินพวกเขาไม่ใช่เหรอ”

ลู่ฝานพูดอย่างเรียบเฉยว่า “ล่วงเกิน แต่พวกเขาไม่สามารถทำอะไรฉันได้ชั่วคราว จึงตัดสินใจส่งของขวัญเล็กน้อยมาให้ฉัน เพื่อบอกว่าเรื่องนี้ผ่านไปแล้ว ไม่พูดอีก”

เซียวเฮ่ายิ้มแล้วพูดว่า “พี่ลู่ฝาน รอปีหน้าหิมะละลายหมด ตอนฤดูใบไม้ผลิ พี่ต้องโดดเด่นในการคัดเลือกแน่นอน”

ลู่ฝานพูดว่า “หวังว่าจะเป็นอย่างที่นายพูด ฉันก็หวังว่าจะได้อันดับดีๆ เหมือนกัน”

อูลี่คุนส่ายหัวไปมาอย่างมีความสุข แล้วพูดว่า “พี่ลู่ฝาน ฉันว่าคนที่เป็นภัยกับพี่ในการคัดเลือก ก็คือพวกลูกหลานหัวกะทิของสิบตระกูลใหญ่”

ลู่ฝานหัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “สิบตระกูลใหญ่ ได้ยินมานานแล้ว พวกนายรู้จักสิบตระกูลใหญ่ดีไหม เล่าให้ฉันฟังหน่อยได้ไหม”

อูลี่คุนกับเซียวเฮ่ามองหน้ากัน ทั้งสองคนส่ายหน้าไม่หยุด

ลู่ฝานถอนหายใจ ขณะนั้นเสียงหนึ่งดังขึ้นนอกประตู

“ฉันรู้ นายจะฟังไหม”

เสียงที่แสนคุ้นเคย เมื่อหันไปมอง เห็นผู้หญิงคนนั้นเดินช้าๆ เข้ามา

“อู่คงหลิง!”

อู่คงหลิงเดินช้าๆ มาถึงข้างตัวลู่ฝาน จากนั้นดึงเก้าอี้มานั่ง

เธอไม่ได้มาเป็นครั้งแรก เซียวเฮ่ารีบพูดว่า “คุณอู่ เธอก็มาด้วยเหรอ ไม่กลับไปกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตาที่บ้านเหรอ”

อู่คงหลิงยิ้มแล้วพูดว่า “พวกนายก็ไม่กลับเหมือนกันไม่ใช่เหรอ”

เซียวเฮ่าพูดว่า “บ้านเราอยู่ไกลมาก ถ้ากลับคงพ้นเทศกาลเซ่นไหว้ประจำปีไปแล้ว ดังนั้นเลยกลับไม่ได้ เฮ้อ ปีนี้ทำให้แม่เป็นห่วงอีกแล้ว”

อู่คงหลิงพูดเสียงเบาว่า “ฉันยังดีกว่าพวกนายหน่อย เพราะไม่มีใครห่วงฉัน”

เซียวเฮ่าขมวดคิ้วพูดว่า “ทำไมล่ะ”

ยังพูดไม่ทันจบ อูลี่คุนที่อยู่ข้างๆ รีบเอาเนื้อยัดใส่ปากเซียวเฮ่า

ตอนนี้เซียวเฮ่าเพิ่งรู้ว่าอูลี่คุนทำเช่นนี้หมายถึงอะไร เขารีบก้มหน้าไม่พูดอะไร

ลู่ฝานเอากาเหล้ายื่นให้อู่คงหลิง แล้วพูดว่า “ดื่มเหล้าสิ อย่าพูดเรื่องที่ทำให้ไม่สบายใจเลย”

อู่คงหลิงพูดว่า “ลู่ฝาน นายอยากรู้เรื่องของสิบตระกูลใหญ่ไม่ใช่เหรอ ฉันเล่าให้นายฟังไหม”

ลู่ฝานพูดว่า “ได้สิ เล่าให้ฉันฟังสิ ไม่แน่ตอนคัดเลือกในช่วงฤดูใบไม้ผลิปีหน้า ฉันอาจเจอคนของสิบตระกูลใหญ่ก็ได้”

อู่คงหลิงค่อยๆ เอากาเหล้าวางไว้อีกด้าน แล้วพูดว่า “งั้นต่อเริ่มพูดจากสิบตระกูลใหญ่คือสิบตระกูลไหนบ้าง ลู่ฝานตอนนี้นายรู้จักตระกูลไหนในสิบตระกูลใหญ่บ้าง”

ลู่ฝานครุ่นคิดแล้วพูดว่า “ตระกูลหาน ตระกูลเทียน อ้อ ตระกูลสุ่ยด้วย”

อู่คงหลิงยิ้มแล้วพูดว่า “คิดไม่ถึงว่านายจะรู้จักคนของตระกูลสุ่ยด้วย อืม สามตระกูลนี้ถือว่าเป็นสามตระกูลที่แข็งแกร่งสุดในสิบตระกูลใหญ่ ส่วนตระกูลที่เหลืออำนาจค่อนข้างน้อย ยังมีตระกูลถานไถ ตระกูลสือ ตระกูลหลิ่ว สามตระกูลนี้ก็เป็นตระกูลนักบู๊ ลูกหลานในตระกูลนับไม่ถ้วน มีทั่วประเทศอู่อาน เทียบกับตระกูลหาน ตระกูลเทียน ตระกูลสุ่ย ก็ห่างกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น”

ลู่ฝานพูดว่า “แล้วยังไงต่อ”

อู่คงหลิงพูดต่อ “ต่อไปก็คือตระกูลหลู่กับตระกูลฉู่ สองตระกูลนี้อ่อนน้อมถ่อมตนมาก ตระกูลหลู่ มีชื่อเสียงในด้านการศึกษาเรื่องจิปาถะ ลูกหลานตระกูลหลู่ มีทั้งนักบู๊และผู้ฝึกชี่ มีแม้กระทั่งคนไม่มีความรู้ความสามารถ ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง อย่างเช่น หลู่ชิงโหว เฉิงเซี่ยงคนปัจจุบัน”

บนท้องฟ้า มือของไท่จื่อกำลังสั่นอยู่

“จางกวังตายแล้ว!”

ไท่จื่อฉินอวิ่นพูดพึมพำ

คนที่เหลือไม่กี่คนที่นั่งอยู่ข้างหลังเขา ไม่มีใครกล้าพูดสักคน

จู่ๆ เหรินเจียงรู้สึกโชคดีที่ตอนนั้นลู่ฝานชกเขาแค่หมัดเดียว อีกทั้งไม่ได้ใช้แรงทั้งหมดด้วย

ถ้าตอนนั้นลู่ฝานใช้กำลังการต่อสู้เหมือนวันนี้ โดนชกหมัดเดียว เขาคงตายไปนานแล้ว

“คิดไม่ถึงว่าจางกวังจะตายแล้ว!”

เสียงของไท่จื่อฉินอวิ่นดังขึ้นเล็กน้อย มือที่กำหมัดอยู่ เล็บจิกเข้าไปในเนื้อแล้ว

เหรินเจียงพูดอย่างระแวดระวังว่า “ไท่จื่อ เสียใจด้วยนะครับ การต่อสู้เป็นตายของนักบู๊ ไม่พูดถึงเรื่องความเป็นความตาย เราจนปัญญาแล้ว”

“ฉันจนปัญญาแล้ว ตอนนี้ฉันจะทำอะไรลู่ฝานได้อีก ส่งนักบู๊แดนปราณดินไปฆ่าเขาอีกเหรอ ฉันเป็นไท่จื่อที่ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่หัวหน้านักฆ่า ลู่ฝาน! ลู่ฝาน! ลู่ฝาน!”

ไท่จื่อฉินอวิ่นตะโกนชื่อลู่ฝานติดกันสามครั้ง เขาโกรธจนเลือดไหลออกมาตรงมุมปาก

ฉินฝานที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเห็นภาพนี้ เขาค่อยๆ นั่งลงอีกครั้ง

เขามองฉินอวิ่นที่โมโหแต่ทำอะไรไม่ได้อย่างเงียบๆ รอยยิ้มปรากฏตรงมุมปาก

เมื่อกวักมือ องครักษ์เกราะทองคนหนึ่งเดินมาข้างเขา

ฉินฝานพูดเบาๆ ว่า “เตรียมของขวัญราคาสูงไปที่เจดีย์ยา เพื่อขอโทษลู่ฝาน ไม่ต้องไปในนามของฉัน แค่เอาของขวัญไปให้ก็พอ เขาจะรู้เองว่าใครเป็นคนส่งให้เขา”

องครักษ์เกราะทองพยักหน้าแล้วเดินออกไป ส่วนฉินฝานถอนหายใจยาวออกมา

“น่าเสียดาย น่าเสียดาย”

ฉินฝานถอนหายใจเบาๆ เดิมทีคนอย่างลู่ฝาน ควรเป็นคนของเขา ต่อไปอาจได้เป็นผู้ช่วย แต่กลับโดนเขาใช้ยาเปลี่ยนโลหิตเพียงหนึ่งหม้อ บังคับให้ออกไปดื้อๆ นี่เรียกว่ามีบุญพบแต่ไร้วาสนาต่อกัน นี่เรียกว่ามองผิดพลาด

แม้ทำสำเร็จตามเป้าหมายแล้ว เขาเห็นภาพที่ฉินอวิ่นโมโหจนกระอักเลือดแล้ว

แต่ในใจเขายังรู้สึกเสียดายเล็กน้อย ยังดีที่หลังจากเขาไล่ลู่ฝานไปวันนั้น ไม่ได้ส่งคนไปตามฆ่าลู่ฝาน เรื่องจึงไม่ถึงขั้นร้ายแรงจนไม่สามารถประนีประนอมกันได้

งั้นต่อไปคงต้องใช้วิธีนุ่มนวลกับลู่ฝานแล้วล่ะ นี่คือคนที่ชอบให้ใช้ไม้อ่อนตามแบบฉบับ!

ฉินฝานลุกขึ้นแล้วออกไป เขาจะกลับไปคิดว่าจะทำยังไงให้ลู่ฝานกลับมาเป็นลูกน้องของเขาอีกครั้ง

ฉินอวิ่นก็ออกไปอย่างเงียบๆ ตอนนี้ในใจฉินอวิ่นเต็มไปด้วยความโมโหและแค้นเคือง แต่เขาก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อ เขายังมียอดฝีมือที่เก่งกาจอยู่ก็จริง แต่นั่นเป็นคนที่พ่อส่งให้เขา เพื่อรักษาความสงบของจวนไท่จื่อ แม้เขาอยากเรียกใช้ จำเป็นต้องมีคำสั่งของพ่อ

มีเพียงเซียนบำเพ็ญชี่สามคน ที่เขาสามารถเรียกใช้ได้ตามใจชอบ แต่จนถึงตอนนี้สามคนนั้นก็ยังไม่กลับมา ไม่รู้ว่าทำอะไรอยู่ ดูเหมือนกลับไปต้องตรวจดูป้ายชีวิตหน่อยแล้ว

ทั้งสองคนออกไป ที่เหลืออยู่ล้วนเป็นกลุ่มคนเมืองหลวง

คนพวกนี้อยู่ตั้งนานไม่ยอมออกไป บางคนเริ่มแย่งเศษหินบนพื้น จากที่พวกเขาพูดกัน นี่เป็นหินที่เปื้อนพลังของสองยอดฝีมืออย่างจางกวังและลู่ฝาน

ไม่แน่ต่อไปถ้าลู่ฝานชื่อเสียงโด่งดังในใต้หล้า หินพวกนี้อาจมีราคาก็ได้

คำพูดนี้ คนส่วนใหญ่หัวเราะออกมา ไม่ได้สนใจ แต่คนบางส่วนก็เก็บเศษหินกลับไปสองสามก้อน

ในกลุ่มคน คนอ้วนคนหนึ่งดื่มเหล้าพลางพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ผู้ห้าวหาญ พรสวรรค์ไร้เทียมทาน จิตใจสูงส่ง ไม่สะทกสะท้าน ถ้าได้อาจารย์สักคน ต้องกวาดล้างไปทั่วใต้หล้าแน่นอน”

พูดจบ คนอ้วนมองผู้อาวุโสข้างๆ แล้วพูดว่า “ไอ้หลิว สนใจรับศิษย์ไหมล่ะ”

ผู้อาวุโสขมวดคิ้วพูดว่า “ไอ้อ้วนตง นายคิดว่าฉันดูไม่ออกเหรอว่าเขาใช้เคล็ดวิชาบู๊อะไร นายแน่ใจเหรอว่าจะไม่แย่งกับฉันหรือ”

คนอ้วนพูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่แย่ง แย่งทำไมหรือ วันหลังค่อยแย่งก็ได้ เหอะๆ!”

ผู้อาวุโสส่ายหน้าพูดด้วยรอยยิ้ม “นายนี่จริงๆ เลย แต่ฉันก็มีความคิดขึ้นมานิดหน่อยแล้วล่ะ!”

เสียงเหมือนโลหะกระทบกันดังขึ้นชัดเจน เสียงไม่ดัง ทว่าทุกคนในที่นี้ได้ยินอย่างชัดเจน

ไม่มีเหตุผลอื่นใด แค่ตอนนี้เงียบจนน่ากลัว เหมือนทุกคนกลั้นหายใจมองภาพนี้

สีหน้าลู่ฝานเรียบเฉย เก็บกระบี่หนักไร้คมไว้ข้างหลัง จากนั้นเงยหน้ามองบนท้องฟ้า

ที่ตรงนั้น ตอนนี้ไท่จื่ออ้าปากค้าง ความตะลึงบนใบหน้า ราวกับมีคนยัดแอปเปิลเข้าไปในปากเขาสองสามลูก จนไม่สามารถปิดปากได้

ส่วนสีหน้าขององค์ชายรองฉินฝานยังดีหน่อย แต่ก็ไม่ได้ดีเท่าไร แค่อ้าปากกว้างน้อยกว่าเท่านั้น

ลู่ฝานละสายตาออกมา เดินช้าๆ ลงมาจากลานประลอง

ลานประลองที่โดนการต่อสู้ทำลายจนไม่เหลือชิ้นดี ตอนนี้เหลือความสูงแค่หลายร้อยฟุต ลู่ฝานเดินลงมาอย่างรวดเร็ว

ทุกคนมองเงาของลู่ฝานอย่างเหม่อลอย ในเวลาเดียวกันก็หลีกทางให้ลู่ฝานเดิน

ลู่ฝานเดินช้าๆ ไปทางรถม้าของตัวเอง

สิบสามรออยู่ตรงนั้นนานแล้ว และมีเพียงสีหน้าของสิบสามที่ยังปกติ เมื่อเห็นลู่ฝานกลับมา จึงพูดเสียงเบาว่า “เจ้านาย ยินดีด้วยครับ!”

ลู่ฝานรับเจ้าดำมาจากมือสิบสาม แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ไปกันเถอะ เสร็จเรื่องแล้ว กลับไปฉลองเทศกาลเซ่นไหว้ประจำปีอย่างเต็มที่กันเถอะ นายอยากกินอะไร ฉันเลี้ยงนายเอง”

สิบสามส่ายหน้าเบาๆ บังคับรถม้าเคลื่อนตัวออกไปช้าๆ

จนเงาของทั้งสองคนหายลับไป ทุกคนที่อยู่ในงานเพิ่งตั้งสติได้ หลังจากนั้นก็เกิดความโกลาหลขึ้น

“ลู่ฝานชนะแล้ว พระเจ้า ลู่ฝานนักกระบี่แห่งตงหวาชนะจางกวัง!”

“จางกวังแพ้แล้ว อีกทั้งยังโดนฆ่าตายด้วย แปดผู้โดดเด่นพ่ายแพ้ยับเยิน”

“ลู่ฝานแข็งแกร่งมาก ทำไมเขาถึงแข็งแกร่งขนาดนี้”

“กระบวนท่าสุดท้ายที่เขาใช้ ก็คือพลังทำลายล้างเหมือนกันเหรอ เขาไม่ใช่มนุษย์เผ่ามังกร ทำไมถึงมีเงามังกรเทพทำลายล้างปรากฏขึ้นมาได้!” ……

เสียงตะโกนต่างๆ เสียงพูดคุยมากมาย ทุกคนตื่นเต้นเป็นอย่างมาก พูดคุยเกี่ยวกับภาพเมื่อครู่กันอย่างเสียงดัง

จนกระทั่งตอนนี้ พวกเขายังไม่อยากเชื่อว่าลู่ฝานเอาชนะจางกวังได้

ขนาดฉินซางต้าตี้ยังเงียบอยู่นาน จากนั้นพูดว่า “กลับกันเถอะ สิ่งที่ควรดูก็ดูจบแล้ว”

หลู่เฉิงเซี่ยงกำลังจะพูดอะไร ฉินซางต้าตี้ยกมือขึ้นมาห้ามเขาไว้ทันที

“ไม่ต้องพูด ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น”

หลู่เฉิงเซี่ยงพยักหน้าพูดอย่างเข้าใจ “ครับ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเตี้ยนเซี่ยตัดสินใจ”

ฉินซางต้าตี้กับหลู่เฉิงเซี่ยง เดินออกมาจากกลุ่มคนช้าๆ

ทว่าหลังจากที่พวกเขาเดินออกไป ผู้ชายที่ยืนข้างฉินซางต้าตี้มาตลอดพูดว่า “เอ๊ะ เมื่อกี้ข้างฉันมีคนหรือเปล่า ทำไมฉันจำอะไรไม่ได้เลย นี่ เจ้าจาง เมื่อกี้ข้างฉันมีคนหรือเปล่า”

“มีกะผีน่ะสิ ฉันอยู่ข้างๆ นายตลอด มีคนที่ไหนกันล่ะ!” ……

ทางด้านนี้ เทียนชิงหยางเงียบอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นพูดว่า “ดูเหมือนเราต้องกลับไปสืบให้แน่ชัดแล้วว่าลู่ฝานคือใคร”

สุ่ยสือฉวนพูดว่า “ใช่ เขาเป็นภัยคุกคามแล้ว”

ถานไถเก๋อพูดว่า “งั้นพวกนายค่อยๆ สืบ ฉันยังต้องไปดูหนุ่มหล่อ”

ทั้งสามคนมองหน้ากัน แล้วหัวเราะออกมา จากนั้นหันหลังเดินออกไป

หลิ่วเจินมองหานหยวนหนิงแล้วพูดว่า “ได้ยินว่าลู่ฝานสนิทกับตระกูลหานของพวกนายเหรอ”

หานหยวนหนิงพูดว่า “เคยเจอกันไม่กี่ครั้ง แต่เขาโดนตระกูลหานของฉันไล่ออกไปแล้ว”

สือเฉินพูดว่า “น่าเสียดาย นี่ถ้าย้อนไป ผู้อาวุโสตระกูลหานของพวกนายคงไม่เสียใจนะ”

หานหยวนหนิงกัดฟัน ไม่ได้ตอบ หานสงที่ยืนอยู่ด้านหลังไม่ห่างจากหานหยวนหนิงเท่าไร กลับกำหมัดแล้วพูดเบาๆ ว่า “ทำได้ดี ทำได้งดงาม ฮ่าๆ ลู่ฝาน ทุกครั้งฉันคิดว่านายเอาพละกำลังออกมาแล้ว ที่แท้ก็โกหกทั้งนั้น นี่สิคือพลังแท้จริงของนาย ให้ตายเถอะ หานเฟิงที่เป็นศิษย์พี่ของนาย จะไม่เก่งกว่านี้เหรอ ดูเหมือนฉันต้องปลีกวิเวกจริงๆ แล้วล่ะ”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1069
พลังที่น่ากลัว ทำให้ท้องฟ้าถูกย้อมเป็นสีทองทั้งแถบ

พลานุภาพของกระบวนท่านี้ เรียกได้ว่าสัมผัสกับแดนปราณฟ้าแล้ว

กระบี่ฟันลงมาที่หัวไหล่ลู่ฝาน

แต่ทว่าลู่ฝานกลับยิ้มบางๆ มือซ้ายล้วงเอามุกออกมาเม็ดหนึ่ง

มุกเทพมังกรทำลายล้างปรากฏออกมาแล้ว!

วินาทีต่อมาจางกวังชะงักฝีเท้าลงทันที จู่ๆ พลังบนตัวโดนมุกมังกรดูดไปจนหมด

จางกวังยังไม่ทันตั้งตัวว่าเกิดอะไรขึ้น ลู่ฝานขยับไหล่ กระแทกเขากลับไป

พลั่ก!

จางกวังโดนชนจนปลิวไปด้านหลังหลายเมตร เขาพยายามบิดตัวกลางอากาศ เพื่อหยุดการเคลื่อนที่!

พลังทำลายล้างบนตัวหายไปทันที เงาด้านหลังก็หายไปด้วย สถานการณ์เช่นนี้ ทำให้จางกวังตกใจจนพูดไม่ออก

“เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น”

กลุ่มคนที่อยู่ด้านล่างลานประลอง อุทานออกมาด้วยความตกใจ

วินาทีนั้น ไม่มีใครเห็นชัดเจนว่าลู่ฝานเอาอะไรออกมา

แต่ต่อมา แสงสีทองก็สว่างขึ้นบนตัวลู่ฝานเช่นกัน มังกรเทพทำลายล้างปรากฏขึ้นด้านหลัง

ไม่ใช่แค่เงา วิญญาณมังกรออกจากตันเถียนของลู่ฝาน เลื้อยอยู่รอบตัวลู่ฝาน

พลังทำลายล้างที่แข็งแกร่งกว่าเมื่อครู่ แผ่กระจายออกไปอย่างไม่สิ้นสุด!

เทียนชิงหยางและคนอื่นตกใจจนคางแทบจะหลุดลงมา ขนาดฉินซางต้าตี้ก็เกือบจะดึงเคราตัวเองจนหลุดออกมา

ยกกระบี่ขึ้นมา กระบี่หนักไร้คมในมือลู่ฝาน ชี้ไปที่หน้าของจางกวัง

จางกวังเห็นภาพนี้ เขาตะโกนแทบขาดใจออกมาว่า “เป็นไปไม่ได้ ทำไมนายถึงใช้พลังทำลายล้างได้”

ลู่ฝานขี้เกียจอธิบายให้เขาฟัง วิญญาณเทพมังกรทำลายล้าง เลื้อยพันไปบนกระบี่หนักไร้คมโดยอัตโนมัติ

พายุไซโคลนเก้าลูก ปรากฏขึ้นบนตัวลู่ฝาน ปราณชี่ปล่อยออกมาจากพายุไซโคลนทั้งเก้าลูกอย่างรวดเร็ว พลังที่ลู่ฝานก่อตัวขึ้นในเวลาเพียงชั่วพริบตา เหนือกว่านักบู๊แดนปราณดินทั่วไปไม่รู้กี่เท่า กระบี่หนักไร้คมส่งเสียงมังกรคำรามออกมาเป็นระยะ

ตอนนี้สมาธิของทุกคนจดจ่ออยู่ที่กระบี่ของลู่ฝาน

แต่ก็มีไม่กี่คนที่จ้องพายุไซโคลนเก้าลูกบนตัวลู่ฝาน หนึ่งในนั้นคือฉินซางต้าตี้ เขารู้ว่าพายุไซโคลนเก้าลูกนี้คืออะไร เขาพูดพึมพำว่า “พลังความเป็นความตายวนเวียน นายเป็นศิษย์ของท่านเทพอักษรงั้นเหรอ”

ส่วนอีกคนคือองค์ชายรองฉินฝาน เมื่อเห็นไซโคลนทั้งเก้าลูก ฉินฝานลุกขึ้นยืนทันที

ท่าทางเหม่อลอยเหมือนเห็นสาวงามไร้เทียมทาน ไม่สิ เป็นสิ่งที่มีความน่าดึงดูดยิ่งกว่าสาวงามไร้เทียมทานเสียอีก

“พลังความเป็นความตายวนเวียน วิชาระดับฟ้า!”

ฉินฝานใช้เสียงที่ตัวเองได้ยินคนเดียว พูดพึมพำออกมา

ตอนนี้เขาลืมทุกสิ่งไปแล้ว ในแววตามีเพียงไซโคลนเก้าลูกบนตัวลู่ฝาน

อู่คงหลิงเห็นภาพนี้ รอยยิ้มปรากฏขึ้นภายใต้ผ้าปิดหน้า

“พลังทำลายล้างเจอกับมุกเทพมังกรทำลายล้าง ลู่ฝานนะลู่ฝาน ฉันไม่รู้จะพูดว่านายโชคดี หรือนายแข็งแกร่ง หรืออาจจะทั้งสองอย่าง”

บนลานประลอง มือของจางกวังเริ่มสั่น

แต่เขาก็ยังตะโกนเสียงดังว่า “ค่ายกลแปดขาด ปรากฏ!”

แสงค่ายกลปกคลุมทั้งตัวจางกวัง

ลู่ฝานเดินขึ้นมาหนึ่งก้าว ใช้กระบี่หนักฟันออกไป!

“เทพมังกรทำลายล้างสังหาร!”

กระบี่! มีแสงสะดุดตาเป็นอย่างมาก

แสง! พุ่งขึ้นไปยังขอบฟ้า

เมื่อกระบี่ฟันลงมา ค่ายกลแปดขาดทลายลงราวกับภาพลวงตา

ตัวของจางกวังที่อยู่ภายใต้พลังทำลายล้าง ทรุดลงอย่างรวดเร็ว ถึงเขาเป็นคนที่เคยฝึกพลังทำลายล้างก็เถอะ

ผิวหนังกลายเป็นขี้เถ้าลอยฟุ้ง กล้ามเนื้อกลายเป็นผุยผง กระดูกหายไปอย่างไร้ร่องรอย

แสงทำลายล้างทุกอย่าง รวมถึงอากาศเวิ้งว้างที่จางกวังยืนอยู่ด้วย

แสงค่อยๆ หายไป ลู่ฝานยืนค้ำกระบี่!

ที่ที่จางกวังอยู่ มีเพียงสีดำขลับเป็นแถบ

ส่วนร่างกายของจางกวัง เหลือแค่เกล็ดมังกรเพียงแผ่นเดียว ร่วงลงมาบนพื้นเบาๆ

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1068
หายใจเข้า หายใจออก พลังฟ้าดินเคลื่อนไหว

สถานการณ์ที่ควรจะเป็นเพียงด้านเดียว ตอนนี้เริ่มไม่แน่ใจแล้ว

แม้ลู่ฝานโดนโจมตีติดต่อกัน แต่จนถึงตอนนี้ ลมหายใจสม่ำเสมอ แววตาเหมือนสายฟ้า ไม่มีบาดแผลบนตัวแม้แต่น้อย

หันมามองจางกวัง แม้ได้เปรียบทางด้านวิทยายุทธและพละกำลัง แต่ดูบาดแผลฉกรรจ์น่ากลัวบนตัวเขา เหมือนสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำให้เขาได้รับชัยชนะท่วมท้นเลย

จู่ๆ จางกวังไม่รู้ว่าจะสู้ยังไงแล้ว เผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่โจมตีไม่ล้ม ทำร้ายไม่โดน และไม่ตาย ไม่ว่าใครก็รู้สึกปวดหัวทั้งนั้น!

เกล็ดมังกรบนตัวส่องแสงสว่างจ้า จางกวังไม่คิดปกปิดพละกำลังแล้ว

สู้จนถึงขั้นนี้แล้ว ไม่ว่าลู่ฝานจะแพ้หรือชนะ ก็มีชื่อเสียงโด่งดังแล้ว

แต่เขาใกล้จะอับอายขายหน้าแล้ว ถ้าไม่ชนะอีก ก็จะอับอายขายหน้ามาก

อักษรยันต์บนตัวจางกวังเหมือนค่ายกลสาดลงบนพื้น เกล็ดบนตัวกลายเป็นสีทองอย่างรวดเร็ว

“มังกรทองส่องแสง! ค่ายกลแปดขาด!”

พื้นด้านล่างเท้าทรุดลงอย่างรวดเร็ว

หินกลายเป็นผุยผง ฟุ้งกระจายไปทั่ว!

“พลังทำลายล้าง!”

ลู่ฝานมองแวบเดียวก็รู้ว่าพลังที่จางกวังใช้คือพลังอะไร ในเวลาเดียวกับที่ตกใจ ลู่ฝานเอากระบี่หนักไร้คมวางขวางไว้ตรงหน้าอก

เขตวิถีบนกระบี่ ต้านทานพลังทำลายล้างที่แผ่กระจายเข้ามา

ตอนนี้ตัวของจางกวังหดเล็กลงอย่างรวดเร็ว กลับสู่รูปร่างมนุษย์อีกครั้ง

แต่กระบี่ในมือเขา เป็นมังกรยักษ์ที่มีแสงสีทองระยิบระยับ

เงาด้านหลัง คำรามใส่ท้องฟ้า

“เงาเทพมังกรทำลายล้าง!”

คนที่จำเงาด้านหลังจางกวังได้เป็นคนแรกคือฉินซางต้าตี้

เมื่อเขาเห็นเงานี้ แววตาเหมือนครุ่นคิด หลู่เฉิงเซี่ยงที่อยู่ข้างๆ ก็เหมือนนึกอะไรได้ เขาพูดอย่างตกใจว่า “เงานั่นคงไม่ใช่เทพมังกรทำลายล้าง ที่โดนอริยปราชญ์สวรรค์บันดาลแล่เนื้อเถือหนังใช่ไหม! เงานี้ที่มนุษย์เผ่ามังกร คือสัญญาณของการทำลายล้างไม่ใช่เหรอ”

ฉินซางต้าตี้พยักหน้าพูดว่า “ดังนั้นเขาต้องไม่เป็นที่ชื่นชอบ ในมนุษย์เผ่ามังกรเป็นอย่างมาก! จางกวัง จำชื่อนี้เอาไว้ ตอนคัดเลือก นับเขาเข้าไปในรายชื่อโควตาด้วย”

หลู่เฉิงเซี่ยงพยักหน้าแรง

เทียนชิงหยาง สุ่ยสือฉวน ถานไถเก๋อ ทั้งสองคนยืดคอมองภาพตรงหน้า ในแววตาเต็มไปด้วยความจริงจัง

ถ้าบอกว่าการแสดงออกของจางกวังก่อนหน้านี้ พูดได้เพียงว่าไม่เลว งั้นตอนนี้ เห็นได้ชัดว่าจางกวังมีพละกำลังที่จะข่มขู่พวกเขาได้แล้ว

คนที่สีหน้าไม่สู้ดีเหมือนพวกเขา ยังมีหานหยวนหนิง หลิ่วเจิน และสือเฉิน

ในฐานะที่เป็นลูกหลานหัวกะทิของสิบตระกูลใหญ่เหมือนกัน พวกเขารู้สึกถึงอันตรายเป็นอย่างมาก

ผู้มีความสามารถในใต้หล้าปรากฏออกมาเรื่อยๆ ใช่ว่าสิบตระกูลใหญ่ของพวกเขาจะสรุปเอาไว้ด้วยกันได้ จางกวังมีคุณสมบัติที่สามารถท้าประลองกับหัวกะทิของสิบตระกูลใหญ่ได้แล้ว

หานหยวนหนิงพูดว่า “ถ้าเขาเข้าร่วมการคัดเลือกด้วย ต้องเป็นศัตรูตัวฉกาจของพวกเราแน่ๆ”

สองคนข้างๆ พยักหน้าเบาๆ

บนลานประลอง พลังเทพมังกรทำลายล้างอันแข็งแกร่ง แผ่ออกมาจากทั้งตัวจางกวัง เขาพูดเสียงดังว่า “ลู่ฝาน ฉันไม่เชื่อว่าถ้าทำให้นายกลายเป็นผุยผง นายยังจะลุกขึ้นมาได้อีก”

ลู่ฝานมองเงาด้านหลังจางกวังอย่างตกตะลึง เขาจำได้ว่านั่นคืออะไร

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรในตัว หัวเราะเสียงดังอย่างบ้าคลั่ง

“เงาเทพมังกรทำลายล้าง คิดไม่ถึงว่าเขาอยากฝึกให้เป็นรูปร่างของเทพมังกรทำลายล้าง ใช้ร่างกายมนุษย์ฝึกให้เป็นรูปร่างมังกร ใช้รูปร่างมังกรฝึกเคล็ดวิชาบู๊ คนคนนี้ความคิดไม่เลว แต่เจอสิ่งที่ไม่ถูกกันแล้วล่ะสิ เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ เขาจบเห่แล้ว!”

ลู่ฝานเข้าใจความหมายที่ไอ้เก้าพูด

ลู่ฝานค่อยๆ เอามือเข้าไปในเข็มขัด คลำหามุกเม็ดหนึ่ง

จางกวังพุ่งเข้ามาหาลู่ฝานทันที พลังมังกรทำลายล้างที่ยิ่งใหญ่ บวกกับค่ายกลแปดขาดด้านล่างเท้า มีพลานุภาพที่สามารถฆ่ากองกำลังเป็นพันเป็นหมื่นได้

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1067
ฉินซางต้าตี้มองด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า

บนลานประลอง จางกวังเคลื่อนไหวอีกครั้ง

แม้ร่างกายใหญ่ขนาดนี้ แต่การเคลื่อนไหวของเขารวดเร็วมาก เวลาเพียงชั่วพริบตา หางมังกรสะบัดมาข้างหน้าลู่ฝาน

แต่ลู่ฝานไม่หลบ ปราณชี่บนตัวทั้งหมดก่อตัวอยู่บนกระบี่หนักไร้คม พุ่งเข้าไปแทงหางมังกร

“ครั้งที่หนึ่ง ฟ้าดินสะเทือน!”

เมื่อโจมตีด้วยกระบี่ จางกวังส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวด เลือดสาดออกมาจากหางของเขา ส่วนลู่ฝานโดนหางมังกรฟาดจนกระเด็น เกือบตกลงมาจากลานประลองประลอง

ทุกคนเห็นอย่างชัดเจนว่าตัวของลู่ฝาน โดนฟาดจนตัวท่อนบนยุบลงไป เสียงกระดูกหักดังขึ้นชัดเจน ทำให้คนเสียวฟันไม่หยุด

แต่วินาทีต่อมา ลู่ฝานปักกระบี่ไว้ตรงริมลานประลอง จู่ๆ ก็หยุดลง ฝ่าเท้าแยกพื้นออกเป็นรอยแยกลึกลงไปสองรอย

ตัวที่ยุบลงไป กลับมาเป็นเหมือนเดิมอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ เงาเจดีย์เล็กๆ ปรากฏขึ้นด้านหลังลู่ฝาน

ไม่นาน ร่างกายของเขาฟื้นฟูจนกลับมาเหมือนเดิม

นี่มันความสามารถในการฟื้นฟูระดับไหนกัน คนเห็นแล้วถึงกับพูดไม่ออก

แม้แต่หลิ่วเจินยังใช้ศอกกระทุ้งหานหยวนหนิงเบาๆ แล้วพูดว่า “นายแน่ใจเหรอว่าเขาไม่ใช่คนตระกูลหานของนาย ลู่ฝานเป็นลูกนอกสมรสของผู้อาวุโสคนใดคนหนึ่งของตระกูลหานหรือเปล่า ฉันจำได้ว่าทั้งประเทศอู่อาน มีแค่ลูกหลานตระกูลหานแบบพวกนาย ที่มีพลังในการฟื้นฟูร่างกายระดับนี้”

หานหยวนหนิงก็มองจนตาค้าง พูดอะไรไม่ออกสักคำ

เพราะความเร็วในการฟื้นฟูที่ลู่ฝานแสดงออกมา ยังแข็งแกร่งกว่าเขาเสียอีก ถ้าลู่ฝานเป็นลูกนอกสมรสของผู้อาวุโสตระกูลหานจริงๆ งั้นก็ยืนยันได้ว่าระดับวิชาของตระกูลหานของอีกฝ่าย เหนือกว่าเขาไม่ใช่หรือไง ถ้าไม่ใช่ ก็ยิ่งน่ากลัวเข้าไปอีก ในตัวลู่ฝานมีเคล็ดวิชาบู๊ที่ทัดเทียมกับวิชาของตระกูลหาน!

ไม่ว่าความเป็นไปได้แบบไหน ก็ไม่ใช่สิ่งที่หานหยวนหนิงอยากเห็น

ดังนั้นสีหน้าที่เขามองลู่ฝาน แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดระแวงมากมาย

ตอนนี้จางกวังโมโหจริงๆ แล้ว สภาพที่ฆ่าไม่ตายของลู่ฝาน ทำให้เขาอับอายเข้าไปอีก

เขาไม่เชื่อว่าคนคนหนึ่งจะฆ่ายังไงก็ไม่ตาย ดังนั้นจางกวังจึงพุ่งเข้าไปอีกครั้ง โจมตีด้วยกรงเล็บอย่างต่อเนื่อง ใช้หางฟาดอย่างบ้าบิ่น

เป็นมังกรยักษ์แท้ๆ แต่กลับใช้กระบวนท่าและกลอุบายออกมา

ทุกการเคลื่อนไหว ล้วนเป็นเคล็ดวิชาบู๊ท่าไม้ตายที่แข็งแกร่งและทรงพลัง โจมตีใส่ตัวลู่ฝานอย่างต่อเนื่อง

แต่ลู่ฝานกลับไม่หลบเลย ยึดหลักว่าถ้าตีฉันหนึ่งครั้ง ฉันจะฟันนายด้วยกระบี่หนึ่งครั้ง สู้แบบเลือดสาดกับจางกวังทันที

เพียงพริบตา ทั้งสองสู้กันไปแล้วร้อยกระบวนท่า

พลั่ก ทั้งสองปะทะกันอีกครั้ง จากนั้นแยกออกจากกัน

ลู่ฝานใช้มือข้างหนึ่งปักกระบี่ลงบนพื้น เมื่อพลิกข้อมือ ข้อต่อที่เคลื่อนกลับสู่สภาพเดิม เมื่อเคลื่อนตัว กระดูกที่แตกร้าวประสานกันเหมือนเดิม

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรที่อยู่ในตัวพูดไม่หยุด “เฮ้อ พลังที่สะสมมาอย่างยากลำบาก กลับไปเป็นเหมือนเดิม ทำไมถึงไม่ตัดสินแพ้ชนะด้วยกระบวนท่าเดียว เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ เอามุกเทพมังกรทำลายล้างออกมา ให้มังกรที่แม้แต่พ่นไฟยังทำไม่เป็นตัวนี้ ได้รู้ว่าอะไรคือพลานุภาพมังกร!”

ลู่ฝานเงยหน้ามองจางกวัง

ตอนนี้บนตัวจางกวังเต็มไปด้วยรอยแผล ถึงมีเกล็ดมังกรที่แข็งแกร่งกว่านี้ ก็ไม่สามารถต้านทานท่าไม้ตายเขตวิถีที่ลู่ฝานปกคลุมไว้บนกระบี่

ตอนนี้ดูเหมือนจางกวังเสียเปรียบแล้ว

ตอนนี้ไม่เห็นเงาของลู่ฝานแล้ว จางกวังใช้กรงเล็บตบอย่างต่อเนื่อง จนลู่ฝานเข้าไปในหิน

พลังที่น่ากลัว ทำให้ลานประลองทรุดลงไปหนึ่งในสาม

เมื่อจางกวังหยุดลง ทุกคนคิดว่าลู่ฝานต้องตายศพไม่สวยแน่นอน

พลังแข็งแกร่งขนาดนี้ ถึงร่างกายแข็งแกร่งทนทานขนาดไหน ก็ต้องโดนตบจนเละแน่นอน

ไท่จื่อหัวเราะอย่างมีความสุข การกระทำของจางกวัง ถูกใจเขามาก ต้องการความดุดันเกรี้ยวกราดที่งดงามแบบนี้แหละ จัดการกับศัตรู ต้องจัดการให้เละจนไม่เหลือซากแบบนี้

สีหน้าขององค์ชายรองฉินฝาน กลับไม่สู้ดีเป็นอย่างมาก

ฉินฝานพึมพำว่า “ไอ้ลู่ฝานปัญญาอ่อน ให้นายดื่มยาเปลี่ยนโลหิต นายก็ไม่ดื่ม ตอนนี้ตายแล้ว ฉันจะดูสิว่าใครจะเก็บศพนาย!”

เหมือนไท่จื่อเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของฉินฝาน จึงหัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “ฉินฝาน เหมือนนายไม่ค่อยมีความสุขนะ เพราะไอ้คนเลวลู่ฝานโดนกำจัดทิ้งเหรอ”

จู่ๆ ฉินฝานรีบเก็บสีหน้าตัวเอง เผยรอยยิ้มเป็นที่จดจำบนใบหน้า แล้วพูดว่า “อะไรกันล่ะครับ เสด็จพี่สุดที่รักของฉัน ฉันเห็นจางกวังห้าวหาญขนาดนี้ เลยรู้สึกกลัวขึ้นมาไงครับ!”

ไท่จื่อหัวเราะอย่างได้ใจเข้าไปอีก

บนลานประลอง จางกวังพ่นควันขาวออกมาทางรูจมูกทั้งสองข้าง เกล็ดมังกรบนตัวเคลื่อนไหวช้าๆ เหมือนกำลังจะถอยหลังจากทำสำเร็จ

แต่ทันใดนั้นเอง จางกวังเห็นในหลุมหินด้านหน้า ก้อนหินก้อนหนึ่งถูกดันออก

จู่ๆ จางกวังหรี่ตาลงทันที

เงาใครคนหนึ่งค่อยๆ ปีนออกมาจากหลุมหิน ลู่ฝานลากกระบี่หนักไร้คมของตัวเองออกมา บนตัวมีรอยขาดเป็นรูเต็มไปหมด

ลู่ฝานยกมือขึ้นมาดึงเสื้อของตัวเองออก เผยให้เห็นกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ ของเขา

สมบูรณ์ไม่มีอะไรเสียหาย ไม่มีแม้แต่รอยบวมแดง จางกวังเห็นภาพนี้ ใบหน้ามังกรเปลี่ยนไปทันที เหมือนเสียงดังมาจากทุกทิศทุกทาง

“คิดไม่ถึงว่านายจะไม่บาดเจ็บ ฉันตบจนกระดูกของนายหักทั้งตัวแล้วชัดๆ!”

ลู่ฝานพูดอย่างเรียบเฉยว่า “ใช่ นายตบจนกระดูกฉันหักแล้ว แต่อาการบาดเจ็บแบบนี้ ไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับฉัน เชื่อฉันสิ สภาพที่กระดูกทั้งตัวแตกละเอียด ฉันก็ผ่านมาหลายครั้งแล้ว แค่กระดูกหัก ธรรมดาจนไม่ควรค่าให้พูดถึง!”

ลู่ฝานเช็ดฝุ่นบนกระบี่หนักไร้คมออกจนสะอาด แม้แต่ลมหายใจยังสม่ำเสมอ คำพูดที่เขาพูดไม่มีคำโกหกแม้แต่น้อย ตอนฝึกพลังความเป็นความตายวนเวียน แค่ด่านทลายร่าง เขาผ่านความเป็นความตายมาไม่รู้กี่ครั้งแล้ว

เส้นลมปราณขาดจนหมด กระดูกแตกจนหมด เขาเคยสัมผัสเรื่องแบบนี้มาแล้ว ไม่เพียงแค่นั้น ลมโหมกระหน่ำไฟนรก คุกสายฟ้าน้ำแข็งแหลมคม เขาล้วนผ่านสิ่งเหล่านี้มาแล้ว

เขาที่ผ่านการรอดตายมาอย่างหวุดหวิดไม่รู้กี่ครั้ง ร่างกายในตอนนี้เรียกได้ว่าเป็นสมบัติล้ำค่าชิ้นหนึ่ง

อาการบาดเจ็บทั่วไปหายได้ในพริบตา อาการบาดเจ็บสาหัสแค่ต้องปรับให้เหมาะสม ก็จะมีแรงต่อสู้ขึ้นมาอีก เว้นเสียแต่จะตัดหัว ควักหัวใจ ทำลายตันเถียนของเขา ไม่งั้นพลังชีวิตของเขาแข็งแกร่งยิ่งกว่าสัตว์อสูรเสียอีก

นี่คือประโยชน์สูงสุดที่ลู่ฝานได้รับจากการฝึกวิชาระดับฟ้า และเป็นเหตุผลสำคัญที่เขากล้าท้าประลองกับจางกวัง

คนอ่อนแอกลัวคนแข็งแกร่ง คนแข็งแกร่งกลัวคนบ้าบิ่น คนบ้าบิ่นกลัวคนที่ไม่กลัวตาย คนไม่กลัวตายกลัวคนที่ฆ่าไม่ตาย

ลู่ฝานก็คือคนที่ฆ่าไม่ตาย!

ท่าทางสบายๆ ของเขา ไม่เพียงแต่ทำให้จางกวังตกใจ ยิ่งทำให้คนจำนวนไม่น้อยที่อยู่ด้านล่างลานประลอง ตกใจจนอ้าปากค้าง

โดยเฉพาะเทียนชิงหยางที่ฟันธงว่าลู่ฝานตายแล้ว ตอนนี้เขาตกใจจนพูดอะไรไม่ออกแล้ว

“ขนาดนี้แล้วยังไม่ตายอีกเหรอ”

“อย่าบอกนะว่าเมื่อกี้ฟาดตั้งหลายครั้ง ตบไม่โดนหมดเลยเหรอ”

“คงเป็นเงาล่ะมั้ง!”

“เป็นไปไม่ได้ เงาจะรอดดวงตามังกรของจางกวังได้ยังไง!”

เสียงอุทานอย่างตกใจดังขึ้นในกลุ่มคนอย่างต่อเนื่อง

เมื่อสิ้นเสียงของจางกวัง เกล็ดมังกรบนตัวเขาเริ่มเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ตัวของเขาเหมือนลูกบอลสูบลม ขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว

ดวงตาแดงก่ำและเปลี่ยนเป็นสีแดงเลือดอย่างรวดเร็ว

ฝ่ามือกลายเป็นกรงเล็บ ค้ำลงบนพื้น มีปีกมังกรกางออกทางด้านหลัง ใหญ่โตมโหฬาร

เวลาเพียงชั่วอึดใจ จางกวังกลายร่างเป็นมังกรยักษ์

มังกรยักษ์เกล็ดสีเขียว ตัวยาวสามสิบกว่าเมตร!

ก้มมองลู่ฝาน มังกรยักษ์จางกวังสะบัดกรงเล็บ

พลังที่น่ากลัวมาพร้อมกับสายลมรุนแรง ไม่เพียงแค่พัดจนลู่ฝานแอบกัดฟัน คนที่อยู่ด้านล่างลานประลอง ก็โดนพัดจนลืมตาไม่ขึ้น

กรงเล็บขนาดใหญ่ตบลงบนกระบี่หนักของลู่ฝาน เพียงชั่วพริบตา พื้นดินด้านล่างเท้าของลู่ฝานทรุดลง

ตัวของลู่ฝานกำลังสั่นอย่างรุนแรง ตัวเขาจมลงไปในก้อนหิน

พลังนี้เทียบกับมังกรยักษ์ตัวจริง มันมากกว่าอย่างไม่สามารถเปรียบเทียบกันได้

สิ่งที่น่ากลัวกว่านั้น ฝ่ามือนี้ของจางกวังยังแฝงไปด้วยพลังสั่นสะเทือนอันแข็งแกร่ง เป็นการทำลายจากด้านนอกสู่ด้านใน เกราะเกล็ดมังกรของลู่ฝาน ก็ไม่สามารถต้านทานการโจมตีได้

เลือดเป็นสายไหลออกมาจากตัวลู่ฝาน จางกวังใช้กรงเล็กมังกรตบลงไปอีกครั้ง

ครั้งนี้ลู่ฝานไม่ต้านทานอีกแล้ว

ปราณชี่พุ่งขึ้นมา ทิ้งหลุมรูปคนเอาไว้บนพื้น ส่วนตัวของเขาหลบไปอยู่อีกด้านแล้ว

แต่ต่อมา ตัวของมังกรยักษ์จางกวังก็หายไปเหมือนกัน

ลู่ฝานแอบพูดว่าแย่แล้ว เขาพลิกมือฟันลงบนอากาศด้านหลังทันที

เสียงดังชิ้ง กระบี่หนักของลู่ฝานฟันโดนเกล็ดของมังกรยักษ์จางกวัง คิดไม่ถึงว่าครั้งนี้กระบี่ของลู่ฝาน ไม่สามารถทำลายเกล็ดมังกรของจางกวังได้ ทิ้งเพียงรอยสีขาวชัดเจนเอาไว้ด้านบน

จางกวังใช้กรงเล็บกดลู่ฝานลงบนพื้นพร้อมกระบี่ พูดด้วยเสียงตึงเครียดว่า “นายไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉัน!”

ลู่ฝานโดนกดลงไปในหินอย่างแรง รอยร้าวใต้ตัวแผ่ขยายออกไปอย่างรวดเร็ว หินที่แตกร้าวพุ่งกระจายออกไปอย่างต่อเนื่อง

“ใช้เคล็ดวิชาบู๊ของมนุษย์ด้วยร่างมังกร จางกวังดูน่าสนใจ ถ้ามนุษย์เผ่ามังกรล้วนใช้กระบวนท่านี้ได้ นั่นต้องเกิดปัญหาแน่ๆ”

ฉินซางต้าตี้พูดเสียงเบา

หลู่เฉิงเซี่ยงที่อยู่ข้างๆ พูดด้วยรอยยิ้ม “ฝ่าบาทกังวลเกินไปแล้ว กลายร่างมังกรเทพของมนุษย์เผ่ามังกร ใช่ว่าใครจะฝึกก็ได้ อย่างน้อยการใช้เคล็ดวิชาบู๊ของมนุษย์ในร่างมังกร จำเป็นต้องมีพรสวรรค์อย่างยิ่ง ฉันว่าจางกวังคงอยู่ในร่างนี้ได้อีกไม่นาน!”

เทียนชิงหยางเห็นภาพนี้ ก็พูดอย่างประหลาดใจเล็กน้อย “จางกวังก็มีความสามารถจริงๆ หวังว่าเขาจะร่วมการคัดเลือกได้ เมื่อถึงตอนนั้นฉันจะได้ประลองกับเขาอย่างเต็มที่ ดูเหมือนการเหยียบมังกรตัวใหญ่แบบนี้เอาไว้ใต้เท้า น่าจะเป็นเรื่องที่สุดยอดมาก”

ถานไถเก๋อที่อยู่ข้างๆ ถอนหายใจแล้วพูดว่า “น่าสงสารหนุ่มหล่อแสนดีอย่างลู่ฝาน จะโดนฆ่าตายแบบนี้เหรอ น่าเสียดายจริงๆ!”

เทียนชิงหยางพูดด้วยรอยยิ้ม “แค่นักบู๊แดนปราณดินธรรมดาๆ คิดว่าตัวเองจะมีชื่อเสียงในเมืองหลวงได้จริงเหรอ พละกำลังแย่ขนาดนี้ ยังกล้ามาสู้แบบสุดชีวิต ดูเหมือนสมองก็ใช้ไม่ได้ ตายก็สมควรแล้ว!”

เทียนชิงหยางเพิ่งพูดจบ อู่คงหลิงที่อยู่ข้างหลังตวาดอย่างโมโหว่า “หุบปาก!”

เทียนชิงหยางขนลุกไปทั้งตัว หันไปมองอู่คงหลิงอย่างตกตะลึง

ส่วนอู่คงหลิงมองตาเทียนชิงหยาง ด้วยใบหน้าเย็นยะเยือก จู่ๆ เทียนชิงหยางรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา

นี่เป็นเรื่องที่ไม่สามารถจินตนาการได้จริงๆ ลูกหลานตระกูลเทียนที่ยิ่งใหญ่อย่างเขา จะกลัวผู้หญิงเพียงคนเดียว

นัยน์ตาอู่คงหลิงมีความอาฆาตอยู่ในนั้น หลังผ่านไปครู่หนึ่ง จึงหันมาดูการต่อสู้บนลานประลองต่อ!

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1064
ในเวลาเดียวกัน พวกเทียนชิงหยางที่อยู่ด้านล่าง ก็หัวเราะออกมาแล้วเอ่ยขึ้น

นี่คือวิชากระบี่ที่มนุษย์เผ่ามังกรสืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่น ทำลายพลังปราณโดยเฉพาะ แปลกประหลาดเป็นอย่างมาก

ตรงที่กระบี่ฟันลงไป ล้วนเป็นจุดสำคัญที่ปราณชี่เคลื่อนไหว เคล็ดวิชาบู๊ชนิดนี้ นักบู๊ที่เป็นมนุษย์ไม่สามารถฝึกได้ เพราะไม่มีดวงตามังกรเหมือนเผ่ามังกร

ดวงตาทั้งสองข้างของมนุษย์เผ่ามังกร เรียกอีกอย่างว่าดวงตามังกร สามารถมองทะลุเกราะ มองทะลุร่างกาย มองทะลุตรงไปยังเส้นลมปราณและกระดูก

ต้องมีดวงตามังกรเช่นนี้ ถึงจะสามารถฝึกวิชากระบี่ทำลายฟ้าได้

เห็นได้ชัดว่าจางกวังเป็นยอดฝีมือของวิชากระบี่นี้ แทงไปสองกระบี่ ลู่ฝานก็รู้สึกว่าปราณชี่ใกล้จะสลายไปแล้ว พลังของร่างกายก็อ่อนแอลงไปไม่น้อย

“ดี! วิชากระบี่ของจางกวังชุดนี้ นับวันยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ฉันว่าถึงเจอพวกคนเย่อหยิ่งอวดดีของสิบตระกูลใหญ่ ก็ไม่น่าจะมีปัญหา”

ไท่จื่อเห็นจางกวังใช้วิชากระบี่ทำลายฟ้า ก็รีบเอ่ยชมออกมาทันที

ทุกคนก็มองลู่ฝานอย่างตึงเครียด พวกเขาไม่อยากให้ลู่ฝานแพ้เร็วขนาดนี้

แต่สิ่งที่ลู่ฝานทำต่อจากนั้น ทำให้พวกเขาสะดุ้งโหยง ลู่ฝานเก็บเกราะปราณบนตัวจนหมด พลังทั้งหมดไหลเข้าไปในกระบี่หนักไร้คมที่อยู่ในมือ

“โง่เขลา โง่เขลาสุดขีด!”

เทียนชิงหยางส่ายหน้าพูด ถานไถเก๋อที่อยู่ข้างๆ ก็พูดขึ้นมาว่า “เขากำลังรนหาที่ตาย!”

ทั้งสองเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย พูดจนนัยน์ตาของอู่คงหลิงมีความกังวลปรากฏขึ้นมา

มีเพียงสุ่ยสือฉวน ที่จู่ๆ เขาก็หัวเราะออกมา “น่าสนใจ”

จางกวังเห็นลู่ฝานสนับสนุนความเท่าเทียมขนาดนี้ ความดูหมิ่นในแววตายิ่งมากเข้าไปอีก เขาแทงกระบี่ลงไปที่หน้าอกของลู่ฝานอีกครั้ง

กระบี่ท่านี้มีชื่อว่าทำลายล้าง

แค่แทงโดน พลังปราณของอีกฝ่ายจะโดนทำลาย คนทั่วไปเจอชุดวิชากระบี่ของเขา ล้วนกลัวจนพากันหลีกหนีแทบไม่ทัน มีเพียงเด็กที่อยู่ข้างหน้าคนนี้ ที่ไม่หลบเลย จางกวังพูดได้เพียงว่าเขาไม่ได้แทงอย่างสบายใจแบบนี้มานานแล้ว

กระบี่ยาวแทงเข้าไปในเนื้อ พลังปราณเข้าไป จางกวังพูดอย่างเฉยเมยว่า “นายตายแน่นอน!”

เมื่อพูดจบ จางกวังมองลู่ฝานอย่างเฉยเมย รอวินาทีที่พลังทั้งตัวเขาสลายหายไป เขาอยากเห็นสายตาสิ้นหวังของลู่ฝาน จากนั้นค่อยฆ่าลู่ฝานให้ตายบนลานประลองแห่งนี้

แต่วินาทีต่อมา กล้ามเนื้อบนตัวลู่ฝานยุบลงไปอย่างประหลาด

จางกวังยังไม่ทันตั้งตัวว่าเกิดอะไรขึ้น มีแรงสะเทือนประหลาดมาจากปลายกระบี่ของเขา พลังพุ่งเข้ามาในร่างกายของเขา

แย่แล้ว เป็นปราณกระบี่ทำลายฟ้า!

จู่ๆ จางกวังตื่นตระหนกตกใจจนทำอะไรไม่ถูก เขาคิดไม่ถึงว่าลู่ฝานจะสะท้อนพลังของเขากลับมา

ขณะนั้นเอง กระบี่หนักไร้คมของลู่ฝานก็ฟันลงมาเช่นกัน

แสงเก้าสีสว่างขึ้น ลู่ฝานแผดเสียงออกมา

“ยอดกระบี่หวนคืน!”

ตู้ม!

โล่เกล็ดมังกรบนตัวจางกวังแตกออก กระบี่ของลู่ฝานมีพลังจนกระแทกจางกวังกระเด็นออกไปไกลหลายเมตร

พลังที่น่ากลัว ทำให้ลานประลองเกิดรอยร้าวที่เห็นได้อย่างชัดเจน

จางกวังบิดตัวไปมาอยู่กลางอากาศ พลิกตัวลงมาบนพื้น ฝ่าเท้าจมลึกลงไปในพื้น

จางกวังตกตะลึง มองลู่ฝานแล้วพูดว่า “คิดไม่ถึงว่านายจะทำลายวิชากระบี่ของฉันได้!”

ลู่ฝานถือกระบี่หนักไร้คม แล้วพูดเสียงดังว่า “แค่กระบี่ทำลายฟ้า ใช่ว่าจะไม่เคยรับมือ”

ลู่ฝานยิ้มบางๆ ถ้าเขารับมือกับวิชากระบี่นี้ไม่ได้ เขาจะรอดจากการล้อมโจมตีของยอดฝีมือมนุษย์เผ่ามังกรในแดนมายาได้ยังไง

การที่เขาเก็บเกราะเกล็ดมังกร เพราะไม่อยากให้ส่งผลกระทบกับประสิทธิภาพ การสะท้อนกลับของปราณชี่บวกกับกล้ามเนื้อของเขา

วันนี้ได้ทดลอง ยังใช้ได้ดีเหมือนเดิม!

“ดี!”

ฉินซางต้าตี้หัวเราะเสียงดัง แล้วพูดว่า “คุ้มครองเด็กคนนี้เอาไว้!”

หลู่เฉิงเซี่ยงคำนับและตอบรับ เขามององค์ชายทั้งสองคนบนท้องฟ้า แล้วส่ายหน้าเบาๆ

จางกวังจ้องลู่ฝานเขม็ง แล้วพูดเสียงเย็นชาว่า “ดูเหมือนฉันประมาทนายเกินไป”

ลู่ฝานยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “คนมากมายพูดแบบนี้ นายไม่ใช่คนแรก”

จู่ๆ จางกวังทิ้งกระบี่ในมือตัวเองแล้วพูดว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นคงต้องให้นายได้เห็นพละกำลังที่แท้จริงของฉัน กลายร่างมังกรเทพ!”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1063
“วิทยายุทธดี!”

ฉินซางต้าตี้ลูบหนวดพูดด้วยรอยยิ้ม

หลู่เฉิงเซี่ยงที่อยู่ข้างๆ กลอกตาไปมา แล้วพูดว่า “ลู่ฝานเด็กขนาดนี้ คิดไม่ถึงเลยว่าจะเข้าสู่แดนปราณดินแล้ว ไม่ธรรมดาจริงๆ ครับ”

ฉินซางต้าตี้ยิ้ม พยักหน้าแล้วพูดว่า “ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่ได้มาจากตระกูลขุนนางของเมืองหลวง แต่มาจากเขตเล็กๆ อย่างเขตตงหวา อายุแค่นี้ ฝึกถึงแดนปราณดิน พรสวรรค์นี้เรียกได้ว่าไร้เทียมทาน ถ้าเขาอยู่เมืองหลวงอีกสักสองสามปี ต้องยิ่งกว่านี้แน่นอน ฉันว่าเด็กคนนี้ไม่ได้มีแค่โอกาสและโชคชะตายิ่งใหญ่ ต่อไปในอนาคตอาจมีความโชคดีที่ยิ่งใหญ่ด้วย”

หลู่เฉิงเซี่ยงยิ้มแล้วพูดว่า “ฉันยังได้ยินมาด้วยว่าลู่ฝานมีอาจารย์ผู้มีพระคุณท่านหนึ่ง ว่ากันว่าเป็นผู้ฝึกชี่ เขาเคยฝึกฝนอยู่ที่สถาบันสอนวิชาบู๊ที่เขตตงหวา ส่วนตอนนี้สถาบันสอนวิชาบู๊ ควบคุมดูแลและพัฒนาโดยเทียนหยาจื่อแห่งตระกูลเทียน เป็นอำนาจที่แข็งแกร่งสุดในเขตตงหวาแล้ว ลู่ฝานยังมีศิษย์พี่อีกหนึ่งคน ซึ่งเป็นลูกหลานตระกูลหาน”

ฉินซางต้าตี้พูดว่า “รู้จักกับตระกูลหานและตระกูลเทียนด้วยเหรอ อืม ไม่เลว”

หลู่เฉิงเซี่ยงได้ยินความหมายแฝง จากคำพูดของฉินซางต้าตี้ เขายิ้มแต่ไม่พูดอะไร

บนลานประลอง ลู่ฝานกับจางกวังต่อสู้กันอย่างกอดรัดฟัดเหวี่ยง

เงาของทั้งสองคนหายไปจากสายตาของทุกคน เหลือเพียงแต่เสียงปะทะกัน และแสงที่ระเบิดออกมา

มีเพียงนักบู๊แดนปราณดินขึ้นไป หรือไม่ก็ผู้ฝึกชี่ ที่พอเห็นการเคลื่อนไหวของทั้งสองคน

ตอนนี้ความเร็วของทั้งสองคน มันเกินขีดจำกัดที่คนธรรมดาจะมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เข้าไปในพลังฟ้าดินแล้ว

แต่วิธีการของทั้งสองคนไม่ค่อยเหมือนกัน จางกวังอาศัยวิทยายุทธที่แข็งแกร่ง ทำลายการขัดขวางของพลังฟ้าดิน ฝืนเข้าไปในพลังฟ้าดิน

ส่วนลู่ฝานรวบพลังฟ้าดินทั้งหมดไปด้านหลัง ทุกที่ที่ผ่านไป พลังฟ้าดินไม่เพียงแต่จะไม่ใช่สิ่งกีดขวาง หนำซ้ำยังกลายเป็นตัวช่วยของเขาอีกด้วย!

เมื่อเป็นเช่นนี้ ความเร็วของลู่ฝานจึงเร็วกว่าจางกวังเล็กน้อย

กระบี่หนักไร้คมเหวี่ยงไปมาไม่หยุด เวลาเพียงพริบตา ลู่ฝานโดนจางกวังโจมตีสามกระบี่ ส่วนกระบี่หนักไร้คมของลู่ฝาน ฟาดฟันจางกวังได้ห้าครั้ง

นี่จะให้จางกวังทนได้ยังไง เขาพลิกมือโจมตีด้วยกระบี่ ทำลายอากาศเวิ้งว้าง

ทันใดนั้น แสงสีดำเป็นแถบปรากฏขึ้นบนลานประลอง จู่ๆ มันกลายเป็นวงกลมกระจายออกไป

ตัวของจางกวังกับลู่ฝาน ปรากฏขึ้นพร้อมกันอีกครั้ง ลู่ฝานตั้งกระบี่หนักไร้คมไว้ด้านหน้า เขตวิถีบนกระบี่ต้านทานการสลายของอากาศเวิ้งว้างเอาไว้ทั้งหมด

จางกวังยืนอยู่กลางอากาศเวิ้งว้างที่แตกสลาย มองลู่ฝานด้วยสายตาเย็นชา แล้วพูดว่า “ความเร็วนับว่าไม่เลว”

ลู่ฝานมองจางกวังแล้วพูดว่า “เกล็ดของนายก็ใช้ได้เหมือนกัน”

อากาศเวิ้งว้างที่แตกสลายเริ่มฟื้นฟูเองอย่างรวดเร็ว ลู่ฝานกับจางกวังยกกระบี่ขึ้นอีกครั้ง

“มังกรคำรามอัญเชิญกระบี่มังกร!”

จางกวังแทงกระบี่ไปทางลู่ฝาน มังกรพลังปราณขนาดใหญ่พุ่งออกไปทันที แค่หัวมังกรก็ใหญ่กว่าลู่ฝานร้อยเท่า

แต่ลู่ฝานกลับไม่กลัวเลย ง้างมือโจมตีด้วยกระบี่

แสงกระบี่โจมตีออกไป มังกรขนาดใหญ่แยกเป็นสอง ปราณชี่กระจายออกไป ดันพลังฟ้าดินที่แฝงอยู่ในตัวมังกรขนาดใหญ่ออกไปนอกลานประลอง แต่ขณะนั้นเอง ลู่ฝานพบว่าจางกวังมาอยู่ข้างหน้าเขาตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้

กระบี่ยาวในมือ ปรากฏเหมือนสายฟ้าที่น่าตกใจ ราวกับฟ้าร้อง แทงมาที่หน้าอกของลู่ฝาน

ความเจ็บปวดแผ่ซ่านเข้ามา ลู่ฝานพลิกมือฟันกระบี่ลงไปบนตัวจางกวังโดยไม่ต้องคิด

แต่จางกวังไม่หลบแม้แต่น้อย เกล็ดมังกรบนตัวกลายเป็นโล่ ต้านทานเอาไว้ได้

ชิ้ง!

เกิดรอยแตกขึ้นบนโล่ แต่ไม่สามารถทำลายเกล็ดมังกรของจางกวังได้

แต่จางกวังแทงมาที่ท้องของลู่ฝานอีกครั้ง ทันใดนั้น ลู่ฝานรู้สึกเหมือนปราณชี่ของตัวเองโดนทำลาย

“กระบี่ทำลายฟ้า!”

ลู่ฝานอุทานด้วยความตกใจ

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1062
แต่หลิ่วเจินกลับดึงเขาไว้แล้วพูดว่า “เจ้าบ้าหาน อย่าไปสิ นายเห็นคนที่ตัวเองชอบอยู่กับเทียนชิงหยาง เลยไม่สบอารมณ์ใช่ไหมล่ะ ฟังฉันนะ ลืมผู้หญิงคนนั้นซะ จากประสบการณ์หลายปีในการมองผู้หญิงของฉัน ผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่ผู้หญิงบริสุทธิ์แล้ว นายยังจะแคร์ทำไม!”

หานหยวนหนิงจับคอเสื้อหลิ่วเจินทันที เขาพูดเสียงดังว่า “นายพูดอะไร นายพูดอีกรอบสิ”

หลิ่วเจินพ่นเปลือกเมล็ดแตงโมใส่หน้าหานหยวนหนิง

“นายมันบ้า ปล่อย พูดความจริงนายก็ไม่เชื่อ”

สือเฉินรีบแยกทั้งสองคนออกจากกัน มองหานหยวนหนิงแล้วพูดว่า “เจ้าบ้าหาน ฉันขอเตือนนาย เรื่องแบบนี้นายฟังหลิ่วเจินหน่อยเถอะ เขาเปลี่ยนผู้หญิงเยอะกว่านายเปลี่ยนกางเกงในอีกนะ ทั้งเมืองหลวง คงไม่มีใครรู้ดีไปกว่าเขาแล้ว เขาบอกว่าไม่บริสุทธิ์ ก็ต้องไม่บริสุทธิ์แน่นอน”

หานหยวนหนิงพูดเสียงเย็นชาว่า “แต่ฉันไม่เคยแตะต้องเธอเลย”

หลิ่วเจินพูดว่า “นายไม่ได้แตะต้อง ก็คนอื่นแตะต้องน่ะสิ ไม่งั้นทำไมเธอไม่มากับนายล่ะ เพราะนายลงมือช้ายังไงล่ะ นายจับฉันไว้ก็ไม่มีประโยชน์หรอกนะ มีปัญญานายก็ไปสู้กับเทียนชิงหยางสิ”

หานหยวนหนิงปล่อยมือ มองเทียนชิงหยางด้วยแววตาลุกโชน ราวกับจะใช้สายตาหั่นเทียนชิงหยางเป็นหมื่นชิ้น

หลิ่วเจินจัดเสื้อผ้าตัวเอง จากนั้นตบไหล่หานหยวนหนิงแล้วพูดว่า “เชื่อฉันเถอะ ถ้านายอยากฆ่าเขา ตอนนี้ไม่ใช่ช่วงที่ดี อย่าวู่วาม”

“งั้นตอนไหนถึงจะเป็นช่วงที่ดี”

หานหยวนหนิงกัดฟันพูด

หลิ่วเจินยิ้มแล้วพูดว่า “ช่วงคัดเลือกไง ไม่สนใจความเป็นตาย ลืมไปแล้วเหรอ”

หานหยวนหนิงพยักหน้าแรง

เหมือนเทียนชิงหยางสัมผัสอะไรได้ เขามองซ้ายมองขวา

เทียนชิงหยางขมวดคิ้ว พูดเสียงเบาว่า “ทำไมฉันรู้สึกถึงความอาฆาตพุ่งใส่ฉัน”

เทียนชิงหยางหันมามองอู่คงหลิงที่กำลังจดจ่อ จู่ๆ ความคิดชั่วร้ายผุดขึ้นในใจ เขายื่นมือออกมาช้าๆ เขาจะใช้โอกาสตอนที่อู่คงหลิงไม่ทันสังเกต จับมือเธอสักหน่อย

แต่เขายังไม่ทันแตะมือของอู่คงหลิง จู่ๆ อู่คงหลิงละสายตาออกมา

อู่คงหลิงขมวดคิ้วมองมือที่ยื่นออกมาของเทียนชิงหยาง แล้วพูดว่า “คุณชายเทียน คุณชายจะทำอะไร อย่าบอกนะว่าคุณชายจะแอบลวนลามฉัน คิดไม่ถึงว่าคุณชายเทียนจะเป็นคนแบบนี้”

เทียนชิงหยางดึงมือกลับอย่างกระอักกระอ่วน แล้วพูดว่า “เธอเข้าใจผิดแล้ว คุณอู่ ฉันจะลวนลามเธอได้ยังไงล่ะ ถ้าคุณอู่ไม่ยอม ฉันไม่กล้าแตะต้องเธอแม้แต่ปลายฉัน”

อู่คงหลิงยิ้มแล้วพูดว่า “ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดี ฉันชอบคนสุภาพแบบคุณชายเทียนที่สุด ฉันไม่รู้อะไรเลย คุณชายอย่ารังแกฉันเลย”

เทียนชิงหยางรีบพูดว่า “ไม่ๆๆ ไม่มีทางเด็ดขาด”

เทียนชิงหยางหันกลับมา ถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดว่า “เป็นผู้หญิงที่บริสุทธิ์และสูงส่งจริงๆ! ดูท่าทางหวาดกลัวของเธอ คงไม่เคยสัมผัสมือผู้ชายเลยมั้ง”

อู่คงหลิงเงยหน้ามองลู่ฝานอีกครั้ง เธอขยับปากเบาๆ กำลังส่งกระแสจิตให้ลู่ฝานที่กำลังเดินขึ้นไปบนลานประลอง

ลู่ฝานที่กำลังเดินขึ้นไป จู่ๆ เขาได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นข้างหู

“ลู่ฝาน ถ้านายชนะ ฉันจะมาอยู่เป็นเพื่อนนาย!”

ลู่ฝานจิตใจวูบไหว หันมากวาดตามองไปทางด้านล่าง เพียงแวบเดียวก็เห็นเงาของอู่คงหลิง

ลู่ฝานยิ้มบางๆ รีบเร่งฝีเท้าเดินขึ้นไปบนลานประลอง!

หินบลูสโตนปูบนพื้น ลมพัดจนเกิดเสียงดัง พัดจนเสื้อลู่ฝานดังพึ่บพั่บ

บนลานประลอง จางกวังยืนกอดกระบี่อยู่ มองลู่ฝานแล้วพูดเสียงเย็นชาว่า “ถ้าฉันเป็นนาย วันนี้ฉันคงไม่มา”

ลู่ฝานดึงกระบี่หนักไร้คมของตัวเองออกมาอย่างสุขุม ค่อยๆ ปักลงด้านข้าง จากนั้นหัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “ทำไมล่ะ”

จางกวังพูดว่า “รู้อยู่แล้วว่าต้องตายแต่ยังมา ก็แค่คนโง่เขลา”

ลู่ฝานหัวเราะอย่างเฉยเมย แล้วพูดว่า “นายมั่นใจขนาดนั้นเลยเหรอ”

จางกวังพูดว่า “มั่นใจหรือไม่ นายลองดูก็รู้ ลู่ฝาน วันนี้นายจะไม่เหลือแม้แต่กระดูก เพื่อให้ดวงวิญญาณสหายของฉันไปสู่สรวงสวรรค์!”

ทันใดนั้น กระบี่ยาวในมือจางกวังออกจากฝัก พลังปราณบนตัวพุ่งออกมาทันที

อักษรยันต์นับไม่ถ้วนสว่างขึ้นบนตัวเขา เกล็ดทั้งตัวมีแสงสะดุดตา พลานุภาพพลุ่งพล่าน พลังปราณทรงพลัง

เงยหน้าส่งเสียงมังกรคำรามออกมา เงามังกรปรากฏขึ้นด้านหลัง

ลู่ฝานก็ใช้ปราณชี่ของตัวเองออกมาทันที เกราะเกล็ดมังกรปกคลุมตัว เขตวิถีของกระบี่หนักไร้คมเปิดออก

ทันใดนั้น กระบี่หนักไร้คมเริ่มสั่นอย่างรุนแรง

พลานุภาพของทั้งสองคนพุ่งถึงจุดสูงสุดภายในพริบตา จางกวังอาศัยอักษรยันต์ที่เขาสะสมบนตัวมาหลายปี

ส่วนลู่ฝาน ตอนที่เขาค่อยๆ เดินขึ้นมา เขาค่อยๆ สะสมพลานุภาพทีละก้าว จนกระทั่งตอนนี้มันระเบิดออกมาแล้ว

“ฆ่า!”

ทั้งสองคนลงมือพร้อมกัน เสียงฟ้าร้องน่าตกใจดังขึ้นบนพื้น

ตู้ม!

ตัวหายไปในพริบตา เมื่อปรากฏตัวอีกครั้ง กลับอยู่ที่ตรงกลางของลานประลองแล้ว กระบี่ยาวกับกระบี่หนักปะทะกัน

พลังแข็งแกร่งนับไม่ถ้วนระเบิดกระจายออกไป!

เสียงกลองดังขึ้น เสียงกึกก้องสั่นสะเทือนจนชั้นเมฆบนฟ้าแทบจะเคลื่อนตัว

เมื่อเกิดเสียงกลองดังสนั่นต่อเนื่องราวกับเม็ดฝน คนสองสามคนคนถือของเซ่นไหว้ เดินขึ้นไปบนเวทีช้าๆ

คนพวกนี้คือคนที่มีคุณธรรมและบารมีสูงส่ง ซึ่งทุกคนในเมืองหลวงเป็นคนเลือกมา

ไม่ได้แต่งตั้งโดยส่วนราชการหรือราชสำนัก ล้วนมาจากการแนะนำของประชาชน โดยพื้นฐานแล้วคนที่ขึ้นเวทีแต่ละปีจะไม่เหมือนกัน

มองผู้อาวุโสสามคน เดินถือของเซ่นไหว้ขึ้นไปบนเวทีอย่างช้าๆ ทุกคนวางมือขวาไว้ที่หน้าอก อธิษฐานด้วยความจริงใจ

ไม่ว่านายจะรู้กฎเกณฑ์หรือไม่ ไม่ว่านายจะเข้าใจความหมายของการขึ้นเวทีเซ่นไหว้หรือไม่ เมื่อเห็นทุกคนทำแบบนี้ แน่นอนว่านายก็ต้องทำตามด้วย

ในกลุ่มคน ฉินซางต้าตี้สวมชุดเผาบู๊ธรรมดาๆ มองภาพนี้ด้วยรอยยิ้ม แล้วพูดว่า “การเซ่นไหว้ของประชาชน ไม่เหมือนกับการเซ่นไหว้ของราชวงศ์เลย ทำไมถึงให้สามคนนี้ขึ้นเวทีเหรอ มีความหมายอะไรหรือเปล่า”

หลู่เฉิงเซี่ยงที่อยู่ข้างๆ คำนับแล้วพูดว่า “สามคนนี้เป็นคนที่ได้รับความนิยมในหมู่ประชาชนเมืองหลวง หรือไม่ก็เป็นคนที่สั่งสอนอบรมคนมานับไม่ถ้วน แต่ไม่สนใจเรื่องเงินทอง หรือไม่ก็ยืนหยัดต่อสู้กับความชั่วร้ายเพียงลำพังในยามคับขัน สรุปแล้วล้วนเป็นคนที่มีคุณธรรมสูงส่ง ไม่รู้ว่าวิทยายุทธสูงส่งแค่ไหน แต่จิตใจสูงส่งเป็นพิเศษ ประชาชนคิดว่าถ้าคนพวกนี้เซ่นไหว้ฟ้าดิน ถึงจะเป็นการเคารพฟ้าดิน”

ฉินซางต้าตี้พยักหน้า พูดด้วยรอยยิ้มว่า “การทำแบบนี้ดีมาก นั่นคือลู่ฝานนักกระบี่แห่งตงหวาใช่ไหม รูปร่างหน้าตาดูเป็นคนมีความสามารถนะ”

สายตาของฉินซางต้าตี้ มองไปทางลู่ฝานที่อยู่บนรถม้า

มองตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างละเอียดอยู่รอบหนึ่ง ฉินซางต้าตี้พยักหน้าอย่างพอใจ แล้วพูดว่า “ดูห้าวหาญ พลานุภาพแข็งแกร่งไม่ยอมใคร เป็นนักบู๊ที่ไม่เลวเลย”

หลู่เฉิงเซี่ยงพูดเสียงเบาขึ้นข้างๆ ว่า “ทำไมฝ่าบาทมองเขาแค่แวบเดียว ก็ตัดสินว่าเขาเป็นนักบู๊ที่ดีล่ะครับ”

ฉินซางต้าตี้ยิ้มแล้วพูดว่า “บางคนดูแค่แวบเดียวก็พอแล้ว ส่วนบางคนดูทั้งชีวิตก็ยังไม่เข้าใจ!”

เฉิงเซี่ยงได้ยินคำพูดของฉินซางต้าตี้ เขาพยักหน้าเบาๆ แล้วแอบพูดว่า “ถูกต้องที่สุด! ฝ่าบาทพูดถูกต้องที่สุด”

หลังเวลาผ่านไปประมาณหนึ่งก้านธูป การขึ้นเวทีเสร็จเรียบร้อย

ของเซ่นไหว้วางเอาไว้เรียบร้อย สาดเหล้าเซ่นไหว้ฟ้าดิน พิธีการเสร็จสิ้น เสียงกลองสงบลง

ตอนนี้ทั้งสามคนไม่ได้ลงจากลานประลองเหมือนที่ผ่านมา

เห็นผู้อาวุโสคนที่อยู่ตรงกลาง ค่อยๆ เดินออกมา แล้วพูดเสียงดังว่า “วันนี้ไม่ได้มีแค่การเซ่นไหว้ ยังมีการต่อสู้บนลานประลองด้วย เชิญจางกวัง อันดับหนึ่งในแปดผู้โดดเด่นของจวนไท่จื่อ กับลู่ฝานนักกระบี่แห่งตงหวา ขึ้นเวที!”

ทุกคนตะโกนส่งเสียงเชียร์ พวกเขารอคอยการต่อสู้นี้มานานมากแล้ว

ไท่จื่อพูดกับจางกวังว่า “ไปเถอะ ชนะอย่างเด็ดขาดและรวดเร็วหน่อย”

จางกวังเด้งตัวลงมาจากกลางอากาศ ลงมาบนลานประลองทันที ทันใดนั้นเสียงเชียร์ดังขึ้นทั้งงาน

ชื่อของจางกวัง ดังสนั่นไปทั่ว

ฉินซางต้าตี้เห็นภาพนี้ ก็หัวเราะร่าแล้วพูดว่า “ภาพแบบนี้ หาชมได้ยากในวัง!”

หลู่เฉิงเซี่ยงยิ้มแล้วพูดว่า “กฎในวังเคร่งครัด แน่นอนว่าไม่ได้เห็นภาพที่คึกคักแบบนี้หรอกครับ”

ลู่ฝานค่อยๆ เดินขึ้นไปบนลานประลองเช่นกัน เขาไม่ได้เหาะขึ้นไปอย่างเย่อหยิ่ง แต่เดินขึ้นไปอย่างเรียบง่าย

เดินไปพลาง ปรับสภาพของตัวเองไปพลาง

เขาเดินช้ามาก แต่กลับมั่นคงมาก จางกวังยืนอยู่บนลานประลอง ใช้สายตาเฉยเมยมองเขา รอลู่ฝานเดินขึ้นมาบนลานประลองอย่างเงียบๆ

ในกลุ่มคน พวกเทียนชิงหยางยืนเรียงกันตามลำดับ

ส่วนคนที่อยู่ด้านหลังเทียนชิงหยาง คืออู่คงหลิงที่สวมผ้าปิดบังใบหน้าอยู่

แววตาของเธอ จ้องเขม็งไปที่ลู่ฝาน บอกไม่ถูกว่าตื่นเต้นหรือดีใจ แสงส่องประกายออกมา

เทียนชิงหยางหันไปมองอู่คงหลิงเป็นระยะ

แต่อู่คงหลิงไม่มองเขาเลยสักนิด มองแต่ด้านหลังของลู่ฝาน

อีกด้านหนึ่ง ท่ามกลางผู้คนที่เบียดเสียดกัน พวกคุณชายบ้านรวยแทะเมล็ดแตงโมไปพลาง พูดคุยกันไปพลาง

ในบรรดาคนพวกนั้น หานสง หานหยวนหนิงและคนอื่นก็อยู่ในนั้นด้วย

“หานหยวนหนิง ผู้หญิงข้างหลังเทียนชิงหยาง คือคนที่นายชอบเหรอ มองไม่เห็นเลยว่าหน้าตาเป็นยังไง แต่รู้สึกได้ว่าเป็นสาวงามจริงๆ สายตานายนี่ใช้ได้เลยนะ! แต่ไม่รู้ว่าเธอนอนกับเทียนชิงหยางกี่คืนแล้ว”

ชายหน้าเหลี่ยมรูปร่างกำยำ คิ้วดกตาโตคนหนึ่ง หัวเราะเสียงดังแล้วเอ่ยขึ้น

หานหยวนหนิงพูดด้วยใบหน้าเย็นยะเยือก “หลิ่วเจิน นายพูดระวังปากหน่อย กุลสตรีที่มาจากตระกูลใหญ่มีฐานะแบบคุณอู่ เป็นคนที่นายหมิ่นประมาทได้เหรอ”

หลิ่วเจินยกมือขึ้นสองข้าง แล้วพูดว่า “ฉันก็แค่พูดเล่นเอง นายจะจริงจังไปทำไม ทำไม คนตระกูลหานพูดเล่นด้วยไม่ได้ตั้งแต่เมื่อไรกัน เจ้าบ้าหาน ดูท่าทางนายเหมือนประทัดเลย ใครพูดมากหน่อย นายพร้อมจะระเบิดใส่ นายว่าไหมสือเฉิน”

ชายรูปร่างกำยำที่อยู่ข้างๆ อีกคน ดูท่าทางซื่อบื้อ เขาหัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “ฉันไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ พวกนายคุยกันเถอะ ฉันมาเพื่อดูว่าตอนนี้พละกำลังของจางกวังเป็นยังไง คิดไม่ถึงว่าคนตระกูลสุ่ยกับตระกูลถานไถทั้งสองคนจะมาด้วย ถ้านับพวกเราไปด้วย คนของสิบตระกูลใหญ่ มาแล้วหกตระกูล”

หลิ่วเจินพูดว่า “เจ็ดตระกูล ไม่นับสองคนที่อยู่บนหัวหรือไง”

สือเฉินส่งเสียงตอบรับ แล้วพูดว่า “ใช่ นับสองคนนั้นไปด้วย สองคนนี้มีหน้ามีตามาก คนมาดูการประลองของพวกเขาตั้งมากมาย”

หานหยวนหนิงเงยหน้ามองแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “การต่อสู้ฝ่ายเดียวแบบนี้ ไม่มีความอยากดูสักนิด พวกนายดูไปเถอะ ฉันขอกลับก่อน!”

พูดพลาง หานหยวนหนิงเดินออกไปข้างนอก

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1060
ฉินฝานหัวเราะเบาๆ ไม่พูดอะไร กวาดตามองไปทางด้านล่าง เพื่อหาเงาของลู่ฝานภายในกลุ่มคน

แต่หลังจากมองอยู่ครู่หนึ่ง กลับไม่เห็นลู่ฝานเลย

รอยยิ้มบนใบหน้าหายไป ฉินฝานพึมพำว่า “ลู่ฝานนะลู่ฝาน ถ้าวันนี้นายแพ้ ฉันจะให้นายตายแบบไร้ที่กลบฝัง ฉันจะไม่ส่งคนไปเก็บศพนายเด็ดขาด”

จางกวังกำลังหลับตาพักสายตา อยู่ด้านหลังไท่จื่อ

ไท่จื่อหันมาพูดกับจางกวังว่า “จางกวัง การต่อสู้วันนี้ไม่จำเป็นต้องใช้แรงทั้งหมด ใช้พลานุภาพของสายฟ้าจัดการลู่ฝาน ทำให้บารมีอำนาจของฉันแข็งแกร่งขึ้น!”

จางกวังลืมตาขึ้น พูดตอบรับเสียงเบาว่า “ครับเตี้ยนเซี่ย”

รอยยิ้มโหดเหี้ยมผุดขึ้นตรงมุมปากของไท่จื่อ เขาจงเกลียดจงชังลู่ฝานเป็นอย่างมาก

ผู้คนเบียดเสียดแออัดกันด้านล่างลานประลอง

จู่ๆ มีคนตะโกนเบาๆ ว่า “นี่เป็นคนของสิบตระกูลใหญ่ไม่ใช่เหรอ พวกเขาก็มากันด้วย!”

คุณชายกลุ่มหนึ่งเดินช้าๆ เข้ามา คนที่นำมาคือเทียนชิงหยางแห่งตระกูลเทียน ข้างๆ เขายังมีลูกหลานตระกูลใหญ่ตระกูลอื่นๆ ด้วย

ด้านซ้ายมือคือสุ่ยสือฉวนแห่งตระกูลสุ่ย

ถือพัดขนนก รอยยิ้มเต็มใบหน้า หน้าตาท่าทางดูหล่อเหลา ใบหน้าละอ่อน ใช้คำว่ารูปงามมาบรรยายได้ ผิวขาวผ่อง ดวงตาเป็นประกายสดใส รอยยิ้มบริสุทธิ์เหมือนเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ

เขาคือคุณชายคนแรกของตระกูลสุ่ย มีฉายาว่าสุ่ยสือฉวนคุณชายบริสุทธิ์

ด้านขวามือคือถานไถเก๋อแห่งตระกูลถานไถ

ชุดแดงยาวลากพื้น แต่งหน้างดงาม ใบหน้าน่าเอ็นดูของผู้หญิงชัดๆ แต่แต่งหน้าจนดูเซ็กซี่มีเสน่ห์ มุมปากดูเย่อหยิ่งเล็กน้อย เมื่อบิดเอวไปมา ได้ยินเสียงดังขึ้นมาชัดเจน มันเป็นเสียงกระดิ่งตรงเอวของเธอ

เธอคือคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลถานไถ ถานไถเก๋อ ชุดแดงหงส์เริงระบำ

คิดไม่ถึงเลยว่าทั้งสามคนจะมาด้วยกัน ผู้คนรีบหลีกทางให้ทั้งสามคนผ่านทันที

บนท้องฟ้า ไท่จื่อก็เห็นสามคนนี้เช่นกัน เขาขมวดคิ้วพูดว่า “ลูกหลานหัวกะทิของสิบตระกูลใหญ่ พวกเขาไม่ได้รวมตัวกันปลีกวิเวกอยู่เหรอ ทำไมถึงออกมากันหมดแล้วล่ะ”

จางกวังมองคนพวกนั้นด้วยแววตาลุกโชน เขายิ้มแล้วพูดว่า “คงออกจากการฝึกฝนแล้วมั้งครับ เตี้ยนเซี่ย หลังจากผ่านการต่อสู้วันนี้ เตี้ยนเซี่ยได้โปรดอนุญาตให้ฉันไปท้าประลองกับสองสามคนนี้ด้วยนะครับ”

ไท่จื่อขมวดคิ้วพูดว่า “นายมั่นใจเหรอ”

จางกวังส่ายหน้าพูดว่า “ไม่มีครับ แต่ฉันมีหัวใจของนักบู๊”

ไท่จื่อโบกมือไปมาแล้วพูดว่า “ช่างเถอะๆ แล้วแต่นาย ฉันว่าพวกเขาก็ไม่กล้าทำอะไรนายหรอก นายไปท้าประลองพวกเขาได้ตามสบาย”

“ขอบพระทัยเตี้ยนเซี่ย!”

ใบหน้าจางกวังแดงระเรื่อ เห็นได้ชัดว่าเขาตื่นเต้นมาก

เขาคิดว่าคนพวกนี้ ถึงจะสามารถเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้ สำหรับลู่ฝาน โดนเขาลืมไม่สนใจไปนานแล้ว

รถม้าคันหนึ่ง ค่อยๆ จอดลงที่หน้าประตูเมือง

สิบสามหันมาทางตัวรถม้าแล้วพูดว่า “ถึงแล้วครับเจ้านาย!”

ลู่ฝานเปิดผ้าม่าน แล้วค่อยๆ เดินออกมา มองลานประลองที่สร้างเสร็จเรียบร้อยด้านหน้า ยิ้มแล้วพูดว่า “สร้างได้อย่างทรงพลังจริงๆ”

พูดพลาง ลู่ฝานเอาเจ้าดำที่อยู่บนไหล่ วางลงบนมือของสิบสาม แล้วพูดว่า “ดูแลเจ้าดำให้ดี”

สิบสามพยักหน้าแรง

“ลู่ฝานมาแล้ว!”

จู่ๆ ไม่รู้ใครที่จำลู่ฝานได้ ทันใดนั้นผู้คนพากันตะโกนขึ้นมา

ลู่ฝานยืนสองมือไพล่หลังอยู่บนรถม้า มองออกไปไกลๆ

ไท่จื่อและคนอื่น ต่างพากันมองมาทางลู่ฝาน

ขณะนั้นเอง ช่างของเผ่าทรงพลังเอาหินก้อนใหญ่ก้อนสุดท้ายวางลงเสร็จเรียบร้อย จากนั้นทุบอกตะโกนออกมาเสียงดัง

“ขึ้นเวที เซ่นไหว้!”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1059
วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาก็ถึงเทศกาลเซ่นไหว้ประจำปีแล้ว

กวาดหิมะ เซ่นไหว้ ปีนเขา ล้วนเป็นประเพณีของเทศกาลเซ่นไหว้ประจำปีที่เมืองหลวง

แต่ละบ้านวางกระถางธูปไว้หน้าประตู วางไก่ แพ และหัวหมูเอาไว้ ประชาชนประเทศอู่อานไม่บูชาผีสางเทวดา บูชาแต่ฟ้าดิน

ด้วยเหตุนี้ ของพวกนี้จึงไม่วางไว้บนที่สูง ล้วนวางไว้หน้าประตูประมาณสามฟุต คนจนที่เดินผ่านมาสามารถหยิบไปได้ ขอทานก็กินได้ตามสบาย มีคนบอกว่าคือของขวัญจากฟ้าดิน

ทุกสิ่งเกิดมาเพื่อหล่อเลี้ยงผู้คน ผู้คนนับถือสวรรค์ด้วยความจริงใจ

เสียงประทัดดังต่อเนื่อง ประดับประดาโคมไฟ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปหน้าร้านเหล้าทุกแห่ง จะวางโอ่งขนาดใหญ่ที่มีเหล้าเต็มโอ่งเอาไว้สามโอ่ง

โอ่งแรกเคารพฟ้า โอ่งสองเคารพดิน โอ่งสามเคารพมนุษย์

โอ่งฟ้า ดิน มนุษย์ ขนาดใหญ่สามโอ่ง เหล้าต้องสะอาด ห้ามปนเปื้อน คนที่มาสามารถดื่มได้ตามใจชอบ ดื่มจนกว่าจะหมด

ร้านเหล้าทั้งหมดภูมิใจที่โอ่งเหล้าของพวกเขา ถูกดื่มโดยผู้คนที่ผ่านไปมาในเทศกาลเซ่นไหว้ประจำปี เป็นการยืนยันว่าเหล้าของร้านตัวเองเป็นเหล้าดี

เมื่อผ่านวันนี้ไป โอ่งใหญ่หน้าร้านของใครเห็นก้นโอ่ง ยืนยันว่าร้านเหล้าแห่งนี้มีระดับ มีคนรู้จักเยอะ ปีต่อไปการค้าต้องดีแน่นอน

ร้านค้าอื่นก็มีกิจกรรมเหมือนกัน อย่างเช่นร้านขายอาหาร จะวางโต๊ะจีน ภูมิใจกับการที่มีผู้คนมากินเยอะ

ร้านขายเสื้อผ้า โปรยเสื้อผ้าลงบนถนน ไม่เพียงแต่รูปแบบที่ต้องสวย คุณภาพยังต้องดีอีกด้วย

การเฉลิมฉลองต่างๆ เยอะจนไม่สามารถพูดออกมาได้หมด

มีเพียงร้านขายอาวุธ ที่วันนี้จะปิดร้าน อาวุธทั้งหมดจะถูกย้ายไปยังคลังสินค้า ใครมาก็ไม่ขาย

นี่เรียกว่าหยุดอาวุธ ฉลองปีใหม่

บรรยากาศสงบสุขอบอุ่น เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน โลกอู่อาน!

ประตูหลักทั้งสี่ด้าน เริ่มสร้างลานประลอง ช่างฝีมือเป็นผู้เชี่ยวชาญที่แนะนำโดยผู้คน ต้องการให้สร้างตอนอาทิตย์ขึ้น และเสร็จตอนเที่ยง หลังผ่านวันนี้ไป ค่อยรื้อมันออก

ลานประลองสี่แห่ง เซ่นไหว้ฟ้าดินทั้งสี่ทิศ

ในบรรดานั้น ทุกปีลานประลองที่สร้างตรงประตูอู่เซิ่งจะทรงพลังยิ่งใหญ่ที่สุด เหตุผลง่ายดายมาก เพราะช่างที่สร้างลานประลองตรงประตูอู่เซิ่ง ล้วนเป็นชายร่างกายกำยำของเผ่าทรงพลัง

ความสูงแค่ 30 กว่าเมตรสำหรับพวกเขา มันดูเตี้ยเกินไป ทุกปีพวกเขาจะสร้างลานประลองที่สูงอย่างน้อย 300 กว่าเมตร

กลุ่มคนเบียดเสียดกัน ผู้คนขวักไขว่ไปมาอย่างคับคั่ง

คนนับไม่ถ้วนเบียดกันอยู่นอกประตูอู่เซิ่ง มองลานประลองถูกสร้างขึ้นอย่างรวดเร็ว

ถ้าตามปกติ คนที่มาดูการสร้างลานประลองไม่ได้เยอะขนาดนี้

แต่ปีนี้ไม่เหมือนกัน ปีนี้ลานประลองแห่งนี้ไม่ได้ใช้แค่เซ่นไหว้ แต่ใช้ประลองด้วย

จางกวัง อันดับหนึ่งในแปดผู้โดดเด่นของจวนไท่จื่อ สู้กับลู่ฝาน นักกระบี่แห่งตงหวา!

คนนับไม่ถ้วนรอคอยศึกใหญ่ครั้งนี้!

เมื่อมองดูที่ว่างอีกครั้ง มีที่นั่งขนาดใหญ่เป็นแถวถูกเตรียมไว้แล้ว

ในบรรดานั้นมีบัลลังก์ที่ทรงพลังที่สุดสองบัลลังก์ มีองค์ชายสองพระองค์นั่งอยู่

ถูกต้อง วันนี้มีองค์ชายสองพระองค์มารับชมการต่อสู้ องค์ชายรองฉินฝานนั้นไม่ต้องพูดถึงแล้ว ช่างของเผ่าทรงพลังที่มาสร้างลานประลองในปีนี้ ล้วนเป็นคนที่เขาหามา ดูสุดยอดกว่าปีก่อนๆ มาก ความเร็วในการสร้างลานประลอง บรรยายได้เพียงว่าเร็วราวกับบิน มองผู้ชายรูปร่างกำยำของเผ่าทรงพลัง เอาหินขนาดใหญ่ขึ้นมา ใช้มือลูบไปลูบมา หินก็กลายเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสงดงาม จากนั้นกองไว้ด้านบน ทุกคนส่งเสียงอุทานอย่างตกใจออกมาไม่หยุด

ส่วนเตี้ยนเซี่ยอีกพระองค์ ถ้าไม่ใช่ไท่จื่อแล้วจะเป็นใครได้อีก ไท่จื่อที่โดนเตี้ยนเซี่ยลงโทษขังไว้ คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะปรากฏต่อสายตาทุกคนอย่างสง่าผ่าเผย

ขนาดตอนที่ฉินฝานเห็นไท่จื่อ พาพวกจางกวังมา ยังอดขมวดคิ้วขึ้นมาเบาๆ ไม่ได้ ความหวาดระแวงผุดขึ้นมาในใจ

แต่ภายนอกเขาพูดกับไท่จื่ออย่างนอบน้อมว่า “ยินดีด้วยที่เสด็จพี่ออกมาแล้ว ดูเหมือนเสด็จพี่อยู่ที่เขาอู่จิ้ง มีการทะลุระดับอย่างยิ่งใหญ่”

ไท่จื่อทำเพียงปรายตามองฉินฝาน หลังจากนั้นพูดว่า “ไม่ได้ทะลุระดับหรอก แต่พ่อเห็นว่าฉันซื่อสัตย์จริงใจ เลยอนุญาตให้ฉันออกมาเป็นพิเศษเท่านั้น ลู่ฝานยังไม่มาเหรอ ฉันรอดูเลือดเขาเซ่นไหว้ปีใหม่เลยนะ!”

หลู่เฉิงเซี่ยงครุ่นคิดแล้วพูดว่า “หัวกะทิของสิบตระกูลใหญ่ นักเรียนแถวหน้าของสถาบันบู๊องอาจ นักบู๊สิบอันดับแรกในรายชื่อประเทศ น่าจะเลือกมาจากบรรดาคนพวกนี้ครับ ฝ่าบาท จากความคิดของฉัน การคัดเลือกในฤดูใบไม้ผลิปีหน้า สุดท้ายหัวกะทิของสิบตระกูลใหญ่ อาจได้รับชัยชนะครับ ว่ากันว่าลูกหลานหัวกะทิของตระกูลเทียน ตระกูลถานไถ ตระกูลสุ่ย คนพวกนี้โดดเด่นเป็นพิเศษ อย่างเช่น เทียนชิงหยางแห่งตระกูลเทียน ใกล้เข้าสู่แดนปราณฟ้าแล้ว รอให้เขาลงมาจากเขาอู่จิ้ง น่าจะเข้าสู่แดนปราณฟ้าอย่างสมบูรณ์ ให้พวกเขาเป็นตัวแทนประเทศอู่อาน ไปเข้าร่วมการแข่งนานาประเทศ แม้ไม่ได้อันดับดีๆ อย่างน้อยก็ไม่ขายหน้าครับ”

ฉินซางต้าตี้เงียบอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นพูดว่า “อย่าบอกนะว่าไม่มีนักบู๊สามัญชนคนอื่นที่โดดเด่นแล้วเหรอ”

หลู่เฉิงเซี่ยงหัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “ฝ่าบาท โอกาสที่จะมีนักบู๊เป็นสามัญชนน้อยมากจริงๆ ครับ ไม่ต้องพูดเรื่องอื่น แค่เอาเรื่องทรัพยากรในการฝึกฝนมาพูด ทั้งประเทศอู่อาน มีที่ไหนที่มีพลังฟ้าดินรุนแรงเหมือนเมืองหลวงบ้างครับ ในเมืองหลวงจะมีที่ไหนเข้มข้นเท่าสิบตระกูลใหญ่กับราชวงศ์บ้างครับ ถ้าบอกว่าฝึกฝนที่อื่น ฝึกฝนหนึ่งก็ได้แค่หนึ่งตามคุณภาพ แต่ถ้าฝึกฝนในเมืองหลวง ฝึกฝนหนึ่งได้ถึงสิบ ยิ่งในสถานที่ลับของสิบตระกูลใหญ่ ฝึกฝนหนึ่งได้ถึงร้อย ความแตกต่างนี้ มันมากเกินไปจริงๆ ครับ ใหญ่จนไม่สามารถใช้พรสวรรค์มาชดเชยได้”

ฉินซางต้าตี้พยักหน้า ยิ้มแล้วพูดว่า “เป็นเช่นนี้จริงๆ แต่เรื่องที่ต้องรู้ บนโลกนี้มีโอกาสและโชคชะตา!”

หลู่เฉิงเซี่ยงพูดว่า “มีโอกาสและโชคชะตาครับ แต่ผู้ที่กระทำการใหญ่ทุกคน จำเป็นต้องมีโอกาสและโชคชะตาอันยิ่งใหญ่ แต่ฝ่าบาทครับ ต้องมีโอกาสและโชคชะตาใหญ่ขนาดไหน ถึงจะทำให้ความแตกต่างนี้เท่าเทียมกันล่ะครับ เขาไม่เพียงแต่จะต้องมีวิทยายุทธที่ไล่เลี่ยกัน วิชาก็ต้องไล่เลี่ยกัน ยาก็ต้องไล่เลี่ยกันด้วย ฉันคิดว่านอกจากคนที่เป็นศิษย์ของผู้ที่มีความสามารถยิ่งใหญ่ ก็คงไม่มีใครทำได้แล้วครับ อีกทั้งผู้ที่มีความสามารถยิ่งใหญ่ของประเทศอู่อาน ก็น้อยจนนับนิ้วได้ ก็มีเยอะประมาณนี้ ศิษย์ของพวกเขา 99 เปอร์เซ็นต์ ล้วนถูกเตี้ยนเซี่ยบันทึกเอาไว้หมดแล้ว”

ฉินซางต้าตี้ส่ายหน้าพูดว่า “ยังไงก็ต้องมีหลุดรอดไปบ้างสิ”

ตอนนี้เฉิงเซี่ยงได้ยินความผิดปกติ ออกมาจากน้ำเสียงของฉินซางต้าตี้

“เหมือนฝ่าบาทต้องการจะสื่ออะไร”

ฉินซางต้าตี้ยิ้มแล้วพูดว่า “ต้องการจะสื่อนั่นแหละ ช่วงนี้มีข่าวลือในเมืองเข้าหูฉัน เรื่องที่น่าสนใจมาก แล้วก็เด็กที่น่าสนใจมาก”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ ฉินซางต้าตี้เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพูดต่อ “หลู่เฉิงเซี่ยง เทศกาลเซ่นไหว้ประจำปีปีนี้ ไม่ต้องจัดในวังแล้วดีกว่า นายกับฉันไปในเมืองเป็นไง ดูว่าประชาชนฉลองเทศกาลเซ่นไหว้ประจำปีกันยังไง”

สีหน้าหลู่เฉิงเซี่ยงวูบไหวเล็กน้อย เขาคำนับแล้วพูดว่า “ครับฝ่าบาท ฉันยอมตามฝ่าบาท แต่งกายเป็นคนธรรมดาเสด็จออกเยี่ยมชมสภาพบ้านเมือง”

ฉินซางต้าตี้ยิ้มแล้วพยักหน้า โบกมือเบาๆ เป็นการบอกให้หลู่เฉิงเซี่ยงไปได้แล้ว

หลู่เฉิงเซี่ยงลุกขึ้นแล้วบอกลา เขาขมวดคิ้วตลอดทาง

เพิ่งออกมาจากวัง นั่งอยู่บนรถม้า หลู่เฉิงเซี่ยงถามพ่อบ้านที่อยู่ข้างๆ ด้วยเสียงเบาว่า “หวางฉวน ช่วงนี้ในเมืองมีนักบู๊อายุน้อยคนไหนที่โดดเด่นเป็นพิเศษไหม”

เมื่อพ่อบ้านได้ยินที่หลู่เฉิงเซี่ยงพูด ก็หัวเราะแล้วพูดว่า “คุณท่านหมายถึงลู่ฝานนักกระบี่แห่งตงหวาสินะ ช่วงนี้ถือว่าเขาโดดเด่นที่สุด อันดับแรกคือสู้กับแปดผู้โดดเด่น แล้วก็หาเรื่ององค์ชาย เก่งไม่ไหว แต่เหมือนใกล้จะไม่รอดแล้วนะครับ”

หลู่เฉิงเซี่ยงยิ้มแล้วพูดว่า “หืม มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ นายเล่าให้ฉันฟังอย่างละเอียดหน่อยสิ”

พ่อบ้านรีบเล่าเรื่องที่ได้ยินมาเร็วๆ นี้ให้หลู่เฉิงเซี่ยงฟังอย่างละเอียดครบถ้วน รวมถึงเรื่องที่ลู่ฝานบาดหมางกับไท่จื่อ ท้าประลองแปดผู้โดดเด่นด้วยตัวคนเดียว นัดประลองตอนเทศกาลเซ่นไหว้ประจำปี และเรื่องที่องค์ชายรองจะฆ่าลู่ฝาน ข่าวใหม่ที่เพิ่งได้ยินมาเร็วๆ นี้ เล่าให้หลู่เฉิงเซี่ยงฟังทั้งหมด

หลู่เฉิงเซี่ยงฟังไปพยักหน้าไป หลังจากฟังจนจบ ก็หัวเราะออกมาเสียงดัง “ลู่ฝานน่าสนใจจริงๆ ถ้าไม่โง่มาก ก็ฉลาดมาก!”

พ่อบ้านพูดอย่างไม่เข้าใจ “หลู่เฉิงเซี่ยง เขาล่วงเกินเตี้ยนเซี่ยทั้งสองพระองค์เลยนะครับ จะฉลาดได้ยังไง”

หลู่เฉิงเซี่ยงยิ้มแล้วพูดว่า “พูดไปนายก็ไม่เข้าใจ หลังจากกลับไป สืบประวัติของลู่ฝานมาให้ชัดเจน แล้วเอามาวางไว้ในห้องหนังสือของฉัน”

พ่อบ้านคำนับแล้วส่งเสียงตอบรับ

หลู่เฉิงเซี่ยงนั่งในรถม้า ด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า

“ลู่ฝาน! อืม มีผู้สูงส่งชี้แนะอยู่เบื้องหลังนาย หรือนายเป็นคนฉลาดอยู่แล้ว ฉันอยากเจอนายสักครั้งจริงๆ!”

วันต่อมา หิมะยังโปรยปรายเหมือนเดิม

อุทยานอวี้ฮัวภายในวัง

ฉินซางต้าตี้อยู่ในศาลาทิงหยู่ มองปลาคาร์ปเล่นกันในบึงด้วยรอยยิ้ม ฝ่ามือขยับเล็กน้อยเป็นระยะ ปลาคาร์ปในบึงกระโดดตามขึ้นมา

“ฝ่าบาท หลู่เฉิงเซี่ยงขอเข้าเฝ้าครับ”

องครักษ์คนหนึ่งคุกเข่าข้างหนึ่งลงบนพื้น ทำความเคารพฉินซางต้าตี้

ฉินซางต้าตี้พูดโดยไม่หันหน้ามา “ให้เขาเข้ามาสิ”

ไม่นาน ผู้อาวุโสในชุดขาวเดินเข้ามา

ดูเหมือนเขาอายุเกิน 60 ปีแล้ว หงอกขาวทั้งหัว เสื้อเป็นเสื้อผ้าทอ ไม่หรูหรา แขนเสื้อกว้างจนแทบจะปิดมือทั้งสองข้างจนมิด มีเข็มขัดหยกตรงเอว สวมรองเท้าบูทผ้ายาว ดูแข็งแรงมีชีวิตชีวา เขาคือหลู่ชิงโหว เฉิงเซี่ยงสามัญชน ที่มีชื่อเสียงโด่งดังของประเทศอู่อาน

หลู่ชิงโหวรีบเดินมาหน้าศาลาแล้วคุกเข่าลงทั้งสองข้าง ทำความเคารพจักรพรรดิ

“กระหม่อมขอพบฝ่าบาท!”

ฉินซางต้าตี้หันหน้ามาพูดกับหลู่เฉิงเซี่ยงว่า “นายมาแล้วเหรอ นั่งสิ”

“ขอบพระทัยฝ่าบาท!”

หลู่เฉิงเซี่ยงทำความเคารพอีกครั้ง จากนั้นลุกขึ้นนั่งตรงข้ามกับจักรพรรดิฉนซาง

บนโต๊ะมีน้ำชาวางไว้เรียบร้อยแล้ว หลู่เฉิงเซี่ยงรินชาให้ฉินซางต้าตี้อย่างชำนาญจนผิดปกติ

“ไม่ทราบว่าวันนี้ฝ่าบาทเรียกฉันมา มีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ”

“ไม่มีอะไรหรอก เบื่อนิดหน่อย อยากหาคนมาคุยกัน นายก็รู้ว่าข้าราชการทั้งบุ๋นและบู๊ทั่วราชสำนัก มีแค่นายที่ความรู้กว้างขวาง ดังนั้นฉันจึงเรียกนายมาคุยกัน หลู่เฉิงเซี่ยง ช่วงนี้มีเรื่องอะไรใหม่ๆ บ้าง”

ฉินซางต้าตี้จิบชาเบาๆ แล้วถามด้วยรอยยิ้ม

หลู่เฉิงเซี่ยงครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “ไม่มีเรื่องใหญ่อะไรนะครับ ช่วงก่อนหน้านี้ ธิดาเทพประเทศเป่ยเสินออกจากหอเทวาลัย ว่ากันว่าตอนนี้วิทยายุทธแดนปราณฟ้าแล้วครับ”

ฉินซางต้าตี้พยักหน้าพูดว่า “เรื่องนี้ฉันก็ได้ยินมาเหมือนกัน ประเทศเป่ยเสินมีธิดาเทพออกสู่ใต้หล้าอีกรุ่นแล้ว น่าจะเป็นเพราะการแข่งนานาประเทศ แต่คิดว่าเทพธิดาพวกนั้นไม่น่าจะได้อันดับดี ทุกครั้งที่ธิดาเทพออกจากหอเทวาลัย จะมีสีสันเป็นอย่างมาก ไม่นานก็ตายอยู่ข้างนอก ครั้งนี้ 80 เปอร์เซ็นต์ก็ไม่น่าจะต่างกัน”

หลู่เฉิงเซี่ยงยิ้มแล้วพูดว่า “ฝ่าบาทพูดถูกต้องมากครับ วิชาที่หอเทวาลัยของประเทศเป่ยเสินฝึกฝน มันคือวิธีการค้นหาโชคชะตา แต่โชคชะตาหาง่ายขนาดนั้นที่ไหนกันล่ะครับ หาไม่เจอก็ต้องตาย อืม อีกเรื่องคือที่อาณาจักรอสูรซีเหลียง ได้ยินว่ามีเด็กคนหนึ่งเข้าธรรมจักษุของอสูรศักดิ์สิทธิ์ จึงรับเป็นศิษย์ เหมือนปีนี้ก็จะออกจากการเก็บตัวแล้วครับ”

ฉินซางต้าตี้พูดอย่างประหลาดใจ “หืม ศิษย์อสูรศักดิ์สิทธิ์เหรอ ต้องไม่ธรรมดาแน่นอน อย่าบอกนะว่าครั้งนี้อาณาจักรอสูรซีเหลียงกะจะมีชื่อเสียงอย่างรวดเร็วในการการแข่งนานาประเทศ”

หลู่เฉิงเซี่ยงยิ้มแล้วพูดว่า “พวกเขาคิดเช่นนี้ แต่จะทำได้หรือไม่ ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาตัดสินได้ เกรงว่าถึงเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์ก็ยังไม่มีความมั่นใจว่าจะสอนศิษย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังออกมาได้”

ฉินซางต้าตี้พยักหน้าเบาๆ หลังจากนั้นถอนหายใจยาวออกมา “เฮ้อ ประเทศอู่อานไม่มีคนเก่งๆ ที่เอาออกมาโชว์ได้เลยเหรอ น่าเสียดาย ลูกชายสองคนของฉันก็ไม่เอาไหน ทั้งชีวิตคงออกจากอู่อานไม่ได้ ถ้าพวกเขาเอาการเอางานสักหน่อย ฉันจะทุ่มสุดกำลังเพื่อบ่มเพาะพวกเขา ถ้าตระกูลฉินของฉันมีขุนพลังสุดเหนือฟ้าออกมาได้อีกสักคน คงไม่มีอะไรดีกว่านี้อีกแล้ว”

หลู่เฉิงเซี่ยงยิ้มแล้วพูดว่า “ฝ่าบาทไม่ต้องเศร้าหรอกครับ ไท่จื่อกับองค์ชายรองยังหนุ่ม ต่อไปยังมีเวลาให้ฝึกฝนอีกเยอะ เตี้ยนเซี่ยทั้งสองพระองค์เป็นผู้ที่มีการไหลเวียนของเลือดสมบูรณ์ตั้งแต่เกิด มีพรสวรรค์อยู่แล้ว แค่เมื่อไรที่พวกเขารู้ถึงความสำคัญของการฝึกฝน พวกเขาจะสามารถทะยานขึ้นไปอย่างรวดเร็ว วิทยายุทธก็ก้าวหน้ารวดเร็วจนน่าตกใจ”

ฉินซางต้าตี้โบกมือไปมาแล้วพูดว่า “หลู่เฉิงเซี่ยง นายแค่กำลังปลอบใจฉันเท่านั้น ลูกชายสองคนของฉันนิสัยยังไง ฉันรู้อยู่แก่ใจอย่างชัดเจน พูดเรื่องอื่นเถอะ นายว่าการคัดเลือกครั้งนี้ ใครมีแนวโน้มที่จะชนะ”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1056
“ความสำเร็จทุกอย่างอยู่ที่ความพยายามของเรา ทำไมเตี้ยนเซี่ยไม่ให้ฉันลองดูล่ะ ถ้าแพ้ ฉันต้องตายคาที่แน่นอน เตี้ยนเซี่ยคิดว่าฉันจะเอาชีวิตตัวเองมาล้อเล่นเหรอครับ”

ลู่ฝานพูดด้วยแววตาเป็นประกาย

ฉินฝานชี้หน้าลู่ฝานแล้วพูดว่า “นายไม่ได้เอาชีวิตตัวเองมาล้อเล่น แต่นายเป็นคนที่ยโสและอวดดี ฉันจะเชื่อคนอย่างนายได้ยังไง ฉันสาบานเป็นพี่น้องกับคนอย่างนายได้ยังไง ลู่ฝาน ตอนนี้นายทำให้ฉันโกรธมาก ฉันอยากฆ่านายให้ตายตรงนี้จริงๆ!”

ลู่ฝานเงยหน้ามองฉินฝาน แล้วพูดว่า “แต่เตี้ยนเซี่ยไม่ทำแบบนั้นหรอก ใช่ไหมครับ จะยโสอวดดีหรือเปล่า เตี้ยนเซี่ยรอดูก็รู้แล้วไม่ใช่เหรอครับ”

ฉินฝานเงียบไปครู่หนึ่ง เขาสูดหายใจลึก ผ่านไปนานจึงพูดว่า “ลู่ฝาน ฉันเห็นแก่ที่นายฆ่าพวกสวี่ฉู วันนี้จะปล่อยนายไปสักครั้ง ฉันให้นายกลับไปฝึกฝนให้ดี หาทักษะเอาเอง ถ้านายแพ้ แม้แต่ตระกูลนายฉันก็จะไม่ปล่อยไว้ ทิ้งคนใช้นายไว้ที่นี่ นายไปได้แล้ว!”

ฉินฝานสะบัดมือไล่ลู่ฝานเหมือนแมลงวัน ส่วนตัวเองนั่งลงบนบัลลังก์อีกครั้ง

ทว่าลู่ฝานขมวดคิ้วพูดว่า “เตี้ยนเซี่ย ทำไมต้องให้สิบสามอยู่ต่อด้วยล่ะครับ ให้เขาอยู่ต่อมีประโยชน์อะไรครับ”

ฉินฝานพูดเสียงดังว่า “นายแกล้งเลอะเลือนใส่ฉันเหรอ เขาดื่มยาเปลี่ยนโลหิตของฉัน ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เขาคือคนของฉัน ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับนายอีกแล้ว ฉันจะพูดอีกรอบ ทิ้งคนใช้นายไว้ที่นี่ ส่วนนายไปได้แล้ว นายจะให้ฉันให้พวกนายสองคนอยู่ต่อเหรอ”

แสงเย็นเยือกปรากฏขึ้นในดวงตาลู่ฝาน เขาหันไปมองสิบสามแวบหนึ่ง

สิบสามมองลู่ฝานแล้วส่ายหน้าเบาๆ เดินช้าๆ มาด้านหลังลู่ฝาน แล้วพูดเสียงเบา “เจ้านาย!”

ลู่ฝานมองฉินฝานอีกครั้ง กดเสียงต่ำพูดว่า “เตี้ยนเซี่ย ทำไมเตี้ยนเซี่ยถึงไม่เป็นคนดีให้ถึงที่สุดละครับ”

ฉินฝานตบที่รองแขนเก้าอี้จนแหลกเป็นผุยผง ชี้หน้าลู่ฝานแล้วพูดว่า “คนดีเหรอ นายยังมีหน้ามาพูดกับฉันว่าคนดีอีกเหรอ ฉันดีกับนายขนาดนั้น แต่นายทำกับฉันขนาดนี้ วันนี้ฉันจะเป็นคนชั่วอย่างที่นายว่า รีบไสหัวออกไปก่อนที่ฉันจะเปลี่ยนใจ”

มือลู่ฝานจับกระบี่หนักไร้คมเอาไว้แน่นอีกครั้ง จากนั้นพูดว่า “เตี้ยนเซี่ย ขอโทษด้วย ในเมื่อเรามาด้วยกันสองคน ก็ต้องกลับไปด้วยกันสองคน!”

สีหน้าของฉินฝานเย็นชาลง เขาพูดเสียงลอดไรฟันออกมาว่า “ลู่ฝาน นายรนหาที่ตาย ฆ่า!”

เมื่อออกคำสั่ง องครักษ์เกราะทองยกอาวุธขึ้นอีกครั้ง แต่ทว่าลู่ฝานแผดเสียงดังว่า “สิบสาม ไปกันเถอะ!”

ทันใดนั้น แสงสว่างขึ้นเป็นแถบ ทั้งวังสั่นสะเทือนอย่างแรง

แสงค่ายกลเข้ามาในตัวลู่ฝานทันที เสียงของเจดีย์เสวียนเก้ามังกรดังขึ้นในตัวลู่ฝาน

“ฮ่าๆ ค่ายกลดีอีกแล้ว ฉันเกือบทำลายไม่ได้แล้ว! ยังดีที่ทำหน้าที่สำเร็จ เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ หนีเถอะ!”

เมื่อเสียงของเจดีย์เสวียนเก้ามังกรดังขึ้น วังทั้งวังเริ่มถล่มลงมา

ในเวลาเดียวกัน สิบสามเอาหินก้อนหนึ่งโยนลงพื้นอย่างแรง

ทันใดนั้น วงแสงปรากฏออกมา โจมตีออกไปพร้อมพลานุภาพอันน่าเกรงขามนับไม่ถ้วน

“ถอย!”

เสียงชราดังขึ้นตามมา เมื่อฟังดูดีๆ เหมือนจะเป็นเสียงของเทียนหยาจื่อ

ลู่ฝานดึงสิบสามขึ้นมา ใช้โอกาสตอนนี้เด้งตัวขึ้นไป

เท้าเหยียบอากาศ ตัวกลายเป็นแสงสีม่วง เหมือนสายฟ้าเหมือนหมอก หายไปอย่างรวดเร็ว!

ต่อมา เสียงโมโหของฉินฝาน ดังออกมาจากในห้อง คำรามด้วยความโกรธดังสนั่นไปถึงสวรรค์

“ลู่ฝาน นายต้องตาย!”

อึก อึก!

เห็นได้ด้วยตาเปล่าว่ายาเปลี่ยนโลหิตในหม้อ ลดลงอย่างรวดเร็ว

สิบสามเหมือนสัตว์อสูรที่ให้กินเท่าไรก็ไม่อิ่ม เพียงอึดใจเดียว เขาดื่มยาเปลี่ยนชีวิตทั้งหมดลงไปในท้อง

ตอนนี้กลางท้องฟ้า ลู่ฝานไม่สู้กับพวกองครักษ์เกราะทองแล้ว

มองสิบสามด้วยความตกตะลึง เหมือนเจอเรื่องที่เหลือเชื่อเป็นอย่างมาก

โดยเฉพาะองค์ชายรองฉินฝาน เขาแข็งเหมือนหินไปแล้ว มองสิบสามด้วยความตกตะลึง

ส่วนสิบสามเหมือนมองไม่เห็นแววตาตกตะลึงของทุกคน รีบดื่มยาเปลี่ยนชีวิตลงท้องอย่างรวดเร็ว

เมื่อยาเปลี่ยนชีวิตหยดสุดท้ายลงสู่ท้องของสิบสาม ตัวของสิบสามเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงทันที

เสื้อผ้าระเบิดออกเป็นอันดับแรก กล้ามเนื้อทั้งตัวขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว

เส้นเลือดสีเขียวเป็นเส้นๆ ที่น่ากลัว หลอดเลือดที่ดูทรงพลัง กล้ามเนื้อเป็นมัดๆ เหมือนหิน

เวลาเพียงพริบตาเดียว ตัวของสิบสามใหญ่ขึ้นหนึ่งเท่า

ตัวของเขาเหมือนหิน ดวงตาทั้งสองข้างมีสีม่วงประหลาดปรากฏขึ้น เมื่อเขากวาดตามอง ทุกคนรู้สึกจิตใจวูบไหวเล็กน้อย

มีอักษรยันต์สีดำขลับปรากฏขึ้นที่แก้ม เหมือนลายมารที่เขาโดนคนควบคุมในตอนนั้นมาก

แค่ครั้งนี้ สิบสามเป็นคนควบคุมลายมารพวกนี้ด้วยตัวเอง

เงยหน้าระเบิดเสียงคำรามออกมา เป็นเสียงคำรามของสัตว์อสูรชัดๆ

ฉินฝานมองท่าทางของสิบสาม เขาค่อยๆ ลุกขึ้น ชี้สิบสามแล้วพูดว่า “นาย……คนใช้อย่างนายกล้าทำลายยาเปลี่ยนโลหิตของฉัน ใครก็ได้มาฆ่าเขาที หั่นให้เป็นหมื่นชิ้น!”

ลู่ฝานรีบพูดเสียงดังว่า “หยุด! เตี้ยนเซี่ย เตี้ยนเซี่ยจะฆ่าเขาจริงเหรอ ถ้าเตี้ยนเซี่ยฆ่าเขาจะเสียของจริงๆ นะครับ”

ในเวลาเดียวกันองครักษ์เกราะทองสิบกว่าคน ไม่สนใจลู่ฝานแล้ว พวกเขาพุ่งเข้าไปหาสิบสาม อาวุธกำลังจะโดนตัวสิบสามแล้ว

จู่ๆ สีหน้าของฉินฝานเปลี่ยนไปเล็กน้อย เหมือนคิดอะไรได้ เขายกมือขึ้นแล้วพูดว่า “เดี๋ยวก่อน!”

องครักษ์เกราะทองสิบกว่าคน หยุดลงกลางอากาศทันที

กล้ามเนื้อบนหน้าฉินฝานกำลังกระตุก เขามองลู่ฝาน มองแล้วมองอีก จากนั้นพูดว่า “ฉันโมโหจนเกือบเลอะเลือนแล้ว นายพูดถูก ถ้าฉันฆ่าเขา งั้นยาเปลี่ยนโลหิตจะต้องเสียของจริงๆ”

ตอนนี้สิบสามดึงพลังตัวเองกลับมาอย่างรวดเร็ว ร่างกายกลับมาเป็นเหมือนเดิม

เขามองมือตัวเองอย่างไม่อยากเชื่อสักเท่าไร

แต่เพียงไม่นาน สีหน้าของสิบสามเปลี่ยนเป็นเรียบเฉย ลู่ฝานลอยช้าๆ ลงมาจากฟ้า เขามองสิบสามด้วยสายตาประหลาด แต่รอยยิ้มตรงมุมปากเหมือนกำลังพูดว่า ทำไมนายมีไหวพริบขนาดนี้

เหมือนสิบสามเข้าใจความหมายในรอยยิ้มของลู่ฝาน เขาก็ยกยิ้มมุมปาก ยิ้มออกมาบางๆ เช่นกัน

ฉินฝานกัดฟันกรอด เดินช้าๆ เข้ามา

ตอนเดินผ่านหม้อยาขนาดใหญ่ ฉินฝานเตะหม้อจนคว่ำลงพื้น แสดงให้เห็นว่าตอนนี้เขาอารมณ์ไม่ดี อารมณ์ไม่ดีสุดๆ!

เขามองลู่ฝานแล้วพูดว่า “นี่เป็นแผนที่นายเตรียมไว้แล้วสินะ ดีๆๆๆ! ลู่ฝาน นายเก่งจริงๆ คิดไม่ถึงว่าจะใช้วิธีให้คนใช้ดื่มยาเปลี่ยนโลหิตมาจัดการฉัน เมื่อเป็นเช่นนี้ ในเมื่อไม่มีของแล้ว ฉันก็ไม่สามารถแตะต้องนายได้อีกใช่ไหม แผนของนายช่างงดงามจริงๆ!”

ลู่ฝานพูดอย่างเฉยเมยว่า “เตี้ยนเซี่ย เรื่องถึงขนาดนี้แล้ว พูดเรื่องพวกนี้อีกจะมีประโยชน์อะไรล่ะครับ ในเมื่อไม่มียาเปลี่ยนโลหิตแล้ว ฉันคิดว่าควรทำอะไรก็ทำเถอะครับ ฉันยังคงช่วยเตี้ยนเซี่ยจัดการจางกวัง ได้โปรดเชื่อฉันสักครั้ง เตี้ยนเซี่ย แม้ฉันเพิ่งเข้าสู่แดนปราณดินได้ไม่นาน แต่ฉันมั่นใจว่าจะชนะจางกวังได้”

ฉินฝานกัดฟันพูดว่า “นายพูดว่าชนะก็ชนะได้เหรอ ยังไงฉันก็ไม่เชื่อสักนิด”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1054
ในเวลาเดียวกัน ลู่ฝานตะโกนเรียกไอ้เก้าในใจ

เมื่อเจดีย์เสวียนเก้ามังกรได้ยินเสียงตะโกนของลู่ฝาน ก็รู้ว่าลู่ฝานจะให้มันทำอะไร ไม่ต้องพูดอะไรมาก รีบลงมือทำลายค่ายกลทันที!

ลู่ฝานจ้ององครักษ์เกราะทองข้างหน้า แม้แต่เซียนบำเพ็ญชี่ เขาก็ยังไม่กลัว มีหรือที่จะกลัวพวกนักบู๊แดนปราณดินธรรมดา

ไม่รอให้องครักษ์เกราะทองลงมืออีกครั้ง ลู่ฝานเป็นคนชิงลงมือก่อน

หมุนกระบี่หนักไร้คมอย่างน่าตกใจ ง้างมือปล่อยท่าไม้ตายออกไป

“ยอดกระบี่หวนคืน!”

แสงสว่างเก้าสีสว่างขึ้น ปกคลุมทั้งวังเอาไว้ทันที

องครักษ์เกราะทองทั้งหมด ยกอาวุธขึ้นมาต้านทานเอาไว้พร้อมกัน สัตว์อสูรสามตัวส่งเสียงร้องอย่างดุดัน

มีเพียงฉินฝานที่ยังนิ่งดั่งขุนเขา พลังที่โจมตีเข้ามาหาเขา หายไปเองอย่างไร้ร่องรอย ไม่สามารถทำร้ายเขาได้เลย

ฉินฝานมองลู่ฝานอย่างเย็นชา ไม่ง่ายเลยกว่าเขาจะเตรียมยาเปลี่ยนโลหิตหม้อนี้จนเสร็จ การปฏิเสธของลู่ฝานทำให้เขารู้สึกเสียหน้ามาก

อีกอย่างถ้าคราวนี้ไม่สำเร็จ สิ่งที่เขาเตรียมไว้ทั้งหมด จะกลายเป็นเรื่องตลก เดิมทีเขาเตรียมดูพี่ชายสุดที่รักของเขา ไท่จื่อที่เป็นตัวตลก

ถ้าเป็นตัวตลกไม่สำเร็จ กลับโดนคนอื่นหัวเราะเยาะ งั้นก็แย่สิ แย่มากๆ!

ฉินฝานโมโหมาก เขาต้องการเห็นลู่ฝานคุกเข่าอ้อนวอน และดื่มยาเปลี่ยนชีวิตจนหมดทั้งหม้อ ด้วยตาของเขาเอง

ตอนนี้การต่อสู้ของลู่ฝาน เขาคิดว่าก็แค่พยายามดิ้นเฮือกสุดท้ายหนีความตาย

แดนปราณดินธรรมดาๆ จะเอาชนะองครักษ์เกราะทอง คนปัญญาอ่อนเพ้อฝันชัดๆ

“ก่อตัว!”

จู่ๆ แสงสีทองแต่ละแสงพุ่งขึ้นมา ทำลายแสงเก้าสีของลู่ฝานทันที

ปราณชี่ของลู่ฝานโจมตีใส่องครักษ์เกราะทอง เหมือนไข่ไก่กระแทกกับหิน หลังจากเกิดเสียงกระทบดังชัดเจน ก็สลายหายไปเอง

อาวุธสีทองระยิบระยับสิบกว่าชิ้น แทงเข้ามาในอากาศเวิ้งว้างทันที

ไม่ต้องใช้ตามอง องครักษ์เกราะทองก็สามารถแทงโดนตัวลู่ฝาน

ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง!

เสียงปะทะดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง พลังแข็งแกร่งขององครักษ์เกราะทอง ทำให้ลู่ฝานมีเลือดพุ่งขึ้นมาบนคอ จนเกือบจะกระอักเลือดออกมา

แต่ลู่ฝานฝืนกลืนเลือดกลับลงไป ไม่เพียงแค่นั้น เขาสะบัดกระบี่ ฟันลงตรงหน้าอกขององครักษ์เกราะทองคนหนึ่งอย่างแรง

“ครั้งที่หนึ่ง ฟ้าดินสะเทือน ทำลาย!”

เสียงระเบิดดังขึ้น เกราะทองบนตัวองครักษ์คนนี้ระเบิดออกเป็นชิ้นๆ กระเด็นออกไป ปักลงบนพื้นอย่างแรง ค่ายกลทั้งค่ายกลสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง

ฉินฝานมองตาค้าง คิดไม่ถึงว่าลู่ฝานจะโจมตีพลังเกราะทองจนกระจาย!

นี่เป็นเรื่องที่นักบู๊แดนปราณดินระดับสูงสุดจำนวนมาก ไม่สามารถทำได้!

ฟาดฟันคนจนกระเด็นด้วยกระบี่เดียว แต่ต่อมาร่างกายของลู่ฝานโดนโจมตีอีกแล้ว

เกราะเกล็ดมังกรมีรอยเต็มไปหมด ในเวลาเดียวกันก็กำลังฟื้นฟูอย่างต่อเนื่อง

มุมปากลู่ฝานมีเลือด แต่พลานุภาพทั้งตัว กลับพลุ่งพล่านไม่หยุด

สู้จนตัวตายไม่ยอมถอย นักบู๊มีเพียงความตายเท่านั้น!

ลู่ฝานแผดเสียงออกมา เปลวเพลิงและสายไฟพุ่งขึ้นบนตัว

แต่ขณะนั้นเอง จู่ๆ มีเสียงตุ้บดังขึ้นอย่างชัดเจน

ทุกคนก้มหน้ามอง เห็นใครคนหนึ่งกระโดดเข้าไปในหม้อ เริ่มดื่มยาเปลี่ยนโลหิตอึกใหญ่

“อะไรกัน”

ลู่ฝานลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ตะโกนเสียงหลงด้วยความตกใจ

เมื่อลู่ฝานเห็นคนคนนี้ก็อึ้งไป เขาตะโกนว่า “สิบสาม นายทำอะไร”

สิบสามเงยหน้ามองลู่ฝานแวบหนึ่ง พยักหน้าเบาๆ จากนั้นดื่มยาเปลี่ยนโลหิตต่อ

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1053
ลู่ฝานมองฉินฝานแล้วค่อยๆ พูดว่า “เตี้ยนเซี่ย ถ้าเตี้ยนเซี่ยเสียดายก็ดื่มเองสิ ถ้าเตี้ยนเซี่ยคิดว่าเทียบกับพละกำลัง สิ่งที่ต้องแลกมันไม่สำคัญ งั้นเตี้ยนเซี่ยก็ดื่มเองสิ ฉันไม่สนใจยาเปลี่ยนโลหิตสักนิด เตี้ยนเซี่ยได้โปรดอย่าบังคับฉัน!”

ในที่สุดสีหน้าฉินฝานเปลี่ยนไปแล้ว จากใบหน้าที่มีรอยยิ้มสดใส แปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าเย็นยะเยือก

ฉินฝานค่อยๆ เดินกลับไป นั่งลงอย่างดุดันเคร่งขรึม

ฉินฝานเงยหน้ามองลู่ฝาน แล้วพูดเสียงเย็นชาว่า “ลู่ฝาน ฉันไม่อยากบาดหมางกับนายเพราะเรื่องนี้ ฉันคิดว่านายเป็นนักบู๊ที่มีศักยภาพมาก ฉันแค่อยากดึงนายให้ก้าวหน้าเร็วขึ้นเล็กน้อย ถ้านายดื่มยาเปลี่ยนโลหิตหม้อนี้ ฉันยอมรับนายเข้ามาในจวนฉัน เป็นองครักษ์ส่วนตัวของฉัน ร่วมสร้างความยิ่งใหญ่ไปกับฉัน”

ลู่ฝานส่ายหน้าพูดว่า “เตี้ยนเซี่ย ฉันยิ่งไม่สนใจสิ่งนี้ ถ้าองค์ชายรองไม่อยากบาดหมางกับฉันจริงๆ ได้โปรดปล่อยฉันไปเถอะ ส่วนเรื่องสู้กับจางกวัง ฉันจะสู้เหมือนเดิม เตี้ยนเซี่ยวางใจได้เลย”

ฉินฝานพูดว่า “ให้ฉันวางใจงั้นเหรอ เหอะๆ วางใจที่เห็นนายแพ้เหรอ วางใจที่เห็นจางกวังโอ้อวดความน่าเกรงขามของจวนไท่จื่อต่อไปงั้นเหรอ ลู่ฝาน ในเมื่อวันนี้นายมาแล้ว ไม่ว่านายจะยินดีหรือไม่ยินดี ยาเปลี่ยนโลหิตหม้อนี้เป็นของนายแล้ว ไม่อยากดื่มก็ต้องดื่ม จับตัวไว้!”

เมื่อออกคำสั่ง องครักษ์เกราะทองที่อยู่รอบๆ เคลื่อนไหวทันที

องครักษ์เกราะทองสิบกว่าคน ลงมือพร้อมกัน แทงมาทางลู่ฝานอย่างพร้อมเพรียง พละกำลังของแต่ละคนอยู่ระดับแดนปราณดินขึ้นไป!

ลู่ฝานจับตัวสิบสามแล้วพุ่งขึ้นไปด้านบน เมื่อฝ่าเท้าแตะลงกลางอากาศ เงามีแสงสีม่วงขึ้นเป็นแถบ รอดจากการล้อมฆ่าขององครักษ์เกราะทองได้ทันที

อากาศระเบิดออก แสงสีทองสะดุดตาเป็นแถบ

ฉินฝานเห็นภาพนี้ เขายิ้มเย็นชาแล้วพูดว่า “นายฝึกรวดเร็วจริงๆ รู้เคล็ดยำก้าวยอดเมฆาฟ้าแล้ว!”

ลู่ฝานไม่สนใจฉินฝาน เขาพุ่งไปบนหลังคาอย่างรวดเร็ว ฟาดฟันกระบี่ออกไป ปราณกระบี่รูปจันทร์เสี้ยวฟันลงบนหลังคาอย่างแรง

ถึงเป็นหลังคาที่ทำจากหินศิลาดำ ลู่ฝานก็มั่นใจว่าจะฟันขาดด้วยกระบี่เดียว

แต่ต่อมา เสียงอึกทึกดังขึ้นมา ห้องสั่นไหวอยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆ หลังคาสูงขึ้นหลายร้อยฟุต

ลู่ฝานตะลึงทันที เสียงของฉินฝานดังขึ้น

“จะหนีเหรอ ในค่ายกลใร้สิ้นสุด มีทางเข้าออกเพียงทางเดียว นายหนีให้ฉันดูสิ!”

ทันใดนั้น ลู่ฝานมองไปยังทางที่เข้ามา แต่ขณะนั้นองครักษ์เกราะทองสิบกว่าคนพุ่งเข้ามาเช่นกัน

“กรงคุกฟ้าดิน!”

แสงสิบกว่าแสงฟาดฟันทำลายอากาศ เหลือเป็นรอยแตกของอากาศอยู่รอบตัวลู่ฝาน ขังลู่ฝานเอาไว้ในอากาศเวิ้งว้างที่แคบและเล็ก

จู่ๆ รู้สึกเบาที่มือ สิบสามโดนแสงสีทองฟาดฟันเสื้อจนขาด และร่วงลงไปข้างล่าง

ตอนร่างกายผ่านรอยแยกมิติ มีรอยแผลเกิดขึ้นมาอีกหลายสิบรอย

ปราณชี่บนตัวลู่ฝานพุ่งขึ้นอย่างบ้าคลั่ง จ้ององครักษ์เกราะทองที่แข็งแกร่งสิบกว่าคนนี้

เสียงของฉินฝานดังขึ้นอีกครั้ง

“ลู่ฝาน ฉันจะให้โอกาสนายอีกครั้ง ถ้านายดื่มยาเปลี่ยนโลหิตจนหมดไม่เหลือสักหยด วันนี้ฉันจะปล่อยนายไป”

เสียงดังพลั่ก สิบสามร่วงลงมาบนพื้น ทุกคนไม่แม้แต่จะมองเขา

มีเพียงลู่ฝานที่มองสิบสามแวบหนึ่ง เมื่อพบว่าเขายังขยับได้ จึงละสายตาออกมา

ยกกระบี่หนักไร้คมขึ้นสูง ลู่ฝานพูดเสียงดังว่า “จะฆ่าฉันก็เข้ามา ไม่จำเป็นต้องพูดเยอะ คนอย่างฉันไม่ชอบการข่มขู่!”

ฉินฝานโมโหแล้ว ชี้นิ้วใส่ลู่ฝานแล้วพูดว่า “จัดการเขาจนกว่าจะยอม พวกนายก็ไปด้วย!”

สัตว์อสูรสองสามตัวที่กำลังกวนของเหลวอยู่ พากันลุกขึ้นแล้วเหาะขึ้นมา มองไปทางลู่ฝานเขม็ง

ลู่ฝานไม่กลัวสักนิด พลังพุ่งขึ้นถึงจุดสูงสุด

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1052
ลู่ฝานถอยไปด้านหลังหนึ่งก้าว มององค์ชายรองฉินฝานด้วยใบหน้าหวาดระแวง

ลู่ฝานรู้อยู่บ้างว่ายาเปลี่ยนโลหิตคืออะไร

อันดับแรก ยาเปลี่ยนโลหิตไม่ใช่ยาที่ถูกต้อง แต่เป็นยาชนิดหนึ่งที่ผู้ฝึกชั่วร้ายคิดค้นขึ้นมา

ถึงขนาดที่มันไม่มีรูปทรงของยา อย่างเช่น ของเหลวหนืดในหม้อข้างหน้า พูดให้ถูกต้องคือ มันไม่ใช่ยาสักนิด

แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันมีประสิทธิภาพ ที่ยาทั่วไปไม่สามารถทำได้

ยาเปลี่ยนโลหิต ความหมายตามชื่อ นั่นคือเปลี่ยนเลือดในตัวคน

แม้การพูดแบบนี้ไม่ผิด แต่ไม่ได้อธิบายประสิทธิภาพแท้จริงของยาเปลี่ยนโลหิตได้สมบูรณ์

ถ้าพูดให้ถูกต้องคือ ประโยชน์ของยาเปลี่ยนโลหิตคือ เปลี่ยนให้คนคนหนึ่งเป็นสัตว์ประหลาด ที่จะเป็นคนก็ไม่ใช่ ผีก็ไม่เชิง

ในข่าวลือ ยาเปลี่ยนโลหิตที่มีชื่อเสียงที่สุด คือยาที่ปีศาจชั่วร้ายโอวหยางยุ่นกลั่นออกมา เมื่อสามสิบปีที่แล้ว

เขาทำให้หลี่ชุน ผู้แข็งแกร่งเซียนบู๊ที่ห้าวหาญองอาจ มีพลังเป็นอย่างมาก ขนาดจะตายยังต้องตายอย่างสง่างามสูงส่ง เปลี่ยนเป็นผู้หญิงขณะที่มีชีวิตอยู่

เป็นผู้หญิงแท้ๆ อวัยวะของร่างกาย รูปร่างหน้าตา ทุกอย่างไม่แย่เลย เป็นผู้หญิงแบบสุดๆ

ถึงเป็นลู่ฝานที่อยู่เขตตงหวาอันไกลแสนไกล ก็ยังเคยได้ยินเรื่องนี้ ข่าวแพร่ไปทั่วโลกจริงๆ ตอนเด็กๆ เมื่อลูกหลานตระกูลลู่ได้ยินชื่อปีศาจชั่วร้ายโอวหยาง ไม่มีใครที่ไม่หน้าเปลี่ยนสี

วันนี้ได้เห็นยาเปลี่ยนโลหิตในตำนาน มีเหตุผลอะไรที่ลู่ฝานจะไม่ถอย เขายังไม่อยากกลายเป็นผู้หญิงนะ!

ฉินฝานเห็นท่าทางหวาดระแวงของลู่ฝาน เขาหัวเราะเสียงดังแล้วพูดว่า “สหายลู่ฝาน นายคงไม่ได้กลัวใช่ไหม นักกระบี่แห่งตงหวาผู้ยิ่งใหญ่ มีสิ่งที่กลัวด้วยเหรอ พูดออกไปก็ไม่มีใครเชื่อ!”

ลู่ฝานชี้ของเหลวสีเขียวที่เดือดปุดๆ อยู่ในหม้อ แล้วพูดว่า “เตี้ยนเซี่ย ถ้าเตี้ยนเซี่ยจะให้ฉันกินสิ่งนี้ งั้นเลิกพูดเถอะ! ฉันยอมอาศัยพละกำลังของตัวเองไปสู้กับจางกวัง”

ฉินฝานลุกขึ้นเดินเข้ามาหาลู่ฝาน เดินพลางพูดว่า “สหายลู่ฝาน อย่าหัวรั้นขนาดนั้นสิ ฉันรู้ว่าชื่อเสียงของยาเปลี่ยนโลหิตแย่มาก แต่ยาเปลี่ยนโลหิตของแต่ละคนแตกต่างกัน ของฉันไปหาสูตรยาดีสมัยโบราณมาเลยนะ เป็นยาเปลี่ยนโลหิตที่ดีแน่นอน ไม่มีทางทำให้นายเป็นสัตว์ประหลาด ที่แยกไม่ออกว่าเป็นผีหรือคนหรอก และไม่ทำให้นายกลายเป็นผู้หญิงด้วย แค่ปรับเปลี่ยนร่างกายของนาย ทำให้นายมีพลังเหมือนสัตว์อสูรเท่านั้น อีกทั้งยังทำให้นายกลายร่างเป็นสัตว์อสูรอย่างแท้จริงด้วย ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เดินในป่าเขา เที่ยวในใต้หล้า ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะเจอสัตว์อสูรแล้ว”

ลู่ฝานพูดเสียงดังว่า “สิ่งที่ต้องแลกคือตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ฉันจะไม่ใช่คนอีกแล้วใช่ไหม”

ฉินฝานพูดว่า “จะพูดแบบนั้นก็ไม่ได้ นายยังสามารถคงรูปร่างของมนุษย์ได้ แต่……”

ลู่ฝานพูดเสียงขรึมว่า “แต่อะไรครับ เตี้ยนเซี่ย ถ้าเตี้ยนเซี่ยอยากให้ฉันดื่มสิ่งเหล่านี้ หวังว่าคุณจะบอกความจริงนะครับ”

ฉินฝานพูดว่า “แต่ในนี้มีออร่าปีศาจ หลังจากดื่มแล้ว ต่อไปนายจะฝึกได้แค่วิชาของผู้ฝึกชั่วร้าย แต่เมื่อเทียบกับพละกำลัง สิ่งที่ต้องแลกก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร”

เมื่อลู่ฝานได้ยิน ก็ก้าวถอยไปด้านหลังอีกก้าว แล้วพูดว่า “เตี้ยนเซี่ย ฉันยังไม่อยากเป็นผู้ฝึกชั่วร้าย และไม่อยากโดนทั้งโลกตามฆ่านะครับ”

ฉินฝานพูดเสียงดังว่า “มีฉันคุ้มครองนายอยู่ ใครจะทำอะไรนายได้ สหายลู่ฝาน ยาเปลี่ยนโลหิตหม้อข้างหน้า ไม่รู้ต้องเสียของดีไปตั้งเท่าไร กว่าจะทำออกมาได้ ด้านในยังมียาวิเศษอีกครึ่งต้นด้วยนะ เรียกได้ว่าทั้งโลกมีแค่หม้อนี้หม้อเดียว ปริมาณก็เพียงพอแค่คนเดียว ทำเพื่อนายโดยเฉพาะเลยนะ อย่าบอกนะว่านายจะให้ฉันขาดทุนย่อยยับงั้นเหรอ”

ตอนนี้น้ำเสียงของฉินฝานดูมีความแข็งกร้าวขึ้นเล็กน้อย

จู่ๆ พวกองครักษ์เกราะทองเอาอาวุธออกมา ล้อมลู่ฝานกับสิบสามเอาไว้

มือของลู่ฝาน กดลงบนกระบี่หนักไร้คมของตัวเอง สิบสามก้มหน้าลง มือกำหินก้อนเล็กที่อยู่ในอกจนแน่น

รถม้าคันนี้ คือรถม้าที่องค์ชายรองฉินฝานนั่ง ลู่ฝานกับสิบสามเดินตรงเข้าไปทันที แต่เห็นเพียงองครักษ์เกราะทอง ไม่เห็นตัวองค์ชายรองฉินฝาน

องครักษ์เกราะทองคนหนึ่งพูดอย่างนอบน้อมว่า “คุณชายลู่โปรดรอสักครู่ เตี้ยนเซี่ยรอคุณชายอยู่นอกเมือง!”

“นอกเมืองเหรอ”

ลู่ฝานพูดอย่างสงสัย “บอกว่าไปในเมืองไม่ใช่เหรอ”

องครักษ์เกราะทองไม่พูดอะไรแล้ว ทำเพียงยืนนอบน้อมอยู่ข้างๆ เหมือนหุ่นเชิดตัวหนึ่ง

ลู่ฝานก็ไม่ถามอะไรมากอีก เห็นได้ชัดว่าถึงถามไปก็ไม่มีคำตอบ รถม้าเคลื่อนตัวพุ่งเข้าไปในอุโมงค์ข้ามมิติ

หลับตาลงพักสายตา ลู่ฝานตัดสินใจนั่งรออยู่ตรงนั้น

ในเวลาเดียวกัน สิบสามยืนเล่นก้อนหินเล็กๆ ในมืออยู่ข้างๆ

หลังเวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป รถม้าหยุดลง

เมื่อเดินออกจากรถม้า สิ่งที่ปรากฏอยู่ในสายตาคือ คฤหาสน์ที่เงียบสงบไร้ผู้คนแห่งหนึ่ง

ลู่ฝานคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะมีสถานที่แบบนี้ในเมืองหลวง เขาเข้าใจว่าเมืองหลวงจะมีแต่สิ่งก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่ตระการตา คิดไม่ถึงว่าจะมีคฤหาสน์ที่เงียบเหงาแบบนี้ด้วย

เมื่อมองไป บริเวณรอบๆ สิบลี้ มีหญ้ารกสูงประมาณครึ่งตัวคน

เรือนโดดเดี่ยวแห่งหนึ่ง ประตูเปิดอยู่ข้างหนึ่งส่วนอีกข้างปิดไว้ อีกทั้งยังผุเป็นรูใหญ่ ขนาดที่คนสามารถมุดเข้าไปได้ ไม่รู้ว่าประตูนี้ยังใช้งานอะไรได้อีก

องครักษ์เกราะทองกลุ่มหนึ่งเดินออกมา หัวหน้าองครักษ์เกราะทองพูดกับลู่ฝานว่า “เชิญครับคุณชายลู่!”

ลู่ฝานขมวดคิ้วแน่น สูดหายใจลึกแล้วเดินช้าๆ เข้าไปข้างใน

เดินผ่านประตูใหญ่ที่ผุพัง ผ่านกำแพงกระดำกระด่าง เดินผ่านลานด้านหน้ามาถึงด้านในสุดของคฤหาสน์

องครักษ์เกราะทองพาลู่ฝานมาถึงด้านนอกห้องห้องหนึ่ง ห้องที่เต็มไปด้วยใยแมงมุม ดูเหมือนไม่มีคนอยู่นานมาก ใยแมงมุมหน้าประตูเกือบรวมกันเป็นกำแพงแล้ว

องครักษ์เกราะทองพูดกับลู่ฝานว่า “เชิญข้างในครับคุณชายลู่!”

ลู่ฝานจ้ององครักษ์เกราะทองเขม็ง เพื่อให้แน่ใจว่าไอ้ตัวใหญ่นี่ไม่ได้ล้อเขาเล่น ลู่ฝานกัดฟันเดินผ่านใยแมงมุมไป

ลู่ฝานยื่นมือออกมา จะดึงใยแมงมุมออก แต่มือเพิ่งสัมผัสกับใยแมงมุม จู่ๆ ลู่ฝานกลับรู้สึกว่าหัวของตัวเองทะลุผ่านไป เหมือนทะลุม่านน้ำหนึ่งชั้น

วิชาพรางตา!

ลู่ฝานก้าวเข้าไปหนึ่งก้าวทันที จู่ๆ สิ่งที่ปรากฏในสายตาคือวังแห่งหนึ่ง วังสีทองระยิบระยับ!

ข้างบนวัง ฉินฝานนั่งทำสมาธิอยู่ตรงนั้น เมื่อเห็นลู่ฝานก็พูดด้วยรอยยิ้ม “ลู่ฝาน นายมาแล้วเหรอ มาดูของที่ฉันเตรียมไว้ให้นายสิ!”

จู่ๆ ลู่ฝานมองเข้าไปในโถงใหญ่ เห็นสัตว์อสูรขนาดใหญ่สองสามตัวกำลังต้มยา หม้อยาขนาดใหญ่หนึ่งหม้อ ของเหลวสีเขียวในหม้อมีความหนืด อีกทั้งยังเดือดปุดจนเป็นฟองอย่างต่อเนื่อง สัตว์อสูรหัวเป็นวัว ตัวเป็นสิงจำนวนสามตัว ตัวสูงประมาณสามเมตรกว่า ต่างถือกระบองกระดูกขนาดใหญ่ไว้ในมือคนละอัน กำลังกวนอย่างต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้ของเหลวจับตัวกัน ด้านล่างหม้อยักษ์ มีเปลวไฟสีขาวดำลุกโชนอยู่อย่างต่อเนื่อง “นี่คืออะไร”

ลู่ฝานเดินไปข้างหน้า พลางถามออกมา

ฉินฝานหัวเราะเสียงดัง ลุกขึ้นมาจากบัลลังก์ ชี้ของเหลวในหม้อขนาดใหญ่แล้วพูดว่า “น้ำหุ่นเชิดสัตว์จิตเย็น เคยได้ยินไหม”

ลู่ฝานส่ายหน้าพูดว่า “ไม่เคยได้ยินเลยครับ”

ฉินฝานพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่เคยได้ยินชื่อนี้ก็ไม่เป็นไรหรอก แต่อีกชื่อหนึ่งนายน่าจะเคยได้ยิน ยาเปลี่ยนโลหิต!”

ทันใดนั้น ลู่ฝานชะงักฝีเท้าลง พูดอย่างตะลึงว่า “คุณว่าอะไรนะ นี่คือยาเปลี่ยนโลหิตเหรอ”

ฉินฝานพูดด้วยรอยยิ้ม “ใช่ ถ้าพูดให้ถูก นี่คือยาเปลี่ยนโลหิตที่ฉันเพิ่มความแข็งแกร่งเข้าไป เป็นยาเปลี่ยนโลหิตที่สามารถทำให้นายเป็นผู้แข็งแกร่งระดับสุดยอด ภายในระยะเวลาเพียงสั้นๆ ลู่ฝาน นายมาลองสิ!”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1050
ลู่ฝานบีบยันต์หยกไว้ในมือ มองถิงยวนกับอาจารย์เหลยออกไป

มองด้านหลังของทั้งสองคน จู่ๆ เขาเกิดความสงสัยในตัวอาจารย์ของตัวเองเป็นอย่างมาก ตอนนี้เขาอยากไปหาอาจารย์หวูเฉิน เพื่อถามให้แน่ชัด

เทียนหยาจื่อก็เกิดความสงสัยในตัวลู่ฝานเหมือนกัน เขาเรียบเรียงคำพูดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นพูดกับลู่ฝานว่า “ลู่ฝาน บอกฉันได้ไหมว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ฉันรู้จักเจ้าเหลยกับถิงยวนมานานแล้ว พวกเขาเป็นอาจารย์ของสถาบันบู๊องอาจ โดยปกติจะหยิ่งจองหองจนไม่ยอมทักทายนักบู๊คนอื่นเลย ทำไมถึงนอบน้อมกับนายขนาดนี้ อีกทั้งจิ่วเซียวอะไรนั่นด้วย หมายความว่ายังไงกันแน่ นายมีความเป็นมาอะไรกับสาขาสายฟ้าเหรอ”

ลู่ฝานส่ายหน้าพูดว่า “ผมไม่มีแน่นอนครับ ถ้าจะมีก็คงเป็นอาจารย์ผม ผมไม่รู้ครับ ตอนนี้ผมก็สงสัยมาก แต่ดูเหมือนอาจารย์ผมมีบุญคุณใหญ่หลวงต่อพวกเขา ถึงขนาดที่พวกเขาเจอผม ยังต้องทำความเคารพ ท่านผอ. สองคนนี้เชื่อได้ไหม”

เทียนหยาจื่อพูดอย่างมั่นใจว่า “ได้ แม้ปกติสองคนนี้จะเย่อหยิ่งจองหอง แต่ก็เป็นคนที่ซื่อสัตย์ สาขาสายฟ้าก็เป็นสาขาใหญ่ที่มีชื่อเสียงมานาน ยังไม่ถึงกับทำเรื่องที่น่ารังเกียจ”

ลู่ฝานพูดว่า “งั้นก็ดีครับ หลังจากผมจัดการเรื่องที่เมืองหลวงเรียบร้อย ผมจะไปที่สาขาสายฟ้าของพวกเขา”

เทียนหยาจื่อพยักหน้าพูดว่า “ได้ แต่ทำอะไรต้องระวัง ถ้าเป็นไปได้ ทางที่ดีนายไปถามอาจารย์นายให้ชัดเจนก่อนดีกว่า!”

เมื่อได้ยิน ลู่ฝานถอนหายใจยาวออกมา

เขาก็อยากไปหาอาจารย์ของตัวเองเหมือนกัน แต่หาเจอง่ายขนาดนั้นที่ไหนกันล่ะ

แม้อาจารย์พูดไว้ว่าตัวเองมาเมืองหลวงแล้ว แต่เมืองหลวงใหญ่ขนาดนี้ จะหาใครสักคน มันยากมากเลยนะ

ตอนนี้ลู่ฝานทำได้เพียงฝากความหวังกับคนอื่น ถ้าชื่อเสียงของตัวเองโด่งดังกว่านี้อีกหน่อย ไม่แน่ตอนเทศกาลเซ่นไหว้ประจำปี อาจารย์อาจชมอยู่ด้านล่างเวทีก็ได้

เก็บยันต์หยกที่ถิงยวนให้เขา ลู่ฝานกับเทียนหยาจื่อจะนั่งดื่มเหล้ากันต่อ

แต่ขณะนั้น มีเงาใครคนหนึ่งปรากฏออกมา เป็นเทียนเหวินหยู่ที่พาลู่ฝานกับสิบสามเข้ามา

“ผู้อาวุโสเทียนหยาจื่อ คุณชายลู่ฝาน องค์ชายรองส่งคนมาเชิญคุณชายลู่ไปคุยครับ”

ลู่ฝานหัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “มาแล้ว มาเร็วจริงๆ! เดิมทีผมคิดว่าจะต้องรอสักสองสามวันเสียอีก”

เทียนหยาจื่อพูดว่า “ลู่ฝาน อย่าลืมที่ฉันพูดกับนาย ทำเรื่องให้ใหญ่สักหน่อย อย่าเป็นสุนัขรับใช้ขององค์ชายรองเด็ดขาด”

“ศิษย์จะจำไว้ครับ!”

ลู่ฝานทำความเคารพเทียนหยาจื่อเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นเดินออกไปข้างนอก

สิบสามรีบเดินตามไป แต่ขณะนั้นเอง จู่ๆ เทียนหยาจื่อดึงสิบสามเอาไว้

ขยับปากเบาๆ สิบสามได้ยินเทียนหยาจื่อส่งกระแสจิตมาข้างหูเขา “นายยอมสละชีวิตเพื่อลู่ฝานไหม”

สีหน้าสิบสามวูบไหวเล็กน้อย มองด้านหลังลู่ฝานแล้วพยักหน้าช้าๆ

เสียงของเทียนหยาจื่อดังมาอีก “งั้นก็ดี วันนี้นายต้องช่วยลู่ฝานต้านทานทุกอย่าง เมื่อถึงเวลาจำเป็น ให้ช่วยลู่ฝานออกมา”

เมื่อพูดจบ สิบสามรู้สึกว่าตรงเอวของตัวเองมีอะไรบางอย่าง เมื่อใช้นิ้วสัมผัส เหมือนเป็นหินก้อนเล็กๆ ด้านบนมีแสงอักษรยันต์สลัว

สิบสามไม่มองสักนิด ในใจเขารู้อยู่แล้ว รีบเดินตามลู่ฝานไปทันที

เทียนหยาจื่อมองสิบสาม แล้วมองลู่ฝาน เขาหัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “จะเลื่อนตำแหน่งอย่างสบาย หรือจะถูกขังอยู่ในคุก ขึ้นอยู่กับวันนี้แล้ว ลู่ฝานนะลู่ฝาน นายอย่าเลือกผิดเด็ดขาด!” ……

เดินออกมาจากคฤหาสน์ตระกูลเทียนอย่างรวดเร็ว รถม้าคันหนึ่งรออยู่ที่หน้าประตูนานแล้ว

ลู่ฝานฟังไปพลาง เปิดใจกว้างจดจำเอาไว้

หลังผ่านไปครึ่งชั่วโมง ในที่สุดอาจารย์เหลยกับอาจารย์ถิงยวนก็รีบกลับมา

ทั้งสองกลายเป็นลำแสง เพิ่งลงมาถึงพื้นก็ดึงลู่ฝานขึ้นมา

“ลู่ฝาน มาๆ ตามพวกเราไปข้างนอกหน่อย”

อาจารย์เหลยพูดด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า

เทียนหยาจื่อก็พูดขึ้นมาว่า “เจ้าเหลย พวกนายจะทำอะไร จะพาเขาไปไหน”

ถิงยวนพูดว่า “กลับสาขา อาจารย์มีคำสั่งให้พาลู่ฝานกลับไปที่สาขาสายฟ้า!”

เทียนหยาจื่อได้ยินคำว่าอาจารย์ ตกใจจนหน้าเปลี่ยนสีทันที “ท่านอาจารย์ของพวกนายเหรอ อย่าบอกนะว่าท่านที่อยู่บนเขาคนนั้น”

อาจารย์เหลยพยักหน้าพูดว่า “ใช่ เทียนหยาจื่อ นายวางใจเถอะ เราไม่ทำอะไรลู่ฝานแน่นอน ประมาณ 10-15 วันก็กลับมาแล้ว ไม่นานหรอก”

ลู่ฝานรีบผละออกมา มองอาจารย์เหลยแล้วพูดว่า “10-15 วันเหรอครับ ไม่ได้ครับๆ ผมยังมีเรื่องสำคัญต้องทำ พวกคุณมีเรื่องอะไรกันแน่ครับ ผมต้องไปด้วยเหรอครับ”

อาจารย์เหลยขมวดคิ้วพูดว่า “ลู่ฝาน อย่าบอกนะว่านายไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับสาขาสายฟ้า”

ลู่ฝานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เหมือนเคยได้ยินรางๆ จากที่ไหนครั้งหนึ่ง แต่จำไม่ได้แล้วจริงๆ

ลู่ฝานส่ายหน้าพูดว่า “ไม่รู้จักครับ”

อาจารย์เหลยกับอาจารย์ถิงยวนมองหน้ากัน ถิงยวนพูดว่า “ลู่ฝาน แหวนในมือนาย เป็นแหวนจิ่วเซียวเชียวนะ”

ลู่ฝานพยักหน้าพูดว่า “ใช่ครับ อย่าบอกนะว่าเกี่ยวข้องกัน แต่อาจารย์บอกผมว่าคนที่เกี่ยวข้องกับแหวนนี้ตายไปหมดแล้ว เหลือแค่ผมกับอาจารย์สองคน”

อาจารย์เหลยตกตะลึง

“อาจารย์! นายมีอาจารย์ด้วย! อาจารย์นายยังมีชีวิตอยู่ไหม ชื่ออะไร”

ลู่ฝานพูดว่า “ขอโทษด้วยครับ อาจารย์สั่งไว้ว่าห้ามบอก อาจารย์ผมยังมีชีวิตอยู่ครับ”

เหมือนถิงยวนนึกอะไรขึ้นได้ เขาพูดด้วยสายตาประหลาด “ลู่ฝาน อาจารย์นายแซ่หวูใช่ไหม”

ลู่ฝานพูดอย่างตกใจว่า “รู้ได้ยังไง”

ทันใดนั้นถิงยวนกับอาจารย์เหลยทรุดลงบนพื้นทันที

แววตาที่ทั้งสองคนมองลู่ฝาน เหมือนเห็นผี ลูกตาแทบจะหลุดออกมาแล้ว

ลู่ฝานกับเทียนหยาจื่อมองทั้งสองคนอย่างไม่เข้าใจ เห็นได้ชัดว่าเทียนหยาจื่อก็ไม่ค่อยรู้ แต่เขารู้สึกว่าเรื่องราวดูผิดปกติ อย่าบอกนะว่าอาจารย์ของลู่ฝาน เป็นผู้สูงส่งระดับเทพ

ผ่านไปนาน อาจารย์เหลยค่อยๆ พูดว่า “เป็นแบบนี้จริงด้วย ท่านอาจารย์พูดไว้นานแล้วว่าท่านหวูไม่มีทางตาย”

ถิงยวนลุกขึ้นยืน จู่ๆ เขาคุกเข่าข้างหนึ่งลงบนพื้น ก้มตัวคำนับลู่ฝาน

ลู่ฝานตกใจจนช็อก อาจารย์เหลยเห็นการกระทำของถิงยวน คิดไม่ถึงว่าเขาจะคุกเข่าทำความเคารพเช่นกัน

จู่ๆ สายตาที่เทียนหยาจื่อมองลู่ฝานเปลี่ยนไป

ลู่ฝานพูดอย่างตกใจว่า “พวกคุณทำอะไรครับ รีบลุกขึ้นเถอะครับ”

ถิงยวนค่อยๆ พูดว่า “ศิษย์สาขาสายฟ้าทุกคน พบศิษย์ของท่านหวู ก็เหมือนกับพบท่านหวู คุณชายลู่จะไม่ยอมกลับไปสาขาสายฟ้ากับเราจริงๆ เหรอครับ ถ้าท่านอาจารย์เจอนาย ต้องดีใจเป็นอย่างมากแน่นอน”

ลู่ฝานส่ายหน้าพูดว่า “ไม่ครับ ผมไปไม่ได้ อย่างน้อยตอนนี้ก็ยังไปไม่ได้ครับ”

อาจารย์เหลยกัดฟันพูดว่า “งั้นก็ได้ เราบังคับคุณชายลู่ไม่ได้ รอให้คุณชายลู่จัดการเรื่องเรียบร้อย แล้วตามเราไปสาขาสายฟ้าได้ไหม”

ลู่ฝานเงียบอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “แม้ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ในเมื่อทั้งสองท่านยอมรอ เมื่อถึงตอนนั้นผมไปแน่นอนครับ”

อาจารย์เหลยกับถิงยวนพยักหน้า อาจารย์เหลยพูดว่า “ถิงยวน นายอยู่ที่นี่ ฉันจะกลับสาขาสายฟ้าไปขอคำแนะนำจากอาจารย์”

ถิงยวนส่งเสียงตอบรับ จากนั้นพูดกับลู่ฝานว่า “คุณชายลู่ ช่วงนี้ผมอยู่สถาบันบู๊องอาจตลอด โปรดรับยันต์หยกชิ้นนี้ไว้ ถ้าคุณชายจะออกเดินทาง หรือมีปัญหาอะไร ให้บีบมันจนแตก แล้วผมจะไปหาทันที”

เมื่อพูดจบ ถิงยวนไม่รอให้พูด เอายันต์หยกยัดใส่มือลู่ฝาน ไม่ให้โอกาสลู่ฝานได้ปฏิเสธเลย

ลู่ฝานหรี่ตาลงครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “ท่านผอ.อย่าบอกนะว่า……ฝ่าบาทจะฆ่าผม!”

เทียนหยาจื่อตบไหล่ลู่ฝานแล้วพูดว่า “ความเข้าใจไม่เลว อธิบายนิดหน่อยก็เข้าใจทันที ลู่ฝาน นายต้องรู้ว่าตัวเองเป็นอัจฉริยะที่มีศักยภาพ ฝ่าบาทชอบคนมีความสามารถ นายกับพวกลูกน้องของไท่จื่อ สู้กันไปสู้กันมา ถึงนายฆ่าพวกองครักษ์ในจวนไท่จื่อจนหมด แค่ไม่ทำร้ายไท่จื่อ นายก็จะไม่มีปัญหาอะไร เพราะแค่ฝ่าบาทรู้สึกว่านายสามารถบ่มเพาะได้ เป็นอัจฉริยะของประเทศอู่อาน อย่างมากก็แค่ส่งนายไปเป็นทหาร หลังจากนั้นก็ออกแรงช่วยเหลือที่ชายแดน สร้างความดีความชอบในการสู้รบ แล้วค่อยกลับมา

แต่ถ้านายฆ่าคนเพื่อองค์ชายรอง ลักษณะจะเปลี่ยนไปทันที นายจะกลายเป็นสุนัขรับใช้ กลายเป็นตัวสร้างความวุ่นวาย เป็นคนที่ขัดขวางความสามัคคีของราชวงศ์ แม้เป็นเพียงความสามัคคีแค่เปลือกนอกก็เถอะ ไม่ว่าฝ่าบาทจะเห็นว่านายเป็นอัจฉริยะยังไงก็เถอะ ยังไงก็ต้องฆ่านาย ใช้กฎหมายลงโทษตักเตือน เพราะเรื่องที่นายทำ อาจทำให้สงครามระหว่างองค์ชายทั้งสอง ถูกเปิดเผยออกมาได้ เหมือนอุจจาระถังหนึ่ง อย่ามากก็แค่ส่งกลิ่นไปทั่วห้อง แต่เมื่อมีตัวป่วนที่เป็นไม้กวนอุจจาระอย่างนาย ก็จะทำให้กลิ่นเหม็นฟุ้งไปสิบลี้ ถ้านายไม่ตาย แล้วจะให้ใครตายล่ะ!”

ลู่ฝานพยักหน้าอย่างเข้าใจ ที่แท้อันตรายที่แท้จริงอยู่ตรงหน้านี่เอง เมื่อเทียบกับสิ่งนี้แล้ว การต่อสู้ของเขากับจางกวัง ธรรมดาจนไม่ควรค่าให้พูดถึงเลยจริงๆ

ลู่ฝานรับคำสอนอย่างอ่อนน้อมถ่อมตัว เขาถามว่า “งั้นต่อไปผมควรทำยังไงครับท่านผอ.”

เทียนหยาจื่อพูดว่า “ฉันไม่รู้ว่านายรับผลประโยชน์จากองค์ชายรองมาเท่าไร และทำข้อตกลงส่วนตัวอะไรกับองค์ชายรองเอาไว้บ้าง แต่ตอนนี้ฉันจะเตือนนายว่า ถ้าครั้งหน้าองค์ชายรองมาหานายอีก ให้นายปฏิเสธทันที เมื่อถึงตอนนั้นยิ่งโจ่งแจ้งมากเท่าไรยิ่งดี ทำให้คนในใต้หล้ารู้ว่านายไม่ได้คิดเหมือนองค์ชายรอง อย่างน้อยก็ไม่ใช่พวกเดียวกัน เมื่อเป็นเช่นนี้ แม้องค์ชายรองกับไท่จื่อเกลียดนาย แต่ตัวนายสุขสบายไร้เหตุกังวลใจ ถือโอกาสบอกนายเลยแล้วกัน ฝ่าบาทจับตามองนายแล้ว และเมื่อฝ่าบาทจับตามองนาย แผนชั่วร้ายลับๆ มากมาย ก็จะไม่มายุ่งกับนายอีก”

ลู่ฝานทำความเคารพอีกครั้ง ได้ยินคำพูดของเทียนหยาจื่อ ตอนนี้นับว่าเขาเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งแล้ว

“ศิษย์เข้าใจแล้วครับท่านผอ.”

เทียนหยาจื่อยิ้มแล้วพูดว่า “เด็กอย่างนายเป็นคนฉลาด มีความสามารถ จะขาดก็แต่ประสบการณ์อีกนิดหน่อย อันที่จริงการต่อสู้ของนายกับจางกวัง ฉันไม่กังวลเลยสักนิด ได้ยินว่านายเข้าสู่แดนปราณดินแล้วใช่ไหม”

ลู่ฝานพยักหน้าพูดว่า “ใช่ครับ เข้าสู่แดนปราณดินแล้ว เพิ่งทำให้ระดับแดนมั่นคงครับ”

เทียนหยาจื่อลูบเครา แล้วพูดว่า “ดูเหมือนภายในสิบปี นายต้องเข้าสู่แดนปราณฟ้าแน่นอน สถาบันสอนวิชาบู๊เขตตงหวา จะมีชื่อเสียงเพราะนายแล้ว จำไว้ว่าถ้าต่อไปมีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมาจริงๆ กลายเป็นผู้โดดเด่นมีอำนาจ เวลาพูดเรื่องในอดีตกับใคร ต้องพูดถึงสถาบันสอนวิชาบู๊เยอะๆ นะ ให้คนที่ใกล้ตายอย่างฉัน ได้มีความสุขในช่วงสุดท้าย”

ลู่ฝานพูดว่า “แน่นอนอยู่แล้วครับ!”

เมื่อทั้งสองคุยเรื่องสำคัญเสร็จเรียบร้อย ก็เริ่มดื่มเหล้ากัน

คุยกันไปคุยกันมา มีความสุขเป็นอย่างยิ่ง

เทียนหยาจื่อยังเล่าเรื่องเกี่ยวกับคนและเรื่องที่ต้องระวังในเมืองหลวง รวมถึงอำนาจใหญ่ๆ สิบตระกูลใหญ่ หน่วยองครักษ์เสิ่นหวา เป็นต้น

เรื่องพวกนี้ทำให้ลู่ฝานได้ประโยชน์มาก รู้จักอำนาจใหญ่ต่างๆ ในเมืองหลวงอย่างถ่องแท้ขึ้นทันที แต่ลู่ฝานก็ยังไม่เข้าใจนิดหน่อย เหมือนท่านผอ.เทียนหยาจื่อแน่ใจมากว่าเขาจะอยู่ในเมืองหลวงต่อไป ในคำพูดเต็มไปด้วยความหมายที่ว่าต่อไปนายอยู่ที่เมืองหลวงต้องทำยังไง ใครไม่ควรติดต่อภายในหนึ่งปี และใครที่ไม่ควรไปยั่วยุภายในสิบปี

เทียนหยาจื่อส่ายหัวไปมาอย่างกระหยิ่มใจ พยายามแสดงสไตล์ของผู้มีความรู้สูงส่งออกมา ส่วนลู่ฝานก็ให้ความร่วมมือมาก เขาทำท่าตั้งใจฟังด้วยความเคารพนับถือ

แต่ขณะนั้น เทียนหยาจื่อยังไม่พูดอะไรออกมา รออยู่นาน เทียนหยาจื่อก็ทำแค่มองลู่ฝานด้วยรอยยิ้ม

ลู่ฝานโดนเทียนหยาจื่อมองด้วยแววตาขบขัน จนรู้สึกสงสัย ทันใดนั้น ลู่ฝานก็นึกอะไรขึ้นได้ รีบเอากาเหล้าที่พกติดตัวมาตลอดทางออกมา แล้วพูดว่า “ท่านผอ. นี่เป็นเหล้าที่ศิษย์ตั้งใจทำให้ท่าน เมื่อถึงตอนที่หิมะโปรยปรายอย่างหนัก ได้ยินว่าคนในเมืองหลวง ต้องดื่มเหล้าดีกรีแรงฉลองฤดูหนาว ศิษย์ไม่มีความสามารถ ทักษะทั่วไป แต่เพราะอยู่ในเจดีย์ยา จึงสามารถหาสมุนไพรได้ง่าย เลยตั้งใจทำเหล้ายาหนึ่งกา เพื่อแสดงน้ำใจครับ!”

เทียนหยาจื่อรับกาเหล้ามาด้วยรอยยิ้ม แล้วพูดว่า “เด็กมีอนาคตสอนได้”

ดมเบาๆ ครู่หนึ่ง จากนั้นจิบเบาๆ จู่ๆ แววตาของเทียนหยาจื่อเป็นประกาย “เหล้าดี เหมือนมีเหล้าเมาพันเขาอยู่เล็กน้อย”

ลู่ฝานอึ้งเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าท่านผอ.จะรู้จักเหล้าเมาพันเขาด้วย

ดูเหมือนเขาคงเคยไปโรงเหล้าของเถ้าแก่อ้วนคนนั้น หลังจากลู่ฝานดื่มเหล้าเหล้าเมาพันเขาไปครั้งหนึ่ง เขาใช้ความรู้สึกในตอนนั้น ผลิตเหล้าออกมาเอง ด้วยเหตุนี้จึงเปลืองสมุนไพรของเจดีย์ยาไปไม่น้อย

วางกาเหล้าลง เทียนหยาจื่อยิ้มแล้วพูดว่า “ลู่ฝาน นายเป็นคนฉลาด เรื่องบางเรื่องฉันไม่ต้องพูด นายก็น่าจะเข้าใจแล้ว แต่นายยังอ่อนประสบการณ์ ตอนนี้อยู่ท่ามกลางความขัดแย้งที่เมืองหลวงด้วย ดังนั้นฉันต้องเตือนนายไว้สองสามเรื่อง รวมถึงเรื่องที่ทำได้และทำไม่ได้ด้วย คนไหนที่เจอแล้วต้องหลบ คนไหนที่เจอแล้วหาผลประโยชน์ได้ องค์ชายรองฉินฝานไปหานายแล้วใช่ไหม!”

เมื่อลู่ฝานได้ยินจึงพยักหน้าพูดว่า “ใช่ครับท่านผอ. องค์ชายรองบอกว่าจะช่วยให้ผมชนะการต่อสู้ตอนเทศกาลเซ่นไหว้ประจำปี ท่านผอ.รู้ไหมว่าผมต้องสู้กับจางกวัง”

เทียนหยาจื่อหัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “ลู่ฝาน นักกระบี่แห่งตงหวา สู้อย่างดุเดือดกับแปดผู้โดดเด่น ต่อสู้กับคนจำนวนมากด้วยตัวคนเดียว ตอนเทศกาลเซ่นไหว้ประจำปี จะสู้กับจางกวังอันดับหนึ่งในแปดผู้โดดเด่นต่อหน้าทุกคน ใครไม่รู้บ้างล่ะ ชื่อเสียงโด่งดังของนาย มาถึงหูฉันแล้ว ตอนนี้ในบรรดาลูกหลานตระกูลเทียน มีคนจำนวนไม่น้อยเลื่อมใสศรัทธานาย นายจะพิจารณาแต่งงานกับผู้หญิงตระกูลเทียนเป็นภรรยาไหม ฉันจัดการให้นายได้ทันทีเลยนะ”

ลู่ฝานพูดว่า “ท่านผอ.ล้อผมเล่นอีกแล้ว ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว ท่านผอ.มีความเห็นยังไงกับองค์ชายรองบ้างครับ”

เทียนหยาจื่อพูดว่า “ฉันไม่ได้ล้อเล่น ฉันมีความคิดนี้จริงๆ นายลองพิจารณาดูก่อนสิ ส่วนองค์ชายรอง ฉันไม่มีความคิดเห็นอะไรเกี่ยวกับเขา ในทางตรงกันข้าม ฉันชื่นชมเขามาก แม้เขาทำตัวเป็นอิสระมาตลอด ไม่เอาถ่าน แต่เด็กคนนี้มีปณิธานยิ่งใหญ่ ลู่ฝาน คำแนะนำแรกที่ฉันจะบอกนายก็คือ อยู่ให้ห่างจากองค์ชายรองสักหน่อย อย่าอยู่ใกล้เข้ามากจนเกินไป!”

ลู่ฝานขมวดคิ้วพูดว่า “ทำไมเหรอครับ”

เทียนหยาจื่อมองลู่ฝานด้วยแววตาเย็นยะเยือก พูดอย่างจริงจังว่า “ลู่ฝาน ตอนนี้สองคนที่นายเจอ ไม่ใช่คนธรรมดา ถ้าองค์ชายรองเป็นแค่คุณชายตระกูลขุนนางตระกูลใดตระกูลหนึ่ง หรือแม้แต่คนของสิบตระกูลใหญ่ ฉันไม่มีทางพูดแบบนี้ แต่เขาเป็นคนของราชวงศ์ เป็นองค์ชายรองของประเทศอู่อาน เขาแซ่ฉิน! นายอาจไม่รู้ว่านายเข้าไปในการต่อสู้ขององค์ชายทั้งสองคนแล้ว ถูกต้องที่ไท่จื่อจะฆ่านาย แต่ถ้าเป็นแค่ไท่จื่อ ยังไม่เท่าไร จากความสามารถของนาย บวกกับการคุ้มครองของเจดีย์ยา คงไม่มีปัญหา หากแย่ที่สุด ถึงช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายจริงๆ ฉันออกไปช่วยนาย เรื่องก็ผ่านไปแล้ว แต่ถ้านายเข้าไปในการต่อสู้ขององค์ชายทั้งสองคน ใครก็ช่วยนายไม่ได้ นายต้องตายแน่นอน”

เดินต่อไปข้างหน้า หนึ่งก้าวเป็นวิวทิวทัศน์ อีกหนึ่งก้าวเป็นโถงใหญ่

ก้าวในอุโมงค์นี้หนึ่งก้าว เหมือนกับเดินผ่านลานแห่งหนึ่งในจวนตระกูลเทียน!

ลู่ฝานขมวดคิ้วเบาๆ นี่ต้องเป็นเพราะค่ายกลมิติแน่นอน

ลู่ฝานรู้สึกว่าทุกก้าวของตัวเอง จะมีระลอกคลื่นมิติรอบตัวเขา

เดินมาเป็นเวลาครึ่งก้านธูป เทียนเหวินหยู่จึงหยุดลง

ลู่ฝานเดินมาข้างเขา สิ่งที่ปรากฏอยู่ด้านหน้าคือลานบ้านเล็กๆ

เมื่อสะบัดมือ อุโมงค์แสงด้านล่างเท้าหายไป เทียนเหวินหยู่พูดว่า “คุณชายลู่ฝาน เชิญด้านในครับ ผู้อาวุโสเทียนหยาจื่ออยู่ด้านในครับ”

ลู่ฝานพยักหน้า คำนับขอบคุณเทียนเหวินหยู่

หลังจากนั้นจึงรีบเดินไปข้างหน้า!

นี่เป็นลานบ้านที่ไม่ใหญ่ ขนาดของที่นี่ยังเล็กกว่าคณะหนึ่งเดียวในตอนแรกเสียอีก

เพิ่งเดินเข้ามา จู่ๆ ลู่ฝานเห็นใครคนหนึ่งลอยอยู่กลางอากาศ คือท่านผอ.เทียนหยาจื่อ!

ลู่ฝานยิ้มกว้าง โค้งคำนับท่านผอ. เทียนหยาจื่อจากไกลๆ แล้วพูดว่า “ศิษย์ลู่ฝาน ดีใจที่ได้เจอท่านผอ.!”

เสียงทำให้ท่านผอ.เทียนหยาจื่อ ที่กำลังหลับตาพักผ่อนสะดุ้งตื่น มองเพียงแวบเดียวก็เห็นลู่ฝาน ท่านผอ.เทียนหยาจื่อหัวเราะทันที “ลู่ฝาน ในที่สุดนายก็มาสักที!”

“มาแล้ว ใครมา ลู่ฝานมาแล้วเหรอ”

เทียนหยาจื่อยังไม่ทันพูด อาจารย์เหลยรีบวิ่งกุลีกุจอออกมาจากด้านข้าง

เมื่อเห็นลู่ฝาน อาจารย์เหลยก็ดีใจเป็นอย่างมาก เขาหัวเราะเสียงดังแล้วพูดว่า “ลู่ฝาน นายมาได้สักที”

ลู่ฝานรีบเดินเข้าไป แม้เขาไม่รู้จักอาจารย์เหลย แต่ก็คารวะให้อาจารย์เหลย

อาจารย์เหลยรีบโบกมือพัลวัน แล้วพูดกับลู่ฝานว่า “ไม่กล้าให้นายทำความเคารพฉันหรอก ลู่ฝาน นายมาก็ดีแล้ว ถ้านายยังไม่มา ฉันจะบุกเข้าไปหานายในเจดีย์ยาแล้ว”

ลู่ฝานมองอาจารย์เหลยอย่างสงสัย เทียนหยาจื่อเดินเข้ามาพูดว่า “ท่านนี้คืออาจารย์เหลยของสถาบันบู๊องอาจ เขาบอกว่ามาหานายเพราะมีเรื่องสำคัญ รอนายอยู่ที่นี่นานแล้ว”

ลู่ฝานพูดว่า “เรื่องสำคัญ เรื่องสำคัญอะไรเหรอครับ”

อาจารย์เหลยยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่รีบๆ รอให้อาจารย์อีกท่านหนึ่งมาก่อน เราค่อยคุยกับนาย เทียนหยาจื่อนายคุยเรื่องที่ผ่านมากับศิษย์นายเถอะ ฉันจะไปเรียกเขากลับมา ลู่ฝาน นายอย่ารีบไปนะ รอฉันหนึ่งชั่วยาม ไม่สิ ครึ่งชั่วยามก็พอแล้ว!”

เมื่อพูดจบ อาจารย์เหลยรีบออกไปอย่างร้อนรน

ลู่ฝานมองเขาด้วยรอยยิ้ม จากนั้นส่ายหน้าเบาๆ แล้วพูดว่า “อาจารย์ของสถาบันบู๊องอาจ ไม่ได้มาคิดบัญชีกับผมใช่ไหมครับ”

เทียนหยาจื่อยิ้มแล้วพูดว่า “คิดบัญชีกับนายเหรอ นายนี่มองตัวเองสูงส่งจริงๆ นักบู๊แดนปราณฟ้าระดับกลางสองคน มาคิดบัญชีนาย ถึงนายมีหลายชีวิตก็ไม่พอหรอก มาๆๆ ในเมื่อนายมาแล้ว เรามาคุยกันดีกว่า คุยกันตั้งแต่นายเริ่มเดินทางออกจากเขตตงหวา การเดินทางนี้คงลำบากมากสินะ!”

ลู่ฝานพูดว่า “ก็ไม่ได้ลำบากมากหรอกครับ ได้เปิดหูเปิดตาจริงๆ ครับ ท่านผอ. รถม้าผ่านมิติของท่าน ถึงเวลาคืนสู่เจ้าของแล้ว”

เทียนหยาจื่อโบกมือไปมาแล้วพูดว่า “ให้นายไปแล้ว เป็นของนายแล้ว ลู่ฝาน ช่วงนี้นายมีปัญหาไม่น้อยเลย เรียกได้ว่าเมื่อมาถึงเมืองหลวง ก็ทำมีข่าวอื้อฉาวที่โจษจันกันไปทั้งเมือง นายนี่สุดยอดจริงๆ”

ลู่ฝานยิ้มแหยแล้วพูดว่า “โดนบังคับจนจำใจน่ะครับ ใครจะไปคิดล่ะครับว่าผมยังไม่มา ไท่จื่อก็จับตาดูผมแล้ว”

เทียนหยาจื่อหัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “นายยังพอรู้อะไรบ้าง อืม แบบนี้ดีแล้ว ต้องการให้ฉันชี้แนะไหม”

ลู่ฝานสีหน้ายินดีขึ้นมาทันที เขาพูดว่า “ท่านผอ.ยอมชี้แนะผมเหรอครับ”

เทียนหยาจื่อหัวเราะแล้วพูดว่า “นายเป็นนักเรียนของฉัน ยังไงก็เป็นศิษย์ฉันครึ่งหนึ่ง ฉันไม่ชี้แนะนาย จะให้ไปชี้แนะใคร ต่อไปนายแค่ฟังคำพูดฉัน รับรองว่านายจะอยู่ในเมืองหลวงอย่างปลอดภัยหายห่วง!”

หิมะเต็มภูเขาและแม่น้ำ ปกคลุมจนขาวโพลนไปหมด

หิมะของเมืองหลวง ใหญ่กว่าเขตตงหวามากจริงๆ ถ้าบอกว่าหิมะโปรยปรายที่บ้านเกิด แค่เหมือนกับขนห่าน งั้นหิมะโปรยปรายของที่นี่ ก็เทียบได้กับห่านทั้งตัวล่ะมั้ง

สิ่งที่ปรากฏในสายตา เกล็ดหิมะขนาดใหญ่เป็นแผ่นๆ ลอยพลิ้วลงมาจากท้องฟ้า

หิมะใหญ่ขนาดนี้ คิดไม่ถึงว่าจะไม่ก่อตัวเป็นลูกเห็บ ประหลาดมาก

อีกทั้งยิ่งใกล้เทศกาลเซ่นไหว้ประจำปี หิมะก็ยิ่งโปรยปรายเยอะขึ้น

มีคนเดินบนถนนไม่เยอะ แต่ร้านอาหาร โรงน้ำชาใหญ่ๆ กลับเต็มไปด้วยผู้คน

ตามประเพณีของคนเมืองหลวง ทุกครั้งที่หิมะเต็มถนน หนาประมาณสามฟุต พวกเขาต้องดื่มเหล้าดีกรีแรงหนึ่งกาเพื่อฉลอง

นี่เรียกว่าหิมะตกนั้นเป็นลางบอกว่าปีหน้าจะอุดมสมบูรณ์ ปีหน้าประเทศสงบสันติ ประชาอยู่เย็นเป็นสุขแน่นอน!

ลู่ฝานนั่งอยู่บนรถม้า มองนอกหน้าต่างอย่างเงียบๆ ถนนที่เต็มไปด้วยหิมะขาวสะอาด ในมือก็ถือเหล้าไว้หนึ่งกาเช่นกัน

ล้อรถเหยียบลงบนหิมะหนาจนเป็นรอยยาว เคลื่อนตัวไปข้างหน้า

ลู่ฝานใช้นิ้วเคาะเบาๆ ลงบนกาเหล้า แล้วถามว่า “สิบสาม ใกล้ถึงตระกูลเทียนแล้วใช่ไหม ครั้งก่อนนายบอกว่ามีคนตั้งใจรอฉันที่ตระกูลเทียน ใครเหรอ”

สิบสามขี่รถม้า แล้วพูดอย่างราบเรียบว่า “เจ้านาย ไม่รู้!”

ลู่ฝานปิดผ้าม่านลง แอบครุ่นคิดในใจ

เขาคิดยังไงก็คิดไม่ออก ว่าจะมีคนตั้งใจรอเขา

แต่ยังไงก็ต้องไปตระกูลเทียน ก่อนหน้านี้เรื่องบ้าบอรัดตัว เขาไม่กล้าออกจากเจดีย์ยาเลย

ตอนนี้ออกมาได้แล้ว อันดับแรกคือเขานัดประลองกับจางกวังตอนเทศกาลเซ่นไหว้ประจำปี นั่นแสดงว่าก่อนหน้านั้น ถ้ามีคนที่รับใช้พวกราชวงศ์จะทำร้ายเขา ต้องถามความเห็นของจางกวังก่อน นักบู๊ของมนุษย์เผ่ามังกรถือดีเป็นอย่างยิ่ง ถ้าการประลองที่ตกลงไว้ล้มเหลว หรือคู่ต่อสู้โดนเล่นงานลับหลังจนตายก่อนการประลองเขาจะรู้สึกว่าโดนสบประมาท ด้วยเหตุนี้ลู่ฝานจึงค่อนข้างปลอดภัยไม่น้อย

อีกอย่างหนึ่ง พวกผู้จัดการดูแลเจดีย์ยา ดีกับเขาอย่างไม่ทราบสาเหตุ มาพูดกับเขาหลายครั้งว่าจะไปไหนก็ได้ มีเจดีย์ยาอยู่ ไม่มีปัญหา!

ในเมื่อผู้จัดการดูแลเจดีย์ยาพูดขนาดนี้แล้ว แน่นอนว่าเขาจึงกล้าออกมา แต่ออกเดินทางก็ต้องไม่ทำตัวเป็นจุดสนใจ พาสิบสามมาแค่คนเดียว ส่วนเจ้าดำที่ดูสะดุดตาเขาให้มันอยู่ในเจดีย์ยา เล่นกับพวกเซียวเฮ่า

รถม้าจอดลงช้าๆ สิบสามหันมาพูดกับลู่ฝานเบาๆ ว่า “เจ้านาย!”

เปิดผ้าม่านแล้วเดินออกมา สิ่งที่ปรากฏอยู่ในสายตาคือคฤหาสน์ยิ่งใหญ่ของตระกูลเทียน

ลู่ฝานโบกมือไปมาให้สิบสาม บอกให้เขาไปแจ้งที่ประตู ไม่นานสิบสามเดินกลับมา พยักหน้าเบาๆ ให้ลู่ฝาน เป็นการบอกว่าเข้าไปได้แล้ว

เดินเข้ามาในตระกูลเทียน จู่ๆ ลู่ฝานรู้สึกว่าร่างกายตัวเองทะลุผ่านค่ายกลไม่รู้ตั้งเท่าไร

จู่ๆ เงาใครบางคนปรากฏออกมาจากค่ายกล เมื่อเห็นลู่ฝานกับสิบสาม เขาโค้งตัวทำความเคารพ แล้วพูดว่า “ไม่ทราบว่าใช่ลู่ฝาน นักกระบี่แห่งตงหวา คุณชายลู่ใช่ไหมครับ ผมเทียนเหวินหยู่แห่งตระกูลเทียน ดีใจที่ได้พบคุณชายลู่ฝาน!”

คนนี้ดูเหมือนอายุประมาณ 15-16 ปี ใบหน้าหล่อเหลายังดูมีความละอ่อนอยู่เล็กน้อย แต่ในแววตาเต็มไปด้วยประกายแวววาว

ลู่ฝานคารวะแล้วพูดว่า “วันนี้ลู่ฝานมาเยี่ยมผู้อาวุโสเทียนหยาจื่อ”

เทียนเหวินหยู่พยักหน้า แล้วพูดว่า “ผู้อาวุโสเทียนหยาจื่อกำชับเอาไว้นานแล้วครับ ถ้าคุณชายลู่ฝานมา ให้เข้ามาได้เลย เชิญทางนี้ครับ!”

พูดพลาง จู่ๆ มีอุโมงค์แสงปรากฏขึ้นด้านหน้า

เทียนเหวินหยู่ยืนในอุโมงค์ แล้วพูดว่า “คุณชายลู่ฝาน เชิญตามผมมาครับ ค่ายกลคุ้มครองคฤหาสน์ของตระกูลเทียนมีเยอะมาก มีเพียงทางนี้ที่สามารถไปถึงด้านในได้ครับ”

ลู่ฝานกับสิบสามเดินตามเทียนเหวินหยู่เข้ามาในอุโมงค์แสง

เดินได้ไม่กี่ก้าว ลู่ฝานเห็นว่าฉากรอบๆ เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าลู่ฝานคือลานประลองบู๊ พวกลูกหลานตระกูลเทียนสวมชุดขาว กำลังฝึกฝนกันอยู่ เมื่อเดินเข้าไปข้างหน้า สิ่งที่ปรากฏในสายตาคือศาลาพักผ่อนหย่อนใจ มีคนเข้าออกไม่แน่นอน ตัวอักษรขนาดใหญ่คำว่าหอเก็บวิชา ปรากฏอยู่ในสายตา

ลู่ฝานกวาดตามองพวกเขา เหมือนเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว

อย่าบอกนะว่าอริยปราชญ์ดวงดาวดูอะไรออกแล้ว

ใจสั่นอยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆ ลู่ฝานเริ่มพิจารณาว่าจะอยู่ในเจดีย์ยาต่อไปได้อีกหรือเปล่า

เฮ่อจงและคนอื่นเห็นสีหน้าลู่ฝานผิดปกติ จึงรีบพูดว่า “เรามาแจ้งนายแล้ว ลู่ฝาน นายไปทำธุระของนายเถอะ พวกเราไปละ!”

เมื่อพูดจบ เฮ่อจงและคนอื่นหันหลังเดินออกไป ไม่มีโอกาสให้ลู่ฝานปฏิเสธเลย

ลู่ฝานมองด้านหลังของพวกเขา ในใจเต็มไปด้วยความสงสัย

เฮ่อจงพูดเสียงเบาว่า “ท่านซู ต่อไปห้ามหาเรื่องเขาอีก หาเรื่องแบบไหนก็ไม่ได้ บอกให้เด็กพวกนั้นพูดจาดีๆ ด้วย เราล่วงเกินเด็กคนนี้ไม่ได้”

ตาเฒ่าซูถอนหายใจแล้วพูดว่า “ไม่รู้จริงๆ ว่าทำไมอริยปราชญ์พวกนั้น ถึงให้ความสำคัญกับเขาขนาดนี้ ขนาดอริยปราชญ์ดวงดาวยังกลับคำอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เกือบเอาป้ายจัดการดูแลคืนให้เขาด้วย ก็แค่มีแสงขึ้นมาตอนที่ทะลุระดับ นี่……”

ตาเฒ่าซูพูดต่อไปไม่ได้อีกแล้ว สิ่งที่ไม่ธรรมดาของลำแสงนั้น ถึงเป็นคนตาบอดก็มองออก การที่เขาพูดแบบนี้ออกมาในตอนนี้ ก็เพราะต้องการเหลือศักดิ์ศรีสุดท้ายให้ตัวเอง

ศักยภาพของลู่ฝาน ทำให้อริยปราชญ์ในเจดีย์ยาให้ความสำคัญ และออกคำสั่งให้ทำความรู้จัก

ต่อไปขอแค่ลู่ฝานไม่ตาย ฐานะต้องสูงกว่าพวกเขาแน่นอน ตาเฒ่าซูก็ไม่กล้าล่วงเกินลู่ฝานอีก ตอนนี้ขืนพูดมากอีก อาจนำไปสู่โทษฆ่าผู้มีเมตตาในอนาคต ตอนนี้ตาเฒ่าซูรู้สึกเสียใจที่ในตอนแรกใจร้ายกับลู่ฝานขนาดนั้น

ในเวลานี้ เรื่องที่ลู่ฝานสู้กับแปดผู้โดดเด่น เริ่มถูกพูดถึงในเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว

คนที่ชอบยุ่งเรื่องคนอื่นจำนวนมาก เอาการต่อสู้ของลู่ฝานกับแปดผู้โดดเด่น แบ่งออกเป็นห้าบทสิบแปดบทย่อย นำไปเล่าขานทุกที่ พรรณนาภาพการต่อสู้ได้อย่างมีสีสัน ออกรสออกชาติ ทำให้กลุ่มคนนับไม่ถ้วนที่ไม่ได้มาเห็นด้วยตาตัวเองที่เจดีย์ยา ถอนหายใจด้วยความเสียดาย ที่ตอนนั้นทำไมตัวเองไม่อยู่ที่นั่น

ชัยชนะของลู่ฝาน ทำให้คนนับไม่ถ้วนประหลาดใจและชื่นชม

แปดผู้โดดเด่นของจวนไท่จื่อ มีชื่อเสียงมาเป็นเวลานาน ใครจะไปคิดว่าคนธรรมดาอย่างลู่ฝาน จะสามารถจัดการพวกเขาได้เกือบครึ่ง

จะมีก็แค่จางกวังที่ยังไม่แพ้ เป็นสิ่งปกปิดความอัปยศอดสูสุดท้ายของแปดผู้โดดเด่น ถ้าแม้แต่จางกวังก็ยังแพ้ งั้นวันนี้ชื่อเสียงของแปดผู้โดดเด่นต้องย่อยยับแน่นอน!

ด้วยเหตุนี้ คนนับไม่ถ้วนต่างรอคอยการต่อสู้ของจางกวังกับลู่ฝาน ช่วงเทศกาลเซ่นไหว้ประจำปี

นี่คงเป็นการต่อสู้ถึงตายของนักบู๊อายุน้อยที่แข็งแกร่งที่สุด ในช่วงสองสามปีที่คนอายุน้อยของสิบตระกูลใหญ่เก็บตัวปลีกวิเวก

ข่าวแพร่กระจายไปเรื่อยๆ ในคืนวันเดียวกันก็มาถึงในสิบตระกูลใหญ่

ที่ตระกูลหาน หานอู๋ซวงดึงหานหยวนหนิงมาถามว่า “สู้กับสองคนนี้ นายมีโอกาสชนะไหม”

หานหยวนหนิงไม่ตอบ แต่ดึงอาวุธของตัวเองออกมาเงียบๆ

ที่ตระกูลเทียน เทียนชิงหยางได้ยินข่าวนี้ เขาทำแค่ยิ้มอย่างเฉยเมย แล้วพูดว่า “มดสองตัวทะเลาะกัน ยังทำให้ใหญ่โตขนาดนี้ น่าเบื่อ ไม่อยากดู”

เพิ่งพูดจบ อู่คงหลิงที่นั่งตรงข้ามเขา กลับยิ้มอย่างเฉยเมยแล้วพูดว่า “ฉันอยากดู!”

เทียนชิงหยางอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นพูดเสียงดังว่า “งั้นก็ดู เอาที่นั่งดีที่สุด ไปดูด้วยกัน”

ที่ตระกูลสุ่ย ชายคนหนึ่งนั่งอยู่บนธารน้ำแข็ง เขาลืมตาขึ้นช้าๆ ฟังรายงานจากลูกน้อง เขายิ้มแล้วพูดว่า “การต่อสู้ของจางกวัง ยังพอดูได้ ไม่รู้สองสามปีมานี้ เขาก้าวหน้าไปเท่าไรแล้ว”

ที่ตระกูลถานไถ ผู้หญิงชุดแดงพูดอย่างเฉยเมยว่า “ทะเลาะกันมีอะไรน่าดู ฉันถามแค่ว่าสองคนนี้หล่อไหม”

สาวใช้ด้านหลังตอบว่า “จางกวังเป็นสายเลือดมนุษย์เผ่ามังกร ถ้าดูประเมินตามความงามของมนุษย์เผ่ามังกร ก็ถือว่าหล่อมากค่ะ ส่วนลู่ฝาน ได้ยินว่าเป็นหนุ่มที่หล่อไม่เบาเลยค่ะ”

ผู้หญิงชุดแดงยิ้มแล้วพูดว่า “ในเมื่อมีหนุ่มหล่อ งั้นไปดูเถอะ เทศกาลเซ่นไหว้ประจำปี อืม น่าจะมีหนุ่มหล่อไปดูไม่น้อย”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1043
เคล็ดวิชาบู๊เหาะเหินเดินอากาศ พอเห็นชื่อก็จะทราบถึงความหมาย เป็นเคล็ดวิชาบู๊ที่สามารถทำให้คนเหาะได้

นักบู๊แดนปราณฟ้า ถึงจะเหาะได้

ถ้าอยากสัมผัสความรู้สึกลอยกลางอากาศได้ ก่อนถึงแดนปราณฟ้า ถ้าไม่เป็นผู้ฝึกชี่ ก็ต้องฝึกเคล็ดวิชาบู๊เหาะเหินเดินอากาศ

เคล็ดวิชาบู๊เหาะเหินเดินอากาศในใต้หล้ามีน้อยมาก อย่างน้อยในสถาบันสอนวิชาบู๊ ก็ไม่มีให้เห็น

สถานที่ที่มีแน่นอน หนึ่งคือในกองทหาร นักบู๊แดนปราณดินขึ้นไป ได้รับการอนุมัติจากราชสำนัก ถึงจะสามารถฝึกฝนได้

สองคือในวัง ตำหนักรวมบู๊ คลังเคล็ดวิชาบู๊ของราชวงศ์ สถานที่รวบรวมเคล็ดวิชาบู๊ในใต้หล้า

เคล็ดวิชาบู๊เหาะเหินเดินอากาศที่ฉินฝานให้ลู่ฝาน เป็นระดับสูงในระดับสูงอีกที เป็นเคล็ดวิชาบู๊ที่มีเงินก็ไม่สามารถซื้อได้

“ยำก้าวยอดเมฆาฟ้า”

ลู่ฝานค่อยๆ อ่านออกเสียง

จากคำอธิบายของวิชา การเรียนรู้เคล็ดวิชาบู๊นี้ เหยียบยอดเมฆจนถึงสวรรค์สูงสุด เหมือนมังกรเทพผลุบโผล่ เห็นหัวไม่เห็นหาง

วิชานี้ไม่เพียงแต่ให้นักบู๊แดนปราณดินฝึกฝน ถึงนักบู๊ทะลุระดับถึงแดนปราณฟ้าแล้ว มีความสามารถเหาะเหินกลางอากาศแล้ว วิชานี้ยังสามารถเพิ่มประสิทธิภาพความเร็วในการเหาะเหินได้ด้วย ทำให้การต่อสู้กลางอากาศ ยิ่งมั่นคงและรวดเร็วขึ้น

“เคล็ดวิชาบู๊ที่ดี!”

ลู่ฝานเอ่ยชมออกมา แม้เคล็ดวิชาบู๊นี้ไม่ถึงขั้นเคล็ดวิชาบู๊ระดับฟ้า แต่อย่างน้อยก็เป็นระดับดินขั้นสูงสุด

ลู่ฝานดูด้วยสีหน้ายินดี ในตัวเขามีวิชาของผู้ฝึกชี่ แต่ไม่กล้าใช้ตามอำเภอใจ ถ้าฝึกวิชายำก้าวยอดเมฆาฟ้าสำเร็จ เขาก็กล้าเอาวิชาเหินเวหากับวิชาหายตัวของผู้ฝึกชี่เข้ามาเพิ่ม

ถึงตอนนั้น เมื่อต่อสู้กลางอากาศ ความเร็ววิชากายของเขา ต้องแข็งแกร่งกว่านักบู๊คนอื่นหลายเท่าแน่นอน

จะฝึกก็ฝึกเลย ได้เคล็ดวิชาบู๊ดีมาหนึ่งวิชา ถ้าไม่รีบฝึกฝนจะทำให้เสียของ

ลู่ฝานคิดพลางจะเดินออกไปข้างนอก เพื่อหาที่สงบไร้ผู้คนฝึกเคล็ดวิชาบู๊

ในห้องยา ไม่มีอย่างอื่นมากนัก แต่มีที่ว่างเยอะ สามารถให้คนกลั่นยาได้ และสามารถให้คนฝึกบู๊ได้ด้วย!

ลู่ฝานรีบเดินออกจากห้อง เพิ่งเดินออกมาก็เห็นพวกผู้ดูแลเฮ่อจง เดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว

ลู่ฝานชะลอฝีเท้า ใจเต้นตึกตักครู่หนึ่ง คนพวกนี้คงไม่ได้มาไล่เขาออกจากเจดีย์ยาใช่ไหม

ถ้าเป็นอย่างนั้น เรื่องราวจะลำบาก

เฮ่อจงเดินมาข้างหน้าลู่ฝาน จู่ๆ เขามีรอยยิ้มเต็มใบหน้า

ลู่ฝานเพิ่งเคยเห็นเฮ่อจงยิ้มสดใสขนาดนี้เป็นครั้งแรก เมื่อมองดูข้างๆ ตาเฒ่าซูก็ยิ้มเช่นกัน ซึ่งเห็นได้ยากมาก

นี่ผีหลอกชัดๆ คนอื่นยิ้มให้เขา ลู่ฝานยังพอรับได้

มีเพียงตาเฒ่าซู ตั้งแต่เขาเข้ามาในเจดีย์ยา ยังไม่เคยแสดงท่าทีเป็นมิตรกับเขาเลย

วันนี้คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะยิ้ม

“เดี๋ยวก่อนลู่ฝาน ฉันมีเรื่องจะคุยกับนาย”

เฮ่อจงเรียกลู่ฝานเอาไว้ หลังจากนั้นก็พูดด้วยรอยยิ้ม “ลู่ฝาน นี่นายจะไปไหนเหรอ”

ลู่ฝานพูดว่า “ฝึกบู๊ครับ มีอะไรหรือเปล่าครับ”

เฮ่อจงยิ้มแล้วพูดว่า “เรื่องเล็กน้อย หลายวันก่อนหน้านี้ อริยปราชญ์ดวงดาวกำหนดให้นายออกจากเจดีย์ยา หลังจากเทศกาลเซ่นไหว้ประจำปีไม่ใช่เหรอ”

ลู่ฝานพยักหน้าพูดว่า “ใช่ครับ พวกคุณวางใจเถอะ หลังผ่านเทศกาลเซ่นไหว้ประจำปีไปแล้ว ผมไม่อาศัยอยู่ที่นี่ต่อแน่นอนครับ”

เฮ่อจงรีบโบกมือไปมาแล้วพูดว่า “ไม่ๆ เราปรึกษากันแล้ว ทำแบบนี้ดูไม่เหมาะสมมาก อริยปราชญ์ดวงดาวก็คิดว่าทำเกินไป จึงให้พวกเรามาบอกนาย ในเมื่อนายถือหยกแห่งจิตเข้ามาในเจดีย์ยา และเป็นเภสัชกรของเจดีย์ยา งั้นนายจะอยู่นานเท่าไรก็ได้ ให้ค่าตอบแทนเหมือนเดิม ที่พักก็เหมือนเดิม มีอะไรไม่พอใจ ก็บอกเราได้เลย พูดได้ทุกอย่างเลย”

ลู่ฝานอึ้งไป เขาสงสัยว่าตัวเองฟังผิดหรือเปล่า

ตาเฒ่าซูที่อยู่ข้างๆ กระแอมออกมาสองครั้ง แล้วพูดว่า “ลู่ฝาน ก่อนหน้านี้ฉันมีอคติกับนายมาก เพียงเพราะนายเป็นนักบู๊ ไม่ใช่เรื่องอื่นเลย ตอนนี้ในเมื่ออริยปราชญ์ดวงดาวพูดแล้ว งั้นความเห็นของฉันก็ไม่สำคัญแล้ว นายอยู่ต่อเถอะ ไม่มีใครว่าอะไรอีกแล้ว”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1042
ฉินฝานพูดว่า “แน่นอนอยู่แล้ว เอาคนอื่นมามัดรวมกันทั้งหมด ก็ไม่น่าจะสู้จางกวังได้ วันนี้ฉันห้ามนายไว้ เพราะ 80 เปอร์เซ็นต์ นายไม่มีทางสู้ได้ นายเพิ่งเข้าสู่แดนปราณดิน ระดับแดนไม่มั่นคง ถ้าต่อกรกับนักบู๊แดนปราณดินระดับสูงสุด ฉันรู้ว่าเคล็ดวิชาบู๊ของนายแข็งแกร่งมาก ฝีมือก็มีมากมาย ฉันดูออกหมดแล้ว แต่ฉันขอเตือนนายไว้ จางกวังเป็นมนุษย์มังกรนะ นายน่าจะเคยได้ยินวิชาลับของมนุษย์มังกร”

ลู่ฝานแอบพูดในใจ “ไม่ใช่แค่เคยได้ยิน ตอนเข้าไปในแดนมายาที่เกาะผนึกวิญญาณในตอนนั้น เขาเคยสัมผัสกับตัวเองมาเป็นพันครั้ง”

ลู่ฝานพยักหน้าเบาๆ แล้วพูดว่า “เข้าใจแล้วครับ แล้วทำไมฝ่าบาทยังให้ผมสู้กับเขาตอนเทศกาลเซ่นไหว้ประจำปีล่ะครับ นี่จะทำให้ผมพ่ายแพ้อย่างน่าเวทนายิ่งขึ้นไปอีกไม่ใช่เหรอครับ”

จู่ๆ สีหน้าของฉินฝานเย็นชาลง เขาส่งเสียงหึเย็นชา แล้วพูดว่า “ตอนนี้นายสู้เขาไม่ได้ ไม่ได้หมายความว่าตอนเทศกาลเซ่นไหว้ประจำปี นายจะสู้เขาไม่ได้นิ ลู่ฝาน ฉันเห็นโอกาสที่นายจะชนะเขาได้จากตัวนาย เพื่อโอกาสเพียงน้อยนิด ฉันยอมทุ่มทุกอย่าง ตอนนี้ต้องดูว่านายจะยอมสู้ไปกับฉันสักครั้งหรือเปล่า”

ลู่ฝานผายมือทั้งสองข้าง แล้วพูดว่า “เตี้ยนเซี่ย เตี้ยนเซี่ยดึงผมขึ้นเรือแล้ว ยังจะถามว่าผมยอมหรือเปล่าอีกเหรอครับ”

ฉินฝานลูบคางแล้วพูดว่า “นายไม่คัดค้านเหรอ โอเค ฉันพูดแบบรวบรัดเลยแล้วกัน จากความสามารถของนายในตอนนี้ สู้จางกวังไม่ได้แน่นอน จากการคาดเดาของฉัน โอกาสชนะมีอยู่ประมาณ 10-20 เปอร์เซ็นต์ แต่ฉันจะให้ของนาย ทำให้โอกาสชนะของนายเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 40 เปอร์เซ็นต์ แบบนี้นายก็สู้กับเขาได้แล้ว!”

ลู่ฝานถามอย่างประหลาดใจ “ของอะไรครับ ถึงเป็นยาเซียน ก็ไม่น่าจะมีความสามารถนี้นะครับ”

ฉินฝานยิ้มแล้วพูดว่า “ดีกว่ายาเซียน อีกทั้งถ้าใช้ยาเซียนไม่ระวัง อาจทำให้นายจุกตายได้ แต่เรื่องที่ฉันต้องทำ ไม่มีอันตรายใด แต่ขึ้นอยู่กับนายว่าจะทุ่มสุดตัวได้หรือเปล่า”

จู่ๆ ลู่ฝานรู้สึกมีอะไรผิดปกติ จึงขมวดคิ้วถามว่า “ไม่มีอันตราย แล้วทำไมต้องพูดถึงเรื่องทุ่มสุดตัวได้หรือเปล่าล่ะครับ”

ฉินฝานพูดว่า “เพราะเรื่องนี้ นายจำเป็นต้องสละอะไรนิดหน่อย ของที่ไม่ค่อยมีค่า แต่กลับช่วยให้นายได้รับพลังที่ยิ่งใหญ่!”

ลู่ฝานนั่งพิงเก้าอี้ แล้วพูดว่า “เตี้ยนเซี่ย อธิบายได้ไหม จำเป็นต้องสละอะไรเหรอครับ”

ฉินฝานยกนิ้วขึ้นมาหนึ่งนิ้ว แล้วพูดว่า “พูดไม่ได้ ตอนนี้ยังพูดไม่ได้ นายให้เวลาฉันเตรียมสักสองสามวัน เมื่อถึงตอนนั้นฉันจะส่งคนมารับนาย เชื่อฉันเถอะสหายลู่ฝาน นายจะกลายเป็นนักบู๊ที่แข็งแกร่ง มีร่างกายที่แข็งแกร่งทนทาน หมัดสะเทือนภูเขาและแม่น้ำ พละกำลังเหยียบสวรรค์!”

ลู่ฝานยิ่งฟังยิ่งรู้สึกผิดปกติ ถึงขั้นที่เขาเห็นรอยยิ้มตรงมุมปากฉินฝาน

เมื่อพูดจบ จู่ๆ เหมือนฉินฝานนึกอะไรขึ้นได้ สะบัดมือโยนหยกชิ้นหนึ่งให้ลู่ฝาน “อันนี้ให้นายก่อน ด้านในมีวิชาหนึ่งชุด นายฝึกให้เป็นก่อน เมื่อถึงตอนนั้นจะได้ไม่เสียเปรียบ ฉันไปก่อน รอข่าวดีจากฉันนะ!”

ฉินฝานลุกขึ้นเดินออกไป อีกทั้งยังฮัมเพลงออกมาด้วย

ลู่ฝานหยิบยกขึ้นมา ขมวดคิ้วจนแน่นเป็นปม

หมายความว่ายังไงกันแน่ ลู่ฝานคิดยังไงก็คิดไม่ออก มีวิธีอะไรที่ทำให้เขามีพลังเพิ่มขึ้นในพริบตา อีกทั้งยังไม่มีอันตรายด้วย

ไม่รู้ ไม่เข้าใจ

ลู่ฝานสะบัดหัว ตัดสินใจไม่คิดถึงมันแล้ว

ใส่ปราณชี่เข้าไปในหยก มีตัวอักษรมากมายลอยขึ้นมาจากหยก เข้าไปในหัวของลู่ฝานทันที

ทันใดนั้นลู่ฝานตกใจ

นี่มัน……เคล็ดวิชาบู๊เหาะเหินเดินอากาศ!

จางกวังเดินออกไปอย่างรวดเร็ว ภายใต้การคุ้มครองของพวกองครักษ์เกราะทอง

แม้สีหน้าของพวกเหรินเจียงดูไม่พอใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้

ไม่นาน พวกจางกวังหายไปจนหมด กลุ่มคนก็พากันแยกย้าย

ฉินฝานมองลู่ฝานด้วยรอยยิ้ม แล้วพูดว่า “สหายลู่ฝาน ไม่เชิญฉันเข้าไปดื่มชาสักแก้วเหรอ อย่าบอกนะว่านายจะสู้ต่อ”

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “สู้มาสิบวัน ผมก็เหนื่อยแล้วเหมือนกัน เชิญเตี้ยนเซี่ยครับ!”

ทั้งสองเดินช้าๆ ไปทางเจดีย์ยา พวกผู้ฝึกชี่รีบหลีกทางให้ทันที

ในโถงใหญ่ เฮ่อจง ตาเฒ่าซูและคนอื่น ต่างยืนมองอยู่ตรงนั้น ตอนนี้เห็นลู่ฝานกับฉินฝานเดินเข้ามา ทุกคนต่างก้มตัวลงเล็กน้อย

เดินกลับมาที่เจดีย์สีขาว ที่ห้องยา

เซียวเฮ่าและคนอื่นเห็นลู่ฝานกลับมาพร้อมฉินฝาน รีบดึงอูลี่คุนออกไปทันที ยังถือโอกาสพาสิบสามที่แผลเต็มตัวไปด้วย

ทั้งสองคนนั่งอยู่ในห้อง ก้นยังไม่ทันถึงเก้าอี้ จู่ๆ ฉินฝานหัวเราะออกมาเสียงดัง

“สะใจจริงๆ สิบกว่าปีแล้ว วันนี้เป็นวันที่ฉันสบายใจที่สุด! ลู่ฝาน นายทำได้ดี ทำได้ดีมาก!”

ลู่ฝานเข้าใจความหมายของคำพูดเขา ลู่ฝานพูดอย่างเฉยเมยว่า “ฆ่าไปแล้วสองคน สาหัสอีกหนึ่งคน น่าเสียดายที่วันนี้ไม่ได้สู้กับจางกวัง ไม่งั้นอาจฆ่าได้สามคน”

ฉินฝานหัวเราะแล้วพูดว่า “นายกำลังโทษฉันที่ขัดขวางการต่อสู้ของนายวันนี้เหรอ”

ลู่ฝานพูดว่า “ผมเชื่อว่าเตี้ยนเซี่ยทำเรื่องนี้ เพราะมีเหตุผลของตัวเองครับ”

ฉินฝานพูดว่า “มีเหตุผลอยู่แล้ว ฉันจะบอกให้นะ ฉันดูการต่อสู้ของนายกับแปดผู้โดดเด่นตั้งแต่ต้นจนจบ ถ้าไม่เห็นนายทะลุระดับถึงแดนปราณดิน อีกทั้งยังทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนแปลงรุนแรง ฉันไม่มีทางออกมาขวางการต่อสู้หรอก คงรอดูนายแพ้ จากนั้นก็จัดงานศพให้นายอย่างยิ่งใหญ่!”

ลู่ฝานขมวดคิ้วพูดว่า “เตี้ยนเซี่ยคิดว่าผมสู้จางกวังไม่ได้เหรอครับ”

ฉินฝานพยักหน้าพูดว่า “คนซื่อสัตย์พูดแต่ความจริง นายสู้ไม่ได้จริงๆ อย่างน้อยตอนนี้นายไม่มีโอกาสชนะเลย”

ลู่ฝานขมวดคิ้วเป็นปม ตอนนี้เจ้าดำก็คลานออกมาจากเข็มขัด แล้วหมอบลงบนไหล่ลู่ฝาน

ฉินฝานเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นลูบหัวเจ้าดำแล้วพูดว่า “จางกวังมีสายเลือดมนุษย์เผ่ามังกรในตัว แต่ไม่ใช่มนุษย์เผ่ามังกรอย่างแท้จริง แต่เป็นเลือดผสมของมนุษย์เผ่ามังกร ในมนุษย์เผ่ามังกรถูกเรียกว่าปีศาจชั่วร้าย ห้าปีก่อนหน้านี้เขามาเมืองหลวงคนเดียว ฆ่ายอดฝีมือมนุษย์เผ่ามังกรสามคน ที่ทำลายตระกูลเขาในตอนนั้น สามคนนี้ล้วนมีพละกำลังแดนปราณดิน!”

ลู่ฝานพยักหน้า ฟังดูเหมือนเก่งกาจจริงๆ

ฉินฝานพูดต่อ “หลังจากการต่อสู้ครั้งนี้ เขาควรโดนตัดหัวประจาน แต่พี่ชายสุดที่รักของฉันถูกใจเขา เอาเขาเข้ามาเป็นพวก หลังจากนั้นมาจางกวังก็ฝึกฝนในจวนไท่จื่อ ในระยะเวลาห้าปี ลงมือแค่สองครั้ง ครั้งแรกคือตระกูลถานไถในสิบตระกูลใหญ่ จางกวังใช้สิบกระบวนท่าเอาชนะยอดฝีมืออันดับสอง ในบรรดาคนอายุน้อยของตระกูลถานไถ ส่วนอีกครั้งหนึ่งคือฆ่าองครักษ์ส่วนตัวของฉัน”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ ใบหน้าฉินฝานดูเป็นทุกข์เล็กน้อย

ลู่ฝานพูดว่า “งั้นตอนนี้พละกำลังของเขาอยู่ระดับไหนเหรอครับ”

ฉินฝานส่ายหน้าพูดว่า “ไม่มีใครรู้ แต่ไม่ใช่แค่แดนปราณดินธรรมดาๆ แน่นอน ฉันเดาว่าถึงไม่ใช่ระดับปราณฟ้า แต่ก็ใกล้ถึงแล้ว มนุษย์เผ่ามังกรยกระดับวิทยายุทธเร็วกว่ามนุษย์ทั่วไป ต้องให้ถึงแดนปราณฟ้า ถึงจะปรากฏอุปสรรคที่ผ่านไปได้ยาก นายต้องเตรียมการต่อสู้กับนักบู๊แดนปราณดินระดับสูงสุดเอาไว้”

ลู่ฝานพยักหน้าพูดว่า “เข้าใจแล้วครับ ดูเหมือนจะมองเขาเป็นแปดผู้โดดเด่นธรรมดาๆ ไม่ได้แล้ว”

กลางอากาศ รถม้าค่อยๆ ลอยลงมา

องครักษ์เกราะทองปรากฏตัวขึ้น ฉินฝานเดินกะเผลกลงจากรถม้า “องค์ชายรอง!”

ทุกคนรีบโค้งตัวทำความเคารพฉินฝาน

แม้พวกจางกวังดูไม่เต็มใจเป็นอย่างมาก แต่ก็โค้งคำนับ

ฉินฝานเดินมาตรงกลางระหว่างลู่ฝานกับจางกวัง เขาตบไหล่จางกวังก่อน จากนั้นมองลู่ฝานด้วยรอยยิ้มแล้วพูดว่า “ทั้งสองท่านล้วนเป็นผู้โดดเด่นแห่งยุคนี้ เป็นเสาหลักของประเทศ ในเมื่อจะประลองกัน ก็ต้องมีลานประลองที่ใหญ่กว่านี้สิ ฉันว่าวันนี้หยุดไว้เพียงเท่านี้เถอะ”

จางกวังพูดอย่างราบเรียบว่า “เตี้ยนเซี่ย จะขวางการต่อสู้เป็นตายของนักบู๊เหรอครับ”

ฉินฝานรีบโบกมือไปมา แล้วพูดว่า “มิกล้าๆ การต่อสู้เป็นตายของนักบู๊เหนือกว่ากฎอู่อาน ฉันจะกล้าขัดแย้งกับสิ่งนี้ได้ยังไง แค่เสนอความเห็น เสนอความเห็นเท่านั้น ความคิดของฉัน จากชื่อเสียงของทั้งสองท่าน เพียงพอที่จะต่อสู้แบบไร้เทียมทาน ท่ามกลางสายตาของผู้คนมากมาย ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ ชื่อเสียงก็ต้องดังกระฉ่อนไปทั่วอู่อานแน่นอน รวมถึงในใต้หล้าด้วย ถ้าวันนี้สู้ต่อไปแบบนี้ ก็ไม่ยิ่งใหญ่สง่างามน่ะสิ”

พูดพลาง จู่ๆ ฉินฝานยื่นหน้าไปข้างหูจางกวัง แล้วพูดว่า “พี่จางกวัง การต่อสู้วันนี้ ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ พี่เสียเปรียบมากนะ! ถ้าชนะก็แค่การผลัดกันสู้ของแปดผู้โดดเด่น เพื่อเอาชนะลู่ฝาน แต่ถ้าแพ้ นั่นจะพ่ายแพ้อย่างยับเยินเลยนะ แปดผู้โดดเด่นเสียหน้ากันหมด พี่แน่ใจเหรอว่าจะสู้กับลู่ฝานตอนนี้”

จางกวังขมวดคิ้วขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าคำพูดของฉินฝานแทงใจเขา

ลู่ฝานมองการกระทำของฉินฝานด้วยรอยยิ้ม ไม่ได้พูดอะไรออกมา

จากความเข้าใจของเขา ฉินฝานไม่มีความเคารพไท่จื่อสักนิด

อีกทั้งฉินฝานยังตั้งใจให้เขาฆ่าแปดผู้โดดเด่นโดยเฉพาะ เขาไม่เชื่อหรอกว่าฉินฝานจะให้คำแนะนำดีๆ กับจางกวัง ดังนั้นเขาจึงใจเย็นมาก!

จางกวังครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “งั้นจากความคิดขององค์ชายรอง สู้ตอนไหนถึงจะเหมาะสม”

ฉินฝานแสร้งทำเป็นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นพูดว่า “ใกล้ถึงเทศกาลเซ่นไหว้ประจำปี ฉันว่าตอนเทศกาลเซ่นไหว้ประจำปี พวกนายสองคนมาต่อสู้อย่างไร้เทียมทาน เพื่อสร้างชื่อเสียงให้อู่อานของฉันเป็นไง ฉันจะจัดสถานที่ให้ทั้งสองคนโดยเฉพาะ ให้คนทั้งเมืองหลวงได้เห็น เกียรติระดับนี้ โอกาสระดับนี้ ไม่ได้มีบ่อยๆ นะ! ฉันเป็นคนชอบความครึกครื้น เมื่อถึงตอนนั้นขอที่นั่งเจ้าภาพให้ฉันหนึ่งที่ ให้ฉันได้ดูใกล้ๆ ก็พอแล้ว”

จางกวังพยักหน้าพูดว่า “ได้ครับ! งั้นสู้กันตอนเทศกาลเซ่นไหว้ประจำปี ลู่ฝาน นายกล้ารับคำท้าไหม”

ลู่ฝานมองจางกวัง แล้วมองฉินฝาน จากนั้นพูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่มีปัญหา การประลองที่องค์ชายรองจัดขึ้นด้วยตัวเอง ถ้าผมไม่ไว้หน้า ก็คงน่าเบื่อมากไม่ใช่เหรอครับ”

“โอเค! งั้นเรื่องนี้ตกลงกันเช่นนี้!”

ฉินฝานพูดด้วยรอยยิ้ม

จางกวังจ้องลู่ฝานแวบหนึ่ง จากนั้นพูดว่า “ลู่ฝาน เมื่อถึงตอนนั้น ฉันต้องใช้เลือดนายบูชายัญปีใหม่แน่นอน!”

ลู่ฝานพูดอย่างราบเรียบว่า “คำพูดนี้ เมื่อถึงตอนนั้นฉันจะคืนให้อย่างแน่นอน”

ฉินฝานปรบมือแล้วพูดว่า “โอ้ ฉันชอบเห็นความเลือดร้อนห้าวหาญแบบนี้แหละ การต่อสู้ไม่กลัวตายของนักบู๊ ใครก็ได้ มาส่งผู้แข็งแกร่งห้าวหาญจางกวังกลับไปจวนไท่จื่อ แล้วก็ยกศพของผู้โดดเด่นท่านนี้ออกไปด้วย ดูสิว่ายังช่วยชีวิตกลับมาได้ไหม”

องครักษ์เกราะทองกลุ่มหนึ่ง รีบวิ่งขึ้นมาเอาศพของเซิ่งฉิวไป

พวกเหรินเจียงที่อยู่ด้านล่าง มองลู่ฝานกับจางกวังนัดสู้กันตอนเทศกาลเซ่นไหว้ประจำปี ด้วยความตกตะลึง พวกเขาอยากพูดอะไร แต่ไม่กล้าพูดต่อหน้าฉินฝาน

คนรอบๆ ต่างพูดคุยกัน

“นัดสู้แล้วๆ เทศกาลเซ่นไหว้ประจำปีปีนี้มีอะไรให้ดูแล้ว!”

“พละกำลังของจางกวังเป็นอันดับหนึ่งของแปดผู้โดดเด่นมาตลอด เขาสู้กับลู่ฝาน ต้องยอดเยี่ยมแน่นอน ฉันต้องรีบซื้อกระจกจำภาพมาบันทึกเอาไว้แล้วล่ะ”

“ไปซื้อตอนนี้เลย ขืนช้าจะโดนคนแย่งหมด!”

……

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1039
เจ้าดำส่งเสียงร้องโอดครวญออกมาเบาๆ ตอนนี้ดูเหมือนหมาน้อยได้รับบาดเจ็บจริงๆ จากนั้นมันหมอบลงบนไหล่ลู่ฝานอย่างว่าง่าย

ปราณชี่บนตัวลู่ฝานถูกเก็บกลับไป พลังกลับสู่ตันเถียน เคลื่อนตัวช้าๆ

ตอนนี้ลู่ฝานรู้สึกว่าตันเถียนของตัวเองขยายใหญ่จนกลายเป็นมหาสมุทร

บนมุกเทพก็เริ่มมีอักษรยันต์เป็นลายๆ ปรากฏขึ้น เหมือนเปลวไฟลอยอยู่ด้านบน

ปราณชี่ในตัว รวมตัวกันเป็นรูปร่างอย่างน่ากลัว ใกล้ทะลุระดับรูปร่างของเหลวและแก๊สแล้ว แค่เขาใช้ความคิด ก็สามารถทำให้เป็นของแข็งเหมือนกับก้อนหินได้

แดนปราณดิน!

แดนปราณดินที่แท้จริง!

ขนาดลู่ฝานเองยังไม่อยากเชื่อ เขาสามารถทะลุระดับถึงแดนปราณดินภายในครั้งเดียว!

เมื่อตรวจสอบอย่างละเอียด ลู่ฝานรู้สึกว่าตัวอ่อนจิตฟ้าดินในตัวหายไปหมดแล้ว เห็นได้ชัดว่าโดนร่างกายของเขาย่อยไปจนหมด

ลู่ฝานยิ้มบางๆ คงเป็นเพราะตัวอ่อนจิตฟ้าดินชิ้นนี้ ที่ทำให้เขาสามารถทะลุระดับถึงแดนปราณดินได้อย่างรวดเร็ว

เป็นไปตามคาด ฝึกฝนแสนสาหัสสิบปี ไม่เท่ายาวิเศษเพียงต้นเดียว

โลกใบนี้ไม่ยุติธรรมเช่นนี้ แล้วก็ยุติธรรมเช่นนี้ด้วย

ปล่อยปราณชี่ออกมาเบาๆ เกาะปราณเพลิงปกคลุมตัวเขาทันที

ขณะนั้นลู่ฝานรู้สึกว่าเกราะเกล็ดมังกรของตัวเอง ปรากฏออกมาเองเช่นกัน จากนั้นหลอมรวมไปในเกาะปราณเพลิง

เห็นได้ด้วยตาเปล่าว่าเกาะปราณของเขาเริ่มเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ตัวเกราะดูหนาทนทาน มีลายมังกรสว่างขึ้น จู่ๆ ลู่ฝานรู้สึกเหมือนเกราะปราณของตัวเองมีจิตวิญญาณ เขาไม่ต้องควบคุมมัน ก็สามารถดูดซับพลังฟ้าดินได้เอง

นี่คือจุดแข็งแกร่งของเกราะเกล็ดมังกรเหรอ

ลู่ฝานยิ้มออกมา ที่แท้หลังจากก้าวเข้าสู่แดนปราณดิน เคล็ดวิชาเกราะเกล็ดมังกรถึงจะเริ่มแสดงประสิทธิภาพแท้จริงออกมา

ใช้สมาธิเล็กน้อย เกาะปราณสามารถเปลี่ยนรูปร่างตามความคิดของเขา

แม้ลู่ฝานเพิ่งทะลุระดับถึงแดนปราณดิน แต่ด้านการควบคุมเกราะปราณ เหนือกว่านักบู๊แดนปราณดินไปแล้ว 90 เปอร์เซ็นต์

“ดีมาก!”

ลู่ฝานหัวเราะออกเสียง ในเวลาเดียวกันก็เงยหน้ามองจางกวัง ตอนนี้ในแปดผู้โดดเด่น มีเพียงจางกวังที่สามารถสู้กับเขาได้

ลู่ฝานดูออกว่าพละกำลังของจางกวัง เหนือกว่าคนอื่นแน่นอน

ตอนนี้มีเพียงเขาคนเดียว ที่สามารถรักษาความสุขุมได้ ตอนนี้พวกเหรินเจียงมองลู่ฝานด้วยแววตาหวาดผวา!

แววตาของจางกวังหันไปมองใบหน้าลู่ฝาน ทั้งสองมองหน้ากัน

จางกวังยิ้มบางๆ หลังจากนั้นเดินมาข้างหน้าช้าๆ

กระบี่ยาวอยู่ในมือ จางกวังพูดอย่างสุขุมว่า “นายไม่เลวจริงๆ มีคุณสมบัติทำให้ฉันลงมือ!”

ลู่ฝานตบหัวเจ้าดำเบาๆ เจ้าดำรีบมุดเข้าไปในเข็มขัดของเขาอย่างรู้งาน

กระบี่หนักไร้คมถูกดึงออกมาพาดไว้บนไหล่อีกครั้ง

ลู่ฝานยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “งั้นให้ฉันชมวิชากระบี่ของนายหน่อยละกัน!”

พลานุภาพพลุ่งพล่าน เงาอสูรสายฟ้าปรากฏด้านหลังลู่ฝาน เปลวเพลิงและสายฟ้าปกคลุมตัวเขา

จางกวังชี้กระบี่ยาวลงบนพื้น จู่ๆ เกล็ดบนตัวเริ่มหมุนวน เงามังกรยักษ์ตัวหนึ่งพุ่งขึ้นมาจากหัวเขา

พลานุภาพอันน่ากลัว ทำให้ลู่ฝานต้องถอยหลังไปหนึ่งก้าวทันที

ทันใดนั้น ลู่ฝานอึ้งเล็กน้อย ปล่อยปราณชี่ออกไป กวาดล้างพลานุภาพของจางกวังจนหมด

แววตาของจางกวังเย็นชาเล็กน้อย เขายกกระบี่ในมือขึ้นมา กำลังจะลงมือ

ขณะนั้นเอง จู่ๆ มีเสียงหนึ่งดังขึ้น

“ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยม ไม่ได้ดูการต่อสู้ใหญ่ที่ยอดเยี่ยมขนาดนี้มานานแล้ว จางกวัง ลู่ฝาน ไว้หน้าฉันหน่อยได้ไหม วันนี้ไม่ต้องสู้กันก่อนได้ไหม”

ทุกคนพากันหันไปมองทางที่มีเสียงดังขึ้น

ทันใดนั้น รถม้าคันหนึ่งปรากฏในสายตาทุกคน องค์ชายรองฉินฝานมองทั้งสองคนอย่างเย่อหยิ่ง ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์!

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1038
เซิ่งฉิวมองลู่ฝานที่มีแสงทะลุขึ้นไปบนฟ้า จู่ๆ เขารู้สึกถึงอันตรายที่กำลังโถมเข้ามา

เขารีบถอยไปด้านหลังสองสามก้าว เซิ่งฉิวเต็มไปด้วยความหวาดระแวง จ้องลู่ฝานเขม็ง

“นายทำร้ายเจ้าดำ!”

สีหน้าของลู่ฝานอึมครึมลง ความอาฆาตในแววตาน่ากลัว เศษหินรอบตัวนับไม่ถ้วนเริ่มสั่นสะเทือน

ตอนนี้กระบี่หนักไร้คมในมือเขาก็สว่างขึ้น

อักษรยันต์ค่อยๆ ปรากฏขึ้นมาเองบนกระบี่หนักไร้คม

ใส่ปราณชี่เข้าไป เขตวิถีเปิดออก

ทันใดนั้นตัวหายไป เหลือเพียงรอยเท้าสองรอยชัดเจนท่ามกลางเศษหิน!

เซิ่งฉิวตั้งตัวอย่างรวดเร็ว รีบเอาตัวเข้าไปในอากาศเวิ้งว้าง

แค่ไม่สามารถทำลายอากาศเวิ้งว้างได้ ก็ไม่สามารถทำอะไรเขาได้ นี่คือจุดแข็งแกร่งของเคล็ดวิชาบู๊มิติของเขา

แต่วินาทีต่อมา แสงกระบี่แสงหนึ่งพาดผ่านมา ตบลงบนตัวของเซิ่งฉิวอย่างแรง

พลั่ก!

เสียงอึกทึกดังขึ้น ทุกคนมองด้วยความตะลึง ลู่ฝานใช้กระบี่ตบเซิ่งฉิวออกมา!

รอบกระบี่หนักไร้คมหนึ่งฟุต ล้วนเป็นเขตวิถีทั้งหมด

แค่สัมผัสโดนเขตวิถี อากาศเวิ้งว้างธรรมดาๆ จะนับประสาอะไร!

เซิ่งฉิวโดนตบจนกระเด็นออกมาทันที กลางอากาศ เลือดสดสาดออกมาจากปากและจมูกโดยอัตโนมัติ

แต่นี่ยังไม่จบ เซิ่งฉิวที่อยู่กลางอากาศ เห็นเงาของลู่ฝานปรากฏตัวข้างเขาอีกครั้ง

ความเร็วของลู่ฝานเร็วจนยากที่จะจินตนาการจริงๆ!

หมัดซ้ายกระแทกลงบนหน้าเซิ่งฉิว เปลวไฟที่น่ากลัว ปกคลุมทั้งตัวเซิ่งฉิวอย่างรวดเร็ว

เสียงร้องโอดครวญดังขึ้น ช่วงเวลาอันตราย เซิ่งฉิวพลิกมือตบลงบนตัวลู่ฝาน

พลังโต้กลับมิติที่แปลกประหลาด ทะลุเข้ามาในเกราะเกล็ดมังกรของลู่ฝาน ทำลายปราณชี่เข้ามาในตัว

แต่หลังจากนั้นแสงสีดำกะพริบในดวงตาลู่ฝาน ปราณชี่ในตัวเหมือนหลุมดำกลืนกินสรรพสิ่ง กลืนพลังโต้กลับจนไม่เหลือแม้แต่ซากทันที

หมุนตัวเตะโจมตีไปที่หัวของเซิ่งฉิวทันที

เสียงแตกหักดังขึ้น เซิ่งฉิวกระแทกเข้าไปในพื้นอย่างแรง

ลู่ฝานสะบัดมือตั้งกระบี่หนักไร้คม!

พายุไซโคลนเก้าลูกบนตัวสว่างขึ้น!

ครั้งที่หนึ่ง ฟ้าดินสะเทือน!

พลังของพายุไซโคลนทั้งเก้ารวมอยู่ที่เดียวกัน เสื้อผ้าบนตัวลู่ฝานขาดวิ่น เผยให้เห็นกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ และร่างกายอันแข็งแรงของเขา

กระบี่หนักไร้คมใหญ่ขึ้นเป็นอย่างมาก พลังแข็งแกร่งก่อตัวเป็นเงาของกระบี่หนักไร้คม

ระหว่างฟ้าดิน เห็นเพียงกระบี่ยักษ์ขนาดใหญ่ ร่วงลงมาอย่างน่ากลัว!

ตู้ม!

กระบี่หนักไร้คมจมลึกลงไปในพื้นดิน แรงกระเพื่อมของพลังแผ่ขยายออกมา พื้นดินเหมือนกับระลอกคลื่น สะเทือนจนดินยกตัวสูงเป็นคลื่น กระจายวงกว้างออกไป

ทุกคนถอยหลังด้วยความตกใจ มีเพียงจางกวัง ที่สะบัดกระบี่ทำลายการโจมตีของดินที่เป็นคลื่น!

ความโกลาหลกินเวลาอยู่นาน ในที่สุดคลื่นดินก็หายไปและสงบลง

ทุกคนปัดเศษดินบนตัวอย่างแรง จากนั้นมองไปข้างหน้า

ในเศษหิน ลู่ฝานอุ้มเจ้าดำที่หดตัวจนเล็กด้วยมือข้างเดียว ส่วนอีกมือประคองกระบี่หนักไร้คมที่ปักอยู่บนพื้น

และด้านล่างกระบี่คือเซิ่งฉิว

กระบี่หนักไร้คมแทงทะลุอก เซิ่งฉิวเบิกตาโตทั้งสองข้าง เห็นได้ชัดว่าเขาตายตาไม่หลับ

“ตายแล้ว!”

“ตายอีกหนึ่งคน!”

“ขนาดแปดผู้โดดเด่นยังสู้ไม่ได้ ลู่ฝานนักกระบี่แห่งตงหวา แข็งแกร่งจริงๆ!”

ท่ามกลางผู้คน มีคนจำนวนไม่น้อยถึงกับร้องเสียงหลง คนจำนวนมากแทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเอง

เทียบกับลู่ฝาน เซิ่งฉิวเป็นนักบู๊อัจฉริยะที่มีชื่อเสียงมานานหลายปี

ลู่ฝานเพิ่งมีชื่อเสียงมาไม่นาน นับรวมตั้งแต่เริ่มเข้าสู่รายชื่อประเทศ เป็นระยะเวลาแค่ครึ่งปีเท่านั้น

แต่คนรุ่นใหม่ที่ความสามารถมากกว่า เข้ามาแทนที่คนรุ่นเก่าจริงๆ เซิ่งฉิวตายคามือลู่ฝาน

เหรินเจียงและคนอื่นเห็นภาพนี้ ถึงกับหน้าเปลี่ยนสี แต่ละคนหน้าซีดเผือด

พลังบนตัวหายไป ลู่ฝานดึงกระบี่หนักไร้คมออกมา เสียบกลับไปที่ด้านหลัง จากนั้นป้อนยาสองสามเม็ดให้เจ้าดำอย่างรวดเร็ว

ดวงตาสองข้างแดงก่ำ ตอนนี้เจ้าดำก็บ้าคลั่งแล้วเหมือนกัน

ขาหน้าทั้งสองข้างของมัน จับตัวเซิ่งฉิวเอาไว้อย่างรวดเร็ว

อ้าปากพ่นไฟออกมาเป็นแถบ!

เซิ่งฉิวรีบสะบัดมือปล่อยพลังปราณออกมาข้างหน้า แต่ต่อมาเปลวไฟทะลุอกของเขาไป

“ความว่างเปล่า ภาพลวงตา ทุกอย่างเป็นเพียงสิ่งลวงตา!”

เซิ่งฉิวสวดวิชาบางอย่างออกมาด้วยความเฉยเมย

ตัวของเขาโปร่งใสเหมือนกระดาษ จู่ๆ เจ้าดำพบว่าตัวเองไม่สามารถจับเขาได้อีก

ทันใดนั้น เซิ่งฉิวหลุดออกจากการจับของเจ้าดำ พลิกมือตบลงบนหัวของเจ้าดำอีกครั้ง

ทันใดนั้นเจ้าดำล้มลงบนพื้นอย่างเจ็บปวด กระตุกไปทั้งตัว

เหรินเจียงและคนอื่นมีรอยยิ้มเต็มหน้า พูดออกมาว่า “สู้ได้ดี วิถีบู๊มิติของพี่เซิ่งฉิว นับวันยิ่งก้าวหน้าถึงจุดสมบูรณ์!”

เซิ่งฉิวก้มตัวลงมองเจ้าดำ แล้วพูดว่า “อสูรวิเศษธรรมดาๆ กล้ามาขวางฉัน ไม่เจียมตัว! ตอนนี้ฉันจะฆ่าเจ้านายแกแล้ว แกจะทำอะไรได้”

เซิ่งฉิวเดินมาตรงหน้าลู่ฝาน โจมตีด้วยฝ่ามือลงบนตัวลู่ฝาน

อักษรยันต์ในมือเขาสว่างขึ้น แต่ทั้งตัวเขากลับโดนสะท้อนกลับมา

ระลอกคลื่นสว่างขึ้นอีกครั้ง ตัวของลู่ฝานสั่นไปมาเล็กน้อย แต่ก็ยังนั่งอยู่ตรงนั้นเหมือนเดิม

เซิ่งฉิวพูดอย่างประหลาดใจว่า “มีการป้องกันตัวเอง มีความสามารถอยู่บ้าง มิน่าล่ะถึงมีความมั่นใจ กล้าทะลุระดับต่อหน้าทุกคน! แต่ฉันจะดูสิว่านายจะต้านทานกระบวนท่านี้ของฉันได้ไหม”

เซิ่งฉิวพูดพลาง มีมวลอากาศสว่างขึ้นในฝ่ามือ

ภายใต้การควบคุมพลังปราณของเขา มวลอากาศนับไม่ถ้วนถูกขับเคลื่อน ไม่นานมวลอากาศเริ่มลุกลาม แปรเปลี่ยนเป็นแหลมคม ทำให้ฟ้าดินเริ่มเปลี่ยนสีเพราะมัน

เซิ่งฉิวเริ่มสั่นไปมาเหมือนภาพลวงตา ท่ามกลางสายตาของทุกคน กระแสลมในมือยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ อากาศรอบๆ เริ่มมีรอยแตกร้าว เหมือนผ้าใบวาดรูปโดนคนฉีกออกอย่างแรง เกิดเป็นรอยร้าวสีดำขลับ

“สายลมพิฆาต!”

แผดเสียงเบาๆ เซิ่งฉิวยกมือเตรียมจะโยนมวลอากาศในมือใส่ลู่ฝาน

แต่ขณะนั้นเอง จู่ๆ เจ้าดำลุกขึ้นมาชนกระแทกเข้าออกไป

มวลอากาศในมือเขา ลอยไปทางเหรินเจียงและคนอื่นทันที!

“อะไรกัน”

เหรินเจียงตะโกนเสียงดัง ถอยไปข้างหลังอย่างรวดเร็ว

แต่มวลอากาศนั่นไม่เพียงแต่จะมาอย่างรวดเร็ว ยังผนึกพื้นที่รอบๆ เอาไว้ มันกำลังจะโจมตีเข้ามาแล้ว

ทันใดนั้น กระบี่เล่มหนึ่งพาดผ่านมาราวกับลำแสง หลังจากนั้นมวลอากาศสลายหายไปจนหมด

จางกวังเก็บกระบี่อย่างสุขุม กอดกระบี่มองดูบนลานประลองต่อไป

ตอนนี้เซิ่งฉิวอายจนโมโหแล้ว เกือบฆ่าพวกตัวเองตายแล้ว!

“ไอ้อสูรวิเศษเวร!”

เซิ่งฉิวเหยียบเจ้าดำลงบนพื้น อาวุธมากมายปรากฏขึ้นรอบตัว

“ดูเหมือนคงต้องฆ่าแกก่อน เป็นแค่อสูรวิเศษตัวเล็กๆ แต่แกจงรักภักดีมาก!”

เจ้าดำที่โดนเหยียบอยู่บนพื้น ดิ้นไปมาสุดชีวิต แต่ยิ่งมันดิ้น เลือดบนตัวก็ยิ่งไหลออกมาเร็ว

อาวุธนับไม่ถ้วนเล็งไปที่หัวเจ้าดำ เซิ่งฉิวพูดเสียงเบาว่า “ตายซะเถอะ อีกไม่นานเจ้านายของแกก็จะไปหาแกแล้ว!”

พูดจบ อาวุธร่วงลงมาเป็นแถบ ทันใดนั้นเจ้าดำร้องออกมาอย่างโศกเศร้า

เสียงนี้สั่นสะเทือนจนอาวุธลอยไปทางอื่น

ในเวลาเดียว ลู่ฝานที่กำลังทะลุระดับ ลืมตาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เขาพูดพึมพำว่า “เจ้าดำ!”

ในเวลาเดียวกันกับที่เขาลืมตาขึ้น แสงหนึ่งส่องออกมาจากตัวเขา พุ่งขึ้นไปบนฟ้าทันที

ทันใดนั้นท้องฟ้าเกิดเสียงโครมคราม เหมือนมีเสียงสัตว์คำรามมากมายดังมาจากขอบฟ้า ทุกคนตัวสั่นไปหมด

ที่ศูนย์กลางเมืองของเมืองหลวง

เหมือนนักบู๊เกือบทั้งหมด เห็นลำแสงที่พุ่งขึ้นมาบนท้องฟ้า ทะลุขอบฟ้า

เหมือนท้องฟ้าโดนแทงจนทะลุเป็นโพรง ลำแสงยังพุ่งขึ้นไปเรื่อยๆ

ตระกูลหาน

บนยอดเขา ผู้อาวุโสคนหนึ่งเห็นภาพนี้ ถึงกับขมวดคิ้วพูดว่า “ใครหาต้าเต๋าเจออีกแล้ว ไม่สิ พลังอ่อนแอขนาดนี้ ทำไมถึงมีแรงทะลุทะลวงขนาดนี้ล่ะ แปลกมากๆ!”

ตระกูลเทียน

เจ้าบ้านตระกูลเทียนชี้ท้องฟ้าแล้วพูดว่า “ไม่เคยเห็นวิชานี้มาก่อน ไปหาคนคนนี้ให้เจอ ดูสิว่าใครกำลังทะลุระดับ!”

ตระกูลสุ่ย ตระกูลถานไถ และตระกูลวิถีบู๊ตระกูลอื่น ต่างเห็นภาพนี้

ต่างพากันเริ่มสอบถามว่าใครกำลังทะลุระดับ

ในอุทยานหลวง ในเมืองหลวง

ฉินซางต้าตี้กำลังชมดอกไม้อยู่

เขาปรายตามองท้องฟ้าไกลๆ แวบหนึ่ง หัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “ประเทศอู่อานของฉัน จะมียอดฝีมือเพิ่มขึ้นมาอีกคนแล้ว น่าสนใจๆ ไปสืบดูว่าเป็นใคร รายงานชื่อมาด้วย”

องครักษ์เกราะทองสองสามคนหายไปทันที

บนเจดีย์ยา เงาเลือนรางของอริยปราชญ์ดวงดาวปรากฏออกมาอีกครั้ง

เขาก้มมองลู่ฝานที่อู่ด้านล่าง แล้วพูดอย่างประหลาดใจว่า “คิดไม่ถึงว่าเด็กคนนี้จะมีพลังขนาดนี้ เขาฝึกวิชาอะไรกัน ฝึกฝนเคล็ดวิชาบู๊อะไร”

ขณะกำลังพูด มีเงาเลือนรางปรากฏขึ้นข้างเขาอีกสองสามเงา

“อนาคตของเด็กคนนี้ไม่สิ้นสุด แค่เขาไม่ตาย ต่อไปในบรรดาผู้แข็งแกร่ง ต้องมีเขาอยู่แน่นอน”

“อืม ศักยภาพไม่สิ้นสุด วิชาล้ำเลิศ ต้องมีอำนาจใหญ่อยู่เบื้องหลังแน่นอน”

“ช่วงนี้ใครจัดการดูแลเจดีย์ยา ดึงเด็กคนนี้มาเป็นพวกหน่อย!”

เงาเลือนรางสองสามเงาพูดคุยกันเสียงเบา

จู่ๆ เงาของอริยปราชญ์ดวงดาวเบาบางลงไม่น้อย ถ้ามองดูอย่างละเอียด จะเห็นสีหน้ากระอักกระอ่วนของเขาอยู่เลือนราง

จู่ๆ เขารู้สึกว่าตัวเองทำกับลู่ฝานแบบตัดสินอะไรโดยไม่มีหลักการเกินไปหรือเปล่า คืนป้ายให้เขาดีไหม แบบนี้จะทำให้เจดีย์ยาเสียหน้าหรือเปล่า!

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1036
ทะลุระดับตอนใกล้สู้ เป็นข้อห้ามของนักบู๊

ขอแค่เป็นการทะลุระดับ ไม่ว่าจะเป็นนักบู๊ก็ดี หรือผู้ฝึกชี่ก็ดี ล้วนต้องหาที่สงบไร้ผู้คนรบกวน ถึงจะกล้าทะลุระดับอย่างสงบใจ

ถึงขั้นที่ผู้แข็งแกร่งบางส่วน ยังตั้งใจเชิญยอดฝีมือมาคุ้มครอง ห้ามคนอื่นเข้าใกล้เด็ดขาด ถึงทำขนาดนี้ การทะลุระดับจะสำเร็จหรือไม่ โอกาสยังมีแค่ 50:50 เลย

แต่วันนี้ลู่ฝานทำลายความรู้ทั่วไปของทุกคน

คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะนั่งลงทันทีแบบนี้ เริ่มทะลุระดับท่ามกลางศัตรูที่ล้อมรอบอยู่

มองพวกจางกวังเหมือนความว่างเปล่าจริงๆ!

จูจวิ้นทนไม่ไหวแล้ว ลุกขึ้นพูดว่า “ฉันเอง”

ครั้งนี้จางกวังใช้มือข้างหนึ่งรั้งเขาไว้ แล้วพูดว่า “ระวังโดนหลอก เซิ่งฉิวนายไปสู้เถอะ”

ผู้ชายสวมชุดคลุมยาวที่นั่งอยู่ข้างๆ ลุกขึ้นยืน

อักษรยันต์เต็มใบหน้า เขาคือเซิ่งฉิว อันดับสองในแปดผู้โดดเด่น

เซิ่งฉิวพยักหน้าแล้วเดินช้าๆ ขึ้นไปบนลานประลอง ในเวลาเดียวกันก็โยนตัวห่าวซูกลับมา

ตันเถียนโดนทำลาย ไม่รู้ว่าห่าวซูเป็นหรือตาย

จางกวังและคนอื่นมองเพียงแวบเดียว แล้วถอนหายใจยาวออกมา

เกรงว่าคงช่วยไม่ได้แล้ว!

เซิ่งฉิวเดินมาตรงหน้าลู่ฝาน ห่างประมาณห้าก้าว มองลู่ฝานด้วยสีหน้าระแวดระวัง

แม้ตอนนี้ลู่ฝานนั่งอยู่ตรงนั้น เหมือนกำลังทะลุระดับอยู่

แต่ใครจะรับประกันได้ล่ะว่านี่ไม่ใช่วิธีที่ลู่ฝานแสร้งทำ อย่างน้อยเซิ่งฉิวก็ไม่เชื่อหรอกว่าจะมีคนทะลุระดับได้อย่างแน่วแน่ท่ามกลางการต่อสู้เป็นตายแบบนี้

ยกมือขึ้น อักษรยันต์บนตัวสว่างขึ้น หอกยาวที่ก่อตัวจากแสงสีดำ ขาว เทา ปรากฏขึ้นในมือเซิ่งฉิว

หลังจากนั้นเซิ่งฉิวโยนหอกยาวใส่หน้าลู่ฝานทันที

ชิ้ง แสงด้านนอกตัวลู่ฝานสั่นไปมาครู่หนึ่ง กันหอกยาวเอาไว้ได้ พลังฟ้าดินรอบๆ ก็เคลื่อนไหวตามไปด้วย ลู่ฝานขมวดคิ้วเบาๆ

เซิ่งฉิวดีใจ เขาหัวเราะเสียงดังแล้วพูดว่า “ไอ้เด็กนี่กำลังทะลุระดับจริงๆ ด้วย!”

เมื่อพูดเช่นนี้ เซิ่งฉิวปล่อยพลังปราณบนตัวออกมา อาวุธต่างๆ ปรากฏขึ้นรอบตัวเขา

เหมือนเขามีแขนงอกออกมาเกือบร้อยแขนในเวลาเพียงพริบตาเดียว บนแขนแต่ละแขนล้วนจับอาวุธอยู่หนึ่งชิ้น

“เซิ่งฉิว อาวุธพันมือ!”

เมื่อเขาปล่อยกระบวนท่านี้ออกมา คนจำนวนไม่น้อยตะโกนฉายาของเขาออกมาทันที

สองสามปีมานี้ เซิ่งฉิวลงมือน้อยมาก ทำให้คนในเมืองหลวง เกือบลืมฉายาของเขาไปแล้ว

แต่เมื่อวิชาที่เป็นสัญลักษณ์ของเขาปรากฏออกมา ก็มีคนจำนวนไม่น้อยจำได้ทันที

ต่อมาเซิ่งฉิวโยนอาวุธทั้งหมดในมือออกไป เสียงอากาศแตกร้าวดังขึ้น ทุกที่ที่อาวุธพาดผ่านไป จะเกิดเป็นรอยแตกร้าวของอากาศอย่างเห็นได้ชัด

“พันอาวุธพิฆาต!”

ใบหน้าเซิ่งฉิวมีความเยาะเย้ย แม้กระบวนท่านี้ฆ่าลู่ฝานให้ตายไม่ได้ แต่สามารถหยุดการทะลุระดับของเขาได้ทันที

และเมื่อการทะลุระดับของคนคนหนึ่งถูกหยุดไว้ แต่การแว้งกัด ก็สามารถทำให้คนแทบเป็นแทบตายแล้ว

เซิ่งฉิวอยากเห็นสภาพที่ลู่ฝานกลิ้งไปมาบนพื้นมาก!

แต่ขณะนั้นเอง จู่ๆ มีมังกรดำตัวหนึ่งพุ่งออกมาจากข้างๆ ขวางหน้าลู่ฝานเอาไว้

พ่นเปลวไฟดำออกมา แผดเผาอาวุธทั้งหมดจนหายไปในพริบตา

เสียงมังกรคำรามดังขึ้น ยืนตรงด้วยขาสองข้าง มังกรดำที่มาถึงก็คือเจ้าดำนั่นเอง!

“อสูรวิเศษ!”

เซิ่งฉิวพูดอย่างประหลาดใจ

เจ้าดำคำรามใส่เซิ่งฉิวไม่หยุด เปลวไฟดำลุกโชนขึ้นมาบนตัว

จู่ๆ เซิ่งฉิวหัวเราะออกมา แล้วพูดว่า “ลู่ฝาน นายคิดว่าแค่อสูรวิเศษตัวเดียว จะทำให้นายทะลุระดับอย่างราบรื่นได้เหรอ!”

เซิ่งฉิวเดินขึ้นมาข้างหน้าหนึ่งก้าว พลังปราณบนตัวพุ่งออกไป เหมือนฝนกระบี่เป็นแถบ ร่วงลงไปบนตัวเจ้าดำ

เสียงมังกรคำรามดังขึ้นอีกครั้ง ตัวของเจ้าดำขยายใหญ่ขึ้นหนึ่งเท่า ใช้กรงเล็บตบพลังปราณจนกระจาย

ในเวลาเดียวกัน เจ้าดำพ่นเปลวไฟสีขาวดำออกมาจากปากทันที

ทันใดนั้นอากาศรอบๆ เกิดเสียงแตกร้าวดังขึ้นชัดเจน

เซิ่งฉิวตกใจจนหน้าเปลี่ยนสี รีบถอยไปด้านหลังหลายก้าว

“เพลิงทำลายล้างน่ากลัวมาก!”

เซิ่งฉิวอุทานอย่างตกใจพลางหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

เจ้าดำเบิกตาโตมองซ้ายมองขวา ทันใดนั้นเหมือนเจออะไรบางอย่าง มันสะบัดหางโจมตีกลางอากาศ

พลั่ก!

หางขนาดใหญ่ปะทะกับตัวคน เป็นตัวของเซิ่งฉิว

แต่ตอนนี้ในมือของเซิ่งฉิวมีของเพิ่มมาหนึ่งอย่าง นั่นเป็นโล่ที่ก่อตัวจากพลังปราณ ป้องกันหางที่เจ้าดำโจมตีใส่เอาไว้ได้

ในเวลาเดียวกัน เซิ่งฉิวใช้ฝ่ามือกดลงกลางอากาศ!

ต่อมา เจ้าดำเห็นอากาศด้านหน้าเริ่มทรุดลงอย่างรวดเร็ว

เสียงคำรามอย่างโมโหดังขึ้นต่อเนื่อง เจ้าดำอ้าปากพ่นไฟออกมา เหมือนกำแพงสี่ด้าน แผดเผาอากาศรอบๆ จนหมด ไม่ยอมให้อากาศทรุดลงมาโดนข้างตัวลู่ฝาน

ลู่ฝานที่โดนเจ้าดำคุ้มกันอยู่ด้านหลัง เหมือนตัวอยู่ในอากาศเวิ้งว้าง

ด้านหน้าและด้านหลังล้วนมืดไปหมด

จู่ๆ เซิ่งฉิวปรากฏตัวขึ้นข้างหน้าเจ้าดำ

กดฝ่ามือลงบนเกล็ดของเจ้าดำ

“แยกออก!”

อักษรยันต์ชัดเจนเข้าไปในตัวเจ้าดำ หลังจากนั้นเจ้าดำร้องเสียงดังด้วยความเจ็บปวด

เลือดสดพุ่งออกมาจากตัวเจ้าดำไม่หยุด เหมือนมีอาวุธนับไม่ถ้วนฟาดฟันอย่างบ้าคลั่งอยู่ในตัวมัน

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1035
ไร้ความปรานีต่อศัตรู เป็นจรรยาบรรณของลู่ฝานมาตลอด

จางกวังมองลู่ฝานด้วยใบหน้าโกรธเคือง!

การต่อสู้เป็นตายของนักบู๊ ต่างเป็นอาณัติแห่งสวรรค์ นี่คือกฎ แต่พวกเขาเป็นคนทำให้คนอื่นตายมาตลอด แต่ครั้งนี้คนที่ตายคือพวกเขา พวกจางกวังโมโหแต่ไม่สามารถระบายออกมาได้

จูจวิ้นกำหมัดแน่น แล้วเดินไปข้างหน้า

แต่ขณะนั้นจางกวังรั้งเขาไว้แล้วพูดว่า “นายไปไม่ได้ นายสู้เขาไม่ได้!”

จูจวิ้นกัดฟันถอยกลับมา คนที่โกรธมากเหมือนกับเขา ยังมีคนอื่นอีกสี่ห้าคน

ห่าวซู อันดับสี่ในแปดผู้โดดเด่น

เสิ่นหรู อันดับหกในแปดผู้โดดเด่น

เฉาถง อันดับเจ็ดในแปดผู้โดดเด่น

รวมถึงเหรินเจียง อันดับห้าในแปดผู้โดดเด่น!

พวกเขาทั้งห้าคนสีหน้าไม่สู้ดีเป็นอย่างมาก ใกล้จะพ่นไฟออกมาทางแววตาแล้ว

ห่าวซูพูดว่า “ให้ฉันไปสู้เถอะ เขาเพิ่งเอาชนะสวี่ฉู น่าจะมีแรงไม่มากแล้ว พวกนายอย่าห้ามฉัน!”

จางกวังอ้าปากจะพูด แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดออกมา

ห่าวซูเดินมาข้างหน้า ดาบยาวปรากฏในมือสองข้าง พลังปราณพุ่งขึ้นบนตัว พละกำลังแดนปราณชีวิตระดับสูงสุดเปิดเผยออกมาอย่างหมดสิ้น

“ลู่ฝาน ตายซะเถอะ!”

แผดเสียงดังออกมา ห่าวซูพุ่งเข้าไปหาลู่ฝาน

วิชากายรวดเร็วดั่งสายฟ้า ดาบยาวในมือกระตุ้นลมและเมฆเต็มท้องฟ้าทันที

“ห่าวซู ดาบเมฆลม!”

“เขาขึ้นไปสู้แล้ว ดูเหมือนแปดผู้โดดเด่นตัดสินใจฆ่าลู่ฝานจริงๆ!”

“คิดดูว่าตอนนั้นห่าวซู ดาบเมฆลม ก็เป็นคนในกลุ่มวีรบุรุษแห่งสงคราม ฝีมือวิชาดาบรวดเร็วเหมือนสายลมสายฟ้า แข็งแกร่งจน……พระเจ้า!”

ทุกคนมองตาค้าง แต่ต่อมาเงาใครคนหนึ่งกระเด็นออกมาจากพายุลมแรง

บนตัวเต็มไปด้วยรอยกระบี่ ดาบยาวสองเล่มหล่นลงพื้น

ทุกคนยังคุยกันไม่ทันเสร็จ ก็เห็นห่าวซูกระแทกลงบนพื้น ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย

ลู่ฝานสะบัดมือไล่เมฆลมออกไป มาตรงหน้าห่าวซู แล้วใช้กระบี่ทำลายตันเถียนของเขาอีกครั้ง

“คนต่อไป!”

เสียงราบเรียบ นิ่งดั่งน้ำ

แต่การกระทำของเขา กลับทำให้คนในที่นี้อึ้งกันหมด นักบู๊ที่เพิ่งตะโกนพูดว่าดาบเมฆลม ตอนนี้ถลึงตาจนลูกตาใกล้หลุดออกมาแล้ว

ความพ่ายแพ้นี้รวดเร็วเกินไป ทำให้คนอื่นไม่ทันตั้งตัวจริงๆ

ลู่ฝานกวาดตามองเหรินเจียงและคนอื่น จากนั้นส่ายหน้าเบาๆ

ความหมายนี้ก็คือ พวกนายอ่อนแอเกินไป อย่าขึ้นมาสู้เลย!

เหรินเจียงและคนอื่นรู้สึกถึงไอเย็นพุ่งขึ้นมาบนหัวตัวเอง ความแข็งแกร่งของลู่ฝาน เหนือกว่าจินตนาการของพวกเขาจริงๆ

แต่ทันใดนั้นเองๆ จู่ๆ ตัวของลู่ฝานสั่นไปมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ

พลังฟ้าดินที่หมุนวนอยู่รอบตัวเขา ก็สั่นตามไปด้วย เหมือนตัวลู่ฝานกลายเป็นเงาเลือนราง

มีหมอกออกมาจากตัวเขา

จู่ๆ ลู่ฝานรู้สึกว่าปราณชี่ของตัวเองควบคุมไม่ค่อยได้ เส้นลมปราณหดตัว ตันเถียนแผ่ขยาย พลังนับไม่ถ้วนที่อยู่ในตัวอ่อนจิตฟ้าดินทะลักออกมา แผ่ซ่านไปทั้งตัว

นี่คือ……ความรู้สึกของการทะลุระดับ!

ลู่ฝานตกใจ ในเวลาเดียวกันก็สูดหายใจเข้า!

หลับตาลงทั้งสองข้าง ตอนนี้ทุกสิ่งระหว่างฟ้าดินชัดเจนในสายตาของเขา

ปราณชี่บนตัวรวมตัวกันเป็นรูปเกราะขึ้นมาเอง ปกคลุมทั้งตัวเอาไว้

“นี่มันอะไรกัน”

“ลู่ฝานกำลังทำอะไร โชว์พลังของเขาเหรอ”

ทุกคนมองการกระทำของลู่ฝานอย่างไม่เข้าใจ

จางกวังหลับตาลง สัมผัสออร่าของลู่ฝานที่อยู่บนลานประลอง ทันใดนั้นเขาพูดด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป “เขากำลังทะลุระดับ! เขาจะเข้าสู่แดนปราณดินแล้ว!”

เมื่อได้ยินเสียงตะโกนของจางกวัง ทุกคนสูดหายใจเฮือก ทะลุระดับตอนนี้เนี่ยนะ

ทันใดนั้น พวกเหรินเจียงมีรอยยิ้มเต็มหน้า ทะลุระดับตอนนี้ ก็เท่ากับรนหาที่ตายไม่ใช่เหรอ

ลู่ฝานนายตายแน่!

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1034
“ยังไม่ตาย!”

“ลู่ฝานยังไม่ตายเหรอ”

จางกวังตกใจมาก มองลู่ฝานด้วยแววตาเป็นประกายวูบไหว

ขณะนั้นลู่ฝานถือกระบี่ในมือ ต้านทานค้อนยักษ์ทั้งสองอันของสวี่ฉูเอาไว้ได้ ไม่ให้เขากดค้อนลงมาอีกแม้แต่นิดเดียว

ทุกคนเห็นได้อย่างชัดเจนว่ากล้ามเนื้อบนตัวสวี่ฉูรัดตัวแน่นไปทั้งตัว มีเหงื่อเม็ดใหญ่ไหลลงมาจากใบหน้า เห็นได้ชัดว่าเขาใช้พละกำลังทั้งหมดแล้ว

แต่ลู่ฝานยังยืนนิ่งดั่งขุนเขา จู่ๆ ไฟลุกโชนขึ้นมาทั้งตัวอย่างรวดเร็ว แผดเสียงออกมา ใช้กระบี่ปัดค้อนทั้งสองอันของสวี่ฉูไปอีกด้าน

สวี่ฉูเสียการทรงตัวทันที ทันใดนั้นลู่ฝานใช้กระบี่หนักไร้คม แทงลงไปบนแขนของสวี่ฉูอย่างแรง

เหมือนเกราะปราณทนทานบนตัวเขา ไม่ได้มีผลป้องกันอะไรเลยสักนิด

มันโดนทำลายทันที มีพายุไซโคลนปรากฏขึ้นบนตัวลู่ฝานเก้าลูก พลังฟ้าดินนับไม่ถ้วนเข้ามารวมที่ตัวเขาอย่างบ้าคลั่ง

ตอนนี้ด้านหลังของเขา ค่อยๆ มีเงาเลือนรางปรากฏออกมา มืดฟ้ามัวดินราวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์!

“ปรากฏ!”

ปราณชี่บนตัวลู่ฝานพุ่งขึ้นมา คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะยกสวี่ฉูขึ้นมาด้วยมือเดียว

ภาพนี้เหมือนกับมดยกช้าง คนโจมตีภูเขายิ่งใหญ่

คนจำนวนไม่น้อยเห็นแล้วถึงกับร้องเสียงหลง

ขนาดตัวที่แตกต่างกันของทั้งสองคน ทำให้ภาพนี้ดูน่าทึ่งมาก

ตู้ม!

ลู่ฝานกระแทกสวี่ฉูเข้าไปในพื้น

คนนับไม่ถ้วนรีบถอยหลังอย่างตระหนก เพื่อไม่ให้โดนลูกหลง ไม่รอให้สวี่ฉูได้ตั้งตัว ลู่ฝานยกเขาขึ้นอีกครั้ง จากนั้นกระแทกเขาไปอีกด้าน

ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!

ทั้งซ้ายทั้งขวา ลู่ฝานกระแทกจนเกาะปราณของสวี่ฉูแตกร้าวทั้งตัว เลือดไหลนองเต็มไปหมด

สวี่ฉูคิดจะดิ้นรน แต่จู่ๆ เขารู้สึกถึงพลังประหลาด ไหลผ่านกระบี่หนักไร้คมบนแขน พุ่งเข้ามาในตัวเขา

ทันใดนั้น พลังปราณในตัวเขาปั่นป่วนไปหมด และควบคุมได้ยาก

“พลังน่ากลัว!”

พวกผู้ฝึกชี่ในเจดีย์ยาพากันตกใจจนตาค้าง

ในฐานะที่เป็นผู้ฝึกชี่ ตามปกติแล้วพวกเขาดูหมิ่นนักบู๊ไม่มากก็น้อย

แต่วันนี้การแสดงออกของลู่ฝาน ทำให้พวกเขาได้เห็นด้านที่แข็งแกร่งของนักบู๊อย่างแท้จริง

ขนาดตาเฒ่าซูที่พูดไม่ดีใส่ลู่ฝานมาตลอด ตอนนี้ยังต้องยอมรับว่าลู่ฝานแข็งแกร่งมาก ถึงขั้นที่ตัวเขาไปสู้กับลู่ฝาน ก็ไม่แน่ว่าจะชนะได้

ตอนนี้เขาแอบคิดว่าโชคดี ที่เขาไม่ลงมือกับลู่ฝาน ไม่งั้นการต่อสู้ระยะประชิดระหว่างนักบู๊กับผู้ฝึกชี่ เขาต้องโดนลู่ฝานใช้พละกำลังเหวี่ยงจนเป็นชิ้นๆ แน่นอน!

กระแทกติดต่อกันสิบกว่าครั้ง ลู่ฝานจึงหยุดลง

ตอนนี้สวี่ฉูที่อยู่ข้างหน้า โดนกระแทกจนบนตัวไม่มีจุดไหนสมบูรณ์ แค่ลุกขึ้นมายังลุกไม่ได้ เขานอนแผ่อยู่บนพื้น กระอักเลือดออกมาไม่หยุด

นักบู๊แดนปราณดินผู้ยิ่งใหญ่ โดนซัดจนกลายเป็นแบบนี้ เพียงพอที่จะพิสูจน์ความน่ากลัวของลู่ฝานแล้ว

ลู่ฝานดึงกระบี่หนักไร้คมออกมา มองสวี่ฉูอย่างเฉยเมย

จะแข่งพละกำลังกับการระเบิดพลังกับเขา แค่แดนปราณดินธรรมดาๆ ยังไม่พอหรอก!

พายุไซโคลนเก้าลูกบนตัวค่อยๆ หายไป ลู่ฝานฟันกระบี่สุดท้ายลงบนหัวสวี่ฉู

ทันใดนั้น สวี่ฉูไม่ขยับอีกแล้ว พลังชีวิตหายไปอย่างรวดเร็ว ในเวลาเดียวกันร่างกายก็เริ่มหดลงอย่างรวดเร็ว

“สวี่ฉู!”

เหรินเจียงตะโกนเสียงดังทันที

เขาพุ่งเข้ามาชิงตัวสวี่ฉูกลับมา

ลู่ฝานมองเขาอย่างเฉยเมย แล้วพูดว่า “เหรินเจียง นายยังจะสู้กับฉันอีกไหม”

เหรินเจียงกัดฟัน ไม่ได้ตอบ

ตอนนี้เขาไม่มีความกล้าสู้กับลู่ฝานจริงๆ รีบชิงตัวสวี่ฉูกลับมาทันที

ทันใดนั้น พวกจางกวังล้อมสวี่ฉูเอาไว้ ยัดยาเข้าไปในปากสวี่ฉู

ลู่ฝานมองทุกอย่างด้วยความเฉยเมย เขารู้พละกำลังของตัวเองเป็นอย่างดี โดนกระบี่ของเขา แม้สวี่ฉูไม่ตาย แต่ก็สาหัสมาก

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1033
ในช่วงเวลาอันตรายที่สุด ลู่ฝานทำได้แค่ตั้งกระบี่ไว้ข้างหน้า

พลังโจมตีของเกราะสองสามชิ้น แข็งแกร่งจนเขาจำเป็นต้องถอยหลังไปหลายก้าว

สวี่ฉูแผดเสียงออกมาอีกครั้ง ขณะนั้นเกาะปราณพุ่งกลับมาจากทุกทิศทุกทาง

กลับมาก่อตัวบนตัวเขาอีกครั้ง เกาะปราณของเขา เหมือนเครื่องรางจริงๆ เก็บและปล่อยตามใจชอบ ลู่ฝานเพิ่งเคยเห็นคนใช้เกราะปราณแบบนี้เป็นครั้งแรก

ที่แท้เกาะปราณไม่ได้ใช้แค่ป้องกัน ยังใช้ฆ่าคนได้ด้วย!

สวี่ฉูไอออกมาหนึ่งครั้ง พ่นเสมหะเปื้อนเลือดลงบนพื้น

ใช้มือซ้ายเช็ดเลือดตรงมุมปาก สวี่ฉูมองลู่ฝานด้วยใบหน้าโกรธ แล้วพูดว่า “นายทำให้ฉันโกรธได้สำเร็จแล้ว วันนี้นายต้องตายศพไม่สวยแน่นอน!”

ลู่ฝานไม่พูดอะไรสักคำ แบกกระบี่หนักไร้คมไว้บนไหล่ มองสวี่ฉูอย่างเฉยเมย

ลู่ฝานค่อยๆ ยกยิ้มมุมปาก

ยื่นมือซ้ายออกมา ลู่ฝานกระดิกนิ้วชี้เบาๆ ใส่สวี่ฉู!

ยั่วยุ นี่มันยั่วยุชัดๆ

จางกวังที่อยู่ด้านล่างเห็นแล้วหัวเราะพรืด!

ด้านล่างลานประลอง กลุ่มคนเห็นลู่ฝานทำท่าแบบนี้ ก็ตะโกนเสียงดัง

“ฮ่าๆ ลู่ฝานสู้ๆ ฉันสนับสนุนนาย”

“อวดดีเกินไปแล้ว ดิบเถื่อนเกินไปแล้ว ทำท่าแบบนี้ใส่แปดผู้โดดเด่น ลู่ฝาน ไม่ว่านายจะแพ้หรือชนะ ฉันก็เชียร์นาย!”

“ยอมไม่ได้ ยอมไม่ได้จริงๆ สวี่ฉู จัดการเด็กอวดดีนี่ทิ้งซะ เอาชนะเขาให้ได้ ทำให้เขารู้ว่าคนจะอวดดีเกินไปไม่ได้!” ……

เสียงตะโกนต่างๆ ทำให้บรรยากาศคึกคัก อีกทั้งยังทำให้ถึงจุดสูงสุด!

สวี่ฉูค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ถือค้อนทั้งสองอันไว้ในมือ จู่ๆ เขาสูดหายใจลึก

ขณะที่ทุกคนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ก็เริ่มได้ยินเสียงแตกดังออกมาบนตัวสวี่ฉู

เอ็นและกระดูกของเขา ร่างกายของเขา เริ่มขยายขึ้นอย่างรวดเร็ว เวลาเพียงพริบตา ขยายขึ้นหนึ่งเท่าทันที และยังไม่มีท่าทีว่าจะหยุดแค่นี้ด้วย

ลู่ฝานขมวดคิ้วเบาๆ นี่มันวิชาอะไรกัน

ด้านล่าง ผู้ชายที่นั่งข้างจางกวังหัวเราะแล้วพูดว่า “เจ้าอ้วนสวี่ถึงกับใช้กระบวนท่านี้ คงอายจนโมโหแล้วล่ะ!”

จางกวังพยักหน้าพูดว่า “ใช่ ในเมื่อเขาใช้กระบวนท่านี้แล้ว งั้นการต่อสู้ครั้งนี้คงไม่ต้องกังวลแล้ว รู้แพ้ชนะแล้วล่ะ!”

เหรินเจียง จูจวิ้นและคนอื่นพยักหน้าเบาๆ

บนลานประลอง สวี่ฉูกลายเป็นยักษ์สูงสามร้อยกว่าเมตรไปแล้ว เขาถือค้อนขนาดใหญ่สองอันไว้ในมือ เหมือนของเล่นเด็กชัดๆ

แต่ต่อมา ค้อนใหญ่ในมือสวี่ฉูก็เริ่มใหญ่ขึ้นเหมือนกัน

ลู่ฝานอ้าปากค้างมองภาพนี้ ที่เขาตกใจไม่ใช่เพราะอาวุธของสวี่ฉูใหญ่ขึ้น แต่ทำไมกางเกงของสวี่ฉูก็ใหญ่ขึ้นได้ด้วย!

สวี่ฉูก้มหน้าใช้สายตายโสมองลู่ฝาน แล้วพูดว่า “ตายซะเถอะ!”

จู่ๆ ค้อนยักษ์ในมือทุบลงมา พร้อมด้วยเสียงลม มันพัดจนคนจำนวนไม่น้อยหมอบลงพื้น

สีหน้าลู่ฝานเย็นชาทันที เขายกกระบี่สวนไป!

เมื่อเห็นภาพนี้ จางกวังและคนอื่นเผยรอยยิ้มเย้ยหยันออกมา

ตู้ม!

ลานประลองทั้งลานโดนทำลายจนหมด หินที่ระเบิดโดนคนจนบาดเจ็บจำนวนไม่น้อย

เหรินเจียงส่ายหน้าพูดว่า “น่าขำ สู้ด้วยกำลังกับสายเลือดทรงพลังอย่างสวี่ฉู สมองของคนคนนี้ใช้ไม่ได้เลย มิน่าล่ะขนาดไท่จื่อก็ยังไม่อยู่ในสายตา”

จางกวังค่อยๆ ลุกขึ้น เตรียมจะหันหลังเดินออกไป

คนที่เหลือก็ลุกขึ้นตาม โดนกระบวนท่าค้อนพลังทำลายเขาของสวี่ฉู ลู่ฝานต้องตายศพไม่สวยแน่นอน

“ไปเถอะ!”

ก่อนไปจูจวิ้นตะโกนพูดกับสวี่ฉู

แต่ขณะนั้นเอง สวี่ฉูกลับไม่ตอบกลับมา และยืนแข็งทื่อไม่ขยับ!

ทันใดนั้น จางกวังและคนอื่นชะงักฝีเท้าลง หันมามองทางสวี่ฉู

“นี่มันเรื่อง……”

ยังไม่ทันพูดจบ ทันใดนั้นเงาใครคนหนึ่งปรากฏในสายตา

เหรินเจียงพูดอย่างตกใจว่า “ลู่ฝาน!”

ถือกระบี่หนักไร้คมอยู่ในมือ ลู่ฝานยืนตระหง่านอย่างแข็งแกร่งอยู่ในกองเศษหิน

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1032
พลังปราณพุ่งขึ้น พลานุภาพของทั้งสองคนแผ่ออกไป

เพิ่งได้สัมผัสกัน ลู่ฝานรับรู้ได้ถึงความแข็งแกร่งของอีกฝ่าย

พลานุภาพท่วมท้น ไม่เพียงแต่สามารถอธิบายวิทยายุทธที่แข็งแกร่งของสวี่ฉู ยังเห็นเคล็ดวิชาบู๊ที่มีอยู่อย่างมากมายของเขาอีกด้วย

พลานุภาพของนักบู๊ทั่วไป ทำได้เพียงแผ่กระจายออกไป ควบคุมได้ยาก

แต่เมื่อสวี่ฉูปล่อยพลานุภาพออกมา สามารถก่อตัวเป็นหมัดล่องหน กระแทกมาทางลู่ฝานได้ทันที

แค่ฝีมือนี้ ก็ดูออกแล้วว่าสวี่ฉูเป็นยอดฝีมือแน่นอน

อย่ามองว่าเขาตัวใหญ่เทอะทะ ทั้งตัวเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ แต่ในความเป็นจริงเขาเป็นคนที่ดูหยาบแต่แยบยล

ถ้ามีคนมองเขาแค่ภายนอก และตัดสินว่าสวี่ฉูเป็นแค่คนมีความกล้าแต่ไร้ซึ่งแผนการใดๆ นั่นถือว่าผิดมหันต์

พลานุภาพของลู่ฝานรับพลานุภาพของอีกฝ่ายราวกับฟองน้ำ

แววตาของสวี่ฉูมีความประหลาดใจเล็กน้อย สีหน้าจริงจังขึ้น

“ลู่ฝาน รับค้อนฉันไปก่อนเถอะ!”

แผดเสียงออกมา สวี่ฉูชิงลงมือก่อน บนค้อนทั้งสองอันมีเงาสัตว์ปรากฏออกมา

กล้ามเนื้อบนแขนขยายตัว เส้นเลือดเขียวปูดขึ้น

เสื้อผ้าบนตัวสวี่ฉูระเบิดจนขาดไปหมด พลังปราณอันแข็งแกร่ง ทำให้พลังฟ้าดินรอบๆ ลุกโชนขึ้นมาด้วย

เพียงแค่พริบตาเดียว อากาศรอบๆ สวี่ฉูปั่นป่วนไปหมด

ด้านล่างลานประลอง คนที่วิทยายุทธไม่เพียงพอ เห็นเพียงเงาคนบิดเบี้ยวเป็นแถบ

ลู่ฝานยกกระบี่หนักขึ้นมาขวางโดยไม่ต้องคิด!

ชิ้ง!

ค้อนหนักร่วงลงมาบนกระบี่หนัก พลังที่แผ่กระจายออกไป กวาดลานประลองจนหายไปหนึ่งฟุต

แขนของลู่ฝานสั่นไปมา พลังของสวี่ฉูไม่ได้แข็งแกร่งธรรมดาๆ!

“เปิด!”

สวี่ฉูแผดเสียงออกมา!

มีแรงระเบิดพุ่งออกมาบนค้อนหนัก เหมือนค้อนหนักห้าตันทุบลงทั้งตัวลู่ฝาน พลังด้านในกระจายออกมา โจมตีจนลานประลองด้านล่างเท้าเกิดเสียงระเบิด

เศษหินปลิวว่อน ข้อเท้าของลู่ฝานจมลึกลงไปในซอกหิน

พลังที่โถมลงมาบนตัวเขา ทำให้ตัวของเขาเกิดเป็นรอยยุบลึกลงไป

แต่สิ่งที่ทำให้สวี่ฉูคิดไม่ถึงคือ แม้เป็นเช่นนี้ กระบี่หนักไร้คมของลู่ฝานก็ยังต้านทานค้อนทั้งสองอันของเขาอยู่อย่างนั้น

ลู่ฝานแผดเสียงดุดันออกมา!

“พลิก!”

รอยยุบบนตัวดีดออกไปทันที สวี่ฉูเบิกตาโต รู้สึกถึงพลังแข็งแกร่งสะท้อนกลับมาทันที

สวี่ฉูถอยไปด้านหลังสามก้าว จากนั้นขจัดพลังโจมตีทิ้งไป

รับกระบวนท่าของตัวเอง สวี่ฉูเพิ่งเจอเรื่องแบบนี้เป็นครั้งแรก

ลู่ฝานใช้โอกาสนี้พลิกข้อมือ กระบี่หนักไร้คมหมุนในมือเขาหนึ่งรอบ หลังจากนั้นเต็มไปด้วยสายฟ้าสีดำ กระบี่ฟาดฟันลงไปบนตัวสวี่ฉู

ประกายไฟสว่างขึ้น กระบี่หนักไร้คมทิ้งรอยลึกไว้บนเกราะปราณของสวี่ฉู อีกแค่นิดเดียวก็จะทำลายได้แล้ว

สายฟ้าบนกระบี่หนัก โจมตีสวี่ฉูอย่างรุนแรง ทันใดนั้นสวี่ฉูสั่นไปทั้งตัวครู่หนึ่ง จากนั้นคุกเข่าข้างหนึ่งลงบนพื้น

ด้านล่างลานประลอง ทุกคนเงยหน้ามองฟ้า ไม่รู้ฟ้ามืดลงตั้งแต่เมื่อไร

สวี่ฉูเงยหน้าขึ้น สะบัดค้อนโจมตีลงบนตัวลู่ฝาน

เกราะเกล็ดมังกรปรากฏออกมา ลู่ฝานไม่หลบสักนิด ต้านทานการโจมตีของสวี่ฉูเอาไว้ หลังจากนั้นเขาฟันกระบี่ลงไปบนไหล่สวี่ฉูอีกครั้ง

ครั้งนี้ เขาโจมตีจนสวี่ฉูคุกเข่าอีกข้างหนึ่งลงมา!

กลางท้องฟ้า สายฟ้าน่ากลัวผ่าลงมาบนตัวสวี่ฉูทันที

แสงของสายฟ้า ส่องสว่างจนคนจำนวนไม่น้อยต้องรีบหลับตา

“อ๊าก!!!”

สวี่ฉูแผดเสียงออกมา ตอนนี้เกราะปราณบนตัวเขาพุ่งออกไป

เกราะที่พุ่งออกมา ราวกับอาวุธแหลมคมเป็นแถบ เจาะลึกเข้าไปในสิ่งก่อสร้างรอบๆ

มีสองสามอันที่กระแทกลงบนกำแพงเจดีย์ยา ลายน้ำเก้าสีกระเพื่อมออกไป

ลู่ฝานที่อยู่ใกล้สุด โดนเกราะสองสามชิ้นโจมตีพร้อมกัน

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1031
อีกทั้งเพราะการต่อสู้ต่อเนื่องกันสิบวัน ทำให้เขารู้สึกว่าวิทยายุทธของตัวเอง มีความก้าวหน้าขึ้นอีกแล้ว

ในเวลาสิบวัน สองสามวันแรกมีคนท้าประลองมากที่สุด

แต่วันต่อๆ มา คนท้าประลองก็ยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ แต่คนที่มากลับยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ

ผู้อ่อนแอไม่กล้าขึ้นลานประลอง ผู้แข็งแกร่งยังพิจารณาอยู่ เมื่อวานทั้งวัน ลู่ฝานสู้กับนักบู๊แค่คนเดียว

ตอนนี้ระดับของเขา สามารถต่อสู้กับนักบู๊แดนปราณดินได้แล้ว ถ้าเป็นเพียงแดนปราณดินทั่วไป ไม่มีวิชาที่แข็งแกร่งหรือวิธีพิเศษอะไร ลู่ฝานสามารถชนะได้อย่างสมบูรณ์แบบ อย่างเช่น ซูเฉียนแห่งตระกูลซูเมื่อวานนี้ ฝึกแค่เคล็ดวิชาบู๊ระดับดินขั้นต้นเพียงสองเล่มเท่านั้น คิดจะต่อสู้กับเขา ลู่ฝานส่งเขาลงจากลานประลองบู๊ เพียงแค่สามกระบี่เท่านั้น! เกราะปราณทั้งตัวแล้วยังไง ก็ทำลายได้เหมือนเดิม

แต่สิ่งที่ทำให้ลู่ฝานเสียดายคือ จนถึงตอนนี้แปดผู้โดดเด่นของจวนไท่จื่อก็ยังไม่มาสู้กับเขา

เมื่อสิบวันก่อน เขาสัญญากับองค์ชายรองฉินฝานเอาไว้ก่อนหน้านี้ ถ้าฆ่าแปดผู้โดดเด่นได้ ถึงจะได้ผลประโยชน์

แต่สิบวันมานี้ เหมือนแปดผู้โดดเด่น โดนขังไปพร้อมกับไท่จื่อ คิดไม่ถึงว่าจะไม่เห็นแม้แต่คนเดียว

ลู่ฝานถอนหายใจในใจ ขณะนั้นเจ้าดำกระโดดขึ้นมาบนลานประลอง เอาเหล้ามาให้ลู่ฝานหนึ่งเหยือก

ลู่ฝานลืมตาขึ้น ลูบหัวเจ้าดำ จากนั้นดื่มเหล้าอึกเล็กๆ

เหมือนช่วงนี้เจ้าดำกินจนอ้วนแล้ว อาจเป็นเพราะกินดีอยู่ดีตอนช่วงที่โดนผู้อาวุโสโม่เอาไป ตัวจึงอ้วนขึ้นมาก

อู่คงหลิงก็ไปตั้งแต่เจ็ดวันก่อน ไม่มีใครรู้ว่าเธอไปทำอะไร

ครั้งนี้เธอไม่ได้บอก ลู่ฝานก็ไม่ได้ถาม

แต่ลู่ฝานรู้ดีว่าพวกเขาจะเจอกันอีก อีกทั้งอู่คงหลิงยังทิ้งของให้ลู่ฝานหนึ่งอย่าง นั่นคือป้ายหมายเลขห้องของโรงเตี้ยม

อย่างน้อยครั้งนี้เขาก็รู้ว่าจะไปหาเธอที่ไหน!

“หลีก หลีก รีบหลีกไป คนของจวนไท่จื่อมาแล้ว!”

ทันใดนั้น มีเสียงอุทานอย่างตกใจออกมาจากกลุ่มคน

ด้านล่างเวทีประลอง คนพากันแยกออกเหมือนสายน้ำ

ลู่ฝานจิตใจวูบไหว คนของจวนไท่จื่อเหรอ ใช่แปดผู้โดดเด่นหรือเปล่า!

ลู่ฝานวางเหยือกเหล้าลง ลุกขึ้นยืนมองไปไกลๆ

เพียงแวบเดียว ลู่ฝานเห็นคนแปดคนเดินมาอย่างองอาจห้าวหาญ คนที่เดินนำมาเหมือนกับมังกรคลั่ง ถึงห่างกันขนาดนี้ ลู่ฝานยังได้กลิ่นความอาฆาตจากตัวเขา

แปดผู้โดดเด่น แปดผู้โดดเด่นมาจริงๆ ด้วย

ลู่ฝานฉีกยิ้ม แอบพูดในใจว่า “ดีใจจริงๆ ที่มา!”

“พวกผู้ตรวจการแปด ยังมีคุณสามด้วย พระเจ้า คนที่นำมาคือจางกวัง นักกระบี่มังกรคลั่งเหรอ”

“ใช่ ใช่พวกเขาจริงๆ ด้วย วันนี้มีอะไรสนุกให้ดูแล้ว แปดผู้โดดเด่นของจวนไท่จื่อมากันหมดแล้ว!”

ทุกคนตะโกนเสียงหลง ทันใดนั้นกลุ่มคนเบียดกันเป็นกลุ่มก้อน ยืดคอมองไปไกลๆ

แต่ทางด้านหน้าพวกจางกวัง ไม่มีใครขวางสักคน ทั้งแปดคนเดินมาถึงด้านล่างลานประลอง

องครักษ์เกราะดำปรากฏตัวขึ้นด้านหลัง เลื่อนเก้าอี้มาแปดตัว เพื่อให้ทั้งแปดคนนั่ง

ทั้งแปดคนเงยหน้ามองลู่ฝาน แต่ละคนมีสีหน้าแตกต่างกัน

มีทั้งจริงจัง ดูถูก เฉยเมย เหยียดหยาม

ในบรรดาคนพวกนั้น ลู่ฝานเห็นเหรินเจียงที่โดนตัวเองต่อยจนบาดเจ็บ ตอนนี้แขนของเขายังพันผ้าอยู่เลย กำลังมองมาที่ลู่ฝานด้วยใบหน้าโกรธแค้น

ทุกคนกลั้นหายใจ เงียบกันหมด

ลู่ฝานสบตาทั้งแปดคนอย่างราบเรียบ ไม่มีความกลัวสักนิด!

ลู่ฝานค่อยๆ พูดว่า “ในที่สุดพวกนายก็มา!”

จางกวังมองลู่ฝานอย่างเฉยเมย แล้วพูดว่า “นายกำลังรอพวกเราอยู่เหรอ”

ลู่ฝานพูดอย่างราบเรียบว่า “ใช่ รอพวกนายมาหลายวันแล้ว”

จางกวังหัวเราะออกมา ใบหน้าเกล็ดมังกรที่มีมาแต่เกิดของเขา เมื่อเขาหัวเราะขึ้นมา มันดูชั่วร้ายและเต็มไปด้วยความอาฆาต

“คิดไม่ถึงเลยว่าจิตใจที่ปรารถนาในความตายของนาย จะแรงกล้าขนาดนี้!”

จางกวังยื่นนิ้วชี้ออกมาชี้ลู่ฝานแล้วพูดขึ้น

กระบี่หนักของลู่ฝานปักอยู่บนพื้น เอาสองมือไพล่หลังแล้วพูดว่า “นายจะขึ้นมาลองไหม ดูสิว่าใครจะตาย”

จางกวังหัวเราะแล้วพูดว่า “นายอยากให้ฉันลงมือ งั้นต้องดูว่านายมีคุณสมบัติหรือเปล่า”

เมื่อพูดจบ จางกวังนั่งลงไป สะบัดมือเรียกคนที่อ้วนที่สุดในบรรดาแปดคน

ทันใดนั้นเจ้าอ้วนคนนี้เดินออกมา

เขาสูงประมาณสองเมตรกว่า อ้วนแต่ไม่มีไขมันส่วนเกิน ทั้งตัวเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแข็งแกร่ง

ถือค้อนใหญ่สองอันในมือ เดินโงนเงนมาข้างหน้าไม่กี่ก้าว จากนั้นกระโดดขึ้นไปบนเวที

พลั่ก!

เมื่อลงสู่พื้น ลานประลองแตกเป็นรอยร้าวทันที

การต่อสู้หลายวันนี้ ทำให้ลู่ฝานเปลี่ยนลานประลองไปหลายอันแล้ว ดูเหมือนวันนี้ก็ต้องเปลี่ยนอีก!

“ฉันสวี่ฉู วันนี้ให้ฉันสั่งสอนนายก่อน อย่าคิดว่านายเอาชนะเหรินเจียงได้ ก็จะไม่มีใครสู้นายได้ ถ้าไม่ใช่เพราะสองสามวันก่อน เราช่วยรักษาอาการบาดเจ็บให้เหรินเจียง นายตายคาค้อนฉันไปนานแล้ว!”

ได้ยินเสียงของเจ้าอ้วน มีเสียงอุทานอย่างตกใจดังขึ้นด้านล่าง

“สวี่ฉู! อันดับสามของแปดผู้โดดเด่น คนเรียกกันว่าสวี่ฉู ค้อนกำหนดฟ้าดิน”

“ได้ยินว่าเขามีพละกำลังไม่ธรรมดาตั้งแต่เกิด มีความห้าวหาญชาญชัย!”

“วิทยายุทธทั้งตัวยิ่งน่ากลัว เขาน่าจะอยู่แดนปราณดินระดับสุดยอด!”

การพูดคุยด้านล่างยังไม่ทันจบ เริ่มมีเกราะปราณก่อตัวขึ้นบนตัวสวี่ฉู

เป็นวิทยายุทธแดนปราณดินจริงๆ ด้วย!

“แดนปราณดิน! สวี่ฉูก็เข้าสู่แดนปราณดินแล้ว!”

เสียงอุทานอย่างตกใจดังขึ้นเป็นระลอก สวี่ฉูมองลู่ฝานอย่างยโสแล้วพูดว่า “จะเอาชีวิตนายภายในสามกระบวนท่า!”

ลู่ฝานหยิบกระบี่หนักไร้คมขึ้นมา แล้วพูดอย่างเฉยเมยว่า “เชิญ!”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1030
หลังผ่านไปสิบวัน ที่เมืองหลวง

“ได้ยินข่าวหรือยัง ลู่ฝาน นักกระบี่แห่งตงหวา เอาชนะซูเฉียนตระกูลซูได้อีกแล้ว แค่สามกระบี่เท่านั้น ซูเฉียนหมัดศักดิ์สิทธิ์ที่มีชื่อเสียงถึงกับบาดเจ็บสาหัส ล้มลงบนลานประลอง”

“นี่ยังถือว่าดี ไม่ง่ายเลยที่จะรอดภายใต้กระบี่ของลู่ฝาน เมื่อวานโล่ปีศาจมู่ฉินเก๋อเอ่อ อันดับ 46 ในรายชื่อประเทศ โดนลู่ฝานทำลายเกราะบนตัวกลางลานประลอง ฆ่าด้วยกระบี่เดียว มู่ฉินเก๋อเอ่อคือการป้องกันอันเลื่องลือของเผ่าสัตว์เกล็ดเชียวนะ! คิดไม่ถึงว่าสู้สิบกระบวนท่าของลู่ฝานไม่ได้ น่ากลัวๆ!”

“ใช่ เหมือนลู่ฝานท้าผู้โดดเด่นในใต้หล้า ใครมาก็ฆ่าคนนั้น ไม่ออมมือเลยสักนิด สิบวันมาแล้ว ไม่รู้มียอดฝีมือและผู้แข็งแกร่งพ่ายแพ้ให้เขาตั้งเท่าไร”

“นี่ยังต้องพูดอีกเหรอ นายไม่เห็นเหรอว่าช่วงนี้คนไปที่เจดีย์ยามากขึ้นเรื่อยๆ อยากรู้ว่าต่อไปใครจะมาสู้กับลู่ฝาน ตอนนี้นักบู๊ธรรมดาไม่กล้าขึ้นไปบนลานประลองแล้ว ถ้าลู่ฝานยังกล้าสู้ต่อ เกรงว่ายอดฝีมือที่แท้จริงของสิบตระกูลใหญ่คงนั่งไม่ติด”

“ฉันสนับสนุนให้ลู่ฝานสู้ต่อ ยอดฝีมืออายุน้อยของสิบตระกูลใหญ่ไม่โผล่ออกมานานแล้ว ถ้าล่อออกมาได้สัก 1-2 คน ก็มีอะไรให้ดูแล้ว”

“อืม แต่ฉันว่าแปดผู้โดดเด่นของจวนไท่จื่อ มีโอกาสออกมาสู้สูงมาก ไม่ได้ยินข่าวเหรอ เพราะลู่ฝานล่วงเกินไท่จื่อ จึงจำใจต้องเจอการต่อสู้ที่ดุเดือดอย่างต่อเนื่อง สองสามวันนี้มียอดฝีมือของคนในราชวงศ์ไปท้าประลองมากมาย ดูท่าทางพวกเขาอาฆาตรุนแรง ฉันไม่เชื่อหรอกว่าเป็นการประลองธรรมดา ส่วนลู่ฝานก็ฆ่าโดยไม่ถามอะไรใครสักคำ เห็นได้ชัดว่าเป็นการกระทำที่ปกป้องตัวเอง!”……

ถนนสายหลักและตรอกเล็กซอยน้อย มีเสียงพูดคุยไม่ขาดสาย

ชื่อของลู่ฝาน มักถูกกล่าวถึงอยู่บ่อยๆ

ทุกครั้งที่พูดถึง จะมีเสียงอุทานอย่างตกใจออกมาจากกลุ่มคน ไม่พูดเรื่องอื่น แค่การต่อสู้อย่างดุเดือดต่อเนื่องสิบวันของลู่ฝาน ก็ทำให้นักบู๊อายุน้อยยอมรับไปครึ่งเมืองหลวงแล้ว

ผู้ชายควรเป็นเหมือนลู่ฝาน กระบี่หนักเล่มเดียวสู้ไม่ถอย

นักบู๊ควรเป็นเหมือนลู่ฝาน กองศพและเลือดมากมายก็ไม่หวั่น!

ชื่อของลู่ฝาน ดังกระฉ่อนไปทั้งในและนอกเมืองหลวง

สาววัยรุ่นมากมาย หลังจากชมการต่อสู้ของลู่ฝาน ล้วนโดนดึงดูดจากร่างอันแข็งแกร่งห้าวหาญที่อยู่บนลานประลอง

นักบู๊มากมาย หลังจากเห็นลู่ฝานถือกระบี่หนักในมือ ฟาดฟันกระบี่แล้วกระบี่เล่าและได้รับชัยชนะ ต่างพากันเลื่อมใสในพละกำลังของลู่ฝานเป็นอย่างมาก

ตอนนี้ตามถนนสายหลักและตรอกเล็กซอยน้อย ลู่ฝานกลายเป็นหนึ่งในคนที่ต้องพูดถึง

มีคนพูดฟันธงว่าแค่ลู่ฝานไม่ตาย ภายในสิบปี ต้องเข้าสู่แดนปราณฟ้าได้แน่นอน

ยังมีคนพูดฟันธงอีกว่าการคัดเลือกปีหน้า ลู่ฝานต้องเหนือกว่าบรรดาผู้โดดเด่น ได้รับโอกาสไปการแข่งนานาประเทศ เป็นตัวแทนประเทศอู่อาน ทำศึกพิชิตโลก

ด้านล่างเวทีประลอง มีคนมุงดูมากขึ้นทุกวัน

ในเจดีย์ยา พวกฝึกชี่ที่เดิมไม่ชอบดูการต่อสู้ของนักบู๊ ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่นั่งยองดูอยู่หน้าประตู

พวกเขาอยากดูว่าลู่ฝานจะสู้ได้ถึงเมื่อไร

จะเป็นแบบนี้ไปจนถึงเทศกาลเซ่นไหว้ประจำปีหรือเปล่า!

“ลู่ฝาน สู้ๆ! อดทนอีกไม่กี่วัน ฉันพนันว่านายจะอดทนได้สิบห้าวัน อย่าประมาทจนแพ้นะ!”

“ลู่ฝาน ฉันรักนาย เดี๋ยวนายลงมา ต้องมาโบกแขนทักทายพวกเรานะ ฉันเอาพี่สาวน้องสาวที่ดีที่สุดมาด้วย ให้นายแบบฟรีครบชุดเลย!”

“ลู่ฝาน! นายหล่อมากเลย ยิ้มหน่อยได้ไหม!” ……

เสียงตะโกนต่างๆ ดังขึ้นข้างหู

บนลานประลอง ลู่ฝานหลับตาลง นั่งขัดสมาธิบนพื้น วางกระบี่หนักไร้คมเอาไว้ข้างหน้า

หายใจเข้า หายใจออก

ปราณชี่ในตัวเคลื่อนไหว เข้าสู่ทวารทั้ง 9 งอกงามอย่างต่อเนื่อง

แม้ต่อสู้อย่างดุเดือดติดต่อกันเป็นเวลาสิบวัน แต่ตอนนี้ลู่ฝานยังอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์พร้อม ไม่มีความอ่อนเพลียเลยสักนิด

สาเหตุง่ายมาก ก็เพราะตัวอ่อนจิตฟ้าดินที่องค์ชายรองฉินฝานให้เขา

สารอาหารและพลังเต็มเปี่ยมมากมาย เหมือนมีน้ำพุที่พ่นออกมาไม่หยุดอยู่ในตัว พอใช้พลังหมด ก็จะมีพลังใหม่ออกมาจากทั่วร่างกายทันที

ตัวอ่อนจิตฟ้าดินนี้ เรียกอีกชื่อหนึ่งว่าจิตแห่งมหาสมุทร

ตัวอ่อนจิตฟ้าดินเพียงหยดเดียว เทียบได้กับพลังปราณรวมทั้งหมดสิบปี ของนักบู๊แดนปราณนอกทั่วไป

ลู่ฝานกินไปทั้งชิ้น รู้เลยว่าเขามีตั้งเท่าไร

ยังดีที่ตัวอ่อนจิตฟ้าดินไม่เหมือนกับยา ที่กินเข้าไปแล้วมีฤทธิ์ยาออกมาทันที

มันคงอยู่อย่างต่อเนื่อง ค่อยเป็นค่อยไป ตอนที่กินไปในตอนนั้น ไม่ได้มีประโยชน์อะไร แต่เมื่อใช้พลังหมด ตัวอ่อนจิตฟ้าดินก็จะเติมเต็มทันที จนกว่าพลังที่เก็บไว้ในตัวอ่อนจิตฟ้าดินจะหมดลง!

นี่คือของดีที่แท้จริง ของดีที่มีเงินก็ซื้อไม่ได้

ลู่ฝานมองมัน ฆ่าอีกสักสิบวันก็ไม่มีปัญหา

ตี๋เหรินเห็นภาพนี้ อดชมเชยในใจไม่ได้ “เป็นตระกูลที่เด็ดเดี่ยวห้าวหาญจริงๆ!”

แต่ยิ่งเป็นอย่างนี้ยิ่งต้องฆ่า ไม่งั้นมีปัญหาไม่รู้จบแน่ๆ!

“ตายซะ!”

ตี๋เหรินตวาดเสียงดัง

เสียงเหมือนสายฟ้าสะเทือน เมื่อฝ่ามือลงมา เหมือนท้องฟ้าถล่มลงมาด้วย

พลังปราณที่ลู่เฮ่าหรานและคนอื่นปล่อยออกมา เหมือนเปลวเทียนกลางสายลม หายลับไปอย่างรวดเร็ว

ลูกหลานตระกูลลู่จำนวนไม่น้อยหลับตาลง รอความตายมาถึง

แต่ทันใดนั้นเอง เงาคนสองสามคนปรากฏออกมาอย่างกะทันหัน

เหมือนพวกเขาเหาะมาในอากาศ มีสองคนเดินออกมาจากอากาศเวิ้งว้าง

ดาบกระบี่ฝ่ามือหมัด!

ทำลายพลังฟ้าดินทั้งหมดในพริบตา พวกตี๋เหรินช็อกคาที่

พลังชี่สลายหายไป ราวกับดอกไม้ที่สะท้อนในกระจก ดวงจันทร์สะท้อนบนผิวน้ำ เพียงการโจมตีเดียวก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

กลางอากาศ มีเงาคนปรากฏออกมาอีกสี่คน

คนแรกเท้าเปล่า มีม้วนหนังสือเสียบตรงเอว เขาคือบัณฑิตหน่วยองครักษ์เสิ่นหวา

คนที่สองถือดาบหักอยู่ที่มือซ้าย มีสายฟ้ากะพริบอยู่บนตัว

คนที่สามหัวล้านหน้าแดง มีแสงสีแดงเคลื่อนไหวอยู่บนหมัด

คนที่สี่เคราขาวเลยเอว ถือกระบี่ยาวหนึ่งเมตรอยู่ในมือ

ตี๋เหรินมองทั้งสี่คน มีเลือดหยดในปาก พูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “พวกนายเป็นใคร”

เซียนบำเพ็ญชี่อีกสองคนมีรอยแผลน่ากลัวบนตัว เหมือนทั้งตัวทรุดลงอย่างรวดเร็ว

บัณฑิตพูดอย่างเฉยเมยว่า “อีซูแห่งหน่วยองครักษ์เสิ่นหวา ได้รับคำสั่งจากองค์ชายรองให้มาคุ้มครองตระกูลลู่ ดูเหมือนมาได้ทันเวลาพอดี”

นักบู๊สายฟ้าพูดอย่างราบเรียบว่า “เหลยเฟิงซาน ผู้ป้องกันแนวหน้าของสาขาสายฟ้า หลังจากได้รับเชิญมาดูสำนักจิ่วเซียว พวกนายโชคร้ายมาก”

คนหัวล้านหัวเราะแล้วพูดว่า “หานหั่วไห่ตระกูลหาน ผู้ท่องไปในใต้หล้า จัดการสุนัขรับใช้แบบพวกนาย ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลหรอก”

ผู้อาวุโสเคราขาวพูดว่า “เทียนเจี่ยอีตระกูลเทียน ผู้จัดการดูแลตงหวา ได้รับคำสั่งจากผู้อาวุโสให้มาคุ้มครองตระกูลลู่”

เมื่อทั้งสี่คนแนะนำตัวเสร็จ ตี๋เหรินหน้าซีดเหมือนคนตาย

หน่วยองครักษ์เสิ่นหวา สาขาสายฟ้า ตระกูลหาน ตระกูลเทียน

ไม่ว่าจะเอาอำนาจด้านไหนออกมา ก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะหาเรื่องได้ ถึงเป็นไท่จื่อ เจอกับอำนาจพวกนี้ ก็ต้องไตร่ตรองถึงความสามารถที่มีอยู่

แต่ตอนนี้ คิดไม่ถึงเลยว่าอำนาจทั้งสี่ด้านจะส่งคนมาคุ้มครองตระกูลลู่!

จู่ๆ ตี๋เหรินรู้สึกว่าพวกเขาประมาทลู่ฝานเกินไป ถึงขั้นที่ทั้งใต้หล้าประมาทลู่ฝานเกินไป

คนที่สามารถเชิญสี่อำนาจใหญ่มาดูแลได้ จะเป็นคนธรรมดาเหรอ

ตี๋เหรินเงยหน้าถอนหายใจยาว แล้วพูดว่า “เตี้ยนเซี่ย ครั้งนี้เตี้ยนเซี่ยหาเรื่องผิดคนแล้วจริงๆ!”

นักบู๊สายฟ้าตบฝ่ามือลงบนตัวตี๋เหรินอีกครั้ง พลังสายฟ้ารุนแรงระเบิดท่อนล่างของตี๋เหรินออกเป็นชิ้น

“คนพูดจู้จี้จุกจิก ฉันจะไว้วิญญาณนาย ให้ป้ายวิญญาณของนายเห็นหน้าฉันชัดๆ จำเอาไว้ ฉันไม่สนว่าประมุขนายคือใคร ฉันคุ้มครองคนตระกูลนี้!”

เหลยเฟิงซานพูดอย่างองอาจ

หานหั่วไห่หัวล้านที่อยู่ข้างๆ หัวเราะแล้วพูดว่า “นับฉันเข้าไปด้วย เมื่อกี้เห็นพวกเด็กตระกูลลู่น่าสนใจมาก ฉันกะจะรับเป็นศิษย์สัก 1-2 คน”

เมื่อพูดจบ หานหั่วไห่ซัดหมัดใส่เซียนบำเพ็ญชี่สองคนที่อยู่ทั้งสองข้าง ทันใดนั้นหมัดกระแทกมิติจนยุบเป็นหลุมใหญ่

หลังจากนั้นมิติหมุนวนร่างของเซียนบำเพ็ญชี่ทั้งสองคน หายไปไม่เหลืออะไรเลย

อีซูชักมือกลับมาแล้วพูดว่า “ภารกิจสำเร็จ ฉันไปละ ยุ่งอยู่นะเนี่ย!”

พูดจบ อีซูเหยียบเข้าไปในมิติแล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอย

ผู้อาวุโสลูบเครามองหานหั่วไห่ แล้วมองเหลยเฟิงซาน จากนั้นยิ้มบางๆ แล้วหายไป

ตี๋เหรินส่งเสียงหึเบาๆ เป็นเสียงสุดท้าย จากนั้นก็ตายคาที่ ตัวครึ่งหนึ่งหล่นลงมาบนพื้น

ลูกหลานตระกูลลู่มองศพของตี๋เหริน ไม่พูดอะไรอยู่นาน

การเปลี่ยนแปลงนี้รวดเร็วเกินไปจริงๆ!

หานหั่วไห่กับเหลยเฟิงซานลอยลงมา เหลยเฟิงซานปรบมือแล้วพูดว่า “นี่คือตระกูลของลู่ฝานเหรอ ไม่ต้องกลัว พวกเรามาคุ้มครองพวกนาย มีเหล้าไหม มีเนื้อไหม จัดของกินมาสิ!”

ลู่เฮ่าหรานหัวเราะแล้วพูดเสียงดังว่า “มีครับๆๆ!”

ขณะนั้นบนท้องฟ้า หัวหน้าเขตอี้ว์กลายเป็นลำแสง มาถึงอย่างล่าช้า

“เกิดอะไรขึ้น ตาเฒ่าลู่ เกิดอะไรขึ้น”

ตอนนี้ลู่เฮ่าหรานเพิ่งตั้งสติได้ ยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่มีอะไร เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น! พวกนายว่าใช่ไหม!”

พวกลูกหลานตระกูลลู่ที่อยู่ด้านหลัง กำลังตกอยู่ในอาการช็อก

แต่เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะสบายใจของลู่เฮ่าหราน ทุกคนก็หัวเราะตาม

ลู่หาวปรบมือแล้วพูดว่า “ใช่ครับ เป็นแค่เรื่องเล็กสำหรับตระกูลลู่ครับ!”

พูดจบ ลู่หาวตะโกนให้คนเตรียมเหล้าและอาหาร ในเวลาเดียวกันก็พึมพำว่า “ลู่ฝานนะลู่ฝาน นายไปทำอะไรไว้ที่เมืองหลวงอีกแล้ว!”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1028
เสียงตะโกนพร้อมเพรียงกันขนาดนี้ เสียงที่แผดออกมามีพลังแข็งแกร่งขนาดนี้ ทำให้ตี๋เหรินช็อกไปเลย

เซียนบำเพ็ญชี่ทั้งสามคนหน้าเปลี่ยนสี ผู้อาวุโสทางด้านซ้ายพูดว่า “พวกเด็กที่มีเลือดพลุ่งพล่านดีจริงๆ สู้จนตัวตายไม่ยอมถอย ความเชื่อของตระกูลนี้ ทำให้ฉันนึกถึงแม้ตัวตาย วิญญาณไม่ดับสลายของตระกูลหาน!”

สีหน้าของตี๋เหรินเย็นชา เขาพูดว่า “ตระกูลแบบนี้ มิน่าล่ะถึงมีเด็กอวดดีแบบลู่ฝาน ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ถ้าไม่มีใครควบคุมพวกเขา ตระกูลนี้คงกลายเป็นตระกูลหานตระกูลที่สอง!”

ผู้อาวุโสที่ยืนอยู่ทั้งสองข้างพยักหน้าไม่หยุด เห็นได้ชัดว่าเห็นด้วยกับมุมมองของตี๋เหริน

ตี๋เหรินค่อยๆ ยกมือขึ้นแล้วพูดว่า “ไท่จื่อบอกแล้วว่าให้ฆ่าตระกูลลู่ฝานทั้งตระกูล ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เด็กก็คงไม่ต้องปล่อยไว้ ฆ่าไปด้วยเลย ถ้าไม่ตัดรากถอนโคน เวลาผ่านไปจะเกิดปัญหา!”

พูดจบ พลังชี่ทะลักขึ้นมาบนตัวตี๋เหริน

ตอนนี้ลู่เฮ่าหรานกับลู่หาวรีบวางแก้วชาลง ตัวกลายเป็นสายลมแรง มาถึงด้านหน้าลูกหลานตระกูลลู่ทุกคน

“ไอ้แก่ตายยากจากที่ไหนกัน กล้าพูดโอ้อวดว่าจะฆ่าตระกูลลู่ของฉัน!”

หูของลู่หาวไม่แล้วเลย เขาได้ยินคำพูดของตี๋เหริน

ลู่เฮ่าหรานมองพลังชี่น่ากลัวที่ทะลักอยู่บนตัวตี๋เหริน เขาพูดเสียงดังว่า “ฉันอยากรู้ว่าตระกูลลู่ล่วงเกินทั้งสามท่านตรงไหน”

ขณะนั้นพวกตี๋เหรินทั้งสามคนเหาะลงมาพร้อมกัน

เหาะเหินเดินอากาศ นี่คือการแสดงออกของผู้แข็งแกร่ง

ทันใดนั้น สีหน้าของคนตระกูลลู่เปลี่ยนไปทันที

ตี๋เหรินพูดเสียงดังว่า “ตระกูลลู่ของพวกนายไม่ได้ล่วงเกินฉัน แต่ลู่ฝานตระกูลพวกนายล่วงเกินประมุขของเรา ก่อเรื่องคนเดียว แต่รับกรรมทั้งตระกูล ถ้าพวกนายจะโกรธจะเกลียด ก็ไปโกรธเกลียดคนอวดดีอย่างลู่ฝานเถอะ คิดไม่ถึงว่าจะกล้าทำร้ายฝ่าบาท วันนี้ตระกูลลู่ของพวกนายจะโดนทำลายทั้งตระกูล ล้วนเป็นฝีมือของลู่ฝาน!”

ตี๋เหรินพูดจบ เขากวาดตามองทุกคนด้วยใบหน้ายิ้มเยาะ

เขาคิดว่าการที่เขาพูดแบบนี้ คนตระกูลลู่ที่อยู่ตรงนี้มากมาย จะต้องกลัวจนหน้าเปลี่ยนสีแน่นอน คงมีคนจำนวนไม่น้อยต้องคุกเข่าอ้อนวอนขอชีวิต และก่นด่าลู่ฝานอย่างเจ็บแสบ

แต่การแสดงออกของคนตระกูลลู่ กลับทำให้เขาตกใจ

เห็นลูกหลานตระกูลลู่ที่อยู่ตรงนี้ ไม่ว่าเด็กหรือแก่ สีหน้าตอนนี้คือโกรธ ไม่มีความกลัวสักนิด

ลู่หงหยู่พูดเสียงดังว่า “ไม่ว่าเจ้าบ้านลู่ฝานทำอะไรล้วนถูกต้อง ถึงต้องตายทั้งตระกูลแล้วยังไง แค่เจ้าบ้านลู่ฝานไม่ตาย เลือดต้องล้างด้วยเลือดแน่นอน!”

ตอนนี้ลู่เฮ่าหรานหัวเราะเสียงดังแล้วพูดว่า “ฉันเข้าใจแล้ว ฝ่าบาทของพวกนาย โดนลู่ฝานหลานชายฉันทำร้าย แต่กลับทำอะไรเขาไม่ได้ เลยมาทำตัวป่าเถื่อนที่ตระกูลลู่ใช่ไหม ฮ่าๆ ทำได้ดี!”

พลังปราณพุ่งขึ้นบนตัวลู่หาว เขาพูดเสียงดังว่า “จะสู้ก็สู้ คนตระกูลลู่เคยกลัวใครด้วยเหรอ”

เสียงเสือคำรามดังขึ้น ตอนนี้เขากลายเป็นพยัคฆ์พลังปราณลู่หาว!

ลูกหลานตระกูลลู่และองครักษ์เข้ามาอีกจำนวนมาก มองพวกตี๋เหรินที่อยู่กลางอากาศด้วยสีหน้าอาฆาต

ตี๋เหรินโมโหแล้ว อีกทั้งยังตกใจด้วย

เขาไม่เคยเห็นตระกูลแบบนี้ ใกล้จะตายแล้ว ไม่เพียงแต่จะไม่กลัวสักนิด ยังพูดจาฉะฉานอีก

หึ!

พลังชี่บนตัวตี๋เหรินเคลื่อนไหวฟ้าดิน แสงห้าสีปรากฏกลางท้องฟ้าราวกับน้ำวน

เซียนบำเพ็ญชี่อีกสองคนก็ยกมือขึ้นมา เซียนบำเพ็ญชี่ลงมือพร้อมกันสามคน ตระกูลลู่ต้องโดนทำลายเป็นซากแน่นอน

เกิดลมแรง พัดจนเสื้อเกิดเสียงดังพึ่บพั่บ

เห็นพลานุภาพมากมายของเซียนบำเพ็ญชี่ทั้งสามคน ลูกหลานตระกูลลู่ต่างรู้ดี วันนี้พวกเขาคงเป็นมิตรไม่ได้แล้ว

ลูกหลานตระกูลลู่ที่ขี้ขลาดหน่อยเริ่มกลัว อยากถอยไปข้างหลัง

แต่ต่อมาพวกเขาโดนคนข้างๆ ดึงกลับมา แล้วพูดตำหนิเสียงดุว่า “ลูกหลานตระกูลลู่ ต้องตายอย่างสง่างาม ไม่ตายแบบก้มหัวให้ใคร! ถ้าตายก็ตายด้วยกัน!”

ทันใดนั้น ลูกหลานตระกูลลู่ที่คิดจะหนี เกิดความฮึกเหิมขึ้นมาในใจทันที เขายืนอย่างอกผายไหล่ผึ่ง

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1027
“ใช่ เมืองหลวงมีอำนาจใหญ่มากมาย ไปแล้วต้องระวังมาก ฉันว่าลู่ฝานไปแล้วจะหาคนฝึกปรือฝีมือคงไม่ง่าย ฉันได้ยินว่าพวกนักบู๊ที่ชื่อเสียงโด่งดัง ล้วนรักศักดิ์ศรีมาก ถ้าลู่ฝานเรียนรู้อะไรจากพวกเขาได้บ้างก็ดี”

ลู่เฮ่าหรานพูดด้วยรอยยิ้ม

ลู่หาวพยักหน้าพูดว่า “ใช่ครับ เมืองหลวงมียอดฝีมือมากมาย อีกทั้งยังอยู่ภายใต้อำนาจของราชวงศ์ ไม่น่าจะทะเลาะวิวาทกันได้”

ทั้งสองมองหน้ากันแล้วพยักหน้า จากนั้นจึงดื่มชาต่อ

ขณะนี้ทั้งสองไม่ได้สังเกตบนท้องฟ้า

มีเงาคนสามคนปรากฏออกมา!

เท้าเหยียบอยู่บนเมฆสูง ก้มมองเมืองตงหวาทั้งเมือง

คนที่เป็นหัวหน้า คือเซียนบำเพ็ญชี่ตี๋เหรินของจวนไท่จื่อ

“ที่นี่เมืองตงหวาสินะ ไม่ต้องผนึกค่ายกลเคลื่อนฟ้า อีกเดี๋ยวเราต้องอาศัยมันกลับไป”

ตี๋เหรินพูดพลาง ตบฝ่ามือไปทางด้านหลัง ทันใดนั้นรอยแยกมิติหดตัวช้าๆ หยุดนิ่งอยู่อย่างนั้น รอยแยกสีดำขลับ เหมือนรอยแผลบนม้วนภาพฟ้าดิน โหดเหี้ยมน่าเกลียด

เมื่อทำทุกอย่างเสร็จสิ้น ทั้งสามคนลงมาด้านล่าง

ทุกคนที่อยู่ด้านหน้าประตูตระกูลลู่ เห็นแสงสามแสงลงมาจากฟ้าทันที ร่วงลงมาหน้าประตูจวนลู่

ในเวลาเดียวกัน ในเมืองตงหวามีเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น เหมือนเสือและมังกรคำราม สะเทือนจนทำให้ทุกคนเจ็บแก้วหู

เจดีย์สูงสี่ด้านที่ประตูเมือง ตอนนี้ดูเหมือนมีแสงสว่างจ้า

ตี๋เหรินมองแวบหนึ่ง สะบัดมือมีแสงออกมาอีกครั้ง

ในลำแสง เหมือนมีป้ายคำสั่งรวมไปกับฟ้าดิน เสียงดังสนั่นหายไปทันที เจดีย์ขาวก็เงียบลง

ทุกคนรีบหลีกทางให้ทั้งสามคน มองทั้งสามคนอย่างตกตะลึง

มาแบบเป็นลำแสง กระตุ้นค่ายกลคุ้มครองเมือง แสดงว่าพละกำลังของสามคนนี้ ต้องอยู่ในแดนปราณฟ้าขึ้นไป!

แต่หลังจากที่พวกเขาปล่อยแสงออกไป ค่ายกลกับเจดีย์ทั้งสี่เงียบลง แสดงให้เห็นอีกว่าทั้งสามคนไม่ใช่ผู้ฝึกชั่วร้ายที่บุกรุกเข้ามาในเมืองตงหวา มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นคนในราชสำนัก!

“จวนลู่!”

ตี๋เหรินมองป้ายจวนลู่ แล้วพูดเสียงเบา

ทั้งสามพยักหน้า ถูกต้อง ที่นี่แหละ!

เดินเข้าไปด้านใน ทั้งสามคนเหมือนเข้าไปในดินแดนไร้ผู้คน

องครักษ์ตระกูลลู่สองสามคนรีบขวางหน้าทั้งสามคนเอาไว้ จากนั้นพูดเสียงดังว่า “นายเป็นใคร กล้าบุกเข้าไปในตระกูลลู่!”

ตี๋เหรินไม่แม้แต่จะมอง ยื่นมือแล้วสะบัด องครักษ์ของตระกูลลู่กระเด็นออกไปเองทันที

แต่นี่ไม่ได้ทำให้องครักษ์ตระกูลลู่หวาดกลัว กลับมีองครักษ์พุ่งเข้ามาอีกเป็นจำนวนมาก

“รีบแจ้งคุณท่านว่ามีคนบุกเข้ามาในตระกูลลู่!”

“ไปแจ้งผู้เฝ้าเมืองจาง ให้เขารีบส่งทหารมา”

“อีกคนไปแจ้งหัวหน้าเขตอี้ว์!”

ลูกหลานตระกูลลู่ตะโกนเสียงดัง

ตี๋เหรินทำเหมือนไม่ได้ยิน เดินเข้าไปด้านในต่อ

“มาขวางไว้!”

เมื่อพวกตี๋เหรินมาถึงลานประลองบู๊ของตระกูลลู่ พวกลูกหลานตระกูลลู่มาขวางทางไว้

ตี๋เหรินเห็นพวกเด็กน้อยขวางทาง เขาขมวดคิ้วเบาๆ แล้วพูดว่า “หลีกไป เรียกพ่อแม่ครูบาอาจารย์ของลู่ฝานออกมา!”

ลู่หงหยู่เดินมาข้างหน้าคนเดียว พูดเสียงดังว่า “นายสามารถเรียกชื่อเจ้าบ้านได้งั้นเหรอ โดนแส้ซะ!”

เมื่อสะบัดแส้ออกมา ตี๋เหรินไม่ขยับสักนิด ใช้แค่พลังชี่คุ้มกันร่างกาย ก็สามารถทำให้ลู่หงหยู่สะเทือนจนกระเด็นออกไปไกล จากนั้นกระแทกลงบนพื้น กระอักเลือดออกมา

ลูกหลานตระกูลลู่ตกตะลึง ตี๋เหรินยิ้มแล้วพูดว่า “เห็นหรือยัง ถ้าไม่อยากตายก็ถอยไปให้หมด!”

เมื่อพูดจบ กลับเห็นสายตาแน่วแน่ของพวกลูกหลานตระกูลลู่ ใบหน้าเด็ดเดี่ยวห้าวหาญ มองเขาด้วยสีหน้าที่เหมือนบ้าไปแล้ว

ต่อมาลูกหลานตระกูลลู่แผดเสียงดังออกมา “ลูกหลานตระกูลลู่ สู้จนตัวตายไม่ยอมถอย!”

ตระกูลลู่ที่เขตตงหวาเมืองตงหวา

ประดับประดาด้วยผ้าและโคมไฟสวยงาม โคมไฟสีแดงขนาดใหญ่ แขวนอยู่หน้าประตูตระกูลลู่

ประตูกว้าง สร้างจากไม้กฤษณา มีสิงโตหินวางอยู่ทั้งสองด้าน สีขาวสะอาดทั้งตัว ข้างบนมีอักษรยันต์ เห็นได้ชัดว่าทั้งสองตัวเป็นหุ่นเชิดเฝ้าประตู

ตระกูลลู่ในวันนี้ ดีกว่าตอนที่ลู่ฝานอยู่ในตอนนั้นมาก

ดูแค่คำว่าจวนลู่ ก็เห็นถึงความทรงพลังของตระกูลลู่แล้ว

แค่ตัวอักษรสองตัว คิดไม่ถึงเลยว่าจะร่างขึ้นมาด้วยพลังปราณ แสงสว่างสะดุดตา

พลังปราณมากมายในตัวอักษรทั้งสองตัว ถ้านักบู๊ทั่วไปมองนานๆ อาจทำให้เป็นลมได้

นี่เป็นสิ่งที่หัวหน้าเขตอี้ว์เขียนขึ้นด้วยมือตัวเอง

เรียกได้ว่าแค่ป้ายคำว่าจวนลู่ ก็เหนือกว่าสมบัติล้ำค่าตั้งเท่าไรแล้ว

หน้าประตูมีคนเยอะและคึกคักมาก

ใกล้เทศกาลเซ่นไหว้ประจำปี ตามประเพณีต้องไปเยี่ยมเพื่อนฝูงญาติมิตร มอบของขวัญให้กันและกัน ประชาชนทั่วไปทำกันเช่นนี้ ตระกูลร่ำรวยก็ไม่ต่างกัน

แต่เรื่องแบบนี้ ตระกูลทั่วไปจะทำหลังเทศกาลเทศกาลเซ่นไหว้ประจำปี มีเพียงตระกูลที่แข็งแกร่งยิ่งใหญ่ ที่จะเริ่มต้อนรับแขกก่อนเทศกาลเซ่นไหว้ประจำปี รับของขวัญด้วยรอยยิ้ม

เดิมทีตระกูลยิ่งใหญ่แบบนี้ทั้งเมืองตงหวา มีเพียงเล็กน้อยไม่กี่ตระกูล สามารถนับนิ้วได้เลย

ส่วนปีนี้ ตระกูลลู่เบียดเข้าไปในตระกูลใหญ่แบบนี้ได้

ไม่เพียงแค่ชื่อเสียงผู้ตรวจการลู่ที่โด่งดังของลู่ฝาน

ยิ่งกว่านั้นปีนี้ ความก้าวหน้าและความยิ่งใหญ่ของตระกูลลู่ ทุกคนล้วนเห็นอยู่ในสายตา

ปัจจุบันตระกูลลู่ไม่อายที่มีชื่อเป็นตระกูลใหญ่แล้ว

เข้ามาประตูหน้า องครักษ์ยืนเรียงราย แต่ละคนล้วนมีพลังปราณ อย่างน้อยล้วนเป็นแดนปราณในชั้นห้าขึ้นไป

เข้ามาในลานกลางบ้าน หนังสือบู๊เต็มไปหมด ตระกูลลู่ที่เดิมทีขาดแคลนวิชาบู๊ วิชาแค่ทั่วไป ตอนนี้สามารถเขียนวิชาบู๊ได้เต็มกำแพงแล้ว สำหรับลูกหลานตระกูลลู่เอาไว้ฝึกฝนโดยเฉพาะ ขีดเขียนวาดภาพ ทำเครื่องหมายหรือปรับเปลี่ยน ล้วนไม่สนใจคนนอกมาก็สามารถชมได้

เมื่อมาถึงสวนหลังบ้าน บนลานประลองบู๊ เสียงตะโกนของลูกหลานตระกูลลู่ดังสะเทือนเลือนลั่น

ลู่หงหยู่ อันดับหนึ่งของคนรุ่นหลังของตระกูลลู่ กำลังใช้แส้ฟาดคนอยู่

“ฉันให้นายฝึกฝนไม่เป็น ฉันให้พวกนายฝึกไม่สำเร็จ”

พลังปราณเหมือนเปลวไฟ พลานุภาพมากมาย ตีจนรุ่นน้องตระกูลลู่สองสามคน ร้องไห้ออกมา

แต่รุ่นน้องตระกูลลู่พวกนี้หน้าแดงไปหมด กัดฟันฝึกฝนต่อไป

ลู่หงหยู่พูดเสียงดังว่า “สู้กลับสิ พวกนายเป็นสวะเหรอ สู้กลับสิ!”

รุ่นน้องตระกูลลู่คนหนึ่งพูดเสียงดังว่า “เราไม่ใช่สวะ ตระกูลลู่ไม่มีสวะ!”

รุ่นน้องตระกูลลู่อีกคนตะโกนตาม “นายตีผม ดูหมิ่นผม รังแกผมได้ ผมไม่กลัว รอให้ผมฝึกสำเร็จ ผมจะให้พวกคุณทั้งหมดยกชามาขอโทษผม เหมือนเจ้าบ้านลู่ฝานในอดีต!”

ลู่หงหยู่หัวเราะแล้วพูดว่า “ยังมีความกล้าอยู่บ้าง ฝึกต่อไป!”

ลู่เฮ่าหรานกับลู่หาวที่นั่งดูอยู่ข้างๆ กำลังนั่งหันหน้าเข้าหากันดื่มชา

แก้วชาที่ทั้งสองถืออยู่ในมือ ล้วนไม่ใช่ของธรรมดา

แก้วชาในมือลู่หาวหลอมจากหินผนึกกำลัง หินผนึกกำลังชั้นดีทั้งก้อน นักบู๊ทั่วไปไม่สามารถยกขึ้นมาได้

แต่ลู่หาวกลับถือไว้ในมืออย่างใจปีติยินดีเป็นสุข

แก้วชาของลู่เฮ่าหรานใหญ่กว่าเล็กน้อย เขาจิบชานั่งอยู่บนเก้าอี้โยก ถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดว่า “หิมะตกนั้นเป็นลางบอกว่าปีหน้าจะอุดมสมบูรณ์ เจริญรุ่งเรือง ไม่รู้ลู่ฝานอยู่ที่เมืองหลวงจะสบายดีไหม!”

ลู่หาวยิ้มแล้วพูดว่า “เมืองหลวงแล้วยังไง ลูกชายผมแข็งแกร่งในใต้หล้า ไม่ว่าไปไหนก็ส่องแสงเหมือนทอง นายรอดูเถอะ ไม่แน่หลังจากเทศกาลเซ่นไหว้ประจำปี เขาอาจกลับมาพร้อมข่าวดีก็ได้”

ลู่เฮ่าหรานพยักหน้าพูดว่า “เป็นไปได้ ไม่แน่ชีวิตนี้ฉันอาจได้ไปเที่ยวเล่นกับหลานชายที่เมืองหลวงสักรอบ ไม่ขออะไรมาก ขอแค่ได้เห็นฉันก็พอใจมากแล้ว”

ลู่หาวยิ้มแล้วพูดว่า “ผมว่ามีโอกาสเป็นไปได้สูง ได้ข่าวหรือยังครับ เทศกาลเซ่นไหว้ประจำปีปีนี้ หัวหน้าเขตอี้ว์จะจัดประลองบู๊ ให้รางวัลเป็นเคล็ดวิชาบู๊และวิชา น่าจะแต่งลูกสาวด้วย ไม่รู้ว่าลู่ฝานฉลองเทศกาลเซ่นไหว้ประจำปีที่เมืองหลวง จะคึกคักเท่าที่นี่หรือเปล่า”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1025
แต่ในเมื่อเขามาแล้ว จะถอยกลับแบบนี้ไม่ได้ เขากัดฟันตะโกนออกมา

“ลู่ฝานโจรอวดดี ฉันจะสั่งสอนนายเอง!”

เว่ยเว่ยเด้งตัวขึ้นไปบนลานประลอง พลานุภาพบนตัวพลุ่งพล่านทันที พละกำลังแดนปราณชีวิต เปิดเผยออกมาจนหมด!

ลู่ฝานมองเขา แววตาเคร่งขรึมขึ้นทันที

เมื่อสะบัดกระบี่หนักไร้คม มีกระแสลมรุนแรงขึ้นด้วย

“ฆ่า!”

กระบี่ฆ่าพิชิตฟ้าปรากฏออกมาอย่างน่าทึ่ง อักษรคำว่าฆ่าพุ่งไปที่หน้าเว่ยเว่ย

เว่ยเว่ยหลบไม่ทัน ทำได้เพียงเอาดาบง้าวมากันไว้ด้านหน้า

แต่ต่อมา อักษรคำว่าฆ่าทะลุตัวเขาทันที เว่ยเว่ยมองดาบง้าวในมืออย่างอึ้งๆ ต่อจากนั้นดาบง้าวแตกเป็นเสี่ยงๆ ร่วงลงบนพื้น

“กระบี่ที่……รวดเร็วมาก!”

เว่ยเว่ยพูดเป็นครั้งสุดท้าย ทันใดนั้นเขาล้มลงบนพื้น เลือดไหลนอง

โจมตีหนึ่งกระบวนท่า คร่าชีวิต

ลู่ฝานเก็บกระบี่ด้วยแววตาเย็นชา จากนั้นมองไปรอบๆ

ท่าทางของเขา กำลังจะบอกทุกคนว่า ถ้าอยากฆ่าเขาต้องเตรียมแลกด้วยชีวิต

ทันใดนั้น ชายรูปร่างกำยำที่ตะโกนก่อนหน้านี้เงียบลงทันที

ในกลุ่มคน นักบู๊สองสามคนที่อยากลองของ ตอนนี้พากันก้มหน้าลง

“ลู่ฝาน นักกระบี่แห่งตงหวา ชื่อเสียงสมคำร่ำลือตามคาด!”

เสียงดังขึ้นมาในกลุ่มคน

หลังจากนั้นมีคนขึ้นมาบนลานประลองอีกหนึ่งคน

คนคนนี้สวมเสื้อสีเขียว ถือพัดพับในมือ มีเคราเล็กๆ ที่มุมปาก เขาส่ายหัวไปมาแล้วพูดว่า “ผมสื่อโหย่วหลิง วันนี้อยากสั่งสอนลู่ฝาน นักกระบี่แห่งตงหวาอย่างนาย เพื่อตอบแทนพระคุณของไท่จื่อในตอนนั้น”

เมื่อได้ยินชื่อสื่อโหย่วหลิง มีเสียงพูดคุยดังมาจากกลุ่มคน

“สื่อโหย่วหลิงอันดับที่ 84 ในรายชื่อประเทศ เขาเป็นยอดฝีมือที่แท้จริงเลยนะ”

“ถึงลู่ฝานอยากเอาชนะเขา ก็ต้องยอมแลกด้วยอะไรบ้าง ได้ยินว่าอาวุธลับของเขาถึงจุดสูงสุดของความสมบูรณ์แบบ ถึงจะป้องกันแล้วก็ไม่สามารถป้องกันได้”

“สื่อโหย่วหลิงกลับมา วันนี้จะได้เห็นฝีมือของเขาแล้ว!”

ทุกคนเต็มไปด้วยความคาดหวัง

แต่ลู่ฝานกลับมองเขาอย่างเฉยเมย แล้วยกกระบี่ขึ้นมา!

สื่อโหย่วหลิงแยกเท้าออก มีเงาออกมาเป็นแถบทันที

“ขบวนร้อยอสูรยามวิกาล!”

ทันใดนั้น เหมือนมีสื่อโหย่วหลิงอยู่บนลานประลองนับไม่ถ้วน ในเวลาเดียวกันพลังปราณเริ่มก่อตัวกันเหมือนใยแมงมุม

ในใยแมงมุม มีอาวุธลับที่ลึกลับซ่อนอยู่ด้วย แสงเป็นจุดที่กะพริบอยู่ เห็นได้ชัดว่าเป็นเข็มบินแน่นอน!

“เป็นการโจมตีวางกรอบดักศัตรูที่ดี!”

มีคนหนึ่งเอ่ยชม

แต่ขณะนั้นลู่ฝานก็เคลื่อนไหวเช่นกัน

เปลวไฟดำออกมา ปราณชี่พุ่งขึ้น

กระบี่มังกรเพลิงคำราม!

เหมือนมังกรเทพคำรามดังเลือนลั่น เงามังกรขนาดใหญ่ทำลายอาวุธลับที่พุ่งมาหาเขาจนกลายเป็นผุยผงภายในพริบตา

สื่อโหย่วหลิงแอบพูดว่าแย่แล้ว เขาถอยหลังไปด้วยความตระหนก

แต่ต่อมา กระบี่มังกรเพลิงของลู่ฝานฟาดฟันลงมาทันที

ไม่แม้แต่จะมอง เพลิงลุกโชนเข้ามาทันที ปกคลุมทั้งลานประลอง

พรวด!

เลือดสดกระเด็น สื่อโหย่วหลิงโดนกระบี่หนักไร้คมของลู่ฝานแทงเข้าที่อก

ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากหลบ แต่เขาหลบไม่ได้ เหมือนกระบี่ของลู่ฝานมีแรงดึงดูดที่มองไม่เห็นอยู่ชั้นหนึ่ง ดึงเขาเข้าไปอยู่ภายใต้กระบี่

ทันใดนั้นไฟลุกโชนทั้งตัวสื่อโหย่วหลิง เขาหล่นลงมาจากลานประลอง ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย

ทุกคนถึงกับตกตะลึง รวมถึงตาเฒ่าซูด้วย เขาถึงกับอ้าปากค้าง

กระบี่เดียว กระบี่เดียวอีกแล้ว

ไม่มีกระบวนท่าที่เกินความจำเป็น ไม่มีการประลองบู๊ที่งดงาม

กระบี่เดียวฟาดฟันออกไป ตัดสินแพ้ชนะได้ทันที

ลู่ฝานยืนอยู่ตรงนั้นเหมือนเทพมังกรเพลิง

สวบ!

ลู่ฝานปักกระบี่หนักไร้คมเอาไว้ในซอกหิน แล้วพูดเสียงดังว่า “ยังมีใครอีก!”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1024
นอกเจดีย์ยา มีคนกรูกันมาเต็มไปหมด

นี่เป็นครั้งแรกในหลายปี ที่มีคนมามุงดูเจดีย์ยา

ชายรูปร่างกำยำกลุ่มหนึ่งยืนเรียงเป็นแถวหน้ากระดาน หัวหน้าเป็นผู้ชายถือดาบง้าวอยู่ในมือ

ผู้ชายคนนั้นชี้มาที่เจดีย์ยาแล้วก่นด่าว่า “ลู่ฝานเด็กไร้ยางอาย ยังไม่รีบออกมารับความตายอีก ดาบของฉันรอนายอยู่นานแล้ว!”

ชายรูปร่างกำยำที่อยู่ด้านหลัง ตะโกนออกมาพร้อมกันว่า “เด็กน้อยลู่ฝาน นายตายแน่! รีบออกมาโดนฟันสิ พวกเรารอนายนานแล้ว!”

ถึงมีค่ายกลกั้นอยู่ แต่เสียงก็ทะลุทะลวงเข้ามาได้

ผู้ฝึกชี่ที่สูงส่งพวกนี้ เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ที่ไหนกันล่ะ

ผู้อาวุโสสองสามคนเดินออกมาจากเจดีย์ยา สะบัดแขนเสื้อแล้วพูดว่า “สกปรกมาก พวกคนธรรมดามายืนด่าทออยู่ตรงนี้ ยังไม่รีบไล่พวกเขาไปอีก!”

ผู้ฝึกชี่ที่อยู่ข้างๆ คนหนึ่งพูดเบาๆ ว่า “แต่เขาไม่ได้เข้ามาในเจดีย์ยานะครับ อยู่ข้างนอกเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาด่าลู่ฝานด้วย!”

“งั้นไปเรียกลู่ฝานออกมา ปล่อยให้พวกเขายืนตะโกนตรงนี้ ใช้ได้ซะที่ไหนกัน!”

แผดเสียงออกมาเบาๆ คนที่เดินออกมาคือตาเฒ่าซู

มองกลุ่มคนที่ต่อว่าอยู่ข้างนอก ตาเฒ่าซูพูดอย่างโมโหว่า “ทำไมเจดีย์ยาถึงโดนคนขวางประตูไว้แบบนี้ เปิดค่ายกล!”

เมื่อเสียงตะโกนของตาเฒ่าซูดังขึ้น แสงสว่างขึ้นมา ค่ายกลที่ปกคลุมเจดีย์ยาหายไปทันที

ทันใดนั้นกลุ่มผู้ฝึกชี่ พร้อมกับภาพเจดีย์ยาอันหรูหราอย่างแท้จริง ปรากฏต่อหน้าพวกนักบู๊

ทันใดนั้นคนจำนวนไม่น้อย อุทานออกมาอย่างตกใจ

ผู้ชายรูปร่างกำยำสองสามคนที่กำลังก่นด่า ก็ตกใจจนถอยหลังไปสองสามก้าว

ตาเฒ่าซูพูดเสียงดังว่า “ถ้าพวกนายจะด่าก็ไปด่าที่อื่น อย่ามาขวางตรงนี้ ที่นี่คือเจดีย์ยา คำหยาบคายใดๆ เป็นการดูหมิ่นเจดีย์ยา”

ชายรูปร่างกำยำโดนตาเฒ่าซูด่าจนหัวหด มีเพียงชายที่เป็นหัวหน้าพูดเสียงดังว่า “ผมเว่ยเว่ย ตระกูลเว่ยแห่งภาคใต้ มาวันนี้ไม่ใช่เพราะเรื่องอื่น แค่ต้องการสู้กับลู่ฝาน ท่านเซียนได้โปรดอย่าขัดขวาง! นี่เป็นการนัดประลองเป็นตายของนักบู๊ เหนือกว่าทุกอย่าง”

ตาเฒ่าซูพูดอะไรไม่ออก เป็นประชาชนประเทศอู่อาน มีหรือที่จะไปรู้ว่ากฎของนักบู๊เหนือกว่าทุกอย่าง

ตาเฒ่าซูสะบัดมือพูดกับผู้ฝึกชี่ด้านหลังว่า “ลู่ฝานล่ะ เรียกเขามา! ฉันบอกนานแล้วว่าอย่าให้นักบู๊เข้ามาในเจดีย์ยา พวกเขาทำเป็นแค่สร้างปัญหา!”

“ไม่ต้องเรียก ผมมาแล้ว!”

ลู่ฝานรีบเดินออกมา

ตาเฒ่าซูชี้หน้าลู่ฝานแล้วพูดว่า “ปัญหาที่นายสร้าง นายจัดการเอาเอง!”

ลู่ฝานไม่พูดอะไรสักคำ จากนั้นเดินออกจากเจดีย์ยา

เว่ยเว่ยหัวเราะเสียงดังแล้วพูดว่า “ฉันนึกว่านายจะไม่กล้าออกมาซะอีก! มาสิลู่ฝาน สู้แบบเป็นตาย!”

พูดพลาง เว่ยเว่ยปาดมือลงบนด้านคมของดาบ เลือดสดไหลออกมา

ลู่ฝานมองรอบๆ จู่ๆ เขาเอากระบี่หนักไร้คมออกมา ฟันลงบนพื้นดินข้างๆ

เสียงระเบิดดังสนั่น พื้นถูกลู่ฝานฟันจนเป็นรอยยาว

ลู่ฝานฟันออกไปสามครั้งติดต่อกัน ทันใดนั้นพื้นดินถูกตัดออกเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส

กว้างยาวร้อยเมตร ลู่ฝานยกมือขึ้น หินขนาดใหญ่บนพื้นลอยขึ้นพร้อมเสียงดัง

กระทืบเท้าอย่างแรง ตรงที่ที่เขายืนอยู่ ยุบลงไปทันที รวมไปถึงหลุมลึกที่โดนเขาฟัน ก็ยุบลงไปด้วยเช่นกัน

เว่ยเว่ยที่อยู่ข้างหน้าโงนเงนไปมาครู่หนึ่ง ใบหน้ามีความตกใจกลัว

เห็นได้ชัดว่าเขาคิดไม่ถึงว่าลู่ฝานจะแข็งแกร่งขนาดนี้

หินขนาดใหญ่กลางอากาศ ร่วงลงมาข้างหน้าลู่ฝาน

เสียงดังสนั่น เกือบทับเว่ยเว่ยจนแบน

ลู่ฝานเด้งตัวขึ้นไปบนหินขนาดใหญ่ พูดเสียงดังว่า “ใช้ที่นี่เป็นลานประลอง หลังจากนี้ไปลู่ฝานจะใช้ที่นี่เป็นสถานที่ต่อสู้ อยากเอาชีวิตฉันก็เข้ามาสิ!”

เสียงดังสะเทือนเลือนลั่น พลานุภาพพลุ่งพล่าน

เว่ยเว่ยกลืนน้ำลาย ตอนนี้มือเขาสั่นเล็กน้อย

สี่กระบี่กลายเป็นเวทีประลอง ฝีมือแบบลู่ฝาน เขาไม่มีทางทำได้เลย!

เมื่อลู่ฝานได้ยิน เขาถึงกับอึ้งไปครู่หนึ่ง

หลังจากนั้นเขาลุกขึ้น ก้มคารวะฉินฝานอย่างนอบน้อม

ขณะนั้นฉินฝานก็รีบลุกขึ้นเช่นกัน เขาพูดว่า “สหายลู่ฝาน ไม่ต้องทำแบบนี้หรอก ฉันช่วยนายก็เพราะมีเงื่อนไข หวังว่านายจะตอบรับเรื่องที่ฉันจะพูดต่อจากนี้”

ลู่ฝานพูดว่า “เชิญองค์ชายรองพูดมาได้เลยครับ”

ฉินฝานค่อยๆ พูดว่า “แม้พี่ชายของฉันไปเขาวิถีบู๊แล้ว แต่เขาได้ออกคำสั่งก่อนไป งั้นคนของจวนไท่จื่อ รวมถึงพวกนักบู๊สุนัขรับใช้ของจักรพรรดิ ต้องไม่ปล่อยนายอยู่แล้ว แต่นายไม่ต้องกังวล ผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงจะไม่แตะต้องนาย นายอยู่ในเจดีย์ยา พวกเขาไม่มีทางทำเหมือนเมื่อวานที่มีนักบู๊แดนปราณฟ้า หรือเซียนบำเพ็ญชี่มาฆ่านาย ดังนั้นทางเลือกเดียวของพวกเขา คือสู้กับนายแบบซึ่งหน้า นักบู๊สู้กับนักบู๊ จัดฉากสู้แบบเป็นตายบนเวทีประลอง”

ลู่ฝานพยักหน้าพูดว่า “ผมรู้ การประลองระหว่างนักบู๊ ถึงเป็นกษัตริย์ก็ไม่สามารถต่อว่าหรือก้าวก่ายได้ พวกเขาควรใช้วิธีนี้จัดการผมตั้งนานแล้ว”

ฉินฝานยิ้มแล้วพูดว่า “ก่อนหน้านี้พวกเขายังหวาดกลัวอยู่ พี่ชายสุดที่รักของฉันไม่อยากทำให้เป็นเรื่องใหญ่ อีกทั้งบวกกับนายเข้ามาในเจดีย์ยาอีก เขาจึงไม่ส่งคนมาจัดการนาย แต่ตอนนี้เขาโดนทำโทษขังเอาไว้แล้ว งั้นลูกน้องของเขาจะมาฆ่านาย เพื่อระบายความแค้นให้เขา ก็ใช่ว่าจะไม่สมเหตุสมผล เพราะตอนนี้เรื่องใหญ่แล้ว ถึงนายโดนฆ่าตาย แล้วเรื่องวุ่นวายอีก เขาก็สามารถปฏิเสธทุกอย่างได้”

ลู่ฝานพูดว่า “งั้นองค์ชายรองจะให้ผมทำยังไงครับ”

จู่ๆ ฉินฝานนั่งตัวตรง มีความเยือกเย็นออกมาจากดวงตา แล้วพูดว่า “ถ้ามาทีละคนนายก็ฆ่าทีละคน ถ้ามาสองคนนายก็ฆ่าทั้งสองคน ถ้านายสามารถฆ่าหนึ่งคน ในแปดผู้โดดเด่นของจวนไท่จื่อได้ ฉันจะมอบวิชาให้นายหนึ่งคันรถ จวนหนึ่งแห่ง ถ้าฆ่าได้สองคน ฉันจะมอบตำแหน่งหัวหน้าเขตให้นาย พร้อมกับอาณาเขตเมือง”

ลู่ฝานพูดว่า “งั้นถ้าผมฆ่าหมดเลยล่ะ”

จู่ๆ ฉินฝานหัวเราะแล้วพูดว่า “ถ้านายฆ่าทั้งหมด นายบอกมาเลยว่าต้องการอะไร”

ลู่ฝานครุ่นคิดครู่หนึ่ง เขาไม่ได้ตอบรับ

ฉินฝานพูดว่า “ลู่ฝาน พวกเขามาฆ่านาย การต่อสู้เป็นตาย ไม่นายก็ฉันที่ต้องตาย ถ้านายตาย ฉันจะไม่คุ้มครองตระกูลลู่ของนายอีก แต่ถ้านายไม่ตาย ฉันจะคุ้มครองตระกูลนายให้สงบสุขปลอดภัย!”

แววตาลู่ฝานเป็นประกายวูบไหว เขาพูดเสียงดังว่า “ได้ครับ องค์ชายรอง งั้นเราพูดคำไหนคำนั้น”

ฉินฝานหัวเราะเสียงดัง จู่ๆ ฉินฝานเอาของชิ้นหนึ่งออกมาจากในอก วางลงบนมือลู่ฝานแล้วพูดว่า “ของเล็กน้อย ขอให้นายสู้ได้หลายๆ รอบ”

ลู่ฝานมองของในมือ มันเป็นของเหลวที่เคลื่อนไหวเหมือนน้ำ แต่เป็นรูปทรงเหมือนน้ำแข็ง

ฉินฝานพูดว่า “ตัวอ่อนจิตฟ้าดิน มีธาราหยกมากมาย นี่เป็นของที่พ่อให้รางวัลฉัน แต่ฉันไม่จำเป็นต้องใช้ จึงเอาให้นาย ฉันจะให้นายฆ่าจนพวกไท่จื่อไม่เหลือหน้าอีก”

ลู่ฝานพยักหน้าอย่างแรง

ขณะนั้นจู่ๆ เซียวเฮ่าวิ่งกลับมา ตะโกนเสียงดังว่า “พี่ลู่ฝาน แย่แล้ว เกิดเรื่องแล้ว ข้างนอกมีคนตะโกนเรียกชื่อพี่ จะสู้เป็นตายกับพี่!”

ฉินฝานยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “มาแล้ว! ลู่ฝาน ดูแลตัวเองด้วย ฉันไปละ”

ลู่ฝานพยักหน้าแล้วพูดว่า “น้อมส่งองค์ชายรอง”

ฉินฝานพูดด้วยรอยยิ้มว่า “แต่ก่อนฉันไม่เคยได้การน้อมส่งอะไรเลย ไปเถอะ ชนะให้งดงามหน่อยนะ!”

ลู่ฝานมองจิตแห่งมหาสมุทรในมือ ยิ้มบางๆ แล้วกลืนลงไป!

ลู่ฝานคารวะฉินฝานแล้วพูดว่า “เตี้ยนเซี่ย ทำไมเตี้ยนเซี่ยถึงมาที่นี่ล่ะครับ”

ฉินฝานยิ้มแล้วพูดว่า “นายเอาจดหมายมาให้ฉัน ฉันจะไม่มาได้ยังไงล่ะ เหอะๆ ล้อเล่น อันที่จริงถ้าไม่มีจดหมาย ฉันก็ต้องมาอยู่แล้ว มานั่งสิสหายลู่ฝาน”

ลู่ฝานเพิ่งนึกเรื่องที่เขาให้สิบสามไปส่งจดหมายขึ้นได้

เขารีบมองซ้ายมองขวา ในที่สุดก็เห็นสิบสามที่มีผงยาเต็มตัวอยู่ตรงมุม อีกทั้งเจ้าดำที่หมอบอยู่หน้าประตู

สิบสามพยักหน้าเบาๆ ให้ลู่ฝาน เพื่อบอกว่าเขาทำเรื่องที่ควรทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว

ลู่ฝานก็อมยิ้มแล้วพยักหน้าให้เขา

ค่อยๆ นั่งลงช้าๆ ส่วนอู่คงหลิงยืนอยู่อีกด้าน รินชาให้ทั้งสองคน

เซียวเฮ่ากับอูลี่คุน สามีภรรยาคู่นี้ทำอะไรไม่ถูก พวกเขาเคยเจอบุคคลยิ่งใหญ่ในวังที่ไหนกันล่ะ ลู่ฝานเห็นท่าทางทั้งสองคนดูเป็นทางการเกินไป จึงพูดว่า “เซียวเฮ่า นายไปช่วยผู้ฝึกชี่พวกนั้นจัดการปัญหาเถอะ เรื่องสำคัญยังไงก็ต้องทำ”

เซียวเฮ่าเหมือนได้รับการนิรโทษกรรม เขารีบตอบรับ แล้วดึงอูลี่คุนเดินออกไป

หลังจากอู่คงหลิงรินชาให้ทั้งสองคนเสร็จเรียบร้อย ก็คำนับแล้วถอยออกไป กวักมือเรียกสิบสาม ทั้งสองคนเดินกลับขึ้นไปด้านบน

ชั้นหนึ่งของเจดีย์ขาว เหลือแค่ลู่ฝานกับฉินฝานเพียงสองคน

ฉินฝานจิบชาเบาๆ แล้วพูดว่า “สหายลู่ฝาน ครั้งนี้นายเจอปัญหาใหญ่แล้ว!”

ลู่ฝานพูดอย่างสุขุมว่า “ผมรู้ แต่เรื่องที่ทำลงไปแล้ว ผมไม่มีทางเสียใจเด็ดขาด ยิ่งไปกว่านั้น สถานการณ์ในตอนนั้น ถ้าให้ผมเจออีกครั้ง ผมก็จะทำแบบนั้น”

ฉินฝานยิ้มแล้วพูดว่า “มีความห้าวหาญ แต่มีแค่ความห้าวหาญไม่พอหรอก ต่อไปสหายลู่ฝานจะทำยังไงเหรอ จะหนีหรืออยู่ต่อ หรือจะสู้”

ลู่ฝานครุ่นคิดแล้วพูดว่า “ถ้าสู้ได้ก็สู้ ถ้าสู้ไม่ได้ก็หนี”

ฉินฝานพูดอย่างประหลาดใจเล็กน้อย “เอ๊ะ ฉันนึกว่าสหายลู่ฝานจะพูดออกมาอย่างห้าวหาญเสียอีก!”

ลู่ฝานยิ้มแหยแล้วพูดว่า “ความห้าวหาญใช้ไม่ได้หรอกครับ ผมแค่พูดตามความเป็นจริงเท่านั้น”

ฉินฝานพูดว่า “พูดตามความเป็นจริงนั้นดี ฉันชอบฟังคนพูดตามความเป็นจริง เหอะๆ แต่สหายลู่ฝานไม่ต้องกังวลขนาดนั้นหรอก ไท่จื่อ หรือพี่ชายสุดที่รักของฉัน เมื่อคืนเขาโดนทำโทษขังไว้ที่เขาวิถีบู๊แล้ว หลังผ่านเทศกาลเซ่นไหว้ประจำปี ถึงจะกลับมาได้”

ลู่ฝานพูดอย่างประหลาดใจ “ไท่จื่อโดนขังเหรอครับ”

ฉินฝานพยักหน้าพูดว่า “ใช่ เพราะตามฆ่านาย พี่ชายคนนั้นของฉันลงมือกับคนของเจดีย์ยา พ่อรู้เรื่องนี้เมื่อคืน แล้วก็ลงโทษพี่ชายสุดที่รักของฉันต่อหน้าทุกคนเมื่อคืน ลงโทษให้เขาขอโทษเจดีย์ยา แล้วก็ขังไว้อีกสองสามเดือน”

ลู่ฝานแอบถอนหายใจอย่างโล่งใจ

ฉินฝานเห็นสีหน้าลู่ฝานผ่อนคลายลง จึงพูดต่อ “แต่สหายลู่ฝานก็อย่าประมาท ได้ยินว่าตอนพี่ชายของฉันใช้ค่ายกลเคลื่อนฟ้าออกจากวังเมื่อวาน ยังตั้งใจสั่งลูกน้องเขาไว้ด้วย บอกว่าต้องฆ่านาย ไม่รู้ว่าตอนนี้คนด้านนอกตั้งเท่าไรรอเด็ดหัวนายอยู่ เพื่อที่จะขอความดีความชอบจากเขา”

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “ก็มาสิ ผมไม่กลัว ขอแค่เขาไม่ไปหาครอบครัวผมก็พอ”

ฉินฝานหัวเราะแล้วพูดว่า “ฉันมาที่นี่เพราะเรื่องนี้แหละ พูดตามตรงเลยแล้วกัน เมื่อคืนฉันได้รับรายงาน เซียนบำเพ็ญชี่สามคนของจวนไท่จื่อ เปิดจุดค่ายกลเคลื่อนฟ้าออกจากเมืองหลวง ฉันไม่ต้องบอก สหายลู่ฝานน่าจะรู้ว่าพวกเขาจะไปทำอะไร”

ลู่ฝานสีหน้าเปลี่ยนไปทันที เขากัดฟันพูดว่า “ถ้าครอบครัวผมเป็นอะไร ถึงผมต้องทุ่มด้วยชีวิต ผมก็ต้องให้ไท่จื่อชดใช้!”

ฉินฝานส่ายหน้าพูดว่า “วางใจเถอะสหายลู่ฝาน ครอบครัวนายไม่มีทางเป็นอะไร เพราะมีฉันอยู่!”

เช้าวันต่อมา ลู่ฝานค่อยๆ ฟื้นขึ้นมา

เมื่อลืมตาขึ้น คนที่ปรากฏอยู่ในสายตาเขาเป็นอันดับแรกคืออู่คงหลิง

ตอนนี้เธอสวมชุดคลุมบู๊ตัวกว้าง เมื่อมองดูอย่างละเอียด ลู่ฝานเพิ่งเห็นว่าเธอสวมเสื้อของตัวเอง

“นายฟื้นแล้วเหรอ”

อู่คงหลิงหันมาพูดด้วยรอยยิ้ม

ลู่ฝานค่อยๆ ลุกขึ้น จู่ๆ เขาพบว่าร่างกายตัวเองไม่ปวดแล้ว

เมื่อวานเพิ่งโดนทำร้ายจนสาหัส แต่วันนี้ดูเหมือนไม่เป็นอะไรสักนิด

สัมผัสปราณชี่ในร่างกายครู่หนึ่ง แม้ไม่เยอะ แต่ก็มากพอ

ลู่ฝานถามอย่างไม่เข้าใจว่า “มีผู้อาวุโสมารักษาอาการบาดเจ็บให้ฉันเหรอ”

อู่คงหลิงเดินเข้ามา นั่งลงข้างลู่ฝานแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่มีผู้อาวุโสหรอก แต่มีคนสวยรักษาอาการบาดเจ็บให้นาย”

ลู่ฝานอึ้งไปครู่หนึ่ง อู่คงหลิงพูดต่อ “ฉันไม่เคยบอกนายใช่ไหมว่าฉันรักษาอาการบาดเจ็บได้”

ลู่ฝานพูดว่า “ไม่เคยบอกจริงๆ”

อู่คงหลิงพูดว่า “งั้นตอนนี้นายรู้แล้ว แต่ความสามารถในการฟื้นฟูร่างกายของนายดีมาก แข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกชั่วร้ายทั่วไปเยอะมาก”

ลู่ฝานฉีกยิ้ม แน่นอนว่าความสามารถในการฟื้นฟูร่างกายของเขาเป็นอันดับหนึ่ง

ไม่ใช่แค่วิชาที่เขาฝึกฝน ยังเป็นเพราะความช่วยเหลือของไอ้เก้าด้วย

เรียกได้ว่าขอแค่ไม่ใช่อาการบาดเจ็บที่ถึงแก่ชีวิต เขาสามารถฟื้นฟูได้ทั้งหมด แต่ขึ้นอยู่กับเวลามากหรือน้อยเท่านั้น!

ลู่ฝานเลิกผ้าห่มออกแล้วลุกขึ้น

ทันใดนั้น ลู่ฝานพบว่าท่อนล่างของตัวเองไม่มีเสื้อผ้าปกปิดเลย ไม้ตะบองอันนั้นเด้งออกมาทันที

ทันใดนั้นลู่ฝานหดตัวเข้าไปในผ้าห่มอย่างรวดเร็วอีกครั้ง

พูดด้วยใบหน้าเคอะเขินว่า “นี่มันเกิดอะไรขึ้น กางเกงฉันล่ะ”

ดวงตาอู่คงหลิงเคลื่อนไหวไปมา พูดด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า “ถอดตอนรักษาอาการบาดเจ็บเมื่อคืนไง ตอนนี้นายน่าจะเดาได้แล้วนะว่าเป็นการรักษาอาการบาดเจ็บแบบไหน”

พูดจบ อู่คงหลิงเอามือปิดปากแล้วหัวเราะคิกคักออกมา หลังจากนั้นชี้ไปที่ข้างล่างของลู่ฝานแล้วพูดว่า “ตรงนี้ของนายก็ฟื้นฟูเร็วมากเหมือนกัน”

ลู่ฝานอ้าปาก เขาเดาได้แล้วว่าเมื่อคืนรักษาอาการบาดเจ็บยังไง

ที่แท้การรักษาอาการบาดเจ็บคือ……

จู่ๆ ลู่ฝานไอออกมาเบาๆ

อู่คงหลิงยิ้มแล้วพูดว่า “โอเค ไม่ต้องอายแล้ว ฉันยังไม่ได้คิดอะไรเลย นายจะสนใจอะไรล่ะ รีบลุกขึ้นมาสิ ด้านล่างมีแขกนะ”

ลู่ฝานพยักหน้า หลังจากนั้นคลำอยู่บนพื้นครู่หนึ่ง ในที่สุดก็คลำหาเสื้อผ้าของเขาจนเจอ

ลู่ฝานเอาเสื้อชุดใหม่ออกมาจากเข็มขัด แล้วสวมเสื้อผ้าในผ้าห่มอย่างรวดเร็ว

ขณะนั้น จู่ๆ อู่คงหลิงถอดเสื้อผ้าของลู่ฝานที่อยู่บนตัวเธอ จากนั้นเปลี่ยนเสื้อของตัวเองอย่างไม่รีบร้อน

ผิวพรรณที่ขาวใสและนุ่มนวล ทรวดทรงที่สมบูรณ์แบบ ลู่ฝานมองจนเหม่อลอย

ตอนนี้จู่ๆ เขาก็รู้สึกเสียดาย

ถ้าเมื่อคืนเขาไม่สลบก็ดีน่ะสิ!

จนกระทั่งอู่คงหลิงสวมผ้าปิดหน้าของตัวเองจนเสร็จ ลู่ฝานจึงละสายตาออกมา แล้วลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว

อู่คงหลิงเดินมาข้างหน้าลู่ฝาน ช่วยลู่ฝานจัดแขนเสื้อ ปัดรอยยับ อ่อนโยนเหมือนสะใภ้ที่เพิ่งแต่งงาน

“ไม่ต้องมองแล้ว ถ้ามองอีกลูกตาจะหลุดออกมาแล้วนะ”

อู่คงหลิงพูดหยอกล้อ

ลู่ฝานละสายตาออกมา รีบพูดเปลี่ยนเรื่องทันที

“เมื่อกี้เธอบอกว่ามีแขก ใครเหรอ”

“นายลงไปก็รู้เอง!”

อู่คงหลิงจงใจพูดให้อยากรู้

ลู่ฝานพยักหน้า จากนั้นเดินลงไปช้าๆ

มาถึงชั้นหนึ่งของเจดีย์สีขาว มีเงาคนสองสามคนปรากฏขึ้นในสายตาทันที

เซียวเฮ่า อูลี่คุนและฉินฝาน

“องค์ชายรอง!”

ลู่ฝานพูดเสียงเบา

เมื่อองค์ชายรองฉินฝานที่กำลังดื่มชาอยู่ได้ยินเสียง ก็รีบหันมาทันที เขาหัวเราะร่าแล้วพูดว่า “สหายลู่ฝาน ในที่สุดนายก็ฟื้นสักที เป็นไง เมื่อคืนนอนหลับสบายไหม!”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1020
เมื่อทั้งสามคนอ่านจดหมายจบ สีหน้าท่านผอ.เทียนหยาจื่อเปลี่ยนไป จ้องสิบสามแล้วพูดว่า “ลู่ฝาน ครั้งนี้ปัญหาใหญ่แล้ว เฮ้อ นายกลับไปบอกลู่ฝานว่าฉันจะช่วยเขา”

อาจารย์เหลยพูดเสียงดังว่า “ทำไมเรื่องถึงเป็นแบบนี้ ฉันบอกแล้ว เรานั่งยองรอที่หน้าประตูตระกูลหานก็พอแล้ว แต่นายไม่ยอมฟัง ตอนนี้เป็นไงล่ะ ลู่ฝานมีโอกาส 80 เปอร์เซ็นต์ที่จะตายคามือไท่จื่อ”

อาจารย์ถิงยวนมองบนแล้วพูดว่า “จะโทษฉันได้ยังไงล่ะ ก็หานอู๋ซวงไม่ยอมให้เราเข้าไปในตระกูลหาน ฉันต้องไปสอบถามจากหลายๆ ทางกว่าจะรู้ว่าเทียนหยาจื่อเป็นท่านผอ.ของลู่ฝาน เลยมารออยู่ที่นี่ไง ใครจะไปรู้ล่ะว่าลู่ฝานจะไม่เคารพกฎของศิษย์ขนาดนี้ มานานขนาดนี้แล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าจะไม่มาเยี่ยมท่านผอ.ของเขา”

ทั้งสองเบิกตาโต ท่านผอ.เทียนหยาจื่อที่อยู่ข้างๆ กระแอมสองครั้ง ด้วยความกระอักกระอ่วน

อาจารย์เหลยพูดว่า “ไม่ว่ายังไง ตอนนี้ลู่ฝานอันตรายมาก ฉันจะไปเจอเขา แค่เจดีย์ยาธรรมดาๆ ไม่ใช่เหรอ ฉันไม่เชื่อหรอกว่าฉันจะเข้าไปไม่ได้ ฉันจะลากลู่ฝานออกมา ใครจะขวางฉันได้”

พูดจบ อาจารย์เหลยจะลุกขึ้นออกไป

อาจารย์ถิงยวนพูดเสียงดังว่า “นายจะไปรู้อะไร ตอนนี้ลู่ฝานอยู่ในเจดีย์ยาปลอดภัยที่สุดแล้ว นายพาเขาออกมา นายลองดูสิว่าไท่จื่อจะให้ยอดฝีมือเป็นสิบกว่าคน มาจัดการลู่ฝานจนเละไหม นายรับผิดชอบความผิดที่ทำให้ผู้สืบทอดตายได้ไหมล่ะ”

อาจารย์เหลยสลดลงทันที ท่านผอ.เทียนหยาจื่อที่อยู่ข้างๆ ขมวดคิ้วพูดว่า “ผู้สืบทอดเหรอ พวกนายกำลังพูดอะไร”

จู่ๆ อาจารย์เหลยกับอาจารย์ถิงยวนเงียบไป

จู่ๆ อาจารย์เหลยส่งกระแสจิตให้สิบสาม “นายกลับไปบอกลู่ฝาน เราจะคุ้มครองตระกูลเขาเอง การสืบทอดไม่ใช่เรื่องง่าย เราจะไม่ให้คนสำนักจิ่วเซียวได้รับความอยุติธรรมอีกแม้แต่น้อย”

แม้สิบสามไม่รู้ว่าคนสำนักจิ่วเซียวหมายถึงอะไร แต่ก็พยักหน้า จากนั้นหันหลังเดินออกไป

เทียนหยาจื่อมองจดหมายในมือ แล้วถอนหายใจยาว

จดหมายฉบับสุดท้าย ต้องส่งให้องค์ชายรอง

สิบสามมาถึงในเมืองอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อเห็นประตูเมืองสูงตระหง่าน ไม่รู้เลยว่าจะเข้าไปยังไง

การอารักขารัดกุมแน่นหนา คนที่ไม่มีป้ายคำสั่งไม่สามารถเข้าไปได้

สิบสามขมวดคิ้วอยู่นาน ก็ยังไม่รู้ว่าจะเข้าไปยังไง

อาการบาดเจ็บบนตัวสาหัสขึ้นเรื่อยๆ สิบสามรู้สึกว่าใกล้จะรับน้ำหนักตัวเองไม่ไหวแล้ว

อย่าบอกนะว่าจะไม่ส่งจดหมายฉบับนี้

ขณะที่สิบสามกำลังคิดว่าจะสู้จนตัวตายบุกเข้าไปในเมือง จู่ๆ ประตูเมืองเปิดออกเอง

“เปิดประตู องค์ชายรองมีคำสั่ง เปิดประตู!”

องค์ชายรองเหรอ

สีหน้าของสิบสามดีใจทันที รีบวิ่งไปที่ถนนด้านหน้าสุดของประตูเมือง

ตอนนี้ประตูทองสัมฤทธิ์ขนาดใหญ่เปิดออกพร้อมเสียงดัง รถม้าหรูหราคันหนึ่งขี่ออกมาจากด้านในช้าๆ หลังจากนั้นมีความคิดผุดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

สิบสามมองรถม้าคันนี้ด้วยแววตาเยือกเย็น

เพราะเขาเคยเห็นรถม้าคันนี้ เป็นรถม้าขององค์ชายรองแน่นอน!

สิบสามตะโกนออกมาทันที “หยุดก่อน!”

เสียงตะโกนนี้ ทำให้ผู้ที่พักอาศัยอยู่รอบๆ จำนวนไม่น้อยพากันเปิดไฟสว่าง

ต่อมามีแสงสีทองกะพริบขึ้น องครักษ์เกราะทองกลุ่มหนึ่งปรากฏตัวออกมา และมาตรงหน้าสิบสามทันที

ไม่รอให้สิบสามตั้งตัว อาวุธมาวางอยู่ตรงลำคอของเขาแล้ว

ตัวขององค์ชายรองค่อยๆ ปรากฏออกมาจากรถม้า มองสิบสามที่อยู่ด้านล่างแล้วพูดเสียงดังว่า “นายเป็นใคร”

สิบสามเอาจดหมายออกมาหนึ่งฉบับ ยกขึ้นสูงแล้วพูดว่า “เตี้ยวเซี่ย! จดหมาย!”

ฉินฝานขมวดคิ้วเบาๆ เมื่อกวักมือ จดหมายในมือสิบสามลอยขึ้นมาเอง จากนั้นลอยลงมาในมือของฉินฝาน

กวาดตามองช้าๆ ไม่กี่ครั้ง จู่ๆ ฉินฝานหัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “ที่แท้เป็นจดหมายของเขานี่เอง ดีมาก ฉันกำลังจะไปหาเขาพอดีเลย เชิญคนนี้ขึ้นมา ปฏิบัติอย่างมีมารยาท!”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1019
หลังภูเขาตระกูลหาน

หานอู๋ซวงได้รับจดหมายจากสิบสาม

มองสิบสามที่มีแผลเต็มตัวแวบหนึ่ง หานอู๋ซวงพูดว่า “นายบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้ ยังวิ่งไปทั่ว ไม่กลัวตายอยู่ข้างนอกเหรอ”

สิบสามมองหานอู๋ซวงอย่างเฉยเมย ไม่พูดอะไรสักคำ

หานอู๋ซวงอ่านจดหมายแล้วสะดุ้งขึ้นมาทันที

“อะไรนะ ลู่ฝานทำร้ายไท่จื่อเหรอ เรื่องเกิดขึ้นตอนไหน ตอนนี้ลู่ฝานเป็นยังไงบ้าง”

สิบสามพูดอย่างเฉยเมยว่า “วันนี้”

ชะงักไปครู่หนึ่ง สิบสามพูดต่อ “เจ้านาย สลบ”

หานอู๋ซวงกัดฟันอ่านจดหมายจนจบ พยักหน้าแล้วพูดว่า “ลู่ฝานนะลู่ฝาน ไอ้เด็กคนนี้ ก่อเรื่องเก่งจริงๆ เขาทำร้ายไท่จื่อตามใจชอบเลย”

พูดจบ จู่ๆ หานอู๋ซวงหัวเราะออกมาแล้วพูดว่า “แต่นายกลับไปบอกลู่ฝานด้วย เรื่องของตระกูลเขา ฉันจะช่วยเอง”

สิบสามคารวะ แล้วหันหลังเดินออกไป

หานอู๋ซวงอ่านจดหมายอีกครู่หนึ่ง จากนั้นส่ายหน้าพูดว่า “ไอ้เด็กคนนี้ เหมือนคนตระกูลหานของฉันจริงๆ ต่อยไท่จื่อ ถ้าเรื่องนี้แพร่ออกไป ลู่ฝานต้องโด่งดังแน่นอน”

หานอู๋ซวงวางจดหมายลง แล้วปล่อยกระบวนท่าออกไปกลางอากาศ

เงาเลือนรางสองสามเงาปรากฏตรงหน้าเขา

เงาเลือนรางแต่ละเงาเป็นตัวแทนของคนหนึ่งคน แม้คนพวกนี้ไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่พวกเขายังได้ยินคำพูดของหานอู๋ซวง

หานอู๋ซวงพูดช้าๆ ว่า “อำนาจตระกูลหานเมืองตงหวา เข้าไปเมืองลู่ จากนั้นไปตระกูลลู่ รักษาความปลอดภัยของจวนลู่”

เงาเลือนรางสองสามเงาพยักหน้าเบาๆ จากนั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอย

หานอู๋ซวงพึมพำว่า “ลู่ฝาน สิ่งที่ลุงทำได้ก็มีเท่านี้แหละ”

เมื่อออกจากตระกูลหาน สิบสามมุ่งหน้าไปที่ตระกูลเทียนต่อ

ตอนนี้หิมะปลิวว่อน สิบสามยัดยาใส่ปากตัวเองสองสามเม็ด และเร่งความเร็วถึงระดับสูงสุด เขาไม่กล้าชักช้าแม้แต่วินาทีเดียวเลย

ในหัวของสิบสามนึกย้อนภาพวันนี้ที่ลู่ฝานเตะเขาลงมาจากเรือผ่านมิติ

ลู่ฝานที่เป็นเจ้านาย กลับช่วยเขาก่อน

เรื่องแบบนี้สิบสามไม่เคยเจอมาก่อน และไม่เคยคิดมาก่อนด้วย

ถึงขนาดที่ตอนนี้เขายังรู้สึกตกตะลึงอยู่เลย

เมื่อก่อนตอนเป็นผู้ฝึกชั่วร้าย ไม่ว่าใครอยู่ข้างนอกก็สนแต่ความเป็นตายของตัวเอง ถึงขั้นที่มีคนจำนวนมากดึงคนอื่นมารับบาป มาเป็นโล่กำบังแทนตัวเองตอนช่วงวิกฤต นี่ล้วนเป็นเรื่องปกติ

เสียสละประโยชน์ตนเองเพื่อคนอื่น นั่นเป็นเพียงตำนาน

แต่วันนี้ในที่สุดสิบสามรู้แล้ว ที่แท้ในโลกนี้มีคนดีจริงๆ

มีคนที่ดีกับตัวเองจริงๆ!

เตะของลู่ฝาน ไม่เพียงแต่ช่วยชีวิตเขา ยังเตะเพื่อเปิดใจของเขาด้วย

จนกระทั่งตอนนี้ สิบสามเพิ่งแน่ใจอย่างแท้จริงว่าลู่ฝานเป็นเจ้านายของเขา เป็นเจ้านายของเขาตลอดไป

ไม่มีเสียใจภายหลัง ไม่เปลี่ยนแปลงตราบเท่าชีวาวาย!

ทันใดนั้น เลือดสดพุ่งออกมาจากด้านหลังเขา นั่นเป็นเพราะแผลฉีกขาด

สิบสามมองอย่างไม่ใส่ใจแวบหนึ่ง จากนั้นก็หันหน้ากลับมา

เลือดแค่นี้ไม่นับประสาอะไรสำหรับเขา ในหัวสิบสามกำลังคำนวณ ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป เขาจะทนได้นานแค่ไหน

เลี้ยวผ่านถนนสองสามเส้น เดินออกมาจากจุดมาร์คของค่ายกลเคลื่อนฟ้าหลายจุด ในที่สุดสิบสามก็มาจากตระกูลหานจนถึงตระกูลเทียน

เขาคลำดูตรงกระเป๋า เดิมทีเขาไม่ได้มีเงินติดตัวเยอะ โดนทหารเก็บภาษีค่ายกลทุเรศพวกนั้นเอาไปจนหมดแล้ว

อีกเดี๋ยวถ้ากลับไป ต้องเป็นเรื่องวุ่นวายแน่นอน แต่สิบสามก็กัดฟันจนมาถึงตระกูลเทียน เคาะประตูบานใหญ่ของตระกูลเทียน

บอกเจตนาที่มากับผู้อาวุโส เมื่อได้พบกับเทียนหยาจื่อตามที่ต้องการ จู่ๆ สิบสามพบว่าที่พักของเทียนหยาจื่อ ยังมีคนอยู่อีกสองคน

เป็นอาจารย์เหลยกับอาจารย์ถิงยวน

เมื่อได้ยินว่าลู่ฝานให้คนมาส่งจดหมาย สองคนนี้ดูตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด


บทที่ 1017

บทที่ 1019

ลู่ฝานยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “ไม่เสียใจกับเรื่องที่ทำไปแล้ว!”

พูดจบ ลู่ฝานนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ

หันมามองเซียวเฮ่ากับอูลี่คุน แล้วพูดว่า “สองสามวันนี้รบกวนพวกนายด้วยนะ”

เซียวเฮ่าพูดอย่างไม่เข้าใจ “พี่ลู่ฝาน หมายความว่ายังไง พี่จะออกไปเหรอ”

ลู่ฝานตอบ ค่อยๆ ถอดเสื้อของตัวเองออก

หลังจากนั้น เลือดสดปรากฏขึ้นบนตัวเขา ตอนนี้อาการบาดเจ็บที่เขาควบคุมเอาไว้ ไม่สามารถควบคุมได้อีกแล้ว

เลือดสดนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาจากรูขุมขนของเขา จากนั้นลู่ฝานก็สลบไปทันที

เซียวเฮ่า อูลี่คุนและอู่คงหลิง ส่งเสียงตกใจออกมาพร้อมกัน

……

อีกด้านหนึ่ง

ไท่จื่อกลับมาที่จวนของตัวเองแล้ว มองเซียนบำเพ็ญชี่ที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าทั้งสามคน เขาโมโหแต่ทำอะไรไม่ได้

“สวะ พวกสวะ เซียนบำเพ็ญชี่ที่ยิ่งใหญ่ตั้งสามคน กลับทำอะไรคนกระจอกอย่างลู่ฝานไม่ได้ เลี้ยงพวกนายไปเพื่ออะไรกัน!”

ฉินอวิ่นทำลายข้าวของข้างๆ มือทุกสิ่งที่เขาเห็น

เซียนบำเพ็ญชี่ทั้งสามคนคุกเข่าไม่ลุกขึ้น พวกเขาไม่กล้าลุกขึ้นมา

ฉินอวิ่นโกรธจัดจากหลายๆ เรื่อง หมัดและเตะของลู่ฝาน ทำให้เขาเสียหน้าเป็นอย่างมาก

ความอับอายขั้นสุด นี่คือความอับอายขั้นสุดอย่างแท้จริง

ฉินอวิ่นพูดเสียงดังว่า “ในเมื่อลู่ฝานหลบอยู่ในเจดีย์ยา งั้นพวกนายก็ไม่ต้องจัดการเขาแล้ว พวกนายสามคนไปเมืองตงหวา ฆ่าตระกูลของลู่ฝานให้หมด ฆ่าคนแซ่ลู่ให้หมดโดยไม่ต้องสนอะไรทั้งนั้น จัดการด้วยวิถีมาร”

เซียนบำเพ็ญชี่ทั้งสามคนตอบรับเสียงเบา จากนั้นจึงออกไปช้าๆ

ขณะนั้นนักบู๊คนหนึ่งพุ่งเข้ามา เขาคือผู้ตรวจการแปดจูจวิ้น

“เตี้ยวเซี่ย แย่แล้วครับเตี้ยวเซี่ย”

ฉินอวิ่นก่นด่าออกมาว่า “แย่อะไรอีก รีบพูดมา”

จูจวิ้นยังไม่ทันพูด ก็ได้ยินเสียงเล็กแหลมดังขึ้นมา

“ไท่จื่อรับราชโองการ!”

ฉินอวิ่นอึ้งไป จากนั้นพึมพำว่า “พ่อมีพระราชโองการให้ฉันในเวลาแบบนี้ได้ยังไง”

ขณะกำลังพูด ขันทีคนหนึ่งเดินเข้ามา ทาแป้งฝุ่นบางๆ บนใบหน้า เขียนคิ้วเล็กน้อย เพิ่มความสวยหยาดเยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย

กรีดกรายนิ้วส่งราชโองการให้ฉินอวิ่นแล้วพูดว่า “ไท่จื่อ เวลาเร่งรีบ ผมไม่อ่านแล้วนะครับ ท่านรีบไปตำหนักไท่เหอเถอะครับ”

ฉินอวิ่นพูดอย่างประหลาดใจ “หวางกงกง เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมเร่งด่วนแบบนี้”

หวางกงกงพูดว่า “โอ้ ไท่จื่อยังไม่รู้เหรอครับว่าเรื่องอะไร ก็เรื่องที่ท่านส่งคนไปเล่นงานที่เจดีย์ยาไงครับ ฝ่าบาทรู้แล้ว ตอนนี้กำลังโมโหเกรี้ยวกราดอยู่ จึงเรียกท่านไปถามครับ ท่านต้องเตรียมใจเอาไว้ให้ดีนะครับ!”

จู่ๆ ฉินอวิ่นตาลายไปหมด ทรุดลงบนเก้าอี้อย่างเหม่อลอย

ฉินอวิ่นพึมพำว่า “เรื่องใหญ่แล้ว ครั้งนี้เรื่องใหญ่แล้ว”

หลังจากนั้นสีหน้าของฉินอวิ่นแปรเปลี่ยนเป็นโหดเหี้ยมขึ้นมา

“ลู่ฝาน! ฉันจะทำลายนายให้เป็นเถ้าถ่าน!”

ในเวลาเดียวกันที่จวนขององค์ชายรอง

ฉินฝานกำลังฟังรายงานของลูกน้อง

“หยุดๆๆๆ นายพูดอีกรอบสิ พี่ชายสุดที่รักของฉันส่งคนไปฆ่าถึงเจดีย์ยาเหรอ”

“จริงแท้แน่นอนครับ ตอนนี้ข่าวแพร่ไปทั้งเมืองหลวงแล้วครับ เซียนบำเพ็ญชี่สามคนที่เป็นลูกน้องของจวนไท่จื่อ ลงมืออย่างกำเริบเสิบสานหน้าเจดีย์ยา ไล่ฆ่าลู่ฝาน แล้วโดนอริยปราชญ์ดวงดาวขวางไว้ครับ”

“ดีๆๆ! ลู่ฝาน นายทำให้ฉันประหลาดใจอีกแล้ว ประหลาดใจสุดๆ ไปเลย! ไปๆๆๆ รีบไปเตรียมรถม้า ฉันจะออกเดินทางเดี๋ยวนี้!”

“ฝ่าบาท มืดค่ำขนาดนี้แล้วจะไปไหนเหรอครับ”

“ตำหนักไท่เหอ!”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1017
ผู้อาวุโสโม่โดนด่าจนหน้าแดงถึงหูทันที พวกผู้อาวุโสพากันเงียบไปด้วย

ลู่ฝานอ้าปากเบาๆ เขาไม่เคยคิดถึงจุดนี้เลย

อริยปราชญ์ดวงดาวมองลู่ฝานแล้วพูดว่า “เจ้าหนุ่ม ตอนนี้หายนะใหญ่กำลังจะมาหานาย แม้เจดีย์ยาคุ้มครองนายได้ระยะหนึ่ง แต่ไม่สามารถคุ้มครองนายได้ทั้งชีวิต อีกทั้งเพราะนาย เจดีย์ยาก็จะเกิดปัญหาไปด้วยเหมือนกัน ฉันจะเอาป้ายจัดการดูแลของนายคืน นายมีความเห็นอะไรไหม”

ลู่ฝานกัดฟันพูดว่า “ไม่มีครับ”

อริยปราชญ์ดวงดาวพูดว่า “ไม่มีก็ดี เจดีย์ยาใจดีมีเมตตามาตลอด ฉันยอมให้นายอยู่ในเจดีย์ยาจนกว่าจะผ่านเทศกาลเซ่นไหว้ประจำปี แล้วค่อยออกไป แต่นายอยู่ได้ถึงเทศกาลเซ่นไหว้ประจำปีผ่านไปเท่านั้น ถ้าถึงเวลาแล้วนายยังไม่ไป เจดีย์ยาจะไล่นายออกไป ช่วงนี้นายก็รีบวางแผนไว้แล้วกัน!”

ลู่ฝานลุกขึ้นคารวะอริยปราชญ์ดวงดาว

ตัวของอริยปราชญ์ดวงดาวค่อยๆ หายไป

ผู้อาวุโสที่เหลือต่างมองลู่ฝานด้วยแววตาเสียดาย จากนั้นก็หายตัวไป

สุดท้ายเหลือเพียงผู้อาวุโสโม่เพียงคนเดียว

เขามองลู่ฝานด้วยแววตาสับสน แล้วพูดว่า “ดูเหมือนฉันทำผิดพลาดจริงๆ”

ลู่ฝานพูดว่า “อาจจะผิด หรืออาจไม่ผิดก็ได้ เรื่องแบบนี้พูดยากครับ”

ผู้อาวุโสโม่ส่ายหน้าพูดว่า “อริยปราชญ์ดวงดาวบอกแล้วว่าฉันผิด งั้นฉันก็ต้องผิด ลู่ฝาน เอาป้ายนายมาให้ฉันเถอะ”

ลู่ฝานค่อยๆ เอาป้ายจัดการดูแลเจดีย์ยาออกมาวางไว้บนโต๊ะ

ผู้อาวุโสโม่หยิบป้ายขึ้นมา ถอนหายใจแล้วพูดว่า “เดิมทีฉันเข้าใจว่าฉันจะพบคนหรืออสูรวิเศษที่เปลี่ยนแปลงทั้งโลกผู้ฝึกชี่ แต่ความจริงมักโหดร้ายเสมอ ดูเหมือนช่วงนี้ฉันก็ต้องปลีกวิเวกแล้วเหมือนกัน อสูรวิเศษของนาย อีกเดี๋ยวฉันจะคืนมันให้นาย นายไม่ต้องกังวล”

ลู่ฝานพยักหน้าพูดว่า “ผู้อาวุโสโม่ ท่านเป็นคนดี”

ผู้อาวุโสโม่ยิ้มอย่างเศร้าๆ แล้วพูดว่า “คนดีเหรอ อาจจะมั้ง ลู่ฝาน นายน่ะสิ ช่วงนี้ต้องระวังเป็นพิเศษ หลังจากเทศกาลเซ่นไหว้ประจำปี ออกจากเมืองหลวงเถอะ ที่นี่ไม่มีที่ให้นายอยู่แล้ว”

ลู่ฝานไม่ได้ตอบ ทำเพียงมองผู้อาวุโสโม่อย่างเงียบๆ

ส่วนผู้อาวุโสโม่ถอนหายใจยาวเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นก็หายไปด้วย

ทุกคนออกไปหมดแล้ว ลู่ฝาน อู่คงหลิงและคนอื่น รู้สึกว่าตัวโดนดึงอย่างแรงขึ้นไปด้านบน

ทันใดนั้น ตัวของลู่ฝานสั่นไปมาครู่หนึ่ง

จู่ๆ เขาพบว่าตัวเองกลับมาอยู่หน้าประตูใหญ่ชั้น 97 อีกครั้ง ยังอุ้มอู่คงหลิงอยู่ที่อกเหมือนเดิม

ทุกอย่างเหมือนความฝัน

แต่ลู่ฝานรู้ว่าความฝันนี้คือเรื่องจริง

เขายื่นมือไปสัมผัสตรงเข็มขัด ป้ายจัดการดูแลหายไปแล้วจริงๆ

ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เขาไม่สามารถอาศัยอำนาจของเจดีย์ยาได้อีกแล้ว เหลือเพียงตัวเขาเท่านั้น

อีกทั้งตอนนี้เขายังแตกหักกับไท่จื่อด้วย

เกรงว่าไท่จื่อคงสามารถฆ่าเขาได้อย่างมีความสุขแล้ว

ลู่ฝานอุ้มอู่คงหลิง หันหลังเดินออกไปข้างนอก

ภายใต้การจับจ้องของพวกผู้ฝึกชี่ ลู่ฝานกลับมาที่ห้องยา จากนั้นรีบเอากระดาษกับปากกาขึ้นมา เริ่มเขียนจดหมาย

เซียวเฮ่ากับอูลี่คุนช่วยประคองอู่คงหลิงมาอีกด้าน ลู่ฝานเขียนจดหมายสองฉบับ หลังจากนั้นเหมือนนึกถึงใครขึ้นได้ จึงเขียนอีกฉบับ แล้ววางปากกาลง

ลู่ฝานเอาจดหมายสามฉบับให้สิบสาม

พูดอย่างราบเรียบว่า “หานหยวนหนิงแห่งตระกูลหาน เทียนหยาจื่อแห่งตระกูลเทียน แล้วก็องค์ชายรอง ต้องส่งให้ถึงมือ สิบสาม ฝากนายด้วยนะ”

สิบสามพยักหน้าอย่างสุขุม จากนั้นหันหลังเดินออกไป

มองด้านหลังของสิบสามค่อยๆ หายลับไปจากสายตา ลู่ฝานเดินมาข้างอู่คงหลิงแล้วพูดว่า “ช่วงนี้เธอก็หลบอยู่ที่เจดีย์ยาเถอะ ที่นี่ถือว่าเป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุดแล้ว”

อู่คงหลิงพยักหน้า จู่ๆ ก็ถามคำถามที่ไม่เกี่ยวกันออกมา “นายเสียใจไหม”

ลึกลับและเงียบสงบ สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าคือทางเดินเล็กๆ

แผ่นหินบลูสโตน ลอยอยู่กลางอากาศ ทอดยาวไปไกล

เหมือนลู่ฝานไม่มีทางเลือกอื่น ทำได้แค่เดินไปบนทางเดินเล็กๆ

แต่เพิ่งก้าวออกไปได้เพียงก้าวเดียว จู่ๆ หินบลูสโตนก็หายไป

เขากับอู่คงหลิงร่วงลงไปด้านล่างทันที สิบสามจะดึงทั้งสองคนไว้ แต่ตัวเองกลับร่วงลงมาด้วย

พลั่ก พลั่ก พลั่ก!

หลังจากนั้นทั้งสามคนร่วงลงมาในห้องหนังสือขนาดใหญ่ห้องหนึ่ง

พวกเขาก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จู่ๆ ทั้งสามคนร่วงลงมาบนเก้าอี้คนละตัว

ขณะนั้นเงาคนลอยออกมา ปรากฏอยู่บนเก้าอี้แต่ละตัว

พร้อมแสงต่างๆ เงาคนพวกนี้เหมือนภาพลวงตา

ในบรรดานั้นลู่ฝานเห็นผู้อาวุโสโม่อีกแล้ว

ครั้งนี้ลู่ฝานไม่ได้เอ่ยทักทายทันที แต่ผู้อาวุโสโม่กลับมองลู่ฝานด้วยสายตาที่ประหลาดมาก

คนสิบกว่าคนปรากฏตัวออกมาอย่างต่อเนื่อง พากันมองมาทางพวกลู่ฝาน

ขณะนั้นเงาคนเลือนรางเงาหนึ่ง ปรากฏขึ้นตรงที่นั่งตรงกลาง

มาพร้อมแสงเลือนรางล่องลอย ทำให้คนเห็นหน้าเขาไม่ชัดเจน

“มาครบแล้วใช่ไหม เจ้าหนุ่ม นายพูดได้แล้วว่าเมื่อกี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่”

เมื่อได้ยินเสียงนี้ ลู่ฝานจำได้ทันที เงาเลือนรางเงานี้คืออริยปราชญ์ดวงดาว

ลู่ฝานพูดช้าๆ ว่า “อริยปราชญ์ เรื่องธรรมดามากครับ ไท่จื่อดูหมิ่นเพื่อนผม ผมเลยต่อยเขาไปหนึ่งที หลังจากนั้นเขาจึงส่งคนมาฆ่าผม”

ลู่ฝานใช้คำพูดสั้นกะทัดรัดได้ใจความ อธิบายเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบ

แต่เมื่อฟังลู่ฝานพูดจบ อริยปราชญ์กลับพูดเสียงเย็นชาว่า “นายต่อยไท่จื่อเหรอ”

ลู่ฝานพยักหน้าช้าๆ

พวกผู้อาวุโสที่เหลือ ต่างพากันมองลู่ฝานด้วยสายตาประหลาด

อริยปราชญ์ดวงดาวถามต่อ “ไอ้เด็กนี่ ไม่ได้มีความสามารถธรรมดาๆ จริงๆ หมัดของนาย เหมือนกับการทำลายตระกูลนายทั้งตระกูล”

เพียงประโยคเดียว ทำให้ลู่ฝานใจสั่นอยู่ครู่หนึ่ง

อู่คงหลิงที่อยู่ข้างๆ ก็สีหน้าไม่สู้ดีเช่นกัน

อริยปราชญ์ถามต่อ “ฉันเห็นเคล็ดวิชาบู๊ทั้งหมดที่นายใช้สู้เมื่อกี้ ไม่ใช่พลังชี่ เหมือนนายจะไม่ใช่ผู้ฝึกชี่ ใครพออธิบายได้ไหมว่าป้ายจัดการดูแลในมือนายได้มาจากไหน” อริยปราชญ์เพิ่งพูดจบ ผู้อาวุโสโม่พูดว่า “ท่านอริยปราชญ์ ผมเป็นคนมอบป้ายให้เขาเองครับ”

พูดพลาง ผู้อาวุโสโม่เล่าเรื่องของเจ้าดำให้ฟัง

อริยปราชญ์ดวงดาวพูดด้วยน้ำเสียงประหลาดใจเล็กน้อย “มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ แล้วตอนนี้พวกนายศึกษาได้ผลอะไรบ้าง”

ผู้อาวุโสโม่ส่ายหน้าพูดว่า “ขอโทษด้วยครับอริยปราชญ์ ไม่มีผลอะไรเลย ถึงขั้นที่พวกเราไม่พบว่าอสูรวิเศษของเขามีจุดไหนที่พิเศษเลย แต่เมื่อเทียบกับอสูรวิเศษตัวอื่น ดู…….”

พูดถึงตรงนี้ ผู้อาวุโสโม่ชะงักไป

อริยปราชญ์ดวงดาวพูดว่า “ดูอะไร”

ผู้อาวุโสโม่พูดว่า “ดูไร้ยางอายกว่านิดหน่อยครับ”

เพียงประโยคเดียว ทำให้ผู้อาวุโสคนอื่นหัวเราะออกมา

อริยปราชญ์ดวงดาวส่งเสียงหึอย่างเย็นชาแล้วพูดว่า “โง่เขลา อสูรวิเศษกลั่นยา เรื่องแบบนี้พวกนายนึกว่าไม่เคยมีผู้ฝึกชี่ทดสอบเหรอ ฉันจะบอกให้นะ เมื่อหลายร้อยปีก่อน มีผู้ฝึกชี่ที่โดดเด่นคนหนึ่งเคยทดสอบแล้ว เขาคือฮ่วนคุน ผู้ก่อตั้งหอฝึกสัตว์ในปัจจุบัน แต่พวกนายรู้ไหมว่าผลที่ได้คืออะไร ฮ่วนคุนล้มเลิกการศึกษานี้ ไม่ได้เป็นเพราะเรื่องนี้เป็นไปไม่ได้ แต่เรื่องนี้ไม่สามารถทำได้ ถ้าอสูรวิเศษกลั่นยาเป็นหมดทุกตัว แล้วจะต่างอะไรกับคนล่ะ ถ้าสัตว์อสูรทั้งโลก ไม่สิ แค่สัตว์อสูรหนึ่งในสิบกลั่นยาเป็น โลกนี้ยังเป็นของคนอีกไหม โง่เขลา โง่เขลาที่สุด รีบหยุดการศึกษาของพวกนายซะ”

ไม่ว่าจะเป็นนักบู๊หรือผู้ฝึกชี่ เงื่อนไขที่สำคัญที่สุดอันดับแรกก็คือเคารพผู้แข็งแกร่ง

พละกำลังของลู่ฝาน แค่แดนปราณชีวิตเท่านั้น ไม่ใช่นักบู๊แดนปราณดินด้วยซ้ำ แต่ฝืนต้านทานคาถาของเซียนบำเพ็ญชี่ทั้งสามคนเอาไว้ได้

ไม่เพียงแค่นั้น ถึงแม้ช่วงที่ใกล้ตาย ก็ยังดึงกระบี่ออกมาออกมาสู้อย่างห้าวหาญ

ความห้าวหาญระดับนี้ ควรค่าให้ทุกคนเคารพเลื่อมใส ถึงเป็นผู้ฝึกชี่ที่มีความภูมิใจในตนเองสูงอย่างพวกเขาก็เถอะ

ตึก ตึก ตึก!

จู่ๆ มีเสียงเท้าดังขึ้น เป็นพวกเฮ่อจงที่พุ่งลงมาอย่างรวดเร็ว

เมื่อเห็นลู่ฝาน สีหน้าเฮ่อจงประหลาดใจและสับสน

สงป้าเทียน ตาเฒ่าซูก็อยู่ข้างๆ ด้วย ทั้งสองคนเอาแต่จ้องลู่ฝาน ไม่พูดอะไรสักคำ

การแสดงออกของลู่ฝานเมื่อครู่ พวกเขาอยู่บนเจดีย์ยาก็เห็นทั้งหมด

เฮ่อจงเงียบอยู่นาน จากนั้นพูดว่า “ลู่ฝาน นายนี่เป็นคนที่ก่อเรื่องเก่งจริงๆ!”

ลู่ฝานพูดว่า “เรื่องมันชอบมาหาผมเองต่างหาก”

เฮ่อจงสะบัดมือแล้วพูดว่า “นายรบกวนอริยปราชญ์ดวงดาวแล้ว ตามฉันขึ้นมาข้างบน”

เฮ่อจงหันหลังเดินขึ้นไป ลู่ฝานอุ้มอู่คงหลิงเดินตามไป

พวกเขาก้าวขึ้นมาบนบันไดเมฆ เดินขึ้นไปชั้นบนสุดของเจดีย์ยา

ขณะนั้นกลุ่มผู้ฝึกชี่ด้านล่าง เริ่มพูดคุยกันเสียงเบา

“การแสดงออกของลู่ฝานเมื่อกี้ มีความห้าวหาญของชายแท้จริงๆ”

“นี่คือสไตล์ของนักบู๊เหรอ ถ้าเป็นฉันคงไม่มีทางดึงกระบี่ใส่เซียนบำเพ็ญชี่ทั้งสามคนหรอก”

“แม้ฉันไม่ชอบเขา แต่เขาเป็นนักบู๊ที่เก่งล้ำเลิศจริงๆ จุดนี้ไร้ที่ติ”

“ถ้าเขาไม่ใช่คนจัดการดูแล ฉันชอบเป็นเพื่อนกับนักบู๊ที่มีเลือดอันพลุ่งพล่านและองอาจแบบนี้” ……

ลู่ฝานไม่ได้ยินการพูดคุยของพวกเขา

เขารู้เพียงว่าเมื่อเขาขึ้นไปบนเจดีย์ยาเรื่อยๆ จู่ๆ เขารู้สึกว่าความเร็วในการฟื้นฟูอาการบาดเจ็บบนร่างกาย เริ่มเร็วขึ้นเรื่อยๆ

“เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ เมื่อกี้เจ้านายห้าวหาญไร้เทียมทานมาก เหมือนเทพสงครามเกิดใหม่มา……”

ไอ้เก้าพูดเยินยออยู่ในใจลู่ฝาน แต่มันพูดไปพลาง จู่ๆ เสียงของมันก็เบาลง

ลู่ฝานพูดในใจว่า “อย่าพูดไร้สาระ ทำไมเสียงของแกเบาลงเรื่อยๆ อย่าบอกนะว่าเมื่อกี้แกก็เสียพลังไปเหมือนกัน”

ไอ้เก้าอึ้งไป จากนั้นเหมือนนึกอะไรได้ จึงรีบพูดว่า “แย่แล้ว เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ ฉันลืมไปเลย มีไอ้แก่ตายยากในเจดีย์ยาสองสามคนรู้จักฉัน เมื่อเจอพวกเขา พลังของฉันจะโดนช่วงชิงไป เจ้านาย ขอโทษด้วย อีกเดี๋ยวฉันต้องสงบเสงี่ยมเจียมตัวอยู่ในตันเถียนของเจ้านายสักระยะ ไม่ต้องเรียกฉัน ฉันยังไม่อยากโดนพวกเขาเปลี่ยนแปลง ไอ้พวกปีศาจร้าย ไอ้คนแก่เลว!”

พูดพลาง เสียงของไอ้เก้าหายไปแล้ว

ลู่ฝานขมวดคิ้วเบาๆ แต่ก็ขี้เกียจสนใจมัน

เมื่อเดินมาถึงเจดีย์ยาชั้น 96 จู่ๆ พวกเฮ่อจงชะงักฝีเท้าลง

เฮ่อจงพูดช้าๆ ว่า “ลู่ฝาน อริยปราชญ์ดวงดาวอยู่ชั้น 97 เหลืออีกหนึ่งชั้น นายขึ้นไปเองเถอะ เราไม่สามารถขึ้นไปได้”

ลู่ฝานพยักหน้า อุ้มอู่คงหลิงเดินขึ้นไปข้างบนกับสิบสาม

เมื่อเดินมาถึงชั้น 97 จู่ๆ ลู่ฝานเห็นคนสิบกว่าคนยืนเรียงเป็นแถวหน้ากระดาน หน้าประตูเหล็กขนาดใหญ่บานหนึ่ง

ประตูเป็นสีดำและขาว เหมือนการเคลื่อนไหวของหยินหยาง

ในบรรดาคนที่ยืนอยู่หน้าประตูสิบกว่าคน มีเงาของผู้อาวุโสโม่อยู่ในนั้นด้วย

“ผู้อาวุโสโม่!”

แต่ลู่ฝานเรียกไปหนึ่งครั้ง กลับพบว่าผู้อาวุโสโม่ไม่ได้ตอบกลับ! เมื่อเดินไปข้างหน้า จู่ๆ ลู่ฝานพบว่าแท้จริงแล้วคนพวกนี้เป็นรูปปั้นหินทั้งหมด ขณะที่กำลังประหลาดใจ ประตูบานใหญ่เปิดออก

แสงดวงดาวเต็มท้องฟ้า สาดส่องออกมาจากด้านใน!

เสียงดังจนเซียนบำเพ็ญชี่ชุดคลุมดำทั้งสามคนสะเทือนไปทั้งตัว จนเกือบล้มลงบนพื้น

ท้องฟ้าเปลี่ยนจากตอนกลางวันเป็นตอนกลางคืน ดวงดาวและดวงจันทร์สว่างขึ้น

“อริยปราชญ์ดวงดาว!”

เซียนบำเพ็ญชี่ทั้งสามคนตกตะลึงทันที จากนั้นรีบโค้งคำนับ

ตอนนี้จู่ๆ ลู่ฝานรู้สึกว่ามีแสงสว่างขึ้นทางด้านหลัง จึงค่อยๆ หันไปมอง

ทันใดนั้นเขาเห็นค่ายกลของเจดีย์ยาที่อยู่ด้านหลัง เปิดออกอย่างประหลาด ผู้ฝึกชี่ทั้งหมดมองเขาอย่างเลื่อนลอย

สิบสามกับอู่คงหลิงก็มองเขาด้วยใบหน้าตื่นเต้น

เซียนบำเพ็ญชี่ที่อายุมากที่สุดในบรรดาทั้งสามคนเดินออกมา พูดด้วยเสียงดังว่า “ผมชื่อตี๋เหริน ดีใจที่ได้พบอริยปราชญ์ดวงดาว วันนี้เป็นตัวแทนไท่จื่อมาฆ่าคนทรยศอย่างลู่ฝาน หวังว่าอริยปราชญ์ดวงดาวจะไม่ขัดขวาง”

เหมือนอริยปราชญ์ดวงดาวโมโหขึ้นมาแล้ว

ทันใดนั้น แสงดาวเป็นทางยาวร่วงลงจากฟ้า ส่องลงมาบนตัวเซียนบำเพ็ญชี่ทั้งสามคน

ต่อมามีควันขาวลอยขึ้นมาบนตัวเซียนบำเพ็ญชี่ทั้งสามคน พลังชี่ของพวกเขาไม่สามารถต้านทานการทะลุทะลวงของแสงดาวได้

“ฉันไม่สนใจไท่จื่อหรือคนทรยศอะไรของพวกนายหรอก ฉันรู้เพียงว่าเขามีป้ายจัดการดูแลเจดีย์ยาของฉันอยู่ ก็คือคนในเจดีย์ยาของฉัน”

ตี๋เหรินพูดเสียงดังว่า “นี่เป็นคำสั่งของไท่จื่อ อริยปราชญ์ดวงดาวคิดให้รอบคอบนะครับ!”

ทันใดนั้น แสงดาวยิ่งพลุ่งพล่าน

“ฉันไม่สนใจว่าเขาจะเป็นไท่จื่อหรือองค์ชาย ถ้ายังกล้าพูดมากอีก วันนี้ฉันจะเอาชีวิตของพวกนายสามคน ที่นี่คือเจดีย์ยา!”

ทันใดนั้นเซียนบำเพ็ญชี่ทั้งสามคนไม่กล้าแม้แต่จะผายลม ทนรับแสงดาวที่ส่องมาอย่างเงียบๆ พวกเขาสัมผัสได้ว่าวิทยายุทธของตัวเองเริ่มลดลง

คิดไม่ถึงว่าแสงดาวนี้จะสามารถทำให้วิทยายุทธของคนอ่อนลงได้ด้วย!

“อริยปราชญ์ไว้ชีวิตด้วย!”

ในที่สุดตี๋เหรินหมอบลงกับพื้นขอร้องอ้อนวอน ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ถึงพวกเขาสามคนไม่ตาย ก็ต้องกลายเป็นคนพิการแน่นอน

“หึ! ไปบอกประมุขของพวกนาย เจดีย์ยาไม่ใช่สถานที่ที่เขาจะกำเริบเสิบสานได้ ส่วนพวกนายสามคนเป็นคนที่โดดเด่นในบรรดาผู้ฝึกชี่ แต่กลับเป็นสุนัขรับใช้ น่าเศร้า น่าหดหู่ น่าสงสาร ดูจากจิตใจของพวกนาย คงไม่มีโอกาสก้าวหน้าอีกแล้ว ไสหัวไปซะ!”

จู่ๆ แสงดาวหายไป เซียนบำเพ็ญชี่ทั้งสามคนกลายเป็นลำแสงด้วยความตระหนก จากนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

ราวกับอยู่ต่ออีกแค่วินาทีเดียว จะมีโทษฆ่าคนดี

ตอนนี้ลู่ฝานฝืนไม่ไหวแล้ว เขาทรุดลงบนพื้น

อันตรายมากๆ เขาเกือบตายจริงๆ แล้ว

ส่งเซียนบำเพ็ญชี่มาฆ่าเขาตั้งสามคน ไท่จื่อไม่เหลือทางรอดให้เลยจริงๆ!

“เจ้านาย!”

ขณะนั้นสิบสามเดินเข้ามาช้าๆ แม้เขามีแผลเต็มตัว แต่ยังมีแรงพยุงลู่ฝานขึ้นมา

อู่คงหลิงยังนอนอยู่บนพื้น ไม่สามารถขยับได้ ราวกับสิ่งที่เหรินเจียงให้เธอเป็นเพียงประกายงดงามในแววตา เธอมองลู่ฝานแล้วพูดเสียงดังว่า “ไอ้โง่ ไอ้เลว ไอ้ทึ่ม!”

ลู่ฝานชี้ตัวเองแล้วพูดว่า “เมื่อกี้ฉันเพิ่งช่วยชีวิตเธอนะ เธอพูดเพราะๆ หน่อยไม่ได้เหรอ อย่างเช่น ขอบคุณ”

อู่คงหลิงพูดเสียงเบาว่า “อย่าหวังว่าฉันจะขอบคุณนาย ทั้งชีวิตนี้ฉันไม่มีทางพูดขอบคุณนายหรอก”

ลู่ฝานรู้สึกประหลาดเข้าไปอีก

ฝืนอุ้มอู่คงหลิงขึ้นมาอีกครั้ง ลู่ฝานพูดว่า “อย่าขยับ ตอนนี้ฉันเลือดเต็มตัวไปหมด เปื้อนเธอทั้งตัวก็ถือว่าสมควรแล้ว”

อู่คงหลิงหลับตาลงไม่พูดอะไร แต่ลู่ฝานเห็นน้ำตาไหลออกมาตรงหางตาของเธอ

คือความสุขหรือความเศร้า

ลู่ฝานเดาไม่ออก และไม่คิดจะเดาด้วย

เมื่อเขามาในเจดีย์ยา ผู้ฝึกชี่ทั้งหมดหลีกทางให้พวกเขาตลอดทาง

ตอนนี้ไม่มีใครกล้าพูดจาไร้มารยาทใส่ลู่ฝานแล้ว และไม่มีใครหัวเราะเยาะเขาสักคน

คนพวกนี้มองลู่ฝานด้วยแววตาสับสน

อันที่จริงพวกเขาไม่พอใจที่ลู่ฝานเป็นนักบู๊ แต่กลับเป็นผู้จัดการดูแลของเจดีย์ยา

แต่พวกเขาเห็นการต่อสู้ของลู่ฝานกับเซียนบำเพ็ญชี่ทั้งสามคนเมื่อครู่ กลับต้องยอมรับเลยว่าลู่ฝานคือผู้แข็งแกร่งที่คู่ควรแก่การเคารพ

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1013
คำเดียวสะเทือนฟ้าดิน!

ยอดฝีมือระดับเซียนบำเพ็ญชี่!

ลู่ฝานพ่นเลือดออกมาจากปาก ยอดฝีมือแบบนี้ มาแค่คนเดียวเขาก็สู้ไม่ได้แล้ว

คิดไม่ถึงว่าตอนนี้จะมาถึงสามคน!

ลู่ฝานรู้สึกว่าพลังชีวิตของตัวเองเริ่มหายไปเรื่อยๆ แต่ขณะนั้นเขากัดปลายลิ้นจนแตก จากนั้นแผดเสียงออกมา พลิกมือดึงกระบี่หนักไร้คมของตัวเองออกมา!

“ครั้งที่สอง วิญญาณและเทพตะลึง!”

กระบี่จู่โจมออกไป เลือดพุ่งออกมาจากเก้าจุดบนตัวลู่ฝาน

แต่แสงกระบี่ของเขาก็ฟาดฟันออกไป จู่ๆ ท้องฟ้ามืดลง ลมแรงพัดขึ้นมา เหมือนลมของภูตผีชั่วร้าย

มิติแตกสลาย ความเวิ้งว้างปรากฏ

เซียนบำเพ็ญชี่ทั้งสามคนถอยหลังพร้อมกันหนึ่งก้าว

“เงียบสงบ!”

“สลายหายไป!”

“หลบหนี!”

เซียนบำเพ็ญชี่ทั้งสามคนพูดคนละประโยค เขาดีดนิ้ว กระบวนท่ากระบี่ของลู่ฝานโดนทำลาย

ลู่ฝานใช้กระบี่ค้ำบนพื้น หอบหายใจแรงมองทั้งสามคน

“เจอคำพูดของเซียนแล้วยังไม่ตาย!”

“คิดไม่ถึงว่าจะจู่โจมด้วยกระบี่ได้อีก!”

“คนหนุ่มสาวที่เก่งนำหน้าคนรุ่นก่อน!”

เซียนบำเพ็ญชี่ทั้งสามคนพูดคนละประโยค พวกเขาตกใจกับพลังการต่อสู้ที่ลู่ฝานระเบิดออกมาก่อนใกล้ตาย

ลู่ฝานพูดเสียงดังว่า “สุนัขรับใช้ของวังไท่จื่อ จะฆ่าฉันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก!”

เซียนบำเพ็ญชี่ทั้งสามคนถอนหายใจเบาๆ จากนั้นยกมือขึ้นอีกครั้ง

ลมเมฆเปลี่ยนสี ฟ้าดินสั่นสะเทือนรุนแรง

พลังฟ้าดินทุกเส้นสายอยู่ในมือของเซียนบำเพ็ญชี่ จะกลายเป็นอาวุธแหลมคมที่ใช้ฆ่าคน ซึ่งเป็นอาวุธที่น่ากลัวที่สุด

แต่ลู่ฝานไม่กลัว เขาเงยหน้ามองฟ้า พลังทั้งตัวทะลักอย่างบ้าคลั่ง

ตอนนี้ปราณชี่ของเขาทะลุข้อจำกัดไปแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีเกราะที่ดูสมจริงก่อตัวขึ้นบนตัวลู่ฝาน

คนที่ใกล้ตาย จะระเบิดพลังที่แข็งแกร่งที่สุดออกมา

จู่ๆ เซียนบำเพ็ญชี่ทั้งสามคนรู้สึกว่าพลังฟ้าดินรอบๆ บางส่วน ไม่สามารถควบคุมได้

นี่เป็นเรื่องแปลกมาก แต่เซียนบำเพ็ญชี่ทั้งสามคนไม่ได้คิดอะไรมาก คิดว่าที่อยู่ตรงหน้ามีความก้าวหน้าขึ้นตอนที่กำลังจะใกล้ตาย

นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร พวกเขาเห็นแบบนี้มาเยอะแล้ว

แต่มีเพียงบางคน ที่มีชีวิตรอดหลังจากก้าวผ่านอุปสรรค เปลี่ยนเป็นคนใหม่ตั้งแต่นี้ไป

ส่วนคนอีกส่วนใหญ่ มักตายหลังจากก้าวผ่านอุปสรรค

วันนี้พวกเขาสามคนต้องการแค่หัวของลู่ฝาน จะให้โอกาสลู่ฝานรอดไปไม่ได้เด็ดขาด

เลือดสดหยดลงบนกระบี่หนักไร้คม สายตาของลู่ฝานจ้องเขม็งไปที่เซียนบำเพ็ญชี่สามคนด้านหน้า

ถึงแม้ต้องตาย เขาก็จะสู้จนตาย

“เด็กคนนี้ คู่ควรตายคามือของพวกเรา”

เซียนบำเพ็ญชี่คนหนึ่งเอ่ยขึ้นเบาๆ

ส่วนสองคนที่เหลือค่อยๆ ยกมือขึ้น

ในที่สุดทั้งสามคนเตรียมลงมืออย่างจริงจังแล้ว ไม่ใช่การพูดเพื่อฆ่าศัตรูอีกแล้ว เห็นได้ชัดว่าท่าทียอมตายดีกว่ายอมแพ้ของลู่ฝาน ทำให้เซียนบำเพ็ญชี่ทั้งสามคน เกิดความนับถือขึ้นมาเล็กน้อย

ทันใดนั้น มีสัตว์ห้าธาตุปรากฏขึ้นกลางท้องฟ้า

นั่นมันสัตว์ห้าธาตุที่ใหญ่ระดับไหนกัน มังกรหนึ่งตัว เสือหนึ่งตัว หงส์หนึ่งตัว สูงสามร้อยกว่าเมตร เสียงสะเทือนสวรรค์

แสงแพรวพราว พลานุภาพพลุ่งพล่าน!

ลู่ฝานยกกระบี่ขึ้นมา พร้อมรอยยิ้มบางๆ

“มาสิ!”

แผดเสียงดังออกมา มือซ้ายของลู่ฝานมีมุกเทพมังกรทำลายล้าง สายฟ้าทะลักขึ้นมาบนตัว เงามังกรปรากฏขึ้นด้านหลัง บนหัวมีเงาเจดีย์เล็กๆ กะพริบออกมาทันที

พลังเดือดดาล ลู่ฝานไม่กลัวสักนิด!

แต่ขณะนั้น เสียงราบเรียบเสียงหนึ่งดังขึ้น

“ใครรบกวนความสงบของเจดีย์ยา!”

เมื่อส่งเสียงออกมา ลมเย็นพัดมา

สัตว์ห้าธาตุขนาดใหญ่ทั้งสามตัวบนท้องฟ้า กลายเป็นฟองอากาศในพริบตา

ลู่ฝานก็รู้สึกว่าพลังบนตัวโดนควบคุมกลับเข้าไปในตัวทันที

ในเวลาเดียวกัน ป้ายจัดการดูแลในเข็มขัดของเขา ค่อยๆ เด้งออกมา

เหมือนเสียงนั้นพูดด้วยความโมโหเล็กน้อย “คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีคนฆ่าผู้จัดการดูแลเจดีย์ยาข้างหน้าเจดีย์ยา จะเปิดศึกกับเจดีย์ยาใช่ไหม”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1012
“ลู่ฝาน ฉันจะหั่นนายเป็นหมื่นชิ้น!”

กว่าฉินอวิ่นจะดิ้นจนหลุดออกมาจากกำแพงได้ แม้โดนหมัดกับเตะของลู่ฝาน แต่ดูเหมือนฉินอวิ่นไม่ได้เป็นอะไรมาก บนตัวไม่มีแม้กระทั่งรอยหมัด

เงาดำสองสามเงาปรากฏขึ้นด้านหลังฉินอวิ่นพร้อมกัน ออร่าแข็งแกร่งแผ่ซ่านออกมา เหมือนทั้งหอไป่เฟิ่งถูกปกคลุมเอาไว้ด้วยค่ายกล

“ไท่จื่อไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ!”

เงาดำหนึ่งก้าวขึ้นมาหนึ่งก้าว คำนับแล้วเอ่ยขึ้น

ฉินอวิ่นใบหน้าบิดเบี้ยว ในดวงตามีไฟโกรธลุกโชน

“ไม่เป็นไร ฉันไม่เป็นอะไรอยู่แล้ว ฉันมีสายเลือดราชวงศ์ไหลเวียนอยู่ มีร่างกายอมตะ จะเป็นอะไรได้ยังไงล่ะ แต่มีคนต่อยหน้าฉัน แถมยังเตะฉันหนึ่งที หลายปีมานี้ พ่อฉันยังไม่เคยทำกับฉันแบบนี้ พวกนายรีบไปจับลู่ฝานกลับมา ฉันต้องการเห็นหัวของเขาวางอยู่บนโต๊ะของฉัน!”

“ครับ!”

เงาดำสองสามคนหายไปพร้อมกัน ตัวกลายเป็นลำแสงออกไป

ฉินอวิ่นเตะเก้าอี้จนแหลก แผดเสียงดังออกมาว่า “ลู่ฝาน ถ้าฉันฆ่านายไม่ได้ ฉันก็ไม่ใช่คนแล้ว!” ……

ทางฝั่งลู่ฝาน เขาควบคุมเรือผ่านมิติ กลับไปยังเจดีย์ยาอย่างรวดเร็ว

ลู่ฝานยังอุ้มอู่คงหลิงอยู่ ตอนนี้เธอกำลังมองลู่ฝานด้วยสายตาอ่อนโยน

“ลู่ฝาน”

อู่คงหลิงพูดเบาๆ

ลู่ฝานมองเธอแวบหนึ่งแล้วพูดว่า “กำลังหนีเอาชีวิตอยู่รอดอยู่ ไม่มีเวลาคุยกับเธอหรอก”

อู่คงหลิงหัวเราะจนตาเป็นรูปจันทร์เสี้ยว ดูงดงามเป็นอย่างมาก

จู่ๆ เธอกอดคอของลู่ฝาน เอาหัวของตัวเองมุดลงไปในอกของลู่ฝาน

“ไอ้เลว!”

อู่คงหลิงพูดเบาๆ

ลู่ฝานขมวดคิ้วเบาๆ แอบพูดในใจว่า เมื่อกี้ฉันเพิ่งช่วยเธอนะ ทำไมพริบตาเดียวถึงกลายเป็นคนเลวไปซะแล้วล่ะ

ลู่ฝานไม่ได้คิดอะไรมาก รีบบังคับเรือพุ่งออกจากอุโมงค์ข้ามมิติ

ตอนที่เขาพุ่งออกจากอุโมงค์ข้ามมิติ จู่ๆ ลู่ฝานรู้สึกว่าเรือใต้ตัวเขาเริ่มร้อนขึ้นมา

ลู่ฝานปฏิกิริยารวดเร็ว หันมาเตะสิบสามที่กำลังบาดเจ็บออกไปก่อน จากนั้นลู่ฝานก็พุ่งตามออกไป

ตู้ม!

เรือระเบิด มิติด้านหลังลู่ฝานแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เหมือนสัตว์อสูรอ้าปากกว้างสีดำ จะกลืนกินเขาเข้าไป

ลู่ฝานอุ้มอู่คงหลิงพุ่งไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว ข้างหน้าคือเจดีย์ยาแน่นอน!

แต่ขณะนั้นจู่ๆ ลู่ฝานชะงักฝีเท้าลง เขาไม่ได้หยุดเอง แต่โดนพลังที่ไม่สามารถต้านทานได้ พยายามดึงเขาเอาไว้

“เจ้านาย!”

เสียงของสิบสามดังขึ้น แต่กลับไม่เห็นตัวของเขา

ด้านหน้าเป็นถนนใหญ่ที่ว่างเปล่า รวมถึงเจดีย์หม้อยาขนาดใหญ่ที่ไร้แสง

ลู่ฝานรู้ว่าสิบสามโดนตัวเองเตะเข้าไปในค่ายกลป้องกันของเจดีย์ยาแล้ว แต่ตัวเขากลับโดนดึงเอาไว้

ลู่ฝานใช้แรงทั้งหมดโยนอู่คงหลิงออกไป อู่คงหลิงส่งเสียงร้องอย่างตกใจ และหายไปต่อหน้าต่อตาเขา

ลู่ฝานตะโกนออกมาว่า “สิบสาม คุ้มครองอู่คงหลิงเอาไว้ ห้ามออกมา!”

เพิ่งพูดจบ ลู่ฝานรู้สึกถึงแรงกดดันเหมือนภูเขาอยู่บนตัวเขา

ตอนนี้พลังฟ้าดินรอบๆ เปลี่ยนไปจนหนักอึ้ง พลังฟ้าดินแต่ละส่วนเหมือนหินหนักเป็นห้าตัน กดเขาจนไม่สามารถขยับตัวได้

มีเงาสามเงาปรากฏขึ้นด้านหลังเขา

ชุดบู๊สีดำ ด้านบนปักดิ้นทองลายมังกรห้ากรงเล็บ

ปักลายมังกรบนเสื้อได้ แสดงว่าอย่างน้อยอีกฝ่ายต้องมาจากราชวงศ์

“ตาย!”

คนชุดดำสามคน พูดออกมาพร้อมกัน

จู่ๆ ลู่ฝานรู้สึกว่าทุกอย่างรอบๆ เริ่มกลายเป็นผุยผง รวมถึงตัวของเขาด้วย

เลือดสดโดนบีบออกมาจากเส้นลมปราณ จากนั้นกลายเป็นควันขาวสลายหายไป

ปราณชี่ของเขาโดนควบคุมเอาไว้ทั้งหมด ถึงขนาดที่ไม่สามารถขยับได้แม้แต่น้อย

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1011
ลู่ฝานเดินมาถึงหน้าประตู จู่ๆ เขาชะงักฝีเท้าลง

เขาหันกลับมา กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ฉินอวิ่นกลับพูดกับลู่ฝานอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ลู่ฝาน นายยังไม่ไปอีกเหรอ”

ลู่ฝานพูดว่า “ไท่จื่อ ถ้าผมอยากแลกผู้หญิงคนนี้ ไท่จื่อคิดว่ายังไงครับ”

ฉินอวิ่นหัวเราะร่าแล้วพูดว่า “ลู่ฝาน นายก็ดูสาวงามเป็นเหมือนกันนะ! แต่แลกผู้หญิงแค่คนเดียวน้อยเกินไป ฉันให้นายสิบคนเลย เหรินเจียง นายไปเลือกสาวงามสิบคนให้ลู่ฝานพากลับไป ส่วนคนนี้ รอให้ฉันเสวยสุขเสร็จก่อนแล้วค่อยว่ากัน นายกลับไปได้แล้ว!”

เหรินเจียงพยักหน้า จู่ๆ เขาใช้ฝ่ามือตบลงบนไหล่อู่คงหลิง

เมื่อตบลงไป จู่ๆ อู่คงหลิงทรุดลงบนพื้น

แววตาลู่ฝานเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาแอบกัดฟัน

“เชิญครับพี่ลู่ฝาน”

เหรินเจียงเดินออกจากประตูด้วยความวางใจ ลู่ฝานก็เดินออกไปช้าๆ

เพิ่งเดินออกมา ลู่ฝานได้ยินฉินอวิ่นหัวเราะแล้วพูดอยู่ข้างใน “คนสวย ให้ฉันดูหน่อยว่าภายใต้ผ้าปิดหน้า หน้าตาจะเป็นยังไงกันแน่”

ลู่ฝานชะงักฝีเท้าลงอีกครั้ง สีหน้าอึมครึมลงทันที แววตาเริ่มมีความอาฆาต

เหมือนเหรินเจียงสัมผัสอะไรได้ จึงชะงักฝีเท้าลงแล้วพูดว่า “ลู่ฝาน นายจะทำอะไร”

ลู่ฝานไม่ได้พูดอะไร แต่กำหมัดขึ้นมา

ช่วงคลุมเครือ เหมือนเขาได้ยินเสียงเสื้อขาด

ขณะนั้นเสียงพึมพำเบาๆ ดังขึ้นข้างหูเขา

“ลู่ฝาน…….”

เสียงนี้คุ้นเคยจนไม่รู้จะคุ้นเคยยังไงแล้ว เป็นเสียงของอู่คงหลิง!

ลู่ฝานทนไม่ไหวแล้ว เขารีบหันหลังพุ่งกลับไปอย่างรวดเร็ว

ตอนที่ลู่ฝานเคลื่อนไหว เหรินเจียงคิดจะรั้งเขาเอาไว้ แต่ขณะนั้นสิบสามใช้กระบี่ขวางเหรินเจียงเอาไว้!

ปราณชี่แข็งแกร่งพลุ่งพล่าน ลู่ฝานเข้ามาในห้อง เห็นฉินอวิ่นฉีกเสื้อผ้าตัวเอง รวมถึงอู่คงหลิงที่ล้มอยู่บนพื้น ตอนนี้ฉินอวิ่นกำลังดึงผ้าปิดหน้าของอู่คงหลิง!

“นายทำอะ……”

ฉินอวิ่นยังไม่ทันพูดจบ ลู่ฝานกระแทกหมัดลงบนหน้าฉินอวิ่นอย่างแรง

หมัดนี้หนักและทรงพลัง กระแทกฉินอวิ่นจนจมลงพื้น กำแพงโปร่งใสกลับสู่สภาพเดิมทันที คริสตัลก็แตกออกเป็นรอยนับไม่ถ้วน

“ลู่ฝาน!”

ฉินอวิ่นโกรธแล้ว

แต่ลู่ฝานไม่สนใจเขาสักนิด เตะลงไปที่ท่อนล่างของฉินอวิ่นอย่างแรง ทันใดนั้นก็เตะฉินอวิ่นจนกระเด็นออกไปไกลหลายเมตรอีก จนเขาเข้าไปอยู่ในกำแพง

ลู่ฝานหันมาอุ้มอู่คงหลิงออกไป การกระทำไม่อืดอาดเลยสักนิด

ด้านนอก สิบสามกำลังสู้กับเหรินเจียงนัวเนียไปหมด

แต่เวลาแค่ไม่กี่อึดใจ คิดไม่ถึงเลยว่าบนตัวสิบสามจะมีรอยแผลสิบกว่าแผล

ลู่ฝานเห็นภาพนี้ เขากำมือกลางอากาศ!

ตัวของเหรินเจียงโดนเขาดึงมาข้างหน้าทันที

เหรินเจียงเห็นเป็นแบบนี้ เขาไม่ตกใจแต่กลับดีใจ ผมยาวสะบัดพลิ้ว เผยให้เห็นใบหน้าอีกครึ่งหนึ่งของเขา เขาพูดด้วยเสียงเย็นชา “ตายซะ!”

ประกายในดวงตาทั้งสองข้างของลู่ฝานกะพริบ ตัวของเหรินเจียงชะงักไปครู่หนึ่ง

ต่อมาเหรินเจียงเห็นแสงสว่างจ้าเป็นแถบ ลงมาจากบนหัวของเขา ระหว่างที่กำลังตื่นตระหนกเขาเห็นแค่พายุไซโคลนเก้าลูก

“ครั้งที่หนึ่ง ฟ้าดินสะเทือน!”

หมัดซัดลงมา เหรินเจียงเหมือนกระสอบทรายรูปคน มีเสียงดังพลั่กๆๆๆ ออกมาจากตัวไม่หยุด

หลังจากนั้น มีแผลน่ากลัวปรากฏขึ้นบนตัวเป็นแถบ เขาร่วงลงบนพื้น เลือดสดไหลนอง

ลู่ฝานไม่มองเขาสักนิด รีบพุ่งออกจากหอไป่เฟิ่งอย่างรวดเร็ว

ขณะที่เขากำลังพุ่งออกไป เขาสัมผัสถึงพลังอันแข็งแกร่งสองสามพลัง ร่วงลงมาจากฟ้า เข้ามาในหอไป่เฟิ่ง

สีหน้าลู่ฝานเคร่งขรึมขึ้นทันที เหยียบขึ้นไปบนเรือหน้าประตู พุ่งเข้าไปในอุโมงค์ข้ามมิติ แล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอย!

หอไป่เฟิ่ง สภาพเละเทะไปหมด

อู่คงหลิงยืนอยู่ที่มุม มองภาพทั้งหมด แววตาสั่นไหวเล็กน้อย

เดิมทีทุกอย่างดำเนินตามแผน

เธอทำให้หานหยวนหนิงหลงก่อน จากนั้นจงใจทำเหมือนเจอเทียนชิงหยางที่หอนางโลมโดยบังเอิญ ผ่านไปสักสองสามครั้ง เธอก็ทำให้เทียนชิงหยางหลงเหมือนกัน จากนั้นแอบส่งคนไปแจ้งให้หานหยวนหนิงมาที่นี่ ทำให้ทั้งสองคนเจอกัน แล้วก็ทะเลาะกัน

จากที่เธอรู้จักหานหยวนหนิง โดนทำให้อับอายหนักแบบนี้ หานหยวนหนิงต้องสู้แบบไม่จบไม่สิ้น

ไม่ว่าหานหยวนหนิงกับเทียนชิงหยาง ใครจะแพ้หรือชนะ ต้องมีฝ่ายหนึ่งพิการหรือตายแน่นอน

ถ้าไม่มี เธอก็จะคอยเสริมช่วงสุดท้ายอยู่ข้างๆ

เดิมทีทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่น ดูเหมือนเธอจะทำหน้าที่สำเร็จแล้ว

เดิมทีทุกอย่างไม่ควรมีอะไรผิดพลาด แต่จู่ๆ ก็มีคนหนึ่งเข้ามา ทั้งสองคนก็ไม่สู้กันอีก

อู่คงหลิงตกตะลึงมาก แล้วก็ไม่เข้าใจมากด้วย

ขณะที่เธอกำลังไม่เข้าใจอยู่ ผู้ชายที่ปรากฏตัวกะทันหันคนนั้น กลับมาอยู่ตรงหน้าเธอ

“คุณผู้หญิงท่านนี้ เตี้ยวเซี่ยเชิญคุณผู้หญิงไปคุยด้านบน”

เตี้ยวเซี่ยเหรอ

คำที่สูงส่งขนาดนี้ ทั้งประเทศอู่อานคนที่สามารถเรียกชื่อว่าเตี้ยวเซี่ยได้ เหมือนจะมีแค่สองคน

ไท่จื่อฉินอวิ่นกับองค์ชายรองฉินฝาน!

แล้วคนด้านบนคือคนไหน

อู่คงหลิงไม่มีโอกาสพูดคำว่าไม่ เหรินเจียงพาเธอเดินขึ้นไปด้านบน

ในใจมีการคาดเดาต่างๆ นานา อู่คงหลิงก็ไม่กล้าปฏิเสธ เดินไปข้างบนอย่างว่าง่าย

“ไท่จื่อ มาถึงแล้วครับ!”

เหรินเจียงพูดอย่างนอบน้อม

หลังจากนั้นเลิกม่านบางออก พาอู่คงหลิงเดินเข้ามา

เมื่อเข้ามา อู่คงหลิงเห็นเงาของลู่ฝานทันที

อู่คงหลิงเมินไท่จื่อฉินอวิ่นที่อยู่ด้านข้างแทบจะทันที สายตาเอาแต่จ้องไปที่ลู่ฝาน

ส่วนสายตาของลู่ฝานก็มองมาที่เธอเช่นกัน

ทั้งสองสบตากัน ลู่ฝานไม่รู้จะพูดอะไรดี

เป็นไท่จื่อฉินอวิ่นที่ลุกขึ้นยืนทันที

“ของล้ำค่าไร้เทียมทาน!”

ฉินอวิ่นเดินมาข้างหน้าอู่คงหลิง เหมือนมองผลงานศิลปะชิ้นหนึ่ง เขาเดินวนรอบหนึ่ง ทันใดนั้นจุดที่ไม่ควรตุงขึ้นมาก็ตุงขึ้นมา ชุดคลุมขนาดใหญ่ไม่สามารถปิดบังได้เลย

อู่คงหลิงมองฉินอวิ่นอย่างขยะแขยงแวบหนึ่ง ถอยไปด้านหลังเล็กน้อย พูดอย่างกลัวๆ ว่า “สาวชาวบ้านคราวะไท่จื่อ”

ในดวงตาฉินอวิ่นเป็นประกาย ปรบมือแล้วพูดว่า “ดี ดีมาก ดีสุดๆ ผู้หญิงที่สวยที่สุดในยุคนี้ วันนี้ได้เจอแล้ว พวกแต่งหน้าหนาเตอะอย่างพวกเธอ ออกไปได้แล้ว!”

ฉินอวิ่นพูดตำหนิผู้หญิงในห้องเสียงดัง

ทันใดนั้น ผู้หญิงทั้งหมดรีบออกไป เพราะกลัวว่าจะซวย

เหมือนฉินอวิ่นนึกอะไรได้ หันมามองลู่ฝานแล้วถามว่า “ลู่ฝาน นายกลับไปได้แล้ว คิดได้ตอนไหนก็ให้คนส่งจดหมายมาที่จวนไท่จื่อได้!”

ลู่ฝานนั่งอยู่ตรงนั้น ไม่เคลื่อนไหว

เหรินเจียงเดินขมวดคิ้วเข้ามาพูดว่า “พี่ลู่ฝาน เชิญกลับเถอะครับ เดี๋ยวผมไปส่งพี่ลู่ฝาน”

ลู่ฝานลุกขึ้นช้าๆ แต่สายตามองไปที่อู่คงหลิงตลอดเวลา

จู่ๆ ฉินอวิ่นยื่นมือออกมา จะดึงผ้าปิดหน้าของอู่คงหลิงออก อู่คงหลิงรีบถอยไปด้านหลังแล้วพูดว่า “ไท่จื่อ ได้โปรดเคารพตัวเองด้วย!”

ฉินอวิ่นหัวเราะแล้วพูดว่า “เคารพตัวเองเหรอ เคารพอะไร เธอก็แค่ผู้หญิง มานี่ ถอดเสื้อกับผ้าปิดหน้าออกซะ ให้ฉันดูให้เต็มตา ไม่แน่ต่อไปตำแหน่งชายาเอกอาจมีเธอก็ได้!”

สีหน้าอู่คงหลิงเปลี่ยนไป รีบวิ่งไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว

แต่ขณะนั้น เหรินเจียงมาปรากฏตัวอยู่ด้านหลังเธอเหมือนผีอีกแล้ว พลานุภาพแข็งแกร่ง ปิดทุกทางที่อู่คงหลิงจะหนีออกไปได้

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1009
ด้านข้างของเขา ชุดดำเหมือนหมึก ผมยาวประบ่า ผ้าผืนบางปิดหน้า ถ้าไม่ใช่อู่คงหลิงจะเป็นใครได้อีก

ตอนลู่ฝานเห็นอู่คงหลิง เขาเบิกตาโตทันที

ตอนนี้อู่คงหลิงเหาะช้าๆ ไปอีกด้าน ราวกับไม่อยากเข้าไปในการต่อสู้ของสองคนนี้

หานหยวนหนิงโมโหแต่ระบายออกมาไม่ได้ ดวงตากลายเป็นสีแดงโลหิตอย่างรวดเร็ว

นี่คือเคล็ดวิชาบู๊บ้าคลั่งของตระกูลหาน สามารถเพิ่มพลังกับความเร็วได้ในพริบตา แผดเสียงดังออกมาหนึ่งครั้ง หานหยวนหนิงพุ่งไปหาเทียนชิงหยางอีกครั้ง

สามพันกระบี่ในพริบตาเดียว พลังปราณของหานหยวนหนิงกลายเป็นค่ายกลกระบี่

เทียนชิงหยางมองภาพนี้ เขาทำเพียงแค่ยกมือขึ้นมาแล้วกดมือลง

“กดดัน!”

เหมือนมีพลังล่องหน ควบคุมโดยการกดหานหยวนหนิงเอาไว้ กดหานหยวนหนิงลงไปบนพื้น

เทียนชิงหยางยิ้มแล้วพูดว่า “หานหยวนหนิง อย่างนายยังห่างชั้นอีกเยอะ”

หานหยวนหนิงดิ้นไปมาบนพื้นอย่างสุดชีวิต แต่พลังปราณบนตัวเขากลับแตกเป็นเสี่ยงๆ

“เทียนชิงหยาง นายรนหาที่ตาย!”

จู่ๆ หานหยวนหนิงแผดเสียงออกมา ลูกดอกโลหิตดอกหนึ่งพุ่งออกไป

เทียนชิงหยางไม่ได้คิดถึงกระบวนท่านี้ เสื้อเปื้อนเลือดของหานหยวนหนิงหนึ่งหยด

เพียงแค่หยดเดียว สีหน้าของเทียนชิงหยางเปลี่ยนไปทันที

จู่ๆ หานหยวนหนิงลุกขึ้นมาพูดว่า “ดูถูกลูกหลานตระกูลหาน ต้องตาย!”

ทั้งตัวเขาเหมือนมนุษย์โลหิต หานหยวนหนิงพุ่งเข้าไปหาเทียนชิงหยาง

เทียนชิงหยางพยายามเช็ดเลือดบนเสื้อออก แต่มันสายไปเสียแล้ว เลือดสดกลายเป็นเปลวเพลิงสีขาว เริ่มลุกโชนขึ้นมาทันที ทันใดนั้นเทียนชิงหยางโดนปกคลุมอยู่ท่ามกลางเปลวเพลิง

“ไอ้สารเลว!”

ในที่สุดเทียนชิงหยางก็ดึงกระบี่มังกรคำรามออกมา

เสียงมังกรคำรามดังขึ้น หานหยวนหนิงหยุดการกระทำลงทันที

ในเวลาเดียวกัน เหรินเจียงปรากฏตัวออกมาทันที เขากดมือของเทียนชิงหยางเอาไว้

“หยุด!”

เหรินเจียงพูดเสียงดัง ในเวลาเดียวกันเหรินเจียงเอาป้ายแขวนเอวออกมา

“ป้ายคำสั่งของราชวงศ์ จวนไท่จื่อ!”

เทียนชิงหยางมองออกเพียงแวบเดียว เขารีบเก็บกระบี่ทันที

หานหยวนหนิงได้ยินคำพูดของเทียนชิงหยาง ก็หยุดลงเช่นกัน แสงสีแดงในดวงตาหายไปอย่างรวดเร็ว

ภายในห้อง ไท่จื่อจำสองคนนี้ได้แล้ว

“วิชาบ้าคลั่งของตระกูลหาน กระบี่มังกรคำรามของตระกูลเทียน คนสองตระกูลนี้อีกแล้ว ไสหัวไปๆๆ บอกให้พวกเขาไสหัวไป!”

เหมือนฉินอวิ่นไม่ค่อยชอบตระกูลหานกับตระกูลเทียน เขาตะโกนออกมาเสียงดัง

หูของเหรินเจียงขยับเบาๆ เหมือนได้ยินคำพูดของฉินอวิ่น เขาพูดเสียงเบาว่า “ไท่จื่อบอกให้พวกนายกลับไป”

เทียนชิงหยางรีบคารวะแล้วออกไป ไม่กล้าชักช้าแม้แต่ก้าวเดียว

หานหยวนหนิงอึ้งไปครู่หนึ่ง เขากัดฟันรีบออกไปเช่นกัน

ฉินอวิ่นเห็นภาพนี้ ก็พูดอย่างโมโหว่า “คนตระกูลวิถีบู๊สองสามคนนี้ นับวันยิ่งกำเริบเสิบสานขึ้นเรื่อยๆ กำเริบเสิบสานสุดขีด! ถ้าฉันเป็น……”

ฉินอวิ่นไม่ได้พูดต่อ แต่ลู่ฝานเดาได้ว่าเขาจะพูดอะไร จึงทำเป็นไม่ได้ยินอะไร

สายตาของเขามองไปยังอู่คงหลิง

ตอนนี้เหมือนฉินอวิ่นเห็นอะไรเหมือนกัน มองตามสายตาลู่ฝานไปทางอู่คงหลิง

“เอ๊ะ นั่นดอกไม้ที่ไหนกัน ทำไมฉันไม่เคยเห็นเลย”

ลู่ฝานแอบพูดว่าแย่แล้ว ขณะกำลังจะพูด

จู่ๆ ฉินอวิ่นยิ้มแล้วพูดว่า “ดอกไม้ชั้นดี เหรินเจียง เอาตัวผู้หญิงชุดดำคนนั้นขึ้นมา!”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1008
ฉินอวิ่นดีดนิ้วแล้วพูดว่า “นายชอบสาวงามไหม หรือชอบเคล็ดวิชาบู๊ไหม ได้ทั้งนั้นขอแค่นายบอก”

ลู่ฝานพยักหน้าพูดว่า “ไท่จื่อ พูดตามตรง สิ่งที่ไท่จื่อพูดมาล่อตาล่อใจมาก”

ฉินอวิ่นยิ้มแล้วพูดว่า “ในประเทศอู่อาน ไม่มีใครปฏิเสธคำขอของฉันได้ เพราะฉันมักจะทำให้พวกเขาปฏิเสธไม่ได้”

ลู่ฝานพูดว่า “ผมขอคิดสักสองสามวันได้ไหม แม้ว่าจะขาย ให้ผมได้คิดสักสองสามวันได้ไหมครับ”

ฉินอวิ่นหัวเราะร่าแล้วพูดว่า “ได้อยู่แล้ว คิดหน่อยหรือ แต่นอกจากฉันแล้ว ในใต้หล้านี้ยังมีใครให้ราคานายได้อีก นายค่อยๆ คิด ค่อยบอกฉันก่อนเริ่มการคัดเลือกก็ได้”

ลู่ฝานยิ้มแล้วพยักหน้า ฉินอวิ่นปรบมือ สาวงามสองสามคนเดินมาด้านหน้ากำแพง

ยื่นมือแตะลงบนกำแพงเบาๆ จู่ๆ กำแพงทั้งสี่ด้านหายไป

พื้นด้านล่างก็หายไปเช่นกัน ทันใดนั้นหอนางโลมปรากฏอยู่ในสายตาทั้งหมด

ฉินอวิ่นยิ้มแล้วพูดว่า “คุยเรื่องสำคัญเสร็จแล้ว ลู่ฝานนายมาชมดอกไม้กับฉันสิ”

เมื่อพูดเช่นนี้ เสียงเพลงดังมาจากด้านล่าง

เสียงเครื่องดนตรีประเภทไหม ไผ่ และเครื่องสายดังเข้ามาในหู พวกสาวงามในหอนางโลม ยังทำการแสดงต่อไป

ทันใดนั้น สาวงามกลุ่มหนึ่งเดินออกมาจากรอบหอนางโลม สวมเสื้อผ้ามีสีสัน เหมือนดอกไม้เบ่งบานเดินอยู่ในหอนางโลม

ฉินอวิ่นชี้สาวงามด้านล่าง แล้วพูดว่า “ฉันจะเอาดอกไม้ดอกนี้ ดอกนี้ก็ด้วย”

สาวงามเผ่าจิ้งจอกที่อยู่ข้างๆ รีบจดบันทึก หลังจากนั้นก็เดินออกไปอย่างรวดเร็ว

ตอนนี้ลู่ฝานเพิ่งเข้าใจ ที่แท้ชมดอกไม้ที่เขาพูดถึง ก็คือชมสาวงามนี่เอง!

ฉินอวิ่นยิ้มแล้วมองลู่ฝาน จากนั้นพูดว่า “ลู่ฝาน นายไม่ต้องเป็นทางการเกินไปหรอก เอาดอกไม้สักสองดอกมาอยู่เป็นเพื่อนไหม นี่เป็นดอกไม้สดที่คัดเลือกมาจากเขตต่างๆ ของประเทศอู่อาน ทั้งสวยทั้งฉ่ำ เสวยสุขได้ตามใจชอบ”

ลู่ฝานส่ายหน้าพูดว่า “ขอบคุณไท่จื่อมากครับ แต่ไม่ต้องสิ้นเปลืองหรอกครับ ผมไม่ต้องการ”

ฉินอวิ่นหัวเราะเบาๆ สองครั้งแล้วพูดว่า “ท่าทางเป็นสุภาพบุรุษจริงๆ! สิ้นเปลืองอะไรกันล่ะ หอนางโลมแห่งนี้เป็นหอนางโลมที่ฉันเปิดใหม่ ดูการตกแต่งของหอนางโลมสิ ดูดอกไม้สดงดงามที่นี่สิ เน้นความหรูหรา ทรงพลัง และงดงาม”

ขณะกำลังพูด จู่ๆ มีเสียงฮือฮาดังมาจากด้านล่าง

ต่อมาเกิดเสียงพลั่กดังสนั่น เงาคนลอยออกมาจากห้องอีกห้องหนึ่ง กระแทกอย่างแรงเข้าไปในต้นไม้ใหญ่ที่อยู่กลางหอนางโลม

เสียงร้องอย่างตกใจดังขึ้น สีหน้าฉินอวิ่นไม่สู้ดีขึ้นมาทันที

“ถล่มเขา!”

มีคนแผดเสียงออกมา คนที่กระแทกกับต้นไม้ ตัวขยายใหญ่ขึ้นมาหนึ่งเท่า ความโกรธพลุ่งพล่าน

วิทยายุทธแดนปราณชีวิตระดับสูงสุดพุ่งขึ้นมา พลังปราณที่แข็งแกร่งทำให้ต้นไม้ใหญ่ที่เขาเหยียบอยู่แตกเป็นเสี่ยงๆ

ลู่ฝานมองคนคนนี้แล้วขมวดคิ้วเบาๆ นี่คือหานหยวนหนิงที่เพิ่งเจอไม่ใช่เหรอ

“เทียนชิงหยาง ไอ้สารเลว วันนี้ไม่ใช่ก็นายที่ต้องตาย!”

หานหยวนหนิงตะโกนเสียงดัง กระบี่ยาวในมือเริ่มมีแสงกระบี่สายฟ้าปรากฏออกมา

ขณะนั้นมีเสียงราบเรียบเสียงหนึ่งดังขึ้นมา

“หานหยวนหนิง อย่างนายยังไม่สามารถสู้แบบตายไปข้างหนึ่งกับฉันได้หรอก ไสหัวไปเถอะ!”

พูดจบ ลมสีฟ้าพัดออกมาจากในห้อง

หานหยวนหนิงแผดเสียงออกมา ฟันกระบี่ออกไป

พลังทั้งสองพลังปะทะกัน ห้องแถบนั้นพังลงทันที ขนาดห้องที่ลู่ฝานอยู่ ยังพลอยสั่นสะเทือนอย่างแรงตามไปด้วย

สีหน้าของฉินอวิ่นอึมครึมมาก เขาพูดเสียงเย็นชาว่า “เหรินเจียง ไล่สองคนที่ก่อเรื่องออกไปซะ!”

ตัวของเหรินเจียงหายไปอย่างรวดเร็ว ด้านนอกกลุ่มคนกำลังหนีเอาชีวิตอย่างบ้าคลั่ง

ห้องโดนทำลาย เงาคนสองคนกระโดดออกมา

ชุดสีขาวถือกระบี่มังกรคำรามในมือ นั่นคือเทียนชิงหยางแห่งตระกูลเทียน

ลู่ฝานไม่พูดอะไร แต่มองฉินอวิ่นเงียบๆ

จู่ๆ ฉินอวิ่นมองไปทางประตูแล้วพูดว่า “ทำไมข้างนอกยังมีคนยืนอยู่อีกคนล่ะ”

ลู่ฝานพูดอย่างราบเรียบว่า “พ่อบ้านของผมเอง”

ฉินอวิ่นพูดว่า “เป็นนักบู๊เหมือนกันเหรอ”

ลู่ฝานพยักหน้า

ฉินอวิ่นกวักมือแล้วพูดว่า “ให้เขาเข้ามาสิ”

เหรินเจียงรีบเดินออกไป พาสิบสามเข้ามาในห้อง

เมื่อสิบสามเข้ามา ก็มายืนอยู่ด้านหลังลู่ฝานอย่างเงียบๆ

ฉินอวิ่นมองสิบสามตั้งแต่หัวจรดเท้าสองสามครั้ง ยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่เลว ดูเหมือนนายเกิดในตระกูลวิถีบู๊สินะ พ่อบ้านนายก็มีความสามารถอยู่บ้าง นั่งสิ นั่งกันให้หมด”

แววตาลู่ฝานวูบไหวเล็กน้อย จากนั้นค่อยๆ นั่งลง

ฉินอวิ่นมองลู่ฝานอย่างแน่วแน่แล้วพูดว่า “ฉันชอบคนมีความสามารถ ไม่ว่าจะเป็นนักบู๊หรือผู้ฝึกชี่ ขอแค่เป็นคนที่ช่วยฉันได้ ฉันชอบทั้งนั้น ลู่ฝาน นายเป็นนักบู๊ตามมาตรฐาน จิตใจมีวิถีบู๊ ความทะเยอทะยานยิ่งใหญ่ มีความเข้มแข็งห้าวหาญ ฉันชอบคนแบบนาย นายว่าราคาเรื่องการมาทำงานที่จวนฉันสิ เมื่อกี้ที่บอกว่าให้นายเป็นองครักษ์ ฉันแค่ล้อเล่น มีเงื่อนไขอะไรบอกมาได้เลย ฉันเป็นคนใจกว้าง”

ฉินอวิ่นอ้าแขนทั้งสองข้าง มองลู่ฝานด้วยรอยยิ้ม

ในขณะเดียวกัน ฉินอวิ่นก็พูดกับสิบสามว่า “นายก็พูดได้นะ ฉันดูออกว่านายเป็นนักฆ่า”

สิบสามไม่แม้แต่จะกะพริบตา ยืนเงียบๆ อยู่ตรงนั้น เหมือนสาวงามรอบๆ เป็นแค่ความงดงามเพียงภายนอกสำหรับเขา ไม่มีแรงดึงดูดเลยสักนิด

ลู่ฝานพูดว่า “พูดเงื่อนไขอะไรก็ได้จริงเหรอครับ”

ฉินอวิ่นกวักมือ ให้คนเอาเหล้ามาเสิร์ฟ เขาจิบเบาๆ แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “แน่นอนว่าเงื่อนไขอะไรก็ได้ แต่ถ้าเงื่อนไขของนายเกินไป ฉันก็แค่ไม่ตกลง ทำอะไรต้องมีความพอดีไม่ใช่เหรอ ใช่สิ โควตารายชื่อคัดเลือกของนาย ขายให้ฉันสิ ฉันให้ราคาดีกับนายได้นะ นายอยากเป็นหัวหน้าเขตไหม หรืออยากเข้าสถาบันบู๊องอาจ หรือเป็นข้าราชการเล็กๆ ในเมืองหลวง ก็ได้ทั้งนั้น”

จู่ๆ ลู่ฝานคิดว่าคนที่นั่งตรงข้ามตัวเอง ไม่ใช่ไท่จื่อของจักรพรรดิ แต่เป็นพ่อค้าในตลาด

แต่สิ่งที่พ่อค้าคนนี้จะขาย ไม่ใช่สินค้า แต่เป็นประเทศอู่อานทั้งประเทศ

ลู่ฝานส่ายหน้าพูดว่า “ขอโทษด้วยครับ ผมไม่สนใจเรื่องพวกนี้เลย แต่ผมอยากรู้ว่าทำไมไท่จื่อถึงต้องการโควตารายชื่อของผมล่ะครับ”

ฉินอวิ่นพูดว่า “เพราะโควตารายชื่อมีราคามาก ฉันกะจะเหลือไว้ให้คนคนหนึ่ง ถ้านายเอาไป ฉันต้องขาดทุนมากแน่ๆ คงพูดได้แค่ว่านายมาผิดจังหวะ ถ้าเร็วกว่านี้หน่อย ตอนโควตารายชื่อเพิ่งออกมา นายเอาโควตารายชื่อไปฉันก็ไม่ทำแบบนี้หรอก แต่นายมาช้าเกินไป แบ่งโควตารายชื่อได้พอประมาณแล้ว จู่ๆ นายก็โผล่มากะทันหัน นายรู้ไหมว่าคำว่ากะทันหันหมายถึงอะไร คือการที่ทำให้คนคิดไม่ถึง ตั้งตัวป้องกันไม่ทัน”

ฉินอวิ่นทำท่าโอเวอร์สองครั้ง จากนั้นลุกขึ้นยืน ก้มมองลู่ฝานแล้วพูดว่า “ถ้านายยอมให้โควตารายชื่อของตัวเอง จะดีที่สุด”

ลู่ฝานยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “อันที่จริงผมก็ไม่ได้สนใจโควตารายชื่อการคัดเลือกอยู่แล้ว”

ฉินอวิ่นปรบมือหัวเราะ แล้วพูดว่า “งั้นก็ดีมาก นายประกาศถอนตัวต่อหน้าทุกคน ฉันเอาโควตารายชื่อให้คนที่ควรให้ ต่างฝ่ายต่างพอใจ นายต้องการอะไรบอกฉันได้หมด มาที่จวนฉัน ฉันจะให้ตำแหน่งราชการสูงและเงินเดือนมาก รับรองว่านายเลื่อนตำแหน่งอย่างสบาย นายเป็นคนมีอนาคต ส่วนคนอย่างฉัน ฉันบอกไปแล้วว่าฉันใจกว้างมาก ถ้านายไม่มาก็ไม่เป็นไร นายเที่ยวเล่นในเมืองหลวงต่อไปอย่างมีความสุข ฉันให้เหรินเจียงไปเป็นเพื่อนนายได้ จะเมืองหลวง หรือแม้แต่ประเทศอู่อาน นายเที่ยวได้ตามใจชอบเลย”

เมื่อยื่นมือออกมา สาวงามข้างๆ เอาขวดยาเล็กๆ ออกมาหนึ่งขวด

ขวดยางดงามมาก มีแสงเก้าสีเคลื่อนไหวอยู่

เมื่อเปิดขวดยาออก กลิ่นประหลาดฟุ้งไปทั่ว ฉินอวิ่นใช้จมูกสูดอย่างแรง จากนั้นก็มีอาการเคลิบเคลิ้ม

ลู่ฝานเคยเห็นสิ่งนี้ ตอนมาเมืองหลวง เขาเห็นลุงชางชอบสูดของที่ทำให้เกิดภาพหลอนแบบนี้ คิดไม่ถึงว่าไท่จื่อผู้ยิ่งใหญ่ ก็ชอบของแบบนี้เหมือนกัน

ดวงตาของฉินอวิ่นดูมีประกายเคลิบเคลิ้ม ยิ้มแหยมองลู่ฝานแล้วพูดว่า “ลู่ฝาน นายตัดสินใจถูกต้องที่มาวันนี้ ถ้านายไม่ยอมมา ฉันจะจัดการนายทิ้ง”

ลู่ฝานขมวดคิ้วเบาๆ คิดไม่ถึงว่าไท่จื่อจะพูดตรงขนาดนี้

เหมือนเหรินเจียงเห็นภาพแบบนี้จนชินแล้ว เขาไม่พูดอะไรสักคำ ไม่แม้แต่จะช้อนตาขึ้นมอง

ลู่ฝานครุ่นคิดครู่หนึ่ง ทำเป็นประหลาดใจแล้วพูดว่า “เหมือนผมไม่เคยล่วงเกินไท่จื่อเลยนะครับ”

จู่ๆ เฉินอวิ่นเหมือนคนประสาท เขาหัวเราะร่าแล้วพูดว่า “ใช่ นายไม่เคยล่วงเกินฉัน แต่ฉันอยากฆ่านาย ต้องมีเหตุผลด้วยเหรอ ฉันคือไท่จื่อนะ ยังไงประเทศอู่อานก็ต้องเป็นของฉันไม่ช้าก็เร็ว ฉันแค่ยื่นนิ้วออกมาเพียงนิ้วเดียว ก็สามารถขยี้นายให้ตายเหมือนมดตัวหนึ่ง”

ลู่ฝานทนไท่จื่อที่ดูเหมือนคนประสาทไม่ไหวแล้ว ลู่ฝานจินตนาการไม่ออกเลย ถ้าวันหนึ่งประเทศอู่อานมีคนแบบนี้เป็นจักรพรรดิจริงๆ จะสภาพเป็นยังไง

ลู่ฝานพูดช้าๆ ว่า “ไท่จื่อ นิ้วเดียวขยี้มดให้ตายไม่ได้หรอกครับ”

ฉินอวิ่นอึ้งไป เสียงหัวเราะหยุดลงกะทันหัน

เหรินเจียงที่อยู่ข้างๆ ขมวดคิ้วเบาๆ สีหน้าดูอาฆาตเล็กน้อย

ความเคลิบเคลิ้มในดวงตาฉินอวิ่นหายไป เขาจัดแจงเสื้อผ้า หลังจากนั้นมองลู่ฝานด้วยรอยยิ้ม

“นายพูดถูก นิ้วเดียวทำได้แค่กดนายให้ตาย ไม่สามารถขยี้นายให้ตายได้ แต่นี่ก็ไม่มีอะไรต่างกัน ฉันเป็นคนที่ค่อนข้างพูดตรง วันนี้ที่เรียกนายมาเพราะมีเรื่องหนึ่ง นายไม่เลว มีอนาคต มาเป็นองครักษ์ในจวนฉันสิ”

ตอนนี้ฉินอวิ่นเผยความดุดันออกมาเล็กน้อย

เขามองลู่ฝานอย่างยโสโอหัง แววตาเฉยเมย เหมือนเทวดาก้มมองสิ่งมีชีวิต

ลู่ฝานพูดอย่างราบเรียบว่า “ขอโทษด้วยครับ ไท่จื่อ ผมไม่สนใจเป็นองครักษ์เลยแม้แต่น้อย”

ฉินอวิ่นพูดว่า “นายไม่มีสิทธิ์ต่อรองกับฉัน ฉันเห็นแก่ที่เร็วๆ นี้นายได้ฐานะเป็นผู้ดูแลจัดการเจดีย์ยา จึงให้โอกาสที่สามารถสูงส่งขึ้นในพริบตากับนาย ฉันให้นายทำ นายก็ต้องทำ”

ลู่ฝานเริ่มโมโหขึ้นมาแล้ว เอนตัวไปด้านหลังแล้วพูดอย่างเฉยเมยว่า “แล้วถ้าผมไม่ทำล่ะ”

ฉินอวิ่นพูดด้วยสีหน้าอาฆาตทันที “งั้นนายก็ทำได้แค่รับผลที่ตามมาเอง”

ลู่ฝานค่อยๆ ลุกขึ้นยืน แล้วพูดว่า “ไท่จื่อ ดูเหมือนผมคิดผิดที่มาเจอไท่จื่อวันนี้”

ฉินอวิ่นเห็นว่าลู่ฝานจะไปจริงๆ จู่ๆ เขาปรบมือแล้วหัวเราะเสียงดัง

“เป็นคนที่แน่วแน่จริงๆ ฮ่าๆๆ น่าสนใจๆ ฉันชอบคนที่แน่วแน่แบบนายนี่แหละ มาสิ เอาเหล้าดีให้เขาสักแก้ว!”สาวงามที่อยู่ข้างๆ เดินอย่างอ่อนช้อย เอาเหล้าดีมาแก้วหนึ่ง

ลู่ฝานขมวดคิ้วมองฉินอวิ่น เขางงกับไท่จื่อที่อารมณ์แปรปรวนคนนี้ไปหมดแล้ว

ฉินอวิ่นสูดขวดยาไปหนึ่งฟอด ยิ้มแล้วพูดว่า “ฉันเข้าใจยากใช่ไหม เหอะๆ เข้าใจยากก็ถูกต้องแล้ว นั่งสิลู่ฝาน ตอนนี้เรามาคุยกันดีๆ เถอะ”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1005
อาคารไม้โบราณ ดูสง่างามสูงส่งอย่างเห็นได้ชัด

สุ่มดูแผ่นไม้สักชิ้น ล้วนเป็นไม้ประเภทสนที่หายากในบ้านเกิดของลู่ฝาน มีประสิทธิภาพเมื่อหน้าหนาวจะอบอุ่น หน้าร้อนจะเย็นสบาย สกัดกั้นน้ำและไฟ และที่นี่ใช้ไม้ประเภทนี้มาปูพื้นเท่านั้น

ใช้ม่านบางกั้นห้อง เห็นเงาคนข้างในอยู่รางๆ

แต่ม่านบางเหล่านี้ก็ไม่ใช่ของธรรมดา อย่างน้อยจากสายตาของลู่ฝาน บนม่านบางมีอักษรยันต์อย่างน้อยสิบกว่าชนิด อักษรยันต์แต่ละอันล้วนมีประสิทธิภาพของค่ายกล ถ้ามีใครพยายามจู่โจมม่านบางนี้ เขาพบว่าม่านผืนนี้ยังหนากว่ากำแพงเมืองของคูเมืองเสียอีก อีกทั้งยังทำลายยากกว่าด้วย

“ไท่จื่อ พาลู่ฝานมาแล้วครับ!”

เหรินเจียงคำนับด้านหน้าม่านบาง แล้วเอ่ยขึ้น

ทันใดนั้น มีเสียงเกียจคร้านดังมาจากข้างใน

“เข้ามา!”

เมื่อพูดจบ ม่านบางข้างหน้าสั่นไปมา เหมือนอักษรยันต์ด้านบนไร้ประสิทธิภาพอย่างรวดเร็ว แสงหม่นหมองลงไป

เหรินเจียงยกมุมหนึ่งของผ้าม่านขึ้น แล้วพูดกับลู่ฝาน “เชิญครับ!”

ลู่ฝานพยักหน้าแล้วเดินเข้าไป

ไม้จินสื่อหนาน เก้าอี้เสือดาวหนังมังกร กลิ่นดอกไม้หอมฟุ้ง

ฉากที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเหมือนแดนมายา ดูเลื่อนลอยไม่แน่นอน

หมอกควันล้อมรอบ พร้อมกลิ่นไม้จันทน์เป็นระยะ

บนเตียงที่เคลื่อนไหวเหมือนน้ำ ปูด้วยหนังสัตว์อ่อนนุ่ม ขนสีขาวอบอุ่นไหลลงมาบนพื้นที่เหมือนคริสตัล

ห้องใหญ่และสูงมาก สูงเสียดฟ้าเหมือนท้องฟ้ายามราตรี เหลือแค่สีดำเพียงแถบเดียว ท่ามกลางหมอกควัน เห็นได้ยากว่าเป็นพื้นผิวอะไร

ไม่มีรูปภาพ ไม่มีขวดหรือแจกัน ของวางโชว์ทั่วทั้งห้องคือสาวงาม สาวงามแบบต่างๆ

งดงามในรูปแบบที่แตกต่างกัน

ดวงตามีแฝงความรู้สึก แววตาอ่อนโยนเหมือนสายน้ำ

เสื้อผ้าบนตัวพวกเธอมีน้อยมาก ราวกับในห้องร้อนมาก

แต่ในความเป็นจริง ในห้องไม่ร้อนเลย แต่คนที่เห็นสาวงามพวกนี้ร้อนมากต่างหาก

อย่างเช่น ลู่ฝาน ตอนนี้รู้สึกว่าลมหายใจขึ้นเล็กน้อย

เขาก็เป็นผู้ชายนะ ชายแท้ปกติ

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นสาวงามเยอะขนาดนี้

ดูร่างกายขาวๆ นั่นสิ ดูใบหน้าเล็กที่ดึงดูดใจนั่นสิ

ลู่ฝานสูดหายใจลึก

แมวสาวตัวหนึ่งปีนมาที่เท้าของเขา ใช้หางขาวๆ ของตัวเองแหยเสื้อของลู่ฝาน

จากนั้นใช้ดวงตาโตเงยหน้ามองลู่ฝาน หูแมวงอลงเล็กน้อย ลู่ฝานเห็นแล้วจิตใจหวั่นไหวมาก!

“ลู่ฝาน! ฮ่าๆ ในที่สุดนายก็มาสักที”

บนเตียงนอน ผู้ชายคนหนึ่งปีนออกมาจากกองสาวงาม

ภายนอกดูหล่อเหลา กล้ามเนื้อเป็นมัดๆ ไม่ได้ใส่อะไรเลย ยืนขึ้นอย่างโจ่งแจ้ง มองลู่ฝานด้วยรอยยิ้ม

เหรินเจียงที่อยู่ข้างๆ คำนับแล้วพูดว่า “ไท่จื่อ!”

ลู่ฝานเห็นคนคนนี้ นี่คือฉินอวิ่น ไท่จื่อของประเทศอู่อานงั้นเหรอ

ลู่ฝานค่อยๆ กำหมัดคารวะ พูดด้วยน้ำเสียงสุขุมว่า “ยินดีที่ได้พบไท่จื่อ!”

ฉินอวิ่นยิ้มบางๆ กางแขนทั้งสองข้างออก

สาวงามสองสามคนที่อยู่ข้างๆ เอาชุดคลุมออกมาใส่ให้ไท่จื่ออย่างรู้งาน

ระหว่างที่สวมเสื้อผ้า สาวงามที่อยู่ด้านล่างสุด ยังเริ่มมอบบริการสุดพิเศษให้ไท่จื่อ

ลู่ฝานเห็นภาพนี้ สีหน้าอึมครึมเล็กน้อย รู้สึกว่าสะดุดตาเล็กน้อย

เขาค่อยๆ หันหน้าไปทางอื่น มองสาวงามเผ่าเหนือมนุษย์คนอื่นดีกว่า

“ไม่ต้องมีพิธีรีตองมากมาย ฉันเป็นคนสบายๆ เป็นกันเอง มานั่งสิ!”

ฉินอวิ่นเพลิดเพลินกับการ “สวมเสื้อผ้า” ไปพลางพูดออกมา

สาวงามสองสามคนเลื่อนเก้าอี้หัวมังกรขนาดใหญ่ออกมา ลู่ฝานค่อยๆ นั่งลง ส่วนเหรินเจียงยืนอยู่ด้านข้าง

ค่อยๆ นั่งลง ลู่ฝานรู้สึกว่าร่างกายตัวเอง จะจมไปกับเก้าอี้ตัวใหญ่ตัวนี้แล้ว พูดตามตรง เก้าอี้ตัวนี้สบายมากเลย

รออยู่ครู่หนึ่ง ฉินอวิ่นชะงักไปทั้งตัว ในที่สุดก็ “สวมเสื้อผ้าเสร็จแล้ว” เขาดันสาวงามข้างๆ ออกไป นั่งลงตรงข้ามลู่ฝาน

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1004
ลู่ฝานทำเพียงแค่หัวเราะอย่างราบเรียบ ไม่เถียงกับเขา เดินไปด้านล่างต่อ

เซียวเฮ่าใช้โอกาสตอนที่ทุกคนไม่ได้จ้องมาที่เขา ตามลู่ฝานไปอย่างรวดเร็ว

หลิ่วซ่านส่งเสียงหึออกมาอย่างเย็นชาอีกครั้ง!

ลู่ฝานรีบเดินลงมา หันมามองเซียวเฮ่าแวบหนึ่งแล้วพูดว่า “ดูเหมือนฉันกลายเป็นศัตรูของผู้ฝึกชี่กับผู้ดูแลพวกนี้ไปแล้วสินะ มีป้ายนี้อยู่ไม่สบายใจจริงๆ!”

ลู่ฝานเล่นป้ายจัดการดูแลเจดีย์ยาในมือ เซียวเฮ่าถอนหายใจแล้วพูดว่า “พี่ลู่ฝาน ถ้าให้ผมพูด พี่ไม่ควรเอาป้ายนี้มา ปกติผู้ฝึกชี่พวกนี้ดูใจดีมีเมตตา แต่ธาตุแท้ของพวกเขาหยิ่งยโสมาก เป็นผู้ฝึกชี่เหมือนกันยังแย่งชิงความเหนือกว่า สู้เรื่องยา ประลองเรื่องวิชา ยิ่งไปกว่านั้นจู่ๆ นักบู๊อย่างพี่อยู่เหนือกว่าพวกเขา แน่นอนว่าพวกเขาไม่มีทางรับได้!”

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “แล้วนายล่ะ ในก้นบึ้งหัวใจนายโกรธแค้นฉันเหมือนกันหรือเปล่า”

เซียวเฮ่าส่ายหน้าพูดว่า “ผมไม่ได้ใจแคบขนาดนั้นสักหน่อย อาลี่ยังบอกว่าคนพวกนี้กินอิ่มแล้วว่างจนยุ่งเรื่องคนอื่น”

ลู่ฝานหัวเราะแล้วพูดว่า “ดูเหมือนยังมีคนใจกว้างอยู่นะ จากความใจกว้างและอดทนของนายกับอาลี่ ต่อไปต้องเป็นอริยปราชญ์ได้”

เซียวเฮ่าหัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “เป็นอริยปราชญ์งั้นเหรอ ต่อไปผมได้ทำความสะอาดห้องน้ำให้อริยปราชญ์ ผมก็มีความสุขแล้ว เขาพูดกันว่าอริยปราชญ์ถ่ายอุจจาระ ก็ยังเป็นแก่นแท้ไม่ใช่เหรอ ใช่สิ อริยปราชญ์ถ่ายอุจจาระไหม”

ลู่ฝานพูดอะไรไม่ออก เขาก็ไม่รู้จะตอบคำถามประหลาดของเซียวเฮ่ายังไง

เดินลงมาจากเจดีย์ยาอย่างรวดเร็ว เมื่อออกจากประตูเจดีย์ยา สิ่งที่ปรากฏในสายตาเป็นอันดับแรกคือ คนคนหนึ่งยืนเหมือนเสาธงอยู่ตรงนั้น

เสื้อคลุมยาวลากพื้น ผมปรกครึ่งใบหน้า หิมะปลิวลงมาบนตัว แยกไม่ออกเลยว่าเป็นชายหรือหญิง

เมื่อเห็นลู่ฝานออกมา คนคนนี้พูดเสียงดังว่า “ลู่ฝานนักกระบี่แห่งตงหวาใช่ไหม”

ลู่ฝานชะงักฝีเท้าลงแล้วพูดว่า “ใช่ ผมเอง!”

“ผมเหรินเจียง พี่ลู่ฝาน ไท่จื่อเรียนเชิญนาย”

เหรินเจียงมองลู่ฝานด้วยรอยยิ้ม แล้วพูดออกมา

เสียงทุ้มแหบพร่านั่น ทำให้ลู่ฝานแน่ใจว่าเขาเป็นผู้ชาย

ลู่ฝานขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “พี่เหรินมาเป็นตัวแทนของไท่จื่อเหรอครับ”

เหรินเจียงพูดด้วยรอยยิ้ม “ใช่ ไท่จื่อพูดแล้ว พี่ลู่ฝานเป็นผู้จัดการดูแลเจดีย์ยาในฐานะนักบู๊ ต้องมีความสามารถที่ไม่ธรรมดา จึงให้ผมมาเชิญพี่ลู่ฝานไปพูดคุย ไท่จื่อยังให้ผมเอาของขวัญมาให้พี่ลู่ฝานด้วย เชิญดูได้เลยครับ!”

เมื่อพูดเช่นนี้ เหรินเจียงเอาของขวัญออกมาหนึ่งชิ้น

นั่นเป็นอัญมณีสีแดงก่ำ เพิ่งเอาออกมา หิมะที่ลอยอยู่รอบๆ กลายเป็นรูปคนระบำทันที

งดงาม มีชีวิตชีวา มหัศจรรย์มาก

ผู้ฝึกชี่ที่อยู่ข้างๆ คนหนึ่งตะโกนออกมาว่า “หินสวรรค์!”

ลู่ฝานจิตใจวูบไหว เขาเคยได้ยินสิ่งที่เรียกว่าหินสวรรค์

เหรินเจียงยิ้มแล้วพูดว่า “ใช่ นี่คือหินสวรรค์ มีหินนี้อยู่ในมือ สามารถชมท้องฟ้า เข้าสู่สวรรค์ดุจเดินในที่ราบ พี่ลู่ฝาน ไท่จื่อให้ความสำคัญกับนายมาก อย่าปฏิเสธเจตนาดีของไท่จื่อเลยนะครับ!”

เหรินเจียงเดินเข้ามาสองสามก้าว เอาหินสวรรค์ในมือยืนให้ลู่ฝาน

มองหินก้อนนี้ ความคิดมากมายผุดขึ้นในใจลู่ฝาน

“เป็นกับดักหรือเปล่า จงใจให้ฉันไป ไม่ใช่สิ ตอนนี้ฐานะของฉันคือผู้จัดการดูแลเจดีย์ยา ถ้าไท่จื่อต้องการฆ่าฉัน คงไม่ใช่วิธีนี้หรอก งั้นนี้เรื่องจริงเหรอ”

ลู่ฝานรับหินมา เขามองไม่กี่ครั้ง

ฝ่ามือเพิ่งกำไว้บนหิน ลู่ฝานรู้สึกว่ากระบี่หนักไร้คมในเข็มขัดส่งเสียงอื้ออึง ความรู้สึกประหลาดแผ่ซ่านไปทั่วตัว ราวกับทั้งโลกเริ่มเปลี่ยนแปลงไป

ลู่ฝานดึงมือกลับมา เป็นของดีจริงๆ แต่ตอนนี้เขารีบไว้ไม่ได้

ลู่ฝานมองเหรินเจียงที่อยู่ตรงหน้า แล้วพูดอย่างราบเรียบว่า “ได้รับความดีความชอบ ทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำอะไรเลย ยังไม่ทันเจอกัน ไท่จื่อก็ให้ของดีขนาดนี้กับผม ผมไม่กล้ารับไว้จริงๆ ครับ”

เหรินเจียงขมวดคิ้วเบาๆ แล้วพูดว่า “พี่ลู่ฝานจะทำให้อารมณ์ของไท่จื่อหมดเหรอครับ”

ลู่ฝานส่ายหน้าพูดว่า “ไม่รับของ แต่ผมไปพูดคุยกับไท่จื่อได้นะครับ ในเมื่อไท่จื่อให้ความสำคัญกับผมขนาดนี้ ทำไมผมจะต้องหลบซ่อนอีกล่ะครับ”

“ได้ใจมาก!”

เหรินเจียงยิ้มออกแล้ว

เมื่อสะบัดมือ เรือบินลำหนึ่งปรากฏออกมา

ตอนนี้ประสบการณ์ของลู่ฝานนับว่าไม่เลวแล้ว มองแวบเดียวก็รู้ว่าเรือบินลำนี้คือสิ่งที่เดินทางผ่านมิติ

แต่ใช้สิ่งที่เดินทางผ่านมิติที่นี่ กลับทำให้ลู่ฝานรู้สึกไม่เข้าใจ

เหรินเจียงผายมือขวาเชิญลู่ฝาน แล้วพูดว่า “เชิญครับ!”

ลู่ฝานเดินขึ้นเรือช้าๆ สิบสามก็เดินตามมาเช่นกัน

เหรินเจียงกำลังจะพูดอะไร ลู่ฝานพูดออกมาทันทีว่า “เขาเป็นพ่อบ้านของผม ต้องตามไปด้วยครับ”

เหรินเจียงขมวดคิ้วเบาๆ กลืนคำที่จะพูดลงคอ

เรือบินออกไป ท่ามกลางสายตาจับจ้องของทุกคน

พวกผู้ฝึกชี่เห็นภาพนี้ ขณะนั้นผู้อาวุโสที่อายุค่อนข้างมากพูดว่า “เป็นสุนัขรับใช้ของลูกผู้มีอำนาจอีกแล้ว!”

……

เคลื่อนที่หมุนไปรอบๆ พุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

คิดไม่ถึงเลยว่าเรือบินจะเข้าไปในอุโมงค์ข้ามมิติจริงๆ

ลู่ฝานมองแสงสีเก้าสีที่เคลื่อนไหวอยู่รอบๆ เขาพบว่าครั้งนี้เขาไม่ได้อยู่ด้านบนอุโมงค์ข้ามมิติ แต่อยู่ในอุโมงค์ข้ามมิติ

เหรินเจียงยิ้มแล้วพูดว่า “นี่คือสิ่งที่เดินทางผ่านมิติ ส่วนบุคคลของราชวงศ์ และเป็นเส้นทางมิติส่วนบุคคลของราชวงศ์ พี่ลู่ฝานไม่ต้องแปลกใจ อีกไม่นานก็ถึงแล้ว!”

เมื่อพูดจบ เรือบินพุ่งออกจากอุโมงค์ข้ามมิติทันที

วิวด้านหน้าเปลี่ยนไป มาถึงในตลาดที่ดูเจริญรุ่งเรือง

เรือบินจอดลงอย่างมั่นคง ด้านหน้าหอนางโลมแห่งหนึ่ง

โคมไฟสีแดงขนาดใหญ่แขวนไว้สูง ส่องแสงจนพื้นหิมะเป็นสีแดง

ลู่ฝานมองป้ายหอนางโลมแห่งนี้

“หอไป่เฟิ่ง!”

ชื่อธรรมดามาก แต่อาคารสิ่งก่อสร้างดูหรูหราทรงพลังมาก

เดิมทีลู่ฝานเข้าใจว่าจะไปที่พระราชวังในเมือง คิดไม่ถึงว่าจะถูกพามาที่นี่

“องค์รัชทายาทอยู่ที่นี่เหรอครับ”

เหรินเจียงพูดว่า “ใช่ อยู่ด้านใน เชิญพี่ลู่ฝานครับ!”

ทั้งสองคนเดินเข้าไปในหอนางโลม ทันใดนั้นเสียงเครื่องดนตรีประเภทไหมและไผ่ดังเข้ามาในหู สิ่งที่ปรากฏในสายตาคือหญิงสาวผู้งดงามเป็นแถบ

อาคารสิ่งก่อสร้างงดงามหรูหรา ต้นไม้โบราณต้นหนึ่งตั้งอยู่กลางอาคาร

มีผู้หญิงสิบกว่าคนร้องรำทำเพลงอยู่บนต้นไม้ บิดเอวไปมาส่งสายตาหวาน ไม่นานผู้หญิงพวกนี้เริ่มถอดเสื้อผ้า

อาคารทั้งด้านบนและด้านล่างเต็มไปด้วยลูกค้า มีเสียงเชียร์ดังขึ้นเป็นระยะ

เหรินเจียงเห็นท่าทางประหลาดใจของสิบสามกับลู่ฝาน เขายิ้มแล้วพูดว่า “พี่ลู่ฝานเพิ่งเคยมาที่แบบนี้เป็นครั้งแรกเหรอครับ”

ลู่ฝานส่ายหน้าพูดว่า “แค่คิดไม่ถึงว่าสถานที่แบบนี้จะเปิดตอนกลางวันแสกๆ ด้วย!”

เหรินเจียงหัวเราะร่าแล้วพูดว่า “พี่ลู่ฝานคิดเยอะไปแล้ว ที่นี่คือซ่องโสเภณี ที่นี่คือหอนางโลมนะครับ!”

เมื่อพูดเช่นนี้ เหรินเจียงเดินนำลู่ฝานไปด้านบนสุด

ลู่ฝานเงยหน้ามองแวบหนึ่ง ด้านบนมีห้องชั้นดีเก้าห้อง

ไม่ต้องสงสัยเลย องค์รัชทายาทต้องอยู่ในห้องใดห้องหนึ่งแน่นอน

แต่ขณะนั้น จู่ๆ ลู่ฝานเห็นกลุ่มคนเดินเข้ามาทางประตู คนที่เดินนำมาคือหานหยวนหนิง!

ลู่ฝานขมวดคิ้วเบาๆ เขาไม่ได้คิดอะไรมาก จากนั้นเดินตามเหรินเจียงขึ้นไปข้างบน

หลังผ่านไปสามวัน บนเจดีย์ยา

ตรงปากมังกรชั้น 88

ตรงนี้เป็นจุดชมวิวของเจดีย์ยาที่มีอยู่ไม่กี่แห่ง ตั้งอยู่ตรงปากมังกรของตัวหม้อยาขนาดใหญ่ของเจดีย์ยาพอดี

ยืนอยู่บนลิ้นมังกร สามารถมองเห็นความเจริญของเมืองหลวงได้ทั้งหมด

หิมะปลิวว่อน ช่วงก่อนหน้านี้หิมะยังลอยเพียงเบาบาง ตอนนี้ทั้งเมืองหลวงถูกปกคลุมไปด้วยสีขาว

มองจากตรงนี้ ใต้หล้าเต็มไปด้วยหิมะ

ลู่ฝานเอาสองมือไพล่หลัง จิบเหล้าอึกเล็กๆ

สิบสามต้มเหล้าอยู่ด้านหลังเขา เหล้าเป็นเหล้ายา เมื่อดมแล้วจะเป็นกลิ่นยา

สิบสามต้มอย่างเงียบๆ การเคลื่อนไหวช้ามาก แต่ก็มั่นคงมาก

ระยะนี้ทำงานในเจดีย์ยากับลู่ฝาน ได้เห็นได้ยินบ่อยๆ ก็ทำให้สิบสามเรียนรู้วิธีใช้ยามาบางส่วน

อย่างน้อยการต้มเหล้ายาก็ไม่ใช่ปัญหา

“พี่ลู่ฝาน พี่ลู่ฝาน!”

เสียงตะโกนดังมาจากข้างหลัง เซียวเฮ่าวิ่งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

เซียวเฮ่าหอบหายใจ แล้วตะโกนว่า “พี่ลู่ฝาน มีคนมาหาพี่ด้านล่าง ดูเหมือนมาจากวัง บอกว่าเป็นคนของไท่จื่อ”

ลู่ฝานหันมาพูดว่า “คนของไท่จื่อเหรอ มาท้าประลองกับฉันเหรอ”

เซียวเฮ่าส่ายหน้าพูดว่า “เหมือนจะไม่ใช่ พี่รีบลงไปเถอะ!”

ลู่ฝานพยักหน้าเบาๆ เดินตามเซียวเฮ่าลงไปช้าๆ

สิบสามหิ้วเหล้ายาที่ยังต้มไม่เสร็จตามไป การเคลื่อนไหวยังคงรวดเร็วราวกับผี

เดินตามบันไดเมฆลงไป เจอผู้ฝึกชี่จำนวนมากตลอดทาง

เมื่อคนพวกนี้เห็นลู่ฝาน ใบหน้ามีความดูหมิ่นขึ้นมาทันที หลังจากนั้นสะบัดแขนเสื้อไปยืนอีกด้าน ทำท่าเหมือนไม่เต็มใจเป็นพวกเดียวกับลู่ฝาน

ลู่ฝานรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่มีอะไรนอกจากการที่พวกเขาจำนวนมากโกรธ เพราะฐานะผู้จัดการดูแลเจดีย์ยาของเขา ทำให้ผู้ฝึกชี่จำนวนไม่น้อยขยะแขยงเขา

แต่ลู่ฝานไม่สนใจ เห็นคนพวกนี้เป็นแค่อากาศ

เซียวเฮ่าที่เดินตามหลังเขาก้มหน้าลง รีบเดินอย่างรวดเร็ว เขาไม่ได้เว้นระยะห่างกับลู่ฝาน

ทันใดนั้น ผู้ฝึกชี่วัยกลางคนคนหนึ่งเดินสวนมา คนคนนี้สวมเสื้อคลุมยาวสีฟ้า ตรงแขนเสื้อมีลายดิ้นทอง อักษรยันต์รูปยาสี่เม็ด นี่คือเครื่องหมายของผู้จัดการดูแลเจดีย์ยา!

เมื่อเห็นลู่ฝาน ผู้ฝึกชี่วัยกลางคนคนนี้ส่งเสียงหึอย่างเย็นชา ยืนอยู่ที่เดิม ไม่มีท่าทีจะหลีกทางให้

ลู่ฝานก็ไม่สนใจเขา เดินอ้อมเขาแล้วเดินต่อไปข้างหน้า

ผู้ฝึกชี่วัยกลางคนปรายตามองลู่ฝานอย่างดูหมิ่น เขาไม่ได้เรียกลู่ฝานไว้ แต่กลับดึงเซียวเฮ่าแล้วพูดว่า “เซียวเฮ่า นายเดินเร็วขนาดนี้ทำไม อย่าบอกนะว่าเบื่อการเป็นผู้ฝึกชี่ อยากฝึกขาและเท้าเหมือนนักบู๊เหรอ”

เสียงของผู้ฝึกชี่วัยกลางคนดังมาก จู่ๆ ก็เรียกสายตาของคนจำนวนไม่น้อยให้หันมา คนกลุ่มหนึ่งหัวเราะเยาะออกมาทันที

เซียวเฮ่าพูดอย่างกระอักกระอ่วนว่า “ผู้อาวุโสหลิ่วซ่าน ผมแค่มาแจ้งผู้ดูแลลู่ฝานว่ามีคนมาหาเขาข้างล่าง”

หลิ่วซ่านหัวเราะพรืด แล้วพูดว่า “ผู้ดูแลลู่ฝานงั้นเหรอ ฉันเคยได้ยินแค่นักบู๊ลู่ฝาน นักกระบี่แห่งตงหวาลู่ฝาน แต่ไม่เคยได้ยินผู้จัดการดูแลเจดีย์ยาลู่ฝาน!”

“พูดได้ดี!”

ขณะนั้นผู้ฝึกชี่กลุ่มหนึ่ง พากันปรบมือส่งเสียงเชียร์

ลู่ฝานชะงักฝีเท้าลง มองหลิ่วซ่านแวบหนึ่งแล้วพูดว่า “ป้ายจัดการดูแลของผม ผู้อาวุโสโม่เป็นคนมอบให้ ถ้าท่านไม่พอใจ ก็ไปแสดงความเห็นกับผู้อาวุโสโม่ แต่ถ้าท่านไม่รู้ ผมคงพูดได้เพียงว่าท่านแก่จนสายตาเลือนรางแล้ว!”

“เด็กปากดี ฉันไปแสดงความเห็นกับผู้อาวุโสโม่แน่นอน อย่าคิดว่ามีอสูรวิเศษกลั่นยาเป็น แล้วจะเจ๋งมาก ฉันจะบอกนายไว้นะ แค่เจดีย์ยาของเราไม่เคยคิดเรื่องที่อสูรวิเศษกลั่นยาเป็นเท่านั้น อีกไม่นานก็จะมีอสูรวิเศษกลั่นยาเป็น ที่แข็งแกร่งกว่าอสูรวิเศษของนายสิบเท่า ร้อยเท่า ปรากฏในเจดีย์ยา ดูสิว่าเมื่อถึงตอนนั้นนายยังจะมีหน้าเป็นผู้จัดการดูแลในเจดีย์ยาต่ออีกหรือเปล่า!”

หลิ่วซ่านพูดอย่างโมโหฟึดฟัด

ผู้อาวุโสโม่เอาป้ายอันหนึ่งออกมาจากอก ยื่นให้ลู่ฝานแล้วพูดว่า “นี่เป็นป้ายที่ฉันเป็นคนจัดการดูแลในตอนนั้น ตอนนี้เป็นของนายแล้ว อีกเดี๋ยวฉันจะเอาชื่อนายสลักไว้บนกำแพงพลังชี่ของเจดีย์ยา”

พูดพลาง ผู้อาวุโสโม่ก้าวออกไป ราวกับอยากพาเจ้าดำกับอี้ปู่ออกไปจนทนไม่ไหวแล้ว

เฮ่อจงมองลู่ฝาน ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ลู่ฝาน ฉันคิดไม่ถึงเลยว่านายจะเป็นคนหน้าเลือดขนาดนี้!”

พูดจบ เฮ่อจงส่ายหัวเดินออกไป

ผู้เฒ่าซูพูดอย่างไม่เกรงใจยิ่งกว่า เขาพูดเสียงดังว่า “ลู่ฝาน เก็บป้ายของนายไว้ให้ดี ระวังมันจะเอาชีวิตนาย!”

ทั้งสองเดินตามผู้อาวุโสโม่ออกไป

ตอนนี้ผู้ฝึกชี่ที่อยู่รอบๆ พากันเงียบทั้งหมด

ลู่ฝานมองป้ายเหมือนหยกในมือ จากนั้นพยักหน้าเบาๆ

ไม่ว่าอย่างไร เขาได้ป้ายนี้มาอยู่ในมือแล้ว

มีสิ่งนี้อยู่ ถือว่าอยู่ในเมืองหลวง เขามียันต์คุ้มกายที่ไม่เลวแล้ว!

……

หลังผ่านไปสองสามชั่วยาม ชื่อของลู่ฝานปรากฏอยู่บนกำแพงพลังชี่

เมื่อผู้ฝึกชี่ของเจดีย์ยาจำนวนไม่น้อย เห็นว่าลู่ฝานเป็นคนจัดการดูแลแล้ว พากันฮือฮาไปหมด ต่างสอบถามว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

หลังผ่านไปหนึ่งวัน เรื่องที่ลู่ฝานเอาอสูรวิเศษที่สามารถกลั่นยาได้ เป็นของแลกเปลี่ยนกับป้ายจัดการดูแล แพร่กระจายไปทั้งเจดีย์ยา

คนส่วนหนึ่งกำลังสอบถามด้วยความอยากรู้ ว่าเป็นอสูรวิเศษแบบไหนกันแน่ ที่สามารถกลั่นยาได้

ส่วนคนอีกส่วนหนึ่งกลับด่าทอลู่ฝานว่าหน้าไม่อาย ไม่คิดเลยว่านักบู๊จะกลายเป็นคนจัดการดูแลของเจดีย์ยา

หลังผ่านไปสามวัน เรื่องในเจดีย์ยาแพร่ไปถึงหูของอำนาจใหญ่อื่นๆ ในเมืองหลวง

ตระกูลหาน

หานอู๋ซวงนั่งอยู่ตรงข้ามสงป้าเทียน หลังจากได้ยินว่าลู่ฝานกลายเป็นคนจัดการดูแลของเจดีย์ยา เขาเกือบพ่นน้ำชาใส่หน้าสงป้าเทียน หลังจากนั้นเขาพูดเอะอะว่า “เด็กอย่างลู่ฝานมีความสามารถมากกว่าฉันอีก! เขาทำเรื่องที่ฉันยังไม่กล้าทำ นักบู๊กลายเป็นคนที่เหนือกว่าพวกผู้ฝึกชี่ ทำไมฉันฟังแล้วรู้สึกดีขนาดนี้!”

ตระกูลเทียน

เทียนหยาจื่ออ้าปากค้าง ยืนยันความถูกต้องของข่าวที่ได้รับหลายครั้งติดต่อกัน

“นายแน่ใจเหรอว่าจริง”

“ลู่ฝานเป็นคนจัดการดูแลของเจดีย์ยาจริงๆ เหรอ”

“ผู้อาวุโสของเจดีย์ยาอนุมัติเองเลยเหรอ”

หลังจากยืนยันว่าเรื่องจริงไม่มีความผิดพลาด เทียนหยาจื่อเงียบไป ผ่านไปนานจึงเค้นเสียงพูดออกมาว่า “ดี!”

ภายในพระราชวังที่อยู่ในเมือง

หลังจากองค์ชายรองฉินฝานได้ยินข่าวนี้ เขาหัวเราะจนหยุดไม่ได้

“ลู่ฝานนะลู่ฝาน นายทำให้ฉันประหลาดใจจริงๆ พี่ชายสุดที่รักของฉัน ครั้งนี้พี่จะทำอะไรเขาได้อีกไหม”

วังของไท่จื่อ

ไท่จื่อที่กำลังตกปลาอยู่ แปลกที่ไท่จื่อไม่โกรธ กลับหัวเราะออกมาด้วยซ้ำ

โยนเหยื่อเป็นกำ ลงไปในทะเลสาบ ไท่จื่อฉินอวิ่นยิ้มแล้วพูดว่า “ลู่ฝานน่าสนใจจริงๆ เขามีความสามารถกว่าที่ฉันจินตนาการไว้ เขาไม่เพียงแต่เข้าไปหลบในเจดีย์ยา ยังกลายเป็นคนจัดการดูแลอีกด้วย แค่นักบู๊ เขาเป็นแค่นักบู๊เท่านั้น!”

จางกวังกอดกระบี่อย่างสุขุมอยู่ด้านหลัง เขาพูดว่า “ไท่จื่อรู้สึกชอบคนมีความสามารถเหรอครับ”

ฉินอวิ่นยิ้มแล้วพูดว่า “ใช่ นักบู๊ธรรมดาเพียงคนเดียว คนที่ไม่มีค่าอะไร แน่นอนว่าฆ่าให้ตายดีที่สุด จะได้ไม่ขวางทาง แต่คนที่กลายเป็นคนจัดการดูแลเจดีย์ยา มีค่าให้ฉันเอามาเป็นพวก จางกวัง บอกให้เหรินเจียงไปมอบของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ให้ลู่ฝานแทนฉันหน่อย ถ้าเขาเป็นคนฉลาดและอยู่เป็น แปดผู้โดดเด่นของพวกนาย จะกลายเป็นเก้าผู้โดดเด่นแล้ว”

จางกวังขมวดคิ้วพูดว่า “ไม่ต้องให้เหรินเจียงหยั่งเชิงดูหน่อยเหรอครับ”

ฉินอวิ่นส่ายหน้าพูดว่า “ไม่จำเป็น แค่ฐานะก็เพียงพอแล้ว ฐานะคือสิ่งสำคัญ!”

พูดพลาง ฉินอวิ่นวางฝ่ามือลงบนผิวน้ำ ทันใดนั้นปลาโดนสะเทือนจนตาย ลอยขึ้นมาเป็นแถบ

“เจ้าปลาโง่ ทำไมต้องมาทำให้ฉันเสียเวลาด้วย รีบกินเหยื่อเร็วๆ ได้ไหม อย่าบอกนะว่าปลาโง่อย่างพวกแกไม่รู้เลยว่าฉันมีความอดทนต่ำมาก”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1001
“ผู้อาวุโสโม่! ท่านไม่สามารถ…..”

ตาเฒ่าซูใกล้คลั่งแล้ว ท่าทางทำอะไรไม่ถูกของเขา เห็นได้ชัดว่าตกใจมาก

ยากที่จะได้เห็นเฮ่อจงมีความคิดเดียวกับตาเฒ่าซู เขาก็พูดเสียงดังว่า “ผู้อาวุโสโม่ จะให้ป้ายจัดการดูแลกับคนอื่นตามใจชอบได้ยังไงครับ!”

ผู้อาวุโสโม่ปรายตามองทั้งสองคน พูดเสียงเย็นชาว่า “อย่าบอกนะว่าพวกนายไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิด”

จู่ๆ ตาเฒ่าซูกับเฮ่อจงไม่กล้าพูดอะไรมาก ทั้งสองค่อยๆ ใจเย็นลง

พวกเขาเข้าใจอยู่แล้วว่าอสูรวิเศษบนตัวลู่ฝานหมายถึงอะไร และรู้ว่าถ้าเทียบกับอนาคตของโลกผู้ฝึกชี่ ป้ายดูแลจัดการอันเล็กๆ ของเจดีย์ยา ไม่นับประสาอะไรเลย

แต่พวกเขาแย้งการกระทำนี้ตามสัญชาตญาณ

เพราะพวกเขาดิ้นรนในเจดีย์ยามาครึ่งชีวิต กว่าจะได้ป้ายจัดการดูแลอันนี้มา ได้รับตำแหน่งผู้ดูแลเจดีย์ยาที่ใครๆ ต่างให้ความเคารพเลื่อมใส

นี่คือความภูมิใจของพวกเขา คือทุกสิ่งของพวกเขา

แต่ตอนนี้สิ่งเหล่านี้เหมือนสมุนไพรต้นหนึ่ง เหมือนยาเม็ดหนึ่งในมือผู้อาวุโสโม่ เอาไปแลกเปลี่ยนตามใจชอบ

ทั้งสองคนรู้สึกว่าความพยายามกว่าครึ่งชีวิตของตัวเองโดนดูถูก

ลู่ฝานก็อึ้งไปครู่หนึ่ง ป้ายจัดการดูแลงั้นเหรอ

เขาเคยได้ยินสิ่งนี้

นับดูแล้วเขาก็อยู่ที่เจดีย์ยามาระยะหนึ่งแล้ว

แน่นอนว่าต้องรู้ว่าจัดการดูแลเจดีย์ยา แสดงถึงฐานะอย่างไร ลู่ฝานไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งตัวเองจะกลายเป็นคนจัดการดูแลของเจดีย์ยา

ฐานะแบบนี้เมื่อคิดดูแล้ว ต้องสูงกว่าผู้ตรวจการชั้นกลางมาก

และตอนนี้ผู้อาวุโสที่อยู่ด้านหน้า จะเอามันมาแลกกับเจ้าดำสองสามวัน

ลู่ฝานรู้สึกว่าตัวเองทำเกินไปหรือเปล่า

เจ้าดำใบหน้าสับสน ไม่รู้เลยว่าตัวเองกลายเป็นหัวใจสำคัญ ของผลประโยชน์ในการแลกเปลี่ยนไปแล้ว

ผู้อาวุโสโม่หันมา มองลู่ฝานอย่างราบเรียบแล้วพูดว่า “ว่ายังไง มีป้ายจัดการดูแลอยู่ในมือ ทั้งเมืองหลวง ถึงเป็นราชวงศ์ก็ยังต้องไว้หน้านาย แค่นายไม่ทำเรื่องที่ร้ายแรงใหญ่โต ก็ไม่มีใครแตะต้องนายได้ นี่เป็นการยอมอ่อนข้อครั้งใหญ่ ที่ฉันสามารถทำได้ในนามของเจดีย์ยา”

ลู่ฝานได้ยินคำว่าราชวงศ์ก็กัดฟันพูดว่า “ได้ แต่ผมต้องเตือนพวกคุณก่อน เจ้าดำไม่ได้เก่งอย่างที่พวกคุณจินตนาการไว้!”

ผู้อาวุโสโม่ยื่นมือออกมาแล้วพูดว่า “เรื่องนี้เราตัดสินเองได้ นายแค่เอาอสูรวิเศษของนายให้เรายืมสองสามวันก็พอแล้ว ฉันรับรองกับนายได้เลยว่าจะปฏิบัติกับมันอย่างดี”

ลู่ฝานพยักหน้า อีกฝ่ายพูดถึงขั้นนี้แล้ว เขาไม่มีเหตุผลให้ปฏิเสธอีกแล้ว

เอาเจ้าดำลงมาจากไหล่แล้ววางลง ลู่ฝานพูดกับเจ้าดำว่า “เจ้าดำ แกอยู่กับพวกเขาสองสามวันได้ไหม”

เจ้าดำมองผู้อาวุโสโม่ แล้วมองลู่ฝานอีกครั้ง ใช้สองข้างหน้าทำท่าทำทางอยู่ครู่หนึ่ง

ผู้อาวุโสโม่ถามว่า “มันพูดอะไรเหรอ”

ลู่ฝานพูดอย่างกระอักกระอ่วนเล็กน้อย “มันถามพวกคุณว่ามีของอร่อยต้อนรับไหม”

ผู้อาวุโสโม่หัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “มีอยู่แล้ว มันอยากกินอะไรได้หมดไม่มีปัญหา”

เจ้าดำทำท่าทำทางอีกครู่หนึ่ง สีหน้าลู่ฝานไม่สู้ดีเข้าไปอีก คิดคำพูดอยู่ครู่หนึ่งจึงพูดว่า “เจ้าดำบอกว่ามันจะกินยาชั้นดี และต้องการสมุนไพรเยอะๆ รวมถึงแก้วหินสัตว์อสูรด้วย”

ผู้อาวุโสโม่พูดอย่างแน่วแน่ว่า “ไม่มีปัญหาเหมือนกัน”

เจ้าดำได้ยินคำพูดของผู้อาวุโสโม่ มันพยักหน้าอย่างพอใจ จากนั้นโบกกรงเล็กให้ลู่ฝาน

ท่าทางนั้นเหมือนกำลังบอกว่า นายเดินทางดีๆ ฉันจะไปเสวยสุขแล้ว

จู่ๆ ลู่ฝานรู้สึกว่าตัวเองไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับเจ้าดำเลย ไอ้หมอนี่ฉลาดกว่าคนธรรมดาเยอะมาก

เจ้าดำเดินอกผายไหล่ผึ่งออกไปข้างนอก

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1000
แต่สำหรับผู้ฝึกชี่ง่ายกว่ามาก อย่างน้อยลู่ฝานที่ไม่ได้มีวิชาผู้ฝึกชี่ที่ลึกล้ำ ยังสามารถทำห้าธาตุควบคุมลมได้

ผู้อาวุโสโม่กวาดตามองลู่ฝานกับอี้ปู่ จู่ๆ ก็ยิ้มออกมา

บนใบหน้าชรามีรอยย่นรวมตัวกันจนเป็นกลุ่มก้อน ดวงตาจมลงไปในรอยย่น ใบหน้าเขาดูเหมือนซาลาเปาที่ขึ้นรา

ผู้อาวุโสโม่ยิ้มแล้วพูดว่า “อี้ปู่ ลู่ฝาน การประลองด้านยาของพวกนายสองคน ทำให้ฉันเปิดโลกจริงๆ เปิดโลกยิ่งใหญ่มาก!”

อาจเป็นเพราะสำคัญมาก ผู้อาวุโสโม่จึงพูดสองรอบ

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ใช่ผมครับ เจ้าดำต่างหาก ไม่เกี่ยวกับผม”

ตอนนี้จำเป็นต้องปัดความรับผิดชอบออกจากตัวเอง ไม่งั้นปัญหาจะใหญ่

ผู้อาวุโสโม่ยิ้มแล้วพูดกับอี้ปู่ก่อน “อี้ปู่ อีกเดี๋ยวนายไปชั้นบนของเจดีย์ยากับฉันหน่อยได้ไหม”

อี้ปู่เอียงหัว จู่ๆ ก็หัวเราะแล้วพูดว่า “นายเตรียมห้องใหญ่ให้ฉันเหรอ”

ผู้อาวุโสโม่ยิ้มแล้วพูดว่า “ใช่ ห้องใหญ่”

“มีถังหูลู่ด้วยหรือเปล่า”

“มี!”

“แล้วหนังสือยากับวิชาล่ะ”

“เหมือนกัน นายดูได้ตามใจเลย!”

ผู้อาวุโสโม่ถามตอบกับอี้ปู่ ห้าวหาญตรงไปตรงมามาก

อี้ปู่ยิ้มแล้วพูดว่า “งั้นได้เลย ฉันจะไปกับนาย!”

ผู้อาวุโสโม่พยักหน้าพอใจ แอบพูดในใจว่าเด็กนี่หลอกง่ายจริงๆ

ผู้อาวุโสโม่มองมาที่ลู่ฝานแล้วพูดว่า “ลู่ฝาน นายพอจะให้ฉันยืมอสูรวิเศษของนายสักสองสามวันไหม นายวางใจได้เลย ฉันจะไม่ทำให้มันบาดเจ็บแม้แต่นิดเดียว ถ้านายไม่เชื่อ ฉันสามารถทำหยกชีวิตชั้นดีให้มันได้ ให้นายพกติดตัวเอาไว้”

ลู่ฝานพูดด้วยรอยยิ้ม “เจ้าดำเป็นแค่อสูรวิเศษตัวเล็กๆ เท่านั้น ผู้อาวุโสถึงกับต้องให้ความสำคัญขนาดนี้เลยเหรอครับ”

ผู้อาวุโสโม่พยักหน้าแรง “คุ้มค่าที่จะให้ความสำคัญ ลู่ฝาน แค่นายพยักหน้า ฉันรวมถึงเจดีย์ยา จะเป็นมิตรกับนายตลอดไป”

เพียงประโยคเดียว ทำให้เฮ่อจงกับตาเฒ่าซูหน้าเปลี่ยนสี

พวกเขาสองคนเข้าใจความหมายของประโยคที่ผู้อาวุโสโม่พูด ผู้อาวุโสโม่พูดประโยคนี้ออกมาในฐานะผู้อาวุโสของเจดีย์ยา อีกทั้งยังพูดต่อหน้าผู้ฝึกชี่เยอะขนาดนี้ คำสัญญานี้เทียบได้กับป้ายทองเว้นตายเชียวนะ

นี่หมายความว่าไม่ว่าต่อไปลู่ฝานทำอะไร อย่างน้อยก็มีเจดีย์ยายืนอยู่ด้านหลัง

ทั้งประเทศอู่อาน ใครกล้าเพิกเฉยเจดีย์ยาบ้างล่ะ

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “งั้นก็ได้ แต่ผมต้องการผลประโยชน์!”

ผู้อาวุโสโม่พูดว่า “ฉันบอกแล้วว่าฉันกับเจดีย์ยาเป็นมิตรของนาย”

ลู่ฝานส่ายหน้าพูดว่า “นี่เป็นเพียงคำพูดปากเปล่า ไม่ใช่ผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นจริง ผมเป็นคนที่ค่อนข้างอยู่กับความจริง ผมชอบผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นจริง”

สีหน้าผู้อาวุโสโม่เปลี่ยนไปเล็กน้อย

เฮ่อจงกับตาเฒ่าซูตกใจจนช็อกไปแล้ว

ต้องกล้าขนาดไหนกัน ถึงถามหาผลประโยชน์จากผู้อาวุโสเจดีย์ยาอย่างโจ่งแจ้งแบบนี้

ตาเฒ่าซูพูดเสียงดังว่า “ลู่ฝาน นายรู้ไหมว่าคนที่ยืนตรงหน้านาย คือผู้อาวุโสโม่ของเจดีย์ยาเชียวนะ”

ขณะนั้นผู้อาวุโสโม่ยกมือขึ้นมาห้ามตาเฒ่าซู มองลู่ฝานด้วยรอยยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ได้เห็นคนหนุ่มที่ให้ความสำคัญกับความเป็นจริงแบบนายมานานแล้ว นายว่ามาสิว่าต้องการผลประโยชน์แบบไหน”

ลู่ฝานครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “ผมต้องการป้ายแขวนเอวของเจดีย์ยา แบบที่เดินออกไปก็แสดงตัวตนของเจดีย์ยา ป้ายแขวนเอวที่ไม่มีใครกล้าเพิกเฉย”

ผู้อาวุโสโม่อึ้งไป จู่ๆ เขาหัวเราะแล้วพูดว่า “เจดีย์ยาไม่มีป้ายแขวนเอว”

ลู่ฝานขมวดคิ้ว ไม่มีเหรอ

แบบนี้ก็แย่สิ เขาคิดจะทำป้ายที่ป้องกันตัวเองสักชิ้น ช่วงนี้นับว่าเขาได้สัมผัสกับประโยชน์ของป้ายต่างๆ

ลู่ฝานกำลังจะพูดสิ่งอื่น ผู้อาวุโสโม่ชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “แต่เจดีย์ยามีป้ายจัดการดูแล ฉันสามารถให้นายได้!”

ทันใดนั้น ทุกคนถึงกับตกตะลึง

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 999
อี้ปู่แพ้อย่างราบคาบ ใบหน้าเล็กดูห่อเหี่ยวเป็นอย่างมาก

ถึงขั้นที่ตอนนี้เขาไม่สนใจแล้วว่ากลั่นยาออกมาได้หรือเปล่า หลังจากอี้ปู่เห็นยาที่มีออร่าสร้างความกดดันของอีกฝ่าย เด้งออกมาจากหม้อยา ก็หยุดการกระทำทั้งหมดลงทันที

เพราะเขารู้ดีว่าตัวเองกลั่นยาไม่ได้เท่าอีกฝ่าย

ถ้าอีกฝ่ายเป็นนักเรกิที่แท้จริง อี้ปู่ไม่มีทางกลุ้มใจเท่านี้

แต่สิ่งที่ยืนตรงหน้าเขาคืออสูรวิเศษตัวหนึ่ง!

อสูรวิเศษที่แม้แต่ภาษาคนก็ยังพูดไม่ได้!

มองตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันไม่รู้กี่ปี ไม่เคยได้ยินว่าอสูรวิเศษกลั่นยาได้

อี้ปู่ไม่รู้ว่าตัวเองควรร้องไห้หรือหัวเราะดี

เขาอาจเป็นพยานในประวัติศาสตร์ อสูรวิเศษตัวแรกที่สามารถกลั่นยาได้ อีกทั้งการประลองด้านยาครั้งแรกก็คือการประลองกับเขา

การประลองด้านยาครั้งนี้ ไม่แน่อาจฝากชื่อเสียงไว้ในประวัติศาสตร์ก็ได้!

ทุกอย่างเสร็จสิ้น ลู่ฝานเก็บพลังของตัวเองกลับมา

มุกเวิ้งว้างในตัวเจ้าดำนิ่งไปทันที เจ้าดำควบคุมร่างกายตัวเองอีกครั้ง

ขาทั้งสี่ข้างวางลงบนพื้น หม้อยาเล็กลง

เจ้าดำหาวเหมือนคน ความดูหมิ่นปรากฏขึ้นบนใบหน้า

จู่ๆ ผู้ฝึกชี่ทั้งหมดในที่นี้ รู้สึกว่าบุคลิกความเป็นคนของตัวเองโดนดูหมิ่น รวมผู้อาวุโสโม่อยู่ในนั้นด้วย คนส่วนใหญ่มองเจ้าดำด้วยสีหน้าประหลาด ยังมีคนบางส่วนที่ในดวงตามีประกายลุกโชน ราวกับจะแย่งเจ้าดำได้ทุกเมื่อ

เจ้าดำอุ้มหม้อยากับยากลับไปมอบให้ลู่ฝานเหมือนสมบัติล้ำค่า

ลู่ฝานยิ้มแล้วลูบหัวเจ้าดำ เขาเก็บหม้อยา ส่วนยาก็เหลือให้เจ้าดำ ไม่เพียงแค่นั้น เขายังแอบยัดยาเม็ดให้เจ้าดำอีกหนึ่งกำ

นี่เป็นค่าตอบแทนที่ตกลงกันไว้แล้ว!

เจ้าดำไม่เกรงใจ ย่อตัวให้เล็กแล้ววิ่งกลับขึ้นไปบนไหล่ลู่ฝาน กินพลางยิ้มแหยๆ

ดูเหมือนวิธีกินยาคำละกอง แม้คนในที่นี้ล้วนเป็นผู้ฝึกชี่ ก็รู้สึกว่ามันฟุ่มเฟือยเกินไป

เป็นไปตามคาด อสูรวิเศษที่ดี ล้วนต้อง “บ่มเพาะ” !

ทำไมลู่ฝานดูรวยกว่าผู้ฝึกชี่อย่างพวกเขากันนะ!

ไม่สนใจคนอื่นที่ตกใจ สีหน้าเหล่านี้ของพวกเขา ลู่ฝานเห็นมาเยอะมากแล้ว ไม่ได้รู้สึกแปลกใหม่เลย

ลู่ฝานเงยหน้ามองอี้ปู่แล้วพูดว่า “บอกวิชายาของนายให้ฉันได้หรือยัง”

อี้ปู่เดินเข้ามา สะบัดมือโยนกระดาษแผ่นหนึ่งให้ลู่ฝานทันที

นี่เป็นกระดาษยับยู่ยี่ ดูเหมือนโดนคนขยำมาหลายรอบแล้ว

ลู่ฝานมองเพียงแวบเดียว แล้วรีบเก็บอย่างจริงจัง

อี้ปู่พูดว่า “แม้ฉันยังเด็ก แต่ก็รู้จักรักษาคำพูด แพ้ก็คือแพ้ วิชายาเป็นของนายแล้ว!”

ลู่ฝานพูดเสียงขรึมว่า “วางใจเถอะ ฉันแค่ศึกษาเอง ไม่ถ่ายทอดให้คนอื่น!”

อี้ปู่พยักหน้า จู่ๆ เขาตะโกนไปบนฟ้า “พวกนายดูพอหรือยัง ถ้าดูพอแล้วก็ออกมา!”

ทุกคนเงยหน้าตาม ลู่ฝานตกใจเล็กน้อย ตอนนี้เขาเพิ่งพบว่าบนฟ้ามีอะไรผิดปกติ

ผู้อาวุโสโม่ปิดบังต่อไปไม่ได้แล้ว เขาตัดสินใจเอาสิ่งที่ปิดบังออกทันที

ตัวของทั้งสามคนปรากฏออกมาในพริบตา ทำให้คนจำนวนไม่น้อย อุทานออกมาอย่างตกใจทันที

“ท่านซู แล้วก็ผู้ดูแลเฮ่อด้วย!”

“คิดไม่ถึงว่าอาจารย์จะอยู่ที่นี่ด้วย พวกเขาดูอยู่ข้างบนตลอดเลยเหรอ”

“แอบดูลับๆ ล่อๆ แบบนี้ ดูไม่ค่อยเหมาะสมหรือเปล่า!”

“ใครบอกฉันได้บ้าง วิชาซ่อนตัวแบบนี้เรียนจากที่ไหน”

พวกผู้ฝึกชี่พูดคุยกันเสียงเบา

ตอนนี้พวกผู้อาวุโสโม่ลอยลงมาจากฟ้า

สำหรับนักบู๊ การลอยอยู่กลางอากาศ เป็นเรื่องที่ยากมาก ถ้าไม่ถึงแดนปราณฟ้า ควบคุมได้ยากมาก

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 998
ลู่ฝานยืนอยู่ด้านหลัง ควบคุมร่างกายเจ้าดำ มุมปากของเขามีรอยยิ้ม

ถึงขนาดที่เขายังมีเวลามองสีหน้าคนอื่น การกลั่นยาแบบนี้สำหรับเขา ไม่มีความยากอะไรเลย

นักเรกิธรรมดาๆ ไม่สามารถชนะเขาได้หรอก ถึงเขาไม่ได้ลงมือด้วยตัวเอง แต่ใช้ร่างกายของเจ้าดำทำแทนก็เถอะ

สิ่งเดียวที่ลู่ฝานต้องกังวลก็คือ จะมีคนดูออกไหมว่าเขากำลังควบคุมกลางอากาศ

แต่คิดดูแล้วคนที่อยู่ข้างๆ พวกนี้ น่าจะดูไม่ออก ลู่ฝานไม่รู้ว่ากลางอากาศยังมีคนหน้าไม่อายสามคนแอบมองอยู่

แต่ผู้อาวุโสโม่และคนอื่นก็ดูไม่ออกจริงๆ

ช่วยไม่ได้ วิชาที่ลู่ฝานใช้ เป็นสิ่งที่พวกเขาไม่สามารถเข้าใจได้จริงๆ

วิชาควบคุมคือเทพยอดกลั่นยาอู๋จี๋ ที่อาจารย์หวูเฉินถ่ายทอดให้ ลู่ฝานสงสัยมาตลอดว่าวิชานี้เป็นวิชาระดับฟ้าหรือเปล่า

ส่วนสิ่งที่ทำให้เขาเชื่อมต่อกับเจ้าดำคืออีกวิชาหนึ่ง

มีชื่อว่าวิชาหนึ่งเดียวแดนไกลโพ้น!

ใช่แล้ว ลู่ฝานไม่เคยละทิ้งการฝึกฝนวิชานี้เลย ตั้งแต่ได้วิชานี้มาจากสุ่ยเชียนโหรว อันที่จริงลู่ฝานฝึกฝนมาตลอด

แม้ตอนนี้เขาเรียนได้แค่พลังจิตเคลื่อนย้ายวัตถุของวิชาหนึ่งเดียวแดนไกลโพ้น แต่ทำให้เขาได้ประโยชน์มากมายแล้ว

ตอนฆ่าพญาหนอน ลู่ฝานทำลายแดนมายาของพญาหนอน ก็ใช้พลังจิตเคลื่อนย้ายวัตถุของวิชาหนึ่งเดียวแดนไกลโพ้น

ตอนนี้พลังที่เชื่อมต่อเขากับเจ้าดำเอาไว้ ก็คือพลังจิตเคลื่อนย้ายวัตถุ

พลังจิตเคลื่อนย้ายวัตถุไม่มีรูปร่าง แค่ใช้ปราณชี่ของเขา ถึงขั้นที่ไม่ต้องเคลื่อนไหวพลังฟ้าดินสักนิด

อย่าว่าแต่ผู้อาวุโสโม่ดูไม่ออกเลย ถึงเป็นเซียนบำเพ็ญชี่มาอีกคน ก็ไม่แน่ว่าจะคาดเดาได้

สุดท้ายลู่ฝานยังใช้ปราณชี่พิเศษของตัวเองด้วย

พลังในมุกเวิ้งว้าง มีตราประทับของเขาอยู่ แน่นอนว่าต้องมีปราณชี่ของเขา

เคลื่อนไหวปราณชี่ รวบรวมพลังฟ้าดิน ควบคุมพลังฟ้าดิน

มีวิชาสามอย่างนี้ ถึงทำให้ลู่ฝานทำเรื่องที่มีทักษะอันน่าทึ่งขนาดนี้ได้

อันที่จริงเขาก็ไม่ได้คิดอะไรมากขนาดนั้น แค่ไม่เปิดเผยว่าเขาเป็นคนที่ฝึกทั้งบู๊และชี่ก็พอแล้ว สำหรับเรื่องไร้สาระที่อสูรวิเศษกลั่นยาได้ จะสร้างความช็อกที่ยิ่งใหญ่หรือเปล่านั้น ลู่ฝานไม่เคยคิดเลย

ไม่นาน ในหม้อสือฟาง ยากลายเป็นรูปร่าง

ใบหน้าเจ้าดำมีสีหน้าเหมือนมนุษย์ ถ้ามีคนรู้จักลู่ฝานอยู่ที่นี่ ต้องดูออกแน่นอนว่าสีหน้าของเจ้าดำในตอนนี้ เหมือนตอนที่ลู่ฝานมีความสุขไม่มีผิด

ตึ่ง!

ยาเม็ดกลมเด้งออกมาจากหม้อยาทันที กลิ่นยาหอมฟุ้งไปทั่ว ออร่าสร้างความกดดัน ส่งเสียงอื้ออึงออกมา เป็นยาระดับยาทิพย์แน่นอน

ส่วนตอนนี้ยาของอี้ปู่ ยังไม่เป็นรูปเป็นร่างเลย ดูแค่นี้ก็รู้แล้วว่าใครเก่งไม่เก่ง

ทุกคนถึงกับสูดหายใจเฮือก

“มันกลั่นสำเร็จแล้วจริงๆ!”

“อสูรวิเศษก็กลั่นยาเป็นด้วย!”

“ถ้าไม่เห็นด้วยตาตัวเอง ฉันไม่เชื่อเด็ดขาด ที่บ้านฉันมีอสูรวิเศษอยู่ตัวหนึ่ง ฉันจะไปสอนมันกลั่นยาตอนนี้เลย”

……

เสียงตะโกน เสียงอุทานอย่างตกใจดังเข้าหูไม่หยุด

ตอนผู้อาวุโสโม่เห็นยาเด้งออกมาจากหม้อยา เขาเกือบดึงเคราตัวเองจนหลุดลงมา

“คิดไม่ถึง คิดไม่ถึงจริงๆ ทำไมฉันถึงไม่เคยคิดเลยนะ อสูรวิเศษไม่เหมือนคน ไม่แบ่งแยกพลังปราณหรือพลังชี่ แค่ดูดซับพลังฟ้าดิน พวกมันก็สามารถกลั่นยาได้แล้ว!”

เหมือนผู้อาวุโสโม่พบโลกใหม่ เสียงเริ่มสั่นขึ้นมา

เฮ่อจงพูดว่า “ผู้อาวุโส ผมคิดว่าผมควรเลี้ยงอสูรวิเศษสักตัวแล้วล่ะครับ”

ตาเฒ่าซูกลืนน้ำลายแล้วพูดว่า “ฉันเลี้ยงฝูงหนึ่ง ใครก็อย่ามาห้ามฉัน ฉันจะเลี้ยงฝูงใหญ่เลย”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 997
ใช่แล้ว ตอนที่ลู่ฝานทำลับๆ ล่อๆ เอาหม้อยาออกมา เขาเอามุกเวิ้งว้างออกมาด้วย

ใช้โอกาสตอนคนไม่ทันสังเกต เอามุกเวิ้งว้างใส่เข้าไปในตัวเจ้าดำทันที

มุกเวิ้งว้าง เป็นเครื่องรางที่ลู่ฝานเคยสังเคราะห์ออกมา ด้านในมีตราประทับอักษรยันต์ที่ลู่ฝานใส่ลงไป เขาสามารถใช้พลังด้านในได้ทุกเมื่อ

หลังจากนั้น เจ้าดำรู้สึกถึงพลังแข็งแกร่งปล่อยออกมาจากมุกเวิ้งว้าง อีกทั้งยังแผ่ซ่านไปทั่วตัวของมัน

เจ้าดำมองลู่ฝานด้วยใบหน้าใสซื่อบริสุทธิ์ มันที่แสนฉลาดรู้แล้วว่าลู่ฝานจะทำอะไร

คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้านายทุเรศของมัน จะใช้มันเป็นหุ่นเชิด

ลู่ฝานแสดงสีหน้าขอโทษ ฝ่ามือจับที่เข็มขัด ทันใดนั้นมียาอยู่ที่ง่ามมือหลายเม็ด

เจ้าดำรู้เจตนาของลู่ฝาน จึงส่ายหน้าช้าๆ

ลู่ฝานมองมันอย่างดูหมิ่น คิดไม่ถึงเลยว่าไอ้หมอนี่จะถือโอกาสซ้ำเติมคนที่กำลังประสบเคราะห์ร้าย

โอเค ลู่ฝานเอาออกมาอีก เขาจับตรงเข็มขัด มีขวดยาเพิ่มมาอีกสองสามขวด

เจ้าดำจึงพยักหน้าอย่างพอใจ จากนั้นปล่อยร่างกายตัวเอง ปล่อยให้พลังของมุกเวิ้งว้างควบคุมร่างกายมัน

เจ้าดำค่อยๆ ลุกขึ้นยืนเหมือนคน ยืนกรงเล็บไปหยิบหม้อสือฟาง

ทุกคนตั้งใจจ้องเจ้าดำ สถานการณ์เหมือนมีอะไรผิดปกติ ความคิดน่ากลัวผุดขึ้นมาในหัวทุกคน

อย่าบอกนะว่าคนที่จะกลั่นยาไม่ใช่ลู่ฝาน แต่เป็นอสูรวิเศษของเขา

ลู่ฝานกอดอก อาศัยสติในการเคลื่อนไหวพลังในตัวเจ้าดำ

การควบคุมพลังกลางอากาศระดับนี้ อีกทั้งความสามารถในการควบคุมร่างกาย คงมีแค่คนที่เคยฝึกเทพยอดกลั่นยาอู๋จี๋อย่างเขาที่สามารถทำได้

พลังควบคุมที่แข็งแกร่ง ทำให้ลู่ฝานไม่ต้องเคลื่อนไหวอะไรมาก ก็สามารถสั่งให้เจ้าดำปล่อยแสงสีดำออกมาทั้งตัว

นั่นเป็นแสงรุนแรงหนึ่งชั้น ชนิดเดียวกับความเวิ้งว้าง ไปเคลื่อนไหวพลังฟ้าดินเข้าไปในหม้อสือฟาง

หม้อสือฟางในมือเจ้าดำใหญ่ขึ้นทันที จากนั้นร่วงลงด้านหน้ามัน

ภาพนี้ทำให้กลุ่มผู้ฝึกชี่คลั่งไปแล้ว!

“พระเจ้า อสูรวิเศษควบคุมเครื่องรางได้!”

“นี่ฉันเห็นอะไร พระเจ้า นี่ฉันเห็นอะไร”

อี้ปู่ที่กำลังจะกลั่นยาอยู่ข้างหน้าเห็นภาพนี้ ถึงกับช็อกไปเลย เขามองลู่ฝานแล้วพูดพึมพำว่า “นายให้อสูรวิเศษของนายประลองด้านยากับฉันเหรอ”

ลู่ฝานยักไหล่พูดว่า “ใช่ ฉันกลั่นยาไม่ได้ คงต้องให้อสูรวิเศษของฉันทำแล้วล่ะ มันชนะฉันก็ชนะ มันแพ้ฉันก็แพ้!”

กลางอากาศ ผู้อาวุโสโม่เห็นภาพนี้ รู้สึกระแวงจนหัวใจกำลังบีบรัด

เฮ่อจงที่อยู่ข้างๆ ก็หน้ากระตุก “อสูรวิเศษกลั่นยา! นี่……นี่……”

ตาเฒ่าซูพูดว่า “ไอ้เด็กนี่บ้าไปแล้วมั้ง ฉันไม่มีทางเชื่อว่าอสูรวิเศษกลั่นยาได้ บนโลกนี้มีอสูรวิเศษที่ฉลาดขนาดนี้ที่ไหนกันล่ะ ถ้าเป็นอย่างนั้นมนุษย์คงโดนสัตว์อสูรทำลายล้างจนหมดแล้ว!”

ผู้อาวุโสโม่ไม่พูดอะไร มองเจ้าดำหยิบสมุนไพรขึ้นมาอย่างเชี่ยวชาญมาก จากนั้นแสงบนตัวกะพริบอีกครั้ง พลังเวิ้งว้างปรากฏออกมา ทำสมุนไพรให้กลายเป็นผงละเอียด ในเวลาเดียวกันพลังฟ้าดินก็โดนเคลื่อนไหวอีกครั้ง ปกคลุมผงยาไว้ จากนั้นพุ่งเข้าไปในหม้อยา ทันใดฤทธิ์ยารวมตัวในหม้อยาอย่างรวดเร็ว

นี่มันวิธีกลั่นยาระดับสูงขนาดไหน ห่างกับผู้ฝึกชี่ที่พรสวรรค์เลิศล้ำเพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น

ตอนนี้เจ้าดำดูไม่เหมือนอสูรวิเศษสักนิด แต่เหมือนผู้ฝึกชี่ที่เคยกลั่นยามาแล้วนับไม่ถ้วน มีประสบการณ์มากมาย ทักษะคล่องแคล่วว่องไว พลังหยิบจับแม่นยำมาก

อี้ปู่เพิ่งจะตั้งสติได้อย่างตระหนก เริ่มจัดการกับสมุนไพร

แต่ตอนนี้มือของเขาเริ่มสั่นแล้ว ไม่รู้สาเหตุเป็นเพราะตกตะลึงหรือตื่นเต้นกันแน่

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 996
อี้ปู่ตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่คนรอบๆ พากันมองลู่ฝานอย่างตกตะลึง

“ฉันไม่ได้ฟังผิดใช่ไหม เภสัชกรลู่ฝานรับคำท้าประลองด้านยา อย่าบอกนะว่าเขากลั่นยาเป็นจริงๆ”

“พระเจ้า นักบู๊กลั่นยาเป็นด้วย โลกนี้จะเปลี่ยนไปแล้วใช่ไหม”

“ฉันไม่เชื่อ เภสัชกรลู่ฝานเป็นนักบู๊ไม่ใช่เหรอ”

กลางอากาศ ผู้อาวุโสโม่พยายามสะกดกลั้นความแปลกใจของตัวเอง

เขามองลู่ฝานแวบหนึ่งแล้วพูดว่า “หึ ไอ้เด็กนี่เป็นคนมีความสามารถจริงๆ เขาเห็นความไม่ธรรมดาของอี้ปู่เหมือนกัน เฮ่อจง อีกเดี๋ยวไม่ว่ายังไง รีบพาอี้ปู่ไปที่ห้องผู้อาวุโส เอาวิชายาทลายชูวิญญาณของเขามาด้วย”

ผู้อาวุโสโม่ชี้อี้ปู่แล้วเอ่ยขึ้น

ตอนนี้อี้ปู่ในสายตาของเขา กลายเป็นสิ่งล้ำค่าหายากที่ประเมินราคาไม่ได้แล้ว

ถ้ายาโลหิตในตัวอี้ปู่ เป็นเต๋ายาที่ถ่ายทอดจากพ่อเขาจริง ทั้งโลกผู้ฝึกชี่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ

นี่หมายความว่าตั้งแต่นี้เป็นต้นไป จำนวนผู้ฝึกชี่จะไม่โดนจำกัดอีกแล้ว

เมื่อคนตายไป ก็ถ่ายทอดเต๋ายาต่อไป

เต๋าไม่ตาย ต้องมีสักวันที่ผู้ฝึกชี่จะเยอะเหมือนนักบู๊

และจุดเริ่มต้นของทั้งหมดนี้ อาจมาจากเจดีย์ยาของพวกเขา มาจากอี้ปู่คนนี้

แต่นักบู๊แบบลู่ฝานกลั่นยาเป็นไหม ผู้อาวุโสโม่ก็อยากรู้มากเหมือนกัน

แต่ขณะนั้น ลู่ฝานกลับถอยหลังไปสองสามก้าว พูดช้าๆ ว่า “ในเมื่อประลองด้านยา นายอยากประลองวิธีไหน”

อี้ปู่ขมวดคิ้วพูดว่า “ฉันก็ประลองด้านยาครั้งแรกเหมือนกัน ไม่รู้เรื่องอะไรเลย นายว่ามาสิ!”

ลู่ฝานหัวเราะแล้วพูดว่า “งั้นเอาวิธีที่ง่ายที่สุดแล้วกัน สมุนไพรคนละห้าต้น จากนั้นเริ่มกลั่นพร้อมกัน ใครกลั่นยาดีกว่ากัน ถือว่าคนนั้นชนะ เป็นไง”

อี้ปู่พูดว่า “ได้”

ลู่ฝานหันมาส่งสายตาให้เซียวเฮ่ากับอูลี่คุน ที่ยืนอยู่ด้านหลังนานแล้ว

ทันใดนั้น อูลี่คุนกับเซียวเฮ่าเอาสมุนไพรสิบต้นออกมาจากในตู้ยา

“นายเลือกก่อนสิ!”

ลู่ฝานพูดกับอี้ปู่

อี้ปู่ยื่นมือไปหยิบสมุนไพรห้าต้นอย่างไม่เกรงใจ

พูดตามตรง แค่หยิบสมุนไพรก็รู้ว่าอี้ปู่มีความสามารถจริงๆ

เลือกสมุนไพรที่ดีที่สุดทั้งห้าต้น สมุนไพรชนิดหนึ่งมีสองชุด สมุนไพรทั้งห้าต้นที่อี้ปู่เอามา ล้วนดีกว่าสมุนไพรห้าต้นที่เหลือเล็กน้อย

ลู่ฝานล้วงไปด้านในอกครู่หนึ่ง จากนั้นเอาหม้อสือฟางออกมา

นักบู๊ดูที่อาวุธ ผู้ฝึกชี่ดูที่หม้อยา

เมื่อหม้อสือฟางของลู่ฝานปรากฏออกมา ทันใดนั้นได้รับเสียงชมจากคนจำนวนไม่น้อย

“หม้อดี!”

ผู้อาวุโสโม่มองหม้อสือฟาง ในดวงตามีประกายลุกโชน ตอนนี้ทุกคนรู้สึกหัวใจเต้นแรงเหมือนจะหลุดออกมา อย่าบอกนะว่าลู่ฝานกลั่นยาเป็นจริงๆ

ทุกคนจ้องไปที่มือของลู่ฝาน ถ้าตอนนี้มีพลังชี่พุ่งขึ้นมาในฝ่ามือลู่ฝาน คงมีคนไม่น้อยเป็นล้มลมพับทันที

แต่ต่อมาสิ่งที่ทุกคนผิดหวังคือ ลู่ฝานไม่ได้ปล่อยพลังชี่ออกมาจากฝ่ามือ แต่เขาดึงเจ้าดำที่อยู่บนไหล่ลงมา

“ขึ้นอยู่กับการแสดงออกของแกแล้วเจ้าดำ!”

ลู่ฝานพูดด้วยรอยยิ้ม

เจ้าดำยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่รู้สึกว่ามีพลังเข้ามาในตัวมัน

ทันใดนั้น ตัวของเจ้าดำใหญ่ขึ้น กลายเป็นมังกรดำขนาดประมาณคน!

ทุกคนมองลู่ฝานอย่างไม่เข้าใจ นี่หมายความว่ายังไง

เขาเอาอสูรวิเศษของตัวเองออกมาทำอะไรตอนนี้

ถ้าเป็นที่อื่น อสูรวิเศษแบบเจ้าดำอาจเรียกสายตาของผู้คนได้มาก แต่ที่เจดีย์ยา อสูรวิเศษไม่นับประสาอะไร เรียกได้ว่าเจอได้ทุกที่

ผู้ฝึกชี่จำนวนไม่น้อย คนหนึ่งเลี้ยงไว้สองสามตัว

ในเจดีย์ยา ขนาดส่งอาหารก็ยังอาศัยอสูรวิเศษ

เจ้าดำหันมามองลู่ฝาน ตอนนี้ในตัวของมันมีมุกโผล่ขึ้นมาเม็ดหนึ่ง

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 995
ผู้อาวุโสโม่พูดด้วยตาเป็นประกาย “ได้ ต้องไปดูแน่นอน พูดแบบนี้ เด็กคนนี้น่าจะมีความสามารถอยู่บ้าง”

พูดพลาง ผู้อาวุโสโม่มองตาเฒ่าซูอีกครั้ง แววตาดูไม่พอใจเล็กน้อย

ตาเฒ่าซูมองออก แต่ตอนนี้ไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีก

ด้านล่าง ลู่ฝานมองเด็กน้อยข้างหน้า เขาอึ้งไปแล้ว

“เมื่อกี้นายพูดอะไรนะ”

ลู่ฝานถามขึ้น

อี้ปู่พูดเสียงดังว่า “ฉันบอกว่าจะประลองด้านยากับนาย กล้าไหม!”

กล้ามเนื้อบนใบหน้าลู่ฝานกระตุกขึ้นมา เด็กน้อย 7-8 ปีมาประลองด้านยากับเขา ลู่ฝานไม่รู้จริงๆ ว่าจะพูดอะไรดี

ลู่ฝานกระแอมสองทีแล้วพูดว่า “เด็กน้อย นายคงเข้าใจผิดแล้ว ไม่ว่าใครใช้ให้นายมา รีบกลับไปเถอะ นายไปถามดูก็ได้ ฉันเป็นแค่นักบู๊ กลั่นยาไม่เป็น!”

อี้ปู่พูดเสียงก้องกังวานว่า “ฉันไม่สน ยังไงนายก็ต้องประลองด้านยากับฉัน อย่าบอกนะว่านายไม่กล้ารับคำท้าของเด็ก ทำไมนายถึงโตมาได้ขนาดนี้เนี่ย!”

เสียงของอี้ปู่ดังออกไป ในเวลาเดียวกัน พวกผู้ฝึกชี่อายุน้อยที่รีบมาเห็นภาพนี้เข้า อีกทั้งยังได้ยินคำพูดของอี้ปู่ ก็พากันหัวเราะออกมา

“ฉันก็นึกว่าเรื่องอะไร เด็กน้อยคนนี้มาใหม่เหรอ ศิษย์ของผู้อาวุโสคนไหนเนี่ย”

“เหมือนหม้อของเขาไม่เลวเลยนะ แต่เขามาประลองด้านยากับเภสัชกรลู่ฝานทำไม เภสัชกรลู่ฝานเป็นนักบู๊ไม่ใช่เหรอ”

“เด็กน้อย นายมาหาผิดคนแล้ว มานี่สิ เดี๋ยวพี่เล่นเป็นเพื่อน!”

กลุ่มคนเยอะขึ้นเรื่อยๆ มุงด้านนอกเจดีย์ขาวจนเต็มไปหมด

อี้ปู่ได้ยินเสียงพูดคุยของคนพวกนี้ จู่ๆ แสงบนตัวพุ่งขึ้นสูง ค่ายกลเบญจธาตุขนาดใหญ่ ปรากฏด้านล่างเท้าของเขา

พลังชี่ทะลัก บนหัวมีแสงห้าธาตุเหมือนดอกไม้เบ่งบาน ไม่ใช่หนึ่งดอกแต่เป็นสองดอก

ทันใดนั้น ทุกคนถึงกับเงียบลง

พละกำลังที่อี้ปู่แสดงออกมาให้เห็นตอนนี้ คือระดับนักเรกิชัดๆ

สองดอกรวมที่หัว วิทยายุทธระดับนักเรกิตามมาตรฐาน

ผู้ฝึกชี่คนไหนในที่นี้สามารถเทียบเขาได้บ้าง

ผู้อาวุโสโม่เห็นภาพนี้ พูดอย่างตกตะลึงว่า “นักเรกิเหรอ นักเรกิเด็กขนาดนี้เลยเหรอ นี่เป็นไปได้ยังไง”

เฮ่อจงกับตาเฒ่าซูอึ้งไปแล้ว

ทันใดนั้นตาเฒ่าซูพูดเสียงหลงออกมาว่า “เป็นไปไม่ได้ ช่วงก่อนหน้านี้เขาอยู่แค่ระดับอาจารย์บำเพ็ญชี่ชัดๆ”

ผู้อาวุโสโม่จ้องอี้ปู่เขม็ง สายตาจ้องไปที่รอบตันเถียนของอี้ปู่

“ดูเหมือนเฮ่อจงตรวจสอบพลาดแล้ว พ่อของเขาไม่ได้ล้มเหลว แต่ประสบความสำเร็จต่างหาก ยาโลหิตที่อี้หงศึกษามาทั้งชีวิต คงให้ลูกชายเขากินไปแล้ว เด็กคนนี้สืบทอดเต๋ายาทั้งหมดของพ่อเขา!”

ตาเฒ่าซูกับเฮ่อจงรู้สึกถึงความเย็นจากฝ่าเท้าพุ่งขึ้นมาถึงบนหัว

คำพูดของผู้อาวุโสโม่ พวกเขาได้ยินแล้วเหมือนฟ้าร้อง

สืบทอดเต๋ายา!

เรื่องแบบนี้เหมือนเรื่องอัศจรรย์ชัดๆ ถ้าอี้หงทำได้จริง งั้นเขาคงเปลี่ยนแปลงโลกทั้งใบแล้วล่ะ

ลู่ฝานอึ้งไปครู่หนึ่ง เบิกตาโตเป็นอย่างมาก

นี่เขาเห็นอะไร เด็กอายุ 7-8 ปี มีวิทยายุทธระดับนักเรกิ!

ยังมีเรื่องที่เหนือธรรมชาติกว่านี้ไหม

ลู่ฝานกลืนน้ำลาย จู่ๆ ก็พูดอะไรไม่ออก

ตอนนี้จู่ๆ เขาสังเกตเห็นเหมือนตรงตันเถียนของอี้ปู่มีอะไรผิดปกติ

จู่ๆ เจดีย์เสวียนเก้ามังกรในตัวกระโดดออกมาแล้วพูดว่า “เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ เจ้าเจอของดีอีกแล้ว เอ๊ะ ฉันได้กลิ่นของหุ่นเชิดยาเซียนชัดๆ! ทำไมตรงหน้าเป็นแค่เด็กน้อยล่ะ พระเจ้า ไอ้เด็กนี่กินยาอะไร ยาเซียนเหรอ ไม่ใช่สิๆ ต้องไม่ใช่แน่นอน มีกลิ่นยาโลหิตเล็กน้อย แต่ไม่ใช่ทั้งหมด นี่มันยาอะไรกันแน่!”

อี้ปู่เงยหน้ามองลู่ฝานแล้วพูดว่า “ตอนนี้ฉันมีคุณสมบัติประลองด้านยากับนายหรือยัง ฉันไม่สนว่านายเป็นนักบู๊หรือผู้ฝึกชี่ รีบรับคำท้าเร็วๆ!”

ดวงตาลู่ฝานฉายแววประหลาด มองอี้ปู่แล้วถามว่า “ได้ แต่ถ้าฉันชนะ นายต้องบอกฉัน นายต้องบอกวิชายาของนายให้ฉัน!”

ลู่ฝานชี้ตันเถียนของอี้ปู่แล้วเอ่ยขึ้น

อี้ปู่อึ้งไปครู่หนึ่ง ราวกับคิดไม่ถึงว่าลู่ฝานจะมองธาตุแท้ของเขาออกเพียงแวบเดียว

อี้ปู่ขมวดคิ้วเบาๆ แล้วพูดว่า “ได้ ขอแค่นายชนะฉันให้ได้!”

เสียงดังกังวานดั่งระฆัง คิดไม่ถึงเลยว่าเสียงของเด็กจะกังวานขนาดนี้

หม้อใบใหญ่มีเสียงดังอื้ออึง เหมือนพื้นสั่นสะเทือนตามไปด้วย

ทันใดนั้น ห้องยาทั้งห้าเขต ผู้ฝึกชี่จำนวนไม่น้อยโดนสะเทือนออกมาจากห้องยา

“ทางฝั่งเจดีย์สีขาวเกิดอะไรขึ้น”

“ไปดูกันเถอะ อย่าบอกนะว่ามีคนกลั่นยาระดับสูงออกมาได้ เพราะการแนะนำของอาจารย์ยาลู่ฝาน”

กลุ่มผู้ฝึกชี่รีบพุ่งไปทางเจดีย์สีขาวอย่างรวดเร็ว

ตอนนี้ไม่มีใครสังเกตเห็นบนฟ้า

มีคนสามคนยืนอยู่นานแล้ว!

พลังฟ้าดินบางๆ หนึ่งชั้นปิดบังตัวทั้งสามคนไว้ คนนอกไม่มีทางมองเห็น เหมือนทั้งสามคนล่องหนอยู่ในอากาศอย่างไรอย่างนั้น

ผู้อาวุโสโม่สีหน้าไม่สบอารมณ์

“เสี่ยวซู ฉันบอกให้ศิษย์ของนายมาประลองด้านยาไม่ใช่เหรอ ทำไมนายถึงหาเด็กมาล่ะ”

ตาเฒ่าซูพูดอย่างนอบน้อมว่า “ผู้อาวุโสโม่ นายคงไม่รู้ว่าเด็กคนนี้ไม่ใช่เด็กธรรมดา แต่เป็นผู้ฝึกชั่วร้ายที่เป็นอาจารย์ยา”

ผู้อาวุโสโม่ขมวดคิ้วพูดว่า “เด็กจะเป็นผู้ฝึกชั่วร้ายที่เป็นอาจารย์ยาได้ยังไง เขาเพิ่งอายุกี่ปีเอง มีความสามารถอะไรถึงได้เป็นอาจารย์ยา ส่วนเรื่องผู้ฝึกชั่วร้าย ฉันเห็นออร่าปีศาจในท้องเขาแค่เล็กน้อยเท่านั้น เฮ่อจง นายรู้ไหมว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น”

เฮ่อจงคำนับแล้วพูดว่า “ผู้อาวุโสโม่ คืออย่างนี้ครับ สิบกว่าวันก่อนหน้านี้ อยู่ดีๆ เด็กคนนี้มานอนอยู่ข้างนอกเจดีย์อย่าง แผลบนตัวสาหัสมาก เหมือนจะถึงแก่ชีวิต นักเรกิในเจดีย์เห็นเขา จึงช่วยเอาไว้ครับ”

ผู้อาวุโสโม่พยักหน้าพูดว่า “ใช้ยาช่วยชีวิตคน คุณธรรมของคน ยิ่งไปกว่านั้นอยู่นอกเจดีย์ยาด้วย หลังจากนั้นล่ะ”

เฮ่อจงพูดต่อ “หลังจากนั้นเมื่อเด็กคนนี้ฟื้นขึ้นมา ผู้ฝึกชี่คนนั้นพบว่าในตัวเขามีออร่าปีศาจ จึงรีบมารายงานพวกเรา หลังจากสอบถามไปสองสามรอบ เด็กที่ชื่ออี้ปู่คนนี้ บอกความจริงที่พ่อเขาเป็นผู้ฝึกชั่วร้าย จากที่เขาพูด พ่อเขาเป็นผู้ฝึกชั่วร้ายที่เป็นอาจารย์ยา ฝึกวิชายาโลหิต ออร่าปีศาจในตัวเขามาจากการกินยาโลหิตตั้งแต่เด็ก ส่วนพ่อของเขาช่วงก่อนหน้านี้ระยะหนึ่งได้กลั่นยาจนตาย เด็กคนนี้ก็บาดเจ็บสาหัส พยายามสุดชีวิตมาตลอดทาง บุกเข้ามาในเจดีย์ยา เขาบอกว่าก่อนพ่อเขาจะตายได้บอกว่ามีเพียงผู้ฝึกชี่ที่นี่ที่จะช่วยเขาได้”

ผู้อาวุโสโม่พูดว่า “ตรวจสอบเรื่องนี้หรือยัง”

เฮ่อจงพยักหน้าพูดว่า “ตรวจสอบแล้วครับ มีเรื่องนี้จริงๆ ครับ พ่อเขาชื่ออี้หง เมื่อ 20 ปีก่อนเป็นผู้ฝึกชี่ที่เจดีย์ยา ต่อมาบังเอิญได้หนังสือกลั่นยาโลหิตมาเล่มหนึ่ง ถอนตัวไม่ขึ้น เข้าสู่วิถีมาร เราตามเคยตามจับอยู่หลายครั้ง แต่จับตัวเขาไม่ได้ ที่แท้เขาหลบอยู่ในเมืองหลวง ห่างจากเจดีย์ยาของเราแค่ถนนเพียงสามเส้น นักพรตใหญ่บำเพ็ญพรตกลางใจเมือง ทำให้เขาซ่อนตัวได้ถึง 20 ปี ครั้งนี้เขาอยากกลั่นยาโลหิตที่แข็งแกร่งให้สำเร็จ แต่ไม่คิดว่าการแว้งกัดเกินขนาด ตัวตายวิถีสูญสลาย”

ชะงักไปครู่หนึ่ง เฮ่อจงพูดเสริมอีกประโยค “ผมส่งคนไปตรวจดูอย่างละเอียดอีกครั้ง พบว่า 20 ปีมานี้ เขาสงบเสงี่ยมเจียมตัวมาตลอด ไม่เคยฆ่าใครสักคน เลือดสดที่ใช้ล้วนเป็นเลือดสัตว์ที่ซื้อมา มากสุดก็คือเลือดตัวเอง”

ผู้อาวุโสโม่ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ช่างเป็นคนที่ไร้เดียงสา”

เฮ่อจงพูดว่า “ดังนั้นผมอยากให้เด็กคนนี้อยู่ที่เจดีย์ยา แต่ท่านซูมีความคิดต่าง เราเถียงกันไม่ได้ข้อสรุป เลยทำได้แค่ให้เขาไปอยู่ที่ห้องใต้ดินก่อน ใช่สิ เด็กคนนี้ไม่เพียงแต่สืบทอดเต๋ายาจากพ่อเขา อีกทั้งยังปรับปรุงวิชายาทลายที่พ่อเขาใช้เวลาทั้งชีวิตศึกษาออกมาให้ดีขึ้นด้วยครับ สร้างวิชายาทลายชูวิญญาณออกมาหนึ่งชุด เขามอบวิชายาทลายชูวิญญาณให้พวกเราแล้ว ไว้วันหลังเชิญผู้อาวุโสโม่มาดูครับ”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 993
ตาเฒ่าซูโกรธจนขมวดคิ้วขึ้นมา กัดฟันพูดว่า “ฉันอยากให้นายช่วยประลองด้านยากับคนคนหนึ่ง”

“ได้อะไร!”

อี้ปู่พูดอย่างเฉยเมย

ตาเฒ่าซูอึ้งไปครู่หนึ่ง เขายังเตรียมคำพูดเอาไว้อีกยืดยาว แต่อี้ปู่ไม่สนใจสิ่งนี้เลย พูดถึงผลประโยชน์ออกมาตรงๆ

ตาเฒ่าซูขมวดคิ้วเบาๆ แล้วพูดว่า “นายอยากได้อะไร”

อี้ปู่เอียงหัวครุ่นคิดแล้วพูดว่า “ฉันต้องการห้องที่มีแสงสว่างเพียงพอ ดีที่สุดคือใหญ่เหมือนที่นี่ กลางวันเห็นดวงอาทิตย์ กลางคืนเห็นท้องฟ้ายามราตรี ฉันต้องการหนังสือเยอะๆ ด้วย โดยเฉพาะหนังสือยากับหนังสือวิชา ไม่ใช่หนังสือมั่วๆ พวกนี้ ใช่สิ ฉันชอบกินถังหูลู่ด้วย นายซื้อให้ฉันสักไม้ได้ไหม”

อี้ปู่เบิกตาโตมองตาเฒ่าซูแล้วเอ่ยขึ้น

ตอนนี้เขาเพิ่งจะดูเหมือนเด็กน้อย

ตาเฒ่าซูกัดฟันพูดว่า “เรื่องอื่นไม่มีปัญหา แต่ฉันไม่ให้หนังสือนาย อย่าลืมสิว่านายเป็นผู้ฝึกชั่วร้าย”

อี้ปู่ส่ายหน้าพูดว่า “นายพูดได้เพียงว่าพ่อฉันเป็นผู้ฝึกชั่วร้าย ฉันแค่มีออร่าปีศาจแปดเปื้อนอยู่เท่านั้น”

ตาเฒ่าซูพูดว่า “มีออร่าปีศาจก็คือผู้ฝึกชั่วร้าย”

อี้ปู่ถอนหายใจเบาๆ ใส่ตาเฒ่าซู ยิ้มแล้วพูดว่า “ตอนนี้รอบตัวนายก็มีออร่าปีศาจแล้ว งั้นนายใช่ผู้ฝึกชั่วร้ายไหม”

ตาเฒ่าซูสะบัดมือหันหลังแล้วพูดว่า “เด็กนี่ ฉันขี้เกียจเถียงกับนายแล้ว ดูเหมือนคิดผิดที่มาหานาย นายอยู่ที่นี่ต่อไปเถอะ!”

อี้ปู่รีบพูดว่า “เดี๋ยวก่อน ฉันตกลง”

ตาเฒ่าซูชะงักฝีเท้าลง หันมามองอี้ปู่แล้วพูดว่า “นายพูดอะไรนะ”

อี้ปู่ยิ้มแล้วพูดว่า “ฉันบอกว่าตกลง อย่าลืมเปลี่ยนห้องใหม่ให้ฉัน แล้วซื้อถังหูลู่ให้ฉันด้วย”

ตาเฒ่าซูพยักหน้าพูดว่า “ได้ แต่หนังสือวิชากับหนังสือยา ฉันไม่มีทางให้นายเด็ดขาด”

“รู้แล้วๆ คนขี้งก ทำไมนายถึงขี้งกกว่าเด็กอีกล่ะ!”

อี้ปู่โบกมือไปมาใส่ตาเฒ่าซู ใบหน้าเต็มไปด้วยความดูหมิ่น

โดนเด็กดูหมิ่น ตาเฒ่าซูโกรธมาก แต่ตอนนี้เขาไม่สามารถระบายออกมาได้

อี้ปู่พูดว่า “โอเค ตอนนี้บอกฉันได้หรือยังว่าฉันต้องประลองด้านยากับใคร”

ตาเฒ่าซูพูดว่า “เขาชื่อลู่ฝาน พรุ่งนี้ฉันจะพานายไปเจอเขา นายต้องพยายามคิดวิธี ให้อีกฝ่ายประลองด้านยากับนาย”

อี้ปู่พูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ที่แท้จะให้ฉันไปยั่วยุอีกฝ่ายนี่เอง! ฉันเข้าใจแล้ว ฉันจะจำชื่อลู่ฝานไว้ เขาเก่งมากไหม”

ตาเฒ่าซูครุ่นคิดแล้วพูดว่า “ต้องดูว่านายจะบีบให้เขาแสดงฝีมือออกมาได้มากเท่าไร”

อี้ปู่ฉีกยิ้มเห็นฟันขาว

“ฟังดูน่าสนใจมาก”

……

เช้าวันต่อมา แสงอาทิตย์สาดส่องไปทั่ว ในห้องยาอากาศดี

ลู่ฝานสงสัยมาตลอด ท้องฟ้าในห้องยาคือท้องฟ้าจริงหรือเปล่า ถ้าไม่ใช่ของจริง งั้นการใช้ค่ายกลสร้างภาพลวงตาเป็นท้องฟ้าออกมาใหม่ ฝีมือระดับนี้เพียงพอให้คนชื่นชมกับความอัศจรรย์แล้ว

ลู่ฝานยืนหลับตาอยู่หน้าประตู สูดอากาศบริสุทธิ์ยามเช้าตรู่

ดูเหมือนวันนี้คงเป็นวันที่มีความสุขอีกวัน

ขณะกำลังคิดเช่นนี้ ทันใดนั้นเสียงหนึ่งดังมาจากข้างตัวเขา

“ขอถามหน่อย นายคือลู่ฝานใช่ไหม”

ลู่ฝานลืมตาขึ้นทันที ตกใจเป็นอย่างมาก

ใครเข้ามาข้างตัวเขาได้ง่ายขนาดนี้ อีกทั้งเขาไม่รู้สึกอะไรเลยสักนิด

สิ่งที่ปรากฏในสายตาคือเด็กน้อยอายุ 7-8 ปีคนหนึ่ง

ลู่ฝานขมวดคิ้วเบาๆ แล้วพูดว่า “ฉันคือลู่ฝาน นายมาถามเรื่องยาเหรอ”

เด็กน้อยฉีกยิ้ม ฟันขาวสะท้อนแสงอาทิตย์

เมื่อสะบัดมือ หม้อขนาดใหญ่ใบหนึ่งร่วงลงมาจากฟ้า!

ลู่ฝานรีบถอยไปด้านหลังสองสามก้าว เกิดเสียงดังปัง หม้อใบใหญ่กระแทกลงด้านหน้าเขา ขาหม้อทั้งหกขาจมลงไปบนพื้น อีกนิดเดียวลู่ฝานเกือบโดนหม้อกระแทกแล้ว

“เปล่า ฉันมาประลองด้านยา!”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 992
คืนวันเดียวกัน ตาเฒ่าซูกลับมาที่ห้อง เดินไปมาช้าๆ ครุ่นคิดว่าควรทำยังไงกับเรื่องที่ผู้อาวุโสโม่สั่ง

เจตนาของผู้อาวุโสโม่ ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ ก็คือให้หลู่เล่อศิษย์ของเขาไปประลองด้านยากับลู่ฝาน แต่เรื่องนี้เขาไม่มีทางทำแบบนี้แน่นอน เหตุผลง่ายดายมาก เขาทำลายอนาคตศิษย์ตัวเองไม่ได้

ประลองด้านยากับนักบู๊ ไม่ว่าแพ้หรือชนะ ยังไงก็กลายเป็นตัวตลกของคนอื่น

นี่ไม่ใช่แค่หลู่เล่อที่ขายหน้า เขาก็ขายหน้าด้วย

ตาเฒ่าซูคิดไปคิดมา สุดท้ายเขากัดฟัน จะให้ศิษย์ตัวเองไปไม่ได้เด็ดขาด

งั้นควรให้ใครไปล่ะ

แพะรับบาปคนนี้ควรเป็นใครดี

คิดอยู่ครู่หนึ่ง ตาเฒ่าซูนึกถึงคนหนึ่งขึ้นมาได้

ดวงตาเป็นประกาย ตาเฒ่าซูรีบเดินไปด้านล่างสุดของเจดีย์ยา

คนที่เคยมาเจดีย์ยาล้วนรู้ดี เจดีย์ยาชั้น 99 มีชื่อว่าสวรรค์ชั้น 99

แต่น้อยคนที่รู้ว่าอันที่จริงเจดีย์ยามีชั้นที่ 100

ชั้นนี้เป็นห้องใต้ดินของเจดีย์ยา

เมื่อเดินมาถึงห้องโถงของเจดีย์ยา ตาเฒ่าซูมาถึงกำแพงพลังชี่ด้านขวา

แสงเคลื่อนไหวเก้าสี ตาเฒ่าซูวาดมือกลางอากาศ จากนั้นก้าวเข้าไปในกำแพง

กำแพงที่ก่อตัวดูสมจริง ตอนนี้มีลายเหมือนน้ำกระเพื่อม

บรรยากาศรอบๆ เปลี่ยนไปทันที บันไดเดินลงไปด้านล่างปรากฏออกมา

เดินลงไปคือห้องใต้ดินของเจดีย์ยา

มีหินเรืองแสงฝังอยู่รอบๆ มีแสงบางๆ สาดส่องทางเดินด้านล่างเท้า

บันไดกว้างทำมาจากแร่ควอตซ์ เมื่อเดินด้านบนบันได มีเงาของตาเฒ่าซูสะท้อนออกมาด้วย

เดินลงไปด้านล่าง ไม่นานห้องกว้างขวางปรากฏออกมา

เตียงหยกอุ่น กำแพงหินเหล็ก เก้าอี้หินสองสามตัว โต๊ะหินหนึ่งโต๊ะ อีกทั้งหนังสือยาเต็มพื้น

ที่นี่ไม่ใช่คุกใต้ดิน เจดีย์ยาไม่มีสิ่งที่เรียกว่าคุกใต้ดิน ผู้ฝึกชี่ที่หยิ่งยโส ไม่มีทางเอาศัตรูมาขังไว้หรอก ถ้าไม่ฆ่าก็ทำให้พิการ นี่คือวิธีการของผู้ฝึกชี่

ส่วนถ้าผู้ฝึกชี่ทำอะไรผิด โทษสูงสุดของเจดีย์ยา ก็แค่ทำลายวิทยายุทธของคนนั้น ถอดฉายาผู้ฝึกชี่ออก แล้วไล่ออกจากเจดีย์ยา

พวกผู้ฝึกชี่คิดว่าไม่มีเรื่องไหนเศร้ากว่าการไม่ได้เป็นผู้ฝึกชี่อีกแล้ว

ส่วนคุกใต้ดินอะไรทำนองนั้น ไม่มีความจำเป็นเลย

ที่นี่เป็นแค่ห้องใต้ดินที่เคยเก็บของจำเป็นบางส่วน ต่อมาของที่เก็บไว้โดนขโมย ที่นี่จึงเป็นที่ต้อนรับพวกคนที่น่ารำคาญ

อย่างเช่น เด็กที่กำลังนั่งอ่านหนังสือยาอยู่บนกองหนังสือคนนี้

รูปร่างผอมแห้ง ผมแห้งกรอบ เสื้อผ้าขาดวิ่น

รูปร่างเด็กคนนี้อายุประมาณ 7-8 ปี แต่ในดวงตากลับเย็นชาไม่เหมาะกับอายุของเขา

“พวกนายหารือกันเสร็จแล้วเหรอ”

เด็กพูดโดยไม่หันหน้ามา

ตาเฒ่าซูเอาสองมือไพล่หลังแล้วพูดว่า “ไม่มีอะไรต้องหารือ วิชายาทลายชูวิญญาณที่นายสร้างขึ้นมา ฉันไม่มีทางเอามันเข้าสู่คลังหนังสือของเจดีย์ยา”

เด็กส่งเสียงอืมออกมา หลังจากนั้นพูดว่า “งั้นนายจะมาดูฉันทำไม จงใจมาทำให้ฉันอับอายเหรอ”

พูดพลาง เด็กปิดหนังสือในมือ แล้วหันมามองตาเฒ่าซู

เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย จู่ๆ ตาเฒ่าซูรู้สึกว่าจิตใจสั่นไหว

รีบสะบัดมือวนพลังชี่ฟ้าดินรอบๆ ไปมา ตาเฒ่าซูส่งเสียงหึอย่างเย็นชาแล้วพูดว่า “อย่าใช้วิชาเวทมนตร์ปีศาจแบบนี้กับฉัน ระวังฉันจะไล่นายออกจากเจดีย์ยา!”

เด็กหัวเราะแล้วพูดว่า “ถ้านายมีอำนาจไล่ฉันออก นายคงไล่ออกไปนานแล้ว ไม่จำเป็นต้องรอถึงตอนนี้หรอก รีบพูดมาสิ มีเรื่องอะไร อย่ามารบกวนฉันอ่านหนังสือ”

ตาเฒ่าซูสะกดกลั้นความโกรธของตัวเองไว้ พูดเสียงขรึมว่า “อี้ปู่ ฉันมาวันนี้เพราะมีเรื่องจะคุยกับนายจริงๆ”

อี้ปู่พูดอย่างเฉยเมยว่า “มีอะไรก็รีบพูดมา!”

ลู่ฝานยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “ความจริงมักโหดร้ายแบบนี้แหละครับ เสียใจกับผู้อาวุโสด้วยครับ”

ผู้อาวุโสโม่จ้องลู่ฝานเขม็ง เหมือนจะมองอะไรจากดวงตาคู่นั้นของลู่ฝาน

แต่ลู่ฝานกลับมองเขาอย่างราบเรียบ แววตาไม่มีความวูบไหวเลยสักนิด

ทั้งสองคนจ้องตากันอยู่นาน ในที่สุดผู้อาวุโสโม่ละสายตาออกมาก่อน

ผู้อาวุโสโม่ค่อยๆ ลุกขึ้น แล้วพูดว่า “ไปละ ลู่ฝาน ถ้ามีเวลามาหาฉันที่เจดีย์ยาชั้น 91 ได้นะ เรามาคุยกันเรื่องเกี่ยวกับสมุนไพร”

ลู่ฝานพูดว่า “ผู้อาวุโสความรู้ล้ำลึก ไม่จำเป็นต้องให้ผมแนะนำหรอกครับ แต่ถ้ามีโอกาสผมจะไปขอชาผู้อาวุโสดื่มสักแก้วนะครับ”

เมื่อผู้อาวุโสโม่ได้ยิน จู่ๆ เหมือนเขานึกอะไรได้ มองแก้วชาของลู่ฝานแวบหนึ่ง

ลู่ฝานแอบพูดว่าแย่แล้ว แต่ตอนนี้ก็ขวางไม่ทันแล้ว

จู่ๆ ผู้อาวุโสโม่หัวเราะ หัวเราะอย่างสดใส ราวกับดอกเบญจมาศเบ่งบานอยู่บนหน้าเขา

ผู้อาวุโสโม่หัวเราะเบาๆ แล้วเดินออกไปด้านนอก

ลู่ฝานมองด้านหลังผู้อาวุโสโม่ ความกังวลผุดขึ้นในใจ

ลู่ฝานส่งผู้อาวุโสโม่เดินออกจากประตู เฮ่อจงและคนอื่นเดินตามข้างๆ

พวกเขาฟังบทสนทนาของลู่ฝานกับผู้อาวุโสโม่จนจบ แต่พวกเขาไม่เข้าใจว่าผู้อาวุโสโม่กำลังหัวเราะอะไร

หลังเดินออกจากประตู ผู้อาวุโสโม่ลูบหนวด หัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “ไอ้เด็กหัวหมอนี่ เกือบโดนเขาปิดบังได้แล้ว เป็นเด็กที่ดี จิตใจแข็งแกร่งและมั่นคง ฉันจี้เขาตั้งหลายรอบ คิดไม่ถึงว่าเขาจะไม่สะทกสะท้าน เป็นศิษย์อัจฉริยะของใครกันแน่!”

ตาเฒ่าซูได้ยินความชื่นชมออกมาจากน้ำเสียงของผู้อาวุโสโม่ จู่ๆ เขาถามอย่างไม่เข้าใจ “ผู้อาวุโสโม่ นายมองอะไรออกกันแน่”

ผู้อาวุโสโม่พูดด้วยรอยยิ้ม “ฉันเห็นชาแก้วหนึ่ง ชาที่ดีมากแก้วหนึ่ง ชาที่นักบู๊ทั่วไปไม่สามารถชงออกมาได้ และเด็กที่จิตใจมั่นคง พรสวรรค์ไม่ธรรมดาอีกคนด้วย”

เฮ่อจงพูดอย่างประหลาดใจ “ผู้อาวุโสโม่ อย่าบอกนะว่ามีความลับอยู่บนตัวเขา”

ผู้อาวุโสโม่พูดว่า “น่าจะใช่ อีกทั้งฉันยืนยันได้เลย เขาต้องเป็นศิษย์อัจฉริยะของปรมาจารย์คนใดคนหนึ่งแน่นอน คนปกติไม่มีทางสอนศิษย์แบบนี้ได้หรอก อืม พวกนายไปหาคนมาสักคน ช่วยฉันทดสอบเขาหน่อย”

เฮ่อจงถามว่า “ทดสอบเหรอครับ ทดสอบยังไงครับ”

ผู้อาวุโสโม่พูดว่า “แค่นี้ยังไม่เป็นเหรอ ดูเหมือนคนดูแลแบบพวกนาย นับวันยิ่งถอยหลังลงเรื่อยๆ เสี่ยวซู ศิษย์คนนั้นของนายไม่เลว ให้เขามาสิ หาเหตุผลมานัดลู่ฝานประลองด้านยาสักครั้ง ใช้วิธีอะไรก็ได้ ให้ลู่ฝานรับคำท้าประลองด้านยาก็พอแล้ว เมื่อถึงตอนนั้น จะได้เห็นสิ่งที่เด็กคนนี้ปิดบังไว้”

ตาเฒ่าซูอ้าปากพูดว่า “ศิษย์ของผม ไปประลองด้านยากับเขาเหรอครับ ผู้อาวุโสโม่ เขาเป็นนักบู๊นะครับ! เขาจะรับคำท้าประลองด้านยาได้ยังไง”

ผู้อาวุโสโม่หัวเราะแล้วพูดว่า “นั่นมันเรื่องของนาย สรุปว่าฉันต้องการผลภายใน 7 วัน สนุกจัง! ไม่ได้เจอเรื่องสนุกแบบนี้มานานแล้ว!”

ผู้อาวุโสโม่เดินหัวเราะร่าออกไปอย่างรวดเร็ว

ตาเฒ่าซูใบหน้าทุกข์ระทม จู่ๆ เขาพบว่าเหมือนชื่อเสียงของศิษย์ตัวเอง กำลังจะเสื่อมเสียแล้ว!

ผู้อาวุโสโม่เดินหัวเราะร่าออกไปอย่างรวดเร็ว

ตาเฒ่าซูใบหน้าทุกข์ระทม จู่ๆ เขาพบว่าเหมือนชื่อเสียงของศิษย์ตัวเอง กำลังจะเสื่อมเสียแล้ว!

ในเจดีย์สีขาว ลู่ฝานมองด้านหลังของผู้อาวุโสโม่ แล้วพูดพึมพำว่า “คนเราไม่ควรดีใจจนลืมตัวจริงๆ ความวุ่นวายมาแล้วสิ”

เจ้าดำที่อยู่บนไหล่แยกเขี้ยว เหวี่ยงหมัดเล็กๆ ของตัวเอง

เหมือนกำลังบอกว่าจะไปสนใจเรื่องวุ่นวายทำไม ถ้ามาก็ซัดให้เรียบก็จบแล้ว!

ลู่ฝานเข้าใจการกระทำของเจ้าดำ เขายิ้มบางๆ ออกมา

สองมือไพล่หลัง พูดด้วยความห้าวหาญในดวงตา “ก็จริง ให้พวกเขามาเถอะ”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 990
ลู่ฝานยิ้มอย่างได้ใจ อารมณ์ดีเป็นอย่างมาก

ขณะนั้นจู่ๆ มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ลู่ฝานโบกมือไปมาให้สิบสาม สิบสามรีบเปิดประตูทันที

นึกว่ามีเด็กที่ไหนมาถามอีก ผลปรากฏว่าเมื่อเปิดประตู สิ่งที่ปรากฏในสายตาคือตาเฒ่าซูและคนอื่น คนที่นำมาเป็นผู้อาวุโสที่ไม่เคยเจอมาก่อน

“พวกนายคนไหนคือลู่ฝาน!”

ผู้อาวุโสโม่กวาดตามอง

ลู่ฝานลุกขึ้นแล้วพูดว่า “ผมเอง ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสคือ……”

เฮ่อจงรีบพูดว่า “ลู่ฝาน ท่านนี้คือโม่กุย ผู้อาวุโสโม่แห่งเจดีย์ยา วันนี้เขาอยากมาเจอนายน่ะ”

ลู่ฝานชี้ตัวเองแล้วพูดอย่างสงสัย “เจอผมเหรอ”

จู่ๆ ผู้อาวุโสโม่ใช้จมูกดมฟุดฟิดกลางอากาศ แล้วพูดว่า “เมื่อกี้มีคนเพิ่งกลั่นยาเหรอ พลังฟ้าดินนี้รุนแรงมาก!”

เซียวเฮ่ากับอูลี่คุนหันไปมองลู่ฝานทันที เฮ่อจงกับคนอื่นก็มองลู่ฝานอย่างประหลาดใจ

สงป้าเทียนพูดเสียงดังว่า “ลู่ฝาน เมื่อกี้นายคงไม่ได้กลั่นยาใช่ไหม อย่าบอกนะว่าแท้จริงแล้วนายคือผู้ฝึกชี่”

ลู่ฝานส่ายหน้าพูดว่า “ไม่ใช่ครับๆ พวกคุณเข้าใจผิดแล้ว เมื่อกี้ผมเพิ่งทำความเข้าใจได้ วิทยายุทธก้าวหน้าขึ้นเท่านั้นครับ!”

ผู้อาวุโสโม่พยักหน้าพูดว่า “ไม่เหมือนกฎพลังชี่ทั่วไปที่กลั่นยาจริงๆ ลู่ฝาน ดูเหมือนพรสวรรค์ของนายบนเส้นทางวิถีบู๊ ก็ไม่เลวเหมือนกันสินะ!”

ลู่ฝานพูดอย่างนอบน้อมว่า “ผู้อาวุโสชมเกินไปแล้วครับ”

ผู้อาวุโสโม่เดินเข้ามา ค่อยๆ ลากเก้าอี้ตัวหนึ่งมานั่ง

มองลู่ฝานด้วยรอยยิ้ม ผู้อาวุโสโม่พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ได้ยินว่านายเป็นนักบู๊ แต่กลับสอนศิษย์คนอื่นกลั่นยา มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ”

ลู่ฝานขมวดคิ้วเบาๆ แล้วพูดว่า “ไม่ถือว่าสอนพวกเขากลั่นยาหรอกครับ แค่ให้คำแนะนำด้านสมุนไพรครับ ผมมีประสบการณ์ด้านสมุนไพรอยู่บ้าง รวมไปถึงรู้ว่าควรจัดการสมุนไพรอย่างไร ถึงจะได้ประสิทธิภาพสูงสุดครับ ผมพอศึกษามาบ้างครับ นี่คืองานของผมในฐานะเภสัชกรครับ”

ผู้อาวุโสโม่ยิ้มแล้วพูดว่า “นายถ่อมตัว เจ้าหนุ่ม ถ่อมตัวเป็นเรื่องดี แต่ถ่อมตัวเกินไปจะยโส ถ้านายกลั่นยาไม่เป็น แค่ความรู้ด้านสมุนไพร ไม่สามารถสอนคนได้หรอก”

จู่ๆ ผู้อาวุโสโม่มองลู่ฝานด้วยสายตาเป็นประกาย

แต่ลู่ฝานยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “ผู้อาวุโสบอกว่าใช่ก็ใช่ครับ แต่ผมอยากถามผู้อาวุโส นักบู๊จะกลั่นยายังไงครับ”

คำถามเดียวของลู่ฝาน ทำให้ผู้อาวุโสโม่เป็นใบ้พูดไม่ออก

ตอนนี้ลู่ฝานยังตั้งใจเปลี่ยนปราณชี่เป็นพลังปราณบริสุทธิ์ออกมา

เมื่อเห็นพลังปราณบริสุทธิ์ที่ปล่อยออกมาจากตันเถียน ใครก็ไม่มีทางสงสัยว่าลู่ฝานเป็นนักบู๊จริงหรือไม่

ในเมื่อเป็นนักบู๊ ก็ไม่มีทางมีพลังชี่

ในเมื่อไม่มีพลังชี่ ก็ไม่สามารถควบคุมห้าธาตุฟ้าดินกลั่นยาได้

ผู้อาวุโสโม่เงียบอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “นายเคยเรียนกลั่นยาไหม”

ลู่ฝานพยักหน้าพูดว่า “เคยครับ”

“อาจารย์เป็นใคร ทำไมถึงไม่เข้าสู่วิถียาล่ะ”

ผู้อาวุโสโม่ถาม

ลู่ฝานครุ่นคิดแล้วตอบว่า “ขอโทษด้วยครับ อาจารย์ผมห้ามบอกครับ”

ผู้อาวุโสโม่พยักหน้า ลุกขึ้นแล้วพูดว่า “ดูเหมือนฉันคิดมากเอง นายก็แค่นักบู๊ทั่วไปเท่านั้น อย่ามากก็มีความเข้าใจด้านการกลั่นยาอยู่บ้าง ในเมื่อเคยเรียนมา งั้นการกระทำของนายก็ไม่ได้สอนศิษย์ผิดๆ หวังว่าต่อไปนายพยายามอย่าทำเกินไปก็พอ”

ลู่ฝานพูดว่า “ความสามารถมีจำกัด จะทำเกินไปคงไม่ได้หรอกครับ ผู้อาวุโสวางใจได้เลย”

ผู้อาวุโสโม่ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “น่าเสียดาย น่าเสียดาย! ฉันนึกว่าวันนี้จะได้เจออัจฉริยะที่แตกต่าง ไม่แน่อาจเป็นอัจฉริยะที่เปลี่ยนแปลงทั้งโลกฝึกชี่ แต่นายทำให้ฉันผิดหวังมาก”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 989
เฮ่อจงใบหน้ากระอักกระอ่วน ขณะนั้นตาเฒ่าซูพูดเสียงดังว่า “ผู้อาวุโสโม่ เรื่องนี้นายต้องจัดการความยุติธรรม ลู่ฝานไม่ใช่ผู้ฝึกชี่ แต่เป็นนักบู๊ คิดไม่ถึงว่าตอนนี้เขาเริ่มสอนนักเรียนในห้องยากลั่นยา นี่มันอะไรกัน!”

ผู้อาวุโสโม่อึ้งเล็กน้อย แคะหูแล้วพูดว่า “ฉันคงไม่ได้แก่จนหูมีปัญหาใช่ไหม นายว่าอะไรนะ นักบู๊สอนผู้ฝึกชี่กลั่นยางั้นเหรอ”

เฮ่อจงคำนับแล้วพูดว่า “ผู้อาวุโสไม่ได้ฟังผิดหรอกครับ เป็นเช่นนี้จริง พวกเรากำลังหารือเรื่องนี้กันอยู่ครับ”

ผู้อาวุโสโม่หัวเราะร่าแล้วพูดว่า “น่าสนใจๆ เพิ่งออกมาก็ได้ยินเรื่องน่าสนใจขนาดนี้ ลู่ฝานอะไรนั่นอยู่ไหน เรียกเขามาสิ ไม่ๆ ฉันไปดูด้วยตัวเองดีกว่า ให้ฉันได้เห็นหน่อยว่านักบู๊สอนคนอื่นกลั่นยายังไง”

พูดจบ ผู้อาวุโสโม่เดินออกไปด้านนอก เฮ่อจงและคนอื่นรีบตามไป

ในเจดีย์สีขาว ลู่ฝานกำลังดื่มชาอย่างสบายใจ

ข้างๆ มีสองสามีภรรยาอายุน้อยอย่างเซียวเฮ่ากับอูลี่คุน กำลังนวดให้ลู่ฝาน นวดพลางพูดว่า “พี่ลู่ฝาน พี่สอนพวกเรากลั่นยาบ้างสิ พวกเราก็อยากก้าวหน้าบ้าง!”

สิบสามยืนอยู่ข้างๆ ส่ายหน้าถอนหายใจ สองคนนี้ไม่มีศีลธรรมเลยจริงๆ ไม่ควรค่าเป็นพวกเดียวกับพวกเขา คนที่เป็นคนใช้อย่างเขา ยังไม่เคยพูดว่าจะนวดให้ลู่ฝานเลย

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่มีปัญหา พวกคุณกลั่นยา ผมจะแนะนำให้”

จู่ๆ ในดวงตาของอูลี่คุนเป็นประกาย เซียวเฮ่าหัวเราะเสียงดังแล้วพูดว่า “มีพี่ลู่ฝานแนะนำ เราต้องเป็นผู้ฝึกชี่ที่เก่งกาจได้แน่นอน เมื่อถึงตอนนั้นจะได้ออกไปหาเงินมากมาย”

พูดจบ อูลี่คุนแตะมือทำไฮไฟว์กับเซียวเฮ่าอย่างดีใจ ลู่ฝานส่ายหน้าหัวเราะเบาๆ กับสองสามีภรรยาที่อยากได้เงินเยอะๆ คู่นี้ อันที่จริงเขาคิดว่าจุดมุ่งหมายของสองคนนี้ดีมาก

ลู่ฝานหลับตาลง ดื่มชาอย่างสบายใจอีกหนึ่งอึก

ชาเป็นชาที่เขาใช้สมุนไพรชงเอง พวกอูลี่คุนไม่รู้ว่าลู่ฝานใช้วิชากลั่นยาในการชงชา

เพราะที่นี่ใช้สมุนไพรได้อย่างตามสบาย ดูสูตรการกลั่นยาได้ตามใจชอบ ถ้าลู่ฝานไม่ “ยักยอก” คงรู้สึกผิดกับงานนี้มาก

น้ำชาในแก้ว เป็นน้ำจริงๆ ที่ไหนกันล่ะ เป็นยาที่ใสถึงขั้นสุดชัดๆ

ชาแก้วหนึ่งลงสู่ท้อง ลู่ฝานรู้สึกร้อนขึ้นมาทั้งตัว จิตใจวูบไหว นี่เหมือนสัญญาณในการก้าวข้ามผ่าน

ยาแทรกซึมเข้าไปในตัวอย่างรวดเร็ว ปราณชี่เคลื่อนไหวเองอย่างไม่มั่นคง

เส้นทางการฝึกฝน ให้ความสำคัญกับการประสบความสำเร็จที่บรรลุตามเงื่อนไข

การฝึกฝนของลู่ฝานในระยะนี้ รวมไปถึงฤทธิ์ยาที่สะสมอยู่ในตัว ตอนนี้เต็มเปี่ยมจนถึงขั้นที่จะทะลักออกมาแล้ว หลังจากนั้นระดับแดนของเขาก็เริ่มก้าวหน้าขึ้นแล้ว

พลังฟ้าดินรอบๆ พุ่งเข้ามาในตัวลู่ฝานอย่างบ้าคลั่ง ตอนนี้อูลี่คุนกับเซียวเฮ่ารู้สึกผิดปกติ

ตัวลู่ฝานลอยขึ้นเล็กน้อย ต่อจากนั้นมีเสียงเหมือนเม็ดถั่วระเบิดดังออกมา พลังเหมือนสายลมแรงพัดออกมา

ทันใดนั้น อูลี่คุนกับเซียวเฮ่าถอยไปด้านหลังหลายก้าว

ปราณชี่ขอลู่ฝานทะลักออกมาเอง เริ่มเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

เสียงแตกดังขึ้นชัดเจน เหมือนเสียงอะไรโดนตีจนแตก

ภายในพริบตา ปราณชี่ของลู่ฝานพุ่งสูงขึ้นส่วนหนึ่ง เกราะปราณชี่ที่ก่อตัวเป็นชั้น ปกคลุมลู่ฝานเอาไว้ เหมือนใกล้จะทะลุภาพลวงตาชั้นสุดท้ายแล้ว ใกล้จะกลายเป็นของจริงแล้ว

ตอนนี้ลู่ฝานก้าวทะลุแดนปราณชีวิตชั้นแปด เข้าสู่แดนปราณชีวิตชั้นเก้าแล้ว

อีกแค่ก้าวเดียว จะได้เห็นขอบเขตของแดนปราณดินแล้ว

ทันใดนั้น พลังหยุดลง

ลู่ฝานร่วงลงมาบนเก้าอี้ ยื่นมือไปหยิบแก้วชาอีกครั้ง เขาจิบเบาๆ ยิ้มแล้วพูดว่า “อยู่เฉยๆ ก็ก้าวหน้าได้ ดีจริงๆ!”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 988
เด็กน้อยกลุ่มด้านหน้าล้วนช็อกอยู่ที่เดิม จู่ๆ พวกเขาพบว่านักบู๊คนนี้ กลั่นยาเป็นมากกว่าพวกเขาเสียอีก!

ไม่ต้องสงสัยเลย พวกเขาจงใจมาหาเรื่อง แต่โดนลู่ฝานแก้ไขปัญหาได้อย่างง่ายดาย

แต่สองสามวันต่อมา คำถามแปลกๆ ของคนพวกนี้ก็มาอีกแล้ว

ไม่ใช่แค่คำถามเกี่ยวกับสมุนไพร แม้แต่ทักษะการกลั่นยา ผู้ฝึกชี่พวกนี้ก็เริ่มพากันมาขอคำแนะนำจากลู่ฝาน

เดิมทีคนพวกนี้คิดว่าลู่ฝานต้องยอมแพ้ แต่ผลปรากฏว่าใครจะไปคาดคิด ลู่ฝานไม่เพียงแต่จะไม่แพ้ หนำซ้ำยังตอบปัญหาของผู้ฝึกชี่แต่ละคนด้วย

เพียงไม่กี่วัน ชื่อลู่ฝานแสนมหัศจรรย์ แพร่กระจายออกไปอีกครั้ง

“ได้ยินหรือยัง ลู่ฝานเภสัชกรที่มาใหม่ เหมือนเขากลั่นยาเป็นจริงๆ!”

“ใช่ ฉันก็ได้ยินมาเหมือนกัน ช่วงนี้พวกเด็กที่ห้องยา พากันขอคำแนะนำจากลู่ฝาน น่าขำจริงๆ ผู้ฝึกชี่ที่ยิ่งใหญ่ กลับไปขอคำแนะนำจากนักบู๊ว่ากลั่นยายังไง พวกเขาคิดอะไรกันอยู่”

“ฉันเดาว่าลู่ฝานก็แค่คุยโวโอ้อวดเท่านั้น คงแค่หลอกเด็กน้อยพวกนั้น เกรงว่าถ้าเจอผู้ฝึกชี่ที่แท้จริงแบบพวกเรา เขาจะรู้ถึงความแตกต่าง”

ในเจดีย์ยา เสียงพูดคุยเช่นนี้ดังออกไปเรื่อยๆ

เฮ่อจง สงป้าเทียนและตาเฒ่าซู ได้ยินเสียงพูดคุยเช่นนี้

“ไร้สาระ ไร้สาระจริงๆ พวกเด็กที่ห้องยาโดนกรอกยาใส่ปากหรือเปล่า คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีคนเรียกลู่ฝานว่าอาจารย์”

ในห้องประชุม ตาเฒ่าซูตบโต๊ะแล้วพูดเสียงดัง

ข่าวลือสองสามวันนี้ เขาได้ยินแล้วเดือดเป็นฟืนเป็นไฟ เหมือนลู่ฝานเดินไปที่ไหน ที่นั่นก็จะไม่สงบ เป็นเภสัชกรอยู่ดีๆ คิดไม่ถึงว่าเขาจะเล่นพิเรนทร์ นักบู๊สอนคนอื่นกลั่นยา นี่ไม่ใช่เรื่องไร้สาระแล้วจะเป็นอะไรได้อีก

เฮ่อจงก็ขมวดคิ้วพูดว่า “เรื่องนี้ประหลาดจริงๆ นักบู๊คุ้นเคยกับสมุนไพร ฉันยังพอรับได้ เพราะนักบู๊จำนวนไม่น้อยก็อาศัยยาในการฝึกฝน เมื่อเห็นบ่อยๆ ก็เชี่ยวชาญคุ้นเคย นี่ไม่ได้เข้าใจยาก แต่ถ้าบอกว่าคุ้นเคยกับยา นี่เข้าใจยากแล้ว อย่าบอกนะว่าเขาเคยกลั่นยาจริงๆ!”

สงป้าเทียนพูดอย่างสุขุมว่า “เคยกลั่นยาก็เคยกลั่นไปสิ นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร เขาบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าเคยมีอาจารย์เป็นผู้ฝึกชี่ กลั่นยาเป็นจะแปลกอะไรล่ะ แค่สุดท้ายเขาไม่ได้เดินบนเส้นทางผู้ฝึกชี่เท่านั้นเอง ไม่แน่เขาอาจจะปรารถนาอยากเป็นผู้ฝึกชี่ เลยแอบฝึกฝนก็ได้”

เฮ่อจงพยักหน้าพูดว่า “ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ฉันสนใจเขาขึ้นเรื่อยๆ แล้ว”

ตาเฒ่าซูพูดว่า “ฉันว่าต้องรีบไล่เขาออกจากเจดีย์ยาถึงจะถูก เขากำลังทำร้ายผู้ฝึกชี่อายุน้อย ถ้าเรื่องนี้แพร่ออกไป เจดีย์ยาของเราคงกลายเป็นตัวตลก”

เฮ่อจงส่ายหน้าพูดว่า “ไม่เหมาะสม”

สงป้าเทียนพูดอย่างสุขุมว่า “ไม่ได้!”

ตาเฒ่าซูโมโหจนจะระเบิดออกมาแล้ว ขณะนั้นจู่ๆ ประตูบานใหญ่เปิดเอง หลังจากนั้นผู้อาวุโสคนหนึ่ง เอาสองมือไพล่หลังเดินเข้ามา

หนวดเคราเฟิ้ม เสื้อผ้าทอสีขาว เท้าเปล่า บนตัวผู้อาวุโสมีกลิ่นยารุนแรง

“พวกนายกำลังคุยอะไรกันอยู่ ดูเหมือนช่วงนี้ในเจดีย์ยาคึกคักมาเลยนะ!”

ผู้อาวุโสลูบหนวดแล้วเอ่ยขึ้น

คนสองสามคนรีบลุกขึ้นยืน พูดกับผู้อาวุโสอย่างนอบน้อมว่า “ผู้อาวุโสโม่”

เฮ่อจงยิ้มแล้วพูดว่า “ผู้อาวุโสโม่ออกจากการฝึกฝนแล้วเหรอครับ ทดสอบยาใหม่สำเร็จไหมครับ”

ผู้อาวุโสโม่โบกมือไปมาแล้วพูดว่า “สำเร็จอะไรกันล่ะ ทำยาใหม่ยากเกินไป เมื่อกี้พวกนายคุยอะไรกันบอกฉันมาสิ ตลอดทางที่ฉันเดินมา ได้ยินคนเยอะแยะพูดถึงลู่ฝานอะไรสักอย่าง มีคนมาใหม่ที่ไม่เลวมาเจดีย์ยาอีกแล้วเหรอ”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 987
ที่ห้องยาเจดีย์ยา

วันที่สงบ ชีวิตยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ

เภสัชกรมาใหม่อย่างลู่ฝาน เป็นที่รู้จักของผู้ฝึกชี่ในห้องยาอย่างรวดเร็ว

อีกทั้งเรื่องสำคัญที่ลู่ฝานแยกประเภทสมุนไพรในวันเดียว ก็แพร่กระจายไปทั้งห้องยาอย่างรวดเร็ว เป็นนักบู๊แต่คุ้นเคยกับสมุนไพรขนาดนี้ ทำให้คนจำนวนไม่น้อยรู้สึกประหลาดใจ

โดยเฉพาะผู้ฝึกชี่ที่ฝึกฝนอยู่ในห้องยา ส่วนใหญ่ยังเป็นนักเรียนที่ยังฝึกไม่สำเร็จครบถ้วน

อายุน้อย เอาแต่ใจ ไม่เห็นใครอยู่ในสายตา คือคุณสมบัติดีที่พวกเขามีเหมือนกัน

ดังนั้นวันต่อมา ลู่ฝานจึงดึงดูดผู้ฝึกชี่ที่อยากรู้กลุ่มหนึ่ง มาที่เจดีย์สีขาว

“นายคือลู่ฝาน เภสัชกรที่มาใหม่เหรอ”

“นายรู้เรื่องสมุนไพรจริงเหรอ”

“ลู่ฝาน นายเป็นนักบู๊ไม่ใช่เหรอ มาทำอะไรที่เจดีย์ยา นายแน่ใจเหรอว่าเป็นเภสัชกรได้”

เด็กวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งพูดกับลู่ฝานเสียงจ้อกแจ้กจอแจ

คนพวกนี้ส่วนใหญ่อายุน้อยกว่าลู่ฝาน อายุมากสุดก็รุ่นเดียวกับลู่ฝาน อายุน้อยสุดแค่ 7-8 ปีเท่านั้น

ลู่ฝานฟังเสียงเอะอะของพวกเขา ยิ้มแล้วพูดอย่างไม่โกรธเคืองว่า “พวกนายมาเอาสมุนไพรใช่ไหม ถ้ามาเอาสมุนไพรก็ตามสบายเลย ถ้าสงสัยว่าผมมีคุณสมบัติเป็นเภสัชกรไหม พวกนายไปถามผู้ดูแลเฮ่อจงไม่ดีกว่าเหรอ”

เด็กน้อยสองสามคนมองหน้ากัน ไม่พูดอะไร

พวกเขาไม่กล้าสงสัยการตัดสินใจของผู้ดูแลเฮ่อจงหรอก เพราะพวกเขาจำนวนไม่น้อย ล้วนเป็นศิษย์ของอาจารย์เฮ่อจง

หลังจากนั้นผู้ฝึกชี่ที่มีอายุมากหน่อยพูดว่า “ใช่ พวกเรามาเอาสมุนไพร ในเมื่อนายเป็นเภสัชกร งั้นนายต้องช่วยแก้ปัญหาเกี่ยวกับเรื่องสมุนไพรของพวกเราได้แน่ๆ”

ลู่ฝานพยักหน้าพูดว่า “ได้อยู่แล้ว”

จู่ๆ ผู้ฝึกชี่คนนี้พูดด้วยรอยยิ้มมีเลศนัย “งั้นก็ดี ช่วงนี้ฉันกลั่นยาที่มีสรรพคุณระบายความร้อนหนึ่งหม้อ แต่มักพบว่าเปลวไฟไม่คงที่ ยาจับตัวเป็นรูปร่างยาก ฉันศึกษาดูจากหลายด้าน ขั้นตอนของฉันไม่ผิดพลาด น่าจะเป็นปัญหาด้านสมุนไพร ตอนนี้นายช่วยแก้ปัญหาให้ฉันได้ไหม”

พูดพลาง ผู้ฝึกชี่คนนี้เอาหญ้าเปลวเพลิงออกมาจริงๆ

อันที่จริงคำถามนี้เกินขอบเขตของคำตอบของเภสัชกรแล้ว เห็นได้ชัดว่าคนคนนี้มีเจตนาทำให้ลู่ฝานอับอาย

แต่มองเพียงแวบเดียวก็ตอบได้ว่า “หญ้าเปลวเพลิง มีอายุไม่มากพอ นายใช้ในปริมาณที่น้อยเกินไป หรือไม่ก็ต้องเปลี่ยนยา!”

ลู่ฝานพูดเช่นนี้ แล้วเดินไปข้างตู้ยา หาอย่างละเอียดครู่หนึ่ง ดึงกล่องยาหญ้าเปลวเพลิงออกมา เอาต้นที่อายุมากพอออกมาสองต้น จากนั้นยื่นให้ผู้ฝึกชี่คนนี้

“ลองดูอีกครั้ง!”

ผู้ฝึกชี่คนนี้อึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นเอาหม้อยาออกมาทันที แล้วเริ่มกลั่นยาต่อหน้าลู่ฝาน

ลู่ฝานมองอยู่ข้างๆ คอยให้คำแนะนำเป็นระยะ

“ไฟเบาไป เพิ่มไฟอีก”

“ใส่พลังชี่ลงไปอีกหน่อย กดยาน้ำเอาไว้!”

เซียวเฮ่ากับอูลี่คุนยื่นหน้าเข้ามาดู ความสามารถของพวกเขาสองคน ยังไม่ถึงขั้นที่สามารถสอนคนกลั่นยาได้

ผู้ฝึกชี่คนนั้นกัดฟันกลั่นยาต่อหน้าลู่ฝาน เขากลั่นยาตามที่ลู่ฝานพูด เขาจะดูสิว่าทำตามลู่ฝานแล้วจะเป็นยังไง เขาไม่เชื่อว่านักบู๊จะกลั่นยาเป็น

ผลปรากฏว่ายาเป็นรูปร่างอย่างรวดเร็ว เร็วกว่าเขากลั่นเองตั้งหนึ่งเท่ากว่าๆ

หลังจากนั้น ยาออกจากหม้อยา เมื่อยาเม็ดหนึ่งหม้อส่งกลิ่นหอมฟุ้ง ปรากฏต่อสายตาทุกคน ทุกคนไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเองเลย

ยาเม็ดสมบูรณ์แบบ ไม่มีตำหนิเลยสักนิด

ขนาดผู้ฝึกชี่ที่กลั่นยาด้วยมือตัวเองยังอึ้ง เขาไม่อยากเชื่อเลยว่านี่คือยาที่เขากลั่นออกมาเอง

ลู่ฝานมองทุกสิ่งด้วยความสุขุม ราวกับสิ่งเหล่านี้ควรเป็นอย่างนี้อยู่แล้ว

กระบี่เหมือนสายลม เมื่อปรากฏออกมาก็ดึงดูดพลังชี่ฟ้าดินมารวมตัวกันอย่างบ้าคลั่ง

กระบี่ยาวสีฟ้าอ่อน ยาวประมาณหนึ่งเมตร ตรงด้ามกระบี่เป็นหัวมังกรเหล็กนิล

“กระบี่เล่มนี้มีชื่อว่ามังกรคำราม วันนี้ฉันจะส่งต่อมันให้นาย นายต้องใช้กระบี่เล่มนี้ ทำให้ชื่อเสียงตระกูลเทียนของฉันยิ่งใหญ่”

เจ้าบ้านตระกูลเทียนพูดเสียงก้องกังวาน

เทียนชิงหยางตื่นเต้นไปหมดแล้ว เขายื่นมือไปรับกระบี่มังกรคำราม แล้วพูดเสียงดังว่า “ชิงหยางจะใช้กระบี่เล่มนี้ กวาดล้างในใต้หล้า เพื่อกำจัดทุกอย่างให้ตระกูลเทียน”

ผู้อาวุโสสองสามคนมองเทียนชิงหยางด้วยรอยยิ้ม พวกเขารู้ดีว่าเทียนชิงหยางเล็กน้อย

เจ้าบ้านเอากระบี่นี้ส่งต่อให้เทียนชิงหยาง เจตนาชัดเจนมาก เทียนชิงหยางต้องเป็นเจ้าบ้านตระกูลเทียนคนต่อไปแน่นอน

รอแค่เทียนชิงหยางใช้กระบี่มังกรคำรามฟาดฟันความเท็จ ก้าวเข้าสู่แดนเซียนบู๊!

เจ้าบ้านตระกูลเทียนตบไหล่เทียนชิงหยางเบาๆ ยิ้มแล้วพูดว่า “ฉันหวังเพียงว่านายจะประสบความสำเร็จก็พอแล้ว”

พูดจบ ตัวของเจ้าบ้านตระกูลเทียนไปราวกับสายลม ค่อยๆ หายไปอย่างไร้ร่องรอย

เทียนชิงหยางมองทุกอย่างด้วยความนอบน้อม

จนเจ้าบ้านตระกูลเทียนออกไปแล้ว เทียนชิงหยางมองพวกเทียนหยาจื่อด้วยรอยยิ้ม แล้วพูดว่า “ผู้อาวุโสทุกท่าน ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ”

เทียนหยาจื่อพูดด้วยรอยยิ้มว่า “นายนี่จากไปแค่ไม่กี่ปี เข้าสู่แดนได้เร็วมาก วันนี้ได้กระบี่วิเศษ อยู่นิ่งๆ ที่ตระกูลเทียนสักพักหนึ่งเถอะ”

เทียนชิงหยางเล่นกระบี่มังกรคำรามแล้วพูดว่า “อยู่นิ่งๆ เกรงว่าจะไม่ใช่สไตล์ของผมน่ะสิ ผมอยากออกไปหาคนแลกเปลี่ยนเรียนรู้วิชา ไม่รู้ตอนนี้คนตระกูลอื่นเป็นยังไงบ้าง พูดขึ้นมา ดูเหมือนใกล้ช่วงเวลาคัดเลือกแล้ว”

เทียนหยาจื่อพูดอย่างประหลาดใจ “ทำไม นายอยากเข้าร่วมการคัดเลือกปีนี้เหรอ”

เทียนชิงหยางพยักหน้าพูดว่า “คิดว่าพอประมาณแล้ว ให้ผมไปช่วงชิงเกียรติยศเพื่อตระกูลเทียนเถอะ แต่ก่อนหน้านั้น ผมอยากต่อกรกับผู้โดดเด่นในใต้หล้าก่อน”

ผู้อาวุโสคนอื่นยิ้มแล้วพูดว่า “คิดไม่ถึงว่านายจะมีความคิดนี้”

“ทำตามสบายเถอะ ควรให้พวกเขาได้เห็นพละกำลังของตระกูลเทียนแล้ว”

“นายทำแบบนี้ พวกเด็กๆ ตระกูลอื่นคงทนไม่ไหว การคัดเลือกปีนี้คงคึกคักน่าดู”

“อืม คงคึกคักกว่าปีที่ผ่านๆ มา”

ผู้อาวุโสสองสามคนดูชอบยุ่งเรื่องคนอื่นแบบไม่กลัวเรื่องบานปลาย หัวเราะกันอย่างมีความสุขมาก

เทียนหยาจื่อยิ้มบางๆ แต่ในใจกลับกังวลถึงลู่ฝานศิษย์ของตัวเองขึ้นมา

เฮ้อ ถ้าเทียนชิงหยางเข้าร่วมการคัดเลือก ลู่ฝานคงหมดหวังเบียดเข้าไปในสิบอันดับแรกแล้วล่ะ

แต่เทียบลู่ฝานกับอัจฉริยะสิบตระกูล ก็ยังห่างชั้นกันมากจริงๆ นี่จึงไม่ใช่เรื่องที่ยอมรับไม่ได้

เทียนหยาจื่อยิ้มบางๆ ตัวกลายเป็นสายลมออกไป

หลังจากผู้อาวุโสสองสามคนพูดคุยกับเทียนชิงหยางไม่กี่ประโยค ก็ออกไปอย่างรวดเร็วเหมือนกัน

ไม่นานในห้องโถงใหญ่ เหลือเพียงเทียนชิงหยางกับผู้อาวุโสคนสุดท้าย

เดิมทีผู้อาวุโสคนนี้กำลังจะออกไปพร้อมผู้อาวุโสคนอื่น แต่หลังจากที่ผู้อาวุโสคนอื่นออกไป จู่ๆ คนก็กลับมา ทำให้เทียนชิงหยางที่กำลังจะออกไปอึ้งไปครู่หนึ่ง

“ผู้อาวุโสเฟิง ผู้อาวุโสยังมีอะไรหรือเปล่าครับ”

เทียนชิงหยางถาม

ผู้อาวุโสเฟิงก้าวเข้ามาแล้วพูดว่า “จู่ๆ ฉันคิดเรื่องเล็กน้อยขึ้นมาได้ ช่วงนี้หอนางโลมก็เริ่มเปิดแล้ว ผู้หญิงกับชาที่นั่นยอดเยี่ยมมาก ฉันไปลองมาแล้วรอบหนึ่ง ตอนนั้นคิดว่าถ้าชิงหยางอยู่ด้วย ต้องชอบที่นี่แน่นอน เมื่อสองสามวันก่อนนายบอกว่าจะกลับมา ฉันจองที่ไว้ที่ร้านน้ำชาแล้ว แต่ใครจะไปรู้ว่านายจะกลับมาช้าไปสองสามวัน แต่ไม่เป็นไรหรอก ที่ยังอยู่ พรุ่งนี้ไปด้วยกันไหม”

ดวงตาทั้งสองข้างของเทียนชิงหยางเป็นประกายทันที เขาพูดว่า “ผู้อาวุโสเฟิงรู้ใจผมจริงๆ พรุ่งนี้ไปแน่นอนครับ”

ผู้อาวุโสเฟิงยิ้มแล้วพูดว่า “งั้นก็ดี พรุ่งนี้ฉันจะมาชวนนายไปด้วยกัน”

พูดจบ ผู้อาวุโสเฟิงก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

และในช่วงเดียวกับตอนที่เขาหายไป มีแสงหนึ่งยิงออกมากลางอากาศ พุ่งขึ้นไปบนฟ้า ในเวลานั้นเทียนชิงหยางไม่สังเกตเห็น

อีกด้านหนึ่ง บนเรือดอกไม้ลำหนึ่ง

อู่คงหลิงจิตใจวูบไหวเล็กน้อย เธอเดินออกมาจากตัวเรือ

แสงหนึ่งร่วงลงบนมือเธอ สีหน้าอู่คงหลิงอึมครึมลงทันที

หานหยวนหนิงเดินออกมาจากตัวเรือ แล้วถามว่า “คงหลิง มีอะไรเหรอ เข้ามาฟังเพลงสิ!”

อู่คงหลิงสะบัดแสงในมือทิ้ง แล้วหันมาพูดกับหานหยวนหนิงว่า “พรุ่งนี้เราไปหอนางโลมดีไหม”

หานหยวนหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ได้อยู่แล้ว เธออยากไปก็ไปสิ”

อู่คงหลิงยิ้มแล้วพยักหน้า แล้วยกยิ้มมุมปาก ทำให้หานหยวนหนิงเคลิ้มอีกครั้ง

แต่สิ่งที่หานหยวนหนิงมองไม่เห็น ใต้ผ้าปิดหน้าผืนบาง อู่คงหลิงมีรอยยิ้มขมขื่นเล็กน้อย

อู่คงหลิงหันมาถอนหายใจเบาๆ หนึ่งครั้ง

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 985
ตระกูลเทียน ที่ศูนย์กลางเมืองของเมืองหลวง

คฤหาสน์สูงใหญ่ บดบังด้วยเมฆหมอก ถึงตั้งอยู่ในเมือง แต่ก็ยังดูลึกลับยากจะคาดเดาอยู่ดี

ตระกูลเทียนเป็นหนึ่งในสิบตระกูลใหญ่ เป็นตระกูลเดียวที่ไม่ได้ใช้กำลังบู๊ยกระดับความก้าวหน้า ภายนอกเรียกกันว่าตระกูลมหัศจรรย์ค่ายกลยอดเยี่ยม

แค่ค่ายกลคุ้มกันในคฤหาสน์ตระกูลก็ไม่รู้ตั้งเท่าไรแล้ว ทุกพื้นที่หนึ่งนิ้ว น่าจะมีค่ายกลปกคลุมสิบกว่าชนิด คนนอกหาวิธีเหมาะสมไม่ได้ ระดับความอันตรายไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าสถานที่ที่ต้องตายคาที่

ในเมฆหมอก มีเทพมังกรผลุบโผล่

มังกรกลืนไปกับเมฆ เห็นเพียงหางของมัน ไม่เห็นตัวของมัน

ตระกูลเทียนยังเป็นตระกูลเดียวที่สามารถใช้อาคารรูปมังกรได้นอกเหนือจากราชวงศ์

ไม่ใช่เหตุผลใดอื่น เพราะบรรพบุรุษตระกูลเทียน คือมนุษย์มังกรเทียนผู้ที่ช่วยจักรพรรดิอู่ก่อตั้งประเทศ คนที่สูงส่งที่สุดในมนุษย์เผ่ามังกร

ด้วยเหตุนี้จนถึงตอนนี้ตระกูลเทียน จึงยังติดต่อกับมนุษย์เผ่ามังกรอยู่

เมื่อเข้ามาในคฤหาสน์ มีประตูซิว เซิง ซาง ตู้ จิ่ง สื่อ จิง ไค ทั้งหมด 8 ประตู

แต่ละประตูเชื่อมต่อกับสถานที่หนึ่งแห่ง เป็นสวนไผ่ตระกูลเทียน หรือไม่ก็สถานที่เรียนรู้ของตระกูลเทียน

แต่จะเข้าโถงหลักตระกูลเทียน ต้องทำลายทั้ง 8 ประตู มองผ่านความเท็จ และแสวงหาความจริง

คนที่สามารถทำถึงจุดนี้ได้ ในเมืองหลวงมีน้อยถึงขั้นนับนิ้วได้

แต่วันนี้มีคนหนึ่งเหาะมากับเมฆ ทำลายประตูทั้ง 8 ของตระกูลเทียนทันที

ค่ายกลล่องหน แต่ไม่สามารถโจมตีคนคนนี้ได้เลย

เงามังกรในค่ายกล โผล่ดวงตาสองข้างออกมา แต่ก็ไม่สามารถมองเห็นเงาของคนคนนี้ได้

เขาเหมือนวิญญาณตนหนึ่ง เคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วไปที่สวนหลังบ้านตระกูลเทียน มาถึงโถงหลักของตระกูลเทียน

สิ่งที่ปรากฏในสายตาคือห้องโถงใหญ่โต ที่มีเสา 13 ต้นของตระกูลเทียนเผ่ามังกร

พื้นสีขาวขุ่น สะท้อนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดาวอันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา

เสา 13 ต้น แต่ละต้นสลักลวดลายมังกรที่แตกต่างกัน เป็นตัวแทนของมังกรยักษ์ 13 ชนิดที่หายสาบสูญไปจากโลกนี้เป็นเวลานานแล้ว

คนที่มาก้าวเท้าเดินในห้องโถงใหญ่ ทุกที่ที่ฝ่าเท้าเดินผ่าน แสงดาวกระจายออกไปหมด

ผมทองประบ่า หน้าตาหล่อเหลา ดวงตาเป็นประกายสีทองแวววาว ทำให้เขาดูสูงส่งมาก

“ฉันกลับมาแล้ว!”

ผู้ชายพูดด้วยรอยยิ้ม

เขายื่นมือปล่อยกระบวนท่าออกมา บนลายมังกรบนเสาทั้ง 13 ต้น มีแสงสว่างขึ้นมา

เงามังกร 13 ตัวปรากฏออกมา ท่ามกลางความเลือนราง ดวงตาทั้ง 13 คู่มองผู้ชายด้วยรอยยิ้ม

“ชิงหยาง นายกลับมาแล้ว!”

จู่ๆ มีเสียงหนึ่งดังขึ้น

เสียงปลื้มใจและชื่นชมเล็กน้อย ดังก้องในห้องโถงขนาดใหญ่

เงาสองสามเงาปรากฏขึ้นพร้อมกัน ร่วงลงมาในห้องโถงใหญ่พร้อมกับเสียงลม

ผู้อาวุโสคนหนึ่งนั่งลงบนเก้าอี้หลัก ส่วนคนที่เหลือยืนอยู่ทั้งสองด้าน ในบรรดานั้นมีเทียนหยาจื่อ ผู้อาวุโสของตระกูลเทียน

ผู้ชายโค้งคำนับผู้อาวุโสด้วยความเคารพ

“เทียนชิงหยางพบเจ้าบ้านและผู้อาวุโสทุกท่าน”

เงยหน้าขึ้น มีรอยยิ้มบางๆ ตรงมุมปาก เขาคือเทียนชิงหยาง อัจฉริยะอันดับหนึ่งของตระกูลเทียน!

เจ้าบ้านตระกูลเทียนหัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “นายไปฝึกฝนข้างนอกมาห้าปี เพิ่งออกจากการฝึกฝนเมื่อเร็วๆ นี้ ได้อะไรมาบ้างล่ะ”

เทียนชิงหยางตอบว่า “ไม่มีอะไรนอกจากวิทยายุทธเต็มเปี่ยมเท่านั้น!”

พูดพลาง เกราะปราณบนตัวเทียนชิงหยางก่อตัวเป็นรูปร่าง ตัวลอยขึ้นเบาๆ

เขาก้าวเดินกลางอากาศ มาถึงด้านบนของห้องโถงใหญ่

อ้าแขนทั้งสองข้าง ลมหมุนวนอยู่รอบตัวเขา เสียงมังกรคำรามดังออกมาจากรอบตัวเขาเป็นระยะ

“เกือบจะเข้าสู่แดนปราณฟ้า!”

เทียนหยาจื่อพยักหน้ายิ้มแล้วเอ่ยขึ้น

วิทยายุทธแบบนี้ ในบรรดาคนอายุน้อย นับได้ว่าเป็นผู้โดดเด่นเหนือใคร อีกทั้งเทียนชิงหยางยังอายุแค่ 27-28 ปี

เจ้าบ้านตระกูลเทียนหัวเราะร่า แล้วพูดว่า “ดี ตระกูลเทียนของฉันมีผู้สืบทอดแล้ว ชิงหยาง นายลงมาสิ”

เทียนชิงหยางกลายเป็นแสง มาตรงหน้าเจ้าบ้านตระกูลเทียน

เจ้าบ้านตระกูลเทียนค้ำไม้เท้าหัวมังกร ค่อยๆ ลุกขึ้นแล้วพูดว่า “คุกเข่า!”

เทียนชิงหยางได้ยินก็ขมวดคิ้วเบาๆ แต่ก็คุกเข่าข้างหนึ่งลงบนพื้น

เจ้าบ้านตระกูลเทียนยกมือขึ้นวาดกลางอากาศ รอยแยกมิติปรากฏออกมาอย่างชัดเจน หลังจากนั้นกระบี่เล่มหนึ่งเด้งออกมาจากรอยแยกมิติ

ชายหญิงเปิดประตูออกมา ผู้หญิงถลึงตามองลู่ฝานแล้วพูดว่า “เภสัชกรที่มาใหม่เหรอ ใครให้นายมา เบื้องบนอนุมัติหรือยัง”

ลู่ฝานพยักหน้าพูดว่า “เพิ่งอนุมัติ ผู้อาวุโสเฮ่อจงให้ผมมา”

เมื่อได้ยินชื่อเฮ่อจง น้ำเสียงของผู้หญิงอ่อนลงทันที

ผู้ชายด้านหลังก็พูดเบาๆ ว่า “ดูเหมือนจะจริงนะอาลี่ บนกำแพงมีชื่อของลู่ฝานแล้ว!”

อาลี่กับลู่ฝานหันไปทางที่ผู้ชายชี้ นั่นเป็นกำแพงที่ก่อตัวจากพลังชี่ ด้านบนมีชื่อสามคนเขียนเอาไว้อย่างเรียบร้อย

“อูลี่คุน เซียวเฮ่า ลู่ฝาน!”

อูลี่คุนมองลู่ฝานตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วพูดว่า “ในเมื่อเป็นเภสัชกรที่มาใหม่ งั้นต่อไปเราต้องทำงานด้วยกันแล้ว”

ลู่ฝานพยักหน้าพูดว่า “ใช่ อย่างน้อยช่วงนี้ก็ต้องทำงานด้วยกัน นี่สิบสามพ่อบ้านของผม เขามากับผม”

อูลี่คุนพยักหน้าเบาๆ ให้สิบสาม ถือเป็นการทักทาย จากนั้นชี้หน้าลู่ฝานแล้วพูดว่า “เมื่อกี้นายเห็นอะไรไหม”

ลู่ฝานพูดอย่างแน่วแน่ว่า “ไม่เห็นอะไรเลย ได้ยินเสียงกรีดร้องครั้งเดียว”

“ไม่เห็นอะไรจริงๆ ใช่ไหม”

“ใช่ จริงยิ่งกว่าทองคำแท้!”

เห็นสายตาแน่วแน่ของลู่ฝาน อูลี่คุนจึงปล่อยเขาไป หลีกทางให้ลู่ฝานเดินเข้ามา

เจดีย์นี้มองจากข้างนอกไม่ใหญ่ แต่เมื่อเดินมาข้างใน ไม่เล็กจริงๆ แค่ชั้นนี้ก็มีบริเวณรอบๆ หลายร้อยเมตรแล้ว!

ตู้ยาเรียงสูง วางเรียงหน้ากระดานชิดกำแพง

พื้นด้านล่างสร้างจากหินประหลาด ด้านบนมีตัวอักษรขนาดใหญ่เขียนเอาไว้ว่า “ยา” !

เมื่อเดินเข้ามา ได้กลิ่นหอมของยาเป็นระยะ

เซียวเฮ่ามองลู่ฝานแล้วโค้งตัวเล็กน้อย จากนั้นพูดว่า “สวัสดี”

ลู่ฝานก็โค้งตัวเล็กน้อยทำความเคารพกลับ

ลู่ฝานมองรอบๆ ยิ้มแล้วพูดว่า “ผมชอบที่นี่!”

เซียวเฮ่าหัวเราะร่าแล้วพูดว่า “ต่อไปนายจะยิ่งชอบที่นี่ ในโลกนี้ไม่มีที่ไหนดีกว่าที่นี่อีกแล้ว”

เซียวเฮ่าเอาไหเหล้าออกมาไหหนึ่ง แล้วพูดว่า “จะดื่มหน่อยไหม! เหล้าชั้นดีที่ฉันหมักเอง”

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “ได้เลย!”

อูลี่คุนถลึงตาใส่เซียวเฮ่าแล้วพูดว่า “ห้ามดื่ม!”

จู่ๆ มือของเซียวเฮ่าชะงักไป จากนั้นพูดอย่างกล้าๆ กลัวๆ ว่า “ดื่มนิดเดียว”

อูลี่คุนพูดเสียงดังว่า “นิดเดียวก็ไม่ได้ พวกนายดื่มชาเถอะ!”

เซียวเฮ่าเก็บเหล้าอย่างทำอะไรไม่ได้

ลู่ฝานมองเขาแล้วหัวเราะคิกคัก รู้สึกเหมือนคนกลัวเมีย!

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “ผมไปดูข้างบนได้ไหม”

เซียวเฮ่าพูดว่า “ตามสบายเลย! เพราะต่อไปนายก็ต้องทำงานที่นี่อยู่แล้ว”

ลู่ฝานพยักหน้า เดินตามบันไดเมฆขึ้นไปข้างบน เซียวเฮ่าตามมาด้านหลังเขา

ชั้น 1 2 3 เป็นที่เก็บสมุนไพรจริงๆ ไม่มีอะไรน่าดู

ชั้น 4 5 6 เป็นที่พักทั้งหมด แต่ละชั้นใหญ่จริงๆ เซียวเฮ่าพูดว่า “ชั้น 4 เราอยู่แล้ว ชั้น 5 กับชั้น 6 นายเลือกได้เลย”

ลู่ฝานยิ้มแล้วพยักหน้า เดินขึ้นไปด้านบนต่อ

เมื่อเขามาถึงชั้น 7 เห็นกระดาษลอยอยู่เต็มห้องไปหมด

ลู่ฝานเอากระดาษลงมาดูหนึ่งใบ เขาถึงกับตกใจ คิดไม่ถึงว่าจะเป็นสูตรการกลั่นยาเสวียน!

ลู่ฝานพูดอย่างประหลาดใจว่า “ที่นี่เป็นสูตรการกลั่นยาชนิดนี้หมดเลยเหรอ”

เซียวเฮ่าพูดว่า “ใช่ เป็นสูตรการกลั่นยาทั้งหมด มีทุกอย่าง แต่ส่วนใหญ่สำหรับนักบู๊กิน เราใช้ไม่ได้ ดังนั้นคนที่เจดีย์ยาพวกนั้น นำสิ่งเหล่านี้ไปสอนลูกศิษย์ นายไปชั้น 8 จะได้เห็นสูตรการกลั่นยาเซียนด้วยนะ”

ลู่ฝานรีบเดินไปชั้น 8 ไม่นานเขาเอาสูตรการกลั่นยาเซียน กำเอาไว้ในมือหนึ่งใบจริงๆ

มองสูตรการกลั่นยา ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “เป็นสถานที่ดีจริงๆ ผมยิ่งชอบที่นี่ขึ้นเรื่อยๆ แล้ว”

เงยหน้ามองสูตรการกลั่นยาทั้งชั้น จู่ๆ ลู่ฝานรู้สึกว่าทำไมความสุขถึงมาอย่างกะทันหันขนาดนี้

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 983
เจดีย์ยาสูงตระหง่าน มีทั้งหมด 99 ชั้น จึงใช้ชื่อว่าสวรรค์ชั้น 99

แต่ละชั้นมีการใช้งาน พื้นที่ไม่ใหญ่ แต่ซ่อนความลึกลับอันยิ่งใหญ่ไว้ สิ่งที่มีมากมายในที่แห่งนี้คือพื้นที่แผ่ขยายของค่ายกล

ห้องยาที่ว่าเป็นห้องเล็กๆ ที่ชั้นสอง บานประตูเก่าโบราณ เหมือนประตูไม้พังๆ ของห้องเก็บของ

ถูกต้องที่ดูจากภายนอกเป็นเพียงห้องเล็กๆ แต่เมื่อเปิดออก ด้านในเป็นถ้ำสวรรค์อีกแห่งหนึ่ง

ทิวเขามากมาย ต้นไม้ใบหญ้าและนกนับไม่ถ้วน ฟ้าครามเมฆขาวพร้อมเสียงน้ำไหล

ที่นี่เหมือนกับดินแดนในอุดมคติ!

ท่านซูก้าวเข้าไป แล้วพูดว่า “ที่นี่คือห้องยา ด้านในมีหม้อยาสามพันหม้อ มีห้องยาพันห้อง ถ้ามีผู้ฝึกชี่มากลั่นยา จะถือใบที่ได้รับการอนุมัติจากเจดีย์ยาเข้ามา หาห้องกลั่นยาเอง โดยทั่วไปลูกศิษย์ที่ฝึกฝนในเจดีย์ยา จะฝึกวิชายาที่นี่ ห้องยาแบ่งเป็นห้าเขต ดินสีแดงเป็นเขตเปลวไฟ เหมาะสำหรับกลั่นยาเพิ่มระดับ ดินสีเหลืองเป็นเขตจิตแห่งผืนดิน เหมาะสำหรับกลั่นยาบำรุงรักษาสุขภาพ ดินสีขาวเป็นเขตเย็น เหมาะสำหรับกลั่นยาเกี่ยวกับการผนึก ดินสีเขียวเป็นเขตเกี่ยวกับต้นไม้ เหมาะสำหรับกลั่นยารักษาชีวิต ดินสีดำเป็นเขตสารโลหะ เหมาะสำหรับกลั่นยาที่ทำให้ทะลุแดนได้ ห้องยาของนายอยู่ที่จุดเชื่อมต่อของห้าเขต”

พูดพลาง ท่านซูเร่งฝีเท้าเดินไปข้างหน้าให้เร็วขึ้น

ลู่ฝานมองรอบๆ เป็นอย่างที่ท่านซูพูดจริงๆ ที่นี่แบ่งแยกเขตชัดเจนมาก

มีเทือกเขาแดงเพลิง แล้วก็มีเนินหิมะที่มีเกล็ดน้ำแข็งปกคลุมอยู่

เดินช้าๆ ในป่าที่เขตเกี่ยวกับต้นไม้ ลู่ฝานพบว่าในป่ามีห้องยาไม่น้อยเลย

แต่ละห้องไม่ค่อยต่างกัน ห้องสร้างจากหิน มีหม้อยาอยู่หน้าประตูหนึ่งหม้อ

ในที่สุดท่านซูพาลู่ฝานมาถึงจุดเชื่อมต่อของห้าเขต

ที่นี่มีเจดีย์สีขาวขนาดใหญ่อยู่หนึ่งองค์ เจดีย์สูงประมาณเก้าชั้น ด้านหน้ามีองครักษ์หุ่นเชิดอยู่สองตัว

ท่านซูชี้เจดีย์สีขาวแล้วพูดว่า “ชั้น 1 2 3 เป็นห้องสมุนไพร ชั้น 4 5 6 เป็นห้องพักของนายกับเภสัชกรคนอื่น ชั้น 7 และ 8 เป็นที่เก็บสูตรการกลั่นยา ส่วนใหญ่เป็นสูตรการกลั่นยาทั่วไป นายดูได้ตามใจชอบ ถ้านายสนใจ ชั้น 9 ปิดเอาไว้ชั่วคราว ห้ามไม่ให้คนเข้าไป เป็นเภสัชกร นายสามารถเข้าออกห้องยาได้ตามอิสระ หน้าที่ทุกวันคือช่วยศิษย์ที่ฝึกวิชายา เลือกสมุนไพรที่เหมาะสมสอดคล้องกัน ให้ความช่วยเหลือพวกเขาเมื่อฝึกฝน แนะนำให้ความรู้ทางด้านสมุนไพรตอนช่วงที่จำเป็น”

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “งานนี้ฟังดูไม่เลวเลย ถ้าพวกเขาต้องการผมก็เอาให้พวกเขาใช่ไหม”

ท่านซูพูดด้วยใบหน้าเย็นชา “โดยพื้นฐานก็เป็นแบบนี้ ส่วนปริมาณเฉพาะเจาะจง เภสัชกรอีกสองคนจะบอกนายเอง”

พูดจบ ท่านซูกำลังจะหันหลังเดินไป

ลู่ฝานมองท่านซู แล้วพูดตะโกนว่า “ขอบคุณครับท่านซู”

ท่านซูชะงักฝีเท้าลง หันมามองลู่ฝานแล้วพูดว่า “ฉันไม่ต้องการคำขอบคุณของนาย”

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “คุณต้องการหรือไม่ต้องการ ไม่เกี่ยวกับว่าผมจะขอบคุณหรือไม่ขอบคุณ”

ท่านซูขมวดคิ้ว พูดด้วยใบหน้าเย็นชาว่า “เด็กเสแสร้ง”

ท่านซูส่งเสียงหึอย่างเย็นชาอีกครั้ง จากนั้นก็เดินออกไปอย่างรวดเร็ว

ลู่ฝานพูดเสียงเบาว่า “นิสัยของตาแก่นี่แย่จริงๆ นายว่าไหมสิบสาม”

สิบสามตอบว่า “ศัตรู!”

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “จะมีศัตรูในโลกเยอะขนาดนั้นได้ยังไง ก็แค่คนแก่ที่ไม่พอใจฉันมากๆ เท่านั้น คนที่ต้องการฆ่าฉันจริงๆ ยังไม่ได้ลงมือเลย!”

พูดจบ ลู่ฝานเดินไปทางห้องยา เพิ่งผลักประตูออก จู่ๆ ลู่ฝานตกใจที่เห็นผู้ชายกับผู้หญิง เสื้อผ้าไม่เรียบร้อยรีบลุกขึ้นมา

ลู่ฝานรีบถอยออกมา เมื่อกี้เขาเห็นภาพที่ไม่ควรเห็นหรือเปล่านะ

เหมือนจะใช่ แต่ก็เหมือนไม่ใช่

จู่ๆ มีเสียงตะโกนอย่างโมโหดังมาจากด้านใน

“นายเป็นใคร! ทำไมเข้ามาไม่เคาะประตู! ลูกศิษย์สำนักไหนไม่มีมารยาทแบบนี้!”

ลู่ฝานสูดหายใจลึกแล้วพูดว่า “ผมเป็นเภสัชกรที่มาใหม่ ชื่อลู่ฝาน!”

ถ้าลู่ฝานเป็นผู้ฝึกชี่ ตอนนี้ตาเฒ่าซูคงเข้าไปจับมือเขาอย่างเป็นกันเอง เชิญให้อยู่ที่เจดีย์ยาต่อเพื่อสอนศิษย์ใหม่

แต่คนข้างหน้าคือลู่ฝาน

ลู่ฝาน นักบู๊อายุน้อยที่แบกกระบี่หนักอยู่ด้านหลัง!

ตาเฒ่าซูรู้สึกว่าตัวเองโดนทำให้อับอายอย่างรุนแรง เขาเตรียมจะออกไปโดยไม่พูดอะไร

แต่ขณะนั้น เฮ่อจงกลับเรียกเขาไว้ “ท่านซู นายจะไปแล้วเหรอ”

กล้ามเนื้อบนหน้าท่านซูกระตุก เขาพูดว่า “ฉันรู้สึกไม่ค่อยสบายตัว จะกลับไปกินยาหน่อย”

เฮ่อจงหัวเราะเสียงดัง แล้วพูดว่า “ไม่ต้องรีบ ฉันมียาอยู่ นายกินก่อนสิ น้องลู่ฝาน ดูเหมือนให้นายทำงานจุกจิกแบบนี้ ใช้คนไม่ถูกกับงานจริงๆ ฉันอยากรู้จริงๆ ว่านายเคยเรียนกลั่นยาไหม หรือไม่ก็มีอาจารย์ที่เป็นผู้ฝึกชี่หรือเปล่า!”

ลู่ฝานหัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “เคยเรียนตอนเด็กมาบ้างครับ สมุดภาพเล่มนั้นมีประโยชน์มาก เสริมในส่วนที่ผมยังขาดในด้านสมุนไพรได้เยอะมาก”

เฮ่อจงพยักหน้า ตอนนี้สีหน้าที่มองลู่ฝานไม่มีความรังเกียจอีกแล้ว ล้วนเป็นความชื่นชมจากใจล้วนๆ

เฮ่อจงพูดว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ น้องลู่ฝานไปช่วยเป็นเภสัชกรที่ห้องยาสิ เชื่อว่ามีนายอยู่ ตอนเด็กพวกนั้นกลั่นยา ต้องไม่เลือกยาผิดอีกแน่นอน!”

ผู้ฝึกชี่ทุกคนพยักหน้าตาม มีเภสัชกรที่คุ้นเคยกับสมุนไพรขนาดนี้คอยช่วยเหลือ สามารถลดเวลาการสมุนไพรในการกลั่นยาลงไปได้เยอะจริงๆ!

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “ได้เลยครับ แต่สิ่งที่ผมอยากถามมาตลอด ทำงานที่เจดีย์ยา ไม่มีรายได้เหรอครับ”

เฮ่อจงหัวเราะแล้วพูดว่า “มีสิ จ่ายเป็นเดือน ไม่เป็นหนี้นายหรอก เอาชื่อน้องลู่ฝานบันทึกลงในรายชื่อพนักงานของเจดีย์ยา ท่านซูสายตาหลักแหลมจริงๆ มองแวบเดียวก็รู้ว่าน้องลู่ฝานมีความสามารถพิเศษทางด้านสมุนไพร นายพาน้องลู่ฝานไปที่ห้องยาสิ!”

เฮ่อจงพูดจบ ก็สะบัดมือทำให้ม่านแสงกระจายไปจนหมด จากนั้นเดินหัวเราะออกไป

สงป้าเทียนเดินเข้ามา ยกนิ้วโป้งให้ลู่ฝานแล้วพูดว่า “เป็นเด็กที่ดี มีความสามารถ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป คงไม่มีใครไล่นายได้อีกแล้ว!”

ลู่ฝานหัวเราะแล้วพูดว่า “ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดีสุดๆ ไปเลยครับ”

สงป้าเทียนหัวเราะแล้วพูดว่า “สองสามวันนี้ฉันก็ยุ่งเหมือนกัน รอฉันว่างจะไปหานายที่ห้องยาแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้นเราค่อยดื่มกัน”

ลู่ฝานพยักหน้าพูดว่า “ได้เลย!”

สงป้าเทียนเดินออกไปอย่างรวดเร็ว ตอนเดินผ่านข้างตัวตาเฒ่าซู ยังจงใจเลิกคิ้วขึ้นพูดว่า “ตาเฒ่าซู เป็นไง ยอมหรือยัง”

ตาเฒ่าซูสีหน้าอึมครึมไม่พูดอะไร เดินจ้ำอ้าวออกไปข้างนอก

ลู่ฝานวางแก้วชาลง เดินตามตาเฒ่าซูไป

เดินออกจากโกดังยา ภายใต้สายตาของพวกผู้ฝึกชี่ที่จับจ้องมา

ลู่ฝานแอบได้ยินเสียงพูดคุยของผู้ฝึกชี่เหล่านี้ด้วย

“เป็นคนที่มหัศจรรย์จริงๆ!”

“นักบู๊สามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้ คงใช้ได้แค่คำว่าปาฏิหาริย์มาบรรยายเท่านั้น ถ้าเขาเป็นผู้ฝึกชี่ ต้องประสบความสำเร็จมากแน่นอน”

“ลู่ฝานแสนมหัศจรรย์!”

……

ลู่ฝานยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “ลู่ฝานแสนมหัศจรรย์ ฉันมีฉายาใหม่อีกแล้ว แต่ฉันชอบฉายานี้”

สิบสามยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้านาย มหัศจรรย์!”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 981
ตาเฒ่าซูยิ้มเย็นชามองลู่ฝานแล้วพูดว่า “หึ ไอ้หนุ่มคำโกหกลวงโลกของนาย จะโดนเปิดโปงในไม่ช้า!”

ลู่ฝานยิ้มบางๆ นั่งลงดื่มช้ากับสิบสามต่อ

สิบสามมองตาเฒ่าซูกับคนอื่น แล้วส่ายหน้าเบาๆ สีหน้าดูเยาะเย้ยเล็กน้อย

ทุกคนดูม่านแสงอย่างเงียบๆ ด้านในลู่ฝานยังอ่านหนังสือภาพอยู่

เมื่อเฮ่อจงสะบัดมือ ภาพเปลี่ยนไปอีก ลู่ฝานก็ยังนั่งอ่านหนังสือภาพอยู่เหมือนเดิม

เฮ่อจงพึมพำว่า “ดูเหมือนสองสามวันก่อน เขายังไม่ได้ทำงานเลย!”

นักบู๊สองสามคนด้านหลังพูดคุยกันเสียงเบา “อย่าบอกนะว่าเขาทำเสร็จภายในวันเดียว นี่มันน่าประหลาดใจมากจริงๆ นะ”

เฮ่อจงสะบัดมือเป็นครั้งที่สาม ในที่สุดลู่ฝานที่อยู่ในม่านแสงก็ไม่ได้อ่านหนังสือภาพแล้ว

ในภาพ หลังจากลู่ฝานคุยกับตาเฒ่าซู เขาก็ลุกขึ้นมาหน้ากองสมุนไพร หลังจากนั้นทุกคนเห็นลู่ฝานเริ่มโยนสมุนไพร!

ครั้งแรกโยนแค่ต้นเดียว ทุกคนตกใจในความแม่นของลู่ฝาน

ความสามารถในการควบคุมพลังปราณระดับนี้ เทียบได้กับผู้ฝึกชี่ได้เลย ไม่สิ ต้องพูดว่าแข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกชี่ทั่วไปมาก

หลังจากนั้น ตอนที่ลู่ฝานเริ่มโยนสมุนไพรอย่างบ้าคลั่ง ทุกคนถึงกับตกตะลึง

รวมไปถึงเฮ่อจง ตาเฒ่าซูและคนอื่นด้วย ทุกคนอ้าปากค้างมองภาพนี้ เหมือนเห็นเรื่องอัศจรรย์!

“นี่……นี่……นี่……”

ตาเฒ่าซูพูดคำว่านี่ติดกันสามครั้ง ไม่ได้พูดคำที่เหลือออกมา

เฮ่อจงแววตาเป็นประกาย กำมือแล้วก็ปล่อย หันมามองทางลู่ฝาน ประกายในแววตาลุกโชนเป็นอย่างมาก

พวกผู้ฝึกชี่ที่อยู่ด้านหลังตั้งสติได้ พากันอุทานอย่างตกใจไม่หยุด

“พระเจ้า นี่เป็นเรื่องที่คนสามารถทำได้เหรอ เขาแยกประเภทสมุนไพรอย่างตั้งใจจริงเหรอ ทำไมฉันรู้สึกเหมือนโยนมั่วๆ เลย!”

“แต่ใครจะโยนมั่วได้แม่นขนาดนี้ล่ะ นายดูเส้นโค้งนั่นสิว่ามันพลิ้วขนาดไหน เขาบังคับทิศทางการลอยของสมุนไพรเยอะแยะด้วยตัวคนเดียวได้ยังไง ระดับการควบคุมพลังของนักบู๊ถึงระดับนี้ตั้งแต่เมื่อไร!”

“ความเร็วในการแยกประเภทแบบนี้ เขาไม่ใช่ผู้ฝึกชี่จริงๆ ใช่ไหม มองแวบเดียวก็รู้ว่าควรแยกสมุนไพรไปฝั่งไหน”

……

สีหน้าของทุกคนดูไม่อยากเชื่อ ตกใจกับความเร็วในการแยกประเภทที่น่าทึ่งของลู่ฝาน

ตาเฒ่าซูทนดูไม่ได้แล้ว เขาเหาะไปด้านหน้าชั้นวางยาทันที เริ่มดูว่าสมุนไพรที่ลู่ฝานแยกประเภทถูกต้องหรือเปล่า

เขาต้องดูด้วยตาตัวเองให้หมดถึงจะเชื่อ

เพราะเขาพบว่าตัวเองก็แยกประเภทเร็วไม่เท่าลู่ฝาน อย่างน้อยความสามารถที่มองเพียงแวบเดียว ก็รู้ว่าควรแยกสมุนไพรไปฝั่งไหน เขาไม่ได้มีความสามารถนั้น

พิสูจน์แล้วว่าระดับความคุ้นเคยที่ลู่ฝานมีต่อสมุนไพร เหนือกว่าผู้ฝึกชี่ที่แท้จริงอย่างเขา

นักบู๊รู้เรื่องสมุนไพรมากกว่าผู้ฝึกชี่!

จะทนได้เหรอ

นี่มันตบหน้าอันสูงส่งล้ำค่าของเขาชัดๆ ความรู้ล้ำลึกอะไรนั่นก็แค่เรื่องบ้าบอ!

ใช้เวลานานดูจนไปถึงด้านหลัง ตาเฒ่าซูไม่เห็นข้อผิดพลาดเลย

ถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้องทั้งหมด

อีกทั้งรูปแบบการวาง ยังงดงามเป็นอย่างมาก ราวกับวางมันลงด้วยความระมัดระวัง

ตาเฒ่าซูเงียบไปแล้ว สีหน้าที่เขามองมายังลู่ฝานอีกครั้ง เปลี่ยนเป็นสับสนขึ้นมา

เดิมทีเขาคิดว่าหางานยากลำบากให้ลู่ฝาน อย่างน้อยก็เป็นงานที่นักบู๊ทั่วไปไม่มีทางทำได้

แต่ลู่ฝานใช้เวลาแค่ไม่กี่วัน ก็สามารถตบหน้าเขาอย่างแรงได้

ตอนนี้ตาเฒ่าซูต้องยอมรับว่าลู่ฝานมีความสามารถมาก อย่างน้อยความสามารถด้านการจำแนกแยกแยะก็สูงส่งมาก ถึงระดับผู้ฝึกชี่ที่เชี่ยวชาญแล้ว ส่วนด้านความเร็วก็เหนือกว่าไปมากแล้ว

ตาเฒ่าซูทำให้หลู่เล่อตกใจจนสะดุ้งโหยง ไหนบอกว่าเขาถล่มตรงหน้าก็ยังนิ่งไง!

หลู่เล่อรีบพูดซ้ำอีกรอบ

ครั้งนี้ตาเฒ่าซูผลักหลู่เล่อออกไปทันที จากนั้นเดินจ้ำอ้าวออกไปด้านนอก เดินไปตะโกนไปว่า “เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!”

ตะโกนโวยวายเสียงดัง ตาเฒ่าซูไม่สนใจกฎที่ห้ามเหาะมั่วซั่วในเจดีย์ยา เขาเด้งตัวลงมาจากตึกสูงทันที

ตัวลอยลงมาเหมือนใบหลิว ตาเฒ่าซูลอยลงมาหน้าประตูโกดังยา เป็นอย่างที่หลู่เล่อพูดจริงๆ ขณะนั้นประตูอากาศเวิ้งว้างขนาดใหญ่ของโกดังยาเปิดออก กลุ่มผู้ฝึกชี่มุงอยู่ด้านนอก มีสงป้าเทียนรวมอยู่ในนั้น อีกทั้งยังมีเฮ่อจงด้วย

“ท่านซูมาแล้ว!”

ผู้ฝึกชี่คนหนึ่งเห็นท่านซู ก็รีบตะโกนออกมาทันที

สงป้าเทียนเห็นท่านซูก็หัวเราะร่า แล้วพูดว่า “ตาเฒ่าซู นายก็มาแล้วเหรอ มาสิ เราไปดูลู่ฝานที่มหัศจรรย์คนนี้ด้วยกัน!”

ท่านซูสีหน้าอึมครึม เบียดเข้าไปในกลุ่มคนมาข้างตัวเฮ่อจงแล้วพูดว่า “มาทำอะไรกันตรงนี้ เข้าไปดูสิ ฉันไม่เชื่อหนอกว่าเด็กนั่นจะแยกสมุนไพรเยอะขนาดนั้นเสร็จแล้ว ก็แค่ข่าวลือ เมื่อวานตอนที่ฉันมา ตรงนั้นยังมีอยู่ตั้งกองหนึ่ง”

เฮ่อจงยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ต้องรีบ ผู้ฝึกชี่สองสามคนกำลังยืนยันความถูกต้องอยู่ด้านใน เรารอผลอยู่ข้างนอกนี่แหละ จะได้ไม่รบกวนพวกเขา”

เมื่อพูดจบ ในประตูอากาศเวิ้งว้าง มีผู้ฝึกชี่สองสามคนเดินออกมา

สองคนในนั้น เป็นผู้ฝึกชี่อายุน้อยที่เมื่อก่อนทำงานอยู่ในโกดังยา

ทั้งหมดห้าคน ผู้ฝึกชี่วัยกลางคนซึ่งอายุมากที่สุดเดินเข้ามา พูดกับเฮ่อจงด้วยสีหน้าสับสน “ตรวจสอบเรียบร้อยแล้วครับ การแยกประเภทสมุนไพรทั้งหมด ไม่มีผิดสักนิดเลยครับ!”

ทุกคนถึงกับสูดหายใจเฮือก

ตาเฒ่าซูพูดเสียงดังว่า “นายแน่ใจเหรอ”

ผู้ฝึกชี่วัยกลางคนถอนหายใจแล้วพูดว่า “แน่ใจครับ ตอนแรกผมก็เริ่มจากการแยกประเภทสมุนไพร ค่อยๆ อดทนจนเป็นผู้ฝึกชี่อย่างเป็นทางการ เทียบความเร็วในการแยกประเภทและระดับความถูกต้องกับคุณชายลู่ฝานแล้วผมอับอายจริงๆ ครับ”

ตาเฒ่าซูผลักผู้ฝึกชี่วัยกลางคนออกไป เดินจ้ำอ้าวเข้าไปในจวนอากาศธาตุ

เฮ่อจงและคนอื่นก็ตามเข้าไปด้วย ผู้ฝึกชี่กลุ่มหนึ่งก็พุ่งเข้าไปเหมือนกัน

ด้านใน ลู่ฝานกับสิบสามกำลังดื่มชาพูดคุยกันอย่างมีความสุข

เจ้าดำกอดแก้วชา ดื่มจนแยกเขี้ยวยิงฟัน

เห็นกลุ่มคนพุ่งมาจากข้างนอก ลู่ฝานยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “ทำไมมากันเยอะขนาดนี้ล่ะครับ!”

ตาเฒ่าซูมองลู่ฝานแวบหนึ่ง แล้วถามเสียงดังว่า “ลู่ฝาน นายแยกประเภทสมุนไพรเสร็จแล้วเหรอ”

ลู่ฝานพยักหน้าพูดว่า “ใช่ครับ ถ้าท่านซูไม่เชื่อ ไปตรวจสอบดูเองได้เลยครับ!”

ท่านซูชี้หน้าลู่ฝานแล้วพูดว่า “นักบู๊กระจอกๆ แบบนาย มีความสามารถอะไร ทำไมถึงแยกสมุนไพรทั้งหมดเสร็จภายในวันเดียว ฉันไม่เชื่อ นายบอกมาว่านายใช้วิธีสกปรก วิชาต่ำตมอะไร นายใช้เงินเชิญยอดฝีมือมาช่วยนายหรือเปล่า”

ลู่ฝานเลิกคิ้วขึ้นแล้วพูดว่า “เรื่องง่ายขนาดนี้ จำเป็นต้องเชิญใครมาด้วยเหรอครับ”

ตาเฒ่าซูพูดเสียงดังว่า “ง่ายเหรอ ฉันว่านาย……”

ยังพูดไม่ทันจบ ก็โดนเฮ่อจงยื่นมือมาขัดจังหวะ

เฮ่อจงพูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องรีบร้อน ท่านซู นายลืมไปแล้วเหรอว่าที่นี่มีค่ายกลบันทึกภาพไว้”

ตาเฒ่าซูอึ้งไปครู่หนึ่ง เขาลืมสิ่งนี้ไปแล้วจริงๆ

เฮ่อจงสะบัดมือ ทันใดนั้นอักษรยันต์ทั้งหมดในโกดังยาสว่างจ้า

หลังจากนั้นแสงสว่างมากมายรวมตัวกัน กลายเป็นม่านแสงขนาดใหญ่ด้านหน้าทุกคน

เมื่อเฮ่อจงสะบัดมือ ในม่านแสงมีภาพปรากฏออกมาทันที เป็นภาพที่ลู่ฝานกำลังอ่านสมุดภาพอยู่

ทุกคนยืดคอดูภาพด้านหน้า อยากดูให้ชัดว่าลู่ฝานทำได้ยังไง

วันต่อมา ตาเฒ่าซูตื่นขึ้นมาบนเตียงกว่าหลายสิบเมตร

ดอกไม้สดวางเต็มที่นอน อัญมณีล้ำค่าหรูหราฝังอยู่มากมาย

ที่นี่อยู่ชั้นสูงของเจดีย์ยา มองผ่านหน้าตาที่สร้างจากคริสตัล สามารถมองลงไปยังเมืองหลวงอันกว้างใหญ่

ล้างหน้าหวีผมเสร็จเรียบร้อย ตาเฒ่าซูเปลี่ยนชุดคลุมยาวใหม่เอี่ยม ในเวลาเดียวกันก็เก็บผมขาวของตัวเองให้เรียบร้อย

หัวขาดได้ แต่ทรงผมยุ่งไม่ได้ นี่คือสิ่งที่เขาต้องการ

ยืนเงียบอยู่ตรงหน้าต่างครู่หนึ่ง

ตาเฒ่าซูกำลังคิดเรื่องที่ต้องทำวันนี้

เป็นผู้จัดการดูแลเรื่องประจำวันของเจดีย์ยา เรื่องที่เขาต้องทำเป็นปกติ ก็คือรักษาการเคลื่อนไหวในเจดีย์ยาให้เป็นปกติ

ไม่เพียงแค่การเคลื่อนไหวพลังชี่ของตัวเจดีย์ ผู้ฝึกชี่ทั่วไปข้างใน ก็อยู่ในการดูแลของเขาด้วย ถึงขนาดที่ผู้ฝึกชี่ที่ระดับต่ำกว่าเซียนบำเพ็ญชี่จากภายนอก ก็ต้องฟังคำสั่งของเขา อำนาจนี้พูดตามตรงว่ายิ่งใหญ่มาก

ตาเฒ่าซูต้องไปเพลิดเพลินกับอาหารเช้าสุดประณีตของตัวเองเหมือนปกติก่อน

อาหารในเจดีย์ยา ล้วนเป็นฝีมือของเชฟเผ่าเหยาซาน เป็นเผ่าที่มีชื่อเสียงโด่งดังด้านอาหารเลิศรสไปทั่วประเทศอู่อาน เผ่าเหยาซานมีทักษะในการทำอาหาร ที่เป็นเอกลักษณ์ของพวกเขา

อาหารเลิศรสที่พวกเขาทำออกมา สไตล์เป็นเอกลักษณ์อีกทั้งยังอร่อยสุดยอด สิ่งสำคัญคือเผ่าเหยาซาน ก็เป็นเผ่าผู้ฝึกชี่ที่มีชื่อเสียงเหมือนกัน คนเผ่าเหยาซานแทบทุกคน อย่างน้อยก็มีพรสวรรค์ในการเป็นผู้ฝึกชี่ เชฟใหญ่ของพวกเขา คือผู้ฝึกชี่ที่เจดีย์ยายอมรับอย่างเป็นทางการ

การที่ได้ทานอาหารฝีมือผู้ฝึกชี่ที่สูงส่ง สิทธิพิเศษระดับนี้ มองจากมุมใดมุมหนึ่งแล้ว ไม่ต่างกับเชื้อสายราชวงศ์สักเท่าไร

ทุกครั้งที่คิดถึงจุดนี้ ตาเฒ่าซูรู้สึกว่าตัวเองสูงส่งล้ำค่ามาก แตกต่างจากคนอื่นมาก เหนือกว่าคนอื่นขั้นหนึ่ง

เขากินอาหารจานเล็กตรงหน้าอย่างสง่างาม ตะเกียบงาช้างถูกวางไว้ข้างๆ ถือมีดและส้อมที่ทำจากมิธริล จากนั้นก็หั่นเบาๆ

นี่คือระดับของคนอย่างหนึ่ง เขาคิดว่าวิธีการกินของตัวเองสูงสง่าที่สุด

ตาเฒ่าซูกินไปพึมพำไป “อืม วันนี้ไปดูว่าพวกเด็กเวรนั่นกลั่นยาเป็นยังไงบ้าง ถ้าสามารถกลั่นยาดีออกมาได้สักหม้อ จะพิจารณาดูให้พวกเขาออกไปหาประสบการณ์สักรอบ พวกเฮ่อจงอยากได้วิชายาทลายของผู้ฝึกชั่วร้าย ก็เข้าไปอยู่ในกองหนังสือของเจดีย์ยา ฉันจะเห็นด้วยไม่ได้ ต้องขัดขวางพวกเขา วิชาของผู้ฝึกชั่วร้ายจะเข้ามาในเจดีย์ยาที่ศักดิ์สิทธิ์ได้ยังไง แม้……อืม วิชายาทลายจะมีประโยชน์มากจริงๆ แต่ปัญหาโดยหลักการก็ไม่สามารถเปลี่ยนได้”

เงียบไปครู่หนึ่ง ตาเฒ่าซูนึกอะไรขึ้นได้อีก มือที่ถือมีดดูใช้แรงหนักขึ้น

“ยังมีไอ้เด็กเวรลู่ฝานอีก เมื่อวานคิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะทำให้ฉันเป็นใบ้จนพูดไม่ออก ยังดีที่ไม่มีใครเห็น ไม่งั้นฉันต้องขายหน้าแน่ๆ วันนี้ฉันต้องไปทำให้เขาอับอายสักรอบ ให้เขารู้ว่าความรู้สุดล้ำลึกของผู้ฝึกชี่ ไม่ใช่นักบู๊ที่สมองตื้นเขินอย่างเขาจะมาเทียบได้”

เมื่อตัดสินใจได้ ตาเฒ่าซูยกยิ้มร้ายกาจตรงมุมปาก

แต่ขณะนั้น จู่ๆ ประตูห้องโดนคนเคาะอย่างแรง

“ท่านซู ท่านซูตื่นหรือยังครับ”

เสียงตะโกนอย่างร้อนใจดังมาจากข้างนอก ตาเฒ่าซูสะบัดมือข้างหนึ่ง ประตูเปิดออกอย่างรวดเร็ว ผู้ฝึกชี่อายุน้อยเกือบล้มหน้าคว่ำเข้ามา

คนนี้คือหลู่เล่อ ศิษย์ของเขา นับว่าเป็นผู้ฝึกชี่ที่ประสบความสำเร็จที่สุด ในบรรดาศิษย์ของเขา อายุ 20 กว่าปี ใกล้ถึงระดับนักเรกิแล้ว

เมื่อเห็นว่าเป็นศิษย์คนโปรดปรานของตัวเอง ตาเฒ่าซูสะกดกลั้นความโกรธของตัวเอง พยายามใช้เสียงอ่อนโยนพูดว่า “หลู่เล่อ มีเรื่องอะไรทำไมตื่นตระหนกขนาดนี้ ฉันเคยบอกนายแล้วไม่ใช่เหรอ เป็นคนต้องสง่างาม ทำงานต้องสุขุม ดูท่าทางตื่นตระหนกตกใจของนายสิ ต้องทำให้ได้ถึงขั้นที่เขาถล่มตรงหน้าก็ยังนิ่ง จิตใจเยือกเย็นหลังผ่านคลื่นยักษ์สิ”

หลู่เล่อรีบพูดอย่างนอบน้อมว่า “ครับอาจารย์ ศิษย์มีเรื่องรายงานครับ”

“ว่ามา!”

ท่านซูพูดอย่างสุขุม

หลู่เล่อคิ้วกระตุกไม่หยุด จากนั้นพูดว่า “ในโกดังยา คนมาใหม่ที่ชื่อลู่ฝาน แยกประเภทสมุนไพรทั้งหมดเสร็จภายในสี่วัน ไม่พลาดเลยสักนิด เรื่องนี้เรียกความฮือฮา ผู้ฝึกชี่ทั้งหมดพากันไปมุงดูแล้วครับ!”

เคร้ง!

ส้อมและมีดในมือตาเฒ่าซูหล่นลงบนพื้น

ตาเฒ่าซูมองหลู่เล่ออย่างตะลึง จากนั้นลุกขึ้นยืนพูดเสียงดังว่า “นายว่าอะไรนะ”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 978
ตาเฒ่าซูออกไปอย่างโมโห ในโกดังยาเหลือแค่พวกลู่ฝานอีกครั้ง

ครั้งนี้ลู่ฝานไม่ได้อ่านหนังสือภาพต่ออีกแล้ว เดินช้าๆ มาข้างตัวสิบสามแล้วพูดว่า “พวกนายแยกเสร็จแล้วเหรอ”

สิบสามมองเขาด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม แล้วพูดว่า “มั่ว”

ลู่ฝานมองแวบหนึ่ง จากนั้นหัวเราะแล้วพูดว่า “มั่วมากจริงๆ แต่หลังจากพวกนายแยกแล้ว ก็ดู……มั่วเข้าไปอีก!”

ลู่ฝานไม่รู้จะหาคำไหนมาบรรยายดี เพราะสิบสามกับเจ้าดำแยกเหมือนไม่แยกจริงๆ

ลู่ฝานเอาสมุนไพรขึ้นมาหนึ่งต้น มองแวบหนึ่งแล้วพูดว่า “อันนี้วางไว้ที่ชั้นยาแรกด้านซ้ายมือ”

สิบสามเอามาแล้วเดินไปอย่างไม่ลังเล ลู่ฝานหยิบสมุนไพรขึ้นมาอีกต้น ยื่นไปด้านหน้าเจ้าดำแล้วพูดว่า “อันนี้วางไว้ที่ชั้นยาที่สองด้านขวามือ”

เจ้าดำงับสมุนไพรแล้วเดินไปอย่างรวดเร็ว ลู่ฝานเห็นท่าทางของทั้งสองคน ก็ส่ายหน้าเบาๆ แล้วพูดว่า “ยังช้าไปหน่อย มีวิธีอะไรที่แยกสมุนไพรเสร็จเร็วๆ ไหม”

ครุ่นคิดอย่างละเอียดครู่หนึ่ง จู่ๆ แววตาลู่ฝานเป็นประกาย ยื่นมือไปหยิบสมุนไพรขึ้นมาหนึ่งต้น จากนั้นสะบัดมือโยนออกไป

สมุนไพรลอยออกไปไกล แต่เมื่อลู่ฝานขยับฝ่ามือ พลังฟ้าดินกระชาก จู่ๆ ทำให้สมุนไพรเลี้ยวโค้ง ลอยตรงเข้าไปในชั้นวางยา

“อืม วิธีนี้ไม่เลว”

ลู่ฝานรอยยิ้มเต็มใบหน้า

หลังจากนั้น สองมือเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วจนเกิดเงา สมุนไพรเป็นแถบถูกเขาสะบัดออกไปในพริบตา

สิบสามเพิ่งวางสมุนไพรเสร็จเรียบร้อย จากนั้นเห็นสมุนไพรลอยมาอีกเป็นแถบ

ยังไม่ทันตั้งตัวว่าเกิดอะไรขึ้น เหมือนสมุนไพรมีตา ลอยเข้าไปในชั้นวางยาทันที

สิบสามมองจนอึ้ง เจ้าดำก็มองจนอึ้งเหมือนกัน

สัตว์อสูรกับคนหันมามองลู่ฝาน สายตาเหมือนเห็นผี

ลู่ฝานโยนอย่างมีความสุขจนลืมตัวเองไปแล้ว

ด้วยวิทยายุทธที่ยกระดับขึ้น การควบคุมพลังฟ้าดินก็ชำนาญยิ่งขึ้นไปด้วย

สำหรับการควบคุมพลังฟ้าดิน ไม่ใช่เรื่องที่เป็นปัญหา

ฝึกวิชาเทพไร้ขีดจำกัดไปเปล่าๆ เหรอ

ฝึกเพลงเต๋าหนึ่งเดียวไปเปล่าๆ เหรอ

ฝึกพลังความเป็นความตายวนเวียนไปเปล่าๆ งั้นเหรอ

อันที่จริงระดับการควบคุมพลังของลู่ฝาน เหนือกว่าคนอื่นไปมาก โดยที่เขาไม่รู้ตัวเลย

อย่างน้อยในบรรดาคนระดับเดียวกัน จะเป็นนักบู๊คนอื่นก็ดี หรือผู้ฝึกชี่ก็ดี น่าจะมีน้อยคนที่เทียบเขาได้

พลั่ก! พลั่ก! พลั่ก!

เสียงสมุนไพรกระแทกเข้าไปในชั้นวางยาดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ความเร็วในการแยกประเภท เร็วจนไม่เหมือนมนุษย์แล้ว

สิบสามกับเจ้าดำมองหน้ากัน จู่ๆ พวกเขาคิดว่าสองสามวันมานี้ พวกเขาทำไปโดยเปล่าประโยชน์หรือเปล่า

ถ้ารู้ก่อนหน้านี้ว่าลู่ฝานเก่งขนาดนี้ พวกเขาจะแยกไปทำไมกัน นั่งรอให้ลู่ฝานอ่านสมุดภาพเสร็จก็จบแล้วไม่ใช่เหรอ

ทั้งสองยืนดูอยู่ข้างๆ อย่างเงียบๆ เหมือนเรื่องไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเขาแล้ว

สิบสามขมวดคิ้ว แอบกังวลเล็กน้อยว่าสมุนไพรที่เจ้านายแยกประเภท จะถูกต้องหมดเลยเหรอ

แม้เจ้านายอ่านสมุดภาพมาแล้ว แต่อ่านครั้งเดียวแล้วจำได้หมดจริงเหรอ

สิบสามครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก็หาคำตอบไม่ได้ เขาจึงตัดสินใจสลัดความคิดนี้ทิ้ง

เรื่องทุกเรื่องที่ไม่รู้คำตอบ ก็ไม่ต้องไปคิดชั่วคราว

นี่คือการจัดการเรื่องต่างๆ ของสิบสาม

เจ้าดำหาวปากกว้างไปหนึ่งครั้ง แล้วนอนหมอบลงบนพื้น ราวกับว่าไม่สงสัยการแยกประเภทของลู่ฝานสักนิด

นี่คือสิ่งที่รู้กันทั้งสองฝ่าย ที่มีมาอย่างยาวนาน จนกลายเป็นความเชื่อใจ

คนอื่นไม่รู้ แต่เจ้าดำรู้เป็นอย่างดีว่าเจ้านายของมัน ยังเป็นผู้ฝึกชี่ที่แท้จริงอีกด้วย

……

จางกวังพูดว่า “ไปนัดสู้ตอนนี้ไม่ได้แน่นอน แต่ถ้านัดสู้เป็นช่วงเวลา ต้องไม่โดนใครจับผิดแน่นอนครับ”

ฉินอวิ่นอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นพูดว่า “จางกวังนายหมายถึงตอนไหน”

จางกวังพูดช้าๆ ว่า “เทศกาลเซ่นไหว้ประจำปี!”

ทันใดนั้น ทุกคนที่อยู่ในนี้พยักหน้าพร้อมกัน

จูจวิ้นยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่เลว เทศกาลเซ่นไหว้ประจำปีเป็นโอกาสดีจริงๆ พลุเต็มท้องฟ้า ประลองบู๊ต้อนรับปีใหม่ ผู้แข็งแกร่งส่งเสียงเชียร์ ผู้อ่อนแอก็กลับบ้านไป”

ในที่สุดใบหน้าฉินอวิ่นก็มีรอยยิ้ม เขาพยักหน้าพูดว่า “จางกวังนายฉลาดจริงๆ ใช่แล้ว ช่วงเทศกาลเซ่นไหว้ประจำปี ไปนัดประลองบู๊กับเขา เป็นเรื่องปกติมาก ไม่แน่นายไม่ไปหาเขา เขาอาจมาหาถึงที่ก็ได้ โอเค งั้นตกลงเป็นช่วงเวลานี้แล้วกัน”

จางกวังโค้งคำนับแล้วพูดว่า “ไท่จื่อทรงพระปรีชาสามารถ!”

คนที่เหลือรีบพูดตาม “ไท่จื่อทรงปรีชาญาณ”

ฉินอวิ่นหัวเราะร่า

เขากำมือ มีประกายในดวงตา ราวกับเขาเห็นเลือดลู่ฝานแปดเปื้อนเมืองหลวงแล้ว

……

ในเจดีย์ยา เพียงพริบตาก็ผ่านไปสามวันแล้ว

เวลาสามวันเต็มๆ ลู่ฝานหนังอ่านหนังสืออยู่ตรงนั้นไม่ขยับไปไหน ดูมีความสุขและพึงพอใจ

เจ้าดำกับสิบสาม เริ่มช่วยกันแยกประเภทของสมุนไพร

แต่ความสามารถของทั้งสองคน ทำได้เพียงแยกสมุนไพรต้นเล็กกับต้นใหญ่

ส่วนสรรพคุณทางสมุนไพรอะไรทำนองนั้น ไม่รู้สักอย่างเลย!

ชั้นวางที่วางอยู่ในโกดังยา โดนพื้นฐานแบ่งจากสรรพคุณของยา

ฝั่งไหนวางยาที่สามารถขจัดพิษได้ ฝั่งไหนวางยาที่สามารถรักษาอาการบาดเจ็บได้

ถ้าคนไม่มีความรู้สักหน่อย คงแยกไม่ออกจริงๆ

ถึงเป็นผู้ฝึกชี่ที่ทำงานที่นี่มานาน ไม่แน่อาจต้องค้นในสมุดภาพเพื่อที่จะแบ่งแยก

ในเวลาสามวัน ผู้ฝึกชี่อายุน้อยที่เคยทำงานที่นี่แวะมาดู เห็นว่าลู่ฝานไม่ได้แยกสมุนไพร แต่กำลังดูสมุดภาพ ก็ออกไปอย่างดูหมิ่น ที่เหลือก็มีสัตว์ตัวนายมาส่งอาหาร

พูดขึ้นมาแล้ว อสูรวิเศษตัวน้อยที่ทำงานในเจดีย์ยาน่ารักมาก สองสามวันนี้ลู่ฝานเห็นหมูวิเศษตัวอ้วนตั้งหลายตัว

จู่ๆ ประตูห้องเปิดออก

สิบสามกับเจ้าดำหันไปมอง ยังไม่ถึงเวลาอาหารเลย ไม่น่าจะมาตอนนี้นะ

หลังจากนั้นเงาของตาเฒ่าซูปรากฏออกมา ใบหน้ามีความโมโห เขาเดินจ้ำอ้าวเข้ามาข้างใน

เห็นลู่ฝานที่กำลังอ่านหนังสืออยู่ ตาเฒ่าซูตวาดเสียงดังว่า “ไอ้หนุ่ม ได้ยินว่านายกำลังอู้งานใช่ไหม! ฉันจะบอกนายนะ ถ้านายยังไม่เริ่มทำงานอีก ฉันสามารถรายงานนายต่อเบื้องบนตามกฎได้ จากนั้นนายก็รอไสหัวออกไปได้เลย”

ลู่ฝานปิดหนังสือ หันมามองตาเฒ่าซูแล้วพูดว่า “แค่ท่องจำหนังสือภาพก่อนเท่านั้น อู้งานที่ไหนกันล่ะ”

ตาเฒ่าซูส่งเสียงหึอย่างเย็นชา แล้วพูดว่า “อย่างนายเนี่ยนะ จะท่องจำหนังสือภาพ งั้นฉันถามนายหน่อย หญ้าเปลวเพลิงควรแยกยังไง”

ลู่ฝานพูดว่า “อยู่ในธาตุไฟของธาตุทั้งห้า มีคุณสมบัติรักษาอาการบาดเจ็บ สามารถใส่เข้าไปในยาได้ แยกไว้ที่ชั้นวางยาที่สองด้านซ้ายมือ”

ตาเฒ่าซูอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นถามอีก “แล้วผลทำลายวิญญาณล่ะ”

“คุณสมบัติเย็น อยู่ในธาตุน้ำของธาตุทั้งห้า ไม่มีคุณสมบัติรักษาอาการบาดเจ็บ เอาไปใส่ในยาค่อนข้างยาก แยกไว้ที่ชั้นวางยาที่สองด้านขวามือ”

ลู่ฝานตอบอย่างราบเรียบ

ตาเฒ่าซูอ้าปากค้าง จู่ๆ เขารู้สึกไม่อยากเชื่อ

“ดูเหมือนนายท่องจำอะไรได้นิดหน่อยแล้วจริงๆ”

จู่ๆ ตาเฒ่าซูพูดอย่างไม่สบอารมณ์

ลู่ฝานยิ้มแล้วมองเขา จากนั้นพูดว่า “งั้นตอนนี้อย่ารบกวนผมทำงานได้ไหม”

ลู่ฝานทำท่าเชิญ ตาเฒ่าซูอ้าปากจะพูด แต่ก็พูดอะไรไม่ออกสักคำ

ตาเฒ่าซูสะบัดแขนเสื้อ เดินจ้ำอ้าวออกไป พูดด้วยเสียงแค้นว่า “ฉันจะดูสิว่าอีกไม่กี่วัน นายจะทำหน้าที่สำเร็จไหม”

ในเวลาเดียวกัน อีกด้านหนึ่งในวัง

ไท่จื่อก็ได้รับสารลับ ไท่จื่อที่กำลังเพลิดเพลินอย่างมีความสุขกับสาวงามเผ่าเหนือมนุษย์ ตอนเขาเห็นสารลับ หน้าถึงกับเปลี่ยนสี หลังจากนั้นตบสาวงามเผ่าเงือกลงไปในน้ำ เดินออกจากสวนหลังบ้านที่มีวิวอันเรียบง่ายงดงาม

“ไปเรียกพวกจางกวังมาที่นี่”

ไท่จื่อเดินเท้าเปล่าเข้ามาในห้องหนังสือ

ไม่นานผู้ชายกลุ่มหนึ่งมาถึงห้องหนังสือ

เก้าอี้ลายมังกร ไม้จันทน์หอมมากมาย หนังมังกรปูพื้น วัตถุโบราณหายากนับไม่ถ้วน นี่คือห้องหนังสือของไท่จื่อ

แม้ชื่อว่าห้องหนังสือ แต่มีหนังสือน้อยมาก อาวุธเยอะกว่าหนังสือเสียอีก

“ไท่จื่อ……”

มีเสียงดังมาจากข้างนอก ยังไม่ทันพูดจบ

ไท่จื่อฉินอวิ่นพูดอย่างหงุดหงิด “เข้ามา เข้ามา!”

ทั้งแปดคนส่งเสียงตอบรับแล้วเข้ามา ยืนเรียงเป็นแถวหน้ากระดานข้างหน้าไท่จื่อ

แปดคนนี้เป็นนักบู๊คนสนิทของไท่จื่อฉินอวิ่น

ล้วนเป็นนักบู๊ที่มีความสามารถ ซึ่งเขารวบรวมมาเอง ล้วนมีชื่อเสียงในรายชื่อประเทศ คนเรียกกันว่าแปดผู้โดดเด่น!

คนที่เป็นหัวหน้าในบรรดาคนพวกนี้คือจางกวัง ใบหน้าเย็นชา ตาสีฟ้า มีเกล็ดมังกรโดยกำเนิด

เขาเป็นนักบู๊มนุษย์เผ่ามังกร แต่ไม่ใช่มนุษย์เผ่ามังกรโดยตรง แม้มีเกล็ดมังกร แต่ไม่มีเขามังกร มนุษย์เผ่ามังกรประเภทนี้ไม่ได้รับการยอมรับในมนุษย์เผ่ามังกรที่แท้จริง

แต่ไม่ต้องสงสัยเลย จางกวังสืบทอดจุดที่แข็งแกร่งที่สุดของมนุษย์เผ่ามังกรมาทั้งหมด

ร่างกายทนทาน เข้าสู่แดนรวดเร็ว วิทยายุทธแข็งแกร่ง เย็นชาไร้ความรู้สึก

ฉินอวิ่นตบฝ่ามือลงบนโต๊ะ แล้วพูดว่า “ฉันโกรธมาก คิดไม่ถึงเลยว่าลู่ฝานจะหลบเข้าไปในเจดีย์ยา!”

คำพูดของฉินอวิ่น ทำให้หกคนในบรรดาแปดคนข้างหน้าจับต้นชนปลายไม่ถูก ถึงขั้นที่พวกเขาไม่รู้ว่าลู่ฝานเป็นใคร

แต่จูจวิ้นผู้ตรวจการแปดรู้เป็นอย่างดี จางกวังก็พอรู้บ้าง เพราะจูจวิ้นมาคุยกับเขาแล้ว

จูจวิ้นเดินขึ้นมาข้างหน้าหนึ่งก้าว แล้วพูดว่า “ไท่จื่อ เจดีย์ยาแล้วยังไงครับ เขาไปหลบที่ไหน เราก็จัดการเขาได้”

ฉินอวิ่นถลึงตาใส่จูจวิ้นแล้วพูดว่า “ถ้าเป็นที่อื่น ฉันก็พูดแบบนี้ได้ แต่มีเพียงเจดีย์ยา เจดีย์ยาสารเลวนั่น ที่ฉันไม่สามารถแตะต้องได้เด็ดขาด นั่นเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของผู้ฝึกชี่ ใครกล้าเล่นพิเรนทร์กับที่นั่น เท่ากับเป็นศัตรูกับผู้ฝึกชี่ทั้งหมด ฉันไม่ใช่พ่อ ยังไม่สามารถกดขี่พวกกลั่นยานั่นได้”

จูจวิ้นถอยกลับมา ขมวดคิ้วแน่น จู่ๆ ก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไร

คนที่อยู่ตรงนี้ไม่ใช่คนโง่ รู้ว่าสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของผู้ฝึกชี่หมายถึงอะไร

ฉินอวิ่นเดินไปเดินมาอย่างโมโห เดินช้าๆ แล้วพูดว่า “เดิมทีกะจะให้ลู่ฝานตายอย่างไม่รู้สาเหตุ ถึงขนาดที่หาศพไม่เจอ แต่ดูเหมือนตอนนี้คงเป็นไปไม่ได้แล้ว แค่เขาอยู่ในเจดีย์ยา ไม่ว่าจะเป็นการลอบโจมตี การฆ่าฟัน แผนการร้ายอะไรก็ใช้ไม่ได้ทั้งนั้น ดูเหมือนตอนนี้คงเหลือแค่การสู้ซึ่งหน้าเท่านั้น”

ทันใดนั้น ในบรรดาแปดผู้โดดเด่น ชายที่อ้วนที่สุดเดินออกมาพูดว่า “ไท่จื่อ ผมยินดีไปนัดสู้กับเขา รับรองว่าจะซัดเขาจนเละ ในสามกระบวนท่าครับ”

ฉินอวิ่นมองเขาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “สวี่ฉู ฉันรู้พละกำลังของนาย แต่เรื่องนี้ไม่ได้จัดการง่ายขนาดนั้นแล้ว”

พูดพลาง ฉินอวิ่นมองจางกวังแล้วพูดว่า “จางกวัง นายคิดว่ายังไง”

จางกวังพูดอย่างสุขุม “ไท่จื่อคำนึงถึงชื่อเสียง ถ้าพวกเรานัดสู้ ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ คนจะดูออกว่าไท่จื่อมีจุดประสงค์เล่นงานลู่ฝาน ถ้ามีคนใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้จะเกิดปัญหาครับ”

ฉินอวิ่นพูดว่า “จางกวังพูดถูก ฉันกลัวเรื่องนี้ โดยเฉพาะถ้ามีคนแจ้งเรื่องนี้กับพ่อ นั่นจะซวย เพราะพ่อเลือกให้เด็กคนนี้มาเมืองหลวงตอนฤดูใบไม้ผลิ”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 975
ชะงักไปครู่หนึ่ง ตาเฒ่าซูพูดต่อ “วิธีการแยกประเภทสมุนไพรทั้งหมด อยู่ในหนังสือภาพด้านล่างสุดของชั้นวางยา นายดูให้ละเอียดได้ ฉันว่านายมีความมั่นใจขนาดนี้ ให้เวลานายทำเรื่องพวกนี้ให้เสร็จในหนึ่งสัปดาห์แล้วกัน”

พูดพลาง ตาเฒ่าซูโบกมือใส่ผู้ฝึกชี่สองคนที่กำลังแยกประเภทสมุนไพร แล้วพูดว่า “พวกนายสองคนไปพักได้แล้ว”

ผู้ฝึกชี่สองคนรีบวิ่งเข้ามาอย่างดีใจ มองตาเฒ่าซูแล้วพูดว่า “จริงเหรอท่านซู พวกเราพักได้แล้วเหรอ”

ท่านซูชี้ลู่ฝานแล้วพูดว่า “ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป สองคนนี้จะแยกสมุนประเภทสมุนไพรแทนพวกนาย พวกนายสองคน ตรวจสอบวันเว้นวันเพื่อดูว่าเขาแยกประเภทสมุนไพรถูกต้องหรือไม่ อย่าลืมเร่งให้เขาแยกให้เสร็จภายในหนึ่งสัปดาห์”

ผู้ฝึกชี่ทั้งสองคนมองหน้ากัน รอยยิ้มเต็มใบหน้า

ท่านซูสะบัดมือ พาผู้ฝึกชี่ทั้งสองคนออกไป ก่อนจะไปยังพูดทิ้งท้ายกับลู่ฝานว่า “จะมีคนส่งอาหารมาให้พวกนาย ที่พักคือที่นี่ พวกนายหาเอาเอง”

พวกท่านซูออกไป ที่นี่เหลือแค่ลู่ฝาน สิบสาม รวมถึงเจ้าดำด้วย

กวาดตามองไปรอบๆ สิบสามพูดออกมาอย่างไม่เคยทำมาก่อน “เจ้านาย”

ลู่ฝานหันมามองเขาแล้วพูดว่า “ทำไมเหรอสิบสาม”

สิบสามส่ายหน้าพูดว่า “ยาก!”

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “มีอะไรยาก ก็แค่แยกประเภทสมุนไพรไม่ใช่เหรอ งานจุกจิกเท่านั้นเอง”

สิบสามชี้กองสมุนไพรที่เหมือนภูเขา แล้วพูดว่า “ไม่เข้าใจ!”

ลู่ฝานมองซ้ายมองขวา แล้วพูดว่า “มีหนังสือภาพไม่ใช่เหรอ หาดูสิ”

ลู่ฝานพูดพลาง เริ่มเดินหารอบๆ ชั้นวางยา

ทันใดนั้น ลู่ฝานเห็นหนังสือเล่มใหญ่เหมือนบานประตู อยู่ด้านล่างสุดของชั้นวางยา ความหนาประมาณครึ่งตัวคนเลยล่ะ

ลู่ฝานใช้มือข้างหนึ่งลากหนังสือออกมา เปิดแบบส่งๆ ดูสองสามหน้า ด้านบนเป็นรูปและคำอธิบายของสมุนไพรต่างๆ

สิบสามยืนด้านหลังลู่ฝาน มองไม่กี่ทีก็ขมวดคิ้วทันที ด้านบนมีรูปภาพเต็มไปหมด บวกกับตัวหนังสือ ทำให้คนทั่วไปมึนหัวจริงๆ

ลู่ฝานเห็นสีหน้าทุกข์ระทมของสิบสาม ก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “สิบสาม ที่นี่เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของผู้ฝึกชี่แห่งประเทศอู่อาน รูปสมุนไพรของเจดีย์ยา ทั้งประเทศอู่อานคงไม่มีอะไรครบครันเท่าหนังสือภาพเล่มนี้แล้ว เห็นสิ่งนี้แล้วนายไม่ตื่นเต้นเหรอ”

สิบสามมองลู่ฝานอย่างเหม่อลอย สีหน้าแบบว่า “เจ้านายกำลังล้อผมเล่นเหรอ”

ลู่ฝานส่ายหน้า ที่เรียกว่าคุยไม่ถูกคอ ครึ่งคำก็มากเกิน คงหมายถึงแบบนี้สินะ

เขาดูหนังสือเล่มนี้อย่างเพลิดเพลิน สิบสามดูต่อไปไม่ไหวจริงๆ เขาเดินไปข้างหน้ากองสมุนไพรทันที

ยื่นมือหยิบสมุนไพรขึ้นมาต้นหนึ่ง เป็นอย่างที่ตาเฒ่าซูพูดจริงๆ ด้านบนสมุนไพรมีอักษรยันต์ประทับอยู่ อีกทั้งแสงของอักษรยันต์ ปกคลุมไปทั่วสมุนไพร เก็บรักษายาสมุนไพรไว้เป็นอย่างดี

เจ้าดำก็กระโดดลงจากไหล่ลู่ฝาน มาข้างหน้ากองสมุนไพร

เบิกตาโตมองสมุนไพรที่เหมือนภูเขาด้านหน้า เจ้าดำมีใบหน้าเสียดาย

ของอร่อยเยอะขนาดนี้ น่าเสียดายที่กินไม่ได้สักอย่าง!

สิบสามหันมามองลู่ฝาน กลับพบว่าลู่ฝานกำลังจมอยู่กับหนังสือ คิดไม่ถึงเลยว่าจะดูหนังสือภาพอย่างเพลิดเพลิน

แบบนี้จะได้จริงๆ เหรอ

สิบสามอดสงสัยขึ้นมาในใจไม่ได้!

แต่ท่าทางผ่อนคลายของลู่ฝาน เหมือนไม่ได้ให้ความสำคัญอะไร!

นี่คือสไตล์ของยอดฝีมือใช่ไหม

ตาเฒ่าซูเดินมาข้างหน้าลู่ฝาน เอาสองมือไพล่หลัง มองลู่ฝานด้วยท่าทางเย่อหยิ่ง แล้วพูดว่า “ไอ้หนุ่ม นายก็ได้ยินแล้ว ฉันจะไม่จงใจหาเรื่องนาย แต่ถ้าแม้แต่งานจุกจิก นายยังทำได้ไม่ดี อย่ามาหาว่าคนในเจดีย์ยาอย่างพวกเราไล่นายออกไปก็แล้วกัน ฉันรู้ว่านายเป็นใคร นายไปก่อเรื่องอะไรไว้อีก ถึงมาหลบในเจดีย์ยาของเรา แต่ฉันจะบอกนายไว้ว่า อยู่ที่นี่นายจะเจอปัญหาใหญ่ยิ่งกว่า”

ลู่ฝานยกยิ้มมุมปากแล้วพูดว่า “คุณนี่รู้ทุกอย่างเลยเหรอ”

ตาเฒ่าซูพูดว่า “ฉันต้องรู้สิ ถือโอกาสบอกนายเลยแล้วกัน เว่ยซูจิ้งเป็นหลานสาวฉัน ไอ้หนุ่มนายซวยแล้ว”

ลู่ฝานเข้าใจทันที ที่แท้ก็ความแค้นส่วนตัวนี่เอง!

ตาเฒ่าซูส่งเสียงหึอย่างเย็นชา แล้วเดินออกไปด้านนอก พูดโดยไม่หันหน้ามา “ตามฉันมา”

ลู่ฝานยิ้มแหยแล้วเดินตามไป ส่วนสิบสามกวาดตามองกำแพงสองสามครั้ง แล้วเดินตามออกไป

ตาเฒ่าซูเดินเร็วมาก ราวกับจงใจจะทิ้งลู่ฝานไว้ด้านหลัง

แต่ระหว่างที่สิบสามกับลู่ฝานเดินตามไป ก็ใช้วิชาไปด้วย ถ้าตาเฒ่าซูจะทิ้งเขาไว้ด้านหลัง มันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย

เดินตามตาเฒ่าซูมาบนบันไดเมฆอีกครั้ง ทั้งสามคนเดินขึ้นไปด้านบน

เดินประมาณเวลาหนึ่งก้านธูป ในที่สุดตาเฒ่าซูก็หยุดลง

สิ่งที่ปรากฏอยู่ข้างหน้า คือประตูเวิ้งว้าง สีดำขลับลึกลับหมุนวนไปมา

“เข้าไป!”

ตาเฒ่าซูพูดเสียงเย็นชา

ลู่ฝานมองตาเฒ่าซูแวบหนึ่ง แต่ไม่ได้ขยับไปไหน

ตาเฒ่าซูหัวเราะพรืด แล้วพูดว่า “ฉันนึกว่านักบู๊จะกล้ามากเสียอีก คิดไม่ถึงว่าจะมีคนขี้ขลาดด้วย”

ลู่ฝานยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “จวนอากาศธาตุ ถ้าไม่มีวิธีก็เปิดไม่ได้ ผมกำลังรอให้ผู้อาวุโสซูเปิดประตูอยู่ไงครับ อย่าบอกนะว่าผู้อาวุโสซูแก่จนเปิดประตูไม่เป็นแล้ว”

ตาเฒ่าซูโดนลู่ฝานโต้กลับจนสีหน้าเปลี่ยนไป

“นายก็ดูมีความรู้อยู่บ้างนะ”

ตาเฒ่าซูพูดอย่างราบเรียบ จากนั้นเดินเข้าไป กดมือข้างหนึ่งลงไปในสีดำที่หมุนวนไปมา

ต่อมา ความมืดปกคลุมพวกลู่ฝานทั้งสามคนเอาไว้

ทันใดนั้นโลกหมุนเคว้ง!

ครั้งนี้ลู่ฝานมีประสบการณ์แล้ว เขาใช้ปราณชี่ปกคลุมทั้งตัว ฝ่าเท้าเป็นสายลม ทันใดนั้นบรรยากาศรอบๆ เปลี่ยนไป ลู่ฝานลอยลงมาบนพื้นทันที ดูสง่างามเป็นอย่างมาก

สิบสามดูน่าเวทนามาก เกือบล้มลงมาบนพื้น สีหน้าพะอืดพะอม เหมือนจะอ้วกออกมา

สิ่งที่ปรากฏในสายตาคือโกดังยาขนาดใหญ่

ชั้นวางยามากมาย วางเรียงรายจนสุดลูกหูลูกตา

กำแพงเก้าสี มีอักษรยันต์วาดอยู่เต็มไปหมด พื้นด้านล่างเท้า ก็มีอักษรยันต์เคลื่อนไหวอยู่

เพิ่งเข้ามาที่นี่ ลู่ฝานรู้สึกว่าค่ายกลนับไม่ถ้วนปกคลุมซ้อนทับอยู่บนตัวเขา เชื่อเลยว่าถ้าเขาทำสิ่งไม่ดีที่นี่ ต้องโดนค่ายกลระเบิดจนแหลกเป็นจุณแน่นอน

ฝั่งซ้ายติดกำแพง ยังมีสมุนไพรกองเล็กๆ อยู่ด้วย

พูดว่ากองเล็กๆ เพราะเทียบกับชั้นวางยาที่สูงหลายเมตร อันที่จริงก็สูงประมาณเขาเล็กๆ ผู้ฝึกชี่อายุน้อยสองสามคน กำลังแยกประเภทสมุนไพรอยู่

ตาเฒ่าซูชี้สมุนไพรกองนั้นแล้วพูดว่า “ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป งานของนายคือแยกชนิดของสมุนไพรพวกนั้นและวางให้เรียบร้อยชั่วคราวไปก่อน อย่าคิดจะขโมย สมุนไพรทุกต้นเราได้ผ่านการลงอักษรยันต์แล้ว แค่นายกล้าเอาออกไปจากโกดังยา ถึงแม้เป็นแค่เศษยา นายจะได้ตายอย่างทุเรศทุรัง แม้ฉันไม่ชอบนาย แต่ถ้านายตายในเจดีย์ยา ก็เป็นเรื่องที่วุ่นวาย!”

ลู่ฝานมองสมุนไพรกองนั้น แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ได้ครับ”

ตาเฒ่าซูเห็นลู่ฝานไม่มีสีหน้าลำบากใจ อีกทั้งยังมีรอยยิ้มเต็มหน้า เขาดูประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด

จู่ๆ บรรยากาศดูตึงเครียด น้ำเสียงของผู้อาวุโสไม่มีทางหนีทีไล่เลย เมื่อสงป้าเทียนได้ยินก็มีสีหน้าไม่สู้ดีขึ้นมาอีก

“ตาเฒ่าซู นายอยากโดนอีกใช่ไหม”

พูดพลางสงป้าเทียนเริ่มถกแขนเสื้อขึ้นอีก

การกระทำของเขาไม่เหมือนผู้ฝึกชี่ที่มีคุณธรรมสูงส่งเลย แต่เหมือนนักเลงตามถนนมากกว่า

สีหน้าตาเฒ่าซูเปลี่ยนไป รีบหันไปทางชายวัยกลางคนอีกคนแล้วพูดว่า “เฮ่อจง นายเป็นหัวหน้าดูแลเรื่องต่างๆ นายมาพูดดีกว่าว่าจะทำยังไง”

ขณะนั้น ผู้ฝึกชี่วัยกลางคนที่ชื่อเฮ่อจง เดินออกมาช้าๆ

คิ้วของเขาขมวดเป็นปม รูปร่างผอมแห้ง มีเบ้าตาลึกมาก

ผู้ฝึกชี่เฮ่อจงมองลู่ฝานอย่างประเมินสองสามครั้ง แล้วพูดว่า “จริงๆ แล้วเจดีย์ยาไม่มีกฎห้ามให้นักบู๊เข้ามาพัก”

สงป้าเทียนหัวเราะออกมาทันที แต่เฮ่อจงก็พูดต่อ “แต่ไม่ใช่ใครก็ได้ที่จะเข้าพักในเจดีย์ยา ลู่ฝาน เอาของนำโชคของนายออกมา”

เมื่อลู่ฝานได้ยินก็รีบเอาหยกแห่งจิตยื่นให้เฮ่อจง

เฮ่อจงมองแวบเดียว ก็พูดทันทีว่า “หยกแปดเปื้อนออร่าปีศาจ นายแย่งมาจากผู้ฝึกชั่วร้ายสินะ”

ลู่ฝานกำลังกลุ้มว่าจะอธิบายที่มาของหยกยังไง เมื่อได้ยินคำพูดของเฮ่อจง ลู่ฝานรีบพยักหน้าพูดว่า “ใช่ครับ แย่งมาจากผู้ฝึกชั่วร้าย”

เฮ่อจงพูดว่า “กฎของเจดีย์ยา คนที่มีหยกแห่งจิต สามารถเข้ามาในเจดีย์ยาได้ แต่หยกของนาย มีที่มาไม่เหมาะสม”

ตาเฒ่าซูรีบพูดต่อ “ใช่ ที่มาไม่เหมาะสม ห้ามเข้ามาในเจดีย์ยา”

สงป้าเทียนพูดขึ้นมาข้างๆ ว่า “แต่นั่นหมายความว่ากฎที่เขียนไว้บนผนังนั้นถูกเพิกเฉยงั้นเหรอ”

ตาเฒ่าซูกัดฟันพูดว่า “กฎเป็นสิ่งที่ตายตัว”

สงป้าเทียนพูดเสียงดังว่า “ฉันว่านายก็น่าจะตายให้มันแล้วๆ ไป”

เฮ่อจงดันทั้งสองคนออก เพื่อกันไม่ให้สองคนตีกันอีก

เฮ่อจงเอาหยกคืนให้ลู่ฝาน จากนั้นพูดว่า “จะทำลายกฎไม่ได้ ในเมื่อนายมีหยก ฉันจะให้นายเข้าไปในเจดีย์ยา แต่…….”

เมื่อตาเฒ่าซูได้ยินว่าเฮ่อจงให้ลู่ฝานเข้าไปในเจดีย์ยา ก็เตรียมคัดค้านทันที แต่เมื่อได้ยินเฮ่อจงพูดว่าแต่ เขาก็กลืนคำที่จะพูดลงคอ

เฮ่อจงมองลู่ฝานด้วยแววตาดุดัน แล้วพูดว่า “แต่นายไม่ได้เข้าไปด้วยฐานะนักบู๊ แต่เข้าไปในฐานะนักเรียนผู้ฝึกชี่ นายเข้ามาในเจดีย์ยา ต้องช่วยผู้ฝึกชี่คนอื่นที่อยู่ในเจดีย์กลั่นยา ฉันจะพูดให้เข้าใจง่ายขึ้น นายอยู่ในเจดีย์ยาได้ แต่ถ้าต้องทำเรื่องจุกจิก นายรับได้ไหม”

ลู่ฝานครุ่นคิดแล้วพูดว่า “ได้ครับ ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย ไม่มีปัญหาครับ! แต่ผมยังมีสหายอีกคน”

เฮ่อจงหัวเราะ ตาเฒ่าเฝิงก็หัวเราะ ทุกคนในที่นี้หัวเราะหมด

เฮ่อจงพูดว่า “นายมีความมั่นใจมาก หวังว่านายจะไม่โดนผู้ฝึกชี่คนอื่นร้องเรียนให้ไล่ออกมาตั้งแต่วันแรกนะ สหายของนายก็ไปกับนาย ปรมาจารย์บำเพ็ญชี่เฝิงอู ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เขาอยู่ภายใต้การควบคุมของนาย”

สงป้าเทียนพูดว่า “เฮ่อจง นี่ดูไม่ค่อยดีมั้ง”

เฮ่อจงพูดเสียงดังว่า “เอาแบบนี้แหละ พวกนายสองคนก็อย่าทะเลาะกัน ทำงานวันละสี่ชั่วยาม ซูอูพวกนายอย่าละเมิดกฎ ลู่ฝานทางที่ดีนายก็อย่าละเมิดกฎ ถ้าฉันเป็นนาย ตอนนี้คงเอากฎของเจดีย์ยามาท่องจำแล้ว พวกนายถ้ามีใครละเมิดกฎ ฉันจะไล่คนนั้นออกไปเป็นคนแรก ฉันพูดจริงทำจริง!” คิ้วของซูอูกระตุกเบาๆ จากนั้นพูดตอบรับเสียงเบา

พวกสงป้าเทียนก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว ทุกคนพากันออกไปอย่างรวดเร็ว

ก่อนจะไป สงป้าเทียนตบไหล่ลู่ฝาน แล้วพูดเสียงเบาว่า “ระวังตาเฒ่าซูไว้ให้ดี”

ลู่ฝานพยักหน้าเบาๆ จนคนไม่สังเกตเห็น

ด้านหน้าเป็นประตูอักษรยันต์ขนาดใหญ่ที่เปิดอยู่ด้านเดียว ได้ยินเสียงทะเลาะกันด้านในเบาๆ

“นายจะบอกให้ใครมาก็ได้งั้นเหรอ เจดีย์ยาเป็นถิ่นของนายตั้งแต่เมื่อไร เฮ่อจง ฉันไม่มีทางอนุญาตให้นักบู๊เข้ามาในเจดีย์ยาเด็ดขาด นี่ไม่เหมาะสมกับกฎ!”

“กฎเหรอ กฎอะไร นายเอามาให้ฉันดูสิ กฎเจดีย์ยาข้อไหนเขียนว่าห้ามไม่ให้นักบู๊เข้ามา มีแต่คนแก่หัวโบราณที่ดื้อรั้น สมองตื้อแบบนายนั่นแหละ ถึงจะพูดกฎแบบนี้ และทำเรื่องที่ทำให้ผู้ฝึกชี่อย่างเราแยกออกจากโลกภายนอก นายคงอยากจับผู้ฝึกชี่ทุกคนมัดรวมกัน แล้วบินออกไปจากโลกนี้ จนทนไม่ไหวแล้วใช่ไหม!”

“ผู้ฝึกชี่สูงกว่าคนหนึ่งขั้น นักบู๊จะเทียบกับผู้ฝึกชี่อย่างเราได้ยังไง ถึงเขาเป็นผู้แข็งแกร่งเซียนบู๊ ก็คงอยู่ในเจดีย์ยาไม่ได้หรอก”

“งั้นเหรอ เซียนบู๊หนิงก็อยู่ในอากาศเวิ้งว้างเจดีย์ยา นายไปไล่เขาสิ ไปตอนนี้เลย ถ้านายไม่กล้าไป นายมันก็แค่ไอ้กระจอก”

“เซียนบู๊หนิงถือว่าเป็นเซียนบำเพ็ญชี่ครึ่งหนึ่ง จะนับเป็นนักบู๊ได้ยังไง”

“โอ๊ย พูดไม่ชนะคนแก่หัวโบราณอย่างนายจริงๆ! ฉันจะซัดนายให้ตาย!”

ทันใดนั้น มีเสียงของกระทบกันดังมาจากด้านใน ยังได้ยินเสียงพวกผู้ฝึกชี่ห้ามปรามเป็นระยะ

ลู่ฝานอ้าปากพูดว่า “ข้างในไม่ได้ทะเลาะกันเพราะผมใช่ไหม”

ผู้ชายมองลู่ฝานด้วยรอยยิ้มแปลกๆ จากนั้นพูดว่า “ฉันอยากบอกนายมากว่าไม่ใช่ แต่ความจริง หึหึ นายเข้าไปเองเถอะ ฉันขอเตือนไว้ว่าตอนเข้าไป ทางที่ดีเอาของที่สามารถป้องกันในตัวออกมาให้หมด ระวังชีวิตนายจะหาไม่!”

ลู่ฝานกลืนน้ำลาย หันมามองผู้ชายแล้วพูดว่า “คุณไม่เข้าไปเหรอ”

ผู้ชายรีบถอยหลังไปสองสามก้าว แล้วพูดว่า “ฉันยุ่งอยู่ ยังไงก็พานายมาถึงแล้ว ที่เหลือก็เป็นเรื่องของนายแล้ว!”

พูดจบผู้ชายสะบัดมือ ลมแรงปรากฏขึ้น

ลู่ฝานยังไม่ทันตั้งตัว ประตูอักษรยันต์เปิดออกเสียงดังปัง ผู้ฝึกชี่วัยกลางคนห้าคนด้านใน หันหน้ามาทันที

ในบรรดานั้นมีสองคนที่กำลังตะลุมบอนกันอยู่!

อืม เป็นการตะลุมบอนจริงๆ ไม่มีพลังชี่ ไม่มีการใช้วิชา คนหนึ่งบีบคออีกคน คร่อมเขาอยู่บนพื้น

ที่นี่เป็นที่ประชุมของผู้ฝึกชี่แน่นอน เก้าอี้ยาว โต๊ะยาว กำแพงรอบๆ มีกฎของเจดีย์ยาแขวนอยู่เต็มไปหมด

รวมไปถึงห้ามใช้ชี่ทำร้ายคนในเจดีย์ยา!

รวมถึงทำของในเจดีย์ยาเสียหาย ต้องจ่ายเต็มจำนวนของความเสียหายนั้นๆ!

……

ทั้งห้าคนมองลู่ฝาน พูดออกมาพร้อมกันว่า “ใคร”

ลู่ฝานกระแอมเบาๆ “ผมลู่ฝานครับ มาพบผู้อาวุโสทุกท่าน”

เมื่อได้ยินชื่อลู่ฝาน ผู้ฝึกชี่ที่กำลังต่อยคนอยู่ปล่อยมือทันที พูดด้วยรอยยิ้มเต็มหน้า “ฮ่าๆ นายคือลู่ฝานเองเหรอ! ในที่สุดนายก็มาสักที ฉันรอนายนานมาก นักกระบี่แห่งตงหวา ชื่อของนายดังมาถึงในเจดีย์ยาแล้วนะ”

ผู้ฝึกชี่ที่ดูรูปร่างหน้าตาเหมือนหมี มาตรงหน้าลู่ฝานแล้วยื่นมือออกมาหาลู่ฝาน

ลู่ฝานจับมือกับเขาเบาๆ รู้สึกว่าพลังของอีกฝ่ายไม่น้อยเลย แรงที่มือเทียบได้กับนักบู๊ยอดแดนปราณนอก

“ฉันชื่อสงป้าเทียน ต่อไปนายเรียกฉันว่าเหล่าสงก็ได้”

สงป้าเทียนยิ้มเห็นฟันขาวแล้วเอ่ยขึ้น รูปร่างกำยำกับใบหน้าที่มีกล้ามเนื้อดุดัน ไม่เหมือนผู้ฝึกชี่เลย เหมือนนักบู๊มากกว่า

ขณะนั้นผู้ฝึกชี่ที่เพิ่งโดนสงป้าเทียนกดบนพื้น ก็เดินเข้ามาเช่นกัน เขาดูแก่มาก ผมสีขาวแวว ดูยุ่งเหยิงเล็กน้อย เขากัดฟันพูดว่า “ลู่ฝาน นายอยู่ที่นี่ไม่ได้”

แสงสว่างไสว พลังชี่เต็มไปทั่วทุกทิศ

ในห้องโถงขนาดใหญ่ คิดไม่ถึงเลยว่าจะไม่มีของที่เป็นของจริงเลยสักชิ้น ล้วนเป็นของที่ก่อตัวมาจากพลังชี่ทั้งหมด

พลังธาตุดินก่อตัวเป็นพื้นดิน พลังธาตุลมก่อตัวเป็นกำแพง พลังธาตุไฟกลายเป็นแสงสว่าง พลังธาตุน้ำกลายเป็นน้ำพุ

ห้าธาตุกลายวัตถุสะท้อนให้เห็นอย่างเต็มที่ในที่แห่งนี้

มองอักษรยันต์ต่างๆ เคลื่อนไหวในห้องโถงใหญ่ ล้วนก่อตัวมาจากพลังฟ้าดินทั้งหมด

กำแพงและพื้นมีแสงเก้าสีสลับไปมา แสงสะดุดตาเป็นอย่างมาก เหมือนเป็นโลกอีกโลกหนึ่ง

กลางห้องโถงมีประติมากรรมรูปปั้นยืนอยู่

ผู้อาวุโสคนหนึ่งถือหนังสืออยู่เล่มหนึ่ง ค่อยๆ เปิดเบาๆ

บนหนังสือมีตัวอักษรเคลื่อนไหวอยู่

“วิถีไร้ที่สิ้นสุด!”

ไม่ต่างกัน ประติมากรรมนี้ก็ก่อตัวมาจากพลังฟ้าดิน แต่สิ่งที่ทำให้ลู่ฝานตกใจคือ พลังฟ้าดินในประติมากรรมนี้ มีระบบในตัวมันเอง ราวกับตัวเองได้กลายเป็นโลกภายใน

ลู่ฝานเห็นแล้วถึงกับอึ้ง ตัวแข็งทื่อไปหมด ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม จู่ๆ ในใจก็ตระหนักขึ้นได้

ผู้ฝึกชี่ที่พาเขาเข้ามา เห็นลู่ฝานยืนนิ่งอยู่ที่เดิม สายตาเอาแต่จ้องไปที่รูปปั้นข้างหน้า

ผู้ชายหัวเราะแล้วมองใบหน้าตะลึงของลู่ฝาน จากนั้นพูดว่า “นี่คือฉี่หมิง ผู้ฝึกชี่อันดับหนึ่งของโลกที่อยู่ในตำนาน! รูปปั้นของเขา ถูกสร้างโดยสามปรมาจารย์ผู้ฝึกชี่ที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก เป็นไง ไม่เลวเลยใช่ไหมล่ะ!”

ลู่ฝานไม่ได้ตอบกลับ ตอนนี้ในตัวเขามีคลื่นที่โหมกระหน่ำ

ห้าธาตุเป็นหนึ่ง เกิดเป็นโลกขึ้นมาเอง!

รูปปั้นด้านหน้า เหมือนประตูบานใหญ่ที่เปิดกว้าง ทำให้ลู่ฝานเห็นโลกที่แตกต่างออกไป

ปราณชี่ในตัว เริ่มไหลเวียนตามรูปแบบการไหลเวียนในรูปปั้น

แต่ไหลเวียนยังไม่ถึงรอบ ลู่ฝานพบว่าปราณชี่ของตัวเองไม่สามารถไหลเวียนต่อไปได้

แม้ปราณชี่ของเขาเป็นหนึ่งเดียวในโลก แม้มีคุณสมบัติพิเศษทุกอย่าง แต่ไม่สามารถทำเหมือนในตัวรูปปั้นได้ ที่เกิดเป็นโลกขึ้นมาเอง!

ลู่ฝานขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นเขาเข้าใจแล้ว

ที่แท้เป็นปัญหาของเส้นลมปราณ เส้นลมปราณคนไม่ได้ว่างเปล่าเหมือนรูปปั้น

เส้นลมปราณคือสิ่งที่แน่นอน การไหลเวียนก็ต้องยึดตามเส้นลมปราณ คิดไปคิดมา ก็หาทางทำให้เส้นลมปราณของเขากลายเป็นหนึ่งเดียวไม่ได้ มักจะเชื่อมกันไม่ได้ในจุดที่สำคัญที่สุด

ราวกับเส้นลมปราณหายไปเส้นหนึ่ง!

ลู่ฝานถอนหายใจ ดูเหมือนไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้นแล้วสินะ!

ลู่ฝานละสายตาออกมา แล้วมองตัวอักษร “วิถีไร้ที่สิ้นสุด” อีกหนึ่งครั้ง เขาพูดด้วยรอยยิ้ม “เป็นตัวอักษรที่ดุดัน ปรมาจารย์คงเป็นคนสร้างสินะ!”

ผู้ชายพูดว่า “ใช่แล้ว แต่ปรมาจารย์ที่สร้างรูปปั้นไม่ได้เป็นคนเขียนอักษรเหล่านี้ แต่เป็นอริยปราชญ์เทียมฟ้าเจ้าของเจดีย์คนปัจจุบัน หลงเหลือเอาไว้”

ลู่ฝานขมวดคิ้วพูดว่า “อริยปราชญ์เทียมฟ้า นี่เป็นชื่อเขาเหรอ หรือเป็นชื่อเรียกอย่างยกย่อง”

ผู้ชายยิ้มแล้วพูดว่า “ใช่ทั้งหมด!”

พูดจบ ผู้ชายเดินเข้าไปด้านในต่อ

ลู่ฝานก็ทำได้เพียงเดินตามไป

เจดีย์ยาใหญ่มาก ไม่รู้สูงตั้งเท่าไร

ข้างกำแพงมีขั้นบันไดเมฆเก้าสีวนขึ้นไปด้านบน

เมื่อเหยียบลงไปด้านบน ทุกก้าวที่เดิน บันไดเมฆด้านล่างเท้าจะมีแสงสว่างขึ้นมา

และด้วยน้ำหนักเท้าที่ก้าวออกไปแตกต่างกัน แสงที่สว่างขึ้นมาก็ไม่เหมือนกันด้วย

สิบสามเดินตามลู่ฝานขึ้นไป เขาไม่กล้าเหยียบลงไปแรง บันไดเมฆที่ดูบางเหมือนปีกจักจั่น เขากลัวว่าจะเหยียบมันจนพัง โดยเฉพาะเมื่อน้ำหนักเท้าหนักขึ้นเล็กน้อย บันไดเมฆก็จะกลายเป็นสีแดง สิบสามเข้าใจตามสัญชาตญาณว่านี่คือสัญญาณเตือน ช่วยไม่ได้ เขาต้องเขย่งเท้าเดินขึ้นไปข้างบน

เดินวนขึ้นไปด้านบนเรื่อยๆ จนเดินมาถึงระดับความสูงของตึกชั้นสิบ ในที่สุดผู้ชายก็หยุดลง

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 970
ลู่ฝานมองดูแผนที่อย่างละเอียด ก็เอะใจขึ้นเล็กน้อยว่า วิธีการจัดเรียงของสี่เจดีย์ยานี้ ก็คือเส้นลายการก่อตัวของค่ายกลทำลายห้าธาตุค่ายเล็กไม่ใช่เหรอ

ลู่ฝานใช้ฝ่ามือรวบรวมปราณชี่ และดึงดูดพลังฟ้าดินรอบตัวแล้วก็ปลดปล่อยพลังออกไปด้านหน้า

ค่ายกลทำลายห้าธาตุค่ายเล็กก็ปรากฏขึ้น และเมื่อนำไปประกบกับแผนที่ ก็พลันพบว่า ทั้งสี่จุด ก็คือองค์ประกอบท่ามกลางค่ายกลทำลายห้าธาตุ อันได้แก่ไฟน้ำทองไม้!

ส่วนจุดที่ห้านั้น ก็อยู่ที่ตรงใจกลางของเมืองหลวง!

ลู่ฝานยิ้ม เล่นกันขนาดนี้เลยเหรอเนี่ยะ

นี่หากว่าไม่ได้เป็นผู้ฝึกชี่ ก็คงจะหาพบได้ยากจริง ๆ ด้วย!

เมื่อกำหนดสถานที่แน่ชัดแล้ว ลู่ฝานก็รีบเดินทางไปที่นั่นอย่างรวดเร็ว ในระหว่างทางต้องทะลุผ่านค่ายกลเคลื่อนฟ้าที่ได้จัดวางไว้ในแต่ละจุด แต่นี่ก็ไม่ใช่ปัญหา

ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยกว่าที่ ลู่ฝานจะมาถึงสถานที่แห่งนี้ เมื่อมาถึงก็ปรากฏเห็น สิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ราวกับภูเขาอยู่ที่ด้านหน้า

มองดูอยู่สักพัก ในที่สุดลู่ฝานก็จดจำได้ว่า นี่คือหม้อ ซึ่งเป็นหม้อที่มีขนาดใหญ่อย่างที่สุด!

ในขณะเดียวกัน ลู่ฝานรู้สึกว่าทั้งเจดีย์เสวียนเก้ามังกรและหม้อสือฟางที่อยู่ในร่างกายต่างก็เริ่มที่จะกระสับกระส่ายขึ้นบ้างแล้ว

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจดีย์เสวียนเก้ามังกร ที่ผุดขึ้นมาพูดว่า: “เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ ทำไมท่านถึงได้มาสถานที่แห่งนี้ สมควรตายจริง ๆ นี่คือถ้ำปีศาจ นี่คือรากเหง้าของความชั่วร้ายทั้งปวง ครั้งก่อนที่สือฟางพาฉันมาที่นี่นั้นไอ้คนชั่วที่อยู่ภายในนี้ ยังคิดที่จะจับฉันกลับเข้าไปในหม้อเพื่อหลอมอีกครั้งหนึ่งด้วย”

เมื่อได้ยินที่เจดีย์เสวียนเก้ามังกรร้องตะโกนขึ้น ลู่ฝานก็แน่ใจได้ว่าเขามาถึงสถานที่ที่ถูกต้องแล้ว

ที่นี่ก็คือเจดีย์ยาที่ร่ำลือกันในตำนาน แม้ว่ามองจากภายนอกแล้ว เหมือนจะไม่ใช่หอคอยเลยด้วยซ้ำ

ลู่ฝานเดินเข้าไปด้านใน ขณะที่เดินไปไม่กี่ก้าว ลู่ฝานก็พลันรู้สึกว่าตนเองได้ทะลุผ่านค่ายกลอะไรสักอย่าง

จากนั้นทิวทัศน์เบื้องหน้าก็เปลี่ยนไปอย่างมาก

จากเดิมเป็นถนนที่ไร้ผู้คน ทันใดนั้นก็กลับกลายเป็นบรรยากาศที่คึกคัก ส่วนสิ่งก่อสร้างที่เป็นลักษณะหม้อโบราณขนาดใหญ่นั้น เวลานี้กลับเปล่งประกายลำแสงเก้าสี

“ค่ายกลแบ่งแยก เคลื่อนฟ้าเปลี่ยนเป็นดิน ช่างน่าสนใจยิ่งนัก! ”

ลู่ฝานยิ้ม และกวาดสายตามองไปรอบด้าน ผู้คนที่เดินไปมานั้น ชัดเจนว่าเป็นผู้ฝึกชี่ทั้งหมด เสียงดังอลหม่านอย่างไม่สิ้นสุด

“พี่ถัง ยาถังไร้เทียนทานเล่มนี้ของท่าน เขียนบรรยายได้ดีมากเลย ฉันขอยืมกลับไปอ่านทำความเข้าใจสักหน่อย เผื่อฉันจะได้เรียนรู้วิชายาด้านในนี้บ้าง”

“พี่ถู่พูดชมเกินไปแล้ว วิชายาต่อสู้ของท่าน ก็เก่งกาจยอดเยี่ยมมาก ฉันเองก็ต้องการที่จะเรียนรู้บ้างเหมือนกัน”

……

“สูตรการกลั่นยาชั้นเลิศ วิชายาเบญจธาตุน้อยฉบับแก้ไขแล้ว มีใครที่สนใจจะดูบ้าง ซึ่งสามารถลดทอนสมุนไพรบางอย่างลง แต่ฤทธิ์ของยาก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง”

“ของนายนี้นับประสาอะไร มาดูวิชาแผ่ขยายลมปราณของฉันนี่สิ เส้นชีพจรหนึ่งเส้นสามารถเก็บรวมพลังชี่ได้ถึงสองจุด ไม่มีอันตราย ง่ายต่อการฝึกฝน มาดูกันได้เลย! ”

……

ขณะที่ลู่ฝานเดินต่อไปข้างหน้านั้น ก็ได้ยินเสียงตะโกนพูดขึ้นจากรอบด้าน

มีทั้งขายสูตรการกลั่นยา มีการประลองวิชายา และยังมีผู้ที่ได้ผลตอบรับการประลองยาที่ไม่ได้ดั่งใจและกำลังประลองบุ๋นอยู่ด้วย

ผู้คนจำนวนมากมายราวกับมด ที่เดินเข้า ๆ ออก ๆ จากสิ่งก่อสร้างแห่งนี้

แต่ละคนอย่างน้อยเป็นถึงผู้ฝึกชี่ที่ได้รับการชื่นชมยกย่องจากภายนอก แต่เมื่ออยู่ที่นี่ พวกเขาก็เป็นเพียงแค่ผู้ฝึกชี่ธรรมดาที่ลุ่มหลงอยู่กับการกลั่นยาเท่านั้น

“คุณพี่ท่านนี้ ดูจากลักษณะของพวกคุณแล้ว พวกคุณน่าจะเป็นนักบู๊ล่ะสิ พวกคุณเข้ามาด้านในได้อย่างไรกัน? ”

ทันใดนั้น ก็มีคนผู้หนึ่งขวางทางลู่ฝานเอาไว้

เขาอยู่ในชุดคลุมยาวสีขาว มีรอยสักยาสามเม็ด

ลู่ฝานนำหยกหยกแห่งจิตออกมาและพูดว่า: “มีของชิ้นนี้ ได้ไหมล่ะ? ”

ชายผู้นั้นรับหยกหยกแห่งจิตมาตรวจดู สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันทีและพูดว่า: “ที่จริงแล้วที่พวกคนรับใช้กำลังทะเลาะวิวาทกันอยู่ก็เพราะคุณนั่นเอง คุณตามฉันมา”

ขณะที่พูด ชายผู้นั้นก็พาลู่ฝานเดินเข้ามาภายในหม้อยักษ์นั้น

เมื่อเข้ามาด้านใน ลู่ฝานก็พลันมองเห็นตำหนักที่ใหญ่โตรโหฐาน สิบสามเองถึงกับอ้าปากค้าง

นี่ก็คือเจดีย์ยา นี่ก็คือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของผู้ฝึกชี่

ใบหน้าของลู่ฝานเต็มไปด้วยรอยยิ้มในทันที

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 969
เช้าวันรุ่งขึ้น ลู่ฝานก็เดินออกมาจากร้านเหล้า

ไม่ได้หลับทั้งคืน เอาแต่ดื่มเหล้าอย่างเดียว ซึ่งลู่ฝานไม่เพียงแต่จะไม่มึนเมาเวียนหัวแล้ว กลับยังจะมีชีวิตชีวามากอีกด้วย

“เถ้าแก่อ้วน ครั้งหน้าฉันจะมาดื่มเหล้าอีกนะ หากว่ามีเหล้าชั้นยอด จำไว้นะว่าจะต้องเหลือเก็บเอาไว้ให้ฉันด้วย”

เถ้าแก่อ้วนยืนอยู่ที่หน้าประตู ขณะที่เคี้ยวถั่วอยู่ก็ได้พูดขึ้นว่า: “ได้สิ นายเป็นคนที่มีจิตใจดี นิสัยดื่มเหล้าก็พอใช้ได้ วันหลังหากมีโอกาส ฉันจะแนะนำพวกเพื่อนของฉันให้นายได้รู้จัก”

ลู่ฝานยิ้มและพูดว่า: “ต่างก็เป็นอาจารย์หมักเหล้ากันใช่ไหม? ”

เถ้าแก่อ้วนพูดว่า: “จะพูดอย่างนั้นก็ได้ เหล้าที่พวกเขาหมักนั้น ล้วนไม่ธรรมดาทั้งสิ้น”

“ตกลง ฉันจะพยายามมาบ่อยครั้งเลย! ”

ลู่ฝานกำหมัดแสดงความเคารพ แล้วก็นำยาสมุนไพรหลายต้น วางเอาไว้ที่หน้าประตูร้าน

เถ้าแก่อ้วนขมวดคิ้วขึ้นและพูดว่า: “ฉันพูดแล้วว่า เหล้าของฉันขายให้แต่กับเรื่องราวเท่านั้น ไม่รับสิ่งของอื่นใด”

ลู่ฝานพูดว่า: “ฉันเองก็ไม่ได้ให้อะไร ก็แค่สิ่งของที่ใช้ในการหมักเหล้าเท่านั้น ขอลาก่อน”

เมื่อพูดจบ ลู่ฝานก็พาสิบสามและเจ้าดำเดินจากไป

สิบสามก็เดินตามอยู่ที่ด้านหลังของลู่ฝาน ฝีเท้าค่อนข้างจะเลื่อนลอยไร้การทรงตัว ส่วนเจ้าดำก็นอนหลับอยู่บนไหล่ของลู่ฝาน

เถ้าแก่อ้วนมองไปยังสมุนไพรที่ลู่ฝานได้วางเอาไว้ให้ ก็ยิ้มแล้วพูดว่า: “ไอ้หนุ่มนี่ คิดไม่ถึงว่าจะเข้าใจเรื่องเหล้าอยู่บ้างเหมือนกัน”

หญ้าขี้ผึ้ง ใบไม้เมาทิพย์ ดอกไม้เก้าสี

หากนำทั้งสามแยกออกมาแต่ละอย่าง ก็เป็นแค่ยาสมุนไพรทั่วไปเท่านั้น แต่เมื่อนำมารวมกันก็จะมีความหมายแฝงอีกอย่างแล้ว เพราะว่าเหล้าที่เมื่อคืนเถ้าแก่อ้วนเชิญเขาดื่มนั้น วัตถุดิบหลักของมัน ก็คือยาสมุนไพรทั้งสามชนิดนี้

ลู่ฝานดื่มเพียงแค่ครึ่งไห ก็สามารถรับรู้รสชาติออกได้แล้ว

นี่อาจจะเป็นเพราะพรสวรรค์ หรือว่าเป็นคนขี้เมากันแน่

แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน เถ้าแก่อ้วนก็ชื่นชอบเป็นอย่างมากทีเดียว

เถ้าแก่อ้วนพยักหน้า และพูดพึมพำว่า: “ไอ้หนุ่มนี้เป็นคนใช้ได้ น่าจะต้องแนะนำอาจารย์ที่ยอดเยี่ยมให้กับนายบ้างแล้ว อืม เมื่อไอ้เฒ่าหวูเฉินนั้นกลับมา ก็จะแนะนำให้เขาแล้วกัน เชื่อว่า มีลูกศิษย์เพิ่มขึ้นคนหนึ่ง เขาก็คงจะไม่ถือสาอะไรหรอก ไอ้หนุ่มคนนี้ น่าจะเป็นผู้สืบทอดวิชาความสามารถของเขาได้! ”

เถ้าแก่อ้วนรวบหยิบสมุนไพรเหล่านั้นขึ้น เดินกลับเข้าไปในร้าน แล้วก็ปิดประตู

……

ลู่ฝานก็ได้เริ่มสอบถามทิศทางที่ตั้งอยู่ของเจดีย์ยาไปทั่วเมืองหลวง เดิมทีเรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องที่ง่ายดายถึงจะถูก เจดีย์ยาของผู้ฝึกชี่ที่โด่งดัง น่าจะเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปไม่ใช่เหรอ?

แต่ในความจริงแล้วมันเกินกว่าที่ลู่ฝานคาดการณ์เอาไว้เสียอีก สอบถามไปสอบถามมา กลับไม่มีใครที่จะรู้ถึงทิศทางที่ชัดเจนของเจดีย์ยาเลย

บางคนบอกว่าอยู่นอกเมือง บางคนบอกอยู่ในตัวเมือง บางคนบอกอยู่ใจกลางเมือง

หมดหนทาง ลู่ฝานจึงต้องไปซื้อแผนที่มาเปิดดูเอาเองแล้ว

กว่าจะได้แผนที่ของเมืองหลวงมาหนึ่งใบ แต่เมื่อมองดูแล้ว ลู่ฝานก็ถึงกับอึ้งไปเลยทีเดียว ทั่วทั้งเมืองหลวง คิดไม่ถึงว่าจะมีเจดีย์ยาอยู่สี่แห่ง ตั้งอยู่ในสี่สถานที่ที่แตกต่างกัน

เดินขึ้นมาในโรงอาหารที่เผ่ายักษ์ทิพย์ได้ทำการก่อตั้งขึ้น เพื่อมองจากที่สูงไปในระยะไกล

ลู่ฝานเองก็มองเห็นเจดีย์ยาที่ใหญ่โตสี่แห่งนี้แล้ว

เป็นสิ่งก่อสร้างที่มีสีแดงสีฟ้าสีทองและสีเขียว ซึ่งมองออกได้อย่างชัดเจน แต่เจดีย์ยาแห่งใดที่เป็นของจริงกันแน่ล่ะ?

หรือว่าเจดีย์ยาแห่งใดก็ได้?

ลู่ฝานที่กำลังครุ่นคิดอยู่ ก็ได้พบเจอกับเจดีย์ยาสีแดงที่อยู่ใกล้ที่สุดก่อน

ขณะที่เดินมาถึงด้านหน้าหอคอย ลู่ฝานก็มองเห็นว่าทั้งหอคอยนี้ อยู่ในสภาพที่ปิดทั้งหมด สิ่งก่อสร้างหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว ไม่มีผู้คน ไม่มีประตู ไม่มีอะไรเลย

โดยสิ่งที่ทำให้ลู่ฝานรู้สึกว่าไม่ใช่ที่นี่แน่นอนนั้นก็คือ ทั้ง ๆ ที่เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของผู้ฝึกชี่ แต่ทำไมถึงไม่มีค่ายกลอะไรเลย

ด้วยเหตุนี้ ลู่ฝานจึงผิดหวังและเดินทางไปยังเจดีย์ยาอีกแห่งหนึ่ง เมื่อไปถึงที่นั่นแล้ว ลู่ฝานก็พลันพบว่า มีสภาพการณ์ที่เหมือนกับสถานที่เมื่อครู่เลย

นี่มันผิดปกติยังไงชอบกลแล้ว หรือว่าภายในนี้จะมีสิ่งลี้ลับอะไรอยู่กันแน่

เมื่อดื่มเหล้านี้แล้ว ลู่ฝานก็จะต้องใช้ปราณชี่ของตนเองช่วยถึงจะต้านทานได้อยู่หมัด ต้องพูดเลยว่า รสชาติของเหล้านี้ ช่างร้อนแรงอย่างมากทีเดียว หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นมาดื่มแล้ว เกรงว่าดื่มเพียงคำเดียวก็จะทำให้มึนเมาอย่างหนักเป็นแน่

ลู่ฝานสูดหายใจลึกและพูดว่า: “ถ้าจะพูดถึง มันก็เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ตระกูลของศิษย์พี่ของฉันเป็นตระกูลใหญ่ ครั้งนี้ที่ฉันมาเมืองหลวง ก็พักอาศัยอยู่ที่บ้านของเขา กลายเป็นว่า ไม่รู้เพราะอะไร ตระกูลของเขาก็ขับไล่ฉันออกจากบ้านอย่างไร้เหตุผล เรื่องแรก ฉันก็ไม่ได้ล่วงเกินคนในครอบครัวของเขา เรื่องที่สอง และก็ไม่ได้ทำผิดอะไรด้วย เรื่องที่สามเมื่อคืนวาน ฉันกับพ่อของศิษย์พี่ยังพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน แต่วันนี้พ่อของเขากลับขับไล่ฉันออกจากตระกูล กลุ้มใจจริง ๆ เลย! ”

เถ้าแก่อ้วนหัวเราะเหอะเหอะและพูดว่า: “ช่วงนี้นายได้ไปสร้างเรื่องก่อความวุ่นวายกับใครภายนอกหรือเปล่า? ”

ลู่ฝานครุ่นคิดชั่วครู่และพูดว่า: “หากจะพูดว่าไปสร้างเรื่องก่อความวุ่นวายนั้น ก็พอมีอยู่บ้าง”

เถ้าแก่อ้วนพูดต่อว่า: “ฝ่ายตรงข้ามนั้นมีอิทธิพลอำนาจมาก เก่งกาจมีความสามารถ เกรงว่าจะไม่ใช่คู่ต่อกรที่ทางตระกูลศิษย์พี่ของนายจะสามารถรับมือได้ล่ะสิ”

ลู่ฝานตกใจขึ้นเล็กน้อย ภายในสมองผุดภาพของสถาบันบู๊องอาจ และผุดภาพขององค์ชายรองขึ้น สุดท้ายก็พลันหยุดอยู่ที่คำว่าองค์รัชทายาท

เขาเข้าใจอะไรได้ในทันที จึงพยักหน้าและพูดว่า: “ถูกต้อง”

เถ้าแก่อ้วนยิ้มและพูดว่า: “นี่ก็เข้าใจได้ง่ายมากเลยว่า คนที่นายไปก่อเรื่องสร้างความวุ่นวายนั้น ตระกูลของศิษย์พี่ของนายไม่สามารถไปล่วงเกินได้ ดังนั้นเขาจึงคิดกังวลตระกูลของตนเอง จึงต้องขับไล่นายออกมายังไงล่ะ อีกทั้งยังจะแสดงการกระทำอย่างสมบูรณ์ โดยการโยนทิ้งสิ่งของของนายออกมา เพื่อให้คนอื่นรู้เห็นด้วย”

ลู่ฝานยิ้มอย่างขมขื่นและพูดว่า: “ถูกต้อง คุณพูดได้อย่างถูกต้องทั้งหมดเลย”

เถ้าแก่อ้วนตบโต๊ะและพูดว่า: “ก็เป็นไปตามนี้ยังไงล่ะ หากว่าจะขับไล่นายออกไปจริง ๆ เขาจะต้องทำขนาดนี้ด้วยเหรอ? ก็แค่พูดขับไล่ออกไปก็จบเรื่องแล้ว ทำไมจะต้องมาทำให้ตระกูลของตนเองเสียชื่อเสียงด้วยล่ะ เรื่องที่จะขับไล่เพื่อนของมาจากตระกูลนั้น ทุกตระกูลใหญ่ต่างก็ถือกันอย่างมากทีเดียว การกระทำดังกล่าวนั้น เห็นได้ชัดว่าต้องการแสดงออกให้กับคนภายนอกเห็น นอกจากนี้ หยกชิ้นนี้บนเสื้อของนาย คงจะไม่ใช่ของนายล่ะสิ ตั้งแต่ที่นายเดินเข้ามาในร้านฉันก็สังเกตเห็นแล้ว มีใครที่เอาหยกไปแปะไว้ที่แขนเสื้ออย่างนั้นล่ะ”

ลู่ฝานตกใจเล็กน้อย จึงรีบหันมองไปที่แขนเสื้อของตนเอง ที่นั่นมีหยกอยู่ชิ้นหนึ่งจริงๆ ด้วย

ติดแปะอย่างแน่นหนา เหมือนกับเป็นอัญมณีฝังลงไปบนแขนเสื้ออย่างไรอย่างนั้น

ใครเป็นคนเอาไปติดกันแน่นะ?

ลู่ฝานถึงกับอึ้งไปเลย ใครที่สามารถอาศัยช่วงจังหวะที่เขาไม่ทันระมัดตัว แล้วแปะหยกชิ้นหนึ่งไว้บนแขนเสื้อของเขาได้

ลู่ฝานพลันนึกขึ้นได้ว่า เมื่อครู่ที่ถูกขับไล่ออกมานั้น นักบู๊ตระกูลหานคนนั้นได้สัมผัสกับเสื้อผ้าของเขาเล็กน้อย ซึ่งแกล้งทำเป็นว่าจะควบคุมจับตัวเขา

ลู่ฝานหยิบหยกออกมา และมองอย่างละเอียด ซึ่งมีสองคำปรากฎอยู่ด้านบนนั้น

“หยกแห่งจิต! ”

ลู่ฝานอ่อนออกเสียงขึ้น

เถ้าแก่อ้วนที่อยู่ด้านหน้าพูดขึ้นด้วยความแปลกใจว่า: “หยกแห่งจิต? หยกแห่งจิต? ตระกูลของศิษย์พี่ของนายนี้ไม่ธรรมดาเลยนะ นี่คือหยกแสดงสถานะของเจดีย์ยา ที่เขาให้หยกชิ้นนี้กับนายไว้ แสดงว่าเขาต้องการให้นายไปที่เจดีย์ยายังไงล่ะ! ”

ลู่ฝานยิ้มขึ้น โดยรอยยิ้มช่างขมขื่นยิ่งนัก

ลุงหานอ่า ลุงหาน คุณพูดกันตรง ๆ ก็ได้ ทำไมจะต้องแสดงละครแบบนี้กันด้วย

เวลานี้ลู่ฝานเข้าใจทั้งหมดแล้ว ลุงหานหวาดกลัวต่ออิทธิพลอำนาจขององค์รัชทายาท ถึงแม้ตระกูลหานจะแข็งแกร่งเพียงใด แต่ก็คงไม่สามารถต้านทานจักรวรรดิได้

องค์รัชทายาทรู้ว่าลู่ฝานพักอยู่ที่ตระกูลหาน ก็คงจะไม่พอใจตระกูลหานเป็นแน่ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องขับไล่เขาออกไป นี่เป็นการปกป้องคุมครองตระกูลหาน ซึ่งสมควรที่เข้าใจเป็นอย่างยิ่ง

แต่ลุงหานกลับยังแอบชี้เส้นทางให้กับลู่ฝานด้วยโดยให้ไปที่ เจดีย์ยา!

ถูกต้อง มีแต่เจดีย์ยาเท่านั้นที่จะปกป้องคุ้มครองเขาได้ เพราะเจดีย์ยาคือสถานที่พักอาศัยของผู้ฝึกชี่

ในฐานะที่เป็นขอบเขตสถานที่พิเศษของผู้ฝึกชี่ เกรงว่าองค์รัชทายาทก็คงจะไม่กล้ากำเริบเสิบสานนัก เมื่อมีหยกชิ้นนี้แล้ว เขาก็สามารถที่จะเข้าไปด้านในของเจดีย์ยาได้

เมื่อเข้าไปด้านในเจดีย์ยาแล้ว ชีวิตและความปลอดภัยของเขา ก็ได้รับการรับประกันอย่างมาก ซึ่งปลอดภัยกว่าอยู่ที่ตระกูลหานเสียอีก

ลู่ฝานเก็บหยกหยกแห่งจิตขึ้น และพูดเบา ๆ ว่า: “คุณลุง ฉันกล่าวโทษคุณผิดไปจริง ๆ! “

เวลานี้ ในตระกูลหาน

หานจุนพูดกับหานอู๋ซวงว่า: “นายแน่ใจนะว่าลู่ฝานเขาจะสามารถเข้าใจได้? ”

หานอู๋ซวงยิ้มและพูดว่า: “แน่นอน ไอ้หนุ่มนี้เล่นหมากรุกได้เก่งกว่าฉันอีก มีมันสมองที่ฉลาด เพียงแค่เขามองเห็นหยก ก็สามารถที่จะย้อนคิดได้ โดยทางเจดีย์ยานั้น ฉันได้แอบติดต่อกับทางนั้นไว้เรียบร้อยแล้ว ทุกอย่างไม่มีปัญหา”

หานจุนยิ้มและพูดว่า: “ถ้าหากองค์รัชทายาทรู้ว่าลู่ฝานเข้าไปในเจดีย์ยาแล้ว เกรงว่าคงจะโมโหอย่างมากเลย”

หานอู๋ซวงพูดว่า: “โมโหแล้วจะทำไม ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับตระกูลหานของพวกเราอยู่แล้ว หยกหยกแห่งจิตชิ้นนั้นที่ฉันให้กับเขาไป มีออร่าปีศาจแฝงอยู่ด้วย ไอ้หนุ่มนี้เคยที่จะสังหารปีศาจสี่ตนไม่ใช่เหรอ แล้วเขาก็ได้นำหยกนี้มาจากร่างของปีศาจ ซึ่งใครจะไปตรวจสอบมาถึงพวกเราได้ล่ะ พวกเราตระกูลหานกับผู้ฝึกชี่ แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่ค่อยจะถูกคอลงรอยกัน เรื่องนี้เป็นที่รับรู้กันทั่วทั้งใต้หล้าอยู่แล้ว”

หานจุนพูดว่า: “คิดไม่ถึงว่าชื่อเสียงนี้ยังจะมีประโยชน์ด้วย”

หานอู๋ซวงหัวเราะแหะแหะและพูดว่า: “มีประโยชน์มากมายเลยล่ะ”

หิมะตกลงมาบนชายคาบ้าน จากจำนวนเล็กน้อยจนกลายเป็นจำนวนที่มากขึ้น ไม่นานนักบนท้องถนนก็ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลน แสงสว่างของไฟบนท้องถนนได้สาดส่องให้มันกลายเป็นสีสันที่หลากหลาย

ลู่ฝานเดินอยู่ท่ามกลางหิมะ ปล่อยให้หิมะตกลงบนร่างกายของเขา

หิมะหนาวเย็นแค่ไหน ก็ไม่เท่ากับจิตใจที่เย็นชาห่อเหี่ยว

ลู่ฝานยังคงรู้สึกโมโห ต่อการกระทำของหานอู๋ซวง

บางทีนี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ศิษย์พี่หานเฟิงไม่ยอมกลับมา บางทีนี่อาจจะเป็นภาพลักษณ์ตัวตนที่แท้จริงของตระกูลหานก็เป็นได้

ลู่ฝานเดินอยู่อย่างเงียบ ๆ และครุ่นคิดไปต่าง ๆ นา ๆ

สิบสามเดินตามอยู่ด้านหลังของเขา โดยที่ไม่ได้พูดอะไรสักคำ

ไม่รู้ว่าเดินกันมานานเท่าไรแล้ว เมื่อเงยหน้าขึ้น ลู่ฝานก็พลันเห็นว่าข้างหน้ามีร้านแห่งหนึ่ง

มีกลิ่นหอมของเหล้าโชยมา ซึ่งเป็นกลิ่นหอมที่เข้มข้นมากด้วย

ภายในตรอกซอยเก่า คิดไม่ถึงว่าจะมีร้านเหล้าอยู่ด้วย

ลู่ฝานยิ้มและพูดขึ้นว่า: “นี่คงจะเป็นโชคชะตาล่ะสิ”

ลู่ฝานหันหลัง มาพูดกับสิบสามว่า: “ไปเถอะ เข้าไปดื่มเหล้าด้านในกัน! ”

สองคนเดินเข้าไปภายในร้าน น่าจะเป็นเพราะมาถึงดึกจนเกินไป ภายในร้านจึงไม่มีคน

มีเพียงแต่เจ้าของที่อ้วนท้วมคนหนึ่ง ที่นั่งดื่มกินอยู่คนเดียว อย่างดื่มด่ำเพลิดเพลิน

“เถ้าแก่ เสริฟเหล้าหน่อย! ”

ลู่ฝานพูดขึ้น

เจ้าของร้านหันมองไปที่ลู่ฝานและพูดขึ้นว่า: “เจ้าหนุ่มดึกดื่นขนาดนี้แล้วทำไมไม่กลับบ้าน ยังจะออกมาดื่มเหล้าอีก น่าจะมีเรื่องเสียใจอะไรใช่ไหมล่ะ ต้องขอโทษด้วย ที่เหล้าของฉัน ไม่ขายให้กับคนที่เสียใจ”

ลู่ฝานขมวดคิ้วและพูดว่า: “ก็แค่ขายเหล้ายังจะมีกฎเกณฑ์มากมายอะไรด้วยเหรอ ฉันก็แค่กลุ้มใจ ไม่ได้เสียใจสักหน่อย แบบนี้สามารถดื่มได้ไหม? ”

เถ้าแก่อ้วนเงยหน้าขึ้นมองลู่ฝาน ก็พลันหัวเราะขึ้นและพูดว่า: “ได้ กลุ้มใจสามารถดื่มเหล้าได้ เมื่อดื่มจนเมาแล้วก็จะช่วยบรรเทาความกลุ้มใจได้ แต่เหล้าของฉันนั้น ราคาแพงนะ”

ลู่ฝานยิ้มและพูดว่า: “จะแพงสักเท่าไรกัน? ”

เถ้าแก่อ้วนพูดขึ้นว่า: “เงินไม่สามารถซื้อได้ ผลประโยชน์ไม่สามารถนำมาแลกเปลี่ยนได้ เหล้าของฉัน จะขายให้กับเรื่องราวประสบการณ์เท่านั้น เจ้าหนุ่ม ฉันว่านายคงจะเป็นคนที่มีเรื่องราวประสบการณ์พอสมควร งั้นฉันเชิญนายดื่มเหล้าแล้วนายก็เล่าเรื่องราวของนายให้ฉันฟังว่า ทำไมวันนี้นายถึงได้กลัดกลุ้มใจขนาดนี้ว่าอย่างไรล่ะ”

ลู่ฝานครุ่นคิดและพูดว่า: “ได้”

เถ้าแก่อ้วนหัวเราะฮ่าฮ่า แล้วก็หยิบเหล้าหมักไหหนึ่งที่อยู่ใต้โต๊ะออกมา แล้วก็ไปนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของลู่ฝาน และนำเหล้าวางลงไปบนโต๊ะ

หนึ่งคนหนึ่งถ้วยเซรามิกขาว สิบสาม และเจ้าดำต่างก็ได้รับจัดแบ่งด้วย

เจ้าดำนั่งอยู่ด้านข้าง ก็ยิ้มเยาะและมองไปที่เถ้าแก่อ้วนนั้น ราวกับจะพูดว่า นายช่างรู้งานเสียจริง

เหล้าสีขาวใส และมีกลิ่นหอมเข้มข้น ขณะที่เปิดผนึกขึ้นนั้น ก็แทบจะทำให้ลู่ฝานมึนเมาเคลิบเคลิ้มไปเลยทีเดียว

“เหล้าชั้นยอด” ลู่ฝานพูดขึ้น

เถ้าแก่อ้วนยิ้มและพูดว่า: “ยังไม่ทันดื่มเลย นายก็รู้แล้วหรือว่านี่คือเหล้าชั้นยอด? ลองดื่มดูสิ”

ลู่ฝานจิบชิมหนึ่งคำ ก็พลันสำลักทันที คิดไม่ถึงว่าเหล้านี้จะมีรสชาติที่ร้อนแรงกว่าที่เขาเคยดื่มมาทั้งหมดเลย

สิบสามก็ดื่มเล็กน้อย จนตัวแดงไปหมด และร่างกายก็โอนเอนไปมา จากนั้น เขาก็ล้มฟุบไปนโต๊ะ เมื่อเจ้าดำเห็นดังนั้น ก็ไม่กล้าที่จะไปแตะต้องเหล้าแก้วนั้นอีก

เถ้าแก่อ้วนหัวเราะฮ่าฮ่าและพูดขึ้นว่า: “ฉันนึกว่านายดื่มเหล้าเป็นเสียอีก คิดไม่ถึงว่าจะอ่อนหัดเช่นนี้! ”

ลู่ฝานเองก็หน้าแดงเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหล้า หรือเป็นเพราะคำพูดเยาะเย้ยของเถ้าแก่อ้วน

หลายปีมาแล้ว ที่เขาไม่เคยถูกคนอื่นบอกว่าเขาเป็นเพียงแค่เด็กอ่อนหัด

ลู่ฝานถามขึ้นว่า: “นี่คือเหล้าอะไร? ”

เถ้าแก่อ้วนพูดขึ้นอย่างภาคภูมิใจว่า: “เหล้าเมาพันเขา พู่กันหนึ่งขีดวาดภาพภูเขาและแม่น้ำ เหล้าหนึ่งคำมึนเมาหลับไหลไปชั่วกาล เวลาผ่านไปเนิ่นนาน ใครจะจดจำรู้จักฉันบ้าง”

ลู่ฝานพยักหน้าและพูดว่า: “เหล้าชั้นยอด เป็นครั้งแรกที่ฉันได้ดื่มเหล้าที่ร้อนแรงขนาดนี้”

เถ้าแก่อ้วนพูดว่า: “แน่นอน ไม่ใช่ว่าฉันจะโอ้อวดนะ เหล้านี้ ทั้งใต้หล้ามีแค่เฉพาะร้านของฉันแห่งเดียวเท่านั้น พอเถอะ เหล้านายก็ได้ชิมไปแล้ว ได้เวลาที่นายจะพูดถึงเรื่องราวของนายว่าเกิดอะไรขึ้นแล้ว”

ลู่ฝานหันมองไปที่สิบสาม แล้วก็ใช้ฝ่ามือตีไปที่ไหล่ของสิบสาม ปลดปล่อยปราณชี่ เข้าไปในเส้นชีพจรของสิบสาม เพื่อช่วยเขาขับความร้อนแรงของเหล้าออกมา

เสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่มีอย่างไม่หยุด ทำให้ลู่ฝานที่หน้าด้านขนาดนี้ยังรู้สึกเขินอายเลย

ด้านข้าง หานหยวนหนิงได้ยินว่าลู่ฝานเป็นศิษย์น้องของหานเฟิง ก็เหมือนจะแปลกใจไปบ้าง แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่ออกห่างจากลู่ฝานมาเล็กน้อย

ผู้หญิงเผ่าจิ้งจอกคนหนึ่งดึงแขนของลู่ฝานแล้วพูดว่า: พี่ลู่ฝาน คุณแต่งงานแล้วหรือยัง? ”

ลู่ฝานรีบพูดขึ้นว่า: “ยังไม่แต่งงาน แต่มีคนที่เหมาะสมอยู่แล้ว”

หญิงสาวเผ่าจิ้งจอกได้แนบทรวงอกชิดเข้ากับท่อนแขนของลู่ฝาน และมองไปที่ลู่ฝานอย่างน่าหลงใหลและพูดว่า: “มีแล้วก็ไม่เป็นไรนะ”

กลุ่มลูกหลานตระกูลหานก็พลันตะโกนส่งเสียง โห่ร้องไปตาม ๆ กัน

ลู่ฝานยิ้มอย่างขมขื่น การเป็นที่นิยมยกย่องมากเกินไปก็เหมือนจะไม่ได้เป็นเรื่องดีอะไรเลย!

ในขณะนี้เอง ก็มีเสียงดังขึ้นมาจากระยะไกล

“ตะโกนโวยวายอะไรกัน มารวมตัวกันอยู่ที่นี่ทำไม? ไม่มีอะไรทำกันแล้วเหรอ? ”

สิ่งที่ออกมาพร้อมกับเสียงก็คือเงาร่างของหานอู๋ซวง

เมื่อหานอู๋ซวงมองเห็นลู่ฝานดึงแขนเล่นกันไปมากับหญิงสาวเผ่าจิ้งจอกนั้น สีหน้าท่าทางก็พลันเย็นชาขึ้นทันที

“ลู่ฝาน ตระกูลหานของเราหวังดีที่ให้นายพักอาศัยอยู่ที่นี่ แต่นายกลับมาหลอกล่อเย้ายวนหญิงสาวตระกูลหานแบบนี้เหรอ? ”

หญิงสาวเผ่าจิ้งจอกได้ยินที่พูดแล้วก็รีบปล่อยมือลงทันที และสีหน้าขาวซีดกันไปหมด

ลู่ฝานตกใจเล็กน้อย และพูดว่า: “ลุงหาน ฉัน……”

หานอู๋ซวงพูดขึ้นว่า: “ไม่ต้องมาอธิบาย ฉันรังเกียจคนอย่างนายที่สุดที่คิดว่าตนเองประสบความสำเร็จแล้วก็ทำตัวอิ่มเอิบ กำเริบเสิบสาน กลั่นแกล้งผู้ชายและรังแกหญิงสาวไปทั่วแบบนี้ ฉันเห็นว่านายเป็นศิษย์น้องของลูกชายฉัน ฉันจึงไม่อยากไล่เรียงความผิดของนาย นายไปเสียเถอะ ออกไปจากตระกูลหานซะ ที่นี่ไม่ต้อนรับนายอีก! ”

ลู่ฝานตกตะลึงอย่างมาก เขามองไปที่หานอู๋ซวงอย่างไม่เข้าใจ

ทั้งที่เมื่อคืนวาน พวกเขายังพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน แต่ทำไม วันนี้เมื่อกลับมา ลุงหานถึงได้เปลี่ยนไปแบบนี้

หานสงที่อยู่ด้านข้างพูดเสียงดังขึ้นว่า: “คุณลุง นี่ไม่ยุติธรรมเลย! ลู่ฝานยังไม่ได้ทำอะไรเลย ก็แค่……”

“หุบปาก! ”

หานอู๋ซวงพูดตะโกนใส่หานสง

เสียงดังสนั่นจนหานสงถึงกับทรุดตัวนั่งลงไปกับพื้น ลู่ฝานเองก็รู้สึกได้ถึงพลังรุนแรงที่ปะทุขึ้นมา

แต่เขายังยืนทรงตัวได้มั่นคงกว่าหานสง ร่างกายสั่นไหว แต่ไม่ถึงกับล้มลง

หานอู๋ซวงมองไปที่หานสงด้วยสายตาที่เยือกเย็นและพูดว่า: “หานสง ถึงเวลาที่นายมาสงสัยในตัวฉันตั้งแต่เมื่อไรกัน? ลืมกฎระเบียบของตระกูลไปหมดแล้วอย่างนั้นเหรอ? ไสหัวไปภูเขาด้านหลังเพื่อสงบจิตใจทบทวนความผิดเดี๋ยวนี้ หากไม่สั่งให้นายออกมา ก็ห้ามที่จะออกมา! ”

หานอู๋ซวงส่งสัญญาณสายตา ชายกำยำสองคนก็เดินออกมา ทางซ้ายคนทางขวาคนแล้วก็หามร่างของหานสงออกไป

หานสงพยายามดิ้นรน แต่กลับถูกชายกำยำสองคนนั้นกดควบคุมตัวเอาไว้

“ฉันไม่ยอม! ”

หานสงตะโกนเสียงดัง ชายกำยำคนหนึ่งก็ชกหมัดเข้าไปที่ศีรษะของหานสง

หมัดนี้ชกออกไปอย่างเต็มกำลัง เสียงระเบิดดังขึ้นอย่างชัดเจน

หานสงถูกหมัดชกจนพลังปราณระเบิด ศีรษะได้รับบาดเจ็บ และมีเลือดไหลออกมา แล้วก็สลบไป

สองชายกำยำแบกตัวหานสงออกไป ทุกคนต่างก็เงียบกริบไปหมด

หานอู๋ซวงกวาดสายตามองไปที่ทุกคนและพูดว่า: “ยังมีใครที่ต้องการจะพูดอะไรอีกไหม? ”

ทันใดนั้น ทุกคนก็ถอยร่นกันทั้งหมด

ลู่ฝานกัดฟัน โดยที่ไม่พูดอะไร

หานอู๋ซวงมองไปที่ลู่ฝานและพูดว่า: “ทำไม ยังต้องการให้ฉันเชิญนายออกไปใช่ไหม? ”

ลู่ฝานพูดว่า: “ฉันไม่เข้าใจ ฉันต้องการคำอธิบาย”

หานอู๋ซวงพูดว่า: “คำอธิบายก็คือ ตระกูลหานไม่ต้อนรับนาย ไปเถอะ คนใช้ของนาย อสูรวิเศษของนาย ฉันจะสั่งให้คนนำพวกเขาโยนออกไปแน่นอน”

ลู่ฝานพูดเสียงดังว่า: “ที่จริงแล้วตระกูลหานเป็นตระกูลแบบนี้เองเหรอ? ”

แววตาของหานอู๋ซวงยิ่งเย็นชามากขึ้น และพูดว่า: “ตระกูลหานจะเป็นตระกูลแบบไหนอย่างไร ไม่ใช่นายจะมาประเมินกล่าวหาได้! ”

เมื่อพูดจบ หานอู๋ซวงก็สะบัดแขนเสื้อ หันหลังแล้วเดินจากไป

องครักษ์ของตระกูลหานหลายคน ไม่รู้ว่าปรากฏตัวขึ้นมาจากที่ไหน และมาอยู่ที่ข้างกายของลู่ฝาน พร้อมกับยื่นมือออกมาเพื่อจะควบคุมตัวของลู่ฝาน

ลู่ฝานพูดขึ้นหนักแน่นว่า: “ฉันเดินไปเองได้! ”

เมื่อพูดจบ ลู่ฝานก็หันหลังแล้วเดินออกไปด้านนอก

เวลานี้ เขาพลันรู้สึกได้ว่ามีอะไรที่ผิดปกติ

เขาไม่รู้ว่าสิ่งที่ผิดปกตินี้มาจากที่ไหน และตกลงเกิดอะไรขึ้นกันแน่

แต่เรื่องราวที่ผิดปกติแบบนี้ ทำให้เขารู้สึกสงสัยข้องใจ

เขารังเกียจความรู้สึกแบบนี้มาก องค์ชายรองฉินฝานก็ให้ความรู้สึกแบบนี้กับเขา ตอนนี้ลุงหานหานอู๋ซวงก็ให้ความรู้สึกแบบนี้กับเขาอีก

ลู่ฝานรู้สึกว่าตนเองตกอยู่ในความสงสัยโดยที่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี

ลู่ฝานเดินอย่างรวดเร็ว ออกไปจากประตูใหญ่ของตระกูลหาน ยามเฝ้าประตูสองคนที่ได้รับคำสั่งมา มองไปที่ลู่ฝานด้วยสีหน้าที่ซับซ้อน จากนั้นก็ค่อย ๆ ปิดประตูใหญ่

เสียงดังโครม ประตูใหญ่ของตระกูลหานได้ปิดลงไปแล้ว

ลู่ฝานยืนอยู่ด้านนอกประตู โดยที่ไม่พูดไม่จาอยู่นาน

ทันใดนั้นก็มีเงาร่างของคนคนหนึ่งลอยออกมาจากกำแพงของตระกูลหาน

ลู่ฝานรีบแวบร่างไปรองรับไว้ทันที

เมื่อมองไปดู พบว่าเงาร่างนี้ก็คือสิบสาม

สิบสามผู้น่าสงสาร ยังถูกคนสกัดจุดชีพจรเอาไว้อีก เวลานี้สีหน้าเศร้าหมองไปหมด

“เจ้านาย! ”

สิบสามพูดขึ้น

ลู่ฝานรีบช่วยปลดล็อคชีพจร จากนั้นเจ้าดำก็ถูกโยนออกมาเช่นกัน

สิบสามรับตัวเจ้าดำเอาไว้ เวลานี้เจ้าดำจ้องมองไปที่ประตูใหญ่ของตระกูลหานด้วยความโมโห ทั่วร่างกายเกิดเปลวไฟสีดำลุกโชนขึ้นแล้ว

“ช่างเถอะ! ”

ลู่ฝานยับยั้งเจ้าดำเอาไว้ แล้วหันหน้ากลับไปมอง ลู่ฝานพลันพบว่า มีหลายคนกำลังมองมาทางนี้

“ไปกันเถอะ! ”

ลู่ฝานพูดขึ้น โดยคนสองคนและอสูรหนึ่งตน เดินจากไปอย่างไม่พอใจ

คนกลุ่มหนึ่งตำหนิกล่าวหาพวกเขา และยังมีบางคนที่จดจำลู่ฝานได้ ก็แสดงสีหน้าที่ตกตะลึง

เวลานี้ บนท้องฟ้าพลันมีสิ่งสีขาวร่วงตกลงมา หล่นลงบนไหล่ของลู่ฝาน

ลู่ฝานยื่นมือออกมา เห็นว่ามีสิ่งของที่คล้ายกับขนห่านตกลงมาในมือของเขา

“หิมะตกแล้ว! ”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 965
ตระกูลหาน

เมื่อลู่ฝานกลับมาถึงอีกครั้ง บนท้องฟ้าก็เต็มไปด้วยดวงดาวมากมาย

ที่องค์ชายรองฉินฝานนั้นบอกกับลู่ฝานว่าเดินออกไปก็ถึงตระกูลหานแล้ว แต่ในความเป็นจริง ลู่ฝานยังต้องเดินต่ออีกหนึ่งวันเต็ม จึงจะถึงตระกูลหาน

ขณะที่เดินมาถึงหน้าประตู ยามเฝ้าประตูสองคนของตระกูลหานก็ตะโกนร้องเรียกขึ้น

“พี่ลู่ฝานกลับมาแล้วเหรอ”

“ในที่สุดพี่ลู่ฝานก็กลับมาแล้ว! ”

ทั้งสองคนตะโกนร้องเรียก จากนั้นลู่ฝานก็มองเห็นพี่น้องตระกูลหานมุ่งหน้ากันเข้ามาหาเขา

พวกเด็กน้อยในตระกูลหานนี้ ดวงตาเป็นประกายแวววาว และจ้องมองตรงไปที่ลู่ฝาน

“พี่ลู่ฝาน คุณเก่งมากเลย สามารถสอนทักษะวิชาบู๊ให้ฉันบ้างได้ไหม? ”

“พี่ลู่ฝาน ได้ยินว่าแม้แต่อาวุธคุณก็ยังไม่ได้ใช้ ก็สามารถที่จะเอาชนะนักเรียนที่เก่งกาจของสถาบันผู้องอาจได้แล้ว คุณฝึกฝนอย่างไรกันเนี่ยะ! ”

“พี่ลู่ฝาน ได้ยินว่าคุณไปเที่ยวสนุกกันกับองค์ชายด้วย รถม้าขององค์ชายนั้นหรูหรางดงามไหม? ”

……

พวกเด็กน้อยได้โอบล้อมตัวของฉินฝานเอาไว้

ลู่ฝานยิ้มและพูดขึ้นว่า: “ข่าวคราวเผยแพร่ได้รวดเร็วมากขนาดนี้เลย! ”

“ไม่ใช่ว่าข่าวคราวเผยแพร่ได้รวดเร็วหรอก แต่เป็นทางหานสงที่นำกระจกจำภาพกลับมา แล้วเปิดให้ทุกคนดูพร้อมกัน”

มีเสียงสดใสดังขึ้นมาจากด้านหน้า ลู่ฝานก็เงยหน้าขึ้นมอง ก็พบเห็นหานหยวนหนิงยืนอยู่ตรงนั้น

หานหยวนหนิงเดินเข้ามาหาลู่ฝานด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม กำหมัดแสดงความเคารพและพูดว่า: “พี่ลู่ฝาน พวกเราเจอกันอีกแล้ว ครั้งก่อนรีบร้อนไปหน่อย ต้องขออภัยด้วย”

ลู่ฝานเองก็กำหมัดแสดงความเคารพกลับ เพียงแต่สายตาของเขาไม่ได้หยุดอยู่ที่ร่างของหานหยวนหนิง แต่มองไปยังทางด้านหลังของหานหนวนหนิง

แต่คนสวยกลับไม่อยู่ คนที่อยากจะเจอกลับไม่มี

ลู่ฝานจึงละสายตากลับมาและพูดว่า: “ไม่เป็นไร”

หานหยวนหนิงยิ้มไปพลาง แล้วก็ขับไล่พวกเด็กน้อยออกไปพลางด้วย แล้วก็เดินเข้ามาด้านในพร้อมกันกับลู่ฝาน

“พี่ลู่ฝาน การต่อสู้ของคุณนั้น ฉันได้ชมแล้ว ก็ยังเหมือนเดิม มีความแข็งแกร่งอย่างมาก เมื่อชมแล้วก็ทำให้ฉันถึงกับคันไม้คันมือขึ้น อย่างนี้ดีไหมเดี๋ยวพวกเรามาประลองกันสักสองสามกระบวนท่า? ”

หานหยวนหนิงดวงตาเป็นประกาย แสดงออกว่าเป็นผู้ที่คลั่งไคล้ในวิชาบู๊อย่างชัดเจน

แต่ลู่ฝานกลับไม่ได้มีความสนใจเลย ส่ายศีรษะและพูดว่า: “ขอโทษด้วย วันนี้เหนื่อยมามากแล้ว ไว้วันอื่นแล้วกัน! ”

หานหยวนหนิงพูดขึ้นด้วยความเสียใจเล็กน้อยว่า: “อย่างนี้เหรอ งั้นก็ได้ วันอื่นก็วันอื่น เพียงแค่พี่ลู่ฝานมาประลองด้วยกันก็พอแล้ว”

เมื่อพูดจบ ทั้งสองคนก็เงียบลงไปชั่วขณะ

ลู่ฝานเองเหมือนจะจิตใจเหม่ยลอย หานหยวนหนิงก็มองไปที่ลู่ฝาน และแอบพูดว่า: “ชัดเลยว่าเป็นคนที่มีท่วงท่าของยอดฝีมือ คิดไม่ถึงว่าตั้งแต่เริ่มต้นเดินเข้ามาด้านใน ก็ไม่ได้มองฉันด้วยสายตาที่จริงจังบ้างเลย”

หานหยวนหนิงดวงตาเป็นประกาย ใบหน้าค่อนข้างจะย่ำแย่เล็กน้อย ท่าทางของลู่ฝานที่มองคนอย่างไม่จริงจังนี้ ทำให้เขาเกิดความโมโหขึ้นมาบ้าง

ทั้งสองคนเดินผ่านลานประลองบู๊ มาถึงภูเขาด้านหลังตระกูลหาน

หานสงออกมาต้อนรับ หัวเราะฮ่าฮ่าและเดินเข้ามาหา

“เพื่อนลู่ฝานนายกลับมาแล้วเหรอ มานี่มานี่ มาดูกัน นี่ก็คือลู่ฝานที่ต่อสู้เอาชนะเทียนตู้ได้! ”

กลุ่มสาวใหญ่ และหญิงสะใภ้ต่างก็รีบวิ่งพรูกันเข้ามาหาลู่ฝาน

คนเหล่านี้จ้องมองไปที่เขาด้วยสายตาที่อยากรู้อยากเห็น ถึงขนาดที่ลู่ฝานมองเห็นว่ามีหญิงสาวบางคนที่ได้ทำการทอดสะพานให้กับเขาแล้วด้วย

ลู่ฝานยิ้มเล็กน้อยและพูดว่า: “ก็แค่โชคดีเท่านั้น ไม่สมควรที่จะพูดถึงหรอก! ”

หานสงเดินขึ้นมาด้านหน้า ตีไปที่ไหล่ของลู่ฝานและพูดว่า: “อะไรที่ไม่สมควรไปพูดถึงล่ะ ลู่ฝานตอนนี้นายถือได้ว่าเป็นคนที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวงแล้ว นายสามารถออกไปรับฟังได้เลยว่าที่ไหนบ้างที่ไม่วิพากษณ์วิจารณ์กันถึง ลู่ฝานนักกระบี่แห่งตงหวา! ”

เสียงที่ดังของหานสงยิ่งดึงดูดผู้คนจำนวนมากขึ้น

ทุกคนยิ้มและมองไปที่ลู่ฝาน พร้อมกับวิพากษ์วิจารณ์

“พวกเราตระกูลหาน เหมือนจะหลายปีมาแล้วที่ไม่มีปรากฏเด็กหนุ่มที่เก่งกาจมากความสามารถแบบนี้”

“น่าเสียดายที่ ลู่ฝานเขาไม่ได้แซ่หาน มิเช่นนั้นครั้งนี้คงจะสร้างชื่อเสียงเป็นเกียรติให้กับตระกูลหานอย่างมากเลยทีเดียว”

“ไม่แซ่หานแล้วจะอย่างไร ไม่เคยได้ยินหรือไงว่า เขาเป็นศิษย์น้องของหานเฟิง ก็ถือว่าเป็นคนของตระกูลหานครึ่งหนึ่งแล้ว”

“อย่างนั้นเหรอ? หานเฟิงออกไปลำบากตรากตรำ แล้วยังจะส่งศิษย์น้องที่เก่งกาจขนาดนี้กลับมา ช่างไม่ธรรมดาเลยทีเดียว! ”

……

ฉินฝานพูดว่า: “อย่างนั้นก็คงจะยอดเยี่ยมไปเลย นักบู๊ธรรมดาคนหนึ่งที่มาจากเมืองอันไกลโพ้น เอาชนะนักฆ่าหรือนักบู๊ที่ทางองค์รัชทายาทส่งไปได้ แสดงว่าพลังความสามารถของเขา ก็คงจะโดดเด่นอย่างมากในการคัดเลือกที่จะมีขึ้นในปีหน้า ไม่แน่อาจจะมีโอกาสเป็นตัวแทนของประเทศอู่อานเพื่อไปเข้าร่วมในการแข่งขันนานาประเทศเลย ถ้าเป็นแบบนั้น การร่วมสาบานเป็นพี่น้องของฉันครั้งนี้ก็ถือว่าคุ้มค่าอย่างมากเลยไม่ใช่เหรอ? นักบู๊แดนปราณฟ้าในอนาคต กระทั่งว่าเป็นยอดฝีมือเซียนบู๊ ไม่คู่ควรที่จะผูกมิตรอย่างนั้นเหรอ? พี่ชายคนนั้นของฉัน ขาดโควตารายชื่อไปหนึ่งราย และยังเป็นการถูกตบหน้าเข้าอย่างจัง ซึ่งยังจะมีเรื่องที่น่าดีใจกว่านี้อีกเหรอ? ท่านพ่อเองก็คงจะมองฉันดีขึ้นมากกว่าเดิมหน่อยแล้วล่ะ”

ว่านเจินยิ้มและพูดว่า: “ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่ายเลยจริง ๆ ด้วย พระองค์ท่านนับวันยิ่งจะวางแผนได้อย่างแยบยลขึ้นแล้ว”

ฉินฝานพูดว่า: “ก็แค่แผนการ กลอุบายเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ได้ทำร้ายฝ่ายใดจนเกินงาม ก็แค่ทำให้พี่ชายคนนั้นของฉันสะอิดสะเอียนเล็กน้อย ถึงอย่างไรเรื่องการร่วมสาบานเป็นพี่น้องนี้ ฉันบอกว่ามี ก็มี บอกว่าไม่มีก็ไม่มี ทุกอย่างขึ้นอยู่กับว่าจะดำเนินการอย่างไร แม้ว่าเขาจะดื่มเลือดของฉันแล้วจริง ๆ เหอะเหอะ เกรงว่าเขาคงจะไม่รู้ว่าในซุปเลือดไก่นั้นจะมีเลือดของฉันหยดหนึ่งด้วย แต่ก็ต้องรอให้หลังจากที่เขาตายลงไปแล้ว จึงจะสามารถตรวจสอบออกมาได้”

พูดถึงตรงนี้ ฉินฝานก็ขมวดคิ้วขึ้น ราวกับว่านึกถึงรสชาติของซุปเลือดไก่นั้นขึ้นมาได้

ว่านเจินพูดว่า: “ถ้างั้นเรื่องร่วมสาบานเป็นพี่น้องนี้ ก็หยุดไว้เท่านี้ก่อน? ”

ฉินฝานพูดว่า: “แพร่กระจายข่าวออกไปเล็กน้อย ให้พวกข้าราชการที่มีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับฉันรับทราบสักหน่อยเป็นพอ พวกเขาก็จะช่วยฉันบอกต่อให้กับท่านพ่อเอง ถึงอย่างไรองค์ชายที่ไม่ได้เรื่อง ไม่เอาไหนอย่างฉันนี้ ก็ถูกพวกเขาพูดเสีย ๆ หาย ๆ อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”

ว่านเจินพูดว่า: “อย่างนั้นฉันจะไปจัดการเดี๋ยวนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงเรื่องราวที่ไม่ดีอื่น ๆ เกิดขึ้นอีก”

ฉินฝานยิ้มและพูดว่า: “ใช่เลย รีบไปจัดการเถอะ ฉันกลัวจริง ๆ ว่า คืนนี้ลู่ฝานจะตายลงแล้ว พี่ชายที่รักคนนั้นของฉัน เป็นคนที่ใจคออำมหิตอย่างแท้จริงด้วย! ”

ว่านเจินพลันขมวดคิ้วขึ้นและพูดว่า: “พระองค์ ถ้าทำแบบนี้จะเป็นการทำให้องค์รัชทายาทสงสัยมาที่ตัวท่านหรือไม่”

ฉินฝานพูดว่า: “ก็อาจจะเป็นไปได้ แต่ว่า……”

พูดถึงตรงนี้ ฉินฝานก็กัดฟัน ผ่านไปสักครู่ จึงพูดต่อว่า: “แต่ ฉันอดทนต่อไปไม่ไหวแล้ว! ”

เมื่อพูดจบ ฉินฝานก็ปิดตาสองข้างลง เพื่อพักผ่อนร่างกายและจิตใจ

ว่านเจินถอนหายใจ ร่างกายก็แวบหายออกไปจากตำหนักราวกับควันที่ล่องลอยไป

……

อีกฝั่งหนึ่ง

ภายในพระราชวัง ผู้ตรวจการแปดจูจวิ้นกำลังนั่งคุกเข่าอยู่ที่ด้านนอกประตู

ภายในห้องมีเสียงหัวเราะสนุกสนานดังออกมาอย่างต่อเนื่อง ชัดเจนว่า ภายในนั้นกำลังเล่นกิจกรรมนันทนาการที่องค์ชายใหญ่ชื่นชอบโปรดปรานเป็นที่สุดอยู่ นั่นก็คือกิจกรรมด้านร่างกาย

ผ่านไปชั่วครู่ ก็มีเสียงครวญครางที่สุขสบายสดชื่นดังขึ้น

จากนั้น ประตูห้องก็เปิดออก กลุ่มสาวน้อยที่สวยงามก็ได้โค้งคำนับแล้วถอยกลับออกมา โดยที่ใบหน้าอันแดงก่ำก็ยังคงไม่จางหายไป

องค์รัชทายาทฉินอวิ่นค่อย ๆ เดินออกมา มองไปยังจูจวิ้นที่อยู่หน้าประตูแล้วพูดว่า: “จูจวิ้นอ่า นายกลับมาแล้ว สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง นักกระบี่แห่งตงหวาที่ชื่อลู่ฝานนั้น มีพลังความสามารถระดับไหน นายแค่ใช้ไม่กี่นิ้วมือก็สามารถจัดการเขาได้ใช่ไหมล่ะ? ”

จูจวิ้นตอบกลับว่า: “รายงานองค์รัชทายาท ลู่ฝานผู้นั้นมีพลังความสามารถที่น่าตกตะลึง และเข้าสู่วิถีบู๊แล้ว หากฉันปะทะต่อสู้กับเขา เกรงว่าโอกาสชนะนั้นมีเพียงแค่ห้าสิบเปอร์เซ็นต์”

ขณะที่จูจวิ้นพูดถึงโอกาสห้าสิบเปอร์เซ็นต์นั้นก็ยังลังเลใจอยู่บ้าง เพราะในใจของจูจวิ้นเองก็ชัดเจนดีว่า ลำพังแค่พลังที่ลู่ฝานแสดงออกมานั้น ก็เหลือโอกาสชนะแค่ห้าสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว หากว่าลู่ฝานยังมีพลังที่แอบซ่อนอยู่ โอกาสชนะของเขาก็จะลดน้อยลงไปอีก และหากฝ่ายตรงข้ามใช้กระบี่ ก็คงจะยิ่งทรงพลังมากขึ้น!

ฉินอวิ่นขมวดคิ้วขึ้นและพูดว่า: “ไอ้หนุ่มคนนั้นยากที่จะจัดการขนาดนั้นเลยเหรอ? แล้วนายคิดว่า ส่งใครไปสังหารเขา จะดีที่สุดล่ะ”

จูจวิ้นครุ่นคิดชั่วครู่ก็พูดขึ้นว่า: “ส่งจางกวังไป น่าจะจัดการลงได้อย่างง่ายดาย”

ฉินอวิ่นส่ายมือและพูดว่า: “ถ้างั้นก็ส่งจางกวังไป บอกให้เขารีบจัดการให้เร็วที่สุด! ”

จูจวิ้นตอบรับ แล้วก็โค้งคำนับอีกครั้ง

ภายในรถม้า ฉินฝานหยิบทิชชู่ขึ้นมาเช็ดปาก ด้วยท่าทางที่สง่างามและสุภาพเรียบร้อย

“เก็บไปซะ เก็บไปซะ วันนี้ใครเป็นคนทำอาหาร รสชาติแย่มากเลย หักเงินเดือนของเขาหนึ่งเดือน ต่อไปหากทำอาหารรสชาติย่ำแย่แบบนี้อีก เขาก็เตรียมตัวออกจากงานไปได้เลย! ”

ฉินฝานพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่โมโห พวกองครักษ์เกราะทองก็พลันคุกเข่าลงไปที่พื้น และขานรับเสียงดัง

ลุกขึ้น ฉินฝานโบกมือสั่งให้คนจัดเก็บโต๊ะเก้าอี้ขึ้น

ที่จริงแล้วการนั่งเก้าอี้แบบนี้ เขาจะรู้สึกทรมานอยู่ตลอดเวลา

เมื่อมาถึงตำหนัก ฉินฝานก็เดินเข้าไปด้านในอย่างอกผายไหล่ผึ่ง

แม้ว่าเขาจะเดินกะเผลก แต่เวลานี้ ท่วงท่าที่แสดงออกมาจากร่างกายของเขานั้น มีเพียงแต่ความสูงศักดิ์

ซึ่งก็คือความสูงศักดิ์ที่ติดตัวมาแต่กำเนิด เป็นความสูงศักดิ์ที่คนอื่นยากจะเลียนแบบได้

มีบางคนที่ใช้เวลาทั้งชีวิต ต้องการทำให้ตนเองแปรเปลี่ยนจากความหยาบกระด้างเป็นความสูงศักดิ์ แม้ว่าความประพฤติการปฏิบัติตัวของพวกเขาจะสง่างาม แต่ก็มักจะไม่มีท่วงท่าที่หยิ่งทะนงแบบนี้

แต่ความสูงศักดิ์ในตัวของฉินฝานนั้น กลับถูกจงใจทำเป็นท่าทีที่หยาบกระด้าง

นี่ก็คือการเสแสร้ง เพียงแต่คนที่หยาบคาบแล้วแกล้งทำเป็นสูงศักดิ์นั้น จะถูกจับผิดเอาได้ง่าย ส่วนคนที่สูงศักดิ์แล้วแกล้งทำเป็นหยาบคายนั้น มันง่ายต่อการที่จะเรียนรู้

ฉินฝานนั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงใจกลางของตำหนัก โดยเก้าอี้มีขนาดกว้างใหญ่ ปูด้วยหนังสัตว์ที่อ่อนนุ่ม ฝังอัญมณีระยิบระยับ และถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ชายชราคนหนึ่งเดินออกมาจากด้านหลังของตำหนัก ยืนอยู่ที่ด้านข้างของฉินฝาน และพูดเบา ๆ ขึ้นว่า: “พระองค์ ทำไมท่านจะต้องทำแบบนี้ด้วยล่ะ? ”

ฉินฝานเงยหน้าขึ้นมองคนผู้นี้ และพูดว่า: “อาจารย์ว่านเจิน ที่ฉันทำแบบนี้ ก็เพื่อต้องการให้พี่ของฉันคนนั้น รู้สึกลำบากใจ สร้างความยุ่งยากให้กับเขาเท่านั้นเอง”

ว่านเจินขมวดคิ้วขึ้นและพูดว่า: “ร่วมสาบานเป็นพี่น้องกับเด็กหนุ่มธรรมดาคนหนึ่งนี้เหรอ ก็สามารถทำให้องค์รัชทายาทลำบากใจแล้ว? ”

ฉินฝานพยักหน้าและพูดว่า: “แน่นอน พี่ชายของฉันคนนั้น ไม่ยินยอมให้คนอื่นแย่งชิงเงินทองจากเขาเป็นแน่ การประลองของลู่ฝานในวันนี้ก็สามารถเห็นถึงเบาะแสบางอย่างได้ ก็แค่การประลองวิทยายุทธของนักบู๊แดนปราณชีวิตทั่วไป พี่ชายที่รักคนนั้นของฉัน ยังจะส่งผู้ตรวจการแปดจูจวิ้นของเขามาร่วมชมด้วย นี่มันหมายความว่าอย่างไร? ก็เพื่อต้องการที่จะดูความสามารถของลู่ฝานนั้นว่าเป็นอย่างไรแค่นี้เหรอ ไม่แน่จูจวิ้นนั้นอาจจะได้รับคำสั่งมาว่า เมื่อการประลองเสร็จสิ้นลงก็จัดการสังหารลู่ฝานทิ้งซะ”

ว่านเจินพูดขึ้นว่า: “แล้วนี่มันเกี่ยวข้องอะไรกับการร่วมสาบานเป็นพี่น้องล่ะ? ”

ฉินฝานยิ้มและพูดว่า: “ยังพูดไม่จบเลย ในเมื่อพี่ชายคนนั้นของฉันมีจิตใจที่โหดร้ายอำมหิตขนาดนี้ ถึงขั้นที่ไม่สนใจผู้เก่งกาจมีความสามารถในประเทศเลย ถ้าอย่างนั้น ฉันเองก็คงจะอยู่เฉยต่อไปไม่ได้ ลู่ฝานจะต้องพบกับความยุ่งยากเป็นแน่ พี่ชายของฉันคนนั้น ไม่มีทางปล่อยเขาไว้แน่ อย่างนั้นบทสรุปก็จะมีอยู่สองแบบ คือลู่ฝานจะต้องตายลงภายใต้น้ำมือพวกสุนัขรับใช้ของพี่ชายฉัน ไม่อย่างนั้นเขาก็เอาชนะสุนัขรับใช้ของพี่ชายฉันได้ จากนั้นก็จะยิ่งทำให้พี่ชายของฉันโกรธแค้นหนักขึ้นไปอีก”

ฉินฝานยิ้มเยาะเล็กน้อย ชะงักไปชั่วครู่ และก็พูดต่อว่า: “ความเป็นไปได้อย่างแรกนั้น ถ้าหากเขามีสถานะเดิมในตอนนี้ ไม่ว่าจะบาดเจ็บ หรือตายลงไป อย่างมากก็แค่เป็นที่วิพากษณ์วิจารณ์ของผู้คนทั่วไปเท่านั้น ข่าวคราวไม่สามารถกระจายไปถึงในพระราชวังได้ และยิ่งไม่มีทางที่ท่านพ่อของฉันจะรับทราบ แต่หากว่าฉันได้ร่วมสาบานเป็นพี่น้องกับเขาแล้ว เขาก็จะมีสถานะอีกระดับหนึ่งก็คือเป็นพี่น้องกับองค์ชายรอง เรื่องราวก็จะแตกต่างไปแล้ว ท่านพ่อที่อยู่ในพระราชวังก็จะต้องรับทราบ คนในพระราชวังและประชาชนทั่วไปก็จะรับทราบด้วย ถึงแม้องค์ชายรองอย่างฉันจะไม่ได้เรื่อง ไร้ความสามารถ แต่ก็ยังมีสถานะเป็นองค์ชาย พี่น้องของฉัน หากว่าตายลงไปอย่างไร้สิ้นเหตุผลแล้ว ใต้หล้านี้ยังจะมีกฎหมายกฎเกณฑ์อยู่อีกหรือไม่? ”

ว่านเจินพยักหน้าและพูดว่า: “ถูกต้อง มีสถานะอีกระดับหนึ่ง ก็ง่ายที่จะเกิดเป็นเรื่องยุ่งวุ่นวายใหญ่โตขึ้นได้ และหากเกิดเรื่องใหญ่โตแล้ว องค์รัชทายาทเองก็วางตัวลำบาก แล้วถ้าหากว่าลู่ฝานเป็นฝ่ายเอาชนะได้ล่ะ? ”

ลู่ฝานรู้สึกเพียงว่าสับสนวุ่นวายไปกันหมด

อะไรกันที่ว่าความคิดที่ฉาบฉวย ลงมือรวดเร็ว

ฟังดูแล้ว ทำไมมันถึงผิดแปลกยังไงชอบกล

บุ่มบ่ามอะไร ร่วมสาบานอะไร องค์ชายรองท่านนี้คงจะไม่ได้ชื่นชอบเพศเดียวกันหรอกนะ!

ลู่ฝานสีหน้าแปลกประหลาด แล้วก็เห็นองครักษ์เกราะทองคนหนึ่งเดินถืออาหารสองจาน ตรงเข้ามาที่นี่

จานแรกคือหัวไก่ อีกจานหนึ่งคือซุปเลือดไก่ ที่ส่งกลิ่นหอมฟุ้งกระจาย

ชัดเจนเลยว่าได้มีการจัดเตรียมเอาไว้ล่วงหน้าก่อนแล้ว ด้านในคงจะไม่มียาพิษหรอกนะ หรือว่าจะเป็นยาปลุกอารมณ์ก็ไม่แน่!

ฉินฝานยิ้มและพูดว่า: “มา มา น้องลู่ฝาน กินกัน กินกัน ฉันคนนี้ไม่ชอบความยุ่งยากนัก และมึนเลือดอีกด้วย ดังนั้นจึงได้สั่งให้คนจัดเตรียมเอาไว้ก่อนแล้ว เพื่อไม่ต้องให้พวกเราลงมือทำเอง จนเสื้อผ้าเลอะเปรอะเปื้อนไปหมด มากินกันเร็ว! เมื่อกินเสร็จ พวกเราก็เป็นพี่น้องกันแล้ว”

ลู่ฝานไอเบา ๆ และตะโกนเรียกในใจตลอด เพื่อให้ไอ้เก้าออกมา

“ไอ้เก้า ช่วยฉันดูหน่อยสิ หากว่ามีพลังยาอะไรเล็กน้อย ไม่ว่าจะเป็นพลังยาอะไรก็ตาม รีบจัดการให้สูญสิ้นไปเดี๋ยวนี้เลย ได้ยินไหม? ”

ไอ้เก้ารีบตอบรับทันที

ลู่ฝานจึงถือตะเกียบขึ้น แล้วค่อย ๆ คีบหัวไก่ชิ้นหนึ่ง

ฉินฝานกินคำโต เคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย โดยที่ไม่มีความสุภาพของผู้สูงศักดิ์แม้แต่น้อยเลย ถึงขนาดที่ลู่ฝานเกิดความสงสัยว่าเขาเป็นองค์ชายจริงหรือไม่

ส่วนเขากลับตรงกันข้าม เพราะความไม่ไว้ใจ จึงกินคำเล็ก ๆ ซึ่งดูเหมือนจะเป็นผู้สูงศักดิ์

ต้องพูดเลยว่า พ่อครัวในพระราชวังนั้นมีฝีมือเยี่ยมยอดอย่างมาก ขนาดหัวไก่ยังทำรสชาติได้อร่อยขนาดนี้ ซึ่งกว่าจะกินหมดไปหนึ่งชิ้น ลู่ฝานก็วางตะเกียบลงและพูดขึ้นว่า: “พระองค์ ฉันกินอิ่มแล้ว”

ฉินฝานพูดว่า: “แค่ชิ้นเดียวก็อิ่มแล้วเหรอ? น้องลู่ฝาน ปริมาณการกินอาหารของนายนี้มันน้อยจริง ๆ เลย! นายกินอิ่มแล้วจริง ๆ ใช่ไหม? หรือว่ารสชาติไม่ถูกปาก? ”

ลู่ฝานพูดขึ้นว่า: “กินอิ่มแล้วจริง ๆ ก่อนที่มาก็ได้กินมาไม่น้อยแล้ว ตอนนี้กินไม่ลงแล้วจริง ๆ”

ฉินฝานตักซุปเลือดไก่ให้ตนเองถ้วยใหญ่ และพูดขึ้นว่า: “น่าเสียดายจริง ๆ อาหารดีขนาดนี้ มาเลย ซุปเลือดไก่ ยังไงก็ต้องดื่มสักหน่อยสิ ที่พูดกันว่าตัดหัวไก่ดื่มเลือดไก่ ไม่ดื่มไม่ได้นะ!”

ลู่ฝานได้แต่ถอนหายใจในใจ พบเจอกับองค์ชายแบบนี้ เขายังจะพูดอะไรได้อีกล่ะ

ค่อย ๆ ดื่มไปคำหนึ่ง แล้วลู่ฝานก็วางถ้วยซุปลง

ฉินฝานยิ้มและมองไปที่ลู่ฝานพร้อมกับพูดว่า: “ดีเลย นับตั้งแต่วันนี้ไป พวกเราก็คือพี่น้องที่คนละพ่อคนละแม่กันแล้ว ฉันน่าจะมีอายุมากกว่านายกี่ปี ต่อไปนายก็เรียกฉันว่าพี่ฉินก็แล้วกัน ส่วนฉันก็จะเรียกนายว่าน้องลู่ฝาน ว่าอย่างไรล่ะ? ”

ลู่ฝานพยักหน้า เขายังจะพูดอะไรได้อีกล่ะ อยากจะทำอะไรก็ทำไปเถอะ

ยังดีที่ในอาหารและน้ำซุปไม่ได้ใส่ยาพิษอะไร มิเช่นนั้นตอนนี้เขาคงจะต้องชักกระบี่หนักไร้คมออกมาแล้วเป็นแน่

ฉินฝานมองไปยังสีหน้าท่าทางที่จำใจของลู่ฝานแล้ว ก็หัวเราะดีใจหนักขึ้นไปอีก

ลู่ฝานจึงครุ่นคิดว่า องค์ชายรองคนนี้ กำลังจงใจแกล้งเขาอยู่หรือไม่

รอจนกว่าจะเห็นว่าฉินฝานกินอิ่มแล้ว ลู่ฝานจึงพูดขึ้นว่า: “พระองค์ วันนี้ที่ฉันทำการต่อสู้นั้น รู้สึกเหนื่อยขึ้นบ้างแล้ว ฉันขออนุญาตลากลับไปพักผ่อนก่อนได้หรือไม่! ”

ฉินฝานชี้นิ้วไปที่ด้านหน้าของลู่ฝานแล้วกวัดแกว่งไปมาและพูดว่า: “ฉันพูดแล้วว่า จะต้องเรียกฉันว่าพี่ฉิน เรียกว่าพี่ฉินเข้าใจไหม ก็ได้ นายต้องการจะกลับไปแล้วใช่ไหม ไม่มีปัญหา นายกลับไปเถอะ หากมีเวลา ก็มาหาฉันได้ ฉันจะพานายไปชื่นชมความสวยงามและความรุ่งเรืองของเมืองหลวง นายเคยลิ้มลองสาวสวยของมนุษย์เผ่ามังกรแล้วหรือยัง? ฮ่าฮ่า เห็นลักษณะท่าทางที่จริงจังของนายแล้ว คงจะไม่เคยลิ้มลองเป็นแน่! ”

ฉินฝานพูดไปพลาง ก็ตีโต๊ะไปพลาง หัวเราะจนน้ำตาแทบจะไหลออกมาแล้ว

ลู่ฝานไม่เคยพบเห็นคนที่สามารถพูดเองขำเองแบบนี้มาก่อนเลย

ลู่ฝานลุกยืนขึ้นเพื่ออำลา และเดินออกไปด้านนอก พวกองครักษ์เกราะทอง ต่างก็ไม่มีใครที่จะมาขัดขวางเขาเลย

เดินออกมาจากรถม้าแล้ว ลู่ฝานก็เห็นว่ารถม้านั้นได้มาจอดอยู่ภายในตัวเมืองตั้งนานแล้ว

และก็มีเสียงของฉินฝานดังขึ้นมาจากด้านหลัง

“พ้นจากประตูไปก็คือตระกูลหาน น้องลู่ฝาน ขอกำชับครั้งสุดท้ายว่า แม้ว่าเมืองหลวงจะดี แต่ก็ต้องระมัดระวังตัวเอาไว้ด้วย”

ลู่ฝานชะงักฝีเท้าลง จากนั้นก็เดินออกมาจากรถม้า

หลังจากที่เขาก้าวออกมาจากรถม้าแล้วทันใดนั้น รถม้าก็กลายร่างเป็นลำแสงหายสูญไปอย่างไร้ร่องรอย

ลู่ฝานมองไปยังทิศทางที่รถม้าหายสูญไป โดยที่ไม่พูดอะไรอยู่เป็นเวลานาน

เขาพลันพบว่า ตนเองนั้นไม่เข้าใจจริง ๆ ว่า องค์ชายรองฉินฝานท่านนี้ตกลงเป็นคนอย่างไรกันแน่!

ขณะที่พูด ฉินฝานก็ได้รินเหล้าให้กับตนเองหนึ่งแก้ว จากนั้นก็พูดว่า: “พวกเขาจะตอบว่า องค์ชายก็เป็นแค่สถานะที่กำเนิดขึ้นมาเท่านั้น หากองค์ชายต้องการที่จะได้รับความเคารพจากผู้อื่น ก็จะต้องประพฤติตนอย่างถูกต้อง มีหลักมีเหตุผล คนจำพวกนี้ ฉันประเมินว่า เสแสร้งจอมปลอม ความสงบนิ่งของพวกเขานั้นก็แค่เสแสร้งออกมา แต่เมื่อนายนำมีดมาจ่อที่คอของเขาแล้ว พวกเขาก็จะคุกเข่าลงเพื่อร้องขอชีวิต ยังมีอีกประเภทหนึ่ง จะตอบว่า ในฐานะที่ฉันเป็นนักบู๊ จะคุกเข่าให้กับพ่อแม่และฟ้าดิน เมื่อพบเจอกับกษัตริย์ก็ยังไม่ทำความเคารพเลย นับประสาอะไรกับองค์ชายล่ะ คนประเภทนี้ ฉันจะประเมินว่าเป็นพวกโง่เขลา เพราะพวกเขาคงจะคาดเดาไม่ถึงว่า อีกไม่นานฉันก็จะทำให้เขาหมดโอกาสที่จะเป็นนักบู๊ต่อไป แต่สำหรับคำตอบของนายนั้น ฉันไม่เคยพบเจอมาก่อน จึงไม่สามารถที่จะประเมินได้”

ฉินฝานจิบเหล้าหนึ่งคำ และพูดขึ้นด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม

ลู่ฝานได้ยินที่เขาพูด ก็ขมวดคิ้วขึ้นและพูดว่า: “พระองค์ใส่ใจกับคำตอบของคนอื่นมากเลยเหรอ? ”

ฉินฝานเก็บรอยยิ้มบนใบหน้าและพูดว่า: “หรือว่าไม่ควรจะใส่ใจเหรอ? ”

ลู่ฝานส่ายศีรษะและพูดว่า: “ถึงอย่างไรฉันก็ไม่ใส่ใจอยู่แล้ว พระองค์ เรามาพูดคุยเรื่องที่จริงจังกันเถอะ”

ฉินฝานพลันหยุดพูดลง เงียบไปชั่วขณะ เขาเริ่มที่จะสังเกตลู่ฝานโดยละเอียดแล้ว

ลู่ฝานไม่เข้าใจว่าองค์ชายรองคนนี้คิดที่จะทำอะไรกันแน่ แต่ในเมื่อเขาอยากจะมอง เขาก็ไม่สามารถบอกว่าห้ามมองได้ ตนเองจึงรินเหล้าให้กับตนเอง แล้วก็ดื่มไปทีละแก้วทีละแก้ว

ทันใดนั้น ฉินฝานก็ยิ้มและพูดขึ้นว่า: “ลู่ฝาน ชื่อของนายและของฉันต่างก็มีคำว่าฝานเหมือนกัน คำว่าฝานของนายนั้นหมายความว่าอย่างไร”

ลู่ฝานครุ่นคิดชั่วครู่แล้วพูดขึ้นว่า: “พ่อของฉันหวังให้ฉันมีชีวิตอยู่อย่างธรรมดาเรียบง่าย ดังนั้นจึงตั้งชื่อนี้ให้ฉัน”

ฉินฝานดวงตาเป็นประกายและพูดขึ้นว่า: “ดูเหมือนว่านายจะเหมือนกับฉันเลย คำว่าฝานของฉันก็มีความหมายแบบนี้เช่นกัน แล้วนายชอบคำว่าฝานนี้ไหมล่ะ? ”

ลู่ฝานครุ่นคิดและพูดว่า: “ก็พอได้ ฟังหลายครั้งแล้ว ก็คุ้นเคยแล้ว คิดจะเปลี่ยนก็สายเกินไปแล้ว”

ฉินฝานพยักหน้าและพูดว่า: “ใช่เลย ก็ต้องคุ้นเคยกับมันต่อไป อืม มาพูดเรื่องจริงจังกันดีกว่า”

ลู่ฝานวางแก้วเหล้าลง พูดคุยเรื่องสัพเพเหระกันมากมายแล้ว ในที่สุดก็เข้าเรื่องสำคัญเสียที

เขาแสดงท่าทางที่ตั้งใจฟังอย่างมาก พร้อมกับจ้องมองไปที่ฉินฝาน

ส่วนฉินฝานก็เอาขาลงเลิกนั่งไขว่ห้างแล้ว จากนั้นก็ขยับร่างกายเอนมาด้านหน้าเล็กน้อยและพูดว่า: “ลู่ฝาน นายสนใจที่จะร่วมสาบานเป็นพี่น้องกับฉันไหม”

ลู่ฝานสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก ตกใจจนแทบจะล้มโต๊ะเลย

เขามองไปที่ฉินฝานด้วยความตะลึงและพูดว่า: “พระองค์ ท่านกำลังพูดล้อเล่นใช่ไหม”

ฉินฝานพูดว่า: “ฉันเป็นถึงองค์ชาย จะพูดล้อเล่นได้อย่างไรกัน ต่อให้คำพูดจะไม่มีน้ำหนักมาก แต่ก็พอที่จะมีน้ำหนักเชื่อถือได้อยู่ ฉันเห็นพี่ลู่ฝาน มีท่วงท่าที่ไม่ธรรมดา มีนิสัยบุคลิกภาพที่คล้ายคลึงกันกับฉัน อย่างนั้นวันนี้พวกเรามาร่วมสาบานเป็นพี่น้องกันเลยไหม ไม่ขอว่าต้องเกิดในวันเดือนปีเดียวกัน แต่จะขอตายลงในวันเดือนปีเดียวกัน”

ขณะที่พูด ฉินฝานก็ลุกยืนขึ้น ใบหน้าที่ไม่หล่อเหลาของเขานั้น จริงจังหนักแน่น

เดินกะเผลก ไปข้างหน้ากี่ก้าว แล้วชี้มือข้างหนึ่งขึ้นฟ้า

ลู่ฝานกลืนน้ำลายลง เรื่องนี้ มันช่างเหมือนกับเด็กเล่นกันอย่างไรอย่างนั้น

เพิ่งจะพบเจอกันแค่ครั้งเดียว ก็จะร่วมสาบานเป็นพี่น้องกันแล้ว? นี่มันอะไรกัน?

ฉินฝานเห็นว่าลู่ฝานไม่ได้เคลื่อนไหว จึงขมวดคิ้วขึ้นและพูดว่า: “พี่ลู่ฝานไม่ให้เกียรติฉันใช่ไหม ฉันที่เป็นถึงองค์ชายรองของประเทศอู่อาน มีสถานะที่สูงศักดิ์วันนี้ต้องการจะร่วมสาบานเป็นพี่น้องกับนาย หรือว่านายคิดที่จะปฏิเสธอย่างนั้นเหรอ? ”

ขณะที่พูด ฉินฝานก็โบกมือ พวกกลุ่มองครักษ์ก็มองกันมาที่ลู่ฝานอย่างพร้อมเพรียง และยกอาวุธในมือขึ้นทั้งหมด เมื่อดูจากสถานการณ์แล้ว หากว่าลู่ฝานกล้าที่จะไม่ตกลง พวกองครักษ์กลุ่มนี้ คงจะพุ่งโจมตีใส่เขาเป็นแน่!

ลู่ฝานสูดหายใจลึกและพูดขึ้นว่า: “พระองค์ นี่มันจะง่ายดายเกินไปหน่อยไหม”

ฉินฝานยิ้มและพูดว่า: “ไม่เลย ก็ความมีน้ำใจชอบธรรมในยุทธภพยังไงล่ะ เน้นย้ำกันที่ความคิดที่ฉาบฉวย ลงมือรวดเร็ว พวกเราควรจะทำอะไรก็ลงมือทำเลย ในชีวิตคนเรา จะต้องบุ่มบ่ามมุทะลุแบบนี้บ้างสักครั้ง มาสิ เพื่อนลู่ฝาน พวกเรามาเชือดคอไก่ ดื่มเหล้าเลือด วันนี้ก็ทำการร่วมสาบานเป็นพี่น้องกันเถอะ”

ท่ามกลางก้อนเมฆที่เลื่อนลอย มีรถม้าคันหนึ่งกำลังควบตะบึงอยู่

ภายในรถม้านั้น ลู่ฝานกำลังมองดูบรรยากาศที่ราวกับเป็นพระราชวัง โดยที่ไม่พูดไม่จาอยู่นานเลย

ใหญ่โตโอ่อ่า เต็มไปด้วยตึกอาคารสูงมากมาย

กระเบื้องเคลือบ ถนนคริสตัล ผนังที่มีสีสัน แสดงออกถึงความงดงามหรูหราไปทั่วทุกจุด

“ลู่ฝาน มาทางนี้! ”

เสียงดังขึ้นที่ข้างหูของลู่ฝาน เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง บริเวณเบื้องหน้าของพระราชวังนั้น มีคนหนึ่งกำลังนั่งจิบเหล้าอยู่

องครักษ์เกราะทองทุกคน ต่างก็อยู่ที่ด้านหลังของลู่ฝาน โดยที่ไม่ก้าวเดินขึ้นไปอีก

ลู่ฝานจึงได้เดินเข้าไปอย่างรวดเร็ว

เก้าอี้ไม้ธรรมดาสองตัว และโต๊ะหินหนึ่งตัว

สิ่งของแบบนี้ หากวางไว้ที่อื่น ก็คงจะธรรมดาทั่วไปอย่างมาก แต่เมื่อจัดวางอยู่ที่นี่ มันช่างแปลกตายิ่งนัก ไม่เข้ากับพระราชวังหรูหราบริเวณโดยรอบนี้ เอาเสียเลย

แต่ลู่ฝานเองก็ไม่ได้พูดอะไร เขาก็แค่นั่งลงไปอย่างปกติ

ฉินฝานยื่นเหล้าแก้วหนึ่งมาให้กับลู่ฝาน และพูดว่า: “ลองชิมดู ฉันเป็นคนหมักเหล้าข้าวนี้เอง”

ลู่ฝานรับเหล้ามา แล้วก็จิบดูคำหนึ่ง และพูดขึ้นว่า: “มีรสขมเล็กน้อย แต่รสชาติไม่เลวเลย”

ฉินฝานยิ้มและพูดว่า: “ถ้าขมก็ถูกต้องแล้ว หากไม่มีรสขมแล้วจะดีได้อย่างไรล่ะ”

เมื่อพูดจบ ฉินฝานก็เงยหน้าขึ้นและดื่มหนึ่งแก้ว

ลู่ฝานมองไปยังชายที่อยู่เบื้องหน้าที่กำลังนั่งไขว่ห้าง สั่นขาอย่างแรง และที่มุมปากก็ยังมีเหล้าไหลออกมาเล็กน้อย แล้วเขาก็อมยิ้มขึ้น

นี่ก็คือองค์ชายของประเทศอู่อาน ช่างแตกต่างจากที่เขาจินตนาการไว้มากเหลือเกิน

ฉินฝานวางแก้วเหล้าลง มองไปที่ลู่ฝานและพูดว่า: “เป็นอย่างไรบ้าง เมื่อเข้ามาด้านในแล้วก็ตะลึงเลยล่ะสิ ที่นี่ไม่เพียงแต่จะเป็นราชรถของฉัน ยังจะเป็นพระราชวังของฉัน กระทั่งเป็นจวนของฉัน เป็นบ้านของฉันด้วย! ”

ลู่ฝานพยักหน้าและพูดว่า: “ใช่มันน่าตกตะลึงอยู่บ้าง ฉันกำลังคิดว่า หากรถม้ามิติของฉัน ภายในมีขนาดกว้างใหญ่แบบนี้ก็จะดีมากเลย ตลอดการเดินทางมาที่นี่ ขณะที่นั่งอยู่ภายในตัวรถ มันช่างอึดอัดซะเหลือเกิน”

ฉินฝานส่ายนิ้วมือไปมาและพูดว่า: “เชื่อฉันเถอะ มีพื้นที่กว้างขวางขนาดนี้ ก็ไม่ดีนักหรอก มันอ้างว้าง! ”

ลู่ฝานพูดขึ้นว่า: “ก็อาจเป็นไปได้ แต่ฉันไม่เคยลอง จะไปรู้ได้อย่างไรล่ะ? ”

ฉินฝานยิ้มและพูดว่า: “พูดได้ดีเลย ถูกต้อง ไม่เคยลองแล้วจะไปรู้ได้อย่างไร ลู่ฝาน เมื่ออยู่ต่อหน้าฉันนายก็ยังคงสงบนิ่งแบบนี้ บอกฉันมาหน่อยว่า นายเสแสร้ง หรือว่านายไม่ได้เห็นสถานะของฉันอยู่ในสายตาเลยกันแน่”

ฉินฝานเดินขึ้นมาพร้อมกับยิ้มและพูดขึ้น แต่สายตาของเขาก็มีแสงที่แปลกประหลาดขึ้นเล็กน้อย

ลู่ฝานครุ่นคิดชั่วครู่ จึงพูดว่า: “ไม่ใช่อย่างนั้น คนอย่างฉันก็เป็นแบบนี้เท่านั้นเอง”

ฉินฝานเหมือนจะคิดไม่ถึงว่าลู่ฝานจะตอบออกมาแบบนี้ จึงตกใจเล็กน้อย จากนั้นก็อุทานขึ้นอย่างประหลาดใจว่า: “นึกไม่ถึงว่านายจะตอบแบบนี้ น่าแปลกเสียจริง ไม่สมควรอ่ะ! ”

ลู่ฝานมองไปที่ฉินฝานด้วยความสงสัย ไม่เข้าใจความหมายของฉินฝาน

ฉินฝานพลันลูบไปที่ต้นขาของตนเองและพูดขึ้นอย่างยิ้มแย้มว่า: “น่าสนใจ น่าสนใจจริง ๆ ในฐานะที่ฉันเป็นองค์ชาย ไม่ว่าคนประเภทไหนฉันก็เคยพบเจอมาหมดแล้ว โดยคนส่วนใหญ่เมื่ออยู่ต่อหน้าฉัน ถ้าไม่มีความหวาดกลัว ก็จะพูดประจบประแจง ซึ่งมันก็ไม่น่าแปลกอะไร เพราะว่าสถานะของฉันนั่นเอง ที่พวกเขากระทำแบบนี้ก็เพื่อตนเอง มันก็สมควรอยู่ แต่ก็มีบางคนที่แตกต่างออกไป เมื่อพวกเขาอยู่ต่อหน้าฉัน ก็จะแสดงตัวเฉยชาไม่ใส่ใจ ถึงขนาดที่บางคนแสดงความหยิ่งทะนงออกมาด้วย ในตอนแรกเริ่ม ฉันก็ยังจะเกรงกลัวคนเหล่านี้อยู่บ้าง แต่เมื่อใดที่นายสอบถามไปอย่างเฉพาะเจาะจงแล้ว พวกเขาก็จะเผยความเจ้าเล่ห์ของตนเองออกมา”

เวลานี้เทียนหยาจื่อและคนอื่น ๆ ได้ค่อย ๆ ลอยตัวลงมาที่พื้น

ผู้อาวุโสหลายคนลอยตัวลงมาอยู่ที่เบื้องหน้าของเทียนตู้

ตอนนี้เทียนตู้ยังคงอยู่ในสภาพที่ตะลึงงัน ยังไม่ได้ฟื้นคืนสติกลับมาหลังจากที่ตนเองพ่ายแพ้

เทียนหยาจื่อมองไปยังเทียนตู้และพูดขึ้นว่า: “ลุกขึ้นเถอะ ลูกหลานตระกูลเทียน เมื่อเอาชนะได้ก็ไม่โอ้อวด เมื่อพ่ายแพ้ก็ไม่ต้องท้อใจ นายจะนอนกองไปถึงเมื่อไรกัน”

เวลานี้เทียนตู้ถึงจะตั้งสติกลับคืนมาได้ กัดฟันแล้วก็ลุกยืนขึ้น

ลู่ฝานลงมือไม่หนักเท่าไร หมัดสุดท้ายก็แค่โจมตีใส่เพื่อไม่ให้เขามีความสามารถในการต่อสู้ต่อไปได้อีกเท่านั้น อาการบาดเจ็บภายในก็จึงไม่หนักหนาอะไรมากนัก

“ผู้อาวุโสเทียนหยาจื่อ ผู้อาวุโสเทียนชิวจื่อ ผู้อาวุโสเทียนเซี่ยวจื่อ เทียนตู้ไร้ความสามารถ ทำให้ตระกูลเทียนอับอายขายหน้าแล้ว! ”

เทียนตู้สีหน้าขาวซีด และพูดขึ้นด้วยความเศร้าหมอง

เทียนหยาจื่อและคนอื่น ๆ ก็หัวเราะกันขึ้น

ผู้อาวุโสเทียนชิวจื่อพูดขึ้นพร้อมกับลูบหนวดเคราขาวว่า: “นี่จะถือว่าอับอายขายหน้าได้อย่างไรกัน ถ้าหากว่าประลองแล้วพ่ายแพ้ให้กับคนอื่นก็อับอายขายหน้าแล้ว ถ้าอย่างนั้นเจ้าบ้านของพวกเรา ก็คงจะสร้างความอับอายขายหน้าไปทั่วแล้ว”

เทียนตู้ตกใจเล็กน้อย เทียนชิวจื่อพลันใช้มือตีเบา ๆ ไปที่ศีรษะของเทียนตู้

“เส้นทางนักบู๊ มีอุปสรรคมากมาย หากไม่ประสบกับความพ่ายแพ้เล็กน้อยบ้าง ก็จะประสบกับปัญหาอุปสรรคที่หนักหนา ความพ่ายแพ้ของนายในวันนี้ ไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ว่าอีกฝ่ายหนึ่งมีพลังความสามารถมากแค่ไหน แต่เป็นนายเองต่างหากที่อ่อนแอลง นายไม่รู้สึกตัวบ้างเลยหรืออย่างไร? ”

เทียนตู้พูดขึ้นอย่างไม่เข้าใจว่า: “ฉันอ่อนแอลงแล้วเหรอ? ผู้อาวุโส ฉันไม่เข้าใจ ตอนที่ฉันออกมาจากตระกูลเทียน ก็เป็นแค่นักบู๊แดนปราณนอกคนหนึ่ง พลังหมัดไม่สามารถสั่นสะเทือนภูเขาได้ พลังเท้าก็ยังไม่สามารถต้านทานสายน้ำเชี่ยวกรากได้เลย แต่ตอนนี้ฉันเป็นนักบู๊แดนปราณชีวิตแล้ว ทำไมถึงได้อ่อนแอลงอีกล่ะ”

เทียนชิวจื่อตีลงไปบนศีรษะของเทียนตู้อีกครั้งแล้วพูดว่า: “ไอ้เด็กโง่ ตอนนั้นที่นายออกมาจากตระกูล มีจิตวิญญาณ มีความมุ่งมั่น และมีมานะเพื่อเอาชนะความยากลำบาก ตั้งใจที่จะเข้าสู่สำนักบู๊องอาจให้ได้ มีวัตุประสงค์เป้าหมายที่ชัดเจน มีวิถีบู๊ที่ชัดเจน และมีพัฒนาการอย่างรวดเร็ว แต่ในตอนนี้ เป้าหมายของนายล่ะ วิถีบู๊ของนายล่ะ? ”

คำพูดดังกล่าวถึงกับทำให้เทียนตู้เหงื่อไหลท่วมตัวไปหมด

เทียนตู้พลันคุกเข่าลงทันที และพูดว่า: “ผู้อาวุโส ฉันเข้าใจแล้ว”

เทียนชิวจื่อยิ้มและพูดว่า: “นายเข้าใจแล้วจริงเหรอ? ”

เทียนตู้กัดฟันพูดว่า: “เข้าใจแล้ว หลังจากวันนี้ไป สถาบันบู๊องอาจจะไม่มีชื่อของเทียนตู้อีก ลูกศิษย์เต็มใจที่จะกลับไปฝึกฝนในแดนเพลงฟ้าของตระกูล”

เทียนชิวจื่อ เทียนหยาจื่อ เทียนเซี่ยวจื่อต่างก็ยิ้มหัวเราะขึ้น

เทียนหยาจื่อตีไปที่ไหล่ของเทียนตู้และพูดว่า: “แบบนี้ก็ถูกต้องแล้ว สิบปีหลังจากนี้ ตระกูลเทียนก็คงจะมีนักบู๊แดนปราณฟ้าเพิ่มขึ้นอีกคนหนึ่ง! ”

เทียนตู้แสดงความเคารพต่อผู้อาวุโสเหล่านี้ ด้วยความนอบน้อมอย่างที่สุด

แสงในดวงตาเปล่งประกายขึ้นก่อน จากนั้นก็มั่นคง ท้ายที่สุดก็สงบนิ่งเฉยเมย

เพียงแค่การกระทำเดียวนี้ เหมือนกับว่าเทียนตู้ได้มีพัฒนาการยกระดับขึ้นแล้ว

นี่ก็คือการเข้าใจบรรลุในหลักเต๋า!

เทียนตู้ลุกยืนขึ้น แล้วก็เดินไปยังด้านข้างของเว่ยซูจิ้ง และพูดขึ้นว่า: “ศิษย์น้อง เมื่อศิษย์พี่จากไปแล้ว ก็อย่าได้คิดถึงฉันนะ! ”

เมื่อพูดจบ เทียนตู้ก็นำสิ่งของอย่างหนึ่งวางลงบนมือของเว่ยซูจิ้ง ซึ่งก็คือด้ามกระบี่ของเขา เพราะตอนนี้เขาไม่จำเป็นต้องใช้แล้ว!

เว่ยซูจิ้งมองไปที่เทียนตู้อย่างตกตะลึง แม้ว่าเธอจะไม่เข้าใจถึงความหมายที่เทียนตู้ได้พูดขึ้น แต่เธอก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า เทียนตู้จะจากเธอไปแล้ว

เว่ยซูจิ้งพูดตะโกนขึ้นว่า: “นายจะจากไปแล้วเหรอ? นายจะจากไปได้อย่างไรกัน นายยังจะต้องฝึกฝนในสถาบันอีกนะ แล้วอสูรวิเศษที่นายตกลงจะนำมาให้ฉันล่ะ? ”

เทียนตู้หันหลังให้กับเว่ยซูจิ้งและพูดขึ้นว่า: “ฉันพ่ายแพ้แล้ว ดังนั้นจึงนำมาให้เธอไม่ได้ ส่วนลู่ฝานนั้นก็ไม่ได้พูดอะไร เกรงว่าจะไม่มีความต้องการอะไรจากการเดิมพันของฉันเลย ฉันล้มเหลวมากเสียจริงเลย! แต่ต่อไปฉันจะไม่ล้มเหลวแบบนี้อีกแล้ว”

เมื่อพูดจบ เทียนตู้ก็จากไปพร้อมกับผู้อาวุโสทั้งหลายนั้น

นับตั้งแต่วันนี้ไป เทียนตู้แห่งสถาบันบู๊องอาจได้หายสาบสูญไปแล้ว ส่วนแดนลึกลับตระกูลเทียน ภายในแดนเพลงฟ้านั้น จะมีผู้ฝึกฝนเพิ่มขึ้นอีกคนหนึ่ง

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 958
สายลมโบกพัดเมฆขาวล่องลอยไป โบกพัดฝุ่นควันจางหายไป

ลู่ฝานค่อย ๆ เดินออกมาจากหลุม ด้วยท่าทางที่สงบนิ่ง และเฉยชา

ลมหายใจมั่นคง แม้ว่าจะเสร็จสิ้นจากการต่อสู้แล้ว ช่วงจังหวะหายใจก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง

พูดได้ว่า การต่อสู้เมื่อครู่นี้ สำหรับลู่ฝานแล้ว ก็แค่การต่อสู้เล็กน้อยเท่านั้นเอง

จุดนี้ พวกอาจารย์เหลยพอที่จะมองออกกันแล้ว พวกเทียนหยาจื่อเองก็มองออกเหมือนกัน ส่วนองค์ชายรองฉินฝานก็มองออกด้วยเช่นกัน

ทันใดนั้น องค์ชายรองฉินฝานก็พลันลุกยืนขึ้นและปรบมือให้

เมื่อเขาปรบมือ คนอื่นก็พากันงุนงง แต่ไม่นานนักก็ตั้งสติกลับมากันได้ ทุกคนจึงปรบมือตามและโห่ร้องยินดี แม้แต่พวกนักเรียนของสถาบันบู๊องอาจ ก็ยังร่วมปรบมือด้วย

ลู่ฝานเดินกลับมายังด้านข้างของหานสง ยิ้มและพูดว่า: “ฉันบอกแล้วว่า ฉันไม่มีทางแพ้หรอก”

หานสงพยักหน้า จากนั้นก็ดึงเสื้อของลู่ฝานและพูดขึ้นว่า: “องค์ชายรองกำลังปรบมือให้นายอยู่ นายโค้งคำนับหน่อยสิ! ”

ลู่ฝานหันหน้ามองไปยังองค์ชายรองที่อยู่กลางอากาศ ครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วก็โค้งคำนับ

เวลานี้ฉินฝานก็พลันพูดขึ้นว่า: “ลู่ฝานนักกระบี่แห่งตงหวา ฉันต้องการที่จะเชิญนายไปร่วมดื่มเหล้าสนทนาเรื่องบู๊กันสักหน่อย ไม่ทราบว่านายจะยินดีไหม! ”

ลู่ฝานขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย และพูดว่า: “ไม่ไปได้หรือไม่? ”

เมื่อพูดจบ คนกลุ่มหนึ่งก็พากันสูดหายใจลึก

คิดไม่ถึงว่าลู่ฝานคนนี้จะกล้าพูดกับองค์ชายรองด้วยกิริยาท่าทางแบบนี้ เขาไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกแล้วใช่ไหม?

แต่องค์ชายรองฉินฝานกลับหัวเราะเหอะเหอะและพูดว่า: “ไม่ไปก็ได้ แต่นายจะต้องคิดให้ดีนะว่า ถ้าหากนายไม่ไป ก็คงจะไม่มีใครเชิญนายดื่มเหล้าที่ดีแล้ว”

ฉินฝานตั้งใจที่จะเน้นย้ำตรงคำพูดที่ว่าเหล้าที่ดี

ลู่ฝานหวั่นไหวบ้างเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นแล้วก็มองไปยังฉินฝานด้วยความประหลาดใจ

ฉินฝานมองเห็นสีหน้าท่าทางของลู่ฝานในระยะไกล แล้วก็พูดพึมพำว่า: “ฉลาดนัก เยี่ยมมาก! ”

ฉินฝานโบกมือ สั่งให้องครักษ์เกราะทองไปรับลู่ฝานมา โดยเก้าอี้มังกรก็ได้กลายเป็นรถม้าอีกครั้ง

องครักษ์เกราะทองหลายคนก็เหยียบย่ำมาในอากาศ แล้วก็ยื่นมือขวาไปเชิญลู่ฝาน

ลู่ฝานพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็รู้สึกได้ถึงพลังที่อ่อนโยน ค้ำยันร่างกายของเขา จนร่างกายล่องลอยขึ้นในอากาศ

ฝ่าเท้าเหยียบย่ำกลางอากาศ ลู่ฝานรู้สึกได้ว่าตนเองนั้นเหมือนกำลังเหยียบอยู่บนก้อนหิน

พลังฟ้าดินโดยรอบ เวลานี้เหมือนกับว่าควบแน่นอยู่ข้างกายของเขา

เพียงแค่เขาเคลื่อนไหว พลังฟ้าดินก็จะควบแน่นล่วงหน้ากลายเป็นของแข็งเพื่อให้เขาก้าวย่ำเดินไป

วิชานี้ ช่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก

ลู่ฝานสามารถรู้สึกได้ว่า นี่คือพลังสุดยอดขององครักษ์เกราะทองสองคนที่อยู่ด้านข้างนี้แน่นอน

แต่ในตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมในการสอบถามวิชาจากคนอื่น ลู่ฝานเหยียบย่ำอยู่กลางอากาศ แล้วก้าวเดินจนไปถึงเบื้องหน้าของรถม้าที่หรูหรา

เวลานี้ ฉินฝานได้เข้าไปนั่งอยู่ในรถม้าล่วงหน้าแล้ว

“เชิญ! ”

องครักษ์เกราะทองพูดขึ้นอย่างพร้อมเพรียง

ลู่ฝานมองไปที่พวกเขาเล็กน้อย เวลานี้เขาแยกไม่ค่อยจะออกว่าองครักษ์เกราะทองเหล่านี้ตกลงว่าเป็นคนหรือเป็นหุ่นเชิดกันแน่

บางที องครักษ์ที่แท้จริง ก็น่าจะมีลักษณะแบบหุ่นเชิดก็เป็นได้?

ลู่ฝานหันหน้ากลับมา แล้วก็พูดกับสิบสามว่า: “นายพาเจ้าดำกลับไปกันก่อน! ”

สิบสามพยักหน้า แล้วก็โอบอุ้มเจ้าดำอย่างมั่นคง

ลู่ฝานเดินก้าวเข้าไปในรถม้า จากนั้นองครักษ์ทั้งหมดก็เดินตามเข้ามาด้านในด้วย

รถม้าหันกลับหัวแล้วกลายร่างเป็นเส้นลำแสง หายสูญไปในฟากฟ้า

ด้านหน้าประตูของสำนักบู๊องอาจ เมื่อทุกคนเห็นเหตุการณ์ดังกล่าวนี้แล้ว ก็ถึงกับเงียบไม่พูดไม่จาอะไรอยู่นาน

อาจารย์เหลยพูดขึ้นว่า: “ทำอย่างไรกันดี? จะไล่ตามกันไปดีไหม? ห้ามปล่อยให้เขาหนีไปอย่างเด็ดขาด”

อาจารย์ถิงยวนพูดขึ้นว่า: “ฉันว่าเขาคงจะหนีไปไหนไม่พ้นหรอก เขามาพร้อมกันกับไอ้หนุ่มตระกูลหาน แน่นอนว่าจะต้องพักอยู่ที่ตระกูลหาน พวกเราไปรอกันอยู่ที่ตระกูลหานเถอะ”

“มีเหตุผล! ”

อาจารย์เหลยพยักหน้า แล้วทั้งสองคนก็ลุกยืนขึ้น

จากนั้นหานสงที่กำลังเตรียมตัวพาสิบสามพวกเขากลับไปนั้น ก็เห็นอาจารย์สองท่านเดินเข้ามาหาพร้อมกับยิ้มหัวเราะอย่างเสแสร้ง

“หานสงอ่า! ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ! ”

……

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 957
กระบวนท่าระดับนี้ ต่อให้เขาไปต่อสู้ ก็คงจะไม่เกินไปกว่านี้แล้ว

เทียนตู้เดินขึ้นมาข้างหน้าหนึ่งก้าว กวัดแกว่งกระบี่ในอากาศ ก่อเกิดคลื่นกระเพื่อม ด้านหลังของเขา ก็ปรากฏบอลกลมสีเหลืองลูกหนึ่ง ราวกับจิตวิญญาณของโลก และหัวใจที่กำลังเต้นแรง

ในอากาศ พลังที่แปลกประหลาดนั้นกำลังแพร่กระจายไปทั่ว

ดวงตาสองข้างของลู่ฝานได้กลายเป็นความมืดมิด กระบวนท่านี้ คิดไม่ถึงว่าจะเป็นวิชากระบี่ที่ใช้สำหรับโจมตีวิญญาณ

ถ้าหากเขาไม่มีเพลงเต๋าหนึ่งเดียว และไม่ได้ฝึกฝนวิชาชิงวิญญาณแล้ว ในขณะนั้น เกรงว่าจะต้องถูกโจมตีเป็นแน่

ปลดปล่อยปราณชี่ ที่มีสีขาวเทาออกมา

ที่ด้านหน้าของทั้งสองคน ได้ปรากฏช่องรอยแยกของมิติขึ้น

เทียนตู้มีเลือดไหลออกมาที่มุมปาก เขาคิดไม่ถึงว่าลู่ฝานจะสามารถใช้พลังกระบี่นี้ย้อนโจมตีกลับมาได้

ร่างกายสั่นเทาเล็กน้อย เทียนตู้ยังคงที่จะกัดฟันพยายามแสดงกระบวนท่าจนถึงขั้นสุดท้าย

นี่คือขั้นที่ห้า ซึ่งก็คือวิชากระบี่ที่ห้า!

เมื่อกระบี่ฟาดฟันลงมา พื้นดินก็ล่องลอยขึ้น ลำแสงปกคลุมทั้งสองคนเอาไว้ภายใน และก็มีพลังอันหนักหน่วงราวกับภูเขาและทะเลมาทับถมที่ร่างของลู่ฝาน

ก้อนหินเล็กใต้ฝ่าเท้า ก็ถูกกดทับจนแตกเป็นผุยผงในทันที

ผู้คนที่ชมอยู่รอบข้าง ก็ถูกพลังที่ประกายล้นออกมา จนต้องหมอบตัวลงไปที่พื้น

ลู่ฝานกลับไม่เคลื่อนไหวแม้แต่น้อย เพียงแค่กระบี่หนักไร้คมที่อยู่ด้านหลังนั้นประกายแสงขึ้นบ้าง

เทียนตู้พูดคำรามใส่ว่า: “ไปตายซะเถอะ! ”

กระบี่พังทลาย ลำแสงดับสูญ โลกระเบิดสั่นสะเทือน!

ตูมม! ตูมม! ตูมม!

เสียงระเบิดที่ต่อเนื่องดังกึกก้องไปทั่วท้องฟ้า บริเวณหน้าประตูของสำนักบู๊องอาจ ก็สั่นสะเทือนไปหมด

ทันใดนั้น เทียนหยาจื่อและคนอื่น ๆ ก็ได้ลงมือแล้ว

อาจารย์เหลย อาจารย์ถิงยวน รวมไปถึงเทียนหยาจื่อและคนอื่น ๆ ก็ใช้สองมือกดลงไปด้านล่างโดยพร้อมกัน

คิดไม่ถึงว่าต้องให้หลายคนรวมพลังกันถึงจะสามารถปิดกั้นการระเบิดนี้เอาไว้ ไม่ให้ลุกลามไปทั่ว

ฝุ่นควันฟุ้งกระจาย ในขณะนั้นเอง แรงกระเพื่อม ก็เกิดขึ้นมาจากฝุ่นควัน!

“หมัดทลายใต้หล้า! ”

ทันใดนั้น ราวกับว่ามีเก้าลำแสง ส่องสว่างขึ้นมาจากฝุ่นควัน

จากนั้น พื้นดินที่สั่นสะเทือนก็หายสูญไปในทันที สิ่งที่มาทดแทนก็คือลำแสงสีขาวที่พุ่งทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้า ทะลุผ่านชั้นเมฆ ส่องสว่างไปทั่วท้องฟ้า

ไม่เพียงแต่คนของสำนักบู๊องอาจเท่านั้น ที่เห็นกันอย่างชัดเจน แม้แต่ด้านนอกของสำนักบู๊องอาจ ทั้งคนในเมืองหลวงและเมืองเป่ยจำนวนมาก ก็เห็นเหตุการณ์ดังกล่าวด้วย

ฟุบบ!

เทียนตู้เหาะออกมาจากท่ามกลางฝุ่นควัน แล้วกระแทกลงไปที่พื้นอย่างหนักหน่วง

ทั้วทั้งร่างกาย เต็มไปด้วยเลือด สีหน้าท่าทางหวาดผวา ราวกับว่าพบเจอกับเหตุการณ์อะไรที่น่ากลัวอย่างที่สุด!

กรอกแกร็ก!

องค์ชายรองฉินฝานเดิมทีกำลังนั่งเล่นนิ้วมือของตนเองอยู่นั้น เมื่อเห็นเหตุการณ์ดังกล่าวแล้ว ก็ถึงกับเล่นนิ้วของตนเองจนคดงอเลย!

ฉินฝานจึงต้องดัดนิ้วของตนเองให้กลับเข้าที่อย่างเจ็บปวด

แต่สายตาของเขาก็ยังคงจ้องมองไปที่ลู่ฝานอย่างชื่นชม

ผู้คนของสำนักบู๊องอาจถึงกับพูดอะไรไม่ออกแล้ว

พวกเขาไม่เห็นเลยว่าเมื่อครู่นั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง

“เคล็ดวิชาบู๊ระดับฟ้า! ”

อาจารย์เหลยพูดเสียงหลง

อาจารย์ถิงยวนเองก็แทบจะบีบที่วางแขนของเก้าอี้จนแตกละเอียดแล้ว!

บนท้องฟ้า เทียนหยาจื่อมีใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม

ผู้อาวุโสกี่คนที่อยู่ด้านข้างก็อุทานขึ้นว่า: “นี่คือ……ของเทพอักษรนั่น”

เทียนหยาจื่อยิ้มและพูดว่า: “ถูกต้อง พวกนายไม่ได้มองผิดไป! ”

คนที่มองเห็นอย่างเข้าใจ ต่างก็พากันตื่นตะลึงกันไปหมด

ส่วนคนที่มองไม่เข้าใจนั้น ก็แสดงสีหน้าที่งุนงง

แต่สิ่งเดียวที่พวกเขารับรู้นั้นก็คือ ลู่ฝานเป็นฝ่ายชนะแล้ว!

หานสงหัวเราะเสียงดัง พร้อมกับยกชูกระจกจำภาพ!

ผู้ตรวจการแปดมีใบหน้าที่มีสีสันสดใสร่าเริง ราวกับว่าเปิดร้านย้อมสีผ้าอย่างไรอย่างนั้น

ดูเหมือนว่า ลู่ฝานในวันนี้ จะโด่งดังมีชื่อเสียงไปทั่วเมืองหลวงแล้ว! มีชื่อติดลำดับรายชื่อยังไม่ถือว่าเท่าไร เรื่องที่สามารถประลองเอาชนะนักบู๊ในอันดับรายชื่อได้ต่างหาก ที่ทำให้เขามีชื่อเสียงอย่างแท้จริง อีกทั้งตั้งแต่เริ่มต้นจนสิ้นสุด ลู่ฝานยังไม่ได้นำกระบี่ออกมาใช้เลย!

ฝุ่นควันจางหายไปจนหมด แสงสว่างก็หุบดับลงมา

ลู่ฝานยังคงยืนอยู่ตรงนั้น พร้อมกับปัดฝุ่นละอองบนร่างของเขา โดยแสดงออกทุกท่วงท่าอย่างเฉยเมยและไม่สะทกสะท้าน

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 956
คำพูดกำเริบเสิบสานที่ถูกพูดขึ้นด้วยท่าทางที่เงียบสงบนั้น ก็ยิ่งจะกำเริบเสิบสานหนักขึ้นไปอีก

เมื่อลู่ฝานพูดจบ นักเรียนของสถาบันบู๊องอาจทั้งหมดก็ตะโกนโห่ร้องขึ้น

“ช่างหลงระเริงเกินไปแล้ว ศิษย์พี่เทียนตู้ลงมือจัดการเขาให้ตายไปเลย! ”

“ช่างไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเสียจริง! กระบี่ดินคมของศิษย์พี่เทียนตู้ที่ฝึกฝนจนสำเร็จแล้ว ต่อให้เป็นยอดฝีมือแดนปราณดินก็ต้านทานไม่ได้ แล้วนายเป็นใครกัน”

“นักกระบี่แห่งตงหวาไม่ใช้กระบี่ ช่างอับอายเสียชื่อเสียงยิ่งนัก”

เสียงตะโกนดังไม่หยุด ลู่ฝานได้ยินจนรอยยิ้มที่มุมปากหนักแน่นขึ้นไปอีก

วิชากระบี่ที่ยอดฝีมือแดนปราณดินก็ต้านทานไม่ได้?

อย่างนั้นเขาก็ต้องการที่จะพบเห็นสักหน่อยแล้ว!

ลู่ฝานเองก็ทำท่าเชิญ ยิ้มและมองไปที่เทียนตู้

มือถือกระบี่ดินคม พลังอานุภาพในร่างของเทียนตู้ ก็เริ่มที่จะปะทุพลุ่งพล่านขึ้นอย่างต่อเนื่อง

“อาศัยฟ้าดินเป็นคมกระบี่ วิชานี้ แม้ว่าจะเจ้าเล่ห์อยู่บ้าง แต่ก็ถือว่าไม่เลวเลย! ”

เทียนหยาจื่อพูดขึ้น

ผู้อาวุโสด้านข้างพูดขึ้นพร้อมกับลูบหนวดเคราไปพลางว่า: “แดนปราณนอกสามารถที่จะควบรวมอาวุธได้ แต่ควบรวมอย่างไม่บริสุทธิ์ ไม่หนักแน่น ไม่แน่นหนา ไม่สมบูรณ์ หากว่าสามารถควบรวมบีบอัดพลังห้าธาตุที่สูงสุดมาเป็นอาวุธได้แล้วล่ะก็ วิชาดังกล่าวนี้ ก็ถือว่าไม่เลวอย่างมากแล้ว”

“เคล็ดวิชาบู๊ระดับดินชั้นสูง”

“หากว่าสามารถควบรวมห้าธาตุให้เป็นอาวุธได้ ก็เข้าสู่ขั้นระดับฟ้า! ”

ผู้อาวุโสทั้งหลายต่างก็กำลังวิพากษณ์วิจารณ์วิชาของเทียนตู้กันอยู่

ด้านล่าง อาจารย์เหลยกับอาจารย์ถิงยวน กลับรู้สึกประหลาดใจบ้างเล็กน้อย

พวกเขาค่อนข้างที่จะคุ้นเคยกับเทียนตู้ แต่คิดไม่ถึงว่าเทียนตู้จะฝึกฝนวิชานี้จนสำเร็จแล้ว

“อาศัยพลังฟ้าดินควบรวมจนกลายเป็นกองกำลัง พลังการต่อสู้ของเทียนตู้เทียบเท่าได้กับ นักบู๊แดนปราณดินแล้ว! ”

“แต่ไม่รู้ว่า เขาจะสามารถใช้กองกำลังที่สุดยอดนี้ ได้ถึงระดับไหนกัน! ”

อาจารย์เหลยกับอาจารย์ถิงยวนได้ตั้งความหวังเอาไว้บ้าง

ในขณะเดียวกันพวกเขายิ่งต้องการจะดูว่า ลู่ฝานที่ต้องเผชิญหน้ากับกระบี่ดินคมของเทียนตู้นั้น จะจัดการรับมืออย่างไร

เทียนตู้ถือกระบี่ดินคม พร้อมกับเดินก้าวเข้ามาหาลู่ฝาน

ฝีเท้าของเขามั่นคงหนักแน่น ในแต่ละก้าว ลู่ฝานสามารถสัมผัสได้ถึงพลังอานุภาพของเขาที่เพิ่มขึ้น และลำแสงบนกระบี่ก็ยิ่งประกายมากขึ้นด้วย

“ดูดซับพลังพื้นดินอย่างนั้นเหรอ? ”

ลู่ฝานเข้าใจมากขึ้นบ้างแล้ว

เวลานี้ เทียนตู้อยู่ห่างจากลู่ฝานแค่ห้าก้าวเท่านั้น!

ฟาดฟันกระบี่ออกไป โดยที่ไม่ลำแสง มีแต่แรงสั่นสะเทือน และพลังอานุภาพที่มองไม่เห็น จนทำให้เกราะเกล็ดมังกรบนร่างของลู่ฝานนั้นพังยุบลงไปเลย

ร่างกายของลู่ฝานสั่นไหวไปชั่วขณะ และได้ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย

พลังนี้ แข็งแกร่งพอสมควรเลย!

เทียนตู้เดินก้าวเข้าไปอีก แล้วก็ฟาดฟันกระบี่ออกไปอีกครั้ง

ในครั้งนี้ ทำให้แผ่นดินสั่นสะเทือนหวั่นไหว พื้นดินตรงบริเวณใต้ฝ่าเท้าของลู่ฝานก็พลันกลายเป็นมือขนาดใหญ่ แล้วก็กระชากตัวของเขาลงไป

ฝ่าเท้าเหยียบย่ำลงบนพื้นดินอย่างหนักหน่วง เปลวไฟแทรกตัวเข้าสู่พื้นดิน ทันใดนั้นพื้นดินใต้ฝ่าเท้าก็ถูกเผาไหม้จนเป็นดำเกรียม มือยักษ์แหลกสลาย

ขั้นที่สาม พื้นดินตะโกนโห่ร้องด้วยความโกรธแค้น

ลำแสงสีเหลืองจำนวนมากราวกับกระบี่ได้ผุดขึ้นมาจากใต้ดิน แต่ละลำแสง ราวกับว่าจะทะยานพุ่งทะลุฟากฟ้า

กระบี่ของเทียนตู้ ก็คือเส้นลำแสงขนาดใหญ่ที่สุด พุ่งโจมตีเข้าใส่ที่ทรวงอกของลู่ฝานอย่างจัง

เกราะเกล็ดมังกรบนร่างของลู่ฝานพังทลายลง แต่ลู่ฝานยังใช้พลังหมัดชกทำลายลำแสงที่อยู่เบื้องหน้า

กล้ามเนื้อในร่างกายสั่นไหว ปราณชี่เริ่มขับเคลื่อนอย่างบ้าคลั่ง ราวกับเป็นพายุทอร์นาโด

เวลานี้ฟ้าดินเกิดการเปลี่ยนแปลง ด้านหลังของลู่ฝาน ร่างรางอสูรสายฟ้าก็พลันปรากฏขึ้น แล้วสายฟ้าสีดำก็ผ่าลงมาที่ร่างกายของเขา

ปล่อยวิชาสายฟ้าฟาดห้าธาตุออกมา ถึงกับทำให้ลำแสงสีเหลืองเหล่านี้แหลกสลายลงไปทั้งหมด

ทุกคนมองดูกันอย่างตะลึงจนตาค้าง และกลั้นลมหายใจ

กระบวนท่าของทั้งสองคน ต่างก็ได้แสดงพลังที่แข็งแกร่งออกมา ถึงขนาดที่องครักษ์เกราะทองข้างกายขององค์ชายรองฉินฝานก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไป นั่นแสดงว่าพลังความสามารถที่ทั้งสองคนแสดงออกมาในเวลานี้ สามารถที่จะข่มขู่คุกคามนักบู๊แดนปราณดินได้เลยทีเดียว

ผู้ตรวจการแปดสีหน้าท่าทางเคร่งขรึม เบิกตาสองข้างมองดู โดยไม่กล้าที่จะพลาดช่วงจังหวะรายละเอียดแม้แต่น้อย

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 955
“กระบี่พิฆาตสวรรค์! ”

เมื่อเห็นท่วงท่าของเทียนตู้ เทียนหยาจื่อก็ทราบได้ว่าเทียนตู้จะใช้ทักษะวิชาบู๊อะไร

นี่คือวิชาสุดยอดประจำตระกูลเทียน ดูเหมือนว่าเทียนตู้จะโมโหจริง ๆ แล้ว แม้แต่ทักษะวิชาบู๊ที่ได้ร่ำเรียนมาจากสถาบันบู๊องอาจก็ไม่อยากจะใช้อีก โดยเริ่มที่จะใช้ทักษะวิชาบู๊ประจำตระกูลที่ร่ำเรียนฝึกฝนมาตั้งแต่เด็กจนโตเลย!

ทุกคนต่างพากันกลั้นลมหายใจ พร้อมกับจับจ้องมองไปที่กระบี่ในมือของเทียนตู้

ชั้นของหมอกควันก็ปะทุขึ้นอย่างหนาแน่น แม้แต่ตัวตนของเทียนตู้เองก็กลายเป็นภาพลวงตาไปแล้ว

ลู่ฝานยังคงยืนอยู่ตรงนั้นอย่างสงบ โดยที่ไม่เคลื่อนไหวอะไรแม้แต่น้อย

เงาร่างของเทียนตู้พลันหายสูญไป ลู่ฝานก็เงยหน้ามองขึ้นไปบนฟ้า จิตใจพลันเกิดความรู้สึกที่ไม่ค่อยดีขึ้น

จากนั้น ทุกคนก็พบว่าฝนตกลงมาแล้ว!

บนก้อนหินยักษ์ ก็เกิดเสียงดังเปาะแปะขึ้น ฝนกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนตกลงมาจากท้องฟ้า

ก้อนหินยักษ์ถูกปกคลุมอยู่ท่ามกลางฝนกระบี่ อย่างเหมาะเจาะ

และทันใดนั้น ก้อนหินยักษ์ก็แปรเปลี่ยนกลายเป็นผุยผง!

เกราะเกล็ดมังกรในร่างของลู่ฝานปรากฏขึ้น ร่างกายถูกปกคลุมอยู่ภายใต้เกราะสีเงินที่สวยงาม

รอยประทับสีขาวปรากฏขึ้นบนเกราะเกล็ดมังกรอย่างไม่หยุด แต่ละลำแสงกระบี่ ล้วนมีพลังสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง!

ตูมมม!

พื้นดินปรากฏเป็นหลุมลึกขนาดใหญ่ขึ้น!

ลู่ฝานก็ตกไปอยู่ที่ใจกลางของหลุมลึกนั้น ผู้ตรวจการแปดที่กำลังชมอยู่ด้านนอกบริเวณก็พลันมีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย กระบวนท่านี้ ทรงพลังไม่เบาเลย!

ฝนกระบี่ยังคงตกลงมาอย่างต่อเนื่อง แต่เวลานี้ลู่ฝานกลับเงยหน้าขึ้นมองไปบนฟ้า

แล้วยื่นมือออกมาคว้า โดยที่ทุกคนรู้สึกได้ว่ามีสายลมพัดผ่านร่างกายไป จากนั้นลำแสงกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วน ก็รวมตัวพุ่งตรงเข้าใส่ลู่ฝาน

“เขากำลังรนหาที่ตายอยู่ใช่ไหม? ”

เว่ยซูจิ้งตะโกนพูดเสียงดัง

ทุกคนต่างก็มีความคิดเดียวกันกับเว่ยซูจิ้ง เวลานี้คงจะหลบหลีกไม่ทันแล้ว และยังจะรวบรวมลำแสงกระบี่เข้าด้วยกันอีก นี่ไม่ใช่รนหาที่ตายแล้วจะเป็นอะไรล่ะ

แต่หลังจากนั้น ลู่ฝานก็ยื่นมือออกมาสะบัด ลำแสงกระบี่เหล่านั้นก็ถูกลู่ฝานโบกสะบัดอย่างรุนแรงจนลงไปกองอยู่บนพื้น

ท่ามกลางลำแสงกระบี่ เงาร่างของเทียนตู้ก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง ลู่ฝานไม่แม้แต่มอง ก็ชกหมัดตรงที่ทรงพลัง พุ่งใส่ใบหน้าของเทียนตู้ทันที

หมัดตรงนี้ พุ่งตรงเข้าใส่อย่างจัง

ตรงอย่างเหมาะเจาะ ราวกับนักบู๊กำลังฝึกฝนอยู่เบื้องหน้าหินฝึกซ้อมวิชาอย่างไรอย่างนั้น!

ลำแสงกระบี่ค่อย ๆ สลายหายไป เทียนตู้กระอักเลือดและล้มลงไปกองที่พื้น เวลานี้กระบี่ยาวในมือก็ตกหล่นอยู่ที่ข้างกาย

ลู่ฝานมองไปที่เขาอย่างเฉยชา พร้อมกับเอามือไขว้หลัง

ราวกับว่าอาจารย์กำลังอบรมสั่งสอนลูกศิษย์ ในสถานที่แห่งนี้เงียบกริบกันไปหมด โดยทุกคนต่างก็คิดไม่ถึงว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนไปเป็นแบบนี้ได้

พลังความสามารถของทั้งสองฝ่าย ช่างแตกต่างห่างกันไกลลิบลับ และจัดการกับฝ่ายตรงข้างลงได้อย่างสิ้นเชิง

ทำไม ลู่ฝานคนนี้ ถึงได้แข็งแกร่งทรงพลังขนาดนี้ แม้แต่เทียนตู้แห่งสถาบันบู๊องอาจก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา

เทียนตู้ค่อย ๆ คลานตัวไป หยิบกระบี่ของตนเองขึ้นมา

“นายแข็งแกร่งมากจริง ๆ! ”

เทียนตู้กัดฟัน พูดขึ้น

ลู่ฝานพูดว่า: “แสดงพลังความสามารถที่แท้จริงของนายออกมาเถอะ นายไม่ได้ด้อยความสามารถแบบนี้หรอก”

คำพูดของลู่ฝาน ทำให้ผู้ชมในที่แห่งนี้เริ่มที่จะสนทนาซุบซิบกันขึ้น

ต่อสู้กันหนักขนาดนี้แล้วยังจะไม่ใช่พลังความสามารถที่แท้จริงของทั้งสองคนอีกเหรอ?

เทียนตู้พลันนำกระบี่ในมือปักลงไปบนพื้น และพูดว่า: “เดิมทีไม่คิดที่จะใช้หรอก แต่ดูเหมือนจะปกปิดเอาไว้ไม่ได้แล้ว! ”

ขณะที่พูด เทียนตู้ก็ใช้พลังฝ่ามือทำลายกระบี่ของตนเองลง หลงเหลือแต่ด้ามกระบี่ แต่ทันใดนั้น ที่ด้ามกระบี่ ก็ปรากฏลำแสงสีเหลืองออกมา เทียนตู้ยกด้ามกระบี่ขึ้น ชี้ไปยังลู่ฝานและพูดว่า: “กระบี่ดินคม เชิญรับมือได้เลย! ”

ลู่ฝานยิ้มเล็กน้อย แล้วร่างกายก็เกิดเปลวไฟลุกโชนขึ้น

พลังสีแดงและสีเหลืองลอยวนเวียนอยู่กลางอากาศ เทียนตู้ขมวดคิ้วและพูดขึ้นว่า: “นายยังไม่คิดที่จะใช้กระบี่อีกเหรอ? ”

ลู่ฝานพูดขึ้นว่า: “ไม่จำเป็น ฉันใช้แค่หมัดก็พอแล้ว! ”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 954
“พลังอานุภาพไม่เลวเลย! ”

“น่าสนใจไม่น้อย”

ผู้อาวุโสสองคนด้านข้างของเทียนหยาจื่อ ยิ้มและพูดขึ้น เทียนหยาจื่อก็ยิ่งรู้สึกภาคภูมิใจมากขึ้น จึงพูดขึ้นอย่างยิ้มแย้มว่า: “ไอ้หนุ่มเทียนตู้คนนี้ เกรงว่าจะต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้อย่างยับเยินแล้ว”

ผู้อาวุโสคนหนึ่งก็ยิ้มและพูดขึ้นเช่นกันว่า: “แม้เขาจะเป็นลูกหลานของพวกเราตระกูลเทียน แต่ฉันก็จะบอกว่า เหมือนเขาจะยังห่างชั้นอยู่มากนัก! ”

ผู้อาวุโสหลายคนยิ้มแย้มกันอย่างดีใจ ราวกับว่าผู้ที่พ่ายแพ้นั้นไม่ใช่ลูกหลานของตระกูลเทียนแต่อย่างใด

บนก้อนหินยักษ์ สีหน้าของเทียนตู้ย่ำแย่เป็นอย่างมาก เพิ่งเริ่มต้นขึ้นก็พลาดพลั้งเสียท่าไปก่อนแล้ว ทำให้เขาอับอายอย่างที่สุด

จะต้องลงมืออย่างจริงจังแล้ว!

เทียนตู้ยกกระบี่ยาวตั้งตรง ทันใดนั้นเงาร่างก็แยกออกเป็นสามเงาร่าง

“วิชากระบี่สามร่าง! ”

สามร่างเทียนตู้ส่งเสียงขึ้นพร้อมกัน พร้อมกับพุ่งโจมตีเข้าใส่ลู่ฝานในทันที ราวกับสามเส้นลำแสง พุ่งตรงมายังเบื้องหน้าของลู่ฝาน

ลู่ฝานยืนอยู่กับที่ ปราณชี่ก่อตัวขึ้นเป็นเกราะลำแสงรูปวงรี ต้านทานสามเส้นลำแสงดังกล่าวไว้ แต่ในขณะเดียวกัน ลู่ฝานก็พลันสัมผัสได้ถึงพลังสั่นสะเทือนรุนแรงที่พุ่งออกมาจากลำแสงกระบี่

โดยคิดไม่ถึงว่าจะทะลุผ่านปราณชี่ของเขาเข้ามา และกระทบไปยังร่างกายของเขา

“เป็นวิชากระบี่ที่น่าสนใจไม่น้อย! ”

ลู่ฝานพูดขึ้นในใจ แล้วกล้ามเนื้อในร่างกายก็ดีดสะบัด ออกไปจากภายในร่างกายของเขาทันที

ท่ามกลางภูเขาและป่าไม้ที่อยู่ห่างออกไปจากสถาบันบู๊องอาจ ทันใดนั้นหินยักษ์ก้อนหนึ่งก็เกิดระเบิดขึ้น และต้นไม้ด้านหลังก็หักล้มลงอีกสามต้น

วิชาแยกกายสามร่างรวดเร็วดั่งกับสายฟ้า พริบตาเดียวก็เคลื่อนตัวมาอยู่ที่ด้านหน้าและหลังของลู่ฝานทั้งสามทิศทาง

ลู่ฝานสัมผัสได้ถึงพลังฟ้าดินที่อยู่โดยรอบ อย่างน้อยเขาก็มองออกได้ว่า เป็นวิชาธาตุดินย่อขนาดพื้นที่

วิชาประเภทนี้น่าจะเกิดขึ้นมาจากที่ผู้ฝึกชี่ทำการย่นย่อขนาดพื้นที่ลง ใช้สำหรับเร่งการเดินทางก็ถือว่าไม่เลวทีเดียว

โดยคิดไม่ถึงว่าจะมีคนที่ใช้พลังปราณเพื่อปลดปล่อยวิชานี้ออกมาด้วย! ซึ่งนี่ก็ถือว่าเป็นเคล็ดวิชาบู๊ระดับดินอย่างหนึ่งเลยล่ะสิ!

ลู่ฝานดวงตาเบิกกว้าง ปราณชี่ในร่างกายปะทุขึ้นทันที!

ฟ้าดินสลาย สรรพสิ่งถูกทำลาย!

ทันใดนั้น สองเงาร่างที่เทียนตู้ใช้พลังธาตุดินก่อตัวขึ้นมานั้นก็ได้สูญหายไป พลังการโจมตีโดยการผสานพลังฟ้าดินลักษณะนี้ สำหรับลู่ฝานแล้ว ก็เท่ากับว่าไม่มีผล

เบื้องหน้า ก็หลงเหลือแต่ร่างจริงของเทียนตู้แล้ว ลู่ฝานชกหมัดออกไป พุ่งตรงเข้าใส่กระบี่ยาวในมือของเทียนตู้ทันที

ภาพที่มองเห็นคือ กระบี่ยาวกระเพื่อมเป็นคลื่นวงกลม เทียนตู้ถอยร่นลงมาสิบกว่าก้าว ฝ่าเท้าเหยียบย่ำลงไปบนก้อนหินยักษ์จนเกิดเป็นรอยแตกร้าวมากมาย

“วิชาล้ำเลิศ! เป็นวิชาที่ล้ำเลิศจริง ๆ ฉันไม่เคยพบเจอมาก่อน”

ผู้อาวุโสคนหนึ่งด้านข้างเทียนหยาจื่อ พูดขึ้น

ส่วนคนอื่นก็มองไปที่เทียนหยาจื่อ เพื่อรอให้เขาพูดอธิบาย

เทียนหยาจื่อยิ้มแย้มแต่ก็ไม่พูดอะไร ราวกับว่ากำลังทำเป็นเล่นตัว ยากที่จะคาดเดาหยั่งรู้ได้

แต่ในความจริงแล้ว เทียนหยาจื่อเองชัดเจนเป็นอย่างดีว่า เขานั้นก็ไม่รู้เหมือนกันว่าลู่ฝานไปร่ำเรียนฝึกฝนวิชานี้มาจากที่ไหน

“ยอดเยี่ยม! ”

เวลานี้ทางฉินฝานก็พูดขึ้น

แม้จะเป็นเพียงคำเดียว แต่พวกคนที่อยู่ด้านข้าง ก็ได้ยินกันอย่างชัดเจน

“องค์ชายถึงกับพูดชมว่ายอดเยี่ยมแล้ว ลู่ฝานคนนี้ช่างแข็งแกร่งเสียจริง! ”

“อันดับรายชื่อยอดฝีมือในประเทศ แน่นอนว่าแต่ละคนต่างก็มีเอกลักษณ์พิเศษที่แตกต่างกันไป”

อาจารย์เหลยกับถิงยวนวิพากษณ์วิจารณ์กันเบา ๆ

“นี่เป็นวิชาพิเศษของสำนักนี้ใช่ไหม? ”

“ก็อาจจะใช่ และอาจจะไม่ใช่ ดูกันต่อไปเถอะ”

เทียนตู้เกือบจะร่วงตกลงมาจากก้อนหินยักษ์ ยังดีที่สามารถทรงตัวเอาไว้ได้ แล้วก็จ้องมองไปยังลู่ฝานด้วยสายตาที่ตื่นตะลึง

“เป็นพลังที่น่ากลัวจริง ๆ! ”

เทียนตู้พูดขึ้นในใจ

พลังหมัดเมื่อครู่นี้ ทำให้เขารู้สึกว่ายากที่จะรับมือจริง ๆ หากว่าชกเข้าใส่ร่างของเขา เกรงว่าเวลานี้เขาคงจะต้องกระอักเลือดเลือดแล้วเป็นแน่

เทียนตู้แอบกัดฟัน เวลานี้ไม่สามารถที่จะประมาทกับคู่ต่อสู้ได้อีกแล้ว

พลังความสามารถที่ลู่ฝานแสดงออกมานั้น มันเกินกว่าที่เขาคาดคิดเอาไว้อย่างมากแล้ว

ถึงขนาดที่ว่าอีกฝ่ายหนึ่งแม้แต่อาวุธก็ยังไม่ได้นำออกมาใช้ ก็สามารถทำลายวิชากระบี่สามร่างของเขาได้ เทียนตู้สีหน้าเคร่งขรึม สูดหายใจลึก เวลานี้กระบี่ยาวในมือของเขาได้เริ่มกลายเป็นภาพลวงตาขึ้น

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 953
ลู่ฝานกวาดสายตามองไปยังทุกคน ความคิดของพวกเขา การวิพากษณ์วิจารณ์ของพวกเขา เหมือนจะไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเขาเลยแม้แต่น้อย

ลู่ฝานหันหน้ากลับมา มองไปที่สิบสามและพูดว่า: “ช่วยฉันดูแลเจ้าดำให้หน่อย! ”

ขณะที่พูด ลู่ฝานก็นำเจ้าดำไปวางไว้ในมือของสิบสาม เจ้าดำบิดขี้เกียจเล็กน้อย แล้วก็นอนต่อ

หานสงที่อยู่ด้านหลังของลู่ฝานได้พูดขึ้นว่า: “เพื่อนลู่ฝาน ครั้งนี้เหมือนจะเล่นกันหนักเลยทีเดียวนะ นายจะต้องแสดงพลังความสามารถอย่างเต็มที่! ”

ลู่ฝานยิ้มและพูดว่า: “วางใจได้”

กระโดดขึ้นไปบนก้อนหินยักษ์ และมองไปที่เทียนตู้ด้วยสายตาที่สงบนิ่ง

เวลานี้ ร่างกายของเทียนตู้สั่นเทาเล็กน้อย มือที่ถือกระบี่นั้นเหมือนจะไม่ค่อยมั่นคงแล้ว

“เหมือนว่านายจะประหม่าอยู่บ้างนะ! ”

ลู่ฝานยิ้มและพูดขึ้นพร้อมกับมองไปที่เทียนตู้

เทียนตู้สีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย และพูดขึ้นว่า: “วันนี้ บุคคลผู้ยิ่งใหญ่แต่ละท่านต่างก็มากันแล้ว ต้องมีความตื่นเต้นและดีใจบ้างเป็นธรรมดา นายต่างหากล่ะ ที่ยังแกล้งทำตัวเป็นปกติอยู่ คิดว่าทำตัวแบบนี้แล้ว จะสามารถแสดงให้เห็นว่านายสงบหนักแน่นได้จริงเหรอ? โง่เขลาสิ้นดี”

ลู่ฝานส่ายศีรษะและพูดว่า: “ฉันก็แค่บอกว่านายประหม่าและตื่นเต้นเท่านั้นเอง”

เทียนตู้กวัดแกว่งกระบี่ยาว และพูดว่า: “เกียจคร้านที่จะทะเลาะต่อเถียงกับนาย ลู่ฝานในเมื่อนายมาแล้ว อย่างนั้นการประลองในวันนี้ พวกเรามาท้าเดิมพันสิ่งของกันอีกไหมล่ะ? ”

ลู่ฝานพูดขึ้นว่า: “แล้วแต่นายเลย”

เทียนตู้ยิ้มและพูดว่า: “อย่างนั้นก็ตกลง ถ้าหากฉันเป็นฝ่ายชนะ ฉันต้องการอสูรวิเศษของนาย”

ลู่ฝานพูดว่า: “ฉันรู้อยู่แล้วว่า พวกนายไม่มีทางลืมสิ่งนี้ไปแน่ แล้วถ้าหากนายเป็นฝ่ายแพ้ล่ะ? ”

เทียนตู้หัวเราะเหอะเหอะแล้วพูดว่า: “ก็แล้วแต่นายเลย”

ลู่ฝานพยักหน้า แล้วก็ยื่นมือออกไปทางเทียนตู้ และปราณชี่ในร่างกายก็เริ่มพลุ่งพล่านขึ้น

เวลานี้เทียนตู้เองก็เริ่มที่จะปลดปล่อยปราณชี่ของตนเองออกมาเช่นกัน พลังกลิ่นอายที่รุนแรงนั้น ได้ก่อให้เกิดลมพัดขึ้นในบริเวณโดยรอบ

ลำแสงห้าธาตุเปล่งประกาย ร่างกายของเทียนตู้ได้ถูกปกคลุมด้วยเกราะลำแสงสีเหลืองที่หนาแน่น

เพียบพร้อมด้วยพลังธาตุดินในธาตุทั้งห้า และวิทยายุทธปราณชีวิตชั้นเจ็ด

เทียนตู้น่าจะมีอายุประมาณยี่สิบห้ายี่สิบหกปีเท่านั้นเอง แต่วิทยายุทธระดับนี้ กล่าวได้ว่าเป็นอัจฉริยะผู้เก่งกาจที่มากพรสวรรค์แล้ว!

มิน่าล่ะที่เขาถึงได้มีต้นทุนของความหยิ่งผยอง!

ผู้ตรวจการแปดก็ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย พลังความสามารถระดับนี้ เขาแทบจะไม่สามารถมีคุณสมบัติไปต่อสู้กับเขาได้เลย

“ปราณชีวิตชั้นเจ็ด คิดไม่ถึงว่าศิษย์พี่เทียนตู้จะบรรลุเข้าสู่ปราณชีวิตชั้นเจ็ดแล้ว! ”

พวกนักเรียนในสถาบันบู๊องอาจต่างก็ตะโกนโห่ร้องกันขึ้น จากนั้น นักเรียนคนหนึ่งก็ได้นำสมุดบันทึกเล่มหนึ่งและมาเปิดดูและพูดขึ้นว่า: “จักรพรรดิเตาเริ่นหลานที่อยู่ในอันดับห้าสิบหกของประเทศ ก็มีวิทยายุทธแค่ปราณชีวิตชั้นเจ็ดเท่านั้น โดยพลังความสามารถของศิษย์พี่เทียนตู้นี้ ไม่นานก็จะพุ่งทะยานขึ้นสู่อันดับรายชื่อห้าสิบคนแรกของประเทศแล้ว! ”

เสียงชื่นชมเกรียวกราว รอยยิ้มบนใบหน้าของเทียนตู้ก็ยิ่งกระหยิ่มยิ้มย่องขึ้น

เทียนหยาจื่อส่ายศีรษะไปมาและพูดว่า: “ความเร็วในการบำเพ็ญฝึกฝนวิทยายุทธของเทียนตู้คนนี้ถือว่าใช้ได้เลย”

ผู้อาวุโสด้านข้างพูดขึ้นว่า: “ไม่ผิดหวังที่ตระกูลส่งเขามาร่ำเรียนที่สถาบันบู๊องอาจ! ”

ท่ามกลางกลุ่มคนนั้น ใบหน้าของเว่ยซูจิ้งเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

แม้ว่าภายในสถาบันบู๊องอาจ วิทยายุทธของศิษย์พี่เทียนตู้ ก็ถือว่าไม่เป็นสองรองใคร

หากต่อสู้กับนักบู๊ที่มาจากเมืองเล็ก ๆ แล้ว ก็คงจะสามารถเอาชนะได้อย่างง่ายดาย

เขตเล็ก ๆ อย่างเขตตงหวา จะไปมีอัจฉริยะผู้เก่งกาจได้อย่างไรกัน?

เว่ยซูจิ้งนั่งรอดูให้ศิษย์พี่เทียนตู้ลงมือจัดการอีกฝ่ายหนึ่งจนบาดเจ็บสาหัส แล้วจึงค่อยไปแย่งชิงอสูรวิเศษมา

ลู่ฝานเห็นเหตุการณ์ดังนี้แล้ว จึงได้แสดงปราณชี่ของตนเองออกมาทั้งหมด

ทันใดนั้น ปราณชี่อันทรงพลังก็พลุ่งพล่านออกมา อานุภาพอันน่ากลัวก็พลันปกคลุมปราณชี่ของเทียนตู้ไปหมดแล้ว!

ปราณชีวิตชั้นแปด!

ทันใดนั้น เสียงอุทานโห่ร้องก็ดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง

ผู้ตรวจการแปดก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ส่วนเทียนตู้ก็มองไปยังลู่ฝานราวกับว่าเห็นผีอย่างไรอย่างนั้น คิดไม่ถึงว่าขั้นแดนวิทยายุทธของอีกฝ่ายหนึ่งนั้นจะเหนือกว่าเขาอีก? ช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก!

เทียนตู้ขยับเคลื่อนไหวเล็กน้อย ก็พบว่าตนเองนั้นถูกพลังอานุภาพของฝ่ายตรงข้ามกดทับจนไม่สามารถเคลื่อนไหวได้แล้ว

เห็นอยู่ว่าห่างกันก็แค่ชั้นเดียวเท่านั้น แต่ทำไมเหมือนรู้สึกว่าแตกต่างกันหนึ่งขั้นแดนเลยทีเดียว!

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 952
ในขณะที่ทุกคนต่างก็กำลังเตรียมจะละสายตา ทันใดนั้น ทุกคนก็พลันมองเห็นว่าเทียนตู้ที่อยู่ด้านบนหินยักษ์ ได้มีสีหน้าท่าทางที่เปลี่ยนไปแล้ว

เทียนตู้ยิ้ม และพูดขึ้นว่า: “ลู่ฝาน ในที่สุดนายก็มาแล้ว! ”

ทันใดนั้น ทุกคนต่างก็อุทานกันขึ้น

ผู้ตรวจการแปด องค์ชายรอง และอาจารย์อีกสองคน ต่างก็จับจ้องมองมาที่ร่างของลู่ฝาน

ถูกต้อง สองคนที่มาถึงนี้ ก็คือลู่ฝานและสิบสาม

ลู่ฝานมองไปโดยรอบ และมองไปยังประตูสถาบันบู๊องอาจที่มีสีทองอร่าม รวมถึงยิ้มทักทายให้กับผู้คนที่มองมาด้วยสายตาอันอบอุ่นและกระตือรือร้น

“ผู้คนจำนวนมากมายเลย! ”

ลู่ฝานยิ้มเล็กน้อย

จากนั้น ท่ามกลางค่ายกลเคลื่อนฟ้า ก็ประกายลำแสงขึ้นอีก

คนกลุ่มหนึ่งพากันเดินออกมา ทีละคนทีละคน ทั้งหมดก็คือพี่น้องตระกูลหานที่ต้องการมาร่วมชมบรรยากาศที่คึกคัก ซึ่งผู้ที่นำมาก็คือหานสงนั่นเอง

หานสงถือกระจกจำภาพ แล้วกวาดสายตามองไปรอบด้านพร้อมกับพูดขึ้นว่า: “ไอ๊หยา วันนี้มีผู้ชมไม่น้อยเลยทีเดียว แม่งจริงเลย ตอนนั้นที่ฉันถูกไล่ออกจากสถาบัน ยังไม่มีผู้คนโอบล้อมมองดูมากมายขนาดนี้ พระเจ้า นั่นคือเก้าอี้มังกรของราชสำนักใช่ไหม ลู่ฝาน นายก็แค่ประลองยุทธ์เท่านั้น คิดไม่ถึงว่าแม้แต่คนในราชสำนักก็ยังถูกดึงดูดให้มาชมด้วย! ”

จากนั้น หานสงก็รีบนำพี่น้องตระกูลหานคารวะแสดงความเคารพต่อองค์ชายรอง

องค์ชายรองที่อยู่ห่างออกไปนั้น ก็ได้โบกมือเบา ๆ ให้พวกเขาไม่ต้องมีพิธีรีตรองอะไรมาก

หานสงยิ่งมองก็ยิ่งตื่นตกใจ ผู้คนที่มากันในวันนี้ไม่ใช่จะมีจำนวนมากธรรมดาเท่านั้น มองแวบเดียว เขาก็มองออกว่านั่นคืออาจารย์สองท่านของสถาบันบู๊องอาจ และยังจะมีผู้ตรวจการแปดด้วย

ลำพังแค่ไม่กี่คนนี้ ก็ทำให้เขาเกิดความผวาหวาดกลัวขึ้นมาแล้ว

การต่อสู้ครั้งนี้ น่าจะเหนือกว่าการต่อสู้ระหว่างยอดฝีมือแดนปราณฟ้าสองคนก่อนหน้านี้แล้ว

ลู่ฝานกลับไม่ได้ใส่ใจ เขาแค่มองเห็นเทียนหยาจื่อผู้อำนวยการสถาบันที่อยู่กลางอากาศ

ลู่ฝานพยักหน้าทักทายกับผู้อำนวยการสถาบัน ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม

เทียนหยาจื่อผู้อำนวยการสถาบันเองก็ยิ้มและพูดว่า: “ใช่เขาจริง ๆ ด้วย คิดไม่ถึงว่าเขาจะผูกมิตรกันกับพวกคนอันธพาลตระกูลหานเหล่านั้นแล้ว”

ผู้อาวุโสหลายคนที่อยู่ด้านข้างก็มองสังเกตไปที่ลู่ฝานอย่างละเอียด

“มีรากกระดูกที่แข็งแรงยอดเยี่ยม และยังมีท่วงท่านักบู๊ด้วย! ”

“รูปร่างหน้าตาก็ไม่เลว แววตามีประกายมั่นคง”

“เอ๊ะ ทำไมฉันถึงมองระดับวิทยายุทธของเขาไม่ออกล่ะ ในร่างของเขามีสมบัติล้ำค่าพิเศษอะไร หรือว่าฝึกฝนวิชาพิเศษอะไรอย่างนั้นเหรอ? ”

ผู้อาวุโสหลายคนก็พากันชื่นชม ความประทับใจแรกเริ่มที่พบเห็นนั้นถือว่าดีมาก

เทียนหยาจื่อยิ้มอย่างดีใจ เขาที่มีอายุปูนนี้แล้ว เรื่องที่น่าภาคภูมิใจที่สุดก็คือสั่งสอนลูกศิษย์ที่ยอดเยี่ยมได้สักคนหนึ่ง ซึ่งสามารถที่จะกระหยิ่มยิ้มย่องต่อหน้าพวกเพื่อนอาวุโสเหล่านี้ได้ ก็ทำให้เขาดีใจมากอย่างยิ่งแล้ว

สายตาของฉินฝานเองก็จับจ้องไปที่ร่างของลู่ฝาน ใบหน้ามีรอยยิ้มเล็กน้อย ราวกับว่ามองเห็นสมบัติล้ำค่าชิ้นหนึ่ง

“มาเลย ให้ฉันชมมูลค่าในตัวของนายสักหน่อย”

ฉินฝานพูดพึมพำขึ้น

วันนั้น หลังจากที่โฉวซิงได้นำกระจกจำภาพการต่อสู้ของลู่ฝานที่หน้าประตูเมืองมอบให้เขาแล้ว ฉินฝานจึงได้ลองชมดู ก็พลันรู้สึกว่าตนเองนั้นได้พบเจอกับสมบัติล้ำค่าอย่างที่สุด

เหตุการณ์ที่ลู่ฝานเอาชนะหานสงได้ในกระบวนท่าเดียว ทำให้เขาตื่นตะลึง ทำให้เขามองเห็นถึงโอกาสความเป็นไปได้นั้นบ้าง

ดังนั้นเขาจึงได้มายังที่นี่ ก็เพื่อต้องการยืนยันให้แน่ใจถึงมูลค่าในตัวของลู่ฝาน

หากว่าลู่ฝานสามารถแสดงพลังความสามารถออกมา แล้วทำให้เขาเกิดความหวั่นไหวได้……

แหะแหะ ฉินฝานเหมือนจะคิดไปถึงสถานการณ์ที่น่าสนุกน่าสนใจอย่างหนึ่งขึ้นมาได้แล้ว

ผู้ตรวจการแปดเองก็จับจ้องสายตามาที่ร่างของลู่ฝานเช่นกัน ทันใดนั้นเขาก็สัมผัสได้ถึงอันตรายบางอย่างจากในร่างของลู่ฝาน

ขณะนั้น ผู้ตรวจการแปดก็ยิ้ม ต่อคนที่น่าสนใจนี้ มิน่าล่ะที่องค์ชายใหญ่ถึงได้สั่งให้เขามาที่นี่

สายตาของอาจารย์เหลยกับถิงยวนจับจ้องไปที่ในมือของลู่ฝาน ที่นั่น มีแหวนวงหนึ่งสะท้อนแสงเข้ามาในม่านตา

ใบหน้าของอาจารย์เหลยแสดงออกถึงความตื่นตะลึงอย่างที่สุด และพึมพำว่า: “ใช่มันหรือเปล่า? ”

ถิงยวนเองก็ตอบขึ้นด้วยท่าทางตกใจว่า: “น่าจะใช่! ”

ขณะนั้นทั้งสองคนก็สูดหายใจลึก และมองหน้าสบตากัน

อาจารย์เหลยพูดกระซิบว่า: “จะต้องพาตัวเขากลับไปที่สาขาสายฟ้าให้ได้! ”

ถิงยวนตอบกลับว่า: “ต้องพยายามอย่างถึงที่สุดไม่ว่าจะวิธีใดก็ตาม! ”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 951
เสียงดังกึกก้อง กังวานไปทั่วทั้งสรวงสวรรค์

จากนั้น องครักษ์เกราะทองกลุ่มหนึ่ง ก็ออกมาจากภายในรถม้า แล้วลอยตัวกระจายกำลังไปอยู่ที่บริเวณด้านข้างของรถม้าทั้งสองข้าง

แสงสีทองอร่ามเจิดจ้า กลบคลุมแสงสว่างของดวงอาทิตย์ในทันที

ฝูงชนที่มุงดูอยู่ในบริเวณโดยรอบเมื่อเห็นภาพเหตุการณ์นี้แล้ว ทั้งหมดก็โค้งคารวะทำความเคารพ

ผู้ที่สามารถมาถึงที่นี่ได้ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นนักบู๊ แต่ก็ไม่มีใครที่คารวะทำความเคารพ

อาจารย์เหลย เทียนหยาจื่อและคนอื่น ๆ ก็พากันลุกขึ้นแสดงความเคารพทั้งหมด

จากนั้น ก็มีคนผู้หนึ่งค่อย ๆ เดินออกมาจากรถม้า

องค์ชายฉินฝานกะเผลกขา ยิ้มเบะปากแล้วก้าวเดินออกมา

องค์ชายฉินฝาน มองไปยังทุกคนอย่างยิ้มแย้ม และพูดขึ้นว่า: “เชิญทุกคนชมกันต่อตามสบายเลย ไม่ต้องมาสนใจฉัน ฉันเองก็มาชมการประลองเหมือนกัน! ”

ขณะที่พูด องค์ชายก็ดีดนิ้ว ทันใดนั้นรถม้าที่เขานั่งมา ก็เริ่มเปลี่ยนแปลงรูปร่างราวกับเป็นของเหลว

รถม้าที่สวยงามหรูหราก็กลายเป็นเก้าอี้ไม้แกะสลักมังกรทอง แล้วฉินฝานก็นั่งลงด้านบนทันที

ปราณเกราะที่โปร่งใสได้ก่อตัวขึ้น แล้วปกคลุมฉินฝานเอาไว้อยู่ภายใน

“นี่ก็คือองครักษ์เกราะทองกับเขตวิถีสัมบูรณ์! ”

“ได้ยินว่าปราณเกราะดังกล่าว ต่อให้เป็นถึงยอดฝีมือเซียนบู๊ ก็ยังสามารถป้องกันต้านทานได้ช่วงเวลาหนึ่ง”

“องครักษ์เกราะทองเหล่านี้ หรือว่าจะเป็นยอดฝีมือแดนปราณฟ้า? พวกเขายังสามารถเหาะเหินกลางอากาศได้อีกด้วย”

“นายจะไปรู้อะไรล่ะ นี่คือทักษะวิชาการบินแบบทหาร ใต้หล้านี้จะมียอดฝีมือแดนปราณฟ้ามากมายขนาดนั้นเชียวเหรอ”

กลุ่มคนซุบซิบวิพากษณ์วิจารณ์กัน และชื่นชมกันอย่างเบา ๆ

คนธรรมดาอย่างพวกเขานี้ มีโอกาสน้อยมากที่จะได้พบเจอกับองค์ชาย เวลานี้ได้พบเห็นรูปโฉมที่แท้จริงขององค์ชายกับองครักษ์เกราะทองในตำนาน คนจำนวนไม่น้อยต่างก็ตกอยู่ในสภาพที่ตื่นเต้นดีใจ

เทียนหยาจื่อและคนอื่น ๆ รู้สึกว่ามีอะไรที่ไม่ชอบมาพากล องค์ชายผู้ยิ่งใหญ่ระดับนี้ เป็นไปได้อย่างไรที่จะเดินทางมาชมการประลองฝีมือของนักบู๊ธรรมดาแบบนี้โดยเฉพาะ ช่างมีเวลาว่างเยอะเหลือเฝือเกินไปแล้ว

ถ้าหากว่าการประลองนี้เป็นการต่อสู้กันระหว่างยอดฝีมือแดนเซียนบู๊แล้วล่ะก็ องค์ชายมาเปิดหูเปิดตารับชม ก็ยังพอที่จะเข้าใจได้

แต่นี่อย่างมากก็แค่การต่อสู้กันระหว่างยอดฝีมือแดนปราณชีวิต องค์ชายยังจะมารับชมด้วยเหรอ ทำให้ผู้คนถึงกับเกิดความไม่เข้าใจ

หรือว่ารอบข้างขององค์ชายยังขาดแคลนนักบู๊แดนปราณชีวิตอีกเหรอ?

มองดูพวกองครักษ์เกราะทองนั่นสิ คนไหนบ้างล่ะที่ไม่ใช่นักบู๊แดนปราณดิน หากคัดเลือกออกมาประลองสักคนสองคน คาดว่าคงจะน่าดูกว่าการประลองในวันนี้เป็นแน่เลย

ผู้ตรวจการแปดเองก็ก้มหน้าลง พร้อมกับขมวดคิ้วแน่น

เดิมทีในวันนี้ ตอนที่องค์ชายใหญ่สั่งให้เขามาดูการประลองนี้นั้น เขาเองก็ยังจะไม่ค่อยเต็มใจสักเท่าไร

โดยความคิดของเขานั้น หากให้มาดูคนอ่อนแอสองคนต่อสู้กันไปมา มันจะมีสาระน่าสนุกตรงไหน

แต่เมื่อมาถึงแล้ว เขาพบว่า สถานการณ์เหมือนจะไม่เป็นไปอย่างที่เขาคาดการณ์เอาไว้

ผู้อาวุโสเทียนหยาจื่อของตระกูลเทียนก็มา และองค์ชายรองก็มาด้วย ทุกสิ่งทุกอย่าง ทำให้การประลองในครั้งนี้ดูเหมือนจะไม่ง่ายดายอย่างนั้นแล้ว

เขาไม่เชื่อว่าการประลองทั่วไป จะดึงดูดให้คนระดับนี้มาชมกันได้

ผู้ตรวจการแปดนั่งอยู่อย่างสงบ เพื่อรอให้ลู่ฝานมาถึง เขาต้องการจะดูว่า การประลองในครั้งนี้มีความพิเศษแตกต่างอย่างไร

การประลองยังไม่ทันจะเริ่มต้น ถึงขนาดที่ว่าผู้ประลองทั้งสองฝ่ายก็ยังมากันไม่ครบ แต่ทางฝั่งของผู้ที่มาชมการประลองนั้น ก็เพียงพอที่จะทำให้คนในเมืองหลวงนำเรื่องราวดังกล่าวไปพูดคุยสนทนากันอย่างแพร่หลายแล้ว

ไม่ว่าในวันนี้ ใครจะเป็นผู้ชนะในการประลอง ก็คงจะโด่งดังมีชื่อเสียงเป็นแน่

ข่าวคราว ก็ได้แพร่กระจายออกไปจากสถาบันบู๊องอาจอย่างรวดเร็ว พวกผู้ที่ชอบสอดรู้สอดเห็น ถึงขนาดนำกระจกจำภาพออกมา เริ่มทำการบันทึก โดยที่ทุกคนต่างก็กระตือรือร้นกันเป็นอย่างมาก

ทันใดนั้น ท่ามกลางจุดที่จัดวางค่ายกลเคลื่อนฟ้าด้านหน้าสถาบันบู๊องอาจ ก็พลันมีสองเงาร่างปรากฏขึ้น

ทุกคนต่างก็นึกว่าเป็นบุคคลผู้ยิ่งใหญ่คนไหนที่จะมาถึงอีก จึงได้ชะเง้อมองกันยกใหญ่ แต่เมื่อเงาร่างนั้นเดินออกมา ทุกคนต่างก็ผิดหวังกันเล็กน้อย

เป็นคนธรรมดาสองคน ที่เดินมาพร้อมกับแบกอาวุธมาด้วย

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 950
นักเรียนสถาบันบู๊องอาจทุกคน พากันหันไปมองอย่างตกตะลึง ทำไมอาจารย์ถึงมาด้วยล่ะ!

อาจารย์เหลยเอาสองมือไพล่หลัง เดินออกมาจากสถาบันบู๊องอาจกับอาจารย์ถิงยวน นักเรียนรอบๆ รีบเลื่อนเก้าอี้มาให้ทั้งสองคนนั่ง

อาจารย์เหลยโบกมือไปมาแล้วพูดว่า “พวกนายทำไปเถอะ พวกเราแค่มาดู”

เทียนตู้สีหน้าเคร่งขรึมขึ้นทันที อาจารย์ทั้งสองท่านมาดูการประลองของเขาด้วยตัวเอง ถ้าแพ้ขึ้นมา ต้องอับอายเป็นอย่างมากแน่นอน

แต่นี่ยังไม่จบ ต่อจากนั้นมีแสงเกิดขึ้นอีก แสงปรากฏในค่ายกลนอกสถาบันบู๊องอาจ

เงาคนสิบกว่าคนปรากฏออกมา คนที่ออกมาเป็นคนแรกคือองครักษ์ ตะโกนออกมาทันทีว่า “ผู้ตรวจการแปดมาถึง คนที่ไม่เกี่ยวข้องถอยไป!”

เมื่อได้ยินคำว่าผู้ตรวจการแปด ทุกคนถึงกับสูดหายใจเฮือก

กลุ่มคนรีบแยกจากกัน ผู้ชายคนหนึ่งเดินออกมา ภายใต้การคุ้มครองขององครักษ์สิบกว่าคน

เขาแต่งการด้วยชุดสีม่วง ตรงเอวมีกระบี่และดาบอย่างละเล่ม ใบหน้าเคร่งขรึม สูงสามเมตรกว่า ผู้ตรวจการแปดคนนี้ชื่อว่าจูจวิ้น เป็นผู้แข็งแกร่งวิถีบู๊แท้จริง เมื่อไม่กี่ปีก่อนได้เข้าสู่แดนปราณดิน ยอดฝีมือแท้จริง 30 อันดับแรกของรายชื่อประเทศ

ในเวลาเดียวกันเขาก็เป็นผู้ตรวจการชั้นกลาง ระยะเวลาที่ได้ตำแหน่ง เร็วกว่าลู่ฝานมาก ถึงอยู่ในเมืองหลวงก็มีชื่อเสียงโด่งดัง

เทียนตู้อ้าปาก พูดพึมพำว่า “ทำไมผู้ตรวจการแปดก็มาด้วย เขาติดตามองค์รัชทายาทไม่ใช่เหรอ”

เทียนตู้รีบลุกขึ้นยืน บุคคลยิ่งใหญ่ขนาดนี้มาถึง เขาไม่กล้านั่งเฉยๆ แล้ว

ผู้ตรวจการแปดมองเทียนตู้เพียงแวบเดียว และนั่งช้าๆ ลงข้างๆ เทียนตู้ยังไม่ทันพูดอะไร ผู้ตรวจการแปดพูดว่า “การประลองยังไม่เริ่มเหรอ”

เทียนตู้รีบพูดว่า “ลู่ฝานยังไม่มาครับ”

ผู้ตรวจการแปดพยักหน้า คิดไม่ถึงว่าเขาจะหลับตาลง

ทุกคนเริ่มพูดคุยกันเสียงเบา พากันชื่นชมว่าเทียนตู้มีแรงดึงดูดจริงๆ ถึงดึงดูดคนใหญ่คนโตขนาดนี้มา

เทียนตู้ก็รู้สึกประหลาดใจมาก จากมนุษยสัมพันธ์ของเขา จากพละกำลังของเขา ไม่น่าเป็นไปได้!

ขณะทุกคนกำลังคิดว่าคงจบเพียงเท่านี้ มีแสงสองสามดวงปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า

แสงสว่างหยุดลง เผยให้เห็นเงาคน

“ผู้อาวุโสเทียนหยาจื่อแห่งตระกูลเทียน ทำไมเขาถึงมาด้วยล่ะ ด้านหลังเขาคือผู้แข็งแกร่งตระกูลเทียนเหรอ”

เทียนหยาจื่อยืนอยู่กลางอากาศ ก้มมองภาพด้านล่าง

“อืม คนไม่น้อยเลย เราดูอยู่ตรงนี้แล้วกัน”

ผู้อาวุโสสองสามคนที่อยู่ข้างๆ พยักหน้าพูดว่า “ใช่ๆ อยู่ตรงนี้แหละ!”

“เทียนหยาจื่อ เมื่อไรศิษย์คนนั้นของนายจะมา อยู่ไหนล่ะ ฉันเห็นแค่เด็กตระกูลเทียนของพวกนาย!”

“ไม่ต้องรีบ อีกไม่นานก็มาแล้ว!”

สองสามคนพูดคุยกัน สะบัดมือเรียกก้อนเมฆมานั่ง

เทียนตู้ที่อยู่ด้านล่างถึงกับช็อก ทำไมผู้อาวุโสของตระกูลถึงมาด้วย สองสามคนด้านบนล้วนเป็นผู้อาวุโสตระกูลเทียน!

ทันใดนั้น เทียนตู้ตื่นเต้นจนสั่นไปทั้งตัว ผู้อาวุโสของตระกูลมาดูการประลองของเขาด้วยตัวเอง ในบรรดาคนอายุน้อยของตระกูลเทียน ใครจะได้รับเกียรติแบบนี้บ้าง

เว่ยซูจิ้งก็อึ้ง แม้เธอปล่อยข่าวออกไป แต่คิดไม่ถึงเลยว่าผู้อาวุโสตระกูลเทียนจะมาด้วย

สูดหายใจลึก เทียนตู้รู้สึกว่าตัวเองยังไม่ได้สู้ ก็รู้สึกกดดันเหมือนมีเขามาทับแล้ว

ขณะนั้น รถม้าคันหนึ่งลอยมาจากขอบฟ้า

จากไกลๆ เริ่มเข้ามาใกล้ คนที่สายตาดี เห็นอักษรยันต์เก้ามังกรขึ้นสู่ท้องฟ้าบนรถม้า นั่นเป็นอักษรยันต์ที่ต้องเป็นราชสำนักเท่านั้นถึงจะใช้ได้

“ใครเหรอ คนในราชวงศ์ขุนนางท่านไหนมาเหรอ”

ทุกคนพูดออกมาเสียงหลง

ทันใดนั้น รถม้าหยุดลงกลางอากาศ ทุกคนรวมไปถึงผู้ตรวจการแปด และพวกเทียนหยาจื่อ ลุกขึ้นทำความเคารพพร้อมกัน

ส่วนด้านในรถม้า มีคนเปิดผ้าม่านออกแล้วเดินออกมา

“องค์ชายรองมาถึงแล้ว!”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 949
“ดีมาก คงหลิง รอให้เสร็จเรื่องใหญ่เรื่องนี้ เธอคงต้องมาสืบทอดตำแหน่งของฉันแล้วล่ะ”

เงาดำพูดอย่างมีเมตตา

ขณะนั้นอู่คงหลิงกลับคุกเข่าลงอย่างหวาดกลัว แล้วพูดว่า “เจ้าสำนัก ศิษย์มิกล้าสืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนักหรอกค่ะ”

เงาดำหัวเราะแล้วพูดว่า “กล้าหรือไม่กล้า ไม่ใช่ปัญหาหรอก ทำได้หรือเปล่าคือสิ่งสำคัญ พอเถอะ เรื่องนี้ค่อยว่ากัน เธอไปพักผ่อนเถอะ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการแสดงออกของเธอแล้ว แค่เธอทำให้ตระกูลหานกับตระกูลเทียนแตกหักกันได้ เรื่องใหญ่ก็สำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง!”

อู่คงหลิงพยักหน้าพูดว่า “เจ้าสำนักวางใจได้เลย ศิษย์จะทำหน้าที่ให้สำเร็จแน่นอน”

เงาดำหัวเราะเบาๆ แล้วพยักหน้า เงาค่อยๆ หายไป เหมือนหมอกควันที่กระจายหายไป

เมื่อเงาดำหายไปอย่างไร้ร่องรอย อู่คงหลิงจึงลุกขึ้นยืน

เธอมองไปข้างนอก แล้วถอนหายใจยาวออกมาเบาๆ

แสงจันทร์สาดส่องลงมา ตัวของเธออยู่ใต้แสงจันทร์ ดูโดดเดี่ยวเดียวดายเป็นอย่างมาก ยิ่งทำให้รู้สึกอ้างว้างเข้าไปอีก

อู่คงหลิงปิดประตูลงเบาๆ

……

ผ่านไปสามวัน

ที่สถาบันบู๊องอาจมีผู้คนมากมาย

“หลีกหน่อย หลีกหน่อย! เกิดอะไรขึ้น ประตูสถาบันกลายเป็นตลาดตั้งแต่เมื่อไร คนเยอะแยะเบียดกันอยู่ที่นี่ทำไม!”

นักเรียนคนหนึ่งตะโกนเสียงดัง กว่าจะเบียดออกมาจากฝูงชนได้

ชุดบู๊บนตัวเกือบจะโดนดึงจนขาด ดูน่าเวทนาเป็นอย่างมาก

“นายไม่รู้เหรอ วันนี้เป็นวันประลองของเทียนตู้แห่งสถาบันบู๊องอาจ กับลู่ฝานนักกระบี่แห่งตงหวา ทุกคนล้วนมาดูการประลอง!”

นักเรียนคนหนึ่งพูดอธิบายเสียงดัง นักเรียนจำนวนมากล้อมอยู่หน้าประตูสถาบันบู๊องอาจ กันคนเอาไว้ข้างนอก ถึงขั้นที่มีครูสองสามคนออกมาช่วยรักษาความเป็นระเบียบ

“ทุกคนอย่าเบียดกัน อย่าใจร้อน ได้ดูทุกคน!”

ตะโกนพูดไปพลาง จู่ๆ มีหินขนาดใหญ่ลอยมาจากขอบฟ้า

“มีหิน!”

เสียงตะโกนดังขึ้น กลุ่มคนรีบแยกย้ายอย่างตื่นตระหนก หลังจากนั้นหินขนาดใหญ่ร่วงลงหน้าประตูสถาบันบู๊องอาจ บนหินขนาดใหญ่ มีคนนั่งอยู่หนึ่งคน นั่นก็คือเทียนตู้แห่งสถาบันบู๊องอาจ

“นั่นเทียนตู้แห่งตระกูลเทียนเหรอ! หล่อมาก!”

ผู้หญิงบ้าผู้ชายสองสามคนกรี๊ดออกมา นักเรียนคนอื่นของสถาบันบู๊องอาจ ตะโกนเสียงดังว่า “ศิษย์พี่เทียนตู้ต้องชนะ!”

เทียนตู้ไม่พูดอะไรสักคำ นั่งกอดกระบี่อยู่บนหิน

หินกลายเป็นเวทีประลองโดยธรรมชาติ เขาได้มันมาโดยการปาดยอดเขาออกมา

เขานั่งรอลู่ฝานอยู่ตรงนี้

วันนี้จะเป็นวันที่เขามีชื่อเสียงโด่งดัง!

“ศิษย์พี่เทียนตู้ ศิษย์พี่เทียนตู้!”

จู่ๆ มีคนหนึ่งกระโดดขึ้นมาบนหินขนาดใหญ่ วิ่งมาข้างหน้าเทียนตู้ นั่นก็คือคนที่ก่อเรื่องทั้งหมดอย่างเว่ยซูจิ้ง

เว่ยซูจิ้งมีรอยยิ้มสดใสเต็มใบหน้า จากนั้นพูดว่า “ศิษย์พี่เทียนตู้ เตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เหมือนคนรู้ทั้งเมืองหลวงแล้ว พี่ดูสิมีคนมาดูการประลองตั้งเท่าไร”

เทียนตู้พูดด้วยรอยยิ้ม “ทำดีมาก ลำบากเธอแล้วศิษย์น้องเว่ย”

เว่ยซูจิ้งยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ลำบากเลยศิษย์พี่เทียนตู้ ฉันสิมีเรื่องจะรบกวนพี่”

“ว่ามาเลย”

เทียนตู้พูดอย่างห้าวหาญ

เว่ยซูจิ้งพูดว่า “หลังจากศิษย์พี่เทียนตู้ชนะ แย่งอสูรวิเศษของลู่ฝานมาได้ไหม ฉันชอบอสูรวิเศษของเขามาก”

เทียนตู้ยิ้มแล้วพูดว่า “เรื่องเล็ก รอให้เขามาก่อน ฉันจะเพิ่มของพนันกับเขาสักหน่อย คิดว่าเขาต้องรับคำแน่นอน”

รอยยิ้มเต็มใบหน้าเว่ยซูจิ้ง จู่ๆ เธอจับมือเทียนตู้ จากนั้นเธอกระโดดลงจากหินก้อนใหญ่ ด้วยใบหน้าแดงก่ำ

เทียนตู้อึ้งไปในตอนแรก จากนั้นรู้สึกคึกคักไปทั้งตัว รู้สึกว่าพลังปราณแข็งแกร่งขึ้นในพริบตา

“อาจารย์เหลยกับอาจารย์ถิง มาถึงแล้ว!”

จู่ๆ มีเสียงตะโกนดังขึ้น

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 948
ลู่ฝานได้ยินคำพูดของเธอ กลับรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาดื้อๆ

ทำไมถึงคุ้นคำพูดนี้ขนาดนี้ มีความทรงจำบางส่วนผุดขึ้นมาในหัวเขา

ลู่ฝานนึกออกแล้ว ตอนเขายังเป็นชายหนุ่มที่ยังไม่ค่อยเข้าใจอะไร จางเยว่หานเคยพูดกับเขาแบบนี้ เหมือนกันไม่มีผิด แทบไม่มีอะไรต่างกันเลย

ทันใดนั้นสีหน้าลู่ฝานอึมครึมไม่น้อย

เขาดันมืออู่คงหลิงออกเบาๆ แล้วพูดว่า “ไม่ให้ฉันพูด เพราะกลัวฉันขัดขวางการอยู่ด้วยกันของเธอกับหานหยวนหนิงเหรอ”

สีหน้าอู่คงหลิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย เธอดึงมือกลับมาแล้วพูดว่า “ถ้านายจะคิดแบบนี้ก็ไม่ผิด”

ลู่ฝานรู้สึกว่าไฟโกรธในอกเพิ่มขึ้นอีก เขาพูดว่า “วางใจเถอะ ฉันไม่พูดอะไรทั้งนั้น รวมถึงเรื่องที่เธอเป็นผู้ฝึกชั่วร้ายด้วย ฉันก็จะไม่พูดเหมือนกัน ส่วนเธอกับฉัน เหมือนอย่างที่เธอพูด หวังว่าต่อไปเราจะไม่เจอกันอีก”

สีหน้าอู่คงหลิงดูไม่สู้ดีขึ้นมา แม้เป็นเช่นนี้ แต่ใบหน้าเธอยังดูงดงามเหมือนเดิม

อู่คงหลิงค่อยๆ สวมผ้าปิดหน้าบางบนหน้าตัวเองอีกครั้ง มองลู่ฝานแล้วพูดว่า “แบบนี้จะดีมาก ลู่ฝาน ฉันมีเรื่องของฉัน นายก็มีเรื่องของนาย หวังว่านายจะไม่ขัดขวางเรื่องของฉัน”

ลู่ฝานไม่พูดอะไรสักคำ ผายมือขวาเป็นการบอกให้อู่คงหลิงออกไปได้แล้ว

เหมือนอู่คงหลิงโกรธเล็กน้อย เธอกระทืบเท้าหนึ่งที แล้วเดินไปทางประตู

ตอนกำลังจะเดินออกจากประตู อู่คงหลิงหันมาพูดกับลู่ฝานว่า “เจอหน้ากันเทียบไม่ได้กับคิดถึงกัน”

ลู่ฝานพูดอย่างเฉยเมยว่า “คิดถึงกันไม่จำเป็นต้องเจอกันอีก!”

อู่คงหลิงเดินออกไป สิบสามที่อยู่หน้าประตูเห็นอู่คงหลิงออกมา เขาเอาฝ่ามือจับบนกระบี่ทันที

อู่คงหลิงปรายตามองสิบสามแล้วพูดว่า “นายเหมือนเจ้านายไม่มีผิด เหมือนหินก้อนหนึ่ง ก้อนหินในส้วม ทั้งเหม็นทั้งแข็งทื่อ!”

พูดจบ อู่คงหลิงสะบัดฝ่ามือ สิบสามโดนตบจนปลิว กระแทกลงบนพื้นอย่างแรง

อู่คงหลิงส่งเสียงหึอย่างเย็นชา แล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอย

ลู่ฝานรีบเดินออกมาจากประตู พูดเสียงขรึมว่า “ผู้หญิงชั่วร้าย!”

กว่าสิบสามจะลุกขึ้นมาได้ ใบหน้าเขาเต็มไปด้วยความหดหู่

นี่เขาทำผิดอะไรถึงซวยขนาดนี้ วันเดียวโดนซัดตั้งสองรอบ

ลู่ฝานเอายาเม็ดกำหนึ่งให้สิบสาม แล้วพูดว่า “ไปรักษาอาการบาดเจ็บซะ ต่อไปถ้าเจอเธออีก นายลงมือได้ทันที”

สิบสามพยักหน้าแรงๆ แล้วเก็บยาเอาไว้

เจ้าดำที่หมอบอยู่บนไหล่ลู่ฝาน ส่ายหน้าช้าๆ แล้วถอนหายใจ เหมือนกำลังพูดว่า “นี่มันจำเป็นด้วยเหรอ”

ลู่ฝานกลับเข้ามาในห้อง หยิบลูกแก้วในห้องลงมา

เขาจะบีบมันให้แตก ถือไว้ในมืออยู่นาน แต่สุดท้ายก็ไม่ได้บีบมันให้แตก

ลู่ฝานคลายมือออก นั่งบนเตียงอย่างอารมณ์ไม่ดี จากนั้นจึงเริ่มฝึกฝน

อีกด้านหนึ่ง ห้องของอู่คงหลิงกว้างไม่น้อย เป็นอาคารที่มีสองชั้น

เพิ่งเข้ามา อู่คงหลิงเห็นเงาดำกำลังรอเธออยู่

“คงหลิง ดึกขนาดนี้เธอไปไหนมา”

เงาดำพูดด้วยเสียงแหบพร่า

อู่คงหลิงคำนับเบาๆ แล้วตอบว่า “จัดการเรื่องส่วนตัวนิดหน่อยค่ะ”

“จัดการเสร็จหรือยัง”

“จัดการเรียบร้อยแล้วค่ะ”

“ไม่กระทบกับเรื่องสำคัญใช่ไหม”

“ไม่เลยค่ะ!”

เงาดำพยักหน้าแล้วพูดว่า “งั้นก็ดี พรุ่งนี้จะให้เธอไปพบเทียนชิงหยางแห่งตระกูลเทียน เธอแสดงทีท่าดีๆ หน่อย ทางที่ดีทำให้เขาหลงจนหัวปักหัวปำ”

อู่คงหลิงตอบรับเสียงเบา

“ศิษย์จะทำหน้าที่ให้สำเร็จแน่นอน”

เดินกลับมาที่ห้อง ในใจลู่ฝานยังเศร้าอยู่เล็กน้อย

ความยินดีที่มาถึงเมืองหลวง ตอนนี้โดนชะล้างไปหมดแล้ว

เปิดประตูห้อง ลู่ฝานเตรียมพักผ่อนให้เต็มที่ เรื่องบ้าบอแบบนี้ ทำได้เพียงว่ากันไปทีละก้าว

เพิ่งเปิดประตูออก ทันใดนั้น ลู่ฝานเห็นสิบสามบาดเจ็บล้มอยู่ข้างประตู

ลู่ฝานดึงกระบี่หนักไร้คมด้านหลังออกมาทันที

“ลู่ฝาน ไม่ต้องกังวล ฉันเอง!”

ทันใดนั้น ทั้งห้องสว่างเหมือนตอนกลางวัน

สิ่งที่ปรากฏในสายตาคืออู่คงหลิง เธอยกลูกแก้วลูกหนึ่งขึ้นมาเบาๆ หลังจากนั้นลูกแก้วลูกนี้ลอยอยู่ในอากาศ แสงนวลส่องสว่างไปทั่ว

“เธอทำร้ายสิบสามเหรอ”

ลู่ฝานขมวดคิ้วถาม

อู่คงหลิงพูดอย่างราบเรียบ “นี่ชื่อเขาเหรอ นายหาผู้ฝึกชั่วร้ายมาเป็นผู้ติดตามตั้งแต่เมื่อไร หรือตอนนี้นายเข้าสู่มารแล้วจริงๆ วางใจเถอะ ฉันแค่ผนึกเขาเอาไว้เท่านั้น ฉันอยากรอนายในห้อง แต่ไอ้หมอนี่ขวางเหมือนหิน ไม่ยอมให้ฉันเข้ามา ช่วยไม่ได้ ฉันทำได้เพียงโยนเขาไปไว้ข้างๆ”

ลู่ฝานเอามือข้างหนึ่งวางบนไหล่สิบสาม สัมผัสพลังในตัวสิบสาม แค่โดนพลังปราณพิเศษผนึกเอาไว้เท่านั้น ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง จึงถอนหายใจออกมาเบาๆ

ปราณชี่พุ่งเข้าไป ลู่ฝานปลดผนึกให้สิบสาม

ทันใดนั้น สิบสามมองอู่คงหลิงด้วยสายตาโมโหทันที แต่เขาก็ยังยืนด้านหลังลู่ฝานอย่างซื่อสัตย์ ไม่ได้ดึงกระบี่พุ่งเข้าไป

ลู่ฝานพูดกับสิบสามว่า “สิบสาม นายไปเฝ้าข้างนอก อย่าให้คนอื่นเข้ามา!”

สิบสามพยักหน้าเบาๆ แล้วก้าวออกไป จากนั้นก็ปิดประตูห้องลงเบาๆ

“นายนี่เลือกผู้ติดตามเก่งจริงๆ นะ หาผู้ฝึกชั่วร้ายที่กล้าตายแบบนี้มารับใช้ ไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้ว ลู่ฝานปีนี้นายเป็นยังไงบ้าง มาทำอะไรที่เมืองหลวงเหรอ มาเที่ยวหรือมาทำธุระ”

จู่ๆ อู่คงหลิงถอดผ้าปิดหน้าบางของตัวเองออก เผยให้เห็นใบหน้าแท้จริงของตัวเอง เธอมองลู่ฝานแล้วพูดออกมา

ใบหน้างดงามสุดยอด ระยะเวลาหนึ่งปี ไม่ได้มีสิ่งที่เรียกว่ารอยตีนกาเลย กลับตรงกันข้ามดูเป็นผู้ใหญ่ บริสุทธิ์ งดงามจนหาอะไรมาเทียบไม่ได้

ลู่ฝานดึงเก้าอี้มาตัวหนึ่ง นั่งลงตรงข้ามอู่คงหลิง

ลู่ฝานพูดอย่างราบเรียบว่า “ฉันมาร่วมการคัดเลือก เธอล่ะ คุณอู่คงหลิง เธอมีภารกิจอีกแล้วเหรอ หรือเธอมาหาอะไรสนุกๆ ทำ”

อู่คงหลิงพูดด้วยรอยยิ้ม “บอกยาก บอกไปอาจไม่ดี ไม่บอกดีกว่า”

ลู่ฝานพูดว่า “ในเมื่อเธอไม่ยอมบอกอะไรฉัน แล้วมาหาฉันที่นี่ทำไม คงไม่ได้อยากมาคุยเรื่องเก่าๆ กับฉันใช่ไหม”

อู่คงหลิงพูดว่า “แน่นอนว่าต้องมีจุดประสงค์ ลู่ฝาน นายคิดถึงฉันไหม”

ลู่ฝานอึ้งไปครู่หนึ่ง เห็นได้ชัดว่าคิดไม่ถึงว่าอู่คงหลิงจะถามอะไรแบบนี้

เมื่อได้ยินคำนี้ ค่ำคืนอันเร้าใจที่จวนลู่เมืองตงหวา ผุดขึ้นมาในหัวเขาเอง

เห็นลู่ฝานอึ้งไป อู่คงหลิงหัวเราะคิกคักออกมา

“ดูเหมือนนายคิดถึงฉันนะ น่าเสียดาย ฉันอยู่ข้างกายนายไม่ได้ ใครใช้ให้เราไม่ใช่พวกเดียวกันล่ะ!”

อู่คงหลิงเดินท่าทางเย้ายวนสง่างามมาด้านหลังลู่ฝาน

จู่ๆ มือเล็กทั้งสองข้างกดลงบนไหล่ลู่ฝาน ช่วยนวดให้ลู่ฝานเบาๆ

แรงของเธอไม่เบาไปและไม่หนักไป ทำให้คนรู้สึกสบาย โดยเฉพาะกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่มาจากตัวเธอ ยิ่งทำให้คนจิตใจปั่นป่วน

“ลู่ฝาน ในเมื่อนายมาเมืองหลวงแล้ว มีหลายเรื่องที่ฉันต้องกำชับนายไว้ก่อน นายรับปากฉันได้ไหม ว่าจะไม่พูดเรื่องของเราสองคน ไม่ว่าใครก็ห้ามพูด ให้เป็นความลับได้ไหม”

อู่คงหลิงพูดเชิงขอร้องเล็กน้อย

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 946
หานอู๋ซวงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “องค์รัชทายาทผู้ยิ่งใหญ่ สนใจผู้เฝ้าเมืองแค่คนเดียวเหรอ พอได้แล้ว นายไม่ต้องเดาหรอก ฉันจะบอกให้ เพราะองค์รัชทายาทกำลังเอาโควตารายชื่อพวกนี้ไปทำการค้า พูดให้ถูกต้องคือขายเพื่อให้ได้เงินมา”

ลู่ฝานอึ้งไป จากนั้นพูดว่า “มีเรื่องแบบนี้ด้วย”

หานอู๋ซวงพูดว่า “ตกใจมากเหรอ ถ้านายใช้ชีวิตในเมืองหลวงสักระยะหนึ่ง นายจะพบว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ทุกคนรู้กัน มองภายนอกองค์รัชทายาทแนะนำคนมีความสามารถ ให้เข้าร่วมการคัดเลือกอย่างเปิดเผย แต่ลับหลังแท้จริงแล้วคือการซื้อขายโควตารายชื่อ ข้าราชการใหญ่คนไหนจ่ายเงินเยอะ ก็ให้โควตารายชื่อกับตระกูลเขาหนึ่งรายชื่อ ข้าราชการใหญ่คนไหนยอมสนับสนุนองค์รัชทายาท เป็นสุนัขรับใช้ของทายาท ก็จะให้โควตารายชื่อเขาหนึ่งรายชื่อเหมือนกัน จนถึงตอนนี้โควตารายชื่อทั้งหมด ส่วนใหญ่ซื้อขายเรียบร้อยหมดแล้ว โควตารายชื่อที่เหลือไม่กี่รายชื่อ องค์รัชทายาทเตรียมเก็บไว้ขายในราคาสูง แน่นอนว่าไม่มีทางให้ใครที่ไหนก็ไม่รู้มาแย่งไปหรอก”

ลู่ฝานหัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “อย่างเช่นผม”

หานอู๋ซวงพยักหน้าพูดว่า “ใช่ อย่างเช่นนาย”

ลู่ฝานพูดว่า “ตอนนี้ผมพอรู้แล้วว่าผมจะเจออันตรายแบบไหน”

หานอู๋ซวงหัวเราะร่าแล้วพูดว่า “ฉันเลยบอกไง เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกสักนิด ไม่เกิดขึ้นสิถึงจะแปลก แม้นายมาถึงเมืองหลวงแล้ว แต่ถ้าองค์รัชทายาทไม่อยากให้โควตารายชื่อกับนาย และส่งนักบู๊สองสามคนมาซัดนายจนเละ ทุกอย่างก็จบ รายงานกับฝ่าบาทว่าวันหนึ่งลู่ฝานเขตตงหวา พ่ายแพ้การต่อสู้ที่เมืองหลวง วิทยายุทธโดนทำลายหมด ไม่สามารถเข้าร่วมการคัดเลือกได้ ด้วยเหตุนี้จึงมอบโควตารายชื่อให้คนอื่น”

ลู่ฝานถอนหายใจแล้วพูดว่า “นั่นหมายความว่าการที่ผมมาล่วงหน้า เป็นการมาที่ผิดพลาด องค์รัชทายาทคงไม่หาผู้แข็งแกร่งแดนปราณฟ้ามาซัดผมใช่ไหม”

หานอู๋ซวงหัวเราะแล้วพูดว่า “เชื่อฉันสิ นายยังไม่มีค่าให้องค์รัชทายาท ใช้ผู้แข็งแกร่งแดนปราณฟ้ามาซัดนายหรอก”

การปลอบใจแบบนี้ ไม่ได้ทำให้ลู่ฝานดีใจสักนิด

จู่ๆ เขารู้สึกว่าเมืองหลวงไม่ได้น่ารักขนาดนั้นแล้ว ตรงกันข้ามกลับมีความรู้สึกว่าก้าวเข้าสู่วงจรสมรู้ร่วมคิด

หานอู๋ซวงยิ้มแล้วพูดว่า “ดังนั้นฉันจึงขอแนะนำ อีกสามวันนายแพ้ให้เทียนตู้ดีกว่า เขาก็เป็นนักบู๊ในรายชื่อประเทศบ้าบออะไรนั่น การที่นายแพ้ให้เขา หนึ่งคือไม่อับอาย สองคือหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บสาหัส รักษาตัวเองให้ปลอดภัย จากนั้นเที่ยวในเมืองหลวงสักสองวันแล้วค่อยกลับ”

ลู่ฝานส่ายหน้ายิ้มแหย แล้วพูดว่า “ฟังดูแล้ว เหมือนคงต้องทำแบบนี้ ไม่งั้นจะต้องเผชิญกับการต่อสู้ทั้งต่อหน้าและลับหลังใช่ไหมครับ”

หานอู๋ซวงพยักหน้าพูดว่า “ใช่”

ลู่ฝานเงยหน้ามองหานอู๋ซวง จู่ๆ ก็กระแทกตัวหมากลงบนกระดานหมากรุก

“ขอโทษด้วย ไม่กี่ปีที่ผมฝึกบู๊มา อย่างอื่นผมไม่ได้เรียนรู้ แต่ผมเรียนรู้ที่จะไม่ยอมแพ้ ขอบคุณลุงที่เตือน แต่ผมไม่กลับไปง่ายๆ แบบนี้หรอกครับ”

หานอู๋ซวงมองกระดานหมากรุกอย่างอึ้งๆ จู่ๆ เขาพบว่าตัวเองแพ้แล้ว

ลู่ฝานลุกขึ้นยืน ยิ้มแล้วพูดว่า “ลุงรีบพักผ่อนเถอะครับ”

พูดจบ ลู่ฝานหันหลังเดินออกไป

หานอู๋ซวงมองแผ่นหลังลู่ฝาน จู่ๆ เขาตะโกนว่า “นายคิดดีแล้วเหรอ นายอาจตายที่เมืองหลวงนะ”

ลู่ฝานหันมามองหานอู๋ซวงแล้วพูดว่า “ลุง ถ้าศิษย์พี่หานเฟิงเจอเรื่องแบบนี้ ลุงจะให้เขาถอยหรือเปล่า”

หานอู๋ซวงพูดเสียงดังว่า “ฉันจะให้เขารีบไสหัวไปให้ไกลเลย”

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “โชคดีที่ผมไม่ใช่ศิษย์พี่หานเฟิง”

พูดจบ ลู่ฝานก้มตัวต่ำคำนับหานอู๋ซวง จากนั้นก็เดินออกไป

หานอู๋ซวงมองลู่ฝานหายลับไปจากสายตาตัวเอง จู่ๆ เขาหัวเราะออกมาแล้วพูดว่า “แต่ถ้าหานเฟิงจิตใจเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวแบบนาย ฉันจะพูดว่านี่สิลูกชายฉัน! เจ้าหนุ่มมีความกล้ามากนะ!”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 945
“ไอ้หนุ่ม นายไม่กังวลสักนิดเลยเหรอ เทียนตู้ไม่ใช่คนที่รับมือง่ายนะ ระวังอย่าโดนเขาทำจนพิการล่ะ”

หานอู๋ซวงวางหมากลง แล้วพูดช้าๆ

ลู่ฝานตอบว่า “ลุงหาน เชื่อผมเถอะ ผมก็ไม่ใช่คนที่รับมือง่ายเหมือนกัน”

พูดพลาง ลู่ฝานก็วางหมากลง คิ้วของหานอู๋ซวงกระตุกตามไปด้วยเล็กน้อย

“เจ้าหนุ่ม มีความมั่นใจเป็นเรื่องดี แต่อวดดีเกินไปไม่ดี ฉันพูดแบบนี้กับนายแล้วกัน เทียนตู้เป็นผู้สืบทอดตระกูลเทียน แม้ไม่ใช่ลูกชายคนโต ไม่ใช่คนที่แข็งแกร่งที่สุด แต่แค่มาจากตระกูลเทียน ล้วนเป็นเด็กที่มีความสามารถด้านวิถีบู๊ แย่กว่าตระกูลหานของเราเล็กน้อยเท่านั้น”

หานอู๋ซวงพูดยกยอตระกูลหานอย่างหน้าไม่อาย ลู่ฝานทำเหมือนไม่ได้ยินคำพูดด้านหลัง

แต่ตระกูลเทียน กลับทำให้ลู่ฝานคิดถึงอย่างอื่นขึ้นมาได้ เหมือนท่านผอ.เป็นคนตระกูลเทียน ดูเหมือนเขาต้องหาเวลาไปตระกูลเทียนสักรอบแล้ว

ลู่ฝานครุ่นคิดเงียบๆ หานอู๋ซวงรีบวางหมากลงอีกครั้ง

ทันใดนั้น ลู่ฝานพูดว่า “ตระกูลเทียนเหรอ งั้นผมคงต้องไว้หน้าเขาสักหน่อย”

หานอู๋ซวงหัวเราะร่าแล้วพูดว่า “ไอ้เด็กบ้า ความหน้าไม่อายของนาย เหมือนสไตล์ของฉันตอนนั้นเลย โอเค ฉันไม่ขู่นายแล้ว นายสู้ให้เต็มที่ เห็นแก่หน้าตระกูลหาน ถึงเขาชนะนายก็คงไม่กล้าทำอะไรนายหรอก”

ลู่ฝานหัวเราะเบาๆ แล้วพูดอีก สีหน้าหานอู๋ซวงตกใจทันที

ลู่ฝานพูดว่า “ลุงหาน ผมมีเรื่องหนึ่งที่อยากถาม ที่คุณพูดตอนกลางวันหมายความว่าอะไรกันแน่ อธิบายให้ฟังหน่อยได้ไหมครับ”

หานอู๋ซวงส่ายหัวไปมาแล้วพูดว่า “โอ้ เรื่องนี้เหรอ พูดยาก!”

ลู่ฝานกลอกตาไปมาช้าๆ จู่ๆ เขาเอายาเม็ดเป็นกำออกมาจากในอก ยัดเข้าไปในมือหานอู๋ซวง

“ลุงครับ ผมไม่ได้มีความคิดอื่นเลย แค่รุ่นน้องแสดงความเคารพคุณเท่านั้น ถือว่ากินลูกอมละกันครับ!”

หานอู๋ซวงมองแวบหนึ่ง เลิกคิ้วขึ้นแล้วพูดว่า “ดูไม่ออกเลยว่านายรวยมาก พอได้แล้วๆ ยาแค่นี้ของนายคิดว่าฉันขาดแคลนเหรอ เอาคืนไปเถอะ ในเมื่อนายอยากฟัง ฉันจะเล่าให้ฟัง นายจะได้ไม่ตายอย่างไม่เข้าใจ”

ลู่ฝานทำท่าตั้งใจฟังอย่างเคารพนับถือ หานอู๋ซวงชี้หน้าลู่ฝานแล้วพูดว่า “อย่างแรกเลย เรื่องนี้ต้องพูดตั้งแต่หลังจากที่นายฟันมารทั้งสี่ด้วยกระบี่เดียว นายอาจไม่รู้ เดิมทีนายไม่ได้โควตารายชื่อคัดเลือกหรอก”

“หมายความว่ายังไงครับ”

ลู่ฝานถาม

หานอู๋ซวงหัวเราะแล้วพูดว่า “ง่ายมาก เพราะองค์รัชทายาทไม่เห็นด้วย นายอาจไม่รู้ โควตารายชื่อคัดเลือกการแข่งนานาประเทศทั้งประเทศอู่อาน ดูแลโดยองค์รัชทายาท”

ลู่ฝานขมวดคิ้วพูดว่า “แล้วจะให้ผมเข้ามาเมืองหลวงทำไม”

หานอู๋ซวงพูดว่า “น่าแปลกก็ตรงนี่แหละ เพราะนายได้รับการอนุมัติจากฝ่าบาทเป็นพิเศษ ฝ่าบาทบอกให้นายมา ใครกล้าพูดว่าไม่ได้ล่ะ แต่ฝ่าบาทไม่ได้พูดว่าจะเอาโควตารายชื่อให้นาย แค่พูดว่าให้นายมาเมืองหลวง”

ลู่ฝานพูดว่า “นี่มันอะไรกัน ให้ผมมาแล้วจะไม่ให้โควตารายชื่อผมเหรอ จะให้ผมกลับไปอีกรอบเหรอ”

หานอู๋ซวงพูดว่า “ถ้านายกลับไปได้อย่างปลอดภัยก็ดี แต่เรื่องไม่ได้ง่ายอย่างที่นายคิด ฉันพูดกับนายแบบนี้แล้วกัน ในเมื่อโควตารายชื่อคัดเลือกดูแลโดยองค์รัชทายาท งั้นนายลองคิดดูสิ ทำไมองค์รัชทายาทถึงไม่ยอมให้โควตารายชื่อกับนาย”

ลู่ฝานคิดพลางพูดว่า “ไม่เข้าใจ ผมไม่เคยล่วงเกินเขา ไม่เคยต่อว่าอะไรเขา แม้แต่หน้าตาเขาผมก็ยังไม่รู้ว่าเป็นยังไง”

ทันใดนั้น แววตาลู่ฝานเป็นประกาย “อย่าบอกนะว่าเพราะผมฆ่าผู้เฝ้าเมืองไปคนหนึ่ง”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 944
ข่าวที่เทียนตู้สถาบันบู๊องอาจนัดสู้กับลู่ฝาน แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วภายในคืนนั้น

ไม่รู้ว่าเทียนตู้เป็นคนปล่อยข่าวเอง หรือคนอื่นในสถาบันบู๊องอาจช่วยกระจายข่าว สรุปว่าไม่นานข่าวก็แพร่กระจายออกไป

สถาบันบู๊องอาจ

ตั้งอยู่ในเมืองชั้นนอกทางทิศเหนือของเมืองหลวง มองไปยังเทือกเขาสีเขียวสุดลูกหูลูกตา

ใช่ ในเมืองมีภูเขา อีกทั้งยังไม่ใช่แค่ลูกเดียว แต่เป็นแถบ นี่ถือว่าเป็นจุดเด่นของเมืองหลวง

ล้อมรอบด้วยภูเขา เหล่าสิ่งก่อสร้างสีทองระยิบระยับ นี่คือสถาบันบู๊องอาจ

ตอนนี้ในสถาบันบู๊องอาจ มีนักเรียนจำนวนไม่น้อยกำลังพูดคุยเรื่องนี้

แสงสว่างขึ้นหน้าประตูสถาบันบู๊องอาจ นักเรียนแต่ละคนเดินออกมาจากแสง

นี่เป็นจุดของค่ายกลเคลื่อนย้าย ใช้สำหรับการเดินทางภายในเมืองหลวง ใช้งานครั้งละหนึ่งเหรียญทอง ถูกและใช้งานได้จริง ครั้งหนึ่งสามารถข้ามได้เป็นหมื่นลี้ ถ้าจ่ายเงินเยอะ สามารถข้ามจากเมืองชั้นนอกไปยังหัวเมืองได้ทันที ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

ลู่ฝานกับหานสงอาศัยค่ายกลนี้ รีบกลับมาตระกูลหานภายในเวลาไม่กี่วัน นักเรียนสถาบันบู๊องอาจพวกนี้ก็อาศัยค่ายกลนี้ เดินหาประสบการณ์ทั่วทุกที่ในเมืองหลวง

“ลู่ฝาน สองวันนี้ฉันได้ยินชื่อนี้หลายรอบมาก เขาเก่งมากเหรอ ถึงกับต้องให้ศิษย์พี่เทียนตู้ลงมือ”

“ไม่รู้ แต่คิดดูแล้ว เขตเล็กๆ แบบตงหวา จะมีนักบู๊ที่เก่งกาจออกมาเยอะเหรอ”

“ได้ยินว่าเขาเอาชนะหานสงได้”

“หานสง เหอะๆ ก็แค่คนโง่ที่โดนสถาบันไล่ออกเท่านั้น”

“ฉันก็คิดอย่างนั้น”

……

นักเรียนสองสามคนพูดคุยยิ้มแย้ม

จู่ๆ มีผู้ชายสูงใหญ่คนหนึ่งเดินเข้ามา พูดเสียงใหญ่ว่า “คุยอะไรกัน เขาเก่งหรือไม่เก่ง เกี่ยวอะไรกับพวกนาย รีบไปฝึกเลย!”

นักเรียนสองสามคนรีบโค้งคำนับแล้วพูดว่า “ครับอาจารย์เหลย เราจะไปเดี๋ยวนี้”

นักเรียนทุกคนรีบวิ่งออกไป เหมือนหนูเจอแมว

อาจารย์เหลยลูบคางตัวเอง ยืนอยู่ที่เดิม เหมือนกำลังรอใครอยู่

ทันใดนั้น อาจารย์อีกคนมาถึงแบบตัวกลายเป็นลำแสง ร่วงลงด้านหน้าอาจารย์เหลย

“ไอ้เฒ่าเหลย นายรีบเรียกฉันมามีเรื่องอะไรกันแน่”

คนนี้สวมชุดดำทั้งตัว รูปร่างสมส่วน หัวล้านแวววาว แต่กลับดูมีความรู้ล้ำลึกมาก

อาจารย์เหลยพูดว่า “ถิงยวน ฉันไม่ได้เรียกนายมา แต่วันนี้อยู่ดีๆ อาจารย์ก็ส่งจดหมายมาให้ฉัน นายมาดูสิ”

ถิงยวนใบหน้าประหลาดใจ จากนั้นพูดว่า “อาจารย์เหรอ คนแก่อย่างเขาส่งจดหมายหาเราทำไม”

รีบเดินไปข้างหน้า อาจารย์เหลยเอากระดาษบางๆ ออกมาแผ่นหนึ่ง

ด้านบนมีตัวหนังสือเพียงบรรทัดเดียว “หาลู่ฝานให้เจอ เชิญเขามาสาขาสายฟ้า!”

ถิงยวนขมวดคิ้วพูดว่า “ลู่ฝานคือใคร”

อาจารย์เหลยพูดด้วยรอยยิ้ม “ความน่าสนใจอยู่ตรงนี้แหละ เมื่อวานฉันยังไม่รู้ว่าลู่ฝานคือใคร แต่วันนี้ฉันรู้แล้ว อีกสามวันเขาจะประลองกับเทียนตู้พอดี”

ถิงยวนพยักหน้าพูดว่า “ที่แท้เป็นนักบู๊อายุน้อยนี่เอง แต่ฉันไม่เข้าใจ ทำไมอาจารย์ต้องพูดคำว่าเชิญ”

อาจารย์เหลยก็ขมวดคิ้วพูดว่า “ไม่รู้ ฉันก็สงสัยเรื่องนี้เหมือนกัน ทำไมต้องพูดคำว่าเชิญล่ะ ฐานะอาจารย์อย่างเรา ถึงเป็นลูกชายของจักรพรรดิ ก็ไม่จำเป็นต้องใช้คำนี้ พูดขึ้นมา ฉันยังไม่เคยเห็นอาจารย์ใช้คำนี้เลย นี่เป็นครั้งแรก”

ถิงยวนขมวดคิ้วขึ้นมาเหมือนกัน ทั้งสองครุ่นคิดเงียบๆ

ค่ำคืนดวงดาวเต็มท้องฟ้า

ดวงดาวที่เมืองหลวง สว่างสดใส เมื่อถึงเวลาพลบค่ำ ดวงดาวที่นี่ระยิบระยับเป็นพิเศษ ราวกับสามารถร่วงลงมาได้ทุกเมื่อ

ที่ตระกูลหาน ลู่ฝานที่เพิ่งนัดสู้กับเทียนตู้เมื่อครู่ กำลังเล่นหมากรุกกับหานอู๋ซวงอย่างมีความสุข

วัยรุ่นสวมชุดนักบู๊ของสถาบันบู๊องอาจกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ในนั้น ภายในนั้นมีเว่ยซูจิ้งที่เพิ่งเจอกันเมื่อสองวันก่อน ลู่ฝานมองแวบเดียวก็จำได้

ทันใดนั้น ลู่ฝานพอเข้าใจแล้วว่าคือเรื่องอะไร ตอนนี้หานสงเห็นลู่ฝานมา ก็ตะโกนเสียงดังว่า “ลู่ฝาน นายมาทำไม ให้ตายเถอะ ใครใช้ให้พวกนายไปเรียกลู่ฝานมา ฉันบอกแล้วว่าฉันจัดการเองได้”

“หุบปาก!”

หานจุนที่อยู่ข้างๆ ถลึงตาใส่หานสง หลังจากนั้นหานจุนมองพวกนักเรียนสถาบันบู๊องอาจที่อยู่ด้านหน้า แล้วพูดว่า “เด็กเวรสถาบันบู๊องอาจ จะมาก่อเรื่องคงมาผิดที่แล้วล่ะ ที่นี่คือตระกูลหาน พวกนายดูชัดเจนแล้วหรือยัง”

หานอู๋ซวงก็พูดเสียงดังว่า “เรื่องอะไรกัน กล้ามาโวยวายถึงตระกูลหาน”

นักเรียนที่เป็นคนนำมาก้าวออกมา เสื้อขาวดุจหิมะ คิ้วคมเหมือนกระบี่ มีสง่าราศี ผู้ชายโค้งคำนับหานจุนกับหานอู๋ซวง “ผู้อาวุโสรองหาน ผู้อาวุโสใหญ่หาน ผมเทียนตู้แห่งสถาบันบู๊องอาจ วันนี้มาเพื่อทวงความยุติธรรมให้เหล่าศิษย์น้อง ไม่ได้มาก่อเรื่องที่ตระกูลหาน แต่ลู่ฝานฆาตกรที่ทำร้ายศิษย์น้องผมอยู่ที่ตระกูลหาน ดังนั้นพวกเราจึงต้องมา วันนี้เรามานัดสู้กับลู่ฝานเท่านั้น ไม่มีเรื่องอื่น ถ้าทำอะไรล่วงเกิน เทียนตู้ขออภัยผู้อาวุโสทุกท่านไว้ล่วงหน้า!”

เทียนตู้พูดอย่างสง่าน่าเกรงขาม มีเหตุผลมีหลักฐาน หานจุนไม่มีเหตุผลให้เถียงแล้ว

ขณะนั้นลู่ฝานเดินออกมาพูดว่า “ในเมื่อพวกนายมาแล้ว งั้นเชิญบอกวิธีต่อสู้มา”

เทียนตู้เห็นลู่ฝานออกมาสักที รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้า

พวกนักเรียนสถาบันบู๊องอาจมองลู่ฝาน พูดเสียงดังว่า “ศิษย์พี่เทียนตู้ เขานี่แหละ”

เว่ยซูจิ้งดึงเสื้อเทียนตู้แล้วพูดว่า “ศิษย์พี่เทียนตู้ พี่ต้องระบายอารมณ์แทนฉันนะ”

เทียนตู้พยักหน้า ก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าว

“นายคือลู่ฝาน นักกระบี่แห่งตงหวาเหรอ”

เมื่อพูดจบ ในกลุ่มคนตระกูลหานมีเสียงตกใจดังขึ้น

“เขาคือนักกระบี่แห่งตงหวาเหรอ โอ๊ย ฉันรู้จักเขา นี่คือคนที่เพิ่งมีชื่อใหม่ในรายชื่อประเทศไม่ใช่เหรอ”

“ท่าทางไม่เลวนะ ดูทรงพลัง”

“ดูเหมือนเป็นเพื่อนกับพี่หานสง งั้นก็เป็นเพื่อนกับตระกูลหานของเรา ลู่ฝาน สู้ๆ!”

……

ลูกหลานตระกูลหานกลุ่มหนึ่งเลื่อนเก้าอี้มา นั่งแทะเมล็ดแตงโมอยู่ด้านข้าง ทำท่าเหมือนเตรียมดูเรื่องสนุก

ลู่ฝานกำลังจะพูดอะไร เมื่อหันมามองก็เห็นผู้อาวุโสใหญ่หานอู๋ซวง ผู้อาวุโสรองหานจุน นั่งแทะเมล็ดแตงโมกับเด็กๆ อยู่ด้านข้าง

อืม เป็นสไตล์ของตระกูลหานจริงๆ

ลู่ฝานส่ายหน้า พูดกับเทียนตู้ว่า “ฉันเอง จะสู้ก็มาสิ”

เทียนตู้พูดว่า “ชื่อเสียงของนายโด่งดัง ถ้าไม่เป็นแบบนี้ วันนี้ฉันคงไม่มาหรอก ถือโอกาสบอกนายเลยแล้วกัน ฉันก็เป็นผู้แข็งแกร่งในรายชื่อบู๊เหมือนกัน ฉันไม่รังแกนายหรอก วันนี้แค่มาแจ้งนายไว้ก่อน อีกสามวันกล้าสู้กับฉันต่อหน้าทุกคนหรือเปล่า!”

ลู่ฝานพูดว่า “สู้วันนี้ไม่ได้เหรอ”

เทียนตู้ยิ้มแล้วพูดว่า “ในเมื่อจะชนะ ก็ต้องชนะอย่างดงามหน่อย อีกสามวัน หน้าประตูสถาบันบู๊องอาจ กล้ามาไหม!”

ลู่ฝานพูดอย่างราบเรียบว่า “โอเค งั้นอีกสามวัน”

ได้ยินลู่ฝานรับปาก พวกเว่ยซูจิ้งยิ้มอย่างได้ใจทันที เหมือนพวกเขาเห็นภาพที่ลู่ฝาน โดนศิษย์พี่เทียนตู้ฟันอยู่ใต้กระบี่แล้ว

เทียนตู้สะบัดมือดึงอาวุธตัวเองออกมา เป็นกระบี่สีฟ้าคราม ชี้มาที่หน้าลู่ฝาน จากนั้นวาดลงบนพื้น

นี่คือวิธีนัดสู้ของสถาบันบู๊องอาจ เมื่อทำทุกอย่างเสร็จสิ้น เทียนตู้หันหลังพาพวกนักเรียนกลับ

พวกคนตระกูลหานที่เตรียมดูเรื่องสนุก ผิดหวังขึ้นมาเล็กน้อย รู้สึกว่ามานัดสู้จริงๆ ไม่ได้มาทะเลาะกัน

หานอู๋ซวงลุกขึ้นพูดว่า “อีกเดี๋ยวส่งคนไปเอาเงินที่สถาบันบู๊องอาจ นักเรียนของพวกเขาทำลานประลองบู๊ของเราเป็นรอยจนพังแล้ว”

พูดจบ หานอู๋ซวงเดินออกไป

เทียนตู้ที่ยังเดินไปไม่ไกล ได้ยินคำพูดของหานอู๋ซวง ก็ถึงกับเดินเซจนเกือบล้มลงพื้น

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 942
“ลู่ฝาน เมืองลู่เขตตงหวา ลู่ฝานครับ!”

ลู่ฝานพูดอย่างนอบน้อม

ชายวัยกลางคนพูดด้วยรอยยิ้ม “เขตตงหวา ถูกต้อง ไอ้เด็กบ้าหานเฟิงโดนลุงสามของเขาพาไปที่นั่น ลู่ฝานใช่ไหม ฉันชื่อหานอู๋ซวง คิดไม่ถึงว่านายจะเป็นศิษย์น้องของลูกชายฉัน นายเรียกฉันว่าลุงก็พอแล้ว มาเมืองหลวงครั้งนี้ คงไม่ใช่แค่ช่วยเอาของมาให้แทนหานเฟิงใช่ไหม”

ลู่ฝานพูดว่า “ผมมาเข้าร่วมการคัดเลือกครับ”

หานอู๋ซวงเลิกคิ้วขึ้นแล้วพูดว่า “คัดเลือกเหรอ นายหมายถึงคัดเลือกการแข่งนานาประเทศเหรอ บ้านนายรวยนะเนี่ย ฉันจำไม่ได้เลยว่าข้าราชการใหญ่คนไหนในเมืองที่แซ่ลู่”

ลู่ฝานไม่เข้าใจว่าเกี่ยวข้องอะไรกับเงิน จึงตอบว่า “ผมมาเมืองหลวงครั้งแรก ไม่รู้จักข้าราชการอะไรหรอกครับ”

หานอู๋ซวงยิ่งแปลกใจ “ไม่รู้จักข้าราชการเหรอ แล้วนายมีรายชื่อคัดเลือกได้ยังไง”

ลู่ฝานคิดแล้วพูดว่า “อาจเป็นเพราะผมสอบผ่านผู้ตรวจการชั้นกลาง ราชสำนักเลยให้ครับ”

“อะไรนะ นายพูดอีกรอบสิ นายสอบผ่านผู้ตรวจกลางชั้นกลางเหรอ”

แววตาหานอู๋ซวงเริ่มเป็นประกาย ครุ่นคิดครู่หนึ่ง เหมือนหานอู๋ซวงนึกอะไรขึ้นได้ ชี้ลู่ฝานแล้วพูดว่า “นายไม่ใช่ลู่ฝานที่ฟันมารทั้งสี่ด้วยกระบี่เดียว แล้วโดนหน่วยองครักษ์เสิ่นหวาบันทึกเอาไว้ใช่ไหม!”

เมื่อได้ยินว่าฟันมารทั้งสี่ด้วยกระบี่เดียว ก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไร

นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาทำ แต่ตอนนี้เขาทำได้เพียงพยักหน้ายอมรับ “ผมเองครับ”

หานอู๋ซวงหัวเราะเสียงดัง

“ลูกชายฉันมีศิษย์น้องสุดเจ๋งขนาดนี้ด้วยเหรอ ไม่เลวๆ ฉันได้ยินว่านายคือคนที่ฝ่าบาทอนุมัติให้มาเมืองหลวง ตอนฤดูใบไม้ผลิปีหน้า แต่นายมาก่อน ฉันจะบอกนายว่าบางเรื่อง การเตรียมตัวก่อนไม่ใช่นิสัยที่ดี นายมาแล้วก็ต้องระวังนะ”

ลู่ฝานไม่ค่อยเข้าใจ ขณะกำลังจะถาม

มีเสียงดังตะโกนมาจากข้างล่าง “ลู่ฝานอยู่ไหน ลู่ฝานออกมา มีคนมาหานายข้างนอก”

ลู่ฝานขมวดคิ้วเบาๆ มีคนมาหาเขาเหรอ

ในเวลาแบบนี้ ในที่แบบนี้ ใครจะมาหาเขา

แต่หานอู๋ซวงมีสีหน้าเข้าใจ พูดลึกซึ้งจนคาดเดาไม่ถูก “มาแล้วสินะ มาเร็วจริงๆ ไอ้หนุ่ม ถ้านายไม่ไหวก็รีบยอมแพ้ ฟังลุงสักหน่อย บางครั้งกลัวสักหน่อยก็ไม่ใช่เรื่องไม่ดี”

ลู่ฝานได้ยินแล้วรู้สึกประหลาด นี่ไม่เหมือนคำพูดของคนตระกูลหานเลย อย่างน้อยหานเฟิงก็ไม่มีทางพูดแบบนี้

ลู่ฝานลุกขึ้นกำลังจะเดินไปข้างนอก แต่เขาก็หันมาถามอย่างสงสัย

“ลุงหาน อธิบายให้ผมฟังหน่อยได้ไหม”

หานอู๋ซงพูดด้วยรอยยิ้ม “ไปดูก่อนว่าใครมาหาเรื่องนาย อยากฟังคำอธิบาย รอให้นายผ่านด่านนี้แล้วค่อยว่ากัน”

พูดพลาง หานอู๋ซวงดันลู่ฝานหนึ่งที ให้เขาเดินไปข้างนอก

ลู่ฝานใบหน้างุนงง ด่านอะไรกัน! เขาไม่เข้าใจ

เดินลงจากยอดเขาตระกูลหาน ลู่ฝานเห็นลูกหลานตระกูลหานคนหนึ่ง ยังตะโกนเรียกชื่อเขาอยู่

ลู่ฝานพูดว่า “ฉันคือลู่ฝาน ใครมาหาฉัน”

ลูกหลานตระกูลหานคนนี้มองลู่ฝานตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วพูดว่า “พี่ผอมแห้งกว่าที่ฉันคิดไว้นะ พี่ลู่ฝาน คนของสถาบันบู๊องอาจมา รอพี่อยู่ข้างนอก รีบไปเถอะ”

หานอู๋ซวงได้ยินว่าสถาบันบู๊องอาจ ก็พูดอย่างประหลาดใจว่า “เป็นไปไม่ได้ ทำไมมาถึงก็ทำให้คนของสถาบันบู๊องอาจออกมาเลยล่ะ”

ลู่ฝานรีบเดินไปข้างนอก กลุ่มคนตระกูลหานก็เริ่มสอบถามว่าเรื่องอะไร หลังจากนั้นกลุ่มคนเดินตามไปข้างนอก

เมื่อเดินออกจากหลังเขาตระกูลหาน มาถึงลานประลองบู๊ข้างหน้า จู่ๆ ก็พบว่ารอบๆ ลานประลองบู๊เต็มไปด้วยผู้คน

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 941
เมื่อพูดเช่นนี้ ลู่ฝานเอาของชิ้นหนึ่งออกมา นั่นเป็นจิตอัคคีครึ่งหนึ่งที่เขาใส่ไว้ในเข็มขัด

มองอยู่สองสามที ลู่ฝานเก็บมันลงไปอย่างรวดเร็ว

พยายามควบคุมอารมณ์ตัวเองให้สงบลง ในที่สุดลู่ฝานมาถึงหน้าห้องสีขาวแล้ว

หน้าประตูมีต้นไม้หนึ่งต้น ชายวัยกลางคนคนหนึ่ง กำลังนั่งเล่นหมากรุกใต้ต้นไม้ เสื้อสีขาว เท้าเปล่า ผมเผ้ายุ่งเหยิง หนวดเต็มหน้า

ไม่มีใครเล่นหมากรุกกับเขา เขาเล่นอยู่คนเดียว

ลู่ฝานเพิ่งเดินถึงหน้าประตู ชายวัยกลางคนพูดแบบไม่เงยหน้าขึ้นว่า “นายมาหาใคร”

ลู่ฝานพูดว่า “ขอถามหน่อย พ่อของหานเฟิงอยู่ที่นี่ไหม”

ชายวัยกลางคนพูดเสียงดังว่า “ตายแล้ว พ่อหานเฟิงโกรธหานเฟิงจนตายไปแล้ว”

พูดพลาง ชายวัยกลางคนวางตัวหมากลงบนกระดานอย่างแรง จนเกือบทำให้กระดานหมากรุกแตกกระจาย

ลู่ฝานมองการกระทำนี้ แอบหวั่นใจเล็กน้อย เขาเดินมาข้างหน้าแล้วพูดว่า “คุณเป็นพ่อของหานเฟิงใช่ไหม”

ในที่สุดชายวัยกลางคนก็เงยหน้าขึ้น มองลู่ฝานแล้วพูดว่า “นายมีเรื่องอะไรกันแน่ มีอะไรก็รีบๆ พูดมา”

ลู่ฝานพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่ได้มีเรื่องเร่งด่วนอะไรหรอกครับ แต่ศิษย์พี่หานเฟิงสั่งผมว่า หลังจากมาถึงเมืองหลวง ต้องมาทักทายคุณลุงแทนเขาครับ”

ลู่ฝานพูดพลางโค้งตัวทำความเคารพ

เมื่อชายวัยกลางคนได้ยิน จู่ๆ เขากระทืบเท้าแล้วด่าว่า “ไอ้เด็กเวรนั่นให้นายมาเหรอ แล้วไอ้เลวนั่นไปไหน ยังไม่กลับมาอีก ต้องให้ฉันไปเชิญเขากลับมาใช่ไหม”

ลู่ฝานใบหน้ากระอักกระอ่วน ไม่รู้ควรจะพูดอะไร

ชายวัยกลางคนเดินมาข้างหน้าลู่ฝาน แล้วพูดว่า “นายคือศิษย์น้องของหานเฟิงเหรอ หมายความว่าเขาอยู่ในสถาบันสอนวิชาบู๊ ที่ตาเฒ่าเทียหยาจื่อเปิดจริงๆ เหรอ เขาใช้ชีวิตเป็นยังไงบ้าง โดนคนตีจนเกือบตายแล้วใช่ไหม เลยให้นายมาขอร้องฉัน หรือเขาตายอยู่ข้างนอกแล้ว เลยให้นายมาส่งข่าวให้ฉัน บอกมา!”

ลู่ฝานรู้สึกว่าหูตัวเองโดนสะเทือนจนจะหนวกแล้ว เสียงนี้พอๆ กับเคล็ดวิชาบู๊ระดับดินเลย

ลู่ฝานรีบพูดว่า “ศิษย์พี่หานเฟิงใช้ชีวิตอย่างดีเลยครับ ไม่ได้เป็นอะไรเลย แค่ให้ผมมาทักทายเท่านั้น เขาให้ผมเอาของขวัญมาให้ด้วย”

ลู่ฝานเอาหินออกมาก้อนหนึ่ง นี่เป็นของที่ศิษย์พี่หานเฟิงให้เขาเอากลับมาจริงๆ

แต่ลู่ฝานเข้าใจเป็นอย่างดี หินพังๆ ก้อนนี้ เป็นหินที่ศิษย์พี่หานเฟิงใช้ยาเม็ดคุณภาพแย่สองเม็ดแลกมา ที่ตลาดหม้อยา

ลู่ฝานถือหินไว้ จู่ๆ ก็ไม่กล้ายื่นให้ แต่ชายวัยกลางคนคว้าหินไปทันที

“ยังนับว่าเขามีความกตัญญู รู้จักซื้อของให้พ่อ นี่หินบ้าบออะไร เขาไม่ได้เก็บมาจากไหน แล้วให้นายเอามาให้ฉันใช่ไหม”

ลู่ฝานแอบพึมพำในใจ อันที่จริงก็ไม่ต่างจากการเก็บมาเท่าไร

แต่ภายนอกลู่ฝานกลับพูดเสียงดังว่า “จะเป็นของที่เก็บมาได้ยังไงล่ะครับ นี่เป็นของที่ศิษย์พี่หานเฟิงได้มาแบบเกือบเอาชีวิตไม่รอด”

ในที่สุดก็มีรอยยิ้มปรากฏบนหน้าชายวัยกลางคน เขาถือก้อนหินมองซ้ายมองขวา ยิ้มแล้วพูดว่า “นี่พอได้หน่อย แม้ดูไม่ออกว่าเป็นหินบ้าบออะไร แต่ในเมื่อเป็นของที่ลูกชายแสดงความกตัญญูต่อฉัน น่าจะเป็นของดี ฉันเก็บไว้แล้วกัน รอนายกลับไปเมื่อไร บอกให้เขารีบกลับมาด้วย ไปใช้ชีวิตอะไรข้างนอก รีบกลับมาสืบทอดธุรกิจตระกูล แต่งงานมีลูก ถ้าเขากลับมาเร็ว ฉันจะไม่ซัดเขา”

ลู่ฝานปาดเหงื่อบนหน้าผาก ยังดีที่ศิษย์พี่หานเฟิงพูดถูก พ่อของเขาดูไม่ออก ไม่งั้นเขาซวยแน่

ชายวัยกลางคนยัดหินเข้าไปในเข็มขัด หลังจากนั้นมองลู่ฝานแล้วพูดว่า “โอเค ตอนนี้นายแนะนำตัวเองหน่อยสิ นายชื่ออะไร”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 940
ทั้งสองสบตากัน สีหน้าทั้งสองคนประหลาดใจ

ลู่ฝานคิดไม่ถึงว่าจะเจออู่คงหลิงที่นี่ เช่นเดียวกัน อู่คงหลิงก็ดูเหมือนคิดไม่ถึงว่าจะเจอลู่ฝานที่นี่

ตั้งแต่จากกันที่เมืองตงหวา ใกล้ผ่านไปหนึ่งปีแล้ว

ครั้งนี้ได้เจออู่คงหลิงที่นี่ รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าลู่ฝานทันที ขณะกำลังจะเดินเข้าไปพูด อู่คงหลิงเก็บสายตาประหลาดใจเอาไว้ มองลู่ฝานอย่างราบเรียบแล้วพูดว่า “สวัสดี นายรู้จักฉันเหรอ”

ลู่ฝานอึ้งไปครู่หนึ่ง แล้วขมวดคิ้วขึ้นมา

ผู้ชายที่ยืนกับอู่คงหลิง ก็มองลู่ฝานตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสายตาประหลาด

ลู่ฝานมองดวงตาอู่คงหลิง ด้านหลังผ้าปิดหน้าบาง เงียบอยู่นานแล้วพูดว่า “เธอไม่รู้จักฉันเหรอ”

อู่คงหลิงพูดอย่างประหลาดใจเล็กน้อย “เราเคยเจอกันเหรอ นายเป็นใคร”

ลู่ฝานพยักหน้าเข้าใจแล้วพูดว่า “ขอโทษด้วย ฉันจำคนผิดแล้ว”

พูดจบ ลู่ฝานเดินไปด้านหน้า

จู่ๆ ผู้ชายข้างอู่คงหลิงเรียกลู่ฝานแล้วพูดว่า “เดี๋ยวก่อน นายเป็นใคร ทำไมมาอยู่ในตระกูลหาน”

ผู้ชายยื่นมือมาวางบนไหล่ลู่ฝาน รั้งเขาเอาไว้

เหมือนแรงบนฝ่ามือเขาเยอะไปหน่อย ลู่ฝานรู้สึกว่าแรงมากมายกำลังกดกล้ามเนื้อเขาอยู่

แต่เขาคิดจะรั้งลู่ฝานเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าไร้เดียงสาเกินไป

ลู่ฝานควบคุมกล้ามเนื้อให้ดีดตัว สะเทือนมือของผู้ชายออกไป

ลู่ฝานหันมามองผู้ชายแล้วพูดว่า “ฉันเป็นเพื่อนหานสง มายืมที่พักสองสามวัน”

ผู้ชายมองมือตัวเอง สีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย

“ฝีมือดี มีความสามารถ สหายท่านนี้ ไม่มีอะไรหรอกแค่ถามเท่านั้น ฉันชื่อหานหยวนหนิง ลูกหลานตระกูลหาน มีโอกาสหวังว่าจะได้ประลองกันสักสองสามกระบวนท่า!”

หานหยวนหนิงพูดกับลู่ฝานด้วยรอยยิ้ม

ลู่ฝานพยักหน้าแล้วพูดว่า “มีโอกาสอยู่แล้ว”

พูดจบ ลู่ฝานมองอู่คงหลิงครู่หนึ่ง แต่อู่คงหลิงกลับหันหน้าไป

ลู่ฝานไม่ได้พูดอะไร เดินตรงออกไป

หานหยวนหนิงมองลู่ฝานเดินออกไป จากนั้นยกมือตัวเองขึ้นมา แล้วพูดว่า “หมอนี่น่าสนใจ เป็นคนฝีมือดีที่ฝึกร่างจนถึงระดับแดน คิดไม่ถึงเลยว่าหานสงจะมีเพื่อนแบบนี้ ไอ้หมอนี่ไม่ได้ทำเป็นแค่ก่อเรื่องแล้ว คงหลิง เธอไม่รู้จักเขาจริงเหรอ”

อู่คงหลิงพูดอย่างราบเรียบว่า “ทำไมฉันต้องรู้จักเขาล่ะ”

พูดพลาง อู่คงหลิงยิ้มบางๆ ให้หานหยวนหนิง แล้วเลิกคิ้วขึ้น อ่อนโยนน่ารักจนพูดไม่ออก

แม้มีผ้าบางๆ กั้นอยู่ แต่เหมือนหานหยวนหนิงเห็นใบหน้างดงามสุดยอดของอู่คงหลิง กำลังยิ้มบางๆ ให้ตัวเอง

หานหยวนหนิงเคลิ้มทันที พูดด้วยสายตาเหม่อลอยว่า “ใช่ ทำไมเธอต้องรู้จักเขา เธอรู้จักฉันก็พอแล้ว!”

อู่คงหลิงพูดด้วยรอยยิ้ม “ทุเรศ วันนี้นายบอกแล้วว่าจะพาฉันไปเดินเล่นที่สนุกๆ ของตระกูลหาน อย่าลืมละกัน!”

หานหยวนหนิงพยักหน้าหงึกๆ พาอู่คงหลิงเดินออกไป

ลู่ฝานเร่งฝีเท้าเร็วขึ้น ความโกรธผุดขึ้นในใจ

เขาก็ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองต้องโกรธ แต่เขาควบคุมอารมณ์โกรธของตัวเองไม่ได้

เจ้าดำที่อยู่บนไหล่ เหมือนรู้สึกถึงความโกรธของลู่ฝาน มันหมอบนิ่งๆ ไม่กล้าขยับอีก

ทันใดนั้น ลู่ฝานชะงักฝีเท้าแล้วพูดว่า “ฉันไม่เข้าใจ เป็นคนคุ้นเคยที่รู้จักกันแท้ๆ ทำไมต้องทำเป็นไม่รู้จักด้วย”

สิบสามมองซ้ายมองขวา สีหน้าสับสน เจ้านายกำลังพูดกับใคร

ผ่านไปครู่หนึ่ง สิบสามไม่เห็นคนอื่น จึงพูดว่า “เจ้านาย”

ลู่ฝานหันมามองสิบสามแล้วพูดว่า “นายมีอะไรจะพูดเหรอ”

สิบสามครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วส่ายหน้าพูดว่า “ไม่รู้”

ลู่ฝานถอนหายใจหนึ่งครั้ง สะบัดหัวแล้วพูดว่า “ช่างเถอะ ไม่รู้จักก็ไม่รู้จัก”

สีหน้าหานจุนเปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้นพูดว่า “หมีบื้ออย่างนายนี่ข่าวเร็วจริงๆ ช่างเถอะ ไม่หลอกนายแล้ว เดี๋ยวนายจะพูดลับหลังว่าฉันรังแกเด็ก นายเอาเพื่อนเลวๆ คนไหนกลับมาอีกล่ะ”

หมีบื้อชี้ลู่ฝานแล้วพูดว่า “ลู่ฝาน น้องลู่ฝาน เขาเป็นศิษย์น้องของหานเฟิง”

เมื่อหานจุนได้ยินชื่อหานเฟิง ตอนแรกเขาอึ้งไป จากนั้นยิ้มแล้วพูดว่า “ไอ้เจ้าหานเฟิงมีศิษย์น้องด้วยเหรอ ลู่ฝาน ชื่อนี้คุ้นหูนิดหน่อย ฉันคิดออกแล้ว สองวันนี้ด้านนอกคุยกันว่า มีนักกระบี่แห่งตงหวาชื่อลู่ฝานเข้ามาในเมือง คือนายเหรอ”

ลู่ฝานคารวะแล้วพูดว่า “พบท่านผู้อาวุโสรอง ผมลู่ฝานเขตตงหวา นี่เป็นพ่อบ้านของผม ชื่อสิบสามครับ”

หานจุนหัวเราะร่าแล้วพูดว่า “เป็นนายจริงด้วย ชื่อเสียงของนายไม่เบาเลย เข้าเมืองมาก็มีชื่อเสียงแล้ว นายรู้ไหมว่ามีพวกนักบู๊น่าเบื่อข้างนอกตั้งเท่าไร อยากใช้ชื่อเสียงของนาย”

ลู่ฝานอึ้งไปแล้วพูดว่า “ไม่รู้จริงๆ ครับ”

หานจุนพูดว่า “ดูเหมือนนายก็เป็นคนที่มุทะลุนะ ช่างเถอะ ในเมื่อเป็นเพื่อนหานสง อีกทั้งยังรู้จักหานเฟิงด้วย พักที่ตระกูลหานก่อนสิ ไม่มีอะไรอื่น แต่มีการต้อนรับอย่างดี สถานที่ใหญ่ ลานบ้านเยอะ สาวงามมากมาย เนื้อเยอะแยะ เลือกได้ตามสบาย!”

คำพูดของหานจุน เกือบทำให้ลู่ฝานสำลักจนไอออกมา

การที่ลูกหลานตระกูลหานหน้าไม่อาย เป็นสิ่งที่สืบทอดกันมาทางสายเลือดจริงๆ

หานจุนพาลู่ฝานกับหานสงเดินไปด้านใน เหมือนอาวุธพวกนั้นมีตา หลีกทางให้ทั้งสามคนโดยอัตโนมัติ

เดินผ่านลานประลองบู๊ ก็เป็นลานประลองบู๊อีก หลังจากนั้นก็เป็นลานประลองบู๊อีก

ทั้งตระกูลหานเหมือนไม่มีอะไร นอกจากลานประลองบู๊

กว่าจะเดินออกจากลานประลองบู๊แห่งสุดท้ายได้ไม่ง่ายเลย สิ่งที่ปรากฏอยู่ในสายตา คือภูเขาเล็กๆ ห้องต่างๆ สร้างบนภูเขา ตลอดทางขึ้นไปด้านบน เริ่มตั้งแต่เชิงเขามีห้องกระจัดกระจายไปหมด

เมื่อเดินถึงตรงนี้ ลู่ฝานเห็นสมาชิกในครอบครัวตระกูลหานสักที ผู้หญิงต่างๆ เดินผ่าน เช่น เผ่าจิ้งจอก เผ่าเงือก มนุษย์เผ่ามังกร เป็นต้น คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีทุกอย่าง หลายคนที่เดินผ่าน ส่งสายตาหวานให้หานสง เห็นได้ชัดว่าเป็นคนรักเก่า!

ขึ้นมาบนเขา มีทางแยกเล็กๆ มากมาย ทางหินบลูสโตร มีกลิ่นอายเก่าแก่โบราณ

จู่ๆ ลู่ฝานรู้สึกว่าพลังฟ้าดินรอบๆ เพิ่มขึ้น เหมือนที่นี่เป็นแหล่งรวมพลังฟ้าดิน กล่าวอีกนัยหนึ่ง ที่นี่คือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์

หานจุนชี้ห้องบนเขาแล้วพูดว่า “ลู่ฝาน ถ้าจะพักก็หาห้องที่ไม่มีคนอยู่ได้เลย ถ้าได้ยินเสียงนาฬิกาก็คือเวลากินข้าว จำไว่ว่าต้องออกมาตรงเวลา อย่าลืมกินข้าว”

ลู่ฝานพยักหน้าพูดว่า “เข้าใจแล้วครับ ผู้อาวุโสรอง เจ้าบ้านไม่อยู่จริงเหรอครับ ศิษย์พี่หานเฟิงมีของบางอย่าง ให้ผมเอามาให้เขา”

หานจุนพูดว่า “เจ้าบ้านไม่อยู่จริงๆ คุณท่านก็เก็บตัวไปแล้ว ถ้านายจะทำธุระแทนหานเฟิง ไปหาพ่อของหานเฟิงสิ”

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “ก็ได้ครับ”

หานจุนชี้ห้องหนึ่งบนเขาแล้วพูดว่า “ห้องสีขาวทางนั้น นายไปสิ พ่อหานเฟิงนิสัยไม่ดี นายระวังคำพูดหน่อย”

ลู่ฝานคำนับ แล้วเดินขึ้นไปด้านบน

เดินขึ้นไปตามขั้นบันได ฝีเท้าของลู่ฝานเบาและรวดเร็ว

จนเดินมาถึงหน้าห้องสีขาว จู่ๆ มีชายหญิงพูดคุยยิ้มแย้มเดินสวนมา

ลู่ฝานมองแวบหนึ่ง แล้วชะงักฝีเท้าลงทันที

เขาไม่รู้จักผู้ชาย แต่ผู้หญิงคนนั้น เขาคุ้นตามาก

ลู่ฝานอึ้งอยู่ที่เดิม แล้วพูดออกมาว่า “อู่คงหลิง!”

เมื่อได้ยินชื่อนี้ อู่คงหลิงที่ใส่ผ้าบางปิดหน้าหันมาทันที

พูดพลาง เด็กคนนี้ซัดหมัดใส่เอวลู่ฝานจริงๆ

แรงไม่เบาเลย แต่ลู่ฝานทำเพียงยิ้ม กล้ามเนื้อบนตัวขยับเบาๆ ดีดเด็กน้อยกลับไป

พวกเด็กที่อยู่ข้างๆ พูดอย่างตกใจ “มียอดฝีมือมา!”

หานสงหัวเราะร่า เดินพลางพูดกับลู่ฝานว่า “ศิษย์น้องลู่ฝานอย่าถือสาเลย ตระกูลหานก็แบบนี้แหละ พวกนายออกไปเล่นเลยไป!”

ลู่ฝานพูดด้วยรอยยิ้ม “ตอนฉันเด็กๆ ไม่ได้มีแรงเยอะขนาดนี้ ตระกูลหานไม่ธรรมดาจริงๆ”

หานสงพูดว่า “ความสามารถแค่นี้เอง ในสังคมนี้เด็กๆ ก็ต้องเรียนรู้ความแข็งแกร่งเหมือนกัน!”

พูดพลาง หานสงพาลู่ฝานเดินผ่านลานด้านหน้า หลังจากนั้นภาพข้างหน้าก็ชัดเจนแจ่มแจ้งขึ้น

นี่เป็นลานประลองบู๊ขนาดใหญ่ ไม่รู้กว้างเท่าไร

ตรงกลางมีอาวุธปักไว้เต็ม คิดไม่ถึงเลยว่ามันจะลอยเอง เหมือนเขาดาบที่ลู่ฝานเคยเห็น!

กลางลานประลองบู๊ คนเป็นร้อยกำลังฝึกฝนอยู่ การเคลื่อนไหวของพวกเขาพร้อมเพรียง ย่อตัวลงอย่างมั่นคง ซัดหมัดซ้ายขวาออกไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง อาวุธพวกนั้นปะทะกับตัวพวกเขาไม่หยุด จนเกิดเสียงดังชิ้งๆ มีเสียงบาดโดนผิวของบางคนดังขึ้นบางครั้ง แต่คนพวกนี้ไม่สนใจสักนิด เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น!

มีชายคนหนึ่งลอยอยู่ด้านบนลานประลองบู๊ นั่งกัดขาหมูอยู่บนเก้าอี้เมฆขาว มองดูทุกคน กินไปพูดไป

“คนตระกูลหาน ต้องสู้เป็น! ต้องโดนซัด! ความลำบากที่พวกนายเจอวันนี้ ต่อไปจะได้บาดเจ็บน้อยลง พวกนายเข้าใจหรือยัง”

“เข้าใจแล้ว!”

ลูกหลานตระกูลหานทั้งหมด พูดตอบรับเสียงดัง

ผู้ชายถามต่อ “ดีมาก ในเมื่อพวกนายเชื่อฟังขนาดนี้ วันนี้ให้รางวัลพวกนายออกหมัดอีกพันครั้ง ถ้าออกหมัดไม่ครบ ไม่อนุญาตให้กินข้าว ยอมไหม!”

“ไม่ยอม!”

คนเป็นร้อยตะโกนเสียงดัง

“ทำไมถึงไม่อนุญาตให้กินข้าว อาจารย์นี่สุดยอดไปเลย!”

“นักบู๊แดนปราณฟ้าเจ๋งมากเหรอ กล้ายุ่งเรื่องกินข้าวของฉันเหรอ!”

“เรื่องอื่นทนได้ แต่กินข้าวไม่ได้ ทนไม่ได้จริงๆ!”

ผู้ชายฟังเสียงตะโกนด้านล่างอย่างเฉยเมย แล้วพูดต่อ “ไม่ยอมก็ถูกต้องแล้ว ไม่ยอมก็มาตีฉันสิ! ฮ่าๆ พวกนายมาสิ! ตีไม่ถึงล่ะสิ ฝึกต่อ!”

หานสงมองภาพนี้ ส่ายหน้าไปมาแล้วพูดว่า “อบอุ่นจัง! น้องลู่ฝาน ฉันฝึกมาจากที่นี่แหละ กล้ามเนื้อแข็งแกร่งบนตัว คงไม่ต้องพูดอะไรแล้ว”

ลู่ฝานยิ้มอย่างมีความสุข วิธีฝึกบู๊ของตระกูลหานพิเศษจริงๆ

อาจารย์พูดออกมาแล้ว คนพวกนี้ยังกล้าเถียงเสียงดัง เปลี่ยนเป็นตระกูลอื่น กลัวว่าคนที่พูดคงโดนโบย

ลู่ฝานเงยหน้ามองชายที่ลอยอยู่กลางอากาศ แล้วพูดว่า “ท่านนี่คือใคร”

หานสงพูดว่า “นี่คือลุงรองของฉันเอง ชื่อหานจุน! มาสิๆ เดี๋ยวฉันแนะนำให้รู้จัก!”

พูดพลาง หานสงเดินเข้ามาในลานประลองบู๊ ตะโกนพูดกับหานจุนว่า “ลุงรอง มาเจอคนหน่อย!”

หานจุนที่กำลังกัดขาหมู ก้มลงมองหานสงแวบหนึ่ง จากนั้นพูดอย่างมีความสุขว่า “ในที่สุดคนขี้ขลาดอย่างนายก็กลับมาแล้ว วันๆ คุณท่านเอาแต่ตะโกนว่าจะโบยนาย นายดื่มเหล้าชั้นดีที่เขาแอบไว้จนหมดใช่ไหม ฮ่าๆ คนขี้ขลาดอย่างนายซวยจริงๆ!”

พูดพลาง หานจุนเด้งตัวลงจากอากาศ มาตรงหน้าลู่ฝานกับหานสง

หานจุนทำหน้าทำตาแล้วพูดว่า “หานสง ถ้านายยังมีเหล้าดีเก็บไว้ เอามาให้ลุงรองสิ ฉันจะพูดขอร้องช่วยนาย ไม่งั้นนายเตรียมตัวโดนกักบริเวณได้เลย!”

กล้ามเนื้อบนตัวหานสงกระตุกครู่หนึ่ง จากนั้นพูดว่า “ลุงรองขู่ฉันอีกแล้ว ฉันได้ยินมาแล้ว คุณท่านเก็บตัวแล้ว ฉันถึงกล้ากลับมา”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 936
ทันใดนั้น คนที่เดินไปมารอบๆ หลีกทางให้หมด ร้านค้าใหญ่ต่างๆ รีบประตูร้าน และรีบเปลี่ยนเอาแผ่นเหล็กมากั้นไว้ข้างนอก ดูท่าแล้วเหมือนไม่ได้เจอเรื่องแบบนี้เป็นครั้งแรก

บ่อนพนันก็มีคนพุ่งออกมาสองสามคน ตะโกนเสียงดังว่า “เปิดพนันแล้วๆ นักเรียนสถาบันบู๊องอาจสู้กับนักบู๊ลึกลับ พนันหนึ่งต่อสามๆ!”

สิบสามเอากระบี่ปาดลงบนฝ่ามือตัวเอง ด้วยใบหน้าราบเรียบ จากนั้นยื่นมือออกมา

นี่คือลักษณะการดวลที่เป็นมาตรฐาน แต่นักเรียนในที่นี้เห็นวิทยายุทธของสิบสาม มีใครกล้าเข้ามาสู้อีกล่ะ

หานสงหัวเราะร่า แล้วพูดว่า “รับคำท้าสิ! อย่ากลัว นักเรียนสถาบันบู๊องอาจแบบพวกนาย เจ๋งมากไม่ใช่เหรอ”

นักเรียนสิบกว่าคนมองหน้ากันไปมา ไม่มีใครกล้าเข้ามาสักคน

ช่วยไม่ได้ เห็นความแตกต่างของแดนอยู่ตรงหน้า ไม่มีใครอยากเข้าไปโดนซัดหรอก

“อย่ากลัว ฉันไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะลงมือกับเราจริงๆ”

ตอนนี้เว่ยซูจิ้งกัดฟันพูดออกมา

ขณะนี้คนทั้งถนนต่างหันมามอง ถ้าพวกเขากลัว ไม่เพียงแต่ทำให้สถาบันขายหน้า ยังทำให้ตระกูลขายหน้าอีกด้วย!

เมื่อพูดเช่นนี้ เว่ยซูจิ้งเดินออกมาก่อน

เอากระบี่ปาดลงบนมือตัวเอง เว่ยซูจิ้งมองสิบสามแล้วพูดว่า “ฉันจะดูสิว่านายกล้าลง……”

ยังไม่ทันพูดจบ ลมแรงม้วนตัวเธอไป

พลังปราณบนตัวแตกกระจายจนหมด ตรงเอวเว่ยซูจิ้งมีรอยเลือดหนึ่งรอยทันที

เลือดสดพุ่งออกมา เว่ยซูจิ้งตกใจจนช็อกไปแล้ว

สิบสามมองเธอทันที แววตานั่นเหมือนมองศพที่ตายไปแล้ว

เสียงกระทบดังขึ้น เว่ยซูจิ้งล้มลงกับพื้น

เธอคิดว่าการที่ตัวเองมาจากตระกูลเว่ย เป็นนักเรียนแถวหน้าของสถาบันบู๊องอาจ บวกกับเพศที่ได้เปรียบ อีกฝ่ายไม่น่าจะลงมือกับเธอ

แต่ใครจะไปคิด อีกฝ่ายไม่รอให้เธอพูดจบ ก็จู่โจมเธอด้วยกระบี่

กระบี่นี้ขาดแค่นิ้วเดียว ก็จะทำลายตันเถียนของเธอ นี่ต้องยกความดีความชอบให้หยกชีวิตตรงตันเถียนของเธอ ตอนนี้ตรงหยกชีวิตมีรอยกระบี่เพิ่มขึ้นมาหนึ่งรอย

อีกฝ่ายจะทำลายเธอจริงๆ!

เมื่อคิดถึงตรงนี้ เว่ยซูจิ้งคลานกลับไปอย่างหวาดผวา สภาพน่าเวทนานั้น หานสงเห็นแล้วหัวเราะจนจะเป็นบ้า

ลู่ฝานเห็นภาพนี้แล้วขมวดคิ้วเบาๆ สิบสามเข้าใจคำพูดของเขาว่าไม่ให้ฆ่าคน แต่กระบี่ของสิบสาม มีเป้าหมายทำลายคน สำหรับนักบู๊ เจ็บปวดยิ่งกว่าฆ่าตายเสียอีก

ลู่ฝานรีบไอแรงๆ ออกมาหนึ่งครั้ง

สิบสามได้ยินลู่ฝานไอ จึงขมวดคิ้วเบาๆ ครุ่นคิดในใจ หรือว่ากระบี่ของตัวเองพลาดไป เลยทำให้เจ้านายไม่พอใจ

เมื่อคิดเช่นนี้ พลานุภาพของสิบสามยิ่งเยอะขึ้น กระบี่ต่อไปเขาต้องไม่พลาดอีก!

กวาดสายตามองนักเรียนคนอื่น นักเรียนพวกนี้รีบถอยหลังทันที

ขนาดเว่ยซูจิ้งยังเกือบโดนทำลายด้วยกระบี่เดียว มีหรือคนอื่นจะกล้าเข้าไป

ไม่พูดอะไรสักคำ คนพวกนี้แบกเว่ยซูจิ้งวิ่งหนีไป

ลู่ฝานเห็นภาพนี้แล้วหัวเราะเบาๆ

“ถึงเป็นนักเลงอันธพาล สู้แพ้ อย่างน้อยก็ต้องพูดทิ้งท้ายแรงๆ สักหน่อย คิดไม่ถึงเลยว่านักเรียนพวกนี้เทียบกับนักเลงอันธพาลไม่ได้เลย”

แม้เสียงพูดของลู่ฝานไม่ดัง แต่ก็ลอยเข้าหูนักเรียนพวกนั้น

จู่ๆ นักเรียนพวกนี้อับอายจนหน้าแดง บางคนเกือบร้องไห้ออกมา เร่งความเร็วขึ้นอีก เพียงพริบตาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

“สะใจๆๆ! ลู่ฝาน ฉันเป็นเพื่อนกับน้องอย่างนายแน่นอน!”

หานสงหัวเราะเสียงดังแล้วพูดกับลู่ฝาน

ลู่ฝานปิดผ้าม่านรถ พูดกับสิบสามว่า “โอเค ไปต่อเถอะ”

หานสงเลิกผ้าม่านขึ้นแล้วเดินออกมา มองนักเรียนพวกนี้ด้วยสายตาโมโห

ตอนเห็นหานสง นักเรียนพวกนี้อึ้งไปก่อน จากนั้นพากันหัวเราะออกมา

“ฉันก็คิดว่าใครที่ไหน นี่หมีบื้อตระกูลหานไม่ใช่เหรอ!”

นักเรียนคนหนึ่งพูดแบบมีเลศนัย จากนั้นนักเรียนคนอื่นก็หัวเราะออกมา

หานสงโมโหแต่ระเบิดออกมาไม่ได้ แย่งเจ้าดำมาจากมือของเด็กผู้หญิงคนนั้น แล้วพูดว่า “นักเรียนสถาบันบู๊องอาจแบบพวกนาย จะทำให้สถาบันบู๊องอาจขายหน้าจริงๆ แย่งอสูรวิเศษของคนอื่นกลางถนน มียางอายไหม!”

เสียงของหานสงไม่เบาเลย คนบนถนนคนอื่นชะงักฝีเท้าลงทันที พากันหันมามองทางนี้

นักเรียนคนหนึ่งชี้หน้าหานสง แล้วพูดว่า “นายอย่ามาต่อว่าคนอื่น ใครแย่ง พวกเราแค่จะซื้อเท่านั้น”

หานสงด่าโพล่งออกมาว่า “ซื้อบรรพบุรุษนายน่ะสิ”

พูดพลาง หานสงเอาค้อนปอนด์ของตัวเองออกมา นักเรียนสิบกว่าคนรีบถอยหลังทันที

“หานสง นายจะทำอะไร นายกล้าลงมือกับเราเหรอ นายไม่อยากอยู่ในเมืองหลวงแล้วใช่ไหม!”

“หานสง นายลืมแล้วเหรอว่าตัวเองโดนไล่ออกจากสถาบันบู๊องอาจยังไง”

นักเรียนสองสามคนชี้หานสง แล้วตะโกนเสียงดัง

ลู่ฝานได้ยินคำพูดของพวกเขา พอเข้าใจอะไรขึ้นมาบ้าง

มิน่าล่ะ เขาได้ยินความเศร้าที่ออกมาจากคำพูดของหานสงเมื่อกี้ ที่แท้เขาโดนสถาบันไล่ออกนี่เอง

สีหน้าหานสงเปลี่ยนไป มือที่ถือค้อนปอนด์อยู่ จู่ๆ ก็ไม่รู้ว่าจะทุบลงมาดีหรือเปล่า

นักเรียนสองสามคนเห็นหานสงลังเล ก็หัวเราะออกมาทันที

โดยเฉพาะเด็กผู้หญิงที่แย่งเจ้าดำเมื่อครู่ ยิ้มเยาะแล้วพูดว่า “ฉันว่าแล้วว่านายไม่กล้าทุบหรอก หานสง อสูรวิเศษตัวนี้เป็นของนายเหรอ”

หานสงมองลู่ฝานแวบหนึ่ง จากนั้นพูดว่า “เว่ยซูจิ้ง ทางที่ดีเธออย่าแตะอสูรวิเศษตัวนี้ นี่เป็นของเพื่อนฉัน”

เว่ยซูจิ้งเดินเข้ามาหนึ่งก้าว แล้วพูดว่า “ไม่ใช่ของนายจะเดือดร้อนทำไม ฉันอยากซื้ออสูรวิเศษของเขา นายว่าราคามาสิ”

ตอนนี้ลู่ฝานเดินออกมาจากรถม้า เจ้าดำกระโดดขึ้นมาบนไหล่ของเขาทันที แล้วมองเว่ยซูจิ้งด้วยสายตาดูหมิ่น

“ฉันบอกแล้วว่าขายไม่ได้”

เว่ยซูจิ้งส่งเสียงหึอย่างเย็นชา แล้วพูดว่า “ไอ้หนุ่ม อย่าคิดว่านายรู้จักหานสง ก็คิดว่าตัวเองเจ๋ง ฉันจะบอกให้นะ ฉันคือคุณหนูตระกูลเว่ย พูดเรื่องฐานะ ไม่ด้อยกว่าหานสง ทางที่ดีนายคิดให้ดี”

เพิ่งพูดจบ นักเรียนชายที่พูดเมื่อกี้ก้าวออกมาพูดว่า “ใช่ พวกเราเป็นคุณหนูคุณชาย ตระกูลร่ำรวยของเมืองหลวงทั้งนั้น ชอบอสูรวิเศษของนาย ถือว่าเป็นวาสนาของนายแล้ว รีบพูดมาเถอะว่าเท่าไร”

ลู่ฝานยิ้มแหย หันมามองหานสงแล้วพูดว่า “ถ้าฉันซัดพวกเขา จะทำให้นายเกิดปัญหาหรือเปล่า”

หานสงคิดไม่ถึงว่าลู่ฝานจะพูดประโยคนี้ออกมา เขาอึ้งไปก่อน จากนั้นหัวเราะแล้วพูดว่า “คนอย่างฉันไม่กลัวเกิดปัญหาหรอก”

ลู่ฝานพยักหน้า พูดกับสิบสามว่า “จัดการหน่อย ทำตามกฎของนักบู๊ ห้ามฆ่าคน!”

พูดจบ ลู่ฝานเดินกลับเข้าไปในรถม้า จัดการคนพวกนี้ ลู่ฝานไม่ต้องการลงมือสักนิด

สิบสามดึงกระบี่แล้วก้าวออกมา นักเรียนสิบกว่าคนตกใจจนสะดุ้งโหยง พวกเขาพากันถอยหลัง

หลังจากนั้นสิบสามพูดอย่างเฉยเมยว่า “ต่อสู้ด้วยบู๊!”

คำนี้บอกทุกอย่างแล้ว

นักเรียนพวกนี้โมโหที่โดนลู่ฝานเมินใส่ และความอวดดีของสิบสาม พูดตำหนิเสียงดังว่า “นายเป็นใครไม่ทราบ ถึงจะมาดวลกับเรา”

ยังพูดไม่ทันจบ ก็เห็นลมแรงพัดขึ้นมาจากตัวสิบสาม วิทยายุทธแดนปราณชีวิตถูกเปิดเผยออกมาทั้งหมด

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 934
คิดไปคิดมาเขาก็เป็นคนตรงไปตรงมาคนหนึ่ง

หานสงสะบัดหัวไล่อาการเมา มองไปนอกหน้าต่างแล้วพูดว่า “ถึงไหนแล้ว ใกล้ถึงศูนย์กลางเมืองหรือยัง ศิษย์น้องลู่ฝาน ฉันไม่ได้โม้นะ รอให้ถึงศูนย์กลางเมือง ฉันจะพานายไปร้านเก่าแก่ร้านหนึ่ง บอกได้เลยว่าเหล้าที่นั่นเรียกว่ารุนแรงและดี ไม่ว่านายจะเป็นนักบู๊แดนไหน เมื่อเหล้าแก้วหนึ่งลงท้อง นายต้องโงนเงนสักสามรอบ”

ลู่ฝานพูดด้วยรอยยิ้ม “มีร้านแบบนี้ด้วยเหรอ งั้นต้องไปดูหน่อยแล้ว”

ขณะกำลังพูด จู่ๆ ลู่ฝานเห็นกลุ่มนักบู๊เดินสวนมา สวมชุดนักบู๊เหมือนกันทั้งหมด เดินพูดคุยยิ้มแย้มผ่านมาด้านหน้า

หานสงก็ยื่นหัวออกมา มองแวบหนึ่งแล้วพูดอย่างดูหมิ่นว่า “นักเรียนกากเดนของสถาบันบู๊องอาจ พวกหวังสูงแต่ทำไม่ได้ พวกที่ไม่เข้าใจการต่อสู้ ออกมาหาประสบการณ์กันอีกแล้ว”

ลู่ฝานพูดด้วยรอยยิ้ม “สถาบันบู๊องอาจเหรอ เป็นสถาบันในเมืองหลวงเหรอ ฟังดูเก่งมากเลยนะ”

หานสงพูดว่า “เก่งเหรอ เหอะๆ สองสามคนที่เป็นอันดับต้นๆ นั่นยังพอได้ เป็นคนมีชื่อเสียงในรายชื่อประเทศ ส่วนคนอื่นไม่ควรค่าให้พูดถึง ฉันไม่อยากเข้าสถาบันแบบนี้!”

หานสงพูดพลางกลอกตาไปมา หางคิ้วกระตุก

ลู่ฝานมองเพียงแวบเดียว ก็เดาว่าในคำพูดของหานสงมีเรื่องไม่จริงอยู่

ขณะนั้นหานสงพูดกับสิบสามที่ขี่รถอยู่ข้างนอก “เอ่อ……ชื่อสิบอะไรนะ ชิดในหน่อย อย่าเข้าใกล้พวกข้างหน้า!”

สิบสามสีหน้ากลุ้มใจ นี่ก็หลายวันแล้ว หานสงยังจำชื่อเขาไม่ได้เลย

สิบสามส่ายหน้า ขี่รถม้าชิดริมถนน เจ้าดำหมอบอยู่ข้างสิบสาม แล้วหาวออกมา

นักบู๊อายุน้อยพวกนี้ เดินคุยยิ้มแย้มผ่านข้างรถม้า ลู่ฝานมองเฉยๆ รู้สึกว่าวิทยายุทธของคนพวกนี้ไม่เลว

อย่างน้อยก็แดนปราณนอกทั้งหมด

สถาบันของเมืองหลวง บ่มเพาะอัจฉริยะออกมาเยอะกว่าจริงๆ

ตอนอยู่สถาบันสอนวิชาบู๊ มีแค่หัวกะทิในคณะไม่กี่คน ที่จะถึงแดนปราณนอก แต่กลุ่มคนข้างหน้า คิดไม่ถึงเลยว่าจะอยู่ระดับแดนปราณนอกขึ้นไปทั้งหมด นี่สุดยอดมากเลย

ลู่ฝานกำลังมองด้วยรอยยิ้ม จู่ๆ ในบรรดาคนพวกนี้ มีผู้หญิงคนหนึ่งตะโกนขึ้น

“อสูรวิเศษน่ารักมากเลย!”

จู่ๆ พวกนักเรียนชะงักฝีเท้าลง มองมาทางรถม้าของพวกลู่ฝาน

สายตาของพวกเขาทุกคน หยุดลงที่เจ้าดำ

“หยุดรถๆ!”

จู่ๆ เด็กผู้หญิงและนักเรียนอีกสองสามคน ขวางรถม้าของพวกลู่ฝานเอาไว้

รอยยิ้มบนใบหน้าลู่ฝานหายไป หานสงพูดด้วยใบหน้ากลุ้ม “ให้ตายเถอะ ไอ้พวกนี้ นิสัยลูกคนรวยกำเริบอีกแล้ว!”

ลู่ฝานเห็นหานสงไม่มีท่าทีจะออกไป ตัวเองจึงยื่นหน้าออกไปทางหน้าต่าง แล้วพูดว่า “มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”

ยังพูดไม่ทันจบ ก็เห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งพุ่งเข้ามา เอาเจ้าดำไปกอดไว้

“อสูรวิเศษตัวนี้ราคาเท่าไร ขายให้ฉันเถอะ!”

เด็กผู้หญิงกะพริบตาโตแล้วถามขึ้น

ลู่ฝานส่ายหน้าพูดว่า “ขอโทษด้วย อสูรวิเศษตัวนี้เป็นเพื่อนของฉัน เป็นครอบครัวฉัน ขายให้ไม่ได้หรอก”

เด็กผู้หญิงสีหน้าเย็นชาทันที นักเรียนชายคนอื่นเห็นสีหน้าเด็กผู้หญิงเปลี่ยนไป รีบพูดเสียงดังใส่ลู่ฝาน “แค่อสูรวิเศษตัวเดียว ทำไมจะขายไม่ได้ ดูให้ดี นี่คือบัตรผลึกหินแสนเหรียญทองเชียวนะ นายเอาไปสิ ฉันไว้หน้านายแล้ว นายอย่าทำเป็นไม่สนใจ เราเป็นนักเรียนของสถาบันบู๊องอาจนะ!”

เพิ่งพูดจบ ลู่ฝานขมวดคิ้วแน่นขึ้นอีก

หานสงที่อยู่ด้านในทนไม่ไหวแล้ว เขาพูดเสียงดังว่า “นักเรียนสถาบันบู๊องอาจ ดีขนาดนั้นเชียวเหรอ”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 933
หลังผ่านไปไม่กี่วัน ลู่ฝานกับหานสงนั่งรถม้าหรูหรา มุ่งหน้าไปยังศูนย์กลางของเมืองหลวง

ลู่ฝานมองผ่านหน้าต่างออกไปข้างนอก ทุกอย่างอยู่ในสายตา

เมืองหลวงขนาดใหญ่ แบ่งเป็นสี่ส่วนได้แก่ เมืองชั้นนอก หัวเมือง ศูนย์กลางเมือง และเมืองชั้นใน กระจายออกเป็นวงแหวน

ภายในนั้นเมืองชั้นนอกใหญ่ที่สุด เมืองชั้นในเล็กที่สุด

หัวเมืองหรือเรียกอีกชื่อว่าเมืองรอง ตั้งอยู่ที่รอยต่อระหว่างเมืองชั้นนอกกับศูนย์กลางเมือง ตอนนี้พวกลู่ฝานกำลังเดินทางอยู่บนถนนที่หัวเมือง

เมืองใหญ่เจริญรุ่งเรือง หลายต่อหลายครั้ง ที่เห็นได้จากสิ่งก่อสร้างและถนน

อย่างเช่น สิ่งก่อสร้างของบ้านเกิดอย่างเมืองลู่ที่ซ้ำซาก อาคารสูงไม่เกินสามชั้น ถนนก็แคบมาก รถม้าไม่กี่คันจอดเรียงกัน ก็ปิดตายถนนได้แล้ว

ต่อมาได้เห็นเมืองตงหวา ลู่ฝานชมเชยถนนของเมืองตงหวา ที่รถม้าสามารถเคลื่อนตัวหน้ากระดานได้เป็นสิบคัน และเจดีย์ล้ำค่าสูงตระหง่านทั้งสี่องค์นั่นด้วย

แต่เทียบสิ่งเหล่านั้นกับเมืองหลวงที่อยู่ตรงหน้า เหมือนควันลอยผ่านตา

ดูสิ่งก่อสร้างที่อยู่ตรงหน้า หลากหลายรูปแบบ งดงามจนมองไม่ทันแล้ว

ระดับความสูงไม่ใช่ปัญหา ลู่ฝานเห็นร้านน้ำชาสูงเหมือนภูเขา ส่วนยอดอยู่ในม่านเมฆ และเห็นร้านเหล้าที่ครองพื้นที่หลายสิบลี้ โอ่งขนาดใหญ่สองใบหน้าประตู ก็สูงหลายสิบเมตร เหล้าที่กำลังจะหกออกมา กระเด็นออกมาจากโอ่ง พวกขี้เมาจำนวนไม่น้อย ยืนอ้าปากรออยู่ด้านล่าง จากนั้นโดนเหล้าหกใส่จนเปียกไปทั้งตัว

อีกทั้งยังมีร้านอาวุธที่เหมือนต้นไม้ต้นหนึ่ง ใบไม้คืออาวุธทั้งหมด หรือจะเป็นบ่อนพนันที่มีลูกเต๋าขนาดใหญ่หนึ่งลูก คิดไม่ถึงเลยว่าลูกเต๋านั่นจะหมุนไม่หยุด บางทีก็เข้าไปได้ บางทีก็เข้าไปไม่ได้

สิ่งก่อสร้างประหลาดๆ แบบนี้ เป็นสิ่งที่ลู่ฝานไม่เคยเห็นที่อื่น

ถนนด้านล่างเท้าทั้งกว้างและเรียบ รถม้าเคลื่อนตัวเรียงกันยังไม่นับประสาอะไร ยักษ์เดินกอดคอกันผ่านไป ก็ยังง่ายดายมาก พื้นถนนไม่รู้เป็นหินอะไร เป็นเนื้อเดียวกันหมด ไม่เห็นร่องเลย

สรุปว่าทุกอย่างดูแปลกใหม่ไปหมด ทุกอย่างดูโอ่อ่าไปหมด

ลู่ฝานยิ้มบางๆ หัวเราะเยาะตัวเองในใจ จินตนาการเดิมของเขาช่างคับแคบเหลือเกิน

จำได้ว่าตอนอยู่ระหว่างทาง เขาเคยเพ้อฝันว่าเมืองหลวงเป็นยังไง

ในจินตนาการของเขา เมืองหลวงแค่ใหญ่กว่าเมืองตงหวาเล็กน้อย คูเมืองรุ่งเรืองกว่าเล็กน้อยเท่านั้น

ดูเหมือนตอนนี้ ความจริงยิ่งใหญ่กว่าจินตนาการมาก

นี่เป็นเรื่องดี ลู่ฝานเห็นแล้วมีความสุขมาก

“โอ๊ย น้องลู่ฝาน ทำไมนายดื่มเก่งขนาดนี้ ฉันจะไม่แข่งดื่มเหล้ากับนายแล้ว!”

หานสงนอนมึนอยู่บนรถม้าสองสามชั่วยาม กว่าจะตื่นขึ้นมา

หานสงพิงฟูกหนังหมี แล้วยิ้มแหย

ลู่ฝานพูดด้วยรอยยิ้ม “ฉันไม่ได้ดื่มเก่งหรอก แต่เพราะนายคออ่อนต่างหาก!”

หานสงเบิกตาโตมองลู่ฝาน แล้วพูดว่า “นายกำลังล้อฉันเล่นเหรอ ฉันคออ่อน นายไปถามในเมืองหลวงสิ ใครไม่รู้บ้างว่าฉันดื่มเก่งขนาดไหน เพราะเจอสัตว์ประหลาดอย่างนาย ฉันจึงพ่ายแพ้ ดื่มอย่างบ้าคลั่งมาสองสามวัน ไม่เห็นนายเคยเมาเลย นายเริ่มดื่มเหล้ามาตั้งแต่อยู่ในท้องแม่หรือเปล่า”

ลู่ฝานยิ้มบางๆ พูดตามตรง ดื่มตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ก็เกินจริงไป แต่เริ่มดื่มตั้งแต่เด็ก ก็ไม่น่าจะมีปัญหา

เหล้าพวกนั้นที่อาจารย์หวูเฉินทำให้เขา มีอันไหนที่ไม่รุนแรงจนน่าตกใจบ้าง เหล้าของเมืองหลวงพวกนี้ แม้จะรุนแรงมาก และอร่อยมากเหมือนกัน แต่เมื่อเทียบกันขึ้นมา ยังแย่กว่าของอาจารย์หวูเฉินเล็กน้อย

โดยเฉพาะตอนนี้ปราณชี่ของเขา สามารถดูดพลังได้ พิษก็ใช้ไม่ได้แล้ว เหล้ายิ่งใช้ไม่ได้ ดื่มไม่เมาก็เป็นเรื่องปกติ

หานสงอาศัยการที่ตัวเองดื่มเก่ง วันนี้มาแข่งดื่มกับเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย แน่นอนว่าต้องร่วงอยู่แล้ว แต่ไอ้หมอนี่ก็แข็งแกร่งพอ คิดไม่ถึงเลยว่าจะไม่ใช้พลังปราณ

ฉินฝานหัวเราะร่าแล้วพูดว่า “หานสงตระกูลหานงั้นเหรอ ฉันรู้จักคนนี้ หมีบื้อที่มีชื่อเสียง เป็นยังไง เขาต่อสู้กับลู่ฝานใครเป็นฝ่ายชนะ การต่อสู้เป็นยังไงบ้าง”

โฉวซิงพูดว่า “ลู่ฝานชนะครับ อีกทั้งพูดกันว่าลู่ฝานใช้เพียงกระบวนท่าเดียว ก็ซัดเขาจนล้มคว่ำลงกับพื้น”

“กระบวนท่าเดียวเหรอ”

ฉินฝานหัวเราะขึ้นมา

“ข่าวลือตามข้างทางนับวันยิ่งไม่น่าเชื่อถือขึ้นเรื่อยๆ! กระบวนท่าเดียวเหรอ ลู่ฝานเป็นผู้รับช่วงต่อของสิบตระกูลใหญ่เหรอ คนหนุ่มที่สามารถเอาชนะหานสงได้ด้วยกระบวนท่าเดียว ทั้งเมืองหลวงมีแค่ไม่กี่คนเองมั้ง”

สีหน้าโฉวซิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย “องค์ชาย ผมสอบถามอย่างละเอียดแล้ว เหมือนเหตุการณ์เป็นแบบนี้จริงๆ ครับ คนพวกนั้นพูดถึงอย่างออกรส ไม่เหมือนโกหก มีสองสามคนใช้กระจกจำภาพบันทึกไว้ด้วยครับ ว่ากันว่าใช้แค่นิ้วเดียวเท่านั้น”

รอยยิ้มบนหน้าฉินฝานหายไปทันที

“นายบอกว่าเป็นเรื่องจริงเหรอ”

โฉวซิงพยักหน้า เห็นประกายในแววตาฉินฝาน โฉวซิงตั้งสติขึ้นมาได้ทันที

“องค์ชาย ผมจะไปซื้อกระจกจำภาพพวกนั้นมา ให้องค์ชายได้ชม”

ฉินฝานแสดงสีหน้าพอใจออกมา โบกมือแล้วพูดว่า “ไปสิ ถ้าเป็นจริงอย่างที่นายพูด ฉันมีรางวัลใหญ่ให้”

โฉวซิงได้ยินคำว่ารางวัลใหญ่ แววตาโลภขึ้นมาทันที เขารีบคำนับแล้วออกไป

ฉินฝานวางขนมในมือลง ตอนนี้สีหน้าไม่จริงจังหายไปหมดแล้ว

แววตาทั้งสองข้างเป็นประกายแวววาว ฉินฝานพึมพำว่า “ลู่ฝาน ถ้านายสร้างความประหลาดใจให้ฉันเยอะๆ จะดีเป็นที่สุด”

……

ซอยเก่าๆ บนถนนลึก

ในร้านเล็กๆ แห่งหนึ่งมีแขกนั่งเต็มไปหมด

เถ้าแก่เป็นคนอ้วนคนหนึ่ง ถือไหเหล้าสกปรกอยู่ในมือ เดินมาด้านหน้าผู้อาวุโสคนหนึ่ง

เถ้าแก่กำลังจะพูดอะไร แต่เห็นผู้อาวุโสยื่นมือออกมาห้ามเขาไว้

“ไม่ต้องพูด ให้ฉันฟังอีกครู่หนึ่ง!”

เถ้าแก่ขมวดคิ้วสงสัย ที่นี่มีอะไรให้ฟังเหรอ

เมื่อหันไป เห็นแขกสองคนกำลังพูดคุยกันอยู่พอดี

“ฉันจะบอกให้นะ ลู่ฝานเป็นผู้แข็งแกร่งในบรรดาผู้แข็งแกร่ง แค่นิ้วเดียวก็ทำให้หานสงตระกูลหานล้มลงบนพื้น หานสงขึ้นชื่อเรื่องทนไม้ทนมือมากเลยนะ ในตระกูลหาน ถึงโดนพี่ใหญ่ที่ระดับสูงกว่าเขาสองสามขั้นรุมกระทืบ ก็ทนได้เป็นร้อยกระบวนท่าเลยนะ แต่ครั้งนี้แค่กระบวนท่าเดียวเอง แค่กระบวนท่าเดียวก็แพ้แล้ว นักกระบี่แห่งตงหวาคนนี้ แข็งแกร่งจนน่ากลัว!”

ผู้อาวุโสฟังถึงตรงนี้ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

เถ้าแก่อ้วนเลิกคิ้วขึ้นเบาๆ จู่ๆ คิดอะไรขึ้นได้ พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่ใช่ลูกศิษย์นายใช่ไหม!”

ผู้อาวุโสหัวเราะร่า โผล่หน้าออกมา แสงอาทิตย์นอกหน้าต่าง ส่องลงบนใบหน้าเขาพอดี

ฝ่ามือดำขลับ ผมและเคราขาว ใบหน้ามีรอยยิ้ม หวูเฉินนั่นเอง

“ใช่ นั่นลูกศิษย์ฉันเอง!”

หวูเฉินหัวเราะๆ เบาแล้วเอ่ยขึ้น คว้าไหเหล้ามา จากนั้นเงยหน้าดื่มอึกใหญ่

เถ้าแก่อ้วนหัวเราะร่าแล้วพูดว่า “ตาเฒ่าอย่างนายนี่ สุดท้ายยังรับศิษย์ดีขนาดนี้ได้ด้วยเหรอ ดูเหมือนฉันต้องเห็นหน่อยแล้ว ตอนนี้เขามาเมืองหลวงแล้วใช่ไหม วันตอนไหนพามาสิ”

หวูเฉินวางไหเหล้าลง โบกมือไปมาแล้วพูดว่า “ไม่รีบๆ!”

พูดจบหวูเฉินหัวเราะออกมา

เถ้าแก่อ้วนพึมพำเบาๆ

“ลู่ฝาน อืม ฉันจำชื่อนี้ไว้แล้ว!”

หลังผ่านไปไม่กี่ชั่วยาม ข่าวที่ลู่ฝานมาถึงเมืองหลวง ถูกเผยแพร่ออกไปเหมือนไฟลามทุ่ง

การแพร่กระจายของข่าว มักจะเร็วกว่าบินเสียอีก การต่อสู้ที่ประตูเมือง ด้วยการสนทนาของฝูงชน มันแพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว

เมืองหลวงเป็นสถานที่ที่มีประชากรมากที่สุด จึงสนใจเรื่องพูดคุยยามว่างแบบนี้เป็นที่สุด

โดยเฉพาะเรื่องที่ลู่ฝานเพิ่งมาถึงเมืองหลวง ก็สู้กับหานสงตระกูลหานเป็นอันดับแรก อีกทั้งยังได้รับชัยชนะด้วย ข่าวสะเทือนขวัญแบบนี้ ยิ่งแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว

ไม่นาน มีคนว่างคุยเรื่องนี้ตามถนนและตรอกซอกซอยเต็มไปหมด

มีคนที่ชอบยุ่งเรื่องคนอื่น เอารายชื่อประเทศออกมาเทียบกัน คาดเดาว่าพละกำลังของลู่ฝานเป็นอย่างไร

คนอายุน้อยที่มีความทะเยอทะยานจำนวนมาก สอบถามไปทั่วว่าตอนนี้ลู่ฝานอยู่ที่ไหน พวกเขาอยากประลองกับลู่ฝาน ไม่แน่สู้เพียงครั้งเดียวอาจทำให้มีชื่อเสียงก็ได้

สรุปแล้ว สถานที่ที่มีสิ่งคาดเดาไม่ได้รวมกันอยู่ เพราะการมาถึงของลู่ฝาน ทำให้เกิดความปั่นป่วนขึ้น

ดูเหมือนตอนนี้ แม้ความปั่นป่วนนี้ไม่ใหญ่ แต่ได้แผ่ขยายออกไปแล้ว

ศูนย์กลางเมืองหลวง ในบ้านที่มีบริเวณกว้างและประตูสูงใหญ่ของครอบครัวหนึ่ง ผู้อาวุโสฟังรายงานจากลูกน้อง แล้วยิ้มบางๆ ออกมา

“ในที่สุดก็มาแล้ว อืม ถือว่าเร็วมาก ดูเหมือนไม่เจออะไรวุ่นวายตลอดทาง”

ผู้อาวุโสยิ้มกับนักบู๊ด้านหน้าแล้วพูดว่า “สังเกตความเคลื่อนไหวของเขาต่อไป ในเวลาเดียวกันก็ปล่อยข่าวออกไปสักหน่อย บอกให้คนที่ชอบยุ่งเรื่องคนอื่นอย่าไปหาเรื่องเขา พวกนักบู๊ที่เป็นนักเลงในเมืองหลวง ถ้ากล้ามาวุ่นวาย ระวังสุนัขรับใช้ของพวกเขา!”

แม้ผู้อาวุโสพูดด้วยรอยยิ้ม แต่นักบู๊ด้านหน้าเขา กลับรู้สึกถึงเจตนาฆ่าที่ออกมาจากคำพูด

“ครับผู้อาวุโสเทียน!”

นักบู๊คำนับตอบ แล้วรีบเดินออกไป

ผู้อาวุโสนั่งอยู่บนเก้าอี้โยก หยิบแก้วชาขึ้นมาลิ้มรสเบาๆ

“ลู่ฝานเอ๋ย นายต้องสู้เพื่อสถาบันสอนวิชาบู๊นะ ขึ้นอยู่กับนายแล้ว!”

อีกด้านหนึ่ง ในห้องชั้นยอดของซ่องโสเภณีแห่งหนึ่ง องค์ชายรองฉินฝาน กำลังฟังเพลงอย่างมีความสุข

เสียงนุ่มนวลของวงดนตรีที่ประกอบไปด้วยเครื่องดนตรีประเภทไหมและไผ่ (ซอเอ้อหู ผีผาและขลุ่ย) บวกกับผู้หญิงมากมายที่เต้นรำอย่างดงามอ่อนช้อย

ฉินฝานส่ายหัวไปมาอย่างมีความสุข กินขนมไปพลาง รับชมไปพลาง

เด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามา เมื่อเห็นฉินฝาน หรี่ตาสามเหลี่ยมทันที รอยยิ้มถ่อมตัวผุดขึ้นมาบนใบหน้าลามก เขาคุกเข่าแล้วพูดว่า “องค์ชาย ผู้น้อยมาส่งข่าวให้คุณ”

ฉินฝานกวักมือเรียกเด็กหนุ่ม แล้วพูดว่า “เข้ามาพูดสิโฉวซิง มีข่าวอะไร ถ้าเป็นข่าวที่ไม่น่าสนใจหรือน่าสนุก วันนี้ฉันจะไม่เห็นความดีความชอบของนายนะ!”

โฉวซิงรีบคลานมาข้างฉินฝาน แล้วพูดเบาๆ ว่า “องค์ชาย คนที่คุณให้ผมจับตามอง เขามาแล้วครับ”

“คนไหน”

ฉินฝานพูดอย่างไม่สนใจ เหมือนเขาลืมไปแล้ว

โฉวซิงพูดเบาๆ ว่า “ลู่ฝานไงครับ! องค์ชาย ลู่ฝานแห่งเมืองตงหวามาแล้วครับ”

ฉินฝานครุ่นคิดอยู่นาน ในที่สุดก็คิดออกแล้ว

“อ๋อ ลู่ฝานคนนั้นเหรอ! เขาควรมาตอนฤดูใบไม้ผลิปีหน้าไม่ใช่เหรอ คิดไม่ถึงว่ายังไม่ผ่านเทศกาลเซ่นไหว้ประจำปีเลย เขาก็มาถึงแล้ว ดีเหมือนกัน มาทันผ่านเทศกาลเซ่นไหว้ประจำปีพอดี เป็นเรื่องที่ดี นายช่วยฉันจับตาดูว่าเขาพักที่ไหน แล้วค่อยรายงานฉันอีกที”

โฉวซิงรีบตอบรับ แล้วก้มหน้าลงอีก

จู่ๆ ฉินฝานนึกอะไรขึ้นได้ จึงถามว่า “ไม่ใช่สิ นายรู้ได้ยังไงว่าเขามาเมืองหลวง”

ฉินฝานมองโฉวซิง แววตามีความประหลาดใจ

โฉวซิงพูดด้วยรอยยิ้ม “ผมกำลังจะรายงานคุณเลยครับ ลู่ฝานเพิ่งมาถึงเมืองหลวง แล้วสู้กับหานสงแห่งตระกูลหานที่ประตูเมือง ว่ากันว่าหานสงจำลู่ฝานที่เป็นผู้แข็งแกร่งรายชื่อประเทศได้ เลยดึงดันจะสู้กับเขาครับ”

“หานเฟิง นายรู้จักหานเฟิงเหรอ เขาเป็นศิษย์พี่นายได้ยังไง”

หานสงใบหน้าสงสัย รู้สึกไม่ค่อยเข้าใจ

ลู่ฝานพูดว่า “เขาอยู่สถาบันสอนวิชาบู๊ที่เขตตงหวา ฉันก็เป็นนักเรียนที่นั่นเหมือนกัน”

เมื่อได้ยินคำว่าสถาบันสอนวิชาบู๊ หานสงพูดอย่างเข้าใจแจ่มแจ้ง “อ๋อ ฉันเคยได้ยินแล้ว ใช่แล้ว สถาบันสอนวิชาบู๊ เขาถูกโยนเข้าไปในสถานที่บ้าบอนั่น”

หานสงทำหน้าทำตามองลู่ฝาน แล้วพูดว่า “คิดไม่ถึงว่าเขาจะได้เป็นศิษย์พี่นาย ดูเหมือนไอ้หมอนี่อยู่ที่นั่นก็พอใช้ได้นิ”

หานสงบ่นพึมพำสองสามประโยค หลังจากนั้นทั้งตัวก็กระตุกอีกครั้ง

ปราณชี่ที่ลู่ฝานใส่เข้าไปในตัวเขา ยังสร้างความเสียหายด้วยความกำเริบเสิบสาน คนทั่วไปเจอพลังประหลาดแบบนี้ครั้งแรก ล้วนโดนโจมตีทั้งนั้น หานสงก็ไม่ต่างกัน พลังปราณในตัวเขาใกล้จะปั่นป่วนไปหมดแล้ว

ลู่ฝานยิ้มแล้วเก็บปราณชี่ของตัวเองกลับมา หานสงถอนหายใจยาว หลังจากนั้นลุกขึ้นมามองลู่ฝานตั้งแต่หัวจรดเท้า

มองอยู่ไม่กี่ที หานสงอ้าปากหนาของตัวเอง ตบพุงแล้วหัวเราะออกมา

หานสงส่ายหัวไปมาแล้วพูดว่า “ในเมื่อเป็นศิษย์น้องของหานเฟิง ก็ถือว่ามีความสัมพันธ์กับตระกูลหานของเรา ศิษย์น้องลู่ฝาน นายเพิ่งมาถึง ยังไม่มีที่พักใช่ไหม ไปนั่งเล่นที่ตระกูลหานไหม เหล้าชั้นดี สาวน้อยชั้นดี”

หานสงพูดจนน้ำลายกระเด็น คนรอบๆ เห็นแล้วมีความดูหมิ่นเต็มใบหน้า

คำพูดหยาบคายแบบนี้ มีราศีของตระกูลวิถีบู๊ซะที่ไหนกันล่ะ จะแสดงพลานุภาพของตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงออกมาได้ยังไง

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เหมือนกำลังจะไปเที่ยวซ่องโสเภณี

ลู่ฝานยิ้มบางๆ เขากลับชื่นชมคนตรงไปตรงมาอย่างหานสงด้วยซ้ำ

ลู่ฝานพยักหน้าแล้วพูดว่า “ศิษย์พี่หานเฟิงเคยกำชับแล้ว เมื่อมาถึงเมืองหลวง ต้องเจอเจ้าบ้านตระกูลหานสักครั้ง งั้นรบกวนพี่หานสงแนะนำด้วย”

หานสงหัวเราะเสียงดัง จู่ๆ ก็เข้ามากอดคอลู่ฝาน

ไม่เอาปลาบนพื้นแล้ว ถือค้อนใหญ่แล้วเดินไปข้างหน้า

ตอนลู่ฝานเดินผ่านหน้าพวกหยวนเลี่ย เขาชะงักฝีเท้าลงแล้วพูดว่า “ไปด้วยกันไหม”

หยวนเลี่ยกำลังจะอ้าปากพูด แต่เฝิงอิ่งกลับกัดริมฝีปากแล้วพูดว่า “ขอโทษด้วย คุณชายลู่ฝาน เราต้องไปเจอคนคนหนึ่ง เรื่องนี้ค่อนข้างสำคัญ”

เมื่อได้ยิน หยวนเลี่ยห่อเหี่ยวไร้ชีวิตชีวาทันที

เซี่ยงจู้ก็เสียดายมาก ลู่ฝานพยักหน้าพูดว่า “งั้นฉันไปก่อนนะ”

พูดจบ ลู่ฝานเดินตามหานสงออกไป

หยวนเลี่ยมองแผ่นหลังลู่ฝาน แล้วตะโกนว่า “เราจะได้เจอกันอีกไหม”

ลู่ฝานหันมายิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “ได้เจออยู่แล้ว ฉันก็มาเข้าร่วมการคัดเลือกเหมือนกัน”

พวกหยวนเลี่ยหัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง หานสงหันมามองอยู่นาน หลังจากนั้นพูดเบาๆ กับลู่ฝานว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน ฉันว่าผู้หญิงคนนั้นดูคิดอะไรกับนายนะ นายไม่เก็บไว้เหรอ”

ลู่ฝานมองหานสงด้วยใบหน้าดูหมิ่น เป็นคนตระกูลเดียวกันจริงๆ คนแซ่หานเป็นแบบนี้กันหมดหรือเปล่า จู่ๆ ลู่ฝานรู้สึกว่าที่ตัวเองกำลังจะไป ไม่ใช่ตระกูลวิถีบู๊ที่โด่งดัง แต่เป็นรังโจรมากกว่า

เดินได้ไม่นาน จู่ๆ หานสงดึงลู่ฝานเข้าไปในร้านเหล้าแห่งหนึ่ง

“ศิษย์น้องลู่ฝาน มาดื่มอย่างสะใจกับฉันสักสองสามแก้ว เราสู้กันเพื่อทำความรู้จักกันให้มากขึ้น ต้องดื่มให้สะใจ!”

ลู่ฝานขมวดคิ้วพูดว่า “ไหนบอกว่าจะไปตระกูลหาน”

หานสงโบกมือไปมาแล้วพูดว่า “จะรีบไปทำไมล่ะ นั่งรถม้าต้องใช้เวลาหลายวัน เมืองหลวงใหญ่นะ มาดื่มเหล้ากันก่อน!”

ลู่ฝานพยักหน้าเข้าใจ เขาลืมความยิ่งใหญ่ของเมืองหลวงไปแล้ว เขายิ้มอย่างเบิกบานใจ จากนั้นเดินเข้าไปในร้านเหล้ากับสิบสาม

พูดถึงเรื่องดื่มเหล้า ไม่เคยกลัวใครอยู่แล้ว!

……

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 929
“ไม่สู้ก็อย่าคิดจะได้ไป!”

เสียงตวาดดังขึ้น หานสงเหวี่ยงค้อนปอนด์ยักษ์ วิ่งเข้ามาหาลู่ฝาน

ลู่ฝานชะงักฝีเท้าลง สิบสามที่อยู่ข้างหลังเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วดั่งสายลม แทงกระบี่ลงบนข้อมือหานสง

ข้อมือหานสงกระตุก แต่ไม่ได้ปล่อยค้อน แต่ทุบค้อนกระแทกสิบสามออกไป ระหว่างที่ตื่นตระหนก สิบสามทำได้เพียงยกกระบี่ขึ้นมาขวางไว้ด้านหน้า โดนค้อนกระแทกจนกระเด็นไปสิบกว่าก้าว พลิกตัวลงบนพื้น พลังปราณบนตัวพลุ่งพล่าน พุ่งเข้ามาไปอีกครั้ง เคลื่อนไหวเพียงครู่เดียว สิบสามปรากฏตัวหน้าหานสง เมื่อเคลื่อนไหวอีกครั้ง สิบสามปรากฏตัวด้านหลังหานสง สิบสามที่ปรากฏตัวเหมือนผี ควบคุมหานสงได้อย่างรวดเร็ว คนจำนวนไม่น้อยที่เห็นภาพนี้แอบตกใจ

หานสงโดนวิชากระบี่ของสิบสามจนเกิดความทุกข์อย่างแสนสาหัส เขาตะโกนเสียงดังออกมา “ลู่ฝาน นายทำเป็นแค่ให้คนอื่นลงมือเหรอ นายมันขี้ขลาด กล้าสู้กับฉันซึ่งหน้าหรือเปล่า!”

ลู่ฝานชะงักฝีเท้าทันที สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย

คำพูดติดปากคำนี้ เขาเคยได้ยินจากปากคนเพียงคนเดียว นั่นก็คือศิษย์พี่หานเฟิงของเขา

ทำไมไอ้คนตรงหน้านี่ถึง……

จู่ๆ ลู่ฝานนึกขึ้นได้ ไอ้หมอนี่ชื่อหานสง คงไม่ใช่คนตระกูลของศิษย์พี่หานเฟิงใช่ไหม!

รอยยิ้มปรากฏขึ้นตรงมุมปาก ลู่ฝานพูดกับสิบสามว่า “สิบสาม หยุด!”

เมื่อสิบสามได้ยินก็หายตัวไป ปรากฏตัวอีกครั้งที่ด้านหลังลู่ฝาน

ท่าทางสบายๆ สีหน้าราบเรียบ ราวกับเมื่อครู่ไม่ได้เกิดอะไรขึ้น

หานสงจ้องลู่ฝานเขม็งแล้วพูดว่า “หึ ทำไม จะลงมือแล้วเหรอ”

ลู่ฝานถามว่า “คนตระกูลหานเหรอ”

หานสงพูดว่า “หึ ถ้านายกลัวสิ่งนี้ ฉันจะบอกให้ ถึงวันนี้นายซัดฉันจนพิการ ตระกูลหานก็ไม่มาหาเรื่องนาย ลงมือได้เลย!”

เขาเพิ่งพูดจบ ก็เจอกับสายตาดูหมิ่นจากคนจำนวนไม่น้อยที่อยู่ข้างๆ

“ซัดคนตระกูลหานจนพิการ แล้วไม่เจอการแก้แค้น ใครจะไปเชื่อล่ะ!”

“ใช่ คนตระกูลหานเคยมีเหตุผลที่ไหนกัน เขาหลอกคนมาใหม่อย่างลู่ฝานน่ะสิ!”

“หน้าไม่อาย หน้าไม่อายจริงๆ โกหกตาใส”

หานสงทำเป็นไม่ได้ยิน มองลู่ฝานอยู่อย่างนั้น

ลู่ฝานพูดกับสิบสามว่า “นายไม่ต้องขยับ”

หลังจากนั้น ลู่ฝานเป็นคนเดินออกมาเอง กระดิกนิ้วใส่หานสง

การยั่วยุชัดเจนขนาดนี้ ทำให้หานสงโมโหทันที เขาแผดเสียงโมโหอีกครั้ง จากนั้นพุ่งเข้ามาพร้อมกับค้อน

พลานุภาพของพลังปราณบนตัว คือวิทยายุทธแดนปราณชีวิตเช่นกัน

ลู่ฝานมองเขา ยกนิ้วเบาๆ ขึ้นมาหนึ่งนิ้ว หลังจากนั้นวินาทีค้อนปอนด์ของหานสง กำลังจะทุบลงมาบนตัวเขา ปลายนิ้วแตะลงบนไหล่ของหานสง

หลังจากนั้นค้อนปอนด์ของหานสงหยุดลง ตัวของเขาล้มลงบนพื้น เริ่มชักขึ้นมา เนื้อและไขมันบนตัวเริ่มสั่นสะเทือน

การเปลี่ยนแปลงนี้เร็วเกินไปจริงๆ ทุกคนเห็นแล้วถึงกับอ้าปากค้าง

เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น

หานสงรู้สึกแค่ความเจ็บปวด เจ็บปวดมาก จู่ๆ พลังปราณทั้งตัวไม่ยอมทำตามคำสั่ง

ลู่ฝานมองหานสงแล้วพูดว่า “เจ็บไหม”

หานสงพูดเสียงดังว่า “เจ็บสิ ไอ้กระจอก ไอ้เลว นายทำอะไรกับฉันกันแน่ ให้ตายเถอะ”

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “อันที่จริงก็ไม่ได้ทำอะไร แค่ทำให้นายเจ็บแป๊บนึงเท่านั้น ก่อนมาศิษย์พี่บอกฉันว่าถ้าเจอคนแซ่หาน แค่ซัดให้พวกเขาเจ็บ พวกเขาก็จะเคารพฉันแล้ว ฉันอยากรู้ว่าศิษย์พี่พูดจริงหรือเปล่า”

หานสงพูดเสียงดัง “ศิษย์พี่เยี่ยงสุนัขของนายชื่ออะไร”

ลู่ฝานพูดอย่างราบเรียบว่า “หานเฟิง!”

ทันใดนั้น สีหน้าของหานสงเปลี่ยนไปทันที เหมือนพบว่าตัวเองเพิ่งกินหนูตายเข้าไปอย่างไรอย่างนั้น

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 928
“ทะเลาะอะไรกัน ที่นี่เป็นสถานที่ต่อสู้หรือไง ใครทะเลาะกันฉันจะจับคนนั้น!”

ชายวัยกลางคนตะโกนขึ้นมา ทหารเผ่าทรงพลังสองสามคนที่อยู่ข้างๆ ก้มหน้ามองคนกลุ่มนี้แวบหนึ่ง เสียงของคนพวกนี้เบาลงทันที

ลู่ฝานถอนหายใจยาว เขาไม่กลัวการประลอง

ปัญหาคือการประลองต้องมีเหตุผลสิ ท่าทางจะเข้ามาสู้กับเขาเหมือนคนพวกนี้ ทำให้ลู่ฝานรู้สึกงุนงงจริงๆ

มองชายวัยกลางคนอย่างซาบซึ้ง จากนั้นลู่ฝานก้าวเข้าไปข้างใน

ความรู้สึกตามสัญชาตญาณของเขาบอกว่าไปก่อนดีกว่า

แต่ขณะนั้น เสียงหนึ่งดังขึ้นข้างๆ หยวนเลี่ย

“เดี๋ยวก่อน นายไม่สู้กับพวกเขาได้ แต่ไม่สู้กับฉันไม่ได้ ลู่ฝานนักกระบี่แห่งตงหวา มาสู้กับฉันสักสองสามกระบวนท่าสิ!”

คนที่ออกมาพร้อมเสียงคือเจ้าอ้วนคนหนึ่ง เป็นเจ้าอ้วนที่แบกค้อนปอนด์และกินปลาเมื่อครู่

ชายวัยกลางคนกำลังจะพูดอะไร เจ้าอ้วนถลึงตาใส่เขา จากนั้นโยนป้ายอันหนึ่งออกมา

ตอนเห็นป้ายอันนี้ ชายวัยกลางคนก็ไม่พูดอะไรอีก

เพราะมีอักษรตัวใหญ่คำว่าหาน เขียนอยู่ข้างบนป้าย

คนที่มีป้ายอันนี้ มีเพียงตระกูลเดียว นั่นก็คือตระกูลหาน หนึ่งในสิบตระกูลใหญ่ภายในเมือง!

คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าอ้วนคนนี้จะเป็นคนตระกูลหาน

ชายวัยกลางคนรีบเอาบันทึกเมื่อกี้ขึ้นมาดู เป็นลูกหลานตระกูลหานจริงด้วย ชื่อว่าหานสง ทำไมเมื่อกี้ไม่ทันสังเกตนะ!

ในเมื่อเป็นคนตระกูลหาน เขาก็ไม่กล้าขวางอีกแล้ว

ถ้าเป็นคนตระกูลอื่น เขายังกล้าพูดอะไรบ้าง

มีเพียงการเจอคนตระกูลหานเท่านั้น ที่เขาไม่กล้าพูดอะไร ทั้งประเทศอู่อานมีใครไม่รู้บ้าง คนตระกูลหานเป็นพวกคนบ้า คนโง่ คนป่าเถื่อน!

พูดด้วยเหตุผลกับพวกเขา เท่ากับการรนหาที่ตาย!

“ฉันชื่อหานสง ลู่ฝานให้ฉันเห็นฝีมือของผู้แข็งแกร่งในรายชื่อประเทศอย่างนายหน่อย!”

เมื่อได้ยินชื่อหานสง นักบู๊ที่ส่งเสียงดังเมื่อกี้ไม่พูดอะไรอีกแล้ว ถึงพวกเขาเจ๋งแค่ไหน ก็เจ๋งไม่เท่าลูกหลานตระกูลหานหรอก

ในเมื่อลูกหลานตระกูลหานออกมาท้าประลองกับลู่ฝาน งั้นพวกเขาคงทำได้แค่มองตาปริบๆ อยู่ข้างๆ

แต่ได้เห็นการต่อสู้ของผู้แข็งแกร่งในรายชื่อประเทศอย่างใกล้ชิดแบบนี้ ก็นับว่าไม่เลวมากแล้ว อย่างน้อยพวกเขาก็โม้ได้หลายวัน!

คนบางส่วนที่รู้จักหานสง ยิ่งมีความสุขขึ้นไปอีก

คนพวกนี้ถกเถียงกันเบาๆ

“ฉันว่าครั้งนี้ลู่ฝานซวยแน่ เพิ่งเข้าเมืองมา ก็เจอหานสงตระกูลหาน ถือว่าดวงเขาไม่ดีเลย”

“ทำไม พละกำลังของหานสงแข็งแกร่งมากเหรอ เขาจะแข็งแกร่งกว่าผู้แข็งแกร่งรายชื่อประเทศเหรอ”

“พูดยาก ยังไม่รู้เลยว่าลู่ฝานผู้แข็งแกร่งรายชื่อประเทศเป็นยังไง ใครจะไปรู้ว่าผลการต่อสู้พวกนั้นของเขาเป็นของจริงหรือปลอม แต่หานสงคือคนที่มีชื่อเสียงเรื่องทนไม้ทนมือของตระกูลหาน คนเรียกกันว่าหมีบื้อค้อนปอนด์!”

“ชื่อนี้น่าสนใจนะ ดูก็รู้ว่าคนตระกูลหานไม่ได้ตั้งให้”

“ใช่ นี่เป็นชื่อที่คนตระกูลสุ่ยเรียก แต่พวกเขาต่างคิดว่าหานสงมีพละกำลังปะทะกับรายชื่อประเทศ ดูสิ ลู่ฝานจะเอาชนะหานสงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ”

ถกเถียงกันไปพลาง คิดไม่ถึงเลยว่ากลุ่มคนจะหลีกทางเป็นที่ให้ลู่ฝานกับหานสงประลองกัน

เพราะประตูเมืองที่นี่กว้างขวางและใหญ่มาก ถ้าเปลี่ยนเป็นเมืองอื่น คนเยอะขนาดนี้ แค่เบียดกันก็จะตายแล้ว จะให้สู้กันยังไงล่ะ

ลู่ฝานขมวดคิ้วเบาๆ พูดตามตรงการประลองที่ไร้ความหมายแบบนี้ เขาไม่อยากสู้เลยจริงๆ

ลู่ฝานส่ายหน้า พูดกับหานสงว่า “ไม่สนใจ”

พูดจบ ลู่ฝานเดินไปข้างหน้า สิบสามเดินตามหลังเขา มองหานสงอย่างระแวดระวัง

“ดูถูกฉันเหรอ”

จู่ๆ หานสงก็โมโหขึ้นมา

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 927
หยวนเลี่ยพูดเสียงดังว่า “หยวนเลี่ย เฝิงอิ่ง เซี่ยงจู้ มาจากเขตเยี่ยน เพื่อเข้าร่วมการคัดเลือก”

ได้ยินคำว่าการคัดเลือก ในกลุ่มคนมีคนจำนวนไม่น้อยส่งเสียงตกใจออกมา

ชายวัยกลางคนเงยหน้าขึ้นมองทั้งสามคน ยิ้มแล้วพูดว่า “มาร่วมการคัดเลือกเหรอ ดูเหมือนเป็นคนอายุน้อยที่โดดเด่นจริงๆ ขอให้พวกนายประสบความสำเร็จ เข้าไปสิ! อย่าลืมลงทะเบียนอาวุธด้วย”

พวกหยวนเลี่ยเชิดหน้าอย่างภูมิใจ เห็นได้ชัดว่าได้รับการชมเชยจากคนอื่น พวกเขาก็ดีใจมาก แต่พวกเขายังไม่ได้ดีใจจนถึงขั้นลืมตัว เพราะพวกเขารู้ว่าลู่ฝานที่อยู่ด้านหลัง แข็งแกร่งกว่าพวกเขาเยอะมาก พละกำลังเล็กน้อยของพวกเขา ไม่สามารถเทียบได้เลย

ดังนั้นถึงเป็นหยวนเลี่ยที่ไม่จริงจังสุดๆ ก็ทำเพียงยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “ขอบคุณที่อวยพร”

ในที่สุดก็ถึงตาลู่ฝาน ตอนนี้ลู่ฝานยังจมอยู่กับความเศร้า พูดอย่างใจลอยว่า “ลู่ฝาน คนเขตตงหวา มาร่วมการคัดเลือกเหมือนกัน”

เมื่อพูดจบ ชายวัยกลางคนอึ้งไปครู่หนึ่ง เสียงเอะอะรอบๆ ก็หายไปทันที

“อะไรนะ นายพูดอีกรอบสิ นายชื่ออะไรนะ”

ตอนนี้ลู่ฝานเพิ่งตั้งสติได้ ขมวดคิ้วพูดว่า “ลู่ฝาน คนเขตตงหวา!”

เพิ่งพูดจบ มีเสียงตกใจดังขึ้นในกลุ่มคน

“นายคือลู่ฝานแห่งเขตตงหวาเหรอ ผู้ตรวจการลู่เหรอ”

ลู่ฝานพยักหน้า สงสัยเล็กน้อย ทำไมที่นี่ยังมีคนรู้จักเขาด้วย!

“ใช่ ฉันเอง มีอะไรหรือเปล่า”

ลู่ฝานมองชายวัยกลางคน ชายวัยกลางคนรีบลุกขึ้นยืน แล้วพูดว่า “ไม่มีอะไรๆ ฮ่าๆ ผู้ตรวจการลู่ ในที่สุดนายก็มาเมืองหลวงแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าวันนี้ฉันจะได้ต้อนรับผู้ตรวจการลู่ นายต้องเซ็นชื่อให้ฉันนะ!”

พวกหยวนเลี่ยมองลู่ฝานอย่างตะลึง

พวกเขาไม่รู้จริงๆ ว่าลู่ฝานมีชื่อเสียงในเมืองขนาดนี้

หยวนเลี่ยรีบถามเจ้าอ้วนถือค้อนข้างหน้า ที่ยังไม่ได้ไปไหนว่า “ทำไมเหรอ ลู่ฝานมีชื่อเสียงมากเหรอ”

เจ้าอ้วนกัดหัวปลาเป็นๆ จนหลุด แล้วพูดเสียงดังว่า “มีชื่อเสียงสิ เพิ่งเลื่อนขั้นใหม่เป็นผู้ตรวจการชั้นกลาง ร้อยอันดับแรกของรายชื่อประเทศ ฟันมารทั้งสี่ด้วยกระบี่เดียว ลู่ฝานนักกระบี่แห่งตงหวา! นายไม่รู้จักเหรอ”

ได้ยินคำว่านักกระบี่แห่งตงหวา หยวนเลี่ยตกใจจนคางแทบจะหล่นลงมา

แน่นอนว่าเขารู้จักชื่อนี้ รายชื่อประเทศเขาก็เคยได้ยิน แต่เขาไม่ได้คิดเชื่อมโยงลู่ฝานกับนักกระบี่แห่งตงหวาเข้าด้วยกัน นั่นเป็นบุคคลมีความสามารถที่รู้จักกันทั้งโลกเลยนะ ลู่ฝานรู้สึกว่าสายตาที่คนรอบๆ มองเขาดูผิดปกติมาก

ลู่ฝานเซ็นชื่อให้ชายวัยกลางคน พลางพูดว่า “ทำไมพวกนายรู้จักฉันกันหมดเลยล่ะ ฉันมีชื่อเสียงที่นี่มากเหรอ”

ชายวัยกลางคนพูดเสียงดังว่า “มีชื่อเสียงแน่นอน อย่าบอกนะว่านายไม่รู้ว่านายอยู่ในรายชื่อประเทศแล้ว”

ลู่ฝานไม่เคยได้ยินจริงๆ

“รายชื่อประเทศอะไร”

ชายวัยกลางคนเกือบเป็นลม คิดว่าลู่ฝานนักกระบี่แห่งตงหวาที่อยู่ในตำนาน ไม่รู้แม้กระทั่งว่าตัวเองอยู่ในรายชื่อประเทศ

อย่าบอกนะว่านี่คือสไตล์ของฮีโร่ อย่าบอกนะว่านี่คือท่าทีของยอดฝีมือ!

ชายวัยกลางคนไออย่างแรงสองสามครั้ง เขารู้สึกว่าหายใจไม่ค่อยคล่อง

ชายวัยกลางคนพูดช้าๆ ว่า “ผู้ตรวจการลู่ ไว้ตอนไหนคุณค่อยซื้อรายชื่อประเทศมาดูก็รู้เอง”

ลู่ฝานส่งเสียงตอบรับ เขาต้องรู้ให้ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

ขณะนั้น เสียงทรงพลังเสียงหนึ่งดังขึ้น

“ลู่ฝาน กล้าสู้กับฉันไหม”

ลู่ฝานหันมามอง เห็นนักบู๊คนหนึ่งก้าวออกมา

แต่ขณะนั้น ก็มีนักบู๊เดินออกมาอีกคนหนึ่ง เขาพูดว่า “ลู่ฝาน สู้กับฉันก่อน!”

ลู่ฝานยังไม่ได้พูดอะไร จากนั้นก็มีอีกสองสามคนพูดเสียงดังว่า “สู้กับฉัน สู้กับฉันก่อน!”

เสียงตะโกนดังขึ้นเป็นระลอก จู่ๆ ลู่ฝานมึนไปหมดแล้ว

นี่มันเกิดอะไรขึ้น!

เมืองหลวงประเทศอู่อาน

บ้านเกิดของจักรพรรดิอู่ผู้ก่อตั้งประเทศอู่อาน เมืองหลักของหนึ่งแสนแปดพันเขต เรียกว่าเมืองหลวง!

เมืองนี้สร้างขึ้นในช่วงเริ่มต้นของการก่อตั้งประเทศอู่อาน โดยจักรพรรดิอู่สั่งการด้วยตัวเอง ให้มนุษย์เผ่ามังกร เผ่าทรงพลัง และเผ่าเขาหมั่งซานสร้างขึ้น

คูเมืองครอบคลุมพื้นที่ประมาณสองสามล้านลี้ มองไม่เห็นขอบเขต

เป็นเวลาหลายพันปี ผู้ปกครองประเทศอู่อานแต่ละยุค ขยายเมืองหลวงอย่างต่อเนื่อง จนเป็นเมืองหลวงในทุกวันนี้ กว้างใหญ่ขึ้นหลายเท่าเมื่อเทียบกับพันปีที่ผ่านมา

คูเมืองขนาดใหญ่มหึมา ถึงขั้นที่กว้างกว่าเมืองเล็กๆ บางส่วนด้วยซ้ำ ประชากรเกินพันล้านคน ถ้าไม่มาเมืองหลวง คงไม่มีทางรู้ความหมายของคำว่าเจริญรุ่งเรือง

กำแพงเมืองหลอมจากหินอุกกาบาต ไม่รู้สูงตั้งเท่าไร

ประตูแบ่งเป็นแปดประตู จากใต้สู่เหนือ แบ่งตามลำดับเป็น ประตูอู่เซิ่ง ประตูอู่เซวียน ประตูอู่เต๋อ ประตูอู่ก่วง ประตูอู่เฉิง ประตูอู่เซิง ประตูอู่ตี้ และประตูอู่เทียน

ประตูหลักคือประตูอู่เซิ่ง ประตูอู่เซวียน ประตูอู่เต๋อ และประตูอู่ก่วง

ประตูสูงเสียดฟ้า มีรูปปั้นจักรพรรดิตั้งอยู่สี่องค์

หนึ่งในนั้นคือหน้าประตูอู่เซิ่ง คือรูปปั้นของจักรพรรดิอู่ ผู้ก่อตั้งประเทศอู่อาน

ตอนนี้ในที่สุดพวกลู่ฝานก็เดินมาถึงหน้าประตูอู่เซิ่ง

เมื่อมาถึงตรงนี้ เพิ่งรู้สึกตัวว่ามีคนเดินไปมามากมาย

คนประหลาดเผ่าต่างๆ สัตว์อสูรหลากหลายชนิด พ่อค้าต่างๆ พากันเบียดมาที่ประตูเมือง

ประตูเมืองทั้งสองด้าน มีองครักษ์เผ่าทรงพลังยืนอยู่

สวมเกราะสีทอง ถือมีดยาวในมือ ทหารเผ่าทรงพลังทุกคน ส่วนสูงเกินสามร้อยกว่าเมตร ยืนอยู่ตรงนั้นราวกับเทพเจ้า

ประตูเมืองสร้างจากเหล็กบริสุทธิ์ ดูจากภายนอกเห็นเป็นสีดำขลับ

แต่มองนานไม่ได้ เพราะด้านบนสลักอักษรยันต์ไล่สิ่งชั่วร้ายเอาไว้ ถ้าคนทั่วไปมองนานๆ จะรู้สึกมึนศีรษะ ถ้าผู้ฝึกชั่วร้ายเห็นประตูนี้ ทำได้เพียงวิ่งหนีอย่างตื่นตระหนกเท่านั้น

“นี่คือเมืองหลวง นี่คือเมืองหลวงสินะ พี่ลู่ฝาน ฮ่าๆ เห็นผู้หญิงเผ่าเงือกตรงนั้นไหม เกล็ดปลานั่นงดงามจนน่าตกใจจริงๆ! อีกทั้งผู้หญิงเผ่าจิ้งจอกนั่นอีก เธอสวมเสื้อผ้าไหม ต้นขานั่นฉันสามารถเล่นได้ทั้งคืน!”

หยวนเลี่ยตื่นเต้นจนพูดจาสะเปะสะปะไปหมดแล้ว

เฝิงอิ่งเป็นคนตบให้เขากลืนคำพูดที่เหลือลงคอไป เพราะสาวงามเผ่าจิ้งจอกที่อยู่ข้างๆ หันมามองแล้ว

แต่สาวงามคนนี้ไม่ได้โกรธ เธอสะบัดหาง กะพริบตา แล้วก็ส่ายหน้าอก ไม่คิดเลยว่าจะส่งสายตาหวานให้หยวนเลี่ย

จู่ๆ หยวนเลี่ยรู้สึกว่าหัวใจตัวเองถูกจู่โจม เขากุมหน้าอกแล้วพูดว่า “เฝิงอิ่ง รอเธอกลับเขตเยี่ยน อย่าลืมเอาจดหมายไปให้ที่บ้านฉันด้วย ฉันขอไม่กลับไปชั่วคราว”

เฝิงอิ่งขี้เกียจสนใจเขา เดินตรงเข้าไปด้านใน

“ชื่อสกุล ชนชาติ บ้านเกิด จุดประสงค์ที่มาเมืองหลวง”

ชายวัยกลางคนนั่งอยู่หน้าประตูเมือง สอบถามกลุ่มคนที่เข้าเมืองทีละคน คนอ้วนที่ถือค้อนปอนด์ขนาดใหญ่ในมือ พูดเสียงดังว่า “ฉันบอกไปตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว ฉันออกจากเมืองไปตกปลา ทำไมต้องพูดอีกรอบเนี่ย”

เจ้าอ้วนสะบัดปลาตัวใหญ่บนไหล่ บอกว่าเป็นปลา ลู่ฝานคิดว่านั่นเป็นสัตว์อสูรตัวหนึ่งมากกว่า

อย่างน้อยเขาก็ไม่เคยเห็นปลามีขา แถมยังมีฟันโผล่มาข้างนอก มีตาสิบดวงด้วย

ชายวัยกลางคนพูดแบบไม่เงยหน้าขึ้นมา “ใกล้เทศกาลเซ่นไหว้ประจำปีแล้ว เพื่อความปลอดภัย เบื้องบนต้องการให้เราตรวจอย่างละเอียด ฉันก็จนปัญญา ค้อนของนายลงทะเบียนแล้วยัง ถ้ายังไม่ลงทะเบียนอย่าลืมลงทะเบียนด้วย”

เจ้าอ้วนใบหน้าเหนื่อยใจ โยนค้อนลงบนโต๊ะ

“ลงทะเบียนสิๆ ลงทะเบียนค้อนเนี่ยนะ จริงๆ เลย”

ลู่ฝานฟังอยู่ด้านหลัง เขาถอนหายใจเบาๆ นับวันดูแล้ว เหมือนใกล้ถึงเทศกาลเซ่นไหว้ประจำปีแล้วจริงด้วย

คงเป็นครั้งแรกที่เขาฉลองเทศกาลเซ่นไหว้ประจำปีที่อื่น คิดแล้วเศร้าเล็กน้อย

ในที่สุดก็มาถึงพวกลู่ฝาน ชายวัยกลางคนเงยหน้ามองพวกหยวนเลี่ยแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “มาจากไหน มาทำอะไร รีบพูดมา”

พื้นใสจนเห็นคลื่นทะเลซัดขึ้นลง

พวกลู่ฝานเดินอยู่บนถนนอัญมณี รู้สึกเหมือนเดินบนสวรรค์ มองลงมายังโลกมนุษย์

ทั้งห้าคนเดินลึกลงไปในทะเลกว้าง ลู่ฝานถามสิ่งที่ตัวเองอยากถามมาตั้งนาน

“พวกนายรู้ไหมว่าเมืองหลวงใหญ่แค่ไหนกันแน่”

พวกหยวนเลี่ยมองหน้ากัน หลังจากนั้นหยวนเลี่ยพูดว่า “พูดตามตรง พวกเราก็ไม่รู้ว่าเมืองหลวงใหญ่ขนาดไหน แต่ที่บ้านเกิดเรามีเพลงพื้นบ้าน ที่เคยบรรยายเอาไว้ท่อนหนึ่ง”

พูดพลาง หยวนเลี่ยกระแอมแล้วพูดว่า “อรุณสีชาดขึ้นทางตะวันออก อรุณสีชาดส่องเมืองหลวง หนึ่งเมืองเหมือนหนึ่งเขตใหญ่ สถานที่ต่างกัน ธรรมชาติก็ต่างกัน ในเมืองมีสี่ฤดู ตะวันออกสดใสตะวันตกมีหิมะ เมืองใหญ่โตมโหฬาร อู่อานที่งดงามของฉัน!”

ลู่ฝานพูดพึมพำว่า “หนึ่งเมืองเหมือนหนึ่งเขตใหญ่ สถานที่ต่างกันธรรมชาติก็ต่างกัน ประโยคนี้”

มิน่าล่ะแค่คูเมืองก็ขนาดเหมือนหนึ่งเขตแล้ว!

การคาดเดานี้ ทำให้ลู่ฝานเกิดความรู้สึกนับถือขึ้นมา

มองกำแพงเมืองขนาดมหึมาเหมือนเทือกเขา นี่เหมือนไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้!

ลู่ฝานสูดหายใจลึก ร่างกายกลายเป็นสายลม พุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เขาอยากเห็นหน้าตาที่แท้จริงของเมืองใหญ่แห่งนี้จนทนไม่ไหวแล้ว

ลู่ฝานเร่งความเร็ว อย่างน้อยพวกหยวนเลี่ยก็ตามทัน

ทั้งห้าคนทะยานไปบนถนนสวรรค์ สายน้ำด้านล่างก็ไหลแรงขึ้นด้วย

คลื่นลูกใหญ่ซัดถนนอัญมณีไม่หยุด แต่เหมือนรอบถนนอัญมณีมีอักษรยันต์คุ้มครองอยู่ สายน้ำที่เข้าใกล้ถนนอัญมณีหนึ่งนิ้ว จะโดนกำแพงที่มองไม่เห็นกันเอาไว้

ลู่ฝานวิ่งอย่างรวดเร็ว จากความเร็วของเขาในตอนนี้ เหมือนสายลมวูบหนึ่งจริงๆ

สิบสามยังดีหน่อย เพราะเป็นนักบู๊แดนปราณชีวิต เขาจึงตามทัน

แต่พวกหยวนเลี่ย หลังจากวิ่งอยู่พักหนึ่ง ก็ตามไม่ทันแล้ว

หอบหายใจอย่างรุนแรง พวกหยวนเลี่ยชะงักฝีเท้าลง

“ไม่ไหวแล้ว พี่ลู่ฝานวิ่งเร็วเกินไป เราตามไม่ทันแล้ว!”

ทั้งสามคนมองหน้ากันด้วยสีหน้าเหนื่อยใจ

พวกเขากัดฟัน ไม่ยอมโดนลู่ฝานทิ้งอยู่ข้างหลังแบบนี้ จึงวิ่งอย่างสุดชีวิตอีกครั้ง

ขณะกำลังวิ่ง จู่ๆ ทุกคนเห็นในทะเลไกลๆ มีทางสวรรค์ทางอื่นอีกด้วย

อีกทั้งบนทางสวรรค์เหล่านี้ เห็นกลุ่มคนอยู่รางๆ

ยิ่งพวกเขาวิ่งไปด้านในเรื่อยๆ ยิ่งเห็นทางสวรรค์เยอะขึ้น ผู้คนก็ยิ่งเยอะขึ้นด้วย

ชนชาติแปลกต่างๆ นานา ยักษ์ตัวสูงใหญ่ สัตว์อสูรคำราม เจอได้เรื่อยๆ อีกทั้งจุดหมายปลายทางของคนพวกนี้ เห็นได้ชัดว่าเหมือนกับพวกเขา

ปลายทางที่เป็นจุดรวมตัวของทางสวรรค์เหล่านี้ ต้องเป็นจุดเดียวกันแน่นอน

ทันใดนั้น พวกหยวนเลี่ยเห็นเงาของลู่ฝานแล้ว

ตอนนี้ลู่ฝานยืนอยู่บนถนนสวรรค์ กำลังเงยหน้ามองอะไรบางอย่าง เงียบไม่พูดอะไรอยู่นาน

“ลู่ฝาน เราตามนายทันสักที!”

หยวนเลี่ยพูดเสียงหอบ

หลังจากนั้นทั้งสามคนมองตามสายตาของลู่ฝาน เห็นภายในเมฆหมอกที่อยู่ไกลๆ มีรูปปั้นขนาดใหญ่ปรากฏออกมา

สูงเป็นอย่างมาก ถึงมีทะเลกว้างใหญ่กั้นอยู่ พวกเขาก็ยังสัมผัสถึงความยิ่งใหญ่ของรูปปั้นนี้ได้

นั่นเป็นชายสวมชุดเกราะทั้งตัว ชักกระบี่ขึ้นไปบนฟ้า แววตาของเขาเด็ดเดี่ยว ท่าทางของเขาดูยิ่งใหญ่ เกราะของเขามีรอยแผลเต็มไปหมด กระบี่ของเขากว้างและใหญ่มาก ราวกับบานประตู อีกทั้งบนกระบี่ของเขา มีตัวอักษรขนาดใหญ่สองตัว

“อู่อาน!”

เห็นรูปปั้นนี้ หยวนเลี่ยพูดอย่างตื่นเต้นว่า “นี่เป็นรูปปั้นของจักรพรรดิผู้ก่อตั้งประเทศอู่อาน รูปปั้นของจักรพรรดิอู่!”

ลู่ฝานพูดอย่างราบเรียบว่า “ฉันรู้!”

ลู่ฝานพูดเช่นนี้ สายตาของเขาเอาแต่จ้องไปที่กระบี่เล่มนั้น

เหมือนกระบี่หนักไร้คมมาก!

ขณะนั้นกระบี่หนักไร้คมส่องแสงบางๆ ออกมา

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 924
ทุกคนมองพวกเขาร่วงลงมาเหมือนใบไม้ ด้วยความตกตะลึง

“พี่ลู่ฝานเก่งสุดยอดจริงๆ นี่คือเคล็ดวิชาบู๊เหรอ ผู้ฝึกชี่ก็ไม่เท่าไร”

หยวนเลี่ยพูดอย่างตกใจ

เฝิงอิ่งตาเป็นประกาย แล้วพูดว่า “เคล็ดวิชาบู๊ระดับนี้ไม่ใช่วิชาที่ทำให้คนลอยขึ้นมาได้เหรอ คุณชายลู่ฝาน นายใกล้เข้าสู่แดนปราณฟ้าแล้วใช่ไหม”

เซี่ยงจู้เอ่ยชมไม่หยุด “เคล็ดวิชาบู๊นี้……เคล็ดวิชาบู๊นี้……สอนผมได้ไหม”

ลู่ฝานหัวเราะ แล้วพูดว่า “เป็นเคล็ดวิชาบู๊ที่สืบทอดในตระกูล ไม่มีค่าให้พูดถึงหรอก!”

พวกหยวนเลี่ยพยักหน้าแรง

หลังจากนั้นหยวนเลี่ยพูดว่า “ดูเหมือนตระกูลคุณ คงเป็นตระกูลวิถีบู๊ที่แข็งแกร่งมากแน่ๆ”

ลู่ฝานยิ้มกระอักกระอ่วน ไม่ได้อธิบายอะไรมาก

แต่เป็นเจ้าดำที่อยู่บนไหล่ของเขา ที่หัวเราะจนตัวโยน

มีเสียงกระแทกดังขึ้นหนึ่งครั้ง ทุกคนร่วงลงบนพื้น ทรายละเอียดลอยฟุ้งไปทั่ว

ที่นี่คือชายหาดแห่งหนึ่ง สิ่งที่ปรากฏในสายตาคือทะเลอันกว้างใหญ่

เพ่งมองไปไกลๆ ฝั่งตรงข้ามทะเลมีเทือกเขาขนาดใหญ่ เหมือนสุดขอบโลก

เทือกเขาเชื่อมต่อกันเป็นแถบ เป็นระเบียบมาก เหมือนกำแพงที่กั้นทะเลกว้างใหญ่

ลู่ฝานขมวดคิ้วเบาๆ แล้วพูดว่า “แน่ใจเหรอว่าที่นี่ เมืองหลวงล่ะ ทำไมมองไม่เห็นเลย”

ลู่ฝานหันมาเห็นพวกหยวนเลี่ยยืนอึ้งอยู่ที่เดิม เงยหน้ามองเทือกเขาสูงใหญ่ท่ามกลางเมฆหมอก

ลู่ฝานสงสัยเล็กน้อย จึงพูดว่า “พวกนายมองอะไร”

ตอนนี้หยวนเลี่ยเพิ่งตั้งสติได้ กลืนน้ำลายพูดว่า “ดูเมืองไง!”

“เมืองอะไร ที่ไหนมีเมือง”

ลู่ฝานมองรอบๆ ไม่มีเมืองอะไรเลย

หยวนเลี่ยชี้ไปที่เทือกเขาไกลๆ แล้วพูดเสียงดังว่า “เมืองหลวงไง! พี่ลู่ฝาน นั่นคือเมืองหลวง!”

เพียงประโยคเดียว ยิ่งทำให้ลู่ฝานสงสัย

นี่คือเมืองหลวงเหรอ

เขามองเทือกเขาสูงเสียดฟ้าและดูเป็นระเบียบมากอีกครั้ง จู่ๆ ลู่ฝานคิดถึงความเป็นไปได้บ้าบอขึ้นมาได้

“อย่าบอกนะว่านั่นคือ……กำแพงเมือง”

ลู่ฝานพูดอย่างประหลาดใจ

หยวนเลี่ยพยักหน้าสุดแรง “ใช่ นั่นคือกำแพงเมือง นี่คือเมืองหลวง เมืองยิ่งใหญ่ของประเทศ!”

ลู่ฝานอ้าปากค้าง ดวงตาและจมูกเบิกโตไปด้วย

เมืองยิ่งใหญ่ของประเทศ! ขนาดกำแพงเมืองยังยิ่งใหญ่ขนาดนี้ งั้นเมืองนี้จะใหญ่ขนาดไหนกันแน่

ตัวของสิบสามชะงักไป เขาก็ไม่เคยเห็นเมืองใหญ่ขนาดนี้มาก่อน

ลู่ฝานจินตนาการไม่ออกจริงๆ หยวนเลี่ยสูดหายใจลึก แล้วพูดว่า “ไปกันเถอะ เราไปหาเส้นทางสวรรค์กัน!”

ลู่ฝานฟังไม่ค่อยเข้าใจอีกแล้ว แต่เขาฉลาดจึงไม่ได้ถามอะไรมาก เดินตามพวกหยวนเลี่ยไปข้างหน้า

เก็บเรือและรถม้าเอาไว้แล้ว ทั้งห้าคนรีบเดินไปตามชายหาด

ไม่นาน มีสิ่งหนึ่งปรากฏขึ้นตรงสุดสายตา นั่นคือถนนอัญมณีข้ามทะเล สีใสเป็นอย่างมาก ถ้าสายตาไม่ดี ถึงเดินผ่านมันก็ไม่น่าจะเห็น

ถนนอัญมณี กว้างเป็นอย่างมาก ถนนเส้นนี้เหมือนถนนไปสู่สวรรค์ เชื่อมต่อกับเขาและทะเล

“นี่คือถนนสวรรค์เหรอ”

ลู่ฝานถามออกมาประโยคหนึ่ง

หยวนเลี่ยพูดชมว่า “ใช่ พี่ลู่ฝาน นี่คือถนนสวรรค์ ซึ่งก็คือถนนไปยังประตูเมืองหลวง!”

ได้ยินว่าถนนไปยังประตูเมืองหลวง ลู่ฝานรู้สึกแค่ว่าหัวใจตัวเองรัดตัวแน่นครู่หนึ่ง

ทางไปประตูเมืองที่ไหนสร้างแบบนี้บ้าง ถ้านี่คือทางไปประตูเมือง งั้นทะเลผืนนี้……

ลู่ฝานเข้าใจทันที ทะเลผืนนี้คงไม่ใช่คูเมืองใช่ไหม

เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นมา ลู่ฝานตกใจจนพูดไม่ออกอีกแล้ว

“อู่อานที่งดงามของฉัน!”

ผ่านไปนาน เซี่ยงจู้พูดประโยคเช่นนี้ออกมา

ทุกคนก้าวขึ้นไปบนถนนอัญมณี เดินไปข้างหน้า

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 923
เวลาของการเดินทางผ่านไปอย่างรวดเร็วเสมอ เพียงพริบตาก็หนึ่งเดือนแล้ว ผ่านไปอย่างเงียบๆ

“พี่ลู่ฝาน เราใกล้ถึงเมืองหลวงแล้ว ฮ่าๆ ฉันตื่นเต้นมาก ในที่สุดก็จะได้เห็นเมืองยิ่งใหญ่ของประเทศในตำนานแล้ว เฝิงอิ่งตอนถึงเธอต้องเอากระจกจำภาพออกบันทึกไว้ให้ดีนะ รอเรากลับมาเขตเยี่ยน ต้องเอาให้คนในตระกูลดู”

หยวนเลี่ยตื่นเต้นจนวิ่งไปมาบนรถ ลู่ฝานบีบลูกแก้วอยู่ในมือหนึ่งเม็ด บันทึกภาพที่ปรากฏด้านหน้าเขาเอาไว้สักหน่อย

นิ้วเคลื่อนไหวไปมาอยู่บนภาพ ลู่ฝานมองเส้นทางที่พวกเขาผ่านมา หัวเราะแล้วพูดว่า “ใกล้ถึงเมืองหลวงแล้วจริงๆ”

ลู่ฝานเก็บลูกแก้ว แล้วเพ่งมองไปไกลๆ ตรงสุดสายตามีส่วนเว้าลึกลงไปขนาดใหญ่

อุโมงค์ข้ามมิตินับไม่ถ้วน รวมตัวกันอยู่ตรงสุดสายตา หลังจากนั้นไหลลงไปในส่วนเว้าลึก

ตรงนั้นเหมือนหลุมยุบ ทำให้อุโมงค์ข้ามมิติทั้งหมด ไหลลงไปเหมือนน้ำตก ไม่รู้ว่าหายไปไหน

ปรากฏการณ์ที่งดงามแบบนี้ ทำให้ลู่ฝานยิ้มอย่างมีความสุข

สิบสามที่ขี่รถม้ามาตลอด ตอนนี้เขาลุกขึ้นยืน มองไปไกลๆ

เจ้าดำวิ่งไปมาบนไหล่ลู่ฝาน เห็นได้ชัดว่าตื่นเต้นมาก

ผ่านการเดินทางที่น่าเบื่อมาหนึ่งเดือน พวกเขาใกล้ถึงจุดหมายปลายทางแล้ว หนึ่งเดือนนี้ลู่ฝานกับสิบสามยังพอได้อยู่ ฝึกฝนทุกวันก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว

แต่สำหรับคนที่นั่งไม่ติดอย่างหยวนเลี่ย เกือบตายได้จริงๆ

ตอนนี้ใกล้บอกลาช่วงเวลาแบบนี้แล้ว!

“ทุกคนเตรียมตัว เราจะออกจากอุโมงค์ข้ามมิติ พุ่งไปยังเมืองหลวงแล้ว ทุกคนเตรียมพร้อมหรือยัง”

หยวนเลี่ยตะโกนเสียงดัง จากนั้นเขาปล่อยพลังปราณของตัวเองออกมา

ลู่ฝานพยักหน้าให้สิบสาม ทันใดนั้น สิบสามก็ปล่อยพลังปราณของตัวเองออกมาเช่นกัน ควบคุมรถม้ามิติเอาไว้อย่างสมบูรณ์

เมื่อเห็นว่าใกล้ถึงหลุมอากาศเวิ้งว้างแล้ว หยวนเลี่ยนหัวเราะแล้วพูดว่า “สาวงามแห่งเมืองหลวง ฉันมาแล้ว”

ด้านหลัง เฝิงอิ่งเคาะหัวหยวนเลี่ยอย่างแรงไปหนึ่งที แล้วพูดว่า “บังคับให้ดีๆ อีกเดี๋ยวถ้าพุ่งออกไปไม่ได้ ฉันจะตีหัวนายให้แตกเลย”

หยวนเลี่ยลูบหัวแล้วบ่นสองสามครั้ง หลังจากนั้นเรือลำใหญ่ข้างล่างพวกเขา เร่งความเร็วพุ่งไปข้างหน้าทันที

สิบสามรีบบังคับรถม้าตามไป สิ่งที่เดินทางผ่านมิติของทั้งสองฝ่ายเร็วขึ้นเรื่อยๆ เข้าใกล้หลุมด้านหน้าขึ้นเรื่อยๆ

หยวนเลี่ยหัวเราะเสียงดัง “ไปแล้วนะ!”

ทันใดนั้นเรือลำใหญ่ปล่อยแสงสว่างแสบตาออกมา หลังจากนั้นมิติรอบๆ เริ่มแตกออกเป็นเสี่ยงๆ แสงสว่างสีเงินปรากฏออกมา

รถม้ามิติที่สิบสามบังคับอยู่ ก็ปล่อยแสงสว่างแสบตาออกมาเหมือนกัน แสงสีเงินเหมือนเม็ดฝนผ่านตัวลู่ฝานไป

จู่ๆ รถม้าหายไปในอุโมงค์ข้ามมิติ พวกหยวนเลี่ยก็หายไปด้วย

ตอนนี้ในท้องฟ้าสีคราม มีรอยแตกสีดำขลับสองรอย ทันใดนั้นรถม้ากับเรือลำใหญ่พุ่งออกมา

ภาพด้านหน้าเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ฟ้าครามเมฆขาว อาทิตย์สีแดงลมพัดเบาๆ!

“ออกมาแล้ว!”

ลู่ฝานหัวเราะเบาๆ

ส่วนข้างๆ พวกหยวนเลี่ยตะโกนเสียงดัง “โอ๊ย!”

ต่อมาลู่ฝานสังเกตเห็นพวกเขาร่วงลงมาจากบนฟ้าสูงทันที

จู่ๆ ลู่ฝานหัวเราะเสียงดัง เขายกมือขึ้นจับรถม้า แล้วพูดกับสิบสามว่า “ดึงฉันไว้!”

สิบสามได้ยินก็รีบดึงแขนเสื้อลู่ฝานเอาไว้ หลังจากนั้นลู่ฝานยื่นมือไปทางพวกหยวนเลี่ย

คว้าฝ่ามือกลางอากาศ พลังฟ้าดินดันเรือลำใหญ่มาข้างตัวลู่ฝาน

ใช้ฝ่ามือจับเรือลำใหญ่ไว้ ลู่ฝานปล่อยปราณชี่ออกมาทั้งตัว

ห้าธาตุกลายเป็นสายลม ปรากฏ!

ลมเย็นพัดมาวูบหนึ่ง โอบอุ้มรถม้ากับเรือเอาไว้อย่างมั่นคง

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 922
ลู่ฝานได้ยินคำว่าผลึกมิติ ก็ดีใจเป็นอย่างมาก

“ฮ่าๆ ลุงชาง คุณได้สิ่งนี้มาจริงด้วย!”

ลุงชางลูบจมูกแล้วพูดว่า “จริงๆ ฆ่าหนอนไม่ได้อะไรหรอก แต่ปู้เฟย ราชากระบี่ใต้ร่ำรวยจริงๆ นี่คือของสะสมของเขา ฉันเห็นเลยเอามาให้น้องลู่ฝาน ใครใช้ให้ฉันพูดว่าถ้ามีก็จะให้น้องลู่ฝานล่ะ”

ลู่ฝานรับผลึกมิติมาอย่างไม่เกรงใจ

แค่สิ่งนี้สิ่งเดียว ก็ไม่รู้มูลค่าเท่าไรแล้ว ผลึกมิติเทียบกับแก้วหินมิติทั่วไป มีมูลค่าสูงกว่าเยอะมาก

ไม่เพียงแต่เป็นวัสดุชั้นดีในการทำสิ่งที่เดินทางผ่านมิติ ยังนำมาทำสิ่งอากาศธาตุ อีกทั้งยังช่วยให้นักบู๊ทำความเข้าใจพลังแห่งมิติด้วย

แค่ข้อสุดท้าย ก็ทำให้ของชิ้นนี้มีมูลค่าไม่สิ้นสุดแล้ว

ลุงชางให้เขาแบบตามใจชอบ ทำให้ลู่ฝานประเมินลุงชางสูงขึ้นอีก

นี่เป็นคนที่คู่ควรแก่การทำความรู้จัก!

ไม่ต่างกัน ลุงชางก็ประเมินลู่ฝานสูงขึ้นเช่นกัน

ไม่ทันไรก็ผ่านไปอีกสองสามวัน ใกล้ถึงจุดเสริมที่สองแล้ว

เมื่อถึงที่นี่ เป็นตอนที่ลู่ฝานกับพวกลุงชางแยกทางกัน จุดหมายปลายทางของลู่ฝานคือเมืองหลวง ส่วนพวกลุงชางแค่ผ่านจุดเสริม เพื่อทำการซื้อขายสินค้า เป็นธุรกิจเล็กๆ เท่านั้น

ด้านนอกจุดเสริม ลู่ฝานกับลุงชางต่างคารวะกันและกัน จากนั้นทั้งสองฝ่ายจึงบอกลา

กลุ่มนักบู๊โบกมือให้ลู่ฝานอย่างต่อเนื่อง จนถึงตอนนี้ยังมีคนตะโกนเสียงดังว่าจะฝากตัวเป็นศิษย์ลู่ฝาน แต่ลู่ฝานปฏิเสธทั้งหมด

ลู่ฝานนั่งบนรถม้า หันมาพูดกับสิบสามว่า “ไปกันเถอะ ต้องรีบไป ไม่เดินเล่นที่จุดเสริมแล้ว”

สิบสามพยักหน้าเข้าใจ จากนั้นนั่งตรงหัวรถม้า

จู่ๆ ลู่ฝานรู้สึกว่าสิบสามใช้พลังปราณของตัวเองบังคับรถม้า ลู่ฝานพูดอย่างประหลาดใจว่า “สิบสาม นายจะควบคุมรถม้าเหรอ”

สิบสามพยักหน้าพูดว่า “ผมรู้!”

พูดจบ ลู่ฝานรู้สึกว่ารถม้าเลี้ยวหัวอย่างสวยงาม กลับเข้ามาในอุโมงค์ข้ามมิติ จากนั้นเคลื่อนตัวในอุโมงค์ข้ามมิติ ด้วยความเร็วที่เร็วกว่าปกติมาก

ลู่ฝานยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “ดูเหมือนว่าช่วงนี้ นายก็เรียนรู้อะไรได้ไม่น้อยเลยนะ!”

จู่ๆ ลู่ฝานนึกขึ้นได้ สองสามวันนี้สิบสามอยู่กับพวกถูซางตลอด ลู่ฝานเห็นสิบสามพูดคุยอยู่หลายครั้ง เขากำลังเรียนรู้อยู่จริงๆ!

ในเมื่อสิบสามเต็มใจบังคับรถม้า งั้นลู่ฝานจึงตัดสินใจจะพักผ่อน

แต่ขณะนั้น มีเสียงตะโกนดังขึ้นด้านหลัง

เมื่อเดินออกมาจากตัวรถ หันหน้าไปมอง เห็นพวกหยวนเลี่ยตามมา

ลู่ฝานส่งสัญญาณให้สิบสามลดความเร็วลง เอาสองมือไพล่หลังมองหยวนเลี่ยด้วยรอยยิ้ม แล้วพูดว่า “พวกนายไม่ไปเดินเล่นที่จุดเสริมใหม่เหรอ”

หยวนเลี่ยหัวเราะร่า แล้วพูดว่า “ไม่มีเงิน จะเดินเล่นไปทำไม”

เหตุผลนี้ ลู่ฝานเถียงไม่ได้จริงๆ

ขณะนั้นเฝิงอิ่งเดินออกมาทางด้านหลังหยวนเลี่ย แล้วพูดว่า “คุณชายลู่ฝาน พวกเรายังเดินทางไปกับนายได้ไหม”

ลู่ฝานมองความคาดหวังบนใบหน้าทั้งสามคน จากนั้นยิ้มบางๆ

เซี่ยงจู้รีบพูดว่า “คุณชายลู่ฝานวางใจได้เลย เราไม่รบกวนคุณฝึกฝนแน่นอน เราแค่อยากเดินทางไปด้วยเท่านั้น ถ้าเป็นไปได้ เราสามคนยอมปรนนิบัติคุณ”

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ต้องปรนนิบัติหรอก ไปทางเดียวกันอยู่แล้ว งั้นก็ไปด้วยกันต่อเถอะ”

พวกหยวนเลี่ยกระโดดขึ้นมาทันที และยิ้มอย่างมีความสุข

ลู่ฝานเดินกลับมาในรถม้า พูดกับสิบสามว่า “ฉันมีแรงดึงดูดใจขนาดนั้นเลยเหรอ”

สิบสามตอบอย่างไม่ต้องคิดว่า “มีครับ!”

ลู่ฝานหัวเราะร่าแล้วพูดว่า “ฝีมือการประจบของนายจะไม่ต่างจากไอ้เก้าแล้วนะ รีบขี่เถอะ จะได้ถึงเมืองหลวงเร็วๆ”

ใบหน้าสิบสามเต็มไปด้วยความสงสัย ไอ้เก้าคือใครเหรอ

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 921
หลังผ่านไปไม่กี่วัน ทีมเรือออกมาจากรังหนอนได้สำเร็จ

พูดขึ้นมาขอบเขตของรังหนอนนี้ก็ใหญ่จริงๆ ใช้เวลาตั้งหลายวันกว่าจะออกมาได้

มองอุโมงค์ข้ามมิติที่ไม่มีสิ่งกีดขวางด้านหน้า ทุกคนถอนหายใจอย่างโล่งอก แม้ไม่มีพญาหนอน แค่โจมตีหนอนตัวอื่นก็หนีกันหมด แต่ฆ่าหนอนทั้งวัน ก็ไม่ใช่เรื่องที่สนุก วันนี้ทุกอย่างได้สิ้นสุดลงสักที

ลุงชางยืนอยู่ที่หัวเรือ ยื่นแก้วเหล้าให้ลู่ฝานแล้วพูดว่า “น้องลู่ฝานมาชิมสิ เหล้าเกล็ดน้ำแข็งชั้นดีของฉันเอง คนทั่วไปหาดื่มไม่ได้นะ”

ลู่ฝานรับเหล้ามา จิบเบาๆ หนึ่งอึก

เหล้าผ่านลำคอ เย็นถึงกระดูก เย็นยะเยือกจนลู่ฝานสดชื่นตื่นเต็มตา แต่หลังจากมันลงไปในท้อง กลับรู้สึกอบอุ่นไปหมด

“เหล้าดี!”

ลู่ฝานเอ่ยชม ลุงชางหัวเราะแล้วพูดว่า “ต้องเป็นเหล้าดีอยู่แล้ว ไม่งั้นฉันจะถนอมรักษามันเอาไว้ทำไมล่ะ”

ลู่ฝานดื่มเหล้าที่เหลือรวดเดียวจนหมด แล้วพูดว่า “ลุงชาง ได้ยินว่าราชากระบี่ใต้ โดนลุงขังเอาไว้จริงเหรอ”

ลุงชางพยักหน้าพูดว่า “ใช่ คนแบบนี้ต้องขังไว้ให้ดี รอให้ถึงจุดเสริมถัดไป ฉันจะพาเขาออกไป ประกาศเรื่องที่เขาทำสักหน่อย”

ลู่ฝานพูดว่า “ไม่กลัวโดนแก้แค้นเหรอ”

ลุงชางหัวเราะคิกคักแล้วพูดว่า “ฉันไม่ได้เป็นคนประกาศเองสักหน่อย ถึงเพื่อนสนิทของเขามาหาถึงที่ ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน”

พูดพลาง ลุงชางชี้นักบู๊คนอื่นบนเรือ ยิ้มแล้วพูดว่า “บนเรือยังมีคนอีกตั้งเยอะ”

ลู่ฝานยกยิ้มมุมปากกับท่าทางการวางตัวที่เจ้าเล่ห์ของลุงชาง

ลู่ฝานพยักหน้าแล้วพูดว่า “ดูเหมือนราชากระบี่ใต้คงอยู่ได้ไม่นานแล้วสิ”

ลุงชางขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เขาตายแน่นอน ใครใช้ให้เขาคิดทำลายทีมเรือของฉันล่ะ นี่คือทุกอย่างของฉันเลยนะ น้องลู่ฝานจะพูดขอร้องแทนเขาเหรอ”

ลู่ฝานพูดว่า “ผมไม่ได้ชอบอวดรู้ถึงขั้นนั้น แค่คิดว่านักบู๊แดนปราณดิน ไม่ควรตายอย่างไร้ค่าเช่นนี้”

ลุงชางหัวเราะเศร้าๆ แล้วพูดว่า “แค่แดนปราณดินเท่านั้น ไม่นับประสาอะไร ยังไงก็ต้องหยุดความอวดดีเอาไว้ ยังไม่เข้าสู่แดนปราณฟ้า ล้วนเป็นเพียงคนกระจอกเหมือนมด ไม่รู้จักเขตวิถี ล้วนเป็นเพียงคนธรรมดา”

ลู่ฝานครุ่นคิดคำพูดของลุงชางอย่างละเอียด แล้วขมวดคิ้วเป็นปม

ลุงชางถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่ง เหมือนนึกถึงอดีตที่เจ็บปวดขึ้นมาได้

ลุงชางโบกมือไปมาแล้วพูดว่า “ไม่พูดถึงเรื่องนี้แล้ว น้องลู่ฝาน ฉันมีเรื่องจะขอร้อง”

ลู่ฝานพูดว่า “เรื่องอะไร”

ลุงชางดูลำบากใจที่จะพูดออกมา อ้าปากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “ฉันอยากขอของอย่างหนึ่งจากนาย”

ลู่ฝานกลอกตาไปมา ก็รู้ทันทีว่าลุงชางต้องการอะไร

“ที่ตรวจจับเหรอ”

ลุงชางหัวเราะร่าแล้วพูดว่า “น้องลู่ฝานเป็นคนฉลาด ของสิ่งนี้สำหรับคนวิ่งส่งสินค้าในอากาศเวิ้งว้างมาหลายปีอย่างพวกเรา มีประโยชน์มากจริงๆ ต่อไปถ้าเจอหนอนอีก อย่างน้อยก็ไม่โดนซุ่มโจมตี”

ลู่ฝานเอาที่ตรวจจับออกมาเส้นหนึ่งโดยไม่ลังเล ยื่นให้ลุงชางแล้วพูดว่า “อ่ะนี่”

ลุงชางอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นหัวเราะเสียงดังแล้วพูดว่า “น้องลู่ฝานเป็นคนตรงไปตรงมาจริงๆ ฉันเป็นเพื่อนกับน้องลู่ฝานแล้วนะ ต่อไปแค่เป็นเรื่องในอากาศเวิ้งว้าง ขอแค่นายเรียกฉัน ฉันมาได้ทุกเมื่อ”

พูดพลาง ลุงชางเอาของออกมาสองชิ้น ยัดใส่เข้าไปในมือลู่ฝาน

ชิ้นแรกคือยันต์หยก อีกชิ้นคือลูกแก้ว

ลุงชางชี้ยันต์หยกแล้วพูดว่า “ยันต์หยกคือเครื่องหมาย บีบมันให้แตก ฉันก็จะรู้ว่านายอยู่ที่ไหน ติดต่อได้ทั่วทั้งโลกไม่มีพลาด ส่วนลูกแก้วนี่คือผลึกมิติ”

พวกหนอนจำนวนนับไม่ถ้วนก็ส่งเสียงร้องขึ้นด้วยความหวาดกลัว

ทันใดนั้น นักบู๊ทั้งหมดก็พบว่า รังไหมจำนวนมากมายที่อยู่ด้านหลังได้เกิดการระเบิดขึ้น

ครั้งนี้ แทนที่จะระเบิดขึ้นที่หนอนทีละตัว แต่กลับระเบิดเป็นแสงสีแดงไปทั่วทั้งแถบบริเวณ ราวกับแสงตะวันลับขอบฟ้า ส่องสะท้อนขึ้นในสายตา

เท้าของลู่ฝานเหยียบย่ำลงไปบนอุโมงค์ข้ามมิติอย่างหนักหน่วงอีกครั้ง และเขาก็พุ่งกระโจนเข้าไป หักหนวดเส้นนั้น เก็บใส่ไว้ในเข็มขัด

แล้วก็กวาดสายตามองไปโดยรอบ พบว่าพวกหนอนทั้งหมดเริ่มหลบหนีกันอย่างกระจัดกระจาย

“ชนะแล้ว! คุณชายลู่ฝานชนะแล้ว! ”

ทุกคนส่งเสียงหัวเราะกันอย่างกึกก้อง ขณะเดียวกันก็ไล่ล่าสังหารพวกหนอนเหล่านั้นอย่างบ้าคลั่ง

เมื่อไม่มีพญาหนอน พวกหนอนเหล่านี้ก็เป็นแค่พวกหนอนที่ไร้ระเบียบไร้ความสามารถ ลงมือจัดการได้โดยง่าย ส่วนรังไหมทั้งหมดก็ระเบิดสลายเป็นผุยผง กระจัดกระจายไปทั่วในอุโมงค์ข้ามมิติ

ลู่ฝานยิ้มเล็กน้อย แล้วก็กำลังจะหันหลังกลับไป

ในขณะนั้นเอง เขาก็พลันเห็นว่าหลุมดำนั้นได้สูญหายไปแล้ว

โดยในขณะที่หลุมดำหายไปนั้น เหมือนจะมีหนอนเล็กตัวหนึ่งมุดตัวเข้าไปด้านในด้วย

ลู่ฝานก็ไม่ได้คิดอะไรมาก หันหลังและกระโดดกลับขึ้นไปที่เรือหัวใจมังกร

เวลานี้ ภายในเรือหัวใจมังกร นักบู๊ทุกคนก็ตื่นเต้นดีใจเมื่อพบเห็นลู่ฝาน

“คุณชายลู่ฝาน ท่านเก่งกาจมากจริง ๆ เมื่อสักครูท่านใช้วิชาอะไรเหรอ มันช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก”

“คุณชายลู่ฝาน ท่านรับฉันเป็นลูกศิษย์เถอะ ฉันจะปรนนิบัติรับใช้ท่านอย่างดีเลย”

“คุณชายลู่ฝาน ท่านแต่งงานหรือยัง? ครอบครัวของฉันยังมีน้องสาวอีกหนึ่งคน……”

เสียงวิพากษณ์วิจารณ์ต่าง ๆ นา ๆ ดังเข้ามาในหูของลู่ฝาน

ลู่ฝานเพียงแค่ยิ้มแล้วก็หยิบยาขวดหนึ่งออกมาแล้วกินเข้าไป จากนั้นก็หันหน้ามองไปที่สิบสามและพูดว่า: “นายเป็นอย่างไรบ้าง ได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า? ”

สิบสามมองไปที่บาดแผลบนท่อนแขนและช่วงหน้าอกของตนเองอย่างผ่าน ๆ จากนั้นก็ส่ายศีรษะ

ลู่ฝานนำยาขวดหนึ่งออกมา แล้วยัดไปให้เขา สิบสามรับยามา พร้อมกับสายตาที่เป็นประกาย

เขาไม่ได้กินยานั้น แต่ได้นำยานั้น เก็บยัดใส่ไว้ในทรวงอกอย่างเคารพ

ลู่ฝานโบกมือ และพูดว่า: “กลับกันได้แล้ว! ”

กลุ่มนักบู๊หัวเราะเฮฮา และหันหลังโบกมือให้กับขบวนเรือ

ไอ้พวกหนอนที่สมควรตาย ในที่สุดวันนี้ก็ถูกพวกเขาสังหารลงแล้ว!

อีกฝั่งหนึ่ง ลุงชางเองก็กลับมายืนอยู่ที่บนหัวเรือ

ลุงชางยืนเอามือไขว้หลัง มองไปยังถูซางที่อยู่ด้านข้างและพูดว่า: “เจ้าลู่ฝานนี้เก่งกาจมากกว่าที่ฉันคาดคิดเอาไว้เสียอีก กระบวนท่าสุดท้ายของเขานั้น จะต้องเป็นวิชาบู๊ระดับดินขั้นสูงสุดแน่นอน และไม่แน่อาจจะเป็นวิชาบู๊ระดับฟ้าก็เป็นได้ ช่างเป็นเด็กหนุ่มอัจฉริยะ เด็กหนุ่มวีรบุรุษจริง ๆ! ”

ถูซางหัวเราะเหอะเหอะและพูดว่า: “ต่อไปฉันก็มีเรื่องราวที่ไว้คุยโวโอ้อวดอีกแล้ว”

ลุงชางหันหน้ามองไปยังปู้เฟยราชากระบี่ใต้ที่ถูกโยนทิ้งเอาไว้ด้านข้างอย่างกับขยะนั่นอีกครั้ง

ลุงชางแสดงสีหน้าเหยียดหยาม และพูดขึ้นว่า: “ปู้เฟย แม้ว่านายก็เป็นนักบู๊แดนปราณดิน แต่รากฐานยังไม่มั่นคง พลังปราณไม่เสถียร เมื่อนายเปรียบเทียบกับลู่ฝานแล้วก็ยังห่างชั้นกันยิ่งนัก หากนายสำนึกสักหน่อย อีกสักครู่ก็อ้อนวอนต่อลู่ฝาน และอ้อนวอนต่อทุกคน ไม่แน่ ฉันอาจจะไว้ชีวิตนายเอาไว้ก็เป็นได้”

ด้านข้าง นักบู๊หลายคนที่กำลังกดทับตัวของราชากระบี่ใต้อยู่นั้นก็พูดขึ้นว่า: “ลุงชาง จะพูดไร้สาระอะไรกับเขาอีกทำไม ลงมือสังหารเขาไปให้สิ้นเรื่องสิ้นราวไปเลย”

ลุงชางยิ้มและพูดว่า: “นายไม่เข้าใจ หากคิดจะจัดการกับคนประเภทนี้ การทำให้เขาสูญสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างไปนั้น ยังจะมีผลมากกว่าฆ่าเขาทิ้งเลยเสียอีก ฉันยังคิดที่จะนำตัวเขากลับไปประจานต่อสาธารณะด้วย! ”

เมื่อได้ยินคำว่าประจานต่อสาธารณะแล้ว ร่างกายของราชากระบี่ใต้ก็สั่นเทาขึ้นอย่างรุนแรง จากนั้นก็ราวกับว่าตนเป็นผู้พ่ายแพ้ ยอมก้มหัวลงอย่างสิ้นเชิง

ลุงชางยิ้มเล็กน้อย จากนั้นก็หันมองไปยังลู่ฝานที่กำลังขับเคลื่อนเรือหัวใจมังกรกลับมา พร้อมกับตบมือเบา ๆ ไปด้วย

เงามังกรล้อมรอบตัว พลังปราณพลุ่งพล่านขึ้นอย่างสุดกำลัง

ลู่ฝานถือกระบี่หนักไร้คมอยู่ในมือ และลอยตัวลงมาท่ามกลางอากาศธาตุด้วยความเร็วคงที่ โดยสายตายังคงจ้องเขม็งไปที่พญาหนอนตัวนั้นอยู่ตลอด

เวลานี้บนตัวของพญาหนอนนั้น ได้ถูกลู่ฝานฟันจนเกิดเป็นบาดแผลที่น่ากลัว และเลือดเขียวพุ่งกระฉูดออกมาอย่างไม่หยุด

พญาหนอนหมอบราบ พยายามปกปิดบาดแผลนั้นเอาไว้

การกระทำของมัน ก็เหมือนกับที่นักบู๊สกัดจุดชีพจร ไม่นานนัก เลือดก็หยุดไหลแล้ว

พญาหนอนค่อย ๆ เก็บดาบสองเล่มขึ้น เหมือนมันจะรู้ได้ว่า หากแค่อาศัยพลังของมันเองแล้ว คงจะไม่สามารถเอาชนะมนุษย์ที่อยู่เบื้องหน้านี้ได้

ด้วยเหตุนี้ พญาหนอนจึงได้เริ่มปรับเปลี่ยนรูปร่าง ครั้งนี้ร่างของมันได้หดเล็กลง ส่วนช่วงอากาศที่อยู่ด้านหลังของมันนั้น ก็เริ่มจะมีแสงสีดำสว่างไสวขึ้น

สีหน้าท่าทางของลู่ฝานก็ยังคงอยู่ในความระมัดระวัง พร้อมกับปรับสภาพจิตใจและร่างกายของตนเองโดยเร็ว

เมื่อครู่ได้ลงมืออย่างต่อเนื่อง ทำให้เขาสิ้นเปลืองพลังงานไปไม่น้อย โดยเฉพาะกระบี่เทพมังกรทำลายล้าง ที่ทรงอานุภาพอย่างมาก แต่ก็แทบจะสิ้นเปลืองพลังปราณของเขาไปทั้งหมดเช่นกัน

เขาเก็บมุกเทพมังกรทำลายล้างขึ้น การต่อสู้หลังจากนี้ เขาคงจะต้องอาศัยแต่พลังของตนเองแล้ว

ลู่ฝานรู้สึกว่าจิตวิญญาณการต่อสู้ของตนเองนั้นอยู่ในระดับสูง เขายังต้องดูพญาหนอนตัวนี้อีกว่า ยังจะมีวิธีการอะไรอีก

ราวกับว่าได้ยินเสียงพูดในใจของลู่ฝาน พญาหนอนจึงเริ่มลงมือ

หนวดเส้นเดียวของมันที่เหลืออยู่นั้น ได้ปักลงไปท่ามกลางอากาศในทันที

จากนั้นลู่ฝานก็มองเห็น ความผันผวนที่ผิดปกติ แผ่กระจายไปทั่วในอากาศ

โลกเริ่มที่จะเปลี่ยนแปลง อุโมงค์ข้ามมิติใต้ฝ่าเท้า ก็พลันสูญสิ้นไป

การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ รวดเร็วและรุนแรงอย่างมาก ลู่ฝานยังปรับตัวรับสภาพไม่ได้ในทันที

เมื่อครู่ที่ยกกระบี่หนักไร้คมขึ้น ลู่ฝานก็พลันพบว่าทุกสิ่งทุกอย่างเบื้องหน้านั้นมันเปลี่ยนไปแล้ว

สิ่งที่ปรากฏขึ้นเบื้องหน้านั้น คือกรงขัง

ประกายส่องแสงเรืองรองไปทั่ว ซึ่งเมื่อไปสัมผัส ก็จะเกิดการหมุนวนอย่างรุนแรง

ช่วงอากาศแตกแยกออก ลมพายุพัดโหมและเปลวไฟลุกลาม!

พลังที่ซับซ้อนวุ่นวายทั้งหมดนั้น โจมตีเข้าใส่ร่างของเขา ฉีกแยกร่างกายของเขา และกลืนกินจิตสำนึกของเขา

พลังประเภทนี้ ลู่ฝานไม่เคยพบเจอมาก่อนเลย

เมื่อไปสัมผัสเข้า ก็รู้สึกว่ายากที่จะหลบหลีกเอาตัวรอดออกมาอย่างที่สุด พลังปราณคุ้มกันกายของตนเองก็พังทลายลงแล้ว เกราะเกล็ดมังกรคุ้มกันอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ก็แตกสลายกลายเป็นชิ้น ๆ

ลู่ฝานสามารถมองเห็นบนร่างกายของตนเองว่า ผิวหนังเริ่มลอกออก กล้ามเนื้อกลายเป็นผุยผง โครงกระดูกแหลกสลาย จิตวิญญาณออกจากร่าง ทุกสิ่งทุกอย่างกลับคืนสู่ความว่างเปล่า

ในขณะนี้เอง ลู่ฝานก็ตะโกนขึ้น

“ทำล้าย!”

คำพูดเดียวทำลายพลังวิชาทุกอย่าง ทันใดนั้น กรงขังก็สูญหายไป

ดวงตาของลู่ฝานประกายแสงเจิดจ้า ร่างกายฟื้นฟูขึ้นในทันใด แล้วก็ฟาดฟันกระบี่ไปยังอากาศ

จากนั้น ในอากาศก็เกิดการผันผวน จุดแสงสีทองก็ร่วงตกลงมา

โลกกลับคืนสู่สภาพเดิมในทันที ลู่ฝานก็มองเห็นเงาร่างของพญาหนอนขึ้นอีกครั้ง

“แดนมายา คิดที่จะฆ่าฉันด้วยวิธีนี้อย่างนั้นเหรอ ช่างน่าขันยิ่งนัก! ”

ขณะที่ลู่ฝานพูด ก็พลันเก็บพลังทั้งหมดขึ้น

จุดลำแสง ส่องประกายขึ้นมาจากร่างกายของเขา เก้าจุด ราวกับดวงดาวที่เต็มท้องฟ้ายามค่ำคืน ปรากฏขึ้นบนร่างกายของเขา ต่อให้มีเสื้อผ้ามาบดบัง ก็ยังปกปิดแสงสว่างของเก้าจุดลำแสงนี้เอาไว้ไม่ได้

ระเบิดพลังความเป็นความตายวนเวียน!

ลู่ฝานชูกระบี่ขึ้น และตะโกนเสียงดัง

“พลังหมุนวน ฟ้าดินสั่นไหว! ”

เมื่อฟันกระบี่ลงไป ทันใดนั้น อุโมงค์ข้ามมิติด้านล่างก็ซัดโหมเป็นระลอกคลื่นสูงหลายเมตร

พลังฟ้าดินที่บริสุทธิ์นี้ ถาโถมเข้าใส่จนพวกหนอนตายลงไปเป็นจำนวนมาก

กระบี่หนักไร้คมในมือของลู่ฝานได้หายวับไป แม้แต่ร่างของลู่ฝานก็ยังเปลี่ยนเป็นความว่างเปล่า

ส่วนพญาหนอนที่อยู่ด้านหน้าของเขา ก็เริ่มปรากฏบาดแผลขนาดใหญ่ ราวกับว่าร่างถูกฉีกออก จนแหลกสลายเป็นผุยผง

เสียงร้องโอดครวญดังก้อง นี่คือความโศกเศร้าก่อนที่จะจบชีวิตลง

ลู่ฝานเปลือกตากระตุก หนวดอีกเส้นหนึ่งบนหัวของมันนั้นก็พลันหักลง

จากนั้น ร่างขนาดใหญ่ของพญาหนอนก็ระเบิดทันที กลายเป็นฝนเลือดสีเขียวตกลงมาทั่วบริเวณ

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 918
ราชากระบี่ใต้ได้ถามต่อว่า: “แล้วทำไมฉันต้องได้รับการดูถูกเหยียดหยามจากพวกท่านด้วย? ทำไมพวกท่านจะต้องทำกับฉันแบบนี้”

ลุงชางมองไปที่ราชากระบี่ใต้แล้วพูดว่า: “ผู้อาวุโสปู้ไม่รู้จริง ๆ อย่างนั้นเหรอ? ”

ราชากระบี่ใต้พูดว่า: “ฉันทราบดี คือฉันได้ทอดทิ้งพวกไอ้กระจอกนั่น แล้วตนเองก็หลบหนีเอาตัวรอดใช่ไหม? นี่มันก็สมควรอยู่แล้ว ฉันมีพลังความสามารถมากที่สุด และก็หลบหนีด้วยตนเอง ใครจะว่าอะไรได้ หรือว่าจะต้องให้ฉันตายลงไปพร้อมกับกับพวกเขาด้วยน้ำมือของไอ้พวกหนอนนั่น ถึงจะถูกต้องอย่างนั้นใช่ไหม? ”

ลุงชางส่ายศีรษะและพูดว่า: “มีเหตุผลและก็ไม่มีเหตุผล ราชากระบี่ใต้ ในเมื่อคิดว่าพวกเขาเป็นไอ้กระจอก และคิดว่าตนเองไม่ได้ทำผิดอะไร แล้วทำไมจะต้องกลับมาด้วยล่ะ? ”

ราชากระบี่ใต้พูดว่า: “เพราะฉันต้องการเห็นพวกแกตายลงไปทั้งหมดด้วยตาตนเอง”

ลุงชางหันหน้ามองไปที่ลู่ฝานกับคนอื่น ๆ ที่กำลังต่อสู้กับพญาหนอนอยู่ ยิ้มและพูดว่า: “เกรงว่าพวกเราจะสามารถฝ่าด่านไปได้แล้ว”

ราชากระบี่ใต้ค่อย ๆ ชูกระบี่ขึ้นและพูดว่า: “ฉันพูดแล้วว่า พวกนายไม่มีทางฝ่าด่านไปได้ พวกนายก็จะไม่มีทางฝ่าด่านไปได้อย่างเด็ดขาด”

จากคำพูดของราชากระบี่ใต้ ลุงชางฟังออกถึงเจตนาสังหารเล็กน้อย จึงขมวดคิ้วขึ้น และพูดว่า: “ราชากระบี่ใต้จะฆ่าพวกเราอย่างนั้นเหรอ? ”

ราชากระบี่ใต้ยิ้มและพูดว่า: “เวลานี้มาเรียกฉันว่าราชากระบี่ใต้ก็คงจะไร้ประโยชน์แล้ว ฉันไม่สามารถปล่อยให้พวกนายออกไปทำลายชื่อเสียงของฉันได้ หากว่าปล่อยให้พวกนายไปป่าวประกาศว่าฉันเป็นคนเลวแล้วล่ะก็ คงจะต้องยุ่งยากเป็นแน่”

ลุงชางเองก็หัวเราะขึ้น โดยหัวเราะด้วยความเยาะเย้ย

“ดังนั้น นายคิดว่าชื่อเสียงของนายนั้น สำคัญมากกว่าชีวิตของพวกเราใช่ไหมล่ะ”

ราชากระบี่ใต้พูดขึ้นอย่างเด็ดขาดว่า: “ถูกต้อง! ”

ลุงชางพยักหน้าอย่างเข้าใจ เวลานี้จึงได้ค่อย ๆ ยกมือขึ้นแล้วพูดว่า: “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อย่างนั้นก็เชิญเลย”

ราชากระบี่ใต้เห็นว่าลุงชางคิดที่จะลงมือกับตนเอง จึงแสยะยิ้มและพูดว่า: “นายจะลงมือกับฉันงั้นเหรอ? ไม่กลัวตายเหรอไง? ด้วยพลังความสามารถของนายแล้ว หากจะหลบหนี ฉันก็ไม่แน่ใจว่าจะขัดขวางเอาไว้ได้หรือไม่”

ลุงชางพูดขึ้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า: “พวกเราที่ประกอบอาชีพนี้ อย่างแรกคือไม่กลัวตาย อย่างที่สองคือไม่กลัวตายอย่างมาก! หากราชากระบี่ใต้ไม่ลงมือ อย่างนั้นฉันก็จะลงมือแล้ว! ”

เมื่อพูดจบ ลุงชางก็ชี้นิ้วไปที่ราชากระบี่ใต้ ลำแสงที่เบาบางก็พุ่งตรงไปที่ไหล่ของราชากระบี่ใต้ทันที

ราชากระบี่ใต้ตอบสนองกลับอย่างรวดเร็วโดยได้ปล่อยปราณเกราะของตนเองออกมาทันที แต่ลำแสงที่ลุงชางปล่อยออกมานั้น ก็ยังทำลายปราณเกาะของราชากระบี่ใต้ลงได้อย่างง่ายดาย

ขณะนั้น ราชากระบี่ใต้สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก ท่ามกลางความตื่นตระหนก จึงได้กวัดแกว่งกระบี่โจมตีลุงชาง

แม้ว่าจะลงมืออย่างกระทันหัน แต่ลำแสงกระบี่ก็ยังคงไม่อาจจะมองข้ามได้

บนเรือมังกร นักบู๊หลายคนก็พากันอุทานขึ้นว่า: “ระวัง! ”

แต่ต่อมา ร่างของลุงชางก็ประกายแสงสีทองขึ้น

แสงเรืองรองนี้ รวมตัวกันเป็นเกราะ ปกคลุมลุงชางเอาไว้ภายในอย่างแน่นหนา

แสงกระบี่ของราชากระบี่ใต้ได้ฟาดฟันไปบนเกราะของลุงชาง โดยที่ไม่เกิดผลอะไรแม้แต่น้อย และถึงขนาดที่ไม่ได้ทำให้ร่างกายของลุงชางสั่นไหวอะไรเลยด้วย

“แดนปราณดิน! คิดไม่ถึงว่านายก็เป็นนักบู๊แดนปราณดินด้วยเหมือนกัน! ”

ราชากระบี่ใต้อุทานเสียงหลง

เวลานี้รอยยิ้มอ่อนหวานบนใบหน้าของลุงชางนั้นก็สูญหายไปแล้ว ที่มาทดแทนก็คือ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยเจตนาสังหาร

ลุงชางพูดขึ้นอย่างเรียบง่ายว่า: “น่าจะเป็นเพราะปกติฉันลงมือน้อยจนเกินไป คนจำนวนมากถึงได้หลงลืมฉันไปแล้ว ชื่อของฉันไม่โด่งดัง ไม่มีความหมายอะไร แต่สมญานามของฉันนั้น นายคงเคยจะได้ยินมาบ้าง มาทำความรู้จักอีกสักครั้งหนึ่งแล้วกัน ฉันคือผีแสง! ”

ทันใดนั้น ราชากระบี่ใต้ก็มีท่าทางที่หวาดหวา สีหน้าย่ำแย่

แสงสีทองประกายเรืองรองไปทั่วอากาศธาตุ!

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 917
“ฆ่ามัน! ”

เมื่อสั่งการลงไปแล้ว ลู่ฝานก็พุ่งโจมตีเข้าใส่ก่อนทันที

ฟาดฟันกระบี่ออกไป ด้วยพลังที่หนักหน่วงรุนแรง

กระบี่มังกรเพลิงคำราม!

กระบี่ฟาดฟันแสงสีทองจนแหลกสลาย ลู่ฝานไม่แม้แต่จะมองพวกหนอนเหล่านั้นที่พุ่งกระโจนเข้าใส่ พลังปราณแผ่ซ่าน และเจ้าดำก็เข้ารวมร่างในทันใด

พุ่งทะยานไปอย่างกับเปลวไฟ พร้อมกับเกราะคุ้มกันกาย

ลู่ฝานพุ่งโจมตีเข้าใส่พญาหนอนโดยตรง!

ครั้งนี้ พญาหนอนเหมือนจะโมโหขึ้นจริงแล้ว ร่างของมันเริ่มเปลี่ยนแปลง ขาจำนวนนับไม่ถ้วนในร่างกาย ได้เก็บรวบขึ้นโดยเร็ว ร่างกายที่ใหญ่โตเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลง ไม่นานนักก็แปลงกายเป็นดาบยักษ์สองเล่ม

เมื่อมองอย่างละเอียดแล้ว ดาบเล่มนี้ เกิดขึ้นจากการรวมตัวกันของขาของมันนั่นเอง

เมื่อดาบฟันลงมา อุโมงค์ข้ามมิติก็เกิดคลื่นลมแรงโหมกระหน่ำ!

พลังอานุภาพราวกับสายฟ้า มีความรวดเร็วอย่างที่สุด

ดาบยาวได้ฟันลงไปบนกระบี่หนักไร้คมของลู่ฝาน เมื่ออาวุธทั้งสองปะทะกัน ลู่ฝานถูกพลังฟาดฟันถึงกับกระเด็นลอยออกไปไกล

“เป็นพลังที่แข็งแกร่งมากจริง ๆ! ”

เมื่อพูดขึ้นในใจแล้ว กล้ามเนื้อในร่างกายของลู่ฝานก็เกิดการผันผวน นั่นเป็นเพราะได้สละทิ้งพลังการโจมตีส่วนใหญ่ออกไป

ลู่ฝานบังคับหมุนร่างกาย กระโดดลอยตัวขึ้น พร้อมกับพุ่งเข้าไปใช้มือกดที่อุโมงค์ข้ามมิติอย่างหนักหน่วง และถอยร่น!

ท่ามกลางอุโมงค์ข้ามมิติปรากฏรอยฝ่ามือที่ชัดเจน จากนั้นลู่ฝานก็ใช้พลังป้องกันการกระแทก และกระโดดลอยตัวขึ้นอีกครั้ง

พญาหนอนเคลื่อนร่างกายที่ใหญ่โตไล่ล่าสังหารลู่ฝาน มือถือดาบยักษ์สองเล่ม มุ่งมั่นที่จะฟาดฟันและสับร่างของลู่ฝานให้แหลกละเอียด!

พลังเขตวิถี พลังสายฟ้าฟาดห้าธาตุ พลังเปลวไฟ พลังทั้งหมดปะทุขึ้นอย่างเต็มกำลัง!

กล้ามเนื้อในร่างของลู่ฝานแข็งแกร่งขึ้น บนกระบี่หนักไร้คม มีพลังปราณแผ่ซ่าน

“ฆ่า ฆ่า ฆ่า! ”

ปัง!

กระบี่หนักไร้คมของลู่ฝานต้านทานรองรับดาบยักษ์สองเล่มของพญาหนอนเข้าอย่างจัง

เมื่อเปรียบเทียบร่างกายของทั้งสองฝ่ายแล้ว ทำให้ภาพที่เห็นนี้ ราวกับว่ามดกำลังต้านทานช้างอยู่!

“เฮือก! ”

ลู่ฝานฟันกระบี่เข้าใส่จนดาบยักษ์สองด้ามของพญาหนอนกระเด็นออก ในขณะเดียวกันมือซ้ายก็ล้วงเข้าไปในเข็มขัด และหยิบมุกออกมาไว้ในมือ

มุกเทพมังกรทำลายล้าง!

วิชาเทพมังกรทำลายล้าง กระบี่เทพทำลายล้าง!

ลู่ฝานอ้าปากตะโกนเสียงดัง ด้านหลังของเขาปรากฏร่างลางมังกรดำขึ้น เมื่อมองอย่างละเอียดแล้ว ยังมีเคร้าโครงรูปร่างของเจ้าดำอยู่บ้าง

กระบี่กลายร่างเป็นมังกร ลู่ฝานฟาดฟันไปที่หัวกะโหลกของพญาหนอนอย่างแรง

มุกเทพมังกรทำลายล้างประกายแสงเรืองรอง ร่างกายของลู่ฝาน มีมังกรเหาะพันรอบตัว ดูเหมือนว่าเป็นมังกรที่ลงมาจุติจริง

พลังทำลายล้างอันน่ากลัว โจมตีจนพญาหนอนร้องโอดครวญไม่หยุด

ทางฝั่งนี้ พวกนักบู๊ที่กำลังต่อสู้กับพวกหนอนนับไม่ถ้วนนั้น เมื่อเห็นเหตุการณ์ดังกล่าวแล้ว ก็ส่งเสียงดีใจขึ้นอย่างพร้อมเพรียง

ลู่ฝานมองไปที่พญาหนอน และพูดว่า: “วันนี้ ก็คือวันตายของแก! ”

เวลานี้พญาหนอนได้เงยหน้าขึ้น ในสายตาแฝงไปด้วยความหวาดกลัวอยู่บ้าง

ในขณะเดียวกัน อีกทางฝั่งหนึ่ง

ลุงชางที่หลับตาสองข้างอยู่นั้น ก็พลันลืมตาขึ้น

สายตารวดเร็วอย่างกับสายฟ้า หันมองไปที่ท่ามกลางอากาศทางซ้ายมือ แล้วยื่นมือออกมาจับ ซึ่งช่วงอากาศเบื้องหน้านั้นเหมือนจะมีลักษณะบูดเบี้ยว

ท่ามกลางอากาศ ก็พลันมีเงาคนปรากฏขึ้น ซึ่งก็คือปู้เฟยราชากระบี่ใต้นั่นเอง

ราชากระบี่ใต้มองไปที่ลุงชางด้วยความตื่นตะลึงและพูดขึ้นว่า: “คิดไม่ถึงว่า ท่านเองก็เป็นยอดฝีมือคนหนึ่งเหมือนกัน”

ลุงชางพูดอย่างสงบนิ่งว่า: “ผู้อาวุโสปู้ ในเมื่อได้จากไปแล้ว ทำไมจะต้องย้อนกลับมาอีกด้วยล่ะ? ทำไม? ”

ลุงชางพูดคำว่าทำไมติดต่อกันสองครั้ง สีหน้าท่าทาง เหมือนจะอดทนต่อไปไม่ไหวแล้ว

การปรากฏตัวขึ้นของราชากระบี่ใต้ ได้รับความสนใจจากผู้คนจำนวนไม่น้อย รวมไปถึงบนเรือมังกร พวกนักบู๊จำนวนหนึ่งต่างก็หันมองกันมา

เวลานี้ราชากระบี่ใต้มีสีหน้าท่าทางที่เคร่งขรึม สายตาเต็มไปด้วยความเย็นชา

ราชากระบี่ใต้ถือกระบี่อยู่ในมือ และพูดขึ้นอย่างเย็นชาว่า: “ทำไม? ท่านกลับมาถามฉัน? คุณชางท่านว่าช่วงที่ผ่านมานี้ฉันปฏิบัติตัวอย่างไรบ้าง? ”

ลุงชางถอนหายใจและพูดว่า: “ผู้อาวุโสปู้เป็นผู้นำที่ควรเอาเป็นแบบอย่าง บุกจู่โจมอย่างทรหด เพื่อฆ่าพวกหนอน แน่นอนว่าเป็นการกระทำที่ดีอย่างมาก”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 916
เรือหัวใจมังกรได้แล่นไปข้างหน้าต่อเนื่อง ลู่ฝานยืนอยู่ที่บนเรือ และกระบี่หนักไร้คมตั้งตรงอยู่ด้านหน้าตัวเขา

“ทุกท่าน หากอีกสักครู่เกิดเรื่องอะไรขึ้น ก็อย่าได้ทำอะไรบุ่มบ่ามไป! ”

ลู่ฝานพูดขึ้นเสียงดัง

เมื่อได้ยินที่ลู่ฝานพูด นักบู๊ทุกคนต่างก็ตื่นตกใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่มีใครสงสัยอะไร

ไม่นานนักเรือหัวใจมังกรก็แล่นมาถึงเบื้องหน้าของรังไหมแล้ว ระยะห่างขนาดนี้ เพียงพอที่จะทำให้รังไหมที่เรียงรายอยู่ด้านหน้านั้นระเบิดสลายได้ แล้วก็กระโจนใส่พวกหนอนนั้น

เวลานี้พวกหนอนบริเวณโดยรอบ ก็เริ่มที่จะรวมตัวกันเข้ามาที่ทางลู่ฝานและคณะแล้ว ขณะเดียวกันพญาหนอนที่อยู่ท่ามกลางหลุมดำในระยะไกลนั้น ก็ได้โผล่หัวออกมาบ้างแล้วด้วย

ลู่ฝานใช้มือซ้ายหยิบสิ่งของออกมา แล้วนำมันปักลงบนเรือ

ทันใดนั้น พวกหนอนที่พุ่งเข้ามาก็หยุดการเคลื่อนไหวโดยพลัน เพราะสิ่งของที่ลู่ฝานนำออกมานั้น ไม่ใช่สิ่งของอื่นใด ซึ่งก็คือหนวดของพญาหนอนนั่นเอง

เวลานี้ ท่ามกลางฝ่ามือของลู่ฝาน ก็ได้ปล่อยพลังปราณเข้าสู่ภายในหนวดเส้นนั้น

ต่อมา หนวดก็ได้ส่งกลิ่นเหม็นที่รุนแรง ซึ่งพวกหนอนเหล่านั้น ดูเหมือนจะหวาดกลัวกลิ่นนี้ จึงได้ถอยร่นกลับไปทั้งหมด

เดิมทีรังไหมที่แตกออกเป็นรอยแยกบ้างแล้วนั้น เวลานี้กลับไม่มีการเคลื่อนไหวแล้ว

ลู่ฝานยิ้มเล็กน้อย และพูดในใจว่า: “ไอ้เก้า นายพูดถูกต้องแล้ว หนวดเส้นนี้ มีประโยชน์จริงด้วย”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดขึ้นอย่างยิ้มแย้มว่า: “เป็นเพราะเจ้านายผู้ยิ่งใหญ่มีทัศนวิสัยที่ยาวไกล ไม่ทำสิ่งอื่นพร่ำเพรื่อ พอลงมือแล้วก็นำหนวดเส้นนี้กลับมาได้เลย เมื่อมีหนวดเส้นนี้แล้ว รังไหมเหล่านี้ของมันก็เท่ากับว่าไร้ประโยชน์แล้ว เพราะในรังไหมเหล่านั้นไม่ใช่หนอนที่มีชีวิต พวกมันจะต้องอาศัยกลิ่นเพื่อมาทำลายไหม ตอนนี้พวกเรามีหนวดอยู่ในมือ พวกมันก็สับสนมึนงงแล้ว ไม่สามารถทำลายไหมลงได้ แต่ว่าเจ้านาย ท่านก็จะต้องระมัดระวังพวกหนอนเหล่านั้นให้ดี เพราะพญาหนอนก็ยังคงสามารถสั่งการพวกมันได้”

ลู่ฝานกับคนอื่น ๆ ก็ขับเคลื่อนเรือหัวใจมังกร ผ่านค่ายกลรังไหมด่านแรกไปได้อย่างปลอดภัย

บริเวณที่ไกลออกไป พวกนักบู๊ที่อยู่บนขบวนเรือที่ไม่ได้เดินทางมากับลู่ฝานนั้น เมื่อมองเห็นภาพเหตุการณ์ดังกล่าวแล้วต่างก็ตกตะลึงเลยทีเดียว

“พวกเขาผ่านเข้าไปด้านแล้ว ทำไหมรังไหมถึงไม่ระเบิดล่ะ ทำไมพวกหนอนเหล่านั้นถึงได้เอาแต่ถอยร่น? ”

“พระเจ้า หรือว่าพวกมันจะหวาดกลัวคุณชายลู่ฝาน”

“คุณชายลู่ฝานช่างเก่งกาจดั่งเทพเลยจริง ๆ! ”

……

ด้านบนเรือหัวใจมังกร เฝิงอิ่งกับคนอื่น ๆ ก็มองไปที่ลู่ฝานด้วยสายตาอันเร่าร้อน

แม้ว่าพวกเขาจะไม่เข้าใจว่าเป็นเพราะเหตุใด แต่ก็ไม่สงสัยเลยว่า นี่คงจะเป็นวิธีการพิเศษที่ลู่ฝานได้ใช้ขึ้นอย่างแน่นอน ซึ่งคนจำนวนไม่น้อยต่างก็พากันมองมาที่หนวดในมือของลู่ฝาน

“ยอดฝีมือก็คือยอดฝีมือ ฉันว่าแล้วว่าทำไมครั้งก่อนคุณชายลู่ฝานถึงได้พยายามที่จะตัดหนวดเส้นนี้มาให้ได้ เดิมทีก็ได้วางแผนเอาไว้แล้ว! ”

“โธ่ วางแผนก่อนแล้วค่อยลงมือ นี่ถึงจะเป็นท่วงท่าของยอดฝีมือ ฉันว่าเมื่อช่วงกี่วันก่อนหน้านี้ คุณชายลู่ฝานคงน่าจะกำลังสังเกตพวกหนอนเหล่านี้อย่างละเอียดอยู่แน่เลย”

“อืม เมื่อนายพูดแบบนี้ฉันก็เข้าใจได้ทันทีเลย คุณชายลู่ฝานช่างอัจฉริยะจริง ๆ”

“น่าขันเสียจริงที่ฉันนึกว่าคุณชายลู่ฝานเป็นคนอ่อนแอ ซึ่งคนอ่อนแอไหนล่ะที่จะมายืนสังเกตการณ์อยู่ที่หัวเรือติดต่อกันนานหลายวัน? ”

……

ด้านหลัง กลุ่มคนกำลังชื่นชมจากใจจริง และแสดงออกถึงความเลื่อมใส

ลู่ฝานได้ฟังแล้วถึงกับเขินอายเล็กน้อย นี่มัน……เหมือนฉันจะไม่ได้เก่งกาจราวกับเทพอย่างที่พูดกันสักหน่อย ที่จริงแล้วก็ไม่ได้คิดมากมายอะไรขนาดนั้น ทุกอย่างก็เป็นเพราะความบังเอิญและโอกาสเท่านั้น

แต่เกรงว่าหากพูดออกไปตอนนี้ก็คงจะไม่มีใครเชื่อแล้วล่ะสิ!

ทุกคนฝ่าด่านรังไหมไปได้อย่างปลอดภัย ในขณะนี้เอง ในที่สุดพญาหนอนก็แทรกตัวออกมาจากหลุมดำอีกครั้ง มันพบว่า หากมันยังไม่ปรากฏตัวออกมา สถานการณ์ก็ยากที่จะควบคุมแล้ว

พญาหนอนกรีดร้องเสียงดัง พร้อมกับกวัดแกว่งหนวดของมันที่หลงเหลืออยู่เพียงเส้นเดียว และวงแสงสีทองก็ได้แผ่ซ่านออกมาจากตัวของมัน

“เตรียมพร้อม! ”

ลู่ฝานตะโกนเสียงดัง และชูกระบี่หนักไร้คมของตนเองขึ้น ส่วนนักบู๊ทุกคนทางด้านหลัง ก็ชูอาวุธในมือของตนเองขึ้นอย่างพร้อมเพรียง

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 915
ราชากระบี่ใต้โมโหอย่างมากจนถึงกลับต้องหัวเราะออกมา พร้อมกับพูดขึ้นว่า: “ยังเป็นเด็กหนุ่มก็เลยไม่กลัวอันตรายใด ๆ นายมีความมั่นใจที่จะเอาชนะพญาหนอนนั่นได้เหรอ? พุ่งผ่านเข้าไปในค่ายกลหนอนนั้นได้เหรอ? ต้านทานระเบิดนับไม่ถ้วนนั้นได้เหรอ? ”

ลู่ฝานพูดขึ้นว่า: “ไม่ลองดู แล้วจะไปรู้ได้อย่างไรล่ะ? ”

ราชากระบี่ใต้หันมองไปที่คนอื่นแล้วพูดขึ้นว่า: “พวกนายต่างก็เชื่อมั่นในตัวเด็กหนุ่มคนนี้เหรอ? ”

เวลานี้เฝิงอิ่งก็ได้เดินออกมา และพูดขึ้นว่า: “ยังไงก็น่าเชื่อถือมากกว่านาย”

เส้นเอ็นบริเวณหน้าผากของราชากระบี่ใต้เริ่มกระตุกขึ้นแล้ว ฝ่ามือของเขาจับไปที่ด้ามกระบี่อย่างแน่น ราวกับว่าเตรียมพร้อมที่จะลงมือได้ทุกเมื่อ

ร่างกายของลู่ฝานก็มีพลังพลุ่งพล่านขึ้น หากว่าราชากระบี่ใต้กล้าลงมือ ลู่ฝานเองก็ไม่กลัวเขา

นึกหรือว่า แดนปราณดิน จะเก่งกาจล้ำเลิศขนาดนั้นเชียวเหรอ?

ทันใดนั้น ราชากระบี่ใต้ก็ปล่อยมือลง พร้อมกับตบมือแล้วพูดขึ้นอย่างยิ้มแย้มว่า: “ดี ดี ดีเลย พวกนายเต็มใจที่จะไปลองบุกเข้าไป ฉันเองก็จะไม่ขัดขวาง แต่ฉันเองก็จะไม่เดินทางร่วมกันไปกับพวกนายด้วยแล้ว ตอนนี้ ฉันจะเลี้ยวหัวกลับแล้ว”

“ขอให้เดินทางปลอดภัย! ”

ลู่ฝานพูดขึ้นอย่างสงบนิ่ง

ลุงชางขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย และมองไปทางราชากระบี่ใต้ เหมือนว่ามีอะไรจะพูด แต่ก็ไม่ได้พูดออกมา

ราชากระบี่ใต้หันหลังแล้วก็เดินจากไป อย่างไม่ลังเล

ผ่านไปสักพัก พนักงานในขบวนเรือของลุงชางคนหนึ่งก็มารายงานว่า เรือกระบี่ที่ราชากระบี่ใต้ขับเคลื่อนออกไปนั้น ไม่พบเห็นร่องรอยอะไรแล้ว

ลู่ฝานเดินขึ้นไปด้านหน้า และมองไปยังรังไหมที่เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างต่อเนื่อง

พญาหนอนเหมือนจะกำลังสั่งการให้พวกหนอนเหล่านั้นจัดวางค่ายกล โดยนำรังไหมจัดแต่งให้สวยงาม เป็นแบบทีละแถว หนาแน่น และซ้อนทับกันหลายชั้น

ลุงชางพูดขึ้นว่า: “ลู่ฝาน นายคิดจะทำอย่างไรต่อไป”

ลู่ฝานพูดว่า: “หนึ่งคน หนึ่งกระบี่ ก็เพียงพอแล้ว ลุงชาง ระมัดระวังราชากระบี่ใต้นั้นด้วย ฉันรู้สึกว่าเขายังไม่ได้จากไปไหน”

ลุงชางยิ้มและพูดว่า: “นายก็รู้สึกได้ใช่ไหม? ฉันคิดว่าคนประเภทนี้ คงจะไม่พูดง่ายแบบนี้หรอก อืม ฉันจะระมัดระวังตัว ส่วนนายล่ะ จะไปต่อสู้เพียงคนเดียวจริงเหรอ? ”

พูดมาถึงตรงนี้ ลุงชางก็ตั้งใจที่จะเพิ่มระดับเสียงให้ดังขึ้น

ทางด้านหลัง นักบู๊จำนวนไม่น้อยได้ยินที่ลุงชางพูดแล้ว ก็มีหลายคนที่เดินออกมาโดยพลัน

“คุณชายลู่ฝาน คุณจะไปคนเดียวเหรอ? ทำแบบนี้ได้อย่างไร พวกเราจะไปกับคุณด้วย ฉันรู้ว่าช่วงก่อนหน้านี้ฉันพูดจาหยาบคาบเกินไป ฉันขอโทษคุณชายลู่ฝานด้วยแล้วกัน ฉันปากเสีย ฉันเลวทราม ฉันมองคนต่ำเกินไป แต่ในวันนี้ คุณชายลู่ฝานจะต้องพาฉันไปด้วย เพราะฉันเองก็เป็นนักบู๊คนหนึ่งเช่นกัน”

“ใช่เลย คุณชายลู่ฝาน ไปคนเดียวมันค่อนข้างอันตราย ฉันจะไปกับคุณด้วย คุณสามารถนั่งเรือของฉันไปได้ เรือเหล็กเคลือบทองของฉัน มีการป้องกันที่ไม่เลวทีเดียว”

ฝูงชนตื่นเต้นฮึกเหิม สิบกว่าคนได้ลุกยืนขึ้น เต็มใจที่จะเดินทางไปกับลู่ฝานด้วย

ลู่ฝานกำลังจะพูดอะไร แต่ทางลุงชางก็ได้กดไปที่ไหล่ของเขา พร้อมกับส่ายศีรษะเบา ๆ

ลู่ฝานถอนหายใจและพูดว่า: “ตกลง แต่หากพบกับอันตราย พวกคุณจะต้องรีบหนีไป”

กลุ่มนักบู๊พากันยิ้มแย้ม เวลานี้ลุงชางได้พูดขึ้นว่า: “มาทางนี้ คุณชายลู่ฝาน นั่งเรือหัวใจมังกรของฉันไปดีกว่า”

ขณะที่พูด ลุงชางก็สะบัดสิ่งของอย่างหนึ่งออกมา ปรากฏท่ามกลางอุโมงค์ข้ามมิติ นั่นคือสิ่งที่เดินทางผ่านมิติที่มีรูปร่างราวกับหัวใจ คิดไม่ถึงว่าจะทำขึ้นมาจากหัวใจของมังกร ถือว่ามีฝีมือที่ยอดเยี่ยมเป็นอย่างมาก

ลู่ฝานไม่เกรงใจ กระโดดขึ้นไปด้านบนทันที

จากนั้น นักบู๊สิบกว่าคนก็กระโดดขึ้นเรือตามไปโดยเร็ว ในจำนวนดังกล่าวก็มีพวกเฝิงอิ่งสามคนนั้นด้วย

ลู่ฝานมองไปที่เฝิงอิ่ง โดยยังไม่ทันจะพูดอะไร ทางเฝิงอิ่งก็พูดขึ้นก่อนว่า: “คุณชายลู่ฝาน ช่วงก่อนหน้านี้ ฉันพูดไร้สาระมากเกินไป ล่วงเกินคุณแล้ว ต้องขออภัยด้วย วันนี้คุณชายจะทำลายรังไหม พวกเราจะต้องเข้าร่วมต่อสู้ด้วย”

หยวนเลี่ยเองก็ยิ้มและพูดขึ้นว่า: “ใช่เลย พี่ลู่ฝาน คุณอย่าได้ขับไล่พวกเรากลับไปเลย พวกเราจะต้องเสียใจเป็นแน่”

ลู่ฝานยังจะสามารถพูดอะไรได้อีก ทำได้เพียงแค่ยิ้ม แล้วก็ปล่อยพลังปราณเข้าสู่ภายในเรือหัวใจมังกร ขับเคลื่อนไปยังรังไหมอย่างช้า ๆ

สายตาของทุกคนต่างก็จับจ้องมาที่ร่างของลู่ฝาน เวลานี้ลุงชางเองก็เดินลงมาจากเรือมังกรแล้ว

เงาร่างหายแวบ ลุงชางก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

เมื่อปรากฏตัวขึ้น ลุงชางก็มาถึงด้านบนหลังคาของรถม้าที่อยู่สุดท้ายขบวน

แล้วลุงชางก็ค่อย ๆ ปิดตาลง

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 914
หลังจากที่พักผ่อนกันมาหนึ่งวันแล้ว ขบวนเรือกับรังหนอนก็ประจัญหน้ากันอยู่ในระยะไกล

เป็นไปได้ที่อาจจะหวาดกลัวหลังจากเคยถูกลู่ฝานลงมือทำร้ายแล้ว พวกหนอนเหล่านั้นจึงไม่ได้บุกเข้าโจมตีขบวนเรือ แต่มองสังเกตมาจากระยะไกล ขณะเดียวกันก็กำลังเร่งจัดเตรียมรังไหมอยู่

ทางด้านลู่ฝาน พวกนักบู๊ก็กำลังเร่งฟื้นฟูพลังของตนเอง แต่ละคนต่างก็นั่งบำเพ็ญฝึกฝนอยู่ที่หัวเรือ พลังปราณแผ่ซ่านไปทั่ว

เมื่อเห็นรังไหมปรากฏขึ้นเป็นจำนวนมาก ทุกคนต่างก็เกิดความกังวลใจขึ้น

นั่นเป็นเพราะรังไหมเหล่านี้ ถึงได้ทำให้เกิดการบาดเจ็บล้มตายกันเป็นจำนวนมาก มีนักบู๊บางคน ที่ถึงกับต้องเสียชีวิตลงท่ามกลางการระเบิดของพวกหนอนเหล่านี้

ลุงชางเองก็ขมวดคิ้วขึ้น เพราะการสู้รบในครั้งนี้นั้น เกรงว่าจะไม่ง่ายดายนัก

“คุณชาง! ”

ด้านหลังมีเสียงตะโกนเรียกดังขึ้น

ลุงชางหันหลังกลับไปมอง ก็เห็นปู้เฟยราชากระบี่ใต้เดินเข้ามาหา

ลุงชางขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ยังพูดกับปู้เฟยด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มว่า: “ผู้อาวุโสปู้ มีธุระอะไรเหรอ? ”

ราชากระบี่ใต้มีสีหน้าที่ย่ำแย่ เพราะก่อนหน้านี้ ลุงชางมักจะเรียกเขาราชากระบี่ใต้มาโดยตลอด

แต่ในวันนี้ ลุงชางกลับเรียกว่าผู้อาวุโสปู้

แม้ว่าจะแค่เปลี่ยนแปลงการเรียกขาน แต่ก็สามารถแสดงออกได้อย่างชัดเจนถึงท่าทีของลุงชางที่มีต่อเขา

แต่ราชากระบี่ใต้ก็ไม่ได้พูดอะไร และพูดขึ้นอย่างเย็นชาว่า: “ที่ฉันมาวันนี้ ก็แค่ต้องการเตือนลุงชางเท่านั้นว่า เส้นทางเบื้องหน้า ไม่สามารถที่จะเดินทางต่อไปได้แล้ว มีพญาหนอนอยู่ พวกเรายากที่จะผ่านพ้นไปได้ ยังไงก็รอให้ถึงปีหน้า ทางราชสำนักก็จะส่งกำลังทหารมาปราบปรามเอง”

ลุงชางสีหน้ายังคงไม่เปลี่ยนแปลง และพูดขึ้นว่า: “ความหวังดีของผู้อาวุโสปู้ ฉันรับไว้ด้วยใจ แต่ว่าคณะจะเดินหน้าต่อไปหรือไม่นั้น ก็ไม่ใช่ว่าฉันคนเดียวจะเป็นคนตัดสินใจได้”

ขณะที่พูด ลุงชางก็หันหน้ามองไปยังนักบู๊คนอื่น

ส่วนนักบู๊คนอื่นนั้น ก็ไม่มีใครที่จะแสดงสีหน้าที่ดีให้กับราชากระบี่ใต้เลย

เวลานี้หยวนเลี่ยได้ลุกยืนขึ้นและพูดว่า: “ท่านราชากระบี่ใต้ ตอนแรกคนที่ต้องการจะเร่งเดินทางก็คือท่าน แต่วันนี้คนที่ให้พวกเราถอยกลับก็คือท่านอีก ท่านว่าพวกเราควรจะรับฟังหรือไม่รับฟังดีล่ะ”

ราชากระบี่ใต้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ และพูดเสียงดังว่า: “ช่วงเวลาต่างกันสถานการณ์ก็ต่างกัน หลักเหตุผลนี้พวกนายไม่เข้าใจกันหรืออย่างไร? หรือว่าพวกนายมั่นใจว่าจะสามารถเอาชนะพญาหนอนตัวนั้นได้? แม้แต่ฉันเองก็ยังรู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ แล้วพวกนายไปนำความกล้าหาญมาจากไหนกัน”

นักบู๊อีกคนหนึ่งลุกขึ้นพูดว่า: “ผู้อาวุโสปู้ไม่มีความกล้าหาญ ก็ไม่ใช่ว่าพวกเราจะไม่มีความกล้าหาญด้วย”

คำพูดเยาะเย้ยถากถางนี้ ทำให้ราชากระบี่ใต้อับอายจนแทบจะไม่รู้เอาหน้าไปไว้ที่ไหนเลย

ราชากระบี่ใต้มองไปที่นักบู๊คนนี้ แล้วก็นำกระบี่ออกมา

ในขณะนั้นเอง ประตูของห้องพัก ก็พลันเปิดออก แล้วเปลวไฟก้อนหนึ่ง ก็พุ่งปะทะใส่จนปราณกระบี่ของราชากระบี่ใต้แหลกสลายไป

“ท่านราชากระบี่ใต้ หากว่าท่านยังมีแรงพลังอยู่ ก็เก็บเอาไว้ฆ่าพวกหนอนนั้นเถอะ การที่มาลงมือทำร้ายพวกเดียวกันเองนั้น ช่างเป็นการกระทำที่ชั่วช้าเกินไปหรือเปล่า? ”

ลู่ฝานค่อย ๆ เดินออกมาจากห้องพัก หลังจากที่ได้พักผ่อนมาหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็ม ๆ ตอนนี้เขามีสภาพจิตใจและพละกำลังที่ดีอย่างที่สุด

เมื่อเห็นลู่ฝานเดินออกมา นักบู๊ทุกคนก็มีชีวิตชีวากันขึ้น

สิบสามที่เดินตามหลังลู่ฝานออกมานั้น ได้มองไปยังราชากระบี่ใต้ด้วยสายตาที่เย็นชา

เพราะว่าจากร่างกายของลู่ฝานนั้น เขาสัมผัสได้ถึงเจตนาสังหารที่มีต่อราชากระบี่ใต้ เป้าหมายที่เจ้านายต้องการสังหาร สิบสามเองก็จับจ้องตาเขม็ง เพียงแค่เจ้านายสั่งการ สิบสามก็จะพุ่งเข้าไปสังหารในทันที

สายตาของราชากระบี่ใต้ก็มองมาที่ร่างของลู่ฝาน สบตาซึ่งกันและกัน โดยที่ในแววตาของทั้งสองฝ่ายก็เต็มไปด้วยเจตนาสังหาร

ราชากระบี่ใต้พูดว่า: “ลู่ฝานใช่ไหม? ชื่อของนายนี้ ฉันจดจำไว้แล้ว เป็นฉันเองที่ประเมินนายต่ำเกินไป คิดไม่ถึงว่านายจะเป็นเด็กหนุ่มที่ชอบแกล้งทำเป็นอ่อนแอเพื่อฉวยโอกาสลงมือ”

ลู่ฝานพูดว่า: “ขอบคุณมากที่ราชากระบี่ยังคงนึกถึง ชื่อของฉันนั้น ไม่ควรที่จะพูดถึงหรอก หากว่าราชากระบี่ใต้คิดว่าพวกเราไม่มีทางที่จะสามารถฝ่าด่านรังไหมนี้ไปได้ อย่างนั้นท่านก็สามารถถอยร่นกลับไปก่อนเองได้เลย ทำไมจะต้องมาพูดมากอะไรด้วยล่ะ? ”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 913
คนที่อ่อนแอ แล้วรักตัวกลัวตายนั้น มันไม่หนักหนาอะไรเท่าไร

แต่นักบู๊ที่แข็งแกร่ง ที่ได้ทอดทิ้งเพื่อนร่วมทางแบบนี้ เพื่อเอาตัวเองรอด มันช่างน่ารังเกียจเสียจริง

ราชากระบี่ใต้เองก็มองออกถึงความเหยียดหยามของคนอื่นที่มีต่อตัวเขา

เขาที่รู้สึกว่าอับอายขายหน้านั้น ก็ได้เดินลงไปจากเรือมังกร กลับไปที่เรือกระบี่ จากนั้นก็ขับเคลื่อนเรือกระบี่ไปอยู่ท้ายสุดของขบวน

การกระทำของเขานั้น ทำให้นักบู๊หลายคนก่นด่าอย่างไม่พอใจ

“ถุย ฉันมองผิดเสียจริงเชียว ถึงได้หลงเชื่อคนอย่างนี้ได้”

“เป็นถึงราชากระบี่ใต้ที่ยิ่งใหญ่ และเป็นถึงนักบู๊แดนปราณดิน กลับรักตัวกลัวตาย ทอดทิ้งเพื่อนร่วมทาง รอให้ฉันกลับไปก่อน จะต้องช่วยเขาป่าวประกาศให้โด่งดังไปเลย ดูว่าเขายังจะมีน้ำหน้าอยู่ต่อไปอย่างไร”

“พอเถอะ พอเถอะ ไม่พูดถึงไอ้คนนี้แล้ว ยิ่งพูดยิ่งโมโห เห็นได้ชัดเลยว่าบนโลกใบนี้ ไม่ใช่ว่าคนที่มีชื่อเสียงโด่งดังนั้น จะเป็นคนดีเสมอไป”

“มีวิทยายุทธ แต่ไม่มีศีลธรรมจรรยาบรรณ ก็ไม่คู่ควรที่จะเป็นยอดฝีมือ”

……

เสียงวิพากษณ์วิจารณ์ยังคงมีต่อไม่หยุด ครั้งนี้ถือว่าชื่อเสียงของราชากระบี่ใต้ถูกทำลายลงสิ้นเชิง

มีบางเรื่อง กลัวการเปรียบเทียบ ซึ่งเมื่อนำคนมาเปรียบเทียบกับคน ก็จะมีอีกฝ่ายที่ต้องไม่พอใจ

ผู้คนต่างก็ได้เริ่มนำการกระทำของราชากระบี่ใต้ไปเปรียบเทียบกับการกระทำของลู่ฝาน

ราชากระบี่ใต้เห็นพญาหนอนแล้วก็เผ่นหนี ส่วนลู่ฝานนั้นเผชิญหน้าต่อสู้กับพญาหนอน

ในช่วงคับขันราชากระบี่ใต้ หลบหนีเอาตัวรอดคนเดียว ส่วนลู่ฝานนั้นนำพาทุกคนร่วมกันหลบหนี

ราชากระบี่ใต้มีพลังความสามารถ แต่กลับฆ่าได้เพียงพวกหนอนตัวเล็กเท่านั้น แม้แต่หนอนที่ระเบิดตัวเองก็ยังรับมืออย่างกระเซอะกระเซิง

ส่วนขั้นแดนของลู่ฝานก็ไม่ได้ว่าจะเหนือกว่าราชากระบี่ใต้ แต่ก็สามารถบุกเข้าไปตัดหนวดเส้นหนึ่งของพญาหนอนมาได้ บังคับจนมันต้องถอยร่นกลับไป

เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ยิ่งจะมองเห็นได้อย่างชัดเจนถึง “ความอ่อนแอ” ของราชากระบี่ใต้ และ “ความแข็งแกร่ง” ของลู่ฝาน

หากว่าราชากระบี่ใต้ได้ยินการเปรียบเทียบนี้แล้วคาดว่าคงจะกระอัดเลือดออกมาแน่นอน ซึ่งผลงานก่อนหน้าที่เขาได้นำพาทุกคนบุกโจมตีสังหารนั้น ถือว่าได้ถูกหลงลืมไปโดยสิ้นเชิงแล้ว

หมดหนทาง เพราะมีบางเรื่อง ที่มันก็โหดร้ายแบบนี้

โดยปกติจะกระทำการอะไรนั้นไม่สำคัญ สำคัญตรงที่ในช่วงเวลาคับขันเฉพาะหน้า

ซึ่งในช่วงคับขับนี้ จะถูกตัดสินว่าเป็นอย่างไร

ลู่ฝานที่เข้าไปในห้องนั้น ไม่ได้ยินคำวิพากษณ์วิจารณ์กันในด้านนอก

เขาได้นำเอาหนวดออกมาจากภายในเข็มขัด แล้ววางไว้ตรงด้านหน้า

เวลานี้เจ้าดำได้ออกมาจากการรวมร่างแล้ว โดยได้นอนหมอบอยู่ที่ร่างของลู่ฝาน

ลู่ฝานตะโกนขึ้นในใจว่า: “ไอ้เก้า ออกมา”

ทันใดนั้น บนมือของลู่ฝานก็ปรากฏเงาร่างของเจดีย์เสวียนเก้ามังกรขึ้น

“เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ ในที่สุดท่านก็นึกถึงฉันแล้ว ฮ่าฮ่า เจ้านายท่านได้ของดีมาอีกชิ้นหนึ่งแล้ว ฉันสามารถรับรู้สัมผัสได้ถึงพลังที่รุนแรงของหนวดเส้นนี้ จะให้ฉันดูดกลืนมันเข้าไปไหม? ”

ลู่ฝานพูดขึ้นว่า: “ใครสั่งให้นายดูดกลืนมันล่ะ ฉันแค่จะถามนายว่า เพราะอะไร หลังจากที่ฉันตัดหนวดมาแล้ว หนอนพวกนั้นถึงได้หวาดกลัวขนาดนั้น นายค่อนข้างมีความรู้ ช่วยบอกเหตุผลให้ฉันฟังหน่อยสิ”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรหัวเราะแหะแหะและพูดว่า: “ง่ายมาก หนวดเส้นนี้น่าจะเป็นสิ่งสำคัญที่มันใช้สั่งการพวกหนอนตัวเล็กเหล่านั้น ท่านไปตัดหนวดของมันมาเส้นหนึ่ง มันจึงเตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่สามารถควบคุมพวกหนอนเหล่านั้นได้ ดังนั้นมันจึงเกิดความหวาดกลัว และถอยร่นกลับไป หากว่าหนวดถูกตัดออกทั้งสองเส้น ฉันมั่นใจว่า พวกหนอนตัวอื่นจะต้องกระจัดกระจายไปอย่างแน่นอน ซึ่งไม่ว่าจะเป็นสัตว์อสูรก็ดี หรือสัตว์อสูรในอากาศธาตุก็ดี ที่จริงก็จะเหมือนกัน มักจะชอบรังแกข่มเหงผู้ที่อ่อนแอกว่า หากว่าเผชิญหน้ากับยอดฝีมือตัวจริง ความคิดของสัตว์อสูรนั้นไม่ใช่ว่าจะเข้าต่อสู้อย่างสุดกำลัง แต่จะเป็นการเลือกหลบหนีเพื่อเอาชีวิตรอด โดยเป็นเพราะมีพญาหนอนควบคุมสั่งการอยู่ ดังนั้นพวกมันถึงได้บุกเข้าโจมตีต่อสู้”

ลู่ฝานยิ้มเล็กน้อยและพูดว่า: “ฉันเข้าใจแล้ว อันที่จริงก็ง่ายดายมาก”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดขึ้นว่า: “เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ ท่านเฉลียวฉลาดและมีความสามารถมาโดยตลอดอยู่แล้ว”

ลู่ฝานชูหนวดขึ้น ยิ้มและพูดว่า: “ดูเหมือนว่า การฝ่าด่านรังหนอนเหล่านี้ไปนั้น มันก็ไมใช่เรื่องที่ยากอีกต่อไปแล้ว! ”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 912
ลู่ฝานหันหน้ากลับมามองไปยังทุกคน และขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย คนบาดเจ็บและล้มตายมากเกินกว่าที่เขาคาดคิดเอาไว้เสียอีก

แต่ยังดีที่ลุงชางออกคำสั่งได้ทันการ คณะใหญ่จึงไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรกันสักเท่าไร

ส่วนพวกพ่อค้านักธุรกิจที่พลังความสามารถไม่เพียงพอ แล้วจ่ายเงินเพื่อเข้าร่วมคณะนั้นก็มองไปบนเรือมังกรด้วยความกังวล

พวกเขาเพิ่งจะมองเห็นความแข็งแกร่งของพวกหนอนเหล่านั้นกับตาของตนเอง พวกเขาเกิดความกลัวอย่างมากต่อการเดินทางในครั้งนี้ ว่าจะเป็นการเอาชีวิตมาทิ้งไว้หรือไม่

ลุงชางเดินมาที่ด้านข้างของลู่ฝานและพูดขึ้นว่า: “เป็นอย่างไรบ้าง นายไม่บาดเจ็บอะไรใช่ไหม? ”

ลู่ฝานส่ายศีรษะเบา ๆ และมองไปที่หนวดบนมือของเขาเอง แล้วก็ค่อย ๆ นำมันยัดใส่เข้าไปในเข็มขัด

ลุงชางพูดขึ้นว่า: “โชคดีมากที่นายได้กล่าวเตือนไว้ ที่ให้พวกเราเดินหน้ากันไปทีละน้อย มิเช่นนั้นแล้ว หากครั้งนี้ตกหลุมพรางล่ะก็ คงจะตายลงไปกันหมดอย่างสิ้นเชิง”

ลู่ฝานพูดขึ้นว่า: “ลุงชาง พญาหนอนตัวนี้เหมือนกันกับครั้งก่อนที่ท่านพบเจอไหม? ”

ลุงชางส่ายศีรษะและพูดว่า: “ไม่เหมือนกัน ตัวนี้ดูเหมือนจะอ่อนแอกว่าเล็กน้อย พญาหนอนครั้งก่อนที่ฉันพบเจอนั้น มีขนาดใหญ่กว่าตัวนี้สามเท่า และมีลักษณะคล้ายกับหนอนแมลงวัน”

ลู่ฝานพยักหน้า เขาเองก็รู้สึกว่าพญาหนอนตัวนี้พลังความสามารถเหมือนจะไม่ได้เหนือกว่าเขามากนัก

ลุงชางหยุดชะงักชั่วครู่ และพูดต่อว่า: “แต่หนอนตัวนี้ ดูจะฉลาดกว่าหนอนตัวนั้นที่ฉันพบเจอในครั้งก่อน อย่างน้อยตัวนั้นที่ฉันพบเจอในครั้งก่อนนั้น ไม่ได้มีการวางหลุมพรางอะไรแต่อย่างใด”

ลู่ฝานยิ้มและพูดว่า: “แต่ก็ฉลาดอย่างมีข้อจำกัด บอกให้คณะไม่ต้องถอยหลังไปอีกแล้ว ฉันคิดว่าพวกเราสามารถเอาชนะได้! ”

ลุงชางยิ้มและพยักหน้า พร้อมกับโบกมือส่งสัญญาณให้กับถูซาง

ลุงชางหันหลังกลับมา แล้วมองไปยังนักบู๊ที่อยู่ด้านหลังและพูดขึ้นว่า: “น้องลู่ฝาน พลังความสามารถของนายเหมือนจะทำให้พวกเขาตกตะลึงกันไปหมดแล้ว นายดูสิว่าสายตาของพวกเขาที่มองนายในตอนนี้ ก็เหมือนกับที่พวกหนอนเหล่านั้นมองไปยังพญาหนอน ซึ่งแทบจะคุกเข่าลงคารวะนายแล้วด้วย”

ลู่ฝานยิ้มเล็กน้อยและพูดว่า: “ฉันไม่อยากที่จะเป็นพญาหนอนที่น่ารังเกียจอย่างนั้น”

เมื่อพูดจบ ลู่ฝานก็เดินกลับไปในห้อง ขณะที่เดินก็พูดขึ้นว่า: “ให้คณะพักผ่อนฟื้นฟูร่างกายกันสักหน่อยเถอะ หากพวกหนอนเหล่านั้น โจมตีมาอีก ก็เรียกฉันได้”

ลู่ฝานเดินตรงเข้าไปในห้อง โดยที่ไม่มีใครกล้าที่จะเดินตามเขาเข้าไป

ถึงขนาดที่หลังจากลู่ฝานเดินเข้าไปแล้ว นักบู๊คนหนึ่งยังจะช่วยลู่ฝานปิดประตูห้องด้วย ราวกับว่าห้องพักขนาดใหญ่นี้ ได้กลายเป็นจวนของลู่ฝานเพียงคนเดียว

หลังจากที่เงาร่างของลู่ฝานหายลับไปจากสายตาของทุกคนแล้ว กลุ่มนักบู๊ก็วิพากษณ์วิจารณ์กันขึ้น

“ที่จริงแล้วเขาต่างหากที่เป็นนักบู๊ที่เก่งกาจ”

“อะไรที่เรียกว่าคมในฝัก ฉันเหล่าหลู่เองก็มองผิดไปแล้ว”

“ฉันว่าพลังความสามารถของเขานั้นน่าจะถึงขั้นแดนปราณดินแล้ว”

“อายุน้อยขนาดนี้ ก็เป็นถึงนักบู๊แดนปราณดินแล้ว เขาน่าจะเป็นคุณชายของตระกูลใดตระกูลหนึ่งแห่งเมืองหลวงเป็นแน่”

“โธ่ ดูเหมือนว่าฉันจะต้องแสดงความขอโทษต่อคุณชายคนนี้แล้ว กี่วันก่อนหน้านี้ได้พูดจาที่โง่เขลาออกไป วันนี้มานึกขึ้นได้ มันช่างน่าอับอายสมเพชมากเสียจริง”

“ฉันเองก็เหมือนกัน ดูเหมือนว่าปัญหาปากพล่อยนี้จะต้องปรับปรุงแก้ไขสักหน่อยแล้ว”

……

ทุกคนต่างก็ซุบซิบวิพากษณ์วิจารณ์กันไป พร้อมกับได้รักษาระยะห่างกับทางปู้เฟยราชากระบี่ใต้ด้วย

โดยไม่มีใครอยากที่จะมองราชากระบี่ใต้เลย เหตุผลง่ายมาก เพราะราชากระบี่ใต้ทอดทิ้งพวกเขา

คนที่พูดอยู่ประจำว่าเป็นลูกผู้ชายที่กล้าหาญเด็ดเดี่ยว ทำไมถึงได้รักตัวกลัวตายขึ้นมาล่ะ ในช่วงเวลาที่คับขัน ตัดสินใจที่จะหลบหนีเอาตัวรอด เลือกที่จะให้ตนเองมีชีวิตอยู่ โดยปล่อยให้คนอื่นตายลง

แม้มันจะไม่หนักหนาอะไรมากนัก เพราะกี่วันก่อนหน้านี้ เขาก็ยังได้ช่วยชีวิตของคนอื่นไม่น้อย

แต่การแสดงออกในวันนี้ มันทำให้จิตใจของทุกคนเย็นชาลงอย่างไม่ต้องสงสัย

ไม่มีใครที่อยากจะพูดคุยกับเขาอีก ราชากระบี่ใต้จึงถูกปล่อยเกาะให้อยู่คนเดียวอย่างลำพัง

สายตาของนักบู๊คนอื่นที่มองมายังราชากระบี่ใต้นั้น ต่างก็ไม่เป็นมิตร ซึ่งมีความเหยียดหยามลึกซึ้งมากกว่า ตอนแรกที่มองมายังลู่ฝานเสียอีก ซึ่งเป็นความเหยียดหยามที่ออกมาจากภายในจิตใจอย่างแท้จริง!

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 911
ด้านหลังของลู่ฝานพลันปรากฏเงาร่างอสูรสายฟ้าขนาดใหญ่ขึ้น

ซึ่งมีสามหัวหกแขน แปดดวงตาและร่างเป็นมังกร

อสูรสายฟ้ายื่นฝ่ามือออกมา พร้อมด้วยฟ้าผ่าฟ้าร้อง เพื่อสกัดต้านทานท่อที่พุ่งโจมตีเข้ามานั้น

เสียงฟ้าร้องในร่างของลู่ฝานนั้นราวกับเสียงระเบิดถั่วที่ดังก้องไปทั่ว ลู่ฝานกวัดแกว่งแขน แล้วก็ฟาดฟันกระบี่ลงไปอีกครั้ง

“สังหาร! ”

เมื่อกระบี่ฟาดฟันลงไป ทุกพลังก็รวมเป็นหนึ่งเดียว

เวลานี้ ลู่ฝานก็ใช้วิชากระบี่ฆ่าพิชิตฟ้าที่สมบูรณ์!

เมื่อแสงกระบี่ฟาดฟันลงไปนั้น อักษรคำว่าฆ่าขนาดใหญ่ก็ได้ฟันไปที่ร่างของพญาหนอนจนเกิดบาดแผลนับไม่ถ้วน เลือดสีเขียวพุ่งกระฉูดออกมา เสียงร้องของพญาหนอนยิ่งดังมากขึ้นไปอีก

เมื่อเกิดเสียงดังขึ้น ลู่ฝานก็พลันใช้พลังปราณคุ้มกันกาย ด้านนอกกลายเป็นความมืดทั้งหมด

นักบู๊ที่ได้ยินเสียงตะโกนดังกล่าวนี้ หรือว่าพวกหนอน ต่างก็เริ่มนอนดิ้นไปมาบนพื้นแล้ว

เสียงนี้ ราวกับเสียงที่ดังมาจากนรก เมื่อได้ยินแล้วก็ตกใจหวาดกลัวอย่างที่สุด

ร่างกายของลู่ฝานเองก็สั่นเทา เขาที่อยู่ใกล้ที่สุดนั้น ก็ถูกคลื่นเสียงโจมตีอย่างรุนแรงที่สุดเช่นกัน

กล้ามเนื้อบนใบหน้าก็เกิดเป็นรอยย่นพร้อมไปกับคลื่นเสียง ลู่ฝานกัดฟันอดทน แล้วก็ใช้กระบี่ฟันลงไปที่หนวดที่อยู่ในมือของเขา

ลู่ฝานไม่ได้เลือกจะไปโจมตีที่ร่างของพญาหนอน แต่ต้องการที่จะฟันหนวดของมันให้ขาด

กระบี่หนักไร้คมปะทุเกิดเป็นประกายไฟ และฟาดฟันลงไปที่หนวดของพญาหนอนจนขาดออกเป็นสองท่อนทันที

ร่างของพญาหนอนกระตุกสั่นไปหมด ขณะนั้นลู่ฝานก็รู้แล้วว่าตนเองเดิมพันได้ถูกต้อง หนวดคู่นี้ จะต้องเป็นหนึ่งในจุดอ่อนของพญาหนอนอย่างแน่นอน

จากนั้น คิดไม่ถึงว่าพญาหนอนจะถอยร่นลงไปแล้ว มันถอยกลับเข้าไปในหลุมดำ ลู่ฝานจึงอาศัยช่วงเวลาดังกล่าว พลิกตัวกระโดดกลับไปด้านหลัง

บริเวณรอบกาย มีสายลมคอยพยุงร่างเอาไว้ ลู่ฝานราวกับเป็นใบไม้ ลอยไปตามสายลมแล้วตกลงไปบนเรือกระบี่

แกว่งมือไปมาเกิดเป็นเปลวไฟเผาทำลาย พวกหนอนสีแดงจำนวนมากที่ต้องการจะเข้ามาใกล้นั้น ก็ถูกสกัดกั้นเอาไว้ด้านนอกทั้งหมด

ลู่ฝานรวบรวมพลังปราณ แล้วก็ผลักดันอุโมงค์ข้ามมิติ

แต่ในครั้งนี้ อุโมงค์ข้ามมิติที่ทรงพลังนั้นไม่ได้ถูกลู่ฝานผลักดันออกไป กลับกลายเป็นว่าลู่ฝานและเรือกระบี่ใต้เท้าของเขาถูกแรงสั่นสะเทือนผลักดันออกไป จนกระเด็นล่องลอย หลุดพ้นออกไปจากการโอบล้อมของรังไหม

วิธีการที่ต่อเนื่องนี้ ทุกคนที่มองเห็นนั้นถึงกับตื่นตะลึง

ลู่ฝานใช้กระบี่หนักทิ่มลงไปที่กลางอักษรยันต์ของเรือกระบี่ โดยมีเงาหลังอย่างกับเป็นเทพเจ้า

ตึ่งง!

เรือกระบี่หล่นลงมาอยู่ที่ด้านข้างของเรือมังกรอย่างประจวบเหมาะ

ลุงชางก็พลันตะโกนขึ้นว่า: “ถูซาง รีบประคองพวกเขาขึ้นมา เร็วเข้า! ”

ถูซางใช้มือประคองทีละคน นำทุกคนกลับขึ้นมาบนเรือมังกร

ลุงชางรีบนำยาออกมาหลายขวด ส่งมอบให้กับทุกคน เพื่อให้แต่ละคนรักษาอาการบาดเจ็บ

ลู่ฝานกระโดดขึ้นมาบนเรือมังกร และมองไปยังพวกหนอนที่อยู่ห่างออกไป

ราชากระบี่ใต้ที่กลับมาอย่างยากเย็นนั้น เมื่อเห็นว่าลู่ฝานใช้วิธีการนี้บินเหาะกลับมา ก็ตะลึงจนอ้าปากค้างจวบจนขณะนี้ก็ยังไม่หุบปากลง

ลู่ฝานยืนอยู่บนหัวเรือ ในท่าทางที่เคร่งขรึม

เวลานี้สิบสามก็มายืนอยู่ที่ด้านหลังของลู่ฝานและพูดขึ้นว่า: “เจ้านาย”

ภาพเหตุการณ์นี้ ทุกคนเห็นกันจนชินตา เพราะช่วงหลายวันมานี้ แทบจะทุกวัน ที่ลู่ฝานจะอยู่ในลักษณะท่าทางอย่างนี้

แต่ในวันนี้ ในสายตาของทุกคนนั้น ลู่ฝานไม่เหมือนกับเมื่อก่อนแล้ว

สายตาที่ดูหมิ่นเหยียมหยามไม่มีให้เห็นอีก ทดแทนด้วยความตื่นตะลึง ความเคารพ ความเลื่อมใส ส่วนนักบู๊ที่อยู่ด้านหลังนั้น มีสีหน้าท่าทางที่อับอาย เมื่อพวกเขานึกถึงตอนที่ตนเองเคยได้พูดเหยียดหยามถากถางลู่ฝานนั้น ก็รู้สึกว่าใบหน้ามันช่างปวดแสบปวดร้อนเสียเหลือเกิน

โดยเฉพาะเฝิงอิ่ง ขณะที่เธอมองไปยังเงาหลังของลู่ฝานนั้น เธอเองก็สั่นเทาไปทั้งร่างกายอย่างควบคุมไม่ได้

สีหน้าซับซ้อน หางตากระตุกอย่างไม่หยุด

“นึกไม่ถึงว่าเขาจะแข็งแกร่งมากขนาดนี้! ”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 910
ตูมม ตูมม ตูมม ตูมม!

หนอนสีเขียวที่กำลังเคลื่อนตัวใกล้เข้ามาถึงเรือกระบี่นั้น ก็ได้ระเบิดขึ้นอย่างรุนแรง แรงระเบิดอย่างหนักจนทำให้นักบู๊ทั้งหมดกระเซอะกระเซิง อักษรยันต์บนเรือกระบี่เลือนลางลงไป มองดูเหมือนใกล้จะพังทลายลงแล้ว

ลู่ฝานใช้เกราะเกล็ดมังกรคุ้มกันกาย ส่องประกายลำแสงสว่างไสว พร้อมกับตะโกนขึ้นว่า: “ยอดกระบี่หวนคืน! ”

เมื่อกระบี่ปรากฏขึ้น ก็ส่องประกายแสงอย่างหนักหน่วงรุนแรง

พลังอันแข็งแกร่งนั้นพุ่งเข้าใส่ร่างของพญาหนอน และแสงกระบี่ฟาดฟันเกล็ดสีทองของพญาหนอนจนแตกออก

พญาหนอนส่งเสียงร้องโอดครวญ จากนั้น พวกหนอนจำนวนมาก ก็พุ่งโจมตีใส่ลู่ฝานในทันที

ลู่ฝานใช้กระบี่หนักฟาดฟัน เปลวไฟพลังปราณแผ่ซ่านไปทั่ว บริเวณที่พาดผ่าน หนอนทั้งหมดก็ถูกเผาไหม้จนเป็นผุยผง

ฝ่าเท้าเหยียบย่ำลงไปกลางอากาศอีกครั้ง ในครั้งนี้ เขาเหยียบย่ำลงไปบนสีสันสวยงามของอุโมงค์ข้ามมิติ

ขณะนั้น ลู่ฝานก็รู้สึกได้ว่าตนเองเกือบจะถูกดูดกลืนเข้าไปในอุโมงค์ข้ามมิติ บริเวณนั้นมีพลังฟ้าดินจำนวนมาก และแข็งแกร่งมากด้วย หากสัมผัสเพียงเล็กน้อย ก็จะรู้สึกว่าร่างกายนั้นแทบจะระเบิดขึ้นเลยทีเดียว

แต่ลู่ฝานก็แค่เหยียบลงไปเบา ๆ แล้วก็กระโดดลอยตัวขึ้นอีกครั้ง

ครั้งนี้พญาหนอนไม่กล้าที่จะประมาทอีกแล้ว ลำแสงสีทองจำนวนมากพุ่งโจมตีใส่ลู่ฝานอีกครั้ง และก็ใช้หนวดทั้งสองข้างก็ทุบตีใส่เขาราวกับแส้!

ลู่ฝานใช้กระบี่หนักไร้คมฟาดฟันเข้าใส่ “ฟัน! ”

พลังปราณรวบรวมอยู่ในกระบี่ แล้วฟาดฟันลำแสงจนแตกสลายออกเป็นสองส่วนทันที

หนวดสองเส้นร่วงตกลงมาที่ร่างของเขา จนเกราะเกล็ดมังกรของลู่ฝานถูกทุบตีจนแตกออกเป็นสองส่วน

เกราะเกล็ดมังกรไม่ใช่เกราะปราณอย่างแท้จริง เมื่อเผชิญหน้ากับพญาหนอน จึงรู้สึกว่าค่อนข้างจะอ่อนแอไปหน่อย โดยบนหนวดเหมือนจะแฝงพิษร้ายอยู่ด้วย เมื่อสัมผัสเพียงเล็กน้อย จะรู้สึกได้ว่ามียาพิษที่มีฤทธิ์กัดกร่อนพ่นออกมา ทำให้เกราะเกล็ดมังกรบนตัวของลู่ฝานนั้นมีแนวโน้มที่จะละลายลง

ลู่ฝานรีบเก็บเกราะเกล็ดมังกรขึ้น จากนั้นก็ใช้มือจับไปที่หนวดของพญาหนอน

“พิษของแกนี้? ฉันไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย”

ลู่ฝานออกแรง จับไปที่หนวดของพญาหนอนอย่างแน่น

ทางฝั่งนี้ บนเรือกระบี่นั้น มีคนเสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก

พวกหนอนสีเขียวที่ระเบิดตัวเองได้นั้นยิ่งมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น พลังอานุภาพของระเบิด ทำให้ราชากระบี่ใต้ได้รับบาดเจ็บสาหัส

เวลานี้ทุกคนจึงพบว่า ไม่ควรที่จะรีบร้อนถอยร่นจริงด้วย เพราะสถานที่ที่พวกเขาหยุดพักเมื่อครู่นั้น มีรังไหมอยู่ไม่มากเท่าไร กลับกลายเป็นว่าระหว่างทางที่ถอยหลังกลับนั้นยิ่งจะมีรังไหมมากขึ้นไปอีก

ไม่ทันรอให้ทุกคนคิดกันว่าเป็นเพราะอะไร ราชากระบี่ใต้ก็พลันกระโดดลอยตัวขึ้น สละเรือกระบี่ทิ้ง แล้วพุ่งตัวหนีออกไปด้านนอกทันที

“ราชากระบี่ ท่านกำลังทำอะไร? ”

นักบู๊คนหนึ่งร้องตะโกนเสียงหลง

ราชากระบี่ใต้ไม่ตอบ ตนเองได้แต่มุ่งหน้าพุ่งกระโจนหนีไปอย่างสุดกำลัง

นักบู๊ที่กำลังต่อสู้อย่างสุดชีวิตบนเรือกระบี่นั้น ต่างก็พากันตกตะลึง

“ราชากระบี่ทอดทิ้งพวกเราแล้ว เขาเองหลบหนีไปแล้ว! ”

นักบู๊คนหนึ่งตะโกนขึ้นด้วยความโกรธแค้น

เฝิงอิ่งและคนอื่น ๆ แสดงสีหน้าท่าทางที่สิ้นหวัง!

หากไม่มีราชากระบี่ใต้แล้ว พวกเขาก็คงไม่สามารถต้านทานการระเบิดตนเองของพวกหนอนสีแดงในครั้งต่อไปได้!

ในขณะที่ทุกคนกำลังคิดว่าตนเองจะต้องตายลงไปท่ามกลางความโกรธแค้น ทันใดนั้นพวกหนอนเหล่านั้นก็พลันหันเหเปลี่ยนทิศทาง มุ่งหน้ากลับไปหาพญาหนอน

เมื่อจ้องมองไป ทุกคนก็พลันพบว่าลู่ฝานกำลังต่อสู้กับพญาหนอนสีทองนั้นอย่างดุเดือด

มือเขาจับหนวดของพญาหนอนเอาไว้อย่างแน่น ทางพญาหนอนก็เผยความโมโหอย่างรุนแรงขึ้น

กวัดแกว่งมือแล้วก็ใช้กระบี่ฟาดฟันใส่อีกครั้ง ลู่ฝานเริ่มต้นใช้เขตวิถีของกระบี่หนักไร้คม

เมื่อฟันลงไป ก็สั่นสะเทือนไปทั้งอากาศ

ร่างกายที่ใหญ่โตของพญาหนอน คิดไม่ถึงว่าจะถูกลู่ฝานฟาดฟันจนต้องหมอบราบลง

พญาหนอนกรีดร้องด้วยความโกรธแค้น ทันใดนั้นร่างของมันก็พองตัวขึ้น และอ้าปาก พร้อมกับมีท่อขนาดใหญ่พุ่งตรงเข้าใส่ลู่ฝาน

บนท่อนั้น ยังมีหนามที่แหลมคม ทิ่มแทงทะลุผ่านอากาศ ทิ่มแทงทะลุทุกสิ่งทุกอย่าง

ความรวดเร็วนั้นถึงขนาดที่ทำให้ลู่ฝานหมดหนทางที่จะหลบหลีก ขณะที่เกือบจะถูกท่อดูดกลืนเข้าไปนั้น ลู่ฝานก็ตะโกนขึ้น แล้วสายฟ้าก็ผ่าลงมา

วิชาสายฟ้าฟาดห้าธาตุ เทพสายฟ้า!

เสียงค่อย ๆ ดังก้องมากขึ้น สั่นสะเทือนจนหลายคนรีบปิดกั้นการได้ยิน

สายตาที่มองเห็นนั้น พวกหนอนได้หมอบคลานอยู่บนพื้นเป็นระนาบ ราวกับว่ากำลังรอต้อนรับราชาของพวกมันที่กำลังจะมาถึง

ทุกทิศโดยรอบ เริ่มที่จะเปล่งลำแสงสีแดงเรืองรองออกมา เวลานี้คนจำนวนไม่น้อยก็สังเกตเห็นว่า ท่ามกลางอากาศบริเวณด้านข้างของพวกเขานั้น กลับมีรังไหมแอบซ่อนอยู่เต็มไปหมด

เวลานี้พวกรังไหมเหล่านี้เหมือนจะมีชีวิตกลับคืนมาอีกครั้ง เปล่งประกายแสงสีแดงไปทั่ว

เสียงกรีดร้องพลันหยุดลง จากนั้นก็ปรากฏหลุมดำขึ้นตรงที่ด้านหน้า

หนอนตัวใหญ่กำลังแทรกตัวออกมาจากภายใน เพียงแค่ส่วนหัว ก็มีขนาดใหญ่กว่าสามสิบเมตรแล้ว

“นี่มันคืออะไร? ”

ราชากระบี่ใต้ตะโกนเสียงดัง

ลู่ฝานมองไปยังหนอนตัวใหญ่ที่มีหนวดเป็นโลหะ ลำตัวสีทอง และคู่ดวงตาสีแดงเลือด พร้อมกับพูดขึ้นอย่างรวดเร็วว่า: “พญาหนอน!”

เมื่อได้ยินคำว่าพญาหนอนแล้ว ทุกคนรวมไปถึงราชากระบี่ใต้ก็แสดงสีหน้าท่าทางตะลึงงัน

ทางด้านหลัง เมื่อลุงชางมองเห็นพญาหนอนปรากฏตัวขึ้น ก็ตะโกนเสียงดังว่า: “ถอยหลัง รีบถอยหลังเร็ว! ”

คณะเรือได้รีบถอยหลังกลับโดยเร็ว ส่วนลู่ฝานนั้นก็ได้ชักกระบี่หนักไร้คมของตนเองออกมาแล้ว

ในที่สุดพญาหนอนก็แทรกตัวออกมาจากหลุมดำนั้นจนสำเร็จ ร่างกายขนาดใหญ่โตนั้น มองดูแล้วเหมือนกับว่าเป็นตะขาบยักษ์ ที่มีเกล็ดทองทั่วทั้งตัว ระยิบระยับเรืองแสงอย่างที่สุด

จากนั้น ขาจำนวนมากมายของมันก็ขยับเคลื่อนไหว แสงสีทองแผ่ซ่านกระจายไปทั่ว

“คุ้มกัน! ”

ลู่ฝานตะโกนเสียงดัง ปราณชี่ในร่างกายก็ปะทุขึ้น

กระบี่หนักตั้งตรง เสียงระเบิดตูมตามก็พลันดังขึ้น

แสงสีทองทั่วบริเวณนี้ คิดไม่ถึงว่าจะเป็นปราณกระบี่ที่ทรงอานุภาพหนักหน่วงอย่างนับไม่ถ้วน

เวลานี้ราชากระบี่ใต้เองก็ตั้งสติขึ้นได้แล้ว และใช้เกราะปราณปกคลุมร่างกาย เขาก็เหมือนกับเป้าซ้อมดาบรูปทรงคนอย่างไรอย่างนั้น สกัดกั้นแสงสีทองเอาไว้ได้

นักบู๊ที่ยืนอยู่ด้านหลังของเขา ก็ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมากนัก

ลู่ฝานมองไปยังพญาหนอนท่ามกลางแสงสีทอง คู่ดวงตาขนาดใหญ่นั้น กลับแสดงออกถึงอารมณ์ความรู้สึกอย่างกับมนุษย์อย่างไรอย่างนั้น

อารมณ์ความรู้สึกนี้มีชื่อว่า ยั่วยวน!

ลู่ฝานนึกอะไรขึ้นได้ จึงรีบหันมองไปยังรังไหมที่อยู่โดยรอบ

“ถอย! ”

ราชากระบี่ใต้ต้านทานแสงกระบี่สีทองเอาไว้ได้ แต่ตนเองก็เหมือนจะบาดเจ็บเล็กน้อยด้วย

มีเลือดไหลบริเวณมุมปาก เกราะปราณก็เกิดมีรอยแตกร้าวขึ้นบ้าง

เขาตะโกนเสียงดังขึ้น พร้อมกับสั่งการให้เรือกระบี่เคลื่อนถอยหลังกลับไป

แต่ในเวลานี้ ลู่ฝานกลับตะโกนขึ้นว่า: “ถอยหลังไปไม่ได้! ”

ทุกคนต่างก็ตกตะลึงกันอีกครั้ง แต่ในครั้งนี้พวกเขาไม่ได้เยาะเย้ย ไม่ได้คัดค้าน เพราะพลังปราณที่แข็งแกร่งบนร่างของลู่ฝานนั้น ได้สร้างความตื่นตระหนกให้กับพวกเขาแล้ว

เวลานี้ พวกเขาพบว่า คนที่พวกเขาเยาะเย้ยถากถางนั้น เป็นยอดฝีมือคนหนึ่งอย่างแท้จริง เมื่อครู่ที่กระบี่หนักตั้งตรงนั้น สามารถต้านทานแสงสีทองได้มากกว่าทางราชากระบี่ใต้เสียอีก

ลู่ฝานจับไปที่ชายเสื้อของราชากระบี่ใต้และพูดขึ้นว่า: “เวลานี้ถอยหลังไม่ได้ หากถอยหลังก็จะตกหลุมพราง พุ่งโจมตีไปพร้อมกันกับฉันเลย! ”

ราชากระบี่ใต้กัดฟัน แล้วพลันสะบัดมือของลู่ฝานออก และพูดขึ้นว่า: “ไอ้หนุ่ม นายคิดว่าฉันจะเชื่อฟังนายอย่างนั้นเหรอ? ไอ้คนไม่รู้เรื่อง นายต้องการที่จะให้พวกเราตายลงที่นี่ทั้งหมด ฉันบอกว่าให้ถอยหลังกลับเดี๋ยวนี้! ”

ทันใดนั้น เรือกระบี่ก็รีบถอยหลังกลับโดยเร็วทันที

ลู่ฝานเห็นว่าไม่สามารถขัดขวางราชากระบี่ใต้ได้ จึงกระโดดขึ้นไปเพียงคนเดียว

“เจ้าดำ เข้าสิง! ”

เมื่อตะโกนพูดขึ้น เจ้าดำก็กลายร่างเป็นลำแสงพุ่งเข้าไปในร่างของลู่ฝาน ทำให้พลังในร่างกายของลู่ฝานก็แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า พลังความสามารถของเขาในเวลานี้ ไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่านักบู๊แดนปราณดินคนใดเลย

ลู่ฝานกระโดดตรงเข้าใส่พญาหนอนตัวนั้น แล้วใช้ฝ่าเท้ากระโดดย่ำอย่างหนักอยู่กลางอากาศ จนค่ายกลเบญจธาตุขนาดเล็กก็ประกายแสงขึ้นใต้ฝ่าเท้าของเขา

แววตาของพญาหนอนแสดงอาการตกใจออกมาเล็กน้อย เหมือนว่ามันจะคิดไม่ถึงว่ามนุษย์ตัวเล็ก ๆ แบบนี้ จะกล้าถึงขนาดกระโดดพุ่งเข้าโจมตีมันอย่างบ้าคลั่ง

ราชากระบี่ใต้และคนอื่น ๆ ที่กำลังถอยร่นกันอย่างบ้าคลั่งนั้นก็พลันพบว่ารังไหมในอากาศได้ระเบิดขึ้นแล้ว ซึ่งเมื่อเข้าใกล้ หนอนสีแดงตัวหนึ่งก็พุ่งโจมตีออกมา มุ่งเป้าตรงไปยังเรือกระบี่นั้นทันที

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 908
ราชากระบี่ใต้พูดขึ้นด้วยสีหน้าที่หม่นหมองว่า: “คุณชาง หรือว่าคำพูดของเด็กหนุ่มคนนั้น มีความสำคัญกว่าคำพูดของฉันอีกเหรอ? กี่วันมานี้เขาไม่เห็นจะลงมือออกแรงอะไรเลย ก็แค่ยืนมองอยู่ด้านนอกเท่านั้น เขาก็แค่กลัวตาย ท่านเองก็เหมือนกันใช่ไหมล่ะ? ”

ลุงชางพูดขึ้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม: “ราชากระบี่ใต้ ระมัดระวังกันหน่อยไม่ดีกว่าเหรอ? ”

ราชากระบี่ใต้พูดขึ้นอย่างเย็นชาว่า: “ไม่ดี ไม่ดีเลย เพราะว่าความระมัดระวังของท่าน มันทำให้ฉันต้องสิ้นเปลืองเวลาไปอย่างมาก ช่วงนี้ฉันฆ่าพวกหนอนนั้น จนเอือมระอาหมดแล้ว”

ลุงชางพูดขึ้นว่า: “ช่วงกี่วันนี้ราชากระบี่ใต้พักผ่อนก่อนเถอะ ฉันจะไปช่วยท่านสังหารเอง”

ราชากระบี่ใต้ลุกยืนขึ้นตบโต๊ะ และพูดว่า: “ท่านคิดว่าเวลาของฉันมันไม่คุ้มค่าหรืออย่างไร? ”

เมื่อพูดจบ ราชากระบี่ใต้ก็เดินออกมาจากห้อง แล้วตะโกนพูดกับลู่ฝานว่า: “ไอ้หนุ่ม นายมานี่หน่อย! ”

ลู่ฝานหันหน้ากลับมา มองไปที่ราชากระบี่ใต้

“มีเรื่องอะไรเหรอ? ”

ราชากระบี่ใต้พูดขึ้นเสียงดังว่า: “เจ้าไอ้เด็กหนุ่มที่รักตัวกลัวตาย แอบหลบอยู่ด้านหลังมาโดยตลอด โดยให้ลูกน้องลงมือแทน วันนี้ ฉันจะพานายไปพบเจอกับพวกหนอนเหล่านั้นดูบ้าง ให้นายเห็นว่าพวกหนอนเหล่านั้นมันน่ากลัวมากขนาดนั้นหรืออย่างไร”

พวกนักบู๊เดินกันออกมา พร้อมกับหัวเราะและมองไปที่ลู่ฝาน เพื่อรอดูว่าความน่าขันของไอ้หนุ่มนี้

กี่วันมานี้ ที่อยู่ในคณะ ลู่ฝานมีสมญานามใหม่แล้วว่าไอ้คนขี้ขลาดตาขาว

ราชากระบี่ใต้เห็นว่าลู่ฝานไม่พูดอะไร นึกว่าเขาหวาดกลัวแล้ว จึงแสยะยิ้มและพูดขึ้นว่า: “ไอ้หนุ่ม การเป็นลูกผู้ชายนั้น จะมารักตัวกลัวตายได้อย่างไร พวกหนอนเหล่านี้ ก็แค่หนอนกระจอกเท่านั้น พวกมันไม่สามารถสกัดกั้นลูกผู้ชายที่แท้จริงได้หรอก ไปด้วยกันกับฉันสักครั้ง นายก็จะไม่รักตัวกลัวตายอีกแล้ว”

พวกนักบู๊ก็พากันตะโกนขึ้น: “ไอ้หนุ่ม มาสิ ให้พี่ชายอย่างพวกเราพานายไปสังหารหนอนดูบ้าง”

“ไอ้หนุ่ม วางใจได้ พวกเราไม่โยนนายเข้าไปในกองหนอนเหล่านั้นหรอก แต่ถ้าหากนายปัสสาวะรดกางเกงเองล่ะก็ มันก็อีกเรื่องหนึ่งแล้ว”

เฝิงอิ่งหัวเราะและมองไปที่ลู่ฝาน ซึ่งเธอนั้นชอบที่จะเห็นลู่ฝานถูกคนเยาะเย้ยถากถาง

แต่สิ่งที่เธอคาดคิดไม่ถึงนั้นก็คือ สีหน้าท่าทางของลู่ฝานก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง

เหมือนว่าเขากำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ เพียงชั่วครู่ ลู่ฝานก็พูดขึ้นว่า: “ตกลง ฉันจะไปดูที่ด้านหน้ากับนาย”

น้ำเสียงของลู่ฝานสงบนิ่ง ราวกับว่าพูดชวนไปทานข้าวอย่างไรอย่างนั้น

ราชากระบี่ใต้ตกใจเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าลู่ฝานจะมีการตอบสนองกลับแบบนี้

เมื่อพูดจบ ลู่ฝานก็กระโดดลงจากเรือมังกร แล้วขึ้นไปบนเรือกระบี่

ราชากระบี่ใต้พูดพึมพำว่า: “ไอ้หนุ่มนี้เสแสร้งเก่งยิ่งนัก”

ขณะที่สิบสามกำลังเตรียมที่จะขึ้นเรือไปพร้อมกันกับลู่ฝานนั้น ลู่ฝานก็ได้พูดกับสิบสามว่า: “สิบสาม นายอยู่ที่นี่ไม่ต้องตามมา คอยดูแลปกป้องคนอื่นด้วย”

คำพูดนี้ ยิ่งทำให้ทุกคนตื่นตะลึงกันไปอีก

แม้แต่องครักษ์ก็ไม่พาติดตามไปด้วย เขาเตรียมตัวที่จะไปตายจริง ๆ ใช่ไหม!

ราชากระบี่ใต้และคนอื่น ๆ ก็ตามขึ้นมาบนเรือ ราชากระบี่ใต้หันหน้ากลับมา และมองไปที่ลู่ฝานแล้วพูดขึ้นว่า: “นายอย่าได้ก่อเรื่องเป็นอันขาด”

ลู่ฝานพูดว่า: “เกรงว่าความยุ่งยากจะมาหาฉันเอง”

ราชากระบี่ใต้ไม่พูดมากอะไรอีก แล้วก็ขับเคลื่อนเรือกระบี่ มุ่งหน้าไปยังรังหนอนนั้น

ลู่ฝานดวงตาล้ำลึก สายตามองทะลุผ่านพวกหนอนเกราะ และมองทะลุผ่านรังไหมเหล่านั้นไป

จากที่เขาได้ขยับเข้าใกล้หนอนเกราะมากขึ้น ความรู้สึกถึงอันตรายในจิตใจของลู่ฝานก็ยิ่งจะรุนแรงมากขึ้น เวลานี้ เจ้าดำที่อยู่บนไหล่ของเขา พลันลุกยืนขึ้น และแสดงท่าทางดุร้ายใส่พวกหนอนเกราะเหล่านั้น

ในเวลานี้ ลู่ฝานสีหน้าท่าทางเคร่งขรึม และมือของเขาก็ได้จับไปที่กระบี่หนักไร้คมที่อยู่ด้านหลัง

ราชากระบี่ใต้หัวเราะและพูดว่า: “นายเตรียมที่จะใช้มันจริง ๆ เหรอ? นายแน่ใจนะว่ากระบี่เล่มนี้ไม่ใช่นำมาเป็นสิ่งของที่ใช้เสแสร้งหรอกนะ? ”

เสียงหัวเราะดังขึ้นไปทั่ว ทุกคนต่างก็มีสีหน้าท่าทางที่ผ่อนคลาย

แต่สีหน้าท่าทางของลู่ฝานนั้นยิ่งจะเคร่งขรึมจริงจังมากขึ้น

“มาแล้ว! ”

ลู่ฝานพูดขึ้นเบาๆ

ราชากระบี่ใต้ยิ้มและพูดว่า: “อะไรที่มาแล้ว? ”

พูดยังไม่ทันจบ ก็เห็นว่ามีลำแสงสีแดงเปล่งประกายไปทั่วทุกสารทิศ พร้อมกับเสียงกรีดร้องกึกก้องไปทั่วอากาศ!

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 907
เมื่อพูดจบ คนจำนวนไม่น้อยก็พากันหัวเราะขึ้น

หัวเราะกันเสียงดัง หัวเราะกันอย่างแสบหู หัวเราะกันด้วยความเยาะเย้ย

แม้แต่ปู้เฟยราชากระบี่ใต้ก็ยังหัวเราะด้วย ซึ่งรอยยิ้มของเขาเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม และพูดขึ้นว่า: “นายพูด? นายพูดนั้นมันจะมีประโยชน์อะไร”

นักบู๊คนหนึ่งก็ได้ออกมาพูดว่า: “ไอ้หนุ่ม นายนึกว่านายเป็นใครกัน”

ชายอ้วนอีกคนหนึ่งก็หัวเราะเสียงดังและพูดขึ้นว่า: “เด็กหนุ่มอย่างนายที่แม้แต่หนอนก็ยังไม่กล้าลงมือฆ่า กลับคิดว่าตนเองแน่จริงขึ้นมาซะอย่างนั้น นายจะทำให้พวกเราหัวเราะท้องแข็งกันหรืออย่างไร? ”

เฝิงอิ่งเองก็แสดงรอยยิ้มที่เหยียดหยามออกมาเช่นกัน

หยวนเจี๋ยมองไปที่ลู่ฝานและพูดขึ้นว่า: “พี่ลู่ฝาน คุณพูดให้น้อยลงบ้างเถอะ”

ลู่ฝานกวาดสายตามองไปที่ทุกคน สุดท้ายก็ไปหยุดอยู่ที่ตัวของลุงชาง

ลุงชางจ้องมองไปที่ลู่ฝานอย่างลึกซึ้ง และพูดขึ้นว่า: “นายแน่ใจเหรอ? ”

ลู่ฝานพูดว่า: “ไม่แน่ใจเท่าไรนัก แต่มันอันตรายอย่างมาก อันตรายอย่างกับที่ท่านเคยประสบพบเจอมาก่อนหน้านี้”

ทั้งสองคนสนทนากันเหมือนกับทายปริศนา ทำให้คนอื่นต่างก็พากันขมวดคิ้วขึ้น ด้วยสีหน้าท่าทางที่ไม่เป็นมิตร

ลุงชางครุ่นคิดชั่วครู่ จึงค่อย ๆ หันหน้ามองไปที่ราชากระบี่ใต้และคนอื่น ๆ พร้อมกับพูดขึ้นว่า: “ราชากระบี่ใต้ แบบนี้ก็แล้วกัน พวกเราเดินหน้าต่อสู้ไปกันอย่างมั่นคงดีกว่าไหม จัดการสังหารไปแถบหนึ่ง แล้วก็ขยับเดินหน้าไปอีกหน่อยหนึ่ง”

ราชากระบี่ใต้ใบหน้าหมองหม่น และพูดขึ้นว่า: “คุณชาง ท่านรู้ไหมว่า นี่เป็นการสิ้นเปลืองเวลาโดยเปล่าประโยชน์”

ลุงชางถูมือไปมาและพูดว่า: “ระมัดระวังสักหน่อยจะดีที่สุด นี่คือคำสอนเตือนใจของพวกเราคนเดินเรือ ในเมื่อมีคนบอกว่ามีอันตราย อย่างนั้นก็จะต้องระมัดระวังเอาไว้บ้าง ขอให้ราชากระบี่ใต้เข้าใจด้วย”

ราชากระบี่ใต้ค่อย ๆ พูดขึ้นว่า: “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อย่างนั้นก็ทำตามที่คุณชางว่าก็แล้วกัน เพราะนี่คือคณะของท่าน”

คุณชางยิ้มและพยักหน้าพร้อมกับพูดขึ้นว่า: “ขอบคุณมากที่ราชากระบี่ใต้เข้าใจ ถูซาง พาราชากระบี่ใต้ไปพักผ่อนก่อน”

ถูซางยิ้มและตอบรับ แล้วก็พาทุกคนเดินเข้าไปภายในห้องพัก

ก่อนที่เข้าไปด้านในนั้น นักบู๊จำนวนไม่น้อยก็ยังคงส่งสายตาที่ไม่เป็นมิตรต่อลู่ฝาน

ลู่ฝานไม่ได้ใส่ใจแม้แต่น้อย แล้วก็หันหน้ามองไปที่รังหนอนนั้น

พลังในมิติ รังไหม พญาหนอน!

ทุกอย่างนี้จะต้องมีความเกี่ยวข้องกันอย่างแน่นอน เขาเองก็หวังว่าเขาจะคาดการณ์ผิดไป ไม่อย่างนั้น การเดินทางต่อไปจากนี้ ก็คงจะไม่สงบสุขเป็นแน่เลย

……

ผ่านไปกี่ชั่วโมง คณะก็เริ่มออกเดินทาง

ลุงชางจงใจให้คณะเดินทางกันอย่างช้า ๆ ในขณะเดียวกัน ราชากระบี่ใต้และคนอื่น ๆ ส่วนหนึ่งก็ขึ้นไปบนเรือกระบี่ เพื่อเปิดทางเบื้องหน้า

ราวกับว่าตั้งใจที่จะให้ทุกคนเห็นว่าเขานั้นแข็งแกร่ง ครั้งนี้ราชากระบี่ใต้ได้แสดงกระบวนท่าเพลงกระบี่ที่เสิศล้ำยิ่งกว่า และมีท่วงท่าที่สง่างามกว่าด้วย

ในทุกเพลงกระบี่ทุกกระบวนท่า ราวกับว่าฤดูกาลกำลังผันเปลี่ยนไป

ฤดูใบไม้ผลิมีฝนตก ฤดูร้อนแสงอาทิตย์สว่างจ้า ฤดูใบไม้ร่วงใบไม้ร่วงโรย ฤดูหนาวเต็มไปด้วยหิมะ

นี่ก็คือเพลงกระบี่ของเขา และก็คือวิชากระบี่ของเขาด้วย

ต้องพูดเลยว่า พลังการสังหารนั้นน่าตกใจอย่างมาก

บริเวณที่ผ่าน ไม่มีหนอนเกราะตัวไหนที่สามารถสกัดกั้นกระบี่ของเขาได้ ซึ่งรวมไปถึงพวกหนอนเกราะอากาศธาตุสีเขียวแดงนั้นด้วย

คณะก็ได้เดินทางมุ่งหน้าต่อไปเรื่อย ๆ แล้วก็ค่อย ๆ เข้ามาสู่ภายในของรังหนอน

ความรู้สึกถึงอันตรายของลู่ฝานนั้นยิ่งรุนแรงมากขึ้น

สามวันผ่านไป คณะก็ยังไม่สามารถเดินทางออกมาจากรังหนอนได้ และกลับกลายเป็นว่าหนอนยิ่งมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นอีก

เมื่อสังหารพวกหนอนในแถบนี้หมดไปแล้วอีกครั้ง ราชากระบี่ใต้ก็ได้หมุนเวียนเปลี่ยนหน้าที่แล้วกลับไปยังเรือมังกร

ครั้งนี้ ราชากระบี่ใต้อดทนต่อไปไม่ไหวแล้ว

“คุณชาง คณะไม่สามารถที่จะเดินทางกันชักช้าแบบนี้ต่อไปได้อีกแล้ว นี่เท่ากับว่าสิ้นเปลืองเวลา และสิ้นเปลืองพลังงานโดยสิ้นเชิง พวกเราต้องเร่งความเร็ว และมุ่งหน้าสังหารไปตลอดทาง หากว่ายังคงชักช้า สังหารจำนวนหนึ่งแล้วเคลื่อนไปข้างหน้านิดหนึ่งอยู่ล่ะก็ อีกสิบวัน พวกเราก็ยังคงออกไปจากรังหนอนไม่ได้”

ราชากระบี่ใต้ตะโกนพูดขึ้นเสียงดัง

พวกนักบู๊ที่ผลัดเปลี่ยนหน้าที่สังหารกับราชากระบี่ใต้นั้นก็เริ่มเกิดความโมโหขึ้นบ้างแล้ว พวกเขามีความคิดที่เหมือนกับราชากระบี่ใต้ หากว่าเคลื่อนที่ไปอย่างเชื่องช้าแบบนี้ เท่ากับเป็นการสิ้นเปลืองเวลาไปโดยปริยาย

ลุงชางเองก็จำใจพูดอะไรไม่ออก ทำได้เพียงมองไปยังชายผู้ที่ยืนอยู่บนหัวเรือและหันหน้ามองไปด้านนอกเป็นเวลาหลายวัน ที่ชื่อว่าลู่ฝาน!

ตอนนี้ดูเหมือนว่า สถานการณ์ค่อนข้างดีไม่น้อยเลย แม้ว่าพวกหนอนเหล่านั้นจะมีพลังที่ไม่อ่อนแอ แต่ก็ทำได้เพียงต่อสู้กับนักบู๊แดนปราณนอกและนักบู๊แดนปราณชีวิตเท่านั้น เมื่อนักบู๊แดนปราณดินที่มีพลังความสามารถระดับราชากระบี่ใต้ปรากฏตัวขึ้น พวกมันก็จะไร้สิ้นหนทาง

ราชากระบี่ใต้ใช้ปราณเป็นเกราะกำบังกาย โดยที่ไม่สนใจการโจมตีของพวกหนอนเลย แค่กวัดแกว่งมือเล็กน้อยพวกหนอนก็ตายเรียบเป็นหน้ากลอง

เมื่อมองจากสถานการณ์นี้แล้ว เพียงแค่ให้เวลากับเขาอย่างเพียงพอ เขาคนเดียวก็คงจะสามารถจัดการรังหนอนนี้ลงได้อย่างราบคาบ

ภายใต้การนำของราชากระบี่ใต้ พวกนักบู๊ที่อยู่ด้านหลังต่างก็มีจิตใจฮึกเหิม เกิดพลังสังหารเพิ่มขึ้น

โดยได้ฆ่าพวกหนอนเหล่านี้ตายลงไปนับร้อยนับพันตัวแล้ว แต่ทางพวกของราชากระบี่ใต้ยังไม่ผู้ใดที่เสียชีวิต ผลงานการต่อสู้ระดับนี้ ลุงชางเห็นแล้วก็ถึงกับยิ้มดีใจขึ้นเลยทีเดียว

“ฉันกังวลมากไปเองจริง ๆ ด้วย ท่ามกลางรังหนอนเหล่านี้ไม่มีพญาหนอน”

ลู่ฝานพยักหน้าและพูดว่า: “ใช่เลย หากว่ามีพญาหนอน มันคงจะไม่ปล่อยให้คนเหล่านี้ฆ่าพวกหนอนจนตายลงไปอย่างมากมายขนาดนี้แน่”

หลังจากที่ทำการฆ่าไปแล้วกว่าสองชั่วโมง ในที่สุดราชากระบี่ใต้และคนอื่น ๆ ก็หยุดมือลง

หลังจากที่กวัดแกว่งกระบี่สังหารหนอนไปอีกหลายตัวแล้ว ราชากระบี่ใต้ก็ได้จ้องมองไปยังรังไหมที่อยู่ด้านหลังของพวกหนอนเหล่านี้

“ก็แค่พวกหนอนกระจอกเท่านั้น”

ราชากระบี่ใต้ยิ้มเยาะพร้อมกับใช้กระบี่ฟาดฟันไปที่รังไหมจนแหลกสลาย แล้วจึงได้พาทุกคนนั่งเรือกระบี่กลับมา

ทุกคนพากันร้องตะโกนชื่นชมราชากระบี่ใต้และพวกเขา ส่วนราชากระบี่ใต้เองก็โบกมือทักทายให้กับทุกคนด้วย

หลังจากที่เก็บเรือกระบี่แล้ว ราชากระบี่ใต้และคนอื่น ๆ ก็กระโดดขึ้นไปบนเรือมังกร

ราชากระบี่ใต้ยิ้มและมองไปที่ลุงชาง พร้อมกับพูดขึ้นว่า: “คุณชาง ฉันคิดว่าพวกหนอนเหล่านี้ไม่สามารถขัดขวางพวกเราได้หรอก ฉันว่าพวกเราเดินทางต่อได้แล้ว”

ลุงชางกำหมัดคารวะต่อราชากระบี่ใต้และพูดว่า: “ราชากระบี่ใต้ช่างสมกับที่เป็นผู้เก่งกาจที่ยิ่งใหญ่จริง ๆ ฉันรู้ดีว่าเมื่อเชิญราชากระบี่ใต้มาเข้าร่วมเดินทางแล้ว ก็จะสามารถปกป้องคุ้มกันได้ทุกอย่าง อย่างนั้นพวกเราพักผ่อนกันสักชั่วครู่ แล้วก็ออกเดินทางกันต่อเลย”

ราชากระบี่ใต้หัวเราะเหอะเหอะและพูดว่า: “ได้เลย”

เมื่อพูดจบ ราชากระบี่ใต้ก็เดินกลับเข้าไปในห้องท่ามกลางผู้คนที่รายล้อม

เวลานี้ สิบสามเองก็กลับมาอยู่ที่ด้านข้างของลู่ฝานแล้ว

ยังไม่ทันรอให้ลู่ฝานถามขึ้น สิบสามก็นำสิ่งของชิ้นหนึ่งมอบใส่มือให้กับลู่ฝาน

นี่คือวัตถุแข็งชิ้นหนึ่งที่เหมือนกับโลหะ ด้านบนมีลำแสงสีแดงเข้มเรืองรอง ทางลู่ฝานจึงถามขึ้นว่า: “นี่คืออะไร? ”

สิบสามพูดว่า: “ตัวไหม! ”

ลู่ฝานเข้าใจได้ทันทีว่า สิบสามได้หักชิ้นหนึ่งออกมาจากรังไหมแล้วนำติดตัวกลับมา

เมื่อมองไปยังลำแสงที่เรืองรองด้านบนแล้ว จิตใจของลู่ฝานพลันเกิดความรู้สึกถึงอันตรายอย่างรุนแรงขึ้น

หนอนที่ตายแล้วกลายเป็นแสง แต่ทำไมรังไหมถึงไม่ใช่ล่ะ อีกทั้งลำแสงสีแดงเข้มด้านบนของรังไหมนี้คืออะไร ลู่ฝานสัมผัสอย่างละเอียดอีกครั้ง พลันพบว่า นี่เหมือนจะเป็นพลังของมิติ แต่เมื่อไปสัมผัสรับรู้ ลำแสงสีแดงก็หายสูญไปทันที

หรือว่า……

ทันใดนั้น ลู่ฝานก็ตะโกนขึ้นว่า: “ช้าก่อน พวกเราไม่สามารถเดินทางต่อไปได้! ”

ราชากระบี่ใต้และคนอื่น ๆ ต่างก็ได้ยินเสียงตะโกนนั้น แล้วทุกคนก็หันมามองที่ลู่ฝานในทันที

ราชากระบี่ใต้ขมวดคิ้วและพูดว่า: “นายพูดอะไรนะ? ”

ลู่ฝานพูดเสียงดังว่า: “ฉันบอกว่า พวกเราไม่สามารถเดินทางต่อไปได้! ”

ราชากระบี่ใต้สีหน้าย่ำแย่โดยพลัน และพูดขึ้นอย่างเย็นชาว่า: “ทำไมล่ะ? ”

“เพราะว่ามีอันตราย”

ลู่ฝานพูด

ราชากระบี่ใต้ส่งเสียงฮึอย่างเย็นชาและพูดว่า: “น่าขันสิ้นดี เมื่อครู่นายเองก้เห็นแล้วว่า พวกหนอนเหล่านั้น ไม่ใช่คู่ต่อกรของฉันเลย เพียงแค่มีฉันอยู่ แม้ว่าพวกหนอนเหล่านั้นจะมีจำนวนมากเท่าไรแล้วจะอย่างไรล่ะ กอปรกับทุกคนก็อยู่กันที่นี่ จะมีอันตรายมาจากไหนอีก? ”

ลู่ฝานเกียจคร้านที่จะชี้แจงให้เขาฟัง จึงพูดขึ้นว่า: “ฉันบอกว่าไม่สามารถเดินทางต่อไปได้ ก็ไม่สามารถเดินทางต่อไปได้! ”

เรือกระบี่ได้ขับเคลื่อนมาถึงบริเวณใกล้กับรังหนอน จนกระทั่งตอนนี้ พวกหนอนเหล่านั้นถึงจะรู้ว่ามีคนบุกรุกเข้ามาแล้ว

คู่ดวงตาสีเขียวจำนวนมากจ้องมองมาที่ราชากระบี่ใต้และคนอื่น ๆ แขนทั้งหกข้างปรากฏขึ้น ราวกับมีดอันแหลมคมโผล่พุ่งออกมา

เวลานี้เรือกระบี่ก็ได้หยุดลง ราชากระบี่ใต้และคนอื่น ๆ ก็มองไปยังพวกหนอนเกราะอากาศธาตุจากระยะไกล

ราชากระบี่ใต้ชูกระบี่ขึ้นในมือ หัวเราะและพูดว่า: “ก็แค่ไอ้พวกหนอนที่มีขนาดใหญ่หน่อยก็เท่านั้น ทุกท่าน ลงมือจัดการพร้อมกันกับฉันได้เลย”

ผู้คนที่อยู่ด้านหลังตะโกนตอบรับ พร้อมกับทยอยนำอาวุธของตนเองออกมา

ยอดฝีมือจำนวนนับสิบคน ได้ปลดปล่อยพลังปราณในร่างกายออกมา ซึ่งลำแสงสว่างไสวเรืองรองเพียงพอที่จะแข่งขันกันกับอุโมงค์ข้ามมิติด้านล่างนั้นได้

“สังหาร! ”

ราชากระบี่ใต้ได้ฟาดฟันกระบี่ยาวในมือลงไปทันที

ปราณกระบี่ทรงพระจันทร์เสี้ยวขนาดใหญ่ พุ่งนำสังหารออกไปก่อน

ลำแสงกระบี่มีขนาดใหญ่กว่าสามสิบเมตร พุ่งตรงเข้าสกัดกั้นและสังหารพวกหนอนเกราะอากาศธาตุในทันที

จากนั้น ด้านหลังก็ได้มีการปลดปล่อยพลังปราณ ทั้งปราณกระบี่ และปราณมีดนับไม่ถ้วน พร้อมกับแสดงกระบวนท่าสังหาร และเกิดเสียงระเบิดดังขึ้นติดต่อกันอย่างไม่หยุด

ตูมม! ตูมม! ตูมม!

ลู่ฝานและคนอื่น ๆ ที่อยู่ไกลออกไปนั้นก็ยังสามารถได้ยินเสียงที่ดังขึ้นอย่างชัดเจน

ด้วยพลังสายตาของลู่ฝานนั้น สามารถที่จะมองเห็นตัวของพวกหนอนเหล่านั้นบินลอยล่องไปมา รวมถึงเลือดเขียวสดที่พ่นกระจายออกมาด้วย

เลือดสดที่กระเด็นไปทั่วอากาศเวิ้งว้าง ก็พลันกลายเป็นพลังฟ้าดินบริสุทธิ์กระจายอยู่ในอากาศ

ร่างศพของหนอน ก็สูญหายไปด้วย กลายเป็นแสงสว่างรำไร

ลู่ฝานจ้องมองไปที่ภาพเหตุการณ์นี้ ทุกคนต่างก็จ้องมองไปที่ภาพเหตุการณ์นี้

เหมือนกับว่า พวกหนอนเหล่านี้ก็ไม่ใช่ว่าจะเก่งกาจอะไรนัก!

ทันใดนั้น หัวสมองของทุกคนต่างก็มีความคิดอย่างนี้กันขึ้น

การรุมสังหารในครั้งนี้ พวกหนอนที่อยู่ด้านหน้านั้นคงจะต้องตายเรียบเป็นหน้ากลอง

“ดีมาก! ”

“ความสามารถก็มีแค่นี้เท่านั้น ไอ้พวกหนอนกระจอกเหล่านี้ ยังคิดที่จะขัดขวางเส้นทางของพวกเราอีก ช่างรนหาที่ตายยิ่งนัก! ”

“ราชากระบี่ใต้ พวกเราบุกกันเข้าไปเลยดีกว่าไหม จะได้ฆ่าตายให้หมดไปเลย? ”

มีเสียงเยินยอดังขึ้นมากมาย ราชากระบี่ใต้เองก็ยิ้มและพูดว่า: “ดีเลย อย่างนั้นพวกเราก็ลงมือสังหารพวกหนอนเหล่านี้ให้ต้องหลบหนีเอาชีวิตรอดอย่างทุกข์ทรมานเลย”

ขณะที่พูด ราชากระบี่ใต้ก็เร่งขับเคลื่อนเรือกระบี่ที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าเพื่อมุ่งหน้าไปอย่างรวดเร็ว

ทางด้านลุงชางเองก็ขมวดคิ้วขึ้นแล้ว แต่เขาก็ยังไม่ได้พูดมากอะไร

เมื่อราชาทะเลใต้นำทุกคนเข้าใกล้กับรังหนอนมากขึ้น

เห็นได้ชัดว่าพวกหนอนเหล่านี้ถูกยั่วยุจนเกิดความโมโหแล้ว ทำให้พวกหนอนเกราะสีเขียวแดงส่งเสียงกรีดร้องโวยวาย ทันใดนั้น พวกหนอนจำนวนนับไม่ถ้วนก็ได้บินเหาะพุ่งตรงไปฆ่าราชากระบี่ใต้และกลุ่มคนเหล่านั้น

เมื่อทั้งสองฝ่ายปะทะกัน ก็เกิดเป็นศึกสงครามที่ดุเดือด

พลังปราณแผ่ซ่าน กระจายครอบคลุมไปทั่ว ในเวลานี้ พวกนักบู๊เหล่านี้พลันพบว่า พลังการต่อสู้ของพวกหนอนเหล่านี้ ก็ถือว่าแข็งแกร่งมากพอสมควร

ร่างกายขนาดใหญ่ ช่วยเสริมส่งพลังความแข็งแกร่งให้กับพวกหนอนเหล่านี้ เมื่อเตะเท้าออกไป ก็มีพลังการโจมตีที่เทียบเท่าได้กับนักบู๊แดนปราณนอก โดยหนอนตัวหนึ่งมีหกเท้า เมื่อปล่อยพลังออกไปทั้งหมด ก็มีพลังการต่อสู้ที่น่าเหลือเชื่อไม่น้อยเลย

กอปรกับเกราะหนาที่อยู่บนร่างของพวกมัน ถ้าหากไม่ได้รวมพลังโจมตี อย่างกับเมื่อครู่นี้แล้ว มิเช่นนั้น หากเผชิญหน้าหนึ่งต่อหนึ่ง ก็คงจะต้องเสียแรงพลังไม่น้อยทีเดียว

“รองรับเพลงกระบี่ของฉัน กระบี่อาทิตย์อัคคี! ”

ราชากระบี่ใต้พลันตะโกนขึ้น พร้อมกับบนตัวของกระบี่ ก็เปล่งประกายแสงเรืองรอง

เมื่อฟาดฟันกระบี่ออกไป หนอนเกราะอากาศธาตุที่อยู่ด้านหน้าก็ถูกสังหารราบเรียบ แม้แต่หนอนเกราะสีแดงเขียวสองตัวนั้นก็ยังเกิดรอยร้าวบนตัวขึ้นอย่างนับไม่ถ้วน มีหลายตัวที่ถูกฆ่าลงในทันที และมีอีกหลายตัว ที่หลบหนีหัวซุกหัวซุน

“ราชากระบี่ทรงอานุภาพน่าเกรงขามนัก! ”

บนเรือกระบี่ พวกกลุ่มนักบู๊พากันร้องตะโกนขึ้น

เวลานี้ราชากระบี่ใต้ครองความได้เปรียบเล็กน้อย บริเวณที่กระบี่ฟาดฟันลงไปนั้น ร่างศพของตัวหนอนร่วงตกอย่างกับสายฝน

ลู่ฝานที่มองดูกระบวนท่าเพลงกระบี่ของราชากระบี่ใต้ในระยะไกลนั้น ก็ยิ้มและพูดว่า: “สง่างามยิ่งนัก”

ลุงชางพูดว่า: “สง่างามเกินไปหน่อย ความดุดันยังไม่เพียงพอ สิ้นเปลืองพลังปราณโดยใช่เหตุ แต่เขาถึงเป็นนักบู๊แดนปราณดิน มีแรงพลัง จะทำตัวตามอำเภอใจอย่างไรก็ได้”

ลู่ฝานยิ้มเล็กน้อย พร้อมกับเอามือสองข้างไขว้หลัง

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 904
“พญาหนอน ฉันกำลังกังวลว่าในกลุ่มพวกหนอนเหล่านี้ จะมีพญาหนอนอยู่หรือไม่”

ลู่ฝานสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย และพูดขึ้นว่า: “พญาหนอนก็คือราชาของพวกหนอนเหล่านี้ใช่ไหม? ”

ลุงชางพูดขึ้นว่า: “สามารถเข้าใจแบบนี้ได้ แต่พญาหนอนนั้นน้อยมากที่จะปรากฏตัวขึ้น ต่อให้เป็นพวกคนเดินเรือเหล่านี้ ทั้งชีวิตก็คงจะไม่พบเห็นอีกเป็นครั้งที่สอง ช่างน้อยมากเหลือเกิน”

ลู่ฝานถามต่ออีกว่า: “พญาหนอนนั้นมีพลังความสามารถระดับไหน? ”

ลุงชางขมวดคิ้วและพูดขึ้นว่า: “แข็งแกร่งอย่างมาก ยอดฝีมือแดนปราณดินชั้นสุดยอดก็ไม่แน่ว่าจะสามารถต่อสู้กับมันได้หรือไม่ ทำได้เพียงหลบหนีเอาตัวรอดจากน้ำมือของมันเท่านั้น พญาหนอนมีพลังความสามารถพิเศษ มันสามารถสร้างมิติประหลาดขึ้นมาจากการควบรวมพลังฟ้าดิน คล้ายกันกับค่ายกลลวงตาของผู้ฝึกชี่ ที่กักขังคนให้อยู่ด้านใน แล้วดูดกลืนพลังจนตาย หากว่าทำให้มันโมโห มันยังสามารถควบคุมให้พวกหนอนธรรมดานั้นระเบิดตัวเอง ซึ่งพลังอานุภาพนั้นสามารถข่มขู่คุกคามยอดฝีมือแดนปราณชีวิตได้เลย หากเมื่อกองรวมกันเป็นจำนวนมากแล้ว ต่อให้เป็นนักบู๊แดนปราณดินก็ยังสามารถได้รับบาดเจ็บได้”

ขณะที่ลุงชางพูดไปพลาง ก็ได้นำกาเล็กใบหนึ่งออกมา วางตรงที่จมูกแล้วสูดดมอย่างแรงไปด้วย

ลู่ฝานได้กลิ่นหอมพิเศษ ซึ่งหอมถึงขนาดทำให้จิตใจล่องลอยเคลิบเคลิ้ม

ลุงชางนำกาเล็กใบนั้นส่งให้กับลู่ฝานและพูดว่า: “จะลองดูไหม? ธูปหอมปีศาจ ที่มีกลิ่นหอมอย่างที่สุด แม้แต่เซียนเทพได้กลิ่นแล้วก็ยังทรงตัวไม่อยู่ มันช่วยเพิ่มความสดชื่นและทำให้สมองปรอดโปร่ง”

ลู่ฝานปฏิเสธด้วยรอยยิ้ม จากความรู้ความสามารถที่เขาเป็นผู้ฝึกชี่นั้น เมื่อได้กลิ่นหอมนี้แล้วก็รู้ได้เลยว่าธูปหอมปีศาจนี้กลั่นมาจากสมุนไพรอะไร

หญ้าฝิ่น และธูปหอมหลอนประสาท จะต้องเป็นสิ่งที่กลั่นออกมาจากสองสมุนไพรนี้ คาดว่านอกจากจะทำให้คนสัมผัสได้ถึงภาพหลอนภาพลวงตาที่สวยงามแล้ว ก็คงจะไม่มีประโยชน์อะไรอย่างอื่นอีก

ลู่ฝานไม่ต้องการใช้สิ่งเหล่านี้มามอมเมาให้ตนเองเฉยชา

โดยจากคำพูดของลุงชางนั้น ลู่ฝานรับฟังได้ถึงเรื่องราวอื่นอีกเล็กน้อย

ลู่ฝานจึงค่อย ๆ ถามขึ้นว่า: “ลุงชาง ท่านเคยเห็นพญาหนอนใช่ไหม? ”

ลุงชางตกใจเล็กน้อย เงียบนิ่งไม่พูดไม่จาอะไร

ลู่ฝานมองสังเกตไปที่ลุงชางอีกครั้ง เมื่อเขาเห็นว่าพลังฟ้าดินรอบกายของลุงชางนั้นได้เคลื่อนไหววนเวียนรอบตัวเขาอย่างประหลาด ลู่ฝานก็ยิ้มและพูดขึ้นว่า: “ลุงชาง นักบู๊แดนปราณดิน ดูเหมือนว่าท่านเองก็มีเรื่องราวความหลังอยู่เหมือนกันนะ! ”

ลุงชางตื่นตกใจ ฝ่ามือสั่นเทาเล็กน้อย

สายตาเย็นชาขึ้น และพูดว่า: “นายรู้ได้อย่างไร……”

ยังไม่ทันพูดจบ ลุงชางก็พลันลงมือ ชกเข้าไปที่ศีรษะของลู่ฝาน

หมัดนี้พุ่งเข้ามาอย่างกระทันหัน ใครจะไปคิดได้ล่ะว่าเขาพูดเพียงแค่ครึ่งเดียวก็หยุดพูด แล้วก็ลงมือในทันที

แต่ลู่ฝานก็ยื่นมือขวาออกไป สกัดกั้นเอาไว้

หมัดและฝ่ามือปะทะใส่กัน จนเกิดพลังปราณแผ่กระจายขึ้นเล็กน้อย

ลู่ฝานไม่ขยับเคลื่อนไหวร่างกาย ราวกับว่าหมัดของลุงชางนั้น ไม่มีพลังแม้แต่น้อย

แต่ลุงชางรู้ดีว่า พลังหมัดนี้ของเขาเพียงพอที่จะชกให้นักบู๊แดนปราณชีวิตทั่วไปกระเด็นลอยไปไกลหลายเมตรได้ ในขณะที่ปล่อยหมัดนั้น เขาก็ได้เตรียมพร้อมที่จะเก็บคืนพลังหมัดอยู่ตลอด แต่เขาเองก็คิดไม่ถึงว่าลู่ฝานจะสามารถรับมือกับพลังหมัดนี้ของเขาได้อย่างง่ายดาย

นี่แสดงให้เห็นว่า พลังความสามารถของลู่ฝานนั้น เหนือกว่านักบู๊แดนปราณชีวิตไปกว่าครึ่ง โดยยังไม่ได้ปลดปล่อยพลังปราณในร่างกายออกมา ก็สามารถที่จะรับมือได้อย่างง่ายดายแล้ว

ปฏิกิริยาตอบรับแบบนี้ แรงพลังขนาดนี้ วิทยายุทธขนาดนี้ ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว

ลุงชางหัวเราะ ราวกับว่าเป็นจิ้งจอกเฒ่าอย่างไรอย่างนั้น เวลานี้สีหน้าท่าทางที่เป็นคนดีของเขานั้น ได้หายสูญไปหมดแล้ว โดยยิ้มและมองไปที่ลู่ฝานแล้วก็พูดขึ้นว่า: “ไอ้หนุ่มนี้ ฉันมองผิดไปแล้วจริง ๆ ด้วย นายต่างหากที่เป็นถึงยอดฝีมือ ช่างปกปิดได้อย่างลึกลับเลยทีเดียว ฉันว่าแล้วว่าผู้ที่ทำให้นักบู๊แดนปราณชีวิตถึงได้ยอมติดตามอย่างเต็มใจขนาดนี้ ตัวเขาจะอ่อนแอได้อย่างไรกัน”

ลู่ฝานยิ้มอย่างเฉยชา แล้วดึงมือกลับคืนมาและพูดว่า: “ยอดฝีมือเหรอ ฉันเพิ่งจะเริ่มต้นต่างหาก”

ลุงชางพูดขึ้นว่า: “ทุกท่าน อย่าเพิ่งมองโลกในแง่ดีเกินไปนัก พวกหนอนธรรมดาเหล่านี้มีพลังความสามารถเพียงขั้นแดนปราณนอกนั้นก็ใช่อยู่ แต่พวกท่านลองดูไปที่พวกหนอนที่มีเกราะสีเขียวแดงเหล่านั้นสิ พวกนั้นได้ถูกขนานนามว่าเป็นจอมพลหนอน ซึ่งพลังความสามารถของพวกมัน สูงขึ้นไปอีกหนึ่งระดับขั้น เทียบเท่าได้กับนักบู๊แดนปราณชีวิตเลย”

เวลานี้ปู้เฟยราชากระบี่ใต้ก็ได้เดินขึ้นมาด้านหน้า และพูดขึ้นว่า: “พวกหนอนเหล่านี้ มอบให้เป็นหน้าที่ของฉันก็แล้วกัน พวกเราจะถูกปิดกั้นเส้นทาง เพราะพวกหนอนเหล่านี้ได้อย่างไร คุณชาง ยังมีอะไรที่จะต้องกำชับอีกไหม? ”

ลุงชางครุ่นคิดอย่างละเอียดและพูดขึ้นว่า: “น่าจะไม่มีอะไรแล้ว ฉันก็แค่มีความกังวลใจอยู่บ้างก็เท่านั้น”

ดวงตาของลุงชางประกายแสงที่ผิดปกติขึ้น จึงหันหลังกลับมา และพูดขึ้นว่า: “แต่นั่นก็เป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้น หากทุกท่านต้องการที่จะต่อสู้จริง ๆ ล่ะก็ สามารถทดลองก่อนได้ ฉันแนะนำให้โจมตีในระยะไกลดูก่อน”

“มีเหตุผล! ”

ราชากระบี่ใต้พยักหน้าและพูดขึ้น

จากนั้น ราชากระบี่ใต้ก็ชักกระบี่ออกมาจากเอว โดยกระบี่มีความยาวสามฟุต ประกายแสงสีเงินเรืองรอง บนตัวกระบี่มีลวดลายที่ซับซ้อน แล้วราชากระบี่ใต้ก็ร่ายรำเพลงกระบี่ และพูดขึ้นว่า: “มีใครอาสาที่จะไปฆ่าพวกหนอนเหล่านั้นกับฉันบ้าง? ”

ทุกคนตะโกนส่งเสียงตอบรับ แต่ลู่ฝานไม่พูดไม่จาอะไร เขามองดูพวกหนอนเหล่านี้อยู่ในระยะไกล และรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างที่ผิดปกติ นี่คือสัญชาตญาณความรู้สึก ที่พูดออกมาไม่ได้อย่างชัดเจน

แต่อย่างไรเขาก็สามารถรู้สึกได้ว่า รังหนอนบริเวณนี้ คงจะไม่ได้ง่ายดายอย่างที่กำลังเห็นอยู่ในขณะนี้อย่างแน่นอน

ลู่ฝานใช่ฝ่ามือลูบไล้ไปที่ร่างของเจ้าดำ และถามขึ้นว่า: “เจ้าดำ เจ้าคิดว่าพวกหนอนเหล่านี้เป็นอย่างไรบ้าง”

เจ้าดำพยักหน้า แล้วก็ส่ายหน้า แสดงออกว่าตัวเองก็ไม่ค่อยแน่กันเหมือนกัน

เวลานี้ ผู้คนบนเรือ ก็ได้พากันกระโดดลงจากเรือตามราชากระบี่ใต้ และเหยียบลงไปยังเรือกระบี่ลำหนึ่งที่มีขนาดเล็กลงมาหน่อย

ไม่ต้องคิดมากเกี่ยวกับเรือกระบี่ลำนี้ ก็สามารถคาดเดาออกได้ว่าเป็นสิ่งที่เดินทางผ่านมิติของราชากระบี่ใต้

ใช้กระบี่ยาวเป็นเรือ อักษรยันต์อยู่ที่ตัวเรือ มีความสวยงามอย่างที่สุด ซึ่งสอดคล้องกับลักษณะท่าทางที่โอ้อวดของราชากระบี่ใต้

ราชากระบี่ใต้ถือกระบี่ยาวในท่วงท่าที่องอาจกล้าหาญ เตรียมนำพาพวกยอดฝีมือออกเดินทาง ภายใต้สายตาของทุกคนที่กำลังจับจ้อง

ทันใดนั้น เฝิงอิ่งก็พลันมองไปยังลู่ฝานที่ไม่ได้มีการเคลื่อนไหวมาโดยตลอด และพูดขึ้นว่า: “ลู่ฝาน นายเองจะเข้าร่วมด้วยไหม? ”

ทุกคนได้ยินดังนั้นก็หันมองไปยังลู่ฝาน ซึ่งในสายตา ก็แฝงไปด้วยความดูหมิ่นเหยียดหยามอยู่บ้างเล็กน้อย

ลุงชางเองก็มองไปที่ลู่ฝานและพูดขึ้นว่า: “ลู่ฝานไม่เตรียมตัวไปเข้าร่วมด้วยเหรอ? ”

ลู่ฝานครุ่นคิดชั่วครู่ แล้วก็หันมองไปที่สิบสามและพูดว่า: “สิบสาม นายลองไปดูก่อน ถ้าหากมีอะไรที่ผิดปกติ ก็รีบกลับมา”

สิบสามพยักหน้าอย่างเข้าใจ เงาร่างหายวับ กลายเป็นสายลมลงมาอยู่บนลำเรือ

เมื่อเห็นสิบสามขึ้นมาบนเรือแล้ว คนอื่นก็ไม่พูดมากอะไรอีก ถึงอย่างไรพวกเขาก็มองว่า ลู่ฝานก็แค่เด็กหนุ่มที่ไร้ความสามารถคนหนึ่งเท่านั้น หากเขาจะขึ้นเรือมา คาดว่าก็คงจะมีบางคนที่คัดค้านด้วย

หมดหนทาง ผู้ที่ฝึกทั้งบู๊และชี่อย่างเขา คนอื่นจะมองออกได้โดยง่ายอย่างไรกัน กอปรกับหลังจากที่ฝึกฝนพลังความเป็นความตายวนเวียนจากในคุกใต้ดินแล้ว ร่างกายของเขาก็เผยกลิ่นอายลมหายใจที่ลึกลับ แม้แต่พวกอาจารย์ที่รู้จักเขาซึ่งก่อนหน้าที่เขาจะลงมือนั้น ก็ยังไม่สามารถแน่ใจได้ถึงวิทยายุทธของเขาเลย โดยพวกคนเหล่านี้ ก็ยิ่งจะมองไม่ออก ได้แต่ถือว่าลู่ฝานเป็นคนที่อ่อนแอไร้ความสามารถ

ลู่ฝานเองก็ไม่ได้ชี้แจงอะไร เขาได้แต่ยืนอยู่บนเรือมังกร และมองไปยังราชากระบี่ใต้มุ่งหน้าไปหาพวกหนอนเหล่านั้น

ลู่ฝานค่อย ๆ เดินเข้าไปยังด้านข้างลุงชาง และพูดขึ้นว่า: “ลุงชาง เมื่อครู่ท่านพูดว่ามีเรื่องกังวลใจอะไรเหรอ ฉันขอถามท่านได้ไหมว่ากำลังกังวลใจเรื่องอะไรอยู่? ”

ลุงชางพูดว่า: “ก็แค่กังวลใจไปเรื่อยเปื่อยก็เท่านั้น ไม่มีอะไรต้องพูดถึงหรอก”

ลู่ฝานพูดว่า: “ฉันอยากจะรับฟัง”

ลุงชางมองไปที่ลู่ฝาน โดยสีหน้าท่าทางก็เคร่งเครียดขึ้นมาบ้างเล็กน้อย

ไหมยักษ์สีแดงกองพะเนินเทินทึก อยู่เต็มไปทั่วอุโมงค์ข้ามมิติ

ไหมทุกตัวมีความสูงสามสิบกว่าเมตร กระโดดโลดเต้นไปมาราวกับหัวใจ เมื่อมองไปแล้ว มากมายจนนับจำนวนไม่ได้

นอกจากไหมยักษ์แล้ว ก็ยังมีหนอนอากาศธาตุที่กำลังยุ่งวุ่นวายอยู่ ตัวมันมีหกขาและมีดวงตาสีเขียว ลักษณะคล้ายกับตั๊กแตน ร่างกายใหญ่โต มีกระดองสีแดงปกคลุมด้านนอก เมื่อมองจากระยะไกลแล้ว จะสะท้อนให้เห็นเป็นสีสันมากมายอยู่ภายในอุโมงค์ข้ามมิติ

หนอนทุกตัวนั้น มีขนาดใหญ่อย่างน้อยหกเมตร เมื่อกวาดสายตามองไป ก็ไม่รู้ว่ามีหนอนยักษ์จำนวนมากมายเท่าไร กองพะเนินอยู่เต็มสายตาไปหมด

พวกมันสามารถพ่นหลอดยาวที่คล้ายกับลูกปัดออกมาได้ โดยพุ่งเสียบเข้าไปในอุโมงค์ข้ามมิติ

จากนั้น พลังฟ้าดินที่บริสุทธิ์ท่ามกลางอุโมงค์ข้ามมิติ ก็ถูกดูดซับเข้าไปในร่างกาย ไม่นานนัก พวกหนอนแต่ละตัวก็เริ่มมีร่างกายพองโตขึ้น ช่วงท้องสีแดงได้ขยายใหญ่อย่างรวดเร็ว จนกระทั่งหนอนตัวนี้มีลำตัวพองโตอย่างที่สุดแล้ว มันจึงจะหยุดการดูดซับ แล้วก็คลานกลับไปที่ข้างรังไหม พร้อมกับนำพลังที่ตนเองดูดซับมาได้นั้น พ่นใส่เข้าไปภายในรังไหมทั้งหมด

หนอนแทบจะทุกตัวต่างก็กำลังทำการแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมาอยู่ตลอด

มีเพียงหนอนยักษ์ขนาดใหญ่ไม่กี่ตัวในรังไหม ที่เหมือนจะเป็นผู้ตรวจสอบ มองดูหนอนตัวอื่นอยู่

หนอนตัวที่ค่อนข้างใหญ่เหล่านี้ กระดองบนตัวของมันนั้นได้เปลี่ยนเป็นสีเขียวแดงแล้ว ซึ่งมีร่างกายที่ใหญ่โตกว่าสิบห้าเมตร

เมื่อเห็นภาพเหตุการณ์ดังกล่าวแล้ว ก็อดที่จะสูดหายใจลึกไม่ได้

แม้แต่ลุงชางเองก็ยังตื่นตกใจเลย เขาแทบจะคิดไม่ถึงว่า จะมีหนอนจำนวนมากมายขนาดนี้

“มากมายขนาดนี้เลยเหรอเนี่ยะ? ในข้อมูลรายงานไม่ใช่บอกว่า จะมีหนอนเพียงแค่ห้าถึงหกตัวขวางทางอยู่ไม่ใช่เหรอ? นี่มันมีตั้งห้าหกสิบตัวเห็นจะได้! ”

ลุงชางร้อนใจจนเหงื่อไหลออกมาเต็มหน้าผาก จำนวนหนอนที่มากมายขนาดนี้มันเกินกว่าที่เขาคาดการณ์เอาไว้อย่างมากเลยทีเดียว

ไม่เพียงแต่เขา นักบู๊คนอื่นในที่แห่งนี้ ต่างก็ตื่นตกใจจนพูดอะไรไม่ออกเช่นกัน

ลุงชางตะโกนเสียงดังขึ้นว่า: “หยุดก่อน ทุกคนหยุดก่อน! ”

หลังจากที่ลุงชางได้ตะโกนขึ้นนั้น ทุกสิ่งที่เดินทางผ่านมิติต่างก็หยุดลงกันทั้งหมด

อุโมงค์ข้ามมิติก็ยังคงเคลื่อนตัวต่อไป ลู่ฝานและคนอื่น ๆ ก็กำลังมองมาที่พวกหนอนยักษ์เหล่านั้นจากระยะไกล

โดยที่ไม่ทราบว่าเป็นเพราะพวกหนอนเหล่านี้มีประสาทสัมผัสรับรู้ที่ย่ำแย่กว่ามนุษย์มากหรืออย่างไร พวกมันถึงไม่สามารถรับรู้ได้ว่ามีมนุษย์อยู่ในระยะที่ไกลออกไป จึงได้เอาแต่ยุ่งทำการในเรื่องของตนเองอยู่อย่างเดียว

ลุงชางหันหน้ามองไปที่ทุกคน พร้อมกับยกมือแสดงความเคารพและพูดว่า: “ยอดฝีมือทุกท่าน สถานการณ์เกิดการเปลี่ยนแปลง ทุกท่านลองดูสิว่าควรจะทำอย่างไรต่อไปดี”

ทุกคนต่างก็มองหน้ากัน ฉันมองนายนายมองฉัน โดยที่ไม่ได้พูดอะไร ทันใดนั้นก็มีชายวัยกลางคนคนหนึ่งพูดขึ้นว่า: “ต้องขอโทษด้วย เป็นครั้งแรกที่ฉันเดินทางในเส้นทางนี้ ใครสามารถที่จะแนะนำไอ้พวกหนอนนี้ให้ฟังหน่อยได้ไหม? พวกมันมีพลังความสามารถมากแค่ไหน ซึ่งฉันสังเกตเห็นว่าพวกมันมีร่างกายที่ใหญ่โต แต่ก็ไม่มีจุดใดที่ผิดปกติ ตกลงพวกมันมีพลังความสามารถที่ธรรมดา? หรืออย่างไรกันแน่? ”

ที่ชายวัยกลางคนถามขึ้นนั้นก็ตรงกับสิ่งที่ลู่ฝานต้องการจะสอบถามขึ้นพอดี
ลุงชางเห็นว่าคนจำนวนไม่น้อยที่อยู่ที่นี่ต่างก็มีสีหน้าที่สงสัย จึงพูดอธิบายขึ้นว่า: “ขอโทษด้วย ต้องขอโทษด้วย ที่ฉันลืมพูดเรื่องพวกหนอนเหล่านี้กับทุกคนเลย หนอนนี้มีชื่อว่าหนอนเกราะอากาศธาตุ หรือมีอีกชื่อว่าหนอนเลือดเขียว ถือกำเนิดขึ้นในอากาศธาตุ อาศัยพลังฟ้าดินเป็นอาหาร มีกระดองที่แข็ง ในเลือดมีพิษ และมีพลังความแข็งแกร่งอย่างมาก ซึ่งพลังความสามารถของหนอนเกราะอากาศธาตุหนึ่งตัวนั้น เทียบเท่าได้กับนักบู๊แดนปราณนอกเลยทีเดียว”

ทุกคนพลันถอนหายใจยาว เพียงแค่เทียบเท่ากับนักบู๊แดนปราณนอก ก็ยังสามารถที่จะต่อสู้ได้

เวลานี้เฝิงอิ่งพูดขึ้นว่า: “นักบู๊ที่ร่วมเดินทางมากันในครั้งนี้ ขั้นต่ำจะต้องอยู่ในแดนปราณนอก ถ้าหากเป็นหนอนแดนปราณนอกแล้ว ก็คงจะสามารถต่อกรได้อย่างสบาย แน่นอนว่า มีบางคนที่แอบลักลอบ หรือแอบจ่ายเงินแล้วมาเข้าร่วมนั้น ก็ถือเป็นอีกเรื่องหนึ่งไป เพราะพวกเขาไม่ได้วัดที่พลังความสามารถในการต่อสู้”

ขณะที่พูด เฝิงอิ่งก็ได้แกล้งทำเป็นเหลือบมองไปยังทิศทางที่ลู่ฝานอยู่

คำพูดของเฝิงอิ่งได้รับการตอบรับเห็นด้วยจากผู้คนจำนวนไม่น้อย ซึ่งทุกคนต่างก็พากันพยักหน้า

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 901
“ฮ่าฮ่า มีราชากระบี่ใต้อยู่ ไอ้พวกกระจอกเหล่านั้นก็คงจะไม่เป็นปัญหาแล้ว การเดินทางในครั้งนี้ พวกเราสามารถสบายใจกันได้แล้ว”

“ใช่เลย ฉันคิดว่าฉันจะขอตัวไปนอนหน่อยแล้ว ไม่แน่เมื่อตื่นขึ้นมา ก็ถึงเมืองหลวงแล้ว”

ทุกคนพากันประจบประแจงปู้เฟยราชากระบี่ใต้อย่างสบายอกสบายใจ

แต่ก็มีคนพบว่า ในบริเวณมุมหนึ่งของห้อง มีคนผู้หนึ่งกำลังหลับตาอยู่ โดยไม่มีทีท่าว่าจะลุกยืนขึ้น เหมือนกับกำลังนอนหลับอยู่อย่างไรอย่างนั้น

คนผู้นี้ก็คือลู่ฝาน แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองเขาก็ยังไม่สนใจเลย

เขากำลังสงบจิตใจรวบรวมพลัง เพื่อขับเคลื่อนปราณชี่

สิบสามที่อยู่ด้านหลังเขานั้นมีสีหน้าท่าทางที่เฉยเมย ทำเหมือนว่าไม่ได้สนใจเรื่องราวอะไรเลย

เฝิงอิ่งเห็นลู่ฝานแสดงท่าทางแบบนี้ จึงแอบดุด่าขึ้นว่า: “ไอ้หนุ่มคนนี้ ช่างไร้มารยาทเสียจริง”

ปู้เฟยราชากระบี่ใต้เองเมื่อเห็นท่าทางของลู่ฝานแล้ว ก็ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย

นักบู๊หลายคนที่ยืนอยู่ด้านข้างของปู้เฟยก็มองไปตามสายตาของราชากระบี่ใต้จนพบเห็นลู่ฝาน จึงขมวดคิ้วขึ้นทันทีพร้อมพูดว่า: “ไอ้คนที่ชอบง่วงเหงาหาวนอนนี้มาจากไหนกัน ไปที่ไหนก็นอนหลับที่นั่น! ”

กลุ่มคนพากันหัวเราะเหอะเหอะเหอะยกใหญ่

เวลานี้เฝิงอิ่งก็พลันพูดขึ้นด้วยความประหลาดใจ: “ฉันว่าทำเป็นแกล้งนอนหลับต่างหาก”

ตอนนี้ลู่ฝานได้ลืมตาขึ้น และค่อย ๆ หันมองไปที่เฝิงอิ่ง

เฝิงอิ่งไม่ได้แสดงท่าทางหวาดกลัวอะไร และจ้องเขม็งไปที่ลู่ฝานเช่นกัน ในท่าทีที่ว่าหากนายแน่จริงก็ลงมือจัดการฉันเลยสิ

เวลานี้ราชากระบี่ใต้ได้ส่ายมือไปมาและพูดว่า: “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ก็แค่คนรุ่นหลังที่ไม่รู้จักเคารพสัมมาคารวะต่อผู้อาวุโสก็เท่านั้นเอง”

คำพูดที่ถากถางนี้ หากว่าหานเฟิงอยู่ที่นี่ ก็คงจะออกตัวดุด่าไปแล้ว

แต่ลู่ฝานไม่ใช่หานเฟิง คำพูดถากถางหล่านี้ เขามักจะทำเป็นหูทวนลม แล้วก็ค่อย ๆ หลับตาลงอีกครั้ง เพื่อสงบจิตใจและพักผ่อนต่อไป

สภาพท่าทางที่เฉยชาแบบนี้นั้นกำลังบ่งบอกว่า พวกนายไม่ต้องมาสนใจฉัน ดำเนินการต่อไปตามสบายเลย

ปู้เฟยราชากระบี่ใต้เห็นลู่ฝานเป็นแบบนี้ ก็ไม่ได้พูดอะไรต่ออีก แล้วก็เดินขึ้นไปที่ชั้นสอง ท่ามกลางกลุ่มคนที่รายล้อม

การแสดงออกของลู่ฝาน ทำให้ถูกหลายคนตำหนิติเตียน และต่างก็กำลังสืบเสาะกันอยู่ว่าคนผู้นี้มีประวัติความเป็นมาอย่างไร ขนาดพบเจอกับยอดฝีมือแดนปราณดินแล้ว ก็ยังไม่แสดงความเคารพอีก ช่างเป็นคนรุ่นหลังที่กำเริบเสิบสานยิ่งนัก!

ทางฝ่ายนี้ เฝิงอิ่งได้พูดขึ้นว่า: “นายดูเขาสิ ไม่สะทกสะท้านอะไรเลย ถึงขนาดได้ล่วงเกินยอดฝีมือแดนปราณดินแล้วก็ยังไม่รู้ตัวอีก คนประเภทนี้ หากว่าไปที่เมืองหลวงแล้ว คาดว่าคงจะมีชีวิตอยู่ไม่ถึงหนึ่งเดือน”

หยวนเลี่ยมองไปทางซ้ายทีมองไปทางขวาที โดยที่ไม่ได้พูดอะไร

เซี่ยงจู้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็พูดว่า: “เฝิงอิ่ง พูดให้น้อยลงหน่อยเถอะ เพราะถึงอย่างไรทางเขาก็เชิญพวกเรามาทานอาหารแล้ว แบบนี้มันไม่ค่อยดีนัก”

เฝิงอิ่งจึงปิดปากลง ไม่พูดอะไรอีก

เจ้าดำหมอบอยู่บนโต๊ะ และมองไปยังปู้เฟยราชากระบี่ใต้ที่อยู่บนชั้นสอง พร้อมกับกัดฟันทำหน้าดุใส่

เจ้าดำนั้นมองว่า แดนปราณดินจะมีอะไรที่พิเศษยิ่งใหญ่ขนาดไหนกัน ก็เคยฆ่ามาแล้วไม่ใช่เหรอ?

ลู่ฝานเองไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้เลยจริง ๆ เขากำลังปรับสภาพปราณชี่ของตนเองอยู่ เพราะปราณชี่ในร่างกายไหลเวียนวนไปวนมา จนกลายเป็นกระแสน้ำวนแล้ว

ในทุกกระแสน้ำวน ก็เช่นเดียวกับตันเถียน ที่ดูดซับพลังฟ้าดินภายนอกได้อย่างรวดเร็ว และยังไม่ส่งผลกระทบต่อพลังฟ้าดินรอบด้านแม้แต่น้อยอีกด้วย

นี่ก็คือการทะลุขั้นในขณะที่เขาอยู่ในคุกใต้ดิน นี่ก็คือผลสำเร็จที่เขาแลกมาด้วยความเป็นความตาย

ทุกครั้งที่หายใจเข้าออก พลังความสามารถก็จะเพิ่มมากขึ้น ลำพังแค่อาศัยการหมุนเวียนของชี่ทั้งเก้า ก็สามารถรับรองได้ว่าความรวดเร็วในการบำเพ็ญฝึกฝนของเขานั้น เทียบได้กับเก้าเท่าของผู้อื่น

นี่ก็คือหนึ่งในผลลัพธ์ความสามารถของพลังความเป็นความตายวนเวียน

ไม่รู้ว่าบำเพ็ญฝึกฝนอยู่นานเท่าไร พลันก็มีเสียงดังผ่านเข้ามาที่ข้างหู

“ทุกท่าน พวกเราใกล้จะถึงรังหนอนแล้ว ทุกคนเตรียมพร้อมกันได้แล้ว! ”

เวลานี้ลู่ฝานก็ได้ลืมตาสองข้างขึ้น พร้อมกับแววตาที่ประกายสว่างไสว แล้วก็เก็บสายตาขึ้นอย่างรวดเร็ว

ลู่ฝานรีบเดินตามทุกคนออกมาจากห้อง

สภาพเบื้องหน้าที่เห็นกันอยู่นี้ ทำให้ลูกตาของเขาเบิกกว้าง

นี่ก็คือรังหนอนที่ขวางกั้นอุโมงค์ข้ามมิติอย่างนั้นเหรอ?

ช่างยิ่งใหญ่งดงามเป็นอย่างมากทีเดียว!

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 900
ประโยคเดียวของลู่ฝาน ทำให้ลุงชางหัวเราะเสียงดังออกมา

“น้องลู่ฝานเป็นคนรู้งานจริงๆ โอ๊ย วัยรุ่นเดี๋ยวนี้มีไหวพริบขึ้นทุกวันจริงๆ คิดถึงฉันตอนนั้น แค่เขาพูดมาฉันก็หัวร้อนตกปากรับคำเลย”

ลู่ฝานพูดว่า “ยังไงก็เสียแรงเปล่าไม่ได้อยู่แล้ว”

ลุงชางพูดว่า “ไม่ให้พวกนายเสียแรงเปล่าหรอก เอางี้ พวกนายช่วยฆ่าแมลง ฉันให้เหรียญทองพวกนาย ตัวละพันเหรียญทอง เป็นไง”

ลู่ฝานส่ายหน้าพูดว่า “ผมไม่ขาดแคลนเหรียญทอง ไม่ได้จำเป็นมากขนาดนั้น”

ขณะนั้นลุงชางขมวดคิ้วขึ้น แล้วพูดว่า “น้องลู่ฝาน แบบนี้ไม่ค่อยดีเท่าไรนะ ทุกคนเป็นคนที่รวมกลุ่มกันมา ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เป็นเรื่องที่ควรทำอยู่แล้ว พละกำลังของน้องสิบสามเหนือกว่าคนอื่น ทำมากก็ได้มาก ทุกคนรวมเหรียญทองกันซื้อเหล้า ซื้อของให้น้องสิบสาม ก็ไม่ได้ผิดอะไร แต่ถ้านายคิดจะแย่งของดีของทุกคน งั้นคงไม่มีอะไรต้องพูดแล้ว”

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ได้แย่งของดี ผมเดินทางเป็นครั้งแรก ก็เลยสนใจในอะไรใหม่ๆ ผมคิดว่าฆ่าแมลงครั้งนี้ ควรมีรางวัลจากการรบ ตอนผมซื้อแก้วหินมิติ เถ้าแก่คนนั้นบอกผมว่าฆ่าสัตว์อสูรอากาศธาตุ จะได้แก้วหินมิติ อีกทั้งยังมีโอกาสได้ก้อนผลึกมิติชั้นดีอีกด้วย ผมต้องการสิ่งนี้”

ลุงชางหัวเราะออกมา “สิ่งนี้เหรอ ไม่มีปัญหา ถ้านายได้มันมา ก็เป็นของนาย ใครกล้าแย่งของนาย ฉันจะเฉือนให้เละ แล้วโยนไปในอุโมงค์ข้ามมิติ แต่ถ้าคนอื่นได้ก้อนผลึกมิติ ฉันก็จะช่วยเอามันมาให้นาย เป็นไง”

ลู่ฝานพูดว่า “ลุงชางช่างห้าวหาญจริงๆ”

ลุงชางตบไหล่ลู่ฝาน แอบคิดในใจว่าถ้าก้อนผลึกมิติได้ง่ายขนาดนั้น เขาคงรวยไปนานแล้ว จะมาทำอาชีพเรือข้ามฟากไปทำไมกัน เขาหันมาคารวะสิบสามแล้วพูดว่า “งั้นเชิญเลย สองสามวันนี้ อยู่บนเรือพวกเราละกัน เดี๋ยวฉันไปเรียกยอดฝีมือคนอื่นมารวมตัวกัน”

ลู่ฝานอมยิ้มพยักหน้า แล้วเดินเข้าไปในห้อง เห็นพวกหยวนเลี่ยก็อยู่ข้างในด้วย

ห้องใหญ่มาก มีสองชั้น สร้างเหมือนร้านอาหาร

กลุ่มคนกำลังกินไปคุยไป ลู่ฝานตัดสินใจหามุมนั่ง ไม่ได้นั่งกับพวกหยวนเลี่ย

เหมือนเฝิงอิ่งยังโมโหไม่หาย ไม่ยอมมองลู่ฝานเลย

ลู่ฝานก็ไม่หาเรื่องใส่ตัว วางเจ้าดำลงบนโต๊ะ ตัวเองหลับตาลงพักสายตา

“โอ๊ะ นี่คือปู้เฟย ราชากระบี่ใต้ไม่ใช่เหรอ นายก็มาด้วยเหรอ!”

จู่ๆ มีเสียงเอะอะดังขึ้นข้างหู เห็นได้ชัดว่ามียอดฝีมือที่คนรู้จักมากมายมาถึง ทุกคนรีบทำความเคารพ เสียงโต๊ะเก้าอี้ดังขึ้นมา

“มิกล้าเป็นราชากระบี่หรอก แค่นักกระบี่คนหนึ่งเท่านั้น ทุกท่านคุยกันต่อเถอะ ไม่ต้องสนใจฉันหรอก”

ผู้อาวุโสคนหนึ่งกำหมัดคารวะทุกคน สวมเสื้อผ้างดงาม มีกระบี่หิมะตรงเอว ดูมีพลานุภาพเต็มเปี่ยม บนแขนที่โผล่ออกมา มีรอยสักคำว่าดิน

นี่คือการบ่งบอกอย่างหนึ่ง แสดงว่าตัวเองมีพละกำลังแดนปราณดิน โดยทั่วไปแล้ว คนที่มีลายตัวอักษรนี้ ล้วนเป็นคนบ้าเห่อโอ้อวด กลัวว่าคนอื่นดูไม่ออกว่าเขาเป็นนักบู๊แดนปราณดิน

แน่นอนว่าไม่มีพละกำลังแดนปราณดิน ก็สามารถสักได้ แค่ไม่กลัวโดนคนท้าสู้ตีตายก็พอแล้ว

เมื่อเห็นตัวอักษรนี้ คนที่อยู่ในนี้ ไม่ว่าจะรู้จักหรือไม่รู้จัก ล้วนลุกขึ้นกำหมัดคารวะ

รวมถึงพวกเฝิงอิ่งด้วย ล้วนแสดงความเคารพเลื่อมใสต่อผู้แข็งแกร่ง

อย่างน้อยปู้เฟย ราชากระบี่ใต้คนนี้ น่าจะไม่ใช่นักบู๊แดนปราณดินจอมปลอม คนรู้จักเขาเยอะขนาดนี้ คงหลอกกันเรื่องพละกำลังไม่ได้

ทว่าตอนนี้แววตาสิบสามกลับแน่วแน่ โค้งคำนับแล้วพูดว่า “เจ้านาย ผู้แข็งแกร่ง!”

ลู่ฝานสีหน้าหมดคำจะพูด บางครั้งพูดความจริงก็ไม่มีใครเชื่อ

ที่นี่ไม่มีดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ คาดเดาเวลาได้ยาก

หลังรู้สึกว่าผ่านไปประมาณ 1-2 ชั่วยามแล้ว ลู่ฝานกลับมาที่ลานเมฆ ออกเดินทางไปกับทุกคนทันพอดี

สิ่งที่เดินทางผ่านมิติเป็นแถบ เคลื่อนตัวจากข้างจุดเสริม กลับไปยังอุโมงค์ข้ามมิติ ลองนับลวกๆ สิ่งที่เดินทางผ่านมิติ มีจำนวนเกินกว่าร้อย จำนวนคนเกินกว่าพัน

ทีมใหญ่ขนาดนี้ เมื่ออยู่ในอุโมงค์ข้ามมิติ เหมือนจำนวนเพียงเล็กน้อย รถม้าของลู่ฝาน ถูกจัดไว้ตรงกลางพอดี ไม่รู้ว่าตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ข้างๆ เขาคือสิ่งที่เดินทางผ่านมิติของลุงชาง

ลู่ฝานไม่รู้ว่าควรบรรยายสิ่งที่เดินทางผ่านมิติของลุงชางยังไงดี เหมือนจะเป็นเรือแต่ก็ไม่ใช่ เหมือนจะเป็นสัตว์แต่ก็ไม่ใช่

เป็นมังกรบินตัวหนึ่ง โดนเปิดท้องออกเพื่อสร้างเป็นห้อง

เกล็ดอย่างหนาคงทน มีแสงประหลาดสว่างไสว ไม่ใช่โลหะ แต่เป็นเกล็ดมังกร ตัวมังกรถูกทำจนกลายเป็นตัวเรือ หัวมังกรถูกเปลี่ยนเป็นหัวเรือ ฝีมือไม่ได้ประณีตมาก รูปร่างเอียงๆ ตามังกรข้างหนึ่งไม่มีลูกตา ดูแล้วไม่ค่อยเข้าท่า

“น้องชายท่านนี้ ท่านที่อยู่ด้านหลังนาย คงเป็นยอดฝีมือแดนปราณชีวิตที่เพิ่งทดสอบเมื่อกี้สินะ ขึ้นมาคุยกันหน่อยได้ไหม”

จู่ๆ มีเสียงดังขึ้นบนเรือมังกร ลู่ฝานเพ่งมอง พบว่าลุงชางกำลังตะโกนเรียกเขาอยู่

ไม่ไว้หน้าคนอื่นได้ แต่ลุงชางที่เป็นหัวหน้าทีมในครั้งนี้ ยังไงลู่ฝานก็ต้องไว้หน้าบ้าง

ลู่ฝานประสานมือคารวะ แล้วพูดว่า “งั้นรบกวนด้วยครับ”

ลู่ฝานพูดพลาง เอารถม้าเข้ามาใกล้ๆ หลังจากนั้นเก็บรถม้ากลับเข้าไปในเข็มขัด กระโดดขึ้นไปบนเรือมังกรกับสิบสาม

เท้าเหยียบลงบนเกล็ดมังกรเย็นยะเยือก ลู่ฝานกวาดตามองรอบๆ

เรือมังกรขนาดใหญ่ จุคนได้เป็นพัน ห้องดูทันสมัยมาก รอบๆ ยังมีธงปักเต็มไปหมด นักบู๊บางส่วนถือดาบและกระบี่ เดินตรวจตราไปมาบนเรือ

ลุงชางหัวเราะ มองลู่ฝานตั้งแต่หัวจรดเท้า

“น้องชายเป็นคนที่ไหน เดินทางมาครั้งแรกสินะ”

ลู่ฝานตอบว่า “ชื่อลู่ฝาน เป็นคนเขตตงหวา เดินทางมาครั้งแรกครับ”

ลุงชางหัวเราะอย่างองอาจ แล้วพูดว่า “เขตตงหวาเหรอ ฉันเคยไปที่นั่น เป็นเขตใหญ่ที่ทัศนียภาพงดงาม แต่เรือข้ามฟากที่นั่นไม่เยอะ ธุรกิจไม่ดี น้องชายได้สิ่งที่เดินทางผ่านมิติจากที่นั่น ถือว่าไม่ง่ายนะ ครั้งนี้จะไปเมืองหลวงเหรอ”

ลู่ฝานพยักหน้าพูดว่า “ใช่ครับ”

ลุงชางยิ้มแล้วพูดว่า “เมืองหลวงดี ได้เจอโลก แล้วน้องชายท่านนี้ชื่ออะไร”

ลุงชางมองไปทางสิบสาม ลู่ฝานสัมผัสได้ว่าลุงชางเป็นกันเองกับสิบสามมากกว่าน้อย ตอนพูดรอยยิ้มสดใสขึ้น

สิบสามพูดชื่อตัวเองออกมาช้าๆ

ลุงชางหัวเราะเสียงดังแล้วพูดว่า “สิบสามเหรอ ชื่อดี ตัวเลขนี้ในบางเขต เป็นสัญลักษณ์ของความตาย น้องสิบสาม จัดการแมลงพวกนั้นในครั้งนี้ ฝากคุณลงมือช่วยเยอะๆ ด้วยนะ ในทีมมียอดฝีมือแดนปราณชีวิตไม่เยอะ ถ้าคุณช่วยได้เยอะ จะลดการตายไปได้เยอะ”

สิบสามไม่พูดอะไร หันไปมองทางลู่ฝาน

ความหมายคือ ฉันฟังคำสั่งของเจ้านายฉัน นายมีอะไรก็พูดกับเขา

ลุงชางอึ้งไป หลังจากนั้นมองลู่ฝานแล้วพูดว่า “ดูเหมือนคนตัดสินใจคงเป็นน้องลู่ฝานสินะ ช่วยหน่อยสิ”

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “เรื่องช่วยไม่มีปัญหาอยู่แล้ว แต่มีผลประโยชน์ดีๆ ไหม”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 898
ลู่ฝานชะงักฝีเท้าลง ปรายตามองเฝิงอิ่งแวบหนึ่ง

อาจเป็นเพราะอารมณ์ของเขาเคร่งขรึมขึ้นอย่างกะทันหัน จึงเป็นเหตุผลที่ค่อนข้างทำให้คนตกใจ เฝิงอิ่งถอยไปข้างหลังสองก้าวโดยไม่รู้ตัว

“เธอชอบยุ่งเรื่องคนอื่นเหรอ”

ลู่ฝานถามขึ้น

เฝิงอิ่งกัดฟัน แต่ไม่ยอมแพ้ เชิดหน้าพูดว่า “นักบู๊มิอาจดูหมิ่น เรื่องนี้ฉันต้องยุ่ง คุณสิบสาม ทำไมนักบู๊อย่างคุณต้องตามเด็กที่นิสัยเสียแบบเขาด้วย ถ้าคุณยอมมาที่ตระกูลเฝิงแห่งเขตเยี่ยน ฉันต้องเคารพคุณเหมือนเทพแน่นอน”

หยวนเลี่ยที่อยู่ข้างๆ ถึงกับเกาหัว ไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว

เซี่ยงจู้เงียบไม่พูดอะไร พวกเขาก็คิดว่าเฝิงอิ่งยุ่งจนเกินไป แต่ไม่รู้จะเกลี้ยกล่อมยังไง

ขณะนั้นลู่ฝานหัวเราะออกมา

“เธอให้เขาไปตระกูลเฝิงของเธอเหรอ สิบสาม นายจะไปไหม”

สิบสามส่ายหน้าเบาๆ มองเฝิงอิ่งด้วยสายตาไม่ยินดียินร้าย

เฝิงอิ่งพูดกับสิบสามอีกว่า “คุณสิบสาม เขาทำกับคุณแบบนี้ คุณยังจะติดตามเขาอีกเหรอ คุณเป็นนักบู๊แดนปราณชีวิตผู้ยิ่งใหญ่นะ เป็นนักบู๊ที่เดินไปไหนมาไหนก็มีหน้ามีตา!”

สิบสามยังคงส่ายหน้า หันมาพูดกับลู่ฝานอย่างนอบน้อมว่า “เจ้านาย”

ลู่ฝานเอาสองมือไพล่หลัง แล้วเดินออกไป

เจ้าดำที่อยู่บนไหล่ แลบลิ้นปลิ้นตาใส่เฝิงอิ่ง

เฝิงอิ่งกระทืบเท้าแล้วแอบด่า ไม่เดินตามไปอีก

ขณะนั้นหยวนเลี่ยกับเซี่ยงจู้เดินเข้ามา พูดปลอบใจว่า “เฝิงอิ่ง อย่าโมโหเลย เรื่องของตระกูลเขา เราไม่มีเหตุผลไปก้าวก่าย เธอเกลียดเรื่องวุ่นวายที่สุดไม่ใช่เหรอ จะไปเถียงกับเขาทำไมล่ะ”

“ใช่ อย่าไปโมโหเรื่องหยุมหยิมเลย สิบสามประจบประแจงนอบน้อมขนาดนี้ จิตใจของนักบู๊คงสูญหายไปนานแล้ว เขายอมใช้ชีวิตแบบนี้ ใครก็ทำอะไรไม่ได้ ฉันว่าคงกำหนดไว้แล้ว ว่าเขาคงเป็นแดนปราณชีวิตไปทั้งชีวิต ส่วนลู่ฝาน เด็กนิสัยเสียบ้านรวยชัดๆ เถียงกับคนแบบนี้ไปก็เปล่าประโยชน์”

เฝิงอิ่งยังโมโหไม่หาย เธอกัดฟันพูดว่า “ฉันทนดูเด็กนิสัยเสียบ้านรวย แต่ไร้ความสามารถแบบนี้รังแกนักบู๊ไม่ได้ บนโลกนี้ไม่ได้พูดกันได้เพราะอาศัยสายเลือด หรือเงินทองหรอกนะ บนโลกนี้ล้วนอาศัยพละกำลัง”

เฝิงอิ่งจงใจตะโกนเสียงดังมาก คาดว่าคนทั้งถนนคงได้ยิน

เธอตะโกนให้ลู่ฝานฟัง ตะโกนให้ “เด็กนิสัยเสียบ้านรวย” ฟัง

ลู่ฝานได้ยินเสียงตะโกนของเธอจริงๆ รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้า

“เด็กนิสัยเสียบ้านรวยงั้นเหรอ ถ้าพ่อได้ยินว่าฉันได้ฉายานี้ เขาคงดีใจมาก”

ลู่ฝานหัวเราะ พาสิบสามเดินเล่นบนถนน

ผ่านไปนาน รอยยิ้มบนใบหน้าหายไป

ลู่ฝานมองสิบสามแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “ฉันรู้ว่านายมาจากคนที่ฝึกฝนชั่วร้าย ฉันรู้ด้วยว่าการอบรมทั้งหมดที่นายได้รับมา ล้วนทำเพื่อฆ่าคน แต่ตอนนี้ฉันอยากบอกนายว่า นายไม่ใช่คนที่ฝึกฝนชั่วร้ายอีกแล้ว นับตั้งแต่ลายมารบนตัวนายหายไป นายก็มีชีวิตใหม่แล้ว ในเมื่อตอนนี้ยอมรับฉันเป็นเจ้านาย งั้นฉันจะบอกนายว่าจะฆ่าคนตามใจชอบไม่ได้”

สิบสามฟังดูเหมือนเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง ประกายในแววตาวูบไหว เหมือนกำลังคิดอะไรอยู่

ลู่ฝานพูดต่อ “ฉันจะพูดอีกรอบ ถ้าอยู่กับฉัน ฉันยังไม่ให้นายฆ่า นายห้ามฆ่าคน ถ้าฝ่าฝืนอีก ฉันคงเก็บนายไว้ไม่ได้จริงๆ ฉันไม่ต้องการคนที่ฝึกฝนชั่วร้าย ที่ฆ่าคนง่ายดายมาติดตามฉันหรอกนะ”

สิบสามพูดอย่างนอบน้อมว่า “ครับ”

ลู่ฝานถอนหายใจ แล้วพูดว่า “สิบสาม ยังไงฉันก็ต้องบอกนาย อันที่จริงนายติดตามฉัน มันไม่ใช่เรื่องดี ฉันรู้ว่านายคิดว่าฉันเป็นผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทาน จึงติดตามฉัน แต่ฉันต้องบอกความจริงกับนาย ฉันไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนที่นายจินตนาการไว้ ฉันอาจให้ในสิ่งที่นายต้องการไม่ได้ ถึงขั้นที่สอนเคล็ดวิชาบู๊อะไรให้นายไม่ได้ด้วย”

“คนนี้คือลุงชางอย่างนั้นเหรอ!”

ลู่ฝานยิ้มบางๆ ภาพข้างหน้าดูเหมือนกลุ่มสินค้าเถื่อนในยุทธจักร

“เราก็ไปสมัครกันเถอะ”

ลู่ฝานเอ่ยขึ้น

หยวนเลี่ยและคนอื่นพยักหน้า หลังจากนั้นก็เบียดเข้าไปในกลุ่มคน

เบียดไปมาพร้อมเสียงโวยวาย ลู่ฝานใช้พลังร่างกาย พยายามแหวกทางออกมาจนได้

ด้านหน้าคนตัวใหญ่สูงสามเมตรกว่า ยืนถือดาบอย่างห้าวหาญ พูดออกมาว่า “คนที่จะทดสอบมาทางนี้ รับดาบฉันหนึ่งครั้งถือว่าผ่าน ฮ่าๆๆ ฉันลงมือเบามากนะ”

ข้างๆ มีคนล้อมอยู่ แต่มีแค่ไม่กี่คนที่กล้าเข้าไป

ลู่ฝานได้ยินเสียงด่าของชายสองสามคน “ถูซาง ไอ้ซังกะตาย พลังของร่างกายนายเทียบได้กับนักบู๊แดนปราณนอกขั้นสูงสุด แดนปราณนอกทั่วไปยังรับดาบนายไม่ได้ นายจงใจสร้างความลำบากใจให้คนใช่ไหม”

“ใช่ ถูซาง นายดูสิฉันมีเสื้อปราณแล้ว แดนปราณนอกอย่างแท้จริง รีบให้ฉันสมัคร วันนี้ฉันยังต้องรีบไปนะ”

ถูซางไม่สนใจเสียงตะโกนของพวกเขา พูดด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “บอกแล้วว่าดาบเดียว ก็ดาบเดียวสิ จะทดสอบก็รีบหน่อย ทีมไม่รับสวะหรอกนะ ถ้าพวกนายต้านทานดาบฉันไม่ได้ ก็รีบจ่ายเงินมา พูดไร้สาระเยอะแยะไปทำไม”

ลู่ฝานหัวเราะเบาๆ เขาเริ่มรู้สึกดีกับกลุ่มที่เรียกว่ากลุ่มเรืออะไรนี่แล้ว

ไม่รับสวะ กฎนี้ดี ราวกับว่าไปกับพวกเขา น่าจะปลอดภัยขึ้นเยอะ

“ฉันเอง!”

ขณะนั้นหยวนเลี่ยเดินออกมา เสื้อปราณปรากฏบนตัว มือซ้ายใส่นวมที่มีหนาม

ถูซางก้มลงมองหยวนเลี่ย ยิ้มแล้วพูดว่า “ในที่สุดก็มีผู้ห้าวหาญนิดหน่อยมาแล้ว วางใจเถอะ ฉันจะใช้พลัง 80 เปอร์เซ็นต์ ไม่มีทางฟันนายตาย รับให้ดีล่ะ!”

แผดเสียงออกมา ถูซางฟันดาบลงมา

ไม่มีพลังปราณ ไม่มีพลังชี่ มีเพียงพลังของร่างกายอันบริสุทธิ์เท่านั้น

เสียงดังชิ้ง ตัวของหยวนเลี่ยครึ่งหนึ่ง จมลงไปพื้นอันอ่อนนุ่ม ยกมือซ้ายขึ้นมา นวมต้านทานดาบของถูซางเอาไว้ได้ พลังกระเพื่อมเป็นคลื่น พัดเสื้อลู่ฝานจนปลิวไปมา

เสื้อปราณบนตัวหยวนเลี่ยเกือบระเบิด แต่เขาก็ยังต้านทานเอาไว้ได้

“แดนปราณชีวิตขั้นเจ็ด วิทยายุทธไม่เลว นายผ่านแล้วเด็กน้อย!”

ถูซางเห็นหยวนเลี่ยรับดาบเขาไว้ได้ จึงยิ้มแล้วพยักหน้า

ตอนนี้หยวนเลี่ยมองนวมของตัวเองอย่างปวดใจ ด้านบนโดนฟันจนเป็นรอยสีขาวเล็กๆ

ถูซางเอาสมุดเล่มหนึ่งออกมา ให้หยวนเลี่ยเขียนชื่อตัวเองลงไป หลังจากนั้นให้แผ่นเหล็กแผ่นหนึ่งกับหยวนเลี่ย

“เก็บไว้ให้ดี หลังสองชั่วยามทีมเรือจะออกเดินทาง อย่าลืมล่ะ ยังมีใครที่ยังไม่มีบ้าง”

หยวนเลี่ยเก็บของแล้วเดินกลับมา พูดกับพวกลู่ฝานเบาๆ ว่า “ไอ้หมอนี่พลังเยอะมาก ทุกคนระวังด้วย ใช้พลังยืดหยุ่นให้เยอะ”

เฝิงอิ่งกับเซี่ยงจู้พยักหน้าเบาๆ หลังจากนั้นทั้งสองเข้าไปรับดาบทีละคน

ไม่มีอะไรผิดคาด ทั้งสองผ่านอย่างสบายๆ

ล้วนเป็นวิทยายุทธแดนปราณนอกขั้นเจ็ด พละกำลังระดับนี้ อยู่ในสถาบันสอนวิชาบู๊ก็เป็นอันดับต้นๆ แล้ว มิน่าล่ะพวกเขาถึงเย่อหยิ่งขนาดนี้

ทั้งสามคนเอาแผ่นเหล็กกลับมา พากันมองมาทางลู่ฝาน พวกเขาอยากเห็นพละกำลังของลู่ฝานจริงๆ

แต่ขณะนั้น ลู่ฝานแค่พูดกับสิบสามว่า “สิบสาม นายไปสิ”

สิบสามพยักหน้าเบาๆ เดินมาข้างหน้า ไม่พูดอะไรสักคำ ทำแค่มองถูซางอยู่อย่างนั้น

“เตรียมตัวดีหรือยัง”

ถูซางตะโกนใส่สิบสาม

สิบสามพยักหน้าเบาๆ ต่อมาถูซางฟันดาบลงมา

แต่ดาบยังไม่ทันฟันโดนตัวสิบสาม ตัวของสิบสามหายไป ตอนปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง เขามาปรากฏตัวด้านหลังถูซางแล้ว ไม่รู้มีกระบี่อยู่ในมือตั้งแต่เมื่อไร เสียงลมพัด เห็นด้วยตาว่าจะแทงที่กลางหลังถูซาง

ลู่ฝานกระแอมหนึ่งที เหมือนสิบสามคิดอะไรได้ รีบเก็บกระบี่ทันที

ขณะนั้นถูซางตั้งสติได้ ขนลุกไปหมดทั้งตัว ช่วงเวลาเมื่อครู่ เขารู้สึกถึงความหนาวเข้ากระดูกจริงๆ มันเป็นการข่มขู่ถึงชีวิต

“ยอดฝีมือ ฮ่าๆ ในที่สุดก็มียอดฝีมือมาแล้ว”

สิบสามปรากฏตัวอย่างประหลาดข้างหน้าถูซางอีกครั้ง

ถูซางไม่สนใจที่ตัวเองเกือบโดนฆ่าตายเมื่อครู่ เขาส่งเสียงหัวเราะดัง แล้วพูดว่า “นายคือยอดฝีมือแดนปราณชีวิตสินะ ยอดฝีมือ มาเอาแผ่นเหล็กสิ ครั้งนี้ต้องให้คุณดูแลทีมเรือด้วย คุณสามารถพาเรือสินค้ากับคนอีกสามคนไปได้ตามใจชอบ”

ถูซางเอาแผ่นเหล็กสามแผ่นให้สิบสาม

สิบสามรับมาอย่างนิ่งๆ หลังจากนั้นเดินกลับมาข้างลู่ฝาน ยื่นแผ่นเหล็กให้ลู่ฝานอย่างนอบน้อม

ลู่ฝานพูดเสียงเย็นชาว่า “ถ้ายังมีครั้งหน้าอีก นายก็ไปซะ”

สิบสามคุกเข่าลงตรงหน้าลู่ฝาน แล้วหมอบตัวลงบนพื้นทันที

ลู่ฝานเอาแผ่นเหล็กขึ้นมา แล้วหันหลังเดินไป สิบสามลุกขึ้นตามไป กลุ่มคนข้างๆ มองจนเหม่อ นักบู๊แดนปราณชีวิตคุกเข่าให้คนอื่นเหรอ ไอ้เด็กเป็นใครมาจากไหน

พวกหยวนเลี่ยรีบเดินตามไปเช่นกัน เมื่อเดินตามทันลู่ฝาน เฝิงอิ่งอดพูดออกมาไม่ได้ “ลู่ฝาน ทำไมนายปฏิบัติกับนักบู๊แบบนี้ล่ะ”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 896
เพราะความอาฆาตอันน่ากลัว ยึดเขาเอาไว้กับที่

ชายกำยำที่อยู่ข้างๆ ตกใจจนไม่กล้าพูดอะไร พวกเขาเป็นแค่นักเลงข้างถนนเท่านั้น

นักเลงจุดเสริม ก็แค่นักเลงเท่านั้น เคยเจอคนที่ปล่อยความอาฆาตน่ากลัวแข็งแกร่งออกมาแบบลู่ฝานซะที่ไหนกันล่ะ

บวกกับพละกำลังของพวกเขาก็รับไม่ค่อยจะได้

แดนปราณนอกแบบไม่ค่อยเต็มใจ พละกำลังแบบนี้ ลู่ฝานแทบจะไม่ต้องใช้นิ้วสักนิ้ว แค่จ้องเขาแวบเดียว เขาก็ขยับไม่ได้แล้ว

ลู่ฝานพูดว่า “ฉันจะถามอีกรอบ ลุงชางอยู่ไหน”

ลู่ฝานมองชายอ้วนท้วนข้างหน้า ในน้ำเสียงแฝงไปด้วยความดุดัน

เหมือนผู้ชายตกใจจริงๆ พูดตะกุกตะกักว่า “เดินไปข้างหน้าตามถนนเส้นนี้ ก็จะเห็นแล้ว เขากำลังหาคนอยู่ที่ลานเมฆ”

รอยยิ้มปรากฏตรงมุมปากลู่ฝาน เขาตบทั้งสองคนเบาๆ อีกสองสามครั้ง

“ดีมาก ต้องแบบนี้สิ ต่อไปอย่าสะกดรอยตามคนอื่น รูปร่างแบบพวกนายสองคน ไม่เหมาะกับการสะกดรอยตามคนเป็นอย่างมาก”

พูดจบ ลู่ฝานหันหลังเดินออกไป

ขณะนั้นสิบสามเดินมาข้างหน้า ฝ่ามือมีสายลม ขณะที่กำลังสะบัดมือเตรียมฆ่าสองคนนี้

ลู่ฝานสะดุ้งโหยง รีบรั้งสิบสามเอาไว้แล้วพูดว่า “นายจะทำอะไร”

สิบสามมองลู่ฝานอย่างงุนงง แล้วพูดว่า “ศัตรู ฆ่า!”

ลู่ฝานสีหน้าตกใจ เขาเพิ่งนึกได้ สิบสามมาจากคนที่ฝึกฝนชั่วร้าย สไตล์และการกระทำของเขาก็ต้องเป็นผู้ฝึกฝนชั่วร้าย

ลู่ฝานมองสิบสามอย่างจริงจังแล้วพูดว่า “ต่อไปถ้าฉันพูดว่าฆ่า ถึงจะฆ่าได้ เข้าใจไหม”

สิบสามพยักหน้า แล้วเก็บพลัง

ทั้งสองคนช็อกไปแล้ว ธาตุทั้งห้ากลายเป็นสายลม นักบู๊แดนปราณชีวิต พวกเขาสะกดรอยตามนักบู๊แดนปราณชีวิต นี่มันรนหาที่ตายไม่ใช่หรือไง

สิบสามมองทั้งสองคนด้วยแววตาวูบไหว เหมือนเขาไม่เข้าใจว่าทำไมลู่ฝานถึงไม่ฆ่าพวกเขา

แต่ลู่ฝานเป็นเจ้านาย เขาพูดออกมาแล้ว สิบสามไม่ฝ่าฝืนอยู่แล้ว

ในใจของสิบสาม ลู่ฝานคือนักบู๊ไร้เทียมทาน ที่ฟันมารทั้งสี่ด้วยกระบี่เดียว แต่เวลาปกติเขาทำอะไรอย่างถ่อมตัวก็แค่นั้น

พวกหยวนเลี่ยที่ยืนมองอยู่ไม่ไกลก็ช็อกเหมือนกัน พวกเขาดูไม่ออกจริงๆ สิบสามที่ยืนซื่อๆ อยู่หลังลู่ฝานตลอดเวลา คือนักบู๊แดนปราณชีวิต

จู่ๆ ทั้งสามคนเกิดความรู้สึกนับถือสิบสามขึ้นมา

ผู้แข็งแกร่งไม่ว่าไปที่ไหน ล้วนได้รับความเคารพเลื่อมใสจากคนอื่น

บนโลกนี้พละกำลังคือทุกอย่าง

ลู่ฝานเดินกลับมา พูดกับทั้งสามคนว่า “ถามมาแล้ว เดินตามถนนเส้นนี้ไปก็ถึงแล้ว”

พวกหยวนเลี่ยตั้งสติได้ ก็เดินตามลู่ฝานไป

ตอนนี้พวกเขาสงสัยในตัวตนของลู่ฝานอยู่บ้าง ทำให้นักบู๊แดนปราณชีวิตเดินตามหลังซื่อๆ เหมือนคนใช้ อีกทั้งยังโดนตำหนิ ถ้าไม่ใช่เจ้าสำนักใหญ่ ก็คงเป็นคุณชายตระกูลร่ำรวย

หยวนเลี่ยส่งพูดเบาๆ ส่งกระแสจิตให้เฝิงอิ่ง “อย่าบอกนะว่าสหายลู่ฝานเป็นลูกชายของหัวหน้าเขตตงหวา นักบู๊แดนปราณชีวิต เดินไปไหนควรได้รับความเคารพเลื่อมใสสิ”

เซี่ยงจู้พูดว่า “ดูเขาทำอะไรฟุ่มเฟือย น่าจะเป็นลูกหลานตระกูลร่ำรวย”

เฝิงอิ่งพูดต่อ “ไม่รู้จักแม้แต่สิ่งที่เดินทางผ่านมิติ น่าจะเป็นลูกหลานตระกูลร่ำรวยที่ไม่มีความรู้”

พูดจบ ทั้งสามพยักหน้าพร้อมกัน คิดว่าการคาดเดาของพวกเขามีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นความจริง

ลู่ฝานไม่ได้ยินกระแสจิตของพวกเขา ไม่งั้นคงหัวเราะออกมาแน่นอน

ส่วนผู้ชายสองคนที่โดนลู่ฝานทำให้ตกใจ กุมไหล่ตัวเอง วิ่งกลับไปอย่างอนาถ

วันนี้เจอตอใหญ่จริงๆ เมื่อลู่ฝานออกไป ทั้งสองคนเพิ่งพบว่าไหล่โดนตบจนหัก

ไม่ได้ใช้แม้แต่พลังปราณ พลังฝ่ามือของอีกฝ่ายเกินเหตุจริงๆ คงจะเป็นยอดฝีมือแดนปราณชีวิตขึ้นไปเหมือนกัน

คิดได้เช่นนี้ ทั้งสองคนไม่มีความคิดสะกดรอยตามอีก คิดเพียงแต่จะกลับไปเอาเงินกับเถ้าแก่ นี่นับเป็นการบาดเจ็บจากการทำงาน ถ้าไม่มีหมื่นเหรียญทอง ไม่มีทางส่งพวกเขามาได้หรอก

ทางด้านนี้ ลู่ฝานกับพวกหยวนเลี่ย มาถึงสถานที่ที่เรียกว่าลานเมฆ

ที่นี่เป็นแค่ลานเล็กๆ พื้นสีขาวดุจหิมะ มีหมอกลอยบางๆ เหยียบลงไปแล้วนุ่มนิ่ม เหมือนเมฆจริงๆ

“จะไปก็รีบสมัคร ออกเดินทางวันนี้ รวมกลุ่มด้วยกัน พละกำลังแดนปราณนอกขึ้นไป สมัครแล้วไปเลย ส่วนผู้ชายที่ไม่ถึงแดนปราณนอก รบกวนจ่ายเงินค่าคุ้มครองด้วย พวกเราจะคุ้มครองคุณไป”

ชายหนวดยาวคนหนึ่ง เหยียบอยู่บนหอคอย ตะโกนพูดเสียงดัง

กลุ่มคนด้านล่างตะโกนอย่างคึกคักว่า “ลุงชาง ทีมพกของไปได้ไหม เรือลำใหญ่ของผม”

“ลุงชาง แม้พละกำลังของผมแค่แดนปราณในขั้นสูงสุด แต่ท้าประลองนักบู๊แดนปราณนอก ไม่ใช่ปัญหาแน่นอน คุณลองดูได้ เราไม่ใช่คนขี้โม้”

……

บทที่ 895

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 895
ลู่ฝานกินพลาง พูดคุยเรื่อยเปื่อยกับหยวนเลี่ย “สหายหยวนเลี่ย คนที่นี่แปลกมาก เมื่อกี้ฉันเห็นคนลักษณะประหลาดตั้งหลายคน คนพวกนี้เป็นมนุษย์จริงเหรอ”

หยวนเลี่ยพูดว่า “ใช่สิ เขตเยี่ยนของเราก็มีคนแบบนี้ไม่น้อย เขตอื่นอาจเยอะกว่านี้ด้วย คนพวกนี้คือเอเลี่ยน อย่างเช่น มนุษย์เผ่ามังกรที่มีชื่อเสียงที่สุด ก็รวมอยู่ด้วย แต่เอเลี่ยนบางประเภท ยอมรับว่าตัวเองเป็นมนุษย์ และบางประเภทก็ไม่ยอมรับ แต่ภายใต้กฎหมายของประเทศอู่อาน พวกเขาเหมือนกันทั้งหมด เป็นคนที่ใช้ชีวิตเหมือนกันกับพวกเรา”

ลู่ฝานส่งเสียงตอบรับ ดูเหมือนการเจอโลกของตัวเองยังน้อยไปหน่อย

เป็นไปตามคาด ยังไงการออกมาเจอโลกก็ดีอยู่แล้ว

ลู่ฝานถามต่อ “สหายหยวนเลี่ย พวกนายไปเมืองหลวงทำไมเหรอ ฉันได้ยินพวกนายพูดการคัดเลือกอะไรเหรอ มันคืออะไร”

หยวนเลี่ยพูดด้วยความตกใจเล็กน้อย “อย่าบอกนะว่าสหายลู่ฝานไม่ได้ไปเข้าร่วมการคัดเลือก การคัดเลือกการแข่งนานาประเทศ สหายลู่ฝานไม่เคยได้ยินเหรอ”

ลู่ฝานพยักหน้าพูดว่า “เรื่องนี้เคยได้ยิน”

หยวนเลี่ยหัวเราะคิกคักแล้วพูดว่า “เราไปเข้าร่วมการคัดเลือกนี่แหละ แม้ไม่แน่ใจว่าจะได้รับการคัดเลือก แต่แค่ได้เข้าร่วมก็เป็นเกียรติอย่างหนึ่งแล้วไม่ใช่เหรอ”

ขณะกำลังพูด เด็กเสิร์ฟข้างๆ เดินเข้ามาพูดว่า “ลูกค้าไปเมืองหลวงเหรอ ดูเหมือนช่วงนี้จะไปไม่ได้แล้ว”

ลู่ฝานพูดว่า “หมายความว่ายังไง”

เด็กเสิร์ฟพูดว่า “พวกคุณไม่รู้เหรอ ทางหลวงข้างหน้าถูกปิดกั้น ถูกแมลงอากาศธาตุฝูงหนึ่งปิดกั้นเอาไว้ อย่างน้อยต้องรอส่วนราชการส่งคนมาจัดการให้เรียบร้อยหลังปีใหม่ ถึงจะเดินทางได้ ไปตอนนี้อันตรายถึงชีวิต”

ลู่ฝานสีหน้าเคร่งขรึม หยวนเลี่ยก็พูดอย่างตกใจว่า “มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ ทำยังไงดี เรารอหลังปีใหม่ไม่ได้หรอก คนของส่วนราชการมาเร็วกว่านี้ไม่ได้เหรอ”

เพิ่งพูดจบ ชายรูปร่างกำยำสูงใหญ่สองคนโต๊ะข้างๆ หัวเราะแล้วพูดว่า “ส่วนราชการดำเนินเรื่อง มีที่ทันเวลาด้วยเหรอ เจ้าหนุ่ม พวกนายยังเด็กเกินไป จะไปตอนนี้ ก็ไปหาคนร่วมกลุ่มกัน ตอนนี้เหมือนพวกลุงชางกำลังหาคนรวมกัน พวกนายจ่ายเงินนิดหน่อย เข้าร่วมกับพวกเขาสิ”

หยวนเลี่ยขมวดคิ้วถามว่า “ลุงชางคือใคร”

ชายกำยำทั้งสองคนหัวเราะเสียงดัง ราวกับว่าหยวนเลี่ยถามคำถามที่โง่ที่สุดออกมา

“ขนาดลุงชางยังไม่รู้จัก พวกนายมาที่นี่ครั้งแรกสินะ รีบไปสิ ถ้าช้าพวกนายทำได้แค่เลี้ยวหัวกลับไปนะ”

ลู่ฝานกับหยวนเลี่ยมองหน้ากัน แล้วเลิกคิ้วขึ้น

ตอนนี้เด็กเสิร์ฟพูดเบาๆ ว่า “ลุงชางเป็นคนที่มีชื่อเสียงเรื่องเรือข้ามฟากบนถนนหลวงเส้นนี้ มีเขาอยู่ พวกคุณสามารถผ่านแมลงพวกนั้นได้ แต่พวกคุณก็ต้องมีพละกำลังเพียงพอ อย่างน้อยระดับแดนปราณนอก พวกเขาไม่ต้องการตัวถ่วง”

ลู่ฝานวางตะเกียบลงแล้วพูดว่า “งั้นโอเค ดูเหมือนจะต้องไปเจอลุงชางคนนี้แล้ว”

หยวนเลี่ยก็ยิ้มแล้วพูดว่า “แค่แดนปราณนอก เรื่องเล็กน้อย”

เฝิงอิ่งกับเซี่ยงจู้ก็ยิ้มอย่างผ่อนคลาย บ่งบอกว่าไม่สนใจ

เมื่อกินดื่มจนอิ่ม ทุกคนเดินออกจากร้านอาหาร

ลู่ฝานใช้จิตรับรู้ พบว่าไอ้สองคนที่มีเจตนาไม่ดีกับเขา ยังตามอยู่ด้านหลัง

สองคนนี้มีความรับผิดชอบจริงๆ ลู่ฝานยิ้มอย่างมีความสุข

“จะหาใครถามว่าลุงชางอยู่ไหนดีล่ะ”

หยวนเลี่ยมองไปรอบๆ แล้วสอบถาม

ลู่ฝานพูดว่า “ฉันรู้ว่าถามใคร”

พูดพลาง ลู่ฝานก้าวไปด้านหลัง พวกหยวนเลี่ยมองเขาอย่างงุนงง ไม่รู้เขาจะทำอะไร

มีเพียงสิบสามที่รู้ความคิดของลู่ฝาน แต่เขาตามหลังลู่ฝานไปด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

สองคนที่สะกดรอยตามลู่ฝาน เห็นลู่ฝานเดินเข้ามา รีบทำเป็นซื้อของทันที

ลู่ฝานเดินมาหยุดลงข้างพวกเขา ยื่นมือไปที่ไหล่ทั้งสองคน

เสียงดังปักปัก ชายกำยำทั้งสองคนเกือบโดนลู่ฝานตบลงบนพื้น

“ขอถามหน่อย ลุงชางคือใคร ตอนนี้อยู่ไหน”

ชายกำยำหนึ่งในนั้นพูดอย่างโมโหว่า “ไอ้เด็กเวร นายกล้าตีฉัน”

ขณะที่พูดมีเสื้อปราณโผล่ขึ้นทั้งตัว ลู่ฝานค่อยๆ หุบยิ้ม สีหน้าเคร่งขรึม

ต่อมา ชายกำยำคนนี้ไม่กล้าขยับแล้ว

ร้านอาหารที่นี่ ดูไม่เหมือนกับร้านอาหารที่เขตตงหวาเลย อันดับแรกคือการก่อสร้าง เป็นโครงสร้างหินแร่ทั้งหมด ตั้งแต่ข้างในยันข้างนอก โปร่งใส่เหมือนคริสตัลเป็นอย่างมาก

โต๊ะเก้าอี้ ไม่มีอันไหนที่ไม่ใช่ผลึกใส ลู่ฝานสั่งอาหารมาสองสามอย่างตามใจชอบ พบว่าอาหารพวกนี้แพงมาก ไม่ทันทำอะไรก็เป็นพันเหรียญทองแล้ว

แต่เขาไม่เคยเห็นลักษณะอาหารมาก่อนจริงๆ

อย่างเช่น ไก่สะท้านฟ้าสะเทือนดินนี่มันอะไรกัน

อย่างเช่น ขาสัตว์เพลิงอันนี้อีก นี่มันของอะไรกัน

พออาหารมาเสิร์ฟ ลู่ฝานตาลายไปหมดแล้ว

ของถาดใหญ่มาก เขาไม่เคยเห็นไก่ย่างที่ใหญ่กว่าคนมาก่อน

อีกทั้งยังไม่เคยเห็นของที่มีรูปร่างเหมือนขาหมู ที่มีไฟสีม่วงโผล่ขึ้นมาตลอด

เจ้าดำกับสิบสามนั่งข้างลู่ฝาน พากันมองตาค้าง

หลังจากนั้นลู่ฝานลองชิม

คุณภาพเป็นไปตามราคาตามคาด ไม่เคยกินของอร่อยขนาดนี้มาก่อน

ทันใดนั้นใบหน้าลู่ฝานเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

ถ้าเอาของพวกนี้กลับไปให้หลิงเหยากับพวกศิษย์พี่หานเฟิง พวกเขาต้องดีใจตายแน่นอน

สิบสามกับเจ้าดำก็เริ่มกินอย่างมีความสุข คนสองคนกับสัตว์หนึ่งตัว กินอย่างมีความสุขเป็นอย่างมาก

แต่ขณะนั้น ลู่ฝานเห็นพวกหยวนเลี่ยเดินเข้ามาในร้านเหมือนกัน

เมื่อทั้งสามเห็นลู่ฝานกำลังทานอาหาร ก็มีสีหน้าที่แตกต่างกัน

หยวนเลี่ยยิ้มแล้วพูดว่า “สหายลู่ฝาน นายนี่เร็วจริงๆ มากินอาหารกันแล้ว”

เฝิงอิ่งกับเซี่ยงจู้ดูประหลาดเล็กน้อย ไม่ได้พูดอะไร

ทั้งสามนั่งข้างโต๊ะลู่ฝาน

เด็กเสิร์ฟเอาเมนูที่มีลักษณะเหมือนบัตรผลึกหิน ยื่นให้พวกหยวนเลี่ย

เมื่อเห็นราคาต่างๆ บนเมนูอาหาร พวกหยวนเลี่ยหน้าเปลี่ยนสีทันที

“ทำไมแพงขนาดนี้ ของที่นี่แพงจนไม่สมเหตุสมผลจริงๆ ไม่ทันทำอะไรก็หลายพันเกือบหมื่น”

เด็กเสิร์ฟยิ้มแล้วพูดว่า “ถ้าทุกท่านพกเหรียญทองมาไม่พอ สามารถจ่ายด้วยยาหรือสมุนไพรได้ครับ”

เฝิงอิ่งวางเมนูอาหารลง เซี่ยงจู้ส่ายหน้าพูดว่า “ไม่ได้ๆ ยาของเรามีไม่เยอะ จะเอาออกมาเพราะการกินได้ยังไง”

ลู่ฝานฟังคำพูดของพวกเขา รู้ว่าทั้งสามคนในกระเป๋าไม่มีเงิน ทำให้รู้สึกลำบากใจ

ไม่ใช่ทุกคนที่เหมือนกับเขา เห็นเงินไม่ใช่เงิน ไม่ใช่ทุกคนที่เหมือนเขา ที่ใช้ยาทิพย์เป็นเหรียญทอง

ลู่ฝานหันมาพูดกับหยวนเลี่ย “ไม่ต้องจ่ายเงินนั่นหรอก สหายหยวนเลี่ยมากินด้วยกันสิ เพราะยังไงฉันก็กินอาหารที่สั่งมาไม่หมดหรอก”

เจ้าดำมองลู่ฝานด้วยสีหน้ากลัดกลุ้มทันที ท่าทางแยกเขี้ยวยิงฟันของมัน เหมือนกำลังพูด

“นายกินไม่หมดก็ยังมีฉันไง!”

ลู่ฝานจับเจ้าดำกลับมาบนไหล่ ผายมือขวาเชิญพวกเขาให้มานั่ง

หยวนเลี่ยหัวเราะแล้วพูดว่า “งั้นขอบคุณสหายลู่ฝานไว้ก่อน”

เหมือนเฝิงอิ่งกับเซี่ยงจู้ ดูกระอักกระอ่วนเล็กน้อย ไม่ได้ลุกขึ้นมา

ลู่ฝานหัวเราะแล้วพูดว่า “แค่อาหารเล็กน้อย ไม่นับประสาอะไรหรอก ทั้งสามท่านไม่ต้องสนใจ ออกเดินทางมาข้างนอกไม่ง่าย มากินด้วยกันเถอะ ถือว่าทำความรู้จักเป็นเพื่อนกัน”

พูดถึงขนาดนี้แล้ว เฝิงอิ่งกับเซี่ยงจู้ทำได้เพียงมานั่ง

สิบสามลุกขึ้นไปยืนด้านหลังลู่ฝานทันที

ลู่ฝานหันไปพูดกับสิบสามว่า “นั่งกินต่อสิ ลุกขึ้นมาทำไม”

สิบสามส่ายหน้าเบาๆ แล้วพูดว่า “อิ่ม!”

ลู่ฝานมองสิบสามอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่บังคับเขา จากนั้นฉีกเนื้อชิ้นใหญ่ให้เจ้าดำ

ทุกคนกินกันอย่างมีความสุข แววตาที่เฝิงอิ่งกับเซี่ยงจู้มองลู่ฝาน ก็ดูผ่อนคลายลง ยังไงกินของคนอื่นก็ต้องเกรงใจหน่อย

ตอนนี้ในใจทั้งสองคน ลู่ฝานอาจกลายเป็นเศรษฐีใหม่ที่มีเงินนิดหน่อยไปแล้ว แต่เขาไม่สนใจ เขาไม่สนใจว่าคนอื่นมองเขายังไงมาหลายปีแล้ว

เสียงตะโกนดังมาจากทั่วทิศ เมื่อมองออกไป ที่นี่เป็นเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่ง

มีที่พัก มีที่ขายของ อีกทั้งยังมีสถานที่กินดื่มเที่ยวเล่น

กลุ่มคนเดินไปเดินมามากมาย คนตัวใหญ่สูงสามเมตรกว่า เดินสวนมาผ่านข้างตัวพวกเขา อีกทั้งยังมีคนอีกสองสามคนเหมือนสัตว์ป่า ตัวมีเกล็ด บนหัวมีเขาหนึ่งข้าง

ความตกใจอยู่บนใบหน้าลู่ฝาน เดินไปมองไป

สิบสามกับเจ้าดำเบิกตาโตมอง สถานที่อัศจรรย์ขนาดนี้ พวกเขาเพิ่งเคยเห็นครั้งแรกเหมือนกับลู่ฝาน

“มาๆ ลูกค้าท่านนี้ ดูก็รู้ว่าคุณมาจุดเสริมเป็นครั้งแรก เอาแผนที่เส้นทางสักฉบับไหม อันอื่นไม่มีก็ได้ แต่อันนี้ต้องมีนะ!”

ชายชุดขาวคนหนึ่งที่อยู่ข้างๆ กวักมือเรียกลู่ฝาน

ลู่ฝานชะงักฝีเท้าลง รู้สึกว่าอีกฝ่ายพูดมีเหตุผล จึงเดินเข้าไป

ร้านไม่ใหญ่ แต่มีแต่ของที่ลู่ฝานไม่เคยเห็น

ประตูที่สัมผัสเพียงเล็กน้อย ก็สามารถเปลี่ยนรูปร่างได้ ด้านในมีของเหมือนสรรพสิ่งลวงตา เหมือนภาพลวงตา

“เอาแผนที่เส้นทางมาหนึ่งฉบับ เอาแบบสมบูรณ์”

ลู่ฝานพูดออกมา

ผู้ชายมีรอยยิ้มเต็มหน้าทันที เอาลูกแก้วออกมาหนึ่งลูก วางไว้บนมือลู่ฝาน

“ลูกค้าถือไว้ให้ดี ทั้งหมดสองหมื่นทอง”

ลู่ฝานอึ้งไปครู่หนึ่ง นี่คือแผนที่เส้นทางเหรอ

ลู่ฝานมองผู้ชายอย่างสงสัย แล้วถามว่า “สิ่งนี้ใช้ยังไง”

ผู้ชายหัวเราะแล้วพูดว่า “ง่ายมาก คุณใส่พลังเข้าไปก็พอแล้ว ใช้พลังน้อยมาก”

ลู่ฝานลองใส่เข้าไปนิดหน่อย แผนที่ที่เหมือนภาพลวงตา ปรากฏขึ้นข้างหน้าลู่ฝานทันที

เมื่อใช้ความคิดในใจ แผนที่สามารถย่อขยายได้ ด้านในเป็นแถบแสงเคลื่อนไหวเป็นเส้นๆ ผู้ชายอธิบายขึ้นมาข้างๆ ว่า “นี่คืออุโมงค์ข้ามมิติ ทุกที่ที่อุโมงค์ข้ามมิติผ่านไป จะถูกมาร์คออกมา นายสามารถเอาลูกแก้วนี้ฝังเข้าไปในจุดบันทึกภาพของสิ่งที่เดินทางผ่านมิติ แบบนี้เมื่อนายอยากไปที่ไหน ก็สามารถควบคุมได้ด้วยตัวเอง”

ลู่ฝานยิ้มแล้วพยักหน้า เป็นของดีตามคาด

ลู่ฝานเอาบัตรผลึกหินออกมาอย่างไม่ลังเล แล้วพูดว่า “ใช้บัตรได้ไหม”

ผู้ชายหัวเราะแล้วพูดว่า “ได้อยู่แล้ว”

ผู้ชายรับบัตรผลึกหินมา แล้วหักสองหมื่นเหรียญทองในบัตรอย่างรวดเร็ว

ลู่ฝานเก็บลูกแก้วกับบัตรผลึกหิน แล้วรีบเดินออกไป

เพิ่งเดินออกไป ผู้ชายยิ้มแล้วพูดว่า “เป็นคนมาใหม่จริงๆ ได้มาอีกตั้งหมื่นเหรียญทอง แต่ไอ้เด็กนี่รวยจริงๆ! สองหมื่นเหรียญทองแบบไม่ลังเล มานี่หน่อย จ้องเด็กเมื่อกี้เอาไว้ มีแกะอ้วนมาถึงแล้ว ให้พวกเราตั้งใจดูหน่อย”

เพิ่งสิ้นเสียงพูด มีผู้ชายสูงใหญ่ออกมาจากข้างในอย่างรวดเร็ว พร้อมรอยยิ้มชั่วร้าย

ลู่ฝานเดินบนถนนไปพลาง เล่นลูกแก้วที่เพิ่งซื้อเมื่อกี้ไปพลาง

ขณะนั้น จู่ๆ สิบสามที่อยู่ข้างหลังพูดว่า “เจ้านาย”

ลู่ฝานหันมามองสิบสาม นี่เป็นครั้งแรกที่สิบสามเป็นฝ่ายพูดกับเขาก่อน

ลู่ฝานยิ้มแล้วถามว่า “ทำไมเหรอ”

สิบสามพูดช้าๆ ว่า “มีคน”

ลู่ฝานอึ้งเล็กน้อย หลังจากนั้นขมวดคิ้วแน่น จิตในการรับรู้มาพร้อมกับพลังฟ้าดิน อาจเป็นเพราะพลังฟ้าดินที่นี่รุนแรงเป็นพิเศษ ลู่ฝานเห็นได้อย่างชัดเจน

มีสองคนทำตัวลับๆ ล่อๆ จ้องเขาอยู่จริงๆ ลู่ฝานยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “เพิ่งมาก็โดนคนจ้องแล้ว น่าสนใจนี่”

ลู่ฝานเก็บลูกแก้ว เขาไม่สนใจอะไร เดินไปข้างหน้าต่อ

แม้เมืองเล็ก แต่มีทุกอย่างครบครัน หลังจากลู่ฝานซื้อแก้วหินมิติที่ไม่เคยเห็นอีกสองสามเม็ด ก็เดินเข้าไปในร้านอาหารแห่งหนึ่ง

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 892
ลู่ฝานไม่รู้ว่าพวกเขาผ่านเมืองมากี่เมือง ผ่านเขตมากี่เขตแล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่แน่ใจได้คือ ถ้าเขาไม่มีรถม้าผ่านมิติคันนี้ ทั้งชีวิตเขาคงเดินทางไม่ถึงสถานที่พวกนี้

ลู่ฝานเห็นคนของบางเขต สวมเสื้อผ้าลินินหยาบ อีกทั้งบางเขตเป็นที่รกร้างทั้งแถบ ผู้คนยังทำการเพาะปลูกแบบเฉือนและเผาอยู่เลย

ระยะห่างระหว่างเขต ดูเหมือนห่างกันมากอย่างชัดเจน ลู่ฝานไม่เข้าใจว่าทำไม แต่จู่ๆ เขาก็เข้าใจว่าบนโลกนี้ ทุกที่ไม่ได้เหมือนเขตตงหวา

ไม่รู้นั่งมานานเท่าไร อาจจะหนึ่งหรือสองวัน

อุโมงค์ข้ามมิติสุดปลายสายตา เริ่มมีทางแยก

จะเรียกว่าทางแยก อันที่จริงมันเป็นทางเล็กๆ มากมาย มีทั้งอุโมงค์ข้ามมิติเป็นทางแคบ อุโมงค์ข้ามมิติไปกลับ มีทั้งอุโมงค์ข้ามมิติไปทางซ้ายขวา

อุโมงค์ข้ามมิติเหล่านี้เหมือนต้นไม้ต้นหนึ่งแผ่กิ่งก้านออกมา ทั้งเล็กและมีอย่างมากมาย

อุโมงค์ข้ามมิติที่เป็นสายหลัก แม้ดูใหญ่แบบนั้น แต่ไม่ได้มีแค่หนึ่งทาง

ตอนนี้พวกหยวนเลี่ยเดินออกมาจากเรืออีกครั้ง

มองอุโมงค์ข้ามมิตินับไม่ถ้วน จากไกลๆ สุดสายตา หยวนเลี่ยยิ้มแล้วพูดว่า “ดูเหมือนใกล้ถึงจุดเสริมแล้ว สหายลู่ฝาน นายรู้ไหมว่าอะไรคือจุดเสริม”

ลู่ฝานอมยิ้มแล้วส่ายหน้า เขามองออกว่าหยวนเลี่ยเป็นคนที่ชอบช่วยอธิบายให้คนฟัง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ลู่ฝานจึงไม่อยากทำให้เขาเซ็ง

หยวนเลี่ยยิ้มแล้วพูดว่า “จุดเสริม ก็คือสถานที่ที่เตรียมอาหาร เสื้อผ้า และของใช้ ให้คนที่ผ่านไปมา ขณะเดียวกันก็วางขายสิ่งที่หาซื้อจากที่อื่นไม่ได้ ฉันว่าสหายลู่ฝานต้องสนใจแน่นอน”

ลู่ฝานยิ้มบางๆ เขาสนใจมากจริงๆ

ตอนนี้เฝิงอิ่งเดินออกมาเช่นกัน เธอพูดว่า “ฉันได้ยินพ่อพูดว่าของที่จุดเสริมแพงแทบตาย ซื้อง่ายขนาดนั้นที่ไหนกันล่ะ”

พูดจบ เฝิงอิ่งกลอกตาใส่ลู่ฝาน เหมือนสายตาบอกว่า “นายมีเงินซื้อไหม”

ลู่ฝานไม่สนใจการดูหมิ่นแบบนี้สักนิด

เพราะยังไงซื้อได้ก็ไม่ซื้อ ซื้อไม่ได้ก็ไม่ซื้อ ยิ่งไปกว่านั้นลู่ฝานคิดไม่ออกจริงๆ ว่าบนโลกนี้ มีสถานที่ไหนที่ฐานะอย่างผู้ฝึกชี่ซื้อของไม่ได้

ถ้ามีจริง เขาจะไปดูให้เห็นแน่นอน

หลังผ่านไปหนึ่งวัน ในที่สุดลู่ฝานและคนอื่น ก็มาถึงจุดเสริมที่พูดถึงกัน

มองจากไกลๆ มันเป็นกลุ่มเมฆที่ลอยอยู่ในอุโมงค์ข้ามมิติ เป็นสีดำและสีขาว ด้านนอกมีสิ่งที่ผ่านเดินทางผ่านมิติจอดอยู่ไม่น้อย

สิ่งที่เดินทางผ่านมิติเหล่านี้ ส่วนใหญ่จะเป็นเรือ ส่วนอย่างอื่นก็มีห้อง ใบบัว ลู่ฝานยังเห็นดอกบัวอีกสองสามดอกด้วย

“ถึงแล้ว!”

หยวนเลี่ยมองกลุ่มเมฆสีขาวดำ แล้วตะโกนออกมาอย่างตื่นเต้น บังคับเรือเข้าไปใกล้ๆ สองสามคนเด้งตัวลงมา

ลู่ฝานก็พาสิบสามกับเจ้าดำเดินออกจากรถม้า เหยียบลงบนกลุ่มเมฆ ลู่ฝานรู้สึกผิดปกติ สัมผัสนุ่มนิ่ม ราวกับเหยียบบนดอกฝ้าย

“แก้วหินมิติชั้นดี เป็นตัวเลือกแรกของการสร้างสิ่งที่เดินทางผ่านมิติ หมื่นทอง ราคาขาดตัว อย่าพลาด เร่เข้ามาๆ”

“จุดบันทึกสมบูรณ์แบบประเทศอู่อาน แผนที่เส้นทางหนึ่งฉบับ ตัวเลือกที่ดีที่สุดในการเดินทางของคุณ”

“มาดูได้เลย สิ่งอากาศธาตุหายากหลากหลายชนิด มีแค่คุณคิดไม่ถึง ไม่มีอะไรที่ซื้อไม่ได้!”

……

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 891
เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติเหรอ ลู่ฝานแอบเดาเอาเอง

ชะงักไปครู่หนึ่ง ลู่ฝานถามต่อ “ในเมื่อมีเส้นทางการเคลื่อนตัวเพียงทางเดียว แล้วกลับยังไงเหรอ”

หยวนเลี่ยพูดว่า “ง่ายเหมือนกัน แค่ไม่ต้องเดินทางหลวง นอกจากทางหลวง ในฟ้าและดินนี้ ยังมีการเคลื่อนตัวเล็กๆ น้อยๆ อีกนับไม่ถ้วน นายควบคุมสิ่งที่เดินทางผ่านมิติ แล้วตั้งใจหาก็พอแล้ว ใช่สิ สิ่งที่เดินทางผ่านมิติของนาย น่าจะมีจุดบันทึกเอาไว้นะ เป็นกระจกบันทึกว่านายผ่านที่ไหนมาบ้าง มันจะบอกนายว่าไปถูกทางหรือเปล่า”

ลู่ฝานหันไปมองด้านล่างตัวรถ ยิ้มแล้วพยักหน้า

สิบสามที่อยู่ด้านในก็มีสีหน้าเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง รู้สึกว่าพื้นรถอันนี้มีประโยชน์อย่างนี้นี่เอง

เหมือนการที่หยวนเลี่ยได้คลายความสงสัยให้คนอื่น ตัวเองก็ดีใจมาก เขาพูดต่อ “ลู่ฝาน นายรู้จักสัตว์อากาศธาตุไหม”

ลู่ฝานส่ายหน้าพูดว่า “ไม่รู้จัก ฟังดูเหมือนสัตว์อสูรบางชนิด”

หยวนเลี่ยยิ้มแล้วพูดว่า “ใช่ ในอุโมงค์ข้ามมิติ อันที่จริงไม่ได้มั่นคง มีสัตว์อากาศธาตุแปลกๆ อยู่ด้วยเหมือนกัน ฉันได้ยินพ่อพูดว่าถ้าเจอต้องระวัง สัตว์อากาศธาตุพวกนี้แข็งแกร่งมาก ถ้าไม่มีพละกำลังจะรับมือยากมาก”

ลู่ฝานพยักหน้าเข้าใจแล้วพูดว่า “ขอบใจมากที่เตือน”

หยวนเลี่ยเพิ่งพูดจบ เฝิงอิ่งที่เงียบอยู่ข้างๆ มาตลอดพูดว่า “สัตว์อากาศธาตุเจอง่ายขนาดนั้นซะที่ไหนกันล่ะ ตอนนี้สัตว์อากาศธาตุบนถนนหลวง โดนกำจัดจนไม่เหลือแล้ว หยวนเลี่ย นายไปดูจุดบันทึกภาพสิ อีกนานแค่ไหนจะถึงจุดเสริมอากาศธาตุที่แรก ใจฉันลอยไปที่จุดเสริมอากาศธาตุนั่นตั้งนานแล้ว”

หยวนเลี่ยตอบรับเบาๆ โบกมือให้ลู่ฝานแล้วพูดว่า “สหายลู่ฝาน อีกเดี๋ยวค่อยคุยกัน ฉันไปดูจุดบันทึกภาพก่อน”

ลู่ฝานยิ้มแล้วพยักหน้า จุดเสริมอากาศธาตุ เขาก็อยากเห็นเหมือนกัน

เฝิงอิ่งมองลู่ฝานหัวจรดเท้าแล้วพูดว่า “ไม่เข้าใจจริงๆ ทำไมคนอย่างนาย ถึงกล้ามีสิ่งที่เดินทางผ่านมิติ ไม่รู้อะไรสักอย่าง ยังกล้าบุกเข้ามามั่วซั่ว”

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “เป็นของที่คนอื่นให้มา ฉันก็เพิ่งใช้ครั้งแรกเหมือนกัน”

เฝิงอิ่งพูดว่า “คงขโมยมาสินะ”

พูดจบ เฝิงอิ่งเดินกลับเข้าไปในเรือ

เซี่ยงจู้มองลู่ฝานอย่างประเมิน จู่ๆ เขาพูดว่า “อสูรวิเศษบนไหล่นายน่าสนใจนะ ขายไหม”

ลู่ฝานส่ายหน้าเบาๆ

เซี่ยงจู้พูดว่า “นายยังไม่ได้ฟังราคาเลย ฉันให้ยาทิพย์นายได้หนึ่งขวด นี่ไม่ใช่ตัวเลขน้อยๆ เลยนะ”

ลู่ฝานยังส่ายหน้า เซี่ยงจู้ขมวดคิ้วพูดว่า “น่าเบื่อ”

พูดจบ เขาก็เดินเข้าไปในเรือเหมือนกัน

ตอนนี้สิบสามเดินออกมาพูดว่า “ศัตรูเหรอ”

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “แค่นิสัยไม่ดีเท่านั้น ดูแล้วน่าจะเป็นคนดี”

สิบสามพยักหน้า ยืนเงียบๆ อยู่หลังลู่ฝาน

ล้อรถเคลื่อนตัวไปข้างหน้า พูดขึ้นมา รถม้าก็น่าสนใจ เคลื่อนไปข้างหน้าตามพลังฟ้าดิน ล้อรถยังหมุนได้ด้วย ไม่รู้ว่าผู้อาวุโสที่สร้างรถม้านี้คิดยังไง

ลู่ฝานนั่งอยู่ที่หัวรถ ใช้ปราณชี่ของตัวเองบังคับทั้งรถม้าอย่างเงียบๆ

เหมือนที่หยวนเลี่ยพูด รถม้านี้เหมือนกับเครื่องราง

ใส่ปราณชี่เข้าไป ลู่ฝานรู้เรื่องเยอะแยะขึ้นมาทันที

อย่างเช่นรถม้านี้มีภูติอาวุธ แม้เทียบกับภูติอาวุธอย่างไอ้เก้าแล้วยังห่างชั้นกันมาก แต่อย่างน้อยมันก็มีจิตพื้นฐานอยู่เล็กน้อย

รองลงมา เขาสามารถเห็นสถานที่ที่เคลื่อนตัวผ่านทั้งหมด โดยผ่านจุดบันทึกภาพของรถม้า

แม้ภาพดูยุ่งเหยิง แต่อย่างน้อยลู่ฝานก็รู้ว่าตอนนี้พวกเขาเดินทางมาไกลมากแล้ว

ภูเขาและแม่น้ำ กำแพงเมืองคูเมืองและที่รกร้าง เคลื่อนตัวผ่านอย่างรวดเร็ว

บทที่ 890

บทที่ 892

เหมือนอีกฝ่ายไม่ได้มีเจตนาร้าย ลู่ฝานจึงตอบอย่างราบเรียบว่า “ลู่ฝาน มาจากสถาบันสอนวิชาบู๊”

หยวนเลี่ยอึ้งไป แล้วพูดว่า “สถาบันสอนวิชาบู๊ ไม่เคยได้ยินมาก่อน สหายไม่ใช่คนเขตเยี่ยนเหรอ”

ลู่ฝานประหลาดใจเล็กน้อย จู่ๆ เขาหัวเราะแล้วพูดว่า “ไม่ใช่ ฉันมาจากเขตตงหวา”

หยวนเลี่ยนพูดด้วยความตกใจ “เขตตงหวาเหรอ ฉันเคยได้ยิน เหมือนจะเป็นเขตที่ใหญ่มากเขตหนึ่ง นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันเจอคนเขตอื่น สหายก็ไปร่วมการคัดเลือกเหมือนกันสินะ ขึ้นมาคุยกันดีกว่าไหม”

หยวนเลี่ยเชิญลู่ฝานขึ้นมาบนเรือทันที ลู่ฝานยิ้มบางๆ ขณะกำลังจะปฏิเสธ ผู้หญิงอีกคนที่อยู่ข้างๆ พูดว่า “หยวนเลี่ย ทำไมนายแต่เชิญใครก็ไม่รู้ขึ้นเรือล่ะ เขตเล็กๆ แบบเขตตงหวา จะเทียบกับเขตเยี่ยนของเราได้เหรอ นายพูดไร้สาระกับเขาทำไม”

อีกคนหัวเราะแล้วพูดว่า “นานทีจะได้เจอคนเขตอื่นไง แม้เป็นนักบู๊เขตเล็กๆ แต่ทำความรู้จักกับเขตอื่นไว้สักหน่อย ก็ไม่มีอะไรผิดนิ เฝิงอิ่ง เธอไม่ต้องมาขวาง สหาย ฉันชื่อเซี่ยงจู้ ขึ้นมาคุยกันไหม”

ลู่ฝานกวาดตามองทั้งสามคน เป็นชายสองคน หญิงหนึ่งคน ผู้ชายอ้วนคนหนึ่ง ส่วนอีกคนผอม คนหนึ่งเตี้ย คนหนึ่งสูง เซี่ยงจู้ตัวใหญ่มาก หน้าตาดูน่ากลัว

ส่วนผู้หญิงที่ชื่อเฝิงอิ่ง ยังดูสวยนิดหน่อย แต่ก็แค่นิดหน่อยเท่านั้น

ลู่ฝานพูดว่า “ไม่ต้องขึ้นเรือหรอก เราคุยกับแบบนี้แหละดีมากแล้ว ฉันว่าทั้งสามคนควบคุมเรือลำนี้ได้อย่างเชี่ยวชาญ คงรู้ว่าสิ่งที่เดินทางผ่านมิติพวกนี้ใช้ยังไง ช่วยบอกหน่อยได้ไหม”

ลู่ฝานถามคำถามสำคัญที่ตัวเองอยากรู้

เฝิงอิ่งได้ยินคำถามของลู่ฝาน ความดูหมิ่นบนใบหน้าเพิ่มขึ้นอีก

หยวนเลี่ยอึ้งเล็กน้อย หลังจากนั้นหัวเราะเสียงดัง แล้วพูดว่า “ฮ่าๆ สหายลู่ฝาน นายไม่รู้แม้กระทั่งการควบคุมสิ่งที่เดินทางผ่านมิติ แต่กล้าเข้ามาในอุโมงค์ข้ามมิติ นายนี่……เก่งเกินไปแล้ว”

จู่ๆ หยวนเลี่ยไม่รู้จะหาคำไหนมาบรรยายการกระทำของลู่ฝาน แต่เมื่อเห็นเขาหัวเราะเหมือนจะตาย ลู่ฝานทำได้เพียงยิ้มกระอักกระอ่วน

เซี่ยงจู้ที่ชวนลู่ฝานขึ้นมาบนเรือ ตอนนี้แววตาเขามีความดูถูก ไม่พูดอะไรมากอีก มีเพียงหยวนเลี่ยที่พูดด้วยสีหน้าตื่นเต้นว่า “อันที่จริงง่ายมาก ไม่ว่าจะเป็นสิ่งอากาศธาตุแบบไหน ล้วนใช้พลังปราณหรือไม่ก็พลังชี่ควบคุม ใส่พลังของนายเข้าไป มันจะเคลื่อนตัวตามใจนาย นายจะให้มันหยุดมันก็หยุด”

ลู่ฝานส่งเสียงตอบรับ ทำท่าคารวะหยวนเลี่ย เพื่อแสดงความขอบคุณ

หยวนเลี่ยส่ายหน้าไปมาแล้วพูดว่า “เรื่องเล็กน้อย อันที่จริงในอุโมงค์ข้ามมิติ จะหยุดหรือไม่หยุดก็ได้ โดยเฉพาะคนที่เดินทางบนถนนเส้นใหญ่ไปเมืองหลวงเหมือนพวกเรา ปล่อยให้สิ่งที่เดินทางผ่านมิติล่องลอยไปก็พอแล้ว เมื่อถึงจุดหมาย มันจะหยุดเอง”

ลู่ฝานฟังไม่ค่อยเข้าใจ จึงถามว่า “ถนนเส้นใหญ่ จุดหมาย หมายความว่ายังไง”

หยวนเลี่ยพูดว่า “อุโมงค์ข้ามมิติด้านล่างตัวเราคือถนนใหญ่ไง เหมือนกับถนนหลวง ถนนใหญ่แบบนี้ไปแค่เมืองหลวงเท่านั้น นายจินตนาการเมืองหลวงเป็นค่ายกลขนาดใหญ่ก็ได้ พลังฟ้าดินทั้งประเทศอู่อาน ถูกมันดูดมา และกลายเป็นเส้นทางขนาดใหญ่แปดเส้นทาง เราอยู่ในหนึ่งเส้นทางนั้น เมื่อถึงเมืองหลวง อุโมงค์ข้ามมิติจะหายไป ก็เท่ากับถึงจุดหมายแล้วไม่ใช่หรือไง”

ลู่ฝานพยักหน้าเข้าใจ ที่แท้หลักการแบบนี้นี่เอง

เมื่อพูดแบบนี้ อุโมงค์ข้ามมิติ คล้ายถนนหลวงที่ผู้มีความสามารถตั้งใจสร้างออกมาอยู่นิดหน่อย

ลู่ฝานมองอุโมงค์ข้ามมิติขนาดใหญ่ด้านล่าง พลังฟ้าดินที่มากจนสูดเข้าไปทีเดียว สามารถทำให้ท้องแตกตายได้ ลู่ฝานตกใจมาก ผู้มีความสามารถแบบไหนกันถึงสามารถทำได้ระดับนี้

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 889
อุโมงค์ข้ามมิติ เส้นทางฟ้าดินหนึ่งเส้นทางสินะ

อุโมงค์ที่ว่า อันที่จริงก็เหมือนพลังฟ้าดินที่เหมือนสายน้ำไหล พวกมันลอยไปในอากาศธาตุ พร้อมแสงหลากหลายสีสัน

อุโมงค์แบบนี้ กว้างขวางอย่างมาก มองไม่เห็นจุดสิ้นสุด

ไม่มีคลื่น ไม่มีลวดลาย เป็นเพียงแสงกะพริบ และมิติที่รอบๆ เต็มไปด้วยความมืด

นี่คืออากาศธาตุ ลึกล้ำและเงียบสงัด

รถม้าคันหนึ่งเคลื่อนตัวไปข้างหน้า เห็นแบบวับๆ แวบๆ

รถม้าที่โบราณและเรียบง่าย ตัวรถสีดำ ด้านในปูด้วยหนังสัตว์เต็มไปหมด เมื่อนั่งลงไป รู้สึกอบอุ่นสบาย

ตัวรถใหญ่มาก นั่งสิบกว่าคนก็ยังมีพื้นที่เหลือ

สองข้างยังมีไข่มุกเรืองแสงสองสามเม็ด ส่องแสงบางๆ ออกมา ด้านล่างตัวรถเป็นกระจกใส ด้านในเห็นคูเมืองและป่าไม้เมื่อรถเคลื่อนตัวผ่าน ทันใดนั้นก็ผ่านด้านนอกนับไม่ถ้วน

ลู่ฝานนั่งอยู่ในรถม้า มองวิวแสนอัศจรรย์ด้านนอกผ่านทางหน้าต่าง

คนจำนวนมากอาจไม่ได้เห็นภาพแบบนี้ทั้งชีวิต ลู่ฝานจำได้ว่าตอนตัวเองนั่งรถม้า เข้ามาในอุโมงค์ข้ามมิติ ก็ตกใจเป็นอย่างมากเหมือนกัน

ภาพที่รถม้าชนทำลายอากาศธาตุเพียงพริบตา แล้วพุ่งเข้าสู่การเคลื่อนตัว เขาไม่มีทางลืมทั้งชีวิต

อากาศธาตุที่แตกเหมือนกระจก อีกทั้งแสงการเคลื่อนตัวระยิบระยับเช่นนี้ ทำให้ลู่ฝานรู้จักโลกขึ้นมาทันที ที่แท้ยิ่งใหญ่และลึกลับกว่าที่เขาจินตนาการไว้

จนถึงตอนนี้สิบสามยังไม่ใจเย็นลงเลย เขาเอาแต่มองด้านล่างรถม้า มองภาพที่เคลื่อนตัวผ่านไป โดยไม่พูดอะไรสักคำ

เหมือนเจ้าดำก็ตกใจเหมือนกัน มันปีนขึ้นมาบนไหล่ลู่ฝาน หลับตาอยู่ตลอดเวลา

ลู่ฝานละสายตาออกมา เดินมานอกรถม้า

เมื่อมองออกไป โลกช่างมีสีสันและสะดุดตา

ลู่ฝานพูดว่า “อุโมงค์ข้ามมิติ จะพาเราไปถึงเมืองหลวงได้จริงเหรอ”

ตอนนี้สิบสามเงยหน้าขึ้นพูดว่า “ได้”

ลู่ฝานยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “นายมีความมั่นใจมากเลยนะ แต่นายคงไม่รู้แม้แต่จะหยุดรถม้านี้ยังไงสินะ”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ อารมณ์บนใบหน้าลู่ฝานเปลี่ยนไปทันที

ตอนนี้เขาเพิ่งนึกได้ เหมือนว่าเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าหยุดรถม้านี้ยังไง

ลู่ฝานอ้าปาก รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนโง่

สิบสามมองซ้ายมองขวา จากนั้นส่ายหน้าไปมา

จู่ๆ ลู่ฝานก็ไม่พูดอะไร เขากำลังครุ่นคิดว่าจะหยุดรถม้านี้ยังไง

เขาจำได้ว่าตอนรถม้าพุ่งเข้ามาในอุโมงค์ข้ามมิติ เพราะท่านผอ.ใส่พลังเข้าไปในรถม้า งั้นหมายความว่า รถม้าเคลื่อนตัวด้วยพลังสินะ

ลู่ฝานคิดว่าถ้าถึงตอนนั้น ก็ต้องใช้ปราณชี่ของตัวเองทำให้รถม้าหยุดใช่ไหม

นี่เหมือนจะเป็นวิธีแก้ปัญหา แต่ตอนนี้ลู่ฝานไม่กล้าทดลองดู

ขณะที่เขากำลังครุ่นคิด จู่ๆ ลู่ฝานเห็นอะไรบางอย่างลอยมาบนท้องฟ้า เมื่อเพ่งมองดู ลู่ฝานตกตะลึง เขาเห็นเรือลำใหญ่ลำหนึ่ง

ไม่มีใบเรือ ไม่มีไม้พาย

เหมือนบนเรือมีคนยืนอยู่ไม่น้อยด้วย พวกเขามองมาทางลู่ฝานเช่นกัน

“ฮ่าๆ สหายท่านนี้ก็ไปเมืองหลวงเหมือนกันเหรอ”

ชายคนหนึ่งบนดาดฟ้าเรือ พูดด้วยเสียงก้อง ขณะเดียวกันเรือลำใหญ่ก็เข้ามาใกล้ลู่ฝาน ทำให้ลู่ฝานเห็นหน้าพวกเขาชัดขึ้น

เป็นวัยรุ่นสามคน อายุไม่ต่างจากเขาเท่าไร

สวมชุดนักบู๊สุดเนี้ยบ มีเสื้อคลุมสีดำ ด้านบนเขียนว่าสถาบันพิภพ เหมือนเป็นนักเรียนของสถาบันใดสถาบันหนึ่ง

ลู่ฝานตอบกลับอย่างราบเรียบว่า “ใช่ พวกนายก็ไปเมืองหลวงเหรอ”

ชายที่เป็นหัวหน้ายิ้มแล้วพูดว่า “ใช่ คิดไม่ถึงว่าจะเจอคนเพื่อนร่วมทาง ในอุโมงค์ข้ามมิติ ฉันชื่อหยวนเลี่ย ฉันมาจากสถาบันจิตพิภพ ไม่ทราบว่าสหายชื่ออะไร”

ลู่ฝานหมดคำจะพูด ถ้าจุดเล็กๆ เป็นเขตเขตหนึ่ง งั้นจากเขตตงหวาถึงเมืองหลวง ต้องผ่านจุดเล็กมากมายนับพันนับหมื่น

ประเทศอู่อานแสนแปดพันเขต เป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน

พื้นที่หนึ่งเขต นกไม่สามารถบินอพยพไปทางใต้ได้ เขตเป็นพันเป็นหมื่น ถึงนั่งนกปิดฟ้า บินสัก 8-10 ปี ก็บินไม่ถึง

ท่านผอ.ท่าทางรับไม่ได้ของลู่ฝาน ก็หัวเราะอย่างมีความสุข หัวเราะจนฟันจะร่วงแล้ว

ลู่ฝานมองสีหน้าของท่านผอ. สีหน้าไม่สู้ดีเข้าไปอีก

ท่านผอ.มองสีหน้าไม่สู้ดีของลู่ฝาน จู่ๆ ก็พูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “ทำไม นายจะต่อยฉันเหรอ”

ลู่ฝานอึ้งไป ยังไม่ทันพูดอะไร

ท่านผอ.ก็ซัดหมัดเข้ามา หมัดยังไม่ทันโดน ลู่ฝานรู้สึกว่ากล้ามเนื้อทั้งตัวเริ่มสั่นอย่างรุนแรง

พลังอันแข็งแกร่งเหมือนภูเขาขนาดใหญ่ชนในแนวขวาง ทำให้เขาต้องซัดหมัดออกมา

ลู่ฝานแผดเสียง แล้วซัดหมัดออกมา

พลั่ก!

เสียงดังอึกทึกไปทั่ว หมัดของลู่ฝานซัดลงบนฝ่ามือของท่านผอ.

เห็นได้ด้วยตาเปล่า ตัวของท่านผอ.เหมือนน้ำกระเพื่อม

“พลังหมัดดี พละกำลังดี พลังชี่ดี ดูเหมือนนายฝึกพลังความเป็นความตายวนเวียนสำเร็จแล้ว ที่ให้นายเข้าคุกใต้ดินในตอนนั้น เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องจริงๆ”

ท่านผอ.มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง

ลู่ฝานเพิ่งรู้ตัว ท่านผอ.กำลังลองเชิงพลังของเขา

ลู่ฝานมีรอยยิ้มมุมปาก เขาพูดว่า “วิชาระดับฟ้าเป็นวิชาที่คนฝึกฝน อยากฝึกก็ฝึกได้อยู่แล้ว”

ท่านผอ.หัวเราะแล้วพูดว่า “ถ้านักเรียนคนอื่นในสถาบันได้ยินคำพูดของนาย คงอับอายจนฆ่าตัวตายเลยมั้ง วิชาระดับฟ้ายังฝึกสำเร็จได้ ดูเหมือนอนาคตนาย คงกว้างใหญ่กว่าฉัน อย่างน้อยตอนฉันอายุเท่านาย แทบจะไม่กล้ามองวิชาระดับฟ้าเลย หวังว่าหลังจากนายไปเมืองหลวง นายจะสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ออกมาได้”

ลู่ฝานชักหมัดกลับมา พูดอย่างนอบน้อมว่า “ท่านผอ.ช่วยแนะนำวิธีไปเมืองหลวงด้วยครับ”

ท่านผอ.ยิ้มแล้วพูดว่า “พูดอย่างนี้แต่แรก ฉันก็บอกนายไปแล้ว ฟังให้ดี อยากไปเมืองหลวงในเวลาที่สั้นที่สุด มีเพียงสองวิธีเท่านั้น วิธีแรกคือกำหนดจุดค่ายกลเคลื่อนฟ้า ส่วนอีกวิธีคือสิ่งที่เดินทางผ่านมิติ”

ลู่ฝานขมวดคิ้วพูดว่า “ผมเคยเห็นค่ายกลเคลื่อนฟ้า ที่เขตตงหวามีจุดค่ายกลเคลื่อนฟ้าไปเมืองหลวงเหรอครับ แล้วสิ่งที่เดินทางผ่านมิติคืออะไรครับ”

ท่านผอ.พูดว่า “จุดค่ายกลเคลื่อนฟ้าที่ไปเมืองหลวงน่าจะไม่มี ถึงมีก็น่าจะมีแค่ที่เปิดจากเมืองหลวง ไม่สามารถเปิดจากทางนี้ได้ ดังนั้นจึงไม่ต้องคิดเรื่องนี้เลย ส่วนสิ่งที่เดินทางผ่านมิติ เป็นของที่สามารถผ่านอากาศธาตุ มันสามารถทำให้นายเข้าสู่อุโมงค์ข้ามมิติ เดินทางตามพลังฟ้าดิน ระดับความเร็วได้ถึงหมื่นลี้ในพริบตาเดียว มีมันไปเมืองหลวง ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย”

ลู่ฝานฟังอย่างตั้งใจ หมื่นลี้ในพริบตา นี่มันความเร็วระดับไหนกัน เขารีบถามว่า “งั้นที่ไหนมีสิ่งที่เดินทางผ่านมิติครับ”

ท่านผอ.จ้องลู่ฝานอยู่นาน หลังจากนั้นก็สะบัดมือ รถม้าที่ไม่มีม้า ปรากฏอยู่ข้างหน้าลู่ฝาน

รถม้าสีดำขลับ เหมือนสร้างจากเหล็กดำ

ท่านผอ.พูดว่า “นี่คือสิ่งที่เดินทางผ่านมิติ รถม้าผ่านมิติ”

ลู่ฝานสีหน้าตื่นเต้นทันที เขามองท่านผอ.แล้วพูดว่า “ขอบคุณท่านผอ.มากครับ”

ท่านผอ.ยิ้มแล้วพูดว่า “ไปเมืองหลวงครั้งนี้ ไม่ใช่แค่หนทางไกลเป็นร้อยเป็นหมื่นลี้ ลู่ฝาน จำเอาไว้ว่าต้องระวังทุกเรื่อง”

ลู่ฝานก้มตัวต่ำคำนับท่านผอ. แล้วพูดว่า “รับรองว่าทำสำเร็จตามคำสั่งของท่านผอ.แน่นอนครับ”

ท่านผอ.ยิ้มแล้วพูดว่า “ต้องอย่างนี้สิ จำไว้ว่าหลังจากถึงเมืองหลวง มาหาฉันที่ตระกูลเทียนด้วย”

ลู่ฝานคำนับแล้วตอบรับ

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 887
มีงานให้ทำก็มีจนยาวเหยียด พอไม่มีงานก็แค่นิดหน่อย

ลู่ฝานหลบอยู่ในคณะหนึ่งเดียวอย่างสงบสุขไปอีกหนึ่งเดือน

เวลาผ่านไปรวดเร็วเหมือนดีดนิ้ว หายไปอย่างไร้ร่องรอย

วันนี้ลู่ฝานต้องออกจากสถาบันสอนวิชาบู๊ เดินทางไปยังเมืองหลวงเพียงคนเดียว

ตีนเขาอวิ๋น ทุกคนกำลังส่งลู่ฝานออกเดินทาง

เป็นภาพที่โศกเศร้า กระตุ้นต่อมน้ำตา

“ศิษย์น้องลู่ฝาน อย่าลืมเอาของอร่อยกลับมาเยอะๆ นะ ฉันได้ยินว่าขนมกุ้ยฮวาที่เมืองหลวงสุดยอดมาก ส่งกลับมาให้ฉันสักสองกล่อง”

“ศิษย์น้องลู่ฝาน สาวงามที่เมืองหลวงเยอะ ได้ยินว่าสิบนางโลมของประเทศอู่อาน มีเจ็ดคนอยู่ที่เมืองหลวง นายเอากระจกจำภาพบันทึกไว้สิ ถ้าไม่ได้จริงๆ เอาเป็นภาพก็ได้ ต้องเอากลับมาให้ได้นะ ให้ฉันได้เห็นหน่อย”

“ศิษย์น้องลู่ฝาน ดูแลร่างกายด้วย อย่าโดนสาวงามเมืองหลวงเอาไปหมดตัว โอ๊ย ศิษย์น้องหลิงเหยา ฉันพูดผิด เธออย่าถีบฉัน”

“ศิษย์น้องลู่ฝาน ศิษย์พี่ใหญ่ไม่มีอะไรต้องกำชับนายแล้ว สรุปว่ามีอะไรอร่อย มีอะไรสนุก อย่าลืมเอากลับมาให้ศิษย์พี่ใหญ่ก็พอ”

“ลู่ฝาน นายไปก่อน ฉันก็จะไปเที่ยวที่นั่นเหมือนกัน ถ้านายเจออาจารย์อับโชคของฉัน ฝากทักทายเขาด้วย บอกเขาว่าฉันใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ไม่เลวเลย บอกเขาว่าไม่ต้องกังวลใจ”

……

ภายใต้การกำชับอย่างเอาใจใส่ของพวกศิษย์พี่ ลู่ฝานกอดหลิงเหยาอย่างอ่อนโยน และเดินออกจากประตูคณะหนึ่งเดียวทันที

เจ้าดำยืนบนไหล่ของเขา โบกมือให้ทุกคน ดูเหมือนมีความวูบไหวอยู่ในตา สิบสามสะพายย่ามอันเล็ก เขาไม่มีสิ่งของอากาศธาตุ ย่ามเล็กๆ ใบนี้ เป็นข้าวของทั้งหมดของเขา

สุดท้ายลู่ฝานโบกมือให้พวกอาจารย์ หลังจากนั้นก็เดินออกไป เร่งฝีเท้าเร็วขึ้น

“สิบสาม รีบไป ถ้ายังไม่ไป สองสามคนนี้ต้องให้ฉันพาผู้หญิงกลับมาให้พวกเขาแน่ๆ”

สิบสามพยักหน้าแรงๆ รีบเดินตามลู่ฝานไป

เร่งฝีเท้าขึ้น วิชากายเหมือนสายลม

ลู่ฝานกับสิบสามเหมือนสายลมที่พัดอยู่ในป่า ต้นไม้ผ่านตัวพวกเขาจนเกิดเสียง

ไม่นาน ลู่ฝานกับสิบสามมาถึงโถงหลักของสถาบันสอนวิชาบู๊

ท่านผอ.รอพวกเขาอยู่ที่นี่นานแล้ว

เมื่อเห็นลู่ฝานมาถึง ท่านผอ.มีรอยยิ้มเต็มใบหน้า

“มาแล้วเหรอลู่ฝาน”

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านผอ.ครั้งนี้ท่านคงเตรียมสัตว์บินที่ค่อนข้างดีให้ผมใช่ไหม สถาบันสอนวิชาบู๊ที่ยิ่งใหญ่ คงสัตว์บินที่เข้าท่ามาได้อยู่แล้วใช่ไหม”

ท่านผอ.พูดว่า “ฉันคิดไม่ถึงว่านายจะออกจากคุกใต้ดินได้ในระยะเวลาหนึ่งปี จะเตรียมสัตว์บินให้นายได้ยังไงล่ะ อะนี่แผนที่ ดูสถานที่ให้ดี อย่าเดินหลงทางล่ะ”

ลู่ฝานรับแผนที่มา แผนที่ขนาดใหญ่ถูกกางออก ขนาดกว้างหลายเมตร

ลู่ฝานหาอยู่นาน ในที่สุดก็เห็นจุดเล็กๆ ที่ใช้ปากกาสีแดงวาดไว้ “นี่คือเมืองหลวงเหรอครับ”

ท่านผอ.พยักหน้า “ใช่ นี่คือเมืองหลวง งั้นตอนนี้เราอยู่ตรงไหน”

ท่านผอ.วนรอบแผนที่อยู่หนึ่งรอบ จนมาถึงด้านล่าง ชี้ตรงจุดที่เล็กกว่าแล้วพูดว่า “ตรงนี้”

ลู่ฝานเพ่งมองแล้วพูดว่า “นี่คือสถาบันสอนวิชาบู๊เหรอครับ”

ท่านผอ.ส่ายหน้าพูดว่า “ไม่ใช่ ที่นี่คือเขตตงหวา”

ลู่ฝานอ้าปากค้างแล้วพูดว่า “ท่านล้อผมเล่นหรือเปล่า เขตตงหวาอันกว้างใหญ่ แค่จุดเล็กๆ เนี่ยนะ”

ท่านผอ.พยักหน้าพูดว่า “ใช่ จุดเล็กแค่นี้แหละ”

ลู่ฝานกลืนน้ำลาย ถ้าไม่ดูแผนที่ก็ไม่มีทางรู้ ที่แท้ประเทศอู่อานใหญ่ถึงระดับนี้เลย

ลู่ฝานเทียบระยะห่างของจุดเล็กๆ ทั้งสองจุด สีหน้ายิ่งไม่สู้ดี

“ท่านผอ. บอกผมหน่อย ระยะทางไกลขนาดนี้ ผมควรไปยังไง”

ท่านผอ.ยิ้มแล้วพูดว่า “นั่นมันเรื่องของนายแล้ว”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 886
ตอนนี้พูดถึงฮ่วนเย่ว์คณะหนึ่งเดียว ในหัวของทุกคนจะมีคำว่าแม่มด โผล่ขึ้นมาเป็นอันดับแรก

ช่วยไม่ได้ นี่คือฉายาที่นักเรียนคณะอื่นตั้งให้ฮ่วนเย่ว์ แน่นอนว่าฉายานี้ ไม่มีใครกล้าพูดต่อหน้าฮ่วนเย่ว์ เว้นเสียแต่จะหาเรื่อง ไม่งั้นคงไม่แม้แต่จะพูดถึง

ลู่ฝานก็รู้สึกสงสารนักเรียนคณะอื่นเหมือนกัน โดนแม่มดอย่างฮ่วนเย่ว์โมโหใส่ คงไม่ใช่แค่ปัญหาเรื่องอับอายเท่านั้น ไม่รู้คนตั้งเท่าไรที่นอนร้องโอดครวญอยู่บนเตียงในตอนนี้

สลัดความคิดวุ่นวายนี้ออกไป ลู่ฝานเดินออกจากประตูเขา

นอกประตูเขา ใครคนหนึ่งรออยู่นานแล้ว

“ลู่หมิง!”

ลู่ฝานตะโกนเรียกลู่หมิง ด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า

ลู่หมิงได้ยินเสียงก็รีบเดินเข้ามา

“ฮ่าๆ เจ้าบ้าน นับวันนายเก่งขึ้นเรื่อยๆ แล้วนะ การต่อสู้บนเขาวันนั้น แข็งแกร่งจนไร้เหตุผล รอให้พวกลุงรู้ ต้องดีใจมากแน่นอน”

ไม่เจอกันครึ่งปี เหมือนลู่หมิงอ้วนขึ้นเยอะ

ไม่เห็นลู่หมิงที่หล่อสง่า มีความรู้และดูเป็นอิสระแล้ว ถูกแทนที่ด้วยคนอ้วนที่ลงพุงเล็กน้อย

ลู่ฝานมองลู่หมิงตั้งแต่หัวจรดเท้า ยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ได้เจอกันระยะหนึ่ง เหมือนรูปร่างนายเปลี่ยนไป ตอนนี้สถานการณ์ในตระกูลเป็นยังไงบ้าง”

ลู่หมิงหัวเราะแล้วพูดว่า “ดีมาก ไม่ต้องพูดถึงบ้านเก่า เมืองลู่ของพวกเรา คำพูดเราเป็นใหญ่ ส่วนทางเมืองตงหวา ธุรกิจก็เปิดทำการแล้ว ยี่ห้อสินค้าตระกูลลู่ก็แพร่ไปทั่วเขตตงหวา ก่อนเทศกาลเซ่นไหว้ประจำปีปีนี้ มีสองสามคนอยากสอบเข้าสถาบันสอนวิชาบู๊ ได้ยินลุงบอกว่ามีโอกาสมาก”

“สองสามคนเหรอ”

ลู่ฝานหัวเราะ ฟังดูตระกูลลู่ก้าวหน้า เจริญเติบโตขึ้นทุกวันจริงๆ

ลู่หมิงเอาบัตรใบหนึ่งออกมาจากอก ยื่นให้ลู่ฝานแล้วพูดว่า “อะ นี่คือรายรับของตระกูลในปีนี้ นายเอาไปสิ”

ลู่ฝานรับไว้อย่างไม่เกรงใจ เขารู้ว่าถึงไม่รับ ลู่หมิงก็ยัดให้เขาอยู่ดี ใครใช้ให้เขาเป็นเจ้าบ้านตระกูลลู่อย่างสมชื่อในตอนนี้ล่ะ

ลู่หมิงเอาจดหมายออกมาอีกหนึ่งฉบับ แล้วพูดว่า “ตระกูลยังให้ฉันแจ้งนายว่า ก่อนฤดูใบไม้ผลิปีหน้า ต้องไปที่เมืองหลวง เดิมทีหลังจากนายโดนขังที่คุกใต้ดิน ฉันร้อนใจแทบแย่ ตอนนี้นายออกมาแล้ว งั้นทุกอย่างก็โอเค ออกเดินทางในช่วงนี้ ทุกอย่างทันเวลาแน่นอน”

ลู่ฝานพยักหน้าพูดว่า “ใช่ ต้องไปเมืองหลวงอยู่แล้ว ดูเหมือนปีนี้คงไม่ได้กลับไปร่วมเทศกาลเซ่นไหว้ประจำปีแล้ว”

ลู่หมิงหัวเราะแล้วพูดว่า “ไม่มีนายอยู่ ไอ้พวกเด็กเวรนั่นคงผิดหวัง นายรีบไปเถอะ ไม่แน่ปีหน้าอาจกลับมาร่วมงานแต่งของฉันได้”

ลู่ฝานพูดอย่างตกใจเล็กน้อย “นายจะแต่งงานแล้วเหรอ แต่งกับผู้หญิงตระกูลไหนเหรอ”

ลู่หมิงพูดว่า “ความลับ รอนายกลับมาก็รู้เอง”

ลู่ฝานพยักหน้าพูดว่า “โอเค อย่าลืมเหลือที่นั่งให้ฉันล่ะ”

ลู่หมิงหัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “ไม่เหลือที่นั่งให้เจ้าบ้าน ฉันคงโดนคนในตระกูลตีตาย ไปละ เจ้าบ้านไปทำธุระของตัวเองเถอะ”

พูดจบ ลู่หมิงพยักหน้าอมยิ้มให้ลู่ฝาน กำลังจะเดินออกไป

จู่ๆ ลู่ฝานพูดขึ้นมาว่า “เดี๋ยว นายเอาของบางส่วนกลับไปสิ”

พูดจบ ลู่ฝานเอายาที่ตัวเองกลั่นเป็นกองกับสูตรการกลั่นยาให้ลู่หมิง

“กลับไปเชิญผู้ฝึกชี่มาสักคน ใช้สูตรการกลั่นยาเป็นราคา ให้เขาเป็น ให้เขามาเป็นแขกประจำตระกูลลู่ของเรา”

ลู่หมิงตาเป็นประกาย แต่ความนิ่งไม่ได้หายไป

ตอนนี้ลู่หมิงไม่ใช่คนที่ไม่เคยเห็นโลกกว้างเหมือนตอนแรกแล้ว หลังจากโดนลู่ฝานกระตุ้นไปสองรอบ ตอนนี้ลู่หมิงเก็บของด้วยความนิ่งมาก

“เข้าใจแล้ว วางใจเถอะ จะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย”

ลู่หมิงพูดอย่างหนักแน่นมั่นคง หลังจากนั้นหันหลังเดินออกไป

ลู่ฝานมองแผ่นหลังลู่หมิง แล้วยิ้มบางๆ

ลู่หมิงตบพุงตัวเอง หัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “ถ้าลู่ฝานรู้ว่าฉันจะแต่งกับจางเยว่หาน เขาต้องช็อกตายแน่ ช่างเถอะ ตอนนี้ยังไม่บอกเขาดีกว่า”

หลังผ่านไปสองสามวัน ลมพัดเบาๆ ฝนตกอย่างหนัก

ลู่ฝานเดินอยู่ในป่า น้ำฝนหลีกไปข้างตัวเขาโดยอัตโนมัติ ทุกที่ที่ผ่านไป สายฝนไม่โดนตัวเลย

“สิบสาม นายไม่ต้องตามฉันตลอดก็ได้ ตอนนี้นายถึงสถาบันสอนวิชาบู๊แล้ว นายเลือกอยู่ที่นี่ได้”

สิบสามเดินตามเป็นจังหวะ อยู่ด้านหลังลู่ฝาน

ตั้งแต่ลู่ฝานกลับมา สิบสามก็ติดตามข้างกายเขาเหมือนเงา ไม่ว่าเขาไปไหน สิบสามก็จะตามหลังเขาตลอด นี่ทำให้ลู่ฝานปรับตัวไม่ค่อยได้

สิบสามส่ายหน้า ไม่พูดอะไรสักคำ

ลู่ฝานขมวดคิ้วพูดว่า “นายไม่ชอบคณะหนึ่งเดียวเหรอ”

สิบสามส่ายหน้าอีก

ลู่ฝานพูดว่า “ในเมื่อชอบ ทำไมไม่อยู่ที่นี่ล่ะ”

ในที่สุดสิบสามก็พูดออกมา คำง่ายๆ เพียงสองคำ

“เจ้านาย”

ลู่ฝานส่งเสียงตอบว่าอืม รอคำพูดต่อไปของสิบสามเงียบๆ

แต่รออยู่นาน สิบสามก็ไม่พูดต่อ ลู่ฝานขมวดคิ้วพูดว่า “อะไรต่อ”

สิบสามพูดอย่างเฉยชาว่า “เจ้านาย”

คำพูดเหมือนกันไม่มีผิด ครั้งนี้ลู่ฝานฟังเข้าใจแล้ว

“นายจะบอกว่า เพราะฉันเป็นเจ้านายของนาย นายจึงจะติดตามฉันใช่ไหม”

สิบสามพยักหน้าอย่างแรง

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “นายนี่หัวรั้นจริงๆ นะ”

ลู่ฝานเดินไปข้างหน้า เขาเดินลงเขาอวิ๋น

ตรงตีนเขามีหอคอย เป็นลานประลองบู๊ที่คณะหนึ่งเดียวสร้างขึ้นใหม่

พูดขึ้นมา ความเปลี่ยนแปลงของคณะหนึ่งเดียวหนึ่งปีมานี้ ทำให้ลู่ฝานรู้สึกปลงเล็กน้อย

ย้อนกลับไปตอนเข้าเพิ่งเข้าคณะหนึ่งเดียว นั่นคือความลำบากแสนเข็ญอย่างแท้จริง

ทั้งคณะหนึ่งเดียว ขนาดกินข้าวยังต้องไปล่าเหยื่อเอง พวกศิษย์พี่หานเฟิงแทบจะไม่มีเงินซื้อเสื้อผ้าสักตัว

ดูตอนนี้สิ คณะหนึ่งเดียวกลายเป็นคณะที่เหมือนกับคณะอื่นแล้ว

ตึก ศาลาต่างๆ วางเรียงราย สิ่งก่อสร้างต่างๆ ปรากฏขึ้นมา กินดื่มเที่ยวเล่นครบครัน

พวกลู่ฝานไม่มีเงิน แต่ไม่ได้หมายความว่านักเรียนที่เข้ามาใหม่จะไม่มีเงินเหมือนกัน

นักเรียนที่สามารถเข้าสถาบันสอนวิชาบู๊ได้ ส่วนใหญ่เกิดในครอบครัวร่ำรวย ไม่มีเงินไม่สอน ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล

ไม่ใช่ทุกคนที่เหมือนหลิงเหยา ที่ออกมาจากชุมชนแออัดได้ นั่นจำเป็นต้องมีปาฏิหาริย์

“สวัสดีศิษย์พี่ลู่ฝาน!”

นักเรียนสองสามคนโค้งทำความเคารพลู่ฝาน ทุกที่ที่เดินผ่าน มีแต่คนคำนับให้

ลู่ฝานก็ทำความเคารพกลับ เขาไม่ได้คิดว่าตัวเองแข็งแกร่งกว่านักเรียนพวกนี้ คนที่เข้ามาในสถาบันสอนวิชาบู๊ได้ ล้วนเป็นคนที่มีพรสวรรค์ไม่เลว

ในฐานะที่เป็นศิษย์พี่ห้าของพวกเขา ลู่ฝานเป็นคนที่ไม่วางมาดอะไรเลย

สองสามวันมานี้ ทุกคนที่มาขอคำแนะนำอย่างถ่อมตัว ลู่ฝานล้วนแนะนำให้ทั้งนั้น คนที่มาขอลายเซ็น ลู่ฝานก็เซ็นให้ทั้งหมด ทุกคนที่จะมานอน……แค่กๆ อันนี้คงต้องตัดทิ้งไปเลย

เดินออกมาจากประตูเขา ฮ่วนเย่ว์เดินสวนกลับมา

ลู่ฝานเห็นฮ่วนเย่ว์ ก็ยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “วันนี้ไปคณะไหนมาอีก”

ฮ่วนเย่ว์ฉีกยิ้มแล้วพูดว่า “คณะกระบี่ ฉันซัดเสวียนเฟิงจนลุกขึ้นมาไม่ได้เลย อย่างน้อยเขาต้องนอนอยู่บนเตียงประมาณหนึ่งเดือน”

ลู่ฝานคิ้วกระตุก พูดชมว่า “ฝีมือดีมาก”

ฮ่วนเย่ว์ยิ้มแล้วพูดว่า “แน่นอนอยู่แล้ว คิดว่านายได้ผลดีที่คุกน้ำคนเดียวเหรอ หึ พรุ่งนี้ฉันจะไปคณะฟ้าร้องต่อ ถ้าหลัวตานลุกขึ้นมาไม่ได้ ฉันจะซัดคนอื่นในคณะพวกเขาให้แบน”

ฮ่วนเย่ว์หัวเราะออกมา แล้วเดินไปอย่างห้าวหาญทรงพลัง

สองสามวันมานี้ ฮ่วนเย่ว์ที่ไม่สบายใจ ไปท้าสู้ตัวต่อตัวกับคณะอื่นทีละคณะ

ท้าสู้ตัวต่อตัวที่ว่า ก็คือเธอคนเดียวท้าคนของคณะหนึ่ง ยิ่งกว่าที่ลู่ฝานทำในตอนแรกอีก ใครมาก็ซัดคนนั้นจริงๆ

แต่พละกำลังของฮ่วนเย่ว์แข็งแกร่งจริงๆ สองสามวันมานี้ พวกคณะกำแหง คณะนานา คณะศิงขร ล้วนโดนเธอซัดมารอบหนึ่

นี่ไม่ใช่แค่มารยาท แต่เป็นความเคารพเลื่อมใสที่มาจากใจ

อาจารย์เต้ากวงก็ดื่มจนเมา อุ้มเจ้าดำไม่ปล่อย ตะโกนเสียงดังอยู่อย่างนั้น

“ลู่ฝาน ตั้งแต่วันที่นายเข้าคณะหนึ่งเดียวของฉัน ฉันก็รู้ว่านายไม่เหมือนคนอื่น นายดูพวกศิษย์พี่ไม่เอาไหนของนายสิ คนหนึ่งปากเสีย ส่วนอีกสองคนวันๆ ไม่เอาจริงเอาจัง โดยเฉพาะศิษย์พี่ใหญ่ของนาย รู้แค่เรื่องนอนเหมือนหมูตาย คิดว่านอนแล้วจะกลายเป็นเซียนบู๊ได้เหรอ”

หานเฟิงและคนอื่นรีบเอาอาหารยัดใส่ปากอาจารย์เต้ากวง

“อาจารย์ คุณดื่มเยอะแล้ว กินอาหารๆ”

ลู่ฝานหัวเราะเบาๆ คีบเนื้อให้หลิงเหยาหนึ่งชิ้น หลิงเหยามีความสุขจนหน้าแดงระเรื่อทันที

จู่ๆ ลู่ฝานเห็นว่าฮ่วนเย่ว์ที่อยู่ข้างๆ เหมือนจะผิดปกติไป ใบหน้าดูกลุ้มใจ

ลู่ฝานถามว่า “ฮ่วนเย่ว์ เธอเป็นอะไร ไม่สบายเหรอ”

ฮ่วนเย่ว์พูดเสียงดังว่า “ฉันไม่สบายใจ”

พูดจบ คนอื่นหันมามองฮ่วนเย่ว์ด้วยสีหน้างุนงง

ฮ่วนเย่ว์กัดฟันพูดต่อ “คนคณะอื่นเล่นลับหลังกับคณะหนึ่งเดียวของเรา ฉันไม่สบายใจมาก หึ พรุ่งนี้ฉันจะไปท้าประลองกลับ”

ทุกคนหัวเราะเบาๆ คิดว่าฮ่วนเย่ว์กำลังพูดเล่น

ลู่ฝานก็ยิ้มบางๆ ฮ่วนเย่ว์มองรอยยิ้มลู่ฝาน แล้วพูดเสียงดังว่า “ทำไม ไม่ชอบฉันเหรอ”

ลู่ฝานรู้สึกว่าคำพูดของฮ่วนเย่ว์ผิดปกติ ควรเป็น “ดูถูกฉัน” ถึงจะถูก

แต่ลู่ฝานก็ตอบกลับว่า “ไม่จำเป็นหรอก กว่าจะออกจากที่นั่นได้ กินกันเถอะๆ ฝีมือของเจ้าดำมีการพัฒนานะเนี่ย!”

เจ้าดำได้ยินคำชมของลู่ฝาน มันโผล่หน้าออกมาจากอกอาจารย์เต้ากวง แล้วฉีกปากกว้าง

ฮ่วนเย่ว์โยนชามแล้วพูดว่า “ปัญญาอ่อน”

พูดจบ ฮ่วนเย่ว์หันหลังเดินออกไป

ลู่ฝานลูบจมูกแล้วพูดว่า “นี่มันอะไรกัน ฉันพูดผิดเหรอ”

หลิงเหยาที่อยู่ข้างๆ ยังกินเนื้อคำเล็กๆ อยู่ เมื่อได้ยินคำพูดของลู่ฝาน ใบหน้าเหม่อลอย เมื่อกี้เธอใจลอยไปแล้ว

สุ่ยเชียนโหรวที่นั่งอยู่ตรงมุมอีกด้าน เงยหน้ามองลู่ฝานแล้วพูดว่า “นายปัญญาอ่อนจริงๆ”

หานเฟิงเงยหน้าจ้องสุ่ยเชียนโหรว ด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตร สุ่ยเชียนโหรวก้มใบหน้าเย็นชาลง

แสงจันทร์สาดส่องลงมา คืนนี้คณะหนึ่งเดียว เต็มไปด้วยความยินดี

อีกด้านหนึ่ง ในหุบเขา

ท่านผอ.นั่งอยู่หน้าหลุม ลืมตาสองข้างขึ้นช้าๆ

“เขาไปแล้ว”

ท่านผอ.พูดอย่างราบเรียบ

อีกด้านหนึ่ง อาจารย์เมิ่งอวิ๋นกัดฟันพูดด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธ “เขาไปง่ายๆ แบบนี้เหรอ ท่านผอ. ไม่มีวิธีรั้งเขาเหรอ เขาเกือบฆ่าฉัน ไอ้ซิงยวนสมควรตาย”

ท่านผอ.ส่ายหน้าถอนหายใจ แล้วพูดว่า “หนึ่งปีที่แล้วเขาจะไป ฉันยังรั้งไม่ได้เลย ตอนนี้ยิ่งเป็นไปไม่ได้ พลังด้านในคงโดนเขาเอาไปด้วย ตอนนี้ไม่รู้ว่าเขาเข้าสู่มารหรือยัง”

เมิ่งอวิ๋นพูดว่า “ถ้าเขาเข้าสู่มาร ฉันจะฆ่าเขาเป็นคนแรก”

ท่านผอ.พูดว่า “ไม่เพียงแค่เธอ ทั้งใต้หล้าคงไม่ปล่อยเข้าไว้ เขาคงไม่กลับมาแล้ว ที่นี่ก็ไร้ประโยชน์แล้ว เมิ่งอวิ๋น เธอกลับไปเป็นอาจารย์คณะบังเหินต่อเถอะ”

เมิ่งอวิ๋นพูดเสียงเย็นชาว่า “ไม่ แพ้ให้เขาด้วยกระบวนท่าเดียว เป็นความอับอายของฉันทั้งชีวิต ท่านผอ. ฉันจะเข้าคุกน้ำ”

ท่านผอ.พูดว่า “เธอคิดดีแล้วเหรอ”

เมิ่งอวิ๋นพูดว่า “ถ้าไม่ก้าวออกไป ก็ไม่มีทางออกไปได้”

ท่านผอ.เงยหน้ามองฟ้า แล้วพูดว่า “อยากไปก็ไปเถอะ”

ตัวอาจารย์เมิ่งอวิ๋นกลายเป็นแสง หายไปอย่างไร้ร่องรอย

คนบางตา นักเรียนคณะอื่นก็รีบเดินลงเขา ตามพวกเฉียวเซวียนไปอย่างรวดเร็ว

หลังจากเงาของพวกเฉียวเซวียนหายลับไปจากสายตา จู่ๆ กลุ่มนักเรียนพากันล้อมเข้ามา

“ศิษย์พี่ลู่ฝาน เซ็นชื่อให้หน่อย!”

“ศิษย์พี่ลู่ฝานเขียนอะไรก็ได้ให้ผมสักตัวหนึ่ง”

“ศิษย์พี่ลู่ฝานเก่งเกินไปแล้ว สลักอักษรบนตัวผมสักตัว นี่เป็นเกียรติสูงสุดของผม”

……

เสียงตะโกนดังขึ้น ทำเอาลู่ฝานปวดหัวไปหมด

คนพวกนี้เป็นกันเองเกินไปหน่อยนะ

“นักเรียนคณะหนึ่งเดียว เชิญพวกเขาลงเขา เราจะซ่อมลานประลองบู๊”

เสียงหานเฟิงดังขึ้น นักเรียนคณะหนึ่งเดียวส่งเสียงตอบรับเสียงดังทันที รีบเดินเข้ามาดันนักเรียนคณะอื่นออกไป

ลู่ฝานใช้โอกาสนี้ถอยกลับมา ขณะนั้นลู่ฝานเห็นหลิงเหยาเดินเข้ามา

หลิงเหยาเดินเข้ามา เธอหยิกหน้าและแขนของลู่ฝานทันที “ไม่เป็นไรจริงๆ ด้วย ดีมากเลย ลู่ฝาน หนึ่งปีนี้นายสบายดีใช่ไหม”

ในแววตาของหลิงเหยาพร่ามัวเล็กน้อย เห็นแล้วน่าเอ็นดู

ลู่ฝานจิตใจวูบไหวเล็กน้อย ดึงหลิงเหยามาโอบไว้

“วางใจเถอะ ฉันสบายดี”

หลิงเหยาตอบรับเบาๆ

ขณะนั้นเงาใครบางคน เด้งตัวขึ้นมา

“อะไรกัน ลู่ฝานนายวิ่งเร็วขนาดนั้น ฉันตามไม่ทันแล้ว”

เสียงดังตามมาตรฐานของฮ่วนเย่ว์ดังขึ้น

ทันใดนั้น ฮ่วนเย่ว์เห็นลู่ฝานกอดหลิงเหยาเอาไว้แน่น

ฝีเท้าชะงักไปเล็กน้อย ใบหน้าฮ่วนเย่ว์กระตุกนิดหน่อย

ลู่ฝานหันมามองฮ่วนเย่ว์แล้วพูดว่า “เธอมาช้า เรื่องสนุกจบไปแล้ว”

สีหน้าฮ่วนเย่ว์ดูไม่เป็นธรรมชาติ หลังจากมองไปรอบๆ เธอเบะปากพูดว่า “เรื่องสนุกอะไร ก็แค่กลุ่มคนมาประลองไม่ใช่เหรอ”

ยังไม่ทันพูดจบ ฮ่วนเย่ว์เห็นฉู่สิงนั่งเอนอยู่อีกด้าน อีกทั้งยังมีศิษย์พี่ใหญ่ที่มีเลือดบนตัว

ทันใดนั้น ฮ่วนเย่ว์รู้แล้วว่าไม่ธรรมดาขนาดนั้น

ชะงักไปครู่หนึ่ง ฮ่วนเย่ว์ถามว่า “อย่าบอกนะว่าคณะหนึ่งเดียวของเราแพ้”

ลู่ฝานขมวดคิ้วเบาๆ แล้วพูดพึมพำว่า “พวกเรางั้นเหรอ”

ทันใดนั้น ลู่ฝานเพิ่งนึกออก ฮ่วนเย่ว์เข้าคณะหนึ่งเดียว หลังจากการต่อสู้จัดอันดับคณะครั้งที่แล้ว

หานเฟิงเดินเข้ามาพูดว่า “เป็นไปได้ยังไง ศิษย์น้องลู่ฝานรีบกลับมาขนาดนี้จะแพ้เหรอ ฮ่าๆ ศิษย์น้องลู่ฝาน ปีนี้นายไปลำบากในคุกใต้ดิน หรือไปเก็บตัวฝึกฝนกันแน่ ท่านผอ.ให้สิทธิพิเศษกับนายเหรอ”

หานเฟิงทำหน้าทำตา ตบไหล่ลู่ฝานอย่างแรง

ลู่ฝานปล่อยหลิงเหยาที่กอดอยู่ หัวเราะแล้วพูดว่า “ถือว่ามีก็ได้ เจ้าดำล่ะ มันอยู่ไหน”

อาจารย์เต้ากวงพูดเสียงก้องว่า “เจ้าดำยังทำอาหารอยู่ในห้อง สู้ก็สู้เสร็จแล้ว ควรกินข้าวได้แล้ว วันนี้จัดงานเลี้ยงใหญ่!”

นักเรียนทุกคนส่งเสียงเฮขึ้นมาทันที หลังจากนั้นมีกระแสจิตของอาจารย์เต้ากวง ส่งมาข้างหูลู่ฝาน

“ลู่ฝานนายจ่ายนะ เงินเดือนของผู้ตรวจการแบบนายสูงกว่าเราเยอะ”

ลู่ฝานยิ้มบางๆ

……

ตอนกลางคืน เต็มไปด้วยความสุขมากมาย
บนเขาอวิ๋น เต็มไปด้วยเสียงเพลงเคล้าเสียงหัวเราะดัง

งานฉลองที่ยิ่งใหญ่ โต๊ะวางเรียงรายยาวจนเกือบไปถึงตีนเขา

สำหรับนักเรียนคณะหนึ่งเดียว นี่คือวันแห่งเกียรติยศ นี่คือวันแห่งความฮึกเหิม นี่คือวันแห่งความภาคภูมิใจ

ลู่ฝานกลายเป็นเจ้าของงานเลี้ยงโดยไม่ต้องสงสัย เพราะเขาพลิกสถานการณ์ เมื่อเขาปรากฏตัว ก็ซัดจนทำให้การท้าสู้ของคณะอื่นล่าถอยไป

วันนี้ลู่ฝานทำให้ทั้งสถาบันสอนวิชาบู๊รู้ว่าอะไรคืออันดับหนึ่งของสถาบัน

“ศิษย์พี่ลู่ฝาน!”

“สวัสดีครับศิษย์พี่ลู่ฝาน!”

นักเรียนคณะหนึ่งเดียวทุกคนที่เจอลู่ฝาน ล้วนทำความเคารพลู่ฝานอย่างนอบน้อม

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 882
มังกรเพลิงแสดงพลังอำนาจอยู่กลางท้องฟ้าอยู่นาน จึงกลับเข้าไปในตัวลู่ฝาน

“นี่……นี่……นี่……”

อาจารย์เซินถูกลายเป็นใบ้ไปแล้ว

วิทยายุทธแดนปราณชีวิตขั้นแปดอันงดงาม สั่นสะเทือนกว่าอะไรทั้งนั้น

อาจารย์คนอื่นใบหน้าบิดเบี้ยว อาจารย์อู๋โฉวพูดว่า “ฉันคิดว่าเรารวมกลุ่มกันมาคณะหนึ่งเดียวเป็นสิ่งที่ผิดพลาด”

อาจารย์เสวียนคง อาจารย์เสวียนเจินและคนอื่น พากันพยักหน้าเห็นด้วยเป็นอย่างมาก

อี้ไป๋ เสวียนเฟิง หลัวตาน และเฉียวเซวียน มองวิทยายุทธอันน่ากลัวของลู่ฝาน ยืนช็อกอยู่ที่เดิม อ้าปากค้าง

ผ่านไปนาน อี้ไป๋ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ฉันนึกว่าเหรียญทองของฉันจะใหญ่แล้วนะ คิดไม่ถึงเลย”

พูดจบ อี้ไป๋หลับตาลง เรื่องอะไรที่เรารู้ว่าเห็นแล้วจะมารบกวนสายตาและจิตใจเรา ก็อย่าไปมอง

เขากลัวว่าถ้ามองต่อไป จะส่งผลกระทบต่อจิตใจแห่งวิถีบู๊ ที่ลุยไปข้างหน้าอย่างห้าวหาญ ซึ่งกว่าจะได้มามันไม่ง่ายเลย

ชิ้ง!

เสวียนเฟิงโยนกระบี่ตัวเองลงบนพื้น

“จะสู้อะไรอีกล่ะ ไม่สู้แล้ว”

เสวียนเฟิงดูหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด กว่าจะฝึกอย่างเอาเป็นเอาตายมาหนึ่งปีไม่ง่ายเลย รู้สึกว่าตัวเองสู้กับเขา ผลไม่เพียงแต่จะเอาชนะคู่ต่อสู้ไม่ได้ ถึงขนาดที่ความแตกต่างยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าใครเจอเรื่องแบบนี้ ก็ต้องโมโหทั้งนั้น

เสวียนเฟิงหน้าแดงระเรื่อ ทั้งโกรธทั้งอายปะปนกัน เขาเดินออกไปเลย ไม่กล้าอยู่บนเขาต่อไปอีกแล้ว

เขาถึงขนาดไม่กล้ามองลู่ฝานอีก ไม่มีความกล้าที่จะยอมรับพละกำลังของลู่ฝานในตอนนี้ ลู่ฝานจัดการพวกเขาได้ด้วยมือข้างเดียวจริงๆ

เฉียวเซวียนมองลู่ฝานตั้งแต่หัวจรดเท้า ยกมือแล้วก็วางลง

“เฮ้อ มีคนแบบนายกดฉันอยู่ น่าเบื่อจริงๆ น่าเบื่อมาก น่าเบื่อพอสมควร”

เฉียวเซวียนพูดคำว่าน่าเบื่อออกมาติดต่อกันสามครั้ง หลังจากนั้นก็หันหลังเดินไป

ลู่ฝานมองแผ่นหลังเฉียวเซวียน หัวเราะแต่ไม่พูดอะไร ทันใดนั้นเขาหันไปมองหมิงจู

“ศิษย์พี่หมิงจูจะสู้ไหม”

หมิงจูยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่สู้แล้ว ถึงสู้ไปก็สู้ไม่ได้ ลู่ฝาน ถ้ามีเวลามานั่งเล่นที่คณะสงบใจสิ เอาวิธีที่นายยกระดับได้อย่างรวดเร็วขนาดนี้ในช่วงนี้บอกศิษย์พี่สักหน่อยได้ไหม”

ลู่ฝานตอบว่า “ได้อยู่แล้ว”

หมิงจูก็หันหลังเดินออกไป ในลานประลองบู๊เหลือลู่ฝานเพียงคนเดียว

เมื่อปราณชี่ออกมา ทั้งสามคนยอมแพ้

พละกำลังขนาดนี้ ในบรรดานักเรียนสถาบันสอนวิชาบู๊ มีเพียงลู่ฝานคนเดียวที่ทำได้

พวกนักเรียนคณะหนึ่งเดียว พากันอุทานออกมาอย่างตกใจในตอนแรก หลังจากนั้นก็พากันตื่นตะลึง

ขณะนั้น หลังจากเงียบอยู่นาน ในที่สุดมีเสียงเชียร์ดังระเบิดออกมา

“ศิษย์พี่ลู่ฝาน ฉันรักพี่!”

“ศิษย์พี่ลู่ฝานแข็งแกร่งยิ่งใหญ่มาก เก่งมาก พี่เป็นไอดอลของผม”

“ศิษย์พี่ลู่ฝานฉันจะมีลูกให้พี่”

……

ลู่ฝานหันมามองคนพวกนี้แวบหนึ่ง เขาสงสัยเล็กน้อย คนพวกนี้เป็นใครกัน ทำไมถึงยืนอยู่ด้านหลังพวกศิษย์พี่หานเฟิง

แต่มีคนชื่นชมเขา ลู่ฝานก็มีความสุขมาก พยักหน้าเบาๆ ให้คนพวกนี้

ทันใดนั้น นักเรียนหญิงสองสามคนส่งเสียงกรี๊ดออกมา แล้วเป็นลมล้มลงไปบนพื้น

ลู่ฝานลูบจมูก ตัวเองมีเสน่ห์ขนาดนี้เลยเหรอ

ตอนนี้นักเรียนคณะอื่นไม่พูดอะไรสักคำ คนบางส่วนอยากส่งเสียงชื่นชมพร้อมคนคณะหนึ่งเดียว แต่โดนคนข้างๆ รั้งไว้

อาจารย์เซินถูลุกขึ้นกระแอมสองครั้งแล้วพูดว่า “การประลองวันนี้ อืม สิ้นสุดลงแค่นี้แล้วกัน พวกเราขอตัวกลับก่อน!”

อาจารย์คนอื่นลุกขึ้นตาม พยักหน้าเตรียมจะกลับ

ขณะนั้นอาจารย์เต้ากวงหัวเราะ แล้วพูดว่า “ทุกท่านไม่ต้องรีบ ในเมื่อมาแล้ว ดื่มชาแล้วค่อยไปสิ”

อาจารย์เซินถูไม่อยากพูดกับอาจารย์เต้ากวงแม้แต่ประโยคเดียว ตัวกลายเป็นลำแสงออกไปทันที

อาจารย์ฮั่วซานและคนอื่น ไม่ให้อาจารย์เต้ากวงมีโอกาสได้พูดอีก พากันแยกย้ายหายไปอย่างไร้ร่องรอย

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 881
อาจารย์เซินถูกัดเล็บ ทันใดนั้นพูดกับเฉียวเซวียนว่า “เฉียวเซวียน นายไปสู้ อย่างน้อยให้ฉันเห็นว่าระดับของเด็กคนนี้เป็นยังไง อย่าโดนจัดการด้วยกระบวนท่าเดียวก็พอ”

อาจารย์เสวียนเจินพูดเสียงดังว่า “เสวียนเฟิง นายก็ไปสู้ด้วย เอาวิชากระบี่ที่แข็งแกร่งที่สุดออกมา”

อาจารย์อู๋โฉวพูดกับหมิงจูว่า “เธอก็ไปสู้ด้วย แต่ระวังหน่อย”

ส่วนอาจารย์ชีหลินกลับรั้งนักเรียนด้านหลังเขาไว้

“พวกนายไม่ต้องเข้าไป เข้าไปก็โดนซัดล้มในพริบตาเท่านั้น”

สีหน้าเคร่งขรึม เฉียวเซวียน เสวียนเฟิง และหมิงจู พากันเดินออกมา

ตอนนี้อี้ไป๋ฟื้นขึ้นมา เมื่อเห็นภาพนี้ เขาจะลุกขึ้นมา แต่โดนอาจารย์เสวียนคงกดตัวลงไป

ทั้งสามคนยืนเป็นรูปไตรภูมิ ล้อมลู่ฝานเอาไว้ตรงกลาง

ลู่ฝานกวาดตามองพวกเขา ยิ้มแล้วพูดว่า “สู้เดี่ยวๆ ไม่ได้ เลยจะเป็นกลุ่มเหรอ”

เฉียวเซวียนพูดว่า “ถ้าเป็นคนอื่น เราไม่ทำแบบนี้หรอก”

เสวียนเฟิงพูดว่า “ลู่ฝาน ถ้านายไม่เอาจริง จะรู้สึกผิดต่อพวกเรามากนะ”

หมิงจูยิ้มแล้วพูดว่า “ลู่ฝาน ถ้านายกล้าลงมือรุนแรงกับฉัน ระวังฉันจะพูดไม่ดีเรื่องนาย ต่อหน้าศิษย์น้องหลิงเหยานะ”

ลู่ฝานยิ้มแหย กระดิกนิ้วให้ทั้งสามคน เพื่อบอกให้พวกเขาเข้ามาได้แล้ว

เสวียนเฟิงขมวดคิ้วพูดว่า “ลู่ฝาน นายไม่คิดจะใช้กระบี่เหรอ”

ลู่ฝานพูดอย่างเฉยเมยว่า “นั่นต้องดูความสามารถของพวกนายแล้วล่ะ”

เมื่อได้ยิน เฉียวเซวียนแผดเสียงออกมา ตัวเสวียนเฟิงกลายเป็นแสงกระบี่ หมิงจูยกมือสะบัดพลังปราณออกมาเป็นแถบ ทั้งสามคนพุ่งเข้ามาพร้อมกัน

แม้ทั้งสามไม่เคยร่วมมือกันมาก่อน แต่เมื่อกระบวนท่าจู่โจมออกไป ดูรู้ใจกันเป็นอย่างมาก ทันใดนั้นตาข่ายฟ้าดินก่อตัวขึ้นรอบๆ ลู่ฝาน

ลู่ฝานยังคงยกนิ้วขึ้นมานิ้วเดียวเหมือนเดิม แตะลงกลางอากาศเบาๆ

ทันใดนั้น พลังฟ้าดินรอบๆ ถูกกำจัดออกไปอย่างรวดเร็ว ทั้งสามคนที่พุ่งเข้ามาโจมตีเขา ถูกผลักออกไป

ลู่ฝานกำมือข้างหนึ่ง พลังฟ้าดินพวกนั้นถูกเขาดึงกลับมาอีกครั้ง

การปล่อยและเก็บนี้ ทำลายกระบวนท่าของทั้งสามคนยังไม่เท่าไร ยังทำลายสมดุลพลังปราณของพวกเขาทันที

ทั้งสามคนโดนลากมาข้างหน้าลู่ฝาน แต่ตอนนี้เสวียนเฟิงยังตวัดกระบี่ออกมา

แม้ปฏิกิริยาของเขารวดเร็ว กระบี่หนึ่งเมตรโจมตีออกมา ภายในระยะหนึ่งเมตร กระบี่เดียวปาดคอ

ส่วนเฉียวเซวียนพุ่งชนมาทางลู่ฝาน ท่าแนบตัว ทุกอย่างยอมศิโรราบ!

หมิงจูดูสง่างามที่สุด เดินอ้อมมาด้านหลังลู่ฝาน เอาอาวุธออกมาจากแขนเสื้อ จู่โจมกระบี่ออกมาสิบกว่าครั้งต่อเนื่องกัน

เพียงพริบตา ลู่ฝานโดนทั้งสามคนล้อมฆ่าเหมือนเดิม พลังไม่ลดลงเลย!

ชิ้งชิ้งชิ้ง!

เสียงดังขึ้นมา พลังทั้งสามคนโดนต้านทานเอาไว้ทั้งหมด

เมื่อเพ่งมองไป เห็นร่างกายลู่ฝานเหมือนเหล็กกล้า ไม่ขยับไปไหน ปล่อยให้พวกเขาโจมตี

หลังจากนั้น กล้ามเนื้อดีด พลังแว้งกัด ทั้งสามคนส่งเสียงโอดครวญออกมาพร้อมกันทันที เผยให้เห็นช่องโหว่

“แย่แล้ว!”

อาจารย์เซินถูส่งเสียงด้วยความตกใจ

ทันใดนั้น ปราณชี่บนตัวลู่ฝานระเบิดขึ้น

“พุ่งไป!”

ตู้ม! พายุเพลิงเหมือนมังกรซ่อนกายโผล่ออกมาจากที่ลึก ส่งเสียงคำรามออกมา

ทั้งสามโดนระเบิดจนปลิว เพลิงบนตัวลู่ฝานลุกโชนขึ้นสูง เสียงมังกรคำรามดังสนั่น

“ปราณชีวิตขั้นแปด!”

พวกอาจารย์ลุกขึ้นยืนพร้อมกัน พูดเสียงหลงด้วยความตกใจ

นักเรียนนับไม่ถ้วนปิดปากตัวเอง มองทุกอย่างด้วยความไม่อยากเชื่อ

มังกรเพลิงคำรามอย่างโมโหบนท้องฟ้า ลู่ฝานยืนยิ้มบางๆ อยู่ที่เดิม

นี่คือพละกำลังที่แท้จริงของเขา!

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 880
นี่คือวิชาสายฟ้าฟาดห้าธาตุระดับสูงสุด ทำได้ถึงขั้นนี้ นอกจากอาจารย์ฮั่วซานคณะฟ้าร้อง คนอื่นรวมถึงหลัวตาน แค่เคยได้ยินแต่ยังไม่เคยเห็น

วันนี้หลัวตานใช้ร่างกายตัวเองสัมผัสกับความรู้สึกของห้าสายฟ้ารวมเป็นหนึ่งอย่างเต็มที่

พลังสีดำ แสดงถึงพลังทำลายล้าง แค่พริบตาเดียว ก็โจมตีพลังปราณที่ป้องกันตัวเขาจนกระจายและพังทลาย

เมื่อสายฟ้าสามสีบนตัวเขาอยู่ต่อหน้าลู่ฝาน มันน่าขำอย่างเห็นได้ชัด

พลังกำเริบในตัว หลัวตานได้รับบาดเจ็บทันที พลังที่มีออร่าทำลายล้าง ทำให้หลัวตานไม่มีความคิดตอบโต้กลับเลยแม้แต่น้อย

ไม่ว่าจะเป็นพลังปราณของเขา หรือร่างกายของเขา อยู่ภายใต้พลังแบบนี้ อ่อนแออย่างเห็นได้ชัด

ราวกับเยื่อกระดาษ พังทลายลงมาทั้งหมด

เรียกได้ว่าตอนนี้แค่ลู่ฝานเกิดความคิดขึ้นมา หรือไม่สนใจอะไรทั้งนั้น หลัวตานต้องตายแน่นอน

ถึงมีอาจารย์ฮั่วซานอยู่ข้างๆ ก็ช่วยยาก

แต่หลัวตานไม่ใช่เอี๋ยนชิง ลู่ฝานจึงไม่ได้ลงมือรุนแรง เขาแค่ต้องการสั่งสอนหลัวตานเท่านั้น

พลังสีดำเคลื่อนไหวในตัวหลัวตานอยู่รอบหนึ่ง หลังจากนั้นก็หายไปเอง

ตอนนี้หลัวตานอุทานออกมา แล้วพ่นเลือดออกมา

ในเลือดมีแสงสายฟ้า เมื่อหยดลงบนพื้นเกิดเสียงดังเหมือนไฟช็อต

“นาย……นายฝึกวิชาสายฟ้าฟาดห้าธาตุสำเร็จแล้ว!”

แววตาหลัวตานวูบไหว เขารู้สึกว่าใจตัวเองกำลังจะแตกสลายแล้ว

พยายามสุดกำลัง ทุ่มสุดตัวเพื่อฝึกฝนวิชา ยังเทียบกับที่เขาเคยเห็นเพียงรอบเดียวไม่ได้

ลู่ฝานพูดว่า “ก็แค่วิชาสายฟ้าฟาดห้าธาตุ ยากมากเหรอ”

ประโยคนี้ ทำให้อาจารย์ฮั่วซานหน้าเปลี่ยนสีทันที เหมือนโดนคนตบหน้า

ถึงเป็นเขา ก็ฝึกมาเป็นหลายสิบปี กว่าจะฝึกถึงขั้นห้าสายฟ้ารวมเป็นหนึ่ง

ตอนนี้ลู่ฝานฝึกสำเร็จได้ง่ายดายขนาดนี้ ถ้าไม่เห็นด้วยตาตัวเอง ฮั่วซานคงไม่มีทางเชื่อ

หลัวตานโดนเยาะเย้ยแบบนี้ เขากระอักเลือดออกมาอีกครั้ง

ลู่ฝานไม่อยากจะมองหลัวตานสักนิด คนที่แพ้คามือเขาติดต่อกันสองครั้ง ไม่มีค่าให้เขาสนใจ

หนึ่งปีก่อนหน้านี้ หลัวตานยังพอสู้กับเขาได้สองสามกระบวนท่า แต่ตอนนี้ความแตกต่างของทั้งสองคน ราวกับฟ้าและดิน

นักเรียนทุกคนพากันเงียบ รวมไปถึงนักเรียนคณะหนึ่งเดียวด้วย ล้วนสูดหายใจเฮือกด้วยความหวาดกลัว

ความแตกต่างนี้ ใครจะไปคาดคิดได้ล่ะ

นี่ยังใช่นักเรียนไหม นี่มันอาจารย์สู้กับศิษย์ชัดๆ

ตั้งแต่ต้นจนจบ แค่ขยับนิ้วเพียงนิ้วเดียว กดฝ่ามือลงด้านล่างครั้งเดียว

หลังจากนั้นหลัวตานที่เพิ่งอวดดียโสโอหังก็พ่ายแพ้

แพ้อย่างราบคาบ ไร้ความสามารถและน่าสงสารมาก

ตอนนี้เสวียนเฟิง หมิงจูและเฉียวเซวียน ไม่มีใครมีรอยยิ้มบนใบหน้าแล้ว

พวกเขาก็คิดไม่ถึงเหมือนกัน ผ่านไปหนึ่งปี ลู่ฝานกลายเป็นคนที่พวกเขานำมาเปรียบเทียบด้วยยากแล้ว

อาจารย์เซินถูกัดฟันพูดว่า “เด็กคนนี้ ฉันอยากทดสอบพละกำลังของเขาด้วยตัวเองแล้ว ความก้าวหน้าของเขา เหมือนปีศาจชัดๆ”

อาจารย์อู๋โฉวก็พูดว่า “ดูเหมือนการที่ท่านผอ.ให้เขาเข้าคุกใต้ดิน คงมีเป้าหมายอะไรบางอย่าง ฉันอยากรู้มาก เขาได้ฝึกวิชานั่นของคุกใต้ดินหรือเปล่า”

อาจารย์เซินถู อาจารย์เสวียนเจิน และอาจารย์เสวียนคง พากันตัวสั่น พูดพร้อมกันว่า “เป็นไปไม่ได้”

อาจารย์อู๋โฉวพูดว่า “พวกนายคิดว่าคนอย่างเขา มีคำว่าเป็นไปไม่ได้เหรอ”

ทุกคนเงียบ อาจารย์ฮั่วซานพาหลัวตานกลับมาด้วยตัวเอง ขณะเดียวกันก็หลับตาลง

เมื่อไม่เห็น ใจก็ไม่หงุดหงิด ฮั่วซานไม่อยากเห็นรอยยิ้มสดใสบนใบหน้าเต้ากวงจริงๆ เหมือนเก็บเงินได้อย่างไรอย่างนั้น

บทที่ 879

บทที่ 881

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 879
ลู่ฝานเดินออกมา กวาดตามองทุกคนด้วยสายตาราบเรียบ แล้วพูดว่า “ลู่ฝานคณะหนึ่งเดียว โปรดชี้แนะด้วย”

คำพูดแสนคุ้นเคย ทำให้เสวียนเฟิง เฉียวเซวียน หลัวตาน และหมิงจู หัวเราะออกมาเบาๆ

หลิงเหยายืนท่ามกลางผู้คน มองลู่ฝานยืนตระหง่านอยู่ตรงนั้น น้ำตาทำให้ดวงตาพร่ามัว

“ฉันรู้ว่านายต้องไม่เป็นอะไร นายแข็งแกร่งขนาดนี้ จะเป็นอะไรได้ยังไง!”

หลิงเหยาพึมพำเบาๆ ตอนนี้ลู่ฝานมองเห็นเธอแล้ว ลู่ฝานพยักหน้าเบาๆ ส่งสายตาให้เธอวางใจ

จู่ๆ หลิงเหยาก็ไม่ต้องการอะไรแล้ว วันนี้มาคณะหนึ่งเดียว คุ้มค่าแล้ว!

หลัวตานก้าวออกมา เผยพลังบนตัวออกมา

“การประลองเมื่อกี้ไม่นับ ลู่ฝาน มาสู้กับฉันสักสองสามกระบวนท่าสิ”

สายฟ้าสามสีพลุ่งพล่าน ตอนนี้หลัวตานมีพลานุภาพมหาศาล

ทุกคนมองหลัวตานกับลู่ฝานด้วยสีหน้าคาดหวัง พวกเขาอยากดูว่าผู้ชายที่ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นตำนานในสถาบันสอนวิชาบู๊ หลังผ่านไปหนึ่งปีจะมีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง

เขาเข้าไปในคุกใต้ดิน ไม่มีใครรู้ว่าเขาเจออะไรในคุกใต้ดินบ้าง

จะแข็งแกร่งขึ้นหรืออ่อนแอลง จะก้าวหน้าหรือถอยหลัง วันนี้จะได้เห็นผลแล้ว

พวกอาจารย์เริ่มสนใจ จากสายตาของพวกเขา ก็ยังดูสภาพแท้จริงของลู่ฝานในตอนนี้ไม่ออก

สถานการณ์แบบนี้ ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ยังไม่เคยได้ยินเรื่องอาจารย์ดูระดับวิทยายุทธของนักเรียนไม่ออก

พวกเคล็ดวิชาบู๊ อาจมีตอนที่ดูไม่ออก เป็นเรื่องปกติมาก หนึ่งการใช้งานต่อคน

แต่ระดับวิทยายุทธ นี่เป็นเรื่องที่ผู้แข็งแกร่งมองผู้อ่อนแอออกเพียงแวบเดียว แต่วันนี้กลับไม่สามารถใช้งานได้

ลู่ฝานแค่ยืนอยู่ตรงนั้น แต่กลับทำให้คนรู้สึกยืนอยู่ท่ามกลางหมอก ไม่เห็นโฉมหน้าที่แท้จริง

ลู่ฝานมองสายฟ้าสามสีบนตัวหลัวตาน หัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “วิชาสายฟ้าฟาดห้าธาตุ สามสายฟ้าสิงร่าง ระดับไม่เลวเลย”

หลัวตานพูดว่า “ฉันลืมไปเลย นายก็เคยเห็นวิชาสายฟ้าฟาดห้าธาตุ ในเมื่อดูออกแล้ว ก็รับกระบวนท่านี้ไปเป็นไง”

พูดพลาง หลัวตานยกมือขึ้นมาสะบัด สายฟ้าสามสายฟ้ากลายเป็นหนึ่ง พื้นที่รอบๆ แยกออกอย่างรุนแรง

พลานุภาพของกระบวนท่านี้ เหนือกว่ากระบวนท่าที่ใช้กับศิษย์พี่ใหญ่เมื่อกี้

พลังน่ากลัวทำให้พื้นที่รับไม่ไหวจนพังลงมา พวกอาจารย์เลิกคิ้วขึ้นเบาๆ

แต่จู่ๆ ทุกคนถึงกับตาค้าง

ลู่ฝานยืนนิ้วหนึ่งนิ้วออกมาเบาๆ ต้านทานสายฟ้าตรงหน้าเอาไว้

สายฟ้าทั้งสามเหมือนภาพลวงตา หยุดอยู่ตรงหน้าลู่ฝาน

ลู่ฝานไม่ได้ปล่อยพลังบนตัวออกมาเลยสักนิด แต่เขากลับทำได้ถึงขั้นที่ใช้นิ้วเดียว ต้านทานท่าไม้ตายของหลัวตานเอาไว้

“อะไรกัน”

หลัวตานพูดอย่างตกใจ

ลู่ฝานมองหลัวตาน ส่ายหน้าเบาๆ แล้วพูดว่า “วิชาสายฟ้าฟาดห้าธาตุ ไม่ได้ใช้แบบนาย”

พูดพลาง ลู่ฝานใช้มือเดียวบีบพลังสายฟ้านั่นจนกลายเป็นเสี่ยงๆ

ต่อมา ลู่ฝานกดฝ่ามือลงกลางอากาศเบาๆ พื้นดินสะเทือน พลังน่ากลัวทำให้หลัวตานทรุดลงกับพื้น

ฟ้าดินรอบๆ มีสายฟ้าเล็กๆ นับไม่ถ้วนปรากฏออกมา ควบคุมหลัวตานเอาไว้ทันที สายฟ้าสีดำผ่าลงมาบนตัวหลัวตานเต็มๆ

ลู่ฝานพูดอย่างเฉยเมยว่า “นี่ต่างหากคือวิชาสายฟ้าฟาดห้าธาตุ!”

สายฟ้าไม่ได้ผ่าก้อนหินกระจาย พื้นดินไม่ได้ไหม้เกรียม ไม่มีแม้แต่ฝุ่นควันลอยขึ้นมา

พลังนี้รวมตัวโดยไม่แยกจากกัน ไม่ได้ไหลออกไปข้างนอก บ่งบอกว่าระดับการควบคุมของลู่ฝานสูงพอ

สายฟ้าสีดำนี้ ทำให้นักเรียนคณะฟ้าร้องจำนวนไม่น้อยรู้สึกสะเทือนขวัญ

วิชาสายฟ้าฟาดห้าธาตุ แม้สายฟ้าห้าชนิดไม่มีสีดำ แต่สายฟ้าทั้งห้ารวมเป็นหนึ่ง จะเป็นสีขาวและสีดำ

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 878
“ฉันได้ยินว่าคนที่ถูกขังในคุกใต้ดิน ต้องโดนทำลายวิทยายุทธ ตอนนี้เขายังมีพลังไหม”

“เจ้าโง่ ไม่เห็นเหรอว่าเขายังแบกกระบี่หนักเล่มนั้นอยู่เลย ถ้าโดนทำลายวิทยายุทธจริง จะแบกไหวได้ยังไง”

……

ทุกคนถกเถียงกันเบาๆ

มีทั้งความตกใจหวาดกลัว มีทั้งความเลื่อมใสศรัทธา มีทั้งความตกตะลึง มีทั้งความอิจฉา

อารมณ์ต่างๆ ปรากฏออกมา ลู่ฝานไม่สนใจสักนิด

ลู่ฝานเดินไปข้างหน้าช้าๆ สุดท้ายเขาหยุดสายตาลงที่ศิษย์พี่ใหญ่และคนอื่น

เมื่อเห็นศิษย์พี่ฉู่สิงบาดเจ็บสาหัส เห็นศิษย์พี่ใหญ่มีเลือดตรงมุมปาก สีหน้าลู่ฝานไม่สู้ดีเล็กน้อย

“ศิษย์พี่ฉู่สิงเป็นอะไรไป”

ฉู่สิงยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่มีอะไร ศิษย์น้องลู่ฝาน ฮ่าๆ ฉันว่าแล้วนายต้องกลับมาแน่นอน คุกใต้ดินเล็กๆ ขังนายไม่ได้หรอก นายกลับมาได้ถูกจังหวะพอดี ถูกจังหวะพอดี!”

ฉู่สิงใช้แรงบีบไหล่ลู่ฝานแล้วเอ่ยขึ้น

ลู่ฝานไม่พูดพร่ำทำเพลง เอายาออกมากำหนึ่ง ยัดให้ศิษย์พี่ฉู่สิง

เมื่อเห็นศิษย์พี่ใหญ่ ลู่ฝานตัดสินใจเอายาออกมาอีกหลายกำ

ยาหนึ่งกำมือ อย่างน้อยก็ประมาณหลายสิบเม็ด เทียบได้กับยาหลายขวดแล้ว คนที่อยู่ในนี้ คงมีเพียงลู่ฝานที่ทำแบบนี้ได้ นับยาแบบเป็นกำมือ

ยาแต่ละเม็ดส่งกลิ่นยาหอมฟุ้งไปทั่ว เป็นประกายเรืองรอง ทำให้คนจิตใจวูบไหว

ยาเป็นกำ ถูกยัดเข้าไปในมือทั้งสองคน ฉู่สิงกับศิษย์พี่ใหญ่มีสีหน้าตกใจมาก

หานเฟิงสูดหายใจเฮือกแล้วพูดว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน นายไปชิงเซียนบำเพ็ญชี่คนไหนมาอีก ไม่ต้องใช้ขวดยาแล้วเหรอ”

ลู่ฝานยิ้มบางๆ เขาไม่บอกพวกเขาหรอกว่าเขาใช้ขวดยาหมดไปแล้ว จึงไม่มีอะไรให้ใส่

พวกนักเรียนคณะหนึ่งเดียวด้านหลัง อ้าปากค้างมองความใจป้ำของลู่ฝาน

จู่ๆ พวกเขาพบว่าทั้งคณะหนึ่งเดียว คนที่รวยที่สุดไม่ใช่อาจารย์ แต่เป็นศิษย์พี่ลู่ฝาน

มองดูสไตล์แบบนี้ เอายาออกมาเป็นกำ นักเรียนที่สายตาไม่เลว มองยาพวกนี้ออก แต่ละเม็ดอย่างน้อยอยู่ในระดับยาวิเศษ เรียกได้ว่าเอาออกไปขายเพียงหนึ่งเม็ด ก็มูลค่าสูงมากแล้ว แล้วทั้งกำจะราคาเท่าไร

นักเรียนจำนวนไม่น้อยถึงกับกลอกตามองบน

ศิษย์พี่ใหญ่สะกดกลั้นความตกใจของตัวเอง สำหรับเรื่องความรวยของลู่ฝาน พวกเขามีความมั่นใจอยู่ในใจ

แม้ตกใจ แต่ก็ไม่ได้ตกใจมากเป็นพิเศษ

ศิษย์พี่ใหญ่เก็บยาแล้วพูดว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน ระวังคนพวกนี้ไว้ พวกเขาตั้งใจมาหาเรื่องประลอง”

ลู่ฝานพยักหน้าพูดว่า “ผมได้ยินมาแล้ว คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะกล้ามาก่อเรื่องที่คณะหนึ่งเดียวของเรา”

ลู่ฝานเงียบครู่หนึ่ง แล้วพูดต่อ “งั้นก็ซัดพวกเขากลับไปซะ!”

เมื่อพูดออกมา หานเฟิงและคนอื่นฉีกยิ้มทันที

รู้อยู่แล้วว่าลู่ฝานจะพูดแบบนี้ พวกเขาเดาไม่ผิดสักนิด

อาจารย์เต้ากวงพูดด้วยสีหน้ากังวล “ลู่ฝาน ร่างกายนายเป็นยังไงบ้าง”

ลู่ฝานพูดว่า “ดีจนไม่รู้จะดียังไงแล้วครับ อาจารย์ เรื่องวันนี้ให้ผมจัดการเถอะครับ”

อาจารย์เต้ากวงพยักหน้าอย่างปลาบปลื้ม ตั้งแต่เห็นลู่ฝานปรากฏตัวออกมา อันที่จริงเขาก็รู้แล้วว่าเรื่องวันนี้จบลงแล้ว

คนพวกนี้คิดจะมาเอาเปรียบคณะหนึ่งเดียวง่ายๆ ยังไงก็มีราคาที่ต้องจ่ายอยู่แล้ว

ทางด้านนี้ หลัวตานตื่นเต้นจนไม่เป็นตัวของตัวเองแล้ว

“ฮ่าๆ ลู่ฝาน ในที่สุดนายก็กลับมาแล้ว รู้ไหมฉันรอนายมานานแค่ไหน ดีมากๆ วันนี้ไม่เสียเที่ยวที่มาคณะหนึ่งเดียว ในที่สุดก็บีบให้นายออกมาได้”

ลู่ฝานหันหน้ามามองหลัวตาน

ผู้ชายที่แพ้คามือเขาเมื่อหนึ่งปีก่อน เหมือนจะเปลี่ยนแปลงไปเยอะมาก พลังบนตัวใช้ได้เลย แต่ก็แค่ใช้ได้เท่านั้น

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 877
อาจารย์เต้ากวงพูดว่า “ถือว่าพวกนายชนะแล้ว”

เมื่อคำนี้ออกมา นักเรียนคณะหนึ่งเดียวต่างมีสีหน้าแค้นเคืองใจเป็นอย่างมาก

หลัวตานขมวดคิ้วพูดว่า “น่าเบื่อ คณะหนึ่งเดียวก็แค่นั้น”

คำพูดของเขา ทำให้ไฟโกรธของหานเฟิงลุกโชน เขาชี้หน้าหลัวตานแล้วพูดว่า “ไอ้โง่หลัว นายพูดอะไร กล้าก็พูดอีกรอบสิ”

หลัวตานโดนคนเรียกว่าไอ้โง่หลัว เขาหน้าเปลี่ยนสีทันที

ฉายานี้คนในบ้านชอบแกล้งเรียกเขาตอนเด็กๆ ในคณะฟ้าร้องมีคนรู้น้อยมาก ถึงรู้ก็ไม่กล้าเรียกต่อหน้าทุกคนแบบหานเฟิง

หลัวตานพูดอย่างเย็นชาว่า “ฉันบอกว่าคณะหนึ่งเดียวของนาย ก็แค่ชื่อเสียงไม่สมคำร่ำลือ ก็แค่ชนะได้เป็นอันดับหนึ่งของคณะเมื่อปีที่แล้วครั้งเดียวเท่านั้น ทำเหมือนรู้สึกว่าเป็นผู้นำของสถาบันสอนวิชาบู๊ อันที่จริงพละกำลังก็แค่งั้นๆ”

“พอแล้ว!”

อาจารย์ฮั่วซานขัดคำพูดของหลัวตาน ยิ้มแล้วพูดว่า “หลัวตาน ชนะแล้วยังด่าคนอื่น มันไม่ดีนะ”

หลัวตานคำนับแล้วพยักหน้า มองหานเฟิงอย่างดูหมิ่น แล้วหันหลังเดินกลับไป

หานเฟิงก่นด่าออกมาว่า “ไอ้โง่หลัว มีปัญญาก็อย่าหนีสิ มาสู้กับฉันสักสามร้อยรอบ!”

ฉู่เทียนที่อยู่ข้างๆ รีบรั้งเขาไว้ แล้วพูดเบาๆ ว่า “ศิษย์น้องหานเฟิง อย่าโวยวาย นายก็คงจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลัวตานเหมือนกัน”

หานเฟิงพูดเสียงดังว่า “กลัวอะไร แค่วิชาสายฟ้าฟาดห้าธาตุธรรมดาๆ เขาคิดว่าเขาเจ๋งมากเหรอ ผมเห็นมาเยอะแล้ว ศิษย์พี่ฉู่เทียนปล่อยผมนะ ผมจะซัดเขาให้แบนเลย!”

แต่คำพูดของเขา ทำได้เพียงเรียกเสียงหัวเราะของนักเรียนคณะอื่น

“เฮ้อ ทำให้ฉันผิดหวังจริงๆ ฉันนึกว่าคณะอันดับหนึ่งไร้เทียมทานของสถาบัน จะเก่งขนาดไหน”

“ใช่ อันที่จริงก็แค่เท่านี้ ฉันว่าเราสองสามคณะมาด้วยกัน เป็นการให้ค่าคณะหนึ่งเดียวเกินไปหน่อย”

“อันที่จริงฉันคิดว่าคณะฟ้าร้องมาแค่คณะเดียวก็พอแล้ว”

“คณะหนึ่งเดียวคณะอันดับหนึ่ง คงรักษาไว้ไม่ได้แล้ว ฮ่าๆ นั่งรอการต่อสู้จัดอันดับคณะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ”

…..

นี่เรียกว่ามีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น นี่เรียกว่าได้ทีขี่แพะไล่

ถ้าครั้งนี้คณะหนึ่งเดียวสู้กับคณะชั้นนำต่างๆ และรักษาชัยชนะเอาไว้ได้ พวกเขาคงไม่กล้าพูดอะไรมาก

แต่ตอนนี้ การประลองสี่รอบ เสมอสามรอบ แพ้หนึ่งรอบ

สิ่งสำคัญที่สุดคือ รอบที่แพ้คือความพ่ายแพ้ของศิษย์พี่ใหญ่คณะหนึ่งเดียว

หนึ่งปีมานี้ ภายนอกของนักเรียนคณะหนึ่งเดียวกำลังจะเปลี่ยนไป

อาจารย์เต้ากวงแค่ถอนหายใจยาวออกมา ส่ายหน้าไม่พูดอะไร

หานเฟิงโกรธจนกัดฟันกรอด เขาผลักศิษย์พี่ฉู่เทียนออก เตรียมจะก่นด่าออกมา

แต่ขณะนั้น เงาใครคนหนึ่งเดินขึ้นมาบนบันไดหินช้าๆ

กระบี่หนักใหญ่เหมือนบานประตู สวมชุดนักบู๊ทั้งตัว สายตาแน่วแน่ สีหน้าเฉยชา

เมื่อคนคนนี้ปรากฏตัว สายตาทุกคนที่อยู่ในนี้ พากันมองไปที่เขา

“ลู่ฝาน!”

“ศิษย์น้องลู่ฝาน!”

เสียงตกใจดังขึ้น ศิษย์พี่หานเฟิงหัวเราะเสียงดัง

หลัวตานและคนอื่นสีหน้าตกใจ จ้องหน้าลู่ฝานเขม็ง

เป็นเขา เป็นเขาจริงๆ เขากลับมาแล้ว!

ลู่ฝานกวาดตามองรอบๆ พูดอย่างเฉยชาว่า “คึกคักจริงๆ”

ลมพัดผ่านจนเสื้อปลิว

“เขาคือศิษย์พี่ลู่ฝานเหรอ ว้าว กระบี่ของเขาใหญ่กว่าที่ฉันจินตนาการไว้อีก”

“ศิษย์พี่ลู่ฝานกลับมาแล้ว ครั้งนี้พวกคณะฟ้าร้องคงอวดดีไม่ได้แล้ว”

“ศิษย์พี่ลู่ฝานหล่อมาก โอ๊ย เขามองมาแล้ว เขามองฉัน ประคองฉันหน่อย ฉันจะเป็นลมแล้ว”

“ลู่ฝานออกมาได้ยังไง เขาโดนขังไว้ในคุกใต้ดินไม่ใช่เหรอ อย่าบอกนะว่าท่านผอ.ปล่อยเขาออกมาแล้ว”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 876
“ฟาดฟัน!”

กระบี่โจมตีออกมา ตัวหลัวตานกลายเป็นแสงสายฟ้าสีทอง

ชิ้ง!

สายฟ้าสีทองร่วงลงบนท้องของศิษย์พี่ใหญ่ สายฟ้าโดนพลังที่มองไม่เห็นขวางไว้หนึ่งฟุตอีกแล้ว

ศิษย์พี่ใหญ่ใช้ฝ่ามือตบลงบนกระบี่ของหลัวตานอย่างนิ่งๆ ทันใดนั้นกระบี่สายฟ้าสีทองโดนตบจนแตกเป็นเสี่ยงๆ ตัวของหลัวตานก็สั่นสะเทือนไปด้วย

แววตาหวาดกลัวเล็กน้อย ตัวของหลัวตานมีสายลม พัดมาด้านหลังศิษย์พี่ใหญ่

พลิกมือทั้งสองข้าง กระบี่สองเล่มปรากฏออกมา

มือซ้ายเป็นกระบี่สายฟ้าสีทอง!

มือขวาเป็นกระบี่ลม!

กระบี่คู่รวมตัวกัน ทำลายความว่างเปล่า!

พลังสองพลังกลายเป็นพายุทอร์นาโดสายฟ้า ร่วงลงกลางหลังของศิษย์พี่ใหญ่

ครั้งนี้สายฟ้าทำลายพลังที่มองไม่เห็นหนึ่งฟุตได้แล้ว อีกนิดเดียวจะโดนผิวหนังของศิษย์พี่ใหญ่แล้ว

ศิษย์พี่ใหญ่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ยกมือขวาขึ้นมา กดลงกลางอากาศ

ทันใดนั้น ทุกคนรู้สึกว่าพื้นที่รอบๆ ยุบลงไปเพราะการกระทำนี้ หลัวตานโดนกดลงบนพื้นทันที

หลุมรูปคนปรากฏขึ้นชัดเจน!

หลัวตานโมโหแล้ว เขาแผดเสียงออกมา “สามสายฟ้ารวมตัว!”

สายฟ้าเพลิงบนท้องฟ้าผ่าลงมา ผ่าลงมาบนตัวของหลัวตานเต็มๆ

สีเขียว สีแดง สีทองสลับกันไปมา ขนและผมของหลัวตานลุกชันทั้งตัว จ้องศิษย์พี่ใหญ่เขม็ง

ตอนนี้ศิษย์พี่ใหญ่สัมผัสถึงอันตรายที่ใกล้มาถึง ในที่สุดเขาปล่อยพลังปราณของตัวเองออกมา

เมื่อพลังปราณธาตุดินออกมา ทุกคนในที่นี้เห็นอย่างชัดเจนว่า สิ่งที่อยู่ด้านหน้าศิษย์พี่ใหญ่หนึ่งฟุตคืออะไร นั่นเป็นพลังธาตุดินที่โดนกดถึงขั้นสุด เหมือนกับเปลือกหนึ่งชั้น ปกคลุมศิษย์พี่ใหญ่เอาไว้

หานเฟิงพูดอย่างตกใจ “ศิษย์พี่ใหญ่คิดกระบวนท่าแบบนี้ออกมาได้ด้วยเหรอ”

อาจารย์เต้ากวงพูดว่า “ฉันค่อนข้างตกใจว่าเขาทำได้ยังไง พกพลังขั้นสุดยอดแบบนี้ออกไปเดินทั่วทุกวันเหรอ”

ศิษย์พี่ใหญ่จู่โจมด้วยหมัด โดนตัวหลัวตานเต็มๆ

ใบหน้าหลัวตานบิดเบี้ยว แต่เขาก็ซัดหมัดกลับมาใส่หน้าศิษย์พี่ใหญ่เหมือนกัน

เดิมทีความเร็วของสายฟ้า ควรเร็วจนเหลือแค่สายฟ้าเดียวสิถึงจะถูก

แต่หมัดของหลัวตานเข้ามาถึงบริเวณด้านหน้าศิษย์พี่ใหญ่หนึ่งฟุตก็ช้าลงทันที

ราวกับการเคลื่อนไหวช้าอย่างไรอย่างนั้น ค่อยๆ ทะลุทีละนิด ค่อยๆ ร่วงลงบนหน้าศิษย์พี่ใหญ่ทีละนิด

การเคลื่อนไหวช้าจนน่าสงสาร แต่ทั้งสองฝ่ายไม่มีท่าทีจะหลบเลย

ตู้ม พลังสองพลังพุ่งขึ้นสูง

พลังชี่แผ่กระจาย เหมือนคลื่นซัดลงบนตัวทุกคน

จู่ๆ ใบหน้าศิษย์พี่ใหญ่ซีดลงเล็กน้อย อาจารย์เต้ากวงเห็นรายละเอียดนี้ จึงรีบพูดว่า “แย่แล้ว!”

จู่ๆ หลัวตานก็สัมผัสได้ว่าเหมือนพลังของอีกฝ่ายอ่อนแอลงเล็กน้อย

แววตาสว่างวาบ สายฟ้าสามสีบนท้องฟ้าผ่าลงมาพร้อมกัน สายฟ้าหนึ่งระเบิดออกมาจากตัวเขาแล้วพุ่งเข้าไป

“สายฟ้าระเบิด!”

ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!

เสียงระเบิดกลบหูของทุกคน

ศิษย์พี่ใหญ่โดนสายฟ้าสามสีระเบิดใส่จนปลิว

ศิษย์พี่ใหญ่หล่นลงบนพื้น พลังปราณบนตัวทลายลงตามไปด้วย เลือดไหลออกมาจากมุมปาก

หลัวตานยกมือขึ้น เตรียมจะเร่งเครื่องเอาชนะให้ได้

แต่ขณะนั้นอาจารย์เต้ากวงออกมาพูดว่า “พอแล้ว!”

หลัวตานชะงักไป แต่เขาก็ยังไม่กล้าลงมือใส่อาจารย์เต้ากวง จึงชักหมัดกลับมา

อาจารย์เต้ากวงประคองศิษย์พี่ใหญ่ขึ้นมาแล้วพูดว่า “อาการบาดเจ็บเพิ่งหาย จะอวดเก่งอะไร”

ศิษย์พี่ใหญ่ยิ้มแหยแล้วพูดว่า “ขอโทษที่ทำให้คณะหนึ่งเดียวอับอายครับ”

หานเฟิงเดินเข้ามาตรวจสอบในร่างกายของศิษย์พี่ใหญ่ พบว่าแท้จริงแล้ว เส้นลมปราณและกระดูกของศิษย์พี่ใหญ่อ่อนแอจนน่าสงสาร

เพิ่งหายจากอาการบาดเจ็บสาหัสแท้ๆ พละกำลังอ่อนแอลงไปมากกว่า 30 เปอร์เซ็นต์

ลากร่างกายแบบนี้มาสู้กับคน ศิษย์พี่ใหญ่พยายามสุดชีวิตแล้ว

อาจารย์ฮั่วซานลุกขึ้นพูดว่า “เต้ากวง นายหมายความว่ายังไง ขัดขวางการประลองเหรอ”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 875
ศิษย์พี่ใหญ่ยกมือขึ้นมา แรงกระเพื่อมสีเหลืองมัสตาร์ดกระเพื่อมอยู่บนตัว

ระยะเวลาแค่หนึ่งปี ศิษย์พี่ใหญ่ผอมลงไม่น้อยเลย แม้ตอนนี้ยังดูอ้วนอยู่ แต่เป็นคนอ้วนที่มีสัดส่วน

วิทยายุทธก็ไม่ได้ยกระดับเท่าไร ตอนนี้อยู่แค่แดนปราณชีวิตขั้นต้นเท่านั้น

เส้นทางวิถีบู๊ ทำได้เพียงปีนขึ้นไปให้สูงขึ้นเรื่อยๆ จะหยุดพักไม่ได้ แค่คุณเดินช้าลง คนข้างหลังจะอยู่เหนือคุณอย่างรวดเร็ว

ดูพลังปราณบนตัวศิษย์พี่ใหญ่ ใบหน้าหลัวตานมีรอยยิ้มไม่สบอารมณ์

“ดูเหมือนคนที่เคยเป็นอันดับหนึ่งของสถาบัน ตอนนี้หมดสภาพอย่างแท้จริงแล้ว”

หลัวตานปล่อยพลังปราณบนตัวออกมาเช่นกัน แสงสว่างสามแสงรวมตัวบนตัวเขาพร้อมกัน มีแสงสายฟ้ากะพริบขึ้นมา

ทุกคนพูดอย่างตกใจว่า “วิถีบู๊สายฟ้าอีกแล้ว”

ศิษย์พี่ใหญ่ขมวดคิ้วแน่นแล้วพูดว่า “วิชาสายฟ้าฟาดห้าธาตุ นายฝึกจนได้สายฟ้าสามสีแล้วเหรอ”

หลัวตานพูดอย่างเยาะเย้ยเล็กน้อย “สายตาไม่เลวนี่ ใช่ ตอนนี้ฉันมีสายฟ้ารวมสามสายฟ้าแล้ว นายแน่ใจเหรอว่าจะสู้กับฉัน ฉันบอกไปแล้วว่านายไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉัน”

ขณะนั้นศิษย์พี่ใหญ่หัวเราะ แต่รอยยิ้มของเขา เฉยเมยและราบเรียบมาก

ราวกับว่าถึงเป็นวิชาสายฟ้าฟาดห้าธาตุของหลัวตาน สำหรับเขามันก็แค่นั้น

“พละกำลังของนายก้าวหน้าขึ้นจริงๆ”

ตอนนี้ศิษย์พี่ใหญ่ถอยหลังไปหนึ่งก้าว ขจัดพลังปราณบนตัวออกไป

หลัวตานมองศิษย์พี่ใหญ่อย่างไม่เข้าใจ แล้วพูดว่า “นายยอมแพ้แล้วเหรอ”

ศิษย์พี่ใหญ่ยิ้ม ไม่พูดอะไร

หลัวตานก็ขี้เกียจพูดไร้สาระกับศิษย์พี่ใหญ่ เมื่อสะบัดมือมีกระบี่ยาวสายฟ้าปรากฏขึ้นในมือ

“สายฟ้าฟาด!”

เมื่อสะบัดกระบี่ ค่ายกลแสงสายฟ้าผูกมัดศิษย์พี่ใหญ่เอาไว้อย่างนั้น

แต่เมื่อแสงสายฟ้าเหล่านี้ เข้าใกล้ด้านหน้าศิษย์พี่ใหญ่หนึ่งฟุต มันก็หยุดลง ไม่สามารถเข้าใกล้ได้อีกแม้แต่นิดเดียว

แม้ด้านนอกตัวมีแสงสายฟ้ามากมาย ฉันยืนตระหง่านไม่ไหวติง

หลัวตานขมวดคิ้วเล็กน้อย เหตุการณ์แบบนี้อยู่เหนือความคาดหมายของเขา

พวกหานเฟิงกับฉู่สิงอึ้งไป พวกเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าศิษย์พี่ใหญ่ใช้กระบวนท่าอะไร

หานเฟิงถามอาจารย์เต้ากวงเบาๆ ว่า “อาจารย์ ศิษย์พี่ใหญ่เรียนกระบวนท่าใหม่อีกแล้วเหรอ”

อาจารย์เต้ากวงส่ายหน้าพูดว่า “เปล่า ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาใช้กระบวนท่าอะไร”

หลัวตานใช้กระบี่แทงไปตรงตำแหน่งหัวใจของศิษย์พี่ใหญ่ แสงกระบี่พลุ่งพล่าน สายฟ้าดุเดือด

ศิษย์พี่ใหญ่ยังคงนิ่ง เมื่อกระบี่ของหลัวตานแทงมาตรงหน้าศิษย์พี่ใหญ่ได้หนึ่งฟุต ก็โค้งงอขึ้นมาเอง

หลังจากนั้น ศิษย์พี่ใหญ่ผลักหลัวตานเบาๆ ฝ่ามือไม่ได้แตะโดนหลัวตานเลยด้วยซ้ำ

แต่หลัวตานเหมือนโดนภูเขาลูกใหญ่ชน กระเด็นถอยหลังออกไป

พลั่ก!

หลัวตานพยายามบิดตัวกลางอากาศ กระบี่สายฟ้าในมือปักลงบนพื้น

ทันใดนั้น หลัวตานมองหน้าอกอย่างละเอียด ตรงนั้นมีรอยฝ่ามือปรากฏขึ้นชัดเจน เกือบกดลงมาในเนื้อของเขาแล้ว

พวกอาจารย์เริ่มสนใจ จ้องศิษย์พี่ใหญ่อยู่อย่างนั้น อาจารย์เซินถูพูดว่า “ไม่เคยเห็นวิชานี้มาก่อน”

อาจารย์อู๋โฉวพูดว่า “มีแนวโน้มของเขตวิถีอยู่บ้าง แต่ทำไมมีแต่ข้างหน้าหนึ่งฟุตล่ะ”

“ไม่เข้าใจ ไม่รู้”

อาจารย์เสวียนคงก็ส่ายหน้าพูดออกมา

อาจารย์ที่อยู่ในนี้ ไม่มีใครสามารถพูดวิชาของศิษย์พี่ใหญ่ออกมาได้สักคน

ตอนนี้หลัวตานเก็บความอวดดี มองศิษย์พี่ใหญ่แล้วพูดว่า “มีฝีมือตามคาด วิชานี้คือเพลงเต๋าหนึ่งเดียวของคณะหนึ่งเดียวเหรอ”

ศิษย์พี่ใหญ่กระแอมสองทีแล้วพูดว่า “ไม่ใช่ เป็นวิชาที่ฉันศึกษาออกมาเอง ตอนนี้ยังอยู่ในช่วงทำให้สมบูรณ์ ถ้านายสามารถทำลายกระบวนท่านี้ของฉันได้ ฉันจะยอมแพ้”

“ได้!”

หลัวตานพูดเสียงดัง

กลางท้องฟ้า สายฟ้าสีทองฟาดลงมา

ทันใดนั้น มีแสงสีทองปกคลุมตัวหลัวตานอยู่หนึ่งชั้น พลังสายฟ้าสีทอง ทำให้หลัวตานเหมือนเทพสายฟ้าลงมาบนโลก

บทที่ 874

บทที่ 876

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 874
เฉียวเซวียนหมุนตัวลงสู่พื้นอย่างสง่า ดึงดาบยาวออกมา

“ชิงดาบ!”

“ดี!”

“ศิษย์พี่เฉียวเซวียนหล่อระเบิดเลย!”

……

กลุ่มนักเรียนคณะกำแหงส่งเสียงตะโกนเชียร์ออกมา

สีหน้าของฉู่สิงกับหานเฟิงเปลี่ยนไปทันที

ก่อนหน้านี้ศิษย์พี่ฉู่เทียนไม่เคยโดนคนชิงดาบ เขาเคยแพ้ เคยล้มเหลว แต่ไม่เคยโดนคนชิงดาบมาก่อน

เฉียวเซวียนบีบดาบของฉู่เทียนเป็นก้อน แล้วโยนลงบนพื้นอย่างไม่เกรงใจ

เมื่อไร้การสนับสนุนจากพลังปราณของฉู่เทียน มันก็แค่ดาบที่ถูกหลอมมาหลายครั้งเท่านั้น

เฉียวเซวียนมองฉู่เทียนที่อยู่ไม่ไกล ค่อยๆ ลุกขึ้นมา แล้วพูดว่า “ดูเหมือนวันนี้คณะหนึ่งเดียว จะแพ้ให้คณะกำแหงของฉันรอบหนึ่งแล้ว”

ฉู่เทียนก้มหน้าลง อารมณ์บนหน้าไม่ทุกข์ไม่สุข

“นายคิดเยอะไปแล้ว”

เพียงประโยคเดียว ทำให้เฉียวเซวียนขมวดคิ้วขึ้นมา

“ไม่มีดาบนายยังอวดดีขนาดนี้ ดูเหมือนจะต้องซัดอีก!”

เฉียวเซวียนเหยียบมาด้านหน้าอย่างแรงหนึ่งก้าว เตรียมปล่อยหมัดซัดฉู่เทียนให้ล้ม

แต่ขณะนั้น จู่ๆ ฉู่เทียนเงยหน้าขึ้นมา

ดวงตาคู่นั้นมันอะไรกัน ลึกล้ำเหมือนท้องฟ้ายามราตรี

พลังอันแข็งแกร่งแผ่ซ่านเข้ามา เหมือนคลื่นยักษ์ที่ตบกะทันหัน ทำให้เฉียวเซวียนถอยหลังไปหนึ่งก้าว

“พลังนี้!”

พวกอาจารย์พูดอย่างตกใจ

ตอนนี้ฉู่เทียนยกมือซ้ายของตัวเองขึ้นช้าๆ

“นักดาบมีสามระดับ ใช้ปราณขับเคลื่อนดาบ แหลมคมต้านทานยาก ใช้มือขับเคลื่อนดาบ ฟาดฟันภูเขาแม่น้ำได้ ใช้ใจขับเคลื่อนดาบ ทำลายได้ทุกสิ่ง”

ฉู่เทียนพูดเว้นวรรค เขายกมือซ้ายของตัวเองขึ้นมา

กำมือเบาๆ ในท้องฟ้ามีสายฟ้าสีขาวสว่างร่วงลงมาบนมือเขา

ต่อมาทุกคนเห็นสายฟ้าน่ากลัว กลายเป็นดาบในมือฉู่เทียน

ตัวของฉู่เทียนกำลังสั่น ใบหน้าก็กระตุก เห็นได้ชัดว่าเมื่อเขารับพลังแบบนี้ เป็นสิ่งที่ไม่ง่ายเลย

สีหน้าเฉียวเซวียนเปลี่ยนไป พลังธาตุดินปกคลุมเขาเอาไว้ทั้งหมด

แสงธาตุดินกระเพื่อมขึ้นมา เฉียวเซวียนแผดเสียงเบาๆ ว่า “การพิทักษ์แห่งโลกหล้า!”

ฉู่เทียนสะบัดดาบสายฟ้าในมืออย่างแรง

เสียงสายฟ้าระเบิดเป็นแถบ แม้แต่ตัวฉู่เทียนเองก็โดนกลืนกินเข้าไปด้วย

พวกอาจารย์ลุกขึ้นพร้อมกัน ใช้พลังปราณออกมา ถ้าพวกเขาไม่ทำแบบนี้ สายฟ้าน่ากลัวนั่น ต้องฆ่าคนที่นี่ตายแน่นอน

ตู้ม!

ครั้งนี้ทั้งลานประลองบู๊โดนทำลายจนหมด รูปทรงกลมที่งดงามแต่เดิม กลายเป็นรูปครึ่งวงกลม ตรงกลางเป็นหลุมลึก

สายฟ้าหายไป อาจารย์ทุกคนต่างตกใจหวาดผวา ถ้าตั้งตัวช้ากว่านี้เพียงนิดเดียว คงวุ่นแน่นอน

“เด็กบ้าคณะหนึ่งเดียว!”

อาจารย์เซินถูแอบก่นด่าออกมา เพ่งมองไปในหลุม เห็นเฉียวเซวียนยืนอยู่ในหลุม ไหม้เกรียมไปหมด

“นายโหดเหี้ยม! นายโหดเหี้ยมมาก!”

เฉียวเซวียนพูดเสียงลอดไรฟันออกมา

ฉู่เทียนไม่ได้พูดอะไร บนตัวเขาก็ดำเป็นแถบเหมือนกัน

ทั้งสองคนล้มลงบนพื้น ไม่รู้ใครแพ้ใครชนะอีกแล้ว

เป็นแบบนี้สามรอบติดกัน พวกอาจารย์เห็นแล้วงงไปหมด

อาจารย์เต้ากวงถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดว่า “ดูเหมือนพวกนายจะเอาชนะคณะหนึ่งเดียวของเราสักรอบ ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนะ!”

พวกอาจารย์พากันเงียบ ขณะนั้นอาจารย์ฮั่วซานพูดว่า “เต้ากวง อันที่จริงนายแพ้แล้ว!”

พูดจบ อาจารย์ฮั่วซานมองไปด้านหลังของอาจารย์เต้ากวง ตรงนั้นเป็นนักเรียนคณะหนึ่งเดียวที่ทั้งตกใจและหวาดกลัวในเวลาเดียวกัน

อาจารย์เต้ากวงครุ่นคิด เข้าใจความหมายของอาจารย์ฮั่วซาน

อาจารย์ฮั่วซานหัวเราะเบาๆ แล้วพูดกับหลัวตานว่า “ไปจัดการพวกเขาให้จบ”

หลัวตานพยักหน้าแล้วเดินออกมา

หานเฟิงกับฉู่สิงพากันหันไปมองทางศิษย์พี่ใหญ่ ใบหน้ามีความกังวล

“ศิษย์พี่ใหญ่ อาการบาดเจ็บของพี่”

ศิษย์พี่ใหญ่ยิ้มบางๆ เดินออกมาช้าๆ แต่อาจารย์เต้ากวงรั้งเขาไว้

“อู๋เหวย เขาพูดถูก เราแพ้แล้ว ถึงนายชนะรอบนี้ได้ การประลองต่อไป คณะหนึ่งเดียวของเราก็ไม่มีใครสู้แล้ว ตอนนี้เรา……”

อาจารย์เต้ากวงยังพูดไม่ทันจบ ศิษย์พี่ใหญ่พูดว่า “อาจารย์ คนของคณะหนึ่งเดียว มีหลักการที่ยอมแพ้ตั้งแต่ยังไม่สู้ด้วยเหรอ!”

พูดจบ ศิษย์พี่ใหญ่ดันมืออาจารย์เต้ากวงออก แล้วเดินออกไป

นักเรียนคณะหนึ่งเดียวจำนวนไม่น้อย ได้ยินคำพูดของเขา นักเรียนคณะหนึ่งเดียวทุกคน เกิดความเลื่อมใสในตัวศิษย์พี่ใหญ่ทันที

หลัวตานมองศิษย์พี่ใหญ่ ขมวดคิ้วเบาๆ แล้วพูดว่า “นายไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉัน”

ศิษย์พี่ใหญ่ยิ้มแล้วพูดว่า “ใช่หรือไม่ ยังไงก็ต้องสู้ถึงจะรู้ ไม่ใช่หรือไง”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 873
ดาบฟันลงมา สายฟ้าฟาดลงมา ฟ้าดินทลาย

ในการมองเห็นมืดทั้งแถบ มีเพียงแสงเดียวร่วงลงมาจากฟ้า ไม่มีเสียง ไม่มีภาพ มีเพียงออร่าสะเทือนขวัญโถมเข้ามา

นักเรียนนับไม่ถ้วนปิดตาสองข้าง ถอยไปข้างหลังสองสามก้าว ตัวโงนเงนไปหมด

แม้เป็นแค่ดาบเดียว แต่กลับทำให้คนทั้งหมดรู้สึกความสั่นสะเทือนของสายฟ้าที่ฉีกท้องฟ้า

หลังจากนั้น เสียงกลับมาอีกครั้ง ทันใดนั้นเสียงระเบิดดังสนั่นไปทั่ว

ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!

เสียงระเบิดดังติดต่อกันไม่หยุด ฝุ่นตลบอบอวล

ทุกคนมองผ่านควันเลือนราง เห็นเงายืนตระหง่านอยู่ในนั้น

อาจารย์เซินถูสะบัดมือเบาๆ ควันหายไปทันที

ภาพที่ปรากฏในสายตา คือฉู่เทียนที่ถือดาบยาวอยู่ในมือ กับเฉียวเซวียนที่ดำไหม้ไปทั้งตัว

“แค่กแค่ก!”

เฉียวเซวียนไอเบาๆ สองครั้ง มีควันออกมาจากลำคอของเขา เห็นได้ชัดว่าเขาบาดเจ็บไม่น้อย ภายใต้ดาบนี้ของฉู่เทียน

แต่เขาไม่ได้โดนดาบฟันจนถึงขั้นขยับไม่ได้ เขาพูดช้าๆ ว่า “ดูเหมือนฉันคงไม่สามารถเสแสร้งจนเกินไป ดาบนี้มีพลังมาก!”

เฉียวเซวียนพูดพลาง พลังปราณสว่างขึ้นบนตัวอีกครั้ง

หานเฟิงพูดเบาๆ อยู่ข้างๆ ว่า “ตอแหลโดนฟ้าผ่า ศิษย์พี่ฉู่เทียนฝึกดาบสายฟ้าเป็นตั้งแต่เมื่อไร”

ฉู่สิงครุ่นคิดแล้วพูดว่า “เหมือนจะเป็นคืนใดคืนหนึ่ง ดูสายฟ้าก็เป็นเลย พูดขึ้นมาก็น่าโมโห ทำไมฉันถึงนั่งเล่นๆ แล้วไม่เข้าสู่แดนปราณชีวิตบ้างนะ”

อาจารย์เต้ากวงพูดอย่างราบเรียบว่า “โชคไม่ถึงน่ะสิ”

ในลานประลองบู๊ เฉียวเซวียนเดินเข้ามาทีละก้าว จนห่างจากฉู่เทียนเพียงสามก้าว

เฉียวเซวียนยกมือซัดหมัดออกไปกลางอากาศ

ฉู่เทียนพลิกมือจู่โจมด้วยดาบโดยไม่มอง สายฟ้าผ่าลงมาอีกแล้ว แต่สายฟ้านี้ดูไม่โหดเหมือนสายฟ้าก่อนหน้านี้

ตู้ม!

เฉียวเซวียนโดนฟ้าผ่าจนตัวงอ พลังปราณบนตัวถูกปาดจนเป็นรอยแคบยาว ร่างกายโดนฟันจนเป็นแผลลึก

“ย๊าก!”

เฉียวเซวียนแผดเสียงออกมาเบาๆ แล้วยืดตัวขึ้นอีกครั้ง โจมตีด้วยหมัดอีกรอบ

พลังหมัดที่ไร้รูปร่างปรากฏออกมา ครั้งนี้ฉู่เทียนถอยหลังไปหนึ่งก้าว

“เข้ามาอีก!”

เฉียวเซวียนพูดเสียงดัง ด้านหลังมีพลังปราณรูปมังกรปรากฏออกมา วิชาราชันมังกร พลังป้องกันของร่างกายเพิ่มขึ้นไม่น้อย บนตัวมีพลังแข็งแกร่งกระเพื่อมอยู่

ฉู่เทียนขมวดคิ้วเล็กน้อย ง้างดาบยาวขึ้นสูง ครั้งนี้มีเสียงดังก้องบนท้องฟ้า

หลัวตานที่ดูอยู่ข้างๆ ขมวดคิ้วเบาๆ แล้วพูดว่า “แบบนี้สิถึงจะสนุกหน่อย”

สายฟ้าปรากฏในก้อนเมฆ เหมือนงูตัวเล็กเลื้อยไปทั่ว

หลังจากนั้นสายฟ้าพวกนี้รวมตัวเป็นกลุ่ม ร่วงลงมาบนดาบของฉู่เทียน

แสงสายฟ้าสว่างวาบ สายฟ้ากระเพื่อมทั้งตัวฉู่เทียน

เฉียวเซวียนหัวเราะเสียงดังแล้วพูดว่า “แบบนี้สิถึงจะสนุก รับหมัดของฉันไปอีกรอบ!”

ฝ่าเท้ากระแทกลงบนพื้นอย่างแรง แผ่นหินขนาดใหญ่โดนเขาเหยียบจนแตกกระเด็นขึ้นมา

เมื่อถีบออกไป แผ่นหินขนาดใหญ่ที่มีรัศมีวงกลมหลายฟุต โดนเฉียวเซวียนถีบออกไป กระแทกไปทางฉู่เทียน

เมื่อสะบัดดาบ แผ่นหินกลายเป็นผุยผง

แต่ต่อมา เงาของเฉียวเซวียนปรากฏขึ้นหลังแผ่นหิน

“โฮก!”

หมัดโจมตีออกมา เสียงคำรามดังขึ้น

ฉู่เทียนสั่นไปทั้งตัว เลือดไหลออกมาตรงมุมปาก

พลิกมือจู่โจมด้วยดาบ ฟันลงบนตัวเฉียวเซวียน ดาบยาวฝังลงบนแขนของเฉียวเซวียน

สายฟ้าอันน่ากลัวทำให้ตัวของเฉียวเซวียน มีเสียงเหมือนไฟช็อตดังออกมา พลังปราณบนตัวทลายลงอย่างรวดเร็ว

เฉียวเซวียนใช้มือข้างหนึ่งจับตัวดาบเอาไว้ จากนั้นถีบลงบนตัวฉู่เทียน

พลังทำให้พื้นที่รอบๆ ยุบลงไป พลังฟ้าดินโดนสะเทือนออกไป ทุกคนรอบๆ รู้สึกถึงลมพายุโถมใส่หน้า

ฉู่เทียนโดนถีบจนปลิว ไม่สามารถจับดาบยาวเอาไว้ได้

บทที่ 872

บทที่ 874

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 872
กลางลานประลองบู๊ เงาของเสวียนเฟิงกับหานเฟิงปรากฏขึ้นอีกครั้ง แต่กระบี่ของพวกเขา กลับโดนขวางเอาไว้ทั้งหมด

กระบี่ของหานเฟิงร่วงลงบนคอเสวียนเฟิง เหลือแค่นิ้วเดียวจะแทงเข้าไปในคอเสวียนเฟิง แต่กลับโดนนิ้วหนึ่งขวางเอาไว้ ส่วนเจ้าของนิ้วก็คืออาจารย์เสวียนเจิน

กระบี่ของเสวียนเฟิงก็ถูกอาจารย์เต้ากวงกันเอาไว้ กระบี่ของเขาหยุดอยู่ตรงหัวใจของหานเฟิง แค่ใช้แรงนิดเดียว ก็สามารถแทงเข้าไปในหัวใจหานเฟิงได้

เสื้อปราณบนตัวทั้งสองคนแตกออกทั้งหมด ถ้าอาจารย์ทั้งสองคนไม่ขวางไว้ จุดจบคงเจ็บหนักกันทั้งสองฝ่าย

จนกระทั่งตอนนี้ ลานประลองบู๊ด้านล่างเท้า มีผุยผงลอยขึ้นมาหนึ่งชั้น

ที่ที่ทั้งสองคนเข่นฆ่ากัน มีรอยแยกเป็นแนวตรงสองรอย ทุกที่ที่ผ่านไป แตกละเอียดเป็นผุยผง

เสวียนเฟิงพูดอย่างราบเรียบว่า “ดูเหมือนจะเสมออีกแล้ว” หลังจากนั้นจึงเก็บกระบี่ในมือกลับมา

หานเฟิงพูดว่า “ถ้านี่ไม่ใช่การประลอง คนที่ตายเป็นนายแน่นอน”

เมื่อพูดจบ แสงสีแดงในตาหานเฟิงหายไป เขาวางกระบี่ฟ้าครามลง

อาจารย์ทั้งสองคนถอนหายใจอย่างโล่งอกออกมาพร้อมกัน มองหน้ากันแล้วพยักหน้า

หานเฟิงกับเสวียนเฟิงก็เดินกลับมา

หานเฟิงบ่นพึมพำว่า “ไอ้เวร ฉันใช้พลังแห่งสายเลือดแล้ว ยังเกือบแพ้ให้นาย ไอ้หมอนี่กินยาเซียนอะไร ให้ตายเถอะ”

เสวียนเฟิงก็แอบกัดฟัน คิดอยู่ในใจ “ฉันกินยาเซียนไปแล้ว ยังเกือบแพ้ให้เขา ไอ้บ้านี่ เขาฝึกฝนยังไงกันนะ”

รอบที่สองจบลงด้วยการเสมออีกแล้ว

อาจารย์เต้ากวงเดินกลับมา ถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดว่า “ดูเหมือนการต่อสู้วันนี้คงไม่ชนะแล้ว”

หานเฟิงพูดเบาๆ ว่า “ทำไมถึงชนะไม่ได้ ยังมีศิษย์พี่ใหญ่กับศิษย์พี่ฉู่เทียนอยู่ กลัวอะไรครับ”

สายตาของฉู่เทียนเอาแต่จ้องไปที่หลัวตานกับเฉียวเซวียน ฉู่เทียนส่ายหน้าเบาๆ แล้วพูดว่า “ฉันจะพยายามเอาชนะให้ได้สักรอบ”

พูดพลาง ฉู่เทียนเดินออกมา ถือดาบยาวไว้ในมือ แม้สายตาราบเรียบ แต่การกระทำของเขา บ่งบอกว่าเขาจะเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่ง

อาจารย์เซินถูหัวเราะแล้วพูดว่า “เสวียนเจิน เสวียนคง ดูเหมือนชัยชนะแรกจากคณะหนึ่งเดียว คงต้องเป็นคณะกำแหงของเราแล้วล่ะ เฉียวเซวียน นายไปสู้ ให้ทุกคนเห็นผลการฝึกฝนหนึ่งปีที่ผ่านมาของนาย”

เฉียวเซวียนกำหมัดเดินออกมา พูดอย่างราบเรียบว่า “ฉู่เทียน เดิมทีเป้าหมายของฉันไม่ใช่นาย แต่ในเมื่อลู่ฝานไม่อยู่ ก็ช่วยไม่ได้แล้ว”

ฉู่เทียนพูดอย่างเฉยเมยว่า “นายอยากสู้กับศิษย์น้องลู่ฝาน กลัวว่ายังไม่มีคุณสมบัติน่ะสิ”

ดาบยาวยกขึ้นมาเป็นแนวนอน ฉู่เทียนพูดว่า “รับดาบของฉันไปก่อน”

เฉียวเซวียนเอาสองมือไพล่หลัง แล้วพูดว่า “ได้ รับดาบของนาย ถ้าดาบนี้ของนายเอาชนะฉันไม่ได้ อย่าหาว่าฉันลงมืออย่างไร้เยื่อใยก็แล้วกัน”

เมื่อพูดเช่นนี้ พลังธาตุดินทะลักขึ้นมาบนตัวเฉียวเซวียน

พลังปราณเหมือนหินปกคลุมทั่วร่างของเขา ดูเหมือนเฉียวเซวียนใส่เกราะหินหนาอยู่หนึ่งชั้น

“แดนปราณชีวิตอีกแล้ว!”

หานเฟิงพูดเบาๆ

ฉู่สิงพูดอย่างอ่อนแรงว่า “ไม่รู้คนพวกนี้ถูกอะไรกระตุ้น เวลาไม่ถึงหนึ่งปี แต่ละคนยกระดับพละกำลัง เหมือนกลับเนื้อกลับตัวอย่างไรอย่างนั้น”

อาจารย์เต้ากวงพูดว่า “ฉันจะบอกให้ว่าได้รับการกระตุ้นอะไร พวกเขาได้รับการกระตุ้นจากลู่ฝาน”

พูดจบ อาจารย์เต้ากวงหัวเราะออกมา

ฉู่สิงกับหานเฟิงคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็หัวเราะตามแล้วพูดว่า “ใช่ พวกเขาได้รับการกระตุ้นจากศิษย์น้องลู่ฝาน ฮ่าๆ โดนกระตุ้นไม่เบาด้วยนะ!”

ในลานประลองบู๊ ฉู่เทียนยกดาบขึ้นมาแล้ว

บนตัวเขาไม่มีพลังห้าธาตุ แต่จู่ๆ ท้องฟ้ากลับมืดลง

เฉียวเซวียนมองเขาอย่างราบเรียบแล้วพูดว่า “คิดไม่ถึงว่านายจะไม่ใช่พลังห้าธาตุ อย่างเช่น ปราณชีวิต แต่เป็นพลังสายฟ้า ดีมากๆ แบบนี้จะได้สู้กันได้หน่อย”

ฉู่เทียนตอบอย่างเฉยเมยว่า “สายฟ้า แข็งแกร่งสุดขีด ปราณหยางสุดขีด เหมาะกับวิชาดาบของฉัน!”

เมื่อพูดจบ ฉู่เทียนฟันดาบลงมา

“ดาบเทียนควบ สายฟ้าฟาดฟัน!”

บทที่ 871

บทที่ 873

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 871
การต่อสู้ยังคงดำเนินไปเรื่อยๆ พลังปราณกระจายไปทั่วลานประลองบู๊

“หานเฟิง ดูไม่ออกเลย ช่วงนี้นายก้าวหน้าขึ้นมากเหรอ”

เสวียนเฟิงพลิกมือใช้กระบวนท่ากระบี่หนึ่งเมตร แสงกระบี่ผ่านไป เกิดรอยแผลเล็กๆ ขึ้นบนตัวหานเฟิง พลังธาตุทองสูงสุดอันแหลมคม ผ่านบาดแผลเข้าไปในตัว ทำลายเส้นลมปราณของหานเฟิงอย่างน้อยหนึ่งเส้นทันที

“นายก็ไม่เลวนิ ให้ตายเถอะ นายก็เข้าสู่วิถีพลังธาตุทองในห้าธาตุเหมือนกันเหรอ แต่นายเทียบกับฉัน ยังห่างชั้นกันอีกเยอะ”

วิชากระบี่ชิงสวรรค์ถูกใช้ออกมา แรงระเบิดรุนแรงกลืนกินทุกอย่าง

หานเฟิงกับเสวียนเฟิงสู้กันแบบไม่ยอมถอยออกจากกัน พื้นดินสั่นสะเทือนไปหมด ลานประลองบู๊งดงามที่กว่าจะซ่อมเสร็จ ตอนนี้โดนพวกเขาสองคนซัดกันจนเป็นหลุม

วิชากระบี่ที่ปล่อยออกมาทุกครั้ง หมายความว่าพื้นจะโดนแยกเป็นรอยแยกลึกรอยใหม่อีก

แค่ผลพวงจากการต่อสู้ของทั้งสองคน ก็สามารถทำได้ถึงขนาดนี้ ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าปราณกระบี่ของทั้งสองคนน่ากลัวขนาดไหน

“ศิษย์น้องหานเฟิง แข็งแกร่งกว่าฉันจริงๆ”

ฉู่สิงรู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อย ศิษย์น้องของตัวเองเหนือกว่า ไม่ใช่เรื่องที่น่ามีความสุขสักเท่าไรนัก

ฉู่เทียนกับศิษย์พี่ใหญ่พยักหน้า แล้วพูดว่า “ใช่ ตอนนี้ศิษย์น้องหานเฟิงแข็งแกร่งมาก แต่เสวียนเฟิงก็ไม่ได้ด้อย”

สีหน้าของอาจารย์เต้ากวงแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม

วิธีต่อสู้ของเสวียนเฟิง ทำให้เขาเห็นเงาของเสวียนเจินในตอนนั้น

“หนึ่งกระบี่กวาดกาแล็กซี่!”

“สามกระบี่สะเทือนทั่วทิศ!”

“ร้อยกระบี่ทำลายขุนเขา!”

“หมื่นกระบี่กลายเป็นโลก!”

เสวียนเฟิงใช้กระบวนท่าติดต่อกันสี่กระบวนท่า แต่ละกระบวนท่าโหดเหี้ยม แต่ละกระบี่ถึงชีวิต

เหมือนเขาเป็นหนึ่งเดียวกับพลังธาตุท้องฟ้าดินขั้นสูงสุด แต่ละกระบวนท่าล้วนมีพลานุภาพพุ่งเข้ามาด้านหน้าอย่างไม่มีอะไรขวางได้

กระบี่ฟ้าครามในมือหานเฟิงหายไปแล้ว มีเสียงกระบวนท่ากระบี่ของทั้งสองคนดังขึ้นในอากาศอย่างต่อเนื่อง

การต่อสู้ของพวกเขาสองคน เหนือกว่าระดับของนักเรียนส่วนใหญ่ในที่นี้

ไม่ว่าจะเป็นนักเรียนที่เข้ามาใหม่ หรือนักเรียนเก่า ล้วนรู้สึกตกตะลึงกับการต่อสู้ของทั้งสองคน

พละกำลังระดับนี้ แข็งแกร่งจนน่ากลัวจริงๆ

อารมณ์บนใบหน้าเสวียนเจิน ไม่มีความผ่อนคลายเหมือนเดิมแล้ว

เดิมทีเขาคิดว่าตัวเองได้ถ่ายทอดวิชากระบี่ห้าธาตุพิฆาตไปแล้ว จะช่วยให้เสวียนเฟิงกู้หน้ากลับมาได้

เดิมทีเขาคิดว่าท่าทางการฝึกฝนกระบี่ อย่างเอาเป็นเอาตายของเสวียนเฟิง บวกกับยาเซียนหนึ่งเม็ด จะทำให้เสวียนเฟิงกลายเป็นที่หนึ่งของสถาบันสอนวิชาบู๊

แต่ดูเหมือนตอนนี้ เขายังคิดง่ายดายเกินไป ไม่ต้องพูดถึงลู่ฝานที่โดนผอ.ขังไว้ หานเฟิงคณะหนึ่งเดียว สามารถสู้กับเสวียนเฟิงได้ถึงขั้นนี้ ดูผลแพ้ชนะไม่ออกเลย

ชิ้ง!

เงาของทั้งสองคนสับหลีกกัน กระบี่ฟ้าครามปรากฏขึ้นในมือหานเฟิงอีกครั้ง

ตอนนี้เสวียนเฟิงพูดแบบหอบหายใจเบาๆ “นายทำให้ฉันโมโหขึ้นมาแล้ว”

พูดพลาง แขนเสื้อของเสวียนเฟิงสะบัดเอง มีพลังน่ากลัวกระเพื่อมไปทั้งตัว

นี่คือท่าไม้ตายของเขา เสวียนเจินเคยบอกเขาอย่างเข้มงวด เป็นท่าไม้ตายที่ห้ามใช้ถ้าไม่ถึงช่วงคับขันถึงชีวิต

การบูชากระบี่!

กระบี่ยาวในมือเขาส่งเสียงครวญครางเท่านั้น แสงบนตัวเสวียนเฟิง เข้าไปในกระบี่ยาวอย่างรวดเร็ว

หานเฟิงจ้องหน้าเสวียนเฟิงเขม็ง กัดฟันแล้วพูดว่า “เชื่อฉันสิ นายโมโหไม่เท่าฉันหรอก!”

เมื่อพูดเช่นนี้ ลูกตาของหานเฟิงกลายเป็นสีแดงก่ำ ทันใดนั้น เขาเข้าสู่สภาวะบ้าคลั่ง

“ฆ่า!”

ทั้งสองแผดเสียงออกมาพร้อมกัน

คนพุ่งขึ้นมา กระบี่โจมตีออกไป!

จู่ๆ มีหลุมปรากฏขึ้นกลางลานประลองบู๊ ทันใดนั้นรอยร้าวนับไม่ถ้วนเริ่มแผ่ออกไป เหมือนทั้งเขาอวิ๋นสั่นเบาๆ ตามไปด้วย

“แย่แล้ว!”

อาจารย์เต้ากวงกับอาจารย์เสวียนเจิน แผดเสียงเบาๆ ออกมาพร้อมกัน

ต่อมาเงาของทั้งสองคนหายไป

บทที่ 870

บทที่ 872

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 870
“ฟาดฟันชี่!”

เมื่อกระบี่ฟันลงมา เมฆกระจาย อากาศแยกออก

ฉู่สิงรู้สึกถึงความอันตรายรุนแรงทันที ความแข็งแกร่งของกระบี่นี้ อันตรายถึงชีวิตเขาแล้ว

“กระบี่มังกรหยินหยาง น้ำแข็งหนา!”

ฉู่สิงตวัดท่ากระบี่ หยินหยางปากว้าด้านล่างเท้าคุ้มกันทั้งตัว น้ำแข็งแผ่ขยายเข้ามา แม้แต่เท้าทั้งสองข้างของอี้ไป๋ก็โดนแช่แข็งไปด้วย

แต่อี้ไป๋ไม่ขยับไปไหน ในสายตาของเขามีเพียงกระบี่ มีเพียงกระบี่นี้เท่านั้น

มีเลือดออกตรงมุมปากของฉู่สิง เขาแผดเสียงออกมา

“ทำลาย!”

อักษร 16 ตัวระเบิดพร้อมกัน ตัวทั้งฝ่ายกระเด็นถอยหลัง

อี้ไป๋กระแทกลงบนพื้น กระบี่ทั้งสี่เล่มหล่นลงข้างตัวเขา ปักลึกลงไปในก้อนหิน

ฉู่สิงกุมหน้าอก นอนแผ่อยู่บนพื้น

ทั้งสองคนดิ้นเพื่อที่จะลุกขึ้นมา

แต่สุดท้ายทั้งสองคนก็ลุกขึ้นมาไม่ได้ มีเสียงอึกทึกดังออกมาจากตัวอี้ไป๋ เหมือนเสียงพลังชี่ระเบิด มนตร์ 16 อักษรของฉู่สิง ระเบิดพลังออกมา ทำให้เขาสลบไปเลย

ฉู่สิงมองบาดแผลขนาดใหญ่ตรงอกตัวเอง กัดฟันไม่ได้สลบไป

อาจารย์เต้ากวงขมวดคิ้วพูดว่า “แบกฉู่สิงกลับมาเถอะ”

หานเฟิงกับฉู่เทียนรีบเข้าไป แบกฉู่สิงกลับมา อาจารย์เต้ากวงรีบป้อนยาให้ฉู่สิงหนึ่งเม็ด

อาจารย์เสวียนคงก็รีบให้คนแบกอี้ไป๋กลับมา อาจารย์เสวียนคงพูดช้าๆ ว่า “ฉันว่ารอบนี้นับว่าเสมอกัน”

หานเฟิงพูดว่า “ศิษย์พี่ฉู่สิงคณะฉันชนะแท้ๆ เขายังไม่ได้สลบเลย”

อาจารย์เต้ากวงขัดคำพูดของหานเฟิง พยักหน้าแล้วพูดว่า “งั้นถือว่าเสมอ”

ทันใดนั้น พวกนักเรียนคณะนานา พากันส่งเสียงเชียร์ออกมา ราวกับว่าได้เสมอหนึ่งรอบก็ทำให้พวกเขาพอใจแล้ว

หานเฟิงไม่เข้าใจพวกนักเรียนคณะนานา เขาก็ไม่สามารถสัมผัสได้ด้วยตัวเอง หนึ่งปีมานี้ นักเรียนคณะนานามักจะไม่คิดถึงภาพที่ตอนนั้นเกือบโดนเขาท้าสู้เพียงคนเดียว

วันนี้สู้จนเสมอได้ ไม่ว่าจะเป็นอี้ไป๋ อาจารย์เสวียนคง หรือนักเรียนพวกนี้ ล้วนรู้สึกค่อนข้างพอใจแล้ว

“ไม่เลว เสวียนคงนายอบรมศิษย์ออกมาได้ไม่เลวเลย”

ตอนนี้เสวียนเจินยังเอ่ยปากชม ขนาดเขายังยอมรับ จากความสามารถของอี้ไป๋ สามารถสอนได้ขนาดนี้ นับว่าไม่ง่ายจริงๆ

อี้ไป๋มีความสามารถเป็นผู้แข็งแกร่งแน่นอน ไม่แน่ในอนาคตอาจต่อสู้เพียงคนเดียวก็ได้

“งั้นรอบที่สอง ให้พวกเราละกัน เสวียนเฟิงนายไปสู้!”

ตอนนี้เสวียนเฟิงที่รออยู่นานแล้วเดินออกมา เสวียนเฟิงไม่มองคนรอบๆ เขามองตรงไปที่หานเฟิงแล้วพูดว่า “หานเฟิง นายกล้าออกมาสู้กับฉันไหม”

หานเฟิงอึ้งไปก่อน หลังจากนั้นก่นด่าออกมาว่า “ทำไมจะไม่กล้า ฉันจะซัดหน้านายให้เละตอนนี้เลย”

หานเฟิงถกแขนเสื้อขึ้น ก้าวออกมาข้างนอก

อาจารย์เต้ากวงไม่ได้รั้งเขาไว้ ทำได้เพียงยิ้มแหยๆ มองหานเฟิงเดินไปกลางลานประลองบู๊

เสวียนเฟิงคณะกระบี่สู้กับหานเฟิงคณะหนึ่งเดียว ต้องเป็นการต่อสู้ชั่วร้ายอย่างไม่ต้องสงสัย

ขณะที่การต่อสู้ที่คณะหนึ่งเดียวดำเนินไปเรื่อยๆ

กลางภูเขาอันกว้างใหญ่ ในสถาบันสอนวิชาบู๊ ลู่ฝานกับฮ่วนเย่ว์กลับมาถึงเขาวิพากษ์แล้ว

เมื่อเห็นเขาวิพากษ์อันคุ้นเคย ทั้งสองตัดสินใจหยุดพักครู่หนึ่ง เข้าไปหาอะไรกินเล็กน้อย

แต่ยังไม่ทันเดินขึ้นเขา พวกนักเรียนสองสามคนจำลู่ฝานได้ทันที

นักเรียนหญิงรูปร่างงดงาม ตะโกนเสียงดังว่า “ลู่ฝาน นายคือลู่ฝานคณะหนึ่งเดียว! ทำไมนายถึงอยู่ที่นี่ได้”

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “ฉันเอง ทำไมฉันถึงอยู่ที่นี่ไม่ได้ล่ะ”

นักเรียนพูดอย่างตกตะลึงว่า “นายควรอยู่ที่คุกใต้ดินไม่ใช่เหรอ ไม่ใช่สิ ถึงนายออกมาแล้ว ก็ควรอยู่ที่คณะหนึ่งเดียวสิ! นายไม่รู้เหรอ ศิษย์พี่ของคณะอื่น พากันไปสู้ที่คณะหนึ่งเดียวแล้ว”

เมื่อได้ยินประโยคนี้ ลู่ฝานยืนอึ้งอยู่ที่เดิม แล้วพูดว่า “มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ”

นักเรียกสองสามคนพยักหน้าหงึกๆ

ลู่ฝานกับฮ่วนเย่ว์มองหน้ากัน ใบหน้ามีความตกใจ

นักเรียนหญิงพูดต่อ “ยังมีอีกหนึ่งเรื่อง!”

ลู่ฝานพูดว่า “เรื่องอะไร อย่าบอกนะว่าคณะหนึ่งเดียวแพ้”

นักเรียนหญิงส่ายหน้าพูดว่า “ไม่ใช่เรื่องนี้”

นักเรียนคนนี้รีบเอาพู่กันออกมา ฉีกเสื้อของตัวเอง ชี้ไปที่หน้าอกตัวเองแล้วพูดว่า “ช่วยเซ็นชื่อให้ฉันหน่อย!”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 869
“แดนปราณนอกขั้นสูงสุด!”

หานเฟิงพูดด้วยความตกใจ

ฉู่สิงตกใจจนคางจะหลุดลงมา นี่ต้องกินยาทิพย์ยาวิเศษอะไร วิทยายุทธถึงพุ่งสูงถึงระดับนี้

พละกำลังขนาดนี้ เขาสามารถสู้กับเอี๋ยนชิงเมื่อหนึ่งปีก่อนได้เลย!

ใบหน้าอาจารย์เสวียนคงมีรอยยิ้มสดใส

อาจารย์อู๋โฉวที่อยู่ข้างๆ ถามเบาๆ ว่า “เสวียนคง ดูไม่ออกเลยว่าตอนนี้นายสอนศิษย์เป็นแล้ว”

อาจารย์เสวียนคงตอบว่า “คิดไปคิดมา ยังไงก็ต้องทิ้งอะไรไว้บ้าง เป็นความสามารถของตัวอี้ไป๋เอง สิ่งที่ฉันช่วยเขาได้ก็คงเท่านี้แหละ”

อาจารย์เสวียนคงมองแผ่นหลังอี้ไป๋ รอยยิ้มกว้างขึ้นอีก เขารู้สึกกับตัวแล้วว่าอะไรคือการทุ่มสุดกำลังเพื่อสอนศิษย์

มันเป็นความรู้สึกที่จิตใจเต็มไปด้วยความพึงพอใจ ความสงบอย่างหนึ่ง ความหวังอย่างหนึ่ง

ส่วนอี้ไป๋จะแพ้หรือชนะ ตอนนี้มันไม่สำคัญสำหรับเขาแล้ว

ทางด้านนี้ หานเฟิงสะดุ้งแล้วพูดว่า “เตรียมตัวมาตามคาด ศิษย์พี่ พวกพี่ว่าเราจะอดทนได้ไหม”

ฉู่สิงพูดว่า “ทนไม่ได้อยู่แล้ว ศิษย์น้องหานเฟิง งั้นนายไปสู้รอบแรกละกัน”

ศิษย์พี่ฉู่เทียนยิ้มแล้วพูดว่า “ใช่ นายไปสิ ศิษย์น้องหานเฟิง พอดีเลยเราจะได้เห็นความก้าวหน้าของนายในระยะนี้ด้วย”

หานเฟิงมองทั้งสองคนด้วยใบหน้ากลัดกลุ้ม แล้วพูดว่า “นี่เรียกขี่ช้างจับตั๊กแตนไม่ใช่หรือไง ผมว่าแค่โชว์พลังปราณ เขาก็ยอมแพ้แล้ว”

ขณะนั้นอาจารย์เต้ากวงพูดว่า “ฉู่สิง นายไปสู้รอบแรกเถอะ หานเฟิงรอรับมือคนที่เหลือ การต่อสู้ครั้งนี้ไม่ต้องถึงมือนาย”

ฉู่สิงชี้หน้าตัวเองแล้วพูดว่า “ผมเหรอ อาจารย์เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า”

อาจารย์เต้ากวงยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ได้เข้าใจผิด นายนั่นแหละ ตอนนี้หานเฟิงแข็งแกร่งกว่านายแล้ว”

ฉู่สิงอ้าปากค้าง พูดอะไรไม่ออกทันที หานเฟิงพูดด้วยสีหน้าได้ใจ “ศิษย์พี่ฉู่สิง บางเรื่องพี่ไม่ยอมรับก็ไม่ได้นะ”

ฉู่เทียนกับศิษย์พี่ใหญ่มองหานเฟิงอย่างตกใจเล็กน้อย

กลับมานานขนาดนี้ พวกเขายังไม่เคยเห็นหานเฟิงลงมือ ไม่รู้เลยว่าพละกำลังของหานเฟิงเพิ่มขึ้นเยอะขนาดนี้

ฉู่เทียนถามอย่างอยากรู้ว่า “ศิษย์น้องหานเฟิง อย่าบอกนะว่านายเข้าสู่แดนปราณชีวิตแล้ว”

หานเฟิงพยักหน้าพูดว่า “แน่นอนอยู่แล้ว”

ศิษย์พี่ใหญ่หัวเราะ เอามือลูบท้องแล้วพูดว่า “เฮ้อ แข็งแกร่งขึ้นทุกรุ่นจริงๆ”

ฉู่สิงมองหานเฟิงนานขึ้นอีก ยังคงไม่อยากเชื่อ

ที่สำคัญคือช่วงนี้เขาไม่ได้หยุดเลย ฝึกวิชาอย่างเอาเป็นเอาตายมาก ทำไมถึงโดนหานเฟิงทิ้งห่างไปได้ล่ะ ขนาดอาจารย์เต้ากวงยังคิดว่าหานเฟิงแข็งแกร่งกว่าเขาด้วย

ฉู่สิงจับกระบี่ยาวไว้ในมือ ยืนหน้าอี้ไป๋ พลังปราณบนตัวถูกใช้ออกมา

สีฟ้าเล็กน้อยปรากฏขึ้นในมือฉู่สิง พลังฟ้าดินรอบๆ เคลื่อนไหวเบาๆ

แดนปราณชีวิตครึ่งก้าว!

ทันใดนั้น ทุกคนรู้ระดับขั้นของฉู่สิงแล้ว

พลังห้าธาตุเข้าสู่ร่างกาย ก้าวออกมาคือปราณชีวิต แต่เห็นได้ชัดว่าฉู่สิงยังขาดอีกหน่อย จึงนับว่าอยู่ในแดนปราณชีวิตเพียงครึ่งก้าว

นักเรียนคณะอื่น พากันส่งเสียงออกมาอย่างตกใจทันที

นักเรียนคณะหนึ่งเดียวไม่ธรรมดาจริงๆ เลือกออกมาเล่นๆ สักคน ล้วนอยู่ในแดนปราณชีวิตได้ครึ่งก้าวแล้ว

แต่อี้ไป๋กลับนิ่งมาก ราวกับทุกอย่างไม่เหนือความคาดหมาย

อี้ไป๋พูดอย่างราบเรียบว่า “เวลาหนึ่งปีนี้ ฉันทำความเข้าใจกระบวนท่าหนึ่ง”

อักษร 16 ตัวปรากฏบนมือฉู่สิง หยินหยางปากว้าปรากฏด้านล่างเท้า เขาพูดเสียงดังว่า “เข้ามาสิ!”

แววตาอี้ไป๋เป็นประกายสว่างวาบ เขาแผดเสียงออกมา

“สายลมจงมา!”

เกิดพายุบ้าคลั่ง ฟ้าดินเกิดการเปลี่ยนแปลง

จู่ๆ กระบี่สี่เล่มในมืออี้ไป๋รวมตัวเป็นหนึ่ง

สายลมพุ่งขึ้นสูง กลายเป็นมังกร

ใช้พลังขับเคลื่อนลม ใช้ลมกลายเป็นกระบี่ ใช้กระบี่กลายเป็นวิญญาณ!

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 868
บนเขาอวิ๋น หมอกลอยกระจัดกระจาย

กลุ่มคนอยู่บนที่สูง ลมพัดเสื้อผ้าจนเกิดเสียง

พวกอาจารย์นั่งตามลำดับ ด้านหลังเป็นครูและนักเรียนแต่ละคณะ

อาจารย์เต้ากวงของคณะหนึ่งเดียวก็อยู่ในนี้ พวกหานเฟิงยืนอยู่ด้านหลังเขา

ถ้าเป็นเมื่อก่อน ในสถานการณ์แบบนี้ คณะหนึ่งเดียวต้องโดดเดี่ยว มีแค่สองสามคนแน่นอน

แต่วันนี้สถานการณ์ของคณะหนึ่งเดียวไม่เลว คนเยอะแล้วดูทรงพลังขึ้นจริงๆ

“เต้ากวง วันนี้เรามาคณะหนึ่งเดียว ขอไม่พูดเรื่องอื่น เรามาเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกันเท่านั้น ถือโอกาสดูคณะหนึ่งเดียวด้วย พูดขึ้นมา ที่นี่แตกต่างกับในความทรงจำของฉันมาก!”

คนที่พูดออกมาก่อนคืออาจารย์เซินถู

อาจารย์เซินถูยิ้มกว้าง นั่งไขว่ห้างมองไปรอบๆ

อาจารย์อู๋โฉวยิ้มแล้วพูดว่า “เปลี่ยนโฉมใหม่เยอะจริงๆ ขนาดคณะหนึ่งเดียวที่ไม่ชอบรับศิษย์มาตลอด ตอนนี้คนก็ไม่น้อยแล้วนะ ดูเหมือนหลังจากที่อี้ชิงโดนโทษขัง ทั้งคณะหนึ่งเดียวเปลี่ยนแปลงไปเยอะเลย!”

อาจารย์เสวียนเจินพูดต่อ “แต่นิสัยเสียของลูกศิษย์ยังเหมือนเดิม”

อาจารย์เต้ากวงกระแอมสองครั้ง แล้วพูดว่า “คนน่าเบื่ออย่างพวกนาย การต่อสู้จัดอันดับคณะดีๆ พวกนายไม่ไปสู้ มาคณะหนึ่งเดียวเพื่อดูกันเป็นกลุ่ม จะประลอง ไม่มีปัญหา คณะหนึ่งเดียวของฉันไม่เคยกลัวการประลองอยู่แล้ว”

อาจารย์เต้ากวงหรี่ตาลง ภายในคำพูดแฝงด้วยความพาล

อาจารย์คนอื่นพากันหัวเราะ

อาจารย์เซินถูยิ้มแล้วพูดว่า “เท่จริง”

อาจารย์อู๋โฉวหัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “น่าสนใจ”

อาจารย์ฮั่วซานส่งเสียงหึอย่างเย็นชา แล้วพูดว่า “อวดดี”

อาจารย์ชีหลินยิ้มไม่พูดอะไร

อาจารย์เสวียนคงพูดว่า “งั้นก็สู้สิ”

ไม่พูดอะไรมากมาย อาจารย์เสวียนคงกวักมือเรียกอี้ไป๋ที่อยู่ด้านหลังออกมา

อี้ไป๋พูดเสียงก้องว่า “อี้ไป๋คณะนานา ขอคำชี้แนะจากคณะหนึ่งเดียวทุกท่าน ใครจะมาสู้!”

เสียงอี้ไป๋ไม่ดัง แต่มีความมั่นใจเป็นอย่างมาก

หานเฟิงไม่รู้ว่าอี้ไป๋ไปเอาความมั่นใจมาจากไหน อีกทั้งเหมือนว่านักเรียนแถวหน้าของคณะนานา ไม่น่าจะใช่อี้ไป๋ด้วย

หานเฟิงพูดเสียงก้องว่า “หยุนอานคณะพวกนายไปไหน อี้ไป๋ นายแน่ใจเหรอว่าจะสู้กับเรา ไม่กลัวโดนทารุณอีกเหรอ”

ความเยาะเย้ยในน้ำเสียงของหานเฟิง ไม่ต้องพูดก็เห็นได้ชัดเจน แต่รอยยิ้มบนใบหน้าอี้ไป๋ไม่ลดลงเลย

“ศิษย์พี่หยุนอานสิ้นสุดการเรียนที่สถาบันสอนวิชาบู๊แล้ว ตอนนี้ออกไปท่องใต้หล้าแล้ว ช่วยไม่ได้ แม้คนอย่างฉันไม่ค่อยไหว แต่คงต้องเป็นฉันแล้วล่ะ”

อี้ไป๋เดินออกมา ยืนกลางลานประลองบู๊ ค่อยๆ เอากระบี่สี่เล่มออกมาจากด้านหลัง จากนั้นวางลงบนพื้น

ปากพูดพึมพำ อี้ไป๋พูดต่อ “เดิมทีฉันเข้าใจว่าตัวเองเก่งมาก ตัวเองแข็งแกร่งมาก เพราะตั้งแต่เล็กจนโต ฉันเป็นอัจฉริยะมาโดยตลอด แม้แพ้ในสถาบันสอนวิชาบู๊สองสามครั้ง แต่นั่นล้วนแพ้ให้ศิษย์พี่คณะอื่น ไม่มีอะไรต้องพูด จนกระทั่งได้พบลู่ฝานเมื่อปีก่อน นักเรียนที่เพิ่งมาใหม่ สามารถเอาชนะฉันได้ ฉันถึงเพิ่งรู้ว่า ฉันไม่ใช่อัจฉริยะเลย แต่เป็นเพียงคนโง่คนหนึ่ง เป็นคนโง่อย่างเต็มตัว”

เมื่อพูดจบ กระบี่ทั้งสี่เล่มของอี้ไป๋ วางอยู่ด้านหน้าเขา ส่วนอี้ไป๋ถอดเสื้อตัวเองออก เผยให้เห็นรอยแผลเต็มตัว

“ดังนั้นฉันจึงทำได้เพียงจดจำบทเรียนในอดีตและตื่นตัวระวังตัวในอนาคต ยกระดับด้วยการเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยง โชคดีที่สวรรค์ไม่ทอดทิ้งฉัน หลังจากทะลุผ่านได้หนึ่งครั้ง ฉันได้รับพลัง วันนี้ฉันอยากพิสูจน์ว่าถึงฉันไม่ใช่อัจฉริยะ แต่เป็นนักบู๊ที่ไม่ยอมศิโรราบ เชิญคณะหนึ่งเดียวทุกท่าน!”

เมื่ออี้ไป๋พูดจนถึงคำสุดท้าย มีพลังปราณสว่างขึ้นบนตัวเขาทันที

พลังปราณเหมือนพายุกวาดไปรอบๆ สายลมรุนแรงก่อตัวรอบตัวเขา กระบี่สี่เล่มด้านหน้าเด้งขึ้นมาทันที

หลิงเหยาพูดเบาๆ ว่า “ลู่ฝานกลับมาหรือยัง”

หานเฟิงส่ายหน้า ถอนหายใจแล้วพูดว่า “เฮ้อ ยังเลย ถ้าเขากลับมาแล้ว ฉันบอกเธอเป็นคนแรกแน่นอน”

หลิงเหยาพยักหน้า เอาตุ๊กตาผ้าออกมาหนึ่งตัว

“ฉันรู้ว่าตอนนี้เขาไม่เป็นอะไร แต่เขาโดนขังนานเกินไปแล้ว ท่านผอ.ใจร้ายจริงๆ บอกว่าจะขังก็ขังจริงๆ”

หลิงเหยาลูบหน้าตุ๊กตาผ้า จากนั้นยัดมันกลับลงไปในกระเป๋า

หานเฟิงสงสัยว่าหลิงเหยารู้ได้ยังไงว่าตอนนี้ลู่ฝานไม่เป็นอะไร แต่เขาไม่มีเวลาถาม เพราะตอนนี้เขาเห็นพวกศิษย์พี่ใหญ่เดินออกมา

ศิษย์พี่ฉู่สิง ศิษย์พี่ฉู่เทียน ศิษย์พี่ใหญ่ สีหน้าทั้งสามคนดูไม่สู้ดีนิดหน่อย

หานเฟิงรีบเดินเข้าไปถามว่า “ทำไมเหรอครับ”

ศิษย์พี่ฉู่สิงกัดฟันพูดว่า “ไม่ต้องพูดแล้ว โดนลับหลังแล้ว คนหน้าไม่อายพวกนั้น น่าเสียดายที่พวกเขาทำเรื่องแบบนี้ได้”

หานเฟิงยังสงสัยมาก เขาพูดต่อ “บอกผมมาสิ เกิดอะไรขึ้นกันแน่”

ศิษย์พี่ฉู่เทียนพูดว่า “เมื่อกี้อาจารย์คณะอื่นมากันหมด ยกเว้นคณะหยินหยางกับคณะบังเหิน พวกเขามาเพื่อบอกพวกเรา การต่อสู้จัดอันดับคณะปีนี้ มีการเปลี่ยนแปลงกฎบางส่วน”

หานเฟิงอ้าปากค้าง พูดว่า “เปลี่ยนยังไง”

ฉู่เทียนพูดตรงๆ ว่า “อาจารย์คณะอื่นเข้าใจว่าคณะหนึ่งเดียวของเราแข็งแกร่งเกินไป จึงให้นักเรียนที่มีฝีมือทั้งหมดของคณะพวกเขา มาประลองเล่นก่อน ขอคำแนะนำสักหน่อย ไม่กระทบต่ออันดับ ต้องการสู้แค่ครั้งเดียว ได้รับการอนุมัติจากท่านผอ.แล้ว”

หานเฟิงพูดอย่างตกใจว่า “แบบนี้ได้ด้วยเหรอ พวกเขารวมตัวกันมาหาเรื่องเหรอ”

ฉู่เทียนพูดว่า “นายเข้าใจแบบนี้ก็ได้ อย่างไรก็ตาม พวกเขามาในนามการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้วยการประลองบู๊ ฉันไม่รู้ว่าควรดีใจหรือโมโหดี พวกเขายอมมาเป็นกลุ่ม แสดงว่าพวกเราเก่งจนพวกเขาไม่กล้ามาคนเดียว แต่พวกเขาทำแบบนี้ เห็นได้ชัดว่ามีเป้าหมายเพียงอย่างเดียว นั่นก็คือซัดคณะหนึ่งเดียวของเราจนเละ”

ฉู่สิงพูดขึ้นข้างๆ ว่า “นี่มีความอาฆาตแค้นนะ”

ฉู่เทียนพยักหน้าเบาๆ

ศิษย์พี่ใหญ่ไม่สนใจการพูดคุยของพวกเขา มองพวกเฉียวเซวียนที่เดินขึ้นมา พูดเสียงก้องว่า “สหายทุกท่าน ยินดีต้อนรับสู่คณะหนึ่งเดียว”

เสียงหลัวตานดังขึ้น

“ไม่ต้องเกรงใจ คิดว่าพวกนายคงรู้แล้วว่าพวกเรามาทำไม”

ศิษย์พี่ใหญ่ยิ้มแล้วพูดว่า “เมื่อกี้อาจารย์ทุกท่านมากันแล้ว จะทำเป็นไม่รู้ก็ยาก พวกเขารออยู่บนยอดเขาแล้ว เชิญทุกท่านขึ้นไปบนเขาเถอะ”

พูดจบ ศิษย์พี่ใหญ่เอาสองมือไพล่หลัง เดินขึ้นไปบนเขา

หานเฟิง ฉู่สิงและฉู่เทียน รีบเดินตามไป

หานเฟิงกัดฟันพูดว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ อาจารย์เห็นด้วยเหรอ ทำไมเขาถึงเห็นด้วยกับการประลองบ้าบอแบบนี้ ทั้งสถาบันมาท้าประลองกับคณะหนึ่งเดียวของเรา”

ศิษย์พี่ใหญ่พยักหน้าพูดว่า “ใช่ อาจารย์เห็นด้วย อีกทั้งยังเห็นด้วยแบบรวดเร็วด้วย”

หานเฟิงพูดว่า “ทำไมล่ะ อย่าบอกนะว่าอาจารย์อยากเห็นเราโดนรุมกระทืบ”

ฉู่เทียนยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “ศิษย์น้องหานเฟิง ทำไมนายไม่มีความมั่นใจสักนิดเลยล่ะ ทำไมเราจะรุมกระทืบพวกเขาไม่ได้ล่ะ”

หานเฟิงพูดเบาๆ ว่า “ผมรู้ว่าเราสู้เก่ง แต่เห็นได้ชัดว่าคนพวกนี้เตรียมตัวมา ถ้าพวกเขาไม่ได้เตรียมท่าไม้ตายอะไรมา ผมไม่มีทางเชื่อหรอก ปีที่แล้วพวกเราซัดพวกเขาจนเละ คนพวกนี้ต้องคับแค้นใจอยากสู้กลับ ผมไม่อยากโดนทารุณนะ”

ฉู่เทียนหัวเราะออกมา ฉู่สิงก็ส่ายหน้าเบาๆ

ศิษย์พี่ใหญ่พูดอย่างราบเรียบ “ศิษย์น้องลู่ฝาน นายไม่จำเป็นต้องกังวล ที่นี่คือคณะหนึ่งเดียว!”

เพียงประโยคเดียว หานเฟิงอึ้งไปทันที

หลังจากนั้นหานเฟิงพยักหน้าแรงๆ แล้วพูดว่า “ศิษย์พี่ใหญ่พูดถูก ที่นี่คือคณะหนึ่งเดียว ไม่มีเหตุผลที่เราจะแพ้”

ศิษย์พี่ใหญ่ยิ้มแล้วพูดว่า “ต้องแบบนี้สิ พวกนายคิดสิถ้าศิษย์น้องลู่ฝานยังอยู่ เจอสถานการณ์แบบนี้เขาจะพูดอะไร”

หานเฟิง ฉู่สิงและฉู่เทียนครุ่นคิดครู่หนึ่ง

หานเฟิงพูดว่า “ผมว่าศิษย์น้องลู่ฝานต้องพูดว่างั้นก็ซัดพวกเขากลับไปซะแน่ๆ เลย”

ตอนนี้ในภูเขาใหญ่ เงาคนสองคนเดินออกมาจากหุบเขา

“ออกมาแล้ว ฉันออกมาแล้ว! ฮ่าๆ กลับคณะหนึ่งเดียวกันเถอะลู่ฝาน”

ฮ่วนเย่ว์หัวเราะเสียงดัง

ลู่ฝานมองสีเขียวรอบๆ แล้วยิ้มบางๆ

“ใช่ ในที่สุดก็ได้ออกมาแล้ว

ศิษย์พี่หานเฟิงยังเลือกนักเรียนอยู่ที่ตีนเขา

“เป็นคนคณะหนึ่งเดียว พวกนายต้องสู้แบบมีสไตล์ สู้แบบมีระดับ สู้แบบทรงพลัง ต้องชนะเท่านั้น ห้ามแพ้ เหมือนศิษย์น้องลู่ฝานของฉัน เหมือนยืนตรงนั้น คือเขาลูกหนึ่ง เมื่อดึงกระบี่ออกมา คือท้องทะเล”

หานเฟิงสะบัดมือตะโกนออกมา

คนที่โดนเขาเลือกออกมา มีใบหน้าเคร่งขรึม สำหรับพวกเขาแล้ว ศิษย์พี่หานเฟิงก็เป็นหนึ่งคนที่เป็นตำนาน

ตอนนี้มีใครในสถาบันสอนวิชาบู๊ไม่รู้จักฉายา “กระบี่ดุด่าหานเฟิง” บ้างล่ะ

เรียกได้ว่าตอนนี้ชื่อเสียงของหานเฟิง ในสถาบันสอนวิชาบู๊ ไม่ด้อยไปกว่าลู่ฝาน อีกทั้งถ้าพูดถึงชื่อเสียงด้านชั่วร้าย หานเฟิงยังเหนือกว่าด้วย

ทุกครั้งที่คนคณะอื่นพูดถึงชื่อหานเฟิง จะรู้สึกเหมือนกินหนูตายอย่างไรอย่างนั้น

“ศิษย์พี่หานเฟิง มีคนมา!”

นักเรียนคนหนึ่งตะโกนเสียงดัง

ทุกคนหันไปมอง เห็นกลุ่มคนเดินเข้ามาช้าๆ

หานเฟิงมองคนพวกนั้น ลูบคางแล้วพูดว่า “มาท้าประลองเร็วขนาดนี้เลยเหรอ ไม่ถุกต้องนะ ยังไม่ยืนยันการคัดเลือกคนเลย ยังไม่ได้เริ่มอย่างเป็นทางการด้วย”

หานเฟิงพูดพึมพำเบาๆ มองคนพวกนั้นจากไกลๆ

เพียงแวบเดียว หานเฟิงเห็นเงาของเฉียวเซวียน

ช่วยไม่ได้ เฉียวเซวียนจำง่ายมาก ตัวสูง แถมตัวก็ใหญ่ ดึงดูดสายตาเป็นที่สุด

แต่แค่เขาไม่เพียงพอทำให้หานเฟิงตกใจหรอก ข้างๆ เขายังมีคนที่คุ้นเคย

พวกเสวียนเฟิง หลัวตาน หมิงจูและอี้ไป๋

เหมือนคนที่เป็นผู้นำของแต่ละคณะล้วนมากันแล้ว

หานเฟิงเดินลงจากหอคอย กลุ่มคนหลีกทางให้อัตโนมัติ รีบเดินไปข้างหน้า มีนักเรียนคณะหนึ่งเดียวเดินตามหลัง

ยังไม่ทันเดินเข้าไปใกล้ เฉียวเซวียนพูดเสียงดังว่า “ไม่เจอกันนานเลยนะหานเฟิง วิทยายุทธของนายก้าวหน้าขึ้นไหม”

หานเฟิงพูดว่า “แน่นอนอยู่แล้ว ให้ตายเถอะ พวกนายมาด้วยกันได้ยังไง”

หมิงจูพูดว่า “ช่วยไม่ได้ ถ้าไม่มาด้วยกัน จะเข้าร่วมการต่อสู้จัดอันดับคณะได้ยังไงล่ะ”

หานเฟิงยิ่งไม่เข้าใจ มองคนพวกนี้อย่างสงสัยแล้วพูดว่า “หมายความว่าอะไร”

หลัวตานหัวเราะออกมาแล้วพูดว่า “เดี๋ยวนายก็รู้ หานเฟิง ไม่เชิญพวกเราเข้าไปนั่งเหรอ พวกเราไม่เคยมาคณะหนึ่งเดียวเลยนะ!”

แม้หานเฟิงดูไม่เต็มใจเท่าไร แต่จะเสียหน้าไม่ได้ เขาสะบัดมือให้คนหลีกทาง ขณะเดียวกันก็ผายมือขวา ทำท่าเชิญอย่างสง่าผ่าเผย

ทุกคนยิ้มแล้วมองหานเฟิง คนที่ตามคนพวกนี้มา ยังมีนักเรียนแต่ละคณะด้วย

เหมือนมาเที่ยวเยี่ยมชมจริงๆ กลุ่มคนสุดลูกหูลูกตา

ทุกคนเดินขึ้นไป ไม่มีใครยอมพูดคุยเล่นกับหานเฟิง ล้วนพากันชมวิวทิวทัศน์

“คณะหนึ่งเดียวไม่เลวแฮะ”

“ไม่ได้แย่เหมือนที่จินตนาการไว้”

“ดูมีสไตล์ด้วย!”

……

เสียงพูดคุยมากมาย ทุกคนเริ่มคุยกัน

หานเฟิงมองซ้ายมองขวา จู่ๆ เขาเห็นหลิงเหยาอยู่ในกลุ่มคนด้วย

ทันใดนั้น หานเฟิงเดินมาข้างหลิงเหยาแล้วพูดว่า “หลิงเหยา นี่มันอะไรกัน”

หลิงเหยาพูดว่า “ฉันก็ไม่ค่อยรู้เท่าไร เหมือนอาจารย์มีนัดกัน หลังจากนั้นก็ให้นักเรียนที่มีฝีมือมาพร้อมกัน”

หานเฟิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “นัดเหรอ คนแก่พวกนี้จะทำอะไรกัน อย่าบอกนะว่ามีลับลมคมในกับคณะหนึ่งเดียวของฉัน”

หานเฟิงไม่ได้กดเสียงต่ำ ทุกคนได้ยินคำพูดของเขาอย่างชัดเจน

บอกว่าอาจารย์คณะอื่นเป็นคนแก่ คำพูดแบบนี้ มีเพียงหานเฟิงคณะหนึ่งเดียว ที่กล้าทำแบบนี้

แต่พวกหมิงจูไม่ได้ใส่ใจอะไร พวกเขารู้จักนิสัยหานเฟิง เป็นคนที่ปากร้ายมาก ถ้าว่างทะเลาะกับเขา ไปชมวิวดีกว่า

อาจารย์เต้ากวงพูดด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า “งั้นให้หานเฟิงทำเถอะ จากนิสัยของเขา ต้องรักษาชื่อเสียงอันดับหนึ่งได้แน่นอน”

ขณะกำลังพูด ประตูห้องครัวเปิดออก เจ้าดำมีท่าทีดูหมิ่น ถีบสิบสามออกมาจากห้องครัว

สีหน้าสิบสามกระอักกระอ่วนเล็กน้อย เห็นอาจารย์เต้ากวงและคนอื่นกำลังมองตัวเอง เขายิ้มบางๆ หลังจากนั้นยืนอย่างนอบน้อมอยู่ข้างๆ

อาจารย์เต้ากวงมองสิบสามแล้วพูดเบาๆ ว่า “สิบสามคนนี้น่าสนใจนะ มาคณะหนึ่งเดียวได้ครึ่งปีแล้ว พูดกับฉันไม่ถึงสิบคำ”

ศิษย์พี่ใหญ่พูดว่า “เขาเป็นคนซื่อๆ ให้ทำอาหารก็ทำ ให้กวาดบ้านก็กวาด อีกทั้งผ่านไปครึ่งปีแล้ว ศิษย์น้องลู่ฝานยังไม่กลับมา เขายังรอศิษย์น้องลู่ฝานอยู่ที่นี่อย่างซื่อสัตย์ ถือว่ามีความภักดีใช้ได้เลย”

อาจารย์เต้ากวงพยักหน้าพูดว่า “อืม หาเวลาให้สิบสามเป็นนักเรียนคณะหนึ่งเดียวของเราเถอะ มาเป็นครึ่งปีแล้ว ยังไงก็ต้องเรียนอะไรสักหน่อย เอาแต่เรียนทำอาหารกับเจ้าดำ ไม่เหมาะสม” ฉู่สิงกับฉู่เทียนพยักหน้าเบาๆ สนับสนุนการตัดสินใจของอาจารย์เต้ากวง

ขณะกำลังพูด อีกคนหนึ่งเดินออกมาจากห้อง ใบหน้าเย็นชาและเย่อหยิ่ง

แต่บนตัวเธอ กลับสวมเสื้อผ้าลินินแสนธรรมดา ถือไม้กวาดในมือ แขวนมีดผ่าฟืนอยู่ที่เอว

คนคนนี้คือคุณสุ่ยเชียนโหรว

เวลาเกือบครึ่งปี เหมือนเธอหลุดพ้นจากความหรูหราได้สำเร็จ จากหงส์กลายเป็นไก่อย่างแท้จริง

เมื่อเห็นอาจารย์เต้ากวง สุ่ยเชียนโหรวกัดฟันพูดว่า “คุณจะให้ฉันทำถึงเมื่อไร”

อาจารย์เต้ากวงหรี่ตาลง พูดอย่างราบเรียบว่า “ทำจนกว่างานจะเสร็จ”

ฉู่เทียน ฉู่สิงและศิษย์พี่ใหญ่ไม่พูดอะไร แค่ยิ้มแล้วมองอยู่ข้างๆ

สุ่ยเชียนโหรวแผดเสียงดังว่า “ฉันเป็นคุณหนูใหญ่ตระกูลสุ่ยนะ”

อาจารย์เต้ากวงพยักหน้าพูดว่า “ฉันรู้ เธอพูดหลายร้อยรอบแล้ว ไปสิคุณหนูใหญ่ตระกูลสุ่ย หน้าที่วันนี้คือกวาดเขาเหมือนเดิม กวาดเขาสะอาดเมื่อไร ฉันจะปลดผนึกให้เธอตอนนั้น ให้เธอฟื้นฟูพลัง กลับมาตอนเย็นอย่าลืมเอาฟืนกลับมาเยอะๆ ด้วย”

สุ่ยเชียนโหรวกัดฟันกรอด เดินฟึดฟัดออกไปด้วยความโมโห

ศิษย์พี่ฉู่เทียนพูดว่า “เฮ้อ ได้ยินบทสนทนาแบบนี้ทุกวัน ผมรู้สึกหงุดหงิดแล้ว”

อาจารย์เต้ากวงยิ้มแล้วพูดว่า “แต่ฉันมีความสุขมาก”

พูดจบ ศิษย์พี่ใหญ่กับฉู่สิงหัวเราะออกมา

ถ้าให้คนตระกูลสุ่ยรู้ว่าคุณหนูสุ่ยเชียนโหรวของพวกเขา กวาดเขา ตัดฟืนอยู่ที่นี่ ตระกูลสุ่ยคงจะทำลายทั้งสถาบันสอนวิชาบู๊

แต่อาจารย์เต้ากวงไม่สนใจ พวกศิษย์พี่ใหญ่ยิ่งไม่สนใจ

พวกเขารู้เพียงว่าแม้โดนทำแบบนี้ใส่ สุ่ยเชียนโหรวก็ไม่ไปอยู่ดี

ถึงครึ่งปีมานี้ หานเฟิงกับเขาไม่ได้พูดอะไรกัน ถึงครึ่งปีมานี้ เธอไม่ได้พักผ่อนสักวันก็ตาม

ขณะนั้นมีแสงสว่างขึ้นบนฟ้าจากไกลๆ

อาจารย์เต้ากวงลุกขึ้นพูดว่า “เอ๊ะ พวกเขามากันทำไม”

แสงร่วงหล่นลงในลานบ้าน

เมื่อเพ่งมองดู เป็นอาจารย์เซินถูคณะกำแหง อาจารย์เสวียนคงคณะนานา อาจารย์เสวียนเจินคณะกระบี่ อาจารย์อู๋โฉวคณะสงบใจ อาจารย์ฮั่วซานคณะฟ้าร้อง และอาจารย์ชีหลินคณะศิงขร

ทุกคนยิ้มมองอาจารย์เต้ากวง “ไม่ได้เจอกันนานนะเต้ากวง”

เต้ากวงขมวดคิ้วพูดว่า “พวกนายมาทำอะไรกัน”

อาจารย์เซินถูหัวเราะเสียงดังแล้วพูดว่า “มาดูการต่อสู้จัดอันดับคณะน่ะสิ!”

อาจารย์เต้ากวงอึ้งเล็กน้อย

ดูการต่อสู้จัดอันดับ ต้องมาดูพร้อมกันเยอะขนาดนี้เลยเหรอ

ฉู่สิง ฉู่เทียนและศิษย์พี่ใหญ่ช็อกไปแล้ว สถานการณ์มันใหญ่ไปหน่อยแล้ว

ทันใดนั้น ทุกคนของคณะหนึ่งเดียว มีลางสังหรณ์ไม่ดีผุดขึ้นในใจ

ภูเขาเขียวยังคงเหมือนเดิม สายน้ำยังคงไหลไป

บนเขาอวิ๋น มีเสียงกระบี่ดังขึ้น

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ผ่านฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงไปแล้ว

“เป็นลูกศิษย์คณะหนึ่งเดียว ต้องมีความห้าวหาญของคณะหนึ่งเดียว สิ่งที่แข็งแกร่งที่สุดของคณะหนึ่งเดียวของเราคืออะไร”

ด้านบนหอคอย หานเฟิงก้มลงมามอง พูดตะโกนเสียงดังจนน้ำลายสาดกระเด็น

กลุ่มนักเรียนคณะหนึ่งเดียวที่อยู่ด้านล่างตะโกนว่า “คือพวกเรา”

หานเฟิงตะโกนพูดต่อ “แล้วคณะอื่นเข้ามาสู้จะทำอย่างไร”

พวกนักเรียนตะโกนว่า “ฆ่าพวกเขาให้ตาย!”

เสียงดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียง พลานุภาพมหาศาล

ศิษย์พี่ฉู่สิงที่อยู่ด้านล่างขมวดคิ้วพูดว่า “ให้ศิษย์น้องหานเฟิงทำวุ่นวายแบบนี้จะดีเหรอ”

ฉู่เทียนพูดว่า “หรือนายจะไป”

ฉู่สิงรีบโบกมือพัลวัน

ศิษย์พี่ใหญ่ที่ยืนอยู่ข้างพวกเขาเอามือลูบท้องแล้วพูดว่า “ให้เขาทำเถอะ กว่าจะมาถึงการต่อสู้จัดอันดับของคณะสักปี มีศิษย์น้องหานเฟิงนำทัพ พวกเขาไม่น่าจะแพ้นะ”

ฉู่เทียนยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่แน่นะ พวกหลัวตานฝึกฝนอย่างเอาเป็นเอาตาย เพื่อที่จะดึงคณะหนึ่งเดียวของเราลงจากอันดับหนึ่งของคณะ”

ฉู่สิงพูดว่า “เฮ้อ ถ้าศิษย์น้องลู่ฝานอยู่ คงปลอดภัยแล้ว!”

ศิษย์พี่ใหญ่กับศิษย์พี่ฉู่เทียนพยักหน้าพร้อมกัน ทั้งสามคนมองหน้ากัน หัวเราะแล้วเดินออกไป

เดินขึ้นไปบนเขา ตอนนี้เขาอวิ๋นถูกปรับปรุงใหม่จนมีทิวทัศน์สวยงามและทรงพลัง

เริ่มตั้งแต่ตีนเขา ห้องตั้งเรียงราย กระจายอยู่ท่ามกลางขุนเขา วนเขาขึ้นไป ทิวทัศน์งดงามยิ่งใหญ่ตระการตา

บันไดหินคดเคี้ยวขึ้นไปด้านบน ราวกับบันไดขึ้นบนยอดเมฆ ตรงยอดเขาถูกปรับปรุงเป็นลานประลองบู๊ขนาดใหญ่

ลักษณะเป็นทรงกลม สร้างจากหินสีขาวและสีดำ ปกคลุมด้วยเมฆหมอก เมื่อมองจากไกลๆ เหมือนสีขาวและสีดำกำลังเคลื่อนไหวอยู่ ลึกลับและงดงาม

แต่พวกศิษย์พี่ใหญ่ไม่ได้เดินไปที่นี่ เมื่อถึงไหล่เขา มีทางเดินเล็กๆ ปรากฏออกมา

เดินมาบนทางเดินเล็กๆ ไม่นาน จะเห็นประตูด้านใน ด้านหลังประตูเป็นห้องไม้สองสามห้อง

ไม่หรูหรา ไม่ทรงพลัง เรียกได้ว่าเรียบง่าย

แต่สำหรับฉู่เทียนแล้ว ที่นี่คือคณะหนึ่งเดียวอย่างแท้จริง

“อาจารย์ พวกเรามาแล้ว!”

ฉู่สิงตะโกนเสียงดัง

อาจารย์เต้ากวงที่นั่งอาบแดดอยู่ในลาน แค่เงยหน้าขึ้นมองแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เช้าขนาดนี้เชียว วันนี้มีธุระไม่ใช่เหรอ อู๋เหวย แม้อาการบาดเจ็บของนายหายดีแล้ว แต่ยังไงร่างกายก็อ่อนแอ พักดูแลร่างกายดีกว่า อย่าให้ยาที่ฉู่สิงกับฉู่เทียนเอากลับมาให้นายเสียเปล่า”

ฉู่เทียนหัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “อาจารย์ไม่ต้องพูดถึงยานั่นแล้ว อับอายๆ ตอนแรกคิดหาวิธีจนหมด กว่าจะได้สมุนไพรมา เพื่อช่วยรักษาศิษย์พี่ใหญ่ ใครจะไปคิดว่าเป็นแค่ยาเพิ่มกำลัง”

ศิษย์พี่ใหญ่หัวเราะแล้วพูดว่า “พวกนายยอมเหน็ดเหนื่อยต่างๆ เพื่อช่วยหายามาให้ฉัน ฉันก็ซาบซึ้งใจมากแล้ว”

ฉู่สิงพูดว่า “ศิษย์น้องลู่ฝานเก่งมาก อาการบาดเจ็บที่อาจารย์รักษาไม่หาย แค่ศิษย์น้องลู่ฝานกลับมาก็จัดการได้ พูดขึ้นมานี่ก็ผ่านไปครึ่งปีแล้ว ทำไมศิษย์น้องลู่ฝานยังไม่กลับมานะ”

พอไม่พูดเรื่องนี้ยังดี แต่พอพูดขึ้นมา ทุกคนพากันเงียบ

ผ่านไปนาน อาจารย์เต้ากวงพูดว่า “ศิษย์น้องลู่ฝานของพวกนาย เป็นคนดีจะได้รับการช่วยเหลือจากสวรรค์เบื้องบน ต้องกลับมาอยู่แล้ว ฉันเคยถามท่านผอ. เขาบอกว่าแค่ลู่ฝานทำความเข้าใจได้ ก็จะออกมาได้”

“แล้วทำความเข้าใจอะไรกันแน่ครับ”

ฉู่สิงพูด

อาจารย์เต้ากวงส่ายหน้าพูดว่า “ไม่รู้ สรุปว่าพวกนายเชื่อท่านผอ.ก็พอแล้ว ใช่สิ พูดขึ้นมา วันนี้เป็นวันต่อสู้จัดอันดับคณะอีกแล้วสินะ”

อาจารย์เต้ากวงจงใจเปลี่ยนเรื่องพูด ฉู่เทียนตอบว่า “ใช่ครับ ถึงวันจัดอันดับคณะแล้ว ศิษย์น้องหานเฟิงกำลังจัดการคัดคน คิดว่าน่าจะไม่มีปัญหาครับ”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 863
เวลาห้าเดือนผ่านไป พวกเขาอยู่อย่างน่าเวทนามาก

ออกจากเกาะหินโสโครก พลังสีฟ้าในตัวพวกเขาน้อยลงเรื่อยๆ ร่างกายก็อ่อนแอลงเรื่อยๆ ขณะเดียวกันก็ยิ่งหิวขึ้นทุกวัน

เมื่อคนหิวถึงสุดขีด สามารถกินได้ทุกอย่าง เสื้อผ้า หญ้า ล้วนเป็นของดี แต่เมื่อสิ่งเหล่านี้โดนกินจนใกล้หมด พวกเขาจะกลายเป็นหนังหุ้มกระดูกที่ไม่กล้าขยับไปไหน ทำได้เพียงอยู่รอดไปวันๆ เท่านั้น

เสียงตะโกนดังขึ้นอีกครั้ง เสียงของลู่ฝานสะเทือนป้ายศิลาเทพฝน

ตอนนี้มีแสงสีฟ้าสะดุดตาสว่างขึ้นบนป้ายศิลาเทพฝน ส่องคุกน้ำสว่างจนกลายเป็นสีฟ้า

ลู่ฝานไม่เห็นภาพประหลาดนี้ ดวงตาของเขามองไปยังวิชาบนประตู

ลู่ฝานเดินมาหน้าประตูทีละก้าว ในที่สุดเขาอ่านวิชาจนถึงประโยคสุดท้ายแล้ว

ทุกครั้งที่อ่านแต่ละประโยค ลู่ฝานจดจำตัวอักษรแต่ละตัวฝังลึกลงในสมองตัวเอง รูปร่างของตัวอักษร วิธีการเขียน รวมไปถึงกลิ่นอายความลึกลับสุดขีดด้านบน เขาจดจำเอาไว้ทั้งหมด

ดวงตาทั้งสองข้างเป็นเลือดไปหมดแล้ว กระดูกทั้งตัวมีเสียงหักดังออกมา

ทุกครั้งที่เขาจำตัวอักษรหนึ่งตัว จะรู้สึกเหมือนมีภูเขาลูกใหญ่กดอยู่บนตัวเขา ทั้งบทอักษรหลายร้อยตัว ก็เหมือนเขาหลายร้อยลูกกดทับเอาไว้

ลู่ฝานเกือบไม่ไหว ในลำคอล้วนเป็นเลือดทั้งหมด

แต่เขาเค้นเสียงพูดออกมาจากในตัว เมื่ออ่านประโยคสุดท้ายจบ จดจำอักษรตัวสุดท้ายฝังลึกในหัวของเขา

ตู้ม!

ลู่ฝานรู้สึกว่าสมองตัวระเบิดแล้ว ระเบิดทั้งตัว

ความเจ็บปวดไม่สิ้นสุดโจมตีไปทั่วตัวเขา ส่วนห้องด้านหน้ามีแสงสว่างไสว

ลู่ฝานเห็นอักษรเหมือนจุดแสงเป็นกอง ลอยขึ้นมาจากในห้อง ยันต์รูปผีที่สลักไว้ในห้องสะเปะสะปะไปหมด ลู่ฝานไม่เคยดูออกเลย

แต่ตอนนี้อักษรเหล่านี้กลายเป็นวิชาขึ้นมาเอง พุ่งเข้ามาในตัวลู่ฝาน

ตึง!

เสียงนาฬิกายืดยาวดังขึ้นมา

ไม่รู้ว่ามาจากไหน แต่มันดังแบบนี้ไปทั่วคุกน้ำ

ลู่ฝานโดนจุดแสงพวกนี้ยิงจนเป็นรูทั้งตัว ทั้งตัวไม่มีจุดไหนดีเลย

ถ้าเป็นคนอื่น บาดเจ็บสาหัสขนาดนี้ คงตายอย่างไม่ต้องสงสัย

แต่ลู่ฝานไม่เหมือนกัน เขายังมีเจดีย์เสวียนเก้ามังกร!

ช่วงเวลาสำคัญ ไอ้เก้าร้องโอดครวญ ปล่อยพลังออกมา

มันรู้ว่าพลังที่มันสะสมเอาไว้ ไม่มีทางเก็บสะสมได้!

ตอนนี้ร่างกายของลู่ฝานอยู่ระหว่างความเป็นความตาย แต่เขามีสติเป็นอย่างมาก

“นี่คือพลังความเป็นความตายวนเวียนอย่างแท้จริง ฉันดูออกแล้ว!”

ในการมองเห็นของลู่ฝาน จุดแสงอักษรด้านหน้ารวมตัวเป็นวงกลม วงกลมที่แทนความเป็นและความตาย

ความรู้แจ้งผุดขึ้นในใจ ลู่ฝานรู้สึกว่าตัวเองเริ่มเข้าสู่วิชาแล้ว

แต่ตอนนี้ร่างกายของเขาก็เริ่มทรุดลงเช่นกัน

จู่ๆ จุดแสงด้านหน้ารวมตัวเป็นเงาคน แม้มองหน้าไม่ชัดเจน แต่สัมผัสได้ว่าคนคนนี้ต้องเป็นผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทานแน่นอน

“พลังความเป็นความตายวนเวียน ตายเก้าครั้งฟื้นเก้าครั้ง บดร่าง!”

เงาคนพูดอย่างราบเรียบ

ลู่ฝานหัวเราะออกมาอย่างไม่สนใจสักนิด เขายกนิ้วกลางให้จุดแสงด้านหน้า พูดเสียงดังว่า “เข้ามาสิ ก็แค่ตายเก้าครั้งฟื้นเก้าครั้งเอง ฉันไม่รู้ตายมาตั้งกี่ครั้งแล้ว!”

เมื่อพูดจบ แสงสว่างปกคลุมลู่ฝานเอาไว้ทั้งหมด

แสงระยิบระยับพวกนี้ เหมือนรวมตัวเป็นรังไหมแสง ปกคลุมตัวลู่ฝานไว้!

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 862
ตอนนี้เจดีย์เสวียนเก้ามังกรโผล่ออกมา พูดชมเสียงดัง

ได้ยินเสียงอันก้องกังวานของมัน เงากะพริบที่โผล่ขึ้นมาในมือลู่ฝาน ดูเหมือนห้าเดือนนี้มันก็ฟื้นฟูไม่เลวเหมือนกัน

ลู่ฝานยิ้มบางๆ ช่วงเวลานี้เขากินยาเยอะมาก ฤทธิ์ยาที่ไม่สามารถดูดซับ หรือฤทธิ์ยาที่ไม่ค่อยมีผลมากเท่าไร จะโดนเจดีย์เสวียนเก้ามังกรแอบกลืนกิน แม้ลู่ฝานตั้งใจกลั่นยามาก แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่รู้เรื่องนี้

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “ไอ้เก้า พลังของแกฟื้นฟูได้เท่าไรแล้ว ช่วงนี้มีความสุขไหมที่ได้กินฤทธิ์ยา”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรหัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “เกือบฟื้นฟูพลังได้ 20 เปอร์เซ็นต์แล้ว เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ รอให้ฉันฟื้นฟูพลังเต็ม 20 เปอร์เซ็นต์ จะช่วยคุณทำเรื่องได้เยอะขึ้นอีก”

ลู่ฝานเอากระบี่หนักไร้คมออกมา แล้วพูดว่า “ดีมาก งั้นเอาพลังของแกแบ่งให้กระบี่หนักไร้คมสักนิดสิ”

แสงของเงาเจดีย์เสวียนเก้ามังกรริบหรี่ลง มันพูดโหยหวนว่า “เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ ต้องแบ่งจริงเหรอ”

ลู่ฝานพยักหน้าพูดว่า “ต้องแบ่งสิ!”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรทำอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงเอาพลังบริสุทธิ์ใส่เข้าไปให้กระบี่หนักไร้คม

แม้ตอนนี้กระบี่หนักไร้คมยังไม่สามารถพูดได้ แต่ลู่ฝานสัมผัสได้ถึงความซาบซึ้งของจิตกระบี่ ที่อยู่ในกระบี่หนักไร้คม

ไม่นาน แสงสีดำของกระบี่หนักไร้คมสว่างขึ้น เริ่มมีลายประหลาดปรากฏขึ้นบนตัวกระบี่ แม้ไม่ได้งดงาม แต่กลับรู้สึกเหมือนผ่านอะไรมาโชกโชน

ตอนนี้เขตวิถีในกระบี่ ก็ดูเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น

การที่ลู่ฝานใส่พลังให้กระบี่หนักไร้คม อันที่จริงเหตุส่วนใหญ่ก็คือเขตวิถีที่อยู่ด้านใน

แต่น่าเสียดาย ใส่พลังเข้าไปเยอะ แต่เขตวิถีข้างในยังคงไม่สามารถเปิดออกได้เต็มที่

ไม่รู้เป็นเพราะความสามารถของเขายังไม่พอ หรือกระบี่หนักไร้คมต้องการพลังเยอะกว่านี้

เมื่อรู้สึกพอประมาณแล้ว ลู่ฝานจึงเก็บกระบี่หนักไร้คม

ตอนนี้ไอ้เก้าไม่พูดอะไรแล้ว ราวกับกลัวว่าลู่ฝานจะถลุงพลังที่มันสะสมอย่างยากลำบากไปอีก

ลู่ฝานขี้เกียจสนใจที่เจดีย์เสวียนเก้ามังกรคิดเล็กคิดน้อย

ขณะนั้นลู่ฝานหันหลังนั่งลงหน้าประตู

ช่วงเวลาห้าเดือน ในที่สุดเขาจะเริ่มฝึกพลังความเป็นความตายวนเวียนอย่างเป็นทางการแล้ว

“ครั้งนี้ฉันจะดูว่าสามารถจำตัวอักษรบนนี้ได้ไหม”

ลู่ฝานสูดหายใจลึก หลังจากนั้นมองไปทางประตูห้อง เมื่อดวงตาของเขาเห็นตัวอักษรแรกบนประตู ความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั่วตัวเขาทันที

ร่างกายฉีกขาด อวัยวะภายในโดนแผดเผา ทวารทั้งเจ็ดเหมือนโดนเข็มทิ่ม

ภาพหลอนต่างๆ โจมตีเข้ามา แต่ครั้งนี้ลู่ฝานไม่โดนซัดจนพ่ายแพ้ ปราณชี่บนตัวระเบิดออกมาอย่างรวดเร็ว ดวงตาทั้งสองข้างของเขามีแสงกระบี่พุ่งออกมาทันที

ภาพหลอนโดนแสงกระบี่ฟาดฟันออกไป ตัวอักษรเหล่านั้นปรากฏในสายตาอีกครั้ง

“มีชีวิตใช่ว่าจะสุขเสมอไป ตายไปใช่ว่าจะเศร้าเสมอไป”

ลู่ฝานอ่านออกเสียงตาม เลือดไหลตรงหางตา จู่ๆ เขารู้สึกว่าการมองเห็นเลือนราง รีบเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว

“ตอนแรกที่ยังไม่เกิด ไม่เพียงแต่ไม่มีชีวิต อีกทั้งยังไม่มีรูปร่างที่จับต้องได้ ไม่เพียงแต่จะไม่มีรูปร่าง”

ลู่ฝานอ่านออกเสียงพลางเดินไปข้างหน้า เสียงดังสนั่นลอยออกไป

คนทั้งคุกน้ำล้วนได้ยินเสียงของเขา

ฮ่วนเย่ว์ที่อยู่ข้างนอกค่ายกลก็ได้ยินเช่นกัน

อารมณ์บนใบหน้าซับซ้อนเล็กน้อย ฮ่วนเย่ว์พูดว่า “ไอ้หมอนี่ยังไม่ตายจริงด้วย เขากำลังฝึกวิชานั้นเหรอ วิชาบ้าบอนี่ เปิดให้ฉันสิ ฉันจะดูว่าสภาพนายเป็นยังไง”

คนอื่นในคุกน้ำต่างรู้สึกตกใจจนทำอะไรไม่ถูก โดยเฉพาะพวกหมีดำ พวกเขาฟังออกว่าเป็นเสียงลู่ฝาน พวกเขารีบหดตัวลงทันที

บทที่ 861

บทที่ 863

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 861
ในคุกน้ำ

ยังคงเป็นค่ำคืนมืดมิด แสงเรืองแสงเต็มท้องฟ้า

ลู่ฝานอยู่ที่นี่นานห้าเดือนเต็มแล้ว

หม้อสือฟ้าด้านหน้ามีความวาวของน้ำมันเป็นชั้นหนา เหมือนโดนคนมากมายกินขาหมูเสร็จแล้วไม่ล้างมือมาจับหม้อใบนี้

แสงแวววาวนี้มีชื่อว่าคราบยา

เหมือนคราบชาที่อยู่ในกาน้ำชาตอนดื่มชา ถือเป็นของล้ำค่าชนิดหนึ่ง

กาน้ำชาที่มีคราบชา จึงจะถือว่าเป็นกาน้ำชาที่ดี ชาที่ชงออกมาจะมีกลิ่นหอมเข้มข้น ถึงต้มแค่น้ำเปล่า ก็สามารถทิ้งกลิ่นหอมไว้ในปาก

ส่วนคราบยา คือเศษยาที่หลงเหลือไว้ หลังจากกลั่นยาเสร็จ ด้านในยังมีฤทธิ์ยาแฝงอยู่ สามารถเพิ่มฤทธิ์ยาตอนที่กลั่นยาได้นิดหน่อย อันที่จริงลู่ฝานสงสัยมาก หม้อยาในมือพวกผู้ฝึกชี่ที่แข็งแกร่ง พอเอาออกมามีแสงสะดุดตา เป็นเพราะคราบยาที่สะสมไว้เยอะเกินไปหรือเปล่า

ลู่ฝานยิ้มบางๆ ยื่นมือไปหยิบสมุนไพรที่อยู่ข้างๆ

การกระทำนี้เป็นธรรมชาติมาก ห้าเดือนมานี้ เขาทำมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว

แต่ครั้งนี้ เขาหยิบอะไรไม่ได้เลย

เมื่อลู่ฝานหันไป ตอนนี้เขาเพิ่งเห็นว่าข้างมือตัวเอง ไม่มีสมุนไพรอะไรแล้ว

สมุนไพรที่แต่เดิมกองเป็นภูเขา ถูกเขาใช้ไปจนหมดแล้ว

ลู่ฝานอึ้งนิดหน่อย จากนั้นเขาหัวเราะออกมา

“สมุนไพรถูกฉันกลั่นจนหมดแล้ว ดูเหมือนการกลั่นยาที่บ้าคลั่งครั้งนี้ ควรจบลงสักที”

เมื่อพูดเช่นนี้ ลู่ฝานเก็บหม้อสือฟาง

ลู่ฝานตบเข็มขัดตัวเอง เขา “เห็น” ในจวนอากาศธาตุของตัวเอง มียาวางอยู่เต็มไปหมด

เพราะไม่มีขวดยาเหลือแล้ว จึงต้องวางยาจำนวนมากซ้อนกันไว้

ลู่ฝานพยักหน้าอย่างพอใจ ปราณชี่ในร่างกายปล่อยออกมาทันที

พรวด!

เสียงเบาๆ ดังมาจากฟ้าดิน

ปราณชี่อันแข็งแกร่งปกคลุมทั้งตัวลู่ฝาน แอบเห็นเป็นรูปร่างของเกราะ

ลวดลายหนึ่งลาย ลวดลายสองลาย ลวดลายสามลายจนถึงลายเจ็ดลาย

ลายทั้งเจ็ดลายแสดงถึงวิทยายุทธของลู่ฝานในตอนนี้ คือแดนปราณชีวิตขั้นเจ็ด!

เวลาห้าเดือน ลู่ฝานเริ่มจากแดนปราณชีวิตขั้นสองทะลุไปถึงแดนปราณชีวิตขั้นเจ็ด ความเร็วระดับนี้ ไม่รู้ทำให้พวกโง่ทะนงตัว นักบู๊ที่โอ้อวดตัวเองว่าเป็นอัจฉริยะอับอายตั้งเท่าไร

ถ้าเรื่องนี้ถูกพูดออกไป คงสั่นสะเทือนไม่น้อยกว่าการที่เขาเป็นผู้ตรวจการชั้นกลางแน่นอน

นี่เริ่มตั้งแต่แดนปราณชีวิตระยะแรกทะลุไปถึงแดนปราณชีวิตระยะปลาย เดือนละระดับ ไม่มีอุปสรรค ราบรื่นเป็นอย่างมาก

ลู่ฝานปล่อยและเก็บปราณชี่ออกมาอย่างต่อเนื่อง ไม่มีความช้าเลยแม้แต่น้อย

เมื่อเป็นเช่นนี้ พละกำลังที่ยกระดับด้วยยา ยังไงก็ต้องไม่มั่นคง ยิ่งยกระดับมากเท่าไร ก็ยิ่งควบคุมยาก

เพราะพวกพลังที่ออกมามากมาย ไม่ได้ผ่านการปรับสภาพก่อนใช้งาน ไม่ได้เป็นพลังที่ยกระดับทีละขั้นอย่างมั่นคง ถึงขนาดที่อาจเกิดสภาวะแว้งกัดได้

นี่คือเหตุผลที่ทำไม ถึงเป็นพวกลูกหลานคนรวยที่มีทุน สามารถกินยาได้ทุกวัน ก็ยังไม่กล้ากินยาเยอะ

พลังที่ไม่สามารถควบคุมได้ เหมือนน้ำไหลบ่าสัตว์ป่าบุก กัดกินตัวเอง

แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับลู่ฝาน เหตุผลง่ายดายมาก เพราะลู่ฝานฝึกควบคุมพลังพวกนี้อยู่ตลอดเวลา

มีวันไหนบ้างที่เขาไม่ใช้ปราณชี่กลั่นยาจนหมดพลัง มีวันไหนบ้างที่เขาไม่ได้ใช้ยาค่อยๆ ฟื้นฟูกลับมาจนเป็นปกติ

ยกระดับไปพร้อมกับใช้อย่างหนัก นี่คือวัฏจักรที่ดี ลดผลข้างเคียงลงให้น้อยที่สุด

ขนาดอาจารย์หวูเฉินคงคิดไม่ถึง ผลดีของการฝึกทั้งบู๊และชี่ควบคู่กัน ไม่ใช่แค่ยกระดับอย่างรวดเร็วในช่วงระยะแรก ยังสามารถยกระดับได้มั่นคงด้วย

“ยินดีด้วยเจ้านาย พละกำลังเพิ่มขึ้นเล็กน้อย คิดว่าอีกไม่นาน เจ้านายคงทะลุถึงแดนปราณดินได้ เข้าสู่แดนปราณฟ้า ร่างกายเข้าสู่หยินหยาง มือกุมฟ้าดิน”

เวลาผ่านไปท่ามกลางการกลั่นยาอย่างบ้าคลั่ง เหมือนเขากลายเป็นผู้ฝึกชี่ที่แท้จริงไปแล้ว นอกจากกลั่นยาก็คือกลั่นยา

พละกำลัง วิทยายุทธ ระดับการกลั่นยาของลู่ฝาน ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ภายใต้การกระทำอันบ้าคลั่งเช่นนี้

หลังผ่านไปครึ่งเดือน ลู่ฝานเข้าสู่แดนปราณชีวิตขั้นสาม

หลังผ่านไปสองเดือน ทะลุขั้นสาม เข้าสู่แดนปราณชีวิตขั้นสี่ ภายใต้การช่วยเหลือของยาทั้งหม้อ

หลังผ่านไปสามเดือน ตอนลู่ฝานกำลังกลั่นยามังกรน้ำไฟคู่ เขาทำความเข้าใจได้เล็กน้อย หลังจากนั้นกินยาไปสามหม้อ เข้าสู่แดนปราณชีวิตขั้นห้า

การยกระดับที่พุ่งไปเรื่อยๆ แบบนี้ ถ้าอยู่ข้างนอก คงทำให้ตกใจไปทั้งเขตตงหวาแน่นอน รวมไปถึงทั้งประเทศอู่อานด้วย

สามเดือน ยกระดับขึ้นสามขั้นต่อเนื่อง ความเร็วขนาดนี้ เรียกได้ว่าปีศาจ

น่าเสียดาย ที่ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในคุกน้ำที่มืดไร้แสง นอกจากตัวลู่ฝาน ก็ไม่มีใครรู้

ขณะที่ลู่ฝานตั้งใจกลั่นยาจนลืมกินลืมนอน ทั้งสถาบันสอนวิชาบู๊ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง ถ้าลู่ฝานหาเวลาไปดูกระจกจำภาพขนาดใหญ่ที่วางไว้ข้างประตู จะรู้ว่าตอนนี้คณะหนึ่งเดียว ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว

ในฐานะที่เป็นคณะอันดับหนึ่งในเก้าสำนัก นักเรียนใหม่แต่ละคณะในปีนี้ นักเรียนแทบจะเกือบครึ่ง ที่มีเป้าหมายเป็นคณะหนึ่งเดียว

หลังผ่านการประลองนักเรียนใหม่ที่ยิ่งใหญ่ ไม่รู้มีกี่คนที่ร้องไห้ขี้มูกโป่ง เพราะไม่ได้เข้าคณะหนึ่งเดียว และมีอีกตั้งกี่คนที่เศร้าสลด เพราะไม่ได้เจอผู้ตรวจการลู่ในตำนาน

ถูกต้อง ตอนนี้ชื่อเสียงของผู้ตรวจการลู่ ดังไปทั่วสถาบันสอนวิชาบู๊ เพราะการมาถึงของนักเรียนใหม่พวกนี้

บวกกับทุกสิ่งที่ลู่ฝานทำในสถาบันสอนวิชาบู๊ ทำให้ศิษย์น้องทั้งหญิงทั้งชาย เกิดความเลื่อมใสผุดขึ้นในใจ

เมื่อนักเรียนเก่าพูดถึงลู่ฝาน ไม่ว่าเป็นคณะไหน ล้วนพูดได้เพียงว่านับถือ ถึงเป็นคณะหยินหยางที่โดนเล่นงานจนจะจมดินในตอนนี้ นักเรียนส่วนใหญ่ ล้วนนับถือพละกำลังของลู่ฝานมาก

บนเขาอวิ๋น ที่คณะหนึ่งเดียว ทำการก่อสร้างเป็นการใหญ่

อาจเป็นเพราะหลายปีมานี้ เป็นครั้งที่คณะหนึ่งเดียวรับนักเรียนเยอะที่สุด ดังนั้นอาจารย์เต้ากวงต้องจำใจสร้างห้องเพิ่มขึ้น ทำการขยายคณะ

ยังดีที่เรื่องพวกนี้ คนคณะหนึ่งเดียวไม่ต้องออกเงิน ท่านผอ.รับผิดชอบทั้งหมด

หานเฟิงและคนอื่นสีหน้าท่าทางดูมีราศี เป็นสี่ศิษย์พี่ของคณะหนึ่งเดียว ในขณะที่ศิษย์พี่ใหญ่รักษาตัวอยู่ในห้อง ศิษย์พี่รองฉู่เทียนกับศิษย์พี่สามฉู่สิงยังไม่กลับมา เรียกได้ว่าเขากุมอำนาจ

พาเจ้าดำเดินตรวจตราบนเขาอวิ๋นทั้งวัน ได้รับสายตาเลื่อมใสของศิษย์น้องผู้หญิงผู้ชาย

“ศิษย์พี่สี่ ศิษย์พี่ลู่ฝานจะกลับมาตอนไหนเหรอ”

“ศิษย์พี่หานเฟิง ศิษย์พี่ลู่ฝานเข้าคุกใต้ดินจริงเหรอ”

“ศิษย์พี่หานเฟิง ศิษย์พี่ลู่ฝานหล่อไหม”

เมื่อศิษย์น้องทั้งชายทั้งหญิงเห็นหานเฟิง ก็พากันมาล้อมเขาไว้ ถามอย่างเอาเป็นเอาตาย

หานเฟิงหัวเราะแล้วพูดว่า “ศิษย์น้องลู่ฝานแค่ไปรับการทดสอบเท่านั้น อีกไม่นานก็กลับมา พวกนายจะกลุ้มใจไปทำไม ส่วนเขาหล่อหรือเปล่า เหอะๆ แน่นอนว่าหล่อไม่เท่าฉัน”

หานเฟิงเดินส่ายหัวไปมารอบๆ หนึ่งรอบ จนมาถึงตีนเขาอวิ๋น

ตอนนี้กลุ่มคนกำลังสร้างประตูคณะหนึ่งเดียว หานเฟิงมองตัวอักษรคำว่าหนึ่งเดียว ที่ใหญ่และทรงพลัง แล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ

หานเฟิงลูบหัวเจ้าดำแล้วพูดว่า “เจ้าดำ แกคิดว่าศิษย์น้องลู่ฝานจะกลับมาเร็วๆ นี้ไหม”

เจ้าดำพยักหน้าแรงๆ เพื่อแสดงว่ายังต้องถามคำถามนี้เหรอ

หานเฟิงหัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “ให้ตายเถอะ แกยังมีความมั่นใจกว่าฉันเยอะเลย”

พูดจบ หานเฟิงมองท้องฟ้า พระอาทิตย์ตกดิน แสงยามเย็นทั่วฟ้า

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 859
แต่ไม่เป็นไร พวกนี้สามารถใช้ยาเสริมได้

คนที่ฝึกทั้งบู๊และชี่ควบคู่กัน ถ้าไม่ใช้ความสามารถในกลั่นยาให้เต็มที่ คงเสียของมาก

ยังไงที่นี่ก็ไม่มีคน ลู่ฝานตัดสินใจเอาหม้อสือฟางออกมา เริ่มกลั่นยาครั้งใหญ่

เขาถือสูตรการกลั่นยาเป็นปึกเอาไว้ในมือ สมุนไพรเป็นกอง ถูกเขาแผ่ออกเต็มหน้าห้อง

เพื่อรับรองว่าจะไม่มีใครรบกวนตอนกลั่นยา ลู่ฝานตั้งใจให้ไอ้เก้าเอาค่ายกลที่เอากลับมาจากเขาอวี่ฮั่วออกมาใช้

แค่มีคนมา เขาจะสัมผัสได้ทันที และสั่งการให้ค่ายกลโจมตี

การกระทำของเขา ทำให้รัศมีวงกลมประมาณสิบลี้ กลายเป็นหมอกรางๆ ทั้งแถบ

สำหรับคนที่อยู่ในคุกน้ำ เป็นภาพมหัศจรรย์อย่างไม่ต้องสงสัย ขนาดคนที่กลับมาอย่างฮ่วนเย่ว์ ยังโดนค่ายกลกันเอาไว้ เธออดโมโหไม่ได้ บ่นพึมพำว่า “คิดไม่ถึงว่าเขาว่างค่ายกลเป็นด้วย”

หลังจากนั้นก็ตะโกนตามค่ายกลสุดเสียง

อันที่จริงเธอสามารถตะโกนเรียกชื่อลู่ฝานนอกค่ายกลได้ เพื่อให้ลู่ฝานเปิดค่ายกลให้เธอเข้าไป

แต่ฮ่วนเย่ว์ผู้เย่อหยิ่ง ไม่ยอมทำแบบนี้ เธอจะแอบเข้าไปเงียบๆ เธอไม่เชื่อว่าค่ายกลที่ลู่ฝานทำออกมา จะต้านทานฝีเท้าของเธอได้

ฮ่วนเย่ว์บุกเข้าไปในค่ายกลทุกวัน สภาพดูไม่ได้ทุกครั้งที่กลับมา

ฮ่วนเย่ว์ที่กำลังโมโห รีบไประบายอารมณ์กับพวกหมีดำ พวกหมีดำที่น่าสงสาร เพิ่งโดนลู่ฝานซัดจนสาหัส ตอนนี้ยังกลายเป็นก้อนเนื้อให้ฮ่วนเย่ว์ซัดอีก รันทดจนไม่รู้จะพูดยังไง

เพราะพลังชำระล้างของเทพอักษร ไม่ต้องใช้ตันเถียนก็สามารถเก็บไว้ในตัวได้ ไม่งั้นจากการที่พวกหมีดำและมู่หนีโดนซัดจนอยู่ในสภาพเกือบแย่ บวกกับโดนฮ่วนเย่ว์เล่นงานแบบนี้ คงตายไปนานแล้ว

ขณะที่ทำอะไรไม่ได้ คนพวกนี้ทำได้เพียงออกจากเกาะหินโสโครก หนีไปหลบที่อื่น

คิดว่าอีกไม่นาน พวกเขาคงเหมือนกับคนหนังหุ้มกระดูกพวกนั้น กลายเป็นคนน่าสงสาร สูญเสียพลัง มีชีวิตอยู่ได้ด้วยการกินศพเพื่อนตัวเอง

เพราะเมื่อออกห่างจากป้ายศิลาเทพฝนเกินไป ความเร็วในการดูดซับจะช้าลง ประสิทธิภาพของความสามารถในการดูดซับของหินโสโครกพวกนั้นจะแข็งแกร่งขึ้น

โครงสร้างที่สิ่งหนึ่งมลายหายไปสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นมาแทนที่ ยังไงก็ต้องโดดเดี่ยวตายไม่ช้าก็เร็ว เว้นเสียแต่พวกเขาจะโชคดีเหมือนฮ่วนเย่ว์ ที่ได้ปลดผนึก

ฮ่วนเย่ว์ที่โมโหฟึดฟัด ตัดสินใจหาห้องอยู่นอกค่ายกล

ลู่ฝานไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้ เขารู้ว่ามีคนบุกค่ายกลทุกวัน แต่เขาไม่ได้สนใจอะไร ค่ายกลคุ้มครองเขาอวี่ฮั่วจะทำลายง่ายขนาดนั้นเหรอ

แม้ตอนนี้พลานุภาพของค่ายกลจะอ่อนแอลงไม่น้อย แต่ก็ยังเป็นค่ายกลที่แข็งแกร่งมาก

พลังห้าธาตุฟ้าดินไหลรวมกัน กลายเป็นรูปร่างต่างๆ ภายใต้การควบคุมของลู่ฝาน

ลู่ฝานมียาใหม่ออกมา 1-2 หม้อทุกวัน กลั่นออกมาก็กิน กินหมดก็ฝึกฝนต่อไป

อย่างอื่นไม่เยอะ แต่สูตรการกลั่นยากับสมุนไพรเยอะ

ของที่เซียนสือฟางเก็บและสะสมไว้ กลายเป็นทุนให้ลู่ฝานถลุง บวกกับสิ่งที่ลู่ฝานได้บนหอแดนสวรรค์ที่เขาอวี่ฮั่ว เรียกได้ว่าผู้ฝึกชี่จำนวนมาก ทั้งชีวิตอาจไม่เคยเห็นสูตรการกลั่นยาหลายชนิดแบบนี้ ส่วนลู่ฝานเอามันมากลั่นออกมาทีละชนิดไปเรื่อยๆ

ที่นี่ไม่มีกลางวันและกลางคืน ลู่ฝานก็ไม่ต้องการกลางวันและกลางคืน

การเสริมทั้งหมดมาจากยา เมื่อกินหมดพลังเต็มเปี่ยม กลั่นยาต่อไป

เมื่อกลั่นเสร็จหมดพลัง ก็กินยาไปหนึ่งขวด

ยาทุกชนิดกินจนเกิดภูมิต้านทาน ไม่มีประสิทธิภาพมากเท่าไร ก็รีบเปลี่ยนเป็นชนิดอื่น

ยาแต่ละชนิด ลู่ฝานจะเก็บยาที่ดีที่สุดเอาไว้ 1-2 ขวดสำรองไว้ หลังจากนั้นเอาใส่ไปในจวนอากาศธาตุ

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 858
ลู่ฝานตาเป็นประกายทันที สีหน้าประหลาด

ฮ่วนเย่ว์เพิ่งรู้ว่าตัวเองดีใจจนลืมตัว เธอยังไม่ได้ใส่เสื้อ

“มองอะไร!”

ฮ่วนเย่ว์รีบใส่เสื้อ หน้าแดงระเรื่อ

ลู่ฝานกระแอมสองที ตอนนี้วิธีที่ดีที่สุด คือรีบเปลี่ยนเรื่องพูด

“เอ่อ เธอรู้เหรอว่าออกไปยังไง”

ฮ่วนเย่ว์ไม่กล้ามองลู่ฝานมาก เธอรีบพูดว่า “ฉันรู้อยู่แล้ว”

ลู่ฝานส่งเสียงตอบรับ ดูเหมือนจะออกไปไม่ยาก

ฮ่วนเย่ว์กัดฟันถามออกมาอีก

“นายจะไปไหม”

ลู่ฝานยิ้มแล้วส่ายหน้าพูดว่า “ไม่จำเป็น ฉันต้องฝึกฝนที่นี่”

พูดจบลู่ฝานให้ไปมองห้องนั้นแวบหนึ่ง

ฮ่วนเย่ว์พูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ฝึกตายก็สมควร ไม่รู้ว่าเรื่องอะไรไม่ควรทำเหรอ นายฝึกไปเถอะ ระวังตายที่นี่ ไม่มีใครเก็บศพให้นายนะ ฉันไปละ ต้องไปคิดบัญชีผอ.นั่นก่อน นายทำตัวให้ดีๆ ล่ะ”

ฮ่วนเย่ว์พูดว่าไปก็ไป โดยไม่ลังเลเลยสักนิด

ตัวกลายเป็นสายลม ฮ่วนเย่ว์หายลับไปจากสายตาลู่ฝาน พร้อมแสงสีแดง

“จับได้ด้วยมือเดียว เจ้านาย รูปร่างผู้หญิงคนนี้ไม่เลว ตามมาตรฐานมาก งดงามมาก”

จู่ๆ เจดีย์เสวียนเก้ามังกรโผล่ออกมา แล้วพูดอย่างตกใจ

ลู่ฝานได้ยินคำว่าจับได้ด้วยมือเดียว จู่ๆ ก็คิดถึงภาพงดงามที่เห็นเมื่อครู่ขึ้นมาเอง

“ไปๆๆๆ แกเป็นภูติอาวุธจะไปรู้อะไร”

ลู่ฝานหันหลังเดินเข้าไปในห้อง ตั้งแต่วันนี้ ห้องนี้เป็นของเขาแล้ว

ลู่ฝานเดินเข้าประตูมา ก็เห็นตัวอักษรมากมายในห้องทันที

ลู่ฝานพูดอย่างอึ้งเล็กน้อย “ที่แท้ยังมีอีกเยอะขนาดนี้”

ทางด้านนี้ ฮ่วนเย่ว์ใช้เท้าเหยียบน้ำจนกระเด็น พุ่งมาข้างหน้าป้ายศิลาเทพฝน

แสงสีฟ้าร่วงลงบนตัวเธอ แต่ครั้งนี้ไม่สามารถชำระล้างบนตัวเธอได้อีกแล้ว

ฮ่วนเย่ว์เดินไปหน้าป้ายศิลาเทพฝนอย่างได้ใจ จากนั้นยื่นมือออกมา

ฝ่ามือทะลุผ่านป้ายศิลาเทพฝน ป้ายศิลาขนาดใหญ่อันนี้เป็นคนภาพลวงตาเท่านั้น

เมื่อปัดภาพลวงตาออก ด้านหน้าเป็นประตูบานหนึ่ง แค่เดินออกไป ก็จะออกจากคุกนรกแห่งนี้แล้ว

ฮ่วนเย่ว์ยิ้มบางๆ คนอื่นที่อยู่ที่นี่ คงหาประตูนี้ไม่เจอ คนที่มีร่างกายพรสวรรค์แบบเธอ ที่สัมผัสความแท้จริงของพลังได้อย่างว่องไว

ฮ่วนเย่ว์ก้าวออกไปหนึ่งก้าว เพื่อจะออกจากคุกนรกแห่งนี้

แต่ขณะนั้น จู่ๆ ฮ่วนเย่ว์เห็นตัวอักษรบนป้ายศิลาเทพฝน

ร้องบทเพลงเศร้าจบคะนึงหา ชื่อบทเศร้าแต่ใบหน้าแดงระเรื่อ เมื่อจุดโคมไฟ ความรู้สึกยิ่งมากขึ้น

จู่ๆ มีภาพของลู่ฝานแวบเข้ามาในหัวฮ่วนเย่ว์

ฮ่วนเย่ว์หันไปมองทางห้องเล็กๆ

เขายังจะอยู่ที่นี่ เขายังจะฝึกวิชาระดับฟ้า

ถ้าเขาตายจริงๆ จะทำยังไง

แววตาฮ่วนเย่ว์ฉายแววสับสน

แม้เธอพูดกับลู่ฝานว่าฝึกตายก็สมควร แต่จะไปโดนไม่สนใจเขาแบบนี้จริงๆ เหรอ

ฮ่วนเย่ว์ถอยออกมาอีกครั้ง

ช่างเถอะ ไปดูไอ้หมอนั่นดีกว่า

เขาน่าจะยอมแพ้ในไม่ช้า ฉันแค่ดูไม่ให้เขาตายไปง่ายๆ เท่านั้น

ฮ่วนเย่ว์หันหลังเดินกลับมาบนหินโสโครกอีกครั้ง มองห้องเล็กๆ แล้วพึมพำว่า “ถ้านายฝึกจนตายจริงๆ ฉันไม่เอาศพนายออกไปหรอกนะ”

ฝึกวิชาไม่ใช่เรื่องง่าย จิตใจนิ่ง ลมปราณสงบ ควบคุมร่างกาย

สำหรับลู่ฝาน นี่เป็นแค่สิ่งพื้นฐานที่สุด สิ่งที่ต้องเตรียมจริงๆ ยังจำเป็นต้องเป็นอย่างอื่น อย่างเช่น เขาอยากกลั่นยาแบบพิเศษแบบยิ่งใหญ่มานานแล้ว

ลู่ฝานรู้เป็นอย่างดีว่าการฝึกวิชาระดับฟ้า ไม่ได้ฝึกง่ายขนาดนั้น แค่มองตัวอักษร ก็เจ็บปวดจนทนไม่ไหวไปทั้งตัว เลือดไหลออกมา แสดงว่าไม่ว่าจะเป็นระดับวิทยายุทธ หรือระดับความแข็งแกร่งของร่างกายเขายังแย่ไปหน่อย

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 857
สองคำสุดท้ายของลู่ฝานอุดปากฮ่วนเย่ว์ เธอเห็นว่าพูดสู้เขาไม่ได้ จึงส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจแล้วพูดว่า “แล้วแต่นาย นายรีบขจัดผนึกบนตัวฉันออกเร็วๆ สิ”

ลู่ฝานพยักหน้า ขณะกำลังจะเอาฝ่ามือวางบนไหล่ฮ่วนเย่ว์

ขณะนั้นฮ่วนเย่ว์ถอดเสื้อด้านบนของตัวเอง แผ่นหลังขาวสว่าง ทำให้ลู่ฝานมองจนเต็มตา

ลู่ฝานอ้าปากค้างพูดว่า “นี่เธอ……”

ฮ่วนเย่ว์หันหลังพูดกับลู่ฝานว่า “รักษาบาดแผล ทำลายผนึก ล้วนต้องทำแบบนี้ไม่ใช่เหรอ รีบสิ ฉันยังไม่ได้พูดอะไรเลย นายจะชักช้าทำไม รีบกำจัดผนึกในตัวฉันออกเร็วๆ สิ แล้วตาอย่ามองมั่วซั่ว มือก็อย่าจับไปทั่ว ถ้ากล้าจับไปทั่ว ฉันจะเฉือนนาย”

ลู่ฝานกลืนน้ำลาย รู้สึกว่าที่ฮ่วนเย่ว์เข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเมื่อกี้ ก็เพราะสิ่งนี้สินะ

เขาจะพูดอะไรได้อีก แม้เขารู้ว่าการทำลายผนึก ไม่จำเป็นต้องถอดเสื้อผ้า แต่เธอถอดแล้ว จะให้เธอใส่เหรอ

นี่มัน……วุ่นวายเกินไปหรือเปล่า!

ความคิดมากมายวนเวียนในหัวลู่ฝาน วางฝ่ามือลงบนไหล่ฮ่วนเย่ว์

ฮ่วนเย่ว์กำลังจะพูดอะไร ก็รู้สึกว่าพลังความร้อนในมือลู่ฝานเข้ามาในตัวเธอ หลังจากนั้นพลังสีฟ้าในตัวเธอพุ่งอย่างบ้าคลั่ง ตันเถียนที่โดนผนึกเอาไว้ ตอนนี้โดนปลดผนึกแล้ว

พลังปราณที่ไม่ได้เห็นมานานไหลไปทั่วตัว มีเสียงเม็ดถั่วระเบิดดังขึ้นบนตัวฮ่วนเย่ว์

ระยะเวลาเพียงครู่เดียว ลู่ฝานรู้สึกว่าระดับวิทยายุทธของฮ่วนเย่ว์สูงขึ้นถึงสองขั้น ตันเถียนขยายใหญ่ พลังปราณแข็งตัว ร่างกายแข็งแกร่งขึ้น แขนขาและกระดูกมีพลังแผ่ซ่านอยู่

ผมฮ่วนเย่ว์สะบัดปลิว ตัวเป็นสีแดงเพลิง

อีกทั้งท่ามกลางเพลิงสีแดงของเขา กลับมีสีฟ้าอยู่ด้วย นั่นเป็นพลังที่ลู่ฝานพยายามรวมไว้ด้วยกัน

ผมสีฟ้ากลายเป็นสีดำเหมือนเดิม ลู่ฝานย่อพลังสีฟ้าพวกนั้นเอาไว้ หลังจากนั้นหยุดการดูดซับ

พลังบนตัวฮ่วนเย่ว์ระเบิดออกมาทันที พลังปราณที่ตัวกับพลังสีฟ้าพวกนั้นปะทะกัน ทำให้หินโสโครกด้านล่างเท้าระเบิดออก

ใบหน้าฮ่วนเย่ว์มีความเจ็บปวด พลังสีฟ้าและสีแดงฟาดฟันกัน เลือดไหลออกมาตรงมุมปาก

ลู่ฝานเห็นท่าไม่ดี จึงแอบใส่ปราณชี่เข้าไป

เมื่อปราณชี่นี้เข้าไป พลังในตัวฮ่วนเย่ว์สงบลงทันที ทั้งสองฝ่ายเหมือนจะมีแนวโน้มไหลรวมกัน แต่เห็นได้ชัดว่าพลังปราณของเธอ ไม่ได้ดุดันเหมือนปราณชี่ของลู่ฝาน ใช้สุดกำลังก็ทำได้เพียงรักษาไว้ไม่ให้โดนกลืนกิน

ลู่ฝานขยับปราณชี่เบาๆ พลังทั้งสองหมุนเวียน สุดท้ายกลายเป็นรูปไท่จี๋ ลักษณะคล้ายหยินหยาง

ลู่ฝานพยักหน้า รู้สึกว่าพอประมาณแล้ว

ขณะนั้นฮ่วนเย่ว์ลืมตาขึ้นทันที แสงหนึ่งส่องออกมาจากตาเธอ

แสงร่วงลงบนพื้น โจมตีบนพื้นจนเกิดหลุมเล็กๆ ตอนนี้วิทยายุทธของฮ่วนเย่ว์ ต้องถึงระดับแดนปราณชีวิตขึ้นไปแน่นอน ลู่ฝานสัมผัสได้ถึงความคึกคักของพลังธาตุทั้งห้าบริเวณรอบๆ เหมือนเป็นการต้อนรับฮ่วนเย่ว์

ลู่ฝานชักมือกลับมาแล้วพูดว่า “ยินดีด้วย เธอทำลายผนึกแล้ว”

ฮ่วนเย่ว์ยกมือขึ้น แสงสีแดงออกจากมือซ้าย แสงสีฟ้าออกจากมือขวา

ฮ่วนเย่ว์พูดด้วยความตื่นเต้นว่า “ลู่ฝาน นายเก่งมาก นายเก่งขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร”

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “แค่วิธีนิดหน่อยเท่านั้น ไม่มีค่าให้พูดหรอก ตอนนี้เธอออกไปได้แล้ว”

ฮ่วนเย่ว์หัวเราะออกมา รอยยิ้มเธอบริสุทธิ์และดูสดใสมาก เธอหันมาตบไหล่ลู่ฝานแล้วพูดว่า “ขอบใจนายมากนะลู่ฝาน ฮ่าๆ ฉันออกไปได้แล้ว ไป เราออกไปด้วยกัน ไม่ต้องอยู่ที่บ้าๆ แบบนี้หรอก ไม่มีความสนุกสักนิด”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 856
อยากเบิกภูเขาด้วยมือเดียว อันดับแรกต้องรับรองว่ามือของคุณแข็งเหมือนหิน ทะเยอทะยานคิดทำการใหญ่ อย่างน้อยตัวเองต้องตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้เสียก่อน

นี่คือความจริงที่นักบู๊ซึ่งฝึกฝนได้แค่พลังปราณ ต้องเจอเมื่ออยู่ต่อหน้าวิชาระดับฟ้า วิชาพื้นฐานไม่พร้อม ร่างกายไม่พร้อม เมื่อเจอด่านนี้ ยากมากที่จะผ่านได้

กลับกันวิชาของผู้ฝึกชี่จะง่ายกว่าหน่อย

ตัววิชาอาจเป็นหนังสือเล่มหนึ่ง ความฝันหนึ่ง ตัวอักษรตัวหนึ่ง หรือภาพภาพหนึ่ง

คุณดูแล้วเข้าใจก็จะเข้าใจ แต่ถ้าดูแล้วไม่เข้าใจ ถึงครุ่นคิดทั้งชีวิตก็เปล่าประโยชน์

พรสวรรค์ คือสิ่งที่ผู้ฝึกชี่ต้องการ

ได้เป็นผู้ฝึกชี่ เป็นแค่เครื่องรับรองว่าคุณมีพรสวรรค์ แต่อยากโดดเด่นท่ามกลางผู้ฝึกชี่ สิ่งที่คุณต้องการคือพรสวรรค์ที่เหนือธรรมชาติ

ฮ่วนเย่ว์รู้ว่าตัวเองฝึกวิชาระดับฟ้าไม่ได้

เธอมีอาจารย์ที่ดี ฝึกฝนราบรื่น พลังปราณมากมาย ตัวเองยังมีคุณสมบัติอันล้ำเลิศด้วย

แต่เพราะเหตุนี้ เธอจึงไม่มีวิชาพื้นฐานที่มั่นคง หรือเรียกว่าวิชาพื้นฐานของเธอ ยังไม่ถึงขั้นที่วิชาระดับฟ้าต้องการ

เธอจำเป็นต้องรอให้วิทยายุทธของตัวก้าวหน้าขึ้นอีก ใช้ระดับวิทยายุทธทดแทนจุดบกพร่องวิชาพื้นฐานของตัวเอง ถึงจะฝึกฝนได้ ตอนนี้ยังไม่เพียงพออย่างมาก เมื่อเขาอยู่ต่อหน้าวิชาระดับฟ้า เธอทนได้แค่ครึ่งชั่วยามเท่านั้น

แต่เวลาครึ่งชั่วยามผ่านไปอย่างรวดเร็ว ผ่านไปหนึ่งชั่วยามแล้ว ผ่านไปสองชั่วยามแล้ว ลู่ฝานยังไม่มีท่าทีจะเสร็จเลย

ฮ่วนเย่ว์รู้สึกสงสัย รู้สึกไม่เข้าใจ รู้สึกตกใจ

เขาทำได้ยังไง

ฮ่วนเย่ว์คงไม่รู้สภาพการฝึกฝนของลู่ฝานตั้งแต่เด็ก

แดนฝึกร่างอายุ สิบแปดปี ใครจะอยู่ในแดนฝึกร่างนานได้เท่าเขาบ้าง ฝึกทั้งบู๊และชี่ควบคู่กัน ถ้าพูดถึงพื้นฐาน ถึงเป็นเซียนบู๊ ก็ไม่น่าจะมั่นคงเท่าเขา

ลู่ฝานมองนิ่งๆ พลังความเป็นความตายทั้งบท โดนเขาอ่านทีละตัวจนจบ

แม้จำตัวอักษรไม่ได้ แต่ลู่ฝานรู้เนื้อหาวิชาแล้ว

นี่เป็นวิชาที่แข็งแกร่งเล่มหนึ่ง แข็งแกร่งกว่าเคล็ดวิชาบู๊ที่ลู่ฝานเคยเห็นมาทั้งหมด พวกวิชาสายฟ้าฟาดห้าธาตุ กระบี่ฆ่าพิชิตฟ้า เมื่อเทียบกับวิชานี้ เรียกได้ว่าด้อยจนไม่รู้จะด้อยอย่างไรแล้ว

หลังจากอ่านเสร็จ ลู่ฝานมีเพียงความคิดเดียว นี่เป็นวิชาที่สามารถทำให้คนทั่วไปฝึกจนเป็นเทพได้

ตายเก้าครั้ง ฟื้นเก้าครั้ง วนเวียนไม่จบสิ้น

ตายแล้วเกิด พังแล้วตั้งตระหง่าน

คนที่ฝึกวิชานี้ จำเป็นต้องมีความขยันและความกล้าหาญมาก

เมื่อเข้าสู่วิชาจะต้องตายก่อนเก้าครั้ง หลังจากนั้นค่อยว่ากันว่าฝึกฝนอย่างไร

หลังผ่านไปสามชั่วยาม ลู่ฝานจำวิชาได้ทั้งบทแล้ว จากนั้นเขาจึงละสายตาออกมา

ตอนที่เขาละสายตาออกมา ความเจ็บปวดบนร่างกายหายไปทั้งหมด เหมือนทั้งหมดเป็นเพียงภาพลวงตา

ลู่ฝานค่อยๆ ยืนขึ้น พรูลมหายใจออกมา

ฮ่วนเย่ว์เดินเข้ามาพูดว่า “นายฝืนไม่ไหวแล้วเหรอ ฉันนึกว่านายจะฝึกวิชาวิปริตนี่เสียอีก”

ลู่ฝานพูดว่า “ฉันคิดจะฝึก แต่ฉันต้องเตรียมตัวสักสองสามวัน”

ฮ่วนเย่ว์พูดอย่างตกใจ “อะไรนะ นายดูเข้าใจแล้วหรือยัง วิชานี้ต้องให้คนตายตั้งหลายครั้งไม่ใช่เหรอ ฉันลืมไปแล้วว่ากี่ครั้ง”

ลู่ฝานพูดว่า “ตายเก้าครั้ง ฟื้นเก้าครั้ง”

ฮ่วนเย่ว์พูดว่า “รู้แล้วนายจะฝึกอีกเหรอ!”

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “ในเมื่ออยากแข็งแกร่ง ยังไงก็ต้องจ่ายอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง”

ฮ่วนเย่ว์มองความแน่วแน่ในดวงตาลู่ฝาน จู่ๆ ความรู้สึกประหลาดผุดขึ้นในใจ

“นายไม่กลัวตายเหรอ”

“นักบู๊ล้วนไม่กลัวตาย”

“ชิ คนพวกนั้นเอาแต่พูดว่าไม่กลัวตาย ความจริงกลัวตายเป็นที่สุด นายแน่ใจเหรอว่าจะต้องพยายามสุดชีวิตแค่การฝึกวิชาเนี่ยนะ”

“ฉันมีความมั่นใจ”

“มีแค่ความมั่นใจใช้ได้ที่ไหนกันล่ะ”

“ใช้ได้!”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 855
จากนั้นแสงสีขาวหายไป เมื่อท่านผอ.พลิกข้อมือ ฟ้าดินกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง

“ไร้ระยะอีกทั้งยังไร้รูปร่าง นายได้อะไรมาจริงๆ”

ท่านผอ.ถอนหายใจยาวอีกครั้ง ซิงยวนพูดถูก เขาอยู่ไม่ได้แล้ว

เหมือนท่านผอ.แก่ลงหลายปี ตัวกลายเป็นแสงหายไป เหลือเพียงความเละเทะเอาไว้

ส่วนในป่าอีกที่หนึ่ง เงาของซิงยวนเดินออกมาจากความว่างเปล่า

ด้านหน้าเขาเป็นที่รกร้าง

แต่หลังจากสะบัดมือ อยู่ดีๆ ก็มีทางเข้าโบราณปรากฏออกมา

นี่คือจวนของผู้แข็งแกร่งที่เป็นคนฝึกฝนชั่วร้าย ซึ่งก้าวเข้าสู่ระดับเซียนบู๊ ที่ลั่วหยู่เป็นคนหาเจอ ก่อนหน้านี้โดนผนึกเอาไว้

ซิงยวนรู้จักที่นี่ ขณะที่จะก้าวเข้าไป

จู่ๆ เงาคนปรากฏขึ้น เป็นอาจารย์เมิ่งอวิ๋น

“ซิงยวน นายจะทำอะไร”

เมิ่งอวิ๋นถามขึ้น

ซิงยวนตอบอย่างราบเรียบว่า “จะไปดู”

เมิ่งอวิ๋นพูดว่า “ไม่มีคำสั่งของท่านผอ. นายเข้าไปไม่ได้”

ซิงยวนพูดว่า “เข้าไม่อยู่ ฉันจะเข้าก็เข้าได้”

พูดจบ ไม่รอให้อาจารย์เมิ่งอวิ๋นตั้งตัว ซิงยวนสะบัดมือ พลังสีขาวปกคลุมเธอไว้

อาจารย์เมิ่งอวิ๋นพบว่าร่างกายตัวเองไม่สามารถขยับได้ ซิงยวนแข็งแกร่งถึงขั้นนี้ตั้งแต่เมื่อไร

ซิงยวนเดินเข้าไปในทางเข้าโบราณ ใต้ดิน 1600 กว่าเมตรคือจวน

เพิ่งเดินเข้ามา ซิงยวนรู้สึกถึงพลังสีดำ กำลังแผ่ซ่านมาบนร่างกายเขา

เขาไม่ได้ขัดขวาง แต่ปล่อยตัวเอง ให้แสงสีดำนี้ปกคลุมตัวเขา

ซิงยวนพึมพำว่า “ในเมื่อฝึกฝนธรรมดาไม่สามารถเข้าสู่แดนหยินหยางได้ งั้นฉันขอดูวิชาคนที่ฝึกฝนชั่วร้ายหน่อย”

เมื่อพูดเช่นนี้ แสงสีขาวบนตัวซิงยวนกลายเป็นสีดำอย่างรวดเร็ว

ด้านนอก สีหน้าของอาจารย์เมิ่งอวิ๋น แปรเปลี่ยนเป็นทุกข์ระทม

ซิงยวนหลับตาลง ถอดเสื้อผ้าตัวเองออก เดินตัวเปลือยเข้าไปข้างใน

เขากางแขนออกทั้งสองข้าง เหมือนจะโอบกอดความมืดมิดนี้

ในคุกน้ำ

ลู่ฝานนั่งหน้าประตู มองอักษรบนประตูอย่างเงียบๆ

ครั้งนี้เขาไม่ได้กวาดตามองทันทีเหมือนเมื่อกี้ แต่มองดูอักษรทีละตัว

วิธีแบบนี้ อย่างน้อยก็ทำให้เขาต้านทานการกัดกินของวิชาได้ แต่ที่น่าแปลก เขาจำตัวอักษรด้านบนไม่ได้

เขารู้ว่าเขียนว่าอะไร แต่จำรูปร่างของตัวอักษรไม่ได้ว่าแกะสลักบนประตูยังไง

วิชาระดับฟ้า ไม่เหมือนวิชาอื่นจริงๆ

ลู่ฝานก็ไม่รีบร้อน จำไม่ได้ก็จำไม่ได้ ค่อยๆ ดูก็ได้

ร่างกายยังปวดอยู่ ดวงตาก็เจ็บ แต่พวกนี้เป็นเรื่องเล็ก ความทรมานสำหรับลู่ฝาน เป็นเพียงการฝึกฝนอย่างหนึ่งเท่านั้น

แววตาเป็นปกติ ลู่ฝานนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้นเหมือนหินก้อนหนึ่ง

ฮ่วนเย่ว์เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จนานแล้ว รอให้ลู่ฝานช่วยเธอปลดผนึก สรุปว่าเห็นลู่ฝานนั่งเหมือนหินอยู่ตรงนั้น ตะโกนสองสามครั้งก็ไม่ขยับ

ฮ่วนเย่ว์รู้ว่าตอนที่คนอื่นกำลังฝึกฝน ทางที่ดีอย่ารบกวน ดังนั้นเธอจึงยืนเงียบๆ อยู่อีกด้าน

จากการประมาณของเธอ ลู่ฝานยืนหยัดได้อย่างมากครึ่งชั่วยามก็นับว่าไม่เลวแล้ว

เธอเคยสัมผัสกับการกัดกินของวิชาระดับฟ้ามาแล้ว มันทรมานเหมือนไม่ใช่มนุษย์

เธอยังจำได้ว่าอาจารย์ของเธอเคยพูดกับเธอ อย่าเอาแต่โลภกับวิชาระดับฟ้า โอกาสยังไม่พอ ความสามารถยังไม่พอ ถึงมีวิชาระดับฟ้าอยู่ในมือ เป็นได้เพียงหายนะเท่านั้น

เหตุผลง่ายดายมาก เพราะแค่เป็นวิชาระดับฟ้า ล้วนมีปัญหาด้านพรสวรรค์

วิชาระดับฟ้าของนักบู๊ ที่ต้องการเป็นอันดับแรกคือร่างกายที่แข็งแกร่ง ไม่มีร่างกายทนทานเหมือนเหล็ก ถึงมีวิชาในมือ คุณก็ยังไม่กล้าดู

บทที่ 854

บทที่ 856

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 854
ท่านผอ.พูดว่า “ฉันให้นายลงเขาไม่ได้ โดยเฉพาะนายในตอนนี้”

ซิงยวนพูดว่า “เพราะการก้าวข้ามผ่านอุปสรรคครั้งนี้ ทำให้ผมขึ้นมาบนเขา แต่ตอนนี้จิตใจวุ่นวายแล้ว โอกาสโดนทำลายหมด ทำไมถึงลงเขาไม่ได้”

ท่านผอ.พูดว่า “ฉันว่านายเข้าใจผิดนิดหน่อยนะ ฉันให้นายมาที่นี่ ไม่เพียงแต่ดูออกว่านายมีโอกาส จึงให้นายก้าวข้ามผ่านอุปสรรคที่นี่ สิ่งสำคัญกว่านั้นนายต้องนั่งคิดทบทวนที่นี่”

“ผมทำอะไรผิด ผมสอนวิถีของพลังให้ศิษย์ มีอะไรผิดเหรอ”

ซิงยวนเชิดหน้าพูด

ท่านผอ.พูดว่า “สอนคนต้องสอนคุณธรรมก่อน จะถ่ายทอดวิถีง่ายๆ ไม่ได้”

ซิงยวนตอบว่า “คุณหมายความว่า ศิษย์ผมสมควรตายเหรอ”

ท่านผอ.เงียบไป ทันใดจึงพูดว่า “ดูเหมือนฉันเก็บนายไว้ในสถาบัน เป็นสิ่งผิดจริงๆ หลายปีมานี้ นายยังคงไม่เข้าใจหลักการที่ว่าวิญญูชนไม่โต้เถียงต่อสู้”

เสียงซิงยวนพูดเสียงสูงขึ้น “วิถีบู๊คือการต่อสู้แย่งชิง การฝึกฝนคือการต่อสู้แย่งชิง คนมีชีวิตอยู่ก็ต้องต่อสู้แย่งชิง สู้กับฟ้าสู้กับดิน คุณจะไม่ให้ผมสู้ได้ยังไง”

ท่านผอ.พูดว่า “มีเพียงไม่แก่งแย่ง จึงไม่มีใครในใต้หล้ามาสู้ด้วย”

ซิงยวนตวาดออกมาว่า “ไร้สาระ!”

ท่านผอ.พูดเสียงดังว่า “นี่ถึงเป็นเหตุผลที่ทำไมนายถึงขาดแค่นิดเดียวแล้วจะประสบความสำเร็จไง”

ซิงยวนจ้องหน้าท่านผอ.เขม็ง เหมือนจะฆ่าท่านผอ.ด้วยสายตา

ในตาของท่านผอ.ก็มีประกาย มองซิงยวนด้วยอารมณ์ที่เรียกว่าผิดหวังและเสียดาย

ซิงยวนเกลียดสายตาแบบนี้มาก สิ่งที่เขาไม่อยากเห็นทั้งชีวิต คือมีคนมองเขาด้วยสายตาแบบนี้

กระดาษในมือหายไป ซิงยวนเอาอะไรบางอย่างออกมา

นั่นเป็นไม้บรรทัดอี้ฟาง ไม่มีแสงสว่างสักนิด

ซิงยวนพูดว่า “ของสิ่งนี้คือสิ่งที่คุณให้ผมตอนที่จะเป็นอาจารย์ วันนี้ผมคืนให้คุณ”

ซิงยวนโยนไม้บรรทัดไปล่างเท้าของท่านผอ.

ประกายในแววตาท่านผอ.หายไป ตอนนี้กลับมาราบเรียบอีกครั้ง

“นายจะออกจากสถาบันเหรอ”

ซิงยวนพูดว่า “มีคุณอยู่ที่สถาบัน ผมฆ่าลู่ฝานไม่ได้ แต่ยังไงก็มีสักวันที่เขาต้องออกไป”

ท่านผอ.พูดช้าๆ ว่า “นายเคยคิดหรือเปล่าวันหนึ่งนายจะตายคามือเขา”

ซิงยวนหัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “คุณกำลังสรรเสริญเขา หรือกำลังดูหมิ่นผม”

ท่านผอ.พูดว่า “ซิงยวน ช่วงนี้นายทำเกินไปจริงๆ นายลองหันมองตัวเองตอนนี้สิ”

ซิงยวนได้ยินจึงหันหน้าดู ผาจิตแท้จริงส่องให้เห็นหน้าตาของเขาตอนนี้

ทันใดนั้น ซิงยวนอึ้งไป เขาไม่รู้จักตัวเองแล้วจริงๆ

แต่ต่อมาซิงยวนแสยะยิ้มเย็นชา “ที่แท้ผาแห่งนี้ ใช้แบบนี้นี่เอง น่าเสียดาย มันก็แค่การอำพรางเท่านั้น”

พูดพลาง ซิงยวนยกมือขึ้นมาสะบัด เกิดเสียงระเบิดทั้งหน้าผา

ราวกับโดนเขาอีกลูกชนกะทันหัน ผาจิตแท้จริงแยกออกเป็นเสี่ยงๆ กลายเป็นหินก้อนใหญ่หล่นลงไปในเหวลึก

ตอนนี้ท่านผอ.ก็ยกมือขึ้นมาเช่นกัน มองซิงยวนแล้วพูดว่า “ดูเหมือนนายเสียเจตนาแท้จริงไปแล้ว ฉันไม่สามารถให้นายลงเขาได้”

จู่ๆ ซิงยวนเหาะขึ้นมา รอบๆ ตัวเขามีแสงสีขาวแผ่ออกมา

“ขอโทษด้วยท่านผอ. ไม่สิ ตอนนี้ผมควรเรียกชื่อคุณแล้ว เทียนหยาจื่อ แม้ผมเสียโอกาสในการก้าวข้ามอุปสรรคไป แต่ไม่ได้หมายความว่าผมไม่ได้อะไรเลย คุณต้านทานผมไม่ไหวหรอก”

ท่านผอ.ไม่พูดอะไรสักคำ กดฝ่ามือลงด้านล่างอย่างแรง

ทันใดนั้น เหมือนฟ้าดินทรุดลงกะทันหัน ภาพตรงหน้าหายไปทั้งหมด เหลือเพียงเสียงถล่มอันน่ากลัว

ท่ามกลางความมืด มีแสงหนึ่งสว่างขึ้นมา มันเป็นแสงสีขาว แม้เหมือนแสงเทียนสั่นไหวไปมา แต่ไม่ได้หายไป

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 853
ขณะเดียวกันในสถาบันสอนวิชาบู๊

ทุกอย่างเงียบ ไหลไปตามน้ำ ท่านผอ.ยืนสองมือไพล่หลัง ต้านลมอยู่บนเรือ

ตาทั้งสองข้างปิดอยู่ สัมผัสสายลมผ่านร่างกาย ท่านผอ.หลับตา เพลิดเพลินกับความสงบที่หายาก

ทันใดนั้น แสงหนึ่งสว่างขึ้นจากไกลๆ หางคิ้วท่านผอ.ขยับเล็กน้อย หลังจากนั้นจึงลืมตาขึ้น

“แสงนี้อยู่ทางเขาอี้ว์หลิง!”

ท่านผอ.รับรู้พลังฟ้าดินรอบๆ เขาตกใจทันที ตัวกลายเป็นแสงหายไปจากที่เดิม

ตอนปรากฏตัวอีกครั้ง ท่านผอ.มาถึงบนเขาที่ว่างเปล่า

ที่นี่ไม่มีพืชพรรณ มองไม่เห็นสีเขียว สิ่งที่ปรากฏอยู่ปลายสายตาคือหินประหลาดขรุขระ

ด้านหน้าเป็นหน้าผาชัน ลมภูเขาพัดจนเกิดเสียง มีคนนั่งอยู่คนเดียว

ตรงข้ามหน้าผาชั้น เป็นหน้าผาสูงแวววาว เหมือนช่างตั้งใจขัดเงา ไม่เห็นความขรุขระเลยสักนิด เรียบเหมือนกระจก สะท้อนทุกอย่างทางด้านนี้

นี่คือผาจิตแท้จริงของสถาบันสอนวิชาบู๊ ที่ว่าหันหน้าเข้ากำแพงแล้วพิจารณาถึงความผิด ก็คือหันหน้าเข้าหาผานี่แหละ

ท่านผอ.มองแผ่นหลังของคนคนนั้นแล้วพูดว่า “ซิงยวน นายเป็นอะไร”

แม้เสียงเบา แต่ก็ยังดังก้องรอบๆ อยู่บนเขาแท้ๆ แต่กลับรู้สึกเหมือนดังก้องอยู่ในหุบเขา

คนที่นั่งอยู่ตรงนั้น คืออาจารย์ซิงยวนคณะหยินหยาง เขาค่อยๆ หันมาช้าๆ ท่าทางแข็งทื่อเหมือนหุ่นเชิด

เมื่อเห็นหน้าซิงยวน สีหน้าท่านผอ.เปลี่ยนไปทันที

นั่นมันหน้าตาโหดเหี้ยมอะไรกัน เหมือนอวัยวะบนใบหน้าเคลื่อนตำแหน่ง สีหน้าซีดเผือด ตาแดงก่ำทั้งสองข้าง พลังทั้งตัวสับสนวุ่นวาย

ซิงยวนถือกระดาษแผ่นหนึ่งในมือ เส้นเลือดปูดบนฝ่ามือ

“เอี๋ยนชิงตายแล้ว”

ท่านผอ.เดินเข้ามา พูดอย่างเย็นชาว่า “ใครส่งข่าวให้นาย”

“นี่ไม่สำคัญ! สิ่งสำคัญคือศิษย์รักของฉัน เอี๋ยนชิงตายแล้ว อีกทั้งยังตายคามือลู่ฝาน ลู่ฝานที่สมควรตายนั่น!”

ความอาฆาตแผ่ออกมาจากตัวซิงยวน

ท่านผอ.ตวาดออกมาว่า “ซิงยวน นายทำลายเขตวิถีเองซะ ใครเป็นคนแอบส่งข่าวให้นาย ฉันจะทำโทษเขาแน่นอน เทียนฉี่ออกมา!”

มีศีรษะขนาดใหญ่โผล่ออกมาบนฟ้าทันที เป็นเทียนฉี่ผู้ลงทัณฑ์ของสถาบัน

ไม่เห็นเป็นเวลานาน เหมือนมันอ้วนขึ้น ใบหน้านั่นบานขึ้นอีกแล้ว

เทียนฉี่พูดอย่างราบเรียบว่า “ท่านผอ. นักเรียนคณะหยินหยางส่งจดหมายขึ้นมา”

เพียงประโยคเดียว ท่านผอ.โมโหทันที

“ไร้สาระ คณะหยินหยางไม่มีขื่อไม่มีแปแล้วหรือไง ถ้าไม่มีคำสั่ง ไม่ว่านักเรียนคนไหนก็ห้ามผ่านเขาอี้ว์หลิง คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะกล้ามาที่นี่ เทียนฉี่ นายไปจับนักเรียนพวกนั้นมา ไล่ออกจากสถาบันสอนวิชาบู๊!”

เทียนฉี่ค่อยๆ หายไปกลางอากาศ ท่านผอ.มีท่าทีอัดอั้นเพราะความโมโห พวกนักเรียนที่ชอบเปิดเผยความลับ เป็นนักเรียนที่ทำให้คนเกลียดจริงๆ

ซิงยวนมองอยู่ข้างๆ ตลอด จนกระทั่งท่านผอ.พูดว่าจะไล่นักเรียนพวกนั้นออกจากสถาบัน ซิงยวนจึงพูดว่า “ท่านผอ. เหมือนคุณรุนแรงกับศิษย์คณะหยินหยางของผมไปหน่อยนะ เหมือนว่าผมยังเป็นอาจารย์ของคณะหยินหยางนะ จะไล่นักเรียนออกไหม ไม่ถามความเห็นผมสักหน่อยเหรอ”

ท่านผอ.มองซิงยวนที่เต็มไปด้วยความอาฆาต ถอนหายใจยาวแล้วพูดว่า “ซิงยวน ดูเหมือนวิถีบู๊ของนายโดนพวกเขาทำลายแล้ว ถ้ารู้แต่แรก ฉันไม่ควรให้นายเป็นอาจารย์คณะหยินหยางเลย”

ซิงยวนพูดว่า “บนโลกไม่มีถูกผิดอยู่แล้ว มีเพียงเหตุและผล ผมไม่ได้สอนเอี๋ยนชิงลูกศิษย์ผมให้ไร้เทียมทานในสถาบัน ทำให้เขาโดนคนฆ่าตาย ดังนั้นการก้าวผ่านอุปสรรคที่สำคัญที่สุดของผม จึงโดนกระดาษแผ่นเล็กๆ นี่ทำลาย นี่คือเหตุที่ผมก่อ ผมจะรับผลนี้เอง แต่คนที่ฆ่าศิษย์ผม ก็ไม่มีทางมีชีวิตอยู่ต่อ”

ในคำพูดของฮ่วนเย่ว์แฝงความได้ใจเล็กน้อย ลู่ฝานฟังแล้วตกใจเบาๆ คุณสมบัติอะไรถึงเก่งกาจขนาดนี้

ขณะนั้นเสียงเจดีย์เสวียนเก้ามังกรดังขึ้น

“เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ อย่าบอกนะว่าเธอมีร่างกายพรสวรรค์”

ลู่ฝานถามในใจว่า “อะไรคือร่างกายพรสวรรค์”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรตอบว่า “เป็นคุณสมบัติการฝึกฝนตั้งแต่เกิด การไหลเวียนของเลือดราบรื่นตั้งแต่เกิด ไม่จำเป็นต้องฝึกฝน เข้าสู่แดนครึ่งก้าวแล้ว เช้านั้นได้สัมผัสสัจธรรม คืนนั้นแม้ตายก็ยินดี สิ่งสำคัญของมนุษย์คือวิถีธรรมและเมตตาธรรม ความสามารถในการดูดซับน่าตกใจ เพิ่มการอบรมไปเล็กน้อย ก็สามารถเป็นนักบู๊แห่งยุคได้แล้ว ถ้าแย่สุดก็ยังสามารถฝึกฝนได้ถึงระดับแดนปราณฟ้า”

“ยังมีคนโชควาสนาดีขนาดนี้ด้วยเหรอ”

ลู่ฝานอิจฉาเป็นอย่างมาก การไหลเวียนของเลือดราบรื่นตั้งแต่เกิด แค่ฝึกก็มีพลังปราณออกมา

คิดถึงตัวเองต้องใช้เวลานานเท่าไร กว่าจะผ่านแดนฝึกร่าง แค่เทียบก็รู้ผล ความแตกต่างที่ยากเกินบรรยาย ไม่สามารถเล่นสนุกกับคนแบบนี้ได้จริงๆ

ตอนนี้ฮ่วนเย่ว์ดึงลู่ฝานเดินมาถึงหน้าประตู ชี้อักษรเล็กๆ บนประตูแล้วพูดว่า “ลู่ฝาน นายดูนี่สิ ในที่นี้นอกจากป้ายศิลาเทพฝน ก็คือสิ่งนี้แหละที่ยังมีความน่าสนใจ ฉันไปเปลี่ยนเสื้อ จัดการสภาวะร่างกาย แล้วนายค่อยช่วยฉันปลดผนึก เข้าใจไหม”

ลู่ฝานพยักหน้าเบาๆ จากนั้นมองลงบนตัวอักษรเล็กๆ พวกนี้

“มีชีวิตใช่ว่าจะสุขเสมอไป ตายไปใช่ว่าจะเศร้าเสมอไป ตอนแรกที่ยังไม่เกิด ไม่เพียงแต่ไม่มีชีวิต อีกทั้งยังไม่มีรูปร่างที่จับต้องได้ ไม่เพียงแต่จะไม่มีรูปร่าง”

ลู่ฝานอ่านเบาๆ จู่ๆ เขารู้สึกว่าทุกอย่างรอบๆ เปลี่ยนไป เหมือนมีพลังเข้ามาจากบนหัว ผ่านไปทั่วร่างกายเขา

จากนั้นฟ้าดินรอบๆ เริ่มเปลี่ยนแปลง เหมือนมีสีขาวดำพุ่งโผล่ขึ้นมาท่ามกลางความเลือนราง ปะทะกันด้านหน้าลู่ฝาน

ลู่ฝานยังมองไม่ชัดว่าคืออะไร ต่อมาเขารู้สึกเจ็บปวดไปทั้งตัว

ตาเหมือนเข็มทิ่ม ผิวเหมือนมีดฟาดฟัน อวัยวะภายในเหมือนเปลวไฟลุกโชน

ความเจ็บนี้ไม่สามารถอธิบายให้คนอื่นฟัง ตัวลู่ฝานเริ่มสั่นอย่างแรง

เขากัดฟันจนเกิดเสียง เลือดออกจากรูขุมขนทั้งตัว

ทันใดนั้น ลู่ฝานถอยหลังหนึ่งก้าว พยายามหันหน้าไป

ทันใดนั้น ลู่ฝานรู้สึกว่าความเจ็บปวดทั้งตัวหายไป

ลู่ฝานหอบหายใจแรง ทรุดลงกับพื้นแล้วพูดว่า “นี่มันอะไรกัน”

ฮ่วนเย่ว์ยิ้มแล้วพูดว่า “เป็นไง เก่งกาจไหม ถ้าฉันเดาไม่ผิด นี่น่าจะเป็นวิชาระดับฟ้าในตำนานของสถาบันสอนวิชาบู๊ พลังความเป็นความตายวนเวียน”

ลู่ฝานอึ้งไปในตอนแรก จากนั้นหัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “วิชาระดับฟ้างั้นเหรอ นี่คือวิชาระดับฟ้าเหรอ มิน่าล่ะถึงขนาดนี้ มิน่าล่ะถึงขนาดนี้!”

ฮ่วนเย่ว์เห็นลู่ฝานไม่ได้ดีใจจนกระโดดโลดเต้น จึงพูดแบบผิดหวังเล็กน้อย “ฉันคิดว่านายจะดีใจกว่านี้ซะอีก ไม่ใช่ใครจะโชคดีเจอวิชาระดับฟ้าได้ง่ายๆ นะ คิดไม่ถึงว่านายเห็นพลังความเป็นความตายวนเวียนครั้งแรก ยังสามารถละสายตาออกไปได้ ลู่ฝาน ความสุขุมของนายแข็งแกร่งจริงๆ”

ลู่ฝานลืมความเจ็บปวดเมื่อครู่ไปหมดแล้ว เขาพูดว่า “เธอยอมเข้ามาเพราะสิ่งนี้ใช่ไหม”

ฮ่วนเย่ว์ย่นปากยู่แล้วพูดว่า “ใช่ ไม่งั้นเขาจะเอาอะไรมาหลอกให้ฉันเข้ามาได้ล่ะ นายค่อยๆ ศึกษา ฉันไม่อยากเห็นวิชานี้เท่าไร มันไม่ใช่วิชาที่ให้คนฝึกเลย”

ลู่ฝานสนใจมากขึ้น วิชาระดับฟ้า วิชาระดับฟ้าแห่งบู๊ที่แท้จริง!

มีเหตุผลอะไรที่เห็นแล้วจะไม่ศึกษา!

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 851
“เก็บไว้เหรอ”

ลู่ฝานถามอย่างไม่เข้าใจ

ฮ่วนเย่ว์พยักหน้าพูดว่า “ใช่ ไม่รู้นายเห็นไหมว่าพลังนี้ใช้งานได้ดีมาก แม้ไม่รู้ว่าใครเป็นคนทิ้งเอาไว้ แต่ระดับสูงมาก ดูเหมือนจะเก่งกว่าอาจารย์จอมปลอมของฉัน ช่วงนี้ฉันทำความเข้าใจวิธีใช้พลังนี่อยู่ที่นี่ รู้สึกได้อะไรเยอะมาก พลังระดับนี้ ทำให้ฉันเห็นหนทางที่สามารถทำได้ทุกอย่าง น่าสนใจมาก”

ฮ่วนเย่ว์ยิ่งพูด ตายิ่งเป็นประกาย ลู่ฝานเห็นประกายแวววาวในตาของเธอ

ลู่ฝานเข้าใจความคิดของเธอ เพราะตอนนี้เขาก็รู้สึกแบบนี้

แค่ขยันฝึกฝนต่อไปเรื่อยๆ เขาน่าจะเหนือกว่าคนส่วนใหญ่ เส้นทางของเขาจะกว้างขวางกว่านักบู๊ 90 เปอร์เซ็นต์บนโลกนี้ เรียกได้ว่าอนาคตของเขาสามารถใช้คำว่าไม่จำกัดมาบรรยายได้เลย

แม้สถานการณ์ของเขากับฮ่วนเย่ว์แตกต่างกัน แต่เขาเข้าใจความรู้สึกของฮ่วนเย่ว์มาก

ลู่ฝานคิดแล้วพูดว่า “เธอจะฝึกฝนต่อไปอีกสักระยะไหม เพราะยังไงเธอก็ไม่รีบนิ”

เพิ่งพูดจบ เขารู้สึกว่ามีดสั้นของฮ่วนเย่ว์มาจ่อที่คอเขาอีกแล้ว

ลู่ฝานถอนหายใจพูดว่า “มีอะไรพูดกันดีๆ ไม่เห็นต้องลงไม้ลงมือ”

ฮ่วนเย่ว์พูดอย่างไม่สบอารมณ์ “อะไรคือไม่รีบ ฉันไม่อยากอยู่ในที่บ้าๆ นี่แม้แต่วันเดียว หนึ่งคือไม่มีของกิน สองคือไม่มีที่เที่ยวเล่น แถมยังมืดมองไม่เห็นแสงอาทิตย์ นอกจากฝึกฝนก็ทำอะไรไม่ได้เลย ฉันจะฟื้นฟูพลังปราณของฉัน ฉันจะออกไป ใครชอบอยู่ที่นี่ก็อยู่ไป เพราะฉันอยู่มามากพอแล้ว”

นอกจากพยักหน้า ลู่ฝานจะพูดอะไรได้อีก ฮ่วนเย่ว์สะบัดมีดสั้นในมือออก

จู่ๆ ลู่ฝานคิดคำถามหนึ่งได้ จึงพูดว่า “จู่ๆ ฉันนึกอะไรขึ้นได้ เธอเข้ามาช้ากว่าพวกจ้าวซวี่ แต่ทำไมเธอถึงอยู่ดีอย่างนี้ล่ะ แถมยังทำห้องไม่เลวแบบนี้ด้วย”

ฮ่วนเย่ว์พูดว่า “ตอนฉันเข้ามาก็เหมือนนาย เพราะอยากรู้เลยโดนป้ายศิลาบ้าบอนั่นผนึกกำลัง จากนั้นคนพวกนี้คิดจะเล่นงานฉัน น่าเสียดาย ฉันมีของคุ้มกันชีวิตที่อาจารย์ให้ฉัน พวกเขามองไม่เห็นฉัน จึงทำอะไรฉันไม่ได้ หลังผ่านไปสามวัน ฉันพบว่าร่างกายฉันดูดซับพลังสีฟ้านั่นโดยอัตโนมัติ ความพิเศษของร่างกายฉัน ดูดซับพลังเร็วเป็นพิเศษ จนทำให้พลังเยอะขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายจึงรับไม่ค่อยไหว ทำได้เพียงให้มันซึมไปในแขนขาและกระดูก เปลี่ยนแปลงร่างกาย ดังนั้นผมฉันจึงกลายเป็นสีฟ้า”

ฮ่วนเย่ว์อธิบายฉอดๆ

เมื่อพูดถึงของคุ้มกันชีวิต ลู่ฝานนึกได้ว่าเหมือนหลิงเหยาจะมีเหมือนกัน

แค่ของฮ่วนเย่ว์คนอื่นมองไม่เห็น แต่ของหลิงเหยาคนอื่นเข้าใกล้ไม่ได้

แม้ประสิทธิภาพแตกต่างกัน แต่ล้วนเป็นของดีอย่างไม่ต้องสงสัย นี่เป็นธรรมเนียมเหรอ

ดูอาจารย์คนอื่น แล้วดูอาจารย์ตัวเอง

ลู่ฝานลูบคางครุ่นคิด พูดถึงอาจารย์หวูเฉิน นอกจากแหวนสวรรค์ที่สามารถใส่ของได้เพียงวงเดียว ดูเหมือนอาจารย์จะไม่ให้อะไรเขาเลย

คนกับคนเทียบกันไม่ได้จริงๆ!

ลู่ฝานถามว่า “คนอื่นก็กำลังดูดซับพลังสีฟ้าเหมือนกันเหรอ”

ฮ่วนเย่ว์พูดว่า “ใช่ แต่พวกเขาดูดซับช้ามาก ความก้าวหน้าก็ช้ามากเหมือนกัน เทียบกับฉันยังห่างชั้นกันเยอะ ฉันใช้เวลาเพียงสิบวัน ใช้แค่พลังสีฟ้าพวกนี้เอาชนะพวกเขาทั้งหมด คนในคุกน้ำแห่งนี้ ล้วนเป็นพวกคลั่งฝึกฝน พยายามจะปลดผนึกเพื่อออกไป ถ้าจะเปรียบเทียบระดับทางแดนและพลัง ฉันยังห่างชั้นกับพวกเขาเยอะ เพราะพวกเขาได้เปรียบฉันทางด้านการศึกษาพลังสีฟ้าพวกนี้เยอะมาก มีสองสามคนที่อยู่ในนี้มาสิบกว่าปีแล้ว แต่ถ้าจะเทียบเรื่องการดูดซับพลัง พวกเขายังห่างชั้นกับฉันเยอะ หึ ฉันอาศัยพลังสีฟ้าที่มีอย่างต่อเนื่อง ก็สามารถทำให้พวกเขาหมดพลังตายได้แล้ว”


บทที่ 849

บทที่ 851

ลู่ฝานสีหน้าประหลาด จ้องอาวุธในมือผู้หญิง

เขารู้จักผู้หญิงที่ใช้มีดสั้นเป็นอาวุธเพียงคนเดียว ลู่ฝานถามลองเชิง “ฮ่วนเย่ว์เหรอ”

ผู้หญิงเงียบไป ทันใดนั้นผู้หญิงถอดหน้ากากออก โยนใส่ตัวลู่ฝานทันที

“น่าเบื่อ น่าเบื่อจริงๆ ฉันอยู่ในสภาพนี้แล้ว นายยังจำได้ยังไง”

ลู่ฝานมองใบหน้าคุ้นเคยของฮ่วนเย่ว์ สีหน้าไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เขาไม่ได้ตอบคำถามของฮ่วนเย่ว์ แต่กลับยิ้มแล้วพูดว่า “ทำไมเธอก็อยู่ที่นี่ล่ะ”

ฮ่วนเย่ว์กัดฟันมองเขาแล้วพูดว่า “ฉันกำลังจะถามนายอยู่พอดี นายก็โดนผอ.หลอกเหมือนกันใช่ไหม ใช่ไหม”

นิ้วของฮ่วนเย่ว์ใกล้จะทิ่มเข้ามาในรูจมูกของลู่ฝานแล้ว

ลู่ฝานยกมือขึ้นทั้งสองข้าง “ใช่ ฉันก็โดนหลอก”

ฮ่วนเย่ว์พูดเสียงดัง “ฉันว่าแล้ว ไอ้แก่สมควรตาย รอให้ฉันออกไป ฉันจะได้เห็นดีกับเขา เขากล้าทำกับฉันแบบนี้”

ลู่ฝานถามอย่างหวาดระแวงว่า “เธอทำอะไรผิดถึงโดนเขาส่งเข้ามา”

ฮ่วนเย่ว์ย่นปากยู่แล้วพูดว่า “เขาพาฉันไปริมทะเลสาบ ให้ฉันสัมผัสอะไรบางอย่าง สรุปฉันสัมผัสอะไรไม่ได้เลย หลังจากนั้นฉันก็เจาะทำลายค่ายกลบ้าบอที่เขาทำไว้ริมทะเลสาบ”

ลู่ฝานอ้าปากค้าง “เจาะทำลายเหรอ”

ฮ่วนเย่ว์มองลู่ฝานอย่างดูหมิ่นแล้วพูดว่า “ต้องตกใจด้วยเหรอ สีหน้านายเหมือนตาเฒ่านั่นไม่มีผิด ก็แค่ค่ายกลเก่าๆ ฉันชดใช้ให้เขาก็ได้ ต้องให้ฉันมาที่นี่ด้วยหรือไง ยังพูดว่าที่นี่มีของดีให้ฉันดู สรุปฉันเห็นวิชาบ้าบออะไรก็ไม่รู้ อีกทั้งยังโดนแสงสีฟ้าผนึกพลังฉันด้วย จนตอนนี้ผมฉันกลายเป็นสีฟ้าไปแล้ว”

ลู่ฝานพูดออกมาตามจิตใต้สำนึก “อันที่จริงสีฟ้าดูดีมากนะ”

เมื่อพูดออกมา ลู่ฝานรู้สึกเสียใจแล้ว แต่ฮ่วนเย่ว์ไม่ได้เอามีดสั้นฟันเขา เหมือนที่เขาจินตนาการไว้

แต่กลับพูดด้วยสีหน้าแดงระเรื่อ “งั้นเหรอ หึ ไม่ว่าฉันเป็นยังไงก็สวยอยู่ดี สวยแบบจำเป็นต้องสวยน่ะ”

ลู่ฝานพยักหน้าแล้วพูดว่า “จำเป็นต้องสวย”

ฮ่วนเย่ว์ยิ้มแล้วเอียงหัวไปมา แต่เหมือนนึกอะไรได้ เดินเข้ามาเอามีดสั้นสีฟ้าในมือ วางที่คอลู่ฝานแล้วพูดว่า “อย่าคิดจะล้อฉัน อย่าลืมสิ ลู่ฝาน ตอนนี้นายเป็นศิษย์พี่ฉัน ศิษย์พี่ลู่ฝาน นายอย่าหลอกศิษย์น้องสิ ถ้าฉันปลดผนึกไม่ได้ ฉันจะเฉือนนาย”

ฮ่วนเย่ว์สะบัดมือด้านล่าง สายลมเย็นพัดผ่านด้านล่างลู่ฝาน ลู่ฝานตกใจจนถอยหนีไปข้างหลัง

ลู่ฝานพูดว่า “ฉันมีวิธี ง่ายดายมาก คงจะสอนเธอไม่ได้หรอก แต่ฉันช่วยเธอปลดผนึกได้”

ฮ่วนเย่ว์พูดว่า “จริงเหรอ”

ลู่ฝานพยักหน้าเบาๆ

ฮ่วนเย่ว์หัวเราะแล้วพูดว่า “ครั้งนี้แผนของตาเฒ่าผอ.ผิดพลาดแล้ว เขาคงคิดไม่ถึงว่าคนที่เพิ่งเข้ามาอย่างนาย จะสามารถปลดผนึกได้ รอพวกเราออกไป ทำให้เขาตกใจกัน ใช่สิ นายช่วยฉันเก็บพลังสีฟ้านี้เอาไว้ได้ไหม”

ลู่ฝานอึ้งเล็กน้อย นี่ทายได้ด้วยเหรอ

ผู้หญิงเดินเข้ามา กวาดตามองทั้งสี่คน พูดด้วยน้ำเสียงดูหมิ่นว่า “พวกสวะ ทำลายวิทยายุทธเอง แล้วรีบไสหัวไป ฆ่าพวกนายก็กลัวจะทำให้มือสกปรกเปล่าๆ”

ไอ้ตาแดงจะพูดอะไร ก็โดนผู้หญิงตบเบาๆ จนกระเด็น

ลู่ฝานไม่เห็นว่าผู้หญิงใช้พลังอะไร ไอ้ตาแดงกระอักเลือดไม่หยุด ล้มลงบนพื้น ลมหายใจหายไปทันที

แต่ลู่ฝานมองอย่างอื่นออก เขารู้สึกนิดๆ ว่าเคยเจอผู้หญิงคนนี้ที่ไหนมาก่อน

เสียงและรูปร่างดูคุ้นตา แต่ตอนนี้แค่นึกไม่ออก

“ลู่ฝาน บอกฉันมา นายทำลายผนึกได้ยังไง”

ผู้หญิงเอ่ยถาม

ลู่ฝานพูดว่า “ทำไมฉันต้องบอกเธอ”

ผู้หญิงกัดฟันเล็กน้อย ลู่ฝานแอบได้ยินเสียงกัดฟันของเธอ

ดูเหมือนไม่ใช่สัญญาณดี ลู่ฝานถอยหลังไปหนึ่งก้าว

“นายก็ทำลายได้แล้ว ไม่มีอะไรเสียหายนิ มาสิ เรามาคุยกันทางนี้”

ผู้หญิงเดินไปข้างนอก ลู่ฝานมองแผ่นหลังของเธอ แล้วขมวดคิ้วแน่น

เขาเคยเจอเธอแน่นอน!

ลู่ฝานเดินตามไป ทั้งสองเดินลึกลงไปในเกาะหินโสโครก

ผู้หญิงเดินอยู่ข้างหน้า เหมือนต้องการแสดงอะไรบางอย่าง ทุกย่างก้าวของเธอ ลู่ฝานเห็นแสงสีฟ้ากะพริบบนตัวเธอ งดงามสะดุดตามาก

ไม่รู้เดินมานานเท่าไร ภาพข้างหน้าเปลี่ยนไป ในหินโสโครกอันมืดมิด มีห้องปรากฏออกมาหนึ่งห้อง

แม้เป็นห้องที่สร้างจากหินโสโครกเหมือนกัน แต่เทียบกับด้านนอก นี่มันระดับวังชัดๆ

ห้องงดงาม มีขอบมีมุม เรียบและเป็นประกายแวววาวมาก อีกทั้งยังสลักลายดอกไม้ต่างๆ

แค่ประตูห้อง ก็ใช้ศิลปะที่โดดเด่น ประตูด้านหนึ่งเปิดไว้ ส่วนอีกด้านปิดไว้ ด้านบนมีจุดเหมือนดวงดาวมากมาย แวววาวระยิบระยับ

เหมือนดวงดาวทั้งสองฟ้า หล่นลงมาบนประตูบานนี้ เมื่อเพ่งมองดูดีๆ จุดเล็กๆ นั่นคือตัวอักษร ไม่ต้องเดาก็รู้ นี่ต้องเป็นวิชาอัศจรรย์สลักไว้แน่นอน

ด้านหน้าประตูยังมีกระจกจำภาพขนาดใหญ่ด้วย

ลู่ฝานเพิ่งเคยเห็นกระจกจำภาพใหญ่ขนาดนี้เป็นครั้งแรก ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าสิ่งที่ท่านผอ.พูดกับเขาทั้งหมดหมายความว่าอะไร

กระจกจำภาพที่ว่า คงหมายถึงอันนี้สินะ

หญ้าเรืองแสงอยู่รอบห้องเต็มไปหมด เหมือนแสงจะส่องพื้นที่มืดมิดทั้งหมด

หญ้าเรืองแสงที่ควรจะเติบโตในน้ำ กลับแกว่งไปมาอยู่บนหินโสโครก เมื่อมองอย่างละเอียดจะพบว่า นี่ไม่ใช่หญ้าเรืองแสงธรรมดา ทุกต้นมีราก มีต้นงอกออกมา มีดอกไม้เล็กๆ บานอยู่ เหมือนแสงระยิบระยับเคลื่อนไหวไปมาบนพื้น

ลู่ฝานไม่เคยเห็นภาพอัศจรรย์แบบนี้

ผู้หญิงสะบัดมือเบาๆ หญ้าเรืองแสงพวกนี้ แยกออกเป็นสองทางอัตโนมัติ เป็นทางเดินไปยังห้อง

ลู่ฝานชะงักฝีเท้าลง ผู้หญิงก็ชะงักฝีเท้าตาม

“ทำไม ไม่อยากเข้าไปนั่งเหรอ”

ลู่ฝานพูดว่า “ฉันแค่จะถามเธอว่าเราเคยเจอกันไหม”

เหมือนผู้หญิงยิ้ม แม้มีหน้ากากอยู่ ทำให้ลู่ฝานไม่เห็นสีหน้าแท้จริงของเธอ แต่ลู่ฝานรู้สึกว่าเธอยิ้ม

“นายว่าเราเคยเจอกันไหมล่ะ”

ลู่ฝานมองผู้หญิงอย่างละเอียด จู่ๆ เขายื่นมือออกมา

ไม่มีสัญญาณบอกล่วงหน้า ลู่ฝานสะบัดมือข้างหนึ่งตรงหน้ากากของผู้หญิงเบาๆ

ผู้หญิงรีบวางม่านแสงสีฟ้าไว้ตรงหน้า ขณะเดียวกันก็มีมีดสั้นปรากฏตรงมือซ้าย เธอพูดอย่างตกใจว่า “นายทำอะไร”

“ไม่ได้ทำอะไร”

ลู่ฝานตอบกลับ เขาไม่ได้ทำอะไรจริงๆ ไม่ได้ใช้ปราณชี่สักนิด แค่ลงมือเร็วไปหน่อย แค่ยกมือขึ้นมาเท่านั้น

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 848
มู่หนีทรุดลงกับพื้น ไม่มีแรงตอบโต้กลับแม้แต่น้อย แววตาหม่นหมอง

ไมว่าจะเป็นผู้ฝึกชี่หรือนักบู๊ เมื่อตันเถียนโดนทำลาย ก็เท่ากับพิการทั้งตัว นี่เป็นเรื่องที่ทรมานกว่าการฆ่าเธอให้ตายเสียอีก

ไอ้ตาแดงตกใจจนช็อก ต้าเก้อหันหลังหนีอย่างไม่ลังเล

เฮียสงคิดหนีเหมือนกัน แต่เมื่อเขาจะเคลื่อนไหว ก็เห็นดวงตาคู่หนึ่ง

แหลมคมเหมือนมีด แทงทะลุเหมือนกระบี่

เฮียสงรู้สึกว่าตรงหน้ามืดลง เขาล้มลงกับพื้น อีกทั้งตาทั้งสองข้างของเขามีเลือดพุ่งออกมา ต่อหน้าต่อตาทุกคน

ลู่ฝานมองเขาอย่างราบเรียบ วิชาชิงวิญญาณก็ยังโหดร้ายเหมือนเดิม

อีกทั้งพละกำลังที่ยกระดับขึ้นของลู่ฝาน ทำให้วิชาชิงวิญญาณสร้างความเสียหายได้เต็มที่ขึ้น

ลู่ฝานสงสัยว่าวิชาระดับนี้ ถึงอยู่ในบรรดาคนที่ฝึกฝนชั่วร้าย ก็น่าจะเห็นได้น้อยมาก

สูญเสียน้อย พลานุภาพแข็งแกร่ง ยากที่จะป้องกัน

วิชาแบบนี้ถึงไม่ใช่ระดับดินขั้นสูงสุด อย่างน้อยก็ประมาณระดับดินขั้นกลาง

ลู่ฝานยกมือ สะบัดเบาๆ ใส่เฮียสง ปราณชี่กลายเป็นเปลวไฟแผดเผาเฮียสง

บนตัวนายมีขนเยอะแยะขนาดนี้ ครั้งนี้คงโดนเผาไปจนหมด

จากนั้นพลังดึงดูดอันน่ากลัวปรากฏบนตัวลู่ฝาน ต้าเก้อที่กำลังวิ่งจนจะลับตาไปแล้วชะงักฝีเท้าลงทันที

เขารู้สึกเหมือนพลังฟ้าดินรอบๆ เหมือนพายุหมุนพัดเขากลับมา กระแทกลงตรงหน้าลู่ฝานอย่างแรง

ลู่ฝานยิ้มบางๆ กระบวนท่านี้เป็นความคิดกะทันหัน ใช้แล้วผลไม่เลวแฮะ

ต้าเก้อเหวี่ยงหมัดเข้ามาตรงหน้าลู่ฝาน หมัดยังไม่ทันถึง ลู่ฝานเหยียบเขากลับไป

เสียงหักดังขึ้นชัดเจน ง่ายเหมือนเหยียบหินจนแหลก

ร่างกายของต้าเก้ออ่อนแอกว่าที่ลู่ฝานจินตนาการไว้ ไม่รู้ว่าไอ้หมอนี่ใช่นักบู๊หรือเปล่า

ไอ้ตาแดงเห็นลู่ฝานกำจัดพวกเขาอย่างรวดเร็วและง่ายดาย เขาถึงกับพูดอะไรไม่ออก

กว่าเฮียสงที่อยู่ข้างๆ จะกำจัดไฟบนตัวออกไปได้ ก็โดนเผาจนดำไปทั้งตัว คุกเข่าข้างหนึ่งลงบนพื้น หายใจเหนื่อยหอบ

“นี่เป็นไปไม่ได้ นายไม่โดนป้ายศิลาเทพฝนผนึกไว้! เพราะอะไร เพราะอะไร”

ไอ้ตาแดง ต้าเก้อและมู่หนีได้ยินเฮียสงตะโกน ต่างพากันมองลู่ฝานอย่างตะลึง

ตอนนี้พวกเขาเพิ่งนึกได้ พลังที่ลู่ฝานเพิ่งใช้เมื่อกี้ ไม่เหมือนกับพวกเขา

ไม่ใช่แสงสีฟ้าที่ทั้งทุเรศและน่าเกลียด!

ลู่ฝานพูดอย่างราบเรียบว่า “ฉันโดนผนึก แต่ฉันปลดผนึกได้แล้ว ง่ายมาก!”

เพียงประโยคเดียว ทำให้ทั้งสี่คนสั่นขึ้นมาทันที

มู่หนีตะโกนว่า “บอกฉันมา นายทำได้ยังไง ถ้าคุณช่วยปลดผนึกให้เรา ฉันยอมเป็นคนใช้ ยอมเป็นทาส”

เฮียสงก็ตะโกนว่า “ฉันก็สัญญาว่าจะตามนายไปจนตาย”

ไอ้ตาแดงกับต้าเก้อก็ตะโกนตาม

เสียงตะโกนของพวกเขาดังมาก ลู่ฝานได้ยินแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย

ขณะนั้นเสียงหนึ่งใกล้เข้ามา มีความตื่นเต้นเล็กน้อย

“ใครปลดผนึกได้ ใครกัน”

เสียงตะโกนของทั้งสี่คนหายไป ลู่ฝานหันไปมองทางเสียง

เห็นผู้หญิงผมยาวสีฟ้า สวมหน้ากาก เดินเข้ามาช้าๆ

เธอสวมเสื้อผ้างดงามซึ่งแตกต่างกับทุกคนที่นี่ ดูเหมือนคนใหม่ที่เพิ่งเข้ามาเหมือนลู่ฝาน

ลู่ฝานนึกออกแล้ว เสียงนี้คือเสียงที่เพิ่งช่วยเขาเมื่อกี้ไม่ใช่เหรอ

ดูเหมือนเจ้าของเสียงมาแล้ว ลู่ฝานยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “ฉันเอง คุณผู้หญิงชื่ออะไร”

“นายทายสิ!”

ผู้หญิงเอ่ยขึ้นช้าๆ

เฮียสงแผดเสียงออกมา “ฝึกฝนชั่วร้าย ที่แท้นายคือคนที่ฝึกฝนชั่วร้าย มิน่าล่ะนายถึงมาที่นี่ นายมันคนที่ฝึกฝนชั่วร้ายที่สมควรตาย”

ลู่ฝานอึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นชักนิ้วกลับมา

เฮียสงล้มลงกับพื้น ชักไม่หยุด

คนที่ฝึกฝนชั่วร้ายงั้นเหรอ

ลู่ฝานนึกขึ้นได้ เคล็ดวิชาบู๊ที่ชิงพลังมาจากคนอื่นได้ อันที่จริงเป็นสัญลักษณ์ของคนที่ฝึกฝนชั่วร้าย

ลู่ฝานยิ้มบางๆ ลูบคางครุ่นคิด

ดูเหมือนกระบวนท่านี้จะใช้บ่อยไม่ได้ แม้เขารู้ว่าตัวเองไม่ใช่คนที่ฝึกฝนชั่วร้าย แต่เมื่อใช้ออกมา จะเป็นการหาเรื่องให้ตัวเอง มันไม่คุ้มค่าที่จะทำไม่ใช่เหรอ

มู่หนี ไอ้ตาแดง ต้าเก้อ ทั้งสามคนมองลู่ฝานเหมือนเห็นผี

โดยเฉพาะตอนที่เฮียสงตะโกนออกมาว่าคนที่ฝึกฝนชั่วร้าย ยิ่งสะเทือนใจพวกเขาเข้าไปใหญ่

ทั้งสามคนเอาอาวุธออกมา แสงสว่างทั้งตัว

ลู่ฝานมองพวกเขาแล้วพูดว่า “พวกนายก็จะสู้กับฉันเหรอ”

มู่หนีกัดฟันพูดว่า “ไม่ต้องกลัวเขา เห็นได้ชัดว่าเขาใช้พลังประหลาดออกมาได้ ก็ต่อเมื่อปะทะกับคน เราโจมตีจากระยะไกล!”

พูดจบ มู่หนีสะบัดมือไม่หยุด รอบๆ ลู่ฝานมีแสงกระบี่สีฟ้าเป็นแถบ

ไอ้ตาแดงกับต้าเก้อลงมือเช่นกัน แสงค่ายกลสีฟ้าปรากฏด้านล่างตัวลู่ฝาน รอบๆ ยังมีแสงปรากฏขึ้นมาเป็นกำแพง

วางกรอบดักศัตรูหรือคนร้าย ฆ่าทิ้งในพริบตา

ลู่ฝานลองสัมผัสแสงสีฟ้าพวกนี้

ไม่ได้การแล้ว พลังที่ใช้ออกมาเหมือนเคล็ดวิชาบู๊ หรือไม่ก็วิชาบ้าคลั่งเกินไป ถ้าดูดซับจะมีความเสี่ยงสูงเกินไป

ลู่ฝานมีแผนในใจ เขาปล่อยปราณชี่ออกมา

แยกกระจาย!

ทันใดนั้น แสงสีฟ้าที่พุ่งมาถึงหน้าเขาโดนดันกลับไปไกลหลายเมตร แม้ไม่ได้ถูกขจัดออกไปในพริบตาเหมือนพลังฟ้าดินอื่นๆ แต่ก็โดนเคลื่อนย้ายออกไป ไม่สามารถโจมตีลู่ฝานได้

พวกมู่หนีมองลู่ฝานเหมือนเสียสติ พวกเขาไม่เคยเจอความแข็งแกร่งระดับนี้มาก่อน

ลู่ฝานค่อยๆ เดินเข้ามาข้างหน้ามู่หนี

นิ้วแตะลงบนหว่างคิ้วมู่หนี พลังทั้งหมดของมู่หนี เข้าไปหาลู่ฝาน

มู่หนีพยายามดิ้น ลู่ฝานใช้เพียงนิ้วเดียว แต่เหมือนภูเขาทั้งลูกกดทับเธอเอาไว้

เธอสั่นไปทั้งตัว แต่ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้

ลู่ฝานสัมผัสถึงเส้นลมปราณและกระดูก อวัยวะภายในและตันเถียนของเธอ

สิ่งที่ทำให้ลู่ฝานแอบตกใจ ในตันเถียนที่โดนควบคุมของเธอ เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังปราณจนน่าตกใจ มันใกล้รวมตัวกันเป็นรูปร่างแล้ว

นี่โดนกดมานานขนาดไหน ถึงกลายเป็นแบบนี้ได้

จู่ๆ ลู่ฝานเกิดความเข้าใจ เขารู้แล้วว่าการทดสอบในคุกน้ำคืออะไร

ผนึกสีฟ้าควบคุมตันเถียน แต่กลับไม่ทำให้มันเสียการเคลื่อนไหว พลังปราณของนักบู๊ก็ดี พลังชี่ของผู้ฝึกชี่ก็ดี แม้ไม่ได้ตั้งใจไปฝึกฝน ยังไงก็มีการพัฒนาอยู่แล้ว เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ พลังพวกนี้อยู่ในพื้นที่จำกัดจนเต็มเปี่ยม และกลายเป็นรูปเป็นร่าง

ถ้าเธอทำลายผนึกได้ พลังเหล่านี้คงทะลักออกไปหลายลี้ เหมือนกับเปิดประตูกั้นน้ำ ยกระดับแดนของคนได้หลายระดับในพริบตาเดียว

เหมือนพลังสายเลือดของศิษย์พี่หานเฟิง ควบคุมเอาไว้ก่อน จากนั้นระเบิดออกมา พลังทำลายอุปสรรค

ยิ่งควบคุมไว้นาน ยิ่งระเบิดออกมาอย่างรุนแรง

เหมือนกับมู่หนีที่อยู่ด้านหน้า ตอนนี้วิทยายุทธของเธอแค่แดนปราณนอกขั้นสูงสุด แต่เมื่อเธอปลดผนึก จะพุ่งสู่แดนปราณชีวิตขั้นปลาย ก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสเป็นไปได้

อีกทั้งตอนนั้นเธอยังสามารถใช้พลังสีฟ้า ที่เธอสะสมมาอย่างยากลำบากได้ด้วย
นี่คือการบ่มเพาะผู้สืบทอดหรือไม่ก็ลูกศิษย์หรือเปล่า

ลู่ฝานเลื่อมใสความฉลาดของเทพอักษรจากใจจริง

น่าเสียดายที่มู่หนีโชคร้ายมาเจอเขา ลู่ฝานใช้ปราณชี่ทะลุเข้าไปในผนึก แทรกซึมไปในตันเถียนของเธอ

ลู่ฝานจงใจเอาปราณชี่นี้แปรเปลี่ยนเป็นพลังขจัด ต่อมาตันเถียนของมู่หนีเริ่มเป็นรู ฉีกขาด พลังปราณด้านในเริ่มเคลื่อนไหวอย่างแรง

ตันเถียนแยกส่วน

ทุกอย่างสิ้นสุด!

มู่หนีกระอักเลือดออกมา เธอมองลู่ฝานแล้วพูดว่า “นายโหดเหี้ยมมาก!”

ลู่ฝานพยักหน้า “ฉันบอกแล้วว่าเธอจะอ้วกออกมา”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 846
“ทำไมคนที่ออกมาถึงเป็นเขา”

เฮียสงกัดฟันพูด

แม้จ้าวซวี่กับลั่วหยู่จะพิการ แต่ไม่มีทางจะจัดการผู้มาใหม่เพียงคนเดียวไม่ได้

แค่ลงมือรุนแรง ผู้มาใหม่ที่ไม่มีแรงตอบโต้กลับ จะหลบพ้นได้อย่างไร

แต่ความจริงไม่เหมือนที่พวกเขาคิดไว้ อีกทั้งยังแตกต่างโดยสิ้นเชิง

ลู่ฝานไม่เพียงแต่จะเดินออกมาอย่างไม่เป็นอะไรเลย อีกทั้งยังมองพวกเขาด้วยสายตาดูหมิ่น

การยั่วโมโหแบบนี้ ยอมไม่ได้จริงๆ เฮียสงเดินเข้าไป

มู่หนี ไอ้ตาแดง และต้าเก้อเดินตามไป อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

ลู่ฝานรอทั้งสามคนเดินเข้ามาอยู่หน้าประตู เขามองมู่หนีแล้วพูดว่า “ดูเหมือนฉันไม่ควรทำธุรกิจกับเธอ”

มู่หนีพูดว่า “เสียดายมาก ฉันกินยาของนายหมดแล้ว ประสิทธิภาพไม่เลว”

ลู่ฝานพูดอย่างไม่สนใจ “วางใจเถอะ เธอจะอ้วกออกมาไม่ช้าก็เร็ว”

มู่หนีส่งเสียงหึ สีหน้าไม่สบอารมณ์

ขณะนั้นเฮียสงผลักประตูห้อง สิ่งที่ปรากฏเข้ามาในสายตาคือศพของจ้าวซวี่กับลั่วหยู่ ที่กำลังโดนกัดกิน

ไม่รู้ไอ้เก้าใช้พิษอะไร เพราะประสิทธิภาพดีมาก

พวกเฮียสงหน้าเปลี่ยนสีทันที เฮียสงพูดออกมาว่า “สวะ!”

ลู่ฝานได้ยินคำพูดของเขา ก็พอเดาอะไรได้แล้ว

เขากวาดตามองคนพวกนี้แล้วพูดว่า “รู้นานแล้วว่าพวกนายไม่ยอมแพ้ง่ายๆ หรอก แต่คิดไม่ถึงว่าพวกนายจะส่งสองคนนี้มาตาย”

เฮียสงเดินกำหมัดมาข้างลู่ฝาน “ไอ้หนุ่ม ดูเหมือนเราประเมินนายต่ำไปจริงๆ”

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “ทำไม ตอนนี้ไม่คิดจะลงมือเองแล้วเหรอ ฉันคิดว่าจัดการสองคนนี้ จะทำให้คนที่หลบอยู่ข้างหลังแบบพวกนายลงมือซะอีก”

เฮียสงกัดฟันมองลู่ฝาน “ไอ้หนุ่ม นายรนหาที่ตาย นายคิดว่าถ้าเราลงมือ นายจะมีโอกาสรอดเหรอ”

ลู่ฝานมองเขาอย่างเฉยเมย สัมผัสได้ว่าปราณชี่ในตัว กัดกินพลังสีฟ้าจนใกล้หมดแล้ว จิตวิญญาณของการต่อสู้ในใจลู่ฝานพลุ่งพล่าน

เขาใกล้จะสะกดความทรงพลังของปราณชี่ในตัวเอาไว้ไม่อยู่แล้ว

เฮียสงเห็นลู่ฝานไม่พูดอะไร อีกทั้งยังมีรอยยิ้มเต็มหน้า คิดว่าลู่ฝานใช้ท่าทางไม่สบอารมณ์ใส่เขา

อาจเป็นเพราะปกติตัวเองทำแบบนี้กับคนอื่นเยอะไป พอมีคนทำกับเขาแบบนี้ เฮียสงจึงรีบไม่ได้

“ดี ดีมาก ไอ้หนุ่ม วันนี้อย่างน้อยฉันต้องหักกระดูกนายสักสิบซี่!”

ในเวลาแบบนี้ เฮียสงไม่ได้ขาดสติ เขารู้ว่าถ้าฆ่าลู่ฝานตาย อาจต้องแลกด้วยความเสียหายหนัก ดังนั้นเป้าหมายของเขาคือการสั่งสอนลู่ฝาน

หมัดถูกโจมตีออกมา แสงสีฟ้ากระตุ้นพลังฟ้าดินให้กลายเป็นสัตว์วิ่งเป็นฝูง ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้

เสียงทรงพลัง หินโสโครกเป็นรอยร้าว สายลมพัด

พลานุภาพของหมัดนี้ เทียบได้กับการโจมตีสุดกำลังของยอดฝีมือแดนปราณชีวิต ถ้าอยู่ข้างนอก ก็เป็นกระบวนท่าที่แข็งแกร่งมาก

แต่ลู่ฝานยกนิ้วขึ้นมาแค่หนึ่งนิ้ว

นิ้วชี้ทะลุผ่านแสงสีฟ้าทั้งหมด โจมตีลงไปบนหมัดของเฮียสง

แสงหายไปทันที แสงสีฟ้าทั้งตัวเฮียสงสลายไปเหมือนภาพลวงตา ต่อมาเฮียสงรู้สึกว่าพลังทั้งตัว ไหลผ่านหมัดของตัวเองออกไป โดยไม่สามารถควบคุมได้ ถูกลู่ฝานดูดไปอย่างรวดเร็ว

ลู่ฝานมองเขาอย่างเฉยเมย สัมผัสกับพลังดูดซึมอันแข็งแกร่งของปราณชี่

ขจัดและดูดซึม นี่คือวิธีใช้ปราณชี่สองวิธีที่เขารู้ในตอนนี้ ลู่ฝานพอรู้เทคนิคของพลังขจัดแล้ว

ส่วนพลังดูดซึมในตอนนี้ เขายังต้องทดสอบให้ดีอีกรอบ

สำหรับพลังชะล้างที่ดูดซับมา ลู่ฝานพูดได้ว่าเชี่ยวชาญแล้ว คุ้นเคยจนง่ายดายไปแล้ว

แม้พลังของเฮียสงจะแข็งแกร่งกว่าลั่วหยู่และจ้าวซวี่ แต่ไม่ถึงขีดจำกัดศูนย์ของการดูดซับของลู่ฝาน ลู่ฝานสัมผัสถึงระดับวิทยายุทธแท้จริงของเขา คือแดนปราณชีวิตขั้นต้น

พละกำลังระดับนี้ ถึงไม่มีการควบคุมจากพลังชะล้าง ลู่ฝานก็สามารถจัดการเขาด้วยมือเดียว ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้เขาก้าวข้ามผ่านได้อีกแล้ว

เฮียสงคุกเข่าข้างหนึ่งลงตรงหน้าลู่ฝาน เขาจะชักหมัดกลับมายังทำไม่ได้

ในสายตาของเขา ลู่ฝานที่อยู่ด้านหน้าเหมือนกับมาร

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 845
ผลักออก วิธีนี้ดูระดับต่ำเกินไป

แม้ใช้การได้ดี แต่ไม่พูดก็ไม่ได้ว่าระดับต่ำไปหน่อย

“มีปราณชี่นี้อยู่ ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่ได้เป็นผู้แข็งแกร่ง”

ลู่ฝานหัวเราะแล้วเอ่ยขึ้น

แม้ปราณชี่ในตัวกับพลังสีฟ้ายังต่อสู้กัน แต่ลู่ฝานไม่สนใจผลแล้ว

ไม่แม้แต่จะมอง ปราณชี่ย่อมชนะ!

ขณะนั้นจู่ๆ ประตูห้องโดนถีบออก เงาคนสองคนพุ่งเข้ามา

ลู่ฝานที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงหิน เห็นสองคนที่พุ่งเข้ามา

หลังจากนั้นแสงสองดวงโจมตีใส่ตัวลู่ฝาน

ลู่ฝานจิตใจวูบไหว ส่งเสียงอึกทึกออกมา เมื่อเพ่งมอง เห็นดาบและกระบี่ปักอยู่บนไหล่ของเขา

ช่วงเวลาแห่งความเป็นตาย สัญชาตญาณการต่อสู้ของลู่ฝาน ทำให้เขาหลบให้ไม่โดนตำแหน่งสำคัญได้

“จ้าวซวี่ ลั่วหยู่! พวกนายสองคนยังจะฆ่าฉันให้ได้สินะ!”

ลู่ฝานพูดอย่างราบเรียบ ขณะกำลังพูดพิษกัดกร่อนบนตัวเขา เริ่มกัดดาบและกระบี่

“นายไม่ตาย เราจะอยู่ได้ยังไง!”

“ลู่ฝาน เอาชีวิตนายมา!”

ทั้งสองคนปล่อยมือ หลังจากนั้นแสงสีฟ้าทะลักออกมา คนหนึ่งกำสองมือเป็นหมัด ส่วนอีกคนใช้สองฝ่ามือ ปล่อยพลังโจมตีไปทางลู่ฝาน

ลู่ฝานไม่ขยับอะไรเลย ปล่อยให้พลังพวกเขาโจมตีลงบนตัว

ต่อมา เกิดเรื่องประหลาดขึ้น เนื้อหนังของลู่ฝานกระเพื่อมเหมือนน้ำ หลังจากนั้นพลังของทั้งสองคนเหมือนโคลนละลายไปกับน้ำ หายไปอย่างไร้ร่องรอย

“ยังแกร่งไม่พอ!”

ลู่ฝานยิ้มบางๆ แล้วเอ่ยขึ้น

เขารู้สึกว่าพลังของทั้งสองคน โดนปราณชี่ในตัวเขาลากเข้าไปในเส้นลมปราณ คิดว่ากำลังต่อสู้กับพลังสีฟ้าพวกนี้อยู่ แล้วได้รับการสนับสนุนจากภายนอกแล้วจะกลัวเหรอ

มุกเทพสว่างไสว ลู่ฝานไม่บาดเจ็บอะไรเลย

เรื่องบางเรื่อง ไม่กลัวทำไม่ได้ แต่กลัวคาดไม่ถึงมากกว่า

หลังจากลู่ฝานรู้ว่าปราณชี่ของตัวเอง มีความสามารถกัดกินทุกสิ่ง เขาก็เข้าใจเลยว่าจะดูดพลังอีกฝ่ายยังไง

พลังใดๆ ที่ไม่เกินขีดจำกัดศูนย์ของความสามารถทางกายภาพของเขา เขาสามารถลากเข้ามาในตัวได้แบบนี้ ให้ปราณชี่ดูดซับจนหมด

นี่มันแข็งแกร่งระดับไหนกัน นี่มันวิปริตระดับไหนกัน

ลู่ฝานรู้สึกว่าถ้าตัวเองฝึกแบบนี้ต่อไป ต้องกลายเป็นผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทานแน่นอน

เมื่อคิดได้เช่นนี้ เขารู้สึกฮึกเหิมไปทั้งตัว

จ้าวซวี่กับลั่วหยู่เห็นการโจมตีของตัวเองไม่ได้ผลสักนิด ก็พากันช็อกไปทันที

ลู่ฝานพูดเบาๆ ว่า “เมื่อก่อนพวกนายสองคนสู้ฉันไม่ได้ ตอนนี้ก็ยังห่างชั้นกันเยอะ”

คำพูดของเขาเข้าหูทั้งสองคน เป็นการเยาะเย้ยชัดๆ

ทั้งสองคนพุ่งเข้ามาอีกครั้ง ยกมือเข้ามาฆ่าลู่ฝาน

ขณะนั้นลู่ฝานยกมือขึ้น จับแขนทั้งสองคนเอาไว้

พิษกัดกร่อนเข้าไปทั่วตัวทั้งสองคน อีกทั้งพลังในตัวของทั้งสองคน ก็โดนลู่ฝานชิงออกมา

เมื่อปล่อยมือ ทั้งสองล้มลงบนพื้น ตัวแข็งทื่อ หน้าซีดเผือด พูดอะไรไม่ออกสักคำ

ตอนนี้ไอ้เก้าพูดว่า “เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ เหมือนพิษบนตัวคุณโดนดูดซับแล้ว โอ๊ย เหมือนไม่สามารถใส่พิษเข้าไปในตัวคุณได้อีก”

ลู่ฝานยกมือขึ้นมาดู เห็นลายบนแขนหายไป หัวเราะแล้วพูดว่า “มีได้ก็ต้องมีเสียจริงๆ อันที่จริงกระบวนท่านี้ไม่เลว แต่น่าเสียดายที่ใช้ไม่ได้”

ช่วยไม่ได้ พิษโดนปราณชี่ในตัวดูดไปจนหมดโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น

ลู่ฝานที่ใช้ความสามารถดูดซับเป็นครั้งแรก ตอนนี้เริ่มควบคุมขอบเขตการดูดซับไม่ได้เลว เขารู้ว่าพลังฟ้าดินรอบๆ พุ่งเข้ามาเหมือนบ้าคลั่ง

ลู่ฝานพยายามควบคุมปราณชี่ตัวเอง ไม่ให้ไปดูดพลังฟ้าดินพวกนี้ เขาไม่อยากให้วิธีที่เพิ่งเข้าใจเมื่อครู่ โดนพลังระเบิดไป

เดินออกมานอกห้อง ลู่ฝานกวาดตามองรอบๆ แล้วส่งเสียงหึออกมาอย่างเย็นชา

ด้านนอก มู่หนีและคนอื่น มองเขาเหมือนเห็นผี

“นี่มันอะไรกัน”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 844
ปราณชี่ในมือเพียงเล็กน้อย ลู่ฝานเอาพลังสีฟ้ารวมตัวเป็นปราณชี่อีกครั้ง

ตอนที่เขารวมตัวสำเร็จ ลู่ฝานรู้สึกว่าพลังสีฟ้าในตัวเริ่มสั่นสะเทือน เหมือนสิ่งมีชีวิตตื่นเต้น

การสั่นสะเทือนแบบนี้ ทำให้ลู่ฝานหาโอกาสเจอ ลู่ฝานรีบเอาฤทธิ์ยาที่เหลือโจมตีผนึกด้านนอกตันเถียน

อีกแค่นิดเดียว อีกแค่นิดเดียวเท่านั้น!

ตอนช่วงสำคัญ ลู่ฝานเอาปราณชี่ในมือที่เพิ่งรวมเสร็จ ใส่เข้าไปในร่างกายเขา

เมื่อปราณชี่เข้าไป เหมือนพลังสีฟ้าทั้งหมดเริ่มบ้าคลั่ง

ไม่สนใจฤทธิ์ยาอะไรทั้งนั้น ทั้งหมดเริ่มแย่งชิงปราณชี่

แต่น่าเสียดาย นี่คือร่างกายของลู่ฝาน ตั้งแต่พลังสีฟ้าพวกนี้เริ่มเคลื่อนไหว ลู่ฝานรู้สึกว่าปราณชี่ในตันเถียนของตัวเองพุ่งออกมา

แม้ไม่มาก แต่ก็แผ่ซ่านไปทั่วตัวอย่างรวดเร็ว

พลังสีฟ้าพวกนั้นจะกดปราณชี่ของลู่ฝานกลับไป แต่น่าเสียดายที่ไม่ง่ายขนาดนั้น

ลู่ฝานกับพลังสีฟ้าพวกนั้นเริ่มต่อสู้ พลังสีฟ้าใช้การโจมตี กวาดปราณชี่รอบแรกของลู่ฝาน แต่ตามมาด้วยรอบที่สอง ลู่ฝานพบว่าปราณชี่ของตัวเองยังกลืนกินพลังสีฟ้าพวกนั้นด้วย

ถูกต้อง มันคือการกลืนกิน

เหมือนกำลังกินอาหาร กินอีกฝ่ายเข้าไป

ลู่ฝานไม่ได้เห็นเรื่องแบบนี้เป็นครั้งแรก เดิมทีพลังวิญญาณที่เขาใช้ ก็โดนปราณชี่ของเขากินแบบนี้เหมือนกัน

ตอนนี้ปราณชี่เริ่มแสดงความพิเศษที่มีอำนาจทุกอย่าง

เมื่อสัมผัสครั้งแรก มันโดนกวาดล้าง

แต่ครั้งที่สองเริ่มมีความต้านทาน

ครั้งที่สาม ครั้งที่สี่ ปราณชี่เริ่มกินพลังสีฟ้า อีกทั้งเอาความพิเศษของพลังสีฟ้ารวมไว้ด้วยกัน

ลู่ฝานรู้สึกว่าปราณชี่ของเขา แสดงการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง

สิ่งเดียวที่ไม่เหมือนปราณชี่ของพลังสีฟ้าพวกนั้น ตอนนี้กำลังโดนปราณชี่ดูดจนหมด

“พลังชะล้าง!”

แตกต่างจากการผลักออกของปราณชี่ แต่เป็นการลบล้างไปจนหมด

ใช้พลังที่ไม่เหมือนพลังฟ้าดิน กวาดล้างมันจนหมด กลายเป็นความว่างเปล่า นี่คือความพิเศษของพลังสีฟ้า และเป็นวิธีโจมตีเดียวของมัน

ถ้าเทียบกับการแปรเปลี่ยน มันด้อยกว่าปราณชี่มาก

ถ้าเทียบความทนทานแข็งแกร่ง มันก็ด้อยกว่าปราณชี่ไม่รู้ตั้งเท่าไร

มีเพียงความสามารถในการชะล้าง ตอนลู่ฝานได้สัมผัสครั้งแรก ก็โดนมันควบคุมเอาไว้เลย

แต่ตอนนี้ลู่ฝานรู้สึกว่าตัวเองไม่กลัวพลังนี้แล้ว ถ้าไม่สามารถแข็งแกร่งจนถึงขั้นที่ควบคุมได้อย่างสมบูรณ์แบบ ภายใต้พลังระดับเดียวกัน ปราณชี่ของเขาสามารถระเบิดพลังสีฟ้าเหล่านี้ได้ ถึงพลังพวกนี้มาจากท่านเทพอักษร ขุนพลังสุดเหนือฟ้าในตำนานก็เถอะ

“ที่แท้นี่คือความสามารถที่ปราณชี่ควรมี กัดกินสรรพสิ่ง ทนต่อสรรพสิ่ง แต่กลับแตกต่างจากสรรพสิ่ง”

ลู่ฝานหัวเราะจนอ้าปากค้าง

เขาเข้าใจวิธีใช้ปราณชี่อีกวิธีแล้ว กำลังกายและกำลังสมอทั้งชีวิตของอาจารย์หวูเฉิน ไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น

ลู่ฝานรู้สึกว่าที่ผ่านมาตัวเองโง่จริงๆ ศึกษามาตั้งนาน เพิ่งศึกษาได้ว่าปราณชี่สามารถใช้วิธีเอาพลังฟ้าดินผลักออกได้ อันที่จริงวิธีใช้ปราณชี่ยังมีมากกว่านี้

กัดกินฟ้าดิน!

จู่ๆ ในหัวลู่ฝานมีคำนี้แวบเข้ามา ลู่ฝานรู้สึกถึงอนาคตอันสดใสของตัวเอง

ทันใดนั้น ลู่ฝานก็รู้ว่ายอดกระบี่หวนคืนของตัวเองคืออะไร

การหลอมรวมและระเบิดของพลัง ก่อให้เกิดอำนาจอันน่าเกรงขาม

พลังที่แตกต่างดัน สามารถหลอมรวมกันได้ภายใต้ปราณชี่ นี่คือจุดแข็งแกร่งของปราณชี่

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 843
ลู่ฝานยิ้มบางๆ แล้วพึมพำว่า “ดูเหมือนอาจารย์ฉันช่างเก่งกาจ การฝึกบู๊และชี่บนตัวฉันคือของจริง เทพอักษรไม่ได้ใช้วิธีที่ถูกต้อง!”

ลู่ฝานรู้สึกว่าตัวเองมีจุดที่แข็งแกร่งกว่าขุนพลังสุดเหนือฟ้า ความรู้สึกนี้ช่างสุดยอดไปเลย!

ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆ ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา เอาพลังนี้แปรเปลี่ยนเป็นปราณชี่ของเขาได้ไหม

พูดขึ้นมาก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ในเมื่อสามารถแปรเปลี่ยนเป็นพลังปราณกับพลังชี่ได้ งั้นรวมพลังปราณกับพลังชี่ตามวิธีของเขา ก็กลายเป็นปราณชี่แล้วไม่ใช่เหรอ

พูดแล้วก็ลงมือทำ ลู่ฝานเริ่มทดสอบด้วยความตื่นเต้น

เวลาในการฝึกฝนผ่านไปเรื่อยๆ ขณะที่ลู่ฝานกำลังตั้งใจกับการศึกษา

อีกด้านหนึ่ง ลั่วหยู่กับจ้าวซวี่กำลังโดนคนทำการศึกษา ส่วนสิ่งที่ทำการศึกษาก็คือ คนต้องเสียเลือดมากแค่ไหนถึงจะตาย

เฮียสงถือดาบไว้ในมือแล้วพูดว่า “ฉันจะพูดอีกรอบ ต้องสู้ถึงจะรอด ถ้าไม่สู้พวกนายก็อยู่ที่นี่ ความอดทนของฉันมีจำกัด!”

หน้าอกจ้าวซวี่มีเลือดทะลักออกมาด้านนอก ดูเหมือนจะหยุดไม่ได้ด้วย

จ้าวซวี่ใบหน้าโหดเหี้ยม ตะโกนออกมาว่า “นี่ไม่ยุติธรรม เขาเป็นคนที่มาใหม่ ทำไมต้องแลกด้วยชีวิตฉัน”

ลั่วหยู่ไม่พูดอะไร นอนนิ่งๆ อยู่ด้านข้าง หน้าอกก็มีเลือดไหลออกมา

เฮียสงเดินเข้ามา ก้มหน้ามองจ้าวซวี่แล้วพูดว่า “นายพูดเรื่องความยุติธรรมของฉันเหรอ”

พูดพลาง เฮียสงจับผมจ้าวซวี่เอาไว้แน่น “ที่นี่เคยมีความยุติธรรมตั้งแต่เมื่อไร พวกนายมีชีวิตอยู่ที่นี่ได้ เป็นเพราะความสงสารของพวกเรา ตอนนี้แค่ต้องการอะไรนิดหน่อยจากพวกนาย ก็มาพูดเรื่องความยุติธรรมกับฉันเหรอฉันจะถามอีกรอบ จะไปหรือไม่ไป”

จ้าวซวี่ก้มหน้าลง “ฉันไป”

เฮียสงมองลั่วหยู่แล้วพูดว่า “นายล่ะ”

ลั่วหยู่ช้อนตาขึ้นมอง “ฉันก็ไป”

“นี่สิถึงจะถูก! แบบนี้ดีมากไม่ใช่หรือไง รีบไปฆ่าเขา ฉันแบ่งพวกนายตามกฎ ถ้าคนนั้นจะจัดการพวกนาย ฉันจะช่วยพวกนายขอร้อง”

เฮียสงยิ้มออกมา ให้คำสัญญาจอมปลอมกับพวกเขา

แต่จ้าวซวี่กับลั่วหยู่ไม่สงสัย เพราะทั้งสองคนไม่มีสิทธิ์สงสัย

ทั้งสองคนค่อยๆ ลุกขึ้นมา มีแสงสีฟ้ากะพริบบนตัว

ถูกต้อง แสงสีฟ้า สีฟ้าของป้ายศิลาเทพฝน สีฟ้าที่เป็นพลังของเทพอักษร

ทั้งสองเดินไปทางห้องของลู่ฝาน

แววตาเต็มไปด้วยความร้ายกาจและเกลียดชังสุดขีด

จ้าวซวี่กำหมัดแน่น ลั่วหยู่กะเผลกด้วยขาข้างเดียว ร่างกายดูไม่เป็นธรรมชาติ

รอบๆ มีเงาคนเยอะขึ้น

มู่หนี ต้าเก้อ ไอ้ตาแดง พากันออกมามองพวกเขา

มู่หนีเล่นขวดยาเปล่าแล้วพูดว่า “ถ้ายาได้ยาพวกนี้มาเยอะขึ้น ฉันจะได้ยกระดับขึ้นอีกขั้น ไม่แน่อาจทะลุขีดจำกัดก็ได้”

ไอ้ตาแดงแสยะยิ้มเย็นชา “ถ้าเธอทะลุได้คงทะลุไปนานแล้ว โชคชะตาของเธอต้องโดนขังอยู่ที่นี่ไปทั้งชีวิต”

มู่หนีกวาดตามองไอ้ตาแดง “วางใจเถอะ ฉันต้องทะลุไปก่อนนายแน่นอน”

ต้าเก้อพูดขัดจังหวะทั้งสองคน “พวกเขาจะเข้าไปแล้ว”

ทุกคนรีบมองไปที่จ้าวซวี่กับลั่วหยู่ ทั้งสองคนเดินเข้าไปในห้องลู่ฝาน

แต่ตอนนี้ไม่มีใครได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ที่ดังมาจากในห้องลู่ฝาน

“ที่แท้เป็นแบบนี้นี่เอง!”

พลังบริสุทธิ์ไหลเวียนอยู่ในลูกแก้วว่างเปล่า ตอนนี้ลูกแก้วว่างเปล่าในมือเขาเหมือนกินอิ่ม ส่องแสงบางๆ ออกมา

ส่วนลูกแก้วมังกรก็มีแสงกะพริบ พลังสีฟ้าด้านในทำให้ลูกแก้วมีวงแหวนสีฟ้าหนึ่งชั้น สีดำด้านนอกก็ไม่สามารถปกคลุมได้

พลังเหล่านี้รวมกับตัวลู่ฝานรวมเป็นหนึ่ง กลายเป็นอักษรยันต์ ก่อให้เกิดพลังผนึกที่แตกต่างกัน

แม้ออกมาจากป้ายศิลาเทพฝนเหมือนกัน แต่พวกมันอยู่ในลูกแก้วว่างเปล่ากับลูกแก้วมังกร ซึ่งยังไม่ได้สร้างค่ายกลและผนึก นั่นหมายความว่า ในนี้พวกมันเป็นเหมือนพลังฟ้าดินเท่านั้น

ลู่ฝานลองกระตุ้นพวกมัน ลู่ฝานรู้สึกทันทีว่าพลังพวกนี้มีปฏิกิริยา

เสียงเจดีย์เสวียนเก้ามังกรดังขึ้น

“เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ นายควบคุมพลังของท่านเทพอักษรได้แล้วเหรอ”

ลู่ฝานดึงพลังสีฟ้าออกมา กระบวนการไม่ได้ยากเหมือนที่จินตนาการไว้ กลับง่ายจนผิดปกติ อีกทั้งยังกระตุ้นง่ายกว่าพลังฟ้าดินด้วย ลู่ฝานจิตใจวูบไหว พลังสีฟ้าพวกนี้เคลื่อนไหวตามใจลู่ฝาน กลายเป็นรูปร่างต่างๆ ราวกับเป็นพลังของเขาเอง

ลู่ฝานพูดว่า “ใช่ ใช้ได้แล้ว คิดไม่ถึงว่าฉันจะกระตุ้นพลังของเทพอักษรได้”

ลู่ฝานหัวเราะออกมา ถ้าพลังสีฟ้าในตัวเขากระตุ้นง่ายเหมือนแสงสีฟ้าพวกนี้ก็ดีสิ ถ้าเป็นอย่างนั้นเขาคงปล่อยปราณชี่ของตัวเองออกมานานแล้ว

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดอย่างตกใจ “พระเจ้า เจ้านายเก่งมากเลย นายสามารถกระตุ้นพลังของขุนพลังสุดเหนือฟ้าได้ อย่าบอกนะว่านายเป็นทายาทของท่านเทพอักษร หรือนายเป็นลูกศิษย์เขา”

ลู่ฝานส่ายหน้า “นี่น่าจะเป็นไปไม่ได้เลย ฉันแค่รู้สีว่าทำไมพลังสีฟ้านี้ คล้ายกับปราณชี่ของฉันมาก”

ลู่ฝานพูดพลาง ลองแปรเปลี่ยนพลังสีฟ้า

ทันใดนั้น พลังฟ้าดินรอบๆ เคลื่อนไหวตามเช่นกัน

ลม ไฟ ฟ้าผ่า สายฟ้า ล้วนควบคุมได้ สิ่งเหล่านี้ลู่ฝานแปรเปลี่ยนจนเชี่ยวชาญแล้ว ใช้จนชำนาญ

หลังจากนั้นลองเปลี่ยนมันเป็นพลังปราณ ก็ทำได้เหมือนกัน ลองมาถึงขั้นนี้ ลู่ฝานถึงกับตกใจ

อย่าบอกนะว่าท่านเทพอักษรท่านนี้ ก็เป็นคนที่ฝึกฝนทั้งบู๊และชี่เหมือนกัน

ขณะกำลังคิด ลู่ฝานรู้สึกว่าพลังสีฟ้าในมือหายไปจนหมด

ลู่ฝานอึ้งไป “ไม่ใช่สิ ปราณชี่ของฉันไม่มีทางใช้หมดเร็วขนาดนี้ ทำไมพลังสีฟ้าถึงใช้หมดเร็วขนาดนี้ล่ะ”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดด้วยความเลื่อมใส “เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ เพราะเจ้านายเป็นคนที่มีมุกเทพคนเดียวในใต้หล้า เจ้านายคือผู้ไร้เทียมทาน ในอนาคตเจ้านายมีโอกาสทำลายสิ่งที่จับต้องไม่ได้ อยู่เหนือกว่าทุกสิ่ง เจ้านายคืออมตะ เจ้านายคือทุกอย่าง เจ้านายคืออนาคต……”

“พอแล้ว พอแล้ว! ค่อยว่ากันเรื่องประจบสอพลอ”
ลู่ฝานขี้เกียจฟังเจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูด ลู่ฝานสัมผัสผ่านพลังของเทพอักษร เหมือนเส้นทางฝึกฝนของพวกผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง ล้วนมุ่งมาทางการฝึกฝนทั้งบู๊และชี่ควบคู่กัน

อาจารย์หวูเฉินก็เช่นกัน เทพอักษรก็เช่นกัน

แค่หลังจากที่อาจารย์หวูเฉินล้มเหลว จึงให้ศิษย์ตัวเองเดินบนเส้นทางที่ถูกต้อง

แต่เหมือนเทพอักษรค้นพบวิธีอื่นที่สามารถฝึกทั้งบู๊และชี่จนสำเร็จ มีเพียงสิ่งเดียวคือใช้หมดเร็ว พลังสีฟ้าพวกนี้พอให้เขาแปรเปลี่ยนแค่ไม่กี่ครั้ง

ลองทดสอบอีกสองสามครั้ง ลู่ฝานพบว่าความแข็งแกร่งก็ไม่พอ หลังจากแปรเปลี่ยนออกมา อ่อนแอกว่าพลังชี่และพลังปราณทั่วไป บวกกับไม่มีพลัง เมื่อขจัดความสามารถทั้งหมดออกไป เหมือนด้านในขาดอะไรไปสักอย่าง

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 841
ส่วนตอนนี้ มู่หนีเดินเข้ามาในห้องอีกห้องหนึ่ง พวกเฮียสงรออยู่ข้างในนานแล้ว

“เป็นไง มีโอกาสลงมือไหม”

เฮียสงถามขึ้น

มู่หนีแกว่งขวดยาในมือแล้วพูดว่า “เป็นคนที่มุ่งมั่นตั้งใจ ฉลาดรอบคอบ ไม่มีโอกาสควบคุมเขาเลย”

“ถึงใช้ความงามของเธอก็ไม่ได้ผลเหรอ”

เฮียสงขมวดคิ้วพูด

มู่หนีพูดว่า “ขอบคุณที่นายประเมินความงามฉันสูงขนาดนี้ แต่กลัวว่าเขาคงเคยเจอคนสวยกว่าฉัน ฉันมองออกว่าแววตาที่เขามองฉัน มีเพียงแค่ความชื่นชมเท่านั้น ไม่มีความโลภเลยสักนิด”

ชายผอมดำข้างๆ พูดว่า “ขโมยของมาก็ไม่ได้เหรอ เราจะไม่ได้อะไรเลยไม่ได้นะ”

มู่หนีพูดว่า “นายนั่นแหละไม่ได้อะไรเลย ฉันได้มาแล้ว”

มู่หนีแกว่งขวดยาไปมา ทำให้พวกเขาโกรธจนสีหน้าไม่เป็นมิตร

เฮียสงพูดว่า “วุ่นวาย วุ่นวายจริงๆ ฆ่าก็ฆ่าไม่ได้ ของก็เอามาไม่ได้อีก เนื้อก้อนใหญ่วางอยู่ตรงนั้นแท้ๆ แต่ไม่ให้กิน อึดอัดใจจริงๆ”

“ต้าเก้อ นายมีความคิดอะไรไหม”

มู่หนีมองต้าเก้อที่เงียบไม่พูดอะไร

ต้าเก้อคิดแล้วพูดว่า “หาคนไม่กลัวตายไปฆ่าเขา ทุกคนแบ่งของกัน พอคนนั้นถาม ก็ผลักไอ้คนไม่กลัวตายคนนั้นออกไป”

เฮียสงพยักหน้า “อืม ฟังดูเป็นความคิดที่ดี แต่จะหาใครล่ะ ฉันจำไม่ได้ว่าที่นี่มีคนไม่กลัวตายด้วยเหรอ”

“จ้าวซวี่ ลั่วหยู่ ไอ้สองคนนี้มีความแค้นกับเด็กนั่น ไปหาพวกเขา”

ต้าเก้อตอบอย่างรวดเร็ว

มู่หนีส่ายหน้า “ไอ้สองคนนี้กลัวตายมาก ไม่น่าจะลงมือ”

เฮียสงกำหมัดแล้วพูดว่า “ฉันจะไปคุยกับพวกเขา วางใจเถอะ พวกเขาตกลงแน่นอน”

พูดจบ เฮียสงเดินออกไป

ชายตัวผอมดำพูดอย่างสงสัย “เขาจะคุยยังไง ฉันคิดไม่ออกว่าจะคุยวิธีไหน ที่จะทำให้คนไปตายได้ สองคนนั้นไม่ใช่คนโง่สักหน่อย”

มู่หนียิ้มแล้วพูดว่า “มีวิธีอยู่แล้ว อย่างเช่นให้พวกเขาได้สัมผัสกับเรื่องที่ทรมานกว่าความตายไง”

ชายตัวผอมดำพูดอย่างเข้าใจแจ่มแจ้ง “ที่แท้เป็นแบบนี้นี่เอง”

ต้าเก้อหัวเราะแล้วพูดว่า “ให้เฮียสงไปคุยสิ เขาเหมาะสมที่สุดแล้ว ฉันว่าไม่นายคงได้คำตอบ”

มู่หนีส่ายหน้า “น่าเสียดายจัง เดิมทีฉันรับปากเขาว่าจะให้อยู่อย่างสงบสามวัน”

ชายตัวผอมดำพูดว่า “เธอยังเคยรับปากจะแต่งกับใครบางคนด้วยนิ เป็นไงล่ะ คุณแม่ม่ายดำ”

มู่หนีกวาดตามองชายตัวผอมดำ “นายมีสิทธิ์ว่าฉันเหรอ ไอ้โรคจิตชอบฆ่าคน ไอ้ตาแดง”

ตาสองข้างของไอ้ตาแดงเริ่มกลายเป็นสีแดง แสงโลหิตรุนแรงแผ่ออกมา

ทั้งสองสบตากัน ทันใดนั้นก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน จากนั้นก็ละสายตา

ต้าเก้อยิ้มอยู่ข้างๆ ไม่พูดอะไร ตอนนี้เขาคิดแต่ของของตัวเอง เขาชอบกระบี่ของลู่ฝาน เหมาะกับสไตล์ของเขามาก

ลู่ฝานที่กำลังฝึกฝนยังไม่รู้ว่าคนพวกนี้ ยังไม่ล้มเลิกความคิดที่จะแย่งของเขา

ตอนนี้ลู่ฝานกระตุ้นฤทธิ์ยาในตัว โจมตีเข้าไปยังตันเถียนที่โดนผนึก แต่ขณะนั้นเขาเห็นวัตถุทรงกลมสองอันอยู่นอกตันเถียน

“ลูกแก้วว่างเปล่า ลูกแก้วมังกรทำลายล้าง!”

ลู่ฝานอึ้งไปตอนแรก จากนั้นรอยยิ้มเต็มใบหน้า

“ที่แท้พวกแกก็โดนกันไว้ด้านนอกเหมือนกัน ดีมาก ดีมาก!”

ลู่ฝานยิ้มแล้วกระตุ้นพวกมัน ลูกแก้วสีดำขลับสองลูก ปรากฏในมือของเขาทันที

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 840
บ้านหิน โต๊ะหิน เตียงหิน

เป็นการจัดวางที่เรียบง่ายมาก

ลู่ฝานเดินเข้ามาในห้องกับมู่หนี แม้การเดินยังดูกะโผลกกะเผลก แต่อย่างน้อยก็เดินได้แล้ว

เพิ่งเข้ามาในห้อง ลู่ฝานรู้สึกว่าแรงกดดันน้อยลงมาก ทำให้ปราณชี่ในตันเถียนเคลื่อนไหวเล็กน้อย

มู่หนีไม่ได้หลอกเขา ที่นี่ดีกว่าข้างนอกเยอะมาก

ส่วนน้ำใสที่มู่หนีบอกเขา ลู่ฝานไม่ได้สนใจ เพราะเขาไม่ได้ต้องการเท่าไร แค่ปราณชี่ของเขาฟื้นฟูขึ้นมาเล็กน้อย เรื่องน้ำไฟเป็นเรื่องง่ายดายมาก ใช่ว่าที่นี่จะไม่มีพลังฟ้าดิน

“โอเค นายพักผ่อนที่นี่เถอะ ยาเม็ดล่ะ”

มู่หนียื่นมือไปหาลู่ฝาน ลู่ฝานโยนขวดยาให้ขวดหนึ่ง

“นี่หนึ่งขวด ฉันต้องการอยู่อย่างสงบสองสามวัน สงบแบบไม่มีใครรบกวน ถ้าเธอทำได้ หลังผ่านไปสองสามวัน รอฉันออกมา ฉันจะให้เธออีกขวด”

ลู่ฝานมองมู่หนีแล้วเอ่ยขึ้น

ตอนนี้ทำอะไรต้องเด็ดขาด พวกยาต่างๆ แค่พลังกลับคืนมา ก็เป็นเรื่องง่ายนิดเดียว

เวลาคือสิ่งสำคัญ ตอนนี้เขาไม่มีเวลา

มู่หนีไม่พูดอะไร เอายาเม็ดออกมาจากขวดหนึ่งเม็ด แล้วมองดูอย่างละเอียด

หลังผ่านไปครู่หนึ่ง มู่หนีพูดว่า “เป็นยาชั้นดีจริงๆ แต่ถ้าจะพูดว่าเป็นยาฝีมือเซียนบำเพ็ญชี่ เหมือนยังห่างชั้นกันอยู่มาก แต่ก็ใช้ได้แล้ว ฉันเก็บไว้ละ ฉันรับรองว่าพวกเด็กน้อยไม่มีทางมารบกวนนาย อย่างเช่น จ้าวซวี่ ตอนนี้ลั่วหยู่ก็โดนนายตัดเท้าไปแล้ว ฉันน่าจะขวางเขาได้ สามวัน ฉันช่วยนายขวางเขาได้สามวัน”

ลู่ฝานคิดแล้วพูดว่า “ได้ งั้นสามวัน”

มู่หนีเก็บยา ยิ้มเห็นฟันขาวแล้วพูดว่า “ทำธุรกิจกับคนอย่างนายช่างมีความสุขจริงๆ ตอนนี้ฉันหวังว่านายจะสามารถใช้ชีวิตอย่างดีที่นี่ต่อไป ใช่สิ นายไม่คิดเรื่องรับใช้อะไรนั่นหน่อยเหรอ ฝีมือของฉันชั้นหนึ่งเลยนะ ตอนนั้นฉันยั่วพวกครูมาไม่น้อย เลยโดนขังอยู่ที่นี่ไง”

ลู่ฝานหนาวขึ้นมา เขาพูดว่า “ไม่จำเป็น ถ้าเธอแตะต้องฉัน เธอจะตายศพไม่สวย”

มู่หนียิ้มแล้วพูดว่า “ฉันเชื่อว่าเรื่องนี้นายน่าจะควบคุมตัวเองได้ ไม่งั้นไอ้คนที่แบกนายกลับมาคงตายไปนานแล้ว จะไม่ลองคิดดูจริงเหรอ”

ลู่ฝานพยักหน้า “ไม่คิด เธอออกไปได้แล้ว”

มู่หนีขมวดคิ้วเบาๆ แต่ก็เดินออกไปโดยไม่พูดอะไร

เสียงเจดีย์เสวียนเก้ามังกรดังขึ้นในตัวลู่ฝาน

“เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ ทำไมไม่ตกลงล่ะ ฉันว่าพละกำลังของผู้หญิงคนนั้นใช้ได้เลยนะ ถ้าทำความรู้จักเธอได้ น่าจะอยู่ที่นี่ได้อย่างปลอดภัยขึ้น”

ลู่ฝานพูดว่า “แกจะไปรู้อะไร ถ้าเธอเข้ามาใหล้ตัวฉัน แล้วฆ่าฉันจะทำไง ในสายตาเธอ ฉันคงเป็นแค่แกะที่รอโดนเชือด แม้ยึดตามที่เธอพูด ก่อนที่คนนั้นไม่พูดอะไรออกมา ไม่มีใครกล้าแตะต้องฉัน แต่ฉันไม่มีทางทำเรื่องเสี่ยงแบบนี้หรอก”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดว่า “ที่แท้เป็นแบบนี้นี่เอง เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ นายฉลาดจริงๆ ที่แท้นายไม่ได้รังเกียจการปรนนิบัติของเธอ แต่มีความคิดที่ลึกกว่านั้น ความฉลาดของนายช่างกว้างใหญ่ไพศาลเหมือนดวงดาว กว้างขวางเหมือนท้องทะเล เหมือน……”

ลู่ฝานหยุดคำพูดจอมปลอมของไอ้เก้า ตอนนี้เขาต้องการฝึกฝนอย่างสงบ

ลู่ฝานกรอกยาใส่ปากตัวเองอีกสองสามขวด หลังจากนั้นสู้กับพลังสีฟ้าในร่างกายตัวเอง

สิ่งที่ลู่ฝานอยากทำตอนนี้ คือทำให้ปราณชี่ของตัวเองเคลื่อนไหวได้ก่อน

เมื่อไม่มีปราณชี่ พละกำลังของเขาจะลดลงไปมาก โดยเฉพาะที่แบบนี้ ไม่ได้ปลอดภัยเท่าไร ลั่วหยู่กับจ้าวซวี่อยากฆ่าเขาตั้งนานแล้ว

แม้ตอนนี้ไม่มีเรื่องอะไร แต่ไม่ได้หมายความว่าต่อไปจะไม่มี

ลู่ฝานไม่มีความคิดที่จะเอาชีวิตไปยึดติดกับดวง สิ่งที่ต้องรีบทำตอนนี้คือฟื้นฟูการควบคุมปราณชี่ อย่างน้อยต้องให้มันออกมาจากตันเถียน

ครุ่นคิดครู่หนึ่ง ลู่ฝานเริ่มกินยาทีละขวด

นี่เป็นวิธีที่โง่เขลา ในเมื่อไม่สามารถสั่งการปราณชี่ในตันเถียนได้ เขาจำเป็นต้องใช้ฤทธิ์ยาเปิดทาง

ถึงแม้เมื่อฤทธิ์ยาพวกนี้เขาไปในตัวเขาแล้วจะโดนดูดซึมทันทีก็ตาม แต่ยังไงก็ยังมีส่วนหนึ่งที่ต้องทำช้าๆ ค่อยเก็บสะสมไว้ทีละนิด เรียกได้ว่าเป็นพลังที่ไม่อ่อนแอเลย ช่วยให้เขาทำได้หลายอย่าง

ลู่ฝานสะสมยาเม็ดเอาไว้มากพอ สมุนไพรก็ไม่น้อย ตอนนี้เอามาใช้แบบฟุ่มเฟือย ก็ไม่ได้ปวดใจเท่าไร

แต่ขณะที่เขากำลังกินอย่างมีความสุข มีสายลมพัดเข้ามา

ลู่ฝานตกใจ จากนั้นยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “มาแล้วก็ออกมาสิ ทำไมต้องทำลับๆ ล่อๆ ด้วย”

เงาหนึ่งปรากฏตรงหน้าลู่ฝาน เป็นผู้หญิงที่ยืนกับพวกเฮียสงเมื่อครู่

ผู้หญิงคนนี้กล้ามเนื้องดงามแข็งแรง เสื้อผ้าขาดเล็กน้อย แต่ไม่สามารถบดบังความงามได้

รูปร่างมีส่วนเว้าส่วนโค้งงดงาม ดูตระหง่านมีพลัง เทียบกับสาวงามอ่อนโยนที่ลู่ฝานเห็นบ่อยจนชินตา เธอดูมีชีวิตชีวากว่าเยอะ

“ความรู้สึกนายว่องไวมาก ดูเหมือนนายเป็นยอดฝีมือจริงๆ”

แววตาผู้หญิงเป็นประกาย เอาแต่จ้องขวดยาในมือลู่ฝาน ลู่ฝานพูดอย่างราบเรียบว่า “เธอจะทำอะไร ถ้าจะมาฆ่าฉัน ก็ไม่ต้องพูดมาก ลงมือได้เลย ฉันจะทำให้เธอดูมีเกียรติขึ้นนิดหน่อย”

ผู้หญิงส่ายหน้า “ฉันไม่ได้มาฆ่านาย ตอนคนนั้นยังไม่ได้พูด ไม่มีใครกล้าทำอะไรนายหรอก ฉันชื่อมู่หนี ฉันจะทำธุรกิจกับนาย”

ลู่ฝานพูดว่า “ธุรกิจอะไร”

มู่หนีชี้ขวดยาในมือลู่ฝาน “นายให้ยาฉัน ฉันจะรับใช้นาย ฉันได้กลิ่น ยาที่นายกินเป็นยาชั้นดี เมื่อกี้พวกเขาบอกว่านายได้จวนของเซียนบำเพ็ญชี่ ฉันยังไม่เชื่อเท่าไร แต่ตอนนี้ฉันเชื่อแล้ว”

“รับใช้เหรอ”

ลู่ฝานเลิกคิ้วขึ้น หลังจากอยู่กับศิษย์พี่หานเฟิงมานาน เขาไวต่อคำศัพท์อะไรแบบนี้มาก

เหมือนมู่หนีนึกอะไรได้ เธอหัวเราะแล้วพูดว่า “นายเข้าใจผิดแล้ว รับใช้ที่ฉันบอกคือฉันสามารถหาที่อยู่ให้นายได้ มีน้ำสะอาด รวมไปถึงอาหารที่สามารถทานได้ นายเอาแต่นอนอยู่ที่นี่ก็ไม่มีประโยชน์ นายอาจรับรู้ได้ว่าหินโสโครกพวกนี้ มีพลังดูดซับอย่างรุนแรง ฝึกฝนบนนี้เป็นเรื่องทรมานมาก มันจะดูดซับพลังมากมายของนายไปจนหมด ฉันจะหาหินที่มีพลังดูดซับไม่มากให้นาย แน่นอนว่าการรับใช้ที่นายหมายถึง ฉันก็ทำให้นายได้เหมือนกัน แค่นายเอายามาแลกกับฉันเยอะขึ้นนิดหน่อย”

พูดพลาง มู่หนีทำท่ายั่วยวน ทำให้เสื้อผ้าที่เหลืออยู่ไม่เยอะของตัวเอง ไหลลงมาข้างล่างจนเห็นส่วนที่อยู่ใต้ร่มผ้า

ลู่ฝานมองจนตาค้าง ดูมีอะไรจริงๆ

ลู่ฝานกระแอมเบาๆ สองครั้ง “ดูเหมือนเป็นธุรกิจที่ไม่เลว งั้นโอเค ส่วนการรับใช้อย่างหลังปล่อยมันไปเถอะ ทางที่ดีเธออย่าแตะต้องฉัน เธอน่าจะเห็นจุดจบแล้ว”

รอยยิ้มสดใสปรากฏบนใบหน้ามู่หนี

ที่นี่ไม่มีดวงอาทิตย์ดวงจันทร์ ไม่รู้วันเวลา

ลู่ฝานรู้สึกเหมือนตัวเองนอนอยู่นาน ในที่สุดก็มีแรงขึ้นมาเล็กน้อย

ลู่ฝานฝืนลุกขึ้นมานั่ง ลู่ฝานเก็บกระบี่หนักไร้คมลงไปในเข็มขัด

หลังจากที่เปิดเข็มขัดไม่ได้ ตอนทดสอบที่เกาะผนึกวิญญาณ ลู่ฝานเริ่มมีไหวพริบ เหลือปราณชี่ไว้ในเข็มขัดตลอดเวลา ใช้ค่ายกลเก็บรักษาเอาไว้

เรื่องพวกนี้สำเร็จเพราะได้ความช่วยเหลือจากไอ้เก้า ลู่ฝานเสียวัสดุไปไม่น้อยเลย

แต่ผลที่ได้ชัดเจนมาก ไม่มีเหตุการณ์ที่เปิดเข็มขัดไม่ได้ เพราะปราณชี่โดนผนึกอีกแล้ว

ลู่ฝานยื่นมือลงไปหยิบยาเม็ดออกมา เขาระมัดระวังมาก หยิบพลางมองรอบๆ อย่างหวาดระแวง

เมื่อเอาออกมาก็กรอกยาเม็ดใส่ปากทันที

“สบาย!”

ลู่ฝานพูดเบาๆ

ยาเม็ดลงไปในท้อง ฤทธิ์ยาร้อนแรงแผ่ซ่านในตัว

แม้ยังไม่สามารถกำจัดพลังสีฟ้าออกไปได้ แต่อย่าน้อยเส้นลมปราณและกระดูกของเขาเริ่มกลับมามีพลังแล้ว

“สิ่งบ้าบอนี่น่าหงุดหงิดจริงๆ มันเอาแต่ผนึกปราณชี่ของฉัน มันมีประโยชน์อะไร”

ลู่ฝานพูดพึมพำ

เขาสัมผัสได้ว่าพลังสีฟ้าพวกนี้ ไม่ได้มีการโจมตีรุนแรงเท่าไรนัก ไม่งั้นตอนนี้เขาคงไม่อยู่ในสภาพนี้หรอก ต้องบาดเจ็บสาหัส หรือไม่ก็อาจตายคาที่ไปแล้ว

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดในตัวลู่ฝาน “เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ นี่คือการถ่ายทอดอย่างหนึ่งของผู้แข็งแกร่ง ถ้าเดาไม่ผิด ท่านเทพอักษรน่าจะทิ้งป้ายศิลานี้ไว้ เพื่อเลือกผู้สืบทอด ถ้าใครรู้เจตนาของเขา หรือไม่ก็ทำลายผนึกของเขาได้ เขาคงจะรู้สึกบ้าง”

ลู่ฝานพูดอย่างตกใจ “แกกำลังบอกว่าเทพอักษรยังมีชีวิตอยู่เหรอ”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดว่า “การมีอยู่แบบนี้ แน่นอนว่ายังมีชีวิตอยู่ ไม่เห็นมีอะไรแปลก พวกเขาถึงขั้นที่เป็นอมตะตั้งนานแล้ว บนโลกใบนี้จะมีใครฆ่าเขาได้ นอกจากคนที่ไร้เทียมทานเหมือนกันกับเขา”

ลู่ฝานเงียบไป จากนั้นยิ้มแล้วพูดว่า “งั้นหมายความว่า ไม่แน่นี่อาจเป็นโอกาสอย่างหนึ่งใช่ไหม”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดว่า “ใช่ เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ นี่คือโอกาสสำหรับนาย”

ลู่ฝานหัวเราะเบาๆไม่กี่ครั้ง แล้วพูดว่า “แกมั่นใจในตัวฉันมากเลยนะ”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดว่า “แน่นอนอยู่แล้ว นายเป็นคนเดียวในใต้หล้าที่มีมุกเทพ ฉันรับรองเลยว่าพวกที่ไร้เทียมทาน ก็ยังไม่มีมุกเทพ ไม่แน่ก้าวสุดท้ายที่สำคัญของพวกเขา อาจเป็นมุกเทพก็ได้ อีกทั้งอาจารย์ของเจ้านายยังเป็น……”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ เสียงของเจดีย์เสวียนเก้ามังกรเบาลง

เห็นได้ชัดว่าการข่มขู่ของอาจารย์หวูเฉินมีผลกับมันมาก เมื่อพูดถึงอาจารย์ เสียงเจดีย์เสวียนเก้ามังกรสั่นขึ้นมาทันที

ลู่ฝานไม่ได้ถามอะไรมาก เขารู้ว่าตัวเองมีศักยภาพ แต่ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองถึงขั้นที่เป็นหนึ่งเดียวในใต้หล้า

ก่อนหน้านี้ลู่ฝานรู้ว่าเส้นทางการฝึกฝน โอกาสคือสิ่งสำคัญ แต่สิ่งสำคัญกว่านั้นคือจิตใจที่ยืนหยัดและไม่ยอมแพ้ของตัวเอง

คิดดูว่าถ้าเขาละทิ้งการฝึกฝนไปตั้งแต่แรก เขาจะเจออาจารย์หวูเฉินไหม

คงโดนตระกูลโยนไปอยู่สถานที่ธรรมดาๆ เป็นผู้จัดการ ใช้ชีวิตแบบโง่เขลาไปทั้งชีวิต

ลู่ฝานไม่ได้ถามต่อ หลังจากรู้ว่าของสีฟ้าในตัวอาจเป็นของดี ลู่ฝานก็ไม่รีบกำจัดมันออกแล้ว

เฮียสงหันมามองลู่ฝานแล้วพูดว่า “ไปกันเถอะ ทิ้งเขาไว้ที่นี่ตามยถากรรม ไม่เกี่ยวอะไรกับเรา”

คนส่วนใหญ่เห็นด้วยกับข้อเสนอของเฮียสง คนพวกนี้แยกย้ายกันอย่างรวดเร็ว

มีเพียงลั่วหยู่กับจ้าวซวี่ที่มีสีหน้าไม่เต็มใจ แต่พวกเขาก็หวาดกลัวเสียงที่ล่องลอยนั่น สุดท้ายก็เลือกเดินออกไป

บนหินโสโครกกว้างและเรียบ เหลือลู่ฝานเพียงคนเดียว

มีลมพัดบนผิวน้ำสีดำ พร้อมกับความหนาวเย็นจับใจ

แสงของหญ้าเรืองแสง ส่องจนหน้าลู่ฝานดูซีด ลู่ฝานยิ้มบางๆ และนอนอยู่บนพื้นอย่างนั้น

“ถือว่าผ่านความยากลำบากมาได้หนึ่งอย่าง ที่บ้าๆ แบบนี้วุ่นวายจริงๆ! ท่านผอ. ถ้าผมตายที่นี่จริง ถึงผมเป็นผีผมก็ไม่ปล่อยท่านไปแน่นอน”

ลู่ฝานพูดพึมพำ มีเพียงเจดีย์เสวียนเก้ามังกรที่ได้ยินคำพูดของเขา

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรหัวเราะแล้วตอบว่า “เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ ฟ้าย่อมมีทางออกให้คนเราเสมอ ไม่ต้องกลัว ในเมื่อไม่ตาย ทุกอย่างจะดีขึ้นเอง ตอนนี้เจ้านายต้องรีบฟื้นฟูพลังกลับมาให้เร็วที่สุด”

ลู่ฝานพูดเห็นด้วย “ใช่ ฟื้นฟูพลังคือสิ่งสำคัญ”

ลู่ฝานหลับตาลงทั้งสองข้าง เริ่มตรวจสอบในร่างกายตัวเอง

จู่ๆ ลู่ฝานตกใจกับสภาวะในร่างกายตัวเอง เห็นเพียงแสงสีฟ้าทั่วแขนขาและกระดูกของเขา เหมือนผนึกขนาดใหญ่ ผนึกทุกส่วนของร่างกายเอาไว้

โดยเฉพาะตันเถียนของเขาโดนผนึกเอาไว้ ปราณชี่ที่เหลือเพียงเล็กน้อย โดนกดอยู่ในตันเถียน ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้

เหมือนสถานการณ์จะไม่สู้ดีเท่าไร!

……

ที่ลึกลงไปอันมืดมิด บนเกาะหินโสโครก ด้านหน้าบ้านเล็กที่มีหญ้าเรืองแสงขึ้นเต็มไปหมด ผู้หญิงคนหนึ่งกำลังดูกระจกจำภาพที่อยู่ข้างหน้า

กระจกจำภาพบานนี้ใหญ่มาก สูงประมาณสามสิบกว่าเมตร มีภาพมากมายสะท้อนอยู่ในนั้น ไม่ว่าจะเป็นภาพในคุกน้ำ หรือภาพนอกคุกน้ำ รวมไปถึงภาพโถงหลักสถาบันสอนวิชาบู๊ด้วย

นิ้วมือวักบึงน้ำใส ผมยาวของหญิงสาวยาวถึงพื้น เป็นผมสีฟ้าเหมือนท้องฟ้า ภายใต้การสะท้อนของหญ้าเรืองแสง ดูงดงามมาก

มุมปากยกขึ้นเป็นมุมสวย ผู้หญิงยิ้มแล้วพูดว่า “ลู่ฝาน ในที่สุดนายก็มาแล้ว ฮ่าๆ ถ้าฉันพูดช้าไปสักนิด นายคงโดนพวกโง่นั่นฆ่าตายไปแล้ว เฮ้อ น่าเสียดาย ทำไมนายถึงไม่ยอมทำตามกฎล่ะ ฉันจะได้เห็นภาพสุดกระอักกระอ่วนของนาย นายจะโดนเปลื้องผ้าจนหมดไหม ฮ่าๆ”

ใบหน้ามีรอยยิ้มร้ายกาจ ผู้หญิงลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้อง เมื่อสะบัดมือ หน้ากากที่ทำจากหินโสโครกปรากฏในมือเธอ

ผู้หญิงลองเอาหน้ากากใส่ไว้บนหน้าตัวเอง

“แบบนี้นายคงจำฉันไม่ได้แล้ว อืม ฉันจะเล่นกับนายให้เต็มที่ ฮ่าๆ”

ผู้หญิงยืนอยู่หน้าบึงน้ำใส มองเงาสะท้อนในน้ำ

“แม้ใส่หน้ากาก แต่ฉันก็ยังสวยขนาดนี้”

ผู้หญิงพูดแบบหลงตัวเองมาก ทำท่าทำทางสองสามที สุดท้ายสะบัดมือ น้ำในบึงก่อตัวเป็นรูปร่างของลู่ฝานอย่างรวดเร็ว

“นายมาแล้ว ฉันจะได้ไม่รู้สึกเหงา หวังว่าสมองนายจะใช้การได้สักหน่อย อย่าทำให้ฉันผิดหวัง ถ้าเป็นแบบนั้น เราจะได้อยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิตจริงๆ”

ลู่ฝานเครียดอยู่ในใจเหมือนกัน ก็นี่คือการพนันครั้งหนึ่งของเขา

ถ้าคนพวกนี้เอาแต่จะยึดกฎดึงดันจะฆ่าเขา เขาคงทำได้เพียงให้ไอ้เก้าเอาค่ายกลที่เก็บมาจากเขาอวี่ฮั่วออกมาสู้

แต่ลู่ฝานคิดว่าค่ายกลที่ไม่มีพลังสนับสนุน จะแสดงพลานุภาพออกมาได้แค่ไหน จะเอาชนะพวกคนข้างหน้าได้ไหม ยังพูดได้ไม่ชัดเจน

เงียบเหมือนตาย จู่ๆ เฮียสงพูดออกมาเป็นคนแรก “ขอโทษด้วย ฉันคิดว่าคงไม่มีใครยอมรับการพนันแบบนี้”

เพิ่งพูดจบ ผู้หญิงข้างๆ กำลังจะพูด แต่โดนเฮียสงกวาดตามอง

เฮียสงพูดว่า “เว้นเสียแต่จะมีใครรับการโจมตีของทุกคน”

เพียงประโยคเดียว ทำให้ความฮึกเหิมของคนรอบๆ หายไปทันที

ลู่ฝานหนักใจ เรื่องที่กังวลที่สุดเกิดขึ้นจนได้

ลู่ฝานเรียกไอ้เก้าให้เตรียมค่ายกล

เฮียสงมองลู่ฝานแล้วพูดว่า “ไอ้หนุ่ม นายฉลาดและมีฝีมือมาก คนอย่างนายอยู่ข้างนอกคงเป็นอัจฉริยะ ไม่แน่ต่อไปอาจกลายเป็นบุคคลมีชื่อเสียง แต่น่าเสียดายที่นายมาที่นี่ ไม่ว่าข้างนอกนายจะเก่งแค่ไหน เมื่อนายมาที่นี่ มีเพียงทางเดียวคือการทำตามกฎ ในเมื่อนายไม่ยอม งั้นนายก็ตายซะเถอะ”

พูดจบ มีดาบที่ก่อตัวจากแสงสีฟ้า ปรากฏขึ้นในมือเฮียสง

แสงสีฟ้าเข้ม เหมือนแสงของป้ายศิลาเทพฝนมาก

ด้านล่างตัวลู่ฝานมีค่ายกลปรากฏขึ้นมา ไอ้เก้าทำสุดความสามารถแล้ว พลังน้อยนิดที่กว่าจะสะสมได้ วันนี้ใช้ไปจนหมดอีกแล้ว

คนอื่นก็ยกอาวุธขึ้นมามองลู่ฝานอย่างเย็นชา

ในแววตาไม่มีความสงสาร มีเพียงความเกลียด

เหมือนกำลังพูดว่าทำไมเด็กอย่างนาย ถึงไม่ยอมทำตามกฎ

ใบหน้าลั่วหยู่มีรอยยิ้มชั่วร้าย จ้าวซวี่ก็หัวเราะออกมา

“นายไปตายได้แล้ว!”

เฮียสงพูดอย่างเย็นชา

หลังจากนั้น แสงสีฟ้าในมือเขาฟันลงมา

แต่ขณะนั้น เสียงไพเราะดังมาจากไกลๆ

“เดี๋ยวก่อน!”

ทุกคนหยุดการกระทำทันที

แสงค่ายกลด้านล่างตัวลู่ฝานที่เพิ่งสว่างขึ้น ตอนนี้หยุดลงอย่างรวดเร็ว

“เสียงนี้คุ้นหูมาก”

ลู่ฝานแอบพึมพำ แต่คิดไม่ออกว่าเป็นใคร

สีหน้าพวกเฮียสงเปลี่ยนไปทันที ตัวสั่นอย่างไม่สามารถควบคุมได้

“เธอเป็นคนพูดเหรอ”

เฮียสงเอ่ยขึ้น

คนรอบๆ พยักหน้าเบาๆ เหงื่อไหลออกมาบนหน้าเฮียสงโดยอัตโนมัติ

“เธอเป็นใคร”

ลู่ฝานถามขึ้น

ไม่มีใครตอบเขา ทุกคนหันไปทำความเคารพทางที่เสียงดังขึ้น

เห็นท่าทางหวาดกลัวของพวกเขา เหมือนหนูเจอแมว ลู่ฝานก็อยากรู้เหมือนกัน อย่าบอกนะว่าเป็นเจ้าของคุกน้ำแห่งนี้

รออยู่นาน ก็ไม่มีเสียงอะไรดังขึ้นมา

เฮียสงก็โค้งตัวลง ไม่รู้จะทำอย่างไร

รอไปรอมา เฮียสงทำท่าทางใหญ่โตไปทางท้องฟ้าสีดำ เหมือนกำลังถามว่า “จะฆ่าหรือปล่อยคนนี้”

ยังคงไม่มีการตอบกลับ เสียงที่ดังขึ้นอย่างกะทันหัน ราวกับความชั่วคราว

จ้าวซวี่ถามเบาๆ ว่า “เฮียสง นายว่าจะทำยังไง ฆ่าไอ้หมอนี่ไหม”

เฮียสงกัดฟันพูดว่า “ฆ่าบ้านนายสิ เธอพูดออกมาแล้ว ใครยังกล้าฆ่าอีก นายอยากตายใช่ไหม งั้นนายก็ไปฆ่าไอ้หมอนั่นซะ”

จ้าวซวี่ไม่พูดอะไร เขาไม่มีความกล้าพังพินาศไปพร้อมกันกับลู่ฝานหรอก

แม้ลู่ฝานสงสัยมาก แต่จู่ๆ เขารู้สึกว่าตัวเองไม่มีอันตรายแล้ว อดโล่งใจไม่ได้

รออยู่นาน ก็ยังไม่มีการตอบกลับ

ทันใดนั้น ส่วนที่โดนฟันกลายเป็นเถ้าอยู่บนพื้น เลือดสดกระจาย ลั่วหยู่หน้าซีดเผือด ตะโกนใส่ลู่ฝานสุดเสียง “ฉันจะฆ่านาย ฉันจะฆ่านายแน่นอน”

ลู่ฝานพูดอย่างราบเรียบว่า “นายตะโกนหลายรอบแล้ว ฉันจำได้”

ตอนนี้จ้าวซวี่ถอยห่างกว่าทุกคน เขามองลู่ฝานเหมือนมองมาร

เขาไม่เข้าใจ ทำไมคนคนนี้ถึงทำเรื่องน่ากลัวขนาดนี้ ในสถานการณ์แบบนี้ได้อีก ในหัวเขามีเพียงความคิดเดียว นั่นก็คืออยู่ให้ห่างเขา

เฮียสงตกใจมาก จ้องลู่ฝานแล้วพูดว่า “นายเป็นใครกันแน่”

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “คนมาใหม่”

เฮียสงพูดว่า “ไม่มีคนมาใหม่เหมือนนายสักคน ไอ้หนุ่ม นายกำลังรนหาที่ตาย”

ลั่วหยู่ฝืนผนึกเส้นลมปราณของตัวเอง ไม่ให้ตัวเองเสียเลือดจนตาย

“ฆ่าเขา เขาขยับไม่ได้ เอาอาวุธฟันเขาให้ตาย”

กลุ่มคนเอาอาวุธออกมาทันที คนหนึ่งเป็นผู้มาใหม่ที่แตะต้องไม่ได้ ส่วนอีกคนเป็นผู้มาใหม่ที่เหมือนเม่น ตายไปก็ดีแล้ว

สายตาที่ทุกคนมองลู่ฝานล้วนเปลี่ยนไป

ตอนนี้จิตใจของพวกเขา เหมือนกินหนูตายเข้าไป

อันที่จริงมีผู้มาใหม่ ควรเป็นเรื่องที่มีความสุข อีกทั้งยังแบ่งของกันได้ แต่คนมาใหม่คนนี้ทำแบบนี้ จะไม่ให้คนโกรธ จะไม่ให้คนหงุดหงิดได้ยังไง

สิ่งสำคัญกว่านั้น พวกเขาก็มาจากการเป็นคนที่มาใหม่ คนที่อยู่ในนี้ มีใครบ้างที่เข้ามาแล้วไม่โดนรูดจนหมดตัว หลังจากนั้นโดนโยนออกไป ปล่อยไปตามยถากรรม

แต่ผู้มาใหม่คนนี้ กลับไม่เหมือนพวกเขา เขาไม่ได้เข้ามาตามกฎ จะให้คนพวกนี้ทนได้อย่างไร

แต่ขณะนั้น ลู่ฝานพูดว่า “ฉันให้ของพวกนายได้บางส่วน แต่ฉันจะให้แค่คนเดียว คนที่สามารถปกป้องฉันได้ที่นี่”

ทุกคนอึ้งไป เฮียสงพูดว่า “นายจะยั่วโมโหพวกเราเหรอ”

ลู่ฝานพูดว่า “เปล่า ฉันแค่อยากรักษาศักดิ์ศรีเอาไว้สักหน่อยเท่านั้น ถ้าฉันให้ของแค่คนเดียว บางทีอาจรอด อีกทั้งยังไม่ต้องโดนฆ่าเหมือนขยะด้วย ไม่ใช่หรือไง”

เฮียสงขมวดคิ้วพูดว่า “แต่นี่ไม่สอดคล้องกับกฎ”

ลู่ฝานพูดว่า “นี่ต้องดูว่าในบรรดาพวกนาย มีคนกล้าพนันหรือเปล่า ปกป้องฉัน นายจะได้ผลประโยชน์เยอะมาก ฉันจะพูดสักสองสามอย่าง เช่น ยาทิพย์ วิชาระดับดิน สมุนไพรชั้นดี”

จ้าวซวี่ตะโกนว่า “ทุกคนอย่าไปเชื่อเขา เขากำลังหลอกลวง”

ลู่ฝานใช้พลังทั้งหมดพูดออกมาเสียงดังว่า “ฉันกำลังหลอกคนงั้นเหรอ จ้าวซวี่ ฉันได้จวนของเซียนบำเพ็ญชี่ นายกล้าพูดว่าไม่รู้เรื่องนี้หรือเปล่า”

ลู่ฝานใช้แววตาดุดันจ้องจ้าวซวี่ จ้าวซวี่พูดอะไรไม่ออกทันที

เขาอยากพูดว่าไม่รู้ แต่ความอาฆาตในแววตาลู่ฝาน กลับทำให้เขาตกใจ อีกทั้งตอนนี้คนอื่นยังพากันมองมาที่เขาด้วย

เฮียสงพูดว่า “จ้าวซวี่ เขาพูดจริงไหม ทางที่ดีนายอย่าหลอกฉัน นายรู้ว่าฉันมองออก”

จ้าวซวี่จนปัญญา พูดเสียงเบาว่า “จริง เขาได้จวนเซียนบำเพ็ญชี่มาจริงๆ แต่ฉันไม่แน่ใจว่าสิ่งนั้นยังอยู่กับเขาหรือเปล่า”

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “ถ้าไม่อยู่กับฉันจะอยู่กับใครได้อีก โอเค ฟังจบแล้ว เบี้ยพนันของฉัน พวกนายมีใครอยากพนันไหม ถ้าชนะได้สิ่งตอบแทนเยอะเลยนะ!”

ทุกคนพากันเงียบ

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 834
ลู่ฝานเรียกเจดีย์เสวียนเก้ามังกรในใจ “ไอ้เก้า แกยังมีพลังให้ใช้ไหม”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรตอบว่า “เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ ฉันยังเหลือพลังอยู่บ้าง เพียงพอให้เจ้านายเอาค่ายกลในมุกเทพออกมากระแทกหน้าพวกเขาแรงๆ”

ลู่ฝานพูดว่า “ไม่ต้องยุ่งยากขนาดนั้น ขจัดพิษบนตัวฉันออกไปให้หมด น่าจะไม่ยากใช่ไหม”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรยิ้มสบายๆ หลังจากนั้นลู่ฝานรู้สึกว่าบนร่างกายตัวเอง มีลวดลายสีดำปรากฏขึ้นมา

ลู่ฝานเห็นมือของตัวเองมีลายสีดำปรากฏขึ้น ไอ้เก้าทำได้แบบดูมีศิลปะมาก ล้วนเป็นลายมังกรสีดำ การเปลี่ยนแปลงเล็กๆ เช่นนี้ น้อยคนนักจะสังเกตเห็น

เสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้นรอบตัวลู่ฝานไม่หยุด แววตาของกลุ่มคนเหมือนกำลังดูละคร

ในสายตาพวกเขา ลู่ฝานเหมือนลูกแกะที่โดนกดไว้บนเขียง รอเพียงยกมีดขึ้นมาเฉือนเป็นชิ้นส่วน

“ฮ่าๆ น่าสนใจๆ”

ทันใดนั้น ลู่ฝานหัวเราะออกมา

จู่ๆ รอยยิ้มบนใบหน้าพวกเฮียสงหายไป นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเห็นผู้มาใหม่หัวเราะได้ ในสถานการณ์แบบนี้

“นายขำอะไรเด็กน้อย”

สีหน้าเฮียสงไม่เป็นมิตร จ้องลู่ฝานเขม็ง

ลู่ฝานเงยหน้ามองจ้าวซวี่แล้วพูดว่า “ที่นี่มีกฎน่าสนใจขนาดนี้ งั้นจ้าวซวี่ ตอนที่นายมาคงโดนรูดไปจนหมดสินะ”

จ้าวซวี่สีหน้าอึมครึมทันที

ลู่ฝานหันไปมองลั่วหยู่แล้วพูดว่า “นายก็ด้วยเหรอ พวกเขาเหลือกางเกงให้นายไหม”

เมื่อพูดจบ ผู้หญิงรูปร่างงดงามที่อยู่ข้างๆ หัวเราะเบาๆ เหมือนนึกเรื่องสนุกอะไรขึ้นมาได้

ลู่ฝานพูดว่า “ดูเหมือนจะไม่เหลือให้สินะ พอคิดว่าพวกนายโดนรูดจนหมด เอาตัวรอดไปวันๆ ที่นี่ ฉันก็อดขำไม่ได้”

เส้นเลือดปูดขึ้นบนหน้าผากจ้าวซวี่ เขากัดฟันพูดว่า “วางใจเถอะ นายต้องทุเรศกว่าฉันแน่นอน เฮียสง เห็นได้ชัดว่าเขาไม่อยากเลือกแล้ว สู้เราช่วยเลือกให้เขาดีกว่า”

เฮียสงย่อตัวลงมองลู่ฝาน “เด็กน้อย นายกล้ามาก แม้ไม่รู้ว่านายกำลังยื้อเวลาหรืออะไร แต่นายกล้าหาญแบบนี้ จะทำให้นายตาย ทางที่ดีนายรีบเอาของบนตัวนายออกมาเถอะ ถ้ามีผนึกก็บอกเราว่าปลดผนึกยังไง ถ้ามีตราประทับก็รีบเอาออกไป ไม่งั้นฉันคงทำได้แค่ให้พวกเขาสองคนแยกส่วนนาย ดูออกเลยว่าพวกเขามีอะไรกับนาย ฉันคิดว่าพวกเขาคงไม่ถือสาที่จะแบ่งร่างกายนายกันคนละครึ่ง”

ลั่วหยู่พยักหน้าพูดว่า “อันที่จริงฉันแค่ต้องการหัวเขา กลับไปทำชักโครกก็พอแล้ว”

รอยยิ้มบนหน้าลู่ฝานยังไม่หายไป แม้อีกฝ่ายจะข่มขู่เขาชัดเจนว่าจะแยกเขาเป็นสองส่วน

“งั้นนายลองมาแตะต้องฉันดูสิ”

ลู่ฝานพูดกับลั่วหยู่

ลู่ฝานโมโหแล้วจริงๆ เขายกขาพุ่งเข้ามา

“ฉันไม่เพียงแต่จะแตะต้องนาย ฉันจะฆ่านายด้วย!”

ขาเตะลงบนท้องลู่ฝาน ลู่ฝานส่งเสียงออกมา แต่รอยยิ้มมุมปากเพิ่มขึ้นอีก

ต่อมาลั่วหยู่พูดออกมาอย่างตกใจ

เห็นรองเท้าเขากลายเป็นเถ้าอย่างรวดเร็ว พิษที่เป็นของเหลวสีดำน่ากลัว เข้าไปในเท้าของเขา

“มีพิษ!”

ลั่วหยู่กุมเท้าแล้วตะโกนออกมาเสียงดัง

แต่พิษบนเท้าเขาเหมือนไฟลุกโชน ทำลายเท้าของเขาอย่างรวดเร็ว

ผิวหนังและเนื้อหายไป กระดูกโผล่ออกมา ไม่นานกระดูกก็กลายเป็นเถ้า

ทุกคนพากันถอยหลัง มองลู่ฝานอย่างหวาดผวา

ลั่วหยู่รีบตัดสินใจดึงกระบี่ออกมา ฟันเท้าขวาของตัวเอง

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 833
คนสิบกว่าคนเดินออกมาจากในห้องที่สร้างจากหิน พวกเขาพูดคุยกันว่าจะแบ่งของบนตัวลู่ฝานกันยังไง ไม่สนใจความรู้สึกของลู่ฝานเลยสักนิด

ลู่ฝานฝืนเงยหน้าขึ้นมา เขาเห็นหญิงชายแตกต่างกันเดินออกมา

คนพวกนี้กับพวกซูบผอมที่เพิ่งเจอข้างนอก แตกต่างราวฟ้ากับเหว

แม้พวกเขาดูทุเรศทุรังเหมือนกัน แต่ดูมีชีวิตชีวา ดวงตาเป็นประกาย

“เดี๋ยวให้ฉันดูก่อน ฮ่าๆ นี่ลู่ฝานไม่ใช่เหรอ ทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่ ฟ้ามีตาจริงๆ ทำให้ฉันรอจนได้เจอนาย”

เสียงหนึ่งดังขึ้น ลู่ฝานจิตใจวูบไหว

เขาคุ้นหูเสียงนี้ ต้องเคยได้ยินจากที่ไหนแน่นอน

เมื่อมองอย่างละเอียด เมื่อเห็นใบหน้าคนคนนี้ ลู่ฝานนึกออกทันที

“ลั่วหยู่ ลั่วหยู่คณะบังเหิน!”

ลู่ฝานพูดออกมาเบาๆ

ลั่วหยู่ผลักทุกคนออก นั่งยองข้างหน้าลู่ฝาน ได้ยินคำพูดของลู่ฝาน ลั่วหยู่ยิ้มแล้วพูดออกมา “คิดไม่ถึงว่านายยังจำฉันได้ ฉันนึกว่าคนข้างนอกลืมฉันไปหมดแล้ว”

“ลู่ฝาน ลู่ฝานไหน ใช่ลู่ฝานที่สมควรตายไหม”

มีคนหนึ่งพุ่งเข้ามา ลู่ฝานจำเสียงนี้ได้ทันที

“จ้าวซวี่!”

จ้าวซวี่พุ่งเข้ามาแบบเปลือยท่อนบน ไม่รู้เขาพบกับความลำบากอะไรที่นี่บ้าง ผู้ฝึกชี่ผู้ยิ่งใหญ่ ตอนนี้เหมือนนักบู๊ที่ผ่านสนามรบมาเป็นร้อย แผลเป็นเต็มตัวไปหมด

เมื่อเห็นว่าคนที่นอนอยู่บนพื้นคือลู่ฝาน ใบหน้าจ้าวซวี่บิดเบี้ยวทันที

“โชคไม่เข้าข้าง ลู่ฝาน นายก็มีวันนี้เหมือนกัน”

จ้าวซวี่กัดฟัน เอามีดออกมาทันที

“จ้าวซวี่นายจะทำอะไร”

ทันใดนั้นมีคนมาจับมือจ้าวซวี่เอาไว้

นี่เป็นชายร่างกายกำยำขนเต็มตัวไปหมด ขนและผมดกดำทำให้เขาเหมือนหมี

จ้าวซวี่พูดอย่างบ้าคลั่งว่า “เฮียสง ครั้งนี้ฉันไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น ฉันต้องการแค่ชีวิตเขา นายให้ฉันฆ่าเขา ฉันไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น”

เฮียสงพูดเสียงเย็นชา “ฆ่าคนใหม่เหรอ นายจะทำลายกฎหรือไง”

ดวงตาเฮียสงหมีแสงสีฟ้าปรากฏขึ้นมา จ้าวซวี่แข็งไปทั้งตัวทันที

เฮียสงผลักจ้าวซวี่ออกไปไกล ขณะเดียวกันก็เหลือบมองลั่วหยู่

ลั่วหยู่หัวเราะเบาๆ ยกมือสองข้างขึ้นแล้วพูดว่า “ฉันไม่คิดทำลายกฎ ฉันแค่ต้องการคนคนนี้เหมือนกัน”

เฮียสงยืนหน้าลู่ฝาน “ผู้มาใหม่ นายได้ยินที่ฉันพูดไหม”

ลู่ฝานพยักหน้าเบาๆ

เฮียสงพูดว่า “ไม่เลว หลังจากโดนป้ายศิลาเทพฝนชำระล้าง นายยังไม่สลบไป ดูเหมือนนายก็เป็นนักบู๊ที่เก่งมาก แต่ฉันจะบอกนายว่าที่นี่กฎคือทุกสิ่ง วันนี้ฉันจะบอกกฎแรกกับนายก่อน ผู้มาใหม่ต้องสละของตัวเองทุกอย่าง เพื่อแลกกับการมีชีวิตของตัวเอง ตอนนี้นายเอาของบนตัวนายออกมา เราจะคุ้มครองนายหนึ่งเดือน รวมถึงบอกนายว่าจะใช้ชีวิตและเติบโตที่นี่อย่างไร นี่ยุติธรรมมาก เราใช้ประสบการณ์ แลกกับของเล็กๆ น้อยๆ ของนาย”

ลู่ฝานพูดอย่างหมดแรงว่า “ถ้าฉันไม่ให้ล่ะ”

เฮียสงยิ้มแล้วพูดว่า “ถ้าไม่ให้ งั้นเราคงทำได้เพียงเอาของบนตัวนายไปทั้งหมด รวมถึงชีวิตนายด้วย เชื่อฉันสิ อยู่ที่นี่ มีคนมากมายสนใจศพนาย ทุกส่วนบนร่างกายนายจะเสียเปล่าไม่ได้”

ลู่ฝานหัวเราะแล้วพูดว่า “แต่มีของบางอย่างที่พวกนายเอาไปไม่ได้”

เฮียสงพยักหน้าพูดว่า “ใช่ เราจึงให้โอกาสนายเลือก จะอยู่หรือตาย นายเลือกเอาเอง”

“เมืองเล็กๆ หยางหลิวสุ่ย กลิ่นหอมของหลิวสีเข้มยิ่งเบาบาง ร้องบทเพลงเศร้าจบคะนึงหา ชื่อบทเศร้าแต่ใบหน้าแดงระเรื่อ เมื่อจุดโคมไฟ ความรู้สึกยิ่งมากขึ้น หลังแยกจากกันยังไงก็มีโอกาสพบเจอ ราตรีภิรมย์ไร้ซึ่งทางเลือกเหมือนปลายฤดูใบไม้ผลิ เหลือเพียงดอกไม้ร่วงลงบนอาคารว่างเปล่า”

บทกลอนหนึ่งบท ข้อความหนึ่งบท คือทุกสิ่งบนป้ายศิลาเทพฝน

ไม่จำเป็นต้องมอง ตัวอักษรพวกนี้เข้าไปในหัวลู่ฝานทั้งหมด

สิ่งที่เหมือนกันคือ ประโยค “มีชีวิตใช่ว่าจะสุขเสมอไป ตายใช่ว่าจะทรมานเสมอไป” ลอยวนไม่หยุด

แสงสีฟ้าทะลักเข้ามาในตัวลู่ฝาน เหมือนน้ำฝนชำระล้างทุกอย่าง กวาดปราณชี่ในตัวลู่ฝานอย่างรวดเร็ว

ตอนนี้สติของลู่ฝานใกล้หายไปแล้ว ขณะนั้นสิ่งที่เจดีย์เสวียนเก้ามังกรให้เขาเตรียมเอาไว้ ได้ใช้ประโยชน์จริงแล้ว

ลูกแก้วว่างเปล่าในมือเขามีแสงสว่างขึ้น ดูดแสงสีฟ้าที่เข้ามาในตัวลู่ฝานอย่างรวดเร็ว ลายมังกรที่เลื้อยบนตัวลู่ฝาน นำพลังส่วนหนึ่งถ่ายโอนไปยังลูกแก้วมังกรในมือลู่ฝาน

ลูกแก้วสองลูกส่องแสงระยิบระยับ ช่วยลู่ฝานบรรเทาแรงกดดัน

ปราณชี่ในร่างกายเริ่มต่อต้าน กันไม่ให้แสงสีฟ้าเข้ามาอย่างสุดชีวิต

ตอนนี้ในหัวลู่ฝาน เสียงค่อยๆ หายไป

ถูกแทนที่ด้วยฝนตกหนัก

ฝนตกในร่างกายลู่ฝาน ตกในใจลู่ฝาน แค่ครู่เดียว ลู่ฝานรู้สึกเย็นถึงกระดูก ไม่ใช่ความเย็นของน้ำแข็ง แล้วก็ไม่ใช่ความเย็นเข้ากระดูกเหมือนสายลมยามค่ำคืน แต่เป็นความเย็นของฝนตกปรอยๆ อย่างยาวนาน

ในที่สุดแสงสีฟ้าหายไป ลู่ฝานว่างเปล่าทั้งตัว หลังจากนั้นล้มลงไปบนพื้นน้ำ

ลูกแก้วสองลูกในมือหายไปเอง มันเข้าไปในตัวลู่ฝาน

ลู่ฝานไม่ได้จมลงไปในน้ำ แต่ลอยอยู่บนน้ำ

ไหลไปตามกระแสน้ำ น้ำสีดำลากตัวลู่ฝานลอยไปข้างหินโสโครก

กระทั่งตอนนี้ คนบนหินโสโครกเดินเข้ามาดู แล้วดึงลู่ฝานขึ้นมา

ลู่ฝานรู้สึกว่าไม่สามารถขยับตัวได้ ความเจ็บปวดถูกส่งมายังแขนขาและกระดูก ชายคนหนึ่งแบกลู่ฝานขึ้นมา แล้วเดินกลับไป

เสียงเจดีย์เสวียนเก้ามังกรดังขึ้น

“เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ เจ้านายไม่เป็นอะไรใช่ไหม ฉันนึกออกแล้ว ป้ายศิลาเทพฝน คือสมบัติที่ท่านเทพอักษรทิ้งไว้ เจ้านายอาจไม่รู้ว่าท่านเทพอักษรคือใครสินะ ฉันจะอธิบายให้ฟัง ท่านเทพอักษรคือขุนพลังสุดเหนือฟ้าท่านหนึ่งในตำนาน ท่องไปในใต้หล้าอย่างไร้เทียมทาน”

ลู่ฝานพูดอย่างหมดแรง “แกนึกออกตอนนี้จะมีประโยชน์อะไร”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดว่า “ไม่เป็นไร ยังดีที่เมื่อกี้เจ้านายเตรียมตัวไว้ แม้พลังที่ท่านเทพอักษรหลงเหลือไว้จะแกร่งกล้า แต่ยังไม่พอให้ฆ่าคุณ อีกทั้งโดนพลังชำระล้างของท่านเทพอักษร เจ้านายรู้สึกว่าร่างกายตัวเองแข็งแกร่งขึ้นเยอะไหม”

ลู่ฝานยังสัมผัสไม่ได้ว่าร่างกายตัวเองแข็งแกร่งขึ้น รู้เพียงว่าทั้งตัวไร้เรี่ยวแรง อ่อนเพลียไปทั้งตัว

ชายคนหนึ่งแบกลู่ฝานเดินมาหน้าห้องที่สร้างจากหินโสโครกสองสามห้อง สะบัดมือโยนลู่ฝานลงบนพื้น

“โอ๊ะ มีคนใหม่มาอีกแล้ว หาได้ยากๆ ดูการแต่งตัวเขาไม่เลว น่าจะเป็นคนรวย หวังว่าจะไม่ทำให้ฉันผิดหวัง!”

“เสื้อผ้าเขาเป็นของฉัน ให้ตายเถอะ บนตัวฉันแทบจะไม่มีเศษผ้าปิดร่างกายแล้ว ใครกล้าแย่งฉัน ฉันจะบีบให้เละเป็นผง”

“ฉันจะเอากระบี่ของเขา ใหญ่มาก มีสไตล์มาก เป็นหลังคาบ้านให้ฉันได้พอดี”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 831
เหมือนลู่ฝานจับอะไรบางอย่างที่สำคัญได้

ผู้ชายยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “ทำความเข้าใจได้ก็คือทำความเข้าใจได้ ไม่มีอะไร นายเดินต่อไปข้างหน้า เมื่อนายเห็นป้ายศิลาของเทพฝน นายจะเข้าใจเอง”

“ป้ายศิลาของเทพฝนเหรอ”

ลู่ฝานพูดพึมพำ ฟังดูเหมือนสมบัติล้ำค่าอย่างนึง

ลู่ฝานเดินไปข้างหน้าอย่างไม่ลังเล

กลุ่มคนมองแผ่นหลังลู่ฝาน แล้วยิ้มออกมาอย่างประหลาด

“ตอนเขาเห็นป้ายศิลาของเทพฝน วิทยายุทธทั้งตัวคงไม่เหลือแล้ว”

“ใช่ เหมือนพวกไม่ยอมแพ้พวกนั้น”

“ฉันชอบดูคนเย่อหยิ่งกลายเป็นคนต่ำต้อย”

“เหมือนเราน่ะเหรอ”

“ใช่ เหมือนเรา”

……

ไปข้างหน้าเรื่อยๆ ลู่ฝานเหาะไม่เร็ว ฝ่าเท้ามีคลื่นเป็นวงๆ

เมื่อไปข้างหน้า ลู่ฝานเห็นพวกผู้ชายนั่งอยู่บนหินโสโครกอีกแล้ว อีกทั้งยังมีกระดูกขาวที่อยู่บนหินโสโครกด้วย

เหมือนที่ผู้ชายคนก่อนหน้านี้พูดไว้ เมื่อตายที่นี่ ก็จะกลายเป็นอาหารของคนอื่น ลู่ฝานเห็นคนคนหนึ่งหยิบกระดูกคนที่ตายข้างๆ มาแทะ แม้ข้างบนไม่เหลือเนื้ออยู่แล้วก็ตาม

“ถ้าบนโลกมีคุกผีร้าย คงเป็นที่นี่แหละ!”

ลู่ฝานพูดพึมพำ

เสียงเจดีย์เสวียนเก้ามังกรดังขึ้นในตัวลู่ฝาน

“เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ เจ้านายเอาลูกแก้วว่างเปล่ากับลูกแก้วมังกรถือไว้ในมือเถอะ ฉันรู้สึกเหมือนเคยได้ยินคำว่าป้ายศิลาเทพฝนที่ไหนสักแห่ง จะประมาทไม่ได้ ป้องกันไว้ก่อนดีกว่า ฉันจะปล่อยมังกรน้อยออกมาสักนิด”

เหมือนเจดีย์เสวียนเก้ามังกรกำลังกังวลอะไร ลู่ฝานพยักหน้าเบาๆ มีความละเอียดอ่อน​ สุขุมรอบคอบจึงกุมเรือหมื่นปีได้ นี่ไม่ผิดเลย

ลู่ฝานเอาลูกแก้วว่างเปล่ากับลูกแก้วมังกรถือไว้ในมือ พลังของเจดีย์เสวียนเก้ามังกรก็อยู่รอบตัวเขา

ลู่ฝานรู้สึกว่าตัวเองมีการป้องกันที่มองไม่เห็นเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งชั้น ในเวลาเดียวกัน บนตัวเขามีลายมังกรบางๆ ปรากฏขึ้นมา

เมื่อทำเรื่องเหล่านี้เสร็จ ลู่ฝานจึงเหาะไปข้างหน้าต่อ

หินโสโครกบริเวณรอบๆ ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ลู่ฝานเห็นหินโสโครกที่รัศมีวงกลมถึงพันฟุต ด้านบนมีคนหนึ่งคน ถึงกับมีบ้านที่สร้างจากหิน

ตอนลู่ฝานผ่านไป คนนี้ยังหันมามองเขาด้วย

แค่แวบเดียว ลู่ฝานรู้สึกถึงความอันตรายอย่างมาก

ประกายในตาของชายคนนั้นน่าตกใจมาก ลู่ฝานเพิ่งเคยเห็นแววตาน่าสะพรึงกลัวแบบนี้เป็นครั้งแรก

ความหวาดระแวงในใจเพิ่มขึ้นอีก ลู่ฝานเร่งความเร็วเพิ่มขึ้น

ในที่สุดมีของที่ดูพิเศษปรากฏอยู่ด้านหน้า มีแสงบางๆ ส่องออกมา

แสงสีฟ้า เหมือนมาจากนรก ส่วนสิ่งที่โดนแสงสีฟ้าปกคลุมอยู่ คือตัวอักษรที่ดูชัดเจน

สูงสามร้อยฟุต กว้างแปดสิบฟุต ตัวหนังสือปรากฏในสายตาลู่ฝาน

“บทเทพฝน!”

สิ่งที่ปรากฏในสายตาลู่ฝานคือป้ายศิลา

ตัวหนังสือที่จารึกด้านบน เห็นได้อย่างชัดเจนเหมือนไฟนรก ส่วนรอบๆ ป้ายศิลา เป็นหินโสโครกบนบกเป็นแถบ เมื่อมองดู ขนาดเหมือนเกาะเล็กๆ แห่งหนึ่ง คนสิบกว่าคนนั่งอยู่บนนั้น

ลู่ฝานชะงักตัว เงยหน้ามองป้ายศิลา

“นี่คือป้ายศิลาเทพฝนเหรอ”

ลู่ฝานพูดพึมพำ

ขณะนั้นบนป้ายศิลา แสงสีฟ้าพุ่งเข้ามาหาลู่ฝาน

ไม่มีโอกาสตั้งตัว แสงปกคลุมทั้งตัวลู่ฝาน

“มีชีวิตใช่ว่าจะสุขเสมอไป ตายใช่ว่าจะทรมานเสมอไป”

ตัวอักษรลอยวนเวียนในหัวลู่ฝาน

เมื่อใกล้ขึ้นเรื่อยๆ แวบแรกที่ลู่ฝานเห็นคนพวกนี้ ก็รู้ว่าพวกเขาเป็นใคร

นักโทษ!

ดำขลับไปทั้งตัว เสื้อผ้าขาด ผอมซูบเป็นอย่างมาก นอกจากนักโทษ ลู่ฝานคิดไม่ออกเลยว่าพวกเขาเป็นใคร

ลู่ฝานกวาดตามองพวกเขา ลู่ฝานมองหินโสโครกใต้ก้นพวกเขา พอรู้ว่าทำไมพวกเขาถึงโดนควบคุมเอาไว้

“ไม่ต้องมองแล้วเด็กน้อย อีกไม่นานนายก็จะเป็นเหมือนเรา”

ชายคนหนึ่งที่ดูหลังค่อมพูดออกมา ส่วนคนอื่นพากันหัวเราะคิกคัก

ลู่ฝานถามว่า “พวกนายเป็นนักเรียนสถาบันสอนวิชาบู๊เหรอ”

ผู้ชายตอบว่า “ใช่ หากยึดตามการรับนักเรียนใหม่ทุกปี ฉันน่าจะเป็นศิษย์พี่ของศิษย์พี่พวกนาย มาสิ ไหนลองเรียกศิษย์พี่สิ”

กลุ่มผู้ชายตัวผอมดำหัวเราะออกมาอีก ลู่ฝานเห็นในบรรดาคนพวกนั้นหัวเราะจนขี้มูกโป่ง

ลู่ฝานขมวดคิ้วเบาๆ แล้วพูดว่า “ตลกขนาดนั้นเลยเหรอ”

ผู้ชายพูดว่า “รอพวกนายอยู่ที่นี่นานๆ จะรู้เอง อ้อ ใช่สิ บางทีนายอาจอยู่ได้ไม่นานขนาดนั้น ดูนายสะอาดสะอ้าน เนื้อน่าจะอร่อยมาก”

พูดพลาง แววตาผู้ชายมีแสงสีเขียวเหมือนหมาป่าชั่วร้าย

ส่วนคนอื่น ก็มีแววตาสีเขียว

กวาดตามองดูแล้ว เหมือนเข้ามาในรังหมาป่า ลู่ฝานดึงกระบี่หนักไร้คมออกมา แล้วพูดว่า “กินฉันเหรอ ฉันขอเตือนพวกนาย ทางที่ดีอย่าพูดเป็นเรื่องตลก เพราะฉันฆ่าคนได้จริงๆ”

พลังปราณปรากฏออกมา ทันใดนั้นสีหน้าของกลุ่มคนเปลี่ยนไปทันที

“นายไม่ได้โดนทำลายวิทยายุทธเหรอ เป็นไปไม่ได้ พวกเขาไม่ได้ทำให้นายพิการแล้วค่อยโยนเข้ามาเหรอ”

ผู้ชายตะโกนอย่างตกใจ

ลู่ฝานยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “ขอโทษที่ทำให้นายผิดหวัง ฉันเป็นสุขดี ตอนนี้ฉันถามได้หรือยังฉันคิดว่าพวกนายจะตอบตามความจริง ใช่ไหม”

ลู่ฝานสะบัดกระบี่หนักไร้คมเบาๆ คลื่นสูงหลายเมตรระเบิดขึ้นมาบนผิวน้ำสีดำที่อยู่ไม่ไกล

สีหน้าผู้ชายเปลี่ยนไป การข่มขู่ตรงๆ ของลู่ฝาน ทำให้พวกเขาไม่สามารถพูดอะไรได้

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “พวกนายไม่พูด ถือว่ายอมรับโดยปริยาย บอกฉันเกี่ยวกับสถานการณ์ที่นี่ พวกนายใครจะเป็นคนพูด ถ้าไม่มีใครพูด งั้นก็ต่อไปก็ไม่ต้องพูดอีก”

ทันใดนั้นผู้ชายที่อยู่ใกล้ลู่ฝานที่สุดพูดว่า “สถานการณ์ที่นี่ก็เหมือนที่นายเห็น เป็นคุกน้ำ!”

ลู่ฝานพยักหน้าพูดว่า “เรื่องนี้ฉันพอรู้ ขังคนไว้ทั้งหมดกี่คน พวกนายมีชีวิตถึงตอนนี้ได้ยังไง ฉันไม่เห็นอะไรที่กินได้เลย”

ผู้ชายกัดฟันพูดว่า “ที่นี่ขังคนเอาไว้เป็นร้อยคน เดินไปด้านหน้านายจะเห็นหินโสโครกที่ใหญ่กว่านี้ คนที่โดนขังอยู่บนหินล้วนเป็นคนเก่ง ไม่เหมือนพวกเราที่เหลือแค่หนังหุ้มกระดูก”

“อาหารล่ะ อาหารคืออะไร”

ลู่ฝานสนใจเรื่องนี้มาก จึงถามออกมาตรงๆ

ผู้ชายเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “อาหารเหรอ ที่นี่จะมีอาหารอะไรได้ล่ะ มีแค่คนที่หิวตาย จะโดนคนที่เหลือกิน ฝืนเอาชีวิตรอดต่อไปเท่านั้น”

ลู่ฝานขมวดคิ้วเบาๆ ที่นี่โหดร้ายถึงขั้นนี้เลยเหรอ

“ทำไมฉันไม่ค่อยเชื่อ ถ้าโหดขนาดนี้ พวกนายฝืนมาถึงตอนนี้ได้ยังไง”

ผู้ชายเงียบไป เขาไม่รู้จะตอบยังไง

ขณะนั้นผู้ชายที่ดูมีอายุข้างๆ พูดว่า “ความหวัง ความหวังทำให้เรายืนหยัดถึงตอนนี้ ไม่ว่าเราจะมีชีวิตตกต่ำขนาดไหน แค่วันหนึ่งเราทำความเข้าใจได้ ก็จะออกไปได้”

“ทำความเข้าใจ ทำความเข้าใจอะไร”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 829
เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดว่า “ไม่นะ แต่ที่นี่รู้สึกเหมือนไม่สามารถแบ่งแยกได้ชัดเจน”

ไม่ใช่ครั้งแรกที่ลู่ฝานได้ยินคำว่าไม่สามารถแบ่งแยกได้ชัดเจน จำได้ว่าตอนอยู่เขาอวี่ฮั่ว หัวใจแห่งความมืดก็มาจากแห่งที่ไม่สามารถแบ่งแยกได้ชัดเจน

“อะไรคือไม่สามารถแบ่งแยกได้ชัดเจน”

ลู่ฝานรู้สึกว่าตัวเองต้องถามให้ชัดเจน

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรอธิบายว่า “นั่นเป็นสถานที่พิเศษ ในนั้นล้วนเป็นแหล่งพลังบริสุทธิ์ คนที่สามารถเข้าไปในนั้นได้ ต้องได้รับการยอมรับ ในนั้นมีสัตว์อสูรแปลกๆ ใช้ชีวิตอยู่หลายชนิด แต่ละตัวแข็งแกร่งและพิเศษมาก สรุปว่าถ้าคุณจะฝึกฝน ให้ไปที่ไม่สามารถแบ่งแยกได้ชัดเจน หนึ่งวันเท่ากับหนึ่งปีข้างนอก ถ้าคุณอยากรวย ให้ไปที่ไม่สามารถแบ่งแยกได้ชัดเจน เอาของกลับมาสักหน่อย ก็สามารถรวยล้นฟ้าแล้ว ถ้าคุณอยากครองโลก ให้ไปที่ไม่สามารถแบ่งแยกได้ชัดเจน บนโลกนี้อาวุธที่เรียกได้แข็งแกร่งมีชื่อเสียง วิชาที่แข็งแกร่ง ส่วนใหญ่เอากลับมาจากที่ไม่สามารถแบ่งแยกได้ชัดเจน ตำนานบอกว่าที่นั่นเป็นที่ฝั่งกระดูกของเหล่าเทพ เป็นที่กำเนิดมนุษย์ แดนสุขาวดีสุดท้ายของโลก”

ลู่ฝานฟังจนอินตาม บนโลกนี้ยังมีสถานที่ดีแบบนี้ด้วยเหรอ

“แล้วที่ไม่สามารถแบ่งแยกได้ชัดเจนอยู่ที่ไหน”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรส่ายหน้า “ไม่รู้ มันจะออกมาเป็นระยะ แต่สถานที่ที่ปรากฏแตกต่างกันทุกครั้ง จะหามันเจอต้องพึ่งดวง”

ลู่ฝานตอบรับอย่างสิ้นหวัง รู้สึกว่าต้องดวงดีมาก

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดต่อ “เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ เจ้านายอย่าเสียกำลังใจ ฉันสัมผัสได้ว่าที่นี่มีกลิ่นอายของที่ไม่สามารถแบ่งแยกได้ชัดเจนอยู่นิดหน่อย ถ้าที่นี่ไม่ได้มีของที่มาจากที่นั่น ก็คงมีแหล่งพลังที่เหมือนกับที่นั่น ยังไงก็เป็นเรื่องดี เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ต้องหาดูอย่างละเอียด”

ลู่ฝานพยักหน้า “ยังไงเพียงชั่วครู่ชั่วยามก็ออกไปไม่ได้ งั้นหาดูอย่างละเอียดเถอะ”

ลู่ฝานลอยบนผิวน้ำ พละกำลังของในตอนนี้ แม้จะสู้กลางอากาศเหมือนนักบู๊แดนปราณฟ้าไม่ได้ แต่ใช้ห้าธาตุกลายเป็นสายลมของผู้ฝึกชี่ เพื่อลอยกลางอากาศ ก็ไม่เป็นปัญหา แค่เหาะไปเรื่อยๆ ความเร็วจะลดลงนิดหน่อย แต่ยังดีที่ตอนนี้ลู่ฝานไม่ได้รีบร้อน

เหาะมาได้พักหนึ่ง ลู่ฝานเห็นบนผิวน้ำ มีหินโสโครกสีดำมากมาย

หินโสโครกทรงกลมแต่ละก้อน มุมและขอบโดนสายน้ำซัด ดูแวววาวมาก

ดูไม่ออกว่าหินพวกนี้มาจากอะไร ลู่ฝานลองเหยียบก้อนหนึ่ง รู้สึกถึงพลังประหลาดแผ่ออกมาจากหินโสโครก เหมือนจะมัดเขาไว้บนหิน เหมือนปราณชี่ในตัวถูกผนึกเอาไว้อย่างรวดเร็ว

ลู่ฝานรีบดึงเท้ากลับมาทันที

“หินประหลาดมาก หินผนึกกำลังเหรอ”

ลู่ฝานมองมันอย่างอึ้งๆ แล้วเอ่ยขึ้น

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดว่า “ดูคล้ายนะ แต่น่าจะไม่ใช่ ไม่แน่อาจลึกลับกว่าหินผนึกกำลัง เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ เอาไปศึกษาสักสองสามก้อนไหม”

ลู่ฝานส่ายหน้าเบาๆ “เรื่องนี้ค่อยว่ากัน”

ลู่ฝานเหาะไปข้างหน้าต่อ จู่ๆ มีเงาคนปรากฏเข้ามาในสายตา

ในที่สุดก็เห็นคนสักที ลู่ฝานตื่นเต้นเล็กน้อย

“ทางนั้นมีคน!”

ลู่ฝานรีบเหาะไป ในตอนนี้มีคนเปลือยท่อนบน ดำไปทั้งตัว นั่งอยู่บนหินโสโครก มองลู่ฝานที่รีบเข้ามาด้วยสายตาประหลาด

“คนใหม่มาอีกแล้ว!”

“คนน่าสงสารอีกแล้ว!”

“ไม่รู้เนื้อเขาอร่อยไหม!”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 828
เหวลึกจนมองไม่เห็นด้านล่าง

โลกมืดมิดไร้แสง ร่วงลงมาด้านล่างเรื่อยๆ เหมือนไม่มีปลายทาง

เหมือนความเงียบและมืดคือทุกอย่างของที่นี่

มีเพียงเสียงลมพัดข้างหูที่เตือนลู่ฝานว่าเขาร่วงลงมาเร็วขึ้นเรื่อยๆ

ไม่ได้การแล้ว ขืนเป็นอย่างนี้ต่อไป อีกเดี๋ยวเขาคงตกลงไปจนแบน

ทันใดนั้น ลู่ฝานเคลื่อนไหวปราณชี่ เกิดสายลมขึ้นใต้เท้า

ทันใดนั้นลู่ฝานเริ่มตกลงไปช้าลง การตกลงไปแบบนี้ นักบู๊มีโอกาสตกลงไปอยู่บ้าง แต่ผู้ฝึกชี่ไม่น่าจะมีโอกาสตกลงไปตายได้

ลู่ฝานควบคุมความเร็วการตกลงไปของตัวเอง ร่วงลงไปข้างล่างอย่างมั่นคง ขณะเดียวกันก็สัมผัสถึงพลังฟ้าดินรอบๆ มองโลกรอบๆ ว่าเป็นอย่างไรผ่านพลังฟ้าดิน

ที่นี่ใช้สายตาไม่ค่อยได้เท่าไร

แม้เป็นคนที่มีความสามารถในการมองเห็นตอนกลางคืน ในตอนนี้ระยะการมองเห็นของตัวเองจะลดลงอย่างมากเช่นกัน

จากสายตาของลู่ฝานในตอนนี้ เห็นเพียงตัวเองที่ส่องสว่าง และความว่างเปล่ารอบๆ

เป็นความว่างเปล่าจริงๆ พลังฟ้าดินที่แผ่ออกไป ก็ไม่โดนขัดขวางเลย แผ่ขยายไปในเขตรัศมีหลายลี้ ไม่สัมผัสถึงอะไรสักอย่างเหมือนเดิม

ที่นี่ต้องไม่ใช่ด้านในหุบเขา เหมือนพื้นที่ว่างเปล่าอีกแห่งหนึ่ง

ลู่ฝานยังคิดเล็กคิดน้อยอยู่ในใจ เขาแคร์คำพูดที่ท่านผอ.พูดกับเขา

คุกใต้ดินแห่งนี้เก่าแก่กว่าสถาบันสอนวิชาบู๊ ท่านผอ.ยังพูดกับเขาว่าที่นี่มีโอกาส ลู่ฝานแอบเดาว่าที่นี่เป็นจวนของยอดฝีมือคนใดคนหนึ่งหรือไม่

แค่ถูกนำมาเป็นคุกใต้ดิน หลังจากที่ผุพัง

ในหัวมีความคิดมากมาย จู่ๆ ลู่ฝานพบว่าใต้เท้าเริ่มมีแสงสว่าง

แม้เพียงเล็กน้อยเหมือนหิ่งห้อย แต่เห็นแสงในโลกแห่งความว่างเปล่าแบบนี้ เป็นเรื่องที่ทำให้ตื่นเต้นแล้ว

ลู่ฝานเร่งความเร็วในการตกลงไป ให้เร็วขึ้นนิดหน่อย เมื่อใกล้ขึ้นเรื่อยๆ แสงดูสว่างขึ้นอย่างชัดเจน

ในที่สุด ลู่ฝานเห็นที่มาของแสงแล้ว นั่นเป็นหญ้าเรืองแสงที่ปลิวไปมาตามลม มีแสงบางส่วนปล่อยออกมา

ลู่ฝานตกลงมาบนหญ้าเรืองแสง

จ๋อม!

เสียงดังขึ้นมาเบาๆ ลู่ฝานมองลงไปล่างเท้าตัวเอง พบว่าปลายเท้าตัวเองสัมผัสกับผิวน้ำ

แม้ที่นี่เป็นน้ำสีดำขลับทั้งแถบ และหญ้าเรืองแสงพวกนี้ เป็นหญ้าน้ำที่เติบโตในน้ำ

น้ำกระเพื่อมออกไป ทำให้ลู่ฝานเห็นความกว้างใหญ่ของเขตน้ำ มันกว้างจนสุดลูกหูลูกตาเขา

วิธีที่ดีที่สุดสำหรับสิ่งที่ไม่เข้าใจ คือการลองเชิง ลู่ฝานไม่ได้หลับหูหลับตาเหยียบลงไปในน้ำทันที แต่เขาใช้พลังฟ้าดินแตะผืนน้ำแห่งนี้

“ดีมาก อยู่ภายใต้การควบคุมของพลังฟ้าดิน”

ลู่ฝานทำให้น้ำพุ่งขึ้นมาบนผิวน้ำ สัมผัสดูว่าน้ำสีดำมีอะไรแตกต่างกับน้ำข้างนอก

“เย็น มีความกัดกร่อน มีพิษ!”

ลู่ฝานเข้าใจเกี่ยวกับน้ำนี่แล้ว เขารู้สึกโชคดีที่ตัวเองไม่เหยียบลงไปในน้ำทันที

แม้พิษในน้ำไม่ได้รุนแรง แต่ถ้าแช่เข้าไป จะค่อยๆ กัดกร่อนคนจนไม่เหลือซาก ตอนนี้แม้แต่เจดีย์เสวียนเก้ามังกรก็โผล่ออกมาพูดว่า “เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ ที่นี่คือที่ไหน ทำไมฉันสัมผัสได้ว่าพิษที่อยู่ในน้ำสีดำ เป็นพิษที่ฉันไม่เคยเห็น”

ลู่ฝานเอาขวดเล็กๆ ออกมาใส่น้ำส่วนหนึ่งเข้าไป แล้วเก็บหญ้าเรืองแสงบางส่วน

ขณะเดียวกันก็พูดในใจว่า “แกยังไม่เคยเห็น งั้นที่นี่คงไม่ธรรมดาจริงๆ สัมผัสถึงค่ายกลที่นี่ไหม”

ลู่ฝานประเมินระดับความหมายของคำนี้ ความคิดไม่ดีอย่างมากผุดขึ้นในใจ

ท่านผอ.เป็นยอดฝีมือแดนเซียนบู๊อย่างแท้จริง สามารถทำให้เขารู้สึกโดนคุกคามได้ มีเพียงความเป็นไปได้เดียว ซิงยวนเข้าสู่แดนเซียนบู๊แล้วเหมือนกัน

มีเพียงสิ่งนี้ ร่างแยกของท่านผอ.จึงไม่สามารถควบคุมได้ จึงไม่กล้าควบคุม

เพราะถ้าควบคุมไม่ได้ ทั้งสถาบันสอนวิชาบู๊จะต้องแบกรับความโกรธของผู้แข็งแกร่งระดับเซียนบู๊ นี่เป็นเรื่องที่ท่านผอ.ไม่อยากเห็นที่สุด

จู่ๆ ลู่ฝานเข้าใจความคิดของท่านผอ.แล้ว

ขังเขาไว้ในคุกใต้ดิน เป็นวิธีคุ้มครองเขาอย่างหนึ่งจริงๆ

ถ้าซิงยวนเข้าสู่แดนเซียนบู๊จริงๆ จะเก็บตัวอย่างว่าง่ายเหรอ เมื่อออกมาต้องฆ่าเขาแน่นอน

เหตุผลเหรอ ง่ายดายมาก ก็เพื่อแก้แค้นให้ศิษย์รักของตัวเอง เหตุผลนี้ยังไม่เพียงพอเหรอ

สีหน้าลู่ฝานเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก ส่วนฝีเท้าของท่านผอ.เริ่มเบาไม่มั่นคง

ลู่ฝานที่เดินมากับท่านผอ. มองภาพรอบๆ เปลี่ยนไปอย่างประหลาด ก้าวก่อนหน้านี้ยังอยู่ในโถงหลัก ก้าวต่อมากลับมาอยู่ในป่า พอก้าวต่อไปอีกกลับอยู่บนเมฆ

เดินประมาณครึ่งก้านธูป จู่ๆ ท่านผอ.ชะงักฝีเท้าลง

มีหุบเขาดำขลับปรากฏอยู่ด้านหน้า ด้านในมืดไม่เห็นแสงสว่าง มีกลิ่นแปลกๆ ลอยออกมา

“ที่นี่แหละ ลู่ฝาน ฉันไม่ได้ใช้วิชาส่งนายเข้าไปทันที เพราะต้องการให้นายเห็นชัดเจนว่าเรามายังไง รอวันที่นายออกมา สามารถเดินกลับไปได้”

ลู่ฝานพูดอย่างตกใจ “อะไรนะครับ ผมจะเห็นชัดเจนได้ยังไง ผมไม่เห็นอะไรเลย!”

ท่านผอ.หัวเราะคิกคัก แววตามีประกายเจ้าเล่ห์

“นั่นมันเรื่องของนาย เข้าไปสิ นายเอาที่นี่เป็นสถานที่ฝึกฝนได้ แค่นายออกจากคุกใต้ดินได้ นายจะรู้สึกว่าพละกำลังของตัวเองยกระดับขึ้นมากแน่นอน เชื่อฉันสิ ฉันจะบอกประวัติคุกใต้ดินแห่งนี้ให้ อันที่จริงเก่ากว่าสถาบันสอนวิชาบู๊อีก ด้านในมีของเยอะ ฉันไม่รู้เรื่อง ถ้านายทำความเข้าใจได้ ก็ถือเป็นโอกาส”

ท่านผอ.พูดพลางจะหันหลังกลับ

ลู่ฝานพูดว่า “ถ้าเพียงชั่วครู่ชั่วยามผมออกมาไม่ได้ล่ะครับ”

ท่านผอ.ยิ้มแล้วพูดว่า “ออกมาไม่ได้แล้วจะพูดอะไรได้อีก ก็อยู่ในนั้นต่อสิ อยู่จนกว่านายจะออกมาได้”

ลู่ฝานพูดด้วยสีหน้าอึมครึม “แต่ฤดูใบไม้ผลิปีหน้า ผมต้องไปเมืองหลวง”

ท่านผอ.สีหน้าเข้าใจแจ่มแจ้ง

“อ๋อ ฉันเกือบลืมไปเลย ยังมีเรื่องนี้ด้วย”

ท่านผอ.ลูบหนวดครุ่นคิด ขณะที่ลู่ฝานคิดว่าเขาจะอำนวยความสะดวกให้

ท่านผอ.ยิ้มแล้วพูดว่า “อืม เดินทางจากที่นี่ไปเมืองหลวง เร็วสุดก็ต้องใช้เวลา 1-2 เดือน นั่นหมายความว่า ทางที่ดีนายต้องออกมาก่อนเทศกาลเซ่นไหว้ประจำปีในปีหน้า ไม่งั้นจะไม่ทันกาล”

ลู่ฝานพูดเสียงดังว่า “แค่นี้เหรอ”

ท่านผอ.พูดว่า “ใช่ แค่นี้ นายยังมีตรงไหนไม่เข้าใจไหม อ้อ ใช่สิ ในคุกใต้ดินมีกระจกจำภาพด้วยนะ สามารถมองเห็นสถานการณ์และเวลาข้างนอก นายไม่ต้องกลัวว่าเมื่อถึงตอนนั้นจะลืม ฉันจะแจ้งนายเอง”

ลู่ฝานพูดว่า “แต่ถ้าผมออกมาไม่ได้จริงๆ ล่ะ”

ท่านผอ.ยิ้มแล้วพูดว่า “นั่นเป็นเรื่องของนาย เพราะคนที่ไปเมืองหลวงไม่ใช่ฉัน ถูกต้องไหม”

ลู่ฝานพูดอะไรไม่ออก เจอท่านผอ.แบบนี้ ไม่มีวิธีไหนเลยสักนิด

ท่านผอ.พูดทิ้งท้ายว่า “การฝึกฝนก็แบบนี้แหละ ไม่พนันด้วยชีวิตจะพัฒนาได้อย่างไร ไปเถอะ!”

ท่านผอ.สะบัดมือ สายลมแรงพัดลู่ฝานเข้าไปในหุบเขาทันที

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 826
ลู่ฝานอ้าปากค้างมองท่านผอ. ทำไมฟังดูแปลกๆ นิดหน่อย

“หมุนตัวเหรอครับ”

ลู่ฝานตั้งใจถามอีกครั้ง

ท่านผอ.เพิ่งนึกได้ว่าตัวเองพูดไม่ค่อยดีเท่าไร จึงหัวเราะแล้วพูดว่า “อย่าเข้าใจผิด ฉันแค่อยากเห็นวิทยายุทธของนายในตอนนี้ ถ้านายไม่หมุนก็ไม่เป็นไร” พูดพลาง ท่านผอ.เป็นคนเดินวนรอบตัวลู่ฝานเอง

“ดีมาก ดีมาก กระดูกมีความประหลาด วิทยายุทธยกระดับรวดเร็ว ฉันดูออกว่านายกินยาเม็ดเยอะมาก นายมีเพื่อนเป็นผู้ฝึกชี่เหรอ”

ท่านผอ.ยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น

ลู่ฝานคิดแล้วพูดว่า “ผมได้จวนของผู้ฝึกชี่มาแห่งหนึ่ง”

เหมือนท่านผอ.นึกอะไรออก พูดอย่างเข้าใจว่า “นี่ถูกต้องแล้ว ในจวนของผู้ฝึกชี่มียาเยอะอยู่แล้ว เพียงพอที่จะทำให้นักบู๊เติบโตอย่างรวดเร็ว แต่แดนของนายมั่นคงมาก ดูเหมือนเข่นฆ่าไม่น้อยเหมือนกัน ฉันอยากรู้มากว่านายผ่านการสอบผู้ตรวจการชั้นกลางได้ยังไง”

ลู่ฝานพูดว่า “แค่โชคดีครับ ให้ผมทำอีกรอบ ผมก็ไม่มั่นใจว่าจะผ่าน”

ท่านผอ.ลูบหนวดแล้วพูดว่า “โชคก็คือส่วนหนึ่งของพละกำลัง ดูเหมือนพละกำลังของนายครอบคลุมทุกด้าน ตามฉันมา!”

ท่านผอ.หันหลังเดินไปด้านนอก ลู่ฝานรีบเดินตามหลัง

“ลู่ฝาน นายรู้ไหมว่าทำไมฉันต้องขังนายในคุกใต้ดิน”

ท่านผอ.เดินพลางถามขึ้นมา

ลู่ฝานคิดแล้วพูดว่า “เพราะผมฆ่าคนสถาบันเดียวกัน ถ้าไม่ทำโทษ ทุกคนคงไม่ยอม”

ท่านผอ.พูดว่า “นี่แค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น อีกทั้งยังเป็นส่วนที่เล็กมาก สิ่งที่ฉันคำนึงหลักๆ ไม่ใช่เรื่องพวกนี้”

ลู่ฝานขมวดคิ้วพูดว่า “งั้นผมคิดไม่ออกแล้วว่าจะมีเหตุผลอะไรอีก”

ท่านผอ.มองลู่ฝานแล้วพูดว่า “ดูเหมือนนายก็มีปัญหากับฉันนะ ทำไมไม่คิดในด้านดีๆ ล่ะ บอกฉันได้ไหมว่านายมีปัญหากับฉันตรงไหน”

ลู่ฝานเงียบไม่พูดอะไร

ท่านผอ.ครุ่นคิดอย่างละเอียด จู่ๆ เหมือนนึกสาเหตุอะไรได้ “เพราะซิงยวนใช่ไหม นายกำลังโทษฉันว่าทำไมถึงลงโทษแค่ขังเขาใช่ไหม”

ลู่ฝานพูดอย่างไม่ปิดบัง “ใช่ครับ คนอย่างเขาควรเข้าคุกใต้ดิน”

ท่านผอ.ถอนหายใจแล้วพูดว่า “เพราะเขาเป็นอาจารย์คณะหยินหยาง อีกทั้งยังเป็นผู้แข็งแกร่งแดนปราณฟ้าด้วย”

ลู่ฝานหันมามองท่านผอ. “ท่านผอ.กลัวเหรอ”

ท่านผอ.พยักหน้า “นายพูดถูกแล้ว ฉันกลัวจริงๆ ฉันรู้ว่าเขานิสัยไม่ดี และรู้ว่าเขาจะทำตามเป้าหมายให้สำเร็จ โดยไม่สนใจว่าต้องใช้วิธีใด อีกทั้งยังรู้ว่าเขาทำเรื่องมากมาย ที่คนเป็นอาจารย์ไม่ควรทำ แต่ฉันลงโทษเขารุนแรงไม่ได้ ลู่ฝาน นายอาจไม่รู้ ก่อนหน้าที่นายยังไม่เข้าสถาบันสอนวิชาบู๊ ฉันคิดจะให้เขารับช่วงต่อเป็นผอ.”

ลู่ฝานอึ้งไป ท่านผอ.ยิ้มเศร้าแล้วพูดว่า “ตกใจมากใช่ไหม ช่วยไม่ได้ ฉันเป็นผอ.ตลอดไปไม่ได้ ฉันเป็นคนของตระกูลเทียน อืม เรื่องนี้รอให้นายถึงเมืองหลวง นายจะเข้าใจ เรื่องของซิงยวน ฉันทำได้แค่พูด ลู่ฝานถ้านายมีความสามารถ นายก็ไปจัดการเองเถอะ”

ท่านผอ.เงียบไปแล้วพูดต่อ “ฉันจะพูดอีกว่าอันที่จริงให้นายเข้าคุกใต้ดิน เป็นอีกวิธีให้นายหลบซ่อน นายอาจไม่รู้พละกำลังของซิงยวนในตอนนี้ ใกล้อยู่ในจุดที่ทั้งสถาบันสอนวิชาบู๊เทียบไม่ได้แล้ว ฉันก็ใกล้จะควบคุมเขาไม่ได้แล้ว”

สีหน้าท่านผอ.จนปัญญามาก จู่ๆ ลู่ฝานนึกอะไรออก ตอนนี้ท่านผอ.ที่อยู่ในสถาบันสอนวิชาบู๊ เป็นแค่ร่างแยกไม่ใช่เหรอ

“ควบคุมไม่ได้เหรอครับ”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 825
ท่านผอ.เทียนหยาจื่อละสายตาออกมา การที่เขาถามแบบนี้ เพราะอยากถามท่าทีของพวกอาจารย์เท่านั้น เขามีความคิดในใจอยู่แล้ว

ท่านผอ.เทียนหยาจื่อเงยหน้ามองลู่ฝานแล้วพูดว่า “ลู่ฝาน ในการประลองต่อสู้ แม้กระบี่และดาบพูดไม่ได้ ไม่สนใจความเป็นตาย แต่ในสถาบันมีกฎห้ามฆ่าเพื่อนร่วมสถาบันมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว คิดว่านายคงรู้”

ลู่ฝานพยักหน้าเบาๆ

“ที่แท้เป็นแบบนี้นี่เอง จะทำลายกฎไม่ได้ ฉันลงโทษให้นายเข้าไปสำนึกผิดในคุกใต้ดิน คิดได้เมื่อไร ค่อยออกมาตอนนั้น นายจะทำตามไหม”

ลู่ฝานยังไม่ทันพูดอะไร หานเฟิงตะโกนขึ้นมาว่า “นี่ไม่ยุติธรรมนะครับท่านผอ.”

ท่านผอ.ยกมือขึ้นมา แล้วพูดว่า “เดิมทีโลกนี้ก็ไม่มีความยุติธรรมอยู่แล้ว หานเฟิง นายกลับคณะไปก่อน”

หานเฟิงพูดเสียงดังว่า “ลู่ฝานไม่ได้ทำผิดร้ายแรง ทำไมต้องเข้าคุกใต้ดินด้วย ถ้าจะลงโทษ ก็ควรเป็นแค่เก็บตัวที่เขาอี้ว์หลิงร้อยวัน”

ท่านผอ.ส่ายหน้า “ฉันไม่เถียงกับนายแล้ว ลู่ฝานนายบอกมาว่าจะไปคุกใต้ดินไหม”

ลู่ฝานดึงศิษย์พี่หานเฟิงแล้วส่ายหน้าเบาๆ

หลังจากนั้นพูดเสียงก้องว่า “ผมไปครับ”

ประโยคเดียว ทำให้นักเรียนทุกคนฮือฮา ในคณะหยินหยาง แม้นักเรียนจำนวนมากสีหน้าโมโห แต่ในสายตาของบางคนมีความสะใจฉายออกมา

“ถ้าเป็นเช่นนี้ งั้นคนอื่นก็แยกย้ายได้แล้ว เซินถู นักเรียนคณะหยินหยาง พวกนายช่วยจัดการเรื่องของเอี๋ยนชิงด้วย ลู่ฝานตามฉันมา!”

เมื่อสะบัดมือ แสงหนึ่งหล่นลงบนตัวลู่ฝาน ต่อมาลู่ฝานรู้สึกว่าตัวเองเข้ามาในพื้นที่ว่างเปล่าที่แตกร้าว ทุกสิ่งรอบๆ กำลังเปลี่ยนแปลง

ใช้ปราณชี่ปกคลุมตัวเองอย่างแน่นหนา ไม่ให้ความวุ่นวายในพื้นที่ว่างเปล่าโดนร่างกายตัวเอง ภาพด้านหน้ากะพริบอีกครั้ง ลู่ฝานพบว่าตัวเองมายังโถงใหญ่แห่งหนึ่ง

สถานที่นี้คุ้นตามาก ลู่ฝานมองไม่กี่ทีก็จำได้ นี่เป็นโถงหลักของสถาบันสอนวิชาบู๊ เขาเหาะมาถึงที่นี่แล้ว

ด้านหน้ามีคนยืนอยู่สองคน คนหนึ่งคือท่านผอ.เทียนหยาจื่อ ส่วนอีกคนคือผู้อาวุโสแต่งตัวธรรมดา แต่กลับดูมีพลังไม่ธรรมดา

ท่านผอ.พูดว่า “ลู่ฝานมาพบท่านหม่าสิ!”

ลู่ฝานคารวะ ท่านหม่ายิ้มแล้วโบกมือไปมา “ไม่กล้าให้ผู้ตรวจการลู่ทำความเคารพผมหรอก ผู้ตรวจการลู่ ผมเป็นตัวแทนราชสำนักมาที่นี่ เพื่อบอกเรื่องหนึ่งกับคุณ”

ลู่ฝานพูดอย่างสงสัย “เรื่องอะไรครับ”

ท่านหม่าเอาม้วนกระดาษออกมาจากแขนเสื้อ ส่งให้ลู่ฝานแล้วพูดว่า “ฝ่าบาทมีคำสั่ง ฤดูใบไม้ผลิปีหน้า ผู้ตรวจการลู่ต้องเข้าเมืองหลวงเพื่อพบฝ่าบาท”

ลู่ฝานรับม้วนกระดาษมา ม้วนกระดาษกลายเป็นแสงหายไปในตัวเขา ต่อมาลู่ฝานรู้สึกว่ามีพลังอบอุ่น แทรกซึมเข้าไปในตันเถียนเขา

ท่านหม่ายิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ต้องตกใจ นี่คือลายคำสั่งของราชสำนัก ผู้ตรวจการลู่แค่ไปเมืองหลวงตามเวลาก็พอ”

ลู่ฝานพูดว่า “แล้วถ้าไม่ไปล่ะครับ”

ท่านหม่าอึ้งไป จากนั้นหัวเราะแล้วพูดว่า “งั้นนายก็ซวยมาก”

ลู่ฝานอ้าปากค้าง นี่คือสไตล์ของราชสำนัก เรียกให้มาก็ต้องมา ไม่อยากมาก็ต้องมา

พูดจบ ท่านหม่ายิ้มแล้วพูดว่า “โอเค เรื่องฉันเรียบร้อยแล้ว ผู้ตรวจการลู่ ท่านผอ.เทียนหยาจื่อ ผมขอตัวก่อน”

ท่านหม่ากลายเป็นสายลมออกไป หายไปจากสายตาลู่ฝานอย่างรวดเร็ว

ท่านผอ.อมยิ้มมองลู่ฝาน มองจนลู่ฝานขนลุกเล็กน้อย

“ท่านผอ.บอกว่าจะขังผมในคุกใต้ดินไม่ใช่เหรอครับ”

ลู่ฝานถามขึ้นเบาๆ

ท่านผอ.ส่ายหน้า “ไม่รีบ ลู่ฝาน ให้ฉันดูนายดีๆ หน่อย นายหมุนไปมาให้ฉันดูหน่อยสิ”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 824
สิ้นลมหายใจ ครั้งนี้เอี๋ยนชิงตายจริงๆ แล้ว

การกระทำของลู่ฝานง่ายและมุทะลุ เลือดที่พุ่งกระจายออกมา ทำให้นักเรียนจำนวนมากที่ไม่เคยฆ่าคน เป็นลมล้มลงกับพื้น อีกทั้งยังมีบางคนคลื่นไส้ไม่หยุด

“เขาฆ่าศิษย์พี่เอี๋ยนชิง!”

“ฆ่าคน ลู่ฝานฆ่าคนแล้ว!”

กลุ่มนักเรียนคณะหยินหยางตะโกนออกมา ชี้ไปทางลู่ฝาน พวกเขาสั่นไม่หยุด

ลู่ฝานทำเพียงมองพวกเขาอย่างราบเรียบ การฆ่าเอี๋ยนชิงตาย เขาทำสิ่งที่ตัวเองจะทำสำเร็จแล้ว

ส่วนผลที่เหลือเป็นยังไง เขาจะรับมันไว้อย่างใจเย็น

เขาเชื่อว่าการสู้แบบเท่าเทียม การต่อสู้ต่อหน้าทุกคนเช่นนี้ ท่านผอ.คงไม่ทำอะไรเขา

เหตุผลง่ายดายมาก ถ้าท่านผอ.จะขัดขวางเขา เขาคงไม่ฆ่าเอี๋ยนชิงได้ง่ายขนาดนี้

เสียงตะโกนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นักเรียนคณะอื่น เริ่มพูดคุยถึงลู่ฝาน

สำหรับคนส่วนใหญ่ พวกเขาไม่รู้ความแค้นระหว่างลู่ฝานกับเอี๋ยนชิง และไม่รู้ว่าในคณะหนึ่งเดียว ศิษย์พี่ใหญ่อู๋เหวยเกือบตายเพราะโดนพิษ

ยิ่งไม่รู้ว่าอาจารย์ซิงยวนคณะหยินหยาง จะฆ่าลู่ฝานไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง อีกทั้งให้คนไปฆ่าคนในตระกูลลู่ฝานโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น

พวกเขาตะโกนว่าลู่ฝานเป็นฆาตกรฆ่านักเรียนสถาบันเดียวกัน ศิษย์พี่หานเฟิงวิ่งออกมา ตะโกนเสียงดังว่า “โวยวายอะไรกัน สมควรฆ่าเอี๋ยนชิงแล้ว”

“คณะหนึ่งเดียวมีแต่คนชั่วแบบนี้เหรอ”

“ทำไมสมควรฆ่าคนคณะหยินหยางของเรา คณะหนึ่งเดียวมีสิทธิ์อะไรมาตัดสินความเป็นความตายของคนอื่น”

“ศิษย์พี่เอี๋ยนชิงไม่ได้มีสัญญาเป็นตายกับลู่ฝาน การต่อสู้ครั้งนี้ ลู่ฝานคณะหนึ่งเดียวใจมีความแค้น ลงมือโหดเหี้ยม เอาชีวิตคนอื่น คนโหดเหี้ยม ชั่วร้าย เอาชีวิตคนอื่นแบบนี้ ต้องไล่ออกจากสถาบันสอนวิชาบู๊!”

กลุ่มคนพากันตะโกน

คนพวกนี้ส่วนใหญ่เป็นนักเรียนคณะหยินหยาง บางส่วนเป็นนักเรียนคณะอื่น

ลู่ฝานกวาดตามองคนพวกนี้ เห็นความอิจฉาและหวาดกลัวในแววตาของพวกเขา

ผู้แข็งแกร่งเจอความเกลียดชังจากคนอื่น หลักการนี้ไม่ผิดจริงๆ

เมื่อพวกเขาสบตากับลู่ฝาน ก็รีบหลบหน้าเข้าไปในกลุ่มคนทันที เหมือนกลัวลู่ฝานเห็นหน้าพวกเขาชัดๆ

ลู่ฝานไม่ได้สนใจจดจำพวกเขา สิงโตจะกลัวเสียงเห่าของสุนัขไปทำไม

สุดท้ายเขามองท่านผอ. แล้วพูดว่า “เชิญท่านผอ.ตัดสินได้เลยครับ วันนี้การกระทำของผมเกินไปหรือเปล่า”

แววตาลู่ฝานแน่วแน่มั่นคง ไม่เหมือนคนที่เพิ่งฆ่าคน ขนาดลมหายใจยังสม่ำเสมอ

เสียงทุกคนเงียบลง เหมือนพวกเขาเพิ่งคิดได้ว่าเสียงตะโกนของพวกเขาไม่มีความหมายอะไรเลย ท่านผอ.อยู่ที่นี่ ทุกอย่างต้องฟังคำตัดสินของท่านผอ.

ท่านผอ.เทียนหยาจื่อเงียบไม่พูดอะไร ทำแค่ลูบหนวดเบาๆ

ท่านหม่าที่อยู่ข้างๆ ยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านผอ.เทียนหยาจื่อ ฉันไม่พูดเรื่องอื่นแล้ว อย่าลืมบอกลู่ฝานให้ไปเมืองหลวงตอนฤดูใบไม้ผลิด้วย”

ท่านผอ.เทียนหยาจื่อพยักหน้าเบาๆ จากนั้นหันไปพูดกับพวกอาจารย์ “ทุกคนคิดยังไง”

อาจารย์เซินถูพูดออกมาเป็นคนแรก “ในการต่อสู้กระบี่และดาบไม่มีตา เมื่อสู้อย่างดุเดือด การตายเป็นเรื่องปกติมาก ยิ่งไปกว่านั้นยังมีความแค้นเก่า โจ่งแจ้งซื่อตรง เอาชนะด้วยพละกำลัง ไม่เหมาะสมตรงไหน ประเทศอู่อานใช้บู๊สร้างประเทศ กลัวตายจะฝึกบู๊ทำไม จะประลองบู๊ไปทำไม”

คำพูดของอาจารย์เซินถู ทำให้นักเรียนจำนวนมากก้มหน้าลง

อาจารย์เมิ่งอวิ๋นพูดต่อ “สถาบันไม่เหมือนข้างนอก ฉันว่าควรทำโทษ”

อาจารย์อู๋โฉวพูดว่า “จะทำโทษหรือไม่ทำก็ได้ แต่ถ้าทำโทษ ต้องเป็นโทษเบา”

อาจารย์ฮั่วซานเงียบแล้วพูดว่า “ทำโทษ”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 823
คนมีความสามารถระดับนี้ ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด ต่อไปต้องเป็นผู้แข็งแกร่ง ทำความรู้จักเขาก่อนจะมีอำนาจ ต่อไปจะสะดวกมากขึ้น

คนรอบๆ ไม่มีใครรู้ความคิดในใจท่านหม่า สิ่งที่ทุกคนสนใจคือ ลู่ฝานต่อยเอี๋ยนชิงด้วยหมัดเดียวจนตายหรือเปล่า

ฝุ่นหายไป ลู่ฝานเหวี่ยงหมัดไปในหลุมโดยไม่มองสักนิด

หมัดมังกรเพลิงคำราม!

มังกรยักษ์เพลิงคำรามออกมาจากแขนเขา กระแทกลงในหลุมอย่างแรง

ทันใดนั้น หลุมลึกลงไปอีกหนึ่งเท่า

เปลวเพลิงหายไป ลู่ฝานมองลงไปในหลุมอีกครั้ง เห็นมือไร้เรี่ยวแรงข้างหนึ่งวางราบอยู่ท่ามกลางกองหิน

ตายหรือยัง

ลู่ฝานไม่แน่ใจ และการรับมือกับเรื่องไม่แน่ใจแบบนี้ วิธีที่ดีที่สุดคือซัดหมัดลงไปอีกสองสามหมัด

ขณะที่ลู่ฝานกำลังจะซัดหมัดต่อ ไม่รู้ว่าเถาวัลย์โลหิตโผล่มาจากพื้นตั้งแต่เมื่อไร

“ผนึก! กักขัง! ฆ่า!”

ท่ามกลางเศษหิน เอี๋ยนชิงเด้งตัวขึ้นมา เนื้อตัวเต็มไปด้วยเลือด แต่ท่าทางบ้าคลั่งเป็นอย่างมาก

ลู่ฝานมองเขาอย่างราบเรียบแล้วพูดว่า “เลือดลมผกผัน ถึงฉันไม่ฆ่านาย นายก็ไม่รอด”

เอี๋ยนชิงพูดว่า “นายจะไม่ฆ่าฉันเหรอ”

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่มีทาง”

เอี๋ยนชิงพูดต่อ “งั้นทำไมฉันจะไม่สู้สุดชีวิตล่ะ บางทีอาจลากนายตายไปด้วยกันได้”

ลู่ฝานพยักหน้าพูดว่า “มีเหตุผล”

ท่านผอ.เทียนหยาจื่อที่ดูอยู่ไม่ไกลถอนหายใจยาว

“เฮ้อ เขาข้ามความลำบากนี้ไปไม่ได้ ถ้าเลือดลมเขาไม่ผกผัน ผมจะยื่นมือไปช่วยเขา”

ท่านหม่าพูดว่า “ผลกรรมชั่วของตัวเอง ไม่มีทางรอด ในเมื่อเขาร้องขอความตาย นั่นคงเป็นโชคชะตา น่าเสียดายพรสวรรค์ดีๆ แบบนี้”

เอี๋ยนชิงไม่ได้ยินคำพูดของทั้งสองคนแล้ว ไม่งั้นเขาคงไม่ทำเรื่องบ้าๆ แบบนี้

เลือดลมผกผัน เส้นลมปราณขาด พังทลายทั้งตัว อยู่ในสภาวะฟื้นคืนสติอย่างกะทันหันโจมตีครั้งสุดท้าย เอี๋ยนชิงก็ต่อสู้ครั้งสุดท้าย

เถาวัลย์โลหิตมีเลือดไหลออกมาเป็นกอง เถาวัลย์กลายเป็นแสงสีทองอย่างรวดเร็ว

“ทองไม้สังหาร สายฟ้าห้าธาตุ ความเป็นความตายวนเวียน!”

เอี๋ยนชิงแผดเสียงออกมา พลังปราณบนตัวไหลออกมาด้านนอก เลือดไหลออกมาเร็วขึ้น

แต่ขณะนั้น จู่ๆ ดวงตาของลู่ฝานเป็นประกาย

วิชาชิงวิญญาณ!

ดวงตาสองคู่ปะทะกัน แววตาลู่ฝานเป็นประกาย ทันใดนั้นเอี๋ยนชิงแข็งไปทั้งตัว เถาวัลย์โลหิตเริ่มคลายตัวออก

ลู่ฝานเดินออกมาจากเถาวัลย์โลหิตช้าๆ หลังจากนั้นสะบัดมือเบาๆ ใส่ปราณชี่เข้าไปข้างใน เถาวัลย์โลหิตทั้งหมดสลายไปเหมือนภาพลวงตา กลายเป็นแสงเล็กๆ

ลู่ฝานเดินมาหน้าเอี๋ยนชิง มองเอี๋ยนชิงแข็งทื่อ และร่างกายเริ่มพังทลาย ลู่ฝานพูดเบาๆ ว่า “นายไม่ควรว่าศิษย์พี่ฉันอ้วน”

เอี๋ยนชิงพูดช้าๆ ว่า “เขาเป็นแบบนั้น!”

ลู่ฝานพูดว่า “ดังนั้นวันนี้ฉันจะซัดนายให้ตาย”

ริมฝีปากเอี๋ยนชิงขยับเล็กน้อย สุดท้ายพูดออกมาประโยคหนึ่ง น้ำเสียงเบาจนแทบจะไม่ได้ยิน มีเพียงลู่ฝานที่อยู่ใกล้สุดที่เห็นเขาขยับปาก

“นายใช้วิชาคนที่ฝึกฝนชั่วร้าย!”

ลู่ฝานมองเขา แววตาวูบไหวเล็กน้อย

สุดท้ายเอี๋ยนชิงแสยะยิ้ม จากนั้นล้มลงพื้นเสียงดังสนั่น

“ฉันไม่ยอม!”

สุดท้ายแสยะยิ้ม ริมฝีปากเอี๋ยนชิงกระตุก พูดสามคำนี้ออกมา

ลู่ฝานมองเขาแล้วยิ้ม “นายไม่ยอม แล้วเกี่ยวอะไรกับฉัน!”

พูดจบ ลู่ฝานเหยียบลงหน้าเขาเป็นครั้งสุดท้าย เหยียบหัวเอี๋ยนชิงจนเป็นเหมือนลูกบอลที่ยุบลงไป

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 822
“นี่มันเคล็ดวิชาบู๊อะไรกัน”

ท่านหม่าตกใจ แม้เขาเป็นเจ้าหน้าที่ที่มีประสบการณ์ แต่เพิ่งเคยเห็นวิชาอัศจรรย์แบบนี้เป็นครั้งแรก

เมื่อใช้กระบวนท่าออกมา ไร้ฟ้าดิน

วิชาระดับนี้ ถ้าอยู่บนตัวผู้แข็งแกร่งเซียนบู๊ที่มีเขตวิถี จะไม่แปลกใจเลย

ทางโลก ทางฟ้าดิน นี่เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล

แต่เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับนักบู๊แดนปราณชีวิตธรรมดาๆ คนหนึ่ง นั่นไม่ธรรมดาแล้ว ถึงขนาดที่พูดได้ว่าน่ากลัวมาก

ท่านผอ.ที่กำลังลูบหนวด เกือบดึงหนวดหลุดลงมา

เขาก็ตกใจเหมือนกัน เพราะกระบวนท่านี้ของลู่ฝาน คล้ายเขตวิถีมาก ถึงไม่ใช่ แต่ก็มีพลานุภาพของเขตวิถีอยู่มาก!

ทุกคนในที่นี้ไม่มีใครที่ไม่ตกใจ คนที่สัมผัสได้ว่าบริเวณสามสิบเมตรรอบตัวลู่ฝานว่างเปล่า ล้วนรู้สึกว่ามุมมองทั้งสามด้านของตัวเองโดนโจมตี

พวกอาจารย์ก็ตกใจจนช็อก

ส่วนคนที่วิทยายุทธไม่เพียงพอ สัมผัสการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันของพลังฟ้าดินไม่ได้ เห็นเพียงเอี๋ยนชิงยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น เหมือนโดนอะไรควบคุมไว้

หนึ่งก้าว สองก้าว ทุกก้าวที่ลู่ฝานเดินไปข้างหน้า เหมือนเหยียบลงบนใจของนักเรียนคณะหยินหยาง

ลู่ฝานยกมือเหวี่ยงหมัดออกไป ความเร็วหมัดไม่เร็ว แต่เห็นกล้ามเนื้อบนแขนลู่ฝานปูดขึ้น พลังทั้งหมดในร่างกายรวมเข้าด้วยกัน

ตอนนี้เอี๋ยนชิงขยับแล้ว

เขารีบตบลงบนตัวลู่ฝานอย่างรวดเร็ว แม้ไม่มีพลังฟ้าดิน แต่ตัวเขามีพลังปราณ

พลังปราณที่ทะลักออกมาจากตัวเขา ยังคงมีพลังระเบิด

ปัง ปัง!

เสียงอึกทึกดังขึ้นสองครั้ง กล้ามเนื้อบนตัวลู่ฝานหดลง สะท้อนพลังกลับไปทันที

เห็นได้ด้วยตาเปล่าว่าบนตัวเอี๋ยนชิงมีรอยฝ่ามือปรากฏขึ้นมา

เขามองลู่ฝานเหมือนเห็นผี ไม่เข้าใจว่าลู่ฝานทำได้ยังไง

หลังจากนั้นหมัดของลู่ฝานซัดมา

ราวกับภูเขากดทับ ราวกับอุกกาบาตหล่นลงมาบนพื้น

เอี๋ยนชิงอยากหลบ แต่พบว่าร่างกายของตัวเองโดนพลังแข็งแกร่งกดเอาไว้ที่เดิม

จะยกมือกันเอาไว้ ก็พบว่าพลังหมัดยังไม่ทันโดนตัวเขา สายลมจากหมัดทำให้กระดูกของเขาเกิดเสียงแตกดังขึ้นมา

ตู้ม!

เสียงระเบิดดังขึ้น หมัดของลู่ฝานมีพลานุภาพเคล็ดวิชาบู๊ระดับดิน

หมัดโจมตีแขนเอี๋ยนชิงจนเละ โดนแก้มของเขา ลู่ฝานกระแทกเอี๋ยนชิงลงกับพื้นอย่างแรง จนเกิดเสียงระเบิดดังขึ้นมาจากพื้น

พื้นแตกร้าว รอยร้าวลึกเป็นแถบ ลามไปถึงด้านในคณะหยินหยาง

ไม่เห็นตัวเอี๋ยนชิงแล้ว เขาจมลงไปใต้ดินแล้ว

ลู่ฝานยกมือปัดฝุ่น เมื่อลู่ฝานกวักมือ ไฟบนตัวลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง

พลังฟ้าดินรอบๆ กลับมาอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังรุนแรงกว่าเมื่อครู่

“กวักมือเรียกมา สะบัดมือก็ไป วิชาระดับนี้ ถึงไม่ใช่ระดับฟ้าก็ไม่ต่างกันมากเท่าไร ท่านผอ.เทียนหยาจื่อ คิดไม่ถึงว่าสถาบันของคุณมีของดีซ่อนอยู่เยอะ ใช้วิชาระดับฟ้าก่อตั้งสถาบัน อีกทั้งมีผู้สืบทอดระดับนี้ ทำไมจะบ่มเพาะยอดฝีมือขั้นสุดยอดออกมาไม่ได้ล่ะ”

ท่านหม่ามองจนตาเป็นประกาย ตอนนี้เขาพอใจในการแสดงออกของลู่ฝานมาก

นักบู๊แดนปราณชีวิตตัวเล็กๆ กลับสามารถสู้แบบแดนปราณดินออกมาได้ อีกทั้งยังมีพลานุภาพเขตวิถีที่แดนปราณฟ้าไม่สามารถทำได้ นี่ถ้าให้เขาก้าวสู่แดนปราณฟ้า คงสู้กับผู้แข็งแกร่งเซียนบู๊ได้เลย

ทั้งประเทศอู่อานจะมีเซียนบู๊สักกี่คน แค่ลู่ฝานมีพละกำลังของเซียนบู๊เพียงครึ่งเดียว ก็สามารถทำให้ทั้งเขตตงหวา สร้างซุ้มประตูเกียรติคุณให้เขาชั่วชีวิต ได้รับความเคารพไปร้อยชาติแล้ว

ท่านหม่าแอบคิดในใจ รอลู่ฝานไปเมืองหลวงฤดูใบไม้ผลิปีหน้า ต้องทำความรู้จักให้มากๆ

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 821
พรวด พรวด พรวด!

ข้างๆ ลู่ฝานโดนยิงจนเป็นรูนับไม่ถ้วน ตอนนี้บนตัวลู่ฝานมีเกราะเกล็ดมังกร ต้านทานแสงสีทองนั่นเอาไว้

“เอี๋ยนชิงแข็งแกร่งมาก!”

เฉียวเซวียนขมวดคิ้วพูดออกมา แม้เขาไม่อยากยอมรับสิ่งนี้ แต่ความจริงเป็นเช่นนี้

พลังห้าธาตุคู่ ถึงวิทยายุทธเอี๋ยนชิงเพิ่งเข้าสู่แดนปราณชีวิต แต่พละกำลังกลับเหนือกว่าแดนปราณชีวิตแล้ว

ไม่ต้องพูดถึงพวกเขาที่ยังไม่ได้เข้าสู่แดนปราณชีวิต

ถึงพวกเขาอยู่ในแดนปราณชีวิตเหมือนกัน ก็ไม่น่าสู้เอี๋ยนชิงได้

“ครั้งก่อนที่เขามาสู้กับฉัน ใช้แค่พลังธาตุทอง เขาดูถูกฉันใช่ไหม”

เสวียนเฟิงกัดฟันพูด กำหมัดสองข้างแน่น

รู้สึกว่าตัวเองกำลังจะก้าวตามอีกฝ่ายทันแล้วแท้ๆ แต่กลับพบว่าพละกำลังที่อีกฝ่ายแสดงออกมาเมื่อครั้งก่อน เป็นเพียงแค่การทำเล่นๆ เท่านั้น ความรู้สึกนี้ทำให้คนอยากกระอักเลือดออกมาจริงๆ ตอนนี้เสวียนเฟิงรู้สึกอยากหันหลังกลับทันที กลับไปเก็บตัวสักปี แล้วค่อยออกมาประลองกับอีกฝ่าย

แต่เขาก็ไม่อยากพลาดการต่อสู้ครั้งนี้ เขาอยากรู้ว่าเจอเอี๋ยนชิงแบบนี้ ลู่ฝานจะมีแรงรับมือไหม

จู่ๆ เถาวัลย์โลหิตหดตัว มัดลู่ฝานเอาไว้แน่น หนามบนเถาวัลย์พร้อมด้วยพลังธาตุทองอันแหลมคม พุ่งเข้าไปในเกราะเกล็ดมังกรของลู่ฝาน ทิ่มเข้าไปในเนื้อของลู่ฝาน

ลู่ฝานลองดิ้นรน พบว่าเถาวัลย์นี้ไม่ได้ทนทานไม่ธรรมดา

แม้ก่อตัวจากพลังปราณ แต่ด้านในมีพลังฟ้าดินปะปนอยู่ไม่น้อย

เอี๋ยนชิงยกมือขึ้น ผิวหนังบนตัวเคลื่อนไหวเหมือนมีแมลงเดินไปมา

หลังจากนั้นเส้นเลือดแดงและเส้นเลือดดำของเขาระเบิดออก ฝ่าเท้าจมลงไปในพื้น เหมือนมีรากงอกอย่างไรอย่างนั้น

“ลู่ฝาน รู้สึกถึงความทรมานตอนใกล้ตายแล้วสินะ อีกไม่นานนายจะรู้สึกชา เจ็บปวด สั่นไปทั้งตัว สุดท้ายจะกลายเป็นกองเลือด”

ลู่ฝานยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น เขารู้สึกถึงพิษสีเขียวไหลผ่านเถาวัลย์โลหิตเข้ามาในตัวเขา

ลู่ฝานพูดว่า “ศิษย์พี่ใหญ่แพ้นายเพราะแบบนี้เหรอ”

เอี๋ยนชิงหัวเราะแล้วพูดว่า “นายพูดถึงไอ้อ้วนคณะหนึ่งเดียวของพวกนายเหรอ ใช่แล้ว เขาแพ้กระบวนท่านี้ของฉัน น่าขำ เขาคิดว่าผิวหนังตัวเองสามารถต้านทานเถาวัลย์โลหิตอันแหลมคมของฉันได้”

ลู่ฝานพูดว่า “ที่แท้เป็นแบบนี้นี่เอง พิษผสมใช่ไหม ฉันจะเรียนรู้สักหน่อย”

พูดพลาง แสงบนตัวลู่ฝานหายไป

เสียงเจดีย์เสวียนเก้ามังกรดังขึ้นในตัว “เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ ไม่ต้องกังวล พิษแค่นี้ฉันหลับตาก็จัดการได้แล้ว จะเอาชนะคุณด้วยพิษ อย่างน้อยต้องเป็นพิษประหลาดบนโลกนี้ ฮ่าๆๆ”

ลู่ฝานยกยิ้มมุมปาก หลังผ่านไปครู่หนึ่ง เขายังยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น

ไม่ได้ชัก ไม่ล้มลงไป ไม่น้ำลายฟูมปาก ไม่ได้กลายเป็นกองเลือด

ลู่ฝานยืนอยู่ตรงนั้น เหมือนกำลังเยาะเย้ยที่เอี๋ยนชิงไร้ความสามารถ

เอี๋ยนชิงตกใจ พูดเสียงดังว่า “นายไม่กลัวพิษเหรอ”

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “แค่พิษของนายไม่รุนแรงพอเท่านั้น!”

เอี๋ยนชิงกัดฟันกรอด เขาแผดเสียงออกมาอีกครั้ง ลู่ฝานสัมผัสถึงพลังแข็งแกร่ง พุ่งเข้ามาในเถาวัลย์โลหิต

ทันใดนั้น ปราณชี่ปรากฏบนตัวลู่ฝาน

“ไสหัวไปให้หมด!”

พลังฟ้าดินถูกขจัดออกไป วิชาทั้งหมดกระจัดกระจาย!

ทันใดนั้น เถาวัลย์โลหิตบนตัวลู่ฝานหายไปจนหมด แสงบนตัวเอี๋ยนชิงก็หายไป รัศมีสามสิบเมตรว่างเปล่าทั้งแถบ

ลู่ฝานมองใบหน้าตกใจของเอี๋ยนชิง ถือกระบี่หนักไร้คมในมือ แล้วพูดว่า “วันนี้ฉันไม่ฟันนาย!”

พูดพลาง ลู่ฝานเอากระบี่หนักไร้คมปักลงบนพื้นอย่างแรง กำหมัดแล้วพูดว่า “ฉันจะเอาให้นายตายด้วยหมัดของฉัน!”

นี่ไม่ใช่การศึกษาซึ่งกันและกัน นี่คือการต่อสู้เป็นตาย

นี่ไม่ใช่การประลอง นี่คือการเข่นฆ่าเอาชีวิต

การต่อสู้อย่างแท้จริง ไม่ใช่การรอให้อีกฝ่ายใช้กระบวนท่าเสร็จ แล้วค่อยใช้ท่าไม้ตายตัดจบ แต่คือการที่ใช้พลังอันรุนแรงกำจัดอีกฝ่ายตั้งแต่เริ่มแรก ไม่ให้อีกฝ่ายมีโอกาสสู้หรือตอบโต้กลับ

ลู่ฝานกับเอี๋ยนชิงต่างคิดเช่นนี้ จึงทำเช่นนี้

เมื่อทั้งสองคนเริ่มสู้ จึงใช้ท่าไม้ตายสุดแข็งแกร่งทันที

แค่อีกฝ่ายลังเลหรือออมมือเพียงเล็กน้อย ก็จะโดนฆ่าตายทันที

แต่น่าเสียดาย เห็นได้ชัดว่าความคิดของทั้งสองคนเหมือนกัน

ถึงเป็นเรื่องเล็กก็พยายามสุดกำลัง พวกเขารู้หลักการนี้

พลังอันแข็งแกร่ง ทั้งสองคนโดนสะเทือนจนกระเด็น บนเสื้อลู่ฝานมีรอยเลือดเป็นรู พลังทำลายล้างไหลเวียนและแผ่ซ่านอยู่ในตัวเขา เหมือนคิดจะทำลายปราณชี่ของเขา

น่าเสียดาย มันประเมินปราณชี่ที่แข็งแกร่งและมีพลังของลู่ฝานต่ำไป

กันพลังนี้เอาไว้นอกตันเถียน เจดีย์เสวียนเก้ามังกรลงมือทันที เริ่มปล่อยพลังควบคู่กับปราณชี่ ฟาดฟันพลังสงบระงับ

ลู่ฝานขมวดคิ้วเล็กน้อย เอี๋ยนชิงทำให้เขาตกใจจริงๆ

อีกด้านหนึ่ง เอี๋ยนชิงก็แย่เหมือนกัน

กระบี่แข็งแกร่งของลู่ฝาน ก็แทงเกราะสีเขียวทองของเขาจนเป็นรูพรุน

เอี๋ยนชิงรู้สึกว่าอวัยวะภายในของตัวเองได้รับบาดเจ็บ ถ้าเป็นเมื่อก่อน เขาต้องล้มลงกับพื้น บาดเจ็บสาหัสจนขยับไม่ได้แน่นอน

“วิชากระบี่แข็งแกร่ง เหนือกว่าพลังของนักบู๊แดนปราณชีวิตทั่วไป ลู่ฝาน นายทำให้ฉันตกใจอีกแล้ว”

เอี๋ยนชิงลุกขึ้นมา เลือดไหลเต็มตัว แต่เขาเหมือนคนไม่เป็นอะไร

ลู่ฝานขมวดคิ้วเบาๆ เขารู้ดีว่าวิชากระบี่ของตัวเองมีพลังสร้างความเสียหายมากแค่ไหน ถึงนักบู๊แดนปราณดินโดนกระบี่ของเขา ยังไงก็ต้องเป็นอะไรบ้าง

เอี๋ยนชิงไม่ขมวดคิ้วสักนิด ผิดปกติมากๆ

แสร้งทำเหรอ ดูไม่น่าใช่!

หรือเขาใช้วิชาพิเศษกันเอาไว้งั้นเหรอ

ลู่ฝานแอบคาดเดา แสงสีเขียวทองบนตัวเอี๋ยนชิงสว่างขึ้นอีกครั้ง

หลังจากนั้น แผลบนตัวเอี๋ยนชิงเริ่มสมานกันอย่างรวดเร็ว ความเร็วในการรักษาอาการบาดเจ็บระดับนี้ ดีกว่าประสิทธิภาพการรักษาอาการบาดเจ็บของเจดีย์เสวียนเก้ามังกรเสียอีก

“ทองและไม้คู่กัน พรสวรรค์น่าตกใจจริงๆ”

ขณะนั้นท่านหม่าพูดด้วยความตกใจ ชี้เอี๋ยนชิงแล้วพูดว่า “ฉันไม่เคยเห็นร่างห้าธาตุคู่มานานแล้ว นักเรียนแบบนี้ ถึงเป็นสถาบันบู๊องอาจที่เมืองหลวง ก็ต้องอ้าแขนรับแน่นอน ท่านผอ.เทียนหยาจื่อ ฉันขอถามอีกรอบ จิตใจเขาแย่จริงเหรอ”

ท่านผอ.พยักหน้าพูดว่า “ไม่ไหวจริงๆ ครับ มีความเป็นผู้แข็งแกร่ง แต่ไม่มีจิตใจของผู้แข็งแกร่ง”

ท่านหม่าถอนหายใจ “เฮ้อ โลกนี้มีทั้งดีทั้งเสีย ท่านผอ.เทียนหยาจื่อ เหมือนอย่างที่คุณว่า น่าเสียดาย ให้โอกาสเขาสักครั้งเถอะ!”

เพียงพริบตา แผลบนตัวเอี๋ยนชิงสมานกันจนหายดี เอี๋ยนชิงดึงเสื้อตัวเองแล้วพูดว่า “ลู่ฝาน ฉันฆ่าศิษย์พี่นายก่อน ตอนนี้ถึงตานายแล้ว”

พูดพลาง เลือดสดที่เพิ่งหยดลงจากตัวเอี๋ยนชิง กลายเป็นเถาวัลย์โลหิต พุ่งไปหาลู่ฝานอย่างรวดเร็ว

บนเถาวัลย์โลหิตมีสีเขียวหม่น แต่มีสีทองซ่อนอยู่ด้วย แหลมคมเป็นอย่างมาก

“พลังธาตุทองในพลังห้าธาตุ พลังธาตุไม้ในพลังห้าธาตุ”

ลู่ฝานพูดออกมาเบาๆ

เขาเพิ่งเคยเจอคนแดนปราณชีวิต ที่ใช้พลังห้าธาตุสองชนิดได้เป็นครั้งแรก พลังห้าธาตุหนึ่งชนิดก็แข็งแกร่งมากแล้ว บวกกันสองชนิด มันไม่ได้ง่ายเหมือนหนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสอง

เถาวัลย์โลหิตกลายเป็นกรง ขังลู่ฝานเอาไว้ด้านใน หลังจากนั้นแสงสีทองนับไม่ถ้วน พ่นออกมาจากเถาวัลย์โลหิต

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 819
ท่านผอ.พูดว่า “ใช่ครับ ผมคิดตลอดว่าพรสวรรค์ของเขาเสียเปล่า จึงเสียดาย หวังว่าหลังจากการต่อสู้วันนี้ เขาจะตระหนักได้ ถ้าเขารู้จักปล่อยว่าเมื่อไร เขาอาจก้าวสู่จุดสูงสุดได้ ไม่งั้นชีวิตนี้อย่างมากก็แค่แดนปราณฟ้าขั้นต้นเท่านั้น”

ท่านหม่าพยักหน้าเบาๆ เห็นด้วยกับคำพูดของท่านผอ.มาก

ในสถานที่ต่อสู้ ลู่ฝานกับเอี๋ยนชิงยืนตรงข้ามกัน แววตาราบเรียบค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นความอาฆาต

แววตาเอี๋ยนชิงก็เปลี่ยนไปเหมือนกัน ค่อยๆ กลายเป็นแววตาแห่งความชั่วร้าย

จู่ๆ เอี๋ยนชิงพูดว่า “กล้าทำสัญญาเป็นตายแห่งสวรรค์ไหม”

ลู่ฝานส่ายหน้า “ระหว่างเราสองคน ไม่จำเป็นต้องใช้สิ่งนี้ ยังไงคนที่เหลือรอดเห็นดวงอาทิตย์วันพรุ่งนี้ มีเพียงคนเดียวไม่ใช่เหรอ”

“พูดมีเหตุผล”

“งั้นเริ่มเลย!”

ตู้ม!

พลังบนตัวทั้งสองคนระเบิดออกมาพร้อมกัน พลังปราณแข็งแกร่งพุ่งขึ้นไปบนฟ้าเหมือนเสาแสง

เพลิงกับสายฟ้าสีเขียวทอง แยกกันร่วงลงบนตัวทั้งสองคน

ไฟบนตัวลู่ฝานลุกโชน ส่วนบนตัวเอี๋ยนชิงปกคลุมด้วยเกราะสีเขียวทอง

“แดนปราณชีวิต! ลู่ฝานก็เข้าสู่แดนปราณชีวิตแล้ว! พระเจ้า คณะหนึ่งเดียวมีผู้แข็งแกร่งแดนปราณชีวิตสามคนแล้ว!”

นักเรียนคณะกำแหงคนหนึ่งพูดด้วยความตกใจ คนส่วนใหญ่พากันสูดหายใจเฮือก

“ไอ้คนทุเรศ เขานำหน้าฉันไปอีกก้าวแล้ว”

เฉียวเซวียนมองไฟอันลุกโชนของลู่ฝาน แล้วกัดฟันพูดออกมา

เสวียนเฟิงก็สีหน้าไม่สู้ดี เขาเพิ่งก้าวได้เพียงหนึ่งก้าว กำลังจะก้าวข้ามความยากลำบากนี้ คิดว่าตัวเองเร็วแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าลู่ฝานเดินนำหน้าเขาไปนานแล้ว

ส่วนหลัวตานสีหน้าราบเรียบ มีรอยยิ้มมุมปาก พูดพึมพำว่า “ดีมาก ดีมาก!”

อาจารย์พากันพูดอย่างตกใจ อาจารย์เซินถูคณะกำแหงพูดเสียงดังว่า “ไอ้เด็กเบื้อยกระดับเร็วมาก เขาไม่ได้สอบผ่านผู้ตรวจการชั้นกลางจริงๆ ใช่ไหม”

“แดนปราณชีวิต จะผ่านการสอบผู้ตรวจการชั้นกลาง ก็เกือบเอาชีวิตไม่รอด ฉันไม่คิดว่าเขาผ่านได้จริงๆ แต่……”

อาจารย์อู๋โฉวคณะสงบใจพูดลากเสียง

อาจารย์เมิ่งอวิ๋นถามว่า “แต่อะไร”

อู๋โฉวพูดว่า “แต่เด็กคนนี้ชอบสร้างปาฏิหาริย์ไม่ใช่หรือไง”

เพียงประโยคเดียว ทำให้พวกอาจารย์หัวเราะเบาๆ

ใช่ เด็กคนนี้ชอบทำเรื่องเหนือความคาดหมาย ไม่แน่เขาอาจสอบผู้ตรวจการชั้นกลางผ่านแล้วก็ได้

ในสถานที่ต่อสู้ พลังปราณของลู่ฝานกับเอี๋ยนชิงปะทะกัน

ไม่มีทักษะใด ไม่มีวิธีใด แค่พลังปราณปะทะกับพลังปราณ มีพลังเป็นอย่างมาก แข่งวิทยายุทธล้วนๆ

พลังระเบิดออกไป ทำให้นักเรียนที่ดูอยู่รอบๆ รู้สึกถึงสายลมร้อน จนทำให้พวกเขาถอยไปด้านหลัง

พลังทั้งสองคนพอๆ กัน ไม่มีใครยอมใคร

“ลู่ฝาน นายไม่ทำให้ฉันผิดหวังตามคาด ฉันเพิ่งคิดว่าถ้าเอาชนะนายได้ง่ายๆ คงน่าเบื่อเกินไปไม่ใช่เหรอ!”

ขณะนั้นเอี๋ยนชิงหัวเราะเสียงดัง

ลู่ฝานตอบกลับอย่างราบเรียบว่า “นายก็ไม่ทำให้ฉันผิดหวังเหมือนกัน ดูเหมือนเทศกาลเซ่นไหว้ประจำปีปีนี้ คงไม่ราบรื่นเท่าไรสินะ”

เอี๋ยนชิงพูดว่า “เพื่อพละกำลัง เรื่องพวกนี้ล้วนคุ้มค่า มาสิลู่ฝาน เจอกระบวนท่าใหม่ของฉันหน่อย สงบระงับ!”

แตะนิ้วออกมา ฟ้าดินมืดลงไม่น้อย แสงนับไม่ถ้วนข้างหน้าโจมตีเข้ามา

ลู่ฝานพูดอย่างราบเรียบ “งั้นนายก็เจอกระบวนท่าของฉันด้วย ยอดกระบี่หวนคืน!”

แสงเก้าสีสว่างขึ้น ไม่ลังเล ไม่ลองเชิง เข้ามาก็ใช้กระบวนท่าสุดแข็งแกร่งทันที

พลังทั้งสองคนปะทะกัน ทำให้คณะหยินหยางสั่นอย่างรุนแรง เสียงระเบิดดังขึ้น เหมือนมีสายฟ้านับไม่ถ้วนผ่าลงตรงที่ทั้งสองคนสู้กัน

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 818
พระอาทิตย์ค่อยๆ หายไปในหุบเขา เห็นพระอาทิตย์เพียงครึ่งเดียว

หน้าขณะหยินหยางคนเต็มไปหมด ถ้ามองลงมาจากฟ้า จะเห็นคนแน่นขนัดล้อมอยู่ที่นี่ เหลือเพียงรัศมีวงกลมสามสิบเมตรตรงกลาง ลู่ฝานนั่งอยู่ในนั้น

ผู้คนต่างพากันมาอย่างมืดฟ้ามัวดิน

อาจารย์ทั้งเก้าคณะ มีอาจารย์สี่คนมาที่นี่ ตรงกลางคือท่านผอ.กับท่านหม่า

เก้าอี้โต๊ะวางเรียงรายอย่างดี แม้คนรวมตัวกัน แต่ก็แบ่งแยกกันอย่างชัดเจน

กลุ่มคนมองลู่ฝานด้วยแววตาเป็นประกาย นักเรียนที่สร้างปาฏิหาริย์ให้สถาบันสอนวิชาบู๊ พวกเขาอยากเห็นว่าไม่เจอกันสองสามเดือน ลู่ฝานจะเก่งถึงขั้นไหน

“นี่คือลู่ฝานเหรอ ดูเด็กมาก”

ท่านหม่าหัวเราะแล้วเอ่ยขึ้น

ท่านผอ.พูดว่า “อายุน้อยเป็นเรื่องดี ถ้าไม่ใช่เพราะอายุน้อย เขาคงเอาป้ายผู้ตรวจการชั้นกลางมาไม่ได้หรอกครับ”

ท่านหม่าพยักหน้าพูดว่า “ใช่ ตอนนี้คนอายุน้อยเก่งขึ้นเรื่อยๆ นักบู๊ก็เยอะขึ้นเรื่อยๆ แน่นอนว่ามาตรฐานก็สูงตามไปด้วย อายุน้อย พรสวรรค์มากมาย ภายภาคหน้าจะมีอนาคตก้าวไกล”

ท่านผอ.ยิ้มแล้วพยักหน้า อาจารย์บริเวณรอบๆ ได้ยินคำพูดของทั้งสองคน

จู่ๆ พวกอาจารย์แอบรู้สึกประหลาด ผู้ตรวจการชั้นกลางอะไรกัน

ใครได้ป้ายผู้ตรวจการชั้นกลาง

แม้ฟังดูเหมือนพวกเขากำลังพูดถึงลู่ฝาน แต่ตามสัญชาตญาณของพวกอาจารย์ ไม่อยากเชื่อว่าลู่ฝานได้ป้ายผู้ตรวจการชั้นกลาง

นี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้!

ในความคิดพวกเขา ถึงแม้ลู่ฝานแข็งแกร่งมาก พรสวรรค์ก็ดี แต่ไม่มีทางเอาป้ายผู้ตรวจการชั้นกลางมาได้

แสงอาทิตย์ยามเย็นส่องลงบนตัวลู่ฝาน

ลู่ฝานค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ

ในแววตาราบเรียบ เหมือนบ่อน้ำลึกที่ก้นบึ้งไม่ไหวติง

ลู่ฝานลุกขึ้นยืน ถือกระบี่หนักไร้คม มองประตูคณะหยินหยางด้วยแววตาเฉยชา เสียงเอะอะรอบๆ หายไปในหูของเขา เสียงฝีเท้าชัดเจนดังเข้ามาในหูเขา

“มาแล้ว!”

ลู่ฝานพูดเบาๆ

ขณะนั้น กลุ่มคนที่แออัดหน้าประตูคณะหลีกทางออก จู่ๆ นักเรียนคณะหยินหยางส่งเสียงตะโกนออกมา

“ศิษย์พี่เอี๋ยนชิง ศิษย์พี่เอี๋ยนชิง”

นักเรียนคณะหยินหยางที่รออยู่นานมาก ในที่สุดศิษย์พี่เอี๋ยนชิงของพวกเขาก็มา

หานเฟิงที่นั่งสะลึมสะลืออยู่อีกด้านตื่นขึ้นมา รีบเช็ดน้ำลายตรงมุมปาก จ้องเอี๋ยนชิงเขม็ง

เอี๋ยนชิงสวมชุดนักบู๊ เหมือนเอี๋ยนชิงจะเปลี่ยนไปจากตอนที่ลู่ฝานเห็นครั้งที่แล้วมาก เขาดูผอมซูบลงไปเยอะ

แก้มยุบลงไป ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่า ลู่ฝานรู้สึกว่าหน้าของเขา ดูไม่เป็นมิตรเท่าไร

เหมือนสวมหน้ากากครึ่งหน้า หน้าด้านซ้ายและด้านขวาดูไม่สมดุล แต่เมื่อมองอย่างละเอียด ก็ดูไม่ออกว่าตรงไหนไม่สมดุล

เอี๋ยนชิงเดินออกมา มองลู่ฝานแล้วยิ้มออกมา

ลู่ฝานพูดว่า “ฉันรอนายนานแล้ว”

เอี๋ยนชิงพูดว่า “อันที่จริงฉันรอนานกว่านาย”

พูดจบ ทั้งสองคนเดินไปข้างหน้าพร้อมกัน ขณะเหลือระยะห่างประมาณสามเมตร ทั้งสองคนหยุดลงพร้อมกัน

เสียงเอะอะทั้งหมดหายไป ทุกคนกลั้นหายใจ รอการต่อสู้ครั้งนี้

ท่านหม่าพูดเบาๆ ว่า “คนหนุ่มคนนี้ดูไม่เลวเหมือนกัน เป็นนักเรียนของสถาบันนายเหรอ”

ท่านผอ.พยักหน้า “ใช่ครับ วิทยายุทธและพรสวรรค์ใช้ได้ แต่จิตใจรุนแรงเกินเหตุ”

ท่านหม่าพูดว่า “จิตใจไม่งดงาม ยากที่จะทรงพลัง ถึงมีพรสวรรค์ก็เปล่าประโยชน์ น่าเสียดาย”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 817
อาจารย์สองคณะยังขนาดนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงนักเรียน ไม่สู้กันจนสมองไหลออกมาน่ะสิถึงจะแปลก

ยิ่งไปกว่านั้นไม่มีอาจารย์ควบคุม การต่อสู้ของทั้งสองฝ่าย ต้องกำเริบเสิบสานยิ่งขึ้นแน่นอน ไม่แน่อาจกลายเป็นการต่อสู้เป็นกลุ่มก็ได้!

ทุกคนรีบไปที่นั่นด้วยความอยากดูเรื่องคนอื่น

ถึงขนาดที่อาจารย์สองสามคณะได้ยินข่าว ก็มีความคิดที่จะไปดู

เพราะการต่อสู้นี้ ทำให้ทั้งสถาบันสอนวิชาบู๊พากันออกไปดู

สิ่งที่เต็มไปด้วยแรงดึงดูดแบบนี้ มีเพียงคนที่สร้างปาฏิหาริย์ในสถาบันสอนวิชาบู๊ อย่างลู่ฝานกับเอี๋ยนชิงเท่านั้นที่ทำได้

ข่าวแพร่ไปถึงโถงหลักของสถาบันสอนวิชาบู๊ ตอนนี้ท่านผอ.เทียนหยาจื่อ กำลังต้อนรับแขก

ชายวัยกลางคนคนหนึ่ง นั่งอยู่ข้างหน้าเทียนหยาจื่อ แม้เสื้อผ้าบนตัวธรรมดา แต่เข็มขัดหยกสีดำตรงเอวของผู้ชาย กับตัวอักษรสองตัวคำว่าอู่อานที่ชัดเจน บ่งบอกว่าเขามาจากราชสำนัก

“ท่านผอ.เทียนหยาจื่อวาสนาดีจริงๆ ศิษย์ที่คุณสอนได้รับตำแหน่งผู้ตรวจการชั้นกลาง บ่งบอกว่าท่านผอ.เทียนหยาจื่อสอนอย่างถูกต้อง วันหลังฉันจะเขียนจดหมายให้เบื้องบน ขอความกรุณาจากเบื้องบน ให้ท่านผอ.เทียนหยาจื่อมีตำแหน่งเป็นครูในสถาบันบู๊องอาจที่เมืองหลวง”

ชายวัยกลางคนยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น

ท่านผอ.เทียนหยาจื่อยิ้มไม่หุบ พูดตามตรง เขาไม่คิดว่าช่วงเทศกาลเซ่นไหว้ประจำปี ซึ่งระยะเวลาเพียงสั้นๆ ลู่ฝานจะทำให้เขาตกใจถึงขนาดนี้

ลูกศิษย์สอบผ่านผู้ตรวจการชั้นกลาง อีกทั้งยังฆ่ากุยวัว เรื่องแบบนี้ถ้าเป็นเมื่อก่อน เขาไม่กล้าแม้แต่จะคิด

ประเทศอู่อานแสนแปดพันเขต สถาบันมีมากมายนับไม่ถ้วน แต่จะมีสักกี่สถาบันที่บ่มเพาะลูกศิษย์ให้สอบผ่านผู้ตรวจการชั้นกลางได้

เมื่อก่อนสถาบันสอนวิชาบู๊เคยมีลูกศิษย์สอบผ่านผู้ตรวจการชั้นล่าง ก็เพียงพอที่จะทำให้สถาบันยินดีแล้ว แต่ตอนนี้เป็นถึงชั้นกลาง ราชสำนักส่งคนมาแจ้งข่าว เกียรติยศระดับนี้ เพียงพอที่จะทำให้ชื่อของลู่ฝานสลักบนป้ายเกียรติยศของสถาบันสอนวิชาบู๊ตลอดไปแล้ว

“ท่านหม่าชมเกินไปแล้ว รอลู่ฝานกลับมา ผมจะให้เขามาพบท่านหม่าทันที”

ท่านหม่าส่ายหน้าพูดว่า “ไม่ต้องๆ ฉันแค่ถือโอกาสมาแจ้งเท่านั้น ท่านผอ.ช่วยแจ้งลู่ฝานว่าราชสำนักมีคำสั่ง ให้เขาไปเมืองหลวงในฤดูใบไม้ผลิปีหน้า”

ท่านผอ.ตกใจ “ขอถามได้ไหมครับ ราชสำนักจะให้รายชื่อลู่ฝานเข้าร่วมการคัดเลือกเหรอครับ”

ท่านหม่าส่ายหน้า “ไม่ทราบ เบื้องบนไม่ได้แจ้งแน่ชัด ฉันก็ไม่กล้าเดาเอาเอง แต่ท่านผอ.คิดแบบนี้ก็ได้ ถ้าไม่ใช่เพราะมีโอกาส จะให้เขาไปเมืองหลวงทำไมล่ะ”

“มีเหตุผล มีเหตุผล!”

ท่านผอ.เทียนหยาจื่อปรบมือแล้วหัวเราะ ปลาบปลื้มใจเป็นอย่างมาก

แอบคิดในใจเงียบๆ ถ้าลู่ฝานก้าวหน้าขึ้นอีกขั้น ได้รายชื่อการคัดเลือก ถึงกระทั่งที่ไปร่วมการแข่งนานาประเทศได้จริง งั้นเขาก็ไม่ต้องการอะไรแล้วจริงๆ

สิ่งที่เสียดายในชีวิตนี้ คือไม่สามารถเข้าร่วมเรื่องยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ถ้าลูกศิษย์ตัวเองเข้าร่วมได้ นั่นคือการเติมเต็มความฝันตลอดชีวิตของเขา

ขณะกำลังคุยกันอย่างมีความสุข นักบู๊คนหนึ่งเดินเข้ามา “ท่านผอ. ลู่ฝานกลับมาแล้ว”

ท่านผอ.หัวเราะ แล้วพูดว่า “ยังพูดไม่ทันขาดคำ ท่านหม่ามาได้จังหวะพอดี ลู่ฝานกลับมาแล้ว ไปเจอพร้อมกันกับผมสิครับ”

ท่านหม่าเอียงหัวไปมา “งั้นก็ไปพร้อมกัน ฉันก็อยากเห็นอัจฉริยะอย่างผู้ตรวจการลู่เหมือนกัน”

“ไปคณะหนึ่งเดียวกันครับ”

ท่านผอ.สะบัดมือแล้วเอ่ยขึ้น

นักบู๊รีบพูดว่า “ท่านผอ. ตอนนี้ลู่ฝานไม่ได้อยู่คณะหนึ่งเดียวครับ เขาอยู่คณะหยินหยาง!”

ท่านผอ.ขมวดคิ้วทันที เขาพอเดาอะไรได้ “ไอ้เด็กนี่ กลับมาก็ก่อเรื่อง ช่างเถอะ งั้นไปดูการพัฒนาของเขาในช่วงนี้กัน”

“ลู่ฝานกลับมาแล้วเหรอ กลับมาก็จะสู้กับเอี๋ยนชิงเลย ฉันต้องดูการต่อสู้ครั้งนี้ รีบไปตอนนี้เลย”

ที่คณะฟ้าร้อง หลัวตานรอยยิ้มเต็มใบหน้า ไม่เห็นความเศร้าซึมสักนิด เขายิ้มแล้วเดินออกไป สวมชุดคลุมยาวทั้งตัว เท้าเปล่า หลัวตานดูเก๋และไม่เหมือนใคร

ขณะเดียวกัน นักเรียนคณะฟ้าร้องที่ได้ยินว่าลู่ฝานจะสู้กับเอี๋ยนชิงอีกครั้ง ต่างพากันออกไปข้างนอก เพื่อไปคณะหยินหยางก่อนพระอาทิตย์ตก

คณะกระบี่

เสวียนเฟิงเก็บกระบี่ยาวที่สะบัดไปมา กระบี่เพิ่งเข้ามาในมือ ก็กลายเป็นผุยผง

“ลู่ฝานเชิญเอี๋ยนชิงต่อสู้เหรอ เขาคงไม่รู้ว่าตอนนี้เอี๋ยนชิงฝึกวิชาชั่วร้ายสินะ อืม เบื่อๆ อยู่พอดี ไปดูดีกว่า ก่อนฉันกลับมาค่อยแลกกระบี่ที่ดีกว่ากลับมา”

เสวียนเฟิงเดินออกจากประตูห้อง คนใช้สิบกว่าคนถือกระบี่เดินตามหลังเขา

คนพวกนี้เป็นนักกระบี่ที่เขาเพิ่งเรียกมาใหม่ ประโยชน์อย่างเดียวคือรักษากระบี่ เสวียนเฟิงอยากรู้ว่าผ่านเทศกาลเซ่นไหว้ประจำปีไป วิทยายุทธของลู่ฝานจะพัฒนาขึ้นหรือเปล่า

คณะกำแหง

เมื่อเฉียวเซวียนได้ยินข่าว ก็กระโดดลงจากเตียงทันที สาวใช้ที่อยู่ข้างๆ ถึงกับสะดุ้งโหยง

“อะไรนะ ลู่ฝานไปคณะหยินหยางอีกแล้วเหรอ รีบเอาเสื้อผ้าฉันมา ฉันจะไปคณะหยินหยาง ถ้าเขาสองคนสู้กันอีก ต้องมีเป็นตายกันไปข้างแน่นอน พลาดการต่อสู้แบบนี้ไม่ได้”

เฉียวเซวียนเดินออกมาอย่างรีบร้อน

สาวใช้ข้างๆ ตะโกนว่า “เจ้านายยังไม่ได้ใส่กางเกงเลยค่ะ”

คณะสงบใจ

หมิงจูกำลังรดน้ำต้นไม้ หลิงเหยาที่อยู่ข้างๆ ได้ยินนักเรียนรายงาน ก็ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ไอ้หมอนี่กลับมาก็หาเรื่องแล้ว”

หมิงจูหัวเราะแล้วพูดว่า “ลู่ฝานไม่เคยหยุดเลยนะ ตั้งแต่เขาเข้าสถาบันสอนวิชาบู๊มา ต้องมีเรื่องทุกช่วงเวลา ถ้าสู้กับเอี๋ยนชิงอีก การต่อสู้แบบนี้น่าเบื่อ ไม่ต้องไปก็ได้ ศิษย์น้องหลิงเหยา ถ้าเธอกังวลก็ไปดูสิ”

หลิงเหยาส่ายหน้าพูดว่า “ฉันไม่กังวลเลยค่ะ ฉันอยู่นี่รดน้ำเป็นเพื่อนศิษย์พี่ดีกว่า”

หมิงจูพูดอย่างตกใจเล็กน้อย “มั่นใจในตัวเขาขนาดนั้นเลยเหรอ ฉันจะเตือนเธอไว้ก่อน ตอนนี้พละกำลังของเอี๋ยนชิงยกระดับขึ้นมาก ก่อนเทศกาลเซ่นไหว้ประจำปี เขามาคณะสงบใจ ฉันสู้กับเขาแค่สามกระบวนท่าก็แพ้แล้ว”

สีหน้าของหลิงเหยายังนิ่ง “ถึงเขายกระดับขึ้นอีกก็สู้ลู่ฝานไม่ได้”

หมิงจูเลิกคิ้วขึ้นเบาๆ เธอฟังความแน่ใจแบบตอบอย่างไม่ต้องคิด จากน้ำเสียงของหลิงเหยา หมิงจูไม่รู้ว่าหลิงเหยาไปเอาความมั่นใจมาจากไหน ส่วนหลิงเหยาแอบคิดในใจ ถึงเป็นมารทั้งสี่นั่นแล้วไง อย่าบอกนะว่าตอนนี้เอี๋ยนชิงเทียบกับมารทั้งสี่ได้แล้ว

หลิงเหยาเงียบไป แล้วเปลี่ยนเรื่องพูด “ศิษย์พี่ ตอนนี้พี่คงไม่ได้แค่สู้กับเขาสามกระบวนท่าหรอก ฉันรู้สึกว่าวิทยายุทธของพี่ยกระดับขึ้นมาก”

หมิงจูยิ้มแล้วพูดว่า “ยกระดับขึ้นนิดหน่อย ได้จากการรดน้ำต้นไม้น่ะ”

หลิงเหยาพูดอย่างตกใจ “รดน้ำก็ยกระดับวิทยายุทธได้เหรอ”

หมิงจูพยักหน้าพูดว่า “ได้สิ แค่ใจเธอสงบพอ ก็สามารถทำได้ เธอมาลองไหมล่ะ”

หลิงเหยาพยักหน้าแล้วเดินเข้ามา

คณะนานา คณะศิงขร และคณะบังเหิน ได้รับข่าวกันแล้ว

ไม่มีอะไรผิดคาด ทุกคนต่างฮือฮากับข่าวนี้ พากันมาที่คณะหยินหยาง

ความคิดของคนส่วนใหญ่เหมือนกับเฉียวเซวียน ทุกคนที่รู้เกี่ยวกับความแค้นระหว่างคณะหยินหยางกับคณะหนึ่งเดียวต่างเข้าใจ การต่อสู้ของลู่ฝานกับเอี๋ยนชิงครั้งนี้ เป็นไปได้สูงว่าจะตายกันไปข้าง

ช่วยไม่ได้ ได้ยินว่าอาจารย์ของคณะหนึ่งเดียวกับอาจารย์ของคณะหยินหยาง โดนท่านผอ.ขังไว้เพราะทะเลาะกัน

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 815
ตอนนี้ที่ห้องฝึกวิชาอันเงียบเหงาห้องหนึ่งในคณะหยินหยาง

เอี๋ยนชิงค่อยๆ ลืมตาขึ้น เขาได้ยินความเคลื่อนไหวด้านนอกเบาๆ เขาได้ยินคนกำลังตะโกนเรียกชื่อเขา

แสงสีเขียวบนแขนกะพริบ ตอนนี้เอี๋ยนชิงดูประหลาดเล็กน้อย

หน้าข้างหนึ่งเป็นสีแดง ส่วนอีกข้างเป็นสีเขียว

เขาเหมือนคนโดนพิษเข้ากระดูก กำลังจะตาย ออร่าความตายแผ่ออกมาทั้งตัว

ปัง ปัง เสียงเคาะประตูดังขึ้นด้านนอก

เอี๋ยนชิงขมวดคิ้วเบาๆ เขาสั่งว่าถ้าไม่มีเรื่องด่วน ห้ามรบกวนการฝึกฝนของเขา

ตอนนี้มีคนเคาะประตูห้องฝึกวิชาของเขา เห็นได้ชัดว่าเกิดเรื่องด่วนมาก

ในคณะหยินหยาง ไม่น่าจะเกิดเหตุการณ์ที่ถึงขนาดต้องรบกวนการฝึกวิชาของเขา งั้นคำอธิบายเดียวก็คือ มีคนบุกมาหาคณะหยินหยางถึงที่

ใครกันนะ

เอี๋ยนชิงหัวเราะเบาๆ ไม่ต้องใช้สมองคิดก็รู้ นอกจากพวกบ้าคณะหนึ่งเดียว จะเป็นใครได้อีก

นับวันดูแล้ว ลู่ฝานน่าจะกลับมาแล้ว

แววตาเอี๋ยนชิงวูบไหว การแพ้ให้ลู่ฝาน คือความอับอายใหญ่หลวง ตั้งแต่เขามีชีวิตอยู่มาถึงทุกวันนี้ ต้องใช้เลือดล้างความอับอายนี้เท่านั้น

หลังจากสิ้นสุดการต่อสู้จัดอันดับของสถาบันครั้งที่แล้ว ลู่ฝานก็ออกไปจากสถาบันสอนวิชาบู๊ ลากลับบ้าน ทำให้เขาไม่สามารถเชิญต่อสู้ หลังจากฟื้นฟูพละกำลังกลับมา จนถึงตอนนี้เขายังพะวงอยู่ในใจ

วันนี้ลู่ฝานกล้ามาถึงคณะหยินหยาง เหอะๆ ดี ดีมาก ในเมื่อมาแล้วก็ไม่ต้องกลับไปอีก

เขาสะบัดมือ ประตูห้องฝึกวิชาเปิดออก

นักเรียนคณะหยินหยางคนหนึ่งพุ่งเข้ามา “ศิษย์พี่เอี๋ยนชิง ข้างนอก……”

เอี๋ยนชิงยกมือขึ้นแล้วพูดว่า “ลู่ฝานคณะหนึ่งเดียวมาเชิญฉันต่อสู้ใช่ไหม”

นักเรียนอึ้งไป จากนั้นพูดว่า “ศิษย์พี่เอี๋ยนชิงได้ยินเหรอ”

เอี๋ยนชิงยิ้มแล้วพูดว่า “ฉันไม่ได้ยิน แต่เดาได้ นายไปบอกลู่ฝาน ให้เขารอฉันสักสองสามชั่วยาม รอพระอาทิตย์ตก ฉันจะออกไปสู้กับเขา ให้เขาอดทนหน่อย การต่อสู้ครั้งนี้จำเป็นต้องมีคนดู”

นักเรียนเกาหัวอย่างไม่เข้าใจ ทำไมต้องยื้อถึงตอนพระอาทิตย์ตก

แต่ในเมื่อเอี๋ยนชิงพูดแล้ว เหตุผลโดยรวมก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาควรถาม

นักเรียนตอบรับแล้ววิ่งออกไป ขณะนั้นเอี๋ยนชิงเดินออกจากห้องฝึกวิชา เขาปรบมือ ทันใดนั้นนักบู๊ชุดดำสองคนปรากฏตัวตรงหน้าเขา

สองคนนี้เป็นนักบู๊ที่เขาพากลับมาจากตระกูล เอี๋ยนชิงพูดอย่างราบเรียบ “ไปแจ้งคณะอื่นว่าฉันจะสู้กับลู่ฝานตอนพระอาทิตย์ตก”

นักบู๊สองคนหายไปทันที กลายเป็นเงาดำออกไปจากคณะหยินหยาง วิ่งไปคณะอื่นอย่างรวดเร็ว

เอี๋ยนชิงเอาสองมือไพล่หลัง สีเขียวบนตัวค่อยๆ หายไป

เอี๋ยนชิงหลับตาลง สัมผัสว่าเลือดร้อนของตัวเองกำลังพลุ่งพล่าน

ด้านนอก นักเรียนวิ่งมาถึงประตูคณะ เดินมาข้างหน้าสองสามก้าว นักเรียนพูดกับลู่ฝานเสียงดังว่า “ลู่ฝานคณะหนึ่งเดียว นายฟังไว้ ศิษย์พี่เอี๋ยนชิงบอกว่ารอพระอาทิตย์ตก เขาจะออกมาสู้กับนาย ให้นายอดทนรอ ศิษย์พี่เอี๋ยนชิงบอกว่าการสู้ครั้งนี้ต้องมีผู้ชม!”

หานเฟิงได้ยินแล้วงุนงง ตะโกนออกมาว่า “รออะไร ไอ้กระจอกยื้อเวลาเพราะจะหนีใช่ไหม”

ลู่ฝานเข้าใจความหมายในคำพูด เขายื่นมือมาห้ามหานเฟิง แล้วพูดว่า “ในเมื่อเขาต้องการผู้ชม งั้นก็ตามใจเขา ตอนพระอาทิตย์ตกดินใช่ไหม ฉันจะรอ!”

พูดพลาง ลู่ฝานค่อยๆ นั่งลงบนพื้นแล้วหลับตาลง

ตอนนี้เอี๋ยนชิงที่อยู่ในคณะหยินหยาง ก็หลับตานั่งอยู่หน้าประตู

ข่าวใหญ่ดังไปทั่วสถาบันสอนวิชาบู๊อย่างรวดเร็ว

บทที่ 814

บทที่ 816

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 814
ลู่ฝานยืนถือกระบี่อยู่ข้างนอกประตูคณะหยินหยาง ความอาฆาตพลุ่งพล่าน

เสียงคำรามดังก้องไปทั่วคณะหยินหยาง วิทยายุทธของลู่ฝานในตอนนี้ แค่คำรามครั้งเดียวก็ดังสนั่นไปทั่วแล้ว

นักเรียนคณะหยินหยางพุ่งออกมาอย่างรวดเร็ว หลังจากเห็นว่าคนที่ถือกระบี่คือลู่ฝาน นักเรียนพวกนี้หน้าเปลี่ยนสีทันที

บางคนสีหน้าโมโห บางคนสีหน้าหวาดกลัว คนส่วนใหญ่พากันตัวสั่นงันงก

สำหรับนักเรียนทั่วไปแบบนี้ ชื่อของลู่ฝาน คงบรรยายได้เพียงคำว่าประดุจอสนีบาตกัมปนาทก้องหู

เหมือนนักเรียนสองสามคนเมื่อกี้ ที่พูดว่าจะไปฆ่าที่คณะหนึ่งเดียว พอเห็นลู่ฝานจริงๆ ต่างมีสีหน้าหวาดกลัว ไม่กล้าเดินเข้ามาแม้แต่ก้าวเดียว

เรื่องบางเรื่องพูดลับหลังได้ แต่เมื่อเรื่องเกิดขึ้นจริง จะมีสักกี่คนที่กล้าก้าวออกมา

อย่างเช่นลู่ฝานที่ยืนอยู่ตรงนี้ นักเรียนคณะหยินหยางเยอะขนาดนี้ ในระยะสามสิบเมตรไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ลู่ฝานสักคน ทำเพียงมองจากไกลๆ

ลู่ฝานกวาดตามองคนพวกนี้ ไม่มีใครคุ้นหน้าสักคน เอี๋ยนชิงก็ไม่อยู่ในนี้

ขณะนั้นศิษย์พี่หานเฟิงตะโกนว่า “ไอ้ขี้ขลาดเอี๋ยนชิง ยังไม่รีบไสหัวออกมารับความตายอีก หดหัวอยู่ข้างในทำไม”

ศิษย์พี่หานเฟิงตะโกนด่าเสียงดัง ทำให้ศิษย์คณะหยินหยางโกรธไม่น้อย

แต่พวกเขายังไม่ทันด่ากลับ ก็เห็นแสงทองในพลังห้าธาตุ สว่างขึ้นบนตัวหานเฟิง หลังจากนั้นเสียงระเบิดของโลหะดังขึ้นมา

“ไอ้กระจอกเอี๋ยนชิง!”

แม้คำพูดหยาบโลน แต่วิทยายุทธนั้นแท้จริง

พละกำลังแดนปราณชีวิต ไม่มีทางเป็นของปลอม เมื่อพลังปราณของหานเฟิงถูกใช้ออกมา นักเรียนคณะหยินหยางทุกคนทำได้เพียงอ้าปากค้าง

“แดนปราณชีวิต! ทำไมคณะหนึ่งเดียวถึงมีแดนปราณชีวิตเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน!”

“พระเจ้า คนนี้เป็นคนที่ปากร้ายที่สุดในคณะหนึ่งเดียวหรือเปล่า เขาเข้าสู่แดนปราณชีวิตตั้งแต่เมื่อไร”

“พลังธาตุทองในธาตุทั้งห้า ไม่มีทางเป็นของปลอม พละกำลังของคณะหนึ่งเดียวแข็งแกร่งขึ้นอีกแล้ว”

“กลัวอะไร ถึงเขาอยู่แดนปราณชีวิตแล้วยังไง ใช่ว่าศิษย์พี่เอี๋ยนชิงจะแพ้ให้เขา ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเขาก็อยู่แดนปราณชีวิตเหมือนกันไม่ใช่เหรอ ก็โดนศิษย์พี่เอี๋ยนชิงซัดกลับไปอยู่ดี”

“พูดมีเหตุผล ศิษย์พี่เอี๋ยนชิงต้องชนะแน่นอน”

“ใช่ ถึงอยู่ในแดนปราณชีวิต ก็ไม่มีทางสู้ศิษย์พี่เอี๋ยนชิงได้”

……

นักเรียนคณะหยินหยางยังไม่ทันเปิดศึก ก็สร้างความฮึกเหิมให้ตัวเองแล้ว เห็นได้ชัดว่าความเร็วในการยกระดับวิทยายุทธของหานเฟิง ทำให้พวกเขาตกใจ

ลู่ฝานมองประตูอย่างราบเรียบ แค่เอี๋ยนชิงยังอยู่ เขาต้องออกมาอยู่แล้ว

ปล่อยให้ศิษย์พี่หานเฟิงก่นด่าไป วันนี้ลู่ฝานมาเพื่อการแก้แค้น

บนโลกนี้คนที่ทำให้เขาใส่ใจมีไม่มาก คนในครอบครัวเขา หลิงเหยา ส่วนที่เหลือก็พวกคนคณะหนึ่งเดียวพวกนี้

แม้ศิษย์พี่ใหญ่คุยกับเขาไม่มาก แต่ในใจเขา ศิษย์พี่ใหญ่คือคนที่น่าเคารพ เขาเป็นคนคลายความสงสัย ตอนที่เขาเข้ามาในคณะ ช่วยเขาสู้ในช่วงเวลาสำคัญ โดนทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัสเพราะเขา

คนแบบนี้เกือบตายคามือเอี๋ยนชิง ปล่อยไว้ไม่ได้จริงๆ

แม้วันนี้ท่านผอ.จะมา ก็ไม่มีทางขัดขวางเขากำจัดเอี๋ยนชิง

ในแววตาลู่ฝานเต็มไปด้วยไฟโกรธ ตอนนี้เขานิ่งเงียบ เหมือนภูเขาไฟที่กำลังปะทุ รอให้เอี๋ยนชิงปรากฏตัว ต้องเกิดการนองเลือดแน่นอน

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 813
บนถนน นักเรียนคณะหยินหยางดูน้อยมาก ตอนนี้คนจำนวนมากฝึกอยู่ที่ลานประลองบู๊

เพราะไม่มีชื่อเสียงเป็นอันดับหนึ่งในบรรดาคณะ ช่วงนี้มีนักเรียนจำนวนมากออกจากคณะหยินหยาง หนึ่งในนั้นคือฮ่วนเย่ว์ ที่มีชื่อเสียงที่สุดไปคณะหนึ่งเดียว อีกทั้งหยู่ซินไปคณะฟ้าร้อง บวกกับค่ายกลหยินหยางที่หายไป ทำให้ทั้งคณะหยินหยางเกือบยุบลงไป

ยังดีที่หลังผ่านไปไม่กี่วัน เอี๋ยนชิงออกมาจากเขา เอาชนะอู๋เหวย ศิษย์พี่ใหญ่ของคณะหนึ่งเดียว อีกทั้งยังเข้าสู่แดนปราณชีวิต หลังจากนั้นเอี๋ยนชิงกำเริบเสิบสาน ไปท้าประลองยอดฝีมือทั้งหมดของสถาบันอื่น อีกทั้งยังเอาชนะได้หมด ตั้งแต่นั้นก็ทำให้คณะหยินหยางที่สั่นคลอน กลับมามั่นคงอีกครั้ง

ได้รับความฮึกเหิมจากเอี๋ยนชิง นักเรียนคณะหยินหยางที่เหลือ พากันกระตุ้นตัวเองให้ปรับปรุงตัวให้ดีขึ้น ไม่เอาแต่เดินเล่นพูดคุย เริ่มฝึกเคล็ดวิชาบู๊กันอย่างเต็มกำลัง

สำหรับพวกเขา ขอแค่ศิษย์พี่เอี๋ยนชิงยังอยู่ ยังไงคณะหยินหยางก็จะเอาที่หนึ่งกลับมาไม่ช้าก็เร็ว ตอนนี้แค่ความพ่ายแพ้เล็กน้อยเท่านั้น

“พี่หลี่ วันนี้กระบี่เกลียวคลื่นของพี่พัฒนาขึ้นอีกแล้ว ดูเหมือนอีกไม่นาน คงได้ยกระดับขึ้นอีกขั้น”

“เฮ้อ ยังคงไม่เพียงพอ เรามาอีกสักรอบไหม”

“สู้ขนาดนี้ ไม่กลัวบาดเจ็บเหรอ”

“กลัวอะไรกับบาดเจ็บ ศิษย์พี่เอี๋ยนชิงบาดเจ็บสาหัสขนาดนั้น เกือบพิการ แค่ไม่กี่วันก็อาการดีขึ้น อีกทั้งยังพัฒนาขึ้นอีกด้วย คนคณะหยินหยางของเราคือฆ่าไม่ตาย พลังแบบว่ายิ่งทรมานยิ่งแข็งแกร่ง รอให้วิชากระบี่ของฉันสมบูรณ์แบบ ฉันจะต้องฆ่าคณะหนึ่งเดียวให้ได้ ทำให้ลู่ฝานอ้อนวอนขอชีวิตภายใต้กระบี่ฉัน”

“ห้าวหาญมาก คณะหนึ่งเดียวนับประสาอะไร โชคดีชนะเราได้แค่ครั้งเดียว ให้พวกเขาได้ใจไปก่อน ผมก็ฝึกเคล็ดวิชาบู๊เหมือนกัน เชื่อว่าเมื่อวิชากระบี่ของพี่หลี่ถึงขั้นสมบูรณ์ ผมก็น่าจะได้อะไรบ้าง เมื่อถึงตอนนั้นจะได้ตามศิษย์พี่เอี๋ยนชิงไปฆ่าคณะหนึ่งเดียว ซัดให้พวกเขาลุกขึ้นมาไม่ได้อีก”

นักเรียนคณะหยินหยางสองคนพูดจาฉะฉาน นักเรียนอีกคนข้างๆ ได้ยินคำพูดของพวกเขา ก็เดินเข้ามา “พี่หลี่ พี่โจวพูดถูกต้องมาก ตอนนั้นผมจำภาพที่หลังจากนักเรียนคณะหนึ่งเดียวสองคนนั้นพุ่งเข้ามาคณะหยินหยางอย่างเสียสติ ก็โดนศิษย์พี่เอี๋ยนชิงซัดล้มลงกับพื้นได้ ถ้าไม่ใช่เพราะคนที่ชื่อฉู่เทียนหนีเร็ว แบกศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเขาไป ไม่งั้นพวกเขาต้องตายหน้าประตูคณะหยินหยางของเราแน่นอน”

“ใช่ๆ ฉันจำได้ พูดขึ้นมาศิษย์พี่ใหญ่ของคณะหนึ่งเดียว เป็นเจ้าอ้วนคนหนึ่ง”

“เจ้าอ้วนตามแบบฉบับ อ้วนไร้ประโยชน์”

“อ้วนเหมือนหมู เหมือนหมูตัวนึงชัดๆ”

“ถ้าไม่ใช่หมู จะมาพุ่งมาท้าประลองกับคณะหยินหยางของเราเหรอ ฮ่าๆ”

กลุ่มคนเริ่มเอาอู๋เหวยมาพูดเป็นเรื่องตลก ขณะนั้นมีคนหนึ่งวิ่งอย่างแตกตื่นเข้ามาจากประตู

“ศิษย์พี่ทุกท่าน แย่แล้ว คนคณะหนึ่งเดียวมาอีกแล้ว”

ประโยคเดียว ทำให้คนทั้งลานประลองบู๊หยุดการกระทำ

“คนไหนจากคณะหนึ่งเดียว”

คนสองสามคนถามขึ้นพร้อมกัน

“เหมือนจะเป็นลู่ฝาน!”

เมื่อได้ยินคำว่าลู่ฝาน คนที่พูดเมื่อสีหน้าเปลี่ยนไปทันที เหมือนจะมีเหงื่อไหลออกมาจากหน้าผาก

ชื่อนี้เหมือนฝันร้ายของพวกเขา ทุกคนที่ผ่านการจัดอันดับของสถาบันเมื่อไม่กี่เดือนก่อน ไม่มีใครที่ไม่รู้ว่าชื่อนี้หมายถึงอะไร

“เขากลับมาแล้ว! ใช่สิ เทศกาลเซ่นไหว้ประจำปีจบลงแล้ว เขาควรกลับมาแล้ว เขากลับมาก็มาท้าประลองคณะหยินหยางเลยเหรอ! แบบนี้จะยอมไม่ได้ พวกเราไปสั่งสอนเขาเถอะ”

ทุกคนโมโห ในที่สุดพวกลูกศิษย์คณะหยินหยางโยนความหวาดกลัวทิ้งไป แล้วก้าวออกไปข้างนอก

แต่ขณะนั้น เสียงหนึ่งดังก้องคณะหยินหยาง

“เอี๋ยนชิง ไสหัวออกมา!”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 812
แม้เสียงลู่ฝานราบเรียบ แต่มีความอาฆาตอันน่ากลัว

อาจารย์เต้ากวงมองแผ่นหลังลู่ฝาน จู่ๆ เขารู้สึกเหมือนตัวเองไม่รู้จักลู่ฝานไปแล้ว

ความอาฆาตอันน่ากลัว เขาเคยเห็นแค่บนตัวนักบู๊ที่ผ่านการฆ่าฟันแบบนองเลือด

ลู่ฝานผ่านอะไรมากันแน่ ถึงมีความอาฆาตระดับนี้

“ไม่ได้ พวกนายไปไม่ได้ ศิษย์พี่ใหญ่พวกนายยังสู้เขาไม่ได้ พวกนายไปแล้วจะทำอะไรได้”

อาจารย์เต้ากวงไม่เห็นด้วยกับลู่ฝานและหานเฟิง

ในความทรงจำของเขา ลู่ฝานกับหานเฟิง เป็นแค่นักบู๊แดนปราณนอกเท่านั้น

แต่ต่อมา บนตัวหานเฟิงมีพลังห้าธาตุสว่างขึ้นมา

“อาจารย์เต้ากวง เชื่อผมสิ ผมจะจัดการเอี๋ยนชิงให้แบนเลย”

หานเฟิงพูดพลางกำหมัด แล้วกัดฟันพูดออกมา

ตอนนี้ลู่ฝานกำลังรักษาให้ศิษย์พี่ใหญ่ รู้สึกว่าพิษถูกดูดออกไปพอประมาณแล้ว ลู่ฝานลุกขึ้นพูดว่า “ศิษย์พี่หานเฟิง ผมบอกแล้วว่านี่เป็นเรื่องของผมคนเดียว!”

ลู่ฝานหันมา สีหน้าไร้อารมณ์ แต่แววตาเย็นชา

หานเฟิงพูดว่า “โอเค แต่ศิษย์น้องลู่ฝาน ฉันจะตามนายไป ฉันจะดูเอี๋ยนชิงโดนนายจัดการจนแบนด้วยตาตัวเอง”

ลู่ฝานส่ายหน้าพูดว่า “เขาไม่มีทางแบนหรอก เขาจะกลายเป็นศพ!”

เมื่อพูดจบ ลู่ฝานเดินออกไป ขณะเดียวกันก็พูดกับสิบสามและเจ้าดำว่า “พวกนายอยู่นี่”

สิบสามมองลู่ฝานอย่างนอบน้อม ไม่พูดอะไรสักคำ เหมือนเจ้าดำจะกังวล แต่ก็ไม่ได้ตามไป

อาจารย์เต้ากวงอยากรั้ง แต่ไม่รู้จะพูดยังไง

อาจารย์เต้ากวงรีบดึงหานเฟิงแล้วพูดว่า “นายแน่ใจเหรอว่าลู่ฝานสู้ได้”

หานเฟิงพูดว่า “อาจารย์ ศิษย์น้องลู่ฝานแข็งแกร่งกว่าผม”

พูดจบ หานเฟิงยังเห็นสีหน้ากังวลของอาจารย์เต้ากวง จึงพูดอีก

“อย่าลืมสิ เขาเป็นคนที่ได้ป้ายผู้ตรวจการชั้นกลางเชียวนะครับ”

อาจารย์เต้ากวงสีหน้าดีขึ้นเล็กน้อย แม้ยังไม่อยากเชื่อเล็กน้อย แต่เขาปล่อยมือที่จับหานเฟิงแล้ว

ทั้งสองเดินลงเขา ครั้งนี้สุ่ยเชียนโหรวไม่ได้ตามมา เพราะเธอรู้ว่าหานเฟิงจะกลับมาอีก

สุ่ยเชียนโหรวเหมือนคนไม่เป็นอะไร เดินไปที่ห้องไม้ของลู่ฝาน เพราะจากความรู้ของเธอ เธอมองออกว่าห้องไม้นี้ใช้วัสดุพิเศษ น่าจะดีที่สุด

อาจารย์เต้ากวงเพิ่งเห็นว่าคนที่ตามหานเฟิงกับลู่ฝานกลับมา ยังมีคนแปลกหน้าอีกสองคน

เมื่อเห็นว่าสุ่ยเชียนโหรวกำลังจะเดินเข้าไปในห้องลู่ฝาน อาจารย์เต้ากวงรีบเรียกเธอไว้

“คุณผู้หญิงจะทำอะไร เธอเป็นเพื่อนพวกลู่ฝานเหรอ”

สุ่ยเชียนโหรวตอบกลับอย่างราบเรียบ “ไม่ใช่ ทำของกินมาให้ฉัน! ฉันจะเอาชาน้ำค้าง น้ำค้างต้องเป็นของวันนี้ ชาต้องเป็นใบชาชั้นดีที่เพิ่งเก็บ ดื่มแล้วต้องชุ่มคอดับกระหาย เหลือกลิ่นหอมในปาก อาหารที่มีเนื้อสัตว์สามอย่าง อาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์สามอย่าง เพิ่มซุปโสมอีกหนึ่ง ใช้ภาชนะเป็นเครื่องลายคราม อย่าใช้ทองและเงิน ฉันเกลียดทองและเงินที่สุด ซุปต้องเคี่ยวให้ถึง 48 ชั่วโมง ถ้าเวลาไม่พอก็ใช้พลังปราณช่วย เร็วๆ หน่อย”

พูดจบ สุ่ยเชียนโหรวเข้าไป

อาจารย์เต้ากวงอึ้งไป รู้สึกงงไปหมด

นี่เป็นคุณหนูจากไหนกัน!

อาจารย์เต้ากวงหันมามองสิบสาม แล้วพูดว่า “แล้วนายเป็นใคร”

“สิบสาม!”

“นายรู้จักลู่ฝานกับหานเฟิงเหรอ”

“อืม”

“พวกเขาพานายมาสถาบันสอนวิชาบู๊เหรอ”

“อืม”

“อย่าเอาแต่ให้ฉันถามนายได้ไหม นายแนะนำตัวเองสิ”

“อืม”

“นอกจากคำว่าอืม นายพูดอย่างอื่นเป็นไหม”

“อื้ม”

“.…..”

คณะหยินหยาง

หลังจากเงียบสงบได้ไม่กี่ชั่วโมง คณะหยินหยางเริ่มกลับมามีชีวิตชีวา

แม้ผลกระทบจากการต่อสู้จัดอันดับของสถาบันครั้งก่อนยังไม่หายไป แต่คณะหยินหยางได้มีการปรับปรุงครั้งใหญ่ ห้องกับถนนที่โดนซัดจนเละ ตอนนี้ซ่อมแซมไปพอประมาณแล้ว ทั้งคณะหยินหยางดูมีสง่าราศี

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 811
ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “อาจารย์อี้ชิงไม่อยู่เหรอครับ เขากลับบ้านเหรอครับ”

เมื่อพูดถึงอี้ชิง อาจารย์เต้ากวงเงียบไปครู่หนึ่ง “อี้ชิงโดนทำโทษขังเอาไว้บนเขาอี้ว์หลิง ซิงยวนคณะหยินหยางก็โดนทำโทษ ส่วนเหตุผลพวกนายน่าจะรู้”

ศิษย์พี่หานเฟิงได้ยินชื่อซิงยวน ก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ สีหน้าอึมครึมทันที

“ผมต้องฆ่าซิงยวนจริงๆ อาจารย์เต้ากวงคงยังไม่รู้ ไม่ต้องพูดเรื่องที่เขาจ้างคนไปฆ่าคนในตระกูลศิษย์น้องลู่ฝาน ยังส่งคนไปจับหลิงเหยา จะลงมือกับศิษย์น้องลู่ฝาน ชั่วร้ายมาก เดนมนุษย์สุดๆ ให้ตายเถอะ”

สีหน้าอาจารย์เต้ากวงอึมครึมไม่น้อยเหมือนกัน “มีเรื่องแบบนี้ด้วย ฉันต้องจัดการซิงยวนถึงจะโอเค เฮ้อ น่าเสียดาย ไม่รู้ท่านผอ.คิดยังไง แค่ทำโทษขังเขา ไม่เข้าใจเลย หลิงเหยาไม่เป็นอะไรใช่ไหม”

ลู่ฝานพยักหน้าพูดว่า “เราไปทันเวลา ไม่เป็นอะไรครับ”

อาจารย์เต้ากวงพูดว่า “งั้นเรื่องนี้ค่อยว่ากันวันหลัง พวกนายไปดูอู๋เหวยเถอะ เขาอยู่ในห้อง”

หานเฟิงยิ้มแล้วพูดว่า “ผมว่าแล้ว ศิษย์พี่ไม่มีทางกลับหรอก ฮ่าๆ ศิษย์พี่ใหญ่ ออกมากินสิ ผมเอาของพื้นถิ่นกลับมาให้พี่ด้วยนะ พี่จะชิมไหม”

หานเฟิงพูดพลางผลักประตูห้องศิษย์พี่ใหญ่ แต่ต่อมา หานเฟิงพูดอย่างตกใจ “ศิษย์พี่ใหญ่เป็นอะไรไป”

เมื่อลู่ฝานได้ยินสิ่งผิดปกติ ก็รีบพุ่งไปทันที

ลู่ฝานเห็นคนอ้วนนอนเปลือยท่อนบนอยู่บนเตียง ก้อนเนื้อแผ่อยู่บนที่นอน เป็นศิษย์พี่ใหญ่แน่นอน

แต่บนตัวศิษย์พี่ใหญ่ มีแผลเต็มไปหมด เหมือนผ่านการต่อสู้สุดโหดมาอย่างไรอย่างนั้น ไขมันทั้งตัวไม่มีตรงไหนดูดีเลย

ลู่ฝานรีบเดินเข้าไปป้อนยาให้ศิษย์พี่ใหญ่ หลังจากนั้นเรียกไอ้เก้าออกมารักษาอาการบาดเจ็บให้ศิษย์พี่ใหญ่

“ร่างกายบาดเจ็บ 70 เปอร์เซ็นต์ แผลกระบี่มีพิษ เป็นพิษผสมที่ซับซ้อน เจ้านายไม่ต้องกังวล แม้พิษประเภทนี้วุ่นวาย แต่ฉันแก้ได้ แต่ตันเถียนของเขาดูไม่มั่นคง ต้องใช้เวลาดูแลระยะหนึ่ง แต่ไม่น่าจะมีปัญหาต่อชีวิต พิษยังไม่โจมตีหัวใจ แต่ถ้านานกว่านี้จะพูดยาก”

ไอ้เก้าพูดไม่หยุด เปลี่ยนปราณชี่ของลู่ฝานเป็นพลังสีเขียวเพื่อรักษา ใส่เข้าไปในตัวศิษย์พี่ใหญ่

เห็นได้ด้วยตาเปล่า พิษสีดำถูกขับออกมาเป็นสาย หลังจากนั้นเข้าไปในมือลู่ฝานทั้งหมด มือลู่ฝานแทบจะดำไปทั้งมือ

“นี่ใครเป็นคนทำ ใครทำ”

หานเฟิงตะโกนออกมา

อาจารย์เต้ากวงถอนหายใจพูดว่า “เอี๋ยนชิงคณะหยินหยาง!”

เมื่อหานเฟิงได้ยินชื่อนี้ สีหน้าของเขาโหดเหี้ยมทันที “เขาอีกแล้ว แต่นี่เป็นไปไม่ได้ จากพละกำลังของเขา ไม่น่าจะสู้ศิษย์พี่ใหญ่ได้สิถึงจะถูก”

อาจารย์เต้ากวงพูดว่า “เดิมทีสู้ไม่ได้ แต่หลังจากการต่อสู้จัดอันดับของสถาบัน ไม่รู้ซิงยวนให้เขากินอะไร ไม่เพียงแต่รักษาอาการบาดเจ็บเขาจนหาย ยังทำให้วิทยายุทธของเขาเข้าสู่แดนปราณชีวิต อีกทั้งยังเชี่ยวชาญเคล็ดวิชาบู๊พิษที่ชั่วร้ายวิชาหนึ่ง จึงทำให้อู๋เหวยเป็นแบบนี้”

หานเฟิงถกแขนเสื้อ “ผมจะไปสั่งสอนเขา ไอ้หมอนี่รนหาที่ตาย!”

อาจารย์เต้ากวงรีบรั้งเขา แล้วพูดว่า “หานเฟิง นายอย่าวู่วาม”

ขณะนั้นลู่ฝานหันมาพูดว่า “อาจารย์เต้ากวง ทำไมศิษย์พี่ใหญ่ถึงไปหาเอี๋ยนชิงล่ะครับ”

อาจารย์เต้ากวงชะงักไป ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ลู่ฝาน ที่ศิษย์พี่ใหญ่ของนายทำทั้งหมด เพื่อระบายความโกรธของนาย”

ลู่ฝานพยักหน้า “ผมเข้าใจแล้ว ศิษย์พี่หานเฟิงอย่าวู่วาม”

หานเฟิงพูดเสียงดัง “ศิษย์น้องลู่ฝาน นายจะรั้งฉันเหรอ”

ลู่ฝานพูดว่า “เปล่า ผมจะบอกว่าคนที่จะไปแก้แค้นเอี๋ยนชิง ควรเป็นผมถึงจะถูก!”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 810
หลังผ่านไปไม่กี่วัน ที่สถาบันสอนวิชาบู๊

ล่างเขาอวิ๋นซาน ลู่ฝานถอนหายใจ “ในที่สุดก็กลับมาถึงแล้ว”

หานเฟิงที่อยู่ข้างๆ หัวเราะแล้วพูดว่า “ไม่รู้พวกศิษย์พี่ฉู่สิงกลับมาหรือยัง หรือพวกเราจะกลับมาเร็วสุด”

ทั้งสองคนเดินขึ้นไปบนเขา เจ้าดำโดดไปมาบนไหล่ทั้งสองคนไม่หยุด

หลิงเหยาไม่ได้เดินข้างทั้งสองคน เพราะกลับมาสถาบัน หลิงเหยาต้องกลับคณะสงบใจก่อน

ตอนนี้คนที่ตามหลังลู่ฝานคือศิษย์พี่หานเฟิง สิบสาม รวมไปถึงสุ่ยเชียนโหรว

ใช่แล้ว ผู้หญิงดื้อดึงคนนี้ตามพวกเขากลับมาสถาบันสอนวิชาบู๊

พูดขึ้นมาหลายวันมานี้สุ่ยเชียนโหรวก็ลำบากลำบนมาเยอะ

อันดับแรกคือเธอไม่มีเงินติดตัว

อาจเป็นเพราะนิสัยคุณหนูทำให้เป็นแบบนี้ เธอจึงไม่พกเหรียญทองติดตัว ขนาดบัตรผลึกหินยังไม่มีเลย

เธอคิดจะเอายาเม็ดจ่ายแทนเงิน แต่น่าเสียดาย คนทั่วไปในตลาด มีไม่กี่คนที่รู้จักยาเม็ด เห็นผมเผ้ายุ่งเหยิงกับเสื้อผ้ามอมแมมของเธอ ใครจะกล้าเชื่อเธอล่ะ ล้วนคิดว่าเธอเป็นบ้า

ดังนั้นตอนพวกลู่ฝานกินอะไรกันที่ตลาด เธอจึงทำได้เพียงมอง ตอนพวกลู่ฝานเข้าพักในโรงแรม เธอทำได้เพียงรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ข้างนอก

หลายครั้งที่หลิงเหยาจะช่วยเธอ แต่เธอก็ปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย

ลู่ฝานคิดมาตลอดว่าความเย่อหยิ่งที่ไม่จำเป็นแบบนี้ เป็นท่าทางที่น่าเศร้ามาก มีแต่ทำให้คนรู้สึกว่าทั้งน่าสงสารทั้งเกลียด

แม้กระทั่งตอนสุดท้ายที่พวกเขาจะนั่งนกปิดฟ้ากลับมา คนของหอฝึกสัตว์มองออกว่ายาเม็ดของเธอคือของจริง แลกเงินให้เธอไม่น้อยเลย

ตอนนั้นลู่ฝานกับหานเฟิง เห็นว่าสุ่ยเชียนโหรวเกือบร้องไห้จริงๆ

น้ำตาคลอเบ้า แต่สุดท้ายเธอก็กลั้นมันเอาไว้

นี่เป็นผู้หญิงที่ดื้อดึงจริงๆ

ลู่ฝานวิจารณ์สุ่ยเชียนโหรวครั้งสุดท้ายในใจ

ศิษย์พี่หานเฟิงแค่ส่งเสียงหึออกมา แสดงความคิดเห็นที่เขามีต่อสุ่ยเชียนโหรว

คณะหนึ่งเดียว ภูเขาเงียบสงบ

เมื่อเห็นบ้านไม้ที่คุ้นตา ลู่ฝานถอนหายใจอย่างโล่งใจ “ที่นี่ก็ยังคงดี”

ศิษย์พี่หานเฟิงยิ้มแล้วพูดว่า “ใช่ ด้านนอกและที่นี่สงบ ศิษย์พี่ฉู่สิง ศิษย์พี่ฉู่เทียน ศิษย์พี่ใหญ่ พวกพี่อยู่ไหนกัน”

หานเฟิงตะโกนเสียงดัง

สุ่ยเชียนโหรวกับสิบสามมองที่นี่อย่างสงสัย ที่เหนือความคาดหมายลู่ฝานคือ สุ่ยเชียนโหรวไม่ได้แสดงความเห็นอะไรกับที่นี่ และไม่มีสีหน้าไม่พอใจด้วย

นี่ทำให้ลู่ฝานตกใจเล็กน้อย

เมื่อเสียงตะโกนของหานเฟิงดังขึ้น อาจารย์เต้ากวงเดินออกมาก่อน

เมื่อเห็นลู่ฝานกับหานเฟิง อาจารย์เต้ากวงพูดด้วยสีหน้าตื่นเต้นดีใจ “พวกนายสองคนกลับมาเร็วมาก”

หานเฟิงหัวเราะแล้วพูดว่า “พวกศิษย์พี่ยังไม่กลับมาเหรอครับ ฮ่าๆ อาจารย์เต้ากวง ช่วงนี้เราใช้ชีวิตอย่างสนุกสนานมาก”

อาจารย์เต้ากวงพูดว่า “ความสนุกสนานที่พวกนายพูด ฉันพอจินตนาการได้ ลู่ฝาน เรื่องในตระกูลนายจัดการเรียบร้อยแล้วเหรอ”

ลู่ฝานพยักหน้าพูดว่า “จัดการเรียบร้อยแล้วครับ”

หานเฟิงพูดเสียงดังว่า “ไม่ใช่แค่จัดการแล้ว อาจารย์เต้ากวง พูดไปอาจารย์ก็ไม่เชื่อหรอก ศิษย์น้องลู่ฝานได้ป้ายผู้ตรวจการชั้นกลางแล้วนะ”

อาจารย์เต้ากวงพูดอย่างตกใจว่า “ใช่เหรอ ลู่ฝานนายได้ป้ายผู้ตรวจการชั้นกลางจริงเหรอ”

ลู่ฝานพยักหน้าเบาๆ แล้วเอาป้ายออกมา สีหน้าอาจารย์เต้ากวงปลาบปลื้ม เดินเข้ามารับป้ายเพื่อดูอย่างละเอียด

ดูพลางชมว่า “ลู่ฝาน นายเป็นคนที่สร้างปาฏิหาริย์เก่งจริงๆ ตอนนั้นฉันยังไม่ได้ป้ายนี้เลย”

ลู่ฝานพูดว่า “อาจารย์แค่ไม่ได้สนใจไปทำแค่นั้นเอง”

อาจารย์เต้ากวงคืนป้ายให้ลู่ฝานแล้วพูดว่า “นายไม่ต้องมาประจบฉัน ถ้าอี้ชิงรู้ว่านายผ่านการสอบผู้ตรวจการชั้นกลางแล้ว เขาต้องดีใจเหมือนกันแน่ๆ คณะหนึ่งเดียวของเรา มีคนมีชื่อเสียงสักที ต่อไปอย่างน้อยๆ นายต้องได้เป็นหัวหน้าเขต นี่เป็นตำแหน่งที่หลายคนไม่สามารถหามาได้ทั้งชีวิต”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 809
ลู่ฝานกับหานเฟิงก็ไม่มีทีท่าว่าจะให้เธอกินอาหาร ต่างคนต่างกิน ไม่นานเสือทั้งตัวก็เหลือแค่ชิ้นเดียว

หลิงเหยาเอาเนื้อชิ้นสุดท้ายขึ้นมา แล้วพูดว่า “ลู่ฝาน ให้เธอกินหน่อยไหม”

ลู่ฝานมองศิษย์พี่หานเฟิง หานเฟิงรีบพูดว่า “กินอะไรล่ะ เธอไม่ใช่พวกเดียวกับเรา ถ้ากินไม่ไหวแล้ว เดี๋ยวฉันช่วยกินเอง”

หลิงเหยาขมวดคิ้วพูดว่า “แต่ฉันคิดว่าเธอน่าสงสารมาก”

พูดพลาง หลิงเหยาลุกขึ้นเดินไปทางสุ่ยเชียนโหรว ยิ้มอบอุ่นแล้วพูดกับสุ่ยเชียนโหรวว่า “คุณหนูสุ่ยหิวแล้วใช่ไหม มากินเนื้อย่างสิ”

สุ่ยเชียนโหรวลืมตาขึ้น ใบหน้ายังคงเย็นชา

จู่ๆ สุ่ยเชียนโหรวปัดเนื้อในมือหลิงเหยาทิ้ง แล้วพูดเย็นชาว่า “ของข้างทางแบบนี้ เป็นอาหารคนเหรอ”

ลู่ฝานขมวดคิ้วเบาๆ หานเฟิงลุกขึ้นพูดว่า “เลว ผู้หญิงบ้า เธอไสหัวไปตอนนี้เลย รีบไปเลย จะฆ่าตัวตายก็ไปฆ่าตัวตายไกลๆ”

หลิงเหยาไม่ได้โกรธ รีบเก็บเนื้อขึ้นมาปัดฝุ่นด้านบน แล้วพูดว่า “ไม่กินก็อย่าทิ้งสิ เนื้อย่างดีขนาดนี้ น่าเสียดายแย่”

เมื่อพูดจบ หลิงเหยามองสุ่ยเชียนโหรว ความสงสารในแววตาทำให้สีหน้าสุ่ยเชียนโหรวไม่สู้ดีทันที

คำพูดของหานเฟิง เหมือนมีดแทงลงบนใจสุ่ยเชียนโหรว ทำลายความเย่อหยิ่งสุดท้ายของเธอจนแหลกเป็นผุยผง

สุ่ยเชียนโหรวตะโกนว่า “หานเฟิง นายอยากให้ฉันตายใช่ไหม ได้ ฉันจะพังพินาศไปพร้อมนาย!”

พูดจบ พลังปราณพุ่งขึ้นมาบนตัวสุ่ยเชียนโหรว เดิมทีเธอบาดเจ็บสาหัสอยู่แล้ว ฝืนเคลื่อนไหวพลังปราณ คือพยายามสุดกำลังแล้ว

“พอแล้ว!”

ลู่ฝานแผดเสียงเบาๆ แล้วใช้ปราณชี่

พลังฟ้าดินรอบๆ ถูกกำจัดออก ทำให้สุ่ยเชียนโหรวรู้สึกว่ารอบตัวมีเพียงความว่างเปล่าทันที

ลู่ฝานมองสุ่ยเชียนโหรวแล้วพูดว่า “คุณหนูสุ่ย เป็นคนอย่าทำอะไรเกินไป!”

ความอาฆาตในแววตาลู่ฝาน พลังอันแข็งแกร่งพุ่งเข้าไปในร่างกายอันอ่อนแอของสุ่ยเชียนโหรวกลางอากาศ

สีหน้าสุ่ยเชียนโหรวเปลี่ยนไป เหมือนนึกถึงคำพูดที่ลู่ฝานข่มขู่เธอเมื่อคืนขึ้นมาได้ เธอถอยหลังอัตโนมัติ

ลู่ฝานเก็บปราณชี่ ตบไหล่ศิษย์พี่หานเฟิงแล้วพูดเบาๆ ว่า “ศิษย์พี่หานเฟิง ไม่จำเป็นต้องเอาตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้อง”

หานเฟิงยังดูหงุดหงิด เขากัดฟันกำหมัด จู่ๆ ก็นั่งลง

หลิงเหยายื่นเนื้อย่างให้สิบสาม แล้วพูดว่า “เอาสิ นายกินเยอะๆ หน่อย นายไม่ได้จะไม่เอาใช่ไหม”

สิบสามยื่นมือสองข้างออกมารับอย่างนอบน้อม

ลู่ฝานคือเจ้านายของเขา หลิงเหยากับลู่ฝานมีความสัมพันธ์ดีขนาดนี้ ต่อไปต้องเป็นนายหญิงของเขาแน่นอน สิบสามจะไม่เคารพได้อย่างไร เขาเป็นคนพูดน้อย แต่ไม่ใช่คนโง่

เมื่อรับเนื้อย่างมา สิบสามเคี้ยวคำใหญ่ พูดตามตรง หลายปีมานี้อันที่จริงเนื้อย่างนี้เป็นของอร่อยที่สุด เขาไม่ได้บอกลู่ฝาน หลายปีมานี้ว่าเขาใช้ชีวิตอย่างไรในสำนักชุดแดง

เจ้าดำยิ้มยิงฟันมองสิบสาม สำหรับมัน คนที่ชอบกินอาหารที่มันทำ ล้วนเป็นคนที่ใช้ได้

สิบสามเห็นท่าทางของเจ้าดำ ก็พูดเบาๆ ว่า “อร่อย!”

เจ้าดำมีสีหน้าประมาณว่านายอยู่เป็น ยื่นกรงเล็บออกมาลูบหัวสิบสาม

สิบสามไม่ได้โกรธ กัดเนื้อย่างกินต่อไป คนและสัตว์ดูอบอุ่นเป็นอย่างมาก

สุ่ยเชียนโหรวนั่งลงอีกครั้ง มีเลือดสดไหลออกมาตรงมุมปาก ความวู่วามเมื่อกี้ ทำให้อาการบาดเจ็บของเธอสาหัสขึ้น

เธอเอายาออกมากรอกใส่ปาก แต่ก็ทำได้เพียงบรรเทาอาการปวด

ทันใดนั้น ท้องของเธอร้องโครกคราก สุ่ยเชียนโหรวกัดฟัน แล้วหลับตาลงอีกครั้ง

เธอไม่มีทางยอมรับหรอกว่าตัวเองหิวนานแล้ว เธอไม่ยอมรับหรอกว่าตอนนี้ตัวเองยังเทียบกับคนธรรมดาไม่ได้เลย

ลู่ฝานหูขยับเล็กน้อย เหมือนได้ยินความเคลื่อนไหวบางอย่าง

แต่เขาไม่พูดหรอก ในเมื่อผู้หญิงที่ถึงตายก็จะรักษาหน้าไว้อย่างนี้ ยอมเป็นแบบนี้ ก็ให้เธอทำแบบนี้ต่อไป

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 808
ลู่ฝานฉีกยิ้มมองศิษย์พี่หานเฟิง ตอนนี้เขาแน่ใจแล้วว่าสองคนนี้ต้องมีเรื่องอะไรที่บอกคนอื่นไม่ได้แน่นอน

สุ่ยเชียนโหรวเดินเข้ามา “หานเฟิง เป็นลูกหลานตระกูลหาน นายหลบฉันแบบนี้ไม่ดีเท่าไรมั้ง อีกทั้งระหว่างเราสองคน มีเรื่องแต่งงานติดตัวอยู่ นายคงไม่ได้ลืมเรื่องนี้ใช่ไหม”

“เรื่องแต่งงานเหรอ”

ลู่ฝานกับหลิงเหยาพูดอย่างตกใจ

หานเฟิงตะโกนเสียงดังว่า “ฉันไม่มีเรื่องแต่งงานกับเธอ นั่นเป็นเรื่องที่ตาแก่ตระกูลฉันจัดการ ฉันไม่ยอม ใครจะแต่งกับคนบ้าอย่างเธอ เธอเลิกเอาเรื่องนี้มาพูดได้แล้ว”

สุ่ยเชียนโหรวพูดด้วยแววตาเย็นชา “ฉันก็ไม่ยอมเหมือนกัน ใครจะแต่งกับสุนัขขี้ขลาด สวะแล้วก็เลวแบบนาย”

ลู่ฝานเอียงตัวออกช้าๆ คำด่าเป็นชุดของสุ่ยเชียนโหรว ทำให้ลู่ฝานคิดถึงฝีมือการด่าคนของศิษย์พี่หานเฟิงเป็นอันดับแรก

เขาให้ศิษย์พี่หานเฟิงโจมตีกลับเองดีกว่า

น่าเสียดาย สิ่งที่ทำให้ลู่ฝานผิดหวังคือ ศิษย์พี่หานเฟิงไม่ด่ากลับ ทำเพียงแค่ชี้สุ่ยเชียนโหรวแล้วพูดว่า “ฉันไม่สนคนความรู้ตื้นเขินของผู้หญิงบ้าแบบเธอหรอก เธออย่ามาขวางทางฉัน ฉันจะไปแล้ว ศิษย์น้องลู่ฝาน เรารีบไปกันเถอะ เธอไม่มีพละกำลังแล้ว ตามเราไม่ทันหรอก”

สุ่ยเชียนโหรวเห็นหานเฟิงจะหนี จึงตะโกนว่า “หานเฟิง ถ้านายหนีตอนนี้ ฉันจะฆ่าตัวตาย ให้คนตระกูลฉันเห็นนายหนีผ่านอักษรยันต์”

หานเฟิงชะงักฝีเท้าลงทันที โมโหจนหน้าซีด “คนบ้าอย่างเธอจะเอายังไงกันแน่”

สุ่ยเชียนโหรวส่งเสียงหึอย่างเย็นชา “ง่ายมาก ส่งฉันกลับเมืองหลวง ตอนนี้ฉันบาดเจ็บสาหัส สัตว์อสูรสักตัวฉันก็สู้ไม่ได้ องครักษ์หญิงก็ตายหมดแล้ว นายต้องปกป้องไม่ให้ฉันได้รับบาดเจ็บ ส่งฉันกลับตระกูลสุ่ยอย่างปลอดภัย”

สุ่ยเชียนโหรวเชิดหน้าขึ้น มองหานเฟิงอย่างเย่อหยิ่ง

แต่ลู่ฝานเห็นในแววตาเป็นประกายของสุ่ยเชียนโหรว ตอนนี้เธอไม่มีท่าทางของคนเย่อหยิ่งอะไรแล้ว แค่เหมือนสิงโตตัวเมียที่ได้รับบาดเจ็บ และดึงดันปกป้องศักดิ์ศรีสุดท้ายของตัวเอง

หานเฟิงกัดฟันพูดว่า “เธอฝันไปเถอะ!”

พูดจบ หานเฟิงเดินไปข้างหน้า

ลู่ฝานดึงหลิงเหยาเดินตามหานเฟิงไป

หลิงเหยาถามลู่ฝานเบาๆ ว่า “ลู่ฝาน นายว่าพวกเขาเป็นอะไรกัน”

ลู่ฝานพูดว่า “ความสัมพันธ์แบบไม่ชัดเจน อาจซับซ้อนกว่าที่เราจินตนาการไว้”

สิบสามไม่พูดอะไร เดินตามไปเงียบๆ แค่ตั้งแต่ต้นจนจบ เขาไม่มองสุ่ยเชียนโหรวเลย

สุ่ยเชียนโหรวกัดฟัน เงียบอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็เดินตามมา

ลู่ฝานหันมามองสุ่ยเชียนโหรว แล้วพูดกับหานเฟิงว่า “ศิษย์พี่หานเฟิง พี่คิดยังไงกันแน่”

หานเฟิงพูดว่า “จะคิดยังไงได้อีก แน่นอนว่าหลบได้ไกลแค่ไหนยิ่งดี”

ลู่ฝานส่ายหน้า ยิ้มแล้วพูดว่า “เหมือนจะไม่ใช่นะ ถ้าพี่อยากหลุดพ้นจากเธอจริง คงไม่เดินช้าขนาดนี้หรอก”

หานเฟิงเงียบอยู่นาน จึงพูดว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน ถ้าเธอเป็นอะไรก่อนที่ยังไม่เจอฉัน ก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับฉัน แต่ตอนนี้ถ้าเธอเป็นอะไรหลังจากเจอฉัน ฉันจบเห่แน่ นายเคยเห็นไข่ไก่ที่โดนคนเหยียบจนเละหรือเปล่า ฉันคงเป็นแบบนั้นแหละ”

ลู่ฝานพยักหน้าพูดว่า “งั้นให้เธอตามมาสิ”

หานเฟิงถอนหายใจ สุดท้ายจึงพยักหน้าอย่างทำอะไรไม่ได้

……

พระอาทิตย์ตก ดวงจันทร์ลอยขึ้นมา พริบตาเดียวก็ค่ำแล้ว

ยังหาตลาดไม่เจอ คืนนี้พวกลู่ฝานทำได้เพียงพักในป่า

สิบสามรับผิดชอบดูแลเรื่องอาหาร เจ้าดำย่างเนื้อ ไม่นานอาหารเย็นมื้อใหญ่ก็เตรียมต่อไป

พวกลู่ฝานนั่งล้อมวงกันกินอาหารเงียบๆ ข้างกองไฟ ฝีมือการทำอาหารของเจ้าดำยังดีเหมือนก่อน หลิงเหยาชมไม่หยุดปาก สิบสามกินจนหน้าตาอิ่มเอมใจ กินอย่างตะกละตะกลาม

มีเพียงสุ่ยเชียนโหรวที่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้คนเดียว หลับตาไม่สนใจใคร

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 807
เขาเหมือนเงาเงาหนึ่งจริงๆ ลู่ฝานถามหลิงเหยาเบาๆ ว่า “พาองครักษ์กลับสถาบันได้ใช่ไหม”

หลิงเหยาครุ่นคิดแล้วพูดว่า “คณะสงบใจของฉันน่ะได้อยู่แล้ว แต่คณะหนึ่งเดียวของพวกนาย ฉันไม่รู้ พวกศิษย์พี่นายมีองครักษ์หรือเปล่า”

ลู่ฝานลูบคางแล้วพูดว่า “เหมือนจะไม่มีนะ ช่างเถอะ กลับสถาบันแล้วค่อยถาม ถ้าไม่ได้จริงๆ ฉันก็ส่งเขากลับบ้านเกิด”

ลู่ฝานคิดว่าหมอนี่ความสามารถไม่เลว เอากลับไปเป็นองครักษ์เฝ้ายามน่าจะไม่เลว

เมื่อบอกลาคุณย่า ลู่ฝานกับหลิงเหยาพาสิบสามเดินออกไป

ที่ด้านนอก เหมือนศิษย์พี่หานเฟิงกับเจ้าดำรอจนหงุดหงิดแล้ว คนกับสัตว์กำลังแย่งน่องไก่หนึ่งอัน ไม่มีใครยอมปล่อยมือ

ลู่ฝานเข้าไปดึงน่องไก่มา เดินพลางกัดน่องไก่ “ศิษย์พี่หานเฟิงไม่บอกลาสุ่ยเชียนโหรวเหรอ”

หานเฟิงได้ยินชื่อสุ่ยเชียนโหรว ก็พูดด้วยสีหน้ารังเกียจว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน นายนี่พูดในสิ่งที่ไม่ควรพูด เพราะผู้หญิงคนนี้ยังอยู่ที่นี่ ฉันจึงไม่อยากอยู่ ฉวยโอกาสตอนเธอยังไม่เห็นฉัน เรารีบกลับกัน ตอนนี้เธอบาดเจ็บ อีกทั้งไม่มีใครดูแล สมน้ำหน้าแล้วที่เธอซวย ฮ่าๆ ฉันจินตนาการว่าต่อไปเธอจะทรมานขนาดไหน ก่อนที่เธอจะหาคนของสิบตระกูลใหญ่คนอื่นเจอ เธอคงโดนคนกลั่นแกล้งจนตาย หึหึ ตายไปก็ดี ตายไปเรื่องอื่นจะได้จบไปด้วย”

ศิษย์พี่หานเฟิงสีหน้าสะใจ ลู่ฝานสงสัยว่าเขาเคยโดนสุ่ยเชียนโหรวกลั่นแกล้งมาหรือเปล่า

แต่เรื่องพวกนี้ไม่เกี่ยวกับเขา ลู่ฝานขี้เกียจถาม กลุ่มคนเดินออกจากเมืองหยุนไห่

กำแพงเมืองพังเสียหาย ตอนเดินออกจากประตูเมือง ลู่ฝานหันไปมองทางเขาอวี่ฮั่ว

ที่นั่นไม่มียอดเขาสูงแล้ว เหลือเพียงเศษหินเต็มพื้น รวมไปถึงศพมากมายท่ามกลางเศษหิน

ผู้ฝึกชี่ นักบู๊ ยาเม็ด สมุนไพรตั้งเท่าไรกองอยู่ในนั้น

พวกผู้ฝึกชี่ นักบู๊ที่ออกไปก่อน ส่วนใหญ่ไปขุดหินที่เขาอวี่ฮั่วแล้ว

เอาศพเพื่อนตัวเองกลับมาก็ดี เอาทรัพย์สินของคนตายมาก็ดี เพราะที่นั่นคึกคักเป็นอย่างมาก

ลู่ฝานถอนหายใจแล้วพูดว่า “ตลาดหม้อยาที่ดีมาก พังทลายไปแบบนี้ ต่อไปถ้าอยากซื้อยาจะไปที่ไหนล่ะ”

หานเฟิงพูดว่า “ไปเขตอื่นสิ วางใจเถอะ แม้ผู้ฝึกชี่บนโลกนี้ไม่เยอะ แต่ก็ไม่น้อย ศิษย์น้องลู่ฝาน รอมีเวลา ฉันจะพานายกลับเมืองหลวง ให้นายได้สัมผัสด้วยตัวเองว่าอะไรคือความรุ่งเรือง หาร้านไหนก็สามารถซื้อยาได้”

ลู่ฝานหัวเราะเบาๆ เมืองหลวงเหรอ เขาอยากไปดูจริงๆ

การแข่งนานาประเทศอะไรนั่นด้วย เขาอยากไปเปิดหูเปิดตาสักครั้ง

“ถ้ามีโอกาส ต้องมีโอกาสแน่นอน”

ลู่ฝานหัวเราะแล้วเอ่ยขึ้น

เขายังไม่รู้ว่าตอนนี้คำสั่งให้เขาเข้าเมืองหลวง กำลังอยู่ระหว่างทาง อีกทั้งชื่อของเขายังปรากฏอยู่บนท้องพระโรง

ลู่ฝานละสายตาออกมา พวกลู่ฝานเดินต่อไปเรื่อยๆ

สิ่งที่พวกเขาต้องทำตอนนี้ ต้องหาหอฝึกสัตว์ที่ตลาดใกล้เมืองหยุนไห่ที่สุด เพื่อเอานกปิดฟ้ากลับไป

ศิษย์พี่หานเฟิงฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี แต่ขณะนั้นเงาใครคนหนึ่ง ปรากฏตัวตรงหน้าพวกเขา

ผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อยับยู่ยี่ ตาจ้องเขม็งมาที่หานเฟิง

“ไอ้เลว!”

คนที่มาไม่ใช่ใคร คือสุ่ยเชียนโหรว ไม่เจอคืนเดียว เธอดูทุเรศทุรังมาก

หานเฟิงตกใจจนสะดุ้งโหยง หลบหลังลู่ฝานทันที

“เธอไม่เห็นฉัน เธอไม่เห็นฉัน!”

ลู่ฝานสีหน้ากลุ้มใจ “ศิษย์พี่หานเฟิง พี่เหมือนเด็กขึ้นทุกวันแล้ว”

สุ่ยเชียนโหรวเดินเข้ามา กัดฟันพูดว่า “หานเฟิง นายกล้าหลบฉัน ฉันรู้ว่าเสียงเมื่อคืนคือนาย เสียงนาย ถึงฉันไม่มีหู ฉันก็ไม่มีทางฟังผิด”

ลู่ฝานพูดเบาๆ กับหานเฟิง “ศิษย์พี่หานเฟิง พี่กับเธอมีความแค้นกันใหญ่แค่ไหน”

หานเฟิงพูดว่า “หุบปาก”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 806
คุณย่าไม่พูดอะไร ทำเพียงมองลู่ฝานเงียบๆ รอยยิ้มมุมปากไม่หายไป

ลู่ฝานเห็นคุณย่ามีท่าทางแบบนี้ เริ่มมั่นใจกับการคาดเดาในใจ

“คุณย่า คนนั้นเป็นคุณย่าเหรอ”

ลู่ฝานไม่อ้อมค้อม ถามออกมาตรงๆ

ในที่สุดคุณย่าพูดออกมาว่า “เรื่องบางเรื่อง นายไม่จำเป็นต้องถาม”

ลู่ฝานพยักหน้าเข้าใจ การคาดเดาในใจแปรเปลี่ยนเป็นความแน่ใจ ความเลื่อมใสมากมายผุดขึ้นในใจลู่ฝานทันที

ผู้แข็งแกร่งที่เข้าสู่แดนอยู่ข้างเขา ลู่ฝานอยากเอาวิชาหนึ่งเดียวแดนไกลโพ้นเล่มนั้น ออกมาให้อีกฝ่ายสอนให้ตอนนี้เลย

แต่ต่อมาคุณย่ายิ้มแล้วพูดว่า “แต่ในเมื่อถามแล้ว งั้นฉันจะบอก ฉันเป็นแค่คนพิการ”

ลู่ฝานอึ้งไป พูดอย่างสงสัยว่า “อย่าบอกนะว่าไม่ใช่คุณย่า”

คุณย่าพยักหน้า แล้วส่ายหน้า ยิ้มแต่ไม่พูดอะไร

ลู่ฝานสับสนไปหมดแล้ว แต่คุณย่ากลับหัวเราะอย่างมีความสุข เหมือนนี่คือสิ่งที่เธอต้องการ

ไม่นานหลิงเหยาวิ่งกลับมา แต่มีคนหนึ่งตามเธอกลับมาด้วย

สิบสาม!

ขอบตาดำคล้ำ ร่างกายซูบผอม เสื้อผ้าขาด สิบสามเดินกลับมากับหลิงเหยา

“ลู่ฝาน เขามาหานาย”

หลิงเหยาเอ่ยขึ้น

ลู่ฝานเดินเข้ามา มองสิบสามอย่างละเอียด

ทันใดนั้น ลู่ฝานพบว่าอักษรยันต์บนตัวสิบสามหายไปแล้ว

ลู่ฝานพูดว่า “ตอนนี้นายน่าจะรู้ว่าเจ้าสำนักชุดแดงของพวกนายเป็นมารใช่ไหม”

สิบสามพยักหน้าช้าๆ

ลู่ฝานพูดต่อ “ลายมารบนตัวนายหายไปแล้ว แสดงว่ามารตัวนั้นไม่ได้ควบคุมนายแล้ว ตอนนี้นายเป็นอิสระ”

สิบสามเงยหน้ามองลู่ฝาน จากนั้นก็พยักหน้าเบาๆ อีก

ลู่ฝานขมวดคิ้วพูดว่า “ฉันเคยรับปากนาย แค่นายเข้าร่วมการต่อสู้ ฉันจะปล่อยนาย นายไม่ต้องกังวลว่าฉันจะแก้แค้นนาย ถ้าฉันจะฆ่านาย ฉันฆ่าไปนานแล้ว”

สิบสามพูดออกมาว่า “ผมรู้”

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “งั้นตอนนี้นายมาบอกลาฉันเหรอ ตอนผู้ฝึกชี่แซ่ทางอะไรนั่นไป ไม่เห็นบอกลาฉันเลย ดูเหมือนนายจิตใจดีกว่าเขานะ”

สิบสามพูดว่า “ไม่ ผมตามนาย”

คำพูดสั้นๆ ทำให้ลู่ฝานตกใจ ฟังความหมายของสิบสาม เหมือนอยากตามเขาไปด้วย

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “นายอยากติดตามฉันเหรอ ทำไมล่ะ”

“นายแข็งแกร่งมาก!”

สิบสามมองลู่ฝานด้วยแววตาเป็นประกาย

ลู่ฝานตลกเขา ดูเหมือนหมอนี่ก็คิดว่ากระบี่นั่นเป็นฝีมือเขาเหมือนกัน

ลู่ฝานหันมามองคุณย่า ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร

สิบสามพูดว่า “ผมไม่รู้การใช้ชีวิต”

คำพูดของสิบสาม ทำให้รอยยิ้มบนหน้าลู่ฝานหายไป เขาฟังความเจ็บปวดที่อยู่ในคำพูดสิบสามออก

“ไม่รู้การใช้ชีวิต”

ลู่ฝานพึมพำออกมา

จู่ๆ เสียงของคุณย่าดังขึ้นด้านหลัง

“ลู่ฝาน ฉันคิดว่าเด็กนี่ไม่เลว ในเมื่อเขายอมตามนายไป นายก็รับเขาไว้สิ มีคนติดตาม เป็นองครักษ์ก็ไม่เลวนะ”

ลู่ฝานมองหลิงเหยาแล้วพูดว่า “เธอคิดว่าไง”

หลิงเหยาแลบลิ้นน่ารักแล้วพูดว่า “แล้วแต่นายสิ”

ลู่ฝานเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นมองสิบสามแล้วพูดว่า “ฉันให้นายตามฉันไปได้ แต่ถ้านายมีเจตนาไม่ดี ฉันจะฆ่านายอย่างไม่ลังเล ฉันไม่ลืมว่านายเป็นลูกน้องของคนที่ฝึกฝนชั่วร้าย ฉันไม่สามารถไว้ใจนายได้ร้อยเปอร์เซ็นต์”

สีหน้าของสิบสามไม่เปลี่ยนแปลง คุกเข่าตรงหน้าลู่ฝาน จากนั้นหมอบลงกับพื้น ทำความเคารพลู่ฝานอย่างยิ่งใหญ่แล้วพูดว่า “เจ้านาย!”

ลู่ฝานอึ้งไป เขาเป็นนักบู๊ แม้จะเคารพอาจารย์ที่สุด แต่ก็ไม่เคยทำความเคารพยิ่งใหญ่ขนาดนี้

คุณย่าอมยิ้มแล้วพยักหน้าอยู่ด้านหลัง ขยับนิ้วมือเบาๆ เหมือนกำลังนับนิ้วทำอะไรสักอย่าง จากนั้นรอยยิ้มบนใบหน้ากว้างขึ้น

“แค่กๆ ลุกขึ้นเถอะ”

ลู่ฝานพูดกับสิบสาม

เมื่อได้ยินคำพูดของลู่ฝาน สิบสามจึงลุกขึ้น ยืนด้านหลังลู่ฝานอย่างนอบน้อม

บทที่ 805

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 805
ลู่ฝานไม่สนใจเรื่องพวกนี้ เพราะผลแบบนี้ คือสิ่งที่เขาต้องการ เขายื่นมือไปหาสุ่ยเชียนโหรวแล้วพูดว่า “คุณหนูสุ่ยเชียนโหรว เอาวิชาหนึ่งเดียวแดนไกลโพ้นมาได้หรือยัง”

สีหน้าสุ่ยเชียนโหรวเปลี่ยนไป เดิมทีเธอไม่คิดจะให้ลู่ฝาน รอปลดผนึกได้ เธอก็จะหนีทันที

ส่วนเรื่องสัญญาเหรอ หึหึ หงส์จะสนใจคำสัญญาของไก่ป่าเหรอ

แต่ตอนนี้ เรื่องราวกลับตาลปัตร

หงส์อย่างเธอบินไม่ได้แล้ว อีกทั้งขนยังร่วงจนหมด ไม่มีอะไรเลย ใครก็สามารถมาเหยียบได้

อะไรที่เรียกว่าหงส์ที่ขนร่วง ยังสู้ไก่ไม่ได้ เธอคิดจะเบี้ยว แต่อีกฝ่ายจะให้เธอเบี้ยวไหม เธอหนีได้ไหม

สุ่ยเชียนโหรวจนปัญญาจริงๆ เธอกัดฟันเอาวิชาหนึ่งเดียวแดนไกลโพ้นออกมาจากป้ายหยก

ลู่ฝานรับมานิ่งๆ

นี่เป็นหนังสือเก่าโบราณ กลิ่นความเก่าลอยออกมาจากหนังสือ

เมื่อเปิดหน้าแรก สิ่งที่ปรากฏในสายตา คืออักษรขนาดใหญ่คำว่าแดนไกลโพ้น

หลังจากนั้น เงาและแสงกระบี่เป็นแถบ พุ่งเข้ามาในหัวลู่ฝาน ราวกับในหัวของเขากลายเป็นสถานที่ต่อสู้ในที่รกร้างว่างเปล่า คนมากมายไล่ฆ่าฟันกันอยู่ในนั้น

“ผู้ที่อยู่แดนไกลโพ้น จิตใจอยู่ใต้หล้า เท้าเหยียบแม่น้ำ ใช้ใจสัมผัสสรรพสิ่ง ใช้สรรพสิ่งดับจิตใจ ร่างกายคงอยู่ มีความคิด แม้หมื่นคนประจันหน้า แต่ใจอยู่ที่รกร้างว่างเปล่า เพื่อแดนไกลโพ้น……”

ในหัวของลู่ฝานมีคำพูดออกมา คำพูดแต่ละคำเหมือนวิชากระแทกบนตัวเขา

ทันใดนั้น ลู่ฝานเก็บม้วนหนังสือ ตอนนี้ไม่ใช่โอกาสดีที่เขาจะฝึกฝน

ลู่ฝานสูดหายใจลึก ลู่ฝานมั่นใจได้ว่านี่คือของจริง

ตั้งแต่ไม่มีวิชา แค่เขามองแวบเดียว ก็สามารถสัมผัสได้ถึงสิ่งเล็กน้อยของตัวเอง

วิชาระดับฟ้า นี่คือวิชาระดับฟ้าในตำนาน

วิชาที่คนตั้งเท่าไรใฝ่ฝันหา ตอนนี้อยู่ในเข็มขัดของเขา ความรู้สึกนี้มันดีจริงๆ!

ลู่ฝานยิ้มแล้วมองสุ่ยเชียนโหรว “คุณหนูสุ่ย ผมขอตัวกลับก่อน คืนนี้คุยกับเธอมีความสุขมาก!”

สุ่ยเชียนโหรวกัดฟัน พูดอะไรไม่ออก ตอนนี้เธอกลัวว่าถ้าตอนนี้พูดอะไรออกมา ลู่ฝานจะเอาของที่เหลือบนตัวเธอไป

หานเฟิงมองภาพนี้อย่างตกตะลึง หลังจากนั้นหัวเราะออกมา

อาจเป็นเพราะเสียงหัวเราะของเขาดังเกินไป ลู่ฝานกับสุ่ยเชียนโหรวพากันหันมามองทางเขา

หานเฟิงรีบเอามือปิดปาก แล้วหายไปจากตรงนั้นทันที

ลู่ฝานยิ้มบางๆ แล้วพูดเบาๆ ว่า “ศิษย์พี่หานเฟิง!”

เมื่อพูดจบ ลู่ฝานเดินฮัมเพลงออกไป

สีค่ำคืนนี้ช่างงดงามเป็นพิเศษ ดวงจันทร์วันนี้ช่างกลมเป็นพิเศษ!

วันต่อมา ลู่ฝานพาหลิงเหยาไปบอกลาคุณย่า พวกเขาจะออกจากเมืองหยุนไห่ กลับสถาบันแล้ว

อยู่เมืองหยุนไห่ต่อ ก็ไม่มีอะไรทำ สิ่งสำคัญคือศิษย์พี่หานเฟิงเอาแต่บ่นว่าให้รีบกลับ ราวกับว่ามารพวกนั้นจะกลับมาฆ่าอย่างไรอย่างนั้น

“คุณย่า นี่คือเงินให้คุณย่า
หลิงเหยาพูดไม่หยุด เหมือนลูกสะใภ้ต้องออกจากบ้านไปไกล
ลู่ฝานยืนมองอยู่ข้างๆ ศิษย์พี่หานเฟิงพาเจ้าดำมารอหน้าประตูนานแล้ว หันหน้ามามองเป็นระยะ
เหมือนหลิงเหยานึกอะไรได้ ลุกขึ้นพูดว่า “เดี๋ยวก่อน ฉันจำได้แล้ว ในบ้านฉันยังมีเหรียญทองเก็บไว้ เดี๋ยวฉันไปเอามันออกมา”
หลิงเหยาวิ่งไปข้างนอกด้วยความดีใจ ลู่ฝานขี้เกียจรั้งเธอ สำหรับเด็กผู้หญิงที่กลัวความจนตั้งแต่เด็กแบบเธอ ไม่มีทางลืมเหรียญทองไม่กี่เหรียญแน่นอน
คุณย่ายิ้มจนตาหยี เมื่อหลิงเหยาออกไป คุณย่าพูดกับลู่ฝานว่า “อย่าลืมสิ่งที่ฉันพูดกับนายครั้งก่อน”
ลู่ฝานพยักหน้าเบาๆ ความจำของเขาไม่เลว ไม่มีทางลืมเรื่องแบบนี้หรอก
จู่ๆ จิตใจวูบไหว ลู่ฝานมองคุณย่าแล้วถามว่า “คุณย่ารู้เรื่องที่มารโดนฟันด้วยกระบี่เดียว เมื่อวันนั้นหรือเปล่า”

หานเฟิงเตรียมโผล่หน้าออกไป แต่ขณะนั้นเขาเห็นศิษย์น้องลู่ฝานหัวเราะขึ้นมา

ยกยิ้มมุมปากซ้าย หรี่ตาลงเล็กน้อย ดีดนิ้วมือสองสามทีอย่างไม่รู้ตัว

หานเฟิงเคยเห็นรอยยิ้มแบบนี้ของศิษย์น้องลู่ฝาน ทุกครั้งที่ศิษย์น้องลู่ฝานคิดร้าย หรือมองออกว่าคนอื่นคิดร้าย มักจะยิ้มแบบนี้

อย่าบอกนะว่าศิษย์น้องลู่ฝานมองออกแล้ว

ลู่ฝานมองออกอยู่แล้ว แม้ตอนสุ่ยเชียนโหรวพูดจะตั้งใจทำแววตาล่องลอย ไม่สามารถสบตาได้ แต่ลู่ฝานฟังความเปลี่ยนแปลงในน้ำเสียงของอีกฝ่ายออก

ลู่ฝานยกมือให้สุ่ยเชียนโหรวแล้วพูดว่า “แบบนี้ยิ่งดี งั้นผมช่วยเธอปลดผนึก”

มุมปากสุ่ยเชียนโหรวมีรอยยิ้มทันที ลู่ฝานเห็นอย่างชัดเจน

ทันใดนั้น เงาของเจดีย์เสวียนเก้ามังกรปรากฏบนฝ่ามือลู่ฝาน ปราณชี่ในตัวโดนเจดีย์เสวียนเก้ามังกรดูดไปครึ่งหนึ่ง กลายเป็นเข็มเล่มบาง พุ่งออกไปจากฝ่ามือเขา

ชิ้ง!

เสียงดังชัดเจน เหมือนเข็มที่ก่อตัวจากปราณชี่เล่มนั้น แทงถูกของแข็งบางอย่าง หลังจากนั้นที่ว่างด้านหน้าสุ่ยเชียนโหรวเริ่มแกว่งไปมา

แสงค่ายกลเลือนรางลึกลับปรากฏขึ้น จากนั้นทลายลงอย่างรวดเร็ว ลู่ฝานมองค่ายกลที่พังลงก็แอบตกใจ นี่เป็นค่ายกลของยอดฝีมือระดับอริยปราชญ์งั้นเหรอ

ถ้าให้เขาเป็นคนวาด เดือนนึงก็คงไม่เสร็จ!

ตอนค่ายกลพังจนถึงส่วนสุดท้าย พลังมหาศาลระเบิดออกมา

ลู่ฝานรู้สึกถึงแรงดัน ผลักเขาออกไปไกล ส่วนสุ่ยเชียนโหรวร้องออกมาอย่างเจ็บปวด แล้วทรุดลงกับพื้น

เสียงแตกดังขึ้น พื้นเป็นรอยร้าว ทรายละเอียดไหลลงมาจากตัวสุ่ยเชียนโหรว พลังรุนแรง ทำให้หินบนพื้นกลายเป็นผุยผง

มีอักษรยันต์สว่างขึ้นบนตัวสุ่ยเชียนโหรว หลังจากนั้นพลังบริสุทธิ์ออกมาจากท้องของเธอ

ดูเหมือนเธอไม่ได้โกหก เรื่องที่มีอักษรยันต์อยู่บนตัวเธอ

ลู่ฝานแอบตกใจ การสัมผัสถึงพลังแบบกะทันหัน เกือบทำให้ปราณชี่ของเขาพังทลาย

พลังฟ้าดิน เป็นพลังฟ้าดินของอริยปราชญ์

อย่าบอกนะว่าแดนอริยปราชญ์ก็เรียกว่าแดนฟ้าดิน มือเดียวเปลี่ยนฟ้าดินจริงๆ

ลู่ฝานสูดหายใจลึก จัดการสภาวะของตัวเอง เดินมาข้างสุ่ยเชียนโหรวแล้วพูดว่า “ยินดีด้วย ตอนนี้เธอขยับได้แล้ว”

สุ่ยเชียนโหรวดูเหมือนไม่เต็มใจนอนอยู่ตรงหน้าลู่ฝานแบบนี้ เธอพยายามสุดแรง ค่อยๆ ยืนขึ้นมา เหงื่อไหลออกมาบนหน้าเหมือนน้ำตก

“นายทำอะไรใส่ฉัน”

สุ่ยเชียนโหรวสั่นไปทั้งตัวแล้วพูดออกมา

ลู่ฝานพูดว่า “ผมไม่ได้ทำอะไรเธอเลย แค่วิธีที่ผมฝืนทำลายผนึก กระตุ้นการแว้งกัดของพลังฟ้าดินข้างใน เรื่องแบบนี้ ลูกหลานตระกูลสุ่ย ความรู้กว้างขวางแบบเธอ น่าจะรู้ดีกว่าผมถึงจะถูก”

ลู่ฝานใช้แค่คำพูดธรรมดาๆ ปิดกั้นความสงสัยทั้งหมดของสุ่ยเชียนโหรว

แน่นอนว่าคนเย่อหยิ่งอย่างสุ่ยเชียนโหรว ไม่มีทางยอมรับว่าตัวเองรู้น้อยกว่าลู่ฝาน

ในสายตาเธอ ลู่ฝานเป็นเพียงนักบู๊สวะที่มาจากเมืองเล็กๆ ที่ห่างไกลผู้คน จะรู้มากกว่าคุณหนูใหญ่อย่างเธอได้ยังไง

สุ่ยเชียนโหรวสัมผัสถึงตันเถียนที่โดนก่อกวนจนวุ่นวายไปหมด รวมไปถึงเส้นลมปราณที่เสียหายด้วย

ความบาดเจ็บจากพลังฟ้าดิน สาหัสกว่าอาการบาดเจ็บทั่วไปเยอะมาก สิ่งสำคัญคือ ต้องหายอดฝีมือแดนฟ้าดิน มาดูดพลังฟ้าดินด้านในออกมา ไม่งั้นถึงกินยาเม็ด ก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมยาก

ตอนนี้สุ่ยเชียนโหรวกลายเป็นคนพิการไร้เรี่ยวแรงอย่างแท้จริง พละกำลังหายไป ร่างกายเธอยังสู้นักบู๊แดนปราณในไม่ได้เลย

แม้ทั้งสองตระกูลไม่ได้จัดการรับมืออะไรมาก แต่พันธสัญญาพันปีของทั้งสิบตระกูล จะทำลายไม่ได้ ถ้าสุ่ยเชียนโหรวเป็นอะไรขึ้นมาที่นี่จริงๆ กลับไปถ้าผู้อาวุโสของตระกูลรู้ เขาก็รับผลที่ตามมาไม่ไหวเหมือนกัน

หานเฟิงกัดน่องไก่ต่อ แล้วพึมพำว่า “ศิษย์น้องลู่ฝานยังจิตใจดีเกินไป ถ้าเป็นฉัน หึหึ จัดการผู้หญิงหน้าบางแบบนี้ หาผู้ชายต่ำช้าสักสองสามคนมาดูหมิ่นเธอ เธอคงจะฆ่าตัวตายไปเลย อืม ถ้าไม่ได้จริง หาสัตว์อสูรเป็นสัดสักสองตัวก็น่าคิด โอ๊ย ฉันโหดร้ายเกินไปหรือเปล่าเนี่ย”

ลู่ฝานไม่ได้ยินคำพูดของหานเฟิง เขาก็คิดไม่ถึงวิธีโหดร้ายแบบนี้ด้วย

แต่เหมือนเขาทำถึงเป้าหมายของเขาแล้ว เกราะป้องกันในใจเธอโดนเขาทำลายแล้ว ตอนนี้อ่อนแอเหมือนผู้หญิงอ่อนแอไร้แรงสู้

“นายต้องการอะไรกันแน่”

สุ่ยเชียนโหรวถามด้วยเสียงสั่นเครือ แม้ตอนนี้ใจเต็มไปด้วยความหวาดกลัว แต่ยังไม่เสียสติ เมื่อมองจากมุมนี้ เธอเป็นลูกหลานตระกูลบู๊ที่เหมาะสมคนหนึ่งเลยล่ะ

ลู่ฝานพูดอย่างราบเรียบ “ผมช่วยเธอปลดผนึก เธอตอบแทนผมด้วยของหนึ่งชิ้น”

สุ่ยเชียนโหรวพูดว่า “นายกำลังรีดไถฉันเหรอ”

ลู่ฝานแบมือทั้งสองข้าง แล้วพูดว่า “รีดไถเหรอ ผมไม่ได้สนใจอะไรแบบนั้น นี่แค่การแลกเปลี่ยน ถ้าเธอไม่เห็นด้วย ผมจะทำเหมือนไม่ได้มา แล้วรีบกลับทันที แต่ถ้าอีกเดี๋ยวมีคนมาลวนลามเธออีก ผมก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว”

เมื่อสุ่ยเชียนโหรวได้ยิน เธอพูดอย่างไม่ลังเลว่า “นายต้องการอะไร”

ลู่ฝานพูดช้าๆ ว่า “วิชาหนึ่งเดียวแดนไกลโพ้น”

สุ่ยเชียนโหรวอึ้งไป จากนั้นมองลู่ฝานอยู่นาน แล้วพูดว่า “นายเอาไปทำอะไร นายไม่ใช่ผู้ฝึกชี่สักหน่อย”

ลู่ฝานพูดว่า “นั่นไม่ใช่เรื่องที่คุณต้องสนใจ ผมแค่ถามว่าเธอจะแลกไหม”

สุ่ยเชียนโหรวกัดฟันพูดว่า “นายถือโอกาสซ้ำเติมคนที่กำลังประสบเคราะห์ร้าย”

ลู่ฝานพูดว่า “เปล่า นี่แค่การแลกเปลี่ยนปกติ อันที่จริงถ้าเธอแสดงท่าทีที่ดีกับผมสักหน่อย พูดคำว่ากรุณาได้โปรดเพิ่มมาสักคำ ผมคงปลดผนึกให้เธอไปนานแล้ว”

สุ่ยเชียนโหรวจ้องหน้าลู่ฝาน “พูดตอนนี้ยังทันไหม”

ลู่ฝานหัวเราะ ในรอยยิ้มมีความเยาะเย้ยอยู่ด้วย “เธอคิดว่าไงล่ะ”

สีหน้าสุ่ยเชียนโหรวอึมครึม ไม่พูดอะไรสักคำ

ความเงียบของเธอ ดูเหมือนกำลังครุ่นคิด แต่อันที่จริงลู่ฝานรู้ เธอกำลังลองเชิงครั้งสุดท้ายว่าตัวเองปลดผนึกได้หรือเปล่า

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “ผมมีเวลาจำกัด ต้องรีบกลับไปนอน ทางที่ดีเธอรีบตัดสินใจ”

สุ่ยเชียนโหรวพูดว่า “ฉันยังมียาเม็ดติดตัวอยู่ เป็นยาเสวียนระดับดี ฉันแลกยาเม็ดกับนายเป็นไง เทียบกับวิชาที่นายไม่สามารถใช้ประโยชน์อะไรได้ นายไม่คิดว่ายาเม็ดดูดีกว่าเหรอ”

ลู่ฝานแอบขำในใจ เธอจะไปรู้อะไร ฉันมียาเม็ดเยอะแยะแล้ว รอฉันได้วิชา เข้าสู่ระดับปรมาจารย์บำเพ็ญชี่ กลั่นยาเสวียนอะไรได้ไหม ยาพวกนี้ยังจำเป็นไหม

ลู่ฝานหัวเราะเบาๆ แล้วส่ายหน้า

สุ่ยเชียนโหรวครุ่นคิดอีกครู่หนึ่ง จากนั้นกัดฟันพูดว่า “ได้ ฉันแลก นายปลดผนึกให้ฉัน ฉันจะให้วิชากับนาย”

เสียงลอยตามลมไปบนหลังคาที่อยู่ไม่ไกล ศิษย์พี่หานเฟิงตั้งใจฟังอยู่ตลอด ตอนนี้ได้ยินคำพูดของสุ่ยเชียนโหรว ศิษย์พี่หานเฟิงวางน่องไก่ลงทันที พูดเบาๆ ว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน นายห้ามเชื่อเธอเด็ดขาด เธอเป็นคนหลอกลวง”

หานเฟิงมองลู่ฝานอย่างตึงเครียด เขากลัวลู่ฝานจะโดนหลอก จากที่เขารู้จักผู้หญิงบ้าคนนั้น ถ้าได้ปลดผนึก ผู้หญิงบ้าคนนั้นต้องกลับคำพูดตัวเองแน่นอน

หานเฟิงรู้จักนิสัยของศิษย์น้องตัวเองเหมือนกัน ถ้าสุ่ยเชียนโหรวกล้าทำแบบนั้น ลู่ฝานต้องดึงกระบี่ออกมาจัดการเธอแน่นอน นี่ไม่ใช่ผลที่เขาต้องการ

รอยยิ้มปรากฏขึ้นตรงมุมปากสุ่ยเชียนโหรว เธอมองลู่ฝานอย่างดูหมิ่นแล้วพูดว่า “นายจะฆ่าฉันเหรอ สวะโง่เขลา ถ้าลูกหลานตระกูลสุ่ยฆ่าง่ายขนาดนั้น ก็ไม่ใช่ตระกูลสุ่ยแล้ว การที่ฉันพูดกับนายแบบนี้ เพราะตั้งแต่ฉันเกิด ก็มีอักษรยันต์ของอริยปราชญ์สลักไว้บนตัว แค่มีคนคุกคามชีวิตฉัน อักษรยันต์พวกนี้จะโจมตี ระเบิดเขาจนกลายเป็นผุยผง ถ้านายอยากลองรสชาติของการเป็นผุยผง ก็ลองฆ่าฉันได้ ฉันถือโอกาสบอกนายละกัน แค่นายกล้าแตะต้องฉัน ทั้งประเทศอู่อานจะไม่มีที่ให้นายอยู่อย่างสงบอีก”

สุ่ยเชียนโหรวหัวเราะอย่างดูหมิ่น เธอรอสีหน้าหวาดกลัวของลู่ฝาน จากนั้นก็ช่วยเธอปลดผนึก สุดท้ายก็คุกเข่า ก้มลงจูบรองเท้าเธอ อ้อนวอนขอให้อภัยให้

พวกกระจอกควรแหงนมองเธอเช่นนี้ ตั้งแต่เล็กจนโต สุ่ยเชียนโหรวผ่านมาแบบนี้ตลอด

แต่ต่อมาสิ่งที่ลู่ฝานแสดงออก กลับเหลือความคาดหมายของเธอ ลู่ฝานเอามือกอดอกพูดว่า “หืม งั้นเหรอ เก่งขนาดนั้นเลย งั้นอักษรยันต์พวกนี้ขวางไม่ให้ผมถอดเสื้อผ้าเธอได้ไหม”

เพียงประโยคเดียว สีหน้าสุ่ยเชียนโหรวเปลี่ยนไปทันที ตอนนี้คนที่มีสีหน้าหวาดกลัวกลับเป็นเธอ

ลู่ฝานพูดต่อ “ถ้าตอนนี้ผมเปลื้องผ้าเธอจนหมด ให้คนทั้งเมืองมาชม อักษรยันต์บนตัวเธอจะระเบิดผมจนเป็นผุยผงได้ไหม ผมอยากรู้จริงๆ”

สุ่ยเชียนโหรวพูดด้วยเสียงสั่นเครือ “นายไม่กล้าทำแบบนั้นหรอก”

ลู่ฝานเดินเข้ามา แววตาเย็นชา ออร่าอาฆาตอันน่ากลัวปกคลุมทั้งตัวสุ่ยเชียนโหรว

สุ่ยเชียนโหรวรู้สึกหนาวตั้งแต่หัวจรดเท้าทันที เหมือนความหนาวเข้าไปในกระดูก ทำให้เธอสั่นแบบไม่รู้ตัว

ลู่ฝานพูดช้าๆ ว่า “เธอลองพูดว่าสวะอีกทีสิ ดูสิว่าผมจะกล้าทำแบบนั้นหรือเปล่า”

สุ่ยเชียนโหรวกัดฟันกรอด ความกลัวผุดขึ้นมาในใจอย่างไม่สามารถควบคุมได้

ใบหน้าลู่ฝานอยู่ใกล้ตรงหน้า แววตาที่ไม่มีความหวาดกลัว ทำให้เธอตกใจจริงๆ

ลมพัดแขนเสื้อลู่ฝาน ผมของสุ่ยเชียนโหรวปลิวไปมา

รออยู่นาน สุ่ยเชียนโหรวไม่พูดอะไรสักคำ

ลู่ฝานถอยกลับไป ยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “ดูเหมือนอักษรยันต์บนตัวเธอไม่ได้ทำได้ทุกอย่าง คุณหนูสุ่ย ผมจะบอกเธอให้นะ จะทำลายใครสักคน ไม่ได้มีแค่วิธีฆ่าเท่านั้น อย่างเช่นผมให้คนทั้งเมืองมาชมเรือนร่างของเธอ จากนั้นหาผู้ฝึกชี่สักคน เอาร่างกายของเธอใส่ไว้ในกระจกจำภาพ แล้วเอาออกไปขาย ผมเชื่อว่าต้องขายได้ไม่เลว เพราะชื่อคุณหนูใหญ่ตระกูลสุ่ยอย่างสุ่ยเชียนโหรว ต้องมีค่าไม่น้อย เธอคิดว่าถ้าวันหนึ่ง พวกผู้อาวุโสตระกูลสุ่ยเห็นภาพนั้น จะขังเธอไว้ในบ้านตลอดชีวิต หรือตบเธอจนตาย เพื่อไม่ให้เธอออกมาทำให้อับอายขายหน้าล่ะ”

คำพูดแต่ละประโยคของลู่ฝาน เหมือนมีดแทงลงบนใจสุ่ยเชียนโหรว

ใบหน้าซีดเผือด แววตาวูบไหว ตอนนี้สุ่ยเชียนโหรวกลัวจริงๆ แล้ว

เธอไม่สามารถทำเป็นเย่อหยิ่งต่อไป เมื่ออยู่ต่อหน้าลู่ฝาน ตอนนี้ลู่ฝานไม่ได้สังเกตว่าท่ามกลางความมืด ศิษย์พี่หานเฟิงกำลังกินพลางมองภาพนี้ อยู่บนกำแพงไม่ไกล

“ฮ่าๆ สู้กับศิษย์น้องลู่ฝาน สุ่ยเชียนโหรวเอ๋ย เธอยังอ่อนเกินไป ศิษย์น้องลู่ฝานสู้ๆ ให้ผู้หญิงบ้าคนนี้อวดดีอีก อวดดีอีกสิ!”

หานเฟิงดูชอบใจมาก ตอนนี้เขารู้สึกโชคดีที่ตัวเองตัดสินใจไม่นอน แล้วออกมาดูผู้หญิงบ้าคนนี้

จนปัญญา ใครใช้ให้เขาเป็นคนของสิบตระกูลใหญ่ล่ะ

ขณะนั้นสุ่ยเชียนโหรวหัวเราะเย็นชาออกมาอีก “หึ ดูเหมือนพละกำลังของนายก็เหมือนกับสวะพวกนั้น ก็แค่เท่านั้น ในเมื่อปลดไม่ได้ ก็ไม่ต้องมายืนขวางหูขวางตาฉัน”

ลู่ฝานเพิ่งเคยเห็นผู้หญิงไร้เหตุผลขนาดนี้เป็นครั้งแรก ถ้าเปลี่ยนเป็นศิษย์พี่หานเฟิงเป็นคนมา เขาต้องซ้ำเติมเธอโดยการเปลื้องผ้าเธอแล้วปล่อยไว้ตรงนี้แน่นอน

ทำไมเขาถึงรู้ความคิดของศิษย์พี่หานเฟิงน่ะเหรอ ก็เพราะตอนนี้เขาอยากทำแบบนี้น่ะสิ

ลู่ฝานมองผู้หญิงใบหน้าเย็นชาคนนี้ ผู้หญิงปากคอเราะรายแบบนี้ เขาไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงรอดมาจนโตขนาดนี้

สุ่ยเชียนโหรวเห็นลู่ฝานยังยืนอยู่ ไม่มีท่าทีจะไป อีกทั้งยังจ้องหน้าตัวเองด้วย เธออดหงุดหงิดไม่ได้

“มองอะไร สวะยังไม่รีบไสหัวไปอีก อย่าคิดว่านายฆ่าสี่คนนั้นด้วยกระบี่เดียวแล้วจะเก่งมาก ฉันจะบอกให้นะ ยอดฝีมือที่ฉันรู้จัก เยอะกว่าคนที่นายเคยเจอด้วยซ้ำ ถ้านายคิดว่าฉันจะมองนายสูงส่ง นายคิดผิดแล้วล่ะ”

ลู่ฝานได้ยินที่สุ่ยเชียนโหรวพูด จู่ๆ ก็หัวเราะออกมา

เขายังไม่ทันพูดอะไร สุ่ยเชียนโหรวก็พูดออกมาแบบนี้ เห็นได้ชัดว่าร้อนตัว

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “ผมไม่เคยพูดว่าจะให้เธอมองผมสูงส่ง คุณหนูสุ่ยเชียนโหรว ได้ยินว่าเธอมาจากตระกูลสุ่ย”

สุ่ยเชียนโหรวมองลู่ฝานอย่างประเมิน “ทำไม นายอยากเข้าตระกูลสุ่ยเหรอ ถ้านายหาวิธีหรือหาคนปลดผนึกบ้าบอนี่ได้ ฉันจะพิจารณาให้นายเป็นองครักษ์ของฉัน สาวใช้ที่ฉันพาออกมาสองคน ตายไปหมดแล้ว นายพอมีโอกาส”

สุ่ยเชียนโหรวมองลู่ฝานด้วยท่าทางเย่อหยิ่ง แม้โดนผนึกอยู่ เธอก็ยังดูสูงส่ง มองทุกอย่างด้วยความเย่อหยิ่ง

ลู่ฝานถามเจดีย์เสวียนเก้ามังกรในใจ “ไอ้เก้า ทำลายผนึกบนตัวเธอได้ไหม”

เสียงเจดีย์เสวียนเก้ามังกรดังขึ้น “เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ ทำลายได้ แต่ลำบากหน่อย สิ่งที่อีกฝ่ายทิ้งไว้เป็นค่ายผนึกที่ใช้เขตวิถีเป็นพื้นฐาน แม้โจมตีออกมาเล่นๆ ก็มีพลานุภาพของเขตวิถี ฉันทำได้แค่ใช้พละกำลังทำลาย อาจทำให้เธอบาดเจ็บได้”

“บาดเจ็บขนาดไหน”

“สาหัส! อาจบาดเจ็บถึงตันเถียน”

ลู่ฝานพูดในใจว่า “อืม ทำลายได้ก็ดี เดี๋ยวฉันให้แกทำลายแกก็ทำลาย”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรหัวเราะแล้วพูดว่า “เอาตามที่เจ้านายต้องการเลยเจ้านายผู้ยิ่งใหญ่”

สุ่ยเชียนโหรวเห็นลู่ฝานยังยืนเงียบอยู่ตรงนั้น คิดว่าตัวเองพูดแทงใจลู่ฝาน จึงพูดต่อ “ตระกูลสุ่ยของฉันเป็นหนึ่งในสิบตระกูลใหญ่ของประเทศอู่อาน ได้เป็นองครักษ์ของตระกูลสุ่ย เป็นวาสนาที่คนตั้งเท่าไรจะฝันยังไม่ได้เลย อย่าบอกนะว่านายยังต้องการอะไรอีก”

ลู่ฝานส่ายหน้าพูดว่า “คุณหนูสุ่ย เธอคิดมากเกินไปแล้ว ผมแค่ดูผนึกของเธอ รู้สึกว่ามั่นใจนิดหน่อยเท่านั้น”

เมื่อสุ่ยเชียนโหรวได้ยินคำพูดของลู่ฝาน แววตาของเธอวูบไหว

“ดีมาก รีบปลดผนึกให้ฉันสิ!”

ขณะนั้นลู่ฝานยกมือขึ้นแล้วพูดว่า “เดี๋ยวก่อนคุณหนู เธอตอบคำถามผมมาก่อน เมื่อกี้คุณด่าผมเยอะขนาดนั้น ทำไมผมต้องช่วยปลดผนึกให้เธอล่ะ”

สุ่ยเชียนโหรวได้ยิน จึงกัดฟันพูดว่า “เพราะฉันเป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลสุ่ย เพราะฉันคือสุ่ยเชียนโหรว ถ้านายอยากใช้ชีวิตต่อในประเทศอู่อาน ทางที่ดีรีบปลดผนึกให้ฉันตอนนี้เลย”

ลู่ฝานลูบจมูกตัวเองแล้วพูดว่า “เธอกำลังขู่ผมเหรอ”

สุ่ยเชียนโหรวเชิดหน้าพูดว่า “ใช่ ฉันกำลังขู่นาย”

จู่ๆ ลู่ฝานฉีกยิ้มแล้วพูดว่า “เธอรู้ไหม นิสัยคนอย่างผม ทุกคนที่ขู่ผม ผมจะกำจัดทิ้งก่อน ต้องแน่ใจว่าตายอย่างแน่นอน เพื่อที่จะไม่สามารถขู่ผมได้อีก ผมถึงจะวางใจ”

ที่เมืองหยุนไห่ ดวงจันทร์ลอยอยู่บนฟ้า

แม้มารทั้งสี่หนีไปแล้ว แต่ความเจ็บปวดที่เหลือไว้ให้ประชาชนเมืองหยุนไห่ ยังคงมีอยู่ต่อไป

การต่อสู้ครั้งใหญ่ครั้งนี้ ไม่รู้ว่าส่งผลกระทบกับประชาชนทั่วไปตั้งเท่าไร เพราะคนส่วนใหญ่บนโลกนี้ ไม่ใช่นักบู๊ แล้วก็ไม่ใช่ผู้ฝึกชี่

พวกเขาเป็นแค่ประชาชนที่ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข จู่ๆ มีภัยพิบัติ พวกเขาก็จนปัญญา

มองซากปรักหักพังของห้องบริเวณรอบๆ เสียงร้องอย่างเจ็บปวดดังไปทั่วถนน

มีเพียงตรงประตูเมืองที่เงียบหน่อย ไม่ใช่เพราะว่าประตูเมืองเสียหายน้อย ตรงกันข้าม เพราะได้รับความเสียหายมากเกินไป ตายจนสิ้นซาก ดังนั้นสิ่งที่หลงเหลืออยู่ จึงมีเพียงความเงียบเท่านั้น

ลู่ฝานเดินไปมาในเมือง เห็นสถานที่ที่ถูกทำลายเสียหาย เขาก็ให้เงินเล็กน้อย

นี่คือสิ่งเดียวที่เขาสามารถทำได้

ศิษย์พี่หานเฟิงไม่สนใจเรื่องพวกนี้ คิดว่าสิ้นเปลืองเงินทอง ส่วนหลิงเหยากลับไปดูแลคุณย่า จึงเหลือเพียงลู่ฝานเดินท่ามกลางความมืดเพียงคนเดียว

จู่ๆ ลู่ฝานได้ยินเสียงหัวเราะดังขึ้นข้างหน้า

“สาวสวย อย่าส่งเสียง พวกเราแค่ผ่านไม้ผ่านมือเท่านั้น ให้ฉันจับดีดีหน่อย”

“เอามือสกปรกของนายออกไป ไอ้พวกกระจอก พวกนายต้องตายอย่างน่าเวทนา”

“โอ๊ะ โกรธด้วย ถ้าฉันจับ เธอจะทำอะไรฉันได้”

…..

ลู่ฝานรีบเดินเข้าไป เห็นนักเลงสามคนกำลังยืนล้อมลวนลามผู้หญิงคนหนึ่ง ลูบหน้าผู้หญิงเป็นระยะ

เขาอึ้งไปเล็กน้อย ผู้หญิงคนนี้คือสุ่ยเชียนโหรว คิดไม่ถึงว่าเธอยังยืนอยู่ตรงนั้น ที่ผู้อาวุโสอีซูผนึกเอาไว้ ทำให้เธอยืนอยู่ตรงนี้เป็นวัน

ลู่ฝานกระแอมเบาๆ สองครั้ง ทำให้นักเลงสามคนนี้หันมามองตัวเอง

สีหน้าของนักเลงทั้งสามคนเปลี่ยนไปทันที แม้พวกเขาจำไม่ได้ว่าลู่ฝานคือใคร แต่เห็นกระบี่หนักด้านหลังลู่ฝาน ก็รู้ว่าพวกเขาไม่สามารถรับมือคนคนนี้ได้

โดยเฉพาะตอนที่สีหน้าลู่ฝานเคร่งขรึม มีกลิ่นอายความตายแผ่ออกมาบนตัวเขาอัตโนมัติ

แม้เป็นนักบู๊ทั่วไป อยู่ภายใต้กลิ่นอายความตายของลู่ฝาน ก็รู้สึกสั่นไปทั้งตัว จิตวิญญาณการต่อสู้ลดลง ไม่ต้องพูดถึงพวกนักเลงที่หูตามืดบอดพวกนี้เลย

“นายอย่าเข้ามา!”

นักเลงที่เป็นหัวหน้าเอามีดออกมา

มีดเป็นมีดปังตอ ลู่ฝานเห็นแล้วเกือบหัวเราะออกมา

“ไสหัวไป”

ลู่ฝานพูดอย่างราบเรียบ

นักเลงทั้งสามคนมองหน้ากัน เหมือนยังไม่ยอมไป

ลู่ฝานขมวดคิ้ว กลิ่นอายความตายพลุ่งพล่าน จู่ๆ นักเลงสามคนทรุดลงบนพื้น หลักจากนั้นหนีหัวซุกหัวซุนเหมือนเห็นผี

ลู่ฝานเดินเข้ามามองสุ่ยเชียนโหรวแล้วพูดว่า “คุณสุ่ย ขอโทษด้วย เหมือนทุกคนลืมคุณไปแล้ว มีอะไรให้ผมช่วยไหม”

สุ่ยเชียนโหรวพูดด้วยสีหน้าเย็นชา “ช่วยปลดมันออกหน่อย”

ตอนเธอพูด ไม่เหมือนกำลังขอความช่วยเหลือ แต่เหมือนกำลังออกคำสั่ง

ลู่ฝานเข้าใจทันทีว่าทำไมเธอถึงถูกทิ้งไว้ที่นี่คนเดียว

ลู่ฝานเอามือวางบนไหล่สุ่ยเชียนโหรว จะใช้ปราณชี่ของตัวเองปลดผนึกให้สุ่ยเชียนโหรว

แต่เขาเพิ่งวางมือลงไป สุ่ยเชียนโหรวพูดด้วยเสียงดุดันว่า “ทำอะไร เอามือสกปรกของนายออกไป”

ลู่ฝานอึ้งไป หลังจากนั้นขมวดคิ้วพูดว่า “คุณสุ่ย ผมกำลังช่วยเธอปลดผนึกอยู่”

สุ่ยเชียนโหรวกัดฟันพูดว่า “แล้วปลดได้หรือยัง”

ปราณชี่ของลู่ฝานเข้าไป จู่ๆ พบว่าในตัวสุ่ยเชียนโหรวไม่มีปัญหาอะไรเลย พลังเคลื่อนไหวอย่างอิสระ ดูเหมือนเป็นการผนึกจากภายนอก เหมือนค่ายกลยึดติดกับพื้น มัดเธอเอาไว้ที่นี่ ไม่สามารถขยับไปไหนได้

ลู่ฝานดึงมือกลับมาแล้วพูดว่า “ไม่ได้”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 799
อีเฉินยืนครุ่นคิดอยู่ที่เดิม หลังจากนั้นยิ้มกว้างออกมา เขารีบเดินตามไปแล้วพูดว่า “ถูกต้องครับ มีเพียงองค์รัชทายาทที่มีความรู้ ส่วนองค์ชายรองไม่รู้อะไรเลย”

ฉินฝานหัวเราะออกมา แล้วพูดว่า “คำนี้ใช้ได้ดีมาก ไม่รู้อะไรเลย ฉันยังชอบอีกคำหนึ่ง ไม่มีอะไรดี”

อีเฉินหัวเราะตาม

ทั้งสองหัวเราะอยู่นาน อีเฉินถามต่อ “องค์ชายรองคิดยังไงกับเรื่องของลู่ฝานครับ”

ฉินฝานพูดว่า “อันดับแรก ลู่ฝานคงไม่ได้มีพละกำลังแข็งแกร่งอะไรขนาดนั้น ท่านไม่ได้ดูอย่างละเอียดเหรอ ตอนเขาโจมตีด้วยกระบี่ หน้าเขาเหมือนจะตายเลย ถ้าพละกำลังของเขาแข็งแกร่งจนสามารถฟันมารทั้งสี่ด้วยกระบวนท่าเดียว จะมีสีหน้าแบบนี้ไหม ต้องมีสีหน้าสบายๆ สะบัดมือเบาๆ ก็พอแล้ว”

ฉินฝานพูดแล้วทำท่าทำทาง ทำให้อีเฉินหัวเราะออกมาอีกครั้ง

อีเฉินพูดว่า “ดังนั้นองค์ชายจึงคิดว่าเด็กคนนี้ไม่สมควรได้รับรายชื่อคัดเลือกใช่ไหมครับ”

ฉินฝานพูดว่า “ผิดแล้ว ตรงข้ามทั้งหมด ฉันคิดว่าควรให้เขารีบมาเมืองหลวง ส่งเข้าไปอบรมในหน่วยองครักษ์เสิ่นหวา หรือไม่ก็เขาวิถีบู๊”

“หมายความว่ายังไงครับ”

อีเฉินรู้สึกไม่เข้าใจ

ฉินฝานพูดว่า “อันดับแรก ฟันมารทั้งสี่ด้วยกระบี่เดียว แม้ไม่ใช่ฝีมือของเขา แต่คนที่ลงมือจริงๆ มีโอกาสเป็นไปได้สูงว่าจะรู้จักเขา ไม่งั้นคงไม่ช่วยตอนที่เขาลงมือหรอก ฉันไม่เคยเชื่อเรื่องความบังเอิญ ต่อมาจิตใจของไอ้หมอนี่ไม่เลว กล้าสู้ในตอนที่สิ้นหวัง โดยไม่กลัวอะไรเลย อีกทั้งยังเป็นผู้ตรวจการชั้นกลาง มีพรสวรรค์ มีศักยภาพ มีสภาพจิตใจ มีพื้นฐานของผู้แข็งแกร่งทั้งหมดแล้ว เพิ่มการอบรมดูแลอีกนิด ต้องพุ่งทะยานได้แน่นอน”

อีเฉินฟังแล้วแอบพยักหน้าอยู่ข้างๆ

“สุดท้าย หึหึ เขามีชื่อว่าฝาน หาได้ยากๆ ถ้ามีโอกาสฉันอยากดื่มกับเขาสักหน่อย”

ฉินฝานเอียงหัวไปมาแล้วเอ่ยขึ้น

อีเฉินพูดอะไรไม่ออก คิดไม่ถึงว่าฉินฝานจะมีความคิดแบบนี้ด้วย นี่นับเป็นหนึ่งในเหตุผลด้วยเหรอ

ฉินฝานพูดเบาๆ กับอีเฉินว่า “คุณอีเฉิน ถ้าฉันเป็นท่าน ตอนนี้คงส่งคนไปที่นั่น หาตัวผู้แข็งแกร่งลึกลับคนนั้น สามารถฟันสี่มารด้วยกระบี่เดียว อย่างน้อยต้องเป็นระดับอริยปราชญ์ ถ้าได้มาอยู่ในหน่วยองครักษ์เสิ่นหวา ต้องดีที่สุดแน่นอน”

อีเฉินพูดอย่างเข้าใจ “เข้าใจแล้วครับ ผมจะกลับไปจัดการ องค์ชาย ผมนับถือความฉลาดขององค์ชายมาก”

ฉินฝานพูดว่า “คุณอีเฉินปฏิบัติกับฉันเหมือนครูกับศิษย์มาตั้งแต่เด็ก ฉันแค่พูดกับท่านเท่านั้น ถ้าพี่ชายฉันรู้ว่าฉันฉลาด ฉันกลัวว่าคงจะตายในเร็ววัน”

อีเฉินถอนหายใจแล้วพูดว่า “ใช่ครับ องค์รัชทายาทเป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาทมาก”

คำพูดที่พูดออกมาโดยไม่คิดอะไร แต่กลับแฝงไปด้วยความเสียดายของอีเฉิน

ฉินฝานแววตาวูบไหว “คุณอีเฉินดูออกได้ยังไงว่าโปรดปราน”

อีเฉินพูดอย่างตกใจว่า “ไม่ใช่เหรอครับ วันนี้ฝ่าบาทยังชมองค์รัชทายาท อีกทั้งไม่ให้ลู่ฝานเข้าเมืองหลวง ตามที่องค์รัชทายาทพูด”

ฉินฝานหัวเราะ “ไม่ให้เข้าเหรอ คุณจำผิดแล้ว ฉันจำได้ว่าให้เขามาฤดูใบไม้ผลิปีหน้า คุณคิดว่าเสด็จพ่อไม่รู้เหรอว่าพี่ใหญ่ซื้อขายรายชื่อผู้คัดเลือก”

อีเฉินอึ้งไป ผ่านไปนานจึงพูดว่า “ที่แท้เป็นแบบนี้นี่เอง”

ฉินฝานส่ายหน้าพูดว่า “ทุกครั้งที่ฝนตกในฤดูใบไม้ร่วง อากาศจะเย็นลง ทุกครั้งที่ลมพัดในฤดูใบไม้ผลิ อากาศจะอบอุ่นขึ้น รอถึงฤดูใบไม้ผลิปีหน้า เป็นอย่างไรค่อยดูกัน”

เสียงสูงขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 798
ด้านนอกตำหนัก องค์รัชทายาทฉินอวิ่นโดนคนเบียดจนออกไปไกล ส่วนองค์ชายรองฉินฝาน เดินออกไปข้างนอกตามลำพัง

เขาเดินช้ามาก เดินกะโผลกกะเผลก ยังต้องให้องครักษ์ประคอง ถึงจะข้ามธรณีประตูตำหนักไท่เหอได้

มีเพียงผู้อาวุโสคนหนึ่งที่รอองค์ชายรองฉินฝานอยู่ที่ประตู

ฉินฝานยิ้มแล้วพูดว่า “คุณอีเฉิน ท่านรอผมอีกแล้ว เหอะๆ ไปได้แล้ว ให้ฉันคุยกับคุณอีเฉินหน่อย”

ผู้อาวุโสอีเฉินประคองฉินฝานเดินลงไป เดินพลางพูดว่า “องค์ชายรอง เรื่องวันนี้คุณคิดยังไงครับ”

ฉินฝานยิ้มแล้วพูดว่า “ฉันจะคิดยังไงได้ล่ะ ฉันขอยืนดูแล้วกัน”

อีเฉินพูดว่า “องค์ชายรอง อยู่ต่อหน้าผมคุณไม่ต้องแสร้งทำหรอก ผมรู้ว่าคุณมองอะไรออก”

ฉินฝานถอนหายใจ “ใช่ ฉันดูอะไรออก แต่ถึงดูออก ก็เปล่าประโยชน์ไม่ใช่เหรอ”

อีเฉินส่ายหน้าพูดว่า “ไม่ครับ องค์ชายรอง ตอนนี้ผมรู้สึกว่าไม่ถูกต้อง ในเมื่อคุณดูออก แค่บอกผม ยังไงก็มีประโยชน์อยู่แล้ว”

ประกายประหลาดฉายขึ้นในแววตาฉินฝาน เขาเงียบอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “คุณอีเฉินพูดถูก เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาเหมือนที่พี่ใหญ่พูด ของสิ่งนั้นไม่ใช่หัวใจแห่งความมืดธรรมดาทั่วไป”

สีหน้าอีเฉินเคร่งขรึมขึ้นทันที “หมายความว่ายังไงครับ”

ฉินฝานพูดว่า “หัวใจแห่งความมืด นั่นคือที่มาของสิ่งมีชีวิตที่วุ่นวาย คิดว่าท่านคงรู้จักสิ่งมีชีวิตที่วุ่นวาย ซ้ายสว่าง ขวามืดมิด ฆ่าสัตว์แห่งแสงสว่าง จะได้หัวใจแห่งแสงสว่าง ฆ่าสัตว์แห่งความมืด จะได้หัวใจแห่งความมืด”

อีเฉินพูดว่า “เรื่องนี้ผมรู้ ที่องค์ชายพูดว่าไม่ใช่หัวใจแห่งความมืดธรรมดาทั่วไป หมายความว่ายังไงครับ”

ฉินฝานพูดต่อ “ท่านฟังผมพูดให้จบ สัตว์แห่งความมืดทั่วไป มีชีวิตอยู่ด้วยความมืด ได้รับพลังแห่งความมืด ก่อตัวเป็นหัวใจแห่งความมืด หัวใจประเภทนี้ แข็งแกร่งและมีพลัง มีพลังแห่งความมืดซ่อนอยู่ข้างใน เป็นวัสดุชั้นดีของเครื่องราง ตัวกระตุ้นยา แต่ถ้าหัวใจชนิดนี้โดนดึงออกมา มันจะไม่เต้น”

อีเฉินขมวดคิ้วขึ้นมา เขาคิดถึงเรื่องไม่ดีขึ้นมา เป็นเรื่องที่ไม่ดีมาก

ฉินฝานหยุดแล้วพูดต่อ “ฉันดูการต่อสู้ของคนที่ฝึกฝนชั่วร้ายเมื่อกี้ หัวใจแห่งความมืดดวงนั้นยังเต้นอยู่ นั่นหมายความว่าถึงหัวใจดวงนี้ถูกดึงออกมา ก็ยังเป็นสิ่งมีชีวิต แต่ในบันทึกบอกว่าหัวใจแห่งความมืดที่มีชีวิต มีเพียงประเภทเดียวเท่านั้น นั่นก็คือหัวใจปีศาจสวรรค์ ซึ่งคนที่ฝึกฝนขนานนามว่าเป็นสมบัติล้ำค่า”

เมื่อได้ยินคำว่าหัวใจปีศาจสวรรค์ ฝ่ามืออีเฉินสั่นอย่างรุนแรง พูดด้วยเสียงแหบพร่าว่า “หัวใจปีศาจสวรรค์ ปรากฏขึ้นบนโลกอีกครั้ง โลกนี้จะเกิดความโกลาหลแล้วใช่ไหมครับ”

ฉินฝานพูดว่า “หัวใจปีศาจสวรรค์หนึ่งดวง ยังไม่ถึงกับโกลาหล แต่ถ้ารวมกันห้าดวง นั่นจะเป็นความวุ่นวายครั้งใหญ่”

อีเฉินสะกดกลั้นอารมณ์ของตัวเอง “ทำไมเมื่อกี้องค์ชายไม่พูดล่ะครับ ถ้าเป็นหัวใจปีศาจสวรรค์จริงๆ เรื่องพวกนี้หน่วยองครักษ์จิ่วหวาไม่มีทางจัดการได้แน่นอน”

ฉินฝานส่ายหน้าพูดว่า “คนที่ทำอะไรไม่เป็นอย่างฉัน องค์ชายรองที่ไร้อำนาจ จะกล้าเถียงคำพูดหลังจากที่ตัดสินว่าเป็นเหตุเป็นผลของพี่ใหญ่ได้ยังไง คุณอีเฉินอย่าลืมสิ ฉันเป็นแค่คนขากะเผลกเท่านั้น”

อีเฉินมองฉินฝานด้วยแววตาเป็นประกาย ราวกับจะมองทะลุคนที่อยู่ข้างหน้า

แววตาของเขา จ้องเข้าไปในแววตาของฉินฝาน แต่สิ่งที่เห็นมีเพียงความนิ่งดั่งน้ำ ไม่มีความวูบไหวอะไรเลย

อีเฉินพูดว่า “องค์ชายรอง องค์ชายรองคือนักปราชญ์ที่แท้จริง”

ฉินฝานพูดว่า “ไม่หรอก คนที่มีความรู้คือพี่ชายฉัน มีเพียงแค่พี่ชายฉันเท่านั้น”

พูดจบ ฉินฝานเร่งฝีเท้าขึ้นเล็กน้อย เดินลงไปข้างล่าง

ฉินอวิ่นพูดว่า “ผมดูเหตุการณ์เมื่อกี้อย่างละเอียด ในบรรดาคนที่ฝึกฝนชั่วร้าย มีหนึ่งคนที่หัวใจโผล่ออกมาด้านนอก ถ้าผมดูไม่ผิด นั่นต้องเป็นหัวใจแห่งความมืด สมบัติล้ำค่าของคนที่ฝึกฝนชั่วร้าย ของสิ่งนี้มาจากที่ที่บ่งบอกชัดเจนไม่ได้ มีความสามารถพิเศษ สามารถเพิ่มวิทยายุทธของวิชาชั่วร้าย สามารถยืดอายุ สามารถทำให้คนที่ฝึกฝนชั่วร้ายหนีจากสังคมได้เป็นพันปี แต่ของชิ้นนี้ก็แค่สมบัติชิ้นเล็กๆ ชิ้นหนึ่งเท่านั้น สำหรับพวกคนที่ฝึกฝนชั่วร้ายที่ยังไม่ได้เข้าสู่แดน เป็นของที่ต้องแย่งชิงกัน แต่สำหรับผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง ก็แค่เท่านั้น ผมดูในภาพเหตุการณ์ มีคนคนหนึ่งฟันกระบี่ลงบนของสิ่งนี้จนเป็นรอย คิดว่าถ้าเป็นคนอื่น อย่างเช่น อาจารย์อีหมิงในหน่วยองครักษ์เสิ่นหวาคงแตกสลายไปแล้ว ส่วนการสังหารทั้งเมือง หึหึ นี่เป็นวิธีที่คนที่ฝึกฝนชั่วร้ายชอบใช้ไม่ใช่เหรอ จากความคิดของผม ยกเรื่องนี้ให้หน่วยองครักษ์จิ่วหวาจัดการก็ได้”

คำพูดของฉินอวิ่น ทำให้เหล่าข้าราชการพยักหน้าเห็นด้วย พากันชื่นชมองค์รัชทายาทว่าสังเกตได้ละเอียดมาก

จักรพรรดิฉินซางยิ้มแล้วพูดว่า “อวิ่นเอ๋อร์พูดมีเหตุผล ฝานเอ๋อร์ นายคิดว่าไง”

ฉินซางหันไปมองชายหนุ่มอีกคน

ชุดมังกรที่เขาสวมใส่ เป็นเครื่องยืนยันว่าเขาคือคนในครอบครัวจักรพรรดิ เขาชื่อฉินฝาน เป็นองค์ชายรองของประเทศอู่อาน

ฉินฝานเดินกะโผลกกะเผลกออกมา เงียบอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “พี่ใหญ่พูดถูกต้องมาก ผมคิดอะไรไม่ออกแล้ว”

ฉินซางตอบรับเหมือนผิดหวังเล็กน้อย สะบัดมือให้ฉินฝานถอยลงไป

ฉินฝานเดินกลับมาอย่างลำบาก เขาไม่ได้บาดเจ็บ แต่เขากะเผลกแบบนี้มาตั้งแต่เกิด เมื่อยืนเรียบร้อย ฉินฝานพูดเบาๆ ด้านหลังพี่ชายอย่างฉินอวิ่นว่า “พี่ใหญ่ความรู้กว้างขวางจริงๆ”

ฉินอวิ่นยิ้มอย่างได้ใจ หันมามองฉินฝานแวบหนึ่ง ในแววตามีความดูหมิ่นและได้ใจ จากนั้นก็หันกลับไป

จักรพรรดิฉินซางพูดเสียงก้องว่า “งั้นก็เอาตามที่อวิ่นเอ๋อร์พูด มอบเรื่องคนที่ฝึกฝนชั่วร้ายให้หน่วยองครักษ์จิ่วหวาจัดการ ถ้าพบปัญหาที่แก้ไขยาก ให้หน่วยองครักษ์เสิ่นหวาคอยช่วยเหลือ”

ผู้อาวุโสสองคนเดินออกมา คำนับเป็นการตอบรับ

หลังจากนั้นจักรพรรดิฉินซางพูดว่า “ใช่สิ ยังมีอีกเรื่อง เด็กที่สามารถฟันมารทั้งสี่ร่วงลงมาด้วยกระบี่เดียว มีใครรู้ไหมว่าเป็นใคร”

ผู้อาวุโสที่พูดเมื่อครู่เดินออกมาอีกครั้ง “ผมทราบครับ เขาคือลู่ฝาน เพิ่งเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้ตรวจการชั้นกลางครับ มาจากเมืองลู่ เขตตงหวาครับ”

ฉินซางหัวเราะเบาๆ

“ผู้ตรวจกลางชั้นกลางเหรอ หึหึ น่าสนใจ ผู้ตรวจการชั้นกลางของประเทศอู่อาน สู้กับมารทั้งสี่ได้ตั้งแต่เมื่อไรกัน นายไม่ได้จำผิดใช่ไหม”

ผู้อาวุโสพูดว่า “ผมจำไม่ผิดครับ การสอบเลื่อนระดับผู้ตรวจการของเด็กคนนี้ เคยมอบให้ฝ่าบาทดูแล้ว เขาคือคนที่ฆ่ากุยวัวครับ”

จักรพรรดิฉินซางนึกออกแล้ว เขาหัวเราะแล้วพูดว่า “อ๋อ ที่แท้เป็นเด็กคนนี้นี่เอง อืม ดูเหมือนเขาเป็นคนที่มีโอกาสและโชคชะตาติดตัว งั้นก็ให้เขามาร่วมการคัดเลือกที่เมืองหลวงสิ”

ผู้อาวุโสพูดด้วยสีหน้ายินดี “พระองค์ผู้ทรงปรีชาญาณ”

แต่ขณะนั้น จู่ๆ ฉินอวิ่นเดินออกมาพูดว่า “เสด็จพ่อ ให้มีรายชื่อในการคัดเลือกแบบนี้ ดูประมาทเกินไปหน่อยหรือเปล่าครับ”

จักรพรรดิฉินซางหัวเราะแล้วพูดว่า “ทำไม นายคิดว่าไม่เหมาะสมเหรออวิ่นเอ๋อร์”

ฉินอวิ่นพูดว่า “ผมคิดว่าถึงแม้เด็กคนนี้มีความสามารถ แต่ไม่ควรค่าได้รายชื่อการคัดเลือก เสด็จพ่อได้โปรดคิดอย่างรอบคอบด้วย”

จักรพรรดิฉินซางพูดว่า “ควรค่าหรือไม่ ต้องดูความสามารถของเขา ตอนนี้เอาแบบนี้แล้วกัน แต่ในเมื่ออวิ่นเอ๋อร์พูดแล้ว งั้นค่อยให้เขามาตอนฤดูใบไม้ผลิปีหน้า ปีนี้บอกให้เขาฝึกฝนให้พร้อม ถ้าไม่มีความก้าวหน้า ก็ไม่จำเป็นต้องมา”

พูดจบ จักรพรรดิฉินซางสะบัดมือให้ทุกคนถอยลงไป

ท่ามกลางเสียง “ฟ้าคุ้มครองอู่อาน” ที่ดังสนั่น ทุกคนพากันออกมาจากตำหนักไท่เหอ

หลังผ่านไปหนึ่งวัน ตำหนักไท่เหอที่เมืองหลวง

เสามังกรตั้งตระหง่านสี่ต้น มังกรทองห้ากรงเล็บขดตัวเลื้อยช้าๆ หินอากาศธาตุปูบนพื้น แสงเคลื่อนไหว สะท้อนทั้งโลกอู่อาน

หินจิ่วหวา ยอดเขาสูงเสียดฟ้า ส่องแสงสว่างไสว แสงสะดุดตา บุ๋นบู๊สองสิ่งตั้งตระหง่าน มองออกไปสุดลูกหูลูกตา

ตำหนักใหญ่โอ่อ่า!

ที่นี่มีชื่อว่าตำหนักกระดิ่งทอง เป็นตำหนักศักดิ์สิทธิ์ของประเทศอู่อาน

คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้แกะสลักมังกรทอง ที่อยู่ด้านบนสุด คือฉินซาง จักรพรรดิของประเทศอู่อาน

เขาสูงถึง 30 กว่าฟุต แข็งแกร่งดุดัน สวมชุดมังกรเก้าตัว ดวงตาเหมือนสายฟ้า ดูนิ่งแต่ทรงพลัง

คนคนนี้เป็นจักรพรรดิที่ปกครองประเทศอู่อานยาวนานถึงร้อยปี เป็นเจ้าของแสนแปดพันเขต เป็นบุคคลที่สูงส่งที่สุดในประเทศอู่อาน

“อีเฉิน อ่าน!”

เสียงก้องกังวาน ถึงจะราบเรียบ แต่เหมือนฟ้าผ่าลงกลางพื้นดิน

นักบู๊คนหนึ่งเดินออกมา คารวะฉินซาง

นักบู๊ไม่ได้คุกเข่า แต่ทำความเคารพแบบประเทศอู่อาน หลังจากนั้นนักบู๊ที่ชื่ออีเฉินพูดเสียงกังวานว่า “เมื่อวาน อีซู หน่วยองครักษ์เสิ่นหวาแจ้งว่ามารทั้งสี่ใต้หุบเขามาร ขโมยหัวใจแห่งความมืดที่เขาอวี่ฮั่ว เขตตงหวา แล้วหนีไป ตอนนี้ยังหายไปอย่างไร้ร่องรอยครับ”

ยังไม่ทันพูดจบ เจ้าหน้าที่ทั้งบุ๋นและบู๊เริ่มพูดซุบซิบ

อีเฉินสะบัดมือ เอาแสงหนึ่งใส่เข้าไปในหินอากาศธาตุบนพื้น หลังจากนั้นฉากต่างๆ ปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว

ถ้าลู่ฝานอยู่ที่นี่ ต้องจำได้แน่นอนว่าภาพเหล่านี้ คือสิ่งที่เขาประสบมาที่เขาอวี่ฮั่ว และการต่อสู้ที่เมืองหยุนไห่

แต่ทำไมสิ่งที่ออกมาจากความทรงจำของเขา ถึงกลายเป็นภาพมุมสูง ย้อนกลับไปทั้งหมด

ทุกคนเงียบเสียง มองดูอย่างเงียบๆ

ทันใดนั้น ภาพหายไป ทุกสิ่งกลับสู่ความสงบ

เสียงจักรพรรดิฉินซางดังขึ้น

“ทุกท่านมีความคิดเห็นอย่างไร”

พลเอกสวมชุดเกราะคนหนึ่งเดินออกมา พูดเสียงกังวานว่า “คนที่ฝึกฝนชั่วร้ายกำเริบเสิบสาน เรื่องที่จะฆ่าคนทั้งเมืองแบบนี้ ไม่เห็นในประเทศอู่อานมาสิบกว่าปีแล้ว ผมคิดว่ารีบออกคำสั่งจับคนที่ฝึกฝนชั่วร้าย ฆ่าทุกคนที่มีออร่าปีศาจ ส่งยอดฝีมือหน่วยองครักษ์เสิ่นหวาไปตามฆ่าหัวหน้าคนที่ฝึกฝนชั่วร้าย ดำเนินการไปพร้อมกัน ลำบากแค่ครั้งเดียว เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาในอนาคต”

ฉินซางไม่พูดอะไร ทำเพียงสะบัดมือให้เขาถอยไป

“คนไหนยังมีข้อเสนออีก”

ฉินซางก้มมองทุกคน ดวงตากลมโต มองเห็นคนทั้งตำหนักไท่เหอ

ผู้อาวุโสคนหนึ่งเดินออกมาพูดว่า “เรื่องนี้ไม่ธรรมดา ในประเทศอู่อานสงบสุขมานาน คนที่ฝึกฝนชั่วร้ายไม่ออกมา สัตว์อสูรหลบหนี แต่ตอนนี้มารทั้งสี่รวมตัวกันแย่งของหนึ่งชิ้น อีกทั้งยังเตรียมจะทำเรื่องผิดมหันต์ โดยการสังหารทั้งเมือง นี่หมายความว่าของที่พวกเขาชิงไป ไม่ธรรมดา กลัวว่าคนที่ฝึกฝนชั่วร้ายที่อยู่อย่างสงบมานาน จะเริ่มเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ สิ่งสำคัญที่ต้องทำตอนนี้ คือสืบให้ชัดเจนว่าพวกเขาจะทำอะไร”

ฉินซางพยักหน้า เห็นได้ชัดว่าเขาเห็นด้วยกับคำพูดของผู้อาวุโส

ฉินซางหันมามองชายหนุ่มที่ยืนด้านหน้าสุด “อวิ่นเอ๋อร์ นายมีความคิดยังไงบ้าง”

คนนี้คือฉินอวิ่น องค์รัชทายาทของประเทศอู่อาน เขาเดินออกมา ฉินอวิ่นยิ้มอย่างมั่นใจ แล้วพูดว่า “เสด็จพ่อ แม้ผมความรู้ตื้นเขิน แต่เคยอ่านหนังสือมาบ้าง จึงรู้ว่าคนที่ฝึกฝนชั่วร้ายพวกนี้จะทำอะไร”

“หืม”

ฉินซางพูดด้วยความตกใจและสงสัยเล็กน้อย “งั้นนายว่ามาสิ”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 795
พูดจบ นักปราชญ์สะบัดมือเบาๆ โลกด้านหน้าราวกับม้วนภาพที่ถูกเขาเปิดออก เผยให้เห็นความว่างเปล่าเป็นแถบ

นักปราชญ์ก้าวเข้าไป แล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอย

เรียกได้ว่ามาเร็วไปเร็ว ลู่ฝานมองตรงที่นักปราชญ์หายไป เงียบไม่พูดอะไรอยู่นาน

“นี่มันแดนระดับไหนกัน”

ลู่ฝานเอ่ยถาม

เสียงเจดีย์เสวียนเก้ามังกรดังขึ้นในตัวลู่ฝาน

“ระดับอริยปราชญ์ ระดับอริยปราชญ์อย่างไม่ต้องสงสัย”

ลู่ฝานกลืนน้ำลาย พูดแบบปลงๆ ว่า “นี่คือระดับอริยปราชญ์เหรอ!”

ทันใดนั้น ลู่ฝานนึกถึงภาพที่นักปราชญ์เกาเท้าเมื่อครู่ ไม่มีท่าทางเป็นยอดฝีมือระดับอริยปราชญ์เลยสักนิด

นี่อาจเป็นคนที่เหนือกว่าคนปกติ นี่คือการเป็นอิสระ!

ลู่ฝานลุกขึ้นเดินกลับไป ท้องฟ้าสดใส แสงอาทิตย์สาดส่อง

ในเมืองหยุนไห่เละเทะไปหมด จนกระทั่งตอนนี้ประชาชนเพิ่งกล้าเดินออกมา แต่ละคนมองลู่ฝานด้วยแววตาเคารพเลื่อมใส

เมื่อเดินมาถึงนอกประตูเมือง พลเอกฉือหลงและคนอื่นกำลังรักษาอาการบาดเจ็บ เมื่อเห็นลู่ฝานกลับมา พวกเขาพากันลุกขึ้นมา รวมไปถึงพลเอกฉือหลงด้วย แต่ละคนมองลู่ฝานอย่างเคารพนอบน้อม

ลู่ฝานงุนงง คิดไม่ถึงว่าพลเอกฉือหลงจะเดินเข้ามาพูดว่า “ผู้ตรวจการลู่ใช่ไหม ผมฉือหลง สวัสดีครับ”

พลเอกฉือหลงคารวะ เขามองลู่ฝานด้วยแววตาเป็นกันเอง คนอื่นพากันทำความเคารพลู่ฝาน ลู่ฝานไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

ศิษย์พี่หานเฟิงรีบเดินเข้ามา มองลู่ฝานแล้วพูดว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน ความแข็งแกร่งของนายทำให้พวกเขาตกใจ ฟันมารทั้งสี่ร่วงลงมาด้วยกระบี่เดียว สุดยอด สุดยอดมาก!”

พูดพลาง ศิษย์พี่หานเฟิงตบไหล่ลู่ฝาน

ลู่ฝานอ้าปากค้าง ในหัวของเขาเหมือนมีฟ้าผ่า

ที่แท้เพราะสิ่งนี้นี่เอง เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมอีซูถึงพูดเรื่องจะลบหรือไม่ลบภาพกับเขาถึงสามรอบ อีกฝ่ายคงหมายถึงภาพนี้

ฟันมารทั้งสี่ด้วยกระบี่เดียว ภาพนี้ใครเห็นก็ต้องตกใจทั้งนั้น

ดูพวกคนด้านหน้านี่สิ ปรมาจารย์บำเพ็ญชี่จ้าวกวง คุณฟู่กุ้ย พลเอกเฟิง พลเอกฉือหลง

แต่ละคนมีวิทยายุทธเหนือกว่าเขาทั้งนั้น แต่ตอนนี้คนพวกนี้มองเขาด้วยท่าทางนอบน้อม ราวกับว่าเขาคือผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง

ลู่ฝานมีสีหน้าประหลาด เขาอยากอธิบายให้คนพวกนี้ฟัง อันที่จริงเขาไม่ได้ทำ
แต่คนพวกนี้ไม่ให้โอกาสเขาได้อธิบาย พลเอกฉือหลงมองลู่ฝานแล้วพูดว่า “บุญคุณที่ผู้ตรวจการลู่ช่วยชีวิต จะไม่ลืมไปตลอดชีวิต ต่อไปถ้าผมช่วยเหลืออะไรได้ รีบบอกผมได้เลย ผมไม่ปฏิเสธ
แน่นอน”

ลู่ฝานรีบพูดว่า “คนที่ช่วยทุกคนคือผู้อาวุโสคนเมื่อกี้ ไม่ต้องขอบคุณผมหรอก”

คุณฟู่กุ้ยเดินเข้ามาพูดว่า “ผู้ตรวจการลู่ถ่อมตัวเกินไปแล้ว ผู้อาวุโสคนเมื่อกี้คงเป็นคนที่ผู้ตรวจการลู่เรียกมาสินะ”

ลู่ฝานอ้าปากค้าง พูดอึกๆ อักๆ ว่า “พูดแบบนี้ก็ได้ แต่……”

ปรมาจารย์บำเพ็ญชี่จ้าวกวงเดินเข้ามาพูดว่า “ผู้ตรวจการลู่ ผมไม่มีอะไร เหลือเพียงทักษะการกลั่นยาเล็กๆ น้อยๆ นี่คือยาเสวียนสิบขวด ผู้ตรวจการลู่ได้โปรดรับไว้ ผมขอตัวลาก่อน!”

ปรมาจารย์บำเพ็ญชี่จ้าวกวงไม่รอให้ลู่ฝานตอบกลับ เอายายัดเข้าไปในอกลู่ฝาน หลังจากนั้นหันหลังเดินออกไป

ผู้ฝึกชี่คนอื่นก็ทำแบบนี้ ไม่นานมียากองเต็มมือลู่ฝาน

พวกผู้ฝึกชี่เป็นคนที่เย่อหยิ่งจริงๆ พวกเขาไม่ชอบติดค้างบุญคุณใคร หลังจากเอาของมีค่าให้ลู่ฝาน พวกเขาจึงกลับไปอย่างโล่งใจ ลู่ฝานไม่รู้จะพูดอะไร ทำได้เพียงมองยาในมือที่เยอะขึ้นเรื่อยๆ อย่างเงียบๆ

โอเค เห็นแก่ยา เรื่องนี้เขาจะยอมรับไว้ก่อน

เพราะถึงเขาพูดว่าไม่ใช่ ก็ไม่มีใครเชื่อไม่ใช่เหรอ

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 794
รอยยิ้มบางๆ ปรากฏตรงมุมปากของนักปราชญ์ ลู่ฝานไม่รู้ว่าเขาตกใจหรือเยาะเย้ยกันแน่

“นี่น่าจะชัดเจนมากแล้วนะ ภาพที่ผมนึกย้อนไปเมื่อกี้ มีภาพที่ผมเอาป้ายคำสั่งผู้ตรวจการชั้นกลางมาได้ด้วย”

ลู่ฝานขมวดคิ้วพูด ขณะเดียวกันก็แอบคิดในใจ คนของหน่วยองครักษ์เสิ่นหวาแบบนาย ฉันเป็นคนใช้ค่ายกลแยกเรียกมา

นักปราชญ์ผายมือพูดว่า “นายเข้าใจผิดแล้ว ฉันรู้ว่านายเป็นผู้ตรวจการชั้นกลาง แต่ฉันไม่รู้ว่านายคือลู่ฝาน คนที่ได้ป้ายอันนี้ แม้จะมีไม่มาก แต่ก็ไม่น้อย ไม่ใช่เรื่องใหม่อะไร ชื่อนายมีค่ามากกว่าป้ายอันนั้น”

ลู่ฝานมองเขาอย่างไม่เข้าใจ พูดตามตรง ลู่ฝานไม่คิดว่าชื่อตัวเองมีค่าขนาดนั้น

นักปราชญ์ยิ้มแล้วพูดว่า “ดูจากท่าทางนาย คงยังไม่รู้ว่าชื่อนายอยู่บนรายชื่อประเทศแล้ว”

ลู่ฝานถามว่า “รายชื่อประเทศอะไร”

นักปราชญ์มองเขาด้วยสีหน้าประหลาด “ขนาดรายชื่อประเทศนายยังไม่รู้ โอเค เป็นสถานที่เล็กๆ ที่อยู่ห่างไกลจริงๆ นายควรจะออกไปเปิดหูเปิดตาบ้างนะ”

ลู่ฝานไม่โกรธเลยสักนิด เทียบวิทยายุทธกับนักปราชญ์คนนี้ อีกฝ่ายบอกว่าเขาเป็นคนจากเมืองเล็กๆ ก็ถือว่าเกรงใจมากแล้ว

ดูอย่างสุ่ยเชียนโหรวสิ พูดโพล่งออกมาว่าคนกระจอกทันที

“ผู้อาวุโส อธิบายผมหน่อยได้ไหม”

ลู่ฝานมีท่าทางถ่อมตัว

นักปราชญ์ยกเท้าขึ้นมา เกาเท้าพลางพูดว่า “รายชื่อประเทศก็คืออันดับรายชื่อบู๊ของประเทศอู่อานไง ในรายชื่อล้วนเป็นคนอายุน้อยที่มีความสามารถของประเทศอู่อาน ชื่อนายอยู่ในร้อยอันดับแรกเพียงไม่กี่วัน ไม่เลวจริงๆ”

ลู่ฝานตอบรับ แม้ไม่ค่อยเข้าใจ แต่ฟังดูเหมือนสุดยอดมาก

นักปราชญ์พูดต่อ “เรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองหยุนไห่วันนี้ ฉันจะรายงานเบื้องบนตามความจริง ถ้านายอยากตัดภาพไหนทิ้ง รีบบอกฉันได้เลย ขืนฉันกลับไปจะไม่ทันนะ เรื่องครั้งนี้ค่อนข้างใหญ่ มารสองสามคนนี้อยู่อย่างสงบมาหลายปี คิดไม่ถึงว่าจะมาที่นี่ โดยเฉพาะหัวใจแห่งความมืด เป็นเรื่องวุ่นวาย นายไม่รู้ว่าหัวใจแห่งความมืดคืออะไรใช่ไหม”

ลู่ฝานส่ายหน้า “คืออะไรเหรอ”

นักปราชญ์หัวเราะแล้วพูดว่า “ไม่รู้ก็ไม่ต้องถาม เรื่องบางเรื่องไม่รู้จะดีที่สุด ดูท่าทางนาย คงไม่จำเป็นต้องตัดภาพอะไรออกไปแล้ว งั้นโอเค ฉันชื่ออีซู ต่อไปถ้าเราได้เจอกันอีก ฉันจะเลี้ยงบะหมี่นาย”
นักปราชญ์เกาเท้าเสร็จ ก็เอามือขึ้นมาดม จากนั้นปัดมือไปมาแล้วลุกขึ้นยืน
ลู่ฝานลุกขึ้นยืนเช่นกัน แล้วถามว่า “ผู้อาวุโสอีซู ผมอยากถามว่าต่อไปควรจัดการอย่างไร มารพวกนั้นจะกลับมาอีกไหม”
นักปราชญ์ครุ่นคิดแล้วพูดว่า “พวกเขาได้ของไปแล้ว อีกทั้งยังบาดเจ็บสาหัส น่าจะไม่กลับมาอีก ส่วนจะจัดการอย่างไร หึหึ ที่นี่น่าจะเป็นถิ่นของนาย คำพูดนายเป็นใหญ่ ฉันจะถามอีกรอบ ไม่มีส่วนที่ต้องการจะลบใช่ไหม”
นักปราชญ์พูดด้วยแววตาเป็นประกาย
ลู่ฝานขมวดคิ้ว ครุ่นคิดอย่างละเอียด ทำไมผู้อาวุโสอีซู เอาแต่พูดเรื่องลบภาพ อย่าบอกนะว่าเรื่องที่ตัวเองฝึกทั้งบู๊และชี่ถูกเปิดเผยแล้ว
ความคิดนี้ผุดขึ้นมา ลู่ฝานจิตใจวูบไหว หลังจากนั้นนึกย้อนกลับไปอย่างละเอียด ลู่ฝานคิดไม่ออกว่าตัวเองเปิดเผยไปตรงไหน ตั้งแต่ต้นจนจบ ถึงเป็นพวกยอดฝีมือที่อยู่ใกล้เข้ามาก ก็ไม่สังเกตเห็น
“เหมือนจะไม่มี”
ลู่ฝานพูดอย่างหวาดระแวง
นักปราชญ์มองลู่ฝาน ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “นายเป็นคนที่น่าสนใจจริงๆ”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 793
ทันใดนั้น แสงค่ายกลที่ผนึกตัวพวกเขาเอาไว้สั่นสะเทือน มารทั้งสี่พ่นเลือดออกมาพร้อมกัน ทำให้มันเปื้อน หลังจากนั้นทั้งสี่คนกระโดดเข้าไปในค่ายกลช่องว่าง แล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอย

นักปราชญ์มองภาพนี้อย่างอึ้งๆ ลู่ฝานก็อ้าปากเบาๆ เช่นกัน

เป็นมารที่เด็ดขาด เป็นมารที่ไม่สนใจหน้าตาอะไรเลย จะคุกเข่าก็คุกเข่า จะร้องไห้ก็ร้องไห้ แค่เป้าหมายสำเร็จ จะใช้วิธีอะไรก็ได้

ลู่ฝานสูดหายใจลึก วันนี้ถือว่าเขาได้เปิดหูเปิดตาแล้ว

กลางอากาศ นักปราชญ์เงียบอยู่นาน จากนั้นพูดอย่างหงุดหงิดเล็กน้อย “โง่ เขลา ปัญญาอ่อน”

ด่าตัวเองไปสามคำ นักปราชญ์เอาม้วนหนังสือออกมาอีก จากนั้นลบอะไรบางอย่างด้านบนออกไปอย่างรวดเร็ว

ตัวลอยลงมาช้าๆ นักปราชญ์กวาดตามองทุกคน ชี้ลู่ฝานแล้วพูดว่า “นายตามฉันมา”

ลู่ฝานยังไม่ทันพูดอะไร ก็รู้สึกว่าร่างกายตัวเองเดินตามไปโดยไม่สามารถควบคุมได้ ราวกับโดนควบคุมเอาไว้ทันที

คนอื่นพากันมองลู่ฝานกับนักปราชญ์ออกไปด้วยความเคารพ หลิงเหยากำลังจะตามไป แต่โดนศิษย์พี่หานเฟิงดึงกลับมา

ขณะนั้นสุ่ยเชียนโหรวเดินออกมา ชี้หน้านักปราชญ์แล้วพูดว่า “นี่ นายปล่อยให้พวกเขาหนีไปแบบนั้นเหรอ”

นักปราชญ์งงไปหมด ความตกใจบนใบหน้าเหมือนกำลังพูดว่า ที่แบบนี้มีคนกล้าชี้หน้าพูดกับเขาเหรอ

นักปราชญ์มองสุ่ยเชียนโหรวตั้งแต่หัวจรดเท้า หัวเราะแล้วพูดว่า “คุณหนูตระกูลสุ่ย เหมือนฉันเคยได้ยินชื่อเธอด้วย”

สุ่ยเชียนโหรวเชิดหน้าขึ้น “ในเมื่อเคยได้ยินชื่อฉัน งั้นคงรู้ฐานะของฉัน ฉันกำลังถามนายอยู่ นายปล่อยให้พวกเขาหนีไปแบบนั้นเหรอ”

นักปราชญ์หัวเราะเบาๆ ไม่พูดอะไร พาลู่ฝานเดินออกไปข้างนอกทันที

สุ่ยเชียนโหรวโมโหทันที แต่เธอพบว่าตัวเองขยับไม่ได้

“ไอ้เลว นายกล้าผนึกฉันเหรอ!”

นักปราชญ์หัวเราะแล้วพูดว่า “เธอยืนอยู่ตรงนี้อีกสักพักเถอะ”

พูดจบ ลู่ฝานกับนักปราชญ์เลี้ยวไปบนถนนพังๆ จากนั้นก็หายลับตาคนไป

ลู่ฝานเดินตามหลังนักปราชญ์ เข้าไปในร้านน้ำชาแห่งหนึ่ง

ด้านในไม่มีคนแล้ว อาจเป็นเพราะแรงกระเพื่อมเมื่อกี้ ร้านน้ำชาดูโงนเงน

“นั่ง!”

นักปราชญ์ยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น

เมื่อนักปราชญ์ผายมือ ลู่ฝานก็นั่งลง แล้วพบว่าร่างกายของตัวเองไม่ถูกควบคุมแล้ว

ลู่ฝานกำหมัดคารวะแล้วพูดว่า “ขอบคุณผู้อาวุโสที่ช่วยเหลือ”

นักปราชญ์ยกมือขัดจังหวะไม่ให้ลู่ฝานพูดต่อ เอาม้วนหนังสือออกมาจากในอก แล้วพูดว่า “วางมือของนายลงมาข้างบน แล้วนึกย้อนภาพเมื่อกี้”

ลู่ฝานไม่เข้าใจความหมายของนักปราชญ์ แต่ก็วางมือลงบนม้วนหนังสือตามที่เขาพูด

ทันใดนั้น ลู่ฝานรู้สึกถึงพลังอบอุ่นเข้ามาในตัวเขา ในกระดูกของเขา ในความจำของเขา

ลู่ฝานรีบรวบรวมสติและสมาธิ นึกย้อนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ เริ่มตั้งแต่เขาอวี่ฮั่ว ภาพต่างๆ แวบขึ้นมาในหัวของเขา

ม้วนหนังสือข้างหน้าส่องแสงสว่าง ขณะเดียวกันภาพเหตุการณ์ต่างๆ ก็สว่างขึ้นด้วย ภาพทั้งหมดในหัวของลู่ฝาน ฉายลงไปบนม้วนหนังสือทั้งหมด

“โอเคแล้ว!”

นักปราชญ์เห็นว่าพอประมาณแล้ว จึงเก็บม้วนหนังสือกลับมา

“ที่แท้เป็นคนชั่วสี่คน มิน่าล่ะพวกนายถึงรับมือไม่ได้ แต่หัวใจแห่งความมืด เป็นเรื่องที่วุ่นวาย”

นักปราชญ์เอาม้วนหนังสือเสียบลงไปที่เอว มองลู่ฝานแล้วพูดว่า “นายชื่ออะไร”

ลู่ฝานพูดอย่างราบเรียบว่า “ลู่ฝานแห่งเมืองลู่”

นักปราชญ์ครุ่นคิด จู่ๆ เหมือนนึกอะไรออก ยิ้มแล้วพูดว่า “เหมือนฉันเคยได้ยินชื่อนี้ นึกออกแล้ว นายคือลู่ฝานที่สอบผู้ตรวจการชั้นกลางผ่านสินะ!”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 792
“คึกคักจริงๆ!”

นักปราชญ์ยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น

เขาดูเหมือนอายุประมาณสามสิบปี ดวงตาและคิ้วดูเข้ากัน หน้าตาธรรมดา รอยยิ้มสะอาดสดใส แววตาใสเป็นประกายแวววาว

ชุดบนตัวเป็นผ้าทอแสนธรรมดา มีม้วนหนังสือสีเหลืองแขวนอยู่ตรงเอว เท้าเปล่า ลอยอยู่กลางอากาศ

กวาดตามองทั่วเมืองหยุนไห่ สุดท้ายนักปราชญ์หยุดสายตาลงที่พวกฉางเจี๋ยหน้าผี

“พวกนายอีกแล้ว ทำไมคนที่ฝึกฝนชั่วร้ายแบบพวกนาย ถึงฆ่าไม่หมดสักที”

นักปราชญ์สะบัดมือเบาๆ ดวงแสงหนึ่งร่วงลงมาจากง่ามนิ้วของเขา

ต่อมา วิญญาณตายทั้งเมืองหยุนไห่ ส่งเสียงร้องโหยหวนออกมา มีควันสีเขียวลอยขึ้นมาทั้งตัว

บนตัวมารทั้งสี่ ก็เหมือนโดนน้ำร้อนราด มีควันลอยขึ้นมา

ฉางเจี๋ยหน้าผีมองนักปราชญ์ กัดฟันแล้วพูดว่า “พวกเลวของหน่วยองครักษ์เสิ่นหวา”

นักปราชญ์ขมวดคิ้วขึ้นมา พูดอย่างราบเรียบว่า “คนใกล้ตายจะพูดความจริงจากใจและจิตใจดี เห็นแก่ที่นายกำลังจะตาย ฉันจะให้นายด่าเยอะหน่อย อีกเดี๋ยวถ้ากลายเป็นเถ้า จะพูดไม่ได้อีกแล้ว”

ฉางเจี๋ยหน้าผีพูดว่า “นายน่ะเหรอจะฆ่าฉัน เอาลูกพี่ของพวกนายมายังพอสูสี”

นักปราชญ์ส่ายหน้าพูด “ลูกพี่เรากำลังยุ่งอยู่กับการกิน ไม่มีเวลาสนใจนาย ในเมื่อนายไม่ยอมด่า งั้นฉันลงมือเลยแล้วกัน”

พูดจบ นักปราชญ์ยกมือขึ้น แล้วกดลงด้านล่าง

ลู่ฝานรู้สึกว่ามีลมพัดลงมาจากฟ้า แต่พวกฉางเจี๋ยหน้าผีทั้งสี่คน เหมือนโดนหินยักษ์กระแทก บนตัวยุบลงไป จากวิทยายุทธของพวกเขาสี่คน ถึงภูเขาทั้งลูกกระแทกลงบนตัว ก็ไม่มีทางเป็นแบบนี้ เห็นได้ชัดว่าวิทยายุทธของนักปราชญ์คนนี้ดุดันขนาดไหน

เมื่อเพ่งมองอย่างตั้งใจ หากเอารอยยุบบนตัวทั้งสี่คนมารวมกัน จะกลายเป็นรอยฝ่ามือขนาดใหญ่พอดี

กระอักเลือดออกจากปากไม่หยุด ออร่าปีศาจบนตัวฉางเจี๋ยหน้าผีพุ่งขึ้น ปกคลุมทั้งสี่คนเอาไว้

นักปราชญ์ส่ายหน้าพูด “ฝีมือเล็กน้อยแค่นี้ ไม่ต้องเล่นแล้ว เสียเวลา!”

พูดพลาง นักปราชญ์สะบัดมือ ทั้งท้องฟ้ามืดลง ส่วนในมือเขาเป็นแสงห้าสี

ราวกับแสงบนโลก ถูกเขากำเอาไว้ในมือ กลายเป็นดวงแสง เมื่อดีดออกไปเบาๆ แสงกระแทกเข้าไปในออร่าปีศาจ

ออร่าปีศาจละลายเหมือนหิมะ ค่อยๆ หายไป เงาของมารทั้งสี่ปรากฏขึ้นอีกครั้ง เสียงร้องโอดครวญของมารทั้งสี่ดังขึ้นในแสง

“เกิดเช่นนี้ ตายเช่นนี้ ชีวิตนี้ทรมานขนาดนี้ รีบสิ้นสุดจะดีกว่า”

นักปราชญ์ถอนหายใจเบาๆ เอาม้วนหนังสือเก่าที่เอวตัวเองออกมา สะบัดมือลงไปด้านบน ราวกับกำลังบันทึกอะไรบางอย่าง

“เอ๊ะ”

นักปราชญ์ตกใจเล็กน้อย แล้วปิดม้วนหนังสือลง

จู่ๆ เขาพบว่ากระบวนท่าของตัวเอง ไม่ได้ฆ่ามารทั้งสี่ ค่ายกลสว่างขึ้นล่างเท้าของมารทั้งสี่

ค่ายกลช่องว่างที่ซักคิวบัสชั่วร้ายเตรียมอยู่นาน สำเร็จสักที กำลังจะพามารทั้งสี่หายตัวไป

“แบบนี้แย่แล้ว!”

นักปราชญ์สะบัดมืออีกครั้ง แสงกลายเป็นค่ายกลลึกลับ ผนึกเงาของมารทั้งสี่เอาไว้ ทำให้พวกเขาไม่สามารถเข้าไปในค่ายกลช่องว่างได้

ฉางเจี๋ยหน้าผีคุกเข่าลงทันที พูดกับนักปราชญ์ว่า “ฉันผิดไปแล้ว ฉันสำนึกผิดแล้ว ให้โอกาสฉันได้กลับตัวเถอะ”

ฉางเจี๋ยหน้าผีน้ำตานองหน้า เอาหัวโขกพื้นเก้าครั้งอย่างไม่ลังเล

นักปราชญ์ขมวดคิ้วเบาๆ “มีจิตใจสำนึกผิดกับสิ่งที่ทำลงไปก็ดี ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นฉันจะทำลาย……”

ยังไม่ทันพูดจบ ออร่าสีดำโผล่ออกมาจากอกของฉางเจี๋ยหน้าผี เป็นหัวใจแห่งความมืดที่ตอนนี้เต้นอย่างรุนแรง

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 791
เมื่อพูดเช่นนี้ ฉางเจี๋ยหน้าผีกัดลงบนมือของตัวเอง เขากัดนิ้วของตัวเอง

ซักคิวบัสชั่วร้าย ไอ้จอมเหล่าเทา และชิงไห่มารกระบี่ ก็เริ่มทำแบบเดียวกัน

พวกเขากัดนิ้วชี้ของตัวเองจนขาด แล้วเคี้ยว เลือดสดไหลออกมาตรงมุมปาก

“กำลังทำอะไรกัน”

ลู่ฝานถามขึ้น

หางตาของหานเฟิงกระตุกเบาๆ “ฉันเคยได้ยินวิชาชั่วร้ายชนิดหนึ่ง มีชื่อว่าวิชาวิญญาณตาย สละอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งของตัวเอง เพื่อแลกกับพลังอันแข็งแกร่ง”

ขณะกำลังพูด พลเอกฉือหลงและคนอื่นพุ่งเข้าไปอีก ตีสุนัขตกน้ำ ใช้โอกาสตอนคุณป่วย เอาชีวิตของคุณ อย่าให้โอกาสอีกฝ่ายตั้งตัวขึ้นมาได้

แต่พวกเขาเพิ่งเข้าใกล้ ก็พบว่ามีกำแพงที่มองไม่เห็นขวางหน้าอยู่

ไม่ว่าพวกเขาจะมีวิธีมากขนาดไหน ก็ไม่สามารถข้ามกำแพงนี้ได้

“กำแพงโอดครวญ มีวิชาทำลาย มีการทำลายวิญญาณ มีปีศาจ ความเป็นความตายวนเวียน ผู้ปฏิบัติตามคือทางสวรรค์ ผู้ละเมิดคือทางแห่งมาร”

ตอนนี้พวกฉางเจี๋ยหน้าผีท่องวิชาอะไรบางอย่างขึ้นพร้อมกัน หลังจากนั้นมีแสงสีเทาปรากฏขึ้นบนตัวพวกเขา

“ถอย รีบถอย!”

สุ่ยเชียนโหรวที่อยู่ในกลุ่มคน เหมือนมองอะไรออก เธอพูดเสียงสูง

กลุ่มคนรีบถอยหลัง ทันใดนั้น พื้นดินเริ่มสะเทือน เหมือนจะมีอะไรโผล่ขึ้นมาจากพื้นดิน

พรวด!

เงาดำโผล่ขึ้นมา กระดูกขาว เป็นโครงกระดูกของคนที่ตายไป แววตามีแสงสีเขียวอ่อน กระดูกขาวเริ่มมีเนื้อหนังขึ้นมา

ราวกับกลางคืนอันมืดมิด สร้างร่างกายให้เขาอีกครั้ง เพียงพริบตา มันกลายเป็นสีดำทั้งตัว เป็นหุ่นเชิดที่เต็มไปด้วยลายปีศาจ

พลเอกฉือหลงชกหมัดกลางอากาศอย่างไม่พอใจ พลังปราณมหาศาลร่วงลงบนตัวหุ่นเชิด ทำให้มันแยกเป็นสองท่อน แต่ต่อมา มันกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง

“วิญญาณตาย!”

หานเฟิงกลืนน้ำลายแล้วเอ่ยขึ้น

โครงกระดูกโผล่ขึ้นมาจากพื้นเรื่อยๆ ไม่นาน ทั้งเมืองหยุนไห่เต็มไปด้วยโครงกระดูก

ฉางเจี๋ยหน้าผีกินนิ้วมือซ้ายทั้งห้านิ้วของตัวเองหมดแล้ว ส่วนมารอีกสามคน ก็ไม่ต่างกันเท่าไร แต่เหล่าเทากินมากกว่าหน่อย มันกินไปจนถึงแขนแล้ว อีกทั้งยังมีรอยยิ้มมุมปาก ราวกับแขนของตัวเองอร่อยมาก

“แข่งจำนวนคนเยอะใช่ไหม ตอนนี้ฉันจะดูสิว่าคนของใครเยอะกว่ากัน!”

ฉางเจี๋ยหน้าผีกลืนคำสุดท้าย จากนั้นพูดกับทุกคนอย่างน่ากลัว

เขาใช้วิชาสละชีพออกมาแบบนี้ วิชาคาถา ไม่ใช่แค่เสียแขนตัวเองไปข้างเดียว มันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น

แต่ตอนนี้เขาไม่มีเวลาสนใจเรื่องพวกนี้แล้ว สิ่งเดียวที่เขาจะทำคือ ฆ่าพวกคนที่อยู่ข้างหน้าให้หมด

“ไอ้เด็กน้อย ใช้กระบี่อีกสิ มีปัญญาก็ใช้กระบี่สิ!”

ดวงตาของฉางเจี๋ยหน้าผีจ้องมาที่ลู่ฝาน

สายตาของคนอื่นก็พากันมองมาทางลู่ฝาน พวกเขาหวังว่าลู่ฝานจะใช้พลังอันแข็งแกร่งอีกครั้ง

ลู่ฝานกัดฟัน ถ้าเขาเก่งขนาดนั้น เขาคงลงมือไปนานแล้ว จะรอให้ถึงตอนนี้เหรอ

แต่ลู่ฝานยังออกมาโดยไม่คิดถอยหลัง มองฉางเจี๋ยหน้าผี แล้วยกกระบี่หนักไร้คมในมือขึ้นมา

“มาร ถ้านายคิดว่าฉันกลัวนาย นายคิดผิดแล้ว”

แววตาของฉางเจี๋ยหน้าผีเคร่งขรึม ออร่าปีศาจทะลักขึ้นมาบนตัว “ฉันนึกว่ามีแค่ฉันที่ชอบพูดไร้สาระก่อนลงมือ คิดไม่ถึงว่านายก็เหมือนกัน ไอ้เด็กน้อย ให้ฉันเห็นพลังของนายชัดๆ หน่อยสิ”

ลู่ฝานรวบรวมพลังทั้งหมดในร่างกาย ขณะกำลังจะลงมือ

ขณะนั้นมีประตูปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า ตามมาด้วยผู้มีนักปราชญ์คนหนึ่งเดินออกมา

ฉางเจี๋ยหน้าผีและคนอื่น สีหน้าและแววตาเปลี่ยนไปทันที

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 790
“เป็นใคร ใครกันแน่”

ตอนนี้ฉางเจี๋ยหน้าผีโดนซัดจนคืนร่างจริง เป็นชายวัยกลางคนรูปร่างซูบผอม

ดูท่าทางเหมือนพวกขโมย หัวเบี้ยวหลังค่อม บนหน้าเต็มไปด้วยกระ กระขนาดใหญ่ทับอยู่บนกระขนาดเล็ก กระขนาดเล็กทับอยู่บนกระขนาดเล็กกว่า มุมปากมีไฝหนึ่งเม็ด บนไฝมีขนอยู่เส้นหนึ่ง

นี่คือกระที่ชาวบ้านพูดกันว่ากระวงแหวนสามวง ดีที่สุดในบรรดากระ

หน้าตาเป็นแบบนี้ มิน่าล่ะเขาถึงต้องเปลี่ยนหน้า

ถ้าใช้หน้าตาแบบนี้ เดินดุ่มๆ อยู่บนถนน คงโดนพวกองครักษ์เฝ้าเมืองจับไปแน่นอน เหมือนคนชั่วมาก

เสียงตะโกนดุดัน ตอนนี้เขายังไม่เชื่อว่ามีคนซัดพวกเขาทั้งสี่จนล้มด้วยกระบี่เดียว

ในหัวมีภาพของเด็กที่ยกกระบี่ยาวในมือเดินมาข้างหน้า ฉางเจี๋ยหน้าผีไม่อยากเชื่อว่าเด็กอายุน้อยขนาดนี้ จะฟันพวกเขาทั้งสี่จนร่วงลงมาด้วยกระบี่เดียว

อย่าบอกนะว่าเด็กคนนั้นเป็นผู้แข็งแกร่งระดับอริยปราชญ์

เรื่องตลกขนาดนี้ แค่คิดเขายังไม่กล้าคิดเลย

แต่ถ้าไม่ใช่ จะฟันพวกเขาทั้งสี่จนร่วงลงมาได้ยังไง

ซักคิวบัสชั่วร้ายและคนอื่นที่อยู่ด้านหลัง มีสีหน้าหวาดผวา

ไม่ว่าจะเป็นใคร แต่ทำให้พวกเขาเป็นแบบนี้ด้วยกระบวนท่าเดียว พละกำลังระดับนี้ ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะฝืนสู้ได้

ใครคิดว่าจะได้เจอยอดฝีมือระดับนี้ ในพื้นที่ห่างไกลอย่างเมืองหยุนไห่

เสียงตะโกนคำว่าฆ่าดังขึ้นข้างหู กลุ่มนักบู๊กับผู้ฝึกชี่พุ่งเข้ามาฆ่าด้วยพลานุภาพพลุ่งพล่าน

ฉางเจี๋ยหน้าผีตะโกนเสียงดัง ออร่าปีศาจถูกใช้ออกมา

แต่ครั้งนี้เขาไม่สามารถทำให้ทั้งตัวกลายเป็นออร่าปีศาจได้อีก ทำได้เพียงทำให้แขนสองข้างกลายเป็นออร่าสีดำมากมายแพร่กระจายออกไป เข้าไปในถนน

“วิญญาณปรากฏ!”

เงาดำลอยขึ้นมาเป็นแถบ ส่วนสาวงามกำลังวาดอะไรบางอย่างอยู่กลางอากาศอย่างรวดเร็ว

เหล่าเทากับมารกระบี่ คุ้มครองซักคิวบัสชั่วร้ายอยู่ตรงกลาง

“ทุกคน พวกเขาจะหนีแล้ว ขวางพวกเขาไว้”

พลเอกฉือหลงมองออกว่าซักคิวบัสชั่วร้ายกำลังวาดค่ายกล นั่นเป็นค่ายกลที่ใช้หนีกลางอากาศ

พลังปราณกระแทกเงาดำที่ขวางทางจนสลาย ทุกครั้งที่กระแทกจนกระจาย จะได้ยินเสียงร้องโหยหวนของผี แทบจะทำให้แก้วหูของทุกคนฉีก

พลังปราณของพลเอกฉือหลงเหมือนพระอาทิตย์ร้อนแรง ทำลายกระบวนท่าของฉางเจี๋ยหน้าผี พุ่งไปข้างหน้าเขาทันที

หมัดหนักกระแทกลงบนหน้าเขา นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่สู้กันมา ที่พลเอกฉือหลงโจมตีโดนตัวของฉางเจี๋ยหน้าผี

พลังปราณแข็งแกร่งพุ่งเข้าไปในตัวฉางเจี๋ยหน้าผี แต่ต่อมา พลเอกฉือหลงรู้สึกว่าพลังปราณของตัวเอง โดนหัวใจแห่งความมืดกลางอกของฉางเจี๋ยหน้าผีดูดไปจนหมด

พวกปรมาจารย์บำเพ็ญชี่จ้าวกวง คุณฟู่กุ้ย พลเอกเฟิง พุ่งเข้ามาฆ่าอย่างต่อเนื่อง

ลู่ฝานก็สะบัดกระบี่ท่ามกลางผู้คน พลังน่ากลัวปกคลุมถนนที่มารทั้งสี่อยู่

เสียงระเบิดดังเข้าหูอย่างต่อเนื่อง

พลังที่โจมตีเข้าด้วยกันระเบิดออก ทำให้บ้านที่อยู่สองข้างถนนทรุดลง

เป็นไปตามคาด การต่อสู้ของผู้แข็งแกร่ง คนที่ซวยยังไงก็คือประชาชน แต่ตอนนี้ ไม่มีใครสนใจสิ่งเหล่านี้แล้ว

พวกลู่ฝานโดนพลังระเบิดกลับมา ฝุ่นตลบอบอวลไปทั่ว ด้านหน้าเป็นหลุมลึกขนาดใหญ่ มองไม่เห็นว่าลึกแค่ไหน

หานเฟิงหายใจอย่างแรง แล้วพูดว่า “พวกเขาตายหรือยัง”

ลู่ฝานส่ายหน้าพูดว่า “ไม่รู้”

ทันใดนั้น เงาคนคนหนึ่งปีนออกมาจากหลุม เลือดอาบ ทั้งตัวเต็มไปด้วยเลือด

สะบัดมือปัดฝุ่นออก สิ่งที่ปรากฏในสายตาทุกคน คือเงาของฉางเจี๋ยหน้าผี

มารที่เหลืออีกสามคน พากันปีนตามออกมาจากหลุม ร่างกายทั้งสี่คนเต็มไปด้วยบาดแผล

“คนทุเรศแบบพวกนาย ฉันจะบดขยี้พวกนายให้เละ”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 789
ถึงพลังอันแข็งแกร่งทำให้เริ่มสั่นไปทั้งตัว ก็ไม่สามารถปล่อยปราณชี่ออกมาได้

ถึงทุกคนพากันสิ้นหวัง แต่ลู่ฝานก็จะสู้ครั้งสุดท้าย เขารู้ว่าตัวเองออกมาก็ไร้ความหมาย ถึงสามารถสะบัดกระบี่สู้ได้ ก็แค่มดแดงคิดเขย่าต้นไม้ใหญ่ ยิ่งทำให้ตลกมากขึ้นเท่านั้น

แต่เขาไม่ยอมตายไปแบบนี้ แม้ทุกคนกลัว แต่ฉันจะพุ่งไปอย่างห้าวหาญ!

ฉางเจี๋ยหน้าผีเห็นภาพนี้ ก็หัวเราะออกมา

“นายดูเด็กคนนี้สิ เขายังไม่ยอมแพ้”

“ฉันเกลียดเด็กดื้อดึงแบบนี้ แต่ฉันชอบฆ่าเขามาก”

“น่าเสียดายที่ไม่สามารถกินเขาได้ ฉันคิดว่าตอนที่ฉันกัดกินเขาทีละคำ หน้าของเขาถึงจะเผยความหวาดกลัวออกมา”

“ฆ่า ฆ่าทันที!”

ฉางเจี๋ยหน้าผีสะบัดมือทั้งสองข้าง เงามารขนาดใหญ่บนท้องฟ้า ฟันลงมาพร้อมพลานุภาพปีศาจมหาศาล

กระบี่นี้เหมือนท้องฟ้าปกคลุมไปทั่วเมือง

กระบี่นี้ฆ่าได้ทั้งเมือง ไม่เหลือผู้รอดชีวิตสักคน

เมื่อกระบี่ฟันลงมา โลกดูไม่สมจริง จู่ๆ ทั้งโลกมืดลง เหมือนร่วงลงไปในเหวลึกไม่มีที่สิ้นสุด

ลู่ฝานไม่เห็นโลกแล้ว แต่เขาก็ยังใช้พลังทั้งหมด ฟันกระบี่ออกไป

ยอดกระบี่หวนคืน!

สุดท้ายปราณชี่ของเขากลายเป็นเจ็ดสีพุ่งออกไป แต่ทันใดนั้น เหมือนมีคลื่นเล็กๆ เกิดขึ้นในทะเลกว้าง หายไปอย่างไร้ร่องรอย

ขณะนั้น มีเสียงหักดังขึ้นข้างหู

เหมือนมีอะไรบางอย่างแตกร้าว ทุกคนมองอย่างเงียบๆ ทันใดนั้น ความมืดรอบๆ สลายไป เหมือนกระจกที่แตกร้าว กลายเป็นดวงแสงเป็นแถบ

โลกสว่างขึ้นทันที ทุกคนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

สิ่งเดียวที่ยืนยันได้ คือพวกเขาไม่ตาย เหมือนช่วงสุดท้าย เงามารนั่นโดนคนทำลายไป

คนนับไม่ถ้วนเงยหน้าขึ้นมองฟ้าด้วยความตกใจ

ตอนนี้เมฆดำบนท้องฟ้า โดนระเบิดจนเป็นรูใหญ่

มารทั้งสี่มองหน้าอกตัวเองด้วยความตะลึง ตรงนั้นมีรอยกระบี่อันน่ากลัวอยู่หนึ่งรอย เกือบทำให้พวกเขาทั้งสี่แยกเป็นสองส่วน

โดยเฉพาะฉางเจี๋ยหน้าผี เขาเห็นหัวใจแห่งความมืดบนหน้าอกของตัวเอง มีรอยลึกเพิ่มขึ้นมาหนึ่งรอย

เขาอึ้งไป สีหน้าเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ

“เป็นไปไม่ได้!”

ฉางเจี๋ยหน้าผีมองลู่ฝาน แล้วพูดอย่างตกใจว่า “นายเป็นใครกันแน่”

ลู่ฝานก็อึ้งเหมือนกัน

นี่เขาเป็นคนทำเหรอ ใช่เขาเหรอ

ไม่รอให้ลู่ฝานตั้งตัวได้ มารทั้งสี่ร่วงลงมาจากท้องฟ้าพร้อมกัน กระแทกลงกับพื้นถนนอย่างแรง

เมื่อลู่ฝานเห็นภาพนี้ เขาก็รู้ว่านี่คือโอกาสดีมาก เขาแผดเสียงออกมาว่า “ฆ่า!”

เสียงของเขาทำให้คนนับไม่ถ้วนตั้งสติได้

หลังจากพวกเขาตั้งสติได้ พวกเขาก็รู้เหมือนกับลู่ฝานว่านี่คือโอกาสดีที่สุดในการฆ่ามาร

“ฆ่า! ฆ่า! ฆ่า!”

ทุกคนหยิบอาวุธตัวเองขึ้นมา แล้วพุ่งออกไปทันที

แม้แต่พวกพลเอกฉือหลง ที่เมื่อครู่สีหน้าเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง พวกเขาระเบิดพลังอันแข็งแกร่งออกมาทันที เพราะพวกเขาเห็นแสงสว่างของชัยชนะ

“ยิงธนู!”

ลูกธนูถูกยิงออกไป พลังปราณ พลังชี่นับไม่ถ้วน กลายเป็นกระบวนท่าต่างๆ พุ่งไปยังทางที่มารทั้งสี่ร่วงลงมา

บนท้องฟ้า แสงอาทิตย์ลอดผ่านเมฆดำ

ส่วนในเมืองหยุนไห่ ผู้อาวุโสคนหนึ่งยิ้มบางๆ แล้วชักมือกลับมา

หญิงชราค้ำไม้เท้าหัวงู เดินกลับห้องตัวเอง แล้วปิดประตูลงเบาๆ

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 788
ไม่มีใครส่งเสียงตอบกลับสักคน แต่คนในที่นี้ได้ยินว่าในบรรดาพวกเขามีคนที่ฝึกฝนชั่วร้าย ก็รีบเว้นระยะห่างจากกันทันที

มารทั้งสี่ยืนอยู่กลางอากาศ มองอยู่นาน ยังไม่เห็นใครเดินออกมา สีหน้าจึงไม่พอใจเล็กน้อย

ฉางเจี๋ยหน้าผีพูดว่า “เราเคารพจิตใจเต๋าสำนักมารเป็นแบบอย่างของคนที่ฝึกฝนชั่วร้าย ด้วยเหตุนี้จึงตั้งใจสอบถาม ในเมื่อสหายท่านนี้ไม่ยอมออกมา งั้นอย่าหาว่าเราโหดเหี้ยมแล้วกัน คนที่ฝึกฝนชั่วร้ายกระทำเช่นนี้มาตลอด เพื่อไม่ให้ข่าวของหัวใจแห่งความมืดหลุดออกไป วันนี้คงต้องหายไปทั้งเมือง”

พูดจบ ฉางเจี๋ยหน้าผีโค้งตัวต่ำคำนับคนในเมืองหยุนไห่

ซักคิวบัสชั่วร้ายยิ้มแล้วพูดว่า “เราจะจดจำการอุทิศตนของพวกนาย หลังจากพวกนายตาย กลิ่นอายศพที่กระจายออกไป จะติดตามพวกเราสู้รบต่อไป”

เหล่าเทาหัวเราะแล้วพูดว่า “นี่คือเกียรติยศของพวกนาย”

มารกระบี่พูดว่า “และเป็นโชคชะตาของพวกนาย!”

พูดจบ มารทั้งสี่ยืนเรียงแถวหน้ากระดาน เอามือสองข้างไขว้กันตรงหน้าอก หันง่ามมือออกทางด้านนอก

“เลือด!”

“ศพ!”

“ความชั่ว!”

“มารร้าย!”

มารทั้งสี่พูดคนละคำ พลังพลุ่งพล่านบนตัว

ออร่าสีดำมืดฟ้ามัวดิน ทันใดนั้นกลายเป็นเงาเลือนรางขนาดใหญ่บนท้องฟ้า

เป็นเงาสีดำขลับ เหมือนปีศาจลงมาสู่โลกมนุษย์ ถือดาบยักษ์สีดำในมือ เพลิงปีศาจลุกโชน

ลมอันหนาวเหน็บพัดมาพร้อมกับเสียงอันดุดัน

พลังแข็งแกร่งกดดันจนทั้งเมืองหยุนไห่สั่นสะเทือน เสียงโอดครวญราวกับทนไม่ไหวดังขึ้นนับไม่ถ้วน หลังจากนั้นกลายเป็นซากปรักหักพัง

“ปีศาจสวรรค์พิฆาต!”

หานเฟิงพูดอย่างสิ้นหวังข้างๆ ลู่ฝาน

หานเฟิงยิ้มขมขื่นแล้วพูดว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน ดูเหมือนวันนี้เราต้องตายด้วยกันที่นี่แล้วล่ะ”

หลิงเหยาหลับตาลง จับแขนลู่ฝานเอาไว้ ราวกับว่าถึงต้องตาย เธอก็จะตายในอ้อมกอดลู่ฝาน

คนมากมายสีหน้าโศกเศร้า พลเอกฉือหลงมองออร่าปีศาจบนท้องฟ้านิ่งๆ

อีกฝ่ายแข็งแกร่งเกินไปแล้ว!

สงบสุขมาหลายปี ทั้งประเทศอู่อานเกือบลืมความน่ากลัวของคนที่ฝึกฝนชั่วร้ายไปแล้ว ลืมไปแล้วว่าควรสู้กับคนที่ฝึกฝนชั่วร้ายอย่างไร

แค่มารระดับปราณฟ้าสี่คน ก็ทำให้เขาอวี่ฮั่วสลายหายไปจนไม่เหลืออะไรเลย ถึงขนาดที่จะทำให้เมืองหยุนไห่สลายหายไปด้วย

เรียกได้ว่าวิทยายุทธของมารทั้งสี่น่ากลัวมาก แต่ละคนล้วนอยู่ในแดนปราณฟ้าสูงสุด บวกกับฝีมืออันน่ากลัว ทำให้พวกเขาไม่สามารถรับมือได้เลย

มีคนวางอาวุธลง มีคนทรุดลงบนพื้น แล้วหลับตาลง

พลเอกฉือหลงกำหมัดแน่น แต่ไม่สามารถเหาะขึ้นไปสู้กับอีกฝ่ายได้อีก! พลเอกเฟิงที่ยืนอยู่ข้างเขา เหมือนเรือน้อยท่ามกลางคลื่นโหมกระหน่ำ สามารถพลิกคว่ำได้ทุกเมื่อ

แค่รอความตายอย่างนั้นเหรอ

คนที่คิดเหมือนเขา ยังมีพวกคุณฟู่กุ้ย ปรมาจารย์จ้าวกวง

ตามปกติพวกเขาล้วนอยู่อย่างสูงส่ง แข็งแกร่งอยู่เหนือกว่า แต่วันนี้พวกเขาพบว่าวิทยายุทธเล็กน้อยของพวกเขา ในสายตาของผู้แข็งแกร่งอย่างแท้จริง ก็แค่นั้น

กลิ่นอายความสิ้นหวังแผ่ซ่านไปทั่วเมือง เหมือนฉางเจี๋ยหน้าผีชอบสภาพที่พวกเขาสิ้นหวังเป็นอย่างมาก ไม่ยอมใช้กระบวนท่านี้สักที

รอยยิ้มเคลิบเคลิ้มอยู่บนหน้าเขา หัวใจแห่งความมืดในอกเต้นแรงขึ้น

มองคนพวกนี้เหมือนลูกแกะที่รอเชือด ความหวาดกลัวบนใบหน้าพวกเขา คือภาพที่ดีที่สุด

ซักคิวบัส มารจอมเหล่าเทา มารกระบี่ ทั้งสามคนมีรอยยิ้ม พวกเขาชอบดูสีหน้าของเหยื่อก่อนตาย เหมือนฉางเจี๋ยหน้าผี นี่เป็นความเพลิดเพลิน เป็นความสนุกอย่างหนึ่ง

แต่ขณะนั้น มีคนคนหนึ่งเดินมาข้างหน้า ยกกระบี่หนักของตัวเองขึ้นสูง

ในแววตาทั้งสองข้างของลู่ฝาน เต็มไปด้วยจิตวิญญาณของการต่อสู้

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 787
พลั่ก! พลั่ก! พลั่ก!

มีของหล่นลงมาจากเมฆสีดำอย่างต่อเนื่องราวกับฝนตก

แค่เม็ดฝนเหล่านี้เม็ดใหญ่เกินไป กระแทกห้องจนแตก กระแทกกระเบื้องจนพังเสียหาย

ลู่ฝานเพ่งมองอย่างตั้งใจ เห็นว่าของที่หล่นลงมาล้วนเป็นคน คนที่ตายไปแล้ว

ร่างกายแห้งเหี่ยว ไม่มีเลือดเนื้อ เหลือเพียงหนังหุ้มกระดูก สภาพการตายโหดเหี้ยมน่ากลัว

แสงสิบแสงร่วงลงมาจากเมฆดำ เหมือนอุกกาบาตลงมาจากฟ้า กระแทกลงในเมืองหยุนไห่ แสงหนึ่งในนั้นร่วงลงมาตรงหน้าลู่ฝาน

เสียงระเบิดดังขึ้น ฝุ่นตลบอบอวล

ลู่ฝานเพ่งมอง สิ่งที่ร่วงลงมาตรงหน้าเขาคือคุณสุ่ยเชียนโหรว

หน้าซีดเผือด หายใจผิดปกติ ชุดกระโปรงของสุ่ยเชียนโหรวขาดไปหมด ไหล่ซ้ายโผล่ออกมาข้างนอก เปื้อนเลือดเป็นทาง

ลู่ฝานรีบเข้าไปรับเธอ ฝ่ามือบีบยาเอาไว้หนึ่งเม็ด

แต่เข้าเพิ่งเดินไปด้านหน้า สุ่ยเชียนโหรวกลับพลิกมือจู่โจมด้วยกระบี่ แสงกระบี่เกือบทำให้แก้มของลู่ฝานเป็นแผล

ลู่ฝานชะงักฝีเท้าลง “คุณหนูสุ่ย ผมแค่จะช่วยเธอ”

ลู่ฝานยกมือขึ้น ให้สุ่ยเชียนโหรวเห็นยาในมือเขา

แต่คิดไม่ถึงว่าสุ่ยเชียนโหรวจะมีท่าทีโกรธ ยกกระบี่ขวางด้านหน้าแล้วพูดว่า “พวกสวะ ใครต้องการยาของนาย”

ลู่ฝานและคนอื่นขมวดคิ้ว สุ่ยเชียนโหรวเอายาขวดหนึ่งออกมากิน มองฟ้าด้วยแววตาอาฆาต

คนที่เหลือที่ร่วงลงมาจากฟ้า ล้วนเป็นยอดฝีมือที่สู้กับมารทั้งสี่

แต่สีหน้าของพวกเขาเคร่งขรึมมาก ยอดฝีมือเยอะขนาดนี้ แทบจะไม่ได้อะไรจากมารทั้งสี่เลย กลับกันดูเหมือนพวกเขาจะฝืนไม่ไหวแล้ว ทุกคนโงนเงนไปมา

ในเมฆดำ เงาของมารทั้งสี่ปรากฏออกมา

นำมาโดยฉางเจี๋ยหน้าผี ยังคงเป็นเงาเลือนรางสีดำขลับ แต่กลางหน้าอกมีหัวใจแห่งความมืดเต้นอยู่

ด้านหลังเขาคือซักคิวบัสสาวชั่วร้าย กำลังยิ้มบางๆ มือที่เป็นหนวดมัดคนเอาไว้สองคน เป็นสองคนในสี่พลเอก

พลเอกทั้งสองคนค่อยๆ กลายเป็นศพแห้งเหี่ยว เหมือนพลังของพวกเขาโดนซักคิวบัสดูดไปจนหมด

ซักคิวบัสมีสีหน้าเคลิบเคลิ้ม เธอยิ้มแล้วพูดว่า “พลังของนักบู๊ พลังของผู้ฝึกชี่ ต่างมีสไตล์ของตัวเอง แต่เมื่อดูดเข้ามาล้วนยอดเยี่ยมมาก”

ไอ้จอมเหล่าเทาที่อยู่ด้านหลังก็เดินออกมา ในมือของมันถือศพเอาไว้ เมื่อมองอย่างละเอียด

ลู่ฝานจำได้ทันที นั่นคือเซียนอวี่ซาน เหล่าเทากัดศพของเซียนอวี่ซาน การกระทำงดงามราวกับผู้ดี

เซียนบำเพ็ญชี่ผู้แข็งแกร่ง กลายเป็นอาหารของเขาแบบนี้เนี่ยนะ

เหล่าเทากัดกินต่อหน้าทุกคน สีหน้าของมันเหมือนกินอาหารอันโอชะในพระราชสำนัก เคลื่อนไหวช้าๆ ไม่รีบร้อน ค่อยๆ กลืนทีละนิด

อ้วก!

คนข้างๆ ลู่ฝานจำนวนไม่น้อย พากันอ้วกออกมา ขนาดสีหน้าของลู่ฝานยังซีดเล็กน้อย

นี่คือคนที่ฝึกฝนชั่วร้าย!

ลู่ฝานครุ่นคิดในใจ จำได้ว่าตอนอยู่บนเกาะ อู่คงหลิงเคยพูดกับเขาว่า มนุษย์สามารถกินมนุษย์ด้วยกันได้

ลู่ฝานเคยเห็นในแดนมายาของเจดีย์เสวียนเก้ามังกรครั้งหนึ่ง แต่มันไม่ได้เหมือนจริงมากขนาดนั้น

แต่ภาพที่อยู่ตรงหน้าวันนี้ ทำให้เขาได้เห็นอีกด้านที่โหดเหี้ยมที่สุดบนโลกนี้

ถึงเป็นผู้แข็งแกร่งอย่างเซียนอวี่ซาน สุดท้ายก็กลายเป็นอาหารของมัน

มารทั้งสี่ยืนอย่างเย่อหยิ่งกลางอากาศ เหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ก้มมองสิ่งมีชีวิต

มารกระบี่กวาดตามองเมืองหยุนไห่ แล้วพูดว่า “เมื่อกี้ฉันรู้สึกว่ามีสหายจิตใจเต๋าสำนักมารอยู่ที่นี่ บอกฉันได้ไหมว่าเป็นใคร อีกเดี๋ยวถ้าฆ่าผิดคนจะแย่นะ”

เพียงประโยคเดียว ทำให้ลู่ฝานขมวดคิ้วขึ้นมา

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 786
ป้ายสีทองระยิบระยับ มีตัวหนังสือคำว่าโลกอู่อานหมุนเวียนอยู่ ดึงดูดสายตาทุกคนเอาไว้

ผู้ตรวจการชั้นกลางคือตำแหน่งอะไร มีคนรู้ไม่มาก แต่ฟังดูเหมือนเก่งกาจ ต้องเป็นข้าราชการใหญ่แน่นอน

ส่วนคนที่รู้อยู่บ้าง คือสองคุณชายตระกูลซ่ง พวกเขารีบเด้งตัวขึ้นมา แทบจะกระโดดโลดเต้น

ลู่ฝานกวาดตามองสองคุณชาย ในแววตามีเพียงการข่มขู่ ไม่ต้องพูดก็รู้ได้

คุณชายรองตระกูลซ่งรีบตะโกนว่า “ทุกคนรีบฟังคำสั่งของผู้ตรวจการลู่!”

คนของจวนผู้เฝ้าเมืองเริ่มเคลื่อนไหว ลู่ฝานเดินออกไปข้างนอก เดินพลางพูดว่า “ศิษย์พี่หานเฟิง การต่อสู้วันนี้ เกี่ยวข้องกับความเป็นตาย ถ้าผมเป็นอะไรไป ช่วยพาหลิงเหยาไปด้วย”

หลิงเหยาได้ยินก็ช็อกไป จากนั้นพูดอย่างดึงดันว่า “ถึงเกิดอะไรกับนาย ฉันก็ไม่ไป”

ลู่ฝานยิ้มแล้วมองหลิงเหยา “ฉันจะพยายามไม่เป็นอะไร”

เดินออกจากจวนตระกูลซ่ง เกิดความโกลาหลทั้งเมืองหยุนไห่

ในเมฆสีดำบนท้องฟ้า มีแสงกะพริบอยู่เป็นระยะ แต่แสงพวกนั้นริบหรี่ลงเรื่อยๆ จนสุดท้ายแทบจะมองไม่เห็น

เมฆดำใกล้มาถึงบนท้องฟ้าเมืองหยุนไห่

ตอนนี้ลู่ฝานมาถึงถนนของเมืองหยุนไห่แล้ว

“ปิดประตูบ้าน ปิดประตูห้อง นักบู๊ที่ไม่มีพลังปราณอย่าออกมาบนถนน”

ลู่ฝานตะโกนเสียงดัง ลู่ฝานให้พวกประชาชนหลบอยู่ในบ้าน จะหนีก็ไม่ทันแล้ว สิ่งที่เขาสามารถทำได้ตอนนี้ คือลดจำนวนคนตายและบาดเจ็บให้น้อยลง

กลุ่มนักบู๊กับผู้ฝึกชี่มาถึงประตูเมือง เพราะการเรียกของลู่ฝาน ในบรรดาคนพวกนี้ ส่วนใหญ่เป็นคนที่ลู่ฝานเพิ่งพาลงมาจากเขาอวี่ฮั่ว อีกส่วนหนึ่งเป็นนักบู๊ของเมืองหยุนไห่ และนักบู๊ของตระกูลซ่ง

“ไม่พอ ไม่พอแน่นอน!”

ลู่ฝานมองแวบหนึ่ง ก็รู้ว่าพละกำลังแค่นี้ ยังไม่สามารถทำอะไรมารทั้งสี่ได้สักนิด

ตอนนี้เขาแทบอยากจะจับสองคุณชายตระกูลซ่งมาด่าจริงๆ

“อย่าบอกนะว่าเมืองใหญ่แบบนี้ ไม่มีแม้แต่ยอดฝีมือผู้เก่งกาจเลยเหรอ”

จนปัญญา ตอนนี้นอกจากยอดฝีมือผู้เก่งกาจในตำนาน ก็ไม่มีวิธีขวางการโจมตีของมารทั้งสี่ได้จริงๆ

“ไปหาอีก เอาหน้าไม้ในคลังออกมา แค่เป็นอาวุธที่ทำร้ายคนได้ เอาออกมาให้หมด”

ลู่ฝานออกคำสั่งเสียงดัง ตัวเขาเหมือนสายลม ตามหาผู้ช่วยในเมืองต่อไป

เขารวบรวมทหารทั้งหมดเป็นอันดับแรก หลังจากนั้นส่งพวกเขาไปจับนักบู๊ในเมืองออกมา ตอนนี้ไม่ใช่ช่วงเวลาที่พวกเขาจะหลบได้ ในฐานะที่เป็นคนฝึกบู๊ ตอนนี้ทำได้เพียงสู้เท่านั้น

จากนั้นเขากลับไปที่บ้านของหลิงเหยา เปิดห้องเก็บฟืน

ทันใดนั้นลู่ฝานเห็นสิบสามกับทางจวินพิงอยู่มุมกำแพง

ลู่ฝานพูดว่า “ฉันจะมอบโอกาสให้พวกนายเป็นอิสระหนึ่งครั้ง”

ทางจวินพูดว่า “ผมยอมรับ เพราะตอนนี้ผมไม่มีอะไรแล้ว”

ลู่ฝานพยักหน้าแล้วมองสิบสาม

ตอนนี้สิบสามมองงูตัวเล็กบนร่างกายตัวเอง

ลู่ฝานพูดว่า “ช่วยฉัน แล้วฉันจะกำจัดวิชาคุมวิญญาณบนตัวนาย”

สิบสามรีบช้อนตามองลู่ฝาน ทันใดนั้นสิบสามพูดว่า “ตกลง”

ลู่ฝานโยนยาขวดหนึ่งให้ทั้งสองคน หลังจากนั้นพูดว่า “รวมตัวที่ประตูเมือง”

……

เมฆดำทะมึนทั่วเมือง เมฆดำตรงขอบฟ้า เมื่อกี้ยังดูเหมือนอยู่ไกลมาก แต่พริบตาเดียว ก็มาถึงท้องฟ้าบนเมืองหยุนไห่แล้ว

ประชาชนเมืองหยุนไห่แอบเปิดหน้าต่างดูข้างนอก ความดำขลับทั้งแถบ ไม่เหมือนเมฆทั่วไป แต่เหมือนงูที่กำลังเลื้อย เหมือนเงาสีดำ

บทที่ 785

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 785
เมื่อพูดเช่นนี้ ลู่ฝานเอาป้ายคำสั่งจิตใจเต๋าสำนักมารในแหวนออกมา

ใช้แรงที่ฝ่ามือ ลู่ฝานแบ่งป้ายจิตใจเต๋าสำนักมารเป็นสองส่วน ควันสีดำลอยขึ้นมา

ส่วนมารทั้งสี่ที่กำลังต่อสู้กับเหล่ายอดฝีมือ เหมือนรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง พวกมันสั่นไปทั้งตัว หลังจากนั้นฉางเจี๋ยหน้าผีตะโกนออกมาว่า “เล่นสนุกกันพอแล้ว พวกนายตายซะเถอะ!”

เมฆดำเหมือนหมึกแผ่ซ่านเข้ามา กลืนท้องฟ้าจนหมดภายในพริบตา

…..

ลู่ฝานโยนป้ายพังๆ ในมือลงบนพื้น แล้วก้าวเข้าไปในเมือง

หานเฟิงกับหลิงเหยาเดินตามหลังเขา ไม่รู้ว่าลู่ฝานจะทำอะไร

เดินมุ่งหน้าไปยังจวนผู้เฝ้าเมือง ลู่ฝานเหมือนเข้ามาแดนไร้ผู้คน

“คุณชายของตระกูลพวกนายล่ะ ให้เขาออกมา!”

ลู่ฝานดึงองครักษ์คนหนึ่ง แล้วแผดเสียงออกมา หลังจากนั้นก็ผลักเขาออกไป

องครักษ์คนนั้นจำหน้าลู่ฝานได้ รีบหนีหัวซุกหัวซุนไปด้วยความตกใจ ไม่นาน คุณชายรองกับคุณชายสามของตระกูลซ่ง โดนคนแบกออกมาอย่างรวดเร็ว

เหมือนลูกหลานตระกูลซ่งเห็นผีร้าย ล้อมอยู่ข้างคุณชายทั้งสองคน ด้วยความกลัวและตกใจ

คุณชายรองพูดด้วยเสียงสั่นเครือว่า “ท่านพี่ท่านนี้ พ่อกับพี่ชายฉันตายไปแล้ว นายจะเอายังไงอีก”

ลู่ฝานพูดเสียงก้องว่า “ไม่มีเวลาพูดไร้สาระกับพวกนาย บอกมาว่าของที่พ่อนายใช้ติดต่อกับราชสำนักอยู่ไหน”

คุณชายรองพูดด้วยเสียงสั่นเครือว่า “อยู่ที่โถงหลัก”

ลู่ฝานหายตัวไปยังโถงหลัก ร่างกายของเขาเร็วดั่งสายลม

เมืองมาถึงโถงหลักตระกูลซ่ง ลู่ฝานแค่กวาดตามอง หลังจากนั้นดึงภาพที่แขวนอยู่กลางห้องลงมา เผยให้เห็นค่ายกลเล็กๆ ที่ใช้ติดต่อที่ด้านหลัง

ค่ายกลนี้มีชื่อว่าค่ายกลแยก!

เป็นค่ายกลที่ราชสำนักใช้แจ้งเรื่องด่วน ถ้าไม่ถึงช่วงเวลาเป็นตาย ห้ามใช้ เมืองละค่ายกล โดยทั่วไปจะวาดไว้ในสถานที่ที่เป็นลานกว้าง คิดไม่ถึงว่าในเมืองหยุนไห่ จะวาดอยู่ในโถงหลักของตระกูลซ่ง ด้วยเหตุนี้ทำให้รู้ว่าตระกูลซ่งเห็นแก่ตัวแค่ไหน

ค่ายกลนี้ต้องมีป้ายผู้เฝ้าเมืองถึงจะเปิดได้ โชคร้ายที่ตอนนี้ป้ายของผู้เฝ้าเมืองหยุนไห่ อยู่ในมือลู่ฝาน

ลู่ฝานเอาป้ายคำสั่งออกมา กดมันลงบนค่ายกล

ทันใดนั้น ค่ายกลสว่างขึ้นมา แสงหนึ่งทะลุผ่านหลังคาโถงหลักตระกูลซ่งขึ้นไปบนฟ้า

นี่เป็นแสงคุ้มครองเมืองของประเทศอู่อาน หรือเรียกว่าลำแสงทำลายเมือง เพราะเมื่อเห็นแสงนี้ เท่ากับว่ากำแพงเมืองกำลังจะถูกทำลายแล้ว ต้องการให้ราชสำนักช่วยเหลืออย่างรวดเร็ว

แสงทะลุไปในเมฆ ไม่รู้ว่าไปไหนแล้ว

ลู่ฝานเห็นแสงนี้หายไป ก็ขมวดคิ้ว

หลิงเหยาถามว่า “ราชสำนักจะส่งคนมาไหม”

ลู่ฝานพูดว่า “ถ้าคนในราชสำนักไม่ได้โง่ ต้องส่งคนมาแน่นอน”

หานเฟิงพูดขึ้นมาข้างๆ ว่า “อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง แต่หน่วยองครักษ์เสิ่นหวา ต้องมีคนมาแน่นอน”

ลู่ฝานมองหานเฟิงอย่างไม่เข้าใจ “หน่วยองครักษ์เสิ่นหวาคืออะไร”

หานเฟิงพูดว่า “เดี๋ยวนายเห็นก็รู้เอง”

ลู่ฝานเกลียดที่ศิษย์พี่หานเฟิงชอบอุบเรื่องสำคัญเอาไว้เป็นที่สุด ขณะกำลังจะถาม มีเสียงตะโกนดังขึ้นข้างนอก

“ดูเร็ว เมฆดำลอยมาแล้ว!”

ลู่ฝานและคนอื่นรีบเดินออกไป เมื่อเพ่งมอง ก็เห็นเมฆดำลอยมาเป็นแถบ

ลู่ฝานหน้าซีดเผือดทันที เขารู้ว่าเมฆดำนี้มาจากไหน เป็นออร่าปีศาจของมารสี่ตัวนั่น

หานเฟิงกัดฟันพูดว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน หนีตอนนี้ยังทันนะ”

ลู่ฝานพูดว่า “อย่าบอกนะว่าเรายังหนีมารสี่ตัวนี่ได้อีกเหรอ”

ลู่ฝานกำหมัด แผดเสียงออกมาว่า “รีบเรียกรวมคนที่ฝึกฝนพลังปราณได้ทั้งหมดในเมือง รวมตัวกันที่ประตูเมือง!”

กลุ่มคนมองลู่ฝานอย่างไม่เข้าใจ ราวกับกำลังบอกว่าทำไมเราต้องฟังคำสั่งพวกนาย

ลู่ฝานเห็นดังนั้น จึงเอาป้ายผู้ตรวจการชั้นกลางของตัวเองออกมา พูดเสียงดังว่า “ผู้ตรวจการชั้นกลาง ลู่ฝานอยู่ที่นี่ พวกนายต้องฟังคำสั่ง!”

บทที่ 784

บทที่ 786

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 784
เขาอวี่ฮั่ว ภูเขาสูงที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมากที่เขตตงหวา วันนี้ได้ต้อนรับจุดจบของมันแล้ว

ตัวภูเขาทรุดลง ตัวอักษรขนาดใหญ่คำว่าเขาอวี่ฮั่ว หลังจากมีรอยร้าวเกิดขึ้น ก็แตกสลาย สุดท้ายกลายเป็นหินก้อนใหญ่ หล่นลงมาพร้อมตัวของภูเขา

ท้องฟ้าที่มีแสงส่องสว่าง พื้นดินสั่นสะเทือน รวมไปถึงเสียงร้องอย่างตกใจของกลุ่มคนรวมกันเป็นเสียงเดียว

มังกรดำตัวหนึ่งบินขึ้นมาจากหุบเขา มันชนหินขนาดใหญ่จนแตกนับไม่ถ้วน เผาทำลายต้นไม้ไม่น้อย สุดท้ายก็หนีออกมาจากภูเขาที่ทรุดลงมาได้

บนตัวมังกรดำ กลุ่มคนมองเขาอวี่ฮั่วอย่างตกใจและหวาดกลัว

ถึงเป็นช่วงสุดท้าย ลู่ฝานก็ไม่ทอดทิ้งคนพวกนี้ คนเป็นร้อยนั่งอยู่บนหลังขนาดใหญ่ของเจ้าดำ สีหน้าซีดเผือด สั่นไปทั้งตัว

ยังดีที่ตอนนี้วิทยายุทธของเจ้าดำไม่เหมือนก่อน หลังจากขยายตัวใหญ่สุดขีด จึงมีขนาดประมาณนี้ ไม่งั้นคงรองรับคนพวกนี้ไม่ได้

แสงสว่างของเจดีย์ในมือลู่ฝานหายไป บนตัวเจดีย์ มีมังกรตัวเล็กที่มีค่ายกลเลือนรางอยู่ในปาก ปรากฏออกมา หลังจากนั้นเข้าไปในเจดีย์เก้าชั้น

เหมือนเจดีย์เสวียนเก้ามังกรใช้พลังไปหมดแล้ว เข้าไปในตันเถียนของลู่ฝานอีกครั้ง

“เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ เก็บค่ายกลแล้ว”

ลู่ฝานเงียบ มองเขาอวี่ฮั่วทรุดลงมาอย่างเงียบๆ

เมื่อไม่มีค่ายกลนี้ เขาอวี่ฮั่วกลายเป็นกองเศษหินอย่างแท้จริง

ส่วนบนยอดเขานั้น บนท้องฟ้ายังต่อสู้กันต่อไป

แม้อยู่ห่างไกล ออร่าปีศาจอันน่ากลัวและพลังสั่นสะเทือน ยังคงทำให้เขาอกสั่นขวัญแขวน

“กลับเมืองหยุนไห่!”

ลู่ฝานพูดออกมา

การต่อสู้แบบนี้ ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะเข้าร่วมได้ คงต้องพยายามหลบให้ไกล

เจ้าดำบรรทุกพวกเขา บินอย่างรวดเร็วไปทางเมืองหยุนไห่

เมืองหยุนไห่ใกล้มาก ใกล้จนเจ้าดำใช้เวลาไม่นาน ก็มาถึงหน้าประตูเมือง

ทหารเฝ้าเมืองเห็นมังกรดำบินมาตัวหนึ่ง อย่างแรกที่ทำคือยิงลูกธนูออกมานับไม่ถ้วน แต่สิ่งเหล่านี้ทำอะไรเจ้าดำไม่ค่อยได้ กลับเป็นคนจำนวนมากที่นั่งอยู่บนหลังเจ้าดำ ที่เป็นคนตะโกนออกมาว่าให้หยุด

ทุกคนลงมา เจ้าดำดูเหมือนเหนื่อยจนเพลีย กลายเป็นสุนัขตัวเล็ก หลิงเหยาอุ้มมันขึ้นมาอย่างสงสาร

ลู่ฝานวางเด็กผู้หญิงที่อุ้มอยู่ลงมา แต่เมื่อมองดู เด็กผู้หญิงคนนี้เลือดออกเจ็ดทวาร และสิ้นลมไปแล้ว ดวงตาที่เบิกโตทั้งสองข้าง กำลังบอกถึงความไม่พอใจก่อนตาย

จู่ๆ ลู่ฝานพบว่าเหมือนตัวเองรู้จักเด็กคนนี้

ทันใดนั้น ลู่ฝานคิดออก วันแรกที่ตัวเองมาถึงเมืองหยุนไห่ เขาช่วยเด็กผู้หญิงคนนี้ออกมาจากมือคนชั่ว ในตระกูลซ่งที่เมืองหยุนไห่ไม่ใช่เหรอ

ทันใดนั้น สีหน้าลู่ฝานเดาไม่ถูก หานเฟิงเดินเข้ามามองแวบหนึ่ง เขาเงียบไม่พูดอะไรทันที

ผ่านไปนาน ลู่ฝานพูดว่า “คิดไม่ถึงว่าช่วยเธอได้ครั้งหนึ่ง แต่ไม่สามารถช่วยเธอได้เป็นครั้งที่สอง”

กลุ่มคนข้างๆ ลู่ฝานมองภาพนี้ เงียบไม่พูดอะไรอยู่นาน

ทุกคนเข้ามาในเมือง ประชากรในเมืองหยุนไห่เห็นเลือดบนตัว และสภาพน่าเวทนาของพวกเขา ต่างพากันแอบซุบซิบ

ที่ไกลๆ การเคลื่อนไหวที่เขาอวี่ฮั่วยังคงดำเนินต่อไป คนจำนวนไม่น้อยมองไปไกลๆ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

“เด็กน้อย เด็กน้อย เธอเป็นอะไรไป!”

ประชาชนสองสามคนพุ่งออกมา มองเด็กผู้หญิงในอกลู่ฝานแล้วเอ่ยขึ้น

ลู่ฝานเอาร่างของเด็กผู้หญิงให้พวกเขา โดยที่พูดอะไรไม่ออกสักคำ

ลู่ฝานกำหมัด เสียงตะโกนของฉางเจี๋ยหน้าผีดังก้องอยู่ในหัว

“ตายไปซะ ตายให้เยอะหน่อย ยิ่งคนตายเยอะเท่าไร พลังของฉันก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น!”

แววตาลู่ฝานมีความโกรธ เขากัดฟันพูดว่า “คนที่ฝึกฝนชั่วร้าย ควรฆ่าตายให้หมด!”

บทที่ 783

บทที่ 785

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 783
ลู่ฝานใช้กระบี่ฟันหัวศิษย์สำนักชุดแดงจนขาดอีกคน เลือดสดเปื้อนเสื้อจนแดง ขี้เถ้าลอยไปตามลม

“ทางนี้!”

ลู่ฝานตะโกนเสียงดัง พุ่งไปฆ่าข้างหน้า กลุ่มคนที่ไม่อยากตายสิบกว่าคนวิ่งตามอยู่ด้านหลัง

ในความโกลาหล ลู่ฝานเห็นศิษย์สำนักชุดแดงคนหนึ่ง เตะผู้หญิงคนหนึ่งตาย ขณะเดียวกันก็กำลังจะฆ่าเด็กผู้หญิงข้างๆ ด้วย

ลู่ฝานโจมตีกระบี่ออกไปกลางอากาศ ปราณกระบี่ทรงพลังเป็นเปลวเพลิง ฟันนักบู๊สำนักชุดแดงคนนี้จนปลิวไปหลายเมตร จากนั้นก็อุ้มเด็กผู้หญิงขึ้นมา

“พุ่งไป!”

ลู่ฝานพูดอย่างโมโหออกมาอีกครั้ง เริ่มเร่งความเร็ว ตอนนี้คนสิบกว่าคนด้านหลัง กลายเป็นหลายสิบคนแล้ว คนจำนวนมากวิ่งเข้ามาหาเขาอย่างต่อเนื่อง

เขาไม่มีเวลาสนใจว่าคนข้างหลังเจอการโจมตีอย่างไร เขารู้เพียงว่าต้องฆ่าตลอดทางลงเขา

เขาเหมือนกระบี่ยาวที่ไม่มีวันหันกลับมา ต่อสู้ท่ามกลางทะเลเลือดเพื่อเปิดทาง ตอนนี้ลู่ฝานพบว่ากระบี่หนักไร้คมของตัวเอง มีประโยชน์มากขนาดไหน เมื่ออยู่ในการต่อสู้วุ่นวายระดับนี้

ถึงใช้พลังปราณไม่มาก กระบี่หนักไร้คมก็ยังกวาดล้างได้อย่างแข็งแกร่ง ลู่ฝานสะบัดกระบี่หนักไร้คม ราวกับเทพแห่งการต่อสู้ เปลวเพลิงลุกโชน

ทันใดนั้น มีเสียงลมดังขึ้นข้างหู “หุ่นเชิดคน” ดวงตาแดงก่ำสิบกว่าคน โจมตีใส่เขา

ลู่ฝานใช้เกราะเกล็ดมังกรของตัวเอง เปลวเพลิงบนตัวระเบิดออกมา โจมตีด้วยกระบี่

“ตู้ม”

คลื่นความร้อนกวาดหุ่นเชิดคนกระเด็นไป 7-8 คน แต่ยังมีบางส่วนที่ไม่โดนเขาโจมตี ตอนที่ลู่ฝานคิดว่าตัวเองกำลังจะโดนโจมตี มีเสียงดังขึ้นข้างหู แสงหลายแสงปรากฏขึ้น ซัดชายชุดเขียวที่กำลังจะเข้ามาโจมตีเขาจนล้มลงบนพื้น

เมื่อหันมามอง ลู่ฝานพบว่ากลุ่มคนที่ตามหลังตัวเองมาเกินร้อยคนแล้ว

อีกทั้งในบรรดาร้อยคนนี้ ยังมีนักบู๊และผู้ฝึกชี่ที่วิทยายุทธไม่เลว เมื่อกี้พวกเขาลงมือแก้ไขสถานการณ์คับขัน

“ศิษย์น้องลู่ฝาน ทางนี้!”

ศิษย์พี่หานเฟิงตะโกนอยู่ข้างหน้า

ลู่ฝานรวบรวมสติและสมาธิ พุ่งไปทางศิษย์พี่หานเฟิง

“ตู้ม!”

มีเสียงระเบิดดังขึ้นบนฟ้าอีกครั้ง

ขณะนั้นเสียงของอู๋ฉางหน้าผีดังขึ้น

“คนรักความชอบธรรมโง่เง่าแบบพวกนาย คิดว่าคนเยอะแล้วจะชนะฉันได้เหรอ ผู้ฝึกฝนชั่วร้ายที่มีความอาฆาตคืออมตะ มารสลายร่าง!”

เสียงฟ้าร้องดังขึ้น จู่ๆ ลู่ฝานรู้สึกว่าหูตัวเองไม่ได้ยินเสียง

ทุกอย่างด้านหน้าเริ่มเปลี่ยนไปจนเลือนราง พื้นดินล่างเท้าเริ่มแตกร้าว

ลู่ฝานกัดฟัน รู้สึกว่าอวัยวะในตัวหมุนเคว้งไปมาไม่หยุด โดยเฉพาะป้ายคำสั่งในแหวน ราวกับมันจะทำลายการกักขังออกมา

มีเลือดไหลออกมาตรงมุมปาก ลู่ฝานพยายามวิ่งไปด้านหน้า

กลุ่มคนด้านหลัง เริ่มทรุดลง คนล้มลงบนพื้นเป็นแถบ กระอักเลือดตายคาที่

ลู่ฝานไม่มีวิธีช่วยพวกเขา ตอนนี้เขารู้สึกว่าตัวเองสามารถตายได้ทุกเมื่อ

ลู่ฝานกอดเด็กผู้หญิงในอกเอาไว้แน่น มุ่งหน้าลงจากเขา

พื้นดินเริ่มแตกร้าวอีกแล้ว ตอนนี้การได้ยินเริ่มกลับมาแล้ว

เสียงเจดีย์เสวียนเก้ามังกรดังขึ้นในตัวลู่ฝาน

“เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ มีคนกระตุ้นค่ายกลของเขาแห่งนี้ อีกไม่นานค่ายกลจะระเบิดแล้ว”

ลู่ฝานแผดเสียงออกมาว่า “ทำลายมัน รีบทำลายมัน!”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรโผล่ขึ้นบนฝ่ามือลู่ฝาน ไม่ใช่เงาเลือนราง ความรู้สึกเย็นยะเยือกกับสัมผัสเหมือนโลหะ เป็นร่างจริงอย่างไม่ต้องสงสัย

นี่เป็นการปรากฏร่างจริงบนโลกครั้งแรก หลังจากที่มันติดตามลู่ฝาน ตอนนี้เสียงเจดีย์เสวียนเก้ามังกรเคร่งขรึมขึ้นมา

“ฉันไม่สามารถทำลายมันได้ แต่สามารถเก็บมันได้!”

เมื่อพูดจบ ลู่ฝานเห็นมังกรตัวหนึ่งคำรามออกมาจากเจดีย์ แล้วมุดลงไปในพื้นดิน

พื้นดินล่างเท้าเริ่มทรุดลง เหมือนภูเขาทั้งลูกจะทรุดลงไปด้วย ไม่รู้คนตั้งเท่าไรที่หลบไม่ทัน แล้วทรุดลงไปในรอยแยกลึกที่ปรากฏขึ้นบนพื้น ขณะเดียวกัน แสงของค่ายกลสว่างขึ้น เหมือนจะมีแสงกระบี่ออกมาอีกครั้ง

ลู่ฝานพุ่งไปข้างล่างสุดชีวิต ศิษย์พี่หานเฟิงกับหลิงเหยาอยู่ด้านหน้าเขา ต่างพากันหนีสุดชีวิตเช่นกัน

ทันใดนั้น ลู่ฝานรู้สึกว่าในตัวมีอะไรผิดปกติ ตอนนี้เงาของเจ้าดำออกจากการสิงร่างโดยอัตโนมัติ

ความเร็วของลู่ฝานลดลงเล็กน้อย มองเจ้าดำอย่างไม่เข้าใจ

แต่ต่อมา เจ้าดำเงยหน้าหอน สยายปีกอย่างรวดเร็ว!

เสียงคำรามของมังกรดังสนั่น แสงสีดำไหลเวียนอยู่บนตัวเจ้าดำ

ด้านล่างมีเปลวไฟดำลุกโชน จู่ๆ เจ้าดำบินไปทางท้องฟ้า

ลู่ฝาน หานเฟิง และหลิงเหยา เด้งตัวขึ้นไป

“การตายคือความงามอย่างหนึ่ง เหมือนกับดอกไม้เบ่งบาน ดึงดูดให้คนเคลิบเคลิ้ม”

เสียงเย้ายวนดังออกมาจากออร่าปีศาจ เสียงเหมือนเสียงธรรมชาติ ทำให้อดจิตใจหวั่นไหวไม่ได้

“สหายร่วมปณิธานเดียวกันทุกท่าน รวมพลังที่จุดศูนย์ อย่าโดนเสียงมารของเธอปลุกเสกใส่!”

เซียนอวี่ซานตั้งสติได้เป็นคนแรก แล้วตะโกนออกมา

ยอดฝีมือคนอื่น รีบรวบรวมสติและสมาธิ แสงปรากฏขึ้นบนตัวอีกครั้ง

“ฮ่าๆๆๆ คนที่รักความชอบธรรมแบบพวกนาย น่าขำสิ้นดี คนพูดแค่สองประโยค ก็ตกใจจนอยู่ในสภาพนี้แล้ว”

เงาของซักคิวบัสเย้ายวน โผล่ออกมาจากออร่าปีศาจ

ตอนนี้สภาพของเธอ ไม่ใช่รูปร่างมนุษย์แล้ว

ตัวบวม มือเป็นหนวดสีดำ รวมไปถึงดวงตาขนาดใหญ่

ใช่ บนมือที่เป็นหนวดของเธอ เริ่มมีดวงตาขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นมา ดูอัศจรรย์และน่าขยะแขยงมาก

เสียงของฉางเจี๋ยหน้าผีดังขึ้น

“เหล่าเทา ชิงไห่ ถึงเวลาพวกนายลงมือแล้ว”

เมื่อสิ้นเสียง เงาคนคนหนึ่งพุ่งออกไป

ท้องฟ้าทั้งแถบมืดลงทันที หลังจากนั้นมีหน้าผีปรากฏขึ้นกลางท้องฟ้า โหดเหี้ยมน่ากลัว

“ฉันจะกิน!”

เสียงแหบพร่า หน้าผีอ้าปากกว้าง

ทันใดนั้น บนเขาอวี่ฮั่วฝุ่นตลบอบอวล

“วิชามารกลืนพิภพ!”

สุ่ยเชียนโหรวส่งเสียงตกใจออกมา ในบรรดาคนที่นี้ มีเพียงเธอที่รู้จักวิชามารที่น่ากลัวนี้

กระบี่เล่มหนึ่งลอยออกไป เหมือนสายฟ้าร่วงลงตรงหน้าทุกคน

หลังจากนั้นมีเงากระบี่นับไม่ถ้วน พุ่งออกมาจากกระบี่ยาวสีดำเล่มนี้ พร้อมเสียงโหยหวนของผี ทำให้ทั้งท้องฟ้าเต็มไปด้วยเงาผีมากมาย

“ฆ่า!”

เซียนอวี่ซานแผดเสียงออกมา สะบัดมือเข้ามา พลังทั้งห้าธาตุกลายเป็นมังกรเทพห้าตัว พุ่งไปฆ่าทันที พละกำลังเซียนบำเพ็ญชี่ถูกใช้ออกมาทั้งหมด!

พลเอกทั้งสี่ท่าน ใช้มือเดียวฉีกเงากระบี่ที่พุ่งมาด้านหน้า พลเอกฉือหลงแผดเสียงออกมาว่า “ตั้งค่าย!”

พลเอกทั้งสี่ท่านยกอาวุธขึ้นมาพร้อมกัน พวกเขาไม่ใช่นักบู๊ของสำนัก ไม่มีค่ายกลอะไรมากมาย ในฐานะที่เป็นคนในกองทหาร คำว่าตั้งค่ายที่พลเอกฉือหลงพูด มีเพียงอย่างเดียว นั่นก็คือค่ายสังหารของทหาร

“สู้!”

พลเอกฉือหลงแผดเสียงออกมา ทั้งสี่คนลงมือพร้อมกัน

ปรมาจารย์บำเพ็ญชี่จ้าวกวง คุณฟู่กุ้ยก็ลงมือด้วย ผู้ฝึกฝนและนักบู๊ในที่นี้โจมตีออกมา พลังของพวกเขาทำให้ทั้งท้องฟ้าระเบิดเป็นสีสันต่างๆ นานา

พลังอันน่ากลัวสั่นสะเทือนจากท้องฟ้ามาบนพื้นดิน เหมือนพายุกวาดใบไม้ร่วงลงมา พัดคนนับไม่ถ้วนลอยขึ้นมา

ลู่ฝานเอากระบี่หนักไร้คมของตัวเองออกมา ปักลงบนพื้นดินอย่างแรง

หลิงเหยาก็ปล่อยพลังปราณของตัวเองออกมา แม้จะเป็นเพียงแดนปราณนอกที่น่าสงสาร แต่หลบอยู่หลังลู่ฝาน ก็ยังไม่มีปัญหาอะไร

“ถอย!”

ลู่ฝานแผดเสียงดัง การต่อสู้ระดับนี้ ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะเข้าร่วมได้

พลังน่ากลัวที่ลอยมาจากท้องฟ้า ถึงระดับที่ลู่ฝานไม่กล้ามองตรงๆ

ศิษย์พี่หานเฟิงพยักหน้าอย่างแรง

ทั้งสองคนรีบเหาะไปด้านหลัง แต่ขณะนั้น พวกคนสำนักชุดแดง สำนักชุดเหลือง สำนักชุดเขียว สำนักชุดขาว กลับไม่มีท่าทีจะปล่อยพวกเขาไป

เพิ่งเดินได้ไม่กี่ก้าว “หุ่นเชิดคน” ที่ไม่มีความตระหนักรู้ ดวงตาสองข้างแดงก่ำพวกนี้ โถมเข้ามาเหมือนคลั่ง

เพราะการดัดแปลงของวิชามาร ทำให้ตัวของพวกเขาแข็งแกร่งทนทานเป็นอย่างมาก

เปลวไฟสีดำลุกโชนบนตัวลู่ฝาน ใช้วิชามังกรเพลิงคำราม ระเบิดพวกเขาออกไป

“ช่วยด้วย! ช่วยด้วย!”

มีเสียงตะโกนดังขึ้นข้างหู ลู่ฝานหันไปมอง เห็นผู้ชายไม่กี่คน โดนนักบู๊วิชามารอันน่ากลัวล้อมไว้

เหมือนพวกเขายังมีพละกำลังบ้าง แต่เทียบกับนักบู๊วิชามารที่น่ากลัวพวกนี้ ยังห่างชั้นกันเยอะ

ลู่ฝานแอบกัดฟัน แผดเสียงดังออกมาว่า “ศิษย์พี่หานเฟิง พี่พาหลิงเหยาหนีไปก่อน!”

หานเฟิงมองลู่ฝานถือกระบี่ไปฆ่าทางด้านนั้น จึงก่นด่าออกมาว่า “ศิษย์น้องโง่เง่า นายทำอะไร”

หลังจากด่าเสร็จ หานเฟิงทำได้เพียงกัดฟันพุ่งไปข้างหน้าต่อ หลิงเหยาก็สะบัดแขนเสื้อไม่หยุด ปล่อยพลังปราณของตัวเองออกมา

“กระบี่ฆ่าพิชิตฟ้า!”

กระบี่หนักไร้คมโจมตีออกไป กำจัดศิษย์สำนักชุดแดงออกไปสองคน

“ไม่อยากตายก็ตามฉันมา!”

ลู่ฝานแผดเสียงดัง เปลวไฟสีดำบนตัวพลุ่งพล่าน เสียงของเขาลอดผ่านฝูงชนมากมาย ดังก้องไปทั่วตลาดหม้อยา

คนจำนวนไม่น้อยรีบไปรวมตัวทางลู่ฝานอย่างรวดเร็ว กลุ่มคนโกลาหลวุ่นวาย ไม่รู้ว่าวิ่งไปทางไหน คิดเพียงแค่เอาชีวิตรอด

ตอนนี้ได้ยินเสียงตะโกนของลู่ฝาน พวกเขาวิ่งไปตามสัญชาตญาณ

พวกเขาไม่อยากตาย จึงพากันมา

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 781
ลู่ฝานช้อนตามองไป จู่ๆ เขาเห็นว่าผู้ฝึกฝนพวกนี้ต่างมีดวงตาสีแดงก่ำ เหมือนโดนวิชาชั่วร้ายอย่างไรอย่างนั้น

“วิชาเลือดพลุ่งพล่าน ศิษย์น้องลู่ฝาน จำเป็นต้องฟันหัวคนพวกนี้”

ศิษย์พี่หานเฟิงตะโกนออกมา ตอนนี้มีนักบู๊ชุดแดงคนหนึ่ง ยกกระบี่พุ่งเข้ามาทางพวกเขา

ลู่ฝานหมุนตัวเตะนักบู๊ชุดแดงคนนี้จนกระเด็น จากพละกำลังของเขา การเตะนี้ถึงเป็นหินก้อนใหญ่ก็แตกเป็นผุยผงได้ แต่นักบู๊ชุดแดงคนนั้น เหมือนไม่เป็นอะไรเลย เขารีบลุกขึ้นมาทันที

ลู่ฝานรู้สึกว่าเตะของตัวเองเมื่อกี้ ไม่สามารถทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บเท่าไร เหมือนตัวของเขาถูกกรอกเหล็กกล้าลงไป ทนทานเป็นอย่างมาก

“ฟันหัว! ต้องฟันหัว!”

ศิษย์พี่หานเฟิงตะโกนออกมาอีก แล้วพุ่งเข้าไปหานักบู๊ชุดแดง

กระบี่ฟ้าครามในมือมีแสงสว่าง ฟันลงไปบนคอของนักบู๊ชุดแดง พลังธาตุทองในธาตุทั้งห้าอันแข็งแกร่ง ทำให้พื้นล่างเท้าของอีกฝ่ายเป็นรอยกระบี่แตกร้าว

แต่กระบี่ในมือศิษย์พี่หานเฟิง เขาไปในคอของนักบู๊ชุดแดงได้เพียงสามนิ้ว แต่ไม่สามารถฟันให้ขาดได้ นี่คือกระบี่ที่ใช้แรงทั้งหมดของนักบู๊แดนปราณชีวิตเชียวนะ

“ทนทานมาก!”

ศิษย์พี่หานเฟิงแผดเสียงออกมา ระเบิดพลังออกมาอีกครั้ง

ตอนนี้เจ้าดำตามไปข้างหน้าด้วย เอากรงเล็บจับนักบู๊ชุดแดงที่จะขัดขืน แสงสว่างไสวบนตัวศิษย์พี่หานเฟิง เขาใช้แรงอีกครั้ง ในที่สุดก็ใช้กระบี่ฟันหัวอีกฝ่ายได้

เลือดสาดกระจาย เลือดกระเด็นลงพื้นเหมือนน้ำเดือด กัดกินพื้นจนกร่อน

หลังจากนั้นศพของนักบู๊ชุดแดง กลายเป็นเถ้าอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งไม่เหลืออะไรเลย

ศิษย์พี่หานเฟิงมองลู่ฝาน แล้วพูดว่า “นี่คือวิชาผู้ฝึกฝนชั่วร้าย ศิษย์น้องลู่ฝาน รีบพาศิษย์น้องหลิงเหยาหนีไป ถ้ายังไม่หนีไปจะไม่ทันแล้ว!”

ลู่ฝานอุ้มหลิงเหยาขึ้นมา หลิงเหยาดิ้นขัดขืน “ฉันหนีได้ ปล่อยฉันลง”

ลู่ฝานพุ่งออกไปข้างนอก โดยไม่พูดอะไรสักคำ ด้านหน้าเต็มไปด้วยความโกลาหล เสียงตะโกนฆ่าดังสนั่น

ตลาดหม้อยาที่เดิมทีสงบสุขและคึกคัก ตอนนี้เหมือนนรกบนโลก เจ้าหน้าที่เป็นกลุ่มยังพุ่งไปข้างหน้า หน้าไม้ไร้ประโยชน์ พลังปราณส่องไปทั่ว พลังชี่ระเบิด

“ตู้ม!”

มีเสียงดังสนั่นเกิดขึ้นบนท้องฟ้า พื้นด้านล่างเท้าแตกเป็นรอยร้าวอีกครั้ง

ตอนนี้ภาพที่กำลังเหยียบอยู่บนเมฆหายไป เหมือนประสิทธิภาพของค่ายกลที่คุ้มครองเขาอวี่ฮั่วหายไป

จู่ๆ เสียงเจดีย์เสวียนเก้ามังกรดังขึ้นในตัวลู่ฝาน

“เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ รีบกระโดดขึ้นมา รีบกระโดดขึ้นมา!”

ลู่ฝานไม่เข้าใจว่าเจดีย์เสวียนเก้ามังกรกำลังตะโกนอะไร แต่เขาดึงหานเฟิงเด้งตัวขึ้นไป ขณะเดียวกันก็พูดกับเจ้าดำว่า “สิงร่าง!”

เจ้าดำกลายเป็นแสงสีดำเข้าไปในตัวลู่ฝาน ลู่ฝานเด้งตัวขึ้นสูงประมาณสามสิบเมตร ตอนนี้มีเสียงคำรามอย่างโมโห ดังไปทั่วเขาอวี่ฮั่ว

เหมือนเสียงคำรามอย่างโมโหของพิภพ ค่ายกลปรากฏขึ้นบนพื้น พลังน่ากลัวพุ่งขึ้นมา กลายเป็นดาบยักษ์สีทองนับไม่ถ้วน พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า

“อ๊าก!”

คนนับไม่ถ้วนได้รับบาดเจ็บทันที การต่อสู้ครั้งนี้ ไม่รู้มีคนตายไปเท่าไร

เซียนอวี่ซานที่อยู่บนท้องฟ้าพูดอย่างตกใจ “ใครเปิดค่ายกลของเขาอวี่ฮั่ว”

เสียงของอู๋ฉางหน้าผี ดังขึ้นในออร่าสีดำ

“ฉันเป็นคนเปิดเอง ค่ายกลเล็กๆ ดัดแปลงเพียงเล็กน้อย ก็สามารถทำให้พวกนายเลือดไหลเหมือนน้ำ ตายซะเถอะ ตายให้เยอะสักหน่อย ยิ่งคนตายเยอะเท่าไร พลังฉันก็ยิ่งแข็งแกร่ง!”

เสียงหัวเราะแทบขาดใจ ออร่าความตายลอยอยู่บนเขาอวี่ฮั่ว เข้าไปในออร่าดำทั่วตัวเขา

มารสี่ตัวที่โดนยอดฝีมือทุกคนร่วมมือกันควบคุมเอาไว้ ตอนนี้เหมือนจะโจมตีกลับแล้ว!

เมื่อสิ้นเสียง เขาอวี่ฮั่วสั่นไปมา เหมือนมีคนชนตัวภูเขาอย่างแรง

พื้นดินเป็นรอยร้าว เกิดรอยแยกเป็นทางลึก หลังจากนั้นมีแสงสว่างขึ้นรอบๆ เขาอวี่ฮั่ว เหมือนดอกไม้ไฟพุ่งขึ้นไปบนฟ้า

“มาแล้ว!”

อู๋ฉางหน้าผีอ้าแขนทั้งสองข้าง เหมือนกำลังกอดโลก

ทุกคนมองแสงที่ระเบิดกลางอากาศอย่างตะลึง หลังจากนั้นมีเงาดำเป็นชิ้นส่วน ปรากฏออกมาจากแสงสว่าง

“รีบดูสิ นั่นมันคน!”

“พระเจ้า หล่นมาจากที่สูงขนาดนี้ พวกเขาจะไม่ตายใช่ไหม”

เสียงตกใจดังขึ้น

แต่ไม่สามารถขัดขวางเงาดำที่ร่วงลงมาได้

ชุดขาว ชุดเขียว ชุดแดง ชุดเหลือง

เมื่อเครื่องแต่งกายทั้งสี่สีปรากฏอยู่ในสายตา ลู่ฝานรู้ว่าปัญหาใหญ่แล้ว

“ยิงธนู! ยิงธนู!”

เหล่าเจ้าหน้าที่ทหารก็มีความสามารถ เมื่อเห็นเงาคนร่วงลงมาจากฟ้า ก็รีบออกคำสั่งให้ยิงทันที

ลูกธนูเจาะเกราะมากมายลอยออกไป ทันใดนั้นยิงไปที่เงาคน

อู๋ฉางหน้าผีหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “ฆ่าสิ ฆ่าสิ ยิงฆ่าเยอะยิ่งดี!”

มารสามตัวด้านหลังเขาก็หัวเราะออกมาเสียงดัง

เซียนอวี่ซานแผดเสียงออกมาแล้วลงมืออีกครั้ง พลเอกทั้งสี่คนปล่อยพลังปราณออกมาพร้อมกัน จากนั้นพุ่งไปฆ่าข้างหน้า

พลเอกเฟิงปล่อยท่าไม้ตายของตัวเองออกมากลางอากาศอย่างสุดความสามารถ ในฐานะที่เป็นนักบู๊แดนปราณดิน เดิมทีเขาไม่สามารถฆ่าศัตรูกลางอากาศได้ แต่ตอนเป็นนายพลตอนหนุ่ม เคล็ดวิชาบู๊ลมปราณที่ราชสำนักมอบให้ ทำให้เขาสามารถหยุดกลางอากาศได้ในเวลาสั้นๆ ทำให้เขาฆ่าศัตรูได้ในเวลาเดียวกันด้วย

“มีดฟัน!”

“ฝนวิเศษร่วงหล่น!”

“ธาตุทั้งห้ากำราบฟ้า!”

เสียงตะโกนดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง เซียนอวี่ซาน รวมไปถึงยอดฝีมือทุกคน โจมตีอย่างสุดกำลัง พลานุภาพสะท้านฟ้า

ปรมาจารย์จ้าวกวงที่ยืนอยู่ไม่ไกล รวมไปถึงคุณฟู่กุ้ย ทั้งสองคนกำลังลังเล

ปรมาจารย์จ้าวกวงพูดว่า “เดิมทีฉันไม่มีจิตใจคิดต่อสู้ แค่มาร่วมงานประมูลเท่านั้น”

คุณฟู่กุ้ยพูดว่า “ฉันไม่ได้ลงมือมาเป็นสิบปีแล้ว ลืมไปแล้วว่าสู้กับคนยังไง”

จ้าวกวงพูดว่า “นายจะหนีเหรอ”

อาจารย์ฟู่กุ้ยส่ายหน้าพูดว่า “กลัวว่าจะหนีไม่ได้น่ะสิ ลืมคำสั่งกำจัดมารแล้วเหรอ”

จ้าวกวงถอนหายใจ แล้วพูดว่า “จะลืมได้ยังไงล่ะ ทุกคนที่เห็นผู้ฝึกฝนชั่วร้าย จำเป็นต้องร่วมรบกำจัดมาร ส่วนคนที่หนี จะถือว่าเป็นคนทรยศ ยิ่งมีความสามารถมากเท่าไร หน้าที่รับผิดชอบก็มากเท่านั้น”

คุณฟู่กุ้ยยิ้มขมขื่น “ตอนนี้ฉันหวังให้ตัวเองเป็นแค่ผู้ฝึกฝนธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้น อย่างน้อยถ้าเป็นแบบนี้ ถึงฉันหนีไป ก็ไม่มีใครว่าอะไร”

จ้าวกวงพูดว่า “ในเมื่อหนีไม่ได้แล้ว งั้นก็สู้เถอะ!”

คุณฟู่กุ้ยพยักหน้าพูดว่า “ใช่ งั้นก็สู้เถอะ!”

เมื่อทั้งสองคนพูดจบ ก็พุ่งเข้าไปหาออร่าปีศาจที่พลุ่งพล่าน ยังมีแสงจำนวนไม่น้อยลอยตามพวกเขาขึ้นมาด้วย

“ฆ่า! ฆ่า! ฆ่า!”

ผู้ฝึกฝนที่ร่วงลงมาจากฟ้า ตอนนี้ลงมาบนพื้นหมดแล้ว

ผู้ฝึกฝนที่โดนธนูยิงทั้งตัว คิดไม่ถึงว่าเมื่อร่วงลงบนพื้น ก็เริ่มฆ่าทันที

เสียงผีร้องโหยหวน คนล้มระเนระนาด

ผู้ฝึกฝนที่แต่งตัวสี่แบบ ราวกับกองทหารสี่กองที่ปล่อยออกมาจากนรก ทุกที่ที่ผ่านไป ไม่มีใครสามารถต้านทานได้

“ให้ตายเถอะ พวกนายเป็นคนของสำนักชุดแดง!”

“พวกเลวสำนักชุดเขียว นายไม่รู้จักฉันเหรอ ฉันเคยขึ้นมาบนเขาของพวกนายนะ!”

……

มีเสียงตะโกนต่างๆ นานาปะปนอยู่ในกลุ่มคน เหมือนกับมีคนรู้ว่าผู้ฝึกฝนที่มาโจมตีพวกเขา มาจากที่ไหน แต่เสียงตะโกนของพวกเขา ไม่สามารถขัดขวางผู้ฝึกฝนเหล่านี้ได้

“ให้ตายเถอะ ออร่าไม่ดี ออร่าไม่ดีจริงๆ!”

ศิษย์พี่หานเฟิงก่นด่าออกมาเสียงดัง ตอนนี้เจ้าดำกลายเป็นมังกรดำคุ้มครองอยู่ด้านหน้าทั้งสามคน

เศษไม้กระจาย หินกระเด็นไปทั่ว

หอแดนสวรรค์ที่แต่เดิมยังอยู่สมบูรณ์ ตอนนี้ไม่เหลืออะไรแล้ว

เงาดำเป็นแถบลอยออกมาจากหอแดนสวรรค์ หรือบางทีเป็นเหมือนพวกลู่ฝาน ที่โดนระเบิดจนกระเด็นออกมา หรือไม่ก็อาศัยพละกำลังอันแข็งแกร่งของตัวเอง ฝืนพุ่งออกมา

อย่างแรกมีตั้งไม่รู้กี่คน ส่วนอย่างหลังมีแค่ไม่กี่คน

ลู่ฝานเห็นผู้ฝึกชี่จ้าวกวง รวมไปถึงคุณฟู่กุ้ย

ส่วนที่เหลือ กลัวว่าจะมีหลายคนตายอยู่ท่ามกลางระเบิด

ในตลาดหม้อยา คนจำนวนไม่น้อยเห็นภาพนี้ พากันส่งเสียงตกใจออกมาไม่หยุด คนจำนวนมากพากันถอยหลัง พากันวิ่งลงจากเขา

บางคนที่ซื้อกระจกจำภาพ รู้ว่าด้านในเกิดอะไรขึ้น รีบหนีอย่างรวดเร็ว แต่คนจำนวนมากไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น วิ่งพลางหันกลับมามอง

แรงระเบิดที่เหลือขยายเป็นวงกว้าง พัดฝุ่นตลบอบอวล

ทันใดนั้นมีเงาคนสี่คน พุ่งขึ้นมาจากซากปรักหักพังของหอแดนสวรรค์

คนหนึ่งดำขลับทั้งตัว เหมือนตอนกลางคืน ดวงตาแดงก่ำ เขาคือฉางเจี๋ยหน้าผี

คนหนึ่งเปลือยทั้งตัว มีมือที่เป็นหนวดเต็มไปหมด ดวงตาทั้งสองข้างเย้ายวน เธอคือซักคิวบัสชั่วร้าย

อีกคนถือหัวไว้ในมือ กินอย่างเทาเที่ย ตัวแดงทั้งตัว เขาคือมารจอมเหล่าเทา

ส่วนอีกคนท่าทีสบายๆ เสื้อขาวดุจหิมะ ตาสีเขียวเหมือนน้ำ เขาคือมารกระบี่ชิงไห่

สี่คนนี้คือ สี่ผู้พิทักษ์ปกป้องที่มีชื่อเสียงในบรรดาผู้ฝึกชั่วร้ายในตอนนี้

แต่ในที่นี้ เห็นได้ชัดว่ามีแค่ไม่กี่คนที่รู้จักตัวตนพวกเขา พวกเขาเห็นเพียงแค่สี่คนยืนอยู่กลางอากาศด้วยความยโส เป็นผู้แข็งแกร่งในบรรดาผู้แข็งแกร่งแน่นอน

ขณะเดียวกัน ในซากปรักหักพัง เซียนอวี่ซานกับคนอื่นก็โผล่ออกมา เหาะขึ้นมาบนฟ้าเช่นกัน

สุ่ยเชียนโหรว สี่พลเอก รวมไปถึงยอดฝีมือผู้ฝึกชี่ ล้อมมารทั้งสี่เอาไว้

“เอาหัวใจแห่งความมืดออกมา!”

เซียนอวี่ซานพูดอย่างเย็นชา

ตอนหอแดนสวรรค์ระเบิด เขาแย่งจากฉางเจี๋ยหน้าผีไม่ได้ ตอนนี้หัวใจแห่งความมืด อยู่ในมือของมารตัวนี้แล้ว

ตอนนี้ฉางเจี๋ยหน้าผี ไม่ได้แต่งตัวตลกเหมือนตอนนั้นแล้ว สิ่งที่ปรากฏในสายตาทุกคน เหมือนเงาคนที่รวมตัวจากหมอกดำ

ฉางเจี๋ยหน้าผียิ้มแล้วพูดว่า “ของที่ได้มาอยู่ในมือแล้ว จะเอาให้ได้เหรอ คนที่มีความชอบธรรมแบบพวกนาย ทำไมต้องมาพูดเหตุผลกับผู้ฝึกฝนชั่วร้ายแบบเรา! น่าขำ น่าขำ!”

เมื่อพูดจบ ในบรรดามารทั้งสี่ มีมารสามคนหัวเราะออกมา

มีเพียงมารตะกละชุดแดง ที่ไม่สนใจ กัดกินหัวที่อยู่ในมือจนสะอาดอย่างเงียบๆ

คนที่โดนมันกัดก็คือผู้ชายที่เพิ่งยืนอยู่หน้าประตูห้องพวกเขา ถ้ารู้ว่าจุดจบตัวเองเป็นแบบนี้ เขาไม่มีทางก้าวขาเข้าไปในห้องนั้นแม้แต่ก้าวเดียว

เซียนอวี่ซานที่โดนพูดแซะ มีแสงปรากฏขึ้นบนตัว

มารทั้งสี่ก็มีพลังพลุ่งพล่านบนตัว ทันใดนั้น พลังของฝั่งดีและฝั่งไม่ดี กลายเป็นภาพประหลาดอยู่กลางอากาศ

ฝั่งหนึ่งเป็นห้าสี ส่วนอีกฝั่งเป็นสีดำ ปะทะกันอย่างต่อเนื่อง

ขณะนั้น พื้นดินใต้เท้าสะเทือน เมื่อหันไปดู ทหารเป็นกองทัพกำลังพุ่งเข้ามา

“ตั้งรับ ยิงหน้าไม้!”

สัญญาณทางทหารดังสะเทือนแก้วหู กองทหารล้อมตลาดหม้อยาเอาไว้

พลเอกฉือหลงกวาดตามอง ยิ้มแล้วพูดว่า “มารอย่างพวกนาย ในเมื่อมาแล้วอย่าหวังจะได้กลับไป!”

ฉางเจี๋ยหน้าผีหัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “คิดว่านายมีลูกน้องแค่คนเดียวเหรอ”

“โอ้ ไอ้หมอนี่เปลี่ยนฉายาแล้ว!”

ศิษย์พี่หานเฟิงพูดด้วยความตกใจ

ลู่ฝานรีบดึงเขาถอยหลัง ตอนนี้ไม่ใช่เวลาพูดเรื่องนี้

ออร่าสีดำแผ่ไปทั่ว มีพลังไม่ดีทะลักออกมาจากด้านใน

อ่อนแอ น่ากลัว กัดกิน พิษรุนแรง รวมไปถึงชิงจิตวิญญาณของคน กลิ่นศพ กลิ่นเลือด กลิ่นความชั่วร้ายต่างๆ นานาที่แฝงอยู่ในพลัง ผสมรวมตัวกันเป็นออร่าปีศาจ

นี่คือพลังที่มารอย่างแท้จริงครอบครองอยู่ เมื่อใช้มันออกมา ผู้ฝึกฝนในที่นี้โดนมัน จะไม่สามารถหลุดพ้นได้

ลู่ฝานถีบชายร่างกายกำยำที่ยืนขวางหน้าประตู ลอยกระเด็นออกไปเหมือนสายลมวูบหนึ่ง ถ้าช้าไปแค่ก้าวเดียว เขาจะโดนออร่าปีศาจที่ฉางเจี๋ยหน้าผีปล่อยออกมาพันธนาการเอาไว้

“ไม่ได้ออกมาเล่นนานแล้ว ครั้งนี้ต้องเล่นให้สะใจ!”

ผู้หญิงด้านหลังฉางเจี๋ยหน้าผีเดินออกมา ใบหน้ามีรอยยิ้มเย้ายวน ปากแดงเหมือนเลือด เสื้อผ้าบนร่างกายหายไป

นั่นทำให้ผู้ชายบ้าคลั่ง ร่างกายไม่สมบูรณ์แบบของผู้หญิงปรากฏออกมาจนหมด

หลังจากนั้นนิ้วของเธอเหมือนเถาวัลย์ยืดยาวออกมา เพียงครู่เดียว เหมือนออร่าปีศาจแผ่ซ่านออกไป

ตอนนี้ผู้หญิงดูเหมือนหมึกยักษ์ตัวหนึ่ง

นักบู๊กับผู้ฝึกชี่ที่เจอ “หนวด” เหมือนโดนฟ้าผ่ายืนนิ่งอยู่ที่เดิม จากนั้นเห็นด้วยตาเปล่าว่าพลังอันรุนแรง ไหลผ่าน “หนวด” เข้าไปในตัวผู้หญิง

มารสองตนปรากฏตัวขึ้น สั่นสะเทือนไปทั่วงาน

เซียนอวี่ซานก็ตะลึงเหมือนกัน ตอนเขาประมูลของแบบนี้ ไม่เคยคิดมาก่อนว่าผู้ฝึกฝนชั่วร้ายจะมาแย่งของอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้

หอแดนสวรรค์เริ่มสั่นสะเทือน เห็นได้ชัดว่าพละกำลังของมารสองตนนี้ ถึงระดับที่สามารถทำลายค่ายกลหอแดนสวรรค์ได้

เห็นออร่าปีศาจนั่นกำลังจะเอาหัวใจแห่งความมืดไป

“มารกระจอกๆ กล้าปรากฏตัวออกมากลางวันแสกๆ ตายซะ!”

หลังจากตกใจ ก็กลายเป็นความโมโห

เซียนอวี่ซานใช้พลังชี่ของตัวเองออกมาก่อน พุ่งไปทางหนวดที่บ้าคลั่งกับออร่าปีศาจนั่น

คนที่ทำแบบเดียวกับเขา ยังมีองครักษ์ของหอแดนสวรรค์

พลเอกฉือหลงมองออร่าปีศาจสีดำขลับ สะบัดมือ มีดาบง้าวปรากฏออกมา

“ออกคำสั่งหรือยัง”

พลเอกฉือหลงถามออกมาก่อน

พลเอกที่ยืนอยู่หน้าประตูสองคนพูดว่า “ออกคำสั่งแล้ว กองทหารขึ้นเขาแล้ว”

“โอเค! พลเอกทุกท่าน เฝ้าเขามาสิบกว่าปี วันนี้เป็นวันที่ทดสอบพวกเราแล้ว โลกอู่อาน!”

พลเอกฉือหลงตะโกนคำเรียกของกองทหารประเทศอู่อานออกมา

พลังปราณบนตัวพุ่งขึ้นมา ออร่าสีดำเข้าใกล้ยาก คำพูดของพลเอกฉือหลง เหมือนเปลวไฟ จุดจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของพลเอกอีกสองคน

มีเพียงพลเอกเฟิง ที่กัดฟันลุกขึ้นมา

“ให้ตายเถอะ มารปรากฏตัวที่เขาอวี่ฮั่ว ตอนเขารับงานนี้ ไม่เคยคิดว่าจะมีวันหนึ่ง ที่เขาต้องปะทะกับมารแบบนี้ต่อหน้า!”

สูดหายใจลึก พลเอกเฟิงแผดเสียงออกมา พลังปราณบนตัวถูกปล่อยออกมาด้วย

“โลกอู่อาน!”

ทั้งสี่คนพุ่งออกไปพร้อมกัน พลังปราณอันน่ากลัวพุ่งเข้าไปในออร่าสีดำ

ฉางเจี๋ยหน้าผีกับผู้หญิงน่ากลัวคนนั้น พากันหันมามองทางนี้

ตู้ม!

พลังของยอดฝีมือหลายคนรวมตัวกัน กลายเป็นระเบิดรุนแรง

ทั้งหอแดนสวรรค์ระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ ทันที ลู่ฝานกับคนอื่นที่เพิ่งวิ่งลงมาชั้นล่าง โดนระเบิดจนกระเด็นออกไป

พลั่ก! พลั่ก!

ลู่ฝานกอดหลิงเหยาเอาไว้แน่น เกราะเกล็ดมังกรปรากฏออกมา ปกคลุมทั้งสองคนเอาไว้ โดนระเบิดกระเด็นไปไกล เหมือนน้ำเต้ากลิ้งบนพื้น

ศิษย์พี่หานเฟิงร่วงลงมาข้างๆ แผลเต็มตัวไปหมด

เสียงร้องโอดครวญดังขึ้น ลู่ฝานดึงสติและสมาธิ แต่ขณะที่เขากำลังดึงสติและสมาธิ ความเจ็บปวดเหมือนฉีกขาด แผ่ซ่านในตัวเขา

ลู่ฝานถอยหลังไปสองสามก้าว ฝืนกลืนเลือดที่อยู่ในลำคอตัวเองลงไป

แย่แล้ว หัวใจแห่งความมืดมีความสามารถชิงจิตวิญญาณ ทำให้วิญญาณเน่าเปื่อย!

ลู่ฝานดึงหลิงเหยากับหานเฟิงกลับมา รวมไปถึงเจ้าดำให้ถอยไปด้านหลัง

ศิษย์พี่หานเฟิงกับหลิงเหยาโดนลู่ฝานขัดจังหวะการดู ร่างกายของหลิงเหยากับหานเฟิงสั่นอย่างแรง หลังจากนั้นมีเลือดออกจากมุมปากทั้งสองคน

ลู่ฝานรีบเอายาป้อนให้ทั้งสองคน หลิงเหยาหลบอยู่ด้านหลังลู่ฝาน ไม่กล้ามองมากกว่านี้

ศิษย์พี่หานเฟิงแววตาวูบไหว “เป็นของที่น่ากลัวมาก ให้ตายเถอะ นี่เป็นสมบัติล้ำค่าของผู้ฝึกฝนชั่วร้ายสินะ”

ขณะกำลังพูด คนในหอแดนสวรรค์กระอักเลือดออกมาไม่หยุด หนักกว่านั้นมีคนล้มลงไปกับพื้นด้วย

ขณะนั้น ผู้ชายที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูทำตัวมีประโยชน์ รีบเข้ามาเอาตัวพวกเขาออกไป

คนที่สามารถอดทนได้ มีเพียงพวกที่มีวิทยายุทธสูงส่ง

สุ่ยเชียนโหรวก็มีเลือดไหลตรงมุมปาก เธอกัดฟันพูดว่า “เป็นของของผู้ฝึกฝนชั่วร้ายจริงๆ ควรฆ่า ควรทำลาย ควรกำจัดทิ้ง!”

ตอนนี้ผู้ฝึกชี่จ้าวกวง คุณฟู่กุ้ย ไม่มีความคิดจะเสนอราคาแล้ว

พวกเขาดูออกว่าพวกเขาไม่สามารถครอบครองสิ่งนี้ได้

พลเอกฉือหลงพยายามละสายตาออกมา หลังจากนั้นกัดฟันพูดว่า “รีบไปจัดกำลังทหาร ให้กองทหารขึ้นมาบนเขา จะเกิดเรื่องแล้ว”

มีหรือที่พลเอกเฟิงกับพลเอกสองคนที่เหลือจะไม่เข้าใจ พวกเขารีบเดินออกไปทันที

ใบหน้าของเซียนอวี่ซานซีดเล็กน้อย แต่ในแววตากลับเป็นประกาย

“การประมูลหัวใจแห่งความมืด ในโลกนี้คงมีแค่หอแดนสวรรค์ที่เขตตงหวาเท่านั้น มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น ต่อไปเขาอวี่ฮั่วของฉัน ต้องรุ่งเรืองยิ่งใหญ่แน่นอน”

เซียนอวี่ซานพูดพึมพำ เขาไม่ได้สังเกตเห็นว่าในแววตาของตัวเอง เต็มไปด้วยประกายสีแดงก่ำ นี่คืออาการเข้าสู่มาร

หัวใจแห่งความมืดยังเต้นอยู่ แต่ไม่มีใครกล้าจ้องมันแล้ว

จู่ๆ สุ่ยเชียนโหรวพูดเสียงดังว่า “ม้วนวิชาระดับฟ้าหนึ่งม้วน สิ่งนี้เป็นของฉัน!”

ไม่มีใครแย่งชิงหรือพูดอะไร ตอนนี้ไม่มีใครกล้าแย่งชิงสักนิด

ขณะนั้นมีเสียงหัวเราะดังขึ้น

“ฮ่าๆ แค่ม้วนวิชาระดับฟ้ากระจอกๆ คิดจะชิงหัวใจแห่งความมืดไป ลูกตระกูลสุ่ย นับวันยิ่งหูตาคับแคบ”

เมื่อพูดเช่นนี้ ฉางเจี๋ยหน้าผีเหาะขึ้นไปตามเสียง เขาเหาะไปทางหัวใจแห่งความมืด

“คุณผู้ชายท่านนี้จะละเมิดข้อปฏิบัติหรือไง”

จู่ๆ เซียนอวี่ซานโมโหขึ้นมา ตอนนี้ทั้งหอแดนสวรรค์มีอักษยันต์สว่างขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าในอาคารแห่งนี้มีค่ายกล

แต่ฉางเจี๋ยหน้าผีไม่ตระหนกสักนิด ยังคงเหาะไปข้างหน้า ราวกับเดินอยู่บนเมฆ

“ข้อปฏิบัติเหรอ ขอโทษด้วย ฉันเกิดมาก็ไม่รู้ว่าอะไรคือข้อปฏิบัติ พ่อแม่ฉันจะพูดเรื่องข้อปฏิบัติกับฉัน ฉันฆ่าพวกเขาไปหมดแล้ว อาจารย์จะสอนข้อปฏิบัติกับฉัน ฉันก็ฆ่าพวกเขาหมดแล้ว ท่องไปทั่วใต้หล้า คนนับไม่ถ้วนอยากพูดข้อปฏิบัติกับฉัน พวกเขาล้วนตายไปหมดแล้ว หลังจากนั้นฉันเพิ่งรู้ว่าบนโลกนี้มีข้อปฏิบัติเพียงอย่างเดียว นั่นก็คือพละกำลังคือสิ่งแท้จริง พละกำลังคือข้อปฏิบัติ”

เมื่อพูดเช่นนี้ ฉางเจี๋ยหน้าผีเดินมาข้างหน้าหัวใจแห่งความมืด อีกทั้งยังยื่นมือเข้าไปหาหัวใจแห่งความมืด

เสื้อผ้าที่ตลกของเขากับการแต่งหน้าตลกๆ ตอนนี้แปรเปลี่ยนเป็นความประหลาด

หลังจากนั้นผู้ชายสองคนกับผู้หญิงหนึ่งคนด้านหลังเขา ยิ้มอย่างร้ายกาจ

เซียนอวี่ซานเห็นว่าผิดปกติ จึงรีบใช้ค่ายกล ม่านแสงหนึ่งกั้นฉางเจี๋ยหน้าผีกับหัวใจแห่งความมืดเอาไว้

ต่อมาเซียนอวี่ซานสะบัดมือ จะดึงหัวใจแห่งความมืดกลับมา

เดิมทีนี่เป็นเรื่องง่ายมาก เหมือนกับเขาเอายาวิเศษวางไว้ในมือลู่ฝาน แต่เกิดเรื่องประหลาดขึ้นแล้ว หัวใจแห่งความมืดค้างอยู่กลางอากาศ ไม่ขยับไปไหน อีกทั้งมีออร่าสีดำแผ่ซ่านอยู่ด้านบน

“เป็นของจริง”

ฉางเจี๋ยหน้าผียิ้มออกมา รอยยิ้มของเขาเหมือนผี ทำให้รู้สึกหวาดกลัว

ตอนนี้เซียนอวี่ซานปล่อยพลังชี่ออกมา เวลานี้เขารู้สึกผิดปกติ พูดออกมาเสียงดัง “นายเป็นใครกันแน่ ถ้าอยากรนหาที่ตาย กลัวว่านายจะมาผิดที่แล้ว”

ฉางเจี๋ยหน้าผียิ้มแล้วพูดว่า “ฉันไม่ได้มาผิดที่ และไม่ได้หาของผิดชิ้น ฉันต้องการมัน ฉันมาซื้อมัน แต่การเสนอราคาของฉัน แค่ไม่มีเงินเท่านั้น”

เมื่อพูดเช่นนี้ ฉางเจี๋ยหน้าผีหัวเราะออกมาเสียงดัง หลังจากนั้นตัวเขาระเบิด

ถูกต้อง ระเบิด แต่ท่ามกลางการระเบิด มีออร่าสีดำอันน่ากลัวปล่อยออกมาด้วย ดวงตาสีแดงก่ำสว่างขึ้นในออร่าสีดำ พร้อมด้วยเสียงพูดดังชัดเจน

“สำหรับชื่อของฉัน นายเรียกฉันว่าอู๋ฉาง”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 776
ลู่ฝานกำหมัดอย่างตื่นเต้น หลังจากนั้นเขารู้สึกว่าจู่ๆ ก็มีอะไรอยู่ในมือ

เมื่อก้มลงมอง ลู่ฝานเห็นยาต่อชีวิตอยู่ในมือเขาแล้ว สัมผัสแข็งทนทาน เหมือนที่กำอยู่ไม่ใช่สมุนไพร แต่เป็นโลหะ แต่พลังลึกลับที่ออกมาจากข้างใน ทำให้เขาอึ้งไป ถึงขนาดที่รู้สึกว่าเส้นลมปราณและกระดูกในตัวเขา ส่งเสียงออกมาอย่างมีความสุข

เสียงของเจดีย์เสวียนเก้ามังกรดังขึ้น “เอ๊ะ สมุนไพรนี้แปลกมาก ไม่เคยเห็นมาก่อน”

ลู่ฝานยิ้มบางๆ เขานึกว่าเจดีย์เสวียนเก้ามังกรจะรู้หมดทุกอย่างเสียอีก ที่แท้บนโลกนี้ มีสิ่งที่มันไม่รู้ด้วย

หันมามองเซียนอวี่ซาน อีกฝ่ายยิ้มให้เขาอย่างเป็นมิตร เหมือนอยู่ดีๆ เขาก็โยนของมา มีวิทยายุทธสูงส่งจริงๆ ฝีมือระดับนี้ ลู่ฝานไม่เคยเห็นมาก่อน

พูดจริง ถ้ามีฝีมือแบบนี้ แอบไปขโมยของบ้านคนอื่น ต้องดีมากอย่างแน่นอน

ลู่ฝานเก็บมันเอาไว้ในเข็มขัด หลังจากนั้นเอาเลือดสารจำเป็นของกุยวัวให้เซียนอวี่ซาน

ยื่นหมูยื่นแมว นี่เป็นข้อปฏิบัติ ในเมื่อได้ของที่ต้องการแล้ว ลู่ฝานก็ไม่อยากสร้างความทรงจำที่ไม่ดีกับเซียนอวี่ซาน

เซียนอวี่ซานเก็บเลือดสารจำเป็นของกุยวัวโดยไม่มองเลย

แต่โลหิตเย็นของมังกรโลหิตสามหัวขวดนั้น เซียนอวี่ซานกลับเก็บเอาไว้ติดตัว

ใช่ ไม่ได้ดูผิด เซียนอวี่ซานทำแบบนี้จริงๆ

ราวกับของอย่างอื่นไม่ใช่สิ่งสำคัญ มีเพียงโลหิตเย็นขวดนี้ที่สำคัศที่สุด

ของที่ผู้ฝึกชี่เก็บไว้ติดตัว ก็เหมือนอาวุธวิถีบู๊ชั้นยอดของนักบู๊ ถ้าไม่ถึงตาย ไม่มีทางเอาออกมาให้

ลู่ฝานพบว่าเขาดูถูกโลหิตเย็นไปหน่อยหรือเปล่า

มังกรโลหิตสามหัวเป็นสัตว์อสูรแข็งแกร่งที่พังพินาศไปพร้อมกับอริยปราชญ์สวรรค์บันดาล เลือดของมันคงไม่ธรรมดาขนาดนั้น

แต่ในมือของเขามีเป็นกอง เอาออกมาขวดเดียว ก็ไม่นับประสาอะไร

เมื่อจัดการเรื่องพวกนี้เสร็จ จู่ๆ เซียนอวี่ซานปรบมือ หลังจากนั้นมีผู้ชายร่างกายเปลือยเปล่า ออร่าแข็งแกร่ง ปรากฏตัวขึ้นในหอแดนสวรรค์

คนพวกนี้ผลักประตูห้อง แล้วยืนอยู่หน้าประตู

ทุกคนส่งเสียงพูดคุย คนจำนวนไม่น้อยมีสีหน้าโกรธ เห็นได้ชัดว่าเกิดเรื่องแบบนี้ที่หอแดนสวรรค์เป็นครั้งแรก

พลเอกทั้งสี่คนมองชายที่ปรากฏตัวหน้าประตู พูดด้วยแววตาเย็นชาว่า “นี่หมายความว่าอะไร”

สุ่ยเชียนโหรวมองชายกำยำที่ปรากฏตัวหน้าประตู แล้วพูดเบาๆ ว่า “จัดการ”

ผู้หญิงชุดเหลืองด้านหลังฉางเจี๋ยหน้าผี มองผู้ชายตั้งแต่หัวจรดเท้า ยิ้มแล้วพูดว่า “หน้าตาไม่เลว วันนี้นายอาบน้ำหรือยัง”

ศิษย์พี่หานเฟิงมองผู้ชายหน้าประตู ขมวดคิ้วพูดว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน ตอนนี้คิดจะหนีคงไม่ได้แล้ว”

“ทุกท่าน ใจเย็นๆ เอาไว้ อย่าเพิ่งวู่วามให้อดทนรอดูเหตุการณ์ไปก่อน”

เสียงเซียนอวี่ซานดังก้อง กลบเสียงพูดคุยของทุกคนเอาไว้

“ก่อนอื่นต้องขอโทษทุกท่าน ของชิ้นที่สามที่จะประมูลในวันนี้ มีความสำคัญมาก ด้วยเหตุนี้จึงจำเป็นต้องใช้มาตรการนี้ แค่ทุกท่านไม่ละเมิดข้อปฏิบัติ จะไม่เกิดเรื่องอะไร ฉันรู้ว่าคนจำนวนไม่น้อย มาเพื่อของชิ้นที่สาม หวังว่าทุกท่านจะเข้าใจกับสิ่งที่ฉันทำ! ถ้าไม่เข้าใจ ได้โปรดอย่าทำอะไรหุนหันพลันแล่น”

เซียนอวี่ซานกวาดตามองทุกคนด้วยแววตาดุดัน

ส่วนลู่ฝานรู้สึกไม่แคร์ กลับมีความอยากรู้เพิ่มขึ้นอีก

“ของอะไรที่มีความสำคัญขนาดนี้ ดีกว่ายาวิเศษอีกเหรอ”

หลิงเหยาพูดว่า “ต้องใช่แน่นอน เป็นเครื่องรางของอริยปราชญ์อีกหรือเปล่า”

หานเฟิงส่ายหน้าพูดว่า “น่าจะไม่ใช่ ดูสิ ฉันรู้สึกว่าวันนี้ฉันจะได้เปิดหูเปิดตา”

พวกลู่ฝานทั้งสามคนหัวเราะขึ้นพร้อมกัน

เซียนอวี่ซานสูดหายใจลึก หลังจากนั้นเอาของอย่างหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ

เมื่อมองแวบแรก ลู่ฝานคิดว่าเป็นก้อนสีดำที่ดำสนิท ดำเหมือนตอนกลางคืน สีดำที่ดูดวิญญาณ

หลังจากนั้น ลู่ฝานเพิ่งเห็นว่านี่คือก้อนสีดำที่เคลื่อนไหวได้ เป็นรูปหัวใจ มีเสียงดังขึ้นเป็นจังหวะ

“หัวใจแห่งความมืด มาจากที่ที่ไม่สามารถแบ่งแยกได้ชัดเจน ระเหเร่ร่อนมาที่ตงหวา ผู้มีความสามารถได้รับมันมา แต่ไม่กล้าครอบครอง ทำได้เพียงขายให้หอแดนสวรรค์ ฉันก็ไม่กล้าโลภเก็บไว้เพียงคนเดียว ของล้ำค่าขนาดนี้ เป็นสิ่งที่ฉันไม่สามารถครอบครองได้ เชิญทุกท่านเสนอราคาได้เลย”

เมื่อเซียนอวี่ซานพูดจบ ก็หันไปมองอีกด้าน ราวกับว่าถ้ามองหัวใจแห่งความมืดนานกว่านี้ จะโดนมันดึงดูดใจ

ทุกคนในที่นี้โดนหัวใจที่กำลังเต้นดึงดูดไปแล้ว ลู่ฝานรู้สึกว่าจังหวะการเต้นของหัวใจตนเอง แทบจะเหมือนกับหัวใจแห่งความมืดอันนี้

ตุ้บ ตุ้บ!

จู่ๆ ลู่ฝานรู้สึกว่ามือขวาของตัวเองร้อนระอุขึ้นมาโดยไร้สาเหตุ

ไม่รู้มีคนตั้งเท่าไรที่แอบตกใจในความใจป้ำของผู้ตรวจการลู่!

เซียนอวี่ซานครุ่นคิดครู่หนึ่ง พูดเสียงทุ้มว่า “ของแบบนี้ เทียบได้กับห้าหมื่นคะแนน ลู่ฝาน ผู้ตรวจการลู่ใช่ไหม ถ้านายเอาของล้ำค่าออกมาได้อีกหนึ่งชิ้น ฉันจะมองว่านายเสนอราคาสูงกว่าคุณสุ่ยเชียนโหรว”

สุ่ยเชียนโหรวขมวดคิ้ว ส่งเสียงหึอย่างไม่พอใจมาก

หานเฟิงพูดเบาๆ ว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน นายโดนผู้หญิงบ้าคนนี้จ้องแล้ว อีกเดี๋ยวเรารีบหนีให้เร็วเลย นายฟังฉันเถอะไม่ผิดหรอก”

ลู่ฝานไม่สนใจคำพูดของหานเฟิง เอามือวางไว้บนเข็มขัดอีกครั้ง

การกระทำของเขาเรียกสายตาของทุกคน

เมื่อชายหนุ่มคนนี้เอาของล้ำค่าหายากออกมาเรื่อยๆ ผู้ฝึกชี่อาวุโสจำนวนมากที่อยู่ในนี้ รู้สึกอิจฉาตาร้อนทันที

การที่สุ่ยเชียนโหรวเอาของออกมาได้ เพราะเบื้องหลังของเธอแข็งแกร่ง ตระกูลยิ่งใหญ่

คนหนุ่มที่เพิ่งสอบผู้ตรวจการชั้นกลางได้อย่างนาย แต่สามารถเอาของดีขนาดนี้ออกมาได้เรื่อยๆ จะไม่ทำให้คนรู้สึกตกตะลึงได้ยังไง โดยเฉพาะหลังจากเอาของพวกนี้ออกมา ลู่ฝานไม่มีสีหน้าปวดใจเลย ยิ่งทำให้คนแอบคิดว่าเขายังมีของดีเยอะกว่านี้อีกหรือเปล่า

ท่ามกลางสายตาผู้คน ลู่ฝานเอาของออกมาจากเข็มขัดอีกหนึ่งชิ้น ครั้งนี้เขาเอาน้ำจากทะเลสาบเยือกเย็นออกมา ซึ่งก็คือโลหิตเย็นของมังกรโลหิตสามหัว

ในเมื่อแก้วหินกับเลือดสารจำเป็นของกุยวัว ยังขายได้ในราคาไม่เลว งั้นโลหิตเย็นคงไม่ต่างกัน

ลู่ฝานโยนโลหิตเย็นไปให้เซียนอวี่ซาน แล้วพูดอย่างราบเรียบว่า “โลหิตเย็น เซียนอวี่ซานคิดว่าเพิ่มสิ่งนี้ไปด้วยจะพอหรือยัง”

เมื่อเซียนอวี่ซานได้ยินคำว่าโลหิตเย็น เขาไม่ได้มีอาการอะไร พูดอย่างราบเรียบว่า “สัตว์อสูรจำนวนมากล้วนมีโลหิตเย็น ไม่ทราบว่าโลหิตเย็นที่ผู้ตรวจการลู่เอาออกมาขวดนี้ เป็นของสัตว์อสูรอะไร”

พูดพลาง เซียนอวี่ซานเปิดฝาจุกออก จากนั้นเขาก็ตะลึง

เหมือนมีคนใช้วิชาเสกให้เป็นหินกับเขา เขาอ้าปากค้าง ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น ตาโตจมูกบาน

ผ่านไปนาน เซียนอวี่ซานไม่พูดอะไรสักคำ

สุ่ยเชียนโหรวเป็นคนแรกที่ทนดูต่อไปไม่ไหว เธอพูดเสียงก้องว่า “ตาเฒ่า นายตายหรือยัง”

แม้คำพูดไม่เพราะ แต่เซียนอวี่ซานก็ตั้งสติได้ มือที่กำขวดสั่นเบาๆ เขากำขวดเอาไว้แน่น

หลังจากนั้น เซียนอวี่ซานโยนวิชาหนึ่งเดียวแดนไกลโพ้นคืนให้สุ่ยเชียนโหรว โดยไม่ลังเลสักนิด

“ฉันขอประกาศว่าผู้ตรวจการลู่เสนอราคาสูงกว่า”

เมื่อรับม้วนหนังสือกลับมา แววตาสุ่ยเชียนโหรวมีความโกรธ

“ตาเฒ่า นายพูดอะไร แค่โลหิตขวดเล็กแค่นี้ เขาก็เหนือกว่าฉันงั้นเหรอ อย่าบอกนะว่านี่คือโลหิตของมังกรบินเยือกเย็น”

เซียนอวี่ซานพูดชัดถ้อยชัดคำว่า “แม้ไม่ใช่ แต่ก็ไม่ต่างกันมากนัก คุณสุ่ย ถ้าเธอยังพูดว่าตาเฒ่าอีก อย่างอื่นผมไม่กล้ารับประกัน แต่เธอไม่มีทางได้ลงจากเขาอวี่ฮั่วแน่นอน”

พลังชี่ของสุ่ยเชียนโหรวพุ่งขึ้นมาบนตัวทันที เธอเป็นผู้ฝึกชี่ อีกทั้งยังเป็นปรมาจารย์บำเพ็ญชี่ด้วย

สามดอกรวมหัว ถึงจุดสูงสุดของความสมบูรณ์แบบ ระดับปรมาจารย์บำเพ็ญชี่ที่แท้จริง

แต่ต่อมา มีแสงสีขาวแสบตาปรากฏขึ้นบนตัวเซียนอวี่ซาน ธาตุทั้งห้ารวมเป็นหนึ่งเดียว แสงฟ้าดินทั้งเก้ากลายเป็นสีขาว พลังอันน่ากลัวของเซียน กดพลังชี่ของสุ่ยเชียนโหรวกลับเข้าไปในตัว เหมือนพลังอันแข็งแกร่งทะลุขีดจำกัดไปแล้ว เหมือนค่ายกลขนาดใหญ่ ทำให้ทุกคนในที่นี้ตกตะลึง

รอยยิ้มหายไปจากใบหน้าฉางเจี๋ยหน้าผี “ตาเฒ่ามีความสามารถ เป็นเรื่องวุ่นแล้ว เหล่าเทา เขาเป็นของนาย”

ชายชุดแดงด้านหลังยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่มีปัญหา”

สุ่ยเชียนโหรวกัดฟันแล้วก้มหน้าลง

ไม่ว่าเธอจะเหิมเกริมยังไง แต่เมื่ออยู่ภายใต้พลังอันสุดยอด เธอทำได้เพียงก้มหน้า

สุ่ยเชียนโหรวนั่งลงอย่างโมโห เซียนอวี่ซานเก็บพลังชี่กลับมา แล้วพูดเสียงก้องว่า “ยังมีใครให้ราคาสูงกว่านี้ไหม”

ลู่ฝานมองทุกคนด้วยความตึงเครียดเล็กน้อย เขากลัวว่าจะมีคนเสนอราคาต่อ

แต่ยังดีที่เต็มไปด้วยความเงียบ

เซียนอวี่ซานพูดว่า “ในเมื่อไม่มีใครเสนอราคาอีก งั้นยาต่อชีวิตเป็นของลู่ฝาน ผู้ตรวจการลู่!”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 774
ลู่ฝานพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่สองคำที่พูดออกมา ราวกับหินขนาดใหญ่ที่โยนลงไปในน้ำ ทำให้เกิดเสียงฮือฮาขึ้นมา

“กุยวัวเหรอ สัตว์อสูรไร้เทียมทานริมทะเลตงไห่ตัวนั้น มีคนฆ่ามันแล้วเหรอ”

“ฉันได้ยินว่าปีนี้การสอบผู้ตรวจการชั้นกลางคือฆ่ากุยวัว อย่าบอกนะว่าคนนี้คือผู้ตรวจการลู่ในตำนาน!”

“น่าจะเป็นเขา คิดไม่ถึงว่าผู้ตรวจการลู่ในตำนานจะเด็กขนาดนี้”

……

คนในหอแดนสวรรค์เป็นคนที่มีฐานะ มีตำแหน่ง มีความสามารถทั้งนั้น

แค่ลู่ฝานเอาแก้วหินของกุยวัวออกมา คนจำนวนไม่น้อยเดาตัวตนของเขาได้ทันที

การพูดคุยดังไปทั่วหอแดนสวรรค์ พลเอกทั้งสี่คนที่รู้ตัวตนของลู่ฝานนานแล้วไม่ตกใจ ส่วนคนอื่นพากันมองมาทางลู่ฝาน

โดยเฉพาะฉางเจี๋ยหน้าผี เขามองลู่ฝานอย่างละเอียด ราวกับจะสลักลู่ฝานเอาไว้ในหัวสมอง

ผู้ชายสองคนกับผู้หญิงหนึ่งคนด้านหลังเขา ล้วนมองมาทางลู่ฝานด้วยแววตาชื่นชม

“ผู้ตรวจการชั้นกลาง เป็นคนหนุ่มมีความสามารถ พรสวรรค์น่าตกใจ ฉันรู้สึกหิวแล้ว”

“อืม เด็กขนาดนี้ ชี่หยางคงเต็มเปี่ยมมาก”

“พอใช้ขึ้นมาต้องไม่เลวแน่นอน”

“พอกินก็น่าจะอร่อยเหมือนกัน”

“เมื่อเอามาเป็นหม้อกลั่นยา ต้องกลั่นยาดีได้แน่นอน!”

ผู้ชายสองคนกับผู้หญิงหนึ่งคนคุยไปหัวเราะไป ราวกับลู่ฝานไม่ใช่คนที่มีชีวิตในสายตาพวกเขา แต่เป็นสัตว์อสูรตัวหนึ่ง ยาสมุนไพรต้นหนึ่ง หรือไม่ก็อาหารมื้อใหญ่

ลู่ฝานไม่ได้ยินที่พวกเขาพูด เขามองเซียนอวี่ซานอย่างเงียบๆ

ตอนนี้เซียนอวี่ซานกำลังมองแก้วหินที่ลู่ฝานโยนมา

จู่ๆ เซียนอวี่ซานพูดว่า “เป็นของดีจริงๆ แต่ยังเทียบไม่ได้กับวิชาระดับฟ้า”

สุ่ยเชียนโหรวยิ้มบางๆ แม้เป็นรอยยิ้มเย็นชา แต่งดงามจนหาที่เปรียบไม่ได้

เดิมทีเธอเป็นคนสวยอยู่แล้ว สาวงามผู้เย็นชา ก็เป็นสาวงามอยู่ดี

ความเยาะเย้ยในรอยยิ้ม คนล้วนดูออก แต่เธอไม่ได้พูดอะไร

ศิษย์พี่หานเฟิงพูดว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน พูดตามตรง ตัวตนของนายใช้การได้จริงๆ สุ่ยเชียนโหรวไม่ได้พูดว่านายกระจอก”

ลู่ฝานไม่มีเวลาโกรธสุ่ยเชียนโหรว เขาเอาของสิ่งนี้ออกมา ไม่ใช่เพราะต้องการเปรียบเทียบกับสุ่ยเชียนโหรว เขาแค่อยากได้ยาวิเศษจริงๆ

“ผมยังมีเลือดสารจำเป็นของกุยวัว”

ลู่ฝานมองเซียนอวี่ซานแล้วเอ่ยขึ้น

เซียนอวี่ซานเลิกคิ้วขึ้น มุมปากกระตุก แต่เขาก็ยังส่ายหน้า “ไม่พอ ยังไม่พอ! แม้กุยวัวเป็นสัตว์อสูรไร้เทียมทาน มีค่าตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่พูดว่าสัตว์อสูรบนโลกนี้จะเยอะก็ไม่เยอะ แต่จะพูดว่าน้อยก็ไม่น้อย ถ้าจะเอาของที่มองเห็น ของที่หาได้ มาแลกกับของที่ทั้งชีวิตจะไม่ได้เห็นอีก ยังไงก็ยังไม่พอ แม้นายจะเอาศพกุยวัวมาได้ทั้งตัว ฉันก็คิดให้นายได้แค่แสนเจ็ดหรือแสนแปดคะแนน ส่วนของพวกนี้คิดได้แค่แสนสามหรือแสนสี่คะแนนเท่านั้น”

ลู่ฝานกัดฟัน

ตอนนี้เจดีย์เสวียนเก้ามังกรก็ไม่พูดอะไร ไอ้คนฉลาดคนนี้ดูออกแล้วว่าเจ้านายของมันต้องการยาวิเศษจริงๆ ไม่แน่อาจมีความคิดที่จะเอามันไปแลกด้วย ขืนพูดอีกก็โง่สิ

ลู่ฝานค่อยๆ เอาของออกมาจากอก เป็นอุกกาบาตเหล็กเขาอี้ว์หลิง ที่เขาได้จากในจวนตระกูลอี่ว์

“เพิ่มสิ่งนี้ไปด้วยเป็นไง”

ลู่ฝานโยนอุกกาบาตเหล็กเขาอี้ว์หลิงออกไป อันที่จริงเขาก็ไม่มั่นใจ แต่คิดถึงตอนอี่ว์ชิงเฉินบาดเจ็บสาหัส ก็ยังไม่ยอมเอาสิ่งนี้ออกมา มูลค่าน่าจะไม่ธรรมดา

เซียนอวี่ซานรับมา มองเพียงแวบเดียว มีแสงออกมาจากดวงตาเขา

“อุกกาบาตเหล็กเขาอี้ว์หลิง!”

เมื่อได้ยิน ทุกคนตกใจอีกครั้ง อาจเป็นเพราะของที่คนจำนวนไม่น้อยเห็นวันนี้ มากกว่าสิ่งที่พวกเขาเคยเห็นมาเมื่อหลายสิบปีก่อน

ครั้งนี้ไม่เพียงแค่ผู้ฝึกชี่ที่แววตามีความอยากรู้ ขนาดพลเอกทั้งสี่คน รวมไปถึงนักบู๊ทั้งหมดในงานต่างมองไป เพราะอุกกาบาตเหล็กเขาอี้ว์หลิง ไม่เพียงแต่เป็นของดีในการทำเครื่องรางของผู้ฝึกชี่ ยังเป็นของล้ำค่าชั้นยอดในการทำอาวุธของนักบู๊

ของระดับนี้ อยู่ในมือของผู้ฝึกชี่ผู้แข็งแกร่ง ใช้แค่ขนาดเท่าเล็บ ก็สามารถทำให้เครื่องรางมีจิตวิญญาณ ถ้าใช้ประมาณชิ้นเล็กๆ สามารถสร้างอาวุธมีชื่อเสียงในใต้หล้าออกมาได้

แต่ตอนนี้ลู่ฝานเอามันออกมาทั้งก้อน จะไม่ทำให้คนตาร้อนได้อย่างไร

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 773
สุ่ยเชียนโหรวโยนม้วนหนังสือในมือออกไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย ราวกับว่าที่โยนออกไปไม่ใช่วิชาระดับฟ้าในตำนาน เป็นแค่ม้วนหนังสือขาดๆ อย่างไรอย่างนั้น

เซียนอวี่ซานยื่นมือออกมา ม้วนหนังสือลอยเข้ามาในมือ

เมื่อมองดูก็พูดอย่างตกใจว่า “วิชาหนึ่งเดียวแดนไกลโพ้นเหรอ”

เมื่อได้ยิน ผู้ฝึกชี่ในงานพากันตื่นเต้น

“เป็นวิชาระดับฟ้าของผู้ฝึกชี่! ฉันนึกว่าเป็นวิชาของนักบู๊เสียอีก”

“พระเจ้า วิชาหนึ่งเดียวแดนไกลโพ้น วิชานี้สาบสูญไปเมื่อหลายร้อยปีที่แล้วไม่ใช่เหรอ”

“วันนี้โชคดีได้เห็นยาวิเศษกับวิชาหนึ่งเดียวแดนไกลโพ้นในตำนาน ฉันโม้ได้หลายปีเลย!”

……

เซียนอวี่ซานสะกดกลั้นความอยากดู ทุกคนที่เป็นผู้ฝึกชี่ ล้วนอยากชมวิชานี้ทั้งนั้น

ลู่ฝานพูดชมว่า “ผู้หญิงคนนี้มีความห้าวหาญมากจริงๆ ถึงกับเอาวิชาระดับฟ้าออกมา”

หานเฟิงพูดว่า “ผู้หญิงบ้าคนนี้มีตระกูลสนับสนุนอยู่ ใช้จ่ายเกินตัวอยู่แล้ว”

ในน้ำเสียงมีความประชดไม่น้อย เห็นได้ชัดว่าอิจฉาริษยา

เซียนอวี่ซานพูดว่า “สิ่งนี้เทียบได้กับสองแสนคะแนน ยังมีใครให้ราคาสูงกว่านี้ไหมครับ”

ลู่ฝานกัดฟัน กำลังครุ่นคิดอย่างเคร่งเครียด

เขากำลังคิดว่าตัวเองมีของอะไรที่เทียบกับวิชาระดับฟ้าได้บ้าง

“ยังมีใครให้ราคาไหมครับ”

เซียนอวี่ซานตะโกนออกมาอีกครั้ง

สุ่ยเชียนโหรวพูดว่า “ไม่ต้องพูดแล้ว ของที่ฉันเอาออกมา คนกระจอกพวกนี้จะเทียบได้ยังไง รีบเอาของมาให้ฉัน ฉันกำลังขาดสมุนไพรชงชาพอดี”

คำพูดนี้ทำให้คนในงานรู้สึกเลือดลมพลุ่งพล่าน

ยาวิเศษที่ทั้งชีวิตพบเห็นได้ยาก คิดไม่ถึงว่าผู้หญิงคนนี้จะเอาไปชงชา ความรู้สึกนี้เหมือนเทพธิดาที่คุณรักและเลื่อมใส เป็นแค่ของเล่นในมือคนอื่น

“ผู้หญิงคนนี้บ้าเกินไปแล้ว”

พลเอกฉือหลงดูโมโห พลเอกเฟิงที่อยู่ข้างๆ พูดว่า “แต่เธอมีเงินทุนที่บ้าได้”

ประโยคนี้ทำให้พลเอกคนอื่นพยักหน้า ถูกต้อง เธอมีเงินทุนที่บ้าได้

เงียบอยู่ครู่หนึ่ง เซียนอวี่ซานพูดว่า “งั้น ยาวิเศษเป็น……”

“เดี๋ยวก่อน”

ในที่สุดลู่ฝานก็พูดออกมา

แต่เมื่อเขาพูดออกมา ไม่เพียงแต่เรียกสายตาคนอื่น หานเฟิงกับหลิงเหยายังมองเขาด้วยแววตาตกใจเป็นอย่างมาก

“ศิษย์น้องลู่ฝาน นายจะทำอะไร”

หานเฟิงพูดเสียงต่ำ

หลิงเหยาก็ดึงเสื้อลู่ฝาน

แววตาลู่ฝานหนักแน่น พูดเสียงดังว่า “ผมก็มีของมาแลกเหมือนกัน”

เซียนอวี่ซานรีบพูดว่า “ของอะไร”

สายตาสุ่ยเชียนโหรวจ้องลู่ฝานราวกับมีด “นายสามารถเอาของที่เหนือกว่าวิชาระดับฟ้ามาได้งั้นเหรอ”

ลู่ฝานพูดเสียงดังโดยไม่มองสุ่ยเชียนโหรว “เซียนอวี่ซาน คุณดูว่าของชิ้นนี้เป็นไง”

พูดพลาง ลู่ฝานเอาแก้วหินออกมาจากอก จากนั้นโยนออกไป

เสียงของเจดีย์เสวียนเก้ามังกรดังขึ้นในตัวทันที

“เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ โยนของสิ่งนี้ออกไปได้ยังไง”

ลู่ฝานแผดเสียงในใจว่า “หุบปาก!”

เซียนอวี่ซานรับแก้วหินมา แต่ดูเพียงแวบเดียวก็โพล่งออกมาว่า “แก้วหินไร้เทียมทาน ขอถามได้ไหมว่านี่เป็นแก้วหินของสัตว์อสูรไร้เทียมทานระดับไหน!”

ลู่ฝานตอบอย่างราบเรียบว่า “กุยวัว!”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 772
น้ำเสียงของลู่ฝานแน่วแน่ ไม่มีท่าทีลังเล

หานเฟิงไม่เข้าใจว่าจู่ๆ ลู่ฝานเกิดบ้าอะไรขึ้นมา ทำไมเมื่อเห็นยาวิเศษนี้ เขาเหมือนคลั่งขึ้นมา

เสียงของเซียนอวี่ซานดังขึ้นต่อ

“ทุกท่านอย่าใช้ระดับของการดูสมุนไพรทั่วไปมาดูสมุนไพรนี้ ผมสามารถใช้ชื่อเสียงของผมมารับประกัน สมุนไพรนี้เกินกว่าระดับทั้งหมดในโลกนี้ เป็นยาวิเศษอย่างแท้จริง เป็นยาที่สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตอย่างเหนือธรรมชาติ ผมขอไม่ตั้งราคาต่ำสุด ทุกท่านว่าราคามาได้เลย”

เมื่อพูดจบ ผู้ฝึกชี่จ้าวกวงที่แย่งหินสายฟ้ามาไม่ได้ รีบพูดเสนอราคา “สองหมื่นคะแนน!”

เห็นแววตาลุกโชนของผู้ฝึกชี่จ้าวกวง เห็นได้ชัดว่าเขาตกตะลึงกับคำว่ายาวิเศษเช่นกัน

แต่เห็นได้ชัดว่าจะเอายาวิเศษด้วยสองหมื่นคะแนน มันเป็นไปไม่ได้

มีเสียงดังขึ้นอีก

“สี่หมื่นคะแนน!”

คนที่พูดออกมาคือผู้ฝึกชี่อีกคน แม้ดูแก่ แต่พลังชี่บนตัวไม่ลดลงเลย ต้องเป็นผู้ฝึกชี่ที่แข็งแกร่งแน่นอน อย่างน้อยวิทยายุทธไม่ต่ำกว่าปรมาจารย์บำเพ็ญชี่

“ห้าหมื่นคะแนน”

มีเสียงดังขึ้นอีกครั้ง ผู้ฝึกชี่ที่ถือม้วนหนังสือในมือเสนอราคาออกมา

ลู่ฝานพบว่าคนที่มีเงินไม่ใช่น้อยๆ เลย ห้าหมื่นคะแนน ราคานี้ถ้าเปลี่ยนเป็นเหรียญทอง คงกองเต็มหอนี้เลยล่ะมั้ง!

“หกหมื่นคะแนน!”

การเสนอราคายังดำเนินต่อไป ยาวิเศษในตำนานยังมีค่ากว่าหินสายฟ้าที่แฝงพลังสายฟ้าอยู่

เพราะหินสายฟ้ายังไงก็มีอีก แต่ยาวิเศษ ไม่รู้จะได้เจออีกตอนไหน

ของที่ควรจะหายสาบสูญไปจากโลก วันนี้ได้มาเจอ ถือว่าเป็นความโชคดีอย่างมาก สำหรับผู้ฝึกชี่ที่ไม่ขาดแคลนเงิน มียาวิเศษอยู่ในมือ ถึงต้องใช้เงินจนหมดก็คุ้มค่า

เพราะยาเม็ด สมุนไพร เงินทองทั่วไป หมดแล้วก็หาใหม่ได้ แต่ถ้าพลาดยาวิเศษ ก็จะไม่มีอีกแล้ว

“เจ็ดหมื่นคะแนน!”

“แปดหมื่นคะแนน!”

“หนึ่งแสนคะแนน!”

……

เสียงตะโกนเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ทุกครั้งราคาจะเพิ่มอย่างน้อยหมื่นคะแนน ราวกับว่าถ้าเพิ่มน้อยกว่าหมื่นคะแนนจะทำให้อับอายขายหน้า

“หนึ่งแสนห้าหมื่นคะแนน!”

ในที่สุดก็มีคนเสนอราคาสูงสุด

คนที่พูดออกมาคือปรมาจารย์จ้าวกวง เห็นได้ชัดว่าเขาทุ่มสุดตัว

หลังจากเสนอราคาออกมา ปรมาจารย์จ้าวกวงพูดเสียงดังว่า “ฉันฝึกฝนแถบเขาอวี่ฮั่วมาสิบปี เข้าออกแดนสวรรค์มาระยะหนึ่ง จึงมีคะแนนสะสมไว้ ถ้ามีคนมีคะแนนมากกว่าฉัน ฉันจะยอมรับชะตากรรม”

เมื่อพูดจบ ไม่มีใครเสนอราคาสักคน

เห็นได้ชัดว่าคะแนนหนึ่งแสนห้าหมื่นคะแนนของผู้ฝึกชี่จ้าวกวงสูงสุดแล้ว ไม่มีใครเกินกว่านี้ได้อีก

เซียนอวี่ซานพยักหน้าให้จ้าวกวงเบาๆ จากนั้นพูดเสียงก้องว่า “ยังมีใครให้สูงกว่านี้ไหมครับ”

ไม่มีใครตอบ เซียนอวี่ซานยิ้มแล้วพูดว่า “งั้นยาวิเศษหายากต้นนี้ เป็นของปรมาจารย์จ้าว……”

ยังไม่ทันพูดคำสุดท้ายออกมา ขณะนั้นสุ่ยเชียนโหรวพูดออกมาว่า

“เดี๋ยวก่อน แม้ฉันไม่มีคะแนน แต่ก็ชอบสมุนไพรนี้ ไม่ทราบว่าใช้ของแลกได้ไหม”

เมื่อพูดออกมา สีหน้าของปรมาจารย์จ้าวกวงดูโมโห แต่ไม่กล้าระเบิดออกมา

เซียนอวี่ซานพูดว่า “ได้อยู่แล้ว คุณสุ่ยเชียนโหรวจะใช้ของอะไรแลกครับ”

สุ่ยเชียนโหรวค่อยๆ เอาของชิ้นหนึ่งออกมาจากอก

“ไม่ทราบว่าวิชาระดับฟ้าสามารถแลกได้ไหม”

เพียงประโยคเดียว ทำให้ทั้งงานตะลึง

หานเฟิงอ้าปากค้าง “ผู้หญิงบ้าคนนี้!”

เซียนอวี่ซานก็อึ้งไป แล้วพูดว่า “วิชาระดับฟ้า เป็นสิ่งที่พบได้น้อย แต่ยาวิเศษเป็นของหายากบนโลก วิชาระดับฟ้ายังมีอยู่ไม่น้อย ไม่ทราบว่าคุณสุ่ยเอาวิชาระดับฟ้าแบบไหนมาแลกครับ”

หลังจากฉางเจี๋ยหน้าผีพูดจบ เขามองสุ่ยเชียนโหรวด้วยรอยยิ้ม

อาจเป็นเพราะภาพลักษณ์ของเขาสะดุดตาเกินไป หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะน้ำเสียงของเขาประหลาดเกินไป ใบหน้าที่ไร้อารมณ์ของสุ่ยเชียนโหรวมีความสะอิดสะเอียนขึ้นมา

“คนแปลกประหลาด กล้ามาสอนฉัน ไม่กลัวตายเหรอ”

เมื่อพูดคำว่าตาย เสียงอันไพเราะดังขึ้นด้านหลังสุ่ยเซียนโหรว

“กระบี่ล้ำค่า!”

สาวใช้ท่าทางไม่เลวคนหนึ่งโผล่ออกมา ยกมือขึ้นพร้อมด้วยปราณกระบี่ พุ่งไปหาฉางเจี๋ยหน้าผี

พุดตามตรงว่าปราณกระบี่นี้ไม่เลวจริงๆ ต้องระดับปราณชีวิตอย่างแน่นอน

แต่ฉางเจี๋ยหน้าผีแค่ยกมือเบาๆ ปราณกระบี่นั้นหยุดลงข้างหน้าเขา

เสียงตกใจดังขึ้น พร้อมกับแววตาของสุ่ยเชียนโหรวที่เปลี่ยนไป

ถ้าทำลายมันหรือสะบัดมือทำให้มันสลายไป ทุกคนคงไม่มีทางตกใจ แต่วิชาอัศจรรย์ที่ทำให้ปราณกระบี่หยุดลง ต้องมีวิทยายุทธที่สูงจนคาดไม่ถึง

ฉางเจี๋ยหน้าผียิ้มแล้วมองปราณกระบี่ “วิชาของตระกูลสุ่ย ก็แค่นี้เอง คุณผู้หญิง ถ้ายังขวางทางคนอื่นซื้อของ ระวังเธอจะกลับไปไม่ได้อีกแล้ว”

พูดจบ ฉางเจี๋ยหน้าผีสะบัดมือโยนปราณกระบี่กลับไป

สุ่ยเชียนโหรวสะบัดมือเดียว ปราณกระบี่หายไป สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เหมือนเธอคิดอะไรออก แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา

เมื่อซูอี้เห็นภาพนี้ เขากำลังจะเตือนพวกเขาว่าห้ามก่อเรื่องในหอแดนสวรรค์ แต่เมื่อเห็นคนพวกนี้ ล้วนแข็งแกร่งกว่าเขาทั้งนั้น ซูอี้คิดว่าถ้าตัวเองพูดออกไป คงเป็นเพียงแค่เรื่องตลกเท่านั้น

“ซูอี้ นายลงไปพักผ่อนเถอะ”

ขณะที่ซูอี้กำลังสับสน มีเสียงดังขึ้นจากข้างหลัง

ไม่ต้องหันไปมอง ซูอี้ก็รู้ว่าเป็นใคร เขาพูดอย่างนอบน้อม

“อาจารย์”

ผู้อาวุโสยืนข้างๆ ซูอี้ สะบัดมือบอกให้ซูอี้ลงไป เหตุการณ์วันนี้ซูอี้ไม่สามารถรับมือได้

“เซียนอวี่ซาน ไม่ได้เจอกันนาน!”

มีคนไม่น้อยเริ่มทักทายผู้อาวุโสจากไม่ไกลๆ เขาคือผู้กำกับดูแลเขาอวี่ฮั่ว และเป็นผู้นำผู้ฝึกชี่ของเขตตงหวา

อวี่ซานเอามือสองข้างไพล่หลัง พูดอย่างราบเรียบว่า “ประมูลต่อ ยังมีใครให้ราคาสูงกว่าคุณฟู่กุ้ยไหมครับ”

ทุกคนเงียบ คุณอวี่ซานพูดว่า “โอเคครับ งั้นของชิ้นแรกในงานแดนสวรรค์วันนี้ ตกเป็นของคุณฟู่กุ้ย เชื่อว่ามีหินสายฟ้าก้อนนี้ วิชาของคุณฟู่กุ้ยต้องยกระดับขึ้นอีกขั้นแน่นอน”

คุณฟู่กุ้ยมีรอยยิ้มเต็มใบหน้า พยักหน้าให้อวี่ซานเบาๆ

“งั้นต่อไปเชิญทุกท่านชมของชิ้นที่สองได้เลยครับ!”

พูดพลาง อวี่ซานเอาของอย่างหนึ่งออกมาจากอก แล้วยกขึ้นเบาๆ

ของชิ้นนี้ไม่มีแสง ไม่มีอะไรประหลาดเป็นพิเศษ ดูเหมือนสมุนไพรที่มีลักษณะเหมือนหญ้าทั่วไป

ทุกคนเพ่งมอง แล้วพูดคุยกัน เห็นได้ชัดว่าคนส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้จัก

อวี่ซานพูดว่า “สิ่งนี้เป็นของที่ยอดฝีมือส่งมาประมูลที่หอแดนสวรรค์ ชื่อยาคือยาต่อชีวิต ไม่รู้วิธีใช้ แต่ผมรับรองกับทุกท่านได้เลยว่าสิ่งนี้เป็นยาวิเศษชั้นยอด!”

เมื่อได้ยินคำว่ายาวิเศษ ลู่ฝานรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างระเบิดในหัวตัวเอง

จู่ๆ ทั้งหอแดนสวรรค์เกิดความโกลาหลขึ้นมาด้วย

คำว่ายาวิเศษมันดูเกินจริงมาก ถึงเป็นเซียนบำเพ็ญชี่ ทั้งชีวิตก็ไม่น่าจะเจอยาวิเศษได้สักต้น

เหมือนคนในงานทั้งหมดพากันมายืนข้างหน้าหน้าต่าง เพื่อดูยานี้อย่างละเอียด

ลู่ฝานตื่นเต้นจนไม่เป็นตัวของตัวเอง นิ้วมือสั่นเบาๆ

ยาวิเศษ! คิดไม่ถึงว่าเขาจะเห็นยาวิเศษจริงๆ

เขาจำได้ว่าอาจารย์หวูเฉินเคยพูดว่า บนโลกนี้ยาที่สามารถช่วยเขาได้ มีเพียงยาวิเศษ!

แม้อาจารย์หวูเฉินอาจลืมคำนี้ไปแล้ว แต่กลับจำฝังลึกอยู่ในหัวลู่ฝาน

ลู่ฝานพูดเบาๆ ว่า “ผมต้องการยานี้!”

หานเฟิงอึ้งไป จากนั้นพูดว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน นายพูดอะไร นายจะซื้อเหรอ นายยังมีคะแนนเหรอ”

หลิงเหยาก็พูดอย่างตกใจ “ลู่ฝาน นายจะซื้อมันเหรอ กลัวว่าเงินจะไม่พอน่ะสิ”

ลู่ฝานกัดฟันพูดว่า “ไม่พอก็จะซื้อ”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 770
เมื่อได้ยินชื่อนี้ ซูอี้ที่อยู่บนเวทีมีสีหน้าประหลาดเล็กน้อย

บางทีการดูคน ดูแค่ชื่อแซ่ก็พอแล้ว โดยเฉพาะแซ่ ก็สามารถตัดสินอะไรได้หลายอย่างแล้ว

อย่างเช่นแซ่สุ่ยของสุ่ยเชียนโหรว แซ่สุ่ย เป็นแซ่ที่แสดงถึงอำนาจที่มาจากเมืองหลวง ยิ่งใหญ่ถึงขนาดที่แค่คนได้ยินคำว่าสุ่ย ก็ไม่กล้าต่อต้านแล้ว

ลู่ฝานก็แสดงออกทางสีหน้าเล็กน้อย เขาหันไปพูดกับหานเฟิง “ศิษย์พี่หานเฟิง เธอไม่ได้มาจากตระกูลสุ่ยอะไรนั่นใช่ไหม”

หานเฟิงพูดว่า “ฉันอยากบอกนายว่าไม่ใช่ แต่น่าเสียดาย เธอมาจากตระกูลสุ่ย”

“ตระกูลสุ่ยในสิบตระกูลใหญ่เหรอ”

ลู่ฝานถามอีก

หานเฟิงพูดว่า “ใช่ ฉันจะถือโอกาสบอกนายด้วย เธอไม่ใช่คนที่แข็งแกร่งสุดในบรรดาสิบตระกูลใหญ่ แต่เป็นคนที่รับมือยากและน่ารำคาญที่สุดในสิบตระกูลใหญ่”

ลู่ฝานหันมามองผู้หญิงที่มีใบหน้าเย็นชา มองความยโสที่ออกมาจากก้นบึ้ง อีกทั้งใบหน้าที่เหมือนห่อหุ้มด้วยน้ำแข็ง เขาพอรู้อะไรบ้างแล้ว

ซูอี้ที่อยู่บนเวทีกัดฟันพูดว่า “คุณสุ่ยเชียนโหรว แม้ฐานะเธอสูงส่ง แต่จะทำลายกฎไม่ได้ ถ้าเธออยากสู้ราคา กรุณาเสนอราคามา ถ้าไม่มีคะแนน ใช้ของอย่างอื่นมาแลกก็ได้”

สุ่ยเชียนโหรวพูดอย่างราบเรียบว่า “ฉันต้องการ นายก็ต้องให้ คนกระจอกอย่างนายกล้าขัดแย้งกับคนสูงส่งอย่างฉันเหรอ”

ประโยคเดียวทำให้ชายหนุ่มบนเวทีหน้าแดง กำหมัดทั้งสองข้างแน่น

ลู่ฝานพูดว่า “ศิษย์พี่หานเฟิง ผมเข้าใจที่พี่พูดว่าน่ารำคาญแล้ว”

หลิงเหยาพูดขึ้นข้างๆ ว่า “พี่สาวท่านนี้พูดจาไม่เพราะเลย”

หานเฟิงหัวเราะแล้วพูดว่า “ใช้อำนาจรังแกคนอื่น คือแบบนี้แหละ ตั้งแต่ฉันรู้จักเธอ เธอก็เอาแต่พูดว่ากระจอกบ้าง สวะบ้าง เหมือนบนโลกนี้ไม่มีใครอยู่ในสายตาเธอ แต่ศิษย์น้องลู่ฝานอย่าดูถูกเธอ เธอมีฉายาว่าอัจฉริยะที่ไม่ออกจากตระกูลสุ่ย”

ลู่ฝานหัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “อัจฉริยะเหรอ ฉายานี้ใช้จนจะเน่าแล้ว ถ้าไม่ออกมาจริงๆ ผมไม่น่าจะเห็นเธอนะ”

ศิษย์พี่หานเฟิงหัวเราะออกมา หลิงเหยายิ้มบางๆ

เหมือนสุ่ยเชียนโหรวได้ยินสิ่งที่หานเฟิงกับลู่ฝานพูด หันมามองทางพวกเขาแวบหนึ่ง ประกายในตาเย็นชา เต็มไปด้วยการดูหมิ่น

หานเฟิงถอยไปด้านหลังทันที ไม่ยอมให้สุ่ยเชียนโหรวเห็น

“คุณผู้หญิงตระกูลสุ่ย ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่เธอจะเหิมเกริม”

เสียงเคร่งขรึมดังขึ้น ดึงดูดสายตาทุกคน

เมื่อหันไปมองตามเสียง ผู้ชายสวมชุดมีสีสัน บนหัวมีดอกไม้สีแดง ปรากฏอยู่ในสายตาทุกคน

ฉางเจี๋ยหน้าผี!

ชื่อนี้แวบเข้ามาในหัวลู่ฝาน เขาเจอคนคนนี้เป็นครั้งที่สามแล้ว ตอนนี้มีผู้ชายสองคนกับผู้หญิงหนึ่งคน นั่งอยู่ข้างฉางเจี๋ยหน้าผี

คนหนึ่งใส่เสื้อแดง อีกคนใส่เสื้อสีขาว ส่วนอีกคนใส่เสื้อเหลือง บนใบหน้าทั้งสามคนมีรอยยิ้มบางๆ กวาดตามองทุกคน

ลู่ฝานกวาดตามองฉางเจี๋ยหน้าผี หลังจากนั้นมองไปยังผู้ชายเสื้อแดงด้านในสุด

คนคนนี้เกิดมาหน้าตาหล่อเหลา รูปร่างสูงโปร่ง ถึงอยู่ในบรรดาผู้ชาย ก็เรียกได้ว่างดงาม เสื้อสีแดงบนตัวเหมือนเลือด รอยยิ้มเต็มใบหน้า

ลู่ฝานมองเขา ในหัวลู่ฝานมีความคิดประหลาดขึ้นมา

ฉางเจี๋ยหน้าผีเรียกตัวเองว่าเจ้าสำนักชุดเขียว แล้วคนชุดแดงคนนี้ คือหัวหน้าสำนักชุดแดง ที่ส่งคนมาฆ่าเขาหรือเปล่า

ลู่ฝานไม่กล้ายืนยัน

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 769
“ที่แท้เป็นเขานี่เอง”

ลู่ฝานตาเป็นประกายลุกโชน เป็นบุคคลในตำนานอีกแล้ว

“สามหมื่นคะแนน จ้าวกวง นายอย่ามาแย่งกับฉันเลย”

มีเสียงดังขึ้นมาอีก คนที่พูดคือคนที่นั่งโต๊ะเดียวกับพลเอกเฟิง

ซูอี้พูดเสียงดังว่า “พลเอกฉือหลงให้ราคาสามหมื่นคะแนน มีใครจะเพิ่มราคาไหมครับ”

จู่ๆ ไม่มีใครพูดอะไร พลเอกฉือหลงเป็นหนึ่งในสี่พลเอก พูดอะไรมีน้ำหนัก ขนาดปรมาจารย์จ้าวกวงที่เพิ่งลุกขึ้นเมื่อครู่ ยังไม่กล้าพูดอะไรมาก นั่งลงอย่างไม่พอใจ

พลเอกฉือหลงรอยยิ้มเต็มใบหน้า พลเอกเฟิงที่อยู่ด้านหลังพูดว่า “ดูเหมือนหินสายฟ้าก้อนนี้ ต้องเป็นของพลเอกฉื่อแล้วล่ะ ยินดีกับพลเอกฉื่อที่ได้ของล้ำค่า”

พลเอกฉือหลงยิ้มแล้วพูดว่า “มีหินสายฟ้าอยู่ วิชาของฉันต้องยกระดับขึ้นแน่นอน วันนี้ได้เจอสมบัติจริงๆ แล้ว”

แต่เขายังพูดไม่ทันจบ มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาอีก

“สี่หมื่นคะแนน”

ทุกคนอึ้ง มองไปยังคนที่พูดออกมา เห็นชายพุงโตกัดน่องไก่ไปพลาง ยิ้มแล้วมองมุกสายฟ้าไปพลาง

ซูอี้ยิ้มแล้วพูดว่า “คุณฟู่กุ้ยให้ราคาสี่หมื่นคะแนน”

หานเฟิงรีบหันไปถามหลิงเหยา “เธอรู้จักคุณฟู่กุ้ยไหม”

หลิงเหยากัดฟันพูดว่า “เหมือนเคยได้ยิน ฟู่กุ้ยผู้ร่ำรวย”

เมื่อได้ยิน ลู่ฝานพูดอย่างตกใจ “เขาเหรอ ฟู่กุ้ยผู้ร่ำรวยคือเขาเหรอ ฉันนึกว่าเป็นนักบู๊ที่ไม่สนโลกเสียอีก”

หานเฟิงไม่เข้าใจว่าลู่ฝานพูดอะไร ขณะกำลังจะถาม ลู่ฝานอธิบายว่า “ในตำนานเล่าว่าเขาคนเดียวฆ่าสัตว์อสูรในป่าจนหมด รวมไปถึงปี้ฟางสัตว์ในตำนาน ที่ทัดเทียมกับแดนปราณฟ้าด้วย เขาน่าจะเป็นยอดฝีมือแดนปราณฟ้า”

หานเฟิงเงียบทันที

ล้วนเป็นบุคคลในตำนานทั้งนั้น!

ลู่ฝานชื่นชมอยู่ในใจ ตอนเด็กเคยได้ยินเรื่องผู้สูงส่งเหล่านี้ เหมือนกับวันนี้มากันครบทุกคน เมื่อคิดเช่นนี้ ลู่ฝานนึกอะไรขึ้นมาได้ ตัวเองจะเป็นตำนานใหม่ได้หรือเปล่านะ

เขาส่ายหน้า เอาความคิดน่าขำแบบนี้ออกจากหัว หัวเราะเยาะตัวเองไปสองที

เขาไม่รู้ว่าอันที่จริงทั่วทุกที่ในเขตตงหวา มีตำนานใหม่ที่เกี่ยวกับเขาแล้ว

“ยังมีใครให้ราคาสูงกว่านี้ไหมครับ”

ซูอี้พูดเสียงดัง

นักบู๊แดนปราณฟ้าเสนอราคา เห็นได้ชัดว่าไม่ค่อยมีใครกล้าแย่ง รวมไปถึงพลเอกฉือหลงนั่นด้วย มองคุณฟู่กุ้ยด้วยสีหน้าโมโห

แต่คุณฟู่กุ้ยสีหน้านิ่งเฉย ไม่หวั่นไหวสักนิด

ขณะที่ทุกคนคิดว่าของชิ้นนี้จะตกเป็นของคุณฟู่กุ้ย

จู่ๆ มีเสียงเย็นชาดังขึ้น

“ของชิ้นนี้เป็นของฉันแล้ว”

ผู้หญิงคนหนึ่งเดินอย่างอ่อนช้อยมาข้างหน้าหน้าต่าง เป็นผู้หญิงที่ทำให้ศิษย์พี่หานเฟิงหลบเธอ

ผมยาวสีฟ้าสยาย ผู้หญิงใบหน้าเย็นชา

บนเวที ซูอี้พูดว่า “คุณผู้หญิงท่านี้ ถ้าคุณต้องการก็เสนอราคามา”

ผู้หญิงพูดว่า “ฉันไม่มีคะแนน แต่ฉันต้องการสิ่งนี้”

เพิ่งพูดจบ ทุกคนหัวเราะออกมาทันที

“ผู้หญิงคนนี้มาจากไหน ถึงได้กล้าขนาดนี้”

“คุณผู้หญิง ไม่มีคะแนนแล้วจะพูดทำไม!”

ตอนนี้หานเฟิงถอนหายใจ จากนั้นส่ายหน้าพูดว่า “เธอมาอีกแล้ว”

ลู่ฝานพูดว่า “มาอะไร”

หานเฟิงพูดว่า “นายดูก็รู้เอง ผู้หญิงบ้าเหิมเกริม ไร้เหตุผล”

ซูอี้สีหน้าประหลาด ทันใดนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า “คุณผู้หญิง ไม่มีคะแนน ไม่สามารถแข่งประมูลได้นะครับ อย่ารบกวนเวลาคนอื่นเลยครับ”

ผู้หญิงพูดว่า “ฉันบอกว่าของชิ้นนี้เป็นของฉัน อีกอย่างฉันไม่ได้ชื่อคุณผู้หญิง ฉันมีชื่อ ฉันชื่อสุ่ยเชียนโหรว!”

เมื่อได้ยินชื่อนี้ คุณฟู่กุ้ยสั่นไปทั้งตัว พวกพลเอกฉือหลงก็มองหน้ากัน แล้วก้มหน้าลง

บทที่ 768

บทที่ 770

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 768
โดนยอดฝีมือเยอะขนาดนี้จ้องมอง ชายหนุ่มไม่กลัวเลยสักนิด เขาคำนับแล้วพูดว่า “ผมซูอี้ เป็นศิษย์เซียนซือเขาอวี่ฮั่ว งานแดนสวรรค์ในวันนี้ อาจารย์มอบหมายให้ผมประมูล หากผิดพลาดประการใด หวังว่าผู้อาวุโสทุกท่านจะให้อภัย!”

เมื่อได้ยินชื่อของเซียนซือ ทุกคนรีบยิ้มอย่างเป็นมิตรให้ซูอี้

ขนาดคนที่มาไกลอย่างลู่ฝาน คนที่แทบไม่รู้จักอะไรเลย ยังรู้จักเซียนซือ เป็นเจ้าของตลาดหม้อยาแห่งนี้

ศิษย์ของเขามาประกาศเปิดงาน เป็นเรื่องปกติมาก

ซูอี้พูดว่า “งานแดนสวรรค์ในวันนี้ จะไม่เหมือนก่อน เดิมทีงานแดนสวรรค์ไม่ใช่วันนี้ แต่ของที่จะประมูลล้ำค่ามาก ด้วยเหตุนี้จึงต้องจัดงานขึ้นก่อน ทุกคนน่าจะรู้แล้ว วันนี้จะประมูลของเพียงสามชิ้น แต่ละชิ้นเป็นของล้ำค่าสุดยอด”

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “ดูเหมือนว่าในบรรดาคนที่มา คงมีแค่เราที่ไม่รู้อะไรเลย”

หานเฟิงพูดว่า “ช่างสิ เพราะเราไม่ได้จะซื้ออยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”

ลู่ฝานพยักหน้า “พูดมีเหตุผล”

บนเวที ซูอี้กวาดตามองทั้งงาน จู่ๆ เขาก็ดีดนิ้ว

“โอเค ผมจะไม่พูดไร้สาระแล้ว เอาของประมูลชิ้นแรกเข้ามาได้”

ทันใดนั้น มีเสียงฟ้าผ่าดังขึ้น ลู่ฝานตกใจจนสะดุ้งโหยง

หลังจากนั้นแสงรอบๆ เริ่มเปลี่ยนไป เหมือนเมฆสายฟ้าเข้ามาในอาคาร เสียงฟ้าผ่าดังขึ้นไม่หยุด หลังจากนั้น มีหินทรงกลมปรากฏในสายฟ้า มีเสียงฟ้าร้องสนั่น ค่อยๆ ลอยขึ้นมาด้านบน

เสียงของซูอี้ดังขึ้น

“ของชิ้นแรกคือหินสายฟ้าหมื่นทัณฑ์ มาจากเขตพันสายฟ้าที่ตงไห่ ด้านในมีวิถีเมฆสายฟ้า มีพลานุภาพทรงพลัง ราคาต่ำสุดหนึ่งหมื่นคะแนน ทุกคนเริ่มประมูลได้”

ลู่ฝานลุกขึ้นมายืนตรงหน้าต่าง มองหินสายฟ้าหมื่นทัณฑ์อย่างละเอียด

ของดี เป็นของดีจริงๆ

หานเฟิงโดนดึงดูด ถึงกับมายืนมองข้างหน้า

“ถ้าเอาของนี้กลับไปให้พ่อที่บ้าน เขาคงโม้ได้เป็นสิบปี”

แววตาลู่ฝานเป็นประกายลุกโชน เขาสัมผัสได้ถึงพลังสายฟ้ารุนแรงที่อยู่ด้านใน นี่เป็นหินที่แฝงด้วยวิถีสายฟ้า สามารถให้คนฝึกฝนได้ สามารถฝึกพลังได้ด้วย

ถ้ามีหินสายฟ้าก้อนนี้ ลู่ฝานรับรองได้เลยว่าวิชาสายฟ้าฟาดห้าธาตุของเขา ต้องเขาฝึกถึงขั้นสมบูรณ์ได้อย่างรวดเร็วจนน่าตกตะลึง

ขณะนั้นเสียงเจดีย์เสวียนเก้ามังกรดังขึ้นในตัว

“เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ เจ้านายเจอสมบัติดีอีกแล้ว เอามันมา รีบเอามันมา พลังด้านในสามารถช่วยฟื้นฟูพลังให้ฉันได้สิบเปอร์เซ็นต์ หรือไม่ก็ยี่สิบเปอร์เซ็นต์เลยนะ”

ลู่ฝานแผดเสียงเบาๆ ในใจ “หุบปาก”

หินสายฟ้าลอยขึ้นไปสูงสุด แล้วค่อยๆ ลอยลงมาช้าๆ

ขณะนั้นมีเสียงดังขึ้น

“สองหมื่นคะแนน ฉันต้องการสิ่งนี้!”

ทุกคนหันไปมองตามเสียง เห็นชายคนหนึ่งยืนอยู่ที่หน้าต่างชั้นเก้า เอามือไพล่หลังสองข้าง พูดอย่างราบเรียบ

คนคนนี้ดูมีพลังเต็มเปี่ยม ใบหน้าเหลี่ยม คิ้วดาบตาเป็นประกาย แม้สวมเสื้อผ้าธรรมดา แต่ดูถูกเขาไม่ได้เลย

บนเวที ซูอี้มองคนคนนี้แล้วพูดว่า “ปรมาจารย์จ้าวกวง ให้ราคาสองหมื่นคะแนน มีใครให้สูงกว่านี้ไหมครับ”

เมื่อได้ยินคำว่าจ้าวกวง คนจำนวนไม่น้อยสูดหายใจเฮือก เห็นได้ชัดว่าชื่อนี้ทำให้คนจำนวนมาก เหมือนโดนฟ้าผ่าข้างหู

ขณะนั้นหลิงเหยาวิ่งเข้ามา “ปรมาจารย์จ้าวกวงก็มาด้วยเหรอ ว้าว เขามีชื่อเสียงมากเลยนะ”

ลู่ฝานถามว่า “มีชื่อเสียงยังไง”

หลิงเหยาพูดว่า “อย่าบอกนะว่านายไม่เคยได้ยินคำว่า แค่แสงแห่งเทพชี้ไป ก็เคลื่อนย้ายภูเขาแม่น้ำได้”

ลู่ฝานขมวดคิ้วเบาๆ เหมือนเขาเคยได้ยินชื่อนี้มาบ้าง ตอนที่อยู่เมืองเจียงหลิน เคยได้ยินคนพูดถึงผู้ฝึกชี่ที่แข็งแกร่งคนหนึ่ง สามารถเคลื่อนย้ายภูเขาได้

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 767
ไม้จันทน์ม้วนลอยขึ้นสูง ผลไม้วางอยู่บนโต๊ะ พรมหนังสัตว์อสูรที่อยู่ใต้เท้า ทุกสิ่งทุกอย่างสบายมาก

เฟิ่งไฉ่ชี้กระจกจำภาพ “ลูกค้าทั้งสามท่าน ถ้าต้องการอะไร เรียกฉันผ่านกระจกจำภาพได้เลย”

พูดจบ เฟิ่งไฉ่ปิดประตูแล้วออกไป ในห้องขนาดใหญ่เหลือแค่พวกลู่ฝานสามคน

หลิงเหยาพุ่งมาข้างหน้า เอาผลไม้ขึ้นมากัด

กินไปคำเล็กๆ สีหน้าหลิงเหยาเคลิบเคลิ้ม “อร่อยมาก ลู่ฝานนายชิมสิ”

ลู่ฝานหยิบขึ้นมาชิม รสชาติเป็นเอกลักษณ์ รสชาติที่บอกไม่ถูกวนเวียนอยู่ในปาก เหมือนมีฤทธิ์ยาเข้าไปในตัวด้วย

“ของดี!”

ลู่ฝานเอ่ยชม ฤทธิ์ยาของผลไม้ผลนี้ เทียบได้กับยาเม็ดทั่วไปแล้ว

หมายความว่า ถ้าลู่ฝานได้กินผลไม้แบบนี้ ตอนอยู่เมืองเจียงหลิน เขาคงโดดเด่นไปนานแล้ว

เขาหัวเราะเบาๆ เมื่อมาถึงดินแดนที่แตกต่าง บรรยากาศที่มองเห็นก็แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

คนตั้งเท่าไรพยายามอย่างลำบาก เพื่อใช้ฤทธิ์ยาเพียงเล็กน้อย มายกระดับวิทยายุทธ เปลี่ยนแปลงโชคชะตา

แต่ตอนนี้ของสิ่งนี้ เป็นเพียงผลไม้ที่วางอยู่บนโต๊ะของพวกเขาเท่านั้น

ทั้งสามคนนั่งลงบนเก้าอี้ มองผ่านกระจกบานใหญ่ออกไปข้างนอก

หน้าต่างบานนี้เหมือนกำแพงข้างหนึ่ง เมื่อกวาดตามอง สามารถเห็นทั่วหอแดนสวรรค์

“เฮ้อ ศิษย์น้องลู่ฝาน นายดูสิ นั่นใช่พลเอกเฟิงใช่ไหม”

ศิษย์พี่หานเฟิงเห็นคนคุ้นเคย เขายิ้มแล้วเอ่ยขึ้น

ลู่ฝานมองแวบหนึ่ง เป็นพลเอกเฟิงจริงๆ แต่เหมือนข้างเขายังมีคนอีกสามคน ล้วนสวมชุดเกราะ ดูดุดันแข็งแกร่ง

“นั่นคงเป็นสี่พลเอกที่เฝ้าเขาอวี่ฮั่ว”

หานเฟิงพูดว่า “ใช่แน่นอน งานใหญ่แบบนี้ พวกเขาไม่มาสิถึงจะแปลก”

เมื่อกวาดตามองต่อ หานเฟิงตะโกนขึ้นมาอีก “ให้ตายเถอะ ทำไมคนของเมืองหลวงมาด้วยล่ะ”

ลู่ฝานยื่นมือไปรับผลไม้ที่หลิงเหยาใช้มีดเล็กๆ หั่น กินพลางถามว่า “ใคร พี่รู้จักเหรอ”

หานเฟิงพูดด้วยสีหน้าประหลาด “รู้จักอยู่แล้ว คนของตระกูลสุ่ยที่โหดเหี้ยม ซวยแล้วๆ ฉันไปนั่งหลังดีกว่า อย่าให้คนนั้นเห็นฉัน”

ลู่ฝานมองไปทางที่หานเฟิงมอง เห็นผู้หญิงหน้าตาสะสวยคนหนึ่ง นั่งอยู่ในห้องชั้นหก

ผมยาวสีฟ้ายาวถึงเอว อยู่ห่างขนาดนี้ ลู่ฝานสัมผัสถึงออร่าหนาวเย็นจากตัวผู้หญิงคนนั้น

“เป็นผู้หญิงหน้าตาไม่เลว ศิษย์พี่หานเฟิง ไม่ใช่คนรักเก่าของพี่ใช่ไหม”

ลู่ฝานพูดแซว

หานเฟิงจิปากใส่ลู่ฝาน “ไร้สาระ นายนั่นแหละเป็นคนรักเก่าของเธอ ใครหาเรื่องเธอคนนั้นซวย ผู้หญิงที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้หญิงบ้า เธอมาที่นี่ทำไม”

หานเฟิงมีสีหน้าไม่เข้าใจ

ขณะนั้น แท่นที่ลอยอยู่กลางอากาศสว่างขึ้นมา

แสงแต่ละแสง ลอยเหมือนเซียนทั้งเก้า มีเงาระยิบระยับ จากนั้นมีเสียงเครื่องดนตรีอันไพเราะดังขึ้น

ตามมาด้วยเสียงหนึ่ง

“ยินดีต้อนรับสู่งานแดนสวรรค์!”

ลู่ฝานได้ยินเสียงนี้ จิตใจวูบไหว ทำไมเสียงนี้ฟังดูคุ้นหูจัง

เขารีบมองไปที่เวที ชายหนุ่มรูปร่างผอม ยืนท่ามกลางม่านแสง ปรากฏอยู่ในสายตา

คนนี้คือชายหนุ่มคนที่ให้ยันต์หยกกับเขาไม่ใช่เหรอ ลู่ฝานคิดไม่ถึงว่าเขาจะเป็นคนประกาศเปิดงานแดนสวรรค์ในวันนี้

สายตาทุกคนมองไปยังชายหนุ่ม คนที่อยู่ในงานล้วนเป็นคนมีชื่อเสียง ถ้าไม่มีความสามารถ ไม่มีทางเข้ามาในหอแดนสวรรค์ได้

เดินเล่นในหอแดนสวรรค์ต่อ อาคารขนาดใหญ่ ทุกที่ล้วนงดงามมาก

ลู่ฝานใช้โอกาสนี้ซื้อของเล็กน้อย

ของที่เขาวางขาย กลายเป็นคะแนนอย่างรวดเร็ว อีกทั้งคะแนนพวกนี้ โดนเขาเอามาซื้อสูตรการกลั่นยาทั้งหมด

ใช่ แค่สูตรการกลั่นยา

ลู่ฝานคิดว่าของอย่างอื่นเปลืองคะแนน มีแค่สูตรการกลั่นยาที่เป็นกำไร

สูตรการกลั่นยาที่นี่ มีเยอะจนลู่ฝานตาลายไปหมด แต่ 99 เปอร์เซ็นต์ ล้วนให้นักบู๊กิน มีส่วนน้อยที่ให้ผู้ฝึกชี่กิน อีกทั้งราคาแพงจนไร้เหตุผล

แต่นี่เหมาะกับความต้องการของลู่ฝาน สูตรการกลั่นยาที่มหัศจรรย์ วางอยู่ตรงหน้าเขา

สำหรับเขา สูตรการกลั่นยาที่ใช้กลั่นยาให้นักบู๊ กับสูตรการกลั่นยาให้ผู้ฝึกชี่ ไม่มีอะไรแตกต่างกัน ล้วนยกระดับพละกำลังของเขาได้ แต่ราคาทั้งสองอย่าง ต่างกันราวฟ้ากับเหว เรียกว่าต่างกันร้อยเท่าก็ไม่เกินไป

ลู่ฝานแค้นที่ตัวเองมีคะแนนไม่ถึง ดังนั้นจึงขยันขายของ

จนสุดท้ายลู่ฝานเอาของที่เซียนสือฟางเก็บไว้ในจวนอากาศธาตุออกมาขาย

การที่เขาทำแบบนี้ เรียกความสนใจของคนบางส่วน

เพราะนักบู๊ซื้อสูตรการกลั่นยาอย่างบ้าคลั่ง เป็นเรื่องที่แปลกมาก

เดินอยู่หลายชั่วยาม ลู่ฝานใช้คะแนนจนหมด จึงหยุดซื้อ

มีสูตรการกลั่นยาอยู่ในมือหลายสิบใบ แต่ละใบสามารถกลั่นยาระดับทิพย์ขึ้นไป อีกทั้งมีสองใบที่ถึงระดับยาเสวียน

ได้มาเยอะจริงๆ ได้มาเยอะอย่างแท้จริง

นี่หมายความว่า ต่อไปเขาไม่ต้องออกไปหาสูตรการกลั่นยาอีกนานเลย

เก็บสมุนไพรมาอีกสักส่วนหนึ่ง ลู่ฝานจะได้เริ่มคิดเรื่องการกลั่นยาครั้งใหญ่

พละกำลังของเขา ต้องยกระดับขึ้นอย่างรวดเร็วแน่นอน

เขามีรอยยิ้มบนใบหน้า ดูคึกคักขึ้นมา หานเฟิงกับหลิงเหยามองเขาอย่างประหลาด

ผ่านไปนาน หานเฟิงถามว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน นายรังแกเขาแบบนี้ ไม่ค่อยดีหรือเปล่า”

ลู่ฝานถามอย่างสงสัย “รังแกอะไร”

หานเฟิงพูดว่า “นายซื้อสูตรการกลั่นยาเยอะขนาดนี้ ผู้ฝึกชี่ที่นายรู้จักจะเหนื่อยเอานะ รังแกคนแบบนี้ไม่ดี อืม หลังจากเขากลั่นยาออกมา แบ่งให้ฉันด้วยสิ”

หลิงเหยาพูดว่า “ฉันด้วย”

ลู่ฝานหน้ากระตุก “พวกนายสองคนยังมียางอายอยู่ไหม”

หลิงเหยายิ้มแล้วพูดว่า “ยังไงนายก็รังแกไปแล้ว ทำให้เยอะอีกหน่อยก็ไม่เป็นไร”

ลู่ฝานพูดในใจว่า “แต่คนที่พวกนายบอกว่าโดนรังแก อันที่จริงคือฉัน!”

ลู่ฝานพยักหน้าอย่างเหนื่อยใจ ถือเป็นการรับปาก

ทันใดนั้น หานเฟิงกับหลิงเหยาดีใจขึ้นมาทันที

โดนเฉพาะหานเฟิง หลิงเหยาโยกหัวไปมา “มีความสุขด้วยกัน ดีกว่ามีความสุขคนเดียว”

ทันใดนั้นแสงไฟในหอแดนสวรรค์มืดลง

เฟิ่งไฉ่ที่อยู่ข้างๆ พูดว่า “ลูกค้าทั้งสามท่าน เชิญไปห้องด้านบนเถอะค่ะ งานแดนสวรรค์ใกล้เริ่มแล้ว”

ลู่ฝานสีหน้าวูบไหว พยักหน้าหงึกๆ คนที่อยู่ในโถงด้านใน พากันขึ้นไปข้างบน มีคนเหาะขึ้นไปด้วย

ลู่ฝานเดินขึ้นมาชั้นแปด มาถึงห้องห้องหนึ่ง

รูปแบบงดงาม กลิ่นอายโบราณ เครื่องลายครามจากเตาหลวง รูปวาดจีนสบายตา โต๊ะเก้าอี้ที่ลอยอยู่ อีกทั้งกระจกทองเหลืองบานใหญ่ที่วางอยู่สี่ด้าน

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 765
ล้อเล่นก็ส่วนล้อเล่น ยังไงคะแนนก็จำเป็น

ลู่ฝานมองของที่ขายในหอแดนสวรรค์อย่างละเอียด มีของชั้นดีเยอะจริงๆ อย่างที่ผู้หญิงคนนั้นพูด ในหอแดนสวรรค์มีของที่เขาต้องการทุกอย่าง

ลู่ฝานเอาของจำนวนมาก วางลงบนลำแสงอย่างไม่ลังเล ถือโอกาสติดคะแนนราคาไปด้วย

ของพวกนี้เป็นสิ่งที่เขากอบโกยมาจากพวกผู้ฝึกชี่อู๋เหลียง ไม่ใช่ของตัวเอง ก็ไม่เสียดาย ดังนั้นลู่ฝานจึงดูใจป้ำมาก

ผู้หญิงตาเป็นประกาย สายตาเหมือนเจอลูกค้าที่เป็นเศรษฐี

รีบพาพวกลู่ฝานเดินในหอแดนสวรรค์ ท่าทางเป็นกันเองไม่น้อย

ศิษย์พี่หานเฟิงทำเป็นสุภาพบุรุษ คุยกับผู้หญิงก่อนตลอดเวลา

ไม่นาน ศิษย์พี่หานเฟิงรู้ว่าผู้หญิงคนนี้ชื่อเฟิ่งไฉ่ เป็นคนในพื้นที่เมืองหยุนไห่

แสงสว่างไสว คานแกะสลัก อาคารเป็นสีสัน

ลู่ฝานชมอาคารหลังที่ไม่เหมือนกับหลังอื่น

ขณะกำลังเดิน ลู่ฝานกับหานเฟิงเห็นเงาที่คุ้นเคยมาก เด็กชุดขาวที่เยาะเย้ยพวกเขาเมื่อกี้นี่นา เหมือนเขาขายกระจกจำภาพหมดแล้ว กำลังยืนนับยาเม็ดอยู่อีกด้าน

หานเฟิงเดินเข้าไป ตีไหล่ของเด็กชุดขาวแล้วพูดว่า “เจอกันอีกแล้ว”

เด็กชุดขาวหันมามองด้วยความโมโห เมื่อเขาเห็นลู่ฝานกับหานเฟิง สีหน้าเปลี่ยนไปทันที

“พวกนายเข้ามาได้ยังไง”

เด็กชุดขาวพูดอย่างเย็นชา

หานเฟิงเอายันต์หยกออกมา แล้วพูดว่า “ก็เข้ามาอย่างสง่างามไง ต่อไปอย่าดูถูกคนอื่น ระวังโดนตบหน้า!”

หานเฟิงตบแก้มของเด็กชุดขาวเบาๆ รอยยิ้มเต็มใบหน้าหานเฟิง

เด็กชุดขาวโมโห กัดฟันพูดว่า “ซื้อกระจกจำภาพแค่สามอันยังซื้อไม่ได้ ไอ้คนจน คิดไม่ถึงว่าจะหายันต์หยกมาได้ ไม่รู้พวกนายเล่นเส้นใคร”

เพิ่งพูดจบ เฟิ่งไฉ่ที่อยู่ข้างลู่ฝานปิดปากตัวเอง เหมือนเด็กชุดขาวพูดอะไรน่ากลัวออกมา

หานเฟิงกำลังจะพูดอะไร ขณะนั้นชายคนหนึ่งเดินมาจากด้านข้าง

เขาสวมชุดนักบู๊พอดีตัว เห็นกล้ามเนื้อชัดเจน เสื้อสีดำอึมครึม เสื้อแขนไม่กว้าง ปักขอบทอง ด้านบนมีลายเลือนราง

“นายพูดคำพูดเมื่อกี้อีกรอบ!”

ผู้ชายจ้องเด็กชุดขาว

เด็กชุดขาวอึกอักทันที

“ผม ผม ผม……”

เขาอึกอัก พูดคำว่าผมอยู่นาน ก็ยังพูดคำต่อไปไม่ได้

ผู้ชายขมวดคิ้วพูดว่า “เอายันต์หยกของนายมาให้ฉัน”

แม้น้ำเสียงราบเรียบ แต่น้ำเสียงหนักแน่นอย่างไม่ต้องสงสัย

หานเฟิงหลีกทางให้ ดูจากสถานการณ์ เหมือนเด็กชุดขาวข้างหน้าจะซวยแล้ว

เด็กชุดขาวค่อยๆ เอายันต์หยกของตัวเองออกมา ชายคนนั้นมองแวบเดียว แล้วพูดว่า “อาจารย์นายคือผู้ฝึกชี่ไป๋ซิน นายเป็นศิษย์ของเขา”

เด็กชุดขาวพยักหน้า “ใช่ครับ อาจารย์ผมคือไป๋ซิน ผมชื่อเว่ยผิง นายตรวจสอบดูได้”

ผู้ชายมองเขาแวบหนึ่ง จู่ๆ ก็บีบยันต์หยกจนแตกเป็นชิ้น

“ให้ร้ายหอแดนสวรรค์ อาจารย์ไป๋ซินปกป้องนายไม่ได้หรอก นายออกไปได้แล้ว”

เด็กชุดขาวเหมือนโดนฟ้าผ่า หานเฟิงอ้าปากค้าง สีหน้าประหลาด เลิกคิ้วขึ้น แล้วเกือบจะหัวเราะออกมา

เด็กชุดขาวกำลังจะพูดอะไร แต่เห็นร่างกายกำยาของผู้ชาย รวมไปถึงความโหดเหี้ยมที่แผ่ออกมาจากตัว เขากลืนคำพูดลงคอทันที

เด็กชุดขาวมองหานเฟิงกับลู่ฝานอย่างเคียดแค้น จากนั้นจึงเดินออกไป

หานเฟิงหันมาพูดกับลู่ฝาน “กฎใหญ่จริงๆ”

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “มีกฎก็เป็นเรื่องดี”

หลิงเหยาก็พูดว่า “ใช่ ฉันก็คิดว่าดีมาก”

ทั้งสามคนมองหน้ากันแล้วหัวเราะออกมา

ลู่ฝานต้านทานความกระตือรือร้นของศิษย์พี่หานเฟิงกับหลิงเหยาไม่ได้ ทำได้เพียงพาพวกเขามาที่หอแดนสวรรค์อีกครั้ง

ครั้งนี้ลู่ฝานถือยันต์หยก พาศิษย์พี่หานเฟิงกับหลิงเหยามาข้างหน้าหุ่นเชิดเกราะทอง

ยันต์หยกแกว่งตรงหน้าหุ่นเชิดเกราะทอง จู่ๆ ลู่ฝานรู้สึกว่าฝ่ามือตัวเองมีความร้อนเล็กน้อย แววตาของหุ่นเชิดเกราะทองก็เป็นประกาย

ร่างสีทองขนาดใหญ่หลีกทางให้ ลู่ฝานพาศิษย์พี่หานเฟิงกับหลิงเหยาเข้าไปไนหอแดนสวรรค์

ศิษย์พี่หานเฟิงเดินไปข้างใน พลางพึมพำว่า “หุ่นเชิดทองแท้ รวยจริงๆ สู้แล้วเอากลับไปสักตัวก็พอแล้ว ศิษย์น้องลู่ฝาน จำหุ่นเชิดคณะหนึ่งเดียวของเราได้ไหม มีทองแค่ไม่กี่เปอร์เซ็นต์เอง”

เมื่อก้าวเข้ามาในประตู ฉากด้านหน้าเปลี่ยนไป

มีเสียงเอะอะดังข้างหู สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าคือการตกแต่งที่ดูหรูหรา มีพลังของตึก และของที่งดงามสมบูรณ์

ลำแสงไหลเวียนเป็นทาง ด้านบนมีของพร้อมป้ายราคาวางอยู่หลากหลายชนิด ลอยอยู่เต็มไปหมด

หอขนาดใหญ่ ตรงกลางว่างเปล่า เมื่อเงยหน้ามอง แสงส่องจนสว่างไปทั่ว

รอบๆ มีห้องต่างๆ เต็มไปหมด เริ่มตั้งแต่ชั้นหนึ่งขึ้นไป ผู้คนมากมาย เสื้อผ้าหรูหราราคาแพง ลีลาการสนทนางดงาม คนที่เข้ามาที่นี่ได้ เห็นได้ชัดว่าล้วนเป็นคนมีฐานะ

ตึกใหญ่มาก แค่ชั้นหนึ่งก็ครอบคลุมพื้นที่ไม่รู้กี่ลี้แล้ว ตรงกลางมีแท่นลอยอยู่ เสาแสงสี่ต้นเคลื่อนไหว มีอักษรยันต์ต่างๆ กะพริบตลอดเวลา ดูหรูหรามีพลัง

หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาอย่างงดงาม “ลูกค้าเพิ่งมาหอแดนสวรรค์ครั้งแรกใช่ไหม”

หานเฟิงพูดด้วยความตกใจ “ดูออกด้วยเหรอ ผู้ฝึกชี่เก่งจริงๆ”

ผู้หญิงมีแววตาขบขัน “ฉันไม่ใช่ผู้ฝึกชี่ แค่คนแนะนำเท่านั้น ฉันเห็นทั้งสามคนดูบรรยากาศในหอแดนสวรรค์ แต่ไม่เข้าไปในห้องของตัวเอง เลยคิดว่าคงมาเป็นครั้งแรก ฉันขอดูยันต์หยกได้ไหม”

หานเฟิงยื่นยันต์หยกให้ผู้หญิง “งั้นรบกวนคุณผู้หญิงจัดห้องดีๆ ให้เราสักห้องสิ”

หลิงเหยาพูดว่า “เอาที่มีผลไม้ด้วย”

ผู้หญิงมองแวบหนึ่ง แล้วส่ายหน้าพูดว่า “ขอโทษด้วย ขอหยกชิ้นหลักให้ฉันด้วย”

“หยกชิ้นหลักอะไร” หานเฟิงขมวดคิ้วพูด

ลู่ฝานเอาหยกของตัวเองออกมาส่งให้ผู้หญิง

ผู้หญิงรับหยกมา แล้วพูดว่า “อันนี้แหละ”

พูดพลาง ผู้หญิงใช้แรงกดลงบนยันต์หยกของลู่ฝาน ทันใดนั้นมีแสงพุ่งขึ้นมาบนยันต์หยก มีตัวเลขศูนย์โผล่อยู่ข้างใน!

ลู่ฝานถามว่า “นี่หมายความว่าอะไร”

ผู้หญิงยิ้มแล้วพูดว่า “ตัวเลขด้านในเหมือนจำนวนเงินในบัตรผลึกหินหรือบัตรเหรียญทอง แต่ที่นี่เราจะเรียกกันว่าคะแนน การซื้อของในหอแดนสวรรค์ ต้องใช้คะแนน ลูกค้าสามารถใช้เหรียญทองซื้อคะแนน อีกทั้งยังสามารถเอาของที่ตัวเองต้องการขายพร้อมราคา วางไว้บนลำแสงที่เคลื่อนตัวอยู่ หลังจากนั้นรอให้คนมาซื้อ แน่นอนว่าถ้าคุณต้องการซื้อของ สามารถเอายันต์หยกวางไว้บนของชิ้นนั้น จะหักคะแนนไปเอง ในหอแดนสวรรค์มีทุกสิ่งที่คุณต้องการ”

ลู่ฝานกับหานเฟิงมองหน้ากัน ตกใจกับขั้นตอนสุดอัศจรรย์ของหอแดนสวรรค์

ไม่เคยได้ยินวิธีการซื้อขายแบบนี้มาก่อนเลย

ลู่ฝานถามคำถามสุดท้าย “งั้นขอถามหน่อย ถ้าใช้เหรียญทองซื้อ หนึ่งคะแนนต้องใช้เหรียญทองเท่าไร”

ผู้หญิงยกนิ้วขึ้นมาหนึ่งนิ้ว

หานเฟิงหัวเราะแล้วพูดว่า “เหรียญทองละหนึ่งคะแนนใช่ไหม เข้าใจแล้ว เอาเงินแลกคะแนนใช่ไหม ง่ายมาก ไม่ทราบว่าแลกตรงไหน”

ผู้หญิงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ขอโทษด้วย ไม่ใช่หนึ่งเหรียญทอง แต่เป็นหนึ่งหมื่นเหรียญทองแลกหนึ่งคะแนน ส่วนสถานที่แลก เชิญลูกค้าเดินเข้าไปข้างใน ด้านหน้ามีเคาน์เตอร์แลกโดยเฉพาะ”

หานเฟิงอ้าปากค้าง พูดอะไรไม่ออก

ลู่ฝานตกใจเล็กน้อย เหรียญทองหนึ่งหมื่นแลกหนึ่งคะแนน คะแนนราคาสูงจริงๆ!

ลู่ฝานรีบมองของที่อยู่บนลำแสง ราคาทั้งหมดล้วนห้าร้อยคะแนนขึ้นไป ถูกสุดก็หลายสิบคะแนน

งั้นแสดงว่าของพวกนี้ ไม่ทันทำอะไรก็เกือบล้านเหรียญทองแล้ว

หลิงเหยาจิปากเบาๆ ไม่พูดอะไรอีกแล้ว

เหมือนศิษย์พี่หานเฟิงนับเหรียญทองของตัวเอง จากนั้นส่งเสียงพูดกับลู่ฝาน “ศิษย์น้องลู่ฝาน นายว่าถ้าเธอตกเป็นของฉัน เธอจะให้คะแนนฉันไหม”

ลู่ฝานพยักหน้าตอบว่า “พี่ลองดูได้ ผมแนะนำให้พี่ลองดู”

หลังจากนั้นทั้งสองคนมองผู้หญิงด้วยรอยยิ้มประหลาด

จู่ๆ ผู้หญิงขมวดคิ้วขึ้นมา

ลู่ฝานถอดหน้ากากเงิน ถอดเสื้อคลุม แล้วกลับไปที่หอชั้นดี

ด้านใน หานเฟิงกับหลิงเหยาถือกระจกจำภาพในมือ กำลังดูอะไรสักอย่างอยู่

เจ้าดำนั่งอยู่บนเก้าอี้ ชิมอาหารบนโต๊ะอย่างละเอียด ท่าทางการกินงดงามมาก ลู่ฝานไม่รู้เลยว่าเจ้าดำแสร้งทำได้ถึงขั้นนี้

“ศิษย์น้องลู่ฝานกลับมาแล้วเหรอ รีบมาดูสิ ของเล่นของพวกผู้ฝึกชี่ไม่เลวเลย!”

ลู่ฝานชะโงกหน้ามาดู เห็นในกระจกจำภาพมีของลอยไปลอยมา เหมือนเปลี่ยนฉากอยู่ตลอดเวลา

“นี่มันอะไร”

ลู่ฝานถาม

หลิงเหยาพูดว่า “ผู้ฝึกชี่คนหนึ่งเอาวิวที่ตัวเองไปท่องเที่ยวมาในแต่ละประเทศ แสดงในรูปแบบม้วนภาพ แขวนไว้ในกระจกจำภาพ งดงามมาก นี่คือเมืองหลวงของเป่ยเจียง ดูยิ่งใหญ่มีพลังมาก”

หานเฟิงยิ้มแล้วพูดว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน ของเล่นนี้ไม่ใช่ถูกๆ นะ ต้องแลกด้วยยาเม็ดเลยนะ ยังดีที่ฉันฉลาดซัดเขาไปยกนึง เขาจึงยอมแลกกับฉันในราคาไม่สูง”

ลู่ฝานสีหน้าประหลาด ชกคนอื่นยกนึงงั้นเหรอ

เขามองไปรอบๆ อีกฝ่ายจะไม่เอาคนมาแก้แค้นใช่ไหม

ไม่เห็นพ่อค้าที่โดนต่อย แต่เห็นคนอื่นในร้านมองศิษย์พี่หานเฟิงด้วยสายตาประหลาด

เห็นได้ชัดว่าภาพที่ศิษย์พี่หานเฟิงจัดการพ่อค้า ทำให้พวกเขาตกใจ คนบางส่วนมองเจ้าดำจนตาค้าง

ลู่ฝานโยนเจ้าดำไว้บนโต๊ะ แล้วนั่งลง ยื่นหน้าไปมองอีกสองสามที ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “ผู้ฝึกชี่คนนี้น่าเบื่อจริงๆ คงว่างมากด้วย ทำอะไรแบบนี้ หาเงินจนเป็นรูปแบบ”

หานเฟิงกับหลิงเหยาวางกระจกจำภาพลง เก็บไว้อย่างดี จากนั้นหานเฟิงมองลู่ฝานด้วยสีหน้าอบอุ่น “ได้ยันต์หยกไหม”

ลู่ฝานยิ้มแล้วเอายันต์หยกออกมา หลิงเหยากับหานเฟิงส่งเสียงเฮออกมา

หานเฟิงเอายันต์หยกมา ยักคิ้วหลิ่วตาให้ลู่ฝานแล้วพูดว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน เพื่อนนายที่เป็นผู้ฝึกชี่น่านับถือจริงๆ พูดว่าทำยันต์หยกได้ก็ได้จริงๆ ต้องแนะนำให้ฉันรู้จักสักวันนะ อย่างน้อยพากลับมากินข้าวด้วยกันก็ได้”

ลู่ฝานพูดว่า “ไม่ต้องลำบากหรอก เขาไม่มาหรอก”

หานเฟิงเห็นลู่ฝานพูดยืนยันขนาดนี้ จู่ๆ ก็พูดเสียงเบาว่า “ไม่ใช่ผู้หญิงใช่ไหม หน้าตาไม่ดี มันแย่มากเหรอ”

จู่ๆ หลิงเหยาตึงเครียดขึ้นมา

ลู่ฝานมองหานเฟิงอย่างดูหมิ่น “ผู้ชาย หล่อด้วย หนุ่มหล่ออันดับหนึ่งในใต้หล้า”

ศิษย์พี่หานเฟิงหัวเราะ “หล่อกว่าฉันเหรอ อย่าล้อเล่นเลย โอเค มียันต์หยกแล้ว เราไปหอแดนสวรรค์กันเถอะ เวลาไม่เคยคอยท่า รีบไปจับจองที่กันเถอะ!”

หลิงเหยาก็พูดด้วยสีหน้าตื่นเต้น “ใช่ รีบไป ถือโอกาสไปดูด้วยว่าเสียงระเบิดเมื่อกี้คืออะไร ฉันได้ยินคนด้านนอกคุยกัน เหมือนพูดว่าผู้ฝึกชี่เถ่เมี่ยนอะไรสักอย่าง”

ลู่ฝานที่กำลังกินข้าวเกือบพ่นอาหารออกมา

สิ่งที่รวดเร็วสุดบนโลกนี้ ไม่ใช่ลำแสง ไม่ใช่มีดบิน แต่เป็นข่าวซุบซิบ

เขาเพิ่งกลับมา คิดไม่ถึงว่าพวกศิษย์พี่หานเฟิงได้ยินชื่อผู้ฝึกชี่เถ่เมี่ยนแล้ว

“รอฉันกินข้าวเสร็จก่อน อย่าทิ้งขว้างของอร่อย!”

ศิษย์พี่หานเฟิงดึงลู่ฝานขึ้นมา

“กินอะไรกันล่ะ ไปได้แล้ว”

พูดจบ ศิษย์พี่หานเฟิงโยนเหรียญทองไว้บนโต๊ะ ลากลู่ฝานออกไป หลิงเหยารีบตามไป เจ้าดำมองซ้ายมองขวา จู่ๆ มันตัวใหญ่ขึ้น โดยเฉพาะปากของมัน อ้าปากกว้างเป็นสิบเท่า ท่ามกลางสายตาผู้คน อาหารบนโต๊ะถูกมันดูดเข้าไปหมดภายในคำเดียว จากนั้นเจ้าดำเดินสะบัดก้นตามไป เหลือเพียงคนในร้านที่ตกอยู่ในความตะลึง

“เถ่เมี่ยน นายต้องตายคามือฉันแน่นอน!”

ลู่ฝานฟังคำขู่แบบนี้จนหูจะแฉะแล้ว เขาเอาแหวนมา ใส่ปราณชี่เข้าไป ทำลายคาถาสะกดบนแหวนได้ทันที

ไอ้หลิวกับเสี่ยวซังสีหน้าหดหู่ เอาของอากาศธาตุของตัวเองออกมา

ลู่ฝานเอาของของทั้งสามคนมา หาของไปมาต่อหน้าพวกเขา

ไม่นาน ลู่ฝานเจอยันต์หยก คนละชิ้นถือว่าไม่เลว

ลู่ฝานบีบยันต์หยก ยิ้มแล้วพูดว่า “ขอบคุณของของพวกคุณมาก”

พูดจบ ลู่ฝานเดินออกไป ทิ้งพวกอู๋เหลียงให้โดนคนวิจารณ์ต่อไป

เมื่อลู่ฝานเดินไป กลุ่มคนพากันหลีกทางให้ พลังที่เขาแสดงออกมา แม้อยู่ในสถานที่แบบตลาดหม้อยา ก็ยังได้รับความเลื่อมใสจากทุกคน

เมื่อได้ยันต์หยกมา ลู่ฝานเดินกลับ หาที่ถอดหน้ากากเงินออก

แต่เดินได้ไม่กี่ก้าว จู่ๆ มีชายหนุ่มเดินออกมาจากกลุ่มคน

“เดี๋ยวก่อนครับ!”

ลู่ฝานชะงักฝีเท้า หันมามองชายคนนี้

ชุดเขียวหน้าตาหล่อเหลาเป็นธรรมชาติ เป็นชายหนุ่มที่หน้าตาดีคนหนึ่งเลย

แววตาเป็นประกาย หน้าผากมีพลังเหมือนมีดอกบัวเบ่งบานอยู่

มองแวบเดียวลู่ฝานก็รู้ว่าเด็กคนนี้เป็นผู้ฝึกชี่เหมือนกัน อีกทั้งระดับขั้นไม่ได้ต่ำด้วย แอบรู้สึกว่าอีกฝ่ายก็อยู่ประมาณระดับนักเรกิเหมือนกัน

“มีอะไร”

ลู่ฝานพูดเสียงขรึม

เสียงของเขาฟังดูเหมือนชายวัยกลางคนอายุสามสิบปี ชายหนุ่มหัวเราะแล้วพูดว่า “อาจารย์ให้ผมมาส่งของให้หนึ่งชิ้น”

พูดพลาง ชายหนุ่มเอายันต์หยกออกมาให้ลู่ฝาน

เมื่อเห็นยันต์หยก สีหน้าของลู่ฝานประหลาดมาก ยังดีที่มีหน้ากากเงินบดบังอยู่ ทำให้ชายหนุ่มไม่เห็น

“ยันต์หยกอันนี้ คือยันต์หยกที่สามารถเข้าหอแดนสวรรค์ได้ใช่ไหม”

ลู่ฝานถามขึ้น

ชายหนุ่มตอบว่า “ใช่ครับ ถือยันต์หยกนี้ สามารถเข้าออกหอแดนสวรรค์ได้ตามสบาย ส่วนยันต์หยกที่นายเอามาจากพวกอู๋เหลียง ไม่สามารถเข้าได้ครับ”

พูดจบชายหนุ่มบอกลา ไม่บอกแม้แต่ชื่อ

ลู่ฝานอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง ยันต์หยกที่เอามาจากพวกอู๋เหลียงใช้ไม่ได้เหรอ เรื่องนี้เขาไม่รู้จริงๆ

ขณะกำลังคิด จู่ๆ ลู่ฝานรู้สึกว่ายันต์หยกในมือปล่อยพลังประหลาดออกมา ใส่เข้าไปในฝ่ามือเขา เหมือนค่ายกลประหลาดก่อตัวขึ้นบนผิวหนังเขา ลู่ฝานรู้สึกทันทีว่ายันต์หยกอันนี้ เชื่อมโยงกับเขาอย่างพิเศษ

หลังจากนั้นยันต์หยกแบ่งออกเป็นสาม ลู่ฝานรู้แล้วว่าทำไมยันต์หยกของคนอื่นใช้ไม่ได้ เหมือนมีวิชายอมรับเจ้าของสุดพิเศษอยู่ วิธีระดับนี้ ใช้การได้ดีกว่าพวกวิธีกลั่นเลือด

ลู่ฝานหัวเราะเบาๆ เอายันต์หยกสามอันใส่เข้าไปในอก แล้วเดินกลับไป

ชายหนุ่มเดินผ่านถนน กลับมาข้างผู้อาวุโส คำนับแล้วพูดว่า “อาจารย์ครับ เอายันต์หยกให้เขาแล้ว”

“ดีมาก เด็กคนนี้เป็นต้นกล้าที่ไม่เลว ส่งคนไปจับตามองไว้ ถ้าอำนวยความสะดวกได้ก็อำนวยความสะดวกให้เขา”

ผู้อาวุโสลูบเคราขาวของตัวเอง ยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น

ชายหนุ่มขมวดคิ้วเบาๆ แล้วพูดว่า “อาจารย์ แค่นักเรกิธรรมดาๆ ต้องจับตามองขนาดนี้เลยเหรอครับ”

ผู้อาวุโสหัวเราะ “นักเรกิอายุประมาณยี่สิบปี มีค่าพอให้จับตามองอยู่แล้ว”

ชายหนุ่มอึ้งไป “ประมาณยี่สิบปีเหรอครับ อาจารย์กำลังล้อเล่นหรือเปล่า เขาอายุ 30-40 ปีชัดๆ”

ผู้อาวุโสส่ายหน้า “ความสามารถในการสังเกตของนายยังไม่ก้าวหน้า คนนี้อายุมากกว่านายไม่กี่ปี อีกทั้งยังไม่ได้ใช้วิธีลึกลับ ล้วนอาศัยสิ่งที่ตัวเองฝึกถึงนักเรกิ ฉันไม่เคยเห็นคนหนุ่มที่มีพรสวรรค์แบบนี้มาหลายปีแล้ว ไม่แน่เขาอาจเป็นตัวแทนของเขตตงหวา ไปร่วมงานยาเซียนที่เมืองหลวงก็ได้”

สีหน้าชายหนุ่มไม่สู้ดี เขารู้ว่าอาจารย์ไม่หลอกเขา แต่เขายังไม่ค่อยเชื่อ อีกฝ่ายอายุมากกว่าเขาไม่กี่ปี ชายหนุ่มเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “อาจารย์พูดตลอดว่าจะให้ผมไป ทำไมถึงเปลี่ยนคนล่ะครับ”

ผู้อาวุโสหัวเราะ “เพราะนายยังเด็กเกินไป พูดเรื่องระดับขั้น นายสองคนอาจไม่ต่างกันมาก แต่ถ้าแข่งกันเรื่องยา เรื่องวิชา นายแน่ใจเหรอว่าตัวเองสู้คนนั้นได้”

ชายหนุ่มกำลังจะเถียง จู่ๆ ก็คิดถึงภาพที่ชายหน้ากากเงินสู้กับนักเรกิสามคนด้วยตัวคนเดียว จู่ๆ เขาก็ไม่มีความมั่นใจ

ชายหนุ่มอึกอัก เงียบอยู่นาน แล้วพูดว่า “หึ รอให้เขาเข้าร่วมการคัดเลือกจริงๆ ค่อยว่ากัน”

ผู้อาวุโสพยักหน้าพูดว่า “ใช่ ทุกอย่างต้องทำตามกฎเกณฑ์”

บทที่ 761

บทที่ 763

คนชรากับเด็กหนึ่งคนยืนมองลู่ฝานซัดพวกอู๋เหลียงอย่างเงียบๆ ท่ามกลางผู้คน

ผู้อาวุโสสวมชุดขาว เสื้อคลุมยาวลากพื้น แต่กลับไม่เปื้อนฝุ่น คิ้วโก่งตาเป็นประกาย ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

“ผู้ฝึกชี่คนนี้อยู่ในระดับนักเรกิ สู้แบบหนึ่งต่อสาม เชี่ยวชาญวิชา เครื่องรางก็ไม่เลว มีวิญญาณมังกรอยู่ในมือ ที่มาไม่ธรรมดา นิ่งเชวีย เอายันต์หยกให้เขา วันนี้นับเขาเข้าไปในงานแดนสวรรค์ด้วย”

“ครับอาจารย์!”

ชายหนุ่มข้างๆ ตอบรับ ชุดเขียวทั้งตัว หน้าตาหล่อเหลา ชายหนุ่มมองลู่ฝานด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า

แววตาไม่ได้เลื่อมใสหรือเคารพเท่าคนอื่น มีเพียงความชื่นชม เหมือนเป็นการชื่นชมคนประเภทเดียวกัน

……

ทั้งสามคนล้มลงบนพื้น กระอักเลือดออกมาไม่หยุด

คนที่มุงดูอยู่ไกลๆ พากันส่งเสียงตกใจ ทุกคนมองลู่ฝานอย่างตกตะลึง

หนึ่งคนจัดการสามคน บดขยี้จนได้รับชัยชนะ

ถ้าคนที่แพ้เป็นผู้ฝึกชี่ยอดฝีมือทั่วไป ยังไม่เท่าไร แต่อู๋เหลียงเป็นนักเรกิที่พอมีชื่อเสียงในตลาดหม้อยา อีกทั้งดูจากการต่อสู้เมื่อกี้ สองคนข้างๆ ผู้ฝึกชี่อู๋เหลียง ก็ระดับนักเรกิเหมือนกัน

“หนึ่งคนเอาชนะนักเรกิสามคน ผู้ฝึกชี่เถ่เมี่ยนคนนี้ มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นยอดฝีมือปรมาจารย์บำเพ็ญชี่ มีแก่นแท้ครบถ้วนในตัว!”

“เป็นไปได้สูง ดูเหมือนงานแดนสวรรค์ปีนี้จะคึกคักอีกแล้ว ยอดฝีมือคนนี้ต้องมาเพราะงานแดนสวรรค์แน่นอน”

เกิดการพูดกันปากต่อปาก ไม่นานชื่อของผู้ฝึกชี่เถ่เมี่ยนดังไปทั่ว

เพราะหน้ากากเงินบนหน้าลู่ฝานดูเป็นสัญลักษณ์ ทำให้เขาไม่ต้องเผยชื่อ คนอื่นก็เรียกเขาว่าผู้ฝึกชี่เถ่เมี่ยน

ลู่ฝานเก็บหม้อสือฟาง รู้สึกสบายอกสบายใจ

นี่เป็นครั้งแรกในการต่อสู้ที่เขาใช้แต่วิธีของผู้ฝึกชี่ รู้สึกดีไม่เลว

ลู่ฝานเดินเข้ามามองพวกผู้ฝึกชี่อู๋เหลียง แล้วมองกลุ่มคนที่อยู่ไม่ไกล

จากนิสัยของเขา ในเมื่อล่วงเกินแล้ว ทางที่ดีคือถอนรากถอนโคนไปเลย แต่ท่ามกลางผู้คนที่อยู่ไม่ไกล มีองครักษ์กลุ่มหนึ่งที่เห็นอย่างชัดเจน

ถ้าฆ่าคนต่อหน้าทุกคน มีแต่จะหาเรื่องใส่ตัว

ก่อนขึ้นมาบนเขา พลเอกเฟิงเตือนเขาแล้วว่าห้ามฆ่าคนบนเขาอวี่ฮั่ว

ลู่ฝานครุ่นคิดครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ไม่ได้ลงมือ

ลู่ฝานมองทั้งสามคนที่นอนอยู่บนพื้น ลู่ฝานค่อยๆ เก็บเครื่องรางที่กระจายอยู่บนพื้นขึ้นมา

พวกผู้ฝึกชี่อู๋เหลียงมองการกระทำของลู่ฝานด้วยแววตาโมโห กระอักเลือดออกมาไม่หยุด แต่ไม่กล้าพูดอะไรสักคำ

ลู่ฝานเก็บเครื่องรางเข้าไปในเข็มขัดของตัวเองต่อหน้าทั้งสามคน

หลังจากนั้นลู่ฝานเดินมาตรงหน้าผู้ฝึกชี่อู๋เหลียง “วันนี้ผมไม่ฆ่านาย แต่ไม่มีทางให้คนอยู่เป็นสุขแน่นอน ถ้านายไม่อยากให้ผมแก้ผ้านายต่อหน้าทุกคน เอาของมีค่าในตัวออกมา”

ภายใต้หน้ากาก ลู่ฝานมีรอยยิ้มเต็มใบหน้า

ผู้ฝึกชี่อู๋เหลียงกัดฟัน เขาโมโหมาก กระอักเลือดพลางพูดว่า “ลู่ฝาน นายฆ่าฉันได้ แต่อย่ามาดูถูกฉัน!”

ลู่ฝานไม่พูดอะไร เขาสะบัดนิ้วมือ สายลมกลายเป็นมีด ปาดเสื้อของผู้ฝึกชี่อู๋เหลียงจนขาด

ลู่ฝานพูดอย่างราบเรียบว่า “มีบางเรื่องที่น่าทรมานกว่าการตาย อย่าทำให้ผมเสียเวลา เว้นเสียแต่พวกคุณอยากเป็นตัวตลก!”

ผู้ฝึกชี่อู๋เหลียงไม่พูดอะไร ถ้าวันนี้เขาแก้ผ้าต่อหน้าทุกคนจริงๆ ต้องทรมานกว่าการฆ่าเขาแน่ๆ

ไอ้หลิวกับเสี่ยวซังที่อยู่ข้างๆ มองอู๋เหลียง รอให้อู๋เหลียงพูดออกมา

ทันใดนั้นอู๋เหลียงยอมแพ้ ถอดแหวนให้ลู่ฝาน

ผู้ฝึกชี่อู๋เหลียงกับผู้ช่วยอีกสองคนโดนระเบิดจนกระเด็นถอยหัลง เสื้อผ้าขาดรุ่ย น่าเวทนาเป็นอย่างมาก

เป็นครั้งแรกที่เขาประสบกับพลานุภาพกระบวนท่าของตัวเอง เขาแอบกัดฟัน

“โดนหลอกแล้ว ไอ้หมอนี่จงใจล่อเรามาที่นี่ พละกำลังของเขาไม่ได้อ่อนแอ ไอ้หลิว เสี่ยวซัง พวกนายระวังตัวด้วย!”

ผู้ฝึกชี่อู๋เหลียงรู้แล้วว่าพละกำลังของลู่ฝานเหนือกว่าพวกเขา ความยโสบนใบหน้าหายไป ถูกแทนที่ด้วยความหนักใจ

ลู่ฝานเก็บปราณชี่กลับมา มองทั้งสามคนด้วยแววตาเย็นชา

ในฐานะที่เป็นคนที่ฝึกทั้งบู๊และชี่ เมื่อจัดการนักบู๊ระดับเดียวกัน เขาสามารถบดขยี้ได้เลย เมื่อจัดการผู้ฝึกชี่ระดับเดียวกัน เขาก็สามารถกุมความได้เปรียบ

ถึงพละกำลังของสามคนฝั่งตรงข้ามไม่ธรรมดา วิทยายุทธไม่ได้ต่ำ แต่อย่าคิดว่าจะทำอะไรเขาได้

ลู่ฝานใช้มือบีบวิชา แล้วพูดเสียงเย็นชาว่า “อสูรก่อตัว!”

ดิน น้ำแข็ง ลม ไฟ สายฟ้า แสงห้าสี สัตว์พลังชี่ปรากฏออกมาห้าตัว

หมีธาตุดิน เสือธาตุน้ำ เหยี่ยวสายฟ้า เสือดาวเพลิง มังกรลม สัตว์ทั้งห้าส่งเสียงคำรามออกมาพร้อมกัน จากนั้นพุ่งเข้าไปหาทั้งสามคน

“เปิดเครื่องราง!”

ผู้ฝึกชี่อู๋เหลียงแผดเสียงออกมา มีดบินโถมเข้ามา ไอ้หลิวที่อยู่ข้างๆ รีบเอาน้ำเต้าออกมา ระเบิดปะทะสายลม พ่นเปลวไฟสีขาวออกมา

เสี่ยวซังโยนพู่กันแดงออกมา บีบวิชาในมือ ขณะสะบัดมือ มีหมึกดำสาดออกมา พู่กันแดงที่เปื้อนหมึกดำสะบัดเป็นตัวอักษรคำว่าฆ่าหลายสิบตัว!

ตู้ม ตู้ม ตู้ม ตู้ม!

เสียงระเบิดดังขึ้นติดต่อกัน การต่อสู้ระดับนี้ ทำให้กลุ่มคนที่มุงดูส่งเสียงตกใจออกมา เสียงชมดังขึ้นไม่หยุด

การต่อสู้ของผู้ฝึกชี่งดงามจริงๆ ดูวิชาพวกนี้สิ ไม่เพียงแต่พลานุภาพไร้เทียมทาน ยังมีพลังมากมายอีกด้วย!

ลู่ฝานขมวดคิ้วเบาๆ อสูรพลังชี่ทั้งห้าตัวที่ก่อตัวจากพลังชี่ โดนอีกฝ่ายบดขยี้จนหมด ขณะต่อสู้กันครั้งแรก เครื่องรางของอีกฝ่ายเก่งกาจจริงๆ!

“เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ ใช้ฉันๆ! ให้ฉันสั่งสอนไอ้พวกหูตาคับแคบพวกนี้เองว่าอะไรคือเครื่องราง!”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรตะโกนในตัวลู่ฝาน แต่ลู่ฝานไม่มีท่าทีจะใช้มัน!

ครุ่นคิดครู่หนึ่ง ลู่ฝานเอาของออกมาจากจวนอากาศธาตุ เป็นหม้อสือฟางที่เขาใช้กลั่นยา!

มีแสงเคลื่อนไหวอยู่บนหม้อ ภายใต้การดูแลของลู่ฝานในช่วงนี้ หม้อสือฟางแวววาวระยิบระยับอย่างชัดเจน ภูติอาวุธข้างในดูมีชีวิตชีวามาก

“หา เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ เจ้านายจะให้หม้อสือฟางสู้เหรอ! ก็ดี ฉันจะให้ของสือฟางสักนิดละกัน มังกรน้อย ช่วยฉันอีกแรงหนึ่ง!”

เมื่อพูดเช่นนี้ ลู่ฝานเห็นลายมังกรสว่างขึ้นบนหม้อสือฟาง

เป็นวิญญาณของมังกรทำลายล้าง ที่โดนไอ้เก้าใส่เข้าไปในหม้อสือฟาง!

ลู่ฝานหัวเราะเบาๆ โยนหม้อสือฟางไปทางทั้งสามคน

หม้อสือฟางที่แต่เดิมมีขนาดประมาณฝ่ามือ กลายเป็นของชิ้นใหญ่ประมาณสามสิบกว่าเมตร หล่นลงมาอย่างแรง

“ป้องกัน!”

เห็นลู่ฝานใช้เครื่องราง ผู้ฝึกชี่อู๋เหลียงตะโกนออกมา ทั้งสามคนตั้งรับทันที ขณะเดียวกันก็ลงมือด้วย มีดบิน พู่กันแดง น้ำเต้าที่ใหญ่ขึ้น ขวางหม้อสือฟางที่หล่นลงมา

ลู่ฝานจิตใจวูบไหว ใส่พลังชี่เข้าไปในหม้อ

ขณะนั้น มังกรทำลายล้างที่อยู่บนหม้อส่งเสียงคำรามออกมา ลายมังกรบนหม้อลืมตาทั้งสองข้างขึ้นมา

“แย่แล้ว!”

ผู้ฝึกชี่อู๋เหลียงตะโกนออกมา แต่มันสายไปเสียแล้ว

ตอนที่มังกรทำลายล้างลืมตาขึ้น พลังทำลายล้างอันแข็งแกร่งพุ่งขึ้นมาทันที

แม้ยังห่างชั้นกับพลานุภาพของมังกรทำลายล้างที่แท้จริงมาก แต่แค่นี้พวกเขาก็รับไม่ไหวแล้ว

ตู้ม!

เครื่องรางของทั้งสามคนสั่นสะเทือน หม้อสือฟางกระแทกลงมาเหมือนภูเขาลูกใหญ่ กระแทกทั้งสามคนจนกระเด็น

เสียงหักดังสนั่น เสื้อผ้าบนตัวทั้งสามคนขาดกระจาย กระอักเลือดออกมาทางปาก

ผู้ฝึกชี่อู๋เหลียงไม่ได้ล้อเล่น เข้ามาก็พูดถึงเรื่องฆ่าฟันทันที เรียกได้ว่าเป็นวิธีของคนชั้นต่ำ

เหมือนผู้ชายสองคนข้างเขา เจอเรื่องแบบนี้จนชินแล้ว ไม่มีอาการอะไรเลย

ลู่ฝานพูดเสียงขรึมว่า “ผมคิดว่าการต่อสู้ระหว่างผู้ฝึกชี่จะอ่อนโยนกว่าเยอะ คิดไม่ถึงว่าจะเต็มไปด้วยความธรรมดาเหมือนกัน”

ผู้ฝึกชี่อู๋เหลียงส่ายหัวไปมา “ความคิดน่าขำ ฉันจะบอกให้นะ การต่อสู้ระหว่างผู้ฝึกชี่ เก่งกาจกว่าอย่างอื่นมาก ฉันคิดว่านายเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านอะไรมามากมาย คิดไม่ถึงว่านายก็แค่หน้าใหม่ ผู้ฝึกชี่เถ่เมี่ยน นายรู้ไหมว่าทำไมระหว่างผู้ฝึกชี่ถึงมีสัญญาที่ไม่ทำร้ายกันถึงชีวิตหรือเปล่า ก็เพราะก่อนหน้านี้ ผู้ฝึกชี่ตายเพราะพวกเดียวกันมากเกินไป เราอยู่เหนือกว่าคนทั่วไป ไม่มีข้อผูกมัด กฎเบื้องบน กฎเกณฑ์ต่างๆ ใช้กับเราไม่ได้ มีแค่ปลาใหญ่กินปลาเล็กเท่านั้น นายเข้าใจไหม”

เมื่อพูดถึงปลาใหญ่กินปลาเล็ก ผู้ฝึกชี่อู๋เหลียงชี้ที่ตัวเอง แล้วชี้ไปที่ลู่ฝาน

ลู่ฝานหัวเราะเบาๆ แล้วส่ายหน้า สภาพสังคมนี้ ที่ไหนก็มีแต่การเปรียบเทียบพละกำลัง

ลู่ฝานยืดตัวตรง พูดอย่างราบเรียบว่า “จะเอาสูตรการกลั่นยาของคุณกลับไป ก็เข้ามาสิ”

ผู้ฝึกชี่อู๋เหลียงหุบยิ้มบนใบหน้า หันไปพูดกับสองคนข้างๆ “รีบสู้รีบจบ อย่าเรียกความสนใจ!”

ผู้ชายสองคนข้างๆ พยักหน้า หลังจากนั้นระเบิดพลังชี่ออกมา

“ไร้รูปร่างแท้จริง!”

ผู้ฝึกชี่ทางด้านซ้ายเอาน้ำเต้าตรงเอวขึ้นมา บีบวิชาใส่ลู่ฝาน

ลมพัดขึ้นมาเหมือนมีดโถมใส่หน้า เสื้อคลุมบนตัวลู่ฝานกระพือขึ้น

ผู้ฝึกชี่ด้านขวาถือพู่กันแดงในมือ เขียนคำว่าฆ่าใส่ลู่ฝาน

“พู่กันแดงชี้เขาชาง!”

เมื่อพูดจบ คำว่าฆ่าพุ่งเข้ามา พลังชี่กลายเป็นพลังอันน่ากลัว โจมตีลงบนตัวลู่ฝานโดยที่ไม่เห็นอะไรเลย

เสียงดังขึ้นข้างหน้าลู่ฝาน

ไม่รู้ว่าเขาปล่อยพลังชี่ของตัวเองออกมาตอนไหน

ตอนนี้ปราณชี่ของเขากลายเป็นพลังชี่จนหมด เปิดออกเหมือนพัด รับการโจมตีเอาไว้

ลู่ฝานไม่ได้ขยับแม้แต่ก้าวเดียว มองทั้งสามคนเงียบๆ

พละกำลังของทั้งสองคน ต้องเป็นระดับนักเรกิแน่นอน!

“หึ ดูสิว่านายจะทนได้นานแค่ไหน!”

ผู้ฝึกชี่อู๋เหลียงลงมือเช่นกัน มือซ้ายกลายเป็นไฟ มือขวากลายเป็นน้ำ ปากว้าขนาดเล็กสว่างขึ้นตรงอกของเขา

“น้ำไฟคนละขั้ว!”

มังกรน้ำและมังกรไฟพุ่งออกมา ขณะเดียวกันสองคนที่เหลือก็บีบวิชา ด้านล่างตัวลู่ฝานมีแสงสว่างขึ้นอีก ค่ายกลทำลายห้าธาตุค่ายเล็กปรากฏอยู่ในสายตา

ค่ายกลนี้ลู่ฝานคุ้นเคยเป็นที่สุด ฝ่าเท้าแยกออกเล็กน้อย เจดีย์เสวียนเก้ามังกรหัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “เก็บ!”

ทันใดนั้นค่ายกลหายไป สีหน้าสองคนฝั่งตรงข้ามแดงเถือก

ลู่ฝานมองมังกรน้ำกับมังกรไฟที่กำลังพุ่งเข้ามา เขายกมือขึ้นเบาๆ!

“ถอยไป!”

ปราณชี่ในตัวระเบิดออกมา พลังฟ้าดินกระจายออก เหมือนมังกรน้ำไฟโดนพลังที่มองไม่เห็นสั่นสะเทือน เลี้ยวหัวกลับไปฆ่า

“อะไรกัน”

ผู้ฝึกชี่อู๋เหลียงพูดอย่างตกใจ จากนั้นมังกรน้ำกับมังกรไฟชนกันจนระเบิด

เสียงระเบิดทำให้กลุ่มคนที่อยู่ไกลๆ ตกใจ มีคนปรากฏขึ้นไม่ไกล จ้องมองมาทางนี้

“ใครสู้กัน”

“เหมือนเป็นการต่อสู้ของผู้ฝึกชี่ การเคลื่อนไหวพลังชี่แข็งแกร่งมาก”

“ฉันรู้จักคนนั้น ผู้ฝึกชี่อู๋เหลียง พระเจ้า เหมือนเขากำลังเสียเปรียบ ผู้ฝึกชี่ที่ใส่หน้ากากเงินอีกฝั่งคือใคร”

“ไม่รู้สิ ใครรู้จักบ้าง”

……

ผู้ฝึกชี่อู๋เหลียงเชิดหน้ายืดอก ใบหน้ามีรอยยิ้มบางๆ เหมือนกำลังเยาะเย้ยคนด้านนอกว่าเป็นพวกกระจอก

ลู่ฝานยิ้มแล้วมองเขา คิดไม่ถึงว่าผู้ฝึกชี่อู๋เหลียงจะมียันต์หยก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นการที่เขาจะได้ยันต์หยกก็ไม่มีปัญหาแล้ว

ขณะนั้นสายตาของผู้ฝึกชี่อู๋เหลียงหยุดลงที่เขา

จู่ๆ ผู้ฝึกชี่อู๋เหลียงตาค้าง

ลู่ฝานเห็นความแค้นในแววตาผู้ฝึกชี่อู๋เหลียง เหมือนน้ำหนอง ไม่ปกปิดเอาไว้เลย

เขายิ้มในใจ ผู้ฝึกชี่อู๋เหลียงเป็นคนใจแคบเหรอเนี่ย ดูเหมือนว่าอีกเดี๋ยวเขาคงมาหาเรื่องเอง

คิดได้เช่นนี้ ลู่ฝานหันหลังเดินไป

ผู้ฝึกชี่อู๋เหลียงเห็นลู่ฝานกำลังจะหันหลังเดินไป จึงตามมาทันที

ลู่ฝานจงใจเดินลากเท้าและลดความเร็วลง แต่ยังดูเหมือนเดินไปข้างหน้าอย่างมุ่งมั่น

การทำแบบนี้คือการล่อให้อู๋เหลียงติดกับ แอบปรายตามองด้านหลัง เป็นไปตามคาด อู๋เหลียงตามมาจริงๆ

อู๋เหลียงจ้องหลังลู่ฝานเขม็ง เขารู้สึกหงุดหงิดมาก

“รู้อยู่แล้วว่านายต้องมา นายต้องปรากฏตัวที่ตลาดหม้อยา”

อู๋เหลียงคลำเอากระจกจำภาพออกมา ด้านบนมีแสงห้าสีเคลื่อนไหวอยู่

“ไอ้หลิว เสี่ยวซัง รีบมาที่หอแดนสวรรค์เร็วๆ”

อู๋เหลียงตะโกนเบาๆ ใส่กระจกจำภาพ จากนั้นสะบัดฝ่ามือ กระจกทั้งบานแตกเป็นชิ้นๆ แล้วลอยออกไป หายลับไปที่ขอบฟ้า

ผู้ฝึกชี่ที่เดินเที่ยวอยู่ในตลาดหม้อยา ได้รับชิ้นส่วน รวมถึงข้อมูลที่ดังมาจากข้างใน รีบใช้วิชากายหายวับไปจากที่เดิม

ลู่ฝานเดินไปข้างหน้า เขารู้สึกว่าตัวเองมีพรสวรรค์ในการแสร้งทำเป็นบาดเจ็บมาก มองผู้ฝึกชี่อู๋เหลียงด้านหลัง เหมือนหมาป่าโหดเหี้ยมที่เห็นอาหารจ้องอยู่ทางด้านหลัง

ลู่ฝานเปลี่ยนทิศทางไปเรื่อยๆ เหมือนกำลังหนีจริงๆ

รอยยิ้มบนใบหน้าผู้ฝึกชี่อู๋เหลียงที่อยู่ด้านหลังยิ่งกว้างขึ้น

ดูสิว่าครั้งนี้นายจะหนีไปไหน!

เลี้ยวผ่านที่ที่มีคนเยอะ ลู่ฝานตั้งใจเดินไปที่ที่มีคนน้อย ที่ไหนคนน้อยก็เดินไปที่นั่น

การทำแบบนี้ ทำให้ผู้ฝึกชี่อู๋เหลียงสบายใจ ถูกต้อง เดินไปที่คนน้อยๆ จะได้ลดความวุ่นวาย

ในที่สุดลู่ฝานเดินมาริมตลาดหม้อยา แล้วเดินไปข้างหน้า เป็นพื้นที่โล่งกว้าง

ลู่ฝานชะงักฝีเท้าลงแล้วหันมามอง ไม่รู้ว่ามีคนเดินตามมาข้างหลังสามคนตั้งแต่เมื่อไร

ผู้ฝึกชี่อู๋เหลียงกับผู้ชายที่ไม่รู้จักสองคน

คนหนึ่งแขวนน้ำเต้าที่เอว รูปร่างผอมเหมือนลำไผ่

ส่วนอีกคนถือพู่กันแดง สง่างามเหมือนสายลม

“ผู้ฝึกชี่เถ่เมี่ยน หยุดเดิน มาคุยกันสิ ตั้งแต่ออกมาจากเมืองตงหวา ก็ไม่ได้เจอกันสักระยะเลยนะ!”

ผู้ฝึกชี่อู๋เหลียงยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น

ลู่ฝานหันมาพูดด้วยเสียงขรึม “ผู้ฝึกชี่อู๋เหลียง ไม่ได้เจอกันนานจริงๆ ไม่ทราบว่าวันนี้คุณตามผมมามีอะไรหรือเปล่า”

ผู้ฝึกชี่อู๋เหลียงยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่มีอะไรหรอก ครั้งก่อนผู้ฝึกชี่เถ่เมี่ยนทักษะสูงกว่าฉันหนึ่งขั้น ชิงสูตรการกลั่นยาของฉันไป ฉันฝึกฝนอย่างลำบากมาระยะหนึ่ง วันนี้จึงอยากชนะเพื่อเอาสูตรการกลั่นยากลับมา”

ลู่ฝานมองซ้ายขวาแล้วพูดว่า “นายจะลงมือกับผมพร้อมกันทั้งสามคนเหรอ”

ผู้ฝึกชี่อู๋เหลียงพูดว่า “งั้นต้องดูว่าผู้ฝึกชี่เถ่เมี่ยนรู้จักเอาตัวรอดหรือเปล่า”

พูดจบ ผู้ฝึกชี่อู๋เหลียงยิ้มออกมาอย่างร้ายกาจ

“เอาของของนายมาให้หมด วันนี้จะปล่อยนายไปก่อน ฉันไม่อยากมือเปื้อนเลือดในตลาดหม้อยา”

ลู่ฝานเดินออกมาจากร้าน แล้วหามุมที่ไม่มีใครสังเกต เอาของสองอย่างออกมาจากเข็มขัด

เสื้อคลุมกับหน้ากากเงิน

แต่สองอย่างนี้ไม่ใช่ของสองชิ้นในตอนแรกสุด การต่อสู้กับอี่ว์ชิงเฉิน ทำให้หน้ากากเงินของเขาพัง เขาจนปัญญา จึงต้องแอบทำใหม่มาหนึ่งอัน ลู่ฝานยังทำโดยใช้โลหะพิเศษ สามารถใส่ปราณชี่ของเขาเข้าไปได้ พลังป้องกันเพิ่มขึ้นมาก อย่างน้อยก็เรียกได้ว่าเป็นเครื่องป้องกันได้

ลู่ฝานใส่เรียบร้อย เปลี่ยนเป็นผู้ฝึกชี่เถ่เมี่ยนอีกครั้ง

เก็บมุกสองลูกเอาไว้ ลู่ฝานเดินเข้าไปในกลุ่มคนมากมาย

ถามคนเกี่ยวกับตำแหน่งของหอแดนสวรรค์ ลู่ฝานตรงไปที่หอแดนสวรรค์ทันที

หอแดนสวรรค์ สิ่งก่อสร้างที่เป็นเครื่องหมายของตลาดหม้อยา

บอกว่าเป็นตึกแห่งหนึ่ง แต่ดูแล้วสูงกว่าเจดีย์ยารอบๆ

ตึกสูงมีทั้งหมดเก้าชั้น สูงเสียดฟ้า

กระเบื้องเคลือบ ชายคาที่โค้งขึ้นแบบจีน หินบลูสโตน ผนังเก้าสี

ลู่ฝานยืนหน้าหอแดนสวรรค์ มองแสงระยิบระยับของอาคาร เหมือนสมบัติล้ำค่าชิ้นหนึ่งจริงๆ

หน้าประตูมีคนยืนล้อมอยู่ไม่น้อย แต่ยังห่างจากประตูหอแดนสวรรค์มาก

หน้าประตูมีหุ่นเชิดยืนอยู่สองตัว ตัวเป็นเกราะสีทอง มีอักษรยันต์บนตัว สูงสามเมตรกว่า ดูกำยำมีพลัง

ในมือมีอาวุธแกร่งกล้า มีแสงสีแดงออกมาจากเกราะสีทอง

“รวยจริงๆ!”

ลู่ฝานพึมพำออกมา

หุ่นเชิดสองตัวนี้ หลอมขึ้นมาด้วยทองทั้งหมด ไม่ใช่การเคลือบทองไว้ด้านนอก

ลู่ฝานรู้สึกถึงออร่าทรงพลังในตัวหุ่นเชิดสองตัวนี้ ต้องเป็นฝีมือของยอดฝีมือแน่นอน พละกำลังไม่ด้อยไปกว่ายอดฝีมือแดนปราณชีวิต

มิน่าล่ะคนพวกนี้ถึงอยู่ห่างมาก คนในที่นี้คงมีไม่กี่คนที่สามารถต้านทานกระบวนท่าของหุ่นเชิดนี่ได้

ลู่ฝานเงยหน้ามองเข้าไปในประตูหอแดนสวรรค์ แม้ประตูเปิดออก แต่ไม่เห็นแสงสว่างด้านในเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเงาคน

“ค่ายกลปลุกเสก!”

ลู่ฝานพึมพำออกมา

พอเข้าใจได้ สถานที่สำคัญแบบนี้ ไม่มีค่ายกลสิถึงจะแปลก

“หลีกไปๆ อย่าขวางทาง!”

ผู้ฝึกชี่ในชุดขาวเบียดออกมาจากกลุ่มคน สะบัดมือตรงหน้าหุ่นเชิดทั้งสองตัว

แขนเสื้อกว้างบังฝ่ามือไว้เกือบหมด แอบเห็นเขาถือของที่ทำจากหยกเอาไว้ในมือ หลังจากนั้นหุ่นเชิดทั้งสองตัวหลีกทางให้ ก้มหน้าเชิญให้ผู้ฝึกชี่คนนี้เข้าไป

เสียงถกเถียงดังขึ้นรอบๆ

“นี่คือผู้ฝีกชี่สวีหวงสินะ อาจารย์ผู้สร้างที่มีชื่อเสียง”

“เหมือนจะใช่เขานะ เขาก็มียันต์หยกแล้ว ถูกแล้วล่ะ ตอนนี้ผู้ฝึกชี่สวีหวงเป็นนักเรกิแล้ว”

……

น้ำเสียงของทุกคนแฝงด้วยความอิจฉา

ลู่ฝานหันมาถามคนข้างๆ “ต้องเป็นนักเรกิเหรอ ถึงจะได้ยันต์หยก”

ชายวัยกลางคนมองลู่ฝานหัวจรดเท้า แล้วพูดอย่างตกใจว่า “สหายท่านนี้ก็เป็นนักเรกิเหมือนกันเหรอ”

ลู่ฝานพูดว่า “แค่ถามเท่านั้น”

ชายวัยกลางคนพูดว่า “ถ้านายเป็นนักเรกิจริงๆ เดินเข้าไปลองข้างหน้าได้”

ลู่ฝานขมวดคิ้วพูดว่า “เข้าไปลองก็ได้แล้วเหรอ อย่าบอกนะว่าโชว์พลังชี่ของนักเรกิ ก็จะได้ยันต์หยก”

ชายวัยกลางคนแบมือออกทั้งสองข้าง “อันนี้ฉันไม่รู้”

ลู่ฝานสีหน้ากลุ้มใจ ไม่รู้ทำไมนายถึงพูดไร้สาระเยอะขนาดนี้

ขณะที่กำลังจะถามคนอื่นว่าทำยังไง จู่ๆ มีคนเดินออกมาจากประตู

เมื่อเห็นคนนี้ ลู่ฝานขมวดคิ้วเบาๆ

เขารู้จักคนนี้ เคยสู้กันที่ตระกูลอี่ว์หนึ่งครั้ง ผู้ฝึกชี่อู๋เหลียง

ผู้ฝึกชี่อู๋เหลียงเอาสองมือไพล่หลัง มองคนนอกประตูด้วยสีหน้าโอหัง

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 756
“แพงขนาดนี้ ทำไมนายไม่ไปปล้นเลยล่ะ เมื่อกี้ฉันเห็นด้านนอกขายกระจกจำภาพที่ใช้ได้หมื่นลี้ ใช้ยาชีวิตแค่ห้าเม็ดเอง”

เด็กชุดขาวหัวเราะ “ลูกค้า กระจกจำภาพพวกนั้นไม่สามารถทำห่านเห็นสมบัติล้ำค่าในคืนนี้ ถ้าท่านมีความสามารถก็ไปทำยันต์หยกหอแดนสวรรค์สิ จะได้ไม่ต้องซื้อกระจกจำภาพ!”

เด็กชุดขาวพูดแล้วจะเดินออกไป ลู่ฝานดึงเขาเอาไว้แล้วพูดว่า “นายพูดว่ายันต์หยกอะไรนะ อย่าบอกนะว่าถ้าไม่มียันต์หยกจะเข้าไปในหอแดนสวรรค์ไม่ได้”

เด็กชุดขาวหัวเราะเยาะเย้ย “ลูกค้าท่านนี้คงมาตลาดหม้อยาเป็นครั้งแรกสินะ ถ้าไม่มียันต์หยก จะเข้าหอแดนสวรรค์ได้ยังไง นั่นเป็นสถานที่ที่ท่านผู้ฝึกชี่ถึงจะเข้าได้”

พูดพลาง เด็กชุดขาวเอายันต์หยกอันเล็กๆ ออกมา ข้างบนเขียนคำว่าหนึ่งเอาไว้

“เห็นไหม นี่เป็นยันต์ที่อาจารย์ฉันทำ ยันต์หยกหนึ่งอันเข้าได้สามคน พวกคุณสามคนใครจะไปทำ!”

พูดจบ คนทั้งร้านหัวเราะออกมาเบาๆ

หานเฟิงพูดอย่างโมโห “หัวเราะอะไร ไปกันเถอะศิษย์น้องลู่ฝาน เราไปทำกัน แค่ยันต์หยกอันเล็กๆ เอง”

ลู่ฝานปล่อยมือ บอกให้เด็กชุดขาวไปได้ เขายิ้มแล้วพูดว่า “รีบทำไม กินข้าวก่อนค่อยว่ากัน”

หลิงเหยาก็พยักหน้าพูดว่า “ใช่ กินก่อนแล้วค่อยไป”

เด็กชุดขาวมองทั้งสามคนอย่างดูหมิ่น เดินเชิดหน้าออกไปขายต่อ

หลิงเหยาพูดเบาๆ ว่า “ยันต์หยกนั่นทำยากมาก ถ้านักบู๊อยากเข้าไป อย่างน้อยต้องอยู่แดนปราณดิน เราหมดหวังแล้ว”

หานเฟิงตกใจแล้วพูดว่า “ให้ตายเถอะ จริงเหรอ นี่ยากกว่าผู้ตรวจการชั้นกลางอีกเหรอ ฉันไม่เชื่อ”

หลิงเหยาพูดว่า “ไม่รู้ ฉันได้ยินว่าเพราะคนที่เข้าไปในหอ ล้วนต้องเป็นคนรวย พวกเขาคิดว่าถ้านักบู๊ไม่อยู่ในระดับแดนปราณดินจะไม่มีเงิน ส่วนผู้ฝึกชี่จะสบายหน่อย ระดับนักเรกิก็เข้าไปได้แล้ว”

ลู่ฝานจิตใจวูบไหว มุกสองลูกในมือหมุนอย่างรวดเร็ว

หานเฟิงพูดว่า “ขนาดนั้นเลย งานแดนสวรรค์บ้าบอนี่ยังสร้างเกณฑ์ยากๆ ด้วย ไหนบอกว่าใครก็เข้าได้ไง”

หลิงเหยามองหานเฟิงเหมือนมองคนเสียสติ “แค่ยันต์หยกยังทำไม่ได้ จะเข้าร่วมได้ยังไง!”

หานเฟิงพูดด้วยสีหน้ากลุ้มใจ “ฉันอยากเข้าไปดูจริงๆ นะ”

หลิงเหยาเอามือเท้าคาง “ฉันก็อยากเข้าไป ว่ากันว่าขนาดผลไม้ในนั้น ยังเป็นผลไม้ที่ผู้ฝึกชี่ปลูกพิเศษ อร่อยมาก แต่แค่กระจกจำภาพฉันยังซื้อไม่ได้เลย”

ลู่ฝานมองหลิงเหยา แล้วมองหานเฟิง

ลู่ฝานกระแอมสองที “ระดับนักเรกิใช่ไหม ผมรู้จักอยู่คนนึง ดูว่าเขาช่วยทำยันต์หยกให้เราได้หรือเปล่า”

หานเฟิงพูดอย่างตกใจว่า “ศิษย์น้องลู่ฝานรู้จักนักเรกิด้วยเหรอ เขาก็มาตลาดหม้อยาเหรอ”

ลู่ฝานพูดอย่างแน่วแน่ “เป็นผู้ฝึกชี่ เขาไม่มีทางพลาดงานแดนสวรรค์หรอก โอเค พวกนายนั่งทานอาหารที่นี่ ผมจะไปหาเขา ไปไม่นาน ไม่ต้องตามผมไป ไอ้หมอนี่นิสัยไม่ดี”

หลิงเหยาพูดด้วยสีหน้าคาดหวัง “ก็ได้ นายรีบไปรีบมา”

หานเฟิงดึงเสื้อลู่ฝานแล้วพูดว่า “ถ้าความสัมพันธ์ไม่เลว ถามให้ฉันด้วย ฉันต้องการยาปลุกอารมณ์ เอาแบบที่มีประสิทธิภาพสุดพิเศษ”

ลู่ฝานมองศิษย์พี่หานเฟิงอย่างหมดคำจะพูด แล้วรีบเดินออกไป

หานเฟิงหันมามองหลิงเหยาแล้วพูดว่า “เธอรู้ไหมว่าเขารู้จักผู้ฝึกชี่”

หลิงเหยาส่ายหน้า “ขนาดพี่ยังไม่รู้ แล้วฉันจะรู้ได้ยังไง”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 755
เดินเที่ยวในตลาดหม้อยากันต่อ ไม่รู้ว่าในมือลู่ฝานมีมุกเพิ่มขึ้นมาสองลูกตั้งแต่เมื่อไร

ไม่มีประกายแวววาว เป็นสีดำแวว ลู่ฝานหมุนเล่นอยู่ในมือ เล่นสนุกอยู่คนเดียว

ถูกต้อง มุกสองลูกนี้คือมุกเวิ้งว้างกับมุกมังกร ลู่ฝานบอกให้ไอ้เก้าดัดแปลงมันเล็กน้อย จึงเป็นแบบนี้ อย่างน้อยดูจากภายนอกก็ไม่มีใครจำมุกสองลูกนี้ได้ ด้านนอกมียาพิษรุนแรงที่ไอ้เก้าทำขึ้นเป็นพิเศษ ถ้าใครแอบขโมยมุกของลู่ฝานไป มีเพียงความตายเท่านั้น

จากที่ไอ้เก้าพูด แค่มุกห่างจากเขาประมาณสามกิโลเมตร มันจะปล่อยพิษออกมา จากนั้น เอ่อ ขนาดไอ้เก้ายังไม่แน่ใจว่าจะแก้พิษที่ผสมอยู่ในนั้นได้หรือเปล่า

เดินๆ หยุดๆ ตลอดทางลู่ฝานซื้อของไม่น้อย

สมุนไพรหายาก ยาเม็ดที่น่าสนใจ ลู่ฝานซื้อมาหมด อย่างเช่นยาที่สามารถทำให้คนกลายเป็นสัตว์อสูรได้ทันที อีกทั้งยาที่ทำให้คนมีแขนเพิ่มขึ้นมาสองข้าง

ยาเม็ดแปลกประหลาดพวกนี้ ไม่รู้ว่าผู้ฝึกชี่อัจฉริยะคนไหนเป็นคนคิดออกมา

จะใช้ได้จริงหรือเปล่าค่อยว่ากัน แค่ความคิดสร้างสรรค์ก็ควรค่าแก่การยอมรับแล้ว

อย่างน้อยลู่ฝานก็ยอมเสียยาทิพย์สองเม็ดเพื่อแลกมา จู่ๆ เขาพบว่ายาเม็ดที่ตัวเองกลั่น ก็กลายเป็นของที่ซื้อขายกันเยอะ ความรู้สึกนี้ไม่เลวจริงๆ!

หานเฟิงกับหลิงเหยาต่างก็ได้ของมาเหมือนกัน

แม้ศิษย์พี่หานเฟิงไม่ได้รวยเท่าลู่ฝาน แต่อันที่จริงเขาก็มียาเม็ดไม่น้อย

ซื้อหินประหลาดมาหนึ่งก้อน สมุนไพรสองต้น ศิษย์พี่หานเฟิงก็ปวดใจจนซู๊ดปาก

“พ่อน่ารังเกียจของฉัน ครั้งนี้ฉันตั้งใจซื้อของอวยพรให้เลยนะ รอวันเกิดของพ่อ อย่าวิจารณ์ฉันต่อหน้าคนทั้งตระกูลอีกล่ะ”

ศิษย์พี่หานเฟิงบ่นพึมพำ แล้วเก็บหินเอาไว้

ลู่ฝานยิ้มแล้วถามว่า “ศิษย์พี่หานเฟิงซื้อหินอะไรน่ะ”

หานเฟิงส่ายหน้าพูดว่า “ไม่รู้ นายไม่รู้ ฉันก็ไม่รู้ ตาเฒ่าที่เป็นคนขายก็ไม่รู้ ต้องเป็นของแปลกหายาก เพราะฉันไม่ใช้ ก็ส่งกลับไปที่บ้าน ฮ่าๆ พ่อเลอะเลือนของฉันก็ไม่น่าจะรู้ แล้วเก็บไว้เหมือนสมบัติ ฉันจะบอกเขาว่าฉันเกือบเอาชีวิตไม่รอดเพื่อเอามันกลับมา”

หลิงเหยาพูดขึ้นข้างๆ ว่า “เกือบเอาชีวิตไม่รอดของพี่ คือยาเม็ดคุณภาพแย่สองเม็ดน่ะเหรอ”

หานเฟิงหัวเราะคิกคัก “เขาไม่รู้หรอก”

ทั้งสามคนเดินเล่นไปด้านหน้า ในที่สุดก็เจอร้านทานข้าว

เป็นหอชั้นดี ลูกค้าเต็มร้าน ตอนพวกลู่ฝานเข้ามา เหลือที่นั่งอยู่หนึ่งที่พอดี

ลู่ฝานแย่งมาอย่างไม่ลังเล จากนั้นจึงสั่งอาหาร

อาหารที่นี่แพงหูฉี่ อาหารทั้งหมดประเมินด้วยเหรียญทอง อีกทั้งยังมีอาหารที่ชื่อไม่เลว ราคามาตรฐานล้วนเป็นยาเม็ดไม่มากก็น้อย

หลิงเหยามองดู จากนั้นจิปากพูดว่า “แพงมาก ถ้าไม่มีนาย ฉันไม่มีทางกินที่นี่หรอก”

ลู่ฝานหัวเราะ สั่งอาหารสองสามอย่าง

เมื่อมองไปข้างนอก ยังมีคนเต็มไปหมด

“ข่าวใหญ่ๆ งานแดนสวรรค์เริ่มคืนนี้ คนที่ต้องการกระจกจำภาพมาซื้อตอนนี้เลย!”

เสียงตะโกนลอยมา จากนั้นเห็นเด็กชุดขาวเดินเข้ามา

ศิษย์พี่หานเฟิงหัวเราะแล้วพูดว่า “เรามาได้ถูกจังหวะจริงๆ มาๆ เอากระจกจำภาพให้ฉันอันนึง”

เด็กชุดขาวรีบเดินเข้ามา “ลูกค้าทั้งสองท่าน ยาทิพย์หนึ่งเม็ด จะได้กระจกจำภาพ คืนนี้ในหอแดนสวรรค์มีสมบัติล้ำค่าอะไร จะเห็นได้อย่างชัดเจน”

เมื่อได้ยินคำว่ายาทิพย์ หานเฟิงหน้ากระตุกทันที

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 754
วิญญาณมังกรทำลายล้างเริ่มดิ้นอย่างบ้าคลั่ง มุกมังกรทำลายล้างก็สั่นไปด้วย ตันเถียนของลู่ฝานแกว่งไปมา

นี่คือการดิ้นอย่างบ้าคลั่ง ลู่ฝานพยายามทำให้ตันเถียนของตัวเองมั่นคง

แค่วิญญาณมังกรโดนกัดกิน มุกมังกรทำลายล้างจะเป็นของเขาทันที เมื่อคิดได้เช่นนี้ ลู่ฝานอดดีใจไม่ได้

“ตายซะ มังกรน้อยน่าขำ ดิ้นไปก็ไม่ได้ผลหรอก!”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรหัวเราะเสียงดัง

วิญญาณมังกรทำลายล้างก็ทนไม่ไหวแล้ว ตะโกนเสียงดังว่า “เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ วิญญาณมังกรทำลายล้างยอมจำนนต่อเจ้านายอย่างเป็นทางการ ฉันยอมเซ็นสัญญาทาสกับเจ้านาย!”

เมื่อได้ยินลู่ฝานตะโกนในใจทันที “หยุด!”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรหยุดใส่พลังเข้าไปในมุกเวิ้งว้าง แล้วหยุดลงด้วย

“เจ้านาย อย่าเชื่อคำยอมแพ้จอมปลอมของมังกรน้อยแบบนี้ เขาต้องมีวิธีทำลายสัญญาแน่นอน ถ้าเขายอมจำนนจริง ก็เอามุกมังกรเข้ามาในเจดีย์ ให้เป็นวิญญาณมังกรในเจดีย์ฉันสิ”

ลู่ฝานหัวเราะ “อืม วิธีนี้ไม่เลว วิญญาณมังกรทำลายล้าง นายก็ได้ยินแล้ว ถ้านายยอมจริง ฉันจะไว้ชีวิตนาย”

วิญญาณมังกรทำลายล้างไม่โกรธแล้ว มันครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก็ไม่ได้ตอบอะไร

“จะอยู่หรือตาย!”

ลู่ฝานพูดเสียงสูง วิญญาณมังกรทำลายล้างสั่นไปทั้งตัว จากนั้นลอยออกมาจากมุกมังกร

“ฉันยอมแพ้ หวังว่าสักวันเจ้านายจะฟื้นฟูร่างมังกรของฉันได้!”

เมื่อพูดจบ วิญญาณมังกรทำลายล้างตัดขาดการเชื่อมโยงกับมุกมังกร ทันใดนั้นมุกมังกรส่องแสงสว่าง กลายเป็นสิ่งที่ไม่มีเจ้าของ

ลู่ฝานไม่ลังเล ย้ายมุกมังกรออกมาจากตันเถียน เห็นบนมือของเขามีมุกสว่างอยู่หนึ่งลูก

ลู่ฝานรีบเอามุกใส่เข้าไปในจวน รู้สึกสบายใจมาก

มุกมังกรหนึ่งลูกอยู่ในมือ เขาสามารถทำอะไรได้หลายอย่างแล้ว ดูดพลังในมุกมังกรยกระดับพละกำลัง หรือไม่ก็เอามันกลั่นเป็นยากิน ใช้มุกมังกรเป็นตัวยานำ ยาเม็ดที่กลั่นออกมา อย่างน้อยก็อยู่ในระดับยาเซียน

หรือไม่ก็เอามันมาฝึกฝนวิชามังกรทำลายล้าง!

มีรอยยิ้มบนใบหน้า วิญญาณมังกรในตัวโดนเจดีย์เสวียนเก้ามังกรดูดซับ

เงาของมังกรปรากฏอยู่ในเจดีย์ เจดีย์เสวียนเก้ามังกรหัวเราะเบาๆ “อิอิ เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ ฉันว่าแล้ว ไอ้มังกรน้อยนี่ไม่ยอมรับชะตากรรมหรอก ฮ่าๆ ในที่สุดฉันก็ฟื้นฟูร่างมังกรแรกได้แล้ว”

ลู่ฝานถามอย่างสงสัย “ฟื้นฟูเหรอ อย่าบอกนะว่าแกก็ดูดซึมวิญญาณมังกร”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดว่า “เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ ต้องพูดอีกเหรอ ฉันชื่อเจดีย์เสวียนเก้ามังกรนะ ได้ชื่อว่าเก้ามังกร ก็ต้องเคยมีวิญญาณมังกรอยู่แล้ว อีกทั้งวิญญาณมังกรตั้งเก้าตัวด้วยนะ เฮ้อ น่าเสียดาย สงครามครั้งใหญ่ตอนนั้น วิญญาณมังกรเก้าตัวของฉันโดนทำลายจนหมด แต่ตอนนี้ฉันมีใหม่หนึ่งตัวแล้ว”

ลู่ฝานหัวเราะ เขาฟังเป็นเรื่องตลก

เขาเอามุกเวิ้งว้างออกมา มุกสองลูกอยู่ในจวน สีหน้าของลู่ฝานเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

หานเฟิงกับหลิงเหยาเห็นลู่ฝานกลับมาเป็นเหมือนเดิม จึงรีบถามว่า

“ศิษย์น้องลู่ฝาน เมื่อกี้นายเป็นอะไรไป”

ลู่ฝานหัวเราะเบาๆ “เปล่า แค่มีความสุขเท่านั้น”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 753
“เป็นคนที่น่าสนใจมาก”

ผ่านไปนาน ลู่ฝานพูดออกมาประโยคนึง

มองร้านแผงลอยข้างหน้า ลู่ฝานพูดกับหลิงเหยาว่า “เป็นของเธอทั้งหมด”

หลิงเหยาพูดด้วยตาเป็นประกาย “จริงเหรอ”

หลิงเหยาพูดพลาง เริ่มยัดของใส่ในกระเป๋าตัวเอง

ของประณีตงดงามที่ไม่อยู่ในสายตาลู่ฝาน แต่กลับมีแรงดึงดูดกับหลิงเหยามาก

ลู่ฝานกำลังเอามุกเวิ้งว้างในมือ ใส่เข้าไปในจวนของตัวเอง ต่อมาเจดีย์เสวียนเก้ามังกรเคลื่อนไหวพลัง ดึงมุกเข้าไปในตัวลู่ฝาน

มุกกลายเป็นพลังซึมเข้าไปในฝ่ามือลู่ฝาน ผ่านเส้นลมปราณเข้าไปจุดตันเถียน

เสียงตื่นเต้นของเจดีย์เสวียนเก้ามังกรดังขึ้น

“เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ มีมุกนี้อยู่ ฉันต้องฟื้นฟูพลังชั้นที่สองได้ภายในสิบวันแน่นอน”

ลู่ฝานรีบพูดในใจว่า “แกไม่ได้จะกลืนมันเข้าไปเหรอ”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดว่า “ไม่หรอก แต่จะกลืนอย่างอื่น วิญญาณมังกรทำลายล้าง ดูสิว่าครั้งนี้แกจะหนีไปไหน!”

พูดพลาง ลู่ฝานรู้สึกว่าในตันเถียน แสงมุกเทพสว่างไสว แสงของเจดีย์เสวียนเก้ามังกร ส่องสว่างทั้งตันเถียนของเขา

มุกเวิ้งว้างวนเวียนรอบเจดีย์เสวียนเก้ามังกร ลู่ฝานเห็นมุกมังกรทำลายล้างถูกกดอยู่ใต้เจดีย์

ตอนนี้วิญญาณด้านในหดตัวเป็นก้อน!

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรหัวเราะแล้วพูดว่า “แค่วิญญาณมังกรธรรมดาๆ ถ้าครั้งนี้แกยังไม่ออกมา ฉันจะหาที่อยู่ใหม่ให้แก!”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดพลาง ใส่พลังเข้าไปในมุกเวิ้งว้าง

มุกเวิ้งว้างมีแสงสีดำสว่างขึ้นทันที

ลู่ฝานรู้สึกได้ว่าไอ้เก้ากำลังพยายามสุดกำลัง เขากำลังใช้พลังที่สะสมมาอย่างยากลำบากของตัวเอง ใส่เข้าไปในมุกเวิ้งว้าง ส่วนแสงของมุกเวิ้งว้าง กลับเคลื่อนไหวช้าลง

ลู่ฝานสั่งให้มุกเทพของตัวเองช่วยเจดีย์เสวียนเก้ามังกร มีแสงปราณชี่สว่างขึ้นบนตัวอย่างไม่รู้ตัว

หานเฟิงกับหลิงเหยาที่ยืนข้างเขาต่างสัมผัสได้

หานเฟิงพูดเบาๆ ว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน นายเป็นอะไรไป พลังของนายดูวุ่นวาย!”

ลู่ฝานไม่ตอบ ก้มหน้าเดินไปข้างหน้า ตอนนี้สมาธิของเขาอยู่ในตัว

หลิงเหยากับหานเฟิง และเจ้าดำรีบคุ้มกันลู่ฝานไว้ตรงกลาง มองรอบๆ อย่างหวาดระแวง

แม้พวกเขาไม่รู้ว่าลู่ฝานเป็นอะไร แต่ตอนนี้ห้ามมีใครรบกวนลู่ฝานจะดีที่สุด

ในตัว เมื่อแสงมุกเวิ้งว้างสว่างขึ้นเรื่อยๆ มุกมังกรทำลายล้างที่โดนกดเอาไว้เริ่มดิ้นไปมา

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรตะโกนว่า “วิญญาณมังกรทำลายล้าง ออกมาสิ เข้ามาในมุกเวิ้งว้าง ทำลายพลังของแก ทำลายวิญญาณของแก กลายเป็นส่วนหนึ่งของความว่างเปล่า!”

ทันใดนั้น มุกมังกรทำลายล้างลอยออกมาจากเจดีย์ เหมือนโดนดึงออกมา พุ่งตรงไปที่มุกเวิ้งว้าง

วิญญาณมังกรที่โดนบดขยี้จนใกล้จะมองไม่เห็น ตะโกนออกมาว่า “ไอ้เด็กสมควรตาย ออกมาคุยกัน นายจะใช้พลังของมุกมังกรใช่ไหม ไม่มีปัญหา ฉันจะเซ็นข้อตกลงเผ่ามังกรกับนาย”

ลู่ฝานหัวเราะเบาๆ ในใจ เจดีย์เสวียนเก้ามังกรก็หัวเราะ “มังกรน้อยน่าขำ ตอนนี้คิดยอมแพ้แล้วเหรอ ตอนนี้สายไปแล้ว”

แสงบนมุกเวิ้งว้างเพิ่มขึ้นอีก เห็นว่ามุกมังกรทำลายล้างกำลังจะชนมุกเวิ้งว้าง

ไม่ต้องสงสัยเลย เมื่อมุกทั้งสองปะทะกัน วิญญาณมังกรในนั้นโดนกัดกินทันที

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 752
“สูตรการกลั่นยาห้าใบ นับสิ”

เจ้าของร้านตกใจ เหมือนเขาคิดไม่ถึงว่าลู่ฝานจะเอาสูตรการกลั่นยาห้าใบมาได้

เขามองสูตรการกลั่นยาอย่างตื่นเต้น แล้วพูดอย่างตกใจ “เป็นของจริงทั้งหมด ลูกค้าต้องการอะไรอีกไหม ดูได้ตามสบายเลย อยากได้อะไร แค่สูตรการกลั่นยาใบเดียวก็พอ”

ขณะกำลังพูด ชายสองคนเดินเข้ามา

“เจ้าของร้าน ไหนของล่ะ เอามาให้ฉัน ยาเม็ดที่นายต้องการ ฉันไปเอามาให้แล้ว ฉันเสียเวลามากเลย!”

ชายทั้งสองคนสวมชุดสีเขียว เดินมาพร้อมรอยยิ้ม เอาขวดยาวางไว้หน้าเจ้าของร้าน

สีหน้าของเจ้าของร้านเปลี่ยนไป เหมือนเขากระอักกระอ่วน

ผู้ชายเห็นเจ้าของร้านไม่เอาขวดยา ก็ขมวดคิ้วพูดว่า “ทำไม อย่าบอกนะว่านายจะไม่ขายแล้ว”

เจ้าของร้านมองลู่ฝานด้วยสีหน้าไม่สู้ดี “ขอโทษด้วย มุกเม็ดนั้น โดนลูกค้าท่านนี้ซื้อไปแล้ว เขาให้ราคาสูงกว่า!”

ผู้ชายดึงดาบยาวด้านหลังออกมาทันที

“อะไรนะ นายพูดอีกทีสิ ไอ้เด็กนี่ กล้าแย่งของฉันเหรอ รู้ไหมฉันเป็นใคร รู้จักสำนักชุดเขียวไหม รีบส่งของมา เอาแขนนายมาข้างนึง แล้วฉันจะปล่อยนายไป”

ลู่ฝานไม่มีสีหน้าหวาดกลัวสักนิด เขามองผู้ชายคนนั้น

เจ้าของร้านหลบมาอีกด้าน แล้วพูดเบาๆ ว่า “ทั้งสองท่านอย่าโมโห มีอะไรพูดกันดีๆ บนเขาอวี่ฮั่วไม่อนุญาตให้ทะเลาะวิวาทนะครับ”

ดาบยาวของผู้ชายชี้มาที่คอของลู่ฝาน กล้ามเนื้อบนใบหน้าปูดขึ้นมา แววตาเต็มไปด้วยความอาฆาต

ลู่ฝานพูดอย่างราบเรียบว่า “ขอโทษด้วย การซื้อของ คนที่ให้ราคาสูงก็ต้องได้ แต่ในเมื่อฉันแย่งของของนาย จึงดูไม่ค่อยเป็นไปตามกฎเท่าไร ฉันชดใช้เป็นยาให้นายหนึ่งขวด ถือว่าเรื่องนี้จบ เป็นไง”

ลู่ฝานเอายาออกมาขวดหนึ่ง ยื่นให้ผู้ชายคนนั้น

ผู้ชายรับยามาอย่างไม่ลังเล เขาเปิดขวดยาดู

เมื่อเห็นแสงสว่างอยู่เต็มด้านใน มีพลังเต็มเปี่ยม อีกทั้งเม็ดยายังขยับได้ ผู้ชายตกใจมาก

“ยาทิพย์!”

ผู้ชายรีบเก็บยาอย่างรวดเร็ว มุมปากของเขามีรอยยิ้มเล็กน้อย

“ไอ้หนุ่ม ของเยอะนะ ให้ฉันอีกสักแปดขวดสิบขวด ฉันจะปล่อยนาย”

ลู่ฝานส่ายหน้าเล็กน้อย ยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “เฮ้อ ทำไมนายถึงไม่ยอมฟัง”

ผู้ชายพูดอย่างเย็นชา “นายพูดอะไร รนหาที่ตายใช่ไหม!”

พูดพลาง ผู้ชายทำท่าจะฟันดาบลงมา

แต่ต่อมาลู่ฝานลงมือก่อน

ใช้มือข้างหนึ่งบีบดาบยาวของชายคนนั้นไว้ พลังแข็งแกร่งเหมือนคีม หนีบดาบยาวเอาไว้แน่น จนไม่สามารถขยับได้

หลังจากนั้นลู่ฝานใช้แรงที่ฝ่ามือ ดาบยาวที่หลอมมาร้อยครั้งของชายคนนั้นเหมือนขนมแป้งทอดที่บิดเป็นเกลียว ถูกบิดจนเป็นก้อน ชายคนนั้นเพิ่งปล่อยพลังปราณออกมา ก็รู้สึกว่ามีพลังน่ากลัว กดพลังปราณของเขากลับมา

ภาพนี้ทำให้ชายคนนั้นอกสั่นขวัญแขวน เพื่อนที่ยืนอยู่หลังเขาเหมือนเห็นผี ถอยหลังไปหลายก้าว

“พอแล้วๆ นายชนะแล้ว!”

ผู้ชายพูดด้วยความตกใจ

ลู่ฝานปล่อยมือ ดาบยาวกลายเป็นชิ้นๆ หล่นลงบนพื้น

ชายคนนั้นปล่อยดาบ ถอยไปด้านหลังไม่หยุด มองลู่ฝานอย่างหวาดกลัวแล้วพูดว่า “โอเค นายเก่ง ไอ้หนุ่ม ล่วงเกินคนชุดเขียว ชีวิตนายจบเห่แล้ว นายรอก่อนเถอะ”

พูดจบ ผู้ชายหันหลังเดินออกไป ไม่เยิ่นเย้อ

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “ทำไมคนอวดดีพวกนี้ ชอบพูดทิ้งท้ายแบบรุนแรงหลังจากแพ้กันนะ”

หานเฟิงพูดว่า “ก็เพราะพวกเขาเสียหน้ามากยังไงล่ะ โอเค เจ้าของร้าน ไม่ต้องหนี เอาสูตรการกลั่นยากลับมา ให้ตายเถอะ ราคาสิบเท่าของยาบ้าบอขวดเดียว ไม่น่าจะใช่สูตรการกลั่นยาห้าใบนะ!”

เจ้าของร้านสีหน้าเศร้าทันที แต่ต่อมา เขาทิ้งร้านแผงลอยแล้ววิ่งหนีไป พวกลู่ฝานมองอย่างตกตะลึง

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 751
มุกเวิ้งว้าง เครื่องรางที่ผู้ฝึกชี่โหยหา

มันมีชื่อเสียงมาก ผู้ฝึกชี่เคยได้ยินแทบทุกคน แต่ผู้ฝึกชี่ที่เคยเห็นมีน้อยมาก

ไม่ใช่เพราะสาเหตุอะไร มุกแบบนี้หายากมาก

แค่พูดเงื่อนไขของการกลั่นมุกนี้ อันดับแรกคือต้องใช้มุกมังกรกลั่นออกมา

แค่ข้อนี้ก็ทำให้ผู้ฝึกชี่นับไม่ถ้วนทำได้แค่มอง

สัตว์อสูรเผ่ามังกรแข็งแกร่งที่มีมุกมังกร หรือยอดฝีมือมนุษย์เผ่ามังกร ล้วนเป็นสิ่งที่แข็งแกร่งทั้งนั้น

จะแย่งมุกมังกรที่สำคัญของพวกเขามา จินตนาการได้เลยว่ามีความยากมาก

อีกทั้งถึงได้มุกมังกรมา

จะกลั่นให้เป็นเครื่องราง ก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น

อันดับแรกต้องหายอดฝีมือที่กลั่นเครื่องรางอย่างแท้จริง เพื่อใส่พลังว่างเปล่า ต้องใช้พลังมากกว่าการสร้างจวนอากาศธาตุเยอะมาก

รองลงมา เปิดพื้นที่ ใช้ความว่างเปล่ากระตุ้นความว่างเปล่า หนึ่งส่งเสริมเกื้อหนุนให้มีสอง สองส่งเสริมเกื้อหนุนให้มีสาม สามส่งเสริมเกื้อหนุนให้มีสรรพสิ่ง

งอกงามอย่างต่อเนื่องไม่หยุด!

ถ้าไม่เข้าสู่วิถีก็ไม่สามารถทำได้

อย่างน้อยความสามารถของลู่ฝานในตอนนี้ ก็ไม่สามารถทำได้สำเร็จ

แต่ถ้าฝึกสำเร็จ มุกเวิ้งว้าง จะกลายเป็นเครื่องรางที่มีพลังแข็งแกร่งของผู้ฝึกชี่

ซ่อนตัวในความว่างเปล่า ยามรุกสามารถบุกโจมตีได้ ยามถอยก็สามารถป้องกันเอาไว้ได้

มุกเวิ้งว้างหนึ่งลูก อยู่ในมือของยอดฝีมือที่แท้จริง สามารถเปลี่ยนแปลงได้เป็นหมื่นสิ่ง

เรียกได้ว่ามุกเวิ้งว้าง เป็นหยกแขวนจิตบู๊ของโลกผู้ฝึกชี่ ไม่ว่าจะระดับขั้นไหนก็ใช้ได้ อีกทั้งพลังยิ่งแข็งแกร่ง ประโยชน์ที่สามารถแสดงออกมาก็ยิ่งเยอะขึ้น

ลู่ฝานพยายามสะกดกลั้นความตื่นเต้นของตัวเองเอาไว้ ถามในใจว่า “ไอ้เก้า แกแน่ใจแล้วใช่ไหมว่าเป็นมุกเวิ้งว้าง ร้านแผงลอยขายมุกเวิ้งว้าง ที่แม้แต่เซียนบำเพ็ญชี่ก็อยากครอบครองเนี่ยนะ เรื่องดีๆ แบบนี้ ฉันก็เคยฝันนะ”

เสียงของเจดีย์เสวียนเก้ามังกรยังสั่นอยู่ นี่เป็นครั้งแรกที่ลู่ฝานได้ยินไอ้เก้าเสียสติ ภูติอาวุธก็เสียสติได้ ดูก็รู้ว่าสิ่งนี้มีผลต่อไอ้เก้าไม่น้อย

“ดูไม่ผิดแน่ นี่คือมุกเวิ้งว้างที่สมบูรณ์ แต่พลังว่างเปล่าด้านในโดนใช้ไปจนหมด เจ้าของแผงลอยนี้โง่ เอามันมาขายเหมือนไข่มุกเรืองแสง เจ้านายรีบซื้อมันเลย หรือไม่ก็หยิบแล้วหนีเลย”

ลู่ฝานกำมุกเล่นครู่หนึ่ง จากนั้นถามเจ้าของร้านว่า “อันนี้เท่าไร”

เจ้าของร้านอายุน้อยมองแล้วพูดว่า “อ้อ ขอโทษด้วย อันนี้มีคนจองแล้ว ฉันลืมเก็บมันไว้ ขอคืนด้วย”

เจ้าของร้านมองลู่ฝานอย่างขอโทษ ประโยคเดียวทำให้ลู่ฝานขมวดคิ้ว

เขากำมุกเอาไว้ในมือ ของดีแบบนี้อยู่ในมือแล้ว จะคืนให้เขาได้ไง

ลู่ฝานพูดว่า “ไม่ว่าใครจอง ฉันให้ราคาสิบเท่า ขายให้ฉัน”

เจ้าของร้านได้ยินคำว่าสิบเท่า ก็อ้าปากค้างทันที

ลู่ฝานพูดว่า “ว่าราคามา”

หลิงเหยากับหานเฟิงมองลู่ฝานอย่างสงสัย มุกเก่าๆ แบบนี้ มีค่าให้ซื้อด้วยราคาสิบเท่าเลยเหรอ

หานเฟิงกำลังจะพูด แต่หลิงเหยารั้งเขาไว้

เจ้าของร้านครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “สูตรการกลั่นยาสิบใบ สูตรการกลั่นยาที่สามารถกลั่นยาเม็ดได้จริง ไม่ใช่พวกยาทารักษาหรือยาน้ำ”

ลู่ฝานขมวดคิ้วเบาๆ เมื่อเจ้าของร้านเห็นสีหน้าลู่ฝานไม่สู้ดี ก็พูดอีก “แปดใบก็ได้ ไม่งั้นก็ห้าใบ น้อยกว่านี้ไม่ได้”

อันที่จริงลู่ฝานแค่ตกใจ ของดีแบบนี้แลกกับสูตรการกลั่นยาบ้าบอห้าใบเนี่ยนะ

ตอนนี้สูตรการกลั่นยาในมือเขามีเป็นปึก โดยเฉพาะสูตรการกลั่นยาที่ให้นักบู๊กิน อย่าว่าแต่สิบใบเลย ห้าสิบใบเขาก็ให้ได้โดยไม่ลังเล

ลู่ฝานเอาสูตรการกลั่นยาห้าใบออกมา วางไว้หน้าเจ้าของร้านทันที

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 750
เสียงตะโกน เสียงขายของดังเข้าหูอย่างต่อเนื่อง

จู่ๆ เหมือนลู่ฝานอยู่ในตลาดที่คึกคัก

ผู้ฝึกชี่วางร้านแผงลอยต่างๆ บริเวณรอบๆ ตะโกนเสียงสูงด้วยสีหน้าตื่นเต้น บางคนวางกระจกจำภาพเอาไว้ ให้มันตะโกนออกมาเอง

คนมากมายเดินไปมาในตลาด

เจดีย์ล้ำค่าวางเรียงราย ด้านบนมีแสงส่องประกายแวววาว เมื่อมองดูดีๆ ล้วนเป็นคนขายของ

“ลดราคา ลดราคา ยาชีวิตเจดีย์ร้อยก้าวแลกยาสมุนไพร หนึ่งแลกหนึ่ง”

“ยาเม็ด สมุนไพร อาวุธ เกราะ ชุดคลุมบู๊ ล้างสต๊อก! ตึกหาสมบัติข้างหน้า ต้องมีสักอย่างที่คุณต้องการ!”

ลู่ฝานกลืนน้ำลาย ผู้ฝึกชี่พวกนี้ค้าขายได้น่าสนใจกว่าคนทั่วไปจริงๆ

หลิงเหยาเห็นของลดราคา ลดกระหน่ำ หนึ่งแลกหนึ่ง ตาเธอเป็นประกายทันที

“ลู่ฝาน ไปกันเถอะ ฉันจะพานายไปเดินเที่ยว ฉันรู้จักร้านดี”

พูดจบ หลิงเหยาดึงลู่ฝานเข้าไปในกลุ่มคน หานเฟิงกับเจ้าดำรีบพุ่งเข้าไปในกลุ่มคน

ลู่ฝานเดินไปข้างหน้าพลางมองซ้ายมองขวา

ที่นี่ไม่ได้มีแค่ผู้ฝึกชี่ นักบู๊ก็ไม่น้อยเหมือนกัน ร้านค้าแผงลอย คนขายของเต็มไปหมด

เพียงแค่ไม่นาน ลู่ฝานเห็นสมุนไพรหายากหลากหลายชนิด

ศิษย์พี่หานเฟิงดูจนตาลาย อันนี้ก็อยากซื้อ อันนั้นก็อยากถามราคา

แต่ของส่วนใหญ่ มาถึงก็เป็นสูตรการกลั่นยา หรือไม่ก็ยาเม็ดระดับสูง เหมือนของพวกนี้เป็นสิ่งที่ซื้อขายเยอะในตลาด

ศิษย์พี่หานเฟิงเอาเหรียญทองออกมา โดนสายตาดูหมิ่นมากมาย

“ให้ตายเถอะ ทำไมที่นี่ใช้เหรียญทองไม่ได้ล่ะ กว่าจะได้เหรียญทองมาไม่ง่ายเลยนะ ทำไมใช้ไม่ได้”

ศิษย์พี่หานเฟิงใกล้บ้าแล้ว มีเหรียญทองในมือเป็นถุง แต่ใช้จ่ายไม่ได้

หลิงเหยาปิดปากขำ “ไม่เข้าใจสินะ ของมีค่าที่พี่จะซื้อ เขาเอามาแลกสูตรการกลั่นยา พวกเหรียญทองซื้อได้แต่ของเล่นเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น อย่างเช่นอันนี้ เจ้าของร้าน อันนี้เท่าไร”

หลิงเหยาหยุดลงหน้าร้านแผงลอยเล็กๆ ยื่นมือไปหยิบกระจกอันเล็กขึ้นมา

เจ้าของร้านมองแล้วพูดว่า “กระจกไล่อสูร หนึ่งร้อยเหรียญทอง”

ลู่ฝานรับกระจกมาดู ในนั้นมีพลังชี่เคลื่อนไหวอยู่ เหมือนมันสามารถเปลี่ยนรูปร่างได้

“อันนี้ใช้ยังไง”

ลู่ฝานถาม เจ้าของร้านอายุน้อยยิ้มแล้วพูดว่า “เมื่อเจอสัตว์อสูร ให้โยนกระจกนี้ออกไป มันสามารถทำให้สัตว์อสูรตกใจวิ่งหนีไปได้ แน่นอนว่าใช้ได้แค่สัตว์อสูรทั่วไปเท่านั้น”

ลู่ฝานพยักหน้าเข้าใจ แค่เอาวิชาเปลี่ยนรูปร่างมาใส่ในกระจก ก็ขายได้ร้อยเหรียญทองแล้ว แม้ผู้ฝึกชี่กลั่นยาไม่เป็น ก็ไม่มีทางจนแน่นอน

หลิงเหยาเริ่มต่อราคากับเจ้าของร้าน ส่วนลู่ฝานพลิกดูของบนแผงลอยมั่วไปหมด

จากพละกำลังของเขาตอนนี้ ของเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ มองแวบเดียวก็รู้แล้ว ของพวกนี้เป็นของที่ผู้ฝึกชี่ที่เพิ่งมีความรู้ทำออกมา

มีวิชาเปลี่ยนรูปร่างเป็นหลัก ด้านในยังมีวิชาเล็กน้อยอย่างวิชาไล่ลม วิชาเปลวไฟลุกโชนอีกด้วย

ส่วนใหญ่ใช้จุดไฟ เพิ่มความเร็ว ก่อตัวของเหลว จะว่าไม่มีประโยชน์ก็ไม่ได้ แค่ประโยชน์น้อยเท่านั้น แต่ทำได้งดงามประณีตมาก มิน่าล่ะผู้หญิงถึงชอบ

ขณะกำลังพลิกดู จู่ๆ เสียงไอ้เก้าดังขึ้นมา

“เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ ของชิ้นที่สามทางด้านซ้ายดูแปลก หยิบขึ้นมาดูสิ”

ลู่ฝานได้ยินเสียงของไอ้เก้า เขาอึ้งไปก่อน จากนั้นหยิบของขึ้นมา

เป็นมุกลูกหนึ่ง ธรรมดาไม่มีอะไรแปลก ด้านในเป็นวิชาเปลวไฟที่ก่อตัวจากพลังชี่ ใช้จุดไฟอีกเช่นกัน

ลู่ฝานพูดในใจว่า “ของสิ่งนี้มีประโยชน์อะไร”

จู่ๆ ลู่ฝานรู้สึกถึงพลังที่ปล่อยออกมาจากเจดีย์เสวียนเก้ามังกร พุ่งมาบนแขนของเขา

มุกกะพริบสองครั้ง ต่อมาเจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดด้วยเสียงสั่นเล็กน้อย “เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ นี่คือมุกเวิ้งว้าง รีบซื้อเร็ว ไอ้มังกรทำลายล้างเวร ครั้งนี้ฉันมีวิธีกำจัดแกแล้ว!”

ลู่ฝานได้ยินคำว่ามุกเวิ้งว้างก็ตกใจทันที

หลังจากนั้นแววตาเป็นประกายทันที

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 749
หลังผ่านไปหนึ่งวันที่เขาอวี่ฮั่ว

“ผู้ตรวจการลู่ ผ่านประตูเขานี่ไปก็ถึงตลาดหม้อยาแล้ว ขอให้พวกคุณเที่ยวอย่างมีความสุข”

พลเอกเฟิงพูดกับลู่ฝานด้วยสีหน้าเป็นมิตร

ลู่ฝาน หานเฟิง และหลิงเหยา เงยหน้ามองประตูเขาที่ลอยอยู่ในอากาศ แล้วเอ่ยชม

“เป็นที่รวมตัวของผู้ฝึกชี่จริงๆ ดูแล้วแตกต่างมาก!”

ศิษย์พี่หานเฟิงเอามือเท้าเอวแล้วหัวเราะ จากนั้นตบไหล่พลเอกเฟิง แล้วพูดว่า “โอเคพลเอกเฟิง ส่งเราที่นี่พอแล้ว เชิญกลับไปเถอะ”

พลเอกเฟิงพยักหน้าอมยิ้ม จากนั้นหันหลังเดินออกไป

เมื่อวานหานเฟิงมาหาเขาอย่างโมโห เขาคิดว่าจะเกิดเรื่องใหญ่อะไรแล้ว

ที่แท้มาถามเรื่องงานแดนสวรรค์ที่เขาอวี่ฮั่ว พลเอกเฟิงรู้เรื่องนี้ เพราะเขาเป็นหนึ่งในคนที่ถูกเชิญมาร่วมงานแดนสวรรค์

แน่นอนว่าเขาไม่บอกเรื่องนี้กับพวกลู่ฝาน

เมื่อส่งพวกลู่ฝานถึงที่เรียบร้อย พลเอกเฟิงกลับไปพักผ่อน ส่วนข่าวในงานแดนสวรรค์ อย่างเช่น ครั้งนี้งานแดนสวรรค์จะประมูลอะไร พลเอกเฟิงไม่ได้บอกพวกลู่ฝาน

ลู่ฝานมองประตูเขา สัมผัสถึงพลังชี่มากมายด้านบน รอยยิ้มเต็มใบหน้า

ตั้งแต่ขึ้นมาบนเขา ลู่ฝานรู้สึกสบายมาก แม้แต่ปราณชี่ยังเคลื่อนไหวเร็วขึ้นด้วย

เขาแห่งนี้ต้องมีค่ายกลปลุกเสกแน่นอน

แต่ค่ายกลนี้ แม้แต่เจดีย์เสวียนเก้ามังกรก็ไม่สามารถเก็บได้ จากที่ไอ้เก้าพูด ค่ายกลนี้เชื่อมต่อทั้งภูเขา ถ้าเก็บค่ายกลไป เขานี้จะพังทลายลงมาด้วย

ลู่ฝานล้มเลิกความคิดนี้ทันที

เดินไปทางประตูเขา ฝ่าเท้าลอยขึ้นอย่างไม่รู้ตัว

เหยียบอยู่บนพื้นแท้ๆ แต่เหมือนเดินอยู่บนเมฆ เมื่อมองลงมาข้างล่าง ตัวเองก็ลอยขึ้นมาแล้ว

ภาพหลอนเหรอ

ลู่ฝานแอบประหลาดใจ หานเฟิงกับเจ้าดำเบิกตาโต พูดอย่างตกใจว่า “นี่ทำได้ยังไง โอ้ ผู้ฝึกชี่พวกนี้มีความสามารถจริงๆ ฉันไม่เข้าใจเลย!”

หลิงเหยาพูดอย่างได้ใจ “บ้านนอก เหอะๆ นี่คือวิธีอำพรางของผู้ฝึกชี่ พูดไปพี่ก็ไม่เข้าใจ”

ลู่ฝานเข้าใจอารมณ์ของหานเฟิง เพราะอะไรที่ไม่เข้าใจมักจะดูเจ๋ง แต่สำหรับเขา นี่ไม่ใช่แค่วิธีอำพรางธรรมดาๆ ในนั้นแฝงไปด้วยพลัง ทำให้ลู่ฝานแอบตกใจ

เหมือนบันไดสวรรค์ล่องหน ลู่ฝาน หานเฟิง และหลิงเหยา เดินอย่างสง่างามเข้าไปในประตูเขา

ตอนนี้เมื่อมองลงไปด้านล่าง ล้วนเป็นสีขาวทั้งแถบ เหมือนอยู่บนก้อนเมฆ

ศิษย์พี่หานเฟิงขยี้ตา จากนั้นใช้แรงกระทืบเท้าสองสามที ยังได้ยินเสียงดังอยู่

หานเฟิงพูดด้วยสีหน้าประหลาด “ถ้ารู้แต่แรกว่าผู้ฝึกชี่มีของเล่นเยอะแยะแบบนี้ ฉันจะฝึกบู๊ไปทำไม คงเป็นผู้ฝึกชี่ไปแล้ว”

หลิงเหยาพูดว่า “พูดเหมือนพี่เป็นผู้ฝึกชี่ได้อย่างนั้นแหละ”

หานเฟิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “เธอจะไปรู้อะไร เฮ้อ เสียใจกับสิ่งที่ทำในตอนแรกจัง”

เจ้าดำก็กระโดดลงจากไหล่ลู่ฝาน กลายเป็นสุนัขตัวเล็ก

วิ่งวนรอบลู่ฝาน ขยี้ตาตัวเองอย่างไม่อยากเชื่อด้วย

ลู่ฝานมองไปรอบๆ กลุ่มคนมากมายปรากฏอยู่ในสายตา

“ยาสมุนไพรชั้นสูงแลกสูตรการกลั่นยา ขายลดราคาเข้าเนื้อเลยนะ!”

“เร่เข้ามา เร่เข้ามา ยาสูงชั้นดี เหล็กกล้าชั้นดี สูตรการกลั่นยานี้ซื้อแล้วไม่ขาดทุน ไม่โดนหลอกแน่นอน”

“เจ้าของสำนักห้าเซียนกลับสวรรค์แล้ว ฮวงเข่ออาจารย์โง่เอาสมบัติของพวกอาจารย์ หนีไปกับสาวคนสนิทแล้ว ฉันจนปัญญา ทำได้เพียงเอายาเม็ดแลกสูตรการกลั่นยา ยาทิพย์ชั้นดี ตอนนี้แลกได้แค่สูตรการกลั่นยาระดับต่ำสุด ไอ้โง่ฮวงเข่อนายมันเลว ฉันลำบากลำบนเป็นคนช่วยนายกลั่นยามาหลายสิบปี นายไม่ให้สูตรการกลั่นยาฉัน คืนเงินที่ฉันหามาอย่างยากลำบากมาให้ฉัน คืนเงินที่ฉันหามาอย่างยากลำบากมาให้ฉัน!”

……

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 748
หานเฟิงพยักหน้า “น่าจะไม่ใช่ นายเห็นฉางเจี๋ยนหน้าผี ที่เป็นหัวหน้าคนชุดเขียวพวกนั้นไหม”

ลู่ฝานหันไปมอง เห็นชายในชุดลายดอกท่ามกลางกลุ่มคนทันที

เขาโดดเด่นมาก เหมือนก้อนอึท่ามกลางหมู่ดอกไม้ จำได้ง่ายมาก

คุณย่าเฉียนก็ขมวดคิ้วขึ้นมา ไม่แม้แต่จะมองเด็กที่เอาขาหมูมาเสิร์ฟ

หลิงเหยามองคนพวกนั้นแล้วพูดว่า “น่าแปลก คนพวกนี้มาเมืองหยุนไห่ทำไม อย่าบอกนะว่าตลาดหม้อยาที่เขาอวี่ฮั่วจะเปิดงานแดนสวรรค์อีกแล้ว”

ลู่ฝานถามว่า “งานแดนสวรรค์คืออะไร”

หลิงเหยาพูดว่า “งานใหญ่ของตลาดหม้อยา เมื่อตลาดหม้อยาเอาของที่ไม่ธรรมดาออกมาประมูล เซียนบำเพ็ญชี่อวี่ฮั่วที่เขาอวี่ฮั่วจะเปิดงานแดนสวรรค์ เป็นงานประมูลขนาดใหญ่ คนที่เขาอวี่ฮั่วทุกคนสามารถร่วมงานได้ คนที่เสนอราคาสูงสุดจะได้ไป จำได้ว่างานแดนสวรรค์ครั้งก่อนคือห้าปีที่แล้ว ตอนนั้นประมูลเครื่องรางสูงสุดของผู้แข็งแกร่งระดับอริยปราชญ์”

ลู่ฝานกับหานเฟิงมีสีหน้าตกใจ

ขณะนั้นคุณย่าเฉียนพูดว่า “เงินทองทำให้ใจคนหวั่นไหว ก็เอาชีวิตของคนด้วยเหมือนกัน!”

หานเฟิงไม่สนใจคำพูดของคุณย่าเฉียน รีบถามว่า “แล้วครั้งนี้จะประมูลอะไร เป็นเครื่องรางของอริยปราชญ์อีกไหม ให้ตายเถอะ ศิษย์น้องลู่ฝาน งานระดับนี้เราต้องไปร่วมให้ได้นะ”

ลู่ฝานวางกระดาษกับปากกาลง “ยังไม่แน่ใจเลยว่าใช่งานแดนสวรรค์หรือเปล่า”

ลู่ฝานพูดจบ ก็เห็นแววตาศิษย์พี่หานเฟิงเป็นประกาย สีหน้าตื่นเต้น

ลู่ฝานถอนหายใจอย่างเหนื่อยใจ “โอเค ถ้ามีก็ไป ศิษย์พี่หานเฟิงไปหาพลเอกเฟิงเลยสิ ไม่แน่เขาอาจยังอยู่ในเมืองก็ได้ ถ้ามีงานแดนสวรรค์จริงๆ เราไปดูกัน แม้จะเอาของอะไรมาไม่ได้ ถือว่าเปิดหูเปิดตาก็ได้”

หลิงเหยาเขย่าแขนลู่ฝาน แล้วพูดว่า “ฉันก็อยากไป”

เจ้าดำที่อยู่บนไหล่ลู่ฝานก็มุดไปทั่ว เหมือนอยากไปด้วย

คุณย่าเฉียนละสายตาออกมาแล้วพูดว่า “ฉันไม่ไป หลิงเหยา ก่อนไปทิ้งเงินไว้ให้ฉันด้วย”

แม้พูดกับหลิงเหยา แต่คุณย่าเฉียนจ้องไปที่ลู่ฝาน

ลู่ฝานจะไม่เข้าใจความคิดของคุณย่าเฉียนได้ยังไง รีบเอาเหรียญทองออกมาอีก

คุณย่าเฉียนรับเหรียญทองมา ตบไหล่ลู่ฝานแล้วพูดว่า “ระวังด้วย อย่าบุ่มบ่าม”

พูดจบ คุณย่าเฉียนถือขาหมูออกไป

ลู่ฝานงงไปหมด ศิษย์พี่หานเฟิงหันมาพูดกับหลิงเหยา “ศิษย์น้องหลิงเหยา ทำไมคุณย่าเธอเป็นคนแปลกจัง”

หลิงเหยาจ้องหานเฟิง แล้วพูดว่า “ห้ามว่าคุณย่าฉันแบบนี้ ถ้าพี่พูดอีก ฉันจะกลับไปบอกพวกศิษย์พี่ว่าพี่เป็นคนเลว”

หานเฟิงยกมือสองข้างยอมแพ้ “เธอชนะแล้ว ฉันจะบอกว่าคุณย่าของเราดูกระปรี้กระเปร่ามาก!”

หานเฟิงแอบพูดเบาๆ ว่า “เหมือนคนประสาท คึกคักอะไรขนาดนั้น”

หลิงเหยาพูดว่า “คุณย่าฉลาดมาก ตอนเด็ก เธอพูดว่าใครโชคดี คนนั้นก็จะรวย เธอพูดว่าใครป่วย คนนั้นอยู่ได้ไม่นานก็ตาย เพื่อนบ้านเชื่อเธอมาก จำได้ว่ามีครั้งหนึ่งคุณย่าบอกว่าฉันมีเคราะห์ร้าย”

หานเฟิงพูดว่า “หลังจากนั้นเธอก็ตายเหรอ”

หลิงเหยาแยกเขี้ยวใส่หานเฟิง “พี่น่ะสิตาย หลังจากนั่นไอ้นั่นก็มา”

ลู่ฝานกับหานเฟิงมีสีหน้าประหลาด ทั้งสองคนพูดอะไรไม่ออก

ผ่านไปนาน ลู่ฝานกับหานเฟิงพูดพร้อมกันว่า “ฉลาด ฉลาดจริง!”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 747
วันต่อมา ข่าวที่ผู้เฝ้าเมืองซ่งตายดังไปทั่วเมืองหยุนไห่

คนตระกูลซ่งแบกศพของผู้เฝ้าเมืองซ่งเดินวนในเมืองหนึ่งรอบ จากนั้นฝังศพผู้เฝ้าเมืองซ่งไว้นอกเมือง

ตามกฎหมายของประเทศอู่อาน เมื่อผู้เฝ้าเมืองตาย ให้รายงานต่อหัวหน้าเขต จากนั้นหัวหน้าเขตเป็นคนแนะนำคนให้เลือก ราชสำนักเป็นคนแต่งตั้ง

ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด อันดับแรกน่าจะพิจารณาทายาทของผู้เฝ้าเมืองในพื้นที่ ว่ามีคุณสมบัติเป็นผู้เฝ้าเมืองได้หรือเปล่า รองลงมาคือผู้ตรวจการชั้นล่าง และเจ้าหน้าที่จวนหัวหน้าเขต

แต่ครั้งนี้ตระกูลซ่งประกาศว่าจะไม่เข้าร่วมการแนะนำ ส่วนเหตุผลภายในนั้น คนอื่นไม่รู้

แต่ลู่ฝานรู้เป็นอย่างดี ตระกูลซ่งโดนเล่นงานจนกลัว หรืออาจเป็นความคิดของพลเอกเฟิง ถ้าคนตระกูลซ่งยังกล้าเข้าร่วมการแย่งชิงตำแหน่งผู้เฝ้าเมืองหยุนไห่ ลู่ฝานไม่ถือสาที่จะฆ่าคนอีกสักสองคน

เขาจำได้ว่าตระกูลซ่งยังมีคุณชายเลวๆ อีกสองคน

นั่นหมายความว่า นับตั้งแต่วันที่ผู้เฝ้าเมืองซ่งตาย ตระกูลซ่งไม่ใช่ผู้กุมอำนาจในเมืองหยุนไห่อีกต่อไป ตำแหน่งผู้เฝ้าเมืองได้โยกย้ายให้คนอื่นแล้ว

วันนี้เป็นวันที่คนตระกูลซ่งมาร่วมงานศพ แต่เป็นวันที่คนเมืองหยุนไห่มีความสุข

ลู่ฝานเห็นคนจำนวนไม่น้อยเริ่มฉลอง เห็นได้ชัดว่าตระกูลซ่งอยู่ที่นี่ ไม่ได้รับการสนับสนุนค้ำจุนจากประชาชนขนาดไหน

บนร้านน้ำชา ลู่ฝาน หานเฟิงและคุณย่าเฉียน กำลังทานของว่าง

ลู่ฝานเอากระดาษมาเขียนจดหมาย

หลิงเหยาชะโงกหน้าเข้ามาดู “ลู่ฝาน นายรู้จักท่านหัวหน้าเขตด้วยเหรอ”

หานเฟิงหัวเราะแล้วพูดว่า “เขาไม่เพียงแค่รู้จัก เกือบเป็นลูกเขยของหัวหน้าเขตอี้ว์ด้วยนะ”

ลู่ฝานเงยหน้าขึ้นจ้องหานเฟิงทันที

หานเฟิงรู้ตัวว่าพลั้งปากพูด รีบเอาของยัดใส่ปากตัวเอง

หลิงเหยามองลู่ฝาน รอคำอธิบายของลู่ฝานเงียบๆ

ลู่ฝานถอนหายใจแล้วพูดว่า “นั่นเป็นการประลองบู๊หาคู่ที่น่าเบื่อ ฉันชนะ เขาจะยกหลานสาวให้แต่งงานกับฉัน ฉันไม่ได้ตอบตกลง ก็แค่นี้แหละ”

หลิงเหยายิ้มแล้วพูดว่า “ฉันเชื่อนาย”

คุณย่าเฉียนวางของว่างลง ใช้ไม้เท้าหัวงูเคาะลงบนพื้นอย่างแรง “น้อง เอาขาหมูมาหน่อย ของกินแค่นี้เอามาให้ใครกิน”

เสียงดังสนั่น เรียกจนเด็กคอหด ดูไม่ออกเลยว่าเป็นคนแก่ผมขาวเต็มหัว

“ลู่ฝาน นายเขียนจดหมายให้หัวหน้าเขตทำไมเหรอ”

หานเฟิงรีบพูดเปลี่ยนเรื่อง

ลู่ฝานพูดว่า “ผมนึกถึงคนคนหนึ่งได้ อยากแนะนำให้เขามาเป็นหัวหน้าเขตที่เมืองหยุนไห่ ผมคิดว่าตระกูลเขาต้องเต็มใจแน่นอน”

หานเฟิงถามว่า “ใคร”

ลู่ฝานพูดว่า “เจิงหยง”

หานเฟิงครุ่นคิดครู่หนึ่ง จึงนึกออก “อ๋อ ลูกชายของเจ้าอ้วนเจิงเหรอ ทำไมนายถึงจะแนะนำเขาล่ะ”

ลู่ฝานหัวเราะแล้วพูดว่า “ไม่มีอะไรหรอก แนะนำเพื่อนไม่ดีเหรอ ถือโอกาสตอนที่หัวหน้าเขตอี้ว์เห็นแก่หน้าผม แนะนำเพื่อนไป ให้พวกเขามีอำนาจขึ้นหน่อย ทำการป้องกันก่อนที่เหตุร้ายจะเกิดขึ้นไง”

หานเฟิงครุ่นคิดครู่หนึ่ง ส่ายหัวไปมาแล้วพูดว่า “มีเหตุผล ศิษย์น้องลู่ฝาน วันหลังถ้าฉันกลับตระกูล นายช่วยฉันออกความคิดหน่อยสิ สมองฉันไม่ได้ดีเหมือนนาย”

ลู่ฝานยิ้มแล้วพยักหน้า

คุณย่าเฉียนมองหานเฟิงแล้วพูดว่า “ตระกูลของพวกนายไม่ต้องใช้สมองหรอก”

หานเฟิงอึ้งไป จากนั้นบ่นขึ้นมา

“คุณย่าจะไปรู้อะไร”

หูของคุณย่าเฉียนขยับเบาๆ เหมือนได้ยิน แต่ไม่ได้ถือสาหาเอาความหานเฟิง

ขณะนั้นศิษย์พี่หานเฟิงมองไปนอกหน้าต่าง จู่ๆ เขาเห็นคนชุดแดง คนชุดเขียว คนชุดขาว คนชุดเหลือง เดินแยกเป็นกลุ่มๆ อยู่ด้านล่าง

“เอ๊ะ ศิษย์น้องลู่ฝาน ดูคนพวกนี้สิ”

ลู่ฝานมองลงไป แล้วขมวดคิ้วเบาๆ

“เหมือนคนพวกนี้ไม่ใช่คนสำนักเดียวกัน”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 746
หญิงชราพูดต่อ “ยังมีอีกอย่าง หลิงเหยาเป็นศิษย์ของผู้สูงส่ง เป็นนักบู๊ที่แข็งแกร่งมาก แข็งแกร่งกว่านายมาก ถ้านายคบกับหลิงเหยาเพราะต้องการเจอนักบู๊ท่านนี้ ฉันขอเตือนให้หยุดความคิดนี้ซะ ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดอาจารย์ของหลิงเหยาน่าจะตายแล้ว ต่อไปนายคงไม่ได้เจอหรอก”

ลู่ฝานขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วพูดว่า “คุณย่า คุณรู้ได้ยังไง……”

หญิงชรายกมือขึ้นแล้วพูดว่า “ฟังฉันพูดให้จบก่อน อย่างที่สามคือ ต่อไปนายจะมีความลำบากสามอย่าง หนึ่งคือที่เมืองหลวง สองคือที่เป่ยเจียง สามคือยังไม่แน่ชัด ทุกครั้งที่ผ่านความยากลำบากได้ นายจะเจริญก้าวหน้า แต่ถ้าผ่านไปไม่ได้นายจะตายทันที จำเอาไว้ให้ดี”

ลู่ฝานรู้สึกว่าคิ้วตัวเองขมวดเป็นปม

หญิงชรากำลังดูดวงให้เขาเหรอ

ตอนที่เขาอยู่บ้านเกิด เขาเคยเห็นอาชีพนี้ ล้วนเป็นคนน่าสงสารที่หาเงินกินข้าว อาศัยไหวพริบเล็กๆ น้อยๆ หาเงินโดยไม่สุจริต ลู่ฝานก็เคยดูดวง อีกฝ่ายเดาอายุ ที่มาของเขาได้ถูกต้อง บอกว่าเขามีเคราะห์ร้าย แต่อีกฝ่ายเดาไม่ถูกว่าลู่ฝานจะซัดเขาแล้วเอาเงินกลับมา

แต่สิ่งที่คุณย่าพูด กลับทำให้ลู่ฝานรู้สึกแตกต่างออกไป เหมือนจู่ๆ ตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง

คุณย่ายิ้มมองลู่ฝานแล้วพูดว่า “ทำไม นายไม่เชื่อฉันเหรอ”

ลู่ฝานเงียบครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “เชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง แต่ผมจะจำคำพูดของคุณย่าเอาไว้”

จู่ๆ คุณย่าดมตัวลู่ฝาน

“ยารวมศูนย์ ดีมาก มันช่วยให้นายผ่านความยากลำบากได้”

ครั้งนี้ลู่ฝานตกใจจริงๆ บนโลกนี้คนที่รู้เรื่องเขากินยารวมศูนย์ มีเพียงอาจารย์หวูเฉินกับตัวเขาเองเท่านั้น

ให้ตายเถอะ หญิงชราตรงหน้ารู้ได้อย่างไร

ลู่ฝานไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายแค่ดมกลิ่นก็รู้ว่าเขากินอะไร โดยเฉพาะเวลามันผ่านมานานขนาดนี้แล้ว ถึงมีกลิ่นก็น่าจะหายไปนานแล้ว

ผู้ฝึกชี่ก็ทำไม่ได้ แค่ดมกลิ่นคนอื่น ก็รู้ว่าอีกฝ่ายเคยกินยาอะไร

แววตาลู่ฝานมีความตกตะลึง หญิงชราหัวเราะแล้วพูดว่า “เจ้าหนุ่ม ฉันพูดจบแล้ว ที่เหลือจะทำยังไงอยู่ที่ตัวนาย ฉันขออธิบายว่าฉันไม่ได้ดูดวง ฉันแค่ดูชะตาชีวิตเท่านั้น! ฉันขอไปเดินรับแดดก่อน”

หญิงชรายิ้มแล้วเดินค้ำไม้เท้าหัวงูออกไป

ลู่ฝานสะกดกลั้นความตกใจของตัวเองไว้ ตอนนี้เขาไม่สามารถมองหญิงชราคนนี้เป็นแค่คนชราทั่วไปได้อีกแล้ว

ลู่ฝานมองหญิงชราที่ยืนนิ่งรับแดดอยู่ข้างนอก แล้วเดินออกไป

ยังไม่ทันพูด หญิงชราพูดว่า “ไม่ต้องพูด มารับแดดกับฉันสิ”

ลู่ฝานกลืนคำที่ตัวเองจะพูดลงไป

ทั้งสองยืนเงียบๆ อยู่ภายใต้แสงแดด

ไม่นาน หลิงเหยากลับมาพร้อมกับของอร่อยมากมาย

“คุณย่า หนูกลับมาแล้ว”

หลิงเหยาถือของกินเต็มมือ เจ้าดำหอบของเป็นกองอยู่ด้านหลัง เมื่อเห็นลู่ฝานมันก็แยกเขี้ยว

ศิษย์พี่หานเฟิงหัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน ซื้อของมาแล้ว มากินด้วยกันสิ ใช่สิ ตอนกลับมา พลเอกเฟิงให้คนส่งของมาให้ นายดูสิ”

พูดพลาง หานเฟิงโยนกล่องใบหนึ่งให้ลู่ฝาน

ลู่ฝานเปิดกล่องดู ด้านในเป็นป้ายคำสั่งเปื้อนเลือดหนึ่งอัน

“ป้ายคำสั่งผู้เฝ้าเมือง!”

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดออกมา

หานเฟิงถามว่า “ทำไมเหรอ เป็นของดีเหรอ”

ลู่ฝานพูดว่า “ใช่ เป็นของดี ผู้เฝ้าเมืองซ่งตายแล้ว”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 745
หญิงชราเห็นลู่ฝานจ้องมือตัวเอง เธอหัวเราะเบาๆ แล้วยกมือขึ้นมา

“แผลเก่าน่ะ ไม่มีอะไรน่าดูหรอก เจ้าหนุ่ม เข้ามาให้ฉันดูหน่อย”

ลู่ฝานเดินเข้าไป มือของหญิงชราวางอยู่บนแขนของเขา

ความรู้สึกเย็นถูกส่งเข้ามาในตัวลู่ฝาน ลู่ฝานขนลุกไปทั้งตัว แต่เมื่อจะตรวจดูว่าพลังนี้คืออะไร กลับพบว่าไม่มีอะไร

ประหลาด!

ลู่ฝานไม่เชื่อว่านี่คือภาพหลอน หญิงชราข้างหน้าคือผู้แข็งแกร่งเหรอ

เมื่อมองอย่างละเอียด ลู่ฝานดูไม่ออกว่าหญิงชรามีอะไรที่แตกต่าง

ไม่มีพลังชี่ ไม่มีพลังปราณ

พลังฟ้าดินรอบๆ เคลื่อนไหวปกติ ถ้าไม่ใช่ฝีมือของเธอถึงระดับที่ไม่รั่วไหลออกมา ก็ไม่มีวิทยายุทธอะไรเลย

จู่ๆ ลู่ฝานไม่เข้าใจ

หญิงชราดึงมือกลับไป หัวเราะแล้วพูดว่า “เจ้าหนุ่ม มีวาสนามาก โชคดีมาก”

ลู่ฝานมองหญิงชราอย่างไม่เข้าใจ

หลิงเหยาพูดด้วยตาเป็นประกาย “คุณย่าบอกว่าเขามีโชควาสนาใหญ่เหรอ”

หญิงชราพูดว่า “ใช่ มีโชควาสนาใหญ่เหรอ แต่จะเป็นโชคดีหรือโชคร้ายนั้นพูดยาก หลิงเหยา พยุงฉันขึ้นหน่อย”

ลู่ฝานกับหลิงเหยารีบช่วยกันพยุงหญิงชราขึ้นมา

ผมขาวสยาย หญิงชรานั่งข้างเตียง จับมือลู่ฝานเอาไว้

“ในเมื่อนายคบกับหลิงเหยา ต่อไปต้องดูแลเธอให้ดี เชื่อฉันสิ แค่นายไม่ทำผิดต่อหลิงเหยา ต่อไปต้องทะยานไปข้างหน้าแน่นอน”

ลู่ฝานอ้าปากค้าง พูดอย่างกระอักกระอ่วนว่า “ผมกับหลิงเหยา……แค่กๆ ยังไม่ได้คบกับหลิงเหยาครับ”

“ยังไงก็ต้องคบอยู่แล้ว ฉันว่าคบกันก็ต้องคบกัน”

หญิงชราพูดอย่างมั่นใจมาก

ลู่ฝานก็ไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว มองหลิงเหยาหน้าแดงจนถึงหู

“มีอะไรกินไหม เธอไม่อยู่สองสามวัน ฉันกินได้แค่พวกธัญพืช ทำของอร่อยให้ฉันกินหน่อยสิ”

หญิงชราหันมาพูดกับหลิงเหยา

หลิงเหยาพยักหน้า จากนั้นเปิดกระเป๋าเงินตัวเองเพื่อนับเงิน นับพลางเดินออกไปข้างนอก

ลู่ฝานเห็นแล้วหัวเราะเบาๆ เดินเข้าไปยื่นถุงเหรียญทองให้หลิงเหยา แล้วพูดว่า “เอาไปใช้ ซื้อของอร่อยมาเยอะๆ ไปข้างนอกก็ระวังด้วย ปลุกศิษย์พี่หานเฟิงให้ไปเป็นเพื่อนเธอสิ”

หลิงเหยารับถุงเงินมาดู ถูกแสงสีทองของเหรียญทองด้านในส่องจนตาลาย

“ได้ๆ ฉันไปแล้ว ลู่ฝาน นายรวยจัง”

ลู่ฝานลูบจมูก พูดขึ้นมาก็ถือว่าเขาเป็นคนรวยแล้ว ถือว่าทำหนึ่งในความฝันวัยเด็กสำเร็จไปหนึ่งอย่าง แต่ทำไมตอนนี้เขาไม่รู้สึกถึงความสุขจากการมีเงินล่ะ

อืม ถ้าพูดว่าเงินให้ความสุขเขาไม่ได้ งั้นแสดงว่าเขาต้องใช้เงินผิดวิธีแน่นอน ต่อไปต้องระวังหน่อย

หลิงเหยากระโดดโลดเต้นออกไป

ตอนนี้หญิงชราลุกขึ้นช้าๆ หยิบไม้เท้าหัวงูจากข้างเตียง

“เจ้าหนุ่ม บอกชื่อนายมา”

ลู่ฝานหันไปพูดกับหญิงชราว่า “ลู่ฝาน”

หญิงชราพยักหน้า แล้วถามต่อ “อาจารย์นายเป็นใคร เป็นลูกหลานตระกูลวิถีบู๊หรือเปล่า”

ลู่ฝานพูดว่า “ขอโทษด้วยครับ อาจารย์สั่งไม่ให้พูดข้างนอกครับ”

หญิงชรายิ้มแล้วพูดว่า “ดูเหมือนเป็นศิษย์ของยอดฝีมือลึกลับ นั่งสิ ในเมื่อนายจะเป็นสามีของหลิงเหยาในอนาคต งั้นฉันจะบอกอะไรนายสักหน่อย”

ลู่ฝานพูดว่า “เชิญคุณย่าพูดได้เลยครับ”

หญิงชราพูดว่า “หลิงเหยาเกิดในครอบครัวยากจนข้นแค้น ได้รับความโชคดีจากสวรรค์ จึงมีวันนี้ได้ แตกต่างกับคุณชายที่เพียบพร้อมตั้งแต่เด็ก ไม่เห็นเงินอยู่ในสายตาแบบนาย เธออาจคิดเล็กคิดน้อยทางด้านสิ่งของ หวังว่านายจะยอมอ่อนข้อให้”

ลู่ฝานพยักหน้าเบาๆ

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 744
งูขนาดประมาณหนึ่งฟุตมีเกือบร้อยตัว น่าขยะแขยงเป็นอย่างมาก

หลิงเหยาเดินเข้ามาดู “วิชาคุมวิญญาณ นี่เป็นวิชาของผู้ฝึกฝนชั่วร้าย ลู่ฝาน เขาโดนคนควบคุมด้วยวิธีนี้ เขาเป็นแค่หุ่นเชิดร่างคนเท่านั้น”

ลู่ฝานขมวดคิ้ว เขาคิดไม่ถึงว่าเรื่องจะเป็นแบบนี้

ป้ายจิตใจเต๋าสำนักมารที่อยู่ในแหวนเริ่มสั่นไปมา

เห็นได้ชัดว่าออร่าชั่วร้ายบนตัวสิบสามรุนแรงมาก ไม่ใช่วิธีธรรมดา

“นายโดนคนควบคุม ไม่สามารถทำอะไรได้เหรอ”

ลู่ฝานถามออกมา

สิบสามตอบว่า “ใช่”

ลู่ฝานคิดถึงวันที่อยู่ในคุกใต้ดิน ภาพที่นักบู๊พวกนั้นสู้พวกเขาไม่ได้แท้ๆ แต่ยังเข้ามาสู้สุดชีวิต ขนาดนักบู๊ที่โดนหานเฟิงกดอยู่บนพื้นแล้วยังขัดขืน

ลู่ฝานถามต่อ “คนอื่นก็เหมือนกันเหรอ”

สิบสามตอบว่า “ใช่”

ลู่ฝานทอดถอนใจ มองสิบสามแล้วพูดว่า “ที่แท้นายเป็นแค่คนที่น่าสงสาร หน่วยกล้าตายหรือไม่ก็เครื่องมือที่โดนคนชุบเลี้ยงขึ้นมา”

สิบสามไม่พูดอะไร มองลู่ฝานด้วยแววตาว่างเปล่า

ในแววตาของเขา ไม่มีความรู้สึกอะไรเลย ไม่ร้องขอชีวิต ไม่ร้องขอความตาย

ลู่ฝานมองงูกับรอยแผลเป็นบนตัวเขา แล้วครุ่นคิดเงียบๆ

วิธีที่ดีที่สุดคือการฆ่าเขา เมื่อแก้ไขปัญหาหลักได้ ปัญหาอื่นก็จะสิ้นสุดลงไปด้วย แต่ลู่ฝานคิดว่าตัวเองทำไม่ได้

ถ้าเขาไม่รู้ว่าสิบสามที่อยู่ตรงหน้าเป็นแค่คนที่น่าสงสาร ไม่แน่เขาอาจตบอีกฝ่ายตายด้วยฝ่ามือเดียว แต่ตอนนี้ลู่ฝานไม่มีความคิดนั้นแล้ว

ลู่ฝานหันมาพูดกับหลิงเหยาว่า “หลิงเหยา เธอคิดว่าไง”

หลิงเหยากัดปากพูดว่า “เขาดูน่าสงสารมาก อีกทั้งตอนจับฉัน เหมือนเขาไม่ได้ทำอะไรฉัน พวกเลวคนอื่น รวมไปถึงซ่งจง คิดไม่ดีกับฉัน แต่เขาเอาแต่ยืนเงียบอยู่ตรงมุม”

ลู่ฝานพอเข้าใจความคิดของหลิงเหยา

ผ่านไปนาน ลู่ฝานพูดว่า “เจ้าดำ ขังเขากับตาเฒ่าคนนั้นเอาไว้ ทำลายแขนขาของเขา โยนเข้าไปในห้องเก็บฟืน”

พูดจบ ลู่ฝานมองตาสิบสาม พูดอีกว่า “จะเป็นหรือตายขึ้นอยู่กับตัวนายเอง ถ้านายมีอะไรอยากพูดกับฉันก็รีบพูด ฉันจะสืบว่าเจ้าสำนักของนายคือใคร”

สิบสามก้มหน้า ยังไม่พูดอะไร

เจ้าดำเด้งตัวลงจากไหล่ลู่ฝาน ลากสิบสามออกไป แล้วโยนเข้าไปในห้องเก็บฟืนแคบๆ

เมื่อจัดการเสร็จ เจ้าดำหันมายิ้มสอพลอให้ลู่ฝาน ลูบพุงกลมของตัวเอง

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “หิวแล้วเหรอ ไปทำอะไรกินเองสิ”

เจ้าดำมองซ้ายมองขวา วิ่งเข้าไปในห้องครัวของบ้านหลิงเหยา

เมื่อพูดเรื่องกิน เหมือนหลิงเหยานึกอะไรได้ เธอดึงลู่ฝานไปข้างนอกแล้วพูดว่า “ลู่ฝาน นายมากับฉันหน่อย”

ลู่ฝานไม่รู้ว่าหลิงเหยาจะทำอะไร แต่ก็เดินตามหลิงเหยาไป

เมื่อออกจากห้อง หลิงเหยาเข้าไปในห้องผุๆ ที่อยู่ข้างๆ

ถ้าพูดว่าที่อยู่ของหลิงเหยาเป็นชุมชนแออัด งั้นที่นี่ยิ่งกว่าถนนที่เต็มไปด้วยคนไร้บ้าน

“คุณย่า หนูกลับมาแล้ว”

หลิงเหยาเรียกเบาๆ แล้วเดินมาข้างเตียง

ลู่ฝานมองไป เห็นหญิงชราคนหนึ่งนอนอยู่บนเตียง เธอลืมตาขึ้นช้าๆ

“กลับมาแล้วเหรอหลิงเหยา”

มีน้ำตาไหลตรงหางตาของหญิงชรา ลู่ฝานยืนมองเงียบๆ อยู่ด้านข้าง

หลิงเหยารีบเอายาให้หญิงชรากิน จากนั้นหันมาพูดว่า “ลู่ฝาน นี่คือคุณย่าที่เลี้ยงฉันมาจนโต คนสนิทคนสุดท้ายของฉัน”

ลู่ฝานยิ้มแล้วพยักหน้า เดินเข้ามาเรียกว่า “คุณย่า”

หญิงชราอมยิ้มแล้วพยักหน้า ขณะนั้นลู่ฝานเห็นมือขวาของหญิงชราที่เป็นสีดำเล็กน้อย

ลู่ฝานขมวดคิ้วขึ้นทันที

สีดำแบบนี้ ทำให้เขานึกถึงฝ่ามือของอาจารย์ตัวเอง

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 743
กลางคืนมาถึงอย่างเงียบๆ

ในลานบ้านเล็กๆ ของหลิงเหยา ลู่ฝานกับหานเฟิงมองผู้ชายข้างหน้าเงียบๆ แล้วถามคำถามออกมา

ชายคนนี้เป็นนักฆ่าอันดับต้นๆ ของสำนักชุดแดง

ชื่อเขาคือสิบสาม

ตอนได้ยินชื่อนี้ครั้งแรก ลู่ฝานยังคิดว่าอีกฝ่ายจงใจหลอกเขา

แต่เมื่อศิษย์พี่หานเฟิงหักแขนเขาไปหนึ่งข้าง เขาก็ยังไม่พูดชื่ออื่นออกมา ลู่ฝานจึงเชื่อว่าเขาชื่อนี้

คนคนนี้พูดน้อยมาก ดูเรียบง่ายมาก ตอนพูดรู้สึกติดๆ ขัดๆ เหมือนคนใบ้พูดอย่างไรอย่างนั้น

แววตาว่างเปล่า ดูผอม ถึงมีลูกธนูปักอยู่เต็มตัว มือเท้าเละไปหมด กระดูกแตกร้าว เขาก็ไม่พูดอะไรออกมาสักคำ

“สิบสาม ฉันจะถามอีกครั้ง เจ้าสำนักของนายคือใคร ใครสั่งให้นายมาฆ่าฉัน”

สิบสามพูดออกมาว่า

“ไม่รู้!”

พูดจบ ก็ไม่พูดอะไรอีก

ศิษย์พี่หานเฟิงทนดูต่อไปไม่ไหวแล้ว เขาลุกขึ้นพูดว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน ให้ฉันฆ่าเขาเถอะ ดื้อด้านจริงๆ พูดไปก็ไร้ประโยชน์ นายเห็นหรือเปล่าว่าเขาพูดไม่เกินสามคำ จงใจล้อหลอกพวกเราชัดๆ!”

ศิษย์พี่หานเฟิงดึงกระบี่ออกมา เตรียมจะจัดการเขา

เห็นศิษย์พี่หานเฟิงดึงกระบี่ออกมา สิบสามมีสีหน้าหลุดพ้น

เหมือนเขาดูปล่อยวาง ลู่ฝานเห็นภาพนี้อย่างรวดเร็ว เขายกมือขึ้นพูดว่า “เดี๋ยวก่อน ศิษย์พี่หานเฟิง อย่ารีบร้อน ให้ผมถามก่อน”

ศิษย์พี่หานเฟิงมองซ้ายมองขวา วางกระบี่ลงอย่างเหนื่อยใจ

“โอเค นายถามเถอะ ฉันขอไปนอนก่อน สู้มาทั้งวัน เหนื่อยจะตายแล้ว ศิษย์น้องหลิงเหยา ฉันนอนเตียงเธอไม่เป็นไรใช่ไหม”

หลิงเหยากัดริมฝีปากแล้วพูดว่า “พี่อย่าแตะต้องของของฉัน”

หานเฟิงหัวเราะแล้วพูดว่า “วางใจเถอะ ไม่แตะหรอก ถ้าทำพังเดี๋ยวฉันออกเงินซื้อใหม่ให้เธอ”

หลิงเหยาตาเป็นประกาย “งั้นพี่แตะต้องได้ตามสบายเลย”

หานเฟิงอึ้งไป จากนั้นส่ายหน้าแล้วไปนอน

ลู่ฝานจ้องสิบสามที่อยู่ตรงหน้า ประสานมือสองข้างแล้วพูดว่า “เหมือนนายไม่ชอบพูด”

สิบสามพยักหน้าเบาๆ เงียบไม่พูดอะไร

ลู่ฝานพูดว่า “งั้นก็ดี ตอนนี้ฉันจะถามแล้วนายตอบ ถ้าไม่ได้จริงๆ นายแค่ตอบว่าใช่หรือไม่ใช่ก็พอแล้ว อย่าคิดหลอกฉัน ฉันสังเกตได้รวดเร็วมาก ฉันสามารถเห็นเส้นลมปราณที่กำลังเต้นของนาย ผ่านผิวหนังของนาย เข้าใจหรือยัง”

คำพูดของลู่ฝาน ไม่ใช่คำขู่ จากประสาทสัมผัสทั้งหกของเขาในตอนนี้ เขาไวต่อทุกอย่างรอบตัวมาก เขาเห็นความผิดปกติของสิบสามได้ชัดเจน แม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตาม

“อย่างแรก ใครส่งนายมา นายรู้จักคนคนนี้ไหม”

ลู่ฝานถามคำถามแรกออกมา

“เจ้าสำนัก”

“เจ้าสำนักของพวกนายคือใคร”

“ไม่รู้”

“นายไม่เคยเห็นเขาเหรอ”

“ใช่”

“งั้นเขาสั่งนายได้ยังไง”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ สิบสามมองแขนขวาของตัวเอง แล้วไม่พูดอะไร

ลู่ฝานเดินเข้ามา ฉีกเสื้อตรงแขนขวาของสิบสามออก ลู่ฝานเห็นงูตัวเล็กสีดำเลื้อยอยู่บนแขนของเขา เมื่อมองขึ้นไป งูสีดำไม่ได้มีแค่ตัวเดียว เหมือนร่างกายของเขา เป็นที่ที่ให้งูพวกนี้เลื้อยเล่น ฝูงงูเลื้อยอยู่ข้างในอย่างมีความสุข หลังจากนั้นรวมตัวเป็นคำว่าวิญญาณ ทำให้แขนของสิบสามดูประหลาดมาก

ลู่ฝานกระชากเสื้อท่อนบนของสิบสามออกจนหมด มีงูตัวเล็กๆ เลื้อยอยู่เต็มไปหมด

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 742
ลู่ฝานพูดว่า “พลเอกเฟิง ฉันพูดแบบนี้ละกัน ฉันไม่อยากเปิดเผยตัวตนของตัวเอง ดังนั้นพลเอกเฟิงช่วยเราจัดการผู้เฝ้าเมืองซ่งละกัน ฉันหวังว่าช่วงนี้จะไม่มีใครมารบกวนเราอีก นายเข้าใจไหม”

พลเอกเฟิงกล้าไม่เข้าใจที่ลู่ฝานพูดเหรอ เขาพยักหน้าเบาๆ แล้วพูดว่า “ผมเข้าใจแล้ว งั้นผมขอตัวก่อน หลังเสร็จเรื่องผมจะแจ้งข่าวท่านผู้ตรวจการนะครับ”

พูดจบ พลเอกเฟิงไม่อยากอยู่ที่นี่ต่อ รีบออกไปอย่างรวดเร็ว

ลู่ฝานมองหลังพลเอกเฟิง รั้งศิษย์พี่หานเฟิงเอาไว้ แล้วส่ายหน้าเบาๆ

หลังจากพวกเขาออกไป หานเฟิงนั่งลงบนพื้น ถูหน้าอกตัวเองอย่างแรง “เจ็บมาก ศิษย์น้องลู่ฝาน นายจะให้เขาจัดการผู้เฝ้าเมืองซ่งจริงเหรอ ฉันว่าเชื่อไม่ได้ ไม่แน่กลับไปเขาอาจปล่อยผู้เฝ้าเมืองซ่งไปก็ได้”

ลู่ฝานพูดว่า “ไม่หรอก ผมว่าผู้เฝ้าเมืองซ่งต้องทรมานเพราะเขาแน่นอน”

ลู่ฝานหัวเราะเบาๆ คิดถึงตอนที่นักบู๊พวกนั้นแอบลงมือกับผู้เฝ้าเมืองซ่งเมื่อครู่

เห็นลู่ฝานแน่ใจขนาดนี้ หานเฟิงจึงไม่พูดอะไรมาก

เป็นหลิงเหยาที่ยืนอยู่ด้านหลังลู่ฝาน เธอดึงเสื้อลู่ฝานเบาๆ แล้วพูดว่า “ลู่ฝาน นายเป็นผู้ตรวจการชั้นกลางแล้วเหรอ นายทำได้ยังไง”

แววตาเลื่อมใสของหลิงเหยา เหมือนจะมีประกายออกมาจากดวงตาทั้งสองข้าง

จู่ๆ ลู่ฝานรู้สึกประสบความสำเร็จ เขายิ้มแล้วพูดว่า “เป็นประสบการณ์ที่ยาวนาน ไว้ฉันค่อยๆ เล่าให้เธอฟัง”

หลิงเหยาพยักหน้าหงึกๆ แล้วตอบรับ

ลู่ฝานหันมามองผู้ชายอีกคนที่อยู่บนพื้น “โอเค ต่อไปเราจะถามไอ้คนนี้ สำนักชุดแดงคืออะไรกันแน่”

หานเฟิงยักไหล่พูดว่า “สำนักโลหิตพิฆาตก็กำจัดมาแล้ว นับประสาอะไรกับสำนักเล็กๆ อย่างสำนักชุดแดง”

หลิงเหยาถามว่า “สำนักโลหิตพิฆาตคืออะไร”

หานเฟิงหัวเราะคิกคักแล้วพูดว่า “นี่ก็เป็นประสบการณ์ที่ยาวนานมากเหมือนกัน เธอให้ศิษย์น้องลู่ฝานเล่าให้ฟังตอนกลางคืนเหมือนเล่าเรื่องผีสิ”

พูดจบหานเฟิงกระทุ้งลู่ฝานเบาๆ แล้วพูดว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน ถึงตอนนั้นนายต้องกอดศิษย์น้องหลิงเหยาให้แน่นๆ นะ อย่าทำให้เธอตกใจ”

หลิงเหยาหน้าแดงทันที ทำท่าเหมือนจะตี!

หานเฟิงรีบกระโดดไปอีกด้าน ยกมือสองข้างยอมจำนน แล้วพูดว่า “ศิษย์น้องหลิงเหยา เธอจะโกรธอะไรล่ะ เรื่องแบบนี้ไม่ช้าก็เร็ว ศิษย์น้องลู่ฝาน นายพูดอะไรหน่อยสิ!”

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “พี่หุบปากเถอะ”

หานเฟิงยิ้มร้ายกาจ “ได้ๆ ฉันหุบปาก แต่ฉันพูดเรื่องจริง ใช่ไหมศิษย์น้องหลิงเหยา”

หลิงเหยาก้มหน้าลง เริ่มเล่นชายเสื้อตัวเอง

หานเฟิงตกใจที่หลิงเหยาไม่เถียง ไม่ได้ด่าเขาว่าอันธพาล นี่ทำให้หานเฟิงสงสัย เขามองลู่ฝาน แล้วมองหลิงเหยา

หานเฟิงอ้าปากค้าง แล้วพูดว่า “ไม่ใช่ใช่ไหม ศิษย์น้องลู่ฝานได้แล้วเหรอ เร็วมาก! ตอนไหน พวกนายไม่ได้มีลูกกันใช่ไหม”

ลู่ฝานกับหลิงเหยาตะโกนออกมาพร้อมกัน “พี่หุบปาก!”

หานเฟิงยิ้มอย่างประหลาดแล้วเดินไปอีกด้าน เดินพลางส่ายหัวไปมา “ขนาดพูดยังเหมือนกันเลย ดูเหมือนใจตรงกันนะ! ฉันขอให้พวกนายมีลูกเร็วๆ! ฮ่าๆๆๆๆ”

เสียงหัวเราะลอยไปตามลม ดังสนั่นไปทั่ว

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 741
อะไรที่ว่าพลิกหน้าเร็วยิ่งกว่าหนังสือ พลเอกเฟิงแสดงให้ทุกคนในที่นี้ได้เห็นแล้ว

คนในที่นี้ไม่มีใครที่ไม่ตกใจ แม้พวกเขาไม่ค่อยรู้ว่าตำแหน่งผู้ตรวจการชั้นกลางหมายถึงอะไร แต่ต้องเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูง ที่พวกเขาไม่สามารถหาเรื่องได้แน่นอน

ถอยหลังอย่างรู้งาน คือตัวเลือกที่ดีที่สุด

ยอดฝีมือทั้งสี่คนโค้งคำนับลู่ฝานทันที เหงื่อไหลลงมาจากหน้าผาก

ยังดีที่เมื่อกี้ไม่ลงมือกับท่านผู้ตรวจการคนนี้ ไม่งั้นคงไม่ต้องคิดถึงผลที่ตามมาเลย

ดูท่านพลเอกของพวกเขายังตกใจจนเป็นแบบนี้ ฐานะระดับนี้ ถึงพวกเขากล้าแค่ไหน ก็ไม่กล้าเหิมเกริมอีก

“ถอยไปๆ จะล้อมทำไม อยากเป็นกบฏหรือไง มาเอาตัวไอ้ผู้เฝ้าเมืองสมควรตายคนนี้ออกไป รอการตัดสินจากเจ้าหน้าที่”

คนของจวนผู้เฝ้าเมืองยังไม่กล้าทำอะไร ยอดฝีมือทั้งสี่คนพาตัวผู้เฝ้าเมืองซ่งไปทันที

พวกเขายังแอบซัดหมัดใส่คนละหมัด ดูไม่ออกว่าหนักหรือเบา แต่ทำให้ผู้เฝ้าเมืองซ่งจำไปตลอดชีวิตแน่นอน ลู่ฝานเห็นภาพนี้ ก็หรี่ตาลงเล็กน้อย

กลุ่มคนรีบถอยหลัง ในลานบ้านเหลือเพียงพวกลู่ฝาน

พลเอกเฟิงเดินเข้ามาดูป้ายคำสั่ง เมื่อมั่นใจว่าไม่ผิดก็พูดอย่างนอบน้อมว่า “ท่านผู้ตรวจการมาถึงที่นี่ ผมขอทำความเคารพ”

พลเอกเฟิงก้มหัวลง คารวะทำความเคารพ

เหตุการณ์แบบนี้ เขาจำเป็นต้องยอม

เขาสามารถขย้ำผู้ตรวจการชั้นล่างได้ทุกเมื่อ ถึงทำให้ตาย อย่างมากเบื้องบนก็แค่ทำให้เขาลำบากใจ ถลกหนังเขาเท่านั้น

แต่ผู้ตรวจการชั้นกลางปรากฏตัวตรงหน้า เขาทำได้เพียงก้มหน้าเท่านั้น

เพราะเขารู้ดีกว่าใครว่าผู้ตรวจการชั้นกลางหมายถึงอะไร แย่สุดก็คือต่อไปจะได้เป็นหัวหน้าเขต ส่วนดีที่สุดก็พูดยากแล้ว

คนที่สามารถอยู่ในตำแหน่งนี้ได้ ล้วนมีพรสวรรค์เหมือนปีศาจ ไม่แน่อาจเป็นเซียนบู๊ก็ได้

ลู่ฝานเก็บป้ายคำสั่ง หันหลังไปช่วยหานเฟิงออกมาก่อน

หานเฟิงร้องโอดโอยไม่หยุด ก่นด่าออกมาว่า “ให้ตายเถอะ มีปัญญาก็มาสู้กันทีละคน ไอ้เวร ศิษย์น้องลู่ฝาน ถ้าเปิดเผยตัวตนเร็วกว่านี้ ฉันคงไม่ต้องโดนรุมหรอก”

ลู่ฝานพูดว่า “อันที่จริงผมไม่อยากเปิดเผยตัวตน”

ลู่ฝานพูดพลางหันไปมองพลเอกเฟิง

พลเอกเฟิงพูดอย่างเข้าใจว่า “วางใจเถอะครับ เรื่องของผู้ตรวจการลู่ในเมืองหยุนไห่ ไม่มีทางแพร่ออกไปแน่นอน คนที่เห็นเหตุการณ์ในวันนี้ กลับไปต้องปิดปากเงียบ”

ลู่ฝานพยักหน้า เอายาออกมาให้หานเฟิงหนึ่งเม็ด

หานเฟิงกลืนลงคอโดยไม่มองเลย เขาเดินเข้ามาพูดว่า “ถ้ารู้ว่าการเปิดเผยตัวตนได้ผล ฉันก็ควรจะเปิดเผยเหมือนกัน ไอ้พวกเวร ยังไม่รู้ว่าคนที่พวกเขาจัดการคือ……”

แค่กแค่ก!

ลู่ฝานกระแอมสองที ให้ศิษย์พี่หานเฟิงกลืนคำที่จะพูดต่อลงคอ

เขาจ้องศิษย์พี่หานเฟิง อยู่ข้างนอกระวังไว้ก่อนดีกว่า แม้เขาเปิดเผยตัวตนแล้ว งั้นตัวตนของศิษย์พี่หานเฟิง ก็เอาไว้ก่อน

เหมือนพลเอกเฟิงฟังอะไรออก สีหน้าดูหวาดระแวงเข้าไปอีก

คนที่มีฐานะแบบที่เขาไม่สามารถไปหาเรื่องได้ พลเอกเฟิงอยากตบหน้าตัวเอง เขาจะเข้ามาพัวพันเรื่องนี้ทำไม มาสนใจความตายของผู้เฝ้าเมืองทำไม รู้แบบนี้ไม่น่ามาเลย

เสียใจตอนนี้ก็สายไปแล้ว เจอสองคนนี้ เขาคงต้องแสร้งทำเป็นนอบน้อม

พลเอกเฟิงมองลู่ฝานแล้วพูดว่า “ท่านผู้ตรวจการยังมีอะไรจะสั่งไหมครับ”

ลู่ฝานพูดว่า “นายจะจัดการผู้เฝ้าเมืองซ่งยังไง”

พลเอกเฟิงพูดว่า “แน่นอนว่าต้องฟังคำสั่งจากท่านผู้ตรวจการอยู่แล้วครับ”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 740
เห็นได้ชัดว่าพลเอกเฟิงเก่งกว่าอี่ว์ชิงเฉินเยอะ พลังปราณอันแข็งแกร่งแอบมีแนวโน้มจะกลายเป็นค่ายกล

แม้ยังห่างจากเขตวิถีบู๊อีกไกล แต่อย่างน้อยก็ก้าวเข้ามาแล้ว แค่จุดนี้ ก็ชนะนักบู๊แดนปราณดินไม่รู้ตั้งเท่าไรแล้ว

“ฉันจะสู้สุดใจกับนาย!”

ศิษย์พี่หานเฟิงถือกระบี่เตรียมจะเข้าไป

ขณะนั้นลู่ฝานรั้งหานเฟิงเอาไว้ “อย่ารีบร้อน”

ลู่ฝานเดินเข้ามามองพลเอกเฟิงอย่างไม่กลัว พูดเสียงก้องว่า “พลเอกเฟิงใช่ไหม นายไม่ได้เป็นพวกเดียวกับผู้เฝ้าเมืองซ่งใช่ไหม รู้จักป้ายนี้ไหม”

ลู่ฝานเอาป้ายผู้ตรวจการชั้นล่างออกมา

เมื่อพลเอกเฟิงเห็นป้าย สีหน้าเขาเปลี่ยนไปทันที

“ป้ายคำสั่งผู้ตรวจการชั้นล่าง!”

พลเอกเฟิงพูดพลาง มองผู้เฝ้าเมืองซ่ง ในแววตามีความโกรธ เหมือนกำลังพูดว่า นายจงใจหาเรื่องให้ฉันใช่ไหม

ฆ่าเด็กธรรมดาทั่วไปสองคน ถึงพละกำลังไม่เลว ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แค่จัดการอย่างรวดเร็วก็พอ

แต่ถ้าจัดการสองคนที่มีชื่ออยู่ในราชสำนัก อีกทั้งยังเป็นผู้ตรวจการที่มีป้ายอยู่ นั่นคือปัญหาใหญ่ ถ้าเบื้องบนสืบขึ้นมา ถึงเขาเป็นพลเอก ไม่ตายก็โดนถลกหนังแน่นอน

ผู้เฝ้าเมืองซ่งเกือบลืมเรื่องนี้ไปแล้ว รีบเข้ามาพูดว่า “พลเอกเฟิง สิบกว่าปีมานี้ ไม่เคยมีผู้ตรวจการอะไรมาเมืองหยุนไห่ พวกเขาอาจสวมรอยก็ได้”

พลเอกเฟิงพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ถ้าไม่ใช่ล่ะ”

ผู้เฝ้าเมืองซ่งกัดฟัน ปากสั่นเบาๆ ส่งเสียงออกมาว่า “ใช่หรือไม่ใช่ พลเอกเฟิงเอาสมบัติของตระกูลซ่งไปได้เลยครึ่งหนึ่ง”

พลเอกเฟิงตาเป็นประกาย เห็นได้ชัดว่ากำลังคิดถึงผลได้ผลเสีย

ทันใดนั้น พลเอกเฟิงมองลู่ฝานแล้วพูดว่า “ไอ้หนุ่ม นายคิดว่ามีป้ายแล้วจะเป็นผู้ตรวจการเหรอ ป้ายของนาย ฉันว่าเหมือนของปลอม จับตัวเขามา!”

เมื่อพูดจบ ยอดฝีมือทั้งสี่คนด้านหน้าเคลื่อนไหวทันที

ศิษย์พี่หานเฟิงเข้ามาจู่โจมด้วยกระบี่ทันที!

วิชากระบี่ชิงสวรรค์!

ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!

เสียงระเบิดดังขึ้นติดต่อกันสี่ครั้ง ยอดฝีมือทั้งสี่โดนปราณกระบี่ขวาง แต่พลังปราณของพวกเขาทะลุผ่านปราณกระบี่ที่หนาแน่นมาโดนหานเฟิง

ทันใดนั้นหานเฟิงเหมือนลูกธนูที่โดนยิงออกไป ติดอยู่บนกำแพงด้านหลัง

เดิมทีห้องก็เก่าอยู่แล้ว โดนกระแทกจนยุบลงไปเป็นรูปคน

“หยุด!”

ลู่ฝานตวาดออกมา ทุกคนมองมาที่เขา

ลู่ฝานสะบัดมือ เอาป้ายอีกอันหนึ่งออกมา แล้วโยนไป

แสงแสบตา ตัวหนังสือขนาดใหญ่คำว่าลู่ฝาน สะท้อนเข้ามาในตา

“ป้ายนี้พวกนายน่าจะรู้จัก!”

ผู้เฝ้าเมืองซ่งกับพลเอกเฟิงมองป้ายคำสั่งที่ลู่ฝานเอาออกมาอย่างตะลึง ตัวหนังสือคำว่าโลกอู่อานที่เคลื่อนไหวอยู่ เหมือนมีดฟันลงบนหน้าเขา

ทำให้ใบหน้าของพวกเขาบิดเบี้ยว

“ป้ายหัวหน้าเขต ไม่ใช่สิ ด้านบนไม่มีคำว่าหัวหน้าเขต เป็นป้ายคำสั่งผู้ตรวจการชั้นกลาง ลู่ฝาน นายคือผู้ตรวจการชั้นกลาง!”

พลเอกเฟิงพูดออกมาด้วยความตกใจ

ผู้เฝ้าเมืองซ่งตกใจจนทรุดลงบนพื้น

เขาหาเรื่องผู้ตรวจการชั้นกลางอย่างนั้นเหรอ

ฐานะระดับนี้ อย่าว่าแต่สร้างความวุ่นวายใหญ่หลวงให้ตระกูลซ่งเลย ถึงฆ่าตระกูลซ่งทั้งตระกูล ก็ไม่น่าจะมีใครกล้าพูดอะไร

ป้ายแบบนี้ไม่มีทางเป็นของปลอม พลเอกเฟิงหันมาตบผู้เฝ้าเมืองซ่งจนสลบคาที่

“ผู้เฝ้าเมืองเหิมเกริม กล้าเสียมารยาทกับท่านผู้ตรวจการ น่าขำ นายยังกล้าตามฆ่าท่านผู้ตรวจการอีกด้วย!”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 739
ประตูผุพังบานใหญ่ถูกถีบออก เจ้าหน้าที่ทหารบุกเข้ามาในลานบ้านเล็กๆ

ลู่ฝานกับหานเฟิงไม่กลัวสักนิด พวกเขาเห็นความสามารถของเจ้าหน้าที่ทหารพวกนี้แล้ว พูดตามตรง ถ้าประชาชนทั้งเมืองหยุนไห่เป็นเจ้าหน้าที่ทหารแบบนี้ ก็ไม่สามารถฆ่าพวกเขาได้หรอก

ความแตกต่างระหว่างพละกำลังของพวกเขา ไม่สามารถทดแทนได้ด้วยจำนวนคน

ด้วยเหตุนี้ สายตาที่ลู่ฝานกับหานเฟิงมองเจ้าหน้าที่ทหารพวกนี้ ไม่ต่างอะไรจากมองอากาศ

ผู้เฝ้าเมืองซ่งเดินเข้ามาภายใต้การประคองของเจ้าหน้าที่ทหาร เห็นท่าทางกะโผลกกะเผลกของเขา เหมือนกับคนพิการอย่างไรอย่างนั้น

ผู้เฝ้าเมืองซ่งมองลู่ฝานกับหานเฟิงด้วยดวงตาแดงก่ำ หน้าตาบูดเบี้ยว

“โจรอย่างพวกนายสองคนฆ่าลูกชายฉัน วันนี้ฉันจะหั่นศพของพวกนายเป็นหมื่นชิ้น!”

ผู้เฝ้าเมืองซ่งตะโกนออกมาแทบขาดใจ

หลิงเหยาที่อยู่หลังลู่ฝานดึงเสื้อเขาแล้วพูดว่า “นายฆ่าลูกชายเขาเหรอ”

ลู่ฝานพูดเบาๆ ว่า “จะว่าอย่างนั้นก็ได้ คนที่ชื่อซ่งจงอะไรนั่น โดนฉันซัดแล้วมัดโยนเข้าไปในคุกใต้ดิน ตอนออกไปเธอก็น่าจะเคยเห็นนะ!”

หลิงเหยาเข้าใจทันที “คนที่โดนมัดเหมือนบ๊ะจ่างนั่นเหรอ ฉันเข้าใจว่าเป็นคนน่าสงสารที่ล่วงเกินตระกูลซ่ง โดนมัดจนเป็นแบบนั้น หึ สมน้ำหน้า ไอ้หมอนี่คิดไม่ดีกับฉันมาตลอด คนทั้งเมืองหยุนไห่ล้วนรู้จักซ่งจง คุณชายจอมปลอม ฉันเคยซัดเขาด้วย ตายไปก็ดี”

หลิงเหยาพูดแบบเหวี่ยงๆ เล็กน้อย

ลู่ฝานขมวดคิ้วเล็กน้อย กล้าแตะต้องหลิงเหยาของเขา ดูเหมือนเขาให้ซ่งจงตายง่ายเกินไป

ศิษย์พี่หานเฟิงยิ้มแล้วมองผู้เฝ้าเมืองซ่ง “นายเอาคนแค่นี้มาจัดการเราเหรอ ไม่รู้ว่านายเอาความกล้ามาจากไหน ระยะแค่นี้ ถ้าฉันลงมือนายตายแน่นอน รู้หรือเปล่า”

ผู้เฝ้าเมืองซ่งตกใจจนถอยหลังไป จากนั้นพยายามตั้งสติ “ไอ้โจร ฉันรู้ว่านายเก่ง ทหารทั่วไปสู้พวกนายไม่ได้ ดังนั้นฉันจึงเชิญพลเอกเฟิงมาโดยเฉพาะ ดูสิว่าวันนี้พวกนายจะตายไหม!”

พูดจบ ผู้เฝ้าเมืองซ่งหลีกทางให้

พลเอกเฟิงรออยู่นอกประตูนานแล้ว เขาพายอดฝีมือสี่คนเดินเข้ามา

ปากพูดพึมพำ

“ไอ้โง่ผู้เฝ้าเมืองซ่ง ฉันรอนายพูดไร้สาระอยู่ด้านนอกจนหงุดหงิดแล้วรู้ไหม จับคนแค่คนเดียว พูดซะเยอะ ประสาทจริงๆ!”

เสื้อสะบัด เกราะปกคลุมร่างกาย

พลเอกเฟิงเดินเข้ามาอย่างดุดัน มองลู่ฝานกับหานเฟิงแล้วพูดว่า “พวกนายสองคนไม่ต้องพูดมาก ยอมให้จับโดยดี รอการตัดสินจากเจ้าหน้าที่ ไม่งั้นแค่ทุกอย่างที่พวกนายทำที่เมืองหยุนไห่ ก็เพียงพอให้ฆ่าพวกนายแล้ว”

ยอดฝีมือทั้งสี่เดินเข้ามาพร้อมกัน พลังปราณถูกปล่อยออกมาบนตัว

ทอง ไฟ น้ำแข็ง ดิน พลังธาตุสี่ชนิดถูกปล่อยออกมา แสงแสบตา

แต่ละคนมีพละกำลังอย่างน้อยแดนปราณชีวิตชั้นหกขึ้นไป เหมือนทั้งสี่คนยังฝึกวิชาทางทหารมาด้วย ยืนล้อมสี่ด้านอย่างมั่นคง

บนตัวของพลเอกเฟิงก็มีเกราะปรากฏขึ้นมา พลังปราณแดนปราณดินพลุ่งพล่าน

สีหน้าหานเฟิงเปลี่ยนไป กัดฟันพูดเบาๆ ว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน ครั้งนี้แย่แล้ว ฉันช่วยพวกนายต้านทานไว้ก่อน พวกนายรีบหนีไป”

เหมือนพลเอกเฟิงได้ยินคำพูดของหานเฟิง เขาหัวเราะแล้วพูดว่า “จะหนีเหรอ ไม่มีทางแล้วล่ะ ฉันว่าถ้าฉันแสดงพลังออกมา พวกนายคงไม่คิดอะไรอ้อมค้อมอีก วางอาวุธลงยังมีทางรอด ไม่งั้นตาย!”

เมื่อพูดจบ พลังปราณแผ่ซ่านไปทั่ว ปกคลุมพวกลู่ฝานเอาไว้ทันที

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 738
เขายังไม่ทันพูดจบ หานเฟิงดึงเข็มขัดของเขาออกมา

เข็มขัดยาว ดูเหมือนกระบี่อ่อนที่พันไว้ตรงเอว

ทำอยู่นาน หานเฟิงกำจัดคาถาสะกดข้างบนเข็มขัดไม่ได้ ลู่ฝานยื่นมือไปหาหานเฟิงแล้วพูดว่า “ผมทำเอง”

พูดจบ ลู่ฝานรับเข็มขัดมา ปราณชี่พุ่งเข้าไป สามารถเปิดพื้นที่ในเข็มขัดได้อย่างราบรื่น

ยาเม็ด สมุนไพร สูตรการกลั่นยา อีกทั้งยังมีของจุกจิกอยู่บางส่วน

ของพวกนี้ไม่อยู่ในสายตาลู่ฝาน หินผนึกกำลังชั้นดีที่ว่า ลู่ฝานรู้สึกว่าก็ไม่ได้ดีเท่าไร อาจเป็นเพราะตอนนี้สายตาของเขาสูงขึ้นเรื่อยๆ

“ขอโทษด้วย ออกมาแล้วก็ต้องจ่ายคืน เราเก็บของทั้งหมดของนายเอาไว้ คิดว่าของพวกนี้ซื้อชีวิตนาย คงไม่ขาดทุน!”

ลู่ฝานเอาของข้างในออกมาแบ่งกับศิษย์พี่หานเฟิงและหลิงเหยา ต่อหน้าตาเฒ่าทางอย่างไม่เกรงใจ

ตาเฒ่าสีหน้าปวดใจ แต่ไม่กล้าพูดอะไรมาก

เทียบกับของพวกนี้ ยังไงชีวิตเขาก็สำคัญกว่า

“ฮ่าๆ ศิษย์น้องลู่ฝาน ฉันขอเอายาพวกนี้นะ ศิษย์น้องหลิงเหยา เธอทำอะไร อย่าแย่งยาฉันสิ ฉันจะแบ่งสมุนไพรให้เธอเยอะๆ”

หานเฟิงกับหลิงเหยากำลังแข่งความไวของมือในการแย่งของกันอยู่

ลู่ฝานเอาหินผนึกกำลังชั้นดีขึ้นมา เก็บสูตรการกลั่นยาเอาไว้ ส่วนที่เหลือให้พวกเขาสองคนแบ่งกันเอง

ลู่ฝานเรียกไอ้เก้าในใจ

“ไอ้เก้า เอายาพิษจัดการผู้ฝึกชี่ออกมาหน่อย เอาแบบที่ทำให้เขากลัว”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดว่า “เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ ชนิดของพิษมีมากมาย ฉันแนะนำพิษกำจัดชี่แล้วกัน แค่โดนมัน ไม่ต้องคิดกำจัดมันออกไปเลย เว้นเสียแต่จะใช้วิธีพิเศษ หรือจะเอาพิษกระดูกข้อเท้าเหมือนครั้งก่อนก็ไม่เลว เจ้านายคิดว่าไง”

ลู่ฝานพูดว่า “งั้นเอาพิษกำจัดชี่แล้วกัน”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดว่า “เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ เจ้านายเอายาออกมาหนึ่งเม็ด ฉันจะใส่พิษลงไป แล้วเอาให้เขากิน”

ลู่ฝานหันไปถามหายาจากศิษย์พี่หานเฟิง ใช้พวกยาธรรมดาก็พอแล้ว เขาไม่เอายาดีที่ตั้งใจกลั่นออกมาทำให้เสียเปล่าหรอก

เมื่อเอายามา ลู่ฝานรู้สึกว่าเจดีย์เสวียนเก้ามังกรดูดปราณชี่ของเขาไปเล็กน้อย แล้วค่อยๆ ปล่อยพลังประหลาดออกมา

พิษผ่านแขนของเขาเข้าไปในยา ยาเปลี่ยนเป็นสีเขียว

ลู่ฝานป้อนยาให้ตาเฒ่าทางทันที โดยไม่รอให้เขาได้ตั้งตัว

ลู่ฝานพูดช้าๆ ว่า “ฉันให้นายกินยาพิษไปหนึ่งเม็ด เป็นพิษอะไร นายไปศึกษาเอาเอง เชื่อฉันสิ ถ้านายไม่เชื่อฟัง ต้องตายอย่างอนาถแน่นอน”

สีหน้าของตาเฒ่าทางไม่สู้ดี เหมือนโดนกระตุ้น กระอักเลือดออกมาแล้วสลบไป

ศิษย์พี่หานเฟิงมองชายชราแล้วพูดว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน นายฆ่าเขาเหรอ”

ลู่ฝานส่ายหน้าพูดว่า “เปล่า เขาแค่สลบไปเท่านั้น”

หานเฟิงยักไหล่ แบ่งของกับหลิงเหยาต่อ

ตอนที่ทั้งสองคนกำลังแบ่งของกันอย่างมีความสุข จู่ๆ มีเสียงฝีเท้าดังมาจากข้างนอก

ลู่ฝานสีหน้าวูบไหว “มาเร็วจริงๆ!”

หานเฟิงดึงกระบี่ออกมา

“คนดื้อดึงพวกนี้ สู้ไม่ได้แท้ๆ ยังมารนหาที่ตายอีกเหรอ”

ขณะกำลังพูด เจ้าหน้าที่ทหารล้อมบ้านหลังนี้เอาไว้แล้ว

หลิงเหยาใช้โอกาสนี้ เอาของอีกสองสามอย่าง จากนั้นหลบอยู่ด้านหลังลู่ฝาน

หานเฟิงเกือบเหยียบจนชายชราสลบไป

หานเฟิงสะบัดมือตบหน้าไปสองที ทำให้เขาฟื้นขึ้นมา แล้วกระชากคอชายชราแล้วพูดว่า “ตาเฒ่า อยากมีชีวิตอยู่ไหม”

ตบสองทีทำให้ชายชราฟันหลุดออกมา

ชายชราพยักหน้าเบาๆ ถือว่ายอมจำนนแล้ว

ชายชราพูดอึกๆ อักๆ ว่า “ให้……ให้ฉันกินยาก่อนได้ไหม”

หานเฟิงหัวเราะแล้วพูดว่า “ยังอยากกินยาอีกเหรอ วางใจเถอะตาเฒ่า นายไม่ตายหรอก เมื่อกี้ให้นายกินไปหนึ่งเม็ดแล้ว”

แววตาชายชราเป็นประกายเล็กน้อย เหมือนสัมผัสถึงฤทธิ์ยาที่ไหลเวียนอยู่ในตัว

สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป เห็นได้ชัดว่าเขาสัมผัสถึงฤทธิ์ยาในตัวแล้ว รุนแรงกว่ายาที่เขากลั่นเองเสียอีก

ผู้ฝึกชี่ที่กลั่นยานี้ออกมา มีความสามารถแข็งแกร่งกว่าเขาอย่างเห็นได้ชัด

ชายชรายอมจำนนทันที พูดเบาๆ ว่า “พวกนายจะถามอะไร ฉันจะตอบตามตรง อย่างแรกฉันจะบอกพวกนายว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับฉัน ฉันเป็นแค่ผู้ฝึกชี่ที่ถูกจ้างมาเท่านั้น ถ้าไม่เชื่อ นายถามผู้หญิงคนนี้ได้ แม้ฉันช่วยคนพวกนั้นจับเธอ แต่ไม่ได้ลงมือโหดเหี้ยมอะไรกับเธอเลย แน่นอนว่าเครื่องรางที่เธอพกติดตัวเก่งกาจมาก”

ลู่ฝานกับหานเฟิงหันไปมองหลิงเหยา

หลิงเหยาพยักหน้าเบาๆ “ใช่ ผู้อาวุโสท่านนี้ยังถือว่าเกรงใจ แค่ควบคุมฉันเท่านั้น หลายครั้งที่คนชุดดำพวกนั้นจะทำอะไรฉัน เขาช่วยฉันขวางเอาไว้”

ลู่ฝานพยักหน้าเบาๆ

หานเฟิงพูดว่า “ผู้ฝึกชี่ที่จ้างมาเหรอ ดูเหมือนค่าจ้างที่พวกเขาให้นายคงยังไม่มากพอสินะ”

ประโยคนี้แทงใจดำของชายชรามาก

ทันใดนั้นสีหน้าของเขาไม่สู้ดีเป็นอย่างมาก

หานเฟิงลูบคางแล้วพูดว่า “งั้นก็ดี ตอนนี้ฉันถามนายตอบ ถ้าฉันจับได้ว่านายโกหก หึหึ เชื่อฉันสิ ว่ายังไงนายก็ต้องตาย”

ชายชราพยักหน้า

หานเฟิงถามว่า “ชื่ออะไร มาจากไหน”

ชายชราตอบอย่างเหนื่อยล้าว่า “ทางจวิน ผู้ฝึกชี่เขาชิ่งหยุน สืบทอดจากอาจารย์ชิ่งเทียนที่สำนักถ้ำฟ้า วิทยายุทธอาจารย์บำเพ็ญชี่”

หานเฟิงยิ้มบางๆ แล้วถามต่อ “นายโดนพวกเขาจ้างได้ยังไง พวกเขาเป็นใคร”

ตาเฒ่าทางรีบตอบว่า “เจ็ดวันก่อนหน้านี้ เจ้าสำนักชุดแดง จ้างผู้ฝึกชี่ที่ตลาดหม้อยา ค่าตอบแทนคือหินผนึกกำลังชั้นดีที่หายากหนึ่งก้อน ตอนนั้นฉันหน้ามืดตามัวจึงตอบตกลงการจ้างของพวกเขา จากนั้นพวกเขาพาฉันมาที่เมืองหยุนไห่ มาหาซ่งจง ลูกชายของผู้เฝ้าเมืองซ่ง ตอนนั้นพวกเขาปรึกษากันในห้อง ฉันกลั่นยาอยู่สวนหลังบ้าน จากนั้นพวกเขาทำข้อตกลงกัน แล้วพาฉันมาจับผู้หญิงคนนี้ เรื่องก็เป็นแบบนี้”

หานเฟิงพูดว่า “หินผนึกกำลังชั้นดีก้อนเดียวก็ซื้อนายได้แล้วเหรอ อาจารย์บำเพ็ญชี่ผู้ยิ่งใหญ่แบบนาย ดูไร้ค่าไปหน่อยนะ”

ตาเฒ่าทางพูดว่า “ผู้ฝึกชี่ที่ทั้งชีวิตเพิ่งฝึกถึงระดับอาจารย์บำเพ็ญชี่อย่างฉัน เดิมทีก็ไม่มีค่าอะไรอยู่แล้ว มีหินผนึกกำลังชั้นดีแบบนี้ ฉันสามารถทำได้หลายอย่าง ไม่แน่อาจเอาไปแลกสมุนไพรที่ใช้กลั่นยาเบญจธาตุใหญ่ได้ก็ได้”

ลู่ฝานเดินเข้ามาถามว่า “สำนักชุดแดง นี่คือสำนักอะไร”

ตาเฒ่าทางพูดว่า “เป็นสำนักบู๊ที่ไม่เลวแถวๆ นี้ ในสำนักมียอดฝีมือเยอะ เจ้าสำนักคือคนที่หาตัวเจอยาก ครั้งก่อนฉันยังไม่เห็นหน้าเขาเลย”

หานเฟิงก้มตัวลงพูดว่า “นายแน่ใจเหรอว่าไม่ได้เล่าข้ามหรือหลอกเรา”

ตาเฒ่าทางรีบพูดว่า “ไม่กล้าหรอก ตอนนี้ฉันขอแค่รักษาชีวิตเอาไว้ ถ้าพวกนายไม่เชื่อ เอาเข็มขัดเก็บของของฉันไปได้เลย ด้านในมียากับหินผนึกกำลัง ขอแค่พวกนายเหลือสูตรการกลั่นยาเอาไว้ก็พอ เพราะยังไงพวกนายก็ไม่ได้ใช้อยู่แล้ว”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 726
เงาดำลอยลงมาจากฟ้า ปราณชี่อันแข็งแกร่งปกคลุมทั้งสองคนเอาไว้

พลังปราณบนตัวผู้เฝ้าเมืองซ่งเพิ่งสว่างขึ้นมา ต่อมาก็โดนกดกลับเข้าไปในตัว

ทั้งสองมองการปรากฏตัวของหานเฟิงกับลู่ฝานด้วยใบหน้าตกตะลึง

หานเฟิงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน นายนี่สุดยอด นายเดาถูกจริงๆ ไอ้ผู้เฝ้าเมืองไม่ซื่อสัตย์!”

ลู่ฝานบีบคอซ่งจงแล้วพูดว่า “คุกใต้ดินอยู่ไหน”

ซ่งจงตาเหลือก เหมือนจะเป็นลม

ผู้เฝ้าเมืองซ่งกำลังจะตะโกนออกมา แต่เสียงของเขายังไม่ทันออกมา หานเฟิงชกเข้าไปที่ลำคอของเขา

ผู้เฝ้าเมืองซ่งรีบจับคอล้มลงไปกับพื้น ชักไม่หยุด

หานเฟิงพูดว่า “วางใจเถอะ เขาไม่ตายง่ายๆ แบบนี้หรอก ฉันลงมือแบบยับยั้งชั่งใจ!”

ลู่ฝานพยักหน้า เตะไปที่ขาซ่งจง

เสียงหักดังขึ้นชัดเจน ตัวของซ่งจงเหมือนเยื่อกระดาษ เมื่ออยู่ต่อหน้าลู่ฝาน จัดการได้อย่างง่ายดาย

“ถ้านายกล้าตะโกน ฉันจะเอาชีวิตนาย!”

ลู่ฝานใช้แรงตรงนิ้วเล็กน้อย บีบคอซ่งจงเอาไว้

ใบหน้าซ่งจิงเต็มไปด้วยเหงื่อเขาพยักหน้าเบาๆ กัดฟันกรอด

ปราณชี่ปล่อยออกมาจากตัวลู่ฝาน กำจัดพลังฟ้าดินรอบๆ ไปจนหมด กลายเป็นแก๊สรูปครึ่งวงกลม ปกคลุมพวกเขาเอาไว้

เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเขาทั้งสี่คนเหมือนล่องหน แม้มีองครักษ์บุกเข้ามาก็หาเจอยาก

สีหน้าลู่ฝานเคร่งขรึมเล็กน้อย

“ฉันจะถามอีกครั้ง คุกใต้ดินอยู่ไหน ถ้านายไม่พูดอีก ฉันจะกำจัดนายตอนนี้ ฉันเชื่อว่าตระกูลซ่งต้องมีคนที่รู้ว่าคุกใต้ดินอยู่ไหน!”

ฟันของซ่งจงกระทบกัน “อยู่สวนหลังบ้าน ใต้ห้องหนังสือสวนหลังบ้าน”

หานเฟิงหัวเราะแล้วพูดว่า “คุกส่วนตัวเหรอ! ไม่ใช่คุกในเมืองนี่นา”

ลู่ฝานจ้องตาซ่งจงอยู่นาน จากนั้นหักแขนทั้งสองข้างของเขาทันที

ลงมืออย่างรวดเร็ว ซ่งจงเกือบเป็นลม

ลู่ฝานบีบคอเขาแล้วพูดว่า “ฉันจะพานายไปห้องหนังสือที่สวนหลังบ้าน ถ้านายโกหกแม้แต่น้อย นายคงรู้ผลที่ตามมา!”

สีหน้าซ่งจงเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ตอนนี้เขาไม่สามารถขัดขืนได้เลย

“ศิษย์พี่หานเฟิง พาผู้เฝ้าเมืองไปด้วย”

ลู่ฝานพูดกับหานเฟิง

หานเฟิงยิ้มแล้วพยักหน้า ยกผู้เฝ้าเมืองซ่งขึ้นมา ทั้งสองรีบเดินไปด้านหลัง!

จวนตระกูลซ่งใหญ่มากจริงๆ

สวนหลังบ้านที่ว่าไม่ได้มีแค่ที่เดียว มีสามที่ ครอบคลุมพื้นที่อย่างน้อยสิบลี้ ถ้าไปหาเอง ต้องเป็นเรื่องวุ่นวายแน่นอน โชคดีที่ซ่งจงบอกสถานที่อย่างชัดเจน ห้องหนังสือหนานหยวน

ตลอดทางที่เดินมา ลู่ฝานกับหานเฟิงผ่านพวกองครักษ์ทั้งหมดมาได้อย่างง่ายดาย

นักบู๊ที่พละกำลังอย่างมากแค่แดนปราณในขั้นต้น ไม่สามารถข่มขู่พวกเขาได้สักนิด

ถึงกระทั่งที่พวกเขาสามารถพุ่งผ่านนักบู๊พวกนี้ได้อย่างสง่างาม นักบู๊พวกนี้ก็ยังไม่รู้ คงคิดว่าเป็นแค่สายลมเท่านั้น

ห้องหนังสือหนานหยวน

ลู่ฝานกับหานเฟิงพาสองพ่อลูกตระกูลซ่งมาข้างใน

ลู่ฝานพูดช้าๆ ว่า “คุกใต้ดินอยู่ที่ไหน”

ซ่งจงพูดว่า “หลังกำแพง”

ลู่ฝานเดินมาข้างกำแพง ยื่นมือไปสัมผัส

ศิษย์พี่หานเฟิงเดินเข้ามา ดึงไข่มุกเรืองแสงบนกำแพงออกมาทั้งหมด เมื่อจับเม็ดที่สี่ จู่ๆ กำแพงเปิดออกเหมือนประตู

หานเฟิงหัวเราะออกมา “ระบบแบบนี้ง่ายดายมาก”

บันไดลงไปข้างล่างปรากฏอยู่ในสายตา คบเพลิงทั้งสองด้านสว่างขึ้นตามลำดับ เปลวไฟลุกโชน

ลู่ฝานจับคอเสื้อซ่งจงแล้วพูดว่า “ซุ่มโจมตีที่นายว่า อยู่ข้างในใช่ไหม”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 725
“รีบไปหาคน ไปหาทุกถนน ทุกบ้าน หาคนกลับมาให้ได้!”

ศิษย์พี่หานเฟิงหันมามองลู่ฝานแล้วพูดว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน เรารออยู่ที่นี่เหรอ”

ลู่ฝานถือเสื้อผ้าของหลิงเหยา ลูบฝุ่นด้านบนเบาๆ จากนั้นส่งให้ศิษย์พี่หานเฟิงแล้วพูดว่า “มีฝุ่นเกาะแล้ว อย่างน้อยหลิงเหยาคงไม่ได้กลับมาสองสามวันแล้ว ขืนรอที่นี่ คงไม่เจอคนหรอก”

หานเฟิงพูดอย่างร้อนใจว่า “งั้นเราจะทำยังไง จะไปที่ไหน ฉันรู้สึกว่าคนพวกนี้เชื่อไม่ได้!”

ลู่ฝานมีแววตาประหลาด “ตามผู้เฝ้าเมืองคนนั้นไป เขาจะนำทางให้เรา”

หานเฟิงอึ้งเล็กน้อย จากนั้นหัวเราะออกมา “ศิษย์น้องลู่ฝาน ที่แท้นายดูออกนานแล้ว!”

ลู่ฝานยิ้มแล้วพยักหน้า จากนั้นทั้งสองคนใช้วิชากาย เด้งตัวขึ้นไปบนหลังคา จ้องผู้เฝ้าเมืองซ่งที่อยู่ไกลๆ

……

อีกด้านหนึ่ง ผู้เฝ้าเมืองซ่งรีบกลับมาด้วยความรีบร้อน

ผู้เฝ้าเมืองซ่งรีบร้อนคว้าองครักษ์มาหนึ่งคน “เด็กสองคนนั้นไม่ได้ตามมาใช่ไหม รีบให้ซ่งจงมาเจอฉัน!”

องครักษ์ออกไปอย่างรวดเร็ว สีหน้าผู้เฝ้าเมืองซ่งไม่สู้ดีเป็นอย่างมาก เขากำหมัดครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นกระชากองครักษ์อีกคนมาพูดว่า “แกรีบออกจากเมืองไปหาพลเอกเฟิงที่เขาอวี่ฮั่ว บอกเขาว่าฉันมีเรื่อง ให้เขาพายอดฝีมือมาช่วยฉัน มิตรภาพหลายปี เขาคงไม่อยากเห็นฉันตายเพราะเด็กน้อยสองคนหรอก!”

องครักษ์พยักหน้าแล้วพูดว่า “วางใจได้เลยครับคุณท่าน ผมจะไปเดี๋ยวนี้ จะพาพลเอกเฟิงกลับมาแน่นอนครับ”

ผู้เฝ้าเมืองซ่งกัดฟันพูดว่า “เด็กสองคนนี้น่าจะเป็นยอดฝีมือแดนปราณชีวิต อีกทั้งยังมีมังกรที่มีพละกำลังแข็งแกร่งมาก นายต้องพูดกับพลเอกเฟิงให้ชัดเจน ให้เขาพาคนมาให้พร้อม ไปเถอะ!”

องครักษ์หันหลังวิ่งไปทางประตูเมือง เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จ ความตกใจบนใบหน้าผู้เฝ้าเมืองซ่งจึงลดลงไปเล็กน้อย

ผู้เฝ้าเมืองซ่งรีบกลับมาที่จวนผู้เฝ้าเมือง แล้วตรงไปห้องหนังสือที่สวนหลังบ้านทันที

“ปิดประตูๆ ห้ามใครเข้ามา!”

ผู้เฝ้าเมืองซ่งผลักคนทั้งซ้ายขวาแล้วตะโกนด่าออกมา เห็นประตูห้องหนังสืออยู่ข้างหน้า มีคนยืนรอเขาอยู่

คนคนนี้หน้าตาใช้ได้ มีมีดสั้นอยู่ตรงเอว ตามีพลังคิ้วเหมือนดาบ ในแววตาเต็มไปด้วยความชั่วร้าย ยกยิ้มมุมปาก ท่าทางเหมือนพวกสำมะเลเทเมา เขาคือซ่งจง คุณชายใหญ่ตระกูลซ่ง

“ลูกชายแสนดีของฉัน นายเป็นลูกชายที่ดีจริงๆ บอกพ่อมาว่าแกเอาหลิงเหยาไปซ่อนที่ไหน”

ผู้เฝ้าเมืองซ่งจับไหล่ซ่งจง แล้วเขย่าอย่างแรง

ซ่งจงพูดด้วยความตกใจว่า “หลิงเหยาเหรอ พ่อพูดอะไร หลิงเหยาอะไรกัน!”

เพียะ!

เสียงดังชัดเจน ผู้เฝ้าเมืองซ่งตบหน้าซ่งจง

“ถึงตอนนี้แล้ว ยังคิดจะโกหกฉันอีก ศิษย์พี่ของเธอมาหาถึงที่แล้ว แกคิดว่าฉันไม่รู้เรื่องเลวๆ ที่แกทำเหรอ พวกแกสามพี่น้องเหมือนกันหมด ทำอะไรไม่เป็นนอกจากหาเรื่องให้ฉัน!”

สีหน้าซ่งจงอึมครึม

ทันใดนั้นซ่งจงถามว่า “พ่อ ศิษย์พี่ของเธอมาหาจริงเหรอ เป็นผู้ชายวัยรุ่นสองคน คนหนึ่งแบกกระบี่ใหญ่ ส่วนอีกคนถือกระบี่สีครามหรือเปล่า”

ผู้เฝ้าเมืองซ่งพูดว่า “แกรู้ดีนิ แล้วแกรู้ไหมว่าพละกำลังของสองคนนั้น ฆ่าเราได้ทั้งจวนผู้เฝ้าเมือง เมื่อกี้พวกเขาเกือบทำไปแล้ว! แกรีบปล่อยคนออกมา บอกให้เธอไม่ต้องพูดอะไร รีบกลับไปที่บ้าน เราเก็บของไปซ่อนที่บ้านที่สำรองเอาไว้ รอให้พวกพลเอกเฟิงมาก็พอแล้ว”

ซ่งจงพูดว่า “ไม่ต้องหรอกพ่อ พ่ออาจไม่รู้ว่าผมจับหลิงเหยามายังไง”

ผู้เฝ้าเมืองซ่งก่นด่าออกมาว่า “ฉันไม่สนใจว่าแกจับมายังไง ตอนนี้แกรีบปล่อยคนออกมาเดี๋ยวนี้!”

ซ่งจงรีบโบกมือไปมา “พ่อฟังผมพูด ผมมียอดฝีมือคอยช่วยเหลือ จึงจับหลิงเหยาได้ อีกทั้งยอดฝีมือคนนั้นยังบอกผมว่าถ้ามีคนมาช่วยเธอ ให้พวกเขาเข้าไปในคุกใต้ดิน เมื่อถึงตอนนั้น ยอดฝีมือคนนี้กับเพื่อนของเขาจะลงมือด้วยตัวเอง กำจัดพวกเขาไม่ให้เหลือ”

ผู้เฝ้าเมืองซ่งพูดอย่างอึ้งๆ “แกแน่ใจเหรอว่าเพื่อนที่เป็นยอดฝีมือของแกไม่ได้ล้อเล่น พละกำลังของเด็กสองคนนี้ไม่ธรรมดานะ”

ซ่งจงพูดว่า “เชื่อผมเถอะพ่อ ยอดฝีมือคนนี้เก่งมากจริงๆ!”

ผู้เฝ้าเมืองซ่งกัดฟันพูดว่า “โอเค งั้นเราไปกันก่อน ให้พวกเขาหาคุกใต้ดินกันเอง สรุปว่าเราหลบกันก่อน”

ซ่งจงครุ่นคิด แล้วพยักหน้าตาม

แต่ขณะนั้นเสียงหนึ่งดังขึ้นข้างหูพวกเขา

“จะหลบเหรอ ตอนนี้สายไปแล้วล่ะ ขอบคุณสำหรับข้อมูลของพวกนาย!”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 724
เมื่อได้ยินคำว่า “พาฉันไป” ผู้เฝ้าเมืองซ่งไม่มีความโกรธอีกแล้ว

เขาพยักหน้าพาลู่ฝานกับหานเฟิงเดินออกไปข้างนอก

มีองครักษ์ตามอยู่ข้างหลัง แต่ดูจากการสั่นของพวกเขา มีหรือไม่มีพวกเขาก็เหมือนกัน

ออกจากจวนผู้เฝ้าเมือง ผู้เฝ้าเมืองซ่งสะกดความกลัวของตัวเองได้แล้ว จากนั้นพูดออกมาว่า “ท่านผู้ตรวจการ ผมคิดว่าระหว่างเรามีเรื่องเข้าใจผิดกันเล็กน้อย หวังว่าหลังจากผมช่วยคุณหาคนเจอ ท่านผู้ตรวจการจะปล่อยผมไปสักครั้ง เพราะผมเป็นคนที่มาจากจวนหัวหน้าเขต มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับหัวหน้าเขตอี้ว์ หัวหน้าเขตคนปัจจุบัน”

ลู่ฝานปรายตามองผู้เฝ้าเมืองซ่ง แล้วพูดว่า “เชื่อฉันสิ ฉันก็เจอหัวหน้าเขตอี้ว์มาไม่น้อยเหมือนกัน ถ้าหาเจอคน ฉันจะปล่อยนาย ถ้าหาคนไม่เจอ นายก็รู้ผลอยู่แล้ว”

ผู้เฝ้าเมืองซ่งหางตากระตุก พยักหน้าอย่างทำอะไรไม่ได้

สภาพสังคมนี้ ใครมีพละกำลังมากก็คือทุกอย่าง ป้ายคำสั่งอะไรนั่นไม่ได้ใช้งานอะไรเลย

ผู้เฝ้าเมืองซ่งเดินนำ กลุ่มคนเดินอยู่บนถนน

ทางที่เดินผ่าน เกิดความวุ่นวาย ผู้คนพากันหลีกทางให้

ผู้เฝ้าเมืองซ่งสีหน้าอึมครึมเหมือนพ่อตาย สีหน้าไม่ดีเป็นอย่างมาก

ผู้คนเมืองหยุนไห่พากันถกเถียงกันเบาๆ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

เดินอ้อมเลี้ยวไปเลี้ยวมา

เหมือนผู้เฝ้าเมืองซ่งจงใจพาลู่ฝานกับหานเฟิงเดินอ้อม โผล่มั่วไปมาบนถนนเมืองหยุนไห่

ลู่ฝานมีความอดทน จึงไม่ได้ถามมาก แต่บนมือเขามีปราณชี่สว่างขึ้นมา

ถ้าผู้เฝ้าเมืองซ่งกล้าล้อหลอกเขา เขาจะจัดการผู้เฝ้าเมืองซ่งทันที

เดินจากเมืองทางใต้มาเมืองทางเหนือ เข้ามาในถนนที่ดูไร้ผู้คน ผู้เฝ้าเมืองซ่งจึงเดินช้าลง

นี่คือแบบฉบับของแถบชายแดนเมือง มีคนยากจนแออัดกัน เห็นคนสวมเสื้อผ้าบางๆ ร่างกายซูบผอม ก็รู้สภาพความเป็นอยู่ของคนที่นี่

ผู้เฝ้าเมืองซ่งชี้ที่พักผุพังแห่งหนึ่ง แล้วพูดว่า “ท่านผู้ตรวจการ นั่นเป็นบ้านของหลิงเหยา”

ศิษย์พี่หานเฟิงอึ้งไป จากนั้นตะโกนว่า “นายล้อฉันเล่นหรือไง นี่จะเป็นที่อยู่ของศิษย์น้องหลิงเหยาได้ยังไง ให้ตายเถอะ กล้าหลอกฉัน นายอยากตายฉันไหม”

ศิษย์พี่หานเฟิงดึงกระบี่ฟ้าครามออกมา พลังธาตุทองของธาตุทั้งห้าสว่างขึ้นบนตัว

ตอนนี้ผู้เฝ้าเมืองซ่งรู้แล้วว่าเด็กที่เขาจะฆ่าเมื่อกี้ เป็นยอดฝีมือระดับไหน!

พระเจ้า นักบู๊แดนปราณชีวิต!

ในเมืองเล็กๆ แบบนี้ นักบู๊แดนปราณนอกถือเป็นจุดสูงสุดแล้ว นักบู๊แดนปราณชีวิต มีอำนาจมากมายจริงๆ

อีกทั้งนักบู๊แดนปราณชีวิตคนนี้ยังอายุน้อยขนาดนี้

อำนาจที่สามารถบ่มเพาะอัจฉริยะแบบนี้ออกมาได้ ต้องเหนือกว่าตระกูลซ่งของพวกเขาแน่นอน

ผู้เฝ้าเมืองซ่งรู้สึกวิงเวียน ขาอ่อนไปหมด

เมื่อเห็นว่ากระบี่ของอีกฝ่ายกำลังจะถึงคอตัวเอง ผู้เฝ้าเมืองซ่งรีบพูดว่า “ผมไม่ได้หลอกพวกคุณ ผมจะหลอกพวกคุณทั้งสองคนได้ยังไง นี่คือที่พักของหลิงเหยาจริงๆ ทั้งเมืองหยุนไห่ มีใครไม่รู้จักปีศาจสาวหลิงเหยาบ้างล่ะ นี่คือที่พักของเธอ”

“ปีศาจสาวเหรอ”

ลู่ฝานขมวดคิ้ว หลิงเหยาในความทรงจำของเขา ควรเรียกว่าเซียนสาวสิถึงจะถูก!

หานเฟิงดึงคอเสื้อผู้เฝ้าเมืองซ่งเดินไปข้างหน้า

เมื่อมาถึงประตู ห้องผุพัง ประตูเหลืออยู่ข้างเดียว

เมื่อผลักประตู บ้านคนจนตามแบบฉบับ มองแวบเดียวก็เห็นทุกอย่าง

“หลิงเหยา!”

ลู่ฝานเรียกออกมา ไม่มีใครตอบกลับ

เมื่อเดินเข้ามาในห้อง ลู่ฝานเห็นโต๊ะ เก้าอี้ เตียงนอนธรรมดาๆ อีกทั้งเสื้อผ้าที่วางเป็นระเบียบอยู่บนหัวเตียง!

ลู่ฝานหยิบขึ้นมาหนึ่งตัวแล้วให้เจ้าดำดม เจ้าดำพยักหน้าแล้วเห่าออกมา

“เป็นของหลิงเหยา!”

ลู่ฝานหันไปพูดกับหานเฟิง

หานเฟิงขมวดคิ้วพูดว่า “พระเจ้า ศิษย์น้องหลิงเหยาอยู่ในที่แบบนี้ เหลือเชื่อจริงๆ เธอฝึกเคล็ดวิชาบู๊ออกมาได้ยังไง ฝึกบู๊ก็ต้องเสียเงินนะ!”

ลู่ฝานถอนหายใจ เขาก็ไม่เคยคิดว่าสภาพความเป็นอยู่ของครอบครัวหลิงเหยาจะเป็นแบบนี้ มิน่าล่ะตอนเขาให้เลือดมังกรกับหลิงเหยาหนึ่งขวด หลิงเหยาจึงร้องไห้ออกมา

ผู้เฝ้าเมืองซ่งพูดว่า “เธอเป็นเด็กสาวซนๆ วันที่เธอเกิดในฤดูหนาว พ่อแม่ก็ตาย เติบโตมาด้วยการเลี้ยงดูของเพื่อนบ้าน ใครจะรู้ว่ายัยเด็กคนนี้จะเรียนเคล็ดวิชาบู๊ที่นั่น อีกทั้งยังสอบผ่านการทดสอบของสถาบันสอนวิชาบู๊ นับว่าเธอเป็นคนมีชื่อเสียงของเมืองหยุนไห่ ท่านผู้ตรวจการ ผมว่าเธอต้องออกไปแล้ว ผมส่งคนของจวนผู้เฝ้าเมืองออกไปช่วยคุณหาดีกว่า เชื่อว่าไม่นานก็หาเจอ”

ลู่ฝานครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นพยักหน้าให้หานเฟิง

หานเฟิงปล่อยมือแล้วพูดว่า “ถ้าหาศิษย์น้องหลิงเหยาไม่เจอ ฉันจะทำให้นายพรุนทั้งตัว”

ผู้เฝ้าเมืองซ่งตัวสั่น จากนั้นพูดอย่างนอบน้อมว่า “หาเจอแน่นอนครับ”

พูดจบ ผู้เฝ้าเมืองซ่งพาองครักษ์ออกไป แอบได้ยินเสียงตะโกนของเขาอยู่เล็กน้อย

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 723
เมื่อดูป้ายคำสั่งอย่างละเอียด ผู้เฝ้าเมืองซ่งรีบยกมือพูดว่า “เดี๋ยวก่อน!”

องครักษ์ทั้งหมดหยุดลงทันที อันที่จริงดูเหมือนแค่พวกเขาแสร้งทำไปงั้น แววตาของลู่ฝานเมื่อกี้ ทำให้พวกเขาหวาดกลัวกันหมดแล้ว

“ที่แท้ท่านผู้ตรวจการมานี่เอง เสียมารยาทแล้ว!”

ผู้เฝ้าเมืองซ่งสะกดอารมณ์โกรธเอาไว้

ผู้ตรวจการชั้นล่างมาถึงเมืองหยุนไห่ กลับไม่มีใครส่งจดหมายให้เขา มีคนจงใจเล่นงานเขาเหรอ

ไม่ว่ายังไง พูดกันตามระดับขั้น เขากับผู้ตรวจการชั้นล่างไม่ต่างกันเท่าไร ผู้เฝ้าเมืองซ่งต้องมีน้ำเสียงอ่อนลง เขาเดินลงมาข้างหน้าลู่ฝาน “ขอทราบได้ไหมครับว่าท่านผู้ตรวจการมาเมืองหยุนไห่ทำไม”

ลู่ฝานเก็บป้ายคำสั่งแล้วพูดอย่างราบเรียบว่า “ฉันจะทำอะไร นายไม่มีสิทธิ์รู้ แต่ตอนนี้ฉันต้องการให้นายช่วยฉันค้นหาคนคนหนึ่ง”

ผู้เฝ้าเมืองซ่งฝืนยิ้มออกมา สะบัดมือบอกให้คนแบกคุณชายสามที่นอนอยู่บนพื้นออกไป

“หาคนเหรอครับ ง่ายมาก บอกชื่อผมมาได้เลย แค่เป็นคนในเมืองหยุนไห่ ไม่มีใครที่ผมหาไม่เจอ”

ลู่ฝานพูดว่า “งั้นก็ดี ฉันต้องการหาผู้หญิงที่ชื่อว่าหลิงเหยา”

ผู้เฝ้าเมืองซ่งขมวดคิ้ว พึมพำสองสามครั้ง

“หลิงเหยา ชื่อนี้……”

จู่ๆ เหมือนผู้เฝ้าเมืองซ่งคิดอะไรออก แววตาเขาเปลี่ยนไปทันที สีหน้าที่เปลี่ยนไปของเขาอยู่ในสายตาของลู่ฝานกับหานเฟิง คนโง่ก็ดูออกว่าผิดปกติ

“ขอโทษด้วยครับ ในเมืองหยุนไห่ไม่มีคนคนนี้ ท่านผู้ตรวจการไปหาที่อื่นเถอะครับ”

ผู้เฝ้าเมืองซ่งกำลังจะหันหลังกลับไป

เหมือนชื่อของหลิงเหยา คือการละเมิดข้อห้ามอย่างไรอย่างนั้น

เสียงของลู่ฝานทุ้มต่ำลง

“ผู้เฝ้าเมืองซ่งจะไม่บอกฉันสินะ”

ลู่ฝานพูดพลาง บนตัวมีความอาฆาตทะลักออกมา

กลิ่นอายอันดุดันเฉียบคม ราวกับมีดแหลมนับไม่ถ้วนอยู่ด้านหลังผู้เฝ้าเมืองซ่ง ทำให้เขาไม่หันมาก็ไม่ได้

ผู้เฝ้าเมืองซ่งถอยหลังอย่างระวัง องครักษ์ข้างๆ คุ้มครองเขาไว้ด้านหลัง

“เด็กน้อย อย่าได้คืบจะเอาศอก เห็นแก่ที่นายกว่าจะได้ตำแหน่งผู้ตรวจการชั้นล่างมาไม่ใช่เรื่องง่าย เรื่องวันนี้ฉันจะไม่ถือสาเอาความนาย นายทำตัวดีๆ ในเมืองหยุนไห่ อย่าหาเรื่องอีก ฉันจะไม่แตะต้องนาย ไม่งั้นอย่าคิดว่าตำแหน่งผู้ตรวจการจะทำให้ฉันกลัวได้ ฉันจะบอกให้นะในเมืองหยุนไห่ ฉันคือผู้เฝ้าเมือง!”

ผู้เฝ้าเมืองซ่งอกผายไหล่ผึ่ง สีหน้าชั่วร้าย

หานเฟิงหัวเราะออกมา

“ดื้อดึงจริงๆ ศิษย์น้องลู่ฝาน เปลี่ยนป้ายอีกอันให้เขาดูสิ ดูสิเขาจะดึงดันอีกไหม”

ผู้เฝ้าเมืองซ่งเห็นลู่ฝานกับหานเฟิงไม่มีท่าทีจะไป จึงตะโกนว่า “จับเด็กสองคนนี้เอาไว้! สวมรอยเป็นผู้ตรวจการ โทษมหันต์ ฆ่าสถานเดียว!”

ศิษย์พี่หานเฟิงอ้าปาก เขาคิดไม่ถึงว่าผู้เฝ้าเมืองซ่งจะเสียสติถึงขั้นนี้

ลู่ฝานพูดเสียงต่ำว่า “ดูเหมือนว่าตำแหน่งผู้เฝ้าเมืองของนายคงถึงจุดสิ้นสุดแล้วสินะ!”

พูดจบ ลู่ฝานโยนเจ้าดำที่อยู่บนไหล่ออกไป

ทันใดนั้นเจ้าดำปะทะสายลมแล้วระเบิดออกมา กลายเป็นมังกรสีดำขนาดใหญ่

โฮก!

เสียงมังกรคำรามดังสนั่น เจ้าดำสะบัดหาง โจมตีองครักษ์จนกระเด็น

พลังปราณสว่างขึ้น ในที่สุดยอดฝีมือจวนผู้เฝ้าเมืองก็ลงมือแล้ว

นักบู๊ที่มีเสื้อปราณสามคนพุ่งเข้ามา นักบู๊แดนปราณในขั้นปลายหลายสิบคนพุ่งเข้ามาพร้อมกัน

ส่วนผู้เฝ้าเมืองก็มีเสื้อปราณปกคลุมทั้งตัว

“ฆ่า!”

ลู่ฝานออกคำสั่ง เจ้าดำพ่นเปลวไฟดำออกจากปาก

มีสีขาวผสมอยู่เล็กน้อย ทุกที่ที่เปลวไฟของเจ้าดำผ่านไป ไม่มีใครต้านทานได้

นักบู๊แดนปราณนอกที่เพิ่งพุ่งเข้ามาสามคน โดนไฟเผากลับไป

เสียงร้องโอดครวญดังขึ้น ผู้เฝ้าเมืองซ่งเห็นแล้วถึงกับช็อก

“หยุด หยุด!”

ผู้เฝ้าเมืองซ่งพูดออกมา

ลู่ฝานยกมือขึ้นเบาๆ เจ้าดำจึงหยุดลง

ใบหน้าของผู้เฝ้าเมืองซ่งมีเหงื่อ ตอนนี้แววตาที่เขามองลู่ฝานเหมือนเห็นผี

ความหวาดผวา ความกลัวเต็มใบหน้าเขา เขารู้แล้วว่าทำไมทั้งสองคนถึงกล้าบุกเข้ามาในจวนผู้เฝ้าเมืองของเขา

“นายชนะแล้ว ท่านผู้ตรวจการ นายชนะแล้ว ผมจะช่วยคนายหาคน!”

ลู่ฝานเดินเข้ามา จ้องตาผู้เฝ้าเมืองซ่งแล้วพูดว่า “ฉันให้เวลานายหนึ่งก้านธูป พาฉันไป!”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 722
จวนผู้เฝ้าเมืองตระกูลซ่งที่เมืองหยุนไห่

การที่เป็นตระกูลใหญ่ตระกูลเดียวในเมืองหยุนไห่ ตระกูลซ่งควบคุมทุกอย่างของเมืองหยุนไห่

แตกต่างกับบ้านเกิดของลู่ฝาน ทั้งเมืองหยุนไห่ไม่มีตระกูลวิถีบู๊ ไม่มีการแบ่งแยกอำนาจ เมื่อคนพูดถึงตระกูลใหญ่ในเมืองหยุนไห่ ก็มีแค่เพียงตระกูลซ่ง

นี่จึงเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้คนตระกูลซ่งอวดดีในเมืองหยุนไห่ ที่ดินห่างไกลผู้คน แค่พวกคนตระกูลซ่งไม่ทำเรื่องทำร้ายผู้บริสุทธิ์ ก็ไม่มีใครสนใจพวกเขา

ว่ากันว่าผู้เฝ้าเมืองซ่งคนนี้ เป็นคนที่ออกมาจากจวนหัวหน้าเขต มีความสัมพันธ์กับคนระดับสูงอย่างแน่นแฟ้น ข่าวว่องไว ดังนั้นหลายสิบปีมานี้จึงอยู่อย่างมั่นคง ไม่มีใครกล้าหาเรื่อง

แต่วันนี้ช่วงเวลาดีๆ ของเขาได้สิ้นสุดลงแล้ว

ปึง!

เสียงดังสนั่น ประตูตระกูลซ่งโดนกระแทกออกอย่างแรง

ทหารยามเฝ้าประตูสองสามคนกระเด็นออกไปไกล

ลู่ฝานหิ้วคุณชายในมือ พูดเบาๆ ว่า “นายคิดว่าคนพวกนี้จะช่วยนายได้เหรอ ไร้เดียงสาเกินไปแล้ว นายก็ไม่ซื่อสัตย์เหมือนกัน!”

ลู่ฝานพูดพลางโยนคุณชายคนนี้ออกไปเหมือนขยะ

อันที่จริงเขาไม่ได้ใช้แรงอะไรเลย แต่ตัวของคุณชายคนนี้ฝังลงไปในกำแพงที่อยู่ไม่ไกล

ลู่ฝานกับหานเฟิงเดินเข้าไปข้างใน ตอนนี้ทั้งตระกูลซ่งเกิดความโกลาหล

อาจเป็นเพราะไม่มีใครกล้ามาหาเรื่องนานแล้ว ดังนั้นพวกทหารยามและองครักษ์ของตระกูลซ่งพวกนี้ จึงดูโง่และตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัด

ลู่ฝานเดินผ่านลานด้านหน้ามายังประตูโถงหลัก พวกองครักษ์ล้อมเขาเอาไว้

ลู่ฝานกวาดตามองรอบๆ ถึงคนพวกนี้เขามาพร้อมกัน เขาก็รับมือได้อย่างสบายๆ

เจ้าดำที่หมอบอยู่บนไหล่ของเขา ยังไม่อยากเงยหน้าขึ้นมอง ศัตรูที่อ่อนแอเกินไป ขนาดเจ้าดำยังไม่สนใจเลย

“ใครมาก่อเรื่อง ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่ไหม”

ชายวัยกลางคนคนหนึ่งวิ่งออกมาจากโถงหลัก

เขามีพุงเล็กน้อย มีหนวด หน้ากลม สวมชุดข้าราชการ เข็มขัดหยก ต้องเป็นผู้เฝ้าเมืองซ่งแน่นอน

ชายวัยกลางคนเอามือสองข้างไพล่หลัง มองลู่ฝานกับหานเฟิง

พูดอย่างยโสว่า “เด็กอย่างพวกนายสองคนกล้ามาก บุกเข้ามาในจวนผู้เฝ้าเมือง แค่ข้อนี้ฉันก็ทำให้พวกนายนั่งคุกได้ทั้งชีวิตแล้ว”

ศิษย์พี่หานเฟิงแคะหู การข่มขู่นี้ใช้กับเขาไม่ได้เลยสักนิด เรียกว่าหูทวนลมยังไม่ได้เลย!

ขณะที่ลู่ฝานกำลังจะพูด คนใช้ด้านนอกแบกคุณชายเข้ามา

กว่าพวกเขาจะดึงคนออกมาจากกำแพงได้มันยากมาก คนใช้คนหนึ่งร้องไห้ตะโกนว่า “คุณท่าน คุณชายสามโดนพวกเขาเล่นงานจนเป็นแบบนี้”

เมื่อพูดจบ มีคนใช้คนหนึ่งพุ่งเข้ามา ตะโกนเสียงดังว่า “คุณท่าน คุณชายรองโดนคนเล่นงาน ก็คือพวกเขาสองคนนี่แหละครับ”

กลุ่มคนพากันมองมาทางลู่ฝานกับหานเฟิง ผู้เฝ้าเมืองซ่งโมโหแต่ระบายออกมาไม่ได้ หน้าดำคล้ำเครียด หนวดปลิวสะบัด

“พวกเด็กเวร จับพวกเขาโยนเข้าไปในคุก!”

เมื่อผู้เฝ้าเมืองซ่งออกคำสั่ง กลุ่มองครักษ์ลงมือกับลู่ฝานและหานเฟิง

ลู่ฝานไม่ได้ขยับสักนิด เขาแค่กวาดตามอง คนพวกนี้ก็ชะงักอยู่ที่เดิม

คนเสเพลพวกนี้คิดจะลงมือกับเขางั้นเหรอ ตลก!

คนที่โดนลู่ฝานมองตา เหมือนเพิ่งโดนดึงขึ้นจากน้ำ เหงื่อเต็มตัว ขาสั่น ไม่สามารถขยับได้อีก

ลู่ฝานค่อยๆ เอาป้ายคำสั่งผู้ตรวจการชั้นล่างของตัวเองออกมา โยนใส่ผู้เฝ้าเมืองซ่ง

ผู้เฝ้าเมืองซ่งรับป้ายคำสั่งเอาไว้ แต่ตัวเขาโงนเงนเล็กน้อย

แรงที่ลู่ฝานโยนออกไปแบบไม่ตั้งใจ ทำให้เขารับไม่ไหว

ผู้เฝ้าเมืองซ่งตกใจ เด็กคนนี้ไม่ธรรมดา!

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 721
“คุณชายตระกูลซ่ง อาหลียังเด็ก พวกคุณปล่อยเธอไปเถอะ ฉันจะคุกเข่าคำนับพวกคุณ!”

หญิงสูงวัยคุกเข่าลงทันที

แต่คุณชายทั้งสองคนไม่มีท่าทีจะปล่อยอย่างเห็นได้ชัด กระชากเด็กผู้หญิงเข้ามาทันที

“มาสิยัยเด็กน้อย ให้เงินค่าแรงยังไม่เอา ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่ไหม มาให้ฉันดูหน่อยสิ โอ้ หน้าตาไม่เลว สวย!”

ลูกหลานคนรวยทั้งสองคนมองหน้ากันแล้วหัวเราะ เสียงหัวเราะลามกมาก เด็กผู้หญิงกลั้นน้ำตาเอาไว้ สีหน้าดึงดัน

ผู้คนข้างๆ โกรธแต่ไม่กล้าพูดอะไร ยืนอยู่ทั้งสองฝั่ง ไม่พูดอะไรสักคำ

เห็นได้ชัดว่าเรื่องแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก

ศิษย์พี่หานเฟิงพูดข้างๆ ลู่ฝานว่า “ไอ้สองคนนี้ใช้ชีวิตแบบที่ฉันใฝ่ฝันเลย!”

ลู่ฝานไม่สนใจนิสัยชั่วร้ายของศิษย์พี่หานเฟิง เขาเดินเข้าไปแย่งเด็กผู้หญิงออกมา

“ทำอะไร อยากตายเหรอ”

ทันใดนั้นกระบี่และดาบออกจากฝัก คนหลายสิบคนด้านหลังคุณชายทั้งสองคน เข้ามาล้อมลู่ฝานกับหานเฟิง

หานเฟิงไม่แม้แต่จะช้อนตาขึ้นมอง ลู่ฝานไม่แม้แต่จะมองทั้งสองคน เอาเด็กผู้หญิงคืนให้หญิงสูงวัยข้างๆ แล้วพูดว่า “รีบไปเถอะ!”

หญิงสูงวัยรับหลานสาวมา แล้วหันหลังจะเดินออกไป

หนึ่งในคุณชายพูดเสียงดังว่า “ใครให้พวกเธอไป!”

แต่พวกเขาเพิ่งพูดออกมา ลู่ฝานแววตาน่ากลัว ความน่ากลัวแผ่ออกมา

ทันใดนั้น คุณชายทั้งสองคนทรุดลงบนพื้น นักบู๊หลายสิบคนที่ล้อมพวกเขา พากันถอยหลังไปสามก้าว คนจำนวนไม่น้อยเริ่มขาสั่น

“ฉันบอกว่าให้ไป ไปสิ!”

ลู่ฝานดึงหญิงสูงวัยที่ตกใจจนอึ้งขึ้นมา แล้วใส่ปราณชี่เข้าไป

ทันใดนั้นหญิงสูงวัยมีแรงเหมือนเดิม อุ้มเด็กผู้หญิงวิ่งหนีไป

ศิษย์พี่หานเฟิงพูดว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน ถ้าศิษย์น้องหลิงเหยาได้เห็นภาพนี้ คืนนี้นายมีโชคดีแน่นอน”

พูดจบ ศิษย์พี่หานเฟิงตบไหล่ลู่ฝานแล้วพูดเบาๆ ว่า “ครั้งหน้าถ้านายจะระเบิดพลัง จำไว้ว่าให้บอกฉันก่อน ให้ตายเถอะ นายทำให้ฉันตกใจไปด้วยเลย”

ลู่ฝานกลอกตามองบน แล้วเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว

ทั้งสองคนที่ล้มลงบนพื้น มองลู่ฝานอย่างอกสั่นขวัญแขวน

เมื่อกี้พวกเขารู้สึกเหมือนสัตว์อสูรไร้เทียมทานกระโจนใส่พวกเขา

ความรู้สึกของความตายพุ่งเข้ามาจู่โจมทั้งตัว

“นาย……พวกนายเป็นใครกันแน่ รนหาที่ตาย เราเป็นคนของตระกูลซ่งนะ!”

ลู่ฝานก้มตัวลงเล็กน้อย มองทั้งสองคนด้วยแววตาดุดัน “ตระกูลซ่ง ตระกูลวิถีบู๊ เป็นข้าราชการนี่”

ทั้งสองไม่กล้าสบตาลู่ฝาน แต่ยังทำเป็นเก่ง “นายไม่รู้จักตระกูลซ่งจวนผู้เฝ้าเมือง พวกบ้านนอกที่มาจากที่อื่น พวกนายตายแน่ ไอ้พวกเลวสมควรตาย พวกนายยังไม่คุมตัวพวกเขาอีก!”

นักบู๊หลายสิบคนที่อยู่ข้างๆ กำลังจะลงมือ ศิษย์พี่หานเฟิงยิ้มบางๆ พลังปราณบนตัวเคลื่อนไหว

หลังจากนั้นนักบู๊หลายสิบคนล้มลงบนพื้นพร้อมกัน แล้วกระอักเลือดออกมา

“พวกคนขี้ขลาดเนี่ยนะจะคุมตัวพวกเรา กำลังพูดตลกอยู่หรือไง”

ศิษย์พี่หานเฟิงหัวเราะออกมา รอยยิ้มของเขาในสายตาทั้งสองคนด้านหน้า เหมือนกับเจอผีตอนกลางวันแสกๆ

ลู่ฝานก็หัวเราะออกมา

“จวนผู้เฝ้าเมือง อืม ดีมาก งั้นรบกวนพวกนายพาเราไปจวนผู้เฝ้าเมืองหน่อยสิ ฉันกำลังกลุ้มอยู่ว่าจะหาคนยังไงดี!”

ลู่ฝานสะบัดมือยกหนึ่งในนั้นขึ้นมา ไอ้หมอนี่คิดขัดขืน เอามีดสั้นออกมาจากแขนเสื้อทันที

แต่ยังไม่ทันลงมือ แขนกับมีดสั้นของเขาแตกเป็นเสี่ยงๆ พลังอันแข็งแกร่งโจมตีไปทั้งตัว เขาเป็นลมทันที เลือดออกเจ็ดทวาร

ลู่ฝานโยนคนนี้ทิ้ง แล้วยกอีกคนหนึ่งขึ้นมา

“ถ้านายไม่ให้ความร่วมมือ นายจะน่าเวทนากว่าเขา!”

อึก!

คุณชายคนนี้กลืนน้ำลายลงคอ พยักหน้าหงึกๆ เหมือนลูกไก่จิกข้าว!

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 720
หลังผ่านไปไม่กี่วัน เห็นเมืองหยุนไห่อยู่ไม่ไกล

มองจากไกลๆ กำแพงเมืองหยุนไห่แตกต่างจากเมืองอื่นที่ลู่ฝานเคยเห็น

นี่เป็นกำแพงเมืองที่สร้างติดภูเขา ภูมิประเทศสูงมาก ไอหมอกปกคลุม เหมือนอยู่ในทะเลหมอก ดูเหมือนว่ากำแพงเมืองนี้มีชื่อเพราะสิ่งนี้

“ศิษย์น้องลู่ฝาน นั่นคงเป็นเขาอวี่ฮั่ว เราจะเข้าเมืองก่อนหรือจะตรงไปเขาอวี่ฮั่วเลย”

ศิษย์พี่หานเฟิงชี้ไปเขาที่อยู่นอกเมืองหยุนไห่ ตัวภูเขาแวววาวเหมือนกระจก เหมือนมีคนเอากระบี่เฉือนจนเรียบ

ด้านบนมีตัวอักษรขนาดใหญ่ว่า เขาอวี่ฮั่ว!

อักษรตัวเดียวสูงประมาณหลายร้อยเมตร อักษรทั้งสามตัวเชื่อมต่อกันทั้งตัวภูเขา มีพลานุภาพเป็นอย่างมาก

คนที่สามารถทิ้งร่องรอยอักษรแบบนี้เอาไว้ได้ อย่างน้อยต้องเป็นยอดฝีมือแดนปราณฟ้าขึ้นไป ไม่แน่อาจเป็นยอดฝีมือผู้แข็งแกร่งก็ได้!

มองจากไกลๆ ลู่ฝานมองเขาอวี่ฮั่วที่สูงใหญ่ อยากหาว่าตลาดหม้อยาอะไรนั่นอยู่ที่ไหน

แต่น่าเสียดายเขาหาไม่เจอ ไม่รู้ว่าอยู่ห่างเกินไป หรือตลาดอะไรนั่นซ่อนอยู่อย่างมิดชิด

“เข้าไปในเมืองก่อนเถอะ ถามคนให้ชัดเจนแล้วค่อยว่ากัน”

ลู่ฝานเอ่ยขึ้น

ศิษย์พี่หานเฟิงครุ่นคิดอย่างละเอียด แล้วพูดว่า “นายบอกว่าหาคน หาหลิงเหยาเหรอ”

ลู่ฝานมองหานเฟิงอย่างแน่วแน่แล้วพูดว่า “ใช่ ไปหาหลิงเหยา ในเมื่อคณะหยินหยางส่งคนมาจัดการเธอ งั้นสิ่งสำคัญสุดคือเราต้องหาเธอให้เจอก่อน มีความเป็นไปได้สูงว่าพวกศิษย์พี่จะอยู่กับเธอ”

หานเฟิงพยักหน้า “สมองนายทำงานดีมาก งั้นเราไปหาหลิงเหยา นายรู้ไหมว่าหลิงเหยาพักที่ไหน”

ลู่ฝานพูดว่า “ไม่รู้ แต่ต้องมีคนรู้แน่นอน”

นกปิดฟ้าค่อยๆ บินลงไปที่รกร้างนอกประตูเมือง จากตรงนี้ยังสามารถมองเห็นประตูเมืองหยุนไห่ที่สูงตระหง่าน

ศิษย์พี่หานเฟิงลูบขนนกปิดฟ้าแล้วพูดว่า “เฮ้อ อยากให้มันอยู่ต่อจริงๆ ถึงตอนนั้นส่งเรากลับไปอีกครั้งก็ดีสิ”

ลู่ฝานพูดว่า “วางใจเถอะศิษย์พี่หานเฟิง ในเมืองหยุนไห่ต้องมีหอฝึกสัตว์อยู่แล้ว”

ลู่ฝานพูดพลางปล่อยเจ้าดำออกมา

เจ้าดำที่กลายเป็นสุนัขตัวเล็กสีดำ เริ่มวิ่งบนหัว บนไหล่ลู่ฝานไปทั่ว ดูเหมือนสองวันนี้มันคงอุดอู้มาก

หลังผ่านไปหนึ่งชั่วยาม ทั้งสองคนเดินเข้าไปในเมืองหยุนไห่

ยกเว้นเมฆและหมอกที่เห็นบนท้องฟ้า พูดตามตรงว่าอันที่จริงเมืองหยุนไห่ไม่ได้มีอะไรแตกต่างจากเมืองเจียงหลินบ้านเกิดของลู่ฝาน

เมืองเล็กๆ ผู้อยู่อาศัยที่มีสำเนียงท้องถิ่น

อีกทั้งยังมีลูกหลานคนรวยที่กำลังจีบหญิงอยู่บนถนน จู่ๆ ลู่ฝานเหมือนได้ย้อนไปในวัยเด็ก

“ศิษย์น้องลู่ฝาน เราจะเริ่มถามจากตรงไหนดีล่ะ ฉันว่าถ้าถามใครสักคนตามถนนจะเสียเวลามาก อีกทั้ง ให้ตายเถอะ ที่นี่สำเนียงประหลาดมากเลย พวกเขาพูดภาษากลางแบบเราไม่ได้เหรอ”

ลู่ฝานชี้ลูกหลานคนรวยสองคนที่กำลังเอ้อระเหยลอยชายอยู่บนถนน แล้วพูดว่า “เราไปถามพวกเขากันเถอะ น่าจะเร็วกว่า”

ลู่ฝานพูดพลางเดินเข้าไปหาลูกคนรวยสองคนนั้น

“คุณนายเจียง หลานสาวเธอสวยมาก ส่งมาเป็นหญิงรับใช้ตระกูลซ่งของเราไหม ฉันให้ค่าแรงสองเท่าเลย”

“ฮ่าๆ พี่รอง สู้ให้ฉันดีกว่า ฉันกำลังขาดสาวใช้ที่ทำให้เตียงอุ่นพอดี คุณนายเจียง หลานสาวเธอสวยและฉลาด ว่าราคามาสิ”

คุณชายหน้าตาธรรมดา รอยยิ้มร้ายกาจเต็มใบหน้า กำลังลวนลามเด็กผู้หญิงอายุ 13-14 ปี

เด็กผู้หญิงดูตกใจอย่างเห็นได้ชัด เธอหลบอยู่หลังย่าของเธอ

ฉางเจี๋ยพูดอย่างนอบน้อมว่า “จำได้แล้วครับ ขอให้ทั้งสองท่านเดินทางปลอดภัย”

พูดจบ ฉางเจี๋ยโค้งตัวลงอีก ดูจงรักภักดีมาก ท่าทางเหมือนพวกรังแกคนที่อ่อนแกกว่า แต่กลัวคนที่แข็งแรงกว่า

นกปิดฟ้าสยายปีกบินออกไปไกล รอยยิ้มบนใบหน้าศิษย์พี่หานเฟิงค่อยๆ หายไป

ลู่ฝานดูออกว่าศิษย์พี่หานเฟิงผิดปกติ จึงถามว่า “ศิษย์พี่หานเฟิงเป็นอะไรไป มีอะไรผิดปกติหรือเปล่า”

ศิษย์พี่หานเฟิงไม่ได้พูดอะไร แต่ลู่ฝานเห็นมือเขาสั่นเบาๆ

นี่เป็นครั้งแรกที่ลู่ฝานเห็นศิษย์พี่หานเฟิงยั้งสติไม่อยู่

จึงถามขึ้นอีกครั้ง “ศิษย์พี่หานเฟิง!”

ขณะนั้นศิษย์พี่หานเฟิงตั้งสติได้ หันไปมองข้างหลังแวบหนึ่ง

พวกฉางเจี๋ยที่อยู่ด้านหลังค่อยๆ ไกลออกไป กลายเป็นจุดดำอยู่ตรงขอบฟ้า

หานเฟิงกัดฟันพูดว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน ต่อไปห้ามๆๆ ทำความรู้จักกับเขาอีกเด็ดขาด”

ศิษย์พี่หานเฟิงพูดย้ำคำว่าห้าม ดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องธรรมดาแล้ว

ลู่ฝานถามว่า “ทำไมครับ อย่าบอกนะว่าเบื้องหลังของเขาแข็งแกร่งมาก”

หานเฟิงส่ายหน้า “ไม่ใช่เบื้องหลัง ให้ตายเถอะ คิดไม่ถึงว่าวันนี้ฉันจะได้เจอฉางเจี๋ยหน้าผี”

“อะไรคือฉางเจี๋ยหน้าผี”

ลู่ฝานไม่เข้าใจเป็นอย่างมาก เขาไม่เข้าใจว่าศิษย์พี่หานเฟิงกำลังพูดอะไร

ศิษย์พี่หานเฟิงพูดว่า “คนที่ฝึกฝนชั่วร้าย ฉางเจี๋ยที่คุยกับเราเมื่อกี้เป็นคนที่ฝึกฝนชั่วร้าย อีกทั้งยังเป็นคนที่มีชื่อชั่วร้ายในบรรดาคนที่ฝึกฝนชั่วร้ายว่าฉางเจี๋ยหน้าผี”

ลู่ฝานขมวดคิ้ว “อะไรนะ เขาเป็นคนที่ฝึกฝนชั่วร้ายเหรอ คนที่ฝึกฝนชั่วร้ายที่พละกำลังระดับนี้เหรอ”

หานเฟิงจ้องตาลู่ฝานแล้วพูดว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน อย่าชะล่าใจเด็ดขาด นี่เป็นวิธีที่เขาใช้บ่อย ให้คนดูถูกเขาก่อน จากนั้นรอจังหวะลงมือ ยอดฝีมือที่ตายคามือเขามีนับไม่ถ้วน เขามีผลการต่อสู้ที่สามารถจัดการนักบู๊แดนปราณฟ้าได้เลยนะ ในบรรดาคนที่ฝึกฝนชั่วร้าย เขาเป็นหนึ่งในสิบปีศาจชั่วร้ายที่มีชื่อเสียง คิดดูสิ ในบรรดาคนที่ฝึกฝนชั่วร้าย ยังมีคนที่มีชื่อชั่วร้ายโหดเหี้ยมขนาดนี้”

ลู่ฝานตกใจ เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ชายชุดแดงทำให้เขารู้สึกสะอิดสะเอียนเมื่อครู่ เป็นปีศาจชั่วร้าย

หานเฟิงพูดต่อ “พ่อฉันพูดไว้ไม่ผิด สภาพสังคมอันตรายมาก! ศิษย์น้องลู่ฝาน ทำให้นกปิดฟ้าบินเร็วกว่านี้หน่อยได้ไหม ฉันกลัวพวกเขาตามมา ให้ตายเถอะ พวกที่ตามเขามาด้วยต้องเป็นทีมคนที่ฝึกฝนชั่วร้ายแน่นอน ยังดีที่ฉันจำชื่อฉางเจี๋ยได้ ไม่งั้นครั้งนี้เราอาจตายได้”

ลู่ฝานรีบใส่ปราณชี่เข้าไปในนกปิดฟ้า ทำให้มันบินเร็วขึ้น

ลู่ฝานหันไปมองจุดดำไกลๆ

ปีศาจเหรอ

เขามาทำอะไรที่นี่

…..

ด้านหลัง ชายชุดแดงมองลู่ฝานกับหานเฟิงจนลับตา เขาหยิบกระจกทองเหลืองออกมาส่องเติมหน้าให้ตัวเอง

“อืม ใบหน้านี้ของฉันไม่เลวแฮะ สิบสาม นายคิดว่าไง”

ชายในชุดสีเขียวที่อยู่ไม่ไกลตอบว่า “ทักษะการแปลงโฉมของท่านผีเป็นหนึ่งในใต้หล้า”

“อย่าเรียกฉันว่าท่านผี ให้เรียกฉันว่าเจ้าสำนัก ครั้งนี้เป็นภารกิจที่ดี ต้องทำให้ดี ห้ามให้เกิดอุปสรรค โอ๊ย คู่ฝึกฝนที่ดีตั้งสองคน ทำได้เพียงจำเอาไว้ก่อน”

ฉางเจี๋ยพูดพลางเอาสมุดเล่มเล็กออกมา เขียนชื่อหานเฟิงเอาไว้

ขณะเดียวกันก็ทำเครื่องหมายไว้ข้างๆ แล้วพูดว่า “ลูกหลานตระกูลหาน พละกำลังธรรมดา กระตุ้นสายเลือด คู่ฝึกระดับสาม!”

หลังจากนั้นก็เขียนคำว่านิรนามเอาไว้

ฉางเจี๋ยยิ้มแล้วพูดพึมพำว่า “เด็กอีกคนหนึ่ง ดูเหมือนจะเป็นคู่ฝึกที่ยอดเยี่ยม พวกเขาต้องไปตลาดหม้อยาเหมือนกันแน่ๆ ฉันคาดหวังว่าจะเจอพวกเขาอีกครั้ง!”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 718
โดยทั่วไปแล้วคนที่จะพูดประโยคแบบนี้ออกมา อย่างแรกต้องเป็นคนนิสัยวิปริต อีกทั้งต้องมีพละกำลัง ชอบหาเรื่อง สร้างความวุ่นวาย

ชายชุดแดงข้างหน้าเป็นคนประเภทนี้ชัดๆ รอยยิ้มมุมปาก เหมือนตอนที่ศิษย์พี่หานเฟิงเจอสาวงามที่เป็นอาหารตาไม่มีผิด

ลู่ฝานพยายามไม่มองหน้าชายชุดแดง อีกทั้งดอกกุหลาบสีแดงบนหัวเขาด้วย

มันเหมือนวิชาอะไรบางอย่าง ทำให้คนไม่สามารถมองตรงๆ ได้

ลู่ฝานพูดช้าๆ ว่า “ขอโทษด้วย เราอยู่อย่างสบายมาก คงแลกไม่ได้”

ชายชุดแดงอ้าแขนทั้งสองข้าง แล้วพูดเสียงดังว่า “ดูเหมือนฉันคงบอกตัวตนของฉันไม่ชัดเจนสินะ ไอ้หนุ่ม เคยได้ยินสำนักชุดเขียวไหม”

เสียงลอดผ่านเมฆหมอก เสียงของชายชุดแดงดังจริงๆ

ลู่ฝานขมวดคิ้ว สำนักชุดเขียว เขาไม่เคยได้ยินจริงๆ

ขณะนั้นศิษย์พี่หานเฟิงเดินออกมา ลูบคางแล้วพูดว่า “สำนักชุดเขียวเหรอ คุ้นหูนิดหน่อย นายเกี่ยวข้องอะไรกับสำนักชุดม่วง”

ชายชุดแดงได้ยินเสียงของหานเฟิง ก็พูดอย่างสงสัยว่า “สำนักชุดม่วงเหรอ คืออะไร”

ศิษย์พี่หานเฟิงกลอกตามองบน หันมาพูดกับลู่ฝาน “สำนักเล็กๆ ที่ไม่เคยได้ยินแม้แต่สำนักชุดม่วง จัดการเลย ไม่ต้องออมมือ”

ชายชุดแดงแผดเสียงว่า “คิดว่าฉันไม่ได้ยินเหรอ ได้ พวกนายสองคนทำให้ฉันโกรธแล้ว ฉันจะสั่งสอนพวกนาย เข้าไป โยนพวกมันลงมาจากนกยักษ์”

เมื่อออกคำสั่ง คนที่สวมชุดสีเขียวปล่อยพลังปราณออกมา มองลู่ฝานกับหานเฟิงด้วยแววตาโมโห

ลู่ฝานมองพลังปราณของคนพวกนี้ด้วยสีหน้าประหลาด

โอเค นักบู๊แดนปราณในพวกนี้คิดจะโยนพวกเขาลงไป น่าขำชะมัด

ลู่ฝานกลั้นขำ แต่ศิษย์พี่หานเฟิงหัวเราะท้องแข็งแล้ว

“ฮ่าๆๆ คนพวกนี้จะทำให้ฉันขำตายหรือไง ศิษย์น้องลู่ฝาน นายไม่ต้องลงมือ ครั้งนี้ให้ศิษย์พี่เอง”

หานเฟิงพูดพลางปล่อยพลังปราณของตัวเองออกมา

ทันใดนั้นพลังทองในพลังของธาตุทั้งห้าปกคลุมตัว

สีหน้าของชายชุดแดงเปลี่ยนไปทันที

“หยุด หยุดเดี๋ยวนี้”

ชายชุดแดงตะโกนออกมาเสียงสูง

นักบู๊ชุดเขียวที่กำลังจะพุ่งเข้าไป หยุดลงทันที

ศิษย์พี่หานเฟิงถือกระบี่ฟ้าครามของตัวเองแล้วพูดว่า “เข้ามาสิ พวกนายเข้ามาสิ”

ชายชุดแดงประจบสอพลอขึ้นมาทันที เลิกคิ้วขึ้นไม่หยุด พลางพูดว่า “ที่แท้ทั้งสองท่านเป็นยอดฝีมือวิถีบู๊ โอ๊ย แค่มองก็รู้ว่าเป็นคนอายุน้อยที่โดดเด่น เราจะกล้าแย่งพาหนะของทั้งสองท่านได้ยังไง ล้อเล่นครับ ทั้งหมดแค่เรื่องล้อเล่น”

พูดพลาง ชายชุดแดงกะพริบตาน่ารักให้ศิษย์พี่หานเฟิง

ศิษย์พี่หานเฟิงทำท่าอยากอ้วกขึ้นมาทันที

สิ่งนี้ได้ผลมากกว่าเคล็ดวิชาบู๊ระดับดินเสียอีก พลังทำลายล้างน่าตกใจมาก

“แยกย้ายๆ หลีกทางให้ยอดฝีมือทั้งสองท่าน”

ชายชุดแดงพูดสั่งเสียงดัง หลีกทางให้พวกลู่ฝาน

นกปิดฟ้าที่โดนขวางทาง กระพือปีกพุ่งไปด้านหน้าทันที

ตอนผ่านชายคนนั้นยังโค้งตัวพูดว่า “ผมชื่อฉางเจี๋ย เจ้าสำนักชุดเขียว ดีใจที่ได้พบยอดฝีมือทั้งสองท่าน”

ศิษย์พี่หานเฟิงเอากระบี่พาดบ่าแล้วพูดว่า “นายฉลาดมาก ถ้านายยังอวดดีอีกนิดคงได้เห็นดีกัน ฉันกำลังคันมืออยากฝึกอยู่พอดี เมื่อกี้นายบอกว่าชื่ออะไรนะ”

ผู้ชายคนนั้นพูดว่า “ฉางเจี๋ยครับ คนเรียกกันว่าชุดแดง ขอทราบชื่อของยอดฝีมือทั้งสองท่านได้ไหมครับ”

ลู่ฝานพูดอย่างราบเรียบ “ไม่จำเป็นต้องถามชื่อ แค่เจอกันโดยบังเอิญเท่านั้น”

หานเฟิงชะงักไป จากนั้นหัวเราะเสียงดัง “ฉันชื่อหานเฟิง จำชื่อฉันไว้”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 717
วิทยายุทธที่ยกระดับขึ้น ทำให้เขาเข้าใจพลังฟ้าดินเพียงพอ วิเคราะห์วิถีได้รวดเร็วขึ้น ตอนนี้เขาเชี่ยวชาญกลั่นยาทิพย์ทั่วไปแล้ว

อย่างน้อยยาทิพย์ที่ไม่เหนือกว่าวิทยายุทธของเขา เขาสามารถกลั่นออกมาได้แล้ว สิ่งเดียวที่ต้องยกระดับก็คืออัตราความสำเร็จ

“ศิษย์น้องลู่ฝาน กินยาเม็ดของนายทั้งวัน ฉันรู้สึกว่าวิทยายุทธของฉันยกระดับเร็วขึ้น ถ้าต่อไปไม่มียาของนายให้กิน ฉันต้องกลุ้มตายแน่นอน ตอนนี้วิทยายุทธของนายเป็นยังไงบ้าง”

ศิษย์พี่หานเฟิงกัดยาเม็ดจนมีเสียงออกมา แล้วเอ่ยขึ้น

ลู่ฝานตอบว่า “แดนปราณชีวิตชั้นสอง”

ศิษย์พี่หานเฟิงอึ้งไป หลังจากนั้นอ้าปากค้างพูดว่า “แดนปราณชีวิตชั้นสองเหรอ นายเข้าสู่แดนปราณชีวิตชั้นสองตั้งแต่ตอนไหน”

ลู่ฝานคิดแล้วตอบว่า “หลายวันแล้ว ฝึกไปฝึกมาก็ยกระดับได้”

สีหน้าของศิษย์พี่หานเฟิงประหลาดมาก ผ่านไปครู่หนึ่ง ศิษย์พี่หานเฟิงพูดว่า “ถ้านายไม่ใช่ศิษย์น้องฉัน ฉันคงอิจฉานายตายเลย ให้ตายเถอะ ฉันทุ่มเทแทบตาย อีกทั้งยังมีพลังสายเลือดกระตุ้นอีก ถึงทำให้วิทยายุทธต่างจากนายไม่มาก นายพูดว่าฝึกไปฝึกมาก็ยกระดับได้ ถ้าขืนคนอื่นได้ยิน พวกเขาต้องฆ่าตัวตายเพราะความอับอายแน่นอน”

ลู่ฝานหัวเราะเบาๆ

เขาบอกศิษย์พี่หานเฟิงไม่ได้ ว่าเขาอาศัยยาของผู้ฝึกชี่ในการยกระดับ

พูดตามจริง สูตรการกลั่นยาที่มีประสิทธิภาพวิเศษของผู้ฝึกชี่อู๋เหลียง เป็นสูตรการกลั่นยาที่ไม่ธรรมดาจริงๆ

ยาเม็ดที่กลั่นออกมา ไม่เพียงแต่ยกระดับพละกำลัง ยังเสริมความแข็งแกร่งให้ประสาทสัมผัสทั้งห้าอีกด้วย

ประกอบไปด้วย กลิ่น การมองเห็น การได้ยิน รสชาติ และการสัมผัส

ลู่ฝานรู้สึกว่าตัวเองว่องไวกว่าเมื่อก่อนมาก

ศิษย์พี่หานเฟิงมองสีหน้าราบเรียบของลู่ฝาน แล้วพึมพำว่า “ถ้าศิษย์น้องลู่ฝานเป็นลูกหลานตระกูลหาน พ่อเลวของฉันคงพาเขาไปที่เขาอู่จิ้งทันที”

ขณะที่กำลังพึมพำ เหมือนลู่ฝานเห็นอะไร เขาขมวดคิ้วพูดว่า “ด้านหน้ามีคน”

ศิษย์พี่หานเฟิงก็เพ่งมองไป ผ่านไปครู่หนึ่ง จุดดำปรากฏขึ้นที่ปลายสายตา

“ศิษย์น้องลู่ฝาน ตานายเป็นยังไง ขนาดนี้ยังเห็นได้”

ศิษย์พี่หานเฟิงชมความสามารถในการมองเห็นของลู่ฝานก่อน จากนั้นพูดว่า “ดูเหมือนว่ารีบมาเหมือนกัน บนเขาอวี่ฮั่วมีตลาดหม้อยาไม่ใช่เหรอ คงไปเพราะสิ่งนี้แหละมั้ง”

ลู่ฝานพยักหน้าพูดว่า “อืม งั้นพยายามอย่าเข้าใกล้ ศิษย์พี่หานเฟิง อย่าสร้างความวุ่นวาย เป้าหมายหลักของเราต้องไปหาหลิงเหยากับพวกศิษย์พี่ที่เมืองหยุนไห่”

ศิษย์พี่หานเฟิงตบอกแล้วพูดว่า “ฉันเหมือนคนชอบหาเรื่องเหรอ ฮ่าๆ นกปิดฟ้าของพวกเขาใช้ไม่ได้เลย เล็กขนาดนี้ แม้แต่ที่พักก็ไม่มี”

ศิษย์พี่หานเฟิงเท้าเอวแล้วหัวเราะออกมา

ลู่ฝานเลิกคิ้วขึ้น ให้ศิษย์พี่หานเฟิงไม่สร้างความวุ่นวาย ดูเหมือนว่าคงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

ความเร็วนกปิดฟ้าของลู่ฝานเร็วมาก ไม่นานก็เข้าใกล้แล้ว

ไม่ใช่แค่นกปิดฟ้าเพียงตัวเดียว เห็นได้ด้วยตาเปล่าว่านกปิดฟ้าหลายสิบตัว เรียงตัวเป็นรูปค่ายกล เหมือนเมฆปกคลุมขอบฟ้า บินเรียงแถวหน้ากระดาน

บนหลังของนกแต่ละตัวมีคนนั่งอยู่สองคน สวมชุดคลุมยาวสีเขียวทั้งหมด

“ดูเหมือนมีสำนักไหนคงส่งคนมาสินะ ดูเป็นระเบียบมาก ศิษย์น้องลู่ฝาน นายดูผู้หญิงติดดอกไม้สีชมพู สวมเสื้อสีแดงที่อยู่ตรงกลางคนนั้นสิ ใช่หัวหน้าของพวกเขาหรือเปล่า”

ศิษย์พี่หานเฟิงชี้ไปที่นกปิดฟ้าตรงกลางสุดแล้วเอ่ยขึ้น

ลู่ฝานเพ่งมองไปไกลๆ มองแวบหนึ่ง จู่ๆ สีหน้าเขาประหลาด

“อืม น่าจะเป็นหัวหน้าของพวกเขา แต่ดูเหมือนว่าไม่ใช่ผู้หญิง”

“อะไรนะ”

ศิษย์พี่หานเฟิงเสียงสูง ขณะนั้นคนพวกนี้เห็นลู่ฝานที่บินมาด้านหลัง

กลุ่มคนหันมามองลู่ฝานกับหานเฟิง

เมื่อ “ผู้หญิง” ชุดแดงหันมา ศิษย์พี่หานเฟิงปิดตาตัวเอง

“โอ๊ย ตาฉัน พระเจ้า ทำไมต้องให้ฉันเห็นสิ่งนี้ ให้ตายเถอะ ไอ้นี่ประสาทหรือเปล่า ไม่สิ เขาประสาท”

สีหน้าของลู่ฝานก็ประหลาด เขาดูไม่ผิดจริงๆ

คนคนนี้เป็นผู้ชาย เห็นหนวดกับลูกกระเดือกชัดเจน อีกทั้งใบหน้าที่มีกล้ามเนื้อ

ชายชุดแดงพูดเสียงก้องว่า “คนที่มาเป็นใคร”

ลู่ฝานตอบอย่างราบเรียบว่า “คนที่รีบเดินทาง”

ชายชุดแดงมองลู่ฝานกับหานเฟิงอย่างละเอียด อีกทั้งนกปิดฟ้าที่ลู่ฝานนั่ง และห้องสุดหรูนั่นด้วย

“ไอ้หนุ่ม พวกนายมีนกปิดฟ้าที่ไม่เลว แลกได้ไหม”

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่จำเป็น เราอยู่อย่างสบายมาก”

ศิษย์พี่หานเฟิงปิดหน้าเดินเข้าไปด้านใน

“นายคุยกับเขาไปเถอะศิษย์น้องลู่ฝาน ฉันจะเข้าไปพักผ่อน”

ขณะนั้นชายชุดแดงหัวเราะแล้วพูดว่า “แลกไหม ฉันก็อยากลองสัมผัสสักหน่อย อย่าบอกนะว่านายไม่รู้ว่าฉันเป็นใคร”

เมื่อได้ยิน ลู่ฝานขมวดคิ้วขึ้นมาทันที

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 716
หลังจากนั้นเห็นลู่เฟิงกับลู่หมิงพาพวกลูกหลานตระกูลลู่มา

“เชิญนั่ง!”

ลู่ฝานพูดเสียงดัง

ลู่หมิงกับลู่เฟิงเดินเข้ามาอย่างตื่นเต้น

“เจ้าบ้าน!”

ลู่หมิงพูดอย่างนอบน้อม

ลู่ฝานพยักหน้าเป็นการบอกให้ลู่หมิงนั่งลง ลู่หาวมองลู่เฟิงแล้วพูดว่า “นายอ้วนขึ้น!”

ลู่เฟิงหัวเราะแล้วพูดว่า “วันๆ ไม่มีอะไรทำ ต้องอ้วนอยู่แล้ว”

ลู่ฝานพูดกับลู่หมิงว่า “ตำแหน่งผู้เฝ้าเมืองเป็นยังไงบ้าง”

ลู่หมิงไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ยุ่งจนฉันไม่มีเวลาฝึกฝนเลย เจ้าบ้าน นายทำได้ดีมาก”

ลู่ฝานยิ้มบางๆ แล้วตบไหล่ลู่หมิง

ปึง ปึง ปึง!

ขณะนั้นลู่หาวเคาะแก้วเหล้า บอกให้ทุกคนอยู่ในความสงบ

หลังจากนั้นทุกคนหันไปมองทางลู่ฝาน

ลู่ฝานค่อยๆ ยืนขึ้น ต่อไปเป็นช่วงบูชาฟ้าดินของตระกูลลู่

เดิมทีเขาจะดูคุณปู่ทำ ปีนี้ถึงตาเขาแล้ว

ลู่ฝานกวาดตามองทุกคนด้วยแววตาราบเรียบ นี่คือตระกูลของเขา

ลู่ฝานยกแก้วเหล้าขึ้นแล้วพูดเสียงก้อง “ลูกหลานตระกูลลู่ บูชาฟ้าดิน!”

ทุกคนลุกขึ้นยืน ยกแก้วเหล้าขึ้นสูง

ลู่ฝานพูดเสียงดังอีกว่า “เริ่มต้นปีใหม่ วิถีบู๊ยืนยาว!”

พูดจบ ทุกคนสาดเหล้าในแก้วลงบนพื้น

ลู่ฝานหัวเราะอย่างมีความสุข รู้สึกว่าดวงตาตัวเองเริ่มเปียกชื้น

ขณะนั้นลู่หาวพูดต่อ “ลูกหลานตระกูลลู่ เริ่มทดสอบได้”

ทุกคนเริ่มส่งเสียงเชียร์ ลูกหลานตระกูลกลุ่มหนึ่งเอาหินเจ็ดสีออกมา ไม่ใช่หินศิลาดำที่ใช้ทดสอบนักบู๊ระดับต่ำ

ลู่เฮ่าหรานมองท่าทีของลู่ฝาน หัวเราะแล้วพูดว่า “สืบสานประเพณี สืบสานตระกูลลู่”

ลู่ฝานนั่งลงแล้วพูดว่า “ใช่ ประเพณีคือสิ่งสำคัญที่สุด”

มองลูกหลานตระกูลลู่เดินเข้าไปทดสอบทีละคนอย่างเงียบๆ

ลู่ฝานรู้สึกมีความสุขเป็นอย่างมาก!

ขณะนั้น จู่ๆ ลู่ฝานเห็นศิษย์พี่หานเฟิงยืนมองเขาจากไม่ไกล ลู่ฝานกำลังจะเรียกเขาดื่มเหล้า แต่กลับเห็นสีหน้าของศิษย์พี่ลู่ฝานไม่สู้ดี

ลู่ฝานลุกขึ้นเดินมาข้างศิษย์พี่หานเฟิง

“เป็นอะไรไปศิษย์พี่หานเฟิง”

หานเฟิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน ฉันไม่อยากทำให้นายหมดสนุก แต่เรื่องนี้ยื้อต่อไปไม่ได้จริงๆ ดังนั้นจำเป็นต้องพูดกับนาย นายดูเองเถอะ นี่จดหมายที่ศิษย์พี่ใหญ่ส่งมา”

ลู่ฝานรับกระดาษจากมือศิษย์พี่หานเฟิง แล้วเพ่งมอง

หลังจากอ่านดู สีหน้าของลู่ฝานเปลี่ยนไปทันที

“ทำไมถึงเป็นแบบนี้ พวกคณะหยินหยางมาถึงขั้นนี้แล้วเหรอ”

หานเฟิงพูดว่า “คนคณะหยินหยางเริ่มเสียสติแล้ว”

ลู่ฝานกัดฟันพูดว่า “ไปกันเถอะศิษย์พี่หานเฟิง เรารีบไปกันเถอะ”

ศิษย์พี่หานเฟิงมองหน้าลู่ฝาน พยักหน้าแล้วพูดว่า “ได้!”

“หานเฟิง ตอนนายเห็นจดหมายฉบับนี้ ศิษย์พี่คงพาศิษย์น้องฮ่วนเย่ว์ ศิษย์น้องฉู่สิงกับศิษย์น้องฉู่เทียน เดินทางไปเมืองหยุนไห่แล้ว แม้ศิษย์น้องหลิงเหยาไม่ใช่คนคณะหนึ่งเดียวของเรา แต่นายก็รู้ความสัมพันธ์ของศิษย์น้องลู่ฝานกับเธอ ฉันไม่มีทางยอมให้คนคณะหยินหยางกลั่นแกล้งคนที่มีโอกาสเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นคนของศิษย์น้องพวกเรา

พวกอาจารย์บาดหมางกับคณะหยินหยางแล้ว อีกทั้งยังสู้กับซิงยวน ตอนนี้โดนทำโทษกักขัง ตอนนี้ซิงยวนของคณะหยินหยาง กำลังคิดหาวิธีจัดการคณะหนึ่งเดียวของเรา จากข่าวเอี๋ยนชิงศิษย์ที่ภาคภูมิใจของเขา ต้องไปตลาดหม้อยาที่เขาอวี่ฮั่วแน่นอน ถ้าพวกนายจะตามมาก็รีบมาที่นี่ ศิษย์พี่อู๋เหวย”

ลู่ฝานอ่านจดหมายอีกครั้ง รู้สึกว่าในใจมีแต่ไฟแค้น ทนไม่ไหวจนกำกระดาษในมือจนเป็นก้อน

นอกหน้าต่างเมฆหมอกล่องลอย นกบินผ่าน

ศิษย์พี่หานเฟิงยืนหน้าประตู ต้านสายลม มองไปไกลๆ

“ศิษย์น้องลู่ฝาน อีกนานแค่ไหนเราจะถึงเมืองหยุนไห่ ไอ้เวรเอ๊ย ฉันอยากซัดเอี๋ยนชิงจนทนไม่ไหวแล้ว”

ลู่ฝานเก็บจดหมายแล้วพูดว่า “ผมก็เหมือนกัน”

ลู่ฝานลุกขึ้นเดินออกจากห้อง

ตอนนี้พวกเขากำลังอยู่บนหลังของนกปิดฟ้า

นกปิดฟ้าขนาดใหญ่มหึมา เป็นสิ่งที่หอฝึกสัตว์เมืองตงหวาทำให้เขาโดยเฉพาะ

นกปิดฟ้าตัวนี้มีชีวิตอยู่หลายร้อยปีแล้ว คนของหอฝึกสัตว์สร้างห้องไว้บนหลังของนกปิดฟ้า เพื่อให้คนอาศัย ข้างในมีของครบถ้วน อีกทั้งยังติดตั้งค่ายกลป้องกันลมเอาไว้ด้วย ว่ากันว่าแค่ห้องนี้ก็ไม่เป็นรองเครื่องรางของอาจารย์บำเพ็ญชี่

ลู่ฝานยืนข้างศิษย์พี่หานเฟิง มองเมฆขาวที่ลอยไปด้านหลังไม่หยุด

ลู่ฝานชะงักไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “คนของหอฝึกสัตว์บอกว่านี่เป็นนกปิดฟ้าที่เร็วที่สุด เดินทางด้วยความเร็วสูงสุดอีกสามวันน่าจะถึง”

ลู่ฝานพูดพลาง เอายาเม็ดหนึ่งยื่นให้ศิษย์พี่หานเฟิง

ตอนนี้ยาเม็ดกลายเป็นอาหารสามมื้อของทั้งสองคนไปแล้ว

ตอนแรกศิษย์พี่หานเฟิงยังปรับตัวไม่ได้ คิดว่าถึงลู่ฝานมีจวนอากาศธาตุของเซียนบำเพ็ญชี่ก็ไม่ควรสิ้นเปลืองขนาดนี้

แต่ตอนนี้ศิษย์พี่หานเฟิงชินไปเสียแล้ว

ยาทิพย์วันละขวด ก็ไม่ใช่เรื่องน่าตกใจ

ลู่ฝานก็รู้สึกว่าระดับการกลั่นยาของตัวเองดีขึ้นตามไปด้วย

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 715
ประกอบกับอำนาจของผู้ตรวจการลู่สามคำนี้ อำนาจอื่นก็พูดได้ยาก

ดังนั้นตอนนี้ แหล่งเงินของตระกูลลู่ ทัดเทียมเสมอเหมือนตระกูลอี่ว์ในตอนนั้นแล้ว แต่ตระกูลลู่ย้ายมาจากเมืองเจียงหลินไปเมืองตงหวา ก็แค่เวลาไม่กี่เดือน

ใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือน ตระกูลลู่ได้เสร็จสิ้นการเปลี่ยนแปลงอันงดงาม

ตระกูลเล็กที่ไม่มีสักกะแดงเดียวหนึ่งตระกูล คนบ้านนอกคอกนากลายเป็นตระกูลใหญ่ ทุกคนก็เรียกอย่างยกย่องภายในเมืองตงหวา

ลู่ฝานก็ยังเป็นนักบู๊ชายหนุ่มที่ไม่เลวคนหนึ่ง กลายเป็นผู้ตรวจการลู่ที่มีชื่อเสียงเหมือนกับหัวหน้าเขตอี้ว์ได้

ใครสามารถจินตนาการได้ว่า โลกกำลังเปลี่ยนแปลงเร็วแค่ไหน

ใครจะไปรู้ว่า พรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง

“ครวะผู้ตรวจการลู่ เอ้อร์โก่วนำพาลูกน้อง แสดงความคารวะให้กับคุณท่าน”

ภายในคฤหาสน์ของตระกูลลู่ ลู่ฝานกำลังนั่งอยู่ในห้องอภิปรายของตระกูลลู่ มองดูกลุ่มคนกลุ่มที่คุกเข่าต่อหน้านี้อย่างเงียบสงบ

ยิ้มเล็กน้อย ลู่ฝานพูดขึ้นมาว่า: “นั่ง!”

เอ้อร์โก่วลุกขึ้นอย่างช้าๆ จัดแจงเสื้อผ้านั่งลง เสื้อผ้าที่เขาสวมนั้นหรูหรามาก แต่กลับไม่สามารถเปลี่ยนรัศมีอันธพาลบนร่างกายของเขาได้

ลู่ฝานคุ้นเคยกับบรรยากาศแบบนี้มากๆ ตามแบบฉบับมาจากนักเลงข้างถนนทั่วไป และดูอันธพาล

ทั่วทั้งห้องโถง ในเวลานี้นั่งเต็มไปด้วยคนแบบนี้แล้ว

ลู่ฝานเล่นกับหยกชิ้นหนึ่งในฝ่ามือ หยกขาวกลมเหมือนเหรียญทองแดงไหลผ่านปลายนิ้ว แฝงไปด้วยหมอก

ใช่แล้ว นี่เป็นหยกแขวนจิตบู๊ใหม่ชิ้นหนึ่ง เพียงแต่ว่ายังไม่ได้เจียระไนเป็นรูปเป็นร่าง

ลู่ฝานเล่นหยกไปด้วย และพูดไปด้วยว่า: “ทุกคน วันนี้ที่เรียกทุกคนมา ไม่ได้มีเรื่องอื่นใด ใกล้ถึงเทศกาลเซ่นไหว้ประจำปีแล้ว ตามธรรมเนียมของบ้านเกิดของเรา ก็ต้องแจกของให้ญาติมิตรสหาย เด็กๆ นำของเข้ามา!”

หลังจากการตะโกนของลู่ฝาน ลูกหลานกลุ่มหนึ่งของตระกูลฝานก็เข้ามาพร้อมกล่องหลายสิบกล่อง แกร๊กดังมาเสียงหนึ่ง กล่องก็ตกลงไปที่พื้น และเหรียญทองคำที่ทองเหลืองอร่ามก็กระจายไปทั่วพื้นทันที

“คนในตระกูลของพวกเรา ก็แค่จริงใจ ทุกคนรับเงินไป ฉลองเทศกาลเซ่นไหว้ประจำปีกันให้สนุก จำไว้ด้วย ทำงานเพื่อตระกูลลู่ของพวกเรา ตระกูลลู่ไม่มีทางลืม ทุกคนแบ่งกันเถอะ!”

กลุ่มคนเปล่งเสียงร้องด้วยความดีอกดีใจในทันที ลู่ฝานมองดูด้วยรอยยิ้ม แล้วเดินออกจากห้องโถงอย่างช้าๆ

ข้างนอก แม่นางฉินเอ๋อร์รออยู่นานมากแล้ว

ถือหนังสือเล่มเล็กๆไว้ในมือ และฉินเอ๋อร์พูดว่า: “ผู้นำ ทำไมต้องแจกเงินให้พวกเขาด้วย? แค่นักเลงกลุ่มหนึ่งเท่านั้นเอง”

ลู่ฝานพูดด้วยรอยยิ้มว่า: “เธอเห็นว่าเป็นนักเลง ฉันเห็นเป็นอันธพาลกลุ่มหนึ่งของเมืองตงหวาและแหล่งข่าวกรองตระกูลลู่ของพวกเรา แม้ว่าคนเหล่านี้จะหยาบคาย แต่ก็มีประโยชน์มาก เธอได้เชิญคนที่ต้องเชิญมาหมดหรือยัง?”

ฉินเอ๋อร์พยักหน้าและพูดว่า: “แทบจะเชิญมาทั้งหมดแล้ว เพียงแต่ว่าพวกตระกูลขี้ประจบของตระกูลอี่ว์ก็ต้องเชิญมาเหรอ? ไม่กลัวว่าพวกเขาจะสร้างปัญหาเหรอคะ?”

ลู่ฝานหัวเราะฮ่าฮ่าแล้วพูดขึ้นมาว่า: “ถ้าหากพวกเขากล้ามา ก็ไม่ใช่คนขี้ประจบของตระกูลอี่ว์ แต่เป็นคนขี้ประจบตระกูลลู่”

ฉินเอ๋อร์เอียงหัว ไม่ค่อยเข้าใจ

ลู่ฝานก็ไม่ได้อธิบาย และยิ้มเล็กน้อย

ค่ำคืน กำลังจะมาในไม่ช้านี้

มีแขกจำนวนมาก บรรยายฉากรื่นเริงและมีชีวิตชีวา และกองกำลังต่างๆภายนอกได้ส่งผู้คนไปเฉลิมฉลองเทศกาลเซ่นไหว้ประจำปีของตระกูลลู่ รอจนคนเหล่านี้เดินทางกลับไป

สวนหลังบ้านตระกูลลู่ ก็มีการจัดงานเลี้ยงใหม่อีก

เทศกาลดั้งเดิมของตระกูลลู่ การประลองของลูกศิษย์ในตระกูลยังคงดำเนินต่อไป

งานเลี้ยงร้องเพลงและเต้นรำได้เตรียมไว้แล้ว ลู่ฝานนั่งอยู่ที่ตำแหน่งผู้นำ รู้สึกแตกต่างเล็กน้อย!

นึกขึ้นมาได้ สี่ปีที่แล้วของวันนี้ ตัวเองยังต้องอดกลั้นความโกรธแค้นต้องการที่จะลบล้างชื่อเสียงเศษสวะอยู่เลย

ดูสิเวลาของปีนี้ เปลี่ยนไปมากแค่ไหน

“ผู้เฝ้าเมืองลู่มาแล้ว!”

เสียงรายงานออกมาด้านนอก ลู่ฝานและคนอื่นๆที่กำลังนั่งอยู่บนที่นั่งหลักก็เกิดความคล้อยตาม

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 714
สายตาก็กลายเป็นเย็นชา ท่าทางของลู่ฝานอยู่ด้านบนมองไปกวนหานที่อยู่ข้างล่าง

“แกพูดอีกทีสิ?”

ดวงตาของกวนหานประกายสะท้อนด้วยเลือด และพูดขึ้นมาว่า: “ลู่ฝาน ฆ่าฉันแล้ว ไม่มีผลดีต่อนายเลยสักนิด”

ลู่ฝานเพียงแค่จ้องมองกวนหานอย่างไม่วางตา: “แกพูดอีกทีสิ ฉันฆ่าแกแล้ว จะเป็นยังไง?”

กวนหานเงียบ ก่อนจะพูดว่า: “ลู่ฝาน ฉันคิดว่าพวกเรามีวิธีปรับความเข้าใจกัน”

ลู่ฝานยิ้ม เพียงแต่ว่ารอยยิ้มของเขาอาฆาตแค้นเป็นอย่างมาก แม้แต่ลู่หาวกับลู่เฮ่าหรานก็แยกตัวออกจากลู่ฝานตามสัญชาตญาณ

“ขอโทษด้วย ฉันไม่มีความตั้งใจที่จะปรับความเข้าใจกับแกเลยสักนิด”

หลังจากพูดแล้ว ลู่ฝานก็ทุบแขนอีกข้างของกวนหานให้แหลก ต่อจากนั้นยัดเข้าไปในจวนอากาศธาตุของตัวเอง

“ไอ้เก้า ช่วยฉันสั่งสอนเขาให้ดีๆ”

ลู่ฝานออกคำสั่งให้เจดีย์เสวียนเก้ามังกร

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรฟังน้ำเสียงที่ความอาฆาตแค้นของลู่ฝานออก และตอบกลับอย่างรวดเร็ว: “เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ ผมจะทำให้เขารู้สึดถึงตายไปดีกว่ามีชีวิตอยู่ต่อ เขาจะต้องเสียใจที่ทำไม ต้องมีชีวิตอยู่ในบนโลกด้วยสภาพนี้”

ลู่ฝานพูดในใจ: “อย่าลืมบีบบังคับให้ตอบคำถามเกี่ยวกับพลังที่เหลืออยู่ของสำนักโลหิตพิฆาต และเรื่องราวเกี่ยวกับตระกูลอี่ว์ออกให้ได้ด้วย”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรหัวเราะแฮะๆแล้วพูดขึ้นมาว่า: “เจ้านาย ท่านวางได้ ผมจะทำให้เขาจำได้ว่าเคยฉี่ราดบนเตียงมากี่ครั้งในวัยเด็ก”

ลู่ฝานยับยั้งรัศมีความอาฆาตแค้นของตัวเอง และกลับสู่สภาพเดิม

ลู่หาวกับลู่เฮ่าหรานถึงได้ก้าวไปข้างหน้าในเวลานี้

ลู่หาวพูดด้วยความเป็นห่วง: “ลู่ฝาน นายไม่เป็นไรใช่มั้ย”

ลู่ฝานพูดขึ้นมาว่า: “ไม่เป็นไรครับ ตอนนี้ เรื่องของสำนักโลหิตพิฆาต ได้จัดการเรียบร้อยหมดแล้วครับ”

ลู่เฮ่าหรานพยักหน้าและพูดว่า: “ดีมาก ลู่ฝาน ต่อไปเรื่องราวแบบนี้ นายก็ไม่ต้องลงไม้ลงมือเอง นายเป็นผู้นำตระกูล เรื่องอื่นที่คนในตระกูลทำได้ พยายามให้คนอื่นไปทำ”

ลู่ฝานพูดด้วยรอยยิ้มว่า: “ได้ครับคุณปู่ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ตระกูลลู่ถือว่าสามารถใช้ชีวิตอยู่ในเมืองตงหวาได้อย่างมั่นคงหลายวัน”

ลู่เฮ่าหรานราวกับคิดอะไรบางอย่างได้ แต่กลับไม่ได้พูดอะไรมาก

ในเวลาเดียวกันก็ส่ายหน้าให้กับลู่หาวเล็กน้อย บ่งบอกว่าเขาก็ไม่ต้องถาม

คนทั้งสามรุ่น ยืนอยู่ที่นี่ มองดูสวนหลังบ้านที่สวยงามของตระกูลลู่อย่างเงียบๆ

ท้องฟ้าสีฟ้าเมฆสีขาว ต้นไม้เขียวขจี น้ำนิ่งไหลลึก

……

เวลาผ่านไปอย่างเงียบๆเหมือนน้ำ

วันเวลากำลังพัฒนาไปในทิศทางที่สงบสุข ชีวิตยังคงต้องดำเนินต่อไป ผ่านไปชั่วแวบเดียวก็เป็นเทศกาลเซ่นไหว้ประจำปีอีก

เรื่องของตระกูลอี่ว์ ได้กลายเป็นเรื่องอื้อฉาวมากมายในเมืองตงหวาแล้ว ตอนนี้ภายในเมืองตงหวา เด็กอายุสามปีก็รู้เรื่อง อี่ว์ชิงเชิงได้เสียชีวิตแล้ว แต่มีคนรู้ไม่มากเท่าไหร่ ว่าใครเป็นคนฆ่ากันแน่ ตอนนี้ฆาตกรอยู่ที่ไหน สิ่งเดียวที่รู้ ก็คือประกาศทั่วประตูเมืองที่กำลังตามหาผู้ฝึกชี่ที่สวมหน้ากากเถ่เมี่ยน ค่าตอบแทนสูงจนเป็นที่น่าตกใจ แต่กลับไม่ได้เรื่องอะไรเลยสักอย่าง

ตอนนี้ ผู้ดูแลตระกูลอี่ว์ เป็นคุณสามของตระกูลอี่ว์ที่ได้รับเชิญกลับมาจากเมืองสวี่หลิน ชายวัยกลางคนที่ระมัดระวังในเรื่องเล็กๆน้อยๆคนหนึ่ง สิ่งเดียวที่เขาทำเมื่อกลับมาที่ตระกูลอี่ว์ที่ยังนับว่าพอไปได้ ก็คือจัดพิธีศพให้อี่ว์ชิงเชิง

ธุรกิจทั้งหมดของตระกูลอี่ว์ อำนาจทั้งหมด ดูเหมือนจะได้รับผลกระทบจากการตายของอี่ว์ชิงเชิง

จวนหัวหน้าเขตกับจวนผู้เฝ้าเมือง ก็ไม่กล้าที่จะปล่อยการควบคุมต่อตระกูลอี่ว์ กลัวว่าไม่ระวังหน่อย ตระกูลอี่ว์ก็จะประสบปัญหาใหญ่

ตระกูลอี่ว์ถูกควบคุมไว้ ชีวิตช่วงนี้ก็ผ่านไปอย่างยากลำบากมาก

เดิมทีที่มีความแค้นกับตระกูลอี่ว์ ไม่ชอบหน้า ก็ถือโอกาสซ้ำเติมคนที่กำลังประสบเคราะห์ร้ายในเวลานี้ก็มีส่วนร่วมด้วย ทำให้ธุรกิจของตระกูลอี่ว์ต้องสูญเสียอย่างน้อยๆครึ่งหนึ่ง

และในนั้น ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์มากที่สุด ก็คือตระกูลลู่

หมดหนทาง กองกำลังอื่นทำสิ่งต่างๆ ยังคงระมัดระวังในเรื่องเล็กๆน้อยๆ แต่ตระกูลลู่ ทำให้ชัดเจนว่ามีท่าทีจะต่อต้านกับตระกูลอี่ว์ ดุร้ายยังไงก็เป็นอย่างนั้น ทำให้ตระกูลอี่ว์ทุกข์ทรมานยังไงก็ทำอย่างนั้น ดังนั้นผลประโยชน์ของตระกูลลู่มีมากกว่าคนอื่นๆมาก

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 713
ดวงอาทิตย์ส่องแสงบนตัวของชายชราตามทางเข้าถ้ำ

หายใจเข้าลึกๆ ชายชราก็กระโดดขึ้น

ทันทีที่เขากระโดดออกมา สัตว์อสูรทุกตัวในป่ารกร้างโดยรอบก็จ้องมองมาที่เขา

สัตว์อสูรเหล่านี้ ทั้งหมดสูงเกินสิบฟุต ถือไม้กระบองยักษ์ และหัววัวร่างเป็นคน และแข็งแรงราวกับภูเขา

ทันทีที่เห็นชายชรากระโดดออกมาก็คำรามพร้อมเพรียงกัน ต่อมามองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และกรวดใต้ฝ่าเท้าก็รวมตัวกันอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นเกราะปกคลุมอยู่บนตัวของพวกมัน

เสียงคำรามดังมาก สัตว์อสูรหัววัวเหล่านี้ แต่ละตัวมีความแข็งแกร่งที่ไม่อ่อนแอไปกว่านักบู๊แดนปราณดิน

ชายชราลอยอยู่ในกลางอากาศ เพียงแค่กวาดสายมองพวกมันแวบหนึ่ง

ต่อมาก ชายชราก็โบกมือเบาๆ ลมก็พัดอย่างรุนแรง ฟ้าถล่มดินทลาย

มือยักษ์ข้างหนึ่งตกลงมาจากท้องฟ้า และกดลงอย่างรุนแรง

ราวกับพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ทำลายล้างโลก ทำลายทุกสิ่งในพริบตา

……

เมืองตงหวา

ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา หุ่นเชิดตัวหนึ่งได้มาถึงที่ตระกูลลู่ภายใต้การดูแลของทหารกลุ่มหนึ่ง

ลู่ฝานยืนอยู่ที่หน้าประตูห้อง รอเป็นเวลานานแล้ว เมื่อเห็นหุ่นเชิดตัวนี้ สีหน้าของลู่ฝานก็กลายเป็นเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น

“ส่งตัวของเขาไปที่สวนหลังบ้าน ไปเชิญพ่อของฉัน และคุณปู่ไปที่สวนหลังบ้านด้วยกัน!”

ลู่ฝานไม่ค่อยพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังในบ้าน

เมื่อเห็นว่าลู่ฝานดูอาฆาตแค้น ทุกคนไม่กล้าที่จะหายใจแรง และส่งตัวหุ่นเชิดที่มีแขนข้างเดียวไปที่สวนหลังบ้านอย่างรวดเร็ว

คนกลุ่มหนึ่งก็วิพากษ์วิจารณ์กัน เห็นได้ชัดว่าไม่เข้าใจลู่ฝานจะทำอะไรกับหุ่นเชิดตัวนี้

พูดตามตรง ขนาดคนในตระกูลอี่ว์ก็ไม่เข้าใจ ทำไมคนของจวนหัวหน้าเขตมาสืบคดี จะต้องย้ายหุ่นเชิดตัวนี้ออกไปด้วย

พ่อบ้านกลับรู้เรื่องอะไรบางอย่าง และตั้งใจขัดขวาง

แต่น่าเสียดายมาก หลังจากที่ผู้เฝ้าเมืองจางกับหัวหน้าเขตอี้ว์ออกหน้า เขาก็ไม่ได้พูดอะไร

หัวหน้าเขตอี้ว์ก็ไม่อยากที่จะมองหุ่นเชิดตัวนี้ ไม่ว่าลู่ฝานจะทำอะไรกับหุ่นเชิดตัวนี้ เขาก็ไม่อยากถามมากเกินไป

เขาขอแค่ลู่ฝานไม่มาถือโอกาสซ้ำเติมคนที่กำลังประสบเคราะห์ร้ายที่ตระกูลอี่ว์ก็พอ

ก่อนหน้าที่หัวหน้าเขตอี้ว์จะมา ได้อ่านข้อมูลของลู่ฝานมาอย่างละเอียดอีกครั้ง โดยเฉพาะในช่วงการสังหารตระกูลหมู่ เขาได้อ่านซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้ง

ในสวนหลังบ้านของตระกูลลู่ ลู่หาวกับลู่เฮ่าหรานต่างก็รีบวิ่งไป

ทั้งสองคนไม่เข้าใจลู่ฝานเรียกพวกเขามาทำอะไรในเวลานี้ แต่พวกเขาก็มาแล้ว

เพราะพวกเขารู้ดีว่า ถ้าหากไม่มีเรื่องสำคัญ ลู่ฝานไม่มีทางให้พวกเขามาอย่างแน่นอน

“พวกคุณมากันเถอะ!”

เขาโบกมือให้ลูกหลานของตระกูลลู่ออกไป สวมหลังบ้านทั้งหมดก็เหลือแค่ลู่ฝาน ลู่หาว ลู่เฮ่าหรานทั้งสามคนและหุ่นเชิดตัวหนึ่ง

ลู่หาวพูดขึ้นมาว่า: “ลู่ฝาน นายเรียกพวกเรามาทำไม? หุ่นเชิดนี้มีประโยชน์อะไร สำคัญมากเหรอ?”

ลู่ฝานพยักหน้าพูดขึ้นมาว่า: “ก็ไม่ถือว่าสำคัญหรอกครับ อันที่จริง ผมตั้งใจทำลายเขา”

จากนั้น ลู่ฝานก็ฉีดปราณชี่เข้าไปในหุ่นเชิด

วินาทีต่อมา เลือดจางๆก็ปรากฏขึ้นบนร่างของหุ่นเชิด จากนั้นหุ่นเชิดก็ลืมตาทั้งสองขึ้น และยืนขึ้นมา

“ลู่ฝาน!”

หุ่นเชิดสั่นเทาไปทั้งตัว ต่อมาก็หันหลังจะวิ่ง!

ลู่ฝานเตะร่างกายส่วนล่างของหุ่นเชิดให้แหลกด้วยการเตะหนึ่งครั้ง ต่อมาจ้องมองดวงตาทั้งสองข้างของหุ่นเชิดอย่างไม่วางตาแล้วพูดขึ้นมาว่า: “กวนหาน ไม่เจอกันนานเลยนะ”

ได้ยินกวนหานสองคำนี้ ลู่หาวกับลู่เฮ่าหรานต่างก็ตกตะลึง

“กวนหาน? กวนหานของสำนักโลหิตพิฆาต เขาตายไปแล้วไม่ใช่เหรอ?”

ลู่หาวอุทานออกมา

ลู่ฝานพูดอย่างใจเย็นว่า: “ใช่ ผมทำลายร่างกายของเขาไปแล้ว แต่เขายังมีชีวิตรอดด้วยวิธีนี้ กวนหาน แกคิดว่าจะซ่อนตัวตลอดไปได้จริงเหรอ?”

กวนหานพูดด้วยน้ำเสียงของกลไกว่า: “ลู่ฝาน นายฆ่าฉันไม่ได้ นายฆ่าฉันไม่ได้เด็ดขาด”

ลู่ฝานยกมือขึ้น และพูดเสียงดัง: “งั้นฉันก็จะลองดู”

กวนหานตะโกนเสียงดังว่า: “นายฆ่าฉันแล้ว ฉันก็จะให้ทั้งตระกูลลู่ของแกฝังไปด้วยกัน!”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 712
ขณะที่ลู่ฝานออกจากจวนหัวหน้าเขต ตรงหน้าลู่ฝานก็เห็นคนคนหนึ่ง

“คุณชายลู่ฝาน!”

เพ่งเล็งมองไป คืออี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์โผล่พรวดออกมา

ลู่ฝานหยุดฝีเท้า และพูดอย่างแปลกๆ: “คุณเสี้ยวเอ๋อร์ ไม่เจอกันนานเลยนะ!”

อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์จ้องมองลู่ฝานตั้งแต่หัวจรดเท้าอยู่นานแล้วพูดขึ้นมาว่า: “อือ คุณชายลู่ฝาน นายดูแข็งแรงมาก ไม่เหมือนกับไม่สบายเลยนะ”

ลู่ฝานอ้าปากขึ้น เป็นเวลานานถึงได้ตอบว่า: “เอ่อ เพิ่งจะหายดี”

อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์ก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง โน้มใบหน้าเข้าใกล้มาก ใกล้มากๆ!

“จริงเหรอ? ฉันยังคิดว่า อาการป่วยของนายไม่มีวันดีขึ้น”

ลู่ฝานถอนหายใจพูดขึ้นมาว่า: “คุณเสี้ยวเอ๋อร์ ขอโทษด้วย”

อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์พูดขึ้นมาว่า: “นายไม่จำเป็นต้องขอโทษ ฉันได้ยินมาแล้วว่า นายคบหากับอู่คงหลิงแล้ว ก็ย่อมไม่ชอบผู้หญิงที่หน้าตาไม่สวยงามอย่างฉัน แม้ว่านายจะผ่านประลองยุทธ์เลือกคู่ แม้ว่านายอาของฉันจะเตรียมตัวให้ฉันแต่งงานกับคุณแล้ว”

ลู่ฝานขมวดคิ้วพูดขึ้นมาว่า: “ผมกับอู่คงหลิงเหรอ? เธอฟังใครพูดมา”

อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์พูดขึ้นมาว่า: “คุณชายลู่ฝาน ผู้ตรวจการลู่ นายคงไม่ใช่ว่าต้องการจะปฏิเสธหรอกนะ! ฉันตรวจสอบมาอย่างชัดเจน รวมทั้งคืนนั้นที่นายคบหากับเธอด้วย”

สีหน้าของลู่ฝานเยือกเย็นขึ้นมา

“เธอส่งคนไปสอดแนมในตระกูลลู่ของผมเหรอ?”

อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์นิ่งไปครู่หนึ่ง และพูดตะกุกตะกักว่า: “ไม่……ไม่ได้ฉันส่งไป คือ……คือ……”

ลู่ฝานมองใบหน้าของอี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์ พูดออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า: “คุณอี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์ ผมจะคบหากับใคร ก็เป็นเรื่องส่วนตัวของผม ผมไม่จำเป็นต้องรายงานเธอ และก็ไม่ต้องการให้เธอส่งคนมาจับตาดูผมด้วย และก็ยิ่งไม่ต้องการ ให้เธอส่งคนไปสอดแนมตระกูลลู่ของผมด้วย ขอโทษด้วย ผมยังมีธุระ ขอตัวก่อน!”

อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์มองดูลู่ฝานเดินออกไปด้วยความนิ่งอึ้ง ไม่รู้ว่าทำไมรอบดวงตาถึงได้เปียกชื้น

ลู่ฝานเดินออกจากจวนหัวหน้าเขต และขึ้นรถม้า

ทันทีที่ขึ้นรถ ลู่ฝานก็มองเห็นศิษย์พี่หานเฟิงกับแม่นางเมี่ยวหยู่ที่นัวเนียอยู่ด้วยกัน

ทั้งสองรีบจัดแจงเสื้อผ้า

ศิษย์พี่หานเฟิงหัวเราะฮ่าฮ่าแล้วพูดขึ้นมา: “ศิษย์น้องลู่ฝาน ทำไมนายกลับมาเร็วขนาดนี้”

ลู่ฝานทำเหมือนไม่เห็นอะไร และส่ายหัวพูดขึ้นมาว่า: “กลับบ้าน!”

คนเลี้ยงม้าโบกแส้ และล้อหมุนไปข้างหน้า

……

ในเวลาเดียวกัน ที่ห่างไกลออกไป ในซากวัตถุโบราณที่ไกลสุดขอบฟ้า ชายชราในชุดผ้าขี้ริ้วก็ลืมตาทั้งสองขึ้น

ใบหน้าผอมแห้ง ร่างกายที่ผอมบาง ชายชราดูเหมือนซากศพที่ฟื้นคืนชีพ

ทันใดนั้นเลือดหยดหนึ่งหยดจากฝ่ามือของชายชรา ตกลงสู่พื้น ทำให้เกิดหมอกเลือดขึ้น

ในสายหมอกที่ปกคลุม ชายชรามองดูภาพลวงตา หินสีดำบนพื้น ห้องโถงว่างเปล่า และเจดีย์มังกรพันรอบ

“ชิงเชิง ทำไมนายถึงได้กลายเป็นแบบนี้!”

ชายชราถอนหายใจ

หมอกเลือดหายไป ชายชราเริ่มขยับนิ้วคำนวณ

“ที่นี่อยู่ห่างไกลจากเมืองตงหวาร้อยค่ายกลเต็มๆ ก็หมายความว่า เมื่อคืนนี้ ชิงเชิงก็ตายไปแล้ว!”

ค่อยๆลุกขึ้น ชายชรามองดูกำแพงโดยรอบ

ด้านบน เต็มไปด้วยบาดแผลจากมีดและรอยดาบทุกชนิด ชายชราสูดหายใจเข้าลึกๆ

“สายเลือดของฉัน ไม่นึกเลยว่าจะสิ้นสุดไปเช่นนี้ เป็นอี่ว์เทียนซีก่อน แล้วก็ตามด้วยชิงเชิง ดูเหมือนว่าถ้าฉันไม่กลับไปอีก ตระกูลอี่ว์ทั้งหมดก็จะถูกทำลาย คิดว่าฉันออกมานานสิบกว่าปีแล้ว เดินทางไปนัดพบเจอกันที่หยุนไห่ พเนจรตามภูเขาและแม่น้ำ แสวงหาวิชาบู๊ล้มเหลวไม่ว่า ยังทำให้ตระกูลประสบภัยพิบัตินี้ อี่ว์หลงเฟิงนะอี่ว์หลงเฟิง ดูเหมือนว่าพวกเขาจะลืมชื่อของนายไปแล้ว ดูเหมือนว่าเด็กเปรตเหล่านั้นไม่ค่อยเชื่อฟังอีกแล้ว!”

เมื่อพูดเช่นนี้ ชายชราก็เปล่งรัศมีที่น่าสะพรึงกลัว กำแพงโดยรอบก็เริ่มแตกออก ในไม่ช้าก็มีรูขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นเหนือศีรษะ

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 711
“รายงาน ผู้ตรวจการลู่กำลังมาหา!”

เสียงรายงานดังมาจากข้างนอกอีกครั้ง

หัวหน้าเขตอี้ว์กับผู้เฝ้าเมืองจางทั้งสองคนสบตากัน

“เชิญผู้ตรวจการลู่เข้ามา!”

หัวหน้าเขตอี้ว์พูดเสียงดัง

ผู้เฝ้าเมืองจางขมวดคิ้วพูดขึ้นมาว่า: “ผู้ตรวจการลู่มาในเวลานี้ ข่าวของเขาสันทัดกรณีมาก หรือว่า…….”

หัวหน้าเขตอี้ว์ส่ายหน้าพูดขึ้นมาว่า: “ฉันรู้ว่าพวกเด็กเปรตของตระกูลลู่ มีความทะเยอทะยานมากๆ ข่าวสันทัดกรณีมากก็เป็นเรื่องปกติ ตระกูลลู่ไม่ได้ขจัดกำลังของอี่ว์ชิงเชิง ลู่ฝานก็ใช้การไม่ได้”

ผู้เฝ้าเมืองจางลูบหนวดเคราแล้วพูดขึ้นมาว่า: “ฆ่ากุยวัว(สัตว์ประหลาดชนิดหนึ่ง)ตายไปแล้ว หรือว่าแค่อี่ว์ชิงเชิงคนเดียวก็ไม่สามารถจัดการได้เหรอ?”

ในดวงตาของหัวหน้าเขตอี้ว์เปล่งประกายแปลกๆ และค่อยๆพูดขึ้นมาว่า: “ผู้เฝ้าเมืองจาง คำพูดของนาย ฉันจะถือซะว่าไม่ได้ยิน”

ผู้เฝ้าเมืองจางพูดด้วยรอยยิ้มว่า: “ฉันก็ไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น”

ในไม่ช้า ร่างของลู่ฝานก็ปรากฏตัวขึ้น

ด้วยรอยยิ้ม ลู่ฝานคารวะให้กับหัวหน้าเขตอี้ว์กับผู้เฝ้าเมืองจางและพูดขึ้นมาว่า: “ท่านผู้เฝ้าเมือง ท่านหัวหน้าเขตก็อยู่ด้วยเหรอ”

หัวหน้าเขตอี้ว์พูดด้วยรอยยิ้มว่า: “ยากมากที่ผู้ตรวจการลู่มาที่นี่ ฉันจำได้ว่าเสี้ยวเอ๋อร์ต้องเชิญผู้ตรวจการลู่เป็นเวลานานมากแล้ว”

ลู่ฝานยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน และพูดขึ้นมาว่า: “งานยุ่ง แค่งานยุ่งเท่านั้นเอง”

ทั้งสามคนนั่งลง หัวหน้าเขตอี้ว์พูดขึ้นมาว่า: “ผู้ตรวจการลู่มีธุระอะไรเหรอ?”

ลู่ฝานพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า: “ผมได้ยินว่าเกิดเรื่องกับตระกูลอี่ว์”

ผู้เฝ้าเมืองจางเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย หัวหน้าเขตอี้ว์ก็หุบยิ้มบนใบหน้าแล้วพูดขึ้นมาว่า: “ผู้ตรวจการลู่นายอยากจะบอกอะไร”

ลู่ฝานไม่ได้สนใจท่าทางของทั้งสองคน และพูดอย่างเปิดเผยว่า: “ขอโทษด้วย ตอนแรกผมอยากจะบอกว่าสำหรับเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตระกูลอี่ว์ รู้สึกเสียใจ แต่ว่าผมเสียใจไม่ได้จริงๆ ผมมาที่นี่แค่อยากถามสองเรื่อง อี่ว์ชิงเชิงตายจริงหรือเปล่า และจวนหัวหน้าเขตกับจวนผู้เฝ้าเมืองได้ส่งทหารเข้ามาในตระกูลอี่ว์แล้วใช่มั้ย”

ดวงตาทั้งสองของหัวหน้าเขตอี้ว์ก็ได้จับจ้องมองไปที่ลู่ฝานอย่างไม่วางตาแล้ว

ทั้งสองคนสบตากัน ลู่ฝานไม่ได้กลัวเลยสักนิด

หัวหน้าเขตอี้ว์พูดขึ้นมาว่า: “ขอโทษด้วย ผู้ตรวจการลู่ เรื่องราวยังตรวจสอบไม่ชัดเจน ตอนนี้ผมยังไม่สามารถให้คำตอบนายได้ แต่ว่าคนของจวนหัวหน้าเขตได้ปิดกั้นตระกูลอี่ว์ไว้แล้วจริงๆ ผมแนะนำให้ผู้ตรวจการลู่ประโยคหนึ่ง ในเวลานี้ อย่าเพิ่งไปตระกูลอี่ว์”

ลู่ฝานพูดขึ้นมาว่า: “คำพูดของท่านหัวหน้าเขต ผมก็ต้องเชื่อฟังอยู่แล้ว แต่ว่าท่านหัวหน้าเขต ผมรู้สึกว่า นี่เป็นแผนก่อการร้ายของสำนักโลหิตพิฆาต ท่านคิดว่าอย่างไร?”

หัวหน้าเขตอี้ว์ฟังความหมายในน้ำเสียงของลู่ฝานออก และส่ายหน้าเล็กน้อย

ผู้เฝ้าเมืองจางพูดขึ้นมาว่า: “ผู้ตรวจการลู่ นี่นายกำลังพยายามบีบคั้นตระกูลอี่ว์ให้ตายเลยนะ นายไม่รู้จริงๆเหรอว่าตระกูลอี่ว์กับสำนักโลหิตพิฆาตเป็นพวกเดียวกัน?”

ลู่ฝานพูดขึ้นมาว่า: “ผู้เฝ้าเมืองจาง เรื่องบางอย่างพูดชัดเจนเกินไปก็ไม่น่าสนใจ”

หัวหน้าเขตอี้ว์พูดขึ้นมาว่า: “ผู้ตรวจการลู่ ผมรู้ว่านายมีความแค้นต่อตระกูลอี่ว์ แต่ได้โปรดพิจารณาถึงสถานการณ์โดยรวมของเมืองตงหวาและเขตตงหวาด้วย ก็อย่าได้ถือโอกาสซ้ำเติมคนที่กำลังประสบเคราะห์ร้ายได้หรือเปล่า? คุณอย่าลืมสิว่า ตระกูลอี่ว์ยังมีอี่ว์หลงเฟิงอยู่คนหนึ่ง”

ลู่ฝานยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดขึ้นมาว่า: “อี่ว์หลงเฟิง ท่านคิดว่าผมกลัวเขางั้นเหรอ?”

ในเวลานี้บนตัวของลู่ฝานได้แผ่ซ่านรัศมีความเย่อหยิ่งออกมา

หัวหน้าเขตอี้ว์ทอดถอนหายใจในหัวใจ อายุน้อยจริงๆ หลังจากประสบความสำเร็จเพียงเล็กน้อย ก็เริ่มเย่อหยิ่งอวดดี

หัวหน้าเขตอี้ว์ไม่พูดอะไร แค่มองไปที่ลู่ฝานอย่างเงียบๆ ผู้เฝ้าเมืองจางก็ส่ายหน้าเบาๆว่า: “ผู้ตรวจการลู่ พวกเราก็รู้ว่าคุณเก่งกาจมากๆ แต่ได้โปรดให้ความสำคัญกับสถานการณ์โดยรวมก่อน”

ลู่ฝานถอนหายใจพูดขึ้นมาว่า: “งั้นก็ได้ ตระกูลอี่ว์ ผมจะปล่อยไปชั่วคราว แต่ถ้าหากแน่ใจว่าอี่ว์ชิงเชิงตายแล้วจริงๆ ช่วยแจ้งให้ผมทราบด้วย”

ลู่ฝานลุกขึ้นเตรียมตัวออกไป หัวหน้าเขตอี้ว์กับผู้เฝ้าเมืองจางก็ลุกขึ้นเช่นกัน

ขณะที่ลู่ฝานลุกขึ้นเดินออกจากประตู ทันใดนั้น ลู่ฝานหันหน้ามองไปที่หัวหน้าเขตอี้ว์แล้วพูดขึ้นมาว่า: “ใช่แล้ว ครั้งก่อนตอนที่ผมไปตระกูลอี่ว์ เห็นหุ่นเชิดแขนหักที่ไม่เลวตัวหนึ่ง ผมคิดว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับสำนักโลหิตพิฆาต”

หัวหน้าเขตอี้ว์กะพริบตาพูดขึ้นมา: “โอเค หุ่นเชิดตัวนี้จะถูกส่งไปให้ตระกูลลู่ในตอนบ่าย ผู้ตรวจการลู่นายสามารถดูดีๆได้”

ลู่ฝานพยักหน้า และก้าวเดินออกไป

มองดูลู่ฝานเดินออกไปไกล หัวหน้าเขตอี้ว์หันหน้ามาพูดกับผู้เฝ้าเมืองจางว่า: “เด็กหยิ่งยโส ไม่เอาไหน”

ผู้เฝ้าเมืองจางกลับขมวดคิ้วพูดขึ้นมาว่า: “ถ้าเขาเสแสร้งล่ะ?”

หัวหน้าเขตอี้ว์พูดขึ้นมาว่า: “ถ้าหากเป็นอย่างนั้น เขาก็น่ากลัวเกินไปแล้ว!”

หลังจากที่พูดจบ หัวหน้าเขตอี้ว์กับผู้เฝ้าเมืองจางก็หัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน

ลู่ฝานที่เดินอยู่ด้านนอก ก็ยิ้มเล็กน้อย

“กวนหาน อือ พวกเราเจอกันอีกแล้ว!”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 710
จวนหัวหน้าเขต

วันนี้หัวหน้าเขตอี้ว์อารมณ์ไม่ดีมาก หลังจากที่เขาตื่นนอนก็ได้ยินข่าวการตายของอี่ว์ชิงเฉิน เขาโกรธจนไม่ได้กินข้าวเช้า

“ใครกัน?ตกลงมันเป็นใครถึงกล้าขนาดนี้ เขาฆ่าอี่ว์ชิงเฉิน กลางวันแสกๆแบบนี้เนี่ยนะ พวกแกมั่นใจแล้วหรอ หยกชีวิตของอี่ว์ชิงเฉิน แตกเป็นเสี่ยงๆแล้วใช่ไหม? ”

หัวหน้าเขตอี้ว์ตบโต๊ะก่นด่า

ไม่มีเจ้าหน้าที่คนไหน กล้าก้าวออกมาพูด

“ผู้เฝ้าเมืองจางล่ะ ไปเรียกเขามา ฉันว่าหน้าที่ผู้เฝ้าเมืองของเขาคงจะจบลงแค่เนี้แหละ!”

เห็นได้ชัดว่าหัวหน้าเขตอี้ว์โกรธเป็นอย่างมาก โต๊ะถูกตบจนแตกละเอียด

“ผู้เฝ้าเมืองจางมาแล้วครับ!”

ด้านนอก มีรายงานดังลอดออกมา หลังจากนั้น ก็เห็นผู้เฝ้าเมืองจางพุ่งตัวเข้ามาอย่างรีบร้อน

หัวหน้าเขตอี้ว์ก้าวออกมาข้างหน้าหนึ่งก้าว ด้วยสีหน้าความดุดัน จากนั้นก็มองผู้เฝ้าเมืองจางพลางกล่าวว่า“ผู้เฝ้าเมืองจาง ทางที่ดีนายอธิบายมาดีกว่าว่ามันเกิดอะไรขึ้น ไม่อย่างงั้น ถ้าตำแหน่งหัวหน้าเขตของผมไม่มั่นคง นายก็ไม่ต้องทำตำแหน่งผู้เฝ้าเมืองแล้ว กลับบ้านไปนอนพักเถอะ”

สีหน้าของผู้เฝ้าเมืองจางเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อคืนเขาได้รับข่าวมาว่ามีการเกิดการต่อสู้กันในเมือง เขานอนไม่หลับมาทั้งคืน หลังจากที่มั่นใจข่าวการตายของอี่ว์ชิงเฉินแล้ว เขารู้ได้ในทันทีหัวหน้าเขตอี้ว์จะต้องโกรธมากแน่ๆ แต่เขาคิดไม่ถึงว่าหัวหน้าเขตอี้ว์จะโกรธจนบอกให้เขากลับบ้านเกิดไป

ผ่านไปไม่นาน ผู้เฝ้าเมืองจางโบกมือให้ทหารที่อยู่ด้านหลังเขา“รีบเอาของเข้ามาเร็วเข้า”

ในมือของทหารมีผ้าชิ้นหนึ่ง ผู้เฝ้าเมืองจางรีบประกาศออกไปว่า“ทุกท่านโปรธจนดูต่อไปไม่ไหว นี่คือสิ่งที่เอากลับมาในที่เกิดเหตุครับ”

ทุกคนพากันมองดู ด้านในเป็นเศษเล็กเศษน้อย

หัวหน้าเขตอี้วหยิบขึ้นมา แล้วคำรามว่า“นี่มันคืออะไรกันเนี่ย ไม่มีร่องรอย ไม่มีสัญลักษณ์พิเศษอะไร สิ่งเหล่านี้ดูออกด้วยหรอ”

ผู้เฝ้าเมืองจางกล่าว“ท่านหัวหน้าเขตครับอย่าใจร้อนไปเลยนะครับ ผมขออธิบายให้ทุกคนทราบหน่อยนะครับ นี่เป็นเศษจากหน้ากากเถ่เมี่ยน”

พูดไปด้วย ยื่นมือโบกผู้เฝ้าเมืองจางด้วย ส่วนเหล่านี้ก็เริ่มรวมตัวกันด้วยตัวเอง สามารถมองเห็นภาพหน้ากากใบหนึ่งอยู่ที่ลอนดอน

“ผมส่งคนตรวจสอบแล้ว ภายในเมืองตงหวามีคนที่มีเถ่เมี่ยนน้อยมาก อีกทั้งเมื่อคืนนี้ส่วนใหญ่จะอยู่บ้านกัน แต่เมื่อวาน มีคนผู้หนึ่งสวมเถ่เมียนเดินเข้าในตระกูลอี่ว์ ตามคำบอกเล่าของคนของตระกูลอี่ว์ ผู้ฝึกชี่คนนั้น รักษาโรคของอี่ว์ชิงเฉินจนหาย หลังจากนั้นก็พักอยู่ที่ตระกูลอี่ว์ ว่ากันว่าอี่ว์ชิงเฉินวางแผนจะเลี้ยงอาหารดื่มฉลองให้เขา หลังจากนั้น เช้าวันนี้ คนผู้นี้ก็หายตัวไป หายกับร่างไร้วิญญาณของอี่ว์ชิงเฉิน”

ตอนนี้หัวหน้าเขตอี้ว์ใจเย็นลง

“ผู้ฝึกชี่?คุณมั่นใจนะว่าเป็นผู้ฝึกชี่คนนั้นน่ะ?”

ผู้เฝ้าเมืองจางกล่าว“เป็นไปได้ครับ หัวหน้าเขตส่งคนไปตรวจสอบดูก็ได้นะครับ แต่ต้องเป็นผู้ฝึกชี่แน่”

หัวหน้าเขตอี้วพยักหน้า กล่าว“หากเป็นผู้ฝึกชี่ เรื่องนี้คงจะดีกว่านี้หน่อย ภายในเมืองตงหวา ที่สามารถเชิญผู้ฝึกชี่ที่เก่งกล้าขนาดนี้มาได้ มีแต่ตระกูลอี่ว์ หัวหน้าเขต รวมถึง……”

หัวหน้าเขตอี้วกวาดตามองดูเจ้าหน้าที่ทั้งหลาย ทุกคนพากันส่ายหน้า

“ดูท่าจะเป็นผู้ฝึกชี่ที่ฝึกวิชาชั่วร้ายที่มาจากนอกมาทำเรื่องนี้”

หัวหน้าเขตอี้ว์สรุป นี่เป็นผลลัพธ์ที่เขาต้องการที่สุด มันไม่เกี่ยวอะไรกับกองกำลังต่างๆในเมืองตงหวา ผู้ฝึกชี่วิชาชั่วร้ายทั้งนั้นที่มาหาเรื่อง ให้ตายเถอะ รอไอ้ตาแก่บ้าของตระกูลอี่ว์กลับมาก่อนเถอะ ให้เขาไปพบกับเถ่เมี่ยนผู้ฝึกวิชาชั่วร้ายเถอะ!

ทุกคนต่างพากันถอนหายใจ แล้วพูดกับหัวหน้าเขตอี้ว์ว่า“ผู้เฝ้าเมืองจาง ทำได้ดี”

หัวหน้าเขตอี้ว์ส่งสายตาชื่นชมให้กับผู้เฝ้าเมืองจาง ซึ่งเขาเข้าใจความหมายดี

นั่นก็คือ ไม่ว่าสิ่งที่เขาพูดจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ก็จะต้องทำให้มันเป็นเรื่องจริงขึ้นมา ผู้เฝ้าเมืองจางก็ไม่อยากเห็นอี่ว์หลงเฟิงของตระกูลอี่ว์กลับมา แล้วทำให้เมืองจงหวากลายเป็นสนามรบ

“เอาล่ะ ทุกท่านควรต้องทำอะไรไม่ต้องให้ผมพูดแล้วใช่ไหม จำไว้นะ ผมแค่ต้องการสองอย่าง หนึ่งคือ เมืองตงหวาสงบสุข ถ้าตระกูลอี่ว์จะหาเรื่อง ก็ให้กดเอาไว้ สองคือ สืบหาคนร้ายให้เจอ อย่างน้อย ตรวจสอบที่มาที่ไป ชื่อเสียง และรูปร่างหน้าตา”

ทุกคนรีบลุกขึ้น แล้วเดินจากไป

คนทั้งกลุ่มต่างรู้สึกเหมือนรอดพ้นจากเคราะห์กรรม พอพวกเขานึกถึงตาแก่บ้าแห่งตระกูลอี่ว์บ้าคลั่ง ก็รู้สึกขนลุกขนพองไม่เบา

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 709
แม้ว่าพวกเขาจะเห็นอี่ว์ชิงเฉินผ่านหยกมีชีวิต จึงทำได้แค่เห็นเงาของเจดีย์เสวียนเก้ามังกร

ตรวจสอบเครื่องราง?ก็จะต้องตรวจนานแล้ว!

ลู่ฝานจับตัวของอี่ว์ชิงเฉินเข้าไปในเข็มขัดอากาศธาตุ หลังจากนั้น เจดีย์เสวียนเก้ามังกรก็ใช้ปราณชี่ของลู่ฝาน ฆ่าอี่ว์ชิวเฉินตาย

ลู่ฝานหลับตาลง รับรู้สัมผัสได้ถึงพลังชีวิตในร่างของอี่ว์ชิงเฉินสูญเสียไป ในที่สุดก็โล่งใจได้สักที

ในตอนนี้เอง เสียงตะโกนดังขึ้นที่ไม่ไกล

“ทางนี้ ทางนี้แหละ เร็วเข้า เร็ว!”

ลู่ฝานยิ้มเบาๆ หน่วยป้องกันเมืองที่มักจะมาช้าไปหนึ่งก้าว ไม่รู้ว่าพวกเขาจงใจมาเมื่อต่อสู้เสร็จแล้วรึเปล่า

ลู่ฝานส่ายหัวเบาๆ แล้วหายไปกับยามรัตติกาล

หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง ภายในคฤหาสน์ของตระกูลลู่ มีเงาร่างหนึ่งโผล่ออกมา

เจ้าดำลุกขึ้น แล้วจ้องมองแขกไม่ได้รับเชิญด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว

“เจ้าดำ ฉันเอง!”

ลู่ฝานเดินไปข้างหน้าแล้วลูบหัวของเจ้าดำเบาๆ

เจ้าดำมองไปที่ลู่ฝานด้วยสายตามึนงง ราวกับกำลังตั้งคำถาม เหตุใดลู่ฝานถึงกลับมาค่ำขนาดนี้

ลู่ฝานค่อยๆพูดขึ้นมาว่า“เจ้าดำ คอยดูเถอะ พรุ่งนี้เมืองตงหวาจะต้องวุ่นวายแน่นอน”

พูดจบ ลู่ฝานก็กลับเข้าห้องของตัวเองไป ในตอนนี้เขาก็สามารถนอนพักผ่นอย่างสบายใจได้สักที

……

เช้าวันรุ่งขึ้น

ลู่ฝานลุกขึ้นท่ามกลางเสียงร้องอันนุ่มนวลของฉินเอ๋อร์

ผลักประตูเข้ามา ก็เห็นฉินเอ๋อร์ชี้สั่งให้คนรับใช้เอาอาหารให้เจ้าดำกิน โดยที่เอาเตรียมอาหารกลางให้พร้อมด้วย แถมจานผลไม้

เจ้าดำใช้มือซ้ายหยิบสเต๊กเนื้อ มือขวาถือเหล้าผลไม้ พิงที่กำแพง กินไปด้วยดื่มไปด้วย เพลิดเพลินกับตัวเอง

“เจ้าบ้าน!”

ฉินเอ๋อร์และคนอื่นๆเห็นลู่ฝานเดินออกมา ก็รีบกล่าวคำทักทายอย่างเคารพ

ฉินเอ๋อร์โค้งคำนับ“เจ้าบ้านคะ ฉินเอ๋อร์รบกวนรึเปล่าคะ ฉินเอ๋อร์จากไปเดี๋ยวนี้เลยค่ะ”

ลู่ฝานโบกมือไปมา“ไม่มีอะไร การจำศีลของฉันจบลงพอดี ฉินเอ๋อร์ เธอไปดูที่ประตูหน่อย ถ้ามีข่าวอะไร รีบกลับมาบอกฉันนะ!”

ฉินเอ๋อร์ตอบรับ แล้วพาคนเดินจากไปหลายคน

เจ้าดำยื่นสเต๊กส่งให้กับลู่ฝาน แล้วยิ้มกว้าง

ลู่ฝานรับเนื้อสเต๊ก แล้วกัดกินอย่างมุมมาม จากนั้นก็ก้าวออกไป

เพียงไม่กี่ก้าว ก็เห็นศิษย์พี่หานเฟิงกำลังดึงตัวผู้หญิงของตระกูลลุ่คนหนึ่ง ถามนู้นถามนี่

“เสี่ยวลี่ ฉันเป็นถึงศิษย์พี่ของเจ้าบ้านเลยนะ ถึงยังไงเธอก็ต้องเคารพฉันหน่อยนะ คืนนี้มากินข้าวกับฉันสิ เธออยากกินอะไรบอกกับฉันได้เลยนะ อะไรนะ?ฝึกวิชา ไม่ได้ฝึกคืนหนึ่งคงไม่เป็นไรหรอก อีกอย่าง เดี๋ยวฉันฝึกวิทยายุทธให้เธอก็ได้ ฉันเป็นศิษย์พี่ของเจ้าบ้านพวกเธอเลยนะ!”

ลู่ฝานมองด้วยสีหน้าหมดคำพูด แล้วเดินไปข้างหน้า

เมื่อเห็นลู่ฝาน หานเฟิงก็รีบปล่อยมือ หญิงสาวตระกูลลู่ผู้นั้นจึงรีบกล่าวอย่างเคารพว่า“เจ้าบ้าน”

ศิษย์พี่หานเฟิงหัวเราะฮ่าๆ“ศิษย์น้องลู่ฝาน นายตื่นเช้าจังเลยนะ วันนี้อากาศไม่เลวเลยเนอะ!”

ลู่ฝานโบกมือเป็นสัญญาณให้หญิงสาว ว่าออกไปได้แล้ว

หญิงสาวรีบโค้งตัวเดินจากไปทันที ศิษย์พี่หานเฟิงหัวเราะ“ศิษย์น้องลู่ฝาน นี่คือเรื่องเข้าใจผิดนะ”

ลู่ฝานหัวเราะ“ศิษย์พี่หานเฟิง ถ้าพี่จะคบกับคนของตระกูลลู่ ผมไม่ว่าอะไรหรอกนะครับ แต่จะมาเล่นๆแล้วทิ้งเข้าไปมันไม่ได้”

ศิษย์พี่หานเฟิงกอดไหล่ของลู่ฝาน“ศิษย์น้องลู่ฝาน นายวางใจเถอะ ศิษย์พี่ยังเป็นคนดีอยู่นะ”

ลู่ฝานหัวเราะเหอะๆ ด้วยสีหน้า“ดูสิว่าฉันเชื่อไหม”

“เจ้าบ้านคะ!”

ในเวลานี้เองฉินเอ๋อร์รีบวิ่งกลับมา

ลู่ฝานรู้สึกตื่นเต้น กล่าวถามว่า“มีอะไร?”

ฉินเอ๋อร์พูดด้วยสีหน้าประหลาดใจ“เจ้าบ้านคะ ตระกูลอี่ว์เกิดเรื่องใหญ่แล้ว อี่ว์ชิงเฉินตายแล้ว”

หานเฟิงพูดอย่างตกใจ“ตายแล้ว?ป่วยตัวงั้นหรอ?ดีจังเลย”

ลู่ฝานยิ้มเบาๆ

แต่ในเวลานี้ฉินเอ๋อร์ชะงักไป“ส่วนที่ว่าตายยังไง ยังไม่รู้เลยค่ะ แต่จวนหัวหน้าเขตกับคนของจวนผู้เฝ้าเมืองกำลังจะไปตระกูลอี่ว์ อีกไม่นานจะต้องตรวจสอบเจออย่างแน่นอน!”

ลู่ฝานขมอวดคิ้วกล่าว“อะไรนะครับ?คนของจวนหัวหน้าเขตกับจวนผู้เฝ้าจะไป?เร็วเข้า รีบไปหยิบการ์ดเชิญ ฉันจะไปจวนหัวหน้าเขต!”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 708
เสียงระเบิด ทำให้คนของเมืองตงหวาได้ยินมันอย่างชัดเจน

ประชาชนนับถ้วนที่นอนหลับใหลในฝัน เช่นเดียวกับเหล่าคนชั้นสูงที่กำลังมีความสุขถึงกับยื่นหน้าออกมาทางหน้าต่าง มองไปยังทิศทางของเสียงระเบิด

ภายในตรอกเล็ก แสงสีรุ้งจางหายไป

เหลือไว้เพียงตรอกรกๆ กับคนสองคนที่กำลังจ้องมองหน้ากันอยู่

เลือดหยดหนึ่งออกจากมุมปากของลู่ฝาน เขาค่อยๆเช็ดมันออก

หน้ากากเถ่เมี่ยนที่ใช้ปิดบังใบหน้า หายไปกับเสื้อผ้าแล้ว

อี่ว์ชิงเฉินมองดูใบหน้าของลู่ฝาน นัยน์ตาเต็มไปด้วยความชั่วร้ายเกือบจะพ่นออกมา

“ลู่ฝาน ที่แท้ก็เป็นแกนี่เอง!”

อี่ว์ชิงเฉินแทบกัดฟันกรอดจนแตก

เขาพยายามอยากจะขยับ แต่ร่างกายของเขากลับกระตุก แม้แต่แขนยังยกไม่ขึ้นเลย

ลู่ฝานมองเฝ้าดูอย่างเงียบ ๆ ขณะที่คำสาปน้ำแข็งสีน้ำเงินปกคลุมอี่ว์ชิงเฉิน

คำสาปที่ไม่ถูกลบเหล่านี้ได้กลายเป็นเครื่องเตือนใจของอี่ว์ชิงเฉิน

ใบหน้ากำลังชักกระตุก ดูเหมือนจะเจ็บปวดมาก

ลู่ฝานรู้ว่านั่นคืออะไร พิษกัดหัวใจกำลังทำงาน

ในความเจ็บปวดสองเท่า มีนักบู๊อย่างอี่ว์ชิงเฉินที่ฝึกฝนมานานหลายปี ที่สามารถทนไหว

จากจุดนี้ อี่ว์ชิวเฉินสมแล้วที่เป็นนักบู๊แดนปราณดินผู้มีชื่อเสียง

ลู่ฝานพยักหน้า“ใช่แล้ว ฉันเอง”

อี่ว์ชิงเฉินกัดฟันกรอดกล่าวว่า“เสียดายที่ฉันไม่ได้ฆ่าแกให้ตายตั้งแต่แรก ตอนที่ฉันเจอแกครั้งแรก ควรจะฆ่าแกให้ตายรู้แล้วรู้รอด”

ลู่ฝานกล่าวอย่างเงียบสงบว่า“ใช่ แกน่าจะฆ่าฉันให้ตาย แต่โลกใบนี้มันก็เป็นแบบนี้นั่นแหละ แกไม่ฆ่าฉันทิ้งซะ ดังนั้นจึงถึงคราวที่ฉันจะฆ่าแกให้ตายแล้วล่ะ อี่ว์ชิงเฉิน แกไม่ต้องคิดจะทิ้งร่องรอยอะไรไว้หรอกนะ ต่อหน้าของผู้ฝึกชี่คนหนึ่ง กลอุบายอย่างนี้ แกยังห่างชั้นนัก!”

ลู่ฝานพูดไปด้วย บีบแขนซ้ายของอี่ว์ชิงเฉินไปด้วย

เขาใช้แรงเล็กน้อย ลู่ฝานบีบแขนซ้ายของอี่ว์ชิงเฉินจนหักได้แล้ว เมื่อครู่เขายังคิดจะใช้นิ้วซ้ายที่ขยับได้เพียงนิ้วเดียวเพื่อทิ้งชื่อของลู่ฝานไว้กลางอากาศ

สีหน้าของอี่ว์ชิงเฉินมีความสิ้นหวัง

“ลู่ฝาน แกคิดว่าฆ่าฉันแล้ว จะสามารถทำลายตระกูลอี่ว์ได้อย่างงั้นหรอ!ฉันจะบอกอะไรแกให้นะ เป็นไปไม่ได้”

ลู่ฝานเงยหน้าขึ้นมามองอี่ว์ชิงเฉิน แล้วพูดต่อไปว่า“แกอยากบอกว่า ตระกูลอี่ว์ของพวกแกยังเหลืออี่ว์หลงเฟิงคนหนึ่งอย่างงั้นหรอ?วางใจเถอะ ฉันไม่กลัวเขาแม้แต่นิดเดียว แกตายซะเถอะ อี่ว์ชิงเฉิน!”

พูดจบ ลู่ฝานก็ใช้ฝ่ามือตบไปที่หัวของอี่ว์ชิงเฉิน

ปราณชี่ที่รุนแรงแล่นเข้าสู่ร่างของอี่ว์ชิงเฉิน เขาล้มลงกับพื้นทันที

“เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ เจ้านายต้องลงมือโหดเหี้ยมกว่านี้นะครับ นักบู๊แดนปราณดิน ไม่แน่อาจจะเคยเรียนรู้วิชารักษาชีวิตด้วยการแกล้งตาย จะต้องลงมือซ้ำๆ จัดการแยกร่างมันเป็นชิ้นๆ”

ลู่ฝานมองดูอี่ว์ชิงเฉินที่สลบไป แล้วถอนหายใจหนึ่งครั้ง

ผู้กล้าตายในมือของเขาไปอีกราย แน่นอนว่าวิถีแห่งนักบู๊ ถ้าไม่พัฒนา ก็จะยากที่จะรอดจากความตาย

ศัตรูอย่างอี่ว์ชิงเฉินอาจจะมากขึ้นเรื่อยๆก็เป็นได้

ลู่ฝานส่ายเบาๆ แล้วพูดในใจว่า“จะฆ่าเขาที่นี่ไม่ได้ บุคคลอย่างเขาต้องมีหยกชีวิต เมื่อฉันฆ่าเขา ฉันจะสามารถพบฉันได้ผ่านหยกชีวิต เอาตัวไปก่อนแล้วจากนั้น ค่อยว่ากัน”

เสียงของเจดีย์เสวียนเก้ามังกรดังขึ้น

“เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ ฉลาดมากจริงๆ ทำไมผมถึงนึกไม่ถึงเรื่องของหยกมีชีวิต ใช่แล้ว จะฆ่าเขาตายที่นี่ไม่ได้ หึๆ เอาอย่างงี้ไหมครับทำให้เขาเป็นหุ่นเชิด ให้เป็นหน้าที่ผมเถอะ ผมจะยืมใช้พลังของเจ้านายฆ่าเขาตาย แบบนี้จะไม่มีใครตรวจสอบเจอว่าเจ้านายเป็นคนฆ่าเขาตาย”

ลู่ฝานพยักหน้า วิธีนี้ถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 707
นี่เป็นครั้งแรกที่ลู่ฝานใช้วิชาเทพไร้ขีดจำกัด

ในฐานะที่เป็นผู้รับถ่ายทอดวิชาจากอาจารย์หวูเฉิน วิชาเทพไร้ขีดจำกัดไม่เพียงแต่ใช้รักษาสมดุลภายในร่างกายของลู่ฝาน

นอกจากนี้ยังมีวิธีการปลดปล่อยและความสามารถในการสังหารศัตรู เพียงแต่ลู่ฝานในเมื่อก่อน ไม่มีปัญญาใช้พลังนี้อย่างแน่นอน และไม่มีโอกาสใช้เช่นกัน

ตอนนี้ ซึ่งลู่ฝานที่เข้าสู่ระดับนักเรกิ ในที่สุดก็สามารถแสดงพลังส่วนหนึ่งของวิชาเทพไร้ขีดจำกัด

แสงรุ้งหลากสีเหล่านี้ เป็นศูนย์รวมของพลัง

มันเหมือนกับค่ายกลอันแข็งกล้า ควบคุมอี่ว์ชิงเฉินตรงหน้าได้ในทันที

ราวว่ามีกลิ่นอายของเขตวิถี แผ่ส่านออกมา

แน่นอนว่า มันไม่มีทางเป็นเขตวิถี นักเรกิตัวเล็กๆคนหนึ่ง หากสามารถใช้เขตวิถีได้ ก็น่ากลัวเกินไปแล้ว

กระบวนนี้ของลู่ฝาน ถ้าพูดให้ถูกก็คือ เป็นค่ายกลที่เพิ่มความแข็งแกร่ง พร้อมกับกลิ่นอายของเขตวิถี

แต่เพียงแค่เท่านี้ ก็น่ากลัวมากแล้ว

ด้วยระดับยกขึ้นของลู่ฝาน หมอกนี้เต็มไปด้วยแสงสีรุ้ง อาจมีวันหนึ่ง จะกลายเป็นเขตวิถีสายรุ้ง

อี่ว์ชิงเฉินรู้สึกได้ถึงความอันตราย มองไปรอบๆอย่างระมัดระวัง

“ตกลงพวกเขามีกี่คนกันแน่?สองคน สามคน หรือกลุ่มหนึ่ง?”

อี่ว์ชิงเฉินพูดพึมพำ

ตอนนี้เขาได้ตัดสินใจว่าอีกฝ่ายไม่ได้ตัวคนเดียว

คนคนหนึ่งสามารถใช้เคล็ดวิชา และสามารถปลดปล่อยวิชาได้หรอ?

เรื่องแบบนี้ อี่ว์ชิงเฉินไม่เคยนึกถึงมาก่อน

ตอนนี้ สิ่งที่เขากำลังวิเคราะห์อยู่ก็คือ ใครเป็นคนที่กำลังใจที่ใช้ค่ายกลสังหารโดยเฉพาะ มาดึงดูดหลอกล่อเขา

ดูท่าแสงสีรุ้งนี้ จะมีแต่ยอดฝีมือที่มีครอบครอง

อี่ว์ชิงเฉินถอยหลัง!

ลู่ฝานเดินช้าๆในแสงสีรุ้ง แสงเหล่านี้ เป็นเหมือนจิตสำนึกที่ขยายออก เขาสามารถสั่งการได้อย่างง่ายดาย ควบคุมแสงสีรุ้งทั้งหมด

ความรู้สึกนี้มันวิเศษมาก ในภวังค์มีความรู้สึกของการฝึกเขตวิถีสำเร็จ

การอยู่ในแสงสีนั้นเปรียบเสมือนมีรูปแบบการเล่นที่ทั้งแนวรุกและแนวป้องกัน

นัยน์ตาของลู่ฝานยังมีแสงแปลกๆ เปิดวิชาชิงวิญญาณ เพื่อรอโอกาส

เสียงของเจดีย์เสวียนเก้ามังกรดังขึ้นภายในร่างกายของเขา

“เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ เขาเริ่มไม่ไหวแล้วครับ การหายใจเร็วขึ้นมาแล้ว ขาทั้งสองข้างเริ่มสั่นเทา มีเลือดออกจากหู บริเวณลำคอมีรอยช้ำ นี่คือสัญญาณของพิษที่กำลังกระจายตัวออก อย่างมากสู้กับเจ้านายแค่ไม่กี่กระบวนท่า เขาก็จะตายอย่างไร้กังวลแล้ว!”

ลู่ฝานกล่าว“ดีมาก วันนี้เขาจะต้องตายอยู่ที่นี่”

แสงสีที่อยู่บริเวณรอบๆ เริ่มมีลมหมุน

อี่ว์ชิงเฉินที่อยู่ในแสงเริ่มรู้สึกผิดปกติ เกราะปราณ การป้องกันของห้าธาตุ!

นักบู๊ที่มีเกราะปราณในครอบครอง ไม่ง่ายที่จะถูกจู่โจม!

“ออกมาเถอะ เถ่เมี่ยน ยังมีกระบวนท่าอะไรอีก รีบปล่อยออกมาซะ!”

อี่ว์ชิงเฉินตะโกนเสียงดัง เสียงดังลอดไปทั่วตรอกเล็กๆ ทั่วถนน และดังไปแสนไกล

จากจุดเริ่มต้น เสียงการต่อสู้ระหว่างทั้งสองอาจดึงดูดความสนใจของผู้อื่น

คิดว่าคงอีกไม่นาน หน่วยป้องกันเมืองคงจะตามมา!

รีบสู้รีบจบ!

ลู่ฝานหรี่ตาลง แสงสีรุ้งสาดส่องไปยังกระบี่หนักไร้คม!

“ยอดกระบี่หวนคืน!”

พอได้ลงมือ จะไร้เสียงเงียบกริบ!

กระบี่ของลู่ฝานมีแสงสีรุ้งทุกอย่างในนั้น ทันใดนั้นเอง แสงสีรุ้งก็รวบรวมเป็นหนึ่งเดียว

อี่ว์ชิงเฉินคำรามเสียงดัง“ฉันว่าแล้วว่าแกต้องอยู่ตรงนี้!”

เขาหันกลับมาทันที อี่ว์ชิงเฉินส่งหมัดสังหารไปยังลู่ฝาน

พลังทุกอย่างในร่างกายรวมอยู่ที่หมัด แสงสว่างพุ่งขึ้นฟ้าราวกับเสือร้าย คำรามกู่ก้องยามค่ำคืน!

ปึ้ง!

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 706
กระบี่หนักไร้คมที่อยู่ในมือ ภายในใจของลู่ฝานเต็มไปด้วยแรงสังหารต่ออี่ว์ชิงเฉิน

เดิมทีตั้งใจจะปล่อยให้อี่ว์ชิงเฉินตายอย่างไม่รู้ตัว แต่แผนการมักจะตามไม่ทันการเปลี่ยนแปลงเสมอ

พูดง่ายๆก็คือ จัดการปัญหาทีเดียว!

วิชาสายฟ้าฟาดห้าธาตุ สายฟ้าสามสายรวมตัว !

กระบี่ออกมา แสงสามสีสว่างจากวิชาสายฟ้าฟาดห้าธาตุก็พุ่งขึ้นมา

อี่ว์ชิงเฉินตั้งค่าการป้องกันพลังปราณทันที เขาไม่เข้าใจคนที่อยู่ข้างหน้าของเขา

ผู้ฝึกชี่ไม่ใช่หรอ?เหตุใดกระบวนท่านี้เหมือนกับเคล็ดวิชาของนักบู๊!

แสงสายฟ้าสามสีทำให้เกราะป้องกันของอี่ว์ชิงเฉินปั่นป่วนตลอดเวลา และแรงกระแทกที่อยู่ในนั้นทำให้พื้นทั้งหมดจมลง

“นี่คือเคล็ดวิชา ต้องเป็นเคล็ดวิชาแน่ๆ!”

อี่ว์ชิงเฉินกู่ร้องในใจ

เขาไม่เข้าใจ ทำไมผู้ฝึกชี่คนหนึ่งสามารถใช้เคล็ดวิชาได้

หรือว่า เขาจะไม่ใช่ผู้ฝึกชี่เถ่เมี่ยน?

ภายในใจของเขามีความคิดมากมายผุดขึ้นมา อี่ว์ชิงเฉินคว้าจับด้วยมือเดียว

บริเวณโดยรอบ ราวกับผ้าผืนหนึ่ง ถูกเขาหยุดยั้งเอาไว้

ทันใดนั้น การเคลื่อนไหวกระบี่ของลู่ฝานถูกบังคับให้ขยับ สายฟ้าสามสีถูกโยนขึ้นไปบนฟ้า

กระบวนนี้คล้ายกับการตอบสนองของปราณชี่ของลู่ฝาน มันใช้ต่างกันแต่ออกมาเหมือนกัน

กระบี่หนักไร้คมในมือของลู่ฝาน ถูกดึงและชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างควบคุมไม่ได้

การจู่โจมหยุดลง ประตูถูกเปิดออก

ฝ่ามือของอี่ว์ชิงเฉินเหมือนกับมังกรออกจากถ้ำ โจมตีไปที่ร่างของลู่ฝาน

เมื่อเขาคิดว่าฝ่ามือของตัวเองโจมตีเข้ากับลู่ฝานแล้ว แต่กลับพบว่าฝ่ามือของตัวเองทะลุผ่าน

ภาพลวงตา!

อี่ว์ชิงเฉินตึงเครียดมาก แต่ในตอนนี้เอง เท้าของเขาก็มีแสงสว่างวาบขึ้นมา

การปรากฏตัวของค่ายกลทำลายห้าธาตุ เป็นวิชาของผู้ฝึกชี่

ค่ายกลทำลายห้าธาตุค่ายเล็ก!

แววตาของอี่ว์ชิงเฉินเต็มไปด้วยความหวาดกลัว หรือจะมีคนมากกว่าหนึ่งคนที่นี่?

แสงสว่างค่ายกลห้อมล้อม พลังฟ้าดินรอบตัวทั้งสี่ทิศ เริ่มระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆอย่างบ้าคลั่ง

อี่ว์ชิงเฉินพยายามใช้พลังปราณของตัวเองขวางกั้น

สิ่งเดียวที่เขาทำได้ในตอนนี้ ก็คือใช้พลังทำลายอุบาย!

ด้านหลัง มีแสงประกายส่องสว่างออกมา อี่ว์ชิงเฉินคำรามเสียงดัง“ทำลาย!”

สองมือราวกับกรงเล็บเสือแหวกปริภูมิ อี่ว์ชิงเฉินฉีกช่องว่างของค่ายกลห้าธาตุค่ายกลเล็กออกมา แล้วพุ่งตัวออกไป

แต่ทันทีที่เขาออกมา เขาเห็นเปลวไฟที่เวิ้งว้างและสายฟ้าเสือ ที่พุ่งเข้ามาหาเขา

สัตว์ร้ายห้าธาตุ!

เป็นหนึ่งในวิชาของผู้ฝึกชี่!

วิชาแบบนี้ สามารถใช้ได้แม้แต่ผู้ฝึกชี่ ผู้ฝึกชี่ที่แข็งแกร่งที่สุดก็กำลังใช้ สุดแต่ความสามารถของแต่ละคน พลังก็ต่างกันไปเท่านั้น

จากความสามารถของลู่ฝานในตอนนี้ สัตว์ร้ายห้าธาตุที่กำลังใช้อยู่ พลังทำร้ายล้างไม่ธรรมดาเลย

อีกทั้ง สิ่งที่สำคัญมากที่สุดก็คือ สัตว์ร้ายห้าธาตุของลู่ฝาน ที่ยังใช้อยู่ก็คือปราณชี่ที่แตกต่างกัน

ไม่ว่าจะเป็นพลังระเบิด หรือระดับความแข็งแกร่งทรหด ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกชี่ทั่วไปจะสามารถทัดเทียมได้

โลกทั้งใบมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว!

ปึ้ง!ปึ้ง!ปึ้ง!

เสียงระเบิดดังขึ้นติดต่อกัน อี่ว์ชิงเฉินโดนระเบิดจนเสื้อผ้ายุ่งเหยิง ลมหายใจไม่มั่นคง

เป็นถึงนักบู๊แดนปราณดิน ถูกคนแบบลู่ฝานที่พึ่งเข้ามาในแดนปราณชีวิตไม่นานบดขยี้ มันยากที่จะจินตนาการ

วันนี้ ในที่สุดลู่ฝานก็ปล่อยมือออก และเขาจะใช้กลอุบายทุกอย่างที่มี

ถึงอย่างไรก็ไม่มีคนเห็น ขอแค่สามารถฆ่าอี่ว์ชิงเฉินได้ ไม่ว่าจะกลอุบายอะไรก็ใช้ได้ทั้งนั้น!

เป็นครั้งที่เขาค้นพบเช่นกัน ตัวเองลงแรงเต็มที่ บีบคั้นเคล็ดวิชากับวิชา ไม่กลัวนักบู๊แห่งแดนปราณดินคนหนึ่งด้วยซ้ำ

ลู่ฝานซ่อนในเงามืดอีกครั้ง พลังฟ้าดินบริเวณโดยรอบเข้าสู่ร่างกายของเขาอย่างบ้าคลั่ง

รอบตัวของลี่ฝานเริ่มมีแสงรุ้งปรากฏขึ้น ภายในตรอกเล็กๆแห่งนี้ เริ่มปกคลุมไปด้วยหมอกหลากสี

วิชาเทพไร้ขีดจำกัด ฟ้าดินรวมเป็นหนึ่งเดียว!

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 705
จู่ๆอี่ว์ชิงเฉินก็ขมวดคิ้วแน่น

“เสียงของแก ทำไมฉันฟังดูคุ้นหูจัง?”

ลู่ฝานรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย เขาลืมเปลี่ยนเสียง เสียงที่ใช้ตอนนี้ยังคงเป็นเสียง“ผู้ฝึกชี่เถ่เมี่ยน”

อี่ว์ชิงเฉินสีหน้าตะลึงงัน

“ให้ตายเถอะ แกเป็นผู้ฝึกชี่เถ่เมี่ยน ไอ้ระยำ ที่แท้แกเข้ามาในตระกูลอี่ว์ของเรา มีจุดประสงค์ เสียแรงที่ฉันให้ความเกรงใจแก!”

ในเมื่อถูกอี่ว์ชิงเฉินฟังเสียงออกแล้ว ลู่ฝานจึงนำแหวนที่อยู่ในหน้ากากเงินออกมา ปิดบังใบหน้า

“แกเกรงใจฉัน เพียงเพราะฉันเคยช่วยชีวิตแกไว้เท่านั้นเอง”

อี่ว์ชิงเฉินข่มความโกรธไว้“ผู้ฝึกชี่เถ่เมี่ยน แกถือว่าเป็นคนมีหน้ามีตา เป็นถึงผู้ฝึกชี่ ยังกล้าขโมยของของคนอื่น นี่มันไร้ยางอายเกินไปรึเปล่า”

ลู่ฝานหัวเราะหึๆ

“มีหน้ามีตางั้นหรอ แกดูจากตรงไหนที่เห็นวาฉันมีหน้ามีตาน่ะ”

ลู่ฝานพูดจบก็จงใจดีดหน้ากากเงินของตัวเองหนึ่งที แล้วใช้เสียงเย้ยหยันพูดกับอี่ว์ชิงเฉิน

อี่ว์ชิงเฉินถูกยั่วยุ จึงตะคอกเสียงดังว่า“ผู้ฝึกชี่เถ่เมี่ยน เห็นแก่ที่แกเคยช่วยชีวิตฉันไว้ ฉันจะไว้ชีวิตแก!”

พูดจบ อี่ว์ชิงเฉินก็พุ่งตัวเข้ามา พลังปราณทั้งหมดถูกรวบรวมอยู่บนมือ

หัตถ์ศักดิ์สิทธิ์ปิดเมฆ เมฆาถล่ม!

ฝ่ามือตกลงพื้นที่แตกเป็นเสี่ยงๆ

พื้นที่โดยรอบของลู่ฝานเริ่มล่มสลาย พลังอันแกร่งกล้าปกคลุมร่างของเขาเอาไว้

แต่ลู่ฝานกลับทำเพียงแค่ยิ้มอย่างสบายใจ

กระบวนท่านี้ มันกระจอกกว่า แรงสังหารของขุยมาก

ปราณชี่บนตัวของลู่ฝานสามารถลบล้างพลังส่วนใหญ่ได้ พลังที่เหลือจากนี้ แทบจะไม่สามารถเจาะเกราะเกล็ดมังกรได้ ถูกร่างของเขาดูดซับและกันเอาไว้

เสื้อผ้าโบยบิน แต่ลู่ฝานยังคงไม่ขยับ ต้านการปะทะของอี่ว์ชิงเฉินไว้

พลังเก่าของอี่ว์ชิงเฉินยังไม่ทันหมด พลังใหม่ก็แทรกเข้ามาอีกครั้ง

ลู่ฝานเหวี่ยงหมัดไปร่างของอี่ว์ชิงเฉิน

พลังหมัดมีปราณชี่ของลู่ฝานผสานอยู่ในนั้นด้วย มันเข้าสู่ร่างของอี่ว์ชิงเฉินทันที

ทันใดนั้น สีหน้าของอี่ว์ชิงเฉินก็เปลี่ยนไป

เขาก้าวถอยหลังไปหลายก้าว อี่ว์ชิงเฉินมองลู่ฝานด้วยความตกตะลึง

นี่มันวิชาประหลาดอะไรกันเนี่ย!

รู้สึกว่าพลังปราณในร่างกายกำลังทรุดตัวลง สีหน้าของอี่ว์ชิงเฉินเปลี่ยนเป็นน่าเกลียดมาก

มุมปากของลู่ฝานแสยะยิ้มขึ้น เป็นไปตามคาด ไม่ทันไร พลังของเขาก็พัฒนาไปได้มากขนาดนี้แล้ว

จำได้ว่าครั้งก่อน เขาถูกอี่ว์ชิงเฉินจู่โจมจนพลิกตลบตกลงพื้น

แต่ในตอนนี้ เขาได้ประจันหน้ากับอี่ว์ชิงเฉินแล้ว

นี่ก็คือความเปลี่ยนแปลง นี่ก็คือการก้าวข้ามขั้น

หากอี่ว์ชิงเฉินมองเขาเป็นนักบู๊ของแดนปราณชีวิต มันก็จะถือว่าเป็นเรื่องที่ผิดมหันต์

“ฮ่าๆ เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ ลมหายใจของเขาดับลงแล้ว พิษกำลังทำงาน ศักยภาพของเขาถูกบีบคั้นอีกครั้ง เวลานี้ เขาจะลืมความเจ็บปวดจนสิ้น ความแข็งแกร่งของเขาจะดีขึ้นในระดับหนึ่ง แต่ยากที่จะควบคุมได้แล้ว”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรช่วยลู่ฝานมองดูสถานการณ์ตรงหน้าด้วยรอยยิ้ม

เป็นไปตามคาด พลังปราณในร่างของอี่ว์ชิงเฉินเริ่มยกระดับขึ้นอีกครั้ง ราวกับเผาผลาญพลังชีวิตยังไงอย่างงั้น พลังปราณก็วาบหวามราวกับเปลวไฟ

แม้แต่อี่ว์ชิงเฉินยังไม่สังเกตเห็น สีน้ำเงินเย็นยะเยือกที่อยู่บนเท้าแล่นเข้าสู่ร่างของเขา

นี่คือการแสดงพลังที่ไม่สามารถระงับคำสาปได้!

ลู่ฝานมองดูอี่ว์ชิงเฉินที่รนหาที่ตาย จู่ๆก็นำกระบี่หนักไร้คมของตัวเองออกมา

เมื่อเห็นกระบี่เล่มใหญ่ราวกับแผงประตู ดวงตาของอี่ว์ชิงเฉินก็ตั้งตรงขึ้นทันที

เขากล่าวอย่างตกตะลึงว่า“นี่คืออาวุธของลู่ฝาน!แกเป็นใครกันแน่?”

ลู่ฝานยกกระบี่ขึ้นมาแล้วพุ่งตัวออกไป

“ถ้าได้เห็นกระบี่เล่มนี้ แกก็ต้องตาย!”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 704
เสียงฝีเท้าดังขึ้นทุกสารทิศ ตามมาด้วยปราณทิพย์ที่อี่ว์ชิงเฉินปล่อยออกมา บอดี้การ์ดทั้งหมดของตระกูลอี่ร์รีบกรูกันเข้ามาทางนี้ทันที

สีหน้าของลู่ฝานดูแย่เล็กน้อย ขืนเป็นแบบนี้ต่อไป คงจะหนีไม่ได้จริงๆ

ไม่ได้ รอต่อไปไม่ได้แล้ว!

ลู่ฝานกระโดดขึ้นมา แล้วพุ่งออกไปข้างนอก

ในขณะที่ลู่ฝานลุกขึ้นมา อี่ว์ชิงเฉินบุกเข้าไปทันที

“อยู่ต่อเถอะ!”

ด้านหลัง มีแสงสว่างส่องเป็นประกาย

ราวกับว่าดวงจันทร์สว่างไสวตกลงมาจากท้องฟ้า ลู่ฝานหันกลับไปมอง เห็นเพียงแค่ฝ่ามือพลังปราณเหวี่ยงเข้ามา

พลังอันน่าหวาดกลัว เพียงพอจะทำลายทั้งลาน

เกราะเกล็ดมังกรบนตัวของลู่ฝานเปิดออก ลำพังแค่ปราณชี่ ไม่เพียงพอจะต้านการจู่โจมนี้ได้

ปึ้ง!

ร่างของลู่ฝานสั่นไหว

ปราณชี่แหลกสลาย เกราะเกล็ดมังกรถูกโจมตีจนแตกร้าว

แต่ความเร็วของเขากลับไม่ได้ลดลงเลย เขาพุ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็ว

อี่ว์ชิงเฉินตกตะลึง ทั้งๆที่ความสามารถของอีกฝ่ายสู้เขาไม่ได้ เหตุใดถึงถูกเขาโจมตีได้ แม้แต่ความเร็วยังไม่ลดลงเลย

อี่ว์ชิงเฉินรีบพุ่งตัวออกไปทันที หากปล่อยให้อีกฝ่ายหนีรอดไปได้

ตระกูลอี่ว์ของพวกเขาก็จะเสียชื่อเสียง!

ร่างกายของเขาขยับและพลิกไปมากลางอากาศ ลู่ฝานเป็นเหมือนกับที่เดินไปมายามค่ำคืน

การเคลื่อนไหวของเขาไม่มีเสียงลมเลยแม้แต่น้อย ลำพังแค่จุดนี้ ก็ทำให้อี่ว์ชิงเฉินที่อยู่ด้านหลังตกใจได้แล้ว

จากความสามารถของนักบุ๊แห่งแดนปราณดินของเขา การเคลื่อนไหวของเขาเร็วกว่าลู่ฝานเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ระยะห่างระหว่างพวกเขาสองคน และการเข้าประชิดตัวด้วยความเร็วที่ช้ามาก

วิ่งในเมืองตอนกลางคืน บินข้ามชายคาและกำแพงตลอดทาง

ตอนแรกอี่ว์ชิงเฉินคิดว่าลู่ฝานที่ได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีของเขาจะชะลอความเร็วลง

แต่อี่ว์ชิงเฉินจู่ๆก็ปรากฏตัวขึ้น ร่างที่อยู่ตรงหน้า วิ่งเร็วขึ้นเรื่อยๆ

อี่ว์ชิงเฉินที่กำลังโกรธอยู่ ก็ระเบิดความเร็วมากขึ้น

ระเบิดพลังปราณในตัวออกมา ถึงแม้ว่าบาดแผลของเขาจะยังไม่หายดี แต่วินาทีนี้ ช่องว่างในการฝึกฝนวิทยายุทธ ยังตงเปิดเผยออกมา

ด้วยแสงระยิบระยับบนร่างกายของเขา เขาจึงเข้าหาลู่ฝานได้อย่างรวดเร็ว

ลู่ฝานรับรู้ได้ถึงลมแรงที่พัดอยู่ด้านหลัง

เสียงของเจดีย์เสวียนเก้ามังกรที่อยู่ภายในร่างกายของเขากล่าวว่า“เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ เขาไล่ตามทันมาแล้ว เขาไม่รู้ว่าการพยายามมากขนาดนี้ จะทำให้ลดอายุขัยของเขา?อ่อ เขาไม่รู้จริงๆ เจ้านาย ไม่ต้องกลัวเขาครับ ศักยภาพของเขากำลังถูกบีบโดยพิษหัวใจ ขอแค่เขาลงมือกับนาย เขาก็จะตายในไม่ช้า”

ลู่ฝานหัวเราะ“ยังมีเรื่องแบบนี้อีกหรอ ดูท่าฉันคงต้องเล่นกับเขาหน่อยแล้วล่ะ!”

หันกลับไป ลู่ฝานแวบเข้าไปในตรอก

ซึ่งในตรอกนี้เป็นตรอกมืด เต็มไปด้วยคนเร่ร่อนกับสุนัขจรจัด

ในทุกเมืองจะมีตรอกแบบนี้เสมอ และเป็นสถานที่ฆ่าคนชั้นยอด จำได้ว่ามีครั้งหนึ่งในตอนที่เขาถูกคนของกวนหานไล่ฆ่า เป็นตรอกแบบนี้เช่นกัน

การหยุดลงของลู่ฝานไม่ได้รบกวนใคร แม้แต่หัวของสุนัขจรจัดยังไม่ยกขึ้นเลย

แต่ขณะที่อี่ว์ชิงเฉินร่วงลงมา กลับทำให้ทุกคนที่อยู่ภายในตรอกต่างพากันลุกขึ้น

เหล่าบรรดาคนเร่ร่อนพากันถอยหลังอย่างหวาดกลัว แล้ววิ่งหนีออกจากตรอกเล็กๆแห่งนี้ไป

บรรดาสุนัขจรจัดเช่นกันต่างพากันมองอี่ว์ชิงเฉินด้วยความดุร้าย แต่หลังจากที่อี่ว์ชิงเฉินใช้สายตาเย็นชามองพวกมันครู่หนึ่ง

เหล่าสุนัขจรจัดก็หายวับไปทันที

ลู่ฝานยืนอยู่ด้านหน้าของอี่ว์ชิงเฉินอย่างเงียบๆ เขายับยั้งลมหายใจ

อี่ว์ชิงเฉินมองไปยังชายหนุ่มที่ปิดบังใบหนา ด้วยความอาฆาตที่ไม่สิ้นสุด

“ไอ้หนุ่ม ทำไมแกไม่หนีไป?”

อี่ว์ชิงเฉินกำหมัดตัวเองแน่น จนเสียงกระดูกดังกรอกแกรบ

ลู่ฝานพูดด้วยเสียงเบา“อยากหนีก็แค่หนี ไม่อยากหนี ก็แค่ไม่หนีเท่านั้นเอง!”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 703
ดวงตาของลู่ฝานถูกหนึ่งในแท่นหินในนั้นดึงดูด โดยหินมีรูปร่างขรุขระ และยังคงหมุนอยู่ แม้ว่าจะมีเกราะแสงคลุมอยู่ ลู่ฝานสามารถสัมผัสได้ถึงรัศมีเรกิ

“อุกกาบาตเหล็กหลิงซาน!”

ลู่ฝานพูดพึมพำ

นอกจากนี้แล้ว เขาไม่รู้ว่าตระกูลอวี่ยังมีสิ่งของอะไรอีกที่เหมือนเรกิ

ลู่ฝานลูบจับไปที่อุกกาบาตเหล็กหลิงซาน อย่างไม่ลังเล

แต่เกราะแสงชั้นนั้น ได้ขวางกั้นมือของเขาเอาไว้ ถึงมือของลู่ฝานจะเต็มไปด้วยปราณชี่

แรงคล้ายคลื่นกระทบกับแขนของลู่ฝานอย่างต่อเนื่อง ในแง่ของความแข็งแกร่ง พลังเหล่านี้ได้มาถึงระดับแดนปราณแล้ว

ปราณชี่บนตัวของลู่ฝานได้ขจัดจุดแข็งเหล่านี้ออกไปอย่างต่อเนื่อง และกล้ามเนื้อบนแขนของเขาก็เริ่มปรากฏเป็นคลื่น

“เปิด!”

ทันใดนั้น ลู่ฝานก็ระเบิดปราณชี่ออกมา และเกราะแสงก็มีช่องว่างระเบิดแตกออกมา

แขนมีแผลเหวอะหวะ แต่ลู่ฝานไม่สนใจแม้แต่น้อย และนำอุกกาบาตเหล็กหลิงซานออกมา

ได้มาแล้ว!

ลู่ฝานรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก แต่ในเวลานี้เอง เสียงเรียกของเจดีย์เสวียนเก้ามังกรก็ดังขึ้น

“เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ เร็วเข้า เจ้าหมอนั่นมาแล้ว!”

ลู่ฝานหันกลับมามองดู และเห็นทันทีว่าประตูของจวนอากาศธาตุเปิดออก อี่ว์ชิงเฉินพุ่งตัวเข้ามาอย่างรวดเร็ว

“หัวขโมย!”

อี่ว์ชิงเฉินตะโกนเรียกอย่างโมโห

ลู่ฝานหยิบอุกกาบาตเหล็กหลิงซานใส่เข้าไปในอก ต่อหน้าต่อตาของอี่ว์ชิงเฉิน

ดวงตาของอี่ว์ชิงเฉินโกรธจนแทบแตกออกเป็นเสี่ยงๆ พุ่งตรงเข้ามายังลู่ฝานทันที

พลังปราณพลุ่งพล่านในร่างกายของเขา การบ่มเพาะของแดนปราณ ทำให้จวรทั้งหลังเริ่มสั่นคลอน

แสงสว่างในมือของเขาเป็นประกาย อี่ว์ชิงเฉินดวงตาแดงก่ำ เขาใช้ทักษะเฉพาะที่ไม่มีการถ่ายทอดต่อแล้ว ซึ่งเป็นหัตถ์ศักดิ์สิทธิ์ปิดเมฆ

ลู่ฝานหลบหลีกอย่างรวดเร็ว อี่ว์ชิงเฉินใช้ฝ่ามือตบแท่นหินที่อยู่หลังของลู่ฝาน

พลังอันน่าสะพรึงกลัว ทำให้แท่นหินแหลกสลายทันที ลู่ฝานที่มีปฏิกิริยาเร็วมากยังได้รับผลกระทบ ปลิวไปตามฝ่ามือของเขา!

หลังจากทำให้ชั้นวางปลิวกระเด็น ลู่ฝานไม่มีเวลารับรู้ความเจ็บปวด เขารีบลุกขึ้นแล้วพุ่งออกไปทันที

“เจ้านาย รีบออกไปเร็วเข้า นี่คือจวนของเขา ถ้าขืนยังไม่ออกไป เดี๋ยวจะออกไปไม่ได้นะครับ!”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรตะโกนเรียกไปด้วย เปิดประตูของจวนไปด้วย

อี่ว์ชิงเฉินเห็นจุดประสงค์ของลู่ฝาน จึงพุ่งเข้ามาฆ่าเขาอีกครั้ง

“อยากไปงั้นหรอ?จะไปไหน!”

เขาเหวี่ยงฝ่ามือลงไปอีกครั้ง ฝ่ามือสะท้านภูผา

ลู่ฝานหันมือไปหาเขา ฝ่ามือทั้งสองปะทะกัน ร่างของอี่ว์ชิงเฉินหยุดลง แรงผลักที่แปลกประหลาด ทำให้อี่ว์ชิงเฉินรู้สึกไม่สบายเนื้อไม่สบายตัว

ลู่ฝานกระโจนเฉียงออกไป และบิดตัวอย่างน่าเหลือเชื่อ ราวกับร่างกายด้านบนกับด้านล่างอยู่ผิดที่ปิดทาง

ทักษะระดับนี้ อี่ว์ชิงเฉินไม่เคยเห็นมาก่อน

ลู่ฝานอาศัยแรงกระแทกพุ่งตัวออกจากจวนอากาศธาตุไป

อี่ว์ชิงเฉืนโกรธจนหนาบิดเบี้ยว เขารีบตามออกมาทันที

เขาเร่งฝีเท้าขึ้น วินาทีที่ลู่ฝานกระโจนออกมา เข้าเริ่มเปิดวิชาร่างผสานฟ้าดิน รวมถึงความสามารถเฉพาะตัวในการแยกพลังฟ้าดิน

เขาซ่อนตัวอยู่ในเงามืด ลู่ฝานราวกับหายตัวไปยังไงอย่างงั้น

อี่ว์ชิงเฉินที่พุ่งตัวออกมาพร้อมกันนั้นพบว่าตนหาร่างของลู่ฝานไม่เจอแล้ว

อี่ว์ชิงเฉินโกรธจนดวงตาเส้นเลือดแดงในตาแดงก่ำ หลังจากมองไปโดยบริเวณโดยรอบแล้ว“หยุดหลบแล้ว ฉันรู้ว่าเธออยู่ที่นี่”

ลู่ฝานมองเขาในที่มืดอย่างเงียบๆ มุมปากแสยะยิ้มออกมา

อี่ว์ชิงเฉินพูดต่อไปว่า“ไม่ว่าแกจะเป็นใคร วันนี้แกหนีออกจากที่นี่ไม่รอดแล้ว”

พูดจบ อี่ว์ชิงเฉินก็พุ่งตัวขึ้นฟ้า ตระกูลอี่ว์ทั้งตระกูลถึงกับวุ่นวายโกลาหล!

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 702
เขาสามารถควบคุมปราณชี่เพื่อล้างพลังทั้งหมดที่อยู่รอบตัวเขาได้ โดยอาศัยวิธีการนี้ น่าจะซื้อเวลาเขาได้มาก

ลู่ฝากระโจนเข้าไปในจวนอากาศธาตุ และทันใดนั้น แรงหมุนเหวี่ยนก็ลากเขาเข้าไป

เมื่อพลังของเขาเพิ่มมากขึ้น ลู่ฝานก็เข้าใจเกี่ยวกับพลังต่างๆลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น

เขาในเมื่อก่อนไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับการทะลุมิติต่างๆเลย ทำได้เพียงแค่ปล่อยให้พลังนี้นำพาเขาไป

แต่ในตอนนี้ ลู่ฝานรู้สึกได้ว่าเขาสามารถดิ้นรนได้เล็กน้อย อีกทั้งเขาสามารถสัมผัสได้ว่าพลังนี้มาจากอากาศเวิ้งว้างที่ไม่มีที่สิ้นสุด

ภาพที่อยู่ตรงหน้าของเขาเปลี่ยนไป สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าของลู่ฝานก็คือ ห้องกว้างขนาดใหญ่

แตกต่างจากจวนที่อยู่ในเข็มขัดอากาศธาตุของเขา จวนอากาศธาตุแห่งนี้ดูเล็กกว่ามาก ไม่ได้มีห้องเยอะขนาดนั้น มีเพียงชั้นวางเป็นแถวๆ ด้านบนมีสมบัติล้ำค่าวางอยู่มากมาย

สมบัติล้ำค่าส่วนใหญ่เปล่งประกายออกมา เห็นได้ชัดว่าเป็นของที่ไม่ธรรมดา

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรที่อยู่ภายในร่างของลู่ฝาน“ฮ่าๆ สมบัติล้ำค่า เป็นสมบัติล้ำค่าทั้งหมดเลย เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ รีบกวาดให้หมดเลยครับ เร็วเข้ากวาดพวกมันให้หมด!”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรไม่จำเป็นต้องกล่าวเตือน เรื่องพวกนี้ลู่ฝานทำอยู่แล้ว

ร่างกายพลิ้วไหวดุจลม ลู่ฝานเริ่มทำการกวาดสมบัติต่างๆ ในเวลานี้เองภายในจวนมีเสียงคำรามดังออกมา

พื้นที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าเริ่มมีแสงสว่างเป็นประกาย

“นี่เป็นค่ายกลการกักขัง เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ครับ เจ้านายกวาดของไว้นะครับ เดี๋ยวผมจะช่วยคุณทำลายค่ายกลเอง!”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรตะโกน ราวกับบ้าคลั่งไปแล้ว

ลู่ฝานรู้สึกว่าภายในร่างกายของเขามีเสียงสะท้อน!

ลู่ฝานเริ่มหยิบของใส่เข้าไปในเข็มขัดอากาศธาตุของตัวเอง ไม่ว่าในมือจะเป็นของอะไรก็ตาม

ทุกครั้งที่เขาหยิบอะไร ลู่ฝานจะรู้สึกว่ามือของเขาทะลุผ่านค่ายกลป้องกัน ถ้าเป็นเมื่อก่อน ค่ายกลพวกนี้จะสร้างปัญหาให้เขาเป็นอย่างมาก แต่ตอนนี้ ปราณชี่บนตัวของลู่ฝานเกิดความผันผวน และดีดตัวจู่โจมพลังบนตัวของเขา

ผ่านไปไม่นาน ของกองใหญ่ก็ถูกเขาโยนใส่เข้าไปในเข็มขัดอากาศธาตุเรียบร้อย

และในเวลานี้เอง ค่ายกลแสงสว่างที่อยู่ใต้เท้าส่องประกายขึ้นเรื่อยๆ ไอ้เก้าก่นด่าไปด้วย และพยายามแก้ค่ายกลไปด้วย

ตอนนี้ อี่ว์ชิงเฉินที่พึ่งกลับถึงห้องกำลังจะพักผ่อนล้มตัวนอน จู่ๆ หันมา

“ใคร!ใครบุกเข้ามาในจวนอากาศธาตุของฉัน!”

อี่ว์ชิงเฉินที่กำลังโกรธไม่มีเวลาสนใจว่าขาของตัวเองจะเจ็บอยู่ เอาปราณชี่ออกมา แล้วกลายร่างเป็นลมจากไป

พื้นที่อยู่ใต้เท้าแตกเป็นผุยผง ในตอนที่เขาจากไป

ภายในจวน ลู่ฝานยังคงหยิบของไม่หยุด

“เยอะเกินไป ไม่ไหวแล้ว หยิบของไม่หมด กลัวว่าเดี๋ยวอี่ว์ชิงเฉินจะกลับมา!”

ลู่ฝานพูดเสียงเบาๆ

สายตาจ้องมองไปยังด้านใน

โดยปกติแล้ว สิ่งที่ล้ำค่าที่สุด จะต้องวางอยู่ด้านใน เวลาที่เหลือของเขา เพียงพอแค่ให้เขาไปหยิบของล้ำค่าที่สุดสิ่งนั้น

เขารีบพุ่งตัวไปข้างหน้า ค่ายกลที่อยู่ใต้เท้าของเขาส่องประกายแสงของสัตว์ร้ายไม่หยุด

พลังอันแข็งแกร่งยังคงหลั่งไหลออกมาเรื่อยๆ ไอ้เก้าเองก็พยายามต่อต้านหยุดยั้งมัน

ลู่ฝานบุกเข้าไปด้านในสุด และสิ่งที่ดึงดูดสายตาของเขาคือแท่นหินเรียงกันเป็นแถว ซึ่งแต่ละอันคลุมด้วยแสงโปร่งใส

ลู่ฝานชำเลืองดูก็เห็นแขนซ้ายของกวนหาน ถูกวางไว้บนแท่นหิน

ดูท่า อี่ว์ชิงเฉินจะให้ความสำคัญกับวิชานี้จริงๆ

สายตากวาดมองโดยรอบ กระบี่เล่มหนึ่ง ตำราเล่มหนึ่ง หินก้อนหนึ่ง ดอกไม้ช่อหนึ่ง

สิ่งของทั้งสี่ชิ้นถูกวางแยกออกจากกัน และยังมีแท่งหินอีกห้าหกแท่นที่ว่างเปล่าอยู่

หลังจากผ่านไปธูปหนึ่งก้าน อี่ว์ชิงเฉินก็ก้าวออกมาจากประตูจวนอากาศธาตุ

เมื่อเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาแล้ว เห็นได้ชัดว่าเขารู้สึกพึงพอใจกับวิชาครึ่งใหม่ที่พึ่งได้รับมา

อีว์ชิงเฉินเดินออกมาอย่างกะโผลกกะเผลก

ลู่ฝานเฝ้าดูอี่ว์ชิงเฉินหายลับจากสายตาไปอย่างเงียบๆ จึงค่อยเดินออกมา

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรคึกคักผิดปกติ เขาร้องเสียงดังตะโกนออกมา

“เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ ผมรู้สึกว่ามีสมบัติล้ำค่านับไม่ถ้วนกำลังกวักมือเรียกเราอยู่ ฮ่าๆ ครั้งนี้ผมจะต้องฟื้นฟูพลังกลับมาอย่างน้อยหนึ่งส่วนอย่างแน่นอน”

ลู่ฝานเดินไปยังประตูที่เปิดออก พลางยื่นมือออกมา

ไม่มีอะไรผิดปกติ แม้แต่พลังฟ้าดินบริเวณโดยรอบ ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

หากเขาไม่ได้เห็นอี่ว์ชิงเฉินเดินออกมาจากด้านใน เกรงว่าลู่ฝานคงเดาไม่ออกว่าในนี้จะมีจวนอากาศธาตุซ่อนอยู่

“ไอ้เก้า ฉันให้แกแล้วกัน เปิดมันซะ!”

ลู่ฝานพูดในใจ

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดไปด้วยหัวเราะไปด้วย“ไม่มีปัญหา เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ ยืมใช้พลังของนาย พลังภายในของมุกเทพ จะใช้เยอะมากไม่ได้ เนื่องจากไอ้มังกร ยังคงสร้างปัญหาอยู่”

ลู่ฝานพยักหน้า เป็นการแสดงว่าเข้าใจแล้ว ไอ้มังกรที่เจดีย์เสวียนเก้ามังกรกล่าวถึง นั่นก็คือวิญญาณมังกรที่อยู่ในมุกเทพมังกรทำลายล้าง

เดิมทีคิดว่าเก้าจะสามารถลบล้างมันได้ภายในเวลาไม่กี่วัน แต่ผลปรากฏว่าตอนนี้วิญญาณมังกรยังคงดิ้นรนอยู่ ค่อนข้างที่จะแข็งแกร่ง

แต่อย่างไรก็ตามลู่ฝานไม่ได้หมดความอดทนใดๆ เขาแค่ต้องค่อยๆบดขยี้

ลู่ฝานพูดในใจ“เร็วๆเข้าเถอะ อย่ามัวแต่พูดพล่ามอยู่เลย”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรเริ่มดึงพลังจากลู่ฝานทันที เริ่มมีเงาของหอคอยปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของเขา และมีแสงถูกปล่อยออกมาจากยอดหอคอย

ควันสีเทาแห่งความตาย มีเสียงคำรามของอสุรกายดังลอดออกมา

ลำแสงสีเทาแห่งความตายสาดส่องไปยังปริภูมิ ทันใดนั้นเอง ประตูของจวนอากาศธาตุค่อยๆปรากฏขึ้นมา

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรทำไปด้วยพูดอธิบายไปด้วย“เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ ปริภูมิที่กล่าวถึง มันไม่มีอะไรมากไปกว่ากฎอย่างหนึ่ง ในตอนที่พลังของนายเจาะธาตุทั้งห้าของฟ้าดินได้ เข้าสู่ระดับที่สูงขึ้น ปริภูมิก็เป็นแค่พลังที่ค่อนข้างพิเศษเพียงเท่านั้น สิ่งที่ฉันใช้ในตอนนี้ก็คือพลังแห่งปริภูมิ เป็นพลังระดับที่สองของฉัน หึๆ หากฉันสามารถฟื้นฟูพลังขั้นที่สองได้ ถึงเวลานั้น ก็จะสามารถช่วยเจ้านายสร้างจวนอากาศธาตุได้ กระทั่งสามารถสร้างค่ายกลอากาศธาตุได้”

ลู่ฝานพยักหน้าอย่างเข้าใจ ตอนนี้เขาเริ่มเข้าใจถึงพลังแห่งปริภูมิแล้ว

ถึงแม้ว่าจะไม่บรรลุนิติภาวะ แต่ก็ได้สัมผัสถึงอุปสรรคนั้นแล้ว

จนกระทั่งวันหนึ่ง เมื่อเขาสามารถทำองค์ประกอบธาตุทั้งห้าของฟ้าดินได้สำเร็จ จะต้องสามารถควบคุมพลังนี้ได้อย่างแน่นอน

ว่ากันว่าตราบใดที่เป็นผู้ฝึกชี่ พลังแห่งปริภูมิ จะต้องควบคุมให้ดี เป็นการยากสำหรับนักบู๊ ที่จะเข้าใจพลังแบบนี้

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรคุยโวโอ้อวดอยู่นาน ในที่สุดก็สามารถเปิดประตูจวนอากาศธาตุได้สำเร็จ

ประตูเปล่งแสงออกมา ราวกับถ้ำขุมทรัพย์ลึก ทำให้รู้สึกถึงความตื้นตัน

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรกล่าว“เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ครับ ผมจำเป็นต้องเตือนเจ้านายเรื่องหนึ่ง จวนอากาศธาตุ จะต้องมีเจ้าของอย่างแน่นอน เพียงแค่เราเข้าไป เขาจะต้องรู้ได้อย่างแน่นอน หากเป็นจวนของอี่ว์ชิงเฉิน อย่างมากเขาก็เวลาธูปครึ่งก้าน ก็สามารถออกมาได้แล้ว”

ลู่ฝานพูดอย่างยิ้มๆ“น่าจะไม่ต้องใช้เวลาธูปครึ่งดอกหรอก ภายในเวลาหนึ่งร้อยลม เขาก็สามารถออกมาได้แล้ว อืม ดูท่าจะต้องเปลี่ยนชุดหน่อยแล้วล่ะ”

ลู่ฝานถอดหน้ากากเหล็กของตัวเองออกมา หลังจากนั้นก็ฉีกผ้าออกมาหนึ่งชิ้น นำมาห่อหน้ากากให้แน่นหนา

จากนั้นก็ถอดเสื้อคลุม ยัดเข้าไปในเข็มขัดอากาศธาตุ ลู่ฝานเปลี่ยนชุดอีกครั้ง

หลังจากนั้นเสร็จสิ้นแล้ว ลู่ฝานก็ปล่อยปราณชี่ออกมา

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 700
ลู่ฝานที่แอบซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางมืดนั้นแทบจะหัวเราะเสียงดังออกมา

เปลี่ยนร่างกาย? วิชาความสามารถที่เก่งขนาดนี้ เกรงว่าจะมีแต่ผู้ฝึกวิชาชั่วร้ายที่ถนัดทางด้านนี้เท่านั้นถึงจะกระทำได้

ผู้ฝึกชี่ทั่วไป ต่อให้เป็นเซียนบำเพ็ญชี่ ก็คงทำไม่เป็นเลยเวลานี้ เสียงของเจดีย์เสวียนเก้ามังกรก็พลันดังขึ้นจากในร่างกายของลู่ฝาน

“ไอ๊หยา มีพลังงานที่หนาแน่นอย่างมาก ฉันรู้สึกว่ามีสมบัติล้ำค่าอยู่ เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ นายเดินเข้ามาในคลังเก็บสมบัติอย่างนั้นเหรอ? ”

ลู่ฝานพูดในใจว่า: “คลังเก็บสมบัติ? แกพูดถึงที่นี่เหรอ? ”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดอย่างแน่ใจว่า: “ถูกต้องเลย เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ นายลองมองหาพลังงานที่หนาแน่นโดยละเอียด ซึ่งมันสามารถที่จะช่วยให้ฉันฟื้นฟูพลังความสามารถขึ้นได้ไม่น้อย”

เมื่อพูดจบ ลู่ฝานก็รู้สึกว่ากระบี่หนักไร้คมที่ตนเองเก็บเอาไว้ในเข็มขัดนั้นก็เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว

ไอ้เก้าเองก็รู้สึกได้เช่นกัน และเปลี่ยนคำพูดโดยพลันว่า: “และก็สามารถที่จะฟื้นฟูพลังให้กับกระบี่หนักไร้คมได้ไม่น้อยเลยทีเดียว”

ลู่ฝานเกิดรอยยิ้มขึ้น

เวลานี้ หลังจากที่กวนหานเงียบสงบลงไปครู่หนึ่งก็ได้พูดขึ้นว่า: “อาจารย์อา ฉันจะให้วิชาครึ่งหนึ่งกับท่านก่อน ซึ่งวิชาส่วนที่เหลือนั้น รอให้ท่านช่วยฉันเปลี่ยนร่างกายแล้ว ฉันจะให้ท่านทั้งหมดเลยว่าอย่างไรล่ะ”

อี่ว์ชิงเฉินกับหุ่นเชิดกวนหานจ้องหน้าสบตากัน

ผ่านไปสักพักหนึ่ง อี่ว์ชิงเฉินก็พูดว่า: “ตกลง ตอนนี้นายนำวิชาครึ่งหนึ่งนั้นมอบให้กับฉันก่อน”

กวนหานเก็บแสงสีเลือดบนร่างของเขาขึ้น ทันใดนั้น กวนหานก็ดึงแขนซ้ายของตนเองลงแล้วส่งมอบให้กับอี่ว์ชิงเฉินพร้อมกับพูดว่า: “วิชาครึ่งหนึ่งอยู่ในแขนซ้ายนี้ อาจารย์อา ท่านนำไปเถอะ”

อี่ว์ชิงเฉินตกใจ แล้วมองไปยังแขนซ้ายที่กวนหานยื่นมาให้และพูดขึ้นว่า: “วิชาอยู่ด้านในนี้เหรอ? ”

กวนหานพูดว่า: “ถ้าหากไม่เชื่อ ท่านก็ลองดูสิ”

อี่ว์ชิงเฉินรับแขนซ้ายของหุ่นเชิดมา แล้วก็ตรวจดูอย่างละเอียด

ทันใดนั้น อี่ว์ชิงเฉินก็มองเห็นตัวอักษรที่อยู่ภายในแขนซ้าย

อี่ว์ชิงเฉินเบิกตาโพลง มองดูอยู่สักครู่หนึ่ง จนละสายตาแล้วพูดขึ้นว่า: “ใช่วิชามารกัดกินกายจริง ๆ ด้วย นายไม่ได้โกหกฉัน”

เมื่อพูดจบ อี่ว์ชิงเฉินก็มองไปยังแขนอีกข้างหนึ่งของกวนหาน แล้วก็หรี่ตาลง

กวนหานพูดขึ้นว่า: “อาจารย์อา ท่านคิดว่าฉันโง่จนถึงขนาดที่นำวิชาใส่ไว้ตรงที่แขนซ้ายแขนขวาสองข้างนี้น่ะเหรอ? ”

อี่ว์ชิงเฉินพูดว่า: “ฉันสามารถลองแยกร่างกายของนายทั้งหมดออกดูได้”

กวนหานพูดขึ้นว่า: “อย่างนั้นก็เชื่อฉันได้เลยว่า ท่านจะไม่สามารถได้รับวิชาส่วนที่เหลืออยู่ตลอดไปอย่างแน่นอน”

อี่ว์ชิงเฉินยืนอยู่กับที่เป็นเวลานาน ท้ายที่สุดก็ไม่ได้ทำการแยกร่างของกวนหานออกแต่อย่างใด

อี่ว์ชิงเฉินหันกลับมา ถือท่อนแขนนั้นแล้วก็เดินกลับออกไป ลู่ฝานจึงได้ออกไปหลบอยู่ที่ด้านนอก

เมื่อเดินออกมาจากห้องฝึกฝนวิชาแล้ว อี่ว์ชิงเฉินก็เดินวนหนึ่งรอบ มาถึงด้านหลังของห้องฝึกฝนวิชา

มองซ้ายมองขวาตามเดิมเป็นประจำ แล้วอี่ว์ชิงเฉินก็โบกมือ ก็พลันปรากฏช่องรอยแยกของอีกหนึ่งมิติขึ้น

จวนอากาศธาตุ!

ลู่ฝานตกใจขึ้นโดยพลัน

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรหัวเราะเสียงดังในใจของเขาและพูดว่า: “ฮ่าฮ่า ที่จริงแล้วนี่ต่างหากที่เป็นห้องเก็บสมบัติ เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ รีบเข้าไปข้างในโดยเร็ว พวกเรารีบตามเข้าไปข้างในเลย สมบัติล้ำค่าจำนวนมากมายกำลังรอพวกเราไปนำออกมาแล้ว! ”

ลู่ฝานหลบซ่อนอยู่ในที่มืด มองเห็นประตูอากาศธาตุปรากฏขึ้น แล้วอี่ว์ชิงเฉินก็เดินเข้าไปในจวนอากาศธาตุนั้น

ลู่ฝานเกิดรอยยิ้มขึ้นที่มุมปาก และพูดในใจว่า: “ไม่ พวกเรารอให้เขาออกมาก่อน! ไอ้เก้า นายมีวิธีทำลายจวนอากาศธาตุนี้ไหม? ”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดขึ้นว่า: “แหะแหะ เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ นายรู้ได้อย่างไรว่าฉันมีวิธีทำลายจวนอากาศธาตุนี้ ฮ่าฮ่า จวนอากาศธาตุสือฟางนั้นฉันเองนี่แหละที่เป็นคนสร้างขึ้นให้กับเขา ในเมื่อฉันสร้างขึ้นได้ ก็ต้องมีวิธีทำลายลงได้ นายรอดูเถอะ จวนของเขาก็เหมือนกับหญิงสาวสวยที่ปลดเปลื้องเสื้อผ้าจนร่างกายเปลือยเปล่า เปิดต้นขาออกให้กับพวกเราอย่างมิตรภาพ เพื่อรอต้อนรับพวกเราด้วยความยินดี! ”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 699
ลู่ฝานรู้สึกว่าเปลือกตาของตนเองเริ่มที่จะกระตุก เจตนาสังหารในร่างกายกำลังจะปลดปล่อยออกมา

ยังดีที่ความสามารถในการควบคุมร่างกายของเขานั้นยังแข็งแกร่งมากพอ เจตนาสังหารยังไม่ทันที่จะปลดปล่อยออกมา ก็ถูกเขายับยั้งกลับเข้าสู่ภายในร่างกายแล้ว

ศิษย์หลาน!

เขาเพิ่งจะได้ยินคำว่าศิษย์หลานจากปากของอี่ว์ชิงเฉิน

ในที่สุดเขาก็เข้าใจได้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลอี่ว์และสำนักโลหิตพิฆาตแล้ว

ไม่แน่ว่า กวนหานอาจจะเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งที่ตระกูลอี่ว์ปล่อยออกมาก็เท่านั้น

ลู่ฝานเดินอย่างรวดเร็ว ราวกับผีสางเพื่อติดตามฝีเท้าของอี่ว์ชิงเฉิน

เขาที่เก็บระงับกลิ่นอายลมหายใจ และแอบซ่อนอยู่ในความมืดนั้น ราวกับเป็นเงาดำร่างหนึ่ง แม้ว่าจะเดินผ่านหน้าพ่อบ้านอาวุโสในระยะห่างแค่สามฟุต พ่อบ้านอาวุโสก็ไม่สามารถรับรู้อะไรได้

อี่ว์ชิงเฉินเดินกะเผลกไปยังห้องฝึกฝนวิชาของตน

ในหนึ่งช่วงเวลาบ่าย ก็เพียงพอแค่ให้เขาฟื้นฟูความสามารถในการเคลื่อนไหวได้เท่านั้น

แสงสีฟ้าบริเวณช่วงขายังไม่หายหมดไปอย่างสมบูรณ์ ดังนั้นเวลาเดิน ก็เหมือนกับกำลังลากขาสองข้างที่เป็นท่อนไม้ เคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ

และยังต้องใช้พลังปราณของตนเข้าช่วยอีกแรงด้วย

แต่แบบนี้ ก็ถือว่าสะดวกต่อลู่ฝานในการสะกดรอยตาม

อี่ว์ชิงเฉินฮึมฮัมเพลงไปด้วย แสดงว่าอารมณ์ดีใช้ได้

เมื่อเปิดประตูห้องฝึกฝนวิชา ไข่มุกเรืองแสงทั้งสองข้างก็ประกายแสงขึ้นอัตโนมัติ

ทั่วทั้งห้องฝึกฝนวิชาสว่างไสวราวกับกลางวัน บริเวณรอบห้องเต็มไปด้วยอาวุธ หินฝึกซ้อมวิชา หุ่นเชิด รวมไปถึงอุปกรณ์เครื่องมือต่าง ๆ จัดวางเรียงรายอยู่อย่างเป็นระเบียบ

อี่ว์ชิงเฉินเดินตรงเข้าไปด้านใน จนมาถึงด้านหน้าของหุ่นเชิดสีแดงเลือด ถึงจะหยุดฝีเท้าลง

อี่ว์ชิงเฉินเคาะไปที่หุ่นเชิดสีแดงเลือด เพื่อปล่อยพลังปราณเข้าสู่ร่างหุ่นเชิดนั้นเล็กน้อย

ทันใดนั้น หุ่นเชิดสีแดงเลือดก็เรืองแสงขึ้น

ลู่ฝานมองเห็นหุ่นเชิดสีแดงเลือดปลดปล่อยแสงเรืองรองออกมา พร้อมกับกลิ่นเลือดที่เข้มข้น

จากนั้น หุ่นเชิดก็พูดขึ้น

“อาจารย์อา ฉันนึกว่าท่านตายไปแล้วเสียอีก”

แม้ว่าน้ำเสียงที่พูดออกมานั้นจะไม่เป็นธรรมชาติ เป็นความรู้สึกในแบบเครื่องจักรกล

แต่ลู่ฝานก็ยังสามารถที่จะฟังออกได้ว่า นี่คือน้ำเสียงของกวนหาน

แววตาของลู่ฝานพลันเย็นชาลงทันที โดยอี่ว์ชิงเฉินส่งเสียงฮึอย่างเย็นชาและพูดขึ้นว่า: “คิดจะให้ฉันตาย มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก วางใจเถอะ ฉันได้พบเจอกับผู้ฝึกชี่ที่เก่งกาจช่วยรักษาอาการป่วยให้ฉันแล้ว ตอนนี้ส่วนใหญ่ก็หายดีเป็นปกติ เหลือเพียงแค่ช่วงขาที่ยังเคลื่อนไหวไม่คล่องแคล่วเท่าไรนัก ศิษย์หลานกวนหาน ตอนนี้ฉันมีสองตัวเลือกให้นายตัดสินใจ อย่างแรก ถ้านายมอบวิชาให้กับฉัน ฉันก็จะให้ผู้ฝึกชี่ที่เก่งกาจคนนั้นช่วยนายสร้างร่างกายใหม่ขึ้นมา อย่างที่สอง หรือไม่ฉันก็จะส่งมอบตัวนายให้กับตระกูลลู่ในตอนนี้เลย นายลองคิดตัดสินใจดูนะ ฉันนั้นหมดความอดทนทุกอย่างแล้ว”

กวนหานอุทานขึ้นว่า: “อาจารย์อา ท่านห้ามทำกับฉันแบบนี้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นอาจารย์จะต้องมาจัดการท่านแน่”

อี่ว์ชิงเฉินลงมือทันที พลันเกิดประกายลำแสงขึ้น พร้อมกับเสียงดังกร็อกแกร็ก อี่ว์ชิงเฉินได้ทะลุผ่านร่างหุ่นเชิดของกวนหานแล้ว

“อย่าได้มาท้าทายต่อความอดทนของฉัน นายคงคิดว่าฉันไม่กล้าฆ่านายจริง ๆ ใช่ไหมล่ะ! ”

น้ำเสียงของอี่ว์ชิงเฉินแฝงไปด้วยเจตนาสังหารที่ดุดัน แววตาสองข้างประกายแสงสีฟ้าขึ้น

นี่คือลักษณะอาการของการที่คำสาปยังไม่ได้กำจัดไปอย่างหมดสิ้น

แต่กวนหานไม่รับรู้เรื่องเหล่านี้ เขาตกใจอย่างมากกับประกายแสงสีฟ้าในแววตาของอี่ว์ชิงเฉิน เพราะว่าเขาสัมผัสได้ถึงพลังอันน่ากลัวจากร่างกายของอี่ว์ชิงเฉิน

ทันใดนั้น กวนหานก็พูดขึ้นว่า: “ตกลง อาจารย์อา ท่านชนะแล้ว ฉันจะมอบวิชาให้กับท่าน แต่ท่านจะต้องสัญญากับฉันว่า จะเปลี่ยนร่างกายใหม่ให้กับฉันด้วย ผู้ฝึกชี่คนนั้นที่ท่านพูดถึงมีความสามารถที่เก่งกาจขนาดนั้นเลยเหรอ? ฉันได้ยินว่าผู้ฝึกชี่ที่สามารถทำการปรับเปลี่ยนเคลื่อนย้ายร่างกายได้นั้น มีจำนวนไม่มาก! ”

อี่ว์ชิงเฉินพูดขึ้นด้วยท่าทางสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนและไม่หอบว่า: “ผู้ฝึกชี่เถ่เมี่ยน แม้แต่ฉันที่ป่วยหนักปางตาย ก็ยังสามารถรักษาให้หายปกติอย่างรวดเร็ว การที่จะปรับเปลี่ยนร่างกายใหม่ให้นายนั้น มันจะไปยากอะไร นายวางใจเถอะ เพียงแค่นายมอบวิชามาให้ฉัน ฉันจะช่วยนายเปลี่ยนร่างกายแน่นอน แม้ว่าผู้ฝึกชี่เถ่เมี่ยนทำไม่ได้ อาจารย์อาก็จะพานายไปเข้าร่วมตลาดหม้อยา ต่อให้ต้องจ่ายเงินจำนวนมาก ก็จะช่วยนายให้สำเร็จ”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 698
ดวงตามีเสน่ห์น่าหลงใหล ดึงดูดจิตใจผู้พบเห็น ซึ่งตั้งแต่ที่เธอเดินเข้ามา ก็ทอดสะพานให้กับลู่ฝานอย่างไม่หยุด

ลู่ฝานเองก็คงจะคาดเดาได้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น

ลู่ฝานหันหน้ามองไปยังอาหารที่หญิงสาวยกเข้ามา และพูดขึ้นว่า: “อาหารว่างมื้อดึกที่คุณยกมานั้น มีเพียงแค่เหล้าหนึ่งกาอย่างนั้นเหรอ? ”

หญิงสาวยิ้มและพูดว่า: “แน่นอนว่าไม่ใช่เพียงเท่านี้ ยังมีเนื้อด้วย! ”

เมื่อพูดแบบนี้แล้ว หญิงสาวก็เลยเปิดชุดคลุมยาวของตนเองออก

ภายในชุดคลุมยาวตัวใหญ่นี้ กลับกลายเป็นว่าไม่มีอะไรปกปิดเลย

โดยได้เปิดทุกสิ่งทุกอย่าง แสดงขึ้นต่อหน้าของลู่ฝานอย่างเปิดเผย

หญิงสาวสะบัดเอวส่ายสะโพกไปมา พร้อมกับเดินเข้ามาหาลู่ฝาน

พูดได้เลยว่า ส่วนที่ควรจะนูนก็นูนขึ้น ส่วนที่ควรจะโค้งเว้าก็โค้งเว้า รูปร่างสะโอดสะองอย่างที่สุด!

ลู่ฝานมองดูอยู่หลายรอบ แต่เมื่อหญิงสาวเดินเข้ามาใกล้ถึงตัวลู่ฝานในระยะที่ห่างประมาณสามก้าว กลับพบว่าตัวเองเดินต่อไปข้างหน้าไม่ได้แล้ว

ไม่ว่าเธอจะขยับเคลื่อนไหวอย่างไร ก็เหมือนกับว่าด้านหน้ามีกำแพงขวางกั้นตัวเธออยู่

เธอมองไปที่ลู่ฝานด้วยความงุนงง โดยที่ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น

ลู่ฝานพูดขึ้นด้วยเสียงที่ทุ้มต่ำว่า: “เธอสวยงามมาก”

หญิงสาวลูบผมอย่างเย้ายวน และพูดขึ้นว่า: “ท่านเถ่เมี่ยน ท่านต้องการจะกินฉันแล้วใช่ไหม? ”

ลู่ฝานหัวเราะเบา ๆ และพูดขึ้นว่า: “ฉันยังพูดไม่จบ เธอสวยงามมาก แต่คุณยังสวยงามไม่พอ อย่างน้อยไม่ใช่คนที่สวยงามที่สุดที่ฉันเคยพบเจอ เธอสามารถไปได้แล้ว และฝากบอกพ่อบ้านอาวุโสด้วยว่า ฉันไม่ชอบลักษณะการกระทำแบบนี้ ถ้าหากเขาไม่ได้รับการยินยอมจากฉัน แล้วจัดเตรียมผู้หญิงส่งเข้ามาในห้องพักของฉันอีก เขาก็ต้องกังวลสภาพการฟื้นฟูร่างกายของเจ้าบ้านของเขาแล้ว”

ทันใดนั้นหญิงสาวก็ตกใจจนสีหน้าเปลี่ยนไป เมื่อมองทะลุผ่านหน้ากากเงินของลู่ฝาน เธอก็สามารถมองเห็นดวงตาคู่หนึ่งที่กำลังเยาะเย้ยได้

หญิงสาวรีบสวมใส่ชุดคลุมยาวแล้วเดินออกไปทันที ส่วนลู่ฝานก็ส่ายศีรษะเบา ๆ

วิธีการซื้อใจแบบนี้มันช่างเลวทรามเกินไปหน่อยจริง ๆ เขาจึงประเมินค่าของตระกูลอี่ว์ต่ำลงไปอีก

ตระกูลแบบนี้ แม้ว่าจะไม่ได้ล่วงเกินตระกูลลู่ของพวกเขา

แต่ก็เกรงว่าอีกไม่นานคงจะก้าวไปสู่ความตกต่ำ!

ถือซะว่าหญิงสาวก็สวยงามพอใช้ได้ ให้เขาได้เห็นเป็นบุญตา เรื่องนี้ก็จบกันไป

ลู่ฝานหัวเราะเหอะเหอะ

ผู้หญิงแบบนี้เขาไม่มีทางที่จะไปแตะต้องหรอก ใครจะไปทราบได้ว่าภายในมีกับดักอะไรรอให้เขาหลงกลอยู่หรือเปล่า

“อยู่ดี ๆ แต่กลับมาประจบทำดีกับเรา คงจะต้องคาดหวังหรือขอร้องอะไรจากเราเป็นแน่! ”

ลู่ฝานถอนหายใจยาว

แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีเสียงร้องไห้ของผู้หญิงดังขึ้นมาจากด้านนอก

ลู่ฝานเงี่ยหูฟังสักครู่ จากนั้นก็แวบหายตัวกระโดดออกไปทางหน้าต่าง

ลู่ฝานยืนอยู่ในเงามืด เหมือนกับว่าหายสูญไปแล้วอย่างไรอย่างนั้น โดยที่ไม่มีใครมองเห็นเขาได้

ในบริเวณที่ไม่ไกลออกไป คิดไม่ถึงว่าอี่ว์ชิงเฉินกำลังดุด่าผู้หญิงคนนั้นอยู่

“ไอ้คนไม่ได้เรื่อง ฝึกอบรมเธอมาตั้งนานแล้ว แต่ก็ยังถูกเขาขับไล่ออกมาอีก เธอคงไม่ได้ทำให้ผู้ฝึกชี่เถ่เมี่ยนโมโหหรอกนะ เขาพูดว่าอย่างไรบ้าง”

หญิงสาวสะอึกสะอื้นและพูดขึ้นว่า: “ผู้ฝึกชี่เถ่เมี่ยนบอกว่าอย่าได้ส่งผู้หญิงไปยังที่ห้องพักของเขาอีก เขาไม่ชอบ”

พ่อบ้านอาวุโสที่ยืนอยู่ข้างอี่ว์ชิงเฉินพูดขึ้นว่า: “ดูเหมือนว่าผู้ฝึกชี่เถ่เมี่ยนคงจะเป็นดาบสแล้ว มิน่าล่ะเขาจึงสวมหน้ากาก นี่ก็ถือเป็นการบำเพ็ญฝึกฝนอย่างหนึ่งล่ะสิ”

อี่ว์ชิงเฉินพยักหน้าและพูดว่า: “อย่างนั้นก็ช่างมันเถอะ ยังไม่รีบไสหัวไปอีก ไสหัวไปนอนลงที่บนเตียงของฉัน”

หญิงสาวกล่าวตอบรับ หันหลังแล้วก็เดินไป

อี่ว์ชิงเฉินหันหน้าไปพูดกับพ่อบ้านอาวุโสว่า: “ปรนนิบัติดูแลผู้ฝึกชี่เถ่เมี่ยนให้ดีนะ พยายามที่จะทำให้เขามาเป็นพวกของเราช่วยเหลือพวกเรา แม้ว่าจะเพียงหนึ่งวันหรือสองวันก็ได้ ส่วนฉันจะไปพบกับศิษย์หลานกวนหานนั่นสักหน่อย ช่วงกี่วันนี้ที่ฉันไม่อยู่ฉัน เกรงว่าเขาคงจะก่อความวุ่นวายหนักเป็นแน่แล้ว”

พ่อบ้านอาวุโสโค้งตัวและพูดว่า: “รับทราบ ท่านเจ้าคุณอี่ว์”

ลู่ฝานได้ยินชื่อของกวนหาน ก็พลันตกใจขึ้น

กวนหาน? กวนหานแห่งสำนักโลหิตพิฆาตเหรอ?

กวนหานที่ถูกเขาทำร้ายจนเลือดท่วมตัวไปหมดนั่นเหรอ!

เขายังมีชีวิตอยู่อีกจริง ๆ เหรอเนี่ย!

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 697
“ผู้ฝึกชี่เถ่เมี่ยน เงินค่ารักษา ฉันนำมาให้ท่านแล้ว ท่านลองตรวจดู”

สิ่งของหลายกล่องนำมาจัดวางอยู่เบื้องหน้าของลู่ฝาน หากเป็นพวกเงินทองทรัพย์สินอะไรเหล่านี้ มันช่างธรรมดาไร้ค่าเสียจริง คิด ๆ ว่าคงจะไม่มีผู้ฝึกชี่คนไหนที่ขาดแคลนสิ่งของเหล่านี้หรอก

ดังนั้นสิ่งของที่จัดวางอยู่หน้าของลู่ฝานนั้นส่วนใหญ่จะเป็นสิ่งของที่ผู้ฝึกชี่ต้องการทั้งนั้น

โดยสมุนไพรนั่นเป็นสิ่งของพื้นฐานอยู่แล้ว สูตรการกลั่นยาก็มี และสมบัติล้ำค่าก็มี

หากจะบอกว่ามีมูลค่ามากมายมหาศาลมันก็จะดูเกินไปหน่อย แต่หากบอกว่ามีมูลค่าสูงระดับหนึ่ง ก็คงไม่น่าเป็นปัญหา โดยลู่ฝานได้ตรวจสอบเบื้องต้นแล้ว สิ่งของเหล่านี้สำหรับอาจารย์บำเพ็ญชี่แล้วถือได้ว่ามีแรงดึงดูดมากพอสมควรทีเดียว

แต่สำหรับเขาที่เข้าสู่ระดับนักเรกิแล้ว สิ่งของเหล่านี้มันไม่ค่อยจะเข้าตาสักเท่าไร

ทำเป็นเล่นไปได้ ตอนนี้เขากำลังกลั่นยา อย่างน้อยก็ต้องกลั่นยาทิพย์แล้ว

แต่พวกสมุนไพรและสูตรการกลั่นยาเหล่านี้ ไม่มีสิ่งใดที่จะทำให้เขาสามารถกลั่นยาทิพย์ได้

ซึ่งไม่แปลกใจเลยว่าทำไมผู้ฝึกชี่อู๋เหลียงนั้นถึงไม่เอ่ยถึงพวกสิ่งของเหล่านี้เลย คาดว่าคงจะไม่สนใจเช่นกัน

คิดถึงตรงจุดนี้แล้ว ลู่ฝานก็กลับเกิดความสนใจในอุกกาบาตเหล็กหลิงซานที่ผู้ฝึกชี่อู๋เหลียงพูดถึงอยู่ตลอดเวลานั่น

แต่ตอนนี้ก็ยังคงไม่ถามก่อน รอถึงวันพรุ่งนี้ เมื่ออี่ว์ชิงเฉินตื่นขึ้นมาแล้ว ค่อยไปสอบถามต่อหน้าจะดีกว่า

เพราะว่าตนเองนั้นได้ “ช่วยชีวิต” ของเขาเอาไว้ หากไปสอบถามต่อหน้า เขาคงจะไม่บอกปัดด้วยข้ออ้างต่าง ๆ หรอก

ลู่ฝานสะบัดมือนำเอาพวกสิ่งของเหล่านี้โยนไว้ภายในเข็มขัดทั้งหมด

ก่อนที่จะมานั้น เขายังได้จงใจทาสีเข็มขัดทับไว้ชั้นหนึ่ง เพื่อหลีกเลี่ยงคนอื่นจดจำได้

มองเห็นลู่ฝานโบกมือนำสิ่งของทั้งหมดเก็บขึ้น โดยที่ไม่ได้ใส่ใจมองดูมากนัก พ่อบ้านอาวุโสเองก็รู้ได้เลยว่าสิ่งของเหล่านี้เกรงว่าจะไม่เป็นที่ดึงดูดความสนใจของลู่ฝานสักเท่าไร

แม้ว่าเขาจะสั่งให้คนปรับเปลี่ยนสมบัติล้ำค่าพิเศษหลายชิ้นโดยเฉพาะแล้ว แต่ลู่ฝานเองก็ยังไม่แสดงท่าทีอะไร

สิ่งนี้ทำให้พ่อบ้านอาวุโสเกิดความสงสัยขึ้นมาว่า ตกลงผู้ฝึกชี่เถ่เมี่ยนคนนี้ต้องการอะไรกันแน่

คงจะไม่ได้มาเพราะอุกกาบาตเหล็กหลิงซานหรอกนะ!

พ่อบ้านอาวุโสสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย มองไปที่ลู่ฝานและพูดขึ้นว่า: “ผู้ฝึกชี่เถ่เมี่ยน ท่านยังต้องการอะไรอีกไหม? ”

นี่คือคำถามหยั่งเชิง ลู่ฝานเองก็ฟังออกได้ถึงความหมายที่แฝงอยู่บ้าง แต่ก็พูดขึ้นอย่างสงบนิ่งว่า: “ไม่ต้องการอะไรแล้ว อีกสักครู่อย่าลืมนำอาหารส่งมาให้ด้วยล่ะ”

พ่อบ้านอาวุโสถอนหายใจยาว ไม่สมควรที่จะใช้ความคิดเห็นที่เลวร้ายไปคาดเดาผู้ที่มีจิตใจสูงส่งเลยจริง ๆ!

“แน่นอน ผู้ฝึกชี่เถ่เมี่ยน ท่านพักผ่อนเถอะ”

พ่อบ้านอาวุโสโค้งคำนับแล้วก็เดินจากไป พร้อมกับนำพาพวกคนรับใช้กลับไปด้วย

ลู่ฝานยิ้มเล็กน้อย แล้วก็เดินเข้าไปในห้อง

อีกด้านหนึ่ง ผู้ฝึกชี่อู๋เหลียงที่ออกมาจากตระกูลอี่ว์นั่นพลันมีใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้น

พร้อมกับกำหมัดแน่นแล้วก็หันหลังกลับไปมองยังตระกูลอี่ว์อีกครั้ง

“เถ่เมี่ยน! ”

ผู้ฝึกชี่อู๋เหลียงพูดขึ้นพร้อมกับขบฟันไปด้วย

วันนี้ เขาถือว่าได้จดจำชื่อนี้ไว้โดยสิ้นเชิงแล้ว

“พวกเราจะต้องพบเจอกันอีกแน่นอน เถ่เมี่ยน ผู้ใดที่แย่งชิงสิ่งของของฉันไป ต่างก็จะต้องพบกับชะตากรรมที่เลวร้ายเป็นแน่! ”

ผู้ฝึกชี่อู๋เหลียงสะบัดมือ สายลมเบา ๆ ก็พัดขึ้นจากใต้ฝ่าเท้า แล้วเขาก็หายตัวแวบไปโดยพลัน

……

เวลากลางคืน มักจะมาถึงอย่างเงียบเชียบอยู่เสมอ

ท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มืดมิด ส่องสะท้อนตัวเมืองราวกับว่ามีสัตว์อสูรยักษ์วนเวียนไปมาอยู่ที่แห่งนี้

ภายในสวนสี่ฤดู ลู่ฝานกำลังบำเพ็ญฝึกฝน

โดยเขานั่งอยู่บนเตียงขนาดใหญ่ และปิดตาสองข้างลงเบา ๆ

ห้องพักโอ่อ่าหรูหรา ตกแต่งด้วยไม้แพรทั้งหมด คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นไม้จันทร์ แสงจันทร์สาดส่องลงมา สะท้อนแสงไปบนใบหน้าของลู่ฝาน

ก๊อกก๊อกก๊อก เสียงเคาะประตูดังขึ้น

ลู่ฝานลืมตาขึ้น แล้วก็หยิบหน้ากากเงินมาสวมใส่บนใบหน้า และพูดขึ้นว่า: “เชิญเข้ามาได้! ”

ประตูก็เปิดออก

หญิงสาววัยรุ่นคนหนึ่งก็เดินเข้ามา แล้วก็ยื่นมือกลับมาปิดประตูห้อง

“ผู้ฝึกชี่เถ่เมี่ยน ฉันนำอาหารว่างมื้อดึกมาส่งให้ท่านแล้ว”

หญิงสาวมีน้ำเสียงที่ไพเราะ รูปร่างสะโอดสะอง รูปลักษณ์หน้าตาก็ไม่เลว

มีแค่คู่ดวงตาเท่านั้น ที่ดูเหมือนจะผิดปกติเล็กน้อย

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 696
ลู่ฝานเองก็ยกมือขึ้น แล้วเปลวไฟก็แผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่างกาย

การประลองวิชานั้น ก็คือทั้งสองคนใช้พลังชี่ของตนปะทะกำลังกัน ส่วนการประลองบุ๋นนั้น ก็คือการใช้ชี่ควบคุมอีกฝ่ายหนึ่ง โดยที่ไม่ต้องใช้วิชาต่อสู้อะไร

การประลองแบบนี้ ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่ก็สามารถตัดสินผลแพ้ชนะกันได้

พลังชี่ของผู้ฝึกชี่นั้น จะปะทะกันด้วยพลังฟ้าดินทั้งหมดที่แต่ละฝ่ายสามารถกระตุ้นรวมขึ้นมาได้

แต่ในเรื่องนี้ก็มีเคล็ดลับทักษะบางอย่างอยู่บ้าง ซึ่งนี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำไมอู๋เหลียงถึงได้มีความมั่นใจขนาดนี้

ตูมม! ตูมม!

พลังฟ้าดินบริเวณโดยรอบเริ่มที่จะเกิดการปะทุขึ้นบ้างแล้ว

นี่ก็คือผลลัพธ์จากการที่ทั้งสองฝ่ายใช้แรงกดทับ

พลังของทั้งสองฝ่ายพุ่งปะทะใส่กันกลางอากาศ ทันใดนั้นสีหน้าท่าทางของอู๋เหลียงก็เปลี่ยนไป

ไอ้หนุ่มผู้นี้ แข็งแกร่งทรงพลังไม่เบาเลย!

อู๋เหลียงสามารถที่จะรับรู้ได้ว่าพลังฟ้าดินที่อีกฝ่ายรวบรวมได้นั้นไม่ได้ผ่านการดัดแปลงจากทักษะอะไรเลย แต่พลังจำนวนมากขนาดนี้ มันช่างน่าตกใจมากเลยทีเดียว

นิ้วมือของอู๋เหลียงเคลื่อนไหวต่อเนื่อง เพื่อดัดแปลงรูปทรงของพลังฟ้าดิน เพื่อต้องการที่จะพุ่งทะลุผ่านพลังฟ้าดินของลู่ฝาน แต่เมื่อทดลองกี่หนแล้วก็ยังไม่เป็นผล

ลู่ฝานยังคงปลดปล่อยพลังชี่ของตนเองออกมาอย่างเต็มที่

การประลองวิชาแบบนี้ เขาไม่เคยได้ทำมาก่อน แต่เมื่อได้ทดลองแล้ว ก็รู้สึกว่ามันง่ายดายมาก!

ปราณชี่ในร่างกายของเขาเวลานี้เพียงพอที่จะยืนหยัดให้เขาปล่อยพลังชี่ออกมาได้อย่างต่อเนื่อง โดยในจำนวนพลังที่เท่ากัน การสิ้นเปลืองแรงกำลังของลู่ฝานนั้นต่ำกว่าทางอู๋เหลียงอย่างน้อยสิบเท่า

ลู่ฝานสามารถที่จะสัมผัสได้ว่า อีกฝ่ายหนึ่งนั้นก็เป็นนักเรกิ

การที่สามารถเล่นกับพลังฟ้าดินได้อย่างชาญฉลาดและปราดเปรียวขนาดนี้ ก็ถือว่ามีพลังความสามารถที่ไม่ธรรมดาแล้ว

แต่สิ่งที่น่าเศร้าเสียใจก็คือ ผู้ที่เขาเผชิญหน้าอยู่นั้นไม่ใช่นักเรกิธรรมดาทั่วไป

ลู่ฝานยังคงขยายการช่วงชิงพลังฟ้าดินอย่างต่อเนื่อง ด้วยวิทยายุทธที่ยกระดับขึ้น จึงทำให้วิชาเทพไร้ขีดจำกัดของเขานั้น ก็พัฒนาขึ้นตามไปด้วย

โดยทั่วไป ไม่สามารถสัมผัสได้ถึงประสิทธิภาพของวิชาดังกล่าว

แต่ในตอนนี้ วิชาเทพไร้ขีดจำกัดแทบจะเหมือนกับมือขนาดใหญ่ข้างหนึ่งที่มองไม่เห็น ที่กำลังช่วยเหลือลู่ฝานรวบรวมพลังฟ้าดินให้มีจำนวนมากขึ้น โดยที่ลู่ฝานไม่จำเป็นต้องไปพะวงต่อการควบคุมเลย

หากพูดถึงเฉพาะพลังการควบคุมแล้ว วิชาเทพไร้ขีดจำกัดนั้นมีความแข็งแกร่งอย่างน่ากลัว มิเช่นนั้นก็คงไม่สามารถที่จะทำให้พลังปราณกับพลังชี่ผสมผสานเข้ากันได้อย่างสมบูรณ์

โดยหลังจากที่ลู่ฝานได้รวบรวมพลังฟ้าดินที่มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้านอู๋เหลียงเองก็ยืนหยัดต่อไปไม่ค่อยจะไหวแล้ว

ท้องฟ้าเริ่มที่จะมืดมิดลง พื้นดินก็เกิดการสั่นสะเทือน

ถ้าหากเวลานี้มีคนที่กำลังมองดูการประลองวิชาอยู่ในบริเวณไกลออกไปนั้น ก็สามารถมองเห็นว่าด้านข้างของทั้งสองฝ่ายถูกปกคลุมไปด้วยชี่ปกคลุมหลายชั้น โดยมองเงาคนที่อยู่ภายในได้อย่างไม่ชัดเจน

เป็นไปได้อย่างไร!

นี่เป็นไปได้อย่างไรกัน!

การควบคุมพลังฟ้าดินของอีกฝ่ายหนึ่งนั้น เพียงพอที่จะเทียบเท่าได้กับนักเรกิแดนสูงสุดแล้ว

อู๋เหลียงมีสีหน้าขาวซีด อันที่จริงเขานั้นมีเคล็ดลับทักษะในการบังคับควบคุมมากมาย

แต่สิ่งเหล่านี้เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ที่มีพลังความสามารถที่เหนือกว่าแล้ว ก็ไร้สิ้นประโยชน์อันใด

พลังฟ้าดินของลู่ฝานก็เหมือนกับก้อนหิมะที่กำลังกลิ้ง เคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ

ยิ่งเคลื่อนที่ไปข้างหน้ามากเท่าไร ก็ยิ่งจะขยายใหญ่มากขึ้นเท่านั้น จนถึงตอนนี้อู๋เหลียงจะต้านทานไม่ได้แล้ว

ฟุบ!

อู๋เหลียงกระอักเลือดออกมา และกระเด็นถอยหลังลงไปหลายก้าว

ลู่ฝานหยุดมือลงชั่วขณะ เขาจำได้ว่าการประลองวิชาแบบนี้ โดยทั่วไปหากมีฝ่ายหนึ่งได้รับบาดเจ็บ ก็ถือว่าสิ้นสุดลงแล้ว

แต่ในขณะที่ลู่ฝานหยุดมือลงนั้น อู๋เหลียงเหมือนว่าจะสบโอกาส ทันใดนั้นจึงได้รวบรวมพลังฟ้าดินทั้งหมดแล้วดัดแปลงเป็นรูปทรงเข็มที่แหลมคม พุ่งแทงใส่ลู่ฝาน

ลู่ฝานขมวดคิ้วขึ้น ทันใดนั้น ก็ใช้เคล็ดลับสะท้อนปราณชี่

จากนั้น ก็เกิดเสียงอุทานดังขึ้น และอู๋เหลียงก็กระเด็นลอยไปไกล

อู๋เหลียงกระอักเลือดออกมาราวกับน้ำพุ ล้มกองอยู่กับพื้น และดุด่าเสียงดังว่า: “เถ่เมี่ยน แกไอ้ชั่วช้า คิดไม่ถึงว่าแกจะแกล้งทำเป็นอ่อนแอ และยังจะบอกว่าไม่เคยประลองวิชากับคนอื่นมาก่อน แกกล้าหลอกลวงฉัน! ”

ลู่ฝานเดินขึ้นไปข้างหน้า มองไปที่เขาและพูดขึ้นอย่างสงบว่า: “หากนายไม่ยอมแพ้ พวกเราก็มาประลองกันอีกสักรอบก็ได้”

อู๋เหลียงสีหน้าเปลี่ยนไปทันที แล้วกัดฟันพูดขึ้นว่า: “เรื่องนี้คงจะไม่จบลงเท่านี้แน่ เถ่เมี่ยน นายจะต้องชดใช้ต่อเรื่องที่นายกระทำขึ้นในวันนี้”

ลู่ฝานถอนหายใจแล้วพูดว่า: “ทำไมพวกนายเหล่านี้เมื่อแพ้แล้วมักที่จะพูดจาโอหังอยู่เสมอ ทำไมถึงไม่ยอมรับความพ่ายแพ้อย่างตรงไปตรงมาล่ะ? ช่างเถอะ มอบสิ่งของมาให้ฉันเดี๋ยวนี้ อย่าต้องให้ฉันเป็นคนไปเอาเอง”

อู๋เหลียงกัดฟัน แล้วก็นำสูตรการกลั่นยาแผ่นหนึ่งออกมาจากแหวนส่งมอบให้กับลู่ฝานด้วยความเจ็บใจ

ลู่ฝานมองดูเล็กน้อย

“ยาวิเศษเทียมฟ้า ชื่อนี้ไม่เลวเลย”

อู๋เหลียงพูดขึ้นว่า: “เก็บสูตรการกลั่นยาเอาไว้ให้ดี สักวันหนึ่งฉันจะนำมันกลับคืนมาให้ได้”

ลู่ฝานเก็บสูตรการกลั่นยาแล้ว ก็โบกไม้โบกมือให้กับอู๋เหลียงและพูดขึ้นว่า: “ฉันรออยู่แน่นอน แต่นายควรที่จะเช็ดเลือดของนายเสียก่อนนะ”

เมื่อพูดจบ ลู่ฝานก็ยิ้มแล้วเดินจากไป

อู๋เหลียงนอนกองอยู่ที่พื้น โกรธแค้นจนใบหน้าแดงก่ำไปหมด

เวลานี้ พ่อบ้านอาวุโสได้พาคนรับใช้ที่แบกเงินรางวัลมาถึงแล้ว เมื่อมองเห็นอู๋เหลียงนอนอยู่บนพื้น พ่อบ้านก็หัวเราะและพูดว่า: “อ้าว ผู้ฝึกชี่อู๋เหลียง ท่านกำลังนอนอาบแดดอยู่เหรอ? ”

อู๋เหลียงลุกขึ้นแล้วก็เดินจากไป อย่างไม่ลังเล

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 695
ลู่ฝานก็ยังคงพูดขึ้นด้วยสภาพท่าทางที่เงียบสงบว่า: “ตัวฉันเองไม่ค่อยชอบความคึกคักสักเท่าไร ไม่ต้องจัดงานเลี้ยงสังสรรค์หรอก ในช่วงนี้ท่านเจ้าคุณอี่ว์จะต้องพักผ่อนดูแลร่างกายให้ดี ๆ อย่าได้โมโห อย่าได้เกิดความโกรธแค้น”

อี่ว์ชิงเฉินหัวเราะฮ่าฮ่าและพูดว่า: “เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้ว ในเมื่อผู้ฝึกชี่เถ่เมี่ยนไม่ชอบที่จะสังสรรค์ อย่างนั้นก็จัดในรูปแบบที่หรูหราหน่อยก็ได้”

พ่อบ้านอาวุโสเดินเข้ามาและพูดว่า: “ผู้ฝึกชี่เถ่เมี่ยน ไม่รู้ว่าจะขอบคุณท่านอย่างไรดี ท่านวางใจเถอะ อีกสักครู่ก็จะนำค่ารักษามาให้ท่าน”

ลู่ฝานลุกยืนขึ้นและพูดว่า: “ตกลง ส่วนฉันเองก็รู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย ไม่ทราบว่ามีสถานที่เงียบสงบให้พักผ่อนบ้างไหม”

พ่อบ้านอาวุโสพูดขึ้นว่า: “มี มี มี ผู้ฝึกชี่เถ่เมี่ยน เชิญทางนี้เลย! ”

เมื่อพูดจบ พ่อบ้านอาวุโสก็ได้ดึงเสื้อผ้าของลู่ฝานแล้วพาเดินออกมาด้านนอกอย่างกระตือรือร้น

ด้านผู้ฝึกชี่อู๋เหลียงกลับถูกหมางเมินโดยสิ้นเชิงแล้ว เขาสะบัดชายแขนเสื้อพร้อมกับส่งเสียงฮึอย่างเย็นชา

ผู้ฝึกชี่อู๋เหลียงได้เดินตามทั้งสองคนไป ทางพ่อบ้านอาวุโสหันหลังมามองผู้ฝึกชี่อู๋เหลียงเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร

โดยนำพาลู่ฝานไปยังลานกว้างด้านข้างของตระกูลอี่ว์ ที่มีชื่อว่าสวนสี่ฤดู

พ่อบ้านอาวุโสชี้ไปยังบ้านหลังที่ตกแต่งอย่างสวยงามที่อยู่ภายในสวนและพูดขึ้นว่า: “ผู้ฝึกชี่เถ่เมี่ยน ท่านพักผ่อนอยู่ที่นี่ก่อน ฉันจะรีบไปนำสิ่งของมาให้เดี๋ยวนี้”

ลู่ฝานพยักหน้า และมองพ่อบ้านอาวุโสเดินจากไป

ผู้ฝึกชี่อู๋เหลียงก็ยืนอยู่ที่ด้านหลังของลู่ฝาน โดยไม่มีทีท่าว่าจะเดินจากไป

พ่อบ้านอาวุโสเดินมาที่ด้านข้างของผู้ฝึกชี่อู๋เหลียงและพูดขึ้นว่า: “ผู้ฝึกชี่อู๋เหลียง ท่านไม่กลับออกไปพักผ่อนเหรอ? ”

ผู้ฝึกชี่อู๋เหลียงพูดขึ้นว่า: “ฉันมีบางอย่างที่จะพูดคุยกับผู้ฝึกชี่เถ่เมี่ยนสักหน่อย”

พ่อบ้านอาวุโสขมวดคิ้วขึ้น และพูดว่า: “ผู้ฝึกชี่อู๋เหลียง ขออย่าได้ทำเรื่องอะไรที่เกินเลยขอบเขตนะ ผู้ฝึกชี่เถ่เมี่ยนเพิ่งจะช่วยชีวิตท่านเจ้าคุณอี่ว์ของพวกเราเอาไว้”

ผู้ฝึกชี่อู๋เหลียงใช้สายตาที่เย็นชาจ้องมองไปที่พ่อบ้านอาวุโส และพูดขึ้นว่า: “วางใจเถอะ ฉันไม่ทำอะไรเขาแน่นอน”

พ่อบ้านอาวุโสมองไปที่ผู้ฝึกชี่อู๋เหลียงแล้วก็ยิ้มขึ้นเล็กน้อย

โดยเขามองว่า วิทยายุทธของผู้ฝึกชี่เถ่เมี่ยนนั้นคงจะเหนือกว่าอู๋เหลียงผู้นี้มากทีเดียว ซึ่งเขาจะสามารถลงมือทำการอะไรได้อย่างนั้นเหรอ?

แล้วพ่อบ้านอาวุโสก็เดินจากไป อย่างรวดเร็ว

ลานบ้านที่เงียบสงบ ก็หลงเหลือเพียงแค่อู๋เหลียงกับลู่ฝานสองคน

ผู้ฝึกชี่อู๋เหลียงค่อย ๆ พูดขึ้นว่า: “ผู้ฝึกชี่เถ่เมี่ยนใช่ไหม? นายทำเกินไปหน่อยแล้ว”

เมื่อเสียงพูดดังขึ้น พร้อมกันนั้นก็เกิดลมหมุนจากร่างของอู๋เหลียงขึ้นด้วย

พลังลมหายใจที่แหลมคม ทำให้หน้ากากเงินบนใบหน้าของลู่ฝานนั้นเกิดเสียงดังกร็อกแกร็กขึ้น

ร่างกายของลู่ฝานเองก็เกิดเปลวไฟลุกโชน พร้อมกับจดจ้องไปที่อู๋เหลียงและพูดขึ้นว่า: “นายคิดจะลงมือกับฉันใช่ไหม? ”

อู๋เหลียงพูดขึ้นว่า: “ลงมือเหรอ? เปล่าเปล่า พวกเราเป็นผู้ฝึกชี่ ก็ยึดตามกฎเกณฑ์ของผู้ฝึกชี่เถอะ”

ลู่ฝานยิ้มและพูดขึ้นว่า: “ประลองยาเหรอ? ”

อู๋เหลียงส่ายศีรษะและพูดว่า: “ไม่ ประลองวิชา หากว่านายแพ้แล้ว ก็รีบออกไปจากตระกูลอี่ว์ซะ ฉันต้องการอุกกาบาตเหล็กหลิงซานของตระกูลอี่ว์ ซึ่งไม่สามารถให้นายมาทำลายความตั้งใจนี้ลงได้”

ลู่ฝานพูดขึ้นด้วยเสียงที่ทุ้มต่ำว่า: “แต่ ฉันทำลายมันไปแล้ว”

อู๋เหลียงหัวเราะเหอะเหอะและพูดว่า: “ไม่กลัว ต่อให้ท่านเจ้าคุณอี่ว์ถูกรักษาจนหายดีแล้ว แต่เขาก็ยังที่จะป่วยได้อีกครั้ง”

คำพูดของอู๋เหลียงทำให้ลู่ฝานตกใจเล็กน้อย

ไอ้หนุ่มคนนี้ ก็ถือเป็นผู้ที่จิตใจโหดร้ายไม่เบาเลย!

แน่นอนว่า พฤติกรรมของตัวเขานี้ก็ตรงกับชื่อเขาอย่างไรอย่างนั้น

“นายคิดจะประลองอย่างไร? ”

ลู่ฝานเอ่ยปากถามขึ้น

อู๋เหลียงขมวดคิ้วขึ้นและพูดว่า: “หรือว่านายประลองวิชาผู้ฝึกชี่ไม่เป็นอย่างนั้นเหรอ? อาจารย์ของนายไม่เคยสอนนายใช่ไหม? ”

ลู่ฝานค่อย ๆ พูดว่า: “เคยสอนบ้างเล็กน้อย แต่ไม่เคยประลองกับใครมาก่อน”

อู๋เหลียงหัวเราะเยาะอีกครั้ง น่าจะมีฝีมือที่กระจอกไม่ได้เรื่องแน่!

ทันใดนั้น อู๋เหลียงก็มีความมั่นใจมากขึ้น

เขาเป็นถึงยอดฝีมือประลองวิชา ที่เคยผ่านการประลองมานับครั้งไม่ถ้วน

อู๋เหลียงยื่นมือขวาออกมา และพูดว่า: “ประลองบุ๋นกันเถอะ หากว่านายสามารถควบคุมเหนือฉันได้ ฉันก็จะจากไปเองทันที โดยไม่ผิดคำพูด”

ลู่ฝานส่ายศีรษะและพูดว่า: “หากนายชนะแล้ว ฉันก็จะต้องจากไปโดยที่สูญเสียสิ่งของต่าง ๆ จำนวนมาก แต่หากฉันชนะแล้ว นายเองก็จะจากไปโดยที่ไม่สูญเสียอะไรเลยอย่างนั้นเหรอ? ”

อู๋เหลียงพูดขึ้นว่า: “แล้วนายต้องการอะไรล่ะ? ”

ลู่ฝานพูดว่า: “ต้องยอมสละสูตรการกลั่นยาผู้ฝึกชี่ หรือสมบัติล้ำค่าของนายเอาไว้”

อู๋เหลียงเก็บรอยยิ้มบนใบหน้า แล้วพูดว่า: “คิดต้องการสูตรการกลั่นยาและสมบัติล้ำค่าของฉัน เกรงว่านายจะไม่มีคุณสมบัติล่ะสิ”

ลู่ฝานหัวเราะเบา ๆ และพูดว่า: “หากว่านายยอมที่จะเดิมพัน ฉันก็จะร่วมเดิมพันกับนายด้วย แต่ถ้าหากนายไม่ยอม ฉันก็จะกลับไปพักผ่อนแล้ว”

ขณะที่พูด ลู่ฝานก็ทำทีท่าว่าจะเดินจากไป

อู๋เหลียงกัดฟันแน่น และตะโกนขึ้นว่า: “ช้าก่อน ตกลง ฉันเดิมพันกับนาย แต่การวางเดิมพันของนายนั้น ก็จะต้องเพิ่มเติมอะไรบ้างเหมือนกัน”

ลู่ฝานค่อย ๆ นำจิตอัคคีออกมา

วางไว้บนมือ แล้วเปลวไฟสีขาวก็ลุกโชนขึ้นจนอู๋เหลียงมองตาค้างแล้ว

“พอแล้วหรือยัง? ”

ลู่ฝานถามขึ้น

อู๋เหลียงพยักหน้าและพูดว่า: “พอแล้ว มิน่าล่ะที่นายสามารถสัมผัสได้ถึงคำสาปแช่งในร่างกายของเขาได้เร็วขนาดนี้ ที่จริงแล้วก็มีสมบัติล้ำค่าอยู่ในตัวนี่เอง ซึ่งสิ่งของชิ้นนี้ของนาย ฉันจะต้องได้มาครองแน่นอน”

ขณะที่พูด อู๋เหลียงก็เดินไปยืนที่ด้านหน้า แล้วพลังชี่ในร่างกายก็พลุ่งพล่านขึ้น

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 694
ท่อนแขนมีสีฟ้า และมีความแข็งกระด้างอย่างที่สุด

ลู่ฝานแกล้งทำเป็นนำมือของเขาวางไปบนข้อมือของอี่ว์ชิงเฉิน และก็เกิดรอยยิ้มขึ้นที่มุมปากแล้ว

“ไอ้เก้า จัดการนำพิษใส่ร่างเขาไปหน่อย ซึ่งต้องเป็นพิษที่แน่ใจว่าจะทำให้เขาตายนะ”

เสียงของเจดีย์เสวียนเก้ามังกรดังขึ้นในใจของลู่ฝาน

“เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ ใช้พิษกัดหัวใจดีไหม? ”

ลู่ฝานถามขึ้นในใจว่า: “พิษกัดหัวใจ? คือพิษอะไร? ”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรหัวเราะแหะแหะและพูดขึ้นว่า: “มันเป็นพิษที่มีความพิเศษชนิดหนึ่ง ในช่วงเดือนแรก มันจะค่อย ๆ เพิ่มพลังความสามารถให้กับคนที่ถูกพิษ ทำให้เกิดเป็นภาพลวงตาว่าตนเองกำลังมีพลังความแข็งแกร่งมากขึ้น แต่ที่จริงแล้วมันคือการที่สารพิษเข้าสู่ไขกระดูก และเริ่มที่จะแสดงศักยภาพการบีบกด จากนั้นเข้าสู่เดือนที่สอง ก็เริ่มแสดงอาการเจ็บปวดที่หัวใจ ไม่สามารถโมโห ไม่สามารถเสียใจได้ ซึ่งหากว่าสภาพจิตใจเกิดการผันผวนอย่างหนัก พิษก็จะเริ่มออกฤทธิ์ในทันที เมื่อถึงเวลานั้น ก็เหมือนจะตายทั้งเป็น สุดท้ายฤทธิ์ของพิษก็จะแพร่กระจายไปทั่วร่างกายโดยสิ้นเชิง และจะต้องเสียชีวิตลงไปอย่างแน่นอน”

ลู่ฝานได้ฟังแล้วเกิดความหวาดกลัวขึ้น มันช่างเป็นพิษที่มีความ “พิเศษ” อย่างมากเลยทีเดียว

พิษชนิดนี้ ชั่วชีวิตนี้เขาเองก็ไม่อยากที่จะลองสัมผัส

“แล้วจะถูกตรวจพบไหม? ”

ลู่ฝานสอบถามเพิ่มขึ้น

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดขึ้นว่า: “อืม หากเป็นพวกไอ้แก่แดนปราณฟ้าขึ้นไปมาพบเจอเข้า บางทีอาจจะรับรู้ได้ แต่ไม่เป็นไร เมื่อถึงเวลานั้น อี่ว์ชิงเฉินก็คงจะตายไปแล้วอย่างแน่นอน”

“อย่างนั้นก็ใช้มันเลย! ”

ลู่ฝานยืนยันอยู่ในใจ

หลังจากนั้น เขาก็รู้สึกได้ว่ามีพลังที่แปลกประหลาดอย่างหนึ่งที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากเจดีย์เสวียนเก้ามังกร

ราวกับว่าปราณชี่ของเขาได้กลายร่างเป็นหนอนตัวน้อยขึ้นทีละตัวทีละตัว และหลั่งไหลเข้าไปสู่ภายในร่างกายของอี่ว์ชิงเฉิน

ทันใดนั้น อี่ว์ชิงเฉินก็ส่งเสียงโอดครวญขึ้น ราวกับว่าถูกพวกหนอนตัวน้อยเหล่านี้กัดจนเกิดความเจ็บปวด

เวลานี้ลู่ฝานอาศัยช่วงจังหวะที่ผู้คนไม่สนใจ ใช้มือซ้ายหยิบจิตอัคคีครึ่งชิ้นออกมา โดยที่ไม่มีผู้ใดเห็นถึงการกระทำของเขา

เมื่อพวกเขาได้หันมามองที่ตัวของลู่ฝานนั้น ร่างกายของลู่ฝานก็เกิดเปลวไฟลุกโชติช่วงขึ้น

พลังฟ้าดินโดยรอบภายใต้การกระตุ้นของลู่ฝาน ก็ได้มาบรรจบรวมตัวกันเป็นเงาลางของเปลวไฟ ตระหง่านโชติช่วงอยู่ของด้านหลังของลู่ฝาน

ความร้อนแรงของเปลวไฟนั้น ถึงกับทำให้อู๋เหลียงและพ่อบ้านอาวุโสต้องถอยร่นออกมากี่ก้าว

เปลวไฟที่ลุกโชนก็ได้บดบังการมองเห็นของพวกเขาแล้ว

ลู่ฝานอาศัยช่วงจังหวะนี้ นำจิตอัคคีทาลงไปบนร่างของอี่ว์ชิงเฉิน

ทันใดนั้น ตรงบริเวณจุดที่ได้ทาจิตอัคคีลงไป แสงสีฟ้าก็พลันหายสูญไปอย่างรวดเร็ว

เพียงพริบตาเดียว ลู่ฝานก็กำจัดแสงสีฟ้าที่แฝงอยู่ในร่างกายท่อนบนของอี่ว์ชิงเฉินจนหมดไป

จากนั้น เขาก็รีบเก็บจิตอัคคีขึ้น ในขณะเดียวกัน เปลวไฟที่ร่างกายของเขาก็หายวูบลงไปด้วย

ทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว ลู่ฝานพูดขึ้นอย่างสงบเงียบว่า: “ท่านเจ้าคุณอี่ว์ รู้สึกดีขึ้นมากเลยใช่ไหมล่ะ”

อี่ว์ชิงเฉินมองไปที่ลู่ฝานด้วยความหวาดกลัว เขาเองก็มองไม่เห็นอย่างชัดเจนว่าเมื่อครู่นี้ลู่ฝานได้ทำอะไรไปบ้าง

ตกลงว่าสูญสิ้นแรงกำลังไปหมดแล้วอย่างนั้นเหรอ อี่ว์ชิงเฉินดิ้นรนอยู่สักครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ลุกนั่งขึ้นได้แล้ว

พ่อบ้านอาวุโสปลื้มปิติอย่างมาก และตะโกนพูดขึ้นว่า: “ท่านเจ้าคุณอี่ว์ ท่านหายดีแล้ว ท่านหายดีแล้วจริง ๆ ด้วย! ”

ด้านหลัง ผู้ฝึกชี่อู๋เหลียงนั้นก็เขินอายมีสีหน้าทั้งแดงและขาวสลับกันเป็นระยะ ๆ

แม้ว่าเขาจะมั่นใจว่าสามารถรักษาอาการป่วยของอี่ว์ชิงเฉินได้ แต่คงจะไม่รวดเร็วอย่างลู่ฝานแบบนี้ อีกทั้ง เปลวไฟเมื่อครู่ที่ลู่ฝานปลดปล่อยออกมานั้น ก็ถึงกับทำให้เขาตกใจมากเลยทีเดียว

โดยเหนือกว่าระดับนักเรกิทั่วไปอย่างแน่นอน ซึ่งพลังความสามารถระดับนี้ ถือว่าทัดเทียมอยู่ในระดับเดียวกันกับเขาเลย

ไม่ อาจจะแข็งแกร่งมากกว่าเขาเล็กน้อยด้วย

ผู้ฝึกชี่อู๋เหลียงรู้สึกว่าตนเองเหมือนจะถูกตบเข้าไปที่บ้องหูอย่างจัง ใบหน้าแทบจะปูดบวมขึ้นแล้ว

อี่ว์ชิงเฉินรู้สึกว่าร่างกายท่อนบนของเขาฟื้นฟูกลับคืนสู่สภาพปกติแล้ว นอกจากพลังปราณที่ยังไม่ฟื้นฟูดังเดิม แต่ส่วนอื่นนั้นกลับเป็นปกติดีทุกอย่างแล้ว

ให้เวลาเขาสักระยะ เขาเองก็สามารถที่จะขับไล่คำสาปแช่งที่แฝงอยู่ในร่างกายท่อนล่างออกไปได้

อี่ว์ชิงเฉินพูดขึ้นอย่างตื่นเต้นว่า: “ผู้ฝึกชี่เถ่เมี่ยน ต้องขอบคุณมาก ขอบคุณมาก ๆ เลย ท่านหลิว จัดงานสังสรรค์ เพื่อเลี้ยงฉลองให้กับผู้ฝึกชี่เถ่เมี่ยน”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 693
ห้องที่กว้างใหญ่ ซึ่งไม่เหมือนกับห้องนอนเอาเสียเลย เหมือนจะเป็นตำหนักเสียมากกว่า

เตียงนอนวางอยู่ใจกลางห้อง ด้านข้างมีผู้เฝ้าอารักขาอยู่สองแถว โดยเปล่งชี่สังหารออกมาอย่างคลุมเครือ

ดูเหมือนว่า อี่ว์ชิงเฉินเองก็กลัวตายจนถึงขนาดนี้แล้ว แม้แต่เวลานอนก็ยังต้องมีคนเฝ้าอารักขาอยู่ถึงสองแถว

ลู่ฝานมองสำรวจพวกคนเหล่านี้แล้ว พบว่ากลิ่นอายลมหายใจต่างก็ไม่ธรรมดาเลย อย่างน้อยต้องมีวิทยายุทธขั้นแดนปราณนอก

หากจะต้องปะทะกันจริง ๆ ลู่ฝานก็ไม่แน่ใจว่าจะสามารถจัดการพวกเขาลงได้ภายในระยะเวลาอันสั้นหรือไม่

เตียงโอ่อ่าหรูหรา เพียงพอที่จะรองรับสิบคนลงนอนได้อย่างสบาย

อี่ว์ชิงเฉินนอนอยู่บนเตียง ซึ่งเมื่อเทียบกับครั้งก่อนที่ลู่ฝานพบเจอแล้ว เขาผอมลงไปกว่าเท่าหนึ่งเลยทีเดียว

ทั่วทั้งร่างกาย แฝงไปด้วยแสงสีฟ้าที่แปลกประหลาด

เมื่อลู่ฝานเห็นแสงสีฟ้านี้แล้ว ก็รับรู้ได้ทันทีว่าอี่ว์ชิงเฉินมีปัญหาอะไร

คำสาปแช่งของมังกรโลหิตสามหัว ช่างทรงพลังมีอานุภาพที่ไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ

พ่อบ้านอาวุโสเดินเข้ามา และพูดไปที่ข้างกายอี่ว์ชิงเฉินว่า: “ท่านเจ้าคุณอี่ว์ มีผู้ฝึกชี่สองคนมารักษาอาการป่วยให้กับท่านแล้ว”

อี่ว์ชิงเฉิง ๆ ลืมตาขึ้น และกวาดสายตามองไปที่ลู่ฝานกับอู๋เหลียง

“ผู้ฝึกชี่อู๋เหลียง นายยังอยู่อีกเหรอ”

อี่ว์ชิงเฉินหมางเมินไม่สนใจลู่ฝาน โดยมองไปที่อู๋เหลียงและพูดขึ้น

อู๋เหลียงยิ้มและพูดว่า: “ท่านเจ้าคุณอี่ว์ ฉันพูดแล้วไงว่าอุกกาบาตเหล็กหลิงซานชิ้นนั้นของท่าน ฉันจะต้องครอบครองมันให้ได้ หากว่าท่านยินดีที่จะนำมามอบให้ฉันในตอนนี้ ฉันรับรองว่าภายในสิบวันท่านจะฟื้นฟูสภาพร่างกายดังเดิม”

อี่ว์ชิงเฉินกัดฟันพูดว่า: “เปลี่ยนเป็นสิ่งอื่นไม่ได้เหรอ? ”

อู๋เหลียงพูดว่า: “ท่านเจ้าคุณอี่ว์ ชีวิต สามารถที่จะทำการแลกเปลี่ยนได้ไหม? ”

อี่ว์ชิงเฉินถอนหายใจยาว

“ช่างเถอะ ช่างเถอะ”

พ่อบ้านอาวุโสเห็นว่าอี่ว์ชิงเฉินมีท่าทางเริ่มที่จะใจอ่อนแล้ว จึงรีบพูดขึ้นว่า: “ท่านเจ้าคุณอี่ว์ ผู้ฝึกชี่เถ่เมี่ยนที่เพิ่งมาใหม่คนนี้ บอกว่าเขาก็สามารถรักษาโรคได้เช่นกัน หรือว่าจะลองให้เขาตรวจดูอาการของท่านก่อนแล้วค่อยว่ากันจะดีกว่า”

อี่ว์ชิงเฉินมองไปที่พ่อบ้านอาวุโสด้วยความสับสน เขาจำได้ว่าตนเองเคยได้กำชับกับพ่อบ้านเอาไว้แล้วว่า

หากไม่ถึงที่สุดจริง ๆ มิเช่นนั้นก็อย่าได้พาอู๋เหลียงมาอีกไม่ใช่เหรอ?

พ่อบ้านอาวุโสพยักหน้าด้วยสีหน้าท่าทางที่จำใจ ส่งสัญญาณบอกให้อี่ว์ชิงเฉินทดลองดูก่อน

อี่ว์ชิงเฉินเงยหน้าขึ้นไปมองลู่ฝานและพูดขึ้นว่า: “อย่างนั้นก็เชิญผู้ฝึกชี่เถ่เมี่ยน ลองดูก่อนแล้วกัน หากว่าสามารถรักษาโรคของฉันได้ ทุกอย่างก็จะเป็นไปตามคำประกาศที่ให้ไว้ โดยจะมอบค่ารักษาจำนวนมหาศาลให้กับท่าน”

ลู่ฝานพยักหน้า แล้วค่อย ๆ เดินเข้ามา

อู๋เหลียงขมวดคิ้วขึ้นและมองไปที่ลู่ฝานพร้อมกับพูดว่า: “เถ่เมี่ยน อย่าได้ทำเรื่องที่ตนเองทำไม่ได้เลย ระวังอย่าให้ตัวเองต้องลำบากไปอีกคนล่ะ ดูเหมือนว่าในฐานะที่เป็นผู้ฝึกชี่เหมือนกัน ฉันจะขอเตือนนายอีกคำหนึ่งว่า นี่ไม่ใช่โรคทั่วไป ยาเพียงสองสามเม็ดไม่สามารถที่จะรักษาโรคนี้ได้แน่นอน”

ลู่ฝานค่อย ๆ ขยับเข้าไปนั่งลงข้างตัวของอี่ว์ชิงเฉิน โดยนักบู๊ทั้งสองคนก็ได้นำเก้าอี้ปรมาจารย์มาสอดไปที่ด้านล่างก้นของลู่ฝานอย่างเหมาะเจาะ

ลู่ฝานพูดขึ้นอย่างสงบนิ่งว่า: “ก็แค่คำสาปแช่งเล็กน้อยไม่ใช่เหรอ ยากมากเลยหรืออย่างไร? ”

คำพูดเดียว ถึงกับทำให้อู๋เหลียงตกใจสะดุ้งขึ้นทันที

พ่อบ้านอาวุโสกับอี่ว์ชิงเฉินต่างก็ตกตะลึงขึ้นพร้อมกัน

“นายรู้ได้อย่างไร”

อู๋เหลียงถามขึ้นด้วยความตื่นตะลึง

ก่อนหน้านี้หลังจากที่เขาได้ทำการตรวจอาการอี่ว์ชิงเฉินอย่างละเอียดสิบกว่าครั้ง จึงจะสามารถรับรู้ได้ว่าอี่ว์ชิงเฉินถูกคำสาปแช่ง

เรื่องนี้ มีเพียงแค่ตัวเขารวมถึงพ่อบ้านอาวุโสและอี่ว์ชิงเฉินสามคนเท่านั้นที่รู้

เมื่อมองจากลักษณะท่าทางของพ่อบ้านอาวุโสและอี่ว์ชิงเฉินแล้ว ไม่เหมือนว่าพวกเขาจะเป็นผู้เปิดเผยออกไป

หรือว่าจะมีบางคนที่มองแค่แวบเดียว ก็สามารถมองออกได้แล้วอย่างนั้นเหรอ?

อู๋เหลียงพลันเกิดคำว่าเป็นไปไม่ได้ขึ้นมาในจิตใจทันที แต่เขาก็ได้รีบเดินเข้าไปอยู่ที่ด้านหลังของลู่ฝาน เพื่อมองดูอย่างชัดเจนว่าลู่ฝานจะทำการอย่างไรต่อ

พ่อบ้านอาวุโสพยายามยับยั้งอาการที่ตื่นตะลึง ซึ่งคิ้วก็เริ่มสั่นไหวด้วยความตื่นเต้นดีใจแล้ว

ยอดฝีมือ คือยอดฝีมืออย่างแน่นอน

เพียงแค่แวบเดียวก็มองออกได้ว่าท่านเจ้าคุณอี่ว์ถูกคำสาปแช่ง เพียงแค่จุดนี้ ก็สามารถพิสูจน์ได้ว่าผู้ฝึกชี่คนนี้ มีความเก่งกาจกว่าผู้ฝึกชี่อู๋เหลียงอย่างแน่นอน

ใบหน้าของอี่ว์ชิงเฉินเองก็แสดงความตื่นเต้นดีใจ และนำมือที่เย็นยะเยือก ยื่นออกมา

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 692
โดยทั่วไปแล้ว อารมณ์นิสัยของผู้ฝึกชี่นั้นจะค่อนข้างแปลกประหลาด ใครก็ไม่ทราบได้ว่าคำพูดไหนที่อาจจะไปล่วงเกินพวกเขา

ดังนั้นเวลาที่พ่อบ้านอาวุโสพูดนั้น จะต้องระมัดระวังอย่างที่สุด และต้องถ่อมตัวอย่างมากด้วย

ลู่ฝานพูดขึ้นว่า: “ไม่เป็นไร”

ขณะที่พูด พลังชี่ในร่างกายก็ปรากฏขึ้น พลังฟ้าดินบริเวณโดยรอบก็เริ่มที่จะแสดงอานุภาพออกมา

พ่อบ้านอาวุโสตกใจเล็กน้อย เขารู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของพลังฟ้าดินบริเวณโดยรอบ

ผู้ฝึกชี่เถ่เมี่ยนผู้นี้ เหมือนว่าจะมีความเก่งกาจกว่าผู้ฝึกชี่กี่คนก่อนหน้านี้ที่เขาเคยได้พบเจอ!

พ่อบ้านอาวุโสถึงกับตะลึงงัน ขณะที่เพิ่งจะปลดปล่อยพลังชี่ออกมา ก็สามารถที่จะทำให้พลังฟ้าดินบริเวณโดยรอบเกิดการสั่นไหว พลังความสามารถนี้ เกรงว่าจะไม่ธรรมดาเสียแล้ว

ในที่สุดครั้งนี้ยอดฝีมือก็มาถึงแล้ว!

พ่อบ้านอาวุโสสีหน้าท่าทางดีอกดีใจ โค้งตัวลงและพูดขึ้นว่า: “ผู้ฝึกชี่เถ่เมี่ยนมีวิทยายุทธที่ล้ำลึกเสียจริง ฉันนับถืออย่างมาก ฉันขอถามอีกหนึ่งคำถามว่า ผู้ฝึกชี่เถ่เมี่ยนทำการรักษาคนป่วยได้ไหม? ”

ที่จริงแล้วคำถามนี้ของพ่อบ้านอาวุโสนั้นค่อนข้างจะมีปัญหา ทุกคนที่เป็นผู้ฝึกชี่ ใครบ้างล่ะที่ทำการรักษาคนป่วยไม่ได้

ยาเม็ดขั้นต้นที่ผู้ฝึกชี่ฝึกฝนนั้น ก็คือยารักษาโรครู้บ้างไม่ใช่หรือ?

แต่พ่อบ้านอาวุโสก็ยังคงถามขึ้นอีก เพราะเขาต้องการที่จะได้ยินจากปากของอีกฝ่ายหนึ่งว่าตนเองสามารถรักษาของอาการผู้ป่วยแบบใดได้บ้าง จึงจะวางใจลงได้

ลู่ฝานพูดขึ้นว่า: “พอเข้าใจอยู่บ้าง ส่วนใหญ่อาการจำพวกเส้นชีพจรเลือดลมแตก พลังชีวิตถดถอย โรคร้ายจากคำสาปแช่ง สามารถรักษาได้! ”

พ่อบ้านอาวุโสกับนักบู๊ที่ยืนอยู่ด้านข้างต่างก็สูดหายใจลึกเลยทีเดียว

การสูดลมหายใจครั้งนี้ เสียงดังมากไปหน่อยจริง ๆ

ขนาดเส้นชีพจรเลือดลมแตก พลังชีวิตถดถอยยังสามารถรักษาได้ แล้วจะมีโรคอะไรที่รักษาไม่ได้อีกล่ะ

แต่น้ำเสียงพูดของลู่ฝานนั้นดูเหมือนจะเป็นปกติธรรมดา ราวกับว่าเรื่องดังกล่าวนี้ ไม่สมควรที่จะพูดถึงแต่อย่างใด

พ่อบ้านอาวุโสแอบพูดในใจว่า: “คงไม่ถึงกับมียอดฝีมือขั้นเทพมาจริง ๆ หรอกนะ”

พ่อบ้านอาวุโสมีใบหน้ายิ้มแย้ม และพูดขึ้นว่า: “งั้นก็ดีมากเลย ผู้ฝึกชี่เถ่เมี่ยนเชิญมาทางนี้ เจ้าบ้านของฉัน อยู่ที่ตรงนี้”

ขณะที่พูด พ่อบ้านอาวุโสก็นำลู่ฝานเดินเข้ามาด้านใน

ดวงตาของลู่ฝานเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เพียงแค่เขาเข้าใกล้อี่ว์ชิงเฉิน อี่ว์ชิงเฉินที่นอนป่วยอยู่บนเตียงนั้นก็จะต้องตายลงแน่นอน ซึ่งการที่สามารถกำจัดปัญหาความยุ่งยากอย่างอี่ว์ชิงเฉิงลงไปโดยที่ไม่ต้องเสียเลือดเสียเนื้อแบบนี้ ถือได้ว่าเป็นวิธีการที่ดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย

แต่ในขณะนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น

“พ่อบ้านใหญ่ ท่านไม่รอฉันก่อนเหรอ? ”

น้ำเสียงค่อย ๆ ดังใกล้เข้ามา ชายอ้วนคนหนึ่งก็มาถึงพร้อมกับเสียง

ใบหน้าเต็มไปด้วยเนื้อ รูปร่างอ้วนกลม สวมใส่ชุดคลุมยาว ขณะที่เดินนั้น ก็สั่นไหวไปทั้งร่าง

“ผู้ฝึกชี่อู๋เหลียง ท่านก็มาแล้วเหรอ”

พ่อบ้านอาวุโสหยุดฝีเท้าลง

ลู่ฝานได้ยินคำว่าอู๋เหลียง ก็ขมวดคิ้วขึ้น คำนี้เป็นคำด่าคน และก็ยังเป็นชื่อของชายอ้วนคนนี้ด้วย

ชายอ้วนเดินขึ้นมาด้านหน้าและพูดว่า: “ไม่ใช่ท่านเรียกให้ฉันมาหรอกเหรอ? ตามกฎเกณฑ์เดิมที่ตกลงไว้ ตอนนั้นพูดว่าอะไรก็คืออะไร ท่านมอบอุกกาบาตหลิงซานให้กับฉัน ส่วนฉันจะรักษาเจ้าบ้านของท่าน ยุติธรรมกันทั้งสองฝ่าย”

พ่อบ้านอาวุโสพูดขึ้นว่า: “ผู้ฝึกชี่อู๋เหลียงอ่ะ อุกกาบาตหลิงซานนั้นคือสมบัติล้ำค่าที่เจ้าบ้านตระกูลอี่ว์หลงเหลือเอาไว้ ฉันไม่สามารถที่จะนำมาแจกจ่ายให้กับผู้อื่นตามใจชอบได้ สิ่งที่ท่านต้องการนี้ มันยากที่มอบให้จริง ๆ”

อู๋เหลียงพูดขึ้นว่า: “เรื่องนี้ฉันไม่สนใจ มอบสิ่งของให้ฉันฉันก็ทำการรักษา มิเช่นนั้นท่านก็รอให้เจ้าบ้านของท่านตายลงไปก็แล้วกัน”

พ่อบ้านอาวุโสได้ยินคำว่าตาย ใบหน้าก็เย็นชาขึ้นทันที

แต่เขาก็ไม่ได้โต้แย้งอะไรกับอู๋เหลียง

อู๋เหลียงหันหน้ามองไปที่ลู่ฝาน ยิ้มและพูดว่า: “นายก็เป็นผู้ฝึกชี่เหมือนกันล่ะสิ เหอะเหอะ แต่งกายแบบนี้ ช่างหลบหลู่ชื่อเสียงภาพลักษณ์ของผู้ฝึกชี่เสียจริง ฉันขอเตือนนายว่าให้รีบกลับไปโดยเร็วเถอะ โรคนี้ไม่ใช่ว่านายจะสามารถรักษาได้”

ขณะที่อู๋เหลียงพูด พลังชี่ในมือก็ปรากฏขึ้น ไม่นานนักก็กลายเป็นพายุทอร์นาโดหมุนวนอยู่กลางฝ่ามือ

นี่เขากำลังแสดงความสามารถโอ้อวดให้กับลู่ฝานได้เห็น หากว่าพลังความสามารถของลู่ฝานด้อยกว่าเขา เวลานี้ก็คงจะเดินกลับออกไปแล้ว

พ่อบ้านอาวุโสหันหน้า มองไปที่ลู่ฝานและพูดขึ้นว่า: “ผู้ฝึกชี่เถ่เมี่ยน ท่านว่าอย่างไรล่ะ? ”

ลู่ฝานยิ้มและพูดว่า: “ขอดูคนป่วยก่อนแล้วค่อยว่ากันเถอะ”

เมื่อพูดจบ ลู่ฝานก็เดินเข้าไปด้านใน

อู๋เหลียงตกใจ จากนั้นก็โมโหจนหน้าเขียว และส่งเสียงฮึอย่างเย็นชา

“ช่างไม่เจียมเนื้อเจียวตัวเอาเสียเลย! ”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 691
ตระกูลอี่ว์

ประตูใหญ่ปิดไว้อย่างแน่นหนา แขกผู้มาเยี่ยมเยือนจำนวนเบาบาง

ตระกูลใหญ่ที่มีชื่อเสียงของเมืองตงหวา วันนี้ดูเหมือนว่า จะเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวอย่างมาก

ภายในตระกูลอี่ว์ พวกคนรับใช้กลับยังยุ่งเหยิงวุ่นวายกันอยู่

ในช่วงที่ผ่านมานี้ชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขายิ่งย่ำแย่ลงไปทุกที โดยนับตั้งแต่ที่อี่ว์ชิงเชิง ท่านเจ้าคุณอี่ว์นอนป่วยอยู่บนเตียงนั้น

ทั้งตระกูลอี่ว์เหมือนกับว่าขาดแกนหลักสำคัญไป จนเกิดความยุ่งเหยิงอลหม่านกันไปหมด

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่านเจ้าคุณอี่ว์ที่นอนป่วยอยู่บนเตียงนั้น มักจะโมโหโวยวายอยู่เป็นประจำ ทำให้ผู้คนตื่นตระหนกไปตาม ๆ กัน

วันนี้ได้ทำการลงโทษผู้โชคร้ายที่ต้มยา บอกว่ายาที่ต้มนั้นขมเกินไป ผลสุดท้ายจึงถูกทุบตีจนขาหัก

สวนไผ่เขียว คือสถานที่พักผ่อนของท่านเจ้าคุณอี่ว์

ประตูห้องถูกเปิดขึ้น และชายชราคนหนึ่งก็ตะโกนเสียงออกมา

“มานี่หน่อย ผู้คนไปตายที่ไหนกันหมดแล้ว ไปเชิญผู้ฝึกชี่จู้อี้มาหน่อย ท่านเจ้าคุณอี่ว์กระอักเลือดแล้ว”

พ่อบ้านอาวุโสของตระกูลอี่ว์กระวนกระวายใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่า เขาเองนั้นก็ยุ่งมานานไม่รู้เท่าไรแล้ว ถุงใต้ตาลึก จนลูกตาแทบจะยุบลงไปแล้ว

คนรับใช้คนหนึ่งเดินเข้ามาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ และพูดว่า: “ผู้ฝึกชี่จู้ไปแล้ว เข้ากลับออกไปตั้งแต่เช้าแล้ว ก่อนที่จะไปยังพูดไว้ว่า……”

“พูดว่าอะไร? ”

พ่อบ้านอาวุโสพลันโมโหขึ้นมาทันที

คนรับใช้ตัวสั่นไปหมด และรีบพูดขึ้นว่า: “เขาพูดว่า อาการป่วยของท่านเจ้าคุณอี่ว์เขารักษาไม่ได้ จะต้องหายอดฝีมือมาทำการรักษา”

พ่อบ้านอาวุโสตะโกนเสียงดัง: “ยอดฝีมือ ฉันเองก็รู้ว่าต้องหายอดฝือ แต่ยอดฝีมืออยู่ที่ไหนล่ะ ไปหามาให้ฉันหน่อยสิ! ”

คนรับใช้ก้มหน้า ไม่กล้าที่จะพูดอะไรมาก

เกรงว่าหากพูดผิดไป ก็กลัวจะถูกทุบตีจนขาหักอีก

พ่อบ้านอาวุโสโมโหจนหน้าแดงไปหมด และดุด่าเสียงดังว่า: “ผู้ฝึกชี่พวกนี้ เอาแต่รับสิ่งของโดยที่ไม่ทำอะไรเลย ตอนที่แต่ละคนมาถึงนั้น ต่างก็โอ้อวดทะนงตนอย่างกับอะไร แต่ก็ไม่มีสักคนที่จะสามารถรักษาอาการป่วยอย่างแท้จริงได้เลย แล้วผู้ฝึกชี่อีกคนที่แซ่อู๋นั้นกลับไปแล้วเหรอยัง? ”

คนรับใช้พูดว่า: “ยัง ยังไม่กลับไปที กำลังกินดื่มอย่างเต็มที่อยู่ที่ลานกว้างนั้น”

พ่อบ้านอาวุโสกัดฟันพูดขึ้นว่า: “พอได้แล้ว พอได้แล้ว เรียกเขามาที่นี่เถอะ การรักษาอาการป่วยของท่านเจ้าคุณอี่ว์ให้หายได้ถึงจะเป็นเรื่องสำคัญ พวกสิ่งของที่เขาต้องการนั้น โธ่ ฉันจะไปนำมาให้เขา ต่อให้ฉันจะต้องลำบากแค่ไหนก็จะไปเอามาให้เขาให้ได้”

ขณะที่พูดพ่อบ้านอาวุโสก็โบกมือให้คนรับใช้กลับออกไป

ทันใดนั้น คนรับใช้ก็ถอนหายใจยาว แล้วก็หันหลังเดินจากไป

แต่ในขณะนั้นเอง ก็มีนักบู๊ผู้เฝ้าประตูอีกคนหนึ่งรีบวิ่งเข้ามา พร้อมกับตะโกนเสียงดัง: “ท่านหลิว มีผู้ฝึกชี่อีกคนหนึ่งมาถึงแล้ว”

พ่อบ้านอาวุโสเดินขึ้นมาด้านหน้าและพูดว่า: “อะไรนะ? มีมาอีกคนหนึ่งเหรอ? อยู่ที่ไหนล่ะ? มีความสามารถไหม”

นักบู๊พูดว่า: “ไม่ทราบ สวมหน้ากากเงิน ดูเหมือนจะค่อนข้างลึกลับมากทีเดียว”

“แน่ใจว่าเป็นผู้ฝึกชี่ใช่ไหม? ”

พ่อบ้านอาวุโสพูดขึ้นพร้อมกับขมวดคิ้ว

นักบู๊พยักหน้าและพูดว่า: “ถูกต้อง พลังชี่ในร่างกายนั้นผันผวนแตกต่างกันกับพลังปราณ”

“อย่างนั้นก็ไปเรียกเขาเข้ามา”

พ่อบ้านอาวุโสโบกมือและพูดขึ้นว่า มีผู้ฝึกชี่เพิ่มขึ้นอีกคน ก็มีโอกาสรักษาให้หายเพิ่มขึ้นอีกทางหนึ่งไม่ใช่เหรอ

ไม่นานนัก ชายหนุ่มในชุดคลุมยาว และสวมหน้ากากเงินก็ได้เดินเข้ามา

พ่อบ้านอาวุโสสำรวจมองดูอย่างละเอียดหนึ่งรอบ แล้วก็ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย การแต่งกายแบบนี้ทำให้เขาไม่ค่อยจะเข้าใจนัก ชุดเสื้อผ้าที่ราคาถูก หน้ากากเงินที่ธรรมดา มองไม่ออกจริง ๆ เลยว่ามีความพิเศษแตกต่างอะไรตรงไหน

ถูกต้อง คนผู้นี้ ก็คือลู่ฝาน

รอยยิ้มบนใบหน้าถูกปกปิดอยู่ภายใต้หน้ากากเงิน ลู่ฝานรู้สึกว่าตนเองนั้นสำเร็จไปแล้วครึ่งทาง

คิดไม่ถึงว่าตระกูลอี่ว์จะร้อนใจกันจนถึงขั้นนี้แล้ว เมื่อเห็นว่าเขาคือผู้ฝึกชี่ ก็ให้เขาเข้ามาด้านในเลย

พ่อบ้านอาวุโสกำหมัดยกมือแสดงความเคารพ และพูดว่า: “ขอถามหน่อยว่าท่านมีชื่อว่าอะไร”

ลู่ฝานพูดขึ้นด้วยเสียงอันทุ้มต่ำว่า: “เรียกฉันว่าเถ่เมี่ยนก็ได้แล้ว”

พ่อบ้านอาวุโสขมวดคิ้วหนักขึ้นไปอีก จากประสบการณ์ของเขาแล้ว โดยทั่วไปผู้ที่ปกปิดหน้าตานั้น จะต้องมีเป้าหมายอะไรที่บอกกับผู้อื่นไม่ได้

“ที่จริงแล้วก็คือคุณเถ่เมี่ยนนั่นเอง ขอถามหน่อยว่าคุณเถ่เมี่ยนคือผู้ฝึกชี่ใช่ไหม? อย่าเข้าใจผิดไปนะ เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงชีวิตของเจ้าบ้านของฉัน จึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ หวังว่าจะให้อภัย”

พ่อบ้านอาวุโสถามขึ้นด้วยความระมัดระวัง

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 690
ตอนนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับพวกลูกหลานของตระกูลลู่แล้ว จากความคิดคาดการณ์ของลู่ฝานนั้น หวังว่าผ่านไปอีกไม่กี่ปี ท่ามกลางพวกคนเหล่านี้จะปรากฏนักบู๊แดนปราณในขึ้นมากลุ่มหนึ่ง และปรากฏนักบู๊แดนปราณนอกขึ้นมาอีกจำนวนหนึ่ง ตระกูลถึงจะถือว่าได้เจริญเติบโตขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว

ภายในลานประลองบู๊ ลู่ฝานมองไปยังพวกลูกหลานของตระกูลลู่ที่กำลังฝึกฝนทักษะบู๊แล้วก็พยักหน้าเล็กน้อย

ศิษย์พี่หานเฟิงเองก็คงจะว่างจนน่าเบื่อแล้ว ถึงได้มาสอนพวกคนเหล่านี้ฝึกฝนวิชาบู๊ด้วย ซึ่งเมื่อดูจากท่าทางของเขา เหมือนจะกำลังสอนอย่างสบายใจเลยทีเดียว

ลู่ฝานจึงไม่ไปรบกวน

ด้านนอก ฉินเอ๋อร์ได้เดินเข้ามา และพูดขึ้นว่า: “เจ้าบ้าน มีจดหมายมาจากเมืองลู่”

ลู่ฝานยื่นมือออกมารับจดหมาย พร้อมกับมองไปที่ฉินเอ๋อร์ด้วยรอยยิ้ม

เวลานี้ฉินเอ๋อร์ถือว่าเป็นหญิงรับใช้คนสนิทของเขาแล้ว เอกสารจดหมายทุกฉบับล้วนจะต้องผ่านมือของฉินเอ๋อร์ก่อนทั้งหมด

ฉินเอ๋อร์มีจิตใจที่ละเอียดอ่อน ไม่ร้อนรน ทำให้ลู่ฝานชื่นชอบเป็นอย่างมาก

เมื่อเปิดจดหมายออก และมองเห็นตัวอักษรด้านในก็รู้ได้เลยว่าเป็นของลู่หมิง

กวาดสายตาอ่านผ่าน ๆ ช่วงแรกล้วนแต่เป็นรายละเอียดที่ลู่หมิงบ่นโวยวายว่าการเป็นผู้เฝ้าเมืองนั้นมันยุ่งยากน่าเบื่อ มีปัญหาความวุ่นวายอย่างมาก ช่วงกลางพูดถึงว่า เขาได้นำตัวโม่หยุนเฟยที่อยู่ในคุกใต้ดินออกมาดูโลกภายนอกโดยเฉพาะ เพื่อให้เขาได้เปิดหูเปิดตาเห็นว่า เวลานี้เมืองเจียงหลินนั้นได้กลายเป็นเมืองลู่แล้ว

ผลลัพธ์ก็คือโม่หยุนเฟยที่เดิมทีก็ถูกทรมานจนสูญเสียสภาพของความเป็นคนไปแล้วนั้น เมื่อเห็นว่าตระกูลลู่ไม่เพียงแต่จะไม่ถูกสังหารกวาดล้างทั้งตระกูล แต่กลับยิ่งเจริญรุ่งเรือง แข็งแกร่งมากขึ้นไปอีก โม่หยุนเฟยจึงวิ่งพุ่งชนกำแพงเมืองฆ่าตัวตายลงเดี๋ยวนั้นเลย

ลู่ฝานอ่านถึงตรงนี้ ก็ถอนหายใจ

เมื่ออ่านจดหมายต่อไปอีก จนถึงช่วงสุดท้าย ลู่หมิงถึงได้พูดถึงเรื่องสำคัญ

“มีจดหมายฉบับหนึ่งวางไว้อยู่ที่หัวนอนของฉัน ซึ่งเป็นจดหมายที่มาจากเขาซีซาน บอกว่าตัวคนได้จากไปแล้ว แต่มิตรภาพความผูกพันธ์ยังคงอยู่ วันหลังเมื่อนายไปยังเมืองหลวง แล้วค่อยพบเจอกัน”

ลู่ฝานตกใจขึ้นทันที ทางเขาซีซานส่งจดหมายมาให้ นั่นคงจะเป็นจดหมายที่หวูเฉินอาจารย์ของเขาฝากเอาไว้เป็นแน่

เมืองหลวง?

อาจารย์เขาไปที่เมืองหลวงแล้วอย่างนั้นเหรอ?

ลู่ฝานไม่เข้าใจอยู่บ้าง จึงขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย

ตอนท้าย ลู่หมิงถามในจดหมายว่า คนของเขาซีซานนั้น ใช่ผู้ฝึกชี่เถ่เมี่ยนหรือไม่

ลู่ฝานเงียบสงบลงไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ส่ายศีรษะ ช่างเถอะ ในเมื่ออาจารย์ไปยังเมืองหลวงแล้ว อย่างนั้นก็ทำตามที่เขาพูด เมื่อไปถึงเมืองหลวงแล้วก็ค่อยพบเจอกัน

ลู่ฝานเก็บจดหมายขึ้น และพูดว่า: “เธอยังมีเรื่องอื่นอีกไหม? ”

ฉินเอ๋อร์พูดขึ้นว่า: “ไม่มีเรื่องสำคัญอะไรแล้ว ก็แค่จวนหัวหน้าเขตได้ส่งคนมาแจ้งข่าวสารอีกแล้วว่า คุณเสี้ยวเอ๋อร์ขอเชิญท่านไปยังจวนหัวหน้าเขตเพื่อพูดคุยกันหน่อย”

ลู่ฝานได้ฟังแล้วก็ปวดหัวโดยพลัน ส่ายมือไปมาและพูดขึ้นว่า: “แจ้งกลับไปว่าฉันไม่ค่อยสบาย ช่วยปฏิเสธคำเชิญไปหน่อยนะ ใช่แล้ว ช่วงนี้ ตระกูลอี่ว์มีสถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง? ”

ลู่ฝานยิ้มและถามขึ้น ด้วยแววตาที่น่าแปลก

ฉินเอ๋อร์พูดขึ้นว่า: “ดูเหมือนไม่ค่อยจะดีเท่าไร อี่ว์ชิงเชิงยังคงลงจากเตียงไม่ได้ ได้ยินมาว่าพวกเขาได้เชิญแพทย์ไปรักษาจำนวนหนึ่งแล้ว และถึงขนาดเชิญผู้ฝึกชี่สองคนด้วย แต่ก็ยังหาวิธีรักษาไม่ได้”

ลู่ฝานพยักหน้าและพูดว่า: “เป็นแบบนี้เหรอ ฉันทราบแล้ว ฉินเอ๋อร์อ่ะ ช่วงกี่วันนี้ฉันจะเก็บตัวบำเพ็ญฝึกฝนแล้ว หากไม่มีธุระสำคัญก็อย่าได้ให้ใครมารบกวนฉันล่ะ”

ฉินเอ๋อร์พยักหน้าและพูดว่า: “รับทราบ เจ้าบ้าน ฉินเอ๋อร์จะไม่ให้ใครมารบกวนท่านแน่นอน”

ลู่ฝานพูดว่า: “ดีมาก”

เมื่อพูดจบ ลู่ฝานก็เดินกลับเข้าไปในห้องพักของตนเอง

ขณะที่เดินไปถึงประตูห้องแล้ว ลู่ฝานก็สั่งให้ฉินเอ๋อร์กลับออกไป จากนั้นเขาก็เดินเข้าไปในห้องคนเดียว

เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครตามตนเองมา ลู่ฝานจึงปิดประตูห้อง

จากนั้นก็นำสิ่งของสองอย่างออกมา จากแหวนของตน

ได้แก่ชุดคลุมตัวใหญ่หนึ่งชุด และหน้ากากเงินหนึ่งแผ่น

สิ่งของสองอย่างนี้ เก็บอยู่ในแหวนของลู่ฝานมานานไม่รู้เท่าไรแล้ว แต่ยังดีที่ยังไม่สูญหายไป ซึ่งเวลานี้ไม่ใช่ว่ากำลังเตรียมที่จะนำออกมาใช้งานแล้วไม่ใช่เหรอ?

ใบหน้าของลู่ฝานมีรอยยิ้มขึ้น แล้วก็นำหน้ากากเงินมาสวมใส่บนใบหน้า

เปลี่ยนใส่ชุดคลุม พลังชี่ในร่างกายก็เกิดการผันผวน เขากลายเป็นผู้ฝึกชี่เถ่เมี่ยนอีกครั้งแล้ว

ปราณชี่ควบคุมที่ลำคอ ลู่ฝานพูดขึ้นด้วยน้ำสียงที่ทุ้มต่ำว่า: “ฉันมีชื่อว่าเถ่เมี่ยน”

หากพึงพอใจแล้วก็พยักหน้า ลู่ฝานเปิดประตูห้องออกเล็กน้อย จากนั้นก็นำตัวเจ้าดำวางไว้ที่หน้าประตู

“เจ้าดำ ไม่ว่าใครก็ห้ามเข้ามาเป็นอันขาดรู้ไหม? ”

เจ้าดำพยักหน้าพร้อมกับหาวนอนไปด้วย

ลู่ฝานกลายร่างเป็นสายลม หายตัวไปอย่างไร้รองรอย

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 689
เวลาเปรียบได้ดั่งเม็ดทรายที่ไหลผ่านปลายนิ้วมือไป พริบตาเดียวเวลาก็ผ่านไปหนึ่งเดือนแล้ว

เกล็ดหิมะลอยตกลงมา โดยหิมะของเมืองตงหวานี้ เหมือนจะตกลงมาก่อนเมืองเจียงหลินบ้านเกิดของลู่ฝานเสียอีก โอ้ว ไม่ใช่สิ ตอนนี้ต้องเรียกว่าเมืองลู่แล้ว

เมื่อพูดถึง เรื่องเมื่อวานนี้เอง ภาษีอากรงวดแรกของเมืองลู่ได้ส่งมอบมาถึงเขาแล้ว ถึงแม้ว่าทางราชสำนักจะนำเงินส่วนมากนั้นไป แต่ส่วนที่เหลืออยู่ก็ถือว่ามากพอสมควรเลย

อย่างน้อยตามที่ลู่เฮ่าหรานพูดนั้น ชั่วชีวิตนี้เขายังไม่เคยพบเห็นเงินมากขนาดนี้มาก่อน

นี่คือผลประโยชน์ด้านหนึ่งของตำแหน่งผู้ตรวจการชั้นกลาง ที่สามารถครอบครองภาษีอากรส่วนหนึ่งของจากทั้งเมืองได้

เมื่อเปรียบเทียบกับผู้เฝ้าเมืองทั่วไปแล้ว อำนาจของลู่ฝานนั้นยิ่งใหญ่จนน่าตกตะลึง อย่างน้อยผู้เฝ้าเมืองคนอื่น ต่างก็รับเงินเดือนจากราชสำนัก ส่วนภาษีอากรนั้น เหอะเหอะ ตนเองก็แค่แอบลักลอบนำเอาส่วนเล็กน้อย ก็ไม่ถือว่าเป็นปัญหา แต่หากจะบอกว่าครั้งหนึ่งได้รับกี่ส่วนนั้น ก็คงจะเป็นไปไม่ได้ ซึ่งอยากจะจบชีวิตแค่ไหนก็คงจะไม่คิดจบชีวิตด้วยวิธีการแบบนี้แน่

หลังจากที่เขาได้พูดคุยกันกับผู้เฝ้าเมืองจางและคนอื่น ๆ แล้ว ลู่ฝานก็พบว่า ตนเองนั้นก็คือราชาท้องถิ่นของเมืองลู่แล้ว ต่อให้จะสังหารผู้คนอย่างไร้เหตุผลในเมืองลู่ ก็ไม่เป็นปัญหา ดั่งที่พูดกันว่า มีอำนาจปกครองแบบเบ็ดเสร็จ

อิทธิพลอำนาจระดับนี้ ก็เพียงพอที่จะทำให้ลู่หาวผู้เป็นพ่อและลู่เฮ่าหรานผู้เป็นปู่รู้สึกพึงพอใจอย่างที่สุดแล้ว

ตอนนี้ทั้งสองคนเวลาฝันก็ยังคงยิ้มแย้ม

หลังจากที่ลู่ฝานคิดพิจารณาแล้ว ในตำแหน่งของผู้เฝ้าเมืองลู่นี้ ก็ได้ใส่ชื่อของลู่หมิงไป

ลู่ฝานไม่รู้ว่าเมื่อลู่หมิงได้รับทราบข่าวสารนี้แล้ว จะแสดงอาการอย่างไรบ้าง

อย่างไรก็ตามในจดหมายที่ลู่หมิงส่งกลับมานั้น ลู่ฝานเห็นว่าตัวอักษรที่เขาเขียนล้วนไม่หนักแน่น

นั่นเป็นเพราะ ตอนที่เขียนจดหมายนั้น มือของเขากำลังสั่นเทา ใช้แรงกำลังได้ไม่เต็มที่

การที่มีเมืองแห่งหนึ่งเป็นฐานที่มั่นคงหนักแน่นของตระกูลลู่ ทำให้ตระกูลลู่ในวันนี้ มีพัฒนาการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และเจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้นไปทุกวัน

คฤหาสน์เพียงหลังเดียว ไม่เพียงพอต่อการที่ตระกูลลู่จะทำการขยับขยายแล้ว

ภายในช่วงเวลาสั้น ๆ เพียงหนึ่งเดือน คฤหาสน์ของตระกูลลู่ก็เพิ่มมากขึ้นสิบหลัง ทั้งในแบบเปิดเผย และแบบแอบแฝงเอาไว้ก็มีทั้งหมด

ร้านค้าก็มีเพิ่มมากขึ้นสิบกว่าแห่ง โดยไม่มีผู้ใดกล้าที่จะมาแย่งกิจการค้าขายจากตระกูลลู่

ถึงขนาดที่ว่ามีร้านค้าจำนวนไม่น้อยที่ยอมแขวนป้ายร้านเป็นชื่อตระกูลลู่ และยอมที่จะจ่ายเงินให้กับตระกูลลู่ในแต่ละปีอีกด้วย

เวลานี้ พวกลูกหลานของตระกูลลู่ แต่ละคนต่างก็องอาจห้าวหาญ ไม่มีความน้อยเนื้อต่ำใจ อย่างกับตอนที่เพิ่งเข้ามาในเมืองใหม่ ๆ

เมืองใหญ่ แล้วอย่างไรล่ะ?

ตระกูลลู่ของฉัน ก็ยังสามารถที่จะเชิดหน้าชูตาได้เหมือนกัน

เพราะเหตุนี้เอง ลู่ฝานจึงได้กำหนดกฏระเบียบของตระกูลขึ้นโดยเฉพาะ ห้ามลูกหลานของตระกูลลู่ออกไปกำเริบเสิบสานและสร้างปัญหาความวุ่นวายเป็นอันขาด

หลังจากที่จัดการกำราบพวกลูกหลานที่โอ้อวดทะนงตนเหล่านั้นแล้ว ภาพลักษณ์ของตระกูลลู่ก็ดีขึ้นในทุกด้าน และเจริญรุ่งเรืองมากยิ่งขึ้นไปอีก

ดูจากสถานการณ์นี้แล้ว ไม่ถึงหนึ่งปี ตระกูลลู่ก็จะสามารถลงหลักปักฐานในเมืองตงหวาได้อย่างมั่นคงแล้ว บางที ในอีกไม่กี่ปี ชื่อของตระกูลลู่อาจจะโด่งดัง ไปทั่วทั้งเขตตงหวาเลยก็เป็นได้

ในช่วงเวลานี้ลู่หาว และลู่เฮ่าหราน ยุ่งวุ่นวายอย่างมากเลยทีเดียว

ตระกูลลู่กำลังขยับขยาย พวกลูกหลานที่เต็มใจโยกย้ายมาจากบ้านเกิดก็ต้องดูแล ส่วนนักบู๊ที่ปกป้องดูแลคฤหาสน์ ก็ต้องรับสมัครเข้ามาเพิ่มอีกหนึ่งชุด

เพราะว่าลำพังอาศัยแค่คนที่ทางจวนหัวหน้าเขตส่งมานั้น มันไม่เพียงพอต่อความเป็นจริง

หนึ่งตระกูล ยังไงก็จะต้องมีลูกน้องทีมงานเป็นของตัวเองด้วย

ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ พวกลูกหลานของตระกูลลู่ล้วนแต่มีวิทยายุทธที่ค่อนข้างต่ำ

ดังนั้น ลู่ฝานจึงได้ทำการเปิดเตากลั่นยาบางชนิดให้กับพวกเขาโดยเฉพาะ

แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่แผนการระยะยาว สิ่งสำคัญที่สุดนั้น ก็คือทักษะวิชาบู๊ และการอบรมสั่งสอนจากยอดฝีมือ

ตระกูลลู่แต่เดิมนั้น ไม่มียอดฝีมือ ในเมืองเล็กมีนักบู๊แดนปราณนอกคนหนึ่งก็ถือว่าสุดยอดแล้ว ต่อให้ต้องการจะพัฒนาพลังความสามารถขึ้นไปอีก ก็ไม่มีผู้ใดที่จะชี้แนะได้

แต่เมื่อมาถึงที่นี่ ล้วนเต็มไปด้วยยอดฝีมือทั้งนั้น

นักบู๊แดนปราณนอกนั้น เมื่อเข้าร่วมงานเลี้ยงฉลอง ก็จะสามารถพบเจอได้เป็นกอง

พวกลูกหลานของตระกูลลู่ที่สำนึกจากความผิดพลาด ต่างก็ตั้งใจฝึกฝนวิชาบู๊กันอย่างขะมักเขม้น กอปรกับตระกูลลู่เองตอนนี้ก็มีเงินทองมากมาย สมุนไพรหรือยาต่าง ๆ ก็ไม่เป็นปัญหา เพียงแค่แสดงพรสวรรค์ออกมาอย่างเต็มที่ ก็จะได้รับการบ่มเพาะฝึกฝนเป็นอย่างดีจากตระกูล

สำหรับวิชาบู๊นั้น ก็ไม่ใช่วิชาบู๊ระดับคนที่ไม่ได้เรื่องอีกแล้ว อย่างน้อยจะเริ่มต้นจากระดับทิพย์ ส่วนวิชาสุดยอดกายทองไฟอาบของตระกูลลู่นั้นก็กลายเป็นวิชาทั่วไป ที่ผู้ใดก็สามารถฝึกฝนได้แล้ว

ส่วนวิชาระดับดินที่แข็งแกร่งกว่านั้นก็มี โดยลู่ฝานได้มอบเคล็ดวิชาบู๊สองชุดที่เขาได้ศึกษาร่ำเรียนมาจากสถาบันสอนวิชาบู๊เอาไว้ให้ ซึ่งได้แก่กระบี่ฆ่าพิชิตฟ้า และหมัดมังกรเพลิงคำราม!

บวกกับด้านบนของฉากกั้นห้องที่ทางหัวหน้าเขตอี้ว์ได้มอบให้นั้นก็ยังมีเคล็ดวิชาบู๊อีกหนึ่งชุด ทำให้ตระกูลลู่มีเคล็ดวิชาบู๊ระดับดินสามชุดเป็นทักษะพื้นฐานแล้ว

โดยทักษะพื้นฐานเหล่านี้ พูดได้เลยว่า เพียบพร้อมด้วยท่วงท่าลักษณะของความเป็นตระกูลใหญ่แล้ว

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 688
ประชาชนทุกคนต่างก็ตะโกนโห่ร้องกันเกรียวกราว

“ผู้คนที่ออกไปจากเมืองเจียงหลินของพวกเรานั้น ไม่มีผู้ใดที่ไม่ได้เรื่อง ดูอย่างลู่ฝานสิ ฉันกล้ายืนยันเลยว่า ต่อไปเขาสามารถที่จะกลายเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง ซึ่งจะเป็นถึงผู้ยิ่งใหญ่ในระดับตำนานแบบนั้นเลย”

“ตอนนี้ก็จะต้องเรียกว่าเมืองลู่แล้ว! ”

“โอ้ว ใช่แล้ว จะต้องเรียกว่าเมืองลู่ ฮ่าฮ่า พวกเราไปเข้าร่วมงานเลี้ยงฉลองที่ตระกูลลู่กันเถอะ! ”

……

ท่ามกลางบรรยากาศที่ครึกครื้น มีเพียงแต่เจ้าบ้านจางเท่านั้น ที่อาศัยช่วงจังหวะที่คนไม่สนใจ เดินถอยร่นออกมา

เจ้าบ้านจางขึ้นนั่งบนรถม้า แล้วก็เดินทางกลับมายังบ้านของตน เมื่อมาถึงห้องหนังสือ ก็ผลักเปิดประตูออก

แม้ว่าจะเป็นช่วงกลางวัน แต่ห้องหนังสือนี้ก็มืดมิดไปหมด ภายในยังต้องจุดเทียนให้แสงสว่างด้วย

“คุณพ่อ วันนี้ทำไมท่านถึงกลับมาเร็วจัง”

ภายในห้องหนังสือ มีเสียงที่เฉยชาดังขึ้น

ดวงตาที่เยือกเย็นคู่หนึ่ง เป็นประกายขึ้นในห้องหนังสือ

เจ้าบ้านจางถอนหายใจและพูดว่า: “เยว่หานอ่ะ ต่อไปเมืองเจียงหลินแห่งนี้ก็จะกลายเป็นเมืองลู่แล้ว”

เมื่อพูดจบ ทันใดนั้น ก็มีเงาดำปรากฏขึ้นในห้องหนังสือ จากนั้นเปลวไฟของแสงเทียนโดยรอบก็สะท้อนมาที่ใบหน้าของเธอ

คนนี้ ก็คือจางเยว่หานที่ไม่ได้พูดถึงตั้งนานแล้ว

จางเยว่หานอยู่ในชุดสีดำ ใบหน้าของเธอดูเหมือนจะแตกต่างไปจากเดิมมากทีเดียว

บริเวณครึ่งใบหน้าแฝงไปด้วยชี่สีดำ ราวกับว่ามีแมงมุมอยู่ด้านบนนั้น

จางเยว่หานพูดด้วยเสียงเย็นชาว่า: “คุณพ่อพูดอะไรนะ? ”

เจ้าบ้านจางพลันถอยร่นลงไปสองก้าว เพราะรังสีอำมหิตที่จางเยว่หานปลดปล่อยออกมาจากร่างกายเมื่อครู่นี้นั้น แม้แต่เขาเองก็ยังตกใจ

เจ้าบ้านจางจับประคองไปที่ขอบประตู และพูดขึ้นว่า: “ลู่ฝานผ่านการทดสอบขั้นผู้ตรวจการชั้นกลางแล้ว ตอนนี้เป็นผู้ตรวจการชั้นกลางเพียงคนเดียวแห่งเขตตงหวาแล้ว โดยทางราชสำนักได้นำเมืองเจียงหลิน ปูนบำเหน็จให้กับพวกเขาตระกูลลู่แล้ว! ”

โครมมม!

ทันใดนั้น ห้องหนังสือก็เกิดเสียงพังทลายดังขึ้น

แม้แต่ขอบประตูที่เจ้าบ้านจางจับประคองอยู่นั้น ก็แตกออกเป็นรอยร้าว

“เป็นไปไม่ได้ ต่อให้เขาจะเก่งกาจแค่ไหน ก็ไม่มีทางที่จะผ่านการทดสอบขั้นผู้ตรวจการชั้นกลางได้”

เสียงของจางเยว่หานสั่นไหวเล็กน้อย

เจ้าบ้านจางถอนหายใจและพูดว่า: “ฉันเองก็ไม่อยากที่จะเชื่อ แต่ความจริงก็เป็นแบบนี้ ซึ่งเกรงว่าจะอยู่เมืองเจียงหลินแห่งนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว”

จางเยว่หานพูดขึ้นว่า: “พวกเขาตระกูลลู่จะกล้าลงมือสังหารพวกเราตระกูลจางอย่างนั้นเหรอ? ”

เจ้าบ้านจางส่ายศีรษะและพูดว่า: “พวกเขาคงไม่กล้าหรอก แต่เธอที่เป็นลูกสาวของฉันอ่ะ เธอถึงอาฆาตแค้นตระกูลลู่มากขนาดนี้ สักวันหนึ่ง เธอคงจะลงมือสังหารพวกเขาก่อน จากนั้น พวกเขาก็จะกลับมาล้างแค้นสังหารพวกเรา โดยฉันไม่อยากที่จะเห็นภาพเหตุการณ์นี้ปรากฏขึ้น โดยเฉพาะในตอนที่เธอยังไม่ใช่คู่ต่อกรของลู่ฝาน”

จางเยว่หานกัดฟันพูดว่า: “ฉันจะต้องเหนือกว่าเขาให้ได้ เขาให้ร้ายฉันจนฉันแทบจะพิการ สักวันหนึ่ง เขาจะต้องตายลงด้วยน้ำมือของฉัน”

เจ้าบ้านจางส่ายศีรษะและพูดว่า: “คงจะยาก ตอนนี้เขามีตำแหน่งราชการ มีผู้อารักขา ไม่แน่อาจจะมีสมบัติล้ำค่าที่ทางราชสำนักมอบให้ด้วย บวกกับพลังความสามารถส่วนตัวของเขาก็แข็งแกร่งอย่างมาก การที่เธอคิดที่จะสังหารเขานั้น คงจะเป็นเรื่องที่ยากมาก”

จางเยว่หานพูดขึ้นว่า: “ท่านจะต้องเชื่อฉันสิ”

เจ้าบ้านจางพูดว่า: “ฉันเชื่อเธอ ดังนั้นพวกเราจะต้องไปจากที่นี่กันก่อน อย่างน้อยตอนที่เธอยังไม่มีความมั่นใจที่จะเอาชนะเขาได้ ก็อย่าเพิ่งกลับมา”

จางเยว่หานเงียบลงไปสักครู่ และพูดขึ้นว่า: “คุณพ่อ ท่านไม่จำเป็นต้องไป ฉันไปเองก็พอแล้ว”

เจ้าบ้านจางส่ายศีรษะและพูดว่า: “หรือเธอคิดว่ามีอยู่วันหนึ่ง ฉันจะกลายเป็นจุดอ่อนของเธออย่างนั้นใช่ไหม? ฉันจะไปกับเธอ และทั้งตระกูลจางก็จะไปพร้อมกันกับเธอด้วย”

จางเยว่หานพูดขึ้นว่า: “คุณพ่อ หรือท่านจะยอมสละทุกสิ่งทุกอย่างของพวกเราในเมืองเจียงหลินทิ้งไปแบบนี้แล้วเหรอ? ”

เจ้าบ้านจางพูดขึ้นว่า: “ไม่ใช่ทุกอย่าง อย่างน้อยเงินทองก็ยังสามารถที่จะนำติดตัวไปได้ พวกเราหาสถานที่ที่ดี แล้วก็ลงหลักปักฐานกันใหม่ เชื่อมั่นในตัวพ่อของเธอนะว่า ตระกูลจางจะกลับมาแข็งแกร่งยิ่งใหญ่ขึ้นอีกครั้ง”

จางเยว่หานเดินออกมาจากท่ามกลางความมืด แล้วก็พุ่งเข้าไปที่อ้อมอกของเจ้าบ้านทันที

เฉพาะช่วงเวลานี้เท่านั้น ที่เจ้าบ้านจางถึงรู้สึกได้ว่า นี่คือลูกสาวของเขา

ทันใดนั้นแววตาของจางเยว่หานก็ประกายแสงสีเทาดำขึ้น แล้วจางเยว่หานก็ค่อย ๆ พูดขึ้นว่า: “คุณพ่อ พวกเราไปที่เมืองหลวงกันเถอะ”

เจ้าบ้านจางขมวดคิ้วและพูดว่า: “เมืองหลวง? ทำไมจะต้องไปที่นั่นด้วย ด้วยเงินทองของพวกเราที่มีอยู่นี้เมื่อไปที่เมืองหลวงแล้วจะมีโอกาสก้าวหน้าขึ้นได้ไหม? ”

จางเยว่หานพูดว่า: “ไปเมืองหลวง ฉันจึงสามารถหาวิธีการที่จะเหนือกว่าลู่ฝานได้”

เจ้าบ้านจางกัดฟันพูดขึ้นว่า: “เธอแน่ใจเหรอ? ”

จางเยว่หานพยักหน้าเบา ๆ

“ตกลง อย่างนั้นพวกเราก็ไปเมืองหลวง เพียงแค่เป็นเมืองใหญ่ก็เท่านั้น พ่อจะไปด้วยกันกับเธอ วางใจเถอะว่า ทุกอย่างจะต้องไม่มีปัญหาแน่นอน”

เจ้าบ้านจางตีเบา ๆ ไปบนแผ่นหลังของจางเยว่หาน

และในเวลาเดียวกันนี้ สายตาของจางเยว่หานก็เต็มไปด้วยแสงสีเทาดำ

ในเวลาเดียวกัน ที่เมืองเจียงหลิน

รถม้าขบวนหนึ่งได้เคลื่อนเข้ามาในตัวเมืองแล้ว โดยรถม้าที่โอ่อ่าหรูหรานี้ เป็นที่ดึงดูดความสนใจของชาวบ้านในเมืองกันอย่างมาก

จากนั้น ชายวัยกลางคนคนหนึ่งที่มองดูแล้วเหมือนกับเจ้าหน้าที่ของทางราชสำนักก็ได้เดินลงมา

และโบกมือให้กับนายทหารที่อยู่ด้านหลังพร้อมกับพูดขึ้นว่า: “ถือป้ายคำสั่งของฉัน และไปเรียกผู้เฝ้าเมืองแห่งนี้มา! ”

นายทหารรับมอบป้ายคำสั่งแล้วก็เดินไปทันที ส่วนชายวัยกลางคนก็ยืนรออยู่บนถนนที่กว้างขวางอย่างสงบ

ไม่นานนัก ชาวบ้านทั้งหมดในเมืองเจียงหลินก็เห็นรถม้าทีละคันทีละคัน เคลื่อนที่มาอย่างเร่งรีบ

โจวเจิ้นโส่วและคนอื่น ๆ ได้รีบเดินลงมาจากรถม้า ส่วนคนอื่นที่มาพร้อมกันกับเขานั้น คิดไม่ถึงว่ายังมีลู่หมิง ลู่เฟิง คุณท่านจางของตระกูลจาง รวมไปถึงบุคคลที่ยิ่งใหญ่มีหน้ามีตาในเมืองเจียงหลินทั้งหมดด้วย

วันนี้ พอดีว่าเป็นงานฉลองวันเกิดของโจวเจิ้นโส่ว ดังนั้นทุกคนจึงอยู่กันพร้อมหน้า

พลันได้ยินว่ามีเจ้าหน้าที่ระดับสูงมา ทุกคนจึงตามมาด้วยกันทั้งหมด

โจวเจิ้นโส่วรีบเข้ามาด้านหน้าเพื่อแสดงความเคารพ พร้อมกับพูดเสียงดังว่า: “ผู้เฝ้าเมืองเจียงหลิน โจวเซวียนเจี๋ยคารวะผู้แทนราชสำนัก”

ผู้แทนคนนี้ไม่ใช่ผู้แทนธรรมดา โดยเป็นถึงเจ้าหน้าที่ที่ทางราชสำนักส่งมาโดยตรง เพื่อถ่ายทอดคำสั่งต่าง ๆ ของทางราชสำนัก ซึ่งมีตำแหน่งราชการที่สูงกว่าผู้ตรวจการระดับต่ำทั่วไป และแน่นอนว่ามีตำแหน่งสูงกว่าผู้เฝ้าเมืองมากทีเดียว

ชายวัยกลางคนพยักหน้า สะบัดมือพร้อมกับนำราชโองการออกมา ยกชูขึ้น และพูดว่า: “โจวเซวียนเจี๋ย แห่งเมืองเจียงหลิน สร้างบุญปการมากมายในการปกครองบ้านเมือง จึงมีคำสั่งให้เลื่อนตำแหน่งเข้าสู่ตำหนักบุ๋นบู๊ ถือครองปากกาหยก โดยจะเข้ารับตำแหน่งตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป”

โจวเจิ้นโส่วตกใจขึ้นอย่างกะทันหัน นี่ไม่ใช่ว่าได้รับการเลื่อนขั้นแล้วเหรอ?

ตำหนักบุ๋นบู๊นั่นอยู่ในเมืองหลวงเลยนะ!

เขาได้รับการเลื่อนขั้นไปอยู่ที่เมืองหลวงแล้ว!

ชายวัยกลางคนได้ส่งมอบราชโองการให้กับโจวเจิ้นโส่ว พร้อมกับพูดขึ้นด้วยท่าทางอิจฉาว่า: “โจวเจิ้นโส่ว มีชีวิตที่ดีจริง ๆ เลย ผู้เฝ้าเมืองที่มีอายุก่อนที่จะถึงห้าสิบปี สามารถเลื่อนขั้นเข้าสู่ตำหนักบุ๋นบู๊ได้นั้นมีจำนวนไม่มากนัก แน่นอนว่า ปฏิบัติหน้าที่ไปอีกไม่กี่ปี ตำแหน่งหัวหน้าเขต ก็คงจะมีชื่อของโจวเจิ้นโส่วปรากฏอยู่เป็นแน่”

โจวเจิ้นโส่วตื่นเต้นดีใจจนร่างกายสั่นเทาไปหมดแล้ว

แต่เขาก็ยังไม่ค่อยเข้าใจว่า นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่

ทำไมถึงได้รับการเลื่อนขั้นที่น่าแปลกเช่นนี้!

“ขอสอบถามท่านผู้แทนหน่อยว่า ผู้ใดกันที่สนับสนุนให้ฉันได้เลื่อนขั้น”

ชายวัยกลางคนพูดขึ้นว่า: “ไม่มีใครสนับสนุนให้นายได้เลื่อนขั้นหรอก เป็นเพราะผลงานความดีความชอบของนายเองทั้งนั้น และขอถามหน่อยว่าผู้รับผิดชอบของตระกูลลู่ที่อยู่ในเมืองนี้อยู่ที่ไหน? ”

ลู่เฟิงกับลู่หมิงตกใจขึ้นเล็กน้อย แล้วทั้งสองคนก็เดินออกมา

ลู่เฟิงพูดขึ้นว่า: “อยู่นี่ ท่านมีรับสั่งอะไรเหรอ”

ชายวัยกลางคนได้นำราชโองการอีกฉบับออกมา และประกาศเสียงดังว่า: “ลู่ฝานแห่งตระกูลลู่ มีคุณสมบัติพรสวรรค์ที่เยี่ยมยอด และมีศักยภาพที่ไม่ธรรมดา ถือเป็นบุคคลสำคัญและเสาหลักของประเทศอู่อานในอนาคต เขาได้สังหารกุยวัว และได้รับการแต่งตั้งในตำแหน่งผู้ตรวจการชั้นกลาง พร้อมด้วยการปูนบำเหน็จรางวัลเมืองแห่งหนึ่ง ให้เปลี่ยนชื่อเป็นเมืองลู่ โดยมีคนของตระกูลลู่รับหน้าที่เฝ้าปกครอง ซึ่งจะเข้ารับตำแหน่งหน้าที่นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป”

ลู่เฟิงและลู่หมิงอ้าปากค้าง ตะลึงงันกันไปหมด

เมืองลู่!

พระเจ้า เมืองเจียงหลินจะเปลี่ยนชื่อเป็นเมืองลู่แล้ว!

พวกชาวบ้านที่โอบล้อมกันอยู่นั้นต่างก็อุทานโห่ร้องขึ้น

ใบหน้าของแต่ละคนต่างก็แฝงไปด้วยความน่าเหลือเชื่อ โดยมีคนจำนวนมากที่กำลังสอบถามกันไปมาว่า ผู้ตรวจการชั้นกลางนั้นคือตำแหน่งอะไร

ชายวัยกลางคนแสดงความยินดีพร้อมกับนำราชโองการมอบให้กับลู่เฟิง

การปฏิบัติต่อผู้เฝ้าเมืองนั้น แม้ว่าจะเป็นผู้เฝ้าเมืองที่ใกล้จะเข้าสู่ตำหนักบุ๋นบู๊แล้ว เขาก็ยังสามารถที่จะแสดงท่าทีที่หยิ่งทะนงได้ เพราะว่าตำแหน่งราชการของเขามีระดับขั้นที่สูงกว่า

แต่เมื่อปฏิบัติต่อคนในตระกูลของผู้ตรวจการชั้นกลาง เขาเองก็ไม่กล้าที่จะทะนงตนแล้ว

โดยที่ใบหน้าก็พยายามฝืนยิ้มออกมาอย่างขมขื่น

ลู่เฟิงรับราชโองการมาด้วยความตกใจ กลืนน้ำลายและพูดขึ้นว่า: “นับตั้งแต่วันนี้ไป เมืองเจียงหลิง ก็จะเปลี่ยนชื่อเป็นเมืองลู่แล้วเหรอ? ”

ชายวัยกลางคนยิ้มและพูดขึ้นว่า: “ใช่สิจะเป็นเรื่องเท็จได้อย่างไรล่ะ? และฝากบอกไปยังลู่ฝาน ผู้ตรวจการลู่ด้วยว่า ให้เขาตัดสินใจเลือกผู้ที่จะรับตำแหน่งผู้เฝ้าเมืองโดยเร็ว จากนั้นก็แจ้งชื่อมายังจวนหัวหน้าเขตได้เลย”

ลู่เฟิงสูดหายใจลึก และโบกมือไปมาพร้อมกับพูดขึ้นว่า: “ไปไป วันนี้ตระกูลลู่จัดงานเลี้ยงฉลอง ขอเชิญทุกท่าน มาเข้าร่วมงานกันนะ! ”

ทุกคนพลันหัวเราะขึ้น แม้แต่โจวเจิ้นโส่วเองก็พยักหน้าและพูดขึ้นว่า: “จะไปเดี๋ยวนี้ จะไปเดี๋ยวนี้เลย”

คนกลุ่มหนึ่งพากันโอบล้อมลู่เฟิงและเดินกลับพร้อมกัน ประชาชนทั้งเมืองเจียงหลินต่างก็ครึกครื้นเฮฮากันมากทีเดียว

ปากต่อปาก เล่าต่อ ๆ กันไป ไม่นานนัก ผู้คนกว่าครึ่งเมือง ต่างก็รับทราบว่า เมืองเจียงหลินจะเปลี่ยนชื่อเป็นเมืองลู่แล้ว!

ลู่หมิงยังคงตื่นตกใจอยู่กับที่ พร้อมกับพูดพึมพำไม่หยุด

“ผู้ตรวจการชั้นกลาง กุยวัว เมืองลู่……”

ลู่หมิงดวงตาเป็นประกาย หัวเราะและพูดขึ้นว่า: “ลู่ฝานอ่ะ ลู่ฝาน เป็นจริงที่ว่าเมื่อตระกูลลู่อยู่ในมือของนายนั้นถึงจะเจริญรุ่งเรือง ฉันนับถือ ฉันนับถือโดยสิ้นเชิง! ”

ลู่หมิงเงยหน้าหัวเราะขึ้น ราวกับเป็นคนบ้าอย่างไรอย่างนั้น หัวเราะจนถึงขนาดโน้มเอนตัวไปมา

ประชาชนโดยรอบ กลับไม่ได้หัวเราะเยาะเขา เพราะพวกเขารู้ว่าลู่หมิงสมควรที่จะหัวเราะดีใจ

ไม่ว่าตระกูลใดที่เผชิญกับเรื่องราวแบบนี้ ก็สมควรที่จะหัวเราะดีใจอย่างที่สุด

เรื่องของลู่ฝานนั้น ได้แพร่กระจายไปทั่วเมืองเจียงหลินอีกครั้ง

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 686
เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดติดต่อกันว่า: “เข้าใจ เข้าใจแล้ว ไม่มีปัญหา ฉันลงไปอยู่ในมุกเทพเลย เจ้านายวางใจได้ จะไม่แอบดูอีกแน่นอน ฉันเป็นภูติอาวุธ ดูพวกนี้ไปก็ไม่เกิดประโยชน์ ก็แค่ดูเพื่อความเพลิดเพลินเท่านั้น”

ลู่ฝานรู้สึกเหมือนว่าถูกคนมองดูร่างกายกายที่เปลือยเปล่า และในขณะนั้นเอง

ก็มีเสียงหนึ่งดังผ่านเข้ามา

“เจ้าบ้านลู่ฝาน ฉินเอ๋อร์มาปรนนิบัติรับใช้ท่านแล้ว”

เมื่อลู่ฝานได้ยินเสียงนี้แล้ว ก็มองเห็นคนรับใช้ฉินเอ๋อร์เดินเข้ามา

ทันใดนั้น ฉินเอ๋อร์ก็กรีดร้องขึ้น เพราะตอนนี้ลู่ฝานนั้นยังไม่ได้สวมใส่เสื้อผ้าอะไรเลย

ลู่ฝานจึงรีบเอามือกุมปิดบริเวณส่วนสำคัญเอาไว้ และพูดเสียงดังว่า: “ออกไป ออกไป! ”

ฉินเอ๋อร์เขินอายจนหน้าแดง แล้วก็ค่อย ๆ ถอยหลังออกไปจากลานกว้าง

ยามเฝ้าบ้านกี่คนนั้นต่างก็ได้หัวเราะเหอะเหอะขึ้น

“แม่นางฉินเอ๋อร์ ได้เห็นเต็มบุญตาเลยล่ะสิ! ”

ฉินเอ๋อร์ถ่มน้ำลายใส่พวกเขาทีละคน นึกไม่ถึงว่าไอ้หนุ่มสองคนนี้ จะไม่เตือนเธอเลย ช่างเลวร้ายเสียจริง

ลู่ฝานรีบสวมใส่เสื้อผ้าโดยเร็ว

เมื่อเสร็จแล้วจึงให้ฉินเอ๋อร์เข้ามา คิดไม่ถึงว่าหญิงรับใช้ตัวน้อยคนนี้ จะมาที่เมืองตงหวาแล้ว

ลู่ฝานมองไปที่เธออย่างเก้อเขินและพูดขึ้นว่า: “มีเรื่องอะไรเหรอ? ”

ฉินเอ๋อร์พูดขึ้นว่า: “ไม่มีเรื่องอะไรหรอก ฉันก็มาเพื่อรับใช้ปรนนิบัติท่าน ตามหน้าที่เท่านั้น ยังมีอีกเรื่องหนึ่งคือคุณปู่ให้ฉันมาบอกกับท่านว่า คนจากราชสำนักมาถึงแล้ว รวมถึงนายพลสวีแห่งจวนหัวหน้าเขตก็มาถึงแล้วด้วย ซึ่งรอกันอยู่ที่ห้องโถง เมื่อท่านตื่นแล้ว ก็ให้รีบออกไปพบ”

ลู่ฝานพยักหน้าและพูดว่า: “อืม ฉันรู้แล้ว อีกสักครู่ฉันก็จะออกไป”

ฉินเอ๋อร์ช่วยลู่ฝานจัดแจงเสื้อผ้าเล็กน้อย จากนั้นก็ยื่นผ้าเช็ดตัวที่เตรียมไว้ให้

ลู่ฝานเช็ดทำความสะอาดแล้ว ก็เดินออกไปทันที

เมื่อครู่นี้มันเก้อเขินมากเลยจริง ๆ เขายืนอยู่ด้านข้างของฉินเอ๋อร์ ก็ยังรู้สึกว่าไม่เป็นตัวของตัวเอง

เมื่อเดินออกมาถึงห้องโถง ก็พบว่ามีคนนั่งรอกันอยู่เต็มไปหมด

ลู่เฮ่าหรานและลู่หาวกำลังพูดคุยอยู่กับจอมพลสวีและชายชราอีกคนหนึ่งอย่างสบายใจ

เมื่อเห็นว่าลู่ฝานปรากฏตัวขึ้น ทุกคนก็ลุกยืนขึ้นในทันที

ลู่ฝานยิ้มแย้มและเดินขึ้นมาด้านหน้าพร้อมกับกำหมัดแสดงความเคารพและพูดว่า: “นายพลสวี ไม่พบเจอกันตั้งนานเลย ต่อไปคงต้องรบกวนจอมพลสวีอย่างมากแล้ว”

นายพลสวียิ้มและพูดว่า: “ด้วยความยินดี”

“ท่านผู้นี้คือ? ”

ลู่ฝานมองไปที่ชายชราผู้นั้น

ชายชราหัวเราะเหอะเหอะ และพูดขึ้นว่า: “ฉันแซ่จู และมีชื่อคำเดียวว่าหง ผู้ตรวจการลู่ ไม่ต้องเกรงใจหรอก ราชสำนักได้จัดเตรียมปูนบำเหน็จรางวัลให้นายแล้ว เชิญรับมันไว้เถอะ”

ลู่ฝานรีบยื่นมือสองข้างออกมาอย่างเคารพ นักบู๊ไม่จำเป็นต้องคุกเข่าลง

ชายชราส่ายมือไปมาและพูดขึ้นว่า: “ผู้ตรวจการลู่ ฉันจะไม่เน้นพิธีทางการอะไรมาก อีกสักครู่ฉันจะต้องรีบเดินทางต่ออีก ส่งมอบรางวัลนี้ให้นายเลยแล้วกัน โดยราชสำนักได้ปูนบำเหน็จรางวัลให้ดังนี้ โดยให้เมืองเจียงหลินเปลี่ยนชื่อเป็นเมืองลู่ ซึ่งตระกูลลู่เป็นเจ้าของผู้ดูแล นี่คือป้ายคำสั่งแต่งตั้งเจ้าเมือง ด้านบนสลักคำว่าลู่ นอกจากนี้ ยังมอบยาสมุนไพรเปิดฟ้าจิตวิญญาณสามขวด โสมอายุยืนสิบต้น และชุดบู๊เมฆดำหนึ่งชุด ”

ชายชรานำกล่องใบหนึ่ง วางไว้บนมือของลู่ฝาน

เมื่อเปิดดู ก็พบว่าสิ่งของที่พูดเมื่อครู่นั้น ต่างก็อยู่ภายในนี้ทั้งหมด

ลู่ฝานยิ้มและพูดว่า: “การปูนบำเหน็จรางวัลของทางราชสำนักช่างมากมายเหลือเกินจริง ๆ นะ”

“วันนี้เจ้าหน้าที่ที่จะทำการปรับเปลี่ยนชื่อเมืองก็คงน่าจะถึงเมืองเจียงหลินแล้ว ผู้ตรวจการลู่สามารถส่งคนไปเฝ้ารอได้เลย ส่วนฉันมีธุระอื่นอีก จึงต้องขอตัวลากลับก่อน ในอนาคตหากผู้ตรวจการลู่เลื่อนขั้นไปอยู่ในเมืองหลวงแล้ว ก็ช่วยพูดยกย่องชื่นชมฉันบ้างนะ”

ชายชราพูดขึ้นด้วยความยิ้มแย้ม

ลู่ฝานพยักหน้าตอบรับ: “แน่นอน! ”

ชายชรากำหมัดแสดงความเคารพ แล้วก็เดินจากไป

ลู่ฝานมองดูที่เม็ดยาทั้งหลาย ล้วนแต่เป็นระดับทิพย์ขึ้นไปทั้งนั้น ส่วนสมุนไพรก็คือของชั้นยอด

ที่สำคัญคือชุดบู๊เมฆดำ ที่ไม่เลวเลยจริง ๆ

ลู่เฮ่าหรานเดินเข้ามาใกล้แล้วพูดว่า: “ลู่ฝาน สิ่งของเหล่านี้ นายเก็บเอาไว้ใช้เองเถอะ เพื่อจะได้เพิ่มระดับขั้นพลังความสามารถให้เร็วขึ้นอีก”

ลู่ฝานเก็บยาขวดหนึ่งและชุดคลุมบู๊เอาไว้ จากนั้นก็มอบส่วนที่เหลือให้กับลู่เฮ่าหรานและพูดว่า: “คุณปู่ สิ่งของเหล่านี้ ท่านนำเก็บเอาไปเถอะ ไว้ใช้สำหรับคนตระกูลลู่ที่ต้องการ”

ลู่เฮ่าหรานรับสิ่งของนั้นมา และมองไปที่ลู่ฝานด้วยสายตาที่แน่วแน่ พร้อมกับนิ่งเงียบอยู่นาน

ลู่ฝานพูดขึ้นว่า: “ตระกูลลู่ไม่ใช่ว่าจะมีแค่ฉันเพียงคนเดียวที่จะยืนหยัดรักษาเอาไว้ได้”

ลู่เฮ่าหรานพยักหน้า และพูดว่า: “ตกลง! ”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 685
เขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมอู่คงหลิงถึงกระทำแบบนี้

หลังจากที่จูบกันเสร็จแล้ว อู่คงหลิงก็พูดขึ้นอย่างอ่อนโยนว่า: “ลู่ฝาน นี่คือสิ่งที่ฉันต้องการก่อนที่จะจากไป”

เมื่อพูดจบ เสื้อผ้าบนร่างกายของอู่คงหลิงก็พลันหายสูญไป

เหลือเพียงแต่เรือนร่างอันงดงามปรากฏอยู่ภายใต้แสงจันทร์

ลู่ฝานรู้สึกเพียงว่าเปลวไฟที่ลุกโชนขึ้นมาจากบริเวณท้องน้อยนั้นได้เผาทำลายทุกอย่างลง

จากนั้น เขาก็โอบกอดร่างของอู่คงหลิงเอาไว้

ภายใต้แสงจันทร์ที่อร่าม บรรยากาศที่เป็นสุข

ค่ำคืนที่เงียบเหงา และมีสายลมพัดโชยอย่างอ่อนโยน

ผสมผสานเข้าด้วยกัน พร้อมกับเสียงอันแผ่วเบา

จนกลายเป็นท่วงน้ำนองเพลงอันไพเราะอย่างที่สุดในค่ำคืนนี้

ลำแสงปราณชี่ในร่างของลู่ฝานได้ปกคลุมทั้งสองคนเอาไว้

ปราณชี่ที่กำลังขยายตัว ยังคงขยายตัวเพิ่มขึ้น จนลำแสงค่อย ๆ สว่างไสวมากกว่าแสงจันทร์ และส่องสว่างไปทั่วทั้งลานกว้าง

……

เช้าวันรุ่งขึ้น ลู่ฝานนอนเปลือยกายอยู่ที่ลานกว้าง

โดยมีเสื้อผ้าปิดอยู่ที่ร่างกายส่วนล่าง ส่วนร่างกายส่วนบนที่กำยำนั้นปรากฏอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์

เมื่อลืมตาขึ้นแล้ว ลู่ฝานก็ลุกขึ้นพร้อมกับลูบคลำศีรษะไปมา ไม่นานนักเขาก็นึกขึ้นได้ถึงความบ้าคลั่งที่เกิดขึ้นในช่วงค่ำคืนที่ผ่านมา

แต่เมื่อหันหน้าไปมอง ก็พบว่าอู่คงหลิงนั้นได้หายตัวไปแล้ว

ข้างกายมีจดหมายอยู่หนึ่งฉบับ โดยกระดาษจดหมายเป็นสีดำ ตัวอักษรเป็นสีขาว แสดงออกถึงความแตกต่างจากคนอื่น

ลู่ฝานหยิบจดหมายนั้นขึ้นมาดูอย่างละเอียด โดยด้านในจดหมายได้เขียนเอาไว้อย่างบรรจงว่า

“ลู่ฝาน ฉันได้นำเอาจิตอัคคีของนายไปแล้ว รวมถึงหยกแขวนจิตบู๊ของนายนั้น ฉันเองก็ได้นำเอาไปแล้วด้วย ต้องขอโทษอย่างมาก ที่ฉันโกหกหลอกลวงนาย เมื่อฉันได้ครอบครองร่างกายของนายแล้ว นายเองก็คงไม่สามารถที่จะเพิ่มพลังความสามารถได้มากขึ้นอีกเท่าไร แต่กลับกลายเป็นว่าพลังของนายนั้น ได้ถูกฉันดูดซับมาไม่น้อย จำไว้นะว่าต่อไปอย่าได้หลงเชื่อในพลังความสามารถของตนเองเกินไป มีบางอย่างที่อาจจะไม่ใช่ยาพิษ แต่กลับร้ายแรงหนักกว่ายาพิษเสียอีก ลืมฉันเสียเถอะ หวังว่าต่อไปพวกเราคงจะไม่พบเจอกันอีก ฉันไม่อยากที่จะลงมือฆ่านายด้วยมือของฉันเอง ในวันใดวันหนึ่ง นายเป็นคนดี หวังว่านายจะยังคงเป็นคนดีต่อไปตลอดชีวิต”

ลายมือตัวอักษรสวยงาม ราวกับตัวของอู่คงหลิงเอง

ลู่ฝานยิ้มเล็กน้อย ผู้หญิงคนนี้แสดงออกถึงความแตกต่างจากคนอื่นโดยสิ้นเชิง

ตอนที่อยู่ในห้องหินเธอพูดว่าประวัติความเป็นมาของเธอนั้นเป็นเรื่องเท็จ?

ลู่ฝานกลับไม่คิดอย่างนั้น เมื่อเรามองว่าเรื่องเท็จนั้นคือเรื่องจริง เรื่องจริงก็อาจจะกลายเป็นเรื่องเท็จก็ได้ ไม่ว่าจะจริงหรือเท็จ ก็ยากที่จะแบ่งแยกอย่างชัดเจน

ลู่ฝานก็ยังคงเต็มใจเชื่อสาวน้อยที่มีประวัติความเป็นมาที่น่าสงสารในห้องหินคนนั้น

พลิกกระดาษจดหมายอีกหน้าหนึ่ง ก็ยังมีอักษรข้อความอยู่อีก

“การพบเจอกันเทียบไม่ได้กับความคิดถึง เมื่อคิดถึงก็ไม่จำเป็นที่จะต้องพบเจอกัน! ”

ลู่ฝานอ่านไปมาอยู่หลายรอบ จากนั้นก็เกิดเปลวไฟขึ้นในมือ กระดาษจดหมายก็ถูกเผาไหม้กลายเป็นผุยผงลงในพริบตา

เวลานี้ เสียงของเจดีย์เสวียนเก้ามังกรก็ดังขึ้นในร่างของเขา

“เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ ท่านตื่นขึ้นมาแล้ว โดยสถานการณ์เมื่อคืนวานนี้ฉันได้บันทึกเอาไว้ทั้งหมดแล้ว ท่านต้องการจะรับชมอีกครั้งไหม? ”

ลู่ฝานอ้าปากค้างโดยพลัน จากนั้นก็พูดตวาดในใจว่า: “อะไรนะ นายบันทึกอะไรไว้เหรอ? รีบลบทิ้งไปเดี๋ยวนี้เลย ช้าก่อน อย่าเพิ่งลบทิ้งไปก่อน ช่างมันเถอะ เก็บมันไว้ก่อนก็ได้”

ลู่ฝานสีหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา แล้วพลันกัดฟันพูดว่า: “ไอ้เก้า เมื่อคืนวานฉันถูกมอมยาใช่ไหม ทำไมนายถึงไม่ยอมช่วยฉันล่ะ”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดขึ้นว่า: “เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ เรื่องแบบนี้คงไม่จำเป็นต้องช่วยเหลือหรอกนะ ตอนนั้นไอ้เซียนสือฟางต้องการอย่างมากแต่ก็ไม่เห็นจะได้เลย ฉันมองว่าหญิงสาวคนนั้นงดงามมาก อีกทั้งไม่ได้ใช้กลิ่นหอมอะไรที่ทำให้หลงใหล แต่มันคือกลิ่นหอมบริสุทธิ์จากร่างกายของเธอทั้งหมด ร่างกายของเธอมีเสน่ห์น่าหลงใหลโดยกำเนิด ไม่มีพิษมีภัยอะไร ดังนั้นฉันจึงไม่ได้ยื่นมือเข้าช่วย”

ลู่ฝานขมวดคิ้วและพูดขึ้นว่า: “ร่างกายมีเสน่ห์น่าหลงใหลโดยกำเนิด? ”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดขึ้นว่า: “ใช่สิ ร่างกายมีเสน่ห์น่าหลงใหลโดยกำเนิด มีแรงดึงดูดธรรมชาติ เป็นผู้ฝึกชั่วร้ายที่มีสภาพร่างกายชั้นยอด อนาคตน่าจะประสบความสำเร็จอย่างไม่ธรรมดาเลย! ”

ลู่ฝานไม่คิดที่จะถามต่อว่าแรงดึงดูดนั้นคืออะไรแล้ว เขาพอที่จะคาดเดาออกบ้างแล้ว

“ไอ้เก้า ต่อไปหากพบเจอเรื่องแบบนี้อีก นายจะต้องแก้พิษให้ฉันทันที จากนั้นก็หลบหลีกไป หลบหลีกไปนายเข้าใจไหม? หากว่านายไม่เข้าใจ ฉันก็จะจับนายโยนทิ้งไปเดี๋ยวนี้”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 684
“เท่านี้แล้วกัน พวกเราไม่รบกวนเวลาพักผ่อนของผู้ตรวจการลู่แล้ว หากมีเวลาว่าง ผู้ตรวจการลู่จะต้องมาหากันที่จวนหัวหน้าเขตบ้างนะ โดยคำแรกเมื่อเสี้ยวเอ๋อร์ตื่นขึ้นมา ก็มักจะถามถึงผู้ตรวจการลู่ว่าเป็นอย่างไรบ้าง”

หัวหน้าเขตอี้ว์พูดขึ้นด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม

ผู้เฝ้าเมืองจางยิ้มอยู่ด้านข้างและพูดขึ้นว่า: “โอ้ว? ยังมีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ ผู้ตรวจการลู่มีเสน่ห์ไม่เบาเลยนะ! ”

ลู่ฝานเก้อเขินเล็กน้อย และพูดขึ้นว่า: “อย่างนั้นก็ขอฝากหัวหน้าเขตอี้ว์สวัสดีและทักทายคุณเสี้ยวเอ๋อร์ให้ด้วย”

หัวหน้าเขตอี้ว์ส่ายศีรษะและพูดว่า: “เรื่องนี้ฉันไม่อาจจะเป็นตัวแทนให้ได้ ผู้ตรวจการลู่ควรไปด้วยตนเองเถอะ”

ลู่ฝานพยักหน้าอย่างเข้าใจ

หัวหน้าเขตอี้ว์และผู้เฝ้าเมืองจางได้ลุกขึ้น พร้อมกับยกมือแสดงความเคารพแล้วก็จากไป

ลู่ฝานเดินมาส่งทั้งสองคน ขณะที่เดินมาถึงประตูของลานหลังบ้าน อู่คงหลิงก็เดินเข้ามาพอดี

หัวหน้าเขตอี้ว์พลันหรี่ตาลง และหยุดฝีเท้าทันที

อู่คงหลิงเองก็มองไปที่หัวหน้าเขตอี้ว์ ทันใดนั้นก็ยิ้มและพูดขึ้นว่า: “หัวหน้าเขตอี้ว์ ไม่เจอกันนานเลย เป็นอย่างไรบ้างสบายดีไหม? ”

ใบหน้าที่ยิ้มแย้มของเธอ ถึงแม้ว่ารอยยิ้มนั้นจะอยู่ภายใต้ผ้าคลุมหน้า ก็ยังคงน่าประทับใจและน่าหลงใหลเช่นนี้

หัวหน้าเขตอี้ว์พูดว่า: “สบายดี ขอบคุณที่คุณอู่คงหลิงเป็นห่วง คุณอู่คงหลิงจะกลับเมื่อไรเหรอ? ”

อู่คงหลิงมีแววตาเปลี่ยนไป คนอื่นคงจะไม่เข้าใจถึงความหมายที่หัวหน้าเขตอี้ว์พูดขึ้นเป็นแน่

แต่เธอกลับเข้าใจอย่างชัดเจน

จะไล่เธอกลับแล้วใช่ไหม?

ดูเหมือนว่าหัวหน้าเขตอี้ว์ยังไม่เต็มใจที่จะร่วมมือด้วย

แต่ก็อยู่ภายใต้การคาดการณ์ ถ้าหากง่ายดายขนาดนั้น ก็คงจะมีปัญหาแน่แล้ว

ตอนนี้เธอได้รับสิ่งของที่ตัวเองต้องการแล้ว ส่วนปัญหาเล็กน้อยของทางหัวหน้าเขตอี้ว์นี้ ก็ไม่นับว่าเป็นปัญหาอะไรแล้ว

รอยยิ้มบนใบหน้าของอู่คงหลิงยังคงเดิม และพูดอย่างสงบขึ้นว่า: “พรุ่งนี้ก็กลับแล้ว ที่ฉันมาก็เพื่อบอกลาคุณชายลู่ฝาน”

หัวหน้าเขตอี้ว์ยิ้มและพูดว่า: “เป็นอย่างนี้นี่เอง อย่างนั้นพวกเราก็ขอตัวกลับกันก่อนแล้ว”

ผู้เฝ้าเมืองจางยืนเอามือไขว้หลังและพูดว่า: “อายุน้อยนี่ดีจังเลย! ”

ทั้งสองคนเดินจากไปโดยเร็ว ทำให้ลานหลังบ้านที่กว้างใหญ่ ก็เหลือเพียงแค่ลู่ฝานกับอู่คงหลิง

ทั้งสองคนจ้องมองสบตากัน ลู่ฝานจึงเอ่ยปากพูดขึ้นก่อนว่า: “ไม่นั่งก่อนเหรอ? ”

อู่คงหลิงยิ้มและพูดว่า: “ไม่ต้องหรอก ฉันมาเอาของแล้วก็จะกลับเลย”

ลู่ฝานขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อยและพูดว่า: “สิ่งของอะไรเหรอ? ”

อู่คงหลิงเดินเข้ามาด้านหน้าและพูดว่า: “สามารถแบ่งจิตอัคคีให้ฉันสักครึ่งหนึ่งได้ไหม? ฉันชื่นชอบมันอย่างมากเลย”

ลู่ฝานมองไปที่อู่คงหลิง แล้วก็ค่อย ๆ นำจิตอัคคีครึ่งหนึ่งออกมาจากทรวงอก

และวางไว้บนมือของอู่คงหลิง แล้วลู่ฝานก็พูดขึ้นว่า: “ครั้งหน้าเมื่อพบกัน พวกเรายังจะเป็นเพื่อนกันใช่ไหม? ”

อู่คงหลิงพูดว่า: “นายยอมรับว่าตอนนี้พวกเราเป็นเพื่อนกันแล้วเหรอ? ”

ลู่ฝานพูดว่า: “หรือว่าไม่ใช่เหรอ? ”

อู่คงหลิงส่ายศีรษะและพูดว่า: “ลู่ฝาน นายคงไม่อยากที่จะเป็นเพื่อนกับคนอย่างฉันหรอก อย่าลืมนะว่าสถานะของฉันคืออะไร รวมไปถึงสถานะของนายในตอนนี้ด้วย ถ้าหากผู้ตรวจการชั้นกลางที่ยิ่งใหญ่ กลายมาเป็นคนที่ฝึกวิชาชั่วร้ายแล้วล่ะก็ เกรงว่าตระกูลลู่ของนายคงจะดำรงอยู่ต่อไปไม่ได้แน่”

ลู่ฝานเงียบกริบพูดอะไรไม่ออก

อู่คงหลิงจึงได้เก็บจิตอัคคีนั้นขึ้นอย่างระมัดระวัง

“จะเป็นเพื่อนกันหรือไม่นั้น ก็ต้องดูว่าเวลานั้นคุณชายลู่ฝานเอง จะมีความคิดเห็นกับฉันอย่างไร ลาก่อน คุณชายลู่ฝาน”

อู่คงหลิงเอาแต่เรียกคุณชายลู่ฝานอยู่อย่างนั้น จนทำให้ลู่ฝานต้องพยักหน้าอย่างจำใจ

แต่ในขณะที่ลู่ฝานกำลังมองดูอู่คงหลิงเดินจากไปนั้น อู่คงหลิงก็ได้ปลดผ้าคลุมหน้าของตัวเองออก อย่างฉับพลัน

รูปลักษณ์ที่สวยงดงาม ก็ปรากฏสะท้อนขึ้นในสายตา

จากนั้น เธอก็ตรงเข้ามาจูบทันที

ลู่ฝานไม่ทันตั้งตัว จึงโดนจูบเข้าอย่างจัง

ลู่ฝานเบิกตาโพลงและมองไปที่อู่คงหลิงอย่างเหลือเชื่อ

ส่วนอู่คงหลิงนั้นก็ได้ยื่นมือสองข้างเข้ามาในเสื้อผ้าของลู่ฝาน

ความใคร่ความปรารถนาดั้งเดิมของมนุษย์กำลังเร่าร้อนขึ้น กลิ่นความหอม ได้ฟุ้งกระจายออกมาจากร่างของอู่คงหลิง

สติสัมปชัญญะที่หลงเหลืออยู่เพียงเล็กน้อยในหัวสมองของลู่ฝานนั้น ก็ได้ถูกกลิ่นความหอมนี้ชักนำพาไป

อู่คงหลิงใช้มือปลดเปลื้องเสื้อผ้าของลู่ฝาน แล้วก็ผลักตัวลู่ฝานลงไปกองที่พื้น

ลู่ฝานราวกับว่าเป็นคนธรรมดาที่ไร้เรี่ยวแรง ถูกอู่คงหลิงกดทับร่างเอาไว้

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 683
หัวหน้าเขตอี้ว์พูดขึ้นว่า: “กฎเกณฑ์ของนักบู๊นั้นยิ่งใหญ่ ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่สามารถคัดค้านฝ่าฝืนได้”

ลู่ฝานพยักหน้าและพูดขึ้นว่า: “อย่างนั้นก็ตกลงตามนี้ หวังว่าหัวหน้าเขตอี้ว์จะทำตามอย่างที่ได้พูดเอาไว้”

หัวหน้าเขตอี้ว์ยิ้มและพูดขึ้นว่า: “วางใจได้ ฉันจะไปบอกกำชับกับอี่ว์ชิงเชิงเอง คิดว่า เขาเองก็เป็นคนที่เข้าใจหลักเหตุผลอย่างดี น่าจะทราบดีว่าถ้าหากล่วงเกินนายแล้ว ก็คงจะไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน ไม่แน่ว่า อีกไม่กี่วัน เขาอาจจะส่งคนมาแสดงความขอโทษก็เป็นได้”

ลู่ฝานพูดขึ้นว่า: “เป็นไปได้เหรอ? ”

ลู่ฝานหัวเราะขึ้น โดยที่หัวหน้าเขตอี้ว์และผู้เฝ้าเมืองจางต่างก็ยิ้มอย่างขมขื่น

ทั้งสองคนทราบดีถึงลักษณะนิสัยของอี่ว์ชิงเชิงเป็นอย่างดี ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะจำใจยอมทนต่อความโกรธแค้นนี้ แล้วก็ส่งคนมาแสดงความขอโทษ อย่างนั้นคงจะผิดปกติ

ลู่ฝานเคาะไปที่โต๊ะแล้วพูดขึ้นว่า: “หัวหน้าเขตอี้ว์ นับตั้งแต่วันนี้ไป ฉันสามารถที่จะมีทหารส่วนตัวในครอบครองแล้วใช่ไหม”

หัวหน้าเขตอี้ว์พูดว่า: “ใช่เลย นายสามารถมีครอบครองได้ ทำไมเหรอ หรือว่านายต้องการทหาร? ”

ลู่ฝานพูดขึ้นว่า: “ในเมื่อตระกูลอี่ว์โหดเหี้ยมถึงขนาดที่กล้าลงมือลอบสังหารฉันต่อหน้าสาธารณะแล้ว อย่างนั้นเขาก็สามารถที่จะส่งคนมาลอบสังหารคนในตระกูลของฉันได้เหมือนกัน ดังนั้นฉันจึงต้องการขอยืมพลทหารจำหนวนหนึ่ง ซึ่งฉันยินดีที่จะจ่ายเงินตอบแทนให้ โดยหลังจากที่ทหารส่วนตัวของฉันได้ทำการฝึกฝนสำเร็จแล้ว ก็จะคืนพลทหารให้กับท่าน”

หัวหน้าเขตอี้ว์พูดว่า: “ไม่ต้องยุ่งยากขนาดนั้น พรุ่งนี้ฉันก็จะส่งพวกทหารที่มีฝีมือใช้ได้มาบางส่วน นายก็แค่จ่ายเงินเดือนให้กับพวกเขาก็พอแล้ว ใช่แล้ว ในเมื่อนายต้องการจะฝึกฝนกองกำลังส่วนตัว อย่างนั้นฉันก็จะให้นายยืมตัวนายพลสวีไปก่อน เพราะพวกนายตระกูลลู่เคยมีมิตรภาพเก่าแก่กับเขามาก่อนแล้ว น่าจะไม่มีปัญหาอะไร”

ลู่ฝานกล่าวขอบคุณอีกครั้ง: “อย่างนั้นก็จะเป็นการดีที่สุด ขอบคุณหัวหน้าเขตอี้ว์อย่างมากเลย”

หัวหน้าเขตอี้ว์หัวเราะเหอะเหอะ เหมือนว่าได้กระทำเรื่องราวเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ตอนนี้เขาได้ตัดสินใจที่จะปกป้องดูแลลู่ฝานแล้ว หากว่าเขายังคงไม่สามารถมองเห็นอนาคตที่สดใสของลู่ฝานได้อีกล่ะก็ การที่เป็นถึงหัวหน้าเขตอี้ว์นั้นก็ถือว่าไร้ค่าจบสิ้นแล้ว ตระกูลอี่ว์ เหอะเหอะ เพียงแค่ให้เวลาลู่ฝานอีกไม่กี่ปี ตระกูลอี่ว์ก็จะต้องมาร้องขอวิงวอนอย่างอัตโนมัติแล้ว

ในโลกใบนี้ วิทยายุทธของนักบู๊ต่างหากถึงจะเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง

ด้วยพรสวรรค์ของลู่ฝานแล้ว การที่จะเข้าสู่ระดับบริหารขั้นสูงของประเทศนั้นแน่นอนว่าคงจะอีกไม่นาน โดยระดับผู้ตรวจการชั้นกลางเท่าที่หัวหน้าเขตอี้ว์รู้จักนั้น นอกจากจะตายลงไปแล้ว ส่วนที่เหลือ อย่างน้อยก็ดำรงตำแหน่งหัวหน้าเขต

ผู้เฝ้าเมืองจางพลันนึกอะไรขึ้นได้ จึงพูดว่า: “ลู่ฝาน ที่จริงแล้วในช่วงเวลานี้ นายเองก็ไม่ต้องไปกังวลกับตระกูลอี่ว์มากนัก ฉันได้ยินมาว่า อี่ว์ชิงเชิงป่วยหนักถึงขั้นรักษาตัวอยู่บนเตียงแล้ว”

ลู่ฝานตกใจขึ้นทันที และถามว่า: “เกิดอะไรขึ้น? ”

ผู้เฝ้าเมืองจางส่ายศีรษะและพูดว่า: “ฉันเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พลันป่วยหนักจนต้องรักษาตัวอยู่บนเตียงแล้ว นักบู๊แบบเขานี้ โดยทั่วไปจะไม่เกิดอาการป่วย แต่เมื่อป่วยแล้ว ก็จะรักษาได้ยากมาก ฉันได้ยินว่าคนของตระกูลอี่ว์ต่างก็เริ่มออกตามหาผู้ฝึกชี่กันไปทั่วแล้ว”

หัวหน้าเขตอี้ว์หัวเราะเหอะเหอะและพูดว่า: “อี่ว์ชิงเชิงผู้นี้ ไม่ใช่ว่าถูกสาปแช่งหรอกนะ เขาสร้างความวุ่นวายเป็นอันธพาลมาทั้งชีวิต ถ้าหากพลันตายลงไปอย่างน่าประหลาด นั่นคงจะเป็นเรื่องน่าพิศวงแน่นอน”

เมื่อได้ยินคำว่าสาปแช่งแล้ว ในใจของลู่ฝานก็พลันนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในห้องหินนั้น

น่าจะเป็นเพราะถูกสาปแช่งจริง ๆ ด้วย!

คิดไม่ถึงว่าคำสาปแช่งของมังกรโลหิตสามหัวจะได้ผลดียิ่งนัก ถึงขนาดทำให้คนล้มป่วยนอนรักษาอาการอยู่บนเตียงเลย

แล้วเชิญผู้ฝึกชี่ล่ะ?

ลู่ฝานพลันนึกคิดอะไรขึ้นได้ตามสถานการณ์แล้ว

เวลานี้เจดีย์เสวียนเก้ามังกรได้พูดขึ้นในใจว่า: “เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ ฉันคิดว่านี่คือโอกาส หรือว่าจะจัดการเขาให้จบสิ้นกันไปเลย”

ใบหน้าของลู่ฝานมีรอยยิ้มขึ้น

เรื่องนี้ เหมือนว่าจะสามารถใช้ประโยชน์จากมันได้!

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 682
เวลากลางคืน ในขณะที่แสงไฟสว่างจ้า

ตระกูลลู่ ต่างก็กำลังลิงโลดดีอกดีใจกันทั้งหมด

นับตั้งแต่วันนี้ไป ลู่ฝานก็จะกลายเป็นที่เคารพนับถือของประชาชนเมืองตงหวาแล้ว

ตระกูลลู่เองก็ถือว่าได้ก้าวขาข้างหนึ่งเข้าไปสู่ระดับตระกูลขุนนางชั้นหนึ่งในเขตตงหวาแล้ว เพียงแค่รอเวลาอีกหน่อย ก็จะกลายเป็นวงศ์ตระกูลใหญ่อันดับต้น ๆ ในเขตตงหวาอย่างแน่นอน

“เจ้าบ้านลู่ฝาน นำเอาสิ่งของบนร่างของกุยวัวนั้นออกมาให้พวกเราดูกันหน่อยเถอะ ให้พวกเราได้เปิดหูเปิดตากับสิ่งใหม่บ้าง”

ในขณะที่กำลังชนแก้วดื่มกันอย่างสนุกสนานนั้น พวกคนที่ดื่มจนเมาแล้วก็เริ่มที่จะโวยวายขึ้น

พวกข้าราชการพ่อค้านักธุรกิจ ตอนที่เพิ่งจะมาถึงนั้น ก็ยังคงระแวงและยับยั้งชั่งใจอยู่บ้าง

แต่จากการที่ลู่ฝานนั้นเป็นคนที่เข้าถึงง่ายและเป็นกันเอง ไม่มีลักษณะท่าทางที่เย่อหยิ่ง ทำให้ไม่นานนักก็สร้างความสมัครสมานเป็นหนึ่งเดียวกันกับทุกคนได้แล้ว

ลู่ฝานส่ายมือไปมาและพูดขึ้นว่า: “ในตัวของฉันมีสิ่งของอะไรที่ไหนกันล่ะ หลังจากที่เอาชนะกุยวัวได้นั้น ก็แทบจะถูกขวิดตายไปอยู่แล้ว และฟ้าดินก็เกิดการสั่นสะเทือน หลังจากนั้นก็จมลงในทะเลสาบน้ำแข็ง ซึ่งน่าเสียดายมาก ที่ไม่ได้สิ่งของอะไรมาเลย”

ลู่ฝานพูดโกหกกับทุกคนอย่างหน้าด้าน เขาคงไม่มีทางที่จะนำแก้วหินของกุยวัวออกมาให้พวกคนเหล่านี้พบเห็นอย่างแน่นอน

ที่พูดกันว่าเงินทองความมั่งคั่งมักจะไม่เปิดเผย ก็คือหลักเหตุผลแบบนี้นั่นเอง

“ขอโทษทุกท่านด้วย ที่ฉันดื่มไม่เก่งนัก จึงต้องขอตัวลากลับก่อนแล้ว! ”

ลู่ฝานแกล้งทำเป็นมึนเมา พร้อมกับยกมือแสดงความขอโทษต่อทุกคน

เขารู้สึกว่าตนเองกินดื่มสังสรรค์พอสมควรแล้ว ส่วนที่เหลือก็มอบภาระต่อให้กับคุณพ่อลู่หาว และคุณปู่ลู่เฮ่าหรานแล้ว

ก็เป็นเพราะพวกเขาดูท่าทางมีความสุข จึงน่าจะชื่นชอบการสังสรรค์ทำนองนี้

เมื่อลู่ฝานเดินมาถึงลานกว้างหลังบ้านแล้ว ก็โบกมือให้กับลูกหลานตระกูลลู่ที่เดินตามอยู่ด้านข้างนั้นกลับออกไป

ลู่ฝานไม่ค่อยจะชอบสายตาของลูกหลานตระกูลลู่ที่จ้องมองมาที่ตัวเขา ซึ่งเหมือนกับว่าเขาเป็นเทพเจ้าอย่างไรอย่างนั้น

แต่ลู่ฝานเองก็ไม่สามารถพูดอะไรกับพวกเขามากได้ เพราะความเคารพนับถือเขาของคนในตระกูลลู่นั้น มันแทบที่จะฝังลึกเข้าไปในจิตใจแล้ว

เมื่อครู่นี้ มีเศรษฐีคนหนึ่งที่ดื่มเหล้าจนมึนเมา ได้พูดคำที่ไม่สุภาพไม่เคารพต่อลู่ฝานเพียงเล็กน้อย

ก็แทบจะถูกลูกหลานตระกูลลู่ที่โมโหพุ่งเข้ามาทำร้ายแล้ว แต่ยังดีที่ลู่ฝานได้ส่งสายตายับยั้งการกระทำดังกล่าวของพวกเขาเอาไว้

เรื่องนี้ ทำได้เพียงไว้ค่อยพูดคุยกันทีหลัง ในเวลานี้ ยากที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรได้แน่นอน

เมื่อมาถึงลานหลังบ้าน หัวหน้าเขตอี้ว์ และผู้เฝ้าเมืองจางนั้นได้รอคอยเขาอยู่ที่นี่เป็นเวลานานแล้ว

“ผู้ตรวจการลู่ เชิญ! ”

หัวหน้าเขตอี้ว์ลุกยืนขึ้นพูด

ลู่ฝานในเวลานี้ มีสถานะที่ไม่เหมือนกับเมื่อก่อน มีคุณสมบัติอยู่ในระดับที่ทัดเทียมกับพวกเขาแล้ว

ลู่ฝานเองก็ไม่ได้หยิ่งทะนง พูดขึ้นอย่างเคารพว่า: “เชิญหัวหน้าเขตอี้ว์เช่นกัน! ”

ผู้เฝ้าเมืองจางหัวเราะเหอะเหอะ แล้วทั้งสามคนก็นั่งลง

ลู่ฝานเองก็ไม่ทำเป็นเกรงใจอะไรแล้ว เมื่อนั่งลง ก็สอบถามขึ้นโดยตรงว่า: “ผู้เฝ้าเมืองจาง ใครกันที่แอบลอบฆ่าฉัน ตรวจสอบพบแล้วเหรอยัง? ”

ผู้เฝ้าเมืองจางพยักหน้าและพูดว่า: “ตรวจสอบได้พอสมควรแล้ว แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานยืนยัน แต่ก็คงจะไม่ผิดไปจากนี้ โดยผู้ที่ยังมีชีวิตรอดนั้นได้ฆ่าตัวตายไปแล้ว ส่วนคนที่ตายไปแล้วก็ไม่มีสัญลักษณ์บ่งบอกอะไรบนร่างกายเลย แต่ฉันได้พบเจอกับคนที่รู้จักกับพวกเขาแล้ว บอกว่าพวกมันคือพวกวายร้ายที่หลงเหลืออยู่ของสำนักโลหิตพิฆาต ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ปรากฏตัวขึ้นที่ตระกูลอี่ว์”

ลู่ฝานพยักหน้า มีเพียงข้อมูลเบื้องต้นเหล่านี้ก็สามารถยืนยันได้แน่แล้ว

สำหรับหลักฐานนั้น เหอะเหอะ ตอนนี้เขาทำอะไร ก็ไม่ได้เน้นย้ำว่าต้องการหลักฐานอะไรแล้ว

หัวหน้าเขตอี้ว์พูดขึ้นว่า: “ลู่ฝาน ความแค้นระหว่างนายกับตระกูลอี่ว์นั้น ในฐานะที่ฉันเป็นหัวหน้าเขตอี้ว์เดิมทีก็ไม่ควรที่จะเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยหรอก แต่เวลานี้ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่พอสมควร เพราะว่าเบื้องหลังของตระกูลอี่ว์นั้นยังมีนักบู๊ปราณฟ้าอยู่คนหนึ่ง โดยฉันจำต้องพูดเอาไว้ตรงนี้เลยว่า ฉันสามารถรับรองได้ว่าตระกูลอี่ว์จะไม่มาสร้างความยุ่งยากอะไรต่อตระกูลลู่อีกเป็นอันขาด แต่ก็มีเงื่อนไขอยู่ว่า ตระกูลลู่นั้นก็ห้ามที่จะส่งคนไปสังหารทำร้ายตระกูลอี่ว์เช่นกัน ซึ่งก่อนหน้านี้ที่นายได้เคยลงมือในเมืองเจียงหลินนั้น ฉันได้ไปตรวจสอบมาแล้วว่า มีการลงมืออย่างทารุณโหดเหี้ยมเลยทีเดียว แต่ห้ามมาใช้ในสถานที่แห่งนี้อีก”

หัวหน้าเขตอี้ว์พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่จริงใจ ไม่เหมือนกับเป็นคำสั่ง แต่เหมือนกับว่าเป็นการร้องขอ

ลู่ฝานครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วก็พูดขึ้นว่า: “ในเมื่อหัวหน้าเขตอี้ว์พูดแบบนี้แล้ว อย่างนั้นฉันก็จะยืนยันทำตามใจ เพื่อให้เกียรติต่อหัวหน้าเขตอี้ว์ ตกลงว่า เพียงแค่ตระกูลอี่ว์ไม่มาสร้างปัญหาความวุ่นวายต่อตระกูลลู่ของฉัน ฉันก็จะปล่อยเขาไป แต่ว่า หากฉันจะใช้กฎเกณฑ์ของนักบู๊ท้าทายตระกูลอี่ว์ล่ะจะว่าอย่างไร? ”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 681
ในขณะที่หัวหน้าเขตอี้ว์เตรียมจะขึ้นบนเวที เพื่อรับมอบเกียรติยศให้ลู่ฝานภายใต้สายตาที่จับจ้องมองมาของทุกคนนั้น

เงาดำหลายร่างก็พุ่งขึ้นมาบนเวทีในทันที

“สังหาร! ”

ลำแสงสีดำประกายแวบขึ้น พร้อมด้วยเจตนาสังหารอันรุนแรง

ลำแสงสีดำทั้งหมดสิบลำแสงได้พุ่งจู่โจมมาจากทั่วทุกสารทิศ ปิดกั้นทุกโอกาสที่เป็นไปได้ในการหลบหนีของลู่ฝานเอาไว้ทั้งหมด!

แน่นอนว่า พวกคนเหล่านี้ล้วนเป็นนักฆ่าอำมหิตทั้งนั้น ซึ่งการลงมือของพวกเขา ได้กระทำขึ้นขณะที่ทุกคนกำลังลุกยืนขึ้น โดยการขยับเคลื่อนไหวของทุกคนนั้นได้ปกปิดเสียงการลงมือของพวกเขาเอาไว้ ทำให้ในขณะที่ทุกคนยังไม่ทันตั้งตัวพวกเขาก็จู่โจมสังหารมายังแท่นเวทีแล้ว

ความเร็ว ทิศทาง และแรงพลัง ล้วนแต่เป็นยอดฝีมือทั้งนั้น

เมื่อสังเกตจากเจตนาสังหารอันรุนแรง และการเคลื่อนไหวของพลังปราณแล้ว ล้วนแต่เป็นวิทยายุทธยอดแดนปราณนอกทั้งหมด

นักบู๊ยอดแดนปราณนอกทั้งสิบคน เข้าโจมตีพร้อมกันทั้งหมด โดยมั่นหมายว่าจะต้องสังหาร ลู่ฝานให้สำเร็จให้ได้ในทันที

ภายในคนกลุ่มนั้น ผู้ชายที่สวมงอบคนหนึ่งกำลังมองดูสถานการณ์ทุกอย่างด้วยความตึงเครียด

ภารกิจที่ท่านเจ้าคุณอี่ว์มอบให้กับเขา เขาจำเป็นต้องทำการให้สำเร็จ ซึ่งจะสำเร็จหรือล้มเหลวนั้นก็อยู่ในช่วงไม่กี่อึดใจนี้

“นักฆ่า! ”

ลู่ฝานตื่นตกใจ แล้วก็ระเบิดปราณชี่โดยพลัน เปลวไฟพุ่งทะยานขึ้นฟ้า

บึ้มมม!

เปลวไฟลุกโชนขึ้นพร้อมกับลมพายุหมุน ซึ่งสามารถต้านทานปราณกระบี่ที่พุ่งตรงเข้ามาสังหารได้ทั้งหมด

หัวหน้าเขตอี้ว์ตกใจขึ้นเล็กน้อย แล้วก็ตะโกนเสียงดังขึ้นว่า: “รนหาที่ตายชัด ๆ! ”

พลังอานุภาพอันน่ากลัวที่หัวหน้าเขตอี้ว์ปล่อยออกมา ก็ปกคลุมไปทั่วบริเวณโดยรอบทั้งหมดทันที

ชายชุดดำทั้งเก้าคนกระอักเลือดออกมาพร้อมกัน และตายลงในทันใด

หลงเหลือเพียงคนสุดท้าย ที่ร้องโอดครวญขึ้นขณะล้มกองอยู่กับพื้น

หัวหน้าเขตอี้ว์แสดงสายตาที่เย็นชา และกวาดมองไปโดยรอบ ในขณะนั้น ก็ไม่มีใครที่กล้าจะเคลื่อนไหวอีก

“นำตัวไป! นำพาตัวพวกเขาไปทั้งหมดเดี๋ยวนี้! ”

ผู้เฝ้าเมืองจางเองที่ตั้งสติกลับมาได้แล้ว ก็รีบสั่งการพวกทหารโดยรอบให้นำร่างของทั้งสิบคนที่อยู่บนเวทีนั้นไปให้หมด ส่วนคนที่ยังมีชีวิตอยู่นั้น ก็จะต้องควบคุมตัวให้ดี โดยได้ชกให้สลบก่อนแล้วค่อยนำตัวไป

เมื่อทำการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว สายตาของผู้เฝ้าเมืองจางก็ได้สอดส่องไปโดยรอบอย่างระมัดระวัง

หัวหน้าเขตอี้ว์พูดกับผู้เฝ้าเมืองจางว่า: “ไปตรวจสอบมาให้กระจ่างว่าเป็นใคร และจะต้องจับตัวมันมาให้ได้”

ผู้เฝ้าเมืองจางรับทราบพร้อมกับพยักหน้า

เวลานี้ลู่เฮ่าหรานเองก็ตั้งสติกลับคืนมาได้แล้ว โดยที่กัดฟันพูดว่า: “หากยังมีชีวิตอยู่ก็ต้องพบเจอตัว หากตายแล้วก็ต้องพบเจอศพ”

จากนั้นผู้เฝ้าเมืองจางก็เดินจากไป

เวลานี้หัวหน้าเขตอี้ว์ได้พูดเสียงดังขึ้นว่า: “ลู่ฝาน พลังความสามารถของนายพัฒนาขึ้นไปอีกระดับแล้ว! ”

ลู่ฝานมองไปที่แววตาที่เป็นประกายของหัวหน้าเขตอี้ว์ พร้อมกับยับยั้งความโมโหของตนและพูดขึ้นว่า: “พัฒนาขึ้นเล็กน้อย! ”

เวลานี้พวกกลุ่มคนเหล่านั้นเพิ่งจะตั้งสติกลับคืนมาได้ ใช่เลย เมื่อครู่ที่ลู่ฝานแสดงพลังความสามารถออกมานั้นมันเหนือกว่านักบู๊แดนปราณนอกแล้ว!

“ลู่ฝาน! ลู่ฝาน! ”

ทุกคนต่างก็ส่งเสียงร้องไชโยขึ้นอย่างดีอกดีใจ

หัวหน้าเขตอี้ว์เดินขึ้นมาบนเวที และก็ยกชูป้ายคำสั่งในมือขึ้น

“ลู่ฝานผู้ตรวจการชั้นกลาง รับคำสั่งเดี๋ยวนี้! ”

ลู่ฝานยกมือขึ้น เพื่อรับป้ายคำสั่งมาจากมือของหัวหน้าเขตอี้ว์

ลำแสงหนึ่ง พลันพุ่งออกมาจากป้ายคำสั่งนั้น แล้วก็เข้าไปสู่ร่างกายของลู่ฝานในทันที

ทันใดนั้น ร่างกายของลู่ฝานก็พลันประกายแสงโชติช่วง ราวกับดวงอาทิตย์ที่ร้อนแรง

ฝูงนกบินลอยลงมา ส่งเสียงร้องกันอย่างพร้อมเพรียง ส่วนเสียงร้องไชโยด้านล่างนั้นก็ยิ่งจะดังกึกก้องมากขึ้นอีก

ลู่ฝานมองมาที่ป้ายคำสั่ง แล้วก็ยิ้มแย้มขึ้น

ผู้ตรวจการชั้นกลาง ในที่สุดฉันก็ได้รับตำแหน่งนี้แล้ว

ลู่ฝานค่อย ๆ ชูป้ายคำสั่งขึ้น

ลำแสงพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า เปรียบดั่งกระบี่เทพแทงทะลุชั้นฟ้าชั้นดิน

สีหน้าท่าทางของอู่คงหลิงดูเคลิบเคลิ้มเล็กน้อย ขณะมองไปที่แผ่นหลังของลู่ฝานนั้น ก็แทบจะหลงใหลอย่างที่สุดแล้ว!

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 680
แต่วันนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว

ลู่เฮ่าหรานและคนอื่นนั่งอยู่แถวแรก ไม่มีใครกล้าว่าอะไรสักคำ เพราะถ้าพวกลู่เฮ่าหรานไม่นั่งตรงนั้น พวกเขาจะรู้สึกแปลกมากกว่า

วันนี้ตระกูลใหญ่ตระกูลเดียวที่ยังไม่มา ก็คือตระกูลอี่ว์

ทั้งตระกูลอี่ว์ไม่มีใครมาสักคน ว่ากันว่าอี่ว์ชิงเฉินแจ้งว่าป่วยจึงไม่มา ไม่กล้าพูดว่าป่วยจริงหรือเปล่า แต่ท่าทีแบบนี้ของเขา แสดงให้เห็นว่าไม่ยอมรับตระกูลลู่

แน่นอนว่าจุดนี้ทั้งเมืองตงหวาพอมีแหล่งข้อมูล ต่างรู้กันดี

เรื่องที่ลู่ฝานใช้วิทยายุทธระดับแดนปราณนอก ซัดนักบู๊แดนปราณดินอย่างอี่ว์ชิงเฉิน ตอนนี้ยังมีคนพูดถึงกันไม่หยุด พวกเขาไม่มาก็ปกติ

มาสิถึงจะแปลก ไม่มีใครสนใจหรอก

ที่นั่งผู้ชมด้านล่าง ผู้เฝ้าเมืองจางพูดกับลู่เฮ่าหรานอย่างเป็นกันเอง “ผู้อาวุโสลู่ ผมได้ยินว่าราชสำนักยืนยันตำแหน่งผู้ตรวจการชั้นกลางของลู่ฝานแล้ว อีกสองวันเมืองเจียงหลินบ้านเกิดพวกคุณ จะต้องเปลี่ยนชื่อแล้ว”

ลู่เฮ่าหรานพูดอย่างอึ้งๆ “เปลี่ยนชื่อเหรอ ทำไมล่ะ”

หัวหน้าเขตอี้ว์พูดขึ้นข้างๆ ว่า “คุณท่านลู่ไม่รู้เหรอ ไม่ว่าตระกูลไหนมีผู้ตรวจการชั้นกลาง จะมีเมืองเป็นพื้นที่ของตัวเอง ถ้าเป็นตระกูลในเมืองใหญ่ จะได้รับเมืองเล็กที่อยู่ใกล้ๆ ถ้าเป็นตระกูลในเมืองเล็ก จะได้เมืองนั้นเป็นอันดับแรก เมืองเจียงหลินบ้านเกิดของพวกคุณ อีกไม่นานจะเปลี่ยนเป็นเมืองลู่แล้ว!”

คุณท่านลู่พึมพำว่า “เมืองลู่! ชื่อดี ฉันชอบชื่อนี้”

หัวหน้าเขตอี้ว์กับผู้เฝ้าเมืองจางหัวเราะออกมา

หานเฟิงใช้โอกาสตอนคนไม่สนใจ เอาน่องไก่ขึ้นมากัด กัดพลางพูดว่า “ทำไมศิษย์น้องลู่ฝานยังไม่ออกมา ฉันรอให้เขาพาไปวางมาดอยู่เนี่ย ได้ป้ายผู้ตรวจการชั้นกลาง ต่อไปกินข้าวในเมืองตงหวาก็ไม่ต้องจ่ายเงินแล้วใช่ไหม”

หัวหน้าเขตอี้ว์ยิ้มแล้วพูดว่า “ใช่ น่าจะไม่มีใครกล้าเก็บเงินผู้ตรวจการลู่ แต่พวกคุณไม่มีเงินจริงเหรอ”

หานเฟิงพูดว่า “ไม่ใช่ปัญหาว่ามีเงินหรือไม่มีเงิน นี่เป็นเรื่องความรู้สึก ความรู้สึกเป็นใหญ่แบบกินข้าวแล้วไม่ต้องจ่ายเงิน พวกคุณเข้าใจไหม”

หานเฟิงทำท่าโอเวอร์ออกมา

เหมือนการกินข้าวแล้วไม่ต้องจ่ายเงิน เหมือนการเป็นใหญ่ระดับนักบู๊แดนปราณฟ้า

หัวหน้าเขตอี้ว์อ้าปากค้าง พูดอะไรไม่ออก

เขายังไม่เคยลองความรู้สึกเป็นใหญ่แบบนี้ แน่นอนว่าเขาก็ไม่อยากลองเช่นกัน

ทันใดนั้น แสงบนค่ายกลกะพริบ เงาคนสี่คนเดินออกมา

คนที่นำมาคือลู่ฝานอย่างไม่ต้องสงสัย

ตอนลู่ฝานปรากฏตัวออกมา ทุกคนลุกขึ้น ทุกคนพากันส่งเสียงเชียร์

ลู่ฝานสะดุ้งโหยง อู่คงหลิงที่ประคองอี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์อยู่ด้านหลังก็ตกใจ

“ลู่ฝาน! ลู่ฝาน! ลู่ฝาน!”

เสียงเชียร์ดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียง จิตใจมีความฮึกเหิม

เจิงหยงกลืนน้ำลายแล้วพูดว่า “คุณชายลู่ฝาน ตอนนี้ผมเชื่อแล้วว่าคุณฆ่ากุยวัวได้”

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “งั้นจำที่นายเคยพูดไว้ด้วย ต่อไปต้องติดตามฉัน!”

ลู่ฝานหัวเราะแล้วตบไหล่เจิงหยง จากนั้นยิ้มบางๆ ให้ทุกคน

หานเฟิงตะโกนเสียงดังว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน ฮ่าๆ นายเจ๋งสุดยอดไปเลย”

ลู่เฮ่าหรานกับลู่หาวยืนขึ้นปรบมือ

ใช้โอกาสตอนไม่มีใครสังเกต ลู่หาวแอบเช็ดน้ำตาตรงหางตา

“แม่ของลูก เธอเห็นหรือยัง ลูกชายของเราเก่งขึ้นเรื่อยๆ เก่งกว่าฉัน เก่งกว่าทั้งตระกูลลู่ ต่อไปเขาจะเก่งกว่าคนทั้งเขตตงหวา ถึงขนาดที่เก่งกว่าคนทั้งประเทศอู่อาน นี่คือลูกของเรา!”

หัวหน้าเขตอี้ว์ก็ลุกขึ้นเช่นกัน เอาป้ายคำสั่งผู้ตรวจการชั้นกลางของลู่ฝานออกมา

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 679
ลู่ฝานเอาเจิงหยงออกมาได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย

ตอนนี้เจิงหยงสภาพน่าเวทนามาก บวมไปทั้งตัว ใบหน้าฟกช้ำ ขยับยังลำบาก

ลู่ฝานรีบยัดยาใส่ปากเจิงหยงไปสองสามเม็ด รักษาชีวิตเขาเอาไว้ก่อน

หลังจากนั้นเรียกไอ้เก้าออกมารักษาอาการบาดเจ็บ ไม่นานสีหน้าเจิงหยงดีขึ้นไม่น้อย

พูดความจริง อาการบาดเจ็บของเจิงหยงน่าตกใจมาก

ในร่างกายไม่ใช่แค่พลังเยือกเย็นของน้ำเย็น ยังมีพิษของเถาวัลย์พิษอีกด้วย

เขาอดทนได้ถึงตอนนี้ เรียกได้ว่าเด็ดเดี่ยวมาก

ลู่ฝานมองเขาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “เจิงหยง นายวิ่งเข้าไปในเถาวัลย์พิษได้ยังไง”

เจิงหยงพูดว่า “ตอนนั้นก็ต้องหนีไม่ใช่เหรอ กุยวัวบ้าคลั่ง ผมทำได้แค่หนี จนหนีมาถึงที่นี่”

ลู่ฝานพูดว่า “ถือว่านายโชคดี ฉันมากวาดเอาเถาวัลย์พวกนี้พอดี โอเค ทุกอย่างจบลงแล้ว เรากลับกันได้แล้ว!”

เจิงหยงพูดว่า “ใช่ ควรกลับได้แล้ว เราสู้กุยวัวไม่ได้ กลับไปจะดีกว่า”

ลู่ฝานประคองเจิงหยงขึ้นมา “ไม่ เราฆ่ากุยวัวตายแล้ว!”

เจิงหยงเสียงแหลมขึ้นมาทันที

“อะไรนะ”

อู่คงหลิงหัวเราะอยู่ข้างหลัง ชี้หน้าเจิงหยงแล้วพูดว่า “นายต้องเวอร์ขนาดนี้ไหม ตาจะหลุดออกมาแล้ว”

ลู่ฝานพยักหน้า “นายฟังไม่ผิดหรอก เราฆ่ากุยวัวตายแล้วจริงๆ”

ฟันของเจิงหยงสั่นกึกกัก “คุณไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหม”

ลู่ฝานพูดว่า “เรื่องนี้ไม่น่าจะมีใครพูดเล่นได้นะ”

เจิงหยงพูดว่า “ผมไม่เชื่อ คุณชายลู่ฝาน อย่าหาว่าผมพูดตรงๆ นะครับ ถึงพละกำลังระดับคุณ ก็ไม่มีทางสู้กับกุยวัวได้ คุณต้องหลอกผมอยู่แน่ๆ ถ้าคุณฆ่ากุยวัวตายแล้วจริงๆ ผมจะ……”

อู่คงหลิงเดินเข้ามาพูดว่า “นายจะทำอะไร”

เจิงหยงพูดอย่างจริงจังว่า “ผมจะติดตามนายไปด้วย!”

ลู่ฝานหัวเราะ “ไม่ว่าพูดยังไงนายก็ไม่เชื่อ ช่างเถอะ เดี๋ยวออกไปนายก็เชื่อเอง!”

ลู่ฝานประคองเจิงหยง ทั้งสามคนเดินออกไปทางที่เข้ามาอย่างมีความสุข

แม้ผ่านมาอย่างยากลำบาก แต่ตอนจบก็ดีมากไม่ใช่เหรอ

เจิงหยงดูสีหน้าลู่ฝานเหมือนไม่ได้ล้อเล่น จึงพึมพำว่า “พระเจ้า ฉันพลาดอะไรไปเนี่ย”

…..

วันต่อมาที่เเท่นบัญชาการเมืองตงหวา

ค่ายกลเคลื่อนฟ้าค่อยๆ เปิดออกอีกครั้ง

กลุ่มคนเบียดเสียดแออัด แน่นจนไหล่ชนไหล่ แม้ทุกคนรู้ผลนานแล้ว แต่ก็ยังอยากเห็นลู่ฝานและคนอื่นออกมาด้วยตาตัวเอง

ที่นั่งผู้ชมด้านล่าง มีเจ้าหน้าที่ระดับสูงมากันอย่างพร้อมเพรียง

ขนาดตอนที่หัวหน้าเขตอี้ว์จัดงานวันเกิด ยังไม่มาพร้อมกันขนาดนี้เลย

เหตุผลง่ายดายมาก เพราะงานวันเกิดของหัวหน้าอี้ว์มีทุกปี แม้โดนหัวหน้าอี้ว์จับได้ อย่างมากก็แค่ถูกแอบทำให้ลำบากใจนิดหน่อย

แต่วันนี้ ลู่ฝานผู้ตรวจการชั้นกลางเขตตงหวา กลับมาอย่างมีเกียรติ มีใครกล้าไม่ออกมาต้อนรับในสถานการณ์แบบนี้บ้างล่ะ

ถ้าต่อไปลู่ฝานจับได้ขึ้นมา คงไม่ใช่แค่การถูกทำให้ลำบากใจแล้วล่ะ

ด้วยเหตุนี้ ทุกคนที่พอมีฐานะ ต่างพากันสวมชุดสวยงาม พร้อมด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้ม

รอช่วงเวลาที่ลู่ฝานปรากฏตัว ลุกขึ้นยืนส่งเสียงปรบมือ พูดตะโกนออกไปว่าดี แม้ว่าลู่ฝานอาจไม่เห็นพวกเขาด้วยซ้ำ

แถวสองแถวด้านหน้าสุด ผู้มีตำแหน่งอย่างแท้จริงนั่งอยู่ตรงนั้น

หัวหน้าเขตอี้ว์ ผู้เฝ้าเมืองจาง ลู่เฮ่าหราน ลู่หาวแห่งตระกูลลู่ อีกทั้งยังมีศิษย์พี่หานเฟิงของลู่ฝานด้วย

ยังจำได้ว่าเมื่อห้าวันก่อน ตอนลู่ฝานเข้าร่วมการสอบ คนตระกูลลู่รวมถึงไอ้อ้วนเจิง ยังนั่งอยู่ในบรรดาผู้คน ที่นั่งไม่ได้อยู่ด้านหลัง แต่ก็ไม่ได้อยู่หน้าสุดทัดเทียมกับหัวหน้าเขตอี้ว์ เหมือนที่นั่งของไอ้อ้วนเจิงวันนี้

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 678
นี่คือความฝันทั้งชีวิตของเขา เดิมทีเขาคิดว่าโดนกาลเวลาทำลายไปหมดแล้ว คิดไม่ถึงว่าเขาจะได้เห็นตอนแก่แล้ว

อีกทั้งหลานชายเขาเป็นคนทำให้สำเร็จ ทำได้ดีกว่าที่เขาจินตนาการเอาไว้

ขนาดหัวหน้าเขตผู้สูงส่ง ยังนอบน้อมกับเขาขนาดนี้

แม้ตายก็ไม่เสียดาย!

คำนี้ดังก้องในใจลู่เฮ่าหราน

ลู่เฮ่าหรานไม่ได้ยื่นมือมารับ เขาส่ายหน้าพูดว่า “ท่านหัวหน้าเขต ป้ายอันนี้ผมรับไว้ไม่ได้ นี่เป็นป้ายของลู่ฝาน เป็นของเขาเพียงคนเดียว ถ้าเขาไม่อนุญาต ผมไม่สมควรรับไว้ รอให้ลู่ฝานกลับมา คุณค่อยให้เขาด้วยตัวเองเถอะครับ”

แววตาหัวหน้าเขตอี้ว์ฉายแววประหลาด ผู้อาวุโสชิวซานที่อยู่ในกลุ่มคน ถอนหายใจออกมา

ประโยคนี้ของลู่เฮ่าหราน เท่ากับการบอกทุกคนว่าลู่ฝานเป็นใหญ่ในตระกูลลู่ ถึงเป็นปู่ของเขา ก็ไม่สามารถตัดสินใจแทนเขาได้

ตระกูลตระกูลหนึ่ง สิ่งสำคัญที่สุดคือคนที่จัดการทุกสิ่งทุกอย่าง

ทุกคนรู้ว่าลู่ฝานเป็นหัวหน้าตระกูลลู่ แต่ลู่ฝานยังเด็ก เรื่องในตระกูลไม่จำเป็นต้องให้เขาตัดสินใจ

พ่อกับปู่ยังมีชีวิตอยู่ ตำแหน่งหัวหน้าตระกูลของลู่ฝาน ไม่แน่อาจเป็นเพียงแค่ชื่อลอยๆ เท่านั้น

แต่ลู่เฮ่าหรานพูดประโยคนี้ออกมา ทุกคนรู้ทันทีว่าลู่ฝานเป็นตัวแทนทุกอย่างของตระกูลลู่ ถ้ามีคนคิดจะทำอะไรกับลู่ฝานในตระกูลลู่ ไม่ต่างจากการรนหาที่ตาย

นี่คือจุดประสงค์ที่ลู่เฮ่าหรานพูดแบบนี้ออกมา

การที่หัวหน้าเขตอี้ว์เอาป้ายให้ลู่เฮ่าหราน ก็คือการลองเชิงหนึ่งครั้ง

“โอเค งั้นผมเก็บไว้ให้ลู่ฝานก่อนหนึ่งวัน รอให้ลู่ฝานกลับมา ผมจะมอบป้ายนี้ให้เขาต่อหน้าทุกคน!”

ลู่เฮ่าหรานพยักหน้า จากนั้นเชิญหัวหน้าเขตอี้ว์และคนอื่น เข้าไปในคฤหาสน์ตระกูลลู่อย่างเป็นกันเอง

ลู่หาวโดนเจ้าหน้าที่กับเศรษฐีล้อมเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นการประจบสอพลอก็ดี หรือแสดงความยินดีอย่างจริงใจก็ดี เพราะลู่หาวไม่เคยถูกคนเยินยอจนมีความสุขแบบนี้ มีความสุขไปหมดเลย

ชีวิตคนมันต้องเป็นแบบนี้สิ!

จินตนาการได้เลยว่าคืนนี้ตระกูลลู่ ต้องสว่างไสว ไม่เมาไม่กลับ!

……

อีกด้านหนึ่ง ลู่ฝานที่ยังอยู่บนเกาะผนึกวิญญาณ ยังไม่รู้ว่าเรื่องที่เขากำจัดกุยวัวได้ แพร่กระจายไปทั่วเมืองตงหวาแล้ว

เขากำลังพาอู่คงหลิงกวาดของที่มีประโยชน์ที่อยู่บนเกาะผนึกวิญญาณ

“เถาวัลย์พิษ ทำไมที่นี่ถึงมีของแบบนี้ ลู่ฝาน นายอยากเข้าใกล้พวกมันเกินไป”

อู่คงหลิงเห็นเถาวัลย์พิษก็ถอยหลังตามสัญชาตญาณ แต่ลู่ฝานกลับเดินเข้าไป เกี่ยวเถาวัลย์มาส่วนหนึ่ง มัดรวมไว้ด้วยกัน จากนั้นโยนเข้าไปในเข็มขัด

อู่คงหลิงเห็นลู่ฝานป่าเถื่อนกับเถาวัลย์พิษขนาดนี้ อีกทั้งยังไม่เป็นอะไรด้วย เธออดตะลึงไม่ได้

“นายทำได้ยังไง”

ลู่ฝานตอบแบบคลุมเครือว่า “ทักษะเล็กๆ เท่านั้น เธอต้องการสักหน่อยไหม”

ลู่ฝานส่ายหน้าพูดว่า “ไม่ต้องหรอก”

ลู่ฝานจัดการเถาวัลย์ต่อ สิ่งนี้ถ้าพลาดจะไม่มีอีกแล้ว เอาได้เท่าไรก็เท่านั้น

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรชื่นชมสติปัญญาของลู่ฝาน

“เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ นายนี่เป็นแบบอย่างของคนที่ขยันและประหยัดมัธยัสถ์จริงๆ”

ลู่ฝานขี้เกียจสนใจมัน รีบโกยของต่อไป

ขณะที่กำลังกอบโกยอย่างมีความสุข ลู่ฝานเห็นความเคลื่อนไหวในเถาวัลย์ จากนั้นเงาที่คุ้นเคยปรากฏออกมา

ลู่ฝานพูดอย่างตกใจว่า “เจิงหยง!”

เจิงหยงพูดด้วยเสียงอ่อนล้า “คุณชายลู่ฝาน ในที่สุดก็เจอคุณแล้ว!”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 676
เพิ่งพูดจบ ลำแสงลอยผ่านเหนือหัวทุกคน มุ่งหน้าไปยังจวนหัวหน้าเขต

มีควันด้านหลังเป็นประกาย เหมือนดาวตกพาดผ่านขอบฟ้า

ในจวนหัวหน้าเขตก็เกิดความโกลาหลเช่นกัน

“คุ้มครองนายท่าน!”

นักบู๊คุ้มครองอยู่ข้างหน้าหัวหน้าเขตอี้ว์ ทุกคนจ้องไปที่ลำแสงที่กำลังลอยเข้ามา

ตู้ม!

ลำแสงพุ่งลงมาในสวนดอกไม้ด้านหลัง ร่วงลงมาด้านหน้าหัวหน้าเขตอี้ว์สามสิบเมตร นักบู๊ที่หลบไม่ทันโดนระเบิดจนกระเด็นออกไป ร้องอย่างตกใจไม่หยุด

แต่หลังจากที่ร่วงลงบนพื้น กลับไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเลย

ป้ายหัวหน้าเขตตรงเอวหัวหน้าเขตอี้ว์ยังสั่นสะเทือนอยู่

หัวหน้าเขตอี้ว์ยกมือดันทหารคุ้มครองที่อยู่ด้านหน้าเขา แล้วเดินมาข้างหน้าลำแสง

แสงค่อยๆ หายไป เผยให้เห็นของด้านใน

มันเป็นป้ายคำสั่งอันหนึ่ง มีแสงสว่างเคลื่อนตัวอยู่

สิ่งที่ปรากฏอยู่ในสายตาเป็นอย่างแรกคือตัวอักษรคำว่าโลกอู่อานบนป้ายคำสั่ง!

เป็นป้ายคำสั่งของราชสำนักตามคาด!

หัวหน้าอี้ว์รู้สึกว่ามือตัวเองสั่นเล็กน้อย

ป้ายคำสั่งเคลื่อนไหวอยู่กลางอากาศ เมื่อเห็นอีกด้านหนึ่ง หัวหน้าอี้ว์ถึงกับอึ้งไป

ผู้อาวุโสชิวซานที่รีบเดินเข้ามาก็ตกใจเช่นกัน เพราะด้านนี้มีตัวอักษรเขียนไว้สองตัวชัดเจน

“ลู่ฝาน!”

อึก!

หัวหน้าเขตอี้ว์กลืนน้ำลายอีกครั้ง

สีหน้าของผู้อาวุโสชิวซานเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก เหมือนสายรุ้งเปลี่ยนสีอย่างไรอย่างนั้น

ทันใดนั้น ผู้อาวุโสชิวซานพูดว่า “ลู่ฝาน เขาทำได้แล้ว”

หัวหน้าอี้ว์พูดว่า “ใช่ เขาทำได้แล้ว”

เสียงของผู้อาวุโสชิวซานแปรเปลี่ยนเป็นแหบพร่า

“เขาทำได้ยังไง จินตนาการไม่ออกเลย เด็กคนนี้กลายเป็นอัจฉริยะผู้ยิ่งใหญ่แล้ว!”

หัวหน้าอี้ว์ดวงตาเป็นประกาย ยื่นมือไปหยิบป้ายคำสั่ง

ทันใดนั้น แสงปรากฏอยู่บนจวนหัวหน้าเขต เงาคนขนาดใหญ่เสียดฟ้า สูงสามร้อยกว่าเมตร คนทั้งเมืองตรงหวาเห็นอย่างชัดเจน

ทุกคนพากันหันมามองทางนี้!

ในลำแสงคือผู้อาวุโสคนหนึ่ง เป็นเงาของตาเฒ่าจง

“ลู่ฝานแห่งเขตตงหวา มีพรสวรรค์เพียบพร้อม คุณสมบัติไม่เป็นสองรองใคร ตอนนี้ผ่านการสอบแล้ว ได้รับป้ายคำสั่งผู้ตรวจการชั้นกลาง!”

เสียงดังก้องลอยไปตามลม

เพียงประโยคเดียว ทำให้ทั้งเมืองตงหวาเกิดความปั่นป่วน

ตระกูลลู่ ลู่เฮ่าหราน ลู่หาว ต่างเห็นภาพนี้

ลู่เฮ่าหรานหัวเราะเสียงดังออกมาทันที

ลู่หาวดีใจเป็นอย่างมาก เขากระโดดโลดเต้นในห้องเหมือนเสียสติ

ที่ตระกูลอี่ว์ อี่ว์ชิงเฉินโดนคนประคองออกมาจากห้อง เห็นภาพนี้

ทันใดนั้นเขากระอักเลือดออกมา

อู่ชิงเฉินพูดอย่างโศกเศร้าว่า “ลู่ฝาน นายอีกแล้ว!”

เขาล้มหงายหลัง นักบู๊พุ่งเข้ามายกอี่ว์ชิงเฉินไปทันที

ในจวนหัวหน้าเขต

แสงหายไปแล้ว หัวหน้าอี้ว์มองป้ายคำสั่งในมือโดยไม่พูดอะไรอยู่นาน

ผู้อาวุโสชิวซานพูดเบาๆ ว่า “นายรู้ว่าควรทำอะไร ห้ามเป็นศัตรูกับเขา”

หัวหน้าเขตอี้ว์ยิ้มอย่างขมขื่น “น่าขำ เมื่อกี้เรายังพูดถึงเขาอยู่เลย ลู่ฝานเอ๋ย คิดว่าชื่อนี้กำลังจะกลายเป็นตำนานทั่วเขตตงหวา เตรียมของขวัญล้ำค่าไปตระกูลลู่!”

หัวหน้าเขตอี้ว์พูดเสียงสูง

นักบู๊ทุกคนตอบรับเสียงดัง!

แววตาของพวกเขาก็ตื่นเต้นเหมือนกัน จินตนาการได้เลยว่าตั้งแต่วันนี้ ตระกูลลู่ต้องกลายเป็นตระกูลใหญ่อันดับต้นๆ ในเมืองตงหวา รวมไปถึงทั้งเขตตงหวาด้วย!

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 666
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าลู่ฝาน ไม่มีอะไรดีไปกว่าการรู้จุดอ่อนอีกแล้ว

“ไอ้เก้า แกนี่รู้เยอะจริงๆ!”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดอย่างได้ใจว่า “เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ ถ้ารู้ไม่เยอะ จะมีชีวิตอยู่ได้นานขนาดนี้เหรอ อีกอย่าง เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ ฉันใกล้จะทำลายสติปัญญาของมุกเทพมังกรทำลายล้างหมดแล้ว นายจะรอหลังจากเจ้าดำกินมุกเทพมังกรทำลายล้าง พละกำลังเพิ่มขึ้น แล้วค่อยมาสู้กับกุยวัวอีกครั้งหรือเปล่า แบบนี้โอกาสชนะจะเพิ่มขึ้นหน่อย พลังในการโต้กลับของสัตว์อสูรแข็งแกร่งที่ใกล้จะตาย ยังไงก็น่ากลัวมาก”

ลู่ฝานถามว่า “ต้องใช้เวลานานแค่ไหน”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดว่า “ห้าวัน”

ลู่ฝานพูดทันทีว่า “ไม่ทัน สู้สุดใจแบบนี้แล้วกัน เป็นหรือตายขึ้นอยู่กับการต่อสู้ครั้งนี้”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดว่า “โอเค เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ ฉันจะปกป้องร่างกายของนาย”

แววตาลู่ฝานแปรเปลี่ยนเป็นดุดัน กล้ามเนื้อทั้งตัวเริ่มเคลื่อนไหวอย่างเป็นระเบียบ

เหมือนคลื่นน้ำเคลื่อนตัวอยู่บนผิวหนังของเขา!

นี่คือวิธียืดเส้นยืดสายที่ลู่ฝานคิดขึ้นเอง ตอนนี้เขามีพละกำลังแดนปราณชีวิต จึงสามารถใช้ทุกสิ่งที่เรียนรู้มาจากแดนมายาออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ลู่ฝานพยักหน้าเบาๆ ให้อู่คงหลิง แล้วเอาจิตอัคคีออกมาจากอก

ยังดีที่เจ้าดำไม่ได้กลืนสิ่งนี้ลงไป ครั้งนี้ลู่ฝานใส่เข้าไปในปากอย่างไม่ลังเล

อู่คงหลิงก็ทำเหมือนเขา เธอวางจิตอัคคีเข้าไปในปาก

ทั้งสองมองหน้ากัน ใช้วิชากายพุ่งขึ้นไปด้านบน

พุ่งขึ้นไปตามขาข้างเดียวของกุยวัว น้ำแข็งเย็นยะเยือกไม่สามารถขัดขวางพวกเขาได้เลย

มีจิตอัคคีคอยปกป้องอยู่ น้ำแข็งพวกนี้ไม่สามารถแช่แข็งพวกเขาได้ ไม่นาน ทั้งสองมาถึงตรงไหล่ของกุยวัว

ลู่ฝานเงยหน้ามอง เห็นขนแดงใต้คอกุยวัวลงมาสามนิ้ว

เห็นได้อย่างชัดเจน ขนสีแดงพวกนี้เหมือนกับก้นลิง

“เห็นหรือยัง โจมตีใส่ตำแหน่งนี้เลย!”

ลู่ฝานชี้ตรงขนแล้วพูดออกมา

อู่คงหลิงอึ้งไป จากนั้นถามว่า “นี่คือจุดอ่อนของมันเหรอ นายรู้ได้ยังไง”

ลู่ฝานไม่ได้ตอบอู่คงหลิง เริ่มรวบรวมพลัง ปราณชี่ทั้งตัวบวกกับพลังฟ้าดินรอบๆ เข้ามารวมที่เขาอย่างรวดเร็ว

อู่คงหลิงตะโกนว่า “เดี๋ยวก่อน ฉันไปทำลายน้ำแข็งของมันก่อน”

เมื่อพูดดังนั้น อู่คงหลิงเด้งตัวขึ้นไป เมื่อมาถึงด้านล่างคอของกุยวัว เธออ้าปากพ่นจิตอัคคีออกมา

อู่คงหลิงกดจิตอัคคีลงบนคอของกุยวัว

ฟู่ว!

ควันขาวลอยขึ้นมา เห็นได้ด้วยตาเปล่าว่าน้ำแข็งตรงคอกุยวัว ระเหยไปอย่างรวดเร็ว

ลู่ฝานยังคงรวบรวมพลัง แสงห้าสีปกคลุมทั้งตัวเขา

ในเมื่อมีโอกาสโจมตีเพียงครั้งเดียว ต้องใช้พละกำลังทั้งหมด

ทันใดนั้น น้ำแข็งตรงคอของกุยวัวมีรูขนาดใหญ่ อู่คงหลิงหันหลังเอาจิตอัคคีออกมา แล้วเด้งตัวลงมากจากคอของกุยวัว

ลู่ฝานแผดเสียงออกมา

“ยอดกระบี่หวนคืน!”

แสงเจ็ดสีสว่างจ้าเหมือนสายรุ้ง โจมตีออกไปอย่างรุนแรง

ตอนนี้กระบี่หนักไร้คมมีพลานุภาพไร้เทียมทาน ตัวของลู่ฝานจมอยู่ในแสงสว่าง

แต่ขณะนั้นเกิดเสียงดังกรอบ หัวของกุยวัวหันมา

สวบ กระบี่หนักไร้คมของลู่ฝานปักลงบนคอกุยวัว แต่มันเอียงไปประมาณสามนิ้ว!

ให้ตายเถอะ!

ตู้ม!

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 665
ผ่านไปนาน กว่าอู่คงหลิงจะจัดการเสร็จ

ลู่ฝานไม่อยากถามอะไรเลย ทั้งสองคนเดินตามทางเดินเล็กๆ ออกไปด้านนอกย่างเงียบ

บางทีเพราะความกะทันหันแบบนั้น ลู่ฝานเคยคิดว่าอู่คงหลิงก็เหมือนกับเขา แค่ผู้ฝึกฝนที่เดินตามเส้นทางของตัวเอง

แต่ตอนนี้ลู่ฝานเพิ่งพบว่าเขากับอู่คงหลิงยังแตกต่างไปมาก

นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่นักบู๊คนอื่นกับผู้ฝึกวิชาชั่วร้าย เหมือนน้ำกับไฟ

ถ้าคนที่ตายเป็นคนอื่น ถึงเป็นคนที่ลู่ฝานไม่รู้จัก

ลู่ฝานก็ไม่มีทางให้อู่คงหลิงไปทำลายศพคนอื่นจนเสียหาย เพราะการเคารพผู้ล่วงลับ คือหลักการขั้นพื้นฐาน

ตอนอยู่ในห้องที่สร้างด้วยหิน อู่คงหลิงยังเคารพศพของอริยปราชญ์สวรรค์บันดาลอยู่เลย

ทำไมออกมาเจออี่ว์เทียนซี เธอทำเหมือนอี่ว์เทียนซีไม่ใช่คน แต่เป็นสัตว์อสูรที่ตายต่อหน้าเธอ

อู่คงหลิงก็ไม่ได้อธิบายอะไร

เพราะความรู้ความสามารถพื้นฐานติดตัวของผู้ฝึกวิชาชั่วร้าย คือการไม่ทำให้ของที่มีค่าและมีประโยชน์เสียเปล่า

ในห้องที่สร้างด้วยหิน ไม่ได้ทำลายศพของอริยปราชญ์สวรรค์บันดาล

หนึ่งคือตอนนั้นดูไม่ออกว่าศพของอริยปราชญ์สวรรค์บันดาลมีสิ่งที่ไม่ธรรมดา ก็เท่ากับไม่มีค่า สองคือสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย โครงกระดูกแปลก ใครจะรู้ว่าเป็นกับดักหรือเปล่า แตะต้องแล้วจะโดนคำสาปอะไรหรือเปล่า

ดังนั้นเธอจึงรักษาความเคารพที่สมควรมีเอาไว้

แต่อี่ว์เทียนซีน่ะเหรอ

หึหึ ในสายตาอู่คงหลิง ศพของเขาเหมือนสัตว์อสูรจริงๆ

ถ้าเป็นผู้ฝึกวิชาชั่วร้ายคนอื่นจะเอาไปกลั่นยาหรือเปล่าก็ไม่รู้

ทั้งสองเดินไปเรื่อยๆ บนทางเดินเล็กๆ ไม่นาน พวกเขาเดินกลับมาที่ทะเลสาบน้ำแข็ง

ภาพด้านหน้าทำให้ลู่ฝานกับอู่คงหลิงตกตะลึง เห็นในหลุมขนาดใหญ่มหึมา น้ำในทะเลสาบน้ำแข็งไหลอย่างรวดเร็ว ตรงกลางหลุมเป็นเงาของกุยวัว

เกล็ดน้ำแข็งปกคลุม ดูเหมือนกุยวัวโดนแช่แข็งแล้ว ทั้งตัวเต็มไปด้วยน้ำแข็งหนา

วัวตาโตโมโห ราวกับกำลังก่นด่าอย่างไม่พอใจ

แสงสายฟ้าบนตัวก็ถูกแทนที่ด้วยน้ำแข็ง ลู่ฝานมองผ่านน้ำแข็ง ยังเห็นขนของกุยวัวได้อย่างชัดเจน

อู่คงหลิงพูดอย่างตื่นเต้นว่า “ดีมาก ลู่ฝานแผนนี้ของนายไม่เลวนะ แช่แข็งมันไปแล้ว”

ลู่ฝานพยักหน้า “ใช่ แต่แช่แข็งไปแล้ว จะทำยังไงต่อ”

ครุ่นคิดเงียบๆ ลู่ฝานจ้องไปที่หัวของกุยวัว

อู่คงหลิงพูดว่า “แน่นอนว่าต้องฆ่ามัน โอกาสดีแบบนี้จะให้เสียเปล่าไม่ได้ เราพุ่งเข้าไปทำลายน้ำแข็งตรงหัวมัน หลังจากนั้นแทงไปที่หัวของมัน”

อู่คงหลิงตะโกนเสียงดังอย่างตื่นเต้น

ลู่ฝานขมวดคิ้ว ถ้าง่ายเหมือนที่อู่คงหลิงพูดก็ดีสิ

แต่คิดไปคิดมา คงมีเพียงแค่วิธีนี้

ลู่ฝานหันมามองอู่คงหลิง “เธอต้องคิดให้ดีนะ ถ้าล้มเหลว อาจจบด้วยการที่กุยวัวทำลายน้ำแข็ง แล้วฆ่าพวกเราแทน!”

ในแววตาอู่คงหลิงมีประกายประหลาด “เรื่องบางเรื่อง ยังไงก็ต้องสู้สุดใจไม่ใช่หรือไง”

ลู่ฝานหัวเราะ คำพูดของอู่คงหลิงถูกใจเขามาก

ถูกต้อง ยังไงก็ต้องสู้สุดใจสักครั้ง!

ไม่งั้นจะเสียโอกาส

ลู่ฝานดึงกระบี่หนักไร้คมออกมา ตะโกนเรียกเจดีย์เสวียนเก้ามังกรในใจ “ไอ้เก้า มีค่ายกลหรือทักษะอะไรบ้าง ที่สามารถทำให้ฉันปลอดภัยขึ้น”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดว่า “เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ ไม่ต้องคิดเรื่องค่ายกลหรอก พลังของฉันยังฟื้นฟูไม่ได้เท่าไร กลัวว่าจะช่วยนายไม่ได้ แต่เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่พยายามแทงลงไปตรงจุดด้านล่างคอของกุยวัวลงไปสามนิ้ว ตรงนั้นมีขนสีแดง เป็นหัวใจสำคัญของพลังของกุยวัว แทงทำลายมัน กุยวัวต้องตายแน่นอน!”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 664
“ระวัง!”

ลู่ฝานเคลื่อนตัวไปข้างหน้า ดึงอู่คงหลิงกลับมา

ขณะนั้นอี่ว์เทียนซีที่โดนแทงตายไปแล้วลุกขึ้นยืน

เลือดบนตัวเขาไหลย้อนกลับ รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้า แววตาสีม่วงชั่วร้ายซีกหน้าด้านซ้าย มีประกายส่องออกมา

แสงพาดผ่านตรงที่ที่อู่คงหลิงยืนเมื่อครู่ อู่คงหลิงเห็นแล้วสีหน้าเคร่งขรึม

อี่ว์เทียนซีหัวเราะอย่างประหลาด

“แค่พวกนายจะฆ่าฉันตายได้เหรอ ฉันรอดชีวิตจากเงื้อมมือของกุยวัวได้ คิดว่าเพราะโชคดีเหรอ พวกโง่คิดว่าตัวเองเก่ง!”

อี่ว์เทียนซีหัวเราะออกมา เสียงหัวเราะบาดหูและไม่น่าฟัง

ใบหน้าที่นับว่าหล่อเหลาแต่เดิม ตอนนี้เป็นเหมือนผีร้าย

“พวกแกสองคนตายซะ ในเมื่อชอบอยู่ด้วยกันขนาดนี้ งั้นฉันจะให้พวกนายตายพร้อมกัน!”

อี่ว์เทียนซีกลายเป็นลำแสงลอยเข้ามา พลานุภาพพลุ่งพล่าน

อี่ว์เทียนซีขยับแขนขวาของตัวเอง เสียงกระดิ่งดังขึ้นชัดเจน

จู่ๆ ตัวของอี่ว์เทียนซีชะงักไป

อู่คงหลิงส่งเสียงหึอย่างเย็นชา “จะเอาพลังเวทย์ต่ำต้อยแบบนี้มาหลอกฉันเหรอ”

อี่ว์เทียนซีที่อยู่ข้างหน้า หายไปเหมือนภาพลวงตา ภายใต้เสียงกระดิ่ง แต่ขณะนั้น แรงลมปรากฏขึ้นด้านหลังทั้งสองคน

เปลวไฟลุกขึ้นบนตัวลู่ฝาน!

เปลวไฟของห้าธาตุ ปรากฏ!

เหมือนมังกรพุ่งขึ้นฟ้า เปลวไฟอันน่ากลัวเผาคนที่ลอบโจมตีด้านหลังจนถอยหลังไป

เสียงร้องโอดครวญดังขึ้น ถอยหลังอย่างสุดชีวิต

เสียงของอี่ว์เทียนซีดังขึ้น

“เรื่องนี้ไม่จบแน่! ให้ตายเถอะ ยัยผู้หญิงชั่ว แกเป็นผู้ฝึกวิชาชั่ว……”

ยังไม่ทันพูดจบ เพราะลู่ฝานให้ไอ้เก้ากระตุ้นรอยประทับพิษที่เขาทิ้งไว้ในตัวอี่ว์เทียนซี

เดิมทีลู่ฝานคิดว่าจะไม่ได้ใช้สิ่งนี้อีกแล้ว แต่ในเมื่ออี่ว์เทียนซีออกมาอย่างไม่คิดชีวิต ลู่ฝานคิดว่าส่งเขาครั้งสุดท้ายก็ไม่เป็นไร

อี่ว์เทียนซีคุกเข่าลงบนพื้น กระตุกไปทั้งตัว

ดวงตาเริ่มเลื่อนลอย น้ำลายฟูมปาก เขามองลู่ฝานแล้วพูดว่า “เป็นไปไม่ได้ พละกำลังของนาย……”

ลู่ฝานมาตรงหน้าอี่ว์เทียนซีพร้อมเปลวไฟลุกโชนบนตัว

“ใช่ พละกำลังฉันยกระดับขึ้นแล้ว แดนปราณชีวิตที่นายไม่มีวันไปถึง!”

อี่ว์เทียนซี่เบิกตาโต แต่กลับไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ ล้มลงบนพื้น

พลังชีวิตหมดไป ครั้งนี้เขาตายแล้วจริงๆ

อู่คงหลิงเดินเข้ามามองแล้วพูดว่า “นายวางยาพิษในตัวเขาเหรอ”

ลู่ฝานพูดว่า “ว่าอย่างนั้นก็ได้”

อู่คงหลิงสีหน้าเปลี่ยนไป “ตอนนี้ฉันสงสัยอีกแล้วว่านายคือผู้ฝึกวิชาชั่วร้าย”

ลู่ฝานหัวเราะแล้วพูดว่า “แค่ทักษะเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น”

อู่คงหลิงพยักหน้า รีบเอาของของอี่ว์เทียนซีมาทั้งหมด

การกระทำของเธอรวดเร็วและชำนาญมาก ทุกจุดที่สามารถซ่อนของได้บนตัวอี่ว์เทียนซี โดนเธอค้นไปมาสองรอบ

แหวนที่อี่ว์เทียนซีแอบใส่ไว้ที่นิ้วเท้าก็โดนเธอถอดออก ตรงจุดนี้ถ้าให้ลู่ฝานหา ต้องหาไม่เจอแน่นอน เขาคิดไม่ถึงว่าแหวนอากาศธาตุจะใส่ไว้บนนิ้วเท้าได้ด้วย แอบได้มิดชิดมาก

อู่คงหลิงถือแหวนอากาศธาตุไว้ในมือสองวง “คนละวง ฉันจะเอาวงที่ใส่ตรงเท้า ส่วนนายเอาวงที่ใส่ตรงมือ เป็นไง”

ลู่ฝานรู้ว่าวงที่ใส่ตรงเท้ามีราคาสูงกว่า แอบไว้ที่นิ้วเท้า แสดงว่าต้องเป็นสิ่งสำคัญของอี่ว์เทียนซีแน่นอน

แต่เขาพยักหน้าแล้วพูดว่า “ได้”

อู่คงหลิงยิ้มแล้วเอาแหวนให้เขา ลู่ฝานโยนเข้าไปในเข็มขัดโดยไม่มองสักนิด

อู่คงหลิงก็ยิ้มแล้วเอาแหวนใส่เข้าไปในอกตัวเอง ลู่ฝานไม่เห็นการกระทำของเธอ แหวนบนมือก็หายไปแล้ว

หลังจากนั้นอู่คงหลิงชี้ศพของอี่ว์เทียนซี “นายไม่ต้องการศพเขาใช่ไหม”

ลู่ฝานพูดด้วยสีหน้าประหลาด “เธอต้องการศพด้วยเหรอ”

อู่คงหลิงยิ้มแล้วพูดว่า “เปล่า ฉันแค่ต้องการดวงตาเขา นายก็รู้ดวงตาที่มีความสามารถพิเศษแบบนี้มันมีค่า ทักษะแดนมายาที่เขาใช้เมื่อครู่ ต้องเป็นความสามารถพิเศษของดวงตาเขาแน่นอน จงใจสร้างสถานการณ์ ให้พวกเราเดินเข้ามา ถือว่าเขาฉลาด แต่เมื่อเทียบกับเรา เขายังฉลาดไม่พอ”

ลู่ฝานขี้เกียจฟังต่อ โบกมือไปมาแล้วพูดว่า “แล้วแต่เธอเลย”

พูดจบ ลู่ฝานเดินออกไปด้านนอก

แม้เขาไม่มีความรู้สึกอะไรมากมายต่อการฆ่าคน แต่กับศพ โอเค เขายอมรับว่าเขายังแตกต่างกับผู้ฝึกวิชาชั่วร้ายมาก

อู่คงหลิงเห็นลู่ฝานเดินออกไป เธอยิ้มบางๆ แล้วพึมพำว่า “นายไม่ใช่ผู้ฝึกวิชาชั่วร้ายจริงๆ เฮ้อ ทำไมนายไม่ใช่ผู้ฝึกวิชาชั่วร้ายนะ!”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 663
แดดแรงมาก

เมื่อลู่ฝานกับอู่คงหลิงลืมตาขึ้นอีกครั้ง พวกเขากลับมาอยู่ข้างนอกแล้ว

นี่เป็นทางเดินเล็กๆ เมื่อลู่ฝานเห็นทางเดินนี้ก็หัวเราะออกมา เขาเคยมาที่นี่ เป็นทางเดินไปทะเลสาบน้ำแข็งไม่ใช่เหรอ

อย่าบอกนะว่าทางเดินเล็กๆ นี้ คือให้คนเดินออกมาแบบนี้

มีคนโดนเหวี่ยงออกมาจากก้นทะเลสาบทีละคน!

เจ้าดำกอดขาลู่ฝาน มันสั่นงันงก ตัวหดจนเหลือเล็กนิดเดียว

ลู่ฝานอุ้มเจ้าดำขึ้นมา ตอนนี้ขนาดตัวของเจ้าดำกลับไปเป็นตอนแรกที่พวกเขาเจอกันครั้งแรก

ลู่ฝานลูบหัวเจ้าดำ เจ้าดำนิ่งลงเยอะมาก

เจ้าดำทำท่าทางใส่ลู่ฝาน ลู่ฝานขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ทำไม เขาใส่อะไรให้แก”

เจ้าดำส่ายหัวเพื่อบอกว่าตัวเองก็ไม่รู้

แต่เมื่อมันอ้าปาก กลับพ่นเปลวไฟสีขาวดำออกมา

แค่พ่นออกมาครั้งเดียว ลู่ฝานเห็นพลังฟ้าดินรอบๆ พังทลายอย่างรวดเร็ว ภายใต้เปลวไฟที่พ่นออกมาเพียงครั้งเดียว ทำให้พลังฟ้าดินรอบๆ เหมือนผ้าใบพังลงมา เห็นพื้นที่สีดำข้างใน

“ทำลายธาตุ!”

อู่คงหลิงพูดอย่างตกใจขึ้นข้างๆ

ลู่ฝานเห็นแล้วก็อึ้งไป เจ้าดำเก่งขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร

แค่พ่นไฟออกมาครั้งเดียว กลับมีความสามารถทำลายธาตุได้แล้ว ลู่ฝานจำได้ว่าในบรรดาสัตว์อสูร สัตว์อสูรที่มีความสามารถทำลายธาตุ ล้วนเป็นสิ่งที่แข็งแกร่ง

ความสำเร็จของเจ้าดำในภายภาคหน้า คงก้าวหน้าเป็นอย่างมาก!

แต่หลังจากพ่นไฟออกมา เจ้าดำดูหงอยลงไม่น้อย

ลู่ฝานถามว่า “แกจะกลับไปพักผ่อนไหม”

เจ้าดำพยักหน้า จากนั้นมุดเข้าไปในเข็มขัดของลู่ฝาน เข้าไปในจวนอากาศธาตุ

ในจวนมีสมุนไพรกับยาเม็ดเป็นกอง เจ้าดำชอบที่นี่มาก

อู่คงหลิงแววตาเป็นประกาย “ลู่ฝาน นายมีอสูรวิเศษ ที่ต่อไปอาจเป็นอมตะได้”

ลู่ฝานยิ้มบางๆ “เป็นอมตะเหรอ คงงั้นมั้ง”

อู่คงหลิงยังอยากพูดอะไร แต่จู่ๆ มีเสียงดังขึ้นในป่าทึบ

สายตาลู่ฝานวูบไหว อู่คงหลิงก็มองข้างตัว

ทั้งสองใช้วิชากาย มาถึงจุดที่เกิดเสียงดัง

ตอนนี้ลู่ฝานแตกต่างจนไม่สามารถเอามาเทียบได้แล้ว แขนที่อริยปราชญ์สวรรค์บันดาลให้เขา ทำให้พละกำลังของเขาพุ่งถึงแดนปราณชีวิตแล้ว

ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น เพิ่งข้ามแดนมาหนึ่งแดน ต้องใช้เวลาปรับตัวครึ่งเดือน หรือไม่ก็หนึ่งเดือน

แต่ลู่ฝานไม่มีปัญหานี้ เขาสัมผัสด้วยตัวเองในแดนมายามาแล้วว่าวิทยายุทธแดนปราณชีวิตเป็นอย่างไร

ลองใช้สักนิด ก็จะคุ้นเคย

มีเพียงสิ่งเดียวที่แตกต่างหลังจากเข้าสู่แดนปราณชีวิต นั่นก็คือการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย

กระดูกแขนข้างหนึ่งของอริยปราชญ์ เหมือนทำให้ร่างกายของเขาเข้าสู่อีกระดับหนึ่ง ตอนขยับแขนขา เหมือนมีวิถีด้วย

ดูเหมือนอู่คงหลิงก็ยกระดับเหมือนกัน วิชากายเร็วขึ้นไม่น้อย พอจะฝืนตามการเคลื่อนไหวของลู่ฝานทัน

ทั้งสองเพ่งมอง เห็นคนสีดำขลับพิงต้นไม้อยู่

ตัวเกรียมทั้งตัว เหมือนบาดเจ็บสาหัส

เมื่อเห็นใบหน้าของเขา ลู่ฝานกับอู่คงหลิงหัวเราะออกมา

“อี่ว์เทียนซี! นายยังไม่ตายเหรอ!”

อี่ว์เทียนซีลืมตาช้าๆ ขยับตัวเล็กน้อย หญ้าชื้นด้านล่างตัวมีเสียงออกมา

“พวกนาย พวกนายยังไม่ตาย!”

อี่ว์เทียนซีมองทั้งสองคน พูดด้วยสีหน้าและแววตาโหดเหี้ยม

ลู่ฝานมองเขาอย่างราบเรียบ

“นายยังไม่ตาย แล้วเราจะตายได้ไงล่ะ”

อี่ว์เทียนซีพูดว่า “น่าเสียดาย กุยวัวตัวนั้นยังไม่แข็งแกร่งพอ ฆ่าพวกนายไม่ได้ ทำไม ลู่ฝาน นายจะฆ่าฉันไหม นายคิดถึงผลที่ตามมาหรือยัง”

ลู่ฝานพูดว่า “ผลที่ตามมาเหรอ นายจะบอกว่าตระกูลอี่ว์ของนายจะแก้แค้นฉันเหรอ เชื่อฉันสิ ถ้าฉันกลัวตระกูลอี่ว์ของพวกนาย ฉันก็ไม่ใช่ลู่ฝานสิ”

อี่ว์เทียนซีหัวเราะออกมา

“ในเมืองตงหวา คนที่เป็นศัตรูกับตระกูลอี่ว์ของเรา ล้วนมีจุดจบไม่ดี พวกนายก็เหมือนกัน”

อู่คงหลิงพูดแทรกขึ้นมาว่า “พอแล้ว ลู่ฝาน รีบฆ่าเขาเถอะ ไม่มีความจำเป็นต้องเสียเวลากับคนตาย”

พูดจบ อู่คงหลิงเดินมาข้างหน้า ปราณชี่รวมตัวเป็นกระบี่ยาว แทงไปที่อกอี่ว์เทียนซีทันที

กระบี่แทงทะลุตัวอี่ว์เทียนซีกับต้นไม้ใหญ่ด้านหลังเขา

อู่คงหลิงสีหน้าราบเรียบ เหมือนเธอทำเรื่องแบบนี้มาเป็นร้อยพันครั้งแล้ว ชินจนไม่รู้จะชินอย่างไรแล้ว สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงเลยสักนิด

ลู่ฝานมองศพของอี่ว์เทียนซีอย่างเฉยเมย ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “เธอว่าเขาให้เราเห็นทำไม ถ้าเขาซ่อนตัวในที่ที่ไม่มีคน ไม่แน่เราอาจคิดว่าเขาตายไปแล้วก็ได้”

อู่คงหลิงพูดว่า “นี่คือสวรรค์ลิขิต”

เพิ่งพูดจบ จู่ๆ พลังฟ้าดินรอบๆ เคลื่อนไหวอย่างประหลาด

แม้การเคลื่อนไหวไม่ได้เห็นชัดเจน แต่ความสามารถในการสังเกตรอบด้านอันเฉียบแหลมของลู่ฝานสัมผัสได้

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 662
ลู่ฝานรู้สึกว่าอุปสรรควิถีบู๊ของตัวเองเหมือนกับแผ่นฟิล์มบางๆ โดนแทงทะลุเรื่อยๆ

ไม่รอให้เขาได้ตั้งตัว พลังของเขาเข้าสู่แดนปราณนอกชั้นเก้าแล้ว

เจ้าดำออกมาจากตัวลู่ฝาน มองลู่ฝานอย่างตกตะลึง

พลังนั่นทำให้เจ้าดำรู้สึกหวาดผวา

แกรก แกร๊ก!

ลู่ฝานพ่นเลือดออกมา ขณะเดียวกันผิวหนังบนตัวเริ่มแตก เสื้อผ้าเสียหาย เหมือนสัตว์อสูรจำพวกงูลอกคราบ

อู่คงหลิงเดินมาข้างหน้า แต่โดนอริยปราชญ์สวรรค์บันดาลขวางไว้

วางใจเถอะ เขากำลังรับความโชคดี อย่าตัดโอกาสดีของเขา

ลู่ฝานสั่นไปทั้งตัว เจ็บปวดที่ฉีกขาด ความเจ็บปวดของการเปลี่ยนแปลง แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย

ลู่ฝานกัดฟัน ฝืนไม่ให้ส่งเสียงตะโกนออกมา

ตลก ตายมาไม่รู้กี่ครั้ง ความเจ็บปวดแค่นี้ไม่นับประสาอะไรหรอก

หลังผ่านไปหนึ่งชั่วยามเต็มๆ ลู่ฝานเปลี่ยนแปลงสำเร็จ บนพื้นมีหนังตายและเลือดดำ

ลู่ฝานเหมือนเกิดใหม่อย่างไรอย่างนั้น กล้ามเนื้อและกระดูกแข็งแรง ดวงตาเป็นประกาย

ทันใดนั้น พลังของห้าธาตุรวมตัวกัน

ไฟของห้าธาตุพุ่งมาจากรอบๆ ปกคลุมทั้งตัวลู่ฝานทันที

จิตในการรับรู้เปิดออก ลู่ฝานหลับตาก็ยังสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงรอบๆ

พลังฟ้าดินที่รุนแรงเมื่อก่อน ตอนนี้ในสัมผัสของเขา กลายเป็นดวงแสงเล็กๆ ลอยไปมา

ในเวลาเดียวกันทุกสิ่งบนโลก ปรากฏต่อหน้าเขาเหมือนม้วนภาพ

ที่แท้นี่คือโลกที่แท้จริง

ลู่ฝานยื่นมือออกมา ก็เห็นพลังฟ้าดินเคลื่อนไหวอย่างแปลกประหลาดบนแขนเขา

เหมือนควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างได้

อริยปราชญ์สวรรค์บันดาลพูดเบาๆ ว่า “ภูเขาก็คือภูเขา สายน้ำก็คือสายน้ำ อะไรเป็นยังไงก็เป็นอย่างนั้น!”

ลู่ฝานพึมพำแล้วยกยิ้มมุมปาก

ประกายในแววตาหายไป เปลวไฟรอบตัวลู่ฝานกลายเป็นเสื้อปราณปกคลุมตัวเขาโดยอัตโนมัติ

เสื้อปราณนี้แนบตัวมาก อยู่ดีๆ หลังมือขวามีลายเปลวไฟปรากฏขึ้นมา

อริยปราชญ์สวรรค์บันดาลเห็นภาพนี้ ก็พูดอย่างสงสัย “ผิดปกตินะ ทำไมนายถึงมีเครื่องหมายเปลวไฟของผู้ฝึกชี่!”

ลู่ฝานตกใจ รีบหยุดการเคลื่อนไหวปราณชี่ทันที

เครื่องหมายเปลวไฟในมือหายไปอย่างรวดเร็ว

อริยปราชญ์สวรรค์บันดาลหัวเราะออกมา “นายรู้ไหมนี่หมายถึงอะไร นายยังเป็นอัจฉริยะที่สามารถฝึกชี่ได้ด้วย พระเจ้า ถ้าฉันยังไม่ตาย ฉันจะรับนายเป็นศิษย์ในนามแน่นอน”

ลู่ฝานโค้งคารวะอริยปราชญ์สวรรค์บันดาล แล้วพูดว่า “ขอบคุณอริยปราชญ์ที่ชี้แนะครับ”

อริยปราชญ์สวรรค์บันดาลโบกมือซ้ายของตัวเองไปมา “คนตายไปแล้วล้วนว่างเปล่า เหลืออะไรไว้ให้คนรุ่นหลังได้ ก็สมควรแล้ว ฉันให้โชคกับทั้งสองคน ต่อไปถ้าใครถึงระดับสูงสุด หรือทายาทรุ่นหลังของพวกนายถึงระดับสูงสุดได้ กลับมาที่นี่อีกครั้ง ทำความปรารถนาสุดท้ายของฉันให้สำเร็จ โดยการฆ่ามัน!”

ลู่ฝานพูดอย่างราบเรียบ “ผมกลับมาแน่นอนครับ”

อริยปราชญ์สวรรค์บันดาลหัวเราะเบาๆ “นายมีความทะเยอทะยานมาก ดีมาก ถ้านายกลับมาได้จริง ฉันจะให้ค่ายกลกับนาย”

ลู่ฝานพูดอย่างตกใจว่า “ค่ายกลสวรรค์บันดาลเหรอครับ ใช่ที่อยู่ข้างนอกนั่น……”

อริยปราชญ์สวรรค์บันดาลพูดว่า “นั่นมันของปลอม ทิ้งไว้ขู่คนเท่านั้น นายชื่ออะไร”

ลู่ฝานรีบพูดว่า “ผมชื่อ……”

ขณะนั้นอริยปราชญ์สวรรค์บันดาลยกมือขึ้นมา “ช่างเถอะ ไม่ต้องพูดแล้ว รอกลับมาครั้งหน้านายค่อยบอกฉัน พวกนายควรออกไปได้แล้ว ไม่ต้องพยายามหาที่นี่ ที่นี่มีไว้ต้อนรับคนมีวาสนา”

พูดจบ อริยปราชญ์สวรรค์บันดาลสะบัดแขนเบาๆ

ลู่ฝานกับอู่คงหลิงหายไปพร้อมกัน

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 661
เพียงประโยคเดียว ทำให้อู่คงหลิงหน้าเปลี่ยนสี ถอยหลังไปสองก้าวอย่างไม่รู้ตัว

อริยปราชญ์สวรรค์บันดาลยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “วางใจเถอะ ฉันเป็นแค่คนแก่ที่ตายแล้ว อืม ฉันหมายถึงตายจริงๆ นะ ทำอันตรายอะไรเธอไม่ได้หรอก ผู้ฝึกวิชาชั่วร้ายก็ดี หรือคนที่ฝึกอย่างถูกต้องก็ดี ล้วนเป็นมนุษย์ไม่ใช่เหรอ ฉันเคยเจอขอทานที่สูงส่ง แล้วก็เคยเจอราชาที่ต่ำต้อย ตัวตนมันก็แค่ชื่อเรียกเท่านั้น”

อริยปราชญ์สวรรค์บันดาลยิ้มอย่างเป็นธรรมชาติ แต่กลับจับใจลู่ฝานเล็กน้อย

อู่คงหลงทำความเคารพอริยปราชญ์สวรรค์บันดาลอย่างนอบน้อม “อริยปราชญ์สวรรค์บันดาลใจกว้าง ฉันเลื่อมใสจากใจจริง”

อริยปราชญ์สวรรค์บันดาลพูดว่า “หลังกลับไปเธอพยายามซ่อนตัวดีกว่า ผู้ฝึกวิชาชั่วร้ายเดินไปไหนมาไหนแบบโจ่งแจ้ง ไม่ใช่เรื่องดี จำคำฉันไว้ให้ดี คนที่เดิมทีซ่อนตัวอยู่ในความมืด ทำไมต้องแสวงหาแสงสว่าง”

สีหน้าของอู่คงหลิงเปลี่ยนไป เหมือนกำลังครุ่นคิดคำพูดของอริยปราชญ์สวรรค์บันดาล

อริยปราชญ์สวรรค์บันดาลเดินมาข้างหน้า โครงกระดูกสั่นไหว เหมือนจะแยกส่วนได้ทุกเมื่อ

อริยปราชญ์สวรรค์บันดาลยืนห่างจากลู่ฝานประมาณเก้าเมตร มองลู่ฝานอย่างละเอียดตั้งแต่หัวจรดเท้า

“ใครคืออาจารย์ของนาย”

อริยปราชญ์สวรรค์บันดาลถามขึ้น

ลู่ฝานส่ายหน้าแล้วตอบว่า “ขอโทษด้วยครับ อาจารย์สั่งว่าห้ามพูดข้างนอก”

อริยปราชญ์สวรรค์บันดาลถามต่อ “เรียนวิชาที่ไหน”

ลู่ฝานตอบว่า “สถาบันสอนวิชาบู๊เขตตงหวาครับ”

อริยปราชญ์สวรรค์บันดาลส่ายหน้า “สถาบันสอนวิชาบู๊ของเทียนหยาจื่อเหรอ”

ลู่ฝานอึ้งไปครู่หนึ่ง จึงนึกขึ้นได้ว่าเทียนหยาจื่อคือท่านผอ.ของพวกเขา

ลู่ฝานพยักหน้า “ใช่ครับ!”

อริยปราชญ์สวรรค์บันดาลพูดว่า “เจ้าหนุ่ม นายไม่ซื่อสัตย์ เคล็ดวิชาบู๊ของนาย ไม่ใช่สิ่งที่สถาบันสอนวิชาบู๊จะสอนได้ โดยเฉพาะกระบวนท่าเมื่อกี้”

ลู่ฝานเข้าใจแล้ว ที่แท้ยอดกระบี่หวนคืนของเขา ทำให้อริยปราชญ์สวรรค์บันดาลเกิดความสนใจ

ลู่ฝานหัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “นั่นเป็นเคล็ดวิชาบู๊ที่ผมสร้างเอง”

อริยปราชญ์สวรรค์บันดาลแววตาเป็นประกาย

“มิน่าล่ะถึงไม่ละเอียดเลย อีกทั้งยังไม่สามารถควบคุมได้ สร้างเคล็ดวิชาบู๊เอง ไม่เลวๆ แม้ฉันไม่ได้เป็นนักบู๊ แต่ชำนาญวิชาใดวิชาหนึ่ง ก็จะชำนาญวิชาที่เกี่ยวข้องไปด้วย ฉันเห็นอนาคตที่นายเข้ามาเป็นพวกเดียวกับเราแล้ว”

ลู่ฝานมีรอยยิ้มมุมปาก

พวกเดียวกันที่อริยปราชญ์สวรรค์บันดาลพูด มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นระดับเซียนบู๊ ระดับอริยปราชญ์

ได้รับการยืนยันจากผู้อาวุโส ลู่ฝานดีใจอย่างไม่ต้องสงสัย

อริยปราชญ์สวรรค์บันดาลพูดว่า “เจ้าหนุ่ม นายกับฉันเจอกัน ถือว่าเป็นสวรรค์บันดาล ฉันจะให้ของนายอย่างหนึ่ง”

อริยปราชญ์สวรรค์บันดาลพูดพลาง ดึงแขนขวาของตัวเองลงมา

ลู่ฝานกับอู่คงหลิงเห็นการกระทำนี้ ถึงกับคิ้วกระตุก พวกเขาพอรู้ว่าอริยปราชญ์สวรรค์บันดาลจะทำอะไร

อริยปราชญ์สวรรค์บันดาลหัวเราะเบาๆ “เหมือนพวกนายชอบแขนขวาของฉันมาก ฉันเอามันให้พวกนายดีกว่า หวังว่าตอนที่พวกนายก้าวสู่จุดสูงสุดในอนาคต จะมาที่นี่อีกครั้ง ช่วยฉันฆ่ามังกรโลหิตสามหัวให้ตายอย่างแท้จริง”

พูดพลาง อริยปราชญ์สวรรค์บันดาลโยนแขนของตัวเองออกมา

ลู่ฝานยื่นมือมาเตรียมรับ แต่ขณะนั้น คำว่าแดนบนแขนสว่างขึ้นมา

หลังจากนั้นแขนกลายเป็นกระดูกขาว เขาไปในแขนขวาของลู่ฝาน

แสงพุ่งออกมาจากแขนขวาของลู่ฝาน ส่องลงบนหน้าผากของอู่คงหลิง

ทั้งสองคนอึ้งไปพร้อมกัน ลู่ฝานรู้สึกว่าแขนขวาของตัวเองพลังเต็มเปี่ยม ไม่เคยแข็งแกร่งขนาดนี้มาก่อน

ลู่ฝานยื่นฝ่ามือออกมา เห็นกลางฝ่ามือตัวเองมีตัวอักษรคำว่าแดน

เมื่อสัมผัสอย่างละเอียด ทันใดนั้นพลังอันแข็งแกร่งพุ่งไปทั่วแขนขาและร่างกายของเขา

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 660
เสียงของมันเหมือนพลานุภาพสวรรค์พลุ่งพล่าน ทำให้คนอดคุกเข่าบูชาไม่ได้

แววตาของอู่คงหลิงเลือนราง ค่อยๆ ย่อตัวลง

ลู่ฝานดึงอู่คงหลิงเอาไว้ พูดเสียงดังว่า “อย่าเชื่อมัน ถ้าเราสังเวยตัวเอง มันจะได้พลังจากตัวเราหมด ถ้าฆ่าพวกเรา มันได้สามสิบถึงสี่สิบเปอร์เซ็นต์ก็นับว่าไม่เลวแล้ว ถึงตาย ฉันก็ไม่ให้สัตว์อสูรแบบนายได้ประโยชน์จากฉันหรอก!”

อู่คงหลิงได้ยินเสียงลู่ฝาน เธอตื่นขึ้นมาทันที

อู่คงหลิงขยับปากพูดว่า “ดูเหมือนเราต้องตายอยู่ที่นี่จริงๆ”

ลู่ฝานจับกระบี่หนักไร้คมเอาไว้แน่น แล้วฉีกยิ้มออกมา

มังกรโลหิตสามหัวพูดอย่างดุดันว่า “งั้นพวกนายตายซะเถอะ!”

น้ำแข็งถาโถมเข้ามาเหมือนสายลม

จู่ๆ เหมือนลู่ฝานกับอู่คงหลิงอยู่ในแดนชำระน้ำแข็ง เหมือนใบมีดน้ำแข็งจะแยกพวกเขาออก

ลู่ฝานเอากระบี่หนักไร้คมกันไว้ด้านหน้า

แต่ขณะนั้น เสียงราบเรียบดังขึ้นว่า

“นายยังดื้อรั้นขนาดนี้อีกเหรอ!”

แสงสว่างเหมือนพระอาทิตย์บนฟ้า ละลายน้ำแข็งไปจนหมด

ลู่ฝานกับอู่คงหลิงรู้สึกอบอุ่นไปทั้งตัว

ความหนาวทั้งหมดหายไป อู่คงหลิงรู้สึกว่าพลังของตัวเองฟื้นฟูกลับมาอย่างรวดเร็ว

มังกรโลหิตสามหัวตะโกนว่า “นายอีกแล้วตาเฒ่า ทำไมตายแล้วยังมาเซ้าซี้ฉันอีก ทำไมตายแล้วยังไม่ปล่อยฉัน ตาเฒ่าสวรรค์บันดาล นายจะตามฉันไปนานแค่ไหน”

เมื่อได้ยินคำว่าสวรรค์บันดาล ลู่ฝานกับอู่คงหลิงอ้าปากค้าง

สวรรค์บันดาล! อริยปราชญ์สวรรค์บันดาล!

เสียงราบเรียบดังขึ้นอีกครั้ง “มังกรโลหิต แค่นายยังมีชีวิตอยู่ ฉันก็จะถูกควบคุมอยู่ในนั้น จนกว่าจะมีคนทำลายร่างนิรันดร์ของนายได้”

มังกรโลหิตสามหัวเคลื่อนไหวร่างกาย “นายไร้เดียงสาเกินไป ไม่มีใครทำลายร่างนิรันดร์ของฉันได้หรอก ต้องมีสักวันที่ฉันจะฟื้นฟูพลังกลับมา และทำลายทุกอย่างของนาย ตาเฒ่าสวรรค์บันดาล คนในครอบครัวนาย เพื่อนนาย มนุษย์ที่นายใส่ใจ จะต้องตายคามือฉัน ฉันจะให้นายเห็นว่าฉันจะทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่นายปกป้องเอาไว้ยังไง”

“นายพูดมากเหลือเกิน!”

แสงขาวดำปรากฏขึ้นมา ตัวของมังกรโลหิตสามหัวหายไป

บริเวณรอบๆ กลับสู่สภาพเดิม มีเพียงแค่น้ำเย็นที่ไหลอยู่แต่เดิม หายไปไหนก็ไม่รู้

บนกำแพง ตัวของมังกรโลหิตสามหัวเคลื่อนไหวไปมา สุดท้ายก็สงบลง

กระบี่และดาบเก้าเล่ม มีแสงสว่างกะพริบ จากนั้นก็กลับสู่ปกติ

สิ่งเดียวที่เปลี่ยนไปคือโครงกระดูกที่นั่งอยู่บนพื้น ตอนนี้ยืนขึ้นมาแล้ว

เงาหนึ่งปรากฏขึ้นหลังโครงกระดูก เป็นผู้อาวุโสใบหน้าห้าวหาญ เหมือนอริยปราชญ์สวรรค์บันดาล ที่ลู่ฝานเห็นที่สุสานกระบี่และดาบ

สิ่งเดียวที่เปลี่ยนไปคือในแววตาของผู้อาวุโสคนนี้เป็นประกาย มีชีวิตชีวา

ลู่ฝานนึกถึงท่านผอ.ของสถาบัน ทั้งสองคนน่าจะใช้วิธีที่คล้ายกัน

“นักบู๊อายุน้อย จิตใจไม่เลว ฉันได้ยินคำพูดของทั้งสองคนกับมังกรโลหิตแล้ว แม้ฟังดูกวนบาทาจริงๆ แต่ไม่พูดก็ไม่ได้ว่าได้ผลมาก เจ้าหนุ่ม ปากนายแรงมาก แต่จิตใจดีมาก”

อริยปราชญ์สวรรค์บันดาลมองลู่ฝานแล้วยิ้ม

แต่ลู่ฝานกลับมีสีหน้าประหลาด ไม่รู้ว่าอริยปราชญ์สวรรค์บันดาลกำลังชมเขา หรือใช้วิธีอื่นด่าเขา

“นี่คือสิ่งที่เราสมควรทำ”

อู่คงหลิงยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น

อริยปราชญ์สวรรค์บันดาลมองอู่คงหลิงแวบหนึ่ง

“ผู้ฝึกวิชาชั่วร้ายกล้าเดินไปทั่วตั้งแต่เมื่อไร”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 659
“นายสาปเขาตายหรือยัง”

ลู่ฝานถามอย่างสงสัย เขาหวังว่ามังกรโลหิตจะสาปอี่ว์ชิงเฉินจนตาย เป็นแบบนั้นเขาจะได้เก็บแรงเอาไว้ได้เยอะ!

ตอนนี้มีแสงสีฟ้าเข้มสว่างขึ้นบนตัวมังกรโลหิตสามหัว ประกายในแววตาเป็นแสงสีเลือด

ลู่ฝานไม่เพียงแต่ดูหมิ่นร่างกายมัน ยังดูหมิ่นสติปัญญามันด้วย

ถึงเป็นสัตว์อสูรก็ทนไม่ได้

ทันใดนั้นกำแพงเริ่มสั่นอย่างรุนแรง

หินด้านบนก็เริ่มมีรอยร้าว น้ำเย็นไหลลงมาเหมือนฝน

นี่ไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน สีหน้าของลู่ฝานเคร่งขรึมทันที

เขาเอามือดันอู่คงหลิงไว้ด้านหลัง!

“มนุษย์ ฉันจะดื่มเลือดนาย กินเนื้อนาย ทำลายและบดกระดูกของนายให้เป็นเถ้า”

เสียงคำรามดังสนั่น พลังน่ากลัวพุ่งออกมาจากกำแพง ทำให้ห้องที่สร้างด้วยหินกลายเป็นทะเลสีคราม

“รีบหนี รีบหนีลู่ฝาน!”

อู่คงหลิงตะโกนเสียงดัง แต่เพียงพริบตา เธอยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เริ่มแข็งตั้งแต่ผ้าปิดหน้า

ลู่ฝานก็รู้สึกถึงพลังอันดุดัน กำลังเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งรอบๆ

ถูกต้อง คือการเปลี่ยนแปลง

เหมือนมือใหญ่เอาพลังฟ้าดินรอบๆ ทั้งหมด ก่อตัวเป็นน้ำแข็งขั้นสุดยอด

ลู่ฝานดึงอู่คงหลิงเด้งตัวขึ้นไป เปลวไฟลุกโชนขึ้นบนตัว

ลู่ฝานใช้หมัดกระแทกหินด้านบนจนแตก จับกระบี่หนักไร้คมของตัวเองเอาไว้ เตรียมจะพุ่งออกไป

แต่ต่อมาลู่ฝานเห็นฝูงงูเหลือมสีครามน่ากลัว พันอยู่ที่รอบเอวและขาของเขา

“ทำลาย!”

ลู่ฝานสะบัดกระบี่ เปลวไฟดำสาดออกมา

งูเหลือมสีครามบนตัวเขาตกใจ และล่าถอยไป

ลู่ฝานกระทืบเท้ากลางอากาศอย่างแรง พุ่งขึ้นไปด้านบนอีกครั้ง

แต่ทันใดนั้น ลู่ฝานรู้สึกว่าตัวเองชนกับกำแพงน้ำแข็ง

อู่คงหลิงพูดเสียงสั่น “ลู่ฝาน เป็นเขตวิถี เขตวิถีน้ำแข็ง!”

ลู่ฝานตกใจจนใจสั่น ไอริลโนเวล

ผู้แข็งแกร่งระดับอริยปราชญ์ หรือไม่ก็ระดับเซียนบู๊ ถึงจะมีเขตวิถีได้!

มังกรโลหิตสามหัวตัวนี้ เป็นสัตว์อสูรที่ทัดเทียมกับระดับอริยปราชญ์

รู้ว่าเป็นแบบนี้ตั้งแต่แรก เขายังจะยืนพูดไร้สาระกับมันไหม ควรหนีเป็นอันดับแรกแล้ว!

ทุกสิ่งรอบๆ กลายเป็นน้ำแข็ง เขตวิถีห้าธาตุ เป็นเขตวิถีที่ธรรมดาที่สุด แต่ก็มีพลานุภาพไม่สิ้นสุดเหมือนกัน!

พลังของห้าธาตุ ไม่ว่าจะเป็นธาตุไหน เมื่อใช้ถึงจุดสูงสุด ล้วนมีพลังทำลายล้างโลก

สู้สุดชีวิต!

ลู่ฝานรวบรวมพลังทั้งหมดของร่างกาย จากความเข้าใจเขตวิถีบู๊ของเขา เว้นเสียแต่จะทำลายเขตวิถีบู๊ ไม่งั้นไม่มีทางหนีออกไปได้

ในเขตวิถีบู๊ จะมีพื้นที่ว่างของตัวเอง

ต้องทำลายจุดด้านใน ใช่ ต้องทำลายจุดนี้!

ยอดกระบี่หวนคืน!

ลู่ฝานใช้กระบี่โจมตีออกไป ไม่มีแสง ไม่มีเสียงดังสนั่น มีเพียงแสงสว่างเล็กน้อย แทงโจมตีออกไป

แสงนี้ทำให้น้ำแข็งรอบๆ เกิดรอยร้าว

ลู่ฝานรู้สึกว่าตัวว่างเปล่า เขากับอู่คงหลิงเบิกตาโตมอง

หวังเพียงว่ามันจะเกิดร่องร้าวออกมา!

แต่ผลกลับทำให้พวกเขาผิดหวัง

ถึงเป็นเขตวิถีน้ำแข็งที่สัตว์อสูรปล่อยออกมา พวกเขาก็ยังไม่สามารถทำลายได้อยู่ดี

ตัวของมังกรโลหิตสามหัวปรากฏอยู่ในเขตวิถีน้ำแข็ง

ตัวของมันดูใหญ่ขึ้นและน่ากลัวขึ้นในพริบตา

“มนุษย์ต่ำต้อย พวกนายทำให้ฉันสูญเสียพลังที่สะสมมาสามปีเต็ม ถ้าเลือดเนื้อของพวกนายทดแทนพลังพวกนี้ไม่ได้ ฉันจะทำให้วิญญาณของพวกนายถูกทรมานตลอดไป พวกนายยังมีโอกาสครั้งสุดท้าย มอบชีวิตของพวกนายมา เอาพลังทั้งหมดมอบให้ฉัน”

มังกรโลหิตสามหัวพูดอย่างเย็นชา

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 658
ปากลู่ฝานขยับเล็กน้อย เขาส่งเสียงออกมาว่า “เธอเดินไปรอบๆ ใช้จิตอัคคีขจัดเส้นทางการไหลของน้ำเย็น ฉันจะดึงดูดความสนใจของมันต่อ”

อู่คงหลิงพยักหน้า เริ่มเดินอย่างระมัดระวัง

ตอนนี้เหมือนมังกรโลหิตสามหัวโมโหลู่ฝานแล้ว มันคำรามออกมาว่า “มนุษย์ต่ำต้อย นายกล้าดูหมิ่นฉันสองครั้ง ฉันจะเอาหนังของนายมาเป็นของสะสม จะเอาวิญญาณนายมาบดขยี้ ให้นายสัมผัสกับความทรมานอย่างแท้จริง”

ลู่ฝานแคะหู การกระทำของเขาคือการเลียนแบบศิษย์พี่หานเฟิงชัดๆ

เพราะในบรรดาคนที่เขารู้จัก มีแค่ศิษย์พี่หานเฟิงที่มีท่าทางน่าโมโหที่สุด

“อืม นายพูดเยอะขนาดนี้ ทำไมฉันยังยืนมีชีวิตอยู่ที่นี่ล่ะ คุณท่านโลหิตสีครามผู้ยิ่งใหญ่ นายทำเป็นแต่พูดเหรอ ในเมื่อฉันต่ำต้อยขนาดนี้ ทำไมนายไม่ฆ่าฉันเลยล่ะ ฉันรออยู่นะ รีบเข้ามาสิ!”

ลู่ฝานกระดิกนิ้วให้มังกรโลหิตสามหัว ท่าทางน่าโดนกระทืบมาก

มังกรโลหิตสามหัวทนไม่ไหวแล้ว แสงสีฟ้าพัดเข้ามาอีกครั้ง

ครั้งนี้ลู่ฝานมองเห็นชัดเจนแล้ว นั่นเป็นเงาร่างที่มังกรโลหิตสามหัวสร้างขึ้นมา!

เกราะเกล็ดมังกรปรากฏขึ้นบนตัวลู่ฝานทันที ฝ่าเท้าจมลงไปในพื้น ปราณชี่เปิดออก

พลั่ก!

ลู่ฝานต้านทานการโจมตีของมังกรโลหิตสามหัว

แม้เลือดลมปั่นป่วน เกราะเกล็ดมังกรบนตัวยุบลงไป แต่ลู่ฝานก็ต้านทานไว้ได้

ทันใดนั้นเงาสีฟ้ามีเสียงดังออกมา

มังกรโลหิตสามหัวเก็บเงากลับไป เหมือนกำลังร้องอย่างเจ็บปวด หัวทั้งสามหัวเริ่มขยับไม่หยุด

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “ที่แท้นายกลัวฉัน เงาของนายไม่สามารถแตะต้องฉันได้ คุณท่านเลือดสีครามผู้ยิ่งใหญ่ แตะต้องมนุษย์ต่ำต้อยอย่างฉันไม่ได้ ฉันตกใจจนคางแทบหล่นลงบนพื้น นายแน่ใจเหรอว่าไม่ใช่งูกระจอก งูกระจอกที่น่าสงสาร”

ลู่ฝานพูดคำว่างูกระจอก ทำให้มังกรโลหิตสามหัวแทบจะถึงขีดสุดแล้ว

“ไอ้มนุษย์สมควรตาย ต่ำต้อย ไร้ยางอาย บอกชื่อนายมา บอกชื่อนายมาก”

ลู่ฝานพูดด้วยสีหน้าเหนื่อยใจ “ได้ บอกนายก็ได้ ฉันชื่ออี่ว์ชิงเฉิน นายสาปฉันสิ!”

ขณะนั้นมังกรโลหิตสามหัวชะงักไปทันที มองลู่ฝานด้วยสายตาประหลาด “มนุษย์โง่เขลา นายบอกชื่อมาจริงๆ ด้วย งั้นฉันจะทำให้นายรู้ว่าคำสาปแท้จริงคืออะไร”

ลู่ฝานสีหน้าหวาดกลัว แต่ในดวงตาเต็มไปด้วยความคาดหวัง

แสงสีฟ้าบนตัวมังกรโลหิตสามหัวทะลักขึ้นมา เหมือนเปลวไฟสีครามลุกโชน เคลื่อนไหวอย่างประหลาด

ขณะนั้นอู่คงหลิงเดินกลับมา เธอกำจัดน้ำเย็นที่ไหลมายังกำแพงหินจนหมดแล้ว

“วิชาคำสาป มันกำลังท่องวิชาคำสาป!”

ลู่ฝานยังคงมีสีหน้าหวาดกลัว แต่มุมปากกระตุกอย่างอดไม่ได้

“เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งมีความสามารถพิเศษ สัตว์อสูรประเภทมังกร วิชาคำสาปคือสิ่งที่มีชื่อเสียงที่สุด พวกมันคือผู้เก็บเกี่ยววิญญาณ ในตำนานบอกว่าผู้ฝึกวิชาชั่วร้ายจำนวนมาก ชอบสัตว์อสูรประเภทมังกร เพราะสามารถยกระดับพลานุภาพวิชาวิญญาณส่วนหนึ่งของพวกเขา”

ทันใดนั้น แสงของมังกรโลหิตสามหัวหายไป จู่ๆ ก็สั่นอย่างรุนแรง

หัวหนึ่งหดกลับเข้าไปในกำแพง

“ทุเรศ! มนุษย์สมควรตาย นายบอกชื่อใครมา นี่ไม่ใช่ชื่อนาย นายบอกชื่อผู้แข็งแกร่งที่เป็นมนุษย์ให้ฉัน ยังดีที่เขายังไม่เข้าสู่วิถี มนุษย์ต่ำต้อย ทำไมฉันถึงเชื่อนายได้นะ”

ความหวาดกลัวบนใบหน้าลู่ฝานแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 657
มันพูดได้

สัตว์อสูรพูดภาษาคนได้เหรอ

ลู่ฝานเห็นสัตว์อสูรพูดภาษาคนได้เป็นครั้งแรก

ว่ากันว่าสัตว์อสูรที่พูดภาษาคนได้ อย่างน้อยต้องเป็นสัตว์ประหลาดที่มีชีวิตเกือบพันปี

ถ้าพละกำลังไม่ถึงแดนปราณฟ้า ล้วนอับอายไม่กล้าออกมา

อู่คงหลิงกระอักเลือดออกมา ไม่มีพลังปราณป้องกัน ตอนนี้เธออ่อนแอเหมือนกระดาษ

ยังดีที่ผ้าปิดหน้าของเธอดูดพลังไปเกินครึ่ง ไม่งั้นเมื่อกี้เธอคงตายคาที่

ลู่ฝานยัดยาใส่ปากอู่คงหลิง จากนั้นดันเธอไปด้านหลัง

ลู่ฝานจ้องมังกรโลหิตสามหัว ปราณชี่ทะลักขึ้นมาบนตัว

ตอนนี้อยู่ในสภาวะที่เจ้าดำสิงร่างอยู่ พลังต่อสู้ของเขาทัดเทียมกับนักบู๊แดนปราณชีวิต

เขาไม่เชื่อว่าตัวเองจะสู้ไม่ได้

หัวสามหัวของมังกรโลหิตสามหัวบนกำแพง เคลื่อนไหวไปทั่ว

แสงสีฟ้ารุนแรงทำให้ดวงตาทั้งหกดวงของมันเป็นสีฟ้าคราม ดูเหมือนคลื่นน้ำกำลังกระเพื่อม

“มนุษย์ผู้ต่ำต้อย ตอนนี้เป็นโอกาสที่พวกนายจะยอมสยบให้ฉัน มอบเลือดของพวกนายมา มอบพลังของพวกนายมา ฉันจะทำให้พวกนายมีอยู่ตลอดกาล”

หัวทั้งสามหัวเงยขึ้นสูง เชิดหน้าใส่ลู่ฝานและอู่คงหลิง

ลู่ฝานมองมังกรโลหิตสามหัวที่เย่อหยิ่งตัวนี้ แล้วพูดอย่างราบเรียบว่า “นายคิดเยอะไปแล้ว เราไม่มอบชีวิตให้นายหรอก งูกระจอก!”

ลู่ฝานจงใจเน้นคำสุดท้าย

สัตว์อสูรที่แข็งแกร่งและอวดดีแบบนี้ ข้อห้ามขั้นสุดยอดก็คือมีคนดูหมิ่นมัน

ตอนลู่ฝานอยู่ที่แดนมายา ก็ใช้น้ำเสียงยั่วยุแบบนี้ ทำให้สัตว์อสูรจำนวนไม่น้อยโมโหได้สำเร็จ

เมื่อสัตว์อสูรถูกยั่วให้โมโห ส่วนใหญ่จะขาดสติ

เมื่อเป็นเช่นนี้จึงมีโอกาสหนี!

ถูกต้อง ลู่ฝานกะจะหนี

เจอสัตว์อสูรมีชื่อเสียงที่ตายไปหลายปี แล้วกลับมามีชีวิตอีกครั้ง แถมยังพูดภาษาคนได้ด้วย

ลู่ฝานไม่อยากสู้กับมันแม้แต่น้อย

เขาเตรียมหลบท่าไม้ตายของมันเรียบร้อยแล้ว อีกทั้งในหัวก็มีแผนแล้ว รอจังหวะดึงกระบี่หนักไร้คมออกมาแล้ววิ่งหนี

“งูกระจอกงั้นเหรอ นายกล้าเรียกผู้ยิ่งใหญ่ ผู้เป็นอมตะ ท่านเลือดสีครามผู้ไร้เทียมทานว่างูกระจอกเหรอ มนุษย์ นายเตรียมกลายเป็นกองเลือดแล้วหรือยัง”

กำแพงสั่นสะเทือนไปทั้งกำแพง ตอนนี้กระบี่และดาบทั้งเก้าเล่มบนกำแพงมีแสงสว่างจ้า

มังกรโลหิตสามหัวคำรามออกมา ตอนที่ลู่ฝานคิดว่ามังกรโลหิตสามหัวจะลงมือ

แต่มังกรโลหิตสามหัวไม่เคลื่อนไหว

ดวงตาสามคู่จ้องลู่ฝานเขม็ง

มังกรโลหิตสามหัวพูดว่า “มนุษย์ บอกชื่อนายมา นายจะได้รับคำสาปชั่วนิรันดร์”

ลู่ฝานขมวดคิ้วพูดว่า “แค่คำสาปเหรอ เหมือนตั้งแต่เล็กจนโตคนที่สาปฉันมีไม่น้อยแล้วนะ ไม่เห็นฉันจะเป็นอะไรเลย”

ลู่ฝานพูดพลางหัวเราะออกมา

ตอนนี้เขาดูออกแล้ว อันที่จริงมังกรโลหิตสามหัวตัวนี้วางมาดใหญ่โตเพื่อตบตาผู้คน มันโดนกระบี่และดาบเก้าเล่มบนกำแพงสะกดเอาไว้แล้ว

พลังที่มันสามารถใช้ได้ตอนนี้ คงมีแค่แสงสีฟ้าหนึ่งชั้นนี่แหละ

“อีกอย่าง นายเรียกตัวเองว่าคุณท่านเหรอ เหมือนนายไม่ใช่มนุษย์นะ เรียกว่างูกระจอกเหมาะกว่า!”

อู่คงหลิงหัวเราะขึ้นมา เธอยืนหลังลู่ฝานแล้วพูดเบาๆ ว่า “น้ำเย็นมอบพลังให้มัน ลู่ฝาน หาวิธีขจัดน้ำเย็น”

ลู่ฝานตาเป็นประกาย กลอกตาไปมาแล้วกวาดตามอง

เป็นไปตามคาด น้ำเย็นที่ไหลมาถึงกำแพงหายไปอย่างประหลาด

เหมือนโดนกำแพงกินเข้าไปอย่างไรอย่างนั้น

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 656
“เจ้าดำมาอมไอ้นี่ไว้ในปาก อย่ากลืนนะ!”

ลู่ฝานโยนจิตอัคคีให้เจ้าดำ

เจ้าดำงับมันเอาไว้ เกือบกลืนลงท้อง ยังดีที่ลู่ฝานเรียกไว้ทัน

อู่คงหลิงเห็นแล้วจะอ้วก

“ลู่ฝานนายทำแบบนี้กับอสูรวิเศษของตัวเองเหรอ”

ลู่ฝานหัวเราะคิกคัก แล้วพูดว่า “เจ้าดำไม่เลือกกิน”

เมื่อพูดเช่นนี้ ลู่ฝานกวักมือให้เจ้าดำ

“อสูรเข้าสิง!”

ลู่ฝานตะโกนออกมา เจ้าดำกลายเป็นแสงสีดำเข้าไปในตัวลู่ฝาน

ทันใดนั้น ลู่ฝานรู้สึกว่าตัวเองมีพลังเต็มเปี่ยม ขณะเดียวกันเปลวไฟสีขาวเคลื่อนไหวไปมา ปรากฏขึ้นบนตัวเขา เขาแทบจะไม่ได้ใช้พลังอะไรเลย

เปลวเพลิงนี้ละเอียดมาก เหมือนแสงนวลๆ หนึ่งชั้น

ลู่ฝานลองเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว น้ำเย็นหายไปทันที

ลู่ฝานพยักหน้า ได้ผลตามคาด!

เดี๋ยวนะ ทำไมฝ่าเท้าเย็นๆ ล่ะ อย่าบอกนะว่าระเหยไม่หมด ลู่ฝานรีบก้มมอง

อ๋อ รองเท้าขาดเป็นรูนี่เอง

ลู่ฝานหัวเราะเบาๆ แล้วเดินไปทั่วอย่างพอใจ

แค่น้ำเย็นทำร้ายพวกเขาไม่ได้ พวกเขาน่าจะออกไปได้อย่างราบรื่น

เมื่อคิดได้เช่นนี้ ลู่ฝานเตรียมเอากระบี่หนักไร้คมของตัวเองกลับมา

อู่คงหลิงเก็บแขนของโครงกระดูกที่อยู่ข้างๆ ยกยิ้มมุมปาก

ลู่ฝานเอาสิ่งนี้ลดอุณหภูมิให้เธอเหรอ เขาคิดได้นะ

อู่คงหลิงเตรียมจะโยนสิ่งนี้ออกไป แต่เมื่อคิดดูแล้ว ไม่โยนดีกว่า

อู่คงหลิงเดินกลับไปข้างโครงกระดูก ต่อแขนขวาให้เขาอีกครั้ง

“ผู้อาวุโส ขอโทษด้วย คืนแขนให้คุณแล้วนะคะ”

อู่คงหลิงพูดกับโครงกระดูกอย่างนอบน้อม เธอเป็นคนที่เคารพผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว

ลู่ฝานเห็นการกระทำของอู่คงหลิง ยิ้มบางๆ ออกมา

ผู้หญิงคนนี้คือผู้ฝึกวิชาชั่วร้ายจริงเหรอ

ลู่ฝานรู้สึกว่าโลกนี้ประหลาดจริงๆ ผู้ฝึกวิชาชั่วร้ายมีจิตใจเคารพถ่อมตนแบบนี้ด้วย คิดไม่ถึงจริงๆ

พวกเขาน่าจะเป็นคนเย่อหยิ่งอวดดี ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำไม่ใช่เหรอ

ดูเหมือนเขาต้องทำความรู้จักโลกใบนี้ใหม่แล้วล่ะ

ลู่ฝานละสายตาจากอู่คงหลิง ทันใดนั้น เขาเห็นมังกรโลหิตสามหัวบนกำแพง

เกิดอะไรขึ้น ทำไมมังกรโลหิตสามหัวตัวนั้นไม่เหมือนเดิม

ความรู้สึกอันตรายผุดขึ้นในใจลู่ฝาน

“อู่คงหลิงถอยหลัง รีบถอยหลัง!”

อู่คงหลิงได้ยินเสียงตะโกนของลู่ฝานก็อึ้งไป จากนั้นถอยหลังพลางพูดว่า “เกิดอะไรขึ้น”

อู่คงหลิงสีหน้าไม่เข้าใจ เธอไม่รู้ว่าลู่ฝานตะโกนทำไม

ขณะนั้นมังกรโลหิตสามหัวบนกำแพงลืมตาขึ้น

เห็นแสงสีฟ้าแวบขึ้นมา ตัวของอู่คงหลิงโดนดึงเข้าไป กระแทกกับกำแพงอย่างแรง

“อ๊าก!”

อู่คงหลิงส่งเสียงร้องออกมาอย่างเจ็บปวด

ลู่ฝานตั้งตัวได้อย่างรวดเร็ว กระแทกหมัดขวาออกไปทันที

หมัดถล่มเขาอู๋เซี่ยง!

เงาหมัดกระแทกลงบนกำแพงอย่างแรง ขณะเดียวกันลู่ฝานก็พุ่งไป มีสายฟ้ากับเปลวไฟทั้งตัว

แต่ต่อมาแสงสีฟ้าปรากฏขึ้น เหมือนงูเทพกระดิกหาง ฟาดลงบนตัวลู่ฝาน

พลังอันน่ากลัวมาพร้อมกับแสงเย็นยะเยือก ทำให้ลู่ฝานกลับไปอยู่ที่เดิม

ลู่ฝานกระแทกลงบนพื้นอย่างแรง เขารู้สึกคุ้นเคยกับพลังนี้มาก

ให้ตายเถอะ นี่มันพลังเย็นยะเยือกของน้ำเย็นไม่ใช่เหรอ

จะอาศัยสิ่งนี้แช่แข็งเขาเหรอ ไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก!

ตอนนี้บนตัวฉันมีจิตอัคคีอยู่!

ลู่ฝานพลิกตัวลุกขึ้นมา ขณะเดียวกันเงาสีฟ้าที่ล้อมรอบอู่คงหลิงเอาไว้ ส่งเสียงออกมา

เหมือนเหล็กร้อนประทับลงบนผิวหนัง มีควันสีขาวลอยขึ้นมา

ทันใดนั้นเงาสีฟ้าโยนอู่คงหลิงออกไป

ลู่ฝานเด้งตัวขึ้นมารับอู่คงหลิงเอาไว้ พลังอันแข็งแกร่งชนลู่ฝานจนสะเทือนไปทั้งตัว ทำให้พื้นดินเป็นหลุมลึกอีกครั้ง

“มนุษย์ที่น่ารังเกียจ มุนษย์ที่สมควรตาย”

ทันใดนั้น มังกรโลหิตสามหัวบนกำแพงมีชีวิตขึ้นมา

เลื้อยตัวไปมา หัวโผล่ออกมาจากกำแพง จ้องลู่ฝานกับอู่คงหลิงเขม็ง!

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 655
หลังผ่านไปหนึ่งวัน

พลั่ก!

ในที่สุดลู่ฝานก็แบ่งจิตอัคคีเป็นสองได้

สิ่งนี้แข็งกว่าหินเจ็ดสีที่นำมาใช้ทดสอบเสียอีก ลู่ฝานเชื่อว่าถ้าเป็นหินเจ็ดสี มือของเขาไม่มีทางบวมแดงแบบนี้ กว่าจะจัดการมันได้

“โอเค คนละครึ่ง เดี๋ยวฉันเอาไปลองก่อน เธออย่าขยับ!”

ลู่ฝานเอาจิตอัคคีครึ่งหนึ่งกำไว้ในมือ แล้วพูดกับอู่คงหลิง

ลู่ฝานสูดหายใจลึก ยืดเส้นยืดสายเล็กน้อย

แม้เขาจะผ่าจิตอัคคีอยู่ทั้งวัน แต่เพราะฤทธิ์ยาที่แผ่กระจายกับการเคลื่อนไหวปราณชี่ที่รวดเร็ว พลังของเขาฟื้นฟูได้เกือบสมบูรณ์แล้ว

ส่วนอู่คงหลิง เวลาหนึ่งวัน นอกจากขยับได้คล่องขึ้นเล็กน้อย ก็ยังไม่มีพลังต่อสู้สักนิด

นี่คือความแตกต่างของพลังฟื้นฟู ลู่ฝานเชื่อว่าถึงเป็นนักบู๊แดนปราณดิน ก็ไม่มีทางทำได้ดีกว่าเขา

ครั้งนี้ลู่ฝานรู้สึกว่าหลังจากปราณชี่โดนควบคุม มันมีแนวโน้มยกระดับขึ้น

ลู่ฝานเชื่อว่าขอแค่ฟื้นฟูพลังกลับมาได้ เขาต้องฮึดสู้จนพุ่งถึงแดนปราณนอกชั้นแปดด้

ขยับคอไปมา เกิดเสียงกระดูกลั่น

ลู่ฝานเด้งตัวจากแท่นหินขึ้นไป ฝ่าเท้าเหยียบลงในน้ำเย็น

ไอเย็นเข้ามาในเส้นลมปราณ เริ่มพุ่งขึ้นไปด้านบนอีกครั้ง

“ไม่มีปฏิกิริยาเหรอ”

ลู่ฝานตกใจเล็กน้อย รีบโยนจิตอัคคีลงบนพื้น

เมื่อจิตอัคคีตกลงบนพื้น น้ำเย็นพวกนี้จึงระเหยไปอย่างรวดเร็ว

ลู่ฝานรีบต้านทานไอเย็นที่พุ่งขึ้นมาเอาไว้ หันไปพูดกับอู่คงหลิงว่า “เหมือนจะมีปัญหานิดหน่อย!”

อู่คงหลิงพูดว่า “ต้องวางไว้บนพื้นถึงจะได้เหรอ งั้นเอาจิตอัคคีฝังไว้บนรองเท้าได้ไหม”

ลู่ฝานหัวเราะแล้วพูดว่า “เป็นความคิดที่ดี ฉันจะลองดู”

ลู่ฝานถอดรองเท้าออก นี่เป็นรองเท้าที่ซื้อในเมืองตงหวาเชียวนะ พื้นรองเท้าเป็นหนังเต่าหิน ด้านบนยังมีหนังของสัตว์อสูรจิ้งจอกไฟอีกสองชั้น เมื่อสวมใส่ทั้งสบายและอบอุ่น ลู่ฝานเสียไปหลายร้อยเหรียญทอง

ลู่ฝานใช้แรงทำให้รองเท้าเป็นรู แล้วเอาจิตอัคคีติดไว้

อืม ใส่แล้วรู้สึกไม่ค่อยสบายเท้า แต่ฝีมือของเขาก็ได้แค่นี้แหละ

เมื่อเดินหนึ่งก้าว น้ำเย็นแยกออกจากกันทันที

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่เลว แค่ทำให้ฉันเดินกะโผลกกะเผลก แต่ฉันคิดว่าฉันปรับตัวได้”

อู่คงหลิงมองบน เธอคิดไม่ถึงว่าลู่ฝานจะทำแบบนี้จริงๆ

อู่คงหลิงเอาจิตอัคคีครึ่งหนึ่งอมไว้ในปาก เปลวไฟสีขาวเคลื่อนไหวไปมา ทำให้ทั้งตัวของอู่คงหลิงเป็นสีขาว จากนั้นเธอก็เดินลงมาช้าๆ

สิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้นแล้ว ที่ที่อู่คงหลิงเดินไป น้ำเย็นหายไปเอง

แม้ระยะห่างไม่กี่เมตร แต่ทำให้เธอไม่ต้องสนใจน้ำเย็นน่ากลัวพวกนี้ได้

ลู่ฝานเห็นการกระทำของอู่คงหลิง เขาอ้าปากค้าง “ทำแบบนี้ได้ด้วยเหรอ”

อู่คงหลิงพ่นจิตอัคคีออกมา เปลวไฟสีขาวลุกโชนขึ้นบนจิตอัคคีอีกครั้ง

“นายไม่รู้เหรอ สมบัติที่มีพรสวรรค์แบบนี้ มีวิธีใช้หลายแบบมาก ฉันเคยเรียนกับผู้ฝึกชี่”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ เหมือนอู่คงหลิงคิดถึงเรื่องไม่ดีบางอย่างขึ้นมาได้ สีหน้าของเธอเปลี่ยนไป

ลู่ฝานรู้ว่าผู้ฝึกชี่ที่เธอพูดคือใคร ก็คนที่จะเปลี่ยนเธอให้เป็นคู่ฝึกยังไงล่ะ ดูเหมือนคนคนนั้นทำบาปมหันต์จนไม่น่ามีชีวิตอยู่ เขาสอนทักษะให้อู่คงหลิงด้วย

ลู่ฝานเป็นผู้ฝึกชี่แท้จริงยังไม่รู้เลย

ลู่ฝานสีหน้ากระอักกระอ่วน รีบดึงจิตอัคคีออกจากรองเท้า

มองจิตอัคคีที่มีกลิ่นเท้า ลู่ฝานคิดว่ารออีกสักพัก แล้วค่อยเอาเข้าปากดีกว่า อืม รอให้กลิ่นหายไปค่อยว่ากัน

หรือยังมีวิธีอื่นอีก

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 654
แม้ตอนนี้เขาไม่ได้ขัดแย้งกับอู่คงหลิงแล้วก็ตาม!

ฝึกทั้งชี่และบู๊เป็นความลับใหญ่ที่สุดของเขา แม้แต่พ่อแท้ๆ ของเขา เขายังไม่บอกเลย

ฝึกฝนเงียบๆ ปราณชี่ค่อยๆ กลับสู่การควบคุมของตัวเอง

ขาขวาที่โดนแช่แข็ง โดนปราณชี่ที่ไหลเวียนกำจัดออกไปแล้ว ลู่ฝานรู้สึกว่าถ้ากินยาอีกสองขวด เขาสามารถฟื้นฟูพลังต่อสู้เกือบครึ่งได้ภายในหนึ่งวัน

อู่คงหลิงก็ฟื้นฟูการเคลื่อนไหวกลับมาได้แล้ว เธอค่อยๆ ลุกขึ้น ขยับแขนขาเล็กน้อย

อู่คงหลิงพูดว่า “มีชีวิตอยู่ก็ไม่เลวแฮะ ลู่ฝาน นายไม่ได้แตะต้องฉันจริงๆ ใช่ไหม ทำไมฉันรู้สึกเหมือนโดนคนเปิดเสื้อออก”

สีหน้าจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม อู่คงหลิงจงใจดึงเสื้อตัวเอง

ลู่ฝานสีหน้ากระอักกระอ่วน กระแอมออกมาแล้วพูดว่า “นี่มันเรื่องไม่คาดฝัน รักษาอาการบาดเจ็บไง เธอก็เข้าใจนิ”

อู่คงหลิงยิ้มแล้วพูดว่า “ป้อนยาฉัน ต้องถอดเสื้อด้วยเหรอ”

ลู่ฝานพูดไม่ออก ส่วนอู่คงหลิงหัวเราะอย่างมีความสุข

“ลู่ฝาน คืนผ้าปิดหน้าให้ฉันได้ไหม”

อู่คงหลิงมองลู่ฝานด้วยสีหน้าน่าสงสาร

เธอเป็นปีศาจยั่วยวนคนอื่นจริงๆ ไม่ว่าผู้ชายคนไหนก็ปฏิเสธไม่ได้

ลู่ฝานกำลังครุ่นคิด อู่คงหลิงพูดว่า “ตอนนี้ฉันไม่มีความสามารถอะไรเลย เอาผ้าปิดหน้าคืนฉันเถอะ อย่างน้อยมันก็รักษาชีวิตฉันได้ ถึงตอนนั้นถ้าเกิดเรื่องไม่คาดฝัน นายก็ไม่ต้องกังวลอะไรมาก”

ลู่ฝานพูดว่า “ก็ได้ ฉันจะคืนให้เธอ”

ลู่ฝานพูดพลาง เอาผ้าปิดหน้าออกมาจากอก ตอนเอาผ้าปิดหน้าออกมา

ลู่ฝานสัมผัสอีกสิ่งหนึ่งได้

จิตอัคคี!

ตอนเขาสอบผู้ตรวจการชั้นล่าง เขาได้จิตอัคคีมา!

ลู่ฝานเอาจิตอัคคีออกมาด้วย เขาคืนผ้าปิดหน้าให้อู่คงหลิง

อู่คงหลิงใส่ไว้บนหน้าทันที ดูเธอตื่นเต้นเล็กน้อย

ลู่ฝานถือจิตอัคคี เริ่มครุ่นคิด

“นี่คืออะไร”

อู่คงหลิงถาม

ลู่ฝานหันมามองอู่คงหลิง หลังจากอู่คงหลิงใส่ผ้าปิดหน้า ลู่ฝานรู้สึกว่าอู่คงหลิงมีอะไรผิดปกติไป

ออร่าหรือสิ่งอื่น

เมื่อได้ยินอู่คงหลิงถาม

ลู่ฝานพูดว่า “จิตอัคคี ฉันได้มาตอนบุกไปที่เขาดาบทะเลเพลิง”

อู่คงหลิงตาเป็นประกาย

“ของดี ฉันได้ยินว่าแม้แต่ในบรรดาผู้ฝึกชี่ จิตอัคคีก็เป็นสิ่งที่มูลค่าสูงมาก แล้วหายากมาก”

ลู่ฝานพยักหน้า “ใช่ ฉันว่าเหมือนตอนนี้เราจะใช้งานมันได้”

ลู่ฝานเงยหน้ามองหินด้านบน รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้า

อู่คงหลิงรู้ความคิดของลู่ฝานทันที “นายจะพาจิตอัคคีฝ่าฟันกับน้ำเย็นนี่เหรอ”

ลู่ฝานพูดว่า “ลองดูได้ไม่ใช่เหรอ”

พูดพลาง ลู่ฝานมาตรงขอบแท่นหิน วางจิตอัคคีไว้บนพื้น

น้ำเย็นเคลื่อนตัวกลับไปทันที เหมือนหนูเจอแมว ล่าถอยไปไกลทันที

อู่คงหลิงหัวเราะออกมา “ของดี เหมือนมุกเลี่ยงน้ำ”

ลู่ฝานมองอย่าละเอียด บนพื้นเป็นรอยสีขาว พลังฟ้าดินก็เริ่มเปลี่ยนแปลง

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ใช่เลี่ยงน้ำ แต่มันระเหยน้ำเย็นรอบๆ จนหมด ระเหยไปเต็มๆ สามเมตร ผลไม่เลวแฮะ”

อู่คงหลิงพูดอย่างตกใจ “ระเหยเหรอ ต้องใช้พลังความร้อนสูงขนาดไหน ของสิ่งนี้ไม่ร้อนเลยนะ!”

ลู่ฝานเก็บจิตอัคคีขึ้นมาด้วยสีหน้าประหลาด

ไม่ร้อนเลยเหรอ

ตลก ตอนเขาเอาจิตอัคคีมาในตอนนั้น เปลวไฟพวกนั้นเกือบเผาเขาตาย

แค่ตอนนี้ของสิ่งนี้ไม่เผาไหม้เขาแล้ว เหมือนของล้ำค่าที่มีจิตวิญญาณยอมรับเจ้าของ

“ศึกษาดูให้ดีสักหน่อย ฉันจะดูว่าแบ่งมันเป็นสองได้ไหม เราแบ่งกันคนละครึ่ง ก็ออกไปได้แล้ว”

อู่คงหลิงขบริมฝีปาก “นายจะแบ่งให้ฉันครึ่งนึงเหรอ”

ลู่ฝานพูดว่า “ใช่ แบ่งให้เธอครึ่งนึง”

ในแววตาอู่คงหลิงมีประกายประหลาด เธอไม่พูดอะไรอีก

พลั่ก! พลั่ก!

ลู่ฝานใช้หมัดกระแทกจิตอัคคี ของสิ่งนี้แข็งจริงๆ แยกออกจากกันยาก

เขาเอากระบี่ไร้คมไปอุดไว้ที่หินด้านบน ตอนนี้ในมือไม่มีอาวุธเลย พึ่งได้แค่แรงของตัวเอง

ขณะนั้นสิ่งที่อู่คงหลิงกับลู่ฝานไม่ได้สังเกตคือ

กำแพงที่อยู่ไม่ไกล แช่อยู่ในน้ำเย็นแล้ว

เมื่อน้ำเย็นที่ใสสะอาด สัมผัสกับศพมังกรโลหิตสามหัวบนกำแพง ก็เปลี่ยนเป็นสีคราม จากนั้นค่อยๆ หายไปในกำแพง

เหมือนมีแสงสว่างค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนดวงตาของมังกรโลหิตสามหัว มันเป็นแสงเพียงเล็กน้อย ไม่มีใครสังเกตเห็น

แต่เหมือนเจ้าดำสัมผัสอะไรได้ มันหันมามองทางกำแพง แล้วคำรามออกมาเบาๆ

เหมือนสงสัยและไม่เข้าใจ!

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 653
ความเย็นบนตัวอู่คงหลิงเริ่มหายไป เห็นได้ด้วยตาเปล่าว่าไอสีฟ้าบนหน้าเธอหายไปอย่างรวดเร็ว

อู่คงหลิงค่อยๆ ลืมตาขึ้นอีกครั้ง

ดวงตาปรือบวกกับใบหน้างดงามไร้ที่ติ ช่างเย้ายวนจริงๆ

แต่ลู่ฝานไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านี้ เขาพรูลมหายใจออกมา

ความเลื่อนลอยในแววตาหายไป อู่คงหลิงเงยหน้ามองลู่ฝานที่เปลือยท่อนบน หัวเราะแล้วพูดว่า “สุดท้ายนายก็มีอะไรกับฉัน ลู่ฝาน ต่อไปฉันเป็นของนายแล้ว นายต้องปกป้องฉัน”

ลู่ฝานอึ้งไป จากนั้นหัวเราะแล้วพูดว่า “เธอเข้าใจผิดแล้ว ฉันไม่ได้ทำอะไรเธอเลย”

ลู่ฝานพูดพลาง ยกขวดยาเปล่าแกว่งไปมาหน้าอู่คงหลิง

อู่คงหลิงอึ้งไปอย่างเห็นได้ชัด จากนั้นสัมผัสสภาวะของตัวเอง

กินยาเข้าไปหนึ่งขวด เธอรู้สึกว่าสภาพร่างกายเธอฟื้นฟูขึ้นอย่างชัดเจน แขนก็ขยับได้เล็กน้อย

ลู่ฝานจัดการยาเม็ดข้างๆ เจ้าดำเงยหน้ามองกระบี่ไร้คมที่อยู่บนหินด้านบน เหมือนกำลังคิดว่ากระบี่หนักไร้คมขึ้นไปอยู่บนนั้นได้ยังไง

จู่ๆ เสียงเจดีย์เสวียนเก้ามังกรดังขึ้นในตัวลู่ฝาน

“โอ้ เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ นายฟื้นฟูกลับมาแล้ว ฤทธิ์ยามาได้ทันเวลาจริงๆ ฮ่าๆ ฉันรอดได้อีกแล้ว”

ลู่ฝานอารมณ์ดี พูดในใจว่า “ไอ้เก้า ยินดีต้อนรับกลับมา ฉันคิดถึงแกจริงๆ”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดอย่างอึ้งๆ “เมื่อกี้เจ้านายพูดอะไร”

ลู่ฝานพูดว่า “ยินดีต้อนรับกลับมา คิดถึงแกเป็นพิเศษ ทำไม ฉันพูดคำพูดพวกนี้ไม่ได้เหรอ”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดว่า “เปล่า แค่คำพูดพวกนี้ เจ้านายสองสามคนก่อนหน้านี้ ไม่เคยพูดกับฉันเลย เพราะอะไรเจ้านายถึงพูดแบบนี้ล่ะ”

ลู่ฝานพูดอย่างสงสัย “เพราะอะไรเหรอ ไม่ได้เพราะอะไรนิ”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรจมอยู่ในความคิด จู่ๆ มันก็เงียบไป

ลู่ฝานขี้เกียจสนใจไอ้เจ้าแปลกประหลาดตัวนี้ เริ่มเลือกยาเม็ดช่วยฟื้นฟูปราณชี่ตัวเอง

อันนี้ไม่ได้ อันนี้ก็ไม่ได้

ลู่ฝานขมวดคิ้ว ยาเม็ดในมือเขา ไม่มีชนิดไหนที่สามารถขจัดไอเย็นในตัวเขาได้เลย

แต่เขารู้สูตรการกลั่นยาที่ขจัดผนึกน้ำแข็งได้

กลั่นออกมาดีไหมนะ

ในเวลาเดียวกัน อีกด้านหนึ่ง

เมืองหลวงประเทศอู่อาน

ตาเฒ่าหลู่กับตาเฒ่าจงจ้องม่านน้ำสรวงสวรรค์ตรงหน้าอยู่นานแล้ว

แต่ภาพในม่านน้ำสรวงสวรรค์ มีเพียงแค่หลุมขนาดใหญ่ และกุยวัวที่โดนแช่แข็งอยู่ในหลุม

“นี่มันเรื่องอะไรกัน นายบอกมาสิว่านี่มันเรื่องอะไร!”

ตาเฒ่าจงโมโหจนหนวดสะบัด เบิกตาโต

เป็นผู้เฝ้าสังเกตมาหลายสิบปี นี่เป็นครั้งแรกที่เกิดเหตุการณ์ผู้สอบหายตัวไป

พวกเขาไม่เห็นว่าตอนนี้ลู่ฝานกับอู่คงหลิงอยู่ที่ไหน เจอเรื่องอะไรบ้าง

ถึงขนาดที่ไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นหรือตาย

“ควรสิ้นสุดการสอบเลยไหม”

ตาเฒ่าหลู่ก็สีหน้าไม่สู้ดี ว่ากันตามเหตุผล มันไม่ควรเป็นแบบนี้

บนเกาะผนึกวิญญาณมีค่ายกลเต็มไปหมด ไม่มีทางตันแน่นอน ถึงหลบไปใต้ดินก็ไม่ได้ผล

ยิ่งไปกว่านั้นบนตัวพวกลู่ฝาน มีรอยประทับค่ายกล ก่อนที่พวกเขาจะเข้ามาในเกาะ

มีรอยประทับนี้อยู่ อย่างน้อยก็พอเห็นร่องรอยของพวกเขาบ้าง

แต่ตอนนี้มันหายไปจนหมด

เหมือนโดนยอดฝีมือลบออกไปในพริบตา หายไปอย่างสมบูรณ์แบบ

ทุกสิ่งสูญเสียการควบคุม ถ้าเบื้องบนรู้เหตุการณ์แบบนี้

กลัวว่าพวกเขาสองคน รวมไปถึงคนที่ทำงานในส่วนเฝ้าสังเกตการณ์ คงโดนไล่ออกจนหมด

ตาเฒ่าจงพูดว่า “รอสักสองสามวัน ในเมื่อเวลาสอบคือห้าวัน งั้นเรารอห้าวันเต็ม ถ้าหลังจากห้าวันยังไม่เจอพวกเขา เราค่อยไปดูเอง”

ตาเฒ่าหลู่ถอนหายใจ “คงทำได้แค่นี้ หวังว่าเด็กพวกนี้อย่าเป็นอะไรเลย ยังมีโอกาสสอบ รีบไสหัวออกมาให้ฉันเห็นหน้าพวกนายเถอะ แค่พวกนายออกมา เมื่อมาถึงเมืองหลวง ฉันจะให้ป้ายคำสั่งกับพวกนายด้วยมือตัวเองเลย”

ตาเฒ่าหลู่พูดพึมพำ ตาจ้องเขม็งไปที่หลุมลึกหลุมนั้น

ส่วนกุยวัวที่โดนน้ำแข็งผนึกอยู่ ตอนนี้พวกเขาอยากให้กุยวัวตายๆ ไปซะ

ไอ้วัวโง่ตัวนี้สร้างความวุ่นวายให้พวกเขา!

ลู่ฝานกับอู่คงหลิงกำลังฟื้นฟูพลังอย่างเงียบๆ อยู่ใต้หลุม

คิดอยู่นาน ลู่ฝานไม่ได้เข้าไปกลั่นยาในจวนอากาศธาตุ

หนึ่งคือตอนนี้ปราณชี่ของเขายังไม่พอ ส่วนอีกเรื่องคือเขาไม่อยากเปิดเผยความจริง ที่เขาเป็นผู้ฝึกชี่ต่อหน้าอู่คงหลิง

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 652
ลู่ฝานพูดว่า “ฉันไม่ให้เธอตายที่นี่หรอก ไม่มีทาง”

อู่คงหลิงพูดว่า “แล้วแต่นาย เป็นการเลือกและการตัดสินใจของนาย ลู่ฝาน ฉันเหนื่อยมาก ให้ฉันนอนสักแป๊บ”

พูดจบ อู่คงหลิงหลับตาลง

จู่ๆ มีน้ำตาไหลออกมาจากหางตา หยดลงบนมือลู่ฝาน

ลู่ฝานรู้สึกถึงความเปียกชื้น

ขณะนั้นมือของลู่ฝานเริ่มสั่น เมื่อเห็นใบหน้าของอู่คงหลิงที่ค่อยๆ แข็ง ลู่ฝานรู้สึกว่าหัวใจของตัวเองบีบรัด

เขากำหมัดแน่น ก่อนหน้านี้ลู่ฝานไม่คิดว่าตัวเองจะสนใจความเป็นตายของอู่คงหลิงขนาดนี้

อย่าบอกนะว่าต้องชิงความบริสุทธิ์ของเธอมาจริงๆ

“ทุเรศ สมควรตาย เลวทราม!”

ลู่ฝานสบถออกมา เขย่าตัวอู่คงหลิงอย่างแรงอยู่หลายครั้ง แต่อู่คงหลิงยังหลับอยู่อย่างนั้น ไม่มีท่าทีจะตื่นขึ้นมาเลย

ลู่ฝานกัดฟัน เขารู้สึกว่าตัวเองทำอะไรไม่ได้เลย

เขามีพละกำลังอันแข็งแกร่ง แต่ไม่สามารถใช้สิ่งนี้ช่วยคนได้

ถ้ารู้แต่แรก เขาน่าจะเอายาใส่ไว้ในเสื้อผ้า ไม่น่าเอาทั้งหมดใส่ไว้ในเข็มขัดกับแหวนเลย

“เลวทราม ลู่ฝาน นายมันเลวทราม!”

ลู่ฝานก่นด่าตัวเอง หลังจากนั้นเริ่มถอดเสื้อผ้า

ช่วยคนสำคัญที่สุด ช่วยคนให้ได้แล้วค่อยว่ากัน!

ให้ตายเถอะ ทุ่มสุดตัวแล้ว!

“ขอโทษนะหลิงเหยา ขอโทษนะอู่คงหลิง!”

ลู่ฝานถอดเสื้อผ้าท่อนบน มาตรงหน้าอู่คงหลิง

สมบูรณ์แบบ!

ลู่ฝานทำได้เพียงบรรยายออกมาด้วยคำนี้

ลู่ฝานสูดหายใจลึก เขารู้สึกว่าเลือดในตัวเร่าร้อนพลุ่งพล่าน แต่ปราณชี่ที่โดนแช่แข็งเหมือนจะเคลื่อนไหวได้เล็กน้อย

“ฉันกำลังช่วยคน ช่วยคน!”

ลู่ฝานพูดพึมพำ ยื่นมือออกมาเตรียมจะถอดท่อนล่าง

จู่ๆ เขาเห็นหยกแขวนตรงเอวของตัวเอง

หยกแขวนใสสว่าง ขยับอยู่ตรงหน้าเขา

“หยกแขวนจิตบู๊!”

ลู่ฝานตาเป็นประกาย ทำไมเขาถึงลืมสิ่งนี้ไป หยกแขวนจิตบู๊ ชีวิตที่สองของนักบู๊ ลู่ฝานรีบจัดเสื้อผ้าของอู่คงหลิงให้เรียบร้อย จากนั้นดึงหยกแขวนจิตบู๊ลงมาด้วยความตื่นเต้น

ไม่ต้องใส่ปราณชี่ใดๆ ลู่ฝานก็สัมผัสถึงวิถีบู๊ ความคิดอันลึกซึ้งที่คุ้นเคยกับพลังบริสุทธิ์ในหยกแขวนจิตบู๊

นี่คือพลังที่เหลือจากตอนที่ลู่ฝานฝึกฝนตามปกติ โดยทั่วไปลู่ฝานไม่สนใจพลังเล็กน้อยพวกนี้เลย แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นของช่วยชีวิตอย่างแท้จริง เขาถือหยกแขวนจิตบู๊ไว้ในมือ เหมือนแขนขากับตัวยืดออกไป

จิตใจวูบไหวเล็กน้อย พลังข้างในรวมตัวในมือเขาโดยอัตโนมัติ

ยื่นมือออกมาสัมผัสบนเข็มขัด ลู่ฝานรู้สึกถึงทุกสิ่งทุกอย่างในเข็มขัดทันที

ยาเม็ด! ยาเม็ด!

ลู่ฝานเอายาเม็ดออกมาเป็นกองอย่างไม่ลังเล

เจ้าดำโดนเขาปล่อยออกมาด้วย เหมือนอี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์ยังหลับอยู่ จึงไม่ได้สนใจชั่วคราว

เปิดปากของอู่คงหลิง ลู่ฝานกรอกยาเม็ดเข้าไปขวดหนึ่ง

ขณะเดียวกัน ก็กรอกยาใส่ปากตัวเองด้วยหนึ่งขวด

ตอนนี้เขากินยา ต้องนับเป็นขวด กินเป็นเม็ดไม่ใช่สไตล์ของเขา

ฤทธิ์ยาหลายเป็นสายน้ำอยู่ในตัว ไหลไปทั่วร่างกาย

ลู่ฝานรู้สึกว่าปราณชี่ของตัวเองที่โดนแช่แข็ง เคลื่อนไหวได้แล้ว เริ่มเคลื่อนไหวในรูปแบบที่ช้ามาก

เคลื่อนไหวได้ก็พอแล้ว แค่เคลื่อนไหวได้ ปราณชี่ของเขากลับสู่การควบคุมอย่างรวดเร็ว

“ตื่น อู่คงหลิง ตื่น!”

ลู่ฝานตบแก้มอู่คงหลิง เขามั่นใจกับยาที่ตัวเองกลั่นมาก

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 651
“ผู้ฝึกวิชาชั่วร้าย!”

ลู่ฝานพูดออกมา

อู่คงหลิงพยักหน้าเบาๆ “ใช่ เขาเป็นผู้ฝึกวิชาชั่วร้าย คนที่สำนักมารมอบผู้อาวุโสและยาให้ เขาทำลายทุกสิ่งทุกอย่างของฉัน พาฉันเข้าสู่สำนักมาร แต่เขาคงคิดไม่ถึงว่าวันหนึ่งเขาจะตายคามือฉัน”

ลู่ฝานพูดว่า “เขาตายแล้วเหรอ”

อู่คงหลิงพูดว่า “ใช่ เขาตายแล้ว ฉันฆ่าเขาด้วยมือตัวเอง ตัดหัวเขามาวางไว้หน้าหลุมศพของคนในครอบครัวฉัน”

“เธอทำได้ยังไง”

ลู่ฝานถามขึ้น

อู่คงหลิงพูดว่า “ง่ายมาก เขาโลภในความงามของฉัน ส่วนฉันก็แอบยั่วยวนคนที่แข็งแกร่งกว่าเขา ได้รับพลังที่เขาคิดไม่ถึง จากนั้นฆ่าเขาก่อนที่เขาจะลงมือกับฉัน”

เมื่อลู่ฝานได้ยินก็เข้าใจ เขาไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี

อู่คงหลิงพูดว่า “นายคิดว่าฉันทำถูกไหม”

ลู่ฝานคิดอยู่นาน แล้วพูดว่า “ถูก ถ้าเป็นฉัน ฉันก็ทำแบบนี้”

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าอู่คงหลิง ไอรีนโนเวล

“นายซื่อสัตย์มาก ดูเหมือนความแตกต่างระหว่างฉันกับนาย คงแค่เรื่องชะตากรรมเท่านั้น”

ลู่ฝานไม่ได้พูดอะไร มองเธอเงียบๆ ไอเย็นเข้าใกล้แก้มอู่คงหลิงเรื่อยๆ เธอเหลือเวลาไม่มากแล้ว

อู่คงหลิงยิ้มแล้วพูดว่า “ลู่ฝาน ถ้าฉันตายไป นายก็กินฉันสิ นายจะได้มีชีวิตอยู่ต่อไปได้”

ลู่ฝานพูดว่า “เธอกำลังพูดตลกเหรอ ฉันไม่กินเธอหรอก ฉันขอแค่เวลา 1-2 วันก็ฟื้นฟูได้แล้ว เชื่อฉัน เธอก็ต้องอดทนไว้”

อู่คงหลิงพูดว่า “ถ้าฉันอดทนไม่ไหวล่ะ ถ้านายฟื้นฟูไม่ได้ล่ะ นายจะกินฉันไหม”

ลู่ฝานพูดว่า “ไม่ เพราะถ้าเธอตายฉันจะเสียใจ”

เพียงประโยคเดียว ทำให้แววตาของอู่คงหลิงเลือนราง

ลู่ฝานพูดตามความรู้สึกจริงๆ ตอนนี้เขาไม่สามารถมองอู่คงหลิงเป็นผู้ฝึกวิชาชั่วร้ายที่ร้ายกาจได้อีกแล้ว อันที่จริงผู้หญิงคนนี้น่าสงสารมาก

อู่คงหลิงพูดว่า “ไม่มีใครเสียใจเพราะฉันมานานแล้ว”

ลู่ฝานหัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “เพราะเธอไม่ได้สนใจพวกคุณชายที่มาจีบเธอไง เชื่อฉันสิ แค่เธอพูดเพียงประโยคเดียว พวกเขาต้องร้องไห้จะเป็นจะตายแน่นอน”

อู่คงหลิงไม่ได้หัวเราะ เธอมองลู่ฝานอย่างราบเรียบ

ผ่านไปนาน อู่คงหลิงพูดว่า “อันที่จริงยังมีอีกวิธี ที่จะทำให้นายฟื้นฟูพลังได้อย่างรวดเร็ว”

ลู่ฝานพูดอย่างตกใจว่า “เหรอ งั้นเธอรีบบอกมา ฉันขอแค่ฟื้นฟูพลังได้เล็กน้อย เราก็จะออกไปได้!”

อู่คงหลิงกัดริมฝีปาก มองลู่ฝานแล้วพูดเบาๆ “มีอะไรกับฉันสิ!”

เสียงพูดพึมพำเบาๆ คำพูดงดงาม

ลู่ฝานใจเต้นอย่างรุนแรง มองอู่คงหลิงอย่างตกตะลึง

“เธอกำลังล้อเล่นเหรอ”

อู่คงหลิงฝืนยิ้มออกมา “นายคิดว่าฉันเหมือนกำลังล้อเล่นไหม ลู่ฝาน นายบอกว่าต้องการฟื้นฟูพลังเพียงเล็กน้อย ก็จะพาฉันออกไปได้ใช่ไหม งั้นนายก็มีอะไรกับฉันสิ เดิมทีฉันก็เป็นคู่ฝึกฝนอยู่แล้ว ถ้านายมีอะไรกับฉัน เอาพลังของฉันไป เราจะได้ออกไป นี่เป็นเพียงวิธีเดียวเท่านั้น!”

ลู่ฝานส่ายหน้า “ไม่ ฉันไม่มีทางทำแบบนั้น”

อู่คงหลิงพูดอย่างอ่อนเพลีย “ฉันจะทนไม่ไหวแล้ว ลู่ฝาน นายจะมีอะไรกับฉันแล้วพาฉันออกไป หรือจะทิ้งฉันไว้ที่นี่ ให้ฉันหลับไป สำหรับฉันก็ไม่มีอะไรต่างกัน อยู่ต่อไปแบบไร้พลัง หรือตายในอ้อมกอดนาย เป็นสิ่งที่ตัดสินใจเลือกยากมาก!”

เปลือกตาอู่คงหลิงค่อยๆ ปิดลง

มือทั้งสองข้างของลู่ฝาน ลูบลงบนใบหน้าร้อนผ่าวของอู่คงหลิง

ตอนนี้ลู่ฝานรู้สึกว่าความร้อนบนตัวอู่คงหลิงหายไปอย่างรวดเร็ว เหมือนพลังชีวิตของเธอกำลังจะหายไปด้วย

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 650
น้ำแข็งนี่แข็งจนน่าแปลก!

ลู่ฝานหอบหายใจ วางมือลงแล้วนอนลงบนพื้น “ครั้งนี้ลำบากจริงๆ”

อู่คงหลิงที่มีมือของโครงกระดูกอยู่บนหัวพูดว่า “ยินดีด้วย นายมีชีวิตรอดได้อีกสักพัก”

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ใช่สักพักหรอก แต่อีกนานเลยล่ะ วางใจเถอะ เราไม่มีทางตายที่นี่”

อู่คงหลิงพูดเบาๆ ว่า “นายยังไม่บอกฉันเลย ทำไมนายถึงช่วยฉัน ฉันเป็นผู้ฝึกวิชาชั่วร้าย แต่นายไม่ใช่”

ลู่ฝานหัวเราะแล้วพูดว่า “ตอนนี้เธอยังสนใจเรื่องนี้อีกเหรอ ความคิดฉันตอนนี้ มีเพียงแค่คนสองคนที่จะโดนขังตาย เรื่องเป็นผู้ฝึกวิชาชั่วร้ายหรือไม่ ค่อยว่ากันหลังออกไปเถอะ”

อู่คงหลิงพูดว่า “นายนี่ไม่ยอมแพ้จริงๆ เลยนะ น่าเสียดาย ฉันกลัวว่าคงไม่รอดแล้วน่ะสิ ฉันรู้สึกว่าร่างกายโดนน้ำแข็งกัดอีกแล้ว ฉันสูญเสียการควบคุมพลังตัวเองแล้ว”

ลู่ฝานพูดอย่างตกใจว่า “อะไรนะ เธอต้านทานพลังนี้ได้ไม่ใช่เหรอ”

อู่คงหลิงพูดว่า “นั่นมันเมื่อกี้ แต่ตอนนี้ฉันรู้สึกว่าแค่จะพูดยังไม่มีแรงเลย ลู่ฝาน นายเข้ามาใกล้ฉันหน่อยได้ไหม ฉันรู้สึกหนาวนิดหน่อย”

ลู่ฝานรีบขยับไปข้างหน้า ยื่นมือไปลูบหัวอู่คงหลิง ร้อนขึ้นอีกแล้ว แต่เธอพูดว่าหนาว!

“เข้ามาอีกนิด!”

หน้าของอู่คงหลิงเริ่มสั่นเล็กน้อย ลู่ฝานเห็นสีฟ้าค่อยๆ ไหลตามเส้นลมปราณของเธอขึ้นไปด้านบน

ลู่ฝานกัดฟัน ตัดสินใจกอดอู่คงหลิงเอาไว้

อู่คงหลิงพูดว่า “นายพูดอะไรกับฉันหน่อยสิ”

ลู่ฝานพูดว่า “เธอจะให้ฉันพูดอะไร”

อู่คงหลิงพูดว่า “เล่าเรื่องที่ผ่านมาของนายสิ”

ลู่ฝานพูดว่า “เรื่องที่ผ่านมาของฉันเหรอ ธรรมดามาก ฝึกบู๊ กินข้าว แล้วก็ฝึกบู๊”

“น่าเบื่อ ในเมื่อนายไม่ยอมเล่า งั้นฉันเล่าเอง นายรู้ไหมว่าฉันไม่อยากเป็นผู้ฝึกวิชาชั่วร้ายสักนิด”

เสียงของอู่คงหลิงเบาลงอีกแล้ว ตอนนี้เหมือนเสียงแหบพร่า

“อันที่จริง ฉันเป็นลูกสาวของผู้เฝ้าเมืองปั้นเจี่ยว ตอนเด็กฉันร่าเริงและมีความสุข ฉันมีพ่อที่มีเมตตา มีแม่ที่อ่อนโยน ทุกวันฉันใช้ชีวิตอย่างไร้ความกังวล ช่วงก่อนอายุสิบสี่ปี ฉันไม่เคยฝึกบู๊เลย”

ลู่ฝานพูดเบาๆ ว่า “ไม่เคยฝึกบู๊เหรอ งั้นเธอคงใช้ชีวิตอย่างมีความสุขจริงๆ”

อู่คงหลิงพูดต่อ “แน่นอน ตั้งแต่เด็กฉันรู้ว่าฝึกบู๊เหนื่อยมาก ฉันไม่ชอบฝึกบู๊ ฉันแค่อยากเป็นอิสระ แต่วันที่ฉันอายุสิบสี่ปี มีคนคนหนึ่งมาที่ตระกูลฉัน เขาเป็นผู้ฝึกชี่ที่แข็งแกร่ง เขาบอกว่าฉันมีพรสวรรค์ของการฝึกชี่ จะพาฉันไปด้วย”

พูดถึงตรงนี้ เห็นได้ชัดว่าอู่คงหลิงดูสะเทือนใจ

“แต่พ่อแม่ฉันไม่ได้ตอบตกลง พวกเขาคิดว่าฉันอยู่อย่างมีความสุขก็พอแล้ว ฝึกชี่อะไรและฝึกบู๊อะไรนั่นไม่น่าจะเกี่ยวกับฉัน พวกเขาต้อนรับผู้ฝึกชี่คนนี้อย่างเป็นกันเอง แต่ใครจะไปรู้ ไอ้ปีศาจชั่วร้ายคนนี้ ฆ่าคนในครอบครัวของฉันจนหมดภายในคืนเดียว”

มือของอู่คงหลิงกำเสื้อลู่ฝานแน่น

ลู่ฝานมองอู่คงหลิงอย่างตกใจ เธอขยับได้แล้วเหรอ

อู่คงหลิงไม่ได้สังเกตเห็นสิ่งเล็กน้อยนี้ เธอพูดต่อ “ฉันไม่มีทางลืมที่เขาฆ่าคนเสร็จแล้วมาตรงหน้าฉัน พูดกับฉันด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยเลือด เธอสวยมาก ฉันต้องการเธอ เธอจะเป็นคู่ฝึกที่ทำให้ฉันก้าวสู่จุดสูงสุด”

คู่ฝึกงั้นเหรอ

เมื่อลู่ฝานได้ยิน ใจเขาสั่นอย่างรุนแรง

คู่ฝึกที่ว่าคือการเอาคนเป็นยาสมุนไพร กลั่นเป็นยา หรือถ้าน่าเวทนากว่านั้น จะโดนเลี้ยงเหมือนหมูเหมือนหมา จากนั้นวันหนึ่งจะเสียตัว โดนดูดพลังแล้วฆ่าให้ตาย

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 649
โครงกระดูกเย็นเฉียบช่วยลดอุณหภูมิให้อู่คงหลิง

อู่คงหลิงขมวดคิ้วพูดว่า “หนักมาก!”

ลู่ฝานพูดว่า “เก็บแรงไว้ อย่าพูด เธออดทนไว้ แค่ฉันฟื้นฟูพลังได้นิดหน่อย เราจะมีทางรอด”

อู่คงหลิงพูดว่า “งั้นนายต้องฟื้นฟูพลังนานแค่ไหน”

ลู่ฝานตรวจสอบสภาวะของร่างกายตัวเองอย่างละเอียด “หนึ่งวัน ให้เวลาฉันอีกหนึ่งวัน”

ขณะกำลังพูด เกิดเสียงกร๊อบ จู่ๆ น้ำเย็นไหลลงมาจากไม่ไกล

หินด้านบนเป็นรูขนาดใหญ่ เศษหินไหลลงมากับน้ำเย็น

“ให้ตายเถอะ!”

เคราะห์ซ้ำกรรมซัด เรื่องดีๆ มักจะไม่ค่อยเกิดขึ้นพร้อมกัน ส่วนเรื่องไม่ดีมักจะเกิดขึ้นพร้อมกันเสมอ

ลู่ฝานอุ้มอู่คงหลิงขึ้นมา จากนั้นรีบเอาหินรอบๆ กองขึ้นมา

เศษหินถูกลู่ฝานกองเป็นแท่นหิน ลู่ฝานเด้งตัวขึ้นไป น้ำเย็นที่ทะลักเข้ามาท่วมจุดที่พวกเขาอยู่เมื่อครู่

อู่คงหลิงเห็นน้ำไหลลงมาไม่หยุดเช่นกัน จู่ๆ เธอหัวเราะแล้วพูดว่า “ดูเหมือนเราต้องตายที่นี่แน่นอน เวลาหนึ่งวัน กลัวว่าจะผ่านไปไม่ได้แล้วสิ”

ลู่ฝานมองรูใหญ่ที่หินด้านบน เขาแอบกัดฟันเบาๆ

อย่างที่อู่คงหลิงพูด ถ้าปล่อยให้น้ำเย็นไหลลงมาเรื่อยๆ แบบนี้ ไม่นานที่นี่ต้องท่วมแน่นอน

“อุดไว้ได้ไหม”

ลู่ฝานถามตัวเองในใจ

นี่เป็นทางเลือกที่อันตรายมาก ถ้าเขาโดนน้ำเย็น ซึ่งก็คือโลหิตเย็นสาดใส่ จากสภาวะของเขาในตอนนี้ มีแต่โอกาสแข็งตายเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

เลือกตายอย่างช้าๆ หรือตายทันที

ลู่ฝานหัวเราะเบาๆ

ลู่ฝานค่อยๆ วางอู่คงหลิงลง แล้วพูดว่า “เธอรอฉันที่นี่แป๊บนึง”

เหมือนอู่คงหลิงมองจุดประสงค์ของลู่ฝานออก เธอพูดเบาๆ ว่า “อย่าไปตาย ฉันหวังว่านายจะรอความตายอยู่ที่นี่กับฉัน”

ลู่ฝานส่ายหน้า “ขอโทษด้วย รอความตายไม่ใช่นิสัยฉัน”

เมื่อพูดเช่นนี้ ลู่ฝานเอากระบี่หนักไร้คมออกมา

ของที่เขาสามารถหามาอุดรูรั่วที่เหมาะสมมากที่สุดในตอนนี้ ก็คือกระบี่ยักษ์เหมือนบานประตูเล่มนี้

ลู่ฝานสูดหายใจลึก จ้องรูรั่วอยู่อย่างนั้น เขามีโอกาสเพียงครั้งเดียว ต้องทำให้สำเร็จ

ลู่ฝานเด้งตัวขึ้น อาศัยเพียงพลังของร่างกาย ก็สามารถทำเรื่องที่นักบู๊แดนปราณในทำได้

ลู่ฝานยกกระบี่ขึ้น เขาเอากระบี่หนักไร้คมปักลงบนหินด้านบน จากนั้นใช้แรงวางลง ตัวกระบี่หนักไร้คมขวางรูรั่วเอาไว้ น้ำเย็นไหลลงข้างตัวลู่ฝาน มีน้ำเย็นสองสามหยดไหลลงบนไหล่ลู่ฝาน

ทันใดนั้นลู่ฝานรู้สึกเหมือนถ้ำน้ำแข็งทั้งตัว

ลู่ฝานกัดฟัน พลิกตัวเตะลงบนตัวกระบี่ กระบี่หนักไร้คมจมลงไปในหินด้านบน อุดน้ำเย็นทั้งหมดเอาไว้

การกระทำเป็นฉากๆ ถ้าคนอื่นเห็นคงทึ่งไปเลย ถึงเป็นนักบู๊ที่มีปราณชี่ ก็ไม่แน่ว่าจะทำได้

พลิกตัวลงมาบนพื้น เท้าลู่ฝานจมอยู่ในน้ำเย็น

แต่ต่อมาตัวของลู่ฝานพุ่งกลับมาเหมือนลูกธนูออกจากคันธนู

พลั่ก!

ลู่ฝานล้มลงบนแผ่นหิน ยังดีที่ไม่กระแทกโดนตัวอู่คงหลิง

ลู่ฝานก้มลงมอง เห็นเท้าตัวเองเริ่มมีเกล็ดน้ำแข็ง ก้อนน้ำแข็งใสเหมือนคริสตัลแช่แข็งเท้าและน่องของเขา อีกทั้งยังมีแนวโน้มจะลามขึ้นมาด้านบนด้วย

ลู่ฝานสูดหายใจ ซัดหมัดกระแทกน้ำแข็งพวกนี้จนแตกกระตาย

แต่พลังเย็นยะเยือกในเส้นลมปราณยังไม่หยุด รวมตัวเป็นน้ำแข็งต่อไป

กระแทกจนแตกไปหลายสิบครั้ง ในที่สุดน้ำแข็งก็หยุดลง ขณะเดียวกันลู่ฝานรู้สึกว่าขาขวาของตัวเองไม่สามารถขยับได้แล้ว

ฝ่ามือก็กระแทกจนเลือดออก!

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 648
ลู่ฝานรีบเดินมาข้างหน้า กอดอู่คงหลิงเอาไว้

ลู่ฝานวางมือไว้บนหัวอู่คงหลิง เขารู้สึกว่าหัวของอู่คงหลิงร้อนจนน่าตกใจ

เธอป่วย!

คิดไม่ถึงว่านักบู๊แดนปราณนอกจะป่วยได้ด้วย

โดยทั่วไปแล้ว ตั้งแต่แดนฝึกร่าง ร่างกายและอวัยวะภายในของนักบู๊ จะแข็งแกร่งขึ้น

อย่างเช่นตัวเขา ตอนเด็กป่วยต่างๆ นานา เมื่อมีทักษะแดนฝึกร่าง อาการป่วยของร่างกายก็ไม่มีแล้ว

ยิ่งฝึกไปเรื่อยๆ เรื่องอาการป่วยสำหรับนักบู๊ เป็นสิ่งที่น้อยลงเรื่อยๆ

มีเพียงบาดแผลจากผู้แข็งแกร่งถึงจะทำให้ป่วยเรื้อรังได้ อาการป่วยธรรมดาๆ ที่รบกวนคนทั่วไป นักบู๊ไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไร

ลู่ฝานไม่ได้เจอคนป่วยเป็นไข้มานานแล้ว

ตอนนี้ร่างกายของอู่คงหลิงอ่อนแอถึงขั้นไหนกัน ถึงเป็นไข้หนักแบบนี้

ลู่ฝานวางมือลงบนเข็มขัดทันที

ตอนนี้แค่ยาเม็ดเดียว ก็สามารถช่วยชีวิตอู่คงหลิงได้

แต่มือของเขาเอาอะไรออกมาไม่ได้เลย เพราะตอนนี้เขายังไม่สามารถฟื้นฟูปราณชี่ได้แม้แต่น้อย

สิ่งสำคัญที่สุดคือ ไอ้เก้าที่สมควรตาย มันหลับไปแล้ว

จู่ๆ ลู่ฝานทำอะไรไม่ถูก ถึงเขาเป็นผู้ฝึกชี่ที่แท้จริง แต่ในสถานการณ์ที่ไม่มีพลัง ไม่มียา ก็ไม่สามารถช่วยอู่คงหลิงได้

อู่คงหลิงมองลู่ฝานอย่างอ่อนแอ แล้วพูดว่า “ฉันเป็นอะไรไป”

ลู่ฝานพูดว่า “เธอป่วย” ไอลีนโนเวล

ดวงตาของอู่คงหลิงสะลึมสะลือ “ป่วยเหรอ ฉันเป็นนักบู๊ ป่วยได้ยังไง นายตรวจให้ละเอียดสิ ฉันน่าจะโดนพิษ”

ตอนนี้ลู่ฝานมีพลังตรวจสอบที่ไหนกันล่ะ เขาลูบหัวอู่คงหลิงอีกครั้ง รู้สึกร้อนกว่าเมื่อกี้

ลู่ฝานมองไปรอบๆ ดูว่ามีของลดอุณหภูมิให้อู่คงหลิงได้ไหม

เขาคิดว่าปล่อยให้อู่คงหลิงไข้ขึ้นแบบนี้ต่อไป ไม่ใช่เรื่องดี เห็นอู่คงหลิงเหมือนกำลังจะหลับ ลู่ฝานตะโกนว่า “ตื่น ตอนนี้เธอหลับไม่ได้”

อู่คงหลิงมองลู่ฝาน แล้วพูดว่า “นายร้อนใจเหรอ นายกำลังเครียดเหรอ”

ลู่ฝานพูดว่า “ใช่ เธอตายที่นี่ไม่ได้”

อู่คงหลิงพูดอย่างไร้เรี่ยวแรง “ฉันคิดว่าตายที่นี่เป็นตัวเลือกที่ไม่เลว”

ลู่ฝานจ้องตาอู่คงหลิง

ถ้าก่อนที่จะตกลงมา อู่คงหลิงไม่ยื่นมือมาช่วยเขา ถึงเจอเหตุการณ์แบบนี้ ลู่ฝานไม่มีทางอุ้มเธอเดินไปทั่ว และไม่เครียดขนาดนี้ด้วย

แต่เพราะอู่คงหลิงยื่นมือมาช่วยเขาในช่วงเวลาสำคัญ

แค่ข้อนี้ ไม่ว่ายังไง ลู่ฝานเห็นอู่คงหลิงตายต่อหน้าตัวเองไม่ได้

หิน โลหิตเย็น กำแพง

รอบตัวลู่ฝานมีแต่ของพวกนี้ โลหิตเย็นไม่น่าจะเป็นไปได้ แม้สิ่งนี้สามารถลดอุณหภูมิได้ แต่อู่คงหลิงอยู่ในสภาพนี้ก็เพราะสิ่งนี้ ถ้าใช้ลดอุณหภูมิอีก ลู่ฝานกลัวว่าจะทำให้อู่คงหลิงแข็งตาย

กำแพงยิ่งเป็นไปไม่ได้ เมื่อกี้เขาเกือบรับไม่ไหว แล้วอู่คงหลิงจะรับไหวได้อย่างไร

ให้เลือกก้อนหิน โอเค ลู่ฝานไม่ใช่คนไร้สมอง

ลู่ฝานกัดฟัน จู่ๆ สายตาของเขาหยุดลงที่โครงกระดูกข้างๆ

ลู่ฝานแววตาเป็นประกาย เดินมาข้างหน้าโครงกระดูกแล้วพูดว่า “ผู้อาวุโส ขอโทษด้วยครับ ช่วยคนเป็นเรื่องสำคัญ”

พูดพลาง ลู่ฝานดึงแขนขวาของศพลงมา

เสียงกร๊อบดังขึ้นอย่างชัดเจน

แขนข้างหนึ่งอยู่ในมือลู่ฝาน คนตายเย็นอยู่แล้ว

แขนนี้ดูหนักเล็กน้อย ลู่ฝานไม่ได้คิดอะไรมาก เอาแขนนี้วางลงบนหัวอู่คงหลิง

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 647
ลู่ฝานมองซ้ายมองขวาแล้วพูดว่า “พักผ่อนก่อนเถอะ คิดว่ากุยวัวน่าจะไม่บุกเข้ามาที่นี่ เราฟื้นฟูเรี่ยวแรงที่นี่กันก่อน อย่างน้อยต้องฟื้นฟูพลังปราณก่อน จากนั้นค่อยออกไป”

อู่คงหลิงพูดว่า “ฟังดูเป็นความคิดที่ไม่เลว คงไม่แย่ไปกว่าความคิดที่ล่อกุยวัวเข้าไปในทะเลสาบน้ำแข็งแล้วล่ะ”

ลู่ฝานหัวเราะ “ฉันก็จนปัญญา ไม่ล่อมันเข้าไปในทะเลสาบน้ำแข็ง พวกเราจะโดนมันไล่ตามจนตายทั้งหมด เธออาจไม่เห็นว่าตอนที่ไอ้นั่นไล่ตามพวกเรา เหมือนวิ่งไล่กันเล่นๆ ถ้ามันต้องการฆ่าเราจริงๆ ก็เหมือนกับการฆ่าอี่ว์เทียนซี อาณาเขตสายฟ้ามหึมาโถมเข้ามา เราจะหนีไปไหนได้”

อู่คงหลิงฟังคำพูดของลู่ฝาน แล้วจมไปกับความคิด

ทันใดนั้น อู่คงหลิงพูดว่า “นายพูดถูก กุยวัวหลอกพวกเรา คิดไม่ถึงเลย ฉันเกือบโดนสัตว์อสูรปั่นหัวจนตาย”

ลู่ฝานพูดว่า “พูดให้ถูกคือ สัตว์อสูรที่แข็งแกร่งจนน่ากลัว คุณอู่ บอกฉันได้ไหม ตอนเธอต้านทานสายฟ้าของกุยวัว เธอใช้วิชาอะไร”

อู่คงหลิงพูดช้าๆ ว่า “นายอยากรู้มากเหรอ”

ลู่ฝานพยักหน้า “ใช่ ฉันอยากรู้มาก”

อู่คงหลิงพูดว่า “ก็ไม่มีอะไรหรอก นายยังจำที่ฉันสู้กับนายครั้งก่อนได้ไหม หุ่นเชิดวิญญาณที่เรียกออกมา”

ลู่ฝานเข้าใจทันที “อ๋อ! ที่แท้เป็นแบบนี้นี่เอง แล้วตอนนี้หุ่นเชิดพวกนั้นล่ะ”

อู่คงหลิงพูดว่า “น่าเสียดาย ตายไปหมดแล้ว ฉันคำนวณพละกำลังของกุยวัวพลาดไป”

ลู่ฝานหัวเราะเบาๆ “คุณอู่ เธอพาหุ่นเชิดวิญญาณพวกนี้เข้ามา ไม่ใช่จะฆ่ากุยวัวเหมือนฉันใช่ไหม”

อู่คงหลิงพยักหน้าแล้วส่ายหน้า “ภารกิจของฉัน ง่ายกว่านายหน่อย ฉันแค่ต้องการเลือดของกุยวัวเท่านั้น”

ลู่ฝานขมวดคิ้ว “ภารกิจเหรอ”

อู่คงหลิงยิ้มแล้วพูดว่า “ถูกต้อง มันคือภารกิจ ฉันมาเข้าร่วมการสอบผู้ตรวจการชั้นกลาง เพราะฉันรู้ข้อมูลมา ฉันต้องจัดการสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งมาก แน่นอนว่าสิ่งที่ปรากฏออกมาคือกุยวัว ทำให้ฉันตกใจ ทำได้เพียงโทษที่ฉันดวงไม่ดี จากพละกำลังของฉัน ไม่สามารถสู้กุยวัวได้ แต่การเอาเลือดมันมา ฉันยังพอมีโอกาส”

ลู่ฝานพูดว่า “ที่แท้เป็นแบบนี้นี่เอง ฉันนึกว่าเธอโง่เหมือนฉันซะอีก ภารกิจ ภารกิจของสำนักวิชาชั่วร้ายของพวกเธอ พอเข้าใจได้”

อู่คงหลิงพูดว่า “เดิมทีฉันคิดว่าคุณชายลู่ฝานก็เข้ามาเพราะภารกิจเหมือนกัน”

ลู่ฝานได้ยินเสียงที่ไม่ได้ปรากฏออกมาของอู่คงหลิง “แล้วตอนนี้ล่ะ”

อู่คงหลิงพูดว่า “ตอนนี้ฉันแน่ใจว่านายไม่ได้เป็นพวกเดียวกับเรา ไม่งั้น ก็คือนายโหดเหี้ยมทารุณ ยิ่งกว่าผู้ฝึกวิชาชั่วร้ายที่ฉันรู้จักมาทั้งหมด”

“ดูออกได้ยังไง”

ลู่ฝานเริ่มสนใจ

อู่คงหลิงกะพริบตาแล้วพูดว่า “ถึงต้องทำภารกิจให้สำเร็จ นายก็ไม่จำเป็นต้องพาตระกูลมาที่เมืองตงหวา ถ้าตัวตนของนายถูกเปิดเผย ตระกูลของนายจะโดนฆ่าเป็นสิ่งแรก ฉันไม่คิดว่านายเป็นคนเสียสติแบบนั้น”

ลู่ฝานหัวเราะออกมา “การพิจารณาของเธอแม่นยำมาก ฉันบอกไปนานแล้วว่าฉันกับเธอไม่ใช่พวกเดียวกัน”

อู่คงหลิงพูดว่า “ใช่ เราไม่ใช่พวกเดียวกัน แต่ตอนนี้เรายังพออยู่ด้วยกันได้ใช่ไหม”

อู่คงหลิงพูดพลางยิ้มออกมา

แต่ตอนนี้เห็นใบหน้าของอู่คงหลิงแดงมาก

“หน้าเธอ”

ลู่ฝานถามอย่างสงสัย

อู่คงหลิงพูดว่า “หน้าฉันเป็นอะไร”

เพิ่งพูดจบ อู่คงหลิงรู้สึกโลกหมุนเคว้ง เปลือกตาหนักมาก

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 646
ลู่ฝานถอนหายใจเบาๆ ดูเหมือนห้องที่สร้างจากหินห้องนี้ มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นหลุมศพของคนคนนี้

เมื่อมองโครงกระดูกอย่างละเอียด ธรรมดาทั่วไปมาก ไม่มีของล้ำค่าอะไร ไม่มีพลังอะไรเหลืออยู่ ไม่มีเครื่องประดับยืนยันตัวตนอีกด้วย

อู่คงหลิงพูดว่า “ปล่อยฉันลง ให้ฉันดูเขาหน่อย”

ลู่ฝานได้ยินก็วางอู่คงหลิงลงบนพื้น

อู่คงหลิงมองโครงกระดูกอย่างละเอียด เหมือนจะมองบางอย่างจากโครงกระดูก

ลู่ฝานกลับมองกำแพงด้านหน้า มังกรโลหิตสามหัว

เขาเคยได้ยินสัตว์อสูรชนิดนี้

พูดให้ถูกคือ อันที่จริงมังกรสามหัวก็อยู่ในมังกรประเภทหนึ่ง

ในมนุษย์เผ่ามังกร มังกรโลหิตสามหัวถูกเรียกว่าสัตว์เทพ

ถ้ามังกรโลหิตสามหัวตัวนี้ มีชีวิตอยู่ได้หลายร้อยจนเป็นพันปี ไม่แน่อาจกลายร่างเป็นมังกรบินเก้าหัวในตำนานก็ได้

นั่นเป็นสัตว์อสูรที่ทำลายล้างโลกอย่างแท้จริง เป็นสัตว์อสูรไร้เทียมทานในตำนานโบราณ

ลู่ฝานยืนมือไปลูบศพของมังกรโลหิตสามหัว

ความรู้สึกเย็นยะเยือก ทำให้ลู่ฝานเย็นไปทั้งตัว

ลู่ฝานชักมือกลับมาทันที ความเย็นนี้ คล้ายกับโลหิตเย็นด้านบนมาก

อย่าบอกนะว่าโลหิตเย็นเป็นเลือดของมังกรโลหิตสามหัว

ลู่ฝานรู้สึกเหลือเชื่อ มังกรโลหิตสามหัวตัวนี้ มีเลือดเยอะขนาดไหน ถึงเต็มทะเลสาบแบบนั้น

ทันใดนั้น ลู่ฝานคิดได้ว่าเจ้าดำสามารถหดตัวให้ใหญ่หรือเล็กได้

งั้นมังกรโลหิตสามหัวตัวนี้ ก็สามารถขยายตัวให้ใหญ่ขึ้นได้ จึงมีเลือดเยอะขนาดนั้นไหลออกมา

เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นมา ก็ไม่สามารถห้ามได้ ลู่ฝานลองทำท่าทาง เลือดเต็มทั้งทะเลสาบ ตัวต้องพอๆ กับกุยวัว อาจใหญ่กว่ากุยวัวด้วยซ้ำ

สัตว์อสูรมีตัวใหญ่ขนาดนี้ ไม่ได้หาเรื่องง่ายๆ ซัดนักบู๊แดนปราณฟ้าสัก 1-2 คน คงไม่ใช่ปัญหา

ลู่ฝานหันมามองโครงกระดูกที่นั่งอยู่บนพื้น

ถ้าเขาเป็นคนฆ่ามังกรโลหิตสามหัว งั้นพละกำลังของผู้อาวุโสคนนี้ อย่างน้อยต้องระดับแดนปราณฟ้าขึ้นไป

จู่ๆ ลู่ฝานรู้สึกเลื่อมใสและเคารพผู้อาวุโสคนนี้มาก

ไม่ว่าผู้อาวุโสคนใดเสียสละสู้กับสัตว์อสูร ล้วนเป็นฮีโร่ของมนุษย์

เพราะการมีอยู่ของพวกเขา จึงทำให้สัตว์อสูรที่แข็งแกร่ง ไม่เข้าไปในถิ่นของมนุษย์

ลู่ฝานไม่กล้าใช้มือลูบอีก ไม่โดนโลหิตเย็นแช่แข็งตาย แต่โดนศพของมังกรโลหิตสามหัวแช่แข็งตาย เป็นเรื่องตลกมาก

อู่คงหลิงยังจ้องโครงกระดูก จู่ๆ เธอพูดว่า “ลู่ฝาน นายมานี่ มีอักษรอยู่บนมือขวาของเขาใช่ไหม”

ลู่ฝานได้ยินก็รีบชะโงกเข้าไปดู

เมื่อมองตามอู่คงหลิง ลู่ฝานเห็นตรงมือขวาของโครงกระดูกมีคำว่าแดน

เหมือนอักษรนี้สลักด้วยมีด ลึกถึงกระดูก

ลู่ฝานขมวดคิ้วพูดว่า “แดนเหรอ หมายความว่าอะไร ชื่อของเขาหรือคำพูดสุดท้ายของเขา หรือไม่ได้หมายถึงอะไรเลย”

อู่คงหลิงส่ายหน้า “ไม่รู้ นายคิดว่ายังไงล่ะ”

ลู่ฝานดูอย่างละเอียด จู่ๆ เขารู้สึกว่าตัวอักษรดูมีความลึกลับ

ตอนเขาฝึกเพลงเต๋าหนึ่งเดียว ที่คณะหนึ่งเดียว ก็เคยเห็นตัวอักษรนี่ในการถ่ายทอด

อักษรคำว่าแดนให้ความรู้สึกเหมือนเพลงเต๋าหนึ่งเดียวในตอนนั้น

แต่ไม่ว่าลู่ฝานจะพยายามยังไง ก็ไม่เหมือนตอนที่ฝึกเพลงเต๋าหนึ่งเดียวในตอนนั้น เข้าไปในพื้นที่ถ่ายทอด

ผ่านไปนาน ลู่ฝานพูดว่า “พูดยาก พูดไปไม่ดี ไม่พูดดีกว่า”

อู่คงหลิงมองลู่ฝานอย่างสงสัย แววตาวูบไหว

“จะทำยังไงต่อ”

อู่คงหลิงเห็นลู่ฝานไม่มีท่าทีจะอธิบาย จึงเปลี่ยนเรื่องทันที

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 645
พูดตามตรง เขาชอบผู้ชายเปิดเผยแบบเจิงหยงมาก ถ้าเจิงหยงยังมีชีวิตอยู่ ลู่ฝานหวังว่าจะได้เป็นเพื่อนกับเขาด้วยใจจริง

ตอนนี้เหมือนอู่คงหลิงขยับได้เล็กน้อย หันหน้ามาอย่างยากลำบาก แล้วพูดว่า “ลู่ฝาน นายเอาอี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์ไปซ่อนที่ไหน เจ้าดำด้วย ตอนนี้เราต้องการพวกเขา”

ลู่ฝานส่ายหน้า “ตอนนี้ออกมาไม่ได้ชั่วคราว”

เขาพูดความจริง เพราะการเปิดเข็มขัดอากาศธาตุ ต้องใช้ปราณชี่เล็กน้อย

แต่ตอนนี้ปราณชี่ทั้งตัวเขาอยู่ในสภาวะแช่แข็ง ขยับตัวได้ถือว่าดีมากแล้ว ของทั้งหมดในเข็มขัดอากาศธาตุ เขาไม่สามารถเอาออกมาได้ รวมไปถึงเจ้าดำกับอี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์ในจวนอากาศธาตุด้วย

อู่คงหลิงยังอยากพูดอะไร แต่จู่ๆ มีเสียงดังมาจากด้านบน

กร๊อบ!

ลู่ฝานเงยหน้ามอง เห็นหินด้านบนแตกร้าวเป็นร่อง น้ำเย็นไหลลงมาเยอะขึ้น

“อยู่ที่นี่นานไม่ได้ รีบไป ไม่งั้นโดนน้ำเย็นแช่แข็งอีก พวกเราจบเห่จริงๆ แน่!”

ลู่ฝานพยักหน้า อุ้มอู่คงหลิงขึ้นมาอย่างไม่ลังเล แล้วค่อยๆ ลุกขึ้น

อู่คงหลิงตกใจ มองลู่ฝานอย่างตะลึง

แต่ลู่ฝานพูดอย่างแน่วแน่ว่า “วางใจเถอะ เราไม่ตายที่นี่หรอก”

พูดจบ ลู่ฝานเดินเข้าไปข้างใน หลบตรงที่น้ำหยดอย่างระมัดระวัง

เขาไม่อยากให้โลหิตเย็นโดนผิวหนังเขาอีกแม้แต่น้อย

อู่คงหลิงมองใบหน้าห้าวหาญของลู่ฝาน จู่ๆ แววตาดูเคลิ้ม

เธอเพิ่งเคยโดนผู้ชายอุ้มแบบนี้เป็นครั้งแรก ความรู้สึกนี้อธิบายเป็นคำพูดยาก

เธอเห็นแววตาแน่วแน่ของลู่ฝาน

ตอนนี้ความรู้สึกปลอดภัยทะลักขึ้นมา ราวกับว่าแค่มีลู่ฝานอยู่ ก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นแม้แต่น้อย

อันที่จริงลู่ฝานหน้าตาหล่อเหลามาก

“ฉันกำลังคิดอะไรอยู่ พระเจ้า ฉันกำลังคิดอะไรบ้าบออยู่”

อู่คงหลิงตั้งสติได้ แก้มแดงระเรื่อ

ลู่ฝานก้มมองอู่คงหลิง ยิ้มแล้วพูดว่า “เอ๊ะ หน้ามีเลือดฝาด ดูเหมือนเธอใกล้หายดีแล้ว ถ้าขยับได้ก็บอกด้วย”

พูดพลาง ลู่ฝานอุ้มอู่คงหลิงออกมาจากสถานที่อันตรายแล้ว

ที่นี่เป็นห้องที่สร้างด้วยหิน เดินได้ไม่นาน ลู่ฝานเห็นกำแพงเป็นเงาวาวและสะอาดหมดจด บนกำแพงมีมังกรสามหัวสีฟ้าแขวนอยู่

หัวมังกร ตัวเป็นงู มีเขาเดียว มังกรขนาดใหญ่ยาวประมาณสามร้อยกว่าเมตร เต็มกำแพงพอดี

บนตัวมีดาบและกระบี่เก้าเล่มปักอยู่ ดาบและกระบี่แต่ละเล่มเป็นประกาย ส่วนมังกรสามหัวตายไปนานแล้ว

“มังกรโลหิตสามหัว เป็นมังกรโลหิตสามหัว ใครสามารถฆ่ามังกรโลหิตสามหัวได้”

อู่คงหลิงพูดอย่างตกใจ

สายตาของลู่ฝานจ้องอยู่บนมังกรโลหิตสามหัว แล้วมองเงาคนด้านล่างกำแพง

ใช่ นั่นเป็นเงาคน แต่ผิวแห้งเหี่ยว หลับตานั่งอยู่ตรงนั้น ชุดคลุมบู๊ขนาดใหญ่ปกคลุมตัว ไม่มีลมหายใจสักนิด

ลู่ฝานลองเรียกดู

“สวัสดีครับผู้อาวุโส รบกวนกะทันหัน แต่จนปัญญาจริงๆ ครับ ผู้อาวุโสได้โปรดอภัย”

เสียงดังก้องในห้องที่สร้างจากหิน แต่คนข้างหน้าไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้กลับ

ลู่ฝานเดินเข้ามาดูอย่างละเอียด ผิวหนังของคนคนนี้ไม่มีความแวววาว ไม่มีแม้กระทั่งลมหายใจ

ตายแล้วเหรอ

ลู่ฝานเรียกว่าผู้อาวุโสอีกครั้ง แล้วเดินเข้าไปอีก

“ตายแล้ว เขาตายแล้ว”

อู่คงหลิงพูดออกมา

ลู่ฝานถอนหายใจ แล้วพูดว่า “น่าเสียดาย ถ้าเขายังมีชีวิตอยู่ ไม่แน่อาจพาเราออกไปได้”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 644
ลู่ฝานลองขยับแขนตัวเอง พบว่ายังแข็งมาก ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ แต่เขาพบว่าเหมือนแขนของตัวเองวางผิดตำแหน่งจริงๆ

แม้ไม่ได้จับจนแน่น แต่ท่าทางนี้มันดูคลุมเครือจริงๆ

อู่คงหลิงพูดว่า “นายว่าไงล่ะ รีบขยับออกไปเลย”

ลู่ฝานพูดว่า “ฉันก็อยากขยับออก แต่ขยับออกไม่ได้ รออีกแป๊บนึง”

อู่คงหลิงกัดฟันพูดว่า “คุณชายลู่ฝาน แต่ก่อนฉันคิดมาตลอดว่านายเป็นสุภาพบุรุษ คิดไม่ถึงว่าภายใต้ภาพลักษณ์ภายนอกที่ซื่อสัตย์ ยังมีจิตใจสกปรกซ่อนอยู่ การกระทำจากสัญชาตญาณของนาย ทำให้ฉันเชื่อได้ยากว่านายเป็นคนดี”

ลู่ฝานมองบนแล้วพูดว่า “คุณอู่ ฉันไม่ได้ตั้งใจ ถ้าขยับได้ขยับออกนานแล้ว แล้วเธอปล่อยมือฉันได้ไหมล่ะ”

ขณะนั้นอู่คงหลิงเพิ่งพบว่ามือเธอกับลู่ฝานยังจับกันอยู่

อู่คงหลิงพยายามอยู่หลายครั้ง ก็ไม่สามารถดึงมือตัวเองออกมาได้

ชะงักไปครู่หนึ่ง อู่คงหลิงพูดว่า “ช่างเถอะ คุณชายลู่ นายจะไม่เอาเปรียบคนอื่นใช่ไหม”

ลู่ฝานพูดว่า “สถานที่แบบนี้ เธอจะให้ฉันทำอะไร”

อู่คงหลิงพูดว่า “เปล่า นายเอาผ้าปิดหน้าคืนให้ฉันได้ไหม”

ลู่ฝานพูดว่า “ไม่ได้”

อู่คงหลิงพูดว่า “นายจะเอาเปรียบฉันใช่ไหม”

“คุณอู่ มันคนละเรื่องกัน อย่างมากฉันก็ให้เธอเอาเปรียบกลับก็จบ”

“ไอ้อันธพาล!”

“ขอบใจ ฉายานี้ดีกว่าฉายาเก่าของฉันเยอะ”

……

ทั้งสองคนเถียงกัน ไม่นานลู่ฝานรู้สึกว่าขยับตัวได้แล้ว เสียงอ่อนเพลียของไอ้เก้าดังขึ้น

“เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ ฉันทำสิ่งที่ทำได้หมดแล้ว ที่เหลือนายน่าจะจัดการได้ ฉันเสียพลังไปเยอะ ขอไปพักผ่อนก่อน”

พูดจบ เสียงไอ้เก้าค่อยๆ หายไป

ลู่ฝานตะโกนอยู่ในใจสองสามครั้ง แต่ไม่สามารถเรียกไอ้เก้าออกมาได้

นิ้วมือสั่นเล็กน้อย ลู่ฝานรู้สึกว่าพลังในตัวเริ่มฟื้นฟูแล้ว แต่เหมือนปราณชี่ยังไม่สามารถทำลายการควบคุมของพลังเยือกเย็นได้ แต่คิดว่าคงเป็นแค่ปัญหาด้านเวลา

ในที่สุดลู่ฝานก็ขยับได้ เขาปล่อยมือที่จับอู่คงหลิง จากนั้นลู่ฝานลุกขึ้นมานั่ง

สูดหายใจลึก ลู่ฝานเอาอู่คงหลิงที่ยังขยับไม่ได้วางไว้อีกด้าน

ทั้งสองนั่งพิงกำแพงขรุขระ ลู่ฝานมองสถานที่ที่มีแสงสว่างกะพริบเบาๆ แล้วพูดว่า “โอเค ตอนนี้เราอยู่ที่ไหน ฉันจำได้ว่าเราตกลงมาใต้ดิน ที่นี่คือโลกใต้ดินเหรอ หรือเป็นรังของสัตว์อสูร”

อู่คงหลิงส่ายหน้าพูดว่า “ไม่น่าใช่ รังของสัตว์อสูรไม่สร้างด้วยหินแสงจันทร์ นี่เป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น น่าจะเป็นจวนของผู้แข็งแกร่งสักคน หรือไม่ก็ห้องเก็บสมบัติ”

ลู่ฝานหัวเราะออกมา “งั้นหมายความว่าเราโชคดีงั้นเหรอ คนพูดกันว่าถ้าเจอหายนะครั้งใหญ่แล้วไม่ตาย หลังจากนั้นจะเจอโชคดี เธอคิดว่าเราจะรวยไหม”

อู่คงหลิงพูดว่า “ฉันชื่นชมอารมณ์ขันของนายจริงๆ แต่ความจริงแล้ว ถึงที่นี่มีสมบัติล้ำค่า เราก็คงออกไปไม่ได้แล้ว ด้านบนโดนน้ำแข็งปิดตายแล้ว”

ลู่ฝานมองหินด้านบนที่ยังมีน้ำหยดลงมาไม่หยุด พยักหน้าเห็นด้วย

ลู่ฝานมองซ้ายมองขวา มองไปรอบๆ แล้วพูดว่า “น่าเสียดาย ไม่รู้เจิงหยงไปไหนแล้ว ไม่รู้เขาเป็นหรือตาย”

อู่คงหลิงพูดว่า “น่าจะตายแล้ว ไม่ใช่ทุกคนที่มีพลังชีวิตแข็งแกร่งแบบเราสองคน”

ลู่ฝานเงียบไป เขารู้ว่าอู่คงหลิงพูดความจริง แต่เขาก็รู้สึกสลดใจอยู่ดี

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 643
น้ำเย็นยะเยือก ดับการดิ้นรนครั้งสุดท้ายของทั้งสองคน

ไม่มีแม้แต่เสียงร้องโอดครวญ ทั้งสองคนหล่นลงไปทันที

พลั่ก!

เสียงดังอึกทึก ลู่ฝานกระแทกลงบนหินที่แข็งแกร่ง

ดีที่หินไม่ได้นูนขึ้นมา เหมือนเป็นแผ่นหินเรียบๆ ไม่งั้นเมื่อกี้ลู่ฝานคงตัวทะลุไปแล้ว

มีคนกระแทกลงมาอีกหนึ่งคน กระแทกลงบนตัวลู่ฝานเต็มๆ

ตัวเย็นยะเยือก ร่างกายบอบบาง ถ้าไม่ใช่อู่คงหลิงจะเป็นใครได้อีก

ไม่รู้ลู่ฝานเอาพลังมาจากไหน กอดอู่คงหลิงเอาไว้แน่น

มีน้ำเย็นร่วงมาจากด้านบนอีกครั้ง ลู่ฝานรีบกอดอู่คงหลิงกลิ้งไปบนพื้น

ซ่า สายน้ำกระแทกลงบนแผ่นหิน ลู่ฝานเพิ่งเห็นว่านั่นเป็นแผ่นหินเรียบๆ มีแสงสว่างเลือนราง

มีเสียงดังสนั่นอยู่ด้านบน เหมือนหินก้อนใหญ่ขวางร่องอยู่

เสียงดังโครมคราม เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง ด้านบนเต็มไปด้วยหินขรุขระแปลกประหลาด มีร่องมากมาย น้ำเย็นไหลลงมา

ยังดีที่น้ำเย็นพวกนี้ อยู่ห่างจากลู่ฝานกับอู่คงหลิงประมาณหนึ่ง

ตอนนี้ลู่ฝานรู้สึกว่าร่างกายตัวเองขยับไม่ได้ พลังเย็นยะเยือกยังวนเวียนในตัวเขา

การระเบิดเมื่อสักครู่ ทำให้ปราณชี่ที่เขาเพิ่งใช้ได้ หายไปจนหมด

ตัวถูกแช่แข็ง สีหน้าคล้ำเขียว ขนาดจะพูด ลู่ฝานยังทำไม่ได้

อู่คงหลิงก็ไม่ต่างกันเท่าไร นอนตัวแข็งอยู่ในอกลู่ฝาน ไม่รู้ผ้าปิดหน้าปลิวไปไหนแล้ว ใบหน้าสมบูรณ์แบบอยู่ตรงหน้า ลู่ฝานสัมผัสได้ถึงลมหายใจเบาๆ ของอู่คงหลิง

ดวงตากลมโตทั้งสองข้าง มองลู่ฝานอยู่อย่างนั้น

ลู่ฝานไม่สามารถหันหน้าได้ ทำได้เพียงมองเธอ

ทั้งสองคนมองหน้ากันอยู่แบบนั้น ลู่ฝานรู้สึกว่าส่วนล่างของตัวเองก็แข็ง

โอเค น่าจะแข็งตั้งนานแล้ว ไม่เกี่ยวกับการสบตากันหรอก

ผ่านไปนาน ลู่ฝานรู้สึกว่าตัวเองพูดได้แล้ว ไอ้เก้ายังทำงานอย่างสุดความสามารถ

ช่วยลู่ฝานดูดพลังเยือกเย็นที่ไหลอยู่ในเส้นลมปราณออกไป พูดออกมาไม่หยุด “สิ้นเปลืองๆ โลหิตเย็นล้ำค่าขนาดนี้ ถ้ากลั่นเป็นยา จะได้ยาทิพย์ ยาเสวียน ยาเซียนตั้งเท่าไร! ทำไมฉันมองไม่ออกตั้งแต่แรกว่าทะเลสาบน้ำแข็งนี้เป็นโลหิตเย็น นี่ต้องฆ่าสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งธาตุน้ำแข็งตั้งเท่าไร ถึงจะมีเลือดเป็นทะเลสาบแบบนี้!”

ลู่ฝานได้ยินแล้วจิตใจวูบไหว สายน้ำพวกนี้คือเลือดเหรอ อีกทั้งยังเป็นเลือดของสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งด้วย

ลู่ฝานรู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถเข้าใจได้ เลือดเหมือนทะเลสาบแบบนี้ คงต้องฆ่าสัตว์อสูรที่ขนาดพอๆ กับกุยวัวถึงจะได้

อีกทั้งแค่โลหิตเย็นสามารถทำให้กุยวัวอยู่ในสภาพแบบนี้ งั้นสัตว์อสูรตัวนี้ต้องแข็งแกร่งกว่ากุยวัวถึงจะถูก

สัตว์อสูรที่ทัดเทียมระดับเซียนบู๊ ระดับอริยปราชญ์อย่างนั้นเหรอ

แค่ลู่ฝานคิดถึงสัตว์อสูรแบบนี้ ก็รู้สึกขนลุกแล้ว

ผ่านไปครู่หนึ่ง ความเขียวคล้ำบนหน้าอู่คงหลิงลดลงไปไม่น้อย เหมือนเธอมีวิชาเฉพาะที่สามารถกำจัดพลังเย็นยะเยือกพวกนี้ได้เหมือนกัน

อู่คงหลิงริมฝีปากสั่นเล็กน้อย “ลู่ฝาน คุณชายลู่ นายจะกอดฉันแบบนี้ถึงตอนไหน”

ลู่ฝานพูดว่า “คุณอู่คงหลิง ฉันก็จนปัญญา ทนไปก่อนเถอะ!”

อู่คงหลิงกัดฟันพูดว่า “งั้นนายช่วยหาวิธีเลื่อนมือของนายออกไปหน่อยได้ไหม”

ลู่ฝานพูดอย่างแปลกใจ “มือฉันทำไมเหรอ”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 642
เขตวิถีบนกระบี่หนักไร้คมเปิดออก ปราณชี่เคลื่อนไหวพลังฟ้าดินรอบๆ มารวมตัวในมือลู่ฝาน แล้วฟันกระบี่ลงไปอย่างแรง

ยอดกระบี่หวนคืน!

แสงกระบี่สว่างขึ้นมา แสงสายฟ้ากับเสียงกระแทกลงบนท้องของกุยวัวอีกครั้ง

ตู้ม!

เสียงระเบิดดังขึ้น ตอนนี้ตัวของกุยวัวโงนเงนอย่างแรง

บนท้องของมันมีบาดแผล แม้ไม่ลึกมาก แต่ยังไงก็ทำให้มันบาดเจ็บ!

มนุษย์สมควรตายทำร้ายมันได้!

นี่ปล่อยไว้ไม่ได้เด็ดขาด มันต้องกลืนมนุษย์สมควรตายคนนี้!

กุยวัวก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าว ขาข้างเดียวของมันเหยียบลงมา

ก้าวนี้แหละ ดีมาก ก้าวนี้แหละ!

ใบหน้าลู่ฝานมีความตื่นเต้นซึ่งเห็นได้ยาก กุยวัวเข้ามาแล้ว!

ขาข้างเดียวเหยียบลงในทะเลสาบน้ำแข็ง

น้ำในทะเลสาบน้ำเข็งกระเด็นขึ้นมา สาดลงบนตัวลู่ฝานและอู่คงหลิง

ตอนนี้อู่คงหลิงยืนโงนเงน เมื่อกี้รับท่าไม้ตายของกุยวัว พลังเฮือกสุดท้ายของเธอถูกใช้ไปหมดแล้ว

จู่ๆ มีป้ายคำสั่งปรากฏขึ้นในมืออู่คงหลิง เธอพึมพำว่า “ดูเหมือนภารกิจครั้งนี้ของฉัน คงทำไม่สำเร็จแล้ว”

อู่คงหลิงพูดพลาง จะบีบป้ายคำสั่งให้แตก แต่ขณะนั้น ทะเลสาบน้ำแข็งปกคลุมเธอเอาไว้

มันเป็นความหนาวถึงกระดูก เหมือนแช่แข็งเธอในพริบตาเดียว

ลู่ฝานโดนน้ำในทะเลสาบแช่แข็งอยู่กับที่เดิม ความเย็นอันน่ากลัว ทำให้เขาไม่สามารถเคลื่อนไหวปราณชี่ได้

ตอนใช้พลังสายฟ้าน้ำที่ฝึกจากทะเลสาบน้ำแข็ง ลู่ฝานสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งของทะเลสาบน้ำแข็ง

ความหนาวเย็นของทะเลสาบนี้ น่ากลัวกว่านักบู๊แดนปราณดิน ที่มีพลังน้ำในพลังห้าธาตุ ตอนนั้นลู่ฝานแอบคิด คงมีแค่นักบู๊แดนปราณฟ้าขึ้นไป ถึงจะมีพลังหนาวเหน็บได้ถึงขนาดนี้

เพราะความคิดกะทันหันในตอนนั้น ทำให้เขาใช้ประโยชน์จากทะเลสาบน้ำแข็ง จัดการกับกุยวัวในช่วงเวลาคับขัน

ตอนนี้เขาหวังว่าทะเลสาบจะแข็งแกร่งกว่าที่เขาจินตนาการไว้

ตอนขาข้างเดียวของกุยวัวจมลงในน้ำ ก็กลายเป็นน้ำแข็งอย่างรวดเร็ว

กุยวัวก็ชะงักไป มันรู้สึกว่าพลังน่ากลัวพุ่งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

กุยวัวทั้งโกรธและตกใจ ปล่อยพลังสายฟ้าออกมาอย่างบ้าคลั่ง น้ำแข็งที่รวมตัวขึ้นมาแตกกระจายไม่หยุด แต่มันก็ไม่สามารถขยับได้สักนิด

“ดีมาก มีหวังแล้ว!”

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าลู่ฝาน ตอนนี้เจดีย์เสวียนเก้ามังกรกำลังต้านทานกับพลังหนาวเย็น ที่เข้ามาในตัวเขาอย่างบ้าคลั่ง

ลู่ฝานสัมผัสได้ว่าเหมือนไอ้เก้าจะได้เปรียบเล็กน้อย!

“เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ นี่คือโลหิตเย็น ของบำรุงชั้นดี เดี๋ยวฉันเก็บไว้ให้นาย ให้ตายเถอะ เหมือนจะจัดการยาก”

ไอ้เก้าทำอย่างเต็มกำลัง ลู่ฝานรู้สึกว่าปราณชี่ของตัวเองค่อยๆ ฟื้นฟูหมุนเวียน

กุยวัวที่อยู่ด้านหน้าบ้าคลั่งไปแล้ว เกล็ดน้ำแข็งก่อตัวเร็วขึ้นเรื่อยๆ กุยวัวตัวใหญ่โดนแช่แข็งไปครึ่งตัวแล้ว

เมื่อเห็นว่าทำอะไรไม่ได้ ดวงตาของกุยวัวเปลี่ยนเป็นสีแดงโลหิต

โฮก!

แสงระเบิดขึ้นมาบนตัวกุยวัว!

ตู้ม พื้นดินสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง น้ำในทะเลสาบกระเพื่อม

ลู่ฝานรู้สึกว่าพื้นยุบลงไป พื้นดินโดนพลังของกุยวัวระเบิดจนยุบลงไป

แย่แล้ว!

ลู่ฝานพยายามคว้าอะไรเอาไว้ แต่ตัวของเขาไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เลย

ช่วงสำคัญ เป็นอู่คงหลิงที่พุ่งมาทางลู่ฝาน แล้วยื่นมือข้างหนึ่งออกมา

“จับฉันไว้!”

ลู่ฝานจับแขนอู่คงหลิงเอาไว้ แต่ขณะนั้น น้ำในทะเลสาบไหลลงมาจากหัว สาดลงบนตัวทั้งสองคน

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 641
ลู่ฝานจ้องกุยวัวเขม็ง แล้วพูดว่า “รอมันมา”

อู่คงหลิงช็อกไป ตะโกนออกมาว่า “นี่คือแผนของนายเหรอ”

ลู่ฝานพูดว่า “ใช่ นี่คือแผนของฉัน ตอนนี้ทำได้เพียงสู้สุดใจแล้วล่ะ”

หนึ่งก้าว สองก้าว กุยวัวที่เหมือนภูเขามาถึงตรงหน้าพวกลู่ฝานแล้ว

ลู่ฝานถอยหลังช้าๆ เจิงหยงกำหมัดแน่น เล็บแทบจะจิกเข้าไปในเนื้อแล้ว

ทั้งสามคนค่อยๆ ถอยหลัง ดวงตาของกุยวัวจ้องพวกเขา เหมือนมนุษย์ก้มมองพวกมด

แต่กุยวัวไม่เข้าใจ ทำไมมนุษย์พวกนี้ไม่หนีแล้ว

มันเล่นสนุกมาก ไม่ได้เคลื่อนไหวอย่างมีความสุขแบบนี้มานานแล้ว พวกมนุษย์สมควรตาย พวกนายหนีต่อสิ!

โดนมันใช้สายฟ้าผ่าตายระหว่างวิ่งหนี เป็นเรื่องที่ควรมีความสุขไม่ใช่เหรอ

พวกลู่ฝานไม่มีทางเข้าใจความคิดของกุยวัว

แต่ตอนนี้พวกเขาเห็นกุยวัวฉีกปากยิ้มออกมา

ใช่ มันยิ้ม ท่าทางเหมือนเด็กเห็นของเล่นชัดๆ สายฟ้าที่อยู่บนตัวลดน้อยลง

ท่าทางเหมือนคนกับสายฟ้าบนตัว ยิ่งทำให้พวกลู่ฝานใจสั่น

นี่เป็นสัตว์อสูรที่มีสติปัญญา แม้ไม่รู้ว่ามีสติปัญญาสูงแค่ไหน แต่คิดว่าสัตว์อสูรทั่วไปเทียบมันไม่ได้

เมื่อเห็นว่าพวกลู่ฝานไม่มีท่าทีจะหนีต่อ รอยยิ้มบนหน้ากุยวัวหายไป

ไม่สนุก ไม่สนุกสักนิด พวกเขาไม่หนีแล้ว

แววตาดูผิดหวัง กุยวัวคิดจะกำจัดพวกเขาทิ้งแล้ว เพราะทุกๆ สองสามปี จะมีพวกมนุษย์มาตาย มันแค่รอ ก็จะมีของเล่นใหม่มาถึงที่

สายฟ้าบนตัวพลุ่งพล่าน มันกะจะใช้ท่าไม้ตายฆ่าพวกเขาให้หมด

เห็นการกระทำของกุยวัว ลู่ฝานตะโกนว่า “มันจะใช้ท่าไม้ตายอีกแล้ว ทำให้มันโมโห ทำให้มันโมโหเร็วๆ ให้มันเดินมาข้างหน้าอีกก้าว”

พูดพลาง ลู่ฝานสะบัดแสงกระบี่เป็นแถบ

คำว่าฆ่าแปดตัวโจมตัวลงบนท้องกุยวัว

ปัก! ปัก! ปัก! ปัก!

เสียงดังขึ้นติดต่อกัน กุยวัวตัวโงนเงนเล็กน้อย แสงบนตัวริบหรี่ลง

ท่าไม้ตายของลู่ฝานมีพลานุภาพเต็มเปี่ยม สีหน้าของกุยวัวเคร่งขรึม แต่แสงสายฟ้ารอบๆ ทะลักออกมาอีก

เจิงหยงก็ปล่อยหมัดกลางอากาศ ไม่ต้องเล็งอะไรทั้งนั้น กุยวัวตัวใหญ่ขนาดนี้อยู่ตรงหน้า โจมตีไม่โดนสิถึงจะแปลก พลังหมัดของเจิงหยง โจมตีลงบนขาของกุยวัว

แต่ไม่มีผลอะไรเลย กุยวัวรับได้อย่างสบายๆ เจิงหยงเห็นแล้วถึงกับสีหน้าหวาดผวา

“สายฟ้ามาแล้ว!”

เจิงหยงตะโกนออกมา กุยวัวส่งเสียงร้องสั่นสะเทือน

ทันใดนั้น สายฟ้าหลากสีบนท้องฟ้ากลายเป็นเสาสายฟ้า ร่วงลงมาพร้อมกัน ทำลายทุกอย่างบริเวณรอบๆ

ลู่ฝานโดนแสงสายฟ้าโจมตี เจิงหยงก็โดนแสงสายฟ้าโจมตีเช่นกัน มีเพียงอู่คงหลิงที่โยนอะไรบางอย่างออกไป ของสีดำขวางอยู่ตรงหน้าเธอ

“อ๊าก!!!”

เจิงหยงส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวด

สายฟ้าน่ากลัวทำลายปราณชี่ของเจิงหยงทันที หลังจากนั้นสายฟ้าเข้าไปในตัวเจิงหยง ทำลายเส้นลมปราณและกระดูกของเขาอย่างรวดเร็ว

คนที่อยู่ท่ามกลางสายฟ้าอย่างลู่ฝาน ก็ไม่ได้ดีไปกว่าเท่าไร แต่ลู่ฝานที่ฝึกวิชาสายฟ้าฟาดห้าธาตุ เข้าใจการที่สายฟ้าเข้าสู่ร่างกายดีกว่าเจิงหยงมาก อีกทั้งร่างกายของเขาแข็งแกร่งกว่าด้วย

ลู่ฝานเงยหน้าท่ามกลางแสงสายฟ้า ตะโกนใส่กุยวัวว่า “ไอ้วัวโง่ จะผ่าฉันให้ตาย แกไร้เดียงสาเกินไปแล้ว”

พูดพลาง เกราะเกล็ดมังกรปรากฏขึ้นบนตัวลู่ฝาน ปกคลุมตัวเขาไว้อย่างมิดชิด

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 640
วิ่งหนีเอาชีวิตรอด

ตอนนี้ถ้าช้าเพียงเล็กน้อย ก็มีแต่ตายอย่างเดียว

ท้องฟ้ามืดลงแล้ว เหลือเพียงสายฟ้าต่างๆ ดังอยู่บนท้องฟ้า

“แยกกันหนี รีบแยกกันหนี”

เจิงหยงตะโกนออกมา

เจอสัตว์อสูรแข็งแกร่งขนาดนี้ แยกกันหนีเป็นตัวเลือกที่ไม่เลว

เจิงหยงตะโกนพลาง วิ่งหนีไปอีกทาง ขณะเดียวกันก็ยังหันมาปล่อยพลังหมัดใส่กุยวัว

วิธีจงใจดึงดูดกุยวัวแบบนี้ ไร้สมองจริงๆ

ลู่ฝานรีบตะโกนใส่เจิงหยงว่า “ระวัง!”

ลู่ฝานเคลื่อนตัวมาข้างหน้า ดึงเจิงหยงกลับมา จากนั้นเห็นสายฟ้าสีแดงเพลิงเหมือนเสาแสง ร่วงลงมาข้างหน้าเจิงหยง

เจิงหยงตกใจจนเหงื่อแตกทั้งตัว อู่คงหลิงกัดฟันพูดว่า “วิ่งเข้าไปในป่าลึก พยายามวิ่งเข้าไปให้ลึกที่สุด!”

ทั้งสามคนเร่งความเร็วสุดขีด

ขณะเดียวกัน มีแสงสายฟ้าร่วงลงมาจากฟ้าไม่หยุด

ลู่ฝานตะโกนพูดกับเจิงหยงว่า “เร็วอีก!”

เจิงหยงอึ้งไป จากนั้นพยักหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

พุ่งไปข้างหน้า รวดเร็วปานสายฟ้าแลบ ต้นไม้มากมายผ่านตัวพวกเขา

ในหัวลู่ฝานมีความคิดมากมาย ตอนนี้ควรทำอย่างไร

กุยวัวใกล้ตามมาทันแล้ว อย่ามองว่าตัวมันใหญ่ การเคลื่อนไหวของมันไม่ได้ช้าเลย

เมื่อเห็นว่ากำลังจะไล่ตามพวกลู่ฝานทัน!

ข้างหลังมีสายฟ้า ถ้าหยุดเท่ากับตาย!

เดี๋ยวนะ หยุด!

ทำให้กุยวัวหยุดลงได้ไหม จู่ๆ ความคิดนี้โผล่ขึ้นมาในหัวลู่ฝาน

เขาคิดถึงสิ่งที่เหมือนกันขึ้นมาได้

“วิ่งไปทางทะเลสาบน้ำแข็ง เร็ว วิ่งไปทางทะเลสาบน้ำแข็ง!”

แววตาเจิงหยงเป็นประกายขึ้นมาทันที

“ใช่ ทะเลสาบน้ำแข็ง ล่อมันไปที่ทะเลสาบน้ำแข็ง”

อู่คงหลิงตะโกนว่า “ทะเลสาบน้ำแข็งคืออะไร”

ลู่ฝานไม่มีเวลาอธิบายแล้ว หันหลังพุ่งไปทางทะเลสาบน้ำแข็ง

ความจำของเขาไม่เลว ยังจำทางที่เคยเดินผ่านได้

ทั้งสามคนเร่งความเร็วอีกครั้ง ลู่ฝานนำไปข้างหน้า เขาเหมือนดาบเล่มหนึ่ง แยกพลังฟ้าดินรอบๆ ออกไป เร็วจนแทบไม่เห็นเงาของคน

พละกำลังของเจิงหยงไม่เลว แต่เมื่อตามคนที่ระเบิดความเร็วออกมาแบบลู่ฝาน ดูยังเทียบไม่ได้

แต่เขาพบว่าไล่ตามหลังลู่ฝาน เหมือนจะเร็วไม่น้อย

นี่ทำให้เขาตามลู่ฝานทัน ส่วนอู่คงหลิงไม่รู้ใช้วิชาอะไร ตัวกลายเป็นหมอกสีดำ ลอยตามหลังลู่ฝาน

ลู่ฝานเห็นวิชานี้ของอู่คงหลิงเป็นครั้งที่สองแล้ว ครั้งแรกไม่เข้าใจ แต่ครั้งนี้ลู่ฝานดูออกเล็กน้อย

เหมือนเป็นผลของอุปกรณ์อย่างหนึ่ง เป็นไปได้สูงว่าจะเป็นอาวุธวิเศษ!

ในหัวมีความคิดมากมาย ลู่ฝานเริ่มดำเนินการควบคุมร่างกายตัวเอง

กล้ามเนื้อและกระดูกทุกส่วนหดตัวอย่างเต็มที่ ทำให้ตัวเขาผอมลงอย่างเห็นได้ชัด ดูบอบบางลง ความเร็วเพิ่มขึ้นอีกครั้ง

พุ่งไปข้างหน้า ลู่ฝานเห็นสัตว์อสูรมากมายหมอบลงบนพื้น

สัตว์อสูรพวกนี้ไม่มีความคิดขวางพวกลู่ฝาน เมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นของกุยวัว พวกมันก็ทรุดลงแล้ว

หลังจากผ่านป่าทึบออกมา ลู่ฝานเห็นทางเดินไปยังทะเลสาบน้ำแข็ง

ถึงแล้ว ใกล้ถึงแล้ว!

แสงด้านหน้าเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว น้ำใสสะท้อนแสงสายฟ้า สะท้อนเข้ามาในม่านตาทุกคน

พวกลู่ฝานชะงักฝีเท้าลง หันหน้าไปมองกุยวัวด้านหลังที่มีแสงแวววาว มันก้าวเข้ามา ขาเพียงข้างเดียวไม่ได้วิ่งช้าไปกว่าสัตว์อสูรสี่ขา อีกทั้งยังมีพลานุภาพมากกว่าด้วย

อู่คงหลิงพูดอย่างเหนื่อยหอบ “ทำไงดี ลู่ฝาน นายกำลังจะทำอะไรกันแน่”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 639
ปราณชี่ของลู่ฝานโดนโจมตี พลังแว้งกัดทำให้เลือดลมของเขาปั่นป่วน

อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์โดนสะเทือนจนสลบไป เลือดไหลออกมาตรงมุมปากของเธอ ทะเลกว้างใหญ่ปั่นป่วน คลื่นยักษ์โถมเข้ามาซัดใส่พวกลู่ฝานและคนอื่น

นี่คือสิ่งที่ลู่ฝานคิดไม่ถึง พวกเขาหลบมาไกลขนาดนี้ ยังโดนคลื่นยักษ์ซัดใส่อีก

เพียงพริบตาเดียว ตัวของอี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์กับเจิงหยงลอยออกไป

ปฏิกิริยาของลู่ฝานรวดเร็ว เขาแค่ดึงแขนของอี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์เอาไว้ได้

ลู่ฝานกัดฟันแผดเสียงออกมา โยนอี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์เข้ามาในจวนอากาศธาตุของเขา

ตอนนี้ไม่มีเวลามาสนใจอะไรมาก รักษาชีวิตอี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์เอาไว้ได้ ก็ดีที่สุดแล้ว เจ้าดำก็เข้าไปในจวนอากาศธาตุของลู่ฝานด้วย

พลังปราณทั้งตัวเจิงหยงโดนซัดจนสั่นไปมา กว่าจะลุกขึ้นมาได้ ยังโดนคลื่นสายฟ้าโจมตีเข้าอีก

พลังปราณพังทลาย เขากระเด็นออกไป

ลู่ฝานลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว จับมืออู่คงหลิงเอาไว้ แล้วพุ่งไปทางเจิงหยง

สายฟ้าอาละวาดไปทั่ว สัตว์อสูรนับไม่ถ้วนตายหมด

ลู่ฝานใช้อีกมือยกเจิงหยงขึ้นมา มองเจิงหยงที่ควันลอยเต็มตัว ลู่ฝานตะโกนว่า “ตายหรือยัง ยังมีแรงไหม”

เจิงหยงกัดฟันลุกขึ้นมา “ยังพอได้”

แสงสว่างหายไป กุยวัวกลับสู่สภาพเดิม ก้มมองไปทางอี่ว์เทียนซี ตรงนั้นมีเพียงดินไหม้เกรียมสีดำ

กุยวัวส่งเสียงหึอย่างไม่พอใจ มีแสงสายฟ้าออกมาจากจมูก เหมือนไม่พอใจที่อี่ว์เทียนซีตายด้วยวิธีนี้ โดนมันฟันตายหรือเปล่า

ทันใดนั้น กุยวัวหันมาจ้องพวกลู่ฝาน

แววตาของกุยวัวมีความบ้าคลั่งขึ้นมาทันที

มนุษย์ พวกมนุษย์ที่สมควรตายอีกแล้ว

กุยวัวแผดเสียงออกมา พุ่งตรงเข้ามาหาพวกลู่ฝาน

ทุกที่ที่ตัวมันผ่านไป พื้นดินแตกกระจาย ฝุ่นตลบอบอวล

อู่คงหลิงมองกุยวัวที่ไล่ตามเข้ามาอย่างตกใจ ลืมไปว่าลู่ฝานจับมือเธออยู่

“ลู่ฝาน รีบทำให้มันออกไปสิ มันไล่ตามเข้ามาแล้ว”

มีเลือดตรงมุมปากลู่ฝาน รู้สึกว่าปราณชี่ในตัวพลุ่งพล่าน เขากัดฟันพูดว่า “คงไม่ได้ชั่วคราว หนี!”

ทั้งสามคนวิ่งหนีเข้าไปในป่าทึบอย่างสุดชีวิต ขืนอยู่ริมทะเลต่อ พวกเขามีเพียงความตายเท่านั้น

คำนวณพลาด ครั้งนี้คำนวณพลาดจริงๆ

ลู่ฝานก่นด่าในใจ ความคิดเดิมของเขาดีมาก ที่ให้กุยวัวไล่ตามอี่ว์เทียนซี

มีทักษะการหลบสัตว์อสูรอยู่ เขาสามารถสู้และถอยได้ตามใจ

แต่ตอนนี้ ทุกอย่างแพ้ให้กับสายฟ้ามหึมาของกุยวัว

ภายใต้แสงสายฟ้าอันน่ากลัว เขาไม่สามารถควบคุมม่านแสงหลบสัตว์อสูรได้อีก

ไอ้ปัญญาอ่อนอี่ว์เทียนซี ยิ่งทำให้เขาผิดหวัง ยอดฝีมือแดนปราณนอกขั้นสูงสุดผู้ยิ่งใหญ่

รับการโจมตีของกุยวัวไม่ได้สักกระบวนท่า

รู้สึก…..ไม่สามารถบรรยายได้จริงๆ!

หนีอย่างสุดชีวิต ลู่ฝานปล่อยมือที่จับอู่คงหลิง ถือกระบี่หนักไร้คมของตัวเองเอาไว้ในมือ

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรในตัวตะโกนว่า “เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ รีบหนี กุยวัวไล่ตามมาแล้ว โอ้ พระเจ้า ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่ ไม่รู้ว่ากว่าเจ้าของใหม่จะหาฉันเจอมันนานขนาดไหน!”

ลู่ฝานตะโกนว่า “ฉันรู้ว่าต้องรีบหนี แกไม่ต้องพูดมาก!”

อู่คงหลิงกับเจิงหยงมองลู่ฝานแวบหนึ่ง เขากำลังคุยกับใครอยู่

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 638
อี่ว์เทียนซีหันหลังวิ่งหนี ไม่กล้าลังเลแม้แต่น้อย เหมือนกุยวัวมีความแค้นฝังลึกกับเขา มันพุ่งเข้ามา สายฟ้ามากมายกระจายไปทั่ว ผ่ารอบๆ จนเละเทะ

ภาพอันยิ่งใหญ่ กำลังปรากฏอยู่ต่อหน้าลู่ฝานและคนอื่น ทุกคนเห็นแล้วอกสั่นขวัญแขวน

อู่คงหลิงถามว่า “คุณชายลู่ฝาน บอกฉันได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมกุยวัวไม่ไล่ตามพวกเรา แต่ไปไล่ตามอี่ว์เทียนซี”

ลู่ฝานพูดว่า “ง่ายมาก เพราะฉันทิ้งเครื่องหมายไว้กับอี่ว์เทียนซี เป็นเครื่องหมายที่ทำให้สัตว์อสูรไล่ตามเขาสุดชีวิต”

ลู่ฝานยกยิ้มมุมปาก หนึ่งในเหตุผลที่เขาไว้ชีวิตอี่ว์เทียนซี เพราะกะจะเอาอี่ว์เทียนซีมาเป็นโล่กันกระสุน ให้โดนกุยวัวไล่ตามเป็นสิ่งแรก

ตอนนี้ไม่ว่าพวกเขาจะหนีหรือต่อสู้ ก็มีเวลาเพียงพอ แย่สุดก็ยังได้ดูออกว่านักบู๊แดนปราณนอกขั้นสูงสุดแตกต่างกับกุยวัวเท่าไร

เครื่องหมายพวกนั้น คือผลงานเอกของเจดีย์เสวียนเก้ามังกร

เครื่องหมายปราณชี่ที่มีพิษรุนแรง ส่งกลิ่นหอมออกมาเหมือนดอกลำโพงสีขาวนวล

ทำให้สัตว์อสูรระดับต่ำล่าถอย แต่กลับทำให้สัตว์อสูรที่แข็งแกร่งบ้าคลั่ง

ตอนนี้ในแววตาของกุยวัว อี่ว์เทียนซีคือยาสมุนไพรรูปคนที่วิ่งได้

เครื่องหมายพิษรุนแรงชนิดนี้ มีแรงดึงดูดต่อสัตว์อสูรระดับสูงเป็นอย่างมาก จากที่เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูด “ส่วนที่เป็นพิษที่สุด ไม่ใช่พลังที่มันสามารถกัดกร่อนคนช้าๆ แต่มันทำให้คุณโดนกำจัดในป่าอย่างไม่รู้ตัว ถ้าไม่มีประโยชน์แบบนี้ ฉันไม่บันทึกเอาไว้หรอก เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ ฉันเคยได้ยินสือฟางพูดว่า ยาพิษที่มีพิษที่สุด ไม่ใช่ยาพิษที่ทำให้คนตายทันที แต่เป็นยาพิษที่ทำให้คนตายแบบไม่รู้สาเหตุ”

ลู่ฝานก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน

กุยวัวพุ่งไปหาอี่ว์เทียนซีอย่างบ้าคลั่ง จากพละกำลังของอี่ว์เทียนซี ไม่มีทางหลุดพ้นจากกุยวัวได้

ไม่นาน เขาจะโดนตามทันแล้ว

“ไอ้เวร แกไล่ตามฉันทำไม ทำไมต้องไล่ตามฉัน”

เสียงตะโกนของอี่ว์เทียนซี เหมือนหญิงสาวน่าสงสารที่โดนพวกนักเลงบีบบังคับตรงมุมกำแพง ตะโกนออกมาเพื่อความบริสุทธิ์ของตัวเอง

แต่ “นักเลง” กุยวัวไม่อธิบายใดๆ อ้าปากสูด ต้นไม้และเศษดินฝุ่นนับไม่ถ้วนลอยขึ้นมา

ไอ้หมอนี่ไม่เลือกกินเลย กินของพวกนี้เข้าไปด้วย

อี่ว์เทียนซีจับพื้นดินแน่น พลังปราณบนตัวต้านทานแรงดูดของกุยวัว เหมือนเปลวเทียนท่ามกลางสายลม ปลิวไปมาไม่มั่นคง

อ๊าก!

อี่ว์เทียนซีตะโกนออกมาอย่างบ้าคลั่ง

เขาพลิกฝ่ามือโจมตีไปทางกุยวัว

“ฉันจะสู้ตายกับแก หัตถ์เทพบังสวรรค์!”

ฝ่ามือขนาดใหญ่ค้างอยู่กลางอากาศ สูงขึ้นเรื่อยๆ ไม่นานก็ใหญ่ประมาณดวงตาของกุยวัว

พลั่ก!

ฝ่ามือโจมตีลงกลางตัวกุยวัวอย่างแม่นยำ

ตำแหน่งนี้ ถ้าเปลี่ยนเป็นคนทั่วไป น่าจะเป็น “ตำแหน่งสำคัญ”

ถ้าเป็นผู้ชาย เป็นจุดที่ทำให้ถึงแก่ชีวิตจุดที่สอง

แสงบนตัวกุยวัวกะพริบ เอวของมันหดลง

ลู่ฝานกับเจิงหยงเห็นภาพนี้ รู้สึกเสียวท่อนล่างเล็กน้อย

เจิงหยงพูดว่า “เขาเลือกที่โจมตีได้ดีมาก”

หลังจากนั้นกุยวัวส่งเสียงวัวร้องออกมาดังสนั่น ทันใดนั้น แสงบนตัวมันสว่างขึ้นมา

ลู่ฝานพูดอย่างตกใจ “ให้ตายเถอะ มันโมโหแล้ว ทุกคนหมอบลงบนพื้น!”

เสียงตะโกนของลู่ฝานทันเวลาพอดี ทุกคนหมอบลงกับพื้นทันที

สายฟ้าน่ากลัวเหมือนวงกลมขนาดใหญ่แผ่ขยายเป็นวงกว้าง

เสียงสายฟ้าดังสนั่น เสียงระเบิดดังเข้ามาในหูไม่หยุด

ตัวของอี่ว์เทียนซีโดนแสงสายฟ้าโถมใส่ เมื่อมองไปบนฟ้า รัศมีวงกลมหลายสิบลี้ทั้งชายฝั่ง โดนแสงสายฟ้ากวาดไปจนหมด เปลวไฟลุกโชนขึ้นมา

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 637
ปราณกระบี่โจมตีเข้ามา สีหน้าลู่ฝานเคร่งขรึม ยกมือปล่อยปราณชี่พุ่งออกไป

ทั้งสองพลังปะทะกัน เสียงระเบิดดังสนั่น

ความเคลื่อนไหวทางด้านนี้ เรียกความสนใจของกุยวัว ตาวัวขนาดใหญ่มองมาทางลู่ฝาน

ลู่ฝานตะโกนออกมาทันที “เข้ามาใกล้ฉัน”

อี้วเสี้ยวเอ๋อร์กับเจิงหยงได้ยิน รีบเข้ามาใกล้ทันที

ลู่ฝานจับมืออู่คงหลิงเอาไว้ มือนิ่มเหมือนไม่มีกระดูก ละเอียดอ่อนและเรียบเนียน

“นายทำอะไร”

อู่คงหลิงพูดด้วยความตกใจ

ทันใดนั้นพลังปราณบนตัวอู่คงหลิงสว่างขึ้น

ลู่ฝานตะโกนว่า “ไม่อยากตายก็อย่าขยับ”

เสียงตะโกนนี้แฝงไปด้วยความอาฆาตรุนแรง อู่คงหลิงอึ้งไปทันที

เจิงหยงพูดอย่างตกใจว่า “มันมาแล้วๆ”

กุยวัวเห็นพวกลู่ฝานแล้ว ก้าวขาข้างเดียวของมันเข้ามาใกล้พวกลู่ฝาน ลู่ฝานจับมืออี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์แน่น พูดกับเจิงหยงว่า “จับแขนฉันไว้ให้แน่น”

เจิงหยงรีบจับแขนลู่ฝานทันที อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์หน้าซีดเผือด แววตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

เหงื่อไหลลงมาจากหน้าผากเจิงหยง ตัวสั่นอย่างไม่สามารถควบคุมได้

อี่ว์เทียนซีหัวเราะเสียงดังอยู่ไม่ไกล “พวกนายไปได้แล้ว ไอ้ลู่ฝาน ฉันจะดูนายและผู้หญิงร้ายกาจคนนั้น กลายเป็นอึของกุยวัว ฮ่าๆ มันเดินเข้ามาแล้ว พวกนายหนีไม่พ้นแล้ว”

พูดพลาง อี่ว์เทียนซีถอยไปข้างหลัง ให้ร่างกายตัวเองเข้าไปอยู่ในป่าทึบ

เขาเชื่อว่ากุยวัวต้องกินพวกลู่ฝานก่อนแน่นอน เหตุผลง่ายมาก เพราะฝั่งลู่ฝานมีคนเยอะกว่าเขา นี่เป็นสัญชาตญานของสัตว์อสูรทุกตัว

แต่สิ่งที่ทำให้อี่ว์เทียนซีไม่เข้าใจนิดหน่อย ทำไมลู่ฝานถึงไม่มองเขาเลยสักนิด

เหมือนเรื่องที่เขาทำเมื่อกี้ ไม่ได้อยู่ในสายตาของลู่ฝาน

ตอนนี้ลู่ฝานปล่อยปราณชี่ของตัวเองออกมา

ปราณชี่ที่เหมือนกับม่านแสงใส ปกคลุมรัศมีสามสิบเมตรเอาไว้

ทันใดนั้น อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์ อู่คงหลิงและคนอื่น รู้สึกว่ารอบๆ ว่างเปล่า แม้แต่จะหายใจก็ยังทำไม่ได้

เสียงราบเรียบของลู่ฝานดังขึ้น

“อย่าส่งเสียง อย่าขยับ กลั้นหายใจเอาไว้ ตอนนี้มันไม่เห็นพวกเรา!”

แววตาเป็นประกาย ลู่ฝานจ้องกุยวัวที่กำลังเดินเข้ามา

กระบวนท่านี้คิดขึ้นมาในแดนมายา ใช้หลบการไล่ฆ่าของสัตว์อสูรได้ยอดเยี่ยมมาก

อาศัยลักษณะพิเศษของปราณชี่ที่สามารถทำให้ทุกสิ่งว่างเปล่า ลู่ฝานสามารถปิดกั้นพื้นที่ในรัศมีสามสิบเมตร

คนที่อยู่ภายในพื้นที่ เหมือนผี ไม่มีลมหายใจ แม้แต่เงาก็โดนบดบังไว้

ทักษะการบดบังเงา ล้วนได้ผลกับนักบู๊และผู้ฝึกชี่ ไม่ต้องพูดถึงสัตว์อสูรที่ความคิดตื้นเขินพวกนี้

เป็นไปตามคาด หลังเดินได้ไม่กี่ก้าว กุยวัวชะงักไป

เหมือนงงกับการหายตัวไปของพวกลู่ฝาน มันดูไม่เข้าใจ

แต่ทันใดนั้น จมูกของมันขยับสองครั้ง มันเจอเป้าหมายอีกแล้ว ตาวัวจ้องไปที่อี่ว์เทียนซี

ตอนกุยวัวหันมา อี่ว์เทียนซีอึ้งไป

ทำไมมันถึงมองมาทางฉันล่ะ

อี่ว์เทียนซีมองกุยวัวอย่างตกใจ รู้สึกเหมือนไอหนาวพุ่งมาจากทุกทาง ปกคลุมตัวเขาเอาไว้

ลู่ฝานมีรอยยิ้มตรงมุมปาก ดีมาก การวางแผนของเขาได้ผลแล้ว

อู่คงหลิงดูออกว่าผิดปกติ แม้เขาไม่รู้ว่าลู่ฝานทำยังไง ถึงทำให้กุยวัวไม่มาฆ่าพวกเขา แต่เธอดูออกว่าลู่ฝานเล่นงานอี่ว์เทียนซี

ต่อมากุยวัวก้าวเข้าไปหาอี่ว์เทียนซี เสียงวัวร้องดังขึ้น ลมพัดออกมาจากปากใหญ่ของกุยวัว จนอี่ว์เทียนซีเกือบปลิวออกไป

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 636
แต่ละก้าวทำให้พื้นดินสั่นสะเทือน แค่ไม่กี่ก้าวก็เดินจากทะเลขึ้นมาบนบก

ตอนนี้พวกสัตว์อสูรที่หมอบอยู่บนพื้น ยิ่งหวาดกลัวเข้าไปใหญ่

พวกมันขดตัวเป็นก้อนอยู่บนพื้น ตัวสั่นงันงก

กุยวัวมองพวกมันเหมือนเห็นมดฝูงหนึ่ง

เมื่ออ้าปากดูด ฝูงสัตว์อสูรลอยขึ้นมา เข้าไปในปากของมัน

เสียงร้องโอดครวญของสัตว์อสูรนานาชนิดดังสนั่น ลู่ฝานมองกุยวัวกินอาหารอย่างเงียบๆ

อู่คงหลิงพูดว่า “ลงมือตอนนี้เลยไหม ใช้โอกาสตอนกุยวัวกินอาหารลอบโจมตีมัน ถือว่าเป็นจังหวะที่ไม่เลว”

ลู่ฝานไม่พูดอะไรสักคำ เขาพอเดาถึงความแข็งแกร่งของกุยวัวได้แล้ว และเคยจินตนาการรูปร่างของกุยวัวเอาไว้ด้วย

แต่เมื่อเจอกุยวัวจริงๆ ลู่ฝานกลับรู้สึกว่าการจินตนาการของเขาคับแคบมาก

เห็นท่าทางกุยวัวกินอาหาร แค่สูดทีเดียว ก็เอาสัตว์อสูรขนาดประมาณคนสิบตัว เข้าไปในปากได้

ถ้าดูดคนเข้าไป คงไม่ทันได้เดินก็อาจโดนดูดเข้าไปได้ทันที

ยิ่งไปกว่านั้น พลังที่แข็งแกร่งที่สุดของกุยวัว ว่ากันว่าเป็นพลังสายฟ้า

วัวทำลายล้างโลก สายฟ้าทำลายล้างโลก

มองสายฟ้าที่เคลื่อนไหวบนท้องฟ้า สีขาว สีดำ สีแดง สีเทา ไม่มีสายฟ้าไหนที่เป็นแสงปกติ

สายฟ้าผิดปกติแบบนี้ แสดงถึงพลังที่ไม่ธรรมดา

ลู่ฝานแน่ใจว่าถ้าโดนสายฟ้าพวกนี้ผ่า ต้องทำให้พวกเขากลายเป็นเถ้าแน่นอน

ดูแสงสว่างจ้าบนตัวกุยวัว ให้ตายเถอะ นั่นใช่แสงธรรมดาหรือเปล่า เป็นแสงสายฟ้าคุ้มกันตัวขั้นสูงสุดชัดๆ

พวกเขาสู้สุดชีวิต ไม่รู้ว่าจะทำลายแสงสายฟ้าคุ้มกันตัวของมันได้หรือเปล่า

นักบู๊แดนปราณฟ้าถึงจะต้านทานวัวดุร้ายไร้เทียมทานได้

หมายเหตุ แค่ต้านทานเท่านั้น นักบู๊แดนปราณฟ้าอาจไม่สามารถฆ่ากุยวัวได้ก็ได้ โดยทั่วไปสัตว์อสูรระดับเดียวกัน จะแข็งแกร่งกว่าพวกนักบู๊หรือผู้ฝึกชี่ระดับเดียวกัน

พลังชีวิตแข็งแกร่งของสัตว์อสูรไม่ใช่เล่นๆ

ลู่ฝานสูดหายใจลึก แล้วพูดว่า “ไม่ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจัดการมัน เราแค่ยืนยันว่ามันปรากฏตัวที่นี่ก็พอแล้ว”

ลู่ฝานลูบแหวนตัวเอง ถามไอ้เก้าในใจไม่หยุด

มีค่ายกลอะไรที่ทำให้เขาต้านทานกุยวัวได้บ้าง

ใช่แล้ว จากพละกำลังของเขาในตอนนี้ ไม่มีทางเอาชนะกุยวัวได้เลย สิ่งเดียวที่สามารถพึ่งพาได้คือค่ายกลของไอ้เก้า

นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ลู่ฝานมั่นใจขนาดนี้ ผ่านการสอบผู้ตรวจการชั้นกลาง ที่คนอื่นไม่สามารถผ่านได้

ไอ้เก้าพยายามคิดสุดชีวิต พูดพึมพำว่า “เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ ถ้าสามารถทำให้ฉันฟื้นฟูได้สามสิบเปอร์เซ็นต์ แค่สามสิบเปอร์เซ็นต์ ฉันมั่นใจว่าจะกำราบสัตว์อสูรตัวนี้ได้ แต่ตอนนี้ ให้ตายเถอะ ดูยากหน่อย ค่ายกลนี้ไม่ได้ ค่ายกลขังมังกรก็ไม่ได้ ขอฉันคิดก่อน”

เจ้าดำขดตัวอยู่ด้านหลังลู่ฝาน ตอนนี้ขนาดเหมือนสุนัขทั่วไปแล้ว มันก็กลัวโดนกุยวัวเห็นเหมือนกัน

ทันใดนั้นเจ้าดำเห่าไปทางป่าทึบ

ลู่ฝานและคนอื่นมองไปทางป่าทึบทันที เห็นเงาของอี่ว์เทียนซี

รอยยิ้มชั่วร้ายบนใบหน้า จู่ๆ อี่ว์เทียนซีฟันกระบี่มาทางลู่ฝานอย่างแรง

“ตายซะเถอะ ลู่ฝาน!”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 635
เจดีย์เสวียนเก้ามังกรถอนหายใจออกมา เหมือนยังเศร้ากับเซียนสือฟาง

ลู่ฝานยังดูภาพเหตุการณ์ที่เซียนสือฟางให้เจดีย์เสวียนเก้ามังกรบันทึกเอาไว้อย่างเงียบๆ

ตู้ม!

จู่ๆ ผิวน้ำระเบิด

สายตาของทุกคนถูกดึงดูดไปทันที

ผิวน้ำไกลๆ มีน้ำกระเพื่อม คลื่นยักษ์สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

นี่เป็นสัญญาณก่อนที่สัตว์ประหลาดไร้เทียมทานจะออกมา

ลู่ฝานหยุดมองทันที แล้วตะโกนออกมาว่า “ถอยหลังๆ!”

ทุกคนรีบวิ่งไปด้านหลัง เจิงหยงคุ้มครองอี้วเสี้ยว์เอ๋อร์ถอยไปด้านหลัง

อู่คงหลิงกับลู่ฝานก็ถอยหลังเช่นกัน ตอนนี้บนฟ้ามีเสียงฟ้าร้องโครมคราม สายฟ้าสว่างไสวผ่าลงมาจากฟ้าไม่หยุด เหมือนกระบี่ยาวฟาดฟันลงมาบนผิวน้ำ

ลมพัด ฝนตก

ตอนนี้ฝนตกหนักขึ้นอีก เม็ดฝนที่ร่วงลงมาจากฟ้าเริ่มใหญ่และเป็นก่อตัวรูปร่าง เหมือนก้อนหินหล่นลงมากระแทกกับพื้น จนทำให้เกิดหลุม

แค่เม็ดฝน ก็ทำให้อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์ต้านทานไม่ไหวแล้ว

เจิงหยงปล่อยพลังปราณออกมา ช่วยอี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์ต้านทานไว้

ลมก็บ้าคลั่งขึ้น เหมือนจะฉีกคนให้ขาด

ต้นไม้เอนลงมาอีกทาง ลู่ฝานและคนอื่นยืนมองเงียบๆ อยู่ไม่ไกล

อยู่ดีๆ อู่คงหลิงก็ถามขึ้นมา

“อี่ว์เทียนซีล่ะ”

ลู่ฝานหันมามองแล้วพูดว่า “ไปทำอาหาร ยังไม่กลับมา”

ในแววตาอู่คงหลิงมีประกายประหลาดแวบขึ้นมา

คลื่นสูงขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นเสียงวัวร้องดังสนั่น

โฮก!

พื้นดินสั่นสะเทือน เมฆบนท้องฟ้าเหมือนโดนสั่นคลอนไป

ฟ้าร้องที่นับไม่ถ้วนผ่าลงพร้อมกัน ทันใดนั้น ท้องฟ้าถูกส่องสว่างเหมือนกลางวัน

จากนั้นมีวัวขนาดใหญ่โผล่ขึ้นมาจากน้ำ

ผิวน้ำถูกแยกออก วัวสีเทาสว่างขนาดใหญ่มหึมา

ตัวขนาดใหญ่ เหมือนภูเขาโผล่ขึ้นมาจากทะเล แสงสีเทาสว่างปกคลุมทั้งตัว สว่างเหมือนดวงจันทร์กับพระอาทิตย์

ตัวของมันเหมือนวัว แต่หัวคล้ายมังกร

มีแค่ตาเดียว แต่ขนาดใหญ่เหมือนห้อง

วัวตัวใหญ่น่ากลัวขนาดนี้ ลู่ฝานและคนอื่นเห็นแล้วช็อกไปเลย

พวกเขาต้องต่อสู้กับสัตว์อสูรน่ากลัวแบบนี้เหรอ

ถึงลู่ฝานที่สู้กับสัตว์อสูรต่างๆ นานาในแดนมายามาหนึ่งปี ก็ไม่เคยเจอสัตว์อสูรที่มีพลานุภาพแบบนี้

ทันใดนั้น ลู่ฝานรู้สึกหางตาตัวเองกระตุกเบาๆ

“พระเจ้า สัตว์อสูรระดับนี้ เราจะชนะได้ไหม”

เจิงหยงพูดออกมาอย่างตกใจ อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์เอามือปิดปากตัวเอง

จู่ๆ เธอรู้สึกว่าพลาดที่ตัวเองมาที่นี่ สัตว์อสูรไร้เทียมทานระดับนี้ เธอจะสู้กับมันได้ยังไง

อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์พูดพึมพำ “หนูน่าจะเชื่อคุณอา”

การแสดงออกของพวกลู่ฝาน อยู่ในสายตาของตาเฒ่าหลู่และตาเฒ่าจงทั้งหมด

ตาเฒ่าทำตัวยิ้มซะทีเจคอบกับคนอื่น ตอนนี้ทั้งสองคนหัวเราะอย่างมีความสุข

“ฮ่าๆๆๆ นายดูท่าทางหวาดกลัวของเด็กพวกนี้สิ พวกเขาจะตกใจจนฉี่ราดหรือเปล่า”

“วัวตัวเล็กตัวนี้ทำให้พวกเขาตกใจจนเป็นแบบนี้ แล้วถ้าพวกเขาเข้าไปในเขตสัตว์อสูรโบราณ จะไม่เป็นลมคาที่เลยเหรอ”

“ฉันว่าเป็นไปได้สูง นายพนันสิว่าในบรรดาเด็กพวกนี้ จะมีกี่คนกล้าสู้กับกุยวัว”

“สองคน นับเด็กคนนี้ไปหนึ่งคน แล้วก็ยัยเด็กผู้หญิงที่ดูแน่วแน่คนนั้นด้วย น่าจะพอใช้ได้”

ตาเฒ่าทั้งสองคนพยักหน้าเบาๆ ให้เงาของลู่ฝานกับอู่คงหลิง

มีเพียงอู่คงหลิงกับลู่ฝานที่นับว่ายังแน่วแน่ ตอนนี้เจิงหยงเอามือสองข้างกุมหัวแล้ว

ปึง! ปึง!

กุยวัวเริ่มเคลื่อนตัวแล้ว น้ำทะเลแยกออกจากกัน ขาข้างเดียวที่เหมือนกับเสาค้ำฟ้า เริ่มเคลื่อนตัวมาข้างหน้า

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 634
เมฆดำทะมึนท่วมเมือง

เมื่อกี้ท้องฟ้ายังแจ่มใสอยู่เลย จู่ๆ ก็มืดลงอย่างกะทันหัน

เสียงฟ้าร้องดังขึ้น ฝนตกลงมาอย่างหนัก

จู่ๆ ฟ้าดินท้องฟ้าเปลี่ยนสี ลู่ฝานและคนอื่นพากันถอยไปข้างหลัง

“สัตว์อสูรเยอะมาก พวกมันกำลังทำอะไร”

ลู่ฝานมองสัตว์อสูรพวกนี้ปรากฏตัวออกมาเป็นแถวอย่างเป็นระเบียบ จากนั้นหมอบลงริมทะเล

ท่าทางนอบน้อมของพวกมัน เหมือนมนุษย์บูชาเทพเจ้า

“นี่สัตว์อสูรระดับต่ำกำลังยอมแพ้ให้กับสัตว์อสูรระดับสูง หรือไม่ก็อุทิศตน”

อู่คงหลิงพูดช้าๆ หางตามีรอยยิ้ม

“อุทิศตนเหรอ”

ลู่ฝานไม่ค่อยเข้าใจ

อู่คงหลิงอธิบายว่า “พวกสัตว์อสูรที่แข็งแกร่ง ตอนพวกมันตื่นขึ้นและต้องการกินอาหาร พวกสัตว์อสูรระดับต่ำจำเป็นต้องรออยู่ตรงนั้น เรียงเป็นแถวให้มันกิน นี่เรียกว่าอุทิศตน ถ้าพวกมันไม่ทำแบบนี้ สัตว์อสูรที่แข็งแกร่งจะทำลายที่อยู่ของพวกมัน ดังนั้นพวกมันจึงอุทิศชีวิตตัวเอง เพื่อให้เผ่าพันธุ์ได้สืบทอดต่อไป นี่เรียกว่าอุทิศตน”

ลู่ฝานพูดอย่างราบเรียบว่า “น่าเศร้า”

อู่คงหลิงพูดว่า “น่าเศร้าจริงๆ แต่นี่คือความเศร้าของผู้อ่อนแอ มนุษย์ก็เหมือนกันไม่ใช่หรือไง”

ลู่ฝานขมวดคิ้วมองอู่คงหลิง “มนุษย์ก็เหมือนกันเหรอ เธอบอกว่ามนุษย์ก็ถวายชีวิตให้คนอื่นกินเหมือนกันเหรอ”

อู่คงหลิงเหมือนคิดอะไรได้ แววตาเปลี่ยนไปเล็กน้อย ลู่ฝานเห็นหางตาของเธอกระตุก

เหมือนนึกถึงเหตุการณ์น่าหวาดผวาขึ้นมาได้

ผ่านไปนาน อู่คงหลิงพูดว่า “คุณชายลู่ฝาน ถ้านายเป็นพวกเดียวกับฉัน งั้นนายควรรู้ว่าเรื่องแบบนี้มีเยอะมาก”

ลู่ฝานพูดว่า “น่าเสียดาย ฉันไม่ได้เป็นพวกเดียวกับเธอ”

อู่คงหลิงพูดว่า “คงงั้น แต่นายก็มีโอกาสเจอเหตุการณ์แบบนั้น เชื่อฉันสิ ความโหดเหี้ยมของมนุษย์ สัตว์อสูรไม่มีทางเทียบได้หรอก”

ลู่ฝานเงียบไป เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดว่า “เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ ฉันรู้เรื่องเกี่ยวกับความโหดเหี้ยมของผู้ฝึกวิชาชั่วร้ายมาเยอะ จะให้ฉันเล่าให้ฟังไหม ฉันฉายภาพเหตุการณ์ให้นายดูได้”

ลู่ฝานพูดในใจว่า “เหรอ ให้ฉันดูหน่อย”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรหัวเราะคิกคักแล้วพูดว่า “เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ ฉันรับรองว่าหลังจากดู นายจะมีความเข้าใจใหม่กับพวกมนุษย์บางส่วน”

พูดจบภาพต่างๆ ปรากฏขึ้นในหัวลู่ฝาน

ภาพพวกนี้เป็นเหตุการณ์ที่เจดีย์เสวียนมังกรเคยผ่านมากับเซียนสือฟาง

แม้ไม่รู้ว่าเจดีย์เสวียนเก้ามังกรเก็บสิ่งเหล่านี้ไว้ได้ยังไง แต่ลู่ฝานเห็นความทารุณนับไม่ถ้วน

เขาเห็นผู้ฝึกวิชาชั่วร้ายคนหนึ่ง กินหญิงสาวสองคนอย่างโหดเหี้ยมต่อหน้าคนที่บำเพ็ญเพียร

เห็นภาพที่ผู้ฝึกวิชาชั่วร้ายร้อยคนฆ่าทั้งเมือง

ศพเกลื่อนกลาด โหดเหี้ยมไร้ความปรานี เสียงหัวเราะดังสนั่น

ภาพเหตุการณ์เหล่านี้บาดตาลู่ฝาน แม้ดูเพียงครู่เดียว เขาก็มีความเข้าใจใหม่กับผู้ฝึกวิชาชั่วร้าย

คนบางส่วน ไม่สามารถเรียกว่าคนได้จริงๆ

เจดีย์เสวียนมังกรให้ลู่ฝานดูภาพ พลางพูดว่า “เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ ฉันจำเป็นต้องเตือนนาย คนส่วนหนึ่งในภาพเหล่านี้ คือคนที่พวกนายเรียกว่าผู้ฝึกวิชาชั่วร้าย ส่วนคนอีกส่วนหนึ่ง หึหึ เป็นนักบู๊หรือไม่ก็ผู้ฝึกชี่ของสำนักใหญ่”

ลู่ฝานอึ้งไป พูดในใจว่า “สำนักใหญ่เหรอ แกล้อเล่นหรือเปล่า พวกไหนเป็นคนของสำนักใหญ่”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดว่า “คนที่เข่นฆ่าทั่วเมือง แล้วก็คนที่ทำลายล้างทั้งตระกูลแล้วเก๊กท่า ล้วนเป็นคนของสำนักใหญ่ หนึ่งในนั้นคือสำนักเทพวิญญาณ ตอนนั้นสือฟางเคยบาดหมางกับพวกเขา จึงบักทึกภาพที่เขาเห็นเอาไว้ กะจะส่งให้ราชสำนักประเทศอู่อาน แต่น่าเสียดาย หึหึ คนดื้อรั้นอย่างสือฟางไม่มีทางเข้าใจเหตุผลที่ว่าผลประโยชน์เหนือกว่าชีวิตคน เฮ้อ……”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 633
อู่คงหลิงส่งสายตาหยาดเยิ้มให้ลู่ฝาน แล้วพูดว่า “คุณชายลู่ฝานจะคุยอะไร ฉันได้ทั้งนั้น คืนนี้ฉันยังสามารถไปพูดคุยกับคุณชายลู่ได้ด้วย”

ลู่ฝานมองเธออย่างราบเรียบ แววตานิ่งๆ ทำให้อู่คงหลิงรู้สึกว่าการแสดงออกของตัวเองน่าขำ รอยยิ้มบนใบหน้าชะงักไป

ลู่ฝานพูดว่า “คุณอู่คงหลิง ฉันคงไม่ต้องพูดถึงตัวตนของเธอมาก เธอกับฉันรู้ดีแก่ใจ ฉันแค่อยากถามประโยคเดียว ฉันสามารถให้เธอเป็นคนต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ได้ไหม หรือตอนนี้ฉันควรจัดการเธอก่อน แล้วค่อยไปต่อสู้ตัวต่อตัวกับกุยวัว”

อู่คงหลิงตอบว่า “ไม่ได้หรอก เพราะนายไม่เชื่อใจฉันสักนิด เพราะตัวตนของฉัน นายจึงไม่เชื่อคำพูดของฉันสักนิด ถึงตอนนี้ฉันบอกนายว่าฉันไม่มีทางทำเรื่องที่ทำร้ายนาย นายก็ไม่เชื่อฉันหรอก”

อู่คงหลิงมองลู่ฝานอย่างไม่ยอมอ่อนข้อ

ระหว่างที่ทั้งสองสบตากัน เหมือนมีประกายไฟพุ่งขึ้นมา

ทันใดนั้น ลู่ฝานพูดว่า “เธอพูดถูก งั้นเธอคิดว่าเราควรแก้ปัญหานี้ยังไง ฉันไม่อยากโดนแทงข้างหลัง ตอนที่ต่อสู้กับกุยวัวหรอกนะ”

อู่คงหลิงแววตาขบขัน “ฉันก็ไม่ชอบเหมือนกัน เอาแบบนี้ดีไหม คุณชายลู่ฝานสร้างสัญญาเป็นตายแห่งสวรรค์ขึ้นมา”

ลู่ฝานขมวดคิ้ว “สัญญาเป็นตายแห่งสวรรค์เหรอ นั่นเป็นสัญญาที่ใช้ตอนต่อสู้เป็นตายไม่ใช่เหรอ เธอจะไม่จบไม่สิ้นกับฉันเหรอ”

อู่คงหลิงพูดว่า “ถูกต้อง เป็นสัญญาที่ใช้ตอนต่อสู้เป็นตาย แต่เราสามารถกำหนดเวลาต่อสู้เป็นตาย หลังจากกลับไปได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ ฉันจะไม่สามารถลอบทำร้ายนายที่นี่ได้ เพราะมันผิดกฎของสัญญา ฉันจะโดนลงโทษจากสวรรค์”

ลู่ฝานรีบถามเจดีย์เสวียนเก้ามังกรในใจ “ไอ้เก้า มีวิธีสร้างสัญญาแบบนี้ด้วยเหรอ”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดว่า “ก็มีนะ แต่เธอทำแบบนี้ ถ้าออกไปก็เป็นการแบ่งแยกเป็นตายกับเจ้านายไม่ใช่เหรอ ผิดปกตินะ!”

เหมือนเห็นแววตาวูบไหวของลู่ฝาน อู่คงหลิงพูดว่า “หลังจากออกไป เราค่อยยกเลิกสัญญา”

“ยกเลิกสัญญาได้ด้วยเหรอ” ลู่ฝานถาม

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรกับอู่คงหลิงตอบพร้อมกันว่า “ได้!”

อู่คงหลิงพูดเสริมอีกว่า “แค่เราสองคนละทิ้งสัญญาก็ได้แล้ว”

สีหน้าลู่ฝานอึมครึมเล็กน้อย “งั้นถ้ามีคนไม่ยอมละทิ้งล่ะ”

อู่คงหลิงหัวเราะแล้วพูดว่า “คุณชายลู่ฝานกลัวฉันหรือไง ควรเป็นฉันที่กลัวคุณชายลู่ฝานจะฆ่าอย่างไม่สนใจอะไร แต่ฉันเชื่อว่าคุณชายลู่ฝานเป็นสุภาพบุรุษอยู่แล้ว”

พูดจบ อู่คงหลิงกัดปลายนิ้วแล้วยื่นมือออกมา

ลู่ฝานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายจึงยื่นแขนออกมา ปราณชี่กลายเป็นสายลม ปาดผิวจนแตก เลือดสดไหลออกมา

ฝ่ามือทั้งสองคนประสานกัน อู่คงหลิงพูดว่า “ฉันอู่คงหลิง หลังจากสามวันจะต่อสู้เป็นตาย ฟ้าดินเป็นพยาน”

ลู่ฝานพูดว่า “ฉันลู่ฝาน หลังจากสามวันจะต่อสู้เป็นตาย ฟ้าดินเป็นพยาน”

ทั้งสองคนพูดจบ เลือดสดรวมกัน แล้วหายไปในอากาศ

ออร่าลึกลับแผ่ขยายไปทั่ว นี่คือออร่าแห่งสวรรค์ที่ทำให้โลกหมุนไป ลู่ฝานยังไม่ทันสัมผัสอย่างละเอียด มันก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

อู่คงหลิงยิ้มแล้วพูดว่า “โอเค คุณชายลู่ฝาน ตอนนี้นายคงเชื่อฉันได้แล้ว เราเป็นเพื่อนร่วมรบกันแล้วใช่ไหม”

ลู่ฝานดึงมือกลับมาแล้วพูดว่า “เชื่อเธอชั่วคราว คุณอู่คงหลิง ห้ามทำเรื่องผิดทุกเรื่อง แม้ตอนนี้เราเป็นเพื่อนร่วมรบกันแบบกะทันหัน แต่ถ้าเธอทำเรื่องที่เป็นภัยต่อชีวิตฉัน หรือพวกเจิงหยงกับอี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์ ถึงฉันต้องสู้กับสวรรค์ ฉันก็จะฆ่าเธอ”

ความอาฆาตอันน่ากลัวออกมาจากตัวลู่ฝาน

ความอาฆาตอันน่ากลัว เหมือนมาจากมารนรก จู่ๆ ตัวอู่คงหลิงแข็งทื่อขึ้นมาทันที

นี่เป็นความอาฆาตที่มาจากการเข่นฆ่าเป็นพันเป็นหมื่นศพ เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ ความอาฆาตที่อู่คงหลิงเคยเจอ เป็นเพียงความอาฆาตของพวกนักเลงข้างถนนเท่านั้น

ลู่ฝานจ้องอู่คงหลิง ขณะนั้นอู่คงหลิงเงยหน้ามองฟ้า

“ฝนจะตกแล้ว!”

เมื่อพูดจบ มีเสียงฟ้าร้องดังมาจากไกลๆ

ในป่าทึบมีแรงสั่นสะเทือนอีกแล้ว ไม่ไกลมีฝูงสัตว์อสูรโผล่ออกมา หลังจากนั้นพากันหมอบลงบนพื้น

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 632
หลังผ่านไปหนึ่งวัน ในที่สุดพวกลู่ฝานก็เดินมาถึงปลายทาง ผ่านป่าทึบ ทะเลกว้างใหญ่สีครามปรากฏอยู่ในสายตา

“ไอ้เก้า แกคาดคะเนไม่ผิดจริงๆ ที่นี่เป็นเกาะแห่งหนึ่ง”

ลู่ฝานพูดในใจ

เขาเห็นชายหาดรูปครึ่งวงกลมแผ่ขยายกว้างออกไปสุดลูกหูลูกตา

อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์และคนอื่นเดินตามหลังลู่ฝาน เมื่อเห็นชายทะเล อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์พูดว่า “คุณชายลู่ฝาน ที่นี่จะมีกุยวัวไหม”

ลู่ฝานส่ายหน้าพูดว่า “ไม่รู้”

พูดพลาง ลู่ฝานมองไปทางเจ้าดำ สิ่งที่จะยืนยันว่าที่นี่มีอสูรร้ายหรือไม่ มีเพียงเจ้าดำเท่านั้น

ตอนนี้เจ้าดำดูระวังเป็นพิเศษ ตั้งแต่มาถึงชายหาด การกระทำของเจ้าดำดูไม่เป็นธรรมชาติมาก

เห็นท่าทางของเจ้าดำ ลู่ฝานพอยืนยันได้แปดสิบถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ พวกเขามาถูกที่แล้ว ถ้าที่นี่ไม่มีกุยวัว ลู่ฝานคิดว่าน่าจะมีสิ่งอื่น ที่ทำให้เจ้าดำกลัวได้ถึงขนาดนี้

เจ้าดำเห่าใส่ผิวน้ำสองครั้ง แม้เสียงดูทรงพลัง แต่ลู่ฝานฟังยังไงก็เหมือนเสียงสุนัขเห่า

เมื่อเงยหน้ามองฟ้า มีเมฆดำมากมายอยู่ไกลๆ เหมือนฝนกำลังจะตกหนัก

ฝนตกหนัก ฟ้าร้อง เสียงวัวร้อง!

ลู่ฝานละสายตาออกมา มองผิวน้ำนิ่งสงบ มีอะไรอยู่ในใจ

ลู่ฝานหันมามองทุกคนแล้วพูดว่า “เรารออยู่ที่นี่กันเถอะ”

อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์พยักหน้าเบาๆ เจิงหยงถามว่า “รอที่นี่เหรอ รออะไร”

ลู่ฝานตอบว่า “รอฝนตก”

เจิงหยงสีหน้างุนงง แต่อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์กับอู่คงหลิงเข้าใจ

ขนาดคนที่ก้มหน้าตามทุกคนมาอย่างอี่ว์เทียนซี ยังพยักหน้าเห็นด้วยเบาๆ

เจิงหยงยืนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็พูดอย่างเข้าใจว่า “อ้อ คุณชายลู่ฝาน นายหมายถึงกุยวัว ผมเข้าใจแล้ว!”

เจิงหยงหัวเราะเยาะตัวเองสองครั้ง แล้วเริ่มทำงาน

ทุกคนสร้างเต็นท์ใบไม้อยู่ริมฝั่ง

ได้ลู่ฝานชี้แนะให้หนึ่งครั้ง อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์กับเจิงหยงสร้างเต็นท์ได้เร็วมาก

อู่คงหลิงกับอี่ว์เทียนซียืนอึ้งอยู่ข้างๆ มองการกระทำของพวกลู่ฝาน เวลาสั้นๆ เพียงวันเดียว ลู่ฝานแสดงสิ่งที่พวกเขาไม่สามารถเข้าใจได้ต่อหน้าพวกเขามากมาย

อย่างเช่น ลู่ฝานหลบฝูงสัตว์อสูรเป็นกองทัพแบบนั้นได้ยังไง ทำไมเจ้าดำทำอาหารได้ อีกทั้งยังอร่อยมากด้วย

สิ่งที่ลู่ฝานทำให้ทั้งสองคนตกใจ แทบจะทำให้ทั้งสองคนด้านชาไปแล้ว

โดยเฉพาะอู่คงหลิง เธอรู้สึกเสียใจว่าทำไมตอนนั้นถึงตามอี่ว์เทียนซีไปตั้งวันหนึ่ง ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เสียเวลาไปหนึ่งวัน ยังทำให้เธอลำบากตั้งหนึ่งวัน

ถ้ามากับลู่ฝานแต่แรก คงไม่มีเรื่องบ้าบอเกิดขึ้นหรอก

เมื่อเห็นเต็นท์ใบไม้งดงามสามหลังสร้างขึ้นมา อู่คงหลิงก็อดไปทำด้วยไม่ได้ เลียนแบบสิ่งที่คนอื่นทำ เต็นท์ที่อู่คงหลิงสร้างออกมาถือว่าใช้ได้

ส่วนเต็นท์ที่อี่ว์เทียนซีสร้างออกมาน่าเกลียดมาก แต่เขาไม่สนใจ พูดกับลู่ฝานอย่างถ่อมตัวว่า “เจ้านาย ผมจะไปทำอาหารให้ท่าน”

ลู่ฝานพยักหน้าเบาๆ มองอี่ว์เทียนซีเดินออกไปอย่างนอบน้อม

อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์พูดว่า “คุณชายลู่ฝาน นายคงไม่ได้เชื่อเขาจริงๆ ใช่ไหม คนแบบนี้คงไม่จงรักภักดีกับใคร เพียงเพราะคำสาบานเดียวหรอก”

ลู่ฝานพูดว่า “คุณเสี้ยวเอ๋อร์ ผมรู้ว่าควรทำยังไง เชื่อผม ร่างกายของเธอฟื้นฟูเป็นยังไงบ้าง”

อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์พูดว่า “ก็ดีค่ะ ไม่มีอุปสรรคอะไร แค่ไม่มีพลังปราณ ต่อสู้ไม่ได้ แต่ได้เห็นการต่อสู้ของคุณชายลู่ฝานกับกุยวัวด้วยตาตัวเอง ฉันก็พอใจมากแล้ว”

ขณะนั้นเจิงหยงยื่นหน้าเข้ามา “คุณชายลู่ฝาน เมื่อถึงตอนนั้นถ้าผมช่วยอะไรได้ รีบบอกได้เลยนะครับ”

ลู่ฝานพยักหน้าพูดว่า “มีจริงๆ นายดูแลคุณเสี้ยวเอ๋อร์ให้ดีได้ไหม”

เจิงหยงอึ้งเล็กน้อย “คุณชายลู่ฝาน นี่……”

ลู่ฝานพูดว่า “ไม่สะดวกเหรอ วางใจเถอะ ฉันไม่ให้นายดูแลฟรีๆ หรอก นายเอายาขวดนี้ไป”

ลู่ฝานโยนยาให้เจิงหยงหนึ่งขวด

เจิงหยงรับยามาด้วยความตกตะลึง

ทันใดนั้น เจิงหยงยิ้มแหย “เอาของคนอื่นมาก็ต้องช่วยคนอื่น คุณชายลู่ฝาน ผมจะปกป้องคุณเสี้ยวเอ๋อร์อย่างดีแน่นอน”

ลู่ฝานอมยิ้มแล้วพยักหน้า

ลู่ฝานหันหลังเดินไปทางอู่คงหลิง

ลู่ฝานเดินอย่างรวดเร็วมาข้างอู่คงหลิง แล้วพูดเนิบๆ ว่า “คุณอู่คงหลิง คุยกันหน่อยได้ไหม”

บทที่ 631

บทที่ 633

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 631
“แล้วแต่เลย สรุปว่าฉันต้องการควบคุมความเป็นตายของเขา”

ลู่ฝานใบหน้าราบเรียบ ดวงตาเป็นประกายเย็นชา

“ไม่มีปัญหา เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ นายแค่วางฝ่ามือลงบนหัวเขาก็พอแล้ว”

ลู่ฝานค่อยๆ ยื่นมือออกไป วางลงบนหัวของอี่ว์เทียนซี

การกระทำนี้เหมือนรับความจงรักภักดีของทาสเอาไว้ ลู่ฝานพูดว่า “สาบานสิคุณชายอี่ว์ สาบานว่าจะภักดีกับฉัน ฉันจะไว้ชีวิตนายชั่วคราว”

เมื่อพูดแบบนี้ พลังประหลาดเข้าไปในสมองอี่ว์เทียนซีแล้ว

พลังเย็นยะเยือก ไม่ได้ทำให้อี่ว์เทียนซีสัมผัสอะไรได้เลย แทรกซึมเข้าไปในสมองและเส้นลมปราณของเขา

อี่ว์เทียนซีสั่นงันงกแล้วพูดว่า “ผมสาบานด้วยชีวิต จะจงรักภักดีกับคุณชายลู่ฝาน ถ้าผมทรยศ จะไม่ตายดี”

พูดพลางอี้ว์เทียนซียกมือชี้ขึ้นฟ้า ยังคงก้มหน้าอยู่

ลู่ฝานยิ้มบางๆ ไม่ตายดีงั้นเหรอ

งั้นนายคงได้สมหวังจริงๆ แล้วล่ะ!

ทั้งหมดเมื่อวาน ลู่ฝานเก็บปราณชี่ที่จะพุ่งเข้าไปในตัวอี่ว์เทียนซีกลับมา

เมื่อไม่มีปราณชี่พวกนี้ อี่ว์เทียนซีสามารถฝึกพลังของตัวเองกลับมาได้

อี่ว์เทียนซีพรูลมหายใจออกมา แล้วยืนขึ้น

ลู่ฝานขี้เกียจมองเขา หันมาลูบหัวใหญ่ๆ ของเจ้าดำ แล้วหันไปพูดกับอี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์ว่า “ไปกันเถอะ เรายังมีภารกิจ”

อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์ขมวดคิ้วพูดว่า “คุณชายลู่ฝาน ฉันคิดว่าแบบนี้ไม่เหมาะสม”

ลู่ฝานยิ้มบางๆ ไม่ได้ให้คำตอบ

เจิงหยงหัวเราะออกมา “คุณชายลู่ฝาน เหมือนพละกำลังของนายยกระดับขึ้นอีกแล้ว ถึงนายไม่ผ่านการทดสอบของอริยปราชญ์สวรรค์บันดาล แต่เขาก็มอบความโชคดีให้นายอยู่ดี”

ลู่ฝานยิ้มแล้วพยักหน้า ความโชคดีงั้นเหรอ

คงงั้นมั้ง!

ลู่ฝานยิ้มแล้วลูบแหวนบนนิ้ว

มุกเทพมังกรทำลายล้างด้านใน ยังขยับไปมาอย่างแรง เหมือนจะหนีออกมาจากแหวนของลู่ฝาน

แต่ภายใต้การควบคุมของเจดีย์เสวียนเก้ามังกร การดิ้นรนของมันไม่ได้ช่วยอะไรเลย

ลู่ฝานพูดในใจว่า “ไอ้เก้า แกว่าจะจัดการมุกเม็ดนี้ยังไง นายจะกลืนกินมันไหม”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดว่า “ถ้ากลืนกินได้ก็ดีมาก แต่ถ้าให้เจ้าดำกินมุกเม็ดนี้ ก็ไม่เลวเหมือนกัน ไม่แน่อาจทำให้มันกลายเป็นมังกรยักษ์อย่างแท้จริงก็ได้”

ลู่ฝานพูดอย่างดีใจ “มุกเม็ดนี้ช่วยเจ้าดำได้เหรอ ช่วยยังไง ให้มันกลืนลงไปเลย หรือดูดพลังด้านในออกมา”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดว่า “รอฉันทำลายสติปัญญาของมุกเม็ดนี้ก่อน แล้วค่อยให้เจ้าดำกิน อ้อ เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ เหมือนฉันเห็นเจ้าดำตัวใหญ่ขึ้น”

ลู่ฝานหัวเราะออกมา เสียงหัวเราะของเขาทำให้อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์กับเจิงหยงมองเขาอย่างสงสัย รู้สึกงุนงง

ลู่ฝานพูดในใจต่อ “ไอ้เก้า ทำไมครั้งนี้แกไม่โวยวายจะกินเองล่ะ แต่เป็นฝ่ายเอามุกนี้ให้เจ้าดำ นี่ไม่ใช่แกเลย”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรหัวเราะคิกคักแล้วพูดว่า “เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ มุกเทพมังกรทำลายล้างเม็ดเดียวเอง อันที่จริงมันไม่มีประโยชน์กับฉันเท่าไร เป็นแค่มุกที่มีพลังเต็มเปี่ยม ยังเทียบไม่ได้กับกระบี่ที่มีสติปัญญา แต่มีประโยชน์กับเจ้าดำมาก แค่นายบอกเจ้าดำว่าฉันให้มัน ต่อไปถ้ามันกลายเป็นมังกรยักษ์ ให้ของดีๆ กับฉันเยอะๆ นายก็รู้นิ มังกรยักษ์มีสัญชาตญาณในการเก็บสมบัติล้ำค่า ความสามารถในการโกยของมีค่าของมัน เรียกได้ว่า……อิอิ!”

ลู่ฝานหมดคำจะพูด ที่แท้หวังผลระยะยาวนี่เอง

ลู่ฝานหันมาลูบหัวเจ้าดำ “เจ้าดำ แกอยากตัวใหญ่ขึ้นไหม”

เจ้าดำมองลู่ฝานอย่างสงสัย กะพริบตาปริบๆ

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 630
ลู่ฝานไม่สนใจคำเยินยอของไอ้เก้า ไอ้หมอนี่พูดแบบนี้ ไม่มีอะไรนอกจากเห็นความสามารถอันน่ากลัวของการผลักดันปราณชี่ แค่รู้สึกกลัวขึ้นมาเท่านั้น

ขณะนั้นเจ้าดำเดินเข้ามา มองอี่ว์เทียนซีด้วยสายตาดูหมิ่น

อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์ที่สามารถเดินได้แล้ว เดินเข้ามากับเจิงหยง

อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์พูดว่า “คุณชายลู่ฝาน นายจะฆ่าเขาเหรอ”

ลู่ฝานหันไปจ้องอู่คงหลิง แล้วพูดว่า “ไม่ ผมไม่ได้จะฆ่าเขา อย่างน้อยตอนเราเจอกุยวัว เขาสามารถเป็นเหยื่อได้”

เมื่อได้ยินคำพูดของลู่ฝาน อี่ว์เทียนซีชักอย่างรุนแรงอีกครั้ง

อู่คงหลิงเดินเข้ามา มองอี่ว์เทียนซีด้วยท่าทางเย่อหยิ่ง “สวะ มีค่าอะไรให้อยู่ต่อ คุณชายลู่ ฉันแนะนำให้นายฆ่าเขาเลย เลี่ยงไม่ให้เขาสร้างความวุ่นวายให้นายในช่วงเวลาสำคัญ”

ลู่ฝานพูดว่า “ฉันไม่คิดแบบนั้น เขาจะสร้างวุ่นวายอะไรได้อีก ใช่ไหมอี่ว์เทียนซี คุณชายอี่ว์!”

ลู่ฝานพูดพลาง กดมือข้างหนึ่งลงบนหัวอี่ว์เทียนซี ทำให้ปราณชี่ในตัวเขาสงบลง

ตอนนี้ในเส้นลมปราณตันเถียนของอี่ว์เทียนซีว่างเปล่า พลังผลักดันปราณชี่ก็สมบูรณ์แบบจริงๆ ไม่เหลือพลังปราณให้อี่ว์เทียนซีสักนิด ขับออกจากร่างกายจนหมด

อ่อนแอและทรมาน อี่ว์เทียนซีหยุดชักแล้ว

ตอนนี้อี่ว์เทียนซีหมอบอยู่ข้างหน้าลู่ฝาน เหมือนสุนัขตัวหนึ่ง

“คุณชายลู่ฝาน ผมไม่กล้าไร้มารยาทกับท่านอีกแล้ว ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ผมเป็นทาสผู้ต่ำต้อยของท่าน ได้โปรดไว้ชีวิตผมด้วย”

อี่ว์เทียนซีพูดพลางคลานมาข้างหน้า จูบลงบนหน้าเท้าลู่ฝาน

เขาก้มหน้าไม่ให้ลู่ฝานเห็นดวงตาของเขา ดวงตาที่เต็มไปด้วยความชั่วร้าย ดวงตาที่มีความแค้นและบ้าคลั่ง

ลู่ฝานขมวดคิ้วเบาๆ อี่ว์เทียนซีเหนือความคาดหมายของเขาจริงๆ

งอได้ยืดได้!

อู่คงหลิงมองอี่ว์เทียนซีที่เหมือนสุนัข ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดระแวง มีแสงสว่างขึ้นบนฝ่ามือ

เธอเกิดมาจากการฝึกฝนชั่วร้าย รู้ว่าคนที่สามารถยอมทิ้งศักดิ์ศรีได้ทุกเมื่อ ขอแค่มีชีวิตรอด มันน่ากลัวขนาดไหน

คนแบบนี้จะปล่อยเอาไว้ไม่ได้ ต้องฆ่าให้ตายทันที

ไม่งั้นหายนะไม่รู้จบ

อู่คงหลิงกำลังจะพูดเตือนลู่ฝาน แต่กลับเห็นลู่ฝานมองตัวเองด้วยสีหน้าหวาดระแวง มีพลังทะลักขึ้นมาบนตัว

อู่คงหลิงเข้าใจทันทีว่าเจตนาฆ่าที่เธอเผยออกมา ถูกลู่ฝานสังเกตเห็นแล้ว

เธออ้าปาก ไม่ได้พูดอะไรออกมา เพราะเธอรู้ว่าพูดอะไรออกมาตอนนี้ ลู่ฝานไม่มีทางเชื่ออยู่แล้ว

อู่คงหลิงถอยหลังและเก็บเจตนาฆ่าของตัวเองเอาไว้

ลู่ฝานละสายตาออกมา ตอนนี้เขาไวต่อเจตนาฆ่าเป็นพิเศษ

มองอี่ว์เทียนซีอีกครั้ง ลู่ฝานตัดสินใจได้ว่าไม่ควรปล่อยคนคนนี้ไว้

แต่ฆ่าเขาตอนนี้ก็ดูโง่เกินไป ลู่ฝานมีวิธีที่ดีกว่านั้น

“ไอ้เก้า แกสามารถวางยาพิษในตัวคนอื่นใช่ไหม ยาพิษที่แค่กระตุ้นก็สามารถฆ่าอีกฝ่ายได้”

ลู่ฝานถามในใจ

เมื่อได้ยินว่าฆ่าคน ไอ้เก้ากระตือรือร้นขึ้นมาทันที รีบพูดว่า “ใช่ๆ เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ นายจะวางยาพิษในตัวเขาเหรอ ฉันมีให้นายเลือกหลายสิบวิธีเลย นายจะให้เขาตายแบบไหน ตายแบบเลือดออกเจ็ดทวาร หรือตายแบบเหลวเป็นโคลน หรือว่าจะเอาเป็นดิ้นรนอย่างทรมานเจ็ดวัน สัมผัสกับการที่ร่างกายตัวเองโดนกัดกินทีละนิด แล้วก็ตายไป”

ลู่ฝานได้ยินก็ขนลุก ทำไมมีวิธีการตายที่โหดเหี้ยมเยอะขนาดนั้น

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 629
ผงพิษเริ่มกระจายไปทั่ว ลู่ฝานยกมือขึ้นมา เงาของเจดีย์เสวียนเก้ามังกรสว่างขึ้น จากนั้นลมเย็นพัดไปมา ผงพิษทั้งหมดถูกลู่ฝานดูดเข้ามาในมือจนหมด

ผงพิษเหล่านี้เพิ่งเข้าสู่ตัวลู่ฝาน ก็ถูกเจดีย์เสวียนเก้ามังกรแปรเปลี่ยนเป็นพลังที่สามารถดูดซึมได้

สำหรับคนอื่นมันเป็นผงพิษอันตรายถึงชีวิต แต่สำหรับลู่ฝาน เหมือนฤทธิ์ของยาเท่านั้น

ไม่นาน ลู่ฝานดูดผงพิษจนหมดต่อหน้าอี่ว์เทียนซี

อี่ว์เทียนซียืนอยู่ตรงนั้น เหงื่อแตกเหมือนฝนตก

วิชาชิงวิญญาณของลู่ฝาน โจมตีตอนอี่ว์เทียนซีไม่ทันตั้งตัว ตอนนี้อี่ว์เทียนซีกำลังสัมผัสกับความเจ็บปวดของสมองที่ใกล้จะระเบิด

ลู่ฝานเดินช้าๆ มาตรงหน้าอี่ว์เทียนซี จากนั้นซัดหมัดลงบนอกอี่ว์เทียนซี

ปราณชี่ไหลตามเส้นลมปราณของอี่ว์เทียนซีไปทั่วร่างกาย ลู่ฝานใช้โอกาสนี้ทดสอบทักษะที่เขาเพิ่งเรียนได้ นั่นก็คือเอาปราณชี่ที่มีพลังผลักดันไม่สิ้นสุดของตัวเอง ใส่เข้าไปในเส้นลมปราณของศัตรู จะมีความรู้สึกอย่างไร

ปราณชี่อันแข็งแกร่งเริ่มอาละวาดในตัวอี่ว์เทียนซีอย่างบ้าคลั่ง

ภายใต้การควบคุมของลู่ฝาน ปราณชี่พวกนนี้บ้าคลั่ง โหดเหี้ยม พวกมันฟาดฟันพลังปราณของอี่ว์เทียนซีอย่างไม่ปรานีจนกระจัดกระจาย

ด้านความแข็งแกร่งของพลัง บนโลกนี้คงไม่มีใครสู้ลู่ฝานได้

พลังปราณบริสุทธิ์ หรือไม่ก็พลังชี่ จะสู้กับปราณชี่ได้ยังไง

โดยเฉพาะตอนนี้อี่ว์เทียนซีไม่สามารถควบคุมพลังของตัวเองได้ วิชาชิงวิญญาณของลู่ฝานถูกปล่อยออกมาเรื่อยๆ

ตอนนี้การควบคุมพลังวิญญาณของลู่ฝาน เกือบถึงระดับที่เรียกว่าจุดสูงสุดของความสมบูรณ์แบบ

ลู่ฝานสามารถทำได้แม้กระทั่งการเอาพลังวิญญาณส่วนหนึ่งกับปราณชี่ รวมกันขึ้นมาใหม่อีกครั้ง

ภายใต้การใช้งานวิชาเทพไร้ขีดจำกัด พลังวิญญาณกับปราณชี่สามารถรวมเป็นหนึ่งได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ลู่ฝานเชื่อว่าอีกไม่นาน ปราณชี่ของเขาจะสืบทอดลักษณะพิเศษของพลังวิญญาณ

เมื่อถึงตอนนั้น ปราณชี่ของเขาจะแทนที่พลังวิญญาณอย่างสมบูรณ์

อีกทั้งเขาไม่จำเป็นต้องใช้วิชาชิงวิญญาณอีก หรือเจอพวกเคล็ดวิชาคลื่นเสียง วิชาที่โจมตีสมองและวิญญาณ แปรเปลี่ยนเป็นพลังอย่างเต็มที่

ในการต่อสู้แบบเฉียดตายหนึ่งปีเต็ม ลู่ฝานเข้าใจเหตุผลข้อหนึ่ง

การแปรเปลี่ยนเป็นสิ่งสิ้นเปลือง การแปรเปลี่ยนแต่ละครั้ง ล้วนสิ้นเปลืองพลังไม่มากก็น้อย

แม้มันจะน้อยมาก แต่เมื่อแปรเปลี่ยนเยอะ การสูญเสียอาจถึงขั้นที่สามารถปล่อยกระบวนท่าออกมาได้หนึ่งครั้ง

ส่วนการอยู่ในสถานการณ์เป็นตาย การปล่อยพลังหรือโอกาสในการปล่อยกระบวนท่าออกมา อาจทำให้มีชีวิตรอด

ด้วยเหตุนี้ ลู่ฝานจึงเลือกเอาลักษณะพิเศษของพลังรวมเข้าไปในปราณชี่

อีกทั้งเขาจะไม่ทดสอบโดยการเอาปราณชี่แปรเปลี่ยนเป็นพลังปราณบริสุทธิ์ เพื่อช่วยให้ระเบิดออกมา

เพราะตอนนี้การระเบิดปราณชี่ของเขา ไม่ได้ด้อยแต่กลับแข็งแกร่ง เดิมทีเขาขาดแค่วิธีการระเบิดมันออกมา แต่หลังจากเขาใช้ยอดกระบี่หวนคืน เขาก็พบวิถีนี้

ไม่นาน อี่ว์เทียนซีฝืนไม่ไหว

การไหลของพลัง เส้นลมปราณและร่างกายพังทลาย เหมือนจะทำลายความมุ่งมั่นของเขา

“อ๊าก!”

เสียงร้องโอดครวญดังขึ้น อี่ว์เทียนซีล้มลงบนพื้น

พลังปราณของลู่ฝาน เหมือนดาบคมนับไม่ถ้วนอาละวาดอยู่ในตัวเขา

อี่ว์เทียนซีนอนแผ่หลาอยู่บนพื้น ชักอย่างรุนแรง มีฟองขาวตรงมุมปาก

ลู่ฝานมองท่าทางทรมานของอี่ว์เทียนซี แล้วยิ้มบางๆ

“ผลถือว่าใช้ได้!”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรในตัวลู่ฝาน พูดอย่างนอบน้อมว่า “เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ นายเจอวิธีการใช้พลังแบบใหม่อีกแล้ว เหมือนฉันเห็นคุณก้าวไปสู่เส้นทางของเทพเจ้า ก้าวออกไปอย่างแข็งแกร่งมั่นคง……”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 628
การฝ่าฟันอุปสรรคแบบเฉียดตายมานับไม่ถ้วน ทำให้ลู่ฝานเกิดความเคยชินในการคำนวณความเสียหาย รวมไปถึงระดับความเชี่ยวชาญการใช้ปราณชี่ของตัวเอง

ตอนไหน องศาไหน ที่สามารถใช้ปราณชี่น้อยที่สุด แต่สามารถสร้างความเสียหายได้มากที่สุด

สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่คนอื่นไม่สามารถสอนได้

มันจะกลายเป็นสัญชาตญาณ หลังจากที่ตัวเองต่อสู้มาอย่างนับครั้งไม่ถ้วน

และเมื่อกลายเป็นสัญชาตญาณ ระดับวิทยายุทธอะไรที่ว่า มีโอกาสชนะครึ่งหนึ่งแล้ว เว้นแต่จะสู้ข้ามแดน

นักบู๊แดนปราณนอกขั้นต้นมีสัญชาตญาณแบบนี้ สามารถประลองฝีมือกับนักบู๊แดนปราณนอกชั้น 6-7 ได้เลย

อีกทั้งถ้านักบู๊แดนปราณนอกชั้น 6-7 คนนั้น เหมือนพวกคุณชายเมืองตงหวา ให้ความสำคัญแค่กระบวนท่าที่งดงาม ไม่มีประสบการณ์ในการต่อสู้มากเท่าไร คนเดียวซัดพวกเขาสองสามคนก็ไม่ใช่ปัญหา

อู่คงหลิงที่อยู่ข้างๆ มองอี่ว์เทียนซีที่โดนซัดอย่างตกตะลึง

เธอเคยสู้กับลู่ฝาน รู้ดีว่าพละกำลังของลู่ฝานเป็นอย่างไร จากการพิจารณาของเธอ พละกำลังของอี่ว์เทียนซี น่าจะทัดเทียมกับลู่ฝาน ถึงมีความแตกต่าง ก็ไม่น่าจะมาก อย่างน้อยก็ไม่ควรโดนลู่ฝานซัดแบบนี้

เหตุผลที่เธออยู่กับอี่ว์เทียนซีก็เพราะเหตุผลนี้ มีอี่ว์เทียนซีคอยเป็นโล่กันกระสุนอยู่ เธอจึงไม่ค่อยกลัวว่าลู่ฝานจะทำให้ลำบากใจ

เพราะเธอเตรียมจะ……

ความคิดต่างๆ วนเวียนในหัว จู่ๆ อู่คงหลิงรู้สึกว่าตัวเองเสียเวลาไปหนึ่งวันเต็มๆ

ให้ตายเถอะ ไอ้โง่อี่ว์เทียนซี ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของลู่ฝาน

แค่สามกระบวนท่าของลู่ฝาน เขาก็ทนไม่ไหวแล้ว!

อี่ว์เทียนซีที่ล้มอยู่บนพื้นยืนโงนเงนขึ้นมา แววตาของเขาตกตะลึง

ความแข็งแกร่งของลู่ฝานเหนือความคาดหมายของเขา

อี่ว์เทียนซีรู้สึกว่ามือตัวเองสั่นเล็กน้อย ตอนนี้ลู่ฝานหันมามองอี้ว์เสี่ยวเอ๋อร์ “คุณเสี้ยวเอ๋อร์ ถ้าผมฆ่าเขาที่นี่ จะเกิดปัญหาหรือเปล่า”

คำพูดของลู่ฝานเหมือนกระบี่ปักลงบนใจอี่ว์เทียนซี

อี่ว์เทียนซีหน้าซีดเผือดทันที

อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์คิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “ขอโทษด้วยคุณชายลู่ฝาน ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่สิ่งที่ยืนยันได้คือ ถ้าเขาตาย ตระกูลอี่ว์ไม่ปล่อยนายไว้แน่”

ลู่ฝานหัวเราะเบาๆ “ตระกูลอี่ว์เหรอ ถึงพวกเขาไม่มาหาผม ผมก็จะไปหาพวกเขาเอง”

อู่คงหลิงพูดออกมาว่า “คุณชายลู่ฝาน ฉันตอบคำถามนายได้”

ลู่ฝานมองอู่คงหลิงด้วยสายตาประหลาด

อู่คงหลิงยิ้มแล้วพูดว่า “ฉันเข้าใจการสอบผู้ตรวจการชั้นกลางเป็นอย่างดี เชื่อฉันสิ คุณชายลู่ฝานฆ่าเขา ไม่มีใครว่าอะไรแน่นอน เพราะการสอบผู้ตรวจการชั้นกลาง ความอันตรายสูงมาก คนตายเป็นเรื่องปกติ”

อู่คงหลิงยิ้มแล้วมองอี่ว์เทียนซีแวบหนึ่ง คำพูดของเธอทำให้อี่ว์เทียนซีหน้าเปลี่ยนสี

ทันใดนั้น อี่ว์เทียนซีตะโกนว่า “คุณอู่ ทำไมเธอทำกับผมแบบนี้”

แววตาอู่คงหลิงเย็นชา เหมือนกำลังมองคนตาย

ลู่ฝานครุ่นคิดคำพูดของอู่คงหลิง

ขณะนั้น อี่ว์เทียนซีเอายาออกมาอีกหนึ่งขวด ปาลงบนพื้นทันที

“อยากให้ฉันตาย พวกนายตายก่อนเถอะ”

ผงยาพิษลอยฟุ้งอย่างรวดเร็ว ผงสีเขียวเข้ม ไม่ต้องดูก็รู้ว่าเป็นพิษร้ายแรงแน่นอน

อี่ว์เทียนซีจะใช้โอกาสตอนที่ผงพุ่งขึ้นมาหนีไป

แต่ขณะนั้น แววตาของลู่ฝานมีประกายแวบขึ้นมา

วิชาชิงวิญญาณ!

อี่ว์เทียนซียืนนิ่งอยู่ที่เดิม

ลู่ฝานจ้องเขาเขม็งแล้วพูดว่า “นายจะไปไหน”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 627
อี่ว์เทียนซีเริ่มดิ้นอย่างสุดกำลัง มีพลังปราณแดนปราณนอกขั้นสูงสุดทะลักขึ้นมาบนตัว

แต่น่าแปลก แม้ระดับวิทยายุทธของเขาแข็งแกร่งกว่าลู่ฝาน แต่กลับโดนลู่ฝานเหยียบจนทำอะไรไม่ได้

ปราณชี่บนตัวลู่ฝานสะเทือนอย่างประหลาด เขายืนอยู่ตรงนั้น แทบจะไม่มีออร่า

เขาไม่ได้ใช้วิชาร่างผสานฟ้าดิน แค่ปล่อยปราณชี่ธรรมดาๆ ออกมา

หนึ่งปีในแดนมายา ไม่ได้ทำให้ปราณชี่ของเขายกระดับ

แต่วิธีการใช้ปราณชี่ที่ขัดเกลาออกมาจากแดนมายา กลับทำให้ลู่ฝานสามารถใช้มันออกมาได้ทั้งหมด

การโจมตีพลังปราณแบบบ้าคลั่งของอี่ว์เทียนซี ไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับลู่ฝานเลย

ปราณชี่สั่นครู่หนึ่ง ก็สามารถดีดพลังของเขากลับไปได้

จากระดับวิทยายุทธของอี่ว์เทียนซี ทางด้านพลัง เขาไม่มีทางกดดันปราณชี่ของลู่ฝานได้ ดังนั้น พลังปราณของอี่ว์เทียนซีมาเท่าไร ลู่ฝานก็สะท้อนกลับไปเท่านั้น

ดังนั้นลู่ฝานจึงไม่ต้องเปลืองแรงอะไร ก็สามารถเหยียบอี่ว์เทียนซีจนไม่สามารถลุกขึ้นมาได้

อี่ว์เทียนซีโดนพลังที่ตัวเองปล่อยออกมาอย่างบ้าคลั่งกดดันไว้

“ลู่ฝาน!”

อี่ว์เทียนซีตะโกนออกมาสุดเสียง

พลังปราณบนตัวรวมตัวอยู่บนมืออย่างรวดเร็ว ตอนนี้มือทั้งสองข้างของเขาใสเหมือนหยก

หัตถ์เทพบังสวรรค์!

อี่ว์เทียนซีตบฝ่ามือลงบนขาลู่ฝาน

ลู่ฝานรู้สึกถึงพลังที่มีแรงทะลุทะลวงเป็นอย่างมาก พุ่งเข้ามาในขาของเขา

ทันใดนั้นขาซ้ายของลู่ฝานบิดเล็กน้อย เหมือนกระดูกและเส้นลมปราณทั้งตัวบวมขึ้นกะทันหัน ดีดพลังของอี่ว์เทียนซีออกไปทันที

นี่เป็นรูปแบบการต่อสู้ที่ลู่ฝานศึกษาออกมาเช่นกัน

อาศัยแค่ปราณชี่ ไม่มีทางทำให้เขาเอาชีวิตรอดได้ตั้งหนึ่งเดือน ภายใต้เงื้อมมือของผู้แข็งแกร่งแดนปราณฟ้าหรอก

รูปแบบที่เขาศึกษาออกมา คือการใช้กระดูกและกล้ามเนื้อของตัวเองทุกส่วนเป็นส่วนใหญ่ ถือว่าเป็นเคล็ดวิชาบู๊ด้านร่างกายอีกประเภทหนึ่ง

ลู่ฝานไม่รู้ว่าควรเรียกมันยังไง เขาคิดถึงรูปแบบการต่อสู้ของศิษย์พี่ใหญ่ จึงคิดวิธีนี้ออกมา

สรุปว่าใช้งานได้จริง เหมือนความสามารถปราณชี่สะท้อนกลับ ถูกก๊อบปี้อยู่บนกระดูกและกล้ามเนื้อ แม้ประสิทธิภาพจะมีข้อจำกัด แต่ยกระดับพลังป้องกันร่างกายของลู่ฝานได้มาก

ถึงใช้ปราณชี่ไปจนหมด อาศัยแค่กล้ามเนื้อและกระดูกของตัวเอง ก็สามารถต้านทานท่าไม้ตายได้ไม่น้อย

แน่นอนว่าขั้นตอนระหว่างนี้ก็ยากลำบากมาก เพราะต้องทำให้กระดูกและกล้ามเนื้อของตัวเองหดขยาย และเคลื่อนตำแหน่ง

ลู่ฝานทดสอบวิธีนี้แบบเฉียดตายมานับไม่ถ้วน

ข้อดีที่สุดก็คือ ภายใต้สภาวะที่รวบรวมสติเอาไว้ได้เป็นอย่างดี ทำให้เขาลืมความเจ็บปวดไปเกือบครึ่ง

แต่ถึงเป็นแบบนี้ ลู่ฝานก็ยังเจ็บปวดเจียนตายหลายต่อหลายครั้ง

เพราะการควบคุมกล้ามเนื้อและกระดูกของตัวเองทุกจุด ทำความคุ้นเคยและควบคุมร่างกายตัวเอง เป็นเรื่องที่ยากเย็นแสนเข็ญ

แต่เมื่อฝึกสำเร็จ ข้อดีก็มากเช่นกัน

อย่างเช่นตอนนี้ หัตถ์เทพบังสวรรค์ของอี่ว์เทียนซีทะลุปราณชี่ของลู่ฝาน แต่กลับไม่สามารถทำร้ายลู่ฝานได้แม้แต่น้อย

ลู่ฝานยกเท้าเตะลงบนหน้าอี่ว์เทียนซี พลังอันน่ากลัวเตะอี่ว์เทียนซีจนกระเด็นไปไกล

“กรามร้าว สมองได้รับบาดเจ็บ ปฏิกิริยาตอบโต้ลดลงสิบเปอร์เซ็นต์ พลังการต่อสู้ลดลงยี่สิบเปอร์เซ็นต์”

เมื่อเตะเรียบร้อย การคำนวณความเสียหายที่ลู่ฝานเตะอี่ว์เทียนซี ลอยขึ้นมาในหัวลู่ฝานโดยอัตโนมัติ และปฏิกิริยาที่อี่ว์เทียนซีอาจจะทำต่อจากนั้น และควรรับมืออย่างไร

สัญชาตญาณการต่อสู้แบบนี้ เหมือนเคล็ดวิชาบู๊อย่างหนึ่ง ที่ฝังอยู่ในหัวลู่ฝาน

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 626
ทำไมลู่ฝานยังขยับได้ โดนยาพิษอัมพาตของเขาแล้วแท้ๆ ทำไมลู่ฝานดูไม่เป็นอะไรเลย

แต่กลับเป็นอี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์กับเจิงหยงที่อยู่ในอาการอัมพาตทั้งตัว พากันมองอี่ว์เทียนซีอย่างโมโห

ขณะนั้น ลู่ฝานรู้สึกว่าวัตถุทรงกลมโดนเจดีย์เสวียนเก้ามังกรดูดเข้ามา หล่นลงบนมือเขา

“เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ รีบเก็บเร็ว อย่าให้ใครเห็น”

ลู่ฝานรีบใช้มือซ้ายสัมผัส เก็บมันเอาไว้ในแหวนตรงมือซ้าย เร็วจนไม่มีใครเห็นว่าเขาได้อะไรมา

ขนาดตาเฒ่าหลู่กับตาเฒ่าจงที่ดูผ่านม่านน้ำสรวงสวรรค์ ก็ดูไม่ชัดว่าเขาได้อะไรมา

แสงสีขาวดำของค่ายกล ช่วยลู่ฝานปกปิดทุกอย่างไว้พอดี

ตอนลู่ฝานเก็บของ ค่ายกลหายไปอย่างรวดเร็ว

แสงสว่างหายไป แสงขาวดำก็หายไป กลายเป็นสุสานกระบี่และดาบธรรมดาๆ เก้าหลุม

นิ้วมือลู่ฝานขยับเล็กน้อย สัมผัสถึงของในแหวน

มันเป็นมุกเม็ดหนึ่ง ขาวนวลใส มีงูตัวเล็กๆ เลื้อยอยู่ด้านใน ปล่อยแสงสว่างจ้าออกมา

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรหัวเราะเสียงดัง “มุกเทพมังกรทำลายล้าง เป็นมุกเทพมังกรทำลายล้าง เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ ฉันบอกแล้วว่าเราจะรวย!”

ลู่ฝานจิตใจวูบไหว คำว่ามุกเทพมังกรทำลายล้าง เขาเคยได้ยินในแดนมายาไม่ใช่แค่ครั้งเดียว

ให้ตายเถอะ นี่เป็นของที่พวกมนุษย์เผ่ามังกรจะแย่งกลับไปไม่ใช่เหรอ

ที่แท้แดนมายา เป็นสถานการณ์ที่เคยเกิดขึ้นจริง!

ลู่ฝานสีหน้าเปลี่ยนไป ตอนนี้มุกเทพมังกรทำลายล้างในแหวนเริ่มขยับไปมา

แต่ต่อมาในเส้นลมปราณของลู่ฝาน มีพลังของเจดีย์เสวียนเก้ามังกรซึมเข้ามา ปกคลุมแหวนเอาไว้

“เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ เอาไอ้นี่มาให้ฉัน ฉันรับรองว่าจะกำราบมันเอง”

ลู่ฝานพอเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น

มีความเป็นไปได้สูงว่ามุกเทพมังกรทำลายล้างเม็ดนี้ มีสติปัญญาขึ้นมาเอง จากนั้นก๊อบปี้ค่ายกลสวรรค์บันดาลของอริยปราชญ์สวรรค์บันดาล รอให้เหยื่อติดกับ

มิน่าล่ะในแดนมายามีแต่แดนมรณะ ไม่มีสถานที่ใดมีชีวิตรอดได้เลย

การมีอยู่ของแดนมายา เพื่อทำให้จิตวิญญาณของคนที่เข้าไปในค่ายกลค่อยๆ หายไปตามกาลเวลา พังทลายสติปัญญาของอีกฝ่าย

ลู่ฝานถึงยืนหยัดได้ 1 ปี ก็รู้สึกเหนื่อยมาก ถ้าถึงสิบปี ร้อยปีจริงๆ ไม่แน่อาจพังทลายจริงๆ ก็ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้มุกเทพมังกรทำลายล้าง จึงมีโอกาสที่จะใช้ได้ ถ้าเดาไม่ผิด มันจะชิงร่างกาย!

ภูติอาวุธล้วนอันตรายทั้งนั้น

เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อย ลู่ฝานหันไปมองอี่ว์เทียนซี

ตอนนี้อี่ว์เทียนซียังไม่ได้เก็บขวดยาพิษอัมพาต

เมื่อเห็นลู่ฝานหันมา อี่ว์เทียนซีพูดอย่างได้ใจ “ลู่ฝาน นายยังอยากได้รับการถ่ายทอดเหรอ ฝันไปเถอะ!”

ลู่ฝานเดินมาหน้าอี่ว์เทียนซี จู่ๆ ก็ยิ้มออกมา

จากนั้นซัดหมัดออกมากระแทกหน้าอี่ว์เทียนซี

พลั่ก!

หมัดเดียวทำให้อี่ว์เทียนซีกลิ้งลงไปกระแทกกับพื้น

หัวชนพื้นจนเป็นหลุมลึก!

“ลู่ฝาน! นายรนหาที่ตาย!”

อี่ว์เทียนซีแผดเสียงพูดออกมา ไม่สนใจเลือดบนหน้าผาก พลังปราณทั้งตัวทะลักออกมา

พลังปราณอันแข็งแกร่งปรากฏขึ้นเป็นรูปพัด พุ่งเข้าไปหาลู่ฝาน แต่ต่อมาพลังปราณพวกนี้โดนดีดออกมาอีก

พลั่ก! พลั่ก! พลั่ก!

เสียงอึกทึกดังขึ้นติดต่อกัน เสื้อปราณบนตัวอี่ว์เทียนซีพังเล็กน้อย

ลู่ฝานเหยียบลงบนหัวอี่ว์เทียนซี สายฟ้าพลุ่งพล่าน เปลวเพลิงปกคลุม

ตู้ม!

พื้นดินเป็นหลุมลึก อี่ว์เทียนซีโดนเหยียบอย่างแรงจนจมดิน ลู่ฝานพูดเนิบๆ ว่า “นายต่างหากรนหาที่ตาย!”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 625
“ฮ่าๆ ฉันคิดว่านายจะไม่ตื่นขึ้นมาแล้ว”

อี่ว์เทียนซีได้ใจ เขาจะตัดโอกาสของลู่ฝาน

แต่สิ่งที่ไม่รู้คือลู่ฝานฝึกฝนในแดนมายา ใกล้ถึงจุดที่พังทลายแล้ว

แสงสีขาวดำยังกะพริบอยู่ ลู่ฝานรู้สึกว่าความทรงจำของตัวเองในแดนมายาเริ่มเลือนราง

เหมือนตื่นขึ้นมาแล้วความฝันก็หายไป จำไม่ค่อยได้ว่าเกิดเรื่องอะไรในฝันบ้าง ภาพต่างๆ หายไป

ลู่ฝานรีบนึกย้อนอย่างละเอียด จดจำสถานที่สำคัญเอาไว้ในหัว

“ทำลายค่ายกลสวรรค์บันดาลไม่ได้ ไม่ผ่านเกณฑ์!”

เสียงเย็นชาของอริยปราชญ์สวรรค์บันดาลดังขึ้น

ลู่ฝานสีหน้าราบเรียบ เขาไม่ได้ใช้ความสามารถของตัวเองทำลายค่ายกลสวรรค์บันดาล จากพละกำลังของเขาในตอนนี้ ไม่สามารถหาวิธีทำลายค่ายกลสวรรค์บันดาลได้เลย

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดในตัวว่า “เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ ไม่ต้องกลุ้มใจ ค่ายกลนี้เป็นกับดัก ทำลายไม่ได้เป็นเรื่องปกติ ขนาดฉันยังเก็บค่ายกลนี้ไม่ได้เลย แสดงว่าค่ายกลนี้ผิดปกติ เป้าหมายที่มันมีอยู่ มีความเป็นไปได้สูงที่จะเอาคนเข้าไปขังตายในค่ายกล ค่อยๆ ทำลายจิตวิญญาณ ทำให้ไม่รู้ว่าอันไหนความจริงหรือมายา หลังจากนั้น ฉันว่าน่าจะเป็นสติปัญญาที่เกิดจากตัวค่ายกล”

คำพูดของเจดีย์เสวียนเก้ามังกร ทำให้ลู่ฝานเหมือนคิดอะไรได้

ลู่ฝานยืนอยู่ตรงนั้น ยืดเส้นยืดสายเล็กน้อย สัมผัสปราณชี่ในตัว

เขาจำได้ว่าในแดนมายา ปราณชี่ของตัวเองยกระดับขึ้น

ช่วงเวลาหนึ่งปี เขายกระดับวิทยายุทธของปราณชี่ถึงแดนปราณชีวิตแล้ว

ถ้าสิ่งที่เกิดขึ้นในแดนมายาทั้งหมดคือความจริง งั้นตอนนี้วิทยายุทธของเขาน่าจะอยู่แดนปราณชีวิตแล้ว

แต่เมื่อตรวจสอบดู ลู่ฝานพบว่าระดับวิทยายุทธปราณชี่ของตัวเอง ยังอยู่แค่แดนปราณนอกชั้นเจ็ด ไม่ได้ยกระดับขึ้นสักนิด

“ทำไมถึงไม่ยกระดับขึ้นล่ะ”

ลู่ฝานเอ่ยถาม

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดว่า “เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ ฉันบอกแล้วว่าค่ายกลนี้เป็นกับดัก มันไม่ได้มีความสามารถซิงค์กับเวลาเหมือนค่ายกลสวรรค์บันดาลที่แท้จริง”

ลู่ฝานพึมพำว่า “ค่ายกลสวรรค์บันดาลที่แท้จริงงั้นเหรอ”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดว่า “ถูกต้อง แม้ค่ายกลนี้ซับซ้อนเหมือนค่ายกลสวรรค์บันดาล มีความสามารถทำให้คนตกอยู่ในความฝันได้นาน แต่มันไม่ได้อาศัยพลังฟ้าดิน แต่ใช้สิ่งอื่นในการเคลื่อนไหวพลัง เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ คุณเข้าไปในสุสานดาบและกระบี่ที่อยู่ด้านในสุด แล้วเอามือวางไว้ด้านบน”

ลู่ฝานฟังคำพูดของเจดีย์เสวียนเก้ามังกร เดินไปข้างหน้า

แม้ข้างหน้าเป็นสีขาวดำทั้งแถบ แต่ลู่ฝานสัมผัสโดนสุสานดาบและกระบี่ที่อยู่ตรงกลาง

“นายทำอะไร คนที่ดูหมิ่นค่ายกล จะโดนเนรเทศพันปี!”

เงาของอริยปราชญ์สวรรค์บันดาล พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา

แต่ขณะนั้นตอนที่ลู่ฝานมองเขาอีกครั้ง รู้สึกว่ามีช่องโหว่เป็นร้อย

มาคิดดูแล้วตอนแรกเซียนสือฟาง ก็ทิ้งการสืบทอดเอาไว้เหมือนกัน เงาของเซียนสือฟางยังดูสมจริงกว่าอริยปราชญ์สวรรค์บันดาลอีก พูดกันตามระดับ อริยปราชญ์สวรรค์บันดาลกับเซียนสือฟาง มีมากเท่าไรก็ห่างชั้นกันเท่านั้น ไม่มีเหตุผลที่อริยปราชญ์สวรรค์บันดาลจะเหลือทนกว่าเซียนสือฟาง

มองด้วยตาอันว่างเปล่าคู่นั้น รวมไปถึงเสียงที่ไร้ชีวิตชีวา

เหมือนไม่ใช่ความจริง!

ลู่ฝานไม่สนใจมัน กดฝ่ามือลงไป

เขาสัมผัสได้ว่ามือของตัวเองลงไปในโคลน หลังจากนั้นเจดีย์เสวียนเก้ามังกร เริ่มปล่อยแรงดูดออกมา ทำให้ตันเถียนทะลักออกขึ้นมาด้วย

การกระทำของลู่ฝานทำให้อี่ว์เทียนซีสะดุ้งโหยง รอยยิ้มบนใบหน้าอี่ว์เทียนซีชะงักไปทันที

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 624
ผู้ชายด้านหน้าที่ฝึกฝนจนมีปีกและเขามังกร เป็นผู้โดดเด่นของมนุษย์เผ่ามังกร พละกำลังทัดเทียมกับมนุษย์ที่เป็นนักบู๊แดนปราณฟ้า

ลู่ฝานมีชีวิตรอดได้ตั้งหนึ่งเดือน ภายใต้เงื้อมมือของผู้แข็งแกร่งแบบนี้ พูดออกไปก็ทำให้คนมากมายตกใจได้แล้ว

ลู่ฝานขี้เกียจอธิบายกับเขา ความจริงที่ว่าตัวเองไม่ใช่อริยปราชญ์สวรรค์บันดาล

ไม่รู้ว่าผู้แข็งแกร่งมนุษย์เผ่ามังกรในแดนมายา มีสติปัญญาจริงหรือเปล่า พวกเขาดูไม่ออกหรือไง

ลู่ฝานปรายตามองเขา แล้วพูดว่า “จะฆ่าก็ฆ่า พูดไร้สาระเยอะแยะทำไม”

ผู้แข็งแกร่งมนุษย์เผ่ามังกรแผดเสียงออกมา ทันใดนั้นมีมังกรน้ำตัวใหญ่โผล่ขึ้นจากผิวน้ำ

“รนหาที่ตาย!”

เมื่อฟันทวนลงมา โขดหินล่างตัวลู่ฝานแตกละเอียด

มีม่านแสงปรากฏขึ้นบนตัวลู่ฝานหนึ่งชั้น พลังที่ร่วงลงบนตัวเขาถูกม่านแสงดีดออกไป

ม่านแสงนวลเหมือนเกราะอ่อนหนึ่งชั้น ปกคลุมตัวเขาไว้ เกราะเกล็ดมังกรด้านในก็ปรากฏออกมา ปกคลุมตัวลู่ฝานไว้

ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!

ผิวน้ำรอบๆ ระเบิด ทำให้นักรบมนุษย์เผ่ามังกรที่ล้อมลู่ฝานเอาไว้ โดนแรงกระเพื่อมจนเลือดสาดกระเซ็น

นี่คือผลลัพธ์ตลอดหนึ่งปีของลู่ฝาน ปราณชี่ของเขาสามารถสะท้อนพลังของอีกฝ่ายกลับไปได้ อีกทั้งยังสามารถควบคุมทิศทางการสะท้อนกลับได้ด้วย

ลู่ฝานกระอักเลือดออกมา เขากัดฟันอดทนเอาไว้

แม้จะตายอีกรอบ เขาจะตายอย่างคุ้มค่าสักหน่อย

ผู้แข็งแกร่งมนุษย์เผ่ามังกร มาตรงหน้าลู่ฝานแล้วเอาทวนแทงตรงเอวลู่ฝาน

ทวนนี้แทงโดนตันเถียนของเขาอย่างแม่นยำ ทันใดนั้นพลังทั้งตัวลู่ฝานระเบิดออกมา

ปราณชี่อันน่ากลัวไหลผ่านอาวุธของผู้แข็งแกร่งมนุษย์เผ่ามังกร เขาไปในตัวเขา

ลู่ฝานไม่สามารถควบคุมพลังนี้ได้ แต่เขาเห็นว่าผู้แข็งแกร่งมนุษย์เผ่ามังกรคนนี้ สีหน้าประหลาดขึ้นทันที

พลังทะลักออกมาจากตัวอีกฝ่าย เหมือนจิตมารครอบงำ แว้งกัดอย่างไม่สามารถควบคุมได้

“ไอ้เวร แกทำอะไรฉัน!”

ผู้แข็งแกร่งมนุษย์เผ่ามังกรโมโห เขารู้สึกว่าพลังปราณของตัวเองไหลออกไปข้างนอกอย่างไม่สามารถควบคุมได้ เหมือนโดนอะไรบีบออกจากร่างกาย

ลู่ฝานเห็นภาพนี้ก็ตกใจเหมือนกัน

อย่าบอกนะว่าปราณชี่ของเขาได้ผลแล้ว!

พระเจ้า อย่าบอกนะว่าปราณชี่ของเขาเข้าสู่ร่างกายคนอื่น ยังมีผลดีที่น่าทึ่งด้วย

ลู่ฝานตื่นเต้น เขาค้นพบวิธีใช้ปราณชี่อีกวิธีแล้ว นี่เป็นครั้งแรกในรอบหนึ่งปี ที่เขาสามารถทำร้ายผู้แข็งแกร่งมนุษย์เผ่ามังกรตรงหน้าได้

เพราะพละกำลังของทั้งสองคนแตกต่างกันมาก หนึ่งปีมานี้ แค่ลู่ฝานเจอหน้าเขา ทำได้เพียงหนีเท่านั้น

ครั้งนี้ตายก็คุ้มค่าแล้ว!

ลู่ฝานหลับตาลง แต่ขณะนั้นร่างกายเป็นอัมพาตเล็กน้อย เสียงหนึ่งดังขึ้นในตัวเขา

นั่นเป็นเสียงของเจดีย์เสวียนเก้ามังกรที่ห่างหายไปนาน

“ฮ่าๆ เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ ในที่สุดฉันก็คุยกับนายได้แล้ว ขอบคุณไอ้ปัญญาอ่อนที่ใช้ยาพิษ ไม่ได้อาศัยการกระตุ้นของยา ไม่งั้นฉันคงไม่มีวิธีติดต่อนายได้อีก”

ลู่ฝานจิตใจวูบไหว น้ำตาเกือบไหลออกมา

“ไอ้เก้าๆ ในที่สุดแกก็ปรากฏตัวออกมาสักที แกทำลายค่ายกลหรือยัง”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดว่า “ขอโทษด้วยเจ้านาย ไม่ได้ทำลาย แต่ฉันพานายออกไปได้!”

พูดพลาง ลู่ฝานรู้สึกว่ารอบๆ หมุนเคว้ง

แดนมายาหายไปอย่างรวดเร็ว จู่ๆ ลู่ฝานลืมตาขึ้น

ค่ายกลสีขาวดำ เงาของอี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์และคนอื่นอยู่ไกลๆ

แววตาของลู่ฝานแปรเปลี่ยนจากเบลอเป็นชัดเจน

ในที่สุดเขาก็ออกมาได้แล้ว!

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 623
ความเป็นความตายวนเวียนไม่รู้จบ ความฝันเลือนราง

ในฝันยังคงทุกข์ทรมาน ในแดนมายา ลู่ฝานตายแล้วตายอีก ดิ้นรนแล้วดิ้นรนอีก

ในแดนมายาเวลาผ่านไปเรื่อยๆ สำหรับโลกภายนอก เวลาอาจไม่ถึงครึ่งก้านธูป แต่สำหรับลู่ฝาน ผ่านไปแล้วหนึ่งปี

หนึ่งปีเต็มๆ 365 วัน

เมื่อแรกเริ่มลู่ฝานตายหลายร้อยจนเกือบพันครั้งในทุกวัน

การตายแต่ละครั้งแตกต่างกันออกไป สถานที่ก็ไม่เหมือนกัน มีเพียงความเจ็บปวดแทบขาดใจ ที่ดูสมจริงเป็นอย่างมาก

หลังจากผ่านความตายมานับไม่ถ้วน ลู่ฝานรู้สึกว่าตัวเองชินชาไปแล้ว

ขณะเดียวกัน เวลาที่เขามีชีวิตอยู่ก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ถึงอยู่ในฝูงสัตว์อสูร เขาก็หาวิธีทำให้ตัวเองรอดได้

ลู่ฝานไม่รู้ว่าแดนมายาจะสิ้นสุดเมื่อไร ถึงขนาดที่เขาเริ่มจำไม่ค่อยได้แล้วว่าโลกความเป็นจริงกับแดนมายามันแตกต่างกันยังไง

สิ่งที่เขาทำได้เพียงอย่างเดียว คือหาทางรอดจากการล้อมโจมตีและการตกอยู่ในสถานการณ์จนตรอกครั้งแล้วครั้งเล่า

การหลบหนีกลายเป็นสัญชาตญาณ การบาดเจ็บก็กลายเป็นเรื่องธรรมชาติ

ลู่ฝานฝึกฝนวิธีการใช้ปราณชี่ของตัวเอง ในแดนมายาซ้ำเล่าซ้ำเล่า

ในการล้อมโจมตีที่น่ากลัว เขาพบว่าสิ่งที่ตัวเองพึ่งพาได้เพียงสิ่งเดียว คือปราณชี่ของเขาที่แตกต่างจากคนอื่น

เดิมทีใช้อย่างไม่ชำนาญ เมื่อฝึกฝนซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ชำนาญ

สุดท้ายลู่ฝานเอาชีวิตรอดได้เป็นเวลาหนึ่งเดือน ท่ามกลางการไล่ฆ่าของฝูงสัตว์อสูรทะเลตงไห่

ลู่ฝานนั่งบนโขดหิน เงยหน้ามองท้องฟ้า

ท้องฟ้าในแดนมายา ก็มีดวงดาวและพระจันทร์สว่างไสว

เมื่อมองลงไปด้านล่าง บนผิวน้ำส่องแสงระยิบระยับ

ทันใดนั้นมีคลื่นยักษ์ปรากฏขึ้นบนผิวน้ำ

ฝูงสัตว์อสูรขนาดใหญ่น่ากลัวปรากฏตัวออกมา ล้อมลู่ฝานเอาไว้ตรงกลาง

ตอนนี้ลู่ฝานมีแผลเต็มตัว

โดยเฉพาะแผลฉีกบนขาทั้งสองข้าง เหมือนขาทั้งสองข้างของเขาจะขาด

เมื่อมองดูยังเห็นกระดูกข้างในด้วย

ลู่ฝานไม่มีท่าทีจะลุกขึ้นเขาอดทนได้หนึ่งเดือน ภายใต้การไล่ฆ่าของมนุษย์เผ่ามังกร

ผลการต่อสู้ระดับนี้ คือขีดสุดของเขาแล้ว

วันนี้เขาหนีมาที่นี่ เป็นการหนีที่ไกลที่สุดของเขา

ในแดนมายา ประกอบด้วยฉากทั้งหมดเก้าสถานที่

อย่างเช่น ทะเลลึก ทะเลทราย ป่าทึบ ภูเขาไฟ

ในบรรดาสถานที่เหล่านี้ ลู่ฝานมีชีวิตอยู่ที่ทะเลลึกได้นานที่สุด

ไม่ใช่เพราะวิชาของลู่ฝานมีอะไรพิเศษเมื่ออยู่ในทะเลลึก แต่เพราะมนุษย์เผ่ามังกร ฟังภาษาคนเข้าใจ

ลู่ฝานอาศัยความฉลาดและไหวพริบของตัวเอง ล้อหลอกและลอบโจมตีแบบศัตรูคาดไม่ถึง อย่างน้อยก็เพิ่มโอกาสการมีชีวิตรอดได้

แต่ในสถานที่อื่น พวกสัตว์อสูรเป็นฝูงไม่มีเหตุผลกับเขา กรูกันเข้ามา ทำได้เพียงใช้แรงทั้งหมดเพื่อเอาชีวิตรอด

จะตายอีกแล้ว!

ลู่ฝานมีสีหน้าสะอิดสะเอียน เขาเกลียดความรู้สึกของการตาย

แม้ไม่รู้ว่าการออกจากแดนมายาแห่งนี้ ต้องมีเงื่อนไขอะไร แต่อย่างน้อยมีชีวิตรอดก็มีความหวัง ถ้าตายไป ก็ต้องมาใหม่อีก

เป็นแบบนี้ต่อไป ไม่รู้จะได้ออกจากที่นี่เมื่อไร

เขาไม่อยากอยู่ในที่แบบนี้ไปตลอดชีวิตหรอก

“ตาเฒ่าสวรรค์บันดาล ดูสิว่านายจะหนีไปไหน เอามุกเทพมังกรทำลายล้างออกมา!”

ผู้ชายที่มีปีกสองข้างด้านหลัง มีเขามังกรที่หัว ถือทวนจันทร์เสี้ยวในมือ ตะโกนออกมาเสียงดัง มนุษย์มังกร หรือเรียกว่ามนุษย์เผ่ามังกร พวกเขากำเนิดจากการผสมสายเลือดระหว่างเผ่ามังกรกับมนุษย์ แต่เป็นเผ่าที่ไม่ยอมรับว่าตัวเองเป็นมนุษย์ พวกเขาภูมิใจในสายเลือดเผ่ามังกร เรียกตัวเองว่าตระกูลศักดิ์สิทธิ์ วิชาที่ฝึกทั้งหมด มีเพียงเป้าหมายเดียว นั่นคือกลายเป็นมังกรยักษ์อย่างสมบูรณ์

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 622
ด้านนอก ในสายตาของอี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์และคนอื่น ลู่ฝานเข้าไปในค่ายกลสวรรค์บันดาลที่อัศจรรย์แล้ว

อี่ว์เทียนซีที่ไม่ยอมแพ้ยังพุ่งเข้าไปด้านในไม่หยุด แต่คลื่นโจมตีของค่ายกลไม่ใช่เล่นๆ เลย แค่อี่ว์เทียนซีกล้าแตะต้อง มันจะโจมตีเขาจนกระเด็นอย่างไร้ความปรานี อีกทั้งรุนแรงขึ้นทุกครั้งด้วย

“ทำไม ทำไมลู่ฝานถึงได้!”

อี่ว์เทียนซีตะโกนออกมา แต่กลับไม่มีใครสนใจเขา

อู่คงหลิงหันมาถามอี่ว์เทียนซี “คุณชายอี่ว์ นายรู้ไหมว่าตอนนี้ลู่ฝานกำลังทำอะไร”

เมื่อได้ยินอู่คงหลิงถามตัวเอง อี่ว์เทียนซีระงับความโกรธของตัวเอง

“เขากำลังรับการถ่ายทอด ค่ายกลสวรรค์บันดาลของอริยปราชญ์สวรรค์บันดาล วิธีการโจมตีที่มีชื่อเสียงที่สุด ตกอยู่ในความฝันที่ยาวนาน เขาสามารถเร่งเวลาในค่ายกล ให้ตัวคนอยู่ในแดนมายา ว่ากันว่าอริยปราชญ์สวรรค์บันดาลใช้มันด้วยตัวเอง เขาสามารถทำให้มังกรยักษ์ กลายเป็นโครงกระดูกได้ในพริบตา และสามารถทำให้ต้นกล้ากลายเป็นต้นไม้ใหญ่สูงเสียดฟ้าได้”

เจิงหยงที่ฟังอยู่ข้างๆ อ้าปากค้าง

ฝีมือระดับนี้ ใกล้เคียงสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้ว

อี่ว์เทียนซีพูดต่อ “อริยปราชญ์สวรรค์บันดาล ถูกเรียกว่าอริยปราชญ์ที่ใกล้เคียงขุนพลังสุดเหนือฟ้า”

อู่คงหลิงแววตาวูบไหว “งั้นหมายความว่า ตอนนี้ลู่ฝานอยู่ในความฝันที่ยาวนาน เราเห็นว่าเขานิ่งไม่ขยับ แต่ความจริงเขาอยู่ในแดนมายาเป็นร้อยปี”

อี่ว์เทียนซีพยักหน้า “ถูกต้อง แต่ไม่น่าจะร้อยปี ในเมื่อเป็นการเลือกผู้สืบทอด การหมุนของเวลาน่าจะไม่เร็ว อริยปราชญ์สวรรค์บันดาลน่าจะทดสอบเขาในแดนมายา เมื่อลู่ฝานผ่านการทดสอบ ทำลายค่ายกลได้เขาจะได้รับการถ่ายทอดจากอริยปราชญ์สวรรค์บันดาลอย่างสมบูรณ์”

อู่คงหลิงพยักหน้าเข้าใจ เหมือนที่เธอเดาไว้ไม่มีผิด

เป็นโอกาสใหญ่หนึ่งครั้ง ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น แค่การหมุนของเวลาที่รวดเร็ว ก็ทำให้คนบ้าคลั่งได้แล้ว

คิดดูว่าฝึกฝนในแดนมายาหลายสิบปี แต่โลกภายนอกแค่พริบตาเดียว

นั่นหมายความว่าเวลาเพียงพริบตาเดียว คนคนหนึ่งสามารถพุ่งจากแดนปราณนอกสู่แดนปราณฟ้าได้

ก่อนหน้านี้ อีกฝ่ายสามารถโจมตีเขาจนหนีอุตลุด หลังจากนี้คนพวกนี้คงโดนเขาทำลายด้วยกระบวนท่าเดียว

ทักษะเหนือธรรมชาติเช่นนี้ ถ้าได้ครอบครอง ต้องไร้เทียมทานอย่างแน่นอน

“ไม่ได้ จะให้เขาสืบทอดสำเร็จไม่ได้”

เหมือนอี่ว์เทียนซีตัดสินใจอะไรได้ จู่ๆ เขาเอาขวดเล็กๆ ออกมาจากในอก

ตัวขวดสีดำขลับ ล้อมรอบด้วยไอสีดำ

อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์เห็นการกระทำของอี่ว์เทียนซี จึงตะโกนออกมาว่า “อี่ว์เทียนซีนายทำอะไร”

อี่ว์เทียนซียิ้มเย็นชา “ทำอะไรเหรอ เธอดูก็รู้เอง”

เมื่อพูดเช่นนี้ อี่ว์เทียนซีเปิดขวดออก ในเวลาเดียวกันก็รีบเอายาออกมาจากในอก แล้วยัดเข้าปาก

“แย่แล้ว ยาพิษอัมพาต!”

เจิงหยงตั้งสติได้เป็นคนแรก รีบดึงอี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์หนีไปด้านหลัง

แต่ยาพิษแผ่ซ่านเร็วกว่าที่พวกเขาคิด ทันใดนั้น ทั้งสองคนรู้สึกขยับไม่ได้แล้ว

อู่คงหลิงยังดีหน่อย แต่ตอนนี้แสร้งทำเป็นอัมพาต ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม

ยาพิษแผ่ซ่านไปทั่ว เข้าไปในค่ายกลสวรรค์บันดาลอย่างรวดเร็ว

ลูกตาซ้ายสีม่วงของอี่ว์เทียนซี มีความเย็นชาฉายขึ้นมา

“ค่ายกลต้านทานนักบู๊ได้ ดูสิว่านายจะต้านทานยาพิษได้ไหม!”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 621
อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์เว่อร์ยิ่งกว่า เธอไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย มองไปรอบๆ อย่างเนิบๆ เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้นเหรอ

เสียงหัวเราะคิกคักของเจดีย์เสวียนเก้ามังกรดังขึ้นในตัวลู่ฝาน

“เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ ฮ่าๆ พวกเขาไม่ใช่ผู้ฝึกชี่ ไม่มีสิทธิ์แย่งชิงกับนาย ฮ่าๆ ค่ายกลสวรรค์บันดาลอัศจรรย์จริงๆ ขอฉันศึกษาดูดีๆ หน่อย ดูว่าเก็บได้เลยหรือเปล่า”

ใบหน้าลู่ฝานมีรอยยิ้ม พลังที่เข้ามาในตัวเขาเมื่อกี้ ทำให้เขารู้สึกพิเศษ

วิธีการใช้พลังนี้ คล้ายกับปราณชี่คุ้มกันกายที่เขาศึกษาออกมา

เป็นการดันพลังของอีกฝ่ายออกไปเหมือนกัน แต่อีกฝ่ายทำได้เพียงดันพลังปราณ แต่ปราณชี่คุ้มกันกายของเขาสามารถดันทุกอย่างได้

ลู่ฝานหันไปหาอี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์แล้วพูดว่า “คุณเสี้ยวเอ๋อร์ ทางที่ดีเธอถอยหลังมาหน่อย”

คำพูดของลู่ฝานจริงใจมาก เพราะอี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์สูญเสียพลังไปชั่วคราว เจอค่ายกลแบบนี้ไม่ดีเท่าไร อาจตายคาที่ เมื่อกี้ที่เธอไม่มีปฏิกิริยาอะไร เพราะเธอไม่มีพลังอะไรเลย จึงไม่มีอะไรให้ดันออกไป

อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์พยักหน้า หันหลังถอยออกไป

เงาของอริยปราชญ์สวรรค์บันดาลมองมาทางลู่ฝาน แล้วพูดเนิบๆ ว่า “นายยอมรับการถ่ายทอดจากฉันไหม”

เมื่อพูดออกมา ลู่ฝานยังไม่ทันพูดอะไร

เป็นอี่ว์เทียนซีที่ตะโกนออกมาว่า “ไม่ยุติธรรม เป็นนักบู๊เหมือนกัน ทำไมลู่ฝานถึงได้รับการถ่ายทอด”

อี่ว์เทียนซีพูดและจะพุ่งเข้ามา

แต่เขาเพิ่งก้าวได้แค่ก้าวเดียว คลื่นโจมตีออกมาอีกครั้ง ครั้งนี้เขากระแทกกับต้นไม้ที่อยู่ไกลๆ ตัวเขาฝังลงไปในต้นไม้

ลู่ฝานไม่สนใจเขา หันไปมองอริยปราชญ์สวรรค์บันดาล

“รับการถ่ายทอดจากนาย ต้องการอะไรบ้าง”

ลู่ฝานถาม

อริยปราชญ์สวรรค์บันดาลพูดว่า “ความต้องการเหรอ ไม่มี แค่นายทำลายค่ายกลสวรรค์บันดาลของฉันได้ วิชาเปลี่ยนแปลงสวรรค์ชั้นเก้าจะเป็นของนาย นายมีเวลาสามปี!”

เมื่อพูดจบ พลังสีขาวดำพุ่งขึ้นมา ปกคลุมลู่ฝานเอาไว้

พื้นที่สุสานดาบและกระบี่ เหมือนกลายเป็นความว่างเปล่า ตัวของลู่ฝานก็ดูเลือนรางตามไปด้วย

“ไอ้เก้าๆ!”

ลู่ฝานตะโกนเสียงดัง

เขารู้สึกถึงพลังมหาศาลที่ไม่สามารถทำให้เขาโจมตีกลับได้ ปกคลุมเขาเอาไว้

เสียงของเจดีย์เสวียนเก้ามังกรดังขึ้น

“เจ้านาย รอฉันอีกหน่อย ฉันพอจับต้นชนปลายได้แล้ว ค่ายกลสวรรค์บันดาล ได้รับความโชคดีจากฟ้าดิน นายสัมผัสความอัศจรรย์ของค่ายกลก่อน โอกาสครั้งนี้…..”

จู่ๆ ลู่ฝานไม่ได้ยินคำพูดด้านหลังอีกแล้ว

เพราะสิ่งรอบๆ เริ่มหมุนเคว้ง เริ่มเปลี่ยนแปลง

ทันใดนั้น ลู่ฝานพบว่าตัวเองมาอยู่ในท้องทะเลอันกว้างใหญ่ สัตว์อสูรเป็นฝูงล้อมรอบเขา นำโดยเผ่ามังกร แม้กลายร่างเป็นคน แต่พลานุภาพมังกรอันน่ากลัวบนตัวคนพวกนี้ยังเต็มเปี่ยม

“ตาเฒ่าสวรรค์บันดาล วันนี้จะเป็นที่ฝังศพของนาย โฮก!”

เสียงคำรามดังขึ้น คนเผ่ามังกรพุ่งเข้ามาหาเขาอย่างบ้าคลั่ง

ลู่ฝานพูดอย่างตกใจว่า “ฉันไม่ใช่อริยปราชญ์สวรรค์บันดาล พวกนายจำผิดคนแล้ว!”

ยังไม่ทันพูดจบ คนพวกนี้ฉีกเขาเป็นชิ้นๆ ความเจ็บปวดที่น่ากลัว เหมือนเข้าไปในวิญญาณ ราวกับเขาตายไปแล้วจริงๆ

หลังจากนั้นโลกเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง ลู่ฝานมาอยู่ในทะเลทราย แมงป่องทะเลทรายนับไม่ถ้วนล้อมเขาเอาไว้

แมงป่องแต่ละตัวสูงประมาณคน

ครั้งนี้ไม่รอให้ลู่ฝานได้พูดอะไร แมงป่องพวกนี้พุ่งเข้ามาทันที

ลู่ฝานยังไม่ทันได้ใช้กระบวนท่า ก็โดนฉีกเป็นชิ้นๆ อีกแล้ว

……

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 620
“ตาเฒ่าหลู่ รีบดูเร็ว ฮ่าๆ ที่แท้ไม่ใช่ฝีมือของผู้ฝึกวิชาชั่วร้าย แต่เป็นอริยปราชญ์สวรรค์บันดาล”

ตาเฒ่าจงตะโกนด้วยความดีใจ เมื่อเห็นค่ายกลสวรรค์บันดาลสว่างขึ้นมา เขาก็มองออกเพียงแวบแรก

ตาเฒ่าหลู่ก็วางไหเหล้าลง

ตาเฒ่าหลู่หัวเราะแล้วพูดว่า “สามปีก่อน อริยปราชญ์สวรรค์บันดาล ออกไปทะเลตงไห่เพื่อค้นหามุกเทพมังกรทำลายล้าง แต่ไม่สำเร็จ ไม่มีข่าวคราว คิดไม่ถึงว่าจะตายบนเกาะผนึกวิญญาณ”

ตาเฒ่าจงถอนหายใจ “ว่ากันตามเหตุผล อริยปราชญ์สวรรค์บันดาลสามารถแยกล่างเก้าขั้น ไม่น่าจะตายง่ายๆ คิดไม่ถึงว่าการแยกร่างเก้าขั้นจะหายไป ดาบและกระบี่เก้าเล่มนั้น คงเป็นเคล็ดวิชาบู๊เปลี่ยนแปลงสวรรค์ชั้นเก้าของเขา”

ตาเฒ่าหลู่พูดว่า “วิชาเปลี่ยนแปลงสวรรค์ชั้นเก้า รอให้เด็กพวกนี้ทดสอบเสร็จแล้ว ส่งคนไปเก็บดาบและกระบี่พวกนี้มา ของของอริยปราชญ์สวรรค์บันดาล ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะหาผลประโยชน์ได้”

พูดพลาง ปลายนิ้วของตาเฒ่าหลู่มีเปลวไฟลุกขึ้น

ในเปลวไฟมีภาพปรากฏขึ้น นั่นคือการก๊อบปี้ภาพในม่านน้ำสรวงสวรรค์เอาไว้

จากนั้นเปลวไฟกลายเป็นนกบินออกจากโถงใหญ่ ไปยังตำหนักกระดิ่งทองที่เมืองหลวง

บนเกาะผนึกวิญญาณ พวกลู่ฝานมองแสงสว่างทั้งเก้าสว่างขึ้นมา

พวกอี่ว์เทียนซีถอยหลังโดยไม่รู้ตัว อู่คงหลิงตะโกนว่า “ลู่ฝาน นายทำอะไร”

ลู่ฝานไม่ตอบ มองเสาแสงทั้งเก้าต้นด้วยแววตาลุกโชน

ตอนนี้เจดีย์เสวียนเก้ามังกรตะโกนอยู่ในตัวเขาอย่างตื่นเต้น “เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ นี่คือการถ่ายทอดของอริยปราชญ์สวรรค์บันดาล นายรู้จักอริยปราชญ์สวรรค์บันดาลใช่ไหม เป็นยอดฝีมือที่มีชื่อเสียงเมื่อสามร้อยปีก่อน ตอนฉันติดตามสือฟาง เป็นยอดฝีมือที่มีชื่อเสียง วิชาเปลี่ยนแปลงสวรรค์ชั้นเก้า ฆ่าจนพวกสัตว์ประหลาดและสัตว์อสูรหนีกันอุตลุด เขาเป็นคนสร้างค่ายกลสวรรค์บันดาลขึ้นมา มีชื่อเสียงเหมือนกับเขตวิถีสวรรค์ชั้นเก้าของเขา”

ขณะกำลังพูด แสงทั้งเก้ารวมตัวเป็นหนึ่ง เงาเลือนรางปรากฏออกมา

เป็นผู้อาวุโสน่าเกรงขาม แม้เป็นเพียงเงาเลือนราง แต่พวกลู่ฝานสัมผัสถึงพลานุภาพแข็งแกร่งจากผู้อาวุโสคนนี้

แววตาว่างเปล่า พูดเนิบๆ ว่า “พวกมนุษย์ผู้บำเพ็ญชี่เหรอ ตอนพวกนายเห็นเงานี้ เป็นการยืนยันว่าฉันตายแล้ว ที่นี่ฝังดาบและกระบี่ของผม แยกร่างเก้าขั้นของฉัน รวมไปถึงค่ายกลสวรรค์บันดาลที่ฉันสร้างขึ้นมา ถ้าพวกนายได้รับการถ่ายทอดนี้ โปรดทำหน้าที่ของฉันต่อไป ขวางสัตว์อสูรทะเลตงไห่เอาไว้นอกทะเลตงไห่ต่อไป”

ได้ยินคำพูดของผู้อาวุโส ทุกคนต่างมองหน้ากัน

“ค่ายกลสวรรค์บันดาล นั่นเป็นค่ายกลเคล็ดวิชาบู๊ของอริยปราชญ์สวรรค์บันดาลไม่ใช่เหรอ”

อี่ว์เทียนซีพูดพึมพำ แววตาของเขาลุกโชนขึ้นทันที

อู่คงหลิงก็มองออกว่าที่นี่เป็นการถ่ายทอดของผู้ที่มีความสามารถ โอกาส นี่คือโอกาส

ถ้าได้รับการถ่ายทอดจากผู้มีความสามารถ มีโอกาสเป็นไปได้สูงที่เธอจะกลายเป็นผู้มีความสามารถ

อู่คงหลิงไม่มีทางปล่อยโอกาสนี้ไป

“พวกเราจะทำให้ได้ อริยปราชญ์สวรรค์บันดาลที่เคารพ”

จู่ๆ อี่ว์เทียนซีตะโกนออกมา โค้งทำความเคารพเงาของอริยปราชญ์สวรรค์บันดาล

เงาของอริยปราชญ์สวรรค์บันดาลมองอี่ว์เทียนซีด้วยสายตาว่างเปล่า “นักบู๊ ไม่เหมาะสมที่จะได้รับวิชาของฉัน ถอยไปพวกนักบู๊”

พูดพลาง พลังอันแข็งแกร่งแผ่ซ่านออกมา

นั่นเป็นคลื่นพลังโจมตี ผลักพวกอี่ว์เทียนซีออกไปไกล โดยเฉพาะเจ้าดำ สัมผัสได้ถึงพลังนี้ ตกใจจนหนีอุตลุด

มันก็เป็นสัตว์อสูร แน่นอนว่าสัมผัสได้ถึงพลานุภาพยิ่งใหญ่ที่แฝงอยู่ในพลังนี้

มีเพียงลู่ฝานกับอี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์ที่ยังยืนอยู่ที่เดิม ลู่ฝานรู้สึกเพียงลมเย็นพัดผ่าน ไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 619
หลังจากนั้นทุกคนเห็นฝูงสัตว์อสูรปรากฏออกมา ครั้งนี้ชนิดของสัตว์อสูรยิ่งหลากหลาย อย่างเช่น ชะมดสามขา กิ้งก่าเปลวไฟ

อี่ว์เทียนซีกับอู่คงหลิงเตรียมจะหนี แต่ขณะนั้นทุกคนพบว่าเหมือนสัตว์อสูรพวกนี้ กำลังหวาดกลัวอะไรอยู่ ถอยหลังกลับไปทีละนิด

“เกิดอะไรขึ้น เหมือนพวกมันไม่กล้าเข้ามา”

อี่ว์เทียนซีทั้งตกใจและดีใจ

ส่วนอี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์กับเจิงหยงมองไปลู่ฝาน ในความคิดพวกเขา คงมีแค่ลู่ฝานที่มีความสามารถนี้ สัตว์อสูรพวกนี้ไม่กล้าเข้ามา

พวกสัตว์อสูรพากันล่าถอยไปช้าๆ

แม้สีหน้าลู่ฝานราบเรียบ แต่อันที่จริงเขาก็ตกใจมาก

เขารู้ดีว่าตัวเองไม่ได้มีความสามารถขนาดที่ทำให้สัตว์อสูรเยอะขนาดนั้นล่าถอยไป

ครั้งก่อนใช้พลานุภาพของฟ้าร้อง แต่ตอนนี้เขาไม่ได้ใช้วิธีอะไรเลยสักนิด สัตว์อสูรพวกนี้หนีไปเอง

หรือว่าที่นี่มีอะไรที่ทำให้พวกสัตว์อสูรตกใจจนหนีไป

หรือเพราะการมีอยู่ของเจ้าดำ

ลู่ฝานงุนงง ขณะนั้นอี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์หัวเราะแล้วพูดว่า “คุณชายลู่ฝาน อยู่กับนายภารกิจง่ายขึ้นมาก สัตว์อสูรเยอะขนาดนี้ ไม่มีสักตัวกล้าเข้ามาใกล้”

คำพูดของอี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์เพียงประโยคเดียว ทำให้อู่คงหลิงกับอี่ว์เทียนซีมองลู่ฝานด้วยสายตาประหลาด

โดยเฉพาะอี่ว์เทียนซี เดิมทีสภาพรับไม่ได้อยู่แล้ว ตอนนี้สีหน้าไม่สู้ดีจนน่ากลัว

ลู่ฝานไม่ได้อธิบายอะไรมาก รีบถามเจดีย์เสวียนเก้ามังกรในใจ “ไอ้เก้า เกิดอะไรขึ้น แกทำให้สัตว์อสูรตกใจจนหนีไปเหรอ”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกร “ตื่น” ขึ้นมา แล้วรีบพูดว่า “เปล่านะ เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่กำลังพูดอะไร ฉันคิดว่านายใช้วิชาอะไรเสียอีก ทำให้สัตว์อสูรเยอะขนาดนี้ตกใจหนีไปได้ ไม่มีอะไรนอกจากบนตัวนายมีออร่ามังกรยักษ์”

ลู่ฝานพูดว่า “มังกรยักษ์เหรอ ฉันเคยดื่มเลือดมังกร อืม เจ้าดำก็มีสายเลือดเผ่ามังกร นี่นับไหม”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดว่า “นับอะไรกันล่ะ ออร่ามังกรยักษ์แค่นี้ไม่นับหรอก อย่างน้อยเจ้าดำต้องผ่านการเปลี่ยนแปลงอีกสามครั้ง ถึงจะทำให้สัตว์อสูรเยอะขนาดนี้ตกใจหนีไปได้”

ลู่ฝานจำประโยคที่ว่าเปลี่ยนแปลงอีกสามครั้งเอาไว้ แล้วถามต่อ “เกิดอะไรขึ้นกันแน่”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดว่า “เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ นายลองหาดูรอบๆ ว่าที่นี่มีอะไรผิดปกติหรือเปล่า ไม่แน่ที่นี่อาจมีของล้ำค่าฝั่งอยู่ ถ้ามีโครงกระดูกมังกรยักษ์จริง เราก็จะรวย ถ้าโชคไม่ดี เจอของที่ทำให้สัตว์อสูรล่าถอยไป เราก็สามารถเดินทางได้อย่างราบรื่น”

ลู่ฝานฟังที่เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูด รู้สึกว่ามีเหตุผลมาก เริ่มเดินดูรอบๆ

อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์กับเจิงหยงมองการกระทำของลู่ฝาน รู้สึกงงเล็กน้อย

ลู่ฝานเดินวนสุสานดาบและกระบี่ทั้งเก้าหลุม เมื่อคืนลู่ฝานไม่ได้ดูละเอียด มาดูวันนี้ลู่ฝานเห็นสิ่งผิดปกติจริงๆ

ในบรรดาดาบและกระบี่ทั้งเก้าเล่ม มีดาบและกระบี่แปดล่ม ชี้ไปทางเดียวกัน นั่นก็คือตรงกลางของสุสานดาบและกระบี่

สุสานดาบและกระบี่หลุมนี้ดูใหญ่กว่า เมื่อเทียบกับสุสานดาบและกระบี่อื่น

ลู่ฝานมองซ้ายมองขวา ตัดสินใจเอาปราณชี่ใส่เข้าไปในสุสานดาบและกระบี่

ทันใดนั้นลู่ฝานรู้สึกถึงพลังมหาศาล ช่วงชิงปราณชี่ของเขาไป

หลังจากนั้นมีแสงออกมาจากสุสานดาบและกระบี่ สุสานกระบี่และดาบทั้งเก้าหลุมสว่างขึ้นพร้อมกัน

ลู่ฝานมองแสงบนสุสานกระบี่และดาบอย่างตกตะลึง

ขณะนั้นเจดีย์เสวียนเก้ามังกรตะโกนขึ้นมา

“พระเจ้า ค่ายกลสวรรค์บันดาล ฉันดูไม่ออก ที่นี่มีค่ายกลสวรรค์บันดาล เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ เรารวยแล้ว!”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 618
ค่ำคืนอันเงียบสงบผ่านไปอย่างรวดเร็ว เช้าตรู่วันต่อมา แสงอาทิตย์สาดส่องไปทั่ว

ลู่ฝานกับเจิงหยงแบ่งเวรกันเฝ้าทั้งคืน นอนกันคนละหลายชั่วยาม ตอนนี้กระปรี้กระเปร่ามาก

แต่กลับเป็นอี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์ที่นอนเต็มอิ่มทั้งคืน ที่ดูไร้ชีวิตชีวา

ช่วยไม่ได้ นักบู๊สูญเสียพลังปราณไป พลังต่อสู้ พลังต้านทานก็ลดลงไปด้วย

ดูออกเลยว่าช่วงฝึกร่างตอนแรก อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์ไม่ได้สร้างพื้นฐานให้มั่นคง น่าจะอาศัยยาอะไรในการยกระดับขึ้นมา

ดังนั้นเมื่อสูญเสียพลังปราณไป สภาวะของเธอจึงเทียบไม่ได้กับคนทั่วไป

อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์ที่อิดโรยเดินข้างเจ้าดำ กินอาหารที่เจ้าดำให้เธอ พลางพูดว่า “วันนี้เราจะเดินไปเข้าไปต่อใช่ไหม”

ลู่ฝานพูดว่า “เดินต่อ เรามีเวลาแค่ห้าวัน จะเสียเปล่าไม่ได้ ร่างกายของเธอฟื้นฟูเป็นยังไงบ้าง”

อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์พูดว่า “ดีกว่าเมื่อวานนิดหน่อย แต่ไม่มีพลังปราณสักนิด คงจะช่วยอะไรไม่ได้”

ลู่ฝานพยักหน้าพูดว่า “เจ้าดำ ดูแลคุณเสี้ยวเอ๋อร์ให้ดี”

เจ้าดำโบกกรงเล็บไปมาให้ลู่ฝาน แสดงว่าเข้าใจ

จัดแจงเสื้อผ้าครู่หนึ่ง ทั้งสามเตรียมออกเดินทาง

ลู่ฝานเงยหน้ามองฟ้า มีเมฆดำลอยมาจากทิศตะวันออกอีกแล้ว อีกไม่นานฝนคงตกหนัก

ถือโอกาสตอนที่ฝนยังไม่ตก รีบเดินทางดีกว่า ได้แค่ไหนเอาเท่านั้น

ทั้งสามเตรียมออกจากสุสานกระบี่และดาบ แต่ขณะนั้นมีเสียงดังออกมาจากป่าทึบ

หูของลู่ฝานขยับเบาๆ ใช้พลังฟ้าดินปกคลุมไปยังทิศทางของเสียง เพื่อมองว่าเกิดอะไรขึ้นที่นั่น

อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์กับเจิงหยงเห็นลู่ฝานชะงักฝีเท้าลง จึงหยุดลงด้วย

“เกิดอะไรขึ้น”

อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์เอ่ยถาม

จู่ๆ ลู่ฝานหัวเราะขึ้นมา แล้วพูดว่า “มีคนมาแล้ว!”

พูดพลาง มีเสื้อปราณสว่างขึ้นบนตัวลู่ฝาน

กระบี่ฆ่าพิชิตฟ้า!

ลู่ฝานยกกระบี่พุ่งเข้าไปในป่า

ปราณกระบี่ฟันต้นไม้ในป่าล้มเป็นแถบ ต่อมามีเงาคนสองคนพุ่งออกมาจากในป่า

“ใครฟันฉัน!”

เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง คนที่พุ่งออกมาไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นคุณชายอี่ว์เทียนซี คนที่ออกมากับอี่ว์เทียนซียังมีอู่คงหลิง ตอนนี้สภาพดูไม่ได้มาก

อี่ว์เทียนซีช้อนตามอง เมื่อเห็นลู่ฝานก็ชะงักฝีเท้าลงทันที

ลู่ฝานหัวเราะเบาๆ “ที่แท้ก็คุณชายอี่ว์นี่เอง ฉันคิดว่าสัตว์อสูรกระโดดออกมาซะอีก เลยฟันกระบี่ลงไป ไม่เป็นไรใช่ไหม!”

อี่ว์เทียนซีมองหน้าอกของตัวเอง มีรอยกระบี่เพิ่มขึ้นมาหนึ่งรอย

แม้ปฏิกิริยาของเขารวดเร็ว แม้มีเสื้อปราณปกคลุมตัว แต่ก็ไม่สามารถต้านทานปราณกระบี่ของลู่ฝานได้

นี่เป็นกระบี่ที่ฟันออกมาแบบไม่ตั้งใจเหรอ

จะกำจัดเขาด้วยกระบี่เดียวน่ะสิ!

เจิงหยงเดินเข้ามาพูดว่า “คุณชายอี่ว์ ทำไมพวกคุณตามหลังเรามาล่ะ เจอสัตว์อสูรไหม”

เจิงหยงรู้อยู่แล้วแต่ก็จงใจถาม เห็นสภาพน่าเวทนาของอี่ว์เทียนซีกับอู่คงหลิง ไม่เจอปรากฏการณ์สัตว์อสูรก็แปลกแล้ว

ใบหน้าอี่ว์เทียนซีบิดเบี้ยว เขาไม่บอกหรอกว่าตัวเองไปผิดทาง เรื่องน่าอายแบบนี้ เขายอมเก็บไว้ตลอดชีวิต

อู่คงหลิงพูดว่า “ใช่ เราเจอปรากฏการณ์สัตว์อสูร ให้ตายเถอะ พวกมันตามมาแล้ว”

พลังปราณสว่างขึ้นบนมืออู่คงหลิง เสียงสั่นสะเทือนดังมาจากป่าทึบ

สีหน้าของลู่ฝานกับเจิงหยงก็เปลี่ยนไปเช่นกัน สองคนนี้ลากสัตว์อสูรมาที่นี่ ลู่ฝานเอาอี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์มาอยู่ด้านหลัง ตอนนี้ลู่ฝานอยากแทงสองคนนี้จริงๆ

พวกเขาไม่ได้จงใจใช่ไหม!

สีหน้าเจิงหยงเปลี่ยนไปมาก เสียงดังมาจากรอบๆ

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 617
เจิงหยงเดินเข้าไป มองลักษณะของกระบี่และดาบอย่างละเอียด “กระบี่และดาบพวกนี้เป็นของที่ใช้กันทั่วไปในประเทศอู่อาน แม้รูปแบบดูเก่าไปหน่อย แต่ก็ไม่ต่างกันเท่าไร”

ลู่ฝานพูดว่า “งั้นหมายความว่าที่นี่ต้องมีผู้อยู่อาศัยของประเทศอู่อาน หรือไม่ก็เป็นคนที่มาจากด้านนอกเหมือนเรา แล้วตายที่นี่ ไม่แน่อาจเป็นผู้ทดสอบก่อนหน้านี้”

เจิงหยงพยักหน้า “อืม แม้จุดจบของพวกเขาจะเศร้าหน่อย แต่ยังมีคนสร้างสุสานให้พวกเขา ถือว่ายังดี”

พูดพลาง เจิงหยงเอามือวางบนอก ซึ่งเป็นวิธีทำความเคารพที่ใช้กันทั่วไปในประเทศอู่อาน ต่อหน้าสุสานกระบี่และดาบทั้งเก้าหลุม เป็นการแสดงความเคารพผู้ล่วงลับ

ลู่ฝานกับอี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์ก็ทำความเคารพเช่นกัน จากนั้นทั้งสามคนนั่งลงด้านนอกสุสานกระบี่และดาบ

ฝนหยุดตกแล้ว แต่พื้นดินยังชื้นมาก

แต่ทั้งสามคนไม่ได้สนใจอะไรเล็กน้อยพวกนี้ นั่งลงทันที หลังจากนั้นเจ้าดำเริ่มทำการย่างเนื้ออีกแล้ว มันเอาเนื้องูออกมาย่าง ไม่รู้มันเก็บเนื้องูมาตั้งแต่เมื่อไร

เจ้าดำแลบลิ้นแล้วฉีกปาก มันดูร่าเริงมาก

ลู่ฝานเอายาออกมาหนึ่งขวด ให้ตัวเองกินสองเม็ด ให้อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์หนึ่งเม็ด ให้เจิงหยงหนึ่งเม็ด

ลู่ฝานกลืนยา พลางพูดว่า “รีบฟื้นฟูกำลัง ตั้งแต่คืนนี้ คุณชายเจิงแบ่งเวรพักผ่อนกับฉัน แม้นักบู๊อย่างเราไม่นอนสักสองสามวันก็ไม่เป็นไร แต่เพื่อการต่อสู้หลังจากเจอกุยวัว ต้องรักษาสภาวะที่ดีเอาไว้”

เจิงหยงยิ้มแล้วพูดว่า “คุณชายลู่ฝาน นายใจกว้างมาก ถ้าผมขอยาแบบนี้กับพ่อ เขาคงเจ็บปวดใจไปหลายเดือน ได้ครับ เอาตามที่คุณชายลู่พูด อันที่จริงผมดูออกแล้ว การทดสอบผู้ตรวจกลางชั้นกลาง ผมยังไม่สามารถผ่านได้ในตอนนี้ ในบรรดาพวกเรา มีเพียงคุณชายลู่ที่มีโอกาส”

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “อันที่จริงฉันก็ไม่มั่นใจเท่าไรหรอก คุณชายเจิง ผมรับความหวังดีของนายเอาไว้”

“ไม่ต้องเรียกผมว่าคุณชายเจิงหรอก เรียกผมว่าเจิงหยงเถอะ คุณชายลู่ ผมถามได้ไหม เมื่อกี้นายรู้ทิศทางการเคลื่อนไหวของสัตว์อสูรล่วงหน้าได้ยังไง อย่าเข้าใจผิดนะครับ ผมแค่รู้สึกว่าวิธีนี้ใช้งานได้ดี ถ้าผมฝึกวิธีนี้ได้ ต่อไปผมช่วยพ่อขนสินค้าข้างนอก จะปลอดภัยขึ้นเยอะครับ”

เจิงหยงถามด้วยจิตใจที่เต็มไปด้วยความหวัง ในเวลาเดียวกันก็เก็บยาอย่างระวัง เขาไม่ได้กินมัน

ลู่ฝานเห็นการกระทำของเจิงหยง ก็ไม่ได้พูดอะไร พูดเนิบๆ ว่า “ขอโทษด้วย วิชานี้ฉันก็ไม่รู้จะสอนยังไง”

เจิงหยงพูดอย่างเข้าใจ “วิชาพิเศษ เข้าใจแล้วครับ คุณชายลู่อย่าถือสานะครับ ผมแค่ถามไปอย่างนั้น”

ลู่ฝานพยักหน้ายิ้ม วิชาชุดนี้ ถึงเขาอยากสอนก็สอนไม่ได้ ใครใช้ให้เจิงหยงไม่ใช่ผู้ฝึกชี่ล่ะ

เจ้าดำย่างเนื้องูเสร็จ เอาอาหารมาด้วยสีหน้าตื่นเต้น

ทุกคนเริ่มกินอาหาร แต่ไม่ได้สังเกตว่าตอนนี้สุสานกระบี่และดาบด้านหลัง มีแสงสว่างขึ้นรางๆ จากนั้นก็หายไป

ขณะเดียวกันที่เมืองหลวงประเทศอู่อาน

ตาเฒ่าหลู่กับตาเฒ่าจงยังดูความเคลื่อนไหวของพวกลู่ฝาน

“ตาเฒ่าหลู่ นายรู้ไหมว่าสุสานพวกนี้เป็นของใคร ทำไมฉันไม่มีความทรงจำอะไรเลย”

“ใครจะไปรู้ล่ะ ไม่แน่อาจเกี่ยวข้องกับเถาวัลย์ปีศาจพวกนั้น”

“เป็นฝีมือของผู้ฝึกวิชาชั่วร้ายหรือเปล่า เหมือนสิบปีก่อนที่จงใจสร้างความวุ่นวาย ฆ่าอัจฉริยะประเทศอู่อานของเรา”

“เป็นไปได้ ดังนั้นเราต้องจับตามอง นายรอแป๊บ ฉันขอไปเอาเหล้ามาอีก”

“อืม เอาเหล้าที่ดีที่สุด”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 616
“คุณร้องไห้ทำไม”

ลู่ฝานพูดอย่างสงสัย

อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์ยกแขนอันอ่อนแรงขึ้นมาเช็ดน้ำตา “ฉันไม่ได้ร้อง ฉันดีใจ ตอนนี้เจอคนแบบนายน้อยมาก”

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “พูดขึ้นมาเธอแก่กว่าผม ร้องไห้สะอึกสะอื้นแบบนี้ดีเหรอ”

อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์หัวเราะทั้งน้ำตา

ลู่ฝานบอกให้เจ้าดำที่อยู่ข้างๆ แบกอี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์ขึ้นมา

วางอี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์ลงบนแผ่นหลังกว้างใหญ่ของเจ้าดำ ไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน ถ้าไม่ไหวจริงๆ เมื่อเกิดอันตรายขึ้นมา ให้เจ้าดำกับอี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์เข้าไปในจวนอากาศธาตุของเขาก็ได้

เจิงหยงเห็นการกระทำของลู่ฝาน ก็พยักหน้าพูดว่า “คุณชายลู่เป็นคนที่เชื่อได้จริงๆ คุณเสี้ยวเอ๋อร์มองนายไม่ผิด”

ลู่ฝานพูดว่า “ฉันแค่ไม่ได้มีนิสัยทิ้งเพื่อน”

อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์ได้ยินคำพูดของลู่ฝาน จึงพูดพึมพำออกมาว่า “แค่เพื่อนเหรอ”

การได้ยินของลู่ฝานน่าตกใจมาก เขาได้ยินคำพูดของอี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์ แต่เขากลับไม่มีท่าทีใดๆ

ฝนยังตกหนักอย่างต่อเนื่อง เสียงฟ้าร้องไม่มีท่าทีจะหยุด

ลู่ฝานหันมองรอบๆ “อยู่ที่นี่นานไม่ได้ แมงมุม งู และสัตว์อสูรพวกนี้ แปดสิบเปอร์เซ็นต์ต้องถูกอะไรดึงดูด ถึงมารวมตัวกันได้ ถ้าเดาไม่ผิด มีความเป็นไปได้สูงว่าเกี่ยวกับเสียงกุยวัวเมื่อกี้”

เจิงหยงพูดอย่างตกใจ “ตอนคุณชายลู่ฝานฝึกฝน ยังได้ยินความเคลื่อนไหวด้านนอกเหรอ”

ลู่ฝานพยักหน้า “ใช่ คุณชายเจิง เราเดินไปข้างหน้ากันเถอะ อย่างน้อยต้องเดินออกจากป่านี้ ทางที่ดีรีบไปชายทะเลให้เร็วที่สุด”

เจิงหยงพูดว่า “ได้ เอาตามที่คุณชายลู่พูด”

ทั้งสองคนตัดสินใจได้ รีบเคลื่อนไหวทันที เจ้าดำที่มีอี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์อยู่บนหลัง ตามหลังสองคนไปติดๆ

เดินไปข้างหน้า ลู่ฝานถือกระบี่หนักไว้ในมือ ขจัดสิ่งกีดขวางด้านหน้า

ตอนนี้เพื่อความปลอดภัย ลู่ฝานใช้ปราณชี่ของตัวเองก่อตัวเป็นวิชาของผู้ฝึกชี่ เริ่มตรวจสอบบริเวณรอบๆ

ร่างผสานฟ้าดิน ลู่ฝานสัมผัสถึงความเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิต ภายในรัศมีหลายสิบลี้

ลู่ฝานเดินนำเจิงหยง ลู่ฝานเดินเปลี่ยนทิศทางไม่หยุด

สามารถหลบปรากฏการณ์สัตว์อสูรได้พอดีทุกครั้ง

หลังจากทำต่อเนื่องอยู่หลายครั้ง ถึงเจิงหยงมีปฏิกิริยาช้า ก็พอดูออก

แววตามีความเลื่อมใส ตอนนี้เจิงหยงรู้สึกเหมือนลู่ฝานเป็นผู้แข็งแกร่งนักบู๊ ที่ท่องอยู่ในป่าทึบมาหลายปี

เขายังไม่เคยเห็นใครรู้การเคลื่อนไหวของสัตว์อสูรล่วงหน้าเหมือนลู่ฝานมาก่อน

เรื่องแบบนี้ ถึงเกิดขึ้นกับผู้ฝึกชี่ที่มีความสามารถไม่ธรรมดา ก็ยังต้องเอ่ยชม ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เจิงหยงคิดว่าลู่ฝานเป็นนักบู๊อย่างแท้จริง

ความเร็วของทั้งสองคนไม่ช้า เมื่อดวงดาวระยิบระยับเต็มฟ้า พวกเขาเดินออกจากป่าทึบ

หลังจากนั้นสิ่งที่ปรากฏอยู่ในสายตาคือสุสานทั้งแถบ ถ้าพูดให้ถูกคือสุสานดาบและกระบี่

“รอบๆ ไม่มีสัตว์อสูร เป้าหมายของพวกมันไม่ใช่ทางนี้ เราพักผ่อนได้แล้ว”

ลู่ฝานหยุดวิชากาย เจิงหยงก็หยุดลงเช่นกัน

ตอนนี้เห็นความแตกต่างระหว่างพละกำลังของเจิงหยงกับลู่ฝาน วิ่งด้วยความเร็วทั้งหมดมาหลายชั่วยาม ลมหายใจของลู่ฝานยังสม่ำเสมอ แต่เจิงหยงเหงื่อแตกเต็มหัว เพราะเร่งความเร็วให้ทันลู่ฝาน

ลู่ฝานนับดูครู่หนึ่ง สุสานดาบและกระบี่ข้างหน้ามีทั้งหมดเก้าหลุม วางเป็นรูปแบบตารางเก้าช่อง

ไม่มีชื่อ ไม่มีป้ายวิญญาณ มีเพียงกระบี่และดาบพุผังเก้าเล่ม ปักเฉียงๆ อยู่บนเนินดิน

ตอนนี้อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์มีแรงขึ้นมาเล็กน้อย ปีนลงมาจากหลังเจ้าดำ

“คนพวกนี้เป็นใคร เป็นคนที่อาศัยอยู่ที่นี่เหรอ”

อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์ถามขึ้น

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 615
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้า จู่ๆ ลู่ฝานรู้สึกว่าให้ของไอ้เก้ากินเยอะๆ ก็เป็นเรื่องที่ไม่เลวเหมือนกันแฮะ

ในมือเขายังมีผ้าปิดหน้าที่ยังไม่มีเวลาศึกษา ให้ไอ้เก้ากินได้หรือเปล่า ช่างเถอะ รีบเปิดความสามารถชั้นที่สองเร็วๆ ดีกว่า

อืม เรื่องนี้เก็บไว้คิดได้

อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์สูดหายใจ ตั้งสติได้แล้ว อาการบวมบนขาเธอหายไปอย่างรวดเร็ว กลับสู่สภาพเดิม

“ขอบใจคุณชายลู่”

อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์พูดเบาๆ

เจิงหยงดูอยู่ข้างๆ ตลอดเวลา เห็นอี้วเสี้ยวเอ๋อร์มีสติแล้ว เขาถอนหายใจแล้วพูดว่า “คุณชายลู่ คิดไม่ถึงว่านายยังรู้เรื่องการแพทย์ด้วย”

ลู่ฝานพูดว่า “นิดหน่อยเท่านั้น”

ล้วงมือเข้าไปหยิบยาออกมาจากในอกหนึ่งเม็ด แล้วป้อนให้อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “คุณเสี้ยวเอ๋อร์ รอบนี้เป็นคิวผมให้ยาเธอแล้ว”

อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์มองบนใส่ลู่ฝาน “ยาของนายไม่ดีเท่ายาที่ฉันให้หรอก หึ!”

อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์กำลังจะลุกขึ้นยืน แต่พบว่าตัวเองไม่มีแรง

ลู่ฝานขมวดคิ้วเบาๆ อย่าบอกนะว่ายาเขาใช้ไม่ได้ เป็นไปไม่ได้!

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดว่า “เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ ลืมบอกไป คนที่โดนฉันดูดพลังจนหมด อย่างน้อยต้องใช้เวลาฟื้นฟูเจ็ดวัน อืม ถึงเจ้านายให้เธอกินยา อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลา 3-5 วัน”

ลู่ฝานพูดอย่างตกใจในใจ “แกเอาพลังปราณเธอไปหมดเลยเหรอ”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดว่า “แล้วเจ้านายคิดว่าพลังมากมายแบบนั้นมาจากไหน วางใจเถอะเจ้านาย ฉันแค่เอาพลังปราณปนเปื้อนสารพิษในตัวเธอออกไปทั้งหมด ไม่ได้ทำลายตันเถียนของเธอ ไม่กี่วันเธอจะเดินได้เหมือนเดิม แค่พลังหมดชั่วคราวเท่านั้น!”

ลู่ฝานสีหน้าประหลาด พลังหมดชั่วคราว งั้นสองสามวันนี้ อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์ก็เหมือนพิการ สถานที่อันตรายแบบนี้ ถ้าอี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์ไม่สามารถต่อสู้ได้ เป็นเรื่องวุ่นวายมาก

อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์เห็นสีหน้าผิดปกติของลู่ฝาน เข้าใจว่าอาการบาดเจ็บของตัวเองสาหัสมาก รีบถามว่า “ลู่ฝาน เกิดอะไรขึ้น ร่างกายฉันเป็นอะไรไป”

ลู่ฝานรีบพูดว่า “ไม่มีอะไร แค่พลังหมดเอง เธอต้องพักสักระยะ ประมาณ 3-5 วัน จึงจะกลับมาเหมือนเดิม”

“3-5 วันเหรอ”

สีหน้าของอี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์เปลี่ยนไป เธอรู้ว่ามันหมายถึงอะไร

เจิงหยงพูดอย่างตกใจว่า “งั้นแปลว่าคุณเสี้ยวเอ๋อร์จะไม่สามารถร่วมการต่อสู้ต่อไปได้”

ลู่ฝานพยักหน้าพูดว่า “ถูกต้อง คุณเสี้ยวเอ๋อร์ เธอรู้วิธีที่จะทำให้คุณออกไปจากที่นี่ก่อนไหม ตอนนี้คุณไม่มีพลัง ขืนไปตามหากุยวัวต่อ เป็นการรนหาที่ตายอย่างไม่ต้องสงสัย”

อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “ไม่มีวิธี การสอบแบบนี้ เดิมทีกำหนดเวลาไว้ 5 วัน ออกไปไม่ได้ หนีไม่ได้ ต้องรอสิ้นสุด 5 วัน ค่ายกลเคลื่อนฟ้าจะเปิดอีกครั้ง ถึงจะกลับไปได้”
ลู่ฝานแอบกัดฟัน เขากลัวสิ่งนี้แหละ
อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์ยิ้มเศร้า “คุณชายลู่ฝาน ตอนนี้ฉันไม่มีพลังแล้ว เป็นเหมือน……ภาระ! นายทิ้งฉันไว้ที่นี่ แล้วพวกนายไปตามหากุยวัวต่อดีกว่า ฉันคิดว่าฉันอยู่ที่นี่ยังปลอดภัยมาก สามารถทนได้สักสองสามวัน”
ลู่ฝานพูดทันทีว่า “ไม่ได้ ผมไม่ทิ้งเธอให้รอความตายอยู่ตรงนี้หรอก”
“แต่……”
อี้ว์เสี่ยวเอ๋อร์ยังอยากพูดอะไร
ลู่ฝานพูดตัดบททันทีว่า “เธอไปด้วยกันกับผม”
แววตาแน่วแน่ของลู่ฝาน ทำให้อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์ร้องไห้ออกมา

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 614
หลังจากเสียงระเบิดผ่านไป ศพแมงมุมกองเต็มพื้น

ฝูงแมงมุมกับงูที่เหลือ ตัวสั่นไม่กล้าเข้ามา เห็นได้ด้วยตาเปล่าว่าดวงตาสีเขียวในป่าลดน้อยลงอย่างรวดเร็ว

แสงสายฟ้าบนตัวลู่ฝานหายไป เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดในตัวเขาอย่างนอบน้อมว่า “ยินดีด้วย เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ก้าวหน้าขึ้นอีกขั้นแล้ว เจ้านายฝ่าฝันอุปสรรคในวิชาบู๊สายฟ้าได้อีกครั้งหนึ่งแล้ว”

ลู่ฝานฟังออกว่าเจดีย์เสวียนเก้ามังกรนอบน้อมกว่าปกติมาก จึงอดถามออกมาไม่ได้ว่า “ทำไมวันนี้แกดูเป็นการเป็นงานจัง”

เจดีย์เสวียนมังกรอึกอักอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ ยิ่งวิชาบู๊สายฟ้าของคุณลึกล้ำขึ้นเท่าไร ก็จะกดดันภูติอาวุธแบบเราได้รุนแรงขึ้น ดังนั้น……”

ลู่ฝานพยักหน้าเข้าใจ

เขาได้ยินมานานแล้ว ภูติอาวุธล้วนกลัวสายฟ้า คิดไม่ถึงว่าภูติอาวุธระดับสูงอย่างไอ้เก้า ยังกลัวสายฟ้าถึงขนาดนี้

ดูเหมือนต่อไปถ้าวิชาสายฟ้าฟาดห้าธาตุยิ่งล้ำลึกขึ้น เขาคงสามารถทำภูติอาวุธออกมาเล่นเองได้ ไม่กลัวการแว้งกัดด้วย

ลู่ฝานรีบเดินมาข้างอี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์ เห็นสีหน้าสีเผือดกับขาที่บวมของอี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์

ลู่ฝานเอามือข้างหนึ่งกดลงบนไหล่ของอี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์

“ไอ้เก้า ขจัดพิษ!”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรปล่อยพลังของตัวเองออกมา ใส่เข้าไปในตัวอี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์ทันที

ลู่ฝานสัมผัสผ่านพลังของเจดีย์เสวียนเก้ามังกร รู้สึกถึงสารพิษในเส้นลมปราณและในร่างกายของอี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์

พิษพวกนี้เข้าไปในพลังปราณของอี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์แล้ว แทบจะแยกกับพลังไม่ออก ตอนนี้อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้

“โอ้ พิษนี้ไม่เลว ถือว่าได้อะไรมานิดหน่อย”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรอาศัยปราณชี่ของลู่ฝาน ปกคลุมสารพิษทั้งหมดเอาไว้ จากนั้นสารพิษเริ่มเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว

ไม่นานสารพิษทั้งหมด รวมไปถึงพลังปราณของอี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์ แปรเปลี่ยนเป็นพลังเย็นสดชื่น

“เก็บ!”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรตะโกนออกมาเบาๆ

จากนั้นพลังทั้งหมดกลับเข้ามาในตัวลู่ฝาน

ทันใดนั้น ลู่ฝานรู้สึกว่าปราณชี่ของตัวพุ่งขึ้น

ลู่ฝานจิตใจวูบไหว “เกิดอะไรขึ้น ไอ้เก้า แกทำอะไร”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดว่า “เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ นี่คือความสามารถของฉันไง ไม่ว่าเป็นสารพิษอะไร เมื่อถึงมือฉัน จะกลายเป็นพลังบริสุทธิ์ที่สามารถเพิ่มพลังให้นักบู๊หรือผู้ฝึกชี่ ฉันยังสามารถนำพลังทุกอย่าง แปรเปลี่ยนเป็นพิษรุนแรงให้คนอื่นได้ด้วย ความสามารถนี้ไม่เลวนะ ฮ่าๆ เจ้านายสองสามคนก่อนของฉัน ล้วนอาศัยความสามารถนี้ ผ่านช่วงเวลาฝึกฝนอันยากลำบากที่สุดมาได้”
ลู่ฝานอ้าปากค้าง ที่แท้ตอนที่เจดีย์เสวียนเก้ามังกรบอกเขาว่าความสามารถชั้นแรกของมันฟื้นฟูแล้ว เขากลับไม่ได้สนใจสักนิด
แต่ดูเหมือนตอนนี้ความสามารถของไอ้เก้าแข็งแกร่งมาก
แค่อาศัยความสามารถนี้ ก็ช่วยเขาได้นับไม่ถ้วนแล้ว
ลู่ฝานคิดว่าถ้าเขาใช้ความสามารถนี้ ไปเป็นหมอขจัดพิษให้คน ความเร็วการฝึกฝนของเขาจะเร็วขึ้นไม่ใช่เหรอ
เหมือนมองความคิดลู่ฝานออก เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดว่า “อย่างเช่นสือฟาง อาศัยความสามารถชั้นแรกของฉัน จึงได้รับชื่อเสียงว่านักปราชญ์สือฟาง คนรักมากมายของเขา ล้วนได้มาจากความสามารถของฉัน เพราะการให้สาวสวยถอดเสื้อผ้าเป็นเรื่องยากมาก แต่มีฉัน ทุกอย่างก็ไม่ใช่ปัญหา อยากดูก็ดู ท่าไหนก็ได้ เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ ต่อไปเจ้านายก็ทำได้เหมือนกัน!”
ลู่ฝานก่นด่าในใจ “ไร้สาระ ฉันเป็นคนแบบนั้นเหรอ วิธีสกปรกแบบนี้ มันช่าง…..ดีจริงๆ เรื่องนี้ไว้ค่อยคุยรายละเอียดกันทีหลัง”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 613
นอกทะเลสาบน้ำแข็ง ไม่รู้อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์กับเจิงหยงฆ่าแมงมุมไปเท่าไรแล้ว เปลวไฟดำที่เจ้าดำพ่นออกมาก็ช้าลง

แต่ในป่ายังมีจำนวนแมงมุมอยู่มากมาย

ไม่เพียงแค่นั้น การต่อสู้ของฝูงแมงมุม ทำให้สัตว์อสูรตัวอื่นเริ่มเคลื่อนไหวเช่นกัน

พวกงูสีรุ้งตัวเล็กๆ ก็เลื้อยออกมาด้วย

“ไม่ได้การแล้ว เราอยู่ที่นี่ต่อไม่ได้แล้ว คุณเสี้ยวเอ๋อร์ พาคุณชายลู่มา เราหนีกันเถอะ!”

เจิงหยงตะโกนเสียงดัง

อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์รีบเข้าไปใกล้ลู่ฝาน

แต่ขณะนั้น งูตัวเล็ก 5-6 ตัวกระโจนเข้ามาหาอี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์

ตอนที่มันพุ่งเข้ามา หมอกพิษเจ็ดสีถูกพ่นออกมาด้วย บดบังการมองเห็นของอี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์

ให้ตายเถอะ!

อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์สะบัดกระบี่ฟันลงไป มีปราณกระบี่เกล็ดน้ำแข็งออกมา ปกคลุมด้านหน้าเธอเอาไว้

“ระวัง!”

เจิงหยงตะโกนออกมา

อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์หันมามอง เห็นงูตัวเล็กโผล่ขึ้นมาจากใต้ดิน เข้ามาในเสื้อปราณของเธอ กัดตรงข้อเท้าของเธอ

อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์ตัวแข็งไปทันที เห็นได้ด้วยตาเปล่าว่าขาของเธอเริ่มบวม

พิษเจ็ดสีลามจากข้อเท้าขึ้นไปข้างบน!

“คุณเสี้ยวเอ๋อร์!”

เจิงหยงตะโกนออกมา แล้วพุ่งเข้ามาฆ่างูตัวนั้นทันที

สะบัดดาบจัดการงูพิษล่างเท้าอี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์

อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์หงายหลังล้มลงไป เธอรู้สึกว่าแทบจะจับกระบี่เอาไว้ไม่อยู่แล้ว พลังปราณในตัวทะลักอย่างไม่สามารถควบคุมได้

จบแล้วเหรอ

ต้องตายอยู่ที่นี่เหรอ

ความเศร้าปรากฏบนใบหน้าอี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์ ถ้ารู้แต่แรกควรฟังคุณอา และไม่ต้องเข้ามา

เป็นไปตามคาด การสอบประเมินผู้ตรวจการชั้นกลาง ไม่ใช่สิ่งที่เธอจะเข้าร่วมได้

ฝูงแมงมุมกับงูตัวเล็กล้อมเจิงหยงกับอี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์เอาไว้ เจ้าดำก็ไม่สามารถพ่นเปลวไฟดำออกมาได้เหมือนเดิม

เจ้าดำหันหน้ามา เหมือนตัดสินใจอะไรได้

มันยื่นกรงเล็บออกมา ตอนจะจับลู่ฝานขึ้นมา มีสายฟ้าผ่าลงมาอีก

สายฟ้าน่ากลัวเป็นสีม่วงเข้ม ผ่าลงบนหัวลู่ฝาน

สายฟ้าวิเศษแบบนี้ ทำให้สัตว์อสูรทั้งหมดถอยไปด้านหลัง

ตอนนี้ลู่ฝานค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา

แกรก แกร๊ก!

มีเสียงแตกดังออกมาจากตัวลู่ฝาน ไอเย็นออกมาจากดวงตาทั้งสองข้าง

“วิชาสายฟ้าฟาดห้าธาตุ พลังสายฟ้าน้ำ สำเร็จแล้ว!”

ลู่ฝานพูดพึมพำแล้วลุกขึ้นยืน

ลู่ฝานหันมาเห็นฝูงสัตว์อสูร

“ทำไมแมงมุมเยอะขนาดนี้”

ลู่ฝานถามอย่างสงสัย

ฝูงสัตว์อสูรมองลู่ฝานอย่างหวาดกลัว ถึงพวกมันไม่ฉลาดเท่าไรนัก แต่ก็รู้ว่าคนที่โดนฟ้าผ่าไม่ตาย คือคนที่อย่าไปหาเรื่อง

ลู่ฝานยกมือขึ้น หันไปทางฝั่งที่มีแมงมุมเยอะที่สุด แล้วกดมือลงเบาๆ

ทันใดนั้น สายฟ้าน่ากลัวผ่าลงมาจากฟ้า

ตู้ม!

ฝุ่นตลบอบอวล จุดที่โดนฟ้าผ่า มีเกล็ดน้ำแข็งน่ากลัวปรากฏขึ้นหนึ่งชั้น

นี่คือพลังสายฟ้าน้ำ ลู่ฝานที่มีกระบวนท่าสายฟ้า 3 กระบวนท่า มีความรู้ใหม่เกี่ยวกับวิชาสายฟ้าฟาดห้าธาตุ

สิ่งที่โดดเด่นกว่านั้น อย่างน้อยภายใต้อากาศที่มีพายุกับสายฟ้าแบบนี้ พลังการต่อสู้ของเขายกระดับขึ้นไม่น้อย

“สะเทือน!”

ลู่ฝานเอ่ยออกมาอย่างราบเรียบ ทันใดนั้น แรงกระเพื่อมแผ่ซ่านออกมาจากจุดที่ฟ้าผ่าลงมา พวกสัตว์ป่าวิ่งหนีกันอุตลุด

เกล็ดน้ำแข็งในดวงตาหายไป ลู่ฝานยกมือขึ้นอีกครั้ง

เปลวเพลิง แสงทอง เกล็ดน้ำแข็ง สามสิ่งนี้ทะลักออกมา

วิชาสายฟ้าฟาดห้าธาตุ สามสายฟ้าจุติ ทำลาย!

ตู้ม ตู้ม ตู้ม!

เสาแสงสามต้นปรากฏออกมา แผ่วงกว้างออกไป มีพลานุภาพมากมาย ถาโถมทุกสิ่ง!

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 612
สีหน้าของอี่ว์เทียนซีก็หวาดกลัว “ไม่แน่ใจ อย่าบอกนะว่าแผ่นดินไหว”

ขณะกำลังพูด สัตว์อสูรบินผ่านหัวพวกเขาไป เสียงฟ้าร้องดังสนั่น ผ่าลงบนนกประหลาด

อี่ว์เทียนซีเห็นภาพนี้ ถึงกับอ้าปากค้าง “ปรากฏการณ์สัตว์อสูร พระเจ้า เราเจอปรากฏการณ์สัตว์อสูรแล้ว”

อู่คงหลิงไม่พูดอะไร หันหลังหนีทันที

อี่ว์เทียนซีอึ้งไป จากนั้นใช้วิชากายหนีกลับไปอย่างสุดชีวิต

ขณะที่ทั้งสองคนกำลังหนี มีสัตว์อสูรวิ่งมาจากในป่าเป็นขบวน

นำมาโดยพวกแมลง ในนั้นยังมีสัตว์อสูรแปลกๆ เหมือนงูปะปนอยู่ด้วย เมื่อมองออกไป ไม่รู้ว่าพุ่งเข้ามาด้านหน้าเยอะแค่ไหน

เหมือนพวกมันโดนเรียกอย่างไรอย่างนั้น ส่งเสียงคำรามออกมาพร้อมกัน

อู่คงหลิงกับอี่ว์เทียนซีเริ่มวิ่งเอาชีวิตรอด รอบตัวพวกเขามีสัตว์อสูรต่างๆ โผล่ออกมา

แม้ออร่าแต่ละตัวไม่แข็งแกร่ง แต่เห็นจำนวนแล้วน่ากลัวมาก

ตอนนี้อู่คงหลิงไม่สนใจการซ่อนพลังอะไรทั้งนั้น เธอใช้วิชากาย เหมือนควันดำลอยไปทั่ว

แม้วิชากายของอี่ว์เทียนซีไม่ช้า แต่เทียบกับอู่คงหลิง ยังต่างกันไม่น้อย

เขามองอู่คงหลิงอย่างตกตะลึง จากนั้นในแววตามีความปรารถนาผุดขึ้นมา

ผู้หญิงแบบนี้ คือผู้หญิงที่เขาใฝ่ฝัน

เขาต้องได้อู่คงหลิง!

ในเวลาเดียวกัน ที่ทะเลสาบน้ำแข็ง อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์และคนอื่นก็รู้สึกผิดปกติ

เมื่อเสียงวัวหายไป มีเสียงดังขึ้นรอบป่า

อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์กับเจิงหยงรีบเอาอาวุธออกมา เจ้าดำก็ตัวใหญ่ขึ้น มองรอบๆ อย่างหวาดระแวง เปลวไฟดำทะลักออกมาทางปากและจมูก

พวกสัตว์อสูรโผล่หัวออกมาจากป่า แววตาสีเขียวแวววาว เหมือนหิ่งห้อยยามค่ำคืน เห็นแล้วขนลุก

อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์กับเจิงหยงสูดหายใจเฮือก สัตว์อสูรเยอะมาก

ทำไมที่นี่ถึงมีสัตว์อสูรเยอะขนาดนี้!

อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์ลองเรียกลู่ฝาน แต่ตอนนี้ลู่ฝานยังฝึกฝนอยู่

ฝูงแมงมุมยักษ์ที่สูงประมาณคนคลานออกมา บนตัวแมงมุมพวกนี้มีแสงสีเขียวอ่อน เห็นได้ชัดว่ามีพิษรุนแรง

อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์กับเจิงหยงถอยหลังอย่างต่อเนื่อง จนใกล้ถึงขอบทะเลสาบ

เจ้าดำเฝ้าอยู่ข้างลู่ฝาน

“ดูเหมือนทำได้แค่สู้สุดใจ!”

เจิงหยงกัดฟันพูดออกมา

ตอนนี้ฝูงแมงมุมกระโจนเข้ามา

“กระบี่เกล็ดน้ำแข็ง!”

อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์สะบัดกระบี่ เกล็ดน้ำแข็งแช่แข็งแมงมุมยักษ์ที่พุ่งเข้ามา

ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า เหมือนใช้วิชาของเธอที่นี่ ดูมีพลานุภาพแข็งแกร่งขึ้น

เจิงหยงใช้ดาบฟันแมงมุมตัวหนึ่งตาย ของเหลวสีเขียวพ่นใส่บนเสื้อปราณของเขา เสื้อปราณของเขาถูกกัดกร่อนจนพังทันที

เหมือนการกระทำของทั้งสองคน ยั่วโมโหพวกแมงมุม แมงมุมพุ่งเข้ามาอีกเยอะ

เจ้าดำคำรามอย่างโมโห อ้าปากพ่นเปลวไฟดำออกมา แมงมุมทุกตัวที่กล้าเข้าใกล้มัน โดนเผาเกรียมจนกลายเป็นก้อนดำ

สองคนกับสัตว์อสูรหนึ่งตัว เริ่มฆ่ากันอย่างสุดชีวิต

ตาเฒ่าหลู่กับตาเฒ่าจงที่กำลังดูการต่อสู้ของพวกเขา ดื่มเหล้าอย่างตื่นเต้น ตาเฒ่าหลู่พูดเสียงดังว่า “อ้อ แมงมุมน้อยน่ารัก ฉันจำได้ว่าฉันเป็นคนปล่อยแมงมุมพวกนี้บนเกาะผนึกวิญญาณด้วยตัวเอง แค่สองตัวเอง ตอนนี้พวกมันสืบพันธุ์ออกมาเยอะขนาดนี้แล้ว”

ตาเฒ่าจงหัวเราะแล้วพูดว่า “ไอ้เด็กพวกนี้ต้านทานไม่ไหวแล้ว แค่ปรากฏการณ์สัตว์อสูรก็ผ่านไม่ได้เหรอ”

“ฉันว่ามีโอกาสสูง!”

ตาเฒ่าหลู่หัวเราะเสียงดัง แล้วยกไหเหล้าขึ้นมากรอกใส่ปาก

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 611
เมื่อคิดดังนั้นจึงลงมือทำ ลู่ฝานเดินมานั่งด้านหน้าทะเลสาบน้ำแข็ง

ตอนนี้เจ้าดำเอาอาหารที่ย่างเสร็จ แบ่งให้อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์กับเจิงหยง

อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์ชี้แผ่นหลังลู่ฝานแล้วพูดว่า “เจ้าดำ เจ้านายแกกำลังทำอะไร”

เจ้าดำทำท่านั่งสมาธิ จากนั้นโบกกรงเล็บไปมา

“อ้อ แกกำลังบอกว่าเจ้านายแกกำลังฝึกวิชาเหรอ”

เจิงหยงพูด

เจ้าดำพยักหน้า จากนั้นยื่นมือไปดึงเบคอนย่างในมือเจิงหยงออกมาหนึ่งชิ้น แล้วยื่นให้อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์

อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์หัวเราะออกมา แล้วพูดว่า “หืม เจ้าดำ ทำไมแกให้ฉันเยอะขนาดนี้ล่ะ”

เจิงหยงมองเจ้าดำอย่างหมดคำจะพูด “เพราะมันอยากประจบเธอล่ะ สมัยนี้อสูรวิเศษเหมือนคนขนาดนี้แล้วเหรอ”

เจ้าดำชูนิ้วกลางให้เจิงหยง

ตอนนี้ลู่ฝานยังหลับอยู่ เริ่มดึงดูดสายฟ้าอย่างมีสติ

ไอเย็นถูกเขาดึงเข้าร่างกายเช่นกัน วันนี้สิ่งที่ลู่ฝานต้องการฝ่าฟัน ก็คือสายฟ้าน้ำในวิชาสายฟ้าฟาดห้าธาตุ

สติของลู่ฝานค่อยๆ จมดิ่งลงไป

สายฟ้าฟาดลงมาจากฟ้า ผ่าลงบนตัวลู่ฝาน

ภาพนี้ทำให้อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์กับเจิงหยงสะดุ้งโหยง ทั้งสองคนลุกขึ้นยืน แต่เมื่อเพ่งมองดีๆ ลู่ฝานกลับไม่เป็นอะไรเลย

“เขาฝึกวิชาอะไร แข็งแกร่งมาก ขนาดฟ้าผ่ายังไม่กลัว”

เจิงหยงมองลู่ฝานอย่างอิจฉา ส่วนอี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์มองแผ่นหลังลู่ฝาน แล้วพูดว่า “คงมีแค่พวกบ้าบู๊ ที่ฝึกวิชาแบบนี้ในสภาพอากาศแบบนี้”

ลู่ฝานนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น พลังปราณในตัวเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว พลังสายฟ้าน้ำ เป็นรูปร่างช้าๆ

ฝึกจนถึงตอนนี้ ลู่ฝานเข้าใจในวิชาสายฟ้าฟาดห้าธาตุจนประสบผลสำเร็จมากแล้ว

สายฟ้าไฟกับสายฟ้าทองก่อนหน้านี้สำเร็จแล้ว วันนี้ก็คงไม่น่าจะต้องพูดถึงสายฟ้าน้ำ

แต่ขณะนั้น มีเสียงคำรามดังจากไกลๆ

เหมือนเสียงฟ้าร้องคำราม สั่นสะเทือนจนต้นไม้สั่นสะเทือน

ลู่ฝานที่กำลังฝึกฝนอย่างเงียบๆ จิตใจสั่นสะเทือน แต่เขาใช้สติที่แข็งแกร่ง ควบคุมสติตัวเองให้มั่นคง และฝึกฝนต่อไป

อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์หันไปมองไกลๆ แล้วพูดว่า “นั่นเสียงตะโกนอะไร เหมือนเป็นเสียงร้องของวัว”

เจิงหยงจับหัวแล้วพูดว่า “เสียงวัวร้อง คงไม่ใช่กุยวัวใช่ไหม!”

อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์พูดว่า “ได้ยินเสียงไกลมาก ถ้าเป็นกุยวัวก็ดีสิ”

……

อีกด้านหนึ่ง อี่ว์เทียนซีกับอู่คงหลิงที่กำลังเดินไปเกาะผนึกวิญญาณทางทิศตะวันตก กลับมีสีหน้ากลุ้มใจ

ทั้งสองคนเงยหน้ามองฝนที่ตกหนัก ยังคงเดินต่อไปข้างหน้า ช่วยไม่ได้ เมื่อกี้พวกเขาเจอฝูงแมงมุม แม้ไม่ได้แข็งแกร่ง แต่สร้างปัญหาให้พวกเขามาก เสื้อผ้าของอู่คงหลิงขาดเป็นริ้วๆ อี่ว์เทียนซีได้รับบาดเจ็บ

“คุณชายอี่ว์ เราเดินผิดทางหรือเปล่า ถ้าทางนี้เป็นไปที่อยู่ของกุยวัวจริงๆ แล้วทำไมที่นี่มีสัตว์อสูรระดับต่ำเยอะขนาดนี้ล่ะ”

อู่คงหลิงกัดฟันจนมีเสียงออกมา

อี่ว์เทียนซีหันมา สีหน้าดูกระอักกระอ่วนมาก

แต่ศักดิ์ศรีของผู้ชายทำให้อี่ว์เทียนซีไม่ยอมรับผิด ถึงตัวเขาเองก็รู้สึกผิดปกติเหมือนกัน

“กุยวัวอาจจะอยู่ไกลมาก เราเดินไปข้างหน้าอีกหน่อยก็ได้”

อี่ว์เทียนซีชี้ไปในป่าลึก แล้วพูดเสียงดัง

อู่คงหลิงอยากฆ่าไอ้หมอนี่จริงๆ

จู่ๆ พื้นดินสั่นสะเทือน มาพร้อมเสียงคำรามของสัตว์อสูรหลายชนิด

อู่คงหลิงพูดอย่างตกใจว่า “เกิดอะไรขึ้น”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 610
ตาเฒ่าจงครุ่นคิด แล้วพูดว่า “ไม่ได้ ดูไปก่อน ในเมื่อเด็กพวกนี้รับมือเถาวัลย์ปีศาจได้ ฉันอยากดูว่าพวกเขาจะช่วยเราสืบได้ไหมว่าใครก่อเรื่องในนั้น”

ตาเฒ่าหลู่พูดว่า “งั้นถ้าพวกเขาตายอยู่ข้างในล่ะ”

ตาเฒ่าจงพูดว่า “การสอบประเมินผู้ตรวจการชั้นกลางมีอันตรายอยู่ทุกที่ ถ้าเกิดอันตรายจริงๆ พวกเราช่วยพวกเขาได้หนึ่งครั้ง จะช่วยได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับโชคของพวกเขา หลังจากนั้นค่อยให้โอกาสพวกเขาสอบอีกครั้ง ก็พอแล้ว”

ตาเฒ่าหลู่พยักหน้า “ดีมาก ความคิดนี้ไม่เลว”

ทั้งสองคนปรึกษากันเรียบร้อย จากนั้นก็เอนตัวลงดื่มเหล้าต่อ

เห็นท่าทางสบายใจของพวกเขา เหมือนคนที่โมโหเมื่อครู่ ไม่ใช่พวกเขาสองคนอย่างไรอย่างนั้น

บนเกาะผนึกวิญญาณ

พวกลู่ฝานเดินไปด้านในเรื่อยๆ หลังจากอ้อมพุ่มไม้ จู่ๆ ภาพตรงหน้าดูกว้างใหญ่

สิ่งที่ปรากฏอยู่ในสายตาคือทะเลสาบ

น้ำในทะเลสาบเป็นสีฟ้าคราม ส่องแสงระยิบระยับ มีพลังเคลื่อนไหวอยู่ในทะเลสาบเบาๆ

“ที่นี่มีทะเลสาบด้วยเหรอ”

อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์พูดออกมา

ลู่ฝานหยิบดินข้างๆ โยนลงไปในทะเลสาบ น้ำกระเพื่อมทันที มีไอเย็นยะเยือกพุ่งออกมา

พวกลู่ฝานขนลุกทั้งตัว เจิงหยงพูดด้วยสีหน้าตกใจ “หนาวมาก”

ลู่ฝานนั่งยอง วางนิ้วลงในน้ำ

ทันใดนั้น ลู่ฝานเห็นว่านิ้วตัวเองเป็นน้ำแข็งอย่างรวดเร็ว ไอเย็นสูงสุดเข้ามาตรงปลายนิ้ว ทะลุเข้าไปในเส้นลมปราณของเขา

ลู่ฝานชักนิ้วกลับมาทันที ปราณชี่ขจัดเกล็ดน้ำแข็งบนนิ้วออกไป

“ดูเหมือนว่าน้ำในทะเลสาบนี้ใช้ไม่ได้”

ลู่ฝานพูดช้าๆ

อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์เห็นนิ้วลู่ฝานโดนแช่แข็งจนเป็นแบบนั้น ก็รีบถอยห่างจากทะเลสาบทันที

เจิงหยงส่ายหน้าพูดว่า “น่าเสียดาย น้ำใสขนาดนี้ ถ้าได้อาบน้ำที่นี่คงดี”

ลู่ฝานหัวเราะ ขณะนั้นฟ้ามืดลงทันที เสียงฟ้าร้องดังขึ้น

ซ่า ซ่า

ฝนตกลงมา และตกหนักขึ้นทันที

ทั้งสามคนกางเสื้อปราณของตัวเองขึ้นมา ป้องกันเม็ดฝนเอาไว้

อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์พูดว่า “ดูเหมือนวันนี้จะเดินไปไม่ได้แล้ว เราพักที่นี่กันเถอะ”

เจิงหยงพยักหน้า “ผมคิดว่าก็ได้นะ เพราะยังมีเวลาห้าวันใช่ไหม”

ลู่ฝานพยักหน้าเช่นกัน จากนั้นหันหลังเข้าไปในป่าทึบ เอาใบไม้ใบกว้างมาเป็นกอง

เจ้าดำก็กระโดดลงมาจากไหล่ลู่ฝาน เริ่มช่วยลู่ฝานทำเต็นท์จากใบไม้

ไม่นาน เต็นท์เล็กและงดงามถูกสร้างจนเสร็จ

อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์พูดว่า “คิดไม่ถึงว่านายมีฝีมือเรื่องนี้ด้วย”

ลู่ฝานพูดว่า “แต่ก่อนเคยฝึกฝนในป่า ทักษะเล็กๆ น้อยๆ เธอจะฝึกไหม”

อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์ยิ้มแล้วพยักหน้า เจิงหยงก็ยิ้มอย่างซื่อๆ แล้วพูดว่า “ผมก็เป็นนิดหน่อย แต่ไม่ได้สร้างเก่งเหมือนคุณชายลู่”

ลู่ฝานให้เจ้าดำเอาใบไม้มาอีกส่วนหนึ่ง ช่วยอี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์กับเจิงหยงสร้างเต็นท์จนเสร็จ

ทั้งสามนั่งมองฟ้าอยู่ในเต็นท์

ลู่ฝานเริ่มย่างของกิน ของแห้งส่วนหนึ่งที่เอาติดตัวมา ถูกย่างจนส่งกลิ่นหอมไปทั่ว ด้วยฝีมือของเจ้าดำ

อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์กับเจิงหยงมองมา พูดอย่างตกใจว่า “อสูรวิเศษของนายย่างอาหารเป็นด้วยเหรอ น่ารักมาก”

ลู่ฝานหัวเราะเบาๆ เจ้าดำก็มีท่าทางได้ใจ

ทันใดนั้น มีเสียงฟ้าร้องดังขึ้นอีกครั้ง เสียงฟ้าร้องเหมือนจะแยกท้องฟ้า สะท้อนไปทั่วเหมือนตอนกลางวัน

ลู่ฝานมองสายฟ้าบนท้องฟ้า แล้วขมวดคิ้วเบาๆ

ตอนนี้เป็นช่วงเวลาดีในการฝึกวิชาสายฟ้าฟาดห้าธาตุ

จู่ๆ ลู่ฝานมองทะเลสาบน้ำแข็งข้างหน้าอีกครั้ง รอยยิ้มเต็มใบหน้า

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 609
เมื่อเถาวัลย์ล่าถอยไป ลู่ฝานเห็นทางเดินเล็กๆ

ลึกและเงียบ ไม่รู้เป็นทางเดินไปไหน

อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์กับเจิงหยงก็มองตามลู่ฝาน ไปยังถนนเส้นเล็ก เดินไปข้างหน้าไม่กี่ก้าว เจิงหยงใช้มือสัมผัสดินบนถนน แล้วพูดว่า “คนสร้างมันขึ้นมา”

ลู่ฝานพูดว่า “นายดูออกด้วยเหรอ”

เจิงหยงยักไหล่แล้วพูดว่า “ช่วยไม่ได้ อยู่กับพวกลักลอบขนสินค้าตั้งแต่เด็ก ก็ต้องเรียนรู้สิ่งไร้สาระพวกนี้บ้าง”

อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์พูดว่า “ทางเดินนี้จงใจทิ้งไว้ให้พวกเราเหรอ หรือว่านี่เป็นส่วนหนึ่งของการทดสอบ”

ลู่ฝานส่ายหน้า “ไม่แน่ใจ คิดว่าเราควรเข้าไปดีไหม”

เจิงหยงพูดว่า “ผมว่าควรเข้าไป”

อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์พูดว่า “ฉันเอาตามคุณชายลู่”

ลู่ฝานอมยิ้มมองอี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์แวบหนึ่ง แต่อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์ยิ้มซุกซนให้ลู่ฝาน

ลู่ฝานหันไปถามเจ้าดำ “เจ้าดำ แกคิดว่าข้างในอันตรายไหม”

เจ้าดำดมกลิ่นไปตรงทางเดินเล็กๆ การกระทำของมันเผยให้เห็นธาตุแท้ที่มันเป็นสุนัข

อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์กับเจิงหยงเห็นแล้วมีสีหน้าประหลาด

เจ้าดำแลบลิ้นแล้วส่ายหน้า เพื่อบอกว่าตัวเองไม่ได้สัมผัสถึงอะไร

ทันใดนั้น ตัวของเจ้าดำเล็กลงอย่างรวดเร็ว กลายเป็นสัตว์อสูรสีดำตัวเล็กๆ กระโดดขึ้นไปบนไหล่ลู่ฝาน

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรค่อยๆ เคลื่อนไหวพลังโดยอัตโนมัติ ช่วยเจ้าดำรักษาอาการบาดเจ็บ

สารพิษในเถาวัลย์ปีศาจ ตอนนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับเจดีย์เสวียนเก้ามังกร สามารถจัดการได้ในพริบตา

ลู่ฝานเงียบอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “ไปเถอะ เข้าไปดูกัน ทั้งสองคนเดินตามหลังฉัน ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ทั้งสองคนหนีได้ ไม่ต้องสนใจฉัน ฉันไม่ได้ล้อเล่น”

คำพูดของลู่ฝานทำให้อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์กับเจิงหยงหัวเราะออกมา พวกเขาดูคนไม่ผิดจริงๆ

ลู่ฝานพูดแบบนี้ออกมา เป็นสิ่งยืนยันว่าเขาไม่ใช่คนขายเพื่อน

แต่อันที่จริงลู่ฝานพูดแบบนี้ ก็เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง มีอี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์กับเจิงหยงอยู่ เขาไม่สามารถใช้วิชาของผู้ฝึกชี่ได้

ถ้ามีเขาเพียงคนเดียว ยังจัดการได้ง่ายหน่อย

อย่างน้อยวิชามากมายของผู้ฝึกชี่ ก็ใช้การได้ดีในป่าทึบแบบนี้

ทั้งสามคนเดินเข้าไปอย่างระมัดระวัง ยิ่งเดินเข้าไป ป่าทึบยิ่งบดบังแสงอาทิตย์

เดินเป็นเวลาประมาณหนึ่งก้านธูป เห็นเพียงแสงอาทิตย์เล็กน้อย ได้ยินเสียงยุงดังเข้าหูเบาๆ

ลู่ฝานบอกให้เจ้าดำปล่อยแรงกดดันออกมาเล็กน้อย

ตอนนี้ในบรรดาสัตว์อสูร เจ้าดำไม่ใช่ผู้อ่อนแอ แรงกดดันที่มันปล่อยออกมา ทำให้สัตว์อสูรจำนวนไม่น้อย ได้ยินเสียงลมและพากันหนีทันที

ลู่ฝานและคนอื่นเดินไปบนทางเดินเล็กๆ ในเมืองหลวงประเทศอู่อาน ตาเฒ่าหลู่กับตาเฒ่าจงช็อกไปแล้ว

“เกาะผนึกวิญญาณมีทางเดินนี้ตั้งแต่เมื่อไร ทำไมฉันไม่รู้ ใครทำลายกฎ!”

ตาเฒ่าหลู่โมโหมาก เกิดเรื่องไม่คาดฝันในถิ่นของพวกเขา เกิดเรื่องที่ไม่สามารถควบคุมได้

“เถาวัลย์ปีศาจนั่นด้วย ใครปล่อยเอาไว้ ถ้าฉันจับได้ ฉันจะโยนเขาไปเกาะนรก ให้เขาเล่นกับเถาวัลย์ปีศาจให้เต็มที่”

ตาเฒ่าจงก่นด่าออกมาอย่างโมโห มีภาพลวงตาสีแดงเพลิงปรากฏบนตัว ทันใดนั้นมีเสียงไพเราะดังก้อง

ทั้งสองคนเริ่มเดินช้าๆ

“ตาเฒ่าจง ยกเลิกการสอบประเมินผู้ตรวจการชั้นกลางของพวกเขาเลยดีไหม ไม่แน่อาจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันบนเกาะนั่นแล้ว”

ตาเฒ่าหลู่แทบจะดึงเคราขาวของตัวเองลงมาอยู่แล้ว

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 608
เกิดเสียงดังชิ้ง กระบี่หนักไร้คมของลู่ฝาน แค่ทำให้เถาวัลย์สีม่วงเป็นรอยยุบลงไป แต่ไม่ได้ทำให้มันขาด

ประกายไฟกระจายไปทั่ว เถาวัลย์สีม่วงที่โดนโจมตีขดตัวอย่างรวดเร็ว เจ้าดำส่งเสียงร้องออกมาอย่างเจ็บปวดอีกครั้ง

“เถาวัลย์แข็งแกร่งมาก!”

ลู่ฝานเพิ่งเคยเห็นเถาวัลย์ที่ทนทานขนาดนี้เป็นครั้งแรก ขณะนั้นเจ้าดำทนไม่ไหว หันหน้าพ่นเปลวไฟดำออกมา เผาเถาวัลย์ไหม้จนหมด

เพียงพริบตาเปลวไฟสีดำกลายเป็นทะเลเพลิง แต่ขณะนั้น เห็นเถาวัลย์พวกนี้หดตัวเอง หลังจากนั้นพ่นของเหลวสีดำออกมาข้างนอก

ของเหลวนี้เก่งกาจกว่าน้ำธรรมดา อย่างน้อยน้ำธรรมดาไม่สามารถดับเปลวไฟดำของเจ้าดำได้

แต่เมื่อพ่นของเหลวนี้ออกมา เปลวไฟโดนควบคุมทันที

เจ้าดำยังพ่นไฟออกมาอย่างไม่อยากเชื่อ แต่กลับไม่ได้ผลสักนิด

เถาวัลย์รอบๆ เริ่มเลื้อยเป็นวงกว้าง เหมือนทั้งป่ามีชีวิตขึ้นมา

“เกิดอะไรขึ้น”

เจิงหยงกับอวี้เสี้ยวเอ๋อร์ยืนด้านหลังลู่ฝาน แล้วเอาอาวุธออกมา

ลู่ฝานตะโกนอยู่ในใจ “ไอ้เก้า นี่มันอะไรกัน”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรไม่ทำให้ลู่ฝานผิดหวัง มันเป็นสิ่งที่อยู่มาหลายร้อยปีอย่างแท้จริง ความรู้กว้างขวาง มันพูดออกมาทันที

“เถาวัลย์ปีศาจ พระเจ้า ทำไมที่นี่ถึงมีสิ่งชั่วร้ายขนาดนี้ สิ่งนี้มันควรสูญพันธุ์ไปนานแล้วไม่ใช่เหรอ”

เถาวัลย์ปีศาจรอบๆ ดับเปลวไฟสีดำ เริ่มพุ่งเข้าไปหาลู่ฝานและคนอื่น เห็นเถาวัลย์มากมาย เจ้าดำเหมือนเจอศึกหนัก เจิงหยงกับอวี้เสี้ยวเอ๋อร์ปล่อยเสื้อปราณออกมา เตรียมสู้สุดชีวิต

ลู่ฝานพูดเสียงดังว่า “จะรับมือเถาวัลย์ปีศาจพวกนี้ยังไง”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดว่า “หึหึ เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ สำหรับคนอื่น เถาวัลย์ปีศาจพวกนี้เป็นสิ่งที่น่ากลัวและน่าขยะแขยงมาก แต่สำหรับฉัน ไม่นับประสาอะไร เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ ฉันยืมพลังเจ้านายหน่อยได้ไหม”

“ยืมไปเลย! รีบจัดการ”

ปราณชี่เคลื่อนไหวเอง ตอนนี้บนมือลู่ฝานมีเงาของเจดีย์เสวียนเก้ามังกรโผล่ขึ้นมา

หลังจากนั้นบนตัวเจดีย์ มีแรงกระเพื่อมออกมา

ทันใดนั้น เหมือนเถาวัลย์ปีศาจปะทะกับสิ่งที่น่ากลัว ถอยกลับไปทั้งหมด

เจิงหยงกับอี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์มองภาพนี้อย่างอึ้งๆ

ลู่ฝานถามในใจว่า “ไอ้เก้า แกทำได้ยังไง”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดว่า “ไม่มีอะไรหรอก ช่วงนี้ฉันฟื้นฟูพลังเจดีย์ชั้นแรกได้แล้วไง หึหึ ฉันสามารถขจัดพิษและควบคุมพิษได้แล้ว จึงปล่อยสารพิษอันแข็งแกร่งออกมาได้”

“เถาวัลย์พิษพวกนี้ มีชีวิตอยู่ได้ด้วยพิษ พวกมันสามารถเปลี่ยนอะไรก็ได้ ให้กลายเป็นพิษที่ทำให้พวกมันรอดได้ แต่เมื่อเจอสิ่งที่เป็นพิษกว่า พวกมันจะล่าถอย ไม่กล้าเข้าใกล้ ดังนั้นต่อไปถ้าเจ้านายเจอของพวกนี้อีก เจ้านายเอายาพิษติดตัวไว้ก็พอแล้ว แค่สาดพิษออกมา ไอ้พวกนี้ก็ไม่กล้าเข้าใกล้เจ้านายแล้ว”

ลู่ฝานแอบตกใจ พืชระดับนี้เหมือนมีสติปัญญาจริงๆ รู้จักมุ่งหาผลประโยชน์ หลีกเลี่ยงอันตรายด้วย

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าลู่ฝาน พอใจกับผลงานของไอ้เก้ามาก แต่รอยยิ้มของเขาในสายตาอี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์กับเจิงหยง ดูมีเสน่ห์มาก

เห็นเถาวัลย์ออกไปทั้งหมด อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์ยิ้มแล้วพูดว่า “คุณชายลู่ทำได้ยังไง”

ลู่ฝานเก็บเงาของเจดีย์เสวียนเก้ามังกร แล้วพูดว่า “วิธีนิดหน่อย เอ๊ะ นั่นอะไร”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 607
“ตาเฒ่าหลู่ นายว่าเด็กพวกนี้จะผ่านด่านได้ไหม”

สถานที่ลึกลับแห่งหนึ่ง ที่เมืองหลวงประเทศอู่อาน

ในโถงขนาดใหญ่ เป็นม่านน้ำสรวงสวรรค์ทั้งหมด นี่เป็นสิ่งที่ระดับสูงกว่ากระจกจำภาพ เกิดจากการรวมกันของวิชากับค่ายกล สามารถดูดพลังฟ้าดินโดยอัตโนมัติ ขณะเดียวกันสามารถเปิดปิดตามวิชา สามารถมองเห็นได้ละเอียดและดูได้หลายเหตุการณ์

ตอนนี้ในโถงใหญ่ มีแค่ตาเฒ่าสองคน ดื่มเหล้าพลางดูเหตุการณ์ในม่านน้ำสรวงสวรรค์

ม่านน้ำสรวงสวรรค์ที่อยู่ด้านหน้าสุด เป็นภาพด่านที่สองของลู่ฝานและคนอื่น

ม่านน้ำสรวงสวรรค์อื่นๆ เป็นภาพการทดสอบของนักเรียนเขตต่างๆ แต่การทดสอบพวกนั้น ไม่ได้เรียกความสนใจของผู้อาวุโสทั้งสอง

การทดสอบของพวกลู่ฝาน ถูกวางไว้ตรงกลางสุด ตาเฒ่าทั้งสองคนดูกันอย่างเพลิดเพลิน

“ตาเฒ่าจง ฉันชอบเด็กที่ทดสอบแล้วมีสีเขียวโผล่ออกมา ศักยภาพไม่เลว แม้ครั้งนี้ไม่ผ่าน ครั้งหน้ายังมีโอกาส”

ตาเฒ่าที่ถูกเรียกว่าตาเฒ่าจงสะบัดมือเอาไหเหล้าออกมา

กลิ่นเหล้ารุนแรง ตาเฒ่าทั้งสองคนไม่ใช้ถ้วย แต่เริ่มผลัดกันดื่มคนละอึก

ตาเฒ่าแซ่หลู่เอาแขนเสื้อสกปรกๆ เช็ดมุมปาก แล้วพูดว่า “ไอ้เด็กนี่ไม่เลวจริงๆ แต่ไม่รู้เป็นศิษย์ของใคร”

“ทางที่ดีไม่ต้องเป็นศิษย์ใครทั้งนั้น เหอะๆ”

ตาเฒ่าจงหัวเราะเบาๆ แล้วเอ่ยขึ้น

ตาเฒ่าหลู่ลูบเคราขาวของตัวเองแล้วพูดว่า “ใช่ ทางที่ดีไม่ต้องเป็นศิษย์ใครทั้งนั้น ฮ่าๆ ไอ้โง่นี้ไปทางตะวันตก ตะวันตกมีอะไร ดูวิวเหรอ”

ตาเฒ่าหลู่มองอี่ว์เทียนซีทำเป็นฉลาด เดินไปทางทิศตะวันตก แล้วหัวเราะออกมาทันที

มีวิธีที่แม่นยำกว่าในการค้นหาสัตว์อสูรที่ทรงพลังมากกว่าการรับรู้ของสัตว์อสูรอีกเหรอ

แม้แต่สิ่งนี้ยังไม่เชื่อ แต่กลับไปเชื่อทิศทางบ้าบอ ไร้สาระจริงๆ

“เกาะผนึกวิญญาณเป็นเกาะแห่งหนึ่ง มีลมทะเลอยู่ทั่วไปหมด เด็กคนนี้ระดับทั่วไป ความคิดตื้นเขิน ปัดทิ้งได้เลย”

พูดพลางตาเฒ่าหลู่เอาใบรายชื่อมา

ด้านบนเป็นชื่อผู้สมัครเขตต่างๆ

ตาเฒ่าหลู่ขีดฆ่าลงบนชื่อของอี่ว์เทียนซี

ขีดฆ่านี้หมายความว่าทั้งชีวิตของอี่ว์เทียนซี อย่าหวังขึ้นสู่ระดับสูงในประเทศอู่อาน แม้ในอนาคตอี่ว์เทียนซีจะโชคดีมาก ก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว ขีดฆ่านี้ก็จะเป็นจุดดำของเขา กลายเป็นแม่น้ำที่เขาไม่สามารถข้ามได้ ในการขึ้นสู่ระดับสูงในประเทศอู่อาน

ถ้าอี่ว์เทียนซีรู้ว่าการที่ตัวเองตัดสินใจทำเป็นฉลาดแบบนี้ ทำให้เขาโดนวิจารณ์ขนาดนี้ คงอยากร้องไห้ออกมาเลยมั้ง

แต่บางครั้งก็เป็นแบบนี้ นายไม่มีทางรู้เลยว่าตัวเองดับอนาคตตัวเองตั้งแต่ตอนไหน

อี่ว์เทียนซีลืมที่หัวหน้าเขตอี้ว์เตือนพวกเขาก่อนเข้ามา ทุกการกระทำของเขาภายในห้าวันนี้ จะถูกบันทึกเอาไว้ทั้งหมด

บนเกาะผนึกวิญญาณ

ลู่ฝาน อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์ และเจิงหยง เดินเข้ามาในป่าลึกแล้ว

เดินยังไม่ถึงครึ่งทาง พืชบริเวณรอบๆ เกิดความเปลี่ยนแปลง

พืชสีเขียวชอุ่ม ถูกแทนที่ด้วยพืชสีดำขลับ เมื่อมาถึงที่นี่ ขนาดเจ้าดำยังเดินช้าลง พ่นเปลวไฟดำออกมาทางจมูก เหมือนมันสัมผัสได้ถึงภัยอันตราย

ทันใดนั้นเจ้าดำร้องออกมาอย่างเจ็บปวด ลู่ฝานและคนอื่นรีบลงมา

เมื่อก้มมอง เห็นเถาวัลย์สีม่วงออกดำเลื้อยพันขาหลังเจ้าดำ

หนามแหลมคมทิ่มลงไปในผิวหนังอันทนทานของเจ้าดำ

“ให้ตายเถอะ!”

ลู่ฝานดึงกระบี่หนักไร้คมออกมา ฟันลงบนเถาวัลย์สีม่วงทันที

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 606
อี่ว์เทียนซีหัวเราะแล้วพูดว่า “พูดได้ดีๆ!”

ลู่ฝานมองอี่ว์เทียนซีด้วยแววตาสงสาร โดนผู้หญิงชั่วร้ายอย่างอู่คงหลิงหลอก ถึงตัวเองไม่จัดการเขา อี่ว์เทียนซีก็คงโดนอู่คงหลิงเล่นงาน

“ไปกันเถอะ สิ่งสำคัญที่ควรทำตอนนี้ คือหาว่ากุยวัวอยู่ที่ไหน”

ลู่ฝานพูดออกมา

ลู่ฝานพูดพลาง ปล่อยเจ้าดำออกมาจากจวนอากาศธาตุ

เพิ่งปล่อยออกมา เจ้าดำก็วิ่งไปทั่วด้วยความตื่นเต้น

จากตัวของมันในตอนนี้ แค่วิ่งก้าวเดียว ก็สามารถชนต้นไม้จนหักได้ไม่น้อยแล้ว

เหมือนว่ากลับมาในป่า ทำให้เจ้าดำดีใจเป็นพิเศษ หลังวิ่งอยู่รอบหนึ่ง เจ้าดำจึงหยุดลง เอาลิ้นเลียหน้าลู่ฝานไม่หยุด

ลู่ฝานรีบผลักเจ้าดำออก แค่ไม่นานหน้าเขาเหมือนล้างหน้ามา

มองไปรอบๆ ลู่ฝานถามเจ้าดำว่า “เจ้าดำ แกว่าที่ไหนอันตรายที่สุด”

เจ้าดำมองลู่ฝานอย่างไม่เข้าใจ ดวงตาโตกำลังถามว่า ทำไมถึงถามหาสถานที่ที่อันตรายที่สุด

จากนั้นเจ้าดำยื่นกรงเล็บชี้ไปทางทิศตะวันออก ลู่ฝานพยักหน้าพูดว่า “เดินไปทางนี้”

พูดจบ ลู่ฝานเด้งตัวขึ้นไปบนหลังเจ้าดำ ตอนนี้เจ้าดำแผ่นหลังกว้าง ยืนคนสี่คนถึงห้าคนก็ไม่ใช่ปัญหา

ลู่ฝานหันมามองอี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์แล้วพูดว่า “ขึ้นมาสิ”

อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์ดวงตาเป็นประกาย แล้วพูดว่า “ฉันก็ขึ้นไปได้เหรอ”

ลู่ฝานดึงอี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์ขึ้นมา เจิงหยงหัวเราะ เดินมาข้างเจ้าดำ แล้วลูบผิวเจ้าดำเบาๆ

“เป็นอสูรวิเศษที่ดี คุณชายลู่ฝานเป็นคนที่ไม่ธรรมดาจริงๆ”

พูดจบ เจิงหยงก็ขึ้นมาบนหลังเจ้าดำ

“ไป!”

เมื่อออกคำสั่ง เจ้าดำพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

อี่ว์เทียนซีที่อยู่ด้านหลัง มองตามพวกลู่ฝานด้วยแววตาอิจฉาริษยา แล้วพูดว่า “แค่อสูรวิเศษตัวเดียว”

อู่คงหลิงพูดอย่างแน่วแน่ว่า “คุณชายอี่ว์ เราก็ควรออกเดินทางได้แล้ว คุณว่าเราจะไปทางไหน”

อี่ว์เทียนซีครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “ตอนเด็กผมเคยเห็นในตำราเสินอี้จิง กุยวัวเกิดและโตในทะเล ซ่อนตัวอยู่ใต้ทะเลลึก เราน่าจะต้องไปทางทะเล”

อู่คงหลิงยิ้มแล้วพูดว่า “คุณชายอี่ว์มีความรู้ดีมาก แต่ไปทางไหนคือทะเลเหรอ”

อี่ว์เทียนซีแกล้งทำเป็นเด็ดใบไม้ลงมาหนึ่งใบ แล้วโยนออกไป

มองทิศทางที่ใบไม้ลอยไป แล้วพูดว่า “ใบไม้เคลื่อนไหวตามลม ลมนี้มีความชื้น ต้องพัดมาจากทะเลแน่นอน ผมว่าน่าจะทางนี้”

พูดจบ อี่ว์เทียนซีชี้ไปทางทิศตะวันตก

อู่คงหลิงไม่พูดอะไรออกมา

อี่ว์เทียนซีพูดว่า “คุณอู่ไม่เชื่อผมเหรอ”

อู่คงหลิงเงียบอยู่นาน แล้วพูดว่า “คุณชายอี่ว์ตัดสินใจเถอะ”

อี่ว์เทียนซียิ้มแล้วพยักหน้า จากนั้นเดินไปทางทิศตะวันตก

อู่คงหลิงเดินตามหลังอี่ว์เทียนซี ใช้เสียงเบาพูดให้อี่ว์เทียนซีไม่ได้ยิน “ไอ้ปัญญาอ่อนนี่ ปัญญาอ่อนจริงๆ”

แต่อี่ว์เทียนซีดูกระตือรือร้นมาก ตะโกนเสียงดังว่า “คุณอู่ รอผมหากุยวัวเจอ ผมจะเข้าไปสู้ก่อนด้วยชีวิตตน เมื่อถึงเวลาคุณอู่นั่งรอสบายๆ ได้เลย”

อู่คงหลิงมองหลังอี่ว์เทียนซี แววตาเหมือนมีด พูดเบาๆ ว่า “นายหาให้เจอแล้วค่อยพูดเถอะ!”

เงาของทั้งสองคนหายไปในป่า

ทั้งห้าคนแยกเป็นสองทาง คือทิศตะวันออกและทิศตะวันตก

มีเมฆเคลื่อนตัวช้าๆ อยู่ไกลๆ แอบมีเสียงฟ้าร้องเล็กน้อย

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 605
ลู่ฝานทำเป็นไม่สนใจคำพูดส่วนหลังของเจดีย์เสวียนเก้ามังกร ถ้าจะให้เจดีย์เสวียนเก้ามังกรฟื้นฟูเสร็จ คงต้องใช้ของล้ำค่าและสมุนไพรอย่างทรงพลังเหมือนกัน

ถ้ามีเวลานั้น ไม่แน่ลู่ฝานอาจฝึกถึงระดับเซียนบู๊ก็ได้

ทุกคนมองอยู่นาน ลู่ฝานหันมามองอี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์แล้วพูดว่า “คุณเสี้ยวเอ๋อร์ เรามาเป็นพวกเดียวกันเถอะ”

อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์ยิ้มแล้วพูดว่า “ทำไม เกิดจิตใจดีขึ้นมาเหรอ ครั้งนี้ไม่มีใครจ่ายเงินนายนะ”

ลู่ฝานพูดว่า “ไม่ใช่เรื่องว่าจ่ายหรือไม่จ่ายเงิน แต่ครั้งนี้ศัตรูรับมือยากมาก ผมคิดว่าแค่เราร่วมมือกัน อาจพอมีชีวิตรอดอยู่บ้าง”

“ฉันว่าไม่ใช่มั้ง การทดสอบครั้งนี้พูดชัดเจนแล้ว คนที่ฆ่ากุยวัวตายถึงจะผ่านด่าน นั่นหมายความว่าในบรรดาเราทั้งห้าคน อย่างมากมีแค่คนเดียวที่จะผ่านด่านได้ จะร่วมมือ รวมกลุ่มอะไรกันล่ะ ลู่ฝาน ฉันว่านายจะเอาคนอื่นมาเป็นตัวรับกระสุนมากกว่า”

อี่ว์เทียนซีเลิกผมที่ปรกอยู่ครึ่งหน้าขึ้นมา เห็นใบหน้าทรงพลัง แต่รอยยิ้มนั้นทำให้เขาดูชั่วร้ายขึ้นเล็กน้อย

ลู่ฝานรู้แล้วว่าทำไมอี่ว์เทียนซีเอาผมปิดไว้ครึ่งหน้า เพราะดวงตาอีกข้างของอี่ว์เทียนซี เป็นสีม่วงที่ไม่ค่อยมีให้เห็น

ดูแปลกประหลาดเป็นพิเศษ!

ลู่ฝานมองเขาแล้วพูดว่า “คุณชายอี่ว์คิดว่าตัวเองจะสู้กุยวัวได้เหรอ”

อี่ว์เทียนซีจัดเสื้อผ้าตัวเอง แล้วพูดว่า “จะสู้ได้หรือไม่ อยู่ที่ความสามารถของแต่ละคน แค่ฉันไม่อยากรับใช้คุณชายลู่ ไม่อยากตายแทนแค่นั้น”

พูดจบอี่ว์เทียนซีหัวเราะเบาๆ เหมือนว่าเขาพูดมีเหตุผลมาก

ลู่ฝานยังคงมองเขาอย่างราบเรียบ “คุณชายอี่ว์ไม่ยอมร่วมมือ งั้นก็ตามใจ ฉันแค่คิดว่ามาถึงสถานที่แบบนี้ สิ่งแรกที่ควรทำ ไม่ใช่การฆ่ากุยวัวเพื่อผ่านด่าน แต่ควรคิดว่าควรเอาชีวิตรอดยังไงดีกว่า”

อี่ว์เทียนซียังจะเยาะเย้ยลู่ฝานต่อ

แต่ขณะนั้น เจิงหยงที่อยู่ข้างๆ พูดว่า “ใช่ คุณชายลู่พูดถูกมาก คุณชายลู่ฝานเพิ่มผมเข้าไปอีกคนได้ไหม”

ลู่ฝานพยักหน้ายิ้ม “ได้แน่นอน”

อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์พูดว่า “ฉันไปกับนายอยู่แล้ว”

คำพูดของอี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์คลุมเครือมาก ลู่ฝานจิตใจวูบไหวเล็กน้อย แต่ไม่กล้าแสดงออกมาสักนิด

“งั้นนับฉันไปด้วยได้ไหม”

ตอนนี้อู่คงหลิงมาร่วมด้วย แม้มีผ้าปิดหน้าอยู่ แต่ยิ้มเดียวล่มเมืองของเธอ ทำให้เจิงหยงกับอี่ว์เทียนซีอึ้งอยู่ที่เดิม

ลู่ฝานไม่ขยับไปไหน มองอู่คงหลิงแล้วพูดว่า “คุณอู่จะเดินไปกับผมด้วยใจจริงเหรอ”

ลู่ฝานแววตาวูบไหว จ้องตาอู่คงหลิง

อู่คงหลิงเหมือนโดนสายตาของลู่ฝานโจมตีใส่ หันมามองแล้วพูดว่า “คุณชายลู่ฝานเป็นคนไม่มีเหตุผลขนาดนี้เลยเหรอ งั้นช่างเถอะ ฉันคิดว่าฉันคนเดียวก็ดีมากแล้ว”

จู่ๆ อี่ว์เทียนซีพูดเสียงดังว่า “คุณอู่ ถ้าไม่รังเกียจ มาอยู่กับผมได้ แม้ด่านแรกผมจะได้แค่สีทอง แต่ไม่ทำเรื่องที่เอาคนอื่นมารับกระสุนแทนตัวเองหรอก ไว้ใจนิสัยผมได้ คุณอู่คิดยังไง”

อี้ว์เสี่ยวเอ๋อร์หัวเราะพรืดแล้วพูดว่า “คุณชายอี่ว์ก็ดึงคนมาร่วมมือด้วยเหรอ ฉันนึกว่าคุณจะผ่านด่านด้วยตัวเอง”

อี่ว์เทียนซีไม่สนใจอี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์สักนิด สายตาจ้องไปที่อู่คงหลิง

เหมือนสายตาของเขาจะทะลุผ้าบางบนใบหน้าอู่คงหลิง เห็นใบหน้างดงามภายใต้ผ้าบาง

แววตามีความโลภและปรารถนาฉายขึ้นมา อี่ว์เทียนซียืดหลังตรง ท่าทางดูทรงพลัง

ตอนนี้อู่คงหลิงยิ้มจนตาเป็นสระอิ แล้วพูดว่า “งั้นรบกวนคุณชายอี่ว์ดูแลฉันด้วยนะ”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 604
กุยวัว สัตว์ร้ายที่รกร้าง

แข็งแกร่งเหมือนวัว ตัวสีฟ้าแกมเขียว ไม่มีเขา มีขาเดียว เวลาปรากฏกายจะมีพายุและฝนกระหน่ำ แสงของมันเหมือนดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ เสียงเหมือนฟ้าร้อง

สัตว์ตัวนี้พละกำลังแข็งแกร่ง ถ้าไม่ใช่นักบู๊แดนปราณฟ้า ก็ไม่สามารถต้านทานได้

หลายสิบปีก่อน เคยมีกุยวัวตัวหนึ่งอาละวาดในเมืองอู่อาน ตัวเดียวสังหารทั่วเมือง ฆ่าคนนับไม่ถ้วน

สุดท้ายราชสำนักส่งนักบู๊แดนปราณฟ้าออกมาสามคน ถึงจะกำราบมันได้

เรื่องนี้ถูกคนที่แสดงมุขปาฐะ คนที่แสดงและขับร้อง แบ่งเป็นห้าบท สิบแปดครั้ง พูดซ้ำไปซ้ำมา

ถึงเป็นคนรุ่นหลังแบบลู่ฝาน ก็ได้ยินสัตว์ที่มีชื่อว่ากุยวัวจนชินหู

ตอนนี้พวกเขาต้องปะทะกับอสูรร้ายตัวนี้แล้วเหรอ

คนนับไม่ถ้วนกำลังตกใจ ลู่เฮ่าหรานกับลู่หาวนั่งไม่ติด

หัวหน้าเขตอี้ว์มองทั้งห้าคนแล้วพูดว่า “รีบขึ้นมา ตอนนี้คิดจะถอยเหรอ”

ลู่ฝานตั้งสติของตัวเอง แล้วเดินออกมาหน้าค่ายกลเคลื่อนฟ้าเป็นคนแรก

การกระทำของเขา ทำให้อี่ว์ชิงเฉินแววตาเย็นชาขึ้นอีก

ตั้งสติเร็วขนาดนี้ ไม่ว่าจิตใจหรือศักยภาพของเด็กคนนี้ ล้วนอยู่ในระดับดีเยี่ยม

ไม่กำจัดออกไปไม่ได้จริงๆ!

อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์และคนอื่นลุกขึ้น มายืนด้านหน้าค่ายกลเคลื่อนฟ้า

หัวหน้าเขตอี้ว์มองพวกเขานิ่งๆ “หลังเข้าไปในค่ายกล การกระทำทุกอย่างของพวกนาย จะอยู่ในสายตาของราชสำนัก อย่าคิดว่ามีโชคอะไร ถ้าทำภารกิจไม่สำเร็จ สิ่งแรกที่ต้องทำคือ ปกป้องชีวิตของตัวเอง หลังจากห้าวัน ค่ายกลจะเปิดออกอีกครั้ง พวกนายจำเป็นต้องออกมาตรงทางเข้าเท่านั้น”

หัวหน้าเขตอี้ว์กวาดตามองทั้งห้าคน แต่มองอี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์อยู่ครู่หนึ่ง

ลู่ฝานสูดหายใจลึก จากนั้นก้าวเข้าไป

ไม่ว่าเป้าหมายจะยากแค่ไหน เขาทำได้เพียงต่อสู้เต็มที่แบบนี้เท่านั้น

ในเมื่อมาแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลให้ถอย!

ลู่ฝานเข้ามาค่ายกลเคลื่อนฟ้าเป็นครั้งแรก รู้สึกเหมือนก้าวผ่านม่านน้ำ

พลังเย็นเฉียบพาดผ่านตัวเขา

ต่อมาโลกเปลี่ยนไป เขามาถึงในป่า เมื่อหันหลังไปมอง เห็นด้านหลังมีเพียงม่านแสงสีดำ ไม่เห็นเงาคนอีกแล้ว

ทำได้เพียงมองจากข้างนอกเข้ามาข้างใน ไม่สามารถมองจากข้างในไปข้างนอกเหรอ อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์และคนอื่นปรากฏตัวขึ้น ล้วนมองไปรอบๆ สถานที่แปลกๆ

ลู่ฝานเงยหน้ามองฟ้า ฝูงนกบินผ่านหัวไป

นกพวกนี้ดูตัวใหญ่กว่านกที่เห็นทั่วไป ขนาดตัวแทบจะไม่แตกต่างกับนกปิดฟ้าที่ลู่ฝานนั่ง เหมือนเมฆทั้งแถบ

ตอนนี้เจดีย์เสวียนเก้ามังกรโผล่ออกมาเอง “อา สิ่งแวดล้อมเป็นป่า ฉันชอบ เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ ตอนนี้เราอยู่ชายแดนประเทศอู่อานแล้ว”

ลู่ฝานพูดว่า “แกรู้เหรอว่าเราอยู่ไหน”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดว่า “พอจะรู้ ตอนคุณผ่านค่ายกล ฉันคำนวณระดับความแข็งแกร่งของค่ายกล และระยะทางที่มันสามารถเคลื่อนย้าย ตอนนี้น่าจะอยู่ที่ชายแดนทิศตะวันออกของประเทศอู่อาน ตำแหน่งติดทะเล หรือไม่ก็อยู่บนเกาะแห่งหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้น เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ ฉันต้องเตือนเจ้านาย บนตัวเจ้านายยังมีรอยประทับค่ายกลเหลืออยู่ ถ้าคนที่สร้างค่ายกลมีกระจกจำภาพค่ายกล จะสามารถมองการกระทำทุกอย่างของเจ้านาย ผ่านรอยประทับนี้ได้ ให้ฉันช่วยเจ้านายกำจัดรอยประทับนี้ทิ้งไหม”

ลู่ฝานพูดในใจว่า “ไม่จำเป็น ให้พวกเขาดูเถอะ แต่ในเมื่อแกขจัดรอยประทับค่ายกลได้ด้วย ฝีมือแกไม่เลวนะ”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรหัวเราะคิกคัก แล้วพูดว่า “เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ ฉันมีความสามารถมากมาย รอพลังฉันฟื้นฟูเสร็จเมื่อไร ฉันจะทำให้เจ้านายได้เห็นอะไรที่เรียกว่าทรงพลัง”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 603
ลู่ฝานพยักหน้า ที่แท้คือยันต์คุ้มกันกายนี่เอง

นี่ไม่เลวแฮะ มียันต์คุ้มกันกายเพิ่มขึ้นมา บางทีอาจมีชีวิตเพิ่มขึ้นมา

มิน่าล่ะไอ้อ้วนเจิงเห็นลูกชายตัวเองผ่านด่านแรกได้ ก็ดีใจขนาดนั้นแล้ว งั้นตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เจิงหยงก็อยู่ในสายตาของส่วนราชการแล้วสิ

ผู้อาวุโสโม่เดินลงมา ถามพวกลู่ฝานว่าต้องการเลือดคนละหยด ทำป้ายเกียรติยศตลอดชีวิตเสร็จต่อหน้าทุกคน

เมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย หัวหน้าเขตอี้ว์เดินออกมาอีก

“ด่านที่สองเริ่มอย่างเป็นทางการ ก่อนที่ฉันยังไม่ประกาศเนื้อหาของด้านนี้ ฉันจะถามพวกนายห้าคนอีกครั้ง จะต่อหรือไม่ ด่านนี้ต้องฝ่าไปต่อหน้าทุกคน ไม่สนว่าเป็นหรือตาย!”

ลู่ฝานและคนอื่นมองหัวหน้าเขตอี้ว์อย่างราบเรียบ

ส่วนสายตาของหัวหน้าเขตอี้ว์ มองแค่คนเดียวนั่นก็คืออี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์

แต่เหมือนอี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์ตัดสินใจแน่วแน่ เหมือนไม่เห็นสายตาของหัวหน้าเขตอี้ว์

ทันใดนั้น หัวหน้าเขตอี้ว์ละสายตาออกมา แล้วพูดว่า “ได้ ในเมื่อไม่มีคนถอย งั้นฉันจะประกาศเนื้อหาของด่านนี้ ค่ายกลเคลื่อนฟ้า!”

เมื่อตะโกนออกมา มีนักบู๊สวมเสื้อคลุมสีเทาด้านหลังเดินออกมา

ในมือพวกเขาทุกคนถือหินประหลาดไว้หนึ่งก้อน ลักษณะตะปุ่มตะปํ่า เป็นสีฟ้าไม่ก็สีม่วง

พวกทหารเริ่มผลักคนที่มุงดูไปด้านหลัง ทุกคนก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี โดยการถอยไปด้านหลัง เห็นได้ชัดว่าไม่ได้เจอเหตุการณ์นี้เป็นครั้งแรก

หินทั้งหมดวางเรียงเป็นลำดับตามค่ายกล เพิ่งวางได้ครึ่งหนึ่ง เจดีย์เสวียนเก้ามังกรในตัวลู่ฝานโผล่ออกมา แล้วพูดว่า “กลิ่นค่ายกลคุ้นเคยมาก ฮ่าๆ เป็นค่ายกลเคลื่อนฟ้า เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ เจ้านายเจอค่ายกลดีอีกแล้ว”

ลู่ฝานถามในใจว่า “ค่ายกลเคลื่อนฟ้าใช้ทำอะไร”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรตอบว่า “เคลื่อนย้ายคนหรือสิ่งของ แต่มันเคลื่อนย้ายได้ไกลมาก อย่างน้อยแสนลี้ ยิ่งค่ายกลแข็งแกร่งเท่าไร ของที่จะสามารถเคลื่อนย้ายได้ก็ยิ่งเยอะขึ้น ระยะเวลาก็ยิ่งมากขึ้น เป็นค่ายกลที่ใช้งานได้จริง”

ลู่ฝานส่งเสียงตอบรับในใจ

เคลื่อนย้ายคนหรือสิ่งของ งั้นหมายความว่า แปดสิบเปอร์เซ็นต์ ด่านที่สองต้องไม่ได้อยู่ในเมืองตงหวา ไม่แน่อาจไม่อยู่ในเขตตงหวาก็ได้

ไม่นานก็วางค่ายกลเสร็จเรียบร้อย

นักบู๊ยืนเรียงตามลำดับ หลังจากนั้นผู้อาวุโสคนหนึ่งเดินออกมา

คนนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน คือชิวซาน

สวมเสื้อคลุมฟ้า เท้าเหยียบลงบนสายลม ชิวซานมาในท่าทางของผู้ฝึกชี่ ถึงหน้าค่ายกล

สะบัดมือใส่พลังชี่เข้าไปในค่ายกล

ต่อมาค่ายกลถูกปลุกขึ้นมา ประตูขนาดใหญ่ปรากฏต่อสายตาทุกคน

ลู่ฝานเบิกตามอง เห็นความมืดในประตู เริ่มมีแสงสว่างขึ้นมา หลังจากนั้นมีป่าทึบปรากฏอยู่ในประตู

ต้นไมปลิวไปตามลม แมลงเดินไปมา ลมเย็นเมฆขาว ทุกอย่างดูสมจริงมาก

หัวหน้าเขตอี้ว์พูดว่า “ทั้งห้าคนเดินขึ้นมา ด่านที่สองล่ากุยวัว! (สัตว์ประหลาดชนิดหนึ่งในตำนานจีน)”

ทุกคนส่งเสียงตกใจออกมาทันที

จิตใจลู่ฝานวูบไหว กุยวัว คิดไม่ถึงว่าจะล่ากุยวัว!

เจิงหยง อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์ และอี่ว์เทียนซีพากันตะลึง

พวกเขาคิดไม่ถึงเหมือนกันว่าด่านที่สองจะวิปริตแบบนี้

มีเพียงอู่คงหลิงที่สีหน้าดีหน่อย แต่ก็ยังซีดอยู่ดี

หัวหน้าเขตอี้ว์กวาดตามองทั้งห้าคน แล้วพูดต่อ “มีเวล้าห้าวัน คนที่ฆ่ากุยวัวตายถือว่าผ่านด่าน ถ้ากุยวัวไม่ตาย เท่ากับแพ้ทั้งห้าคน เหตุการณ์จะถูกบันทึกเอาไว้ทั้งหมด และรายงานราชสำนัก คนไหนที่หลอกลวงจะโดนฆ่า!”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 602
“คุณชายลู่ฝานเพิ่งอายุสิบเก้าปีเหรอ”

“ล้อเล่นหรือเปล่า อายุไม่ถึงยี่สิบปี เขาวิทยายุทธแดนปราณนอกชั้นเจ็ดแล้วเหรอ”

“ฝึกตั้งแต่ในท้องแม่ก็ไม่เร็วขนาดนี้”

เสียงตกใจ เสียงสงสัย ดังขึ้นพร้อมกัน

ชางหลิงจัวอ้าปากค้าง ตาโตจมูกบาน

อู่คงหลิงที่เตรียมทดสอบบนเวที หันมามองทางลู่ฝาน

แววตาอี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์วูบไหว ลู่ฝานพูดว่า “มีปัญหาอะไรไหม”

ชางหลิงจัวพูดอะไรไม่ออก อายุน้อยกว่าเขาสิบปี สิบปีเต็มๆ

พระเจ้า เขาฝึกมานานกว่าลู่ฝานสิบปี วิทยายุทธสูงกว่าลู่ฝานแค่ สองชั้น ถ้าสู้กันขึ้นมาจริงๆ ไม่รู้ใครจะแพ้ชนะ

ไม่เพียงแค่เขา ขนาดพวกอี่ว์เทียนซี ยังตกใจกับอายุของลู่ฝานจนใบหน้าบิดเบี้ยว

เมื่อเทียบกับลู่ฝาน พวกเขาฝึกบู๊ไปแบบเสียเปล่าจริงๆ

ลู่หาวขมวดคิ้วเบาๆ นับนิ้วแล้วพูดว่า “เหมือนลู่ฝานอายุเพิ่งสิบเก้าปีจริงๆ เฮ้อ คนหนุ่มอายุสิบเก้าปี แบกรับหน้าที่ทั้งตระกูล”

ลู่เฮ่าหรานพยักหน้าพูดว่า “ใช่ ควรหาภรรยาให้เขาได้แล้ว”

ทั้งสองพยักหน้าพร้อมกัน

โชคดีที่ลู่ฝานไม่ได้ยินคำพูดของพวกเขาสองคน ไม่งั้นลู่ฝานต้องหลบพวกเขาอีกพักใหญ่

ชางหลิงจัวรีบออกไป ไม่กล้าถามอะไรมากอีก

ลู่ฝานทำลายความภาคภูมิใจของเขาไปจนหมดแล้ว

เมื่ออัจฉริยะเจออัจฉริยะที่เหนือกว่าเขา ความรู้สึกนั้นไม่สามารถบรรยายได้เลย

ชางหลิงจัวออกมาจากกลุ่มคนทันที ถ้าเป็นไปได้ ต่อไปเขาจะไม่เหยียบเข้ามาในเมืองตงหวาอีก

อับอาย อับอายจริงๆ!

ลู่ฝานกับอี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์นั่งลง อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์มุมปากกระตุก แล้วถามขึ้นมาอีก

“ลู่ฝาน นายอายุแค่สิบเก้าปีจริงๆ เหรอ”

ลู่ฝานพูดว่า “มีปัญหาอะไรไหม”

อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์ส่ายหน้าพูดว่า “แค่คิดไม่ถึงว่านายยังเด็กกว่าฉัน”

ลู่ฝานมองอี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์อย่างประเมิน แล้วพูดว่า “เธออายุยี่สิบกว่าหรือ”

อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์ยิ้มแล้วพูดว่า “เอาคำว่ากว่าออกไป ฉันเพิ่งยี่สิบปี อายุมากกว่านายปีเดียว ไม่สิ ครึ่งปี นายมองฉันแบบนี้ทำไม ฉันแก่เหรอ”

ลู่ฝานพูดว่า “ไม่มีอะไร แค่ยี่สิบปีแล้ว แต่ยังไม่แต่งงาน ผมตกใจนิดหน่อย”

อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์โมโหจนหน้าแดงทันที เธอเบิกตาโตมองลู่ฝาน

ลู่ฝานหัวเราะแล้วพูดว่า “ล้อเล่น แต่เธอควรแต่งงานได้แล้วนะ ที่บ้านเกิดผม ผู้หญิงอายุยี่สิบปี มีลูกไปหลายคนแล้ว”

อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์ทำเป็นโมโหชกลู่ฝานไปหนึ่งที “นายไม่ต้องยุ่ง”

ลู่ฝานหัวเราะเบาๆ ไม่พูดอะไร

บนเวที อู่งคงหลิงเอามือวางไว้บนหินเจ็ดสี

เธอไม่ได้ใช้กระบวนท่าอะไรเช่นกัน โจมตีด้วยพลังปราณ แต่หินเจ็ดสีมีพลังกระเพื่อมออกไปไกล

มีแสงสว่างขึ้นบนหินเจ็ดสี จากนั้นสีส้มกลายเป็นสีเหลือง แสงสีทองสาดไปทั่ว

ผ้าปิดหน้าขยับเล็กน้อย อู่คงหลิงเดินลงมาอย่างงดงาม

ผู้อาวุโสโม่พูดเสียงดังว่า “การทดสอบรอบแรกจบลงแล้ว มีห้าคนผ่านเกณฑ์ เจิงหยง อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์ อี่ว์เทียนซี ลู่ฝาน และอู่คงหลิง ชื่อห้าคนนี้เข้าสู่โถงดวงดาวของเขตตงหวา ตั้งป้ายเกียรติยศไว้ตลอดชีวิต!”

ลู่ฝานได้ยินคำว่าโถงดวงดาวเป็นครั้งแรก ตั้งป้ายเกียรติยศไว้ตลอดชีวิตคืออะไรกัน

ลู่ฝานหันมาถามอี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์ “มันคืออะไร”

อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์พูดว่า “เป็นการลงทะเบียนทางส่วนราชการ ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เราคือคนที่ส่วนราชการให้ความสำคัญเป็นพิเศษ ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปพวกเลวก็ไม่กล้าคิดทำอะไรเราแล้ว มีป้ายเกียรติยศตลอดชีวิต ถ้าต่อไปเกิดเรื่องกับเรา ส่วนราชการจะเป็นคนแรกที่รู้ความเป็นตายของเรา รวมไปถึงเรื่องราวก่อนตายด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้คนของส่วนราชการ รวมไปถึงพวกโจรผู้ร้าย ก็ไม่กล้าแตะต้องเราแล้ว”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 601
ผู้เฝ้าเมืองจางส่ายหน้าพูดว่า “โปรดอภัยที่ฉันความรู้น้อย ฉันเพิ่งเคยเห็นนักบู๊ศักยภาพสีเขียวเป็นครั้งแรก! ท่านหัวหน้าเขตเคยเห็นหรือเปล่า”

หัวหน้าเขตอี้ว์ไม่พูดอะไร แน่นอนว่าเขาเคยเห็น

ตอนที่เขาโดนยับยั้งตำแหน่งหัวหน้าเขต เคยไปที่เมืองหลวงของประเทศอู่อานหนึ่งครั้ง

ตอนนั้นอัจฉริยะที่มีชื่อเสียงอันดับหนึ่งของเมืองหลวง มีชื่ออันไพเราะว่าสุ่ยเจินหราน เคยทดสอบที่ตำหนักกระดิ่งทองครั้งหนึ่ง เป็นสีเขียว!

แต่สุ่ยเจินหรานเป็นอัจฉริยะไร้เทียมทาน ที่สิบตระกูลใหญ่อย่างตระกูลสุ่ยบ่มเพาะออกมา

ตอนนี้เป็นเป็นผู้คุมหางเสือของตระกูลสุ่ย มีชื่อเสียงโด่งดังในประเทศอู่อานว่ากระบี่ไร้ความปรานีในใต้หล้า

ศักยภาพของลู่ฝาน สามารถสู้กับเจ้าบ้านตระกูลสุ่ยในตอนนั้นได้อย่างเท่าเทียม

ไม่ว่าจะคิดยังไง หัวหน้าอี้ว์ก็รู้สึกว่ามันดูเป็นไปไม่ได้เท่าไร

บางทีตัวเองควรเปลี่ยนท่าทีกับลู่ฝานแล้ว เขาเคยเจออัจฉริยะมามากมาย แต่อัจฉริยะระดับนี้ เป็นสิ่งที่เจอได้ยากมาก

จู่ๆ หัวหน้าอี้ว์รู้สึกอยากจะช่วยลู่ฝาน แม้ในอนาคตลู่ฝานโดนสำนักผีสางเทวดาจับตามอง เขาก็ต้องหาวิธีปกป้องลู่ฝานให้ได้

เพราะมีโอกาสเป็นไปได้ว่าคนที่เขาปกป้องในวันนี้ หลังผ่านไปสิบกว่าปี จะเป็นยอดฝีมือไร้เทียมทานแห่งยุค

ถึงกระทั่งที่กลายเป็นเซียนบู๊

หัวหน้าอี้ว์สูดหายใจลึก ทำให้ใจเย็นลง มีสิ่งที่คิดไว้ในใจแล้ว

ตอนนี้มีนักบู๊ทดสอบเสร็จแล้วอีกหนึ่งคน

สีส้ม สีส้มที่โหดร้าย ทำให้เขาเงียบไม่พูดอะไรออกมาอยู่นาน

ลงจากเวทีอย่างเงียบๆ และรวดเร็ว ราวกับว่าอยู่ต่อก็อับอาย

อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์มองคนคนนี้แล้วพูดว่า “ฟางเล่อ หอกพิษมังกร เขาก็ไม่ผ่านเหรอ! เหมือนเขาโดนโจมตีเลย”

ลู่ฝานพูดว่า “บางที โจมตีไปบ่อยๆ เดี๋ยวก็ชิน”

อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์มองลู่ฝานอย่างไม่เข้าใจ “ฟังจากที่นายพูด เหมือนนายโดนโจมตีมาหลายครั้งแล้ว”

ลู่ฝานยิ้มแต่ไม่พูดอะไร ไม่ใช่แค่หลายครั้ง เขาโดนโจมตีมาตลอดช่วงวัยเด็ก

ทั้งสองเดินไปคุยไป ดูสนิทสนมกันเป็นอย่างมาก

จู่ๆ มีชายคนหนึ่งขวางทางลู่ฝาน คารวะแล้วพูดว่า “พี่ลู่ฝาน ขอถามได้ไหม ตอนนี้วิทยายุทธของพี่เป็นยังไง อายุเท่าไร”

เมื่อช้อนตาขึ้นมอง คนที่ถามคือคนที่โดนปัดตกอย่างชางหลิงจัว

เห็นได้ชัดว่าชางหลิงจัวยังดูเหมือนไม่ยอมรับ สีหน้าแดงเถือก ท่าทางเหมือนให้ตายยังไงก็ต้องรู้ให้ได้

ลู่ฝานพูดอย่างราบเรียบว่า “วิทยายุทธแดนปราณนอกชั้นเจ็ด”

สีหน้าชางหลิงจัววูบไหวเล็กน้อย ท่าทางเหมือนไม่อยากเชื่อ นายแค่แดนปราณนอกชั้นเจ็ด จริงเหรอ งั้นนายทำให้หินเจ็ดสีแตกร้าวได้ยังไง

ลู่ฝานยิ้มไม่ได้ตอบคำถามนี้ ขณะนั้นคนรอบๆ ได้ยินบนสนทนาทางนี้ พากันหูตั้ง

อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์หัวเราะอย่างมีความสุขอยู่ข้างๆ เธอเชื่อว่าลู่ฝานมีวิทยายุทธแดนปราณนอกชั้นเจ็ด แต่ใครจะคิดว่าพลังการต่อสู้ของลู่ฝาน จะอยู่แค่ระดับแดนปราณนอก นั่นเป็นสิ่งที่ผิดมหันต์

อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์รู้เรื่องที่ลู่ฝานสู้กับอี่ว์ชิงเฉิน

ใช้วิทยายุทธแดนปราณนอก โจมตีนักบู๊แดนปราณดินจนกระเด็น พลังการต่อสู้แข็งแกร่งระดับนี้ เหนือธรรมชาติชัดๆ

ข่าวนี้แพร่ออกไป คนจำนวนมากไม่เชื่อ แต่อี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์เชื่อ

ชางหลิงจัวเห็นว่าลู่ฝานไม่มีท่าทีจะตอบคำถามนี้ สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย จู่ๆ เขามาถามทักษะการต่อสู้ของคนอื่น ดูบุ่มบ่ามเกินไปจริงๆ

ชางหลิงจัวถามขึ้นมาว่า “งั้นพี่อายุเท่าไร”

ลู่ฝานคิดแล้วพูดว่า “สิบเก้าปีกระมัง”

เมื่อพูดออกมา ทำให้ชางหลิงจัวช็อกไปทันที

คนที่ได้ยินเสียงลู่ฝาน ต่างส่งเสียงตกใจออกมา

“สิบเก้าเหรอ”

ขนาดอี้ว์เสี้ยวเอ๋อร์ยังเอามือปิดปากตัวเอง

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 600
เมื่อมองเห็นสีฟ้า ลู่ฝานก็รีบดึงมือกลับมา เพราะเขารู้สึกว่าถ้าตัวเองไม่หยุด มันอาจจะมีสีอื่นๆปรากฏก็ได้

ประชาชนที่อยู่ด้านล่างกรีดร้องด้วยความบ้าคลั่ง

“คุณชายลู่ฝานร้ายกาจจริงๆ!”

“โอ้พระเจ้า คุณชายลู่ฝานสุดยอดจริงๆ”

ลู่เฮ่าหรานกับลู่หาวหัวเราะด้วยความดีใจ พวกเขารู้ว่าลู่ฝานมีพรสวรรค์ที่ไม่ธรรมดา แต่นั่นมันตอนที่อยู่ในเมืองเจียงหลิน

พรสวรรค์ดีที่สุดในเมืองเจียงหลินนั้นไม่เท่าไหร่เลย ตอนที่ลู่ฝานก้าวหน้าตลอดเวลาในสถาบันสอนวิชาบู๊นั้น พวกเขาก็ไม่ได้เห็นกับตาตัวเอง

แต่ตอนนี้ พรสวรรค์ของลู่ฝานทำให้ทุกคนเมืองตงหวาตกใจ เรื่องนี้พวกเขามองเห็นกับตาตัวเอง

มันแสดงให้เห็นอย่างชัดเจน ในเขตตงหวานั้น พรสวรรค์ของลู่ฝานนั้นสูงมากๆ พรสวรรค์ของเขาอาจจะอยู่อันดับต้นๆของประเทศอู่อานก็ได้

สีหน้าของอี่ว์ชิงเฉินเปลี่ยนไปทันที พรสวรรค์ของลู่ฝาน ทำให้เขาตกใจมากๆ

ล่วงเกินผิดใจกับนักบู๊ที่มีอายุน้อยๆนั้นไม่น่ากลัวเท่าไหร่ อี่ว์ชิงเฉินจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตัวเองสังหารนักบู๊อายุน้อยๆไปแล้วกี่คน

แต่ถ้านักบู๊อายุน้อยๆคนนี้มีพรสวรรค์สูงกว่าที่เขาคาดการณ์เอาไว้ ถ้าปล่อยให้อีกฝ่ายมีเวลามากพอในการฝึกฝน เรื่องนี้มันต้องกลายเป็นเรื่องใหญ่อย่างแน่นอน

เมื่อเงยหน้ามองเห็นสายตาของหัวหน้าเขตอี้ว์ ทำให้เขาตกตะลึงมากๆ

สีฟ้าหมายถึงอะไร อี่ว์ชิงเฉินเข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี

อย่างน้อยคนๆนี้ก็มีโอกาสฝึกฝนถึงแดนเซียนบู๊!

อี่ว์เทียนซีของตระกูลอี่ว์นั้น ถ้าเขาสามารถฝึกฝนถึงแดนปราณฟ้า ถือได้ว่าตระกูลอี่ว์โชคดีมากๆ ถ้าเขาสามารถสัมผัสถึงแดนเซียนบู๊ ตระกูลอี่ว์ของพวกเขาคงโชคดีมากๆจนหาคำมาอธิบายไม่ได้

แต่ลู่ฝานมีโอกาสที่จะฝึกฝนถึงแดนเซียนบู๊

พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ชั่วชีวิตของเขา เขามีโอกาสห้าสิบเปอร์เซ็นต์ที่จะฝึกฝนถึงแดนปราณฟ้า

มีศัตรูแบบนี้ เป็นใครก็คงนอนไม่หลับอย่างแน่นอน

สีหน้าของอี่ว์ชิงเฉินแย่ลงมาทันที เขากับลู่ฝานมีความแค้นต่อกันแล้ว แน่นอนว่าเขาไม่อยากจะให้ลู่ฝานฝึกฝนถึงแดนปราณฟ้าอยู่แล้ว

ตอนนี้ อี่ว์ชิงเฉินกระซิบผ่านอากาศไปยังหูของอี่ว์เทียนซีที่ยืนอึ้งอยู่:”เทียนซี การทดสอบรอบที่สอง หาโอกาสสังหารลู่ฝานเลย”

อี่ว์เทียนซีมองไปที่อี่ว์ชิงเฉินครั้งหนึ่ง เมื่อพวกเขาสองคนสบตากัน อี่ว์เทียนซีก็พยักหน้าเบาๆ

สีหน้าของอี่ว์เทียนซีแย่มากๆ เขายังสงสัยเลยว่าตัวเองสามารถสังหารลู่ฝานได้ไหม?

อี่ว์เทียนซีกัดฟันและสงบสติอารมณ์

เขาคือคุณชายของตระกูลอี่ว์ ส่วนลู่ฝานเป็นแค่เด็กหนุ่มของตระกูลเล็กๆ ลู่ฝานจะเอาชนะเขาได้ยังไง

เมื่อสร้างความมั่นใจให้ตัวเองแล้ว สายตาของอี่ว์เทียนซีก็มองไปที่เวที

ลู่ฝานหันหน้ากลับไปมองผู้อาวุโสโม่แล้วพูด:”ผู้อาวุโสโม่ ฉันสอบผ่านแล้วใช่ไหม”

ตอนนี้ผู้อาวุโสโม่รีบปิดปากของตัวเอง เขามองลู่ฝานด้วยสายตาแปลกๆและพูด:”ฉันคิดมาโดยตลอดว่าพรสวรรค์ของนายสูงมากๆ แต่คิดไม่ถึงว่ามันจะสูงจนน่าเหลือเชื่อขนาดนี้”

ลู่ฝานพูดด้วยรอยยิ้ม:”ฉันสามารถใช้คำนี้เป็นคำพูดชื่นชมจากผู้อาวุโสโม่ได้ไหม?”

ผู้อาวุโสโม่พูดด้วยรอยยิ้ม:”มันเป็นคำชื่นชมอยู่แล้ว ลู่ฝาน พรสวรรค์ของนายสูงมากๆจนน่าเหลือเชื่อ แต่นายห้ามใจร้อน บางครั้งต้องรู้จักประมาณตน มันคือวิธีที่ดีที่สุด”

คำพูดของผู้อาวุโสโม่ ทำให้ลู่ฝานครุ่นคิดทันที

ลู่ฝานค่อยๆเดินลงมาจากเวที อี้ว์เซี่ยวเอ๋อร์รีบเดินขึ้นมาและพูด:”ลู่ฝาน นายแข็งแกร่งมากๆเลย ฉันไม่เคยเห็นใครที่มีพรสวรรค์สูงมากๆอย่างคุณมาก่อน”

ลู่ฝานเผยรอยยิ้มออกมาแต่กลับไม่ได้พูดอะไรเลย อันที่จริงเขาไม่ได้ใช้พลังทั้งหมดของตัวเองออกมา

ถ้าเขาใช้หมื่นกระบี่พิชิตฟ้าออกมา ก้อนหินเจ็ดสีจะแสดงพรสวรรค์ของเขาออกมายังไง

สีน้ำเงินหรือว่าคงเป็นสีม่วง

ลู่ฝานยิ้มด้วยความดีใจ

ตอนนี้สายตาของหัวหน้าเขตอี้ว์กับผู้เฝ้าเมืองจางยังคงมองไปที่ลู่ฝานอยู่

หัวหน้าเขตอี้ว์เอ่ยปากพูดอย่างช้า:”เดิมทีฉันคิดว่าพรสวรรค์ของเขาน่าจะอยู่แค่สีเขียวเท่านั้น แต่คิดไม่ถึงจริงๆว่าจะกลายเป็นสีฟ้า ผู้เฝ้าเมืองจาง คุณยังจำได้ไหม ครั้งที่แล้วที่มีนักบู๊ที่มีพรสวรรค์สีฟ้าปรากฏตัว มันผ่านมานานแค่ไหนแล้ว?”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 599
อี่ว์เทียนซีสะบัดมือตัวเอง เขาเผยรอยยิ้มออกมาและเดินลงจากเวที

ท่าทางของเขาดูสบายมากๆ ราวกับไม่ได้ใช้พลังอะไรออกมาเลย แต่ลู่ฝานมองเห็นนิ้วมือที่สั่นเบาๆของอี่ว์เทียนซี

ยอดแดนปราณนอก คงไม่สูงกว่านี้แล้ว!

ลู่ฝานคาดเดาพลังทั้งหมดของอี่ว์เทียนซีอยู่ในใจ

“คุณชายสามของตระกูลอี่ว์ร้ายกาจจริงๆ!”

“ฉันคิดว่าครั้งนี้คุณชายอี่ว์เทียนซีน่าจะมีโอกาสได้รับตำแหน่งผู้ตรวจการชั้นกลาง!”

มีเสียงปรบมือดังไม่หยุด ด้านล่างมีแต่คนตะโกนด้วยความดีใจ

อี่ว์เทียนซีแค่บกมือให้ทุกคนเบาๆ ทำให้เสียงตะโกนดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง สามารถมองเห็นอย่างชัดเจน เขามีชื่อเสียงมากๆในเมืองตงหวา

คนต่อไปก็คืออี้ว์เซี่ยวเอ๋อร์ ตอนนี้เธอเดินออกมาแล้ว

เมื่อผู้อาวุโสโม่มองเห็นอี้ว์เซี่ยวเอ๋อร์ เขาก็พูดด้วยรอยยิ้ม:”คุณเซี่ยวเอ๋อร์ คุณเซี่ยวเอ๋อร์มาร่วมสนุกด้วยเหรอ”

เซี่ยวเอ๋อร์พูดด้วยสีหน้าไม่พอใจ:”อะไรคือมาร่วมสนุก ฉันผ่านการทดสอบไม่ได้เลยเหรอ?”

หัวหน้าเขตอี้ว์กับผู้เฝ้าเมืองจางและคนอื่นๆหัวเราะออกมาทันที

พวกเขามองเห็นอี้ว์เซี่ยวเอ๋อร์ตั้งแต่เล็กจนโต อี้ว์เซี่ยวเอ๋อร์มีความสามารถแค่ไหน พวกเขารู้ดีอยู่แล้ว

ลู่ฝานก็หัวเราะออกมาเหมือนกัน ด้วยพลังที่อี้ว์เซี่ยวเอ๋อร์มีอยู่ในตอนนี้ เธอผ่านด้านแรกไม่ได้อยู่แล้ว

อี้ว์เซี่ยวเอ๋อร์ปลดปล่อยพลังปราณของตัวเองออกมา เมื่อพลังปราณปรากฏ ทุกคนก็หัวเราะออกมา

“พลังปราณแบบนี้ มันดูอ่อนแอมากๆเลย”

“คุณเซี่ยวเอ๋อร์ สู้ๆ ถึงแม้เธอจะสอบตก แต่เธอเป็นยอดยุทธหญิงในดวงใจของพวกเรา!”

เมื่อได้ยินเสียงตะโกนพวกนี้ ทำให้อี้ว์เซี่ยวเอ๋อร์รู้สึกโกรธมากๆ

แต่เธอก็ไม่อยากยอมแพ้ และวางฝ่ามือไว้บนก้อนหินเจ็ดสี

“พวกนายก็หัวเราะไปก่อนเลย เดี๋ยวพวกนายก็จะหัวเราะไม่ออก!”

ขณะพูด อี้ว์เซี่ยวเอ๋อร์ก็ปลดปล่อยพลังออกมา มีพลังที่เยือกเย็นมากๆพุ่งออกมาจากร่างกายของเธอ

จากนั้น ก้อนหินเจ็ดสีก็เปล่งแสงออกมา

สีแดง สีส้ม

สองสีนี้ปรากฏอย่างรวดเร็ว เร็วกว่าเจิงหยงมากๆ มันปรากฏรวดเร็วได้พอๆกับอี่ว์เทียนซี

จากนั้น สีทองก็ปรากฏ

อี้ว์เซี่ยวเอ๋อร์หัวเราะออกมาทันที

หัวหน้าเขตอี้ว์ลุกขึ้นมาทันที และตะโกนถาม:”เซี่ยวเอ๋อร์ เธอทำอะไรไป?”

ลู่ฝานก็อึ้งไปเลย อี้ว์เซี่ยวเอ๋อร์ผ่านการทดสอบแล้วเหรอ?

ด้วยพลังของเธอในตอนนี้สามารถผ่านการทดสอบได้เหรอ? ศักยภาพในอนาคตของเธอมีสูงขนาดนี้อีกเหรอ?

ตอนนี้ผู้อาวุโสโม่พูดอะไรไม่ออกเลย

หลังจากนิ่งเงียบไปสักพัก อี้ว์เซี่ยวเอ๋อร์เอ่ยปากพูดด้วยความภาคภูมิใจ:”ผู้อาวุโสโม่ ประกาศผลได้เลย ฉันผ่านการทดสอบแล้ว!”

ผู้อาวุโสโม่ยิ้มอย่างขมขื่น เขาหันหน้ากลับไปมองหัวหน้าเขตอี้ว์

หัวหน้าเขตอี้ว์มองหน้าอี้ว์เซี่ยวเอ๋อร์ด้วยความใจร้อน:”เซี่ยวเอ๋อร์ เธอรู้ไหมว่าการสอบผู้ตรวจการชั้นกลางนั้นอันตรายมากๆ ไม่ใช่เรื่องสนุกเลย”

อี้ว์เซี่ยวเอ๋อร์พูดด้วยความเอาแต่ใจ:”คุณลุง ในเมื่อฉันทดสอบผ่านแล้ว ทำไมฉันจะเป็นผู้ตรวจการชั้นกลางไม่ได้ หรือว่าคุณลุงคิดว่าเซี่ยวเอ๋อร์ไม่มีความสามารถเลย ทำอะไรก็ไม่ได้เหรอ?”

สีหน้าของหัวหน้าเขตอี้ว์เปลี่ยนไปทันที ในที่สุดเขาก็ถอนหายใจและพูด:”แล้วแต่เธอเลย!”

อี้ว์เซี่ยวเอ๋อร์เดินลงมาด้วยความภาคภูมิใจ เมื่ออี้ว์เซี่ยวเอ๋อร์เดินผ่านลู่ฝาน เธอเอ่ยปากพูด:”นายจะต้องผ่านการทดสอบให้ได้นะ”

ลู่ฝานพูดด้วยน้ำเสียงปกติ:”เรื่องนี้เธอวางใจได้!”

“คนต่อไป!”

ผู้อาวุโสโม่รีบสงบสติอารมณ์ของตัวเองและเอ่ยปากพูด

ตอนนี้ลู่ฝานค่อยๆยืนขึ้นมา

“คุณชายลู่ ถึงคิวของคุณชายลู่แล้ว!”

มีคนกลุ่มหนึ่งตะโกนชื่อของลู่ฝานออกมา

ลู่ฝานเดินไปข้างหน้าหินเจ็ดสีด้วยสีหน้าปกติ และวางมือไว้บนหินเจ็ดสี

เขาไม่ได้ใช้กระบวนท่าอะไรออกมาเลย ลู่ฝานรวบรวมปราณชี่ทั้งหมดในร่างกายไว้ในจุดเดียว จากนั้นก็กดลงไป

ครึกๆ เสียงรอยแยกดังขึ้นอีกครั้ง

จากนั้น หินเจ็ดสีที่อยู่ด้านหน้าก็เปล่งแสงออกมา

สีแดง สีส้ม สีเหลือง

เมื่อลู่ฝานมองเห็นสีเหลือง เขาก็วางใจทันที

แต่ในเวลานี้ แสงสว่างไม่ได้หยุดที่สีเหลือง มันกำลังเปลี่ยนสีอยู่

เมื่อมีสีฟ้าปรากฏ ทำให้ทุกคนเบิกตากว้างทันที

สีฟ้า!

สีอันที่สี่ปรากฏแล้ว!

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 598
“อย่าพูดถึงเขาเลย แม้แต่คุณชายซือเซวียนก็ตกรอบเหมือนกัน เขาได้รับขนานนามว่าผู้เชี่ยวชาญด้านกลอนและกระบี่ พลังของเขาฝึกฝนถึงยอดแดนปราณนอกแล้ว!”

เสียงสนทนาต่างๆดังขึ้นทันที

เมื่อคนที่ห้าที่ชื่อชังหลินจั๋วตกรอบ ทุกคนสนทนาดังขึ้นเรื่อยๆ

ชังหลินจั๋วตะโกนออกมา:”ฉันไม่พอใจ พลังของฉันแข็งแกร่งกว่าพวกเขามากๆ ฉันใกล้จะฝึกฝนถึงแดนปราณชีวิตแล้ว ทำไมเจิงหยงสอบผ่าน แต่ฉันกลับสอบตก!”

เขาตะโกนแบบนี้ ทำให้หัวหน้าเขตอี้ว์หันหน้ามองเขาทันที

จากนั้นหัวหน้าเขตอี้ว์ลุกขึ้นและพูด:”เงียบเดี๋ยวนี้!”

เมื่อได้ยินคำพูด ทุกคนก็หยุดพูด

หัวหน้าเขตอี้ว์พูด:”นายคิดว่าพลังของนายแข็งแกร่งกว่าคนอื่นเหรอ นายคิดว่าตัวเองร้ายกาจกว่าคนอื่นเหรอ? นายบอกฉันหน่อย ปีนี้นายอายุเท่าไหร่แล้ว”

ชังหลินจั๋วพูด:”ยี่สิบเก้าปี แล้วจะทำไม?”

หัวหน้าเขตอี้ว์พยักหน้าและพูด:”ยี่สิบเก้าปี อายุขนาดนี้แล้วยังฝึกฝนไม่ถึงแดนปราณชีวิต นายคิดว่าตัวเองแข็งแกร่งมากๆเหรอ? ฉันจะบอกให้นายรู้ หินเจ็ดสีเอาไว้ทดสอบศักยภาพในอนาคตของแต่ละคน ไม่ได้ดูแค่ความแข็งแกร่งเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ตำแหน่งผู้ตรวจการชั้นกลาง ไม่ได้เตรียมไว้ให้คนประเภทอย่างนายที่เป็นแค่อัจฉริยะทั่วไปและผ่านอายุที่เหมาะกับการฝึกฝนไปแล้ว แต่เตรียมไว้ให้สุดยอดอัจฉริยะเท่านั้น”

หัวหน้าเขตอี้ว์หันหน้ากลับไปมองเจิงหยงแล้วพูด:”เจิงหยง ปีนี้นายอายุเท่าไหร่”

เจิงหยงลุกขึ้นมาและโค้งคำนับแล้วพูด:”ยี่สิบสี่ปี”

หัวหน้าเขตอี้ว์พยักหน้าและพูด:”ไม่เลวจริงๆ ชังหลินจั๋ว นายคิดว่าถ้าเจิงหยงอายุยี่สิบเก้าปี เขาจะฝึกฝนถึงขั้นไหนแล้ว!”

ชังหลินจั๋วไม่กล้าพูดอะไรอีกแล้ว เขากัดฟันและลงจากเวทีด้วยความโกรธ

ไอ้อ้วนเจิงหัวเราะด้วยความดีใจ ฮ่าๆๆ ลูกชายของฉันมีศักยภาพในอนาคตที่น่าทึ่งมากๆ แม้แต่หัวหน้าเขตอี้ว์ก็ชื่นชมเขาเหมือนกัน

ตอนนี้ ไอ้อ้วนเจิงดีใจมากๆจนลืมตัว อายุของเขาในตอนนี้ ไม่สนใจเรื่องเงินแล้ว เพราะมันไม่ใช่เรื่องที่สำคัญที่สุด อนาคตของลูกชายเป็นเรื่องที่เขาดีใจมากๆ

“ทดสอบต่อได้เลย!”

หัวหน้าเขตอี้ว์สะบัดมือและพูด

มีสี่คนตกรอบติดๆกัน ตอนนี้บนเวทีเหลือเพียงแค่ห้าคนเท่านั้น

ผู้ชายที่อยู่ข้างๆลู่ฝานรีบเดินออกมา ทำให้ประชาชนทุกคนสนทนากันอีกครั้ง

“คุณชายสามของตระกูลอี่ว์ ฉันไม่ได้ตาฝาดใช่ไหม เขาคือคุณชายสามของตระกูลอี่ว์”

“เป็นเขาจริงๆ ดูเหมือนเส้นผมของเขาจะยาวขึ้นอีกแล้ว”

“อี่ว์เทียนซีกลับมาแล้ว!”

……

เมื่อลู่ฝานได้ยินคำว่าตระกูลอี่ว์ เขาก็หันไปมองคนๆนั้นหนึ่งครั้ง

คนของตระกูลอี่ว์ ไม่แปลกใจเลยที่เขาขึ้นมาก็พูดจาดูถูกเหยียบยามลู่ฝาน

ตอนนี้สีหน้าของอี่ว์เทียนซีแย่มากๆ เพราะเมื่อสักครู่เขาถูกสายตาของลู่ฝานมองจนเกิดความหวาดกลัว ตอนนี้เขารู้สึกโมโหมากๆ

ให้ตายเถอะ ทำไมฉันต้องกลัวสายตาของลู่ฝานด้วย

เขาเป็นถึงคุณชายสามของตระกูลอี่ว์ อนาคตข้างหน้าจะกลายเป็นนักบู๊ปราณฟ้า ทำไมต้องกลัวลู่ฝานด้วย

อี่ว์เทียนซีหันหน้ากลับไปมองลู่ฝานหนึ่งครั้ง สายตาของเขามีแต่ความเย็นชา

เมื่อรู้ฐานะของอีกฝ่าย ทำให้ใบหน้าของลู่ฝานเผยรอยยิ้มออกมา

ลูกหลานของตระกูลอี่ว์เหรอ หึหึ!

อี่ว์เทียนซีเดินไปถึงด้านหน้าของหินเจ็ดสี มือข้างหนึ่งของเขากดไปที่หินเจ็ดสีทันที

ฝ่ามือของเขากลายเป็นสีขาว มันเป็นวิชาเฉพาะของตระกูลอี่ว์ หัตถ์ศักดิ์สิทธิ์ปิดเมฆ!

อี่ว์ชิงเฉินที่อยู่ด้านล่างมองเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สีหน้าของเขาก็มีรอยยิ้มขึ้นมา

“ไม่เลว ไม่เลวจริงๆ เด็กหนุ่มอย่างเทียนซี ไม่ได้ทำให้ตระกูลของเราขายหน้าเลย เขาฝึกฝนหัตถ์ศักดิ์สิทธิ์ปิดเมฆสำเร็จเบื้องต้นแล้ว”

“แตกซะ!”

เสียงตะโกนของอี่ว์เทียนซีดังขึ้น จากนั้นฝ่ามือก็กดลงไปทันที

จู่ๆหินเจ็ดสีก็เกิดรอยร้าวอันหนึ่งขึ้นมา

ห้าคนแรกที่ขึ้นมา พวกเขาใช้วิชาต่างๆโจมตี แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรหินเจ็ดสีได้ ตอนนี้อี่ว์เทียนซีโจมตีด้วยฝ่ามือเพียงครั้งเดียว แต่หินเจ็ดสีกลับเกิดรอยร้าว!

ลู่ฝานขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาเป็นคนที่มีความสามารถจริงๆ!

หลังจากนั้น หินเจ็ดสีก็มีแสงปรากฏ สีเหลืองพุ่งออกมาอย่างรวดเร็วและส่องสว่างไปทั่วบริเวณ

“ผ่าน!”

ผู้อาวุโสโม่พูดด้วยรอยยิ้ม

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 597
เมื่อหัวหน้าเขตอี้ว์พูดจบ ก็มีคนอยากจะเอ่ยปากพูดเรื่องนี้ทันที

โดยเฉพาะผู้ชายแปลกๆที่อยู่ข้างๆลู่ฝาน ขณะที่เขากำลังจะเอ่ยปากพูด เขาก็มองเห็นสายตาอันน่ากลัวของลู่ฝาน

สายตาของลู่ฝานเหมือนมีดที่จออยู่บนคอหอยของเขา ทำให้เขากลืนคำพูดตัวเองกลับไปทันที

เจิงหยงมองลู่ฝานด้วยสายตาซาบซึ้ง จากนั้นเขาก็หายใจเข้าลึกๆ

หมัดของเขาเปล่งแสงสว่างออกมา ในเวลานี้ เขาเข้าใจได้ทันที การสอบของผู้ตรวจการชั้นกลางไม่ได้สอบผ่านได้ง่ายๆเลย

เขาต้องใช้พลังทั้งหมดออกมา!

ใช้เคล็ดวิชาที่ตัวเองถนัด หมัดเพลิงทะลายเขา!

เมื่อหมัดโจมตีออกมา มีคลื่นสีแดงปรากฏที่หมัดของเขา

พลังฟ้าดินที่อยู่บริเวณรอบๆสั่นสะเทือนตามหมัดของเจิงหยง

ตูม!

เสียงของมันเบากว่าครั้งที่แล้วนิดหน่อย

หน้าผากของเจิงหยงเต็มไปด้วยเหงื่อ ต้องผ่านให้ได้ ต้องผ่านให้ได้ ถ้าผ่านไม่ได้คงขายหน้ามากๆอย่างแน่นอน!

ในเวลานี้ สะเก็ดไฟกระจายไปทั่วบริเวณ

ปราณหมัดของเขามีพลังอันที่สองอยู่ การโจมตีครั้งนี้ไม่เลวเลย!

ลู่ฝานรู้สึกตกใจเล็กน้อย กระบวนท่านี้ไม่เลวจริงๆ!

ด้านบนของหินเจ็ดสี เริ่มมีแสงปรากฏ

สีแดง สีส้ม สีส้มค่อยๆเปลี่ยนสี ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์เบิกตากว้าง ในที่สุดพวกเขาก็เห็นสีที่สามแล้ว

สีเหลือง เป็นแสงสีเหลืองที่โดดเด่นมากๆ ตอนนี้เจิงหยงโล่งอกทันที

“ผ่านแล้ว!”

ผู้อาวุโสโม่ที่อยู่ข้างๆพูดด้วยรอยยิ้ม:”โอเค นายผ่านการทดสอบครั้งแรก นายลงไปพักผ่อนได้เลย!”

เจิงหยงพยักหน้าทันที ก่อนที่เขาจากลงไป เขาโค้งคำนับให้ลู่ฝานและขยับปาก

หูของลู่ฝานได้ยินเสียงพูดของเจิงหยง

“ขอบคุณมากๆ!”

ลู่ฝานเผยรอยยิ้มออกมาและพูดเบาๆ:”ไม่ต้องเกรงใจ!”

การที่ลู่ฝานพูดช่วยเหลือเจิงหยง เหตุผลหลักเพราะอยากช่วยไอ้อ้วนเจิงที่เป็นพ่อของเขาเท่านั้น

ไอ้อ้วนเจิงดีกับลู่ฝานมากๆ ถึงแม้เขาตั้งใจจะเข้าหาลู่ฝาน แต่ความสัมพันธ์ของพวกเขาก็ไม่เลวเลย ดังนั้นเขาก็เลยพูดช่วยเหลืออีกฝ่าย พูดกันตามตรงก็คือหัวหน้าเขตอี้ว์ไว้หน้าลู่ฝาน เรื่องมันก็มีเท่านี้แหละ

ไอ้อ้วนเจิงที่อยู่ด้านล่างตื่นเต้นดีใจมากๆ เมื่อมองเห็นท่าทางของเขา ราวกับเจิงหยงสามารถเข้าสู่การทดสอบรอบสองได้ เขาก็ภาคภูมิใจมากๆแล้ว

ไอ้อ้วนเจิงมองลู่ฝานด้วยสายตาที่ซาบซึ้ง แต่ไอ้อ้วนเจิงก็ภูมิใจมากๆเช่นกัน

คนอย่างลู่ฝานนั้น เป็นคนที่น่าคบหามากๆ ถึงแม้เขาจะเอ่ยปากพูดแค่ประโยคเดียว แต่ก็สามารถมองเห็นอย่างชัดเจนว่าลู่ฝานเป็นคนที่รู้จักตอบแทนบุญคุณคนอื่น

คนประเภทนี้ น่าคบหาจริงๆ ไอ้อ้วนเจิงตัดสินใจจะช่วยเหลือลู่ฝานมากขึ้น

ช่วงนี้ตระกูลอี่ว์กลั่นแกล้งตระกูลลู่ใช่ไหม? ไอ้อ้วนเจิงตัดสินใจช่วยตระกูลลู่หาร้านค้าลับๆและช่วยตระกูลลู่หาช่องทางการหาเงินที่คนอื่นๆไม่รู้

เรื่องการค้าขายนั้น เขามีประสบการณ์มากกว่าตระกูลอี่ว์

เมื่อคิดแบบนี้ ลู่ฝานก็มองไปยังทิศทางของตระกูลอี่ว์

ใช่แล้ว วันนี้ตระกูลอี่ว์ก็ส่งคนมาดูการสอบครั้งนี้ อี่ว์ชิงเฉินก็นั่งอยู่บนตึกที่อยู่ไม่ไกลมากนัก

“คนต่อไป!”

ผู้อาวุโสโม่เอ่ยปากพูดอีกครั้ง

นักบู๊คนที่สองเดินออกมา

เมื่อมองเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเจิงหยง ทำให้นักบู๊สิบคนที่อยู่บนเวทีที่ยังมั่นใจในตัวเองมากๆเหลือแค่ไม่กี่คนเท่านั้น

นักบู๊คนที่สองใช้พลังทั้งหมดออกมา เขาต่อยหมัดใส่ก้อนหินเจ็ดสี

ลู่ฝานมองออกอย่างชัดเจน เมื่ออีกฝ่ายต่อยหมัดนี้ออกไป พลังทั้งหมดของเขาก็สูญสลายไปแล้ว

แต่น่าเสียดาย ก้อนหินเจ็ดสีเปล่งแสงสีส้มออกมาเท่านั้น และเขาก็ไม่สามารถต่อยหมัดที่สองออกมาได้แล้ว ดังนั้นเขาก็เลยตกรอบ

คนที่สาม คนที่สี่ก็เป็นแบบนี้เช่นกัน

ประชาชนที่อยู่ด้านล่างและตะโกนเรียกชื่อของพวกเขาก่อนหน้านี้ ตอนนี้พวกเขาไม่กล้าตะโกนอีกแล้ว

“ทำไมมันถึงยากขนาดนี้ โอ้พระเจ้า กระบี่ห้าทิพย์อย่างคุณชายฟานซวนก็ตกรอบเหมือนกัน เขาแข็งแกร่งกว่าเจิงหยงนิดหน่อยไม่ใช่เหรอ”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 596
ทั้งสิบคนยิ้มออกมาอีกครั้ง คนที่สามารถยืนอยู่ตรงนี้ พลังของพวกเขาจะไม่ผ่านด้านแรกได้ยังไง

ถ้าฝึกฝนไม่ถึงแดนปราณนอกชั้นห้า พวกเขาก็คงไม่สามารถเป็นผู้ตรวจการชั้นล่างได้อยู่แล้ว

ลู่ฝานขมวดคิ้วทันที สีเหลือง เขาจำได้ว่าการทดสอบผู้ตรวจการชั้นล่างนั้น ก้อนหินที่ใช้นั้น เปล่งแสงสีเหลืองออกมา

มันเป็นเรื่องบังเอิญเหรอ?

ลู่ฝานแอบคิดอยู่ในใจตัวเอง

“ฉันขอเริ่มก่อน”

มีผู้ชายคนหนึ่งเดินออกมาเป็นคนแรก ทำให้ลู่ฝานได้ยินเสียงร้องจากด้านล่างทันที

“หมัดทลายเขา เจิงหยง!”

ข้างๆหู มีเสียงที่หนักแน่นมากๆตะโกนออกมา

“ลูกชาย สู้ๆ!”

ลู่ฝานหันหลังกลับไปมอง เขามองเห็นไอ้อ้วนเจิงที่อยู่ด้านล่างตะโกนและโบกมือไปด้วย

เจิงหยงคนนี้เป็นลูกชายของไอ้อ้วนเจิงเหรอ? เมื่อมองจากรูปร่างแล้วไม่เหมือนกันสักนิดเลย!

ลู่ฝานหัวเราะเบาๆ เขามองดูเจิงหยงที่มีรูปร่างดีและหน้าตาที่หล่อเหลาเดินมาถึงด้านหน้าของหินเจ็ดสี

ผู้อาวุโสโม่ที่อยู่ข้างๆเอ่ยปากพูด:”ใช้พลังทั้งหมดออกมาเลย ตอนเด็กๆนายน่าจะเคยใช้หินศิลาดำทดสอบมาแล้ว ใช่แล้ว มันก็เหมือนกับการทดสอบของหินศิลาดำเลย!”

เจิงหยงพยักหน้า ร่างกายของเขามีพลังปราณปะทุออกมา

เสื้อเกาะปราณอย่างแน่นหนักได้ปกคลุมร่างกายของเขาเอาไว้ แต่ลู่ฝานขมวดคิ้วทันที เจิงหยงคนนี้มีพลังที่ไม่เลวเลย ฝึกฝนถึงแดนปราณนอกชั้นเจ็ด เป็นเด็กหนุ่มที่ไม่ธรรมดาเลย

ถ้าเขาอยู่ในสถาบันสอนวิชาบู๊ ก็ถือได้ว่าเป็นอัจฉริยะคนหนึ่ง ไม่รู้จริงๆว่ายอดฝีมือคนไหนสั่งสอนเขาอยู่ เขาไม่สามารถฝึกฝนด้วยตัวเองจนแข็งแกร่งขนาดนี้ได้ เพราะจากท่าทางของเจิงหยงก็มองออกอย่างชัดเจน เขาต้องเคยฝึกเคล็ดวิชาบู๊ระดับดินอย่างน้อยหนึ่งอย่างมาแล้ว

คนที่สามารถฝึกเคล็ดวิชาระดับนี้ได้ ถ้าไม่ใช่นักเรียนของสถาบันสอนวิชาบู๊ ก็ต้องมีอาจารย์ดังคอยชี้แนะ

อาจารย์ของเจิงหยง ถึงแม้จะไม่ใช่ยอดฝีมือแดนปราณฟ้า แต่อย่างน้อยเขาก็น่าจะเป็นยอดฝีมือแดนปราณดิน

มองเห็นเสื้อเกาะปราณอย่างแน่นหนักของเขา มันไม่ได้แตกต่างจากเสื้อเกาะปราณดินเลย

ตูม!

เจิงหยงต่อยหมัดใส่ก้อนหินเจ็ดสี พลังอันน่ากลัวกลายเป็นคลื่นลมรุนแรง กระจายไปทั่วทิศ พัดจนเด็กเล็กๆหลายคนร้องไห้

อย่างไรก็ตาม คลื่นพลังจากพลังปราณพวกนี้ไม่ได้ทำให้ยอดฝีมืออย่างลู่ฝานรู้สึกตกใจเลย เพียงแต่เสื้อผ้าของลู่ฝานพลิ้วไสวไปตามลมพัดเท่านั้น แต่สายตาของทุกคนต่างมองไปที่สีของก้อนหินเจ็ดสี

สีแดง สีส้ม

ผ่านไปชั่วพริบตา ก้อนหินเจ็ดสีก็เผยสองสีนี้ออกมา ดูเหมือนสีเหลืองกำลังจะปรากฏ

แต่ในเวลานี้ แสงของสีส้มก็หยุดทันที

เจิงหยงอึ้งไปเลย เขาตะโกนออกมา:”มันเป็นไปได้ยังไง!”

ผู้อาวุโสโม่พูดกับเขาด้วยน้ำเสียงปกติ:”น่าเสียดายจริงๆ ขาดอีกแค่นิดเดียว นายลงไปเถอะ นายไม่มีสิทธิ์เข้ารวมการทดสอบอีกแล้ว!”

เจิงหยงเกือบจะเสียสติแล้ว เขาตะโกนด้วยความบ้าคลั่ง:”เป็นไปไม่ได้ ให้โอกาสกับฉันอีกครั้ง เมื่อสักครู่ฉันยังไม่ได้ใช้พลังทั้งหมดออกมา ได้โปรดให้โอกาสกับฉันอีกครั้ง”

หัวหน้าเขตอี้ว์มองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยสายตาเย็นชาและไม่ได้พูดอะไรออกมา

คนอื่นๆก็อึ้งเหมือนกัน ลู่ฝานอาจจะไม่ค่อยรู้จักเจิงหยง แต่คนอื่นๆรู้จักเจิงหยงเป็นอย่างดี แม้แต่เขายังไม่ผ่านเลยเหรอ?

การทดสอบอันนี้ยากเกินไปหรือเปล่า!

ใบหน้าของอู่คงหลิงก็กระตุกเล็กน้อย

“นายอย่าเสียเวลาของคนอื่นๆอีกเลย รีบลงไปได้แล้ว!”

ผู้อาวุโสโม่กำลังจะลากเจิงหยงลงจากเวที

ลู่ฝานหันหน้ากลับไปมองไอ้อ้วนเจิงที่ยืนอึ้งอยู่ จู่ๆเขาก็พูดขึ้นมา:”ให้โอกาสกับเขาอีกครั้งเถอะ เวลาแค่นี้ พวกเราสามารถรอได้”

ภายในชั่วพริบตา สายตาของทุกคนก็มองมาที่ลู่ฝานด้วยความแปลกใจ ตอนนี้เขาเอ่ยปากช่วยเหลือเจิงหยง พวกเขาสองคนรู้จักกันเหรอ?

หัวหน้าเขตอี้ว์มองหน้าลู่ฝานหนึ่งครั้งและพูด:”โอเค เจิงหยง ฉันจะให้โอกาสกับนายอีกครั้ง”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 595
เช้าวันรุ่งขึ้น แสงพระอาทิตย์สาดส่อง

เวทีทดสอบที่อยู่ในเมืองตงหวาเต็มไปด้วยผู้คน

วันนี้ เป็นการสอบผู้ตรวจการชั้นกลาง ทุกปีเมืองตงหวาจะมีการจัดการสอบแบบนี้หนึ่งครั้ง เมื่อถึงเวลานี้ เป็นเวลาที่ประชาชนทั่วไปของเมืองตงหวาจะได้มองเห็นวัยรุ่นอัจฉริยะของเขตตงหวา

ในปีนี้ เมืองตงหวามีอัจฉริยะสิบกว่าคนเข้ารวมการสอบเข้าผู้ตรวจการชั้นกลาง

หนึ่งในนั้นก็คือคุณชายลู่ฝานที่ทุกคนรู้จัก ทำให้ประชาชนทุกคนในเมืองตงหวารู้สึกตื่นเต้นมากๆ

“ไหว้ฟ้าดิน พิธีจบสิ้น!”

เมื่อพิธีกรตะโกนเสียงดังออกมา หัวหน้าเขตอี้ว์กับผู้เฝ้าเมืองจางก็ทำพิธีอันซับซ้อนเสร็จ

ลู่ฝานและคนอื่นๆมองดูอยู่ข้างๆ

พิธีแบบนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการกราบไหว้ประจำปีของตระกูลลู่ แต่มันซับซ้อนกว่าเล็กน้อยเท่านั้น

เมื่อรอจนหัวหน้าเขตอี้ว์และคนอื่นๆทำพิธีจนจบ จากนั้นทุกคนก็นั่งลงทันที

ทหารที่อยู่บริเวณโดยรอบปล่อยพลังปราณพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างพร้อมเพรียงกัน มีแสงจำนวนมากพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าและโดดเด่นมากๆ มันดึงดวงสายตาของประชาชนในเมืองตงหวาทันทีและพวกเขาก็ตบมือด้วยความดีใจ

มีเด็กจำนวนไม่น้อยดึงมือของพ่อแม่ตัวเอง พวกเขามองดูท้องฟ้า ราวกับเข้าสู่ช่วงเทศกาลสำคัญ

ลู่ฝานหัวเราะเบาๆ การเปิดพิธีและกิจกรรมแบบนี้ไม่เลวจริงๆ

มีชายชราคนหนึ่งเดินมาถึงตรงกลาง คนๆนี้ลู่ฝานรู้จัก เขาคือผู้อาวุโสโม่ ลู่ฝานไม่ได้เจอหน้าเขามาสักพักแล้ว

“คนที่จะเข้าสอบขึ้นมาได้เลย!”

ผู้อาวุโสโม่เอ่ยปากพูด

ทำให้ประชาชนที่อยู่ด้านล่างโห่ร้องด้วยความตื่นเต้นดีใจ

ลู่ฝานลุกขึ้นและเดินไปยังเวทีทดสอบ ทำให้ผู้หญิงที่อยู่ด้านล่างตะโกนออกมา:”คุณชายลู่ฝาน!”

เสียงกรีดร้องดังไปทั่วบริเวณ มีผู้หญิงบางคนกรีดร้องจนหมดสติไป ลู่ฝานมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น ทำให้เขารู้สึกแปลกใจมากๆ

ในกลุ่มฝูงชน ลู่เฮ่าหราน ลู่หาวกับศิษย์พี่หานเฟิงก็อยู่ในนั้นด้วย

เมื่อมองเห็นลู่ฝานได้รับความนิยมขนาดนี้ ลู่เฮ่าหรานกับลู่หาวก็หัวเราะด้วยความดีใจ

ศิษย์พี่หานเฟิงกอดผู้หญิงคนหนึ่งอยู่และตะโกนออกมา:”ศิษย์น้องลู่ฝานสู้ๆ ฮ่าๆๆ ถ้านายเป็นผู้ตรวจการชั้นกลาง หลังจากนี้ฉันก็จะมีเรื่องให้โม้อีกหนึ่งเรื่องแล้ว”

ผู้หญิงที่โดนหานเฟิงกอดเอาไว้ไม่ใช่ใครที่ไหน เธอคือคุณเมี่ยวหยู่

เพียงแต่ตอนนี้ เมี่ยวหยู่ไม่ได้ดูเย่อหยิ่งอวดดีเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เธอทำตัวน่ารักน่าเอ็นดูตลอดเวลา

ลู่ฝานไม่ได้กลัวศิษย์พี่หานเฟิงโดนหลอกเลย เมี่ยวหยู่ตกไปอยู่ในน้ำมือของศิษย์พี่หานเฟิง เธอคงต้องเปลี่ยนนิสัยตัวเองบ้างแล้ว

มีสิบคนเดินขึ้นไปบนเวที เมื่อมองดูแล้ว ลู่ฝานมองเห็นคนรู้จักคนหนึ่ง เธอก็คือคุณหนูอู่คงหลิง

ส่วนคนอื่นๆนั้น ลู่ฝานไม่รู้จักพวกเขาเลย คิดว่าคนพวกนี้น่าจะเป็นคนที่ได้ตำแหน่งผู้ตรวจการชั้นล่างมานานแล้ว

“นายก็คือลู่ฝานเหรอ? ชื่อเสียงของนายโด่งดังมากๆเลย”

มีผู้ชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างๆลู่ฝานเอ่ยปากพูด ลู่ฝานหันหน้ากลับไปมองเขา จู่ๆลู่ฝานก็ขมวดคิ้วทันที

ทั้งๆที่เป็นผู้ชาย แต่เส้นผมปิดบังใบหน้าครึ่งหนึ่ง มุมปากมีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์อยู่ เขามีน้ำเสียงแหบ แค่มองก็รู้ได้ทันทีว่าเขาไม่มีความสง่างามของยอดฝีมือเลย

ลู่ฝานพยักหน้าให้อีกฝ่าย ถือว่าตอบรับคำพูดของอีกฝ่ายแล้ว

ชายหนุ่มพูดด้วยรอยยิ้ม:”อืม นายอวดดีจริงๆ อีกเดียวนายก็คงไม่กล้าอวดดีแล้ว”

ขณะพูด ชายหนุ่มก็หัวเราะออกมา

คนที่อยู่ข้างๆ ดูเหมือนจะรู้จักผู้ชายคนนี้ พวกเขาก็หัวเราะออกมาเช่นกัน

ลู่ฝานไม่รู้ว่าทำไมคนพวกนี้ถึงหัวเราะออกมา เขาก็ไม่อยากสนใจอีกฝ่ายด้วย เขามองไปที่หัวหน้าเขตอี้ว์

ตอนนี้หัวหน้าเขตอี้ว์ยืนขึ้นมาและเอ่ยปากพูด:”อัจฉริยะทุกคน พวกนายเตรียมพร้อมหรือยัง?”

ทั้งสิบคนหัวเราะออกมาพร้อมกัน หัวหน้าเขตอี้ว์ตบมือตัวเอง ให้นักบู๊ที่อยู่ด้านหลังยกก้อนหินเจ็ดสีอันหนึ่งออกมา

หัวหน้าเขตอี้ว์ชี้หินศิลาดำแล้วพูด:”หินเฟิ่งหวา วันนี้ใช้ก้อนหินอันนี้เพื่อทดสอบทุกคน ถ้าเตรียมพร้อมแล้วก็ขึ้นมาบนเวทีได้เลย ถ้ายังฝึกฝนไม่ถึงแดนปราณนอกชั้นห้าก็ไม่ต้องเข้าร่วมทดสอบอีกแล้ว ถ้าเข้าร่วมก็เหมือนพาตัวเองไปตายเท่านั้น ก้อนหินแบ่งเป็นเจ็ดสี แบ่งเป็นสีแดง สีส้ม สีเหลือง สีเขียว สีฟ้า สีน้ำเงินและสีม่วง การทำสอบครั้งแรกก็คือ ถ้าสีของก้อนหินต่ำกว่าสีเหลือง ถือว่าไม่ผ่านการทดสอบครั้งแรก พวกคุณมีคำถามอะไรไหม?”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 594
ลู่ฝานถอนหายใจยาวๆออกมา อันที่จริงเขายังอยากจะฝึกฝนอีกหนึ่งกระบวนท่า แต่น่าเสียดาย ศิษย์พี่หานเฟิงไม่ให้โอกาสนี้กับเขาอีกแล้ว

กระบวนท่าหมื่นกระบี่พิชิตฟ้าของเขา ยังสามารถฝึกฝนให้แข็งแกร่งขึ้นได้

ทุกครั้งที่ใช้กระบวนท่านี้เสร็จแล้ว พลังทั้งหมดของเขาจะสูญเสียไปหมด ทำให้เขารู้สึกแย่มากๆ ดังนั้นเขาจำเป็นต้องฝึกฝนเพิ่ม เพื่อควบคุมกระบวนท่านี้ให้ได้

อย่างน้อยต้องใช้กระบวนท่านี้เสร็จแล้ว เขายังมีพลังเพียงพอที่จะต่อสู้ได้อีก

ดูเหมือนต้องรอตัวเองกลับไปที่สถาบันสอนวิชาบู๊แล้วค่อยหาศิษย์พี่ใหญ่มาฝึกฝนกับตัวเอง

“ลู่ฝาน!”

ไกลออกไป มีเสียงตะโกนดังขึ้น

ลู่ฝานปลายเท้าแตะน้ำและกระโดดขึ้นมาจากทะเลสาบ จากนั้นก็กระโดดกลับไปที่ศาลา เมื่อสักครู่เขาต่อสู้กับศิษย์พี่หานเฟิงอยู่บนทะเลสาบ

ด้วยพลังและการควบคุมของทั้งสองคน ทำให้พวกเขาไม่จมลงไปในน้ำอยู่แล้ว

ลู่ฝานหันหน้ากลับไป เขามองเห็นใบหน้าเศร้าๆของลู่เฮ่าหราน

ลู่ฝานมองเห็นสีหน้าของคุณปู่ ทำให้เขารู้สึกได้เลยว่าต้องเกิดเรื่องไม่ดีอย่างแน่นอน หานเฟิงก็เดินเข้ามาทันที

ลู่ฝานรีบเดินไปข้างหน้าและเอ่ยปากพูด:”คุณปู่ เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอ?”

ลู่เฮ่าหรานพูด:”ตระกูลอี่ว์ลงมือกับคนของตระกูลลู่แล้ว ร้านค้าหลายๆร้านที่พึ่งได้มา ตอนนี้โดนทำลายไปหมดแล้ว มีคนได้รับบาดเจ็บหลายๆคนด้วย”

หานเฟิงพูดด้วยความโกรธ:”ตระกูลอี่ว์ยังมาหาเรื่องอีกเหรอ ศิษย์น้องลู่ฝาน ครั้งนี้นายอย่าขัดขวางฉันอีกเลย ฉันจะไปหาเรื่องตระกูลอี่ว์ให้ได้”

ศิษย์พี่หานเฟิงได้ยินว่าตระกูลลู่เกิดเรื่องไม่ดีขึ้น เขาโกรธมากๆและจะไปสู้ตายกับตระกูลอี่ว์ แต่โดนลู่ฝานขัดขวางเอาไว้ ทำให้ไม่ได้เกิดเรื่องใหญ่โตขึ้น

ตอนนี้ ลู่ฝานหยุดศิษย์พี่หานเฟิงเอาไว้และพูด:”อย่ารีบร้อน ศิษย์พี่หานเฟิง นายใจเย็นๆหน่อยได้ไหม”

สายตาของลู่ฝานเต็มไปด้วยรังสีฆ่าฟัน เขาพูด:”ตระกูลอี่ว์รังแกพวกเรามากเกินไปแล้ว คุณปู่ คุณปู่บอกให้พวกเขาปิดร้านค้าไปก่อน อย่าให้ตระกูลอี่ว์มีโอกาสทำร้ายคนของเราอีก”

ศิษย์พี่หานเฟิงพูดด้วยความใจร้อน:”ศิษย์น้องลู่ฝาน นายคิดจะเก็บตัวฝึกฝนและไม่ออกไปอีกเหรอ”

ลู่ฝานพูด:”ตอนนี้ไม่มีวิธีอื่นแล้ว รับมือแบบนี้ดีที่สุด คุณปู่ คุณปู่ไปหาจวนผู้เฝ้าเมืองเลย อืม ไม่ต้องไปจวนผู้เฝ้าเมืองแล้ว ไปยืมทหารจากจวนหัวหน้าเขตจะดีกว่า”

ลู่เฮ่าหรานพูด:”ฉันให้คนเอาป้ายสัญลักษณ์ของนายไปหานายพลสวีเวยแล้ว เขาน่าจะมาช่วยเหลือพวกเรา”

ลู่ฝานพยักหน้าและพูด:”ทำได้ดีแล้ว”

ลู่เฮ่าหรานพูด:”หลังจากนี้พวกเราจะทำยังไงดี”

ลู่ฝานพูด:”รอ รอการสอบเข้าผู้ตรวจการชั้นกลาง”

คำพูดของลู่ฝาน ทำให้ศิษย์พี่หานเฟิงกับลู่เฮ่าหรานอึ้งไปเลย

หานเฟิงพูด:”ฉันลืมเรื่องนี้ไปเลย ศิษย์น้องลู่ฝาน ทำไมต้องรอเรื่องนี้ด้วย”

ลู่เฮ่าหรานมองหน้าลู่ฝานด้วยความสงสัย

ลู่ฝานพูด:”นี่เป็นวิธีเดียวที่ฉันสามารถกดดันตระกูลอี่ว์ได้ ด้วยพลังที่ฉันมีอยู่ในตอนนี้ ถ้าอยากจะเอาชนะอี่ว์ชิงเฉินที่เป็นยอดฝีมือแดนปราณดินในระยะเวลาอันสั้น มันเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก แต่ถ้าฉันได้รับตำแหน่งผู้ตรวจการชั้นกลาง ถึงแม้อี่ว์ชิงเฉินจะใจกล้ามากแค่ไหน เขาก็ไม่กล้ามาหาเรื่องตระกูลลู่ของเราอยู่แล้ว”

เมื่อหานเฟิงได้ยิน เมื่อเขาครุ่นคิดแล้ว เขาก็หัวเราะทันที

“ใช่แล้ว ใช้วิธีนี้ดีที่สุด ศิษย์น้องลู่ฝาน ฉันสนับสนุนนาย เมื่อได้รับตำแหน่งนี้แล้ว พวกเราค่อยหาวิธีจัดการตระกูลอี่ว์”

ลู่เฮ่าหรานครุ่นคิดชั่วครู่ จากนั้นก็พยักหน้าและพูด:”นี่คงเป็นวิธีเดียวในตอนนี้ ลู่ฝาน เรื่องทั้งหมดต้องรบกวนนายแล้ว”

ลู่ฝานพยักหน้าทันที

แต่ในเวลานี้ ด้านนอกมีผู้หญิงคนหนึ่งค่อยๆเดินเข้ามา

“คุณเซี่ยวเอ๋อร์!”

ลู่ฝานพูดออกมา

เซี่ยวเอ๋อร์ค่อยๆเดินมาถึงด้านหน้าของลู่ฝาน เธอหยิบหยกโบราณสีดำสนิทยาวๆให้ลู่ฝานแล้วพูด:”ลู่ฝาน การสอบผู้ตรวจการชั้นกลางจะเริ่มพรุ่งนี้ คุณตามฉันไปที่จวนหัวหน้าเขตเดี๋ยวนี้เลย!”

สายตาของลู่ฝานเปล่งประกายทันที

“มาได้จังหวะพอดีเลย!”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 593
เวลาผ่านไปหลายวัน ร่างกายของลู่ฝานหายดีแล้ว ขาของลู่หาวที่ได้รับการรักษาจากลู่ฝาน ทำให้ขาของลู่หาวดีขึ้นเยอะแล้ว

อี่ว์ชิงเฉินคนนั้นลงมือได้โหดเหี้ยมมากๆ การถีบของเขา ทำให้กระดูกของลู่หาวแตกละเอียดทั้งหมด ถ้าลู่ฝานไม่ใช่ผู้ฝึกชี่ และสามารถกลั่นโอสถเกิดกระดูกใหม่ให้ลู่หาวรับประทาน ทำให้กระดูกของเขาเกิดขึ้นมาใหม่ ลู่หาวคงกลายเป็นคนพิการไปแล้ว

ดังนั้น เรื่องนี้ทำให้ลู่ฝานแค้นอี่ว์ชิงเฉินมากๆ

ในเวลาเดียวกัน หลังจากเก็บตัวฝึกฝนหลายวันแล้ว

ในที่สุดอี่ว์ชิงเฉินก็ออกจากการเก็บตัวฝึกฝน!

เมื่ออี่ว์ชิงเฉินออกมา เขาก็โกรธมากๆและพุ่งไปหาหุ่นเชิดกวนหานทันที จากนั้นก็โยนกระบี่กลืนทิพย์ใส่หน้าของกวนหาน

“นี่คือกระบี่ของนายเหรอ โดยปกตินายใช้กระบี่ที่เป็นเศษเหล็กแบบนี้เหรอ!”

อี่ว์ชิงเฉินรู้สึกโกรธมากๆ เขาใช้เวลาอยู่หลายวัน เพื่อตรวจดูกระบี่เล่มนี้ แต่เขาตรวจไปตรวจมาอยู่หลายรอบ สุดท้ายเขาก็ได้คำตอบเพียงอย่างเดียว มันเป็นแค่เศษเหล็กเท่านั้น มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรดูดพลังของกระบี่เล่มนี้ไปแล้ว มันไม่ใช่แค่ดูดพลังที่อยู่ด้านบนของกระบี่เท่านั้น ถ้าในกระบี่มีโลหะพิเศษอื่นๆ มันก็จะถูกดูดออกไปพร้อมกัน สิ่งที่เหลืออยู่ก็แค่กระบี่ธรรมดาเท่านั้น ถ้าพูดว่ามันคือเศษเหล็ก มันก็ไม่ผิด

หุ่นเชิดกวนหานเบิกตากว้าง เขามองดูกระบี่กลืนทิพย์ที่อยู่ด้านหน้า

ผ่านไปสักพัก กวนหานพูด:”มันเหมือนมากๆ แม้แต่รอยแตกที่อยู่ด้านบนก็เหมือนกันเลย อาจารย์ลุง คุณไปเอากระบี่ปลอมเล่มนี้มาจากไหน”

อี่ว์ชิงเฉินพูด:”ฉันได้มันมาจากมือของลู่ฝาน ฉันจะขอพูดกับแกตามตรง วิชาของแก อันที่จริงแกได้มันมาจากกระบี่เล่มนี้ใช่ไหม”

ร่างหุ่นเชิดกวนหานสั่นเทาโดยไม่รู้ตัว ช่วยอะไรไม่ได้จริงๆ เพราะร่างกายของเขาเป็นหุ่นเชิด เขาอยากจะเก็บอารมณ์ก็ไม่สามารถเก็บได้ ถ้าอารมณ์ของเขาเปลี่ยนไป หุ่นเชิดก็จะสั่นเทาทันที

อี่ว์ชิงเฉินพูดอย่างเย็นชา:”หึ กวนหาน แกยังไม่ยอมพูดความจริงกับฉันอีกเหรอ?”

กวนหานพูด:”ลุงชิงเชิง แกเดาถูกแล้ว”

อี่ว์ชิงเฉินได้รับคำตอบแล้ว ยิ่งทำให้เขาโกรธมากๆ

“แล้วกระบี่ของจริงอยู่ตรงไหน แกเก็บไว้เอง หรือลู่ฝานหลอกฉัน”

กวนหานพูดด้วยน้ำเสียงปกติ:”ฉันไม่ได้เก็บไว้เอง”

อี่ว์ชิงเฉินจ้องหุ่นเชิดกวนหานแล้วกัดฟันพูด:”ถ้าแกกล้าโกหกฉัน ฉันจะสังหารแก แกจะไม่มีโอกาสได้เป็นหุ่นเชิดอีก”

กวนหานพูด:”แกสามารถใช้วิชาต่างๆมาตรวจสอบฉันได้ ฉันไม่ได้โกหกคุณอยู่แล้ว”

อี่ว์ชิงเฉินมองดูดวงตาอันว่างเปล่าของหุ่นเชิดกวนหาน จากนั้นเขาก็เงยหน้าและตะโกน:”ลู่ฝาน ฉันจะสังหารนายให้ได้ นายต้องไม่ได้ตายดี”

……

เวลาผ่านไปสองวันอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ลู่ฝานกำลังฝึกกระบี่อยู่ในจวนลู่ คนที่ฝึกกระบี่กับเขาก็คือศิษย์พี่หานเฟิง

“ไม่สู้แล้ว ไม่สู้อีกแล้ว ศิษย์น้องลู่ฝาน วิชานี้ของนายพิสดารมากๆ ฉันเป็นยอดฝีมือแดนปราณชีวิต แต่กลับสู้นายไม่ไหว ฉันสู้แบบอึดอัดแบบนี้ไม่ไหวแล้ว!”

ศิษย์พี่หานเฟิงโบกมือ ลู่ฝานพูดยังไงเขาก็ไม่ฝึกกระบี่กับลู่ฝานแล้ว

เดิมทีลู่ฝานอยากจะประลองกับเขา ทำให้ศิษย์พี่หานเฟิงดีใจมากๆ เขาเงยหน้าและพูด:”ศิษย์น้องลู่ฝาน มาเลยๆ ศิษย์พี่จะชี้แนะนายเอง”

แต่เวลาผ่านไปเพียงแค่สองวัน หานเฟิงก็ไม่ยอมประลองอีกแล้ว

เหตุผลหลักก็คือ ตอนนี้ลู่ฝานใช้ปราณชี่ได้อย่างคล่องแคล่วแล้ว พลังคุ้มกันกายของเขา ยิ่งอยู่ก็ยิ่งแข็งแกร่ง ถ้าไม่ใช่พลังที่แข็งแกร่งมากๆจนลู่ฝานต่อต้านไม่ได้ เขาก็สามารถสะท้อนพลังของอีกฝ่ายไปข้างๆ วิชาแบบนี้ ลู่ฝานตั้งชื่อว่าปราณชี่คุ้มกันกาย

และปราณชี่ของเขาก็แข็งแกร่งกว่าพลังปราณทั่วไป มันแข็งแกร่งพอๆกับพลังของนักบู๊แดนปราณชีวิตเลย ทำให้ศิษย์พี่หานเฟิงกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบตลอดเวลา ตอนที่ศิษย์พี่หานเฟิงสู้กับลู่ฝานนั้น เขาไม่สามารถใช้พลังสายเลือดหรือเข้าสู่สภาวะแปรสภาพเพื่อสู้ตายกับลู่ฝานได้

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 592
หลายวันต่อมา ลู่ฝานเก็บตัวฝึกฝนอยู่ในจวนลู่

บางทีอาจจะเพราะคำพูดของเขาส่งผลกระทบมากๆ ทำให้ทุกคนในตระกูลลู่เริ่มสร้างตระกูลลู่อย่างกระตือรือร้น

แน่นอนว่าการสร้างครั้งนี้ไม่ได้สร้างแค่บ้านพักเท่านั้น

จวนลู่ที่ลู่ฝานสร้างขึ้นนั้น มันไม่เลวเลย มีตำแหน่งที่ดีมากๆ และคฤหาสน์ก็สวยมากๆด้วย มันไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรเลย แม้แต่ดอกไม้ก็ยังคงรักษาให้อยู่ในสภาพเดิม

มีอยู่เรื่องเดียวที่เปลี่ยนไปก็คือ จำนวนของคนรับใช้ที่อยู่ในตระกูล

คนรับใช้ที่ดี ขยันขันแข็ง ก็จะเก็บเอาไว้ คนรับใช้ที่ขี้เกียจ ไม่ยอมทำงานก็จะไล่ออกไป

ทุกอย่างทำตามคำสั่งของลู่เฮ่าหรานอย่างเป็นระเบียบ

ในหนึ่งตระกูล ถ้าอยากจะให้ตระกูลก้าวหน้าและรุ่งเรือง เงินทองที่เข้ามาในตระกูลนั้นสำคัญมากๆ

ตอนนี้ตระกูลลู่ไม่ขาดแคลนเงินทอง มีเงินทองที่ถูกส่งมาจากบ้านเกิดที่เมืองเจียงหลิน ถึงแม้ลูกหลานทั้งหมดของตระกูลลู่ที่อยู่ในเมืองตงหวาไม่ทำงาน พวกเขาก็สามารถใช้ชีวิตได้อย่างสุขสบาย

แต่เหตุการณ์แบบนี้ ไม่เกิดขึ้นภายใต้การควบคุมของลู่เฮ่าหรานอย่างแน่นอน

นั่งกินสมบัติเก่า การกระทำแบบนี้ ลู่เฮ่าหรานไม่ยอมให้เกิดขึ้นในการบริหารงานของตัวเองอยู่แล้ว

ถ้างั้น เรื่องสำคัญที่ต้องทำตอนนี้ก็คือ การหาสถานที่เพื่อทำการค้าขาย

เดิมทีตระกูลลู่ทำการค้าขายสมุนไพรในเมืองเจียงหลิน การค้าขายด้านอื่นๆก็เคยทำเหมือนกัน พูดกันตามตรง ตระกูลลู่มีคนที่มีความสามารถด้านการค้าขายอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน

แต่สิ่งสำคัญที่สุดก็คือการเริ่มทำการค้าขาย

ด้านในเมืองตงหวา การค้าขายด้านต่างๆก็มีคนทำอยู่แล้ว แม้แต่การค้าขายที่ตระกูลลู่คาดคิดไม่ถึง ในเมืองตงหวาก็มีคนทำเหมือนกัน

ดังนั้น ถ้ามีตระกูลใหม่เข้ามาและอยากจะทำการค้าขายและมีร้านของตัวเองในเมืองตงหวา มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย

ก่อนหน้านี้สองวัน ลูกหลานของตระกูลลู่ออกไปหาเช่าสถานที่เพื่อทำการค้าขาย แต่เมื่อจ่ายเงินไปแล้วแต่ก็เช่าสถานที่ไม่ได้

แต่หลังจากนั้น เมื่อลู่ฝานรู้เรื่องที่เกิดขึ้น เขาก็มอบป้ายสัญลักษณ์ของตระกูลอี้ว์กับป้ายสัญลักษณ์ของผู้ตรวจการชั้นล่างของตัวเองให้ลูกหลานของตระกูลลู่ ทำให้สถานการณ์ของตระกูลลู่ค่อยๆดีขึ้น

เมื่อมองเห็นป้ายสัญลักษณ์สองอันนี้ และรู้ว่าคนเหล่านี้เป็นลูกหลานของตระกูลลู่ ทำให้ร้านค้าต่างๆในเมืองตงหวาต้องไว้หน้าตระกูลลู่บ้าง

ภายในระยะเวลาอันสั้น ลูกหลานของตระกูลลู่เช่าร้านค้าหลายๆร้านที่อยู่ใจกลางเมืองได้ในราคาที่ต่ำมากๆ ไม่เพียงแค่นี้ ไอ้อ้วนเจิงของลานประลองบู๊ทิศตะวันออกก็มาด้วยตัวเอง หลังจากพูดคุยกับลู่ฝานสักพักแล้ว เขาก็แนะนำแหล่งสินค้าที่เชื่อถือได้เจ้าหนึ่งให้ตระกูลลู่รู้จัก

โดยมีลานประลองบู๊ทิศตะวันออกเป็นผู้รับผิดชอบและเซ็นสัญญากับตระกูลลู่ หลังจากนี้ ตระกูลลู่มารับสินค้าจากพวกเขา พวกเขาจะให้ราคาที่ต่ำที่สุด แต่มีข้อตกลงเรื่องหนึ่ง ถ้าเกิดเรื่องอะไรที่ไม่ดีขึ้น ตระกูลลู่ต้องออกมาช่วยเหลือพวกเขา

การทำการค้าโดยเอาตระกูลนักบู๊เข้ามาช่วยเหลือกัน นี่เป็นครั้งแรกที่ลู่เฮ่าหรานเจอการค้าขายแบบนี้

แต่ก็ต้องพูดกันตามตรง การทำการค้ากับตระกูลใหญ่ๆแบบนี้มีผลประโยชน์มากๆและเห็นผลได้อย่างชัดเจน และกำจัดการกลั่นแกล้งกันจากภายใน ถ้าได้เงินทุกคนก็แบ่งกัน ไม่มีใครเสียเปรียบ ตระกูลลู่ของพวกคุณมาถึงเมืองตงหวาใช่ไหม? เช่นนั้น การค้าขายของพวกเราก็สามารถใช้เส้นทางของตระกูลลู่เพื่อเข้าไปทำการค้าขายในเมืองเจียงหลินได้

ข้อตกลงที่อยู่ด้านในนั้น ทำให้ลู่ฝานมองดูจนงงไปเลย แต่ไม่เป็นไร สำหรับตระกูลลู่ในตอนนี้ มันมีแต่ผลดีทั้งนั้น

จากนั้นร้านค้าขนาดใหญ่แปดเจ้าเซ็นสัญญากับตระกูลลู่ หลังจากลู่ฝานเข้าไปเยี่ยมหัวหน้าเขตอี้ว์กับผู้เฝ้าเมืองจางแล้ว จวนผู้เฝ้าเมืองกับจวนหัวหน้าเขตก็ให้ความช่วยเหลือกับลู่ฝานเหมือนกัน ดังนั้น การค้าขายของตระกูลลู่ในเมืองตงหวาก็ได้เริ่มขึ้นแล้ว แต่เรื่องที่เป็นห่วงมากๆก็คือการข่มขู่จากตระกูลอี่ว์

แต่ตระกูลอี่ว์ที่เป็นตระกูลนักบู๊ แท้จริง ในด้านการค้าขายนั้น พวกเขาคงไม่สนใจอยู่แล้ว แต่เพื่อความปลอดภัยของตระกูลลู่ ลู่ฝานก็ไปขอความช่วยเหลือจากผู้เฝ้าเมืองจางเหมือนกัน

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 591
ลู่ฝานโค้งคำนับ ทำให้ลูกหลานทั้งหมดที่อยู่ด้านล่างตะโกนออกมา:”ผู้นำตระกูล นายไม่ผิด ทั้งหมดเป็นความผิดของไอ้สารเลวจากสำนักโลหิตพิฆาต”

เมื่อมีคนเอ่ยปากพูด ทำให้ลูกหลานทุกคนในตระกูลลู่ตะโกนออกมาทันที

ลู่ฝานยกมือขวาขึ้นมา ทำให้ทุกคนหยุดพูด

ลู่ฝานพูด:”ทำผิดก็ต้องยอมรับผิด ไม่มีอะไรที่ต้องปิดบัง ลูกหลานตระกูลลู่ของพวกเราจะไม่ถอยหลังเพราะความพ่ายแพ้ จะไม่ยอมแพ้เพราะทำอะไรผิดแค่นิดเดียว ฉันขอสัญญากับทุกท่าน เรื่องแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว ในเมื่อตระกูลลู่ของพวกเรามาถึงเมืองตงหวาแล้ว พวกเราก็ต้องตั้งรกรากที่เมืองตงหวาให้ได้ พวกเราจะกลายเป็นตระกูลใหญ่และรุ่งเรือง!”

น้ำเสียงของลู่ฝานสูงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ลูกหลานทุกคนของตระกูลลู่หายใจเร็วด้วยความตื่นเต้น

มีคนบางประเภท เกิดมาเพื่อเป็นผู้น้ำของคนอื่นๆ แม้แต่ลู่เฮ่าหรานได้ยินคำพูดเหล่านี้ ทำให้เขาหายใจเร็วด้วยความตื่นเต้นเหมือนกัน

ในเวลานี้ ลู่ฝานหยิบสิ่งของต่างๆออกมาจากหน้าอกของตัวเอง

มีโอสถ สมุนไพรและวิชาต่างๆ

มีสิ่งของจำนวนมากเป็นของขวัญที่ได้มาจากคนอื่น มีสิ่งของบางส่วนเป็นของลู่ฝานเอง

ตอนนี้เขาหยิบสิ่งของเหล่านั้นออกมาทั้งหมด จากนั้นก็วางไว้กลางห้องโถงใหญ่

สิ่งของกองเป็นภูเขาขนาดเล็ก สิ่งของเยอะมากๆจนทำให้สายตาของทุกคนพร่ามัว

ลู่ฝานชี้ไปที่สิ่งของเหล่านี้และพูด:”สิ่งของเหล่านี้ เป็นทรัพยากรชุดแรกที่ฉันได้เตรียมให้กับตระกูลลู่ ด้านในมีสมุนไพร วิชาและโอสถ ฉันอยากให้ทุกท่านจดจำความทุกข์ของวันนี้เอาไว้ จำเอาไว้ว่าพวกเรามีพลังไม่แข็งแกร่งก็เลยโดนคนอื่นๆรังแก หลังจากนี้ พวกเราควรทำอะไร?”

ลูกหลานทุกคนของตระกูลลู่ตะโกนพร้อมกัน:”พวกเราต้องแข็งแกร่งมากขึ้น!”

ลู่ฝานพยักหน้า จากนั้นก็มองหน้าลู่เฮ่าหรานแล้วพูด:”คุณปู่ แบ่งสิ่งของเหล่านี้ได้เลย”

ลู่เฮ่าหรานลุกขึ้นมาแล้วพูด:”โอเค ลูกหลานทุกคนของตระกูลลู่ฟังคำสั่งฉัน รีบๆเก็บสิ่งของเหล่านี้เอาไว้ ใครกล้าขโมยสิ่งของเหล่านี้แม้แต่นิดเดียว เขาจะกลายเป็นคนทรยศของตระกูลลู่ พวกเราจะทำลายพลังของเขา และไล่เขาออกจากตระกูลลู่”

ลู่เฮ่าหรานสั่งลูกหลานบางส่วนของตระกูลลู่ บอกให้พวกเขารีบเก็บสิ่งของเหล่านี้

ทรัพยากรที่เยอะขนาดนี้ ทำให้ลู่เฮ่าหรานรู้สึกอิจฉามากๆ

เมื่อมีทรัพยากรจำนวนมากพวกนี้ ตระกูลลู่จะต้องรุ่งเรืองอย่างแน่นอน

ลู่ฝานมองดูสิ่งของโดนขนออกไปอย่างเงียบๆ ความรู้สึกสิ้นหวังของลูกหลานทุกคนในตระกูลลู่หายไปทันที

ลู่ฝานมองหน้าทุกคนและเอ่ยปากพูดเบาๆ:”ทุกท่าน อนาคตของตระกูลลู่ คงต้องรบกวนทุกท่านแล้ว”

ทุกคนยืนขึ้นพร้อมกัน จากนั้นก็โค้งคำนับให้ลู่ฝาน

ลู่ฝานก็โค้งคำนับให้ทุกคนเช่นกัน

จิตวิญญาณต่อสู้ของทุกคนเพิ่มขึ้นทันที ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พวกเราจะต้องสร้างตระกูลลู่แห่งใหม่ในเมืองตงหวาให้ได้

เมื่อมองเห็นทุกคนจากไปด้วยความมั่นใจ ลู่ฝานพูดกับคนรับใช้ที่อยู่ข้างๆ:”เอากระดาษกับพู่กันให้ฉันหน่อย”

ผ่านไปไม่นาน กระดาษกับพู่กันก็มาถึงด้านหน้าของเขา

ลู่ฝานเขียนสองประโยคขึ้นมา

“มังกรทะยานฟ้าหัวเราะหยิ่งผยอง ลมพัดนภาไร้ซึ่งขอบเขต!”

ลู่ฝานเขียนคำกลอนคู่ออกมาและติดอยู่หน้าประตูของห้องโถงใหญ่

ตัวหนังสือดูทรงพลังมากๆ ราวกับมีพลังวิถีบู๊อยู่ด้านใน

ลู่ฝานเขียนตามความรู้สึกเท่านั้น เขียนด้วยพลังจากตัวเอง แต่คิดไม่ถึงจริงๆว่าตัวหนังสือพวกนี้จะดูมีพลังมากๆ

ลู่เฮ่าหรานที่อยู่ข้างๆพูดด้วยรอยยิ้ม:”ลู่ฝาน กลอนคู่อันนี้ คงจะติดอยู่ในตระกูลลู่หลายๆปีอย่างแน่นอน”

ลู่ฝานพูด:”หวังว่ามันจะสืบทอดตลอดไป เพื่อยืนยันการรุ่งเรืองและยิ่งใหญ่ของตระกูลลู่ จนกว่าตระกูลลู่กลายเป็นตระกูลนักบู๊อย่างแท้จริง!”

ลู่เฮ่าหรานพยักหน้าและพูด:”ต้องมีวันนั้นอย่างแน่นอน ฉันเชื่อมั่นเรื่องนี้”

ลู่ฝานพูด:”ฉันก็เชื่อมั่นเหมือนกัน”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 590
ตลาดตงเซียนในตระกูลลู่

เมื่อลู่ฝานพาลู่หาวกลับมา ทำให้ลูกหลานทั้งหมดของตระกูลลู่ ต่างมารวมตัวกันที่ลานหน้าบ้านและยืนดูอย่างเงียบๆ

เดิมทีลูกหลานตระกูลลู่ควรดีใจมากๆที่ได้ย้ายเข้ามาอยู่ในเมือง แต่ตอนนี้สีหน้าของพวกเขามีแต่ความโศกเศร้า โดยเฉพาะตอนนี้พวกเขามองเห็นลู่ฝานได้รับบาดเจ็บ และลู่หาวที่บาดเจ็บสาหัส ทำให้พวกเขารู้สึกแย่มากๆ ความรู้สึกแบบนี้ได้แผ่ซ่านออกมาจากร่างกายของทุกคน

ลู่เฮ่าหรานยังรู้สึกดีหน่อย เขาสั่งให้ลูกหลานของตระกูลลู่เข้าไปประคองลู่หาวเอาไว้

ลู่ฝานมองเห็นสีหน้าของทุกคน เขาไม่เอ่ยปากพูดอะไรอีก

เขารู้ตัวดี ตอนนี้พูดอะไรก็คงไม่มีประโยชน์แล้ว

“แยกย้ายได้แล้ว พวกเจ้าแยกย้ายได้แล้ว!”

ลู่เฮ่าหรานบอกให้ทุกคนลงไปพักผ่อน ทุกคนจากไปอย่างเงียบๆ

ลู่ฝานถามเบาๆ:”สถานการณ์เป็นยังไง มีคนในตระกูลเสียชีวิตกี่คน”

ลู่เฮ่าหรานเอ่ยปากพูด:”เสียชีวิตไปสามคน พวกเขาต่างเป็นเด็กหนุ่มสายตรงของตระกูล”

ลู่ฝานรู้สึกเจ็บปวดมากๆและพูด:”เรื่องนี้เป็นความผิดของฉันเอง ฉันไม่ควรเรียกพวกคุณมาที่นี่ในเวลานี้”

จู่ๆลู่เฮ่าหรานก็จับหัวไหล่ของลู่ฝาน และจ้องดวงตาของลู่ฝานแล้วพูด:”ลู่ฝาน ตอนนี้คุณคือผู้นำตระกูล คุณจะพูดแบบนี้ออกมาไม่ได้”

ลู่ฝานอึ้งไปเลย ลู่เฮ่าหรานตบไหล่ของลู่ฝานอย่างแรงและพูด:”คิดจะทำการใหญ่ มันต้องเกิดการสูญเสียอยู่แล้ว ตระกูลลู่ของพวกเราเป็นเพียงแค่ตระกูลเล็กๆ ถ้าอยากจะย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองใหญ่ๆอย่างเมืองตงหวานั้น มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆอยู่แล้ว โดนกลั่นแกล้ง ทุกข์ทรมาน มันเป็นเรื่องที่พวกเราคาดคิดไว้แล้ว”

สายตาของลู่ฝานแน่วแน่มั่นคงมากขึ้น เขากัดฟันพูด:”แต่ความทุกข์ทรมานแบบนี้ อันที่จริงพวกเราสามารถหลีกเลี่ยงได้”

ลู่เฮ่าหรานส่ายหัวและพูด:”คุณคิดผิดแล้ว ความทุกข์ทรมานนั้นไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ไม่ต้องพูดถึงคนอื่นๆ นายดูตัวนายเอง ถ้าไม่มีความทุกข์ทรมานในวัยเด็ก นายจะประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้เหรอ ถ้าไม่ใช่เพราะนายโดนกลั่นแกล้งมาโดนตลอด นายจะเป็นกระบี่หนักลู่ฝานในวันนี้เหรอ”

ลู่เฮ่าหรานนิ่งเงียบไปสักพัก จากนั้นก็พูดอีก:”ตระกูลลู่ก็เหมือนกัน ถ้าไม่เคยเจอความทุกข์ทรมาน คนในตระกูลจะรู้เหรอว่าการย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองใหญ่ มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย ความทุกข์ทรมานพวกนี้สำหรับคนๆหนึ่งและตระกูลหนึ่งแล้ว อันที่จริงมันเป็นเรื่องดี นายเข้าใจไหม?”

ลู่ฝานพยักหน้า

ลู่เฮ่าหรานดึงมือกลับมา จากนั้นก็ถอนหายใจยาวๆและพูด:”ลู่ฝาน ตระกูลลู่ของพวกเรา ตอนนี้ใครก็สามารถตายได้ มีเพียงนายเท่านั้นที่ห้ามตาย เมืองตงหวาแห่งนี้พวกเราไม่คุ้นเคยเลย คนที่พวกเราสามารถพึ่งได้ก็มีเพียงนายเท่านั้น ถ้านายยังไม่มีความมั่นใจกับตัวเอง แล้วตระกูลลู่ของพวกเราควรทำยังไงดี พวกเราควรกลับไปบ้านเกิดเหรอ พวกเราคงจะโดนคนในบ้านเกิดดูถูกอย่างแน่นอน”

ลู่ฝานกับลู่เฮ่าหรานสบตากันและหัวเราะออกมา

“วางใจได้ ฉันไม่เป็นอะไรอยู่แล้ว เดี๋ยวให้ลูกหลานทั้งหมดของตระกูลลู่มารวมตัวกัน”

ลู่เฮ่าหรานมองเห็นลู่ฝานที่มีความมั่นใจในตัวเองอีกครั้ง เขาพยักหน้าและเข้าใจแล้ว

หลังจากเวลาผ่านไปหนึ่งชั่วโมง ลูกหลานทุกคนในตระกูลลู่ก็มารวมตัวกันในห้องโถงใหญ่

ลู่ฝานนั่งอยู่ด้านบนสุดด้วยท่าทางเคร่งขรึม

ด้านล่าง ลูกหลานของตระกูลลู่ยืนมองดูลู่ฝานอย่างเงียบๆ

เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ ลู่ฝานในเวลานี้ มีความสง่างามและน่าเกรงขาม นี่ไม่ใช่เพราะเขามีพลังที่แข็งแกร่ง แต่มันคือจิตใจของลู่ฝานได้เปลี่ยนไปแล้วต่างหาก

ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เขาสัมผัสได้ถึงภาระอันหนักอึ้งที่อยู่บนบ่าของตัวเอง

เขาในฐานะผู้นำตระกูล เขาต้องพาตระกูลลู่รุ่งเรืองมากขึ้น

ลู่ฝานค่อยๆลุกขึ้นมา

“ลูกหลานทุกท่านในตระกูลลู่ ลุงๆป้าๆทุกท่าน วันนี้ฉันมีคำพูดที่จะบอกให้พวกคุณทราบ”

ถึงแม้น้ำเสียงของลู่ฝานจะนิ่งสงบมากๆ แต่น้ำเสียงของเขาทรงพลังมากๆ ทำให้สายตาของทุกคนมองมาที่ใบหน้าของลู่ฝาน

“ฉันรู้ดี วันนี้ตระกูลลู่ของพวกเราสูญเสียครั้งใหญ่ ความผิดไม่ได้อยู่ที่พวกเขา ทั้งหมดเป็นความผิดของฉันเอง ฉันในฐานะผู้นำตระกูล แต่กลับทำให้ตระกูลลู่ต้องได้รับความเดือดร้อน ฉันขอใช้โอกาสนี้ กล่าวขอโทษทุกคนด้วย”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 589
มันคือเรื่องจริงเหรอ?

นายพลสวีเวยไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองเลย

อี่ว์ชิงเฉินลุกขึ้นจากพื้นดิน เขาไม่ได้ดูสง่างามเหมือนเมื่อสักครู่แล้ว

ดวงตาของเขากลายเป็นสีแดงก่ำทันที วินาทีต่อมา เขาก็กลายเป็นไอ้บ้าอี่ว์เหมือนสมัยก่อนแล้ว

“เด็กหนุ่ม นายสมควรตายจริงๆ!”

มือทั้งสองข้างของอี่ว์ชิงเฉินเปล่งแสงออกมา อี่ว์ชิงเฉินที่โกรธมากๆได้ใช้วิชาหัตถ์ศักดิ์สิทธิ์ปิดเมฆของตระกูลอี่ว์ออกมา!

พลังอันน่ากลัวปกคลุมไปทั่วบริเวณห้องโถงใหญ่ นายพลสวีเวยรู้สึกว่าเรื่องมันแย่ลงแล้ว เขาก็เลยยืนขวางอยู่ด้านหน้าของลู่ฝาน

ในเวลานี้ ลู่ฝานใช้หมื่นกระบี่พิชิตฟ้าออกมาแล้ว ทำให้พลังทั้งหมดของเขาสูญเสียไป

เขาทำได้แค่มองดูอี่ว์ชิงเฉินพุ่งมาสังหารเขาเท่านั้น

“ท่านเจ้าคุณอี่ว์ หยุดเดี๋ยวนี้!”

นายพลสวีเวยตะโกนออกมา ร่างกายของเขามีแสงสีเขียวพุ่งออกมา

เขาก็เป็นนักบู๊แดนปราณชีวิตเหมือนกัน!

เมื่อดึงกระบี่ยาวออก กระบี่ของนายพลสวีเวยแทงโดนฝ่ามือของอี่ว์ชิงเฉิน

ตูม!

เสียงระเบิดน่ากลัวที่ดังขึ้น ทำให้นายพลสวีเวยกับลู่ฝานปลิวออกไป

เจ้าดำกระโดดออกมา เขารับร่างกายของลู่ฝานกับนายพลสวีเวยเอาไว้

กระบี่ของนายพลสวีเวยหักเป็นท่อนๆและเขาก็กระอักเลือดไม่หยุด

ลู่ฝานก็บาดเจ็บเหมือนกัน หน้าอกของเขามีรอยฝ่ามือด้วย

ในเมื่อมองเห็นนายพลของตัวเองโดนโจมตี ทำให้ทหารของจวนหัวหน้าเขตพุ่งมาข้างหน้าและล้อมอี่ว์ชิงเฉินเอาไว้

นายพลสวีเวยหยิบป้ายสัญลักษณ์ออกมา เขายกมันขึ้นมาและพูด:”ทหารทุกนายห้ามทำอะไรบุ่มบ่าม!”

เมื่ออี่ว์ชิงเฉินโจมตีเสร็จ เขารู้สึกเสียใจทันที

มีลูกหลานจำนวนมากของตระกูลอี่ว์พุ่งเข้ามา อี่ว์ชิงเฉินตะโกนทันที:”พวกเจ้าออกไปเดี๋ยวนี้!”

นายพลสวีเวยลุกขึ้นและเดินโซเซ จากนั้นก็พูด:”ท่านเจ้าคุณอี่ว์ คุณอยากก่อการกบฏเหรอ?”

คำพูดนี้มันรุนแรงมากๆและน่ากลัวมากๆ

สายตาสีแดงของอี่ว์ชิงเฉินค่อยๆเปลี่ยนเป็นปกติ

อี่ว์ชิงเฉินนิ่งเงียบไปสักพัก จากนั้นก็พูด:”ไปเลย ไปเลย ไอ้สารเลว ออกไปจากตระกูลอี่ว์ของฉันเดี๋ยวนี้”

ลู่ฝานจับหน้าอกของตัวเอง เขาจ้องมองอี่ว์ชิงเฉินและพูด:”อนาคตข้างหน้า ฉันจะสังหารนายอย่างแน่นอน”

อี่ว์ชิงเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม:”ถ้านายมีความสามารถ ก็มาสังหารฉันได้เลย”

นายพลสวีเวยไม่พูดอะไรอีก เขาโบกมือเรียกทหารเหล่านั้นพาลู่หาวกับลู่ฝานจากไป

เจ้าดำตามอยู่ด้านหลัง เขามองอี่ว์ชิงเฉินกับคนอื่นๆด้วยสายตาที่โกรธมากๆ

เมื่อออกมาจากตระกูลอี่ว์แล้ว นายพลสวีเวยก็โล่งอกทันที

เขามองเห็นลู่ฝานที่อยู่ข้างๆแสดงความโกรธออกมาแล้วพูด:”คุณชายลู่ฝาน ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ฉันทำสุดความสามารถแล้ว เพราะฉันไม่มีอำนาจพอที่จะทำให้ตระกูลอี่ว์กับจวนหัวหน้าเขตต่อสู้กันจริงๆ”

ลู่ฝานพยักหน้าและพูด:”ฉันเข้าใจ ครั้งนี้ต้องขอบคุณนายพลสวีเวยมากๆ”

ลู่ฝานหันหน้ากลับไปมองลู่หาวที่เป็นพ่อของตัวเอง

ในที่สุดลู่หาวก็ถอนหายใจออกมา เขาจับมือของลู่ฝานเอาไว้และพูด:”ลู่ฝาน อย่าทำอะไรบุ่มบ่าม อย่าทำอะไรบุ่มบ่ามเลย ฉันไม่เป็นอะไรจริงๆ!”

ลู่ฝานกัดฟันและพูด:”เรื่องนี้พ่อไม่ต้องยุ่ง ความแค้นครั้งนี้ฉันต้องชำระให้ได้!”

ขณะพูด ลู่ฝานมองหน้าสวีเวยและพูด:”นายพลสวี ช่วยบอกหัวหน้าเขตอี้ว์แทนฉันด้วย ฉันจะสอบเข้าผู้ตรวจการชั้นกลางตอนนี้เลย!”

นายพลสวีอึ้งไปเลย จากนั้นก็พยักหน้าและพูด:”ฉันจะแจ้งหัวหน้าเขตอี้ว์อย่างแน่นอน”

……

ในตระกูลอี่ว์ อี่ว์ชิงเฉินที่โกรธมากๆ จนถึงตอนนี้เขายังไม่สามารถสงบสติอารมณ์ของตัวเองได้เลย

ความอัปยศ มันเป็นความอัปยศมากๆ เขาโดนเด็กหนุ่มที่ฝึกฝนถึงแดนปราณนอกโจมตีจนปลิวออกไป

ถ้าเรื่องนี้ถูกเผยแพร่ออกไป เขาคงขายหน้ามากๆอย่างแน่นอน

อี่ว์ชิงเฉินที่มีสีหน้าแย่มากๆจ้องมองกระบี่กลืนทิพย์ที่อยู่ในมือ มีเพียงกระบี่เล่มนี้ ถึงทำให้เขาสามารถระงับอารมณ์ของตัวเองได้บ้าง

“สั่งการลงไป ช่วงนี้ห้ามใครเข้ามารบกวนฉัน ฉันจะเก็บตัวฝึกฝน!”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 588
ลู่ฝานพุ่งออกมาและรับร่างกายของลู่หาวเอาไว้

ปราณชี่พุ่งเข้าไปในร่างกายของลู่หาว ทำให้ลู่ฝานพบว่ากระดูกขาของลู่หาวแตกละเอียดทั้งหมด พลังปราณที่แข็งแกร่งมากๆกำลังทำลายร่างกายช่วงล่างของลู่หาวอยู่

“ไอ้สารเลว!”

ลู่ฝานรีบหยิบโอสถเม็ดหนึ่งใส่เข้าไปในปากของลู่หาว

จากนั้นก็ถือกระบี่หนักและพุ่งเข้าไปหาอี่ว์ชิงเฉิน

“กระบี่ฆ่าพิชิตฟ้า!”

ลู่ฝานที่โกรธมากๆ พลังกระบี่ของเขาแข็งแกร่งกว่าทุกๆครั้งที่ผ่านมา

เมื่อโจมตีด้วยกระบี่ ทำให้คำว่าฆ่าตัวที่แปดเริ่มปรากฏตัวออกมา

“ตลกสิ้นดี!”

อี่ว์ชิงเฉินไม่ได้ใช้เสื้อเกาะปราณออกมาเลย เขาใช้มือเปล่าๆจับกระบี่หนักของลู่ฝานเอาไว้ได้

ฝ่ามือของเขาน่ากลัวมากๆ มันแข็งแกร่งดุจหินทอง

ปราณชี่ทั้งหมดของลู่ฝานหายไปเหมือนหยดน้ำที่หายไปในทะเล

“คุกเข่าเดี๋ยวนี้!”

อี่ว์ชิงเฉินพูดสี่คำนี้ออกมา

มือซ้ายกดทับลงมา มีพลังที่หนักมหาศาลราวกับภูเขากดทับร่างกายของลู่ฝานทันที

ลู่ฝานส่งเสียงอึดอัดออกมา แต่ร่างกายของเขาไม่ได้ขยับเลย

มือซ้ายกำหมัดและต่อยออกไป

หมัดถล่มเขาอู๋เซี่ยง!

ตูม!

โต๊ะเก้าอี้ที่อยู่บริเวณโดยรอบ โดนพลังของหมัดนี้จนปลิวออกไป

สวีเวยและคนอื่นๆถอยหลังหลายก้าว ส่วนเจ้าดำยืนเฝ้าลู่หาวเอาไว้

เมื่อพลังของหมัดถูกโจมตีออกมา แต่อี่ว์ชิงเฉินไม่ได้ขยับเลย เขามองเห็นเสื้อผ้าของตัวเองผล้ิวไหวไปตามสายลมเล็กน้อย

อี่ว์ชิงเฉินมองลู่ฝานอย่างเย็นชา จากนั้นก็กดฝ่ามือลงมาอีกครั้ง

“ฉันก็อยากรู้ว่านายจะทนได้อีกนานแค่ไหน พลังปราณสะเทือนเขา!”

เมื่อพลังปราณดินปรากฏ มือของอี่ว์ชิงเฉินก็กดลงมาที่ไหล่ของลู่ฝาน

ภายในชั่วพริบตา ขาทั้งสองข้างของลู่ฝานก็หมุดลงไปในพื้นดิน พลังที่น่ากลัวขนาดนี้ ทำให้พื้นดินบริเวณโดยรอบยุบลงไปเลย

แต่ลู่ฝานยังคงยืนตัวตรง ร่างกายของเขาไม่ได้งอเลย

“อยากให้ฉันคุกเข่า นายยังไม่คู่ควร!”

ลู่ฝานกัดฟันพูด ปราณชี่ที่อยู่ในร่างกายของเขารวมตัวกันอย่างบ้าคลั่ง

วิชาสายฟ้าฟาดห้าธาตุ!

สายฟ้าปะทุออกมา ทำให้ร่างกายของลู่ฝานมีเพลิงไฟพุ่งทะลุออกมาหลายฟุต แสงสีทองและสีแดงที่อยู่บนกระบี่หนักไร้คมก็โจมตีใส่ร่างกายของอี่ว์ชิงเฉิน แต่อี่ว์ชิงเฉินรู้สึกว่าตัวเองเหมือนโดนยุงกัดเท่านั้น เขาไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดอะไรเลย

“แสงจากหิ่งห้อยอย่างนาย ยังกล้ามาเทียบแสงจันทร์อย่างฉันเหรอ! ยังไงซะ วันนี้ฉันก็จะทำให้นายคุกเข่าให้ได้”

อี่ว์ชิงเฉินรู้สึกโกรธแล้ว มือทั้งสองข้างของเขามีพลังปะทุออกมา

เดิมทีเขาคิดว่าตัวเองเป็นนักบู๊แดนปราณดิน เมื่อเริ่มโจมตีลู่ฝาน เขาไม่ได้ใช้พลังทั้งหมดออกมา

แต่ตอนนี้ เมื่อมองเห็นพลังทั้งหมดของลู่ฝาน ถ้าอี่ว์ชิงเฉินไม่ลงมืออย่างจริงจัง เขาต้องขายหน้าอย่างแน่นอน

สองมือปลดปล่อยพลังออกมา พลังสีเหลืองเข้มจากบริเวณรอบๆมารวมตัวกัน และกดทับร่างกายของลู่ฝานเอาไว้

ตอนนี้พลังปราณทั้งหมดของลู่ฝานโดนกดทับกลับตัวจนใกล้จะสูญสลายแล้ว

แต่ในเวลานี้ ลู่ฝานใช้วิธีที่แปลกประหลาดมากๆอย่างหนึ่งในการเดินพลังปราณชี่

ทุกคนมองเห็นเสื้อปราณของเขากลายเป็นทรงลูกบอลและห่อหุ้มเขาเอาไว้ด้านใน พลังที่กดทับลงมาบนร่างกายของเขา โดนวิธีที่แปลกประหลาดมากๆดันกลับไป

ในเวลาเดียวกันนั้น ลู่ฝานที่ยังคงโดนพลังของอี่ว์ชิงเฉินกดทับอยู่ ตอนนี้เขาโจมตีด้วยกระบี่ทันที

พลังฟ้าดินที่อยู่บริเวณรอบๆโดนดูดมาทั้งหมด!

หมื่นกระบี่พิชิตฟ้า!

เมื่อกระบี่โจมตีออกมา มีรังสีเจ็ดสีปกคลุมลู่ฝานเอาไว้

อี่ว์ชิงเฉินสัมผัสได้ถึงพลังอันแข็งแกร่งมากที่โจมตีมา พลังอันนี้น่ากลัวและสามารถทำให้เขาบาดเจ็บได้

เรื่องนี้เขาคิดไม่ถึงจริงๆ นักบู๊แดนปราณนอก จะสามารถปลดปล่อยพลังที่น่ากลัวจนสามารถทำให้นักบู๊แดนปราณดินรับรู้ได้ถึงอันตราย

อี่ว์ชิงเฉินอึ้งไปมากๆ ยังดีที่เขาฝึกฝนมาหลายปีและตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว ทำให้เขารีบใช้เสื้อเกาะปราณดินของตัวเองออกมา!

ตูม!

อี่ว์ชิงเฉินโดนกระบี่ของลู่ฝานโจมตีจนปลิวออกไปกระแทกกับกำแพงที่อยู่ด้านหลัง เสื้อเกาะปราณดินที่อยู่บนร่างกายก็โดนกระบี่ฟันจนยุบลงไป

นายพลสวีเวยที่อยู่ข้างๆมองเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจนอึ้งไปเลย!

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 587
ด้านนอกมีองครักษ์ของตระกูลอี่ว์เริ่มรวมตัวกันแล้ว

สวีเวยเดินขึ้นมาและเอ่ยปากพูด:”ท่านเจ้าคุณอี่ว์ อย่าทำอะไรมากจนเกินไป ฉันจำได้ว่านายกับสำนักโลหิตพิฆาตก็ไม่ค่อยถูกกัน ทำไมคุณต้องช่วยเหลือพวกเขาด้วย”

ขณะพูด สวีเวยก็หยิบป้ายสัญลักษณ์ของจวนหัวหน้าเขตออกมาและแขวนไว้ที่เอวอย่างตั้งใจ

การกระทำของเขาเพื่อแสดงให้อี่ว์ชิงเฉินรับรู้ เขามาที่นี่เพราะได้รับอนุญาตจากหัวหน้าเขตอี้ว์ ถ้าคุณอยากจะหาเรื่อง คุณก็คงต้องมีเรื่องกับจวนหัวหน้าเขตอย่างแน่นอน

สีหน้าของอี่ว์ชิงเฉินเปลี่ยนไปเล็กน้อย หัวหน้าเขตอี้ว์กล้าส่งทหารมาที่ตระกูลอี่ว์ของพวกเขา เรื่องนี้เขาคิดไม่ถึงจริงๆ

ลู่ฝานจ้องเขม็งใบหน้าของอี่ว์ชิงเฉิน ถ้าอี่ว์ชิงเฉินกล้าพูดปฏิเสธ ลู่ฝานคงจะโจมตีด้วยกระบี่ทันทีโดยไม่รังเล และไม่สนใจอะไรอีกแล้ว

จู่ๆอี่ว์ชิงเฉินก็ปรบมือ จากนั้นก็มีนักบู๊กลุ่มหนึ่งจับตัวลู่หาวและเดินออกมาจากด้านหลังของเขา

เมื่อมองเห็นลู่หาว สีหน้าของลู่ฝานก็เปลี่ยนไปทันที ทันใดนั้นเขาจะพุ่งเข้าไปแล้ว

แต่ขณะที่ลู่ฝานกำลังจะเคลื่อนไหว มีมือที่สวยมากๆอันหนึ่งปรากฏที่ด้านหน้าของเขา ลู่ฝานโจมตีด้วยกระบี่ จากนั้นก็เกิดเสียงดังขึ้น ลู่ฝานโดนฝ่ามือโจมตีจนถอยหลังทันที

อี่ว์ชิงเชิงยืนสองมือไขว้หลัง ราวกับเขาไม่เคยลงมือเลย

“ลู่ฝาน ฉันขอเตือนให้นายอยู่นิ่งๆหน่อย”

พลังปราณที่อยู่บนร่างกายของอี่ว์ชิงเฉินเริ่มเคลื่อนไหวทันที เขาเป็นนักบู๊แดนปราณดิน พลังปราณของเขาเคลื่อนไหวแค่นิดเดียว ก็สามารถมองเห็นบริเวณรอบๆของเขาเริ่มมีเสื้อเกาะปรากฏ

ลู่ฝานกัดฟันและพูด:”ปล่อยพ่อของฉันเดี๋ยวนี้”

อี่ว์ชิงเฉินพูดอย่างเย็นชา:”ในเมื่อเขาโดนฉันจับตัวมาแล้ว ฉันจะปล่อยเขาง่ายๆแบบนี้ได้ยังไง”

สวีเวยรีบหยิบอาวุธของตัวเองออกมา เขาจับกระบี่ยาวไว้ในมือและเอ่ยปากพูด:”ท่านเจ้าคุณอี่ว์ ในเขตตงหวานั้น ยังมีกฎระเบียบอยู่”

อี่ว์ชิงเฉินมองหน้าสวีเวย จากนั้นก็มองหน้าลู่ฝาน จู่ๆใบหน้าของเขาก็เผยรอยยิ้มออกมาและเขาก็นั่งลงอีกครั้ง

การกระทำของเขา ทำให้นักบู๊ของตระกูลอี่ว์ที่เตรียมจะดึงอาวุธออกมารู้สึกงุนงงและไม่รู้ว่าควรจะดึงอาวุธออกมาไหม

อี่ว์ชิงเฉินพูด:”ถ้าจะให้ฉันปล่อยคนพวกนี้ไป มันก็เป็นไปได้ แต่ลู่ฝานต้องมอบกระบี่กลืนทิพย์ให้ฉัน”

ลู่ฝานเอ่ยปากพูด:”นายพูดว่าต้องให้ ฉันก็ต้องให้นายจริงๆเหรอ?”

อี่ว์ชิงเฉินชี้ลู่หาวที่อยู่ข้างๆและพูด:”นายไม่มีทางเลือกอื่นๆอีกแล้ว”

ลู่ฝานจับกระบี่หนักไว้ในมืออย่างแน่น เขาเกือบจะห้ามตัวเองไม่ไหว และอยากจะโจมตีใส่หน้าของอี่ว์ชิงเฉินด้วยกระบี่หนัก

สวีเวยที่อยู่ข้างๆเอ่ยปากพูดเบาๆ:”คุณชายลู่ฝาน คุณคิดจะเอายังไง?”

ลู่ฝานค่อยๆหยิบกระบี่กลืนทิพย์ออกมาจากเอว เมื่ออี่ว์ชิงเฉินมองเห็นกระบี่กลืนทิพย์ สายตาของเขาก็เปล่งประกาย

เขาเผยรอยยิ้มออกมา จากนั้นก็แบมือขอกระบี่จากลู่ฝาน:”เอากระบี่มาให้ฉัน ฉันก็จะปล่อยเขาเดี๋ยวนี้เลย ฉันสัญญาว่าหลังจากนี้จะไม่มีคนไปหาเรื่องตระกูลลู่ของพวกนายอีก มันเป็นอย่างที่นายพลสวีพูดเลย เมืองตงหวามีกฎระเบียบอยู่”

ลู่ฝานหัวเราะเบาๆ ก่อนที่จะเกิดเรื่องนี้ เขาอาจจะเชื่อคำพูดเหล่านี้ แต่ตอนนี้ลู่ฝานรู้ดีในใจ ที่จริงสถานที่ไหนๆก็เป็นเหมือนกันหมด ผู้ที่แข็งแกร่งกว่ายอมมีอำนาจมากกว่าผู้ที่อ่อนแอกว่า

“ไอ้เก้า กลืนกินพลังสุดท้ายที่เหลืออยู่ในกระบี่เดี๋ยวนี้”

เมื่อได้รับคำสั่งของลู่ฝาน เจดีย์เสวียนเก้ามังกรหัวเราะออกมาและกลืนกินพลังอันน้อยนิดที่อยู่ในกระบี่กลืนทิพย์

ลู่ฝานโยนกระบี่ให้อี่ว์ชิงเฉิน

เมื่ออี่ว์ชิงเฉินได้รับกระบี่แล้ว เขาก็หัวเราะออกมาและพูด:”ดีมากๆ”

อี่ว์ชิงเฉินเดินไปข้างๆลู่หาว จากนั้นก็ถีบหน้าขาของลู่หาว ทำให้ลู่หาวโดนถีบอย่างแรงและปลิวออกไป

“คืนให้นายเลย!”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 586
เด็กรับใช้ที่ถือผ้าเช็ดหน้าอยู่ข้างๆแอบคิดอยู่ในใจ:”ก็ใครที่พูดว่าคุณหน้าตาขี้เหร่ คุณก็ต่อยหน้าคนๆนั้นตลอด”

อี่ว์ชิงเฉินหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาและเช็ดหน้า จากนั้นก็เดินออกไปทันที

เมื่อมาถึงห้องโถงใหญ่ของตระกูลอี่ว์ เขามองเห็นนักบู๊หลายๆคนมัดชายวัยกลางคนๆหนึ่งเอาไว้ และคนพวกนี้ก็กำลังทำร้ายร่างกายของชายวัยกลางคนอยู่

อี่ว์ชิงเฉินนั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างช้าๆและเอ่ยปากพูด:”นี่คือคนที่พวกแกจับตัวกลับมาเหรอ?”

จู่ๆทุกคนก็หยุดลงมือ มีนักบู๊คนหนึ่งเอ่ยปากพูด:”ท่านเจ้าคุณอี่ว์ คนๆนี้ก็คือพ่อของลู่ฝาน มันชื่อลู่หาว!”

อี่ว์ชิงเฉินพูดคำว่าอ้อ จากนั้นก็เอ่ยปากพูด:”ตอนที่พวกแกจับมันมา พวกนายไม่ได้ต่อสู้กับคนของจวนหัวหน้าเขตเหรอ”

นักบู๊พูด:”ท่านเจ้าคุณอี่ว์โปรดวางใจ พวกเราทำตามคำสั่งของท่านเจ้าคุณอี่ว์ หลังจากรอให้พวกเขาเข้าไปในเมืองแล้วค่อยลงมือ พวกเราไม่ได้ต่อสู้กับคนของจวนหัวหน้าเขต พวกเราแค่สังหารคนของตระกูลลู่ตายไปไม่กี่คนเท่านั้น”

อี่ว์ชิงเฉินพยักหน้าและพูด:”ทำได้ดีมากๆ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะไปต่อสู้กับจวนหัวหน้าเขต พวกแกไปส่งจดหมายให้ลู่ฝาน ให้เขานำสิ่งของมาแลกคนของตระกูลลู่ สำหรับสิ่งของนั้น พวกแกก็พูดกับลู่ฝานว่าสิ่งของชิ้นนั้น เขาน่าจะรู้ว่ามันคืออะไร”

นักบู๊พยักและรับปากทันที จากนั้นก็ลากลู่หาวเข้าไปด้านใน

ลู่หาวกัดฟันตัวเองแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา เลือดของเขาไหลออกมาไม่หยุด

อี่ว์ชิงเฉินหยิบน้ำชาขึ้นมา ใบหน้าของเขามีแต่รอยยิ้ม กวนหานคนนั้นนึกว่าเขาเป็นคนโง่ เพราะทั้งสองคนเป็นแค่ลูกศิษย์ในนามของสำนักเทพวิญญาณเท่านั้น วิชาที่กวนหานฝึกฝนอยู่ เขาจะไม่ฝึกฝนอยู่ได้ยังไง

ถ้าจะพูดว่ามีเรื่องที่แตกต่างกัน นั้นก็คือกวนหานมีกระบี่กลืนทิพย์เล่มนั้นอยู่ในมือ อี่ว์ชิงเฉินยืนยันได้เลย วิชาพวกนั้นจะต้องอยู่ในกระบี่เล่มนั้นอย่างแน่นอน

กระบี่เล่มนั้น ตอนนี้ถ้าไม่อยู่ในมือของตระกูลอี้ว์ ก็น่าจะอยู่ในมือของลู่ฝาน

อี่ว์ชิงเฉินไม่ได้กลัวว่าหัวหน้าเขตอี้ว์จะยึดกระบี่เล่มนั้นเป็นของตัวเอง เพราะเขารู้จักหัวหน้าเขตอี้ว์เป็นอย่างดี สิ่งของที่อาจจะทำให้เกิดความวุ่นวาย เขาไม่เอาสิ่งของชิ้นนั้นอยู่แล้ว ถึงแม้เขาจะได้กระบี่เล่มนั้นไป เขาก็คงใช่กระบี่เล่มนั้นเป็นของขวัญและมอบให้ลู่ฝานอย่างแน่นอน

ดังนั้น เขาแค่รอกระบี่จากมือของลู่ฝานก็พอ

อี่ว์ชิงเฉินจิบน้ำชาและหัวเราะอย่างภาคภูมิใจ

นักบู๊เหล่านั้นยังไม่ทันลากลู่หาวออกไป ตอนนี้มีองค์รักคนหนึ่งพุ่งเข้ามาและตะโกนออกมา:”ท่านเจ้าคุณอี่ว์ แย่แล้ว คนของจวนหัวหน้าเขตบุกรุกเข้ามาแล้ว”

สีหน้าของอี่ว์ชิงเฉินแย่ลงทันที เขาวางถ้วยน้ำชาลง เขารีบสะบัดมือและสั่งให้คนพวกนั้นลากลู่หาวออกไป

ด้านนอก มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นมาทันที

อี่ว์ชิงเฉินมองดูชายวัยรุ่นที่พุ่งเข้ามา

ใบหน้าของคนๆนี้มีแต่ความโกรธ เขาแบกกระบี่หนักไว้ด้านหลัง คนๆนี้ก็คือลู่ฝาน

อี่ว์ชิงเฉินมองเห็นกระบี่หนักที่อยู่ด้านหลังของลู่ฝาน เขารู้ทันทีว่าคนที่พุ่งเข้ามาคือใคร

อี่ว์ชิงเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม:”ฮ่าๆๆ ลู่ฝาน คุณชายลู่ ฉันกำลังเตรียมตัวจะไปตามหาคุณเลย”

ลู่ฝานมองหน้าอี่ว์ชิงเฉินและพูด:”ผู้นำตระกูลอี่ว์ ขอโทษที่มารบกวน”

อี่ว์ชิงเฉินพูด:”ไม่ได้รบกวนเลย อย่าเรียกฉันว่าผู้นำตระกูลอี่ว์เลย ฉันยังไม่ได้เป็นผู้นำตระกูล เรียกฉันว่าท่านเจ้าคุณอี่ว์ก็พอ วันนี้คุณชายลู่มาที่นี่ ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรเหรอ?”

ลู่ฝานพูด:”ฉันคิดว่าท่านเจ้าคุณอี่ว์น่าจะรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี”

อี่ว์ชิงเฉินมองหน้าลู่ฝานแล้วพูด:”ฉันรู้ ฉันรู้เรื่องอยู่แล้ว คุณชายลู่มาขอคนของตระกูลลู่ใช่ไหม”

สายตาของลู่ฝานเย็นชาทันทีและพูด:”ท่านเจ้าคุณอี่ว์ก็ปล่อยคนของตระกูลลู่ออกมาได้แล้ว”

อี่ว์ชิงเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม:”ถ้าจะให้ฉันปล่อยคนของตระกูลลู่ มันไม่ได้ง่ายขนาดนั้นอยู่แล้ว”

ลู่ฝานหยิบกระบี่หนักที่อยู่ด้านหลังออกมา ในเวลาเดียวกัน กลางเอวของเขาก็มีแสงสีดำปรากฏ จากนั้นเจ้าดำก็ปรากฏตัวทันที

เมื่ออสูรวิเศษขนาดใหญ่ปรากฏตัวต่อหน้าทุกคน ทำให้องค์รักของตระกูลอี่ว์ถอยหลังหลายก้าวโดยไม่รู้ตัว

บทที่ 585

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 585
ตระกูลอี่ว์ที่อยู่ทิศใต้ของเมือง และเป็นตระกูลผู้ดีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ของเมืองตงหวา

ตระกูลผู้ดีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ ก็คือตระกูลใหญ่ที่มีอำนาจ แค่คนๆเดียวก็สามารถทำให้ตระกูลแข็งแกร่งมากๆ

ทุกคนต่างรู้ดี อี่ว์หลงเฟิงที่เป็นผู้นำของตระกูลอี่ว์ เขาเป็นนักบู๊แดนปราณฟ้าและมีชื่อเสียงมากๆในเขตตงหวา สิบปีที่ผ่านมา ผู้นำตระกูลอี่ว์หลงเฟิงไม่ได้เข้ามายุ่งกับเรื่องในตระกูลอี่ว์แล้ว เรื่องนี้คนที่รู้เรื่องมีน้อยมากๆ เพราะเขาเก็บตัวฝึกฝนอย่างเดียว ตอนนี้เขาอยู่ที่เขตตงหวาหรือไม่ เรื่องนี้ไม่มีใครรู้เหมือนกัน

ตอนนี้ คนที่เข้ามาควบคุมตระกูลอี่ว์ก็คือลูกชายคนโตของอี่ว์หลงเฟิง เขาชื่ออี่ว์ชิงเฉิน

อี่ว์ชิงเฉินเป็นชายวัยกลางคนอายุสี่สิบปี เขาฝึกฝนถึงแดนปราณดินแล้ว ก่อนหน้านี้เขาได้รับฉายาว่าไอ้บ้าอี่ว์ ตอนนี้เขากำลังบำเพ็ญตนอยู่ และขนานนามตัวเองว่าท่านเจ้าคุณอี่ว์

เขามีหน้าตาที่ธรรมดามากๆ มีคิ้วที่หนาและดวงตาที่ใหญ่ และร่างกายที่อ้วนมากๆด้วย

มีเพียงมือของเขาอย่างเดียวที่เรียวยาวและสวยมากๆเหมือนกับมือของหญิงสาว ไม่ต้องพูดถึงผิวด้านของคนฝึกบู๊เลย แม้แต่บาดแผลก็ไม่มีแม้แต่นิดเดียว มือของเขาทั้งขาวและสวยมากๆ

ถ้าคนที่รู้จักตระกูลอี่ว์ พวกเขาจะรู้ทันทีว่าที่มือของเขาสวยมากๆเพราะวิชาของตระกูลอี่ว์

หัตถ์ศักดิ์สิทธิ์ปิดเมฆ

ทุกคนในตระกูลอี่ว์ฝึกฝนวิชานี้จนมือไร้ฝุ่น มือสวยเหมือนหยกขาว มีแต่อี่ว์ชิงเฉินคนเดียวเลย

วันนี้ อี่ว์ชิงเฉินฝึกฝนวิชาอยู่ด้านหลังสวน

คู่ต่อสู้ของเขานั้นก็คือหุ่นเชิดอันหนึ่ง รูปร่างของมันเป็นสีเลือดสด ราวกับเป็นหุ่นเชิดที่มีชีวิต

เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!

หลังจากโจมตีด้วยฝ่ามือสี่ครั้งใส่ร่างกายของหุ่นเชิดแล้ว การโจมตีด้วยฝ่ามือแต่ละครั้งนั้น ทำให้ท้องฟ้าเกิดการสั่นสะเทือนไปด้วย

หุ่นเชิดสีเลือดสดไม่ได้เป็นอะไร แต่กำแพงที่อยู่ห่างออกไปร้อยฟุตกลับมีรอยฝ่ามืออันใหญ่ปรากฏ

เมื่อมองดูกำแพงทั้งหมด มันเต็มไปด้วยรอยฝ่ามือจำนวนมาก การโจมตีผ่านอากาศแบบนี้ พลังปราณก่อตัวอย่างหน้าแน่นและไม่ได้สลายไป มันทำให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าอี่ว์ชิงเฉินแข็งแกร่งแค่ไหน

เมื่อโจมตีฝ่ามือสี่ครั้งแล้ว อี่ว์ชิงเฉินก็รีบเก็บพลังปราณกลับมาทันที

อี่ว์ชิงเฉินมองดูหุ่นเชิดที่อยู่ด้านหน้าและพูดด้วยรอยยิ้ม:”กวนหาน หุ่นเชิดของนายหาอันนี้ไม่เลวจริงๆ ในอนาคตข้างหน้าฉันก็คงต้องหาหุ่นเชิดสักอันหนึ่งแล้ว”

จู่ๆหุ่นเชิดสีเลือดสดก็ลืมตาขึ้นมา สายตาที่ทำมาจากโลหะของมัน เมื่อมองดูแล้วก็รู้สึกแปลกๆ

การเคลื่อนไหวของมันแข็งทื่อมากๆ การขยับตาของมันก็ต้องเคลื่อนไหวหลายๆครั้ง

น้ำเสียงของมันอย่างว่างเปล่ามากๆ หุ่นเชิดกวนหานพูด:”ลุงชิงเชิง นายอยากจะเปลี่ยนเป็นแบบนี้หรอก”

อี่ว์ชิงเฉินพูดอย่างเย็นชา:”ตอนนี้เรียกฉันว่าลุงชิงเชิงแล้วเหรอ? เมื่อก่อนใครเป็นคนพูดว่าจะไม่ขอความช่วยเหลือจากฉัน”

หุ่นเชิดกวนหานพูด:”ตอนนั้นฉันพูดจาประมาทเกินไป หวังว่าลุงชิงเชิงจะไม่ถือสาฉัน”

อี่ว์ชิงเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม:”ฉันไม่ถือสานายอยู่แล้ว ฉันแค่อยากได้วิชาของนาย วิชานี้ชื่อมารฟ้ากลืนร่างใช่ไหม? เอาวิชานี้มาให้ฉัน นายก็ไปจัดการสำนักโลหิตพิฆาตของตัวเองได้เลย ครั้งหน้าถ้าเจออาจารย์ของนาย บอกให้อาจารย์ช่วยหาวิธีเปลี่ยนร่างกายให้นายด้วย ถ้านายไม่ให้วิชากับฉัน อย่าหาว่าฉันโหดร้ายที่ไล่พวกเศษสวะและนายออกนอกประตูของตระกูลอี่ว์ ตัดหางปล่อยวัดพวกนายก็แล้วกัน”

กวนหานพูด:”อาจารย์ลุง ผมพูดไปแล้ว ขอแค่ลุงสังหารลู่ฝานได้ ฉันจะให้วิชานี้กับลุงอย่างแน่นอน”

อี่ว์ชิงเฉินมองหน้ากวนหานและพูด:”ตอนนี้ลู่ฝานมีชื่อเสียงมากๆ และเขาก็มีสัมพันธ์ที่ดีกับตระกูลอี้ว์ การสังหารเขาไม่ใช่เรื่องที่ง่ายๆเลย”

ดูเหมือนกวนหานจะตื่นเต้นเล็กน้อย แต่ตอนนี้ร่างกายของเขาเป็นหุ่นเชิด ทำให้เขาแสดงความรู้สึกออกมาไม่ได้ มองเห็นเพียงแค่หุ่นเชิดสั่นไหวไม่หยุด

“อาจารย์ลุง พวกเราเป็นคนของสำนักเทพวิญญาณ พวกเราต้องกลัวคนธรรมดาอย่างลู่ฝานด้วยเหรอ!”

อี่ว์ชิงเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม:”เป็นแค่ลูกศิษย์ในนามเท่านั้น นายคิดว่าฐานะตัวเองสูงส่งมากๆเหรอ ถึงแม้นายตายไปแล้วจริงๆ นอกจากอาจารย์ของนายแล้ว ใครจะเป็นห่วงความเป็นความตายของนายอีก นายมันโง่มากๆ!”

อี่ว์ชิงเฉินเดินไปข้างๆและเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ เขาหยิบกระจกขึ้นมาและมองใบหน้าของตัวเอง และพูดด้วยความภาคภูมิใจ:”ฉันยิ่งอยู่ก็ยิ่งหล่อ เดิมทีเคยมีคนจำนวนมากบอกว่าฉันหน้าตาที่ขี้เหร่ ฉันก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้เลย ตอนนี้ทำไมถึงไม่มีใครกล้าพูดอีกแล้วละ หึ!”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 584
ลู่ฝานเดินตามไปทันที เขาได้ส่งสายตาอย่างแน่นอนให้ศิษย์พี่หานเฟิงด้วย

แต่เมี่ยวหยู่คุกเข่าและอึ้งอยู่กับที่ เธออยู่ในจวนหัวหน้าเขตมานานแล้ว เธอมองออกว่าหัวหน้าเขตอี้ว์โกรธมากๆ

ตอนนี้ เมี่ยวหยู่อยากร้องให้แต่ไม่มีน้ำตา

นี่มันคือเรื่องอะไรกันแน่!

ลู่ฝานไม่อยากสนใจพวกเขาสองคน เขาเดินตามหัวหน้าเขตอี้ว์

ทั้งสองคนเดินมาถึงหน้าห้องโถงใหญ่ ในขณะที่พวกเขายังไม่ได้เดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่ หัวหน้าเขตอี้ว์ตะโกนทันที:”สวีเวยกลับมาหรือยัง? เรียกเขามาหาฉันเดี๋ยวนี้”

ผ่านไปไม่นาน นักบู๊ที่ชื่อสวีเวยก็เดินเข้ามา ขณะที่เขายังไม่ทันได้เอ่ยปากพูด หัวหน้าเขตอี้ว์ตะโกนด่าทันที:”สวีเวย นายจัดการปัญหายังไง ฉันให้นายไปปกป้องคนของตระกูลลู่ไม่ใช่เหรอ? เรื่องง่ายๆแบบนี้ นายยังจัดการไม่ได้เลยเหรอ?”

สวีเวยโดนด่าจนอึ้งไปเลย เขารีบเอ่ยปากพูด:”รายงานหัวหน้าเขตอี้ว์ พวกเราได้ส่งคนของตระกูลลู่ไปถึงเมืองตงหวาอย่างปลอดภัยแล้ว”

ลู่ฝานพูดทันที:”จริงๆเหรอ? ทำไมพ่อของฉันถึงโดนคนของสำนักโลหิตพิฆาตจับตัวไป ทำไมคนของตระกูลลู่ถึงได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตด้วย”

ทันใดนันใบหน้าของสวีเวยมีแต่เหงื่อเย็น

หัวหน้าเขตอี้ว์พูด:”สวีเวย นายฟังให้ดีๆ นายควรพูดความจริงออกมา เรื่องนี้มันเป็นยังไงกันแน่”

สวีเวยมองเห็นหัวหน้าเขตอี้ว์ที่โกรธจริงๆ เขารีบคุกเข่าและพูด:”ข้าน้อยไม่รู้เรื่องนี้จริงๆ! มันอาจจะเป็นแผนการของสำนักโลหิตพิฆาตก็ได้ พวกมันรู้ว่ามีทหารของจวนหัวหน้าเขตคอยอารักขาอยู่ ดังนั้นพวกมันก็เลยไม่กล้าลงมือ เมื่อเดินทางถึงเมืองตงหวาแล้ว พวกเราก็กลับมารายงานตัว ในขณะที่พวกเราไม่ทันได้ระวังตัว พวกมันก็เลยลงมือ”

หัวหน้าเขตอี้ว์ตะโกนออกมา:”ไอ้โง่ แผนการง่ายๆแค่นี้ก็ดูไม่ออก นายก็ไม่ควรเป็นนายพลในจวนอี้ว์แล้ว รีบไปตรวจสอบเรื่องนี้ ตอนนี้ซากเดนของสำนักโลหิตพิฆาตอยู่ตรงไหน นายไปถามที่จวนผู้เฝ้าเมืองเดี๋ยวนี้ ฉันคิดว่าพวกมันคงไม่ได้ออกจากเมืองอยู่แล้ว และปิดประตูเมืองทั้งหมด ห้ามปล่อยพวกมันหนีรอดไปได้แม้แต่คนเดียว”

สวีเวยรับคำสั่งและกำลังจะออกไป จู่ๆลู่ฝานก็พูด:”หัวหน้าเขตอี้ว์ ฉันได้ไปที่จวนผู้เฝ้าเมืองมาแล้ว ผู้เฝ้าเมืองจางได้บอกฉันแล้ว ตอนนี้คนของสำนักโลหิตพิฆาตอยู่ในตระกูลอี่ว์”

หัวหน้าเขตอี้ว์หันหน้ากลับไปมองลู่ฝานแล้วพูด:”นายพูดความจริงใช่ไหม?”

ลู่ฝานพูด:”ถ้ามีคำโกหกแม้แต่คำเดียว หัวหน้าเขตอี้ว์ตัดหัวฉันไปได้เลย”

หัวหน้าเขตอี้ว์พูด:”ดีมากๆ ในเมื่อนายสืบข้อมูลทุกอย่างได้แล้ว ฉันคงไม่มีเหตุผลที่จะไม่ช่วยนาย เรื่องที่ฉันรับปากนาย ฉันจะทำให้สำเร็จ สวีเวย นายเอาป้ายสัญลักษณ์ของจวนหัวหน้าเขตแล้วไปที่ตระกูลอี่ว์ และพาคนพวกนั้นกลับมา”

สวีเวยรับปากทันที สิ่งที่ลู่ฝานต้องการก็คือคำพูดนี้แหละ เขารีบลุกขึ้นมาและพูด:”ฉันจะไปด้วย”

หัวหน้าเขตอี้ว์พูด:”ได้ ถ้านายเจอไอ้เฒ่าที่ชื่ออี่ว์หลงเฟิง นายก็พูดว่าฉันฝากคำพูดมาให้มัน บอกมันด้วยว่าเขตตงหวาไม่ใช่ที่ของมันคนเดียว!”

ลู่ฝานพยักหน้าเบาๆแล้วโค้งคำนับ จากนั้นก็เดินจากไป สวีเวยเดินไล่ตามไป

สายตาของหัวหน้าเขตอี้ว์เปล่งประกาย ตอนนี้มุมปากของเขาเผยรอยยิ้มออกมา

ตระกูลอี่ว์ สวรรค์เข้าข้างฉันจริงๆ!

สวีเวยพึ่งเดินออกมาจากห้องโถงใหญ่ เขาก็ตะโกนเรียกนักบู๊ทั้งหมด ผ่านไปไม่นาน มีนักบู๊จำนวนมากมารวมตัวกันที่ด้านหน้าทันที

เมื่อมองเห็นทหารที่ยืนเป็นระเบียบของจวนหัวหน้าเขต ทำให้ลู่ฝานวางใจขึ้นมาทันที ถึงแม้ตระกูลอี่ว์จะเป็นสถานที่ที่อันตรายมากๆ เขาก็กล้าที่จะบุกเข้าไป

ตอนนี้สวีเวยพูดกับลู่ฝานด้วยน้ำเสียงเบาๆ:”คุณชายลู่ เรื่องนี้เป็นความผิดของฉันเอง ฉันต้องขอโทษจริงๆ”

ลู่ฝานพูด:”นายพลสวี ถ้าช่วยพ่อของฉันออกมาได้ ฉันจะถือว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น แต่ถ้าช่วยออกมาไม่ได้……”

สวีเวยพูดต่อทันที:”ถ้าช่วยออกมาไม่ได้ ฉันจะไม่เป็นนายพลอีกแล้ว ฉันจะยอมเป็นลูกน้องที่คอยรับใช้คุณชายตลอดไป”

ลู่ฝานพูด:”โอเค!”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 583
พลังเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ราวกับจะพุ่งทะลุไปถึงแดนปราณนอกชั้นแปด

หัวหน้าเขตอี้ว์ยืนมองอยู่ข้างๆ เขาไม่ได้ลงมือขัดขวาง ถึงแม้เขาจะรู้ดีว่าพลังพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วขนาดนี้จะไม่ดีต่อนักบู๊ก็ตาม แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

เพราะการตรัสรู้พลังเต๋าไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย ถ้ารบกวนการตรัสรู้พลังเต๋าของคนอื่นๆ อาจจะทำลายอนาคตของอีกฝ่ายก็ได้

ถ้าพลังเพิ่มสูงขึ้นอย่างบ้าคลั่งจนทำให้รากฐานไม่มั่นคง สามารถใช้การฝึกฝนและต่อสู้อย่างบ้าคลั่งในอนาคตเสริมรากฐานให้มั่นคงได้

แต่ถ้าการตรัสรู้พลังเต๋าโดนขัดขวาง ถ้าอยากจะตรัสรู้อีก มันคงเป็นเรื่องที่ยากมากๆ

ในชั่วพริบตา พลังของลู่ฝานก็ใกล้จะพุ่งทะลุแดนปราณนอกชั้นแปดแล้ว ถ้าเขาปล่อยพลังอีกเพียงแค่นิดเดียว เขาก็จะฝึกฝนถึงแดนปราณนอกชั้นแปดสำเร็จ

แต่ในเวลานี้ ลู่ฝานกลับพยายามกดพลังทั้งหมดเอาไว้

ทำให้กล้ามเนื้อของเขาหดตัวและพองโต และกดทับพลังเอาไว้ สุดท้ายเขาก็หยุดตัวเองไม่ให้เข้าสู่แดนปราณนอกชั้นแปด

“เป็นคนที่มีจิตใจแน่วแน่มากๆ!”

ครั้งนี้ แม้แต่หัวหน้าเขตอี้ว์ก็รู้สึกตกตะลึงและพูดออกมา

ในขณะที่ตรัสรู้พลังเต๋า แต่ยังมีสติอยู่ นักบู๊ประเภทนี้ หลายสิบปีมานี้ เขาเคยเห็นแค่ไม่กี่คนเท่านั้น

ลู่ฝานขยับร่างกายของตัวเอง พื้นดินที่อยู่ด้านล่างกลายเป็นหลุมลึกขนาดสามฟุต แต่มันไม่ได้เกิดเสียงอะไรขึ้นเลย ดูเหมือนจะโดนลมตดกระแทกจนกลายเป็นหลุม……

ลู่ฝานค่อยๆลุกขึ้นและถอนหายใจยาวๆออกมา สายตาของเขาเปล่งประกายมากๆ

สีหน้าของหัวหน้าเขตอี้ว์เคร่งขรึมลง เขาพูดกับลู่ฝาน:”ลู่ฝาน นายกล้าดีเกินไปแล้ว ใครอนุญาตนายมาตรัสรู้พลังเต๋าตรงนี้”

ลู่ฝานเงยหน้ามองหัวหน้าเขตอี้ว์และตอบด้วยน้ำเสียงปกติ:”หัวหน้าเขตอี้ว์ การตรัสรู้พลังเต๋าของนักบู๊ ไม่สามารถเลือกสถานที่ได้ ขอบคุณหัวหน้าเขตอี้ว์ที่ให้โอกาสครั้งนี้กับฉัน”

หัวหน้าเขตอี้ว์ทนไม่ไหวอีกแล้ว คำพูดสุดท้ายของลู่ฝานนั้นพูดอย่างชัดเจน หัวหน้าเขตอี้ว์ยืนอยู่ข้างๆฉันตั้งนานแล้ว คุณอย่างเสแสร้งอีกเลย มันไม่มีประโยชน์เลย

หัวหน้าเขตอี้ว์สะบัดมือและพูด:”ลู่ฝาน นายมาหาฉันมีเรื่องอะไรเหรอ ฉันให้ป้ายของจวนหัวหน้าเขตกับนาย ไม่ใช้ให้นายว่างๆแล้วเข้ามาในจวนหัวหน้าเขตเพื่อรบกวนการเก็บตัวฝึกฝนของฉัน”

ลู่ฝานพูดด้วยความเคารพ:”ลู่ฝานมีเรื่องสำคัญจริงๆ ฉันอยากจะขอความช่วยเหลือจากหัวหน้าเขตอี้ว์”

หัวหน้าเขตอี้ว์มองเห็นสีหน้าที่เคร่งขรึมของลู่ฝาน ทำให้เขาเข้าใจทันทีว่าต้องเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นอย่างแน่นอน

“มีเรื่องอะไรเหรอ?”

“พ่อของฉันโดนซากเดนของสำนักโลหิตพิฆาตจับตัวไปตอนที่เขาอยู่ในเมืองตงหวา!”

ลู่ฝานพูดอย่างรวบรัดทันที

หัวหน้าเขตอี้ว์ขมวดคิ้วและพูด:”พ่อของนายเหรอ? ฉันส่งคนไปอารักขาคนในตระกูลของนายแล้วไม่ใช่เหรอ?”

ลู่ฝานจ้องเขม็งไปที่หัวหน้าเขตอี้ว์ สายตาของเขาราวกับกำลังพูดว่า

ใช่แล้ว คุณส่งคนไปอารักขาแล้ว แต่ทำไมพ่อของฉันถึงโดนจับตัวไปละ?

หัวหน้าเขตอี้ว์รู้สึกว่าตัวเองขายหน้ามากๆ เขาเดินออกจากลานฝึกบู๊และพูด:”นายตามฉันมาเดี๋ยวนี้”

ผ่านไปไม่นาน หัวหน้าเขตอี้ว์พาลู่ฝานเดินไปที่ห้องหนังสือ

ในขณะที่พวกเขาเดินผ่านห้องๆหนึ่ง จู่ๆ ลู่ฝานก็ได้ยินเสียงกรีดร้อง หลังจากนั้นก็มีผู้หญิงคนหนึ่งกำลังด่าอยู่และเดินออกมา ทิศทางนั้นน่าจะเป็นห้องพักของลู่ฝาน

หัวหน้าเขตอี้ว์หยุดเดิน เขายื่นนิ่งๆและขมวดคิ้ว

จากนั้นเขาก็มองเห็นเมี่ยวหยู่ที่แต่งตัวไม่เรียบร้อยพุ่งออกมา

“เธอทำอะไรอยู่!”

หัวหน้าเขตอี้ว์ตะโกนออกมา

เมี่ยวหยู่รีบคุกเข่าทันที:”หัวหน้าเขตอี้ว์ ฉัน……”

คำพูดที่เหลือ เมี่ยวหยู่ไม่กล้าพูดอีกแล้ว เพราะเธอมองเห็นลู่ฝานที่อยู่ข้างๆหัวหน้าเขตอี้ว์

หลังจากนั้นก็มองเห็นศิษย์พี่หานเฟิงกำลังใส่เสื้อผ้าและเดินออกมา เมื่อมองเห็นลู่ฝาน หานเฟิงก็หัวเราะออกมาและกล่าวคำทักทาย:”ศิษย์น้องลู่ฝาน นายก็อยู่ตรงนี้ด้วยเหรอ”

เมื่อพูดจบ หานเฟิงก็ส่งสายตาให้หัวหน้าเขตอี้ว์

หัวหน้าเขตอี้ว์ที่ฉลาดมากๆมองเหตุการณ์ทั้งหมดออกทันที เขาจ้องเขม็งเมี่ยวหยู่ครั้งหนึ่ง จากนั้นก็สะบัดมือและเดินจากไป

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 582
ลู่ฝานโค้งคำนับและพูด:”ขอบคุณผู้อาวุโสจางมากๆ”

เมื่อพูดจบ ลู่ฝานหันหลังและจากไป

ผู้อาวุโสจางส่งลู่ฝานมาถึงหน้าประตู และเรียกรถม้ามารับลู่ฝาน

เมื่อลู่ฝานขึ้นไปนั่งบนรถม้าแล้ว เขาก็ตรงไปยังจวนหัวหน้าเขต

ผู้อาวุโสจางสองมือไขว้หลังและมองดูลู่ฝานจากไป จากนั้นสีหน้าของเขาก็เผยรอยยิ้มออกมา

ด้านหลัง มีกุนซือคนหนึ่งเดินออกมาและพูด:”หัวหน้าผู้เฝ้าเมือง พวกเราเปิดเผยความลับของตระกูลอี่ว์ให้ลู่ฝานรับรู้ มันจะเป็นเรื่องดีเหรอ?”

ผู้อาวุโสจางพูด:”มันเป็นเรื่องดีอยู่แล้ว ให้เขากับตระกูลอี่ว์ไปต่อสู้กัน ตระกูลอี่ว์มีคู่ต่อสู้ที่เป็นอัจฉริยะขนาดนี้ พวกเขาคงต้องปวดหัวไปหลายสิบปีอย่างแน่นอน รีบๆไปส่งจดหมายฉบับหนึ่งให้คุณท่านอี่ว์ นายเขียนประมาณนี้ สุนัขจรจัดที่พวกเขาเลี้ยงเอาไว้ ตอนนี้มีปัญหาแล้ว จะให้มันกินเนื้อต่อไปหรือจะไล่มันออกจากบ้าน”

กุนซือพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม และรีบเขียนข้อความทันที

เมื่อพู่กันตวัดไปมา ก็มีแสงสว่างเกิดขึ้น เขาใช้พลังของฟ้าดินเป็นหนังสือ

กุนซือคนนี้เป็นผู้ฝึกชี่

ส่วนทางด้านลู่ฝานนั้น เมื่อเขากลับมาถึงจวนหัวหน้าเขต หลังจากสอบถามแล้ว ลู่ฝานก็พบว่าหลายวันมานี้ หัวหน้าเขตอี้ว์กำลังเก็บตัวฝึกฝนอยู่

เมื่อสอบถามตำแหน่งเก็บตัวฝึกฝนของหัวหน้าเขตอี้ว์แล้ว ก็มีคนรับใช้พาลู่ฝานมาถึงลานฝึกบู๊ของตระกูลอี้ว์

สถานที่แห่งนี้ มีการรักษาความปลอดภัยที่แน่นหนามากๆ ห้องพักเล็กๆแห่งนี้ มีนักบู๊นับร้อยคนค่อยเฝ้าอยู่

เมื่อเดินเข้ามาในสนามหน้าบ้านแล้ว ลู่ฝานก็มองเห็นศิลาหินที่อยู่ด้านใน

ศิลาหินแต่ละอันสูงสิบฟุต กว้างแปดฟุต ด้านบนมีตัวอักษรอยู่ ถ้ารวมกันก็จะเป็น”โลกเหมือนวิถีบู๊ มีแต่ความตาย แต่กลับไม่มีทางรอด”

ตัวหนังสือทุกตัวเขียนติดกัน ระหว่างคำไม่มีช่องว่างเลย ราวกับมันมีพลังเต๋าบางอย่างอยู่

ลู่ฝานมองเห็นอักษรพวกนี้ ทำให้จิตใจของเขาสั่นไหว

“มีแต่ความตาย ไม่มีทางรอด มีแต่ความตาย ไม่มีทางรอด!”

ในชั่วพริบตา ลู่ฝานสัมผัสได้ทันทีว่าปราณชี่ที่เกิดอย่างต่อเนื่องที่อยู่ในร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลง

ปราณชี่ที่เคลื่อนไหวนั้นเริ่มแยกไปยังทิศทางอื่นๆ แต่ลู่ฝานรู้สึกว่ามันเคลื่อนไหวได้อย่างราบรื่น

มีพลังฟ้าดินจำนวนมากถูกร่างกายของลู่ฝานดูดเข้ามา ทำให้มีลมพัดและก้อนเมฆเคลื่อนไหว ศิลาหินแปดอันก็มีแสงสว่างเกิดขึ้น

เมื่อมีโลกีย์ก็คือจุดแห่งความตาย

มีแต่ความตาย ไม่มีทางรอด!

ตูม ลู่ฝานรู้สึกว่าร่างกายของตัวเองเหมือนระเบิดออก เส้นลมปราณทั้งหมดของเขาได้ระเบิดแล้ว

มีพลังมหาศาลจากศิลาหินแปดชิ้นพุ่งเข้าไปในร่างกายของเขา

ลู่ฝานนั่งลงทันที

ในเวลานี้ เจ้าดำที่อยู่ในจวนอากาศธาตุก็กระโดดออกมาและยืนอยู่ข้างๆลู่ฝาน มันมองดูรอบๆด้วยใบหน้าที่ดุร้าย

มันสัมผัสได้ว่าลู่ฝานกำลังเข้าสู่การตรัสรู้พลังแห่งเต๋า ตอนนี้ห้ามใครมารบกวนเขาโดยเด็ดขาด

พลังในร่างกายของลู่ฝานพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

จู่ๆประตูห้องก็เปิดออก หัวหน้าเขตอี้ว์ก็เดินออกมา

เมื่อมองเห็นลู่ฝานในตอนนี้ ทำให้หัวหน้าเขตอี้ว์ตกใจมากๆ

“ทำอะไรกันเนี่ย มาตรัสรู้พลังเต๋าในสนามเต๋าของฉันได้ไง”

หัวหน้าเขตอี้ว์สะบัดมือและหยุดพลังของศิลาหินแปดอันเอาไว้ ถ้าพลังพวกนี้พุ่งเข้าไปในร่างกายของลู่ฝาน ร่างกายของลู่ฝานต้องระเบิดเพราะพลังอันมหาศาลจากศิลาหินแปดอันนี้อย่างแน่นอน

เมื่อมองเห็นร่างกายของลู่ฝาน หัวหน้าเขตอี้ว์พูดด้วยน้ำเสียงตกใจ:”เป็นแค่นักบู๊แดนปราณนอก แต่กลับสามารถตรัสรู้พลังเต๋าแดนปราณฟ้าได้ มันเป็นเรื่องที่แปลกจริงๆ!”

และในเวลานี้ ร่างกายของลู่ฝานก็มีปราณชี่พุ่งออกมา ราวกับมีไฟลุกไปทั่วร่างกายของเขา

เขาพุ่งไปที่แดนปราณนอกชั้นเจ็ดแล้ว

พลังที่พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ถ้านักบู๊คนอื่นๆรู้เรื่องนี้คงรู้สึกอายมากๆ แต่มันยังไม่สิ้นสุด พลังของลู่ฝานพุ่งสูงขึ้นอีกครั้ง!

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 581
“ฉันพูดว่าเมืองด้านในของตงหวา กำลังเกิดเรื่องต่อสู้และฆ่าล้างกันอยู่”

ลู่ฝานพูดออกมาทีละคำ สายตาของเขาจ้องไปที่ใบหน้าของผู้อาวุโสจาง

สีหน้าของผู้อาวุโสจางแย่ลงทันที มือของเขายังคงเคาะบนโต๊ะอย่างเป็นจังหวะ

ผ่านไปสักพัก ผู้อาวุโสจางตะโกนทันที:”พวกเจ้าเข้ามาหน่อย!”

จู่ๆก็มีนักบู๊คนหนึ่งพุ่งเข้ามา และคุกเข่าต่อหน้าผู้อาวุโสจาง

ผู้อาวุโสจางพูดด้วยเสียงสูง:”พูดมาเดี๋ยวนี้ วันนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นในเมืองตงหวา”

ร่างกายของนักบู๊สั่นเทาและเอ่ยปากพูด:”วันนี้จวนของผู้อาวุโสโม่มีลูกชายคนหนึ่งถือกำเนิด เด็กหนุ่มของตระกูลอี่ว์ที่อยู่ทางทิศใต้ของเมืองได้ฝึกฝนพลังปราณสำเร็จ……”

ผู้อาวุโสจางตบโต๊ะทันที และตะโกนด่า:”ฉันไม่ได้ถามเรื่องพวกนี้”

ร่างกายของนักบู๊สั่นเทาอย่างรุนแรง

เขากลืนน้ำลายตัวเองด้วยความตกใจ จากนั้นก็พูด:”วันนี้ได้เกิดการต่อสู้อย่างชุลมุนที่ถนนหน้าประตูเมืองในเมืองตงหวา”

“ใครกับใครสู้กัน แล้วมีคนตายไปแล้วเท่าไหร่?”

ผู้อาวุโสจางถามด้วยเสียงสูง

นักบู๊ลังเลอยู่สักพักแล้วพูด:”ตอนนี้ยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย”

ผู้อาวุโสจางลุกขึ้นทันทีและตะโกนเสียงดัง:”ไอ้เศษสวะอย่างพวกนาย คงมีสักวันที่พวกนายจะทำให้ฉันต้องโดนลงโทษจนตาย รีบออกไปตรวจสอบเดี๋ยวนี้ ถ้าตรวจสอบอะไรไม่ได้ ก็อย่ากลับมาให้ฉันเห็นหน้าอีก”

นักบู๊รีบรับปากและจากไป

ลู่ฝานยืนดูอยู่ข้างๆและไม่พูดอะไรเลย

เมื่อผู้อาวุโสจางพูดจบแล้ว ลู่ฝานถึงเอ่ยปากพูด:”ผู้อาวุโสจาง เรื่องที่เกิดขึ้นนั้น ฉันพอรู้มาบ้าง คุณอยากจะฟังไหม”

ผู้อาวุโสจางนั่งลงอย่างช้าๆและพูด:”คุณชายลู่ฝานเล่ามาได้เลย”

ลู่ฝานพูด:”คนที่เกิดเรื่องไม่ดีนั้นก็คือคนของตระกูลลู่ พวกเราพึ่งมาถึงเมืองตงหวาได้ไม่นาน ก็โดนพวกซากเดนของสำนักโลหิตพิฆาตลอบโจมตี”

เมื่อผู้อาวุโสจางได้ยินคำว่าสำนักโลหิตพิฆาต สีหน้าของเขาดูไม่ปกติเล็กน้อย

ลู่ฝานมองเห็นสีหน้าของผู้อาวุโสจาง ทำให้เขาเข้าใจทันที เขาน่าจะรู้เรื่องอะไรมาบ้าง

สายตาของลู่ฝานน่ากลัวทันที ร่างกายของเขามีปราณชี่เล็กน้อยปะทุออกมาและพูด:”ผู้อาวุโสจางรู้เรื่องบางอย่างใช่ไหม”

ผู้อาวุโสจางถอนหายใจและพูด:”ฉันรู้แล้วว่าต้องเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นอย่างแน่นอน คุณชายลู่ ฉันก็ไม่อยากจะปิดบังคุณ หลังจากที่คุณสังหารกวนหานแล้ว พวกซากเดนของสำนักโลหิตพิฆาตก็รวมตัวกัน ทำให้ยอดฝีมือของสำนักโลหิตพิฆาตจากที่อื่นก็เดินทางมารวมตัวกันที่เมืองตงหวา ตอนแรกฉันคิดจะฆ่าล้างพวกมันให้สิ้นซาก เพราะไม่อยากให้พวกมันสร้างเรื่องไม่ดีขึ้นที่เมืองตงหวา แต่ใครก็คาดคิดไม่ถึง พวกมันทั้งหมดไปหลบซ่อนที่ตระกูลอี่ว์ ทำให้ฉันจนปัญญาจริงๆ”

ลู่ฝานขมวดคิ้วและพูด:”ตระกูลอี่ว์เหรอ?”

ผู้อาวุโสจางพูด:”ใช่แล้ว ตระกูลอี่ว์ที่อยู่ทางทิศใต้ของเมือง”

ลู่ฝานพูด:”ผู้อาวุโสจางช่วยแนะนำตระกูลอี่ว์ให้ฉันรู้จักหน่อยได้ไหม?”

ผู้อาวุโสจางพูด:”ได้เลย ตระกูลอี่ว์ที่อยู่ทิศใต้ของเมือง เมื่อหกสิบปีก่อน ตระกูลนี้ร่ำรวยและมีอิทธิพลมากๆ พวกเขาเหมือนกันนายเลย สมัยนั้นมีนักบู๊ที่มีพรสวรรค์มากๆคนหนึ่งชื่ออี่ว์หลงเฟิงมาที่เมืองตงหวา เขาได้รับตำแหน่งเป็นผู้ตรวจการชั้นล่าง จากนั้นก็อยู่ที่เมืองตงหวาและสร้างตระกูลอี่ว์ขึ้นมา จนตระกูลอี่ว์กลายเป็นตระกูลใหญ่อย่างทุกวันนี้ ตอนนี้อี่ว์หลงเฟิงได้กลายเป็นนักบู๊แดนปราณฟ้าแล้ว ทำให้ตระกูลอี่ว์ที่อยู่ในเมืองตงหวากลายเป็นตระกูลใหญ่และมีอำนาจมากๆ พวกเขาทำการค้าขายกับตระกูลอื่นๆและมีอิทธิพลมากๆในเมืองตงหวา นอกจากจวนหัวหน้าเขตกับเขตตงหวาแล้ว พวกเขาไม่มองตระกูลอื่นๆอยู่ในสายตาอยู่แล้ว”

ลู่ฝานพูด:”จากคำพูดของนาย พวกเขาก็เป็นตระกูลที่รุ่งเรืองจริงๆ แต่ตระกูลอย่างนี้ ทำไมพวกเขาต้องไปเกี่ยวข้องกับสำนักโลหิตพิฆาตด้วย”

ผู้อาวุโสจางพูด:”เรื่องนี้ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน บางทีพวกเขาอาจจะรู้จักกันมานานแล้ว บางทีอาจจะมีเหตุผลอื่นๆด้วย ยังไงก็ตาม ตอนนี้ยอดฝีมือทั้งหมดของสำนักโลหิตพิฆาตอยู่ในตระกูลอี่ว์แล้ว ฉันที่เป็นแค่ผู้เฝ้าเมือง ทำอะไรตระกูลที่รุ่งเรืองแบบนี้ไม่ได้ ถ้าคุณชายอยากได้ความช่วยเหลือ คุณชายควรไปขอความช่วยเหลือจากหัวหน้าเขตอี้ว์”

ลู่ฝานลุกขึ้นและพูด:”ถ้าเป็นแบบนี้ ฉันคงต้องขอตัวก่อน ฉันไม่อยู่รบกวนหัวหน้าผู้เฝ้าเมืองแล้ว”

ผู้อาวุโสจางพูด:”ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ในเมื่อคนในตระกูลของคุณชายลู่มาถึงที่เมืองตงหวาแล้ว ฉันจะยืมทหารหลายร้อยนายให้คุณชาย เพื่อช่วยคุณชายเฝ้าตระกูลเอาไว้ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นอีก”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 580
ลู่เฮ่าหรานดึงมือลู่ฝานเอาไว้ แล้วพูดว่า “ลู่ฝาน นายอย่าวู่วาม พวกเขาทำแบบนี้ เพราะจะจัดการนาย นายอย่าบุ่มบ่ามเด็ดขาด”

ลู่ฝานกัดฟันพูดว่า “ผมรู้”

หัวหน้าทหารคุ้มกันเมืองเดินเข้ามาอย่างระแวดระวัง แล้วพูดว่า “คุณท่าน ด้านล่างมีคนทิ้งข้อความให้ท่าน”

ลู่ฝานพูดด้วยเสียงอาฆาต “ใครทิ้งไว้”

หัวหน้าทีมพูดว่า “สำนักโลหิตพิฆาต ท่านลงมาดูจะรู้ครับ”

ลู่ฝานเดินลงมา เห็นพวกทหารคุ้มกันเมืองยืนมุงอยู่หน้ากำแพง

หัวหน้าทีมสะบัดมือให้ทหารคุ้มกันเมืองหลีกทาง ลู่ฝานเดินมาหน้ากำแพง เมื่อเพ่งมองดู เห็นด้านบนเป็นตัวอักษรเลือด

“ลู่ฝาน กวนหานฝากทักทายนาย”

เมื่อเห็นประโยคนี้ ลู่ฝานรู้สึกว่าเปลวไฟแห่งความโมโหที่ควบคุมไม่ได้ กำลังลุกโชนอยู่ในใจ

ด้านบน ลู่เฮ่าหรานถูกทหารคุ้มกันเมืองสองคนประคองลงมา

“กวนหาน กวนหานไหน ลู่ฝาน กวนหานโดนนาย……”

ลู่ฝานหันมาพูดว่า “ใช่ โดนผมฆ่าไปแล้ว ตอนนี้มีคนตั้งใจเยาะเย้ยผม ปู่ เรื่องที่เหลือให้ผมจัดการเอง”

ลู่ฝานหันมาพูดกับหัวหน้าทีม “นายชื่ออะไร”

หัวหน้าทีมคำนับแล้วพูดว่า “ผมชื่อชีว์เหวินจวิ้นครับ”

ลู่ฝานพูดว่า “หัวหน้าชีว์ รบกวนหัวหน้าพาพวกเขากลับไปจวนลู่ก่อน อยู่ที่ถนนตงเซียน”

หัวหน้าชีว์ตอบรับเสียงสูง ลู่ฝานเอายาออกมาจากอกอีกสองสามขวด ให้ลู่เฮ่าหรานแล้วพูดว่า “ให้ทุกคนกิน”

ลู่เฮ่าหรานพยักหน้าเข้าใจ

ลู่ฝานมองหัวหน้าทีมทหารคุ้มกันเมือง พาทุกคนออกไป

ลู่ฝานยืนอยู่นาน จากนั้นหันไปเรียกรถม้าคันหนึ่ง

“ไปจวนผู้เฝ้าเมือง!”

พูดพลาง ลู่ฝานโยนเหรียญหลายเหรียญทองออกไป

คนขับรถม้าสีหน้าตะลึง มุ่งหน้าไปยังจวนผู้เฝ้าเมืองทันที

ทางด้านนี้ หัวหน้าชีว์พาพวกลู่เฮ่าหรานมาส่งที่คฤหาสน์ตระกูลลู่ที่ถนนตงเซียง ด้วยความนอบน้อม

เมื่อเห็นคำว่าจวนลู่อันทรงพลัง ลู่เฮ่าหรานอึ้งไปในตอนแรก จากนั้นพูดว่า “นี่คือที่อยู่ของลู่ฝานเหรอ”

หัวหน้าชีว์พูดว่า “ใช่ครับคุณท่าน ต่อไปก็เป็นที่อยู่ของพวกคุณเช่นกัน”

ลู่เฮ่าหรานถอนหายใจออกมา “ถ้าลู่หาวพ่อของเขาเห็นคฤหาสน์หลังนี้ก็ดีสิ”

หัวหน้าชีว์ยิ้มแล้วพูดว่า “คุณท่านไม่ต้องกังวล จากความสามารถของคุณชายลู่ฝานในเมืองตงหวา ไม่มีเรื่องที่เขาทำไม่ได้ครับ”

ลู่เฮ่าหรานยิ้มอย่างขมขื่น “นายกำลังพูดให้ฉันสบายใจใช่ไหม”

หัวหน้าชีว์พูดว่า “คุณท่าน นี่ไม่ใช่คำพูดที่ทำให้สบายใจหรอกครับ คุณท่านลองออกไปถามได้เลย ใครไม่รู้ความสัมพันธ์ของจวนหัวหน้าเขตกับคุณชายลู่ฝานบ้าง ยิ่งไปกว่านั้น คนทั่วไปจะมีคฤหาสน์แบบนี้ ในเมืองตงหวาที่มีที่ดินแพงขนาดนี้เหรอครับ”

ดวงตาลู่เฮ่าหรานมีประกายเล็กน้อย “งั้นทั้งหมดเพิ่งลู่ฝานแล้ว”

……

ทางด้านนี้ ลู่ฝานเข้ามาจวนผู้เฝ้าเมืองอย่างราบรื่น

ลู่ฝานนั่งลงในโถงใหญ่ แล้วหลับตาลง

“คุณชายลู่ฝาน ฮ่าๆ แขกที่นานๆ มาครั้ง ยากมากที่คุณชายจะมาที่นี่สักครั้ง!”

ท่านผู้เฝ้าเมืองยิ้มพลางเดินออกมา

ผมและเคราขาว แม้ท่านผู้เฝ้าเมืองอายุมากแล้ว แต่ยังดูมีชีวิตชีวาและแข็งแรง

ลู่ฝานไม่แม้แต่จะลุกขึ้นมา เขานั่งอยู่อย่างนั้นแล้วพูดว่า “ท่านผู้เฝ้าเมืองอารมณ์ดีจริงๆ ผมมาวันนี้เพราะมีคำถาม อยากให้ท่านผู้เฝ้าเมืองชี้แนะ”

ผู้เฝ้าเมืองยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ต้องเรียกฉันว่าท่านผู้เฝ้าเมืองหรอก เรียกฉันว่าผู้อาวุโสจางก็พอ เหมือนคุณชายลู่ฝานกำลังโมโห”

ลู่ฝานพูดว่า “ใช่ กำลังโมโห ขอถามผู้อาวุโสจาง ฆ่าคนในเมืองตงหวาต่อหน้าทุกคน ต้องคืนตำแหน่งผู้เฝ้าเมืองรับผิดชอบใช่ไหม”

ผู้อาวุโสจางหน้าเปลี่ยนสีทันที

“นายพูดอะไร”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 579
ลู่ฝานใช้ความเร็วสูงสุดมาถึงที่ประตูเมือง มองหาพวกลู่หาวรอบๆ

ในใจมีความตื่นเต้น มุมปากมีรอยยิ้ม แต่มองหาอยู่รอบหนึ่ง ก็ไม่เห็นพวกลู่หาว

ขณะนั้น ลู่ฝานเห็นทหารคุ้มกันเมืองทีมหนึ่ง พุ่งมาบนถนน

“หลีกไป หลีกไป! อย่าขวางทาง!”

ตะโกนเสียงสูง คนรอบๆ หลีกทางให้ เด็กที่หลบไม่ทันยืนอยู่ที่เดิม เมื่อเห็นว่ากำลังจะชน ลู่ฝานอุ้มเด็กขึ้นมา

ทหารคุ้มกันเมืองเห็นว่ากำลังจะพุ่งใส่ลู่ฝาน ชายร่างกายกำยำสบถออกมาว่า “บอกให้หลีกไปได้ยินไหม ไอ้เวร”

ลู่ฝานขมวดคิ้วเบาๆ เอาป้ายผู้ตรวจการชั้นล่างออกมาจากอก ด้วยสีหน้าราบเรียบ

ชายร่างกายกำยำที่พุ่งเข้ามา กำลังจะผลักลู่ฝานออกไป เมื่อเห็นป้ายในมือลู่ฝาน

คนพวกนี้หยุดลงทันที

“คำนับท่านผู้ตรวจการ!”

ทำความเคารพและตะโกนออกมาอย่างพร้อมเพรียง

ลู่ฝานเก็บป้ายแล้ววางเด็กลงข้างๆ จากนั้นถามว่า “เกิดอะไรขึ้น เกิดเรื่องที่ไหน”

ชายร่างกายกำยำที่นำมาพูดว่า “ท่านผู้ตรวจการ ได้รับภารกิจมาว่า เกิดเรื่องทะเลาะวิวาทที่ภัตตาคารตระกูลหลี่บนถนนประตูเมือง เราจะไปจัดการครับ!”

ลู่ฝานพูดว่า “ทะเลาะวิวาทเหรอ ใครกับใคร ต้องไปกันเยอะขนาดนี้เลยเหรอ”

ลู่ฝานเงยหน้ามองกองทหารเกือบร้อยคน แล้วขมวดคิ้วถาม

ชายร่างกายกำยำพูดว่า “ว่ากันว่าเป็นนักบู๊จากที่อื่นทะเลาะกับผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ครับ ส่วนโดยรวมต้องดูก่อนครับ”

“มาจากที่อื่นเหรอ มาจากไหน”

ลู่ฝานรู้สึกระแวงขึ้นในใจ

ชายร่างกายกำยำพูดว่า “เหมือนว่ามาจากเมืองเจียงหลินครับ”

ลู่ฝานหน้าเปลี่ยนสีทันที เขาพูดเสียงดังว่า “รีบพาฉันไป เร็ว!”

“ครับ!”

ตอบรับเสียงสูง พวกทหารคุ้มกันเมืองใช้วิชากายพุ่งไปข้างหน้า

ลู่ฝานตามไปข้างๆ พวกเขา สีหน้าเคร่งขรึม

ไม่นาน ทุกคนมาถึงภัตตาคารตระกูลหลี่ เห็นด้านนอกร้านมีคนยืนเต็มไปหมด ส่งเสียงซุบซิบไม่หยุด

“หลีกไป หลีกไปให้หมด!”

ตำหนิออกมาเสียงดัง ทหารคุ้มกันเมืองเบียดเข้าไป

ลู่ฝานพุ่งตามเข้าไปติดๆ

เละเป็นแถบ ทั้งภัตตาคารเหมือนโดนคนแก้แค้น เละจนไม่มีชิ้นดี

รอบๆ มีคนนอนเกลื่อนกลาด

ลู่ฝานรีบมองดู แล้วพูดอย่างตกใจ “ลู่ลี่ นายเองเหรอ พวกพ่อกับปู่ล่ะ”

ลู่ฝานมองแวบเดียว ก็จำลูกหลานตระกูลลู่ได้คนหนึ่ง

มีเลือดออกตรงมุมปาก ดูเหมือนลู่ลี่โดนคนกระแทกจนซี่โครงแตก

ลู่ฝานรีบยัดยาเม็ดหนึ่งให้เขา เพื่อรักษาชีวิตเขาไว้

ลู่ลี่สูดหายใจลึก จึงตั้งสติได้ “ชั้นสอง พวกเขาอยู่ชั้นสอง”

ลู่ฝานรีบพุ่งไปยังชั้นสอง ทหารคุ้มกันเมืองรีบจับคนที่ยังมีสติ เพื่อสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น

เพิ่งมาถึงชั้นสอง ลู่ฝานเห็นลู่เฮ่าหรานล้มอยู่ที่มุมกำแพง

“ปู่!”

ลู่ฝานพุ่งเข้าไป กรอกยาใส่ปากลู่เฮ่าหรานทั้งขวด

วางฝ่ามือลงบนตัวลู่เฮ่าหราน ไม่ต้องให้ลู่ฝานเรียก เจดีย์เสวียนเก้ามังกรเริ่มใส่พลังบริสุทธิ์ให้ลู่เฮ่าหราน

จู่ๆ ลู่เฮ่าหรานลืมตาขึ้น

เมื่อเห็นลู่ฝาน ลู่เฮ่าหรานดีใจมาก

“ลู่ฝาน ในที่สุดนายก็มา!”

ลู่ฝานพูดเสียงดังว่า “เกิดอะไรขึ้น พ่อล่ะครับ”

ลู่เฮ่าหรานพูดว่า “เราโดนลอบโจมตี เป็นคนของสำนักโลหิตพิฆาต ลู่หาวโดนจับตัวไป!”

ตู้ม!

ลู่ฝานกระแทกหมัดลงบนกำแพง

ทั้งห้องสั่นสะเทือนไปหมด หัวหน้าทหารคุ้มกันเมืองที่เพิ่งขึ้นมา ตกใจจนคอหด

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 578
ลู่ฝานรู้ว่าศิษย์พี่หานเฟิงเป็นคนที่ว่างไม่ได้ เขายิ้มแล้วพูดว่า “ศิษย์พี่หานเฟิง งั้นผมแนะนำผู้หญิงให้คนหนึ่งเอาไหม”

ศิษย์พี่หานเฟิงตาเป็นประกาย “คนของจวนหัวหน้าเขตเหรอ ไม่มีปัญหา ว่ามาสิ ใคร สวยไหม หุ่นเป็นไง”

ลู่ฝานหัวเราะเบาๆ แล้วเล่าเรื่องเมี่ยวอี่ว์ออกมา ศิษย์พี่หานเฟิงยิ้มแล้วพูดว่า “นายดูเหมือนซื่อตรง คิดไม่ถึงว่าจะร้ายกาจ ได้ ศิษย์พี่จะฝืนช่วยนายละกัน แค่เธอกล้ามาถึงที่ ศิษย์พี่จะช่วยนายจัดการเธอให้”

หานเฟิงพูดเน้นตรงคำว่าจัดการ

ลู่ฝานหัวเราะเบาๆ ศิษย์พี่หานเฟิงลูบคาง แล้วพูดกับลู่ฝาน “เอาป้ายเข้าออกจวนหัวหน้าเขตให้ฉัน ฉันจะไปรอที่ห้องของนายอย่างว่าง่าย”

ลู่ฝานเอาป้ายให้ศิษย์พี่หานเฟิง แล้วพูดว่า “พี่ถามที่อยู่กับคนอื่นเอาเองละกัน”

ศิษย์พี่หานเฟิงพยักหน้า ขยับเข็มขัดกางเกง แล้วเดินออกไป เห็นประกายในตาเขา ลู่ฝานรู้ทันทีว่าเมี่ยวอี่ว์ซวยแน่

โอเค คืนนี้เขาไม่กลับจวนหัวหน้าเขตแล้ว

ลู่ฝานเดินเข้ามาในคฤหาสน์ตระกูลลู่ เพิ่งก้าวขาเข้ามา มีนักบู๊คนหนึ่งวิ่งมาจากข้างนอก

“คุณชายลู่ฝาน!”

ลู่ฝานหันไปมองนักบู๊แล้วพูดว่า “มีเรื่องอะไร”

นักบู๊พูดกับลู่ฝานอย่างนอบน้อม “คุณชายลู่ ท่านผู้เฝ้าเมืองส่งผมมาแจ้งว่า คนของตระกูลลู่ มาถึงเมืองตงหวาแล้วครับ”

ลู่ฝานมีสีหน้ายินดี “พวกเขาอยู่ไหน”

นักบู๊พูดว่า “ตอนนี้น่าจะอยู่ที่ถนนประตูเมืองครับ”

ลู่ฝานไม่รอให้นักบู๊พูดจบ ตัวกลายเป็นสายลม พุ่งไปทางประตูเมือง

ตอนนี้ที่ประตูเมือง

พวกลู่เฮ่าหรานเข้ามาในเมืองแล้ว นั่งอยู่ในภัตตาคารที่นับว่าไม่เลว

ย้ายของทั้งหมดไปไว้สวนด้านหลังก่อน เรื่องสำคัญตอนนี้คือติดต่อลู่ฝาน

“ฝากทางนั้นด้วยนะครับ!”

ลู่เฮ่าหรานทำความเคารพพลเอกที่คุ้มกันพวกเขามาที่นี่ แอบยัดเงินให้นิดหน่อย

พลเอกยิ้มแล้วพูดว่า “วางใจเถอะ เราขอกลับไปรายงานที่จวนหัวหน้าเขตก่อน จากนั้นจะแจ้งคุณชายลู่ฝานให้ ขอตัวก่อนครับ!”

ลู่หาวมองส่งพวกองครักษ์ ลู่เฮ่าหรานยิ้มมองผ่านหน้าต่างไปยังถนนใหญ่ที่คึกคักด้านนอก

“เมืองตงหวาใหญ่มาก ถ้าตระกูลลู่ของเราตั้งรกรากที่นี่ได้ก็ดี”

ลู่หาวพูดว่า “วางใจเถอะ ลูกหลานตระกูลลู่ของเรา อยู่ไหนก็โดดเด่น ยิ่งไปกว่านั้นมีลู่ฝานอยู่ การตั้งรกรากเป็นเรื่องเล็กน้อย”

พวกลูกหลานตระกูลลู่หัวเราะออกมา

แต่จู่ๆ มีเสียงดังขึ้นข้างๆ

“พวกบ้านนอกที่ไหนมาคุยโม้ตรงนี้ รบกวนอารมณ์ในการกินข้าวของฉัน”

ลู่เฮ่าหรานหันไปมอง เห็นคุณชายคนหนึ่งสะบัดพัดขนนก มองพวกเขาด้วยสีหน้าไม่พอใจ

ลู่เฮ่าหรานขมวดคิ้วเล็กน้อย ลู่หาวรีบพูดว่า “ช่างเถอะ คุณท่าน มาเยือนเป็นครั้งแรก ไม่จำเป็นต้องโมโห”

ลู่เฮ่าหรานอดกลั้นเอาไว้ ไม่ได้พูดอะไร

คุณชายเห็นพวกลู่เฮ่าหรานไม่เถียง เหมือนยิ่งสนุก จึงเดินเข้ามาแล้วพูดว่า “โอ๊ะ พวกขี้ขลาด เต่าหดหัว!”

ลู่เฮ่าหรานพูดด้วยเสียงเย็นชาว่า “เจ้าหนุ่ม ปากจัดจะตายเอาง่ายๆ นะ”

คุณชายเหยียบลงบนโต๊ะลู่เฮ่าหรานแล้วพูดว่า “ตายเหรอ ฉันอยากดูสิว่าจะตายด้วยวิธีไหน”

ลู่หาวดูทนไม่ไหว ลูกหลานตระกูลลู่มองด้วยแววตาโมโห รอแค่คำสั่งจากลู่หาว

ลู่หาวพูดว่า “ไอ้หนุ่ม นายจงใจหาเรื่องใช่ไหม ฉันรู้จักนายเหรอ”

คุยชายเปิดพัดออก ด้านบนเป็นดอกกุหลาบสีโลหิต

“ไม่รู้จัก แต่ก็ไม่เป็นไร สำนักโลหิตพิฆาตทักทายพวกนาย!”

เมื่อพูดจบ รอยยิ้มโหดเหี้ยมปรากฏขึ้นบนใบหน้าคุณชาย

คนเกือบทั้งภัตตาคาร ที่อยู่ด้านหลังเขา แทบจะลุกขึ้นกันหมด

ลู่เฮ่าหรานกับลู่หาวหน้าเปลี่ยนสีทันที

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 576
เมี่ยวอี่ว์เข้าใกล้ลู่ฝานอีกหนึ่งก้าว ร่างกายอ่อนนุ่มติดกับตัวลู่ฝาน

“คุณชายลู่ฝาน ฉันรู้ว่านายอคติกับฉัน แต่ถ้าฉันบอกนายว่า มีเพียงการทำแบบนี้ ฉันถึงจะอยู่ในตระกูลใหญ่แบบนี้ต่อไปได้ นายจะเชื่อไหม”

เมี่ยวอี่ว์พูดด้วยเสียงสะอื้น

ลู่ฝานเขยิบออกไปหนึ่งก้าวด้วยสีหน้าราบเรียบ “ผมเชื่อ แต่มันเกี่ยวอะไรกับผม คุณเมี่ยวอี่ว์ ผมขอตัวกลับก่อน”

พูดจบ ลู่ฝานกำลังจะเดินออกไป

สีหน้าเมี่ยวอี่ว์เปลี่ยนไป จู่ๆ เธอทำสัญลักษณ์มือตรงมือซ้ายที่อยู่ด้านหลัง

ลู่ฝานยังเดินได้ไม่กี่ก้าว จู่ๆ มีเสียงตะโกนดังขึ้นไม่ไกล

“เมี่ยวอี่ว์ ที่แท้เธออยู่นี่นี่เอง”

ชายร่างกายกำยำสูงใหญ่กลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา ใบหน้าแต่ละคนไม่น่ามอง ดูร้ายกาจ

ไม่เพียงแค่นั้น คนพวกนี้ไม่สวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อย เปลือยท่อนบนเผยให้เห็นกล้ามเนื้อ เมื่อมองดูแล้วมีกันหลายคน

พวกที่ดูแค่หน้าตาก็รู้ว่าไม่ใช่คนดีแบบนี้ เกือบทำให้ลู่ฝานหัวเราะออกมา

ตอนนี้เมี่ยวอี่ว์เหมือนกระต่ายน้อยตื่นตระหนก หลบอยู่ด้านหลังลู่ฝาน

“คุณชายลู่ ช่วยฉันด้วย”

เสียงเมี่ยวอี่ว์สะอื้น

ลู่ฝานมองกลุ่มคนด้านหน้าด้วยสีหน้าเอือมระอา “พวกนายจะทำอะไร”

ชายร่างกำยำที่เดินนำมา ชี้เมี่ยวอี่ว์ที่อยู่ด้านหลังแล้วพูดว่า “ให้เมี่ยวอี่ว์ที่อยู่หลังนายออกมา ฉันชอบเธอ อย่าแย่งกับฉัน ระวังขานายจะหัก”

ลู่ฝานถามต่อ “นายแน่ใจว่าเป็นเธอเหรอ เธอเป็นหลานสาวหัวหน้าเขตอี้ว์เชียวนะ ลงมือในจวนหัวหน้าเขต กล้ามากจริงๆ ไม่กลัวตายเหรอ”

ชายร่างกายกำยำอึ้งไป เหงื่อจะไหลลงมาจากหน้าผาก

ชายร่างกายกำยำพูดกับคนข้างๆ เบาๆ ว่า “เอาไงดี คุณหนูไม่ได้สั่งไว้”

“นายถามฉันทำไม ฉันก็ไม่รู้ ลงมือๆ!”

ชายร่างกายกำยำหันมา ชี้หน้าลู่ฝานแล้วพูดว่า “ไอ้หนุ่ม นายกำลังรนหาที่ตาย รุมกระทืบเขา!”

พูดจบ กลุ่มชายร่างกายกำยำพุ่งเข้ามาหาลู่ฝาน

พวกเขาไม่ถืออาวุธ เหวี่ยงหมัดเข้ามาสู้

พูดจริง พละกำลังใช้ได้เลย ล้วนอยู่ในระดับแดนปราณใน

แต่พละกำลังแค่นี้ของพวกเขา ต่อหน้าลู่ฝาน ยังเทียบกับกากเดนไม่ได้เลย

ลู่ฝานขี้เกียจขยับไปไหน กำหมัดขวา ใช้หมัดอู๋เซี่ยงออกมา

ทันใดนั้น มีรอยยุบบนหน้าอกชายร่างกายกำยำพวกนี้ พวกเขาล้มลงบนพื้นทันที

เมี่ยวอี่ว์ยืนดูด้านหลังลู่ฝานอย่างตื่นเต้น

ชายร่างกายกำยำที่นำมา เอามือจับหน้าอก แล้วตะโกนว่า “นายคือคุณชายลู่ฝาน พระเจ้า พวกเรารีบหนีเร็ว!”

พูดจบคนพวกนี้หนีไปแบบไม่เห็นเงา

แม้ลู่ฝานไม่ได้ลงมือรุนแรง แต่ความสามารถในการต้านทานของคนพวกนี้ก็ไม่ได้ด้อย!

ลู่ฝานหัวเราะเบาๆ หันไปมองเมี่ยวอี่ว์แล้วพูดว่า “คุณเมี่ยวอี่ว์ ไม่เป็นไรแล้ว”

เมี่ยวอี่ว์ดึงชายเสื้อลู่ฝานแล้วพูดว่า “คุณชายลู่ฝาน ครั้งนี้ขอบใจคุณมากจริงๆ คุณพาฉันไปได้ไหม คืนนี้ฉันอยู่ห้องคุณได้ไหม ฉันกลัว”

ลู่ฝานจ้องเมี่ยวอี่ว์ หัวเราะแล้วพูดว่า “ได้สิ คุณเตรียมของแล้วมาสิ”

เมี่ยวอี่ว์พยักหน้ารัว แล้วรีบออกไป

ลู่ฝานยิ้มในใจแล้วพูดว่า “ไอ้เก้า แกว่าละครตบตามาตรฐานต่ำแบบนี้ จะมีคนเชื่อจริงเหรอ”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดว่า “เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ ก็ต้องดูว่าคนคนนี้คิดแต่เรื่องแบบนั้นหรือเปล่า”

ลู่ฝานยิ้มบางๆใช้วิชากายตามเมี่ยวอี่ว์ไป

ไม่นาน ลู่ฝานเห็นเมี่ยวอี่ว์เดินเลี้ยวมายังลานประลองบู๊ของตระกูลอี้ว์ อีกทั้งกลุ่มคนที่เพิ่งแสดงเมื่อกี้ ก็อยู่ที่นี่ด้วย

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 575
เวลาผ่านไปรวดเร็วดั่งสายน้ำ

เพียงพริบตาก็ผ่านไปสามวันแล้ว

สามวันนี้ลู่ฝานอยู่ในจวนหัวหน้าเขต ทุกวันเมื่อฝึกเสร็จ ไม่มีอะไรทำก็เดินเล่นไปทั่ว ทำให้รู้จักลูกหลานตระกูลอี้ว์ไม่น้อย

อี้ว์เซี่ยวเอ๋อร์ก็มาทุกวัน พูดคุยเรื่องเคล็ดวิชาบู๊กับลู่ฝาน คุยประสบการณ์ที่ได้จากวิถีบู๊ วันเวลาผ่านไปอย่างสบายมาก

เวลาสามวัน เจดีย์เสวียนเก้ามังกรก็กัดกินกระบี่กลืนทิพย์ไปพอประมาณแล้ว

พลังด้านบนโดนกัดกินจนเหลือเบาบาง นี่เป็นสิ่งที่ลู่ฝานตั้งใจให้เจดีย์เสวียนเก้ามังกรเหลือไว้

เป้าหมายคือความสามารถกัดกินเลือดสารจำเป็นของกระบี่

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรได้วิชามารกลืนจิต ที่กวนหานใช้จากกระบี่กลืนทิพย์ จากนั้นถ่ายทอดวิชานี้ให้ลู่ฝาน

ลู่ฝานคิดอยู่นาน แต่ก็ไม่ได้ฝึก

ไม่ใช่ว่าวิชานี้ไม่เก่งกาจ กลับกันขนาดเจดีย์เสวียนเก้ามังกร ยังเอาแต่ชมวิชาชุดนี้ เป็นผลงานระดับสูงของวิชาชั่วร้ายจริงๆ

แว้งกัดน้อย ฝึกฝนเร็ว ไม่มีข้อจำกัด

ถ้าเอาวิชาชุดนี้ไปแลกเปลี่ยนกันกับผู้ฝึกวิชาชั่วร้าย แลกยาเซียนมาสักสองขวด ก็ไม่ใช่ปัญหา

สิ่งสำคัญคือลู่ฝานกลัวว่าฝึกวิชาชุดนี้แล้ว เขาจะมีออร่าชั่วร้ายทั้งตัว และกลายเป็นผู้ฝึกวิชาชั่วร้ายไปเลย

โดนคนทั้งโลกตามฆ่า เพราะวิชาเพียงชุดเดียว ดูเหมือนไม่ค่อยคุ้ม

วิชานี้ไม่เหมือนวิชาลับอย่างวิชาชิงวิญญาณของเขา แค่ได้ฝึก บนตัวต้องมีออร่าชั่วร้ายแน่นอน

ลำบากน่ะสิ!

คิดไปคิดมา ลู่ฝานเก็บสิ่งนี้เอาไว้ก่อน

“ไอ้เก้า แกดูดซับพลังเป็นไง ฟื้นฟูถึงขั้นไหนแล้ว”

ลู่ฝานเดินในจวนหัวหน้าเขต พลางถามไอ้เก้าในใจ
“เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ ฟื้นฟูได้ 10 เปอร์เซ็นต์แล้ว อิอิ พลังของกระบี่เล่มนี้ไม่เลวจริงๆ ถึงแบ่งให้ไม่คมไปแล้วส่วนหนึ่ง พลังที่เหลือก็เพียงพอให้ฉันฟื้นฟูได้ 10 เปอร์เซ็นต์ เจ้านาย ตอนนี้ฉันสามารถใช้พลังเจดีย์ชั้นแรกของฉันได้แล้ว คุณจะทดสอบหน่อยไหม”

ลู่ฝานถามว่า “พลังอะไร”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรตอบว่า “รวมวิญญาณ หรือไม่ก็ทำลายวิญญาณ แค่ฉันอยู่ในตัวเจ้านาย วิญญาณของเจ้านายจะถูกรวมอย่างต่อเนื่อง บวกกับวิชาชิงวิญญาณของเจ้านาย สมบูรณ์แบบไร้ที่ติ”

ขณะลู่ฝานกำลังฟัง เจดีย์เสวียนเก้ามังกรคุยโม้

มีเสียตะโกนดังขึ้นจากไม่ไกล

“คุณชายลู่ฝาน”

เมื่อหันไปมอง เห็นผู้หญิงคนหนึ่งเดินยิ้มเข้ามา

ลู่ฝานรู้จักผู้หญิงคนนี้ คุณเมี่ยวอี่ว์ หนึ่งในหลานสาวของหัวหน้าเขตอี้ว์

เขายังจำได้ตอนที่ตัวเองอยู่สวนหอมปาฟาง เคยเจอกับคนที่เอาแต่ใจอย่างคุณเมี่ยวอี่ว์หนึ่งครั้ง

แต่ช่วงนี้ดูเมี่ยวอี่ว์ดูเป็นการเป็นงานมากขึ้น กระโปรงยาวลากพื้น สง่างามและสุขุม

มีรอยยิ้มตรงหางตา ผมถูกมวยเอาไว้ ดูอ่อนหวานมาก

“คุณเมี่ยวอี่ว์มีอะไรเหรอ”

ลู่ฝานถามเบาๆ

เมี่ยวอี่ว์เดินเข้ามา มองอาคารริมน้ำข้างหน้า ยิ้มแล้วพูดว่า “คุณชายลู่ฝานอารมณ์สุนทรีย์จริงๆ ฉันมีเรื่องไม่เข้าใจในวิถีบู๊มากมาย คุณชายลู่ฝานช่วยชี้แนะได้ไหม”

พูดพลาง เมี่ยวอี่ว์เดินเข้ามายืนคู่กับลู่ฝาน แต่ดูเหมือนจะใกล้กันเกินไปหน่อย

ลู่ฝานหันไปมอง เห็นหนุ่มสาวตระกูลอี้ว์ส่วนหนึ่ง หันมามองฝั่งนี้ไม่หยุด

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “วิชาตระกูลอี้ว์มีมากมาย เคล็ดวิชาบู๊ยิ่งโดดเด่น ไม่ต้องให้ผมสอนหรอก คุณเมี่ยวอี่ว์อยากเรียน ผมว่ามีหลายคนยอมสอนคุณนะ”

เมี่ยวอี่ว์พูดอย่างคับแค้นใจเล็กน้อย “เว้นแต่คุณชายลู่ใช่ไหม”

ลู่ฝานหัวเราะเบาๆ ไม่ได้ตอบอะไร

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 574
ลู่ฝานจิตใจวูบไหว หันมาถามหัวหน้าเขตอี้ว์ว่า “ไม่ทราบว่าถ้าผมได้ตำแหน่งผู้ตรวจการชั้นกลาง สำนักเทพวิญญาณยังกล้าแตะต้องผมไหม”

หัวหน้าเขตอี้ว์จ้องลู่ฝานแล้วพูดว่า “ถ้านายได้ตำแหน่งมา ฐานะไม่ต่างกับฉันเท่าไร นายว่าพวกเขาจะแตะต้องนายได้ตามใจชอบไหม”

ลู่ฝานหัวเราะออกมา แล้วคำนับหัวหน้าเขตอี้ว์อีกครั้ง

นักบู๊คนหนึ่งรออยู่ด้านนอกนานแล้ว เมื่อเห็นลู่ฝานออกมา จึงรีบพูดว่า “คุณชายลู่ฝาน เชิญทางนี้ครับ”

ลู่ฝานพยักหน้า เดินตามนักบู๊ออกไป

ภายในห้อง หัวหน้าเขตอี้ว์สะบัดมือปิดประตูลง

“ผู้อาวุโสชิวซาน เชื่อไอ้เด็กนี่ได้ไหม”

หัวหน้าเขตอี้ว์เอ่ยถาม

ชิวซานเอาสองมือไพล่หลัง แล้วพูดว่า “เชื่อได้หรือไม่เป็นเรื่องที่ไม่สำคัญ ขึ้นอยู่ที่ว่านายจะให้เขาทำถึงขั้นไหน”

หัวหน้าเขตอี้ว์พูดว่า “การตายของกวนหาน ต้องลากคนหนึ่งออกมาลงโทษ ไม่งั้นรอให้คนของสำนักเทพวิญญาณมา ควรทำยังไง”

ชิวซานพูดว่า “คนสำนักเทพวิญญาณมางั้นเหรอ เหอะๆ กลัวว่าจะมาตั้งนานแล้วน่ะสิ รับพวกกากเดนที่เหลือของสำนักโลหิตพิฆาตมา ตอนนี้ดูว่าพวกเขาจะโจมตียังไง”

หัวหน้าเขตอี้ว์พูดว่า “จู่โจมก็ไม่ถึงฉันหรอก ฉันไม่อยากเผชิญหน้ากับสิ่งใหญ่โตอย่างสำนักเทพวิญญาณ”

ชิวซานพูดว่า “น่าเสียดาย เด็กอย่างลู่ฝาน ถ้าคนสำนักเทพวิญญาณหาเขาเจอจริงๆ เขาคงมีแค่สองทางเลือก”

หัวหน้าเขตอี้ว์พยักหน้าอย่างเข้าใจ แล้วพูดเบาๆ ว่า “ไม่กลายเป็นสุนัขรับใช้ของสำนักเทพวิญญาณก็เป็นศพ”

ชิวซานพูดว่า “ในเมื่อนายรู้แล้ว ทำไมถึงยังอยากให้หลานสาวแต่งกับเขาล่ะ”

หัวหน้าเขตอี้ว์ส่ายหน้า “จากความสามารถของเขา ขอแค่ไม่ตาย ถึงเป็นสุนัขรับใช้ของสำนักเทพวิญญาณ ยังไงก็โดดเด่นไม่ช้าก็เร็ว เก็บยอดฝีมือในอนาคตเอาไว้ ไม่ดีตรงไหน แค่หลานสาวคนเดียว แต่งก็แต่งไปสิ”

ชิวซานพยักหน้าพูดว่า “นายทำแบบนี้ก็ถูก แต่น่าเสียดายที่เขาไม่ยอม”

หัวหน้าเขตอี้ว์พูดว่า “หึ เขาไม่ยอมก็ไม่ยอมสิ รอให้เขามีความสัมพันธ์กับหลานสาวฉันจริงๆ ถึงตอนนั้นยังมีโอกาสให้เขากลับคำพูดไหม”

ชิวซานมองหัวหน้าเขตอี้ว์แวบหนึ่ง รู้ว่าเขาต้องการจะทำอะไร

เงียบไปครู่หนึ่ง ชิวซานพูดว่า “เจ้าอี้ว์ นายเคยคิดหรือเปล่า ถ้าเกิดเขาสอบผู้ตรวจการชั้นกลางผ่านขึ้นมาล่ะ”

หัวหน้าเขตอี้ว์ยิ้มแล้วพูดว่า “ถ้าเขาสอบผ่าน คงไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้ว”

……

ทางฝั่งนี้ นักบู๊พาลู่ฝานเดินมาถึงห้องด้านหลังลานบ้าน

เมื่อเข้ามา มีออร่าวิถีบู๊โถมใส่หน้า

ไม่ว่าจะเป็นตัวอักษรที่แขวนบนกำแพง หรือโต๊ะเก้าอี้ ทำให้ลู่ฝานต้องมอง ต้องเป็นสิ่งที่ยอดฝีมือทิ้งไว้อย่างแน่นอน

“คุณชายลู่ฝาน สองสามวันนี้คุณพักที่นี่ มีเรื่องอะไรสั่งผมได้เลย”

ลู่ฝานพยักหน้าพูดว่า “นายไปจวนลู่ ที่ถนนตงเซียนหน่อย บอกศิษย์พี่ฉันว่าฉันอยู่ที่นี่สักระยะ รอให้คนในตระกูลฉันมาถึงเมืองตงหวา แจ้งฉันด้วย”

นักบู๊ตอบรับเบาๆ แล้วรีบเดินออกไป

ลู่ฝานปิดประตูห้องลง แล้วนั่งอยู่ในห้อง

ลู่ฝานเอากระบี่กลืนทิพย์ออกมา ขณะเดียวกันเงาของเจดีย์เสวียนเก้ามังกร ก็ปรากฏขึ้นบนตัวลู่ฝาน

“เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ ตอนนี้ฉันกลืนกินได้หรือยัง”

ลู่ฝานพูดว่า “ได้น่ะได้ แต่ฉันอยากรู้ กระบี่เล่มนี้สูบเลือดสารจำเป็นของนักบู๊คนอื่นยังไง รักษาวิชานี้เอาไว้ได้ไหม”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรหัวเราะแล้วพูดว่า “ไม่มีปัญหา ไม่ว่าอาวุธใดอยู่ในมือฉัน จะมอบทุกสิ่งของมันให้ฉัน ความสามารถอะไรก็โดนฉันศึกษาออกมาได้ วางใจเถอะเจ้านาย”

พูดจบ เจดีย์เสวียนเก้ามังกรปล่อยแสงส่องไปบนกระบี่กลืนทิพย์

ทันใดนั้น กระบี่กลืนทิพย์สั่นอย่างรุนแรง

บทที่ 573

บทที่ 575

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 573
เงียบอยู่ครู่หนึ่ง

จู่ๆ ลู่ฝานส่ายหน้ายิ้มขมขื่น “ฟังดูแล้ว ผมรู้สึกว่าทำไมผมซวยขนาดนี้”

หัวหน้าเขตอี้ว์พูดขึ้นมาว่า “ความซวยของนายคือโชคดีของฉัน”

ลู่ฝานมองหัวหน้าเขตอี้ว์แวบหนึ่ง สีหน้ายิ่งกลุ้มเข้าไปอีก

“งั้นตอนนี้จะทำยังไง ท่านหัวหน้าเขตจะจับผมส่งสำนักเทพวิญญาณเลยไหม”

เหมือนลู่ฝานพูดติดตลก แต่ในความเป็นจริง เขาเริ่มตะโกนเรียกเจ้าดำที่อยู่ในจวนอากาศธาตุแล้ว

หัวหน้าเขตอี้ว์จ้องลู่ฝานแล้วพูดว่า “นายคิดมากเกินไปแล้ว”

ชิวซานพูดต่อ “เราไม่ใช่สุนัขรับใช้ของสำนักเทพวิญญาณ ไม่จำเป็นต้องทำเพื่อเขา มานี่สิลู่ฝาน นายเก็บนี่เอาไว้”

พูดพลาง ชิวซานยื่นกระบี่กลืนทิพย์ในมือให้ลู่ฝาน

ลู่ฝานอึ้งเล็กน้อย “นี่มันอะไรกัน”

หัวหน้าเขตอี้ว์หัวเราะแล้วพูดว่า “กระบี่เล่มนี้เราเก็บไว้ก็เปล่าประโยชน์ ยิ่งไปกว่านั้นเดิมทีมันควรเป็นรางวัลของนาย แต่ฉันขอเตือนนาย กระบี่เล่มนี้อาจมีรอยประทับของผู้แข็งแกร่งสักคนของสำนักเทพวิญญาณ ถ้านายเก็บไว้กับตัว ระวังโดนวิชาของผู้แข็งแกร่งสำนักเทพวิญญาณ ในสำนักเทพวิญญาณ มีผู้ฝึกชี่อยู่ไม่น้อย”

ลู่ฝานก่นด่าในใจ ประโยคสุดท้ายนี่สิคือเหตุผลที่แท้จริง

แต่ลู่ฝานก็ไม่สนใจ เดี๋ยวกลับไปเอากระบี่เล่มนี้ให้เจดีย์เสวียนเก้ามังกรกลืนกิน

ลู่ฝานถามขึ้นในใจทันที “ไอ้เก้า สิ่งนี้กลืนกินได้ไหม”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรรีบพูดว่า “ได้แน่นอน เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ เจ้านายให้ฉันกลืนกินมัน ฉันเดาว่าจะฟื้นฟูพลังได้ไม่น้อย ถึงตอนนั้นถ้าผู้แข็งแกร่งสำนักเทพวิญญาณมา ก็สามารถปกป้องเจ้านายได้”

คำพูดของไอ้เก้า ลู่ฝานเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ก็ฟังเอาไว้

ลู่ฝานเอากระบี่โยนใส่เข้าไปในจวนอากาศธาตุ

หัวหน้าเขตอี้ว์พูดว่า “ลู่ฝาน ตอนนี้ฉันจะถามนายอีกรอบ นายรีบยอมเป็นคนตระกูลอี้ว์มั้ย แม้จวนหัวหน้าเขตเทียบสำนักเทพวิญญาณไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็อยู่ในฐานะข้าราชการ พวกเขาไม่บุกเข้ามาในจวนหัวหน้าเขต เพียงเพราะศิษย์ในนามแค่คนเดียวหรอก อย่างน้อยรับประกันว่านายจะอยู่ในเมืองตงหวาอย่างปลอดภัย”

ลู่ฝานถอนหายใจ “หัวหน้าเขตอี้ว์ ผมพูดตรงๆ อันที่จริงในสถาบันสอนวิชาบู๊ ผมมีคนที่ตัดสินใจใช้ชีวิตร่วมกันแล้ว ไม่เปลี่ยนแปลงอีก”

หัวหน้าเขตอี้ว์ขมวดคิ้ว “ยังไม่ได้แต่งงาน ทำไมถึงเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เธอเป็นศิษย์สำนักไหน”

ลู่ฝานส่ายหน้า “เหมือนจะไม่มีสำนัก”

หัวหน้าเขตอี้ว์ถามอีก “งั้นเป็นคุณหนูตระกูลสูงส่งตระกูลไหน”

ลู่ฝานส่ายหน้าอีก “เหมือนว่าจะไม่ใช่เหมือนกันครับ”

เสียงของหัวหน้าเขตอี้ว์แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา “แล้วทำไมไม่เปลี่ยนล่ะ ลู่ฝาน นายน่าจะรู้ว่าเลือกทางไหนถึงจะถูกต้อง”

ลู่ฝานพยักหน้าพูดว่า “ผมรู้”

เมื่อได้ยิน สีหน้าของหัวหน้าเขตอี้ว์ดูดีขึ้นไม่น้อย “ฉันให้เวลานายอีกสักพัก ให้นายได้เปลี่ยนแปลง”

ลู่ฝานส่ายหน้า “ไม่ครับ ท่านหัวหน้าเขต ผมจะบอกว่าผมรู้ว่าไม่เลือกเป็นคนตระกูลอี้ว์ คือสิ่งที่ถูกต้องครับ”

ชิวซานหัวเราะออกมา ไม่ไว้หน้าหัวหน้าเขตอี้ว์สักนิด

หัวหน้าเขตอี้ว์เบิกตามองลู่ฝาน ส่วนลู่ฝานก็มองหัวหน้าเขตอี้ว์อย่างไม่อ่อนข้อให้เช่นกัน

ทั้งสองคนจ้องกันอยู่นาน เหมือนจะทะเลาะกัน ในที่สุดลู่ฝานพูดว่า “ท่านหัวหน้าเขต ผมขอตัวก่อน”

พูดจบ ลู่ฝานลุกขึ้น

หัวหน้าเขตอี้ว์สะบัดมือพูดว่า “ไสหัวไปซะๆ ไอ้เด็กเวร อย่ามาเสนอหน้าต่อหน้าฉัน”

ลู่ฝานลุกขึ้นเดินไปข้างนอก แต่ยังไม่ทันเดินออกจากห้อง หัวหน้าเขตอี้ว์พูดขึ้นมาอีกว่า “ลู่ฝาน ช่วงนี้อยู่จวนหัวหน้าเขตไปก่อนสิ นายจะสอบผู้ตรวจการชั้นกลางไม่ใช่เหรอ”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 572
ชิวซานพูดว่า “ถูกต้อง เป็นเซียนบำเพ็ญชี่ตัวเล็กๆ”

ลู่ฝานตาเป็นประกายทันที เซียนบำเพ็ญชี่เพียงคนเดียวที่เขาเคยเจอ อืม คือเซียนบำเพ็ญชี่สือฟางที่ตายไปแล้ว

ลู่ฝานรีบลุกขึ้น พูดอย่างนอบน้อมว่า “คารวะเซียนบำเพ็ญชี่ชิวซาน”

ชิวซานลูบเครา ยิ้มแล้วพูดว่า “เป็นเด็กที่รู้มารยาท เหอะๆ นายยังใช้พิธีของผู้ฝึกชี่อีกด้วย เห็นได้ยากนะ!”

ลู่ฝานตกใจ ปฏิกิริยาตามสัญชาตญานที่โดนอาจารย์หวูเฉินอบรมมา ทำร้ายคนจริงๆ

ยังดีที่ชิวซานกับหัวหน้าเขตอี้ว์ เคยเห็นการต่อสู้ของเขาแล้ว แน่ใจว่าเขาเป็นนักบู๊ จึงไม่กังวลว่าพวกเขาจะคาดเดามั่วซั่ว

“ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสชิวซานจะพูดอะไรกับผมเหรอครับ”

ลู่ฝานรีบเปลี่ยนเรื่องคุย

ชิวซานพูดว่า “ลู่ฝาน นายรู้ไหมว่ากวนหานที่นายฆ่าตายคือใคร”

ลู่ฝานพูดว่า “เจ้าสำนักโลหิตพิฆาต”

“ใช่ แต่ก็ไม่ถูกทั้งหมด นายรู้ไหมว่าทำไมเขาถึงตั้งสำนักได้ ทั้งๆ ที่อายุยังน้อยขนาดนี้”

ชิวซานถามต่อ

ลู่ฝานสายหน้าเบาๆ “ไม่ทราบครับ แต่พละกำลังของเขาไม่เลวเลย”

จู่ๆ ชิวซานคลำเอากระบี่ออกมาจากอก ลู่ฝานเพ่งมอง นี่เป็นกระบี่กลืนทิพย์ของกวนหานไม่ใช่เหรอ

ชิวซานพูดว่า “พละกำลังของกวนหาน มาจากกระบี่เล่มนี้ทั้งหมด แต่กระบี่นี้กลับไม่ใช่สิ่งที่เขาจะเก็บไว้ได้”

จู่ๆ ลู่ฝานนึกขึ้นมาได้ เหมือนหัวหน้าเขตอี้ว์ยังยอมอ่อนข้อให้กวนหานเล็กน้อย นี่คงไม่ได้อาศัยแค่พละกำลังของกวนหานแน่นอน

“อย่าบอกนะว่า……ยังมีอำนาจอะไรอยู่เบื้องหลังกวนหาน”

ลู่ฝานถามขึ้น

ชิวซานมีสีหน้าเหมือนว่าเด็กคนนี้น่าอบรมสั่งสอน “ถูกต้อง มีอำนาจใหญ่อยู่เบื้องหลังกวนหาน มีชื่อว่าสำนักเทพวิญญาณ”

ไม่มีชื่อสำนักเทพวิญญาณอยู่ในหัวลู่ฝานเลย ไม่เคยได้ยินมาก่อน

ขณะนั้นเจดีย์เสวียนเก้ามังกรในตัวโผล่ออกมา ตะโกนเสียงดังว่า “อะไรนะ สำนักเทพวิญญาณเหรอ ทำไมถึงไปล่วงเกินสำนักนี้ได้ล่ะ เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ รีบหนีเถอะ”

ลู่ฝานฟังออกว่าเจดีย์เสวียนเก้ามังกรหวาดผวา

โดยปกติเจดีย์เสวียนเก้ามังกร จะมีท่าทีเหมือนตัวเองใหญ่สุดในใต้หล้า ทำไมเมื่อได้ยินคำว่าสำนักเทพวิญญาณ ถึงตื่นตระหนกขึ้นมาทันทีล่ะ!

ชิวซานเห็นลู่ฝานมีสีหน้าสงสัย จึงรู้ว่าลู่ฝานคงไม่รู้อะไรเลย จึงอธิบายว่า “ลู่ฝาน สำนักเทพวิญญาณ เป็นหนึ่งในสำนักที่แข็งแกร่งสุดในประเทศอู่อาน ในสำนักมียอดฝีมือมากมาย ขนาดผู้แข็งแกร่งระดับเซียนบู๊ยังมีถึงสองคน ถ้าล่วงเกินสำนักเทพวิญญาณ ต่อไปนายจะใช้ชีวิตลำบาก”

ลู่ฝานเริ่มมีสีหน้าประหลาด เจดีย์เสวียนเก้ามังกรในตัว ยังตะโกนออกมาว่า “สามคน ตอนฉันติดตามสือฟาง สำนักเทพวิญญาณมีตาแก่ตายยากสามคน ตอนนี้พวกเขาไม่มีทางตายหรอก เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ ตอนนี้เราไม่ใช่คู่ต่อสู้ของสำนักเทพวิญญาณ หลบก่อนจะดีกว่า”

ลู่ฝานพูดเสียงดังในใจ “หุบปาก!”

ลู่ฝานมองชิวซานแล้วพูดว่า “กวนหานมีที่พึ่งใหญ่ขนาดนี้เลยเหรอครับ แล้วเขาตายคามือผมได้ยังไง”

ชิวซานหัวเราะแล้วพูดว่า “ถามได้ดี คำถามนี้แม้แต่กวนหานก็คงตอบไม่ได้ แต่ฉันอธิบายนายได้นิดหน่อย ข้อแรก กวนหานไม่ใช่ศิษย์ในสำนักเทพวิญญาณ เขาเป็นแค่ศิษย์ในนามเท่านั้น ข้อสอง จากคุณสมบัติของเขา ต้องไม่เคยเข้าสำนักเทพวิญญาณแน่นอน ไม่แน่อาจไม่มีโอกาสตลอดชีวิต ข้อสาม เขาเป็นคนจองหองอวดดี คิดว่ามีฐานะเป็นศิษย์สำนักเทพวิญญาณ แล้วจะไม่มีใครกล้าแตะต้องเขา ไม่รู้ว่าในโลกนี้มีคนตั้งเท่าไร ที่ไม่รู้จักสำนักเทพวิญญาณ”

ลู่ฝานสูดหายใจลึก แล้วพูดว่า “อย่างเช่นผม”

ชิวซานพยักหน้าพูดว่า “ใช่ อย่างเช่นนาย”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 571
นักบู๊ยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ใช่คุณท่านหรอก เป็นแค่คนส่งสารเท่านั้น เชิญครับคุณชายลู่”

ลู่ฝานพูดว่า “หัวหน้าเขตอี้ว์รู้ข่าวสารรอบด้านจริงๆ เขารู้ได้ยังไงว่าฉันเก็บตัวเสร็จวันนี้”

นักบู๊พูดว่า “พอคุณชายออกจากสวนหอมปาฟาง ก็มีคนแจ้งหัวหน้าเขตอี้ว์แล้ว”

“เป็นอย่างนี้นี่เอง งั้นก็ได้ ฉันไปก่อน ศิษย์พี่หานเฟิงไปด้วยกันไหม”

หานเฟิงส่ายหน้าพูดว่า “นายไปเถอะ ฉันจะเดินเล่นต่อ ขอเลือกห้องดีๆ พักก่อน”

ลู่ฝานพยักหน้า เดินตามนักบู๊ไปข้างนอก

ออกจากคฤหาสน์ เดินเข้าไปในรถม้า จนมาถึงจวนหัวหน้าเขต

ตอนมาครั้งก่อนคือตอนกลางคืน ลู่ฝานไม่ได้ชมจวนหัวหน้าเขตอย่างละเอียด ได้ชมวันนี้รู้สึกมีพลังมาก

นักบู๊พาลู่ฝานมาด้านนอกห้องหนังสือของหัวหน้าเขตอี้ว์ ไม่ได้คุ้มกันอย่างแน่นหนาเหมือนที่ลู่ฝานจินตนาการไว้ จวนหัวหน้าเขตขนาดใหญ่ ไม่เห็นนักบู๊ผู้ดูแลมากเท่าไร

“ท่านหัวหน้าเขต คุณชายลู่มาแล้วครับ”

นักบู๊เคาะประตูห้องหนังสือ แล้วพูดเสียงเบา

เสียงของหัวหน้าเขตอี้ว์ดังขึ้นในห้องหนังสือ

“เข้ามาสิ”

ลู่ฝานผลักประตูเข้าไป หนังสือมากมายปรากฏในสายตาเขา

บนชั้น บนโต๊ะ บนพื้น เต็มไปด้วยหนังสือ

หัวหน้าเขตอี้ว์นั่งอยู่ท่ามกลางหนังสือ ข้างๆ มีชาหนึ่งแก้ว “ลู่ฝาน มาแล้วนั่งตามสบายเลย ไม่ต้องมีพิธีรีตอง”

ลู่ฝานมองซ้ายมองขวา ดันกองหนังสือมาด้านหน้า จากนั้นจึงนั่งลง

“ท่านหัวหน้าเขตเรียกผมมาวันนี้ มีเรื่องอะไรเหรอครับ”

หัวหน้าเขตอี้ว์พูดว่า “ฉันคุ้มครองตระกูลนายแล้ว ตอนนี้พวกเขากำลังมาที่เมืองตงหวา 3-5 วันน่าจะถึง เรื่องที่ฉันรับปากนาย ฉันทำสำเร็จไปครึ่งหนึ่งแล้ว”

ลู่ฝานดีใจ เขาตั้งใจเขียนจดหมายให้หัวหน้าเขตอี้ว์ ส่งคนเอาไปให้ที่เมืองเจียงหลิน บอกพวกเขาเรื่องที่ตัวเองอยู่เมืองตงหวา ให้ปู่กับพ่อดำเนินการพิจารณา ไม่ผิดจากที่คาดไว้ พวกปู่มากันทันที

“การเดินทางเป็นไงบ้างครับ”

ลู่ฝานถามขึ้น เขาข่าวไม่ไวเหมือนหัวหน้าเขตอี้ว์ จึงต้องถามเยอะหน่อย

หัวหน้าเขตอี้ว์ส่ายหน้า “ไม่มีปัญหาอะไร ไม่เห็นพวกกากเดนสำนักโลหิตพิฆาตสักคน”

ลู่ฝานขมวดคิ้วเบาๆ “นี่เป็นเรื่องแปลก”

หัวหน้าเขตอี้ว์ยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ใช่เรื่องแปลก ลู่ฝาน ฉันเรียกนายมา เพราะมีเรื่องหนึ่งจะพูดกับนาย แต่ฉันพูดเองคงไม่ชัดเจน ให้ผู้อาวุโสชิวซานพูดกับนายดีกว่า”

“ผู้อาวุโสชิวซานเหรอครับ”

ลู่ฝานได้ยินชื่อนี้เป็นครั้งแรก

หลังจากนั้นเห็นผู้อาวุโสคนหนึ่งโผล่มาในห้องหนังสือ

ลู่ฝานตกใจ ตอนเข้ามาเขาไม่เห็นคนคนนี้ ให้ตายเถอะ จากความสามารถในการตรวจจับของเขาในตอนนี้ คิดไม่ถึงว่ายังมีคนปิดบังเขาได้ ตรวจสอบไม่ได้แม้แต่พลังฟ้าดิน

ชิวซานยืนข้างหัวหน้าเขตอี้ว์ ยิ้มมองลู่ฝาน แล้วพูดว่า “ลู่ฝานแห่งเมืองเจียงหลิน ช่วงนี้ได้ยินชื่อนายจนหูจะแฉะแล้ว”

ชิวซานยืนสบายๆ อยู่ตรงนั้น แต่ให้ความรู้สึกลู่ฝานว่าความรู้สึกนี้เหมือนไม่ใช่ความจริง

เหมือนผู้อาวุโสไม่ได้คงอยู่!

ไม่ใช่แล้ว ผู้อาวุโสคนนี้ต้องเป็นผู้ฝึกชี่ที่มีผลการฝึกตนเหนือกว่าเขา

มีเพียงความเป็นไปได้นี้เท่านั้น ที่ทำให้ลู่ฝานตรวจสอบเขาไม่ได้

ชิวซานมองลู่ฝานอย่างประเมิน แล้วพูดอย่างตกใจ “เป็นต้นกล้าที่ดี น่าเสียดาย รากฐานบู๊ล้ำลึก กลัวว่านายจะเปลี่ยนมาเป็นผู้ฝึกชี่ไม่ได้อีกแล้ว”

หัวหน้าเขตอี้ว์หัวเราะหึหึ “งั้นเหรอ ลู่ฝานนายยังเป็นหน่ออ่อนที่สามารถฝึกชี่ได้เหรอ”

ลู่ฝานพูดว่า “เคยมีคนพูดแบบนี้ แต่ผมเปลี่ยนไม่ได้อีกแล้ว ผู้อาวุโสชิวซาน คุณคงเป็นผู้ฝึกชี่สินะ”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 570
แววตาลู่ฝานฉายแววประหลาด ศิษย์พี่หานเฟิงหัวเราะคิกคักอยู่ข้างๆ แล้วพูดว่า “นายทำธุรกิจเก่งจริงๆ รู้ว่าศิษย์น้องลู่ฝานฉันมีอนาคตก้าวไกล ก็เข้ามาทำความรู้จักฉันเร็วขนาดนี้ ธุรกิจนี้ของนายคุ้มค่ามาก บ้านที่ให้ก็ดี”

ไอ้อ้วนเจิงโบกมือไปมาแล้วพูดว่า “ผมไม่ได้ให้หรอกครับ แต่คุณชายลู่สมควรได้รับ”

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “หมายความว่ายังไง”

ไอ้อ้วนเจิงพูดว่า “คุณชายลู่ คุณต่อสู้ที่ลานประลองบู๊ทิศตะวันของเรา ทำให้ลานประลองบู๊ของเราเป็นกระแสขึ้นมา ทำเงินได้ ตามกฎแล้วรายได้ของการต่อสู้ครั้งนี้ควรแบ่งให้นายกับกวนหานคนละ 20 เปอร์เซ็นต์ แต่กวนหานตายไปแล้ว จึงไม่ต้องจ่าย 20 เปอร์เซ็นต์ที่เป็นส่วนของเขา รายได้ 40 เปอร์เซ็นต์รวมไว้ในบัญชีของนายทั้งหมด ผมคิดว่าคนหนุ่มมีความสามารถอย่างคุณชายลู่ฝาน คงไม่สนใจของล้ำค่าหรือเงิน แต่คุณชายลู่ฝานมาเมืองตงหวาได้ไม่นาน คิดว่าน่าจะยังไม่มีอสังหาริมทรัพย์ ดังนั้นผมจึงตัดสินใจซื้อบ้าน มอบให้คุณชายลู่ฝานเอาไว้ตั้งรกราก”

ลู่ฝานพยักหน้าพูดว่า “คุณเจิงอุตส่าห์คิดถึงเรื่องนี้ ฉันกำลังต้องการคฤหาสน์ไว้ตั้งรกรากพอดี”

รอยยิ้มได้ใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าไอ้อ้วนเจิง เห็นได้ชัดว่าพอใจกับความคิดของตัวเองมาก

หึหึ ตระกูลอื่นให้เงินของล้ำค่า ยาสมุนไพรตั้งมากมาย แต่เทียบกับบ้านเล็กๆ ของเขาไม่ได้เลย

นี่เรียกว่าได้ใจเต็มๆ นี่เรียกว่าสายตาหลักแหลม

ไอ้อ้วนเจิงผายมือขวาแล้วพูดว่า “ดีมากครับๆ มาครับคุณชายลู่ ผมจะพานายดูคฤหาสน์ใหม่ของนาย”

ทั้งสามคนเดินเข้าไปในจวน ลานบ้านใหญ่มาก

แค่ลานด้านหน้าแทบจะเท่ากับคฤหาสน์บ้านเกิดของลู่ฝานแล้ว

เป็นคฤหาสน์ที่มีประตูสามประตู แต่ขนาดพื้นที่ใหญ่กว่าเป็นสิบเท่า บ้านใหญ่พอ ห้องก็ยิ่งสวย

เป็นบ้านของเมืองใหญ่จริงๆ ไม่ว่าจะเป็นวัสดุหรือการออกแบบ ดูเหมาะสม ดูดีและสบายกว่ามาก

ลู่ฝานเดินๆ หยุดๆ มองศาลาริมน้ำยืดยาวออกไป มองเรือนหนังสือหอตั้งเรียงราย รู้สึกพอใจมาก

ไอ้อ้วนเจิงพูดแนะนำอยู่ข้างๆ “เดิมทีคฤหาสน์หลังนี้ เป็นคฤหาสน์ของหลี่ฟู่ทง ผู้แข็งแกร่งแดนปราณดินที่มีชื่อเสียง แต่ฤดูใบไม้ผลิปีนี้ หลี่ฟู่ทงเสียชีวิตข้างนอก หลังจากนั้นคนตระกูลหลี่แยกกันไปคนละทิศคนละทาง ไม่นานก็ล่มสลาย คฤหาสน์หลังนี้ก็เปลี่ยนมือ คุณชายลู่ มีตรงไหนไม่ถูกใจหรือเปล่าครับ ให้คนรื้อซ่อมใหม่ได้เลย ลูกน้องพวกนี้ก็เป็นคนใช้เก่าของตระกูลหลี่ คุณชายลู่สามารถจัดการได้เลย”

ลู่ฝานพยักหน้าเบาๆ ใช้สถานที่นี้เป็นที่ตั้งรกรากของคนตระกูลลู่ก็ไม่เลว

ไอ้อ้วนเจิงมองแววตามีรอยยิ้มของลู่ฝาน เขารู้ว่าครั้งนี้ตัวเองพนันถูกแล้ว ที่ทำความรู้จักกับลู่ฝาน ต่อไปเขาจะมีคนพึ่งอีกหนึ่งคน

แน่นอนว่าไอ้อ้วนเจิงไม่มีทางบอกความจริงกับลู่ฝาน มูลค่าของคฤหาสน์หลังนี้สูงกว่ารายรับ 40 เปอร์เซ็นต์เยอะมาก

จุดนี้เขาเชื่อว่าคนฉลาดอย่างลู่ฝานต้องดูออกอย่างแน่นอน

ในความเป็นจริงหลังจากลู่ฝานเดินเล่นในลานด้านหน้าเสร็จ เขารู้อยู่แล้ว แต่เขาก็ไม่ได้พูดออกมาตรงๆ

ทั้งสองคนเดินไปเรื่อยๆ อย่างรู้กัน ศิษย์พี่หานเฟิงพูดวิจารณ์คฤหาสน์ตลอดทาง

“พอได้อยู่ พอพูดกันได้ ศิษย์น้องลู่ฝาน จำไว้ว่าต้องเหลือห้องส่วนตัวให้ฉันด้วย ไม่แน่ต่อไปฉันอาจมาเที่ยวบ่อยๆ”

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “เหลือห้องให้พี่สองห้องยังได้เลย”

ตอนที่พวกเขากำลังจะเดินเสร็จ นักบู๊คนหนึ่งเดินมาจากลานด้านหน้า

นักบู๊เห็นลู่ฝานจากไกลๆ คารวะแล้วพูดว่า “คุณชายลู่ หัวหน้าเขตอี้ว์เชิญคุณครับ”

ลู่ฝานชะงักฝีเท้า หันหลังเดินไปหานักบู๊ ไอ้อ้วนเจิงมองเสื้อผ้าบนตัวนักบู๊ ก็รีบพูดอย่างนอบน้อม “คุณท่านจวนหัวหน้าเขตนี่เอง เสียมารยาทแล้วๆ”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 569
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องมุงดูเขาแบบครั้งที่แล้ว

ลู่ฝานพูดว่า “แปลกจัง นี่เป็นเพราะผมเป็นกำลังจะเป็นลูกเขยของตระกูลอี้ว์เหรอ”

หานเฟิงพูดว่า “ก็ส่วนหนึ่ง แต่ที่สำคัญกว่านั้น เหมือนคนทั้งเมืองเห็นนายฆ่ากวนหานต่อหน้าทุกคน ไม่เหลือแม้แต่โครงกระดูกของกวนหาน พละกำลังแบบนี้ ใครกล้าขวางทางนาย ใครกล้ามุงดูนายบ้างล่ะ พวกเขาก็กลัวโดนฟันเหมือนกัน”

หานเฟิงหัวเราะเหอะๆ

เหตุผลที่เขาพูด มีส่วนหนึ่งที่ถูกต้อง แต่อันที่จริงเพราะท่านผู้เฝ้าเมืองกับหัวหน้าเขตอี้ว์ ออกคำสั่งห้ามรบกวนลู่ฝาน

นี่เป็นเรื่องที่ลู่ฝานกับหานเฟิงไม่รู้

ขณะนั้นเจดีย์เสวียนเก้ามังกรในตัวพูดว่า “เจ้านาย เหมือนกวนหานยังไม่ตาย”

ลู่ฝานตกใจ พูดในใจว่า “อะไรนะ ยังไม่ตายเหรอ กลายเป็นเลือดไปแล้ว ยังไม่ตายอีกเหรอ”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดว่า “ร่างกายของเขาตายไปแล้ว แต่จากการคาดเดาของฉัน เขาน่าจะมีหุ่นเชิดแทนตัวเขา รักษาจิตวิญญาณและพลังส่วนหนึ่งของเขาเอาไว้ ฉันเลยบอกว่าเขายังไม่ตาย”

ลู่ฝานพูดอย่างไม่เข้าใจ “แกตรวจดูได้ยังไง”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกร “เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ เจ้านายลืมไปแล้วเหรอ ฉันแอบวางค่ายกลเอาไว้ในตัวเขา แม้ไม่ได้ใช้ แต่ถ้าเขาตายแล้วจริงๆ ค่ายกลนี้ควรจะหายไป แต่ผลการตรวจดูบอกฉันว่าค่ายกลยังอยู่”

ลู่ฝานพูดอย่างตกใจมาก “มีวิชาแบบนี้ด้วยเหรอ ตรวจได้ไหมว่าหุ่นเชิดแทนตัวเขาอยู่ที่ไหน”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดว่า “ได้ ต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง แต่เจ้านายสบายใจได้ โดยทั่วไปหุ่นเชิดชนิดนี้เป็นของตาย จะมีชีวิตด้วยการอาศัยจิตวิญญาณและพลังส่วนหนึ่ง ถ้าไม่ใช้เวลาสองสามปี ไม่มีทางเป็นไปได้”

เมื่อลู่ฝานได้ยิน จึงคลายความกังวลได้นิดหน่อย

เวลาสองสามปี หึ! ถึงตอนนั้นแม้กวนหานมีชีวิตขึ้นอีกครั้ง เขาก็ไม่กลัวแล้ว

เก็บเรื่องพวกนี้เอาไว้ก่อน ลู่ฝานกับหานเฟิงมาถึงถนนตงเซียน

ลู่ฝานที่หาทางไม่เจอ ถามทางจากคุณลุงที่ขายอาหารเช้าอยู่ข้างทาง

แต่ว่าคุณลุงตื่นเต้นจนสั่นไปหมด กว่าจะบอกทางได้ก็ใช้เวลาอยู่นาน

เมื่อลู่ฝานกับหานเฟิงออกไป คุณลุงเข่าอ่อนทันที

คุณชายลู่ฝานถามทางเขา ไม่ได้ถามคนอื่น แต่มาถามเขาโดยเฉพาะ

แค่นี้เขาก็ไปคุยโม้กับคนอื่นได้เป็นเวลานานแล้ว

เมื่อมาถึงถนนตงเซียน เดินเล่นอยู่หนึ่งรอบ ลู่ฝานยังไม่เห็นจวนหลี่อะไรนั่น แต่เห็นคฤหาสน์ขนาดใหญ่ที่แขวนป้ายว่าจวนลู่

ดูมีพลังไม่ธรรมดา ต้องเป็นคนใหญ่คนโตแน่นอน ลู่ฝานมองลานคฤหาสน์แล้วพูดว่า “ดูเหมือนถูกหลอกแล้ว เฮ้อ ถ้าจวนลู่จวนนี้เป็นจวนลู่ของตระกูลเราก็ดีสิ”

ขณะกำลังพูด จู่ๆ ประตูจวนลู่เปิดออก

นักบู๊เฝ้าประตูสองคนเพิ่งเปิดประตูออกมา ก็เห็นลู่ฝานกับหานเฟิงยืนอยู่หน้าประตู

“คุณชายลู่ฝาน!”

พวกเขาอึ้งไปก่อนตอนแรก จากนั้นนักบู๊สองคนวิ่งกลับไป พลางตะโกนออกมา

“คุณชายลู่ฝานมาแล้ว!”

ลู่ฝานกับหานเฟิงงุนงงไปหมด

หานเฟิงพูดว่า “พวกเขาก็เป็นคนที่เลื่อมใสนายเหมือนกันเหรอ ผิดปกตินะ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ต้องวิ่งมาหานายสิ!”

ขณะกำลังพูด มีเสียงดังออกมาจากข้างในอีกครั้ง

“คุณชายลู่มาแล้วเหรอ ไหน อยู่ไหน”

คนอ้วนคนหนึ่งรีบวิ่งออกมา ไขมันสั่นไปทั้งตัว

เมื่อเห็นลู่ฝาน รอยยิ้มบนใบหน้าคนอ้วนเหมือนกับดอกไม้เบ่งบาน

ลู่ฝานพูดอย่างตกใจว่า “ไอ้อ้วนเจิง”

เมื่อไอ้อ้วนเจิงได้ยินลู่ฝานจำได้ ก็ดีใจเป็นอย่างมาก

เขาเดินเข้ามาพูดว่า “คุณชายลู่ ในที่สุดคุณก็มา ผมรอคุณมาหลายวันแล้ว”

ลู่ฝานขมวดคิ้วพูดว่า “เถ้าแก่เจิงรอฉันเหรอ”

ไอ้อ้วนเจิงยิ้มแล้วพูดว่า “แน่นอนอยู่แล้วครับ คุณชายลู่ได้รับโฉนดที่ดินกับโฉนดบ้านแล้วใช่ไหมครับ”

ลู่ฝานพยักหน้าพูดว่า “ได้รับแล้ว แต่นั่นเป็นจวนหลี่……”

ไอ้อ้วนเจิงหันไปชี้จวนลู่ด้านหลัง แล้วพูดว่า “นี่คือจวนหลี่ครับ ไม่ใช่สิ ตอนนี้ควรเรียกว่าจวนลู่แล้ว เป็นจวนลู่ของคุณชายลู่ฝานครับ!”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 568
ลู่ฝานไม่สนใจจริงๆ ถึงเอาของพวกนี้ให้ศิษย์พี่หานเฟิงทั้งหมดแล้วยังไง

ศิษย์พี่หานเฟิงดูเหมือนไม่แยแสอะไร แต่อันที่จริงเขามีความคิดที่อยู่ในใจมากมาย หลังจากหยิบของที่ตัวเองใช้ได้ ก็ไม่ได้เอาอะไรอีก

ลู่ฝานเอาสมุดรายชื่อที่วางอยู่ข้างๆ ขึ้นมาเปิดดู

ศิษย์พี่หานเฟิงพูดว่า “อ้อ ศิษย์น้องลู่ฝาน นั่นเป็นรายชื่อที่คุณหลิ่วหยีจัดการให้ ในนั้นยังมีการ์ดเชิญอีกเยอะ ไปได้ทั้งนั้น ใช่สิ คุณเซี่ยวเอ๋อร์บอกว่าหลังจากนายเก็บตัวเสร็จ ให้ไปที่จวนหัวหน้าเขต”

ลู่ฝานพยักหน้า เขาต้องไปจวนหัวหน้าเขตอยู่แล้ว

หนึ่งคือเรื่องตระกูลของเขา เขาต้องได้ข่าวจากจวนหัวหน้าเขต

อีกเรื่องคือการสอบผู้ตรวจการชั้นกลาง ยังไงเขาก็ต้องสอบ

แม้ดูเหมือนเวลามันผ่านไปแล้ว แต่เชื่อว่าหัวหน้าเขตอี้ว์น่าจะให้โอกาสเขาอีกครั้ง

เรื่องสำนักโลหิตพิฆาต เกิดขึ้นแล้วหนึ่งครั้ง รับประกันไม่ได้ว่าจะไม่เกิดขึ้นเป็นครั้งที่สอง

มีฐานะผู้ตรวจการชั้นกลางอยู่ในมือ จึงจะสามารถตัดเรื่องแบบนี้ในอนาคตได้

ลู่ฝานกวาดตามองสมุดรายชื่อ เขาเห็นกระดาษสองสามใบในรายชื่อ บนนั้นเขียนอย่างชัดเจนว่าโฉนดบ้านกับโฉนดที่ดิน

ลู่ฝานอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นหัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “นี่ใครส่งมา”

ศิษย์พี่หานเฟิงเดินเข้ามา รับกระดาษในมือลู่ฝานมาดู “จวนหลี่ ถนนตงเซียน มีคนให้ของแบบนี้ด้วยเหรอ ฉลาดจริงๆ”

ลู่ฝานพยักหน้าพูดว่า “ฉลาดมากจริงๆ ตอนนี้ผมอยากให้ตระกูลมาตั้งรกรากที่เมืองตงหวา กำลังกังวลเรื่องบ้านกับที่ดินอยู่พอดี คิดไม่ถึงว่าจะมีคนส่งมาให้”

ลู่ฝานพลิกสมุดรายชื่อไปมา หารายชื่อคนที่ส่งเจอแล้ว

“เจิงเซี่ย ลานประลองบู๊ทิศตะวันออก!”

ไม่คุ้นชื่อนี้เลย เมื่อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ลู่ฝานก็คิดออก

ไอ้อ้วนเจิง!

เถ้าแก่ลานประลองบู๊ทิศตะวันออก!

ลู่ฝานยิ้มบางๆ “ไม่เสียแรงที่ทำธุรกิจ สายตาหลักแหลม ผมอยากเจอไอ้อ้วนเจิงแล้วล่ะ เดิมทีผมจะให้หัวหน้าเขตอี้ว์ช่วยหาที่พักให้อยู่เลย”

ปิดสมุดรายชื่อ ตอนนี้ไม่ต้องดูอย่างอื่นสักพัก

เอากองของยัดให้ศิษย์พี่หานเฟิง ไม่สนว่าจะมีประโยชน์หรือไม่ บอกว่าครึ่งหนึ่งก็ครึ่งหนึ่ง ส่วนที่เหลือลู่ฝานเก็บไว้ในเข็มขัด

หานเฟิงพูดว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน ตอนนี้เราไปดูบ้านนี้กันดีไหม”

ลู่ฝานพยักหน้าพูด “กำลังคิดแบบนี้พอดี”

พูดพลาง ทั้งสองคนเดินออกไปข้างนอก

เพิ่งเดินถึงหน้าประตูสวนหอมปาฟาง ลู่ฝานเจอผู้ดูแลเฉินซวงกับคุณหลิ่วหยีอีกแล้ว

ตอนนี้คุณหลิ่วหยีไม่ได้เป็นกันเองเหมือนตอนแรก เธอทำความเคารพและทักทายว่าคุณชายลู่ฝาน ส่วนผู้ดูแลเฉินซวงก็ยิ้มทักทาย

ลู่ฝานพยักหน้าเบาๆ ถือว่าเป็นการทักทายกลับ

เมื่อเดินออกมานอกสวนหอมปาฟาง ลู่ฝานพูดว่า “ทำไมรู้สึกเหมือนคุณหลิ่วหยีห่างเหินกับผม ผมล่วงเกินเธอเหรอ”

หานเฟิงยิ้มแล้วพูดว่า “นายไม่ได้ล่วงเกินเธอหรอก แต่เพราะตอนนี้เธอเอื้อมไม่ถึงนายแล้ว ทั้งเมืองตงหวามีใครที่ไม่รู้ว่าตอนนี้นายเตรียมเป็นลูกเขยตระกูลอี้ว์บ้าง กล้ามีคนแย่งกับหัวหน้าเขตอี้ว์เหรอ”

ลู่ฝานพูดอะไรไม่ออกทันที

เมื่อเดินอยู่บนถนน ลู่ฝานลืมว่าตัวเองไม่ได้ปลอมตัว เดินได้ไม่ไกลเท่าไร คนเมืองตงหวากลุ่มหนึ่งจำเขาได้

แต่แตกต่างจากครั้งก่อน แปลกที่คนพวกนี้ไม่เข้ามาล้อม แต่คำนับลู่ฝานอยู่ห่างๆ

แม้หญิงสาวที่มีแววตาลุกโชน ใบหน้ารักใคร่ ก็ไม่กล้าเข้ามาพูดคุยกับลู่ฝาน

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 567
เวลาผ่านไปแค่ไม่นานนัก ท่านผู้เฝ้าเมืองที่สูงส่ง ยังต้องนอบน้อมเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา

คุณท่านลู่รู้สึกสบายตั้งแต่หัวจรดเท้า สบายจนวิญญาณจะหลุดออกจากร่าง สบายมาก

รถม้า 20 คันเต็มๆ ล้วนเป็นคนของตระกูลลู่ทั้งหมด ยังไม่ได้พาคนที่ไม่ใช่สายเลือดโดยตรงไป เพราะจะทิ้งธุรกิจในเมืองเจียงหลินไม่ได้

ยังมีคนในตระกูลบางส่วนที่ไม่ได้ตามไปด้วย เช่น สองพ่อลูกลู่เฟิงกับลู่หมิง ตัดสินใจอยู่ที่เมืองเจียงหลิน

ลู่หมิงพูดว่า “ว่าด้วยการขยายอาณาเขต นำพาตระกูลสู่ความรุ่งเรือง ผมเทียบลู่ฝานไม่ได้ แต่ผมมีกำลังที่จะปกป้องทรัพย์สินพื้นฐานของตระกูล”

หานเฟิงพูดตรงกว่าหน่อย

“พวกเราไปก็ช่วยอะไรไม่ได้ สู้ใช้ชีวิตอย่างสงบที่บ้านเกิดดีกว่า อย่าลืมกลับมาหากันบ่อยๆ!”

ลู่เฮ่าหรานกับลู่หาวไม่ได้บังคับสองพ่อลูก

อันที่จริงตระกูลต้องการคนดูแลทรัพย์สิน ในเมื่อพวกเขายอมอยู่ที่นี่ ก็แล้วแต่ความปรารถนาของพวกเขา คนที่อยู่กับพวกเขายังมีท่านสวิน เมื่อท่านสวินได้รับยา ก็พ้นขีดอันตรายแล้ว แต่ท่านสวินไม่ยอมออกไปไหนไกล แค่อยากอยู่อย่างสงบที่บ้านเกิด

ด้วยเหตุนี้ลู่เฮ่าหรานกับลู่หาวจึงไม่พูดอะไรอีก

ออกจากเมืองเจียงหลิน เดินทางไปบนถนน

คูเมืองและกำแพงเมืองค่อยๆ ห่างออกไปจากสายตา ลู่เฮ่าหรานเห็นกลุ่มคนโบกมืออยู่บนกำแพงเมืองอย่างเลือนราง

ลู่เฮ่าหรานนับดูทีละคน

“ตาเฒ่าเลวตระกูลจาง ไอ้เลวตระกูลหนิว ครอบครัวตาแก่ตงแห่งภาคใต้ อ้อ ทางนั้นยังมีครอบครัวของยัยแก่ทั้งครอบครัว เฮ้อ ต่อไปคงเจอกันยากแล้ว”

ลู่หาวที่อยู่ข้างๆ พูดอย่างร่าเริงว่า “คุณท่านเศร้าไปทำไม นี่เราจะไปยังเมืองใหญ่ ต่อไปเมืองเล็กๆ แบบนี้คงเข้าตาคุณท่านไม่ได้แล้ว”

ลู่เฮ่าหรานพูดว่า “เพราะอยู่มานานไง ยังไงก็รู้สึกอาลัยอาวรณ์ นายได้ยินที่โจวเจิ้นโส่วพูดหรือเปล่า เขาจะตั้งหอบรรพบุรุษให้ลู่ฝานด้วย”

ลู่หาวหัวเราะออกมา “ดีมาก เขาไม่ขาดทุนแน่ที่สร้างหอบรรพบุรุษ”

ลู่เฮ่าหรานพูดว่า “แน่นอนอยู่แล้ว ต่อไปลู่ฝานของตระกูลเราจะมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วใต้หล้า”

……

ในเมืองตงหวาตอนนี้

ลู่ฝานที่พักอยู่ในสวนหอมปาฟาง เพิ่งสิ้นสุดการเก็บตัวมาสองสามวัน

จากความเร็วการฟื้นฟูของเขา อันที่จริงไม่ต้องใช้เวลาฟื้นฟูอาการบาดเจ็บกี่วัน แต่แค่การต่อสู้ครั้งนี้ทำให้เขารับรู้อะไรได้มากมาย ลู่ฝานต้องใช้โอกาสตอนที่ความรู้สึกนี้ยังไม่หายไป สัมผัสมันด้วยตัวเองอย่างเต็มที่

โดยเฉพาะวิธีใช้พลังปราณ อีกทั้งกระบวนท่ายอดกระบี่หวนคืน ที่เขาใช้อย่างไม่รู้ตัว

หลังผ่านการทดสอบซ้ำแล้วซ้ำเล่ามาหลายวัน ลู่ฝานรู้สึกว่าตัวเองจับต้นชนปลายได้แล้ว เรื่องหลายเรื่องไม่ต้องกลัวทำไม่ได้ แต่แค่กลัวว่าคาดไม่ถึง

ปราณชี่ของเขามีศักยภาพมาก ลู่ฝานรู้สึกว่าถ้าเขาเชี่ยวชาญวิธีผลักดันพลัง การต่อสู้ข้ามระดับ ก็ง่ายเหมือนกินข้าวดื่มน้ำ

ถึงกระทั่งที่เขารู้สึกว่ามันจะกลายเป็นวิถีบู๊ของเขา เป็นวิถีบู๊ที่เป็นของเขาอย่างแท้จริง

ลู่ฝานยิ้มมุมปาก เปิดประตูห้องอย่างอารมณ์ดี

เมื่อเพ่งมองดู สิ่งที่ปรากฏในสายตา คือของที่กองเหมือนภูเขาอยู่ในลานบ้าน

“ศิษย์น้องลู่ฝานตื่นแล้วเหรอ ฮ่าๆ นายรีบมาดูสิ รวยอีกแล้ว”

ลู่ฝานหันไปมองตามเสียง จึงเห็นศิษย์พี่หานเฟิงที่ยืนอยู่อีกด้าน

ไม่ต้องคิดลู่ฝานก็รู้ว่าของพวกนี้ ต้องเป็นของขวัญที่พวกคนรวยในเมืองตงหวาส่งมาแน่นอน

ลู่ฝานมองลวกๆ แล้วพูดว่า “ศิษย์พี่หานเฟิงช่วยผมนับดูละกัน พี่เอาไปครึ่งนึง”

หานเฟิงพูดว่า “หึหึ ศิษย์น้องลู่ฝานรวยจริงๆ ศิษย์พี่ไม่เกรงใจแล้วนะ”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 566
หลังผ่านไปสองสามวัน นอกเมืองเจียงหลิน รถม้าเคลื่อนตัวไปข้างหน้า ล้อหมุนจนฝุ่นตลบอบอวลไปทั่ว

“ลู่ฝานมีความสามารถจริงๆ ครั้งนี้ตระกูลลู่จะรุ่งเรืองแล้ว”

“เมืองตงหวาเป็นสถานที่ที่ดีจริงๆ ใหญ่กว่าเมืองเจียงหลินของเราเป็นสิบเท่าร้อยเท่า”

“เฮ้อ มีความก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดด ตระกูลลู่มีลูกอย่างลู่ฝาน ไม่ต้องดิ้นรนไปอีกร้อยปี”

“พวกนายเห็นหรือยัง ฝึกฝนบู๊ให้ดี ฉันไม่หวังให้พวกนายเหมือนลู่ฝาน พวกนายได้แค่หนึ่งในสิบของเขา ฉันก็ตายตาหลับแล้ว!”

……

ที่ประตูเมือง ประชาชนเมืองเจียงหลินนับไม่ถ้วน มองขบวนรถของตระกูลู่เคลื่อนตัวออกไปช้าๆ แต่ละคนมีสีหน้าอิจฉา

ถ้าตอนนั้นลู่ฝานทำให้คนอิจฉาได้ งั้นตอนนี้ลู่ฝานที่โด่งดังไปทั่วเขตตงหวา ไม่มีทางทำให้ประชาชนเมืองเจียงหลิน เกิดความอิจฉาได้อีกแล้ว

ตอนใครสักคนแข็งแกร่งกว่านายเล็กน้อย นายจะอิจฉา

แต่เมื่อคนคนนี้เหนือกว่านายเป็นร้อยเท่าพันเท่า คุณจะรู้ดีว่าทั้งชีวิตนายก็ไม่สามารถไล่ตามเขาทัน จะเรียกว่าอิจฉาไม่ได้แล้ว หลงเหลือเพียงแค่ความนับถือและเลื่อมใสเท่านั้น

ตอนนี้ฐานะของลู่ฝานในบรรดาประชาชนเมืองเจียงหลินเป็นเช่นนี้

“คุณท่านลู่เดินทางปลอดภัย เจอเจ้าบ้านลู่ ฝากทักทายเขาด้วย”

โจวเจิ้นโส่วจับมือคุณท่านลู่เฮ่าหรานด้วยสีหน้าอาลัยอาวรณ์

แม้ทุกคนรู้ว่าความอาลัยอาวรณ์ของโจวเจิ้นโส่ว เป็นการแสร้ง แต่พูดจริง เขาแสดงได้สมจริง เหมือนจนทำให้คนดูไม่ออก

คุณท่านยิ้มพลางดึงมือกลับมา “วางใจเถอะ บอกให้แน่นอน เมืองเจียงหลินเป็นบ้านเกิดตระกูลลู่ของเรา”

หลังจากผู้ส่งสารของเมืองตงหวามาถึงตระกูลลู่ ประกาศเรื่องที่ลู่ฝานได้เป็นผู้ตรวจการชั้นล่าง คนทั้งเมืองเจียงหลินพากันฮือฮา สำหรับพวกเขาผู้ตรวจการชั้นล่าง เป็นตำแหน่งที่สูงส่งมาก

จริงๆ ขนาดโจวเจิ้นโส่วได้ยินข่าวนี้ ยังรีบเตรียมของมาแสดงความยินดี

อำนาจเจ้าหน้าที่อะไรกัน แค่ตำแหน่งของลู่ฝานตอนนี้ ก็จัดการพวกเขาได้สบายๆ

คืนวันเดียวกันตระกูลลู่จัดงานเลี้ยง ผู้ส่งสารที่มารายงานข่าว หลังจากเหล้าลงท้อง ก็พูดเรื่องที่ลู่ฝานเอาชนะกวนหานพันกระบี่เย็นเยือก

สร้างความสั่นสะเทือนให้เมืองเจียงหลินอีกครั้ง ตำแหน่งของลู่ฝานในใจคนเมืองเจียงหลินสูงขึ้นไปอีก แทบจะเป็นบุคคลในตำนานไปแล้ว

ลู่เฮ่าหราน ลู่หาวและพวกคนสำคัญในตระกูลลู่ ได้รับจดหมายที่ลู่ฝานเขียนเองและยาเม็ดจากผู้ส่งสาร

รู้เรื่องที่กวนหานเป็นเจ้าสำนักโลหิตพิฆาต และรู้ว่าลู่ฝานรู้จักกับท่านหัวหน้าเขตตงหวา

ในคืนนั้นคุณท่านดื่มเหล้าจนเมาด้วยความดีใจ

ลู่หาวพ่อของลู่ฝาน ไม่ได้ทานข้าว รีบเอายาที่กลั่นมาจากน้ำพุพลังชีวิตไปให้ท่านสวิน

จนกระทั่งวันนี้ มีทหารชั้นยอดที่ส่งมาโดยจวนหัวหน้าเขต เพื่อคุ้มกันตระกูลลู่ไปยังเมืองตงหัวด้วยตนเอง

ลู่เฮ่าหรานรู้สึกว่าให้ตัวเองตายที่นี่ตอนนี้ก็คุ้มค่าแล้ว พวกเลวสำนักโลหิตพิฆาตอะไรกัน ให้พวกเขามาเถอะ!

ครั้งนี้คนตระกูลลู่ออกเดินทางตามคุณท่านลู่เฮ่าหราน ไปเมืองตงหวาแทบจะทุกคน คุณท่านเป็นคนฉลาด รู้ว่าลู่ฝานอยู่เมืองตงหวาจะมีชื่อเสียงโด่งดัง อีกทั้งยังรู้จักกับจวนหัวหน้าเขต จึงมีตวามคิดที่จะตั้งรกรากที่เมืองตงหวา

ยังไงคนเราก็ต้องก้าวไปข้างหน้า คิดถึงตอนตระกูลลู่เพิ่งเริ่มต้น ก็เริ่มมาจากหมู่บ้านเล็กๆ จนเข้ามาถึงในเมือง

แข็งแกร่งขึ้นรุ่นต่อรุ่น!

หัวหน้าเขตอี้ว์แววตาเป็นประกาย “วันนี้กับวันนั้นไม่เหมือนกัน คืนนั้นฉันแค่รู้สึกว่าพละกำลังของนายใช้ได้ แต่ไม่คิดว่านายจะสามารถฆ่ากวนหานได้ ด้วยเหตุนี้ เลยจงใจบอกให้นายฆ่าเขา ฉันให้ป้ายกับนาย ไม่มีอะไรนอกจากกระตุ้นให้นายทุ่มสุดตัว แต่หลังจากนั้นอู่คงหลิงบอกฉัน นายเก่งแต่ไม่เปิดเผย ฉันจึงรู้ว่านายมีวิธีอื่น ดังนั้นวันนี้จึงกำชับนายว่าเอาชนะได้แต่ห้ามฆ่า”

ลู่ฝานใจกระตุก อู่คงหลิง!

คิดไม่ถึงว่าอู่คงหลิงจะบอกอะไรกับหัวหน้าเขตอี้ว์

อู่คงหลิงบอกเรื่องที่เขามีป้ายคำสั่งจิตใจเต๋าสำนักมารกับหัวหน้าเขตอี้ว์หรือเปล่า

หัวหน้าเขตอี้ว์หยุดไปครู่หนึ่ง แล้วพูดต่อ “แต่ตอนนี้นายฆ่าไปแล้ว คงไม่ต้องพูดอะไรมาก เรื่องเป็นแบบนี้แล้ว ตอนนี้ฉันขอแค่นายรับเงื่อนไขฉันหนึ่งเงื่อนไข ฉันจะคุ้มครองตระกูลนายให้ปลอดภัย”

ลู่ฝานพูดว่า “เงื่อนไขอะไร”

หัวหน้าเขตอี้ว์ยิ้มแล้วพูดว่า “พูดตามกฎ นายอย่าลืมสิ นายกับกวนหานยังมีพนันเกี่ยวกับหลานสาวฉัน”

ลู่ฝานอ้าปากค้าง เซี่ยวเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ หน้าแดงทันที

เห็นท่าทางช็อกของลู่ฝาน หัวหน้าเขตอี้ว์พูดว่า “ฉันไม่บังคับนาย นายตัดสินทุกอย่างด้วยตัวเอง นายเป็นลูกเขยของตระกูลอี้ว์ ฉันคุ้มครองตระกูลนาย คือสิ่งที่ควรจะเป็น”

ลู่ฝานกัดฟัน ใบหน้าของหลิงเหยาผุดขึ้นมาในหัวเต็มไปหมด

ขณะกำลังลังเล ศิษย์พี่หานเฟิงกระแอมออกมา แล้วพูดว่า “ผู้อาวุโสอี้ว์ แบบนี้ไม่ดีเท่าไร นี่ไม่แตกต่างอะไรกับการบังคับศิษย์น้องลู่ฝาน สู้ผู้อาวุโสอี้ว์ช่วยเขาสักครั้ง ให้เขาติดหนี้น้ำใจผู้อาวุโสอี้ว์ แล้วค่อยว่ากันเรื่องอื่น เรื่องที่เป็นการบังคับ ล้วนไม่ดีทั้งนั้น ผู้อาวุโสอี้ว์ไม่มั่นใจในหลานสาวตัวเองขนาดนั้นเลยเหรอ”

หัวหน้าเขตอี้ว์ขมวดคิ้ว กำลังจะด่าหานเฟิง

แต่ขณะนั้น หานเฟิงเอาป้ายตระกูลหานของตัวเองออกมา แกว่งไปมาตรงเอว

ทันใดนั้น สีหน้าหัวหน้าเขตอี้ว์เปลี่ยนไปทันที

หานเฟิงพูดต่อ “ผู้อาวุโสอี้ว์ ผมเรียกท่านว่าผู้อาวุโส ไว้หน้าผมหน่อยได้ไหม”

หัวหน้าเขตอี้ว์ครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นพูดว่า “ลู่ฝาน นายจำไว้ว่านายติดหนี้น้ำใจฉัน ฉันหวังว่านายจะเป็นคนตระกูลอี้ว์ของฉัน”

ลู่ฝานพูดทันทีว่า “ผมจำเอาไว้แล้ว บุญคุณเพียงเล็กน้อย ต้องตอบแทนอย่างยิ่งใหญ่แน่นอน!”

หัวหน้าเขตอี้ว์จ้องลู่ฝาน หันไปยิ้มกับเซี่ยวเอ๋อร์แล้วพูดว่า “เซี่ยวเอ๋อร์ เธอกลับไปกับคุณชายลู่ฝาน ฉันขอไปจัดการเรื่องสักหน่อย”

พูดจบหัวหน้าเขตอี้ว์ลุกขึ้นเดินออกไป

เซี่ยวเอ๋อร์คำนับเล็กน้อย จากนั้นยิ้มให้ลู่ฝานแล้วพูดว่า “คุณชายลู่ฝาน นายไม่อยากเป็นคนตระกูลอี้ว์ขนาดนี้เลยเหรอ หรือว่านายมีอคติกับใครหรือเปล่า”

คนที่เซี่ยวเอ๋อร์พูดถึง ก็คือตัวเธอเอง

ลู่ฝานไม่พูดอะไร ตอนนี้พูดอะไรก็ผิดไปหมด ทำเป็นสลบคือทางเลือกที่ดีที่สุด

เซี่ยวเอ๋อร์เห็นลู่ฝานเงียบไม่พูดอะไร ก็โมโหจนแอบกัดฟันกรอด แต่ลู่ฝานบาดเจ็บอยู่ เธอจึงระเบิดอารมณ์ไม่ได้

“เตรียมรถ!”

เซี่ยวเอ๋อร์ตะโกนเสียงดัง

ศิษย์พี่หานเฟิงรีบส่งเสียงให้ลู่ฝาน “ศิษย์น้องลู่ฝาน ต่อไปถ้าเจอหลิงเหยา นายต้องพูดถึงฉันดีๆ นะ วันนี้ฉันช่วยนายมากเลย หึหึ”

ลู่ฝานพูดอย่างเข้าใจ “ศิษย์พี่หานเฟิง ชอบศิษย์พี่หญิงคนไหนในคณะสงบใจเหรอ พูดกับผมมาตรงๆ เลย ต่อไปผมจะช่วยพี่เต็มกำลัง”

หานเฟิงหัวเราะแล้วพูดว่า “ศิษย์น้องลู่ฝานคือคนที่รู้ใจฉัน”

ลู่ฝานพูดว่า “ศิษย์พี่หานเฟิงคือคนที่ช่วยผม”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 564
“ไอ้สารเลว!”

หัวหน้าเขตอี้ว์ลุกขึ้นยืนทันที ไม่เห็นเขามีการกระทำอะไร เงาคนสีเลือดสองคน ที่พุ่งไปด้านหน้าลู่ฝานหยุดลงกะทันหัน

เหมือนมือขนาดใหญ่สองมือที่มองไม่เห็น บีบพวกเขาเอาไว้ กระบี่ของหนึ่งในนั้น ห่างจากตาลู่ฝานเพียงหนึ่งนิ้ว แต่ไม่สามารถพุ่งไปข้างหน้าได้อีก

หัวหน้าเขตอี้ว์กำมือเดียว นักบู๊สำนักโลหิตพิฆาตทั้งสองคนร้องโอดครวญออกมา ระเบิดเป็นหมอกโลหิตกลางอากาศทันที เลือดกระเด็นเต็มหน้าลู่ฝาน

ศิษย์พี่หานเฟิงรีบกระโจนมาขวางหน้าลู่ฝาน

ตอนนี้นักบู๊สำนักโลหิตพิฆาตพุ่งออกมาอีก ไม่กลัวความตาย เอาอาวุธในมือโยนเข้าไปหาลู่ฝาน

ศิษย์พี่หานเฟิงใช้พลานุภาพกระบี่ กวาดกระบี่ฟ้าครามออกไป จนอาวุธที่ลอยเข้ามาหล่นลงไป

หัวหน้าเขตอี้ว์หันไปมองศิษย์สำนักโลหิตพิฆาตที่เหลืออยู่ เมื่อเพ่งมอง ศิษย์สำนักโลหิตพิฆาตพวกนี้ตัวโตขึ้น สีหน้าบิดเบี้ยว

นี่คือความสามารถของนักบู๊แดนปราณฟ้า แค่ใช้พลัง ก็สามารถฆ่าคนท่ามกลางความว่างเปล่าได้

“ลู่ฝาน นายฆ่าเจ้าสำนักโลหิตพิฆาตของฉัน นายต้องตาย ตัวนายรวมไปถึงผู้นำตระกูลนาย ต้องโดนตามฆ่าไปหมื่นชาติ ไม่จบไม่สิ้น แม้ตัวตาย สายเลือดยังอยู่! ใครฆ่าฉัน ฉันจะฆ่าคนนั้น!”

ศิษย์สำนักโลหิตพิฆาตคนหนึ่งตะโกนออกมา

เสียงเศร้ารันทดตะโกนดังไปทั่ว จากนั้นระเบิดกลายเป็นหมอกโลหิต

พวกผู้หญิงที่ขี้กลัวกรีดร้องออกมาทันที จากนั้นก็เป็นลมไป เหตุการณ์นองเลือดแบบนี้ ไม่ใช่ทุกคนที่รับมันได้

ลู่ฝานฝืนไม่ให้ตัวเองสลบ มองพวกลูกศิษย์สำนักโลหิตพิฆาตมองเขาด้วยสายตาเคียดแค้น และตายด้วยวิธีที่น่าเวทนาที่สุด

หัวหน้าเขตอี้ว์ลงมืออย่างไม่ปรานี เพียงพริบตา ศิษย์สำนักโลหิตพิฆาตที่สวมเสื้อโลหิต ตายไปทั้งหมด ตายศพไม่สวยทุกคน

หัวหน้าเขตอี้ว์สะบัดมือพูดว่า “ปิดกั้นสำนักโลหิตพิฆาต คนที่กล้าก่อเรื่อง ฆ่าให้หมด!”

ผู้เฝ้าเมืองที่อยู่ข้างๆ รีบรับคำสั่ง

ทหารที่อยู่ในกลุ่มคนรีบถอดเสื้อนอกออก เผยให้เห็นเกราะด้านใน

จากนั้นรีบจับคนไปทั่ว!

ที่แท้ทุกอย่างถูกเตรียมมาแล้ว คนจำนวนไม่น้อยมองภาพตรงหน้าอย่างตกตะลึง

อี้ว์เซี่ยวเอ๋อร์มองลู่ฝานในลานประลองอย่างเป็นห่วง หลายครั้งที่เธอจะขึ้นไปดูอาการบาดเจ็บของลู่ฝาน แต่ก็ไม่ได้ก้าวออกไป

ศิษย์พี่หานเฟิงค่อยๆ ประคองลู่ฝานขึ้นมา

ลู่ฝานพาดมือไว้บนไหล่ศิษย์พี่หานเฟิง เขารู้สึกว่าเดินเพียงก้าวเดียว ก็รู้สึกเจ็บปวดไปทั้งตัว

“ศิษย์พี่หานเฟิง รีบส่งคนไปส่งข่าวให้ตระกูลผม ให้พวกเขาระวังตัวเป็นพิเศษ”

ศิษย์พี่หานเฟิงพูดว่า “ได้ แต่ฉันต้องส่งนายกลับไปก่อน”

พูดพลาง ศิษย์พี่หานเฟิงดึงลู่ฝานลงจากลานประลอง

อี้ว์เซี่ยวเอ๋อร์รีบเข้ามารับตัวลู่ฝาน หัวหน้าเขตอี้ว์วางมือหนึ่งไว้บนตัวลู่ฝาน เพื่อตรวจสอบอาการบาดเจ็บของเขา

หัวหน้าเขตอี้ว์ขมวดคิ้วพูดว่า “อาการนายสาหัสมาก!”

ลู่ฝานพูดว่า “ไม่ตายหรอกท่านหัวหน้าเขต ช่วยคุ้มครองตระกูลผมสักครั้งได้ไหม”

หัวหน้าเขตอี้ว์พูดว่า “นายเป็นคนฉลาด รู้ว่าเมื่อฆ่ากวนหาน คนสำนักโลหิตพิฆาตที่เหลือต้องไปแก้แค้นกับตระกูลนาย แต่นายต้องให้เหตุผลฉันมาก่อน เพื่อที่ฉันจะช่วยนายหนึ่งครั้ง”

ลู่ฝานพูดเสียงเบาลง “อย่าบอกนะว่าฆ่ากวนหานแล้ว ยังไม่นับเหรอ”

หัวหน้าเขตอี้ว์พูดว่า “ฉันบอกแล้วว่าอย่าฆ่ากวนหาน นายเอาชนะเขาได้ ถ้าฆ่าเขานายจะซวยมาก”

ลู่ฝานพูดว่า “ท่านหัวหน้าเขต คืนนั้นในจวนหัวหน้าเขต หัวหน้าเขตไม่ได้พูดกับผมแบบนี้”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 563
ไม่อยากเชื่อ เหมือนคนธรรมดาเจอเทพ!

ปราณชี่ในตัวลู่ฝานระเบิดออกมา พลังอันแข็งแกร่งทะลุจุดที่ยากลำบากที่มีอยู่แต่เดิม

เหมือนมุกเทพในตันเถียนโมโห ส่องแสงแสบตาออกมา

เพียงพริบตา ลู่ฝานรู้สึกว่าวิชา เคล็ดวิชาบู๊ กระบวนท่ากระบี่ต่างๆ นานาที่ตัวเองเรียนมาทั้งหมด กำลังจะรวมตัวกัน นำพาพลังฟ้าดินรอบๆ เข้ามาด้วย แสงมากมายส่องออกมาจากตัวลู่ฝาน เขาเหมือนพระอาทิตย์สว่างไสว ทำให้ทุกคนแสบตา

แสงแสบตาทำให้ทุกคนหันหน้าหนี แล้วตะโกนออกมาว่า “ตาฉัน!”

หัวหน้าเขตอี้ว์หรี่ตาลงเล็กน้อย รู้สึกตกใจ เขาดูกระบวนท่าของลู่ฝานไม่ออก

วิชาเทพยอดกลั่นยาอู๋จี๋ เคลื่อนไหวโดยอัตโนมัติอีกครั้ง เขตวิถีบนกระบี่หนักไร้คมถูกเปิดออกเอง ตัวอักษรกระบี่หนักไม่คม ไหวพริบต้องเรียบง่าย ปรากฏขึ้นในหัวลู่ฝานอีกครั้ง

เขตวิถีอันลึกล้ำเหมือนขวานฟันลงในหัวของเขาอย่างแรงจนเป็นรอย

ตอนนี้ลู่ฝานเข้าใจเขตวิถีนี้ขึ้นมาเยอะ

“ยอดกระบี่หวนคืน!”

ลู่ฝานตะโกนชื่อกระบวนท่านี้ออกมาอย่างไม่รู้ตัว ขนาดเขาเองยังไม่รู้ว่าตะโกนชื่อนี้ออกมาทำไม

เมื่อกระบี่จู่โจมออกไป แสงเจ็ดสีรวมตัวเป็นแถบ

กระบี่หนักไร้คมในมือลู่ฝาน กลายเป็นสายรุ้งร่วงลงบนตัวกวนหาน

เมื่อกระบี่โจมตีออกมา กวนหานยืนอึ้งอยู่ที่เดิม

หลังจากนั้นมีแสงหลายสีพุ่งออกมาจากตัวกวนหานเหมือนรังผึ้ง ส่องสว่างไปทั่ว

อวัยวะภายใน เส้นลมปราณและกระดูก กลายเป็นผุยผง ภายใต้กระบี่เดียวของลู่ฝาน

แสงหายไป กวนหานมองลู่ฝานอย่างตะลึง แล้วพึมพำว่า “นายเป็นใครกันแน่”

ลู่ฝานพูดช้าๆ ว่า “ลู่ฝานแห่งเมืองเจียงหลิน!”

เมื่อพูดจบ มีเสียงดังไพเราะออกมาจากตัวกวนหาน

หลังจากนั้นเขาเหมือนเครื่องปั้นดินเผาแตกออก ทรุดลงกับพื้น เลือดไหลออกมามากมาย เนื้อหนังยุบลงไป

พลังชีวิตหายไปอย่างรวดเร็ว กวนหานตายอย่างน่าเวทนา

ชนะแล้วเหรอ

ศิษย์พี่หานเฟิงมองลู่ฝานอย่างตกใจ กระบี่เมื่อกี้ ขนาดหานเฟิงยังตกใจ เขาไม่เคยเจอกระบี่ที่น่ากลัวขนาดนี้มาก่อน

หัวหน้าเขตอี้ว์กลืนน้ำลาย ฝ่ามือสั่นเล็กน้อย

กระบี่นี้……กระบี่นี้คือ……

แววตาที่หัวหน้าเขตอี้ว์มองลู่ฝานเปลี่ยนไป

กระบวนท่ากระบี่ระดับนี้ แม้แต่เขาก็มองไม่ออก ต้องไม่ใช่เคล็ดวิชาบู๊ระดับดินบ้าบอแน่นอน อย่างน้อยต้องเป็นเคล็ดวิชาบู๊ระดับฟ้า

ไม่ใช่สิ เคล็ดวิชาบู๊ระดับฟ้าทั่วไป ไม่มีทางที่เขาจะดูไม่ออก

“คุณชายลู่ชนะแล้ว!”

“เยี่ยมมาก ลู่ฝาน นายแข็งแกร่งเกินไปแล้ว!”

……

พวกผู้ชมพากันส่งเสียงเชียร์ออกมาพร้อมกัน กระบี่สุดท้ายของลู่ฝาน ทำให้พวกเขายอมรับ

งดงาม แข็งแกร่ง เฉียบคมขนาดนี้ สุดยอดไปเลย

พวกลูกศิษย์สำนักโลหิตพิฆาตที่ตามกวนหานมา ต่างมีสีหน้าซีดเผือด

พวกเขาไม่คิดไม่ฝันว่ากวนหานจะแพ้ให้ลู่ฝาน อีกทั้งยังตายคามือลู่ฝานด้วย

ลู่ฝานเก็บกระบี่ช้าๆ เกิดเสียงดังกรอบ

ลู่ฝานรู้สึกว่ากระดูกแขนตัวเองหัก ไม่เพียงแค่นั้นมีเสียงแบบนี้ดังออกมาจากตัวเขาไม่หยุด

จู่ๆ ลู่ฝานรู้สึกว่ากระดูกตัวเองหักอีกหลายสิบซี่

ลู่ฝานทรุดลงนั่งบนพื้น กระอักเลือดออกมา

ขณะนั้นมีเสียงตะโกนดังขึ้น

“ไอ้เลว กล้าฆ่าเจ้าสำนักของเรา เอาชีวิตแกมา”

เสียงมาพร้อมกับเงาคนสีเลือดสองสามคนพุ่งเข้ามา ลู่ฝานเหลือแค่แรงเงยหน้ามองพวกเขาเท่านั้น

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 562
แค่ฆ่าลู่ฝานตาย ของมีค่ามากมายบนตัวลู่ฝาน จะเป็นของเขาทั้งหมด

ยอมเสี่ยงนิดหน่อยเพื่อสิ่งนี้ เห็นได้ชัดว่าคุ้มค่า

ลู่ฝานเร่งปราณชี่ของตัวเองให้ฟื้นฟูเร็วขึ้น ถ้าพูดว่าเขามีความสามารถอะไรที่เหนือกว่านักบู๊แดนปราณชีวิต สิ่งแรกที่พูดถึงคือความสามารถในการฟื้นฟูของเขา

ไม่ว่าจะเป็นความสามารถในการฟื้นฟูอาการบาดเจ็บ หรือความสามารถในการฟื้นฟูปราณชี่ ถึงเป็นนักบู๊แดนปราณดินก็สู้เขาไม่ได้

แค่ปราณชี่หลงเหลืออยู่เพียงเล็กน้อย สามารถงอกงามอย่างต่อเนื่อง เริ่มต้นเพียงน้อยนิด แต่สามารถพัฒนาไปสู่ความยิ่งใหญ่ได้

จู่ๆ กวนหานเคลื่อนไหวทันที

กวนหานพร้อมกับเงาดำ ปรากฏตัวตรงหน้าลู่ฝาน

ลู่ฝานใช้กระบี่จู่โจมออกไปโดยไม่ต้องคิด แต่เมื่อฟันกระบี่ลงไป กลับทำให้ตัวของกวนหานแยกเป็นสอง พลังอันแข็งแกร่งทำให้ลานประลองบู๊ที่เละอยู่แล้ว ระเบิดขึ้นมาอีกครั้ง รู้สึกเหมือนโจมตีไม่โดนกวนหาน

แต่ตัวของกวนหานไม่ได้หายไป เขาแยกเป็นสองส่วนอย่างประหลาด จากนั้นใช้มือหนึ่งบีบไหล่ลู่ฝาน

“ผนึก!”

คำพูดธรรมดาๆ ออกมาจากปากกวนหาน

ทันใดนั้น ลู่ฝานรู้สึกถึงพลังแปลกประหลาดและน่ากลัว ปล่อยออกมาจากมือกวนหาน รบกวนเลือดลมของเขาทันที

ลู่ฝานอยากจะดิ้นขัดขืน

แต่เหมือนพลังนั้นควบคุมร่างกายของเขา ทำให้เขาไม่สามารถขยับได้ ป้ายคำสั่งจิตใจเต๋าสำนักมารในแหวน ส่องแสงสว่างจ้า จะออกมาจากแหวน แต่โดนคาถาสะกดที่อยู่บนแหวนควบคุมเอาไว้

“ลู่ฝาน ได้ตายเพราะชุดวิชานี้ของฉัน นายตายตาหลับแล้ว วางใจเถอะ ฉันจะดูดพลังของนายมาทั้งหมด ผู้หญิงของนาย ตระกูลของนาย ฉันจะเอามาทั้งหมด ให้พวกเขาสัมผัสกับความรู้สึกที่ตายไปเสียยังดีกว่ามีชีวิตอยู่ ทุกข์ทรมาน ดิ้นรน ไอ้กระจอก!”

กวนหานมองลู่ฝานอย่างดูหมิ่น

ตั้งแต่เขาได้วิชานี้มา เขาไม่เคยแพ้ใครเลย

นี่เป็นวิชาที่แฝงอยู่ในกระบี่กลืนทิพย์ แม้กวนหานไม่รู้ว่าวิชานี้คืออะไร แต่เขารู้ว่าเมื่อมีวิชานี้ เขาจะไร้เทียมทาน

ตัวที่แยกออกเป็นสองส่วนของกวนหาน ค่อยๆ รวมตัวกลับสู่สภาพเดิม

นี่ไม่ใช่มายากล ไม่ใช่เศษเงาอะไรทั้งนั้น

แต่นี่เป็นวิชากายที่อยู่ในวิชาชุดนี้ ใช้พลังป้องกันร่างกาย เปลี่ยนให้ไร้รูปร่าง

จากคำอธิบายของวิชา เมื่อไรที่กวนหานสามารถละทิ้งร่างกายของตัวเองได้ วิชาของเขาจะเข้าสู่ระยะรู้ความ

ตอนนี้เขาไร้รูปร่างได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น แต่เพียงพอให้เขาฆ่าลู่ฝานแล้ว

ลู่ฝานตกใจ เขารู้สึกว่าเลือดสารจำเป็นและปราณชี่ของตัวเอง เริ่มไหลออกไป แสงมุกเทพในตันเถียนค่อยๆ ริบหรี่ลง

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรในตัวก่นด่าออกมา

“วิชามารกัดกินกาย ให้ตายเถอะ ไอ้หมอนี่เป็นคนที่ฝึกวิชาชั่วร้าย เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ รีบใช้วิชาชั่วร้ายจัดการเขา เขาเรียนวิชาแค่เพียงผิวเผินเท่านั้น คุณยังมีโอกาส”

ลู่ฝานรีบเอาปราณชี่ของตัวเองแปรเปลี่ยนเป็นพลังวิญญาณ

ทันใดนั้น ลู่ฝานรู้สึกว่าร่างกายของตัวเองฟื้นฟูขึ้นมาเล็กน้อย

มีประกายสว่างวาบในตา ลู่ฝานใช้วิชาชิงวิญญาณของตัวเองออกมาเช่นกัน

มีประกายปรากฏขึ้นในตากวนหาน ตัวของเขาสั่นอย่างรุนแรง

เพียงพริบตา ลู่ฝานเห็นช่องโหว่แล้ว

พลังวิญญาณกลายเป็นปราณชี่อีกครั้ง ขับพลังอื่นในร่ายกายออกไป แรงลมระเบิดออกมาจากตัวลู่ฝานอย่างแรง

ฝ่ามือของกวนหานผละออกจากตัวลู่ฝานทันที

กวนหานสีหน้าตกตะลึง เบิกตาโตอ้าปากค้าง

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 561
กวนหานโมโหจนสั่นไปทั้งตัว ความเคียดแค้นในแววตาแทบจะทะลักออกมาเหมือนหนอง

กวนหานหอบหายใจ ตอนนี้พลังปราณของเขาอยู่ในสภาวะที่ใกล้จะหมดแล้ว เขายื่นมือเข้าไปคลำหายาในอก แล้วยัดยาใส่ปากต่อหน้าทุกคน

“ลู่ฝาน ไม่ใช่แค่นายที่มียา!”

พูดพลาง บาดแผลบนใบหน้ากวนหานเริ่มฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว

ลู่ฝานกวาดตามองความเร็วในการฟื้นฟูบาดแผลของกวนหานเพิ่งแวบเดียว ก็พิจารณาได้ว่ายาที่กวนหานกินเข้าไป น่าจะเป็นยาชีวิตระดับ 5-6

ลู่ฝานหัวเราะเบาๆ เขามียาประเภทนี้ไม่น้อย

ลู่ฝานเอาขวดออกมาจากเข็มขัด

เปิดจุกบนขวดออก กลิ่นยาหอมฟุ้งไปทั่ว ลู่ฝานกรอกใส่ปากจนหมดขวดเหมือนกินลูกอม

กึก กึก!

ลู่ฝานเคี้ยวเพียงสองครั้ง ยากลายเป็นของเหลวเข้าไปในท้อง

วิธีกินยาแบบนี้ ทำให้ทุกคนกลืนน้ำลาย

“รวยจริงๆ ยาขวดนี้ราคาตั้งเท่าไร!”

แอบบ่นพึมพำ แม้เมืองตงหวาเป็นเมืองใหญ่ แต่คนที่เคยเห็นยามีไม่มาก

นักบู๊ที่มีความรู้หน่อย ได้กลิ่นยาก็รู้

ยาขวดนี้อย่างน้อยต้องเป็นยาชีวิต ยาชีวิตหนึ่งขวดเต็มๆ!

นักบู๊จำนวนมาก ไม่สามารถหามาได้ขวดหนึ่งทั้งชีวิต

“เขามีพ่อเป็นผู้ฝึกชี่หรือเปล่า!”

นักบู๊คนหนึ่งพึมพำออกมา คนข้างๆ พยักหน้าตาม ไม่งั้นคงไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมลู่ฝานรวยขนาดนี้

กวนหานเห็นการกระทำของลู่ฝาน ถึงกับหางคิ้วกระตุก

ไอ้หมอนี่รวยกว่าเขาอีก

ในมือกวนหานไม่มียาชีวิตสักขวด แค่เม็ดเดียว ยังต้องเสียเงินมากมายกว่าจะได้มา

ถึงเขาเป็นเจ้าสำนักเล็กๆ ถึงเขามีระดับผลการฝึกตนแข็งแกร่งกว่าลู่ฝานก็เถอะ

แต่ถ้าพูดเรื่องยา หึหึ นักบู๊จะเทียบกับผู้ฝึกชี่ได้อย่างไร

แค่มีสมุนไพรเพียงพอ ลู่ฝานสามารถทำยาออกมาสองสามขวดได้ทุกคืน

แค่ยาขวดเดียว ไม่นับประสาอะไร

ตอนนี้กวนหานเริ่มสงสัยตัวตนของลู่ฝานแล้ว

ความรวยที่ลู่ฝานแสดงออกมา ไม่เหมือนนักบู๊ที่มาจากเมืองเล็กๆ

อสูรวิเศษ เข็มขัดอากาศธาตุ อาวุธมหัศจรรย์ ยาชีวิตทั้งขวด ไม่ว่าอะไรก็ยากที่จะได้เห็นจากนักบู๊จากเมืองเล็กๆ แต่ตอนนี้สิ่งเหล่านี้อยู่บนตัวลู่ฝานเพียงคนเดียว

กวนหานทั้งอิจฉาทั้งริษยา

เป็นเรื่องที่ยากจะจินตนาการ กวนหานพันกระบี่เย็นเยือก เจ้าสำนักโลหิตพิฆาต จะอิจฉานักบู๊ไม่มีสำนักที่มาจากเมืองเล็กๆ

ถ้าทุกคนรอบๆ รู้ถึงจิตใจของกวนหานในตอนนี้ คนจำนวนไม่น้อยคงต้องตกตะลึง

จะยื้อต่อไปไม่ได้แล้ว!

กวนหานพูดในใจ

เขามองออกแล้ว ลู่ฝานเป็นนักบู๊ประเภทที่ยิ่งสู้ยิ่งแกร่ง ความถึกเต็มเปี่ยม ทั้งเลวทั้งดื้อรั้น

กวนหานคำนวณพลังปราณของตัวเองที่เหลืออยู่อย่างละเอียด มีแสงสีแดงฉายขึ้นในแววตาของเขา

ดูเหมือนต้องใช้วิธีพิเศษแล้ว!

เมื่อคิดได้เช่นนั้น นิ้วมือของกวนหานขยับอย่างรวดเร็ว แบบที่คนทั่วไปไม่สามารถสังเกตเห็น

หัวหน้าเขตอี้ว์ที่นั่งอยู่ตรงที่นั่งผู้ชมยกยิ้มมุมปาก

ดีมาก เขารอช่วงเวลานี้แหละ

ไม่ทำให้เขาผิดหวังจริงๆ ลู่ฝานบีบบังคับให้กวนหานใช้กระบวนท่านี้ออกมาได้

มีกระบวนท่านี้ ถึงลู่ฝานแพ้ เขาต้องรักษาชีวิตลู่ฝานให้ได้

กวนหาน ดูสิว่าครั้งนี้นายกับอาจารย์นายจะหนีไปไหน

กวนหานที่อยู่บนลานประลองไม่ได้คิดอะไรมาก ตอนนี้ในหัวเขามีเพียงความคิดที่จะฆ่าลู่ฝานเท่านั้น

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 560
“ย๊าก!”

ลู่ฝานแผดเสียงออกมา กระตุ้นพลังฟ้าดินตามสัญชาตญาณ ขณะเดียวกันพลังที่พุ่งเข้ามาในตัวเขา โดนปราณชี่ดันออกไปนอกตัว

เขตวิถีบนกระบี่หนักไร้คมสว่างขึ้นมาอีกครั้ง ลู่ฝาน “เบิกตา” มองพลังทั้งหมดโดนเขตวิถีขจัดออกไป เหมือนสายน้ำปะทะกับโขดหิน ทำได้เพียงหลีกทางให้

พายุทอร์นาโดสองลูกพัดผ่านข้างตัวลู่ฝานไป พร้อมเสียงดังสนั่นน่ากลัว จนทำให้ลานประลองบู๊เกิดเป็นรอยแยกลึก

ลู่ฝานถือดาบมือเดียว จู่ๆ เริ่มเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมา

ผลักดันพลังออกไป

วิธีนี้เขาเคยใช้ปราณชี่ทดสอบแล้ว สามารถทำได้ถึงขั้นที่เอาพลังฟ้าดินผลักดันออกไป

เมื่อเป็นเช่นนี้ สามารถเอาพลังปราณผลักดันออกไปได้เหมือนกันใช่ไหม

ปราณชี่ของเขาเป็นการรวมตัวของพลังปราณกับพลังชี่ ถ้าพูดกันตามเหตุผล เป็นการรวมตัวของสองสิ่ง ซึ่งเป็นสองสิ่งที่แตกต่างกัน น่าจะเคลื่อนไหวพลังปราณได้

ลู่ฝานรู้สึกว่าเดิมทีเขาใช้ปราณชี่เป็นพลังปราณมากเกินไป

ถูกต้องที่เขาเป็นนักบู๊ แต่เขาก็ไม่ใช่นักบู๊!

เมื่อคิดได้ แววตาของลู่ฝานมีประกายลุกโชน

“เป็นไปได้ยังไง!”

เมื่อกวนหานเห็นว่ากระบวนท่าที่สองของตัวเอง ยังไม่สามารถฆ่าลู่ฝานได้ เขาทั้งหงุดหงิดและโมโห

กระบี่กลืนทิพย์ถูกใช้อีกครั้ง ทันใดนั้น เห็นกระบี่กลืนทิพย์แยกเป็นสอง สองแยกเป็นสาม เพียงพริบตาเดียว มันแยกเป็นกระบี่ใหญ่เกินร้อย กระบี่แต่ละเล่มยาวหกเมตร กว้างสามเมตร

“ฆ่า!”

กวนหานกดฝ่ามือลง กระบี่ขนาดใหญ่เป็นร้อยพุ่งลงไปหาลู่ฝาน

กระบี่ยาวแต่ละเล่มเหมือนเสาน้ำแข็งลงมาจากฟ้า กระแทกพื้นดินจนเกิดเสียงระเบิดดังขึ้น

ลู่ฝานยืนอยู่ตรงนั้น ปล่อยปราณชี่ของตัวเองออกมาอีกครั้ง

“ดันออกไป ดันออกไป!”

พลั่ก พลั่ก พลั่ก!

กระบี่ใหญ่จำนวนมากกระแทกลงบนตัวลู่ฝานอย่างต่อเนื่อง

ตอนนี้ลู่ฝานกัดฟันอดทนไว้ เลือดไหลออกมาจากมุมปาก

พื้นดินโดนกระแทกจนเป็นหลุมลึก หลังจากกระบี่ใหญ่ร่วงลงมาเป็นร้อย ไม่เห็นตัวของลู่ฝานแล้ว

กวนหานหอบหายใจ เริ่มมีเหงื่อออกบนตัว

นักบู๊พละกำลังแบบเขา ปกติจะไม่มีอาการแบบนี้ แต่เมื่ออาการปรากฏออกมา มันเป็นสิ่งยืนยันว่าเขาใกล้จะหมดแรงแล้ว

“ตายแล้วสินะ! ครั้งนี้ต้องตายแน่นอน!”

กวนหานกวักมือ กระบี่ใหญ่ร้อยเล่มกลายเป็นแสง รวมตัวเป็นกระบี่กลืนทิพย์ กลับไปอยู่ในมือกวนหานอีกครั้ง

แต่กระบี่กลืนทิพย์ไม่มีความเปลี่ยนแปลงอะไร สีหน้าของกวนหานตกใจ

หันไปมองในหลุม เห็นลู่ฝานค่อยๆ ลุกขึ้นมา

พลังชีวิตที่แข็งแกร่งขนาดนี้ พลังการต้านทานการโจมตีที่น่ากลัวขนาดนี้ ผู้ชมที่อยู่รอบๆ เห็นแล้วพากันตกตะลึง

“นี่……นี่แข็งแกร่งเหมือนสัตว์อสูรเลย!”

“คุณชายลู่ฝานเก่งมาก ยังยืนขึ้นมาได้อีก”

“พระเจ้า ร่างกายเขาแข็งแกร่งมาก ข้างล่างก็ต้องแข็งแกร่งมากแน่นอน”

เมื่อพูดจบ กลุ่มคนมองไปยังผู้หญิงที่พูดออกมา ผู้หญิงรู้ตัวว่าพลั้งปากพูด แต่ก็ยังตะโกนว่า “คุณชายลู่ฝาน ฉันรักคุณ!”

……

“สู้ๆ!”

หานเฟิงก็ลุกขึ้นตะโกนออกมาเช่นกัน

“ศิษย์น้องลู่ฝาน ลุกขึ้นมา! ให้ตายเถอะ นักบู๊คือสิ่งที่ฆ่าไม่ตาย นายเหมือนคนในครอบครัวของฉัน!”

หานเฟิงยิ่งตะโกนยิ่งฮึกเหิม เขาเห็นสไตล์ของคนตระกูลหานบนตัวลู่ฝานจริงๆ

เขาพอจำได้รางๆ ตอนนั้นที่พ่อเขาสู้กับศัตรูก็เป็นแบบนี้

สู้ไม่ได้ ไม่เป็นไร ฆ่าไม่ตายคือสิ่งสำคัญที่สุด!

ลู่ฝานยืดหลังตรงอีกครั้ง สูดหายใจมองกวนหาน แล้วพูดว่า “เข้ามาอีกสิ!”

กวนหานโมโหจนแทบจะระเบิด ไม่เคยเจอคนที่รับมือยากขนาดนี้มาก่อน

ครั้งนี้กวนหานถือกระบี่พุ่งเข้าไปหาลู่ฝานด้วยตัวเอง

เขาจะแทงหัวลู่ฝานให้ทะลุในกระบี่เดียว ดูสิว่าลู่ฝานยังจะยืนขึ้นมาได้อีกไหม

กระบี่โจมตีออกไป ตามมาด้วยพลังปราณ

แต่ตอนนี้พลังปราณของกวนหานไม่ได้มากเหมือนก่อน เดิมทีสีฟ้าเย็นยะเยือกที่สามารถปกคลุมทั้งฝ่ามือ เหลือเพียงแค่ปลายนิ้วเท่านั้น

เมื่อเห็นกระบี่ของกวนหานพุ่งเข้ามา เขาตั้งกระบี่หนักไว้ข้างหน้าตามสัญชาตญาณ โดยไม่ต้องคิดสักนิด ต้านทานกระบี่กลืนทิพย์เอาไว้

กวนหานเปลี่ยนกระบวนท่ากระบี่อีกครั้ง ลู่ฝานก็เคลื่อนไหวตาม จากนั้นต้านทานไว้ได้อีก

ตลก วิชากระบี่ขั้นพื้นฐานไม่ได้ฝึกมาเสียเปล่า จะเอาเปรียบเขาด้วยวิชากระบี่ประชิดตัวแบบนี้ กวนหานต้องเป็นนักบู๊แดนปราณดินถึงจะทำได้

กวนหานไม่เชื่อ จึงใช้กระบี่จู่โจมอีก ลู่ฝานต้านทานได้ทุกกระบี่เหมือนรู้ล่วงหน้า

กระบี่สุดท้ายแทงออกมา กระบี่หนักของลู่ฝานต้านทานได้อีกครั้ง

แต่ครั้งนี้ จู่ๆ ปราณชี่ของลู่ฝานกระเพื่อม จากนั้นเห็นเหมือนพลังปราณของกวนหาน โดนอะไรผลักออกไปอีกด้าน

สำเร็จแล้ว!

ลู่ฝานยินดีมาก

เขารู้ว่าวิธีนี้ประสบความสำเร็จได้!

พลังปราณของกวนหานโดนผลักออกไปแบบนี้ ทำให้เห็นช่องโหว่ทันที

ลู่ฝานเคลื่อนตัวไปข้างหน้า ตบกระบี่ลงบนหน้ากวนหาน

เหมือนโจมตีลูกบอล กวนหานลอยกระเด็นออกไป กระแทกลงบนพื้นอย่างแรง เขาเอามือกุมหน้า เลือดสดไหลออกมา

“ลู่ฝาน!”

กวนหานตะโกนออกมาอย่างดุดัน เหมือนตะโกนออกมาสุดชีวิต

ลู่ฝานยิ้มบางๆ มองกวนหานแล้วพูดว่า “พูดตรงๆนะ วิชากระบี่ของนายแย่จริงๆ!”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 559
ควันสีขาวลอยขึ้นมาในลานประลองอย่างต่อเนื่อง บดบังสายตาของคนจำนวนไม่น้อย

มีเสียงต่อสู้ของลู่ฝานกับกวนหาน ดังออกมาจากกลุ่มควันอย่างต่อเนื่อง

สีแดงเพลิงกับสีฟ้าเย็นยะเยือกปะทะกันไม่หยุด ทุกครั้งที่โจมตี จะระเบิดจนลานประลองบู๊เป็นหลุมใหญ่

ไอ้อ้วนเจิงที่นั่งอยู่ล่างลานประลองบู๊ไม่พูดอะไร ปล่อยให้ทั้งสองคนสร้างความเสียหายต่อไป เห็นท่าทีนิ่งสงบของเขา เหมือนเรื่องแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก

ผู้ชมที่มีพละกำลังแข็งแกร่ง ยังสามารถมองการต่อสู้อย่างรวดเร็วบนเวทีได้ชัดเจน ส่วนผู้ชมที่พละกำลังอ่อนแอ ไม่เห็นแม้แต่เงาของลู่ฝานกับกวนหาน

สีหน้าหานเฟิงยังตึงเครียดอยู่ เขารู้ดีว่าพละกำลังของลู่ฝาน อาศัยยาเร่งมันขึ้นมา เมื่อเทียบกับคนที่ฝึกฝนอย่างแท้จริง ยังห่างชั้นกันอยู่ การต่อสู้ที่สูญเสียพลังแบบนี้ กลัวว่าจะทนไม่ไหวน่ะสิ

เป็นอย่างที่คาดการณ์ไว้ ขณะที่ศิษย์พี่หานเฟิงกำลังเป็นกังวลกับลู่ฝาน มีเสียงปะทะดังขึ้นบนลานประลอง เสียงปะทะดังกว่าก่อนหน้านี้มาก ลานประลองบู๊ก็สั่นสะเทือนตามไปด้วย

เงาของลู่ฝานกับกวนหานปรากฏออกมา คนหนึ่งมีสีหน้าโมโห ส่วนอีกคนเนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผล

ลู่ฝานคือคนที่เนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผล กระบี่หนักปักอยู่บนพื้น บาดแผลทั้งตัวลึกจนเห็นกระดูก

แต่ไม่มีเลือดไหลออกมาจากบาดแผล เมื่อมองดูดีๆ จะพบว่าบาดแผลโดนแช่แข็งเอาไว้

กวนหานสีหน้าโมโห เพราะซีกหน้าของเขายุบลงไปทั้งแถบ

กระบวนท่าของลู่ฝานไม่ได้ทำให้เขาบาดเจ็บมากเท่าไร แต่กลับโจมตีลงบนหน้าเขา

“ลู่ฝาน นายกล้ามาก!”

กวนหานแผดเสียงออกมา

ดูไม่ออกเลยว่าเขาเป็นคนที่รักสวยรักงาม

ลู่ฝานเร่งการเคลื่อนไหวของปราณชี่ในตัว เจดีย์เสวียนเก้ามังกรก็เริ่มช่วยฟื้นฟูอาการบาดเจ็บ ทันใดนั้นพลานุภาพบนตัวเริ่มพลุ่งพล่านอีกครั้ง บาดแผลภายนอกเริ่มสมานกันอย่างรวดเร็ว

กวนหานตกใจกับความเร็วการฟื้นฟูของลู่ฝาน และความแข็งแกร่งของพลังปราณ

นั่นเป็นพลังปราณที่แข็งแกร่งที่สุด ที่เขาเคยเห็นมาทั้งชีวิต ทำลายไม่ได้ โจมตีไม่ได้ ความเร็วการฟื้นฟูยังรวดเร็วมากด้วย

เมื่อเห็นว่าใบหน้าตัวเองเสียโฉม กวนหานตัดสินใจใช้ท่าไม้ตายของตัวเอง ไม่เซ้าซี้กับลู่ฝานอีก ต้องฆ่าตายในกระบวนท่าเดียว

กระบี่เย็นยะเยือกออกมาจากแขนเสื้อ ครั้งนี้ไม่ใช่กระบี่ที่ก่อตัวจากพลังปราณ แต่เป็นกระบี่ยาวที่สลักงูเหลือมขนาดใหญ่อยู่

กวนหานมองลู่ฝานแล้วพูดว่า “ลู่ฝาน ตายภายใต้กระบี่นี้ ถือว่าเป็นเกียรติของนาย จำชื่อของมันไว้ กระบี่นี้ชื่อว่ากระบี่กลืนทิพย์!”

เมื่อพูดจบ พลังปราณทั้งตัวกวนหาน เข้าไปในกระบี่กลืนทิพย์

เห็นได้ด้วยตาเปล่าว่างูเหลือมยักษ์บนกระบี่กลืนทิพย์มีชีวิตขึ้นมา

ลู่ฝานยืดตัวตรง จ้องกระบี่กลืนทิพย์ของกวนหาน

ได้ยินเสียงเจดีย์เสวียนเก้ามังกรในตัวตะโกนว่า “ของดี เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ ชิงกระบี่เขามา ชิงมา”

ลู่ฝานแอบก่นด่าว่า “นี่ต้องแย่งมาถึงจะได้เหรอ!”

จู่ๆ น้ำแข็งและหิมะโปรยลงมารอบๆ

อยู่ดีๆ ก็มีหิมะโปรยลงมาจากฟ้า

กวนหานสะบัดกระบี่ งูเหลือมยักษ์กับมังกรเกล็ดน้ำแข็งด้านหลังเข้ารวมเป็นหนึ่งเดียว พุ่งเข้าไปฆ่าลู่ฝานทันที

ตอนนี้ลู่ฝานทำเพียงแค่ยกกระบี่หนักไร้คมของตัวเองขึ้นมา ปราณชี่ในตัวเคลื่อนไหวอย่างบ้าคลั่ง!

ต้านทานไว้ ต้านทานไว้!

ตู้ม!

งูเหลือมยักษ์กลืนตัวของลู่ฝาน ใบหน้ากวนหานมีรอยยิ้ม

“จัดการสำเร็จด้วยกระบวนท่าเดียว คนที่มีความสามารถน้อยนิด แต่คิดทำการใหญ่ เพ้อเจ้อ!”

กวนหานพูดเบาๆ แววตามองไปยังด้ามกระบี่กลืนทิพย์ เขารอให้กระบี่กลืนทิพย์เอาเลือดสารจำเป็นของลู่ฝานกลับมา

ถูกต้อง เขาคือผู้ฝึกวิชาชั่วร้าย แต่ไม่ใช่ผู้ฝึกวิชาชั่วร้ายที่แท้จริง เขาเป็นแค่คนที่มีกระบี่ที่ผู้ฝึกวิชาชั่วร้ายเท่านั้น สามารถกลืนกินเลือดสารจำเป็นของคนที่เพิ่งตาย เพื่อนำมาให้ตัวเองใช้ นำมันมายกระดับผลการฝึกตน นี่เป็นสาเหตุที่เขาฝึกฝนถึงขั้นล้ำลึก ในขณะที่หน้าตาดูเหมือนอายุน้อยขนาดนี้

แต่รออยู่พักหนึ่ง กระบี่กลืนทิพย์ก็ยังไม่มีปฏิกิริยาอะไร

กวนหานขมวดคิ้วมองลู่ฝาน เห็นลู่ฝานลุกขึ้นยืนอย่างโงนเงน

กวนหานขมวดคิ้วทันที ก่นด่าออกมาว่า “นายนี่เป็นแมลงสาบที่ฆ่าไม่ตายจริงๆ”

พูดพลาง แสงกระบี่โจมตีออกไปอีกครั้ง

กระบี่หิมะมังกร!

พลังปราณกลายเป็นสายลม พายุทอร์นาโดขนาดใหญ่สองลูก ปะทะลงบนตัวลู่ฝานอีกครั้ง

เสื้อปราณของลู่ฝานโดนฉีกออก พลังอันแข็งแกร่งเข้าไปในตัวลู่ฝาน

ลู่ฝานแสยะยิ้มในใจ ชัยชนะในช่วงนี้ของเขา ทำให้เขาเกิดความจองหอง ไม่เห็นคนเก่งในโลกอยู่ในสายตา จนทำให้ประเมินพละกำลังของกวนหานไม่ดีพอ แล้วฝืนต่อสู้ ถึงมียาคอยช่วย ถึงมีเจ้าดำคอยช่วย เขาก็เป็นฝ่ายที่ถูกกระทำ

แต่จะเอาชนะเขา มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก!

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 558
พลังปราณของเขาหมุนวน กลายเป็นเงาของสัตว์อสูรด้านหลังเขา

มันเป็นรูปร่างของงูเหลือมผลึกน้ำแข็ง

“พลังปราณกลายรูปเป็นสัตว์!”

สีหน้าของศิษย์พี่หานเฟิงไม่สู้ดี โดยเฉพาะเมื่อเห็นรูปร่างงูเหลือมอย่างชัดเจน สีหน้าของเขาเหมือนโดนคนเหยียบเท้าหลายสิบครั้ง

นั่นไม่ใช่งูเหลือม แต่เป็นเจียว อีกทั้งเป็นเจียวที่ใกล้จะมีเกล็ดรอบกายกลายเป็นมังกร วิชาที่สามารถสร้างเป็นรูปสัตว์แบบนี้ได้ อย่างน้อยต้องอยู่ระดับดินขั้นสูงสุด ศิษย์น้องลู่ฝานแย่แล้ว!

หัวหน้าเขตอี้ว์ยังคงนิ่ง พูดเนิบๆ ว่า “มังกรเกล็ดน้ำแข็ง วิชาเย็นยะเยือก วิชาชุดนี้ของกวนหาน นับว่าเป็นระยะรู้ความแล้ว”

แววตาฉายแววเคียดแค้น แววตาที่หัวหน้าเขตอี้ว์มองกวนหานยิ่งไม่เป็นมิตร

ไม่มีใครรู้ว่าเขากับกวนหานมีความบาดหมางอะไรกัน ทุกคนที่กล้าถามคำถามนี้ต่อหน้าหัวหน้าเขตอี้ว์ ล้วนไม่อยู่ในเขตตงหวาแล้ว หรือไม่ก็ตายไปแล้ว

บนลานประลอง ลู่ฝานสัมผัสได้ถึงพละกำลังอันแข็งแกร่งของกวนหาน ต้องไม่ใช่แค่แดนปราณชีวิตขั้นกลางแน่นอน ให้ตายเถอะ กวนหานมีผลการฝึกตนแดนปราณชีวิตขั้นสูงสุด

เมื่อเดินออกมาหนึ่งก้าว พื้นดินล่างเท้ามีเกล็ดน้ำแข็งแผ่ซ่านออกมา เหมือนสะเก็ดน้ำโดนแช่แข็งกะทันหัน มีแสงสว่างระยิบระยับ

กวนหานมองสีหน้าตกตะลึงของลู่ฝาน เขาหัวเราะแล้วพูดว่า “พลังกำลังแบบนี้ของนาย ทำให้ฉันโจมตีด้วยกระบี่ยังทำไม่ได้ ลู่ฝาน เอาพละกำลังทั้งหมดของนายออกมา ตายอย่างสง่างาม แบบนี้จะได้คุ้มค่าที่ฉันใช้วิชาเย็นยะเยือก”

เสียงหัวเราะอย่างอวดดี เกือบดังไปถึงสวรรค์

คนของสำนักโลหิตพิฆาตตรงที่นั่งผู้ชมด้านบน ล้วนลุกขึ้นมาทันที

เอามือวางตรงหน้าอก พูดอย่างพร้อมเพรียงว่า “สิ่งที่โลหิตพิฆาตต้องการ ไม่มีใครกล้าช่วงชิง! ฆ่า ฆ่า ฆ่า!”

กลุ่มคนเห็นแล้วพากันช็อก มีคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่รู้ว่ากวนหานเป็นเจ้าสำนักโลหิตพิฆาต

ผู้ชมสองสามคนพากันพูดขึ้นมาเบาๆ

“คนพวกนี้เป็นคนโง่เหรอ!”

“สงสัยตอนออกจากบ้านลืมกินยา!”

……

ในลานประลองบู๊ ลู่ฝานรู้สึกว่าตัวเองโดนกดดันทุกไปหมด คิดไม่ถึงว่าตัวเองเตรียมพร้อมขนาดนี้ ยังสู้กวนหานไม่ได้

ลู่ฝานใช้มือซ้ายกดลงบนเข็มขัด แล้วพูดว่า “กวนหาน นายอยากเห็นพลังที่แท้จริงของฉันใช่ไหม งั้นฉันจะให้นายดู! วิชาอสูรเข้าสิง!”

พูดพลาง จิตใจลู่ฝานวูบไหว เจ้าดำที่อยู่ในเข็มขัดได้ยินเสียงเรียกของลู่ฝาน กลายเป็นแสงสีดำเข้าไปในตัวลู่ฝาน

เปลวเพลิงสีดำลุกโชน สูงถึงเก้าเมตร ลู่ฝานโดนเปลวไฟปกคลุม แววตากลายเป็นสีแดงเพลิง เริ่มมีลายมังกรดำปรากฏขึ้นบนใบหน้า

“ฮ่าๆ ที่แท้นี่คือที่พึ่งพาของนายสินะ อสูรเข้าสิง มีอสูรวิเศษอยู่ในตัวด้วย ลู่ฝาน ตอนนี้ฉันเริ่มชอบนายขึ้นเรื่อยๆ แล้ว”

กวนหานหัวเราะออกมา เสียงหัวเราะดังสนั่น

จู่ๆ ตัวของลู่ฝานหายไปจากที่เดิม ขณะที่กวนหานไม่ทันตั้งตัว ลู่ฝานถือกระบี่หนักไร้คมในมือ จ่อตรงหน้าอกของกวนหาน

“พลังวิญญาณ ระเบิด!”

พลังกระเพื่อมไปทั่วฟ้าดิน

เกล็ดน้ำแข็งบนตัวกวนหานแตกออก โดนกระบี่ระเบิดจนกระเด็นออกไปไกล

ลู่ฝานใช้วิชากายอีกครั้ง มาตรงหน้ากวนหานเหมือนเทเลพอร์ต

แต่ครั้งนี้ กวนหานสะบัดมือ กระบี่เย็นเยือกขวางกระบี่หนักไร้คมของลู่ฝานเอาไว้

สีหน้ามีความฮึกเหิมและบ้าคลั่ง กระบี่เย็นยะเยือกของกวนหาน กลายเป็นบัวน้ำแข็งเบ่งบานหลายพันหลายหมื่นดอก

“พันกระบี่พิฆาต!”

นี่คือพละกำลังที่แท้จริงของกวนหาน ลู่ฝานไม่หลบต้านทานการจู่โจมเอาไว้

วิชากระบี่หนัก กระบี่มังกรเพลิงคำราม!

กระบี่จู่โจมออกไป เปลวไฟปะทะกับน้ำแข็งเย็นยะเยือก

ทั้งสองเหมือนเทพอัคคีกับเทพน้ำแข็ง ระเบิดลานประลองบู๊จนสั่นสะเทือน!

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 557
เลือดสดหยดหนึ่งซึมออกมา ในเลือดสดมีออร่าลึกลับแผ่ซ่านไปทั่ว ทันใดนั้นเลือดสดหายไปจนหมด ราวกับโดนฟ้าดินกลืนกินไปอย่างไรอย่างนั้น

เมื่อปล่อยมือออกจากกัน แววตาของกวนหานแปรเปลี่ยนเป็นแววตากระหายเลือด เขายิ้มเห็นฟันขาวน่ากลัว กวนหานพูดว่า “ลู่ฝาน ฉันเชื่อว่าเลือดสารจำเป็นของนาย ทำให้พละกำลังของฉันเพิ่มขึ้นไม่น้อย”

มือลู่ฝานสั่นเบาๆ คำพูดของกวนหานคือการกระทำของผู้ฝึกวิชาชั่วร้ายชัดๆ

ปฏิกิริยาแรกของลู่ฝานคือตรวจสอบว่าป้ายคำสั่งในแหวน มีปฏิกิริยาอะไรหรือเปล่า

ทันใดนั้น ลู่ฝานพบว่าป้ายคำสั่งสั่นเพียงเล็กน้อย เหมือนโดนกระตุ้น

ดูเหมือนป้ายคำสั่งอาศัยความมากน้อยของออร่าชั่วร้าย ในการเกิดปฏิกิริยา แต่นี่เพียงพอที่จะยืนยันว่ากวนหานเป็นผู้ฝึกวิชาชั่วร้ายอย่างไม่ต้องสงสัย

ให้ตายเถอะ ในเมืองตงหวามีผู้ฝึกวิชาชั่วร้ายเยอะขนาดนี้เลยเหรอ

ถ้าบอกว่าคนอื่นมองผู้ฝึกชั่วร้ายไม่ออก แม้แต่สายตาและความสามารถของหัวหน้าเขตอี้ว์ ก็ดูไม่ออกเหมือนกันเหรอ

ความคิดมากมายวนเวียนอยู่ในหัว ลู่ฝานพลิกมือใช้กระบี่โจมตีออกไป

ไม่ลังเล ไม่ให้กวนหานมีโอกาสตั้งตัว ใช้กระบี่โจมตีออกไป แสงสายฟ้าเต็มไปหมด ใช้กระบี่เพลิงทองสายฟ้าออกมาทันที!

จากความสามารถของลู่ฝานในตอนนี้ จู่โจมเพียงกระบี่เดียว มีสายฟ้าออกมาเกือบครึ่งลานประลองบู๊

กวนหานก็ปล่อยพลังปราณอันแข็งแกร่งออกจากตัว ฝ่ามือขวากลายเป็นสีฟ้าเย็นยะเยือก

ฉึบ กวนหานใช้สองนิ้วรับกระบี่ของลู่ฝาน สายฟ้าพาดผ่านไป กวนหานไม่ขยับไปไหน

ในดวงตาแดงก่ำ กวนหานพูดเบาๆ ว่า “แช่แข็งสรรพสิ่ง!”

พลังปราณเย็นยะเยือกถึงกระดูกพุ่งขึ้นมาจากใต้เท้า อุณหภูมิความร้อนรอบๆ ลดลงทันที

ผู้ชมจำนวนไม่น้อยรู้สึกว่าตัวเองเย็นตั้งแต่หัวจรดเท้า เหมือนลมหนาวพัดผ่านมา

ลู่ฝานรู้สึกว่าเส้นลมปราณชี่ของตัวเองใกล้โดนแช่แข็ง เคล็ดวิชาบู๊ของกวนหานดูคล้ายกับหุ่นเชิดวิญญาณ

ปราณชี่พุ่งขึ้นมา ลู่ฝานหันหลังถอยไปหลายก้าว

ฝ่าเท้าก้าวเดินแบบจิ่วกง กระบี่ไร้คมโจมตีออกมาอีกครั้ง

กระบี่ฆ่าพิชิตฟ้า!

กระบี่ประชิดตัว ปราณพลุ่งพล่าน

กวนหานยังคงชูมือขวาอย่างไม่เป็นเดือดเป็นร้อน จากนั้นแตะลงกลางอากาศ

เหมือนบังเอิญแต่ก็ไม่ได้บังเอิญ นิ้วของเขาผ่านตัวอักษรคำว่าฆ่าทั้งเจ็ดตัว จากกระบี่ของลู่ฝาน แล้วแตะลงบนกระบี่ไร้คม

ลู่ฝานใช้พลังทั้งหมดกดลงไปด้านล่าง พบว่ามือของกวนหาน เหมือนภูเขาลูกใหญ่ ไม่ขยับไปไหนแม่นิดเดียว

“พลังของนายน้อยไปหน่อยนะ!”

กวนหานแสยะยิ้มเย็นชาแล้วเอ่ยขึ้น

ลู่ฝานตกใจเล็กน้อย เขากินยาวิญญาณแปรเปลี่ยนชีวิตไปแล้ว แต่พลังยังเทียบกวนหานไม่ได้ เขาประเมินกวนหานต่ำไป

พื้นด้านล่างเท้าเป็นน้ำแข็ง มือซ้ายของกวนหานกลายเป็นหมัดโจมตีออกมา

หมัดไม่ได้เร็ว แต่มีพลานุภาพพลุ่งพล่าน

อีกทั้งวิชาหมัดของเขา ทำให้ลู่ฝานรู้สึกว่าไม่ว่าจะหลบอย่างไร ก็โดนโจมตี ความรู้สึกประหลาดแบบนี้ ต้องเป็นพลังที่มาจากวิถีใดวิถีหนึ่งแน่นอน

ลู่ฝานรีบตัดสินใจใช้เขตวิถีบนกระบี่หนักไร้คม

เมื่อเห็นแขนของกวนหานลดลดต่ำลง ลู่ฝานใช้โอกาสนี้เตะลงบนท้องกวนหาน

เตะอันทรงพลัง ที่ทำให้เขาถล่มหินกระจาย แต่กวนหานไม่ขยับไปไหนเลย รับมันไว้อย่างฝืน กลับเป็นลู่ฝานที่โดนแรงสะท้อนกลับจนถอยหลังไปสิบก้าว ยืนโงนเงน แต่ก็ใช้โอกาสนี้หลบพลังหมัดของกวนหาน

“พลังเขตวิถี กระบี่ดี ฉันขอเก็บกระบี่เล่มนี้ของนายไว้ละกัน”

กวนหานมองกระบี่ไร้คมในมือลู่ฝานด้วยแววตาโลภ

ลู่ฝานตกใจว่าทำไมร่างกายกวนหานทนทานขนาดนี้ ไม่เหมือนพลังป้องกันที่นักบู๊แดนปราณชีวิตควรมี

กวนหานง้างมือใส่ลู่ฝาน พลังสีฟ้าเย็นยะเยือกพุ่งขึ้นมาบนแขนเขาอีกครั้ง

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 556
คนเดียวฆ่าคนเป็นร้อย ใต้ตีนเขาหลีซาน ฆ่าคนมากมาย

กระบี่เพียงเล่มเดียวในมือ ต่อกรกับศัตรูเหมือนพันกระบี่

เทพสังหารใบหน้าเย็นชา พันกระบี่เย็นเยือก

แม้แต่ลู่ฝานก็ได้ยินฉายาของกวนหานมาเล็กน้อย ลู่ฝานจำได้ว่าตอนอยู่เมืองเจียงหลินบ้านเกิด ก็ได้ยินฉายานี้แล้ว

จำได้ว่าตอนนั้นเขาฟังมันเป็นนิทาน

ใครจะไปคิด หลังผ่านไปสองสามปี เขาจะเป็นศัตรูกับคนที่อยู่ในตำนานจริงๆ

เซี่ยวเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ ลู่ฝานขยับเข้ามาใกล้ แล้วพูดเบาๆ ว่า “ลู่ฝาน คนอ้วนคนนี้เป็นเถ้าแก่ของลานประลองบู๊ตะวันออก แซ่เจิง คนเรียกกันว่าไอ้อ้วนเจิง ถือว่าเป็นคนที่โดดเด่นคนหนึ่งในเมืองตงหวา!”

ลู่ฝานอมยิ้มแล้วพยักหน้า ตอนนี้เขารู้สึกค่อนข้างเป็นมิตรกับคนอ้วนไปแล้ว

อาจเป็นเพราะคนอ้วนที่เขาเจอในช่วงนี้ล้วนเป็นคนดี อย่างเช่น อาจารย์อี้ชิงกับศิษย์พี่ใหญ่

ไอ้อ้วนเจิงมองกลุ่มคนรอบๆ ที่ส่งเสียงตกอกตกใจ ด้วยสีหน้าพึงพอใจ ยืดพุงตัวเองที่ใกล้จะทำกางเกงแตก ไอ้อ้วนเจิงพูดว่า “ขอไม่พูดไร้สาระละกัน คนที่ต้องการพนัน ตอนนี้สามารถพนันได้เลย ต่อไปลานประลองจะเป็นของคุณชายกวนกับคุณชายลู่ฝาน!”

ลู่ฝานขมวดคิ้วเบาๆ คิดไม่ถึงว่าจะเอาพวกเขาไปพนันด้วย

กวนหานก็แสยะยิ้มเย็นชา แววตาที่มองไอ้อ้วนเจิงดูไม่เป็นมิตร

รอให้สู้เสร็จ ค่อยคิดบัญชีกับเขา!

กวนหานลุกขึ้นช้าๆ เคลื่อนตัวเพียงพริบตา เหมือนเงามาอยู่ในลานประลองบู๊

ลู่ฝานก็ยืนขึ้นเช่นกัน จู่ๆ ศิษย์พี่หานเฟิงที่อยู่ข้างๆ จับแขนเสื้อลู่ฝานไว้ “ศิษย์น้องลู่ฝาน ถ้าสู้ไม่ไหวให้เรียกฉัน หึหึ ศิษย์พี่รับรองว่าจะช่วยนายฆ่าเขา!”

หัวหน้าเขตอี้ว์ได้ยินคำพูดของหานเฟิงอย่างชัดเจน

หัวหน้าเขตอี้ว์กวาดตามองหานเฟิง จู่ๆ ก็หัวเราะออกมา “คนตระกูลหาน ไม่ได้เจอกันนาน”

หานเฟิงมองหัวหน้าเขตอี้ว์เนิบๆ ไม่ได้พูดอะไร

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “วางใจเถอะศิษย์พี่หานเฟิง ผมมั่นใจ”

พูดพลาง ลู่ฝานหยิบยาออกมาจากในอกหนึ่งเม็ด

ยาเป็นสีขาวดำแวววาว มีกระแสลมหมุนวนอยู่ด้านบน

เพิ่งเอาออกมา ก็ทำให้คนรอบๆ จำนวนไม่น้อยได้กลิ่นหอมอันประหลาดของยา

ยาวิญญาณแปรเปลี่ยนชีวิต!

ลู่ฝานกินยาเข้าไปอย่างไม่ลังเล

ฤทธิ์ยากลายเป็นสายน้ำ พลุ่งพล่านอยู่ในตัวเขา

จู่ๆ มีพลานุภาพน่ากลัวปรากฏบนตัวเขา ลู่ฝานพุ่งเข้าสู่แดนปราณชีวิต

ฟู่ว!

ลู่ฝานพรูลมหายใจออกมา เขากลายเป็นสายลมพุ่งไปในลานประลองเช่นกัน

กวนหานเห็นพลังพลุ่งพล่านบนตัวลู่ฝาน เขาหัวเราะพรืดแล้วพูดว่า “อาศัยยามาสู้กับฉัน นายคิดว่าตัวเองเป็นผู้ฝึกชี่เหรอ”

ลู่ฝานพูดว่า “แค่ชนะนายก็พอแล้วไม่ใช่เหรอ”

แววตากวนหานมีเลศนัย เขาดึงกระบี่ตัวเองออกมา ปาดกระบี่ลงกลางฝ่ามือ

เลือดสดหยดลงมา กวนหานพูดอย่างบ้าคลั่งว่า “มาสิลู่ฝาน เรามาทำสัญญาเป็นตายกฎแห่งสวรรค์กัน!”

เมื่อพูดออกมา ทุกคนถึงกับตกตะลึง

ขนาดหัวหน้าเขตอี้ว์ยังขมวดคิ้วเบาๆ แอบพูดว่า “ซวยแล้ว!”

ลู่ฝานมองการกระทำของกวนหาน ก็ยิ้มออกมาเช่นกัน

สัญญาเป็นตายกฎแห่งสวรรค์ มีผลมากกว่าเอกสารความเป็นตายทั่วไป

ใช้เลือดกระตุ้น เอาสัญญาเข้าไปในฟ้าดิน ให้ฟ้าดินเป็นพยาน ต่อสู้ด้วยความเป็นตาย

วันนี้คงมีแค่คนเดียว ที่สามารถออกจากลานประลองบู๊ได้

ลู่ฝานเอากระบี่หนักออกมาปาดลงกลางฝ่ามือตัวเอง อย่างไม่ลังเลเช่นกัน

จากนั้นยื่นมือไปหากวนหาน ฝ่ามือทั้งสองสัมผัสกัน เลือดไหลลงมาพร้อมกัน

“ฉันกวนหาน ต่อสู้ด้วยความเป็นตาย”

“ฉันลู่ฝาน ต่อสู้ด้วยความเป็นตาย”

“ฟ้าดินเป็นพยาน!”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 555
กวนหานส่งเสียงหึอย่างเย็นชา ไม่ต่อล้อต่อเถียงกับลู่ฝานอีก หันหลังเดินเข้าไปในลานประลองบู๊

หัวหน้าเขตอี้ว์เดินมาข้างลู่ฝาน แล้วพูดเบาๆ ว่า “ลู่ฝาน นายเตรียมตัวเป็นยังไงบ้าง”

ลู่ฝานพูดว่า “ถือว่าพร้อมครับ”

หัวหน้าเขตอี้ว์พูดเบาๆ ว่า “ลู่ฝาน อีกเดี๋ยวนายเอาชนะเขาได้ แต่ห้ามฆ่าเขาเด็ดขาด ไม่งั้นนายจะซวยมาก”

ลู่ฝานที่กำลังจะเดินเข้าไปชะงักฝีเท้าลง

“ท่านหัวหน้าเขตอี้ว์ เหมือนคุณมั่นใจมากว่าวันนี้ผมจะชนะการต่อสู้เป็นตาย บอกผมได้ไหมว่าเพราะอะไร”

หัวหน้าเขตอี้ว์ยิ้มบางๆ แล้วพูดอย่างมีเลศนัย “เรื่องอื่นฉันมีความสามารถแค่ทั่วไป มีเพียงการมองคนที่แม่นยำมาก!”

คำตอบนี้เหมือนไม่ได้ตอบ ลู่ฝานมองหัวหน้าเขตอี้ว์แล้วพูดว่า “ท่านหัวหน้าเขตอี้ว์ หลังจากการต่อสู้นี้สิ้นสุดลง ผมยังอยากสอบผู้ตรวจการชั้นกลาง ได้โปรดอำนวยความสะดวกให้ด้วย”

หัวหน้าเขตอี้ว์จ้องลู่ฝาน แล้วพูดว่า “จิตใจของนายมีความทะเยอทะยานมาก ได้ ถ้าเอาชนะกวนหานได้ ฉันจะบอกนายล่วงหน้าว่าภารกิจการสอบของนายคืออะไร”

ลู่ฝานจิตใจวูบไหว แววตามีความดีใจเล็กน้อย

เขาพยักหน้าเบาๆ แล้วเดินเข้าไปในลานประลองบู๊

กลุ่มคนรอบๆ ล้วนมองลู่ฝานกับพวกหัวหน้าเขตอี้ว์ด้วยแววตาลุกโชน

“นี่คือคุณชายลู่เหรอ เป็นบุคคลที่มีรูปร่างหน้าตาสง่างามเกรงขามจริงๆ”

“ดูพลานุภาพของคุณชายลู่ ถึงสู้กับกวนหานก็ใช่ว่าจะเอาชนะไม่ได้ไร้โอกาส”

“ฉันก็คิดเหมือนกัน การต่อสู้ครั้งนี้น่าดูแล้ว!”

……

ลู่ฝานเดินเข้าไปในลานประลองบู๊อย่างราบรื่น

ตอนศิษย์พี่หานเฟิงเดินเข้ามา ยังถือโอกาสเอาเงินมาจากหลิวเหล่าลิ่วจนหมดตัว ไม่เหลือให้หลิวเหล่าลิ่วสักเหรียญเดียว

เมื่อไม่มีการขวางจากหลิวเหล่าลิ่ว กลุ่มคนข้างนอกพากันกรูเข้ามา

ถึงต้องกองกันเป็นกำแพง พวกเขาก็จะดูการต่อสู้เป็นตายวันนี้ให้จบ

ลู่ฝานกับกวนหานเดินตามกันเข้าไปในลานประลองบู๊ เพิ่งเข้ามาก็เห็นคนจำนวนมากลุกขึ้นส่งเสียงเชียร์

กวนหานสีหน้าเย็นชา ไม่สนใจคนพวกนี้แม้แต่น้อย เดินตรงไปนั่งลงข้างลานประลองบู๊ โยนเสื้อคลุมด้านนอก กลุ่มผู้ชมรีบหลีกทางให้เขา

พวกลูกศิษย์สำนักโลหิตพิฆาต นั่งด้านหลังกวนหาน ความอาฆาตแผ่ออกจากตัวพวกเขาเล็กน้อย เพียงพอที่จะทำให้คนขี้ขลาดฉี่ราดได้ทันที

ลู่ฝานกับพวกหัวหน้าเขตอี้ว์นั่งอยู่อีกด้านหนึ่ง เซี่ยวเอ๋อร์นั่งลงข้างลู่ฝาน เหมือนตั้งใจหรือไม่ตั้งใจไม่รู้ อีกทั้งยังนั่งใกล้เขามาก ลู่ฝานได้กลิ่นหอมออกมาจากตัวเซี่ยวเอ๋อร์

หอมกว่าพวกเครื่องสำอางทั่วไปมาก ถ้าไม่ผิดพลาด น่าจะเป็นกลิ่นหอมจากตัวแน่นอน

ทำไมครั้งก่อนถึงไม่ได้กลิ่น

หรือเพราะครั้งก่อนไม่ได้ใส่ใจ

ความคิดวุ่นวายวนเวียนในหัวลู่ฝาน ขณะนั้นเห็นคนอ้วนคนหนึ่งเดินไปในลานประลองบู๊

ลานประลองบู๊ขนาดใหญ่ หลอมมาจากหินแร่แดงเขียว ไม่ต้องพูดถึงเรื่องความทนทานของวัสดุนี้ เมื่อเดินอยู่ด้านบนยังมีเสียงดังชัดเจน

อาจเป็นเพราะคนอ้วนคนนี้น้ำหนักเกินไป ดังนั้นเมื่อเขาเดินด้านบนลานประลองบู๊ จึงเกิดเสียงดังมีพลังมาก ได้ยินไปทั่วลานประลองบู๊

“สหายทุกท่าน ยินดีต้อนรับสู่ลานประลองบู๊ทิศตะวันออก ยินดีมากที่วันนี้ลานประลองบู๊ทิศตะวันออกของเรา มีการต่อสู้ที่สุดแห่งยุคอีกแล้ว ลู่ฝานที่ได้ตำแหน่งผู้ตรวจการชั้นล่าง ผ่านด่านเขาดาบทะเลเพลิงที่ยากที่สุด คุณชายลู่ฝานจะท้าประลองกับพันกระบี่เย็นเยือกที่มีชื่อเสียงอย่างคุณชายกวนหาน!”

เมื่อได้ยินคำว่าพันกระบี่เย็นเยือก คนไม่น้อยส่งเสียงออกมาด้วยความตกใจ

คนทั่วไปไม่ค่อยรู้จักชื่อกวนหานเท่าไรนัก แต่ฉายานักฆ่าหัตถ์เลือดกระบี่เย็นเยือก พวกเขาได้ยินประดุจอสนีบาตกัมปนาทก้องหู

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 554
พี่ชายเห็นในกองเหรียญเงินมีเหรียญทองอยู่สองสามเหรียญ รีบยิ้มแล้วพูดเบาๆ ว่า “เข้าได้ๆ พวกนายรอสักครู่ ฉันจะแอบให้พวกนายเข้าไป”

ลู่ฝานเห็นแล้วหมดคำจะพูด เมื่อกี้เขากำลังจะถอดหมวก บอกว่าตัวเองเป็นใคร ใครจะไปรู้ว่าพี่ชายเฝ้าประตูคนนี้จะไร้คุณธรรมขนาดนี้

ศิษย์พี่หานเฟิงยิ้มแล้วพูดว่า “ความรู้สึกดีมากจริงๆที่เป็นคนรวย”

ขณะกำลังพูด จู่ๆ มีคนเดินมาข้างหลังพี่ชายคนนั้น ฉกเหรียญเงินในมือพี่ชายเฝ้าประตูไป

“ทำอะไร ใครบอกให้เข้ามา ไม่มีที่นั่งแล้ว เข้าอะไรกัน”

พี่ชายหดคอลง ไม่พูดอะไรสักคำ

ชายร่างกายกำยำ อกผายไหล่ผึ่งที่มาถึง จ้องลู่ฝานและคนอื่น แล้วพูดว่า “เงียบให้หมด อยากเข้าไปใช่ไหม คนละสิบเหรียญเงิน ให้ก่อนได้เข้าก่อน คนต่อไปข้างหลัง เพิ่มขึ้นคนละหนึ่งเหรียญเงิน คนต่อไปต้องให้ 11 เหรียญเงิน!”

ศิษย์พี่หานเฟิงพูดอย่างตกใจ “ไอ้หมอนี่ร้ายกาจกว่าฉันอีก เพิ่มเรื่อยๆ แบบนี้ งั้นต้องจ่ายเท่าไรล่ะ!”

ชายร่างกายกำยำจ้องหานเฟิงแล้วพูดว่า “นายไม่ต้องเข้า ให้เท่าไรก็อย่าหวังว่าจะได้เข้าไป”

ลู่ฝานพูดเบาๆ ว่า “นายหาเงินแบบนี้ ไม่มีใครสนใจเลยเหรอ”

ชายร่างกายกำยำหัวเราะเย็นชา “ใครสนใจฉัน ใครกล้าสนใจฉัน คนจนๆ แบบพวกนาย ยังอยากเข้าไปในลานประลองบู๊ชมการต่อสู้ คนตาต่ำแบบพวกนาย ถ้าไม่ให้เงินก็รอข้างนอก”

จู่ๆ กลุ่มคนเริ่มก่นด่าออกมา

“หลิวเหล่าลิ่ว นายทำเกินไปแล้ว”

“หลิวเหล่าลิ่ว นายอาศัยที่คุณท่านหลิวเป็นญาตินาย ระวังโดนเงินกระแทกตายนะ”

ศิษย์พี่หานเฟิงเริ่มถลกแขนเสื้อ เตรียมต่อยคน

ขณะนั้นกลุ่มคนแยกออกเหมือนสายน้ำ รถม้าเคลื่อนตัวมาเป็นแถว

ม้าที่ลากรถไม่ใช่ม้าธรรมดา อย่างน้อยลู่ฝานก็ไม่รู้ว่าม้าที่ปิดเลี้ยง ยังสยายปีกได้ด้วย ดวงตาก็เป็นสีแดง ต้องเป็นสัตว์อสูรแน่นอน

ตัวรถหรูหราโอ่อ่า พลานุภาพยิ่งใหญ่ ตัวอักษรคำว่าอี้ว์ด้านบนสะดุดตามาก

“หัวหน้าเขตอี้ว์มาถึงแล้ว!”

ทุกคนคำนับทำความเคารพทันที

คนที่ไม่ใช่นักบู๊ จำเป็นต้องคุกเข่า

หลิวเหล่าลิ่วก็รีบโค้งคำนับ หัวหน้าเขตอี้ว์พาอี้ว์เซี่ยวเอ๋อร์และคนอื่น เดินลงมาจากรถม้า

ลู่ฝานกับหานเฟิงโค้งคำนับเบาๆ แสดงความเคารพ

หัวหน้าอี้ว์มองแวบเดียวก็เห็นลู่ฝาน เขาหัวเราะเสียงดังแล้วพูดว่า “ลู่ฝาน นายยืนข้างนอกทำไม วันนี้นายเป็นตัวเอกเลยนะ!”

เมื่อได้ยินคำว่าลู่ฝาน ดวงตาของหลิวเหล่าลิ่วค้างไปทันที

ลู่ฝานรีบถอดที่แต่งตัวออก เห็นใบหน้าที่แท้จริง เขายิ้มแล้วพูดว่า “จนปัญญา มีคนขวางไม่ให้เข้า บอกว่าที่นั่งเต็มแล้ว ผมกำลังคุยกับเขาอยู่”

หลิวเหล่าลิ่วเริ่มสั่นไปทั้งตัว หัวหน้าเขตอี้ว์มองเขาเนิบๆ หลิวเหล่าลิ่วทรุดลงบนพื้นแล้วสลบไป ครั้งนี้เขาหาเงินจนเกิดเรื่องจริงๆ

อี้ว์เซี่ยวเอ๋อร์ก็เดินเข้ามายิ้มให้ลู่ฝาน “คุณชายลู่ วันนี้นายต้องชนะนะ”

ลู่ฝานยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “ทำสุดความสามารถของผม”

ขณะกำลังพูด มีรถม้าตัวสูงใหญ่วิ่งเข้ามาจากไกลๆ อีกแล้ว

ไม่สนใจว่าด้านหน้ามีคนเดินอยู่หรือไม่ รถม้าพุ่งมาหน้าประตู

“คุณชายกวนมาถึงแล้ว!”

นักบู๊คนหนึ่งตะโกนออกมา ทันใดนั้นกวนหานเดินลงมาด้วยใบหน้าเย็นชา

กวนหานมองลู่ฝานเนิบๆ แล้วส่งเสียงหึออกมา สะบัดเสื้อคลุมแล้วพูดว่า “ลู่ฝาน คิดคำพูดทิ้งท้ายไว้หรือยัง”

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ได้คิด นายคิดหรือยัง”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 553
ผ่านไปสองวัน ท้องฟ้าแจ่มใส

ลานประลองบู๊ทิศตะวันออกกลางเมืองตงหวา วันนี้เต็มไปด้วยผู้คน

“รีบมาดูเร็ว วันนี้มีการต่อสู้เป็นตาย ถ้าพลาดไม่มีโอกาสอีกแล้วนะ!”

เจ้าหน้าที่ของลานประลองบู๊ เรียกคนที่เข้ามาดู เข้าไปในลานประลองตามลำดับ ยุ่งจนปลีกตัวไม่ได้

ตรงทางเข้ามีป้ายใหญ่ดึงดูดสายตา

“คุณชายกวนผู้ไร้เทียมทานเผชิญหน้ากับลู่ฝานนักกระบี่ผู้ห้าวหาญ!”

ป้ายขนาดใหญ่ตั้งตระหง่าน ตัวอักษรใหญ่จนมองเห็นได้จากไกลๆ

ป้ายลวกๆ แบบนี้ ยังดึงดูดสายตาคนจำนวนมากได้

หานเฟิงที่ยืนอยู่ในกลุ่มคน เห็นป้ายแล้วจะหัวเราะออกมา

หานเฟิงพูดเบาๆ กับลู่ฝานที่อยู่ข้างๆ “ศิษย์น้องลู่ฝาน ป้ายนี้มีความเฉพาะตัวมาก นักกระบี่ผู้ห้าวหาญ ฉายานี้ไม่เลวนะ ถ้าต่อไปนายไม่ใช้ก็ให้ฉันสิ”

ลู่ฝานขี้เกียจสนใจหานเฟิง เขาดึงหมวกให้ต่ำลงมา

ตอนมากลัวคนอื่นจำได้ ลู่ฝานจึงปลอมตัวเล็กน้อย ไม่งั้นเขาคงออกจากสวนหอมปาฟางไม่ได้

ไม่รู้ใครป่าวประกาศเรื่องที่เขาต่อสู้เป็นตายกับกวนหานวันนี้

ตอนนี้คนรู้ไปทั่วเมืองตงหวา ลานประลองบู๊ทิศตะวันออก ไม่มีการนัดสู้ที่ไม่จำเป็นตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว

ปกติที่นี่เป็นสถานที่นัดสู้ของนักบู๊ที่มีชื่อเสียงของเมืองตงหวา และเป็นสถานที่ที่ทำให้คนตายได้ ซึ่งมีไม่มากในเมืองตงหวา แค่เซ็นเอกสารความเป็นตายก่อนสู้เท่านั้น

ลานประลองบู๊ดูมีพลังมาก แค่ประตูเข้าออกก็มีแปดทาง แค่จ่ายหนึ่งเหรียญเงินก็เข้าได้ มาตรฐานการเก็บเงินเหมือนที่ศิษย์พี่หานเฟิงทำ

ลานประลานบู๊ขนาดใหญ่สูงประมาณสามสิบเมตร มีรูปสลักอยู่เต็มไปหมด

เมื่อเพ่งมองดู เห็นภาพและชื่อคนมากมาย ดูเหมือนจริงมาก

ศิษย์พี่หานเฟิงดูพลางพูดว่า “อักษรที่สลักพวกนี้ ล้วนเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง ซึ่งออกมาจากลานประลองบู๊ ศิษย์น้องลู่ฝาน ฉันแน่ใจว่าหลังจากวันนี้ ชื่อของนายจะปรากฏอยู่บนกำแพงเหมือนกัน”

ลู่ฝานมองแค่ไม่กี่ครั้ง ไม่ได้สนใจอะไร

ขณะนั้น จู่ๆ แถวข้างหน้าหยุดลง ได้ยินเจ้าหน้าที่ลานประลองบู๊ พูดเสียงดังว่า “พอแล้วๆ ไม่มีที่นั่งแล้ว”

ทันใดนั้น คนที่ยังอยู่ด้านนอกตะโกนขึ้นมา

“เกิดอะไรขึ้น ลานประลองบู๊ใหญ่ขนาดนี้ ไม่มีที่นั่งได้ไง”

“เหรียญเงินแค่เหรียญเดียวน้อยไปใช่ไหม ฉันให้สองเหรียญเงิน ให้ฉันเข้าไป ฉันจะดูว่าคุณชายกวนจะจัดการไอ้เด็กมาใหม่ลู่ฝานยังไง”

“ให้ที่ยืนกับฉันก็พอ ฉันจะดูว่าคุณชายลู่จะสร้างปาฏิหารย์ยังไงอีก”

“ฉันให้หนึ่งเหรียญทอง รีบปล่อยเข้าไป”

……

เสียงตะโกนต่างๆ นานาดังขึ้น

ลู่ฝานกับหานเฟิงมองหน้ากัน รีบเบียดไปด้านหน้า

ใช้ความสามารถของทั้งสองคน เบียดกลุ่มคนที่แน่นขนัดจนมาถึงด้านหน้าสุด

ผู้ดูแลลานประลองบู๊โบกมืออย่างอวดดี “ไม่มีที่แล้วๆ พวกนายยืนฟังเสียงข้างนอกก็พอแล้ว ถ้าโวยวายอีกจะไล่แล้วนะ!”

ลู่ฝานเดินเข้ามาพูดกับผู้ดูแลปากจัดว่า “พี่ชาย คนอื่นเข้าไม่ได้ แต่ฉันต้องเข้าไป”

พี่ชายคนนี้มองลู่ฝานอย่างประเมิน พูดอย่างดูหมิ่นว่า “นายเป็นใคร ทำไมฉันต้องให้นายเข้าไปด้วย ถึงนายเอาเงินตบหน้าฉัน ฉันก็ไม่ให้นายเข้าไป”

เขาเพิ่งพูดจบ ศิษย์พี่หานเฟิงโยนเหรียญเงินเป็นกำใส่หน้าพี่ชายคนนั้น “ให้เข้าได้หรือยัง”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 552
ลู่ฝานกำลังชั่งใจ ขณะนั้นพลังประหลาดแผ่ซ่านไปทั่วจวนอากาศธาตุ

โฮก!

เสียงมังกรคำรามดังขึ้นมาอย่างชัดเจน ลู่ฝานตกใจทันที ในจวนอากาศธาตุ นอกจากเขาก็มีเจ้าดำ อย่าบอกนะว่าเจ้าดำตื่นแล้ว

ลู่ฝานรีบมาที่ตำหนักดวงดาว

เห็นเจ้าดำที่ดูเปลี่ยนไปหมด เดิมที่ตัวดำขลับ ตอนนี้มีแสงสีทองเล็กน้อย ตัวใหญ่ขึ้นกว่าเดิมเกือบเท่า หัวก็ดูเหลี่ยมขึ้นไม่น้อย

มีเขามังกรอยู่ตรงหน้าผาก แม้ไม่ใหญ่ แต่ยืนยันสายเลือดเผ่ามังกรของมันได้ เกล็ดขนาดใหญ่และหนาขึ้น ปกคลุมร่างกายมันเหมือนเกราะ และความงดงามด้วย

ขาหลังดูแข็งแรงมีพลัง ส่วนขาหน้าดูเรียวยาว กรงเล็บมังกรแยกออกเป็นห้านิ้วเหมือนมนุษย์ ปีกสองข้างด้านหลังขยายใหญ่ขึ้น ขยับเพียงเล็กน้อยสามารถทำให้เกิดลมแรงได้

เมื่อเห็นภาพนี้ ลู่ฝานนึกถึงสัตว์อสูรที่มีชื่อเสียงมากชนิดหนึ่ง

มังกรปีศาจห้ากรงเล็บ!

แม้เทียบไม่ได้กับพลานุภาพของมังกรปีศาจห้ากรงเล็บที่ยิ่งใหญ่ในตำนาน แต่ก็ดูคลับคล้ายคลับคลาแล้ว

เสียงคำรามค่อยๆ หายไป ปีกที่สยายของเจ้าดำก็หุบลง

เจ้าดำหันหัวใหญ่ๆ มาเห็นลู่ฝาน แล้ววิ่งเข้ามาหาลู่ฝานทันที

เคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย ลู่ฝานรู้สึกว่าทางเดินดวงดาวใต้เท้าสั่นไปมา ถ้าโดนชน เขาน่าจะปลิวไปไกล

ลู่ฝานรีบยกมือพูดกับเจ้าดำว่า “หยุด!”

เจ้าดำหยุดลงทันที แต่ลมแรงพัดใส่จนลู่ฝานจนเจ็บแก้ม

ไอ้ตัวนี้ยิ่งโตขึ้นเรื่อยๆ ต้องกินเยอะขึ้นแน่ๆ

ลู่ฝานมองเจ้าดำแลบลิ้นออกมา ทำไมยังเหมือนสุนัข ต่อไปถึงมันกลายเป็นมังกรจริงๆ ก็คงเหมือนสุนัข

“เจ้าดำ ตอนนี้พละกำลังของแกเป็นยังไงบ้าง”

ลู่ฝานเอ่ยถามเจ้าดำ

เจ้าดำยกแขนตัวเองขึ้นมา ทำท่าเหมือนตัวเองมีพลังมาก

เปลวไฟสีดำทองกะพริบอยู่ในปาก องครักษ์ที่ดูแลตำหนักดวงดาวพุ่งออกมา

ลู่ฝานเดาว่าตอนนี้พละกำลังของเจ้าดำ น่าจะใกล้ถึงแดนปราณนอกขั้นสูงสุดแล้ว ไม่แน่อาจถึงแดนปราณชีวิตก็ได้!

ขณะกำลังคิด เจ้าดำกลอกตาไปมา กลายเป็นแสงเข้าไปในตัวเขา

ทันใดนั้น ลู่ฝานรู้สึกว่าพลังของตัวเองพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว

ระยะเวลาไม่นาน พละกำลังของเขาพุ่งเกินแดนปราณชีวิต อีกทั้งยังพุ่งขึ้นเรื่อยๆ

ลู่ฝานตกใจ เขารู้สึกว่าตอนนี้ตัวเองทัดเทียมได้กับนักบู๊แดนปราณชีวิตขั้นกลาง ถ้าพวกเสวี่ยบายังมีชีวิตอยู่ เขามั่นใจว่าจะชนะ 60 เปอร์เซ็นต์

ครั้งนี้เรียกได้ว่าพละกำลังของเจ้าดำ ระเบิดพุ่งขึ้นไป

น้ำพุพลังชีวิตมีประโยชน์ขนาดนี้ ดูเหมือนต้องเก็บไว้เยอะๆ หน่อย

จู่ๆ ลู่ฝานนึกอะไรออก มีความยินดีปรากฎขึ้นบนใบหน้า

ฮ่าๆ ตอนนี้พละกำลังพอแล้วไม่ใช่เหรอ

งั้นกลั่นยาวิญญาณแปรเปลี่ยนชีวิตตอนนี้ คงไม่ใช่ปัญหาแล้วสินะ!

ลู่ฝานดีใจเป็นอย่างมาก ครั้งนี้เขาต้องกลั่นยาวิญญาณแปรเปลี่ยนชีวิตออกมาให้ได้

ลู่ฝานรีบกลับไปในโถงใหญ่ เอาหม้อสือฟางออกมาอีกครั้ง แล้วเริ่มกลั่นยา

ไม่นานกลิ่นยาแผ่ซ่านไปทั่ว

เมื่อแรงกระเพื่อมของยาปรากฏออกมา แสงแสบตาส่องไปทั่วจวนอากาศธาตุ

เสียงคำราม!

เสียงดังสนั่น!

ตามมาด้วยเสียงของลู่ฝาน

“ในที่สุดก็สำเร็จแล้ว!”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 551
เปลวไฟสีแดงลุกโชน ลู่ฝานเริ่มตั้งสมาธิกลั่นยา

เมื่อพละกำลังยกขึ้นเรื่อยๆ เขาสามารถกลั่นยาได้มากขึ้นเรื่อยๆ สมุนไพรกับสูตรการกลั่นยาที่ได้จากจวนอากาศธาตุก็เยอะขึ้นด้วย

การกลั่นยาวิญญาณแปรเปลี่ยนชีวิตครั้งนี้ เป็นยาขั้นสูงสุดสำหรับลู่ฝานแล้ว

ลู่ฝานก็ไม่มั่นใจว่าตัวเองจะกลั่นสำเร็จ พูดได้เพียงว่าทำให้เต็มที่

มีแสงสว่างหมุนวนอยู่ในหม้อสือฟาง

ลู่ฝานสูดหายใจลึก จากนั้นเริ่มทำตามขั้นตอน หลอม แยก รวมตัว ทำเป็นยา

แต่ละขั้นตอนเขาทำอย่างระมัดระวังและละเอียดมาก

เขามีสมุนไพรในการกลั่นยาประเภทนี้ไม่มาก โดยเฉพาะดอกกินแมลง ตอนนี้มีแค่ต้นเดียวเท่านั้น

ต้องระวังและรอบคอบเป็นอย่างมาก

พลังฟ้าดินรวมตัวรอบตัวเขา มีเพียงตอนกลั่นยา ที่เขาสามารถใช้พลังฟ้าดินได้ตามใจชอบ

มือร่ายคาถา ลู่ฝานทำให้จิตใจของตัวเองอยู่ในสภาวะมั่นคง

นี่เป็นความเข้าใจทางด้านร่างกาย ที่เขาได้จากการกลั่นยามาเป็นเวลานาน ภายใต้สภาวะเช่นนี้ ไม่ว่าจะกลั่นยาหรือฝึกวิชาบู๊ สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างง่ายดาย

จิตใจไม่หวั่นไหว ไร้ความปรารถนาไร้ความต้องการ

จิตใจของลู่ฝานจดจ่ออยู่ที่ยา ความเร็วในการกลั่นยาของหม้อสือฟางถูกเขาทำให้ช้าลง

เห็นยาค่อยๆ เป็นรูปเป็นร่าง จิตใจของลู่ฝานก็ตึงเครียดไปด้วย

พลังฟ้าดินรอบๆ เริ่มเคลื่อนไหว พลังบริสุทธิ์ออกมาจากธาตุทั้งห้า ซึมเข้าไปในยา

นี่เป็นสัญญาณของยาทิพย์ก่อตัวเป็นรูปร่าง ถ้าพลังบริสุทธิ์พวกนี้สามารถเป็นหนึ่งเดียวกันได้ ยาที่กลั่นออกมาจะเป็นยาทิพย์

แต่เห็นได้ชัดว่าระดับของลู่ฝานยังไม่ถึงขั้นนั้น เขาสามารถแยกพลังบริสุทธิ์แบบนี้ ออกมาจากธาตุทั้งห้าได้ ถือว่าเป็นจุดสูงสุดแล้ว

เห็นได้ด้วยตาเปล่า เม็ดยากลมๆ กำลังเป็นรูปร่างอยู่ในหม้อ

สติของลู่ฝานก็เพ่งขั้นสุด

ใจเย็น ใจเย็น!

แต่ขณะนั้น ยาสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง

บนยาเริ่มมีรอยร้าวเล็กๆ ทันใดนั้นมีแสงสว่างแสบตาพุ่งออกมาจากข้างใน

หม้อสือฟางสั่นสะเทือนไปด้วย บนหน้าผากลู่ฝานมีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นมา เขารู้สึกตัวเองควบคุมไม่ได้แล้ว

ให้ตายเถอะ หม้อจะระเบิดแล้ว!

ลู่ฝานตัดสินใจกระโดดไปด้านหลัง

เกิดเสียงดังตู้ม เสียงระเบิดดังออกมาจากหม้อสือฟาง พลังอันน่ากลัวโถมบริเวณรอบๆ ระเบิดจนสั่นไปทั้งโถงใหญ่แกว่งไปแกว่งมา

ลู่ฝานก็โดนระเบิดจนเจ็บไปทั้งตัว เขาหมอบบนพื้นอยู่นาน กว่าจะลุกขึ้นยืนได้

วันนี้เขารู้แล้วว่าทำไมมีผู้ฝึกชี่น้อยมาก ที่กลั่นยาข้ามระดับ ผลของความล้มเหลวน่ากลัวมากจริงๆ

ไม่เพียงแค่เปลืองสมุนไพร ยังอันตรายถึงชีวิตอีกด้วย!

นี่แค่ยาระดับชีวิต ถ้าเป็นยาทิพย์ หรือยาเสวียน ยายอดฟ้า ถ้ากลั่นล้มเหลว ไม่ระเบิดทั้งจวนไปด้วยเลยเหรอ

ลู่ฝานรีบเดินเข้ามาดูหม้อสือฟาง เป็นหม้อที่ดีจริงๆ โดนระเบิดแบบนี้ ยังไม่มีปัญหาอะไร

แต่ของเหลวเหนียวๆ สีดำข้างใน กลิ่นไม่ดีเลย รีบจัดการทิ้งดีกว่า

ดูสมุนไพรที่เหลืออยู่ พอให้เขาใช้ได้แค่ครั้งเดียว

เขาแอบกัดฟัน อย่าบอกนะว่าเขาต้องลดมาตรฐานลง กลั่นยาชนิดอื่น

ลู่ฝานไม่ยอม ขาดแค่การควบคุมเพียงนิดเดียว ถ้าตอนนั้นควบคุมได้ น่าจะกลั่นยาสำเร็จ

ขาดแค่พลังเพียงนิดเดียว ถ้าตอนนี้เขามีพละกำลังแดนปราณนอกชั้น7 คงกลั่นยาสำเร็จไปแล้ว

ลู่ฝานกระวนกระวาย ครุ่นคิดว่าจะกลั่นยาอื่นก่อนดีไหม ยกระดับพละกำลังตัวเองสักครั้ง แม้ทำเช่นนี้อาจทำให้พื้นฐานวิถีบู๊ของเขาไม่มั่นคง แต่ตอนนี้เขาต้องการยาวิญญาณแปรเปลี่ยนชีวิตมาก

บทที่ 550

บทที่ 552

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 550
“ศิษย์พี่หานเฟิงไม่ต่อต้านวิชาชั่วร้ายเหรอ”

เมื่อหานเฟิงได้ยินก็หัวเราะออกมา “นั่นต้องแยกแยะคนนะ ตระกูลหานของเรากับผู้ฝึกวิชาชั่วร้ายสองสามคนก็เป็น……”

หานเฟิงรู้ว่าพลั้งปากพูด จึงไม่ได้พูดที่เหลือออกมา รีบหุบปากทันที

ศิษย์พี่หานเฟิงโบกมือไปมาแล้วพูดว่า “พอแล้ว ศิษย์น้องลู่ฝานก็ไม่ต้องกังวล ฉันไม่ได้อะไรกับนาย เพราะนายมีป้ายของผู้ฝึกชั่วร้ายหรอกนะ ฉันไม่ใช่พวกคนแก่คร่ำครึหรอกนะ ฉันเจอพวกนักบู๊ที่เอาแต่พูดว่ารักความถูกต้องมาเยอะแล้ว พวกหญิงก็ร้ายชายก็เลว ส่วนคนที่มีออร่าชั่วร้ายทั้งตัว ฉันก็เคยเจอมาแล้ว ล้วนแบกรับความแค้น เป็นคนน่าสงสารที่จิตใจมีเพียงการแก้แค้น ความถูกต้อง ความชั่วร้าย คนดี คนเลว บางทีแยกแยะยากมาก ต้องดูที่คน”

ศิษย์พี่หานเฟิงตบไหล่ลู่ฝาน ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “ศิษย์พี่หานเฟิง คิดไม่ถึงว่าความคิดของพี่ไม่คร่ำครึ”

ศิษย์พี่หานเฟิงโยกหัวไปมาอย่างได้ใจ “แน่นอนอยู่แล้ว ศิษย์น้องลู่ฝาน รีบเก็บป้ายเอาไว้ อย่าเอาออกมาโชว์ง่ายๆ ต่อไปถ้านายมีโอกาสเจอคนของจิตใจเต๋าสำนักมารอีก ไม่อยากเอาป้ายนี้แล้ว เอาป้ายคืนพวกเขาซะ แค่คืนให้จิตใจเต๋าสำนักมาร พวกเขาไม่น่าจะว่าอะไร”

ลู่ฝานรีบยัดป้ายเข้าไปในแหวนอย่างรวดเร็ว

จู่ๆ ศิษย์พี่หานเฟิงกัดนิ้วจนเป็นแผล บีบเลือดหยดลงบนแหวนของลู่ฝาน

เห็นท่าทีสงสัยของลู่ฝาน ศิษย์พี่หานเฟิงพูดว่า “ฉันใช้พลังสายเลือดลงคาถาสะกดไว้ให้นาย เผื่อต่อไปนายเจอผู้ฝึกวิชาชั่วร้าย แล้วสิ่งนี้จะโผล่ออกมาเอง ป้ายนี้มีความสามารถในการคุ้มกันตัว แต่บางทีความสามารถนี้จะนำมาซึ่งความวุ่นวาย”

ลู่ฝานพยักหน้า ตอนเขาสู้กับอู่คงหลิง ป้ายนี้ก็กระโดดออกมาเองเหมือนกัน ต่อไปเกิดเรื่องแบบนี้น้อยๆ จะดีที่สุด

เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จ ศิษย์พี่หานเฟิงยิ้มแล้วเดินกลับห้อง

ลู่ฝานมองส่งศิษย์พี่หานเฟิงกลับห้อง ตัวเองก็ปิดประตูห้องเหมือนกัน

ในห้อง ศิษย์พี่หานเฟิงยืนถอนหายใจอยู่หน้าประตู

“เฮ้อ ศิษย์น้องลู่ฝานไปมีเรื่องใหญ่กับจิตใจเต๋าสำนักมารได้ยังไง”

บนใบหน้าศิษย์พี่หานเฟิงไร้รอยยิ้ม ถูกแทนที่ด้วยสีหน้ากังวล

เขาไม่ได้บอกลู่ฝาน อันที่จริงตระกูลหานเป็นหนึ่งในสิบตระกูลใหญ่

เขาไม่ได้บอกลู่ฝาน อันที่จริงเจอคนที่มีป้ายจิตใจเต๋าสำนักมารแบบเขา สิ่งแรกที่ลูกหลานตระกูลหานต้องทำ คือพาเขากลับตระกูล ถือว่าตระกูลหานเป็นตระกูลขุนนางบู๊ที่ใจกว้างกับผู้ฝึกวิชาชั่วร้ายแล้ว พวกเขายังเซ็นสัญญาไม่ก้าวก่ายกันกับสำนักวิชาชั่วร้าย แต่สำหรับคนฝึกวิชาชั่วร้ายคนอื่นยังเป็นเหมือนเดิม ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าตระกูลอื่นจะเป็นยังไง

หานเฟิงขัดคำสั่งตระกูล แต่เขาคิดว่ามันสมควรแล้ว

ไม่ปกป้องพี่น้องตัวเอง จะให้ปกป้องใคร

คาถาสะกดสายเลือดที่เขาลงไว้บนแหวนลู่ฝาน เป็นสัญลักษณ์ชนิดหนึ่ง

ต่อไปถ้าลู่ฝานเจอนักบู๊ที่แข็งแกร่ง ถ้าอีกฝ่ายรู้ว่าเขามีป้ายคำสั่งผู้ฝึกวิชาชั่วร้าย สัญลักษณ์นี้จะเป็นข้ออ้างให้ลู่ฝานได้

เขาช่วยตระกูลหานทำงาน ป้ายคำสั่งที่ว่า คือสิ่งที่ตระกูลหานมี

เมื่อเป็นเช่นนี้ ลู่ฝานก็มีสิ่งคุ้มกันตัวเพิ่มขึ้น

หานเฟิงถอนหายใจยาวออกมา

“สิ่งที่ศิษย์พี่ทำได้ ก็มีเพียงเท่านี้”

หานเฟิงสะบัดหัว ไม่อยากคิดเรื่องพวกนี้อีก เขาเดินมานอนบนเตียงแล้วหลับไป การลงคาถาสะกดสายเลือดลงไป ทำให้เขาสูญเสียพลังไม่น้อย

อีกด้านหนึ่ง ลู่ฝานเข้ามาในจวนอากาศธาตุ ถือหม้อสือฟางอยู่ในมือ ตั้งสมาธิ กำจัดความคิดวุ่นวายออกไป

ตอนนี้เขาจะกลั่นยาวิญญาณแปรเปลี่ยนชีวิต!

ลู่ฝานส่ายหน้าพูดว่า “ผมไม่ใช่ผู้ฝึกวิชาชั่วร้ายจริงๆ ศิษย์พี่หานเฟิงต้องเชื่อผม”

ลู่ฝานพูดพลางเอาป้ายออกมายื่นให้ศิษย์พี่หานเฟิง

นิ้วมือเพิ่งแตะโดนป้าย จู่ๆ ศิษย์พี่หานเฟิงร้องตะโกนออกมา

“ให้ตายเถอะ เจ็บมาก ปวดมาก!”

เห็นได้ด้วยตาเปล่าว่านิ้วมือศิษย์พี่หานเฟิง มีควันขาวลอยขึ้นมา

กระแสลมเหมือนงูสีดำตัวเล็ก วนอยู่บนนิ้วศิษย์พี่หานเฟิง ศิษย์พี่หานเฟิงอดกลั้นจนหน้าแดง ใช้พลังปราณกำจัดออกไปอย่างสุดความสามารถ จึงทำให้กระแสลมหายไป

ลู่ฝานรีบเก็บป้าย ไม่กล้าเข้าใกล้ศิษย์พี่หานเฟิงอีก

“เกิดอะไรขึ้น”

ลู่ฝานถามขึ้น

ศิษย์พี่หานเฟิงมองลู่ฝานด้วยสีหน้าประหลาด “ศิษย์น้องลู่ฝาน นายเกี่ยวข้องกับจิตใจเต๋าสำนักมารจริงๆ ป้ายอันนี้ ไม่ใช่ผู้อาวุโสทั่วไปของจิตใจเต๋าสำนักมารที่มีได้ บอกฉันมา นายมีความสัมพันธ์กับเจ้าสำนักจิตใจเต๋าสำนักมารใช่ไหม”

ศิษย์พี่หานเฟิงทำหน้าทำตาใส่ลู่ฝาน

ลู่ฝานกลอกตามองบนอย่างหงุดหงิด

“ศิษย์พี่หานเฟิง คงไม่ได้อยากบอกเรื่องนี้กับผมใช่ไหม”

ศิษย์พี่หานเฟิงพูดว่า “เหอะๆ ศิษย์น้องลู่ฝาน ไม่ว่านายจะได้ป้ายนี้มายังไง ต่อไปอย่าเอาออกมาโชว์ง่ายๆ ถ้าต่อไปนายเจอผู้ฝึกวิชาชั่วร้ายยังดีหน่อย แม้พวกเขาโหดเหี้ยมชั่วร้าย แต่ก็ต้องไว้หน้าจิตใจเต๋าสำนักมาร นายมีป้ายจิตใจเต๋าสำนักมารอยู่ในมือ พวกเขาต้องคิดให้มาก ก่อนที่จะลงมือกับนาย แต่ถ้านายเจอตระกูลนักบู๊อื่น หรือเป็นเจ้าหน้าที่ของประเทศอู่อาน นายจะซวย”

ศิษย์พี่หานเฟิงหยุดไปครู่หนึ่ง แล้วพูดต่อ “พวกพละกำลังอ่อนแอ ไม่รู้จักจิตใจเต๋าสำนักมาร ไม่มีทางไว้หน้านาย ส่วนคนที่พละกำลังแข็งแกร่ง รู้จักจิตใจเต๋าสำนักมาร ยิ่งต้องการกำจัดนาย พวกเขาไม่สนใจว่าป้ายของนายมาจากไหน เพราะนายถือป้ายคำสั่งในมือ ไม่เหมือนฉัน ที่แตะแล้วโดนเผา นั่นแสดงว่านายเป็นพวกเดียวกับจิตใจเต๋าสำนักมาร”

ลู่ฝานหนังตากระตุก พูดแบบนี้ เก็บป้ายนี้เอาไว้กับตัวก็กลายเป็นหายนะน่ะสิ

เหมือนศิษย์พี่หานเฟิงรู้ว่าลู่ฝานกำลังคิดอะไร เขายิ้มแล้วพูดว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน ตอนนี้นายอยากทิ้งป้ายแล้วใช่ไหม”

ลู่ฝานพยักหน้าพูดว่า “อย่าบอกนะว่าทิ้งก็ไม่ได้”

หานเฟิงพูดว่า “ได้น่ะได้ แต่เมื่อนายทิ้งป้าย เท่ากับให้คนของจิตใจเต๋าสำนักมารมาฆ่านาย ให้ป้ายจิตใจเต๋าสำนักมารกับนาย แต่นายกลับไม่ต้องการ ทิ้งมันมั่วซั่ว ถ้าไม่ฆ่านาย จิตใจเต๋าสำนักมารจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน นายอยากให้จิตใจเต๋าสำนักมารออกคำสั่ง แล้วคนที่ฝึกวิชาชั่วร้ายทั้งหมดมาฆ่านายเหรอ”

ลู่ฝานอ้าปากค้าง

“ทำไมแบบนี้ก็ไม่ได้ แบบนั้นก็ไม่ได้ ป้ายอันนี้กลายเป็นสิ่งหลอกลวงคนอื่นไปแล้ว ทิ้งก็ทิ้งไม่ได้”

ศิษย์พี่หานเฟิงผายมือสองข้างอย่างช่วยไม่ได้ “ใครใช้ให้นายเอาป้ายอันนี้มาล่ะ ศิษย์น้องลู่ฝาน ศิษย์พี่ขอเตือนนาย ต่อไปถ้าเจอคนของสิบตระกูลใหญ่ ต้องระวังให้มาก พวกเขาฆ่าผู้ฝึกวิชาชั่วร้ายอย่างไร้ความปรานี แค่บนตัวมีออร่าชั่วร้ายเพียงนิดเดียว พวกเขาจะจับกลับไปสอบสวนอย่างทรมาน”

สิบตระกูลใหญ่!

ลู่ฝานหวาดกลัวในใจ แล้วพยักหน้าเบาๆ

หานเฟิงมองป้ายในมือลู่ฝานด้วยสายตาประหลาด

หานเฟิงพูดพึมพำว่า “เฮ้อ ทำไมฉันไม่มีป้ายแบบนี้บ้าง มีป้ายแบบนี้ไว้สักอัน พวกสาวๆ ที่ฝึกวิชาชั่วร้าย ต้องกรีดร้องโผเข้ามาหาฉัน ให้ฉันเอายังไงก็ได้”

การได้ยินของลู่ฝานไม่เลว เขาได้ยินเสียงพึมพำของศิษย์พี่หานเฟิงอย่างชัดเจน

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 548
คำว่าปีศาจบนป้ายกำลัง “แยกเขี้ยวยิงฟัน” ใส่เธอ อู่คงหลิงไม่สามารถลงมือได้

ในบรรดาผู้ฝึกวิชาชั่วร้าย การลอบโจมตีคนของจิตใจเต๋าสำนักมาร เป็นโทษมหันต์ โดยเฉพาะหลังจากที่อีกฝ่ายโชว์ป้ายขึ้นมา

มือของอู่คงหลิงหยุดลงห่างจากคอลู่ฝานหนึ่งนิ้ว ลมจากฝ่ามือพัดผมลู่ฝานจนปลิว

ลู่ฝานหันมายิ้มกับอู่คงหลิง “ที่แท้ป้ายอันนี้ใช้งานแบบนี้นี่เอง ฉันรู้แล้วว่าต่อไปจะรับมือพวกผู้ฝึกวิชาชั่วร้ายแบบพวกเธอยังไง”

อู่คงหลิงกัดฟันพูดว่า “คุณชายลู่ ใช้อำนาจรังแกคนอื่นแบบนี้ไม่ดีนะ”

ลู่ฝานพูดว่า “ถ้าไม่ใช่อำนาจรังแกคนอื่น แล้วจะมีอำนาจไปทำอะไร คุณอู่คงหลิง ฉันสั่งให้เธอไปซะ ไปให้ไกล อย่าให้ฉันเห็นเธออีก”

สีหน้าอู่คงหลิงหลากหลายอารมณ์ ลู่ฝานยื่นป้ายมาตรงหน้าอู่คงหลิงทันที

“เธอกล้าขัดคำสั่งของจิตใจเต๋าสำนักมารเหรอ”

พูดพลาง ลู่ฝานเห็นคำว่าปีศาจบนป้ายเกิดการเปลี่ยนแปลงอีกแล้ว

ป้ายอันนี้อัศจรรย์กว่าที่เขาจินตนาการไว้เยอะ มีเวลาเขาต้องศึกษาให้ดีสักหน่อยแล้ว

อู่คงหลิงเก็บมือกลับมา สีหน้าเริ่มกลับเป็นปกติ ความสามารถในการเปลี่ยนสีหน้าของเธอสุดยอดมาก

อู่คงหลิงพูดด้วยน้ำเสียงไม่จริงจังว่า “คุณชายลู่ฝาน ถึงนายเอาสมุนไพรของฉันไปก็ไร้ประโยชน์ ฉันยังไม่ได้ให้สูตรการกลั่นยาหลอนลมปราณกับนายเลย”

ลู่ฝานเกือบหัวเราะออกมา ยิ้มมุมปากแล้วพูดว่า “คุณอู่คงหลิง ฉันไม่ได้สนใจยาหลอนลมปราณสักนิด แล้วก็ไม่ต้องการสูตรการกลั่นยาของเธอด้วย”

อู่คงหลิงอ้าปากค้างอย่างไม่อยากเชื่อ ลู่ฝานเอาสมุนไพรของเธอไป ไม่ได้จะกลั่นยาหลอนลมปราณเหรอ

แน่นอนว่าลู่ฝานไม่บอกอู่คงหลิงหรอก เมื่อสมุนไพรชนิดนี้อยู่ในมือผู้ฝึกชี่ที่แท้จริง จะกลั่นยาอะไรได้

ลู่ฝานรู้จักสูตรการกลั่นยาสูตรหนึ่ง มันเป็นสูตรการกลั่นยาอย่างดี ที่เอาออกมาจากจวนอากาศธาตุ ชื่อว่ายาวิญญาณแปรเปลี่ยนชีวิต เป็นยาชีวิตระดับสูงสุดอย่างแท้จริง หลังจากกินเข้าไป สามารถทำให้เขามีความสามารถแบบที่ไม่สามารถคาดเดาได้ ยกระดับพละกำลังได้เป็นอย่างมาก ในสูตรการกลั่นยาเขียนไว้ว่า ถึงอยู่ภายใต้การล้อมโจมตีของนักบู๊แดนปราณดิน ก็สามารถมีชีวิตรอดได้

นี่คือยาที่ลู่ฝานต้องการ เขาไม่ได้สนใจยาหลอนลมปราณอะไรนั่นเลย

ลู่ฝานไม่ได้พูดอะไรกับอู่คงหลิง กลับเข้าห้องทันที

อู่คงหลิงยืนอึ้งอยู่ที่เดิม ขณะนั้นประตูห้องของศิษย์พี่หานเฟิงเปิดออก

เห็นอู่คงหลิงยังยืนอยู่ที่เดิม ศิษย์พี่หานเฟิงพูดว่า “เป็นอะไรคุณอู่ โดนศิษย์น้องลู่ฝานปฏิเสธอีกแล้วเหรอ คุณอู่ลองพิจารณาผมดูไหม”

อู่คงหลิงมองศิษย์พี่หานเฟิงหัวจรดเท้า เห็นว่าศิษย์พี่หานเฟิงก็ไม่โดนยาหลอนประสาทเหมือนกัน

อู่คงหลิงแอบกัดฟัน คิดว่ายาหลอนประสาทของตัวเองใช้งานไม่ได้หรือเปล่า

“ไสหัวไป”

อู่คงหลิงก่นด่าออกมาอย่างไม่สนใจภาพลักษณ์ จากนั้นเดินออกไปด้วยความโมโห

ศิษย์พี่หานเฟิงโดนด่าจนลูบจมูก บ่นพึมพำว่า “ถ้าไม่เห็นแก่ที่เธอเป็นคนสวย ฉันด่าเธอตายไปแล้ว”

เมื่อพูดจบ ศิษย์พี่หานเฟิงเดินไปที่ห้องของลู่ฝานอย่างเบื่อหน่าย

ศิษย์พี่หานเฟิงเคาะประตูห้องลู่ฝาน แล้วพูดว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน ให้ฉันดูป้ายของนายหน่อยได้ไหม”

เพียงประโยคเดียว ทำให้ลู่ฝานเปิดประตูห้อง ลู่ฝานมองศิษย์พี่หานเฟิงแล้วพูดว่า “ศิษย์พี่หานเฟิงรู้แล้วเหรอ”

หานเฟิงพูดว่า “ฉันแค่ขี้เกียจสนใจ ไม่ใช่คนปัญญาอ่อนนะ เอาป้ายออกมาให้ฉันดูเร็วๆ ศิษย์น้องลู่ฝาน นายไม่ใช่ผู้ฝึกวิชาชั่วร้ายจริงๆ ใช่ไหม!”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 547
ลู่ฝานมองอู่คงหลิงด้วยสีหน้ายียวน ฝีมือต่ำต้อยของเธอ ทำอะไรลู่ฝานไม่ได้สักนิด

ลู่ฝานแทบจะไม่ต้องทำอะไรเลย แค่ความสามารถของร่างกายที่ต้านทานฤทธิ์ยา ก็สามารถขจัดยาหลอนประสาทออกไปได้แล้ว

เพราะยาที่กินไปมากมายไม่ได้เสียเปล่า ได้พัฒนาแอนติบอดีต่อยาทั่วไปแล้ว

นี่จึงเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ผู้ฝึกชี่ไม่กลัวโดนคนวางยา

หลังจากสีหน้าของอู่คงหลิงเปลี่ยนไป จู่ๆ เธอยิ้มออกมาแล้วพูดว่า “ฉันว่าแล้ว วิธีของฉันปิดบังคุณชายลู่ไม่ได้หรอก แค่ใช้มันมาลองเชิงว่าคุณชายลู่เป็นคนของจิตใจเต๋าสำนักมารจริงหรือเปล่า ว่ากันว่ายอดฝีมือของจิตใจเต๋าสำนักมาร มีความรู้เกี่ยวกับยาบนโลกนี้ทุกชนิด ดูเหมือนว่าจะเป็นความจริง”

ปฏิกิริยาของอู่คงหลิงรวดเร็วมาก พูดอ้างเหตุผลออกมาทันที

ลู่ฝานมองเธอเหมือนดูเรื่องตลก หลังจากอู่คงหลิงพูดจบ

ลู่ฝานพูดว่า “พูดจบแล้วเหรอ คุณอู่คงหลิง อย่าบังคับให้ฉันลงมือไล่เธอ พูดตามตรง ถ้าไม่เห็นแก่ที่เธอช่วยฉันเมื่อคืน ตอนนี้ฉันลงมือไปแล้ว รีบไปซะ อย่ามาเสียเวลาที่นี่”

อู่คงหลิงนั่งลงข้างหน้าลู่ฝาน ดวงตาโตเต็มไปด้วยรอยยิ้ม จ้องไปทางลู่ฝาน “ฉันไม่ไป นายจัดการฉันสิ!”

ลู่ฝานมองอู่คงหลิง แล้วเอากระบี่ไร้คมออกมา

ขณะนั้นอู่คงหลิงเอาดอกไม้ออกมาจากอกหนึ่งดอก

มีกลิ่นหอมประหลาด ทำให้คนเคลิ้มเหมือนเมา

เมื่อลู่ฝานเห็นดอกไม้ดอกนี้ เขาสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย

อู่คงหลิงยิ้มแล้วพูดว่า “คุณชายลู่คงจะรู้จักดอกไม้ดอกนี้”

ลู่ฝานพูดว่า “ก็แค่ดอกกินแมลงทำไมจะไม่รู้จัก”

อู่คงหลิงพูดว่า “ดูดีๆ”

ลู่ฝานเพ่งมอง เห็นส่วนรากของดอกกินแมลง มีแสงสีทองบางๆ เขาอดตกใจไม่ได้

ส่วนรากเป็นทอง ดอกกินแมลงกำลังจะเกิดการเปลี่ยนแปลงร่าง ถ้าเปลี่ยนแปลงร่างสำเร็จ จะเป็นดอกหยกทอง ยาวิเศษระดับสูง

ดอกกินแมลงพันปีเปลี่ยนแปลงร่างหนึ่งครั้ง นั่นแสดงว่าดอกกินแมลงต้นนี้ มีอายุจะพันปีแล้ว

อายุของมันไม่ธรรมดาเลย อู่คงหลิงยิ้มแล้วพูดว่า “คุณชายลู่ ดอกกินแมลงเก้าร้อยปีดอกนี้ มีสูตรการกลั่นยาปีศาจเพิ่มอยู่หนึ่งสูตร แค่คุณหาผู้ฝึกชี่ที่ถูกต้องได้ จะสามารถกลั่นยาหลอนลมปราณได้หนึ่งเม็ด ยาหลอนลมปราณ เพียงเม็ดเดียว สามารถทำให้คุณชายลู่ มีระดับพลังปราณไม่ด้อยไปกว่านักบู๊แดนปราณชีวิตขั้นกลาง ภายในระยะเวลาสั้นๆ คุณคิดว่ายังไง”

ลู่ฝานวางกระบี่ลง แล้วยิ้มให้อู่คงหลิง

ตอนที่อู่คงหลิงเข้าใจว่าลู่ฝานจะนั่งลงพูดกับเธอ จู่ๆ ลู่ฝานพลิกข้อมือ เร็วจนอู่คงหลิงไม่ทันตั้งตัว เอาดอกกินแมลงมาไว้ในมือ

อู่คงหลิงอึ้งไป แล้วส่งเสียงออกมาอย่างตกใจ “นายทำอะไร”

ลู่ฝานปรายตามองอู่คงหลิงแล้วพูดว่า “ของแบบนี้สิถึงจะดูจริงใจ ฉันฝืนใจเก็บไว้ละกัน ขอบคุณคุณอู่คงหลิงมาก”

พูดจบ ลู่ฝานหันหลังเดินกลับห้องตัวเอง

อู่คงหลิงไม่คิดไม่ฝัน คนที่ดูจริงใจและซื่อสัตย์อย่างลู่ฝาน จะเอาของเธอไปแบบไร้เหตุผลเช่นนี้

ทันใดนั้น อู่คงหลิงโจมตีไปทางลู่ฝาน มือทั้งสองข้างกลายเป็นเงาดำ พุ่งไปทางท้ายทอยลู่ฝาน

แต่ตอนที่มือของอู่คงหลิงกำลังจะถึงคอลู่ฝาน เธอเห็นลู่ฝานยกป้ายขึ้นมาอย่างเอือมระอา

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 546
อู่คงหลิงเดินเข้ามา ตัวบอบบางแทบจะเข้าใกล้ลู่ฝานแล้ว

อู่คงหลิงพูดช้าๆ ว่า “คุณชายลู่ ฉันพูดแบบนี้ละกัน ป้ายอันนี้ของนาย เหมือนกับเครื่องประดับของจักรพรรดิ นอกจากตัวจักรพรรดิเอง ถ้าคนอื่นอยากได้ ต้องให้จักรพรรดิมอบให้ ไม่งั้นถ้ากล้าถือไว้เท่ากับตาย ตามฆ่าไปทั่ว ก็ไม่เรียกว่าเกินไป คุณชายลู่มีป้ายอันนี้ ยังไม่มีคนของจิตใจเต๋าสำนักมารตามฆ่าคุณ นี่หมายความว่าถ้านายไม่ใช่คนของจิตใจเต๋าสำนักมาร ก็ต้องเป็นคนที่มีความสัมพันธ์กับจิตใจเต๋าสำนักมาร คุณเป็นใคร”

ลู่ฝานอ้าปากค้าง เขาเองก็ไม่รู้อธิบายยังไง

ให้ตายเถอะ ขนาดผู้หญิงคนที่ให้ป้ายกับเขาหน้าตาเป็นยังไง เขาเกือบลืมไปแล้ว

ลู่ฝานส่ายหน้าถอนหายใจ ไม่เถียงอะไรอีก

จู่ๆ ประตูห้องศิษย์พี่หานเฟิงเปิดออก จมูกสูดกลิ่นไปมา

“หอมมาก ฮ่าๆ มีของอร่อยแล้ว”

ศิษย์พี่หานเฟิงพุ่งเข้ามา ความเร็วดูไม่ออกเลยว่าเมื่อคืนเข้าเพิ่งผ่านการสู้อย่างสาหัสมา

ไม่สนใจเรื่องอื่น ศิษย์พี่หานเฟิงเอาตะเกียบขึ้นมา เริ่มกวาดอาหารบนโต๊ะ

แววตาอู่คงหลิงฉายแววประหลาด แต่สุดท้ายก็ไม่พูดอะไร

ลู่ฝานเห็นสิ่งผิดปกติ จึงจะเตือนศิษย์พี่หานเฟิง

แต่ต่อมาเขาเห็นตรงหน้าอกของศิษย์พี่หานเฟิง มีแสงบางๆ สว่างขึ้นมา

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรในตัวโผล่ออกมาแล้วพูดว่า “คนตระกูลหานเหมือนกันหมด ไปที่ไหนก็กินที่นั่น กินอิ่มก็หาเรื่อง พอมีเรื่องก็ใช้กำลังกับคน ก็เพราะว่าพวกเขามีคุณสมบัติที่พิษเข้าสู่ร่างกายไม่ได้ อาวุธก็ทำให้บาดเจ็บได้ยาก ตระกูลบ้าบอ”

เมื่อได้ยินคำพูดที่เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดว่าพิษไม่เข้าสู่ร่างกาย เขาจึงโล่งใจ

เขามองออกว่าปราณหมุนผิดปกติ เหมือนเป็นความสามารถที่ดูดพลังได้

ลู่ฝานก็หยิบตะเกียบขึ้นมา คีบอาหารแล้วชิม

รสชาติไม่เลวจริงๆ ฝีมือดีมาก แต่ลู่ฝานกินแล้วรู้ว่าในนี้มีฤทธิ์ยา

ไม่เหมือนยาพิษ เหมือนเป็นยาหลอนประสาท

เมื่อลองรับรสอย่างละเอียด ลู่ฝานรู้แล้วว่านี่คือน้ำหวานของดอกไม้ที่มาจากดอกกินแมลง

พืชชนิดนี้สามารถจับแมลงและพวกสัตว์เลื้อยคลาน กินแมลงและงูเป็นอาหาร ทุกครั้งที่เบ่งบานจะปล่อยน้ำหวานดอกไม้ชนิดหนึ่งออกมา เพื่อล่องูและแมลง

ตัวดอกสามารถกลั่นยาได้ ส่วนน้ำหวานดอกไม้สามารถเป็นยาหลอนประสาทได้

เห็นได้ชัดว่าคนที่ทำยาหลอนประสาทมีฝีมือ แต่ยังห่างชั้นกับผู้ฝึกชี่ที่แท้จริงอย่างลู่ฝาน

ลู่ฝานเงยหน้ามองอู่คงหลิง จากนั้นยิ้มแล้วทานอาหารอย่างสบายใจ

อู่คงหลิงยืนเงียบอยู่ข้างๆ รอให้ยาหลอนประสาทกำเริบ

พวกตะกละไร้สมองสองคน ถ้าฤทธิ์ยากำเริบ ต้องให้พวกนายเอาของออกมาให้หมด โดยเฉพาะผ้าปิดหน้าของเธอ

แค่โดนยาหลอนประสาทแบบพิเศษของเธอ ต่อไปสองคนนี้จะต้องฟังคำสั่งเธอ

อันที่จริงอู่คงหลิงเกลียดลู่ฝานมาก ในเมื่อใช้ไม้แข็งกับลู่ฝานไม่สำเร็จ เธอจึงตัดสินใจใช้ไม้อ่อน

ฆ่านายไม่ได้ แล้วจะควบคุมนายไม่ได้งั้นเหรอ

เธอวางแผนได้ดีมาก แต่จนลู่ฝานกับหานเฟิงกินอาหารหมด ก็ยังไม่เห็นว่าทั้งสองมีท่าทีฤทธิ์ยากำเริบเลย

ศิษย์พี่หานเฟิงตบท้องเบาๆ แล้วเดินกลับห้อง ก่อนไปยังใช้เล็บแคะฟันแล้วพูดว่า “อาหารไม่เลว รักษาระดับไว้ต่อไป”

ส่วนลู่ฝานทานเสร็จอย่างช้าๆ จากนั้นพูดกับอู่คงหลิงว่า “ต่อไปใส่น้ำหวานดอกไม้แค่ช้อนเดียวก็พอ ใส่เยอะจะส่งผลกับรสชาติอาหารเดิม สรุปว่าไม่เลวนะ”

จู่ๆ อู่คงหลิงหน้าเปลี่ยนสี

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 545
เช้าตรู่วันต่อมา แสงอาทิตย์ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาในห้อง

ผ่านการพักผ่อนหนึ่งคืน ลู่ฝานมีชีวิตชีวาขึ้นไม่น้อย การต่อสู้เมื่อคืน สิ่งที่ทำให้เขาสูญเสียมากที่สุดคือเกราะเกล็ดมังกร

ช่วงนี้ลู่ฝานคงใช้เกราะเกล็ดมังกรไม่ได้แล้ว นี่ทำให้การต่อสู้เป็นตายสองสามวันหลังจากนี้ เขาอดกังวลขึ้นมาไม่ได้ แต่ลู่ฝานก็ไม่ได้เสียเวลาหนึ่งคืนไปเปล่าๆ เขากลั่นยาออกมาได้ไม่น้อย

สิ่งที่ศิษย์พี่หานเฟิงแสดงออกมาเตือนเขา ใช้ยายกระดับพละกำลังในเวลาสั้นๆ เป็นหลัก ลู่ฝานจึงตั้งใจกลั่นยาออกมาสองสามหม้อ

ในนั้นมียาที่ชื่อว่ายาเทพแดนไกลโพ้น ที่ทำให้ลู่ฝานพอใจที่สุด

แม้เป็นแค่ยาปราณชีวิตระดับหก แต่หลังจากกินเข้าไป สามารถทำให้ร่างกายของลู่ฝาน ทัดเทียมกับนักบู๊แดนปราณชีวิตขั้นกลาง ผลข้างเคียงก็ไม่มาก แค่หมดแรงระยะเวลาสั้นเท่านั้น

สมุนไพรที่ใช้สำหรับยาประเภทนี้ก็ล้ำค่ามาก เขาต้องเสียของที่เก็บไว้ไม่น้อย กว่าจะกลั่นยาออกมาได้หม้อเดียว ยาสำเร็จรูปสามเม็ด

ลองทดสอบฤทธิ์ยาเล็กน้อย เป็นเหมือนกับที่บอกไว้ในสูตรการกลั่นยา ใช้ความแข็งแกร่งของร่างกายเป็นพื้นฐาน ยกระดับความทนทานของร่างกาย รวมไปถึงพลังและความเร็ว

หรือเรียกว่ายิ่งร่างกายแข็งแกร่งเท่าไร ประโยชน์ของยาก็ยิ่งมากขึ้น ถ้าไม่ใช่เพราะฤทธิ์ยามีข้อจำกัด ยกระดับความแข็งแกร่งของร่างกายได้มากสุดแค่แดนปราณชีวิตขั้นสูงสุด งั้นยาชนิดนี้ ถึงเป็นนักบู๊แดนปราณฟ้าก็ต้องแย่งชิงมันมา

เมื่อผลักประตู กลิ่นแรกที่ตีเข้าหน้าคือกลิ่นหอมอาหาร

โต๊ะแปดเซียน เก้าอี้หวาย ถ้วยตะเกียบที่ทำจากหยก อาหารรสเลิศเต็มโต๊ะ

อู่คงหลิงที่สวมผ้าปิดหน้ากำลังจัดเตรียมอาหาร เมื่อเห็นลู่ฝานออกมา ก็ยิ้มจนตาเป็นสระอิ

“คุณชายลู่ตื่นแล้วเหรอ มาชิมฝีมือฉันสิ”

ลู่ฝานมองอู่คงหลิงอย่างสงสัย ไม่กล้าเดินเข้ามา

ลู่ฝานอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง “เธอทำอาหารเป็นเหรอ”

อู่คงหลิงพูดอย่างได้ใจว่า “แค่ฝีมือเล็กๆ น้อยๆ จะทำไม่เป็นได้ยังไง คุณชายลู่มาชิมฝีมือฉันสิ”

ลู่ฝานเดินเข้ามานั่งลงบนเก้าอี้หวาย

ลู่ฝานมองอู่คงหลิง รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ

อาหารตรงหน้าดูประณีตมาก ดูจากสีและกลิ่น ต้องเป็นระดับเชฟใหญ่แน่นอน

ลู่ฝานเงยหน้ามองอู่คงหลิงแล้วพูดว่า “ทำไมเธอต้องทำอาหารให้ฉันกินด้วย”

อู่คงหลิงพูดว่า “คุณชายลู่ ฉันรู้ว่าครั้งแรกที่เราเจอกันมันไม่ดีไปหน่อย แต่ฉันอยากซ่อมแซมความสัมพันธ์ของเรา ดังนั้นฉันจึงทำอาหารเพื่อเป็นการขอโทษนาย คิดว่าคุณชายลู่จะให้อภัยฉัน ชิมสิคุณชายลู่ฝาน”

ลู่ฝานหัวเราะเหอะๆ พูดในใจว่าถ้าง่ายขนาดนี้ก็ดีสิ

ลู่ฝานไม่ได้หยิบตะเกียบ ทำเพียงแค่มองอู่คงหลิงแล้วพูดว่า “คุณอู่คงหลิง ฉันจะพูดอีกหนึ่งรอบ ฉันไม่ใช่คนที่เดินเส้นทางเดียวกับพวกเธอ ป้ายที่มีในมือก็แค่คนให้มาเท่านั้น ฉันไม่อยากมีความสัมพันธ์แปดเปื้อนกับพวกเธอสักนิด เธอไม่ต้องตามฉัน ฉันหวังว่าเราจะรักษาระยะห่างกันได้”

แววตาอู่คงหลิงฉายแววคับแค้นใจ “คุณชายลู่ฝาน คุณชายพูดแบบนี้ทำให้ฉันเสียใจมาก ฉันขอโทษไม่จริงใจพอหรือไง”

ลู่ฝานส่ายหน้า “ไม่จำเป็น”

อู่คงหลิงพูดว่า “ฉันคิดว่าจำเป็นมาก คุณชายลู่ฝาน พูดตามตรงนะ นายคิดว่าฉันจะเชื่อเหรอว่ามีคนให้ป้ายคำสั่งนี้กับนาย นายรู้ไหมว่าป้ายนี้ล้ำค่าขนาดไหน ต้องมีความสามารถแค่ไหนถึงจะได้มันมา”

ลู่ฝานส่ายหน้าพูดว่า “ไม่รู้!”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 544
กวนหานแอบกัดฟัน เหมือนสถานการณ์ถึงจุดที่เขาไม่สามารถควบคุมได้ งั้นตอนนี้เขาต้องควบคุมสถานการณ์อีก

ทำเรื่องอะไรต้องตัดสินใจเด็ดขาด กวนหานรู้เป็นอย่างดี จัดการกับคนเก่งอย่างลู่ฝาน ต้องใช้พลานุภาพมากมาย ฆ่าให้ตายทันที ไม่งั้นจะมีภัยพิบัติอันจะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า

ในเมื่อศิษย์พี่ของลู่ฝานซ่อนพละกำลังได้อย่างมิดชิดขนาดนี้

งั้นตัวลู่ฝานจะไม่ซ่อนพละกำลังเอาไว้ได้ยังไง! เมื่อคิดได้เช่นนี้ กวนหานรู้สึกชาไปทั้งหัว

หลังผ่านไปสองสามวัน ถ้าตอนสู้สุดชีวิตกับลู่ฝาน ลู่ฝานมีพลังกำลังเพิ่มขึ้นเหมือนกัน แล้วจัดการเขาจนล้ม นั่นจะเป็นโศกนาฏกรรมอย่างแท้จริง

ใช่ ต้องกำจัดลู่ฝานทันที

คืนนี้เท่านั้น ไม่รอช้าอะไรทั้งนั้น

ถ้าทำก็ต้องทำให้ถึงที่สุด นี่เป็นข้อปฏิบัติในชีวิตของกวนหานมาโดยตลอด

ทั้งสำนักโลหิตพิฆาตเริ่มเคลื่อนไหวทันที

ขณะนั้น กวนหานเห็นแสงเพลิงสว่างอยู่นอกประตู

เปลวเพลิงส่องจวนของเขาเหมือนตอนกลางวัน

กวนหานใจกระตุกวูบ แอบคิดในใจว่าอีกฝ่ายชิงลงมือก่อนเหรอ

เป็นไปไม่ได้ ลู่ฝานมีพละกำลังยิ่งใหญ่ขนาดนี้เลยเหรอ

ขณะกำลังคิด มีนักบู๊คนหนึ่งพุ่งเข้ามา คุกเข่าตรงหน้ากวนหาน “เจ้าสำนัก คนของจวนผู้เฝ้าเมืองมาครับ”

กวนหานพูดว่า “จวนผู้เฝ้าเมืองเหรอ จวนผู้เฝ้าเมืองธรรมดาๆ กล้ามายุ่งกับสำนักโลหิตพิฆาตของเราตั้งแต่เมื่อไร บอกให้เขาเข้ามา”

ทันใดนั้น พลเอกสวมชุดเกราะคนหนึ่งเดินเข้ามา

เมื่อเห็นกวนหานก็พยักหน้าเล็กน้อย แล้วพูดว่า “คุณชายกวน ผู้เฝ้าเมืองให้ผมมาบอกว่าสองวันนี้หวังว่าคุณชายกวนจะไม่ออกไปไหน เก็บตัวอยู่ในห้อง รอการต่อสู้เป็นตายอีกสามวัน”

กวนหานสีหน้าโมโห ตวาดออกมาว่า “คุณท่านของพวกนายมีอำนาจใหญ่เหลือเกินนะ คิดไม่ถึงว่าจะมายุ่งกับฉัน……”

เขาไม่ได้พูดคำที่เหลือออกมา ก็เห็นพลเอกคนนี้คำนับเล็กน้อย จากนั้นมีคนเดินออกมาจากด้านหลังเขา

เสื้อด้านหน้าสีดำขลับลึกลับ

ใบหน้าชรา ผิวหนังแห้งเหี่ยว รวมไปถึงเบ้าตาที่ลึกลงไป ดูออกเลยว่าคนคนนี้อายุมากแล้ว

แต่ดวงตาของเขากลับเป็นประกายจนน่ากลัว

ผู้อาวุโสเงยหน้ามองกวนหาน “คุณชายกวน นายไม่ไว้หน้าจวนผู้เฝ้าเมืองก็ได้ แต่นายต้องไว้หน้าฉันสักหน่อย”

สีหน้าของกวนหานเปลี่ยนไปทันที

เรียกได้ว่าในเขตตงหวา คนที่เขากลัวที่สุด ไม่ใช่หัวหน้าเขตอี้ว์ แต่เป็นผู้อาวุโสตรงหน้า

คนคนนี้ชื่อว่าผู้อาวุโสชิวซาน ไม่มีใครรู้ที่มาของเขา รู้เพียงว่าเมื่อนานมากแล้ว เขาติดตามหัวหน้าเขตอี้ว์

เรียกได้ว่าหัวหน้าเขตอี้ว์ประสบความสำเร็จทุกวันนี้ได้ส่วนใหญ่เป็นความดีความชอบของผู้อาวุโสชิวซาน

ผลการฝึกตนถึงจุดสูงสุดของความสมบูรณ์แบบ จากการสืบของกวนหาน ผู้อาวุโสชิวซานลงมือแค่สองครั้งเท่านั้น

ครั้งแรกคือพาหัวหน้าเขตอี้ว์กลับจากประเทศเป่ยเสิน ฆ่าฟันผ่านด่านมาตลอดทาง ฆ่าไม่เลือกหน้า

ครั้งที่สองคือตอนที่หัวหน้าเขตอี้ว์เพิ่งเข้าเขตตงหวา มีอำนาจมากมายไม่ยอม แต่เพียงคืนเดียวก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

เมื่อสืบหลังจากเกิดเรื่อง ก็คือผู้อาวุโสชิวซานคนนี้ทำ

คิดไม่ถึงว่าจนถึงตอนนี้ ตาเฒ่าคนนี้ก็ยังไม่ตาย

เขายังมีชีวิตอยู่!

คนชั่วอายุยาวเป็นพันปีจริงๆ!

กวนหานพูดอย่างนอบน้อมว่า “ต้องไว้หน้าผู้อาวุโสชิวอยู่แล้วครับ เอาตามที่ผู้อาวุโสชิวพูดเลยครับ”

ผู้อาวุโสชิวซานพยักหน้ายิ้ม แล้วพูดว่า “นี่สิถึงจะถูกต้อง คุณชายกวน พักผ่อนให้เต็มที่!”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 543
ค่ำคืนที่ร้อนรน มีความไม่สงบสุขและกลิ่นคาวเลือด

หลังจากส่งพวกเสวี่ยบาไปฆ่าลู่ฝาน จิตใจของกวนหานเหมือนเปลวไฟในแก้วเหล้า เดือดจนส่งเสียงปุดๆ ออกมา

กวนหานลุกขึ้นยืน เดินมาหน้าประตูห้องหนังสือ แล้วขมวดคิ้วแน่น

กวนหานตะโกนใส่คนข้างนอก แล้วพูดว่า “ยังไม่มีคนกลับมาเหรอ ส่งคนไปดูสิว่าเกิดอะไรขึ้น ถ้าฆ่ากันก็น่าจะจบนานแล้ว”

เสียงของกวนหานดังกว่าปกติ

นักบู๊สำนักโลหิตพิฆาตที่ซ่อนตัวอยู่ลับ ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง

ขณะนั้นนักบู๊คนหนึ่งพุ่งออกมาจากประตูด้านหลัง คุกเข่าลงตรงหน้ากวนหาน

กวนหานพูดอย่างเย็นชาว่า “เกิดอะไรขึ้น ทำไมพวกเสวี่ยบายังไม่กลับมา”

นักบู๊พูดว่า “เจ้าสำนัก พวกเสวี่ยบาตายหมดแล้ว”

“อะไรนะ”

เสียงของกวนหานสูงขึ้นทันที เริ่มมีร่องรอยเกล็ดน้ำแข็งปรากฏออกมา

นี่เป็นพลังธาตุน้ำขั้นสูงสุดของพลังห้าธาตุ มีความอาฆาตทะลักออกมาจากตัวกวนหาน ทำให้สีหน้าของนักบู๊ที่รายงานเมื่อกี้ซีดเผือด

กวนหานพูดอย่างเย็นชาว่า “นายพูดอีกรอบ เกิดอะไรขึ้นกันแน่”

นักบู๊พูดตะกุกตะกักว่า “เสวี่ยบาพาพวกเสี่ยวอู่ไปล้อมโจมตีลู่ฝาน ใครจะไปรู้ว่าศิษย์พี่ของลู่ฝาน พละกำลังสูงส่งมาก แข็งแกร่งกว่าเสวี่ยบา ต่อสู้ซึ่งหน้าเพียงครั้งเดียว ก็ทำให้เสวี่ยบาบาดเจ็บสาหัส”

กวนหานส่งเสียงหึอย่างเย็นชา “พวกนายทำงานรายงานสถานการณ์กันยังไง ฉันจำได้ว่าในข้อมูลที่พวกนายรายงานฉัน ศิษย์พี่ของลู่ฝานมีผลการฝึกตนแค่แดนปราณนอกขั้นต้น พลังการต่อสู้เทียบไม่ได้กับลู่ฝาน ทำไมตอนนี้ถึงกลายเป็นยอดฝีมือที่เหนือกว่าแดนปราณชีวิตล่ะ”

นักบู๊พูดติดๆ ขัดๆ ว่า “จากข้อมูลของเสวี่ยบากับเสี่ยวอู่ รวมถึงผลที่เราสืบในสถาบันสอนวิชาบู๊ ศิษย์พี่หานเฟิงของลู่ฝาน มีเพียงผลการฝึกตนแดนปราณนอกขั้นต้นจริงๆ ใครจะไปคิดว่าเขามีพละกำลังขนาดนี้ เหมือนพลังพุ่งขึ้นภายในคืนเดียว”

กวนหานตำหนิว่า “ถึงพลังพุ่งขึ้น จะสามารถพุ่งขึ้นหนึ่งระดับเลยเหรอ เรื่องซ่อนพละกำลังแบบนี้ พวกนายยังสืบมาไม่ได้ ดูเหมือนคนทั้งสำนักโลหิตพิฆาต ควรจะต้องชำระล้างหนึ่งครั้งแล้ว”

กวนหานโมโหอย่างมาก เสวี่ยบากับเสี่ยวอู่เอามือดีของสำนักโลหิตพิฆาตในเมืองตงหวาไปเกือบสามสิบเปอร์เซ็นต์เลยนะ

“ค่ายกลล่ะ ฉันต้องเตือนพวกเขาเหรอว่าถ้าสู้ไม่ไหวต้องรวมค่าย”

นักบู๊ที่คุกเข่าอยู่บนพื้น พูดอะไรไม่ออกสักคำ

เขาไม่รู้ว่าควรบอกหรือเปล่าว่าอันที่จริงพวกเสวี่ยบารวมค่ายแล้ว

แต่ผลปรากฏว่ามันแย่มาก ศพเกลื่อนกลาดเต็มพื้น

“พูดมา!”

กวนหานมองออกว่าสีหน้าของนักบู๊ผิดปกติ จึงตะโกนออกมาเสียงดัง

นักบู๊สั่นไปทั้งตัวแล้วพูดว่า “เจ้าสำนัก รวมค่ายกลแล้ว แต่ไม่รู้ทำไมโดนทำลาย พวกเสวี่ยบาตายอย่างอนาถคามือลู่ฝานกับศิษย์พี่เขา เห็นว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งมาช่วยตอนท้ายด้วย กำลังสืบอยู่ว่าเป็นผู้หญิงคนไหน”

กวนหานตกตะลึง เบิกตาโตพูดว่า “นายแน่ใจเหรอว่าใช้ค่ายกลแล้ว”

นักบู๊พยักหน้าพูดว่า “ใช้แล้วจริงๆ ครับ”

สีหน้ากวนหานบิดเบี้ยวขึ้นมา จู่ๆ เขารู้สึกเหมือนควบคุมสถานการณ์ไม่ได้แล้ว

สีหน้ามีอารมณ์หลากหลาย แววตากวนหานน่ากลัว “เรียกรวมศิษย์สำนักโลหิตพิฆาตในเมืองตงหวาทั้งหมด”

นักบู๊พูดอย่างตกใจ “เจ้าสำนักจะทำอะไร”

“ไป!”

กวนหานเตะลงบนตัวนักบู๊ จนกระเด็นออกไปไกล

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 542
“ให้ตายเถอะ ลุงสามหลอกฉันแล้ว ยังมาพูดว่าผลข้างเคียงน้อย เจ็บจะตายแล้ว กลับไปฉันจะเอาเรื่องไม่ดีของลุงไปป่าวประกาศ ป่าวประกาศให้หมด!”

ลู่ฝานได้ยินศิษย์พี่หานเฟิงยังมีแรงด่าคน แสดงว่าไม่น่าเป็นห่วงเท่าไร

ลู่ฝานใช้วิชากาย ไม่นานก็กลับมาถึงสวนหอมปาฟาง

เหมือนสายลมพัดผ่านตัวทุกคน ตอนนั้นยังมีคนคิดจะรั้งเขา แต่หลังจากที่เห็นว่าเป็นลู่ฝาน สีหน้าของคนพวกนี้แปรเปลี่ยนเป็นนอบน้อมขึ้นมาทันที

อู่คงหลิงยิ่งไม่มีใครกล้าขวางเธอ ตามลู่ฝานกลับมาในลานที่พักลับตาคน

เพิ่งเข้ามา ลู่ฝานวางศิษย์พี่หานเฟิงไว้บนพื้น

ลู่ฝานยัดยาเข้าไปในปากศิษย์พี่หานเฟิงอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง

เมื่อยาลงท้อง สีหน้าของศิษย์พี่หานเฟิงมีเลือดฝาดขึ้นมา อู่คงหลิงมองไปรอบๆ ขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย

ที่นี่เทียบไม่ได้กับห้องชั้นยอดของสวนหอมปาฟางเลย แต่อู่คงหลิงรู้สึกว่าที่นี่มีความลึกลับซ่อนอยู่ เพิ่งมาถึงเธอก็รู้สึกสบายเป็นอย่างมาก คุณชายลู่เลือกสถานที่เป็นกว่าเธอ ที่นี่ต้องมีความลับอะไรแน่นอน

ทันใดนั้น ศิษย์พี่หานเฟิงพรูลมหายใจออกมา เงยหน้ามองลู่ฝานแล้วพูดว่า “มียาของนายคอยช่วยอยู่ ถึงฉันอยากตายก็คงยาก!”

ลู่ฝานนั่งลงกับพื้นแล้วพูดว่า “ศิษย์พี่หานเฟิง วิชาที่ทำร้ายทั้งตัวเองและคนอื่นของพี่ ต่อไปใช้น้อยลงหน่อยเถอะ แต่คิดไม่ถึงว่าพี่ยังสามารถควบคุมสติตัวเองได้ ไม่ง่ายเลย”

ศิษย์พี่หานเฟิงส่ายหัวพูดว่า “แน่นอนอยู่แล้ว นี่เป็นวิชาไม้ตายที่ตระกูลฉันถ่ายทอดให้ ไม่เหมือนกับวิชาพื้นๆ ข้างนอกอยู่แล้ว เพราะฉันใช้เป็นครั้งแรก ให้ตายเถอะ เลยควบคุมไม่ได้ ไม่งั้นฉันคนเดียวจัดการพวกนั้นได้หมดแล้ว”

ศิษย์พี่หานเฟิงเริ่มโม้อีกแล้ว แต่ครั้งนี้ลู่ฝานกลับหยักหน้าแล้วหัวเราะ

พูกความจริงว่าคืนนี้พึ่งพาศิษย์พี่หานเฟิงทั้งหมด ถ้าไม่มีศิษย์พี่หานเฟิง เหตุการณ์คืนนี้ต้องจบด้วยความตาย

ศิษย์พี่หานเฟิงปัดก้นแล้วยืนขึ้น แม้น่องยังสั่นเล็กน้อย แต่เดินได้ไม่มีปัญหา

ผลข้างเคียงของวิชานี้เด่นชัดมาก ตอนนี้ถึงส่งสาวงามเข้าไปในห้องศิษย์พี่หานเฟิงเป็นร้อยคน เขาก็คงไม่มีความสนใจแล้ว

ศิษย์พี่หานเฟิงปรายตามองอู่คงหลิง แล้วตบไหล่ลู่ฝาน “คุยกับเธอให้ดี คืนนี้เธอช่วยพวกเราไว้ ไม่งั้นเหตุการณ์จะเป็นยังไงคงแย่จริงๆ”

ลู่ฝานพยักหน้า มองส่งศิษย์พี่หานเฟิงกลับไป

อู่คงหลิงเดินเล่นอยู่ในลาน ลู่ฝานมองเธอเงียบๆ ไม่มีท่าทีจะเดินเข้าไปคุยกับอู่คงหลิง

ยืนอยู่นาน เป็นอู่คงหลิงที่เดินเข้ามาพูดว่า “คุณชายลู่ ไม่มีอะไรจะพูดกับฉันเหรอ”

ลู่ฝานมองอู่คงหลิง เงียบอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “มี คุณอู่ไปได้แล้ว”

เมื่อพูดจบ ลู่ฝานเดินกลับห้องตัวเอง แล้วปิดประตูลง

อู่คงหลิงอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นกัดฟันตะโกนไปทางลู่ฝาน “ลู่ฝาน เมื่อกี้ฉันเพิ่งช่วยนายนะ!”

เสียงลู่ฝานดังออกมาจากห้อง

“เส้นทางต่างกัน ไม่จำเป็นต้องคุยกัน คุณอู่คงหลิงกลับไปพักผ่อนได้แล้ว”

อู่คงหลิงอยากพุ่งเข้าไปกัดลู่ฝานจริงๆ

เส้นทางต่างกันบ้าบออะไร ถ้าไม่เห็นป้ายคำสั่งของลู่ฝานก่อน อู่คงหลิงยังพอเชื่อได้บ้าง

แต่ตอนนี้อู่คงหลิงไม่มีทางเชื่อแล้ว

ลู่ฝาน นายรอก่อนเถอะ!

เรื่องนี้ไม่จบแน่นอน

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 541
เมื่อจ้องหน้ากัน แววตาอู่คงหลิงเต็มไปด้วยความขบขัน

ลู่ฝานไม่ได้พูดอะไร เดินตรงไปทางศิษย์พี่หานเฟิง อู่คงหลิงกดเสียงต่ำพูดว่า “ฆ่าให้หมด!”

เงาดำกะพริบ หุ่นเชิดวิญญาณใช้การฆ่าทันที

นักบู๊สำนักโลหิตพิฆาตทุกคน ที่เห็นดวงตาแดงก่ำของหุ่นเชิดวิญญาณ ไม่มีจิตใจใครที่ไม่ลุ่มหลงไป ความสามารถในการต่อสู้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เหลืออยู่แค่ 10-20 เปอร์เซ็นต์

พวกเขาไม่เหมือนลู่ฝาน ที่มีพลังวิญญาณป้องกันกาย อีกทั้งยังฝึกวิชาชิงวิญญาณ ไม่ลุ่มหลงไปง่ายๆ

คนพวกนี้โดนหุ่นเชิดวิญญาณเข้าใกล้ จิตใจตกอยู่ในความเพ้อฝันทันที จิตใจล่องลอย แววตาไร้ชีวิตชีวา จนกระทั่งโดนหุ่นเชิดวิญญาณทำให้แข็งเหมือนน้ำแข็ง

เริ่มแข็งเหมือนน้ำแข็งตั้งแต่อวัยวะภายใน โดนแย่งชิงพลังชีวิต สุดท้ายกลายเป็นเศษน้ำแข็ง

“ศิษย์พี่หานเฟิง!”

ลู่ฝานยืนห่างจากศิษย์พี่หานเฟิงประมาณห้าก้าว

เห็นร่างกายของศิษย์พี่หานเฟิงเหมือนสัตว์ ดวงตาแดงเหมือนเลือด จู่ๆ ลู่ฝานไม่กล้าเข้าไป

เขาเคยได้ยินวิชาที่ทำให้คนเสียสติแบบนี้ อีกทั้งเขายังรู้เกี่ยวกับยาที่ยกระดับพละกำลัง ภายในระยะเวลาสั้นๆ แต่กลับทำให้คลุ้มคลั่ง

ลองส่งเสียงร้องออกมาหนึ่งครั้ง ศิษย์พี่หานเฟิงเงยหน้าขึ้น หันมามองทางลู่ฝาน

เสวี่ยบาที่อยู่ในมือเขา ตายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตายอย่างอนาถ

เลือดสดไหลนองเต็มพื้น รอยเลือดเต็มตัวศิษย์พี่หานเฟิง

ศิษย์พี่หานเฟิงคำรามออกมา จู่ๆ เขาพุ่งเข้ามาทางลู่ฝาน

ลู่ฝานตกใจ รีบเอากระบี่หนักไร้คมมาตั้งไว้ด้านหน้า

ความเร็วของศิษย์พี่หานเฟิงน่ากลัวมาก ขนาดลู่ฝานยังมองการเคลื่อนไหวไม่ออก

ทันใดนั้น ศิษย์พี่หานเฟิงยืนตรงหน้าลู่ฝาน แปลกที่เขาไม่โจมตีอะไรเลย

แสงโลหิตในดวงตาวูบไหว ศิษย์พี่หานเฟิงพูดด้วยเสียงแหบพร่าออกมาว่า “ศิษย์น้องลู่……ฝาน……”

ลู่ฝานพยักหน้า “ผมเอง ศิษย์พี่หานเฟิงยังจำผมได้เหรอ”

แสงโลหิตในดวงตาศิษย์พี่หานเฟิงหายไปแล้ว เขากระอักเลือดออกมาทันที

เขาเหมือนลูกบอลที่โดนปล่อยลม ลงบนพื้นโดยอ่อนแอไม่มีกำลัง

หานเฟิงก่นด่าออกมาว่า “เร็ว รีบพาฉันไปเร็วๆ ความรู้สึกนี้ทรมานมาก”

ลู่ฝานไม่พูดพร่ำทำเพลง แบกศิษย์พี่หานเฟิงขึ้นหลัง

อู่คงหลิงสะบัดมือเบาๆ ให้หุ่นเชิดวิญญาณจัดการนักบู๊สำนักโลหิตพิฆาตที่เหลือให้หมด จากนั้นรีบตามลู่ฝานไป

ลู่ฝานรีบพุ่งไปบนถนนอันเงียบสงบ

สวบ!

เสียงเบามากดังขึ้นข้างหู ลู่ฝานรู้สึกเหมือนตัวเองเดินผ่านอะไร

เมื่อหันกลับไป เห็นเพียงถนนอันเงียบสงบด้านหลัง ศพหายไปหมดแล้ว

ลู่ฝานตกใจอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาได้ยินเสียงแตกดังขึ้นชัดเจน กระจกจำภาพที่แอบอยู่มุมถนน ซึ่งสังเกตเห็นยากมาก ตอนนี้เกิดรอยร้าวมากมายอยู่บนกระจก

ถนนด้านหน้าก็เหมือนมีคนเปิดผ้าม่านออก เผยให้เห็นความจริง

ศพมากมายอยู่ในนั้น ทันใดนั้น ลู่ฝานได้ยินเสียงร้องอย่างตกใจที่มุมถนนอีกด้าน

“กรี๊ด! มีคนตาย!”

ที่แท้คนพวกนี้ใช้วิธีโจ่งแจ้งแบบนี้ ในการฆ่าคนปล้นทรัพย์ในเมือง

ลู่ฝานก่นด่าในใจ เขายังผ่านโลกมาน้อย กระจกจำภาพอันเล็กๆ ยังมีประโยชน์แบบนี้ด้วย ต่อไปถ้ามีโอกาส เขาจะไปทำสักสองสามอัน

เสียงวุ่นวายค่อยๆ ดังขึ้นมา

ลู่ฝานแบกศิษย์พี่หานเฟิงไว้บนหลัง รีบหนีออกจากถนนเส้นนี้

ศิษย์พี่หานเฟิงที่อยู่บนหลังกระอักเลือดออกมาไม่หยุด ปากก็บ่นไม่หยุดเช่นกัน

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 540
เขาวิ่งสี่ขาพุ่งออกไป ตัวชนกับดาบมังกรของเสวี่ยบาจนกระจาย และกดตัวเสวี่ยบาเอาไว้บนพื้น

ตบหนึ่งที ตบสองที

ศิษย์พี่หานเฟิงหอนอย่างบ้าคลั่ง ตบลงบนหน้าเสวี่ยบาสองที จนหน้าของเสวี่ยบายุบลงไป

ตบสองครั้งทำให้เสวี่ยบา “สวยสด” ขึ้นไม่น้อย

กล้ามเนื้อบนตัวศิษย์พี่หานเฟิงเหมือนหินแกรนิต ฝนโลหิตบนฟ้า ไม่สามารถทำให้เขาบาดเจ็บได้อีก

เมื่อเห็นว่าศิษย์พี่หานเฟิงคลุ้มคลั่ง ลู่ฝานไม่สามารถยืนนิ่งได้เช่นกัน

ปล่อยให้ฝนโลหิตกัดกร่อนตัวเขา ลู่ฝานพุ่งเข้าไปฆ่าพวกเสี่ยวอู่

เห็นได้ชัดว่าพวกเสี่ยวอู่คิดไม่ถึงว่าในสถานการณ์แบบนี้ ลู่ฝานยังสามารถฝ่าฝนโลหิตพุ่งเข้ามาได้ ตอนแรกอึ้งไปก่อน จากนั้นตะโกนออกมาว่า “ชนมันให้ตาย!”

เมฆโลหิตบนฟ้าร่วงลงมาเหมือนอุกกาบาต ระเบิดลงตรงหน้าลู่ฝาน

เลือดกระจายไปทั่ว นักบู๊สำนักโลหิตพิฆาตที่เหลือ โดนโจมตีจำนวนไม่น้อย

พื้นใต้เท้าลู่ฝาน โดนฝนโลหิตกัดกร่อนจนเป็นหลุมลึกน่ากลัว

ลู่ฝานเสื้อผ้าขาดหลุดรุ่ย ผิวหนังบนตัวมีควันขาวลอยออกมา แต่เขายังยืนอย่างห้าวหาญ

ผิวหนังบนตัวเป็นแผล แต่กลับฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว

พลังฟื้นฟูอันแข็งแกร่ง แสดงออกมาอีกครั้ง เจดีย์เสวียนเก้ามังกรในตัวลู่ฝาน กำลังฟื้นฟูร่างกายลู่ฝานอย่างสุดความสามารถ

เจ็บ!

เจ็บปวดเป็นอย่างมาก เจ็บแทบขาดใจ!

ลู่ฝานกัดฟันฝืนเอาไว้ เพราะเขาแน่วแน่แบบนี้ จึงเป็นคนที่ชินกับความเจ็บปวดไปแล้ว สามารถทนความเจ็บปวดแบบนี้ได้ ถ้าเป็นนักบู๊คนอื่น แค่ความเจ็บของบาดแผลพวกนี้ ก็เพียงพอทำให้เขาตายแล้ว

“สัตว์ประหลาด!”

เสี่ยวอู่ตะโกนออกมา

เหมือนมีเพียงคำนี้เท่านั้น ที่สามารถบรรยายการแสดงลู่ฝานในตอนนี้ได้

ลู่ฝานก้าวเข้ามาหาพวกเสี่ยวอู่

ดวงตาขาวโพลนของเสี่ยวอู่ มีความหวาดกลัวฉายออกมา เขาถอยหลังโดยอัตโนมัติ

ด้านข้างมีเสียงร้องโอดครวญดังขึ้น เสวี่ยบาโดนศิษย์พี่หานเฟิงกระชากแขนออกมาหนึ่งข้าง

ศิษย์พี่หานเฟิงดวงตาแดงก่ำ สีหน้าบ้าคลั่ง ผมขาวปลิวสยาย เหมือนมารในใต้หล้า

จากพละกำลังแดนปราณชีวิตของเสวี่ยบา ตอนนี้โดนศิษย์พี่หานเฟิงซัดจนเละ

เขาอยากหนีสุดชีวิต ในแววตาเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง

สุดท้ายศิษย์พี่หานเฟิงกัดลงบนคอของเสวี่ยบา กัดเสวี่ยบาเอาไว้แน่น เลือดสาดกระเด็นไปทั่ว

เสี่ยวอู่ตะโกนออกมาแทบขาดใจ

“พี่เสวี่ยบา!”

ลู่ฝานสะบัดกระบี่หนัก ขวางไม่ให้เสี่ยวอู่ไปช่วยเสวี่ยบา

เสี่ยวอู่กัดฟันพูดว่า “ลู่ฝาน ฉันจะพังพินาศไปกับนาย!”

เมื่อตะโกนออกมา เสี่ยวอู่บังคับเลือดสารจำเป็นทั้งตัวออกมา

คนที่ทำเหมือนกับเขา ก็คือนักบู๊สำนักโลหิตพิฆาตที่เหลืออยู่

“เลือดสารจำเป็นระเบิด!”

เสี่ยวอู่แผดเสียงออกมา

ตัวเขาบวมเหมือนลูกบอล ลู่ฝานรู้สึกถึงอันตรายถึงชีวิต แต่หนีตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้ว

เมื่อเห็นว่าระเบิดจะกลืนกินเขาเข้าไป เงาดำปรากฏขึ้นด้านหลังพวกเสี่ยวอู่

สวบ! สวบ! สวบ!

เสียงอาวุธแทงเข้าร่างกายดังขึ้น กระบี่ยาวแทงทะลุหน้าผากเสี่ยวอู่

จากนั้นตัวของเสี่ยวอู่หดลง

ลู่ฝานเพ่งมองดู จึงเห็นว่าคนที่มาคือใคร

ผ้าปิดหน้าบางสีดำ มีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า

อู่คงหลิงพูดว่า “คุณชายลู่ฝาน ยังสบายดีใช่ไหม”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 539
ลู่ฝานปฏิกิริยารวดเร็ว จับแขนเสื้อของศิษย์พี่หานเฟิงเอาไว้

ใช้แรงที่ฝ่ามือ กระชากศิษย์พี่หานเฟิงกลับมา

“ศิษย์พี่หานเฟิง อย่าพุ่งเข้าไป!”

ตะโกนเสียงเบาๆ ศิษย์พี่หานเฟิงรู้สึกถึงพลังอันน่ากลัว ผ่านซีกหน้าเขาไป

พลังนี้เป็นสีโลหิต อยู่ในหมอกโลหิตจะแยกแยะได้ยาก

ศิษย์พี่หานเฟิงมีเหงื่อไคลไหลออกตรงหน้าผาก เกือบโดนโจมตีแล้ว

ตอนนี้เจดีย์เสวียนเก้ามังกรทำลายค่ายกลสำเร็จ

เห็นหมอกโลหิตรอบๆ หายไปอย่างรวดเร็ว เจดีย์เสวียนเก้ามังกรตะโกนในตัวลู่ฝาน “สำเร็จแล้ว เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ รีบหนีเถอะ ค่ายกลโดนทำลายแล้ว แต่อีกฝ่ายยังสามารถร่วมมือกันโจมตีได้”

ลู่ฝานสีหน้าหวาดกลัว ตะโกนออกมาว่า “ศิษย์พี่หานเฟิง รีบหนีเร็ว!”

ยังไม่ทันพูดจบ หลังจากหมอกโลหิตหายไป ลู่ฝานกับหานเฟิงเห็นการโจมตีจากทุกทิศทาง นักบู๊สำนักโลหิตพิฆาตยืนอยู่ด้วยกัน

ภายใต้การนำของเสี่ยวอู่ หมอกโลหิตบนตัวคนพวกนี้รวมตัวเข้าด้วยกัน กลายเป็นเมฆโลหิต

เสวี่ยบาหนีบขาเข้าหากัน ตะโกนออกมาสุดเสียงว่า “ฆ่าเขา ฆ่าพวกเขา!”

เสี่ยวอู่ออกคำสั่ง

“ฝนโลหิต ตก!”

เมฆโลหิตเคลื่อนตัว เลือดไหลลงมาจากเมฆโลหิต

เมื่อเลือดหยดแรกหยดลงบนตัวลู่ฝาน เขารู้สึกผิดปกติ

เลือดหยดพวกนี้แฝงพลังกัดกร่อนอันน่ากลัว ไม่นาน ลู่ฝานรู้สึกว่าเกราะเกล็ดมังกรของตัวเองพังเสียหาย

เดิมทีเกราะเกล็ดมังกรของเขายังไม่ได้ฟื้นฟูจนสมบูรณ์ ครั้งนี้เจอการโจมตีหนักอีก ทำให้ลู่ฝานบาดเจ็บภายในไปด้วย

ศิษย์พี่หานเฟิงสะบัดกระบี่ ทำให้เลือดสาดไปโดนพวกเสี่ยวอู่

เสียงร้องโอดครวญดังขึ้น ถึงเป็นสิ่งที่พวกเขาสร้างขึ้นมาเอง ก็ไม่สามารถต้านทานการกัดกร่อนของเลือดหยดได้

ศิษย์พี่หานเฟิงโดนฝนโลหิตที่หยดลงมากัดจนเป็นแผลเหมือนกัน ศิษย์พี่หานเฟิงถอยพลางก่นด่าออกมา

“ไอ้พวกเวร ฉันจะสู้สุดชีวิตกับพวกแก”

กระบี่ฟ้าครามในมือสะบัดสุดชีวิต ปราณกระบี่ที่มองไม่เห็นฟันนักบู๊ของสำนักโลหิตพิฆาตตายไม่น้อย

ลู่ฝานก็สะบัดกระบี่หนักสุดกำลัง ไม่ให้เลือดโดนตัวเขา

กระบี่หนักที่เหมือนบานประตู ต้านทานฝนโลหิตเอาไว้ได้ไม่น้อย แต่หลังจากฝนโลหิตพวกนี้ร่วงลงบนพื้น มันกลายเป็นควันสีขาว

ในควันขาวเป็นพิษที่มีความรุนแรงมาก!

“วิชาสายฟ้าฟาดห้าธาตุ กระบี่เพลิงทองสายฟ้า!”

ลู่ฝานใช้กระบี่โจมตี สายฟ้าผ่าลงบนเมฆโลหิต ทำให้เมฆโลหิตสั่นสะเทือน

พลังสั่นสะเทือนฝนโลหิตออกไปไม่น้อย เลือดกัดกร่อนพื้นดิน ทำให้กำแพงเป็นรู นักบู๊สำนักโลหิตพิฆาตทำอะไรไม่ถูก

“เศษสวะ พวกเศษสวะทั้งนั้น!”

เสวี่ยบาก่นด่าออกมา ตัวเองพุ่งเข้ามาอีกครั้ง

ดาบหัวผีมีแสงเพลิงสีน้ำเงินลุกโชน ตอนนี้ฝนโลหิตสาดลงบนดาบ จนกลายเป็นแดงเลือดชนีแปลกประหลาด

ฝนโลหิตสาดลงบนตัวเสวี่ยบา เหมือนกับน้ำฝนธรรมดาทั่วไป ไม่มีผลอะไรทั้งนั้น

“ดาบเพลิง ดาบสะเทือนไปทั่วทุกที่!”

ดาบโจมตีออกมา ไฟลุกโชน

เหมือนมังกรออกจากทะเล คำรามดังสนั่น

ดาบที่โจมตีด้วยความโกรธของเสวี่ยบา แข็งแกร่งจนศิษย์พี่หานเฟิงหน้าเปลี่ยนสี

ศิษย์พี่หานเฟิงกัดลิ้นตัวเองจนแตก แล้วก่นด่าว่า “จะสู้สุดชีวิตใช่ไหม ใครกลัวกันล่ะ! บ้าคลั่ง!”

พูดพลาง ผมของศิษย์พี่หานเฟิงกลายเป็นสีขาว

ลู่ฝานยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ก็เห็นศิษย์พี่หานเฟิงหอนออกมาเหมือนสัตว์ป่า

กระบี่ฟ้าครามโดนเขาโยนลงบนพื้น ศิษย์พี่หานเฟิงเหมือนสัตว์อสูรจริงๆ

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 538
เสียงที่ทำให้คนเสียวฟันดังขึ้นมา เตะของศิษย์พี่หานเฟิงทั้งแม่นทั้งแรง เตะจนเสวี่ยบาร้องโอดครวญออกมาไม่หยุด จากนั้นร่วงลงพื้นเหมือนดาวตก

กระบี่ฟ้าครามอยู่ในมือ พลังธาตุทองสว่างขึ้นบนตัวศิษย์พี่หานเฟิง

พลังธาตุทองขั้นสูงสุด แดนปราณชีวิต พละกำลังของศิษย์พี่หานเฟิง ยกระดับได้น่ากลัวขนาดนี้เลยเหรอ เข้าสู่แดนปราณชีวิตทันที

ลู่ฝานมองศิษย์พี่หานเฟิงอย่างตกตะลึง สีหน้าไม่อยากเชื่อ

หลังจากสายเลือดของศิษย์พี่หานเฟิงตื่นตัว คิดไม่ถึงว่าจะยกระดับพละกำลังได้มากขนาดนี้

เห็นพลังปราณอันแข็งแกร่งบนตัวเขา ไม่ใช่ผลการฝึกตนที่เพิ่งเข้าสู่แดนปราณชีวิตแน่นอน

ศิษย์พี่หานเฟิงยืนอย่างห้าวหาญ พลังธาตุทองแผ่ออกไป รวมตัวเป็นค่ายกลด้านล่างเท้าเขา

มองการกระทำที่เชี่ยวชาญของเขา ไม่เหมือนนักบู๊ที่เพิ่งเข้าสู่แดนปราณชีวิต

เหมือนเป็นผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ในแดนปราณชีวิตมา 4-5 ปีแล้ว

สะบัดกระบี่ออกไป พลังธาตุทองฟันนักบู๊หลายคนของสำนักโลหิตพิฆาตที่พุ่งเข้ามาออกไป

นักบู๊คนหนึ่งที่หลบไม่ทัน โดนกระบี่ของหานเฟิงฟันขาขาดทันที เลือดสาดกระจายไปทั่ว

“วิชากระบี่ชิงสวรรค์ เซน!”

กระบี่ฟ้าครามในมือหายไปอย่างไร้ร่องรอย พลังธาตุทองบนตัวศิษย์พี่หานเฟิงก็หายไปด้วย จากนั้นเห็นหมอกโลหิตปรากฏขึ้นมา

เวลาเพียงพริบตา นักบู๊สำนักโลหิตพิฆาตสิบกว่าคน โดนศิษย์พี่หานเฟิงฆ่าตายคาที่

ลู่ฝานเห็นภาพตรงหน้า ก็ตะโกนออกมาทันที “ดี!”

เสวี่ยบาที่โดนเตะจนกระเด็น ลุกขึ้นมาอย่างทุลักทุเล

“วางค่ายกล เสี่ยวอู่ วางค่ายกลทะเลโลหิตมาร”

เสี่ยวอู่ที่ยืนดูอยู่ข้างๆ มาตลอด ได้ยินเสียงตะโกนของเสวี่ยบาก็ลงมือทันที

มีแสงส่องออกมาจากดวงตาขาวโพลน ทันใดนั้น ลู่ฝานกับหานเฟิงเห็นลวดลายสีเลือดใต้เท้า แผ่ซ่านออกไปเรื่อยๆ

นักบู๊สำนักโลหิตพิฆาตที่อยู่รอบๆ รีบเดินเข้ามา อาวุธต่างๆ เปื้อนแสงโลหิตทันที

แสงโลหิตที่น่าขนลุก ทำให้การมองเห็นของหานเฟิงกับลู่ฝานเบลอขึ้นมา

เมื่อพลิกมือ กระบี่ฟ้าครามกลับมาอยู่ในมือศิษย์พี่หานเฟิงอีกครั้ง

“ศิษย์น้องลู่ฝาน นายมายืนด้านหลังฉัน ให้ตายเถอะ ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ ยังไม่มีทหารคุ้มครองเมืองมาอีก ทหารคุ้มครองเมืองตงหวาทำอะไรกันอยู่”

ตอนนี้ศิษย์พี่หานเฟิงก็ยังไม่ลืมด่าทหารคุ้มครองเมือง

ลู่ฝานปล่อยเสื้อปราณกับเกราะเกล็ดมังกรของตัวเองออกมา เจ้าดำที่อยู่ในตัวยังไม่ตื่นขึ้นมา

ลู่ฝานตะโกนเรียกเจดีย์เสวียนเก้ามังกรในใจ “ไอ้เก้า ไอ้เก้าออกมา ทำลายค่ายกล!”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรรีบพูดว่า “ได้เลยเจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ ขอเวลาให้ฉันสิบวินาที”

ปราณชี่ถูกปล่อยออกมา เจดีย์เสวียนเก้ามังกรเริ่มใช้วิธีทำลายของมัน

เวลาสิบวินาทีจะว่านานก็ไม่นาน จะว่าสั้นก็ไม่สั้น ทันใดนั้น อาวุธหลายสิบอันพุ่งออกมาจากหมอกโลหิต

ลู่ฝานกับหานเฟิงลงมือแทบจะพร้อมกัน ทั้งสองคนเอาหลังชนกัน ใช้กระบวนท่าต่อสู้

“วิชากระบี่ชิงสวรรค์!”

“กระบี่ฆ่าพิชิตฟ้า!”

ปราณกระบี่ที่มีพลานุภาพสองปราณ ทำลายอาวุธที่พุ่งเข้ามา แต่หลังจากเข้าไปในหมอกโลหิต ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

“แค่กๆ!”

จู่ๆ ศิษย์พี่หานเฟิงไอออกมา เมื่อเอามือเช็ดตรงมุมปาก พบว่าสิ่งที่ตัวเองไอออกมาคือเลือด

“แย่แล้ว ศิษย์น้องลู่ฝาน ในหมอกมีพิษ แยกย้าย!”

ศิษย์พี่หานเฟิงถือกระบี่พุ่งไปข้างหน้า แต่ขณะนั้น เจดีย์เสวียนเก้ามังกรในตัวลู่ฝาน ตะโกนออกมาว่า “อย่าขยับ เจ้านาย ค่ายกลนี้คือค่ายกลหลอนประสาท เดินพลาดแค่ก้าวเดียว จะมีอันตรายมากมาย!”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 537
ศิษย์พี่หานเฟิงพูดว่า “ชิ ฉันก็นึกว่าอะไร แค่ปัญหาเรื่องฐานะ แล้วยังไง ในตระกูลหานของฉัน ไม่เคยมีปัญหาเรื่องฐานะ นายรู้ไหมว่าบรรพบุรุษตระกูลหานของฉันก่อตั้งตระกูลได้ยังไง”

ลู่ฝานส่ายหน้าสื่อว่าตัวเองไม่รู้

หานเฟิงส่ายหัวพูดว่า “ปล้นคนรวยช่วยคนจน ครองชื่อด้านนี้ นี่เป็นธุรกิจของบรรพบุรุษตระกูลหาน นายเข้าใจหรือยัง ฐานะไม่เห็นสำคัญ สมัยนี้ดูกันที่พละกำลัง ศิษย์น้องลู่ฝาน แบบนี้ไม่ได้แล้ว หยุดรถเลย ฉันไปรับเธอกลับมาดีกว่า”

ลู่ฝานแทบหมดคำจะพูดแล้ว

“ศิษย์พี่หานเฟิง พี่บอกว่าผู้หญิงไม่มีคุณสมบัตินั่งรถม้าคันเดียวกับเราไม่ใช่เหรอ”

หานเฟิงไม่รอให้รถม้าจอดสนิท ก็ลุกขึ้นอย่างรีบร้อน “ความงามก็คือคุณสมบัติ นายจะไปรู้อะไร”

เมื่อพูดแบบนี้ ศิษย์พี่หานเฟิงเปิดประตูรถม้า

แต่ขณะนั้น ลูกธนูโลหิตพุ่งเข้ามา ไม่ทันตั้งตัว ศิษย์พี่หานเฟิงโดนยิงทะลุที่ไหล่ทันที

“ให้ตายเถอะ ศิษย์น้องลู่ฝาน รีบรีบถอย!”

ลู่ฝานปฏิกิริยารวดเร็ว ใช้หมัดกระแทกประตูจนพัง พาศิษย์พี่หานเฟิงเด้งตัวออกไป

พริบตาเดียว ด้านล่างรถม้ากลายเป็นเถ้าถ่าน เพราะกองเพลิงขนาดใหญ่

คนขับรถม้าเป็นศพทันที ลู่ฝานลอยอยู่กลางอากาศ คว้าศิษย์พี่หานเฟิง เหาะลงมาบนถนนซึ่งอยู่ไกลออกมา

เมื่อเพ่งมอง เห็นคนที่ไฟลุกเต็มตัวขวางทางอยู่

ใบหน้าที่คุ้นเคย ดาบหัวผีที่คุ้นเคย ทำให้ลู่ฝานกัดฟันพูดว่า “เสวี่ยบา!”

ถูกต้อง คนที่มาคือเสวี่ยบาแห่งสำนักโลหิตพิฆาต

เสวี่ยบาพูดด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้มโหดเหี้ยม “อสูรบุกเข้ามาเอง ลู่ฝาน นายกล้ามาเมืองตงหวา ดูเหมือนวันนี้ฉันจะแก้แค้นให้พี่น้องที่ตายไปของฉันได้แล้ว วันนี้นายไม่มีค่ายกลคอยช่วย ดูสิว่าจะหนีไปไหนได้”

พลังธาตุไฟอันแข็งแกร่ง ลามไปทั่วพื้น แม้เพลิงลุกโชนจะอยู่ไกล แต่ทำให้ลู่ฝานรู้สึกเจ็บผิวหนัง

“หนี!”

ลู่ฝานพูดออกมา

ศิษย์พี่หานเฟิงเอามือกุมแผลตัวเอง สบถด้วยสีหน้าไม่พอใจ

ทั้งสองกำลังจะถอยหลัง แต่เห็นคน 5-6 คนล้อมมาจากด้านหลัง ด้านบนตึกและห้องต่างๆ ก็มีเงาคน มีพลานุภาพอยู่ทั่ว รายล้อมพวกเขาเอาไว้จากแปดทิศ

ลู่ฝานกับหานเฟิงชะงักฝีเท้าลง มองนักบู๊อาวุธครบมือ ผลการฝึกตนไม่เลวที่อยู่รอบๆ ลู่ฝานกัดฟันพูดว่า “นี่คือวิธีของสำนักโลหิตพิฆาตเหรอ คุยกันดีแล้วว่าสู้กันหลังจากสามวัน กวนหานเป็นคนต่ำถึงขั้นนี้เลยเหรอ”

เสวี่ยบาเดินมาข้างหน้า เดินพลางตั้งท่าสู้ “นายจะรู้ความสามารถและพรสวรรค์ของเจ้าสำนักได้ยังไง สำนักโลหิตพิฆาตของฉันทำอะไรไม่สนใจวิธีการ ดูแค่ผลลัพธ์เท่านั้น ลู่ฝาน นายไม่คิดว่าถ้าหลังจากสามวัน นายไม่สามารถปรากฏตัวออกมาได้ กลายเป็นคนหนีการต่อสู้ จนทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง ข่าวไม่ดีถูกพูดถึงไปทั่ว มันยิ่งดีกว่าไม่ใช่เหรอ”

ลู่ฝานกำกระบี่หนักไว้ในมือ ในเวลาเดียวกันก็ตะโกนเรียกเจ้าดำในใจ ถ้าไม่มีเจ้าดำ ความสามารถในการต่อสู้ของเขาจะลดลงไม่น้อย

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรปลุกเจ้าดำ ตอนนี้มีอันตรายเต็มไปหมด

ลู่ฝานพูดว่า “หึ พวกนายกล้าทำแบบนี้ในเมืองตงหวา ทำเหมือนไม่มีผู้เฝ้าเมือง ไม่มีหัวหน้าเขต”

เสวี่ยบาพูดว่า “ไอ้เด็กไร้เดียงสา นายคิดว่าพวกเขาตรวจตราทุกวันเหรอ อีกทั้งนายตายไป จะมีใครรู้ เอาชีวิตมาซะ!”

พูดพลาง เสวี่ยบาถือดาบยาวพุ่งเข้ามาหาลู่ฝาน

แต่ขณะนั้น ศิษย์พี่หานเฟิงเด้งตัวขึ้น พร้อมกับการเคลื่อนไหวพลังปราณอันน่ากลัว จากนั้นชิงเตะลงบนท่อนล่างของเสวี่ยบา

“ให้ตายเถอะ นายพูดมากจริงๆ!”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 536
“คุณอู่คงหลิง เราไม่ได้เดินบนเส้นทางเดียวกัน เธอก็ไม่ใช่สาวใช้ของฉัน เมื่อถึงสวนหอมปาฟาง ฉันหวังว่าเราจะต่างคนต่างไป ไม่เจอกันอีกจะดีมาก”

ลู่ฝานพูดอย่างราบเรียบ เขาไม่อยากพัวพันกับคนที่ฝึกวิชาชั่วร้ายอีกจริงๆ

เพิ่งพูดจบ หานเฟิงที่อยู่ข้างๆ ดึงเสื้อลู่ฝาน

ทันใดนั้น ลู่ฝานได้ยินเสียงหานเฟิง “ศิษย์น้องลู่ฝาน นายบ้าไปแล้ว ผลักไสคนงามขนาดนี้ นายไม่เอาก็ให้ฉันสิ!”

ลู่ฝานกลอกตามองบนใส่ศิษย์พี่หานเฟิง เพื่อบอกว่าศิษย์พี่หานเฟิงพอได้แล้ว

อู่คงหลิงพูดด้วยเสียงน่าหลงใหล “คุณชายลู่ เราเดินเส้นทางเดียวกัน ก่อนหน้านี้สองสามวัน ฉันยังสงสัยว่าทำไมนายถึงใช้ทักษะและวิชาของเราได้ ดูเหมือนตอนนี้ ทุกสิ่งล้วนมีเหตุผลแล้ว แค่นาย ต้องการ ฉันก้เป็นสาวใช้นายได้ สาวใช้ที่ทำตามนายทุกอย่าง”

อู่คงหลิงพูดแล้วขยิบตาให้ลู่ฝาน การกระทำยั่วยวนแบบนี้ ทำให้ศิษย์พี่หานเฟิงน้ำลายไหลออกมาทันที

ลู่ฝานรีบออกห่างศิษย์พี่หานเฟิง มองอู่คงหลิงแล้วพูดว่า “ฉันจะพูดอีกรอบ ฉันกับเธอไม่ได้เดินทางเดียวกัน คุณอู่คงหลิง ลงรถไปได้แล้ว”

พูดจบ ลู่ฝานบอกให้รถม้าจอด

อู่คงหลิงมองลู่ฝานอย่างเศร้าและเคียดแค้น “คุณชายลู่ฝาน จะไล่ฉันลงรถจริงเหรอ”

ลู่ฝานพยักหน้าอย่างไม่ลังเล

อู่คงหลิงค่อยๆ ยืนขึ้นแล้วพูดว่า “งั้นเรื่องที่หัวหน้าเขตอี้ว์บอกให้ฉันยกระดับพละกำลังให้นาย เพื่อเอาชนะกวนหาน คงไม่ต้องทำแล้วเหมือนกัน”

เพียงประโยคเดียว ทำให้ลู่ฝานอึ้งไป

“เธอว่าอะไรนะ”

ลู่ฝานขมวดคิ้วแล้วเอ่ยขึ้น

อู่คงหลิงยกยิ้มมุมปาก นั่งลงอีกครั้งแล้วพูดว่า “ฉันบอกว่าสามารถยกระดับพละกำลังให้นายได้ ภายในเวลาไม่กี่วัน ทำให้นายเอาชนะกวนหานได้ อีกทั้งรับประกันความปลอดภัยของนายในช่วงสองสามวันนี้ด้วย”

ลู่ฝานพูดว่า “ผมรับประกันความปลอดภัยของตัวเองได้ นายไม่จำเป็นต้องกังวล นายบอกว่าจะยกระดับพละกำลังได้ในสองสามวัน หึหึ ขอโทษด้วยนะ ฉันไม่คิดว่าจะมีวิธียกระดับพละกำลังของคนได้ภายในระยะเวลาสั้นๆ ไม่กี่วัน ไม่งั้นจะฝึกฝนไปทำไมกัน คุณอู่คงหลิง คำพูดของเธอปลอมมาก ลงรถไปได้แล้ว”

อู่คงหลิงพูดว่า “คุณชายลู่ฝาน นายอาจลืมตัวตนของฉันไปแล้ว เรื่องที่พวกนายทำไม่ได้ ไม่ได้หมายความว่าฉันทำไม่ได้”

เห็นได้ชัดว่าอู่คงหลิงกำลังบอกว่าตัวเองสามารถใช้วิธีของวิชาชั่วร้าย ช่วยยกระดับพละกำลังให้ลู่ฝานได้

ลู่ฝานลังเลเล็กน้อย แม้เขาอยากชนะมาก แต่ต้องใช้วิชาชั่วร้ายเหรอ

คนอื่นไม่รู้ แต่เขารู้ดี วิชาชั่วร้ายมีผลข้างเคียงรุนแรงมาก

ลู่ฝานส่ายหน้าพูดว่า “ขอโทษด้วย ไม่ต้อง!”

พูดจบลู่ฝานผายมือขวา บอกให้อู่คงหลิงลงรถ

อู่คงหลิงจ้องตาลู่ฝานอยู่นาน จากนั้นยืนขึ้นอีกครั้ง “ฉันลืมไปแล้ว วิธีของฉันจะเข้าตาคุณชายลู่ไม่ได้ อืม ขอโทษคุณชายลู่ฝานด้วย ที่ฉันสอนจระเข้ว่ายน้ำต่อหน้าคุณชายลู่แล้ว”

พูดจบ อู่คงหลิงเดินลงจากรถม้า

ล้อรถเคลื่อนตัวออกไปด้านหน้าอย่างมั่นคง อู่คงหลิงมองรถม้าไกลออกไป แต่กลับหัวเราะออกมาอย่างดีใจมาก

บนรถม้า ศิษย์พี่หานเฟิงบีบคอลู่ฝาน

“ศิษย์น้องลู่ฝาน นายไล่สาวงามลงรถ ให้ตายเถอะ นายไล่สาวงามไม่มีใครเทียบได้ลงรถ นายแน่ใจใช่ไหมว่านายชอบผู้หญิง นายไม่ใช่เกย์ใช่ไหม!”

“เกย์กะผีน่ะสิ!”

ลู่ฝานด่าออกมา ซึ่งยากที่จะได้เห็นลู่ฝานด่า จากนั้นดันมือศิษย์พี่หานเฟิงออก

ลู่ฝานพูดอย่างหงุดหงิดว่า “ศิษย์พี่หานเฟิง อย่ายั่วโมโหผู้หญิงแบบนี้ ฐานะของเธอไม่ธรรมดา”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 535
3400 สำนักมาร ศิษย์สำนักมารอีกมากมาย ให้ตายเถอะ ใครบอกเขาว่าคนที่ฝึกวิชาชั่วร้ายสูญหายไปหมดแล้ว น่าขำชะมัด

ลู่ฝานถือกระบี่ในมือ ไม่รู้ควรฆ่าอู่คงหลิงทิ้งดีไหม

ขณะกำลังคิด มีเสียงฝีเท้าดังมาจากไม่ไกล

ทันใดนั้น อู่คงหลิงสะบัดมือ หุ่นเชิดวิญญาณหายไปทั้งหมด

หลังจากนั้นมีคนเดินเข้ามาอย่างสบาย

“โอ๊ะ ศิษย์น้องลู่ฝาน นายอยู่นี่นี่เอง นายทำให้คุณหนูพวกนั้นใจสลายหมดแล้ว ฮ่าๆๆ”

ศิษย์พี่หานเฟิงพูดพลาง ปรากฏตัวต่อหน้าอู่คงหลิงกับลู่ฝาน

หานเฟิงเห็นอู่คงหลิงที่คุกเข่าอยู่บนพื้น

จู่ๆ หานเฟิงคิดอะไรไม่ดีขึ้นมา

“ให้ตายเถอะ ฉันมาผิดเวลาหรือเปล่า ฮ่าๆ วันนี้อากาศไม่เลว มีแสงดวงอาทิตย์ไม่เย็นไม่ร้อน ฉันมาผิดที่แล้ว พวกนายต่อเถอะ”

ลู่ฝานถอนหายใจแล้วพูดว่า “ดึกขนาดนี้จะมีแสงดวงอาทิตย์ไม่เย็นไม่ร้อนได้ไง อู่คงหลิง เธอลุกขึ้นมาสิ”

อู่คงหลิงพูดอย่างนอบน้อมว่า “ค่ะ”

เธอลุกขึ้นช้าๆ ผ้าบางปิดหน้าสะบัดเบาๆ

ตอนผ้าปิดหน้าสะบัดไปมา ทำให้ศิษย์พี่หานเฟิงเห็นใบหน้างดงามภายใต้ผ้าบางเล็กน้อย

ทันใดนั้น ศิษย์พี่หานเฟิงตกใจ น้ำลายเกือบไหลออกมา

ลู่ฝานชนศิษย์พี่หานเฟิงแล้วพูดว่า “ศิษย์พี่หานเฟิง อย่าโวยวาย ผมมีเรื่องส่วนตัวนิดหน่อย อืม เรากลับกันเถอะ กลับไปแล้วค่อยคุยกัน”

ศิษย์พี่หานเฟิงพยักหน้าทื่อๆ ทั้งสามคนเดินออกไปข้างนอก

ระหว่างทาง หานเฟิงเห็นคุณหนูเศรษฐีหลายคน

เดิมทีพวกเธอกะจะเข้ามา แต่เมื่อเห็นอู่คงหลิงที่เดินข้างลู่ฝาน

คนพวกนี้ชะงักฝีเท้าลงทันที

ถึงอู่คงหลิงไม่เอาผ้าบางที่ปิดหน้าอยู่ออก แต่ก็งดงามจนไม่มีใครเทียบได้

เรื่องรูปร่างไม่ต้องพูดถึง ดวงตากระชากวิญญาณ

“นี่ใครเหรอ สวยมาก”

“ฉันกล้าพนันเลย ถ้าเธอเอาผ้าปิดหน้าออก ยิ่งสวยกว่านี้”

“ฉันรู้ว่าเธอคือใคร เธอคือคุณอู่คงหลิง”

“พระเจ้า เธอคืออู่คงหลิง ที่จะสอบผู้ตรวจการชั้นกลางเหรอ ทำไมเธอถึงอยู่กับคุณชายลู่ฝานเหรอ”

“เราไม่มีโอกาสแล้ว หมดโอกาสโดยสิ้นเชิง”

……

เสียงพูดคุยดังไปไกล พวกลู่ฝานทั้งสามคน ออกจากจวนหัวหน้าเขต

เรียกรถม้าหนึ่งคัน จากนั้นทั้งสามคนเข้ามานั่งด้านใน

รถม้าคันนี้ เป็นรถม้าที่สวนหอมปาฟางเตรียมให้พวกเขาโดยเฉพาะ สว่างและกว้างขวาง แค่ตัวรถก็ใหญ่ประมาณห้องหนึ่งห้องแล้ว

ด้านในตัวรถปูด้วยขนจิ้งจอกไฟ นุ่มเป็นอย่างมาก

ด้านในยังฝังด้วยไข่มุกเรืองแสงขนาดเท่ากำปั้นสิบกว่าเม็ด ทำให้ในตัวรถสว่างเหมือนตอนกลางวัน

ลู่ฝานนั่งกับหานเฟิง อู่คงหลิงนั่งอยู่อีกด้านอย่างรู้งาน

หานเฟิงนั่งลงแล้วพูดว่า “ลู่ฝาน เธอเป็นใคร แนะนำให้ฉันรู้จักหน่อยสิ”

ลู่ฝานพูดว่า “เธอชื่ออู่คงหลิง เป็น……”

ลู่ฝานกำลังลังเลว่าจะแนะนำยังไง ขณะนั้นอู่คงหลิงพูดขึ้นมาว่า “ฉันเป็นคนใช้ของคุณชายลู่ฝานค่ะ”

เพียงประโยคเดียว ไม่ใช่แค่หานเฟิงที่ตกใจ ลู่ฝานก็อึ้งไปเช่นกัน

หานเฟิงรีบพูดว่า “นายล้อฉันเล่นเหรอ ศิษย์น้องลู่ฝาน ฉันเคยไปตระกูลนาย ถึงเอาสาวงามของบรรพบุรุษตระกูลนายมัดรวมกันสามรุ่น ยังดูดีไม่ถึงครึ่งของคุณอู่ คนสวยแบบนี้จะเป็นคนใช้เหรอ ศิษย์น้องลู่ฝาน นายยังมีอะไรไม่บอกฉันอีก”

ลู่ฝานมองอู่คงหลิง แล้วหรี่ตาลง

มีรอยยิ้มบนคิ้วและหางตาของอู่คงหลิง เหมือนเธอกำลังบอกว่า ฉันจงใจพูดแบบนี้

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 534
ค่ายกลด้านล่างเท้ามีแสงสว่างขึ้นมา ลู่ฝานตั้งท่าสู้สุดชีวิต

ตอนนี้ดวงตาเป็นประกายของอู่คงหลิง ยังจ้องดวงตาของลู่ฝาน ประกายเหล่านั้นเหมือนงูที่เลื้อยไปมา จะเข้าไปตาของลู่ฝาน

เห็นได้ชัดว่าอู่คงหลิงก็ใช้วิชาชั่วร้าย ต้องการกำจัดลู่ฝานอย่างรวดเร็ว

แต่ขณะนั้น ลู่ฝานรู้สึกว่าแหวนของตัวเองสว่างขึ้น

แสงหม่นหมองสว่างขึ้นมาบางๆ ทันใดนั้น หุ่นวิญญาณที่ควบคุมตัวเขา เหมือนเจออะไรน่ากลัว ร้องโหยหวนแล้วล่าถอยไป

ทันใดนั้น ลู่ฝานสามารถควบคุมตัวเองได้แล้ว

เขาสะบัดกระบี่หนัก ตบอู่คงหลิงกระเด็นออกไปไกล

“อ๊าก!”

อู่คงหลิงที่ไม่ทันตั้งตัว โดนลู่ฝานใช้กระบี่ตบจนได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย แต่อู่คงหลิงไม่ได้สนใจ สายตาเธอจับจ้องไปที่แสงสว่างบนแหวนลู่ฝาน

ลู่ฝานก็ตกใจเช่นกัน คิดไม่ถึงว่าช่วงเวลาคับขัน แหวนช่วยชีวิตเขาไว้อีกครั้ง

แหวนจิ่วเซียวที่อาจารย์หวูเฉินให้เขา อย่าบอกนะว่า เกี่ยวกับสำนักจิ่วเซียวอีกแล้ว

ขณะลู่ฝานกำลังครุ่นคิด ป้ายหยกลอยออกมาจากแหวนจิ่วเซียว

เมื่อลู่ฝานเห็นป้ายหยกนี้ เขาถึงกับอึ้งไป ทันใดนั้น เขานึกขึ้นมาได้ ป้ายหยกนี้เป็นของที่เพื่อนเก่าของอาจารย์ให้มา เมื่อรื้อฟื้นความทรงจำของตัวเอง ลู่ฝานจำได้แล้ว ป้ายหยกนี้เป็นของที่ผู้หญิงคนนั้นให้เขา

เพราะผู้หญิงที่งดงามคนนั้น ทำให้อาจารย์หวูเฉินย้ายจากร้านเหล้าของตัวเองไปอยู่ในป่าลึก

นานจนลู่ฝานเกือบลืมป้ายหยกชิ้นนี้ไปแล้ว ทำไมตอนนี้มันถึงโผล่ออกมาเอง

มีแสงเคลื่อนไหวอยู่บนป้ายหยก

คำว่าวิถีด้านบน ยังคงมีความโดดเด่น แต่เมื่อเขาพลิกมัน เห็นด้านหลังเป็นสีดำทั้งแถบ มีคำว่าชั่วร้ายอยู่เลือนราง เหมือนรูปใบหน้าผี

“จิตใจเต๋าสำนักมาร!”

อู่คงหลิงพูดออกมาด้วยความตกใจ

แววตาที่มองลู่ฝานเปลี่ยนไปทันที หุ่นเชิดวิญญาณรอบๆ คุกเข่าลงทันที

หุ่นเชิดวิญญาณพวกนี้ พูดกับลู่ฝานด้วยน้ำเสียงสะอื้นอย่างพร้อมเพรียงว่า “นายท่าน!”

ลู่ฝานตกใจ ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม

นี่มันอะไรกัน นี่มันเปลี่ยนแปลงเร็วจนเกินไป

แค่ป้ายอันเดียวเท่านั้น ทำไมถึงทำให้หุ่นเชิดดุดันพวกนี้คุกเข่าลงได้

หลังจากอู่คงหลิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็คุกเข่าลง คำนับแล้วพูดว่า “อู่คงหลิงแห่งสำนักมาร คารวะนายท่าน”

ลู่ฝานกลืนน้ำลาย

เขารู้สึกว่าป้ายในมือตัวเอง เป็นของที่สุดยอดมาก

ป้ายที่ทำให้ผู้ฝึกวิชาชั่วร้ายคุกเข่าก้มหัวเรียกนายท่านได้ มันคือป้ายอะไรกัน

คิดไปคิดมา เหมือนมีเพียงคำตอบเดียว นั่นก็คือป้ายของผู้นำปีศาจ

ลู่ฝานหางตากระตุก ผู้หญิงที่มาคุยกับอาจารย์หวูเฉินโดยเฉพาะ เป็นผู้นำปีศาจเหรอ

จิตใจเต๋าสำนักมาร ฟังดูสุดยอดมาก

ได้ยินอู่คงหลิงกับหุ่นเชิดวิญญาณพวกนี้เรียกเขา

นายท่านเลยนะ ให้ตายเถอะ ในประเทศแห่งนี้คนที่สามารถเรียกว่านายท่านได้ คงมีแค่อริยปราชญ์กับเซียนบู๊

ลู่ฝานเก็บป้ายเอาไว้ก่อน จากนั้นสูดหายใจลึก

มองอู่คงหลิงแล้วพูดว่า “ทำไมเรียกฉันว่านายท่าน”

อู่คงหลิงเงยหน้าขึ้น แววตาวูบไหว “เพราะนายมีป้ายคำสั่งมารของจิตใจเต๋าสำนักมาร 108000 เขตในประเทศอู่อาน มี 3400 สำนักมาร ศิษย์สำนักมารมากมาย เมื่อเห็นป้ายคำสั่งนี้ ก็เท่ากับเจอนายท่าน”

ลู่ฝานรู้สึกว่าหัวใจตัวเองกระตุกวูบ

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 533
การต่อสู้เริ่มขึ้นทันที รอยยิ้มแปลกประหลาดปรากฏขึ้นบนใบหน้าอู่คงหลิงทันที

เมื่อเห็นรอยยิ้มนี้ ลู่ฝานรู้สึกว่าออร่าชั่วร้ายพุ่งมาโจมตีจากทุกทิศ

ทันใดนั้น เปลวไฟศักดิ์สิทธิ์ลุกโชนขึ้นมา แยกพลังฟ้าดินรอบๆ ออกไป

หลังจากนั้นลู่ฝานเห็นเงาสีดำที่มาจากความชั่วร้าย ดวงตาแดงก่ำ ตัวเลือนรางเหมือนผี

“วิญญาณชั่วร้าย!”

ลู่ฝานพูดออกมาช้าๆ

อู่คงหลิงยิ้มแล้วพูดว่า “ในเมื่อฉันเป็นคนที่ฝึกวิชาชั่วร้าย แน่นอนว่าต้องมีวิญญาณชั่วร้ายอยู่ข้างกาย นี่เป็นเรื่องปกติไม่ใช่เหรอ มีอะไรให้ตกใจ”

พูดพลาง อู่คงหลิงสะบัดมือเบาๆ ตัวของเธอกับวิญญาณชั่วร้ายรอบๆ หมุนรวมกัน

แขนเสื้อลู่ฝานสะบัดไปมา ด้ายแดงปรากฏขึ้นบนมือ จากนั้นด้ายแดงร้อนระอุจนจะไหม้ข้อมือของลู่ฝาน

หลังจากนั้นด้ายแดงไหม้จนเกรียม กลายเป็นผงสีดำหล่นลงบนพื้น

เห็นได้ชัดว่าออร่าแข็งแกร่งของวิชาชั่วร้าย ทำให้ด้ายแดงจัดความชั่วร้าย ต้านทานเอาไว้ไม่ไหว

ลู่ฝานก็สัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งของเงาดำพวกนี้ ผลการฝึกตนของแต่ละตัวคงสูงกว่าเขา

อู่คงหลิงหาผู้ช่วยได้ไม่เลวจริงๆ

ลำบากแล้ว!

ลู่ฝานแอบแค้นในใจ ถ้าตอนนั้นฆ่าอู่คงหลิงก็จบแล้ว

ตอนนี้กำลังตกอยู่ในอันตรายแล้ว

เสียงของอู่คงหลิงดังอยู่รอบๆ เหมือนวิญญาณ

“ลู่ฝาน วันนี้เป็นวันตายของนาย ได้ตายคามือหุ่นเชิดวิญญาณ ถือว่าเป็นเกียรติของนายนะ ไปซะ มารสลายร่าง!”

ทันใดนั้น เงาดำหลายเงามาตรงหน้าลู่ฝาน

ลู่ฝานเพิ่งสะบัดกระบี่หนัก ก็รู้สึกว่ารอบๆ ตัวเอง ถูกควบคุมเอาไว้

ร่างกายเย็น ความเย็นถึงกระดูกแผ่ขึ้นมาจากเท้า พุ่งขึ้นมาบนหัวของเขา

ความหนาวเย็นนี้ เหมือนน้ำเย็นราดลงหัวในฤดูหนาว เย็นสุดขั้ว ชั่วพริบตา เขารู้สึกว่าใกล้จะควบคุมร่างกายตัวเองไม่ได้แล้ว

ร่างกายรอบๆ เต็มไปด้วยดวงตาแดงก่ำ รู้สึกตกใจ ปราณชี่ในตัวลู่ฝานกลายเป็นพลังวิญญาณทันที

“ทำลาย!”

ลู่ฝานแผดเสียงออกมา และใช้วิชาชิงวิญญาณ

ทันใดนั้น เงาดำหนึ่งเงาระเบิด ส่งเสียงร้องโอดครวญออกมา

อู่คงหลิงคิดไม่ถึงว่าในสถานการณ์แบบนี้ ลู่ฝานยังมีแรงต่อสู้กลับ

ทันใดนั้นอู่คงหลิงปรากฏตัวออกมา ไม่รู้ว่ามีกระดิ่งอยู่ในมือเธอตั้งแต่ตอนไหน เมื่อสั่นเบาๆ ทำให้เกิดเสียงดังชัดเจน

แต่เมื่อเสียงนี้เข้าหูลู่ฝาน มันเหมือนเสียงเรียกวิญญาณ หุ่นเชิดวิญญาณที่ควบคุมเขาเอาไว้ เริ่มมีพลังมากยิ่งขึ้น

ลู่ฝานเริ่มสั่นไปทั้งตัว เกิดเสียงดังออกมาจากตัวเขา

อู่คงหลิงสั่นกระดิ่งเร็วขึ้นเรื่อยๆ สั่นพลางพูดด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “ลู่ฝาน ยอมแพ้เถอะ นายไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหุ่นเชิดวิญญาณ พวกมันแต่ละตัวมีพละกำลังระดับนักบู๊แดนปราณชีวิต รีบยอมแพ้ซะตอนนี้ จะได้ตายแบบสบายๆ”

เสียงของอู่คงหลิง เหมือนเสียงปีศาจดังเข้ามาในหัว กระตุ้นจิตใจของลู่ฝาน

นี่เป็นวิชาชั่วร้ายแน่นอน ลู่ฝานรู้สึกว่าตัวเองมีความคิดยอมแพ้ขึ้นมาจริงๆ

ระดับความแน่วแน่อย่างเขา ยังโดนสั่นคลอน วิชาชั่วร้ายนี้มีผลวิเศษจริงๆ

พลังวิญญาณพุ่งเข้ามาในสมอง ลู่ฝานพยายามทำให้จิตใจมั่นคง

อยู่ในช่วงเป็นตาย เขาก็ไม่มีเวลาสนใจอะไรมาก แขนขาขยับไม่ได้ แต่เขายังสามารถรวมพลังฟ้าดินรอบๆ ได้

เคล็ดห้าธาตุกลายวัตถุ ค่ายกลทำลายห้าธาตุค่ายเล็ก!

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 532
ลู่ฝานตาเป็นประกาย ป้ายอันนี้คือของดีอย่างแท้จริง

ป้ายคำสั่งของตระกูลอี้ว์ ในเขตตงหวา เหมือนอาวุธเทพป้องกันตัว วันหลังเอากลับตระกูล นำไปวางไว้ในตระกูล ก็ถือว่ามีตระกูลอี้ว์คอยคุ้มครอง ไม่ว่าใครก็ต้องหลีกทาง

ลู่ฝานโยนป้ายลงไปในเข็มขัด คำนับแล้วพูดว่า “ขอบคุณหัวหน้าเขตอี้ว์มากครับ”

หัวหน้าเขตอี้ว์พยักหน้าพูดว่า “เรื่องเล็กน้อย ไม่ต้องขอบคุณหรอก ในเมื่อพวกนายนัดสู้กันหลังจากสามวัน งั้นสามวันนี้ นายต้องระวังตัว อย่าหาว่าฉันไม่เตือน กวนหานทำอะไรไม่เคยยึดตามเหตุผลทั่วไป เขาโหดเหี้ยมมาโดยตลอด ถ้าเรื่องที่สามารถจัดการได้ในคืนนี้ ไม่มีทางยื้อไปถึงวันต่อไป ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด สองวันนี้พวกนายจะเจอการซุ่มโจมตี”

ลู่ฝานพูดอย่างตกใจว่า “เป็นถึงเจ้าสำนัก เขาหน้าไม่อายถึงขั้นนี้เลยเหรอ”

หัวหน้าเขตอี้ว์ใช้สายตาที่บอกว่า “นายเพิ่งรู้เหรอ!” มองลู่ฝาน

ทันใดนั้น หัวหน้าเขตอี้ว์ปรบมือ คนรูปร่างบอบบางเดินมาจากไกลๆ

หัวหน้าเขตอี้ว์พูดว่า “แม้พละกำลังของนายไม่อ่อนแอ แต่ยังขาดการคุ้มกัน ฉันเตรียมคนไว้ให้นายคนหนึ่ง ให้เธอคุ้มกันนายสามวัน ขณะเดียวกัน ในสามวันนี้ก็ทำให้พละกำลังนายสูงขึ้น จะได้สู้กับกวนหานได้ มาทำความรู้จักกันสิ คุณอู่คงหลิง”

เมื่อได้ยินคำว่าอู่คงหลิง ลู่ฝานเหมือนโดนฟ้าผ่า

เป็นเธอ!

ทำไมถึงเป็นเธอได้!

ลู่ฝานเบิกตามองคนที่กำลังเดินมาช้าๆ

แสงจันทร์สาดส่องลงบนใบหน้าคนที่กำลังเดินมา สะท้อนให้เห็นดวงตางดงามไร้ที่ติของเธอ รวมไปถึงผ้าบางบนใบหน้า

“คุณชายลู่ฝาน ได้ยินกิตติศัพท์มานาน!”

เสียงดูไม่จริงจัง ง่ายมาก อู่คงหลิงก็กำลังสะกดกลั้นความโกรธ

ลู่ฝานกลืนน้ำลายแล้วพูดว่า “คุณอู่คงหลิง สองสามวันนี้รบกวนชี้แนะด้วย”

หัวหน้าเขตอี้ว์มองอู่คงหลิงอย่างสงสัย แล้วก็มองลู่ฝาน

เหมือนเข้าใจอะไรบางอย่าง แต่เขาไม่พูดอะไรออกมาสักคำ

หลังผ่านไปครู่หนึ่ง หัวหน้าเขตอี้ว์เห็นว่าทั้งสองคนไม่ค่อยคุยอะไรกัน จึงพูดออกมาว่า “โอเค ทั้งสองคนไปได้แล้ว ลู่ฝาน ถ้านายรู้สึกว่าที่พักไม่ปลอดภัย มาพักที่จวนตระกูลอี้ว์ได้”

ลู่ฝานส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอกครับ ผมคิดว่าในสวนหอมปาฟาง น่าจะปลอดภัยมากแล้ว ใช่ไหมครับคุณอู่คงหลิง”

อู่คงหลิงยิ้มแล้วพูดว่า “ถูกต้องค่ะ”

หัวหน้าเขตอี้ว์พึมพำออกมา

“สวนหอมปาฟาง สวนหอมปาฟาง ตระกูลขุนนางปาฟาง อืม เป็นถิ่นของตระกูลปาฟาง ต้องปลอดภัยแน่นอน”

หัวหน้าเขตอี้ว์ไม่ได้พูดอะไรมาก สะบัดมือบอกให้ทั้งสองคนออกไป

อู่คงหลิงโค้งตัวคำนับ ส่วนลู่ฝานหันหลังเดินออกไปทันที ทั้งสองเดินตามกันออกมาตรงทางเดิน

จู่ๆ ลู่ฝานรู้สึกว่ามีสายลมแรงโจมตีทางด้านหลัง

ทันใดนั้น ลู่ฝานหลบไปด้านข้างสามเมตร เมื่อหันกลับมามอง เห็นอู่คงหลิงถือกระบี่ยาวอยู่ในมือ

“คุณอู่คงหลิง จะสู้กับผมที่นี่เหรอ”

อู่คงหลิงพูดว่า “ใช่ ลู่ฝาน ฉันว่าถ้านายตายที่นี่ ไม่ว่าใครก็คงคิดว่าเป็นฝีมือของกวนหาน แค่ฉันทำให้ตัวเองบาดเจ็บนิดหน่อย ใครจะสงสัยฉันได้ล่ะ”

ลู่ฝานพูดว่า “เป็นความคิดที่ดี แต่เธอมีช่องโหว่สำคัญ เธอแน่ใจเหรอว่าฆ่าผมได้”

อู่คงหลิงพูดว่า “ลองดูได้ ลู่ฝาน เอาผ้าปิดหน้าฉันคืนมาก่อน อย่าให้ฉันเอามาจากตัวนาย แบบนั้นจะเสียเวลา”

ลู่ฝานพูดว่า “อยากได้เหรอ มาเอาเองสิ!”

พูดจบ ลู่ฝานเอากระบี่หนักของตัวเองออกมา

น้ำในทะเลสาบแวววาวระยิบระยับ จนเป็นแสงสีเงิน

ตอนนี้หัวหน้าเขตอี้ว์ไม่มีรอยยิ้มบนใบหน้าแล้ว สีหน้าดูเคร่งขรึมเล็กน้อย

“ลู่ฝาน นายมาได้ยังไง ใครให้นายมา”

หัวหน้าเขตอี้ว์พูดโดยไม่มองลู่ฝานสักนิด

ลู่ฝานตอบกลับอย่างราบเรียบว่า “ท่านให้ผมมาไม่ใช่เหรอ”

หัวหน้าเขตอี้ว์พูดว่า “ฉันพูดเหรอ ทำไมฉันจำไม่ได้”

ลู่ฝานพูดว่า “ท่านเคาะโต๊ะสามครั้ง ไม่ได้ให้ผมมาหลังจากดื่มเหล้าเสร็จเหรอ”

หัวหน้าเขตอี้ว์วางอาหารปลาในมือลง หันมาเอาสองมือไพล่หลังแล้วพูดว่า “คนฉลาด งั้นฉันจะใช้วิธีฉลาดคุยกับนาย นายเข้ามาสิ”

ลู่ฝานเดินเข้าไปจนมาถึงหน้าหัวหน้าเขตอี้ว์

หัวหน้าเขตอี้ว์มองปลาคาร์ปในน้ำ “ลู่ฝาน นายเป็นคนในเขตตงหวาใช่ไหม”

ลู่ฝานพูดว่า “ลูกหลานตระกูลลู่ เป็นคนเขตตงหวา เมืองเจียงหลิน ล้วนเป็นคนเขตตงหวามาสามรุ่น”

“งั้นนายเต็มใจจัดภัยร้ายของเขตตงหวาไหม”

ลู่ฝานพูดว่า “ภัยร้ายที่หัวหน้าเขตอี้ว์พูดถึง หมายถึงกวนหานใช่ไหม”

หัวหน้าเขตอี้ว์พยักหน้าพูดว่า “ใช่ เขานั่นแหละ ฉันไม่รู้ว่านายบาดหมางกับเขาได้ยังไง ฉันก็ไม่อยากรู้เหมือนกัน เป้าหมายที่นายมาเมืองตงหวาคืออะไร คงไม่ใช่แค่การสอบผู้ตรวจการชั้นล่าง ไม่งั้นนายคงกลับไปนานแล้ว ฉันแค่อยากยืมมือนาย กำจัดกวนหาน เพราะก้าวก่ายถึงบุญคุณความแค้นของพวกผู้อาวุโส ดังนั้นฉันจึงไม่สามารถลงมือเองได้ ให้นายลงมือ เป็นทางเลือกที่ไม่เลว นายลองคิดดู จะเป็นอาวุธให้ฉันไหม แน่นอนว่าหลังจากสำเร็จ นายก็ได้ประโยชน์ไม่น้อยเช่นกัน”

หัวหน้าเขตอี้ว์พูดเป้าหมายของตัวเองออกมาอย่างเปิดเผย ไม่อ้อมค้อม ไม่ปิดบังแม้แต่น้อย

ลู่ฝานอึ้งไปก่อน จากนั้นพูดว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นเชิญหัวหน้าเขตชี้แนะ”

หัวหน้าเขตอี้ว์หัวเราะอีกแล้ว รอยยิ้มครั้งนี้ เป็นรอยยิ้มที่แท้จริงของหัวหน้าเขตอี้ว์

มีความเกรี้ยวกราดและดูเหมือนเฒ่าสารพัดพิษ รอยยิ้มมุมปากแฝงด้วยความชั่วร้ายเล็กน้อย

หัวหน้าเขตอี้ว์พูดว่า “ดีมาก ฉันชอบคนฉลาดที่รู้ความแบบนาย วิธีที่ดีที่สุดก็คือหลังจากสามวัน ฆ่าเขาในการต่อสู้แบบเป็นตาย แต่ฉันคิดว่าจากพละกำลังของนายตอนนี้ จะทำแบบนี้ คงยากเกินไป ไม่พูดเรื่องอื่น กวนหานมีผลการฝึกตนระดับแดนปราณชีวิต ส่วนนายแค่แดนปราณนอก ความแตกต่างขั้นนี้ ยากจะเพิ่มเติมเข้าไปได้ ฉันอยากฟังก่อนว่านายคิดยังไง คนฉลาดอย่างนาย คงไม่ตัดสินใจทำอะไรโง่ๆ แบบนี้”

ลู่ฝานพูดอย่างราบเรียบว่า “ความมั่นใจมีไม่มาก แต่ก็มีอยู่ เรื่องเกี่ยวข้องกับตระกูล ไม่สู้สุดใจไม่ได้!”

หัวหน้าเขตอี้ว์มองตาลู่ฝาน ดวงตาทั้งสองข้างของเขามีประกายดำขลับ เคลื่อนไหวอยู่ในลูกตา

ลู่ฝานรู้สึกเจ็บตาเล็กน้อย หัวหน้าเขตอี้ว์ทำให้เขารู้สึกเหมือนว่าหัวหน้าเขตอี้ว์มองเขาออกทุกอย่าง

ผ่านไปนาน หัวหน้าเขตอี้ว์พูดว่า “นานแล้วที่ไม่ได้เจอคนหนุ่มแบบนาย นายเป็นศิษย์ของใคร ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่พื้นฐานมั่นคงขนาดนี้ แถมยังทำความเข้าใจเขตวิถีบู๊ไม่น้อยอีกด้วย อืม อาศัยสิ่งเหล่านี้ก็มีโอกาสชนะเพิ่มขึ้น ดีกว่าที่ฉันจินตนาการเอาไว้เยอะ”

หัวหน้าเขตอี้ว์โยนป้ายอันหนึ่งออกมาจากอก ป้ายไม้ธรรมดาๆ ด้านบนสลักคำว่าอี้ว์ ร่วงลงมาในมือลู่ฝาน

“นับตั้งแต่วันนี้ ป้ายนี้สามารถทำให้นายเข้าออกตระกูลอี้ว์ได้ตามสบาย ถ้านายฆ่ากวนหานได้ ป้ายนี้จะตกเป็นของนาย!”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 530
แต่สายตาของพวกเขายังมองมาทางนี้ เรียกว่าหันมาเป็นระยะก็ไม่เกินไป

หานเฟิงยืนอยู่ตรงนั้น ไม่รู้ว่าควรไปหรือเปล่า เขามองไม่กี่ที แล้วกระแอมแล้วพูดว่า “ฉันไปเข้าห้องน้ำก่อน กินเยอะไปหน่อย พวกนายคุยกันเลย”

เซี่ยวเอ๋อร์ไม่ได้มองหานเฟิงสักนิด เธอนั่งลงตรงหน้าลู่ฝานแล้วพูดว่า “คุณชายลู่ฝาน เราเจอกันอีกแล้ว”

ลู่ฝานพูดว่า “วันนี้คุณเซี่ยวเอ๋อร์สวยมาก”

เซี่ยวเอ๋อร์เชิดหน้าขึ้น “ถือว่านายอยู่เป็น ยังรู้จักพูดเพราะๆ ให้ฉันบอกข่าวอะไรให้ไหม”

ลู่ฝานพูดว่า “ข่าวอะไร”

เซี่ยวเอ๋อร์พูดว่า “ข่าวของกวนหานไง ฉันดูออกว่าพวกนายไม่ถูกกัน ไม่ใช่เรื่องเล็กด้วย ฉันไม่อยากให้นายตายคามือเขา ไอ้หมอนี่เป็นเนื้อร้ายของเขตตงหวาเลยล่ะ”

ลู่ฝานขมวดคิ้วพูดว่า “คุณเซี่ยวเอ๋อร์มีข้อมูลของเขาเหรอ”

เซี่ยวเอ๋อร์พยักหน้าพูดว่า “มีสิ ถ้านายต้องการ ฉันให้นายได้ นายจะสู้กับเขาจริงเหรอ ฉันรู้มาว่าเขาเก่งมาก”

ลู่ฝานพูดว่า “เรื่องบางเรื่องยังไงก็ต้องทำ งั้นผมขอบใจคุณเซี่ยวเอ๋อร์เอาไว้ก่อนละกัน”

ลู่ฝานคารวะ เมื่อลู่ฝานทำแบบนี้ เซี่ยวเอ๋อร์พูดด้วยสีหน้าเย็นชา “ถ้านายจะขอบคุณฉัน คุณชายลู่จะมาเป็นคนตระกูลอี้ว์สิ แค่นายชนะกวนหานได้ นายจะเป็นลูกเขยของตระกูลอี้ว์ ขอบคุณอะไรกันล่ะ”

ลู่ฝานส่ายหน้าพูดว่า “ผมไม่เคยคิดเป็นลูกเขยตระกูลอี้ว์ เป้าหมายของผมก็ไม่ใช่สิ่งนี้”

เซี่ยวเอ๋อร์พูดว่า “จริงเหรอ แล้วถ้าฉันบอกว่าถ้านายชนะ สิ่งที่ได้คือฉันล่ะ”

ลู่ฝานอึ้งไปทันที มองเซี่ยวเอ๋อร์อย่างอึ้งๆ แล้วพูดว่า “นายเป็นหลานสาวของหัวหน้าเขตอี้ว์เหรอ”

เซี่ยวเอ๋อร์อมยิ้มแล้วพยักหน้า

สีหน้าลู่ฝานดูประหลาด แต่เขาก็ยังส่ายหน้า “ขอโทษด้วย คุณเซี่ยวเอ๋อร์ เราเพิ่งเจอกันแค่สองครั้ง”

แววตาเซี่ยวเอ๋อร์ฉายแววผิดหวัง เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่เธอคาดหวังจากลู่ฝานไม่ใช่แบบนี้

“โอเค อันที่จริงหลานสาวคุณอามีเยอะมาก ไม่ใช่ฉันแค่คนเดียว พวกเมี่ยวหยู่ ก็เป็นหลานสาวคุณอาเหมือนกัน คุณชายลู่ฝาน ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องนี้ อันที่จริงคุณอาแค่หยอกทุกคนเล่น เมื่อถึงตอนนั้นถ้าเขาเลือกหลานสาวออกมาคนหนึ่ง แล้วเธอไม่ตอบตกลง เรื่องนี้ก็ผ่านไปแล้ว”

ลู่ฝานตอบรับ คิดในใจว่าเป็นแบบนี้ยิ่งดี

แต่เขาฟังจากคำพูดของเซี่ยวเอ๋อร์ไม่ออก เซี่ยวเอ๋อร์ยังมีอีกความหมายหนึ่งแฝงอยู่ เธอไม่ได้บอกว่าถ้าคุณอาชี้ว่าหลานสาวเป็นเธอ เธอจะตอบว่าไม่ตกลงเหมือนกันหรือเปล่า

เงียบไปครู่หนึ่ง ทั้งสองไม่พูดอะไรกันอีก

ทันใดนั้น ลู่ฝานพูดว่า “คุณเซี่ยวเอ๋อร์ ไว้คุยกันครั้งหน้า ผมมีธุระ ขอตัวก่อน”

เซี่ยวเอ๋อร์กำลังจะถามว่าลู่ฝานไปไหน

แต่คำพูดติดอยู่ตรงปาก เธอไม่ได้ถามออกมา

ลู่ฝานลุกขึ้นเดินออกจากประตู ท่ามกลางสายตาทุกคน

เมื่อเลี้ยวมาตรงมุม ลู่ฝานกลายเป็นสายลม หมุนวนไปมา พุ่งไปยังด้านหลังโถงใหญ่

เมื่อผ่านโถงใหญ่ เป็นทางเดินบนน้ำ

เมื่อมองไป ลู่ฝานเห็นหัวหน้าเขตอี้ว์อยู่ไม่ไกล เขากำลังให้อาหารปลาคาร์ป

องครักษ์รอบๆ เห็นลู่ฝานปรากฏตัวอย่างกะทันหัน ก็อึ้งไปในตอนแรก จากนั้นก็นิ่งไป

ลู่ฝานรีบเดินไปหาหัวหน้าเขตอี้ว์ เมื่ออยู่ห่างจากหัวหน้าเขตอี้ว์ประมาณสิบก้าว หัวหน้าเขตอี้ว์ยกมือบอกให้ลู่ฝานหยุด

ลู่ฝานมองหัวหน้าเขตอี้ว์อย่างไม่เข้าใจ แต่ก็ชะงักฝีเท้าลง

โปรยอาหารปลาในมือ ปลาคาร์ปในบึงกระโดดไปมาภายใต้แสงจันทร์

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 529
คนจำนวนไม่น้อยสูดหายใจเฮือก ถ้ากวนหานเป็นลูกเขยตระกูลอี้ว์ ก็เท่ากับตบหน้าหัวหน้าเขตอี้ว์ไม่ใช่เหรอ

ต้องรู้ไว้ว่าอาจารย์ของกวนหานกับหัวหน้าเขตอี้ว์เป็น……

ไม่ต้องใช้สมองคิดก็รู้ว่าถ้ากวนหานกลายเป็นคนตระกูลอี้ว์จริงๆ สิ่งแรกที่เขาจะทำก็คือทำลายตระกูลอี้ว์ทั้งตระกูล

แต่ตอนนี้หัวหน้าเขตอี้ว์ยังหัวเราะออกมาเสียงดัง “ไม่มีปัญหา กวนหาน ถ้านายกลายเป็นคนตระกูลอี้ว์จริงๆ ฉันจะต้อนรับนายอย่างดี”

หัวหน้าเขตอี้ว์หัวเราะจนเห็นฟันขาวทั้งปาก แอบมีความเย็นชาที่น่ากลัวด้วย

แววตาของกวนหานวูบไหวเล็กน้อย จากนั้นหันมามองลู่ฝาน แล้วพูดว่า “หลังจากสามวัน มาเจอกันให้ได้นะลู่ฝาน นายอย่าชิงหนีไปก่อนล่ะ”

ลู่ฝานพูดว่า “เมื่อถึงตอนนั้นนายก็อย่ากลัวจนไม่กล้าสู้ด้วยตัวเองล่ะ”

กวนหานกับลู่ฝานมองหน้ากัน จากนั้นกวนหานหัวเราะเสียงดัง แล้วเดินออกไป

ทั้งจวนตระกูลอี้ว์ ไม่มีใครกล้ารั้งเขา ปล่อยให้กวนหานเดินออกไปอย่างอวดดี

ลูกหลานตระกูลอี้ว์บางส่วน มีสีหน้าโมโห แต่รอยยิ้มบนใบหน้าหัวหน้าเขตอี้ว์ กลับไม่ลดลงเลย

เหมือนเขาไม่สนใจอะไรเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้ ยกเหล้าขึ้นมาแล้วพูดว่า “มา แสดงความยินดีกับคุณชายลู่ฝาน”

พูดพลาง หัวหน้าเขตอี้ว์เคาะโต๊ะตัวเองสามครั้ง แล้วยิ้มบางๆ ให้ลู่ฝาน

ลู่ฝานตกใจเล็กน้อย เหมือนรู้อะไรบางอย่าง

ลู่ฝานยังสีหน้าปกติ พูดเบาๆ กับหานเฟิงที่อยู่ข้างๆ “ศิษย์พี่หานเฟิง เดี๋ยวผมออกไปแล้ว พี่ช่วยผมไกล่เกลี่ยหน่อย บอกว่าผมกลับไปนอน”

หานเฟิงพูดว่า “อืม มีนัดเหรอ ให้ตายเถอะ นายไปสบตากับสาวคนไหนอีกเนี่ย”

ลู่ฝานพูดว่า “พี่คิดดีไม่เป็นหรือไง”

หานเฟิงหัวเราะคิกคักแล้วพูดว่า “ไปเถอะๆ เรื่องดูต้นทางฉันทำมาเยอะแล้ว เดี๋ยวฉันหาเหตุผลให้นายก็จบแล้ว”

ลู่ฝานพยักหน้า หวังว่าศิษย์พี่หานเฟิงจะพึ่งพาได้สักครั้งนะ

งานเลี้ยงดำเนินต่อไป ตามธรรมเนียมแล้ว หลังจากกินเสร็จ ยังมีการร้องและเต้น คนอายุน้อยแข่งเพลงมวย พวกคุณชายคุณหนูพูดคุยกัน ทุกอย่างดูสนุกสนาน

ดูเหมือนหัวหน้าเขตอี้ว์ดื่มจนเมา หลังจากดื่มไป ก็เดินออกไปเอง

เมื่อเขาไป คนอื่นยิ่งทำตามใจชอบ

เพียงไม่นาน พวกคุณชายคุณหนูเข้ามารายล้อมลู่ฝาน

“คุณชายลู่ฝาน เมื่อกี้นายสุดยอดมาก มันคือวิชาอะไร สอนผมได้ไหม”

“คุณชายลู่ฝาน ได้ยินว่านายมาจากเมืองเจียงหลิน ตระกูลเราไม่ห่างจากเมืองเจียงหลินเท่าไร รอกลับไป ไปนั่งคุยที่บ้านฉันไหม ฉันชงชาเป็นนะ!”

“คุณชายลู่ฝานเก่งขนาดนี้ เอาชนะกวนหานได้แน่นอน”

……

มีคนห้อมล้อมเข้ามาอีกแล้ว ลู่ฝานปวดหัวกับพวกเขาจริงๆ

โดยเฉพาะพวกคุณหนูเศรษฐีที่มีแววตาลุกโชน เอาอกมาแนบบนเสื้อลู่ฝาน แววตาอ่อนโยนและแฝงด้วยความรู้สึก ถูกส่งมาอย่างต่อเนื่อง

ลู่ฝานรีบถอยหลัง ศิษย์พี่หานเฟิงออกมาในช่วงสำคัญ “พวกนายมีอะไรมาหาฉันสิ”

น่าเสียดาย ไม่มีใครสนใจเขาเลย

ทุกคนยังเข้าไปล้อมลู่ฝาน

“กินอาหารอยู่แต่โต๊ะนี้เหรอ ตรงอื่นไม่มีที่นั่งหรือไง”

เสียงราบเรียบดังขึ้น พวกคุณหนูคุณชายหยุดการกระทำทันที

เมื่อหันไปมอง เห็นเซี่ยวเอ๋อร์เดินเข้ามา

ทันใดนั้น พวกคุณหนูเศรษฐี รู้ว่าไม่ดีจึงพากันหลีกให้

พวกคุณชายก็หัวเราะ แล้วพูดว่า “สวัสดีคุณเซี่ยวเอ๋อร์” จากนั้นก็พากันออกไปอย่างรู้งาน

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 528
“ฉันว่าไม่จำเป็นหรอก พวกนายต่อเถอะ”

ลู่ฝานไม่มีความคิดจะเข้าร่วมการประลองบู๊หาคู่จริงๆ แต่ต้วนผิงกลับพูดเซ้าซี้ไม่จบไม่สิ้น “คุณชายลู่คงไม่ได้กลัวใช่ไหม ได้ยินว่าตอนคุณชายลู่บุกไปเขาดาบทะเลเพลิง กล้าหาญเป็นอย่างมาก ทำไมตอนนี้ถึงนิ่งแบบนี้ล่ะ อย่าบอกนะว่าคุณชายลู่ไม่ชอบหลานสาวของหัวหน้าเขตอี้ว์”

คำพูดพวกนี้นี้ดูร้ายแรง กลัวหรือไม่กลัวเป็นเรื่องเล็ก ถ้าพูดว่าไม่ชอบหลานสาวของหัวหน้าเขตอี้ว์ นั่นคือการหักหน้าหัวหน้าเขตอี้ว์

กวนหานหัวเราะ แต่กลับมองต้วนผิงเหมือนมองคนปัญญาอ่อน

เรื่องอื่นไม่กล้าพูด แต่การที่ยอดฝีมือ 12 คน ของสำนักโลหิตพิฆาต ตายที่เมืองเจียงหลิน นี่ไม่ใช่เรื่องที่คนธรรมดาทำได้ ต้วนผิงกล้ายั่วโมโหลู่ฝานขนาดนี้ หาเรื่องใส่ตัวแท้ๆ

แต่ไม่ว่าลู่ฝานโดนตบหน้า หรือต้วนผิงโดนตบหน้า

กวนหานก็รับชมอย่างมดีใจ แค่เป็นเรื่องที่หักหน้าตระกูลอี้ว์ได้ เขาไม่มีทางพลาดอยู่แล้ว

ลู่ฝานช้อนตามองต้วนผิง แล้วพูดว่า “นายอยากสู้กับฉันขนาดนี้เลยเหรอ งั้นก็ได้ เอาตามความต้องการของนาย”

พูดจบ ลู่ฝานลุกขึ้นเดินเข้ามา

หัวหน้าเขตอี้ว์หัวเราะ “เซี่ยวเอ๋อร์ เธอว่าลูกเขยคนนี้เป็นไง”

เซี่ยวเอ๋อร์หน้าแดงแล้วพูดว่า “คุณอา อย่าล้อฉันเล่นสิ”

ต้วนผิงมองลู่ฝานหัวจรดเท้าแล้วพูดว่า “คุณชายลู่ เอาอาวุธออกมา นายไม่ได้จะสู้กับฉันมือเปล่าใช่ไหม”

จู่ๆ ลู่ฝานเอาสองมือไพล่หลังแล้วพูดว่า “จัดการนาย แค่มือเปล่ายังไม่ต้องใช้เลย”

พูดจบ มีแสงหม่นหมองสว่างขึ้นในตาลู่ฝาน

ทุกคนยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เห็นต้วนผิงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เหมือนโดนของ

ลู่ฝานเดินกลับมานั่งข้างศิษย์พี่หานเฟิง ขณะเดียวกันต้วนผิงล้มลงบนพื้น

ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ ขนาดกวนหานก็ตกตะลึง

เขาเคยคิดว่าลู่ฝานพอมีความสามารถ เป็นเรื่องปกติที่เอาชนะต้วนผิงได้

แต่คิดไม่ถึง ลู่ฝานไม่ได้มีแค่ความสามารถ กระบวนท่านี้ ขนาดเขายังไม่รู้ว่าคืออะไร

“คุณชายลู่……ฝีมือดี!”

พวกผู้หญิงอ้าปากค้าง สีหน้าตะลึง แววตาที่มองลู่ฝานเป็นประกายลุกโชน เหมือนจะกลืนลู่ฝานทั้งเป็น

หัวหน้าเขตอี้ว์ตกใจกับความจริง จากนั้นหัวเราะออกมาเสียงดัง

“ดีๆๆ ลู่ฝานชื่อเสียงสมคำร่ำลือ เขตตงหวาของฉัน มียอดฝีมืออายุน้อยเพิ่มมาอีกคนแล้ว”

หัวหน้าเขตอี้ว์ไม่สนใจเรื่องที่ลูกหลานตัวเองพ่ายแพ้ด้วยกระบวนท่าเดียว เขาแทบจะปรบมือเอ่ยชม

ถ้าต้วนผิงเห็นภาพนี้ คงเสียใจจนเป็นลมไปเลยมั้ง

ทุกคนอุทานออกมาอย่างตกใจ หานเฟิงพูดขึ้นข้างๆ ว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน ตอนนี้นายมีชื่อเสียงขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ชอบว่าฉันอวดดี อันที่จริงนายชอบโดนคนแหงนหน้ามองเหมือนกันใช่ไหมล่ะ”

ลู่ฝานพูดว่า “ศิษย์พี่หานเฟิง พี่ไม่เข้าใจหรอก กระบวนท่าที่ผมจัดการศัตรู อย่างน้อยก็ทำให้เราปล่อยภัยไปหลายวัน”

หัวหน้าเขตอี้ว์สะบัดมือให้คนพาต้วนผิงลงไป ไม่อยากมองต้วนผิงสักนิด

หัวหน้าเขตอี้ว์ลุกขึ้นยืน พูดเสียงก้องว่า “ลู่ฝาน ในเมื่อนายเอาชนะต้วนผิงได้ ถ้างั้นนายคือผู้ชนะในการต่อสู้หาคู่ จะรับหลานสาวฉันไหม”

ลู่ฝานกำลังจะตอบ ขณะนั้นกวนหานลุกขึ้นพูดว่า “เดี๋ยวก่อน ฉันยังไม่ได้สู้เลย คุณชายลู่ฝาน เอาตำแหน่งลูกเขยมาเป็นของพนันดีไหม”

ลู่ฝานขมวดคิ้ว “นายถามฉันก็เปล่าประโยชน์”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 527
“เด็ดเดี่ยว เมื่อถึงตอนนั้นฉันอยากเด็ดหัวนายด้วยมือฉันเอง คงเป็นเรื่องที่สะใจมาก”

กวนหานยกยิ้มโหดเหี้ยมตรงมุมปาก

มีเกล็ดน้ำแข็งล้อมรอบอยู่บนนิ้ว ดอกเกล็ดหิมะสีฟ้าเบ่งบานอยู่ในมือเขา ในกลีบดอกเป็นเส้นๆ เหมือนเลือด

กวนหานค่อยๆ เอาดอกไม้มาวางหน้าลู่ฝาน

เมื่อเห็นภาพนี้ ผู้อาวุโสในที่นี้สีหน้าเปลี่ยนไป ขนาดหัวหน้าเขตอี้ว์ยังมีความเย็นชาฉายอยู่ในแววตา

“บัวโลหิต คิดไม่ถึงว่ากวนหานจะเอาบัวโลหิตออกมาในงานวันเกิดคุณอี้ว์ เขาบ้าไปแล้วเหรอ”

“เบาๆ หน่อย บัวโลหิตปรากฏออกมา อสูรรายล้อมรอบกาย ลู่ฝานไปล่วงเกินอะไรกวนหาน ทำไมเจอหน้าก็ใช้บัวโลหิตทันที”

“ไม่จบไม่สิ้น ไม่จบไม่สิ้นแน่นอน จะเกิดเรื่องแล้ว!”

……

ลู่ฝานหยิบดอกไม้ขึ้นมา ดอกบัวเย็นยะเยือกดูงดงามมาก เป็นผลงานศิลปะชิ้นหนึ่งชัดๆ

นี่แสดงว่าพละกำลังของกวนหานอยู่ในระดับแดนปราณชีวิตขึ้นไป ไม่ใช่แดนปราณชีวิตขั้นต้น เขาหยุดอยู่ที่แดนปราณชีวิตมาเป็นเวลานานแล้ว

แต่พละกำลังของเขา ไม่เกินแดนปราณชีวิตขั้นกลางแน่นอน

ดอกบัวดอกนี้ใสมาก แต่ไม่มีเขตวิถีบู๊อยู่ หมายความว่ากวนหานยังไม่ถึงแดนปราณชีวิตขั้นปลาย ที่สามารถใช้พลังของห้าธาตุได้ตามใจปรารถนา

แม้พละกำลังแบบนี้จะแข็งแกร่ง แต่ไม่ใช่ว่าลู่ฝานจะสู้ไม่ได้

ขณะนั้นเจดีย์เสวียนเก้ามังกรที่อยู่ในตัวลู่ฝานพูดว่า “เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ ให้ฉันเล่นงานเขาไหม พละกำลังของเขาแข็งแกร่งมาก ถึงตอนนั้นฉันกลัวว่าเจ้านายจะเสียเปรียบ”

ลู่ฝานพูดว่า “แกเล่นงานเป็นด้วยเหรอ ใช้วิธีเล่นงานยังไง”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดว่า “ง่ายมาก ก็ใช้พลังของเจ้านาย วางค่ายกลกระดูกเท้าเล็กๆ นอกตัวเขาแบบไม่ให้รู้ตัว แค่เขาไม่สังเกตมัน เวลาหนึ่งคืน ค่ายกลกระดูกเท้าจะดูดพลังของเขา จากนั้นจะซึมเข้าไปที่ตันเถียนของเขา หลังจากนั้นรอตอนที่สู้กับเขา เราจะระเบิดค่ายกลทันที ความรู้สึกนั้น โอ๊ย แค่คิดก็สะใจแล้ว”

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าลู่ฝาน เขาพูดในใจว่า “งั้นก็ทำสิ”

ลู่ฝานใช้แรงเล็กน้อย บีบดอกบัวในมือจนแตกกระจาย พลังวิญญาณพุ่งออกมาจากมือเขา ทำให้สีหน้าของกวนหานเปลี่ยนไปเล็กน้อย พลังนี้ทำให้เขารู้สึกถูกคุกคาม ขณะเดียวกันไอเย็นพุ่งจากท้ายทอยของเขาออกมาทางหน้าผาก

กวนหานรู้สึกผิดปกติเล็กน้อย แต่ไม่พบว่ามีความผิดปกติใดๆ

ภาพลวงตาเหรอ หรือวิชาพิเศษ

กวนหานมีรอยยิ้มบนใบหน้า มองลู่ฝานนิ่งๆ เหมือนมองคนตาย

ในที่นี้ ต้วนผิงเอาชนะคนหนุ่มมีฝีมือไปสิบกว่าคน ต่อหน้าของทุกคน

คนพวกนี้ไม่มีใครสักคนที่เป็นคู่ต่อสู้ที่เหมาะสมของต้วนผิง ต้วนผิงที่ได้ใจ มีรอยยิ้มมั่นใจบนใบหน้า พูดเสียงดังว่า “ยังมีใครอีก”

เมื่อพูดเช่นนี้ จู่ๆ ต้วนผิงมองไปทางลู่ฝาน แล้วพูดเสียงดังว่า “คุณชายลู่ฝาน มาสู้กันสักหน่อยไหม”

อะไรที่เรียกว่าดีใจจนเหลิง ต้วนผิงคือตัวอย่างที่ดีที่สุด

ลู่ฝานเงยหน้ามองเขาแวบหนึ่ง ไม่อยากสนใจเขาสักนิด

เมื่อเทียบกับกวนหาน ผลการฝึกตนของต้วนผิงต่ำจนน่าเวทนา แค่แดนปราณนอกขั้นสูงสุด ตอนอยู่ในสถาบันสอนวิชาบู๊ ลู่ฝานซัดไปหลายคนแล้ว จะกลัวคนอย่างต้วนผิงไปทำไม

ถ้าพูดถึงเรื่องอาจารย์ หรือเคล็ดวิชา ลู่ฝานถูกปั้นมาจากยอดฝีมือแดนปราณฟ้าสองคน ก็ไม่ได้แย่สักนิด

ลู่ฝานนั่งอย่างสงบอยู่ตรงนั้น ไม่มีท่าทีจะลุกขึ้น

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 526
หัวหน้าเขตอี้ว์พูดว่า “ง่ายมาก ต้วนผิงนายออกมา นายฝึกกับฉันมาสิบปีแล้ว วันนี้นายมาเป็นคนทดสอบ คนหนุ่มคนอื่น แค่เอาชนะต้วนผิงได้ ถือว่าผ่าน”

ต้วนผิงยืนขึ้นช้าๆ โค้งตัวคารวะอย่างงดงาม แล้วพูดว่า “ครับอาจารย์ แต่ถ้าไม่มีใครเอาชนะผมได้ ถือว่า……”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ ต้วนผิงมองเซี่ยวเอ๋อร์ด้วยแววตาลุกโชน แล้วพูดว่า “ถือว่าผมชนะไหมครับ”

หัวหน้าเขตอี้ว์พูดว่า “ได้”

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าต้วนผิงทันที เขาเดินออกมาคารวะทุกคน แล้วพูดว่า “เชิญทุกท่าน”

หัวหน้าเขตอี้ว์พูดเสียงดังว่า “เสิร์ฟเหล้าๆ มีประลองฝีมือกันไม่มีเหล้าได้ยังไง”

เสียงกลองและเครื่องดนตรีดังขึ้น เหล้าและอาหารรสดีถูกเสิร์ฟขึ้นโต๊ะอีกครั้ง

ศิษย์พี่หานเฟิงลูบท้องตัวเอง แล้วพูดอย่างเสียดายว่า “เสียดายจัง กินอิ่มแล้วก็ไม่อยากกินอีก อาหารรสเลิศเยอะขนาดนี้ ถ้าห่อกลับได้ก็ดี ศิษย์น้องลู่ฝาน นายไปลองสู้ไหม ถ้าได้เป็นลูกเขยตระกูลอี้ว์ เรื่องเล็กน้อยของตระกูลนาย ก็จะมีความมั่นใจได้”

ลู่ฝานส่ายหน้าพูดว่า “ผมว่าไม่แน่นอน”

สายตาของเขายังจ้องอยู่ที่หน้ากวนหาน กวนหานเป็นคนของสำนักโลหิตพิฆาต ในเมื่อกล้าอวดดีในจวนตระกูลอี้ว์แบบนี้ หมายความว่าสำนักโลหิตพิฆาตมีอำนาจแข็งแกร่ง ทัดเทียมกับจวนตระกูลอี้ว์ หรือไม่ก็กวนหานเป็นคนที่ไม่ธรรมดา

“ฉันก่อน”

คนหนุ่มเลือดร้อนคนหนึ่งยืนขึ้น เดินไปหาต้วนผิง ลงมือทันทีโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง

ที่ว่ากันว่ายอดฝีมือที่แท้จริง จะแยกแยะได้อย่างรวดเร็ว ไม่เสียแรงที่เป็นคนที่ฝึกฝนกับหัวหน้าเขตอี้ว์มาสิบปี ความสามารของต้วนผิง อยู่ประมาณระดับแดนปราณนอกขั้นสูงสุด

แม้ออร่าดูไม่ค่อยมั่นคง เหมือนใช้ฤทธิ์ยาเร่งออกมา แต่จัดการพวกคนหนุ่มเลือดร้อนแบบนี้ได้สบายๆ

แต่ลู่ฝานไม่ได้มองสิ่งเหล่านี้สักนิด เขาลุกขึ้นไปนั่งข้างกวนหาน ท่ามกลางสายตาประหลาดของศิษย์พี่หานเฟิง

กวนหานหัวเราะแล้วพูดว่า “กล้ามาก นายไม่กลัวฉันฆ่านายซะตอนนี้เหรอ”

ลู่ฝานพูดว่า “นายไม่กล้าหรอก เจ้าสำนักโลหิตพิฆาต”

แสงเย็นยะเยือกปรากฏขึ้นในดวงตากวนหาน

“ไม่เพียงแต่มีความกล้า สายตาก็ไม่เลว บอกมาสิ นายรู้ได้ยังไงว่าฉันเป็นเจ้าสำนักโลหิตพิฆาต เรื่องนี้ทั้งเมืองตงหวามีคนรู้น้อยมาก”

ลู่ฝานพูดว่า “กล้าอวดดี กำเริบเสิบสาน ในจวนตระกูลอี้ว์แบบนี้ ถ้านายไม่ใช่เจ้าสำนัก งั้นอำนาจของสำนักโลหิตพิฆาตก็น่ากลัวเกินไปแล้ว ฉันไม่เชื่อว่าในเขตตงหวา จะมีอิทธิพลอำนาจที่หัวหน้าเขตอี้ว์ควบคุมไม่ได้ ดังนั้นนายต้องเป็นเจ้าสำนักแน่นอน”

ลู่ฝานพูดถึงตรงนี้ก็หยุดพูด อันที่จริงเขาจะพูดต่อ แต่เขาเก็บไว้ในใจ ไม่ได้พูดออกมา แม้เป็นเช่นนี้อำนาจของสำนักโลหิตพิฆาตก็ยังทำให้เขาตกใจ

กวนหานพยักหน้าพูดว่า “ไม่เลว เป็นอย่างที่นายพูด ลู่ฝานนายเป็นคนฉลาด เอางี้ละกัน ฉันมีให้นายสองทางเลือก จะเข้าสำนักโลหิตพิฆาตของฉัน เอาทรัพย์สมบัติของนายออกมาให้หมด ฉันจะไม่ถือสาเอาความเรื่องที่ผ่านมา”

ลู่ฝานพูดอย่างไม่ลังเลว่า “แล้วอีกทางเลือกหนึ่งล่ะ”

กวนหานหัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “อีกทางเลือกหนึ่ง คงไม่ต้องพูดอะไรมาก ไม่มีอะไรนอกจากการตายเท่านั้น แค่ตอนนี้ฉันอยากฆ่านายด้วยมือตัวเองมาก หลังจากนี้สามวัน ที่ลานประลองบู๊กลางเมืองทิศตะวันออก นายกล้ามาสู้ไหม”

ลู่ฝานพูดว่า “มีอะไรต้องกลัว”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 525
บรรยากาศคุกรุ่นขึ้นมาทันที ความอาฆาตแผ่ออกจากตัวกวนหาน

ความอาฆาตของเขาแทบจะรวมตัวกันจนมองเห็นได้ แสงโลหิตพุ่งออกจากตัวเบาๆ

ยากจะจินตนาการว่ากวนหานฝึกมันได้ยังไง เขายังอายุน้อยขนาดนี้ ฆ่าคนมาเท่าไรแล้วก็ไม่รู้

สายตาของลู่ฝานจ้องไปที่เสื้อโลหิตของกวนหาน เหมือนกวนหานจงใจให้ป้ายคำสั่งตรงเอวโผล่มาครึ่งหนึ่ง ด้านบนมีคำว่าโลหิตพิฆาตเขียนไว้ชัดเจน

ลู่ฝานกำหมัดทันที รอยยิ้มบนหน้ากวนหานกว้างขึ้นเรื่อยๆ

หานเฟิงก็เห็นป้ายตรงเอวกวนหานเช่นกัน เขาวางตะเกียบลงช้าๆ ขยับปากส่งเสียงข้างหูลู่ฝาน “ศิษย์น้องลู่ฝาน ไอ้หมอนี่เป็นคนสำนักโลหิตพิฆาต จัดการเขาไหม”

แน่นอนว่าลู่ฝานอยากจัดการเขา แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม

ไม่ต้องพูดถึงที่ตอนนี้อยู่ในจวนตระกูลอี้ว์ สิ่งสำคัญกว่านั้นคือ อีกฝ่ายกล้ามาอย่างเปิดเผยแบบนี้ ต้องมีที่พึ่งพิงจึงไม่กลัว

ลู่ฝานพยายามทำให้ตัวเองใจเย็น ไม่มีประกายในแววตา ร่างกายนิ่งดั่งขุนเขา

“พอแล้วกวนหาน ถ้านายมาอวยพรฉัน ก็ไม่ต้องพูดมาก!”

หัวหน้าเขตอี้ว์พูดเสียงก้อง

แม้เสียงจะไม่ดัง แต่มีพลานุภาพน่าเกรงขาม

กวนหานมองหัวหน้าเขตอี้ว์ เห็นกระบี่วิเศษตรงเอวหัวหน้าเขตอี้ว์สั่นเบาๆ หางตาเขาก็กระตุกเบาๆ เช่นกัน

กวนหานค่อยๆ เก็บพลานุภาพของตัวเอง

ไม่เห็นปากเขาขยับ ลู่ฝานถึงได้ยินเสียงของกวนหาน

“ในเมื่อมาแล้ว ก็อยู่นี่เถอะลู่ฝาน!”

ลู่ฝานก็ส่งเสียงกลับไปว่า “อยากได้ชีวิตฉัน ต้องดูว่านายมีปัญญาหรือเปล่า”

ทั้งสองมองหน้ากัน เหมือนมีประกายไฟอยู่ในอากาศ

หัวหน้าเขตอี้ว์มองทุกอย่างนิ่งๆ ไม่มีท่าทีจะห้าม ทันใดนั้น เหมือนหัวหน้าเขตอี้ว์นึกเรื่องสนุกอะไรได้ จู่ๆ เขาหันไปพูดกับเซี่ยวเอ๋อร์ว่า “เซี่ยวเอ๋อร์ วันนี้หาลูกเขยดีๆ สักคนเป็นไง”

รอยยิ้มบนใบหน้าเซี่ยวเอ๋อร์ชะงักไป จู่ๆ หัวหน้าเขตอี้ว์ยกแก้วเหล้าแล้วยืนขึ้น

“ทุกท่าน วันนี้เป็นวันครบรอบ หกสิบ ปีของฉัน แม้ฉันจะรู้ว่ามีหลายคนจะพูดกันเป็นการส่วนตัว ว่าฉันผ่านอายุ หกสิบ ปีไปนานแล้ว หน้าไม่อายเอาแต่ฉลองวันเกิดครบรอบ หกสิบ ปีทุกปี แต่ฉันจะบอกทุกคนว่า ฉันอายุ หกสิบ ปีตลอดไป”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ หัวหน้าเขตอี้ว์หัวเราะออกมา
คนอื่นทำได้เพียงหัวเราะตาม เคยเห็นคนหน้าไม่อาย แต่ไม่เคยเห็นคนหน้าไม่อายขนาดนี้
ศิษย์พี่หานเฟิงแอบพึมพำ
“หัวหน้าเขตอี้ว์มีสไตล์เหมือนลุงสามของฉันเลย”
เงียบไปครู่หนึ่ง หัวหน้าเขตอี้ว์พูดว่า “วันนี้ทุกท่านมาอวยพรวันเกิด ฉันดีใจมาก ดังนั้นวันนี้ฉันจะช่วยหลานสาวหาลูกเขย ใช้ประลองฝีมือกันหาคู่ คนหนุ่มในที่นี้สามารถเข้าร่วมได้”
เมื่อพูดจบ สายตาของทุกคนจ้องมาที่เซี่ยวเอ๋อร์ จู่ๆ มีคนจำนวนมากหายใจรุนแรง
รอยยิ้มอบอุ่นบนใบหน้าต้วนผิงชะงักลงทันที ใช้ประลองฝีมือกันหาคู่ ทำไมวันนี้หัวหน้าเขตอี้ว์ถึงตัดสินใจทำแบบนี้
เซี่ยวเอ๋อร์ยืนขึ้นทันที ขณะกำลังจะพูด ก็เห็นหัวหน้าเขตอี้ว์ยิ้มประหลาด มองไปด้านหลังของเธอ
เซี่ยวเอ๋อร์รู้สึกผิดปกติทันที เธอมองไปด้านหลัง เมื่อเห็นผู้หญิงอีกคนหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าเซี่ยวเอ๋อร์อีกครั้ง
“เมี่ยวหยู่”
ทันใดนั้นเซี่ยวเอ๋อร์นั่งลงอีกครั้ง ไม่พูดอะไรมากอีก
“ขอถามท่านหัวหน้าเขตอี้ว์ วิธีใช้ประลองฝีมือกันหาคู่ ยังไงเหรอครับ”
หนุ่มหล่อคนหนึ่งลุกขึ้นพูด ใบหน้ามีความกระตือรือร้น แม้จะถามหัวหน้าเขตอี้ว์ด้วยความนอบน้อม แต่สายตาจับจ้องไปที่เซี่ยวเอ๋อร์

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 524
เซี่ยวเอ๋อร์มองเขาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “ขอบคุณที่ชม”

ชายในชุดจีนโบราณกำลังจะพูดอะไร แต่เซี่ยวเอ๋อร์หันกลับไปแล้ว

หัวหน้าเขตอี้ว์มีรอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้า “เซี่ยวเอ๋อร์ ได้ยินว่าเธอสอบผู้ตรวจการชั้นล่างผ่านแล้ว อาปลื้มใจมาก เป็นไง ฉานซินยอมรับเธอเป็นศิษย์ไหม”

เซี่ยวเอ๋อร์หน้าแดงเล็กน้อย แล้วพูดว่า “คุณอาตลกแล้ว เซี่ยวเอ๋อร์สอบผ่านเพราะความสามารถตัวเองที่ไหนกันล่ะ ต้องอาศัยคนมาช่วย แต่อาจารย์ฉานซินรับหนูเป็นศิษย์แล้ว”

“แบบนี้ก็ดี อืม ฉันได้ยินว่าคนหนุ่มมีความสามารถที่ชื่อลู่ฝาน ช่วยเธอให้สอบผ่าน อีกทั้งยังผ่านด่านเขาดาบทะเลเพลิงด้วย วันนี้คนคนนี้มาหรือเปล่า”

เซี่ยวเอ๋อร์อมยิ้มแล้วพยักหน้า สายตามองไปยังลู่ฝาน

หัวหน้าเขตอี้ว์มองตามเซี่ยวเอ๋อร์ เห็นลู่ฝานที่กำลังกินอาหารกับหานเฟิงอย่างบ้าคลั่ง

หัวหน้าเขตอี้ว์ขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วพูดว่า “เด็กคนนี้กินจุจริงๆ!”

พูดพลาง หัวหน้าเขตอี้ว์หัวเราะออกมา ชายชุดจีนโบราณที่อยู่ข้างๆ ได้โอกาสพูดแทรก “กินเหมือนคนตะกละในงานเลี้ยงแบบนี้ ไร้การอบรมสั่งสอนจริงๆ ต้องเป็นเด็กที่มาจากป่าเขาแน่นอน ไม่มีค่าให้พูดถึง”

หัวหน้าเขตอี้ว์ปรายตามองชายชุดจีนโบราณ แล้วพูดว่า “นายพูดแบบนี้ก็มีเหตุผล”

เซี่ยวเอ๋อร์ได้ยินกลับรู้สึกหงุดหงิด พูดเสียงก้องว่า “ต้วนผิง สังคมนี้ดูกันที่ความสามารถ ไม่ได้ดูตอนกิน”

ต้วนผิงหัวเราะแล้วพูดว่า “ความสามารถเหรอ แค่ผ่านเขาดาบทะเลเพลิงธรรมดาๆ ได้ ก็มีความสามารถแล้วเหรอ น่าขำ”

เซี่ยวเอ๋อร์โมโหจนหน้าแดง แต่หัวหน้าเขตอี้ว์ทำเหมือนไม่เห็น ปล่อยให้ทั้งสองคนทะเลาะกันไป

ขณะนั้น ประตูด้านนอกมีเสียงดังขึ้นอีกครั้ง

“คุณชายกวนมาถึงแล้ว!”

เพียงประโยคเดียวทำให้ทุกคนตกใจ ขนาดสีหน้าของหัวหน้าเขตอี้ว์ยังเปลี่ยนไปเล็กน้อย

“กวนหานเหรอ เขามาได้ยังไง เขาไม่เคยร่วมงานเลี้ยงไม่ใช่เหรอ”

“คุณชายกวนออกมาจากห้องแล้ว หรือเป็นเพราะเก็บตัวฝึกฝน และประสบความสำเร็จแล้ว”

“เขามาทำไม อย่าบอกนะว่ามาหาเรื่อง”

“เบาๆ หน่อย ถ้ากวนหานได้ยิน นายจะซวย”

……

ทุกคนถกเถียงกัน ลู่ฝานกับหานเฟิงก็กินอาหารช้าลง

ทั้งสองคนหันไปมอง ผู้ชายสวมเสื้อสีโลหิตเดินเข้ามา

ท่าทีองอาจมีอำนาจ เข้ามาในห้องก็ไม่ทำความเคารพ แค่ยิ้มมองหัวหน้าเขตอี้ว์แล้วพูดว่า “คุณอี้ว์ ผมมาอวยพรวันเกิด แต่แค่ลืมเอาของขวัญมา หวังว่าคุณอี้ว์จะไม่ถือสา”

หัวหน้าเขตอี้ว์แววตาราบเรียบ “มาได้ก็ดีแล้ว เชิญนั่งคุณชายกวน”

กวนหานนั่งลงด้านหน้าโต๊ะข้างๆ อย่างสบายใจ เขาเพิ่งนั่งลง คนอื่นพากันลุกขึ้นยืน

กวนหานกวาดตามองไปรอบๆ จากนั้นพูดว่า “ช่วงนี้ได้ยินว่ามีนักบู๊อายุน้อยที่ไม่เลว เหมือนจะชื่อลู่ฝาน ฉันสนใจมาก พวกนายคนไหนชื่อลู่ฝาน ยืนขึ้นให้ฉันดูหน่อย”

ทันใดนั้น ทุกคนพากันมองไปยังลู่ฝาน

กวนหานมองตามสายตาของทุกคน หลังจากมองลู่ฝานหัวจรดเท้า

“นายคือลู่ฝานเหรอ ดูท่าทางไม่เลว”

ลู่ฝานไม่แม้แต่จะหันหน้าไป จัดการคนอวดดีแบบนี้ เราต้องอวดดีกว่าเขา

ลู่ฝานพูดช้าๆ ว่า “ขอถามหน่อย มาหาฉันเพราะเรื่องอะไร”

กวนหานพูดว่า “ไม่มีเรื่องใหญ่อะไรหรอก แค่คิดบัญชีกับนายเท่านั้น”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 523
เอวบางร่างน้อย ไม่รู้ว่าวันนี้เซี่ยวเอ๋อร์ใส่ชุดยังไง รูปร่างถึงดูมีเสน่ห์ขนาดนี้

ไม่ต้องพูดถึงอกอึ๋มกับสะโพกที่ดูเย้ายวน

เธอรวบผมขึ้น ปักดอกปิ่นหยกแบบเฉียง แต่งหน้าอ่อนๆ หลังจากสวมชุดงดงาม ก็ดูสวยขึ้นมาอีกเท่าตัว

ไม่รู้เพราะเมื่อคืนไม่ได้มองอย่างละเอียด หรือว่าวันนี้เธอมองอย่างสวยก่าวปกติ จู่ๆ ลู่ฝานมองจนเคลิ้มไปแล้ว

ศิษย์พี่หานเฟิงที่อยู่ข้างๆ พูดเสียงเบาว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน เธอคือผู้หญิงที่อยู่กับนายเมื่อวานเหรอ ทำไม่ดูไม่เหมือนกันเลย”

ลู่ฝานพูดว่า “ใช่ คิดไม่ถึงว่าเธอเป็นคนตระกูลอี้ว์”

เซี่ยวเอ๋อร์ยิ้มบางๆ ให้แขกรอบๆ ทันใดนั้น เหล่าคุณชายเคลิ้มไปกับรอยยิ้มงามของเธอ

กวาดตามองมาหาลู่ฝาน เมื่อสบตากับลู่ฝาน ลู่ฝานได้ยินเสียงดังขึ้นข้างหู

“คุณชายลู่ฝาน ในที่สุดนายก็มา”

รอยยิ้มขี้เล่นปรากฏขึ้นบนใบหน้าเซี่ยวเอ๋อร์ เธอขยิบตาให้ลู่ฝาน

การกระทำนี้ ทำให้เหล่าคุณชายหายใจฟึดฟัด เหมือนรับไม่ได้อย่างไรอย่างนั้น

หานเฟิงใช้ศอกกระทุ้งแขนลู่ฝาน แล้วพูดว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน สาวนี่นี้ไม่เลว เก็บเอาไว้สิ”

ลู่ฝานกลอกตามองบนใส่ศิษย์พี่หานเฟิง

เสียงเพลงดังขึ้น เสียงเครื่องดนตรีลอยมา

เมื่อแขกมาถึงครบ นักดนตรีประกอบพิธีเริ่มแสดง

“หัวหน้าเขตอี้ว์มาถึงแล้ว!”

ผู้ดูแลตะโกนออกมาเสียงดัง หัวหน้าเขตอี้ว์พาลูกหลานตระกูลอี้ว์เดินเข้ามาช้าๆ

ชุดนักบู๊เรียบง่ายสีขาวบริสุทธิ์ ไม่มีลวดลาย ไม่มีอะไรโดดเด่น มีกระบี่ยาวประดับไว้ตรงเอว ยาวประมาณ 3 ฟุต สลักคำว่า สวรรค์ พื้นดิน ผู้นำ พ่อแม่ อาจารย์ อยู่ข้างบน
มีรอยยิ้มบางๆ อยู่บนใบหน้า ฝีเท้ามั่นคง ผมยาวปลิวสยาย
หัวหน้าเขตอี้ว์ที่อายุ 60 ปีแล้ว ยังดูไม่แก่เลยสักนิด ผิวมันเงาเหมือนกับวัยรุ่น ถ้าไม่ใช่เพราะแววตาลึกล้ำดั่งทะเล กับรอยแผลเป็นสามรอยตรงหางตา คนรอบๆ คงเดาอายุเขาได้ยาก
ทุกคนลุกขึ้นคารวะหัวหน้าเขตอี้ว์ สายตาของลู่ฝานมองคนข้างๆ หัวหน้าเขตอี้ว์ ในนั้นมีผู้หญิงที่ลู่ฝานรู้สึกคุ้นตา เหมือนเคยเจอที่ไหน อีกทั้งทำไมสายตาที่เธอมองเขา ดูเหมือนแฝงด้วยความแค้น
ลู่ฝานครุ่นคิด เขาเคยล่วงเกินผู้หญิงคนนี้เหรอ
“แขกทุกท่าน ไม่ต้องมีพิธีรีตอง เชิญนั่ง!”
หัวหน้าเขตอี้ว์หัวเราะอย่างสบายใจ
ทุกคนนั่งลง อาหารเริ่มมาเสิร์ฟบนโต๊ะ
พูดความจริงว่าอาหารที่พวกเขากิน แตกต่างกับเมืองเจียงหลิน ไม่มีอาหารจานไหนที่ลู่ฝานเคยเห็นเลย
เมื่อลองชิมดูหนึ่งคำ ตาลู่ฝานเป็นประกายทันที
ทำไมเนื้อนี่ถึงอร่อยแบบนี้ ไม่เหมือนเนื้อทั่วไป ทำไมอาหารนี้กินแล้วถึงทำให้ปราณชี่เคลื่อนไหวเร็วขึ้น อย่าบอกนะว่าทำจากยาสมุนไพร
ลู่ฝานกับศิษย์พี่หานเฟิงไม่ได้สนใจอะไรมาก กว่าจะได้เจอของอร่อย ทั้งสองคนทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย
ตอนนี้สกิลการแย่งของกินที่ฝึกฝนในคณะหนึ่งเดียว ได้ใช้ประโยชน์สูงสุดแล้ว
เพียงพริบตา อาหารบนโต๊ะโดนทั้งสองคนกวาดไปเกือบครึ่ง
คนที่นั่งโต๊ะเดียวกับพวกเขา ตกใจทันที นี่มันอะไรกัน พวกเขายังไม่ทันทานเลย สองคนนั้นกินเสร็จแล้ว
ตอนนี้เซี่ยวเอ๋อร์นั่งข้างหัวหน้าเขตอี้ว์ พูดเบาๆ ว่า “คุณอา”
หัวหน้าเขตอี้ว์พยักหน้า ให้เซี่ยวเอ๋อร์นั่งข้างเขา เพิ่งนั่งลง ชายในชุดจีนโบราณที่นั่งอยู่ไม่ไกลจากหัวหน้าเขตอี้ว์ พูดอย่างอ่อนโยนว่า “เซี่ยวเอ๋อร์ วันนี้เธอสวยมาก”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 522
กระบี่หนักไร้คมก็ถูกเก็บไว้ในแหวน เมื่อไม่มีกระบี่หนักที่เหมือนบานประตู ลู่ฝานดูงดงามโดดเด่นขึ้นไม่น้อย บวกกับชุดที่เข้ากับเขา ตอนนี้เรียกได้ว่าลู่ฝานเป็นคุณชายหล่อเหลาคนหนึ่งเลยล่ะ อีกทั้งไม่ได้หล่อแบบเด็กหนุ่มหน้าใส แต่หล่อแบบมีสง่าราศี มีพลังแข็งแกร่งไม่ยอมใคร สรุปแล้วว่าเหรียญทองหลายพัน บวกกับยาสมุนไพร ถือว่าไม่เสียเปล่า

แม้ศิษย์พี่หานเฟิงที่อยู่ข้างๆ ซื้อเสื้อผ้าเหมือนกับลู่ฝาน แต่หลังจากที่เขาใส่ ไม่ได้ให้ความรู้สึกมีพลังแกร่งกล้าเหมือนลู่ฝาน

จนปัญญา เสื้อผ้าเป็นสิ่งที่คนใส่กัน แต่ออร่าเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ยาก

ศิษย์พี่หานเฟิงเดินเข้ามาช้าๆ ใบหน้าร้ายกาจ ดูยังไงก็เหมือนนักเลงที่เที่ยวเล่นไปทั่วยุทธจักร ถึงใส่เสื้อผ้าราคาเป็นหมื่นเหรียญทองบนตัว ก็คงไม่สามารถเปลี่ยนออร่าของเขาได้

เมื่อลู่ฝานปรากฏตัว ทำให้คุณชายจำนวนไม่น้อยดูหมองลงไปด้วย

เสื้อผ้าหรูหราของพวกเขา แต่กลับไม่มีความเป็นคุณชายร่ำรวยแฝงอยู่ จะเทียบกับลู่ฝานได้อย่างไร

อันดับแรกพลานุภาพบนตัวลู่ฝาน ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะเทียบได้

ส่วนคนที่รู้จักของดี รู้ว่าหยกแขวนจิตบู๊ที่ห้อยอยู่ตรงเอวลู่ฝานคือหยกแขวนจิตบู๊ ก็พากันตกใจจนหน้าเปลี่ยนสี

กระบี่ เครื่องประดับ พัดที่อยู่บนตัวพวกเขา เมื่อเทียบกับหยกแขวนจิตบู๊ เท่ากับสิ่งไร้ค่าเท่านั้น

ไร้ค่าจนไม่สามารถไร้ค่าได้อีก ของดีกับของไม่ดีเทียบกันแล้วโยนของไม่ดีทิ้งได้ ทรัพย์สินของพวกเขาทั้งหมดรวมกัน ยังเทียบกับหยกแขวนจิตบู๊บนตัวลู่ฝานไม่ได้เลย

จนปัญญา นี่คือหยกแขวนจิตบู๊ที่แฝงไปด้วยเขตวิถีบู๊อย่างแท้จริง ถึงพวกเขาเอาไปเทียบกับหยกแขวนจิตบู๊อันอื่น ก็ไม่สามารถเทียบได้

เดิมพวกคุณชายที่กำลังคุยกันอย่างมีความสุข เมื่อเห็นลู่ฝานก็เงียบกันไปหมด

พวกคุณหนูที่กำลังคุยกันเจี๊ยวจ๊าว เมื่อเห็นลู่ฝานก็เกิดความสนใจทันที

“เป็นคนหนุ่มที่หล่อเหลา ดูมีพลังอำนาจด้วย”

“ได้ยินว่าผลการฝึกตนของเขาสูงมากด้วย ขนาดผู้ตรวจการชั้นล่างก็สอบผ่านแล้วด้วย”

“ไม่ใช่แค่นี้ ฉันได้ยินว่าเขาผ่านด่านเขาดาบทะเลเพลิงที่ยากที่สุด ไม่มีคนผ่านได้มาหลายสิบปี ปู่ฉันสืบเรื่องราวของเขาโดยเฉพาะเลยนะ พวกเธอเดาสิว่าเป็นไง”

“เป็นยังไงล่ะ พี่สาวคนดีรีบพูดสิ อย่ากั๊กได้ไหม”

“ได้ ฉันจะบอกพวกเธอให้นะ เขาเป็นอันดันต้นๆ ในสถาบันสอนวิชาบู๊เชียวนะ ได้ยินว่าพาคณะหนึ่งเดียว ซึ่งเป็นคณะที่แย่ที่สุดในสถาบันสอนวิชาบู๊ ขึ้นสู่อันดับหนึ่งด้วย”

“ว้าว เป็นคนที่สุดยอดมากเลย”

“สุดยอดจริงๆ”

……

เกิดเสียงเจี๊ยวจ๊าวดังขึ้น คุณหนูพวกนี้มองลู่ฝานด้วยแววตาอ่อนโยนทันที

เมื่อลู่ฝานได้ยินจึงหันไปมองพวกเธอ พวกคุณหนูพากันเขินหน้าแดง

“เขามองมาแล้ว!”

“เขามองเห็นฉันแล้ว!”

……

โต๊ะแปดเซียนวางเต็มจวนตระกูลอี้ว์ ตั้งแต่หน้าลานบ้านจนถึงหลังลานบ้าน นี่สิถึงจะเรียกว่างานเลี้ยงใหญ่อย่างแท้จริง

ศิษย์พี่หานเฟิงกับลู่ฝานเดินไปข้างหน้า โดยมีคนใช้นำทางให้

ที่นั่งก็ยึดตามฐานะ คนที่ฐานะต่ำ นั่งได้แค่ด้านนอกสุด ยิ่งนั่งด้านใน ก็เท่ากับฐานะยิ่งสูง

ศิษย์พี่หานเฟิงกับลู่ฝานถูกพามาด้านในสุด เข้ามาในห้องโถงหลัก

ศิษย์พี่หานเฟิงเดินด้วยส่ายหัวไปมา มานั่งหน้าโต๊ะด้านในสุด “ศิษย์น้องลู่ฝาน ดูเหมือนพวกเขาให้ความสำคัญกับเรามาก ที่นั่งนี่ไม่เลวเลย”

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่เลวจริงๆ”

ขณะกำลังพูด ผู้หญิงคนหนึ่งเดินออกมาจากประตูด้านข้าง

ใบหน้ามีรอยยิ้ม ชุดกี่เพ้ายาวลากพื้น สูงส่งงดงาม

ลู่ฝานเพ่งมองดูดีๆ เขาตกใจทันที คนนี้คือคุณเซี่ยวเอ๋อร์ไม่ใช่เหรอ

วันนี้เธอดูสวยมาก!

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 521
เวลาค่ำมาถึงอย่างเงียบๆ

สำหรับเมืองใหญ่ ช่วงค่ำไม่ใช่เวลาที่เงียบสงบ แต่เป็นเครื่องหมายของการเริ่มใช้ชีวิตตอนกลางคืน

โคมแดงขนาดใหญ่แขวนอยู่สูง ลุ่มหลงในความฟุ้งเฟ้อ สำมะเลเทเมา

เมืองตงหวาขนาดใหญ่ สว่างไสวไปทั่วทุกที่ น้อยมากที่จะมีสถานที่เงียบสงบ

สถานที่คึกคัก เป็นสถานที่ที่ไม่สามารถนอนหลับได้

เวลาแบบนี้คือเวลาทำงานของบ่อนพนัน ซ่องโสเภณี ล่องเรือกับสาวงาม รวมไปถึงธุรกิจอิทธิพลมืด แน่นอนว่ามีงานเลี้ยงด้วย

จวนหัวหน้าเขต เมืองด้านใน

ตระกูลอี้ว์เป็นตระกูลของหัวหน้าเขตอี้ว์ เรียกได้ว่าเป็นตระกูลใหญ่อันดับหนึ่งของเขตตงหวา

ไม่ว่าจะเป็นอิทธิพลอำนาจหรือตำแหน่ง ล้วนเป็นอันดับต้นๆ ในเขตตงหวา

หัวหน้าเขตอี้ว์เป็นนักบู๊แดนปราณฟ้าขั้นปลาย อย่างน้อยต้องมีผลการฝึกตนแดนปราณฟ้าชั้น 7-8 ขึ้นไป ว่ากันว่าตอนที่หัวหน้าเขตอี้ว์ยังไม่ได้เป็นหัวหน้าเขต คนเดียวฆ่านักบู๊แดนปราณฟ้าของประเทศเป่ยเสินสิบกว่าคน ฉายากระบี่เทพทะเลสาบมรกต อี้ว์หม่านเทียน ไม่ใช่แค่คุยโม้เท่านั้น อีกทั้งตอนนี้นักบู๊ที่เป็นลูกน้องของหัวหน้าเขตอี้ว์มีอยู่มากมาย สามารถระดมกองทหารได้เกินล้าน

ในเขตตงหวา สามารถล่วงเกินตระกูลอื่นได้ มีเพียงตระกูลอี้ว์ที่ไม่สามารถล่วงเกินได้

ในสถานที่ห่างไกลจากเมืองหลวงแบบนี้ เรียกได้ว่าตระกูลอี้ว์เป็นใหญ่ในเขตตงหวา

ค่ำคืนนี้ที่จวนตระกูลอี้ว์ เต็มไปด้วยแขก

อันที่จริงถ้าพูดแบบจริงจัง งานวันเกิดครบรอบ 60 ปีของหัวหน้าเขตอี้ว์ ควรฉลองตั้งแต่สองปีที่แล้ว แต่เขาจะจัดงานเลี้ยงตอนเย็น ใครกล้าคัดค้านบ้างล่ะ

ของขวัญก็ต้องส่ง อีกทั้งน้อยก็ไม่ได้

ตระกูลใหญ่แต่ละตระกูลต้องส่งคนมาร่วมงาน ต้องมีใบหน้ายิ้มแย้ม เสียงแสดงความยินดีก็ต้องเหมือนครั้งแรก

นี่คืออิทธิพลอำนาจ ถึงฉันหน้าไม่อาย นายก็ต้องทำเหมือนเลอะเลือนไม่รู้เรื่อง

“คุณชายลู่ฝานแห่งเมืองเจียงหลิน มาถึงแล้ว!”

เสียงตะโกนดังขึ้นจากคนเฝ้าประตู ทำให้คนพากันหันมามอง

ลู่ฝานกับหานเฟิงสวมชุดใหม่ เดินเข้ามาในจวนตระกูลอี้ว์

พูดความจริง เป็นตระกูลใหญ่จริงๆ ดูประตูจวนบานนี้สิ สูงตระหง่านดูมีพลัง สร้างเหมือนกำแพงเมืองชัดๆ

ดูคนเฝ้าประตูของเขาสิ แค่คนเฝ้าประตู ยังดูมีราศี เมื่อตะโกนออกมา เหมือนได้ยินไปทั่วในเมือง ผลการฝึกตนแบบนี้ อย่างน้อยต้องอยู่ในระดับแดนปราณในขั้นกลางขึ้นไป

“เขาคือลู่ฝานเหรอ หน้าตาพอใช้ได้ คนข้างๆ เขาคือใคร”

“ไม่รู้ น่าจะเป็นผู้ติดตาม ได้ยินว่าคุณชายลู่ฝานยังไม่มีคู่ครอง อีกทั้งยังมาจากตระกูลเล็กๆ ท่านอี่ว์ นี่เป็นโอกาสเลยนะ ให้พวกหลานสาวนายออกมาดูสิ”

“พูดตรงๆ นะ ฉันพาพวกหลานสาวมาแล้ว”

……

เดินเข้าไปข้างใน ลู่ฝานโดนกลุ่มคนมองด้วยแววตาลุกโชน โดยเฉพาะสายตาของพวกผู้หญิง เหมือนแทบจะพุ่งเข้ามากลืนกินลู่ฝาน

จนปัญญา อย่างว่าไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง ชุดนักบู๊สีขาวดุจหิมะบนตัวลู่ฝาน มันทำให้ร่างกายของเขามีสัดส่วนที่ดี ปกเสื้อตั้งตรง ดูมีออร่าขึ้น มีแผ่นหยกห้อยอยู่ตรงเอว นี่ไม่ใช่หยกธรรมดา แต่เป็นหยกแขวนจิตบู๊ของลู่ฝาน

อันที่จริงชุดนี้มาพร้อมกับหยกชิ้นหนึ่ง แต่ลู่ฝานมองยังไงก็รู้สึกว่าดูขัดตา จึงดึงออกแล้วโยนทิ้ง

ผลสรุปว่าหลังจากดึงออก ยิ่งดูขัดตาเข้าไปอีก หมดทางเลือก จึงทำได้เพียงเอาหยกแขวนจิตบู๊มาห้อยไว้ หยกแขวนจิตบู๊ติดตามลู่ฝานมาก็นานแล้ว มีเขตวิถีบู๊อยู่ไม่น้อย มีแสงลึกลับสว่างอยู่ด้านบน ถ้าคนที่ผลการฝึกตนไม่เพียงพอเพ่งมองดู จะทำให้ตัวเองวิงเวียนศีรษะ

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 520
ตอนบ่ายลู่ฝานที่กลั่นยาอย่างกระปรี้กระเปร่า ในที่สุดก็ออกมาจากห้อง

ลู่ฝานรู้สึกว่าทักษะการกลั่นยาของตัวเองดีขึ้นเรื่อยๆ สูตรการกลั่นยาที่เดิมเข้าใจยากมาก ตอนนี้เขาเชี่ยวชาญแล้ว อีกทั้งลู่ฝานยังลองใช้น้ำพุพลังชีวิตกลั่นยาขวดหนึ่งอีกด้วย กลั่นสำเร็จแบบอันตรายมาก กากยาเกือบกระเด็นใส่หน้าเขา แม้ยาที่กลั่นสำเร็จจะเทียบไม่ได้กับยาเสวียน แต่ลองทำเม็ดหนึ่ง ฤทธิ์ยาก็แข็งแกร่งจนน่าอัศจรรย์ ลู่ฝานพอใจเป็นอย่างมาก

การกลั่นยายิ่งฝึกยิ่งคล่องจริงๆ!

ศิษย์พี่หานเฟิงดูมีสีหน้าผิดปกติ ไม่รู้เป็นเพราะดื่มน้ำพุพลังชีวิตเยอะไปหรือเปล่า

ทั้งสองคนออกจากสวนหอมปาฟาง เริ่มเดินเที่ยวบนถนน

ศิษย์พี่หานเฟิงพาลู่ฝานมาถึงร้านเสื้อผ้าร้านหนึ่งที่ดูไม่เลว ซื้อชุดที่ดูภูมิฐานสี่ชุด เสียไปหลายพันเหรียญทอง

การใช้จ่ายแบบนี้ ทำให้คนตกใจจนพูดไม่ออกจริงๆ

ลู่ฝานรู้สึกว่าเสื้อผ้าชุดนี้ราคาไม่แตกต่างจากยาสักเท่าไร

นี่เป็นแค่เรื่องเล็ก สิ่งที่ทำให้ลู่ฝานยิ่งหดหู่ก็คือ ตอนซื้อเสื้อ ผู้หญิงที่ขายเสื้อผ้าจำเขาได้

หลังจากพูดเสียงสูงว่า “คุณชายลู่ฝาน!” แม่ค้าคนนี้ตื่นเต้นจนเป็นลมไปเลย

ลู่ฝานไม่รู้ว่าชื่อเสียงของตัวเองในเมืองตงหวา จะโด่งดังขนาดนี้ เหมือนว่าในเมืองเจียงหลิน ยังไม่มีเหตุการณ์แบบนี้เลย

ลู่ฝานกับหานเฟิงน่าเวทนา โดนกลุ่มคนห้อมล้อมอย่างรวดเร็ว หลังจากโยนเหรียญทองให้ ลู่ฝานกับหานเฟิงอาศัยวิชา ถึงจะหนีออกจากกลุ่มคนได้

ลู่ฝานไม่รู้ว่าเวลาหนึ่งวัน เรื่องที่เขาบุกไปเขาดาบทะเลเพลิง ซัดหม่าจิ่นกับเหอาซิง คนเดียวทำให้พวกคุณชายตกใจจนไม่กล้าเข้าใกล้ โด่งดังไปทั่วเมืองตงหวา

โดยเฉพาะพวกคนที่ไม่รู้เรื่อง ยังได้ยินว่าถึงลู่ฝานเป็นแบบนั้น ยังปกป้องผู้หญิงคนหนึ่งด้วย

พาคนฝ่าด่าน แถมยังฝ่าด่านที่ยากที่สุด เป็นยอดนักรักในบรรดายอดนักรักจริงๆ

ข่าวถูกบอกต่อเป็นทอดๆ ไปอย่างรวดเร็ว ลู่ฝานกลายเป็นไอดอลในใจหนุ่มสาวมากมาย หญิงสาวมากมายหวังว่า คู่ครองของตัวเองจะกล้าหาญและเอาใจใส่แบบนี้

ตอนนี้บวกเรื่องที่หนุ่มสาวขายเสื้อเป็นลมเพราะเขาเข้าไปด้วย ชื่อเสียงของลู่ฝานยิ่งดังออกไปอีก

อีกทั้งตอนที่ลู่ฝานโยนเหรียญทอง ยังมียาเม็ดปนไปด้วยหนึ่งเม็ด ยิ่งทำให้คนอิจฉา ผู้หญิงที่เป็นลมไป ตอนเธอตื่นขึ้นมาน้ำตาคลอเบ้า ถือยาเอาไว้ในมือไม่ปล่อย ตะโกนว่าถ้าไม่ใช่คุณชายลู่ ก็จะไม่แต่งงาน

พระเจ้า ลู่ฝานไม่ได้ตั้งใจโยนออกไปจริงๆ

ลู่ฝานที่หลบอยู่ในร้านอาหาร เมื่อได้ยินข่าวแบบนี้ ถึงกับพ่นเหล้าใส่หน้าศิษย์พี่หานเฟิง

ศิษย์พี่หานเฟิงยังคงกินข้าวต่ออย่างนิ่งๆ ตลก เขาโดนอาจารย์อี้ชิงพ่นใส่จนชินแล้ว นี่ไม่นับประสาอะไร

ด้านหลังไม่ไกลจากทั้งสองคน มีดวงตาคู่หนึ่งกำลังจ้องพวกเขาอยู่

“ไปบอกเจ้าสำนัก คนนี้เหมือนที่ในรูป เป็นลู่ฝานแห่งตระกูลลู่ที่เมืองเจียงหลินแน่นอน”

ลูกน้องผู้ชายคนหนึ่งรีบวิ่งออกไป มาถึงในลานขนาดใหญ่หรูหราที่เมืองเหนือ

ลูกน้องเข้ามาทางประตูหลัง ในมือมีป้ายคำสั่งสีโลหิต เขาเดินมาจนถึงด้านนอกห้องหนังสือที่สวนหลังบ้าน

ลูกน้องพูดช้าๆ ว่า “รายงานเจ้าสำนัก คนยืนยันแน่ชัดแล้ว ใช่เขาแน่นอน”

เสียงเย็นชาดังก้องขึ้นข้างใน

“หรือ ใช่เขาจริงเหรอ ดีมากๆ งั้นให้คนอื่นกลับมาให้หมด ลู่ฝานอยู่ที่นี่ จะไปเมืองเจียงหลินทำไม สอบถามชัดเจนหรือยังว่าช่วงนี้เขาจะไปไหนบ้าง”

ลูกน้องพูดว่า “ว่ากันว่าเตรียมตัวไปร่วมงานวันเกิดของคุณท่านอี้ว์ครับ”

“ดีมาก ไปเถอะ ช่วยฉันทำบัตรเชิญสักใบ ฉันจะไปสั่งสอนลู่ฝานต่อหน้า ดูสิว่าเขาใจกล้าขนาดไหน กล้าแตะต้องคนของสำนักโลหิตพิฆาต”

พูดจบ ประตูห้องหนังสือเปิดออก ลมเย็นยะเยือกโถมใส่ใบหน้า

เงาคนหนึ่งปรากฏออกมา หน้าตาดูดี เสื้อผ้าเหมือนโลหิต มีกระบี่ยาวสีโลหิตอยู่ตรงเอว

เขาคือกวนหาน เจ้าสำนักโลหิตพิฆาต

ด้านล่างบัตรเชิญมีรอยประทับเล็กๆ เป็นตัวอักษรอี้ว์ที่เขียนแบบโบราณ ตัวอักษรดูมีพลัง มีพลานุภาพ

“ตระกูลอี้ว์ ตระกูลอี้ว์ที่จวนหัวหน้าเขต”

ลู่ฝานเก็บบัตรเชิญเอาไว้ เหมือนที่หลิ่วหยีพูด เขาไม่ดูบัตรเชิญใบอื่นได้ แต่บัตรเชิญใบนี้ เขาต้องดู ไม่เพียงแค่ดู เขายังต้องไปด้วย

ลู่ฝานพยักหน้าพูดว่า “คุณหลิ่วหยีช่วยฉันตอบกลับไปหน่อย ลู่ฝานต้องไปอย่างแน่นอน”

หลิ่วหยีพยักหน้าแล้วเดินออกไป ก่อนไปยังมองหานเฟิงด้วยสายตาประหลาด

หานเฟิงไม่สนใจว่าใครมองตัวเองยังไง ขุดคนเดียวอย่างมีความสุข

ไม่รู้เขาเอาไหมาจากไหน ใส่น้ำพุพลังชีวิตเข้าไปในไหจนเสร็จ หานเฟิงยิ้มแล้วหยุดทำ

หานเฟิงหันมาพูดกับลู่ฝาน “ศิษย์น้องลู่ฝาน นายจะไปจริงเหรอ ฉันจะบอกให้นะว่างานเลี้ยงแบบนี้น่าเบื่อที่สุด พวกผู้หญิงแต่งตัวสวยยั่วยวนนาย พวกผู้ชายเหมือนสัตว์อสูรติดสัด ขายข้อดีของตัวเองสุดชีวิต พวกคนแก่คุยโม้ พวกเด็กทำอวดดี น่าเบื่อมาก ถ้าอาหารไม่อร่อย ก็จบเห่เลย”

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ขนาดนั้นหรอก ยังไงก็ต้องไปอยู่แล้ว ศิษย์พี่หานเฟิง ผมจะพูดความจริงให้ฟัง การสอบประเมินผู้ตรวจการชั้นกลาง ยากจนน่ากลัว ผมไม่มีความมั่นใจว่าจะผ่าน ดังนั้นการไปจวนหัวหน้าเขตครั้งนี้ อาจจะเป็นโอกาสหนึ่ง ถ้าหัวหน้าเขตอี้ว์สามารถช่วยผมได้สักหน่อย แค่สำนักโลหิตพิฆาต ก็ไม่กล้าทำอะไรตระกูลลู่แล้ว”

ศิษย์พี่หานเฟิงพยักหน้าพูดว่า “ก็ใช่ งั้นนายไปเถอะ ฉันจะไปเรียกเจ้าดำมาด้วย ให้มันไปกินของอร่อยกับเรา มันน่าจะชอบน้ำพุพลังชีวิตที่นี่เหมือนกัน ฉันได้ยินว่าชิ้นส่วนสมบัติสวรรค์แบบนี้ เป็นของบำรุงชั้นดีของสัตว์อสูร เจ้าดำมีวาสนาอีกแล้ว!”

ลู่ฝานยิ้มแล้วพยักหน้า

เหมือนศิษย์พี่หานเฟิงนึกอะไรได้ ชะงักฝีเท้าลงแล้วพูดว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน งานเลี้ยงตอนไหนเหรอ”

ลู่ฝานพูดว่า “คืนพรุ่งนี้ ในบัตรเชิญบอกว่าเป็นวันเกิดครบรอบ 60 ปีของหัวหน้าเขตอี้ว์”

หานเฟิงเบะปากพูดว่า “งั้นเหรอ พวกข้าราชการชอบจัดงานเลี้ยง รับของขวัญ คงเหมือนพ่อฉัน วันเกิดอายุครบ 60 ปี จัดการงานเลี้ยงไป 7-8 ครั้ง ปีหน้าค่อยฉลองใหม่ จนกว่าจะรับของจนพอ”

ลู่ฝานหัวเราะเบาๆ แล้วพยักหน้า เขาก็เคยได้ยินเรื่องแบบนี้ เหมือนว่าคนมีเงินมีอำนาจ จะมีนิสัยแบบนี้ หาเหตุผลจัดงานเลี้ยง

หานเฟิงพูดต่อ “งั้นพรุ่งนี้นายไปซื้อเสื้อผ้า แล้วก็ของขวัญกับฉัน ในเมื่อจะไปงานเลี้ยง เราสองพี่น้อง จะเสียหน้าไม่ได้ใช่ไหม”

ลู่ฝานขมวดคิ้วพูดว่า “ไปซื้อเองเหรอ วันนี้ผมได้ของขวัญมาไม่น้อย เอาจากในนี้ดีไหม”

หานเฟิงพูดว่า “พอได้แล้ว นายเอาของที่คนอื่นให้นาย ไปให้คนอื่นอีกที ถ้าโดนคนจับได้ นายต้องเป็นตัวตลกแน่นอน ศิษย์น้องลู่ฝาน ฟังศิษย์พี่นะ พรุ่งนี้ฉันพานายไปซื้อ รับรองว่าจะแต่งตัวให้นายเท่สุดๆ ไปเลย เอาให้พวกสาวๆ กรี๊ด กอดขานายไม่ยอมปล่อยเลย วะฮ่าๆๆๆ”

ลู่ฝานชี้ปากหานเฟิงด้วยสีหน้าเหนื่อยใจ “ศิษย์พี่ น้ำลายพี่ไหลออกมาอีกแล้ว”

หานเฟิงรีบเช็ดน้ำลายแล้วพูดว่า “อย่าไปสนใจเรื่องเล็กน้อย สรุปว่าประเพณีด้านข้าราชการมีเยอะมาก พรุ่งนี้ศิษย์พี่จะพูดให้นายฟังอย่างละเอียด”

ลู่ฝานตอบรับ จากนั้นรีบเดินเข้าไปในห้อง

ส่วนศิษย์พี่หานเฟิงออกไปพาเจ้าดำกลับมา เพิ่งมาถึงลานบ้าน เจ้าดำตื่นเต้นจนไม่เป็นตัวของตัวเอง หลังจากดื่มน้ำพุพลังชีวิต ก็นอนหงายท้อง ไม่ว่าใครเรียกก็ไม่ตื่น ลู่ฝานทำได้เพียงเอาเจ้าดำใส่ลงไปในจวนอากาศธาตุ

เวลาหนึ่งวันเต็มๆ ลู่ฝานไม่ได้ออกไปไหนอีก กลั่นยาด้วยความตั้งใจ

หลิ่วหยีก็เอาของขวัญที่จัดการเรียบร้อยมาให้ ลู่ฝานต้องการของพวกนี้มากลั่นยาพอดี ใช้แต่ของในจวนอากาศธาตุ ยังไงก็มีสักวันที่ต้องใช้จนหมด

นั่งกินนอนกินไม่ใช่เรื่องดี มีใช้ไปก็ต้องชดเชยกลับมา ถึงจะเป็นทางที่ถูกต้อง

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 518
ลู่ฝานยิ้มบางๆ เอายาเม็ดออกมาจากอก วางลงบนมือหลิ่วหยี

แม้ไม่ได้พูดอะไร แต่ใบหน้าหลิ่วหยีแดงระเรื่อขึ้นมา มองลู่ฝานด้วยดวงตาสวยหยาดเยิ้ม เดินอย่างงดงามอ่อนช้อยออกไป

ยากที่ลู่ฝานจะใจกว้างแบบนี้ เพราะตอนนี้เขาเป็นคนที่มีทรัพย์สินอยู่บ้าง แค่ยาเม็ดเดียว ไม่ได้มีค่ากับเขาเท่าไรนัก

หานเฟิงมองลู่ฝานอย่างสงสัย แล้วพูดว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน นายนี่มีเมตตาดีจริงๆ นะ เฮ้อ นายได้สาวสวยไปอีกแล้ว นายจะเอาเธอกลับห้องตอนไหน วางใจได้เลยฉันไม่แอบดูเหมือนครั้งที่แล้วแน่นอน”

ลู่ฝานเลิกคิ้วขึ้นพูดว่า “ครั้ง……ก่อน”

หานเฟิงรู้ว่าตัวเองพลั้งปาก รีบหัวเราะแล้วพูดเปลี่ยนเรื่อง “วันนี้อากาศดีจริงๆ ศิษย์น้องลู่ฝาน ทำไมนายต้องอยู่ที่นี่ด้วยล่ะ ที่นี่มีดีตรงไหนกัน นายพูดให้ฉันฟังหน่อย”

ลู่ฝานสะบัดปราณชี่กระแทกกับพื้น ฝุ่นตลบอบอวล มีหลุมเท่ากำปั้นอยู่บนพื้น

หลังจากนั้น มีน้ำพุทะลักออกมาจากหลุม น้ำเป็นสีเขียวเข้ม มีแสงระยิบระยับเหมือนคริสตัล

“ให้ตายเถอะ นี่มันอะไรกัน”

หานเฟิงเบิกตาโต เขาไม่เคยเห็นน้ำแบบนี้มาก่อน

ลู่ฝานพูดว่า “น้ำพุพลังชีวิต เหมือนจะทำให้อายุยืนได้”

ลู่ฝานเพิ่งพูดจบ ศิษย์พี่หานเฟิงหมอบลงบนพื้น แล้วดื่มน้ำทันที

อึกๆๆ น้ำอึกใหญ่ลงสู่ท้อง

ศิษย์พี่หานเฟิงดื่มพลางพูดว่า “นายอย่าเพิ่งพูด อร่อยมาก”

พูดจบ มีแสงสว่างบนตัวศิษย์พี่หานเฟิง จากนั้นเห็นด้วยตาเปล่าว่าผิวของศิษย์พี่หานเฟิง เริ่มมันเงา ละเอียดอ่อน เหมือนย้อนกลับไปช่วงวัยเด็ก

ลู่ฝานรู้สึกว่าจู่ๆ เหมือนศิษย์พี่หานเฟิงดูหล่อขึ้น อืม ภาพลวงตา ต้องเป็นภาพลวงตาแน่ๆ

ศิษย์พี่หานเฟิงก็รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของตัวเอง เขาหัวเราะออกมาทันที

“มีผลดีจริงด้วย เป็นสถานที่ดี สถานที่ดีจริงๆ”

พูดจบ ศิษย์พี่หานเฟิงเอากระบี่ฟ้าครามของตัวเองออกมา

ลู่ฝานพูดว่า “ศิษย์พี่หานเฟิงจะทำอะไร”

ศิษย์พี่หานเฟิงพูดว่า “ขุดน้ำพุไง ให้ตายเถอะ ของดีแบบนี้ ไม่ทำให้เยอะหน่อยได้ยังไงล่ะ ศิษย์น้องลู่ฝาน วางใจเถอะ ฉันเหลือให้นายอยู่แล้ว”

ลู่ฝานเห็นดวงตาศิษย์พี่หานเฟิงเริ่มมีประกายความโลภ กระบี่ฟ้าครามที่น่าสงสารในมือเขา กลายเป็นพลั่วขุดน้ำพุไปแล้ว

เขาอยากดูดซับน้ำพุ ไม่ต้องไปขุดเองเหมือนศิษย์พี่หานเฟิง ไม่รอให้ลู่ฝานพูด เจดีย์เสวียนเก้ามังกรในตัว เริ่มเคลื่อนไหว พลังบริสุทธิ์ซึมลงไปในดิน เริ่มดูดซับน้ำพุพลังชีวิต อีกทั้งเจดีย์เสวียนเก้ามังกรยังหาต้นทางการไหลของน้ำเจออีกด้วย มันเป็นบ่อที่ฝังลึกอยู่ในดิน มีกลิ่นอายของความโบราณ

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรดูดซับน้ำพุ พลางพูดว่า “เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ มีน้ำพุพลังชีวิตอยู่ ผู้อาวุโสในตระกูลของเจ้านายมีทางรอดแล้ว อย่างน้อยเขาจะมีอายุได้อีกสิบปี”

ลู่ฝานตื่นเต้นขึ้นมาทันที แววตาเป็นประกาย

“งั้นก็เอาเยอะๆ เลย อืม ยิ่งเยอะยิ่งดี”

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้า คนของสวนหอมปาฟางก็คงไม่รู้ว่าตัวเองมีอาวุธเทพแบบเจดีย์เสวียนเก้ามังกร

พาเขามาที่นี่ ถือว่าเป็นการชักศึกเข้าบ้านหรือเปล่า

ขณะกำลังแอบขำอย่างมีความสุข หลิ่วหยีที่เพิ่งออกไปไม่นาน เดินกลับมาอีกครั้ง

เดินถือบัตรเชิญ เข้ามาข้างลู่ฝาน “คุณชายลู่ฝาน ฉันว่านายต้องดูบัตรเชิญใบนี้”

ลู่ฝานรับบัตรเชิญมาดู

“คำเชิญของตระกูลอี้ว์ จวนหัวหน้าเขต”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 517
ลู่ฝานรับของชดใช้ แล้วเดินเข้ามาดูกับหานเฟิง

ผ้าไหมผ้าแพร สมุนไพรหินแร่ เงินทองอัญมณี ไม่ขาดสักอย่าง ตระกูลใหญ่ของเมืองใหญ่ทำอะไรหรูหราจริงๆ

แค่ของที่รถม้า ก็เทียบได้กับรายได้รวมของตระกูลลู่ทั้งปีแล้ว

ลู่ฝานแบ่งให้ศิษย์พี่หานเฟิงครึ่งหนึ่ง จากนั้นเอาของพวกนี้ ย้ายเข้าไปในจวนอากาศธาตุของตัวเองอย่างไม่เกรงใจ

แต่นี่ยังไม่จบ สองพ่อลูกตระกูลหม่าไปได้ไม่นาน ก็มีคนมามอบของขวัญอีก

ไม่เพียงแค่นี้ บัตรเชิญก็ส่งมาอย่างต่อเนื่อง

คืนนี้ตระกูลจาง ผู้เฝ้าเมืองตงหวาจัดงานเลี้ยง เรียนเชิญคุณชายลู่!

คุณชายเสิ่นอู๋ซวง แห่งเมืองเฟยอี่ว์ เชิญคุณชายลู่ล่องเรือชมจันทร์ ดื่มเหล้าชมฟ้าใส!

ตระกูลอี่ว์แห่งภาคใต้ เชิญคุณชายลู่ไปพูดคุยที่ตระกูล อี่ว์หลงเฟิงนักบู๊แดนปราณฟ้า เชิญคุณชายลู่ศึกษาวิชา!

คณิกาที่ไม่เคยรับแขกอย่างฉินหว่านเอ๋อร์ เชิญคุณชายลู่ไปชมจันทร์ที่ศาลาชมจันทร์ พูดคุยสนุกสนานทั้งคืน!

……

บัตรเชิญแต่ละใบ เหมือนฝนสาดลงมาบนใบหน้า

ระยะเวลาไม่นาน ทำให้ลู่ฝานรู้ว่าทั้งเมืองตงหวา มีทายาทตระกูลร่ำรวย มีตระกูลนักบู๊มากแค่ไหน

และรู้ว่าคุณชายและคุณหนูเศรษฐี ของเมืองอื่นมีมากแค่ไหน

ลู่ฝานโดนคนที่ส่งการ์ด บีบบังคับจนต้องกลับมาอยู่ในสวนหอมปาฟาง

ผู้ดูแลเฉินซวงกลับรับมือกับคนพวกนี้ได้อย่างเชี่ยวชาญ กันพวกเขาเอาไว้ด้านนอก อีกทั้งยังหาคนมาจดบันทึกไว้

ภายใต้การนำทางของหลิ่วหยี ลู่ฝานกับหานเฟิงกลับมาในสวนหอมปาฟาง

ครั้งนี้พวกเขาไม่ได้ไปห้องชั้นยอด แต่มายังสถานที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง

เป็นคฤหาสน์เรียบง่ายหลังหนึ่ง ไม่หรูหรา ไม่งดงาม ธรรมดาและเรียบง่าย

แต่เมื่อเข้ามา ลู่ฝานสัมผัสได้ว่าใต้คฤหาสน์แห่งนี้ มีอะไรลึกลับซ่อนอยู่ เดินได้ไม่กี่ก้าว เจดีย์เสวียนเก้ามังกรในตัวออกมาอัตโนมัติ แล้วพูดว่า “น้ำพุพลังชีวิต ข้างล่างมีน้ำพุพลังชีวิต เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ เจ้านายเจอสถานที่ดีๆ อีกแล้ว”

ลู่ฝานถามว่า “น้ำพุพลังชีวิตอะไร”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดว่า “น้ำพุพลังชีวิตที่สามารถทำให้อายุยืน ยกระดับผลการฝึกตน ฟื้นฟูอาการบาดเจ็บ เปลี่ยนแปลงร่างกาย กลั่นยาเสวียนไง!”

ลู่ฝานตกใจ ดูเหมือนเยี่ยมยอดมากเลย

หลิ่วหยีที่อยู่ด้านหน้าพูดว่า “ทั้งสองท่าน ต่อไปพวกคุณพักที่นี่ เดิมทีที่นี่เป็นที่ฝึกฝนของเจ้าของคนเก่า ปกติจะไม่เปิดให้ใคร แต่ทั้งสองท่านไม่ใช่คนธรรมดา ช่วงนี้ก็พักที่นี่ชั่วคราวละกัน”

หานเฟิงมองซ้ายมองขวา พูดด้วยสีหน้าสงสัย “ทำไมถึงให้เรามาอยู่สถานที่พังๆ แบบนี้ ที่นี่เปิดให้ใครพักไม่ได้จริงๆ พูดไปก็ทำให้สวนหอมปาฟางเสื่อมเสียชื่อเสียง ศิษย์น้องลู่ฝาน เรากลับไปกันเถอะ ถึงห้องนั้นพังเป็นรู แต่ยังไงก็ดีกว่าที่นี่เยอะ อีกทั้ง……”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ ศิษย์พี่หานเฟิงยักคิ้วหลิ่วตาให้ลู่ฝาน ทำท่าเหมือนว่านายก็เข้าใจ

ลู่ฝานเข้าใจความหมายของเขาอยู่แล้ว ไม่มีอะไรนอกจากที่ห้องชั้นยอด มีสาวสวยเยอะ

แต่ในเมื่อรู้แล้วว่ามีน้ำพุพลังชีวิตที่นี่ ลู่ฝานไม่มีทางไปเด็ดขาด

ลู่ฝานส่ายหน้าพูดว่า “ศิษย์พี่หานเฟิง ที่นี่ดีกว่าที่นั่นเยอะ เชื่อผม ขอบคุณคุณหลิ่วหยีมาก”

หลิ่วหยียิ้มแล้วพูดว่า “คุณชายลู่ฝานช่างมีความรู้ งั้นฉันไม่รบกวนทั้งสองท่านแล้ว ด้านนอกมีบัตรเชิญกับของขวัญ เดี๋ยวฉันจัดการเรียบร้อยแล้ว จะส่งให้อีกที ฉันหวังว่าคุณชายลู่ฝานจะพักที่นี่อีกสักสองสามวัน มีคุณชายลู่ฝานอยู่ สวนหอมปาฟางมีชื่อเสียงขึ้นเยอะเลย”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 516
คนขับรถม้าเคยได้ยินที่นั่นมารอบหนึ่ง ได้ยินว่าห้องพักห้องชั้นต่ำที่แย่สุด ยังต้องเป็นคนที่มีฐานะหลายแสนเหรียญทอง จึงจะเข้าไปได้

ทั้งชีวิตเขาไม่มีทางหาเงินเยอะขนาดนั้นได้!

รถเพิ่งเลี้ยวหัว ผู้หญิงคนหนึ่งตะโกนอยู่ด้านนอกรถ “คุณชายหาน อย่าทิ้งฉันสิ!”

ลู่ฝานมองไปข้างนอก เห็นว่าเป็นผู้หญิงที่มีความสัมพันธ์กับหานเฟิง

หานเฟิงเลิกผ้าม่านรถขึ้น พูดกับผู้หญิงว่า “ขอโทษด้วย เธอเดินกลับเองละกัน ในรถนั่งไม่ได้แล้ว”

พูดจบ หานเฟิงนั่งลงช้าๆ สีหน้าไม่ได้รู้สึกผิดสักนิด เหมือนนี่คือสิ่งที่สมเหตุสมผลแล้ว

ลู่ฝานพูดว่า “ศิษย์พี่หานเฟิง ทะเลาะกันเหรอ”

หานเฟิงพูดอย่างตกใจ “ทะเลาะเหรอ ทะเลาะอะไร ความสัมพันธ์ของเราดีมาก!”

“แล้วทำไมไม่ให้เธอขึ้นมาล่ะ”

หานเฟิงพูดว่า “ทำไมต้องให้เธอขึ้นมาล่ะ แค่ผู้หญิงที่เห็นแก่ฐานะและเงินของฉันเท่านั้น ตามคำพูดของพ่อฉัน สำหรับผู้หญิงน่าเงินแบบนี้ ต้องใช้วิธีแบบนี้ ถ้าโอ๋เธอเกินไป เธอจะไม่รู้ฐานะตัวเอง ตอนนี้เธอยังไม่มีคุณสมบัติมานั่งบนรถกับเรา”

ลู่ฝานยิ้มบางๆ ดูเหมือนศิษย์พี่หานเฟิงไม่สนใจอะไร อันที่จริงเขาก็มีความคิดเป็นของตัวเอง

สำหรับทฤษฎีของศิษย์พี่หานเฟิง ลู่ฝานไม่รู้เหมือนกันว่าถูกหรือผิด

แต่ฟังดูมีเหตุผลมาก

รถม้าวิ่งกลับมายังสวนหอมปาฟาง เพิ่งมาถึงหน้าประตู

ลู่ฝานเห็นผู้ดูแลเฉินซวงกับหลิ่วหยี ยืนอยู่หน้าประตู

“ฮ่าๆ คุณชายลู่ฝานกลับมาแล้ว ฉันว่าแล้ว คุณชายลู่ฝานผลการฝึกตนสูงส่ง เป็นยอดฝีมืออันดับต้นๆ ในสถาบันสอนวิชาบู๊ ได้ตำแหน่งผู้ตรวจการ เป็นเรื่องเล็กๆ ง่ายนิดเดียว”

ลู่ฝานกับหานเฟิงลงจากรถม้า โยนเหรียญทองหนึ่งเหรียญให้คนขับรถม้า ทำให้คนขับรถม้าขอบคุณยกใหญ่

เฉินซวงเดินเข้ามาโค้งตัวเล็กน้อยให้ลู่ฝาน เทียบกับเมื่อวาน วันนี้เฉินซวงดูถ่อมตนมาก

หลิ่วหยีก็พูดด้วยสีหน้าเป็นกันเอง ในแววตามีความเลื่อมใส

ลู่ฝานพูดว่า “ข่าวถึงหูพวกคุณเร็วขนาดนี้เลยเหรอ”

เฉินซวงพูดว่า “ตระกูลปาฟางของเรา อาศัยข่าวในการหากิน ถ้ารู้ข่าวช้า เราคงไม่อยู่นานขนาดนี้หรอก เชิญคุณชายลู่ฝาน เราเปลี่ยนห้องให้นายแล้ว เชื่อว่านายจะพอใจอย่างแน่นอน”

หานเฟิงหัวเราะแล้วพูดว่า “เปลี่ยนห้องด้วยเหรอ สวัสดิการดีจริงๆ!”

ขณะกำลังพูด ถนนด้านนอกมีรถม้า 5-6 คัน กำลังวิ่งเข้ามา

ลู่ฝานหันไปมอง เห็นจากไกลๆ มีคนรูปร่างคุ้นๆ โดนคนยกลงมาจากรถม้า

ไม่นาน ผู้อาวุโสคนหนึ่งพร้อมกับคนใช้กลุ่มหนึ่ง แบกวัยรุ่นคนหนึ่งมาตรงหน้าลู่ฝาน

เมื่อเพ่งมองดูดีๆ ลู่ฝานจำได้ว่าคนนี้คือหม่าจิ่น ที่โดนเขากับศิษย์พี่หานเฟิงซัดไม่ใช่เหรอ

ผู้อาวุโสคำนับแล้วพูดว่า “คุณชายลู่ฝาน ผมหม่าไค่ซี เป็นพ่อหม่าจิ่น ไอ้เด็กนี่อวดดี ได้ยินว่าไปล่วงเกินคุณชายลู่ฝานกับคุณชายหานเฟิง ผมตั้งใจพาเขามาขอโทษ ไอ้ลูกเวร ยังไม่รีบขอโทษคุณชายลู่ฝานอีก!”

หม่าจิ่นพูดด้วยเสียงสะอื้น “คุณชายลู่ฝาน ผมผิดไปแล้ว ผมไม่กล้าอีกแล้ว คุณชายลู่ไว้ชีวิตผมเถอะ!”

ลู่ฝานสีหน้าราบเรียบ แต่หานเฟิงที่อยู่ข้างๆ เดินเข้ามาจับขาหม่าจิ่น “เกิดอะไรขึ้น ศิษย์น้องลู่ฝาน นายทำหักเหรอ”

หม่าไค่ซีพูดว่า “ไม่ใช่ครับ ผมทำเอง เฮ้อ หวังเพียงว่าคุณชายลู่ฝานจะหายโมโห”

ลู่ฝานพูดช้าๆ ว่า “แค่อารมณ์ชั่ววูบเท่านั้น เรื่องเล็ก ไม่เป็นไร”

หม่าไค่ซีถอนหายใจอย่างโล่งอก “คุณชายลู่ใจกว้างขนาดนี้ ตระกูลหม่าจะจำไว้ขึ้นใจ รถม้าด้านหลังเป็นของที่ชดใช้ให้คุณชายลู่ฝาน หวังว่าคุณชายลู่จะรับไว้ เราขอตัวก่อน”

พูดจบ หม่าไค่ซีพาหม่าจิ่นออกไป

ลู่ฝานส่ายหน้า ถอนหายใจแล้วพูดว่า “นี่คือสภาพสังคมสินะ!”

หานเฟิงยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ นี่แค่สภาพความเป็นจริงเท่านั้น”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 515
ลู่ฝานแห่งเมืองเจียงหลินคือใคร ทุกคนสอบถามข่าวเกี่ยวกับลู่ฝานทันที

ตอนลู่ฝานรับป้ายคำสั่งผู้ตรวจการชั้นล่าง พวกที่เห็นกับตาตัวเองว่าลู่ฝานผ่านด่านเขาดาบทะเลเพลิงได้อย่างไร เป็นคนที่เผยแพร่ข่าว

ไม่ว่าใครได้ยินข่าวนี้ ปฏิกิริยาแรกก็คือ นี่มันเป็นไปได้เหรอ

ไม่นานข่าวได้รับการยืนยัน

เพราะมีสายตาหลายคู่ ที่เห็นด้วยตาตัวเอง

โดยเฉพาะในบรรดาคนที่เห็นด้วยตาตัวเอง มีคุณชายเสิ่นอู๋ซวงตระกูลเสิ่น แห่งเมืองเฟยอี่ว์ คุณชายสีว์หลิงซงตระกูลสีว์ ที่มาจากเมืองหนิงโจว รวมไปถึงคุณชายอี่ว์โฉวแห่งตระกูลอี่ว์และคนอื่น ยิ่งทำให้ข่าวนี้ดูน่าเชื่อถือขึ้นอีก

ไม่มีทางที่คุณชายสามตระกูลใหญ่จะโกหกพร้อมกัน

นั่นหมายความว่า ลู่ฝานทำเรื่องที่ไม่มีใครทำได้มาหลายสิบปี

อกสั่นขวัญแขวน อิจฉา

เดิมทีคนจำนวนมากที่สอบไม่ผ่าน เตรียมจะกลับ เมื่อได้ยินข่าวนี้จึงอยู่ต่อ

ข่าวเหมือนโรคระบาด แพร่ไปทั่วเมืองตงหวาอย่างรวดเร็ว

จึงทำให้เมื่อลู่ฝานกับเซี่ยวเอ๋อร์ ปรากฏตัวในตำหนักสูงเสียดฟ้า คนพวกนี้จึงมาห้อมล้อมเหมือนเป็นบ้า

“คุณชายลู่ฝาน คุณเก่งมากจริงๆ”

“คุณชายลู่ฝาน สนใจมาคุยกันที่ตระกูลผมไหม”

“คุณชายลู่ฝาน มีคู่ครองหรือยัง น้องสาวผมยังไม่แต่งงาน……”

“คุณชายลู่ฝาน……”

ลู่ฝานหลบคนพวกนี้อย่างยากลำบาก ยังดีที่หานเฟิงที่รอพวกเขาอยู่ข้างนอก เข้ามาช่วยจัดการพวกที่มาห้อมล้อมได้พอดี

“หลีกๆ หลีกไปให้หมด ถ้าพูดมากอีก ระวังจะโดนซัด”

หานเฟิงดึงลู่ฝานออกมาจากกลุ่มคน

หานเฟิงขมวดคิ้วมองลู่ฝาน แล้วพูดว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน นายนี่เก่งจริงๆ เลย เดินไปไหนก็เจ๋งไปทุกที่! ฮ่าๆ ฉันรู้สึกว่าตัวเองจะมีชื่อเสียงไปกับนายด้วยแล้วล่ะ”

ลู่ฝานรีบพูดว่า “ไปๆ ศิษย์พี่หานเฟิง รีบไป คนพวกนี้บ้าไปแล้ว”

ศิษย์พี่หานเฟิงกับลู่ฝานรีบเดินออกจากในเมือง เมื่อมาถึงนอกเมือง ศิษย์พี่หานเฟิงเรียกให้รถม้าคันหนึ่งจอด ดึงคนบนรถม้าลงมา

“ขอโทษด้วย รถคันนี้เป็นของฉันแล้ว”

คนอ้วนที่โดนดึงลงมา ดูมีฐานะอยู่บ้าง เขาพูดอย่างโมโหว่า “พวกนายเป็นใคร กล้าแย่งรถฉันบนถนนแบบนี้ ไม่รู้เหรอว่าฉันเป็นคนของจวนโม่”

ลู่ฝานรีบเดินเข้ามา เอาป้ายผู้ตรวจการชั้นล่าง ที่เพิ่งได้มาเมื่อครู่ออกมา แกว่งไปมาตรงหน้าคนอ้วน แล้วพูดว่า “ขอยืมหน่อย เดี๋ยวให้เงินนาย คงไม่มีปัญหาใช่ไหม!”

พูดพลาง ลู่ฝานเอาเหรียญทองยัดลงไปในมือคนอ้วนหนึ่งเหรียญ

เมื่อคนอ้วนเห็นป้ายก็อึ้งไปก่อน จากนั้นพยักหน้าพูดอย่างนอบน้อมว่า “ที่แท้เป็นท่านผู้ตรวจการนี่เอง ใช้ได้ตามสบายเลยครับ เรื่องเงินไม่จำเป็นเลยครับ”

“ให้ก็เอาไปสิ จะได้ไม่หาว่าฉันรังแกนาย”

พูดจบ ลู่ฝานกับศิษย์พี่หานเฟิงขึ้นไปบนรถ

คนอ้วนสั่งคนขับรถม้าด้วยสีหน้าสอพลอว่า “ขับรถให้ท่านผู้ตรวจการดีๆ ล่ะ”

คนขับรถม้าตอบรับ หานเฟิงมองลู่ฝานอย่างอิจฉา แล้วพูดว่า “ป้ายของนายได้ผลจริงๆ ให้ตายเถอะ ป้ายของฉันจะมีประโยชน์ก็ต่อเมื่อเป็นคนที่รู้จักตระกูลหาน”

ลู่ฝานพูดว่า “พอแล้ว ศิษย์พี่หานเฟิง รีบกลับกันเถอะ”

หานเฟิงพยักหน้า พูดกับคนขี่ม้าว่า “ไปสวนหอมปาฟาง”

คนขับรถม้าคำนับด้วยความกระตือรือร้น “ครับท่านผู้ตรวจการ”

คนขับรถม้าเหงื่อไหลลงจากหน้าผาก เขารู้สึกว่ามือตัวเองสั่นนิดหน่อย

พักที่สวนหอมปาฟางได้ เป็นคนผู้ยิ่งใหญ่จริงๆ ด้วย

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 514
ฉานซินพูดว่า “คนอายุน้อยที่มีความทะเยอทะยาน แต่ถ้านายคิดว่าผ่านเขาดาบทะเลเพลิงได้ จะสามารถสอบประเมินผู้ตรวจการชั้นกลางได้ นั่นคือความผิดมหันต์ การสอบประเมินผู้ตรวจการชั้นกลาง ยากกว่าเป็นสิบเท่าร้อยเท่า ด่านแต่ละด่าน ถูกเลือกออกมาด้วยความตั้งใจ ได้รับการอนุมัติจากเบื้องบน นายรู้ไหมว่าทั้งประเทศอู่อาน มีคนสอบประเมินผู้ตรวจการชั้นกลางเท่าไร”

ลู่ฝานพูดว่า “ว่ากันว่าหลายร้อยเกือบพันครับ”

ฉานซินส่ายหน้าพูดว่า “ข่าวนายไม่ถูกต้องนะ ดูเหมือนฟังแค่ข่าวที่โด่งดังเท่านั้น ฉันจะบอกให้นะ มีผู้ตรวจการชั้นกลางทั้งหมด 8543 คน”

ลู่ฝานพูดอย่างตกใจว่า “เยอะขนาดนี้เลยเหรอครับ!”

ฉานซินหัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “เยอะเหรอ ประเทศอู่อานมีทั้งหมด 108000 เขต คนพวกนี้ยังไม่ถึงเศษส่วนเลย เฉลี่ยดูแล้ว แต่ละเขตยังไม่ถึงครึ่งคนเลย จะบอกนายให้อีกว่า ช่วงนี้มีนักบู๊สอบผ่านหนึ่งคน เขาเป็นคนเขตหมานอี๋ อายุ 23 ปี ผลการฝึกตนระดับปราณชีวิต ภารกิจการสอบประเมินคือ ฆ่าอสูรมังกรตัวโตเต็มวัย ในที่รกร้าง เขาต่อสู้กับอสูรมังกรที่รกร้างสามวันสามคืน ท่ามกลางสายตาของทุกคน สู้กันอย่างดุเดือด สุดท้ายกระดูกทั้งตัวแตกไปเกือบครึ่ง โชคดีที่กระบี่แทงลงบนจุดสำคัญของอสูรมังกรที่รกร้างพอดี จึงทำให้สอบผ่านสำเร็จ”

ลู่ฝานตกใจจนอ้าปากค้าง

อสูรมังกรที่รกร้าง เทียบได้กับนักบู๊แดนปราณฟ้าเลยนะ

ใช้ผลการฝึกตนแดนปราณชีวิต สู้กับอสูรมังกรที่รกร้างที่ทัดเทียมกับนักบู๊แดนปราณฟ้า เขาจะทำได้ยังไง

ฉานซินมองสีหน้าตกใจของลู่ฝาน แล้วพูดว่า “ตอนนี้รู้ระดับความยากของการสอบประเมินผู้ตรวจการชั้นกลางหรือยัง ฉันว่านายกลับไปฝึกอีกสักสองสามปี แล้วค่อยมาเถอะ อย่าหัวร้อนจนทำให้ถึงแก่ชีวิต”

ลู่ฝานกัดฟัน ครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ผมอยากลองดู อย่างน้อยให้ผมได้รู้ว่าภารกิจของตัวเองคืออะไร”

ฉานซินพูดว่า “เป็นเด็กที่ไม่ยอมแพ้จริงๆ ช่างเถอะ เพราะการสอบประเมินผู้ตรวจการชั้นกลาง มีโอกาสอบได้สองครั้ง ถ้านายอยากสอบจริงๆ หลังจากสามวัน เอาป้ายคำสั่งไปที่จวนหัวหน้าเขต บอกต่อหน้าทุกคนว่าต้องการสอบ ต้องผ่านสามด่านเหมือนกัน ด่านแรกตรวจสอบผลการฝึกตน ด่านที่สองรับภารกิจ ด่านที่สามคือการตรวจสอบโดยหัวหน้าเขต”

ลู่ฝานคารวะแล้วพูดว่า “ขอบคุณที่ชี้แนะครับ”

ฉานซินปิดตาลงช้าๆ จู่ๆ ลู่ฝานรู้สึกว่าโลกตรงหน้าสั่นไปมา จากนั้นตัวเขาออกมาอยู่ข้างนอกห้องอย่างไม่รู้ตัว

เซี่ยวเอ๋อร์กับผู้อาวุโสรอเขาอยู่นานแล้ว

ผู้อาวุโสมองลู่ฝานแล้วพูดว่า “ได้ป้ายคำสั่งยัง”

ลู่ฝานพยักหน้าพูดว่า “ได้มาแล้ว”

ผู้อาวุโสหัวเราะออกมา “ดีมาก ลู่ฝาน นายจะมีชื่อเสียงในเมืองตงหวาแล้ว ในฐานะที่เป็นผู้ชี้แนะของนาย ต่อไปถ้ามีเรื่องอะไร มาหาฉันได้ ฉันโม่ซั่น แค่พูดชื่อฉันที่จวนหัวหน้าเขต คนอื่นจะรู้ทันที”

ลู่ฝานพูดว่า “ขอบคุณผู้อาวุโสโม่มากครับ ขอทราบได้ไหม ทำไมผมถึงจะมีชื่อเสียงเหรอ”

ผู้อาวุโสโม่ยิ้มอย่างมีเลศนัย เซี่ยวเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ พูดว่า “หึ คืนนี้นายก็รู้เอง ลู่ฝาน ฉันให้ยาเม็ดกับนายเชียวนะ ไม่ร่วมงานเลี้ยงอื่น ถ้าถึงตอนที่ฉันเชิญนาย นายต้องมานะ”

ลู่ฝานพยักหน้าเบาๆ ถือว่ารับปากแล้ว แม้เขาจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

ผู้อาวุโสโม่ก็ไม่พูดอะไรมาก เขาสะบัดมือ แสงค่ายกลสว่างขึ้นอีกครั้ง

ตัวของทั้งสามคนหายไปพร้อมกัน

ในเวลานี้ที่นอกเมืองตงหวา ข่าวอันน่าตกใจเผยแพร่ไปทั่ว

การสอบประเมินผู้ตรวจการชั้นล่างในปีนี้ เกิดเหตุการณ์สะเทือนขวัญที่สุด ลู่ฝานที่มาจากเมืองเจียงหลิน ผ่านด่านเขาดาบทะเลเพลิง ที่ยังไม่มีใครผ่านได้มาหลายสิบปี!

เมื่อข่าวออกมา เกิดความฮือฮาไปทั่วเมืองตงหวา

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 513
ลู่ฝานอึ้งไปครู่หนึ่ง แล้วส่ายหน้าพูดว่า “ขอโทษด้วย ผมมีอาจารย์แล้ว”

ฉานซินมองลู่ฝานตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วพูดว่า “อาจารย์นายเป็นนักบู๊ใช่ไหม ฉันจะบอกว่านายมีศักยภาพเป็นผู้ฝึกชี่ ใช้โอกาสตอนหนุ่ม เปลี่ยนมาเป็นผู้ฝึกชี่ตอนนี้ยังทัน ฉันมองออกว่าพรสวรรค์ของนายไม่เลว”

ลู่ฝานจิตใจวูบไหวเล็กน้อย เจดีย์เสวียนเก้ามังกรในตัวหัวเราะเสียงดัง

“โอ๊ย ตาเฒ่านี่รู้จักคนดีจริงๆ เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ ถ้าเขารู้ว่าอาจารย์เจ้านายเป็นขุนพลังสุดเหนือฟ้า เขาจะฉี่ราดตรงนี้เลยหรือเปล่า! ดูเขาไม่มีแขนขา จะเข้าห้องสุขายังไง อ้อ ฉันลืมไป ผลการฝึกตนระดับเขา ไม่จำเป็นต้องกินข้าวแล้ว”

ลู่ฝานไม่สนใจเสียงบ่นของเจดีย์เสวียนเก้ามังกร มองฉานซินแล้วส่ายหน้าพูดว่า “ไม่จำเป็นหรอกครับ”

ฉานซินพูดว่า “น่าเสียดายๆ เป็นเด็กหนุ่มที่มีความสามารถ แต่ทำไมถึงเอาแต่บ้าบู๊ น่าเสียดาย”

พูดจบ มีป้ายคำสั่งอีกอันหนึ่งปรากฏตรงหน้าลู่ฝาน

ลู่ฝานแววตาลุกโชน ในที่สุดก็ได้ป้ายคำสั่งของผู้ตรวจการชั้นล่างแล้ว

ป้ายคำสั่งปรากฏออกมาอย่างรวดเร็ว

ฉานซินพูดว่า “หยดเลือดลงไป ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ป้ายตำแหน่งของนายจะบูชาอยู่ที่นี่ ถ้านายตายไป หรือต้องการความช่วยเหลือ จะเกิดปฏิกิริยาขึ้นที่นี่”

ลู่ฝานพยักหน้าเข้าใจ กำป้ายคำสั่งเอาไว้ในมือ

ปราณชี่พุ่งขึ้นมา เลือดทะลักออกมาจากรูขุมขนตรงนิ้ว เข้าไปในป้ายคำสั่ง

ไม่นาน ลู่ฝานรู้สึกว่าตัวเขาเกิดการเชื่อมต่อกับป้ายคำสั่ง

เหมือนเขาสามารถเปลี่ยนลักษณะของป้ายคำสั่งได้ตามใจชอบ นอกจากคำว่าลาดตระเวนบนป้ายคำสั่งที่ไม่มีทางหายไป อย่างอื่นสามารถเปลี่ยนแปลงได้อัตโนมัติ

จากความเชี่ยวชาญของเขาที่มีต่อพลังฟ้าดิน เขาสามารถทำได้ถึงขั้นที่ทำให้ป้ายคำสั่งที่ดูเหมือนทองกลายเป็นไม่ได้ หรือเปลี่ยนรูปร่างเป็นน้ำก็ได้

แน่นอนว่าลู่ฝานไม่มีทางทดลองที่นี่

หลังจากดูอย่างละเอียด ลู่ฝานเก็บป้ายคำสั่งเอาไว้

ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ถือว่าเขามีตำแหน่งแล้ว นับว่าเดินไปกินข้าวที่ไหนก็ไม่ต้องจ่ายเงินแล้ว

ฉานซินพูดว่า “ตำแหน่งผู้ตรวจการชั้นล่าง เป้าหมายคือบ่มเพาะนักบู๊อายุน้อยที่มีพรสวรรค์ในประเทศอู่อาน รวมไปถึงผู้ฝึกชี่ด้วย ดูแลควบคุมเจ้าหน้าที่ พิทักษ์ความยุติธรรม แต่มันก็แค่เรื่องที่เป็นผลพลอยได้ นายต้องแยกเรื่องหลักเรื่องรองให้ได้ ตำแหน่งนี้ห้าปีพิจารณาหนึ่งครั้ง ถ้าผ่านไปห้าปี นายยังเป็นแบบนี้ ถึงนายจัดการควบคุมเจ้าหน้าที่ทุจริตมากแค่ไหน ก็ช่วยอะไรไม่ได้ แต่ถ้านายใช้อำนาจกดขี่ประชาชน จงใจใส่ร้ายเจ้าหน้าที่ นายจะโดนจับเข้าคุก เข้าใจหรือยัง”

ลู่ฝานตอบรับเสียงเบา

ฉายซินพยักหน้าพูดว่า “โอเค นายกลับไปได้แล้ว หวังว่าเจอนายครั้งหน้า นายจะเป็นเสาหลักของเมืองตงหวาได้”

ลู่ฝานลุกขึ้นยืนช้าๆ เตรียมจะออกไป

แต่เพิ่งเดินถึงหน้าประตู จู่ๆ ลู่ฝานหันไปถามว่า “ขอถามผู้อาวุโส การสอบประเมินผู้ตรวจการชั้นกลาง ต้องทำยังไง”

เมื่อฉานซินได้ยินคำว่าผู้ตรวจการชั้นกลาง ตาเขาเป็นประกายทันที

“นายพูดอะไร นายอยากสอบผู้ตรวจการชั้นกลางเหรอ”

ลู่ฝานชะงักฝีเท้าลงแล้วพูดว่า “แน่นอนครับ”

ฉานซินหัวเราะแล้วพูดว่า “เจ้าหนุ่ม อย่าหาว่าฉันไม่เตือน การสอบประเมินผู้ตรวจการชั้นกลาง ยากกว่าชั้นล่างมาก อันตรายกว่ามากด้วย แค่ขยับก็อันตรายถึงชีวิต นายคิดดีแล้วเหรอ”

ลู่ฝานพูดว่า “การสอบประเมินผู้ตรวจการชั้นล่าง ก็มีอันตรายเยอะแยะไม่ใช่เหรอครับ สำหรับผมไม่มีอะไรต่างกันเลย”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 512
ภูเขารายล้อม น้ำใสต้นไม้เขียวขจี เห็นได้ชัดว่าไม่ได้อยู่ในเมือง

ในลานคฤหาสน์มีดอกไม้เพียงชนิดเดียว นั่นคือดอกทิวลิป ออกดอกบานสะพรั่ง ไม่รู้ว่าทำไมฤดูนี้ ถึงมีวิวแบบนี้ด้วย

ผู้อาวุโสปัดฝุ่นบนตัว ราวกับว่าถูกค่ายกลส่งมา มันเปื้อนฝุ่นอย่างไรอย่างนั้น

“เข้าไปสิ ด่านที่สามอยู่ข้างใน ไม่ต้องกังวลเกินไป ด่านที่สามไม่ใช่การต่อสู้ แต่จะพูดว่ายากก็ยาก พวกคุณเข้าไปเถอะ คนที่ไม่เข้าเกณฑ์คนอื่นๆ ถูกส่งออกไปแล้ว ฉันจะรอพวกคุณด้านนอก”

ผู้อาวุโสเอาสองมือไพล่หลัง มองลู่ฝานกับเซี่ยวเอ๋อร์ด้วยรอยยิ้ม

เงยหน้ามองไปข้างหน้า ด้านในมีห้องหนึ่งห้อง ประตูเปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง

ลู่ฝานกับเซี่ยวเอ๋อร์มองหน้ากัน ทั้งสองเดินเข้าไป ตอนที่ผลักประตู มีแสงสีทองจากห้อง ส่องลงมาบนตัวทั้งสองคน

ทันใดนั้น ลู่ฝานรู้สึกถึงปราณยิ่งใหญ่ไหลเวียนอยู่ในตัวเขา แม้ไม่มีท่าทีจะโจมตีใดๆ แต่ระดับความแข็งแกร่งของพลังนี้ ทำให้คนตกใจเป็นอย่างมาก ต้องเป็นพลังของนักบู๊ที่อยู่เหนือแดนปราณฟ้าอย่างแน่นอน พลังแค่นี้ กลับกดดันปราณชี่ในตัวลู่ฝาน จนไม่สามารถขยับได้

ด้านหน้า ผู้อาวุโสเครายาวนั่งอยู่บนเบาะทรงกลม ด้านหลังมีป้ายวิญญาณเรียงเป็นแถว

เดิมที่มีป้ายวิญญาณวางอยู่เต็มห้อง มีป้ายวิญญาณบางส่วนปล่อยแสงบางๆ ออกมา บางส่วนมืดมนไร้แสง ผุพังไปตามกาลเวลา

ผู้อาวุโสเครายาวลืมตาขึ้น เคราด้านหน้าที่ยาวจนถึงพื้น ปกปิดเสื้อเขาไว้

ผู้อาวุโสเป็นคนพิการ ไม่มีแขนไม่มีขา แต่ในตามีประกายที่น่าตกใจ

ทันใดนั้น ลู่ฝานกับเซี่ยวเอ๋อร์รู้สึกว่าปราณยิ่งใหญ่ในร่างกายหายไป

ผู้อาวุโสพยักหน้าพูดว่า “ครั้งนี้มีแค่สองคน ดูเหมือนด่านที่พวกนายเจอคงยาก บอกฉันมาสิว่าพวกนายเจอด่านไหน”

ลู่ฝานพูดอย่างราบเรียบว่า “เขาดาบทะเลเพลิง!”

“อะไรนะ”

ผู้อาวุโสตกใจเล็กน้อย

“เป็นเขาดาบทะเลเพลิงเหรอ อืม ด่านระดับนี้ พวกนายสองคนยังผ่านมาได้ ดูมีฝีมืออยู่นะ ในเมื่อเข้ามาถึงขั้นนี้ได้ ผ่านปราณยิ่งใหญ่มาได้ ก็ไม่ใช่คนที่ฝึกฝนชั่วร้าย เข้ามาสิ มานั่งข้างหน้าฉัน”

ลู่ฝานกับเซี่ยวเอ๋อร์ตอบรับเบาๆ ทั้งสองนั่งด้านหน้าผู้อาวุโส

ผู้อาวุโสมองเซี่ยวเอ๋อร์ก่อน จากนั้นยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “ลูกสาวตระกูลอี้ว์ ครั้งก่อนตอนฉันไปตระกูลเธอ ได้พูดกับเธอแล้ว ตำแหน่งนี้เธอจะได้หรือไม่ก็เหมือนกัน ไม่คุ้มค่าที่ลำบากแบบนี้”

ลู่ฝานมองเซี่ยวเอ๋อร์อย่างตกใจ เธอเคยเจอผู้อาวุโสที่อยู่ข้างหน้า

ตอนนี้เซี่ยวเอ๋อร์ปล่อยพลังปราณออกมาเบาๆ พลังเย็นยะเยือกแผ่ซ่านไปทั่วห้อง

มีเกล็ดน้ำแข็งรวมตัวบนมือเธอ เซี่ยวเอ๋อร์พูดว่า “ปู่ฉานซิน คุณปู่เคยพูดแล้ว แค่ฉันผ่านด่านที่สอง อีกทั้งยังฝึกวิชาเมฆเย็นได้ คุณปู่จะรับฉันเป็นศิษย์ คุณปู่ไม่ได้คิดจะกลับคำใช่ไหม”

ฉานซินพูดว่า “ถูกต้องที่ฉันพูดแบบนี้ ช่างเถอะ ในเมื่อเธอมาแล้ว ฉันจะรับเธอเป็นศิษย์ นี่คือป้ายคำสั่งผู้ตรวจการชั้นล่างของเธอ เก็บมันไว้ หยดเลือดสดเอาไว้ด้านบน”

ฉานซินเพิ่งพูดจบ ด้านหน้ามีป้ายคำสั่งที่รวมตัวจากพลังฟ้าดิน

พลังชี่มหาศาล ลู่ฝานเห็นแล้วตกใจ ผู้อาวุโสด้านหน้าคือผู้ฝึกชี่

นั่นหมายความว่า อันที่จริงเซี่ยวเอ๋อร์ก็เป็นผู้ฝึกชี่ด้วย

เป็นไปตามคาด เซี่ยวเอ๋อร์รับป้ายคำสั่งมา เกล็ดน้ำแข็งบนตัวหายไป พลังของห้าธาตุทะลักออกมา

ถ้าไม่ใช่พลังชี่ของผู้ฝึกชี่จะเป็นอะไรอีก เศษน้ำแข็งบาดนิ้ว เลือดหยดลงด้านบน ทันใดนั้น ป้ายคำสั่งมีแสงสว่างออกมา หนึ่งแยกเป็นสอง

ชิ้นหนึ่งร่วงลงในมือเซี่ยวเอ๋อร์ ส่วนอีกชิ้นหนึ่งลอยเข้าไปในป้ายตำแหน่งในห้อง

ฉานซินพยักหน้าพูด “โอเค อีกสองสามวันค่อยมาหาฉันอีก”

พูดจบ ตัวของเซี่ยวเอ๋อร์ดูเลือนราง จากนั้นก็หายไป

“วิชาเคลื่อนย้าย!”

ลู่ฝานกลืนน้ำลาย อย่างน้อยอีกฝ่ายต้องเป็นเซียนบำเพ็ญชี่

ฉานซินมองลู่ฝานอีกครั้ง แล้วพูดว่า “นายล่ะเจ้าหนุ่ม จะเป็นศิษย์ฉันเหมือนกันไหม”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 511
ลมหายใจเริ่มสม่ำเสมอ ลู่ฝานสูดหายใจลึก พลังฟ้าดินรอบๆ เคลื่อนไหวภายใต้การหายใจของเขา บนพื้นมีลมหมุนเล็กน้อยปรากฏขึ้นมา

ลู่ฝานยืดเส้นยืดสาย บาดแผลดีขึ้นเกือบครึ่งเพราะฤทธิ์ยา บวกกับความสามารถในการฟื้นฟูที่วิปริตของเขา เวลาไม่ถึงครึ่งก้านธูป ก็ฟื้นฟูจนเกือบหาย มีเพียงแค่เกราะเกล็ดมังกร ที่ยังคงใช้ไม่ได้ไปสองสามวัน

“ขอบคุณคุณเซี่ยวเอ๋อร์มาก”

ลู่ฝานคารวะ กินยาของคนอื่น ยังไงก็ต้องพูดเพราะๆ

เซี่ยวเอ๋อร์เบะปากพูดว่า “ถ้าไม่เห็นแก่ที่นายทุ่มสุดตัว ฉันไม่มีทางให้ยานายหรอก”

เซี่ยวเอ๋อร์หันมามองผู้อาวุโส แล้วพูดว่า “ปู่โม่ ถือว่าเราผ่านหรือยัง”

ผู้อาวุโสที่โดนเรียกว่าปู่โม่ ยิ้มแล้วพูดว่า “จิตอัคคีที่เอามาได้ยาก อยู่ในมือพวกคุณแล้ว ฉันคงไม่มีเหตุผลใด ที่ไม่ให้พวกคุณไม่ผ่าน ลู่ฝานใช่ไหม ดีมาก ถ้าไม่เป็นอะไร รีบเตรียมตัวไปด่านสุดท้ายกับฉัน”

เมื่อลู่ฝานได้ยินว่าด่านสุดท้าย เขาเย็นยะเยือกไปทั้งใจ

ให้ตายเถอะ ในข้อมูลไม่ได้พูดเกี่ยวกับด่านที่สาม

ลู่ฝานก็ไม่รู้ว่าด่านที่สามคืออะไร เขาอดกังวลใจไม่ได้

ตอนนี้จิตอัคคีในมือ ปล่อยแสงอุ่นๆ ออกมา ลู่ฝานไม่ได้มองนาน เอามันใส่ลงไปในเข็มขัดทันที

ลู่ฝานจำได้ว่ามีสูตรการกลั่นยาพิเศษหลายสูตร ต้องใช้จิตอัคคี สูตรการกลั่นยาพวกนั้นอย่างน้อยอยู่ในระดับทิพย์ เห็นถึงระดับความหายากของจิตอัคคีได้เลย ความพยายามครั้งนี้ ไม่เสียเปล่าแล้ว

ดูเหมือนเซี่ยวเอ๋อร์ไม่ได้ต้องการจิตอัคคีด้วย ลู่ฝานจึงเอามาเป็นของตัวเองแบบเงียบๆ

รวยแบบเงียบๆ แล้วจะปลอดภัย คือทางที่ถูกต้อง

ทั้งสามคนเดินกลับมา ลู่ฝานเก็บกระบี่หนักไร้คมของตัวเองกลับมา

นักบู๊ที่สอบประเมินคนอื่น ไม่มีใครที่ไม่มองลู่ฝานด้วยสายตาสับสน

1-2 ปีนี้ ลู่ฝานเห็นสายตาแบบนี้มาเยอะแล้ว เขากวาดตามอง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร

ผู้อาวุโสพูดเสียงก้องว่า “คนที่ยอมแพ้ทั้งหมด คนที่ไม่ได้จิตอัคคี ถือว่าไม่ผ่านการสอบประเมิน พวกนายค่อยมาสอบใหม่ครั้งหน้า”

ทุกคนพยักหน้าเบาๆ แต่สีหน้าพวกเขาไม่ได้เศร้าเท่าไร กลับมองลู่ฝานอยู่อย่างชื้นชม

“คุณชายลู่ฝานใช่ไหม ผมชื่อสีว์หลิงซง มาจากเมืองหนิงโจว มาเป็นเพื่อนกันเถอะ”

“คุณชายลู่ฝาน ผมคือเสิ่นอู๋ซวงแห่งตระกูลเสิ่น เมืองเฟยอี่ว์ วันนี้ได้พบคุณชายลู่ฝาน โชคดีทั้งสามชาติจริงๆ เป็นเพื่อนกันได้ไหมครับ”

“คุณชายลู่ฝาน เป็นเพียงน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ไม่ถือว่าเป็นน้ำใจอะไร หวังว่าสองสามวันนี้ คุณชายลู่จะมาร่วมงานเลี้ยงที่จวนตระกูลอี่ว์ของเราได้ ผมอี่ว์โฉว จะจัดงานเลี้ยงสุดหรู เรียนเชิญคุณชายลู่ฝาน”

……

กลุ่มคนพากันเข้ามาห้อมล้อมลู่ฝาน

ลู่ฝานยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เซี่ยวเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ กระแอมเบาๆ แล้วพูดว่า “พวกนายพอแล้ว คุณชายลู่ฝานเป็นแขกของฉัน”

เพียงประโยคเดียว คนพวกนี้หุบปากทันที

มีคนหนึ่งกำลังจะพูดอะไร คนข้างๆ ดึงเขาเบาๆ แล้วพูดเสียงเบาว่า “คนของตระกูลอี้ว์ นายหาเรื่องไม่ได้หรอก”

ลู่ฝานมองเซี่ยวเอ๋อร์อย่างสงสัย เหมือนผู้หญิงคนนี้มีที่มาไม่ธรรมดา

ผู้อาวุโสสะบัดมือแล้วพูดว่า “พอแล้ว พวกนายกลับไปได้แล้ว”

เมื่อพูดจบ เขาก็สะบัดมือ ค่ายกลใต้เท้าสว่างขึ้นมาอีก

ทุกคนรู้สึกเหมือนโลกหมุนเคว้ง วิวรอบๆ เปลี่ยนอีกครั้ง

ตอนเท้าสัมผัสกับพื้น ลู่ฝาน เซี่ยวเอ๋อร์ และผู้อาวุโส ปรากฏตัวอยู่ในคฤหาสน์

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 510
“กระบี่มังกรเหิน! ทำลาย!”

ใต้ฝ่าเท้าว่างเปล่า ลู่ฝานกับเซี่ยวเอ๋อร์ร่วงลงบนพื้น

ทุกคนส่งเสียงออกมาอย่างตกใจ มองลู่ฝานร่วงลงมาเหมือนว่าเชือกขาด

ลู่ฝานกำจิตอัคคีเอาไว้แน่น พลิกตัวกลางอากาศ ใช้แรงทั้งหมดในร่างกาย โยนกระบี่หนักออกไป

พลังฟ้าดินรอบๆ รวมตัวกันตอนที่ลู่ฝานโยนกระบี่

ตู้ม!

เสียงระเบิดดังขึ้น พลังโจมตีพุ่งขึ้นมาจากพื้น

ลู่ฝานโดนพลังนี้ดีด จากนั้นเกิดเสียงดังพลั่ก เขากระแทกลงบนทราย

หลังกระแทกกับพื้น จนเป็นรอยร้าวแผ่กว้างไปรอบๆ เขาก็กระอักเลือดออกมา

เกราะเกล็ดมังกรหายไปอย่างรวดเร็ว ลู่ฝานกลับมาเป็นเหมือนเดิม จากนั้นปล่อยมือที่กอดเซี่ยวเอ๋อร์

เซี่ยวเอ๋อร์ก็มีเลือดออกตรงมุมปาก แต่อาการบาดเจ็บของเธอเบามาก

มือซ้ายของลู่ฝาน ยังกำจิตอัคคีเอาไว้แน่น

จิตอัคคีสีขาวที่บิดไปมา สว่างแสบตามาก

“สำเร็จแล้ว เขาทำสำเร็จแล้ว โอ้พระเจ้า มีคนผ่านเขาดาบทะเลเพลิงได้จริงๆ”

ทุกคนพากันตะโกนออกมา

โดยเฉพาะผู้ชายที่เพิ่งพูดว่าลู่ฝานผ่านเขาดาบไม่ได้ ตะโกนออกมาดังกว่าใคร เหมือนเห็นผี

เซี่ยวเอ๋อร์รีบเช็ดเลือดมุมปาก จากนั้นมาข้างลู่ฝานแล้วพูดว่า “ไอ้บื้อ นายตายหรือยัง”

ลู่ฝานช้อนตามองเธอ “ไม่ตาย เธอคงผิดหวังสินะ”

เซี่ยวเอ๋อร์ยิ้มกว้างออกมาทันที “นายเก่งมากจริงๆ ดูเหมือนฉันไม่ได้เสียเงินฟรีแล้ว”

พูดพลาง เซี่ยวเอ๋อร์รีบเอาของออกมาจากในอก ไม่นาน เธอเอายาเม็ดออกมา ยัดเข้าไปในปากลู่ฝาน

เมื่อยาเข้าปากก็ละลายทันที กลายเป็นไอร้อน ไหลไปทั่วร่างกายลู่ฝาน

ทันใดนั้น ลู่ฝานรู้สึกดีขึ้นไม่น้อย ขณะเดียวกันฤทธิ์ยามหาศาลแผ่ซ่านไปทั่วตัวเขา

“ฤทธิ์ยาแข็งแกร่งมาก นี่คงเป็นยาชีวิตระดับ 8-9 สินะ”

ลู่ฝานพูดอย่างตกใจ

เซี่ยวเอ๋อร์พูดว่า “นายมีความรู้ไม่เลวเลยนะ ยาต่อชีวิต ยาชีวิตระดับ 8 เห็นแก่ที่นายทุ่มสุดตัวขนาดนี้ ครั้งนี้ให้นายละกัน”

ลู่ฝานรีบหลับตาลง เริ่มดูดซับฤทธิ์ยา

ยาชีวิตระดับ 8 หนึ่งเม็ด ราคาเท่าไร เขารู้ดี จึงรีบดูดซับฤทธิ์ยาเอาไว้

ไม่ไกล ผู้อาวุโสรีบเดินเข้ามา

เห็นจิตอัคคีสว่างอยู่ในมือซ้ายของลู่ฝาน ผู้อาวุโสกลืนน้ำลายแล้วพูดว่า “ยินดีด้วยนะลู่ฝาน รวมถึงคุณเซี่ยวเอ๋อร์พวกคุณผ่านด่านแล้ว”

เซี่ยวเอ๋อร์พูดว่า “งั้นเราเป็นผู้ตรวจการชั้นล่างแล้วใช่ไหม”

ผู้อาวุโสส่ายหน้า “ยัง แต่โดยรวมยืนยันได้แล้ว”

ขณะกำลังพูด จู่ๆ มีแสงสว่างขึ้นบนตัวลู่ฝาน

เสียงเหมือนเม็ดถั่วระเบิดดังออกมาจากตัวเขา

ผู้อาวุโสพูดอย่างตกใจ “เขายังมีความโชคดีในความโชคร้าย ผลการฝึกตนยกระดับแล้ว เป็นเด็กที่มีวาสนามากจริงๆ”

เซี่ยวเอ๋อร์ยิ้มแล้วพูดว่า “แน่นอนอยู่แล้ว ก็เป็นผู้ชายที่ฉันเลือกนิ”

เซี่ยวเอ๋อร์ยิ้มจนตาเป็นสระอิ เหมือนเธอไม่รู้ว่าคำพูดของเธอดูคลุมเครือ หรือเธอหมายความแบบนี้อยู่แล้ว

ลู่ฝานยังคงดูดซับฤทธิ์ยา ยาชีวิตระดับ 8 หนึ่งเม็ด ทำให้เขายกระดับได้หนึ่งขั้น

แดนปราณนอกชั้นหก!

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 509
ทันใดนั้น มีดาบบินพุ่งเข้ามาจากทั่วทุกทิศอีกแล้ว

สัญชาตญาณของลู่ฝานรู้สึกว่าเกราะเกล็ดมังกรบนตัวเขาถึงขีดสุดแล้ว ถ้าโดนดาบบินพวกนี้โจมตี เขาอาจต้านทานได้ แต่เซี่ยวเอ๋อร์ต้องตายอย่างแน่นอน

เขาใช้มือหนึ่งกอดเซี่ยวเอ๋อร์เอาไว้แน่น อีกมือหนึ่งดึงกระบี่หนักออกมา

“กระบี่มังกรเพลิงคำราม!”

กระบี่พุ่งไปที่พื้นดิน เปลวไฟอันน่ากลัวพุ่งขึ้นมา ในขณะเดียวกันลู่ฝานเปิดเขตวิถีบนกระบี่หนัก

เมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่เพียงแต่ต้านทานดาบยาวที่พุ่งเข้ามาได้ ลู่ฝานยังอาศัยแรงสะท้อนกลับ เด้งตัวออกจากเขาดาบ

ดีมาก!

ลู่ฝานปลื้มใจ กระบี่ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันของเขา มีประสิทธิภาพสุดคาดไม่ถึง

แต่ขณะนั้น เขาดาบด้านหลังเหมือนบ้าไปแล้ว มันหมุนและลอยขึ้นอย่างประหลาด พุ่งเข้ามาทางลู่ฝาน

เซี่ยวเอ๋อร์ที่อยู่ในอกลู่ฝานพูดอย่างตกใจว่า “ไอ้บื้อ ระวัง!”

ลู่ฝานกัดฟันมองภาพตรงหน้า ช่วงเวลาระหว่างความเป็นตาย เขาไม่มีเวลาคิดอะไรมาก

รวมพลังฟ้าดิน กระบี่สายฟ้าฟาดห้าธาตุพุ่งออกไป!

ตู้ม!

เสียงระเบิดดังสนั่น ทุกคนเห็นเพียงสายฟ้าสีแดงทอง ผ่าลงมาจากท้องฟ้า แสงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงอยู่ตรงหน้า

ขนาดผู้อาวุโสที่ดูอยู่ข้างๆ ยังมองไม่ชัดว่าเมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น ทันใดนั้น เห็นลู่ฝานโจมตีกระบี่ยาวเป็นผุยผงหล่นลงมาบนพื้น ลู่ฝานกระอักเลือดออกมา พุ่งเข้าไปในทะเลเพลิงบนท้องฟ้า พร้อมกับสายฟ้าทั้งตัว

เมื่อเข้ามาในทะเลเพลิง ดาบยาวพวกนั้นไม่พุ่งเข้าไปอีก ลู่ฝานรู้สึกว่าเกราะเกล็ดมังกรบนตัวเขากำลังระเหยอย่างรวดเร็ว

อุณหภูมิสูงอย่างน่ากลัว เปลวไฟลุกโชนอย่างน่ากลัว

เปลวไฟพวกนี้ เป็นเปลวไฟของห้าธาตุขั้นสูงสุด ที่นักบู๊แดนปราณชีวิตจึงสามารถก่อตัวมันขึ้นมาได้

ทันใดนั้น ลู่ฝานบาดเจ็บภายในทันที

ด้านล่างเท้ามีเปลวไฟอะไรไม่รู้ ดึงตัวเขาไว้ ไม่ให้เขาตกลงมา แต่ลู่ฝานรู้สึกว่าเขาไม่สามารถขยับได้แม้แต่ก้าวเดียว

จบแล้วสินะ

ลู่ฝานเจ็บปวดใจมาก

แต่ขณะนั้น พลังอันเยือกเย็นขับออกมาจากตัวเขา

เมื่อก้มลงมอง เห็นเซี่ยวเอ๋อร์ที่ปกคลุมอยู่ในเกราะ มีเกล็ดน้ำแข็งขึ้นมาบนตัว เสียงของเซี่ยวเอ๋อร์ดังขึ้นมา

“รีบพุ่งไปสิ ฉันอดทนได้ไม่นานหรอกนะ”

ลู่ฝานตกใจ เซี่ยวเอ๋อร์ใช้พลังแบบนี้ได้ด้วย อย่าบอกนะว่าเขามองผิดไป เซี่ยวเอ๋อร์เป็นนักบู๊แดนปราณชีวิตเหรอ

ลู่ฝานรีบเก็บความคิดนี้เอาไว้ก่อน จากนั้นแผดเสียงออกมาด้วยความโมโห แล้วสะบัดกระบี่หนัก

“ทำลาย!”

กระบี่พุ่งออกมา กระบี่ฆ่าพิชิตฟ้า หนึ่งกระบี่เจ็ดพิฆาต!

ปราณชี่พลุ่งพล่าน แยกเปลวไฟด้านหน้าออกเป็นทางแคบๆ

ลู่ฝานพุ่งออกไปทันที ตอนนี้เกราะเกล็ดมังกรบนตัวเริ่มเสียหายแล้ว

เซี่ยวเอ๋อร์ส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวดออกมา ลู่ฝานพุ่งไปด้านหน้าอย่างสุดชีวิต

สามสิบเมตร หกสิบเมตร!

จิตอัคคีสีขาว อยู่ใกล้ตรงหน้า

ตอนนี้เปลวไฟตรงหน้ากลายเป็นรอยแยกลึกสีน้ำเงิน

อุณหภูมิสูงอันน่ากลัว ทำให้อวัยวะภายในของลู่ฝานเริ่มเสียหาย เจดีย์เสวียนเก้ามังกรก่นด่าออกมาว่า “พลังที่เพิ่งดูดซับมาเมื่อกี้หมดแล้ว หมดแล้ว”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพยายามฟื้นฟูร่างกายลู่ฝานอย่างสุดกำลัง

ลู่ฝานยื่นมือออกไปแตะจิตอัคคี

ตึง!

ตอนที่นิ้วของลู่ฝานสัมผัสกับจิตอัคคี มีแรงกระเพื่อมส่งออกมาจากจิตอัคคี

เดิมทีลู่ฝานเข้าใจว่าจิตอัคคีจะร้อนมาก แต่กลับให้ความรู้สึกเยือกเย็นเมื่อสัมผัส เย็นกว่าความเยือกเย็นทั่วไป

ทันใดนั้น เปลวไฟบนตัวลู่ฝานโดนขจัดออกไป

ลู่ฝานรู้สึกว่าตัวเองหนาวจนใกล้แข็งแล้ว

ลู่ฝานกัดฟัน ปราณชี่ในตัวลู่ฝานพุ่งขึ้น ใช้มือคว้าจิตอัคคีสีขาว จากนั้นลู่ฝานใช้กระบี่ฟันลงไปด้านล่างเท้า

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 508
ภาพตรงหน้าไม่เพียงแต่ทำให้นักบู๊ด้านหลังตกใจ ขนาดผู้อาวุโสที่อยู่ไม่ไกล ยังพูดอย่างตกใจว่า “เกราะพลังปราณ เขามีวิชาแบบนี้ที่หายากๆด้วย”

ลู่ฝานพาเซี่ยวเอ๋อร์เข้าไปในเขาดาบ ทันใดนั้นดาบคมนับไม่ถ้วนฟันลงบนตัวเขา

เกิดเสียงดาบดังขึ้น พลังที่แฝงอยู่ในดาบยาวพวกนี้ ล้วนไม่ธรรมดา

การจู่โจมแต่ละครั้ง เหมือนการโจมตีเต็มกำลังของนักบู๊แดนปราณในขั้นสูงสุด

เกราะเกล็ดมังกรบนตัวลู่ฝานมีรอยสีขาวเพิ่มขึ้นมา ลู่ฝานสูดหายใจเฮือก อุ้มเซี่ยวเอ๋อร์เหยียบลงบนดาบยาวที่กำลังพุ่งเข้ามา ลู่ฝานถือโอกาสนี้มุ่งไปยังยอดเขา

ดาบยาวลอยไป พร้อมกับสายลมหมุนวน

การมองเห็นของลู่ฝานโดนแสงดาบบดบัง จนมองเห็นไม่ค่อยชัด ทำได้เพียงหลับตา อาศัยพลังแห่งการรับรู้ฟ้าดินอันแข็งแกร่งของตัวเอง มุ่งหน้าไปด้านบนเรื่อยๆ

ลู่ฝานเคลื่อนไหวตัวอย่างเร็ว ไม่นานก็พุ่งไปก็หลายสิบเมตรแล้ว

ตอนนี้นักบู๊ด้านหลังก็พุ่งเข้ามาเหมือนกัน

ตอนที่พวกเขาเข้ามา ก็โดนแสงดาบอันน่ากลัวพุ่งเข้าใส่เต็มไปหมด

พลังปราณบนตัวและเสื้อปราณ โดนฟันจนกระจุย

“อ๊าก!”

เสียงร้องโอดครวญดังขึ้น ทันใดนั้นมีสองคนโดนดาบยาวพัดออกไป รอยดาบเต็มตัว เลือดไหลไม่หยุด

คนที่เหลือก็ฝืนอย่างยากลำบาก ไม่มีวิธีขึ้นไปข้างบนเลย

“ไอ้หมอนี่น่ากลัวมาก เก่งมาก”

ในบรรดานักบู๊ที่ยอมแพ้ คนหนึ่งกำลังมองลู่ฝานพุ่งขึ้นไปไม่หยุด จนอดชมออกมาไม่ได้

เขายอมรับในผลการฝึกตนของลู่ฝานแล้วจริงๆ ชายคนหนึ่งที่อยู่ข้างๆ พูดด้วยสีหน้าอิจฉาเคียดแค้น “หึ เขาดาบยิ่งขึ้นไปยิ่งยาก เมื่อใกล้ถึงยอดเขา พลานุภาพของดาบบิน เหมือนการโจมตีของนักบู๊แดนปราณนอกขั้นสูงสุด ฉันไม่เชื่อว่าเขาจะผ่านได้ ด่านที่ไม่มีใครผ่านได้มาหลายสิบปี นายคิดว่ามันง่ายขนาดนั้นเหรอ”

ทันใดนั้นคนข้างๆ ไม่พูดอะไรแล้ว ดูจากข้อมูลที่ผ่านมา ความจริงเป็นเช่นนี้จริงๆ

มีเพียงผู้อาวุโสที่ยืนอยู่อีกด้าน เขายิ้มบางๆ จากความคิดของเขา หลายสิบปีมานี้ ลู่ฝานคือคนที่มีความหวังว่าจะผ่านเขาดาบทะเลเพลิงได้มากที่สุด

ลู่ฝานสูดหายใจเฮือก ยังคงพุ่งขึ้นไปด้านบน

ยิ่งเดินขึ้นไปข้างบน พลานุภาพของดาบพวกนั้นยิ่งรุนแรง ความเร็วของเขาก็ช้าตามไปด้วย

ให้ตายเถอะ ถ้ามีแต่เขาคนเดียว อาจจะฝืนพุ่งขึ้นไปได้

แต่ตอนนี้ยังอุ้มคนเอาไว้อีกคน ทำให้ความเร็วของเขาช้าลงมาก

ลู่ฝานทำได้เพียงรวบรวมพลังทั้งหมดพุ่งขึ้นไป

ต่อไปถ้าใครพูดกับเขาว่าผู้ตรวจการชั้นล่างสอบง่าย เขาจะโกรธคนนั้นด้วย

กระโจนครั้งแรก กระโจนครั้งที่สอง ในที่สุดลู่ฝานใกล้ถึงยอดเขาแล้ว

ดาบยาวที่นี่มีพลังฟ้าดินอันน่ากลัว

ทันใดนั้น ฝ่าเท้าว่างเปล่า ลู่ฝานไม่ได้เหยียบลงบนดาบยาว ให้ตายเถอะ เส้นทางของดาบพวกนี้เปลี่ยนแปลงได้ด้วย

เมื่อเห็นว่ากำลังจะหล่นลงไป ลู่ฝานฝืนใช้พลังลม ดึงตัวเองเอาไว้

ตัวของเขาลอยอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเหยียบลงบนดาบยาวข้างๆ พุ่งขึ้นไปข้างบน

“เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น”

นักบู๊ที่ดูอยู่พูดอย่างตกใจ

ตอนนี้นักบู๊คนอื่นที่เข้ามาในเขาดาบ ล้วนพ่ายแพ้ทั้งหมด โดนค่ายกลดาบพัดออกมา

ในเขาดาบ เหลือลู่ฝานเพียงคนเดียว

ตอนที่พวกเขาเห็นลู่ฝานลอยได้ นี่คือความสามารถของนักบู๊แดนปราณนอกหรือ

พวกนักบู๊อ้าปากค้าง ขนาดคนที่เพิ่งบอกว่าลู่ฝานขึ้นไปบนยอดเขาไม่ได้ ยังตกใจจนตาแทบจะหลุดออกมา

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 507
อาวุธมากมายรวมตัวกันเป็นกองเหมือนภูเขา เปลี่ยนแปลงไม่สามารถคาดเดาได้ นี่คือเขาดาบในตำนาน

ส่วนด้านบนเขาดาบ มีเมฆเพลิงเชื่อมติดกันเป็นแถบ สุดปลายเมฆเพลิงมีสีแดงและสีขาวเป็นแถบ นั่นคือที่ที่มีจิตอัคคีอยู่

นั่นคือเมฆเพลิงของจริง เปลวไฟลุกโชน ตอนนี้ลู่ฝานยังไม่สามารถเหาะได้ นั่นหมายความว่าถ้าเขาต้องการของในเมฆเพลิง ต้องขึ้นไปบนยอดเขาดาบก่อน จากนั้นเข้าไปในเมฆเพลิง ชิงจิตอัคคีมาด้วยความเร็วสูงสุด

ลู่ฝานแอบกัดฟัน ทำไมถึงเป็นแบบนี้

เขาจำได้ว่าในข้อมูลที่อ่านเมื่อคืน บอกว่าเขาดาบทะเลเพลิงเจอได้ยากมาก

อันที่จริงการสอบประเมินผู้ตรวจการชั้นล่าง มีทั้งหมดเจ็ดด่าน โดยทั่วไปแล้วด่านจะถูกสุ่มจากในนั้น เพื่อใช้เป็นเนื้อหาการสอบประเมิน

ตั้งแต่ค่ายบู๊แดนล้ำลึก ถึงเขาดาบทะเลเพลิงที่ยากที่สุด

อันที่จริงด่านแต่ละด่าน มีระดับความยากแตกต่างกัน

อย่างเช่น ค่ายบู๊แดนล้ำลึก คือการที่สิบคนเข้าไปในค่ายกลหุ่นเชิด แค่เอาชนะหุ่นเชิดที่ค่ายกลก่อตัวขึ้นมา จึงถือว่าผ่านด่าน

พละกำลังของหุ่นเชิดพวกนั้น ประมาณแดนปราณนอก แค่ทั้งสิบคนรวมพลังกัน โดยปกติสามารถผ่านได้สามหรือห้าคนไม่เท่ากัน

แต่เขาดาบทะเลเพลิง ต้องบุกไปด้วยตัวเอง ไม่ต้องพูดถึงระดับความยากที่ยากมาก สิบปีมานี้ยังไม่เคยเคลื่อนไหวเลย

คิดไม่ถึงว่าวันนี้เขาจะเจอแล้ว

เมื่อได้ยินคำว่าเขาดาบทะเลเพลิง นักบู๊ด้านหลังเริ่มพากันโอดครวญ

“พระเจ้า ทำไมดวงซวยขนาดนี้ เจอเขาดาบทะเลเพลิงที่ยากที่สุด”

“นี่คือด่านที่ให้คนผ่านเหรอ ฉันได้ยินคนพูดว่า ไม่มีคนผ่านด่านนี้มาหลายสิบปีแล้ว ถ้าไม่ใช่แดนปราณชีวิต อย่าหวังจะบุกเข้าไปเลย”

“ด่านนี้ทำให้คนตายได้จริงๆ นะ ฉันว่าฉันมาสอบปีหน้าดีกว่า”

……

เกิดเสียงเจี๊ยวจ๊าวดังขึ้น ทันใดนั้นในบรรดาทั้งสิบคน มีสามคนที่ยอมแพ้

ผู้อาวุโสมองอยู่ข้างๆ เมื่อได้ยินว่าทั้งสามคนสละสิทธิ์ จึงพูดว่า “คนที่ไม่อยากฝ่าด่าน ยืนอยู่ตรงนี้ รอให้ด่านสิ้นสุดลง ส่วนคนที่จะฝ่าด่าน เริ่มได้แล้ว เวลาจำกัดอยู่ที่สองชั่วยาม”

ลู่ฝานกำหมัด สูดหายใจลึก

ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว เขาไม่มีทางที่ให้ยอมแพ้ได้

ลู่ฝานหันมาพูดกับเซี่ยวเอ๋อร์ว่า “คุณเซี่ยวเอ๋อร์ นายจะบุกไปกับผมไหม”

เซี่ยวเอ๋อร์กัดฟัน ตอนนี้กำลังลังเล

ผ่านไปครู่หนึ่ง เซี่ยวเอ๋อร์พูดว่า “นายมั่นใจหรือเปล่า”

ลู่ฝานพูดว่า “ยังไม่เคยลอง จะรู้ได้ยังไงว่ามีความมั่นใจหรือเปล่า ตอนนี้อยู่ที่ว่านายเชื่อผมหรือเปล่า”

เซี่ยวเอ๋อร์มองตาลู่ฝาน ทันใดนั้นเธอพูดว่า “เมื่อกี้ฉันไม่เชื่อนายไปรอบหนึ่งแล้ว แต่ความจริงพิสูจน์ว่าฉันผิดไป งั้นครั้งนี้ฉันจะเชื่อนายสักครั้ง ไอ้บื้อ ถ้านายทำให้ฉันเป็นอะไรในนั้น ฉันไม่ปล่อยนายไว้แน่”

ลู่ฝานพูดว่า “ผมรับปากแล้วว่าจะพานายผ่านด่าน ทำได้ตามที่พูดอยู่แล้ว”

เมื่อพูดเช่นนี้ ลู่ฝานก้าวไปยังเขาดาบทะเลเพลิง

นักบู๊ด้านหลังกัดฟันเดินตามมาเช่นกัน

เมื่อเดินเข้ามาใกล้ เขาดาบที่หมุนวน ดูมีแรงสั่นสะเทือน

นี่มันอาวุธแหลมคมไม่รู้ตั้งเท่าไร ส่องแสงสะท้อนภายใต้แสงอาทิตย์ร้อนระอุ

ลู่ฝานจับมือเซี่ยวเอ๋อร์แล้วพูดว่า “ตั้งสติทำใจให้สงบ”

จากนั้นเกราะเกล็ดมังกรสีเงินปรากฏขึ้นทั้งตัวลู่ฝาน

เกราะแผ่ไปทั่วตัวลู่ฝานอย่างรวดเร็ว ไม่นานเซี่ยวเอ๋อร์ก็ถูกปกคลุมไปด้วย

เซี่ยวเอ๋อร์มองตัวเองกับลู่ฝานถูกปกคลุมด้วยเกราะสีเงิน ด้วยความตกตะลึง

เหมือนทั้งสองเชื่อมติดกัน เกราะตัวเดียวกัน ทำให้ทั้งสองคนดูไม่มีระยะห่างกันเลยสักนิด

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 506
ลู่ฝานหันมามองเซี่ยวเอ๋อร์แล้วพูดว่า “ในเมื่อนายแนะนำตำแหน่งแบบนี้ให้ผมได้ แล้วทำไมนายถึงต้องมาสอบผู้ตรวจการล่ะ”

สีหน้าของเซี่ยวเอ๋อร์เปลี่ยนไปทันที เชิดหน้าพูดว่า “นายไม่ต้องสนใจฉัน แค่นายบอกว่ายอมทำหรือเปล่า”

ลู่ฝานส่ายหน้าพูดว่า “ขอโทษด้วย ผมต้องการตำแหน่งข้าราชการ ไม่ใช่เงิน!”

เซี่ยวเอ๋อร์มองหน้าลู่ฝานอย่างละเอียด แล้วพึมพำว่า “นายไม่ขาดแคลนเงิน แต่กลับต้องการตำแหน่งข้าราชการ เป็นความต้องการของตระกูลเหรอ ตระกูลอะไรจะขาดตำแหน่งผู้ตรวจการชั้นล่างล่ะ หรือว่าเป็นความต้องการของคนรักนาย หรือไม่นายก็ต้องทำเรื่องอะไรผิดมา จึงต้องการตำแหน่งข้าราชการมาป้องกันตัว”

เซี่ยวเอ๋อร์เริ่มนับนิ้วทีละข้อๆ

ลู่ฝานขี้เกียจพูดเยอะ

ตอนนี้การต่อสู้สิ้นสุดลงแล้ว แปดคนสุดท้ายหอบหายใจ พวกเขาได้รับชัยชนะ

หนึ่งในนั้นแผลเต็มตัว เกือบจะล้มลงไปแล้ว

ลู่ฝานมองเขาแล้วส่ายหน้าเบาๆ สภาพแบบนี้จะผ่านด่านต่อไปได้ยังไง

การต่อสู้จบลงแล้ว ตัวของผู้อาวุโสปรากฏขึ้นในค่ายกลอีกครั้ง

ลู่ฝานแอบเรียกเจดีย์เสวียนเก้ามังกรในใจ “ไอ้เก้า ออกมาดูสิ ฉันรู้สึกว่าค่ายกลนี้น่าสนใจ เก็บไว้ได้ไหม”

เมื่อเจดีย์เสวียนเก้ามังกรได้ยินว่ามีค่ายกลให้เก็บ ก็ตะโกนออกมาทันที

“ไหนๆ อยู่ไหน เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ ฮ่าๆ ฉันรู้สึกถึงพลังอันยิ่งใหญ่ของค่ายกล เอ่อ……เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ แน่ใจเหรอว่าจะเก็บค่ายกลนี้ นี่เป็นค่ายกลที่ถูกประทับโดยผู้สูงส่งเลยนะ ถ้าเก็บเอาไว้จะมีรอยประทับไปด้วย เจ้านายแน่ใจว่าจะเก็บไว้เหรอ”

ลู่ฝานขมวดคิ้วพูดว่า “งั้นเหรอ งั้นช่างเถอะ แต่เก็บค่ายกลไม่ได้ พลังก็ไม่สามารถเก็บได้ด้วยเหรอ”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรหัวเราะแล้วพูดว่า “เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ ตอนนี้วิธีของเจ้านายเหมือนฉันแล้ว ฉันกำลังจะพูดเลย แม้ไม่สามารถเก็บค่ายกลได้ แต่เราสามารถจัดการพลังได้ ให้ตายเถอะ ตอนนี้ฉันขาดแคลนพลังจริงๆ”

พูดพลางเจดีย์เสวียนเก้ามังกรอาศัยปราณชี่ของลู่ฝานเป็นพื้นฐาน ก่อตัวเส้นใยเป็นสาย เริ่มดูดซับพลังของค่ายกล

ลู่ฝานรู้สึกว่าพลังบริสุทธิ์เข้าสู่ร่างกายเขา และเข้าไปในมุขเทพ

เพราะเป็นของฟรี ได้เท่าไรก็เอาเท่านั้น

ผู้อาวุโสไม่รู้ว่าพลังของค่ายกลกำลังอ่อนลง เขากวาดตามองสิบคนที่เหลือแล้วพูดว่า “ดีมาก พวกนายสิบคนผ่านการคัดเลือกตาแรกแล้ว ตอนนี้ตามฉันมา”

เมื่อสะบัดมือ แสงค่ายกลสว่างขึ้นมา ลู่ฝานรู้สึกว่าความเร็วการดูดซับพลังของไอ้เก้าที่อยู่ในร่างกาย เร็วขึ้นในพริบตา

ขณะเดียวกัน ดวงดาวบนค่ายกลทั้งเจ็ดดวง มีดวงหนึ่งส่องประกายขึ้นมา

ทันใดนั้น ทุกคนรู้สึกว่าโลกหมุนเคว้ง จากนั้นพวกเขาปรากฏตัวอยู่ในแถบแห้งแล้ง

ทั้งตัวลู่ฝานแปรเปลี่ยนเป็นพลังวิญญาณ กระตุ้นพลังชี่ฟ้าดินบริเวณรอบๆ

ไม่ใช่ภาพลวงตา แต่สถานที่เปลี่ยนไปจริงๆ

ที่นี่คือที่ไหน

คำถามของลู่ฝาน ก็คือคำถามของคนอื่นเช่นกัน

ผู้อาวุโสปรากฏตัวตามมาติดๆ จากนั้นเขาชี้ไปไม่ไกลแล้วพูดว่า “ด่านที่สองของพวกนาย สถานที่ที่เต็มไปด้วยภยันตราย เขาดาบทะเลเพลิง เมื่อฝ่าไปได้ พวกนายจะได้รับจิตอัคคี เมื่อได้มันแล้ว ถือว่าผ่านด่าน ส่วนคนที่ผ่านไปไม่ได้ ต้องรับผลที่ตามมาเอง ไม่พูดถึงความเป็นตาย พวกนายคิดดูให้ดีก่อน”

ลู่ฝานรีบเพ่งมองไกลๆ เต็มไปด้วยทะเลทราย ท่ามกลางความเลือนราง ลู่ฝานเห็นแสงเหมือนทองส่องแสงแวววาวอยู่ไกลๆ

เมื่อเดินไปข้างหน้าสักพัก ในที่สุดก็เห็นอย่างชัดเจนว่าคืออะไร

อาวุธกำลังลอยอยู่ หมุนวนเหมือนกับพายุทอร์นาโด

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 505
สีหน้าเซี่ยวเอ๋อร์หลากหลายไปหมด พละกำลังการต่อสู้ที่ลู่ฝานแสดงออกมา กำลังตบหน้าเธอชัดๆ อีกทั้งยังตบจนเกิดเสียงดังเพียะๆ อีกด้วย

ลู่ฝานกวาดตามองไปรอบๆ แล้วพูดว่า “ยังมีใครอยากลองอีกไหม”

ทันใดนั้น ทุกคนถอยหลังตามสัญชาตญาณ

ลู่ฝานเดินมาข้างเซี่ยวเอ๋อร์แล้วพูดว่า “ยืนข้างผมก็พอ ถ้านายเดินห่าง ผมปกป้องนายไม่ได้นะ”

เซี่ยวเอ๋อร์ไม่พูดอะไรสักคำ บนโลกนี้พละกำลังคือทุกสิ่งทุกอย่าง

แววตาที่เซี่ยวเอ๋อร์มองลู่ฝานกำลังวูบไหว ไม่มีใครรู้ว่าตอนนี้ในใจเธอตกใจเป็นอย่างมาก

พวกเหอาซิงที่โดนชกจนสลบ โดนค่ายกลส่งออกไปทันที

ตอนนี้คนที่เหลือมองกันไปมา หลังจากมองกันอยู่ครู่หนึ่ง มีคนตะโกนออกมาว่า “เราเข้าไปพร้อมกัน จัดการเขาทิ้งก่อน”

น่าเสียดาย ไม่มีใครเห็นด้วยกับเสียงตะโกนของเขา

ลู่ฝานหันมามองคนที่ตะโกน ไม่ได้ขยับไปไหน

แววตาเปลี่ยนไปเล็กน้อย พลังวิญญาณในตัวพุ่งขึ้นมา แสงหม่นพาดผ่าน

คนนั้นสลบลงไปบนพื้น สถานการณ์ประหลาดแบบนี้ ทำให้คนอื่นไม่กล้าขยับไปไหน

ลู่ฝานไม่พูดอะไรสักคำ แค่กวาดตามองรอบๆ

สายตาของเขาเหมือนมีดคม เมื่อเขากวาดตามอง ไม่มีใครกล้าสบตาเขาสักคน

ลู่ฝานส่งเสียงหึออกมาเบาๆ แล้วพูดว่า “ฉันต้องการรายชื่อแค่สองที่ อย่างอื่นแล้วแต่พวกนาย แค่ไม่ก่อกวนฉัน ฉันจะไม่ลงมืออีก”

ทุกคนพากันโล่งอก แค่สองที่เท่านั้น ยังดีๆ

พวกเขาคิดว่าลู่ฝานเพียงคนเดียว สามารถจัดการทุกคนได้

รายชื่อสิบคน ตัดไปสองคน เหลือแค่แปดคน

ทันใดนั้น ทุกคนเริ่มมองคนข้างๆ ทุกคนมีโอกาสเป็นศัตรูของตัวเอง

จู่ๆ การต่อสู้อย่างวุ่นวายเริ่มขึ้น พลังปราณพลุ่งพล่าน

ลู่ฝานพาเซี่ยวเอ๋อร์เดินมาตรงมุม เพื่อหลบการเคลื่อนไหวของพลังปราณ

ลู่ฝานมองเงียบๆ ผลการฝึกตนของคนพวกนี้พอใช้ได้ แต่กระบวนท่าไม่ต่างจากหม่าจิ่น อ่อนแอไร้เรี่ยวแรง ดูดีแต่ประสิทธิภาพแย่มาก

การต่อสู้แบบนี้ ถ้าอยู่ในสถาบันสอนวิชาบู๊ ต้องโดนนักเรียนสถาบันสอนวิชาบู๊ซัดจนสมองไหลแน่นอน

ลู่ฝานไม่เข้าใจว่าทำไมถึงมีคนชอบฝึกเคล็ดวิชาบู๊ที่ไร้ประโยชน์แบบนี้

จากความเข้าใจของเขา เขาไม่เข้าใจว่ากระบวนท่างดงาม มีความหมายอะไรกับคุณชายร่ำรวยพวกนี้

กลุ่มคนต่อสู้กันดุเดือดมาก มีคนที่สู้ไม่ได้ อยากจะเอาการต่อสู้มาทางลู่ฝาน ให้ลู่ฝานช่วยสู้

ลู่ฝานตอบกลับด้วยการซัดหมัดใส่คนนั้นจนกระเด็น

ทุกคนที่เข้าใกล้เขาในระยะเก้าเมตร เขาจะจัดการทิ้งอย่างไม่ปรานี

จากนั้นก็ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เขาอีก

เซี่ยวเอ๋อร์ดูอยู่ข้างๆ ตลอดเวลา เธอคงเป็นคนที่สบายสุดในที่นี้แล้ว

แต่ตอนนี้ความคิดของเซี่ยวเอ๋อร์ ไม่ได้อยู่กับการต่อสู้ของคนพวกนั้น แต่กลับอยู่กับลู่ฝาน

“นี่ ไอ้บื้อ นายเป็นคนที่ไหน ในตระกูลยังมีใครอีก สนใจตั้งรกรากที่เมืองตงหวาไหม”

เซี่ยวเอ๋อร์ดึงปลายเสื้อลู่ฝาน แล้วถามขึ้น

ลู่ฝานตอบอย่างราบเรียบว่า “ผมชื่อลู่ฝาน ไม่ใช่ไอ้บื้อ ขอโทษด้วย ผมไม่มีความคิดตั้งรกรากในเมืองตงหวา ผมแค่มาสอบตำแหน่งผู้ตรวจการเท่านั้น”

เซี่ยวเอ๋อร์เบะปาก “ฉันไม่สนว่านายชื่ออะไร ดูท่าทางเย็นชาของนายเหมือนท่อนไม้ ไม่ใช่ไอ้บื้อแล้วจะเป็นอะไรได้อีก นายต้องเป็นคนของเขตตงหวาแน่ๆ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมไม่มาอยู่ที่เมืองตงหวาล่ะ ฉันมีตำแหน่งสุดเจ๋งแนะนำให้นายนะ ไม่ด้อยไปกว่าเจ้าหน้าที่ผู้ตรวจการเลยล่ะ นายคิดดูก่อนไหม เพราะยังไงคนเราก็ต้องก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่หรือไง”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 504
ดูจากสายตาแล้ว ผู้อาวุโสหายไปจริงๆ แต่ความเป็นจริง ผู้อาวุโสยังยืนอยู่ที่เดิม ไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรเลย

ลู่ฝาน “มองเห็น” ผ่านพลังฟ้าดิน ผู้อาวุโสมีรอยยิ้มเต็มใบหน้า

การคัดเลือกวิธีนี้ ง่ายดายมาก แต่ก็มีประสิทธิภาพมากจริงๆ

“ทุกท่าน เราโยนไอ้เด็กนี่ออกไปก่อนเป็นไง”

จู๋ๆ เหอาซิงพูดเสียงดังขึ้นมา จากนั้นยกมือชี้ไปทางลู่ฝาน

ทันใดนั้น คนจำนวนไม่น้อยเห็นด้วยกับความคิดเห็นของเขา นำมาโดยหม่าจิ่น ทุกคนมองลู่ฝานแล้วพูดว่า “ฉันก็คิดอย่างนี้เหมือนกัน”

ลู่ฝานขมวดคิ้วพูดว่า “พวกนายยอมเป็นเครื่องมือของคนอื่นแบบนี้เหรอ”

คำพูดของลู่ฝาน ทำให้คนบางส่วนชะงักฝีเท้าลง

แต่ต่อมาหม่าจินเป็นคนแรกที่พุ่งเข้ามา

“ไปตายซะ ไอ้เด็กสมควรตาย”

หม่าจิ่นมองหน้าลู่ฝาน ก็คิดถึงสภาพทุเรศของตัวเองเมื่อวาน

ให้ตายเถอะ เรื่องอึฉี่ราด ดังไปทั่วเมืองตงหวาในเวลาสั้นๆ ตอนนี้ไม่มีใครไม่รู้จักราชาอึฉี่หม่าจิ่น

ฉายานี้เป็นความอับอายของเขา ไม่แน่อาจเป็นความอับอายของเขาไปตลอดชีวิต

หม่าจิ่นโมโหจนบ้าไปแล้ว ดังนั้นจึงไม่สนใจอะไรแล้ว ตอนนี้เขาจะคิดบัญชีกับลู่ฝาน

คนที่พุ่งเข้ามาพร้อมกับหม่าจิ่น ยังมีนักบู๊อีกสองสามคน

ลู่ฝานมองพวกเขา แววตาดูมีความดุดัน

“รนหาที่ตายแท้ๆ!”

ลู่ฝานขยับมือซ้ายเพียงเล็กน้อย ไม่มีใครเห็นการเคลื่อนไหวของเขา แต่อันที่จริงลู่ฝานใช้หมัดอู๋เซี่ยงออกมาแล้ว

ทันใดนั้น ทั้งสามคนที่พุ่งเข้ามาด้านหน้าเขา เหมือนชนกับภูเขาลูกใหญ่ ลอยกระเด็นกลับไปทันที

พรวด! พรวด! พรวด!

ทั้งสามคนพ่นเลือดออกมาเหมือนน้ำพุ

กระบวนท่าของลู่ฝาน ยังทำให้คนที่อยากจะโจมตีลู่ฝานถึงกับตกใจ

ผู้อาวุโสที่อยู่ตรงที่ลับตา เห็นภาพตรงหน้าก็ตกใจ วิชาหมัดดุดันมาก ไม่เสียแรงที่ออกมาจากสถาบันสอนวิชาบู๊

ผลการฝึกตนกับวิชาหมัดขนาดนี้ ถึงอยู่ในสถาบันสอนวิชาบู๊ ก็คงเป็นอันดับต้นๆ

เหอาซิงที่กำลังจะเข้ามา เมื่อเห็นภาพตรงหน้า ถึงกับชะงักฝีเท้า

เคล็ดวิชาบู๊ประหลาดมาก เหอาซิงถามตัวเอง โอกาสน้อยมากที่จะรับมือได้

ลู่ฝานกวาดตามองรอบๆ แล้วพูดว่า “ใครอยากเข้ามาอีก ฉันจะสู้ด้วยอย่างเต็มที่!”

ตอนนี้กลุ่มคนพากันถอยหลังกลับ เห็นลู่ฝานจัดการทั้งสามคนได้อย่างง่ายดาย ก็รู้ทันทีว่าพวกเขาไม่สามารถสู้กับคนแบบนี้ได้

แทนที่จะสู้แย่งรายชื่อกับลู่ฝาน สู้ไปหาคนอื่นมาสู้ดีกว่า

เมื่อเห็นทุกคนถอยหลังกันหมด ลู่ฝานแสยะยิ้มออกมา

เป็นพวกรังแกคนที่อ่อนแกกว่าแต่กลัวคนที่แข็งแรงกว่านี่เอง!

แต่ตอนนี้เขาอยากยืดเส้นยืดสายสักหน่อย เขากำหมัดไปมา

ลู่ฝานพูดว่า “พวกนายไม่สู้ งั้นฉันสู้เอง!”

พูดพลาง ลู่ฝานพุ่งเข้าไปหาพวกเหอาซิงทันที

ไอ้คนปากพล่อยแบบนี้ ทำให้ลู่ฝานรังเกียจ ดังนั้นลู่ฝานจึงพุ่งเป้าไปที่เขาเป็นคนแรก!

ความเร็วของลู่ฝาน เร็วจนทุกคนไม่ทันตั้งตัว จู่ๆ มาโผล่ตรงหน้าเหอาซิงแล้ว

เหอาซิงรู้สึกถึงอันตรายกำลังมาถึง เขาปล่อยเสื้อปราณออกมาทันที เขาเป็นนักบู๊แดนปราณนอก

แต่ถึงเป็นแบบนี้ ก็ยังแย่อยู่ดี!

“หมัดอู๋เซี่ยงทำลายล้าง!”

ปล่อยหมัดออกมา ลู่ฝานทำรายเสื้อปราณของเหอาซิงจนแตกกระจาย

ทันใดนั้นเหอาซิงโดนชกจนกระเด็นไปหลายสิบเมตรแล้วกระแทกกับประตูโถงใหญ่ด้านหลัง

พลานุภาพเพียงหมัดเดียว น่ากลัวถึงขนาดนี้

โถงใหญ่เต็มไปด้วยความเงียบ คนจำนวนไม่น้อยตกใจจนขาเริ่มสั่น

ลู่ฝานหันมามองเซี่ยวเอ๋อร์แล้วพูดว่า “คุณเซี่ยวเอ๋อร์ ตอนนี้นายคิดว่าผมปกป้องนายได้หรือยัง”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 503
ลู่ฝานขมวดคิ้ว มองแสงบนหินอย่างงุนงง

นักเรียนที่ผ่านไปก่อนหน้านี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำไมพอถึงตาเขา ถึงเกิดสิ่งประหลาด

คนด้านหลังจ้องภาพตรงหน้า

เหอาซิงแสยะยิ้ม

“ที่แท้เป็นแค่คนอ่อนแอไม่ได้เรื่อง”

เซี่ยวเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ ก็มองภาพตรงหน้าอย่างตกใจ เธอเอามือปิดปากเบาๆ

“นี่คือไม่ผ่านเหรอ”

ลู่ฝานถามขึ้น

หญิงชราด้านหน้าลู่ฝานมองแสงบนหินสีทอง มีประกายประหลาดอยู่ในแววตา

“เปล่า นายผ่านแล้ว เข้าไปสิ”

ลู่ฝานสงสัย แต่ก็เดินเข้าไปด้านใน แค่ผ่านก็ดีแล้ว

เหอาซิงที่อยู่ด้านหลังพูดอย่างตกใจว่า “เกิดอะไรขึ้น หินทองทดสอบมีปฏิกิริยาแท้ๆ ทำไมถึงให้เขาเข้าไปได้”

คนจำนวนไม่น้อย เห็นด้วยกับคำพูดของเขา

โดยเฉพาะพวกหม่าจิ่น ตะโกนเสียงดังมาก

“จะโกงก็อย่าทำแบบนี้ ทำไมถึงให้เขาผ่าน พวกเราไม่ยอม”

ผู้อาวุโสที่ยืนอยู่ข้างๆ แผดเสียงออกมาว่า “น่ารำคาญ พวกนายจะรู้อะไร ลู่ฝานใช่ไหม นายเข้าไปก่อน วางใจเถอะ นายผ่านแล้วจริงๆ”

ลู่ฝานพยักหน้าแล้วเดินเข้าไป

พวกเหอาซิงยังคงคัดค้าน แต่หญิงชราไม่สนใจพวกเขาสักนิด

แต่เพียงประโยคเดียว กลับทำให้พวกเขาเงียบสนิท

“ใครโวยวายอีก ก็ไม่ต้องสอบประเมินแล้ว กลับบ้านไปซะ”

ทุกคนเงียบลงทันที

เมื่อเข้ามาในตำหนัก ตำหนักสูงเสียดฟ้า ไม่มีตรงไหนดูพิเศษ โถงใหญ่กว้างขวางว่างเปล่า ด้านในไม่มีอะไรเลย

ลู่ฝานหามุมยืนเงียบๆ รอด่านต่อไป

ตามที่เขาอ่านจากข้อมูลเมื่อคืน ต่อไปจะเป็นหัวข้อหลัก

ไม่นาน การคัดกรองขั้นแรกด้านนอกเสร็จสิ้นลงแล้ว

คนที่สมควรไปก็ไปแล้ว คนที่เหลือพากันเข้ามาในโถงใหญ่

ตอนนี้เซี่ยวเอ๋อร์ไม่กล้ายืนข้างลู่ฝานแล้ว

ลู่ฝานมองเธอย่างราบเรียบแล้วพูดว่า “นายยืนห่างผมขนาดนั้น ถึงเวลาผมปกป้องนายไม่ได้นะ”

เซี่ยวเอ๋อร์ขมวดคิ้วพูดว่า “ตอนนี้ฉันสงสัยมากว่านายจะปกป้องฉันได้ไหม”

ลู่ฝานไม่พูดอะไรมาก เห็นได้ชัดว่าเซี่ยวเอ๋อร์โดนสิ่งที่เกิดขึ้นบนหินสีทอง ทำให้มึนงงและสงสัยไปแล้ว

เธอเข้าใจว่าพละกำลังของลู่ฝานไม่เพียงพอ จึงทำให้หินทองทดสอบมีปฏิกิริยาแบบนั้น

คนจำนวนไม่น้อยในที่นี้ก็เข้าใจเช่นนี้เหมือนกัน ขนาดหม่าจิ่นที่โดนหานเฟิงซัด ยังเข้าใจว่าลู่ฝานเป็นคนไม่เอาไหนเหมือนกัน

แต่สิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือ ตอนนี้ผู้อาวุโสกับหญิงชราที่อยู่หน้าประตู กำลังหัวเราะกันอยู่

“สามารถทำให้หินทองทดสอบเคลื่อนไหวได้ วันนี้มีเด็กความสามารถไม่เลวมาอีกคนหนึ่งแล้ว”

“ใช่ อย่างน้อยวันนี้ก็มีคนที่ผ่านผู้ตรวจการชั้นล่างได้หนึ่งคนแล้ว ไปกันเถอะ ฉันอยากเห็นการแสดงออกต่อไปของเขาแล้ว ลู่ฝานใช่ไหม ฉันต้องจำชื่อนี้เอาไว้แล้ว”

……

ไม่นานผู้อาวุโสเดินเข้ามาภายในโถงใหญ่

ผู้อาวุโสเอาสองมือไพล่หลัง ตอนเดินเข้ามา เกิดเสียงดังในโถงใหญ่ ประตูปิดลง

“ต่อไปจะคัดเลือกสิบคนแรก เพื่อเข้าร่วมการทดสอบต่อไป ทุกคนต่อสู้กันที่นี่ มีเพียงสิบคนที่สามารถยืนอยู่ได้ คนที่ไม่อยากตาย สามารถยอมแพ้ตอนนี้ได้”

ผู้อาวุโสพูดจบก็สะบัดมือ ค่ายกลสว่างวาบขึ้นมาจากพื้น

ค่ายกลนี้มีชื่อว่าค่ายกลเจ็ดดาวจำแลง ถ้ามีคนยอมแพ้ สามารถนำคนออกมาจากโถงใหญ่ได้ทันที

ตัวของผู้อาวุโสหายไปในค่ายกลเป็นคนแรก

ทุกคนยืนอยู่ที่เดิม ไม่ได้ลงมือทันที

ลู่ฝานมองตรงจุดที่ผู้อาวุโสหายตัวไป แววตาเป็นประกาย

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 502
เสียงพูดคุยของทุกคน ดังเข้าหูลู่ฝาน

จากผลการฝึกตนของลู่ฝานในตอนนี้ บวกกับความเชี่ยวชาญพลังฟ้าดินของเขา

เขาได้ยินคำพูดของคนพวกนี้อย่างชัดเจน

ศิษย์พี่หานเฟิงยังจีบกับผู้หญิงข้างๆ ไม่มีท่าทีสนใจทางนี้เลย

คุณเซี่ยวเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ ยิ้มแล้วพูดว่า “คุณชายลู่ฝาน ดูเหมือนมีคนไม่เป็นมิตรกับนายเยอะเลยนะ!”

ลู่ฝานพูดว่า “ไม่น้อย แต่ก็แค่พวกไร้ความสามารถ ไม่จำเป็นต้องกังวล”

คุณเซี่ยวเอ๋อร์พูดว่า “คุณชายลู่ฝาน ถ้านายจัดการไม่ไหวจริงๆ ต้องบอกฉันนะ ฉันไม่อยากสอบไม่ผ่าน เพราะปัญหาส่วนตัวของนาย”

ลู่ฝานหันมามองเซี่ยวเอ๋อร์แล้วพูดว่า “วางใจเถอะ ไม่มีปัญหาหรอก”

ขณะกำลังพูด ประตูตำหนักเปิดออก กลุ่มคนเดินออกมา

มีทั้งผู้หญิงและผู้ชาย มีทั้งคนแก่และเด็ก กลุ่มคนในชุดเจ้าหน้าที่ยืนเรียงแถวหน้ากระดาน ผู้อาวุโสที่นำมาพูดขึ้นว่า “วันนี้เป็นวันสอบประเมินประจำเดือน นักบู๊ที่ต้องการสอบผู้ตรวจการชั้นล่างทุกคน แจ้งชื่อ ยืนยันตัวตน จะสามารถเข้าไปด้านในได้ ผู้ฝึกชี่แจ้งระดับขั้น คนที่ผ่านระดับอาจารย์บำเพ็ญชี่ สามารถผ่านได้เลย”

ลู่ฝานอึ้งไป ผู้ฝึกชี่มีสิทธิพิเศษแบบนี้ด้วย นี่ทำให้เขาคาดไม่ถึงจริงๆ

ให้ตายเถอะ รู้อย่างนี้เขามาด้วยตัวตนผู้ฝึกชี่ก็จบแล้วไม่ใช่เหรอ ยังต้องสอบอะไรอีก

ทันใดนั้นทุกคนเริ่มต่อแถวสมัคร

สายตาของหม่าจิ่นยังจ้องมาที่ลู่ฝาน เมื่อเห็นว่าลู่ฝานไม่มีท่าทีจะเข้ามา

หม่าจิ่นแสยะยิ้มแล้วพูดว่า “ฉันว่าแล้ว ไอ้หมอนี่ไม่มีทางเป็นผู้ฝึกชี่หรอก”

ศิษย์พี่หานเฟิงไม่ได้ต่อแถว พาผู้หญิงมายืนด้านข้างแล้วพูดว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน นายรีบจัดการให้เสร็จ ฉันรอนายด้านนอก”

ผู้อาวุโสขมวดคิ้วมองหานเฟิงแล้วพูดว่า “คุณชายท่านนี้ไม่สอบประเมินเหรอ ถ้าไม่เข้าร่วม โปรดอย่ายืนตรงนี้”

หานเฟิงขี้เกียจสนใจเขา เอาป้ายคำสั่งของตระกูลหานแกว่งไปมาตรงหน้าผู้อาวุโส จากนั้นพูดว่า “ตอนนี้ฉันมีสิทธิ์ยืนตรงนี้หรือยัง”

ผู้อาวุโสอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นโค้งคำนับแล้วพูดว่า “นายอยากอยู่ตรงไหนได้หมดเลยครับ”

หานเฟิงยิ้ม สายตาที่ทุกคนมองหานเฟิงก็เปลี่ยนไปเช่นกัน ขนาดผู้หญิงข้างหานเฟิง ยังมีแววตาเลื่อมใส

“ดูเหมือนไอ้หมอนี่มีที่มาไม่ธรรมดา แตะต้องไม่ได้!”

ในหัวทุกคนมีความคิดเช่นนี้ รวมถึงเหอาซิงด้วย

ลู่ฝานก็ยิ้มบางๆ ลูกหลานตระกูลขุนนางอย่างศิษย์พี่หานเฟิง เขาจำเป็นต้องมีตำแหน่งอะไรอีก

มิน่าล่ะนักบู๊ตระกูลขุนนางที่แท้จริง ต่างไม่เป็นข้าราชการ

“คนต่อไป”

การตรวจสอบเริ่มขึ้น คนข้างหน้าเริ่มสมัครทีละคน จากนั้นเอาฝ่ามือวางลงบนหินสีทอง ที่หญิงชราเอาออกมา หินค่ายกลชนิดนี้ ถ้าคนที่ทดสอบเหมาะสมตามเกณฑ์ จะไม่เกิดอะไรขึ้น แต่ถ้าไม่เหมาะสมกับเกณฑ์ จะเกิดสิ่งประหลาดขึ้น

หินนี้มีชื่อว่าหินทองทดสอบ เป็นหินค่ายกล สามารถตรวจวัดอายุ ผลการฝึกตน รวมไปถึงระดับความแข็งแกร่งของร่างกายคนได้อย่างแม่นยำ

ข้างๆ ยังมีคนคอยลงชื่ออยู่สองคน

เห็นได้ชัดว่านี่คือการคัดกรองด่านแรก

“ผลการฝึกตนไม่ถึงแดนปราณในชั้นห้า ไม่ผ่านด่าน”

มีแสงสีขาวสว่างวาบบนหินสีทอง หญิงชราพูดด้วยสีหน้าเย็นชา ชายคนหนึ่งรีบออกไปอย่างอับอายและเสียใจ

ลู่ฝานพยักหน้าเบาๆ เป็นเหมือนที่ข้อมูลบอกไว้จริงๆ

ไม่นานก็ถึงตาลู่ฝาน

ลู่ฝานพูดช้าๆ ว่า “ลู่ฝานแห่งเมืองเจียงหลิน”

จากนั้นลู่ฝานเอาฝ่ามือวางลงบนหินทองทดสอบ

ต่อมาหินทองทดสอบมีแสงสีทองสว่างจ้า

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 501
เช้าตรู่วันต่อมา เมืองตงหวายังมีผู้คนขวักไขว่ไปมาอย่างคับคั่ง

เมืองตงหวาแบ่งเป็นเมืองด้านในและเมืองด้านนอก เมืองด้านนอกที่ว่า ก็คือสถานที่พักของพวกลู่ฝาน

ส่วนเมืองด้านใน คือที่ตั้งของจวนเจ้าเมือง

เมืองด้านในมีกำแพงสูงตระหง่านและทหารป้องกัน

ทหารที่มีอาวุธช่ำชอง มีออร่าแห่งความห้าวหาญยืนอยู่ตรงนั้น แสดงสีหน้าว่าคนไม่เกี่ยวข้องห้ามเข้า

วันนี้ลู่ฝานกะจะไปเข้าร่วมการสอบผู้ตรวจการชั้นล่าง เช้าตรู่ตอนที่เขากำลังจะออกเดินทาง

คนที่เขาต้องช่วยในนี้ก็มากับผู้ดูแลเฉินซวง น่าตกใจที่เป็นผู้หญิงชื่อเซี่ยวเอ๋อร์

ลู่ฝานเคยเห็นผู้หญิงคนนี้ด้านล่างหอของอู่คงหลิงหนึ่งครั้ง ไม่เรียกว่ารู้จัก แต่ความประทับใจแรกที่ลู่ฝานมีต่อเธอ ถือว่าพอใช้ได้

เซี่ยวเอ๋อร์มองลู่ฝานอย่างประเมินตลอดทาง ราวกับมองผลงานศิลปะชิ้นหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น

ลู่ฝานกับเซี่ยวเอ๋อร์เดินบนถนน ด้านหลังคือศิษย์พี่หานเฟิงกับผู้หญิงที่เขาทำความรู้จักด้วยเมื่อคืน

ลู่ฝานหันมามองศิษย์พี่หานเฟิง ทั้งสองคนเดินพลางซื้อเครื่องประดับตลอดทาง เห็นสีหน้าปวดใจของศิษย์พี่หานเฟิง ดูเหมือนว่าของพวกนี้ราคาไม่เบาเลย

ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ คุณเซี่ยวเอ๋อร์ไม่ละสายตาจากลู่ฝานเลย

ลู่ฝานโดนเซี่ยวเอ๋อร์มองจนไม่สบาย เขาพูดว่า “คุณเซี่ยวเอ๋อร์ ทำไมนายมองผมแบบนี้ล่ะ”

เซี่ยวเอ๋อร์ยิ้มแล้วพูดว่า “เพราะนายเป็นคนที่ฉันเสียเงินเชิญมาไง”

เซี่ยวเอ๋อร์พูดพลางยิ้มอย่างสดใส รอยยิ้มของเธอดูดีมาก สะอาดตาและงดงามมาก ยิ้มจนดวงตาเป็นสระอิ

ลู่ฝานก็ไม่รู้ควรพูดอย่างไร ทั้งสี่คนเดินมาถึงหน้าประตูเมืองด้านใน

จู่ๆ เซี่ยวเอ๋อร์เอาป้ายคำสั่งมาโชว์หน้าองครักษ์เฝ้าประตู จากนั้นพาพวกลู่ฝานเดินเข้าไป

องครักษ์ไม่ถามอะไรสักคำ ลู่ฝานรู้สึกตกใจเล็กน้อย ดูเหมือนฐานะของเซี่ยวเอ๋อร์จะไม่ธรรมดา

ทั้งสี่คนเดินเข้ามาทางด้านซ้ายของเมืองด้านใน ไม่นานก็เห็นตำหนักที่สอบผู้ตรวจการ ที่สูงตระหง่าน

ด้านนอกตำหนักมีคนยืนอยู่ไม่น้อย คนพวกนี้ล้วนเป็นคนที่มาสอบผู้ตรวจการในวันนี้

ลู่ฝานมองดู เห็นคนคุ้นหน้าอยู่หลายคน

คนที่เพิ่งล่วงเกินเมื่อวานอย่างเหอาซิงกับหม่าจิ่น ก็อยู่ในบรรดาคนพวกนี้ด้วย

เมื่อคนพวกนี้เห็นลู่ฝาน สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที

โดยเฉพาะหม่าจิ่น โดนศิษย์พี่หานเฟิงซัดไปไม่เบา ตอนนี้เห็นหานเฟิงกับลู่ฝาน แววตาของเขาดุดันทันที

“มีคนมาสอบเยอะขนาดนี้ทุกวันเลยเหรอ”

ลู่ฝานถามเบาๆ

เซี่ยวเอ๋อร์พูดว่า “เปล่า แค่วันนี้เป็นวันสอบประเมินประจำเดือน นายแค่มาตรงวันเท่านั้น”

ลู่ฝานพยักหน้าเข้าใจ ดูเหมือนว่าโชคของเขาก็ไม่เลวเหมือนกัน

คนยืนกันเป็นกลุ่มเล็กๆ หลายกลุ่ม การปรากฏตัวของพวกลู่ฝาน ทำให้คนจำนวนไม่น้อยมองพวกเขาด้วยสายตาแปลกประหลาด

“พี่หม่า นี่คือพวกบ้านนอกสองคนที่พี่พูดถึงใช่ไหม เหอะๆ ให้เราสั่งสอนพวกเขาหน่อยไหม”

“เหอะๆ งั้นรบกวนทุกคนด้วย เอาให้ไอ้เด็กนี่ออกจากเมืองตงหวาไม่ได้เลยนะ”

……

“คุณเซี่ยวเอ๋อร์ ทำไมอยู่กับคนพวกนี้ล่ะ สองคนนี้ดูไม่คุ้นหน้าเลย มาจากที่อื่นเหรอ”

“นายไม่รู้เหรอ สองคนนี้เป็นยอดฝีมือของสถาบันสอนวิชาบู๊เชียวนะ เห็นว่ามาถึงก็ซัดพวกหม่าจิ่นอย่างโหดเหี้ยม พูดกันไปทั่วตั้งแต่เมื่อวานแล้ว”

“งั้นเหรอ เป็นยอดฝีมือจากที่อื่นจริงด้วย ดูเหมือนต้องทำความรู้จักสักหน่อย”

……

“พี่เหอาซิง วันนี้ต้องทำให้ไอ้เด็กนี่อับอายต่อหน้าทุกคนให้ได้”

“หึ ในเมื่อพวกเขากล้ามา ฉันต้องทำให้เขาสอบประเมินไม่ผ่าน”

……

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 500
ลู่ฝานรีบพูดว่า “โอเค ศิษย์พี่หานเฟิง ไม่ต้องชดใช้เงิน เขาให้ผมพาคนไปสอบผู้ตรวจการชั้นล่างให้ผ่านก็พอแล้ว”

ศิษย์พี่หานเฟิงพูดด้วยหัวเราะ “งั้นเหรอ ดีเลย สอบผู้ตรวจการชั้นล่างสำหรับนายเป็นเรื่องง่ายๆ ผ่านได้สบายๆ พาคนไปด้วยก็ไม่มีปัญหา แต่ศิษย์น้องลู่ฝาน ฉันขอเตือนนายไว้ก่อน ในการสอบนายต้องระวังให้ดี มีพวกเลวบางพวก ที่ตัวเองสิ้นหวังหลังจากการสอบ ยังชอบดึงคนอื่นลงเหวไปด้วย นายอย่าติดกับเด็ดขาด ถ้าครั้งนี้สอบไม่ผ่าน ครั้งหน้ามาอีก อย่างน้อยต้องหลังจากครึ่งปี อีกทั้งชั่วชีวิตมีโอกาสสอบเพียงสามครั้ง”

ลู่ฝานขมวดคิ้วพูดว่า “ศิษย์พี่หานเฟิงไม่ไปเหรอ ทำไมไม่สอบด้วยกันล่ะ”

หานเฟิงส่ายหน้า “ฐานะอย่างฉันสอบไม่ได้แล้ว แต่วางใจเถอะ ฉันจะดูสถานการณ์ให้นายอยู่ข้างนอก”

“ทำไมสอบไม่ได้ล่ะ อย่าบอกนะว่าศิษย์พี่หานเฟิงเคยสอบผ่านแล้วหรือ สอบตอนไหน”

ลู่ฝานถามอย่างตกใจ เขาหวังว่าศิษย์พี่หานเฟิงจะได้ตำแหน่งเหมือนกัน

หานเฟิงพูดว่า “ฉันเป็นลูกหลานตระกูลขุนนาง มีชื่ออยู่เบื้องบน ชีวิตนี้คงเป็นเจ้าหน้าที่ไม่ได้ แค่ฉันบอกว่าฉันเป็นลูกหลานตระกูลหาน ฉันต้องโดนเจ้าหน้าที่สอบไล่ออกมาเป็นคนแรก ฉันจะสอบได้ยังไงล่ะ ให้ตายเถอะ นี่คือข้อเสียของตระกูลขุนนาง อยู่นอกเหนือทุกสิ่งอะไรเนี่ย”

ลู่ฝานตอบรับอย่างเข้าใจ

จู้ๆพลังปราณบนตัวศิษย์พี่หานเฟิงระเบิดออกเล็กน้อย ทั้งหอสั่นสะเทือนอีกครั้ง

ศิษย์พี่หานเฟิงรีบเก็บพลังตัวเองไว้ ดูสีหน้าของเขา ไม่ต่างจากการคลอดลูกยากสักเท่าไร

“ศิษย์น้องลู่ฝาน นายไปพักผ่อนก่อนเถอะ ฉันกลัวว่าพลังบนตัวฉันจะทำให้นายบาดเจ็บ ไม่ได้ล้อเล่นนะ”

ลู่ฝานหันไปมองผู้หญิงที่ยังสลบอยู่บนเตียง แล้วพูดว่า “งั้นผมไม่กวนพี่แล้ว ศิษย์พี่หานเฟิง ผมขอตัวลงไปก่อน”

ศิษย์พี่หานเฟิงพูดว่า “โอเค วางใจเถอะศิษย์น้องลู่ฝาน ฉันไม่ทำห้องพังอีกแล้ว”

ทั้งสองคนมองหน้ากัน แล้วหัวเราะออกมา ลู่ฝานเดินลงมาข้างล่าง

เพิ่งด้านมาข้างล่างได้ไม่นาน ลู่ฝานได้ยินเสียงฝีเท้าจากด้านนอกอีกแล้ว

เขาเดินออกมาข้างนอก เมื่อมองดูดีๆ หลิ่วหยีมาอีกแล้ว มีข้อมูลในมือเป็นปึก

หลิ่วหยีส่งให้ลู่ฝานแล้วพูดว่า “คุณชายลู่ฝาน นี่เป็นข้อมูลเกี่ยวกับการสอบผู้ตรวจการที่นายต้องการ”

ลู่ฝานรับเอกสารมาแล้วพูดว่า “ขอบใจมาก”

หลิ่วหยีก้าวเข้ามาข้างหน้า อกอวบอึ๋มโดนแขนลู่ฝาน กลิ่นหอมลอยออกมาจากตัวหลิ่วหยีมีกลิ่นที่ทำให้คนหลงใหล

“ไม่เชิญฉันเข้าไปนั่งเหรอ ฉันอ่านและอธิบายข้อมูลให้นายได้ทั้งคืนเลยนะ ในเอกสารอาจมีข้อมูลที่เขียนเข้าใจยากด้วย!”

ลู่ฝานมองหลิ่วหยีแล้วพูดว่า “ไม่ต้องหรอก ฉันว่าฉันอ่านเข้าใจได้”

พูดจบ ลู่ฝานเดินเข้าห้อง ปิดประตูดังปัง

หลิ่วหยีกัดฟันกรอด พึมพำว่า “ลู่ฝาน นายใจร้าย ฉันไม่เชื่อหรอกว่าฉันทำให้นายหลงไม่ได้”

ลู่ฝานยืนอยู่หลังประตู ฟังเสียงพึมพำของหลิ่วหยี

ลู่ฝานหัวเราะเบาๆ จากนั้นเริ่มอ่านเอกสารในมืออย่างละเอียด

ไม่นานลู่ฝานจมอยู่ในนั้น วิธีการสอบพวกนี้น่าสนใจจริงๆ!

ลู่ฝานอ่านพลางหัวเราะออกมาโดยอัตโนมัติ

ขณะเดียวกันแววตาเขาเริ่มเป็นประกาย เหมือนใช้วิธีการสอบแบบนี้ แค่สอบผ่าน ข้อดีไม่ได้มีแค่ตำแหน่งผู้ตรวจการชั้นล่างแล้วสิ

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 499
ศิษย์พี่หานเฟิงเงยหน้าดื่มเหล้า ถอนหายใจยาวแล้วพูดว่า “ดื่มเหล้าหลังจากเสร็จเรื่อง ไม่เสียแรงที่เกิดมาบนโลกนี้ ศิษย์น้องลู่ฝานมานั่งสิ”

ลู่ฝานมองศิษย์พี่หานเฟิงที่ตัวแดงจนควันลอยออกมา แล้วใช้มือจับดู

ทันใดนั้นลู่ฝานพบว่าศิษย์พี่หานเฟิงไม่เพียงแต่จะไม่มีพลังความร้อน หนำซ้ำยังเย็นเล็กน้อย

“แปลกจัง ศิษย์พี่หานเฟิง สายเลือดตื่นตัวขึ้นมาคืออะไรกันแน่ อาการแบบนี้เป็นปกติเหรอ”

ศิษย์พี่หานเฟิงยิ้มแล้วพูดว่า “ปกติสิ เมื่อคนตระกูลเราเป็นชายอย่างแท้จริง หมายถึงหลังจากทำเรื่องแบบนั้น นายก็รู้……ก็จะปลุกสายเลือดให้ตื่นตัว พละกำลังเพิ่มขึ้นหนึ่งครั้ง ตอนนี้ฉันกำลังอยู่ในสภาวะพลุ่งพล่าน ใช้เวลาประมาณหนึ่งคืน สีแดงบนตัว เป็นตราสัญลักษณ์สายเลือดตระกูลหานของเรา ศิษย์น้องลู่ฝาน นายอย่าลูบมั่วซั่ว ตอนนี้ฉันไม่สามารถควบคุมพลังตัวเองได้ ถ้าทำให้นายบาดเจ็บจะซวย”
สีหน้าลู่ฝานประหลาดมาก มีการปลุกพลังแบบนี้ด้วยเหรอ โลกใหญ่ไพศาล มิพิศดารมิมี
“มิน่าล่ะพี่ถึงทำจนห้องเป็นแบบนี้ ศิษย์พี่หานเฟิง งั้นครั้งนี้พลังพี่เพิ่มมาเท่าไร ยกระดับขึ้นกี่ขั้น”
ศิษย์พี่หานเฟิงหัวเราะแล้วพูดว่า “ไม่แน่นอนหรอก ลูกหลานตระกูลหานอาศัยชี่หยางมาฝึกฝน ตอนยังไม่ทำสิ่งนั้น ก็สะสมพลังสายเลือด การฝึกฝนก็ช้า อะไรก็ช้าไปหมด เมื่อมันปลดปล่อยออกมา หึหึ มันจะพุ่งทะยานสูงสุด ศิษย์น้องลู่ฝาน อย่าดูแค่ตอนนี้นายแข็งแกร่งกว่าฉัน รอให้คืนนี้ฉันยกระดับพลังจนเสร็จสิ้น ต่อไปนายต้องตามฉัน เมื่อถึงตอนนั้นยอดฝีมือของสำนักโลหิตพิฆาตมา ศิษย์พี่ก็พอต้านทานให้นายได้”
ศิษย์พี่หานเฟิงส่ายหัวไปมา ดูได้ใจมาก
ลู่ฝานพูดว่า “ชี่หยางไม่รั่วไหล สะสมพลัง ศิษย์พี่หานเฟิง แล้วทำไมพี่ไม่สะสมอีกสักสองสามปีล่ะ ถึงตอนนั้นจะได้ไม่ต้องพุ่งทะยาน พุ่งสูงขึ้นทีเดียวไม่ดีเหรอ”
ศิษย์พี่หานเฟิงจ้องหน้าลู่ฝาน พูดทีละคำว่า “นายรู้ไหมว่าฉันอดทนมายี่สิบกว่าปีแล้ว”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ศิษย์พี่หานเฟิงสีหน้าเศร้า น้ำตาแทบจะไหลออกมา
เขาเงยหน้ามองไปทางหน้าต่าง “พี่ใหญ่ของฉัน ตื่นตัวตั้งแต่อายุ สิบสองส่วนพี่รองตอน 13 ปี ขนาดน้องคนที่ 17 ซึ่งไม่มีวาสนากับผู้หญิงที่สุด ยังตื่นตัวเมื่อสองปีก่อน อายุ 15 ปี มีแค่ฉัน เฮ้อ มีแค่ฉันที่ทนมาถึง 20 กว่าปี นายรู้ไหมว่าโดนคนหัวเราะเยาะทั้งวันมันรู้สึกยังไง นายเข้าใจไหมว่าพวกเลวพาสาวสวยมาเดินอวดต่อหน้านายทุกวัน บอกให้นายสนุกได้ตามสบาย แต่นายทำไม่ได้มันรู้สึกยังไง”

หางตาศิษย์พี่หานเฟิงเปียกชื้น

ลู่ฝานได้ยินแล้วอ้าปากค้าง นี่มันตระกูลประหลาดอะไรกัน!

ศิษย์พี่หานเฟิงสะบัดหัว “พูดขึ้นมาก็ทุกข์ใจ เฮ้อ ความต้องการของพ่อฉันก่อนตายก็คือ ฉันจะตื่นตัวหลังจากอายุ 20 ปี ฉันตั้งใจมาเขตตงหวาอย่างเงียบๆ นับว่าอยู่มา 2-3 ปี ตอนนี้เป็นช่วงที่ฉันตื่นตัวแล้ว ศิษย์น้องลู่ฝาน ขอโทษด้วยนะ อิอิ ทำห้องพังแล้ว เขาให้ชดใช้เท่าไร ฉัน……มีแค่นี้ ที่เหลือรอฉันกลับบ้านแล้วค่อยเอาเงินมาให้นะ”

ศิษย์พี่หานเฟิงเอาเงินตัวเองออกมา ยังไม่ทันได้ใช้แรงที่นิ้ว เหรียญเงินเป็นกำ โดนเขาบีบจนเป็นผงทอง

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 498
ลู่ฝานพูดเบาๆ ว่า “ต้องคืนเท่าไรกันแน่”

เฉินซวงพูดว่า “ก็ไม่มากครับ ถ้าคิดจากยาเม็ด ยาทิพย์หนึ่งขวดก็พอครับ”

ลู่ฝานสีหน้าไม่สู้ดีเป็นอย่างมาก ตอนนี้เขาไม่สามารถกลั้นยาทิพย์ได้

“งั้นถ้าเป็นภารกิจล่ะ”

เฉินซวงหัวเราะอย่างมีความสุข แล้วพูดว่า “ภารกิจง่ายมากครับ ได้ยินหลิ่วหยีบอกว่านายมาเพราะการสอบ เราหวังว่านายจะช่วยคนที่เรากำหนดเอาไว้ในการสอบหนึ่งคน ทำให้เขาสอบผ่านผู้ตรวจการชั้นล่างก็พอแล้ว”

ลู่ฝานขมวดคิ้วพูดว่า “สอบยังช่วยกันได้เหรอ”

เฉินซวงยิ้มแล้วพูดว่า “ดูเหมือนคุณชายลู่ฝานไม่รู้อะไรเกี่ยวกับการสอบผู้ตรวจการเลย แต่ไม่ต้องกังวล อีกเดี๋ยวผมจะให้หลิ่วหยีส่งข้อมูลให้ อ่านดูจะรู้”

ลู่ฝานขมวดคิ้วพูดว่า “บอกฉันก่อนได้ไหม คนที่ฉันต้องช่วยคือใคร อีกอย่างพวกคุณรู้ได้ยังไงว่าฉันจะสอบผ่าน แล้วยังช่วยคนได้ด้วย”

เฉินซวงยิ้มแล้วพูดว่า “ถ้าคุณชายลู่ฝานที่เข้าสถาบันสอนวิชาบู๊ได้เพียงปีเดียว นำคณะหนึ่งเดียวเป็นอันดับหนึ่งของสถาบัน สอบผู้ตรวจการชั้นล่างไม่ผ่าน งั้นนักเรียนคนอื่นในสถาบันสอนวิชาบู๊ คงไม่ต้องมาสอบอีกแล้ว คุณชายลู่ฝาน ภารกิจนี้ไม่ยาก ส่วนคนที่นายต้องช่วยคือใคร ขอโทษด้วยครับ ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน นายรอผมไม่กี่ชั่วยาม ผมจะให้หลิ่วหยีแจ้งนาย คุณชายลู่ฝาน นายรีบพักผ่อน หวังว่ารูนี้จะไม่ส่งผลกระทบกับการพักผ่อนของนาย ผมขอตัวก่อน”
ลู่ฝานสีหน้าไม่เข้าใจ ขนาดคนที่ต้องช่วยยังไม่รู้ว่าเป็นใคร
แต่ลู่ฝานไม่ได้แสดงออกมาทางสีหน้า มองส่งเฉินซวงออกไป
หลิ่วหยีไม่ได้ไป เธอยืนอยู่ที่เดิม
ไม่นานตัวของเฉินซวงหายลับไปจากสายตา ลู่ฝานจึงถามหลิ่วหยีว่า “เธอก็ไม่รู้เหรอว่าใครที่ฉันต้องช่วย ไม่ใช่องค์ชายของสวนหอมปาฟางเหรอ”
หลิ่วหยีหัวเราะพรืด “คุณชายลู่ฝาน นายจินตนาการล้ำเลิศจริงๆ สวนหอมปาฟางจะมีองค์ชายมาได้ยังไงล่ะ เราเป็นแค่สาขาย่อยเท่านั้น ผู้ดูแลเฉินซวงไม่รู้ เพราะเขามอบภารกิจให้นายแบบกะทันหัน ผู้สมัครไง ตอนนี้เขากำลังไปหาแล้ว คิดว่าคนจำนวนมาก ต้องสนใจตำแหน่งผู้ตรวจการชั้นล่างแน่นอน ผู้ดูแลเฉินซวงต้องขายได้ราคาดีแน่นอน”

ลู่ฝานเพิ่งจะเข้าใจ

ทำการค้าเก่งจริงๆ!

โอเค เพราะยังไงก็ต้องเป็นแบบนี้

ลู่ฝานถอนหายใจ ส่ายหน้ากำลังจะไปหาศิษย์พี่หานเฟิง คนคนนี้ทำให้เขาต้องช่วยคนเป็นผู้ตรวจการชั้นล่าง เขาต้องพูดกับศิษย์พี่หานเฟิงสักหน่อย

หลิ่วหยียังยืนอยู่ที่เดิม เมื่อเห็นว่าลู่ฝานกำลังจะไป

หลิ่วหยียิ้มแล้วพูดว่า “คุณชายลู่ฝาน ไม่เชิญฉันเข้าไปนั่งเหรอ”

พูดพลางหลิ่วหยีสะบัดผม ดูมีเสน่ห์มากมาย

ลู่ฝานมองเธอแวบหนึ่งแล้วพูดว่า “ขอโทษด้วย ตอนนี้ห้องรกมาก ครั้งหน้าละกัน”

พูดจบลู่ฝานปิดประตูลงทันที

หลิ่วหยีอึ้งไป จากนั้นเดินออกไปอย่างโมโห

ลู่ฝานส่ายหน้าหัวเราะ มีหรือที่เขาจะไม่เข้าใจความคิดของหลิ่วหยี แต่เขาไม่ได้มีความคิดนี้จริงๆ

ลู่ฝานเดินขึ้นมาชั้นสาม ขณะกำลังจะด่า ก็เห็นศิษย์พี่หานเฟิงนั่งตัวแดงอยู่ตรงนั้น บนตัวมีควันลอยออกมาด้วย

ศิษย์พี่หานเฟิงดื่มเหล้าพลางพูดว่า “มาๆ ศิษย์น้องลู่ฝาน ดื่มเหล้าสักหน่อย เหล้าที่นี่ไม่เลวจริงๆ”

ลู่ฝานขมวดคิ้วมองศิษย์พี่หานเฟิง “ศิษย์พี่หานเฟิง ตัวพี่”

หานเฟิงพูดว่า “อ๋อ นี่เหรอ ไม่มีอะไรหรอก สายเลือดตระกูลตื่นตัวขึ้นมาเท่านั้น!”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 497
ทั้งสองคนไม่สวมเสื้อผ้า

หนึ่งในนั้นคือศิษย์พี่หานเฟิงอย่างไม่ต้องสงสัย

ลู่ฝานอ้าปากค้าง ทำอะไรกัน ทำไมหลังคาถึงระเบิดล่ะ

ผู้หญิงที่หล่นลงมาสลบไปแล้ว ลู่ฝานมองแวบหนึ่ง รูปร่างไม่เลว มิน่าล่ะศิษย์พี่หานเฟิงถึงถูกใจ

ศิษย์พี่หานเฟิงก็ล้มอย่างทุลักทุเล หลังจากร้องโอดครวญออกมา

จึงพูดเบาๆ ว่า “จบแล้วๆ เร้าใจเกินไป ไม่ได้ควบคุมแรง จบแล้ว นี่ต้องชดใช้เท่าไรเนี่ย”

ลู่ฝานเบิกตาโตมองหานเฟิง “ศิษย์พี่หานเฟิง ใส่เสื้อผ้าก่อนได้ไหม”

ศิษย์พี่หานเฟิงหน้าแดงทันที จากนั้นเอาแจกันดอกไม้มาปิดไว้ข้างหน้า

“ศิษย์น้องลู่ฝาน ก็ผู้ชายไง นายก็เข้าใจนิ”

ลู่ฝานด่าออกมาว่า “เข้าใจกะผีน่ะสิ ศิษย์พี่หานเฟิง ดูสิ่งที่พี่ทำสิ ที่นี่มันที่ไหน พี่คิดว่าเราสองคนชดใช้ได้เหรอ”

ศิษย์พี่หานเฟิงมองซ้ายมองขวา กลืนน้ำลายแล้วพูดว่า “งั้นจะทำไงล่ะ รีบหนีกันเถอะ”

ลู่ฝานพยักหน้า ทั้งสองคนหันหลังเดินไปข้างนอก

แต่เพิ่งเดินออกมา ลู่ฝานเห็นหลิ่วหยีพาชายคนหนึ่งเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว

“เร็วขนาดนี้เลยเหรอ”

ลู่ฝานแอบก่นด่า รีบบอกให้ศิษย์พี่หานเฟิงอุ้มคนขึ้นไปข้างบน

ศิษย์พี่หานเฟิงรีบอุ้มคนขึ้นไปชั้นสาม วิ่งตัวเปลือยเปล่าออกไปอย่างรวดเร็ว

หลิ่วหยีพาผู้ชายมาถึงชั้นหนึ่ง เมื่อเห็นลู่ฝาน หลิ่วหยียังไม่ได้พูดอะไร

ผู้ชายพูดอย่างรวดเร็วว่า “ผมเฉินซวงเป็นหัวหน้าดูแลสวนหอมปาฟาง แขกวีไอพี่ท่านนี้ เมื่อกี้นายก่อเรื่องในที่พักใช่ไหม เอ๊ะ ทำไมห้องถึงเป็นแบบนี้ล่ะ”

ลู่ฝานไม่รู้จะอธิบายยังไงเหมือนกัน พูดติดๆ ขัดๆ ว่า “ฝึกวิชา ไม่ทันระวังเลยทำเสียหาย แต่พวกคุณวางใจได้ พวกเราชดใช้ให้แน่นอน”

เฉินซวงยิ้มจนเห็นฟันทั้งปาก

“วางใจอยู่แล้วครับคุณชายลู่ฝาน”

ลู่ฝานมองเขาอย่างตกใจ คนคนนี้รู้จักชื่อเขาด้วย

ราวกับเดาความคิดเขาได้ เฉินซวงพูดว่า “คุณชายลู่ฝานไม่ต้องตกใจ มาถึงสวนหอมปาฟาง เราสืบฐานะของแขกวีไอพีทุกท่าน นายเอาบัตรผลึกหินของผู้ฝึกชี่หน้ากากเงินมาที่นี่ ผู้ฝึกชี่หน้ากากเงินปรากฏตัวในเมืองเจียงหลินเพียงครั้งเดียว แค่สืบดูครู่เดียว คนที่มีชื่อเสียงในเมืองเจียงหลิน ก็สืบเจอคุณชายลู่ฝานแล้ว อีกทั้งตอนนี้นายยังโดดเด่นในสถาบันสอนวิชาบู๊ขนาดนี้ คิดว่าอีกไม่นาน ทั้งเขตตงหวาคงต้องรู้จักนาย”

หลิ่วหยียิ้มอยู่ข้างๆ แล้วพูดว่า “ฉันคิดไม่ถึงว่าคุณชายลู่ฝานจะมีชื่อเสียงขนาดนี้”

ลู่ฝานพูดว่า “ที่แท้พวกคุณสืบประวัติผมแล้วนี่เอง งั้นตอนนี้จะจัดการยังไงดี”

เฉินซวงพูดว่า “ผมแค่อยากถามว่า เมื่อกี้นายลงมือในห้องของคุณอู่คงหลิงหรือเปล่า นายน่าจะรู้ว่าไม่สามารถลงมือในสวนหอมปาฟางได้ ถ้านายจะแลกเปลี่ยนเรียนรู้วิชากับคุณอู่คงหลิงกรุณาไปสถานที่ที่จัดเตรียมไว้โดยเฉพาะ เรามีลานประลองบู๊ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่นี่”

ลู่ฝานพูดว่า “แลกเปลี่ยนเรียนรู้กันนิดหน่อย แต่ไม่ได้มีปัญหาใหญ่อะไร ต่อไปฉันจะระวัง”

เฉินซวงพยักหน้า “งั้นดีมากเลยครับ เรื่องที่ห้องนายพังเสียหาย แค่ชดใช้ตามราคาก็พอ จากฐานะของนาย ผมเป็นตัวแทนของสวนหอมปาฟางมอบสิทธิ์พิเศษให้นาย นายสามารถใช้วิชา ยาเม็ด หรือของหายากมาชดใช้ได้ หรือช่วยสวนหอมปาฟางทำภารกิจเพื่อชดใช้ก็ได้”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 496
ลู่ฝานจ้องผ้าปิดหน้าของอู่คงหลิง ตัวกลายเป็นสายลม พุ่งเข้าไปฆ่าอู่คงหลิง

แต่ขณะนั้น อู่คงหลิงหันหลังพุ่งออกไปข้างนอก ตัวครึ่งหนึ่งกลายเป็นหมอกควัน เธอจะหนีเหรอ

“ย๊าก!”

แผดเสียงออกมา มีสายฟ้าปรากฏขึ้น ผ่าลงบนตัวอู่คงหลิง

สายฟ้าสีแดงทองผ่าใส่อู่คงหลิงจนชะงักไป เพียงแค่พริบตาเดียว ลู่ฝานเดินเข้ามา กระชากผ้าปิดหน้าอู่คงหลิงออก

อู่คงหลิงวิ่งหนีไปข้างนอก ลู่ฝานใช้แรงกระชากไว้ ไม่ได้ดึงตัวอู่คงหลิงกลับมา แต่เขากระชากผ้าปิดหน้าของเธอออก

หลังจากนั้น ลู่ฝานเห็นใบหน้าอันงดงาม

งดงามเหมือนเซียนสาวลงมายังโลกมนุษย์ เพียงครู่เดียวมันฝังลึกอยู่ในสมองของเขา

ใบหน้าระดับนี้ เรียกได้ว่าสตรีสวยหยาดเยิ้ม ไม่เหมือนกับที่เห็นตอนในดินแดนแห่งความเพ้อฝัน

อู่คงหลิงกัดริมฝีปาก กลายเป็นควันหายไปอย่างไร้ร่องรอย

ลู่ฝานมองผ้าปิดหน้าในมือแล้วขมวดคิ้วขึ้นมา

เฮ้อ เป็นเรื่องอีกแล้ว

ทำไมนะ ฉันแค่อยากฟังเพลง ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้ได้

“อู่คงหลิง ผู้ฝึกวิชาชั่วร้าย”

ลู่ฝานพึมพำสองครั้ง

ลู่ฝานส่ายหน้าเก็บผ้าปิดหน้าลงไปในเข็มขัด

ช่างเถอะๆ คิดซะว่าเก็บค่าตอบแทนละกัน

ผ้าปิดหน้าประหลาดแบบนี้ ต้องมีประโยชน์แน่นอน เอากลับไปศึกษาให้ดีๆ หน่อย

ส่วนเรื่องที่อู่คงหลิงฝึกวิชาชั่วร้าย ลู่ฝานครุ่นคิด แต่ไม่ได้เอาไปบอกคนอื่นทันที

หนึ่งคือ เธอหนีไปแล้ว เขาก็ไม่มีหลักฐาน

สองคือ เหมือนเมื่อกี้เขาก็ใช้วิชาชั่วร้ายเหมือนกัน ถ้าสืบขึ้นมาจริงๆ ต้องเป็นเรื่องวุ่นวายแน่

ตอนนี้อย่าสร้างเรื่องเพิ่ม คิดว่าอู่คงหลิงก็คงไม่กล้าโผล่หน้าออกมาอีก

เดินออกจากหอของอู่คงหลิง ตอนนี้ด้านนอกไม่มีใครแล้ว

ลู่ฝานมองซ้ายมองขวา จากนั้นเดินไปที่ห้องตัวเอง

อันที่จริงห่างจากเขาไม่ไกล อู่คงหลิงหลบอยู่หลังหอ

อู่คงหลิงกัดฟันมองลู่ฝาน วันนี้เธอรู้สึกว่าตัวเองมีแต่เสียกับเสีย

ไม่เพียงแต่ทำเรื่องที่ตัวเองไม่สำเร็จ หนำซ้ำยังเสียผ้าปิดหน้าของตัวเองไปด้วย

“ให้ตายเถอะ เขาเห็นใบหน้าแท้จริงของฉันด้วย ให้ตายเถอะ!”

อู่คงหลิงจ้องแผ่นหลังของลู่ฝาน กัดฟันพูดว่า “แค้นนี้ต้องชำระ!”

พูดจบ อู่คงหลิงสะบัดมือเอาป้ายคำสั่งสีดำออกมา ด้านบนเป็นคำว่าปีศาจดูน่ากลัว

เธอกัดนิ้วตัวเอง เอาเลือดตัวเอาทาลงบนป้ายคำสั่ง ทันใดนั้น เกิดการเปลี่ยนแปลงตรงคำว่าปีศาจบนป้ายคำสั่ง มีแสงสว่างสีดำปรากฏขึ้นมา

อู่คงหลิงเก็บป้ายคำสั่ง กลายเป็นควันสีขาวหายไปอย่างไร้ร่องรอย

ลู่ฝานไม่รู้ว่าตัวเองไปหาเรื่องคนแบบไหน

ตอนนี้ลู่ฝานรู้เพียงว่า เหมือนจะกลับห้องตัวเองไม่ได้แล้ว

เพิ่งเดินมาถึงชั้นหนึ่ง ลู่ฝานได้ยินเสียงตะโกนอย่างตื่นเต้นของศิษย์พี่หานเฟิงดังขึ้น

“ใช่ ท่านี้แหละ โอ้ว สบายมาก สบายจริงๆ!”

ลู่ฝานยืนอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าประหลาด ศิษย์พี่หานเฟิงหาผู้หญิงได้เร็วขนาดนี้เลยเหรอ ความเร็วระดับเทพจริงๆ

เจ้าดำนอนหมอบอยู่ตรงนั้น ส่ายหน้าแล้วถอนหายใจออกมา เหมือนกำลังพูดกับลู่ฝาน

“ฉันทนดูไอ้หมอนี่ไม่ได้แล้ว”

ขณะนั้นมีเสียงตะโกนของศิษย์พี่หานเฟิงดังมาจากข้างบนอีก

“ทำไมสบายอย่างนี้ ให้ตายเถอะ แรงอีก”

จากนั้นมีเสียงดังเกิดขึ้น เหมือนมีอะไรระเบิด

ต่อมาหลังคาบนหัวระเบิดออก เงาคนสองคนร่วงลงมา กระแทกมาข้างหน้าลู่ฝาน

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 495
เลือดบนนิ้วของอู่คงหลิงหยดลงบนพื้น

ลู่ฝานดึงกระบี่หนักของตัวเองออกมา

อู่คงหลิงมองลู่ฝาน พูดอย่างเย็นชาว่า “บอกฉันมา นายทำลายวิชาถึงวิญญาณได้ยังไง คนระดับต่ำกว่าแดนปราณดินลงไป ไม่มีใครสามารถทำลายวิชาถึงวิญญาณของฉันได้”

ลู่ฝานพูดอย่างราบเรียบว่า “นั่นเพราะเธอมั่นใจเกินไป คุณอู่คงหลิง เป็นผู้ฝึกวิชาชั่วร้าย แต่กล้าอยู่ในเมืองตงหวาอย่างสง่าผ่าเผย กล้ามากจริงๆ เธอต้องรู้ว่าแค่ตอนนี้ฉันออกไปป่าวประกาศ เธอจะโดนนักบู๊ที่รักความยุติธรรมล้อมโจมตี”

ใบหน้าของอู่คงหลิงไม่มีความหวาดกลัว “คุณชายก็มั่นใจเกินไปเหมือนกัน บอกว่าฉันฝึกวิชาชั่วร้าย ต้องมีหลักฐานสิ บนตัวฉันมีออร่าชั่วร้ายเหรอ”

ลู่ฝานพูดว่า “อย่าบอกนะว่าที่เธอใช้เมื่อกี้ไม่ใช่วิชาชั่วร้าย”

อู่คงหลิงยิ้มออกมา “เมื่อกี้ฉันใช้วิชาเหรอ”

อู่คงหลิงมองลู่ฝานอย่างยียวน

แต่ทันใดนั้นเธอตกใจกับการกระทำของลู่ฝาน

ลู่ฝานไม่ใช่คนชอบพูดไร้สาระ ในเมื่ออู่คงหลิงไม่ยอมรับ ลู่ฝานก็ไม่เกรงใจแล้ว

ลู่ฝานง้างมือฟันกระบี่ลงไปโดยไม่ลังเล

เกิดเสียงดัง ตัวของอู่คงหลิงเหาะไปที่มุมห้องราวกับเทเลพอร์ตไป

ส่วนกระบี่ของลู่ฝาน ฟันลงบนพิณของอู่คงหลิงจนแตกเป็นชิ้นๆ

อู่คงหลิงมองลู่ฝานอย่างตกตะลึง จากนั้นกัดฟันพูดว่า “นายกล้าทำลายพิณของฉัน”

ลู่ฝานแบกกระบี่แล้วพูดว่า “มีคนจะจัดการฉัน ฉันไม่เกรงใจเธออยู่แล้ว”

อู่คงหลิงหน้าซีดเพราะการกระทำก้าวร้าวของลู่ฝาน

เห็นลู่ฝานมีเหตุผลเต็มที่ที่จะพูดได้เต็มปากเต็มคำ อู่คงหลิงตะโกนเสียงดังว่า “ฉันแค่อยากค้นหาเขตวิถีของนาย สัมผัสวิถีบู๊ในหัวสมองนาย นายจะตอบโต้รุนแรงแบบนี้ทำไม”

ลู่ฝานตอบรับแล้วพูดว่า “เมื่อกี้เธอสร้างดินแดนแห่งความเพ้อฝันใส่ฉัน แค่เผื่อค้นหาเขตวิถีของฉันเหรอ แต่ขอโทษด้วยนะ คนอย่างฉันรังเกียจที่คนอื่นเข้ามาค้นหัวสมองของฉันที่สุด”

เมื่อพูดเช่นนี้ ตัวของลู่ฝานมาโผล่ข้างอู่คงหลิงเหมือนผี

ราวกับอู่คงหลิงคิดไม่ถึงว่าลู่ฝานจะเร็วขนาดนี้ เธอช็อกอยู่ครู่หนึ่ง

หมัดของลู่ฝานโจมตีลงบนท้องอู่คงหลิง

พลังหมัดอันแข็งแกร่งเข้าไปในร่างกายอู่คงหลิง แต่จู่ๆ มีแสงสีดำกะพริบบนผ้าปิดหน้าของอู่คงหลิง

ลู่ฝานรู้สึกว่าพลังหมัดที่ตัวเองปล่อยออกไป โดนผ้าปิดหน้าดูดเข้าไปจนหมด

อู่คงหลิงรีบเว้นระยะห่างกับลู่ฝาน

ยื่นนิ้วทั้งห้าออกมา ใช้ปราณก่อตัวเป็นพิณ

พลังปราณพุ่งออกมา กลายเป็นสายพิณตรงหน้าอู่คงหลิง

แน่นอนว่าลู่ฝานไม่มีทางให้โอกาสอู่คงหลิงลงมืออีก แววตาของลู่ฝานเป็นประกาย

ทันใดนั้นอู่คงหลิงเอามือกุมหัวแล้วร้องออกมา

ลู่ฝานก้าวเข้ามาข้างหน้า ซัดหมัดไปฆ่าอู่คงหลิง

ทันใดนั้น อู่คงหลิงเอานิ้วแตะไปที่ตันเถียนของลู่ฝาน

พลังประหลาด กลายเป็นค่ายกลผนึก ต้องการจะผนึกตันเถียนของเขาไว้

นี่มันล่วงเกินคนที่มีความสามารถเหนือกว่าตัวเองชัดๆ ลู่ฝานไม่ต้องพูดอะไร เสียงของเจดีย์เสวียนเก้ามังกรดังขึ้นมา

“ฮ่าๆ มีคนเอาของมาให้อีกแล้ว”

ทันใดนั้น ค่ายกลที่อู่คงหลิงเพิ่งก่อตัวขึ้นมา โดนเจดีย์เสวียนเก้ามังกรแย่งไป

อู่คงหลิงที่ตกใจจนหน้าเปลี่ยนสี โดนหมัดของลู่ฝานอีกครั้ง

แต่พลังหมัดยังคงโดนผ้าปิดหน้าของอู่คงหลิงดูดไปหมด

ผ้าปิดหน้าผืนนี้ มีความประหลาด!

อู่คงหลิงถอยหลังกรูดๆ เหงื่อไคลไหลลงจากหน้าผาก

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 494
จิตใจของลู่ฝานวูบไหว โดยแท้จริง ทักษะพิณของผู้หญิงคนนี้ สามารถกระตุ้นใจคนได้จริงๆ

ทันใดนั้น ลู่ฝานรู้สึกว่าปราณชี่ของตัวเองสั่นสะเทือน กลายเป็นพลังวิญญาณโดยอัตโนมัติ

เหตุการณ์แบบนี้ ทำให้ความคิดของลู่ฝานล่องลอย

นี่มันวิชาอะไรกัน เคล็ดวิชาคลื่นเสียงเหรอ

ไม่ใช่ เขาเคยเห็นเคล็ดวิชาคลื่นเสียง แตกต่างกับสิ่งนี้มาก

จู่ๆ ลู่ฝานรู้สึกอะไรบางอย่าง วิชาของอู่คงหลิง เหมือนจะคล้ายกับวิชาชิงวิญญาณของเขา

อย่าบอกนะว่า……

ขณะลู่ฝานกำลังคิดในใจต่างๆ นานา

เสียงพิณของอู่คงหลิงกระเพื่อมเหมือนสายน้ำ เสียงของเธอก็ดังขึ้นมาด้วย เหมือนเสียงของเทพลอยมาเบาๆ ดังไปมาอยู่อย่างนั้น

“วันเวลาและเรื่องราวที่ผ่านไป มองฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวด้วยดวงตาที่มีน้ำตา กี่ปีผ่านไปด้วยกี่ความฝัน ไม่สามารถพูดออกมาได้ ล้วนผ่านไปท่ามกลางหญิงงาม เป็นสิ่งที่ทำร้ายความรู้สึกที่สุด บทเพลงไม่มีที่สิ้นสุด วันนี้ต้นสนเขียวเต็มไปด้วยหิมะ จิตใจเจ็บปวดเยือกเย็นราวกับฤดูหนาว”

เสียงเพลงดังไปเรื่อยๆ ลู่ฝานหลับตาลง

ปราณชี่ในร่างกายเคลื่อนไหวด้วยวิธีประหลาด ในขณะเดียวกันก็แยกเป็นสองพลัง พลังหนึ่งเคลื่อนไหวไปด้านบน ส่วนอีกพลังหนึ่งเคลื่อนไหวลงด้านล่าง จากนั้นพลังทั้งสองพลังทับซ้อนกันไปมา กลายเป็นการหมุนเวียน

ตอนนี้ลู่ฝานจมดิ่งไปกับเสียงพิณ ไม่สังเกตถึงความเปลี่ยนแปลงในร่างกายตัวเอง

จู่ๆ แววตาของอู่คงหลิงแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยน

ทันใดนั้นเสียงพิณดูอ่อนโยน แสงเทียนรอบๆ ดับลงพร้อมกัน

ปราณชี่ในตัวลู่ฝานเคลื่อนไหว ทันใดนั้นลู่ฝานตั้งสติได้

แต่ต่อมาลู่ฝานรู้สึกเหมือนมีอะไรอยู่ในอกของตัวเอง เมื่อมองดูดีๆ เห็นอู่คงหลิงอยู่ในอ้อมอกของเขา

ดวงตางดงาม อู่คงหลิงเอาผ้าปิดหน้าออกช้าๆ

มันเป็นใบหน้าอันงดงาม เหมือนเธอเป็นปีศาจจิ้งจอกยั่วยวนตั้งแต่เกิด ตอนถอดผ้าปิดหน้าออก ทำให้ลู่ฝานมีอารมณ์

ใบหน้าเธอยั่วยวนจิตใจมาก ทุกจุดแฝงไปด้วยความเย้ายวนและเซ็กซี่

จมูกสวยพอดี ริมฝีปากแดงอวบอิ่ม รวมไปถึงดวงตาที่เหมือนพูดได้

อู่คงหลิงพูดช้าๆ ว่า “ฉันสวยไหม”

ลู่ฝานมองเธอ รู้สึกว่าลมหายใจตัวเองแรงขึ้น

อู่คงหลิงแหวกเสื้อบนไหล่ตัวเองออกเบาๆ เผยให้เห็นไหล่งามของเธอ รวมไปถึงเนินอกของเธอด้วย

ความยั่วยวนแบบนี้ ทำให้คนยากจะควบคุมตัวเอง

ตอนนี้อู่คงหลิงใช้ขายาวของตัวเองรัดเอวลู่ฝานเอาไว้ หลังจากนั้นพูดข้างหูลู่ฝานว่า “ทำไมนายไม่พูดล่ะ ตอนนี้ฉันยิ่งสวยไหม”

ขณะนั้นลู่ฝานรู้สึกว่าข้อมือตัวเองร้อน ด้ายแดงปรากฏออกมา

ในหัวสมองของลู่ฝานคิดถึงหลิงเหยาขึ้นมา คิดว่าด้ายแดงเส้นนี้ต้านทานอะไร

พลังวิญญาณในตัวพุ่งไปที่หัวสมอง แววตาของลู่ฝานแปรเปลี่ยนเป็นลุ่มลึก

“ฉันไม่รู้ว่าเธอสวยหรือเปล่า แต่ถ้าเธอทำแบบนี้อีก ฉันโกรธแน่นอน”

เมื่อพูดเช่นนี้ ประกายน่ากลัวผุดขึ้นมาในแววตาลู่ฝาน

ทันใดนั้น ทุกสิ่งตรงหน้าหายไป เมื่อเงยหน้ามอง แสงเทียนยังคงอยู่ อู่คงหลิงยังนั่งดีดพิณอยู่ตรงหน้าเขา

ไม่ได้ถอดผ้าบางบนใบหน้า อู่คงหลิงมองลู่ฝานอย่างตกใจ

“เป็นไปไม่ได้”

ลู่ฝานมองเธอนิ่ง ลุกขึ้นช้าๆ มองด้ายแดงบนข้อมือตัวเองแล้วพูดว่า “ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ คุณอู่คงหลิง ฉันคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเธอคือผู้ฝึกวิชาชั่วร้าย”

สีหน้าคุณอู่คงหลิงไม่สู้ดีขึ้นมาทันที มีเลือดปรากฏขึ้นบนนิ้ว

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 493
“พระเจ้า คุณอู่คงหลิงเชิญเขาเข้าไปในห้องเธอ”

“คนนี้โชคดีจริงๆ แค่พูดไปเรื่อยสองประโยคเท่านั้น ทำไมเขาถึงไปห้องของคุณอู่คงหลิงได้ล่ะ”

“ทำไมฉันถึงไม่พูดไปเรื่อยนะ”

ผู้ชายสองสามคนซุบซิบกัน แม้เสียงของพวกเขาเบา แต่ลู่ฝานได้ยินอย่างชัดเจน

ความอิจฉาริษยาในคำพูดของคนพวกนี้ ใกล้จะทะลักออกมาแล้ว

ลู่ฝานลุกขึ้นช้าๆ พูดอย่างราบเรียบว่า “ถ้าปฏิเสธก็เสียมารยาท”

ลู่ฝานเดินช้าๆ ขึ้นไปบนบันไดหิน

เมื่อเหยียบลงไป ลู่ฝานรู้สึกถึงพลังเยือกเย็น ส่งผ่านมาจากฝ่าเท้าของเขา

พลังนี้เบาบางมาก น่าจะประมาณเส้นผม แต่ลู่ฝานสัมผัสได้ว่าปราณชี่ในร่างกาย ทำลายมันทันที

เป็นพลังที่แข็งแกร่ง แข็งแกร่งกว่าพลังปราณทั่วไปไม่น้อย อย่าดูถูกพลังเล็กน้อย ถ้าประมาทให้มันเข้าไปในตำแหน่งสำคัญของร่างกาย เช่น หัวใจ สมอง อาจตายได้

ลู่ฝานเงยหน้ามองอู่คงหลิงแวบหนึ่ง ใช้วิธีแบบนี้ ดูเหมือนว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ได้จัดการง่ายๆ

เมื่อเดินขึ้นมาบนหอลอยฟ้า อู่คงหลิงเก็บพิณ เดินเข้าไปในห้อง ผายมือขวาพูดกับลู่ฝานว่า “เชิญคุณชาย”

ลู่ฝานเดินเข้าไปในห้อง อู่คงหลิงก็เข้ามาเช่นกัน ประตูห้องปิดลงเบาๆ บดบังสายตาของทุกคน

ด้านล่างเหอาซิงออกไปด้วยสีหน้าโมโห เดินพลางพูดกับคนข้างๆ ว่า “สืบมาว่าคนคนนี้เป็นใคร กล้าหักหน้าฉันต่อหน้าทุกคน หึ ฉันจะเอาให้มันออกจากเมืองตงหวาไม่ได้”

อีกด้านหนึ่งคุณเสี้ยวเอ๋อร์ก็มองประตูห้องที่ปิดสนิทของอู่คงหลิงเหมือนคิดอะไร เดินช้าๆ มาข้างหลิ่วหยีแล้วพูดว่า “เป็นผู้ชายที่น่าสนใจมาก เหมือนไม่ใช่คนเมืองตงหวา อืม เธอรู้จักไหมหลิ่วหยี”

หลิ่วหยีพูดว่า “แขกวีไอพีมาใหม่ คุณเสี้ยวเอ๋อร์ฉันบอกได้เพียงว่าฐานะของเขาไม่เลว เป็นคุณชายผู้สูงส่งเชียวนะ ในมือเขามีบัตรผลึกหินลับที่สาขาปาฟางของเราส่งให้ เธอก็รู้ว่าบัตรผลึกหินเป็นของที่ส่งให้คนแบบไหน”

เสี้ยวเอ๋อร์พยักหน้าเข้าใจ รอยยิ้มบนใบหน้ายิ่งกว้างขึ้น

“ที่แท้เป็นผู้ฝึกชี่นี่เอง เขาสามารถชี้แนะนักบู๊ได้ด้วย ฉันสนใจเขาขึ้นเรื่อยๆ แล้วล่ะ”

แสงเทียนภายในห้องเคลื่อนไหว

กลางวันแสกๆ แต่ในหอของอู่คงหลิงเต็มไปด้วยแสงสีทองของเทียน ไม่เข้าใจจริงๆ

เป็นห้องที่ธรรมดามาก เรียบง่ายแต่งดงาม แตกต่างกับห้อง “เศรษฐีใหม่” ของลู่ฝานราวฟ้ากับเหว

ภาพสองสามภาพ พิณสองคัน ขลุ่ยเป่าข้างหนึ่งเลา ชั้นหนังสือสองแถว เป็นสิ่งที่อยู่ในหอชั้นหนึ่ง

บนพื้นมีเบาะทรงกลมสองอัน อู่คงหลิงนั่งลงบนเบาะอันหนึ่ง วางพิณไว้ตรงหน้าตัวเอง

“ไม่ทราบว่าคุณชายอยากฟังเพลงอะไร”

อู่คงหลิงดีดสายพิณเบาๆ สายลมพัดเข้ามาจากนอกหน้าต่าง จนทำให้แสงเทียนสะบัดไปมา และทำให้ผ้าที่ปกปิดใบหน้าสะบัดเล็กน้อย

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “ตอนเพิ่งเข้ามาที่นี่ ได้ยินเพลงของคุณอู่คงหลิง เหมือนอยู่ในฝัน ทำให้ผมนึกเรื่องในอดีตได้มากมาย คุณอู่คงหลิงเล่นเพลงนั้นให้ผมฟังอีกสักครั้งก็ได้”

อู่คงหลิงพูดว่า “ที่แท้คุณชายมาเพราะเหตุนี้ ก็ได้ งั้นเอาเพลงนี้ละกัน”

พูดจบ อู่คงหลิงใช้มือขวาดีดพิณ เสียงชัดเจนดังออกไป

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 492
ทันใดนั้นอู่คงหลิงยิ้มออกมา “คุณชายเหอาซิง แม้คำตอบของนายจะดี แต่ฉันไม่สามารถใช้อะไรได้ อีกทั้งเหตุผลที่นายพูด เมื่อสิบปีก่อน ฉันเคยได้ยินพ่อพูดแล้ว นายพอจะพูดภาพรวมสักหน่อยได้ไหม”

เหอาซิงสีหน้ากระอักกระอ่วนทันที ภาพรวมสักหน่อยเหรอ

ภาพรวมอะไรได้อีกล่ะ เคลื่อนไหวไปตามจิตใจ เคลื่อนไหวไปตามความคิด หรือต้องพูดตรงๆ ว่าอยากทำอะไรก็ทำ อยากกินอะไรก็กินอย่างนั้นเหรอ

ชะงักไปนาน เหอาซิงพูดออกมาว่า “ขอโทษด้วย ฉันคงไม่มีความเห็นอะไรอีก ในเมื่อคลายความสงสัยให้เธอไม่ได้ คงยากจะได้ฟังเพลง น่าเสียดายจริงๆ”

เหอาซิงนั่งลงอย่างสลด หน้าแดงเล็กน้อย

ขณะนั้นผู้หญิงคนหนึ่งยืนขึ้นพูดว่า “พี่อู่ ฉันจะคลายข้อสงสัยให้นายเอง ในใจมีเรื่องเป็นพันเป็นหมื่น ต้องมีคนรับฟัง วิถีมีเป็นหมื่นพัน เดินเพียงหนึ่งเส้นทางก็พอแล้ว นายคิดว่ายังไง”

เมื่อผู้หญิงคนนี้พูดจบ ลู่ฝานอดขำไม่ได้อีกแล้ว

น่าสนใจจริงๆ!

คำตอบนี้เหมือนไม่ได้ตอบอีกแล้ว

ครั้งนี้คนรอบข้างจำนวนมาก พากันมองลู่ฝานด้วยสายตาโมโห

ครั้งนี้ลู่ฝานไม่ได้ขำออกเสียง อย่าบอกนะว่าสมัยนี้หัวเราะก็ไม่ได้เหรอ

อู่คงหลิงป้องปากขำ “คุณเสี้ยวเอ๋อร์ คำตอบของนายไม่ได้คลายความสงสัยเลย ดูไม่เป็นประโยชน์กับฉันด้วย ยังมีใครกล้าคลายความสงสัยอีกไหม”

ทุกคนพากันเงียบ เห็นได้ชัดว่าไม่มีใครสามารถตอบคำถามของอู่คงหลิงได้อีกแล้ว

แต่ขณะนั้น ชายคนหนึ่งชี้ไปยังลู่ฝาน “ฉันเห็นคุณชายคนนี้หัวเราะตั้งแต่เริ่มจนถึงตอนนี้ น่าจะมีความเห็นอะไร เชิญคุณชายคนนี้คลายความสงสัยให้คุณอู่คงหลิงหน่อยเป็นไง”

เมื่อพูดจบ เหอาซิงและคนอื่นมองไปยังลู่ฝาน

เหอาซิงพูดด้วยสีหน้าเย็นชาว่า “ฉันก็คิดอย่างนี้เหมือนกัน คุณชายคนนี้หัวเราะมีความสุขขนาดนี้ น่าจะมีอะไรอยู่ในใจนานแล้ว นายพูดออกมาดีกว่า”

สายตาของอู่คงหลิงมองมาทางลู่ฝาน ยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “คุณชายคนนี้ดูแล้วไม่คุ้นหน้า คงจะมาใหม่ใช่ไหม ถ้ามีความเห็นจริงๆ คงเหลิยนจะตั้งใจฟังด้วยความเคารพนับถือ”

ลู่ฝานมองซ้ายมองขวา โธ่ แค่หัวเราะสองครั้ง ทำไมทำเหมือนจะทะเลาะกับเขา แววตาแต่ละคนไม่เป็นมิตรเลย

เฮ้อ ช่วงนี้เรียนรู้จากศิษย์พี่หานเฟิงจนแย่ไปหมดแล้ว

ขำทำไมนะ หาเรื่องให้ตัวเองอีกแล้ว

ลู่ฝานส่ายหน้าแล้วพูดว่า “วิถีเป็นหมื่นพัน มีเพียงวิถีเดียวที่ใช้ได้ เดือดร้อนตัวเอง!”

เมื่อลู่ฝานพูดว่าเดือดร้อนตัวเองออกมา ตัวของอู่คงหลิงสั่นอย่างรุนแรง

คนอื่นได้ยินคำพูดของลู่ฝาน พากันจมอยู่กับความคิด

“วิถีเป็นหมื่นพัน มีเพียงวิถีเดียวที่ใช้ได้……”

คนจำนวนมากในนี้พากันพึมพำประโยคนี้ซ้ำไปซ้ำมา

เหมือนเหอาซิงจับจุดได้ แต่รู้สึกว่าไม่เป็นความจริง

ลู่ฝานกวาดตามองไปรอบๆ เขาไม่ได้พูดประโยคนี้ออกมาลอยๆ มันเป็นสิ่งที่เขาได้จากเขตวิถีของสถาบันสอนวิชาบู๊ในตอนนั้น

ไม่นาน ชายสองคนลุกขึ้นคารวะลู่ฝาน “ขอบคุณคำชี้แนะของคุณชายคุณชายนี้ ไม่ทราบว่าคุณชายชื่ออะไร”

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “เจอกันโดยบังเอิญ ทำไมต้องถามชื่อด้วยล่ะ”

ลู่ฝานเงยหน้ามองอู่คงหลิงแล้วพูดว่า “คุณอู่คงหลิง พอใจกับคำตอบของผมไหม”

ในตาของอู่คงหลิงฉายแววประหลาด ออร่าบนตัวดูวูบไหว

“เชิญคุณชายคุณชายนี้ขึ้นมาหน่อย!”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 491
ลู่ฝานยังไม่ทันพูดจบ เสียงของอู่คงหลิงดังขึ้นอีกครั้ง

“บทเพลงฝันเลือนราง ในใจมีความสงสัยเป็นหมื่นเป็นพัน ยากจะเอ่ยออกมา ความฝันเปลี่ยนแปลงเท่าไร ทางวิถีมีเป็นหมื่นพัน ผ่านไปทางใด”

อู่คงหลิงถามคำถามของตัวเองออกมา

ลู่ฝานหัวเราะทันที ที่แท้เธอหาทางวิถีคลายข้อสงสัย

เมื่อได้ยินคำถามของอู่คงหลิง ลู่ฝานรู้ว่าเธอต้องเจอปัญหาระหว่างฝึกฝนแน่นอน อีกทั้งยังเป็นปัญหาที่เกี่ยวกับการทำความเข้าใจวิถี

ปัญหาแบบนี้ ผ่านยากที่สุด

ไม่สามารถผ่านด้วยพลังที่สะสมมา และก็ไม่สามารถผ่านด้วยแรงภายนอก

เพราะลู่ฝานฝึกทั้งบู๊และชี่ วิถีต่างๆ ที่อยู่ตรงหน้าเขา ล้วนมองได้สองแบบ ดังนั้นเขาไม่เคยพบปัญหามาก่อน

บวกกับที่เขาเคยทำความเข้าใจเขตวิถีแห่งชีวิตของสถาบันสอนวิชาบู๊ อีกทั้งยังมีเขตวิถีธาตุดินของกระบี่หนักไร้คม ที่มอบให้เขาทำความเข้าใจ ดังนั้นอย่างน้อยก่อนถึงแดนปราณฟ้า เขาจึงไม่น่าจะเจอปัญหาอะไรได้

แต่เขาเป็นเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าคนอื่นจะเป็นเช่นนี้เหมือนกัน

อย่างเช่น อู่คงหลิง เห็นได้ชัดว่าเพิ่งเข้าสู่วิถี เจอกับวิถีอะไรบางอย่างท่ามกลางความสับสน แต่มีผ้าบางปิดบังใบหน้าอยู่ จึงทำให้มองไม่ออก

เหมือนกับผ้าบางสีดำที่อยู่บนหน้าเธอ ปกปิดใบหน้าของเธอเอาไว้ มีเพียงใบหน้างดงามเผยออกมาเพียงเล็กน้อย ทำให้คนหงุดหงิดใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้

กลุ่มคนด้านล่างขมวดคิ้วครุ่นคิด พยายามคิดเพื่อช่วยหาคำตอบให้อู่คงหลิง

แต่คนพวกนี้พละกำลังอย่างมากแค่ประมาณแดนปราณนอก ไม่ได้มีโอกาสยิ่งใหญ่สามารถทำความเข้าใจวิถีได้เหมือนลู่ฝาน

ไม่แน่คนมากมาย ยังไม่เคยเห็นแม้กระทั่งวิถีบู๊ ตอนนี้กำลังจับต้นชนปลายกันอยู่

นี่คือหนึ่งในเหตุผลที่ลู่ฝานแข็งแกร่งกว่านักบู๊แดนปราณนอกจำนวนมาก เขาสามารถใช้ความอ่อนแอต้านทานความแข็งแกร่ง เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ต่อสู้ข้ามระดับได้

ผลการฝึกตนระดับเดียวกัน คนที่วิถีบู๊แข็งแกร่ง จะสามารถแสดงพลานุภาพของวิชาตัวเองได้ดียิ่งขึ้นและมากขึ้น

ส่วนคนที่ไม่มีวิถีบู๊ ให้เคล็ดวิชาบู๊ระดับดินเหมือนกัน เขาอาจไม่สามารถแสดงพลังสามหรือสี่ใน สิบ ออกมาได้ด้วยซ้ำ

นี่คือความแตกต่าง!

ทันใดนั้น มีคนพูดออกมา

ชายพัดขนนกโพกแพรพรรณคนหนึ่งยืนขึ้นมา พูดเสียงก้องว่า “ใจยากที่จะเอ่ย วิถียากจะไขว่คว้า เคลื่อนไหวไปตามจิตใจ เคลื่อนไหวไปตามความคิด ไหลไปตามธรรมชาติ เรื่องต่างๆ ก็จะบรรลุผลสำเร็จ”

เมื่อเขาพูดออกมา กลุ่มคนรอบๆ อดพยักหน้าไม่ได้

ใช่ การอธิบายนี้ไม่เลว น่าจะเป็นคำตอบที่ยอดเยี่ยมที่สุด

ชายคนที่อยู่ข้างๆ หัวเราะออกมาทันที “พี่เหอาซิงเป็นอัจฉริยะตามคาด คำว่าเคลื่อนไหวไปตามจิตใจ งดงามมาก ดูเหมือนวันนี้คนที่จะได้ฟังเพลงของคุณอู่คงหลิงแบบตัวต่อตัว คงหนีไม่พ้นพี่เหอาซิง”

เหอาซิงโบกพัดไปมา สีหน้าได้ใจ แต่กลับพูด “ถ่อมตน” ว่า “ที่ไหนกันล่ะ บังเอิญมีความรู้สึกขึ้นมาเท่านั้น!”

ทันใดนั้นพวกผู้หญิงมองมาทางเหอาซิงด้วยสายตาชื่นชม

จู่ๆ เหอาซิงดีใจเกือบเหลิง หลงระเริง

แต่ลู่ฝานได้ยินคำพูดของเหอาซิง กลับกลั้นขำเอาไว้ไม่ได้

คำพูดนี้ดูมีอะไร แต่ในความเป็นจริงก็แค่พูดไร้สาระ เหมือนไม่ได้พูดอะไรสักนิด

อาจเป็นเพราะเสียงหัวเราะของลู่ฝานดังไปหน่อย จู่ๆ คนรอบๆ มองเขาด้วยสายตาประหลาด

เหอาซิงก็หันมามองลู่ฝานเช่นกัน แววตาดูเย็นชา

“ทำไม คุณชายมีความเห็นอะไรหรือเปล่า”

ลู่ฝานโบกมือไปมา “เปล่าๆ แค่อยากหัวเราะเท่านั้น นายต่อเลย”

เหอาซิงส่งเสียงหึอย่างเย็นชา ขี้เกียจสนใจลู่ฝาน เงยหน้าพูดกับอู่คงหลิงเสียงก้องว่า “คุณหวู่ ฉันคลายความสงสัยให้เธอได้ไหม”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 490
ลู่ฝานตกใจเล็กน้อย หยกนี้มีประสิทธิภาพเพิ่มความเร็วการฝึกฝนด้วย หายากจริงๆ

ลู่ฝานอดชื่นชมไม่หยุด แต่รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา

สถานที่ดีแบบนี้ พักคืนหนึ่งต้องใช้เงินเท่าไร เหรียญทองแค่นั้นในบัตรผลึกหินของเขา พอหรือไม่พอกันแน่!

ลู่ฝานยังคงครุ่นคิด เสียงตะโกนของศิษย์พี่หานเฟิงที่อยู่ด้านล่างดังขึ้นมา

“ศิษย์น้องลู่ฝาน ฉันออกไปเดินเล่นก่อน ถือโอกาสสอบถามเรื่องสอบประเมินให้นายด้วย นายพักผ่อนไปก่อนนะ!”

พูดจบ ลู่ฝานได้ยินเสียงฝีเท้ารีบร้อนของศิษย์พี่หานเฟิง เห็นได้ชัดว่าเขาอยากออกไปจนทนไม่ไหวแล้ว

ลู่ฝานไม่ต้องคิดก็รู้แล้วว่าศิษย์พี่หานเฟิงวิ่งออกไปรีบร้อนขนาดนี้เพราะอะไร ดูเหมือนคนที่อดกลั้นมานานยี่สิบกว่าปีอย่างศิษย์พี่หานเฟิง ตอนนี้คงอดกลั้นไม่ไหวแล้ว

ลู่ฝานครุ่นคิด รู้สึกว่าพึ่งพาให้ศิษย์พี่หานเฟิงไปสอบถาม ต้องพึ่งไม่ได้อย่างแน่นอน เขาไปถามเองดีกว่า

เมื่อคิดได้เช่นนี้ ลู่ฝานเดินลงมาจากหอลอยฟ้า ให้เจ้าดำพักอยู่ที่นี่ เขาเดินเล่นคนเดียวไปรอบๆ

ตลอดทางลู่ฝานเห็นสาวใช้ที่งามจนใจสั่นไหว มองมาทางเขาด้วยสายตาหลงใหล

ลู่ฝานไม่ได้ถามพวกเธอ เดินต่อไปข้างหน้า ขณะเดียวกันจิตใจของเขาวูบไหวเล็กน้อย เขาอยากไปเจอผู้หญิงที่ร้องเพลงเสียงเหมือนธรรมชาติเมื่อกี้

เดินมาประมาณครึ่งชั่วยาม ลู่ฝานเห็นหอลอยฟ้าด้านในสุด ที่หลิ่วหยีพูดถึงแล้ว

หอลอยฟ้าหลังนี้ถูกโอบล้อมด้วยดอกไม้ บนหอลอยฟ้ามีผู้หญิงถือพิณนั่งอยู่หน้าประตู สวมผ้าบางสีดำบนหัว ร้องเพลงคลอเบาๆ

ด้านล่างมีคนนั่งมากมาย มีทั้งหญิงทั้งชาติ แววตาดูเคลิบเคลิ้ม โต๊ะเก้าอี้ถักทอขึ้นมาจากดอกไม้นานาชนิด จินตนาการไม่ออกเลยว่าเก้าอี้แบบนี้นั่งได้ยังไง

หลิ่วหยียืนอยู่ข้างๆ เมื่อเห็นลู่ฝานเดินมา หลิ่วหยียิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “ลูกค้าผู้มีเกียรติ นายมาแล้วเหรอ เชิญนั่งค่ะ วันนี้คุณอู่คงหลิงอารมณ์ดี ดูเหมือนจะร้องเพิ่มอีกสองเพลง”

ลู่ฝานนั่งลงบนเก้าอี้ดอกไม้ตรงมุม เอ่ยถามขึ้นมาว่า “คุณหลิ่วหยี ฉันอยากถามเรื่องอะไรหน่อย สถานที่สอบประเมินผู้ตรวจการของเมืองตงหวาอยู่ที่ไหน บอกได้ไหม”

หลิ่วหยีพูดว่า “ที่แท้นายก็มาเพราะการสอบเหมือนกันเหรอ บังเอิญมาก นายเห็นคนที่อยู่ที่นี่ไหม อันที่จริงก็มาเพราะการสอบเหมือนกัน ขนาดคุณอู่คงหลิงยังมาเพราะการสอบผู้ตรวจการเหมือนกัน แต่คุณอู่คงหลิงสอบผู้ตรวจการชั้นกลาง ครึ่งปีก่อน เธอสอบผู้ตรวจการชั้นล่าง”

ลู่ฝานขมวดคิ้วพูดว่า “ครึ่งปีก่อนเหรอ อย่าบอกนะว่าหลังจากสอบผู้ตรวจการชั้นล่างเสร็จ ต้องรอครึ่งปีจึงจะสอบผู้ตรวจการชั้นกลางได้”

หลิ่วหยีส่ายหน้า “ไม่ใช่ค่ะ แค่เมื่อครึ่งปีก่อน หลังจากคุณอู่คงหลิงสอบผู้ตรวจการชั้นล่างเสร็จ รู้สึกว่าความสามารถของตัวเองยังไม่พอ จึงไม่สอบผู้ตรวจการชั้นกลางอีก ช่วงนี้ได้ยินว่าคุณอู่คงหลิงกำลังคิดจะสอบอีก ส่วนสถานที่สอบ น่าจะต้องไปสมัครที่จวนหัวหน้าเขต พรุ่งนี้นายสามารถไปพร้อมกับแขกผู้มีเกียรติพวกนี้ พวกเขาเตรียมไปสอบผู้ตรวจการชั้นล่าง”

ลู่ฝานพยักหน้าเบาๆ แบบนี้ยิ่งดี

หันมองกลุ่มคนข้างหน้าที่กำลังดื่มด่ำไปกับบทเพลง มองออกเลยว่าความสามารถของพวกเขาไม่ธรรมดา

ขณะนั้นเสียงเพลงของคุณอู่คงหลิงหยุดลงกะทันหัน

ดวงตางดงามเคลื่อนไหวไปมา คุณอู่คงหลิงพูดว่า “ยังเป็นกฎเดิม มีใครกล้าคลายความสงสัยของฉันไหม ถ้าอธิบายได้ดี ฉันจะร้องเพลงให้เขาแบบตัวต่อตัว”

กลุ่มคนด้านล่างพากันตื่นเต้น

ลู่ฝานขมวดคิ้วพูดว่า “คลายความสงสัยเหรอ คลายความสงสัยอะไร”

ทั้งสองพูดพลาง เดินขึ้นไปบนหอลอยฟ้า

บันไดหินที่ลอยอยู่ สูงประมาณสามสิบกว่าเมตร ถ้าคนกลัวความสูงมาที่นี่ คงไม่กล้าเดินขึ้นไปเลย

ประตูหอลอยฟ้าเปิดเอาไว้แล้ว แค่เดินเข้ามา ลู่ฝานรู้สึกถึงความหรูหราข้างใน

สีทองระยิบระยับ บ่งบอกถึงความร่ำรวย

แสงสีทองสว่างไสว เกือบทำให้ลู่ฝานตาบอด

เมื่อมองดูดีๆ ของด้านในเกือบครึ่ง ทำจากแร่ราคาสูง ให้ตายเถอะ แม้แต่โต๊ะยังทำมาจากแร่ราคาสูงทั้งตัว

แร่ราคาสูงเป็นของแพงที่ใช้กันทั่วไป ยิ่งกว่าเหรียญทอง โดยทั่วไปแล้ว แร่ราคาสูงหนึ่งก้อน เท่ากับเหรียญทองพันเหรียญ

แร่ราคาสูงได้ชื่อว่าเป็นของหายาก ตั้งแต่เล็กจนโต ลู่ฝานเพิ่งเคยเห็นแค่ 1-2 ครั้ง อีกทั้งยังขนาดแค่เล็บ

แต่ตอนนี้แร่ราคาสูงวางอยู่ตรงหน้าเขามากมาย

หานเฟิงพุ่งเข้าไปเป็นคนแรก เขากอดโต๊ะแล้วใช้ฟันกัดอย่างแรง “ให้ตายเถอะ นี่คือแร่ราคาสูงแท้จริงๆ ศิษย์น้องลู่ฝาน กระบี่ของนายใหญ่ ให้ฉันยืมหน่อย ฉันขอหั่นเอากลับไปสักชิ้น”

ลู่ฝานรีบดึงหานเฟิง ชี้ตราประทับบนโต๊ะแร่ราคาสูง แล้วพูดว่า “ของพวกนี้สลักตราประทับเอาไว้ แค่เราแตะต้องมัน เขาก็จะรู้ พี่อยากโดนไล่ออกไปตั้งแต่เพิ่งเข้ามาเหรอ ศิษย์พี่หานเฟิง สุขุมหน่อย พี่มาจากเมืองใหญ่ไม่ใช่เหรอ เคยผ่านโลกมาแล้วไม่ใช่เหรอ อย่าทำตัวบ้านนอกยิ่งกว่าผมได้ไหม”
หานเฟิงเสียดายมาก “โอ๊ย ของราคาสูงแบบนี้ ทำได้แค่ดู ไม่สามารถเอาไปได้ จิตใจฉันแตกสลายแล้ว ได้สักชิ้นก็พอให้ฉันใช้ทั้งชีวิตแล้ว เฮ้อ เฮ้อ……”

ศิษย์พี่หานเฟิงถอนหายใจติดต่อกัน จู่ๆ เขาหันมามองลู่ฝาน “ศิษย์น้องลู่ฝาน นายว่าเราตัดแล้วหนีไป พวกเขาจะจับเราได้ไหม”

ลู่ฝานหมดคำจะพูด ดึงศิษย์พี่หานเฟิงมาอีกด้าน ลู่ฝานวางเจ้าดำลง แล้วเดินตรงเข้าไปข้างใน

หอลอยฟ้าหลังนี้ใหญ่มาก มีทั้งหมดสามชั้น ทั้งหมดดูหรูหราโอ่อ่ามาก

ลู่ฝานมองอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกว่าคนสร้างสวนหอมปาฟางนี้ คงรวยจนไม่รู้จะใช้เงินยังไงแล้ว ขนาดห้องน้ำยังทำจากแร่ราคาสูง การทำแบบนี้ เหมือนกำลังบอกกับทุกคนที่เข้ามาว่า

“ไอ้จน รู้ไหมว่าอะไรที่เรียกว่ารวย”

จู่ๆ ลู่ฝานรู้สึกว่าจ่ายล้านเหรียญทองเพื่อเข้ามา มันน้อยเกินไปจริงๆ

ที่นี่แค่โต๊ะตัวเดียว ก็คงเพียงพอแล้ว

แต่สถานที่มั่งคั่งแบบนี้ ทำไมต้องเปิดร้านขึ้นมาอีก ลู่ฝานไม่เข้าใจจริงๆ เจ้าของร้านนี้ ต้องการหาเงินจากการเปิดร้านจริงเหรอ

ลู่ฝานเลือกชั้นสามเป็นห้องพักตัวเอง พร้อมกับความไม่เข้าใจมากมาย ศิษย์พี่หานเฟิงเลือกชั้นสอง ชั้นหนึ่งเป็นของเจ้าดำ

ภายในห้องมีอาหารหลากหลายชนิด วางเอาไว้เรียบร้อยแล้ว

อาหารหลายอย่างที่ลู่ฝานไม่เคยเห็น แต่แค่ลองชิม รสชาติไม่ธรรมดาเลย

มองที่นอนของตัวเอง ทำมาจากหยกอุ่นทั้งแผ่น

ให้ตายเถอะ ลู่ฝานจำได้ว่าเหมือนหยกแขวนจิตบู๊ ก็ใช้วัสดุเป็นหยกอุ่นเหมือนกัน ว่ากันว่าหายากมาก

ทำไมตอนนี้เขาถึงเห็นมันทั้งแผ่น

คืนนี้เขาต้องนอนบนสิ่งนี้!

ลู่ฝานใช้มือลูบ รู้สึกถึงพลังความร้อนส่งผ่านหยกอุ่นออกมา เคลื่อนไหวไปทั่วร่างกายเขา

ปราณชี่ของเขาได้รับการกระตุ้น และเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 488
“วันเวลาและเรื่องราวที่ผ่านไป มองฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวด้วยดวงตาที่มีน้ำตา กี่ปีผ่านไปด้วยกี่ความฝัน ไม่สามารถพูดออกมาได้ ล้วนผ่านไปท่ามกลางหญิงงาม”

ทันใดนั้น ลู่ฝานรู้สึกมีความเศร้าที่พูดไม่ออกอยู่ภายในใจ

แค่เนื้อเพลงไม่กี่ประโยค กลับทำให้เขารู้สึกว่าจิตใจตัวเองวูบไหวเพราะมัน รวมไปถึงสภาพจิตใจของเขา เหมือนโดนคนโยนหินใส่ มันวูบไหวไปหมด

ลู่ฝานถามว่า “ใครเป็นคนร้องเพลง”

หลิ่วหยีหันมาพูดว่า “อ๋อ คุณอู่คงหลิง เธอเป็นหนึ่งในแขกผู้มีเกียรติของสวนหอมปาฟางเหมือนกันค่ะ พักอยู่ที่นี่ครึ่งปีกว่าแล้ว แขกผู้มีเกียรติจำนวนมาก ล้วนมาเพราะคุณอู่คงหลิง ว่ากันว่าก่อนหน้านี้ คนที่เป็นเจ้าหน้าที่เมืองตงหวาทะเลาะกัน เพราะอยากมาเจอคุณอู่คงหลิงสักครั้ง”

หานเฟิงหัวเราะแล้วพูดว่า “ดูเหมือนเป็นหญิงงามที่ได้รับความนิยมอีกแล้ว ศิษย์น้องลู่ฝาน นายจะไปเจอไหม”

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “ถ้ามีโอกาสก็อยากเจอสักหน่อย”

หลิ่วหยียิ้มแล้วพูดว่า “ลูกค้าทั้งสองท่าน เรื่องนี้เราช่วยไม่ได้ ถ้านายอยากเจอคุณอู่คงหลิงก็ไปรอด้านนอกห้องที่อยู่ด้านในสุด พูดไปด้วยว่าอยู่ในห้องชั้นยอดจะได้ไม่ทะเลาะกัน ไม่ว่าเหตุผลหรือเป้าหมายใด แค่มีการทะเลาะกัน จะโดนไล่ออกจากสวนหอมปาฟาง ทั้งสองท่านต้องจำไว้ให้ดี”

ลู่ฝานอมยิ้มแล้วพยักหน้า

หานเฟิงรีบถามคำถามอื่นออกมา “ห้องชั้นยอด มีอะไรน่าสนุกบ้าง คุณหลิ่วหยี นายเข้าใจความหมายของผมไหม”

หลิ่วหยีเผยรอยยิ้มเข้าใจ หัวเราะแล้วพูดว่า “มีอยู่แล้ว แต่ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความสมัครใจของตัวเอง ถ้านายต้องการทำเรื่องที่มีความสุข ต้องดูความสามารถของนายเอง แน่นอนว่าผู้หญิงที่นี่ล้วนชอบแขกผู้มีเกียรติ”

หานเฟิงหัวเราะออกมา ท่าทางลามกนั่น ทำให้ลู่ฝานอยากเดินหนีไปไกลๆ จริงๆ

ไม่นานทั้งสองคนเดินมาถึงห้องของตัวเอง

เมื่อเงยหน้ามอง เห็นหอลอยฟ้าส่องแสงกะพริบ

หลิ่วหยีพูดว่า “ทั้งสองท่านทางนี้คือหอลอยฟ้าของพวกคุณ แต่พวกคุณมีบัตรผลึกหินแค่ใบเดียว ดังนั้นจึงเตรียมหอลอยฟ้าให้พวกคุณได้แค่ห้องเดียว แต่วางใจเถอะ หอลอยฟ้าใหญ่มาก อันที่จริงขึ้นไปสิบกว่าคนยังไม่เป็นไรเลย ถ้าคุณต้องการอะไร บอกสาวใช้ของเราได้เลย แค่นายพูดออกมา พวกเราจัดหาให้ได้ แน่นอนว่านายก็ต้องจ่ายเงิน”

ลู่ฝานพยักหน้าเข้าใจ หานเฟิงหัวเราะแล้วพูดว่า “ฉันพูดแล้ว พวกเธอทำให้ได้หมดเลยเหรอ พูดโอ้อวดเกินไปหรือเปล่า แต่ฉันชอบ ถ้าฉันพูดว่าฉันอยากได้มงกุฏของฮ่องเต้ประเทศอู่อานคนปัจจุบันล่ะ พวกเธอก็หาให้ได้เหรอ”

หานเฟิงคิดว่าประโยคนี้จะทำให้หลิ่วหยีกระอักกระอ่วน แต่หลิ่วหยีกลับยิ้มแล้วพูดว่า “เรื่องนี้ นายสามารถจ่ายเงินราคาจวนของผู้แข็งแกร่งเซียนบู๊ได้ไหมล่ะ”

หานเฟิงอึ้งไป “หมายความว่าอะไร”

หลิ่วหยียกนิ้วขึ้นมาหนึ่งนิ้ว “มงกุฏของฮ่องเต้คนปัจจุบันของประเทศอู่อาน คือราคานี้ ทรัพย์สมบัติทั้งหมดของผู้แข็งแกร่งเซียนบู๊”

หานเฟิงพูดอย่างตกใจ “เธอกำลังล้อเล่นใช่ไหม”

หลิ่วหยีกะพริบตาแล้วพูดว่า “ถ้านายรู้เรื่องเมื่อสามปีก่อน ที่มงกุฏของผู้นำประเทศเป่ยเสินโดนขโมย ก็จะไม่คิดว่าฉันล้อเล่น ขอให้ทั้งสองท่านพักอย่างมีความสุข”

พูดจบหลิ่วหยีเดินออกไปช้าๆ

หานเฟิงมองแผ่นหลังหลิ่วหยี “เธอกำลังล้อเล่นใช่ไหม”

ลู่ฝานส่ายหน้า “ผมไม่คิดว่าเธอกำลังล้อเล่น”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 487
เมฆปกคลุม หอลอยฟ้า

สิ่งที่ปรากฏอยู่ในสายตาคือหอลอยฟ้าเรียงรายกลางอากาศ

ชายคาที่โค้งขึ้นแบบจีน แกะสลักรูปมังกรและหงส์

บันไดหินขึ้นไปยังหอลอยฟ้า

เมื่อมองออกไป เหมือนสู่แดนของเทพเซียน

พื้นดินมีแสงสีทองกะพริบ อักษรยันต์แกะสลักเป็นแถว เมื่อมองดูดีๆ จะพบว่าตัวอักษรพวกนี้ไม่เพียงแต่จะลึกลับ อีกทั้งยังเป็นบทอีกด้วย

ระหว่างประโยคดูเข้ากัน เป็นวิชาบทหนึ่ง

คนใช้หญิงที่เดินเข้ามาก็งดงามจนผิดปกติ

ผู้ชายก็หล่อเหลา ไม่สวมชุดคลุมแบบยาวก็สวมชุดแบบสั้น เผยให้เห็นกล้ามเนื้ออันแข็งแกร่ง แม้แต่งตัวแบบคนใช้ แต่ไม่สามารถปกปิดความองอาจได้

ขนาดลู่ฝานยังยอมรับ ทำไมผู้ชายพวกนี้เกิดมาหล่อขนาดนี้

ผู้หญิงยิ่งดีเข้าไปใหญ่ แต่งหน้าอ่อนๆ แต่กลับงามจนน่าตกใจ สวมชุดแบบสาวจีนโบราณ รอยยิ้มพวกเธอ กระชากหัวใจได้เลย

ศิษย์พี่หานเฟิงมองจนน้ำลายจะไหลออกมา

ตบไหล่ลู่ฝานไม่หยุด “ศิษย์น้องลู่ฝาน เป็นสถานที่ที่ดีมาก ดีอย่างแท้จริง ในที่สุดฉันก็รู้แล้วว่าทำไมพวกพี่ชายฉันถึงชอบมาที่นี่ ทำไมพวกเขาถึงดูถูกสถานบันเทิงพวกนั้น พระเจ้า ยังดีที่ฉันไม่ได้มอบครั้งแรกของฉันให้พวกผู้หญิงแต่งหน้าหนาเตอะ”

หานเฟิงมัดเชือกกางเกงตัวเอง แล้วสูดหายใจลึก “ศิษย์น้องลู่ฝาน เมื่อถึงพรุ่งนี้ฉันจะเป็นผู้ชายอย่างแท้จริงแล้ว ดีใจกับฉันสิ วางใจเถอะ ฉันจะไม่บอกเรื่องที่นี่กับคนรักของนาย ฉันไม่ปากเปราะหรอก ศิษย์น้องลู่ฝาน นายสนุกได้อย่างสบายใจ”

ถ้าลู่ฝานเชื่อว่าศิษย์พี่หานเฟิงไม่ปากเปราะสิถึงจะแปลก ปากของเขาหลวมเหมือนเชือกมัดกางเกง จะปิดปากเงียบได้ยังไง

โอเค ตอนแรกลู่ฝานเข้าใจว่าที่นี่เป็นสถานที่ดีจริงๆ ตอนนี้ดูเหมือนว่ามันจะดีจริงแฮะ

ทั้งสองคนกำลังยืนอึ้งอยู่หน้าประตู สาวงามคนหนึ่งเดินอย่างอ่อนช้อยเข้ามา

“ทั้งสองท่านมาครั้งแรกใช่ไหม ต้องการให้ฉันแนะนำทั้งสองท่านไหม”

ผู้หญิงยิ้มบางๆ รอยยิ้มเหมือนดอกไม้ผลิบาน เหมือนน้ำทิพย์ชโลมใจ

ตาเฉี่ยว คิ้วโค้งสวย ริมฝีปากแดง มีไฝตรงมุมปากหนึ่งเม็ด หุ่นมีน้ำมีนวล เสื้อผ้าที่ดูบางเล็กน้อย ทำให้เห็นผิวขาวดุจหิมะที่อยู่ข้างในเล็กน้อย

เสื้อผ้าแบบนี้ ออกแบบมาเพื่อยั่วยวนจิตใจคนชัดๆ

หานเฟิงกลืนน้ำลายเบาๆ จากนั้นพยักหน้าอย่างแรง “ต้องการ”

ลู่ฝานไม่ได้พูดอะไร ถือว่าเห็นด้วยโดยปริยาย

ผู้หญิงยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “ฉันขอแนะนำตัวเองก่อน ฉันชื่อ หลิ่วหยีเป็นหนึ่งในผู้ดูแลของห้องชั้นยอดคิดว่าทั้งสองท่านคงเห็นแล้ว ห้องชั้นยอดของเรา เป็นห้องชั้นยอดอย่างแท้จริง”

พูดพลาง หลิ่วหยีชี้ไปที่หอบนท้องฟ้า

หานเฟิงยิ้มแล้วพูดว่า “เห็นแล้ว พวกเราเพิ่งเคยเห็นหอลอยฟ้าที่โอ่อ่าแบบนี้เป็นครั้งแรก”

หลิ่วหยีพูดว่า “นี่เป็นความดีความชอบของเจ้าของสวนหอมปาฟาง เขาวางค่ายกลไว้ที่นี่ด้วยตัวเอง เขียนบทวิชาหอมเอาไว้ นั่นก็คืออักษรยันต์ค่ายกลที่สลักอยู่บนแผ่นหินใต้เท้าเรา บทนี้มีพลังลอยขึ้นได้ ถ้ามีคนโชคดีทำความเข้าใจได้ ก็นับว่าเป็นวิชาการช่วยเหลือที่ไม่เลว ทั้งสองท่านลองดูได้”

แววตาลู่ฝานดูสนใจ แต่ความสนใจของหานเฟิงอยู่ที่หลิ่วหยีตั้งแต่ตอนแรกถึงตอนนี้ยังไม่ละสายตาเลย

ลู่ฝานเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ เขาพบคนแปลกเยอะมาก

มีเสียงเพลงดังมาจากไกลๆ ไม่มีเสียงพิณประสาน เป็นแค่เสียงเพลง แต่กลับทำให้คนรู้สึกเหมือนฟังเสียงธรรมชาติ

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 486
เมื่อเห็นสถานการณ์ตึงเครียด หลินซันขมวดคิ้วพูดว่า “ทำอะไร ลงมือในสวนหอมปาฟาง พวกนายไม่อยากมาที่นี่อีกแล้วใช่ไหม หยุดเดี๋ยวนี้”

เสียงเหมือนเสือคำราม ทำให้ทุกคนหยุดการกระทำทันที

เมี่ยวหยู่ชี้ลู่ฝานกับหานเฟิงแล้วพูดว่า “สองคนนี้เริ่มก่อน ผู้อาวุโสหลินซัน ตามกฎของสวนหอมปาฟาง ต้องไล่พวกเขาออกไปตอนนี้เลยใช่ไหม”

พวกคุณชายพากันพูดเสริมว่า “ใช่ๆ เราเห็นทั้งหมด พวกเขาลงมือก่อน พวกบ้านนอกที่ใส่เสื้อผ้าไม่เป็น รีบไล่พวกเขาออกไปเลย”

หลินซันขี้เกียจสนใจเมี่ยวหยู่และคนอื่น เดินตรงมาข้างลู่ฝาน แล้วพูดว่า “คุณชาย ขอโทษด้วย เราต้อนรับบกพร่อง เสียมารยาท ผมแจ้งหัวหน้าด้านในแล้ว ทั้งสองท่านเชิญเข้าไปในห้องชั้นยอดเลยครับ”

คำพูดของหลินซันทำให้ทุกคนตกตะลึง

เมี่ยวหยู่กรีดร้องออกมาว่า “เป็นไปไม่ได้!”

หลินซันหันมาถลึงตาใส่เมี่ยวหยู่ จากนั้นเอาบัตรผลึกหินของลู่ฝานออกมาคืนให้เขา

ลู่ฝานรับบัตรผลึกหินมา รู้สึกผิดปกติเล็กน้อย เหมือนบัตรผลึกหินมีแสงสีทองเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ด้านในยังมีพลังฟ้าดินอันบริสุทธิ์อีกด้วย

ไม่ใช่ฝีมือของนักบู๊แน่นอน น่าจะเป็นวิธีของผู้ฝึกชี่ แม้จะเล็กน้อยมาก แต่หนีสายตาลู่ฝานไม่พ้นหรอก

ที่นี่มีผู้ฝึกชี่!

เมื่อเห็นสีหน้าลู่ฝานเปลี่ยนไปเล็กน้อย ใบหน้าของหลินซันมีรอยยิ้ม เขาแน่ใจแล้ว

หลินซันพูดอธิบายว่า “ใส่พลังประจำตัวของสวนหอมปาฟางเข้าไปด้านในนิดหน่อย อาศัยสิ่งนี้ ต่อไปไม่ว่านายจะไปเขตไหน ไม่จำเป็นต้องแสดงบัตรผลึกหินอีก แค่บนตัวมีออร่านี้ ก็สามารถรับบริการจากสวนหอมปาฟางได้”

ลู่ฝานพยักหน้า สะดวกขึ้นเยอะเลย

หลินซันผายมือขวา พาพวกลู่ฝานมาถึงหน้าประตู มองลู่ฝานกับหานเฟิงเดินเข้าไปในประตู

หลินซันมองส่งลู่ฝานกับหานเฟิงเข้าไปข้างใน ส่วนตัวเขาเองไม่ได้เข้าไปอีก

เมี่ยวหยู่และคนอื่นลุกขึ้นยืน ขวางทางหลินซันเอาไว้ “ผู้อาวุโสหลินซัน นี่ไม่ยุติธรรม อย่าบอกนะว่าในบัตรของเขามีเงินถึงล้านเหรียญทอง ฉันไม่เชื่อเด็ดขาด”

หลินซันพูดอย่างราบเรียบว่า “บัตรผลึกหินของพวกเขามีเงินไม่พอจริงๆ”

เมี่ยวหยู่หัวเราะอย่างเย็นชาทันที “งั้นหมายความว่าสวนหอมปาฟางไร้ความยุติธรรมเหรอ ฉันต้องเอาเรื่องวันนี้ไปป่าวประกาศ สวนหอมปาฟางที่มีกฎเยอะแยะ ที่แท้กลับไม่เคารพกฎที่สุด”

หลินซันมองเมี่ยวหยู่แล้วพูดว่า “เธอจะป่าวประกาศก็ทำสิ พวกเขาสองคนไปที่ไหน น่าจะได้รับการปฏิบัติอย่างดี พวกเธอเทียบไม่ได้หรอก เหอะๆ อย่าบอกนะว่าปฏิบัติอย่างดีกับผู้ฝึกชี่ เป็นสิ่งที่ผิดเหรอ เธอไปป่าวประกาศได้ตามสบายเลย”

พูดจบ หลินซันผลักเมี่ยวหยู่แล้วเดินออกไป

เมี่ยวหยู่เบิกตาโต เธอช็อกไปแล้ว

ผู้ฝึกชี่ ในสองคนนั้น มีหนึ่งคนเป็นผู้ฝึกชี่ผู้สูงส่ง……

ไม่เพียงแค่เมี่ยวหยู่ พวกคุณชายกับคุณหนูที่อยู่ที่นี่พากันตะลึง

พวกเขาเพิ่งหัวเราะเยาะผู้ฝึกชี่งั้นเหรอ

พระเจ้า ถ้าเรื่องนี้ถูกพูดออกไป พวกเขาต้องโดนผู้อาวุโสตระกูลตัวเองทำโทษเพราะเรื่องนี้แน่นอน

จู่ๆ คนพวกหนีพากันออกไปอย่างสลด

เมี่ยวหยู่ก็ไม่กล้าพูดอะไรมาก รีบพาคนออกไปทันที

เดิมทีพวกเขากำลังเดือดดาล เมื่อได้ยินคำว่าผู้ฝึกชี่ ต่างพากันสงบลงทันที

แม้อีกฝ่ายจะเป็นเพียงผู้ฝึกชี่ระดับหนึ่ง พวกเขาก็ไม่สามารถล่วงเกินได้ บนวิถีแห่งนี้ ผู้ฝึกชี่เดินไปไหน ล้วนได้รับการปฏิบัติอย่างดี นี่เป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว

ส่วนลู่ฝานกับหานเฟิงเดินเข้ามาในประตู มองทุกสิ่งตรงหน้า

แอบกลืนน้ำลายเบาๆ เป็น……สถานที่ดีจริงๆ!

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 485
เตะเพียงแค่ครั้งเดียว ทำให้เมี่ยวหยู่กลิ้งไปหลายรอบ หน้าตามอมแมมไปหมด

ลู่ฝานมองศิษย์พี่หานเฟิงอย่างตกตะลึง “ศิษย์พี่หานเฟิง พี่ไม่ลงมือกับผู้หญิงไม่ใช่เหรอ”

หานเฟิงยิ้มแล้วพูดว่า “ต้องดูด้วยว่าผู้หญิงแบบไหน ผู้หญิงปากจัดแบบนี้ จะให้ฉันอ่อนโยนด้วยเหรอ ให้ตายเถอะ เธอเป็นคนดีเหรอ”

ลู่ฝานหัวเราะออกมา

พวกคุณชายที่อยู่รอบๆ พากันตะลึง พวกเขาคิดไม่ถึงว่าหานเฟิงจะโหดเหี้ยมเช่นนี้ กล้าลงมือรุนแรงกับปากจัด

ให้ตายเถอะ เมี่ยวหยู่เป็นคุณหนูของจวนหัวหน้าเขตเชียวนะ

แม้ไม่ได้เป็นลูกสาวแท้ๆ ของหัวหน้าเขตอี้ว์แต่สนิทสนมกว่าหม่าจิ่นเยอะ

หม่าจิ่นอึ้งไปก่อนในตอนแรก จากนั้นเขาพุ่งเข้ามา

“ไอ้เลวสองคนนี้ พวกนายรนหาที่ตาย”

อาวุธอยู่ในมือ หม่าจิ่นปล่อยพลังปราณแดนปราณในชั้นสูงสุดออกมาทันที

พลังปราณระดับนี้ ถึงอยู่ในสถาบันสอนวิชาบู๊ก็นับว่าไม่เลวแล้ว แต่เมื่อเขาใช้กระบวนท่ากระบี่ ลู่ฝานถึงกับขมวดคิ้วขึ้นมา

บนโลกนี้มีวิชากระบี่ที่อ่อนปวกเปียกแบบนี้ด้วยเหรอ

พระเจ้า กระบวนท่ากระบี่ของหม่าจิ่นราวกับผีเสื้อท่ามกลางดอกไม้ ล่องลอยพลิ้วไหว แสงกระบี่สะดุดตา

วิชากระบี่แบบนี้ ก็งดงามอยู่ แต่ช่องโหว่เยอะเกินไป

เป็นช่องโหว่แทบจะทุกที่ ลู่ฝานคิดว่าแค่ตัวเองเอาท่อนไม้มาแทงผ่านแสงกระบี่ ก็สามารถแทงลงบนตัวของเขาให้เป็นรูได้เลย

ไม่ต้องพูดถึงเรื่องแดนผลการฝึกตนของทั้งสองคน ที่แตกต่างกันเป็นอย่างมาก แค่วิชากระบี่ของหม่าจิ่น ถึงหม่าจิ่นเป็นนักบู๊แดนปราณชีวิต ลู่ฝานเชื่อว่าตัวเองสามารถฆ่าเขาได้สบายๆ

ลู่ฝานขี้เกียจใช้กระบี่ เขายื่นนิ้วออกมาแตะ

ทันใดนั้นทะลุผ่านไปแสงกระบี่เป็นชั้นๆ ของหม่าจิ่น ร่วงลงบนหว่างคิ้วของคุณชายหม่าจิ่น

ปราณชี่กลายเป็นพลังปราณบนนิ้ว จู่ๆ มีพลังระเบิดออกมาหลายสิบเท่า

หม่าจิ่นสั่นไปทั้งตัว ล้มลงบนพื้นน้ำลายฟูมปาก

ไม่เพียงแค่นั้น ท่อนล่างของหม่าจิ่นเปียกชื้นไปทั้งหมด การกระทำของลู่ฝาน ทำให้เขาไม่สามารถควบคุมปัสสาวะกับอุจจาระได้ กลิ่นไม่พึ่งประสงค์ลอยคละคลุ้ง

“ฆ่าคนแล้ว!”

คุณหนูตระกูลร่ำรวยส่งเสียงออกมาด้วยความตกใจ

ยามที่เฝ้าประตูมองอย่างเย็นชา ไม่มีท่าทีจะเข้ามาห้าม

พวกคุณชายถอยหลังด้วยสีหน้าหวาดกลัว คนที่ชีวิตอยู่ดีกินดีแบบพวกเขา เกิดมาหลายสิบปีไม่เคยฆ่าไก่สักตัว จะรับเหตุการณ์แบบนี้ได้อย่างไร

ตอนนี้คุณเมี่ยวหยู่ที่โดนหานเฟิงเตะออกไป กรีดร้องออกมาแทบขาดใจ

“ฆ่าพวกเขา ฆ่าพวกเขาซะ แค่ฆ่าเขาได้ ฉันจะให้แสนเหรียญทอง พวกนายอยากได้อะไร บอกฉันมาได้เลย”

เมื่อได้ยินเสียงตะโกนของเมี่ยวหยู่ พวกคุณชายที่มีความสามารถอยู่บ้าง เข้ามาล้อมลู่ฝานกับหานเฟิงเอาไว้

“ยอมแต่โดยดีเถอะ พวกนายกล้าก่อเรื่องแบบนี้ในเมืองตงหวา อยากโดนประหารเก้าชั่วโคตรเหรอ”

คุณชายที่ถือดาบยาวในมือพูดด่าเสียงดัง

ได้ยินคำว่าประหารเก้าชั่วโคตร หานเฟิงเกือบหลุดขำไม่ไหว “นายจะประหารฉันเก้าชั่วโคตรเหรอ เหอะๆ นายนี่เก่งกว่าซาตานอีกนะ ตอนนั้นคนที่ฝึกวิชาชั่วร้าย ยังไม่สามารถทำลายตระกูลฉันได้ พวกนายพูดอวดดีจริงๆ มาสิ ฉันจะรออยู่ นายประหารฉันก่อนแล้วค่อยว่ากัน ไอ้พวกขี้ขลาด”

พูดจบ เสื้อปราณปกคลุมร่างกายหานเฟิง

เมื่อเห็นหานเฟิงปล่อยพละกำลังระดับแดนปราณนอกออกมา มีคนถอยหลังทันที เห็นได้ชัดว่าคิดไม่ถึงว่าหานเฟิงจะเป็นยอดฝีมือแดนปราณนอก

ลู่ฝานกำลังจะปล่อยเสื้อปราณปกคลุมร่างกายตัวเองเช่นกัน แต่ขณะนั้น หลินซันเดินกลับมา

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 484
ลู่ฝานจิตใจวูบไหว หลินซันต้องมีพละกำลังแข็งแกร่งแน่นอน อย่างน้อยต้องอยู่ในแดนปราณชีวิต

ให้ตายเถอะ ทำไมมาถึงก็เจอกับยอดฝีมือแบบนี้แล้ว อย่าบอกนะว่าในเมืองตงหวา มียอดฝีมือแดนปราณชีวิตอยู่มากมาย

ลู่ฝานเกิดความรู้สึกประหลาดในใจ คุณชายและคุณหนูที่อยู่รอบๆ โดนสายตาของหลินซันจ้องจนไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมา

หลินซันหันมาพยักหน้าให้ลู่ฝานเบาๆ ทันใดนั้นลู่ฝานได้ยินเสียงดังขึ้นข้างหู

“นายรอสักครู่ ผมเข้าไปแจ้งหัวหน้าก่อน”

พูดจบ หลินซันเดินเข้าผ่านประตูบานใหญ่ เข้าไปในห้องชั้นยอด ยามเฝ้าประตู ปิดประตูลงด้วยสายตาไม่แยแส

ศิษย์พี่หานเฟิงพูดขึ้นข้างๆ ว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน เกิดอะไรขึ้น ทำไมเขาไปแล้วล่ะ เราต้องรออยู่ที่นี่เหรอ”

ลู่ฝานหันมามองหานเฟิงอย่างสงสัย “ศิษย์พี่หานเฟิง พี่พาผมมาที่นี่ ทำไมพี่ถึงเอาแต่ถามผมล่ะ พี่ไม่เคยมาเหรอ”

หานเฟิงลูบจมูกแล้วพูดว่า “ฉันก็มาเป็นครั้งแรกเหมือนกัน แต่ก่อนตอนอยู่บ้าน ได้ยินพวกพี่ใหญ่โม้ตลอดเวลาว่าสวนหอมปาฟางดีขนาดไหน ฉันก็อยากสัมผัสดูสักครั้ง ใครจะไปรู้ว่าที่นี่ต้องการบัตรผลึกหิน ยังมีกฎเยอะแยะไปหมด ศิษย์น้องลู่ฝานเอาบัตรผลึกหินมาจากไหน ฉันจะไปทำสักใบ”

ลู่ฝานพูดอย่างราบเรียบว่า “คนอื่นให้มา รอที่นี่เถอะ เขาให้พวกเรารอที่นี่ เขาเข้าไปบอกหัวหน้า เราน่าจะเข้าไปได้”

ลู่ฝานเพิ่งพูดจบ คุณเมี่ยวหยู่ที่เพิ่งพูดเมื่อกี้ หัวเราะขึ้นมาแล้วพูดว่า “พวกบ้านนอกสองคน กล้าพูดว่าตัวเองเข้าไปในห้องชั้นยอดได้ น่าขำชะมัด เคยเห็นคนขี้โม้นะ แต่ไม่เคยเห็นคนขี้โม้ขนาดนี้”

เมี่ยวหยู่มองลู่ฝานกับหานเฟิงด้วยแววตาดูหมิ่น จนแทบจะทะลุออกจากตา

พวกคุณชายที่อยู่ข้างๆ ก็หัวเราะออกมา หัวเราะเยาะความอวดดีของลู่ฝาน

ลู่ฝานขี้เกียจสนใจพวกเขา แค่มองเมี่ยวหยู่อย่างดูหมิ่น

คนที่ตัวเองเข้าไม่ได้ แล้วก็ไม่อยากคนอื่นเข้าไม่ได้เหมือนกัน เขาเห็นมาเยอะแล้ว คนต่ำตมก็นิสัยแบบนี้ ลู่ฝานขี้เกียจถือสาเอาความคนแบบนี้

แต่หานเฟิงทนฟังไม่ไหวแล้ว พูดเสียงดังว่า “ขำอะไร มีอะไรน่าขำ พวกนายเข้าไปไม่ได้ คนอื่นก็เข้าไม่ได้งั้นเหรอ พวกตาต่ำมองคนอื่นต่ำต้อย พวกตาบอดตาต่ำ”

คำพูดของหานเฟิงล่วงเกินพวกคุณชายที่อยู่ที่นี่

“นายพูดอะไร กล้าก็พูดอีกรอบสิ”

คุณชายหม่าจิ่นที่กำลังโมโหหลินซันเมื่อครู่ เดินออกมาจ้องหานเฟิงแล้วพูดขึ้น

คุณเมี่ยวหยู่ก็เหมือนแมวโดนเหยียบหาง พูดเสียงสูงว่า “ไอ้บ้านนอก แกว่าใคร”

ถ้าพูดเรื่องทะเลาะ หานเฟิงไม่เคยกลัวใคร เขาเดินเข้ามาชี้หน้าคุณชายหม่าจิ่นแล้วพูดว่า “ฉันว่าพวกนายตาต่ำ ตาต่ำ ตาต่ำ……”

หานเฟิงพูดติดต่อกันสิบกว่าครั้ง จนน้ำลายจะกระเด็นใส่หน้าคุณชายหม่าจิ่นแล้วพูดต่อ “ไม่เคยเห็นใครมีความต้องการแบบนี้มาก่อน โดนคนด่าแล้วสบายใจเหรอ”

คุณชายหม่าจิ่นโมโหจนแทบจะระเบิดแล้ว คุณเมี่ยวหยู่ดึงกระบี่ออกมาจากเอว ที่แท้เธอมีสิ่งของอากาศธาตุ

ลู่ฝานกับหานเฟิงก็มีอาวุธอยู่ในมือเหมือนกัน ลู่ฝานสีหน้าหมดคำจะพูด

ทำไมจะทะเลาะกันอีกแล้ว ศิษย์พี่หานเฟิงของเขาไปที่ไหนมีแต่เรื่องจริงๆ

เมี่ยวหยู่ดึงกระบี่แล้วพุ่งเข้ามา กระบี่พุ่งมาตรงปากของหานเฟิง

“ฉันจะจัดการปากสุนัขของนายก่อน”

หานเฟิงมองกระบี่อ่อนยวบของเมี่ยวหยู่ จากนั้นเตะออกมา เข้าที่ท้องของเมี่ยวหยู่พอดี

“ให้ตายเถอะ ไอ้เลวเอ๊ย!”

ตอนลู่ฝานเอาบัตรเหรียญทองออกมา ชายวัยกลางคนสีหน้าเปลี่ยนไปทันที

ทันใดนั้นชายวัยกลางคนลุกขึ้นยืน รับบัตรเหรียญทอง หลังจากมองดูดีๆ เขาพยักหน้าแล้วพูดว่า “แขกผู้มีเกียรติ เชิญด้านใน”

ลู่ฝานยิ้มแล้วพยักหน้า เป็นธุรกิจของสำนักเงินปาฟางจริงๆ

เมื่อเป็นเช่นนี้ น่าจะไม่ใช่สถานที่ไม่ดีอะไร

ชายวัยกลางคนพาลู่ฝานและคนอื่น เดินเข้ามาข้างใน ดูที่ภายนอกเป็นเหมือนร้านค้าเล็กๆ แต่หลังจากเข้ามา เดินเข้ามาได้ไม่ไกล กลับดูกว้างขวาง

ศาลาจุดชมวิวริมน้ำ คานไม้แกะสลัก ห้องใต้หลังคาเรียงราย

คนเดินขวักไขว่ไปมาตรงทางเดิน มีคนเดินผ่านข้างๆ ล้วนเป็นคนที่สวมผ้าไหมผ้าแพร เสื้อผ้าหรูหรา

มีเสียงพิณดังขึ้นข้างหูเบาๆ เหมือนเสียงในหุบเขา ทำให้จิตใจเบิกบานผ่อนคลาย

ดูออกเลยว่าที่นี่เป็นสถานที่งดงามสูงส่ง

คิดไม่ถึงว่าศิษย์พี่หานเฟิงจะพาเขามาสถานที่ดีจริงๆ

ลู่ฝานมีรอยยิ้มบนใบหน้า ภายใต้การนำของชายวัยกลางคน เดินมาจนถึงที่พักสวนดอกไม้

ที่นี่มีวัยรุ่นอยู่ไม่น้อยเลย

เมื่อเห็นชายวัยกลางคนมาถึง คุณหนูคุณชายที่ดูฐานะสูงส่ง สวมเสื้อผ้าดูเป็นทางการ พากันล้อมเข้ามา

“ผู้อาวุโสหลินซัน พาพวกเราเข้าไปในห้องชั้นยอดได้หรือยัง ฉันรออยู่ที่นี่หลายชั่วยามแล้ว”

“เธอเพิ่งรอไม่กี่ชั่วโมงเอง เรารอมาเกือบวันแล้ว ผู้อาวุโสหลินซัน ให้เราเข้าไปข้างในอำนวยความสะดวกๆ เถอะ”

ชายวัยกลางคนที่ถูกเรียกว่าหลินซันชะงักฝีเท้าลง พูดเสียงสูงว่า “คุณชายคุณหนูทุกท่านสวนหอมปาฟางมีกฎของตัวเอง ในเมื่อทุกคนมาหาความสุขความบันเทิง ได้โปรดทำตามกฎ เพื่อจะได้ไม่บาดหมางกัน คิดว่าคุณชายและคุณหนูทุกท่าน รู้กฎของห้องชั้นยอดกันหมดแล้ว ถ้ามีใครไม่รู้ ผมจะพูดอีกหนึ่งรอบ คนที่มีเหรียญทองในบัตรหนึ่งล้านเหรียญ สามารถเข้าห้องชั้นยอดได้ คนที่มีไม่พอ เชิญเดินไปรอที่ห้องชั้นกลาง หรือไม่ก็ห้องชั้นต่ำ รออยู่ตรงนี้นานแค่ไหนก็เปล่าประโยชน์”

หานเฟิงสูดหายใจเฮือก

“ล้านเหรียญทอง ให้ตายเถอะ ศิษย์น้องลู่ฝาน ในบัตรนายมีเยอะขนาดนี้ไหม”

ลู่ฝานส่ายหน้าไปมา “แค่จำนวนเศษส่วนยังไม่พอเลย”

หานเฟิงพูดเบาๆ ว่า “งั้นเรารีบไปดีไหม”

ลู่ฝานคิดแล้วพูดว่า “รอดูก่อน เขาคงไม่พาเรามาเป็นตัวตลก โดยไม่มีเหตุผลหรอก”

หานเฟิงขมวดคิ้วครุ่นคิด “เหมือนจะใช่ งั้นรอก่อนละกัน”

หลินซันเพิ่งพูดจบ คุณชายจำนวนไม่น้อย ถอยไปอยู่อีกฝั่งอย่างสลด

ยังมีกี่คนที่ไม่สบอารมณ์ คุณชายชุดขาวคนหนึ่งเดินเข้ามา “ผู้อาวุโสหลินซัน อย่าบอกนะว่าฉันเป็นหลานชายของหัวหน้าเขตอี้ว์ ก็ยังไม่มีสิทธิ์เข้าไปเหรอ”

หลินซันมีรอยยิ้มเย้ยหยัน มองคุณชายที่พูดออกมา แล้วพูดว่า “คุณชายหม่าจิ่นใช่ไหม ขอโทษด้วย อย่าว่าแต่นายเป็นหลานห่างๆ ของหัวหน้าเขตอี้ว์เลย ถึงนายเป็นลูกชายแท้ๆ ของหัวหน้าเขตอี้ว์ เงินไม่พอ ก็ไม่มีสิทธิ์เข้าไป ถ้านายต้องการใช้ฐานะข่มขู่ผม ผมขอโทษด้วย นายต้องไปสอบถามดูนะว่าใครเป็นคนเปิดสวนหอมปาฟาง”

คำพูดชุดนี้ ทำให้หม่าจิ่นหดคอกลับไป

เขารู้ดี ได้ยินว่าเบื้องหลังสวนหอมปาฟางไม่ใช่คนที่เขาแตะต้องได้

ทันใดนั้นผู้หญิงอีกคนพูดว่า “ในบัตรของฉันมีแปดแสนกว่า ขาดแค่ไม่กี่แสน ฉันก็เข้าไปไม่ได้เหรอ”

หลินซันส่ายหน้าพูดว่า “ขอโทษด้วยคุณเมี่ยวหยู่ นายเอาไม่กี่แสนนั่นมาให้ครบก่อน บอกว่าหนึ่งล้านก็หนึ่งล้าน จะทำลายกฎไม่ได้”

พูดจบ หลินซันกวาดตามอง ทันใดนั้นมีพลังปราณออกจากดวงตาทั้งสองข้างของหลินซัน


บทที่ 481

บทที่ 483

พวกเขานั่งนกเมฆ ไม่สามารถพาเข้าไปในเมืองได้ ทำได้เพียงฝากเลี้ยงไว้ที่สาขาหอฝึกสัตว์ แต่ก็ไม่เป็นปัญหา เพราะยังไงก็เป็นหอฝึกสัตว์ ไม่มีอะไรนอกจากเสียเหรียญทองเพิ่มขึ้นเท่านั้น

ทั้งสองคนเดินเล่นบนถนนเมืองตงหวา ไม่รู้ว่าเป็นดินแดนแห่งความเพ้อฝันหรือเปล่า ลู่ฝานพบว่าผู้หญิงในเมืองใหญ่ดูดีไม่น้อยเลย

เมื่อมองดูอย่างละเอียด ไม่ใช่เพราะว่าคนหน้าตาดี แต่เครื่องสำอางที่พวกเธอใช้ดีมาก

กลิ่นหอมอ่อนๆ ทำให้คนหลงใหล อีกทั้งทำไมเสื้อผ้าของพวกเธอ ถึงน้อยชิ้นขนาดนี้……

อืม ลู่ฝานรู้สึกว่าตัวเองชอบเมืองตงหวาแล้วล่ะ

“ศิษย์พี่หานเฟิง ต่อไปเราจะไปสอบประเมินแล้วใช่ไหม พี่รู้ไหมว่าสถานที่สอบอยู่ที่ไหน”

ศิษย์พี่หานเฟิงพูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “ฉันจะไปรู้ได้ไงล่ะ ถามคนสิ ศิษย์น้องลู่ฝาน เราหาที่นอนพักผ่อนก่อนดีกว่า นี่เราเดินทางมาหลายวันแล้ว ต้องพักผ่อนสักหน่อย จะได้มีพลังไปเข้าร่วมการสอบประเมิน จะได้มีโอกาสสอบผ่านไง ฉันจะพานายไปที่สุดเจ๋ง ไปกันๆ ไม่ต้องกลัวเสียเงิน ศิษย์พี่เลี้ยงเอง”

ลู่ฝานถามอย่างสงสัย “ศิษย์พี่หานเฟิง พี่มาเมืองตงหวาครั้งแรกไม่ใช่เหรอ พี่รู้ที่สุดเจ๋งได้ยังไง ช่างเถอะ ไปกับพี่ก็ได้ พี่อย่าทำให้เสียเรื่องก็พอ”

ศิษย์พี่หานเฟิงตบอกรับประกัน ไม่เสียเรื่องแน่นอน

เมื่อพูดเช่นนี้ ศิษย์พี่หานเฟิงพาลู่ฝานเดินเลี้ยวไปเลี้ยวมา มองซ้ายมองขวา เหมือนกำลังหาที่ที่มีสัญลักษณ์พิเศษอะไรบางอย่าง

ไม่นาน ศิษย์พี่หานเฟิงเห็นร้านค้าธรรมดาๆ ร้านหนึ่ง

ดูไม่ออกว่าร้านนี้ขายอะไร ไม่เหมือนร้านค้า ไม่เหมือนโรงน้ำชา มีเคาน์เตอร์วางอยู่หน้าประตู ปิดบังด้านในจนหมด อีกทั้งยังอยู่บนถนนที่คึกคักอีกด้วย

หน้าประตูร้าน มีป้ายวางอยู่อันหนึ่ง เขียนว่าตังค์สะเทือนแปดทิศ

ตัวอักษรนี้ดูมีขอบเขต คงเป็นความปรารถนาชั่วชีวิตของคนค้าขายจำนวนไม่น้อย

ศิษย์พี่หานเฟิงชี้ไปที่ป้ายแล้วพูดว่า “ถึงแล้วๆ ศิษย์น้องลู่ฝาน ฮ่าๆ ที่นี่แหละ ฉันอยากมาร้านแบบนี้ตั้งนานแล้ว ให้ตายเถอะ ครั้งนี้ลุงรองทำอะไรฉันไม่ได้แล้ว พี่ใหญ่ก็ทำอะไรฉันไม่ได้แล้ว ไม่มีใครทำอะไรฉันได้ ฮ่าๆๆๆ”

ศิษย์พี่หานเฟิงหัวเราะเสียงดัง ทำให้คนรอบๆ พากันปรายตามอง

“คนนี้บ้าหรือเปล่า”

“อย่ายอมแพ้ต่อการรักษาสิ!”

ลู่ฝานเว้นระยะห่างกับศิษย์พี่หานเฟิง ทำเหมือนไม่ค่อยสนิทกับเขา

ในที่สุดศิษย์พี่หานเฟิงก็หุบยิ้ม ดึงลู่ฝานมาหน้าเคาน์เตอร์ เอาถุงเหรียญเงินโยนลงบนเคาน์เตอร์แล้วพูดว่า “เอาห้องให้ฉันสองห้อง ขอแบบกว้างๆ สว่างๆ เออ เอาบริการพิเศษนั่นด้วย”

ลู่ฝานมองหานเฟิงด้วยสีหน้าประหลาด ที่นี่คงไม่ใช่……

ขณะที่ลู่ฝานกำลังคิดว่าชายวัยกลางคนหน้าตาลามกที่นั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์ เชิญพวกเขาเข้าไป

ชายวัยกลางคนมองหานเฟิงอย่างดูหมิ่นแล้วพูดว่า “ขอโทษด้วย โปรดแสดงบัตรผลึกหิน”
หานเฟิงอึ้งไป “บัตรผลึกหิน บัตรผลึกหินอะไร มีกฎนี้ด้วยเหรอ”

ชายวัยกลางคนยิ่งมีสายตาดูหมิ่น “กฎนี้ยังไม่รู้ มาพักที่นี่ทำไม นายไปพักที่อื่นเถอะ ที่มุมถนนมีห้องพักรวมอยู่ คืนละหนึ่งเหรียญเงิน ฉันคิดว่าเหมาะกับนายมาก”

หานเฟิงอ้าปากค้าง สีหน้ากระอักกระอ่วน

ลู่ฝานที่อยู่ข้างๆ เหมือนคิดอะไรออก แปดทิศ คงใช่สำนักเงินปาฟางใช่ไหม

ลู่ฝานเอาบัตรเหรียญทองของตัวเองออกมา แล้วพูดว่า “นายดูสิ อันนี้ได้ไหม”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 481
ตงหวากว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา

แม้เป็นแค่พื้นที่เขตเดียว แต่กลับครองพื้นที่หลายหมื่นลี้

เป็นไปไม่ได้ที่จะข้ามฟ้าโดยไม่พึ่งความว่างเปล่า ไม่ว่านกตัวไหนก็ต้องบินไปทางทิศใต้

ประชากรเกินร้อยล้าน สัตว์อสูรนับไม่ถ้วน

ทั้งเขตตงหวา นับว่าเป็นเขตใหญ่พันเขตแรก ในเขตมากมายของประเทศอู่อาน

ภายในเขตมีเมืองเล็กใหญ่เต็มไปหมด ที่มีชื่อเสียงที่สุดก็คือเมืองตงหวา เมืองหลักในเขต

ว่ากันว่าผู้นำประเทศอู่อานเคยมาที่เมืองตงหวาหนึ่งครั้ง เมื่อเห็นเมืองตงหวาแวบแรก ก็พูดว่า “เมืองอันยิ่งใหญ่เกิดขึ้นทางทิศตะวันออก เต็มไปด้วยชื่อเสียงรุ่งเรืองทั่วหล้า!”

ประโยคนี้สามารถอธิบายชื่อเสียงของเมืองตงหวาได้

คำคมนี้ยังสลักอยู่บนกำแพงเมืองตงหวาจนถึงตอนนี้เลย

ตอนลู่ฝานกับหานเฟิงเห็นเมืองตงหวาเป็นครั้งแรก ถึงกับยอมรับความยิ่งใหญ่ของมัน

กำแพงเมืองสูงตระหง่านเหมือนขุนเขา สูงประมาณสามร้อยเมตร ล้วนทำมาจากหินศิลาดำ และราดด้วยเหล็กหลอมเหลว ดูทนทาน ดำขลับเหมือนหมึก ส่องแสงสว่างไสวภายใต้แสงอาทิตย์

ประตูเมืองเหมือนไม่ให้คนธรรมดาเข้า เหมือนทำมาเพื่อคนที่มีรูปร่างสูงใหญ่ บนประตูบานใหญ่สีดำแดงทั้งสองด้าน มีลายดอกไม้ซับซ้อนสลักอยู่ เห็นได้ชัดว่าเป็นค่ายกลทั้งป้องกันและโจมตี ระยะทางไกลที่กั้นอยู่ ลู่ฝานสัมผัสได้ถึงพลังมหาศาลที่มาจากประตูเมือง

น้ำในคูเมือง ไหลอย่างรวดเร็ว สะพานเหล็กสิบสะพาน แข็งแกร่งทนทาน

กำแพงเมืองทั้งสองด้าน มียักษ์ยืนตระหง่าน ในมือมีดาบแหลมคม ดวงตาดุดัน

นี่คือหุ่นเชิดคุ้มครองเมืองที่มีชื่อเสียงของเมืองตงหวา เทพมารซ้ายขวา กล่าวกันว่ามีพละกำลังระดับผู้แข็งแกร่งแดนเซียนบู๊ แข็งแกร่งสุดยอด

เข้ามาในเมือง ถนนกว้างใหญ่ รถม้าสิบคันสามารถเดินเรียงกันได้

โรงน้ำชาวางเรียงราย ร้านค้าตึกต่างๆ เต็มไปหมด

เงยหน้ามองไปด้านหน้า หอคอยสูงสี่หอคอยตั้งตระหง่านไปทางทิศเหนือ ใต้ ออก ตกของเมืองตงหวา

นี่เป็นหอคอยเทพคุ้มครองสี่ทิศ ใช้พลังสัตว์เทพทั้งสี่หลอมขึ้นมา แบ่งเป็น มังกรฟ้าแห่งทิศตะวันออก เสือขาวแห่งทิศตะวันตก หงส์แดงแห่งทิศใต้ เต่าดำแห่งทิศเหนือ

ภายในนั้นมีมังกรฟ้าแห่งทิศตะวันออกเป็นหลัก ดูดพลังฟ้าดินเป็นพลังค่ายกล

ถึงเป็นผู้แข็งแกร่งแดนเซียนบู๊ ก็ไม่กล้ากำเริบเสิบสานในเขตที่มีหอคอยสัตว์เทพคุ้มครองปกคลุมอยู่

คนมากมายเดินไหล่ชนไหล่

มีคนมาค้าขายอย่างต่อเนื่อง รถราวิ่งขวักไขว่ เห็นได้ชัดว่าเมืองรุ่งเรืองมาก

ลู่ฝานยืนมองอยู่หน้าประตูเป็นเวลาประมาณหนึ่งก้านธูป แล้วพูดชมออกมาว่า “เป็นเมืองที่ยิ่งใหญ่จริงๆ”

หานเฟิงหัวเราะแล้วพูดว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน แค่นี้ก็ตกใจแล้วเหรอ ฮ่าๆ ดูเหมือนนายต้องเปิดหูเปิดตาเยอะๆ นะ ถ้าต่อไปนายไปเมืองหลวงของประเทศอู่อาน คงตกใจจนฟันหลุดเลยมั้ง”

เจ้าดำตกใจกับความรุ่งเรืองด้านหน้า เบิกตาโตมองไปรอบๆ เหมือนมันเพิ่งเคยเห็นเมืองของมนุษย์เป็นครั้งแรก มันมีสีหน้าอยากรู้อยากเห็นมาก

ลู่ฝานกลอกตามองบนใส่หานเฟิง “ศิษย์พี่หานเฟิง อย่าบอกนะว่าพี่ไปเมืองหลวงของประเทศอู่อานแล้ว”

หานเฟิงหัวเราะแล้วพูดว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน ดูถูกฉันเกินไปแล้ว อย่างน้อยฉันก็เจอโลกมาเยอะ รู้ไหมว่าอะไรคือโลก นั่นก็คือ……โลกที่กว้างใหญ่มากๆ ฉันไม่ได้โม้ใส่นายนะ ศิษย์พี่เจอเมืองใหญ่มาเยอะแล้ว”

ลู่ฝานพูดอย่างราบเรียบว่า “ผมรู้แค่ว่าถ้ามีใครมาพูดกับผมว่า ฉันไม่ได้โม้นะ ประโยคต่อไปเขาต้องโม้แน่นอน”

หานเฟิงอึ้งไป จากนั้นพูดว่า “นายต้องเชื่อฉันสิ วันหลังฉันกลับตระกูล จะเอาของดีมาให้นาย นายก็จะรู้ว่าสิ่งที่ออกมาจากเมืองใหญ่มันแตกต่างกัน”

ลู่ฝานขี้เกียจสนใจศิษย์พี่หานเฟิง อุ้มเจ้าดำที่หดตัวเล็ก เดินเข้าไปข้างใน

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 480
ลู่ฝานเกือบร้องไห้ออกมา เขากัดฟันพูดว่า “พ่อ ผมมีเงิน ไม่จำเป็นต้องใช้ของตระกูล”

ลู่หาวยิ้มแล้วตบไหล่ลู่ฝาน “เงินของนายคือเงินของนาย ในฐานะคนเป็นพ่อ นี่เป็นเรื่องที่ควรทำ นายมีความรับผิดชอบของนาย ฉันก็มีความรับผิดชอบของฉัน นายมีเรื่องที่ต้องทำ ฉันก็เหมือนกัน ให้นายเก็บไว้ นายก็เก็บไว้เถอะ”

ลู่ฝานสูดหายใจลึก เก็บเหรียญทองเอาไว้

ลู่หาวหรี่ตาลงแล้วพูดว่า “โอเค ไปเถอะ พรุ่งนี้ต้องออกเดินทางเร็ว บาดแผลของนายยังไม่หายดี พักผ่อนเยอะๆ ฉันจะไปดูท่านสวิน นายกลับห้องเถอะ”

ลู่หาวเดินไปทางเรือนเก็บหนังสือ ลู่ฝานยืนนิ่งอยู่ที่เดิม

นี่คือตระกูลลู่ นี่คือบ้านของเขา

ถึงเคยมีเรื่องบาดหมางใจกันมากมาย ถึงเขาเคยเกือบโดนไล่ออกจากตระกูลนี้

แต่ตระกูลก็คือตระกูล ความเสน่หาไม่มีวันสูญหายไป

ลู่ฝานกลั้นน้ำตาเอาไว้ ไม่นาน เขากลับมาเป็นเจ้าบ้านลู่ฝานที่สุขุมคนนั้น

เขายอมใช้ทุกสิ่งมาปกป้องตระกูลนี้

จนกระทั่งฟ้าถล่มดินทลาย จนกระทั่งชีวิตสูญสิ้น

ลู่ฝานเดินกลับมาที่ลานบ้านของตัวเอง

มองเพียงแวบเดียว ลู่ฝานเห็นฉินเอ๋อร์กำลังยุ่งอยู่ในลานบ้าน เธอกำลังรดน้ำดอกไม้อยู่ในลานบ้าน เธอทำอย่างตั้งใจและละเอียด มีรอยยิ้มบางๆ อยู่บนใบหน้า

เมื่อเห็นลู่ฝานกลับมา ฉินเอ๋อร์รีบหยุด แล้วพูดอย่างนอบน้อมว่า “เจ้าบ้านลู่ฝาน”

ลู่ฝานมองเธออย่างราบเรียบแล้วพูดว่า “ฉินเอ๋อร์ เธอมีคนในครอบครัวไหม”

ฉินเอ๋อร์พยักหน้า “เจ้าบ้าน พ่อแม่ฉันตายไปนานแล้ว มีแค่น้องชายคนเดียว”

ลู่ฝานพยักหน้าพูดว่า “มีโอกาสพาน้องชายเธอมาด้วยสิ คนในครอบครัวอยู่ด้วยกันดีที่สุด”

พูดจบ ลู่ฝานเดินเข้ามาในห้อง แล้วปิดประตูลงช้าๆ

ฉินเอ๋อร์สีหน้าซาบซึ้ง ครั้งนี้เธอรู้สึกว่าตัวเองติดตามถูกคนแล้ว ถ้าพาน้องชายมาได้ เธอยอมใช้ชีวิตเพื่อตอบแทนตระกูลลู่ ตอบแทนเจ้าบ้านลู่ฝาน

ลู่ฝานปิดประตูลง แล้วเข้าไปในจวนอากาศธาตุ

ก่อนจะไป เขาต้องเตรียมอะไรไว้ให้ตระกูล หลอมยาเม็ดทิ้งไว้สักหน่อย

……

วันต่อมา แสงอาทิตย์สาดส่องไปทั่ว

ลู่ฝาน เจ้าดำ และหานเฟิงตื่นแต่เช้า

ก่อนไปลู่ฝานบอกเรื่องค่ายกลกับลู่เฮ่าหราน อีกทั้งยังกำชับว่าตอนเขาใช้ค่ายกล ต้องระวังพลังปราณของตัวเอง อย่าสูญเสียมากเกินไป

ลู่เฮ่าหรานตกใจว่าตัวเองมีความสามารถควบคุมค่ายกลตั้งแต่เมื่อไร หลังจากเขาลองทดสอบดู สามารถเชื่อมโยงกับค่ายกลได้ เห็นพลานุภาพที่ปู่ลู่เฮ่าหรานกับลู่หาวกระตุ้นค่ายกล ลู่ฝานจึงวางใจทิ้งยาไว้แล้วออกไป

มีค่ายกลเสวียนเหล็กเจดีย์เก้าอยู่ ถึงสำนักโลหิตพิฆาตมาโจมตีอีก ก็สามารถต้านทานได้ระยะเวลา

ลู่ฝานคาดคะเนอยู่ครู่หนึ่ง พวกเขาไปกลับเมืองตงหวา ต้องใช้เวลาประมาณสิบวัน

สำนักโลหิตพิฆาตขาดทุนขนาดนี้ ถ้ายังส่งคนมาอีก เดาว่าต้องใช้เวลาประมาณสิบกว่าวัน

แน่นอนว่าตอนพวกเขาไป ไม่ได้ไปอย่างเอิกเกริก จากที่ลู่หาวพูด ไปแบบเงียบๆ ดีที่สุด หลีกเลี่ยงไม่ให้คนของสำนักโลหิตพิฆาตรู้ แล้วส่งคนมาฆ่าพวกเขา

ด้วยนั้น ลู่ฝานกับหานเฟิงจึงไปอย่างเงียบๆ ขนาดเจ้าดำยังกลายเป็นสุนัขตัวเล็กๆ ถูกลู่ฝานอุ้มเอาไว้

ลู่ฝานไม่รู้ว่าเดิมทีเจ้าดำเปลี่ยนขนาดตัวได้ด้วย อสูรวิเศษแตกต่างตามคาด

ทั้งสองคนนั่งนกเมฆ บินออกจากเมืองเจียงหลิน

มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออก เป้าหมายคือเมืองตงหวา!

ท่านสวินส่ายหน้าพูดว่า “ฉันอดทนมานานแล้ว สองสามวันนี้ เฮ่าหรานมาหาฉัน ลู่หาวก็มาหาฉันเหมือนกัน ลู่หมิงก็มาด้วย ฉันสั่งทุกคนเอาไว้แล้ว เดิมทีคิดจะไม่บอกนาย นายเป็นเจ้าบ้าน มีเรื่องยุ่งมากมาย ไม่จำเป็นต้องมากังวลกับคนแก่อย่างฉัน แต่ใครจะคิดว่านายก็ยังมา”

ลู่ฝานกัดฟันพูดว่า “ผมควรมาอยู่แล้ว ท่านสวินทำเพื่อตระกูลมาทั้งชีวิต จะจบแบบนี้ไม่ได้”

ท่านสวินหัวเราะแล้วพูดว่า “งั้นควรจบแบบไหนล่ะ คนเราต้องตาย แต่ในเมื่อนายมาแล้ว คงเป็นโชคชะตา ฉันจะบอกอะไรให้ มาใกล้ๆ ฉัน ตอนนี้แค่ฉันพูดดังก็เหนื่อยมากแล้ว”

ลู่ฝานเดินเข้ามาด้านหน้า ท่านสวินชี้แหวนบนมือลู่ฝานแล้วพูดว่า “แหวนเจ้าบ้าน เฮ่าหรานบอกนายแล้วใช่ไหมว่ามันมายังไง”

ลู่ฝานพยักหน้าพูดว่า “บอกแล้วครับ เก็บหินประหลาดมาได้ จากนั้นเอามันมาทำเป็นแหวน”

ท่านสวินพยักหน้า “ถูกต้องแล้ว แต่อันที่จริงเฮ่าหรานก็ไม่รู้เหมือนกัน เกี่ยวกับหินที่เอามาทำเป็นแหวน อันที่จริงที่มาไม่ธรรมดา ตอนเก็บแหวนวงนี้ ฉันอยู่ในเหตุการณ์ด้วย สิบลี้นอกพื้นที่ที่พวกเขาเก็บแหวนได้ มียอดฝีมือตายไปสองคน ต่อมาฉันสืบดู ถึงกับเกือบช็อก หนึ่งในนั้นคือเซียนบู๊หยูยินของประเทศอู่อาน ส่วนอีกคนคืออริยปราชญ์หวั่นหยางแห่งประเทศเป่ยเสิน”

ลู่ฝานจิตใจวูบไหว พูดว่า “อย่าบอกนะว่าพวกเขาตายเพื่อหินก้อนนี้”

ท่านสวินส่ายหน้าพูดว่า “ไม่รู้ ไม่มีใครรู้เรื่องจริง เพราะหลังจากสองคนนี้ตายไป เกือบทำให้เกิดสงครามใหญ่ระหว่างประเทศอู่อานกับประเทศเป่ยเสิน เรื่องนี้ฉันไม่ได้บอกลู่เฮ่าหราน นายก็รู้นิสัยปู่นาย โหวกเหวกโวยวาย เก็บเรื่องไว้ไม่ได้หรอก แต่มีสิ่งหนึ่งที่ยืนยันได้ แหวนบนมือนาย ต้องไม่ธรรมดา อาจเป็นสิ่งที่ผู้แข็งแกร่งเซียนบู๊หรืออริยปราชญ์ทิ้งไว้ หรือไม่ก็เพราะพวกเขาอยากได้ ต่อไปถ้ามีโอกาส นายไปสืบที่มาของหินก้อนนี้ได้ ไม่แน่นายอาจจะเจอเรืองดีก็ได้”

ลู่ฝานพยักหน้าอย่างเข้าใจ

ท่านสวินพูดว่า “โอเค พูดเยอะขนาดนี้แล้ว ฉันเหนื่อยแล้วเหมือนกัน ลู่ฝาน นายไปทำธุระเถอะ เพียงครู่เดียวฉันไม่ตายหรอก ให้ฉันนั่งตรงนี้สักพัก ฉันชอบมองพระอาทิตย์ด้านนอก”

ลู่ฝานเงียบอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเดินออกไปช้าๆ

ตอนเดินมาถึงประตู ลู่ฝานโค้งคำนับท่านสวิน

ท่านสวินยิ้มแล้วมองลู่ฝาน จากนั้นจึงหลับตาลง

ลู่ฝานออกจากเรือนเก็บหนังสือ แล้วถอนหายใจออกมา

เดินได้ไม่ไกล ลู่ฝานเห็นลู่หาวยืนมองเขาอยู่ข้างนอก

“นายมาแล้วเหรอ”

ลู่หาวพูดอย่างราบเรียบ

ลู่ฝานพูดว่า “พ่อควรบอกผม”

ลู่หาวส่ายหน้าพูดว่า “นี่เป็นสิ่งที่ท่านสวินเลือกเอง นายกับฉันต้องเคารพเขา วางใจเถอะ เวลาที่เหลือฉันจะดูแลท่านสวินอย่างดี ลู่ฝาน นายจัดการเรื่องของตัวเองเถอะ ไม่ต้องกังวลเรื่องในตระกูล”

ลู่ฝานพยักหน้า แล้วเดินไปข้างหน้า

ตอนลู่ฝานเดินผ่าน จู่ๆ ลู่หาวจับไหล่ลู่ฝานแล้วพูดว่า “เดี๋ยวก่อน”

ลู่ฝานมองลู่หาวอย่างงุนงง

จู่ๆ ลู่หาวเอาบัตรใบหนึ่งออกมาจากอก

นั่นเป็นบัตรเหรียญทองที่ลู่ฝานให้ลูหาวไปหาเหล็ก เมื่อเพ่งมองลู่ฝานพบว่า เงินของเขาไม่ได้หายไป อีกทั้งยังเพิ่มขึ้นอีกด้วย

ลู่ฝานมองลู่หาวด้วยสีหน้าตกใจ

ลู่หาวเอาบัตรยัดใส่มือลู่ฝานแล้วพูดว่า “เงินในบัตรนายเก็บไว้ ตอนนี้ตระกูลใช้จ่ายเยอะ ให้ได้ไม่มาก มีเพียงแค่นี้ ทั้งหมด 3282 เหรียญทอง นี่เป็นทั้งหมดที่ฉันหาได้ นายไปเมืองตงหวา ต้องใช้จ่ายไม่น้อย เมื่อถึงในเมืองตงหวา จะเป็นเจ้าหน้าที่ ก็ต้องทักทายทำความรู้จัก มีเงินเยอะหน่อย ก็มีความมั่นใจเพิ่มขึ้น เอาไปใช้เถอะ

หินศิลาดำยังอยู่หน้าประตู มีแสงโลหิตเปื้อนอยู่ด้านบน

ลู่ฝานเปิดประตูเดินเข้าไปในเรือนเก็บหนังสือ

มองเพียงแวบเดียว ลู่ฝานก็เห็นท่านสวินนั่งอยู่หน้าประตู

แสงอาทิตย์ลอดผ่านหน้าต่าง ส่องลงบนใบหน้าท่านสวิน ตอนนี้ท่านสวินดูเหมือนแก่ไปหลายสิบปี

ริ้วรอยเต็มใบหน้า ผมและเคราขาว ประกายในแววตาหม่นหมอง

ลู่ฝานอึ้งไปเล็กน้อย รีบเดินเข้ามาจับมือท่านสวิน ใส่ปราณชี่เข้าไปในตัวท่านสวิน เพื่อตรวจสอบอาการบาดเจ็บ

ตอนที่ท่านสวินบาดเจ็บครั้งที่แล้ว ลู่ฝานให้ไอ้เก้ารักษาให้เขาเป็นอย่างดี ทำไม่ถึงเป็นแบบนี้!

“ไม่ต้องลำบากแล้ว ลู่ฝาน ฉันมีอาการบาดเจ็บเก่าบวกกับอาการบาดเจ็บใหม่ อีกทั้งยังฝืนเคลื่อนไหวพลังปราณของตัวเอง ทำให้สูญเสียพลังชีวิตของตัวเอง มีชีวิตได้อีกสองสามวัน ฉันก็รู้สึกตกใจมากแล้ว”

ลู่ฝานไม่พูดอะไรสักคำ ใส่ปราณชี่เข้าไปในตัวท่านสวินอย่างต่อเนื่อง

ตอนที่เขาตรวจสอบดู แม้ท่านสวินมีแผลทั้งภายในและภายนอก แต่เป็นอาการบาดเจ็บที่ไม่ส่งผลกระทบกับส่วนหลักสิถึงจะถูก ทำไมท่านสวินถึงเป็นแบบนี้ เมื่อตรวจสอบอย่างละเอียด ลู่ฝานพบว่าเส้นลมปราณและเลือดลมของท่านสวิน เหมือนต้นไม้แห้งเหี่ยว ไม่ยอมเคลื่อนอีกแล้ว

นี่คืออาการสูญเสียพลังชีวิตเหรอ

ลู่ฝานตะโกนเรียกไอ้เก้าในตัว รักษาอาการแบบนี้ ยังไงก็ต้องให้ไอ้เก้าทำ

ท่านสวินมองลู่ฝาน แล้วพูดช้าๆ ว่า “ลู่ฝาน ครั้งก่อนที่นายมาเอาหมัดถล่มเขา ฉันก็รู้ว่านายจะประสบความสำเร็จในอนาคต แค่ฉันคิดไม่ถึงว่านายจะประสบความสำเร็จจนน่าตกใจขนาดนี้ ตอนนี้ยังเก่งขนาดนี้ ต่อไปต้องเดินไปได้ไกลกว่านี้แน่นอน แค่ตระกูลลู่มีนายอยู่ ต้องเติบโตอย่างแข็งแกร่ง แต่ฉันคงไม่ได้เห็นวันนั้นแล้ว รอสักวันที่ตระกูลลู่กลายเป็นตระกูลใหญ่ที่มีชื่อเสียง อืม ฉันหมายถึงตระกูลใหญ่อย่างแท้จริง ดีที่สุดคือตระกูลใหญ่ทั้งเขตตงหวา ไม่สิ ตระกูลใหญ่ที่มีชื่อเสียงทั้งประเทศอู่อาน นายต้องมาที่หน้าหลุมศพฉัน แล้วพูดให้ฉันฟัง”

ลู่ฝานกัดฟันมองท่านสวิน เจดีย์เสวียนเก้ามังกรในตัวโดนเขาปลุกขึ้นมา

หลังจากเจดีย์เสวียนเก้ามังกรตรวจสอบดู จึงพูดออกมาว่า “เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ พลังชีวิตของเขาเหือดหายไป รักษายากมาก ถ้าตอนนี้ฉันมีพลังเต็มเปี่ยม ไม่มีอาการบาดเจ็บ ยังพอทำให้เขามีชีวิตอยู่ได้ 10-20 ปี แต่ตอนนี้ฉันทำสุดความสามารถแล้ว เขามีชีวิตอยู่ได้แค่ไม่กี่ชั่วยามแล้ว”

ลู่ฝานตะโกนอย่างบ้าคลั่งในใจ “แล้วทำไมตอนรักษาครั้งที่แล้ว แกถึงไม่พบอาการ”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดว่า “รักษาครั้งที่แล้ว หลักๆ เป็นการรักษาอาการบาดเจ็บ ไม่ได้ตรวจพลังชีวิตของเขาอย่างละเอียด เดิมทีพลังชีวิตของคนลึกลับมาก ถึงเป็นผู้แข็งแกร่งขั้นสูงสุด เมื่อพลังชีวิตหมดไป ก็รอดยาก เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ เสียใจด้วย ตอนนี้นายช่วยเขาไม่ได้”

ลู่ฝานสูดหายใจลึก ริมฝีปากเริ่มสั่น

ตอนนี้ท่านสวินกลับยิ้มแล้วพูดว่า “พอเถอะ ฉันบอกแล้วว่ารักษาไม่ได้ ลู่ฝานนายก็ไม่ต้องเสียแรงเปล่า ฉันอยู่มาขนาดนี้แล้ว เห็นความเป็นตายมานาน เมื่อนายอายุเท่าฉัน นายจะรู้ว่าตายอย่างสงบแบบนี้ อันที่จริงมีความสุขที่สุดแล้ว โลกใบนี้ผู้อ่อนแอใช้ชีวิตลำบาก ผู้แข็งแกร่งไม่ตายดี คนธรรมดาๆ อย่างฉัน ใช้ชีวิตอย่างสงบมาทั้งชีวิต ตอนตายไม่มีเรื่องทุกข์ใจ มีเพียงความสงบ ถือว่าเป็นของขวัญจากสวรรค์แล้ว”

ลู่ฝานยกมือพูดว่า “ท่านสวินไม่ต้องพูดแล้ว นายอดทนอีกหน่อย ต้องมีวิธีอยู่แล้ว”


บทที่ 476

บทที่ 478

ตอนนี้ลู่หงหยู่อยากร้องไห้ออกมาดังๆ ทำไมถึงเหมาะขนาดนี้ ตอนนี้เจ้าบ้านลู่ฝานต้องรังเกียจเธอในใจแน่นอน!

อันที่จริงลู่ฝานไม่ได้คิดอะไรมาก เรื่องที่ลู่หงหยู่ทำ ตอนเด็กเขาเห็นมาเยอะแล้ว ตัวเขาผ่านมาไม่น้อย ไม่รู้สึกว่าเป็นอะไร

ลู่ฝานคนเก่าอาจรังเกียจคนคนหนึ่ง เพราะเรื่องแบบนี้

แต่ตอนนี้อย่างมากลู่ฝานแค่รู้สึกว่าลู่หงหยู่ขาดประสบการณ์การดำเนินชีวิตเท่านั้น

เธอยังอายุน้อย ไม่ได้ผ่านอะไรมา ไม่รู้ว่าโลกใบนี้ มักมีคนที่แข็งแกร่งกว่าเธอเสมอ

เธอจัดการสาวรับใช้ที่ด้อยกว่าเธอ ต่อไปก็จะมีคนที่แข็งแกร่งกว่าเธอ ทำแบบนี้กับเธอ เมื่อถึงตอนนั้น เธอจะเข้าใจคุณค่าของการทำดีกับคนอื่น

ลู่ฝานไม่คิดจะเซ้าซี้กับลู่หงหยู่ มองสีหน้าโมโหของลู่หงหยู่ ลู่ฝานยังคิดว่าเธอโมโหที่เขาแย่งสาวรับใช้ของเธอ

คิดไปคิดมา ลู่ฝานเอาสมุนไพรออกมาจากอก

สมุนไพรชนิดนี้ กองเป็นภูเขาในตำหนักยา จนลู่ฝานขี้เกียจจะนับ

แต่ลู่ฝานยื่นสมุนไพรให้ลู่หงหยู่ด้วยสีหน้าจริงจังแล้วพูดว่า “นี่ยาวิเศษ ฉันให้เธอ ต่อไปเธอก็หาสาวรับใช้ที่คล่องแคล่วและฉลาด แต่จำไว้ว่าต้องเป็นมิตร ผู้หญิงโมโหบ่อยๆ แก่ง่ายนะ”

ลู่ฝานวางสมุนไพรลงบนมือลู่หงหยู่ จู่ๆ ลู่หงหยู่หน้าแดงขึ้นมาทันที

เธอพูดเสียงเบาเหมือนกระซิบ “ขอบคุณเจ้าบ้านลู่ฝาน”

จากนั้นลู่หงหยู่ใช้ผ้าไหมห่อสมุนไพรเอาไว้อย่างระวัง และเก็บมันไว้

ลู่ฝานพยักหน้าพูดว่า “ใช่สิ ได้ยินว่าเธอเอาสัตว์พาหนะมาด้วย พาฉันไปดูได้ไหม พรุ่งนี้ฉันจะยืมใช้สักหน่อย พ่อฉันยังไม่ได้บอกเธอใช่ไหม”

ลู่หงหยู่รีบพูดว่า “บอกแล้ว ฉันเอานกเมฆสองตัวให้พวกเขาแล้ว ตอนนี้น่าจะเอาไปป้อนอาหารและพักผ่อน นกเมฆชนิดนี้แพงมาก ต้องกินเนื้อเยอะทุกวัน”

ลู่ฝานพูดว่า “งั้นก็ดี ฉันยืมนกเมฆของเธอ เธอต้องหาใหม่อีก อืม ลู่หงหยู่ งั้นฉันไปก่อนนะ ในเมื่อเธอมาบ้านตระกูลลู่แล้ว ก็เรียนรู้อะไรเยอะๆ หน่อย พี่ชายเธอเป็นผู้ชายอย่างแท้จริง ฉันหวังว่าต่อไปเธอจะไม่ดูหมิ่นชื่อเสียงของบ้านเธอ ถ้าเทศกาลเซ่นไหว้ประจำปีในปีนี้ เธอมีชื่อเสียงดี ฉันจะคิดทบทวนให้ครอบครัวเธออยู่ที่บ้านตระกูลลู่”

ลู่ฝานพูดจบก็หันหลังเดินออกไป

จู่ๆ ลู่หงหยู่ตะโกนขึ้นมาว่า “เจ้าบ้านลู่ฝาน นายสอนฉันหน่อยได้ไหม”

ลู่ฝานหันมายิ้มแล้วพูดว่า “วิชาแส้ของเธอ ฉันไม่สามารถสอนได้”

พูดจบ ลู่ฝานเดินออกไปช้าๆ

ลู่หงหยู่ยืนอึ้งอยู่นาน จากนั้นน้ำตารื้นขึ้นมา

“เขาเกลียดฉันแล้ว เขาเกลียดฉันแล้วจริงๆ”

ลู่หงหยู่กัดริมฝีปาก สั่นไปทั้งตัว จากนั้นโยนแส้ของตัวเองออกไปไกล เธอสาบานว่าตัวเองจะไม่ใช้แส้อีกแล้ว

ถึงลู่ฝานไม่ได้หันกลับมา แต่เขาได้ยินเสียงจากข้างหลัง

ลู่ฝานยิ้มบางๆ แล้วพึมพำว่า “หวังว่าต่อไปเธอจะเป็นคนดีขึ้น”

ลู่ฝานเอาสองมือไพล่หลัง เดินออกจากสวนหลังบ้าน เขาคิดไม่ถึงว่าคำพูดของเขาวันนี้ จะสร้างฮีโร่หญิงในตำนานให้ตระกูลลู่ในอนาคต

ลู่ฝานเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ ในเมื่อสัตว์พาหนะถูกพาไปพักผ่อน ลู่ฝานก็ขี้เกียจไปรบกวน มุ่งหน้าไปยังเรือนเก็บหนังสือของตระกูลลู่

สรรพสิ่งยังเหมือนเดิม แต่คนเปลี่ยนไป ตอนนี้เรือนเก็บหนังสือ ดูมีความผุพังเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่ายังไม่ได้ซ่อมแซมถึงที่นี่

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 476
ฉินเอ๋อร์รีบขดตัวทันที เธอเอามือกุมหัวแล้วพูดว่า “คุณลู่หงหยู่ ฉันไม่ได้ไม่เคารพคุณหนูนะ เมื่อเช้าฉันแค่ไปรับใช้เจ้าบ้านลู่ฝานเท่านั้น ไม่ใช่ไม่รับใช้คุณลู่หงหยู่ ไว้ชีวิตฉันด้วย!”

ลู่หงหยู่ได้ยินแบบนี้ก็ยิ่งโมโห ฟาดแส้ลงไปบนตัวฉินเอ๋อร์

เสื้อผ้าบางๆ ไม่สามารถป้องกันการเฆี่ยนของแส้ได้ อีกทั้งเหมือนลู่หงหยู่เคยฝึกเคล็ดวิชาบู๊มาด้วย แม้ผลการฝึกตนไม่สูง ดูท่าจะประมาณแดนฝึกร่างชั้นห้า ชั้นหก แต่สำหรับคนทั่วไป นับว่าเป็นการโจมตีอย่างสาหัสแล้ว

ฉินเอ๋อร์โดนฟาดจนน้ำตาไหลออกมา

ลู่หงหยู่ฟาดพลางพูดว่า “นังเด็กนี่ กล้าพูดไร้สาระกับฉันอีก เมื่อเช้าเธอทำให้ฉันต้องหวีผมแต่งหน้าเองยัง ยังจะเอาเจ้าบ้านลู่ฝานมาขู่ฉันด้วยเหรอ เจ้าบ้านลู่ฝานฐานะระดับไหน คนอย่างเธอรับใช้ได้เหรอ เธอแก้ตัวกับฉันสิ แก้ตัวให้ฉันดูอีก!”

พูดพลางลู่หงหยู่ยกแส้ขึ้นอีกครั้ง

ลู่ฝานทนดูไม่ได้ ก้าวเข้ามาพูดว่า “พอแล้ว หยุด”

ลู่หงหยู่กับฉินเอ๋อร์หันมาทันที เมื่อเห็นว่าเป็นลู่ฝาน ฉินเอ๋อร์ก้มหน้าลงทันที เช็ดน้ำตาอย่างรวดเร็ว

สีหน้าของลู่หงหยู่เปลี่ยนไปทันที เธอทิ้งแส้ลงบนพื้น

ลู่ฝานมองลู่หงหยู่อย่างราบเรียบแล้วพูดว่า “เมื่อเช้าฉินเอ๋อร์อยู่กับฉันจริง ลู่หงหยู่ เธอไม่ต้องทำโทษฉินเอ๋อร์แล้ว”

ลู่หงหยู่กล้าเถียงลู่ฝานที่ไหนกันล่ะ พูดติดๆ ขัดๆ ว่า “เจ้าบ้านลู่ฝาน ฉันแค่คิดว่าเธอ……”

ลู่ฝานยกมือขึ้นเป็นการบอกให้ลู่หงหยู่ไม่ต้องพูดอีก สำหรับคนกำเริบเสิบสานและโอหังอวดดีอย่างลู่หงหยู่ไม่เห็นลูกน้องเป็นมนุษย์ เขาเจอกับคนอย่างลู่เทียนกังมาเยอะแล้ว ตอนนั้นลู่หมิงก็เป็นแบบนี้

ลู่ฝานพูดอย่างราบเรียบว่า “ลู่หงหยู่ ฉันคิดว่าสาวรับใช้ของเธอไม่เลว ให้เธอมาอยู่กับฉันเถอะ ต่อไปมาช่วยทำความสะอาดห้องฉัน รับใช้ฉัน ก็ไม่เลว เธอคงไม่ปฏิเสธใช่ไหม!”

ลู่หงหยู่พูดตอบรับ “เห็นด้วยแน่นอน เจ้าบ้านลู่ฝาน แต่ว่าสาวรับใช้คนนี้ของฉันเงอะงะ……”

ลู่ฝานยกมือขึ้น ให้ลู่หงหยู่กลืนคำที่จะพูดออกมากลับลงไป

ลู่ฝานมองฉินเอ๋อร์แล้วพูดว่า “ฉินเอ๋อร์ ตอนนี้เธอไปจัดข้าวของที่ห้องฉันได้แล้ว แค่เป็นคนของตระกูลลู่ ถึงเป็นคนรับใช้ตระกูลลู่ ตระกูลลู่ก็ปกป้องเธอ”

ฉินเอ๋อร์เกือบจะร้องไห้ออกมาอีก เธอกลั้นน้ำตาแล้วรีบเดินออกไป

สีหน้าลู่หงหยู่หลากหลายอารมณ์ ตอนนี้เหมือนมีดกรีดลงบนหัวใจเธอ

เพราะเธอชอบลู่ฝาน ไม่มีใครรู้ว่าคนที่เธอเลื่อมใสที่สุดคือลู่ฝาน

เรื่องราวของลู่ฝาน ไม่ว่าจะเป็นบ้านตระกูลลู่หรือในบรรดาญาติที่ไม่ใช่สายเลือดโดยตรง พากันพูดกันเหมือนตำนาน ขนาดตัวลู่ฝานเองยังไม่รู้ เวลาครึ่งปีที่เขาไปฝึกฝนที่สถาบันสอนวิชาบู๊ ทั้งตระกูลลู่โม้ถึงเขาไปถึงขั้นไหนแล้ว

หญิงสาวคนไหนไม่ชอบฮีโร่บ้างล่ะ เดิมทีตอนที่ลู่หงหยู่อยู่บ้าน เธอเห็นลู่ฝานเป็นไอดอลของตัวเอง

เพราะเรื่องการตายของลู่เทียนกัง จึงทำให้เธอมาอยู่ที่บ้านตระกูลลู่ ตอนเพิ่งมาถึงลู่หงหยู่เต็มไปด้วยความเศร้า ตอนเจอลู่ฝานที่โถงใหญ่ ทำเพียงแค่เงยหน้ามองเล็กน้อยเท่านั้น

ตอนนี้หลังจากความเศร้าผ่านไป ลู่หงหยู่อยากเจอหน้าลู่ฝาน ดังนั้นเมื่ออยู่ในตระกูลลู่ เธอจึงแต่งตัวสวยทุกวัน เมื่อฉินเอ๋อร์ไม่อยู่ ทำให้เธอโกรธเพราะหวีผมไม่ได้

แต่ใครจะไปรู้ว่าตอนเธอกำลังสั่งสอนฉินเอ๋อร์ คนที่เธออยากเจอที่สุด ก็ปรากฏตัวออกมา

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 475
ต้องไปร่วมการแข่งขันนานาประเทศเร็วๆ คืนวันเดียวกันลู่ฝานกับหานเฟิงเตรียมตัวเดินทาง กลัวว่าหลายๆ เรื่องจะเปลี่ยนแปลงเพราะทำสายเกินไป

แต่ลู่เฮ่าหรานกับลูหาวกลับให้ลู่ฝานรออีกหนึ่งวัน หนึ่งคือสอบถามก่อนว่าคนที่สอบผู้ตรวจการใหญ่ ต้องเตรียมอะไรบ้าง จากนั้นเตรียมทุกอย่างให้เรียบร้อย แล้วค่อยออกเดินทาง

สองคือถ้าพวกเขาเดินทางไปเอง อีกทั้งยังต้องไปหาสัตว์พาหนะที่หอฝึกสัตว์ แต่สองสามวันนี้ ตอนสายเลือดที่ไม่ใช่ทายาทสายตรงของตระกูลลู่กลับมา มีคนที่พาสัตว์พาหนะกลับมา แม้จะแค่ยืม แต่พวกเขาได้ใช้งานพอดี ไม่มีอะไรนอกจากให้เงินหอฝึกสัตว์มากขึ้นหน่อย

เรื่องพวกนี้ต้องใช้เวลาจัดการหนึ่งวัน สัตว์ก็ต้องใช้เวลาพักผ่อนหนึ่งวัน

ลู่ฝานพยักหน้าเห็นด้วย ในเมื่อตระกูลมีสัตว์พาหนะ ก็ไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้ว แบบนี้จะทำให้พวกเขาลดเวลาเดินทางได้ด้วย

เมื่อปรึกษากันเสร็จ ลู่เฮ่าหรานกับลู่หาวเริ่มไปเตรียมของ ถือโอกาสไปถามโจวเจิ้นโส่วเกี่ยวกับเรื่องเจ้าหน้าที่

หานเฟิงหาวแล้วกลับไปนอน

ลู่ฝานเบื่อไม่มีอะไรทำ เขากลับห้องแล้วปิดประตูลง เข้าไปในจวนอากาศธาตุ กลั่นยาสองสามหม้อ จากนั้นลองเดินตำหนักยาในจวนอากาศธาตุว่าไกลแค่ไหน ได้ยาเม็ดที่ไม่เลวมาสองสามขวด จากนั้นจึงเดินออกจากห้องอย่างพอใจ

เมื่อเขาออกมา เป็นเวลาบ่ายแล้ว

ลู่ฝานไม่มีอะไรทำ เริ่มเดินเล่นในคฤหาสน์ตระกูลลู่ จากนั้นไปดูสัตว์พาหานะที่เขาต้องใช้ในวันพรุ่งนี้ ใช่นกเมฆที่เขาเคยนั่งหรือเปล่า

ตลอดทางลูกหลาน คนใช้ ยามของตระกูลลู่ที่เจอลู่ฝาน ทำความเคารพลู่ฝานตลอดทาง

ลู่ฝานเห็นความเคารพเลื่อมใสจากแววตาของพวกเขา

ลู่ฝานพยักหน้าเบาๆ เป็นการทักทายกลับ จากนั้นจึงเดินเล่นต่อ

แต่เขาเดินได้ไม่ไกล ก็ได้ยินผู้หญิงที่ไม่ใช่สายเลือดโดยตรงของตระกูลลู่ กำลังสอนลูกตัวเอง ดังมาจากด้านหลัง

“ลู่อือ นายต้องเรียนรู้จากเจ้าบ้านลู่ฝาน เป็นฮีโร่ผู้ยิ่งใหญ่เหมือนเจ้าบ้านลู่ฝาน เข้าใจไหม”

ลู่อือตอบด้วยน้ำเสียงเด็กน้อย

“รู้แล้วครับแม่ ผมจะตั้งใจฝึกฝน”

ลู่ฝานส่ายหน้ายิ้มแหย ตอนนี้เขากลายเป็นแบบอย่างของเด็กไปแล้ว เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ลู่ฝานนึกถึงชื่อสวะตระกูลลู่ในตอนนั้น

เฮ้อ เรื่องราวเปลี่ยนไปตามกาลเวลา

แค่เรื่องเมื่อ 1-2 ปีก่อน ทำไมมาคิดดูตอนนี้ เหมือนผ่านไปนานหลายสิบปีแล้ว

ลู่ฝานเดินมาถึงสวนหลังบ้าน ตอนนี้ตระกูลลู่กำลังขยายคฤหาสน์ สวนหลังบ้านที่ว่า มีขนาดพอๆ กับคฤหาสน์ตระกูลลู่เดิมทั้งหลัง

กำลังซ่อมแซม สร้างห้องและรื้อกำแพงไปทั่วทุกที่

ลู่ฝานเดินเข้าไปด้านในช้าๆ จู่ๆ ได้ยินเสียงร้องไห้ อีกทั้งยังเป็นเสียงสะอื้นของผู้หญิง

ลู่ฝานขมวดคิ้วเบาๆ เดินตามเสียงไป

ลู่ฝานมองจากไกลๆ เห็นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังยืนเท้าเอวด่าหญิงสาวคนหนึ่ง

หญิงสาวคนนี้ดูคุ้นตามาก คนนี้คือฉินเอ๋อร์ที่ยกน้ำมาให้เขาเมื่อเช้าไม่ใช่เหรอ

ผู้หญิงที่ต่อว่าเธอ ลู่ฝานก็นึกออกแล้ว

ลู่หงหยู่น้องสาวของลู่เทียนกัง เธอดูมีพลานุภาพเต็มเปี่ยม!

“ฉินเอ๋อร์ นังเด็กนี่ นับวันยิ่งอวดดีขึ้นเรื่อยๆ ไม่เห็นฉันอยู่ในสายตาแล้วใช่ไหม เธอคิดว่าคุณชายลู่หมิงถูกใจเธอ ให้เธออยู่บ้านเดียวกับเขา ทำให้เธอสำคัญมากนักเหรอ กล้าเถียงกับฉันงั้นเหรอ เนรนาย วันนี้ฉันต้องฟาดเธอให้ตาย”

พูดพลางลู่หงหยู่เอาแส้ยาวออกมาจากแขนเสื้อ

ลู่เฮ่าหรานหัวเราะอยู่ข้างๆ แล้วพูดว่า “ไม่กล้ามาแน่นอน จากที่นายพูด ประเทศอู่อานที่ยิ่งใหญ่ เพิ่งมีผู้ตรวจการชั้นกลางแค่หลายร้อยเกือบพันคน นั่นต้องเป็นเสาหลักของประเทศในอนาคตแน่นอน ใครกล้าแตะต้อง ก็เท่ากับแตะต้องรากฐานของประเทศอู่อาน ประเทศอู่อานไม่ส่งทหารมาจัดการพวกเขาสิถึงจะแปลก!”

หานเฟิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ถูกต้อง แค่นายมีตำแหน่งนี้ เอาตำแหน่งผู้ตรวจการชั้นกลางของนายแขวนเอาไว้กำแพงเมือง เมื่อถึงตอนนั้น อย่าว่าแต่สำนักโลหิตพิฆาตเลย ถึงเป็นคนใหญ่คนโตมีชื่อเสียงในประเทศอู่อาน จะแตะต้องนาย ยังต้องคิดเลย”

ลู่ฝานตบโต๊ะแล้วพูดว่า “งั้นเอาแบบนี้ ผมออกเดินทางไปจัดการตำแหน่งผู้ตรวจการชั้นกลางวันพรุ่งนี้ ศิษย์พี่หานเฟิง รบกวนช่วยไปกับผมหน่อย ไปคนเดียวผมกลัวทำอะไรไม่ถูก”

หานเฟิงยิ้มแล้วพูดว่า “แน่นอนอยู่แล้ว ไปเมืองตงหวาใช้เวลาประมาณ 3-5 วัน ฉันไปเป็นเพื่อนนาย”

แววตาลู่ฝานเป็นประกายลุกโชน ค่ายกลเสวียนเหล็กเจดีย์เก้า ยังไม่สามารถต้านทานยอดฝีมือที่แท้จริงได้

สู้กับพวกเสวี่ยบาลู่ฝานรู้สึกว่าค่ายกลยังอ่อนแอ ในบรรดาสำนักโลหิตพิฆาตต้องมียอดฝีมือที่แข็งแกร่งกว่าเสวี่ยบาแน่นอน

ถ้าครั้งหน้าพวกเขามาอีก จะทำยังไง ต่อสู้แบบนี้ทุกครั้ง ตระกูลลู่จะอดทนได้นานแค่ไหน ต้องได้ตำแหน่งผู้ตรวจการชั้นกลาง ลำบากแค่ครั้งเดียว สบายไปตลอด

ลู่ฝานกำหมัด แอบคิดในใจว่าไม่ว่าอย่างไร เขาต้องเอาตำแหน่งผู้ตรวจการชั้นกลางมาให้ได้

ลู่เฮ่าหรานมองท่าทางที่เต็มไปด้วยความฮึกเหิมของลู่ฝาน ก็พยักหน้าเบาๆ

เขาหวังให้ลู่ฝานก้าวหน้าและมีอนาคตขึ้นเรื่อยๆ จู่ๆ ลู่เฮ่าหรานชี้ไปตรงเส้นที่สามบนโต๊ะ “น้องหานเฟิง งั้นสูงกว่าผู้ตรวจการชั้นกลางคืออะไรเหรอ ผู้ตรวจการชั้นสูงเหรอ”

หานเฟิงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ไม่เรียกผู้ตรวจการชั้นสูงแล้ว เรียกว่าผู้ตรวจการใหญ่ ตำแหน่งสูงกว่าจวนหัวหน้าเขต อีกทั้งในนามผู้ตรวจการทั้งหมด ล้วนเป็นเขาที่ออกคำสั่ง มีเขตครอบครองอย่างน้อยหนึ่งเขต เรียกได้ว่าไปกินข้าวที่ไหนไม่ต้องจ่ายเงิน ความฝันอันยิ่งใหญ่ในชีวิตฉันก็คือเป็นผู้ตรวจการใหญ่ เพราะสบายและเป็นอิสระ ไม่ผูกมัด แค่นายไม่ก่อเรื่อง ก็ไม่มีใครสนใจนาย ตำแหน่งก็สูง ได้รับความเคารพจากคนอื่น ถ้าฉันเป็นผู้ตรวจการใหญ่ จะมีสาวๆ โผเข้ามาหาฉันกี่คนกันนะ……เฮ้อ ไม่พูดแล้วๆ นายจะได้ไม่ต้องกลับไปพูดกับพวกศิษย์พี่ฉู่เทียนว่าฉันเพ้อฝัน”

ลู่ฝานหัวเราะแล้วพูดว่า “ศิษย์พี่หานเฟิงก็มีความสามารถมาก ไปสอบก็ได้นิ”

หานเฟิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ปัญหาคือสอบไม่ได้น่ะสิ อยากเป็นผู้ตรวจการใหญ่ ต้องเข้าร่วมการแข่งขันนานาประเทศ อย่างน้อยต้องผ่านการคัดเลือกจากการแข่งนานาประเทศ คนที่ได้รับการแต่งตั้งตำแหน่งผู้ตรวจการใหญ่จากประเทศอู่อาน มีน้อยจนนับนิ้วได้ ใครบ้างที่ไม่ใช่นักบู๊ที่มีความสามารถไม่เหนือมนุษย์ มีผลการฝึกตนสูงส่ง ศิษย์น้องลู่ฝาน นายยังมีโอกาส ส่วนฉันไร้โอกาสแล้ว”

การแข่งขันนานาประเทศงั้นเหรอ

ลู่ฝานจิตใจวูบไหว เหมือนเขายังมีโอกาสเข้าร่วมจริงๆ

ท่านผอ.พูดแล้วไม่ใช่เหรอว่าเขาสามารถลองไปเข้าร่วมได้

ถ้าสามารถเป็นผู้ตรวจการใหญ่ได้ ชีวิตของเขาก็ไม่เสียเปล่าแล้ว

“เป็นเจ้าหน้าที่เหรอ”

ลู่ฝานถามอย่างสงสัย แววตาดูไม่เข้าใจ

หานเฟิงอธิบายว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน ฉันจำได้ว่าเคยคุยกับนาย อันที่จริงตอนนี้ฐานะของนายไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้เฝ้าเมืองคนอื่น ใช่ไหม”

ลู่ฝานพยักหน้า “พี่เคยพูดจริงๆ แต่ฐานะนี้หมายถึงฐานะของผมในสถาบันสอนวิชาบู๊ เกี่ยวอะไรกับการเป็นเจ้าหน้าที่”

หานเฟิงหัวเราะแล้วพูดว่า “เหอะๆ เกี่ยวข้องมาก ศิษย์น้องลู่ฝาน นายอาจไม่รู้ นักเรียนทุกคนที่ออกมาจากสถาบันสอนวิชาบู๊ มีความน่าเกรงขามในประเทศอู่อาน เอากฎของเขตตงหวามาพูดละกัน หลังจากฝึกในสถาบันสอนวิชาบู๊สามปี ออกจากสถาบันสอนวิชาบู๊ สามารถใช้ฐานะของสถาบันสอนวิชาบู๊ ไปร่วมการประเมินผู้ตรวจการที่เมืองตงหวา แค่ผ่านได้ สามารถเป็นผู้ตรวจการชั้นล่างที่ประเทศอู่อาน ตำแหน่งเท่ากับผู้เฝ้าเมือง ไม่มีอำนาจทางทหาร แต่สามารถจัดการคุ้มครองได้ นับว่าไม่เลว”

ลู่ฝานได้ยินแล้วตาเป็นประกาย “มีกฎแบบนี้ด้วยเหรอ ตอนแรกผมนึกว่าพี่คุยโม้กับโจวเจิ้นโส่ว ที่แท้หลังออกมาจากสถาบันสอนวิชาบู๊ ยังมีสวัสดิการระดับนี้ด้วย”

หานเฟิงหัวเราะแล้วพูดว่า “ใช่สิ ไม่งั้นจะเข้าสถาบันสอนวิชาบู๊ไปทำไมล่ะ คนทั่วไปอยากเป็นผู้เฝ้าเมืองลำบากแค่ไหน คงไม่ต้องให้ฉันพูด แต่เมื่อศิษย์สถาบันสอนวิชาบู๊ออกมา ก็มีโอกาสไปสอบผู้ตรวจการทันที แค่นี้ก็สุดยอดมากแล้ว แต่สิ่งที่ฉันจะพูด ไม่ใช่แค่เรื่องนี้ ยังมีสิ่งที่สุดยอดกว่านี้อีก”

หานเฟิงเอาน้ำลายวาดเส้นสามเส้นลงบนโต๊ะ เขาชี้เส้นล่างสุดแล้วพูดว่า “ผู้ตรวจการแบ่งออกเป็นสามระดับ ผู้ตรวจการชั้นล่าง สามารถจัดการผู้เฝ้าเมืองได้ ถ้าพบว่าผู้เฝ้าเมืองละเลยหน้าที่ ทำร้ายประชาชน สามารถจับเขาได้ จากนั้นรายงานหัวหน้าเขต มีเงินเดือน ไม่มีระดับขั้น โดยทั่วไปจะเป็นนักบู๊แดนปราณนอกเยอะที่สุด ทั้งชีวิตก็แค่อยู่ในเมืองเล็กๆ อย่างเมืองเจียงหลิน แต่เมื่อไปเมืองใหญ่ ฝั่งนั้นจะไม่ยอมรับ ช่วยไม่ได้ ในเมืองใหญ่มีผู้เฝ้าเมืองคนไหนบ้างที่ไม่มีนักบู๊แดนปราณนอกเป็นลูกน้อง ผู้ตรวจการชั้นล่างอยากจะจัดการเขา เป็นการทำให้ตัวเองลำบากเปล่าๆ”

หานเฟิงชี้เส้นที่สองแล้วพูดว่า “แต่เมื่อเป็นผู้ตรวจการชั้นกลาง มันไม่เหมือนกันแล้ว เจ้าหน้าที่ระดับต่ำกว่าหัวหน้าเขต ต้องปฏิบัติอย่างมีมารยาท ทุกที่ที่ผู้ตรวจการผ่านไป เจ้าหน้าที่ที่ต่ำกว่าหัวหน้าเขต ต้องทำความเคารพเหมือนกับหัวหน้าเขต มีระดับขั้น มีพื้นที่ครอบครอง บ้านเกิดของผู้ตรวจการชั้นกลาง คือพื้นที่ครอบครองของเขา โดยทั่วไปจะมีคนในตระกูลเขา รับหน้าที่เป็นผู้เฝ้าเมือง ได้รับการคุ้มครองจากกฏหมายของประเทศอู่อาน มีทหาร มีอำนาจ ตัวเองยังสามารถตั้งกลุ่มทหารคุ้มครองเมืองประมาณ 500-1000 คน แม้เขตควบคุมจะไม่ใหญ่มาก อย่างมากก็แค่หนึ่งเมือง แต่เป็นของนายแน่นอน นี่เป็นวิธีที่ประเทศอู่อานดึงดูดนักบู๊”

ลู่ฝานสูดหายใจเฮือก ตำแหน่งนี้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ

ทันใดนั้นลู่ฝานถามว่า “ตำแหน่งผู้ตรวจการชั้นกลางทำยังไง ต้องสอบเหมือนผู้ตรวจการชั้นล่างไหม”

หานเฟิงพยักหน้าพูดว่า “ใช่ ต้องสอบเหมือนกัน แค่ผ่านการทดสอบ ก็สามารถอยู่ในตำแหน่งผู้ตรวจการชั้นกลาง แต่ได้ยินว่าการทดสอบนี้ยากมาก เขตมากมายทั่วประเทศอู่อาน นักบู๊ที่สามารถเป็นผู้ตรวจการชั้นกลางก่อนอายุ 40 ปี มีทั้งหมดหลายร้อยเกือบพัน แต่ละคนเป็นบุคคลชั้นยอดในบรรดาคนชั้นยอด แต่ว่าศิษย์น้องลู่ฝาน ฉันมั่นใจในตัวนาย จากอายุของนายในตอนนี้ ผลการฝึกตนตอนนี้ พละกำลังตอนนี้ ถ้านายผ่านไม่ได้ ก็ผิดหลักธรรมชาติแล้ว ดังนั้นวิธีของฉัน คือนายไปเป็นผู้ตรวจการชั้นกลาง แล้วกลับมา เมื่อถึงตอนนั้นมีตำแหน่งเป็นเจ้าหน้าที่ เมืองเจียงหลินจะเป็นถิ่นของนาย ถึงสำนักโลหิตพิฆาตจะเจ๋งแค่ไหน เขาก็ไม่มีทางกล้าแตะต้องบ้านเกิดของผู้ตรวจการชั้นกลางหรอก ให้กล้าแค่ไหน เขาก็ไม่กล้ามา”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 472
“เจ้าบ้านฟื้นแล้วเหรอ ดีมากเลย ฉันเป็นสาวใช้ที่เพิ่งมาใหม่ ชื่อ ฉินเอ๋อร์ ตามคุณลู่หงหยู่มาจากหมู่บ้านหลี่”

ลู่ฝานตอบรับ เขารู้จักลู่หงหยู่เป็นลูกหลานที่ไม่ใช่สายเลือดโดยตรงของตระกูลลู่ พูดขึ้นมานับว่าเป็นน้องสาวของลู่เทียนกัง ถือว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องของเขา

ฉินเอ๋อร์ยกน้ำเข้ามา บิดผ้าขนหนูเช็ดเหงื่อให้ลู่ฝาน

ตั้งแต่เล็กจนโต ลู่ฝานยังไม่เคยได้รับความรู้สึกที่ถูกปรนนิบัติ เขาก้มลงมอง เขามองผ่านคอเสื้อฉินเอ๋อร์เห็นสิ่งอวบอิ่มด้านในพอดี

แค่กๆ อย่ามองว่าอายุน้อยเลย มีของจริงๆ!

ลู่ฝานเงยหน้าขึ้น อะไรที่ไม่เหมาะสมอย่าไปดู เขามองหน้าฉินเอ๋อร์ ยิ้มแล้วพูดว่า “ฉันนอนไปกี่วัน”

ฉินเอ๋อร์พูดว่า “สองวันแล้วค่ะ พวกคุณท่านร้อนใจมาก โอ๊ะ ฉันลืมไปเลย เดี๋ยวฉันไปแจ้งพวกคุณท่านค่ะ”

พูดจบ ฉินเอ๋อร์วางผ้าขนหนู รีบวิ่งไปด้านนอก

ลู่ฝานกะพริบตา เพิ่งได้รับการปรนนิบัติจากคนอื่น เฮ้อ หายไปอีกแล้ว

ลู่ฝานค่อยๆ ลุกขึ้น สัมผัสกับสภาพร่างกายตัวเอง

ปราณชี่เบาบาง กล้ามเนื้อฉีกขาด กระดูกมีรอยร้าวเล็กน้อย อวัยวะภายในเคลื่อนตัวเล็กน้อย สรุปว่าไม่เลว

ลู่ฝานสวมเสื้อผ้าเรียบร้อย เปิดประตูเดินไปข้างนอก

ในลานเล็กๆ ดอกไม้ใบหญ้าเต็มสวน

ระยะเวลาสั้นๆ ไม่กี่วัน ลานบ้านของเขาเปลี่ยนโฉมใหม่ ดูเป็นรูปเป็นร่าง

ลู่ฝานเดินมานั่งบนเก้าอี้หินในลานบ้าน

ค่อยๆเอายาในเข็มขัดออกมากินหนึ่งขวด รู้สึกดีขึ้นมาไม่น้อย

นับของที่อยู่ในเข็มขัดและแหวนอีกครั้ง ไม่น้อยเหมือนเดิม

ลู่ฝานเงยหน้ามองฟ้า สูดอากาศสดชื่น ปราณชี่ในตัวลู่ฝานเคลื่อนไหวตามเส้นทางชีวิตโดยอัตโนมัติ ค่อยๆ เพิ่มขึ้นและแข็งแกร่ง

จู่ๆ ลู่ฝานรู้สึกอะไรบางอย่าง รอให้บาดแผลฟื้นฟู ต้องยกระดับได้อีกขั้นแน่นอน

การต่อสู้แบบเป็นตาย เป็นวิธีที่ทำให้ยกระดับขึ้นง่ายที่สุด ถ้าไม่ใช่เพราะวิธีนี้อันตรายมาก เขายังคิดอยากทำหลายรอบ

ไม่นาน มีเสียงฝีเท้าร้อนรนดังมาจากนอกลานบ้าน

ไม่ต้องฟังเขาก็รู้ว่าเป็นพวกคุณปู่

ตามคาด คนที่เข้ามาคนแรกคือปู่ลู่เฮ่าหราน คนที่ตามหลังเขามาคือลู่หาว ลู่หมิง หานเฟิงและเจ้าดำ

คนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาในลานบ้าน เห็นลู่ฝานนั่งอาบแดดอยู่ตรงนั้น ทุกคนถึงกับโล่งอก

ลู่เฮ่าหรานยิ้มแล้วพูดว่า “ลู่ฝาน ฉันรู้ว่านายต้องไม่เป็นอะไร นอนไปสองวัน รู้สึกยังไงบ้าง”

ลู่ฝานพยักหน้า “รู้สึกไม่เลวครับปู่ จับพวกเสวี่ยบาได้ไหม”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ สีหน้าของลู่เฮ่าหรานเปลี่ยนไป

ลู่หาวถอนหายใจแล้วพูดว่า “ขอโทษด้วยลู่ฝาน จับสองคนนั้นไม่ได้สักคน หนีไปได้หมด อีกทั้งตอนที่ตามฆ่า ยังเสียทหารคุ้มครองเมืองไปหลายคน”

ลู่ฝานพยักหน้าเข้าใจ ไม่ถามอะไรมากอีก

จับไม่ได้ก็สมเหตุสมผล ถึงเป็นนักบู๊แดนปราณชีวิตที่บาดเจ็บ แต่ยังไงก็เป็นแดนปราณชีวิต

ไม่ถามอะไรมาก ลู่ฝานบอกให้พวกลู่เฮ่าหรานนั่งลง

“ในเมื่อพวกเขาหนีไปแล้ว งั้นเราต้องกังวลเรื่องแก้แค้นครั้งใหญ่ของสำนักโลหิตพิฆาต พวกเขาเสียเปรียบไปสองรอบแล้ว ครั้งหน้ามาอีก ต้องดุดันอย่างแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้นจะทำยังไงดี”

ลู่ฝานเคาะนิ้วลงบนโต๊ะหินเป็นจังหวะ พูดด้วยสีหน้ากังวล

ลู่เฮ่าหรานนั่งตรงข้ามลู่ฝาน เมื่อได้ยินก็พูดด้วยเสียงขรึมว่า “ลู่ฝาน เรื่องนี้เราก็เคยคิด สองวันนี้เราปรึกษากันเรื่องนี้ น้องหานเฟิงเสนอวิธีหนึ่งให้เรา นายว่าโอเคไหม”

ลู่ฝานอึ้งไป หันไปมองหานเฟิงแล้วพูดว่า “วิธีอะไร”

หานเฟิงนั่งลงอย่างสง่าผ่าเผย แล้วพูดว่า “วิธีง่ายมาก ศิษย์น้องลู่ฝาน นายจะเป็นเจ้าหน้าที่เล่นๆ หน่อยไหม”

แสงกระบี่หลายสิบกว่าแสงรวมถึงพวกลู่ฝาน ไล่ตามด้านหลังเสี่ยวอู่กับเสวี่ยบา

แต่ขณะนั้น แววตาทั้งสองข้างของเสี่ยวอู่ขาวโพลน แสงกระบี่หลายสิบแสงหายไปทันทีเกือบครึ่ง

แต่วินาทีต่อมา ดวงตาทั้งสองข้างของเสี่ยวอู่มีเลือดไหลออกมา

หลับตาลง เสี่ยวอู่กับเสวี่ยบาพุ่งออกไปนอกประตูเมือง ตามทางก็ฆ่าทหารคุ้มครองเมืองที่หลบไม่ทันไป 7-8 คน

ตู้ม!

ประตูเมืองครึ่งหนึ่งโดนชนจนแตกเสวี่ยบากัดปลายลิ้นตัวเอง พ่นเลือดสารจำเป็นออกมา

“การหลบหนีโลหิต!”

ทั้งสองคนกลายเป็นแสงโลหิต พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า เหมือนลูกธนูพุ่งออกไปไกล

ลู่ฝานชะงักฝีเท้าที่กำลังไล่ตาม ยกมือพูดว่า “หยุด ไม่ต้องตามแล้ว”

หานเฟิงและคนอื่นหยุดลงทันที มองไปทางที่เสวี่ยบากับเสี่ยวอู่หนีไป หานเฟิงก่นด่าว่า “ไอ้ผี หนีเร็วจริงๆ ศิษย์น้องลู่ฝาน ไม่ไล่ตามไม่ได้นะ เหลือสองคนนี้อยู่เป็นความหายนะ ห้ามให้พวกเขามีชีวิตรอดกลับไป”

ลู่ฝานกำลังจะพูดอะไร แต่เมื่ออ้าปากกลับมีเลือดไหลออกมา

ความอ่อนล้าแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย เริ่มมึนหัว

ความคิดสุดท้ายที่เหลือในหัว เขาตะโกนออกมาว่า “ไอ้เก้า ร่างกายฉันเป็นอะไร”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดเบาๆ ว่า “เจ้านาย ควบคุมค่ายกลก็เปลืองพลังเช่นกัน”

ลู่ฝานจะพูดอะไร แต่ก็ไม่ได้พูดออกมา กลับไม่มีสติแล้ว

ด้านหน้ามืดเป็นแถบ ลู่ฝานเป็นลมล้มลงไป

……

ไม่รู้ผ่านไปนานแค่ไหน โลกเริ่มมีแสงสว่าง

เมื่อลืมตาขึ้นมา ลู่ฝานรู้สึกเจ็บปวดเหมือนร่างกายจะฉีกออก

“ไอ้เก้า ฉันต้องสั่งสอนแกแล้ว เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ทำไมไม่พูดก่อน ทำไมไม่บอก!”

ไม่มีเสียงของเจดีย์เสวียนเก้ามังกรดังขึ้นมา

ลู่ฝานอึ้งไป จากนั้นสติจมลงไปในตันเถียน

ทันใดนั้นลู่ฝานเห็นเจดีย์เสวียนเก้ามังกรนิ่งเงียบ มันที่อยู่ในมุกเทพ เหมือนสูญเสียพลังไปทั้งหมด กำลังอยู่ในการหลับใหล

ลู่ฝานเคลื่อนไหวมุกเทพ เอาปราณชี่ที่เหลือไม่เยอะใส่เข้าไปในเจดีย์เสวียนเก้ามังกร

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรค่อยๆ มีแสงสว่าง

จากนั้นเสียงของไอ้เก้าดังขึ้นอีกครั้ง

“เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ฟื้นแล้วเหรอ ครั้งนี้ขาดทุนมาก”

ลู่ฝานพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ไอ้เก้า แกมันเลว เรื่องสำคัญไม่พูด ค่ายกลเอาพลังของแกไปด้วยใช่ไหม”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดว่า “ถ้าจัดการนักบู๊แดนปราณชีวิตขั้นต้น คงไม่ใช่แบบนี้ แต่ถ้าอีกฝ่ายอยู่เหนือกว่าขอบเขตที่ค่ายกลจำกัดไว้ คงทำได้เพียงยืมพลังภายนอก อย่างเช่น ปราณชี่ของเจ้านาย พลังของฉัน ประมาณนี้ แต่ไม่ต้องกังวล ฉันควบคุมได้ไม่เลว ไม่มีทางทำให้เจ้านายบาดเจ็บเพราะเรื่องนี้ แค่พลังหมดเท่านั้น เจ้านาย ดูเหมือนฉันต้องนอนสักระยะ ต่อไปถ้าเจอของดีอย่าลืมปลุกฉัน ฉันต้องการของดี อืม ของดีเยอะๆ”

เสียงของเจดีย์เสวียนเก้ามังกรเบาลงเรื่อยๆ จนแทบจะไม่ได้ยิน
ลู่ฝานถอนหายใจออกมา ไม่ถามอะไรมากอีก

ลู่ฝานมองไปรอบๆ เขาพบว่าที่นี่ไม่ใช่ห้องตัวเอง

เมื่อกำลังจะลุกขึ้นมา จู่ๆ ประตูถูกเปิดออก

หญิงสาวคนหนึ่งเดินเข้ามา รวบผมเอาไว้ด้านข้าง แต่งกายชุดสีเขียวน้ำเงิน สะบัดแขนเสื้อ ถือกะละมังน้ำ เธอดูบริสุทธิ์น่ารัก

“เธอเป็นใคร”

ลู่ฝานเอ่ยถาม เขาไม่เคยเห็นผู้หญิงคนนี้ในตระกูลลู่

หญิงสาวสะดุ้งโหยง จนเกือบทำน้ำหก

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 470
“เหล่าชี โซ่วโก่ว! ลู่ฝาน นายกล้ามาก!”

ตู้ม

เหล็กกักขังบนตัวเสวี่ยบาถูกแสงเปลวไฟลุกโชนบนตัวเขาระเบิดออก เอามือทั้งสองข้างไขว้กันตรงหน้าอก แสงกระบี่สองแสงที่พุ่งเข้ามาข้างหน้าปักลงบนแขนของเขา

เสวี่ยบาตะโกนออกมาสุดชีวิต เสื้อผ้าบนตัวระเบิดออก

ถึงกระดูกและเอ็นตรงหน้าอกของเขาจะโดนลู่ฝานโจมตีจนละเอียด แม้แขนของเขาโดนแสงกระบี่แทงทะลุ แต่ตอนนี้เสวี่ยบาเหมือนเทพสงคราม

เปลวไฟค่อยๆ รวมตัวกันเป็นเกราะบนตัวเขา สถานการณ์แบบนี้ ลู่ฝานเห็นแล้วหน้าเปลี่ยนสี

“หลีกไป หลีกไปให้หมด!”

ลู่ฝานตะโกนอย่างตกใจ แล้วพุ่งเข้าไปก่อน

วิชาสายฟ้าฟาดห้าธาตุ สายฟ้าฟาด!

กระบี่กลายเป็นสายฟ้า ครั้งนี้พลังสายฟ้าสีทอง กดดันพลังเปลวไฟบนตัวลู่ฝาน

ขณะเดียวกัน ลู่ฝานรู้สึกว่าปราณหยินหยางอันแข็งแกร่ง พุ่งเข้ามาในตัวเขา เพิ่มพลังให้กับเขา

กระบี่ฟันลงมา ลู่ฝานฟันเปลวไฟบนตัวเสวี่ยบาจนกระจาย

แต่เสวี่ยบาใช้สองมือเปล่าสู้กับมีดที่คม รับกระบี่หนักไร้คมของลู่ฝานเอาไว้ ในเวลาเดียวกัน พลังลมจู่โจมมาข้างตัวลู่ฝาน

ช่วงเวลาคับขัน ลู่ฝานใช้วิชาชิงวิญญาณกับเสวี่ยบาอีกครั้ง

เสวี่ยบาร้องโอดครวญอย่างเจ็บปวด พลังลมที่พุ่งเข้ามาหาลู่ฝานก็เคลื่อนไหว หลังจากนั้นพัดผ่านไหล่ลู่ฝานไป ทิ้งรอยดาบลึกเอาไว้ให้ลู่ฝานอีกครั้ง

ลู่ฝานปล่อยกระบี่หนักไร้คม ซัดหมัดสองข้างออกมาโจมตี

หมัดถล่มเขาอู๋เซี่ยง!

พลังหมัดนับไม่ถ้วนโจมตีลงบนตัวเสวี่ยบา แต่เสวี่ยบากลับฝืนเอาไว้ ไม่ถอยหลังแม้แต่ก้าวเดียว

“อ๊าก!!!”

เสวี่ยบาร้องเสียงดังออกมา ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ

“ระเบิดโลหิต!”

ทันใดนั้น พลังอันน่ากลัวระเบิดออกมา ลู่ฝานที่อยู่ใกล้ที่สุดโดนระเบิดจนปลิว

ห้องที่อยู่รอบๆ โดนระเบิดจนหลังคาปลิว ทำให้ค่ายกลสั่นสะเทือนไปด้วย

ลู่ฝานกระแทกกับกำแพงจนปลิว เขาจับหน้าอกเอาไว้ รอยเลือดเลอะเต็มหน้า

“นี่มันเกิดอะไรขึ้น ไอ้เก้า ทำไมค่ายกลของแกใช้ไม่ได้!”

ลู่ฝานตะโกนออกมา

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดอย่างหวาดระแวงว่า “เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ ไม่เกี่ยวกับฉันนะ เพราะเป็นแค่เจดีย์แรกของค่ายกล มีหลายอย่างที่ไม่เพียงพอ เมื่อซึมซับพลังโจมตีธาตุทอง พลานุภาพของการกักขังจะเบาลง ตอนนี้พลังค่ายกลส่วนใหญ่ อาศัยพื้นฐานของค่ายกลหยินหยางสนับสนุน พลังปราณหยินหยางในค่ายกลมีข้อจำกัด”

ลู่ฝานแผดเสียงออกมาเสียงดัง “งั้นไม่ต้องสนใจการกักขังอะไรนั่นแล้ว โจมตี โจมตีให้หมด เอาพลังที่แข็งแกร่งสุดออกมาโจมตี!”

ลู่ฝานตะโกนเช่นนี้ ค่ายกลเริ่มเปลี่ยนแปลงตามความคิดของลู่ฝาน

แสงกระบี่นับไม่ถ้วนปรากฏกลางอากาศ กลายเป็นค่ายกลกระบี่พุ่งไปฆ่าพวกเสวี่ยบา

หานเฟิงและคนอื่นเห็นท่าไม่สู้ดี จึงรีบถอยออก โจวเจิ้นโส่วหนียิ่งเร็วกว่า หลบอย่างไร้ร่องรอยไปนานแล้ว

แสงกระบี่สาดลงมา บาดเจ็บล้มตายกัน

แสงกระบี่ปักลงบนตัวเสวี่ยบาหกเล่ม สี่เล่มพาดผ่านอกไป แต่เสวี่ยบายังฝืนยืนอยู่ตรงนั้น

แสงกระบี่พุ่งเข้ามาอีกหนึ่งเล่ม ทันใดนั้นซานเจียวยันที่อยู่ไม่ไกล ทำลายการกักขัง พุ่งเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง กระแทกเสวี่ยบาออกไป

“พี่ใหญ่!”

ซานเจียวยันตะโกนออกมา แสงกระบี่เข้าไปในลำคอของเขา ทันใดนั้นซานเจียวยันตายคาที่ทันที

“ไม่ ซานเจียวยัน!”

เสวี่ยบาร้องไห้ออกมาอย่างทุกข์ทรมาน มีอีกสองคนหลุดออกจากการกักขัง พุ่งเข้ามาดึงเสวี่ยบาออกไปด้านนอก

“หนี! พี่ใหญ่ หนี!”

แสงกระบี่สาดลงมา ในบรรดาทั้งสองคน มีหนึ่งคนโดนฆ่าตาย

สุดท้ายเหลือเพียงคนที่ลูกตาขาวโพลนอย่างเสี่ยวอู่กับเสวี่ยบาพุ่งออกไปจากวงล้อมของผู้คนอย่างลม

ลู่ฝานตะโกนว่า “ตามไป อย่าให้พวกเขาหนี!”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 469
แสงสว่างแสบตา ถนนทั่วเมืองเจียงหลิน เกิดแสงแสบตายิ่งกว่าดวงอาทิตย์

แสงแสบตาทำให้ทุกคนลืมตาขึ้นมาไม่ได้ คนที่ “เห็น” ได้เพียงแค่คนเดียวคือ ลู่ฝานที่ควบคุมค่ายกลเสวียนเหล็กเจดีย์เก้า

พวกเสวี่ยบาที่ตะโกนคำว่าตายดั่งสะเทือนไปทั่ว ตอนนี้กลับเงียบสนิท

ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่อยากพูด แต่ตอนนี้พวกเขาไม่สามารถพูดได้

พลังอันน่ากลัวกำเริบอยู่ในร่างกายของเขา พวกเขาไม่รู้ว่าพลังประหลาดเหล่านี้มาจากไหน ก็รู้สึกว่าร่างกายเองหนักเหมือนหิน ไม่สามารถขยับได้ ขนาดอ้าปากยังยาก

แสงสว่างหายไป อักษรยันต์สีทองลอยอยู่กลางท้องฟ้า

ตอนที่หานเฟิงและคนอื่นกำลังปรับการมองเห็น เห็นยอดฝีมือสิบสองคนของสำนักโลหิตพิฆาตยืนแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น

บนตัวของพวกเขา มีแสงสีทองประหลาดปกคลุมอยู่หนึ่งชั้น นั่นเป็นการกักขังที่ค่ายกลเสวียนเหล็กเจดีย์เก้าเพิ่มให้พวกเขา

สีหน้าทั้งสิบสองคน ดูทรมานเหมือนท้องผูก ใช้แรงทั้งหมดก็ไม่สามารถขยับได้

หานเฟิงหัวเราะแล้วพูดว่า “ให้พวกนายอวดดี ให้พวกนายกำเริบเสิบสานอีก”

ลู่ฝานออกคำสั่งว่า “ลงมือ!”

ทันใดนั้นลู่หาว ลู่เฮ่าหรานและหานเฟิงลงมือพร้อมกัน

ลู่ฝานพุ่งเข้าไปหาเสวี่ยบาทันที

มังกรเหิน!

เสวี่ยบาที่ไม่สามารถหลบได้ ทำได้เพียงปล่อยพลังปราณออกมาฝืนต้านกระบี่ลู่ฝานเอาไว้

ปราณชี่หมุนวนเป็นเกลียว ลู่ฝานแผดเสียงออกมา โจมตีครั้งที่หนึ่ง โจมตีครั้งที่สอง โจมตีครั้งที่สาม…..

กระบี่ฟันลงบนตัวเสวี่ยบาเก้าครั้ง ทำให้พลังปราณที่ปกคลุมร่างกายเสวี่ยบาแตกออก กระบี่โดนตัวเสวี่ยบา พลังอันน่ากลัวทำให้กระดูกของเสวี่ยบาแตก เสียงกระดูกดังขึ้นชัดเจน เสียงเหมือนเม็ดถั่วระเบิดดังขึ้น

เพียงกระบี่เดียวของลู่ฝาน ไม่รู้ทำให้กระดูกของเสวี่ยบาแตกไปเท่าไร เสวี่ยบาล้มลงกับพื้นเหมือนว่าวเชือกขาด

“ทางนี้ ทุกคนมาทางนี้!”

มีเสียงลู่หมิงตะโกนมาจากไม่ไกล

เห็นลู่หมิงพาลูกหลานตระกูลลู่ออกมาจากมุมถนน พุ่งเข้ามาพร้อมดาบในมือ ขณะเดียวกัน โจวเจิ้นโส่วไม่หนีอีกแล้ว เมื่อเห็นว่าลู่ฝานควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว รีบสั่งให้ทหารคุ้มครองเมืองเข้ามาทันที

ทุกคนล้อมสิบสองคนของสำนักโลหิตพิฆาตเอาไว้ เริ่มโจมตีอย่างดุเดือด

ภายใต้การกดดันของค่ายกล ยอดฝีมือทั้งสิบสองคนของสำนักโลหิตพิฆาต อย่าว่าแต่โจมตีกลับเลย ขนาดหลบยังทำไม่ได้

ทุกคนเหมือนเคาะหิน รุมยอดฝีมือทั้งสิบสองคน

ตอนนี้เจดีย์เสวียนเก้ามังกรในตัวของลู่ฝานก็หัวเราะแล้วพูดว่า “ฮ่าๆ เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ พลานุภาพค่ายกลของฉันไม่เลวใช่ไหม นี่แค่วิธีการแรกเท่านั้น หึหึ ถ้าวัสดุเพียงพอ ยังสามารถละลายเหล็กเข้าสู่ร่างกายผ่านค่ายกล ทำให้อีกฝ่ายเป็นหุ่นเชิดเหล็ก เจ้านายลองพลังธาตุทองขั้นสูงสุดอีกครั้งไหม!”

ลู่ฝานหัวเราะในใจ “ดีเหมือนกัน ให้ฉันได้เห็นประสิทธิภาพการโจมตีของค่ายกลนี้หน่อย”

เมื่อเกิดความคิด พลังธาตุทองของทั้งบริเวณรอบๆ รวมตัวกันอย่างรวดเร็ว กลายเป็นแสงกระบี่สีทองกลางอากาศ พุ่งเข้าไปโจมตีพวกเสวี่ยบา

พรวด!

ทันใดนั้น ยอดฝีมือของสำนักโลหิตพิฆาตคนหนึ่งโดนกระบี่แทงทะลุอก พลานุภาพของกระบี่นี้ เกินกว่าการโจมตีเดียวด้วยพละกำลังทั้งหมดของยอดฝีมือแดนปราณชีวิต

ลู่ฝานตกใจกับพลานุภาพของกระบี่สีทองนี้ ค่ายกลอันน่ากลัว นี่เป็นค่ายกลที่หลอมมาจากกองเหล็กธรรมดาๆ จริงเหรอ

มีเงาคนสองคนทรุดลงไปอีกแล้ว ภายใต้การโจมตีของค่ายกล ยอดฝีมือของสำนักโลหิตพิฆาต ไม่สามารถต้านทานได้เลย เพียงพริบตาก็ตายไปสามคน!

เสวี่ยบาที่ล้มลงบนพื้นเห็นดังนั้น รีบตะโกนออกมาอย่างน่าสงสาร

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 468
ลู่ฝานมองเสวี่ยบาด้วยแววตาเย็นชา “ฉันบอกไปแล้วว่าเป็นเคล็ดวิชาคลื่นเสียง ถ้านายไม่เชื่อก็เรื่องของนาย สรุปว่าผ่านไปสิบกระบวนท่าแล้ว ความแค้นระหว่างเราจบลงแล้วตามสัญญา นายไปได้แล้ว!”

“สัญญาบ้าบออะไร! ไอ้เด็กน้อย ฉันจะฆ่าแก!”

เสวี่ยบาแผดเสียงออกมา ท่าทางใกล้จะไม่มีสติแล้ว

เสวี่ยบาถือดาบหัวผี พุ่งเข้าไปหาลู่ฝาน

ขณะเดียวกัน ซานเจียวยันและคนอื่น ได้ยินเสียงของเสวี่ยบา ก็พุ่งเข้าไปเช่นกัน

ลู่ฝานเห็นว่าผิดปกติ จึงรีบถอยไป ความเร็วของเขาก็เร็วเช่นกัน ถอยมาที่ประตูเมือง

หานเฟิงก่นด่าว่า “ไอ้เลวเอ้ย ว่าแล้วว่าคนพวกนี้ไม่ปฏิบัติตามกฎ ฆ่ามันซะ ยิงธนู พวกนายจะยืนอยู่ทำไม”

หานเฟิงออกคำสั่งแทนโจวเจิ้นโส่ว ทหารคุ้มครองเมืองทั้งหมดยิงธนูทันที ธนูสาดออกไปเหมือนฝน ต้านทานเสวี่ยบาและคนอื่นเอาไว้ทันที

ลู่หาวกับลู่เฮ่าหรานพาลู่ฝานถอยเข้าไปในเมือง

ลู่เฮ่าหรานถอยพลางพูดว่า “ลู่ฝาน นายรีบหนีไป ฉันช่วยนายต้านพวกเขาเอง”

ลู่ฝานดึงปลายเสื้อลู่เฮ่าหรานเอาไว้แน่น “ต้านทานอะไรกันล่ะ ให้พวกเขาเข้ามาในเมือง”

เมื่อพูดแบบนี้ ลู่ฝานดึงลู่เฮ่าหรานกับลู่หาวและคนอื่น เหาะไปบนถนนในเมือง

พวกเสวี่ยบาที่โดนขัดขวางอยู่ด้านหลัง ยังพุ่งเข้ามาได้ สิบสองคนกลายเป็นแสงโลหิต พุ่งเข้ามาในประตูเมือง

“ลู่ฝาน วันนี้ฉันต้องฆ่าแก ฉันจะทารุณตระกูลลู่ รวมไปถึงทั้งเมืองเจียงหลินด้วย ไม่งั้นความแค้นของฉันคงไม่มีวันสิ้นสุด!”

ทันใดนั้นทหารคุ้มครองเมืองสิบกว่าคนโดนฆ่าตาย

โจวเจิ้นโส่วหน้าซีดเผือด ถอยหลังหนีอย่างหวาดกลัว

ตอนนี้เขาไม่มีท่าทีน่าเกรงขามของผู้เฝ้าเมืองอีกแล้ว ดูเหมือนสุนัขที่ดูตื่นตระหนก

ตอนแรกที่เขาเป็นผู้เฝ้าเมือง ไม่คิดไม่ฝันว่าจะมีวันแบบนี้

หานเฟิงก็ถอยหลังตามพวกลู่ฝานเช่นกัน แสงโลหิตสิบสองลำแสง พุ่งผ่านประตูเมืองเข้ามาหาลู่ฝาน

ลู่ฝานหนีตลอดทาง ในหัวมีถนนทั้งเมืองเจียงหลินปรากฏขึ้นมา

เข้าไปอีก เข้าไปอีก!

ลู่ฝานรอให้พวกเสวี่ยบาโดนพวกเขาพาเข้าในกลางของค่ายกล

ลู่ฝานกำหมัด มีปราณชี่เบาบางปรากฏขึ้นบนตัวลู่ฝาน

เสวี่ยบาตะโกนออกมา ทำให้ประชาชนทั้งเมืองเจียงหลินได้ยินอย่างชัดเจน

เมื่อพวกเขาได้ยินว่าจะโหดเหี้ยมกับเมืองเจียงหลิน ทุกคนต่างพากันตื่นตระหนก

กลุ่มคนเดินมาบนถนน มองแสงโลหิตสิบกว่าแสงพุ่งเข้ามา

ทุกที่ที่ผ่านไปเศษหินกระจาย รังสีพิฆาตพลุ่งพล่าน

“ช่วยด้วย!”

ประชาชนตะโกนเสียงดัง

คนจำนวนมากปิดห้อง ขดตัวหลบอยู่ตรงมุม

ทันใดนั้น แสงโลหิตสิบสองแสงเพิ่มความเร็วขึ้น พุ่งเข้าไปตรงหน้าพวกลู่ฝาน

แสงโลหิตหายไป ทั้งสิบสองคนหยุดลง ล้อมพวกลู่ฝานเอาไว้

หานเฟิงมองเหตุการณ์ ก่นด่าพลางพูดกับลู่ฝานเบาๆ ว่า “ให้ตายเถอะ ศิษย์น้องลู่ฝาน นายยังมีวิธีต่อจากนี้ไหม ให้ตายเถอะ คงไม่จบสิ้นแบบนี้ใช่ไหม!”

เสวี่ยบาถือดาบหัวผีเอาไว้ เปลวเพลิงบนตัวรวมตัวเป็นพญาวานรอีกครั้ง

“ตายซะเถอะลู่ฝาน!”

เสวี่ยบากัดฟันพูดออกมา

แต่ว่าลู่ฝานกลับยิ้มบางๆ “ไม่ คนที่ควรตายคือนาย ค่ายกลเสวียนเหล็กเจดีย์เก้า ปรากฏขึ้นมา!”

เมื่อออกคำสั่ง แสงสว่างปรากฏขึ้นทั่วเมืองเจียงหลิน ทันใดนั้นเสวี่ยบาและคนอื่น รู้สึกถึงพลังมหาศาลพุ่งขึ้นจากใต้เท้า เข้าไปในตัวพวกเขาทันที

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 467
ทันใดนั้น สีหน้าของเสวี่ยบาชะงักไป ในแววตาทั้งสองข้างของเขา เต็มไปด้วยความงุนงง

ลูกไฟขนาดใหญ่พร้อมกับดาบหัวผีในมือเขา ร่วงลงพื้นอย่างไม่สามารถควบคุมได้ ลู่ฝานกับเสวี่ยบาโดนโจมตีพร้อมกัน กระแทกลงบนพื้นอย่างแรง

“พี่ใหญ่!”

ซานเจียวยันตะโกนอย่างตกใจ

เดิมทีควรเป็นการต่อสู้ที่ไม่มีปัญหาอะไร ทำไมตอนนี้ถึงอยู่ในสภาพนี้

ดูเหมือนสถานการณ์ผิดปกติแล้ว

“อ๊าก!”

เสวี่ยบาร้องโอดครวญอย่างเจ็บปวดอยู่ในลูกไฟ สะบัดดาบหัวผีฟันไปทางลู่ฝาน

โจมตีไปสิบกว่าดาบ ลู่ฝานไม่สามารถหลบได้ แต่ตอนที่เสวี่ยบาใช้กระบวนท่า ลู่ฝานใช้วิชาชิงวิญญาณออกมาอีกครั้ง

ครั้งนี้ลู่ฝานสัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณของเสวี่ยบา โดนเขาโจมตีจนเป็นรอยแยก ในหัวของเสวี่ยบามีควันขาวลอยขึ้นมา เหมือนเปลวไฟแผดเผาเข้าไปในหัวของเขา

ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!

ลูกไฟอันน่ากลัวระเบิดอย่างต่อเนื่อง เสียงดังขึ้นสิบกว่าครั้งจึงหยุดลง

ลู่ฝานกับเสวี่ยบานอนอยู่บนพื้น ลู่ฝานเลือดเต็มตัว เกราะเกล็ดมังกรบนตัวพังเสียหาย ไม่รู้ต้องใช้ปราณชี่ฟื้นฟูนานแค่ไหนจึงจะกลับเป็นเหมือนเดิม

ดูเหมือนเสวี่ยบาไม่ค่อยเป็นอะไรมาก แค่ด้านหลังโดนเผาจนแดงเถือก มีควันดำลอยขึ้นมา มีกลิ่นเนื้อย่างลอยออกมาเล็กน้อย

แต่สิ่งสำคัญคือหัวของเขา เสวี่ยบากุมหัวตัวเอง ร้องอย่างเจ็บปวดสุดชีวิต

เหตุการณ์แบบนี้ทำให้ซานเจียวยันกับเสี่ยวอู่ช็อกไปเลย

การเป็นหัวหน้านักฆ่าชั้นยอดของสำนักโลหิตพิฆาต ไม่ว่าจะเป็นอาการบาดเจ็บอะไร ถึงแขนขาขาด เสวี่ยบาก็ไม่ขมวดคิ้ว

แต่ตอนนี้เหมือนเสวี่ยบากำลังจะตาย ร้องโอดครวญเหมือนหมูถูกเชือด รู้เลยว่าเขาบาดเจ็บสาหัสแค่ไหน

ครั้งนี้ซานเจียวยันไม่สนใจคนอื่น พุ่งเข้าไปหาเสวี่ยบาทันที

นักฆ่าของสำนักโลหิตพิฆาตประคองเสวี่ยบาขึ้นมา และใส่พลังปราณเข้าไปในตัวเสวี่ยบา

เสวี่ยบาจับหัวตัวเอง เหงื่อไหลออกจากหน้าผากเป็นหยดๆ

ความเจ็บปวดแบบนี้ยากจะอธิบาย เหมือนมีกรรไกรแยกหัวสมองเขาออกทีละนิ้ว เสวี่ยบามองลู่ฝานด้วยแววตาอาฆาต

ส่วนตอนนี้ลู่ฝานลุกขึ้นมาช้าๆ

“แค่กๆ!”

ลู่ฝานกระอักเลือดลงบนพื้น ถึงมีเจดีย์เสวียนเก้ามังกรช่วยฟื้นฟูบาดแผลให้เขาสุดกำลัง ตอนนี้เขาก็ยังบาดเจ็บสาหัส

“ผ่านไปแล้วสิบกระบวนท่า พวกนายไปได้แล้ว!”

ลู่ฝานพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ

ทุกคำที่พูด เขารู้สึกเจ็บที่ท้องเหมือนโดนไฟเผา

เขาสบประมาทพลังธาตุไฟขั้นสูงสุด ผู้แข็งแกร่งแดนปราณชีวิตชั้นหกแท้จริง แข็งแกร่งจนน่ากลัวตามคาด ตอนนี้เขาไม่สามารถจัดการได้

ยังดีที่เขาได้เรียนวิชาชิงวิญญาณจากอาจารย์หวูเฉิน โจมตีศัตรูอย่างรุนแรงจนคาดไม่ถึง ไม่งั้นเขาต้องน่าเวทนายิ่งกว่านี้แน่นอน

“นายทำอะไรฉันกันแน่”

เสวี่ยบาจับหัวตัวเองแล้วเอ่ยขึ้น เหมือนเขาไม่ได้ยินที่ลู่ฝานพูดว่าผ่านไปแล้วสิบกระบวนท่า เอาแต่ถามเสียงดังใส่ลู่ฝาน

ลู่ฝานตอบอย่างราบเรียบว่า “เคล็ดวิชาคลื่นเสียงเท่านั้น นายไม่น่าจะไม่รู้”

แน่นอนว่าลู่ฝานบอกไม่ได้ว่านั่นเป็นวิชาชั่วร้ายวิชาชิงวิญญาณ จึงบอกไปว่าเป็นเคล็ดวิชาคลื่นเสียง เพราะรูปแบบการโจมตีของทั้งสองวิชาไม่ต่างกันมากนัก ล้วนโจมตีอวัยวะภายในของร่างกาย คนทั่วไปก็แยกแยะไม่ออก

เสวี่ยบาตะโกนออกมาว่า “เป็นไปไม่ได้ นักบู๊แดนปราณนอกธรรมดาๆ ถึงใช้วิชาอสูรเข้าสิง ก็ไม่สามารถใช้เคล็ดวิชาคลื่นเสียงทำร้ายฉันได้ ไอ้เด็กน้อย นายอย่ามาหลอกฉัน นายใช้วิชานอกรีดอะไร รีบพูดออกมา!”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 466
ประกายไฟพวกนี้ร่วงลงบนพื้น กระแทกพื้นจนเป็นรูมากมาย

การต่อสู้ของลู่ฝานกับเสวี่ยบา ทำให้พื้นยุบลงไป ทุกอย่างที่อยู่บนพื้นโดนเผาจนเป็นผุยผง พื้นดินสีดำแผ่ขยายเป็นวงกว้าง

ย๊าก!

เปลวไฟบนตัวเสวี่ยบาลุกโชนขึ้นอีก เปลวไฟดำบนตัวลู่ฝานโดนกดดันจนริบหรี่ลง ตัวลู่ฝานก็ถอยไปข้างหลังไม่หยุด

ถึงลู่ฝานใช้พลังของเจ้าดำ พุ่งไปถึงแดนปราณชีวิตชั้นสูงสุด แต่ก็ยังห่างชั้นกับเสวี่ยบามาก

ดูจากพลังที่เสวี่ยบาปล่อยออกมา อย่างน้อยเขาต้องเป็นยอดฝีมือแดนปราณชีวิตชั้นห้าหรือชั้นเจ็ก

กล้ามเนื้อบนแขนเสวี่ยบาปูดขึ้นมา ดาบหัวผีในมือส่งเสียงคำรามออกมา เปลวไฟสีน้ำเงินก่อตัวเป็นพญาวานรขนาดใหญ่

เสวี่ยบาตวาดออกมาว่า “ดาบเมฆเพลิงพญาวานร!”

ฝ่ามือใหญ่ของพญาวานรฟาดลงมา โจมตีมังกรดำที่ลู่ฝานปล่อยออกมาจนสลาย

เปลวไฟที่เหลือพุ่งเข้าไปหาลู่ฝาน แต่ขณะนั้น มีเกราะสีเงินปรากฏขึ้นบนตัวลู่ฝาน

เกราะเกล็ดมังกร!

เปลวไฟพวกนี้โจมตีไม่โดนตัวลู่ฝาน

ลู่ฝานพลิกมือโจมตีกระบี่ออกไป วิชาสายฟ้าฟาดห้าธาตุ กระบี่เพลิงทองสายฟ้า!

พื้นดินสั่นสะเทือน มีเสียงฟ้าร้องน่าตกใจดังขึ้น

แสงฟ้าร้องตามเปลวไฟไปที่ตัวเสวี่ยบา พลังสายฟ้าอันแข็งแกร่ง โจมตีพญาวานรจนร้องออกมา

ไม่เพียงแค่นั้น แรงสั่นสะเทือนที่ตามมา โจมตีพญาวานรจนสลาย

กระบี่และดาบปะทะกัน เสวี่ยบายกขาขึ้นเตะ แต่ลู่ฝานใช้หมัดซ้ายโจมตีออกไป

หมัดกับเท้าปะทะกัน ทั้งสองกระเด็นถอยหลังไปพร้อมกัน

เสียงระเบิดดังเข้าหูอย่างต่อเนื่อง คลื่นพลังแผ่เป็นวงกว้าง ทำให้ทุกคนที่ยืนอยู่หน้าประตูถอยหลังกรูด

ลู่หาวกับลู่เฮ่าหรานตกใจมาก

นี่คือพลังที่แท้จริงของลู่ฝานเหรอ

แข็งแกร่งจนน่ากลัว! นี่เวลาไม่ถึงหนึ่งปีเอง!

โจวเจิ้นโส่วเห็นแล้วเหงื่อไหลออกจากหน้าผาก

โอ๊ย พละกำลังแบบนี้ ฆ่าเขาด้วยหมัดเดียวยังมีแรงเหลือ โจวเจิ้นโส่วตัดสินใจว่าต่อไปแค่ลู่ฝานไม่ตาย เขาไม่มีทางหาเรื่องตระกูลลู่แน่นอน

ลู่ฝานโดนเตะจนกระเด็นออกไปไกล กระแทกลงกับพื้น เหมือนอุกกาบาตตกลงสู่พื้นดิน เกราะเกล็ดบนตัวยุบลงไป

เสวี่ยบาก็ถอยหลังไปหลายก้าว เมื่อฝ่าเท้าลงสู่พื้นก็รู้สึกเจ็บ

เขาคิดไม่ถึงว่าคนกระจอกอย่างลู่ฝาน มีพละกำลังต่อสู้กับเขาแบบซึ่งหน้า ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ลู่ฝานมีโอกาสทนสิบกระบวนท่าของเขาได้

ให้ตายเถอะ นี่ก็ผ่านไปเกิน 3-4 กระบวนท่าแล้วนะ!

เสวี่ยบาโมโหจริงๆ แล้ว เปลวไฟบนตัวลุกโชน เหมือนพายุไฟ

ลู่ฝานกัดฟัน เขาลงมืออย่างสุดแรงแล้ว แต่ไม่มีโอกาสแม้แต่จะทำให้เสวี่ยบาบาดเจ็บ

เป็นไปตามคาด แดนของนักบู๊ ยิ่งก้าวไปเรื่อยๆ ความแตกต่างของระดับขั้นจะยิ่งมาก

ลู่ฝานกัดฟันกรอด ตอนนี้ทำได้เพียงทุ่มสุดตัว

ลู่ฝานสะบัดพลังฟ้าดิน แสดงความเร็วอันน่ากลัวของตัวเองออกมา

ทันใดนั้นเขาหายตัวไปจากที่เดิม เสวี่ยบาหรี่ตาลง คิดไม่ถึงว่าลู่ฝานก็มีความเร็วที่เหนือกว่านักบู๊แดนปราณชีวิตทั่วไป

กระบี่พุ่งออกมา คำว่าฆ่าเจ็ดตัวปรากฏขึ้น

เสวี่ยบาฝืนรับการโจมตีนี้เอาไว้ เสื้อปราณเปลวเพลิงที่ปกคลุมร่างกายโดนทิ่มจนเป็นรู

แต่ตอนนี้เสวี่ยบากลับหัวเราะออกมา แล้วพูดเสียงดังว่า “ไอ้เด็กน้อย นายตายแน่ ดาบเพลิงอุกกาบาต!”

ดาบหัวผีในมือเสวี่ยบาขยายใหญ่ขึ้นสิบเท่า เปลวไฟบนตัวรวมตัวเป็นลูกไฟขนาดใหญ่ กระแทกไปทางลู่ฝาน

ช่วงเวลาสำคัญ ลู่ฝานเห็นว่าหลบไม่พ้น ปราณชี่ในตัวกลายเป็นพลังวิญญาณทั้งหมด ในแววตามีประกายส่องสว่างขึ้น

“วิชาชิงวิญญาณ!”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 465
กระบี่หนักไร้คมอยู่ในมือ สายลมเหมือนดาบ สายตาเหมือนกระบี่ พลานุภาพพลุ่งพล่าน

เห็นเสื้อปราณหนาแน่นบนตัวลู่ฝาน รอยยิ้มของเสวี่ยบายิ่งกว้างขึ้น

“แดนปราณนอก สำหรับอายุนาย อันที่จริงนับว่าไม่เลว น่าเสียดาย อัจฉริยะที่ตายไปแล้ว ก็ไม่ใช่อัจฉริยะอีก”

เสวี่ยบาปล่อยเสื้อปราณปกคลุมร่างกายออกมาเช่นกัน ในอากาศไฟดุดันของธาตุทั้งห้า กำลังพุ่งเข้ามาหาเขา

ไฟขั้นสูงสุดอันแข็งแกร่ง ทำให้เพียงพริบตาเขาก็กลายเป็นมนุษย์ไฟ

เสื้อปราณปกคลุมร่างกายมีแสงเพลิงสีน้ำเงิน ดูสะดุดตาเป็นอย่างมาก

นักบู๊ธาตุไฟ!

ลู่ฝานฉีกยิ้ม ถ้าเป็นนักบู๊ธาตุอื่น เขาอาจจะจัดการยาก แต่ถ้าเป็นธาตุไฟ โอกาสชนะของเขาก็เพิ่มขึ้นอีก

เปลวไฟปกคลุมบนดาบหัวผี

เสวี่ยบายกดาบหัวผีขึ้นมา แล้วพุ่งเข้ามาหาลู่ฝานทันที

ไม่มีสัญญาณบอกล่วงหน้า ไม่พูดพร่ำทำเพลง ความเร็วที่เสวี่ยบาระเบิดออกมา ทำให้ลู่ฝานเห็นเพียงเงา

แสงดาบปรากฏออกมา แสงเพลิงปรากฏขึ้น จัดการด้วยกระบวนท่าเดียว

ความรู้สึกตามสัญชาตญาณของลู่ฝาน สัมผัสได้ว่าเสื้อปราณปกคลุมร่างกายต้านทานไม่ได้แน่นอน

ลู่ฝานรีบเคลื่อนตัวหลบทันที

เกิดเสียงขาด ชุดคลุมบู๊มังกรดำของลู่ฝานโดนกรีดจนเป็นรูใหญ่

ชุดคลุมบู๊มังกรดำที่ผ่านการต่อสู้กับเขามาหลายครั้ง ไม่เคยเป็นอะไรมาโดยตลอด แต่วันนี้แค่เพิ่งสู้ก็โดนกรีดจนขาดแล้ว

ปราณดาบอันน่ากลัวทำให้แขนของลู่ฝานเป็นแผล พลังธาตุไฟขั้นสูงสุดแผดเผาบาดแผลของเขา ทำให้ลู่ฝานขมวดคิ้วแน่น

เสวี่ยบาปรากฏตัวออกมา ลู่ฝานหลบดาบของเขาได้ ทำให้เขาตกใจไม่น้อย

“ไม่ใช่คนธรรมดาตามคาด ไอ้เด็กน้อยหลบดาบฉันได้ นายควรภูมิใจแล้ว!”

แต่ลู่ฝานกลับไม่ภูมิใจสักนิด แผลบนแขนลึกจนเห็นกระดูก ความเร็วการฟื้นฟูก็ช้ามาก

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรรักษาพลางก่นด่า

“ไอ้เลว แค่เข้ามาก็ใช้พลังทั้งหมด ผู้ใหญ่รังแกเด็กเก่งมากมั้ง เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ เจ้านายวางใจได้เลย มีฉันอยู่ บาดแผลเจ้านายไม่ใช่ปัญหา”

พูดจบ มุกเทพปล่อยควันออกมาเข้าไปในบาดแผล

ตอนนี้ความเร็วในการฟื้นฟู เห็นได้ด้วยตา

ลู่ฝานจ้องหน้าเสวี่ยบาเขม็ง ไอ้หมอนี่เป็นตัวร้ายจริงๆ ถึงสู้กับนักบู๊แดนปราณนอกอย่างเขา แค่เข้ามาก็ใช้แรงทั้งหมดแล้ว

“เจ้าดำ!”

ลู่ฝานตะโกนออกมา เจ้าดำที่อยู่ข้างหลังกลายเป็นแสงสีดำ เข้าไปในกายลู่ฝาน

“อสูรวิเศษเข้าสิง!”

เสวี่ยบารวมไปถึงคนของสำนักโลหิตพิฆาตตะโกนออกมา

อสูรวิเศษที่สามารถเข้าสิงได้ ทั่วทั้งแผ่นดินใหญ่เห็นได้ไม่มาก วันนี้ได้เห็นตัวหนึ่ง นักบู๊ของสำนักโลหิตพิฆาตพากันอิจฉาริษยา

เป็นความอิจฉาที่เหมือนหมาป่าหิวโหยเจอกระต่าย ซานเจียวยันและคนอื่นจับอาวุธของตัวเอง

ไม่ว่ายังไงวันนี้ต้องรั้งลู่ฝานเอาไว้ แค่อสูรวิเศษเข้าสิงเพียงตัวเดียว ก็ทำให้พวกเขารวยได้แล้ว

มาครั้งนี้ไม่ขาดทุนจริงๆ ไม่ขาดทุนสักนิด!

แววตาของเสวี่ยบาดูโลภ เขาฉีกยิ้มอย่างมีความสุข

“อสูรวิเศษที่ดี ลู่ฝาน นายทำให้ฉันตกใจมาก”

พูดจบเสวี่ยบาพุ่งเข้ามาอีกครั้ง

“ดาบเพลิง!”

ดาบฟันไปทางลู่ฝาน แสงเพลิงอันน่ากลัว ปกคลุมลู่ฝานทุกทิศทาง ไม่มีช่องว่างให้ลู่ฝานได้หลบสักนิด

แต่ลู่ฝานไม่จำเป็นต้องหลบอีก

ใช้พลังของเจ้าดำ ปราณชี่บนตัวเขาทะลุถึงแดนปราณชีวิต

ตู้ม!

เปลวไฟดำลุกโชน ลู่ฝานโจมตีด้วยกระบี่

กระบี่มังกรเพลิงคำราม!

แสงเพลิงสีน้ำเงินกับแสงเพลิงสีดำปะทะกัน แสงเพลิงทั้งสองระเบิดออก ประกายไฟกระจายไปทั่ว

แววตาของเสี่ยวอู่จ้องไปที่ตันเถียนของลู่ฝานเหมือนเข็ม เขาเห็นแสงเจิดจ้าสะดุดตา ในตันเถียนของลู่ฝาน แปลกประหลาดลึกลับ แสงจ้าจนจะทำให้ตาเขาบอดจริงๆ

เสวี่ยบาเดินเข้ามาพูดว่า “ลู่ฝาน สำนักโลหิตพิฆาตของเรารับเงินมาเพื่องาน ไม่มีคำว่าสุนัขรับใช้ ลู่ฝาน ถ้านายเป็นผู้ชายอย่างแท้จริง เข้ามาสู้กับพวกเรา บุญคุณความแค้นของนักบู๊ เซ็นเอกสารความเป็นตาย ถึงเราท่องไปทั่ว แต่ก็ทำอะไรตามกฎ ถ้านายไม่กล้าเข้ามาสู้สุดชีวิตกับเรา อย่าหาว่าเราโหดเหี้ยมกับตระกูลลู่”

ทันใดนั้นทุกคนมองไปยังลู่ฝาน ลู่เฮ่าหรานดึงปลายเสื้อลู่ฝาน “ลู่ฝาน นายอย่าบุ่มบ่าม”

ลู่ฝานพยักหน้าเข้าใจ “ปู่ ผมเข้าใจ”

ลู่ฝานยิ้มบางๆ แล้วพูดเสียงดังว่า “พูดซะเด็ดขาดเป็นธรรม ทำอะไรตามกฎงั้นเหรอ ประเทศอู่อาน รวมถึงแผ่นดินใหญ่ มีผู้แข็งแกร่งคนไหนท้าผู้ที่อ่อนแอกว่าบ้าง ทำเป็นพูดว่าเป็นธรรม ฉันลู่ฝาน ปีนี้อายุยังไม่ยี่สิบปีบริบูรณ์ พวกนายอายุเท่าไร ถ้าทำตามกฎจริงๆ ส่งนักบู๊อายุประมาณยี่สิบปีออกมาสู้กับฉัน ฉันจะสู้ด้วย นักบู๊ที่ฝึกมาสามสิบห้าปีอย่างพวกนาย มาท้าเด็กอายุไม่ถึงยี่สิบแถมยังพูดซะเสียงดัง ไม่กลัวคนจะหัวเราะจนฟันหักเหรอ”

พูดจบ ลู่เฮ่าหรานและคนอื่นหัวเราะออกมาก่อน จากนั้นทหารคุ้มครองเมืองบริเวณรอบๆ ก็หัวเราะออกมาเช่นกัน

สีหน้าเสวี่ยบาไม่สู้ดี โกรธจนอดกัดฟันไม่ได้

ซานเจียวยันที่อยู่ข้างๆ พูดว่า “พี่ใหญ่ ไอ้เด็กนี่น่าโมโหมาก ให้ผมสู้เอง ผมจะฉีกปากสุนัขของมันให้ได้”

เสวี่ยบาพูดว่า “หุบปาก แกดูไม่ออกเหรอ ไอ้เด็กนี่จะทำให้เราโมโห แล้วเข้าไปในเมือง ในเมืองต้องมีกับดักที่อันตรายแน่นอน”

เสวี่ยบาพูดด้วยสีหน้าเย็นชา “ลู่ฝาน อายุไม่ใช่ข้ออ้าง ถ้านายกล้าจริง มาสู้กับเราสักสิบกระบวนท่า ถ้านายทนจนผ่านสิบกระบวนท่าได้ เรื่องที่นายฆ่ายอดฝีมือห้าคนของสำนักโลหิตพิฆาต จะสิ้นสุดลง ซานเจียวยันพวกนายถอยลงไป ให้ฉันสั่งสอนยอดฝีมืออายุน้อยที่ฆ่าคนสำนักโลหิตพิฆาตของเรา แค่สิบกระบวนท่า นายอย่าพูดว่าผู้ใหญ่รังแกเด็กล่ะ!”

เสี่ยวอู่และคนอื่นยิ้มเย็นชา จากนั้นถอยไปด้านข้าง

หานเฟิงรีบเดินมาจากข้างหลัง “ศิษย์น้องลู่ฝาน อย่าเสี่ยง คำพูดพวกที่ลื่นเป็นปลาไหล ที่ท่องไปทั่วอย่างพวกเขา เชื่อไม่ได้”

ลู่ฝานกำหมัดแล้วพูดว่า “ศิษย์พี่หานเฟิง ไม่ว่าคำพูดของพวกเขาเชื่อได้หรือเปล่า ผมจะลองสิบกระบวนท่า ถ้าสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ มันก็ไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้วไม่ใช่เหรอ”

พูดจบลู่ฝานก้าวเข้าไป

ศิษย์พี่หานเฟิงรีบหันมาพูดกับเจ้าดำ “เจ้าดำตามไป”

ลู่เฮ่าหรานกับลู่หาวรีบเข้ามารั้งลู่ฝาน ลู่เฮ่าหรานพูดว่า “ลู่ฝาน นายไปไม่ได้ สิบกระบวนท่าใช่ไหม ฉันเอง”

ลู่ฝานส่ายหน้าเบาๆ ลู่เฮ่าหรานกับลู่หาวยังไม่ทันตั้งตัว ลู่ฝานก็ลงมือโดยใช้มือสับไปบนตัวลู่เฮ่าหรานกับลู่หาว

พลังสายฟ้า เข้าไปในตัวลู่เฮ่าหรานกับลู่หาว ทั้งสองยืนนิ่งอยู่ที่เดิม

อีกทั้งทั้งสองคนไม่ทันสังเกต ลู่ฝานใส่พลังสีทองเข้าไปด้วย

ลู่ฝานพูดเบาๆ ในใจว่า “ไอ้เก้า เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเขาก็กระตุ้นค่ายกลได้แล้วใช่ไหม”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดว่า “ใช่เจ้านาย ค่ายกลเชื่อมโยงกับพวกเขาแล้ว ต่อไปพวกเขาสามารถกระตุ้นค่ายกลได้แล้ว ถึงเจ้านายไม่ได้อยู่เมืองเจียงหลินก็เถอะ”

ลู่ฝานพยักหน้าอย่างพอใจ สูดหายใจลึกแล้วเดินออกมา

เห็นลู่ฝานเดินออกจากประตูเมือง เสวี่ยบาหัวเราะอย่างมีความสุข

ตอนที่ลู่ฝานห่างจากอีกฝ่ายประมาณหกสิบหกเมตร ก็ชะงักฝีเท้าลง จ้องเสวี่ยบาแล้วพูดว่า “หวังว่านายจะไม่กลืนคำพูด”

เสวี่ยบาเอาดาบหัวผีของตัวเองออกมา “นายยังหวังว่าตัวเองจะอยู่รอดสิบกระบวนท่าเหรอ”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 463
นอกเมืองเจียงหลิน ยอดฝีมือสำนักโลหิตพิฆาตปรากฏออกมา

ทหารคุ้มครองบนกำแพงเมือง มองผู้ชายกำยำสิบสองคนอย่างตกตะลึง กลิ่นอายเลือดบนตัวพวกเขารุนแรงมาก เห็นได้ชัดว่าเพิ่งฆ่าคนมา

“ปิดประตูเมือง ปิดประตูเมือง!”

ทหารสองสามคนตะโกนขึ้นมา ประตูเมืองสูงตระหง่านปิดลงช้าๆ

เสวี่ยบาคนที่นำมา มองประตูเมืองปิดลงช้าๆ แต่ไม่มีท่าทีว่าจะเข้าไป

ซานเจียวยันที่ยืนข้างๆ พูดว่า “พี่ใหญ่ ทำไมไม่เข้าไปล่ะ”

เสวี่ยบายังไม่ทันพูดอะไร ชายกำยำที่อยู่ข้างๆ สะบัดมือตบท้ายทอยซานเจียวยัน

“เข้าไปบ้าอะไร ไม่รู้สึกเหรอว่าข้างในผิดปกติ”

ซานเจียวยันลูบหัว พูดอย่างสงสัยว่า “ผิดปกติ ผิดปกติตรงไหน ทำไมผมไม่รู้สึกอะไรเลย”

เสวี่ยบาพูดว่า “เสี่ยวอู่ แกบอกมันว่าผิดปกติตรงไหน”

ชายที่ถูกเรียกว่าเสี่ยวอู่สวมชุดคลุมยาวสีเลือด หัวถูกซ่อนอยู่ในชุดคลุมยาว มีเพียงดวงตาสองข้างโผล่ออกมา

ดวงตาของเขาไม่เหมือนคนทั่วไป เป็นสีขาวทั้งหมด ไม่ใช่ว่าเขาไม่มีลูกตา แต่ลูกตาของเขาเป็นสีขาวทั้งหมด

แสงริบหรี่ปรากฏอยู่ในดวงตาของเขา

เสี่ยวอู่เงยหน้ามองไปข้างหน้า แล้วพูดว่า “มีค่ายกล ค่ายกลแข็งแกร่งมาก ถ้าเราเข้าไปจะเป็นอันตราย”

ซานเจียวยันอึ้งไปครู่หนึ่ง แล้วพูดเสียงดังว่า “ล้อฉันเล่นเหรอ เมืองเล็กๆ อย่างเมืองเจียงหลิน มีค่ายกลด้วยเหรอ”

เสวี่ยบาพูดว่า “ซานเจียวยัน อย่าพูดไร้สาระ ฉันก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายน่ากลัวข้างใน รอด้านนอกเถอะ ฉันไม่เชื่อว่าลู่ฝานจะไม่ออกมา”

ขณะกำลังพูด ประตูเมืองวุ่นวาย ประตูเมืองที่ปิดอยู่ ถูกเปิดออกช้าๆ

ทหารคุ้มครองเมืองพุ่งออกมาก่อน ตามมาด้วยลู่ฝานและคนอื่น

เมื่อเห็นลู่ฝาน แววตาของเสวี่ยบาจ้องไปที่ลู่ฝานเขม็ง

ลู่ฝานก็มองเสวี่ยบาเหมือนกัน

แม้ทั้งสองคนไม่เจอกันมาก่อน แต่มองเพียงแวบเดียวก็รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นภัยใหญ่ที่สุดที่คุกคามตัวเอง

นี่คือสัญชาตญาณของนักบู๊ คนยิ่งแข็งแกร่ง ยิ่งมีสัญชาตญาณชัดเจน

“ลู่ฝาน เหอะๆ”

ลู่ฝานและคนอื่นยืนอยู่ที่ประตูเมือง ตอนนี้หานเฟิงพาโจวเจิ้นโส่วและคนอื่น มาที่ประตูเมืองเช่นกัน

ลู่ฝานพูดเสียงกังวานจากไกลๆ “คนที่มาคือนักบู๊ของสำนักโลหิตพิฆาตเหรอ พวกนายไม่มีความแค้นอะไรกับตระกูลลู่ มาหาตระกูลลู่ทำไม”

คำพูดของลู่ฝาน ดูเหมือนรู้อยู่แล้วแต่ทำเป็นไม่รู้

แต่ยังไงก็ต้องพูดแบบนี้ ถึงมีโอกาสเพียงเล็กน้อยที่จะไม่ลงมือ ลู่ฝานก็ต้องคว้าเอาไว้

เพราะด้านหลังคือทั้งตระกูลลู่ เขาไม่อยากให้คนตระกูลลู่บาดเจ็บอีก

“น่าขำ ลู่ฝาน นายก็เป็นนักบู๊ พูดไร้สาระได้ยังไง นายกับสำนักโลหิตพิฆาตไม่มีความแค้นกันงั้นเหรอ นายฆ่ายอดฝีมือของสำนักโลหิตพิฆาตไปห้าคน ยังกล้าพูดอวดดี รีบออกมารับความตายซะ อย่าให้เราเข้าไปสังหารอย่างไร้ความปราณีในเมือง!”

ซานเจียวยันชี้ลู่ฝานแล้วพูดเสียงดัง

ลู่ฝานไม่ได้มองเขาสักนิด จ้องไปที่เสวี่ยบา

ลู่ฝานพูดช้าๆ ว่า “ที่แท้สุนัขรับใช้ที่ตระกูลโม่เชิญมา คือยอดฝีมือของสำนักโลหิตพิฆาตเหรอ สำนักโลหิตพิฆาตอันยิ่งใหญ่ กลายเป็นลูกน้องของตระกูลโม่ ทำไมฉันถึงมองไม่ออกนะ”

ซานเจียวยันโมโหจนเดินเข้ามาพูดว่า “ใครเป็นสุนัขรับใช้ของตระกูลโม่! ถ้าไม่ใช่เพราะ ซิง……”

ซานเจียวยันพูดไม่ทันจบ ก็โดนเสี่ยวอู่เอามือปิดปากเอาไว้

“เรื่องบางเรื่อง ไม่สามารถพูดได้”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 462
เมื่อพวกเขามาถึงลานหลังบ้าน เห็นลู่ฝานที่อยู่ท่ามกลางแสงสีทอง

“เกิดอะไรขึ้น ลู่ฝานเป็นอะไรไป”

ลู่เฮ่าหรานเพิ่งตะโกนออกมา ทันใดนั้นมีเสียงระเบิดดังขึ้น มีไฟสีทองลุกโชนขึ้นบนตัวลู่ฝาน ลู่ฝานไม่พูดอะไรสักคำ ไม่รู้ว่าบาดเจ็บหรือเปล่า เปลวไฟสีทองเผาพื้นดินจนกลายเป็นสีดำทั้งแถบ ลูกหลานตระกูลลู่พากันส่งเสียงตกใจและถอยหลังกรูด

ลู่เฮ่าหรานกับลู่หาวกำลังจะพุ่งเข้าไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น แต่โดนท่านสวินรีบตามมารั้งเอาไว้

“อย่าเข้าไป ลู่ฝานกำลังดูดซับพลัง วิชานี้ของเขาแปลกประหลาดและลึกลับขนาดนี้เชียวเหรอ”

ลู่เฮ่าหรานกับลู่หาวรีบชะงักฝีเท้าลง มองเปลวไฟสีทองสะดุดตาบนตัวลู่ฝาน ลู่เฮ่าหรานพูดว่า “ใช่ นี่คงเป็นวิชาที่เขาได้รับจากสถาบันสอนวิชาบู๊ นับวันลู่ฝานยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ จริงๆ”

ลูกหลานตระกูลลู่ที่อยู่รอบๆ ก็พากันพูดคุยกัน

“เจ้าบ้านลู่ฝานแข็งแกร่งมาก เปลวไฟสีทองนั้นดูเท่มากเลย!”

“เฮ้อ เมื่อไรฉันจะแข็งแกร่งเหมือนเจ้าบ้านลู่ฝานบ้าง ไม่สิ แค่ครึ่งหนึ่งฉันก็พอใจแล้ว”

“ปีนี้เจ้าบ้านลู่ฝานอายุยังไม่ถึง 20 ปีเลยมั้ง เก่งกล้าตั้งแต่อายุน้อย อัจฉริยะแห่งวิถีบู๊”

……

เสียงพูดคุยดังเข้ามาในหูลู่ฝาน

แต่ขณะนี้ในสมองของลู่ฝาน กลับมีเพียงความคิดเดียวเท่านั้น นั่นก็คือก่นด่าเจดีย์เสวียนเก้ามังกรในใจ

“ไอ้เก้า ทำไมไม่บอกมาก่อน ฉันเจ็บแทบตาย ให้ตายเถอะ ตอนนี้ฉันไม่กล้าขยับแล้ว”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรหัวเราะเยาะ “เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ ฉันก็เพิ่งคิดได้ แบบนี้พละกำลังของเจ้านายจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นไม่ใช่เหรอ อีกทั้งเจ้านายยังฝึกวิชาสายฟ้าฟาดห้าธาตุด้วย ครั้งนี้ถือโอกาสฝึกสายฟ้าสีทองไปด้วย”

ลู่ฝานโมโหจนหางตากระตุก ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมอาจารย์หวูเฉินถึงกำชับเรื่องเจดีย์เสวียนเก้ามังกร

โดยแท้จริงๆ ถึงเป็นเจ้านาย ก็มีสักวันอาจจะโดนภูติอาวุธฆ่าตายเหมือนกัน

ลู่ฝานคิดในใจ เจดีย์เสวียนเก้ามังกรก็หายใจอย่างเจ็บปวดขึ้นมา

“ไอ้เก้า แกก็ได้รับความเจ็บปวดเหมือนฉันเหรอ ฮ่าๆ”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดอย่างเจ็บปวดว่า “เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ โอ๊ย ฉันไม่กล้าอีกแล้ว”

ลู่ฝานขี้เกียจสนใจเขา เริ่มดูดซับพลังเงียบๆ

พลังฟ้าดินพลุ่งพล่าน เป็นพลังสายฟ้าสีทองอันบริสุทธิ์ตามคาด ให้เขาได้ฝึกสายฟ้าทองของวิชาสายฟ้าฟาดห้าธาตุได้พอดี

พลังของสายฟ้าสีทอง ปรากฏในตันเถียนของเขา

ลู่ฝานรู้สึกว่าปราณชี่ของตัวเอง เริ่มเพิ่มพูนขึ้นอย่างรวดเร็ว พุ่งไปจนถึงแดนปราณนอกชั้นหก

เห็นปราณชี่เพิ่มพูนอย่างรวดเร็ว จู่ๆ ลู่ฝานรู้สึกว่าโดนสายฟ้าแบบนี้ผ่าก็ไม่เลว มาอีกสักสองสามครั้ง เขาจะสามารถเข้าสู่แดนปราณนอกชั้นหกได้!

ลู่ฝานยืนอยู่ในลานทั้งคืนเต็มๆ

พระอาทิตย์ขึ้น เมื่อแสงพระอาทิตย์ยามเช้าปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง ดวงตาของลู่ฝานมีสายฟ้าสีทองปรากฏขึ้นมา

วิชาสายฟ้าฟาดห้าธาตุ สายฟ้าทอง สำเร็จ!

มีรอยยิ้มตรงมุมปาก พละกำลังของเขาเพิ่มขึ้นอีกครั้ง

แต่ขณะนั้นบนท้องฟ้าทั้งเมืองเจียงหลิน มีเสียงคำรามดังสนั่นขึ้น

“ลู่ฝาน ออกมารับความตายซะ!”

เสียงเหมือนสัตว์อสูรคำรามไปทั่วป่า ทำให้เจ้าดำที่กำลังพักผ่อนอยู่ คำรามออกมาเช่นกัน

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 461
หานเฟิงถอนหายใจ ถ้าเป็นอย่างนี้ ตระกูลลู่น่าจะปลอดภัยสักหน่อย

ศิษย์น้องลู่ฝาน ศิษย์พี่ทำสิ่งที่สามารถทำได้ไปหมดแล้ว ถ้าเรื่องนี้รู้ถึงหูตระกูลหาน พวกลุงสามต้องถลกหนังฉันแน่นอน

ปวดหัว ปวดหัว!

หานเฟิงบ่นพึมพำอยู่ทางนี้ ลู่ฝานไม่ได้ยินสักนิด

ตอนนี้ค่ายกลเสวียนเหล็กเจดีย์เก้าที่ลู่ฝานกำลังทำ ก็เข้าถึงช่วงสำคัญแล้ว

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรตะโกนออกมา

“ค่ายกลปรากฏ!”

ทันใดนั้น เหมือนท้องฟ้ายามค่ำคืนถูกแยกออกเป็นรอยแยกแสงสีทองแสงหนึ่งสาดลงมาจากท้องฟ้า ร่วงลงในคฤหาสน์ตระกูลลู่

หินเหล็กที่เหลือ อยู่ท่ามกลางแสงสีทอง กลายเป็นดวงแสงสีทองกระจายออกไป พลังบริสุทธิ์กระจายไปทั่ว

พลังเหล่านี้แผ่ซ่านไปตามลายของค่ายกลหยินหยาง ภายใต้การพลุ่งพล่านของปราณหยินหยาง ยิ่งทำให้มันแข็งแกร่งและทรงพลัง

เพิ่มขึ้นและขยายวงกว้างจนไปทั่วเมืองเจียงหลิน

ลู่ฝานรู้สึกว่าในหัวสมองตัวเอง มีลายสีทองปรากฏขึ้นมา เหมือนทั้งค่ายกล กำลังก่อตัวอยู่ในหัวสมองของเขา

เช่นเดียวกัน ถนนสายเล็กใหญ่ในเมืองเจียงหลิน เริ่มปรากฏขึ้นในหัวสมองของเขา

เหตุการณ์อัศจรรย์เช่นนี้ ทำให้ลู่ฝานแอบตกใจ

ลู่ฝานเห็นคนบนถนนทุกเส้น ผ่านค่ายกลนี้ แม้เห็นไม่ชัดเจน แต่เห็นโดยภาพรวม สามารถแยกแยะออก อีกทั้งเขามีความรู้สึกอีกว่าถ้าเขาต้องการฆ่าใครคนใดคนหนึ่ง เพียงแค่คิดในใจ ค่ายกลเสวียนเหล็กเจดีย์เก้าสามารถฆ่าคนนั้นได้ทันที ถ้าเขาอยากปกป้องใครสักคน ค่ายกลเสวียนเหล็กเจดีย์เก้าก็สามารถปล่อยพลังไปที่คนคนนั้นได้ อีกทั้งยังสามารถมอบเกราะให้เขาได้อย่างสมบูรณ์แบบ

นี่คือประโยชน์ที่แท้จริงของค่ายกลเสวียนเหล็กเจดีย์เก้าใช่ไหม

ค่ายกลที่ดี เป็นค่ายกลที่ดีมากๆ!

เสียงของเจดีย์เสวียนเก้ามังกรดังขึ้นมา

“เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ สัมผัสถึงความลี้ลับของค่ายกลนี้แล้วใช่ไหม ฮ่าๆ ฉันไม่ได้โม้นะ นี่คือการรวมตัวอย่างกะทันหันของค่ายกล เจดีย์เก้ารวมตัวแค่เจดีย์หนึ่งเท่านั้น หึ ถ้าวัสดุครบถ้วน มีแก้วรวมสารเหล็กหลายสิบก้อนที่เกือบหมื่นปีแบบนั้น วางถึงเจดีย์สาม ผู้แข็งแกร่งแดนปราณฟ้าก็ยังต้องกลัว”

ลู่ฝานขี้เกียจฟังเจดีย์เสวียนเก้ามังกรคุยโม้ ตอนนี้เขาตั้งใจรวมตัวค่ายกลขั้นสุดท้าย

ในหัวสมองการรวมตัวของค่ายกลถึงขั้นสุดท้ายแล้ว ค่ายกลที่สมบูรณ์แบบ กำลังจะปรากฏขึ้นในหัวสมองของเขา

แต่จู่ๆ ลู่ฝานรู้สึกผิดปกติ

แท่นค่ายกล ค่ายกลทุกค่ายกลต้องมีแท่นค่ายกล แล้วแท่นของค่ายกลเสวียนเหล็กเจดีย์เก้าคืออะไร

ลู่ฝานยังไม่ทันถามออกมา เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดออกมาก่อน

“เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ เตรียมกระตุ้นพลังฟ้าดิน ฉันวางเจ้านายเป็นแท่นค่ายกลแล้ว นี่เป็นโอกาสเพียงครั้งเดียว จำไว้ว่าดูดซับมาให้เยอะหน่อย ดูดซับไม่หมดก็เอาให้ฉัน ฮ่าๆ”

ลู่ฝานกำลังจะถามว่าเกิดอะไรขึ้น สายฟ้าสีทองผ่าลงมาจากฟ้า กล้ามเนื้อทั้งตัวลู่ฝานหดตัว ยืนอึ้งอยู่ที่เดิม

ตู้ม!

แสงสายฟ้าอันน่ากลัวผ่าลงบนคฤหาสน์จนพัง เศษหินกระจุยกระจาย พื้นดินเกิดเป็นหลุมลึกขนาดใหญ่ ครั้งนี้ลานหลังบ้านพังอย่างแท้จริง อีกทั้งยังพังแบบไม่สามารถพังไปได้มากกว่านี้แล้ว แต่ยังดีที่ในลานมีลู่ฝานแค่คนเดียว ไม่ได้ทำให้คนอื่นได้รับบาดเจ็บ

ลูกหลานตระกูลลู่ได้ยินเสียง หันมามองก็ถึงกับตะลึง

สายฟ้าสีทองสะดุดตามาก!

พวกลู่เฮ่าหรานกับลู่หาวเหมือนบ้าไปแล้ว รีบพุ่งไปที่ลานหลังบ้านอย่างรวดเร็ว

ใบหน้าที่เต็มไปด้วยบาดแผล โดยเฉพาะที่ตาขวามีรอยแผลเป็นใหญ่ ลาดยาวมาถึงปากฝั่งซ้าย ราวกับจะแบ่งครึ่งใบหน้าเขาเลย ดูแล้วน่ากลัวแบบนี้ ก็เป็นเพราะว่ารอยแผลเป็นจากดาบนี้ เขาก็เลยถูกคนอื่นเรียกว่า เสวี่ยบา

สำนักโลหิตพิฆาต มีเสวี่ยบาเป็นผู้นำ ชื่อนี้มีชื่อเสียงอยู่บ้างในเขตตงหวา เมืองที่อยู่ใกล้สำนักโลหิตพิฆาต พอพูดถึงชื่อนี้ ก็ทำเอาเด็กตกใจร้องไห้ได้เลย

พอสั่งการไป ชายสิบกว่าคนก็เคลื่อนตัวดั่งเงา เดินทางมุ่งหน้าไปยังเมืองเจียงหลิน

เมฆดำปรากฏ ราวกับจะลอยตามพวกเขาไปยังฝั่งเมืองเจียงหลินด้วย

ตกดึกมาด้วยความเงียบ

ในจวนผู้เฝ้าเมือง หานเฟิงนั่งอยู่ที่บนที่นั่งของโจวเจิ้นโส่ว กินไก่ย่างไปด้วย จ้องมองโจวเจิ้นโส่วแล้วพูดไปด้วยว่า “ฉันจะบอกนายอีกครั้งนะ ถ้าตอนนี้นายฟังฉันล่ะก็ นายอาจจะไม่เป็นอะไร แล้วเดี๋ยวฉันกลับไปยังตระกูลฉัน แล้วพูดชื่นชมนายนิดหน่อย นายอาจจะได้เลื่อนตำแหน่ง ชีวิตนี้ได้ตำแหน่งเป็นผู้ว่าเสียหน่อย แต่ถ้านายไม่ฟังฉันล่ะก็ ฉันรับรองเลยว่า คืนนี้นายไม่รอดแน่ คิดเอาเองแล้วกัน!”

โจวเจิ้นโส่วเหงื่อแตกเต็มใบหน้า เขาหลบหน้าหนีมาทั้งบ่าย สุดท้ายก็ถูกหานเฟิงลากตัวออกมาจากห้องนอนของเมียน้อย

คนตระกูลหานไม่พิธีรีตอง คนอย่างจวนผู้เฝ้าเมือง เขาไม่สนใจเลย อยากจะเข้าก็เข้า อยากจะมาก็มา พวกบอดี้การ์ดของเขาก็ทึ่ม ไม่มีใครขวางหานเฟิงได้เลย เข้ามาได้เหมือนเข้าห้องน้ำสาธารณะเลย

“คุณชายหาน คุณชายหานครับ ตอนนี้ท่านกำลังข่มขู่ผู้เฝ้าเมืองคนหนึ่งอยู่นะ โทษนี้ไม่เบาเหมือนกันนะ”

โจวเจิ้นโส่วดิ้นรนครั้งสุดท้าย เขาไม่อยากจะส่งทหารออกไปจริงๆ เพราะว่าถ้าส่งทหารไป คุณชายหานมีภูมิหลังของตระกูลที่ยิ่งใหญ่ คงจะไม่เป็นอะไร ส่วนเขาน่าตายแน่

เขาไม่คิดว่า หานเฟิงจะสามารถช่วยให้เขารอดได้ ดูจากสภาพเขาแล้ว คนตระกูลหานมีใครจะยอมถ่อมาถึงดินแดนเล็กๆ อย่างเขตตงหวา ไม่แน่เขาอาจจะเป็นลูกหลานในตระกูลที่ถูกเนรเทศมาก็ได้ จะพูดอะไรช่วยเขาได้ ไปหลอกผีเถอะ!

พอหานเฟิงได้ยินคำของโจวเจิ้นโส่ว ก็เอาน่องไก่ในมือโยนใส่หน้าของโจวเจิ้นโส่ว แรงมากจนทำให้น่องไก่แตกเป็นเสี่ยงๆ โจวเจิ้นโส่วร้องโอยจนนอนลงไปที่พื้น

“ไอหย๋า นายยังกล้าข่มขู่ฉันอีกรึ ถูกต้อง ฉันก็ข่มขู่ผู้เฝ้าเมืองอย่างนายนี่แหละ นายจะทำอะไรได้ห้ะ”

พูดไป หานเฟิงก็ชักกระบี่ฟ้าครามออกมาด้วย

ยังไม่ทันให้องครักษ์ของโจวเจิ้นโส่วตั้งตัวได้ หานเฟิงก็ยกมือขึ้น แล้วก็โยนกระบี่ฟ้าครามออกไป

กระบี่ฟ้าครามลอยไปยังลำคอของโจวเจิ้นโส่วอย่างแม่นยำ ตอนที่จะแทงเข้าลำคอของโจวเจิ้นโส่วแล้วนั้น กระบี่ก็หยุดลง

เลือดสดสายหนึ่งหยดลงบนลำคอของโจวเจิ้นโส่ว ปราณกระบี่ที่เยอะแบบนี้ ทำให้โจวเจิ้นโส่วรู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว

หานเฟิงพูดชัดทีละคำว่า “นายลองพูดคำว่า ไม่ อีกครั้งสิ พนันกันดู ว่าฉันจะกล้าฆ่านายหรือไม่”

โจวเจิ้นโส่วอ้าปากค้าง แล้วหางตาก็กระตุกๆ

ไม่นาน โจวเจิ้นโส่วก็พูดเสียงสั่นๆ ว่า “เดี๋ยวผมส่งทหารไป เดี๋ยวผมส่งไป”

หานเฟิงพูดว่า “ทำแบบนี้ถูกแล้วเห็นไหม ตอนนี้ส่งทหารไปยังบ้านตระกูลลู่เลย ป้องกันให้แน่นหนา ถ้าคนตระกูลลู่สูญเสียแม้แต่ผมเส้นเดียว ฉันก็จะตัดขนนายหนึ่งเส้น ถ้าคนตระกูลลู่หัวหายแม้แต่คนเดียว ฉันก็จะตัดหัวนาย ถ้าตายหลายคน ฉันก็จะฆ่าคนของจวนผู้เฝ้าเมือง รีบไปจัดการ รีบไป เดี๋ยวนี้!”

โจวเจิ้นโส่วรีบตะโกนออกมาทันที ให้ทหารไปอารักขาที่บ้านตระกูลลู่ ทั้งจวนผู้เฝ้าเมืองวุ่นวายกันไปหมด

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 459
หานเฟิงพูดว่า “ได้สิครับอาลู่ คุณอาก็จะได้พาผมไปที่จวนผู้เฝ้าเมืองด้วยเลย ผมกลัวหาไม่เจอเหมือนกัน”

สองคนก็เดินคุยกันออกไป

ลู่เฮ่าหรานก็พูดกับลู่ฝานด้วยสีหน้ากังวลว่า “ลู่ฝาน นายมั่นใจว่าเอาอยู่ใช่ไหม นายต้องรู้ไว้นะ ว่าตอนนี้นายเป็นเจ้าบ้านแล้ว ทั้งตระกูลลู่อยู่ที่การตัดสินใจของนายเลยนะ ทุกอย่างจะต้องมองตระกูลเป็นหลัก”

ลู่ฝานพูดอย่างเข้าใจว่า “ปู่ครับ ผมทราบดี เรื่องที่ไม่มั่นใจ ผมไม่ทำแน่นอน เชื่อผมเถอะ!”

ลู่เฮ่าหรานเห็นว่าลู่ฝานมีสายตามั่นใจ ก็ไม่พูดอะไรมาก แล้วเดินกลับออกไป

เขาได้เตรียมตัวเพื่อตอนท้ายแล้ว ลู่เฮ่าหรานคิดไว้ในใจแล้ว

ถ้าหากว่าตระกูลลู่เดินลงเหวเพราะการตัดสินใจของลู่ฝาน เขาจะปกป้องชีวิตของลู่ฝานก่อน ถึงแม้สิ่งที่ต้องแลกเปลี่ยนจะเป็นชีวิตของตนเองก็ตาม

ลู่ฝานหายใจลึก ๆ แล้วหยิบแก้วรวมสารเหล็กพันปีมาพูดว่า “ไอ้เก้า รีบทำงานเลย ก่อนวันพรุ่งนี้ จะต้องทำให้เสร็จ”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดว่า “รีบร้อนเกินไป รีบมากเลย เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ ข้าพูดได้ว่าจะพยายามนะ”

พูดจบ ลู่ฝานก็นั่งสมาธิลงไปอีกครั้ง

แก้วรวมสารเหล็กพันปีในมือก็หลอมละลายภายใต้พลังปราณที่เป็นสายออกมา สุดท้ายก็กลายเป็นของเหลวที่เปล่งแสงสีดำออกมา แล้วไหลลงไปในพื้นดิน

ทันใดนั้น คนของทั้งเมืองเจียงหลินก็รู้สึกว่าพื้นดินที่เท้าสว่างวาบขึ้นมา แสงสีทองหลายสายทะลุออกมา แล้วพุ่งไปบนฟ้า

ในตอนนี้ คนนับไม่ถ้วนในเมืองเจียงหลินส่งเสียงตกใจ ชาวบ้านธรรมดาพวกนี้เคยเห็นค่ายกลที่ไหนกัน แถมยังเป็นค่ายกลเสวียนเหล็กเจดีย์เก้าที่ล้ำลึกพิสดารแบบนี้อีก

พื้นดินที่เท้าก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง บนพื้นหินบนถนน เริ่มเกิดอักษรยันต์ป็นลวดลายชัดเจน ลวดลายพวกนี้มหัศจรรย์มาก ทำให้คนนับไม่ถ้วนมองแล้วเหม่อลอย

นักบู๊บางคนมองดูพักหนึ่ง ก็รู้สึกว่าในหัวเหมือนถูกโจมตีหนัก นาทีต่อมา ก็เหมือนจะเข้าใจในหลายๆ เรื่องที่ไม่เคยเข้าใจมาก่อน

ชั่วพริบตานี้ มีนักบู๊เมืองเจียงหลินมากมายบรรลุแดนพลัง นี่ก็คือผลลัพธ์การรวมกันของค่ายกลหยินหยางกับค่ายกลเสวียนเหล็กเจดีย์เก้า ค่ายกลผสานกันมีผลลัพธ์ที่มากกว่าหนึ่งบวกหนึ่งใหญ่กว่าสอง

“พระเจ้า หล่าววัง เห็นไหม ฉันบอกแล้วไงว่ามีอะไรผิดปกติ อ่าว หล่าววังไปไหนเสียแล้ว?”

หลี่โก่วด้ารตะโกนร้องน้ำลายกระเด็น กระโดดโลดเต้นคุมตัวไม่อยู่

คนข้างๆ ก็มองเขา แล้วยิ้มพูดว่า “หลี่โก่วด้ารเอ้ย หล่าววังเพิ่งออกไปเอง ฮ่าๆ ไม่แน่ว่าอาจจะไปบ้านนายก็ได้นะ”

หลี่โก่วด้ารก็อึ้งไป จากนั้นก็วิ่งไปยังบ้านตนเอง

……

ในขณะเดียวกัน ห่างจากเมืองเจียงหลิน500ลี้ ในจ้าวเจียจวง ก็มีศพเกลื่อนพื้น

คนจำนวนนับไม่ถ้วน นั่งยองอยู่ที่มุมหนึ่ง มองชาย12คนด้วยสีหน้าหวาดกลัว เสื้อผ้าสีเลือด เป็นเหมือนกับฝันร้าย ทำให้พวกเขาทุกคนตัวสั่นด้วยความกลัว

“พี่ใหญ่ ไอ้ลูกเต่าพวกนี้เป็นสายสืบให้กับตระกูลลู่ ตอนนี้ข่าวที่พวกเรามาถึง คงจะส่งไปยังตระกูลลู่แห่งเมืองเจียงหลินแล้วล่ะ”

ชายที่เรียกว่าซานเจียวยันคนหนึ่งพูดออกมา

ชายที่ถูกเขาเรียกว่าพี่ใหญ่ ก็ใช้ดาบฟันคอชายที่นั่งตรงหน้าขาดไป

ยกดาบขึ้น “พี่ใหญ่” คนนั้นก็เช็ดเลือดบนใบดาบ

“พี่ใหญ่” คนนั้นยิ้มเย็นพูดว่า “รู้แล้วไง พวกมันนอกจากจะหนีไปแล้วจะทำอะไรได้ เหอะ พวกเรารีบเดินทางกันดีกว่า จะต้องถึงเมืองเจียงหลินก่อนฟ้าสางพรุ่งนี้ ฉันไม่อยากให้เหยื่อตัวใหญ่ของเราหนีไปได้ ถ้าเป็นแบบนั้น พวกของเมิงซันก็จะตายไปฟรีๆ ไป ออกเดินทาง”

ยกดาบขึ้นมา ใบดาบก็สะท้อนใบหน้าของพี่ใหญ่

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 458
ลู่ฝานก็สีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อยทันที “เร็วขนาดนี้เลยหรือนี่?”

เสียงของเจดีย์เสวียนเก้ามังกรดังขึ้นในตัวของเขา

“พรุ่งนี้หรือ เร็วมากเลย จะหลอมเหล็กที่เหลือ เร็วสุดก็ต้องการอีกสองวันถึงจะหมดนะเจ้านายผู้ยิ่งใหญ่”

ลู่ฝานร้อนรนในใจ แล้วถามต่อว่า “มากันกี่คน สืบชัดเจนหรือยัง?”

ลู่เฮ่าหรานพูดว่า “ทั้งหมดสิบสองคน แต่ละคนล้วนมีพลังไม่ธรรมดา ลู่ฝาน ถ้าวันนี้จะย้ายคนในตระกูลลู่ไปที่อื่นก็ยังทัน อย่างน้อยยังย้ายไปได้กว่าครึ่ง”

ลู่ฝานกัดฟันพูดว่า “รายงานโจวเจิ้นโส่วหรือยัง สำนักระดับสำนักโลหิตพิฆาตมาโจมตี เขาจะไม่สนใจไม่ได้”

ลู่หาวพูดอยู่ข้างๆ ว่า “เมื่อวานรายงานไปแล้ว โจวเจิ้นโส่วแสดงท่าทีว่า ถ้าสำนักโลหิตพิฆาตคิดจะโจมตีเมืองจริงๆล่ะก็ พวกเขาก็สามารถยื่นมือช่วยได้ แต่ถ้าฝั่งตรงข้ามจะมาโจมตีแค่ตระกูลลู่เราอย่างเดียว แล้วทำตามกฎของนักบู๊ล่ะก็ เขาก็ยุ่งอะไรด้วยไม่ได้”

“บัดซบ!”

หานเฟิงที่อยู่ข้างๆ ก็ด่าออกมา

ลู่ฝานกำหมัดแน่น ทำไมถึงเร็วแบบนี้ หรือว่าตระกูลลู่ของพวกเขาจะต้องเผชิญกับสงครามนองเลือดอีกแล้วงั้นหรือ?

ให้ตายเถอะ เพิ่งสู้กับตระกูลโม่จบ ตอนนี้ตระกูลลู่ก็บาดเจ็บหนัก ถ้าสู้อีกเกรงว่าตระกูลลู่คงจะเหลือรอดไม่กี่คนแล้ว

ในหัวมีความคิดมากมาย ลู่ฝานเริ่มครุ่นคิด

ทันใดนั้น ลู่ฝานก็หันไปพูดกับหานเฟิงว่า “ศิษย์พี่หานเฟิง พี่มีวิธีที่ทำให้โจวเจิ้นโส่วส่งกำลังทหารออกไปได้ไหม ขอเพียงทหารห้องกันเมืองยอมช่วยเหลือ อย่างน้อยพวกเราก็ยังมีแรงสู้”

หานเฟิงพยักหน้าพูดว่า “ได้ เดี๋ยวฉันจะไปหาเขา ถ้าไอ้โจวเจิ้นโส่วนั่นกล้าไม่สนใจฉันล่ะก็ ฉันจะกระทืบให้ปัญญาอ่อนไปเลยคอยดู”

พูดจบ หานเฟิงก็หันหลังเตรียมจะไปจัดการ

พอก้าวไปได้หนึ่งก้าว หานเฟิงก็เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ แล้วก็หยิบเศษเหล็กสีดำในหน้าอกออกมาพูดว่า “เกือบลืมไปเลย ศิษย์น้องลู่ฝาน เมื่อวานพี่ไปที่ตลาดมา เพื่อดูว่าจะพอช่วยซื้อเหล็กให้ได้ไหม สุดท้ายได้ของนี่มา รู้สึกว่าน่าจะดีกว่าเหล็กธรรมดาเยอะ นายลองดู ว่าใช้ได้ไหม”

ลู่ฝานหยิบเศษเหล็กนั้นมา พอหยิบมา ลู่ฝานก็รู้สึกเย็นๆ

ดูแล้วเป็นเหล็กขนาดเท่าฝ่ามือ แต่ว่าหนักกว่ากระบี่หนักไร้คมของเขาเสียอีก หายากจริงๆ

ตอนนี้ เจดีย์เสวียนเก้ามังกรก็ตกใจพูดออกมาว่า

“แก้วรวมสารเหล็กพันปี ฮ่าๆ เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ ค่ายกลสำเร็จได้แน่ พรุ่งนี้เสร็จแน่ มีแก้วรวมสารเหล็กพันปีเป็นแท่นค่ายกล การตั้งค่ายกลจะเร็วขึ้นเป็นเท่าตัว”

ลู่ฝานได้ยินดังนั้นก็ตาเป็นประกาย พูดกับหานเฟิงอย่างดีใจว่า “ใช้ได้ๆ ใช้ได้ดีเลยล่ะ ศิษย์พี่หานเฟิง พี่ช่วยฉันได้เยอะเลยทีเดียวล่ะ”

หานเฟิงอึ้งไป จากนั้นก็ยืดอกพูดว่า “แน่นอนอยู่แล้ว สายตาฉันไม่พลาดอยู่แล้ว ไอ้ของสิ่งนี้ ซื้อมาสามเหรียญทอง สามเหรียญทองเลยนะ!พ่อค้าของเมืองเจียงหลินนี่ร้ายมากเลยจริงๆ”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรก็ด่าอยู่ในตัวของลู่ฝาน

“แค่สามเหรียญทองยังบ่นว่าแพง มนุษย์ผู้โง่เขลา แก้วรวมสารเหล็กพันปี แค่ขนาดเท่าเล็บก็ราคาเป็นพันเหรียญทองแล้ว ขนาดใหญ่แบบนี้ จ่ายไปแค่สามเหรียญทอง ถือว่าโชคดีมากแล้ว”

ลู่ฝานหัวเราะ เบาใจลงได้เยอะ

หานเฟิงหันหลังไป ลู่หาวก็ตามไปด้วย พูดด้วยว่า “หานเฟิง เหล็กเมื่อครู่ไปซื้อจากที่ไหน พาฉันไปเดินดูหน่อยได้ไหม?”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 457
หลังจากนั้นหนึ่งวัน ที่เมืองเจียงหลิน

แสงตะวันยามเช้าสาดส่องมายังบ้านเรือของเมืองเจียงหลิน ลมในเช้าตรู่พัดน้ำค้างส่ายไปมา ตามตลาดก็มีเสียงขายของเรียกลูกค้าดังขึ้นอีกวัน

“เอ๊ะ หล่าววัง นายรู้สึกไหมว่าวันนี้ที่ถนนมันมีอะไรไม่เหมือนเดิม!”

ชายคนหนึ่งมองที่ถนน แล้วก็ส่งเสียงแปลกใจ

ถนนตรงหน้าบ้านนี้ เดินมาสิบกว่าปีแล้ว ตรงไหนมีหลุมมีบ่อเขารู้ดีหมด

แต่วันนี้ เขารู้สึกว่าถนนสายนี้เดินแล้วแปลกๆ เหมือนจะดีกว่าเก่าเยอะเลย!

“หลี่โก่วด้าร ตาเป็นอะไรไป เปลี่ยนไปตรงไหน ก็ถนนเส้นเดิมนี่แหละ”

ไอ้วังอ้าปากกว้างพูดออกมา

หลี่โก่วด้ารบ่นสงสัยอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ

มันเป็นภาพลวงตาจริงๆเหรอ??

คนที่รู้สึกเหมือนกับหลี่โก่วด้ารก็มีไม่น้อยในเมืองเจียงหลิน แต่ว่าคนส่วนใหญ่ ล้วนคิดว่ามันเป็นภาพลวงตาเอง

อาจจะเป็นเพราะว่าไม่ได้แคะขี้ตาออกให้หมด เลยมองอะไรผิดไป

แต่ว่ามีหลายคนที่จริงจัง ตั้งใจมองดูตามท้องถนนอย่างละเอียด

ทันใดนั้น พวกเขาก็พบว่า พื้นถนนเปลี่ยนแปลงไปจริงๆ

พื้นถนนที่เป็นหิน ก็เหมือนเคยถูกอะไรทับลง มันแน่มากขึ้น

ถ้าใช้อุปกรณ์ขุดลงไป ก็จะพบว่าทั่วพื้นแข็งแกร่งราวกับเหล็ก และไม่ใช่แค่ถนนหน้าบ้านพวกเขาเท่านั้น พื้นที่ทั้งหมดของเมืองเจียงหลิน ล้วนเปลี่ยนแปลงไปในคืนเดียว

ดินที่ร่วนซุยกลายเป็นแร่เหล็กที่แข็งแกร่ง คนอื่นๆ ไม่มีใครรู้เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ๆ

มีเพียงลู่ฝานที่อยู่ในบ้านตระกูลลู่คนเดียว ที่รู้การเปลี่ยนแปลงทั้งหมด

ที่หลังบ้านตระกูลลู่

แร่เหล็กกองเป็นภูเขา เต็มลานบ้านไปหมด

เพื่อเหล็กพวกนี้ ลู่ฝานใช้เงินตนเองที่มีจนหมดเกลี้ยง พูดได้ว่าทั้งเมืองเจียงหลินนี้ ถ้าอยากจะหากระทะเหล็กสักใบถือว่ายากมาก

หายใจเข้าออก

สีหน้าของลู่ฝานซีดเล็กน้อย จะหลอมเหล็กพวกนี้ต้องใช้พลังปราณไม่น้อยๆ

เขาอดทนมาตลอดทั้งคืน ตอนนี้รู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย

“ไอ้เก้า ค่ายกลเป็นอย่างไรบ้าง? ตั้งเสร็จหรือยัง?”

เสียงของเจดีย์เสวียนเก้ามังกรดังขึ้น

“ใกล้แล้ว ใกล้แล้ว เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ อย่ารีบร้อน หลอมเหล็กที่เหลือไปให้หมดก็เสร็จแล้ว สามารถตั้งค่ายกลปกคลุมทั้งเมืองภายในวันสองวัน ก็ถือว่าเร็วมากแล้ว”

ลู่ฝานกัดฟัน แล้วก็ทำต่อไป

ในใจของเขาก็รู้ดีว่าเจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดจริงแต่ว่าความรู้สึกที่ถูกดูดพลังไปเหมือนทรมานมากเลย ทรมานกว่าถูกคนมาฟันใส่ร่างกายเสียอีก

หลอมละลายแร่เหล็กต่อไป ที่หน้าประตูก็มีเสียงฝีเท้าดังเข้ามา

ลู่ฝานได้สั่งการไว้แล้ว ว่าคนนอกห้ามเข้าใกล้ลานบ้านตรงนี้ เหล็กทั้งหมดหลังจากให้ปู่จัดการแล้ว ก็ขนย้ายเข้ามา

ตอนนี้คนที่สามารถเข้ามาในเขตลานบ้านนี้ได้ เหลือเพียงไม่กี่คน และไม่กี่คนนี้ก็จะไม่วิ่งเข้ามาบุ่มบ่าม ดูเหมือนว่าจะเกิดเรื่องแล้ว

ลู่ฝานรีบหยุดการหลอมเหล็ก ฝีเท้าใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เข้ามาหลายคนด้วย

“ลู่ฝาน แย่แล้ว”

สายตามองทะลุไปยังกองเหล็กตรงหน้า เห็นปู่ พ่อ และศิษย์พี่หานเฟิงเข้ามา

ยังไม่ทันเข้ามาถึง ลู่เฮ่าหรานก็ตะโกนบอกก่อน

ผ่านกองเหล็กเข้ามา พวกของลู่เฮ่าหรานเดินมาตรงหน้าลู่ฝาน พูดด้วยสีหน้าหนักใจว่า “มีข่าวส่งมาว่า คนของสำนักโลหิตพิฆาตถึงจ้าวเจียจวงแล้ว ช้าสุดวันพรุ่งนี้ก็จะถึงเมืองเจียงหลิน”

ค่ายกลเริ่มขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว ทุกแห่งที่ผ่านไป ทุกคนล้วนสัมผัสได้ถึงลมเบาๆ พัดเข้ามาที่ใบหน้า ไม่นานค่ายกลหยินหยางก็ปกคลุมไปทั่วเมืองเจียงหลิน

ค่ายกลที่สามารถปกคลุมทั้งคณะหยินหยางได้ แล้วปกคลุมทั้งเมืองเจียงหลินได้อีกครั้ง ไม่มีปัญหาอะไรมาก แต่แค่ค่ายกลนี้ ยังไม่สามารถหยุดยั้งผู้แข็งแกร่งแดนปราณชีวิตของสำนักโลหิตพิฆาตได้

อย่างไรเสีย ด้วยพลังของค่ายกลในตอนนี้ ยังไม่เท่ากับตอนอยู่ที่คณะหยินหยางเลย

ที่สำคัญที่สุดก็คือ ต้องรอดูค่ายกลเสวียนเหล็กเจดีย์เก้าที่เจดีย์เสวียนเก้ามังกรตั้งขึ้นมา

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรอาศัยพลังปราณของลู่ฝานปล่อยสายเชือกจำนวนนับไม่ถ้วนไปที่เหล็กตรงหน้า ทันใดนั้นเหล็กพวกนั้นก็เหมือนจะหลอมรวมเข้าด้วยกันกลายเป็นของเหลว ปล่อยแสงออกมา จากนั้นก็เข้าไปในพื้นดิน ขยายออกไปตามสัญลักษณ์ลวดลายของค่ายกลหยินหยาง

ลู่ฝานสัมผัสได้ว่า เหล็กพวกนี้ก็เหมือนกับพลังปราณหลายๆ สาย ส่วนค่ายกลหยินหยางขนาดใหญ่ก็เป็นเหมือนเส้นเลือด สามารถทำให้เหล็กที่หลอมละลายไหลไปทั่วทั้งเมืองเจียงหลิน

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรจัดการตั้งค่ายกลไปด้วย พูดไปด้วยว่า “ค่ายกลเสวียนเหล็กเจดีย์เก้า ใช้เหล็กเป็นพื้นฐาน กลายเป็นค่ายกลตั้งรับ คนที่มาโจมตีค่ายกล จะถูกพลังเหล็กสะท้อนพลังกลับ พอตั้งค่ายกลออกมา จะได้พลังโลหะจากฟ้าดิน พอตั้งค่ายกลสำเร็จ จะได้พลังที่ทนทานของผืนแผ่นดิน เมื่อเดินค่ายกล จะได้พลังสองธาตุจากห้าธาตุ ใส่สายฟ้าเข้าไปเพิ่ม ค่ายกลก็จะสำเร็จลุล่วง”

ลู่ฝานฟังอยู่เงียบๆ ดูเหมือนว่าค่ายกลนี้จะร้ายกาจมาก

แต่ทำไมตอนที่เจดีย์เสวียนเก้ามังกรหลอมรวมเหล็กพวกนี้นั้น พลังปราณของเขาถึงได้ถูกใช้ไปเร็วมาก

ไม่นาน ลู่ฝานก็รู้สึกว่าพลังปราณไม่พอใช้แล้ว

ลู่ฝานก็รีบนั่งสมาธิลงทันที ห้าจิตขึ้นทางฟ้า เริ่มดูดพลังฟ้าดินเข้ามาอย่างไม่คิดชีวิต

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรก็กำลังอธิบายลักษณะและการควบคุมค่ายกลนี้ให้ลู่ฝานฟัง ลู่ฝานก็ฟังไปด้วย เคลื่อนพลังปราณไปด้วย เหมือนจะเป็นการฝึกวิชาที่รุนแรงมากครั้งนี้

ทางฝั่งลู่ฝานกำลังหลอมเหล็ก ด้านนอกในเมืองเจียงหลินก็วุ่นวายกันหมด

“รับซื้อเหล็ก รับซื้อเหล็ก ป้าจาง บ้านพวกป้ามีเหล็กไหม เหล็กอะไรก็ได้ ซื้อในราคาสูง หนึ่งเหรียญเงินสามกีโล แพงเลยใช่ไหม รีบเอามาขายให้ฉันสิ!”

“อะไรนะ? เหล็กได้ราคานี้เลยหรือ? บ้านฉันยังมีจอบเหล็ก ค้อนเหล็ก เดี๋ยวฉันเอามาให้นะ พ่อเขาเอ้ย เอากระทะเหล็กบ้านเราออกมาที ทุกกระทะขายเหล็กเลย!”

“อื่โก่วจี่ บ้านพวกนายมีเสาเหล็กไม่ใช่หรือไง ขายให้ฉันเถอะ”

“ขายบ้าบออะไร “เสาเหล็ก”เป็นพี่ชายฉัน แต่นายจะซื้อจริงๆ ใช่ไหม? หนึ่งเหรียญเงิน3กีโลจริงหรือ? อย่างนั้นพี่ชายฉันก็มีราคาเหมือนกันนะเนี่ย!”

……

เสียงเรียกรับซื้อเหล็กดังไปทั่วถนน

ตระกูลลู่รับซื้อเหล็กมากมายขนาดนี้ ทำให้คนในเมืองเจียงหลินไม่น้อยหัวเราะกันทั่ว

พวกนักธุรกิจก็กำลังจ้องมอง ตระกูลลู่จะทำอะไรกันแน่? จะทำธุรกิจแร่เหล็กหรือไง? ไม่น่าจะใช่นะ!

ยุคนี้ ทำธุรกิจแร่เหล็กยังสู้ขายยาสมุนไพรไม่ได้เลย

ร้านอาวุธทั้งหมดถูกกว้านซื้อจนเกลี้ยง คนตระกูลลู่ก็กวาดซื้อเหล็กทุกชนิดจนเกลี้ยงเหมือนตั๊กแตนรุมกินข้าว

ในขณะเดียวกัน ที่ด้านนอกไกลออกไปจากเมืองเจียงหลิน

ชายสวมชุดสีเลือดสิบกว่าคน ก็มาถึงยังยอดเขาแห่งหนึ่ง

มองไปยังทิศทางของเมืองเจียงหลินที่ไกลออกไป

ชายที่เป็นผู้นำพูดขึ้นมาว่า “ลู่ฝาน คนตระกูลลู่แห่งเมืองเจียงหลินกล้ามาฆ่าคนของสำนักโลหิตพิฆาตเรา สงสัยไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว หวังว่าเมืองเจียงหลินจะเป็นเมืองคนรวย ฉันไม่อยากไปจัดการแล้วไม่ได้อะไรกลับมา”

ชายด้านข้างก็พูดต่อว่า “พี่ใหญ่ วางใจเถอะ ผมไปสืบมาแล้ว ลู่ฝานคนนั้นเป็นศิษย์เอกหนึ่งในเก้าคณะของสถาบันสอนวิชาบู๊ ไม่ต้องพูดอย่างอื่น แค่ในมือของเขาก็จะต้องมีของดีราคาไม่น้อยแน่นอน”

“อย่างนั้นก็ดี พวกเรายังเหลืออีกกี่วันจะถึงเมืองเจียงหลิน?”

“มากสุดอีก2วันครับพี่ใหญ่!”

ไม่ได้อธิบายอะไรให้ศิษย์พี่หานเฟิงมาก ลู่ฝานไปหาลู่หาวกับลู่เฮ่าหรานเลย

ไม่ต้องพูดอธิบาย ลู่ฝานสั่งการไปเลยทีเดียว

“ฉันต้องการเหล็กจำนวนมาก ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ตาม ไปหาเหล็กมาให้ฉัน”

พวกลู่เฮ่าหรานก็ไม่เข้าใจ

ลู่ฝานอธิบายเล็กน้อยว่าสำนักโลหิตพิฆาตจะมาโจมตี พวกลู่เฮ่าหรานก็นั่งไม่ติดเลยทีนี้

“แล้วควรทำไงดี? หรือว่าตอนนี้พวกเราต้องหนีออกไปจากเมืองเจียงหลินงั้นหรือ?”

ลู่ฝานพูดเสียงดังว่า “ผมบอกแล้วไง ว่าผมมีวิธี รีบไปหาเหล็กมา พ่อครับ ปู่ครับ เชื่อผมสักครั้ง”

ลู่เฮ่าหรานก็รีบเดินออกไป ลู่หาวก็รีบไปสั่งการเหมือนกัน

หลังจากนั้นหนึ่งชั่วยาม ตระกูลลู่ก็วุ่นวายไปหมด

สิ่งที่มีเหล็กผสมอยู่ ก็ถูกขนมากองไว้ในลานบ้าน

พวกอาวุธ จอบเสียบ คราด กระทะเหล็ก หรือเศษเหล็กกองเต็มพื้น

เวลาไม่นาน ของที่มีเหล็กก็กองครึ่งลานบ้าน

ลู่ฝานถามเจดีย์เสวียนเก้ามังกรในใจว่า “ของพวกนี้พอหรือยัง?”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรก็ตอบอย่างไม่ลังเลว่า “ไม่พอ เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ นี่มันยังไม่พอให้ตั้งค่ายกลเลยด้วยซ้ำ”

ลู่ฝานแทบกระอักเลือด เท่านี้ยังไม่พอ ให้ตายเถอะ ของที่มีเหล็กผสมถูกขนมาเกลี้ยงตระกูลลู่แล้ว

ลู่หาวเดินหน้าซีดๆ เข้ามา “ลู่ฝาน เหล็กเท่านี้พอหรือเปล่า?”

ลู่ฝานส่ายหัวพูดว่า “ไม่พอ ยังขาดอีกเยอะเลย พ่อครับ ให้คนออกไปซื้อเหล็กมา เดี๋ยวผมออกเงินเอง!”

พูดไป ลู่ฝานก็หยิบเหรียญทองของตนเองออกมา เทออกมาให้ลู่หาวหมดเลย แม้แต่บัตรเหรียญทองก็ไม่เอาแล้ว

ลู่หาวเห็นลู่ฝานมีเงินเยอะขนาดนี้ ก็อึ้งไปเลย

“ลู่ฝาน นายออกไปเรียนหนังสือ หรือไปปล้นใครมากันแน่ ทำไมถึงมีเงินมากมายขนาดนี้!”

ลู่ฝานรีบพูดว่า “เรื่องนี้เอาไว้ค่อยคุยกันทีหลัง คนตระกูลลู่จงฟัง ออกไปซื้อเหล็กมา ไม่ว่าจะใช้วิธีไหนก็ตาม ภายในวันนี้ฉันจะต้องเห็นเหล็กที่มากกว่านี้10เท่ากองอยู่ในลานบ้าน ใครหามาเยอะมีรางวัล หามาน้อยโดนลงโทษ”

พูดจบ ลู่ฝานก็กำเหรียญทองโยนออกไป

“นี่ก็คือเงินรางวัล หาเหล็กมาได้ห้ากิโลกรัมได้หนึ่งเหรียญทอง ขอเพียงทำสำเร็จ ก็มีรางวัลทุกคน รีบไปหามา!”

คนตระกูลลู่ก็ตอบรับเป็นเสียงเดียวกัน แล้วรีบออกจัดการ

ตอนนี้ศิษย์พี่หานเฟิงก็พาเจ้าดำเดินมาเหมือนกัน พอเห็นคนตระกูลลู่วุ่นวายเหมือนเป็นบ้า หานเฟิงก็พูดอย่างอึ้งๆ ว่า “อะไรกันเนี่ย พวกเขาจะออกไปปล้นกันหรือไง!”

ลู่ฝานมองลู่หาว แล้วก็หันมามองศิษย์พี่หานเฟิง “พ่อครับ ศิษย์พี่ ไปช่วยผมอีกแรงนะ ผมอยู่ที่นี่คนเดียวก็พอ”

หานเฟิงยิ้มพูดว่า “ได้ เดี๋ยวฉันพาเจ้าดำออกไปหาเหล็ก ใครกล้าไม่ให้ ฉันจะให้เจ้าดำกัดผมมัน”

เจ้าดำยิ้มแยกเขี้ยวให้ลู่ฝาน จากนั้นหนึ่งสัตว์หนึ่งคนก็เดินออกไป

ลู่หาวก็หยิบเงินออกไปเหมือนกัน ในเมื่อมีเงินในมือ ไปหาซื้อเหล็กตามตลาดใกล้ๆ แถวนี้ก็ได้แล้ว

ทุกคนก็ยุ่งกันขึ้นมาทันที ลู่ฝานก็ให้ทุกคนออกไปจากบ้าน

จากนั้น ก็ค่อยๆ ปล่อยเจดีย์เสวียนเก้ามังกรออกมา

“ไอ้เก้า ตอนนี้ก็ถึงคิวนายแล้ว ถ้านายทำพลาด แล้วทำให้ตระกูลลู่ของฉันเกิดเรื่อง นายได้เห็นดีแน่”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรยิ้มพูดว่า “วางใจเถอะ เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ มีเจดีย์เสวียนเก้ามังกรตั้งค่ายกล ยังไม่เคยผิดพลาดมาก่อน”

พูดจบ ก็เปิดค่ายกลหยินหยางออกมา แล้วค่อยๆ แทรกเข้าไปในพื้นดิน

ลู่ฝานส่ายหัวพูดว่า “ฉันไม่ไปแล้วล่ะ ศิษย์พี่ฟานเฟิง ฉันจะบอกอะไรกับศิษย์พี่เรื่องหนึ่ง ศิษย์พี่จะต้องช่วยฉันนะ”

หานเฟิงเอามือทุบอกพูดว่า “พี่น้องกันเอง มีเรื่องอะไรก็ว่ามาเลย ถ้าศิษย์พี่ช่วยได้ จะช่วยเต็มที่แน่นอน!”

ลู่ฝานก็เล่าเรื่องของสำนักโลหิตพิฆาตออกมา

พอได้ยินคำว่าสำนักโลหิตพิฆาต สีหน้าของหานเฟิงก็ดูไม่จืดทันที

“ศิษย์น้องพูดถึง สำนักโลหิตพิฆาตใช่ไหม?” อย่างนั้นก็ลำบากหน่อยแล้วล่ะ

ลู่ฝานขมวดคิ้วพูดว่า “ศิษย์พี่หานเฟิง พี่รู้จักสำนักโลหิตพิฆาตงั้นหรือ?”

หานเฟิงพยักหน้าเบาๆ “ตอนที่ฉันเพิ่งมาอยู่ในสถาบันสอนวิชาบู๊ เคยผ่านเขตพื้นที่ของสำนักโลหิตพิฆาต ได้ยินว่านี่เป็นสำนักที่เอาแต่เงินไม่รักชีวิต ในสำนักมียอดฝีมือหลายคน เคยสู้กับอาของฉันด้วย มีฝีมือไม่เบา สุดท้ายถ้าไม่ใช่เพราะอาของฉันเอาชนะพวกนั้นได้สองกระบวนท่าล่ะก็ เกรงว่าฉันก็คงจะต้องเสียเปรียบให้กับสำนักโลหิตพิฆาตเหมือนกัน ให้ตายเถอะ ถ้าไม่ใช่เพราะว่าตอนนี้ฉันกลับไปตระกูลไม่ได้ ฉันจะรีบพาคนไปกำจัดพวกโจรภูเขาพวกนี้เสียให้เรียบ”

ลู่ฝานรีบถามต่อว่า “ศิษย์พี่ อาของพี่มีพลังระดับไหน?”

หานเฟิงพูดว่า “แดนปราณชีวิตชั้นเจ็ด ถ้าสู้เต็มที่ ยังพอสู้กับนักบู๊ระดับแดนปราณชีวิตชั้นสุดยอดได้”

ลู่ฝานก็ใจเต้นทันที

เมื่อครู่นี้เขายังไม่คิดอะไร เพราะว่าเขาคิดว่าคนของสำนักโลหิตพิฆาตเป็นแค่นักบู๊ระดับแดนปราณชีวิตชั้นต้นเท่านั้น แต่ถ้าเป็นนักบู๊ระดับนั้นจริงๆล่ะก็ เขาเองก็ยังพอรับมือได้

“ถ้าเป็นแบบนี้ อย่างน้อยสำนักโลหิตพิฆาตก็มีนักบู๊แดนปราณชีวิตชั้นเจ็ดขึ้นไป”

หานเฟิงพยักหน้าพูดว่า “ถูกต้องแล้ว แต่นั่นก็เป็นเรื่องเมื่อหลายปีที่แล้วนะ ตอนนี้จะได้ระดับแดนปราณชีวิตชั้นสุดยอดก็ไม่แปลก ศิษย์น้องลู่ฝาน เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กเลยนะ”

ลู่ฝานพยักหน้าอย่างเข้าใจ “ไม่ใช่เรื่องเล็กจริงๆ นักบู๊แดนปราณชีวิตชั้นสุดยอดคนหนึ่ง สามารถกวาดล้างเมืองเจียงหลินของเราได้จริงๆ”

หานเฟิงกัดฟันพูดว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน ถ้าไม่ไหว ตอนนี้ฉันก็จะรีบกลับไปสถาบันสอนวิชาบู๊ ให้อาจารย์มาคนหนึ่ง คิดว่าจะทันไหม”

ลู่ฝานครุ่นคิด แล้วพูดว่า “ให้ฉันคิดก่อน”

ในหัวฉุกคิดไปมา ลู่ฝานก็เรียกเจดีย์เสวียนเก้ามังกรในตัว “ไอ้เก้า นายมีวิธีอะไรไหม? มีแผนอะไรที่ทำให้ฉัมสามารถรับมือกับผู้แข็งแกร่งแดนปราณชีวิตชั้นสุดยอดไหม?”

เสียงของเจดีย์เสวียนเก้ามังกรก็ดังขึ้นทันที “เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ ท่านจะรับมือกับผู้แข็งแกร่งแดนปราณชีวิตชั้นสุดยอดอย่างนั้นหรือ? พระเจ้าช่วย เจ้านายนี่ช่างมีใจกล้ามากเลยจริงๆ ใจสูงกว่าฟ้า กล้าแกร่งกว่าผืนทะเลเสียอีก”

ลู่ฝานก็ด่าในใจว่า “อย่ามัวพูดมาก เร็วหน่อย มีวิธีอะไรไหม?”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรหัวเราะคิกคักพูดว่า “มี มีแน่นอน ตั้งแต่สมัยโบราณมา คนอ่อนแอปะทะกับคนแข็งแกร่งกว่า สู้ตรงๆ มันจะยาก ตั้งรับยังพอไหว ค่ายกลไง เจ้านาย ตอนนี้ท่านจะต้องตั้งค่ายกล อืม ใช้ค่ายกลหยินหยางเป็นพื้นฐาน แล้วก็ตั้งค่ายกลเสวียนเหล็กเจดีย์เก้า ต่อให้มันมีนักบู๊แดนปราณชีวิตมากแค่ไหนก็ตาม ขอเพียงมองค่ายกลไม่ออก ก็อย่าหวังว่าจะทำร้ายเจ้านายได้แม้แต่น้อย”

ลู่ฝานก็ตาเป็นประกายทันที หานเฟิงเห็นลู่ฝานดีใจ เลยรีบถามว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน มีแผนอะไรแล้วงั้นหรือ?”

ลู่ฝานพยักหน้าเบาๆ เสียงของเจดีย์เสวียนเก้ามังกรในตัวก็ดังขึ้นอีก

“เจ้านาย ท่านว่าแผนนี้เป็นไงบ้าง ตั้งค่ายกลเสวียนเหล็กเจดีย์เก้าให้ทั่วเมืองก็ไม่มีปัญหา แต่ต้องใช้วัสดุอะไรนิดหน่อย”

ลู่ฝานรีบถามว่า “ต้องการวัสดุอะไร?”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรตอบว่า “เหล็ก เหล็กจำนวนมาก ยิ่งเยอะยิ่งดี ยิ่งเยอะค่ายกลก็จะยิ่งแข็งแกร่ง เป็นไง เป็นวัสดุที่หาง่ายใช่ไหม”

ลู่ฝานก็รีบตอบ “ได้ ตกลงตามนี้ก็แล้วกัน”

หานเฟิงได้ยินลู่ฝานพูดออกมา ก็จ้องมองไปยังลู่ฝาน

“ศิษย์น้องลู่ฝาน นายตกลงอะไรงั้นหรือ?”

เสียงหัวเราะแสบแก้วหู อาจจะเป็นเพราะว่าถูกทรมาน เสียงของโม่หยุนเฟยก็เลยแหบฟังไม่ได้เลยแบบนี้

ลู่ฝานนั่งยองลงไป มองโม่หยุนเฟยนิ่งๆ “นายรอฉันไม่ยอมตาย เพื่ออยากจะบอกเรื่องพวกนี้อย่างนั้นหรือ? ฉันต้องขอบใจนายหรือเปล่า ที่เอาเรื่องนี้มาบอกฉัน”

โม่หยุนเฟยหัวเราะเสียงเย็นชา ใช้แรงทั้งหมดขยับตัวมานิดหน่อยแล้วพูดว่า “ไม่ ลู่ฝาน นายไม่รู้หรอกว่าสำนักโลหิตพิฆาตมันหมายความว่าอย่างไร นั่นเป็นสำนักที่มีผู้แข็งแกร่งแดนปราณชีวิต พอมีชื่อเสียงในเขตตงหวา เป็นสำนักที่รับฆ่าคนโดยเฉพาะ ถึงแม้คนของสำนักโลหิตพิฆาตจะมีไม่มาก แต่ว่าสามัคคีกันมาก นายไปฆ่าผู้แข็งแกร่งระดับแดนปราณนอกชั้นสุดยอดสองคน ผู้แข็งแกร่งระดับแดนปราณนอกสามคน พวกเขาจะต้องยกกำลังกันมาหมดแน่นอน พอถึงตอนนั้น ไม่ต้องพูดถึงตระกูลลู่เล็กๆ นี่หรอก ต่อให้เป็นทั้งเมืองเจียงหลิน ก็จะต้องถูกเข่นฆ่าไปด้วย และทุกอย่างมันเป็นเพราะนาย”

โม่หยุนเฟยหัวเราะลั่น ราวกับจะหัวเราะให้กับความเจ็บปวดทั้งหมดออกมาในตัว

ไม่นาน โม่หยุนเฟยก็พูดต่อ “นายกลัวแล้วล่ะสิ รู้ว่าร้ายแรงแล้วใช่ไหม ฉันได้ยินลู่หมิงพูดว่า นายกวาดล้างตระกูลโม่ฉันหมดแล้ว ไม่เป็นไรหรอก ตระกูลลู่ของพวกนายก็จะต้องตายตามไปด้วย ฉันจะรอมองดูแววตาของนายค่อยๆ จางหายไป ฉันจะรอดูความหวาดกลัวในสายตาของนาย ที่สุดท้ายต้องถูกความสิ้นหวังกลืนกิน ฉันจะคอยดูตระกูลลู่สิ้นซากด้วยตาฉันเอง นอกเสียจากนายจะฆ่าฉันก่อน ไม่อย่างนั้นฉันจะได้เห็นสำนักโลหิตพิฆาตมาช่วยแก้แค้นแทนตระกูลโม่ของพวกเราแน่นอน”

ลู่ฝานก็ยิ้ม เข้าไปใกล้โม่หยุนเฟยอีกนิด แล้วพูดว่า “โม่หยุนเฟย นายมองดูให้ชัดเจน ว่าสายตาของฉันมันมีความหวาดกลัวแม้แต่น้อยหรือไม่? ฉันกลัวหรือเปล่า?”

ดวงตาแดงก่ำของโม่หยุนเฟยจ้องมองดูตาของลู่ฝาน โม่หยุนเฟยก็พบว่า เขาเห็นแต่ความมั่นใจกับตั้งมั่น

ลู่ฝานลุกขึ้น แล้วก้มมองดูโม่หยุนเฟย พร้อมพูดว่า “ที่มาวันนี้ เพราะอยากจะมาถามนายหน่อย ว่าไปเชิญผู้แข็งแกร่งพวกนั้นมาจากไหน เป็นคนที่ซิงยวนของคณะหยินหยาส่งมาหรือเปล่า อืม ตอนนี้นายได้ตอบฉันไปแล้ว ว่าเป็นสำนักโลหิตพิฆาต ดูเหมือนว่าสำนักนี้ ไม่ควรอยู่รอดต่อไปแล้วล่ะ”

โม่หยุนเฟยกัดฟันพูดว่า “ลู่ฝาน นายอย่าบ้าไป นายพูดถูกต้อง เป็นคนที่ซิงยวนส่งให้ฉันมาเอง ด้วยอำนาจของฉัน ไปเชิญผู้แข็งแกร่งของสำนักโลหิตพิฆาตมาไม่ได้หรอก ศัตรูนายมันมีมาก แต่ละคนล้วนแข็งแกร่งกว่านาย สักวันนายก็ต้องเป็นเหมือนกับฉัน ไม่สิ จะต้องอนาถกว่าฉันแน่นอน ตายอย่างน่าสงสารยิ่งกว่าฉันแน่นอน”

โม่หยุนเฟยตะโกนตอนสุดท้ายก็ได้เสียสติไปแล้ว ลู่ฝานก็ลุกขึ้นเดินกลับไป

ลู่ฝานเอามือตบหลังคนรับใช้สองคนนั้นเบาๆ พูดว่า “ดูแลเขาให้ดี ทรมานให้หนักที่สุดแต่อย่าให้ตาย”

คนรับใช้พยักหน้าอย่างเข้าใจ คนเฝ้าคุกใต้ดินอย่างพวกเขา มีใครบ้างไม่รู้วิธีทรมานคนที่หลากหลาย

โม่หยุนเฟยอยู่ในมือของพวกเขา จะได้ลิ้มลองรสชาติความเจ็บปวดแน่นอน

พอออกมาจากคุกใต้ดิน ก็เจอกับศิษย์พี่หานเฟิงที่กำลังพาเจ้าดำเดินเล่นอยู่พอดี

หลายวันนี้ ศิษย์พี่หานเฟิงเป็นคนที่ว่างงานมากที่สุดในตระกูลลู่

วันๆ เอาแต่พาเจ้าดำไปหาของกินในที่ต่างๆ เที่ยวเล่นไปเรื่อย อย่างไรเสียเหรียญทองที่ลู่ฝานให้เขาไว้ ต่อให้เขาใช้ไปหลายเดือนก็ใช้ไม่หมด หานเฟิงเที่ยวเล่นอย่างมีความสุข ลองออกไปสืบข่าวดู ตอนนี้เหล่าโรงน้ำชาร้านเหล้าต่างในเมืองเจียงหลินมีใครบ้างไม่รู้จักชื่อของหานเฟิง

ใช้จ่ายเงินทีไร จ่ายหนักทุกที ถ้าไม่ใช้เงินตัวเอง ก็ไม่รู้จักเสียดายหรอก

พอเห็นลู่ฝาน หานเฟิงก็ยิ้มแก้มปริ “ศิษย์น้องลู่ฝาน วันนี้ไม่ยุ่งหรือไง ไปกัน ไปเดินเล่นกับศิษย์พี่หน่อย วันนี้ลาวจางที่ฝั่งตะวันออกของเมืองบอกว่ามีกับข้าวมาใหม่ พวกเราไปลองชิมกัน”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 452
ตอนนี้ ตระกูลลู่กำลังยุ่งกันหมด แต่สำหรับคนส่วนใหญ่แล้ว มันเป็นการยุ่งที่มีความสุข

อย่างน้อยตอนที่ลู่ฝานเดินอยู่ในตระกูลลู่ ลูกหลานตระกูลลู่ไม่น้อยถึงแม้บนใบหน้าจะมีความเสียใจ แต่พอเห็นลู่ฝาน ต่างก็พากันยิ้มหน้าบานออกมา แล้วโค้งคำนับให้กับเจ้าบ้าน

วันนี้ ลู่ฝานวางแผนจะจัดการเรื่องทั้งหมดให้เรียบร้อย

เขาไม่ได้ลืมโม่หยุนเฟยที่จำตัวไว้ในตอนนั้น

คุกใต้ดินของตระกูลลู่ อยู่ที่ใต้ห้องเก็บฟืนด้านหลัง หลังจากเปิดแผ่นหินออก ก็มีบันไดลงไป

คุกใต้ดินที่มืดและชื้นแฉะไม่เห็นแสงตะวัน พอเข้าไป ก็ได้กลิ่นเชื้อราที่เหม็นเน่า

“ท่านเจ้าบ้าน!”

พอคนรับใช้ที่คอยเฝ้าคุกใต้ดินของตระกูลลู่เห็นลู่ฝาน ก็รีบทักทายอย่างตื่นเต้น

ในสายตาของผู้ใหญ่รุ่นนี้ของตระกูลลู่ ลู่ฝานเปรียบเสมือนผู้กล้าที่มาฉุดช่วยตระกูลลู่ไว้ คนที่เก่งกาจโดดเด่นที่สุดในสามรุ่นของตระกูลลู่ จะนำพาตระกูลลู่เจริญรุ่งเรือง

ลู่ฝานก็หยักหน้ายิ้มให้สองคนนั้นเบาๆ สามารถรอดจากการต่อสู้กับตระกูลโม่มาได้ คนรับใช้สองคนนี้ก็ถือว่ามีความสามารถเหมือนกัน แถมยังจงรักภักดีต่อตระกูลลู่ ช่วงเวลาที่มีภัยไม่ได้หนีออกไป ลู่ฝานเคารพพวกเขาเหมือนกัน เขาได้เริ่มคิดไว้แล้ว ว่าหลังจากนี้จะเพิ่มเงินเดือนให้คนพวกนี้

อย่างน้อยงานที่ต้องมาเฝ้าคุกใต้ดินแบบนี้ พวกเขาก็ไม่ต้องมาทำแล้ว ให้ไปหาร้านขายของสักร้าน ไปเป็นเจ้าของร้านเล็กๆ พวกเขาน่าจะยินยอม

“สถานการณ์ด้านล่างเป็นอย่างไรบ้าง?”

ลู่ฝานถามเสียงเบา

คนรับใช้เสื้อเขียวด้านข้างก็ตอบว่า “รายงานท่านเจ้าบ้าน ตอนที่ไอ้ชั่วโม่หยุนเฟยเข้ามาใหม่ๆ ยังทำตัวเก่ง ด่าทอตระกูลลู่ของเราตลอด คุณชายลู่หมิงเข้ามาหลายครั้ง หลังจากที่สั่งสอนเขาไปแล้ว ก็ไม่กล้าโวยวายอีก ตอนนี้คงเหลือชีวิตอยู่ครึ่งเดียวแล้ว”

ลู่ฝานพยักหน้า แล้วให้พวกเขานำทางไป เขาต้องการจะไปพบโม่หยุนเฟย

เดินขึ้นหน้าไป คุกใต้ดินของตระกูลลู่ใหญ่อยู่เหมือนกัน ขนาดเท่ากับห้องรับรองหลายห้องเลย

คนที่จะถูกขังในนี้ บ้างก็เป็นคนที่ทรยศตระกูลลู่ หรือพวกชั่วที่หักหลังแทงข้างหลังตระกูลลู่ หรือไม่ก็เป็นพวกคนของตระกูลโม่ที่ช่วงนี้พวกของลู่หมิงไปจับตัวมา

อย่างไรเสีย แม้แต่โจวเจิ้นโส่วก็ต้องทำงานภายใต้ความพึงพอใจของลู่ฝาน พวกลู่หมิงจะไปจับคนตามถนนคงไม่มากอะไร

ในเมืองเจียงหลิน ใครจะกล้ามายุ่งกับเรื่องของตระกูลลู่

ลู่ฝานก็ไม่ได้สนใจ มองดูสายตาที่ไร้ความหวังในคุกใต้ดิน สีหน้าของลู่ฝานก็นิ่งและไม่แยแส

ถึงแม้มีคนไม่น้อยที่พอเห็นลู่ฝานแล้วก็เริ่มร้องไห้ขี้มูกโป่งออกมา พูดขอร้องว่า “ท่านเจ้าบ้าน ผมผิดไปแล้ว”

“เจ้าบ้านลู่ฝาน ให้โอกาสผมอีกสักครั้งเถอะ”

ลู่ฝานไม่อยากจะมองพวกเขา เดินตรงไปอย่างเดียว

บริเวณนี้เป็นส่วนที่มืดที่สุดของคุก พอเดินเข้าใกล้ ก็ได้กลิ่นเหม็นโชยเข้ามา

ในคุกที่ทำจากเหล็ก โม่หยุนเฟยนอนแหมะอยู่บนพื้นเหมือนกับหนอนตัวหนึ่ง แขนขาถูกตีหักหมดแล้ว เขาก็เลยเคลื่อนไหวตัวเหมือนหนอนได้อย่างเดียว

ลู่ฝานให้คนมาเปิดประตูคุก แล้วก็ค่อยๆ เดินเข้าไป

โม่หยุนเฟยลืมตาแดงก่ำของตนเอง พอเห็นลู่ฝาน ก็ยิ้มอย่างหวาดกลัวออกมา

“ฮ่าๆ ลู่ฝาน มาแล้วหรือ ในที่สุดนายก็มา ที่ฉันไม่ยอมตายไปก่อน ก็เพราะรอนายเข้ามา”

ลู่ฝานมองโม่หยุนเฟยนิ่งๆ แล้วพูดว่า “ที่นายไม่ตาย เพระฉันไม่คิดจะให้นายตายไปอย่างสบายๆ ไงล่ะ นายจะรอฉันทำไม มีอะไรจะคำสุดท้ายจะพูดกับฉันหรือ?”

โม่หยุนเฟยยิ้มพูดอย่างหวาดกลัวว่า “มี มีแน่นอน ลู่ฝาน อย่าคิดว่ากำจัดตระกูลโม่ได้แล้ว นายก็จะสามารถนอนหลับได้อย่างสบายใจ นายไม่รู้หรอก ฆ่าพวกเมิงซันที่นายฆ่าไป เป็นคนของสำนักโลหิตพิฆาต ฮ่าๆ นายฆ่าคนของสำนักโลหิตพิฆาต นายก็เข้าใกล้ความตายไปแล้ว!”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 451
ลู่ฝานกับอาจารย์หวูเฉินคุยกันไปทั้งคืน เช้าวันต่อมา พอแสงตะวันสาดส่องเข้ามาในกระท่อม ลู่ฝานจึงเดินออกจากกระท่อมไปอย่างเคารพนอบน้อม

เวลาหนึ่งคืน ทำให้ลู่ฝานรู้สึกได้รับอะไรไม่น้อยเหมือนกัน

อาจารย์หวูเฉินยืนอยู่ที่ประตู ยิ้มมองลู่ฝาน “ช่วงนี้ นายก็ค่อยๆ ทำความเข้าใจวิชาที่ให้อยู่ในบ้านก็แล้วกัน การฝึกพลังปราณก็อย่าให้ขาด พอนายถึงแดนปราณชีวิตค่อยมาที่นี่ อาจารย์จะถ่ายทอดวิชาเพิ่มให้”

ลู่ฝานพูดอย่างเคารพ “ครับ อาจารย์”

หวูเฉินพยักหน้ายิ้ม แล้วก็หันหลังเข้าบ้านปิดประตู

ลู่ฝานหันตัวเดินกลับไป แต่ไม่ได้เห็นว่าพอหวูเฉินปิดประตูกลับเข้าบ้านไปแล้ว หวูเฉินก็กระอักเลือดกองใหญ่ออกมา

เช็ดเลือดไปเบาๆ รอยยิ้มบนใบหน้าของหวูเฉินก็ไม่ได้จางหายไป

หวูเฉินบ่นพึมพำกับตนเองว่า “ฉันเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว แต่มีศิษย์ดีๆ แบบนี้ ชีวิตนี้ไม่มีอะไรต้องเสียดายแล้ว”

พูดจบ หวูเฉินก็นั่งลงบนเก้าอี้ไม้ริมหน้าต่าง แสงตะวันส่องมาที่ใบหน้าของเขา มือซ้ายวางที่ขอบหน้าต่าง ลวดลายสีดำบนมือก็คือเส้นเลือดที่ตายด้านแล้ว ทำให้ครึ่งฝ่ามือดำเหมือนก้อนถ่าน พอส่องกับแสงแดด ยังมีควันสีดำออกมาด้วย

แต่หวูเฉินไม่ได้สนใจเลย หยิบเหล้าหนึ่งไหจากข้างๆ แล้วก็เงยหน้าดื่มไปหนึ่งอึก

ร้องเพลงคลอเบาๆ “ภูเขาลำน้ำแปดพันลี้กระบี่กับเหล้า นภาเก้าหมื่นลี้ตื่นและฝัน สามจอกพานพบมรรคานำพากัน หนึ่งลิตรพลันรู้ฟ้าดินจินต์ผสาน จอกหยินหยางชวนคนเข้าค้นหา ในสุรามีความรักและสงสาร วันรุ่งขึ้นใยจะรู้ใครจากนาน เขาและฉันหัวเราะกันตอบไปมา………”

เสียงร้องล่องลอยไปตามลม

……

วันเวลาดั่งสายน้ำ ค่อยๆ ไหลไปนิ่งๆ

หลายวันผ่านไป ที่ตระกูลลู่ สิ่งก่อสร้างถูกสร้างขึ้นมากมาย

ความเสียใจต้องผ่านไปสักวัน คนที่มีชีวิตอยู่ก็ต้องใช้ชีวิตของตนเองต่อไป

หลังจากจัดพิธีศพให้กับคนตระกูลลู่ที่เสียสละชีวิตไปแล้ว ลู่เฮ่าหรานก็สั่งการให้ลูกหลานตระกูลลู่ที่เหลือช่วยกันสร้างตระกูลลู่ขึ้นมาใหม่

ทุกอย่างจะต้องใช้อย่างดี บ้านจะต้องขยายให้ใหญ่

ถึงแม้ตอนนี้ตระกูลลู่จะมีคนไม่เยอะแล้ว แต่เผื่อการพัฒนาในอนาคต บ้านของตระกูลลู่จะต้องขยายให้ใหญ่

เพื่อนบ้านที่เคยอยู่ข้างๆ บ้านตระกูลลู่ ต่างก็พากันขายบ้านให้กับตระกูลลู่อย่างรู้เรื่องดี ลูกหลานตระกูลลู่สายต่างๆ ที่เคยแยกย้ายกันออกไป ก็พากันกลับเข้ามายังเมืองเจียงหลิน

ลู่ฝานในฐานะเจ้าบ้าน พอเห็นคนพวกนี้ ถึงรู้ได้ว่าตระกูลลู่มีรากฐานแค่ไหน

เพราะว่าทุกคนที่กลับมา เรื่องแรกที่จะทำก็คือเข้าพบเจ้าบ้าน ดังนั้นลู่ฝานจะต้องพบเจอผู้คนแทบทุกวัน

หลายวันต่อมา พอนับๆ ดู ก็มีร้อยกว่าคนแล้ว

มีคนพวกนี้ช่วยเหลือ การฟื้นฟูตระกูลลู่ก็จะเร็วขึ้นหลายส่วน

ลู่ฝานลำคานมาก ก็เลยนัดรวมให้มาเจอหน้าพร้อมๆ กันทีเดียว มาเจอทุกวันแบบนี้ เขาแทบจะไม่ได้ทำอะไรเลย

สุดท้าย ก็เป็นลู่หาวที่รับหน้าที่ต่อ ลู่หาวที่กว่าจะฟื้นตัวกลับมาเดินได้ พอลงจากเตียง เรื่องแรกที่ทำก็คือช่วยออกแรงให้กับทางตระกูล ใครก็ห้ามไม่อยู่ และไม่มีใครกล้าห้าม ดังนั้นงานสบายๆ ก็เลยให้เขาจัดการ

แต่ต่อให้เป็นงานสบายๆ แบบนี้ ลู่หาวก็ทำเสียเรื่องจนได้ ไม่กี่ชั่วยาม ลู่หาวก็ไปจัดการพวกลูกหลานตระกูลลู่ที่หนีไปตอนที่ตระกูลลู่มีภัย

สำหรับพวกนกสองหัวไม่มีจุดยืนพวกนี้ ลู่หาวไล่พวกเขาออกไปจนหมด เพื่อทำตามกฎของตระกูลลู่

คนพวกนี้ก็ยังคิดจะไปร้องไห้ขอร้องต่อลู่ฝาน สุดท้ายหลังจากทีหนึ่งคนที่ถูกลู่ฝานสั่งกระทืบจนพิการ ก็ไม่มีใครกล้าขัดกับความเห็นของลู่หาวอีก

ล้อเล่นหรือเปล่า ลู่ฝานกำลังกลั่นยา เจ้าทึ่มนี่อยู่ดีๆ ก็บุกไปเลย ถ้าไม่ตีให้ตาย ลู่ฝานจะรู้สึกว่าเมตตามากเกินไป

ลู่ฝานยิ้มพูดว่า “อาจารย์ครับ ท่านให้ผมไปเรียนเพลงเต๋าหนึ่งเดียว เหมือนว่าจะเตรียมการไว้หมดแล้วนะครับ”

หวุเฉินส่ายหัว “นี่มันเป็นแค่การเริ่มต้น นายมีพลังวิญญาณของเพลงเต๋าหนึ่งเดียว เลยไม่ต้องกลัวพลังวิชาแบบนี้สะท้อนกลับ วันหลัง พลังปราณของนายมีมากขึ้น บวกกับวิชาเทพไร้ขีดจำกัด อาจจะหลอมรวมวิชาพวกนี้เข้าด้วยกัน พอถึงตอนนั้นก็จะกลายเป็นคนที่ไม่มีใครสู้ได้”

หวูเฉินพูดถึงจุดนี้ สายตาก็เป็นประกายร้อนผ่าว

ลู่ฝานลองใช้วิชานี้ ใช้วิชาชิงวิญญาณออกมา ทันใดนั้นลู่ฝานก็สามารถมองเห็นวิญญาณของอาจารย์หวูเฉิน

ถูกต้อง วิชานี้สามารถเห็นวิญญาณของคนได้ พิสดารมาก!

พลังวิญญาณที่ไหลเวียนอยู่ในกายเขาส่งพลังให้วิชาชิงวิญญาณอยู่เสมอ ไหลเวียนได้ดั่งใจ แต่ถ้าเป็นพลังปราณเขาก็จะรู้สึกว่าไม่คล่องตัวและจะถูกพลังตีกลับ

เก็บวิชากลับไป ลู่ฝานก็พูดว่า “อาจารย์ครับ หรือว่าวิชาแบบนี้ยังมีอีกเยอะ?”

อาจารย์หวูเฉินก็ยิ้มอย่างลึกลับ “มีเยอะแน่นอน อ่อแล้วก็ ฉันลืมบอกนายไป ว่าวิชาชิงวิญญาณ ตามหลักแล้วจริงๆแล้ว เป็นวิชาฝ่ายชั่วร้าย”

พอพูดแบบนี้ออกมา ลู่ฝานก็ตกใจทันที

วิชาชั่วร้าย เขาเรียนวิชาชั่วร้ายหรือนี่!

หวูเฉินเห็นใบหน้าตกใจของลู่ฝาน ก็พูดว่า “ดูเหมือนว่านายจะรู้เรื่องผู้ฝึกชั่วร้ายมาเหมือนกัน ถูกต้อง ในสายตาผู้คน พวกเขาเป็นคนชั่ว ทำร้ายคนอื่นเอาประโยชน์ใส่ตนเอง เป็นตัวละครที่สมควรถูกกำจัด แต่ฉันจะบอกให้นะ จริงๆ แล้วมีวิชาชั่วร้ายหลายอย่างที่มีพลังไม่เลวเลยเหมือนกัน และก็ยังมีผู้แข็งแกร่งมีชีวิตอยู่อีกเยอะด้วย ส่วนใหญ่ได้เรียนรู้ หรืออ้างอิง หรือคัดลอกจากวิชาชั่วร้ายทั้งนั้น หรือกระทั่งเอามาใช้งานก็มีมาก เปลี่ยนชื่อเสีย ก็กลายเป็นวิชาดีแล้ว”

ลู่ฝานกลืนน้ำลาย “อาจารย์ครับ ท่านคงไม่ใช่ผู้ฝึกชั่วร้ายหรอกนะครับ?”

หวูเฉินส่ายหัวยิ้มพูดว่า “ฉันไม่ใช่อยู่แล้ว ทำไมนายคิดแบบนี้ล่ะ”

ลู่ฝานมองหวูเฉินแปลกๆ ผู้ฝึกชี่ที่ซ่อนตัวอยู่ในป่าลึก มีวิชาร้ายกาจมากมาย แถมยังเป็นผู้ฝึกชี่ที่บาดเจ็บหนักอีกด้วย ถ้าจะบอกว่าเขาเป็นผู้ฝึกชั่วร้าย ลู่ฝานก็เชื่อเหมือนกัน

หวูเฉินแกล้งไอ “ฉันไม่ใช่ผู้ฝึกชั่วร้ายหรอก ลู่ฝาน ก่อนอื่นเลย นายอย่าเป็นเหมือนกับพวกหัวโบราณล้าหลังพวกนั้น จะสองผู้ฝึกชั่วร้าย จะต้องมองสองด้าน ก่อนอื่นเลย พวกเราจะต้องยอมรับ ว่าผู้ฝึกชั่วร้ายส่วนใหญ่จะชั่วช้า เพราะว่าวิชาที่พวกเขาฝึกนั้นเน้นจังหวะว่องไวขี้โกง ยิ่งฝึกนานไป ก็จะยิ่งมีผลกระทบ และผลกระทบที่จะเกิดนั้นจำเป็นต้องทำลายด้วยการไปทำร้ายคนอื่นเพื่อให้ตัวเองรอด ดังนั้น พวกเขาก็เลยทำชั่วกันทุกอย่าง เห็นแก่ตัวที่สุด”

นิ่งไปครู่หนึ่ง หวูเฉินก็พูดต่อว่า “แต่ถ้ามองอีกด้าน ผู้ฝึกชั่วร้ายก็ได้คิดค้นวิชาที่แปลกพิสดารออกมามากมาย เช่น วิชาชิงวิญญาณ แล้วก็วิชามารกลืนจิตที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ไม่ได้ด้อยไปกว่าสุดยอดวิชาทั้งหลายเลย การใช้เล่ห์เหลี่ยมของผู้ฝึกชั่วร้ายนั้น ทำให้พวกเขาได้พบสิ่งที่ขาดไปอีกด้านของวิชาต่างๆ พวกเขาสามารถหลีกเลี่ยงการใช้พลังปราณและพลังชี่ คิดค้นวิชาเอง นี่ก็คือสิ่งที่นักบู๊และผู้ฝึกชี่ทั่วไปทำไม่ได้”

ลู่ฝานเริ่มเข้าใจบ้างแล้ว “ดังนั้น พวกเขาก็เลยมีของอะไรเอามาใช้ได้”

หวูเฉินพยักหน้าพูดว่า “ถูกต้อง และที่ฉันให้นายไปเรียน ก็คือวิชาลักษณะนี้ ฉันชี้แนะทางให้นาย เรียกว่า เส้นทางฝึกทั้งบู๊และชี่ แต่ทางนี้ไม่เคยมีคนเดินมาก่อน ไม่รับรองว่าจะปลอดภัย ดังนั้นฉันก็เลยปูทางให้นาย ก็คือเส้นทางที่เรียกว่าผู้ฝึกชั่วร้ายจอมปลอมนี่แหละ วันข้างหน้าถ้านายเจอกับผู้ฝึกชั่วร้ายอีก ก็สามารถลองหาวิชาของพวกเขาดู รวบยอดครอบคลุม ถึงจะเป็นเส้นทางที่นายควรเดินอย่างแท้จริง”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 449
วิชาที่ว่า ก็คือวิชาของผู้ฝึกชี่

แบ่งระดับขั้นเหมือนกับนักบู๊ วิธีการเรียกก็ไม่ต่างกัน แบ่งเป็นคาถาระดับคน คาถาระดับทิพย์ คาถาระดับดิน คาถาระดับฟ้า

ก่อนที่จะไปสถาบันสอนวิชาบู๊ วิชาก่อชี่เป็นวัตถุ ห้าธาตุกลายสัตว์ที่ลู่ฝานฝึก ล้วนเป็นคาถาระดับคนของผู้ฝึกชี่ ไม่ถึงระดับทิพย์เลย

มีเพียงค่ายกลทำลายห้าธาตุค่ายเล็กกับพิฆาตฟ้าดิน สองวิชานี้ที่ถือว่าถึงคาถาระดับทิพย์ นอกจากนี้ ลู่ฝานก็ไม่ได้อะไรจากวิชาของผู้ฝึกชี่เลย

แต่แบบนี้ก็ไม่เลวแล้ว

ไม่เหมือนกับวิชาของนักบู๊ วิชาของผู้ฝึกชี่นั้นหายาก

ปกติจะสืบทอดกันปากต่อปาก อาจารย์ถ่ายทอดให้ศิษย์ พ่อให้ลูก ไม่ค่อยเขียนลงหนังสือวางไว้ในห้องสมุด

พูดได้ว่า ทักษะคาถาระดับทิพย์เล่มหนึ่งเอาไปขาย มีราคาแพงกว่าวิชาระดับดินเสียอีก

ไม่มีทางเลือก ใครให้ผู้ฝึกชี่ที่เป็นคนรวยล่ะ

บวกกับผู้ฝึกชี่มีจำนวนน้อย ของที่หายากย่อมมีราคาแพง เพราะหลักการนี้แหละ

ส่วนวันนี้ วิชาที่หวูเฉินถ่ายทอดให้กับ สูงกว่าระดับทิพย์เสียอีก

ลู่ฝานรู้สึกได้ว่ามีอักษรยันต์โดยสัญลักษณ์ลึกลับมากมายเข้ามาในหัวของเขา ตัวอักษรที่อ่านไม่ออก ไหลเข้ามาในหัวของเขากลายเป็นค่ายกลราวกับลายน้ำ

พอวิชาทั้งชุดไหลเข้ามาในหัวของเขาหมดแล้ว ทันใดนั้นเอง ลู่ฝานก็รู้สึกว่าพลังปราณทั้งตัวของเขาเกิดการเปลี่ยนแปลง

พลังฟ้าดินโดยรอบๆ ก็กลายเป็นพลังมืดๆ มาล้อมรอบมือของเขาอย่างกับคุ้มคลั่ง

ลู่ฝานรู้สึกว่าหัวของตนเองปวดมาก มันปวดเหมือนกับมีคนเอากรวยแหลมมาแทงเข้าไปในหัว แล้วก็วนไปวนมาทั้งหัว

“ตั้งสติกลั้นลมหายใจ อดกลั้นต่อความเจ็บปวด แล้วอ่านวิชาให้ดี!”

เสียงของหวูเฉินดังขึ้นในหัวของลู่ฝานเหมือนกับสายฟ้า

ทันใดนั้นเอง สมาธิของลู่ฝานก็นิ่งลง ไม่คิดเรื่องอื่นๆ พยายามอ่านวิชาที่อยู่ในหัว

ความเจ็บปวดก็ค่อยๆ หายไป ทุกครั้งที่ลู่ฝานเห็นตัวอักษรนั้นชัดเจน หรือเข้าใจหนึ่งประโยค ความเจ็บปวดก็จะหายไปนิดหนึ่ง

และตอนที่ลู่ฝานอ่านวิชาชุดนี้หมดแล้ว ทันใดนั้น ความเจ็บปวดก็หายไป สิ่งที่มาแทนที่ก็คือความเย็นสบาย ไหลจากหัวลงมาสู่แขนขา ความสบายนี้ ชวนเคลิบเคลิ้มอย่างมาก เป็นสบายออกมาจากกระดูก เหมือนได้ขึ้นสวรรค์

ครู่ใหญ่ ลู่ฝานถึงออกมาจากความสบายตัวนั้น

ถึงว่ามีคนพูดไว้ พอตอนที่ได้วิชา ก็จะไม่สนใจข้าวปลาอาหาร ให้ตายในตอนเย็นเลยก็ได้ มันเป็นแบบนี้นี่เอง

หวูเฉินมองดูการแสดงของลู่ฝาน ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ลู่ฝานก็ทนความเจ็บปวดได้ และอ่านวิชาได้จนจบ ผลสัมฤทธิ์นี้ ต่อให้อาจารย์เคร่งครัดแค่ไหน ก็พอใจแน่นอน

ตอนนั้นที่เขาฝึกวิชาชุดนี้ ใช้เวลาไปตั้งหนึ่งวันเต็มๆ

ลู่ฝานๆ ค่อยๆ ลืมตาขึ้น ตอนนี้ในดวงตาทั้งสองของเขา มีแสงสีเงินแฝงอยู่ด้วย

ไม่นาน แสงนั้นก็เก็บกลับไป ลู่ฝานการหดตัวของรูม่านตา พูดชมเชยว่า “เป็นวิชาที่พิสดารมาก เริ่มจากวิญญาณของคนได้ น่ากลัว รุนแรงมาก”

อ่านจบไปหนึ่งรอบ ลู่ฝานก็พอเข้าใจวิชาชุดนี้คร่าวๆ แล้ว

วิชานี้ ชื่อว่า วิชาชิงวิญญาณ

สามารถควบคุมจิตใจคน ควบคุมสติ และทำลายจิตได้

ถ้าฝึกได้เยอะแล้ว แค่ยกมือก็สามารถเอาชีวิตคนได้ วิชานี้ไม่เหมือนกับวิชาอื่น ไม่ต้องการพลังฟ้าดินมากนัก ใช้แค่พลังในตัวเท่านั้น

หวูเฉินยิ้มพูดว่า “เป็นอย่างไรบ้าง รับรู้ได้ถึงความแข็งแกร่งของวิชาหรือนัง วิชานี้ เป็นวิชาป้องกันตัวที่ผู้ฝึกชี่ทั้งหลายอยากได้ ถ้าไม่ใช่เพราะระดับพลังที่จะฝึกวิชานี้มันสูง และจะถูกพลังสะท้อนกลับอย่างรุนแรงล่ะก็ ถูกเผยแพร่ไปนานแล้ว ตลก วิชาแบบนี้กลายเป็นวิชาที่หายสาบสูญไม่มีการสืบทอด แต่ว่าตั้งแต่วันนี้ไป วิชานี้จะรุ่งเรืองด้วยเงื้อมมือของนาย”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 448
ลู่ฝานได้ยินดังนั้นก็แปลงพลังปราณทั้งหมดเป็นพลังวิญญาณ แล้วก็กระตุ้นเขตวิถีของกระบี่หนักไร้คม

ในกระท่อมเกิดเป็นเสียงไม้ลั่น ราวกับว่าถ้าลู่ฝานออกแรงมากกว่านี้อีกหน่อย กระท่อมก็จะพัง

หวูเฉินก็มองไปด้วยพยักหน้าพูดว่า “ดีมาก ไม่เลวเลย เขตวิถีของกระบี่หนักไร้คมแน่นหนามากถึงแม้ฉันจะไม่ค่อยรู้เรื่องระดับของนักบู๊ แต่เรื่องเขตวิถียังพอมองออกบ้างนิดหน่อย พลังธาตุดินเข้าเขตวิถี จากนั้นก็เปลี่ยนไปวิถีทำลาย ใช้วิถีเล็กเข้าวิถีใหญ่ วิทยายุทธของคนคนนี้ล้ำลึกมาก นายได้รับเขตวิถีของเขามา ก็ต้องใช้ให้เป็นประโยชน์ มีเขตวิถีนี้ พอนายเข้าสู่แดนปราณชีวิต ก็จะฝึกวิชาได้เร็วขึ้นมากอย่างรวดเร็ว”

ลู่ฝานยิ้มพยักหน้า ข้อดีของเขตวิถีเขาได้สัมผัสกับมันแล้ว

ในใจของเขาก็เรียกว่า “ไอ้เก้า ออกมาเลยนะ อาจารย์ฉันเรียกนาย ไสหัวออกมาเลย”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรก็ออกมาจากร่างของลู่ฝานอย่างไม่ค่อยพอใจ ค่อยๆ ปรากฏเป็นเจดีย์อยู่บนมือของลู่ฝาน

“สวัสดีครับอาจารย์ของเจ้านาย”

หวูเฉินก็ยิ้มแย่งขึ้นมาทันที

“เป็นภูติอาวุธที่ไม่เลวเลย นายคงจำบำเพ็ญมาเกินร้อยปีแล้วสินะ”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรก็ตอบไปตามตรงๆ “เป็นร้อยปีแล้ว แต่ว่าตอนนี้บาดเจ็บยังไม่หายดีไม่อาจจะปรากฏตัวออกไปทำความเคารพได้”

หวูเฉินยิ้มหยักหน้า แล้วก็เอานิ้วชี้ไปยังเงาที่ปรากฏออกมาของเจดีย์เสวียนเก้ามังกร

ทันใดนั้น เจดีย์เสวียนเก้ามังกรก็รู้สึกเหมือนกับน้ำแข็งเจอกับไฟร้อนแรง ควันสีขาวลอยพุ่งออกมา

เสียงร้องโอดโอยดังขึ้น ลู่ฝานก็มือสั่นๆ ไปด้วย

บนตัวของหวูเฉินก็มีพลังที่น่ากลัวปรากฏขึ้น น่ากลัวเหมือนกับเทพมาร ลู่ฝานก็หยุดการหายใจทันที ที่แท้เขายังมีพลังไม่พอ โอกาสที่จะสัมผัสกับพลังอย่างนี้ยังไม่มี ตอนนี้เขารู้สึกได้อย่างลึกๆ พลังนี้มันเหมือนจะทำลายฟ้าดินเลย

หวูเฉินพูดทีละคำว่า “ฉันไม่สนใจว่าก่อนหน้านี้นายจะรับใช้ใคร ในเมื่อเข้ามาอยู่ในมือของลูกศิษย์ฉันแล้ว ก็ต้องตามหน้าที่ เป็นภูติอาวุธที่ดี เข้าใจไหม?”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดเสียงสั่นๆ ว่า “เข้าใจแล้ว ขุนพลังสุดเหนือฟ้า ยิ่งใหญ่ครอบครองนิรันดร์ ผู้ใหญ่โบราณ เก้าน้อยเข้าใจแล้ว”

หวูเฉินก็เก็บพลังไป แล้วพูดว่า “อย่างนั้นก็ดี ที่ชี้ไปเมื่อครู่นี้ น่าจะทำให้นายฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บแล้วไม่น้อย นายกลับไปได้แล้ว!”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรก็รีบสลายไป จิตวิญญาณกลับเข้าไปยังตันเถียนของลู่ฝาน ไม่กล้าส่งเสียงออกมาอีก

ลู่ฝานก็ยิ้มพูดว่า “อาจารย์ครับ ไปขู่มันแบบนี้จะดีหรือครับ?”

หวูเฉินก็พูดว่า “ลู่ฝาน นายอายุยังน้อย ไม่รู้ความร้ายกาจของโลกนี้ ต่อให้เป็นภูติอาวุธที่เข้าไปอยู่ในตันเถียนของนายแล้ว ก็จำเป็นต้องระวังภัยไว้ จะได้ไม่เกิดผลร้าย”

ลู่ฝานพยักหน้าเบาๆ ในใจก็เรียกหาไอ้เก้าหลายครั้ง

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรสะอื้นพูดว่า “เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ ที่แท้อาจารย์ท่านเป็นขุนพลังสุดเหนือฟ้า ฉันก็ว่าใครกันที่สามารถกลั่นยารวมศูนย์ออกมาได้ น่ากลัวมากเลย ที่ชี้มาใส่เมื่อครู่นี้เกือบเอาชีวิตฉันไปเลย ไอหย๋า แต่ว่าอาการบาดเจ็บก็ฟื้นฟูมาแล้วไม่น้อย เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ อย่างนั้นฉันก็ขอไปหลับใหลพักผ่อนก่อนนะ”

พูดจบ เสียงของเจดีย์เสวียนเก้ามังกรก็หายไป

ลู่ฝานก็สะดุ้งเล็กน้อย เขาได้ยินคำว่าขุนพลังสุดเหนือฟ้าอีกแล้ว

มันหมายความว่าอย่างไรกันแน่? แข็งแกร่งกว่ายอดฝีมือเซียนบู๊อีกงั้นหรือ?

ตอนที่ลู่ฝานกำลังครุ่นคิด หวูเฉินก็มองพลังวิญญาณบนตัวของลู่ฝานแล้วพูดว่า “ลู่ฝาน รู้ไหมว่าทำไมฉันถึงให้นายไปฝึกเพลงเต๋าหนึ่งเดียวที่คณะหนึ่งเดียว”

ลู่ฝันรับตั้งสติกลับมา แล้วพูดว่า “เพราะว่าเพลงเต๋าหนึ่งเดียวรุนแรงอย่างนั้นหรือครับ?”

หวูเฉินยิ้มส่ายหัว “ไม่ใช่แค่เหตุผลนี้ ตอนนี้นายฝึกสำเร็จแล้ว ฉันก็จะเปิดเผยอะไรบางอย่างให้ เข้ามาใกล้ๆ ฉันจะถ่ายทอดวิชาให้”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 447
“ยารวมศูนย์!”

ลู่ฝานบ่นพึมพำ เจดีย์เสวียนเก้ามังกรที่อยู่ในตัวของเขาก็พูดออกมา

“พระเจ้า ฉันได้เห็นยารวมศูนย์ด้วยหรือนี่ วิชากลั่นยาแบบนี้ ไม่ใช่หายสาบสูญไปตั้งแต่ร้อยกว่าปีก่อนแล้วหรอกหรือ? 66เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ รวยเลยนะ พวกเรารวยเลย รีบเก็บมาเลย เก็บมาสิ!”

ลู่ฝานก็ด่าเจดีย์เสวียนเก้ามังกรในใจ ให้มันได้เจียมตัวหน่อย

หวูเฉินยิ้มพูดว่า “ถูกต้อง เป็นยาที่ไม่มีระดับอะไร นายเก็บมันไปเถอะ”

ลู่ฝานตอบรับเบาๆ แล้วก็ขมวดคิ้วเก็บยารวมศูนย์เข้าไปในเข็มขัด

พอเห็นว่าลู่ฝานมีเข็มขัดอากาศธาตุหนึ่งเส้น หวูเฉินก็ยิ่งยิ้มอย่างดีใจ

“ดูเหมือนว่านายอยู่ในสถาบันอย่างสบายดีนะ”

ลู่ฝานถามว่า “อาจารย์ครับ ยารวมศูนย์เม็ดนี้มีสรรพคุณอะไร?”

หวูเฉินยิ้มพูดว่า “มันจะมีสรรพคุณอะไร ก็ขึ้นอยู่กับตัวนายเอง ฉันไม่ได้กินมันเสียหน่อย จะไปรู้ได้ไงว่ามีสรรพคุณอะไร”

ลู่ฝานก็ค่อนข้างไม่เข้าใจกับสิ่งที่หวูเฉินพูดออกมา

แต่เจดีย์เสวียนเก้ามังกรในกายกลับหัวเราะพูดว่า “เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ ในวงการผู้ฝึกชี่นั้น ยารวมศูนย์ถูกขนานนามว่ายาบรรลุเป็นจริง ฮ่าๆ อาจารย์ของท่านพูดได้ไม่มีผิด คนที่กินมันลงไปเท่านั้นถึงจะรู้ว่ามันมีสรรพคุณอะไร วันหลังท่านต้องได้ใช้มันแน่นอน”

ลู่ฝานก็ยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่

ยาบรรลุเป็นจริง เป็นยาที่สามารถทำตามความฝันของคนได้อย่างนั้นหรือ?

มันเกินจริงไปหรือเปล่า ถ้าฉันกินมันลงไป ก็เลื่อนไปถึงเซียนบู๊เลยสิ

โลกนี้จะมียาแบบนี้ได้อย่างไร!

ลู่ฝานก็ไม่อยากถามเยอะ ในเมื่อเจดีย์เสวียนเก้ามังกรรู้จัก อย่างนั้นวันหลังค่อยถามก็แล้วกัน

สองคนนั่งอยู่ในกระท่อม หวูเฉินยิ้มพูดว่า “ลู่ฝาน ไหนลองเล่ามาสิ ว่าช่วงนี้อยู่ในสถาบันเป็นอย่างไรบ้าง ดูจากพลังของนายแล้ว คงจะได้ไปเจออะไรดีๆ เยอะเลยสินะ ลองเล่ามาฟังซิ!”

ลู่ฝานพยักหน้า แล้วก็เริ่มเล่า

สำหรับหวูเฉินแล้ว ลู่ฝานไม่มีอะไรต้องปิดบัง

พอเล่าถึงตอนที่เขาไปพบกับจวนของเซียนบำเพ็ญชี่และเจดีย์เสวียนเก้ามังกร หวูเฉินก็ตาเป็นประกาย

พอเล่าถึงตอนที่เขาฝึกเพลงเต๋าหนึ่งเดียวสำเร็จ และทำให้กระบี่หนักไร้คมยอมรับเป็นเจ้านายมันได้ หวูเฉินก็ตกใจจนต้องพยักหน้าด้วยความพอใจอย่างมาก

พอเล่าถึงตอนที่เขาต่อสู้ในสถาบันจนคณะตนเองได้ขึ้นเป็นอันดับหนึ่ง

หวูเฉินก็หัวเราะอย่างดีใจมาก “ศิษย์ของฉัน ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ไม่ธรรมดาจริงๆ ชื่อของนายตั้งได้ดีมาก ลู่ฝาน ดูเหมือนจะธรรมดา แต่ไม่ธรรมดาเลย”

ลู่ฝานยิ้มเบาๆ จากนั้นก็พูดขึ้นมาว่า “อาจารย์ครับ ตอนที่ผมฝึกวิชาสายฟ้าฟาดห้าธาตุอยู่ในคณะฟ้าร้อง ได้ยินว่าสาขาสายฟ้าอะไรสักอย่าง แล้วก็ถูกจับได้ว่าผมเป็นผู้สืบทอดของสำนักจิ่วเซียว”นี่มันอะไรกัน สาขาสายฟ้ามันคืออะไรกันเนี่ย

หวูเฉินหัวเราะ “สาขาสายฟ้าน่ะหรือ ก็พวกที่มาช่วยเหลือพวกสำนักจิ่วเซียวเราไง แต่ว่านั่นก็เป็นเรื่องของรุ่นอาวุโสแล้ว ไม่เกี่ยวกับนาย แต่ว่าพอนายเจอกับคนพวกนี้จะต้องเคารพนบนอบหน่อย อย่างไรก็รู้จักกันมานาน พอที่จะไม่ลงโทษได้ก็ไม่ลงโทษ ไม่แน่ว่าวันหลังอาจจะได้เป็นเพื่อนกัน”

ลู่ฝานพยักหน้าเข้าใจ คำพูดของหวูเฉิน ทำให้เขาเบาใจลงไม่น้อย หลักๆ คือเขากลัวว่าตัวตนของสำนักจิ่วเซียวจะถูกแพร่ออกไป แล้วสร้างปัญหามาให้อาจารย์

“เอาเถอะ ปล่อยพลังวิญญาณออกมา แล้วก็อาศัยจังหวะนี้แสดงเขตวิถีของกระบี่หนักไร้คมและเจดีย์เสวียนเก้ามังกร เสร็จแล้วก็มาให้ฉันดู”

หวูเฉินก็ตาร้อนผ่าว

สิ่งของสามสิ่งนี้ มีสิ่งไหนบ้างที่ไม่ใช่ของที่นักบู๊ใฝ่ฝันอยากจะได้ แม้แต่ผู้แดนเซียนบู๊ ผู้แดนฟ้าดินก็ยังอยากได้

คิดไม่ถึงว่าลู่ฝานจะได้มันมาครอบครองด้วยพลังระดับเพียงเท่านี้ เขาช่างเป็นคนที่โชคดีมากเลยทีเดียว เป็นที่เกิดมาพร้อมกับโชคจริงๆ

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 446
ลู่ฝานนับจำนวนยาที่เหลือของตนเอง ก็รู้สึกว่าช่วงนี้ตนเองจะต้องกลั่นยาเสียหน่อยแล้ว

พอนึกถึงการที่จะกลั่นยา ในหัวของลู่ฝานก็นึกถึงอาจารย์หวูเฉิน ทันใดนั้นลู่ฝานก็เจอกับลู่หมิงที่จะเข้ามาดูพ่อ ลู่ฝานเลยขมวดคิ้วถามไปว่า “ลู่หมิง ตอนที่กลับมา ฉันได้ให้นายไปส่งจดหมาย ได้ส่งออกไปหรือยัง?”

ลู่หมิงอึ้ง จากนั้นสีหน้าก็แปลกๆ ขึ้นมาทันที

เอามือคลำไปทั่วตัว สุดท้ายก็คลำจดหมายได้ที่กระเป๋าหลังกางเกง จดหมายดีๆ ถูกขยับจนยับยู่ยี่หมดแล้ว หรือว่าช่วงที่ผ่านมานี้ ลู่หมิงไม่ได้ซักเสื้อผ้าเลยงั้นหรือ? ถึงว่าบนตัวเขาถึงได้มีกลิ่นแปลกๆ

“ขอโทษที พอกลับมาก็มัวยุ่งวุ่นวายกับเรื่องของตระกูลโม่ เลยลืมเรื่องที่นายบอกไปเลย”

ลู่ฝานรับจดหมายมา แล้วถอนหายใจพูดว่า “น่าเสียดาย ถ้าหากว่านายส่งจดหมายนี้ออกไป ตระกูลเราก็อาจจะไม่เสียหายหนักขนาดนี้”

ลู่หมิงมองลู่ฝานอย่างไม่เข้าใจ

ลู่ฝานก็ไม่ได้อธิบายอะไรมาก เก็บจดหมายนั้นไป แล้วพูดว่า “ฉันจะไปเจอคนรู้จักที่เขาซีซานเสียหน่อย บอกพวกคุณปู่ด้วย พวกเขาจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง ช้าสุดจะกลับพรุ่งนี้”

พูดจบ ลู่ฝานก็เดินออกตระกูลลู่ไป

ลู่หมิงก็มองลู่ฝานเดินจากไป ถึงค่อยคิดอะไรขึ้นมาได้

“ให้ตายเถอะ หรือว่าจะเป็นผู้ฝึกชี่เถ่เมี่ยน!”

ลู่หมิงพอเข้าใจความหมายของลู่ฝานได้แล้ว จดหมายฉบับนั้นจะต้องส่งไปให้ผู้ฝึกชี่เถ่เมี่ยน ถ้าตอนนั้นเขาได้รับจดหมาย ผู้ฝึกชี่เถ่เมี่ยนอาจจะมาช่วยได้ทัน มีผู้ฝึกชี่หนึ่งคนคอยช่วยเหลือ ตระกูลลู่ของพวกเขาคงไม่ต้องเละเทะแบบนี้

สมควรตายจริงๆ ให้ตายเถอะ!

ลู่หมิงตบบ้องหูตนเองอย่างแรง เพื่อให้จำ

ลูกหลานตระกูลลู่สองคนเดินเข้ามาเห็นดังนั้นเลยพูดว่า “พี่ลู่หมิง อย่าโมโหไปครับ คนในตระกูลตายไปมากมายขนาดนี้ พวกเราก็เสียใจเหมือนกัน อย่าโทษตัวเองเลยครับ”

ลู่หมิงตะโกนพูดว่า “พวกนายจะรู้อะไร”

พูดจบ ลู่หมิงก็เดินไปยังศาลบรรพชน เขาจะไปนั่งคุกเข่าสำนึกผิดสักหลายๆ วัน

ส่วนลู่ฝานก็เดินทางออกไปจากเมืองเจียงหลิน มุ่งหน้าไปยังเขาซีซาน

ด้วยพลังของเขาในตอนนี้ เดินทางนี้เส้นทางนี้ ไม่รู้ว่าเร็วไปกี่เท่า

ภูเขาก็ยังเป็นภูเขา แหล่งน้ำก็ยังเป็นแหล่งน้ำเหมือนเดิม

พอลู่ฝานเห็นกระท่อมของอาจารย์หวูเฉิน ในใจก็หลากหลายความรู้สึก

ภายใต้แสงดาว และแสงจันทร์ กระท่อมถูกทิ้งให้ตั้งอยู่โดดเดี่ยว

เหล้าสองไหที่หน้าประตู ส่งกลิ่นหอมโชยมา

ทันใดนั้น ประตูของกระท่อมก็เปิดออกมา ชายแก่คนหนึ่งเดินออกมา

“ลู่ฝาน นายกลับมาแล้วใช่ไหม?”

หวูเฉินเดินออกมา สายตามองมายังตำแหน่งของลู่ฝาน

ลู่ฝานรีบเดินเข้าไป แล้วคุกเข่าลงตรงหน้าของหวูเฉิน

“อาจารย์ ศิษย์กลับมาแล้ว”

หวูเฉินยิ้มเบาๆ แล้วก็ค่อยๆ พยุงลู่ฝานลุกขึ้น

“กลับมาก็ดีแล้ว ดูเหมือนว่าหนึ่งปีมานี้นายพัฒนาไปไม่น้อยเลยนะ อาจารย์ภูมิใจมาก”

หางตาของหวูเฉินมีรอยยิ้ม แต่กลับเอามือซ้ายซ่อนไว้ด้านหลัง

การเคลื่อนไหวนี้ถึงแม้จะเล็กน้อย แต่ก็ถูกลู่ฝานจับได้

เขาแอบมองเห็นมือซ้ายที่ดำๆ ของหวูเฉิน

“อาจารย์ มือนั่น…….”

ลู่ฝานกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่หวูเฉินก็ลากลู่ฝานเข้ากระท่อมไป “ยังไม่ต้องพูดอะไร อาจารย์มีอะไรจะเซอร์ไพรส์นาย”

พูดไป หวูเฉินก็โบกมือข้างเดียว ทั้งกระท่อมก็สว่างจ้าเหมือนตอนกลางวัน

ลู่ฝานจ้องมองไป ก็เห็นว่าในกระท่อมนี้ มีไข่มุกกลมๆ ลอยอยู่กลางอากาศ แสงเก้าสีสาดส่องกันไปมา สวยมาก

“นี่คือ?”

ลู่ฝานขมวดคิ้วถาม

หวูเฉินก็พูดนิ่งๆ ว่า “นี่คือยารวมศูนย์ที่อาจารย์กลั่นไว้ให้นาย”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 445
บ่ายของวันนั้น โจวเจิ้นโส่วก็พาคนเข้ามาตระกูลลู่

เพียงแต่ว่าไม่เหมือนกับครั้งก่อน ครั้งนี้ไม่เพียงเข้ามาอย่างมีความเคารพเท่านั้น ยังมีของกำนัลเต็มรถเข้ามาด้วย

แต่ต่อให้เป็นแบบนี้ ก็ยังไม่ได้รับการต้อนรับจากคนตระกูลลู่ ลู่ฝานไม่อยากจะเจอหน้าเขาเลยด้วยซ้ำ ก็เลยบอกให้คนของตระกูลออกไปรับแทน แล้วก็ไล่กลับ

แน่นอนว่า ของกำนัลก็ต้องรับไว้ ตอนนี้ตระกูลลู่กำลังอยู่ในช่วงลำบาก ของที่มีคนเอามาให้ รับไว้ได้ก็รับไว้

โจวเจิ้นโส่วที่น่าอนาถ ไม่ได้ดื่มแม้แต่ชาถ้วยเดียว ยืนอยู่ที่หน้าประตูกว่าครึ่งชั่วยาม ถึงจะยอมกลับไปอย่างทำอะไรไม่ได้

โจวเจิ้นโส่วที่ก้มหน้าเศร้าสร้อย มีชาวเมืองของเมืองเจียงหลินไม่น้อยพบเห็น

ไม่ถึงสองชั่วยาม เรื่องก็แพร่ไปทั้งเมืองเจียงหลิน

โจวเจิ้นโส่วเข้าตระกูลลู่แล้วถูกปฏิเสธ!

ฐานะของลู่ฝานในตอนนี้ สูงกว่าผู้เฝ้าเมือง!

ยิ่งมีคนที่รู้ข่าวเร็ว ยังรู้อีกว่าตอนนี้ในตระกูลลู่มีแขกคนสำคัญที่โจวเจิ้นโส่วเห็นแล้วก็ต้องคำนับให้

ตอนนี้ ตระกูลลู่ดังจนข่าวเริ่มแพร่กระจายไปทั่ว

ถึงแม้ตอนนี้ตระกูลลู่จะเจ็บหนัก แต่มีลู่ฝานอยู่ ในสายตาของชาวเมืองเมืองเจียงหลิน ตระกูลลู่ในตอนนี้แข็งแกร่งกว่าก่อนมาก

ฟ้ายังไม่มืด นักธุรกิจในเมืองเจียงหลินที่ได้รู้ข่าว ก็เริ่มมาประจบตระกูลลู่

ตระกูลจางเป็นผู้นำ นักธุรกิจก็เข้ามามอบของกำนัลให้ตระกูลลู่กันทีละคนๆ

ขาดคนงานก็เอาคนงานมาให้ ขาดยารักษาโรคก็เอายามาให้

ยิ่งกว่านั้นยังมีคนแสดงท่าทีว่า ร้านค้าของตระกูลลู่ที่ถูกทำลายไป จะไม่มีใครไปแย่งชิงเด็ดขาด

สิ่งที่ควรเป็นของตระกูลลู่ ก็จะยังเป็นของตระกูลลู่

ส่วนกิจการและร้านค้าของตระกูลโม่ เหอะๆ ใครจะกล้าแย่ง?

ก็ต้องตกเป็นของตระกูลลู่

แต่ว่าคุณท่านลู่เฮ่าหรานเป็นคนที่เข้าใจดี ถึงแม้ทุกคนจะพูดแบบนี้ แต่ในใจก็ยังคิดวางแผน

คุณท่านก็แสดงท่าทีไปตรงๆ ว่า กิจการของตระกูลลู่ยังต้องให้ทุกคนช่วยหน่อย กิจการพวกนั้นของตระกูลโม่ ตระกูลลู่ครอบครองไว้7ส่วน ส่วนเหลือ ทุกคนเอาไปแบ่งกันเองแล้วกัน

อย่างไรเสีย ถ้าตระกูลลู่ได้ผลประโยชน์ ทุกคนก็ต้องได้ผลประโยชน์ไปด้วย

ตระกูลลู่แสดงท่าทีแบบนี้ นักธุรกิจพวกนี้ก็ยิ่งยิ้มหน้าบาน

แต่พวกเขากลับคิดไม่ถึงว่า ต่อไปทั้งเมืองเจียงหลินจะเหลือแค่ตระกูลลู่ที่เป็นใหญ่คนเดียว ถ้าหากว่าจะเอากิจการพวกนี้กลับมา ก็ง่ายเหมือนกับพลิกฝ่ามือ

คุณท่านลู่ไม่ได้สนใจเลยด้วยซ้ำ ตอนนี้ตระกูลลู่มีคนไม่พอ รับช่วงดูแลต่อไม่ไหวก็เท่านั้นเอง

พอตระกูลลู่เริ่มตั้งตัวกลับมาได้ เหอะๆ คนพวกนี้จะมีช่องทางให้ต่อรองกันได้อีกรึ?

ลู่ฝานไม่สนใจเรื่องพวกนี้ ตอนนี้เขากำลังดูแลพ่อกับท่านสวินด้านหลัง แล้วก็ลู่เฟิงพ่อของลู่หมิงด้วย

สามคนนี้ บาดเจ็บหนักที่สุดในตระกูลลู่

ครอบครัวของคนตระกูลลู่ทั้งหมดใช้วเวลาทั้งบ่าย เพื่อซ่อมแซมหลังบ้าน ตอนนี้สามคนก็พักอยู่นี่

พอลู่ฝานเอายาหลายขวดป้อนให้กับลู่หาว ลู่เฟิง ท่านสวินเหมือนกับเด็กกินลูกอมแล้ว

ทั้งสามคนก็มีสีหน้าดีขึ้นมาหน่อย ลู่เฟิงถึงกับลุกขึ้นเดินได้เลย แต่ว่าจะไม่สามารถต่อสู้กับใครได้กว่าครึ่งปีหรือหนึ่งปี แต่ว่าปัญหานี้เป็นเรื่องเล็กๆ คาดว่าอีกครึ่งปีหรือหนึ่งปีต่อจากนี้ คงไม่ต้องให้ลู่เฟิงลงมือสู้เองอีกแล้ว

ลู่หาวกับท่านสวินที่ฟื้นขึ้นมา ก็มองลู่ฝานด้วยสายตาชื่นชมอย่างพอใจ

โดยเฉพาะลู่หาว พอเห็นว่าลูกชายตนเองมีผลงานขนาดนี้ เขาก็รู้สึกว่าตายไปก็คุ้มแล้ว

ลู่ฝานยังไม่ทันได้พูดกี่คำ ก็ถูกลู่หาวกับท่านสวินดันตัวออกไปพร้อมพูดว่า “ลู่ฝาน ตอนนี้นายน่าจะยุ่งมาก ไปทำงานเถอะ พวกเราไม่เป็นอะไรหรอก รีบไปจัดการเรื่องของนายเถอะ ไม่ต้องมาเสียเวลากับพวกเรา”

ลู่ฝานก็จะพูดอะไรได้ ได้แต่ทิ้งยาไว้สองขวดแล้วก็กลับออกมา

อักษร หาน ตัวนี้ก็แปลก เหมือนกับสิ่งมีชีวิตกลุ่มหนึ่ง เปลี่ยนรูปร่างไปไม่หยุด แต่พอจ้องมองดู กลับไม่มีการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงอะไร น่าแปลกมากเลย

โจวเจิ้นโส่วก็สีหน้าเปลี่ยนทันที เขาเข้าใจความหมายแฝงของอักษร หาน ตัวนี้

“ตระกูลหาน ท่านเป็นคนตระกูลหานงั้นหรือ……ให้ตายเถอะ ผมมีตาหาไร้แวว คุณชายตระกูลหานมาที่นี่ ไม่ได้ไปต้อนรับ ต้องขออภัยด้วยจริงๆ ครับ ขออภัย!”

โจวเจิ้นโส่วเก็บป้ายนั้นขึ้นมาอย่างเคารพ สองมือยกป้ายไว้ แล้วเดินมาตรงหน้าหานเฟิง แล้วยื่นป้ายคืนให้กับหานเฟิง

หานเฟิงเก็บป้ายกลับมา แล้วพูดว่า “ไอ้พวกโง่มีตาแต่ไร้แวว ดูก็รู้ว่าตำแหน่งนี้สืบทอดมาอีกที ศิษย์น้องของฉันไม่ใช่คนที่นายจะมาหาเรื่องด้วยได้ นายไปสืบดูแล้วกัน ชื่อของลู่ฝานแห่งคณะหนึ่งเดียว ตอนนี้มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั้งเขตตงหวาแล้ว เป็นศิษย์เอกของสถาบันสอนวิชาบู๊ หลังจากออกมา จ่ายเงินเพียงเล็กน้อย ก็สามารถซื้อตำแหน่งสารวัตรได้แล้ว แต่นายกลับกล้ามาหาเรื่องเขา ฉันไม่รู้จริงๆ ว่าในหัวของนายมีแต่ขี้หรือไง ให้ตายเถอะ”

หานเฟิงด่าไปเหมือนด่าลูก น้ำลายกระเด็นเต็มหน้าของโจวเจิ้นโส่วไปหมด

แต่โจวเจิ้นโส่วก็ยังยืนอย่างเคารพอยู่ตรงนั้น ไม่กล้าขยับตัว

ช่วยไม่ได้ คำว่า ตระกูลหาน คำนี้ มันมีความหมายยิ่งใหญ่เลย แต่จากนั้น คำที่หานเฟิงพูดออกมา ก็ทำให้ใจของโจวเจิ้นโส่วกระตุกอีกครั้ง ศิษย์เอกของสถาบันสอนวิชาบู๊ ให้ตายเถอะ เป็นไปไม่ได้หรอกมั้ง ลู่ฝานเพิ่งได้เข้าไปในสถาบันสอนวิชาบู๊ไม่นานไม่ใช่หรือไง?

ลู่เฮ่าหราน กับลู่หมิงล้วนใช้สายตาแปลกใจมองไปยังลู่ฝาน

ลู่หมิงพอรู้ว่าลู่ฝานเป็นคนนำพาคณะหนึ่งเดียวรุ่งเรืองขึ้นจริง แต่ว่าลู่ฝานจะเอาชนะคณะหยินหยางได้จริงๆ หรือ?

พระเจ้า ลู่ฝานสร้างความมหัศจรรย์ในรอบร้อยปีเลยนะเนี่ย? ที่เขากลับมาครั้งนี้ สิ่งที่เขาพลาดไปเท่าไหร่แล้ว

ลู่ฝานลูบจมูกตนเอง ศิษย์พี่หานเฟิงพูดเสียจนเขาทำตัวไม่ถูกแล้ว

ศิษย์เอกของสถาบันสอนวิชาบู๊ อะแฮ่มๆ ฉายานี้เขาไม่เคยคิดเลยด้วยซ้ำ

หานเฟิงเอามือตบๆ หน้าของโจวเจิ้นโส่ว ถึงแม้จะไม่ได้ออกแรง แต่ก็ตบลงไปจนเสียงดังออกมาจากใบหน้าของโจวเจิ้นโส่ว

“รีบไสหัวออกไปเสียเถอะ ต่อไปถ้ายังกล้ามาเหยียบที่ตระกูลลู่แม้แต่ก้าวเดียว ฉันรับรองเลยว่านายจะทำตำแหน่งผู้เฝ้าเมืองไม่ได้อีกต่อไป หรือแม้แต่ชีวิตก็รักษาไว้ไม่ได้ ไป!”

โจวเจิ้นโส่วรีบตอบรับ แล้วก็หันหลังกลับ ไม่กล้าอยู่ต่ออีกเลย

ส่วนสองคนที่ถูกลู่ฝานต่อยล้มลงไป ก็ถูกคนของตระกูลลู่จับโยนออกไปเหมือนขยะ

ลู่ฝานเห็นดังนั้น ก็ยิ้มพูดกับหานเฟิงว่า “ศิษย์พี่หานเฟิง ครั้งนี้ต้องขอบคุณพี่มากเลย”

หานเฟิงก็ยิ้มพูดว่า “พี่น้องกันเอง มาขอบคุณอะไรกัน ลู่ฝาน นายไม่ต้องไปเกรงใจกับไอ้พวกทึ่มนี่หรอก ไม่ต้องพูดถึงแค่เมืองเจียงหลินเล็กๆ นี่เลย ทั้งเขตตงหวา นายก็ไม่ต้องกลัวใคร ไอ้โจวเจิ้นโส่วโง่คนนี้ กลับไปแล้วคงสืบข้อมูลของนายแน่นอน พอมันสืบได้แล้ว ก็จะตกใจกลัวไปเอง”

ลู่ฝานพยักหน้าเบาๆ แล้วก็หันหลังเดินจากไป

และก็เหมือนกับที่หานเฟิงพูดไว้ โจวเจิ้นโส่วที่วิ่งออกตระกูลลู่ พอออกมาก็ตวาดเสียงดัง “ใครก็ได้ ไปรวบรวมข้อมูลทั้งหมดของลู่ฝานมาให้ฉัน ฉันจะดู ให้ตายเถอะ ลู่ฝานไปเรียนมายังไง น่ากลัวมากเลย แม้แต่คุณชายของตระกูลหานก็รู้จัก”

ไม่กี่ชั่วโมง ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับลู่ฝานเป็นตับๆ ก็วางอยู่บนโต๊ะของโจวเจิ้นโส่ว

ดูไปแค่ชั่วธูปหนึ่งดอก โจวเจิ้นโส่วก็เหงื่อแตกเต็มหน้า

จากนั้น โจวเจิ้นโส่วก็ตะโกนออกมาว่า “เร็วเข้า รีบไปเตรียมของกำนัล ฉันจะไปขอขมาที่ตระกูลลู่ พวกนายนี่มันโง่จริงๆ เลยนะ บ้าจริง เล่นเอาฉันเกือบตายแล้วเชียว!”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 443
พอลู่ฝานส่งเสียงไม่พอใจ บรรยากาศก็เคร่งเครียดขึ้นมาทันที

ลูกหลานของตระกูลลู่ทั้งหลายที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็เริ่มเอื้อมมือไปจับอาวุธแล้ว

โจวเจิ้นโส่วเดินถอยหลังไปสองก้าว ถึงแม้เขาจะเป็นผู้เฝ้าเมือง แต่ถ้าจะพูดถึงเรื่องนักบู๊แล้วล่ะก็ เขาก็เป็นแค่นักบู๊ที่เพิ่งฝึกถึงแดนปราณในเท่านั้น พอเผชิญหน้ากับพวกคนตระกูลลู่ที่มีรังสีอาฆาตพลุ่งพล่านทั่วตัวแบบนี้ เขาก็เริ่มหวาดกลัวขึ้นมาเหมือนกัน

“พวกนายจะทำอะไร คิดจะกบฏหรือไง?”

โจวเจิ้นโส่วแสร้งทำเป็นตวาดออกมาอย่างไม่สะทกสะท้าน

ตอนนี้ลู่ฝานก็ค่อยๆ ลุกขึ้น “ตระกูลลู่ของเราไม่ได้คิดจะเป็นปฏิปักษ์กับทางการ โจวเจิ้นโส่ว ท่านก็เป็นผู้เฝ้าเมืองเสเพลของท่านไป ตระกูลลู่ของพวกเราก็จะเป็นตระกูลนักบู๊ต่อไป เดิมทีพวกเราก็ไม่ติดต่ออะไรกัน เป็นแบบนี้มาหลายสิบปีแล้ว ตอนนี้ก็ทำตามแบบเดิมดีกว่า ส่วนคนร้ายที่ท่านขอ ต้องขออภัยด้วยจริงๆ เขาได้ตายในสงครามที่ต่อสู้กับตระกูลโม่ไปแล้ว เชิญกลับไปเถอะ!”

ลู่ฝานสั่งให้ส่งแขก เขาไม่กลัวผู้เฝ้าเมืองอะไรเลยด้วยซ้ำ

ประเทศอู่อาน นักบู๊เป็นใหญ่ จะว่าไปแล้ว ฐานะศิษย์สถาบันสอนวิชาบู๊ของเขา ก็เพียงพอที่จะให้เขาไม่ต้องไปสนใจผู้เฝ้าเมืองที่เป็นคนระดับนั้นของทางการ

นี่ก็คือหนึ่งในเหตุผล ที่ว่าทำไมคนจำนวนนับไม่ถ้วนอยากจะเข้าไปฝึกวิชาในสถาบันสอนวิชาบู๊

ดินแดนนี้ ผู้แข็งแกร่งเป็นใหญ่ ถ้าอยากจะกดดันหัวคนอื่น ขอโทษที เอาพลังของนายออกมาสิ

ยิ่งเป็นคนของทางการ ก็ยิ่งต้องทำตามระเบียบ

ลู่ฝานไม่เชื่อ ว่าอยู่ดีๆ โจวเจิ้นโส่วจะกล้านำกำลังพลเข้ามาตระกูลลู่ของพวกเขา

คิดว่าสารวัตรของประเทศอู่อานที่มีอยู่เต็มเมืองเป็นพวกโง่หรือไง!

โจวเจิ้นโส่วถูกทำให้โมโหไม่น้อย หลายปีมาแล้ว เขาไม่เคยเจอคนที่กล้าโอหังต่อหน้าเขาแบบนี้เลย

โจวเจิ้นโส่วชี้หน้าลู่ฝาน แล้วพูดว่า “ไอ้เด็กตระกูลลู่ อย่าคิดว่าตัวเองเป็นลูกศิษย์สถาบันสอนวิชาบู๊แล้วฉันจะไม่กล้าทำอะไรนาย ฉันว่านายนี่แหละที่เป็นคนฆ่าคน ตั้งลานประลองเป็นตายขึ้นไม่โดยไม่ทำตามระเบียบ พาคนไปฆ่าล้างตระกูลโม่โดยพลการ หลายสิบปีมานี้ ในเมืองเจียงหลินยังไม่เคยมีใครโหดเหี้ยมอำมหิตอย่างนายมาก่อน ตอนนี้ฉันจะจับนายไปเข้าคุก ลงมือเลย!”

โจวเจิ้นโส่วสั่งการ นักบู๊สองคนด้านหลังก็ยกมือจะไปจับลู่ฝาน

พลังปราณของสองคนก็ปล่อยออกมาเป็นเสื้อปราณปกคลุมกาย ล้วนเป็นนักบู๊แดนนอก

ทางตระกูลลู่ก็จะลงมือ แต่ลู่ฝานกลับปล่อยพลังปราณออกมา ร่างกายเคลื่อนไหวดั่งเงา เข้าไปต่อยคนละหมัด จนสองคนนั้นล้มลงพื้น

ไม่ต้องใช้ทักษะวิชาบู๊อะไรเลยด้วยซ้ำ แค่ใช่พลังปราณที่ระเบิดออกมาหลายสิบส่วนก็สามารถต่อยนักบู๊แดนปราณนอกสองคนนี้สลบไปได้แล้ว

มีระดับแดนนอกเหมือนกัน ต่อให้สองคนนี้จะมีพลังปราณแข็งแกร่งแค่ไหนก็ดี หรือจะใช้วิชากายอะไรต่างๆ ก็ตาม ล้วนไม่สามารถเทียบเคียงกับนักเรียนของสถาบันสอนวิชาบู๊ได้หรอก

เป็นข้อแตกต่างของการถ่ายทอดวิชา วิทยายุทธเหมือนกัน ฝ่ายหนึ่งเดินสายนอกรีต ฝึกวิชาที่แย่ๆ ออกมา ส่วนอีกฝ่ายตอนเริ่มต้นก็ได้สัมผัสกับวิชาระดับสุดยอด มียอดฝีมือคอยชี้แนะ ก็เลยไม่เหมือนกันเป็นธรรมดา

ก็เหมือนกับพวกเมิงซัน ถึงแม้จะมีวิทยายุทธระดับยอดแดนปราณนอก ถ้าพวกเขาได้เข้าไปในสถาบันสอนวิชาบู๊ เกรงว่าแม้แต่พวกเฉียวเซวียนก็ยังสามารถจัดการพวกเขาได้อย่างสบายๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงลู่ฝานเลย

ลู่ฝานใช้กระบวนท่าเดียวสยบศัตรู โจวเจิ้นโส่วเห็นแล้วต้องถอยหลังไปหลายก้าว ใบหน้าก็เริ่มกลัว

“ลู่ฝาน นายคิดจะทำอะไร ฉันขอเตือนไว้ก่อนนะว่า ฉันเป็นคนของทางการ เป็นตัวแทนของประเทศอู่อาน ถ้านายลงมือกับฉัน ก็จะมีโทษประหารเก้าชั่วโคตร”

ตอนนี้ ก็มีเสียงด่าดังเข้ามาเรื่อยๆ

“งั้นหรือ? ทำไมฉันรู้สึกว่าต่อให้ศิษย์น้องลู่ฝานฆ่านายตาย ก็จะไม่เป็นอะไรแม้แต่น้อยล่ะ?”

คนที่ออกมากับเสียง ก็คือ หานเฟิง

แล้วหานเฟิงก็โยนป้ายแนหนึ่งมาตรงหน้าของโจวเจิ้นโส่ว แล้วพูดว่า “รู้จักไหม?”

โจวเจิ้นโส่วก้มหน้าลงไปดู บนป้ายเหล็กธรรมดาๆ นั้น เขียนอักษรไว้ว่า หาน

จะมองคนแค่ภายนอกไม่ได้จริงๆ ลู่ฝานถอนหายใจยาว แล้วก็แกะสลักอักษรคำว่า ภักดีคุณธรรม ใส่บนป้ายวิญญาณของลู่เทียนกัง

ลู่หมิงก็ยืนข้างลู่ฝาน พอเห็นลู่ฝานทำแบบนี้ ลู่หมิงก็ยิ้มพูดว่า “ลู่ฝาน ถ้าวันไหนฉันตายไป ได้นายมาแกะสลักคำว่า ภักดีคุณธรรม ให้ฉันด้วย คงจะดีมากเลย”

ลู่ฝานก็มองลู่หมิงอย่างลึกซึ้ง “นายไม่ตายหรอก เรื่องแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว”

ลู่หมิงก็ยิ้มเบาๆ แล้วก็ไม่ได้พูดอะไร

คำนับให้กับป้ายวิญญาณทั้งหลาย ลู่ฝานก็ค่อยเดินออกไปข้างนอก

ตอนนี้ตระกูลลู่กำลังฟื้นตัวจากทุกอย่าง เรื่องมากมายจะต้องให้เขามาเป็นผู้นำ เขาเป็นเจ้าบ้านตอนนี้ล่ะ

“เจ้าบ้านครับ เจ้าบ้าน แย่แล้วครับ คนของจวนโจวเจิ้นโส่วมาแล้ว”

ลูกหลานน้องของตระกูลลู่คนหนึ่งวิ่งเข้ามา แต่เป็นเด็กอายุ12-13ปี จะเห็นได้ว่าตอนนี้ตระกูลลู่ขาดคนใช้งานมากแค่ไหน

ลู่ฝานขมวดคิ้วพูดว่า “คนของจวนโจวเจิ้นโส่วมาทำอะไร?”

ลู่หมิงพูดว่า “เหอะ มาอะไรเอาตอนนี้ ไม่มีเรื่องดีแน่นอน”

ลู่ฝานพูดว่า “พาพวกเขาไปห้องโถงรับรองแล้วกัน”

เด็กคนนั้นก็ตอบรับ แล้วรีบวิ่งออกไป ลู่ฝานก็เท้าเดินไปยังห้องโถงรับรอง

หลังจากนั้นช่วงธูปหนึ่งดอก ลู่ฝานก็มาถึงห้องโถงรับรอง ตอนนี้ห้องโถงรับรองที่ตระกูลลู่พูดถึง ได้พังทลายไม่เป็นท่าหมดแล้ว แม้แต่เก้ารับแขกก็ยังไม่เหลือ

มีชายสวมชุดจีน7-8คนยืนอยู่ในห้องโถง ด้วยท่าทางเชิดหน้าชูตา คนที่ยืนอยู่ด้านหน้าชายพวกนั้น สวมชุดนักบู๊ลายเมฆดำ บนเข็มขัดมีตัวอักษร อู่อาน สีเงินอย่างชัดเจน ตัวอักษรดูยิ่งใหญ่ นี่คือสัญลักษณ์ของทางการในประเทศอู่อาน หรือเรียกว่า เสื้อทางการเมฆดำ สีของเข็มขัดจะแสดงถึงระดับของตำแหน่ง

สีเงิน เป็นสัญลักษณ์ของผู้เฝ้าเมือง

ลู่ฝานเพิ่งได้เจอกับโจวเจิ้นโส่วของเมืองเจียงหลินเป็นครั้งแรก พอมองดูชายวัยกลางคนที่อายุเกินสี่สิบ ลู่ฝานก็ยื่นมือไปหยิบเก้าอี้ขาหักหนึ่งตัวมานั่ง แล้วพูดว่า “โจวเจิ้นโส่ว ขออภัยที่ตระกูลลู่เสียมารยาท แต่คิดว่าโจวเจิ้นโส่วน่าจะรู้ว่าตระกูลลู่ของพวกเราเพิ่งเจอกับเคราะห์ภัยครั้งใหญ่ คงจะไม่ว่ากันหรอกนะครับ”

โจวเจิ้นโส่วเห็นว่าลู่ฝานกล้ามานั่งตรงหน้าแบบนี้ ก็มีสีหน้าโกรธเล็กน้อย เพราะพวกเขายังยืนอยู่เลย

โจวเจิ้นโส่วก็หันไปส่งเสียงพูดกับลู่เฮ่าหราน “คุณท่านลู่ ลูกหลานตระกูลลู่ของพวกคุณไร้มารยาทแบบนี้เลยหรือ?”

พวกนักบู๊ที่ยืนอยู่ข้างๆ โจวเจิ้นโส่วก็ตวาดไปทางลู่ฝานเหมือนกัน “บังอาจ ไอ้หนู เจอโจวเจิ้นโส่ว ยังไม่โค้งคำนับทักทายอีก”

เหล่าลูกหลายตระกูลลู่ก็จ้องมองชายคนนั้น ขอเพียงลู่ฝานออกคำสั่ง พวกเขาก็ไม่เกรงใจที่จะกระทืบหมอนี่ให้พิการไป

ลู่เฮ่าหรานพูดนิ่งๆ ว่า “ต้องขออภัยด้วย โจวเจิ้นโส่ว นี่คือลู่ฝาน หลานของผม ตอนนี้ก็เป็นเจ้าบ้านลู่คนใหม่แล้ว นายมีอะไรก็ถามเขาได้เลยครับ”

โจวเจิ้นโส่วแกล้งทำเป็นตกใจพูดว่า “อ่าวหรือ? ที่แท้ท่านนี้ก็คือลู่ฝาน ยอดอัจฉริยะแห่งเมืองเจียงหลินเรานี่เอง น่าเสียดาย ผมไม่ค่อยได้สนใจเรื่องวิถีบู๊เสียเท่าไรนัก การทดสอบของสถาบันสอนวิชาบู๊ ผมไม่เคยไปดูเลย ก็เลยไม่ได้รู้จักเจ้าบ้านลู่ฝาน”

ลู่ฝานพูดนิ่งๆ ว่า “โจวเจิ้นโส่ว นายมีอะไรก็ว่ามาตรงๆเลย ตอนนี้ผมยุ่งมาก ไม่มีเวลามาเกรงใจกับนาย”

โจวเจิ้นโส่วก็หน้าแดงขึ้นมาทันที

นักบู๊ที่อยู่ข้างๆ ก็ด่าออกมาทันที “ไอ้เด็กคนนี้สมควรตาย พอให้เกียรติหน่อยก็อวดดี จะบอกให้นะ ตระกูลลู่ของพวกนายมาฆ่าคนของจวนผู้เฝ้าเมืองตาย ตอนนี้พวกเราจะมาจับคนร้ายไปเข้าคุก รีบส่งตัวคนนั้นออกมา”

ลู่ฝานก็หน้าบึ้งเล็กน้อย เอานิ้วประสานกันสองมือ แล้วจ้องมองโจวเจิ้นโส่วนิ่งไม่ขยับ

“ที่แท้พวกคุณก็มาด้วยเรื่องนี่หรอกหรือ เหอะ!”

คืนนี้เป็นคืนแห่งการเข่นฆ่า ตอนที่แสงตะวันแห่งวันใหม่สาดส่องมายังตระกูลโม่ ทุกคนก็ล้วนตกใจกับสิ่งที่เห็น ตระกูลโม่เกลื่อนกลาดไปด้วยศพ

ไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม ข่าวที่ตระกูลโม่ถูกฆ่าล้างตระกูลก็แพร่ไปทั้งเมืองเจียงหลิน ในขณะเดียวกัน ข่าวที่ลู่ฝานกลับมา ก็ถูกทุกคนรู้ข่าวกันหมด

คนไม่น้อยกำลังคุยกัน ว่าลู่ฝานคนนี้จิตใจโหดเหี้ยม

แต่ก็มีคนที่เข้าใจเหตุผล หลุดหัวเราะพูดออกมา ว่าสองตระกูลสู้กันเป็นตาย ยังจะต้องมาพูดเรื่องคุณธรรมอะไรกันด้วยหรือไง

คิดอยากจะฆ่าล้างตระกูลคนอื่นเขา ก็ต้องเตรียมใจว่าตระกูลตนเองจะโดนเหมือนกัน

ทุกอย่างเป็นการหาเรื่องใส่ตัว ไม่มีอะไรต้องพูด

คนส่วนใหญ่ตกใจกับความแข็งแกร่งของลู่ฝาน ตระกูลลู่ที่เดิมทีถูกบีบจนเกือบจะสิ้นตระกูลไปแล้ว แต่พอมีลู่ฝานกลับมา ทุกอย่างก็กลับตาลปัตร

ตอนนี้ลู่ฝานแข็งแกร่งถึงขั้นไหนกันแน่?

ไหนใช่ว่า ตระกูลโม่ไปเชิญยอดฝีมือยอดแดนปราณนอกมาไม่ใช่หรือไง?

หรือว่า ตอนนี้ลู่ฝานมีพลังถึงระดับแดนปราณชีวิตแล้ว? นี่มันเกินไปหน่อยนะ

ทุกคนไม่อยากจะเชื่อ แต่ก็พูดความเป็นไปได้อื่นๆ ไม่ได้

ทั้งเมืองเจียงหลิน ล้วนกำลังหาสืบหาข่าว ว่าสรุปแล้วเป็นอย่างไรกันแน่

ส่วนพวกคนที่ตอนแรกตั้งตัวเป็นศัตรูกับตระกูลลู่ตามตระกูลโม่นั้น ก็เริ่มเก็บข้าวของหลบหนีแล้ว

ตระกูลโม่ถูกกวาดล้างหมดแล้ว อีกไม่นานตระกูลลู่ก็จะแก้แค้นพวกเขา

ตอนนี้ในเมืองเจียงหลินก็วุ่นวายกันไปหมด

ที่ จวนผู้เฝ้าเมือง

เมื่อคืนโจวเจิ้นโส่วนอนพักผ่อนไม่ค่อยเต็มที่เท่าไร เขาเป็นคนแรกที่ได้ข่าวว่าตระกูลโม่ถูกกวาดล้าง

ตอนที่คนรับใช้มารายงานเขานั้น เขากำลังเล่นสนุกกับเมียน้อยที่เพิ่งแต่งงานเข้ามาใหม่อยู่บนเตียง

พอรู้ข่าว เขาก็ร่วงตกเตียงทันที เกือบตบไปที่ใบหน้าของเมียน้อยตนเองตาย

จะว่าไปแล้ว ตระกูลโม่ก็สนิทสนมกับเขาดีเหมือนกัน

แน่นอน เป็นโจวเจิ้นโส่วที่พร้อมไปด้วยอบายมุขทั้งห้าประการอย่างเขา ขอเพียงฝั่งตรงข้ามเอาอะไรมาให้หน่อย เขาก็ดีกับคนนั้นหมด และตระกูลโม่ก็ให้อะไรเขาเยอะที่สุด ก็เลยต้องโอนเอียงไปทางตระกูลโม่ ขอเพียงตระกูลโม่ไม่ทำผิดกฎระเบียบ เขาก็สามารถอำนวยความสะดวกให้กันได้บ้าง เช่นครั้งนี้ที่ให้คนของจวนผู้เฝ้าเมืองไปดูการต่อสู้ มีคนของจวนผู้เฝ้าเมืองอยู่ด้วย ต่อให้ตระกูลลู่จะยอมสู้ตายกัน ก็เป็นไปไม่ได้เด็กขาด

แต่เรื่องที่มันเกิดขึ้น กลับไม่เหมือนกับที่คาดการณ์ไว้

ตระกูลโม่ได้เปรียบเสียขนาดนี้ กลับถูกคนโจมตีจนแพ้ แถมยังถูกฆ่าล้างตระกูลอีก

โจวเจิ้นโส่วโมโหมาก นี่ไม่ใช่แค่การมาตบหน้าเขาเท่านั้น แต่ยังตัดขาเขาด้วย

ปรึกษากับกุนซือชั่วของตนเองทั้งคืน โจวเจิ้นโส่วตัดสินใจจะสั่งตระกูลลู่เสียหน่อย อาศัยจังวะตอนนี้ที่ตระกูลลู่ยังเสียหายมากอยู่ โจวเจิ้นโส่วตัดสินใจจะกดดันพวกเขาเสียหน่อย อย่างไรเสียตอนนี้เขาก็มีเหตุผลมากพอ

คนของจวนโจวเจิ้นโส่วไปตายอยู่ที่ตระกูลลู่ เป็นข้ออ้างที่ดีที่สุด

พอปรึกษากันเสร็จ โจวเจิ้นโส่วก็พาลูกน้องบุกไปยังตระกูลลู่อย่างยิ่งใหญ่

แต่ตอนนี้ตระกูลลู่ได้เปลี่ยนไปเป็นคนละแบบแล้ว

ไม่มีความดีใจจากชัยชนะ ตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงเช้านี้ คนตระกูลลู่จัดการศพในบ้านมาตลอด

ศพของคนตระกูลโม่ก็เอาไปทิ้งหมดแล้ว เผาหมดแล้ว แบบไหนสะดวกก็ทำตามแบบไหน

เหล่าลูกเมียของคนตระกูลลู่ก็เอาศพมากระทืบ เอาแส้ฟาดระบายความแค้น ลู่ฝานก็เห็นหมด

ส่วนศพของคนตระกูลตนเอง ก็ฝังให้อย่างเรียบร้อย

ลู่ฝานก็ยืนอยู่ด้านหน้าของป้ายวิญญาณที่เพิ่งแกะสลักเสร็จ สายตามองไปยังป้ายวิญญาณของลู่เทียนกัง

ตั้งแต่เด็ก ลู่ฝานก็มีความทรงจำกับคนคนนี้ไม่ค่อยดีนัก เป็นคนบ้าที่เสียงดังไม่ฟังใคร สมองบ้าๆ บอๆ แต่ใครจะรู้ ว่าเขาจะมีใจเด็ดเดี่ยวเหมือนกัน ถึงได้มารับกระบี่แทนลู่หาวในตอนท้าย สุดท้ายก็ตายคาสนามรบ

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 440
พูดจบ ลู่ฝานก็ก้าวออกไปด้านนอก เหล่าลูกน้องตระกูลลู่ก็รีบตามไป สายตาแฝงไปด้วยเลือดร้อน

พวกเขารู้ว่าลู่ฝานจะทำอะไร และเป็นสิ่งที่พวกเขาอยากทำเหมือนกัน

เวลาแก้แค้นมาถึงแล้ว!

ถึงแม้ลู่หมิงจะบาดเจ็บทั้งตัว แต่ตอนนี้ก็ลุกขึ้นมาเหมือนกัน เดินออกไปเหมือนกัน

ลู่เฮ่าหรานก็จับลู่หมิงไว้ แล้วพูดว่า “เจ็บไปทั้งตัวแล้ว ไม่ต้องไปแล้ว”

ลู่หมิงพูดนิ่งๆ ว่า “ผมยังสู้ไหว”

พูดจบ ก็ดิ้นออกจากมือของลู่เฮ่าหราน แล้วก็ก้าวยาวเดินตามไป

ทุกคนรีบเดินออกไปจากตระกูลลู่

สิบกว่าคนล้วนมีสีหน้าอาฆาต เดินอย่างยิ่งใหญ่อยู่บนถนนในเมืองเจียงหลิน

เวลานี้เป็นเวลาดึกสงัด พอได้ยินเสียงดังด้านนอก บางคนก็เปิดหน้าต่างออกมาดูด้านนอก

พอพวกเขาเห็นว่าคนพวกนี้มีรังสีอาฆาตกันขนาดนี้ และพอรู้ว่าเป็นคนตระกูลลู่ ก็ตกใจกันหมด

“คนตระกูลลู่ คนตระกูลลู่ยังมีเหลือรอด หรือว่าตระกูลโม่จะแพ้แล้ว?”

“คนที่เดินนำมาคือใคร? คุ้นหน้าคุ้นตามาก”

“ลู่ฝานนี่เอง พระเจ้าช่วย ลู่ฝานแห่งตระกูลลู่กลับมาแล้ว!”

……

เสียงแอบกระซิบกระทราบเข้ามาในหูของลู่ฝาน ลู่ฝานก็ไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย เดิมมุ่งหน้าไปยังตระกูลโม่อย่างเดียว

ดวงจันทร์ดับคืนฆ่าคน สายลมวนวันวางเพลิง

พอพวกเขามาถึงหน้าประตูตระกูลโม่ ก็พบว่าประตูของตระกูลโม่ปิดสนิท ด้านในกลับมีเสียงวุ่นวายดังออกมา

พลังปราณบนตัวของลู่ฝานก็ปล่อยออกมา แล้วก็ต่อยประตูตระกูลโม่กระเด็นไป

แม้แต่กำแพงบ้านที่ติดกับประตูก็ถูกทำลายไปด้วย พลังที่ลู่ฝานใช้โจมตีไปครั้งนี้ มันน่ากลัวมากจริงๆ

พอจ้องมองดู ก็เห็นว่าตระกูลโม่วุ่นวายกันไปหมด มีคนไม่น้อยหอบหิวห่อผ้าน้อยใหญ่ ท่าทางเหมือนกำลังจะหนี

ดูเหมือนว่าตระกูลโม่จะรู้ข่าวไว้เหมือนกัน ลูกน้องของตระกูลโม่ที่ไปตระกูลลู่ได้ถูกลู่ฝานฆ่าตายทีละคนจนหมดเกลี้ยง มีเพียงคนเดียวที่ยังไม่ได้ฆ่าตาย ก็คือโม่หยุนเฟยที่ถูกจับมัดโยนใส่บ่อขี้

แต่คนที่อยู่เฝ้าตระกูลโม่กลับรู้ข่าวแล้วคิดหนี ดูเหมือนว่าจะมีคนคอยปล่อยข่าวให้พวกเขา

เสียงตกใจดังขึ้น เหล่าลูกน้องของตระกูลโม่ก็รีบวางห่อผ้าในมือลง แล้วชักดาบออกมาโจมตีใส่ลู่ฝาน

ลู่ฝานหลบทันโดยไม่ได้ก้าวขาใดๆ ลูกน้องตระกูลโม่ที่มีพลังน้อยนิดพวกนี้ ถูกพลังทับตัวจนลุกไม่ขึ้น ไม่มีทางเข้าใกล้ตัวลู่ฝานได้

“ช่วยด้วย คนตระกูลลู่มาแล้ว”

“ไปประตูหลัง รีบหนีออกไปทางประตูหลัง!”

เสียงตื่นตกใจกลัว เสียงตะโกนดังขึ้นอีกครั้ง ลู่ฝานก็มองภาพตรงหน้านิ่งๆ ความเยือกเย็นในสายตา

ตระกูลลู่ก็เคยเผชิญกับเคราะห์ภัยแบบนี้เหมือนกันสินะ พอคิดถึงเรื่องนี้ ลู่ฝานก็เริ่มฉุกคิดในใจ สายตาก็เย็นชามากขึ้น

พลังได้เปลี่ยนไป ทันใดนั้นลูกน้องสองคนของตระกูลโม่ที่ถูกพลังกดตัวไม่ให้ขยับ ก็ถูกพลังที่มากกว่าเดิมบีบลงไปจนตายทั้งเป็น เลือดออกทั้งเจ็ดทวาร

“ฉันขอสู้ตาย!”

เหล่าลูกน้องของตระกูลโม่ก็บุกเข้ามาอีกครั้ง แต่คนตระกูลโม่ส่วนใหญ่กลับถอยหลังหนีไปด้านหลัง

พอเปรียบเทียบแบบนี้ ก็ยิ่งเห็นความแตกต่างของตระกูลโม่กับตระกูลลู่

เผชิญกับเคราะห์ภัยเหมือนกัน คนตระกูลลู่ส่วนใหญ่จะยอมตายเพื่อตระกูล แต่ตระกูลโม่กลับหนีตายเสียส่วนใหญ่

ครั้งนี้ ไม่ต้องให้ลูกฝานลงมือ ลูกน้องตระกูลลู่บุกเข้าไปกี่คน ก็จัดการได้หมด

ทันใดนั้น นักบู๊สองคนก็โผล่เข้ามาจากที่ลับ พลังระดับแดนปราณในขึ้นไป

“หมัดอู๋เซี่ยง!”

หมัดถูกต่อยไป ตาย!

พวกเขาเพิ่งได้ปรากฏตัวออกมา ก็ถูกลู่ฝานต่อยตายเสียแล้ว ร่างกระเด็นออกไปหลายเมตร จริงๆ แล้วลู่ฝานก็ได้สังเกตพวกเขามานานแล้ว

ลูกหมิงเดินมาข้างๆ ลู่ฝาน แล้วถามเบาๆ ว่า “เจ้าบ้าน จะทำอย่างไรกับคนตระกูลลู่? ฆ่าทั้งเด็กทั้งผู้หญิงและคนอ่อนแอหมดเลยไหม?”

ลู่ฝานตอบนิ่งๆ “ตัดรากถอนโคน ฆ่าให้หมดเลยแล้วกัน!”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 439
กลางคืนหนาวเย็นเหมือนน้ำ แสงจันทร์ส่องสว่าง แสงดาวริบหรี่

บ้านของตระกูลลู่ พังทลายลงหมด มองไปเห็นแต่ซากปรักหักพัง

ในซากหินแตกหัก ยกหินขึ้นแบกใส่บ่า มันแข็งแกร่งไม่เบา พื้นที่บ้านที่ไม่เหลือแม้แต่ผนังแล้ว แต่มันก็ยังลุกขึ้นยืนได้

รอยเลือดเป็นแถบ ไม่มีใครทำความสะอาด ศพที่หน้าประตู ก็ยังนอนอยู่ตรงนั้น สองตาที่ขาวโพลนอย่างน่าอนาถเหมือนอยากจะบอกอะไร

ลู่ฝานค่อยๆ เอามือไปลูบปิดตาศพ ลู่หาวพ่อของเขากับท่านสวินที่อยู่ในห้องก็ได้หลับสนิทไปแล้ว อาการบาดเจ็บของทั้งสองคนได้รับการรักษาจากเจดีย์เสวียนเก้ามังกรจนปลอดภัยแล้ว ถ้าหากอาการแค่นี้เจดีย์เสวียนเก้ามังกรยังรักษาไม่ได้ ลู่ฝานก็จะไปเอาเรื่องมันแน่นอน

เดินออกจากห้องมาด้านนอก คนที่เหลือของตระกูลลู่ทั้งหลายก็ยืนอยู่ตรงนั้นนิ่งๆ มองดูลู่ฝานอย่างเคารพ

ในสายตาของพวกเขานั้น เต็มไปด้วยความเกรงกลัว ตื่นเต้น สายลึกๆ ของสายตาบางคน มีความหวาดกลัวอยู่ด้วย พอเห็นว่าลู่ฝานมองมา คนพวกนี้ก็รีบก้มหัวลงทันที ไม่กล้าจ้องตาลู่ฝาน

มีคนหนึ่งที่ดูจะเฉยๆ ก็คือศิษย์พี่หานเฟิง ตอนนี้เขานั่งอยู่บนหินก้อนหนึ่งอย่างสบายๆ เอามือลูบหัวเจ้าดำ

สำหรับเรื่องของตระกูลลู่นั้น ศิษย์พี่หานเฟิงไม่ได้พูดอะไรมากอย่างน่าแปลก ด้วยนิสัยที่เจอกับใครเป็นอันต้องพูดด้วยของเขา กลับไม่ออกความเห็นเห็นกับเรื่องนี้เลย แสดงให้เห็นว่าศิษย์พี่หานเฟิง ก็ไม่ใช่คนที่ไม่รู้จักหนักเบา

เขารู้ว่าเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องครอบครัวของลู่ฝาน จะต้องให้ลู่ฝานจัดการแก้ไขเอง

พอเห็นว่าลู่ฝานออกมา หานเฟิงก็ยิ้มเบาๆ จับเจ้าดำแล้วพูดว่า “ไปกัน เจ้าดำ พวกเราออกไปกินอะไรอร่อยๆ กันดีกว่า”

พูดจบ หานเฟิงก็หยิบเนื้อแห้งหนึ่งชิ้นออกมาจากอก แล้วพาเจ้าดำออกจากเขตบ้านไป

ในเขตบ้านทั้งหมด เหลือเพียงคนตระกูลลู่

“สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง พวกเขาไม่เป็นอะไรใช่ไหม”

ลู่เฮ่าหรานเอ่ยถาม ลู่หมิงที่มีผ้าพันแผลเต็มตัวพักอยู่ข้างๆ ก็มีสีหน้ากังวลเหมือนกัน

“ไม่เป็นไร ได้ผ่อนคลายลงหน่อยแล้ว แค่รักษาตัวหน่อย ก็ไม่เป็นอะไรแล้ว”

ลู่ฝานพูดนิ่งๆ สีหน้าบนใบหน้ามีความเย็นชาเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเรื่องที่ลู่ฝานเจอในครั้งนี้ ทำให้เขารู้สึกโกรธอย่างมาก จนกระทั่งตอนนี้ก็ยังดึงสติกลับมาให้สงบไม่ได้

ลู่เฮ่าหรานถอนหายใจ ขอเพียงท่านสวินกับลู่หาวไม่เป็นอะไร งั้นทุกอย่างก็ดีหมด

“โชคดีที่ได้นายมาช่วย ลู่ฝาน คิดไม่ถึงเลยว่า เวลาสั้นๆ แค่หนึ่งปี นายจะแข็งแกร่งได้ถึงระดับนี้ ฉันขอประกาศตองนี้เลยว่า ขอมอบตำแหน่งเจ้าบ้านตระกูลลู่ให้กับลู่ฝานอย่างเป็นทางการ ใครกล้าพูดอะไรแม้แต่นิดเดียว ก็เท่ากับทรยศตระกูลลู่ ฆ่าไม่เว้น”

ลู่เฮ่าหรานพูดตะโกนเสียงดัง

คนตระกูลลู่ในเหตุการณ์ ก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไรแม้แต่คำเดียว พลังของลู่ฝานในตอนนี้ ทุกคนล้วนเห็นกับตาตนเองหมดแล้ว รับตำแหน่งเจ้าบ้านได้อย่างแน่นอน

ทันใดนั้น เหล่าลูกน้องตระกูลลู่ก็หันตัวมาทำความเคารพให้กับลู่ฝาน พร้อมพูดว่า “สวัสดีท่านเจ้าบ้าน”

ลู่ฝานขมวดคิ้วเล็กน้อย ในใจอยากจะปฏิเสธ แต่ก็พูดอะไรไม่ออก ลู่หมิงที่อยู่ข้างๆ ก็พูดขึ้นว่า “ลู่ฝาน อย่าปฏิเสธเลย ช่วงเวลาสำคัญแบบนี้ ทางตระกูลเราต้องการเจ้าบ้านที่แข็งแกร่งสักคน”

ลู่ฝานครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วก็พยักหน้าเบาๆ เป็นอันว่ายอมรับตำแหน่ง

ลู่ฝานเงยหน้าขึ้นมา แล้วก็พูดไปว่า “ตอนนี้ตระกูลลู่ยังเหลืออีกกี่คน”

ลูกน้องตระกูลลู่คนหนึ่งลุกขึ้นพูดว่า “รายงานท่านเจ้าบ้าน ถ้าไม่นับพวกเด็กๆ กับเหล่าภรรยาพวกเรา คนตระกูลลู่ที่สามารถออกแรงมาต่อสู้ได้ เหลือเพียง10กว่าคนแล้วเท่านั้น”

ลู่ฝานพูดว่า “ดีมาก ใครที่สู้ไหว ก็ให้ฟังคำสั่งฉัน ตอนนี้รีบตามฉันไปยังตระกูลโม่ ปู่ครับ ทางฝั่งนี้ ให้ปู่ดูแลไปก่อนนะครับ คนที่เหลือ ตามฉันมา”

คนที่เหลือ ก็อึ้งอยู่ที่เดิม ขยับอะไรไม่ได้

แม้แต่หานเฟิงก็คิดไม่ถึง ว่าลู่ฝานจะมีวิชานี้ด้วย

ค่ายกลนี้ ทำไมดูๆ ไปแล้วเหมือนกับค่ายกลของคณะหยินหยาง

“ให้ตายสิ ศิษย์น้องลู่ฝานคงจะได้เก็บเอาค่ายกลของคณะหยินหยางมาหรอกนะ ไอหย๋า สุดยอดจริงๆ !”

หานเฟิงบ่นพึมพำ

ส่วนลู่ฝานก็ค่อยๆ เดินไปยังตรงหน้าของเหมาอี

ลู่ฝานค่อยๆ เช็ดเลือดที่ติดใบหน้าออก รังสีอาฆาตในสายตาก็ตัดสินใจได้

เหมาอีตะโกนเสียงดังออกมาว่า “แกจะฆ่าฉันไม่ได้นะ ฉันเป็นคนของสำนักโลหิตพิฆาต ถ้าแกกล้าฆ่าคนของสำนักโลหิตพิฆาต ก็ระวังจะถูกฆ่าล้องโคตร”

ลู่ฝานพูดนิ่งๆ ว่า “สำนักโลหิตพิฆาต เป็นอะไรกัน!”

พูดจบ ลู่ฝานก็เอากระบี่ฟันไปยังลำคอของเหมาอี ถึงแม้กระบี่หนักไร้คมจะไม่คม แต่ด้วยพลังปราณของลู่ฝาน ก็สามารถตัดคอของเหมาอีไปได้

เป็นนักบู๊ ทำไมต้องอาศัยคมกระบี่ด้วย

ใช้กระบี่เป็นอาวุธ ใช้พลังปราณเป็นคมกระบี่ ถึงจะถูกต้อง

แค่ไม่กี่นาที ยอดฝีมือทั้งสองคนของสำนักโลหิตพิฆาตก็ถูกฆ่าตาย

ความร้ายกาจของลู่ฝาน ราวกับเป็นทหารเทพจากสวรรค์ กวาดล้างทุกสิ่งอย่าง

โม่เทียนกลืนน้ำลาย อยู่ดีๆ ก็หลุดตะโกนออกมาว่า “ลู่ฝาน พวกเราไม่ได้คิดจะเป็นศัตรูกับนาย นี่เป็นแค่การประลองปกติ เท่านั้น ลู่เทียนกังของพวกนายมาฆ่าคนของจวนผู้เฝ้าเมือง จึงหาเรื่องมาใส่ตัวแบบนี้ พวกเราถูกบีบบังคับ เป็นเรื่องจริง ลู่ฝานเชื่อพวกเราสิ”

โม่เทียนดิ้นรนจากความตาย เขาหวังว่าจะใช้ชื่อเสียงของจวนผู้เฝ้าเมืองมาขู่เฉินลู่ฝานได้ อย่างน้อยพวกเขาก็ยังเอาชีวิตรอดไปก่อนได้

ลู่ฝานยืนอยู่ที่เดิม แล้วก็เก็บค่ายกล พร้อมพูดนิ่งๆ ว่า “อย่างนั้นหรือ? ถ้างั้นก็คุกเข่าลงโทษฉัน!”

โม่เทียนได้ยินดังนั้นก็รีบพาลูกน้องคุกเข่าลงทันที มีเพียงโม่หยุนเฟยที่ยืนอยู่ตรงนั้น กัดฟันไม่ยอมขยับตัว โม่เทียนตะโกนไปว่า “โม่หยุนเฟย นายทำอะไร รีบคุกเข่าลงเดี๋ยวนี้! ฉันต้องขอโทษด้วยลู่ฝาน ขอโทษด้วย ตระกูลโม่ของเราไม่เอาไหน นายมีความเมตตา คิดเสียว่าพวกเราเป็นเพียงแค่ผายลม ปล่อยพวกเราไปเถอะ!”

โม่หยุนเฟยก็หน้าเศร้า ยืนอยู่ที่เดิมพูดว่า “ปู่ ไม่ต้องไปขอร้องเขาหรอก เขาก็แค่เล่นแง่กับพวกเราเท่านั้นแหละ!”

มือของโม่หยุนเฟยที่กำกระบี่อยู่ก็สั่นๆ ตอนนี้ในสมองเขาคิดแต่เรื่องที่ลู่ฝานทำในสถาบันสอนวิชาบู๊

ตอนแรกจางเยว่หานก็ยังดีๆ กับลู่ฝาน แต่ก็ยังถูกไล่ออกจากคณะเพราะลู่ฝาน ลู่ฝานเคยพูดอะไรช่วยเธอที่ไหนกัน

ในใจของโม่หยุนเฟยรู้ดี ว่าลู่ฝานเป็นคนที่โหดร้ายกับศัตรูมาก การที่ให้พวกเขาคุกเข่าลงขอโทษ ก็เป็นแค่การเหยียดหยามเท่านั้น

ลู่ฝานมองโม่หยุนเฟย แล้วพูดว่า “นายนี่เป็นคนที่เข้าใจอะไรง่ายดีนะ”

พูดจบ ลู่ฝานก็ส่งสายตาให้กับเจ้าดำ ฆ่าคนพวกนี้จะเลอะมือของเขา

เจ้าดำก็เข้าใจ แล้วก็พุ่งเข้าไป ร่างกายขยายใหญ่ ตะครุบครั้งเดียวก็ทุบตายไปหลายคน

โม่เทียนยังคิดจะดิ้นหนี แต่ก็ถูกเจ้าดำพ่นไฟสีดำใส่จนไหม้เป็นจุล

ที่พูดกันว่า “เศษคน” ยังไม่เท่านี้เลย!

โม่หยุนเฟยมองดูคนตระกูลตนเองจะถูกเข่นฆ่าตายหมดแล้ว เขาคิดจะบุกเข้าไปสู้ตายกับเจ้าดำ แต่ก็ถูกกรงเล็บทุบลงพื้น

ลู่ฝานพูดนิ่งๆ ว่า “เหลือไว้หนึ่งคน!”

เพราะคำพูดนี้ เจ้าดำก็เลยไม่ได้พ่นเปลวไฟดำใส่เขาจนตาย

ลู่ฝานก็หันหลังเดินไปทางลู่หาว

ลู่หาวมองลู่ฝาน แล้วก็เก็บสีหน้าที่ตื่นตกใจกลับไป

“ลู่ฝาน นายทำได้ดีมาก ดีมาก”

ผลยิ้มที่ดูไม่จืดออกมา แล้วลู่หาวก็ล้มลงพื้น

ลู่ฝานพยุงเขาไว้ได้ ในใจก็ตะโกนว่า “ไอ้เก้า มาช่วยคน!”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรก็รีบปล่อยพลังออกมา แล้วเริ่มช่วยเหลือคน

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 437
“ลู่ฝาน คือลู่ฝาน พี่ลู่ฝานมาแล้ว!”

หานเฟิงที่ยืนอยู่ข้างๆ ลู่ฝานก็มองสภาพน่าอนาถโดยรอบ แล้วกัดฟันพูดว่า “ให้ตายเถอะ คนพวกนี้ลงมือไม่ไว้หน้าเลยนะเนี่ย!”

ลู่ฝานมองดูรอบๆ พอเห็นลู่หมิงที่บาดเจ็บเต็มไปทั้งตัว และเห็นลู่หาวเลือดนองเต็มตัว ลู่ฝานก็ชักกระบี่หนักออกมาโดยไม่พูดจาอะไรเลย สายตามองทะลุพวกเมิงซันไป มองเลยไปยังตัวของโม่เทียน

รังสีอาฆาตในดวงตา แทบจะพุ่งทะยานขึ้นฟ้า

โม่เทียนกับโม่หยุนเฟยถอยหลังไปหลายก้าว ไม่ได้เจอแค่ปีเดียว ลู่ฝานแค่ยืนอยู่ตรงนั้น ก็ทำให้พวกเขารู้สึกถึงพลังของสัตว์ร้ายที่น่ากลัว

เมิงซันพูดกับลู่ฝานด้วยสายตาเย็นชาว่า “นายก็คือลู่ฝานแห่งตระกูลลู่สินะ ฉันเคยได้ยินชื่อเสียงมาก่อน คิดไม่ถึงว่า นายจะกลับมาได้ทัน แต่ว่า นายกลับมาทันแล้วไง อาศัยแค่เด็กที่เพิ่งได้เข้าสถาบันสอนวิชาบู๊ คิดจะฝืนชะตาฟ้าหรือไง ฮ่าๆ ….ห้ะ!”

เมิงซันเพิ่งพูดจบ ตัวของลู่ฝานก็เคลื่นเข้ามาเหมือนผี มาปรากฏตัวตรงหน้าของเขา

สะบัดกระบี่หนักในมือ ลู่ฝานใช้กระบี่ฆ่าพิชิตฟ้าอย่างไม่เกรงใจ ตัวอักษรคำว่า ฆ่า เจ็ดตัวโจมตีใส่ตัวของเมิงซันจนเลือดสาดกระเซ็น

ยังไม่จบ ลู่ฝานกระโดดขึ้นอีกครั้ง ความเร็วของเขามันเร็วจนทำให้คนมองไม่ทัน

ไฟบนตัวลุกโชนขึ้น พลังฟ้าดินโดยรอบรวมเข้ามาอย่างรุนแรง กระบี่หนักในมือของลู่ฝานก็ถูกไฟปกคลุม ตัวกระบี่เหมือนขยายใหญ่เป็นสิบเท่า แล้วก็ฟันลงมาอย่างแรง

ลู่ฝานที่กำลังโมโห ตอนนี้ก็ไม่ได้สนใจว่าต้องปกปิดวิชาผู้ฝึกชี่อีกแล้ว

กระบวนท่านี้ ลู่ฝานใช้แรงทั้งหมด ไม่ใช่แค่กระบี่มังกรเพลิงคำราม ยังมีห้าธาตุกสิณไฟของผู้ฝึกชี่อีกด้วย

กระบี่นี้ฟันลงมา ไฟได้เผาผลาญจนเมิงซันดำเป็นถ่าน

เสียงโหยหวนร้องไม่หยุด เมิงซันยังคิดที่จะรวมพลังสร้างเสื้อปราณของตนเองขึ้นมา แต่น่าเสียดาย ลู่ฝานจะให้โอกาสนี้แก่เขาได้อย่างไรกัน

เขตวิถีปรากฏ วิชาสายฟ้าฟาดห้าธาตุ!

เขตวิถีของกระบี่หนักไร้คมกับวิชาสายฟ้าฟาดห้าธาตุซ้อนกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ ฟันลงไปจนตัวของเมิงซันยุบลงไปใต้ดิน

ลู่ฝานร่ายคาถาที่มือซ้าย มือขวาก็ฟันกระบี่หนักลงไป

พื้นดินมีไฟพวยพุ่งออกมา กระบี่หนักมีแสงสายฟ้าแทรกอยู่ ทำให้เมิงซันได้สัมผัสกับความเร็วทั้งหมดทั้งมวลสักครั้งหนึ่ง

จากนั้น ลู่ฝานก็พลิกมือ กระบี่มังกรเหิน!

กระบี่หนักไร้คมแทงทะลุหน้าอกของเมิงซัน

ใบหน้าที่ดำขลับเผยสีหน้าตกใจ ไม่อยากจะเชื่อสาย มีความไม่ยอม เมิงซันลืมตาโตมองดูลู่ฝาน

พลังในตัวของเมิงซันระเบิดออกมา ลู่ฝานทำลายทุกอย่างในตัวของเมิงซันอย่างไม่เกรงใจ

สะบัดมือ โยนเมิงซันทิ้งลงพื้นเหมือนก้อนขยะ

ใบหน้าของลู่ฝานมีเลือดสดติดหนึ่งหยด หันตัวมาราวกับเทพพิฆาต สายตามองไปที่เหมาอีอีกครั้ง

น่ากลัว!น่ากลัวมากจริง!

นักบู๊ระดับยอดแดนปราณนอกคนหนึ่ง พริบตาก็ตายด้วยเงื้อมมือของลู่ฝาน

ไม่เพียงโม่เทียน พวกเหมาอีก็ตกใจอึ้งไปเลย แม้แต่พวกลู่หาว ก็ตกใจพูดไม่ออก ตาค้างเป็นใบ้ไป

เหมาอีถอยหลังไปหลายก้าว เขาไม่เคยคิดเลยว่า มายังเมืองเจียงหลินดินแดนเล็กๆ จะได้เจอกับยอดฝีมือที่น่ากลัวแบบนี้

เหมาอีหันหลังคิดจะหนี แต่ลู่ฝานจะให้โอกาสเขาหนีได้อย่างไงกัน

ในกาย ก็มีค่ายกลปรากฏขึ้น เป็นค่ายกลหยินหยางที่ถูกเก็บอยู่ในตันเถียน

พอค่ายกลนี้ปรากฏขึ้น ตัวของเหมาอีก็ถูกจำกัดให้หยุดนิ่ง

ถึงแม้ค่ายกลในกายของลู่ฝาน จะเหลือพลังจากเดิมแค่ครึ่งเดียว แต่ก็ไม่ใช่นักบู๊อย่างเหมาอีจะต้านทานได้

ปราณหยินหยางรอบแรกของค่ายกลโจมตีไป ทำให้นักบู๊ที่มีพลังไม่ถึงแดนปราณในล้วนเป็นสลบไป

กระอักเลือดสดพุ่งออกมาจากปาก เลือดสดของเมิงซันถูกพลังปราณทำให้กลายเป็นหอกยาว แทงทะลุเสื้อปราณของลู่สวินเข้าไป จนทะลุต้นขาของลู่สวิน

ลู่สวินหันตหลับไปซัดฝ่ามือใส่เหมาอีจนกระเด็นลอยออกไป จากนั้นก็ออกฝ่ามือ โจมตีใส่ตัวของเมิงซันไม่ยั้ง

แต่ตอนนี้ตัวเมิงซันมีแสงสีเลือดสว่าง แต่พลังปราณของลู่สวินกลับไม่อาจทำลายเกราะเลือดพวกนี้ได้

เมิงซันก็รวบพลังสร้างเป็นหอกเลือดออกมาอีกครั้ง แล้วก็แทงไปอย่างแรง ทันใดนั้น ต้นขาอีกข้างของลู่สวินก็ถูกแทงทะลุ

ลู่สวินกระอักเลือดออกมา พลังอ่อนลงไปอย่างรวดเร็ว

นี่ก็คือความแข็งแกร่งของวิชาโลหิตพิฆาต ถ้าโจมตีถูกตัวฝั่งตรงข้าม ก็จะทำให้ฝั่งตรงข้ามเสียพลังอย่างรวดเร็ว

แสงสว่างในตาของลู่สวิน มืดมิดลงไปอย่างรวดเร็วแล้ว เมิงซันส่งเสียงไม่พอใจ แล้วก็จับตัวของลู่สวินยกขึ้น

“หยุดเดี๋ยวนี้!”

เมิงซันตะโกน เสียงดังสนั่นราวกับสายฟ้าฟาด จนทุกคนต้องหยุดอาวุธในมือตนเองกันหมด

เอามือบีบคอของลู่สวิน เมิงซันพูดออกมาว่า “คนตระกูลลู่ ยังไม่หยุดต่อต้านอีก อย่าทำให้เสียเวลาฉัน วางอาวุธลงให้หมด พวกนายยังพอมีโอกาสรอด ไม่อย่างนั้น ฉันจะเริ่มฆ่าจากหมอนี่ไปทีละคน”

ลู่เฮ่าหราน ลู่หาวกับคนอื่นก็มองดูลู่สวินที่ถูกบีบหอ สายตาก็เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง

ถ้าไม่มีลุงสวิน ยังจะมีใครที่สามารถต้านทานเมิงซันกับเหมาอีได้

ตระกูลลู่ไม่เหลือโอกาสให้พลิกกลับมาอีกครั้งแล้ว

โม่เทียนหัวเราะแล้วพูด “ถูกต้อง ยอมแพ้เสียตอนนี้ ฉันจะให้พวกนายรอดไปได้หลายๆ คน พอถึงตอนนั้นลู่ฝานกลับมา ฉันจะได้มีแต้มต่ออยู่ในมือ พวกนายดูสิว่า ใครจะยอมมาเป็นแต้มต่อให้ฉัน?”

โม่เทียนก็พูดไปตรงๆ อย่างไม่กลัว พวกลูกน้องของตระกูลโม่ที่เหลือก็หัวเราะกันขึ้นมา

เมิงซันออกแรงที่ฝ่ามือเล็กน้อย บีบคอลุงสวินจนหน้าแดงก่ำ ตัวกระตุกๆ

เพราะเรื่องบ้าๆ นี้ของตระกูลโม่ เขาเล่นเอาจนหมดความอดทน อีกอย่าง เขาก็ได้ทำผิดต่อความต้องการของซิงยวน ถ้าซิงยวนรู้เข้า พอเขากลับไปถึงสำนัก ต้องถูกลงโทษอีกแน่นอน

เมิงซันค่อนข้างร้อนรนไม่เป็นสุข สาดสายตาเย็นชากวาดมองไปทั่ว

ลู่หาวก้าวออกมาเป็นคนแรก ถึงแม้ตอนนี้แต่ละก้าวย่างของเขามันจะเจ็บปวดอย่างมาก แต่ลู่หาวก็ยังยืดตัวตรงเดินออกมา

“ตระกูลลู่ของเรา ถึงแม้จะไม่ใช่ตระกูลใหญ่ หรือตระกูลที่ฝึกวิถีบู๊จริงๆ จังๆ แต่พวกเราก็เป็นนักบู๊ อย่างอื่นเราไม่มี แต่เรามีร่างกายที่ไม่ยอมก้มหัวให้ใครง่ายๆ มีกระดูกที่ทุบไม่แตก ท่านสวิน ต้องขอโทษด้วย ผมช่วยชีวิดท่านไว้ไม่ได้ แต่ผมสามารถตายไปพร้อมกับท่านได้ ลูกน้องของตระกูลลู่ทั้งหลาย หยิบอาวุธของตนเองขึ้นมา สู้กันครั้งสุดท้าย!”

ลูกน้องของตระกูลลู่ทั้งหมดก็ตะโกนดังเหมือนเสียงสัตว์ป่า

ถูกบีบบังคับจนหมดหนทาง ก็เลยไม่ต่างจากสัตว์ป่าแบบนี้

เมิงซันยิ้มเย็น สะบัดมือพูดว่า “ไอ้พวกรนหาที่ตาย ฆ่าเลย ฆ่าให้หมดเลย!”

เหมาอีพูดอยู่ข้างๆ ว่า “ฆ่าอย่าให้เหลือ!”

พูดไป เมิงซันก็ใช้กำปั้นต่อยไปยังลุงสวินที่บีบคออยู่ เขาจะเอากำปั้นต่อยไปที่หัวของลุงสวินให้พวกนั้นได้เห็น ให้คนตระกูลลู่อันโง่เขลาได้รู้ ว่าอะไรเรียกว่า อำมหิต

พอต่อยลงไป ทันใดนั้นเมิงซันก็พบว่าต่อยไม่โดน

ในขณะเดียวกันลุงสวินที่บีบคออยู่ก็หายไป จ้องตามองดู ก็เห็นว่ามีหมาตัวใหญ่ตัวหนึ่งคาบลุงสวินไป

มันเร็วมาก พริบตาก็วิ่งเข้าไปในบ้านของตระกูลลู่ แล้ววางลุงสวินลง

“หมาบ้าที่ไหนกัน!”

เมิงซันกัดฟันพูด

และในตอนนี้เอง ก็มีเงาคนสองคนลงมาจากฟ้า แล้วร้อนลงตรงหน้าทุกคนอย่างเสียงดัง

“ในที่สุดก็มาทันจนได้!”

พอฝุ่นสลายไป สายตาของทุกคนก็มองไปยังสองคนที่โผล่เข้ามา

สิ่งที่เตะตาเลย ก็คือกระบี่หนักเล่มหนึ่ง พอพวกเขาเห็นชายที่แบกกระบี่หนักเล่มนี้นั้น เหล่าลูกน้องของตระกูลลู่ก็หลุดตะโกนกันออกมา

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 435
เมิงซันตะโกนออกมา:”รวมปราณ หมัดอสูร!”

พลังหมัดโจมตีออกมา มันรุนแรงมากๆ และต้านรับพลังของลู่สวินเอาไว้

ฝ่าเท้าของเขาจมลงไปบนพื้นดิน กล้ามเนื้อของเมิงซันผุดขึ้นมาและเส้นเลือดปรากฏ เหมาอีที่อยู่ข้างๆนั้นได้ใช้พลังปราณเปลี่ยนเป็นขวานยักษ์ และทุบใส่ร่างกายของลู่สวิน

ลู่สวินโดนโจมตีจนปลิวออกไป เสื้อปราณบนร่างกายเกือบจะแตกสลาย

เมิงซันหายใจแรงและพูดอย่างเย็นชา:”แกแน่มากๆ พวกเราไม่ไปหาเรื่องแก แต่แกกลับหาเรื่องเอง ถ้าวันนี้ฉันสังหารแกไม่ได้ ฉันจะไม่แซ่เมิงอีก!”

ตอนนี้เหมาอีกับเมิงซันโดนลู่สวินโจมตีและรู้สึกโกรธมากๆ พลังปราณของพวกเขาสองคนพุ่งสูงขึ้น เสื้อปราณของนักบู๊ยอดแดนปราณนอกก็ดูแข็งแกร่งมากๆ เมิงซันใช้พลังปราณเปลี่ยนเป็นดาบหัวผี เสื้อปราณที่อยู่บนร่างกายของพวกเขาสองคนค่อยๆกลายเป็นรูปสัตว์ ในเวลาเดียวกัน พวกเขาสองคนก็หยิบโอสถขึ้นมากิน ทำให้อาการบาดเจ็บในร่างกาย ฟื้นฟูกลับมาอย่างรวดเร็ว

ลู่สวินลุกขึ้นมาอย่างช้าๆ เมื่อมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น ทำให้เขารู้สึกผิดหวังมากๆ

ทุกอย่างมันสายไปแล้วใช่ไหม?

โอกาสเพียงแค่ครั้งเดียว แต่เขาไม่สามารถรักษามันไว้ได้ เขาไม่สามารถต่อสู้กับนักบู๊ยอดแดนปราณนอกสองคนและเอาชนะอีกฝ่ายได้

ตอนนี้เขาทำได้ดีที่สุดก็คือ ใช้ชีวิตของตัวเองดึงอีกฝ่ายตายด้วยกัน แต่ดีอีกฝ่ายตายได้แค่คนเดียวเท่านั้น!

สีหน้าของลู่สวินแน่วแน่มากๆ เขาหันหน้ากลับไปมองลู่เฮ่าหรานแล้วพูด:”รับปากฉัน คนของตระกูลลู่จะไม่โดนฆ่าล้างทั้งหมดเพราะการต่อสู้ครั้งนี้”

เมื่อพูดจบ ลู่สวินเผาพลังปราณของตัวเองทันที นี่คือการเดินพลังปราณย้อนกลับ ใช้ชีวิตตัวเองแลกกับพลังที่เพิ่มขึ้น

“สู้ตายจริงๆ ลูกหลานของตระกูลลู่ต้องตายอย่างสมศักดิ์ศรี ไม่ยอมคุกเข่าให้ศัตรู!”

ลู่สวินตะโกนคำพูดเหล่านี้ออกมา

ลู่เฮ่าหรานกัดฟันตัวเอง เขาโจมตีโม่เทียนอย่างบ้าคลั่ง

ลู่หาวกับลู่หมิงก็ต่อสู้จนเสื้อตัวเองเต็มไปด้วยเลือด ใบหน้าและดวงตาของพวกเขาก็มีแต่เลือดสด

จู่ๆด้านหลังของลู่หาว มีกระบี่ยาวปาดมาที่ลำคอของเขา ตอนนี้ลู่หาวกำลังพุ่งไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่ง ทำให้เขาไม่ทันได้สังเกตเห็นกระบี่นี้

เมื่อเขาสัมผัสถึงการเคลื่อนไหวที่อยู่ด้านหลังตัวเอง ทุกอย่างมันก็สายไปแล้ว

กระบี่ยาวทำลายพลังปราณที่เหลืออยู่ไม่มาก และโจมตีโดนลำคอของเขา วินาทีต่อมา ศีรษะของเขาคงถูกตัดขาด

อย่างไรก็ตาม จู่ๆกระบี่ยาวก็หยุดการเคลื่อนไหว

ลู่หาวหันหลังกลับไปมอง เขามองเห็นลู่เทียนกังใช้มือจับกระบี่ของอีกฝ่ายเอาไว้

ลู่เทียนกังที่เต็มไปด้วยบาดแผล ตะโกนออกมา:”หนีไปเร็วๆ!”

เมื่อพูดจบ ลู่เทียนกังกระแทกใส่อีกฝ่ายอย่างไม่คิดชีวิต ด้วยพลังอันน้อยนิดที่เหลืออยู่ของเขา แม้แต่พลังปราณก็ยังไม่มีเลย แต่เขากระแทกจนหน่วยกล้าตายคนนั้นถอยหลังไปหลายก้าว

อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นก็มีกระบี่แทงทะลุหัวใจของลู่เทียนกัง

ร่างกายของลู่เทียนกังแข็งทื่อไปเลย เขาขยับปากตัวเอง ดูเหมือนจะพูดคำว่า”หนีไป!”

จากนั้นลู่เทียนกังก็ล้มลงกับพื้นและเสียชีวิต

ลู่หาวมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น มือของเขาสั่นไหว ไม่ได้เป็นเพราะหวาดกลัวจนมือสั่น และเขาโกรธมากๆจนมือสั่นต่างหาก

ถึงแม้เขาจะไม่ค่อยชอบลู่เทียนกังที่ชอบทำตัวอวดดีและมีนิสัยเกเร เมื่อเห็นต้นไม้แล้วก็ถีบ แต่ยังไงซะ ลู่เทียนกังก็เป็นลูกหลานของตระกูลลู่ ตอนนี้เขายอมเสียชีวิตเพราะตระกูลลู่ด้วย

ลู่หาวตะโกนด้วยความโศกเศร้า เขาหันหลังและพุ่งเข้าไปต่อสู้กับลูกหลานของตระกูลโม่

ฆ่า! ฆ่า! ฆ่า!

ลู่สวินต่อสู้กับเมิงซันกับเหมาอี บริเวณที่ทั้งสามคนต่อสู้นั้น แค่พลังปราณที่พุ่งออกมาก็สังหารลูกหลานของตระกูลลู่กับลูกหลานของตระกูลโม่ไปหลายคนแล้ว

“ไอ้แก่ อยากสู้ตายใช่ไหม? แกคิดว่าพวกเราสำนักโลหิตพิฆาตไม่กล้าสู้ตายเหรอ? วิชาโลหิตพิฆาต หอกโลหิต!”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 434
ลู่หมิงฟันกระบี่ออกไปและสังหารลูกหลานสองคนของตระกูลโม่ เขาก้าวไปข้างหน้าและถีบอีกคนจนกระเด็นออกไป เขายกกระบี่ขึ้นมา แขนของเขามีเลือดสดไหลลงมาตลอด เขาตะโกนออกมา:”ฉันคือกระบี่พระหัตถ์ดำลู่หมิง ใครกล้ามาต่อสู้กับฉัน!”

คำพูดนี้ดูมีพลังมากๆ ลูกหลานจำนวนไม่น้อยของตระกูลโม่ที่อยู่ข้างๆลู่หมิง โดนคำพูดนี้สั่นสะเทือนสยบจนไม่กล้าพุ่งเข้าไปอีก

แต่ลูกหลานของตระกูลลู่นั้น มีความมั่นใจขึ้นมาทันที และต่อสู้อย่างไม่คิดชีวิต

ลู่หาวคนเดียวต่อสู้กับศัตรูสิบคน เขาสู้อย่างสุดชีวิตเหมือนกัน

เขาไม่สนใจกระบี่ที่แทงมายังหน้าอกของตัวเอง ลู่หาวต่อยหมัดใส่ศีรษะของลูกหลานตระกูลโม่คนนั้นศีรษะระเบิด

คนพวกนี้ต่างเป็นหน่วยกล้าตายของตระกูลโม่ ก่อนที่จะมาพวกเขาได้ทานโอสถพิเศษมาแล้ว ทำให้พลังของพวกเขาเพิ่มสูงขึ้นและเทียบเท่านักบู๊แดนปราณใน

ทั้งหมดมีสิบคน พวกเขาขัดขวางลู่หาวเอาไว้อย่างสุดกำลัง

ถึงแม้ลู่หาวจะเป็นนักบู๊แดนปราณในจริงๆ แต่โดนสิบคนล้อมเอาไว้ ทำให้เขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก

ในเวลานี้ ลู่หาวเริ่มต่อสู้อย่างไม่คิดชีวิตแล้ว เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีจากศัตรูสิบคน เขาไม่สนใจกระบี่สิบกว่าเล่มที่โจมตีลงมา เขาสังหารศัตรูไปคนหนึ่ง จากนั้นก็ถีบตันเถียนของศัตรูอีกคนหนึ่งจนแตกสลาย

ฉึก กระบี่ยาวสามเล่มแทงทะลุร่างกายของลู่หาว

ก่อนที่กระบี่จะแทงโดนร่างกายของลู่หาว เขาได้ขยับร่างกายเล็กน้อย ทำให้กระบี่ไม่ได้แทงโดนหัวใจ มิฉะนั้น เขาคงตายไปแล้ว

อ้า!

ลู่หาวตะโกนออกมาอย่างบ้าคลั่ง เขาดึงกระบี่ที่แทงทะลุร่างกายออกมา จากนั้นก็สังหารศัตรูไปอีกคนหนึ่ง

พลังการต่อสู้ที่น่ากลัวขนาดนี้ ทำให้ลูกหลานตระกูลโม่จำนวนมากหวาดกลัว

ในเวลาเดียวกัน ท่านสวินที่โดนเฟ่ยซิงและคนอื่นๆโจมตีอยู่ จู่ๆการเคลื่อนไหวของเขาก็รวดเร็วขึ้นหลายเท่า

“คลื่นยักษ์ ถาโถม!”

จู่ๆพลังปราณทั้งหมดบนร่างกายของลู่สวินปะทุออกมา เขาลงมือทันที ฝ่ามือของเขาโจมตีโดนนักบู๊แดนปราณนอกสองคนที่ต่อสู้กับเขา

ฝ่ามือสองอันนี้ทั้งเร็วและทรงพลังมากๆ ลู่สวินที่ดูอ่อนแอมากๆเมื่อสักครู่ แต่ตอนนี้พลังปราณของเขาแข็งแกร่งมากๆและพุ่งสูงถึงขั้นยอด

นักบู๊แดนปราณนอกสองคนที่โดนโจมตี ทำให้เสื้อปราณของพวกเขาโดนทำลายทันที พวกเขาโดนโจมตีจนศีรษะระเบิด ลู่สวินหันหน้ากลับมาและถีบร่างกายของเฟ่ยซิง ทำให้เฟ่ยซิงปลิวออกไปหลายสิบฟุต

“เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”

ทุกคนตกตะลึงมากๆ เมิงซันกับเหมาอีก็อึ้งเหมือนกัน

พวกเขาคิดไม่ถึงจริงๆ ลู่สวินที่บาดเจ็บสาหัสเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ตอนนี้อาการบาดเจ็บทั้งหมดหายดีแล้ว และพลังของเขาก็ฟื้นฟูทั้งหมดแล้ว

ลู่เฮ่าหรานมองไปยังทิศทางของลู่สวินหนึ่งครั้ง สีหน้าของเขามีแต่ความตื่นเต้นดีใจ

นี่คือประสิทธิภาพของโอสถพวกนั้น ท่านสวินโจมตีจนอีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว และสามารถสังหารนักบู๊แดนปราณนอกสองคนจนเสียชีวิต

จากนั้น ท่านสวินก็พุ่งเข้าไปหาเมิงซันกับเหมาอี

เขารู้ตัวดี เขามีโอกาสเพียงแค่ครั้งเดียว อาศัยตอนที่เมิงซันกับเหมาอีกำลังตกตะลึงอยู่ ใช้โอกาสนี้โจมตีพวกเขาสองคน

ถ้าสามารถสังหารเมิงซันกับเหมาอีได้ การต่อสู้ครั้งนี้ ตระกูลลู่ก็จะมีโอกาสได้รับชัยชนะ

ท่านสวินเผาเสื้อปราณที่อยู่บนร่างกาย เขากำลังจะต่อสู้แบบไม่คิดชีวิตแล้ว เขาพุ่งไปข้างหน้าและไม่คิดจะมีชีวิตรอดกลับมาด้วย

ตอนนี้เมิงซันกับเหมาอีปล่อยเสื้อปราณออกมาอย่างรีบร้อน แต่ท่านสวินต่อยโดนร่างกายของพวกเขาสองคนแล้ว

“วิชากายทองไฟอาบ หมัดเพลิงไฟ!”

ตูม! ตูม!

เสียงตูมดังขึ้น เมิงซันกับเหมาอีโดนโจมตีด้วยหมัดและปลิวออกไป พวกเขาสองคนกระอักเลือดสดออกมา

“สำเร็จแล้วเหรอ?”

มือของลู่เฮ่าหรานสั่นไหวทันที โม่เทียนหันหน้ากลับไปมอง

เมิงซันกับเหมาอีเหมือนก้อนหินขนาดใหญ่สองก้อนที่พุ่งออกไปคฤหาสน์ของตระกูลลู่ พวกเขากระแทกกับประตูจนเสียหายและตกลงพื้นทันที

กระเบื้องปูพื้นแตกสลาย เมิงซันกับเหมาอีโดนหมัดของลู่สวินต่อยจนหน้าอกยุบไปเลย

ทั้งสองคนพยายามลุกขึ้นมา ตอนนี้ลู่สวินได้พุ่งเข้ามาอีกครั้ง

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 433
เสียงตะโกนดังขึ้นตลอดเวลา คฤหาสน์ของตระกูลลู่โดนทำลายอีกครั้ง เดิมทีคฤหาสน์ที่ซ่อมเสร็จแล้ว ตอนนี้มันกลายเป็นซากปรักหักพังอีกครั้ง

พลังปราณพุ่งออกมาไม่หยุด เลือดสาดกระเซ็นไปทั่วท้องฟ้า มีคนเสียชีวิตอย่างต่อเนื่อง บางคนเป็นลูกหลานของตระกูลโม่ บางคนก็เป็นลูกหลานของตระกูลลู่

ในกลุ่มฝูงชน คนที่ว่างมากๆคงมีแค่เมิงซันกับเหมาอีเท่านั้น

ทั้งสองคนยืนอยู่อย่างเงียบๆ พวกเขาไม่ได้คิดจะลงมืออยู่แล้ว

ลูกหลานของตระกูลลู่ที่พุ่งเข้ามาถึงด้านหน้าของพวกเขา โดนเฟ่ยซิงกับคนอื่นไล่ไปหมดแล้ว

เมิงซันสองมือกอดอกและมองดู สีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

สถานที่อยู่ ไม่ไกล ลู่สวินโดนนักบู๊แดนปราณนอกสองคนขัดขวางอยู่ ทำให้เขาไม่สามารถออกมาช่วยเหลือคนของตระกูลลู่ได้

ตูม!

กำแพงอันหนึ่งโดนทำลายทันที การต่อสู้สุดชีวิตแบบนี้ ถึงแม้จะพยายามไม่ทำลายสิ่งของ แต่มันก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว

ยังดีที่ช่วงนี้ทุกคนในเมืองเจียงหลินรู้เรื่องการต่อสู้ระหว่างตระกูลลู่กับตระกูลโม่ ทำให้ชาวบ้านที่อยู่ใกล้คฤหาสน์ตระกูลลู่ต่างย้ายออกไปหมดแล้ว บนถนนแถวนี้ไม่มีใครอีกแล้ว ถึงแม้บ้านของประชาชนทั่วไปโดนทำลายก็ไม่เป็นไร

ลู่เฮ่าหรานกับโม่เทียนต่อสู้กับอย่างดุเดือด ถึงแม้ชายชราทั้งสองคนจะอายุมากแล้ว แต่พวกเขาลงมืออย่างรวดเร็วเหมือนกัน

พลังปราณพุ่งสูงขึ้น ต่อยหมัดออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน

ขณะต่อสู้อยู่ โม่เทียนหัวเราะเสียงดังและพูด:”ลู่เฮ่าหราน วิชากายทองไฟอาบของตระกูลลู่ยิ่งอยู่ก็ยิ่งอ่อนแอแล้ว แกควรเอาวิชานี้เข้าไปในโลงศพพร้อมกับแกจะดีกว่า จะได้ไม่ต้องเอามาขายหน้าต่อคนอื่น!”

ลู่เฮ่าหรานไม่พูดอะไรเลย แสงสีแดงที่อยู่บนร่างกายก็พุ่งสูงขึ้น

ถึงแม้เขาจะไม่สามารถปลดปล่อยเพลิงไฟออกมาได้เหมือนกับลู่ฝาน แต่อาศัยผิวหนังสีแดงอันนี้ ทำให้พลังป้องกันตัวของเขาแข็งแกร่งมากขึ้นเหมือนกัน

“หมัดทำลายล้าง!”

โม่เทียนต่อยหมัดใส่ร่างกายของลู่เฮ่าหราน

แต่ร่างกายของลู่เฮ่าหรานกลับไม่ได้ขยับเลย แสงสีแดงที่อยู่บนร่างกายส่องสว่าง และต้านรับหมัดของโม่เทียนเอาไว้ได้

ม่านตาของโม่เทียนหดตัวด้วยความตกใจ สีหน้าของเขาแย่มากๆ

ลู่เฮ่าหรานไม่สนใจอะไรเลย เขาต่อยหมัดออกไปเหมือนกัน

พลังหมัดอันน่ากลัวโจมตีจนโม่เทียนถอยหลังไปหลายก้าว เขามองเห็นหน้าอกของตัวเองที่ไหม้และเป็นรอยดำ

พลังปราณที่อยู่บนร่างกายของลู่เฮ่าหรานพุ่งสูงขึ้นอีกครั้ง ตอนนี้ดูเหมือนพลังของเขาใกล้จะทะลุถึงขั้นต่อไปแล้ว

โม่เทียนกัดฟันและพูด:”มันเป็นไปไม่ได้ พลังของแกจะเพิ่มสูงขึ้นในระยะเวลาสั้นๆแค่ไม่กี่วันได้ยังไง?”

ลู่เฮ่าหรานไม่ได้พูดอะไรออกมาเลย เขายังคงต้องการบอกโม่เทียนหรือ เขาได้สมุนไพรและโอสถจากลู่ฝาน

ลู่เฮ่าหรานปลดปล่อยพลังทั้งหมดออกมา โจมตีจนโม่เทียนถอยหลังตลอด ผ่านไปไม่นานมุมปากของโม่เทียนก็มีเลือดสดไหลออกมา

ส่วนอีกด้านหนึ่ง ลู่หมิงกับโม่หยุนเฟยก็ต่อสู้กับอย่างดุเดือดเช่นกัน

มีกระบี่เหล็กอยู่ในมือ เพลงกระบี่ของลู่หมิงเหมือนกับอสรพิษ และแทงร่างกายของโม่หยุนเฟยจนมีบาดแผลหลายแห่ง

โม่หยุนเฟยโดนโจมตีจนถอยหนีอย่างสุดชีวิต เขามองเห็นลู่หมิงยิ่งสู้ก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ โม่หยุนเฟยตะโกนทันที:”ส่งคนมาช่วยฉันหน่อย!”

มีลูกหลานกลุ่มหนึ่งของตระกูลโม่รีบพุ่งเข้ามาและปิดล้อมลู่หมิงเอาไว้ตรงกลาง

ลู่หมิงมองหน้าโม่หยุนเฟยด้วยสายตาเย็นชา:”ไอ้ขี้แพ้ อยากจะใช้คนเยอะมาเอาชนะฉันเหรอ?ฉันไม่เคยกลัวใครอยู่แล้ว เข้ามาได้เลย”

โม่หยุนเฟยมองเห็นบาดแผลที่อยู่บนร่างกาย เขาหายใจแรงและกัดฟันพูด:”ลู่หมิง แกอย่าอวดดีจนเกินไป ฉันรู้ว่าเพลงกระบี่ของแกไม่เลวเลย แล้วยังไง รีบๆสังหารลู่หมิงเดี๋ยวนี้ ฉันจะตัดศีรษะของมันไปแขวนไว้หน้าประตูของตระกูลลู่ เมื่อลู่ฝานกลับมามองเห็น ให้มันรู้ว่าการเป็นศัตรูกับตระกูลโม่ของเราจะมีจุดจบแบบไหน”

ลูกหลานจำนวนไม่น้อยของตระกูลโม่พุ่งเข้าไปและต่อสู้กับลู่หมิงทันที ภายในชั่วพริบตา ร่างกายของลู่หมิงก็เต็มไปด้วยบาดแผล

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 432
เหมาอีครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ เขารู้สึกว่าคงทำได้แค่นี้แหละ ดังนั้นเขาก็เลยพยักหน้าเบาๆ

การสนทนาของทั้งสองคน โม่หยุนเฟยและคนอื่นๆไม่ได้รับรู้ เพียงแต่รู้สึกว่าพวกเขาสองคนกระซิบอะไรบางอย่างอยู่?

พวกเขากำลังพูดเรื่องไม่ดีเกี่ยวกับตระกูลโม่เหรอ?

ขณะกำลังครุ่นคิดอยู่ ลู่เฮ่าหรานกับคนอื่นๆก็เดินออกมาแล้ว

ข้างๆเขายังมีลู่หาวกับลู่หมิงและคนอื่นๆ ทั้งสองฝ่ายยืนประจันหน้ากัน ใบหน้าเต็มไปด้วยรังสีฆ่าฟัน

โม่เทียนพูดด้วยรอยยิ้ม:”ลู่เฮ่าหราน ฉันคิดว่าคนของตระกูลลู่จะเป็นเต่าหัวหด และให้ลูกหลานหนีออกจากตระกูลลู่ซะอีก แต่คิดไม่ถึงจริงๆ พวกคุณยังมีความกล้ามากกว่าที่ฉันคาดคิดเอาไว้”

ลู่เฮ่าหรานพูดด้วยรอยยิ้มเย็นชา:”หนีออกจากตระกูลเหรอ?ตระกูลลู่ของเราอยู่ที่นี่มาหลายสิบปี พวกเราจะหนีได้ยังไง และมีอีกเรื่องหนึ่ง ถ้าพวกเราหนีออกจากเมืองเจียงหลิน พวกแกก็ไม่ต้องกังวลอะไรอีกแล้ว สามารถฆ่าพวกเราได้ตลอดเวลา”

โม่เทียนพูด:”แกพูดถูกแล้ว ถ้าออกจากเมือง ฉันไม่ไว้ชีวิตลูกหลานของตระกูลลู่แม้แต่คนเดียว”

สายตาของลูกหลานตระกูลลู่ทุกคนแดงก่ำ โม่หยุนเฟยพูดด้วยรอยยิ้ม:”โอเค ประลองบนเวทีได้หรือยัง?ลู่เฮ่าหราน รีบๆบอกให้ไอ้แก่ลู่สวินออกมา วันนี้คือวันตายของเขา”

เขายังไม่ทันได้พูดจบ ลู่สวินก็เดินออกมาแล้ว

เดิมทีลู่สวินมีใบหน้าที่ยิ้มแย้มและร่าเริง ตอนนี้ดูเหมือนเขาแก่ไปสิบกว่าปี สีหน้าของเขาขาวซีด เดินออกมาอย่างโซเซ ดูเหมือนเขาบาดเจ็บสาหัสและยังไม่ได้หายดี

เมื่อมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น เมิงซันกับเหมาอียิ้มออกมาทันที

อาการบาดเจ็บของลู่สวิน เป็นฝีมือของพวกเขาสองคน เมื่อมองจากตอนนี้ อาการบาดเจ็บของลู่สวินไม่ได้หายดีทั้งหมด พวกเขาไม่ต้องลงมือต่อสู้แล้ว แค่อาศัยเฟ่ยซิงและคนอื่นๆที่เป็นนักบู๊แดนปราณนอกขั้นต้นก็สามารถจัดการคนพวกนี้ได้แล้ว

“โม่เทียน ขึ้นไปประลองบนเวที ฉันคิดว่ามันไม่จำเป็นต้องประลองแล้ว พวกแกอยากจะฆ่าล้างตระกูลลู่ของเราไม่ใช่เหรอ?ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาแล้ว มาสู้ตายกันดีกว่า!”

สายตาของโม่เทียนมีแต่ความเย็นชาและพูด:”หึ แกอยากจะขยายการต่อสู้ไปยังที่อยู่ของประชาชนทั่วไปใช่ไหม?อยากจะพาฉันซวยไปด้วยใช่ไหม?แกฝันไปเถอะ วันนี้ฉันได้เชิญท่านจางจากจวนผู้เฝ้าเมืองมาดูการประลองที่นี่ ฉันทำตามกฎระเบียบทุกอย่างของจวนผู้เฝ้าเมือง ถึงแม้ฉันฆ่าล้างตระกูลลู่ของพวกแก ฉันก็ทำตามกฎระเบียบทุกอย่าง”

เมื่อพูดจบ โม่เทียนมองไปด้านหลัง มีชายชราหลังค่อมคนหนึ่งเดินออกมาและพูดด้วยรอยยิ้ม:”ฉันรับผิดชอบแค่จดบันทึกเท่านั้น ทุกอย่างให้ทำตามกฎระเบียบของจวนผู้เฝ้าเมือง”

“กฎระเบียบบ้าบออะไรอีก ทุกคนรู้ว่าแกเป็นพวกเดียวกันกับตระกูลโม่”

จู่ๆลู่เทียนกังที่อยู่ในฝูงชนก็ทนไม่ไหวอีกแล้ว

เขาดึงกระบี่ออกมาและพุ่งออกมา และฟันกระบี่ใส่ใบหน้าของชายชราคนนั้น

การโจมตีด้วยกระบี่ของลู่เทียนกังรุนแรงมากๆ ทำให้ชายชราแขนขาดไปข้างหนึ่ง

เลือดสาดกระเซ็น เรื่องนี้ทำให้โม่เทียนอึ้งไปเลย

จากนั้น โม่เทียนก็โบกมือและพูด:”ตระกูลลู่บ้าไปแล้ว แม้แต่คนของจวนผู้เฝ้าเมืองก็กล้าสังหาร ทุกคนมองเห็นแล้วใช่ไหม ตระกูลลู่ทำเรื่องชั่วช้ามากๆ ฆ่าล้างตระกูลลู่เดียวนี้!”

เมื่อได้ยินคำสั่ง ลูกหลานทุกคนของตระกูลโม่ก็พุ่งออกไปทันที

ลู่หาวกับลู่เฮ่าหรานตะโกนออกมาและพุ่งไปข้างหน้า จากนั้นก็เกิดการต่อสู้ขึ้น

ภายในชั่วพริบตา เกิดการต่อสู้อย่างดุเดือดขึ้น พลังปราณพุ่งออกมาไม่หยุด เลือดสดสาดกระเซ็นไปทั่วท้องฟ้า

เกิดเสียงดังระเบิดในคฤหาสน์ตระกูลลู่ไม่หยุด

ประชาชนทุกคนในเมืองเจียงหลินต่างมองมาที่นี่

“เห้อ ตระกูลโม่กับตระกูลลู่กำลังจะสู้ตายกันแล้ว น่าเสียดายจริงๆ ตระกูลลู่กำลังจะโดนฆ่าล้างตระกูลแล้ว!”

ประชาชนทั่วไปยืนอยู่บนถนนและสนทนากัน มีกฎหมายของประเทศอู่อานคอยปกป้อง พวกเขาไม่กลัวโดนลูกหลงอยู่แล้ว

แต่ในเวลานี้ มีเงาดำหนึ่งพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วราวกับลมพัดผ่าน

เมื่อหันหน้ากลับไปมอง ทุกคนมองเห็นคนสองคนกับสัตว์หนึ่งตัว กำลังวิ่งอยู่บนถนน

เขาคือ……

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 431
ห้าวันต่อมา หน้าประตูของตระกูลลู่

“ลู่เฮ่าหราน พาทุกคนในตระกูลลู่ออกมาตายได้แล้ว”

“ลูกหลานเต่าหัวหดของตระกูลลู่ รีบๆออกมาจากกระดองได้แล้ว วันนี้ฉันจะเหยียบพวกแกให้ตายทุกคน”

“ตระกูลลู่ของพวกแกเก่งมากไม่ใช่เหรอ?ลู่ฝานของพวกแกอยู่ไหนเหรอ ให้เขาออกมาเดี๋ยวนี้ เป็นสุดยอดอัจฉริยะได้ยังไง ตอนนี้ตระกูลตัวเองกำลังจะถูกฆ่าล้างแล้ว แต่เขายังไม่กล้าปรากฏตัวเลย ฉันคิดว่ามันก็เป็นแค่เศษสวะเท่านั้น!”

……

ตั้งแต่เช้า มีแต่เสียงคนด่าทอดังเข้าในคฤหาสน์ของตระกูลลู่ตลอดเวลา

ลูกหลานตระกูลโม่สิบกว่าคนออกมาท้าทายก่อน เมื่อพวกเขามาถึงก็ทำลายคฤหาสน์ของตระกูลลู่ทันที

มีลูกหลานหลายคนของตระกูลลู่ พวกเขาทนดูต่อไปไม่ไหวแล้ว พวกเขาจับดาบเอาไว้และพุ่งออกไปต่อสู้กับลูกหลานของตระกูลโม่

แต่เวลาผ่านไปสักพัก ลูกหลานของตระกูลลู่โดนโจมตีจนลงไปนอนกับพื้น ตายไปยังดีกง่ามีชีวิตอยู่

จากนั้น โม่เทียนกับโม่หยุนเฟยก็ปรากฏตัว

ข้างๆของพวกเขาสองคน มีนักบู๊รูปร่างกำยำตามอยู่ นักบู๊พวกนี้ใส่ชุดสีเลือด เข็มขัดมีลวดลายของกะโหลกสีเลือดอยู่ สองคนที่เป็นผู้นำ เข็มขัดมีสีเงินเล็กน้อยอยู่ ส่วนสามคนที่อยู่ด้านหลัง เข็มขัดมีสีบรอนต์ทองอยู่

โม่หยุนเฟยพูดกับนักบู๊เหล่านั้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

ใช่แล้ว นักบู๊เหล่านี้คือคนที่เขาพามาด้วย และเป็นอาจารย์ซิงยวนให้ยันต์กับเขา เพื่อให้เขาไปเชิญนักบู๊พวกนี้มาช่วย

ห้าคนนี้ พวกเขาเป็นคนของสำนักโลหิตพิฆาต

ตอนที่โม่หยุนเฟยไปเชิญห้าคนนี้มา เมื่อเขาเจอห้าคนนี้ ทำให้เขาตกใจกลัวมากๆ

ถ้าไม่มียันต์ของอาจารย์ซิงยวนอยู่ในมือ เขาคงโดนคนของสำนักโลหิตพิฆาตสังหารไปแล้ว

เขาอาศัยนักบู๊ห้าคนนี้ ทำให้ตระกูลโม่สามารถบีบบังคับตระกูลลู่ได้ถึงขนาดนี้

ตอนที่ตระกูลโม่กับตระกูลลู่เริ่มต่อสู้กันนั้น ตระกูลโม่เป็นฝ่ายเสียเปรียบตลอด

“ผู้อาวุโสเมิงซัน วันนี้คงต้องรบกวนพวกคุณอีกแล้ว ถ้าจัดการตระกูลลู่ได้แล้ว พวกเราจะจัดงานเลี้ยงฉลองต้อนรับพวกคุณสักสองสามวันในเมืองเจียงหลินอย่างแน่นอน”

คนที่ชื่อเมิงซันนั้น เขาคือหัวหน้าของนักบู๊จากสำนักโลหิตพิฆาต

เมิงซันสะบัดมือและพูด:”ไม่ต้องจัดงานเลี้ยงฉลอง แค่หาผู้หญิงสวยๆสักสองสามคนมานอนกับฉัน แค่นี้ก็พอแล้ว ฮ่าๆๆๆ……”

โม่หยุนเฟยหัวเราะออกมา แต่ในใจด่าบรรพบุรุษของคนๆนี้ไปหลายชั่วโคตรแล้ว ไม่รู้จริงๆว่าคนๆนี้ฝึกฝนถึงยอดแดนปราณนอกได้ยังไง

อีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆเมิงซันนั้น เป็นชายวัยกลางคนที่ชื่อเหมาอี เขาพูด:”ผู้เฝ้าเมืองของเมืองเจียงหลินมีกฎระเบียบเยอะมากๆ พูดกันตามตรง วันแรกที่พวกเรามาถึงที่นี่ พวกเราช่วยนายฆ่าล้างตระกูลลู่ให้สิ้นซากก็ได้แล้ว ทำไมยังต้องสร้างเวทีประลองชีวิตด้วย ค่อยๆสู้กันทีละคน ค่อยๆฆ่าทีละคน มันลำบากจริงๆ”

โม่เทียนพูดด้วยรอยยิ้ม:”พี่เหมา กฎระเบียบนี้ไม่ได้มีแค่ในเมืองเจียงหลินของพวกเราเท่านั้น ทั้งทั่วเขตตงหวา แม้แต่ครึ่งประเทศของประเทศอู่อานก็มีกฎระเบียบนี้อยู่เหมือนกัน ทั้งสองตระกูลมีความแค้นแค่ไหน จะต้องชำระความแค้นอย่างเปิดเผย จำเป็นต้องสร้างเวทีประลองขึ้นมาและต้องต่อสู้ทุกๆห้าวัน ฆ่าจนอีกฝ่ายยอมแพ้หรือตายไปทั้งหมด ถ้าไม่ทำตามกฎระเบียบละก็ อาจจะทำให้ตัวเองเดือดร้อนก็ได้ อย่างน้อยฉันก็ไม่อยากถูกจับไปเป็นทหารในจวนผู้เฝ้าเมืองและกลายเป็นทหารตัวเล็กๆด้วย

เหมาอีเปล่งเสียงไม่พอใจออกมา แต่เขาไม่ได้พูดอะไรอีก

จู่ๆเมิงซันที่อยู่ข้างๆก็พูดกับเหมาอีเบาๆ:”เหมาอี วันนี้พวกเราไม่ควรลงมือแล้ว ผู้อาวุโสซิงยวนมีคำสั่งลงมาให้พวกเรากลับไปได้แล้ว”

เหมาอีถามด้วยความตกใจ:”คำสั่งลงมาเมื่อไหร่?ถ้ากลับไปตอนนี้?ไม่ได้นะ”

เมิงซันพูด:”ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน แต่พวกเราต้องทำตามคำสั่ง ดังนั้นฉันก็เลยคิดว่า วันนี้พวกเรามาออกหน้าเฉยๆก็พอและพยายามไม่ลงมือประลอง ถ้าสุดท้ายแล้วไม่ได้จริงๆ พวกเราก็ส่งเฟ่ยซิงและคนอื่นๆลงไปประลองก็พอแล้ว”

จากนั้นลู่เฮ่าหรานก็ถามลู่หาว:”ให้นายไปถามที่ผู้เฝ้าเมือง สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง?”

เมื่อลู่หาวได้ยิน สีหน้าของเขาแย่มากๆ

“ผู้เฝ้าเมือง”ที่พูดถึงนั้น เขาคือเจ้าเมือง เป็นคนที่ประเทศอู่อานส่งมา เขาเป็นขุนนางของราชวงศ์ มีกองกำลังทหารและอำนาจอยู่ในมือ

ลู่หาวพูด:”ผู้เฝ้าเมืองโจวคนนี้เป็นคนที่ไม่ค่อยสนใจเรื่องอะไรเลย ฉันไปเพื่อถามเขา แต่เขาไม่ปล่อยฉันเข้าไปเลย ฉันโดนไล่ออกมา หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่ว ผู้เฝ้าเมืองพูดมาแค่คำเดียว ทุกอย่างทำตามกฎระเบียบ”

ลู่เฮ่าหรานรู้สึกโกรธมากๆและพูด:”ผู้เฝ้าเมืองโจวไม่ไว้หน้าพวกเราเลย คิดถึงแต่กฎระเบียบของตัวเอง เขาไม่สนใจความเป็นความตายของพวกเราอยู่แล้ว ถ้าบีบบังคับพวกเรามากจนเกินไป ก็ขยายการต่อสู้ไปยังที่อยู่ของประชาชนทั่วไปเลย เรื่องนี้เขาไม่ยุ่งก็ไม่ได้แล้ว”

ลู่หาวถอนหายใจออกมา เขารู้ว่าลู่เฮ่าหรานพูดคำเหล่านี้ออกมาด้วยความโกรธเท่านั้น

พวกเขากับตระกูลโม่จะต่อสู้กันดุเดือดแค่ไหน ต่อสู้กับเอาเป็นเอาตายแค่ไหน ถ้าพวกเขาส่งเอกสารความเป็นตายให้ผู้เฝ้าเมือง ถึงแม้พวกเขาจะต่อสู้กันจนตายไปหมด ผู้เฝ้าเมืองก็ไม่มายุ่งเรื่องนี้อยู่แล้ว แต่ถ้าพวกเขาขยายการต่อสู้ไปยังที่อยู่ของประชาชนทั่วไป ทำให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่ ผู้เฝ้าเมืองคงจะส่งทหารมากำราบพวกเขา เมื่อถึงตอนนั้น ทั้งสองตระกูลคงต้องสูญเสียอย่างหนัก ถึงแม้พวกเขาจะร้ายกาจแค่ไหน พวกเขาก็ต่อสู้กับขุนนางไม่ไหวอยู่แล้ว

“พอแล้ว ไม่ต้องพูดเรื่องนี้อีกแล้ว การโจมตีครั้งหน้าของตระกูลโม่น่าจะอีกห้าวันข้างหน้า พวกเขาต้องสร้างเวทีการประลองที่หน้าประตูของตระกูลลู่อย่างแน่นอน พวกเขาจะสังหารลูกหลานทั้งหมดของตระกูลลู่ให้ตายทีละคน ความหมายของฉันก็คือ การนั่งรอความตายแบบนี้ สู้พวกเขาลงมือสู้ตายจะดีกว่า พวกเราโจมตีตระกูลโม่โดยตรงเลย พยายามสังหารอีกฝ่ายให้ได้มากที่สุด บางทีวิธีนี้อาจจะเป็นทางรอดเดียวของพวกเราก็ได้”

สายตาของลู่เฮ่าหรานมีแต่ความแน่วแน่ เขาพูดความคิดของตัวเองออกมา

ลู่หาวและคนอื่นๆก็ตกตะลึงกับความคิดของลู่เฮ่าหรานมากๆ ด้วยพลังที่พวกเขามีอยู่ในตอนนี้ อยากจะแลกชีวิตของอีกฝ่ายในเวทีการประลองอีกห้าวันข้างหน้า มันคงเป็นเรื่องที่ยากมากๆ ถ้าตอนนี้โจมตีตระกูลโม่จริงๆ พวกเขาไม่ต่างอะไรกับลูกแกะตัวเล็กๆที่พุ่งเข้าไปหาพญาเสือเลย

ทุกคนไม่ได้พูดอะไรออกมา ลู่เฮ่าหรานมองเห็นความหวาดกลัวจากสายตาของพวกเขา

“พวกคุณมีความคิดเห็นยังไง?”

ลู่เฮ่าหรานถามอีกครั้ง ผ่านไปสักพัก แต่กลับไม่มีคนตอบ

ลู่เฮ่าหรานลุกขึ้นมาและตะโกนออกมา:”ตระกูลลู่ของพวกเรากลายเป็นพวกขี้แพ้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”

ลู่หมิงกัดฟันและพูด:”คุณปู่ ให้พวกเราไปหาลู่ฝานเถอะ ถ้าเขากลับมา ทุกอย่างก็จะเปลี่ยนไป”

คำพูดของลู่หมิง ทำให้สายตาของทุกคนที่อยู่ในนี้เปล่งประกาย พวกเขาเคยได้ยินความแข็งแกร่งของลู่ฝานจากลู่หมิงมาแล้ว

ลู่เฮ่าหรานส่ายหัวและพูด:”ไม่ได้ ลู่ฝานคือความหวังสุดท้ายของตระกูลลู่ พวกเราไม่ควรดึงเขามาตายพร้อมกับพวกเรา ฉันรู้ว่าตอนนี้ลู่ฝานร้ายกาจมากๆ แต่เขาจะร้ายกาจยังไงก็คงสู้นักบู๊ยอดแดนปราณนอกไม่ได้อยู่แล้ว อีกฝ่ายมีนักบู๊ยอดแดนปราณนอกตั้งสองคน เขากลับมาก็คงไม่มีประโยชน์อะไรเลย เรื่องนี้ห้ามพูดออกมาอีก ฉันหวังว่าพวกคุณจะไม่เขียนจดหมายหรือส่งคนไปบอกเรื่องนี้กับลู่ฝาน ในเมื่อพวกแกไม่อยากจะไปสังหารคนของตระกูลโม่พร้อมกับฉัน ถ้างั้นก็รอการต่อสู้กับตระกูลโม่ที่จะเกิดขึ้นในเวทีประลองอีกห้าวันข้างหน้าก็แล้วกัน”

เมื่อพูดจบ ลู่เฮ่าหรานลุกขึ้นและจากไป ทุกคนมองเห็นความโศกเศร้าจากแผ่นหลังของเขา

ลู่เฮ่าหรานเดินอย่างช้าๆ เมื่อเดินมาถึงเรือนเก็บหนังสือของตระกูลลู่ เขาก็มองเห็นท่านสวินกำลังยืนอยู่ในลานสนามหน้าเรือเก็บหนังสือ

“ท่านสวิน ท่านกำลังมองอะไรอยู่เหรอ?”

ท่านสวินพูดเบาๆ:”ฉันกำลังมองว่าสวรรค์ต้องการให้ตระกูลลู่ของเราสูญสลายไปหรือเปล่า”

เมื่อลู่เฮ่าหรานได้ยิน เขาก็เงยหน้าและมองท้องฟ้า

ท้องฟ้ายามค่ำคืนที่เงียบสงัด ไม่มีพระจันทร์เลย แต่มีดาวตกอันหนึ่งพุ่งผ่านไป

ในเวลาเดียวกัน ในตระกูลลู่ที่อยู่ในเมืองเจียงหลิน

เต็มไปด้วยซากปรักหักพังและเปื้อนเลือด เดิมทีคฤหาสน์ที่ดูสะอาดสะอ้านนั้น ตอนนี้มันเหมือนสนามที่พึ่งผ่านการสู้รบมา

ลูกหลานของตระกูลลู่กลุ่มหนึ่งกำลังกวาดพื้นอยู่ บนร่างกายของทุกคนมีแต่บาดแผลและผ้าพันแผล ไม่มีใครไม่ได้รับบาดเจ็บเลย

ด้านหลังคฤหาสน์ มีเพียงลานเล็กๆที่ไม่ได้ถูกทำลาย มันคือลานเล็กๆที่ลู่ฝานเคยอยู่

แน่นอนว่า ลานเล็กๆอันนี้ ตอนนี้มันสวยงามมากๆและประณีตมากๆด้วย

ด้านในลานเล็กๆแห่งนี้มีโต๊ะหินวางอยู่ และยอดฝีมือที่เหลืออยู่ของตระกูลลู่ทั้งหมดต่างนั่งอยู่ตรงนี้

ลู่เฮ่าหราน ลู่หาว ลู่หมิงกับลู่เทียนกังต่างอยู่ในนี้

ทั้งหมดสามสิบคน ถึงแม้พวกเขาจะได้รับบาดเจ็บ แต่เมื่อเทียบกับลูกหลานที่อยู่ด้านนอก พวกเขาบาดเจ็บน้อยกว่าเยอะ

อย่างน้อยคนที่อยู่ตรงนี้ ร่างกายของพวกเขายังมีรังสีฆ่าฟันอยู่ ราวกับพวกเขาสามารถสู้ตายกับศัตรูได้ทุกเมื่อ

“ลู่หมิง โอสถและสมุนไพรยังเหลืออยู่เท่าไหร่ เอามันออกมาให้หมด”

สายตาของลู่เฮ่าหรานเปล่งประกาย เขาใช้นิ้วเคาะที่โต๊ะหิน

ลู่หมิงหยิบกระเป๋าที่อยู่ข้างๆออกมา วางลงบนโต๊ะแล้วเปิดออก เมื่อทุกคนมองเห็นโอสถและสมุนไพรเหล่านี้ ลูกหลานของตระกูลลู่ที่อยู่ในนี้ต่างก็หายใจเร็วด้วยความตกตะลึง

โอสถไม่ต้องพูดถึงแล้ว เพราะลูกหลานส่วนใหญ่ของตระกูลลู่พึ่งเคยเห็นโอสถและขวดยานัตถุ์เป็นครั้งแรก

แค่สมุนไพรที่อยู่ตรงนี้ ทำให้ดวงตาของพวกเขาแดงก่ำและกลืนน้ำลายไม่หยุด

ลู่หาวหันหน้ากลับไปและมองคนพวกนี้ด้วยสายตาที่เย็นชามากๆ ทำให้ลูกหลานที่กำลังคิดไม่ดีอยู่ พวกเขาหยุดความคิดชั่วๆพวกนั้นทันที

ลู่เฮ่าหรานพูดด้วยสีหน้าปกติ:”สมุนไพรและโอสถพวกนี้ คือสิ่งที่อาศัยสุดท้ายของตระกูลลู่แล้ว ตอนนี้ฟังฉันแบ่งสมุนไพรพวกนี้ให้ดีๆ ลู่หมิงหยิบสมุนไพรสามชนิดไปให้พ่อของนาย ลู่เฟิงบาดเจ็บสาหัส ต้องช่วยเขาฟื้นฟูอาการบาดเจ็บให้ได้ ลู่หมิงหยิบสมุนไพรสองชนิด เอาไว้ปกป้องตัวเองหรือเอาไว้เพิ่มพลังก็ดี นายต้องการสมุนไพรพวกนี้อยู่แล้ว ลู่หาวก็หยิบสมุนไพรไปสองชนิด สำหรับคนอื่นๆ คนที่สังหารลูกหลานของตระกูลโม่ได้หนึ่งคน ก็สามารถหยิบสมุนไพรได้หนึ่งชนิด”

เมื่อได้ยินการแบ่งสมุนไพรแบบนี้ ทำให้ลูกหลานของตระกูลลู่พยักหน้าทันที

ลู่เฟิงหยิบสมุนไพรไปสามชนิด ไม่มีใครกล้าพูดอะไรเลย ถ้าไม่มีลู่เฟิงเอาชนะโม่หลินจนอีกฝ่ายบาดเจ็บสาหัส การต่อสู้ครั้งนี้ ไม่รู้ว่าจะต้องมีลูกหลานของตระกูลลู่มากแค่ไหนที่ต้องเสียชีวิตด้วยน้ำมือของโม่หลิน สำหรับความแข็งแกร่งของลู่หาวกับลู่หมิง ทุกคนมองเห็นกับตาตัวเอง พวกเขาเป็นกำลังสำคัญของตระกูลลู่ พวกเขาเอาสมุนไพรไปสองชนิด มันไม่ใช่ปัญหาอยู่แล้ว

สำหรับคนอื่นๆ เมื่อสังหารลูกหลานของตระกูลโม่ได้คนหนึ่ง ก็สามารถหยิบสมุนไพรได้หนึ่งชนิด รางวัลครั้งนี้มันเยอะมากๆ สำหรับพวกเขาแล้ว พวกเขายอมแลกด้วยชีวิตอย่างแน่นอน

แต่ก็มีลูกหลานของตระกูลลู่ที่ไม่รู้จักประมาณตน พวกเขาอยู่ในฝูงชนและถามออกมา:”เจ้าบ้าน แล้วโอสถที่เหลืออยู่ละ?”

ลู่เฮ่าหรานพูดเบาๆ:”โอสถที่เหลืออยู่ จะเอาทั้งหมดมอบให้ท่านสวิน”

เมื่อได้ยินคำว่าท่านสวิน ทุกคนปิดปากเงียบทันที

เดิมทีในลูกหลานของตระกูลลู่ มีคนน้อยมากๆที่รู้ว่าท่านสวินที่เฝ้าเรือนเก็บหนังสือนั้นเป็นสุดยอดฝีมือคนหนึ่ง

การต่อสู้กับตระกูลโม่อย่างในครั้งนี้ จู่ๆท่านสวินก็ลงมือและพลังของเขาก็ทำให้ทุกคนตกตะลึง ทำให้ลูกหลานทุกคนของตระกูลลู่รู้ทันที ในตระกูลลู่ยังมียอดฝีมือยอดแดนปราณนอกอยู่

การต่อสู้ครั้งนี้อาศัยท่านสวิน ถึงทำให้ตระกูลลู่สามารถรอดมาได้ถึงตอนนี้

ไม่รู้ว่าตระกูลโม่ไปหาคนมาจากไหน พวกเขามียอดฝีมือยอดแดนปราณนอกสองคน และมีนักบู๊แดนปราณนอกขั้นต้นอีกสามคน ทำให้ตระกูลลู่ไม่มีทางรับมือได้เลย

หลายวันที่ผ่านมา ลูกหลานตระกูลลู่เสียชีวิตตลอดเวลา ทำให้ตระกูลลู่เกือบจะโดนฆ่าล้างตระกูลแล้ว

เมื่อมองเห็นทุกคนไม่ได้คัดค้าน ลู่เฮ่าหรานก็พยักหน้าเบาๆ

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 428
สีหน้าของอาจารย์อี้ชิงมีแต่ความโกรธและพูด:”ซิงยวนสารเลวมากๆ เป็นถึงนักบู๊แดนปราณฟ้า แต่กลับใช้วิธีสกปรกแบบนี้ ลู่ฝาน นายกลับไปได้เลย อย่างไรก็ตาม นายกลับไปคนเดียวก็ไม่ปลอดภัย ให้หานเฟิงเดินทางไปพร้อมกับนาย พวกคุณสองคนจะได้ช่วยเหลือกันได้ หานเฟิง ตอนที่นายออกจากสำนัก นายต้องเอาสัญลักษณ์ตระกูลไปด้วย ถ้ายามจำเป็น นายก็ช่วยเหลือศิษย์น้องด้วย”

หานเฟิงรู้สึกโกรธมากๆ จากคำพูดที่ลู่ฝานพูดออกมาเมื่อสักครู่ เขาได้ด่าบรรพบุรุษสิบแปดชั่วโคตรของอาจารย์ซิงยวนไปแล้ว

ตอนนี้เมื่อได้ยินคำพูดของอาจารย์อี้ชิงแล้ว แต่เขาก็ยังคงด่าพึมพำอยู่

“ไอ้สารเลว ไอ้ชั่ว ไร้ยางอายชัดๆ เขายังมีหน้ามาเป็นอาจารย์อีกเหรอ ฉันอยากจะถ่มน้ำลายใส่บรรพบุรุษของมันจริงๆ อาจารย์วางใจได้ ฉันจะไปพร้อมกับศิษย์น้องลู่ฝานด้วย ฉันได้เอาสัญลักษณ์ตระกูลเอาไปด้วยอยู่แล้ว อย่าว่าแต่เขตตงหวาเลย แม้แต่ประเทศอู่อานก็ต้องไว้หน้าตระกูลของฉันบ้าง อีกอย่างหนึ่ง พวกเขาก็ต้องไว้หน้าฉันเหมือนกัน ศิษย์น้องลู่ฝาน อย่าชักช้าเลย พวกเราออกเดินทางกันเถอะ ยิ่งถึงตระกูลเร็วหน่อยก็ยิ่งวางใจเร็วหน่อย”

ขณะที่หานเฟิงพูดอยู่ เขาก็รีบกลับไปเก็บกระเป๋าเพื่อเดินทาง

อาจารย์เต้ากวงพยักหน้าและพูด:”เอาอย่างนี้เลย พวกคุณสองคนออกเดินทางคืนนี้เลย จะได้ถึงตระกูลลู่เร็วๆ เดี๋ยวฉันกับอี้ชิงจะไปหาท่านผอ. การกระทำที่น่าเกลียดแบบนี้ ยังไงซะซิงยวนก็ต้องโดนลงโทษบ้าง ลู่ฝานวางใจได้ มีอาจารย์อยู่ อาจารย์จะคืนความยุติธรรมให้นายอย่างแน่นอน”

ลู่ฝานพยักหน้าเบาๆและโค้งคำนับด้วยสีหน้าปกติ จากนั้นก็รีบออกไปเก็บข้าวของ

ฉู่สิงกับฉู่เทียนและศิษย์พี่ใหญ่ สีหน้าของพวกเขาสามคนเต็มไปด้วยความโกรธ

ผ่านไปสักพัก ศิษย์พี่ใหญ่ลุกขึ้นและพูด:”ฉันจะออกไปเดินเที่ยว พวกคุณอย่าตามฉันไป”

อาจารย์อี้ชิงรู้ดีว่า”เดินเที่ยว”ที่ศิษย์พี่ใหญ่พูดออกมานั้น มันคือการไปหาเรื่องคณะหยินหยาง แต่เขาไม่ได้พูดอะไรและไม่ได้ขัดขวางศิษย์พี่ใหญ่

ศิษย์พี่ฉู่เทียนไม่พูดอะไรออกมาเลย เขายืนขึ้นและหันหลังแล้วเดินออกไป

เดิมทีฉู่สิงก็อยากจะลุกขึ้น แต่โดนอาจารย์อี้ชิงขัดขวางเอาไว้

“นายยังบาดเจ็บสาหัสอยู่ อย่าเดินไปไหนมาไหนส่งเดช”

ฉู่สิงกัดฟันแล้วพูด:”อาการบาดเจ็บของฉัน ไม่ควรจะมาอยู่ในช่วงเวลานี้เลย”

ลู่ฝานเดินกลับมาถึงห้องพัก สิ่งของอย่างอื่นไม่ต้องเก็บกลับไปที่ตระกูล มีเพียงวิชาหลายๆเล่มและข้อคิดด้านการฝึกฝนที่เขาเขียนด้วยมือตัวเอง สิ่งของเหล่านี้เขาต้องนำติดตัวไปด้วย

หลังจากเก็บของเสร็จแล้ว ขณะที่ลู่ฝานกำลังออกจากห้องพัก เขาก็มองเห็นฮ่วนเย่ว์ยืนขวางอยู่หน้าประตู

ฮ่วนเย่ว์ขมวดคิ้วและพูด:”ทำไม ฉันพึ่งมาถึง นายก็จะจากไปเลย ฉันเป็นตัวน่ารำคาญขนาดนั้นเลยเหรอ?”

ลู่ฝานพูดด้วยสีหน้าปกติ:”เกิดเรื่องบางอย่างกับตระกูลของฉัน ฉันต้องกลับไปคืนนี้ ถ้ากลับมาแล้วฉันจะมาเลี้ยงข้าวเธอ ช่วงนี้เธอก็พักที่ห้องของฉันไปก่อน”

ฮ่วนเย่ว์พูดด้วยสีหน้าตกตะลึง:”เกิดเรื่องไม่ดีกับตระกูลของนายเหรอ?ใครเป็นคนทำ ต้องการให้ฉันช่วยไหม?”

ลู่ฝานส่ายหัวเบาๆ แต่เขาไม่ได้พูดอะไรออกมา

ศิษย์พี่หานเฟิงที่อยู่ด้านนอกก็เก็บข้าวของเสร็จแล้ว เขาตะโกนทันที:”ศิษย์น้องลู่ฝาน พวกเราออกเดินทางกันเถอะ”

ลู่ฝานพยักหน้าและเดินออกไป เมื่อเจ้าดำมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น มันก็รีบตามออกไป ลู่ฝานลูบศีรษะของเจ้าดำเบาๆและเดินออกไปอย่างรวดเร็ว

มองดูแผ่นหลังของลู่ฝาน ทำให้ฮ่วนเย่ว์กัดปากตัวเองเบาๆ

หลังจากเธอหันหน้ากลับไป ก็มองเห็นอาจารย์อี้ชิงกับอาจารย์เต้ากวงบินขึ้นไปบนท้องฟ้า

ศิษย์พี่ใหญ่อู๋เหวยกับศิษย์พี่รองฉู่เทียนก็หายตัวไป เหลือแค่ฉู่สิงคนเดียวเท่านั้น

ฮ่วนเย่ว์รีบเดินเข้าไป เธอลากแขนของฉู่สิงเอาไว้และพูด:”พวกเขาไปทำอะไรเหรอ?”

ฉู่สิงเอ่ยปากพูด:”พวกเขาไปแก้แค้นให้ศิษย์น้องลู่ฝาน”

ฮ่วนเย่ว์ยืนอยู่กับที่ จู่ๆเธอก็ตัดสินใจได้ทันที และหยิบกระดาษออกมาจากซายเสื้อ จากนั้นพับเป็นนกกระเรียนและโยนออกไป

นกกระเรียนกระดาษกลายเป็นแสงและพุ่งออกไป จากนั้นก็หายไปเลย

ฮ่วนเย่ว์พูดพึมพำ:”ช่วยเขาสักครั้งก็แล้วกัน อืม อนาคตพวกเราก็จะเป็นลูกศิษย์คณะเดียวกันแล้ว ถ้าเรื่องที่ช่วยได้ก็ควรช่วย อาจารย์น่าจะไม่โทษฉันอยู่แล้ว”

ขณะพูด สีหน้าของฮ่วนเย่ว์เต็มไปด้วยรอยยิ้ม สายตาของเธอเปล่งประกายทันที

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 427
เสียงดีใจและเสียงผิดหวังดังขึ้นพร้อมกัน ความสุขและความทุกข์ก็ปะปนกันไป

คืนนี้ในสถาบันสอนวิชาบู๊มีคนดีใจและมีคนเสียใจเช่นกัน ในสถาบันสอนวิชาบู๊มีแต่คนสนทนาเรื่องที่คณะหนึ่งเดียวเอาชนะคณะหยินหยางได้ ดูเหมือนเรื่องนี้คงจะสนทนาไปอีกหลายวัน

ตอนบ่ายของวันนั้น อาจารย์อี้ชิงก็ไปเอาหอเก็บวิชาจากคณะหยินหยางแล้ว

ใช่ เขาเอาไปแล้ว

อาจารย์อี้ชิงกับอาจารย์เต้ากวงร่วมมือกัน พวกเขาดึงหอเก็บวิชาของคณะหยินหยางออกจากพื้นดิน ต่อหน้าทุกคน พวกเขาสองคนแบกหอเก็บวิชาและบินจากไป ทำให้พื้นดินกลายเป็นหลุมขนาดใหญ่

เรื่องที่เกิดขึ้น ทำให้ลูกศิษย์จำนวนมากของคณะหยินหยางร้องไห้ออกมา และมีลูกศิษย์จำนวนไม่น้อยของคณะหยินหยางรู้สึกโศกเศร้า

ยังไงซะ วันนี้ก็คือวันที่อัปยศที่สุดของคณะหยินหยาง

หลังจากการประลองแล้ว อาจารย์ซิงยวนพาเอี๋ยนชิงเก็บตัวฝึกฝนทันที

พวกเขาเก็บตัวฝึกฝนที่ไหน เรื่องนี้ไม่มีใครรู้อยู่แล้ว

ด้านในคณะหยินหยาง เต็มไปด้วยเสียงคร่ำครวญและโศกเศร้า หลังจากการประลองของลู่ฝานกับเอี๋ยนชิงแล้ว ทำให้บ้านพักโดนทำลายไปเยอะมากๆ

คณะหยินหยางในเวลานี้ มองดูแล้วเหมือนพึ่งผ่านภัยพิบัติธรรมชาติมาเลย

ลูกศิษย์จำนวนมากของคณะหยินหยางร้องไห้ออกมาทันที

“ค่ายกลหยินหยางโดนทำลาย หอเก็บวิชาโดนแย่งไป การดำรงอยู่ของคณะหยินหยางยังมีความหมายอีกเหรอ”

“คณะหนึ่งเดียวรังแกพวกเรามากเกินไปแล้ว พวกเราไปสู้ตายกับคณะหนึ่งเดียวเลย”

“ช่างมันเถอะ คณะหนึ่งเดียวชนะอย่างเปิดเผยและใสสะอาด พวกเราจะเอาเหตุผลอะไรไปสู้ตายกับพวกเขา”

“เห้อ คณะหยินหยางเจริญรุ่งเรืองมาร้อยปีแล้ว ตอนนี้มันถึงเวลาเสื่อมโทรมแล้ว”

ในคณะหยินหยางมีแต่ลูกศิษย์ถอนหายใจไม่หยุด มีลูกศิษย์จำนวนมากนั่งอยู่ในห้องและไม่พูดอะไรเลย พวกเขากำลังครุ่นคิดว่าจะเอายังไงต่อจากนี้

ถึงแม้ตอนนี้คณะหยินหยางยังเป็นคณะอันดับสองอยู่ แต่ทุกคนก็มองออกอย่างชัดเจน คณะหยินหยางได้เข้าสู่ช่วงเสื่อมโทรมแล้ว ไม่มีค่ายกลค่อยปกป้องและไม่มีหอเก็บวิชาอีก ตอนนี้คณะหยินหยางเหลือแค่เปลือกนอกเท่านั้น ไม่ช้าก็เร็ว คณะหยินหยางก็จะถูกคณะอื่นๆแซงหน้า

มีลูกศิษย์จำนวนมากเริ่มคิดถึงอนาคตของตัวเอง สามารถคาดเดาได้เลย เมื่อถึงเช้าวันรุ่งขึ้น จะมีลูกศิษย์เยอะขนาดไหนที่ออกจากคณะหยินหยาง

ตอนนี้พวกเขาไม่สามารถใช้ชื่อเสียงของคณะหยินหยางมาอวดดีอีกแล้ว พวกเขาไม่สามารถใช้ฐานะลูกศิษย์ของคณะหยินหยางและรู้สึกภาคภูมิใจได้อีกแล้ว

ชื่อเสียงได้จากไปแล้ว พวกเขาเหมือนตกลงมาจากสวรรค์ สิ่งที่เหลืออยู่นั้น มีเพียงตัวเองเท่านั้นที่รู้

ในคณะหนึ่งเดียว

ทุกคนนั่งล้อมวงกัน ในลูกศิษย์ห้าคนของคณะหนึ่งเดียว ตอนนี้ได้เพิ่มลูกศิษย์มาอีกหนึ่งคนแล้ว เธอก็คือฮ่วนเย่ว์ที่พึ่งเข้ามาในคณะหนึ่งเดียว

“โอโห นี่คือคณะหนึ่งเดียวเหรอ อืม เป็นสถานที่ไม่เลวเลย ถ้าพูดจากคำพูดของอาจารย์ฉัน ตรงนี้เหมือนสถานที่ฝึกฝนมากกว่า คืนนี้ให้ฉันนอนที่ไหนเหรอ?”

ฮ่วนเย่ว์มองบริเวณรอบๆและพยักหน้าไม่หยุด

เจ้าดำนอนอยู่หน้าประตูห้องพักของลู่ฝาน เมื่อมันมองเห็นฮ่วนเย่ว์ สีหน้าของมันเต็มไปด้วยความสงสัย

ลู่ฝานและคนอื่นๆไม่ได้สนใจฮ่วนเย่ว์เลย พวกเขานั่งล้อมวงอยู่บนโต๊ะ และฟังลู่ฝานเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้อย่างเงียบๆ

สถานการณ์ไม่ได้เหมือนอย่างที่คนอื่นๆคาดเดา หลังจากลู่ฝานและคนอื่นๆกลับมาถึงคณะหนึ่งเดียวแล้ว สีหน้าของพวกเขาไม่ได้แสดงความดีใจออกมาเลย ในทางตรงกันข้าม สีหน้าของพวกเขามีแต่ความโกรธ

หอเก็บวิชาที่เอากลับมานั้น โดนโยนทิ้งไว้หลังห้องพักราวกับมันเป็นเศษขยะ หอเก็บวิชาเอียงไปเอียงมาและอาดจะพังทลายได้ทุกเวลา

แต่เรื่องนี้ ไม่มีใครสนใจเลย พวกเขากำลังฟังลู่ฝานเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่

“……ซิงยวนใช้ชีวิตทุกคนในตระกูลมาข่มขู่ฉัน ฉันจนปัญหาจริงๆ ฉันก็เลยต้องไว้ชีวิตเอี๋ยนชิง อาจารย์ ฉันอยากจะลาหยุดสักพัก คืนนี้ฉันจะกลับไปที่ตระกูล ฉันหวังว่าอาจารย์จะอนุญาต”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 426
ลู่ฝานอึ้งไปเลย

คนที่อึ้งพร้อมกับลู่ฝานนั้น ยังมีอาจารย์ซิงยวนที่ยืนอยู่บนท้องฟ้าด้วย

ใบหน้าของอาจารย์ซิงยวนที่เผยรอยยิ้มออกมาเมื่อสักครู่ ตอนนี้มันกลายเป็นหน้าของคนซื่อบื้อที่โดนฟ้าผ่าและยืนอึ้งไปเลย

สีหน้าของท่านผอ.แปลกประหลาดมากๆ เด็กผู้หญิงคนนี้ เขาก็ไม่กล้าผิดใจกับเธอเหมือนกัน

อืม เธอจะทำอะไรก็แล้วแต่เธอเลย อย่าเข้าไปยุ่งจะดีกว่า

ลู่ฝานกลืนน้ำลายตัวเองและพูด:”เธอคิดจะทำอะไร?เธอจะให้ฉันรับปากเรื่องอะไร?”

ฮ่วนเย่ว์เผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาและพูด:”ฉันอยากจะเข้าคณะหนึ่งเดียว มันไม่ใช่ปัญหาใหญ่เลย ถ้านายทำได้ ฉันจะยอมแพ้ทันที”

ในเวลานี้ สนามประลองเงียบสนิท

นักเรียนที่ดูการประลองครั้งนี้ต่างเงียบเหมือนกัน

“ผู้หญิงคนนี้ เธอบ้าไปแล้วเหรอ”

“ทำไมคณะหยินหยางถึงได้มีลูกศิษย์หญิงแบบนี้ ถ้าเอี๋ยนชิงไม่ได้สลบอยู่ เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ เขาคงโกรธจนสลบไปอย่างแน่นอน”

ในคณะกำแหง เฉียวเซวียนหัวเราะจนปวดท้อง

“โอ๊ย คณะหยินหยางโชคร้ายจริงๆ ฮ่าๆๆ มันตลกมากๆ”

ในคณะสงบใจ หลิงเหยามองดูสายตาของฮ่วนเย่ว์ผ่านกระจกจำภาพด้วยสีหน้านิ่งเงียบ ดูเหมือนเธอจะสัมผัสอะไรบางอย่างได้ แต่เธอไม่แน่ใจว่ามันจะใช่อย่างที่เธอคิดหรือเปล่า

ด้านบนของคณะหยินหยาง อาจารย์อี้ชิงหัวเราะเสียงดังออกมาและพูด:”ฮ่าๆๆ ข้อเสนอนี้……โอ๊ย ฉันจะพูดยังไงดีนะ ลู่ฝานรับปากเธอได้เลย มันไม่ใช่ปัญหาอยู่แล้ว เรื่องนี้ฉันอนุญาต”

อาจารย์อี้ชิงไม่อยากจะพูดเบาๆ เขาตะโกนออกมาทันที

อาจารย์ซิงยวนกำมืออย่างแน่นจนเลือดไหลออกมา เขากัดฟันและพูด:”อี้ชิง คณะหนึ่งเดียวของพวกคุณรับลูกศิษย์ต้องดูนิสัยไม่ใช่เหรอ?พวกคุณเข้มงวดมากๆในการรับลูกศิษย์ไม่ใช่เหรอ?ทำไมวันนี้ถึงเปลี่ยนกฎระเบียบง่ายๆแบบนี้ละ”

อาจารย์เต้ากวงที่อยู่ข้างๆพูดด้วยรอยยิ้ม:”กฎระเบียบไม่ได้เปลี่ยน นิสัยแบบนี้ ฉันชอบมากๆ”

อาจารย์อี้ชิงเอ่ยปากพูด:”ใช่แล้ว ฉันก็ชอบเหมือนกัน ถ้าทำให้นายเสียเปรียบและยอมแพ้ได้ ทำให้คณะหนึ่งเดียวของพวกเราได้หอเก็บวิชาจากคณะหยินหยางของพวกคุณ ถึงแม้ต้องรับลูกศิษย์เพิ่มอีกหนึ่งคน มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อยู่แล้ว”

อาจารย์ซิงยวนรู้สึกโกรธมากๆจนหน้าดำ เขาพูดอย่างเคร่งขรึม:”ฉันไม่อนุญาต เธอเป็นลูกศิษย์ของคณะหยินหยาง ฉันไม่อนุญาตให้เธอย้ายคณะ”

อาจารย์อี้ชิงมองหน้าท่านผอ.แล้วพูด:”เรื่องนี้นายตัดสินใจเองไม่ได้ ท่านผอ. นายมีความคิดเห็นยังไง?”

ท่านผอ.พูด:”กฎระเบียบของสถาบันสอนวิชาบู๊ พวกคุณน่าจะรู้ดี การย้ายคณะนั้นเป็นความสมัครใจของลูกศิษย์ ถ้าอาจารย์ของคณะที่ลูกศิษย์จะย้ายไปนั้นรับปาก ลูกศิษย์สามารถย้ายคณะได้เลย ทำทุกอย่างตามกฎระเบียบ ซิงยวน ฉันจะขอเตือนนายหน่อย เด็กผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่คนที่นายจะสามารถควบคุมได้”

ซิงยวนกัดฟันตัวเองและไม่ได้พูดอะไรอีก อาจารย์คนอื่นๆหัวเราะออกมาทันที

ตอนแรกฮ่วนเย่ว์เลือกคณะหยินหยางนั้น พวกเขายังรู้สึกเสียใจเล็กน้อย

แต่มองดูจากสถานการณ์ของหยิงหยางตอนนี้ พวกเขาโชคดีมากๆ เพราะหลังจากนี้ชื่อเสียงของคณะหยินหยางคงมีแต่เสียกับเสียเท่านั้น

เมื่อลู่ฝานได้ยินเสียงตะโกนของอาจารย์อี้ชิง เขาแบมือทั้งสองข้างออกมาและพูดกับฮ่วนเย่ว์:”ดูเหมือนเป้าหมายของเธอจะสำเร็จแล้ว”

ฮ่วนเย่ว์ยิ้มด้วยความดีใจ เธอรีบเก็บพลังปราณและเอ่ยปากพูด:”ฉันยอมแพ้ อืม ก็แค่นี้แหละ ลู่ฝาน คืนนี้ฉันจะไปที่คณะหนึ่งเดียว นายต้องออกมาต้อนรับฉันด้วย”

ลู่ฝานพูดอะไรไม่ออก เขาทำได้แค่พยักหน้าเท่านั้น

ผ่านไปชั่วครู่ ครูที่ปรึกษาที่จะประกาศผลการประลองก็เดินออกมาอย่างช้าๆ

“การประลองของคณะหนึ่งเดียวกับคณะหยินหยาง คณะหนึ่งเดียวเป็นฝ่ายชนะ!”

ครูที่ปรึกษาประกาศด้วยน้ำเสียงอิดโรย มีครูที่ปรึกษาหลายๆคนจากคณะหยินหยาง ตอนนี้สีหน้าของพวกเขาขาวซีดมากๆ

ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป คณะหมายเลขหนึ่ง ไม่ใช่ของคณะหยินหยางอีกแล้ว

คณะหนึ่งเดียวกลายเป็นคณะหมายเลขหนึ่งแล้ว!

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 425
ซิงยวนพูดด้วยสีหน้าปกติ:”ฉันแค่อยากช่วยชีวิตลูกศิษย์ของฉันเท่านั้น”

อาจารย์ทุกคนที่อยู่ข้างๆไม่ได้เอ่ยปากพูด ถึงแม้การกระทำของซิงยวนจะสกปรกมากๆ แต่ในฐานะอาจารย์ พวกเขาเข้าใจความคิดของซิงยวน

มีเพียงอาจารย์อี้ชิงขมวดคิ้วและพูด:”ซิงยวน นายกำลังข่มขู่ลู่ฝานอยู่ใช่ไหม”

ซิงยวนส่ายหัวและพูด:”ไม่ ฉันแค่ทำข้อตกลงกับเขาเท่านั้น ตอนนี้ก็รอดูว่าเขาจะเลือกยังไง”

ท่านผอ.ที่อยู่ข้างๆก็ขมวดคิ้วและพูด:”ซิงยวน นายอย่าทำอะไรที่มันอุกอาจมากจนเกินไป มิฉะนั้น ฉันจะไม่ปล่อยนายเอาไว้อย่างแน่นอน สถาบันสอนวิชาบู๊นั้นเอาไว้บ่มเพราะนักเรียน ไม่ได้เอาไว้ข่มเหงนักเรียน”

สีหน้าของอาจารย์ซิงยวนเปลี่ยนไปทันที ถ้าคนอื่นพูดคำเหล่านี้ออกมา เขาไม่สนใจอยู่แล้ว แต่คำเตือนของท่านผอ. เขาจำเป็นรับฟัง

ด้านล่าง สีหน้าของลู่ฝานเปลี่ยนไปทันที

หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพัก ลู่ฝานก็เก็บกระบี่ของตัวเอง

ไม่ว่าอาจารย์ซิงยวนจะข่มขู่เขาหรือไม่ เขาก็ไม่อยากเอาชีวิตของคนในตระกูลมาเสี่ยง

ลู่ฝานรู้สึกไม่พอใจมากๆ เขาเดินขึ้นมาและแตะเอี๋ยนชิงอย่างแรง

การแตะครั้งนี้ ลู่ฝานแตะโดนช่วงล่างของเอี๋ยนชิง หลังจากเอี๋ยนชิงกระตุกได้สักพัก เขาก็หมดสติไปเลย

“ครั้งนี้ฉันจะไว้ชีวิตของแกไปก่อน”ลู่ฝานพูดด้วยความโกรธ

หลังจากเก็บกระบี่หนักและเพลิงไฟที่อยู่บนร่างกายแล้ว เพลิงไฟสีดำที่เผาอยู่บริเวณรอบๆก็หายไปทั้งหมด

ลู่ฝานกลับมาเป็นเหมือนเดิม เจ้าดำก็กลายเป็นเงาสีดำและพุ่งออกมาจากร่างกายของลู่ฝาน

ในเวลานี้ ลู่ฝานรู้สึกร่างกายอ่อนแรงทันที เกือบจะทำให้เขาจับกระบี่หนักไม่ไหว

เจ้าดำก็หมดแรงเหมือนกัน มันเปลี่ยนเป็นรูปร่างเดิม จากนั้นก็นอนกับพื้น

ลู่ฝานยืนรอครูที่ปรึกษาประกาศการประลองสิ้นสุดอย่างเงียบๆ

แต่ในเวลานี้ มีคนๆหนึ่งที่ร่างกายปกคลุมไปด้วยไฟสีแดงปรากฏตัวที่ด้านหน้าของเขา

“โอ๊ย พวกคุณประลองจบแล้วเหรอ ฉันยังไม่ทันได้ลงมือเลย!”

เมื่อมองเห็นคนๆนั้น สีหน้าของลู่ฝานเปลี่ยนไปทันที

เธอคือฮ่วนเย่ว์ ให้ตายสิ เขาลืมไปว่ายังมีฮ่วนเย่ว์อยู่

ใบหน้าของฮ่วนเย่ว์มีแต่รอยยิ้ม เธอเล่นมีดสั้นที่อยู่ในมือและพูด:”ลู่ฝาน นายร้ายกาจมากๆ การต่อสู้เมื่อสักครู่ ฉันไม่กล้าเข้าใกล้อยู่แล้ว แต่ว่าตอนนี้นายน่าจะหมดแรงแล้วใช่ไหม สำหรับฉันแล้ว มันเป็นโอกาสที่ดีมากๆ”

เมื่อพูดจบ พลังปราณก็พุ่งทะลุออกมาจากร่างกายของฮ่วนเย่ว์

พลังปราณนั้นแหลมมากๆจนพุ่งทะลุถึงยอดแดนปราณนอก ดูเหมือนมันจะทะลุถึงแดนปราณชีวิตแล้ว

สถานการณ์เปลี่ยนไปทันที

ด้านบนท้องฟ้า อาจารย์อี้ชิงกับอาจารย์ซิงยวนอึ้งจนตาค้าง

พวกเขาลืมไปเลยว่าฮ่วนเย่ว์เข้าร่วมการประลองด้วย ให้ตายสิ เมื่อกี้ต่อสู้หายไปคนคนหนึ่ง แต่ตอนนี้มีเรื่องอีกจริงๆ

อาจารย์อี้ชิงแอบด่าออกมา อาจารย์ซิงยวนที่อยู่ข้างๆรู้สึกดีใจมากๆ

เขาคิดไม่ถึงจริงๆ สุดท้ายแล้ว คนที่จะช่วยให้คณะหยินหยางได้รับชัยชนะจะเป็นฮ่วนเย่ว์ที่ไม่เคยฟังคำสั่งของเขาเลย

อาจารย์ซิงยวนดีใจจนหน้าแดง ชัยชนะ!คณะหยินหยางของพวกเขายังมีโอกาสได้รับชัยชนะอยู่!

ลู่ฝานมองหน้าฮ่วนเย่ว์และพูดด้วยสีหน้าขมขื่น:”ฉันลืมเธอไปได้ยังไง แย่แล้ว ดูเหมือนวันนี้ ฉันคงจะต้องนอนสลบอยู่ตรงนี้แล้ว”

เมื่อพูดจบ ลู่ฝานเริ่มรวบรวมปราณชี่ของตัวเองที่เหลืออยู่เพียงเล็กน้อย

ลู่ฝานปลดปล่อยพลังปราณชี่ที่เหลืออยู่ไม่มากในมุกเทพ เพียงแต่การปลดปล่อยแต่ละครั้ง ลู่ฝานก็รู้สึกว่าเส้นลมปราณของตัวเองกระตุกอย่างหนัก นั้นคือสัญญาณว่าเส้นลมปราณจะแตกสลาย

เมื่อมองเห็นลู่ฝานกำลังจะสู้ตาย จู่ๆฮ่วนเย่ว์ก็รีบเก็บมีดสั้นและพูด:”ไม่สนุก ไม่สนุกเลย ช่างมัน ช่างมันเถอะ ฉันไม่อยากต่อสู้กับนายในสภาพแบบนี้ ถึงแม้จะเอาชนะนายได้ ก็จะมีคนพูดว่าฉันรังแกนาย ฉันจะเอาชนะนายอย่างเปิดเผย ฉันไม่ได้ต้องการเอาชนะในเวลาที่นายอ่อนแอมากๆ ลู่ฝาน นายรับปากฉันเรื่องหนึ่ง ฉันก็จะยอมแพ้ นายคิดว่าไง?”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 424
ตอนนี้เอี๋ยนชิงรู้ตัวแล้วว่าตัวเองถอยหนีก็ไม่มีประโยชน์ เขาก็เลยตัดสินใจพุ่งไปข้างหน้า เขาอยากจะสู้ตายกับลู่ฝาน

ฝ่ามือโจมตีออกไป รังสีสีทองกลายเป็นกระบี่ยาว และปิดล้อมทุกทางที่ลู่ฝานจะหลบหนีได้

เพียงแต่ลู่ฝานก็ไม่ได้คิดจะหลบหนีอยู่แล้ว เพลิงไฟสีดำพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า กระบี่มังกรเพลิงคำรามทันที!

กระบี่โจมตีออกมาครั้งนี้ พลังที่ปล่อยออกมากลายเป็นมังกรเพลิงไฟสีดำ

มังกรเพลิงไฟสีดำใหญ่เท่ากับบ้านพัก มันกลืนรังสีกระบี่สีทองของเอี๋ยนชิงจนหายไปทั้งหมด ในเวลาเดียวกัน พลังของเพลิงไฟแฝงระเบิดก็โจมตีใส่ร่างกายของเอี๋ยนชิง

เพลิงไฟสีดำพุ่งขยายออกไปสิบกว่าฟุต ทำให้พื้นดินโดนเผาจนกลายเป็นแผ่นดินไหม้เกรียม

พื้นดินที่ลู่ฝานยืนอยู่ กลายเป็นนรกทันที

ศิษย์พี่ใหญ่ที่นอนอยู่บนพื้นดินรู้สึกตกตะลึงมากๆ เมื่อมองเห็นเพลิงไฟสีดำกำลังพุ่งเข้ามาหาตัวเอง แต่วินาทีต่อมา เพลิงไฟสีดำได้อ้อมผ่านร่างกายของศิษย์พี่ใหญ่ ราวกับมันรู้ว่าศิษย์พี่ใหญ่ไม่ใช่ศัตรู

ทางฝั่งของศิษย์พี่ฉู่เทียนกับศิษย์พี่หานเฟิงก็เกิดเรื่องนี้ขึ้นเหมือนกัน ทั้งสองคนพยายามลุกขึ้นมาและพิงอยู่บนก้อนหินอันหนึ่งและมองดูสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างเงียบๆ

“ศิษย์พี่ฉู่เทียน ฉันรู้สึกว่าตัวเองกับศิษย์น้องลู่ฝานห่างไกลกันมากๆ?มันจะกระทบกับความน่าเชื่อถือที่ฉันเป็นศิษย์พี่ไหม?”

หานเฟิงพูดด้วยรอยยิ้ม

ฉู่เทียนกลอกตาใส่เขาและไม่อยากจะเอ่ยปากพูด

เอี๋ยนชิงที่โดนโจมตี ตอนนี้ร่างกายของเขาโดนเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่าน ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยบาดแผล

เอี๋ยนชิงอ้าปากและพ่นควันดำออกมา จากนั้นเขาก็ล้มลงกับพื้น และร่างกายของเขาก็กระตุกไม่หยุด

เลือดสดที่พึ่งพุ่งสู่ท้องฟ้านั้น มันโดนเพลิงไฟสีดำเผาจนกลายเป็นควันดำ

เอี๋ยนชิงไม่เพียงโดนลู่ฝานโจมตีครั้งเดียวแล้วล้มลง ตอนนี้วิชาของเขาก็ยังย้อนกลับมาทำร้ายเขาด้วย

ร่างกายของเอี๋ยนชิงหดตัวกลายเป็นก้อนอย่างเห็นได้ชัด เลือดสดพุ่งออกมาไม่หยุด เหตุการณ์น่ากลัวขนาดนี้ ทำให้ลูกศิษย์หญิงจำนวนมากที่มองดูเหตุการณ์จากกระจกจำภาพหันหน้าหนีทันที

มีลูกศิษย์จำนวนมากถอนหายใจออกมาทันที เขาเป็นถึงลูกศิษย์อันดับหนึ่งของคณะหยินหยาง แต่กลับโดนทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บขนาดนี้

แม้แต่ค่ายกลป้องกันคณะก็ใช้ออกมาแล้ว ไร้ยางอายจริงๆ แต่กลับพ่ายแพ้อย่างใสสะอาด

มองเห็นลู่ฝานที่ถูกเพลิงไฟสีดำปกคลุมร่างกายเหมือนกับจอมมารมาจุติ ทำให้ลูกศิษย์ทุกคนจนปัญญาจริงๆ

พลังระดับนี้ ไม่ต้องพูดถึงเขาที่เป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของสถาบันสอนวิชาบู๊เลย ถึงแม้เอายอดฝีมือทุกคนในประเทศอู่อานมารวมกัน เขาก็คงแข็งแกร่งและอยู่อันดับต้นๆอย่างแน่นอน

ลู่ฝานแห่งคณะหนึ่งเดียว เก่งกาจสมคำร่ำลือจริงๆ

ในที่สุดร่างกายของเอี๋ยนชิงก็หยุดกระตุก เขานอนอยู่บนพื้นดินและใกล้จะตายแล้ว

ตอนนี้ลู่ฝานเดินไปอยู่ข้างๆของเอี๋ยนชิง เขายกกระบี่หนักที่อยู่ในมือและกำลังจะสังหารเอี๋ยนชิง

ในเมื่อผิดใจกันแล้ว มีความแค้นต่อกันแล้ว ถ้างั้นก็ใช้โอกาสครั้งนี้ สังหารเอี๋ยนชิงให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย

สายตาของลู่ฝานหนักแน่นมากๆ เขาไม่ได้เป็นคนที่ใจอ่อนง่ายๆอยู่แล้ว

ถ้าเป็นศัตรู ต้องฆ่าให้หมด!

ในขณะที่กระบี่หนักกำลังจะฟันลงไป จู่ๆก็มีเสียงหนึ่งดังในหูของเขาทันที

“ลู่ฝาน ถ้าแกกล้าสังหารเอี๋ยนชิง ฉันจะสังหารทุกคนในตระกูลลู่ให้ตายไปพร้อมกับเอี๋ยนชิง!”

กระบี่ของลู่ฝานหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศ เสียงนี้ลู่ฝานรู้สึกคุ้นมากๆ เขาเงยหน้าม

องฟ้าทันที

อาจารย์ซิงยวน!

ซิงยวนยืนอยู่กลางอากาศ เขามองหน้าลู่ฝานและขยับปากและพูดเบาๆ:”ลู่ฝาน ถ้าไว้ชีวิตเขา เรื่องของตระกูลโม่กับตระกูลลู่ ฉันจะไม่เข้าไปยุ่งอีก”

ลู่ฝานก็พูดเบาๆเหมือนกัน:”นายเข้ามายุ่งเรื่องนี้เหรอ?นายลงมือกับตระกูลลู่ของฉันแล้วเหรอ?”

ซิงยวนพูด:”ยังไม่ได้ถือว่าลงมือ ฉันแค่ป้องกันไว้ก่อนเท่านั้น ในเวลาเดียวกันก็ช่วยเหลือตระกูลโม่นิดหน่อย ถ้านายยอมไว้ชีวิตเอี๋ยนชิง ฉันสัญญาว่าจะไม่มีใครลงมือกับคนในตระกูลของนายอีก”

“ไร้ยางอายมากๆ เป็นอาจารย์ได้ยังไง!”

ลู่ฝานกัดฟันและพูดออกมา

ซิงยวนไม่ได้ตอบ เขาแค่ยืนมองดูลู่ฝานเท่านั้น

ท่านผอ.ที่อยู่ข้างๆเอ่ยปากพูด:”ซิงยวน แกคิดจะทำอะไรอีก?”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 423
หลังจากค่ายกลหายไป ค่ายกลที่เคยปกป้องคณะหยินหยางร้อยปีกว่าเอาไว้ มันแตกสลายเหมือนกับฟองอากาศ

อาจารย์ซิงยวนอ้าปากค้าง หน้าของเขาบิดเบี้ยวราวกับโดนคนนับหมื่นเหยียบหน้า เขากัดฟันและพูดออกมา:”มันเป็นไปได้ยังไง!”

อันที่จริงอาจารย์อี้ชิงก็อึ้งเหมือนกัน เขาคิดไม่ถึงจริงๆว่าลู่ฝานจะใช้วิธีใดทำลายค่ายกลของคณะหยินหยางได้

เรื่องนี้มันเท่มากๆและสะ……ใจมากๆเลย!

เมื่ออาจารย์อี้ชิงได้ยินคำพูดของอาจารย์ซิงยวน ตอนนี้เขารู้สึกสะใจมากๆ

เขาหัวเราะออกมาสามครั้ง จากนั้นอาจารย์อี้ชิงก็พูด:”ทั้งๆที่เป็นค่ายกลใหญ่ของคณะหยินหยาง แต่มันดูอ่อนแอมากๆ ฉันคิดว่ามันจะร้ายกาจกว่านี้ซะอีก แม้แต่ลูกศิษย์คนหนึ่งของคณะหนึ่งเดียวก็สามารถทำลายมันได้ ตลกจริงๆ ตลกจริงๆ”

สายตาของอาจารย์ซิงยวนเต็มไปด้วยความโกรธ เขาหายใจแรงและไม่คงที่ จู่ๆมุมปากของเขาก็มีเลือดสดไหลออกมา

คำพูดของอาจารย์อี้ชิง ทำให้อาจารย์ซิงยวนโกรธจนกระอักเลือดสดออกมา

ด้วยพลังที่อาจารย์ซิงยวนมีอยู่ในตอนนี้ แต่โดนคำพูดของอาจารย์อี้ชิงจนกระอักเลือดสดออกมา ทำให้มองเห็นได้อย่างชัดเจน ตอนนี้จิตใจของอาจารย์ซิงยวนตกตะลึงมากแค่ไหน

ตอนนี้ถ้าหานเฟิงมาพูดประชดอาจารย์ซิงยวนอีก อาจจะทำให้จิตแห่งนักบู๊ของอาจารย์ซิงยวนหวั่นไหว อาจจะทำให้พลังของเขาถอยหลังด้วย

ท่านผอ.ที่ไม่ได้เอ่ยปากพูดมาโดยตลอด ตอนนี้สีหน้าของเขาแปลกมากๆ

ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้เข้าร่วมกับอาจารย์คนอื่นๆเพื่อต่อว่าซิงยวน แต่อันที่จริงเขาได้เตรียมตัวที่จะช่วยชีวิตลู่ฝานไว้แล้ว

เขาให้ความสำคัญกับอัจฉริยะมากๆและไม่มีใครสามารถเทียบได้ การกระทำของซิงยวน ถึงแม้จะพูดไม่ได้ แต่จริงๆแล้วมันก็เป็นบททดสอบครั้งหนึ่งของลู่ฝาน

การที่เขาไม่ได้ลงมือช่วยตั้งแต่แรก เพราะเขาต้องการดูว่าลู่ฝานจะรับมือได้แค่ไหน

แต่ผลลัพธ์ กลับทำให้เขาพูดอะไรไม่ออกเลย

ลู่ฝาน ลู่ฝาน นายจะทำให้ฉันตกตะลึงถึงขนาดไหนกันแน่

ใบหน้าของท่านผอ.มีแต่รอยยิ้ม ตอนนี้เขาได้ตัดสินใจแล้ว สถาบันสอนวิชาบู๊ของเขาจะส่งนักเรียนคนหนึ่งไปแย่งชิงตำแหน่งในการประลองหมื่นประเทศ

ถึงแม้เขาก็ไม่ค่อยเข้าใจ ลู่ฝานทำได้ยังไง

ถ้าเขาไม่ได้ฝึกฝนวิชาชั่วร้าย เรื่องอื่นๆก็ไม่ต้องสนใจเลย

นักบู๊ที่มีชื่อเสียงมากๆนั้น ทุกคนเคยเจอเรื่องโชคดีมาอย่างแน่นอน

มองเห็นเพลิงไฟสีดำที่อยู่บนร่างกายของลู่ฝาน เอี๋ยนชิงถอยหลังทีละก้าวๆ

พลังของเขาในตอนนี้ ไม่สามารถต่อสู้กับลู่ฝานได้อยู่แล้ว

ลู่ฝานจับกระบี่หนักไร้คมขึ้นมา แต่เขาไม่ได้ลงมือโจมตีทันที แต่เขากลับถามไอ้เก้า

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรที่อยู่ด้านในร่างกายของลู่ฝานหัวเราะและพูด:”เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ พวกเราได้ของล้ำค่าแล้ว ได้ของล้ำค่ามากแล้ว ค่ายกลอันนี้สามารถเปลี่ยนพลังฟ้าดินเป็นปราณหยินหยาง อนาคตสามารถใช้ปราณหยินหยางมาบำรุงมุกเทพกับฉันได้ อืม……โอเค โอเค ไร้คมมีแกอยู่ด้วย อย่าปล่อยแสงอีกเลย”

ลู่ฝานพูด:”ไม่มีผลข้างเคียงใช่ไหม ไม่เกิดปัญหาใช่ไหม?”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดด้วยความมั่นใจ:”ถ้ามีฉันอยู่ ไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว เจ้านายวางใจและต่อสู้ได้เลย เมื่อสักครู่เพื่อให้ทุกคนมองเห็นค่ายกลโดนทำลาย ทำให้ต้องสูญเสียพลังของมันไปห้าสิบเปอร์เซ็นต์ ตอนนี้เหลือพลังเพียงแค่ครึ่งหนึ่งเท่านั้น เมื่อเข้ามาในอาณาเขตของฉันแล้ว ไม่มีใครสามารถหนีรอดไปได้ เจ้านาย รีบๆจบการประลองได้แล้ว พวกเราก็สามารถใช้ค่ายกลมาเพิ่มพลังได้แล้ว มันดีกว่าโอสถหลายร้อยเท่า เมื่อถูกปราณหยินหยางบำรุงทุกวัน พลังของเจ้านายจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและอาการบาดเจ็บของฉันก็จะหายดีอย่างรวดเร็วแน่นอน”

ลู่ฝานยิ้มออกมา ถ้าเป็นแบบนี้ เอี๋ยนชิงคนนี้ให้สิ่งของล้ำค่ากับเขาจริงๆ

ลู่ฝานมองหน้าเอี๋ยนชิง ตอนนี้เขาจะคิดบัญชีกับเอี๋ยนชิงแล้ว

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 422
อาจารย์อี้ชิงหัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์ อาจารย์เต้ากวงที่อยู่ข้างๆกังวลใจมากๆแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

อาจารย์ทั้งสองคนรู้ตัวดี บนตัวของลู่ฝานนั้นต้องมีความลับอย่างแน่นอน ในเมื่อลู่ฝานกล้าต่อสู้กับเอี๋ยนชิงที่มีค่ายกลอยู่ในมือ เขาคงมีเหตุผลอื่นๆอย่างแน่นอน

โดยเฉพาะตอนนี้ ถึงแม้ลู่ฝานจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ แต่เขาก็ไม่ได้มีอันตรายถึงชีวิต

พลังจิตวิญญาณที่อยู่ภายใต้เพลิงไฟสีดำนั้น อาจารย์อี้ชิงมองเห็นอย่างชัดเจน ถ้าพลังจิตวิญญาณไม่สูญสลาย ลู่ฝานยังสามารถต่อสู้สุดชีวิตได้

พูดกันตามตรง พลังปราณของลู่ฝานนั้นแข็งแกร่งกว่าที่พวกเขาคาดคิดเอาไว้ ตอนนี้คอยดูว่าลู่ฝานสามารถทำได้ถึงขนาดนี้ บางทีอาจจะเกิดเรื่องปาฏิหาริย์ก็ได้ ถึงแม้ลู่ฝานต่อสู้อีกฝ่ายไม่ได้ อาจารย์อี้ชิงกับอาจารย์เต้ากวงก็เชื่อมั่นว่าตัวเองสามารถช่วยชีวิตลู่ฝานได้อย่างแน่นอน

คนอื่นๆกลัวค่ายกลของคณะหยินหยาง แต่พวกเขาสองคนไม่กลัวค่ายกลอยู่แล้ว

ด้านล่าง เอี๋ยนชิงควบคุมค่ายกลโจมตีอย่างบ้าคลั่ง ถึงแม้เขาใช้ค่ายกลได้แค่ผิวเผินเท่านั้น แต่การโจมตี การป้องกัน และการกักขังแบบธรรมดาแบบนี้ เขาใช้ทั้งสามอย่างสลับกัน จนทำให้ลู่ฝานรับมืออย่างทุลักทุเล

ร่างกายของลู่ฝานโดนปราณหยินหยางปิดล้อมเอาไว้ ทำให้ชุดคลุมบู๊มังกรดำที่อยู่บนร่างกายของลู่ฝานใกล้จะสูญสลาย เส้นลมปราณและอวัยวะภายในโดนโจมตีอย่างรุนแรงกว่าที่คาดคิดเอาไว้

ภายในชั่วพริบตา ลู่ฝานก็บาดเจ็บสาหัสแล้ว

ด้านในตันเถียน มุกเทพปลดปล่อยแสงสว่างออกมา อันที่จริงค่ายกลศิงขรที่ถูกเก็บไว้ในมุกเทพได้ปกคลุมไปทั่วร่างกายของลู่ฝานแล้ว และมันก็กำลังปะทะกับค่ายกลหยินหยางอยู่

อาศัยค่ายกลอันนี้ ทำให้พลังของลู่ฝานไม่ได้พ่ายแพ้และสูญสลายไปในชั่วพริบตา

หนึ่งวินาที สองวินาที สามวินาที

ลู่ฝานตะโกนอยู่ในใจ:”ไอ้เก้า โอเคหรือยัง?ฉันจะต้านไม่ไหวแล้ว”

น้ำเสียงของเจดีย์เสวียนเก้ามังกรดังขึ้น:”เจ้านาย ใกล้จะได้แล้ว ฮ่าๆๆ ค่ายกลอันนี้ไม่เลวเลย เจ้านาย พวกเราจะโชคดีจริงๆ!”

ลู่ฝานเกือบจะกระอักเลือดสดออกมา ตัวเขาเองใกล้จะต้านทานไม่ไหวแล้ว แต่เจดีย์เสวียนเก้ามังกรยังคิดเรื่องโชคดีอีก

ตอนนี้ ลู่ฝานได้ยินค่ายกลที่อยู่ด้านในมุกเทพแตกสลาย

มันไม่ง่ายเลยกว่าจะได้ค่ายกลจากคณะศิงขร ในที่สุดมันก็แตกสลายจากการปะทะกับค่ายกลหยินหยาง

แต่ในเวลานี้ ลู่ฝานรู้สึกว่าแรงกดดันที่อยู่บริเวณโดยรอบหายไป มีปราณหยินหยางที่บริสุทธิ์มากๆค่อยๆพุ่งเข้าไปในตันเถียนของลู่ฝาน แม้แต่ค่ายกลหยินหยางที่อยู่ในบริเวณรอบๆลู่ฝานก็ค่อยๆหายไป

เอี๋ยนชิงอึ้งไปเลย เขาคิดว่าลู่ฝานคงจะพ่ายแพ้ภายในชั่วพริบตา เหมือนกับไอ้อ้วนเมื่อสักครู่

แต่คาดคิดไม่ถึงจริงๆ ลู่ฝานต้านรับมาแล้วสิบวินาที ตอนนี้ยังทำให้เขาไม่สามารถควบคุมค่ายกลหยินหยางได้เลย

เอี๋ยนชิงพยายามควบคุมแท่นค่ายกลที่อยู่ในมือ แต่ตอนนี้แท่นค่ายกลได้เกิดรอยร้าวขึ้น มีรอยแยกเล็กๆจำนวนมากเกิดขึ้น จากนั้นก็ได้ยินเสียงแตกสลาย ทำให้เอี๋ยนชิงตกตะลึงจนหน้าซีด

เหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงนั้น ทุกคนมองเห็นอย่างชัดเจน

ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์กับครูที่ปรึกษาและลูกศิษย์จากคณะอื่นๆที่เห็นเหตุการณ์ ทุกคนตกตะลึงมากๆ

“ลู่ฝานหยุดค่ายกลคณะหยินหยางเอาไว้ได้!”

“โอพระเจ้า เขายังเป็นคนอีกเหรอ?”

ลู่ฝานรู้สึกว่าแรงกดดันที่อยู่บริเวณรอบๆเริ่มน้อยลง ด้านในค่ายกลหยินหยางนั้น มีปราณหยินหยางที่บริสุทธิ์มากๆพุ่งเข้ามาในตันเถียนของเขาอย่างบ้าคลั่ง และโดนเจดีย์เสวียนเก้ามังกรปิดผนึกเอาไว้ด้านในมุกเทพ

มีพลังที่เย็นสบายมากๆพุ่งไปทั่วร่างกาย อาการบาดเจ็บของเขาได้ฟื้นฟูกลับมาอย่างรวดเร็ว

“สบายจริงๆ สะใจจริงๆ!”

ลู่ฝานหัวเราะออกมา ค่ายกลหยินหยางที่อยู่รอบๆร่างกายสูญสลายไปหมด ร่างกายของเขามีเพลิงไฟสีดำพุ่งขึ้นมาอีกครั้ง

บทที่ 421

บทที่ 423

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 421
พลังห้าธาตุของฟ้าดินเคลื่อนไหวทันที ร่างกายของลู่ฝานก็มีพลังแห่งธาตุไฟปะทุออกมา

“แดนปราณชีวิต มันคือพลังของแดนปราณชีวิต เป็นพลังที่ไม่เลวเลย!”

ลู่ฝานมองมือของตัวเอง เพลิงไฟสีดำที่อยู่บนร่างกายได้กลายเป็นวงกลมเพลิงไฟและบินวนอยู่รอบๆร่างกายของเขา

เสื้อปราณก็เปลี่ยนเป็นเสื้อเพลิงไฟสีดำ ปกคลุมร่างกายของเขาเอาไว้ และปลดปล่อยพลังที่แข็งแกร่งมากๆออกมา

สายตาของเอี๋ยนชิงเย็นชาโหดเหี้ยมมากๆ พลังที่เพิ่มขึ้นของลู่ฝานนั้น ทำให้เขาเริ่มรู้สึกหวาดกลัวแล้ว เพลิงไฟสีดำที่อยู่บนร่างกายของลู่ฝาน แค่มองมันก็รู้สึกได้เลยว่ามันน่ากลัวมากๆ

ราวกับว่าทุกอย่างที่สัมผัสโดนเพลิงไฟสีดำก็จะถูกมันเผาจนกลายเป็นจุณ

ถ้าในมือของเขาไม่มีค่ายกลของคณะหยินหยางอยู่ เขาคงไม่กล้าต่อสู้กับลู่ฝานอย่างแน่นอน

เอี๋ยนชิงจับแท่นค่ายกลไว้อย่างแน่น ตอนนี้มีเพียงมันเท่านั้นที่จะสามารถทำให้เอี๋ยนชิงได้รับชัยชนะ

“เห้อ!”

เอี๋ยนชิงโยนค่ายกลใส่ลู่ฝาน

ลู่ฝานยืนอยู่ที่เดิม และมองหน้าเอี๋ยนชิงด้วยใบหน้านิ่งๆ ดูเหมือนสายตาของเขาเหม่อลอย

มันแปลกมากๆ!

เอี๋ยนชิงตอบสนองได้ทันที เขาหันหลังและต่อยหมัดใส่ด้านหลัง

ค่ายกลหยินหยางที่โยนออกไปทะลุร่างกายของ”ลู่ฝาน” แต่”ลู่ฝาน”ที่ยืนอยู่ตรงนั้นเป็นแค่เงาเท่านั้น

ลู่ฝานตัวจริงนั้น ตอนนี้เขามาปรากฏตัวด้านหลังของเอี๋ยนชิงแล้ว

เอี๋ยนชิงหันหลังและต่อยหมัดออกไป แต่หมัดของเขาโดนลู่ฝานจับเอาไว้ เพลิงไฟสีดำแผดเผาแขนของเอี๋ยนชิงทันที

เอี๋ยนชิงเจ็บปวดมากๆจนร่างกายสั่นเทา ค่ายกลหยินหยางที่อยู่ด้านหลังก็ขยายใหญ่ขึ้นและปิดล้อมพวกเขาสองคนเอาไว้ด้านใน

ปราณหยินหยางที่ใหญ่และเยอะมากๆราวกับทะเลได้ปกคลุมร่างกายของพวกเขาสองคนเอาไว้

เพลิงไฟที่แผดเผาอยู่บนแขนของเอี๋ยนชิงดับลงทันที ส่วนร่างกายของลู่ฝานเหมือนโดนของหนักทับเอาไว้ และมีเสียงบดขยี้ดังขึ้น

เอี๋ยนชิงรีบถอยหลังไปหลายก้าว หน้าผากของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อเย็น

เพลิงไฟอันนี้น่ากลัวมากๆ มันน่ากลัวกว่าเพลิงฟ้าห้าธาตุทั่วไปมากๆ

เพลิงไฟสีดำอันนี้เหมือนเพลิงไฟวิญญาณที่มาจากนรก มันเอาไว้แผดเผาจิตวิญญาณโดยเฉพาะ แค่สัมผัสเพลิงไฟสีดำอันนี้ เอี๋ยนชิงก็รู้สึกว่าพลังปราณของตัวเองโดนเพลิงไฟของลู่ฝานเผาผลาญไปครึ่งหนึ่งแล้ว แขนขวาของเขาก็ใช้การไม่ได้อีกแล้ว มันกลายเป็นเถ้าถ่านสีดำและยกไม่ขึ้น

ถ้าเขาช้ากว่านี้อีกหน่อย เพลิงไฟสีดำของลู่ฝานคงลุกไหม้ไปทั่วร่างกายของเขาแล้ว

พลังธาตุทองที่พยายามฝึกอย่างบ้าคลั่งจนสำเร็จนั้น มันเบาะบางเหมือนกับกระดาษเลย เมื่อเผชิญหน้ากับเพลิงไฟสีดำของลู่ฝาน มันไม่สามารถต่อต้านได้เลย

ยังดีที่เขามีค่ายกลหยินหยางอยู่ในมือ ใบหน้าของเอี๋ยนชิงเผยรอยยิ้มโหดเหี้ยมออกมา เขาไม่คิดจะเข้าใกล้ลู่ฝานอีกแล้ว เขาคิดจะใช้ค่ายกลสังหารลู่ฝานให้ได้ ทำให้ลู่ฝานตายอยู่ด้านในค่ายกลหยินหยาง นี่ถือว่าให้เกียรติเขาแล้ว

เมื่อตัดสินใจได้แล้ว เอี๋ยนชิงปลดปล่อยพลังของค่ายกล ทำให้ค่ายกลหยินหยางกลายเป็นแสงสีทองและขังลู่ฝานเอาไว้ด้านใน

ปราณหยินหยางอันน่ากลัวพุ่งเข้าไปในร่างกายของลู่ฝานไม่หยุด ทำให้ร่างกายของลู่ฝานค่อยๆปริออกอย่างเห็นได้ชัด เพลิงไฟสีดำที่อยู่บนร่างกายก็โดนพลังของค่ายกลกดทับเอาไว้

บนท้องฟ้า อาจารย์เซินถูทนดูไม่ไหวอีกแล้ว เขาตะโกนออกมา:”ฉันคิดว่าการประลองควรจบได้แล้ว ใช้ค่ายกลเอาชนะคนอื่น มันยังถือว่าเป็นการประลองอีกเหรอ ซิงยวน นายบอกให้เขาเก็บค่ายกลได้แล้ว คณะหยินหยางของนายเป็นฝ่ายชนะ”

ซิงยวนหันหน้ากลับไปมองอี้ชิงแล้วพูด:”เก็บค่ายกลได้ แต่การเดิมพันของพวกเรา ถ้าฉันเป็นฝ่ายชนะ คณะหนึ่งเดียวจะต้องสูญสลาย”

อาจารย์อู๋โฉวที่อยู่ข้างๆพูดอย่างเคร่งขรึม:”เอาชนะด้วยวิธีสกปรก ยังกล้ามาพูดเรื่องเดิมพันอีกเหรอ”

ซิงยวนพูดด้วยรอยยิ้ม:”คาสิโนไม่สามารถเล่นโกงเหรอ?ชนะก็คือชนะ แพ้ก็คือแพ้ เดิมพันแล้วก็ต้องยอมรับ”

อี้ชิงหัวเราะและพูด:”การประลองยังไม่สิ้นสุดเลย ซิงยวน ฉันยังไม่ได้พูดว่ายอมแพ้เลย

เมื่ออาจารย์ฮั่วซานได้ยินก็รีบถามอี้ชิงเบาๆ:”อี้ชิง ลูกศิษย์สำคัญที่สุด ชื่อเสียงของคณะมันก็เป็นแค่ชื่อเสียงจอมปลอมเท่านั้น”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 420
นักเรียนของคณะอื่นๆนั้น เมื่อมองเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พวกเขาก็ด่าออกมาทันที

“ไร้ยางอาย ไร้ยางอายมากๆ ทั้งๆที่เป็นคณะหยินหยางที่ยิ่งใหญ่ แต่กลับทำเรื่องไร้ยางอายขนาดนี้ เหมือนฉีกหน้าด้านซ้ายเอามาแปะไว้ด้านขวา ด้านซ้ายไร้ยางอาย ส่วนด้านขวาหน้าด้านมากๆ”

“ยังสามารถประลองกันดีๆอีกเหรอ?คณะหยินหยางใช้วิธีสกปรกแบบนี้ ชนะแล้วก็ไม่ใช่ใช้พละกำลังของตนครับ”

“ใช่แล้ว เมื่อก่อนฉันยังคิดว่าเอี๋ยนชิงเป็นคนที่ร้ายกาจมากๆ ตอนนั้นฉันนับถือเขามากๆ แต่เมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ เขาก็เป็นได้แค่พวกหน้าไหว้หลังหลอกเท่านั้น เพื่อให้ได้ชัยชนะมา เขากลับใช้วิธีสกปรกแบบนี้ได้”

“คณะหยินหยางตลกมากๆ เอี๋ยนชิงก็เป็นตัวตลกเช่นกัน พวกเราไม่อยากจะไปยุ่งเกี่ยวกับพวกเขาอีกแล้ว พวกเขาไม่คู่ควรที่จะเป็นนักบู๊ด้วยซ้ำ”

……

คำด่าดังขึ้นมาตลอดเวลา เสียงคำด่าดังไปทั่วสถาบันสอนวิชาบู๊

แม้แต่อาจารย์ทุกคนที่นั่งอยู่คณะหยินหยางที่อยู่ไกลออกไป แต่พวกเขาก็ได้ยินเสียงด่าพวกนี้ดังมาจากท้องฟ้า

เอี๋ยนชิงลุกขึ้นอีกครั้ง อาการบาดเจ็บบนร่างกายหายดีแล้วฟื้นฟูหกสิบเปอร์เซ็นต์

ในเวลานี้ ลู่ฝานพยายามป้อนโอสถเข้าไปในปากของศิษย์พี่ใหญ่

ศิษย์พี่ใหญ่กระอักเลือดสดออกมาและพูด:”ศิษย์น้องลู่ฝาน ศิษย์พี่ใหญ่ไม่เอาไหนเลย ฉันช่วยอะไรนายไม่ได้เลย ฉันได้ต่อสู้สักครั้ง แต่กลับโดนอีกฝ่ายโจมตีจนได้รับบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้ เห้อ ฉันเป็นศิษย์พี่ใหญ่ที่ล้มเหลวมากๆ นายไม่ต้องสิ้นเปลืองโอสถเพื่อฉันอีกเลย”

ลู่ฝานพูด:”ไม่ต้องพูดแล้ว ศิษย์พี่ใหญ่ นายเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของฉันหนึ่งวัน นายก็จะเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของฉันตลอดไป ตอนนี้นายไปพักผ่อนฟื้นฟู่ก่อน เรื่องที่เหลือฉันจะเป็นคนจัดการเอง”

ศิษย์พี่ใหญ่จับชายเสื้อของลู่ฝานเอาไว้และพูด:”เขามีค่ายกลอยู่ในมือ นายทำอะไรเขาไม่ได้อยู่แล้ว”

ลู่ฝานพูดด้วยสายตาที่หนักแน่น:”ศิษย์พี่ใหญ่วางใจได้ ฉันมีวิธีจัดการมันได้อยู่แล้ว”

ขณะพูด ลู่ฝานผลักศิษย์พี่ใหญ่ไปข้างๆอย่างเบาๆ จากนั้นก็หันหน้ากลับไปมองเอี๋ยนชิง

ในร่างกายของเขา น้ำเสียงของเจดีย์เสวียนเก้ามังกรดังขึ้น:”เจ้านาย ค่ายกลอันนี้ไม่เลวเลย จะเก็บมันไหม?”

ลู่ฝานพูด:”ต้องเก็บแน่นอน ไม่งั้นฉันจะสู้กับเขาได้ยังไง ไอ้เก้า นายต้องใช้เวลานานแค่ไหน ถึงจะสามารถเก็บค่ายกลอันนี้ได้”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูด:”อย่างน้อยต้องใช้เวลาสิบวินาที เจ้านาย ฉันอาจจะต้องยืมพลังบางส่วนจากเจ้านายด้วย”

ลู่ฝานหัวเราะอยู่ในใจ:”เอาไปใช้ได้เลย ถึงแม้ฉันจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ถ้าสามารถทำลายค่ายกลหยินหยางได้ มันก็คุ้มค่าแล้ว”

ขณะพูด ลู่ฝานกวักมือเรียก กระบี่หนักไร้คมที่อยู่ไกลออกไปก็บินกลับมาอยู่บนมือของเขา

เรื่องที่เกิดขึ้น ทำให้เอี๋ยนชิงหัวเราะอย่างเย็นชาและพูด:”อาวุธวิเศษอันนี้ยอมรับเจ้านายแล้วนี่เอง ไม่แปลกใจเลยที่ฉันใช้มันไม่ได้ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญแล้ว ถ้าฉันฆ่าแกจนตาย กระบี่เล่มนี้ก็จะกลายเป็นของฉัน”

ลู่ฝานยกกระบี่หนักไร้คมขึ้นมาและชี้ไปที่ใบหน้าของเอี๋ยนชิงแล้วพูด:”ถ้าแกแน่จริง ก็เข้ามาเอาไปได้เลย”

เอี๋ยนชิงเปล่งเสียงเย็นชาออกมาและกำลังจะลงมือ

แต่ในเวลานี้ จู่ๆก็มีเงาดำอันหนึ่งพุ่งเข้ามา มันคือเจ้าดำที่เล่นกับฮ่วนเย่ว์อย่างสนุกสนานมาตลอด

เอี๋ยนชิงหัวเราะออกมาและพูด:”ฮ่าๆๆ มาหาเรื่องตายชัดๆ”

จู่ๆเจ้าดำก็ยกกรงเล็บของตัวเองขึ้นมา มันชูนิ้วกลางให้เอี๋ยนชิง

จากนั้นเจ้าดำก็คำรามออกมา ร่างกายของมันกลายเป็นเงาดำและพุ่งเข้าไปในร่างกายของลู่ฝาน ภายในชั่วพริบตา ร่างกายของลู่ฝานก็มีเพลิงไฟสีดำพุ่งออกมา ใบหน้าและมือของเขามีลวดลายสีดำปรากฏ ราวกับมันเป็นมังกรเล็กๆสีดำที่เคลื่อนไหวอยู่ในร่างกายของลู่ฝาน

จู่ๆลู่ฝานก็รู้สึกว่าร่างกายของตัวเองเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง

บนท้องฟ้า อาจารย์ทุกคนต่างอุทานออกมาด้วยความตกใจโดยพร้อมเพรียงกัน

“วิชาอสูรเข้าสิง!”

สายตาของอาจารย์อี้ชิงเปล่งประกายทันทีและพูดเบาๆ:”เอาเลย ลู่ฝาน ทำให้พวกเราดูหน่อยสิว่านายแข็งแกร่งแค่ไหนกันแน่”

ลู่ฝานเงยหน้าขึ้นมาและคำรามออกมา พลังของเขาพุ่งสูงทันที ภายในชั่วพริบตาก็พุ่งทะเลถึงแดนปราณชีวิตแล้ว!

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 419
ซิงยวนตอบกลับด้วยสีหน้าปกติ:”ฉันได้ทำผิดกฎระเบียบไปแล้ว จะลงโทษฉันยังไงก็ได้ ฉันยอมรับได้อยู่แล้ว ถ้าไม่ได้จริงๆ ฉันก็จะเข้าไปในเทือกเขาฉิงเทียนหนึ่งปี เพื่อช่วยสถาบันบุกเบิกพื้นที่ แต่ไม่มีใครเคยพูดว่าห้ามเอาแท่นค่ายกลของคณะตัวเองให้ลูกศิษย์ไม่ใช่เหรอ?”

เมื่อท่านผอ.เจอคำพูดเหล่านี้ ทำให้เขาพูดอะไรไม่ออกเลย

ด้านล่าง หลังจากเอี๋ยนชิงเอาแท่นค่ายกลออกมา ทำให้ค่ายกลของคณะหยินหยางเคลื่อนไหวทันที

ค่ายกลหยินหยางขนาดใหญ่ค่อยๆหดตัวลงมา สุดท้ายแล้วหดจนเหลือแค่รัศมีหนึ่งฟุต และพลังของมันก็น่ากลัวมากๆและพุ่งใส่ศิษย์พี่ใหญ่

ถึงแม้ศิษย์พี่ใหญ่จะเป็นนักบู๊แดนปราณชีวิต ถึงแม้พลังธาตุดินจะมีพลังป้องกันตัวที่แข็งแกร่งมากๆ แต่มันก็เทียบพลังของค่ายกลป้องกันของคณะหยินหยางไม่ได้อยู่แล้ว

มันคือค่ายกลป้องกันของคณะหยินหยาง ถ้าไม่สามารถป้องกันพลังของนักบู๊แดนปราณชีวิตได้ มันคงเป็นเรื่องตลกมากๆ

ศิษย์พี่ใหญ่โดนปราณหยินหยางกระแทกจนกระอักเลือด ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยเลือดสด

ร่างกายของศิษย์พี่ใหญ่สั่นเทา แต่ก็ไม่ได้ล้มลงกับพื้น

ศิษย์พี่ใหญ่จ้องหน้าเอี๋ยนชิงจากนั้นก็กดฝ่ามือไปที่พื้นดิน

“ไฟโทสะของพื้นดิน!”

เมื่อเอี๋ยนชิงเห็นท่าไม่ดี เขาก็ใช้ค่ายกลโจมตีศิษย์พี่ใหญ่อีกครั้ง

ทุกคนมองเห็นปราณหยินหยางกลายร่างเป็นสัตว์ร้าย กระแทกร่างกายของศิษย์พี่ใหญ่จนปลิวออกไป และตกไปอยู่ด้านหลังของลู่ฝาน

จู่ๆเอี๋ยนชิงก็กรีดร้องด้วยความเจ็บปวด เพราะพื้นดินที่สั่นสะเทือน มีหนามแหลมๆอันหนึ่งพุ่งใส่เอี๋ยนชิงทันที

ทุกคนมองเห็นได้อย่างชัดเจน ร่างกายของเอี๋ยนชิงโดนแทงทะลุทั้งหมด วิชาของศิษย์พี่ใหญ่นั้นไม่ธรรมดาเลย เกือบจะสังหารเอี๋ยนชิงสำเร็จ

เอี๋ยนชิงรีบเอาค่ายกลหยินหยางมาหมุนรอบตัวเอง มีปราณหยินหยางที่บริสุทธิ์มากๆค่อยๆซ่อมแซมร่างกายของเขา

เมื่อทำแบบนี้ ทำให้อาจารย์หลายๆคนทนดูต่อไปไม่ไหวแล้ว

“นี่ยังเรียกว่าการประลองอีกเหรอ?นี่เป็นการประลองระหว่างนักเรียนจริงๆเหรอ?ใช้ค่ายกลของคณะต่อสู้กับคนอื่นๆ มันไร้ยางอายมากเกินไปแล้ว”

อาจารย์เซินถูเอ่ยปากด่าเป็นคนแรก

เขามองหน้าซิงยวน คำว่าไร้ยางอายนั้น เขาจงใจพูดออกมาให้ซิงยวนได้ยิน

ตั้งแต่อาจารย์ฮั่วซานมองเห็นลู่ฝานใช้ไฟสายฟ้าจากวิชาสายฟ้าฟาดห้าธาตุ ทำให้เขาอยู่ในภาวะตกตะลึงมาโดยตลอด

ถึงจนตอนนี้ ในที่สุดเขาก็ตอบสนองได้ และพูดเบาๆ:”ซิงยวน อาจารย์อย่างนาย คงจะสิ้นสุดแค่นี้แล้ว แค่อันดับของคณะ นายต้องทำเรื่องน่าเกลียดถึงขนาดนี้เลยเหรอ”

ซิงยวนหัวเราะอย่างเย็นชาและพูด:”ฉันจะเป็นอาจารย์ได้หรือไม่ มันไม่เกี่ยวข้องอะไรกับนายอยู่แล้ว”

อาจารย์เสวียนเจินก็เอ่ยปากพูด:”ซิงยวน นายทำเกินไปแล้ว”

ซิงยวนมองอาจารย์เสวียนเจินด้วยสายตาเย็นชาแล้วพูด:”คณะกระบี่กับคณะบังเหินต่อสู้แบบสองต่อหนึ่ง เรื่องนี้ไม่เกินไปหน่อยเหรอ?”

ตอนนี้สายตาของอาจารย์ทุกคนมองซิงยวนด้วยความโกรธ ท่านผอ.เอ่ยปากพูดทันที:”พอได้แล้ว ดูการประลองต่อเลย หลังจากจบการประลองครั้งนี้แล้วค่อยมาว่ากัน”

อาจารย์คนอื่นๆจึงปิดปากเงียบและไม่กล้าพูดอะไรอีก

อาจารย์ซิงยวนเผยรอยยิ้มดูถูกออกมาและพูด:”มีค่ายกลอยู่ในมือ ไม่มีใครสามารถต่อสู้กับเอี๋ยนชิงได้อยู่แล้ว ผลแพ้ชนะ มันได้ถูกกำหนดไว้แต่แรกแล้ว”

ท่านผอ.เผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาและพูด:”อ้อ?ใช่เหรอ?แต่ฉันกลับไม่ได้คิดแบบนั้น”

ด้านล่าง ร่างกายของเอี๋ยนชิงได้รับการฟื้นฟูจากค่ายกล ทำให้ร่างกายของเขาค่อยๆดีขึ้น

ค่ายกลของคณะหยินหยาง ได้รวบรวมพลังของฟ้าดินเปลี่ยนเป็นปราณหยินหยาง ถึงแม้จะเทียบพลังปราณหยินหยางของยอดฝีมือเซียนบู๊ไม่ได้ แต่พลังของมันก็แข็งแกร่งมากๆเช่นกัน

ไม่ว่าจะใช้มันโจมตีหรือป้องกันตัว หรือใช้มันฟื้นฟูร่างกายและเพิ่มความรวดเร็วในการฝึกฝน ผลลัพธ์ของมันก็ดีมากๆเช่นกัน

พูดกันตามตรง เพราะค่ายกลอันนี้ ทำให้คณะหยินหยางเจริญรุ่งเรืองมาถึงวันนี้

ตอนนี้ แท่นค่ายกลอยู่ในมือเอี๋ยนชิง เขาไม่กลัวใครหน้าไหนอยู่แล้ว

ไม่ต้องพูดถึงพวกลู่ฝานเลย แม้แต่อาจารย์คนหนึ่ง เขาก็กล้าลงมือต่อสู้กับอาจารย์

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 418
สีหน้าของเอี๋ยนชิงแย่มากๆ แม้แต่แสงสีทองที่อยู่บนร่างกายก็ไม่ค่อยเสถียร

หานเฟิงรู้สึกแปลกใจมากๆ เขามองเอี๋ยนชิงแล้วพูด:”ฉันบอกแล้วว่าอย่าหักโหมตอนกลางคืนมากจนเกินไป น้ำแตกเยอะเกินไปมันไม่ดีต่อสุขภาพ เอี๋ยนชิง ร่างกายของคุณอ่อนแอเกินไปแล้ว แกกลับไปบำรุงที่บ้านจะดีกว่า”

คำพูดของหานเฟิงถูกแพร่กระจายผ่านกระจกจำภาพ ทำให้ลูกศิษย์ของคณะอื่นๆได้ยินอย่างชัดเจน

มีเสียงหัวเราะดังขึ้นจากคณะอื่นๆ มีเพียงผู้หญิงที่ใสซื่อบริสุทธิ์เท่านั้น ถึงไม่เข้าใจความหมายของคำพูดเหล่านี้

ยกตัวอย่างเช่น หลิงเหยาและคนอื่นๆจากคณะสงบใจ พวกเธอรู้สึกงงมากๆ หานเฟิงกำลังพูดอะไรกันแน่

อะไรคือ น้ำแตกเยอะเกินไป มันไม่ดีต่อสุขภาพ?

มีเพียงศิษย์พี่ใหญ่อย่างหมิงจู เธอสีหน้าแดงก่ำและด่าหานเฟิงอยู่ในใจ

ม่านเหยียนและคนอื่นๆที่อยู่ข้างๆ พวกเขามองหน้าหมิงจูด้วยความอยากรู้

แต่หมิงจูกลับส่ายหัวและพูด:”ฉันก็ไม่เข้าใจ พวกเธออย่ามองหน้าฉันแบบนี้”

ด้านในคณะหยินหยาง เอี๋ยนชิงรู้สึกโกรธมากๆจนใกล้จะบ้าคลั่งแล้ว

“ฉันจะฉีกปากของแกให้เป็นชิ้นๆ”

เอี๋ยนชิงตะโกนออกมาและพุ่งเข้าไปหาทั้งสามคน

ร่างกายของเขากลายเป็นสีทองและเคลื่อนไหวรวดเร็วมากๆ

หานเฟิงโจมตีด้วยกระบี่ทันที ฉู่เทียนก็ฟันดาบลงไปเหมือนกัน

วิชาของทั้งสองคนเพิ่งจะโจมตีออกมา จากนั้นก็มีแสงสีทองสองอันโจมตีโดนหน้าอกของพวกเขาสองคน

เลือดสดสาดกระเซ็น หานเฟิงกับฉู่เทียนล้มลงกับพื้นพร้อมๆกัน แต่พลังของพวกเขาสองคนก็โจมตีออกไป ด้านหน้าของพวกเขาเปลี่ยนเป็นนรกที่น่ากลัวมากๆ

รังสีกระบี่และรังสีของดาบโจมตีออกไป ทำให้ร่างกายของเอี๋ยนชิงถูกบีบออกมา

ร่างกายของศิษย์พี่ใหญ่พองโตขึ้นมาหลายเท่า เขาได้เปิดร่างทองครองธรรมแล้ว

ฝ่ามือวชิระ!

ฝ่ามือโจมตีออกมา ถึงแม้เอี๋ยนชิงอยากจะหลบหนี แต่ก็หนีไม่ได้

ฝ่ามือขนาดใหญ่โจมตีโดนศีรษะของเอี๋ยนชิง แต่เอี๋ยนชิงก็ต่อยหมัดออกไปพร้อมกับแสงสีทอง และต่อยโดนหน้าท้องของศิษย์พี่ใหญ่

ไขมันหน้าท้องสั่นสะเทือน ทำให้การโจมตีของเอี๋ยนชิงอ่อนแอลง แต่ฝ่ามือของศิษย์พี่ใหญ่มีแสงสีเหลืองอันหนึ่งปรากฏ

นี่คือพลังของธาตุดินจากห้าธาตุ ศิษย์พี่ใหญ่ก็เป็นนักบู๊ที่ฝึกฝนถึงแดนปราณชีวิต!

ตูม!

เอี๋ยนชิงโดนฝ่ามือโจมตีจนกระแทกเข้าไปในพื้นดิน ร่างกายของเขาครึ่งหนึ่งฝังอยู่ในพื้นดินแล้ว

เขาโจมตีด้วยท่าไม้ตาย แต่โดนหน้าท้องของศิษย์พี่ใหญ่ต้านรับเอาไว้ได้ นักบู๊แดนปราณชีวิตที่ฝึกฝนธาตุดินนั้น พลังป้องกันตัวของเขาน่ากลัวมากๆ ไม่ใช่เอี๋ยนชิงที่อาศัยวิชาจนแข็งแกร่งขนาดนี้ สามารถเข้าใจได้อยู่แล้ว

“พื้นดินไพศาล ฝังดิน!”

ศิษย์พี่ใหญ่ใช้เท้ากระแทกกับพื้นดิน ทำให้พื้นดินสั่นสะเทือนราวกับเกิดแผ่นดินไหว

พื้นดินคำรามออกมา ทำให้แสงสีเหลืองพุ่งออกมาจากพื้นดินไม่หยุด และเอี๋ยนชิงก็กรีดร้องด้วยความเจ็บปวดออกมาตลอดเวลา

ด้านบนท้องฟ้า สีหน้าอันสงบของซิงยวนก็เปลี่ยนไปด้วย

ซิงยวนกัดฟันตัวเองและพูด:”คณะหนึ่งเดียว มีลูกศิษย์แดนปราณชีวิตตั้งแต่เมื่อไหร่”

อาจารย์อี้ชิงพูดด้วยรอยยิ้มเบาๆ:”ทำไม คิดว่ามีเพียงคณะหยินหยางของพวกคุณมีเท่านั้นเหรอ คณะหนึ่งเดียวของพวกเรามีบ้างไม่ได้เหรอ?”

ซิงยวนกำหมัดของตัวเองไว้แน่น จู่ๆเขาก็รู้สึกได้แล้ว ตอนนี้สถานการณ์ผิดปกติ

ตอนนี้ ซิงยวนตะโกนออกมาทันที

“ไอ้โง่ รีบเอาสิ่งนั้นออกมาได้แล้ว!”

เสียงตะโกนครั้งนี้ ดึงดูดสายตาของครูที่ปรึกษากับอาจารย์ทุกคนทันที การทำผิดกฎระเบียบอย่างนี้ ทำให้ท่านผอ.ขมวดคิ้วทันที

“ซิงยวน แกคิดจะทำอะไร?”

ซิงยวนไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่เอี๋ยนชิงที่อยู่ด้านล่างนั้น เมื่อได้ยินเสียงตะโกนนี้ เขาเข้าใจทันที จากนั้นเขาก็พยายามพ่นสิ่งของบางอย่างออกมาจากปากตัวเอง

สิ่งที่เขาพ่นออกมาคือปราณหยินหยาง และในปราณหยินหยางนั้น มีป้ายเล็กๆอันหนึ่งอยู่

ตอนนี้ ท่านผอ.ใช้มือตบหน้าโต๊ะและยืนขึ้นทันที

“ซิงยวน แกทำเกินไปแล้ว แกเอาแท่นค่ายกลของคณะหยินหยางให้เอี๋ยนชิงได้ยังไง!”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 417
เอี๋ยนชิงจับกระบี่หนักไร้คมเอาไว้ในมือ ดังคำพูดที่ว่า กระบี่วิเศษมักคู่ควรกับวีรบุรุษ กระบี่ที่ดีขนาดนี้ แน่นอนว่ามันต้องเป็นของเขาอย่างแน่นอน

เอี๋ยนชิงหัวเราะอย่างเย็นชา และเดินมาด้านหน้าของลู่ฝานทีละก้าว

กระบี่หนักไร้คมชี้ไปที่คอหอยของลู่ฝาน เอี๋ยนชิงเอ่ยปากพูดเบาๆ:”ลู่ฝาน ความแค้นระหว่างแกกับฉัน ได้เวลาชำระแล้ว ฉันจะเหลือศพของแกอย่างสมบูรณ์เอาไว้”

ขณะพูด แสงสีทองบนร่างกายของเอี๋ยนชิงก็เคลื่อนไหวทันที

แต่ในเวลานี้ จู่ๆลู่ฝานก็หัวเราะเบาๆออกมา

เอี๋ยนชิงขมวดคิ้วและมองหน้าลู่ฝานแล้วพูด:”แกหัวเราะอะไร?”

ลู่ฝานพูดด้วยรอยยิ้ม:”ไม่มีอะไร หัวเราะบ่อยๆทำให้อายุอ่อนเยาว์”

สายตาของเอี๋ยนชิงมีแต่ความโกรธ เด็กหนุ่มคนนี้กำลังจะตายแล้ว แต่ยังกล้ามาล้อเล่นกับเขาอีก

ในเวลานี้ มือของลู่ฝานได้ร่ายคาถาถึงขั้นตอนสุดท้ายแล้ว ถ้าเอี๋ยนชิงกลับขยับร่างกายอีก เขาก็จะใช้ห้าธาตุพิฆาตโจมตีอีกครั้งทันที

ในขณะที่เอี๋ยนชิงกำลังจะใช้กระบี่สังหารลู่ฝานนั้น จู่ๆก็มีหลายๆคนปรากฏตัว และมีฝ่าเท้าที่ใหญ่มากๆกระทืบใส่หน้าของเอี๋ยนชิงอย่างจัง

ทำให้ร่างกายของเอี๋ยนชิงปลิวออกไปหลายฟุต และกระแทกกับกำแพงที่อยู่ไกลออกไป

“โอโห แข็งมากๆเลย แม่งเอ๊ย เท้าอันสวยงามของฉัน ทำไมมันถึงเจ็บอย่างนี้

หานเฟิงกอดเท้าตัวเองและกระโดดไปมา เมื่อมองเห็นหานเฟิงปรากฏตัว ทำให้ลู่ฝานอึ้งไปเลย

มือที่ร่ายคาถาอยู่ก็หยุดชะงักทันที

เอี๋ยนชิงรู้สึกโกรธมากๆและลุกขึ้นมา มองหน้าหานเฟิงและตะโกนด้วยความโกรธ

มีแสงสีทองอันน่ากลัวโจมตีออกมา แต่เมื่อพุ่งมาถึงกลางทาง จู่ๆก็โดนรังสีของดาบหยุดเอาไว้

พลังสองอันปะทะกัน จากนั้นพลังก็เปลี่ยนทิศทางแล้วพุ่งไปยังคฤหาสน์อันหนึ่งที่อยู่อีกด้านพร้อมกับเสียงดังสนั่น

ในเวลานี้ มีเสียงอุทานดังขึ้นทันที

“ศิษย์น้องลู่ฝาน ที่เหลือก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกเราได้เลย”

ร่างกายของฉู่เทียนปรากฏตัวพร้อมกับเสียงพูด ดาบยาวอยู่ในมือพร้อมกับเสื้อผ้าที่ขาดๆ

ในที่สุดหานเฟิงก็ปล่อยขาของตัวเองลงมือ เขาหัวเราะและพูด:”ศิษย์พี่ฉู่เทียน ครั้งนี้ฉันมาเร็วกว่าศิษย์พี่ ดูเหมือนฉันจะก้าวหน้ามากกว่าศิษย์พี่ ใช้เวลานานมากๆกว่าจะจัดการคู่ต่อสู้ได้ มาช้าแบบนี้ไม่ไหวจริงๆ!”

ฉู่เทียนจ้องเขม็งไปที่หานเฟิงที่กำลังหัวเราะด้วยความดีใจแค่ครั้งเดียว จากนั้นเขาก็มองไปที่เอี๋ยนชิงอย่างจริงจัง

ทั้งสองคนใช้ร่างกายของตัวเองบังลู่ฝานเอาไว้ ราวกับพวกเขาสองคนเป็นกำแพงอันแข็งแกร่ง

“ไอ้พวกอ่อนแอ เป็นตั๊กแตนแต่คิดจะมาหยุดรถ ไม่เจียมเนื้อเจียมตัวเลย”

เอี๋ยนชิงมองหน้าฉู่เทียนกับหานเฟิงด้วยสายตาที่ดูถูกและเย็นขา เพราะสองคนนี้ เอี๋ยนชิงไม่ได้มองพวกเขาอยู่ในสายตาอยู่แล้ว

“ถ้าตั๊กแตนสองตัวไม่พอ แล้วถ้าเพิ่มฉันอีกคนหนึ่งละ?”

มีเสียงหนึ่งดังขึ้นทันที

ศิษย์พี่ใหญ่อู๋เหวยเขย่าหน้าท้องอันใหญ่ของตัวเองและเดินเข้ามาอย่างช้าๆ

เมื่อมองเห็นอู๋เหวย สีหน้าของเอี๋ยนชิงเปลี่ยนไปทันที เขาจำได้ขึ้นใจ เพราะไอ้อ้วนคนนี้ คือคนที่แย่งกระบี่ไปจากมือของเขา

ความแค้นเก่าและความแค้นใหม่ต้องชำระพร้อมกัน วันนี้ยังไงก็ต้องชำระให้ได้

เอี๋ยนชิงมองหน้าทั้งสามคน จากนั้นก็ยกกระบี่หนักขึ้นมาอย่างช้าๆ

แต่ในเวลานี้ จู่ๆเอี๋ยนชิงก็รู้สึกว่าน้ำหนักของกระบี่หนักไร้คมหนักขึ้นมาเยอะมากๆ เดิมทีสามารถยกกระบี่หนักไร้คมได้อย่างง่ายดาย ตอนนี้มันหนักขึ้นสิบเท่า

ขณะที่เขายังตอบสนองไม่ได้ กระบี่หนักก็หนักขึ้นอีกสิบกว่าเท่า เขาไม่สามารถยกมันขึ้นมาได้เลย

สองมือใช้แรงอย่างสุดกำลัง แต่กลับยกกระบี่ไม่ขึ้น ทำให้เอี๋ยนชิงทำอะไรไม่ได้ เขาก็เลยปล่อยกระบี่หนักไร้คมลงมา

ลู่ฝานมองเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นผ่านช่องว่างระหว่างศิษย์พี่ฉู่เทียนกับศิษย์พี่หานเฟิง ทำให้เขายิ้มออกมาเบาๆ

กระบี่หนักไร้คมยอมรับเขาเป็นเจ้านายแล้ว มันจะถูกคนอื่นแย่งไปได้ยังไง นอกจากเขาแล้ว ถ้าคนอื่นอยากจะได้กระบี่หนักไร้คมไปครอบครอง เรื่องที่ต้องทำเรื่องแรกก็คือลบเขตวิถีที่อยู่ด้านบนกระบี่ก่อน

ยอดฝีมือที่ฝึกฝนไม่ถึงเซียนบู๊ ไม่มีใครสามารถทำได้อย่างแน่นอน

เมื่อมองเห็นเอี๋ยนชิงทำอะไรไม่ได้ ลู่ฝานหัวเราะเสียงดังออกมาทันที

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 416
สายตาของท่านผอ.จดจ่ออยู่ที่ศีรษะของเอี๋ยนชิง คนอื่นๆไม่ได้สังเกต แต่ท่านผอ.กลับมองเห็นอย่างชัดเจนว่าเหนือศีรษะของเอี๋ยนชิงนั้น มีรูปร่างของค่ายกลเบญจธาตุอยู่ ค่ายกลอันนี้ ไม่ได้มาจากการรวมตัวของปราณชี่ มันเหมือนกับพลังชี่ของผู้ฝึกชี่มารวมตัวกัน ดูเหมือนเด็กหนุ่มคนนี้จะไม่ธรรมดาเลย

ท่านผอ.หันหน้ากลับไปมองอาจารย์ซิงยวนหนึ่งครั้ง แต่ในเวลานี้ อาจารย์ซิงยวนยังคงทำตัวปกติและนิ่งสงบมากๆ

ต่อสู้จนมาถึงตอนนี้แล้ว คณะหยินหยางได้แพ้ให้กับสามคนจากทั้งหมดห้าคนแล้ว ถ้าทำตามกฎการประลองของเมื่อก่อน ตอนนี้คณะหยินหยางคงประกาศยอมแพ้ได้แล้ว

หลังจากศิษย์พี่สามคนของลู่ฝานฟื้นฟูได้สักพัก จากนั้นก็ร่วมมือกับลู่ฝานเพื่อต่อสู้กับเอี๋ยนชิง โอกาสที่คณะหนึ่งเดียวจะชนะก็มีสูงมากๆ

เรื่องนี้ ซิงยวนมั่นใจมากๆ

ในขณะที่ท่านผอ.กำลังคาดเดาเรื่องนี้อยู่ในใจ ด้านล่างนั้น ร่างกายของเอี๋ยนชิงก็พองโตขึ้นอีกครั้ง

เลือดเนื้อบนร่างกายกำลังปริออก ร่างกายของเอี๋ยนชิงมีบาดแผลที่น่ากลัวและใหญ่มากๆปรากฏ

ราวกับมีสิ่งของบางอย่างกำลังจะออกมาจากร่างกายของเอี๋ยนชิง เมื่อมองดูผิวหนังและเลือดเนื้อที่ปริออก แค่มองเห็นก็รู้สึกเจ็บมากๆแล้ว

แต่ดูเหมือนเอี๋ยนชิงยิ่งเจ็บก็ยิ่งดีใจ ใบหน้าอันบิดเบี้ยวของเขาเผยรอยยิ้มที่น่ากลัวออกมา จากบาดแผลที่ปริออกมานั้น มีของเหลวสีทองไหลออกมา ราวกับเลือดของเขาเป็นสีทอง

ลู่ฝานรีบพุ่งเข้ามา เขาก้าวเท้าเบาๆ ร่างกายของเขาก็พุ่งไปข้างหน้าสิบกว่าฟุต และมาถึงด้านหน้าของเอี๋ยนชิง

เขาโจมตีด้วยกระบี่ สายฟ้าสีแดงบนกระบี่หนักก็โจมตีใส่ร่างกายของเอี๋ยนชิง

มีเสียงดังสนั่นเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่เอี๋ยนชิงกลับไม่ได้ขยับร่างกายแม้แต่ก้าวเดียว เขาใช้มือจับกระบี่หนักไร้คมเอาไว้

เมื่อพลังเพิ่มขึ้น ทำให้ของเหลวสีทองที่ไหลบนร่างกายของเอี๋ยนชิง แล้วมันก็กลายเป็นลวดลายราวเหมือนค่ายกลเลย

ในเวลานี้ แม้แต่ท่านผอ.ก็อุทานออกมาด้วยความตกใจ

“ร่างทอง ร่างอาวุธวิเศษ เขาฝึกด้านนี้ด้วยเหรอ”

ซิงยวนพูดด้วยรอยยิ้ม:”ถ้าเอี๋ยนชิงไม่ได้ฝึกฝนด้านนี้ด้วย ฉันก็คงไม่สอนหุ่นร่างยุทธ์ให้เขาอย่างแน่นอน ตอนนี้คณะหนึ่งเดียวพ่ายแพ้แล้ว เพราะเอี๋ยนชิงในเวลานี้ ไม่ว่าจะเป็นร่างกาย พลังและการโจมตี พลังของเขาก็พอๆกับนักบู๊ที่ฝึกฝนถึงปราณชีวิตชั้นสาม ถึงแม้นักเรียนทุกคนในคณะหนึ่งเดียวร่วมมือกัน ก็เอาชนะเอี๋ยนชิงไม่ได้อย่างแน่นอน”

ราวกับมันยืนยันคำพูดของซิงยวนนั้นเป็นเรื่องจริงๆ ผ่านไปไม่นาน หมัดของเอี๋ยนชิงก็ต่อยโดนร่างกายของลู่ฝานอย่างจัง

พลังหมัดอันน่ากลัวทำลายเกราะเกล็ดมังกรที่อยู่บนร่างกายของลู่ฝานทันที แต่ลู่ฝานก็ไม่ได้ยอมแพ้ เขาหันหลังและแตะใส่ศีรษะของเอี๋ยนชิง

มีเสียงตูมดังขึ้น เพียงแต่ศีรษะของเอี๋ยนชิงไม่ได้ขยับเลย

“ลู่ฝาน แกบีบบังคับให้ฉันต้องใช้วิชานี้ออกมา แกก็ควรภูมิใจได้แล้ว ตอนนี้แกไปตายซะเถอะ”

เอี๋ยนชิงเพิ่มพลังฝ่ามือทันที เขาจับลู่ฝานพร้อมกับกระบี่และดึงมาอยู่ด้านหน้าของตัวเอง

เขาปล่อยฝ่ามือออกไป พลังอันน่ากลัวทำให้บริเวณโดยรอบเกิดการระเบิด ทำให้เม็ดทรายกลายเป็นผุยผง

ร่างกายของลู่ฝานปลิวออกไปหลายสิบฟุต กระแทกกับกำแพงจนถล่มไปหลายชั้น กระบี่หนักก็หลุดออกมาจากมือเช่นกัน

เอี๋ยนชิงจับกระบี่หนักไร้คมเอาไว้ในมือ

“ตอนนี้กระบี่อันนี้เป็นของฉันแล้ว”

เอี๋ยนชิงพูดอย่างเย็นชา จากนั้นเขาก็เดินไปหาลู่ฝานทีละก้าวอย่างช้าๆ

ในคณะอื่นๆนั้น มีนักเรียนจำนวนมากตกตะลึงและอึ้งจนตาค้าง เมื่อพวกเขามองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น

ความแข็งแกร่งของเอี๋ยนชิงได้เหนือความคาดหมายของพวกเขาไปแล้ว นี่คือพลังของอันดับหนึ่งจากคณะหยินหยางเหรอ?

เรื่องนี้มันเหลือเชื่อมากๆ

ลู่ฝานพยายามจะลุกขึ้นมา แต่เขาก็กระอักเลือดสดออกมาไม่หยุด

ในร่างกายของเขา เจดีย์เสวียนเก้ามังกรตะโกนด่าออกมา:”ไอ้เหี้ย เกินไปแล้ว มันดูถูกกันเกินไปแล้ว เจ้านายยิ่งใหญ่ ให้ฉันสังหารมันเลยไหม ฉันจะสังหารมันแน่นอน”

สายตาของลู่ฝานเปลี่ยนไป มือซ้ายร่ายคาถา ทำให้พลังฟ้าดินของบริเวณโดยรอบมารวมตัวที่เขาทันที

“จะสู้ตายเหรอ?”

สีหน้าของลู่ฝานเผยรอยยิ้มออกมา

ฉันไม่กลัวใครหน้าไหนอยู่แล้ว!

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 415
การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไป ช่องโหว่ของลู่ฝานกับเอี๋ยนชิง ยังกว้างขึ้นเรื่อยๆ เพียงระยะเวลาสั้นๆ ในคณะหยินหยาง มีที่พักพังไป 7-8 ที่พัก

ดวงแสงฟาดฟันกันไปมา ทุกที่ที่พาดผ่านไป มีเศษหินลอยขึ้นมา พลังปราณพุ่งไปทั่ว

ในที่สุด หลังเสียงระเบิดอันดุเดือนผ่านไป เงาของลู่ฝานกับเอี๋ยนชิงปรากฏขึ้นอีกครั้ง

ลู่ฝานชนกับกำแพงอย่างแรง กำแพงหินชั้นดีโดนชนจนเป็นหลุมใหญ่ รอยร้าวขยายเป็นวงกว้าง ทันใดนั้น กำแพงถล่มลงมาทั้งแถบ

เอี๋ยนชิงกระเด็นไปไกล จากนั้นกระแทกลงกับพื้น พื้นที่เดิมทีสะอาดเป็นระเบียบ ตอนนี้โดนกระแทกจนเต็มไปด้วยหลุมลึก

“ไอ่! ไอ่!”

ลู่ฝานจับหน้าอก ไออย่างรุนแรงออกมาสองครั้ง แล้วกระอักเลือดออกมา เปื้อนก้อนหินที่อยู่ข้างๆ

เกราะเกล็ดมังกรบนตัวเสียหายไปแล้ว เต็มไปด้วยรอยยุบ ลู่ฝานรู้สึกเจ็บไปทั้งตัว เจดีย์เสวียนเก้ามังกรในตัวก่นด่าพลางพูดว่า “ไอ้เด็กเวร เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ ให้ฉันใช้ค่ายกลฆ่าเขา ฉันโยนค่ายกลในมุกเทพออกมา รับรองว่าไอ้เด็กนี่ต้องกลายเป็นคนสติไม่ดีแน่นอน”

ลู่ฝานไม่ตอบเจดีย์เสวียนเก้ามังกร ค่ายกลในมุกเทพ เขาจะใช้อย่างประมาทไม่ได้ เพราะถ้าใช้ขึ้นมา ต้องเปิดเผยการมีอยู่ของเจดีย์เสวียนเก้ามังกร เมื่อถึงตอนนั้นจะอธิบายยาก

อีกทั้งเขายังไม่ถึงขั้นจนตรอก

เอี๋ยนชิงอยากชนะเขา ไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก!

ลู่ฝานเคลื่อนไหวปราณชี่ ฟื้นฟูบาดแผลของตัวเองอย่างสุดความสามารถ ถือกระบี่หนักในมือ ใช้แรงเบาๆ ปล่อยให้เลือดที่แขนไหลลงไปบนตัวกระบี่

เอี๋ยนชิงก็ขึ้นมาจากหลุม แสงสีขาวดำบนตัวเบาบางลงไปไม่น้อย

พลังธาตุทองสูงสุดที่ใช้ได้ตอนนี้ เหลือประมาณสามสิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น

“ให้ตายเถอะไอ้เลว!”

เอี๋ยนชิงก่นด่าออกมา เขาคิดไม่ถึงว่าขนาดใช้หุ่นร่างยุทธ์ยกระดับถึงแดนปราณชีวิต ยังไม่สามารถซัดลู่ฝานให้ตายด้วยหมัดเดียวได้

ความอึดอันน่ากลัวของลู่ฝาน กับวิธีโจมตีที่ไม่กลัวตาย ทำให้เขาลำบากมาก!

เอี๋ยนชิงก้มมองรอยกระบี่บนอกตัวเอง นั่นเป็นร่องรอยที่เหลือไว้ ตอนที่ลู่ฝานใช้เขตวิถีบนกระบี่หนักไร้คม

แม้ในใจไม่อยากยอมรับ แต่ในความเป็นจริง พละกำลังของลู่ฝานคุกคามถึงชีวิตเขาแล้วจริงๆ

เอี๋ยนชิงมีความอาฆ่าอยู่ในแววตา วันนี้จะปล่อยหายนะอย่างลู่ฝานเอาไว้ไม่ได้

เพิ่งเข้ามาในสถาบันไม่ถึงหนึ่งปี เปลี่ยนจากนักบู๊แดนปราณในกระจอกๆ มาเป็นคนที่สูสีกับเขาได้ ถ้าให้เวลาลู่ฝานอีกสักหนึ่งปี เขาคงเหนือธรรมชาติไปเลย

เอี๋ยนชิงไม่มีทางปล่อยให้คนแบบนี้มีชีวิตอยู่ โดยเฉพาะคนคนนี้ยังเป็นคู่ต่อสู้ของเขา ทั้งสองมีความแค้นเคืองกัน

ศัตรูแบบนี้ ถ้าไม่ฉวยโอกาสนี้จัดการ ต้องทำให้เขากินไม่ได้นอนไม่หลับแน่นอน

“พลังธาตุทองเข้าสู่ร่างกาย ร่างเบญจธาตุปรากฏ!”

เอี๋ยนชิงอ้าปากสูดหายใจ พลังธาตุทองที่วนเวียนอยู่รอบตัวเขา โดนเขาดูดเข้าไปในร่างกายทันที

การกระทำเช่นนี้ ทำให้อาจารย์ที่อยู่บนท้องฟ้าพากันขมวดคิ้ว

ถึงเป็นนักบู๊แดนปราณชีวิตที่ยกระดับอย่างแท้จริงๆ ยังไม่กล้าเอาพลังของห้าธาตุขั้นสูงสุด เข้าไปในร่างกายตามใจชอบ อวัยวะภายในของนักบู๊ส่วนใหญ่ เส้นลมปราณและกระดูก ไม่ได้แข็งแกร่งกว่าพลังของห้าธาตุขั้นสูงสุด กลืนกินพลังแบบนี้เข้าไป ถ้าเกิดอะไรผิดพลาดเพียงเล็กน้อย ร่างกายจะพังทลายและตายทันที

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 414
นักเรียนชั้นยอดของคณะอย่างเฉียวเซวียน หลัวตาน หยุนอาน หมิงจู และเสวียนเฟิง เห็นภาพตรงหน้า ยิ่งมีสีหน้าเคร่งขรึม

เฉียวเซวียนคณะกำแหงฝืนยิ้มแล้วพูดว่า “ที่แท้ตอนลู่ฝานสู้กับฉัน เขาไม่ได้ใช้พละกำลังทั้งหมด!”

พูดจบ เฉียวเซวียนหัวเราะเยาะตัวเอง จากนั้นส่งเสียงเชียร์ลู่ฝานต่อ

หลัวตานคณะฟ้าร้อง เห็นลู่ฝานต่อสู้กับเอี๋ยนชิง สีหน้าดูไม่สามารถคาดเดาได้

ทันใดนั้นหลัวตานยกขาถีบกระจกจำภาพ

“ไม่ดูแล้วๆ กระทบอารมณ์ฉัน พวกวิปริตสองคน!”

ในคณะสงบใจ หมิงจูยิ้มแล้วมองหลิงเหยาแวบหนึ่ง “ศิษย์น้องหลิงเหยา วันหลังเธอต้องพาลู่ฝานมาคณะสงบใจอีกสักครั้งนะ”

ม่านเหยียนที่อยู่ข้างๆ ก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ใช่ ศิษย์น้องหลิงเหยา วิชาของเขาแข็งแกร่งมาก ฉันเห็นแล้วอิจฉาเลย ให้เขาถ่ายทอดให้สักนิดได้ไหมล่ะ”

หลิงเหยาไม่ได้ยินคำพูดของศิษย์พี่ทั้งสองคน ตอนนี้เธอกำลังตั้งใจชมการแข่งขัน

การต่อสู้ที่ดุเดือดเช่นนี้ ทำให้เธอรู้สึกเครียด

“ลู่ฝาน นายอย่าเป็นอะไรนะ!”

ในคณะหยินหยาง ลู่ฝานกับเอี๋ยนชิงต่อสู้กันอย่างดุเดือด

ด้านนอกประตูคณะ พวกหานเฟิงก็สู้กันอย่างบ้าคลั่ง

“มีความสามารถก็อย่าหนี ทำไมนายอ่อนแอขนาดนี้!”

หานเฟิงสู้พลางด่าพลาง ทำให้หยู่ซินโมโหควันออกหู แทบจะเขมือบหานเฟิงเข้าไป

ทันใดนั้นหานเฟิงเห็นช่องโหว่ของวิชาของหยู่ซิน สะบัดกระบี่แทงลงบนขาหยู่ซิน กระบี่เข้าไปในกระดูกประมาณสามส่วน หยู่ซินเจ็บจนตะโกนออกมาเสียงดัง

“ให้ตายเถอะ ฉันจะสู้สุดชีวิตกับนาย!”

หยู่ซินไม่สนใจบาดแผลตัวเอง ซัดหมัดกระแทกไปที่หัวหานเฟิง

หานเฟิงก็ไม่อ่อนข้อ ดึงกระบี่ออกมาแทงแบบไร้ทิศทาง ทั้งสองคนใช้การต่อสู้แบบชีวิตแลกด้วยชีวิต เลือดสาดกระเซ็น

“ปัญญาอ่อน!”

อาจารย์ซิงยวนมองมาทางนี้ แล้วก่นด่าออกมา จากนั้นหันกลับไปอย่างไม่สนใจ

อาจารย์อี้ชิงหัวเราะอย่างมีความสุข แลกแผลกับลูกหลานตระกูลหาน หาเรื่องใส่ตัวชัดๆ

สถานการณ์ฝั่งหานเฟิงถูกกำหนดเอาไว้แล้ว

ฉู่เทียนกับจางจุนต่อสู้กันจนแผลเต็มตัว เลือดไหลเต็มไปตัวหมด

แต่ทั้งสองคนไม่มองบาดแผลตัวเองสักนิด ต่างจ้องอีกฝ่ายเขม็ง

จางจุนพูดว่า “ดาบเทียนควบ ก็แค่นั้นแหละ”

ฉู่เทียนไม่พูดอะไร ทำเพียงแค่ง้างดาบยาวขึ้นมา

ทั้งสองคนสู้กันอีกครั้ง แสงดาบปรากฏขึ้นมา ร่างกายปะทะกัน

ฉู่เทียนเก็บดาบช้าๆ แล้วนั่งลงบนพื้น

ฉู่เทียนพูดช้าๆ ว่า “ดาบทุคติ ไม่สมชื่อเสียงเลย”

มีรอยดาบปรากฏขึ้นกลางหน้าอกจางจุน จากนั้นเขาล้มลงกับพื้น

อีกด้านหนึ่ง ศิษย์พี่ใหญ่ยืนอยู่ที่เดิม พูดสั่งสอนเหงียนเซี่ยว่า “พลังกระบวนท่านี้ใช้ไม่ได้ เฮ้อ องศาของกระบวนท่านี้แย่เกินไป เฮ้อ นายไม่ได้กินข้าวเหรอ กลับไปกินข้าวไหม แล้วค่อยมาสู้กัน”

เหงียนเซี่ยแทบจะพังทลาย พลังที่เขาซัดใส่ศิษย์พี่ใหญ่ เหมือนโคลนละลายหายไปในน้ำ ไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรสักนิด

ศิษย์พี่ใหญ่ยิ้มแล้วมองเขา แล้วพูดต่อ “รีบสู้สิ สู้จบฉันจะได้กลับไปกินข้าว”

เหงียนเซี่ยแผดเสียงออกมา จากนั้นพุ่งเข้าไปหาศิษย์พี่ใหญ่

แต่เพิ่งพุ่งเข้ามาด้านหน้าศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่ใหญ่ยื่นพุงออกมา เหงียนเซี่ยกระเด็นออกไปทันที

“น่าสงสาร!”

ศิษย์พี่ใหญ่ส่ายหน้าแล้วพูดออกมา ชนะอย่างใสสะอาด

สุดท้าย เจ้าดำกับฮ่วนเย่ว์ที่ยืนอยู่หน้าประตูคณะ ยังจ้องหน้ากัน

“นี่ เจ้าดำ แกจะสู้ไหมเนี่ย!”

ฮ่วนเย่ว์ยืนเท้าเอวแล้วตะโกนออกมา

เจ้าดำยื่นหน้าเข้ามาแลบลิ้นเลียหน้าฮ่วนเย่ว์

ทันใดนั้นฮ่วนเย่ว์หัวเราะออกมา ทำให้นักเรียนที่ชมอยู่ พูดอะไรไม่ออก

บทที่ 413

บทที่ 415

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 413
ได้ยินเสียงตะโกนของลู่ฝาน คนพวกนี้จึงรีบวิ่งหนีออกไป

ลู่ฝานลุกขึ้นช้าๆ สีหน้าเคร่งขรึม เกราะค่อยๆ ปรากฏขึ้นมาบนตัว ปกคลุมทั้งตัวเขาไว้

เกราะเกล็ดมังกรปกคลุมร่างกาย!

ต้องพึ่งเกราะเกล็ดมังกร ลู่ฝานถึงจะมีพละกำลังสู้กับนักบู๊แดนปราณชีวิตได้

ตัวถูกปกคลุมเอาไว้อย่างแน่นหนา ลู่ฝานถือกระบี่หนัก เริ่มใช้ปราณชี่ตนเองกลายเป็นพลังวิญญาณ

ในทีเดียว ซ้ายมือร่ายคาถา พลังฟ้าดินรอบๆ รวมตัวกันช้าๆ โดยการควบคุมของเขา

ไม่มีวิธีแล้ว พละกำลังของเขาในตอนนี้ จะสู้กับนักบู๊แดนปราณชีวิตที่เชี่ยวชาญพลังธาตุทองสูงสุด จำเป็นต้องใช้วิชาของผู้ฝึกชี่สักเล็กน้อย

“คิดไม่ถึงว่านายจะเป็นคนจิตใจงดงาม เหอะๆ นักบู๊ที่จิตใจงดงาม น่าขำ น่าขำชะมัด!”

เอี๋ยนชิงหัวเราะ มองลู่ฝานไล่นักเรียนกับคนใช้พวกนั้นออกไป ทั้งตัวเต็มไปด้วยพลัง

เอี๋ยนชิงมุมปากกระตุก เขาฝืนยิ้มออกมา

ฝึกวิชาชุดนี้ เขาต้องยอมแลกอย่างน่ากลัว ใครจะรู้ว่าเส้นลมปราณและกระดูกในตัวเขา ค่อยๆ กลายเป็นหินแร่ผลึก ใครจะรู้ว่าเมื่อเขาใช้วิชานี้ “ความเป็นมนุษย์” ของเขาจะค่อยๆ หายไป

เอี๋ยนชิงก็รู้ แค่เขาฝึกฝนและใช้วิชานี้ต่อไป ไม่นานเขาก็จะกลายเป็นผีก็ไม่ใช่ คนก็ไม่เชิง

แล้วยังไงล่ะ แค่วิชานี้ทำให้เขายกระดับพละกำลังได้อย่างรวดเร็ว ทำให้เขาเป็นนักเรียนอันดับหนึ่ง ต่อไปจะได้เป็นอันดับหนึ่งของเขตตงหวา แม้กระทั่งอันดับหนึ่งของประเทศอู่อาน ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไร มันคุ้มค่าทั้งนั้น

ใช่ แลกด้วยอะไรก็ได้!

เอี๋ยนชิงกำหมัดแน่น เขากระทืบเท้าอย่างแรงบนพื้น เกิดรอยร้าวจากเท้าของเขายืดยาวออกไปไกล

ลู่ฝานหรี่ตาลง ตอนที่ฝ่าเท้าของเอี๋ยนชิงกระทืบลงพื้น เขารู้สึกถึงลมปะทะใบหน้า

ความเร็วของเอี๋ยนชิงเร็วมาก จนทำให้เกิดเงาขึ้นที่เดิม ตัวเขากระแทกหมัดเข้าท้องลู่ฝานแล้ว

พลั่ก!

เสียงโจมตีรุนแรงดังไปทั่ว เลือดลมของลู่ฝานพลุ่กพล่าน เกราะเกล็ดมังกรตรงท้อง โดนต่อยจนเป็นรอยหมัดลึก

ลู่ฝานไม่พูดพร่ำทำเพลง ซัดหมัดกลับไปเช่นกัน

พลังฟ้าดินบริเวณรอบๆ โดนดันออกไป ความเร็วหมัดของลู่ฝาน ก็เร็วจนไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า

เกิดเสียงดังอึกทึกขึ้นเช่นกัน หมัดของลู่ฝานกระแทกโดนหน้าเอี๋ยนชิง

เอี๋ยนชิงพูดเหมือนหุ่นเชิดว่า “ความเร็วไม่เลว พลังธรรมดา”

พูดจบ แสงสีทองระเบิดออกมา ตัวของเอี๋ยนชิงหายไปจากที่เดิม

ลู่ฝานก็หายไปพร้อมกันกับเขาเช่นกัน บนพื้นเห็นเพียงดวงแสงสีทอง กับดวงแสงสีขาวต่อสู้ด้วยกัน เคลื่อนไหวในคณะหยินหยางอย่างต่อเนื่อง

ทุกที่ที่พาดผ่านไป ที่พักทรุดลงมา เศษหินกระจายไปทั่ว

นักเรียนคณะอื่นเห็นภาพนี้ผ่านกระจกจำภาพ พากันสูดหายใจเฮือก

“วิปริต สองคนนี้วิปริตจริงๆ”

“เอี๋ยนชิงเป็นที่หนึ่งของคณะหยินหยาง ใช้วิชาเข้าสู่แดนปราณชีวิตยังไม่เท่าไร ทำไมลู่ฝานถึงมีพละกำลังระดับแดนปราณชีวิตด้วยล่ะ นี่มันอะไรกัน”

“ลู่ฝานไม่ได้มีพละกำลังระดับแดนปราณชีวิต แต่มีความเร็วที่ทัดเทียมกับนักบู๊แดนปราณชีวิต เขาต้องฝึกวิชากายที่แข็งแกร่งอย่างแน่นอน ถึงเทียบกับนักบู๊แดนปราณชีวิตได้ พวกฝึกวิชากายของคณะบังเหิน คงอายจนจะฆ่าตัวตายเลยล่ะ”

“น่ากลัวเกินไปแล้ว วิปริตเกินไปแล้ว!”

……

เสียงตกใจดังขึ้นในแต่ละคณะ

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 412
“ลู่ฝาน นายกล้ามาก นายบีบบังคับฉัน!”

เอี๋ยนชิงกัดฟันแผดเสียงออกมา

เสื้อผ้าขาดออก ตัวของเอี๋ยนชิงใหญ่ขึ้นหนึ่งเท่า พลังอันน่ากลัวมาพร้อมกับลม ดันลู่ฝานออกไปหลายก้าว

ดูเอี๋ยนชิงแข็งแกร่งขึ้นไม่น้อย

ลวดลายซับซ้อนบนตัวสว่างขึ้นมา เหมือนรูปภาพ เหมือนพลังปราณเคลื่อนไหวอยู่ผิวร่างกาย แสงสีทองสว่างขึ้นตรงมือซ้าย มือขวามีแสงสีเงินสะดุดตา

มีสีขาวดำหมุนวนอยู่ตรงอก ลายซับซ้อนเหมือนเส้นใยเชื่อมแขนทั้งสองข้างกับหน้าอกของเขา

บนท้องฟ้า ท่านผอ.เห็นสภาพของเอี๋ยนชิง ก็พูดออกมาอย่างตกใจ “ร่างพิเศษสามร่างกายรวมเป็นหนึ่ง หุ่นร่างยุทธ์ ซิงยวน นายถ่ายทอดวิชาระดับนี้ให้เอี๋ยนชิงด้วยเหรอ”

ซิงยวนพูดอย่างราบเรียบว่า “ท่านผอ. ก็เป็นวิชา แค่นักเรียนมีความสามารถที่จะเรียน ก็ถ่ายทอดให้ได้อยู่แล้ว ผมจำได้ว่าหุ่นร่างยุทธ์ไม่ได้อยู่ในข้อห้ามของสถาบัน”

ท่านผอ.ส่งเสียงหึอย่างเย็นชาแล้วพูดว่า “การที่ไม่ได้อยู่ในข้อห้าม เพราะว่าหุ่นร่างยุทธ์ไม่มีนักเรียนฝึกฝน อย่ามาพูดกับฉันว่าคนฝึกวิชาอะไรก็ได้ เมื่อหลายร้อยปีก่อนหุ่นร่างยุทธ์เป็นวิชาที่ให้หุ่นเชิดฝึก นายจะให้ศิษย์ตัวเองกลายเป็นหุ่นเชิดเหรอ นายจะทำลายอนาคตเขาเหรอ”

แววตาซิงยวนวูบไหว แต่เพียงครู่เดียวเท่านั้น ทันใดนั้นก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม

“อนาคตเป็นสิ่งที่ตัวเองเลือก คนสมัยก่อนสามารถสร้างวิชาแบบนี้ออกมาได้ คนรุ่นหลังก็สามารถเปลี่ยนให้มันดีได้ ผมเชื่อว่าเอี๋ยนชิงจะผ่านมันไปได้”

อาจารย์อี้ชิงได้ยินจึงพูดว่า “เหตุผลบ้าบอ อาจารย์ไร้ศีลธรรม”

ซิงยวนเหลือบมองอี้ชิง ส่งเสียงหึออกมา แต่ไม่ได้พูดอะไร

ด้านล่าง พลังของเอี๋ยนชิงพุ่งขึ้นอย่างบ้าคลั่ง เพียงไม่นานมีสัญญาณว่าจะถึงแดนปราณชีวิตแล้ว พลังฟ้าดินรอบๆ พลังอันบริสุทธิ์ของพลังธาตุทองที่ถูกแยกออก กลายเป็นเส้นใยสีทอง เข้าไปพันเอี๋ยนชิงเอาไว้

ลู่ฝานเห็นทั้งหมด เขารู้เป็นอย่างดี นี่เป็นสิ่งที่บ่งบอกว่านักบู๊ยกระดับถึงแดนปราณชีวิตแล้ว

จากผลการฝึกตนแดนปราณนอกชั้นห้าของลู่ฝาน บวกกับปราณชี่อันแข็งแกร่งของเขา และวิธีมากมายที่เขามี เอาชนะแดนปราณนอกขั้นสูงสุด เป็นเรื่องที่เป็นไปได้

แต่ถ้าศัตรูเป็นนักบู๊แดนปราณชีวิต โอกาสชนะของเขาจะลดลงมาก

เพราะแดนปราณนอกกับแดนปราณชีวิต ต่างกันราวฟ้ากับดิน

ไม่ต้องพูดเรื่องอื่น แค่พลังห้าธาตุอันบริสุทธิ์ ตอนนี้เขายังต้านทานไม่ได้เลย โดยเฉพาะที่กำลังพันอยู่บนตัวเอี๋ยนชิงในตอนนี้ ยังเป็นพลังธาตุทอง ที่มีพลังโจมตีแข็งแกร่งสุดในพลังห้าธาตุ

ลู่ฝานยกกระบี่ไปด้านหน้า จะขัดขวางการยกระดับของเอี๋ยนชิง

แต่เอี๋ยนชิงแค่สะบัดมือเพียงมือเดียว พลังอันน่ากลัวปะทะโดนลู่ฝานเต็มๆ

ยังดีที่ลู่ฝานปฏิกิริยารวดเร็ว ในช่วงคับขัน เขายกกระบี่หนักขึ้นมากันไว้ด้านหน้า พลังสีทองกระแทกลงบนกระบี่หนัก ไม่งั้นการโจมตีนี้คงทำให้เขาบาดเจ็บสาหัส

พลังอันแหลมคมทะลุเสื้อปราณปกคลุมตัวเขา ถึงเป็นเสื้อปราณที่ก่อตัวจากปราณชี่ เมื่ออยู่ภายใต้พลังนี้ ก็เหมือนกระดาษ ลู่ฝานกระเด็นออกไปหลายเมตร ตัวของเขาทำให้พื้นเป็นรอยแยกลึกลงไป

กระบี่หนักปักลงบนพื้นจึงจะหยุดลงได้ ลู่ฝานกัดฟันลุกขึ้นยืน เห็นพวกคนใช้ที่นั่งยองอยู่มุมกำแพงข้างๆ รวมถึงนักเรียนคนนั้นด้วย

“พลังธาตุทองสูงสุด แข็งแกร่งตามคาด พวกนายรีบหนีไปเร็วๆ!”

ลู่ฝานตะโกนใส่คนพวกนี้

คนโง่พวกนี้ยังมายืนดูอยู่นี่อีก พลังของนักบู๊แดนปราณชีวิต แค่ปล่อยออกมาเพียงนิดเดียว ก็สามารถเอาชีวิตคนพวกนี้ได้แล้ว

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 411
ลู่ฝานรู้สึกผิดปกติ รีบเก็บกระบี่ หมัดของเอี๋ยนชิงตามพลังที่ลู่ฝานถอยกลับ กระแทกลงบนหน้าลู่ฝานทันที

แสงสีขาวดำอันน่ากลัวซ้อนทับไปมา จนกลายเป็นวงกลมหยินหยางขนาดใหญ่ หลังจากนั้นพลังระเบิดออกมา ทำให้สิ่งของที่วางไร้รอบๆ สั่นสะเทือนไปหมด

ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!

เสียงระเบิดดังติดต่อกันสามครั้ง เศษหินมากมายกระจายไปทั่ว ตัวของลู่ฝานกระเด็นออกมา กระแทกกับด้านในคณะหยินหยาง จนประตูห้องพักห้องหนึ่งกระเด็นออกมา พวกครูที่ยืนดูอยู่ไม่ไกล รู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยปลอดภัยแล้ว รีบถอยหลังไปไกลอีก

ในที่พักของคณะ ลู่ฝานเด้งตัวขึ้นมา

ส่วนในคณะ พวกคนใช้กับนักเรียนคนหนึ่ง เบิกตาโตจ้องลู่ฝาน

ให้ตายเถอะ

สู้มาถึงด้านในแล้วเหรอ!

พลังน่ากลัวมาก!

“กูจะเอาชีวิตมึง!”

เอี๋ยนชิงพุ่งเข้ามาฆ่าอีกแล้ว เปลวไฟลุกท่วมตัวลู่ฝาน

กระบี่มังกรเพลิงคำราม!

กระบี่พร้อมมังกรเพลิงเข้าไปโจมตี เอี๋ยนชิงต้านทานมังกรเพลิงที่พุ่งเข้ามา บนตัวเต็มไปด้วยแสงสีขาวดำ วิชาที่ลู่ฝานใช้ออกมา มังกรเพลิงไม่สามารถขัดขวางเขาเอาไว้ได้

ภายใต้การปกคลุมของพลังสีขาวดำ พลานุภาพของเอี๋ยนชิงพลุ่กพล่าน พุ่งมาจนถึงหน้าลู่ฝาน

เอี๋ยนชิงหัวเราะเสียงดังแล้วพูดว่า “ลู่ฝาน นายอ่อนแอสิ้นดี!”

พูดพลางเอี๋ยนชิงซัดหมัดทำลายมังกรเพลิง

แต่สิ่งที่ปรากฏอยู่ในสายตาเอี๋ยนชิง คือใบหน้าที่มีรอยยิ้มของลู่ฝาน

เอี๋ยนชิงรู้สึกผิดปกติ แต่มันสายไปแล้ว

“วิชาสายฟ้าฟาดห้าธาตุ!”

ลู่ฝานพูดออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ ทุกคำพูดทำให้เอี๋ยนชิงอกสั่นขวัญแขวน

ตอนนักบู๊พูดชื่อวิชาออกมาเมื่อต่อสู้กัน เหตุผลส่วนใหญ่ก็คือ สามารถทำให้ศัตรูอกสั่นขวัญแขวน เพราะพลังปราณที่แฝงอยู่ในเสียง และในแง่นี้วิชาสายฟ้าฟาดห้าธาตุ เป็นเคล็ดวิชาขั้นสุดยอด

เมื่อลู่ฝานพูดออกมา พลังปราณบนตัวเอี๋ยนชิงหายไปประมาณ ยี่สิบเปอร์เซ็นต์

ขณะเดียวกัน มังกรเพลิงที่โดนเอี๋ยนชิงทำลายแพร่กระจายไป ตอนนี้มาพร้อมกับสายฟ้า กลายเป็นค่ายกล

ใช่แล้ว ลู่ฝานใช้จิตบู๊เข้าฌานที่แอบเรียนจากคณะสงบใจ แก้ไขดัดแปลงผ่านเทพยอดกลั่นยาอู๋จี๋ แล้วการใช้ที่งดงามของตัวลู่ฝาน

กระบวนท่าพวกนี้ รวมตัวเป็นท่าไม้ตาย

“สายฟ้าลงมา การลงโทษจากสวรรค์!”

เมื่อเสียงลู่ฝานดังขึ้น เสียงไฟสายฟ้าดังขึ้นรอบๆ

มีสายฟ้าอันน่ากลัวฟาดลงมาโดนตัวเอี๋ยนชิง

ทันใดนั้น เอี๋ยนชิงโมโหเป็นอย่างมาก มีกลิ่นไหม้ลอยออกมา โดนฟ้าผ่าจนจมลงไปใต้ดิน

ไฟสายฟ้าอันน่ากลัว เข้ามาโจมตีอีกครั้ง ทำให้ทั้งที่พักกลายเป็นแดนเพลิง

พวกคนใช้กับนักเรียนหนึ่งคนที่ยืนด้านหลังลู่ฝาน อ้าปากค้างมองที่พักของตัวเองกลายเป็นทะเลเพลิง

ลู่ฝานจิตใจดี ในสุดท้าย ยังควบคุมพลังของไฟสายฟ้า จึงไม่ได้เผาพวกเขาไปด้วย

มีควันดำลอยขึ้นจากหัวเอี๋ยนชิง กระบวนท่าต่อเนื่องแบบนี้ เขาคิดไม่ถึงเลย โดนซัดเข้าเต็มๆ

ตอกย้ำซ้ำเติม โอกาสดีแบบนี้ ลู่ฝานไม่ปล่อยไปอยู่แล้ว

เขาฟันกระบี่ลงมาอีก วิชาสายฟ้าฟาดห้าธาตุ กระบี่ฟาด!

ลู่ฝานจะตบเอี๋ยนชิงให้จมดิน

พลังอันแข็งแกร่งตบลงบนหัวเอี๋ยนชิง แผ่นหิน ก้อนหินรอบๆ เอี๋ยนชิง ระเบิดเป็นผุยผง

“ย๊าก!”

เอี๋ยนชิงแผดเสียงออกมา เขาใช้หัวตัวเองรับกระบี่ของลู่ฝาน

เลือดสดไหลออกจากหัวเอี๋ยนชิง

ตอนนี้ดวงตาทั้งสองข้างของเอี๋ยนชิง กลายเป็นสีเงินและสีทอง

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 410
จางจุนสะบัดมือ ดาบยาวสว่างไสวออกมาจากแขนเสื้อของเขา ตัวดาบยาวเรียว ด้านบนมีค่ายกลดาวกระบวยใหญ่ สว่างระยิบระยับ เหมือนดวงดาว

“ฉู่เทียนดาบเทียนควบ คณะหนึ่งเดียว ฉันก็ได้ยินชื่อนายมานานแล้วเหมือนกัน อย่าทำให้ฉันผิดหวังล่ะ!”

จางจุนหัวเราะเย็นชา ดวงตาที่เดิมที่เล็กอยู่แล้ว กลายเป็นขีดเดียว มีแสงเย็นยะเยือกเคลื่อนไหวอยู่รางๆ

ฉู่เทียนเอาดาบที่ตัวเองถือไว้มือขวา มาไว้ในมือซ้าย ยิ้มแล้วพูดว่า “วางใจเถอะ ไม่ทำให้นายผิดหวังหรอก”

อีกด้านหนึ่ง ศิษย์พี่ใหญ่หาคู่ต่อสู้ของตัวเองเจอเช่นกัน

เขาปรากฏตัวด้านหลังเหงียนเซี่ยเหมือนผี ตบไหล่เหงียนเซี่ยเบาๆ แล้วพูดว่า “นี่! เรามาเล่นกันเถอะ”

เหงียนเซี่ยสะดุ้งโหยง ปราณที่ปกคลุมตัวเขาเหมือนไม่ได้ผลอะไรเลย นายตบโดนตัวเขาผ่านปราณที่ปกคลุมตัวได้ยังไง แล้วมาโผล่อยู่หลังเขาได้อย่างไร

ศิษย์พี่ใหญ่ยิ้มแล้วลูบท้องตัวเอง ไม่มีพลังปราณบนตัวสักนิด

เหงียนเซี่ยสะบัดมือทั้งสองข้าง กระบี่คู่ปรากฏอยู่ในมือ

เขามีฉายาว่า กระบี่พันคลื่น เหงียนเซี่ย คนที่ไม่มีชื่อเสียงแบบอีกฝ่าย กล้ามาล้อหลอกต่อหน้าเขา

เหงียนเซี่ยไม่ได้พูดอะไรสักคำ ยกกระบี่พุ่งเข้ามา ศิษย์พี่ใหญ่ยืนอยู่ที่เดิม รอให้เหงียนเซี่ยฟันลงมา

เปลวไฟดำหายไป เจ้าดำอ้าปากกว้างพุ่งเข้าไปกัดเอี๋ยนชิง

เอี๋ยนชิงหายไปจากที่เดิม ตอนเขาปรากฏตัวอีกครั้ง ก็เตะลงบนหัวของเจ้าดำ

เสียงเหมือนเหล็กกระทบกันดังขึ้นชัดเจน อย่าสบประมาทความแข็งแกร่งของร่างกายเจ้าดำในตอนนี้ แข็งแกร่งกว่าร่างกายลู่ฝานแน่นอน กระบวนท่าของเอี๋ยนชิงโดนผิวหนังของเจ้าดำต้านทานเอาไว้ได้

เอี๋ยนชิงอึ้งไปเล็กหน่อย หลังจากนั้นลู่ฝานเด้งตัวลงจากหลังเจ้าดำ ฟันลงไปที่เอี๋ยนชิง

“กระบี่ฆ่าพิชิตฟ้า!”

กระบี่พุ่งออกมา มีเพียงตัวอักษรคำว่าฆ่าขนาดใหญ่ ร่วงลงบนเสื้อปราณที่ปกคลุมตัวเอี๋ยนชิง

ตัวอักษรคำว่าฆ่าครั้งนี้แตกต่างกับกระบี่ฆ่าพิชิตฟ้าที่ลู่ฝานปลดปล่อยออกมาเวลาปกติ ออร่าความตายอันน่ากลัวออกมาจากตัวอักษรคำว่าฆ่า ทำให้การเคลื่อนไหวของเอี๋ยนชิงชะงักไป

เสื้อปราณที่ปกคลุมตัวสลายไปภายใต้ตัวอักษรคำว่าฆ่า ความเร็วสามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า เอี๋ยนชิงส่งเสียงร้องโอดครวญออกมา พลังแปลกประหลาดทิ้งรอยแผลไว้บนอกของเขา

เอี๋ยนชิงกระแทกหมัดลงบนตัวอักษรคำว่าฆ่า พลังทั้งสองปะทะกัน พื้นใต้เท้าแตกร้าว กระแสลมหมุนวนเหมือนน้ำวน ทำให้พื้นกลายเป็นหลุมลึก

เจ้าดำโดนพลังอันบ้าคลั่งนี้ พัดปลิวไปไกลหลายเมตร

เมื่อเงยหน้าขึ้นมา เจ้าดำเห็นข้างหน้ามีคนเพิ่มมาอีกหนึ่งคน เป็นฮ่วนเย่ว์ที่ถือดาบโค้งแดงอยู่ในมือ ยืนยิ้มอยู่ข้างหน้ามัน “เจ้าดำ วันนี้แกอยู่ในมือพี่สาวคนนี้แล้ว”

เจ้าดำเบิกตาโตมองฮ่วนเย่ว์ เธอก็เป็นศัตรูเหรอ

จู่ๆ เจ้าดำมีท่าทางสับสน!

ทางฝั่งนี้ ในกระแสลมที่หมุนวน ลู่ฝานกับเอี๋ยนชิงต่อสู้กันสุดชีวิต ฟันกระบี่ออกมาอย่างต่อเนื่อง เอี๋ยนชิงโดนลู่ฝานจัดการจนถอยหลังไม่หยุด จนเข้าไปในคณะหยินหยาง

กระบวนท่าต่อสู้อีกแล้ว กระบี่หนักของลู่ฝานฟันลงบนหมัดของเอี๋ยนชิง

ทั้งสองคนปะทะกัน กระแสลมระเบิด แต่ไม่มีใครทำอะไรใครได้ พลังมหาศาลทำให้ตัวของทั้งสองคนทรุดลงไปด้านล่างเรื่อยๆ

เอี๋ยนชิงพูดว่า “กระบี่ฆ่าพิชิตฟ้า คำว่าฆ่าตัวที่เจ็ด วิชากระบี่ที่แข็งแกร่งดุดัน แต่นี่ยังเอาชนะฉันไม่ได้หรอก รับหมัดนี้ของฉันซะเถอะ โต้หยินหยาง”

แสงสีขาวดำสว่างขึ้นบนหมัด พลังฟ้าดินรอบๆ โดนกำจัดออกไปไกล

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 409
พวกครูถอยกลับไปอย่างไม่สามารถทำอะไรได้ ขณะเดียวกันก็ประกาศเสียงดัง

“ห้าคนของทั้งสองฝ่ายครบแล้ว การต่อสู้ไม่มีข้อจำกัด”

พวกเอี๋ยนชิงเอาอาวุธออกมาถือ ลู่ฝานก็เอากระบี่หนักที่ปักอยู่บนพื้นขึ้นมา เสื้อปราณปกคลุมร่างกาย

“ศิษย์พี่หานเฟิง เอาแบบที่ปรึกษากันใช่ไหม”

หานเฟิงยิ้มแล้วพูดว่า “เป็นการต่อสู้แบบเท่าเทียมไปแล้ว จะไปสนใจเรื่องพวกนั้นทำไม ฉันเห็นใครขัดตา ก็จะจัดการคนนั้น”

“เป็นความคิดที่ดี!”

มีเสียงดังขึ้นข้างหลัง ศิษย์พี่ใหญ่กับศิษย์พี่ฉู่เทียนเดินเข้ามา

ศิษย์พี่ใหญ่ลูบท้องตัวเอง พูดด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้มว่า “ฉันช่วยพวกนายจัดการหนึ่งคน ที่เหลือเป็นของพวกนาย”

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “งั้นรบกวนศิษย์พี่ใหญ่ด้วย”

เอี๋ยนชิงที่อยู่ฝั่งตรงข้ามพูดว่า “ลู่ฝานเป็นของฉัน พวกนายจัดการคนอื่น”

หยู่ซิน จางจุนและเหงียนเซี่ยพยักหน้าอย่างไม่มีความคิดเห็น มีเพียงฮ่วนเย่ว์ที่พูดว่า “นายเป็นใครไม่ทราบ ทำไมฉันต้องฟังนาย ฉันก็อยากสู้กับลู่ฝานเหมือนกัน”

เอี๋ยนชิงจ้องฮ่วนเย่ว์อย่างโหดเหี้ยม แต่กลับไม่พูดอะไร

จู่ๆ เจ้าดำที่อยู่ใต้เท้าลู่ฝาน ส่งเสียงหอนสั่นสะเทือน จากนั้นก็วิ่งเข้ามาจู่โจม

“แยกย้าย!”

เอี๋ยนชิงตะโกนออกมา ทั้งห้าคนรีบแยกออกจากกันทันที

เจ้าดำยังไม่ทันพุ่งเข้ามาตรงหน้าพวกเอี๋ยนชิง ก็พ่นเปลวไฟดำออกมา

เปลวไฟดำอันน่ากลัวเพิ่งพ่นออกมา ก็กลายเป็นทะเลเพลิง

พลังฟ้าดินบริเวณรอบๆ กลายเป็นสารอาหารของเปลวไฟดำ ทันใดนั้น เปลวไฟดำปกคลุมประตูคณะหยินหยางเอาไว้

พวกเอี๋ยนชิงรีบปล่อยพลังปราณออกมาห่างจากร่างกายหนึ่งนิ้ว ต้านทานเปลวไฟดำที่ทะลักเข้ามา

คลื่นความร้อนและอุณหภูมิสูงที่น่ากลัว ทำให้พวกเอี๋ยนชิงสีหน้าเปลี่ยนไป เพิ่งเริ่มก็เสียเปรียบแล้ว

ฮ่วนเย่ว์แอบก่นด่า ตอนนั้นเธอเสียเปรียบเพราะเจ้าดำ รู้ว่าเปลวไฟดำนี้ดุดันขนาดไหน เธอถอยหลังกรูด ขณะเดียวกันแสงสีแดงปกคลุมเธอเอาไว้ มีค่ายกลบัวแดงปรากฏขึ้นใต้เท้าเธอ

“ฮ่าๆ เจ้าดำดุมาก ศิษย์น้องลู่ฝาน เดี๋ยวฉันเข้าไปสู้ก่อน”

เห็นเปลวไฟดำของเจ้าดำกดดันพวกเอี๋ยนชิง หานเฟิงเด้งตัวลงไปทันที

“วิชากระบี่ชิงสวรรค์ ฟาด!”

เมื่อแสงกระบี่พุ่งออกมา เปลวไฟดำบริเวณรอบๆ เหมือนรู้จักหานเฟิง เปิดทางให้เขาโดยอัตโนมัติ

แสงกระบี่ของหานเฟิง สาดลงบนตัวหยู่ซินคณะหยินหยาง

หยู่ซินไม่ทันตั้งตัว โดนกระบี่ของหานเฟิงฟันกระเด็นไปหลายเมตร เสื้อปราณที่ปกคลุมตัวไม่ได้ป้องกันปราณกระบี่ของหานเฟิงได้ทั้งหมด

เสื้อผ้าขาดไปหมด บาดแผลยาวและแคบ อยู่บนไหล่ของหยู่ซิน

หยู่ซินโมโหทันที มองหานเฟิงอย่างโมโหแล้วพูดว่า “หานเฟิง นายกล้าสู้ตัวต่อตัวกับฉัน นายคงเบื่อการมีชีวิตอยู่แล้วสินะ”

หานเฟิงเอากระบี่พาดไว้ตรงไหล่อย่างสบายๆ แล้วพูดว่า “ให้ตายเถอะ กูเห็นว่านายอ่อนแอ รังแกง่ายก็เลยเลือกนาย ใครใช้ให้นายหน้าตาทุเรศล่ะ! กูมองแวบเดียวก็จำได้แล้ว หน้าตาไม่ดีโทษคนอื่นไม่ได้นะ!”

หานเฟิงยกยิ้มร้ายกาจมุมปาก ยกกระบี่พุ่งเข้ามา

เขาเป็นคนที่แค้นฝังใจ ตอนนั้นที่เขาวิพากษ์ หยู่ซินขัดแย้งกับเขา วันนี้หานเฟิงจะระบายออกมา

จางจุนคณะหยินหยางที่ยืนอยู่ข้างๆ คิดจะเข้าไปช่วยหยู่ซิน แต่ต่อมา แสงดาบสว่างไสวฟันปราณที่ปกคลุมตัวเขาจนสั่นไปมา เกือบทำให้เปลวไฟดำแผดเผาเข้ามาในตัวเขา

“ดาบทุคติ จางจุน ฉันได้ยินชื่อเสียงนายมานานแล้ว วันนี้มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้วิชาดาบกับฉันสักหน่อยเป็นไง”

เปลวไฟดำแยกออก เงาของฉู่เทียนปรากฏอยู่ในสายตาของจางจุน

บทที่ 408

บทที่ 410

“เอกสารความเป็นตายเสร็จเรียบร้อยแล้ว การต่อสู้จัดอันดับคณะ ระหว่างคณะหนึ่งเดียวกับคณะหยินหยาง เริ่มได้”

เมื่อครูประกาศออกมา สายตาพวกเอี๋ยนชิงเย็นชาลงทันที

ตอนนี้ซิงยวนที่อยู่บนท้องฟ้าพูดว่า “เดี๋ยวก่อน อี้ชิง เต้ากวง คณะหนึ่งเดียวของนาย มาสู้อย่างเท่าเทียมกับคณะหยินหยางของฉันเถอะ!”

อาจารย์ซิงยวนเพิ่งพูดจบ ทุกคนส่งเสียงตกใจออกมา

ขนาดนักเรียนที่ชมผ่านกระจกจำภาพ ยังส่งเสียงตกใจออกมา

“โหดเหี้ยมเกินไปแล้ว!”

“คณะหยินหยางกับคณะหนึ่งเดียว จะเล่นกันถึงชีวิตเลยนะ!”

“การต่อสู้ครั้งนี้น่าสนุกจริงๆ”

ลู่ฝานมีสีหน้าสงสัย ศิษย์พี่หานเฟิงที่อยู่ข้างๆ อธิบายว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน คณะหยินหยางเอาจริงกับพวกเราแล้ว การต่อสู้แบบเท่าเทียมที่ว่า ก็คือไม่สนใจเรื่องสู้หนึ่งต่อหนึ่ง ไม่สนใจรอบการแข่งขัน นักเรียนทั้งห้าคนของทั้งสองฝ่ายขึ้นมาสู้พร้อมกัน สู้ได้ตามสบาย ทำให้นักเรียนทั้งห้าคนของอีกฝ่ายยอมแพ้ทั้งหมด หรือตายเท่านั้น ถึงจะรู้ผลแพ้ชนะ”

ลู่ฝานขมวดคิ้วเบาๆ จากนั้นหัวเราะแล้วพูดว่า “พูดแบบนี้ คณะหยินหยางจะเล่นถึงชีวิตกับเราเลยเหรอ”

หานเฟิงพูดว่า “ให้ตายเถอะ เท่าเทียมก็เท่าเทียมสิ ใครกลัวกันล่ะ!”

ลู่ฝานพยักหน้าพูดว่า “ใช่ ผมก็คิดจะทำแบบนี้เหมือนกัน”

บนท้องฟ้าสูง สีหน้าของอาจารย์เต้ากวงกับอาจารย์อี้ชิงเย็นชา

อาจารย์อี้ชิงพูดช้าๆ ว่า “ซิงยวน ในเมื่อนายจะเล่นใหญ่ขนาดนี้ งั้นเรามาพนันกันหน่อยไหม”

ซิงยวนพูดเสียงดังว่า “พนันอะไรก็ได้ นายว่ามาได้เลย”

อาจารย์อี้ชิงพูดว่า “ฉันต้องการห้องเคล็ดวิชาบู๊ของคณะหยินหยาง”

สีหน้าอาจารย์ซิงยวนเปลี่ยนไปทันที แต่ยังกัดฟันพูดว่า “ไม่มีปัญหา ถ้านายแพ้ ฉันต้องการให้พวกนายลบคณะหนึ่งเดียวออกจากรายชื่อ”

อาจารย์เต้ากวงพูดว่า “ไม่มีปัญหาเหมือนกัน”

บทสนทนาของทั้งสองคน ส่งผ่านกระจกจำภาพออกไปทั้งหมด

นักเรียนทุกคนพากันแตกตื่น

“เจ๋งมาก อาจารย์ทั้งสองคณะเล่นใหญ่จริงๆ! คนหนึ่งต้องการห้องเคล็ดวิชาบู๊ ซึ่งเป็นรากฐานของคณะ ส่วนอีกคนต้องการให้เขาลบรายชื่อออก โหดเหี้ยมจริงๆ!”

อาจารย์เซินถูยืนอยู่ข้างท่านผอ. “ท่านผอ. ไม่สนใจเหรอ พวกเขาเล่นใหญ่ขนาดนี้ เกิดเรื่องขึ้นได้ง่ายๆ เลยนะ”

ท่านผอ.หัวเราะแล้วพูดว่า “ใหญ่มากเหรอ ทำไมฉันไม่รู้สึกเลยล่ะ”

จู่ๆ อาจารย์เซินถูพูดอะไรไม่ออก

ท่านผอ.สะบัดมือ มีสัญญาออกมาสองฉบับ ลอยไปตรงหน้าทั้งสามคน

อาจารย์อี้ชิง อาจารย์เต้ากวง และอาจารย์ซิงยวน นำมันเข้าสู่ร่างกายอย่างไม่ลังเล

“สัญญาเรียบร้อย เริ่มพนันได้!”

อาจารย์อี้ชิงพูดเสียงดังว่า “ลู่ฝาน เอาพลังแข็งแกร่งที่สุดของพวกนายออกมา อู๋เหวย ถ้านายแพ้ อย่าหวังว่าจะได้กินเนื้ออีก”

อาจารย์ซิงยวนพูดเสียงก้องว่า “นักเรียนคณะหยินหยางทุกคน ถอยกลับไปที่พักของตัวเอง ถ้าไม่สั่งห้ามออกมา คนที่ฝ่าฝืนจะโดนไล่ออกจากคณะหยินหยาง”

ทันใดนั้นเกิดความวุ่นวาย หน้าประตูคณะหยินหยาง เหลือเพียงพวกลู่ฝานกับเอี๋ยนชิง รวมไปถึงครูที่รับชม

“หุ่นเชิดห้ามแข่ง เก็บไว้ด้วย!”

อู๋เหวยกับฉู่เทียนทำได้เพียงเด้งตัวลงจากหุ่นเชิด อาจารย์อี้ชิงสะบัดมือบนท้องฟ้า หุ่นเชิดแสงทองถอยหลังออกไป

อาจารย์อีกคนกำลังจะพูดว่าเจ้าดำก็เข้าร่วมไม่ได้ ลู่ฝานพูดออกมาว่า “ฝั่งเราขาดหนึ่งคน ให้สัตว์อสูรของฉันมาเพิ่มละกัน อีกทั้งสัตว์อสูรเป็นพลังส่วนหนึ่งของเจ้าของ ไม่นับว่าละเมิดกฎ”

ครูมองไปบนท้องฟ้าอย่างลังเล อาจารย์ซิงยวนส่งเสียงหึอย่างเย็นชา ไม่พูดอะไรออกมา

ท่านผอ.หัวเราะแล้วพูดว่า “นับสัตว์อสูรไปด้วย รวมเป็นห้าพอดี”

ทันใดนั้น ลู่ฝานกับหานเฟิงหัวเราะอย่างดีใจมาก

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 407
เมื่ออาจารย์ซิงยวนพูดจบ ค่ายกลหยินหยางที่อยู่ด้านล่างทั่วคณะหยินหยาง เริ่มเคลื่อนไหว

ทุกคนมองไปข้างล่าง เห็นค่ายกลหยินหยางมีแสงสว่างแสบตา แผ่วงกว้างไปทั่ว หลังจากนั้นนักเรียนคณะหยินหยางรู้สึกว่าพละกำลังของตัวเองเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว

ประสิทธิภาพมหัศจรรย์เช่นนี้ ทำให้นักเรียนคณะหยินหยางอดชมออกมาไม่ได้

“ไม่เสียแรงที่เป็นค่ายกลคณะหยินหยางของเรา!”

ลู่ฝานและคนอื่นไม่ได้สัมผัสถึงประสิทธิภาพนี้ แต่พวกเขาไม่กลัวอะไรทั้งนั้น

เปิดค่ายกลแล้วยังไง วันนี้พวกเขามาตบหน้าคณะหยินหยาง

เงาของพวกเอี๋ยนชิง ฮ่วนเย่ว์ และหยู่ซิน ปรากฏออกมา

จากนั้นรีบเดินไปที่ประตูคณะ เมื่อเดินผ่าน นักเรียนจะแยกทางให้ทั้งซ้ายขวา

“พวกศิษย์พี่เอี๋ยนชิงมาแล้ว!” เพียงประโยคเดียว เพียงพอที่จะทำให้นักเรียนคณะหยินหยางทุกคน พากันตะโกนออกมาพร้อมกันว่า “หยินหยางไร้เทียมทาน หยินหยางไร้เทียมทาน!”

เสียงสะเทือนไปทั่ว ใบหน้าทุกคนฮึกเหิมและจองหอง

ภาพนี้ส่งผ่านกระจกจำภาพออกไป

หลังจากนักเรียนคณะอื่นรู้ข่าว ล้วนไปยังสถานที่ที่มีกระจกจำภาพ

“การต่อสู้ใหญ่ขนาดนี้ พวกเขาจะไม่ดูได้อย่างไร”

คณะหนึ่งเดียวสู้กับคณะหยินหยาง

การต่อสู้ใหญ่แบบนี้ ทุกคนรอคอยมานานแล้ว

แม้แต่พวกคณะบังเหินกับคณะกระบี่ที่พวกลู่ฝานเพิ่งเอาชนะมาได้ ยังตั้งกระจกจำภาพขนาดใหญ่เอาไว้ ให้นักเรียนทุกคนได้รับชมการต่อสู้ครั้งใหญ่

“ลู่ฝานสู้ๆ!”

“คณะหนึ่งเดียวชนะ!”

“กำจัดคณะหยินหยาง!”

……

เสียงตะโกนต่างๆ ดังขึ้นมาจากแต่ละคณะ

ศิษย์พี่หมิงจูคณะสงบใจ พาหลิงเหยาและคนอื่นมาครองโถงใหญ่ กระจกจำภาพสี่บานวางไว้ด้านหน้า รับชมอย่างละเอียด ถึงขนาดเห็นว่าขนบนหน้าลู่ฝานมีกี่เส้น

หลัวตานคณะฟ้าร้อง วางกระจกจำภาพเอาไว้ในห้องตัวเอง รับชมด้วยรอยยิ้ม ความอ่อนล้าแต่เดิมหายไปหมดแล้ว เขาเล่นบอลสายฟ้าอยู่ในมือ มีน้ำแข็งปรากฏออกมาเล็กน้อย

นักเรียนคณะกำแหงนับไม่ถ้วน กำลังรับชมอยู่บนลานประลองบู๊ เฉียวเซวียนนำตะโกนสุดเสียง ถึงลู่ฝานและคนอื่นจะไม่ได้ยินก็เถอะ

เสวียนเฟิงนอนอยู่บนเตียงในคณะกระบี่ เขาให้คนเก็บกระจกจำภาพ ไม่คิดจะดู “เดี๋ยวใครชนะบอกฉันด้วย อืม ฉันนอนก่อน”

ในคณะหนึ่งเดียว ฉู่สิงเพิ่งตื่น เขาบิดขี้เกียจ เปิดประตูห้อง

“วันนี้เงียบจัง เอ๊ะ แปลกจัง ทำไมไม่มีใครสักคน”

ฉู่สิงมองซ้ายมองขวา พบว่ามีอะไรผิดปกติ เมื่อเห็นว่าแม้แต่เจ้าดำกับหุ่นเชิดแสงทองก็หายไป ฉู่สิงกุมหัวแล้วตะโกนออกมา

“อ๊าก! พวกเขาไปสู้แล้ว ให้ตายเถอะ พวกเขาไปคณะหยินหยางแล้ว!”

หน้าประตูคณะหยินหยาง

ในที่สุดพวกเอี๋ยนชิงก็ปรากฏตัวออกมา ทั้งห้าคนยืนเรียงหน้ากระดาน มองพวกลู่ฝานนิ่งๆ

สายตาของเอี๋ยนชิงจ้องเขม็งมาที่ลู่ฝาน รอยยิ้มโหดเหี้ยมปรากฏขึ้นตรงมุมปาก

มีแสงกะพริบอยู่บนท้องฟ้าอีกแล้ว

เงาคนปรากฏขึ้นติดต่อกัน นำโดยท่านผอ. และอาจารย์แต่ละคณะ ต่างพากันมาที่นี่

“เหตุการณ์เช่นนี้ พวกเราจะไม่เข้าร่วมได้อย่างไร อี้ชิง เต้ากวง ซิงยวน พวกนายเซ็นเอกสารความเป็นตายก่อนก็ได้”

พูดพลาง เอกสารความเป็นตายที่ก่อตัวจากแสง ปรากฏขึ้นตรงหน้าพวกเขา ตัวอักษรแต่ละตัวก่อตัวขึ้นจากแสง ดูหรูหราและไม่ธรรมดา

ด้านล่างครูคณะหยินหยางสิบกว่าคนก็เดินออกมา

ถือเอกสารความเป็นตายไว้ในมือ ทุกคนเริ่มลงชื่อ เจ้าดำก็อยากได้ด้วย ทำให้ครูยิ้มบางๆ ออกมา

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 406
ขณะที่นักเรียนทั้งสองคนเคลื่อนไหวลมหายใจอย่างมีความสุข

จู่ๆ กระบี่หนักเล่มหนึ่งร่วงลงมา

ชิ้ง!

กระบี่หนักปักลงตรงหน้านักเรียนทั้งสองคน

ทั้งสองคนตกใจหน้าเปลี่ยนสี เขาสะบัดมือ คนใช้ที่ถืออาวุธอยู่ด้านหลังล้มลงบนพื้น อาวุธในมือพวกเขาลอยเข้ามาในมือนักเรียนทั้งสองคนโดยอัตโนมัติ

“ใครมา”

เสียงดังก้องในหุบเขา

ทันใดนั้นเงาดำขนาดใหญ่พุ่งมาจากข้างหน้า จนมาถึงหน้าประตูคณะ

โฮก!

เสียงมังกรคำรามดังสนั่น ทันใดนั้นนักเรียนคณะหยินหยางทุกคน หันมามองทางประตูคณะ

มังกรดำขนาดใหญ่ปรากฏตัวหน้าประตูคณะหยินหยาง

บนหลังของมันมีนักเรียนอยู่สองคน เป็นลู่ฝานกับหานเฟิงอย่างไม่ต้องสงสัย

“รู้สึกสบายใจจริงๆ ฮ่าๆ ตอนไหนเจ้าดำบินขึ้นท้องฟ้าได้ ฉันต้องให้มันพาฉันไป บินบนหัวคณะหยินหยางสักรอบแน่นอน จากนั้นฉันฉี่ลงมาจากท้องฟ้า ให้ตายเถอะ ความรู้สึกนั้นช่างสะใจจริงๆ”

ลู่ฝานไม่ได้สนใจความคิดหยาบคายของศิษย์พี่หานเฟิง

พูดเสียงก้องว่า “คณะหนึ่งเดียวมาท้าประลอง!”

เสียงเหมือนฟ้าร้อง ฟ้าผ่าลงมาจากท้องฟ้า มีแสงสีแดงอยู่เล็กน้อย

ในแววตาของลู่ฝาน มีสายฟ้าสว่างขึ้นมาเล็กน้อย นี่เป็นผลของการที่เขาฝึกมาสองวัน สัญลักษณ์ของการที่เชี่ยวชาญในพลังปราณสายไฟฟ้า

ทันใดนั้น นักเรียนคณะหยินหยางที่ยืนหน้าประตูทั้งสองคนตกใจมาก

มองมังกรดำขนาดใหญ่ตัวนั้น นี่คือมังกรเปลวไฟดำของคณะหนึ่งเดียวที่มีชื่อเสียงในช่วงนี้เหรอ

มองลู่ฝานกับหานเฟิงที่อยู่บนหลังมังกร เสื้อผ้าปลิวสะบัด สายตาเหมือนสายฟ้า พลานุภาพมหาศาล

ท่วงท่าของยอดฝีมือ!

นักเรียนทั้งสองคนกลืนน้ำลาย หันหลังวิ่งเข้าไปข้างใน

“คณะหนึ่งเดียวมาแล้ว!”

เสียงตะโกนดังขึ้นในคณะหยินหยาง นักเรียนนับไม่ถ้วนพาคนใช้มาที่หน้าประตูคณะ

ขณะเดียวกันพื้นดินใต้เท้าสั่นสะเทือน ตรงสุดสายตา มีหุ่นเชิดแสงทองเดินเข้ามา

ปัง! ปัง! ปัง!

แต่ละก้าวของหุ่นเชิดแสงทอง ทำให้ฝุ่นตลบอบอวล ภายในแสงทองเจิดจ้า บนไหล่มีคนยืนอยู่สองคน

เป็นอู๋เหวยศิษย์พี่ใหญ่กับฉู่เทียนศิษย์พี่รองคณะหนึ่งเดียว

ทั้งสองคนยิ้มมองทุกอย่างด้านหน้า มองทุกอย่างเห็นจากที่สูง เห็นได้ทุกสิ่งทุกอย่าง

ศิษย์พี่ใหญ่ใบหน้ามีรอยยิ้ม โบกมือให้พวกนักเรียนคณะหยินหยาง แต่นักเรียนคณะหยินหยางไม่มีรอยยิ้มบนใบหน้า ต่างมีสีหน้าตกตะลึง

หุ่นเชิดมีพลานุภาพมาก!

หุ่นเชิดแสงทองหยุดลงหน้าประตูคณะหยินหยาง ยืนคู่กับเจ้าดำ

เหตุการณ์แบบนี้ ทำให้นักเรียนที่เย่อหยิ่งจำนวนมากของคณะหยินหยาง อดชื่นชมออกมาไม่ได้

“มีพลานุภาพจริงๆ!”

แต่ขณะนั้นมีของปลิวลงมาจากท้องฟ้า

กระจกจำภาพมากมาย ร่วงลงมาจากฟ้า ปกคลุมทั้งคณะหยินหยางเอาไว้

ทันใดนั้นเงาของอาจารย์อี้ชิงกับอาจารย์เต้ากวง ปรากฏอยู่กลางท้องฟ้า

อาจารย์อี้ชิงลูบท้องแล้วพูดว่า “ต้องให้ทุกคนได้ชมการต่อสู้ในวันนี้ เป็นบุญตาของนักเรียนคณะอื่นแล้ว”

อาจารย์เต้ากวงพูดว่า “ซิงยวน นายยังไม่ออกมาอีกเหรอ วันนี้ความแค้นระหว่างคณะฉันกับนาย จะสิ้นสุดลงแล้ว”

เมื่อพูดจบ มีแสงสว่างขึ้นในคณะหยินหยาง

ผมขาวปลิวไสว อาจารย์ซิงยวนปรากฏตัวท่ามกลางสายตาทุกคน ด้วยท่าทางแข็งแกร่ง

“อี้ชิง เต้ากวง ในที่สุดพวกนายก็มาแล้ว ฉันรอมานานแล้ว”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 405
หลังผ่านไปสองวัน แสงอาทิตย์เจิดจ้า อากาศปลอดโปร่งแสนสบาย เป็นอีกวันหนึ่งที่อากาศดี

สำหรับนักเรียนคณะหยินหยาง ทุกวันเป็นวันที่ดีมาก พวกเขาทำอะไรเองไม่เป็น มีคนทำให้หมด หน้าที่ของทุกวัน ไม่มีอะไรนอกจากยกระดับผลการฝึกฝนตนให้แข็งแกร่ง ต่อสู้ ฝึกกระบี่ ยกระดับพลังปราณ หลังจากนั้นกลับไปพักผ่อน รับการปรนนิบัติจากคนรับใช้สาวสวยหนุ่มหล่อ

นักเรียนที่ขยันหน่อยก็เก็บตัวฝึกฝน ทำลายห้องตัวเองนิดหน่อย เพราะฝึกวิชาบางอย่าง เพราะห้องของนักเรียนแต่ละคนใหญ่พอ ไม่กลัวเสียหาย พังก็ค่อยซ่อมใหม่

นักเรียนคณะหยินหยาง เคยกังวลเรื่องเงินที่ไหนกันล่ะ

ทุกปัญหาที่สามารถแก้ไขด้วยเงิน ในสายตาของนักเรียนคณะหยินหยาง ล้วนไม่ใช่ปัญหา

พวกเขาเป็นโอรสสวรรค์ มีชื่อเสียงเป็นคณะที่แข็งแกร่งสุดในสถาบันสอนวิชาบู๊

พวกเขาเป็นคนมีความสามารถของเขตตงหวา นักเรียนที่สามารถเข้าคณะหยินหยางได้ ใครก็มีความสามารถเกินคนธรรมดา

แค่พวกเขาฝึกในคณะหยินหยางสำเร็จในเวลาสามปี หลังจากออกไป ไม่ว่าจะกลับตระกูลตัวเองหรือเข้าร่วมกลุ่มที่มีอิทธิพล ล้วนได้รับสวัสดิการระดับสูง

เรียกได้ว่าคณะหยินหยาง เป็นใบผ่านทางสู่อนาคตทั้งหมด

พวกเขาภูมิใจที่ได้ฝึกในคณะหยินหยาง ส่วนคณะหยินหยางรุ่งเรือง ก็เพราะพวกเขา สืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่น

“พี่หลี่ได้ยินหรือยัง ตอนนี้คณะหนึ่งเดียวดังแล้ว นักเรียนจำนวนมากอยากย้ายไปคณะหนึ่งเดียว ชิชิ ตอนแรกเป็นคณะขยะที่ไม่มีใครอยากไป ตอนนี้กลายเป็นคนพากันแย่งชิง นายเชื่อไหม”

“พี่จาง ไม่ว่ายังไงตอนนี้คณะหนึ่งเดียวก็เป็นอันดับสองแล้ว คนคณะอื่นอยากเข้า ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เป็นธรรมชาติของมนุษย์ เพราะเงื่อนไขเข้าคณะหยินหยางของเราเคี่ยวมาก ไม่งั้นประตูคณะเรา คงมีนักเรียนคุกเข่าเต็มไปหมดแล้ว นายเชื่อไหม”

“เหอะๆ แน่นอนอยู่แล้ว เพราะคณะหยินหยางของเราเป็นอันดับหนึ่งอย่างแท้จริง คณะอื่นจะเทียบกับคณะเราได้เหรอ”

“ใช่ ตลกที่คนคณะอื่นเข้าใจว่าคณะหนึ่งเดียวจะเอาชนะคณะหยินหยางของเราได้ มีตาหามีแววไม่จริงๆ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่สองกำลังหลักของคณะหนึ่งเดียวบาดเจ็บสาหัส ถึงพวกเขาไม่เป็นอะไร จะเอาชนะพวกศิษย์พี่เอี๋ยนชิงได้เหรอ คนที่มีความสามารถน้อยนิด แต่คิดทำการใหญ่ ไม่เจียมตัว”

……

นักเรียนคณะหยินหยางสองคนสีหน้ามีรอยยิ้ม พูดคุยกันเบาๆ

มีคนใช้สิบกว่าคนเดินตามหลังพวกเขา มีคนถือตะกร้าดอกไม้ มีคนถืออาวุธ มีคนถือพัดโบกไปมา ถึงจะอากาศแบบนี้ก็เถอะ

อันที่จริงเหตุการณ์แบบนี้ เป็นเรื่องปกติในคณะหยินหยาง

นักเรียนในคณะหยินหยางแต่ละคน ถ้าไม่มีคนใช้หลายร้อยคน คงไม่มีหน้าออกมาเจอผู้คน

กินข้าวแต่ละที ต้องมีพ่อครัวหลายสิบคนทำอาหารด้วยกัน

ทั้งสองคนเดินออกจากคณะหยินหยาง ประตูขนาดใหญ่ของคณะหยินหยาง มีอักษรสลักอยู่ซ้ายขวา เคลือบทองผนึกตรา เป็นกลอนคู่ที่มีความหมายว่า

พลานุภาพกลืนกินแม่น้ำภูเขา มีกลอุบายมากมาย

ปราณสะเทือนทั่วทิศ เคลื่อนไหวหยินหยาง หยุดพิภพ

ประตูคณะเชื่อมฟ้าดินและสูงเสียดฟ้า เป็นวิวทิวทัศน์ที่งดงาม

นักเรียนคณะหยินหยางสองคน หยุดยืนที่หน้าประตู ค่ายกลหยินหยางใต้เท้าเคลื่อนไหวช้าๆ

ทุกครั้งที่เคลื่อนไหว สามารถกลั่นพลังฟ้าดินบริเวณรอบๆ ออกมาได้ จากนั้นเข้าไปในร่างกายของนักเรียน

นี่คือหนึ่งในเหตุผลที่นักเรียนคณะหยินหยาง ยกระดับผลการฝึกตนได้เร็ว

เป็นหนึ่งในเหตุผลที่คณะหยินหยาง สามารถครองอันดับหนึ่งได้ยาวนาน

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 404
บทลงโทษระดับนี้ น่ากลัวกว่าการเอาชีวิตเขาเสียอีก เปรียบเทียบกันแล้ว โทษที่จางเยว่หานโดนทำลายผลการฝึกตน ไล่ออกจากสถาบัน นับว่าเบาแล้ว

คุกใต้ดินของสถาบันสอนวิชาบู๊คืออะไร ลั่วหยู่รู้ดี เมื่อถึงที่นั่น คำที่สามารถบรรยายที่นั่นได้

ตายไปเสียยังจะดีกว่ามีชีวิตอยู่

ท่านผอ.พยักหน้าเบาๆ โทษนี้ถือว่าโอเคแล้ว อาจารย์เมิ่งอวิ๋นทำได้ถึงขนาดนี้ เขาพอใจมาก

ลั่วหยู่โดนครูพาออกไป

แววตาอาจารย์เมิ่งอวิ๋นแปรเปลี่ยนเป็นโศกเศร้า เธอหันกลับมาพูดว่า “ท่านผอ. ได้โปรดให้ฉันออกจากการเป็นอาจารย์ด้วย ฉันอยากฝึกอย่างสงบ”

ท่านผอ.อึ้งไป อาจารย์เซินถูก็ตกใจเช่นกัน

ท่านผอ.ยื่นมือออกมา กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง อาจารย์เมิ่งอวิ๋นพูดว่า “ฉันตัดสินใจแล้ว”

ท่านผอ.ขยับปาก แต่ก็ไม่ได้พูดรั้งไว้

อาจารย์เซินถูถอนหายใจ แล้วพึมพำว่า “ทำแบบนี้ไม่คุ้มเลย”

……

หลังผ่านไปหนึ่งวัน อาจารย์เมิ่งอวิ๋นออกจากตำแหน่งอาจารย์ ไปผนึกจวนที่เขตโบราณกับท่านผอ.และคนอื่น พลังของจวนนี้แข็งแกร่งกว่าที่ท่านผอ.จินตนาการไว้ อยากทำลายมันง่ายๆ เป็นไปไม่ได้เลย

หลังจากผนึกจวน อาจารย์เมิ่งอวิ๋นสมัครใจเป็นคนเฝ้าจวน

ด้วยเหตุนี้ อาจารย์เมิ่งอวิ๋นจึงอยู่ที่เขตโบราณ ไม่มีใครรับตำแหน่งอาจารย์ใหม่ของคณะบังเหินชั่วคราว รอให้ผ่านเทศกาลเซ่นไหว้ประจำปีไปก่อน ค่อยปรึกษากัน

แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับนักเรียนทั่วไป

ตอนนี้ทั้งสถาบันสอนวิชาบู๊สนใจปัญหาการย้ายไปคณะหนึ่งเดียว

เมื่อนักเรียนที่โดนเจ้าดำซัดจนเละ บาดเจ็บกลับมาคณะ นักเรียนของสถาบันสอนวิชาบู๊ทุกคนพากันตกใจ

ยังไม่เคยได้ยินเงื่อนไขการย้ายคณะของคณะไหนเคี่ยวขนาดนี้มาก่อน อีกทั้งยังไม่เคยได้ยินคณะไหนไม่สนใจการย้ายคณะของนักเรียน

ไม่ให้เข้ายังไม่เท่าไร มีที่ไหนถึงหลอกเงินหลอกสมุนไพรด้วย

นักเรียนรวมตัวกันมาประท้วงที่คณะหนึ่งเดียว เพื่อต้องการคำอธิบาย

วุ่นวายเกือบครึ่งวัน สุดท้ายศิษย์พี่หานเฟิงปล่อยเจ้าดำออกมา หลังจากเกิดความโกลาหลครู่หนึ่ง การประท้วงทั้งหมดสงบลง

อาจารย์คนอื่นก็ไม่สนใจ นักเรียนที่โดนหลอกเงินกับสมุนไพร ทำได้เพียงเก็บความแค้นเอาไว้

ตอนหานเฟิงทานอาหารเย็น ยังพูดอย่างได้ใจว่า “ให้พวกเขาก่อความวุ่นวายไปเถอะ มีเจ้าดำอยู่ ฉันไม่กลัวใครหรอก อย่าว่าแต่หลอกเงินพวกเขาสิบเหรียญทองเลย ถึงเป็นร้อยแล้วยังไง วะฮ่าฮ่า……”

ลู่ฝานและคนอื่นสีหน้าเหนื่อยใจ ทำได้เพียงปล่อยให้หานเฟิงจัดการ พวกเขาหวังเพียงว่าศิษย์พี่หานเฟิงจะไม่ไปสร้างเรื่องให้ทุกคณะมาซัดพวกเขาก็พอแล้ว

ความโกลาหลผ่านไปอีกสองวัน

เห็นหน้าตาของศิษย์พี่ฉู่สิงดีขึ้นไม่น้อย พวกลู่ฝานรวมตัวกัน ควรไปสู้รอบสุดท้ายแล้ว

คณะหยินหยาง!

ชื่อที่นักเรียนคณะหนึ่งเดียวทุกคนเกลียดชัง เมื่อพูดถึงชื่อนี้ ศิษย์พี่หานเฟิงและคนอื่นกำหมัด เตรียมตัวต่อสู้

ศิษย์พี่ใหญ่ถึงกับกลับมาปรึกษาหารือกับทุกคนด้วย เดิมทีศิษย์พี่ใหญ่ตัดสินใจว่าตัวเองจะจัดการเอี๋ยนชิง แต่ข้อเสนอนี้ถูกลู่ฝานปฏิเสธ

เพราะลู่ฝานต้องการเอาคำอธิบายมาจากเอี๋ยนชิงด้วยตัวเอง ลู่ฝานไม่ลืมเรื่องจริงที่เขาเกือบตายคามือเอี๋ยนชิง

ทุกคนกำหนดเวลา ตกลงเรื่องคู่ต่อสู้ของตัวเอง เตรียมตัวให้พร้อม

อีกสองวัน เป้าหมายคือคณะหยินหยาง!

เป้าหมายคณะหนึ่งเดียว ไม่มีใครเทียบกับพวกเขาได้!

คณะหยินหยาง พวกเรามาแล้ว

กระบี่ยาวหยุดลงบนหัวลั่วหยู่หนึ่งนิ้ว ปราณกระบี่ตัดผมยาวของเขา ผมร่วงลงบนพื้น

“พูดมา!”

ท่านผอ.พูดอย่างน่าเกรงขาม พลานุภาพอันน่ากลัวแผ่ออกจากตัว กดทับลั่วหยู่จนมีเสียงกระดูกดังออกมา

“เทือกเขาฉิงเทียน ทางทิศตะวันออกของเขาอี้ว์หลิง 500 กิโลเมตร ใต้ดินเขตโบราณ 1500 เมตร มีจวนอยู่หนึ่งจวน เป็นสิ่งที่เซียนบู๊ที่ฝึกวิชาชั่วร้ายที่จะเข้าเซียนบู๊หลงเหลือเอาไว้ ผมซึมซับวิชามารของเขาที่นั่น แล้วผมฝึกวิชาชั่วร้ายของเขาได้”

ลั่วหยู่พูดออกมาทีละคำจนจบ

อาจารย์เซินถูจ้องตาเขาเขม็ง ขอแค่แววตาของเขาวูบไหว ดูผิดปกติเพียงเล็กน้อย กระบี่คุณธรรมในมือเขาจะฟันลงไปอย่างไม่ลังเล

ทันใดนั้น อาจารย์เซินถูเก็บกระบี่กลับมา หันมาพูดอย่างราบเรียบว่า “เป็นความจริง”

ท่านผอ.พยักหน้าเบาๆ อาจารย์เมิ่งอวิ๋นที่อยู่ข้างๆ พูดว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมนายไม่รายงาน นายโลภในเคล็ดวิชาชั่วร้ายขนาดนี้เลยเหรอ วิชาที่คณะบังเหินให้นายยังไม่มากพอ ไม่แข็งแกร่งพอหรือไง”

อาจารย์เมิ่งอวิ๋นเคียดแค้นเป็นอย่างมาก ตบเก้าอี้จนพังไปครึ่งหนึ่ง

ลั่วหยู่ก้มหน้าลง ไม่กล้าพูดอะไร

ท่านผอ.เงียบอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถามว่า “ได้ยินว่าก่อนหน้านี้ ในสถาบันมีนักเรียนฝึกวิชาชั่วร้ายอยู่คนหนึ่ง โดนไล่ออกไปแล้ว เธอเกี่ยวข้องกับนายหรือเปล่า”

ลั่วหยู่ชะงักไปแล้วพูดว่า “ท่านผอ.หมายถึงศิษย์น้องจางเยว่หานเหรอครับ ก่อนหน้านี้ ตอนที่ผมเสริมกำลังที่เขาวิพากษ์ ได้เจอศิษย์น้องจางเยว่หาน เธอสนใจผมมาก เราสองคนเจอกันครั้งแรกก็รู้สึกสนิทเหมือนเป็นเพื่อนเก่า จากนั้นก็……”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ เสียงของลั่วหยู่เบาลง

สีหน้าอาจารย์ทั้งสามคนไม่ได้เปลี่ยนไป เรื่องไม่ดีแบบนี้ เห็นในสถาบันสอนวิชาบู๊แทบทุกวัน

อาจารย์เมิ่งอวิ๋นพูดว่า “พูดต่อไป เป็นยังไงต่อ”

ลั่วหยู่พูดว่า “หลังจากนั้น ศิษย์น้องจางเยว่หานขอร้อง ผมเลยให้ยาเพิ่มผลการฝึกตนกับเธอ อีกทั้งมุกที่ผมได้มาจากในจวน มุกเม็ดนั้นแฝงด้วยออร่าชั่วร้าย ในนั้นน่าจะมีวิชาชั่วร้าย ตอนนั้นผมเริ่มฝึกวิชามารไปแล้ว ดังนั้นวิธีพวกนี้จึงไม่มีประโยชน์กับผม ผมจึงให้เธอ คิดว่าการที่ศิษย์น้องจางเยว่หานซึมซับวิชาชั่วร้าย น่าจะมาจากมุกเม็ดนั้น”

อาจารย์เมิ่งอวิ๋นกัดฟันพูดว่า “ให้ตายเถอะลั่วหยู่ นายไม่เพียงแต่แอบฝึกวิชาชั่วร้าย แถมยังทำร้ายศิษย์น้องจางเยว่หานของนายทางอ้อมด้วย บาปหนามาก! นายไม่ต่างกับพวกที่ฝึกวิชาชั่วร้ายอย่างแท้จริงเลย”

ท่านผอ.ขมวดคิ้วเบาๆ “ยาเม็ดกับมุกปีศาจหนึ่งเม็ด สามารถทำให้จางเยว่หานยกระดับได้เร็วขนาดนี้เลยเหรอ”

ขณะที่ท่านผอ.กำลังคิด อาจารย์เซินถูที่อยู่ข้างๆ พูดว่า “ท่านผอ. ผมว่าสิ่งที่ต้องรีบทำตอนนี้ คือหาจวนนั้นให้เจอและปิดผนึกเอาไว้ หรือไม่ก็ทำลายมันซะ เพื่อไม่ให้ทำร้ายนักเรียนเพิ่มขึ้นอีก”

ท่านผอ.ปรับจิตใจ พยักหน้าเห็นด้วย “ก็จริง เซินถู อีกเดี๋ยวนายเรียกพวกชีหลินมา เราไปทำลายจวนนั่นด้วยกัน หรือไม่ก็ผนึกมันไว้ซะ”

ท่านผอ.หันกลับมาพูดกับเมิ่งอวิ๋น “เมิ่งอวิ๋น ลั่วหยู่เป็นนักเรียนของเธอ เธอตัดสินใจเถอะว่าจะจัดการเขายังไง”

แววตาเมิ่งอวิ๋นดุดัน ลุกขึ้นก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าว ตบลงไปบนหน้าลั่วหยู่

จากพละกำลังของอาจารย์เมิ่งอวิ๋น ถึงเธอไม่ได้ใช้พลังปราณ แต่ตบนี้ก็รุนแรงมาก ทำให้ลั่วหยู่กระเด็นไปหลายเมตร กระแทกลงกับพื้น ใบหน้าโดนตบจนยุบลงไปครึ่งหนึ่ง กระอักเลือดออกมาไม่หยุด

“ทำลายตันเถียนกับผลการฝึกตนของเขา เข้าคุกใต้ดินสิบปี”

เมิ่งอวิ๋นออกคำสั่งทำโทษลั่วหยู่ด้วยเสียงเย็นชา ลั่วหยู่ตัวกระตุกแล้วสลบไป

อาจารย์อี้ชิงชะงักไป แล้วพูดว่า “อืม แบบนี้ยังไม่ได้ ต้องขจัดความคิดย้ายคณะของพวกเขาออกไปให้หมด หานเฟิงนายออกไปบอกพวกเขา เอาชนะเจ้าดำได้แล้ว พวกเขายังต้องเอาชนะหุ่นเชิดแสงทองด้วย ถึงจะย้ายเข้าคณะหนึ่งเดียวได้”

ลู่ฝานหนังตากระตุก เอาชนะหุ่นเชิดแสงทองเหรอ โอเค ถึงเสวียนเฟิงกับเอี๋ยนชิงมาที่นี่ ก็ทำไม่ได้ง่ายๆ พวกนักเรียนข้างนอก เหอะๆ ดูเหมือนคงต้องแพ้กันหมด

หานเฟิงยิ้มแล้ววิ่งออกไปประกาศ หลังจากที่หานเฟิงแอบบอกพละกำลังของหุ่นเชิดแสงทอง ว่าเป็นระดับปราณนอกชั้นสูงสุด

สีหน้าพวกนักเรียนอึมครึม นักเรียนสองสามคนก่นด่าออกมาทันที

“คณะหนึ่งเดียวกลั่นแกล้งคนอื่นเกินไปแล้ว ด่านแบบนี้ใครจะผ่านได้ พวกนายไม่อยากรับคนจริงๆ”

หานเฟิงขยิบตาให้เจ้าดำ เจ้าดำใช้กรงเล็บตบคนที่พูดจนปลิว

หานเฟิงพูดอย่างราบเรียบว่า “คณะหนึ่งเดียวคนน้อยเป็นอยู่แล้ว ปฏิบัติแบบ……เอ่อ ฝึกฝนแบบชั้นยอด พวกนายจะเข้าไหม ถ้าไม่ยอมฝ่าด่าน ก็กลับไปซะตอนนี้ ฉันไม่ส่งด้วย!”

พวกนักเรียนหน้าแดงก่ำ โมโหแต่ไม่กล้าพูด

ไม่นาน พวกนักเรียนกลับไปเกือบหมด เหลือแค่สามคนเท่านั้น

หานเฟิงมองทั้งสามคน แล้วหัวเราะเบาๆ

เขารู้ว่าสามคนนี้ก็แค่กล้าเสี่ยงเท่านั้น คิดว่านี่เป็นวิธีทดสอบความกล้าที่คณะหนึ่งเดียวใช้กับนักเรียนที่ย้ายคณะ ขอแค่พวกเขาอดทนเอาไว้ ก็สามารถอยู่ต่อได้

แต่หานเฟิงรู้จักนิสัยของอาจารย์ทุกคน

แต่ไหนแต่ไรคณะหนึ่งเดียวรับแต่คนนิสัยดี อาจารย์อี้ชิงแสดงให้เห็นแล้วว่าไม่อยากรับนักเรียนที่จะย้ายคณะพวกนี้ ถึงพวกเขาคุกเข่าตรงนี้สามเดือนก็ไม่รับ

หานเฟิงไม่อยากพูดมาตรงๆ หันหลังเดินกลับไป

ตอนนี้ลู่ฝานยืนข้างอาจารย์อี้ชิง เขาถามเบาๆ ว่า “อาจารย์ไม่รับสักคนเลยเหรอครับ”

อาจารย์อี้ชิงลูบท้องแล้วพูดว่า “คนมีวาสนาได้รับวิชา เข้ามาคณะฉัน คนที่ไร้วาสนา ห่างไกลจากฉัน ไม่ใช่ว่าจะบังคับแล้วจะได้ ลู่ฝาน นายคิดว่าคณะหนึ่งเดียวต้องการนักเรียนที่ทอดทิ้งคณะเอง แล้วย้ายคณะมาอวดดีเหรอ”

ลู่ฝานพยักหน้าด้วยเข้าใจ แล้วไม่พูดอะไรมากอีก

มองนักเรียนที่เหลือสามคนด้านนอก แล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ

……

ที่อื่น โถงใหญ่คณะหลัก ท่านผอ.ก้มหน้าลงมามองลั่วหยู่ มีอาจารย์เมิ่งอวิ๋น อาจารย์เสวียนเจิน และอาจารย์เซินถูนั่งอยู่ข้างๆ

“กี่วันแล้วลั่วหยู่ นายจะไม่ยอมพูดอะไรใช่ไหม”

ท่านผอ.พูดออกมาช้าๆ ลั่วหยู่สั่นไปทั้งตัว ใบหน้าซูบผอม ลูกตาถลนออกมาข้างนอก เนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผล

ลั่วหยู่ก้มหน้าเงียบอยู่อย่างนั้น

อาจารย์เมิ่งอวิ๋นมองเขาด้ยเงียบๆ ไม่พูดอะไรสักคำ

ท่านผอ.ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ลั่วหยู่ ในเมื้อนายเป็นศิษย์สถาบันสอนวิชาบู๊ของฉัน จึงไม่ใช้วิธีจัดการวิชาชั่วร้ายของโลกนี้กับนาย แต่ผ่านไปหลายวันแล้ว นายยังดื้อดึง วันนี้อาจารย์เซินถู อาจารย์เสวียนเจินอยู่ที่นี่ ถ้านายไม่ยอมพูดอีก อย่าหาว่าฉันไร้ความเมตตา ฉันจะให้โอกาสนายครั้งสุดท้าย บอกฉันมาว่านายเอาวิชามาจากไหน”

ลั่วหยู่กัดฟันกรอด ยังคงไม่พูดอะไรสักคำ

ท่านผอ.ถอนหายใจ พยักหน้าเบาๆ ให้อาจารย์เซินถูที่อยู่ข้างๆ

อาจารย์เซินถูเอากระบี่ออกมาจากอก กระบี่เป็นสีขาว สลักด้านบนว่า “วิถีที่ถูกต้อง”

“กระบี่คุณธรรม กระบี่ฟาดฟันคนที่ฝึกวิชาชั่วร้าย เริ่มจากฟันแขนขา และรับการทรมานจนตาย”

พูดจบอาจารย์เซินถูยกกระบี่ยาวขึ้น แสงกระบี่ส่องออกมา

พลานุภาพแห่งความตายถาโถมเข้ามา ลั่วหยู่อ้าปากค้าง ขณะที่กระบี่ยาวกำลังจะฟันลงมา วินาทีแห่งความเป็นตาย เขาพูดออกมา

“ผมพูดแล้วๆ”

“ฮ่าๆ อาจารย์กลับมาแล้วเหรอ หุ่นเชิดสุดยอดมาก!”

หานเฟิงพุ่งเข้ามาเป็นคนแรก เขาเข้าไปหาหุ่นเชิดด้วยความอยากได้

แต่ว่าเขายังไม่ทันได้สัมผัสหุ่นเชิด ก็โดนแสงสีทองขวางเขาเอาไว้ด้านนอก ไม่สามารถเข้ามาใกล้ได้อีก

อาจารย์อี้ชิงกับอาจารย์เต้ากวงเหาะลงมา

เห็นท่าทีร้อนรนของหานเฟิง อาจารย์อี้ชิงยิ้มแล้วพูดว่า “หุ่นเชิดแสงทอง ตอนนี้พละกำลังเท่ากับแดนปราณนอกชั้นสูงสุด หานเฟิงพละกำลังอย่างนาย ทางที่ดีอย่ายั่วโมโหมัน ระวังจะแบนด้วยหมัดเดียว”

หานเฟิงรีบถอยหลังไปสองก้าว เงยหน้ามองหุ่นเชิดสูงประมาณเก้าเมตร

ฉู่เทียนก็เดินออกมาพูดว่า “อาจารย์ นี่ไม่ได้ใช้แผ่นทองแค่สองสามอันใช่ไหม หุ่นเชิดใหญ่ขนาดนี้ ใช้วัสดุไปเท่าไรเหรอครับ”

อาจารย์อี้ชิงพูดว่า “อันที่จริงใช้วัสดุไปไม่น้อย แต่คุ้มค่า หุ่นเชิดแสงทองตัวนี้ สามารถสะสมพลังได้ ต่อไปมันยังสามารถแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ใช่สิ พวกนายชนะคณะบังเหินกับคณะกระบี่ได้แล้วไม่ใช่เหรอ ฉู่เทียนนายไปเอาแผ่นทองสองอันนั้นมา เพิ่มความแข็งแกร่งให้หุ่นเชิดนี้ได้สักหน่อย”

ฉู่เทียนพยักหน้าเข้าใจ และออกไปทันที

ลู่ฝาน ฉู่สิงกับหานเฟิง ล้อมดูหุ่นเชิด ยิ่งรู้สึกว่าหุ่นเชิดตัวนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรในตัว ส่งเสียงออกมาร่วมวงด้วย “เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ หุ่นเชิดตัวนี้น่าสนใจนะ ต่อไปมีโอกาสฝึกปัญญาได้ ถ้ามีโอกาสหาสิ่งของที่มีจิตวิญญาณใส่เข้าไปให้มัน เมื่อหุ่นเชิดมีปัญญา พละกำลังของมันจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว”

ลู่ฝานพูดในใจว่า “ของที่มีจิตวิญญาณเหรอ ฉันรู้อยู่นิดหน่อย แต่คงต้องรอให้ฉันเข้าสู่ระดับนักเรกิ ถึงจะสามารถทำได้”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรหัวเราะแล้วพูดว่า “ใช่ การที่นักเรกิถูกเรียกว่าเป็นเส้นแบ่งเขตของผู้ฝึกชี่ เพราะเขาสามารถหลอมของที่มีปัญญาหรือมีจิตวิญญาณออกมาได้ ของดีเชียวนะๆ ถ้ากลืนกินได้จะดีมาก”

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “เรื่องนี้แกอย่าคิดแล้ว”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพึมพำ จากนั้นก็เงียบไป

นอกคณะยังเหลือนักเรียนที่อยากเข้าคณะอยู่ เมื่อเห็นหุ่นเชิดใหญ่ขนาดนี้ก็ตกใจ

คณะศิงขรที่เชี่ยวชาญด้านค่ายกลและหุ่นเชิด ยังไม่มีหุ่นเชิดที่ใหญ่และมีแสงทองระยิบระยับแบบนี้

คณะหนึ่งเดียวปิดเอาไว้มิดชิดจริงๆ ไม่เห็นก็ไม่รู้ ถ้าเห็นก็ถึงกับสะดุ้งโหยง

เพราะด่านเข้าคณะยากมาก พวกนักเรียนมองเจ้าดำอย่างไม่พอใจ

อาจารย์อี้ชิงสะบัดมือ ให้หุ่นเชิดเดินไปพักผ่อนด้านหลัง

แสงทองหายไป หุ่นเชิดแสงทองหดตัว ดูเหมือนหุ่นทองแกะสลักขนาดใหญ่

อาจารย์อี้ชิงมองไปด้านนอก เห็นด้านนอกเหลือนักเรียนไม่มากแล้ว หัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “เอ๊ะ เราออกไปสองวัน มีนักเรียนยอมแพ้เยอะเลยเหรอ ดีมากๆ”

หานเฟิงอธิบายว่า “อาจารย์ พวกเขาไม่ได้ยอมแพ้เอง แต่พวกเขาโดนซัดจนกลับไปหมด ศิษย์น้องลู่ฝานความคิดร้ายกาจ ให้พวกเขาผ่านด่านเจ้าดำให้ได้ แล้วค่อยว่ากัน สรุปคนพวกนี้ไม่สามารถสู้เจ้าดำได้ โดนซัดจนหนีไปหมด คนที่เหลือคือคนที่ไม่ยอมแพ้ แต่ไม่น่าจะสู้เจ้าดำได้”

อาจารย์เต้ากวงลูบหนวดแล้วพูดว่า “วิธีนี้ดี อืม ทำไมฉันคิดไม่ได้นะ ลู่ฝาน นายบอกเจ้าดำให้ลงมือรุนแรงสักหน่อย ไม่ต้องกังวล แค่ไม่ฆ่าคนตาย ยังไงก็ได้ ต้องซัดให้พวกเขากลัว ถึงจะไม่มีใครมารบกวนพวกเราอีก”

พูดจบ อาจารย์เต้ากวงกับอาจารย์อี้ชิงยิ้มเหมือนจิ้งจอกเฒ่า ที่ฝึกฝนจนกลายเป็นคน

ลู่ฝานมองแวบหนึ่ง ก็รู้ว่าเจ้าดำจะทำอะไร

“แกจะให้ฉันช่วยกลั่นยาให้เหรอ”

เจ้าดำพยักหน้าเหมือนลูกไก่จิกข้าวเปลือก ลู่ฝานยิ้มบางๆ แล้วรับสมุนไพรมา จากนั้นเอาสมุนไพรประมาณแปดสิบเปอร์เซ็นต์กลั่นเป็นยาเม็ดต่อหน้าเจ้าดำ ส่วนที่เหลือยี่สิบเปอร์เซ็นต์ อืม กลั่นยาก็ต้องคิดเงินเหมือนกัน

วันต่อมาที่หน้าประตูคณะ นักเรียนที่อยากเข้าคณะหนึ่งเดียวดูบางตาลง

หานเฟิงวิ่งออกมาดู จู่ๆ ก็หัวเราะอย่างเบิกบานใจ

“ฮ่าๆๆ เจ้าดำเก่งมากจริงๆ โดนแกซัดจนหนีไปหมดแล้ว ฮ่าๆ คณะหนึ่งเดียวของเราไม่ได้เข้าง่าย”

เจ้าดำใช้กรงเล็บดันหานเฟิงออกไป ไม่ให้ขวางมันเก็บสมุนไพร

นักเรียนที่เหลือ อย่างน้อยมีผลการฝึกตนแดนปราณในชั้น 7-8 อีกทั้งผ่านการต่อสู้มาหนึ่งวัน พวกเขาเห็นผลการฝึกตนของเจ้าดำ เทียบได้กับนักบู๊แดนปราณนอกเลยล่ะ

ดังนั้นพวกเขาต้องใช้แรงภายนอกเล็กหน่อย ถึงจะมีโอกาสชนะ

อาวุธชั้นดี เกราะชั้นดี รวมไปถึงยาเม็ดเพิ่มพละกำลัง ล้วนเป็นสิ่งจำเป็น

พวกเขาต้องเตรียมพร้อมทุกอย่าง ถึงกล้ามาท้าสู้กับเจ้าดำ ไม่สิ ควรเรียกว่ามังกรเปลวไฟดำ

เวลาหนึ่งวัน ทำให้เจ้าดำมีฉายาเป็นของตัวเอง

ตอนนี้มันก็มีชื่อเสียงในสถาบันสอนวิชาบู๊แล้วด้วย นักเรียนที่โดนซัดจนบาดเจ็บสาหัสกลับไป เมื่อพูดถึงมังกรเปลวไฟดำ มีใครบ้างที่ไม่มีสีหน้าตื่นตกใจ

เมื่อเห็นว่าไม่ต้องคืนเหรียญทองที่ได้มา หานเฟิงก็สบายใจ ไม่ต้องหลบอยู่แต่ในห้องอีกแล้ว

ดูสิ ไม่ใช่ว่าฉันไม่คืนเหรียญทอง แต่พวกนายผ่านด่านแรกไม่ได้ต่างหาก โทษฉันไม่ได้

ศิษย์พี่ฉู่สิงสามารถเคลื่อนไหวได้แล้ว เขานั่งอาบแดดอยู่หน้าประตู ดูเจ้าดำซัดคนไปด้วย ช่างสบายใจจริงๆ

ในบรรดาทั้งสามคน ลู่ฝานบาดเจ็บน้อยที่สุด จึงไม่มีปัญหาอะไร หานเฟิงอาศัยพลังสายเลือด พลังการฟื้นฟูแข็งแกร่งมาก ไม่กี่วันก็หายดี มีเพียงฉู่สิงที่เสียพลังไปมาก ถึงกินยาไปแล้ว ก็ต้องพักผ่อนสิบวันขึ้นไป

ดูเหมือนการต่อสู้ครั้งสุดท้ายกับคณะหยินหยาง ฉู่สิงคงไม่สามารถเข้าร่วมได้แล้ว แต่ไม่ต้องกังวล ศิษย์พี่ใหญ่จะเข้าร่วมการต่อสู้ครั้งสุดท้ายด้วย

มีศิษย์พี่ใหญ่กับลู่ฝานอยู่ เอาชนะคณะหยินหยาง ไม่ใช่ปัญหา

ฉู่สิงมั่นใจมาก เหมือนเขาเห็นภาพที่เอี๋ยนชิงโดนซัดจนเละแล้ว

ลู่ฝานยังฝึกฝนอยู่ในห้อง เขาพอสัมผัสได้ถึงวิธีใช้พลังวิญญาณแบบรางๆ

ใช้พระเจ้าป้องกันมัน ใช้พลังทำลายมัน พลังวิญญาณสอดคล้องกับพลังฟ้าดิน

คล้อยตามสถานการณ์ที่เอื้ออำนวย ได้รับโชคดีที่คาดไม่ถึง

ลู่ฝานยิ้มบางๆ เหมือนเขาจับจุดสำคัญได้แล้ว

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรในตัวกับกระบี่หนักไร้คม กำลังแบ่งพัดที่ลู่ฝานชิงมา

หลังจากลู่ฝานยินยอม เจดีย์เสวียนเก้ามังกรกลืนกินพลังของพัดเข้าไปทันที

ไม่รู้ว่ามันใช้วิธีอะไร ทำให้พัดดีๆ อันหนึ่ง ไร้แสงไปในพริบตา กลายเป็นพัดธรรมดา ไม่มีประโยชน์สักนิดเดียว

หลังจากนั้นกระบี่หนักไร้คมปล่อยแสงออกมา หลอมละลายพัดจนหมด กลายเป็นน้ำหลากหลายสี ซึมเข้าไปในกระบี่

ไม่เสียของเลยสักนิด ลู่ฝานเพิ่งรู้ว่าที่แท้พัดอันนี้ไม่ได้ทำขึ้นมาง่ายๆ เป็นพัดที่ดูเหมือนธรรมดา แต่ด้านในทำจากกระดูกมังกร ไม่ธรรมดาจริงๆ

ขณะที่ลู่ฝานกำลังพัฒนาระดับพละกำลัง มีเสียงดังขึ้นข้างนอก

เสียงดังสนั่นมาจากลานคณะ

ลู่ฝานรีบมองออกไป เห็นเงาคนขนาดใหญ่อยู่กลางลานคณะ

“หุ่นเชิดใหญ่มาก!”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 399
วันต่อมา ลู่ฝานพาเจ้าดำมานอกคณะ พูดกับนักเรียนที่อยากเข้าคณะหนึ่งเดียวด้วยเสียงดังก้องว่า “คนที่อยากเข้าคณะหนึ่งเดียว เอาชนะสัตว์เทพคุ้มครองคณะหนึ่งเดียวให้ได้ก่อน ผู้แพ้ต้องให้ยาสมุนไพรหนึ่งต้น แล้วกลับไปซะ ผู้ชนะเข้าสู่ด่านที่สอง รอให้อาจารย์ทดสอบด้วยตัวเอง”

คำพูดของลู่ฝานทำให้เหล่านักเรียนส่งเสียงเฮออกมา

แค่บอกวิธีมาก็พอ คุกเข่านอกคณะมาตั้งหลายวัน ในที่สุดก็ได้การทดสอบเข้าคณะหนึ่งเดียวแล้ว

เจ้าดำมองลู่ฝานด้วยสีหน้า “เจ็บปวดมาก”

มันกำลังหลับอยู่ดีๆ ทำไมถึงโดนลู่ฝานลากออกมาลำบากล่ะเนี่ย

ลู่ฝานพูดเบาๆ กับเจ้าดำว่า “สมุนไพรที่ได้ฉันให้แกทั้งหมด”

เจ้าดำถึงกับกระตือรือร้นขึ้นมา จากนั้นส่งเสียงมังกรคำราม ตัวของมันเริ่มเปลี่ยนไป

ตัวที่เหมือนสิงโต ใหญ่ขึ้นหลายเท่า หัวใหญ่ขึ้น มีเขี้ยวออกมา

เกล็ดทั้งตัวแผ่ออกมาด้านนอก ผ่านไปครู่หนึ่ง เจ้าดำเหมือนเต่าเกล็ดมังกร แต่กลับดูดุดันกว่าเต่าเกล็ดมังกรเยอะมาก

มีเปลวไฟสีดำออกมาจากปากเล็กน้อย เกล็ดสีดำขลับบนตัว มีแสงสีแดง

เจ้าดำที่ดุดันเปลี่ยนร่างเรียบร้อย ทำให้พวกนักเรียนตกใจไม่น้อย

ลู่ฝานพยักหน้าพอใจ เจ้าดำฝึกในคณะหนึ่งเดียวมานานขนาดนี้ พละกำลังต้องยกระดับขึ้นแน่นอน

อีกทั้งเจ้าดำยังฝึกวิชาอสูรเห่าหอนอะไรนั่นด้วย ตอนนี้พละกำลังเป็นยังไง ลู่ฝานไม่ค่อยแน่ใจ ครั้งนี้เขาจะตั้งใจดูสักหน่อย

ถึงอีกฝ่ายเอาชนะเจ้าดำได้ ก็ไม่ต้องกังวล เพราะยังมีด่านที่สอง

อาจารย์จะรับคนจริงๆ หรือเปล่า หึหึ ค่อยว่ากัน

ลู่ฝานวางเจ้าดำไว้ที่หน้าประตู แล้วตัวเองกลับไปฝึกต่อ

ไม่นาน ได้ยินเสียงต่อสู้ดังขึ้นข้างนอก ลู่ฝานมองผ่านหน้าต่างมาข้างนอก

เห็นเจ้าดำตบนักเรียนจนกระอักเลือดออกมาไม่หยุด

เขาส่ายหน้าไม่สนใจพวกน่าสงสาร

ลู่ฝานเข้าสู่การฝึกฝน ความรู้สึกสองสามวันนี้ยังไม่หายไป ลู่ฝานต้องทำความเข้าใจวิธีใช้พลังวิญญาณให้ดี อีกสองวัน เขากะจะกลั่นยาแก้สายฟ้าสัก 1-2 เม็ด จากนั้นพยายามฝึกวิชาสายฟ้าฟาดห้าธาตุให้เชี่ยวชาญด้วย

เมื่อเป็นเช่นนี้ พละกำลังของเขาจะได้เพิ่มขึ้นบ้าง

มีเจ้าดำเฝ้าประตูอยู่ เวลาไม่ถึงหนึ่งวัน พวกนักเรียนที่อยากเข้าคณะหนึ่งเดียวน้อยลงไปเกินครึ่ง

ความน่ากลัวของเจ้าดำ วันเดียวซัดนักเรียนไปหลายสิบคน นักเรียนแต่ละคนโดนซัดจนบาดเจ็บสาหัส ถ้าไม่รักษา 1-2 เดือน ไม่สามารถฟื้นฟูกลับมาเป็นเหมือนเดิม นี่แค่โดนเจ้าดำตบ “เบาๆ” เท่านั้น ถ้าหนักข้อหน่อยต้องตายคาที่แน่นอน

ในฐานะที่เป็นสัตว์อสูร เจ้าดำลงมืออย่างยับยั้งชั่งใจ หลายสิบคน ไม่ได้พลั้งมือฆ่าใครตาย

หลังจากสู้เสร็จ เจ้าดำยังวิ่งเข้าไปแบมือขอของด้วย

เห็นกรงเล็บใหญ่ของเจ้าดำกับเปลวไฟสีดำในปาก ใครกล้าไม่ให้สมุนไพรบ้างล่ะ สมุนไพรหรือชีวิตอันไหนที่สำคัญ ทุกคนรู้ดีแก่ใจ

สมุนไพรหลายสิบต้นอยู่ในมือ เจ้าดำไม่ได้กินทันทีเหมือนสัตว์อสูรตัวอื่น

แต่หาถุงผ้ามาใส่เอาไว้ แขวนไว้ที่คอ

ในฐานะที่เป็นสัตว์ที่ชอบเก็บของ เจ้าดำรู้ว่าสมุนไพรพวกนี้ทำอย่างไรถึงจะดีที่สุด

หลังจากสู้เสร็จวันแรก เจ้าดำวิ่งไปข้างหน้าลู่ฝาน ดึงเสื้อลู่ฝานแล้วมองด้วยแววตาใสซื่อ จากนั้นยื่นสมุนไพรให้ลู่ฝาน

ดูเหมือนสิ่งเหล่านี้เหมือนกับปราณชี่ของเขา ต้องใช้เวลาจับต้นชนปลายและทำความเข้าใจ

บางทีวันหนึ่ง เมื่อเขาเข้าใจเพลงเต๋าหนึ่งเดียวทั้งหมด เขาจะได้รับพลังที่ยิ่งใหญ่

ลู่ฝานยิ้มบางๆ ตอนนี้เขาเหมือนคนยากจนที่มีสมบัติ อีกทั้งไม่ใช่สมบัติเพียงชิ้นเดียว แค่รอให้เขาหาวิธีที่ถูกต้องเจอ เปิดสมบัติออกมาทั้งหมด เขาจะรวยล้นฟ้า

ต้องมีวันนั้นแน่นอน ลู่ฝานมั่นใจ

……

หลังจากการต่อสู้ครั้งนี้ผ่านไป สถาบันสอนวิชาบู๊เดือดเพราะเรื่องนี้ไปสามวัน

สามวันเต็มๆ คณะทั้งหมดต่างพูดคุยกันอย่างตื่นเต้น คณะหนึ่งเดียวกลายเป็นที่ใฝ่ฝันของคณะอื่น นักเรียนที่อยากย้ายคณะมีนับไม่ถ้วน คณะหนึ่งเดียวหัวกระไดไม่แห้งเลย

คณะหนึ่งเดียวที่เดิมทีเงียบเหงาไร้ผู้คน สองสามวันนี้กลับคึกคักมาก

ตั้งแต่วันที่ออกจากจวนสวรรค์ คนนับไม่ถ้วนมาที่คณะหนึ่งเดียว ตะโกนเสียงดังว่า “ฉันจะเข้าคณะหนึ่งเดียว ให้โอกาสฉันเถอะ”

“ถ้าไม่ให้ฉันเข้าไป ฉันจะเอาหัวโขกให้ตายอยู่ที่นี่ พวกนายอย่ามาห้ามฉัน”

“ศิษย์พี่ทุกคน ให้ผมเป็นศิษย์น้องเถอะ ผมยอมรับใช้ทุกคน”

……

เหตุการณ์แบบนี้ ทำให้คณะหนึ่งเดียววุ่นวายไปหมด

อาจารย์อี้ชิงกับอาจารย์เต้ากวง ที่กำลังศึกษาหุ่นเชิดอยู่ในห้อง พากันวิ่งออกมาดู

ตอนแรกพวกเขาสนใจมาก แต่เมื่อออกมาคุยกับนักเรียนพวกนี้ อีกทั้งยังเห็นคนเยอะขึ้นเรื่อยๆ อาจารย์อี้ชิงกับอาจารย์เต้ากวงหมดความอดทนแล้ว

มองนักเรียนที่ไม่เหมาะสมกับความต้องการของพวกเขา คุกเข่าตะโกนอยู่หน้าประตูคณะหนึ่งเดียวทั้งวัน

อาจารย์อี้ชิงกับอาจารย์เต้ากวงรำคาญจนทนไม่ไหว รีบออกไปทันที ทั้งสองคนไม่พูดอะไร มุ่งหน้าไปหาที่สงบที่เทือกเขาฉิงเทียน ศิษย์พี่ใหญ่เด็ดขาดยิ่งกว่า หลังจากอาจารย์อี้ชิงกับอาจารย์เต้ากวงออกไป เลื่อนของกินกองใหญ่แล้วออกไป

จู่ๆ ทั้งคณะหนึ่งเดียวก็มีแค่พวกลู่ฝาน ทำให้พวกเขาปวดหัวมาก

วุ่นวายทั้งวันทั้งคืน

พวกคนที่อยากย้ายคณะ เหมือนหมากฝรั่งติดก้น คุกเข่าอยู่หน้าประตูไม่ไปไหน ทำให้พวกลู่ฝานไม่สามารถรักษาบาดแผลได้

กว่าศิษย์พี่ฉู่สิงจะฟื้นขึ้นมาได้ อีกทั้งเห็นเหตุการณ์นี้ เขาหัวเราะแล้วไม่ออกไปไหนอีก ขนาดเจ้าดำยังหลบอยู่ในห้องลู่ฝานอย่างรู้งาน นอกจากกินข้าว ให้ตายยังไงก็ไม่ยอมออกมา

ศิษย์พี่หานเฟิงทำอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงออกไปแล้วประกาศว่า “คนที่อยากย้ายคณะ เอามาคนละสิบเหรียญทองก่อน”

เดิมทีศิษย์พี่หานเฟิงคิดว่าคำพูดนี้จะทำให้คนตกใจไม่น้อย ผลปรากฏว่าคนพวกนี้เอาเงินออกมายัดใส่มือเขา ไม่เอาก็ไม่ได้ ดูท่าไม่เหมือนให้เงิน เหมือนฉกเงิน ทำให้หานเฟิงอึ้งไปเลย

เก็บเงินได้เยอะแยะ ศิษย์พี่หานเฟิงไม่รู้จะพูดอะไร ตัดสินใจไม่โผล่หน้าออกมาอีก

ลู่ฝานไปหาเขา หานเฟิงโผล่หน้าออกมาทางหน้าต่างแล้วพูดว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน หาวิธีเอาพวกเขาออกไปสิ ฉันไม่กล้าออกไปแล้ว เอาเงินเขามาก็ต้องช่วยเขา ถ้าฉันไม่ช่วย ฉันโดนกระทืบตายแน่ อืม เอางี้ละกัน ฝากนายด้วย”

ลู่ฝานสีหน้าเหนื่อยใจ ศิษย์พี่ฉู่เทียนก็ดูจนปัญญา

คิดไปคิดมา ลู่ฝานไม่มีวิธี ทำได้เพียงหิ้วเจ้าดำออกมา

“เจ้าดำ ครั้งนี้ต้องพึ่งแกแล้ว”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 397
เสียงเชียร์ เสียงตกใจ เสียงก่นด่าปะปนกันวุ่นวาย

ในกลุ่มคน ทุกคนตะโกนชื่อลู่ฝานคณะหนึ่งเดียว การต่อสู้วันนี้ ทำให้ชื่อเสียงของลู่ฝานแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง

หานเฟิงโดนศิษย์พี่ฉู่เทียนประคองลงมาจากลานประลองทรงกลม รับเสียงเชียร์จากทุกคน

ทุกคนปรบมือและส่งเสียงเชียร์อย่างไม่ลังเล ขนาดท่านผอ.ยังปรบมือเบาๆ ให้พวกลู่ฝาน

วันนี้เป็นวันที่คณะหนึ่งเดียวรุ่งโรจน์

ผ่านวันนี้ไป ชื่อเสียงของคณะหนึ่งเดียว ต้องเพิ่มสูงขึ้นเป็นสถิติใหม่

ท้าประลองสองคณะ ชนะทั้งสามรอบ เรื่องใหญ่ระดับนี้ เพียงพอที่ทำให้ชื่อของพวกลู่ฝาน ถูกพูดต่อกันในสถาบันสอนวิชาบู๊ไปอีกหลายสิบปี

เสียงเชียร์ดังต่อเนื่องอยู่นาน หลิงเหยาที่อยู่บนที่นั่งผู้ชมดีใจจนหน้าแดง

ตอนนี้ท่านผอ.หายไปแล้ว คนที่หายไปพร้อมกับเขาคือลั่วหยู่

อาจารย์เมิ่งอวิ๋นและคนอื่นมีสีหน้าสลด

ถ้าเรื่องของลั่วหยู่ถูกเปิดเผยออกไป ชื่อเสียงของคณะบังเหินต้องตกต่ำแน่นอน

อาจารย์เมิ่งอวิ๋นก็ไม่รู้จะพูดอะไร ถ้าท่านผอ.ไม่อยู่ เธอยังพอปิดบังได้บ้าง แต่ท่านผอ.อยู่ที่นี่ และเห็นอย่างชัดเจน ตอนนี้ยังพาตัวคนไปอย่างเงียบๆ จะให้เธอพูดอะไรได้อีก

อาจารย์เมิ่งอวิ๋นคิดอะไรขึ้นมาได้ ก่อนขึ้นลานประลองลั่วหยู่พูดว่าจะฆ่าลู่ฝาน แม้ตอนนั้นเธอไม่ได้พูดชัดเจน แต่ก็เป็นการเห็นด้วยไปแล้ว

ถ้าท่านผอ.ถามเรื่องนี้ คนเป็นอาจารย์อย่างเธอ ก็คงไม่ได้เป็นต่อแล้ว

เมิ่งอวิ๋นถอนหายใจ ดูเหมือนกลับไป เธอต้องเตรียมยื่นเรื่องกับท่านผอ. เพื่อที่จะไปฝึกฝนที่เทือกเขาฉิงเทียน

จิตใจของเธอ ไม่สามารถเป็นอาจารย์ได้อีก

อีกด้านหนึ่ง หลังจากอาจารย์เสวียนเจินถอนหายใจอยู่ครู่หนึ่ง ก็ส่งคนไปรับเสวียนเฟิงกลับมา

เมื่อมองดูดีๆ สีหน้าของอาจารย์เสวียนเจินดูดีขึ้นไม่น้อย

สุดท้ายลู่ฝานก็ยังออมมือ แม้บาดแผลบนตัวเสวียนเฟิงสาหัส แต่ตันเถียนกับสมองที่เป็นจุดสำคัญ ไม่ได้เสียหายจนไม่สามารถรักษาได้

ดูจากพลังวิญญาณที่ลู่ฝานมี ถ้าเขาจะฆ่าเสวียนเฟิงก็มีโอกาสเป็นไปได้

เมื่อเป็นเช่นนี้ เขายังต้องขอบคุณลู่ฝาน

“คณะหนึ่งเดียว อบรมศิษย์ที่ดีออกมาได้คนหนึ่ง!”

เสวียนเจินรู้สึกปลง หันหลังพานักเรียนคณะกระบี่กลับไป

แม้ทางออกจวนสวรรค์หายากมาก แต่ปิดยอดฝีมืออย่างเสวียนเจินไม่ได้ แค่หลังจากออกไป ทำให้พวกนักเรียนคณะกระบี่ก่นด่าออกมายกใหญ่

สถานที่บ้านี่ห่างจากคณะกระบี่ของพวกเขามาก!

นักเรียนคณะกระบี่ออกไปเป็นคนแรก จากนั้นนักเรียนคณะบังเหินก็ออกไป พวกเขาไม่มีหน้าอยู่ต่อ

ความจริงพิสูจน์แล้ว คณะหนึ่งเดียวท้าประลองพวกเขาสองคณะ เพราะมีความมั่นใจและมีความสามารถ

ความรุ่งเรืองของคณะบังเหินสิ้นสุดลงตรงนี้ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พวกเขาหลุดออกจากสามอันดับแรก

บนลานประลองทรงกลม หานเฟิงหัวเราะแล้วพูดว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน ฉันรู้สึกว่าตอนนี้ฉันเจ๋งมาก ให้ตายเถอะ ไม่ได้สะใจแบบนี้มานานแล้ว”

ลู่ฝานหัวเราะ ในสมองเขายังคิดถึงกระบี่สุดท้ายตอนต่อสู้กับเสวียนเฟิงเมื่อครู่

ความรู้สึกลึกลับ วิชากระบี่ที่ยากจะอธิบายด้วยคำพูด

แม้เป็นแค่สัญชาตญาณพลังวิญญาณที่มีต่อศัตรู เขามีความมั่นใจนิดๆ ว่านี่คือวิธีการใช้พลังวิญญาณ วิธีเดิมที่เขาใช้ ผิวเผินเกินไป ไม่ได้ดึงประสิทธิภาพยอดเยี่ยมของพลังวิญญาณออกมา

ในเมื่ออาจารย์หวูเฉินยกย่องเพลงเต๋าหนึ่งเดียวขนาดนี้ ถ้างั้นพลังวิญญาณก็ต้องมีความสามารถลึกลับมากมายแน่นอน

ไม่งั้นอาจารย์หวูเฉินคงไม่พูดกับเขาหรอก ว่าในสถาบันสอนวิชาบู๊นอกจากเพลงเต๋าหนึ่งเดียว อย่างอื่นไม่มีค่าทำให้เขาเสียเวลา

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 396
แววตาของอาจารย์เสวียนเจินเคร่งขรึมขึ้น กระบวนท่านี้อันตรายไม่น้อย เขาต้องจับตามองเสวียนเฟิง จะให้เกิดอะไรขึ้นกับเขาไม่ได้

ลู่ฝานรู้สึกว่าพลานุภาพของเสวียนเฟิง ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไร

รู้เพียงว่ากระบี่หนึ่งเมตรในมือเสวียนเฟิง ยิ่งสว่างขึ้นเรื่อยๆ สว่างจนน่ากลัว

แย่แล้ว!

ลู่ฝานจิตใจวูบไหว ทันใดนั้น เขาพบว่ากระบี่ของเสวียนเฟิงกระทบจิตใจของเขา

ปราณชี่ในตัวแปรเปลี่ยนเป็นพลังวิญญาณอย่างรวดเร็ว เจอวิชาประหลาดแบบนี้ พลังวิญญาณเป็นพื้นฐานที่สามารถปกป้องชีวิตได้

ลู่ฝานรู้ว่าตอนนี้ตัวเองยังไม่ได้ปล่อยความแข็งแกร่งของปราณชี่ออกมา ดังนั้นการแปรเปลี่ยนเป็นพลังวิญญาณ จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

ทันใดนั้น เสวียนเฟิงเคลื่อนไหวแล้ว

ตัวและกระบี่ในมือเขาพุ่งเข้ามาด้านหน้าพร้อมกัน ลู่ฝานเห็นพลังฟ้าดินข้างหน้าเสวียนเฟิง เหมือนสายน้ำที่แยกออกจากกัน จนกลายเป็นหยดน้ำสาดกระจายไปทั่ว

การเคลื่อนไหวของเสวียนเฟิงเร็วขนาดนั้นแท้ๆ แต่ลู่ฝานรวมถึงนักเรียนที่อยู่ในนี้ เห็นการเคลื่อนไหวของเขาได้อย่างชัดเจนทุกท่วงท่า

เหมือนกระบี่นี้แทงทะลุเวลาและอากาศ ในสายตาของทุกคนเหลือเพียงกระบี่นี้ กระบี่เพียงเล่มเดียวในโลกนี้

ความแตกต่างมากมายเช่นนี้ ทำให้พลังวิญญาณในตัวลู่ฝานพุ่งออกมาอัตโนมัติ

พลังวิญญาณกลายเป็นเสื้อปราณปกคลุมตัวลู่ฝาน ลู่ฝานยกกระบี่หนักในมือขึ้นมา

ไม่มีใครชี้นำ ลู่ฝานยังไม่ทันตั้งสติได้ มองการเคลื่อนไหวของเสวียนเฟิง พลังวิญญาณในตัวเขา ทำให้เขาทำกระบี่นี้สำเร็จ

ทั้งหมดดูเป็นธรรมชาติมาก ศัตรูพุ่งเข้ามาฆ่า เขาทำได้เพียงใช้กระบี่นี้โจมตีกลับ

ขนาดตัวลู่ฝานเองก็ยังไม่รู้ ว่าทำไมเขาถึงสะบัดกระบี่นี้ ใช้พลังจากองศานี้

กระบี่ของเสวียนเฟิง ฟันลงบนตัวเขา

พลังกระเพื่อมเหมือนคลื่นน้ำ แผ่ซ่านไปทั่วกล้ามเนื้อของเขา

อวัยวะภายใน เส้นลมปราณ กระดูก ผิวหนังและเลือดเนื้อทั้งตัวเขา ไม่มีส่วนใดที่ไม่กระเพื่อมเหมือนคลื่นน้ำ มีแรงกระเพื่อมแผ่ซ่านออกมา

ราวกับอีกเดี๋ยวมันจะพังทลายลงมา

ส่วนกระบี่ของลู่ฝาน ก็ฟันลงบนไหล่ของเสวียนเฟิงเช่นกัน พลังวิญญาณพุ่งเข้าไปในหัวของเสวียนเฟิง

ลูกตาของเสวียนเฟิงเต็มไปด้วยเส้นเลือด มือที่ถือกระบี่หนึ่งเมตรสั่นอย่างรุนแรง

เงาของทั้งสองคนพาดผ่านกัน ลู่ฝานยืนอยู่ที่เดิม กระอักเลือดออกมา เพราะกลั้นเอาไว้ไม่ได้

เส้นลมปราณหนึ่งในสามของร่างกายเริ่มขาด อวัยวะภายในเป็นแผล

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรในตัวส่งเสียงตกใจ จากนั้นเริ่มรักษาอาการบาดเจ็บ

ลู่ฝานหันไปมองเสวียนเฟิง กลับพบว่าเสวียนเฟิงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมเหมือนท่อนไม้

“ใครชนะ”

“ใครชนะกันแน่”

พวกนักเรียนยืดคอ เหมือนเป็ดที่โดนคนบีบคอหิ้วขึ้นมา พากันรอดู

ทันใดนั้นมีลมพัดผ่านไป

ตัวของเสวียนเฟิงโงนเงนเล็กน้อย จากนั้นมีพลังสีขาวดำพุ่งออกมาทั้งตัว แล้วล้มลงบนพื้น

พลั่ก!

เหมือนเสียงล้มลงพื้นของเสวียนเฟิง ดังอยู่ในใจของนักเรียนทุกคน

อาจารย์เสวียนเจินหน้าสลด ยิ้มอย่างขมขื่นแล้วพูดว่า “พลังวิญญาณ นักเรียนคณะหนึ่งเดียวฝึกเพลงเต๋าหนึ่งเดียวสำเร็จแล้วจริงๆ”

คนข้างๆ ได้ยินคำพูดของอาจารย์เสวียนเจิน และถูกพูดต่อกันจนดังไปทั่ว

บนที่นั่งคนดูมีเสียงตกใจดังขึ้นนับไม่ถ้วน

“เพลงเต๋าหนึ่งเดียว ลู่ฝานฝึกเพลงเต๋าหนึ่งเดียวสำเร็จแล้ว!”

“พระเจ้า เพลงเต๋าหนึ่งเดียวฝึกสำเร็จ เขาคือลู่ฝานคณะหนึ่งเดียว!”

“ลู่ฝานคณะหนึ่งเดียว!”

……

เสียงดังเหมือนคลื่นน้ำ ลู่ฝานยิ้มบางๆ แล้วเก็บกระบี่

“ชนะทั้งสามรอบ คณะหนึ่งเดียวชนะ!”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 395
ลู่ฝานเอายาขวดหนึ่งออกมาจากอก กรอกยาใส่ปากเหมือนกินลูกอมต่อหน้าทุกคน

วิธีกินยาแบบนี้ พวกนักเรียนเห็นแล้วโมโห

“เสียดายของ เขากำลังกินยาเหรอ ยามันกินทีละเม็ดไม่ใช่หรือไง ทำไมเขากินทีละขวดล่ะ”

“อย่าบอกนะว่าคณะหนึ่งเดียวรวยมาก นักเรียนที่เข้าไปล้วนไม่กังวลเรื่องยางั้นเหรอ”

“ให้ตายเถอะ ฉันสมัครผิดคณะแน่ๆ ฉันจะย้ายคณะ ฉันจะไปคณะหนึ่งเดียว”

……

พวกนักเรียนพูดกันอย่างตกใจ พวกหานเฟิงได้ยินแล้ว หัวเราะจนท้องเกือบแตกตาย

“พวกโง่ ศิษย์น้องลู่ฝานกินยาเหมือนลูกอมแบบนี้ เพราะเขาได้รับจวนของเซียนบำเพ็ญชี่”

ฉู่เทียนที่อยู่ข้างๆ ก็พูดว่า “ศิษย์น้องหานเฟิง อย่าพูดความจริงสิ ปล่อยให้พวกเขาพูดกันไป ฉันจะรอดูว่าสุดท้ายคณะหนึ่งเดียวจะถูกพูดถึงแบบไหน”

ทั้งสองมองหน้ากันแล้วหัวเราะออกมา

บนลานประลอง เสวียนเฟิงใบหน้ากระตุก

เป็นนักเรียนอันดับหนึ่งของคณะกระบี่ เขาก็มียาไม่น้อยเหมือนกัน แต่เขาไม่มีทางกล้ากินแบบลู่ฝาน เอายาเม็ดหนึ่งออกมามีค่าเป็นพัน กินเข้าไปในท้องเป็นเงินทั้งนั้น นอกจากพวกผู้ฝึกชี่ที่ไม่สนใจเรื่องเงิน ถึงคนที่รวยมากก็ไม่กล้ากินแบบลู่ฝาน

เมื่อกินยาหมดขวดหนึ่ง ลู่ฝานรู้สึกว่าตัวเองฟื้นฟูพอประมาณแล้ว

บาดแผลบนตัวก็ตกสะเก็ด ไม่มีปัญหาอะไร ถ้าเสวียนเฟิงเข้าใจว่าตอนนี้เขาสูญเสียพลังไปมาก นั่นคือข้อผิดพลาดใหญ่หลวง

พลังฟ้าดิน กำลังเติมเต็มปราณชี่ของเขาอย่างสุดความสามารถ

เพราะเพิ่งกินยาไปเยอะขนาดนั้น ถึงพลังฟ้าดินบริเวณรอบๆ ผิดปกติ ทุกคนก็จะคิดไปว่าเป็นเพราะยา ไม่มีทางเดาได้ว่าเขามีวิชาของผู้ฝึกชี่

เกราะเกล็ดมังกรบนตัวหายไป ลู่ฝานกระจะแข่งวิชากระบี่กับเสวียนเฟิง

ว่ากันว่าวิชากระบี่ของคณะกระบี่ เป็นจุดสูงสุดของทั้งสถาบันสอนวิชาบู๊ วันนี้มีโอกาสได้รับคำชี้แนะ แน่นอนว่าลู่ฝานต้องแอบเรียนรู้อะไรที่มีประโยชน์สักหน่อย

เหมือนกระบวนท่าที่เขาเอาชนะลั่วหยู่ได้เมื่อกี้ อันที่จริงเป็นพลังสะเทือนของวิชาสายฟ้าฟาดห้าธาตุ

แม้ตอนนี้ลู่ฝานไม่ได้กระตุ้นสายฟ้า แต่แก่นแท้สุดของพลังสะเทือน เขาพอจะใช้ได้อยู่บ้าง

ประสิทธิภาพไม่เลวเลย!

เสวียนเฟิงก้าวมาข้างหน้าสามก้าว กระบี่หนึ่งเมตรในมือรวมตัวเป็นแสงเยือกเย็น แววตาเป็นประกาย

“ไม่ได้ ฉันโดนผลกระทบจากพลานุภาพของเขา แม้ตอนนี้พลังปราณของเขาอาจไม่เพียงพอ แต่ฉันโดนค่ายกลกดพลังไว้สิบเปอร์เซ็นต์ ตอนนี้จิตใจไม่มั่นคง หายไปอีกสิบเปอร์เซ็นต์ เหลือพลังแค่แปดสิบเปอร์เซ็นต์ ต้องรีบต่อสู้ให้จบ ใช่ กระบวนท่าเดียวตัดสินแพ้ชนะ!”

เสวียนเฟิงมีแผนการในใจ

กระบี่หนึ่งเมตรชี้ไปที่ลู่ฝาน “ลู่ฝาน ฉันไม่เอาเปรียบนาย เรามาตัดสินแพ้ชนะ ด้วยกระบวนท่าเดียวเป็นไง”

ลู่ฝานอึ้งไปเล็กน้อย เขากระจะเตรียมโชว์วิชากระบี่ขั้นพื้นฐานของตัวเองสักหน่อย คิดไม่ถึงว่าเสวียนเฟิงจะพูดอย่างนี้

ลู่ฝานลูบจมูกแล้วพูดว่า “กระบวนท่าเดียวใช่ไหม ได้สิ ในเมื่อนายต้องการแบบนี้ งั้นกระบวนท่าเดียวก็ได้”

ลู่ฝานจับกระบี่หนัก เริ่มยกระดับพลานุภาพของตัวเอง

ในเมื่อตัดสินแพ้ชนะด้วยกระบวนท่าเดียว ศัตรูต้องใช้ท่าไม้ตายที่แข็งแกร่งของตัวเองแน่นอน เขาจะประมาทไม่ได้

จู่ๆ เสวียนเฟิงปิดตาซ้ายของตัวเอง ประกายในตาขวาหายไป แม้แต่รูม่านตาก็หายไปด้วย เหลือเพียงลูกตา

“ตาทิพย์ กระบี่ไม้ตาย ตามองโลก สิบก้าวปลิดชีพ ดีๆๆๆ ลูกชายของเสวียนเจินได้รับการถ่ายทอดจากพ่อเขาอย่างแท้จริง”

อาจารย์เซินถูหัวเราะแล้วเอ่ยขึ้น

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 394
มีแสงสีแดงปรากฏขึ้นในมือลู่ฝาน ด้ายแดงปรากฏออกมา นี่เป็นของที่หลิงเหยาให้เขา บอกว่าเป็นของที่ต้านทานการฝึกฝนชั่วร้ายโดยเฉพาะ

ใยเล็กๆ ในด้ายแดงเข้าไปในบาดแผลของเขา ทำลายพลังตายด้านในบาดแผลทันที จากนั้นเจดีย์เสวียนเก้ามังกรตั้งสติได้ รีบซ่อมแซมร่างกายของเขาทันที

ปราณชี่งอกงามอย่างต่อเนื่องในตัวลู่ฝาน เริ่มฟื้นฟูบาดแผลทันที

“ดี ด้ายแดงเส้นนี้มีประสิทธิภาพจริงๆ”

ลู่ฝานยังกลัวอยู่ เขามองบาดแผลแวบหนึ่ง วิชาชั่วร้ายสบประมาทไม่ได้จริงๆ ดูเหมือนตอนนั้นจางเยว่หาน ไม่ได้รับแก่นแท้ของวิชาชั่วร้าย

ท่านผอ.ลุกขึ้นตบโต๊ะ มองลั่วหยู่อย่างโมโหมาก

คนอื่นดูไม่ออก แต่เขาดูออกอย่างชัดเจน

“วิชาชั่วร้าย! คณะบังเหินมีศิษย์แบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร!”

เสียงเย็นชาของท่านผอ.ดังขึ้น นักเรียนทั่วไปไม่ได้ยิน แต่อาจารย์ทุกคนรู้สึกว่ามีเสียงดังอยู่ข้างหู พากันหน้ากระตุก

เทียนฉี่โผล่หัวออกมากลางท้องฟ้า แล้วมองมาทางนี้ แต่จวนสวรรค์ที่อยู่ในอากาศเวิ้งว้าง ทำให้เทียนฉี่มองไม่เห็น ชั่วคราว หลังจากมองซ้ายมองขวา ก็หายลับไป

อาจารย์เมิ่งอวิ๋นหน้าซีดเผือด ทำไมเป็นวิชาชั่วร้ายอีกแล้ว!

ศิษย์มีวิชาชั่วร้ายสองคนติดๆ อาจารย์เมิ่งอวิ๋นก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

ท่านผอ.โมโหขนาดนี้ เธอคงซวยไปด้วยเหมือนกัน

ตอนนี้เธอก็อยากพุ่งขึ้นไปบนลานประลอง จับลั่วหยู่มาถามให้รู้แล้วรู้รอด

ลั่วหยู่ยังไม่รู้ว่าวิชาของตัวเองโดนจับได้แล้ว ตอนนี้เขาตกอยู่ในความโกรธ คิดเพียงแต่จะฆ่าลู่ฝาน

ลู่ฝานมองเขาแล้วยกยิ้มมุมปาก

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดอยู่ในตัวลู่ฝาน “ฮ่าๆ เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ เจ้านายเริ่มชิงของมาแล้ว ฉันดีใจมาก โลกของนักบู๊ก็เป็นอย่างนี้แหละ เขาไม่แย่งเรา เราก็แย่งเขา พัดนี้ฉันกินได้ไหม ฉันรู้สึกว่ามันรสชาติดี”

ลู่ฝานขี้เกียจสนใจไอ้เก้า เขามองลั่วหยู่แล้วเดินเข้าไปหา

กระบี่หนักโดนลั่วหยู่โยนไปอีกด้าน จากนั้นเขาแผดเสียงออกมา แล้วพุ่งเข้ามาหาลู่ฝาน

“ตาย!”

เกราะโลหิตบนตัวลั่วหยู่กลายเป็นรูปร่างโครงกระดูก ในเบ้าตาสีดำขลับของโครงกระดูก มีเปลวไฟสีน้ำเงินลุกขึ้นมา

ลู่ฝานชะงักฝีเท้า แล้วปล่อยหมัดออกมาพร้อมกัน

“สะเทือน!”

ปราณชี่ในหมัดทั้งสองข้างแผ่ซ่านออกมา พลังฟ้าดินรอบๆ สั่นสะเทือน

พลังของลั่วหยู่ที่พุ่งเข้ามาหน้าเขา พังทลายลงทีละนิด ล้มลงด้วยความตกใจตรงหน้าลู่ฝาน

พวกนักเรียนที่ชมอยู่ ก็รู้สึกถึงแรงสะเทือนอันน่ากลัวเช่นกัน ล้วนพากันตะลึงอย่างแปลกประหลาด

หลังจากนั้นมองไปที่ลานประลองอีกครั้ง ลั่วหยู่ล้มลงตรงหน้าลู่ฝาน

“ฉัน……ไม่ยอม!”

ลั่วหยู่พูดออกมาพร้อมกับเลือดเต็มปาก

ลู่ฝานเตะไปที่หัวเขา จนเขาสลบไป

ลู่ฝานเดินลงมาช้าๆ เก็บกระบี่หนักของตัวเองขึ้นมา ลั่วหยู่นอนแผ่อยู่บนแท่นทรงกลม เลือดไหลออกมาไม่หยุด

ลู่ฝานหันไปมองเสวียนเฟิงที่นิ่งมาโดยตลอด หัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “ตานายแล้ว”

ตอนนี้สีหน้าเสวียนเฟิงไม่สู้ดี ฝ่ามือของเขาสั่นเล็กน้อย

การแสดงออกของลู่ฝานเมื่อครู่ ทำให้เขาตกใจจริงๆ เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เกิดมา ที่เสวียนเฟิงเจอศัตรูแล้วไม่กล้าชักกระบี่ออกมา

เสวียนเฟิงหยิกตัวเองอย่างแรง ตั้งสติ กำกระบี่หนึ่งเมตรเอาไว้แน่น

เสวียนเฟิงพูดว่า “รอมานานแล้ว”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 393
บนตัวลู่ฝานมีเกราะปรากฏขึ้นมาเลี่อยๆ จากนั้นปกคลุมไปทั่วร่างกายของเขา

เกราะสีเงินสว่าง มีแสงสะท้อนสว่างไสว ดูระยิบระยับ ทำให้กระบี่หนักในมือลู่ฝานมีแสงสว่างสีเงินไปด้วย

เมื่อผลการฝึกตนของลู่ฝานพัฒนาขึ้น เกราะก็ดูแข็งแกร่งงดงามกว่าก่อน อักษรยันต์ด้านบนก็ชัดเจนขึ้นไม่น้อย แสงลึกลับไหลเวียนอยู่

ทั้งตัวลู่ฝาน มีเพียงดวงตาโผล่ออกมา เขาจ้องลั่วหยู่แล้วยกกระบี่หนักขึ้นมาอีกครั้ง

“เกราะเกล็ดมังกร! เขาฝึกวิชานี้เป็นด้วย เคล็ดวิชาบู๊นี้สูญหายไปแล้วไม่ใช่เหรอ”

อาจารย์เซินถูพูดโพล่งออกมา

ถ้าพูดว่าวิชาเกราะเลือดเป็นวิชาที่สามารถทำให้คนมีพลังป้องกันระดับนักบู๊แดนปราณดิน พอที่จะเรียกได้ว่าเป็นเคล็ดวิชาบู๊ระดับดินขั้นสูง งั้นเกราะเกล็ดมังกรคงเป็นระดับดินขั้นสูงสุดยอดแน่นอน

พลังป้องกันทั้งสองอย่างเหมือนกัน แต่ไม่ว่าจะพูดถึงด้านความสูญเสีย หรือด้านการพัฒนาของวิชา ล้วนต่างกันเกินกว่าหนึ่งขั้น

แน่นอนว่าความยากในการฝึกฝนก็มากกว่าหนึ่งขั้นเหมือนกัน

อาจารย์เมิ่งอวิ๋นคณะบังเหิน อาจารย์เสวียนเจินคณะกระบี่ รวมไปถึงอาจารย์คณะอื่น พากันสูดหายใจเฮือก

เกราะเกล็ดมังกรหมายถึงอะไร ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าพวกเขาแล้ว

ใครจะไปคิดว่า คนที่ท่าทีแข็งแกร่งอย่างลู่ฝาน กลับมีวิชาแบบนี้ซ่อนอยู่

สีหน้าลั่วหยู่แปรเปลี่ยนไป เขารีบถอยไปด้านหลัง

แต่ลู่ฝานไม่ให้โอกาสเขาได้ถอยหรอก มือซ้ายกลายเป็นกรงเล็บ คว้าเกราะโลหิตของลั่วหยู่เอาไว้

พลังปราณสีโลหิตจะพุ่งเข้ามาโจมตีแขนลู่ฝาน แต่โดนแสงบนเกราะเกล็ดมังกรกดดันเอาไว้

“เกราะทนทานมาก ให้ฉันลองหน่อย ว่าจะต้านทานได้กี่กระบวนท่า”

ลู่ฝานพูดพลาง สะบัดกระบี่หนักลงบนตัวลั่วหยู่ ขณะเดียวกันก็เปิดเขตวิถี พลังแผ่ซ่านออกไป ทำให้คนจิตใจสั่นไหวไปด้วย

ลั่วหยู่โดนกระบี่ตบลงบนพื้น ดิ้นเพื่อที่จะจู่โจมกลับ

แต่เขาเพิ่งจะสะบัดพัด ลู่ฝานเขามาจับพัดของเขาเอาไว้

พลังอันแหลมคมนับไม่ถ้วนพุ่งออกไป แต่ไม่สามารถทำลายการป้องกันของลู่ฝานได้ นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่นักบู๊อาวุธลับเหลือไม่กีคนแล้ว แค่เจอนักบู๊ที่มีเกราะ วิธีการลอบโจมตีของพวกเขา จะโดนควบคุมเอาไว้มาก

โดยเฉพาะนักบู๊ที่เข้าสู่แดนปราณดิน มีเกราะแทบทุกคน นักบู๊อาวุธลับที่สามารถทำลายเกราะได้ จะมีสักกี่คนกัน

“ไม่!”

ลั่วหยู่ตกใจ แต่ไม่สามารถต้านทานพลังอันรุนแรงของลู่ฝานได้

ลู่ฝานชิงพัดในมือของเขามา แล้วโยนเข้าไปในเข็มขัดอากาศธาตุของตัวเอง

การกระทำเช่นนี้ ทำให้นักเรียนที่อยู่ที่นี่ถึงกลับหน้าเปลี่ยนสี

ชิงมาดื้อๆ แบบไม่ปกปิด บ้าไปแล้วจริงๆ

แต่นักเรียนอีกส่วนหนึ่งที่ฉลาดหน่อย กลับไม่คิดเช่นนี้ ลั่วหยู่ใช้วิชาเกราะเลือดวิชาต้องห้ามของสถาบันสอนวิชาบู๊ ทำไมลู่ฝานจะชิงอาวุธของเขามาไม่ได้ล่ะ

เมื่อเห็นพัดโดนแย่งไป ลั่วหยู่ตาแดงก่ำทันที

“ลู่ฝาน นายกล้ามาก!”

พูดพลาง มีแสงหม่นหมองกะพริบขึ้นในตาของลั่วหยู่ บนตัวก็มีพลังปราณหม่นหมองสว่างขึ้น

ทันใดนั้น ลู่ฝานรู้สึกถึงอันตรายที่กำลังจะมาถึง เขาไม่ยกกระบี่หนักขึ้นมา เคลื่อนตัวถอยไปด้านหลัง

มือทั้งสองข้างของลั่วหยู่แตะออกมา พลังที่มีแสงหม่นหมองแฝงอยู่พุ่งเข้ามา ลู่ฝานหลบได้หนึ่งพลัง แต่ไม่สามารถหลบอีกหนึ่งพลังได้

สวบ!

เกราะเกล็ดมังกรโดนทะลุ ท้องโดนทะลุ เลือดไหลออกมา ในนั้นมีพลังหม่นหมองอยู่เบาบาง เริ่มเคลื่อนไหวอย่างบางคลั่ง ผ่านเส้นลมปราณกระดูกและเลือด ล้วนกลายเป็นตายด้าน

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 392
ลู่ฝานยกกระบี่หนักขึ้นมา เขาไม่ได้คิดอะไรมากแล้ว ในเมื่ออีกฝ่ายกล้าฝึกฝนชั่วร้ายเพื่อจัดการเขา งั้นก็จัดการเขาให้เผยธาตุแท้ออกมา

พุ่งออกไป กายทองไฟอาบพุ่งขึ้นมา กระบี่มังกรเพลิงคำราม

ลั่วหยู่มองลู่ฝานถือกระบี่พุ่งเข้ามาอย่างตกใจ ให้ตายเถอะ โดนฝ่ามือโลหิตของเขาไปแล้ว กลับไม่เป็นอะไรเลย เป็นไปไม่ได้ๆ!

หรือว่าไม่โดนฝ่ามือของเขา เป็นไปไม่ได้!

ลั่วหยู่สะบัดพัดในมืออย่างต่อเนื่อง มีเข็มบินอันบางเล็กพุ่งออกมา

เข็มบินพวกนี้ บางจนไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า ไม่รู้ซ่อนเข็มบินเยอะขนาดนี้เอาไว้ในพัดได้ยังไง

น่าเสียดาย ลู่ฝานไม่ได้ใช้ตามอง เขาไม่จำเป็นต้องใช้ตามอง

ลู่ฝานจ้องเข็มบิน แล้วพุ่งเข้าไป เข็มบินที่ร่วงลงบนตัวเขา โดนเสื้อปราณที่ปกคลุมตัวต้านทานเอาไว้ มีเพียงไม่กี่อันที่แทงเข้ามาได้ แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรร่างกายเขาได้ กายทองไฟอาบบวกกับวิชาราชันมังกรที่ยังไม่สมบูรณ์ ซึ่งลู่ฝานศึกษาออกมา ทำให้ร่างกายของเขาไม่ต่างกับเฉียวเซวียนสักเท่าไร

ต้านทานเข็มบินจนมาถึงหน้าลั่วหยู่ เสียงมังกรคำรามดังสนั่น

ใบหน้าลั่วหยู่บิดเบี้ยว เสื้อผ้าขาด พลังปราณแตกสลาย ไม่มีความเป็นธรรมชาติอีกแล้ว

กัดปลายลิ้นอย่างแรง เลือดสารจำเป็นพ่นออกมาจากปากลั่วหยู่

“รวมตัว!”

ทันใดนั้น พลังปราณสีเลือดปกคลุมร่างกายลั่วหยู่เอาไว้ ต้านทานกระบวนท่าของลู่ฝานเอาไว้

กระบี่หนักฟันลงบนพลังปราณสีเลือด เกิดเสียงเหล็กกระทบกันดังขึ้น

“เกราะ!”

แผดเสียงขึ้นมาอีกครั้ง พลังปราณสีเลือดกลายเป็นเกราะสีเลือดทันที ปกคลุมทั้งตัวลั่วหยู่

“วิชาเกราะเลือด ใครเป็นคนถ่ายทอดให้เขา”

ท่านผอ.พูดขึ้นมาเบาๆ อาจารย์เซินถูที่อยู่ข้างๆ เงยหน้ามองฟ้า ไม่กล้าพูดต่อ

วิชาที่ต้องใช้เลือดสารจำเป็นในการกระตุ้น ในสถาบันสอนวิชาบู๊ มีคำสั่งห้าม ถึงเป็นอาจารย์ถ่ายทอดให้ศิษย์ ก็ต้องรายงาน เพราะวิชาประเภทนี้มีการแว้งกัดยิ่งใหญ่มาก ถ้าเกิดอะไรขึ้นมา จะทำให้เกิดหายนะยิ่งใหญ่ ท่านผอ.รู้ดีแก่ใจ เขาไม่มีอนุมัติถ่ายทอดวิชาเกราะเลือดให้ลั่วหยู่ นั่นหมายความว่า วิชาของลั่วหยู่ อาจได้มาโดยบังเอิญ หรือไม่ก็มีอาจารย์ฝ่าฝืนกฎถ่ายทอดให้

ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน ก็ทำให้ท่านผอ.โมโห

จินตนาการได้เลยว่า หลังจบการต่อสู้นี้ ลั่วหยู่ต้องโดนท่านผอ. เรียก “คุย” เป็นการส่วนตัวแน่นอน

บนลานประลอง ลู่ฝานเห็นว่าผิดปกติ ฟันกระบี่ลงไป แต่ลั่วหยู่ที่มีเกราะโลหิตก่อตัวขึ้นมา พลังป้องกันทัดเทียมกับผู้ฝึกฝนแดนปราณดิน ผลการฝึกตนของลู่ฝานในตอนนี้ จะฟาดฟันได้อย่างไร

ลั่วหยู่จ้องลู่ฝานเขม็ง ก่อนหน้านี้ เขาคิดไม่ถึงว่าลู่ฝานจะบีบให้เขาใช้วิชาเกราะเลือดออกมาป้องกันตัวได้

อีกทั้งราวกับวิธีมากมายของเขา ใช้ไม่ได้กับลู่ฝาน

อย่างเช่น เมื่อขึ้นมาบนลานประลอง อันที่จริงเขาใช้เส้นใยเชื่อมโยงลู่ฝาน จากนั้นระเบิดพลังโจมตี แต่กลับโดนลู่ฝานทำลายกลับ แต่อันที่จริงบนเส้นใยพวกนั้น ยังมีพิษเหน็บชาอยู่ด้วย แต่จนถึงตอนนี้ลู่ฝานยังไม่มีท่าทีเหน็บชาอะไรเลย

อย่างเช่น ฝ่ามือโลหิตของเขา ไม่เพียงแต่ใช้งานไม่ได้ ยังมองไม่เห็นร่องรอยอะไรอีกด้วย เดิมทีใช้การกระตุ้นโดยฝ่ามือโลหิต ถึงฝ่ามือเดียวทำอะไรลู่ฝานไม่ได้ แต่รอยฝ่ามือโลหิต สามารถโจมตีได้อย่างหลากหลาย แต่รอยฝ่ามือโลหิตก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย มองไม่เห็นอะไรเลย

ลั่วหยู่แค้นจนกัดฟันกรอด วิชาอาวุธลับที่เขาเชี่ยวชาญ ยังไม่ทันใช้ออกมา ก็โดนลู่ฝานบีบจนอยู่ในสภาพนี้

ลั่วหยู่แววตาเย็นชา ลั่วหยู่พูดโดยเย็นชา “ลู่ฝาน นายทำอะไรฉันไม่ได้ นายก็ควรตาย”

พูดพลาง พัดในมือลั่วหยู่มีแสงสว่าง เหมือนกระบี่ยาว เร็วเหมือนสายฟ้า ฟันลงบนตัวลู่ฝาน

ลู่ฝานโดนกระบี่เต็มๆ แต่กลับไม่ขยับไปไหน ตำแหน่งที่โดนกระบี่ มีเกล็ดเกราะก้อนหนึ่งปรากฏออกมา

ลู่ฝานหัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “นายคิดว่าแค่นายคนเดียวมีเกราะเหรอ”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 391
เสียงระเบิดดังขึ้นข้างหูตลอดเวลา ลู่ฝานถอยไปด้านหลัง อากาศระเบิดที่ไร้รูปร่าง นักบู๊ทั่วไปมองไม่เห็น ด้วยเหตุนี้นักเรียนที่นั่งอยู่ตรงที่นั่งผู้ชม จึงเห็นลู่ฝานถอยหลังไม่หยุดอย่างไม่มีเหตุผล

สีหน้าของลู่ฝานเคร่งขรึมขึ้นเรื่อยๆ พลังปราณบนตัวเริ่มสั่น เหมือนจะแตกได้ตลอดเวลา

ลั่วหยู่ที่ซ่อนตัวอยู่ ปล่อยพลังปราณของตัวเองออกมาอย่างผ่อนคลาย เขาไม่รีบร้อนแม้แต่น้อย การเป็นนักบู๊อาวุธลับ เขามีความอดทนมาก

นักบู๊มากมาย ที่โดนเขาค่อยๆ ฆ่าให้ตายช้าๆ ดูเหมือนตอนนี้ลู่ฝานก็แค่ชื่อเสียงจอมปลอม แค่กระบวนท่าง่ายๆ ของเขายังทำลายไม่ได้ ยังจะมีฉายาว่าอัจฉริยะอีกเหรอ

ลั่วหยู่เกิดความดูหมิ่นขึ้นในใจ แต่ขณะนั้น เขารู้สึกถึงอันตรายกำลังมาถึง

เขารีบยกพัดในมือขึ้นมาบังหน้า

ตู้ม!

เสียงระเบิดดังสนั่น ลั่วหยู่ที่กำลังซ่อนตัวอยู่ ถูกระเบิดออกมา

ระเบิดที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้เสวียนเฟิงที่ยืนดูเรื่องสนุกอยู่บนลานประลอง ถึงกับตกใจ

เขาไม่รู้ว่าลู่ฝานโจมตีกลับตั้งแต่เมื่อไร เขารูม่านตาขยายด้วยความตกตะลึง

ความเร็วของลู่ฝาน ตอนที่ลั่วหยู่โดนระเบิดออกมา เขายกกระบี่พุ่งเข้าไป

กระบี่ฆ่าพิชิตฟ้า ฆ่าหกตัว!

ลั่วหยู่โดนระเบิดจนน่าเวทนามาก เพิ่งลุกขึ้นยืน ก็เงยหน้าเห็นตัวอักษรคำว่าฆ่า พุ่งเข้ามาหกตัว

ขณะกำลังตกใจ ลั่วหยู่สะบัดพัดในมือ แสงเยือกเย็นพุ่งออกมาจากพัด ต้านทานตัวอักษรคำว่าฆ่า ที่มีพลังปราณยู่เต็มเปี่ยม

ลั่วหยู่หางตากระตุก เขาพลิกข้อมือ พลังปราณทั้งตัวทะลักออกมา

กระบี่หนักของลู่ฝาน ฟันลงบนพัดของเขาอย่างแม่นยำ

ทั้งสองคนปะทะกัน ลู่ฝานรู้สึกเหมือนตัวเองฟันลงบนดอกฝ้าย พลังปราณประหลาด ดูดพลังของเขาไปเกือบครึ่ง

จู่ๆ มือซ้ายของลั่วหยู่ขยับเล็กน้อย

ตอนที่ลู่ฝานเห็นมือซ้ายลั่วหยู่ขยับ ก็กระตุ้นเขตวิถีบนกระบี่หนัก

ครืน!

กระบี่หนักมีเสียงเหมือนของแข็งสั่นสะเทือน สะเทือนจนลั่วหยู่ถอยหลังไปหลายสิบก้าว

พลานุภาพอันน่ากลัวของเขตวิถี ทำให้วงกลมใต้เท้าทรุดลงสามฟุต จู่ๆ ค่ายกลการกักขังปรากฏขึ้นท่ามกลางสายตาทุกคน

มันเป็นตาข่ายที่ก่อตัวจากแสงสีเงิน ปกคลุมทั้งจวนสวรรค์

ลู่ฝานก้มลงมองข้างล่าง ที่เอวของตัวเอง มีรอยฝ่ามือสีแดงปรากฏขึ้นมา

ทันใดนั้น มีพลังชั่วร้ายที่เต็มเปี่ยมไปด้วยแรงทำลายพุ่งออกมา ต้องการก่อกวนตันเถียนของเขา

น่าเสียดาย พลังแค่นี้จะโจมตีตันเถียนของลู่ฝานได้เหรอ

ลู่ฝานไม่ต้องใช้พลังด้วยตัวเอง เงาของเจดีย์เสวียนเก้ามังกรในตัวปรากฏขึ้นมา ขณะเดียวกันเสียงของเจดีย์เสวียนเก้ามังกรดังขึ้นมา

“พลังฝึกฝนชั่วร้ายอีกแล้ว หึ ย่อยยับไปซะ!”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรมีแสงสว่างเจิดจ้า พลังที่พุ่งเข้าไปยังตันเถียน โดนเจดีย์เสวียนเก้ามังกรทำลายจนหมด

รอยฝ่ามือตรงเอวโดนโจมตีจนหายไปทันที

“พลังฝึกฝนชั่วร้ายเหรอ ไอ้เก้า แกแน่ใจว่าไม่ได้เข้าใจผิดใช่ไหม”

ลู่ฝานพูดในใจ ได้ยินคำว่าฝึกฝนชั่วร้าย เขาขมวดคิ้วขึ้นมาทันที

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดอย่างแน่วแน่ว่า “เป็นพลังฝึกฝนชั่วร้ายแน่นอน แม้ไอ้หมอนี่ปกปิดมิดชิด ใช้พลังปราณปิดบังด้วย แต่จะปิดบังฉันได้เหรอ ฉันเคยผ่านสงครามขับไล่ปีศาจมานะ ฉันคุ้นเคยวิชาที่ฝึกฝนชั่วร้ายมาก ฝ่ามือเมื่อกี้ ชื่อว่าหัตถ์เลือดแก้พลัง ไอ้หมอนี่ร้ายกาจมาก แค่ลงมือก็ใช้ท่าไม้ตายถึงแก่ชีวิตแล้ว เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ อย่าออมมือให้ไอ้หมอนี่”

แววตาลู่ฝานฉายแววเย็นชา คนคณะบังเหินอีกแล้ว อย่าบอกนะว่าคณะบังเหินกลายเป็นรังปีศาจไปแล้ว

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 390
ท่านผอ.ปรายตามองอาจารย์เซินถู “นายกำลังหลอกฉัน หรือจงใจเผยความไม่รู้ของตัวเองออกมา ดูให้ดีเถอะ การยกระดับของลู่ฝาน คงยิ่งใหญ่กว่าที่ฉันจินตนาการเอาไว้ด้วยซ้ำ”

บนลานประลอง ลู่ฝานดึงกระบี่หนักไร้คมออกมา

ช้อนตามองเสวียนเฟิงกับลั่วหยู่ ลู่ฝานพูดว่า “เริ่มได้แล้ว”

เสวียนเฟิงกอดกระบี่ ยังคงไม่ขยับ เหมือนกำลังยืนหลับอยู่ตรงนั้น

ลั่วหยู่ที่อยู่ข้างๆ เปิดพัดแล้วพูดว่า “ลู่ฝาน ได้ยินมานานแล้วว่านายเป็นอัจฉริยะที่แข็งแกร่ง ในรอบร้อยปีของสถาบันสอนวิชาบู๊ วันนี้นายต้องทำให้ฉันได้เห็น ทำให้ฉันได้รู้ว่าอัจฉริยะ มันเป็นยังไงกันแน่”

เมื่อสะบัดพัดเบาๆ รูปดอกไม้ภูเขาแม่น้ำบนพัด เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย แม้เพียงเล็กน้อย แต่ลู่ฝานก็จับได้

ลู่ฝานทำเป็นไม่เห็น พูดอย่างราบเรียบว่า “ทำให้นายเห็นแน่นอน แต่พวกนายสองคนไม่ลงมือเหรอ”

ลั่วหยู่พูดว่า “สองรุมหนึ่ง ให้ชิงลงมือก่อนอีก ดูไม่มีมารยาทเอาเสียเลย ลู่ฝาน นายเคยได้ยินเสียงภูเขาแม่น้ำหรือเปล่า”

รอยยิ้มร้ายกาจปรากฏขึ้นบนใบหน้า ลั่วหยู่ขยับพัดเร็วขึ้น

ลู่ฝานขมวดคิ้วมองเขา แล้วพูดว่า “นายจะพูดอะไรกันแน่”

ลั่วหยู่ขยับมุมปากเล็กน้อย จู่ๆ มีเสียงดังขึ้นข้างหูลู่ฝาน

“ฉันจะบอกว่านายใกล้ตายแล้ว!”

เมื่อพูดจบ ลู่ฝานรู้สึกว่ามีพลังระเบิดข้างหูตัวเอง

เขาไม่รู้ว่าพลังปราณนี้มาจากไหน แต่พลังอันน่ากลัวเข้าไปทั่วร่างกายเขา

ตอนนี้ลั่วหยู่เคลื่อนไหวแล้ว หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

“เขาหมุนน้ำไหล ลมพัดฟ้าด”

คำพูดแต่ละคำมาพร้อมพลังรุนแรง สะเทือนไปทั่ว

หานเฟิงพูดอย่างตกใจว่า “ซวยแล้ว ฉันลืมเตือนศิษย์น้องลู่ฝาน อันที่จริงลั่วหยู่เป็นนักบู๊อาวุธลับ”

ลู่ฝานไม่ได้ตรวจสอบชัดเจนว่าเคล็ดวิชาบู๊ของลั่วหยู่คืออะไร ถ้าเขาตรวจสอบอย่างละเอียด จะสืบรู้ว่าราชาอาวุธลับในสถาบันสอนวิชาบู๊ เป็นฉายาของลั่วหยู่

นักบู๊อาวุธลับที่พูดถึง คือการฝึกวิชาแบบคลุมเครือ ยากแก่การเข้าใจเป็นหลัก เคล็ดวิชาบู๊ที่ฆ่าคนแบบไร้ตัวตน

เคล็ดวิชาประเภทนี้ ฝึกฝนยากมาก ไม่เพียงแต่ต้องการความสามารถสูงมาก สิ่งสำคัญคือความชอบและความเข้าใจในอาวุธลับ

นักบู๊ทั่วไป เหมือนนักเรียนคณะกำแหง เลือดร้อน กล้าหาญ ให้พวกเขาทำเรื่องลับหลังแบบนี้ ไม่มีทางเด็ดขาด อีกทั้งพวกเขายังดูหมิ่นคนประเภทนี้ด้วย

เคล็ดวิชาประเภทนี้ เมื่อก่อนถูกเรียกว่า วิชาพิเศษ นักบู๊แท้จริงไม่ฝึกฝนมัน คนที่ประสบความสำเร็จทางด้านนี้ ยิ่งน้อยมาก

แต่ลั่วหยู่เป็นพวกประหลาด เคล็ดวิชาบู๊อาวุธลับของเขา ทำให้คนสู้ไม่ได้เลย

เพียงครู่เดียว ลู่ฝานติดอยู่ในกับดักแล้ว

สีหน้าลู่ฝานดูเจ็บปวด ลั่วหยู่ที่ซ่อนตัวอยู่ ใช้เคล็ดวิชาบู๊สุดความสามารถ

ไม่มีใครเห็นว่ามีใยนับไม่ถ้วน พุ่งออกมาจากพัดของเขา ร่วงลงบนชุดคลุมบู๊มังกรดำของลู่ฝานทั้งหมด

พลังหม่นหมองส่งผ่านใยพวกนี้อย่างต่อเนื่อง จากนั้นระเบิดอยู่ข้างตัวลู่ฝาน

ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ลู่ฝานต้องแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย

เสวียนเฟิงลืมตาขึ้น เลิกคิ้วพูดว่า “ลู่ฝาน นายคงไม่ได้แย่ขนาดนั้นมั้ง”

ลู่ฝานช้อนตาสบตากับเสวียนเฟิง จากนั้นกระบี่หนักในมือลู่ฝานมีแสงสว่างขึ้น

เสวียนเฟิงหัวเราะ ที่แท้ลู่ฝานเสแสร้งนี่เอง!

ศัตรูแบบนี้น่าสนใจ น่าสนใจมาก!

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 389
ลู่ฝานพยักหน้าเข้าใจ เอายาเม็ดสองสามเม็ด ใส่เข้าไปในปากศิษย์พี่ฉู่สิง จากนั้นกระโดดขึ้นไปบนแท่นวงกลม

“ลู่ฝานคณะหนึ่งเดียว โปรดชี้แนะด้วย”

เห็นลู่ฝานขึ้นมาบนลานประลอง นักเรียนทุกคนเริ่มส่งเสียงเชียร์

นักเรียนที่รู้จักลู่ฝาน ยิ่งตะโกนเสียงดัง

พวกเขาตะโกนกันว่า “กระบี่โหดเหี้ยมฆ่าอนงค์ ลู่ฝาน! ฉันเชียร์นาย”

“ชนะสองรอบติดแล้ว เอารอบที่สามด้วย!”

ลู่ฝานยืนอยู่ตรงนั้นนิ่งๆ ไม่สนใจเสียงโหวกเหวกข้างหู แม้เขาไม่ได้พูดอะไรมาก แต่สายตาของเขาบอกทุกคนแล้ว เขาจะสู้แบบหนึ่งต่อสองเหมือนกัน

สายตามองไปยังคณะกระบี่กับคณะบังเหิน

คณะหนึ่งเดียวชนะสองรอบติด ตอนนี้ไม่มีใครกล้าว่าคณะหนึ่งเดียวอวดดี ที่ท้าประลองสองคณะอีกแล้ว

ตอนนี้ถึงตาคณะบังเหินกับคณะกระบี่กังวลแล้ว

ถ้าแพ้สามรอบ พวกเขาต้องขายหน้าแน่นอน

ตอนนี้อาจารย์เสวียนเจินกับอาจารย์เมิ่งอวิ๋น มีสีหน้าไม่เหมือนกัน

อาจารย์เสวียนเจินยิ้มแล้วพูดว่า “เสวียนเฟิง นายกล้ารับการต่อสู้ครั้งนี้ไหม”

เสวียนเฟิงที่อยู่ข้างๆ พูดว่า “รับ รับอยู่แล้ว ผมอยากสู้เปรียบเทียบกับลู่ฝานนานแล้ว แต่ผมไม่ร่วมมือกับใคร”

เสวียนเจินพยักหน้า “การต่อสู้จัดอันดับคณะ เดิมทีเป็นวิธีหนึ่งที่ใช้ส่งเสริมการแลกเปลี่ยนเคล็ดวิชาบู๊ของนักเรียน ลำดับเป็นแค่เรื่องรอง สิ่งสำคัญคือนายได้อะไรจากการต่อสู้แต่ละครั้ง ไปสิ ทำตามสิ่งที่นายคิดอยู่ในใจ วิถีบู๊ แต่ไหนแต่ไร มีเพียงเส้นทางของตัวเอง”

เสวียนเฟิงอมยิ้ม แล้วกระโดดออกไป

กอดกระบี่หนึ่งเมตรเอาไว้แน่น มองลู่ฝานด้วยสีหน้ามีรอยยิ้ม

“เสวียนเฟิงกระบี่หนึ่งเมตร ในที่สุดเขาก็ออกมาแล้ว รอบนี้สิถึงจะเป็นเรื่องสนุกอย่างแท้จริง”

เมื่อเสวียนเฟิงปรากฏตัว ทำให้นักเรียนคณะกระบี่ตะโกนออกมาพร้อมกัน

“เฮ้ เฮ้ เฮ้!”

คณะบังเหิน ลั่วหยู่ก็เก็บพัด ลุกขึ้นพูดว่า “อาจารย์เมิ่งอวิ๋น ถ้าผมฆ่าลู่ฝาน จะวุ่นวายหรือเปล่า”

อาจารย์เมิ่งอวิ๋นพูดอย่างราบเรียบว่า “เซ็นเอกสารเป็นตายแล้ว ในการแข่งขัน กระบี่ดาบไม่มีตา ความเป็นหรือความตาย ใครจะทำให้นายวุ่นวายได้ล่ะ ถึงมีคนทำให้วุ่นวาย นายเป็นคนคณะบังเหินของฉันไม่ใช่เหรอ ฉันไม่ใช่อาจารย์คณะบังเหินหรือไง”

ลั่วหยู่ยิ้มแล้วพูดว่า “อาจารย์พูดแรงไปแล้ว ผมแค่ถาม เพราะอยากรู้ว่าจะสู้แบบเต็มที่ได้ไหม ในเมื่ออาจารย์พูดแบบนี้แล้ว งั้นเชิญอาจารย์รับชมการต่อสู้รอบนี้ได้เลย”

พูดพลาง ลั่วหยู่เหาะขึ้นไปบนลานประลอง

ฝ่าเท้าแตะเบาๆ ลงบนแท่นวงกลม ไม่มีเสียงเลยสักนิด

ยอดฝีมือสองคนอยู่ด้วยกัน เป็นศัตรูที่ลู่ฝานคาดเดาเอาไว้นานแล้ว

ลู่ฝานชักกระบี่หนักออกมาช้าๆ แววตาของลู่ฝานดำขลับเหมือนท้องฟ้ายามค่ำคืน

“รอบสุดท้ายแล้ว ถ้าไม่มีอะไรเหนือความคาดหมาย จบรอบนี้ คงสิ้นสุดแล้ว”

ท่านผอ.เริ่มสนุก ลุกขึ้นดูด้วยรอยยิ้ม

อันที่จริงการประลองด้านหน้า เขาดูจนเบื่อแล้ว แค่หักเหฟ้าตะวานของฉู่สิง ทำให้แววตาเขาเป็นประกาย

ตอนนี้ถึงตาลู่ฝานขึ้นประลองแล้ว ท่านผอ.จึงเตรียมตั้งใจดู

เป้าหมายหลักที่เขามาที่นี่ เพราะอยากดูการฝึกฝนของลู่ฝานในช่วงนี้ หลังจากทำความเข้าใจเขตวิถีครั้งก่อน ตอนนี้พละกำลังของลู่ฝานเป็นอย่างไรบ้าง

ตอนนี้ลู่ฝานแค่ยืนอยู่ตรงนั้น ก็ทำให้เขารู้สึกไม่เลว นั่นเป็นท่าทางที่ถึงวิถีบู๊ยอดแล้ว

ดังนั้นท่านผอ.จึงกล้าตัดสินว่าการต่อสู้รอบนี้ ลู่ฝานไม่มีทางแพ้

น่าเสียดายที่คนอื่นไม่คิดเช่นนี้

อย่างน้อยอาจารย์เซินถูก็ไม่คิดเช่นนี้ เขาหัวเราะแล้วพูดว่า “ท่านผอ. ท่านให้ความสำคัญกับลู่ฝานขนาดนี้เลยเหรอ ฮ่าๆ ผมรู้จักเด็กอย่างเสวียนเฟิงกับลั่วหยู่ ระดับไม่ต่างกับลู่ฝานมาก ลู่ฝานสู้แบบหนึ่งต่อสอง อยากเอาชนะพวกเขา ต้องเอาอะไรพิเศษออกมาหน่อย เหมือนวิชาหักเหฟ้าตะวานเมื่อกี้ ถ้าไม่แบบนี้ ผมคิดว่ายาก”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 388
หลางเจ๋อก็เดินกลับมาพูดว่า “สู้พร้อมกันเหรอ”

จูหยู่พยักหน้าพูดว่า “หึ ดูสิว่าเขาจะเสแสร้งได้ถึงขั้นไหน”

“หมุนเก้าครั้งวิญญาณกลับ ครั้งที่หก สะเทือนพีสางเทวดา!”

“วิชากระบี่แสงเมรุ ทำลายธาตุ!”

แสงบนตัวทั้งสองคนสว่างขึ้นมา กระบี่ของหลางเจ๋อเหมือนดวงอาทิตย์แสบตา ด้านหลังจูหยู่มีเงาขนาดใหญ่ ฟันขวานใหญ่ในมือลงมา

“ดี!”

ฉู่เทียนที่อยู่บนที่นั่งชม ส่งเสียงตะโกนออกมา จนทำให้ลู่ฝานเกือบสะดุ้ง

จู่ๆ ฉู่สิงลืมตาขึ้นมา

ขณะเดียวกันก็ยกมือทั้งสองข้างขึ้นมา พลังในแหวนบนนิ้วเขา ทะลักเข้าไปในเส้นลมปราณ

มุมปากฉู่สิงมีรอยยิ้ม

ตัวอักษรคำว่าฉู่ขนาดใหญ่ ปรากฏขึ้นในมือเขา ค่ายกลแปดทิศปรากฏขึ้นใต้เท้าอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ค่ายกลแปดทิศมนตราสิบหกตัวอักษร

แต่เป็นค่ายกลแปดทิศของประตูหกสิบสี่ เคลื่อนไหวตามตัวอักษรคำว่าฉู่

ตู้ม!

เกิดเสียงระเบิดดังขึ้น ลานประลองทรงกลมสั่นเล็กน้อย

พลังสามพลัง ดันวงแสงบริเวณรอบๆ ออกไป พวกลู่ฝานและคนอื่นก็โดนดันออกไปด้วย

บนลานประลอง จูหยู่กระเด็นออกไปเป็นคนแรก รอยแผลกระบี่เต็มตัว กระอักเลือดออกจากปากไม่หยุด

จากนั้นหลางเจ๋อทรุดล้มลงบนพื้น หน้าซีดเผือด น้ำลายฟูมปาก

พลังสองพลัง ทะลุออกมาจากตัวทั้งสองคน กลายเป็นพลังแผ่กว้างออกไปอีกครั้ง ทำให้เสื้อผ้าของทุกคนปลิวไปมา ขนาดค่ายกลยังโดนกระตุ้นด้วย

ทุกคนรู้สึกปวดหัว!

ฉู่สิงยืนอยู่ที่เดิม ใบหน้ามีรอยยิ้ม

ให้พวกนายโจมตีฉัน ครั้งนี้สู้สนุกแล้วสินะ!

ฉู่เทียนพูดว่าดีออกมาด้วยเสียงดัง สำเร็จแล้ว ในที่สุดก็สำเร็จแล้ว! เขาคิดไม่ถึงว่าฉู่สิงจะทำได้จริงๆ

ท่านผอ.หัวเราะออกมา

“หักเหฟ้าตะวาน เป็นเด็กที่น่าสนใจอีกแล้ว พวกคณะหนึ่งเดียว เป็นของล้ำค่าจริงๆ นักเรียนแต่ละคนน่าสนใจมาก”

อาจารย์เซินถูอ้าปากค้าง อึ้งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วแอบสบถออกมาว่า “ให้ตายเถอะหักเหฟ้าตะวานปรากฏออกมาแล้ว นี่เป็นศิษย์ของไอ้แก่คนไหนกัน ไร้เยื่อใย ไร้เยื่อใยเกินไปแล้ว!”

อาจารย์เมิ่งอวิ๋นกับอาจารย์เสวียนเจิน นั่งลงด้วยสีหน้าประหลาด

นักเรียนคณะบังเหินที่อยู่ด้านหลัง อยากจะพูดอะไร แต่โดนอาจารย์เมิ่งอวิ๋นถลึงตาใส่

เป็นสิ่งที่พวกเขาไม่สามารถพูดคุยกันได้

กระบวนท่าระดับนี้ ต้องถ่ายทอดมาจากคนมีความสามารถ เป็นศิษย์ตระกูลรวยที่พูกไม่ได้และรุกรานไม่ได้

“พลังเคลื่อนย้าย แข็งแกร่งมาก! ที่แท้ศิษย์พี่ฉู่สิงมีกระบวนท่าแข็งแกร่งแบบนี้ด้วย”

หานเฟิงสีหน้าหดหู่ เขาคิดว่าตัวเองปกปิดมิดชิดแล้ว ใครจะไปคิดว่า วิชาที่ศิษย์พี่ฉู่สิงใช้ เก่งกาจกว่าเขาเยอะมาก เพราะพลังของเขาเป็นเพียงการถ่ายทอดของตระกูล แต่ที่ศิษย์พี่ฉู่สิงใช้ เป็นเคล็ดวิชาของผู้มีความสามารถที่ดูไม่ออกเลย

“รอบที่สอง คณะหนึ่งเดียวชนะ!”

ท่านผอ.ลุกขึ้นยืน แล้วประกาศออกมาเสียงดัง

นักเรียนที่นั่งชมยังไม่ทันตั้งสติได้ ไม่มีใครส่งเสียงเชียร์ ไม่มีใครพูดว่าดี แค่มองอย่างตกตะลึง

เกิดอะไรขึ้น คณะหนึ่งเดียวชนะอีกแล้ว

เมื่อฉู่สิงได้ยิน ก็หัวเราะออกมา จากนั้นก็ล้มลงบนพื้น เขาหมดแรงแล้วจริงๆ เขาฝืนเฮือกสุดท้าย ตอนนี้ร่างกายว่างเปล่า

ฉู่เทียนรีบแบกฉู่สิงกลับมา ท่านผอ.มองแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “วิชาแว้งกัด อืม ไม่ถือว่าสาหัส รักษาตัวสักหนึ่งเดือน”

ฉู่เทียนพยักหน้า รีบถอดแหวนออกจากนิ้วฉู่สิงก่อน

“ลู่ฝาน รอบสามแล้ว รอดูนาย”

ท่านผอ.หันมายิ้มแล้วพูดกับลู่ฝาน

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 387
อาจารย์คนอื่นก็ไม่ต่างกันเท่าไร พากันมองฉู่สิงอย่างตกใจ

แสงเมื่อกี้คืออะไรกัน ทุกคนพากันคาดเดา

ปฏิกิริยาแรกของลู่ฝานคือมองไปยังฉู่เทียน

คนที่อยู่ในนี้ คงมีแค่ฉู่เทียนที่รู้ว่าเมื่อกี้ฉู่สิงใช้กระบวนท่าอะไร

แต่ลู่ฝานไม่ได้ถามออกมา เพราะเขาเห็นฉู่เทียนกำมือจนเลือดไหลออกมาแล้ว

บนลานประลอง ฉู่สิงค่อยๆ ยืนขึ้นมา ไม่มีพลังปราณบนตัว คราบเลือดเต็มหน้า

กระบี่ในมือหักเป็นท่อนๆ ร่วงลงบนพื้น

ตรงที่นั่งชมมีเสียงถอนหายใจดังขึ้น

ไม่มีอาวุธ อีกทั้งไม่มีพลังปราณ แล้วจะสู้ได้ยังไง

เห็นผลแพ้ชนะแล้ว เป็นไปตามคาด นักเรียนคณะหนึ่งเดียว ไม่ได้สร้างปาฏิหาริย์ได้ทุกคน

ตอนนี้ หลางเจ๋อกับจูหยู่ก็ลุกขึ้นยืนเช่นกัน ดวงตาเหมือนแหลมคม ทั้งสองคนสู้กับฉู่สิงจนสุดกำลังเหมือนกัน

ไม่ว่าตอนนี้ฉู่สิงดูเหมือนหมดแรงจริงหรือเปล่า แค่ฉู่สิงไม่ยอมแพ้ พวกเขาไม่ถือสาที่จะโจมตีฉู่สิงให้ถึงแก่ชีวิต

ฉู่สิงมองกระบี่ในมือ แล้วฝืนยิ้มออกมา

“กระบี่ไม่ใช่กระบี่ดี ถึงโดนทำลายก็ไม่กลัว คนอย่างฉู่สิง แม้ไม่ได้เป็นผู้แข็งแกร่ง แต่ก็เป็นคนฮึกเหิม”

ฉู่สิงโยนกระบี่ลงบนพื้น แล้วพรูลมหายใจออกมา จากนั้นหลับตา

ไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังทำอะไร

ลู่ฝานเห็นฉู่สิงทำอะไรที่มือ เขาลูบแหวนของตัวเองเบาๆ

หลางเจ๋อกับจูหยู่เดินเข้ามาใกล้ฉู่สิง

ตอนนี้พวกเขาไม่รู้ว่าฉู่สิงกำลังแสร้งทำ หรือถอดใจรอความตายแล้ว

แต่ระวังไว้ก่อน ทั้งสองเลือกที่จะเชื่ออย่างแรก

ตอนที่พวกเขาอยู่ห่างจากฉู่สิงห้าก้าว จู่ๆ หลางเจ๋อลงมือ

วิชากระบี่แสงเมรุ สายฟ้าแลบ!

กระบี่เหมือนแสง เพียงพริบตาเดียวก็โจมตีถึงแล้ว

ฉู่สิงเคลื่อนตัวเล็กน้อย มีพลังปราณสว่างขึ้นบนตัวเล็กน้อย

พลังปราณที่เหมือนน้ำกระเพื่อม เคลื่อนไหวออกมา ทันใดนั้น ตัวของหลางเจ๋อเปลี่ยนทิศทางอย่างไม่สามารถควบคุมได้ วิ่งตรงเข้าไปหาจูหยู่

จูหยู่ที่รออย่างเงียบ ถึงกับตกใจ เขาคิดไม่ถึงว่ากระบี่ของหลางเจ๋อจะพุ่งเข้ามาหาเขา

วินาทีคับขัน จูหยู่ทำได้เพียงแค่เคลื่อนไหวพลังปราณ ขจัดการโจมตีออกไปส่วนหนึ่ง

แต่กระบี่ของหลางเจ๋อยังทำลายปราณที่ปกคลุมร่างกายเขา แทงลงบนตัวเขา

นักเรียนนับไม่ถ้วนส่งเสียงตกใจ!

“ทำอะไรน่ะ”

“ฆ่ากันเองเหรอ”

“นักเรียนคณะกระบี่สติไม่ดีเหรอ”

เสียงตะโกนดังเข้าหูอย่างต่อเนื่อง

อาจารย์เสวียนเจินกับอาจารย์เมิ่งอวิ๋นลุกขึ้นยืน แววตาเหมือนลูกธนูคมพุ่งไปหาฉู่สิง

ตอนนี้ฉู่สิงยังคงหลับตาอยู่ พลังปราณบนตัวหายไปอีกแล้ว

หลางเจ๋อรีบเก็บกระบี่ตัวเอง จูหยู่ร้องโอดครวญ มองหลางเจ๋ออย่างโมโห แต่ทำอะไรไม่ได้ “นายบ้าไปแล้วเหรอ”

หลางเจ๋อถอยหลังไปสองสามก้าว โบกมือไปมาแล้วพูดว่า “ฉันไม่ได้ตั้งใจ เพราะเขา เพราะพลังประหลาดบนตัวเขา นำกระบี่ของฉันออกไป”

จูหยู่รีบมองไปที่ฉู่สิง ฉู่สิงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ดูเหมือนไม่มีพิษภัย นิ่งเหมือนน้ำ

จูหยู่ก้าวเข้าไป เขาไม่ค่อยเชื่อคำพูดของหลางเจ๋อ

เขาจะลองด้วยตัวเอง ดูสิว่าคนคณะหนึ่งเดียวมีวิชาชั่วร้ายจริงหรือเปล่า หรือหลางเจ๋อกำลังหลอกเขาอยู่

จูหยู่ฟันกระบี่ลงบนตัวฉู่สิง

มีแสงกะพริบขึ้นมาอีก จูหยู่โดนดันไปอยู่อีกด้าน

โงนเงนไม่กี่ก้าว จูหยู่พูดอย่างตกใจว่า “พลังอันแปลกประหลาด”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 386
หลางเจ๋อเคลื่อนไหวฝีเท้าเบาๆ กระบี่ในมือเร็วจนทำให้ดูไม่ทัน ปราณกระบี่ที่พุ่งเข้ามาหาเขา หายไปจนไม่เหลือ เหมือนโดนอากาศเวิ้งว้างกลืนกินไปอย่างไรอย่างนั้น

แต่การแสดงของจูหยู่เกินจริงเข้าไปอีก เมื่อปราณกระบี่มาถึงหน้าเขา กลับเปลี่ยนทิศทางโดยอัตโนมัติ

ราวกับว่าปราณกระบี่พวกนี้มีดวงตา ไม่ได้พุ่งเข้าไปหาเขา

ฉู่สิงเห็นท่าไม้ตายของตัวเองโดนทำลายอย่างง่ายดาย ก็กระบี่รีบเปลี่ยน ค่ายกลแปดทิศใต้เท้า มีมนตรา สิบหก อักษรโผล่ขึ้นมา ฉู่สิงอยู่ทำท่าทางที่จะต่อสู้สุดชีวิต

จากนั้นกระทืบเท้าอย่างแรง ใช้แรงสะท้อนกลับพุ่งเข้าไปหาหลางเจ๋อ

“ฆ่า!”

กระบี่ฟาดฟันลงมา มนตรา สิบหก อักษร แฝงไปด้วยปราณกระบี่ทรงพลัง พุ่งออกไปเช่นกัน

ตัวของหลางเจ๋อหายไป จากนั้นสิ่งที่ปรากฏต่อสายตาของทุกคน เป็นพื้นที่ว่างที่บิดเบี้ยว นั่นคือวิชากระบี่รวดเร็วถึงจุดสูงสุด ทำให้เกิดการมองเห็นผิดพลาด

ลู่ฝานหรี่ตาลงเบาๆ ปราณชี่ในตัวเคลื่อนไหว กลายเป็นพลังวิญญาณ เข้าไปในดวงตา จึงทำให้มองเห็นการเคลื่อนไหวของหลางเจ๋อได้อย่างชัดเจน

เร็ว! เร็วเกินไปแล้ว!

เหมือนทุกกระบี่ของเขา แทงออกไปตามการเคลื่อนไหวของพลังฟ้าดิน ไม่โดนขัดขวางจากพลังฟ้าดินเลยสักนิด

นี่ต้องมีความเข้าใจแข็งแกร่งขนาดไหน ต้องมีพรสวรรค์สูงส่งขนาดไหน

ลู่ฝานอึ้งไป ที่แท้วิชากระบี่ทำแบบนี้ได้ด้วย!

“วิชากระบี่แสงเมรุ วิชากระบี่ของศิษย์น้องหลางเจ๋อถึงขั้นชำนาญแล้ว!”

เสวียนเฟิงยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น

อาจารย์เสวียนเจินที่อยู่ข้างๆ ก็ยกยิ้มมุมปาก เจ้าเด็กหลางเจ๋อ ความสามารถอื่นๆ อยู่ในระดับทั่วไป แต่พยายามอย่างเต็มใจ เต็มใจคิดในสิ่งที่คนอื่นคิดไม่ถึง สิ่งที่ไม่กล้าคิด สุดท้ายจึงฝึกวิชากระบี่นี้ให้สำเร็จ

บนลานประลอง แสงกระบี่ของฉู่สิงโดนควบคุมเอาไว้ เขารู้สึกเพียงว่าเมื่อกระบี่ของตัวเองฟันลงไป ไม่ได้โจมตีคน แต่โจมตีเม่น เมื่อโดนโจมตี เม่นจะปล่อยหนามทั้งตัวออกมา

มนตรา สิบหก อักษร แสงที่โดนโจมตีหายไป ทำให้ฉู่สิงโดนการโจมตีอันน่ากลัวไปด้วย

ไม่รู้จูหยู่เหาะมาอยู่ด้านหลังตั้งแต่เมื่อไร

“หมุนเก้าครั้งวิญญาณกลับ ครั้งที่หนึ่งชีวิตเป็น,ครั้งที่สองตายสิ้นซาก,ครั้งที่สามสังสารวัฏ,ครั้งที่สี่ฟ้าดินไหว”

พริบตาเดียว ข้างๆ จูหยู่มีเงาปรากฏขึ้นสี่เงา มีลมพัดขึ้นมา ทันใดนั้น มีพายุทอร์นาโดสี่ลูก ปรากฏขึ้นบนลานประลอง

พายุทอร์นาโดอันน่ากลัว พุ่งขึ้นไปบนฟ้า สูงสามสิบกว่าเมตร

ขนาดท่านผอ.ที่ดูการประลองอย่างสงบ ยังยิ้มบางๆ “วิชาน่าสนใจ แต่เสียดาย ที่เปลืองพลังไปหน่อย”

ตัวของฉู่สิงโดนพลังสองพลังกลบจนหมด

แสงกระบี่กับพายุทอร์นาโด ล้วนทำให้เขารู้สึกทรมานมาก เหมือนตัวจะโดนฉีกขาดออกจากกันเพราะพลังสองพลังนี้

นักเรียนทุกคนเพ่งมองอย่างจริงจัง คงไม่จบแบบนี้หรอก

คนของคณะกระบี่กับคณะบังเหินทั้งสองคน มีวิชาแข็งแกร่งมาก

ถึงจะสู้แบบตัวต่อตัว ก็คงไม่กลัวยอดฝีมือของคณะไหนหรอก ทั้งสองคนร่วมมือกันโจมตี ดูสถานการณ์แล้ว ทำให้อกสั่นขวัญแขวน

ทันใดนั้นมีแสงสว่างขึ้นในพายุทอร์นาโด

“ย๊าก!”

เสียงที่แผดออกมาเหมือนมีพลังรุนแรง ทำลายพายุทอร์นาโด ในขณะเดียวกัน ตัวของหลางเจ๋อก็ปลิวออกไปด้วย ตรงหน้าอกมีรอยยุบ เหมือนโดนค้อนโจมตีอย่างแรง

พายุทอร์นาโดหายไป ตัวของฉู่สิงลอยลงบนแท่นกลมอีกครั้ง

ฉู่สิงหอบหายใจรุนแรง เนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผล เลือดไหลออกมา มีรอยแผลจากกระบี่สองรอย ลึกแทบจะเข้าไปในกระดูกของเขาแล้ว

“เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น”

อาจารย์เมิ่งอวิ๋นกับอาจารย์เสวียนเจินพูดเบาๆ จ้องเขม็งไปที่ลานประลอง

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 385
กระบี่อยู่ในมือ ค่ายกลแปดทิศปรากฏใต้เท้าฉู่สิง

ใบหน้าฉู่สิงมีความแข็งแกร่งและเด็ดขาด ปราณที่ปกคลุมตัว เริ่มเคลื่อนไหวเป็นพลังปราณประหลาด เห็นเป็นตราประทับเลือนราง

ฉู่สิงเอาแหวนออกมาจากอก แล้วสวมเอาไว้ แหวนธรรมดาไม่หรูหรา มีตัวอักษรคำว่าฉู่อยู่ตรงกลาง

ลู่ฝานไม่เคยเห็นศิษย์พี่ฉู่สิงเอาแหวนวงนี้ออกมา ไม่รู้แหวนวงนี้มีที่มาอย่างไร

สรุปว่าเมื่อฉู่สิงสวมแหวนวงนี้ ออร่าของเขาเปลี่ยนไปทันที

ปราณที่ปกคลุมตั้งแต่ดวงตาและร่างกาย มีแสงหม่นหมองปกคลุมอยู่หนึ่งชั้น

ฉู่เทียนที่ดูอยู่ข้างๆ สีหน้าเคร่งขรึมเป็นอย่างมาก เขากำมือแน่นจนเล็บแทบจะจิกเข้าไปในเนื้อ

อาจารย์เสวียนเจินคณะกระบี่รีบหันไปมองมู่ซั่ว แล้วพูดว่า “มู่ซั่ว เมื่อกี้นายโดนค่ายกลกดดันพลังไปกี่เปอร์เซ็นต์”

มู่ซั่วคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วตอบว่า “สิบเปอร์เซ็นต์ ปวดหัวทรมานมาก ยิ่งยื้อนาน ยิ่งส่งผลต่อพละกำลัง”

อาจารย์เสวียนเจินพยักหน้าเข้าใจ กวักมือพูดกับนักเรียนด้านหลังคนหนึ่ง “หลางเจ๋อ นายไปสู้ จำไว้ว่าต้องใช้กระบี่เร็ว สู้จบในสามกระบวนท่า”

หลางเจ๋อที่โดนเรียกชื่อลุกขึ้นยืน กระบี่สีดำขลับ ถูกดึงออกจากเอว เดิมกระบี่เล่มนี้เป็นเข็มขัดของเขา

หลางเจ๋อหน้าตาธรรมดา ถือกระบี่เอาไว้ตรงหน้า เหมือนจงใจปกปิดใบหน้าตัวเองเอาไว้ เขาเคลื่อนไหวร่างกาย แล้วมาปรากฏตัวอยู่บนลานประลองทรงกลม ความเร็วของเขาทำให้ลู่ฝานแอบตกใจ

เมื่อกี้ลู่ฝานไม่เห็นว่าหลางเจ๋อทำลายพลังฟ้าดินบริเวณรอบๆ ยังไง

ความเร็วในการระเบิดพลังของคนนี้ ไม่ได้ด้อยไปกว่าเขาเท่าไร

ศิษย์พี่ฉู่สิงลำบากแล้ว

อาจารย์เมิ่งอวิ๋นคณะบังเหินสะบัดมือเบาๆ แล้วพูดว่า “จูหยู่”

ชายร่างกายกำยำด้านหลังลุกขึ้นยืน

ตาโตคิ้วดกดำ ไหล่กว้าง หนวดเคราเต็มหน้า ชุดคลุมบู๊บนตัวก็ยับยู่ยี่ ถ้าดูแค่รูปลักษณ์ ดูยังไงคนคนนี้ก็เป็นศิษย์ของคณะกำแหง ไม่ใช่ศิษย์คณะบังเหิน

ตอนจูหยู่กระโดดขึ้นมาบนลานประลอง นักเรียนจำนวนไม่น้อยแอบตกใจ

นี่นักเรียนคณะบังเหินเหรอ

เขาเลือกคณะผิดหรือเปล่า!

บางคน เริ่มพากันสอบถามชื่อของคนคนนี้ จากนั้นค้นหาดูในรายชื่อบู๊

แต่ดูไปดูมา ก็ไม่มีรายชื่อของจูหยู่ นั่นแสดงว่าจูหยู่ไม่ได้อยู่ในรายชื่อบู๊

อย่าบอกนะว่าเป็นคนอ่อนแอ

ทุกคนกำลังมีคำถามนี้อยู่ในใจ จูหยู่ปล่อยพลังปราณปกคลุมร่างกายตัวเอง

ผลการฝึกตนแดนปราณนอกชั้นสอง

มีเพียงนักเรียนคณะบังเหินที่รู้ว่า ศิษย์พี่ที่ชื่อจูหยู่แข็งแกร่งแค่ไหน อีกทั้งมีแค่คนที่รู้จักจูหยู่ถึงจะรู้ว่า แม้ในคณะจูหยู่จะถ่อมตน แต่วิชากาย เคล็ดวิชาบู๊ เรียกได้ว่าเป็นอันดับหนึ่งในคณะบังเหิน

วิชากายกลับขวัญเก้าหมุนหนึ่งชุด เขาฝึกถึงชั้นที่เจ็ดแล้ว

ถ้าผลการฝึกตนไม่ถึงขั้นที่กดดันได้ อยากเอาชนะเขา เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

สายตาเหมือนสายฟ้า สายตาของจูหยู่กับหลางเจ๋อจ้องไปที่ฉู่สิง พวกเขาสัมผัสได้ถึงพลังพิเศษบนตัวฉู่สิง

การแสดงออกของหานเฟิงเมื่อครู่ ใครจะกล้าสบประมาทนักเรียนคณะหนึ่งเดียวอีกล่ะ

ทั้งสองคนเตรียมพร้อม ไม่ได้ลงมือทันที จู่ๆ ตัวของจูหยู่หายไปจากที่เดิม เหลือเพียงเงา แต่ต่อมาตัวเขาปรากฏตัวอยู่ด้านหลังฉู่สิง

ข้างหน้าหนึ่งคน ข้างหลังหนึ่งคน โจมตีทั้งสองด้าน ฉู่สิงเปลี่ยนทิศทางของกระบี่ในมือ

“วิชากระบี่มังกรดำ ปรากฏ!”

ทันใดนั้น ฉู่สิงชิงลงมือ แสงกระบี่พุ่งขึ้นมา ปราณกระบี่พุ่งไปทั่ว เหมือนดอกบัวผลิบาน

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 384
หานเฟิงมองมู่ซั่วนิ่งๆ “ถ้าไม่ยอมแพ้อีก ฉันจะดูดเลือดสารจำเป็น นายจะให้ฉันทำลายผลการฝึกตนของนายที่นี่เหรอ”

ใบหน้าของมู่ซั่วกระตุก สุดท้ายพูดอย่างจนปัญญาว่า “ฉันยอมแพ้!”

ทันใดนั้น หานเฟิงถอนหายใจออกมา โยนมู่ซั่วออกไป

สระเลือดกลายเป็นกระบี่ฟ้าคราม หล่นลงบนพื้น เลือดหนึ่งหยดไหลลงมาจากกระบี่ฟ้าคราม หลังจากนั้น ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

แสงสีแดงในตาหานเฟิงหายไป เขาค่อยๆ ดึงกระบี่สองเล่มออกจากตัว

พูดไปก็ประหลาด กระบี่สองเล่มแทงทะลุเขาแล้ว แต่ตอนดึงออกมา กลับไม่เปื้อนเลือดสักหยด และไม่มีเลือดไหลออกจากบาดแผล

หานเฟิงสะบัดกระบี่สองเล่มลงพื้น ยกมือตัวเองขึ้นมา “หานเฟิงคณะหนึ่งเดียวชนะ!”

นักเรียนทุกคนพากันเงียบ จากนั้นตามมาด้วยเสียงเชียร์และเสียงปรบมือ

ศิษย์พี่ม่านเหยียนคณะสงบใจ เห็นแล้วอึ้งไป ตอนนี้เพิ่งตั้งสติได้ ปรบมือไปพลางพูดไปพลางว่า “นี่วิชาอะไรกัน ฆ่าไม่ตาย หานเฟิงเขา……ทำไมหานเฟิงถึงแข็งแกร่งขนาดนี้ ดูแล้วรู้สึกปลอดภัยมาก……”

เมื่อพูดจบ ม่านเหยียนรู้สึกผิดปกติ

หลินเสี่ยวอวิ๋นกับหลิงเหยาที่อยู่ข้างๆ มองเธอด้วยสายตาประหลาด

หลิงเหยาหัวเราะแล้วพูดว่า “ศิษย์พี่ม่านเหยียน……”

ม่านเหยียนหน้าแดงถึงหู “ห้ามยิ้ม มีอะไรน่าขำ ถ้าขำจะไม่สนใจแล้วนะ หึ!”

ที่คณะกำแหง เสี่ยวเหวินกับศิษย์พี่หวัง เห็นแล้วพูดอะไรไม่ออก

ผ่านไปนาน ศิษย์พี่หวังพูดว่า “นี่เป็นนักเรียนของคณะหนึ่งเดียวเหรอ ดูมีพลานุภาพมาก”

เสี่ยวเหวินพยักหน้าเบาๆ

อาจารย์คณะนานา คณะศิงขรทั้งสองคน มีรอยยิ้มบนใบหน้า

ยิ่งคณะหนึ่งเดียวแสดงออกแข็งแกร่ง เป็นเรื่องดีสำหรับพวกเขา ในเมื่อนักเรียนคณะกระบี่ร่วมมือกับนักเรียนคณะบังเหินยังสู้นักเรียนคณะหนึ่งเดียวไม่ได้ งั้นถ้าพวกเขาแพ้ จะมีอะไรน่าแปลกล่ะ คิดว่าทุกคนคงเข้าใจ

อาจารย์ทั้งสองคณะปล่อยวางแล้ว ดูเหมือนคณะหนึ่งเดียวมีลู่ฝานที่แข็งแกร่งเพียงคนเดียว อันที่จริงนักเรียนทุกคนเก่งมาก ดูหานเฟิงก็รู้แล้ว ตอนคณะหนึ่งเดียวสู้กับพวกเขา ยังออมมือไว้

สีหน้าหลัวตานคณะฟ้าร้องซีดลงอีก

อาจารย์ฮั่วซานพูดเบาๆ ว่า “หลัวตาน ตอนนี้นายกล้าหมิ่นยอดฝีมือคนอื่นอีกไหม”

หลัวตานส่ายหน้าเบาๆ เขาแอบพิจารณาครู่หนึ่ง ถ้าไม่ใช่ที่ผาเหลยถิง เจอกับกระบวนท่าอันน่ากลัวของหานเฟิงอยู่ที่อื่น เขาคงไม่มีรู้ซึ้งหรอก

“สถาบันสอนวิชาบู๊ ยอดฝีมือคนเยอะมาก”

อาจารย์ฮั่วซานพยักหน้าพูดว่า “นายรู้ก็ดีแล้ว”

ลู่หลินกับมู่ซั่วโดนนักเรียนคณะตัวเอง ลากออกไปรักษาอย่างรวดเร็ว

ลู่หลินสีหน้าสลด ไม่กล้ามองอาจารย์เมิ่งอวิ๋นอีก

อาจารย์เมิ่งอวิ๋นปรายตามองเขา แต่ไม่พูดอะไรซักคำ ทำแค่เพียงโบกมือเบาๆ

มู่ซั่วกลับมาข้างอาจารย์เสวียนเจิน กัดฟันพูดว่า “ทำให้อาจารย์อับอายแล้ว”

อาจารย์เสวียนเจินส่ายหน้าเบาๆ “คนที่ควรพูดประโยคนี้คือฉัน ฉันไม่เห็นความแข็งแกร่งของคณะหนึ่งเดียว ต่อไปนายจะรู้ แพ้ให้กับคนตระกูลหาน ไม่ได้เป็นเรื่องที่น่าอาย”

มู่ซั่วสีหน้าสับสน แม้ฟังไม่เข้าใจ แต่เขาจำตระกูลหานได้ขึ้นใจ

ต่อไปเขาต้องกู้หน้ากลับมาให้ได้

หานเฟิงยังยืนอยู่บนแท่นวงกลม มือหนึ่งชี้ไปบนฟ้า ยังคงรักษาท่าทางสุดเท่เอาไว้

เรียกได้ว่าแค่ท่าทางของเขาในวันนี้ ก็น่าจะทำให้นักเรียนหญิงเอนเอียงมาทางเขาไม่น้อยแล้ว จินตนาการได้เลยว่า หลังจากการต่อสู้ครั้งนี้จบ หานเฟิงต้องได้รับจดหมายรักจากนักเรียนหญิงไม่น้อยแน่ๆ

“เขาจะลงมาตอนไหน จะยืนแอ็คอีกนานไหม!”

ลู่ฝานหัวเราะแล้วเอ่ยขึ้น

ฉู่สิงพูดว่า “ใครจะไปรู้ล่ะ รอให้เขาแอ็คจนพอใจค่อยว่ากัน กว่าจะได้แอ๊คแบบนี้ ให้เขาได้หน้าหน่อย”

ศิษย์พี่ฉู่เทียนก็พยักหน้า ขณะนั้นมีเสียงดังขึ้นข้างหูลู่ฝาน

“ศิษย์น้องลู่ฝาน รีบขึ้นมาแบกฉันลงไป ฉันขยับไม่ได้แล้ว เอวฉัน ฉันขยับไม่ได้แล้ว”

น้ำเสียงเหมือนจะร้องไห้ ลู่ฝานเกือบขำออกมา

ลู่ฝานรีบขึ้นไปแบกหานเฟิงลงจากลานประลอง เหมือนแบกท่อนไม้

ฉู่สิงพูดว่า “ที่แท้นายฝืนนี่เอง”

ฉู่เทียนเงยหน้ามองฟ้า แล้วถอนหายใจออกมา นักเรียนรอบๆ พากันหัวเราะออกมา

โอเค แอ็คได้ไม่นานจริงๆ

ฉู่สิงเดินช้าๆ เอากระบี่ตัวเองออกมา “รอบต่อไปฉันเอง ในเมื่อหานเฟิงสู้สุดใจแบบนี้แล้ว งั้นฉันต้องจริงจังหน่อยแล้ว”

ฉู่สิงหันไปหยักคิ้วหลิ่วตาให้ฉู่เทียน

ฉู่เทียนสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ก็พยักหน้า

ฉู่สิงหัวเราะเบาๆ แล้วกระโดดขึ้นไปบนลานประลอง

“ฉู่สิงคณะหนึ่งเดียว ท้าประลองคณะบังเหินและคณะกระบี่ เชิญนักเรียนทั้งสองคณะออกมา!”

ยังคงเป็นการสู้แบบหนึ่งต่อสอง!

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 383
กระบี่ดอกท้อสามพัน ทะลุเมฆ

วิชากระบี่ลม ทำลายปราณ

กระบี่ไม้และกระบี่เหล็กกล้า แทงทะลุตัวหานเฟิง

โดนตรงหัวไหล่และอกขวา

แม้ไม่ใช่ตำแหน่งที่อันตรายถึงชีวิต แต่โดนสองกระบี่นี้ ทำให้นักบู๊บาดเจ็บสาหัสได้เลย

การต่อสู้สิ้นสุดลงแล้ว!

เหมือนนักเรียนทุกคนคิดเช่นนี้ โดนคนแทงขนาดนี้ คิดยังไงก็ไม่น่าจะสู้ได้แล้ว

คิดว่าหานเฟิงจะปล่อยท่าไม้ตายอะไรออกมา เห็นตาแดง และฟื้นฟูแผล กระบวนท่านี้ ดูโง่เงามาก

นักเรียนคณะกระบี่ คณะบังเหินส่อนมาก กำลังจะส่งเสียงเชียร์ แต่เพียงพริบตา พวกเขากลับอ้าปากค้าง มองเวทีประลองอย่างไม่อยากเชื่อ

จู่ๆ หานเฟิงเคลื่อนไหว กระบี่ฟ้าครามกลายเป็นแสงสีเลือด ล็อกลู่หลินกับมู่ซั่วเอาไว้แน่น

เหมือนพลังปราณบนตัวทั้งสองคนถูกกัดกร่อน มีควันสีขาวลอยขึ้นมา

สระเลือดปรากฏอยู่ใต้เท้าทั้งสามคน อีกทั้งยังแผ่เป็นวงกว้างด้วย สระเลือดสีแดง ควรจะคาวจนน่ากลัว แต่ทำไมดูแล้วใสแจ๋ว ทำให้คนรู้สึกว่าสะอาด

“นี่คือธาตุแท้ของกระบี่ฟ้าคราม สระเลือดคราม!”

ศิษย์พี่ฉู่เทียนพูดพึมพำ

คำพูดของเขา เข้าหูฉู่สิงกับลู่ฝาน ทำให้ทั้งสองคนงุนงง

“ธาตุแท้ของกระบี่ฟ้าคราม ทำไมฉันไม่เคยได้ยินมาก่อน”

ฉู่สิงถามขึ้น

ฉู่เทียนพูดว่า “นายไม่คิดเหรอว่าทำไมอาจารย์ไม่ให้อาวุธอะไรกับเราเลย แต่กลับให้กระบี่ฟ้าครามกับหานเฟิง”

ฉู่สิงส่ายหน้าอย่างตกใจ

ฉู่เทียนพูดว่า “นั่นเป็นเพราะศิษย์น้องหานเฟิงมีความสามารถแตกต่างกับเรา อาจารย์เก็บงำตระกูลของเขามาตลอด คิดว่าเขาคงเป็นลูกหลานตระกูลบู๊โบราณ มีสายเลือดบู๊โบราณในตัว ส่วนความสามารถในสายเลือดฝึกฝน มีแรงกระตุ้นจากภายนอกจะดีที่สุด อาจารย์ให้กระบี่ฟ้าครามกับเขา ต้องเป็นเพราะวิชาที่ตระกูลศิษย์น้องหานเฟิงถ่ายทอดให้กับกระบี่ฟ้าครามเสริมกันได้ ดูเหมือนตอนนี้เป็นไปตามคาด”

ลู่ฝานกับฉู่สิงเข้าใจทันที

วิชาที่ตระกูลถ่ายทอด! ดูเหมือนศิษย์พี่หานเฟิงมีความลับจริงๆ

แต่ใครไม่มีความลับบ้างล่ะ

ทั้งสามคนหัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน บนลานประลอง หานเฟิงเป็นฝ่ายควบคุมแล้ว

สระเลือดใต้เท้าค่อยๆ กลืนลู่หลินกับมู่ซั่วลงไป ไม่ว่าทั้งสองคนดิ้นรนยังไง ก็ไม่สามารถหลุดจากพันธนาการได้

ตัวของทั้งสองคนจมลงไปในสระเลือดเกือบครึ่ง พลังปราณบนตัวหายไปเช่นกัน ทั้งสองรู้สึกว่าพลังทั้งตัว โดนสระเลือดดูดไป ส่วนประกายในตาหานเฟิงสว่างขึ้นเรื่อยๆ

อาจารย์เมิ่งอวิ๋นยืนขึ้นมา แววตาลุกโชน ส่งเสียงไปหาเสวียนเจิน “เลือดลมหนักแน่นขนาดนี้ ฝึกเคล็ดวิชาชั่วร้ายเหรอ”

อาจารย์เสวียนเจินส่ายหน้าเบาๆ แล้วพูดว่า “ไม่ใช่ เลือดลมเคล็ดวิชาชั่วร้าย โหดเหี้ยมกว่าเลือดลมนี้เยอะ ต้องเป็นพลังของสายเลือด แม้ไม่ใช่ แต่แข็งแกร่งมาก เมิ่งอวิ๋น ท่านผอ.ก็อยู่ที่นี่ เธออย่าบุ่มบ่าม”

เมิ่งอวิ๋นนั่งลงอย่างไม่พอใจ ตอนนี้ในการต่อสู้ ลู่หลินกับมู่ซั่วจมลงไปถึงคอแล้ว

ทุกคนถึงกับสูดหายใจเฮือก วิชาน่ากลัว เหมือนสัตว์อสูรกินคน เห็นสีหน้าซีดเผือดของลู่หลินกับมู่ซั่ว เหมือนกับคนตาย

ในที่สุดคนที่ทนไม่ไหวเป็นคนแรกคือลู่หลิน เขาตะโกนออกมาว่า “ฉันยอมแพ้!”

หานเฟิงมองเขานิ่งๆ แล้วสะบัดมือ ลู่หลินโดนสระเลือดดีดออกมา ล้มลงกับพื้นอย่างหมดแรง

มู่ซั่วยังคงกัดฟันอดทน ทันใดนั้น มีพลังปราณพ่นออกมาจากปากเขา

พลังปราณนี้แม่นมาก ทำให้หน้าอกของหานเฟิงเป็นรู เกือบทะลุหัวใจ

แต่หานเฟิงเหมือนไม่รู้สึกอะไร มองเขาอย่างราบเรียบ แผลบนตัวหายกลับมาเป็นเหมือนเดิม

“พลังฟื้นฟูเหนือธรรมชาติ! เขาคือสัตว์อสูรเหรอ”

เสียงกลืนน้ำลายนับไม่ถ้วน ดังขึ้นบนที่นั่งชม ท่าทางของหานเฟิงในตอนนี้ ไม่เหมือนมนุษย์เลย

เหมือนเป็นหุ่นเชิดบางอย่าง เหมือนสัตว์อสูรบางชนิด

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 382
ขนาดอาจารย์เสวียนเจินยังยิ้มบางๆ มู่ซั่วเป็นหนึ่งในบรรดาศิษย์ของเขา เป็นคนที่มีความเข้าใจในวิชากระบี่ดีที่สุดคนหนึ่ง ไม่ถึง สิบปี แค่มู่ซั่วตั้งใจกับบู๊ ต้องเข้าใจวิชากระบี่นี้อย่างลึกซึ้งแน่นอน

ไม่นาน มีรอยแผลปรากฏขึ้นบนตัวหานเฟิง

แม้ลู่หลินกับมู่ซั่วร่วมมือกันครั้งแรก แต่เข้ากันได้อย่างงดงาม

วิชากระบี่ของลู่หลิน ทำให้การเคลื่อนไหวของหานเฟิงช้าลง วิชากระบี่ของมู่ซั่วเหมือนพิษที่เข้าไปในกระดูก ทำให้หานเฟิงทำอะไรไม่ได้

เพียงพริบตา หานเฟิงเป็นฝ่ายที่ถูกกระทำ

ขยับซ้ายขวา สะบัดกระบี่อย่างต่อเนื่อง หานเฟิงดิ้นไม่หลุดจากตังเมสองคนนี้

หานเฟิงกัดฟัน โดนกดดันจนลนไปหมด

“วิชากระบี่ชิงสวรรค์ท่าที่สอง ทำลาย!”

กระบี่ฟ้าครามหายไปจากมือเขา มู่ซั่วใช้กระบี่ไม้ท้อกันไว้ข้างหลังโดยไม่ต้องมอง แต่ลู่หลินตั้งสติได้ช้า จึงโดนแสงกระบี่โจมตี

ลู่หลินตัวโงนเงน เกือบจะล้มลงบนพื้น

เกิดเสียงดังชิ้ง มู่ซั่วกันแสงด้านหลังของเขาได้ พลิกกระบี่แทงไปบนตัวลู่ฝาน

ตอนนี้หานเฟิงยังสามารถพลิกตัวเตะมู่ซั่วได้ ทั้งสามคนแยกออกจากกันทันที

รอบๆ เงียบๆ ทุกคนเห็นแล้วตะลึง ใครจะคิดว่าการต่อสู้รอบแรก เพิ่งสู้กันได้ไม่เท่าไร ก็โหดเหี้ยมขนาดนี้แล้ว

มุมปากของลู่หลินมีเลือด มู่ซั่วโดนเตะจนร้องโอดโอย เตะของหานเฟิง ไม่ด้อยไปกว่าพลังทะลุทะลวงของวิชากระบี่ชิงสวรรค์

หานเฟิงน่าเวทนามาก กระบี่ฟ้าครามโดนโจมตีจนตกอยู่ข้างๆ ทั้งตัวเต็มไปด้วยแผล

หานเฟิงโงนเงนยืนขึ้นมา

“สะใจ!”

หานเฟิงพูดออกมา กระบี่ฟ้าครามลอยกลับมาในมือเขาอีกครั้ง

มู่ซั่วกับลู่หลินเดินขึ้นมาช้าๆ พลังปราณปกคลุมร่างกาย พลานุภาพมหาศาล

“หานเฟิง ฉันจะทำให้นายรู้ ที่นายพูดว่าหนึ่งต่อสอง แค่การต่อสู้ตลกๆ เท่านั้น”

บนกระบี่ไม้ท้อของมู่ซั่ว มีแสงสว่างขึ้นมา ดอกท้อปรากฏขึ้นมาเลือนลาง

นี่เป็นวิชากระบี่ที่ไม่ได้รับความนิยมของคณะกระบี่ กระบี่ดอกท้อสามพันที่ชำนาญมือ

ตัวของลู่หลินเริ่มเลือนลาง ทำให้เห็นไม่ชัด ราวกับทั้งตัวกลายเป็นสายลม

“คณะหนึ่งเดียวน่าขำ!”

ทั้งสองคนจงใจพูดเสียงดัง ทำให้นักเรียนในที่นี้ได้ยินอย่างชัดเจน

ตอนนี้ขนาดศิษย์พี่ฉู่สิงกับฉู่เทียน ยังขมวดคิ้วเป็นปม

ในความคิดของพวกเขา จากพละกำลังของหานเฟิงในตอนนี้ จะเอาชนะสองคน เป็นเรื่องยากมาก ตอนนี้ลู่ฝานก็รู้สึกว่าโอกาสชนะของหานเฟิงน้อยมาก วิธีนี้ดูบุ่มบ่ามจริงๆ

แต่หานเฟิงไม่ได้คิดแบบนี้ เขายังคงยิ้มอย่างมีความดีใจ

“ลูกหลานตระกูลหาน มีเพียงพินาศไปด้วยกัน นองเลือด ไม่มีทางถอยและยอมแพ้”

ทันใดนั้นหานเฟิงยกกระบี่ฟ้าครามขึ้นมา กรีดลงบนแขนตัวเองอย่างแรง

เลือดเปื้อนลงบนกระบี่ฟ้าคราม ต่อมากระบี่ฟ้าครามบิดอย่างแปลกประหลาด

เสียงของเจดีย์เสวียนเก้ามังกรดังขึ้นในตัวลู่ฝาน

“ของดี มีของดีปรากฏขึ้นอีกแล้ว เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ เจ้านายเป็นคนหาเจอเหรอ”

ลู่ฝานไม่ได้สนใจไอ้เก้า จ้องหานเฟิงเขม็ง

เจดีย์เสวียนเก้ามังกร “เห็น” เหตุการณ์อย่างชัดเจน อดพูดอย่างหดหู่ไม่ได้ “โอ๊ย เป็นของคนอื่นอีกแล้ว เอามาได้ก็ดี ไอ้เด็กนั่นเป็นคนของตระกูลหานสินะ สืบทอดมาหลายปีขนาดนี้ ตระกูลหานยังไม่พังทลายลง ก็ใช่ ตระกูลวิปริตแบบนี้ จะพังทลายลงได้ยังไง เหอะๆ ฉันจะสนใจคนตระกูลหานไปทำไมกัน ตระกูลบ้าบอ พวกบ้าที่กวนบาทา”

เสียงของเจดีย์เสวียนเก้ามังกรหายไป

บนเวทีประลองทรงกลม ทั้งตัวของหานเฟิงดูมีออร่าน่ากลัวเกิดขึ้น

เห็นได้ด้วยตาเปล่าว่าแผลบนตัวหานเฟิง สมานกันอย่างรวดเร็ว ในดวงตาทั้งสองข้างมีแสงสีแดงทอง

ลู่หลินกับมู่ซั่วเห็นว่าผิดปกติ จึงยกกระบี่เดินเข้ามา กระบี่ในมือทั้งสองคน แทงลงบนตัวหานเฟิงอย่างไม่ลังเล เร็วจนไม่สามารถสังเกตได้

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 381
บอกว่าท้าประลองสองคณะในเวลาเดียวกัน ว่าอวดดีแล้ว คิดไม่ถึงว่าไม่ได้สู้แค่ทีละคน รอบแรกก็สู้แบบหนึ่งต่อสองแล้ว

ท่านผอ.หัวเราะขึ้นมา หันไปมองลู่ฝานแล้วพูดว่า “นี่คือแผนของพวกนายเหรอ น่าสนใจๆ วัยรุ่นไม่มีกำลังฮึกเหิม จะเรียกว่าวัยรุ่นได้ยังไง เป็นวัยร่นก็ต้องอวดดีสิ ดี!”

พวกลู่ฝานกลับยิ้มแหยออกมา นี่ไม่ใช่แผนของพวกเขา ให้ตายเถอะ นี่ศิษย์พี่หานเฟิงต้องคลั่งเองแน่นอน

สีหน้าฉู่เทียน ฉู่สิงและลู่ฝานไม่สู้ดีเป็นอย่างมาก

โดยเฉพาะศิษย์พี่ฉู่เทียน เขาแทบอยากจะพุ่งเข้าไปลากหานเฟิงลงมาตอนนี้เลย

อาจารย์เมิ่งอวิ๋นโมโหมากๆ สะบัดมือพูดว่า “ลู่หลิน ขึ้นไปกำราบความฮึกเหิมของเขาสิ ถ้าแพ้ เตรียมกลับไปเก็บตัวที่คณะหนึ่งปี”

นักเรียนที่ชื่อลู่หลินรีบเด้งตัวออกไปทันที สีหน้าแดงก่ำ เห็นได้ชัดว่าโกรธมาก

อาจารย์เสวียนเจินยังคงใจเย็น ไม่ได้ให้คนออกไป

แต่เสวียนเฟิงที่อยู่ข้างๆ ทนดูไม่ไหว พูดเสียงดังว่า “พ่อ ผมทนไม่ไหวแล้ว”

เสวียนเจินมองเสวียนเฟิง พยักหน้าเบาๆ แล้วพูดว่า “ฉันเข้าใจความรู้สึกแก นานแล้วที่คณะกระบี่ไม่ได้โดนดูถูกแบบนี้ แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงนาย มู่ซั่วนายขึ้นไป เขาจะสู้สองคนไม่ใช่เหรอ สั่งสอนเขาซะให้เข็ด”

มู่ซั่วที่อยู่ลำดับสุดท้ายของนักเรียนชั้นยอดของคณะกระบี่ลุกขึ้นยืน ถือกระบี่ไม้ท้อในมือ เด้งตัวออกไปเช่นกัน

ลู่ฝานพอจะจำมู่ซั่วได้บ้าง เขาจำได้ว่ามู่ซั่วน่าจะเป็นนักเรียนที่เพิ่งเข้ามาในปีนี้เหมือนกัน ตอนนั้นยังเป็นสิบอันดับแรกด้วย เลื่อมใสคณะกระบี่ทั้งใจ แค่หนึ่งปี ได้ตำแหน่งห้านักเรียนชั้นยอด ท่ามกลางนักเรียนที่มีความสามารถมากมายของคณะกระบี่ ศักยภาพเช่นนี้ เรียกได้ว่าน่ากลัว

ลู่หลินกับมู่ซั่วมองหานเฟิงนิ่งๆ และปล่อยพลังปราณของตัวเองออกมา

แดนปราณนอก!

ไม่มีคนไหนที่แตกต่าง เป็นแดนปราณนอกทั้งหมด

คนพวกนี้ มีคนไหนบ้างที่ไม่ใช่คนมีชื่อเสียงในรายชื่อบู๊ ไม่อยู่ในแดนปราณนอก ก็อายที่จะออกมาต่อสู้

ทั้งสามคนยืนตั้งท่าอย่างดี หานเฟิงประสานมือคารวะแล้วพูดว่า “เชิญ!”

ลู่หลินกับมู่ซั่วต่างประสานมือคารวะ จากนั้นพลานุภาพของทั้งสองคนเริ่มพลุ่งพล่าน

พลานุภาพที่เหมือนคลื่นทั้งสอง พุ่งตรงเข้าไปหาลู่ฝาน ขณะเดียวกันลู่หลินกับมู่ซั่วก็ขมวดคิ้วเบาๆ พวกเขากำลังอดกลั้นกับความเจ็บปวดที่หัว

เป็นแดนปราณนอกเหมือนกัน แต่หานเฟิงไม่ได้มีความสามารถต้านทานผู้แข็งแกร่งสองคน เหมือนกับลู่ฝาน

สิ่งเดียวที่หานเฟิงสามารถทำได้ คือชิงลงมือก่อน

การต่อสู้ของยอดฝีมือ ไม่จำเป็นต้องพูดพร่ำทำเพลง กระบวนท่าแรก

วิชากระบี่ชิงสวรรค์!

กระบี่ฟ้าครามยกขึ้น ปราณกระบี่นับไม่ถ้วนพลุ่งพล่าน

ลู่หลินแตะฝ่าเท้าลงบนพื้นเบาๆ ตัวเหมือนใบหลิวหลบแสงกระบี่

ย่ำก้าวตามลม!

มู่ซั่วแทงกระบี่ไม้ท้อมากลางอากาศ กระบี่ทำลายปราณ!

ตู้มๆๆๆ!

เสียงระเบิดอันน่ากลัวดังขึ้น

ตัวของทั้งสามคนโดนกลบไปจนหมด ขึ้นมาก็ต่อสู้กันอย่างบ้าคลั่ง จุดความคึกคักของนักเรียนทุกคน

วงแสงกลมใต้ฝ่าเท้า พบความแข็งแกร่งของตัวเอง ปราณกระบี่อันบ้าคลั่งเช่นนี้ ถึงเป็นหินศิลาดำชั้นดี ก็โดนทำลายไม่น้อย แต่วงแสงกลมกะพริบเพียงแสงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่เป็นอะไรเลย

ในเสียงระเบิดที่ดังอย่างต่อเนื่อง มีเสียงอาวุธปะทะกันดังออกมา

นักเรียนที่มีพละกำลังค่อนข้างแข็งแกร่ง รีบเพ่งมองทันที เห็นหานเฟิง ลู่หลินกับมู่ซั่ว ต่อสู้กันในปราณกระบี่อันบ้าคลั่ง

“ใช้วิชากระบี่ไปหลายครั้ง ยังอยากให้เห็นผล ตลก!”

ลู่หลินพูดพลาง ฝีเท้าว่องไว แต่ละกระบี่มาพร้อมกับกระแสลม มีเหงื่อตรงหน้าผาก ค่ายกลแว้งกัดทำให้เขาปวดหัวขึ้นเรื่อยๆ แต่ในตอนนี้ ลู่หลินยังพออดทนได้

กระบี่ไม้ท้อของมู่ซั่ว เหมือนงูเลื้อยไปบนตัวหานเฟิง

วิชากระบี่ชาญฉลาดราวกับศิลปะ เห็นแล้วเพลิดเพลินใจ

การเคลื่อนไหวทุกครั้งสง่างามมาก แต่ละกระบวนท่างดงามไร้ที่ติ

บทที่ 380

บทที่ 382

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 380
เมื่อหานเฟิงพูดจบ นักเรียนที่มาดูต่างส่งเสียงเชียร์ออกมา

ทุกคนก็ตะโกนเสียงดัง

“จัดการคณะกระบี่!”

“เอาชนะคณะบังเหิน!”

“คณะหนึ่งเดียวฉันชอบพวกนาย”

……

คนพวกนี้เป็นนักเรียนคณะอื่นอย่างไม่ต้องสงสัย

ที่เรียกว่าดูแห่ศพไม่กลัวโลงศพ ก็เหตุผลนี้แหละ

พวกนักเรียนคณะกระบี่ คณะบังเหิน ก็ไม่ด้อยเหมือนกัน ต่างพากันตะโกนเสียงดัง

“เฮ้ เฮ้ เฮ้!”

“ขยะของคณะหนึ่งเดียว คิดว่าพวกนายรับปากขยะคณะอื่น แล้วจะชนะพวกเราได้เหรอ กลับไปฝึกอีกสักสองสามปีเถอะ!”

เหมือนพวกนักเรียนกำลังแข่งกันตะโกน แต่ละคนเสียงดังมาก

กลุ่มคนในนั้นยังใช้พลังปราณด้วย แต่เพิ่งตะโกนออกมา ก็รู้สึกว่าปวดสมอง แรงกระเทือนที่มองไม่เห็น ทำให้เขาเจ็บจนร้องออกมา

ภาพนี้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เริ่มแรกยังไม่ชัดเจนดี แต่เมื่อมีคนร้องโอดครวญเยอะขึ้น

ทุกคนเริ่มพบความผิดปกติ

“เกิดอะไรขึ้น ทำไมจู่ๆ ฉันถึงปวดหัว”

“มีสิ่งแปลกเหรอ ที่นี่มีกับดักเหรอ”

“คณะหนึ่งเดียว ต้องเป็นฝีมือคนคณะหนึ่งเดียว ต่ำตมเกินไปแล้ว ไอ้พวกเลวคณะหนึ่งเดียว พวกนายจะทำอะไรกันแน่”

……

ตอนนี้นักเรียนทุกคนพากันก่นด่าคณะหนึ่งเดียว

หานเฟิงยืนอยู่บนวงกลม ด้วยท่าทีกวนบาทา

คาดเดาเหตุการณ์แบบนี้ได้นานแล้ว

หานเฟิงพูดเสียงดังว่า “นักเรียนทุกท่านอย่าเพิ่งโหวกเหวก คณะหนึ่งเดียวไม่ได้วางกับดัก แต่เดิมที่นี่เป็นจวนของผู้แข็งแกร่ง มีค่ายกลแฝงอยู่ แม้ตอนนี้จวนอยู่ในสภาพนี้ พลานุภาพของค่ายกลก็หายไปมาก แต่ก็มีปฎิกิริยากับพลังของทุกคน ถ้าไม่คุ้นชิน หึหึ ก็ยังทรมานมาก”

ทันใดนั้น สีหน้าของเสวียนเฟิงคณะกระบี่และคนอื่นเปลี่ยนไป ลั่วหยู่คณะบังเหินและคนอื่นก็อึ้งเล็กน้อย

ทันใดนั้น คนพวกนี้ปล่อยพลังปราณออกมาทดสอบ

รู้สึกถึงความเจ็บที่หัว มีคนสีหน้าเปลี่ยนไปทันที

อาจารย์เมิ่งอวิ๋นลองทดสอบเล็กน้อย กดเสียงต่ำพูดว่า “แผนดี”

พวกนักเรียนที่ก่นด่าพากันเงียบ ในเมื่อพลังปราณสามารถกระตุ้นค่ายกลพังๆ ได้ งั้นก็ไม่ปล่อยพลังปราณออกมาก็จบแล้ว

เป็นไปตามคาด เมื่อเก็บพลังปราณกลับมา ความเจ็บที่หัวก็หายไป

ตอนนี้นักเรียนจำนวนไม่น้อย มองนักเรียนชั้นยอดของคณะกระบี่และคณะบังเหิน ด้วยสายตาแปลกประหลาด

ไม่ต้องสงสัยเลย คณะหนึ่งเดียวเลือกสถานที่แบบนี้มาเป็นลานประลอง พวกเขาต้องมีวิธีรับมือค่ายกลนี้แน่นอน จากการคาดเดาของพวกเขา สถานที่นี้อาจเป็นลานประลองบู๊ของคณะหนึ่งเดียว

แต่นักเรียนชั้นยอดของคณะกระบี่กับคณะบังเหินล่ะ พวกเขาต้องไม่เชี่ยวชาญที่นี่แน่นอน

นี่คือสถานที่เปลียบ นี่คือความได้เปรียบ

แค่ค่ายกลเดียว สามารถทำลายพลังการต่อสู้ของคณะกระบี่กับคณะบังเหินไปไม่น้อย

มิน่าล่ะคนคณะหนึ่งเดียว ถึงกล้าขนาดนี้ คงมีวิธีแบบนี้อยู่สินะ

หานเฟิงหันมายักคิ้วหลิ่วตาให้ลู่ฝานและคนอื่น ขยับปากส่งเสียงว่า “ศิษย์พี่ฉู่สิง ศิษย์พี่ฉู่เทียน ศิษย์น้องลู่ฝาน ฉันจะออกไปก่อน ไม่ต้องมาห้ามฉัน”

ลู่ฝานพยักหน้าเบาๆ ฉู่สิงกับฉู่เทียนมีเพียงรอยยิ้มบนใบหน้า

หานเฟิงเอากระบี่ออกมา และมัดเชือกที่กางเกง แล้วบ่นพึมพำ

“ในเมื่อวนเวียนขนาดนี้ งั้นมาเล่นใหญ่กันสักหน่อย สู้กับสองคณะพร้อมกัน แบบนี้ไม่เลว อืม เป็นการตัดสินใจที่มีความดีใจมาก!”

หานเฟิงสะบัดกระบี่ฟ้าคราม แล้วสะบัดพลังปราณออกมาเป็นแถบ

“หานเฟิงคณะหนึ่งเดียว ท้าประลองคณะบังเหินกับคณะกระบี่ เชิญนักเรียนทั้งสองคณะออกมา! ฮ่าๆ ฉันจะสู้หนึ่งต่อสอง!”

หานเฟิงเผยยิ้มหลอกลวง ยกยิ้มมุมปาก หัวเราะดังไปทั้งจวนสวรรค์

“ไอ้เด็กเหิมเกริม!”

“ไม่เห็นเราสองคณะอยู่ในสายตาสักนิด”

พวกนักเรียนคณะกระบี่กับคณะบังเหินพากันก่นด่าขึ้นมา

ขนาดอาจารย์เมิ่งอวิ๋นกับอาจารย์เสวียนเจิน ยังมีสีหน้าอึมครึมไม่น้อย

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 379
สีหน้าของอาจารย์พวกนี้ดูสดใสมาก พวกเขามาดูเรื่องสนุก แน่นอนว่ายิ่งคึกคักยิ่งสนุก โดยเฉพาะอาจารย์เซินถู เมื่อมาถึงก็พาพวกเฉียวเซวียนมาฝั่งลู่ฝาน

อาจารย์เซินถูตบหลังลู่ฝานแล้วพูดว่า “ลู่ฝาน ฉันเป็นกำลังใจให้นาย การท้าประลองครั้งนี้มีความหึกเฮิม ต้องสู้ให้ดีหน่อย รู้ไหม”

ลู่ฝานจะพูดอะไรได้อีก ทำได้เพียงพยักหน้า

อาจารย์เซินถูเพิ่งเห็นท่านผอ. เขาทำสีหน้าทะเล้น แล้วเอาเก้าอี้ออกมานั่งข้างท่านผอ.

ท่านผอ.มองเซินถูอย่างราบเรียบ พูดอย่างสงสัยว่า “ผลการฝึกตนของนายก้าวหน้าขึ้นไม่น้อย เจออะไรดีๆ เหรอ”

อาจารย์เซินถูหัวเราะคิกคัก “ผมมีความสุขและโชคดี จะไม่เจออะไรดีๆ ได้ไงล่ะ แต่ไม่บอกนายหรอก”

ท่านผอ.ส่ายหน้า เซินถูดีทุกอย่าง แต่ปากไม่มีหูรูด พูดกับเขาแล้วไม่มีความอดทน ก็ไม่ไหวจริงๆ

อาจารย์คนอื่นต่างพากันนั่งลง และทำความเคารพท่านผอ.เล็กน้อย

อาจารย์อู๋โฉวมานั่งฝั่งลู่ฝาน แม้ไม่พูดอะไรสักประโยค แต่ในแววตาเต็มไปด้วยการให้กำลังใจ

ไม่มีใครเข้ามาแล้ว หานเฟิงกับฉู่สิงก็รีบกลับมา

เห็นได้ชัดว่าทั้งสองคนได้เงินมาไม่น้อย ดูมีสง่าราศี หานเฟิงหัวเราะเสียงดัง ฉู่สิงตบกระเป๋าตรงเอว แล้วฮัมเพลง

ทั้งสี่คนยืนด้วยความสงบ

ทุกคนรอให้มีคนประกาศเริ่ม มองไปรอบๆ

ขณะนั้นฉู่เทียนผลักหานเฟิง แล้วพูดว่า “หานเฟิง ไปประกาศเริ่ม”

หานเฟิงชี้ตัวเองแล้วพูดว่า “ทำไมเป็นผมล่ะ”

ฉู่เทียนพูดว่า “เราไม่มีครูสักคน อาจารย์ก็ไม่อยู่ ศิษย์พี่ใหญ่ยังนอนไม่ตื่น นายเสียงดังสุด ถ้าไม่ใช่นายจะเป็นใครอีก รีบขึ้นไป ใช่สิ ฉันให้นายเตรียมเอกสารความเป็นตาย นายเตรียมเรียบร้อยหรือยัง”

หานเฟิงรีบเอากระดาษออกมา แล้วเด้งตัวขึ้นมาบนวงกลมขนาดใหญ่

สายตาของทุกคนมองไปยังหานเฟิง บางคนพูดเบาๆ ว่า “เขาขึ้นไปทำไม ครูของคณะหนึ่งเดียวล่ะ”

หานเฟิงพูดเสียงดังว่า “เอ่อ……คณะหนึ่งเดียวของฉันไม่มีครู ดังนั้นวันนี้ฉันเป็นคนประกาศเริ่ม นักเรียนทุกคน อาจารย์และครูทุกท่าน ยินดีต้อนรับสู่ลานประลองบู๊เหรียญเงิน ก่อนอื่นต้องขอบคุณเหรียญเงินของทุกคน เพราะทุกคนทำให้ฉันมีเงินไปหาศิษย์น้องหญิง ขอบคุณทุกคน!”

ขณะนั้น สีหน้าของลู่ฝาน ฉู่สิงกับฉู่เทียนเหมือนโดนคนเตะ ไม่สู้ดีเป็นอย่างมาก

ฉู่เทียนพูดว่า “ฉันเสียใจแล้วล่ะ ไม่น่าให้เขาขึ้นไปประกาศเลย”

ลู่ฝานพูดว่า “เสียใจก็เปล่าประโยชน์”

หานเฟิงหัวเราะเสียงดัง สีหน้าของอาจารย์ ครูและนักเรียนคนอื่น ไม่สู้ดีเป็นอย่างมาก

อาจารย์เมิ่งอวิ๋นพูดด้วยสีหน้าเย็นชา “ไอ้ปัญญาอ่อน ทำไมสถาบันสอนวิชาบู๊ถึงมีนักเรียนไม่เอาไหนแบบนี้”

หัวเราะอยู่ครู่หนึ่ง หานเฟิงจึงเอาเอกสารความเป็นตายในมือขึ้นมา “โอเค ไม่พูดไร้สาระแล้ว เอกสารความเป็นตายอยู่นี่ ทุกคนรีบมาลงชื่อเถอะ อย่าเสียเวลา”

พูดพลาง หานเฟิงสะบัดมือเอาเอกสารความเป็นตายออกไป เอกสารแต่ละใบร่วงลงในมือของนักเรียนชั้นยอดของคณะกระบี่และคณะบังเหิน

การกระทำแบบนี้ ทำให้คนเปลี่ยนความคิดใหม่ ขนาดลั่วหยู่กับเสวียนเฟิงยังแววตาเป็นประกาย

เซ็นเอกสารความเป็นตายเสร็จเรียบร้อย ทุกคนพากันโยนกลับไปอย่างไม่พอใจ

หานเฟิงรับเอกสารมา ยัดเข้าไปในเป้ากางเกงอย่างลวกๆ พูดเสียงดังว่า “การต่อสู้จัดอันดับคณะ คณะหนึ่งเดียวประลองกับคณะกระบี่และคณะบังเหิน เริ่มได้!”

ท่านผอ.เทียนหยาจื่อ ยืนอยู่อากาศเวิ้งว้าง ก้มหน้ามองทุกสิ่งบริเวณรอบๆ

“เป็นสถานที่ที่ดี พลังงานที่แข็งแกร่ง เดิมทีที่นี่คงเป็นจวนของเซียนบำเพ็ญชี่สินะ”

ท่านผอ.หัวเราะเบาๆ เหาะลงมาข้างล่าง

เขาเหาะลงมาข้างลู่ฝาน ท่ามกลางสายตาตกตะลึง

ลู่ฝานมองท่านผอ.ที่อยู่ข้างๆ อย่างตกตะลึง

ท่านผอ.ยิ้มแล้วพูดว่า “ลู่ฝาน ตอนนี้นายกล้าขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่นายมาถึงสถาบันสอนวิชาบู๊ เหมือนว่ามีเรื่องเยอะขึ้นเรื่อยๆ”

ลู่ฝานพูดอย่างเหนื่อยใจว่า “ท่านผอ. ผมไม่ได้ชอบก่อเรื่อง แต่มีบางเรื่องที่ไม่ทำก็ไม่ได้”

ท่านผอ.พูดว่า “อืม ฉันรู้เรื่องแล้ว อี้ชิงกับเต้ากวง คนเป็นครูทำไมถึงไม่ได้เรื่องแบบนี้ เรื่องใหญ่ขนาดนี้ เขากลับปล่อยให้นักเรียนแบบพวกนายจัดการ”

ลู่ฝานพูดว่า “ท่านผอ. ท่านจะบอกว่าคณะกระบี่กับคณะบังเหิน จะลงมือกับพวกเราเหรอครับ”

ท่านผอ.พยักหน้าเบาๆ แล้วพูดว่า “พวกนายทำแบบนี้ถือว่าล้ำเส้น พวกเขาจะจัดการพวกนาย ก็มีเหตุผล ถ้าแอบลอบโจมตี ก็คงไม่มีอะไร เทียนฉี่จะช่วยพวกนายจับตาดู อย่างน้อยก็ปกป้องชีวิตพวกนายได้ แต่ถ้าอยู่บนลานประลอง ไม่พูดถึงเรื่องความเป็นตาย พวกเขาใช้วิธีไม่ดีนิดหน่อย เพื่อฆ่าพวกนาย อาจารย์พวกนายก็ไม่อยู่ด้วย จะเอายังไงดี”

สีหน้าของลู่ฝานกับฉู่เทียนเปลี่ยนไปเล็กน้อย

ท่านผอ.ยิ้มแล้วพูดว่า “แน่นอนว่าฉันหวังว่าจะไม่มีใครทำแบบนี้ ในสถาบันสอนวิชาบู๊ เพราะที่สถาบันสอนวิชาบู๊ไม่มีคนตายตอนประลองมาหลายปีแล้ว แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน อาจารย์ของพวกนายไม่ใส่ใจ แต่ฉันต้องจับตาดู แค่ฉันโผล่ออกมา ทุกคนจะไม่ทำเกินไป นายดูสีหน้าของพวกเขาก็รู้แล้ว”

ลู่ฝานรีบมองดู เป็นเช่นนั้นจริงๆ อาจารย์เสวียนเจินคณะกระบี่ อาจารย์เมิ่งอวิ๋นคณะบังเหิน ต่างมีสีหน้าเปลี่ยนไป

นักเรียนคนอื่นมองลู่ฝานกับท่านผอ.คุยกันอย่างสบายๆ ด้วยสีหน้าตกใจ

จริงๆแล้ว ท่านผอ. ผู้สูงสุดของสถาบันสอนวิชาบู๊ การมีอยู่ในตำนาน ท่านผอ.ที่นักเรียนและครูนับไม่ถ้วนเลื่อมใส กลับยืนคุยกับลู่ฝานอย่างสนิทสนม

พวกเขารู้สึกมึนงง โมโห และอิจฉาริษยา

ถึงลู่ฝานเป็นศิษย์ที่ยอดเยี่ยม แต่ทำไมท่านผอ.ถึงให้ความสำคัญกับเขาเป็นพิเศษ

สายตาของลั่วหยู่และเสวียนเฟิงเย็นชาเป็นอย่างมาก

นักเรียนยอดเยี่ยมของคณะเหมือนกัน แต่พวกเขาไม่เคยคุยกับท่านผอ.อย่างสนิทสนมแบบนี้เลย

จู่ๆ มีคนจำนวนไม่น้อยถกเถียงกันเสียงเบา

“ท่านผอ.ได้รับลู่ฝานเป็นศิษย์ใช่ไหม”

“เป็นไปได้นะ ไม่งั้นทำไมผลการฝึกตนของลู่ฝานคงไม่เร็วขนาดนี้”

“พระเจ้า งั้นแสดงว่าลู่ฝานจะเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของทั้งสถาบันสอนวิชาบู๊แล้วสิ”

……

ท่านผอ.สะบัดมือนิ่งๆ เขานั่งลงบนเก้าอี้ขนาดใหญ่ ที่ปรากฏอยู่ด้านหลังเขา

ท่านผอ.พูดช้าๆ ว่า “ลู่ฝาน ในเมื่อฉันมาแล้ว งั้นการประลองครั้งนี้พวกนายต้องสู้ให้ดีหน่อย อย่าทำให้ฉันผิดหวัง”

ท่านผอ.ชี้ไปที่อกลู่ฝาน ลู่ฝานรู้สึกว่าปราณชี่อกงามอย่างต่อเนื่องในตัว รวดเร็วขึ้นไม่น้อย

ท่านผอ.แววตาเป็นประกาย เผยรอยยิ้มบางๆ

จากนั้นเสียงท่านผอ.ดังขึ้นข้างหูลู่ฝาน

“การทำความเข้าใจของนายไม่เลวจริงๆ ลู่ฝานฉันชอบนายขึ้นเรื่อยๆ แล้ว”

ลู่ฝานอมยิ้มไม่พูดอะไร ยืนอยู่ที่เดิมเงียบๆ

คนที่เข้ามาเยอะขึ้นเรื่อยๆ ไม่นาน อาจารย์เซินถูคณะกำแหง อาจารย์อู๋โฉวคณะสงบใจ อาจารย์ฮั่วซานคณะฟ้าร้อง อาจารย์ชีหลินคณะศิงขร ก็พากันมาถึงที่นี่

หานเฟิงเก็บลงกระเป๋าตัวเองทันที แล้วพูดพึมพำว่า “เงินเข้ากระเป๋าฉันแล้ว พวกนายคิดจะเอากลับไปอีก ไม่มีทางเด็ดขาด โอเค เห็นแก่ที่พวกนายใจกว้าง จะให้พวกนายแทรกคิวเข้าไปก่อน”

เสวียนเฟิงไม่พูดพร่ำทำเพลง หันหลังเดินไปบนเข็มทิศฮวงจุ้ย

ไปกันทีละคน จนนักเรียนชั้นยอดของคณะกระบี่หายไปจนหมด

ลู่ฝานกับฉู่เทียนทนดูต่อไปไม่ได้แล้ว พวกศิษย์พี่หานเฟิงต้องทำให้นักเรียนสถาบันสอนวิชาบู๊ ได้รับโทษจนหมดทุกคน

ลู่ฝานกับฉู่เทียนไม่สนใจที่พวกเขาเก็บเงินต่อ พากันแทรกแถวเดินขึ้นไปบนเข็มทิศฮวงจุ้ย เข้าไปจวนสวรรค์

วงแหวนแสงลอยอยู่บนท้องฟ้าสดใส ทุกสิ่งดูวิจิตรตระการตา

ลู่ฝานกับศิษย์พี่ฉู่เทียนใช้วิชากาย พุ่งไปทางข้างหน้า มาถึงวงแหวนแสงขนาดใหญ่ ที่อยู่ใกล้กับลานประลองด้านล่าง และยืนอยู่ไม่ไกล

นักเรียนรอบๆ กำลังพูดคุยกัน พูดชมอยู่เป็นระยะ

“ที่นี่ยอดเยี่ยมมาก เป็นสถานที่ฝึกฝนของคณะหนึ่งเดียวใช่ไหม”

“ฉันบอกแล้วว่าคณะหนึ่งเดียว ไม่มีทางมีแค่บ้านไม้ที่เขาว่ากันหรอก คณะหนึ่งเดียวมีความลับเยอะแยะตามคาดจริงๆ”

“อืมๆ คณะหนึ่งเดียวที่อัศจรรย์”

……

ได้ยินเสียงพูดคุยเช่นนี้ ลู่ฝานกับศิษย์พี่ฉู่เทียนมองหน้ากันแล้วหัวเราะ

ดูเหมือนว่าเรื่องนี้ทำถูกแล้ว ยังช่วยเหลือชื่อเสียงของคณะหนึ่งเดียวด้วย น่าเสียดาย อาจารย์อี้ชิงกับอาจารย์เต้ากวงไปวุ่นอยู่กับเรื่องหุ่นเชิด ไม่งั้นถ้าพวกเขาได้ยินเรื่องแบบนี้ ต้องดีใจมากแน่นอน

ฉู่เทียนยิ้มแล้วพูดว่า “ฉันเดาได้เลยว่าเมื่อถึงปีหน้า ในคนพวกนี้ถ้ามีคนโอนย้ายเข้ามาในคณะหนึ่งเดียวของเรา รู้ว่าคณะหนึ่งเดียวของเรามีแต่บ้านไม้จริงๆ จะมีสีหน้าเป็นยังไง”

“สีหน้าหลากหลายแน่นอน”

ลู่ฝานยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น รอยยิ้มของทั้งสองคนอยู่ที่นักเรียนคนอื่น ดูโอ้อวดชัดๆ

หลิงเหยาที่อยู่ในกลุ่มคนก็พูดชมว่า “โห ที่แท้คณะหนึ่งเดียวมีลานฝึกบู๊ที่ยอดเยี่ยมขนาดนี้ด้วย ทำไมลู่ฝานไม่บอกฉันเลย”

ม่านเหยียนที่อยู่ข้างๆ ยิ้มแล้วพูดว่า “เธอยังไม่ได้เป็นฝั่งเป็นฝาเลย ก็อยากรู้ทุกอย่างของเขาแล้วเหรอ เร็วไปหน่อยมั้ง”

หลิงเหยาพูดอย่างเขินอาย “ศิษย์พี่ล้อฉันอีกแล้ว”

ม่านเหยียนส่ายหน้าพูดว่า “เปล่า ฉันอิจฉาเธอไง เธอดูสิ คนคณะบังเหินก็มาแล้ว”

แสงไม่กี่แสงปรากฏขึ้น นักเรียนชั้นยอดของคณะบังเหิน เข้ามาในจวนสวรรค์ คนที่นำมาคืออาจารย์เมิ่งอวิ๋น

ลั่วหยู่และคนอื่นที่อยู่ข้างหลัง มีสีหน้าอึมครึม เห็นได้ชัดว่าตอนพวกเขาเข้ามา ต้องโดนศิษย์พี่หานเฟิงล็อกตัวเพื่อเอาหนึ่งเหรียญเงินแน่นอน อืม เห็นสีหน้าอึมครึมขนาดนี้ อาจจะไม่ใช่แค่……

เมื่อเข้ามา อาจารย์เมิ่งอวิ๋นพาพวกลั่วหยู่ เหาะมายังหน้าลานประลองบู๊

เมิ่งอวิ๋นมองซ้ายมองขวา พูดเย็นชาว่า “คณะหนึ่งเดียวมีสถานที่แบบนี้ด้วย หลายปีมานี้ ฉันไม่รู้เลยสักนิด ซ่อนไว้มิดชิดจริงๆ อ้อ ไม่สิ ทำไมที่นี่ยังมีพลังแปลกๆ”

อาจารย์เมิ่งอวิ๋นสัมผัสได้ถึงสติที่ถูกปะทะ จึงขมวดคิ้วขึ้น

พวกลั่วหยู่ที่อยู่ด้านหลัง คิดว่าเมิ่งอวิ๋นพูดว่าคณะหนึ่งเดียวมีการดักซุ่มโจมตี

ลั่วหยู่สะบัดพัดแล้วพูดว่า “หึ ไม่ว่าคณะหนึ่งเดียวมีวิธีอะไร วันนี้ต้องทำให้พวกเขาขายหน้าต่อหน้าทุกคน”

อาจารย์เมิ่งอวิ๋นพยักหน้าเบาๆ นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมเธอต้องเรียกลั่วหยู่กลับมา

ขณะนั้นมีแสงที่ดูพิเศษปรากฏขึ้นมา

เงาคนคนหนึ่ง ไม่ได้ยืนบนวงแสงเหมือนคนอื่น แต่กลับลอยอยู่อากาศเวิ้งว้าง

“ท่านผอ.!”

เมิ่งอวิ๋นส่งเสียงออกมาอย่างตกใจ

“ทำไมท่านผอ.ก็มาที่นี่ด้วย!”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 376
สองวันผ่านไป ที่ตีนเขาอวิ๋นซาน เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย

“เข้าแถวให้เรียบร้อยๆ เข้าได้ทุกคนๆ ค่าเข้าหนึ่งเหรียญเงิน แค่หนึ่งเหรียญเงินเท่านั้น!”

หานเฟิงตะโกนสุดเสียง

เสียงของเขาดังสนั่นไปทั่ว ทำให้ทุกคนได้ยินอย่างชัดเจน

“แค่เหรียญเงินเดียวไม่ขาดทุน ไม่โดนหลอกแน่นอน เอามาให้ฉันหนึ่งเหรียญเงิน แล้วเข้าไปได้เลย เข้าได้ทุกคน ทุกคนไม่ต้องเบียดกัน”

ศิษย์พี่หานเฟิงหัวเราะอย่างมีความสุข แล้วเก็บเงินทีละคน

เพราะมันสมองแบบเขา จึงสามารถคิดออกได้ว่า เข้าไปดูการประลองที่จวนสวรรค์ต้องจ่ายตังค์

พวกลู่ฝานมองศิษย์พี่หานเฟิงหาเงินอย่างตะลึง เวลาแค่ไม่นาน เขาทำเงินได้หลายสิบเหรียญทองแล้วมั้ง

ศิษย์พี่ฉู่สิงทนดูต่อไปไม่ได้แล้ว แอบก่นด่าในใจ

“หานเฟิง ทำไมนายทำแบบนี้ นี่เป็นเพื่อนร่วมสถาบันของนายทั้งนั้น”

พูดจบ ศิษย์พี่ฉู่สิงก็ไปเก็บเงินด้วย

“แค่เหรียญเงินเดียวเอง ด้านหลังยอมจ่ายเยอะไหม ลัดคิวให้พวกนายได้นะ!”

ฉู่เทียนกับลู่ฝานอยากเอามือปิดหน้าตัวเอง

ศิษย์พี่แปลกประหลาดแบบนี้ หวังแค่ว่าตัวเองจะหน้าหนาพอ

แม้นักเรียนคนอื่นหงุดหงิดใจ แต่ก็ไม่สามารถระบายออกมาได้ เพราะเป็นตีนเขาของพวกเขา ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมา คงจัดการไม่ได้แน่นอน

สิ่งสำคัญที่สุดคือ มาไกลขนาดนี้แล้ว ถ้าเข้าไม่ได้เพราะเหรียญเงินเดียว มันไม่คุ้มเลย

เพราะว่าเหรียญเงินเดียวเอง ใครๆ ก็มี พูกจริง การกำหนดราคาของศิษย์พี่หานเฟิง ก็สมเหตุสมผลมาก

ให้ตายเถอะ จู่ๆ ลู่ฝานรู้สึกว่าศิษย์พี่หานเฟิงมีพรสวรรค์ในการหาเงิน

ขณะกำลังเก็บ “ค่าตั๋ว” อย่างมีความสุข ไม่ไกล อาจารย์เสวียนเจินคณะกระบี่ พาพวกเสวียนเฟิง กลายเป็นลำแสงมาที่นี่

พวกนักเรียนคณะกระบี่ตะโกนเสียงดัง อาจารย์เสวียนเจินมาถึงก็ขมวดคิ้วมองแถวยาวเหยียด

ศิษย์พี่หานเฟิงรีบเดินเข้ามา ประสานมือคารวะแล้วพูดว่า “อาจารย์เสวียนเจิน ในที่สุดก็มาแล้ว เชิญครับๆ ขึ้นไปบนเข็มทิศฮวงจุ้ย แล้วจะถึงสถานที่ประลองเลยครับ”

อาจารย์เสวียนเจินมองหานเฟิงอย่างราบเรียบ “การกระทำของคณะหนึ่งเดียว ทำให้คนคิดไม่ถึงจริงๆ ไม่ทำตามกฎระเบียบ”

หานเฟิงหัวเราะแล้วพูดว่า “ไม่ได้ละเมิดกฎของสถาบันสอนวิชาบู๊นี่ครับ”

อาจารย์เสวียนเจินไม่ได้พูดอะไรอีก หันไปมองลู่ฝานแล้วเดินไปบนเข็มทิศฮวงจุ้ย

นักเรียนที่กำลังเข้าแถวอยู่ ไม่มีใครกล้าพูดสักคำ ใครกล้าด่าว่าอาจารย์แทรกแถวล่ะ เงาของอาจารย์เสวียนเจินหายลับไป จากนั้นนักเรียนชั้นยอดของคณะกระบี่ก็เดินขึ้นไปเช่นกัน

หานเฟิงรีบพูดรั้งพวกเขาว่า “ขอโทษด้วยนะ อาจารย์เข้าฟรีได้ แต่พวกนายต้องจ่ายคนละหนึ่งเหรียญเงิน”

ทันใดนั้นนักเรียนที่โดดเด่นของคณะกระบี่ แทบจะระเบิดความโกรธออกมา

เสวียนเฟิงเดินเข้ามาพูดว่า “เรามาประลอง ต้องจ่ายเงินเหรอ”

หานเฟิงหัวเราะแล้วพูดว่า “หนึ่งเหรียญเงิน ขอบใจมากนะ ไม่งั้นเข้าไม่ได้ จะประลองได้ยังไง แค่เหรียญเงินเดียว พวกนายมีใช่ไหม”

เสวียนเฟิงโมโหจนหัวเราะออกมา นักเรียนชั้นยอดของคณะกระบี่ พากันมองด้วยสายตาโมโห แล้วชักอาวุธออกมา

ขณะเดียวกัน นักเรียนคณะกระบี่ในแถวจำนวนไม่น้อย ต่างชักอาวุธออกมาเช่นกัน

ขอแค่เสวียนเฟิงออกคำสั่ง พวกเขาต้องลงมือพร้อมกันแน่นอน

เสวียนเฟิงยกมือห้ามพวกเขา เอาเหรียญทองออกมาจากในอกหนึ่งเหรียญ ยื่นให้หานเฟิงแล้วพูดว่า “ไม่ต้องหาแล้ว ฉันจะชนะบนเวทีประลอง แล้วเอาเหรียญทองเหรียญนี้กลับมาอีก”


บทที่ 374

บทที่ 376

คณะนานา คณะสงบใจ คณะฟ้าร้อง คณะกำแหง คณะศิงขร แม้กระทั่งคณะหยินหยาง นักเรียนทั้งหมด ต่างก็รอชม

ถึงขั้นที่ว่าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป มีผู้คนมากมายมุ่งหน้าไปยังอวิ๋นซาน

ยังไงซะไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีแรงเดินอย่างลู่ฝานและพวกเขา บางคณะที่ห่างไกล ต้องใช้เวลา 2-3 วันเพื่อมาที่นี่ พวกเขามาทันก็โชคดีเป็นอย่างยิ่ง

เรื่องที่ครั้งนี้คณะหนึ่งเดียวลุยเดี่ยวท้าทายสองคณะใหญ่ มันได้กลายเป็นการรวมตัวครั้งใหญ่ของทั้งสถาบันสอนวิชาบู๊

คณะกำแหง ขณะที่อาจารย์เซินถูได้รับข่าวนี้ ก็ยิ้มไม่หุบเลย

“ลู่ฝานเจ้าหมอนี่ เจ้าหมอนี่……เขาทำไมถึงได้กล้าทำเช่นนี้……ฮ่า ๆ มีใจที่กล้าหาญเด็ดเดี่ยว!”

อาจารย์เซินถูหัวเราะจนปากแทบเบี้ยว เดิมทีเขาคิดว่าลู่ฝานเด็กคนนี้ ท้าประลองเดี่ยวกับคณะฟ้าร้อง ก็ใช้อำนาจบาตรใหญ่อย่างไม่มีเหตุผลและกล้าบ้าบิ่นมากแล้ว

แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้ พวกนั้นมันก็แค่เรื่องเล็กๆ

คาดว่าอาจารย์ฮั่วซานจะต้องยิ้มอยู่ในตอนนี้ เมื่อเทียบการกระทำในตอนนี้ของคณะหนึ่งเดียว เรื่องที่ลู่ฝานทำที่คณะฟ้าร้อง เป็นเรื่องที่แตกต่างราวกับฟ้าดิน เป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆเท่านั้น

ในคณะฟ้าร้อง ถนนทุกสายก็มีคกำลังพูดถึงการเคลื่อนไหวของคณะหนึ่งเดียว

เสี่ยวเหวิน ศิษย์พี่หวังเดินไปที่ไหนต่างก็ได้ยินการสนทนาเกี่ยวกับนักเรียนในสถาบัน

ศิษย์พี่หวังเดินไป คุยไป: “ลู่ฝานคนนี้ หยุดไม่ได้……จริงๆ”

เสี่ยวเหวินดึงเสื้อผ้าของศิษย์พี่หวังและกล่าวว่า: “ศิษย์พี่ พวกเราไปดูกันเถอะ”

ศิษย์พี่หวังพยักหน้า ทันใดนั้น เหมือนกับพบอะไรบางอย่าง หันหน้าไปมองเสี่ยวเหวินและกล่าวว่า: “เอ๋ ปกติเธอไม่สนใจการประลองในสถาบันอื่นเลย ทำไมครั้งนี้……”

เสี่ยวเหวินรีบพูด: “ไอหยา หายากน่ะ ศิษย์พี่ไม่ไป ฉันจะไปเองละนะ”

ศิษย์พี่หวังยิ้มเบาๆ ไม่พูดอะไรมาก

คณะสงบใจ หลิงเหยาและหมิงจูกำลังฝึกฝนอยู่ด้วยกัน

หลิงเหยาพูดออกมาว่า: “ศิษย์พี่ พี่จะไม่ไปจริงๆเหรอ”

หมิงจูยิ้มกล่าว: “ครั้งนี้ฉันไม่ไปแล้ว หลิงเหยา เธอจะไปก็พยายามเต็มที่นะ มีเธออยู่ อย่างน้อยลู่ฝานสามารถแสดงพละกำลังออกมาได้ สิบสองส่วน”

แก้มของหลิงเหยาแดงเล็กน้อย กล่าวว่า: “งั้นก็ได้ ฉันไปกับศิษย์พี่ม่านเหยียน”

หมิงจูกล่าว: “พาหลินเสี่ยวอวิ๋นไปด้วย”

หลิงเหยาพยักหน้าอย่างเข้าใจ

คณะหยินหยาง เอี๋ยนชิงมองซิงยวนที่อยู่ตรงหน้าอย่างเงียบๆ เอ่ยปากพูดว่า: “อาจารย์ ครั้งนี้ ผมไปไม่ได้จริงๆเหรอ?”

ซิงยวนพยักหน้ากล่าว: “วิทยายุทธสำคัญ หรือว่าดูการประลองสำคัญ ครั้งนี้คณะหนึ่งเดียวอวดดีเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าต้องการประชาสัมพันธ์หรอกเหรอ? คิดว่าฉันมองไม่ออกจริงๆเหรอ พวกเราก็ดันไม่ไปซะงั้น แถมยังให้นักเรียนคนอื่นไปดูผลลัพธ์ สิ่งสำคัญตอนนี้ก็คือวิทยายุทธของนาย ฉันสอนวิชาชุดนี้ให้กับนาย นายจะต้องฝึกออกมา ให้ได้พอประมาณภายใน 3 วัน เมื่อถึงเวลา ไม่ว่าคณะหนึ่งเดียวของเขา ดิ้นรนเอาตัวรอดยังไงก็ตาม สุดท้ายมันก็จะยังคงพ่ายแพ้ในมือของคณะหยินหยางของเรา”

เอี๋ยนชิงกัดฟันแน่น เงียบไปอยู่นาน

ซิงยวนกล่าว: “ทำไม? นายถอยทัพแล้วเหรอ?”

เอี๋ยนชิงกัดฟันพูดว่า: “เปล่า อาจารย์ ผมจะกลับไปฝึกฝนวิชา”

ซิงยวนพยักหน้ากล่าว: “รู้ก็ดี พอดี ฉันก็ขอเตือนนายหน่อย นายยืมมีดมาฆ่าคนแบบนี้ เป็นเทคนิคที่ไม่ฉลาดหลักแหลมเอาซะเลย หากว่าลั่วหยู่ถูกยั่วยวนใจด้วยยาเม็ด 10 เม็ดของนายจริงๆ? นายดูถูกเขาเกินไปแล้ว”

เอี๋ยนชิงตะลึงครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร และรีบเดินจากไป

สายตาซิงยวนราวกับน้ำแข็ง มองดูเงาร่างข้างหลังของเอี๋ยนชิง และส่ายหัวเบาๆ

จากนั้น ซิงหยวนก็พูดว่า: “ให้โม่หยุนเฟยบินเข้ามา”

เสียงฝีเท้า ร่างของโม่หยุนเฟยก็ปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็วในห้องโถงใหญ่คณะหยินหยาง

โม่หยุนเฟย คำนับและกล่าวเสียงดังว่า: “สวัสดีอาจารย์ซิงยวน”

ซิงยวนยิ้มเบาๆและกล่าวว่า: “โม่หยุนเฟย ตระกูลโม่ของพวกนายสบายดีไหม?”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 374
ใช้เวลาไป 2 วันเต็มๆ ลู่ฝานและคนอื่นๆถึงจะกลับมาถึงคณะหนึ่งเดียว

แม้แต่ออกมาจากจวนลอยฟ้าเท่านั้น ก็ใช้เวลาไป 1 วัน ลู่ฝานต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง ศิษย์พี่ใหญ่หลอกลวงคนอย่างเต็มที่เลยจริงๆ

สถานที่บ้าๆนี่ คิดไม่ถึงว่าทางออกซ่อนความลับขนาดนี้ สุดท้ายก็กระโดดออกมากลางฟ้า แม้ว่าความสูงไม่สามารถฆ่าคนตายได้ แต่เนื่องจากต้องการทะลวงค่ายกลของจวน ดูแล้วค่อนข้างน่ากลัวเชียว

อย่างน้อยขณะที่หานเฟิงกำลังทะลวงค่ายกล ก็ตกใจร้องห่มร้องไห้เหมือนผีสาง เพราะเมื่อมองเข้าไปข้างนอกในค่ายกล ก็สูงตระหง่านเชียวล่ะ!

ท่ามกลางสายตาผู้คนและที่ดูหมิ่น ศิษย์พี่ใหญ่ทำได้เพียงหัวเราะเหอะๆ

กลับมาถึงคณะหนึ่งเดียว ผู้คนก็พักผ่อนกันหนึ่งคืน วันต่อมา ศิษย์พี่หานเฟิงก็นำจดหมายท้าประลองที่เขียนเสร็จแล้ว เอาไปให้คณะบังเหินและคณะกระบี่

ด้วยคารมคมคายในการด่าคนอย่างรุนแรงของศิษย์พี่หานเฟิง ให้เขาทำหนังสือท้าประลองอีกฝ่าย ซึ่งเป็นการดีที่สุด

สิ่งเดียวที่กังวลก็คือ ศิษย์พี่หานเฟิงด่าแรงเกินไป ถ้าหากถูกคนทุบตีตายที่หน้าคณะก็ไม่ดีแล้ว

ดังนั้น ก่อนเดินทาง ศิษย์พี่ฉู่สิงถามศิษย์พี่หานเฟิงโดยเฉพาะไม่กี่คำ

“เงินส่วนตัวของนายซ่อนไว้ที่ไหนแล้ว?”

……

หนึ่งวันต่อมา ทั้งสถาบันสอนวิชาบู๊ก็ดุเดือด

คณะหนึ่งเดียวท้าประลองคณะบังเหิน และคณะกระบี่ สองคณะใหญ่!

ด้วยพลังของคณะเดียว ท้าประลองสองคณะ มันเป็นเรื่องราวที่แปลกและมหัศจรรย์ ตั้งแต่โบราณมา!

เหล่านักเรียนของสองคณะใหญ่ คณะบังเหิน คณะกระบี่ กำลังจะโกรธจนระเบิดแล้ว

“เหยียดหยาม นี่คือการเหยียดหยามอย่างโจ่งแจ้ง!”

เหล่านักเรียนกลุ่มหนึ่งของคณะบังเหินแทบจะตะโกนไปตามถนนสายหลักและตรอกเล็กซอยน้อย

นักเรียนอีกกลุ่มหนึ่งของคณะกระบี่ ก็ได้เตรียมตั้งทีมท้าทายคณะหนึ่งเดียวแล้ว

ดูถูกคณะกระบี่ของพวกเขาขนาดนี้ พวกเขาเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายกับคณะหนึ่งเดียว

โดยเฉพาะไอ้เวรนั่นหานเฟิงแห่งคณะหนึ่งเดียว ขณะที่เขามานัดต่อสู้ ใบหน้าที่หยิ่งผยองนั่น ที่เหลือก็แค่อึหน้าประตูคณะกระบี่เท่านั้นแหละ

อาจารย์ของสองคณะใหญ่ว่ากันว่า ต่างก็ปิดประตูห้องด่าทั้งคืน

แม้แต่อาจารย์เสวียนเจินแห่งคณะกระบี่ที่นิสัยดีมาตลอด ก็โมโหทุบของไปไม่น้อย ของมีค่าเสียหายมากมาย

เหล่านักเรียนจากคณะอื่นๆ ก็มาดูเรื่องตลกกันอย่างสนุกสนาน

“ได้ข่าวบ้างไหม คณะหนึ่งเดียวท้าทายคณะใหญ่สองคณะ อย่างคณะบังเหินกับคณะกระบี่อย่างกำเริบเสิบสาน”

“ฮ่า ๆ ได้ข่าวอยู่แล้วล่ะ มีดราม่าให้ดูแล้ว ว่ากันว่าเหล่านักเรียนคณะบังเหินกับคณะกระบี่ต่างก็โกรธจนระเบิดไปแล้ว ประกาศศักดาว่าจะทำลายคณะหนึ่งเดียว”

“ทำลายคณะหนึ่งเดียวเหรอ? งั้นเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด เหมือนกับว่าคณะหนึ่งเดียวไม่มีอาจารย์ คนเขาที่นั่นมีอาจารย์สองคนเชียวนะ อย่างมากที่สุดก็คือสั่งสอนคนของคณะหนึ่งเดียวบนสังเวียนอย่างโหดเหี้ยม

“ฉันมองว่าไม่แน่นอน ใครสั่งสอนใครยังไม่รู้อีก คณะหนึ่งเดียวลู่ฝานกระบี่โหดเหี้ยมฆ่าอนงค์ ท้าประลองเดี่ยวกับยอดฝีมือของคณะฟ้าร้อง มีเขาอยู่ ก็เทียบได้กับคณะหนึ่งคณะ ศิษย์พี่ของพวกเขาสองสามคนว่ากันว่าความสามารถไม่เลวเลย การต่อสู้ครั้งนี้ จะต้องตั้งใจชมให้ดีๆ”

“อืม ที่นายวิเคราะห์ก็มีเหตุผลนะ เมื่อเป็นเช่นนี้ คณะหนึ่งเดียวเคล็ดลับนี้โหดเหี้ยมจริงๆ หากชนะ ก็จะเหยียบย่ำคณะกระบี่และคณะบังเหินอยู่ใต้เท้าโดยสมบูรณ์ ถ้าแพ้ก็ไม่เป็นไร เดิมทีด้วยหนึ่งต่อสอง หากแพ้ก็เป็นเรื่องที่สมควรอยู่แล้ว ฉลาดนะ! สถานที่ตั้งและเวลาประลองฝีมือล่ะ? ใครจะรู้?”

“ว่ากันว่าหลังจากนี้สองวัน คณะหนึ่งเดียววางเข็มทิศหินไว้ที่เชิงเขาอวิ๋นซาน เหยียบไปก็จะไปถึงที่แล้ว”

“งั้นก็ดี ถึงเวลาพวกเราก็ไป”

“แน่นอนอยู่แล้ว! ฮ่า ๆ”

……

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 373
หานเฟิงรีบพูดว่า: “ที่ไหน ศิษย์พี่ใหญ่ พี่บอกให้เข้าใจหน่อย”

ศิษย์พี่ใหญ่หัวเราะเหอะๆ และกล่าวว่า: “จวนร้างแห่งหนึ่ง จวนที่ใหญ่มากๆ อยู่ที่เขาอี้ว์หลิงเทือกฉิงเทียน พวกนายจะไปดูกันหน่อยไหม”

ลู่ฝานถามว่า: “ที่นั่นดีไหม? ทำไมที่นั่นถึงเหมาะกับการต่อสู้ของเราล่ะ?”

ศิษย์พี่ใหญ่ยิ้มกล่าว: “รอให้พวกนายไปดูก็จะรู้ ไม่ใช่คนคณะหนึ่งเดียวของพวกเรา ไปถึงที่นั่น จะปรับตัวเข้ากับที่นั่นได้ยากมาก”

ลู่ฝานและคนอื่นๆมองหน้ากัน ด้วยสีหน้าที่งงงวย

หานเฟิงกล่าว: “งั้นก็ได้ ตอนนี้เราไปกัน ไปดูกัน”

ศิษย์พี่ใหญ่ยิ้มและกล่าว: “ได้ ไม่มีปัญหา พวกนายรอพี่แป๊บหนึ่ง พี่จะไปเอาของออกมา จะทำให้เราสามารถไปถึงที่นั่นได้เร็วหน่อย”

พูดจบ ศิษย์พี่ใหญ่หันหลังกลับไปหยิบของ

ไม่นานนัก ก็เห็นศิษย์พี่ใหญ่เดินกลับมาพร้อมกับถือเข็มทิศ

เข็มทิศหินขนาดใหญ่นั้นเพียงพอสำหรับคนสองคนที่จะยืนอยู่ได้ และถูกศิษย์พี่ใหญ่โยนลงไปที่พื้นโดยตรง

หัวเราะเยาะ ศิษย์พี่ใหญ่กล่าว: “นี่คือสิ่งของที่ขุดขึ้นมาจากจวนร้างนั่น ใช้มันก็สามารถผ่านไปได้โดยตรง มาๆ พวกนายมาทีละคน ฉีดเข้าพลังปราณ ก็สามารถผ่านไปได้แล้ว”

หานเฟิงเดินมาตรงหน้าเป็นคนแรก และคอยสัมผัส จากนั้นก็ฉีดเข้าพลังปราณ

ทันใดนั้น ร่างของหานเฟิงก็หายไป ศิษย์พี่ใหญ่พูดอย่างสงบนิ่ง: “ยังสามารถใช้ได้จริงด้วย คนถัดไป”

“ยังสามารถใช้ได้จริงด้วยคืออะไร”

ลู่ฝานพูดด้วยเหงื่อเย็นเฉียบ

ศิษย์พี่ใหญ่กล่าว: “ทีเดิมก็ยังไม่เคยใช้ พี่ก็เอามาลองดูสักหน่อย”

ทันใดนั้น ลู่ฝาน ฉู่สิง ฉู่เทียนสีหน้าก็ดูแปลกไป ยังดีที่พวกเขาไม่ใช่คนแรกที่ไป นี่เกือบจะกลายเป็นตัวทดลองแล้ว

ฉู่เทียน ลู่ฝาน ฉู่สิง ทั้ง 3 คนก้าวไปข้างหน้าทีละคน

หลังจากแสงวิบวับหนึ่ง ลู่ฝานมาถึงที่ที่ไม่คุ้นเคย เงยหน้าขึ้นมอง ตรงหน้าเป็นพื้นที่กว้าง มีจานนับไม่ถ้วนลอยอยู่ ดั่งท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว และพวกเขาทั้งหมดต่างก็ยืนอยู่บนจาน

แสงรอบๆยังคงสว่าง ก้มหน้ามอง เห็นเพียงแค่นกบินอยู่ในเมฆ

ลู่ฝานตกตะลึงทันที ตอนนี้พวกเขายืนอยู่บนฟ้าหรือ

ศิษย์พี่ใหญ่ก็เข้ามาแล้ว หานเฟิงตะโกนเรียกเสียงดังอยู่ตรงหน้าว่า: “ศิษย์พี่ใหญ่ ที่นี่มันที่บ้าๆอะไรกัน พี่แน่ใจว่าเป็นจวน รกร้างใช่ไหม? ทำไมผมรู้สึกเหมือนพวกเราอยู่บนฟ้าเลยล่ะ”

ศิษย์พี่ใหญ่กล่าวอย่างนิ่งสงบว่า: “ใครบอกนายล่ะ ว่าจวนจะต้องอยู่บนพื้นดิน ที่นี่เดิมทีเป็นจวนลอยฟ้าที่สมบูรณ์แบบ หลังจากที่ถูกทำลาย แตกกระจัดกระจาย ก็กลายเป็นเช่นนี้ พวกนายดูจานใหญ่ข้างล่าง ดูเหมือนเป็นสถานที่ต่อสู้ที่สมบูรณ์แบบไหม”

ผู้คนก้มหน้าไปมอง เป็นไปตามที่คิดไว้ ที่นั่นมีจานขนาดใหญ่มหึมาหนึ่งชิ้น แผ่กระจายแสงสว่างไสว

“สถานที่ไม่เลว แต่พวกเรามีข้อไดเปรียบอะไรล่ะ?”

หานเฟิงรีบถาม

ศิษย์พี่ใหญ่ยิ้มและกล่าว: “นายลองใช้พลังปราณเล่นๆดู”

หานเฟิงได้ยินคำพูดและปล่อยพลังปราณ ทันใดนั้นหานเฟิงก็รู้สึกได้ถึงพลังอันน่าสะพรึงกลัวพุ่งเข้ามาในสมอง ทำให้เขาปวดหัว

“คุณพระ นี่คืออะไร?”

ศิษย์พี่กล่าว: “จวนต้องห้าม ขอเพียงแค่ใช้พลังอะไรก็ได้ที่นี่ ล้วนแล้วจะถูกห้ามการโจมตีเช่นนี้”

ลู่ฝานก็ลองดู ทันใดนั้นก็รับรู้ได้ถึงวิธีโจมตีที่ต้องห้าม

แม้ว่า ลู่ฝานเข้าใจแล้ว อุทานออกมาว่า: “วิธีโจมตีเช่นนี้ ทำไมมีความรู้สึกเหมือนเราฝึกฝนเพลงเต๋าหนึ่งเดียวเลย”

ศิษย์พี่ใหญ่หัวเราะเหอะๆ และกล่าวว่า: “ถูกต้องแล้วเป็นเช่นนี้แหละ สถานที่ดีใช่ไหมล่ะ”

ลู่ฝานยิ้มและพยักหน้า หลังจากที่ฉู่สิง ฉู่เทียนลองดู ก็ยิ้มและพยักหน้า เป็นสถานที่ที่ดีจริงๆ

หานเฟิงมองไปรอบๆ ทันใดนั้นก็กล่าวด้วยสีหน้าที่แปลกไป: “อืม ที่นี่ไม่เลวเลย แต่พวกเราจะกลับยังไง แล้วจานล่ะ มันไม่ได้มาพร้อมกับเรา”

ทันใดนั้น รอยยิ้มของลู่ฝานและคนอื่นๆก็หยุดนิ่งลง

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 372
อาจารย์อี้ชิงลูบท้องและกล่าวว่า: “ลู่ฝาน นายมีความคิดเห็นไหม?”

ลู่ฝานพยักหน้ากล่าว: “ไม่มีครับ สามารถกลั่นออกมาเป็นหุ่นเชิดได้ ดีที่สุดอยู่แล้ว”

อาจารย์เต้ากวงยิ้มกล่าว: “วางใจได้ กลั่นหุ่นเชิดออกมา จะต้องทำให้พวกนายอึ้งแน่นอน จากนั้นพวกนายออกไปต่อสู้ ก็จะมีตัวช่วยแล้ว”

ผู้คนยิ้มอย่างร่าเริง อาจารย์เต้ากวงและอาจารย์อี้ชิง ทั้งสองก็หัวเราะกันอย่างคนเจ้าเล่ห์ และไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

ลู่ฝานไม่สนใจอะไรมากมาย ยังไงซะเขาก็ดูดซับพลังจากเหรียญทองก้อนหนึ่งมาแล้ว พลังเช่นเดียวกัน สำหรับประสิทธิภาพของเขาจะต้องไม่มากเท่าของเดิมแล้ว

มอบให้พวกศิษย์พี่ก็ดี ทำเป็นหุ่นเชิดก็ได้ ล้วนแล้วเป็นทางเลือกที่ไม่เลว

“ลู่ฝาน ต่อไปก็ต้องไปคณะบังเหิน ครั้งนี้ เหล่าศิษย์พี่ไปกับนาย นายมีแผนอะไรไหม”

ลู่ฝานพูดเบาๆว่า : “ผมอยากหาทางแก้ไขการต่อสู้อย่างรวดเร็ว งั้นก็ท้าประลองกับทั้งสองคณะเลยเป็นอย่างไรด้วยทีเดียว”

หานเฟิงและคนอื่นๆได้ยินก็อึ้ง

ศิษย์พี่หานเฟิงกล่าวอุทานออกมาว่า: “อะไรนะ? ศิษย์น้องลู่ฝาน นายอยากท้าประลองกับสองคณะงั้นเหรอด้วยทีเดียว? คณะบังเหินและคณะกระบี่?”

ลู่ฝานพยักหน้ากล่าว: “ใช่แล้ว หรือว่าไม่ได้? จะต้องต่อสู้ไปทีละคณะ?”

ลู่ฝานแอบคิดในใจ ถ้าเขาไม่ลุยเดี่ยวกับทั้งสามคณะ ความมั่นใจที่จะทำสำเร็จมีไม่มาก เขาอยากทำอย่างนั้นจริงๆ ต่อสู้ทั้งสามคณะที่เหลือในคราวเดียวจริงๆ

ต่อสู้ให้เสร็จเร็ว จบเร็วๆ กลับบ้านเร็วๆไปช่วยตระกูลกำจักตระกูลโม่ นี่ก็คือความคิดของเขา

แน่นอน สิ่งเหล่านี้ไม่คุ้มที่จะบอกเล่าเรื่องราวให้คนนอกรับรู้

ฉู่สิงกลืนน้ำลาย เขาตกใจกลัวความคิดของลู่ฝานจริงๆ

สถาบันสอนวิชาบู๊ก่อนหน้านี้ ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าคณะไหนขณะที่อยู่ในศึกชิงอันดับ จะท้าประลองสองคณะพร้อมกัน

ฉู่สิงกล่าวช้าๆ: “ศิษย์น้องลู่ฝาน ทำเช่นนี้ จะมีความเสี่ยงไหม พี่รู้ว่านายสุดยอดมาก แต่ศิษย์พี่ใหญ่ไม่ออกมาต่อสู้ อาศัยพวกเรา ท้าประลองสองคณะใหญ่ ประเมินดูท่าจะยากนิดหน่อยนะ”

ฉู่เทียนที่อยู่ข้างๆกล่าว: “ผมรู้สึกว่าลองดูได้ ความภาคภูมิใจที่หายากในชีวิต ศิษย์น้องลู่ฝาน ถ้านายกล้าทำ ศิษย์พี่ก็จะบ้าไปกับนาย”

หานเฟิงพูดเรื่อยเปื่อย: “ประลองกับทั้งสองคณะ สมควรแล้วที่แพ้ ถ้าชนะก็สุดยอดโดยสิ้นเชิงเลย ทำได้ อืม ทำได้”

หลังจากใจเย็นลงมา หานเฟิงก็ตบไหล่ลู่ฝานและพูดว่า: “ศิษย์น้องลู่ฝาน ทำได้ ศิษย์พี่ก็จะบ้าไปกับนาย แต่นายคิดจะไปต่อสู้กับพวกเขาที่ไหน?”

ลู่ฝานอ้าปาก เรื่องนี้เขาก็ไม่คิดมาก่อน

“ที่คณะของพวกเขาดีไหม?”

หานเฟิงรีบส่ายหน้าและกล่าวทันที: “ไม่ได้ ถ้าที่ฐานทัพของพวกเขา อัตราการชนะของเราก็จะต่ำกว่ามาก แม้ว่าเป็นการเชิญเพียงครั้งเดียวในการประลองการต่อสู้กับทั้งสองคณะ ในสถานที่แห่งนี้ แน่นอนว่าต้องให้เราเป็นคนเลือก ไม่มีใครพูดอะไร พวกเราก็หาสถานที่ดีๆสักแห่ง ถ้าให้ดีก็เป็นที่ที่รับประกันว่าเราจะต้องชนะได้”

พูดจบ หานเฟิงกับฉู่สิง ฉู่เทียนทั้ง 3 คนพยักหน้าพร้อมกัน

ในเวลานี้ ศิษย์พี่ใหญ่ก็มาหาอย่างง่อนแง่น เมื่อนั่งก้นลงถึงเก้าอี้ลั่นดังเอี๊ยด ศิษย์พี่ใหญ่หัวเราะเหอะๆและพูดว่า: “คุยอะไรอยู่?”

หานเฟิงกล่าว: “ศิษย์พี่ใหญ่ พวกเรากำลังท้าประลองคณะอื่น พี่ว่าพวกเราจะต่อสู้กันตรงไหนดี”

ศิษย์พี่ใหญ่ถามด้วยความสับสนเล็กน้อย: “ท้าประลองเหรอ? นายกำลังล้อเล่นอยู่ใช่ไหม? ไม่ใช่ว่าเราไปท้าประลองคณะอื่นหรอกเหรอ? ทำไมยังต้องมีการท้าประลองล่ะ”

ฉู่สิงที่อยู่ข้างๆอธิบายน้อย ทันใดนั้นศิษย์พี่ใหญ่มองไปที่ลู่ฝานด้วยใบหน้าแปลกๆ และกล่าวว่า: “ศิษย์น้องลู่ฝาน พี่คิดเสมอว่านายมีความกล้ามาก ไม่คิดว่านายจะมีความเด็ดเดี่ยวได้ขนาดนี้ อืม เชิญประลองสองคณะในครั้งเดียว เหตุการณ์ที่ครึกครื้นยิ่งใหญ่ เช่นนี้ พี่ก็อยากเข้าร่วมแล้ว สถานที่ต่อสู้เหรอ? พี่รู้สถานที่ดีๆแห่งหนึ่ง พวกนายจะไปดูกันหน่อยไหม”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 371
มุกเทพในตันเถียนหดตัวลงชั่วขณะ จากนั้น ก็ขยายตัวนิดหน่อย ความเงาด้านบนสว่างขึ้น การต่อสู้ในสนามรบอันดุเดือด

ปราณชี่ก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น อาการบาดเจ็บทั้งหมด หลังจากที่บุกทะลวง ก็ฟื้นฟูตัวถึงขีดสุดควบคู่ไปกับความพยายามของเจดีย์เสวียนเก้ามังกร ทุกอย่างไม่มีปัญหาเลยแม้แต่น้อย

ลู่ฝานลืมตา และโบกคลื่นน้ำ จากหัวจรดเท้า ชำระล้างสารตกค้างกลิ่นเหม็นคาวออกจากร่างกาย

น้ำไหลลงดิน ไม่นานก็หายวับอย่างไร้ร่องรอย ถูกไม้เหล็กไล่ไปจนถึงใต้ดิน ทั้งห้องก็ยังคงสว่างสะอาดหมดจด

ลู่ฝานยิ้มเบาๆ เปลี่ยนชุดใหม่จนเสร็จ สวมชุดคลุมบู๊มังกรดำ

โบกมือ พลังฟ้าดินของทุกทิศกระตุ้นได้ง่ายขึ้น ปราณชี่ในร่างกายหมุนตัวได้มากขึ้นสะดวกราบรื่นเหมือนลม

ลู่ฝานนำหยกแขวนจิตบู๊ออกมา ฉีดเข้าไปในปราณชี่ของตัวเอง ไม่นาน หยกแขวนจิตบู๊ก็ประกายแวววาวละเอียดอ่อนทั้ง 5 อัน นี่คือการแสดงของปราณนอกชั้นห้า

เขาก็เพิ่งรู้ช่วงนี้ หยกแขวนจิตบู๊มีความสามารถในการวัดความสามารถของวิทยายุทธนักบู๊ ถ้าไม่ใช่เพราะอาจารย์อี้ชิงบอกเขา เขาก็ไม่รู้จริงๆ

ปราณนอกชั้นห้า ในที่สุดก็ถึงปราณนอกชั้นห้าแล้ว

วิทยายุทธนี้ จะว่าสูงก็ไม่ใช่ จะว่าต่ำก็ไม่เชิง

จากอุดมคติของลู่ฝานก้าวเข้าสู่แดนปราณชีวิตตั้งแต่เนิ่น ๆ หนทางยังอีกยาวไกล

แน่นอนว่า ในบรรดานักเรียนของสถาบันสอนวิชาบู๊ วิทยายุทธเหล่านี้สูงมากแล้ว เทียบกับนักเรียนที่มีวิทยายุทธสูงกว่าเขา มีเพียงกำมือหนึ่ง

อีกอย่าง วิทยายุทธลู่ฝานไม่ใช่แค่พลังปราณเพียงอย่างเดียว แต่เป็นพลังปราณที่ผสมผสานระหว่างพลังชี่และปราณชี่

สำหรับคุณภาพ ก็แข็งแกร่งกว่าปราณชี่ธรรมดามาก นักบู๊ปราณนอกชั้นห้าคนอื่นๆ ถ้าไม่มีวิธีการพิเศษ ไม่มีทางทำได้ 3 กระบวนท่าต่อหน้าลู่ฝานได้เลย

เมื่อผลักประตู ลู่ฝานก็เดินออกไป

มองไปสุดสายตา แม้แต่สายตาก็ดีขึ้นไม่น้อย

ขณะที่เพิ่งเดินออกไป ลู่ฝานก็เห็นอาจารย์อี้ชิงและคนอื่นๆนั่งอยู่ในกลุ่มเดียวกัน ราวกับว่ากำลังปรึกษาอะไรกันอยู่

ในที่สุดก็เห็นลู่ฝานฝึกเสร็จออกมาแล้ว อาจารย์อี้ชิงยิ้มและบอกว่า: “ลู่ฝานนายออกมาแล้วเหรอ อืม ปราณนอกชั้นห้าแล้ว วิทยายุทธก้าวหน้าไปได้ไวมาก!”

อาจารย์เต้ากวงยิ้ม

ความก้าวหน้านี้ไม่เพียงแค่รวดเร็วเท่านั้น แต่ยังเป็นการขึ้นสู่ตำแหน่งสูงได้โดยไม่เปลืองแรง

ขณะที่ลู่ฝานเพิ่งจะมาถึงคณะหนึ่งเดียว แต่กแค่เป็นเพียงแค่เด็กนักเรียนแดนปราณในเฉยๆ ยังไม่ถึงปีหนึ่ง ก็เป็นปราณนอกชั้นห้าแล้ว พูดออกไป ก็ไม่มีใครเชื่อ

อย่างน้อย ในความทรงจำของอาจารย์อี้ชิง ยังไม่เคยมีสถาบันใดที่สามารถเทียบกับความเร็ววิทยายุทธของลู่ฝานได้ เป็นเช่นนี้ต่อไป รอจนถึงปีหน้า ลู่ฝานต้องเข้าสู่แดนปราณชีวิตไปแล้วเหรอ

อาจารย์อี้ชิงยิ้มและกล่าวว่า: “ลู่ฝาน รักษาความเร็วในการฝึกวิทยายุทธของตอนนี้ไว้ จะต้องรักษาไว้ เรียบร้อยแล้ว ในเมื่อนายก็ฝึกเสร็จออกมาแล้ว ต่อมา พวกเราก็มาปรึกษากันหน่อย ในเรื่องของเหรียญทอง”

ลู่ฝานคิดได้ทันที จริงสิ เขาชนะสถาบันมากมาย ทุกครั้งที่แข่ง ก็จะได้เหรียญทองกลับมาคณะหนึ่งเดียว ตอนนี้ก็สะสมได้มากแล้ว

อาจารย์เต้ากวงพูดว่า: “พวกเราหมายถึงคือ รวมเหรียญทองทั้งหมดนี้หน่อย กลั่นออกมาเป็นหุ่นเชิดโลหะ พวกหานเฟิงกินยา การย่อยยาต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่ง พลังบนเหรียญทองไม่สามารถใช้ได้ชั่วคราว วางไว้ตรงนั้นก็เสียดาย ดังนั้นกลั่นให้เป็นหุ่นเชิดจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ลู่ฝาน นายคิดว่าอย่างไร”

ลู่ฝานกล่าวด้วยความเซอร์ไพรส์: “ยังสามารถกลั่นให้เป็นหุ่นเชิดได้ด้วยเหรอ?”

หานเฟิงกล่าว: “ได้แน่นอน ศิษย์น้องลู่ฝาน พวกเราคณะหนึ่งเดียวไม่นานก็จะมีหุ่นเชิดโลหะแล้ว คิดดูก็ตื่นเต้นนะ ฮ่า ๆ”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 370
ส่งลู่หมิงไปแล้ว หลายวันต่อมา ลู่ฝานก็ปิดประตูบ้านแล้ว เข้าสู่สภาวะของการฝึกฝนแบบปิดแล้ว

อาจจะช่วงนี้ต่อสู้อยู่บ่อยครั้งเกินไป ลู่ฝานรู้สึกว่าตัวเองมีสัญญาณของการทะลวงอย่างคลุมเครืออีกแล้ว ดังนั้น เขาก็ฝึกหม้อยาอย่างตั้งใจแล้ว เอามากินเป็นอาหารอยู่สองวันเลย

นั่งบนเตียง วิธีการทำสมาธิระดับชั้นสูง พละกำลังแห่งฟ้าดินปกคลุมรอบตัวเขาอย่างกับน้ำเลยยังไงอย่างนั้น

ก้าวสุดท้ายที่สำคัญ ก็ขาดแค่ก้าวสุดท้ายที่สำคัญนั่นแล้ว

ลู่ฝานค่อยๆหมุนโคจรพละกำลังของตัวเองอย่างสงบนิ่ง ในขณะเดียวกัน กระบี่หนักไร้คมวางอยู่ตรงหน้า พลังอันบริสุทธิ์ถูกถ่ายโอนจากกระบี่หนักไร้คมเข้าสู่ร่างกายของลู่ฝานอย่างต่อเนื่อง

รู้สึกได้ว่าพละกำลังภายในร่างกายกำลังที่จะถึงจุดที่อิ่มตัว ลู่ฝานเปล่งเสียงพูดออกมาอย่างสงบนิ่งว่า : “ไอ้เก้า เริ่มเถอะ”

เสียงของเจดีย์เสวียนเก้ามังกรดังอยู่ในร่างกายของเขา นำพามาซึ่งความลังเล

“เจ้านาย จะเอาแบบนี้จริงๆเหรอ ทำแบบนี้มันอันตรายมากนะ แม้ว่าพละกำลังจะเพียงพอ แต่ว่าพรวดพราดแบบนี้ จะเกิดปัญหาได้ง่ายมากนะ ฉันก็ไม่กล้ารับรอง ว่าจะไม่เกิดปัญหาขึ้นเลยสักนิดได้หรือไม่”

ลู่ฝานพูดอย่างแน่วแน่ว่า :”มาสิ โอกาสมีแต่แค่ครั้งเดียว พุ่งสู่ชั้นห้าของปราณนอกในคราวเดียว”

สูดลมหายใจเข้าอย่างลึกๆแล้ว ลู่ฝานเตรียมพร้อมทุกอย่างแล้ว

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรก็ทำได้เพียงปลดปล่อยพลังอันบริสุทธิ์ที่นับไม่ถ้วนออกมาไหลเวียนที่ภายในร่างกายของลู่ฝาน

และในขณะเดียวกัน ได้โอนย้ายพละกำลังที่ยิ่งใหญ่ ปั่นป่วนออกมาจากท่ามกลางของกระบี่หนักไร้คมทันที

พละกำลังเหล่านี้ ก็เป็นการได้รับจากกระบี่หนักไร้คมย่อยสลายหุ่นร้ายความฝัน แม้ว่าพละกำลังนี้ถูกกระบี่หนักไร้คมกลืนกินเองเจ็ดส่วนแล้ว แต่ว่าพละกำลังสามส่วนที่เหลือนี้ ลู่ฝานก็อยากจะดูดซับโดยสิ้นเชิง และก็จะต้องเสี่ยงอันตรายด้วย นี่ก็เป็นเพราะว่าเขาเชื่อเจดีย์เสวียนเก้ามังกร ถ้าหากไม่มีพลังการรักษาของเจดีย์เสวียนเก้ามังกร เกรงว่าลู่ฝานคงกล้าดูดซับหนึ่งส่วนกว่าเท่านั้น

ก่อนหน้านี้ลู่ฝานไม่ได้ใช้มาตลอดเลย ก็รอแค่ตอนนี้ นำมันมาใช้พุ่งเข้าชั้นห้าของปราณนอกเลย

ช่วงเวลาที่เส้นลมปราณของลู่ฝานกำลังได้รับพลังโจมตี เส้นลมปราณภายในร่างกายก็ปรากฏรอยร้าว

พลังที่บ้าคลั่ง ทำลายล้างภายในร่างกายของเขา โจมตีโดยรอบทั้งหมด รวมถึงอวัยวะภายในก็ได้รับความเสียหายในทันที

เลือดไหลทะลักถึงคอแล้ว ลู่ฝานฝืนกลืนมันลงกลับไปแล้ว

สิ่งที่ต้องการในเวลานี้คือเพียงครั้งเดียวก็สำเร็จโดยไม่ต้องหยุดพัก เขาไม่มีทางยอมแพ้

ปราณชี่ภายในร่างกายที่อยู่การควบคุมของลู่ฝานเริ่มมีการโต้กลับแล้ว พละกำลังของเจดีย์เสวียนเก้ามังกรเริ่มซ่อมแซมส่วนที่ภายในร่างกายของลู่ฝานได้รับความเสียหายอย่างสุดชีวิต

พละกำลังที่บุกเข้าสู่ร่างกายโดยไม่เชื่อฟังเหล่านี้ ก็เหมือนกับตั๊กแตนที่ข้ามเขต แต่ละแห่งที่ข้ามผ่าน ก็เป็นความวุ่นวายเละเทะตุ้มเป๊ะ

ลู่ฝานพยายามปราบปรามไว้อย่างสุดความสามารถ ปราบปรามไว้อีก

บางครั้งสิ่งที่ต้องต่อสู้กับการฝึกฝนก็คือจิตใจ ใครแบกรับไว้ไม่ไหว คนนั้นก็ล้มลงก่อน

เห็นได้ชัดว่า พละกำลังที่ไร้สติเหล่านี้ ไม่ว่ายังไงก็สู้ลู่ฝานไม่ได้ หลังจากที่พวกมันปั่นป่วนคลื่นหนึ่งถึงสองระลอกแล้ว ก็สงบลงแล้ว

ในช่วงเวลาที่อันตรายที่สุดได้ผ่านไปแล้ว หลังจากนั้นลู่ฝานก็เริ่มดูดซับพลังงานเหล่านี้เข้าไปในปราณชี่ของตัวเอง

หากไม่ทลายอันเก่าก็ไม่สามารถสร้างอันใหม่ได้ เส้นลมปราณ กระดูก อวัยวะภายในที่ได้รับความเสียหายเหล่านั้น

ดูดซับพละกำลังไปพลาง เริ่มซ่อมแซมไปพลาง

ทันใดนั้น ตอนที่ดูดซับพละกำลังไปจนถึงจุดวิกฤติ แดนวิทยายุทธก็เริ่มทะลวง

เส้นลมปราณขยายกว้าง ตันเถียนขยายตัว ร่างกายแข็งแกร่งเพิ่มขึ้น

การทะลวงของลู่ฝานในครั้งนี้แม้ว่ามันจะอันตราย แต่ว่าประโยชน์ก็มีมากมายมหาศาล

ความรู้สึกชา พุ่งออกมาจากภายในร่างกาย ความสดชื่นสบายๆแบบนั้น ยากที่จะบรรยาย

สสารมืดพุ่งออกมาจากผิวหลังของเขาทีละชั้นๆ พร้อมทั้งเลือดเสีย สารตกค้าง ขจัดออกมานอกร่างกายพร้อมกันเลย

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 369
นัยน์ตาเปล่งประกายแสงที่คมชัด ลู่ฝานไม่ได้ล้อเล่นแน่นอน

ด้วยพละกำลังของเขาในตอนนี้ กลับไปเมืองเจียงหลิน คาดว่าไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้จริงๆ กำจัดตระกูลโม่ ไม่ใช่คำพูดที่ว่างเปล่าแน่นอน

ลู่หมิงส่ายหน้าพร้อมพูดว่า : “ไม่ ความหมายของคุณปู่ แล้วก็ความหมายของพ่อ พ่อของนายล้วนแต่ยืนยันแล้ว ตอนนี้นายไม่ต้องกลับไป ตระกูลยังคงประคับประคองไหว ผลการฝึกตนของนายเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ฉันกลับไปก็ได้แล้ว นายก็อย่าดูถูกตระกูลเกินไป ตระกูลโม่คิดอยากจะสู้รบกับพวกเรา เป็นการแกว่งเท้าหาเสี้ยนล้วนๆ ลู่ฝาน ตอนนี้นายเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งเจ้าบ้านต่อไป ในอนาคตตระกูลก็ต้องอาศัยนายทั้งหมด สิ่งที่พี่ควรทำ คือแข็งแกร่ง และก็แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ที่ฉันมาในครั้งนี้ ประการที่หนึ่งคือมาบอกสถานการณ์ในตระกูลให้นายทราบ อีกประการหนึ่ง ก็คือมาถามนายว่านายมีจดหมายหรือว่าสิ่งของอะไร ฉันได้ถือโอกาสช่วยเอากลับบ้านแทนนายให้”

ลู่ฝานเงียบขรึมครู่หนึ่ง หลังจากครุ่นคิดแล้ว

ในใจของลู่ในก็เกิดความคิดอย่างหนึ่งขึ้นมาแล้ว ครู่หนึ่ง ลู่ฝานหยิบเอาพวกยาและเครื่องยาสมุนไพรออกมาจากอ้อมอก ส่งมอบให้ลู่หมิงเลยพร้อมพูดว่า : “สิ่งของเหล่านี้ พี่กินเองสักหน่อย ส่วนที่เหลือก็เอากลับบ้านทั้งหมด”

ลู่หมิงตกตะลึงแล้ว มองดูยาและเครื่องยาสมุนไพรในมือ ลู่หมิงสูดลมหายใจที่เยือกเย็นเฮือกหนึ่งเลย

“เยอะแยะเลย ลู่ฝาน นายเอามาจากที่ไหน”

ลู่ฝานไม่ได้อธิบาย จริงๆแล้วยาเหล่านี้ก็ถือว่าน้อยแล้ว ถึงยังไงช่วงนี้เขาก็ใช้ไม่น้อยเลย พูดกล่าวว่า : “ไม่ต้องถามแล้ว เป็นรางวัลของผมทั้งหมด พี่รีบเอาสิ่งของเหล่านี้กลับไป มีสิ่งของเหล่านี้ น่าจะเพิ่มพละกำลังให้กับตระกูลได้ไม่น้อย”

“ไม่เพียงแค่ไม่น้อยนะ มีสิ่งของเหล่านี้ ผมรับรองเลยว่าสามารถทำให้ตระกูลโม่พังย่อยยับได้”

มือของลู่หมิงกำลังสั่นคลอน เขาคิดไม่ถึงอย่ามากว่าจู่ๆลู่ฝานจะร่ำรวยเช่นนี้ เวรเอ๊ย ดูผลที่คนเขาได้รับในสถาบันสอนวิชาบู๊ แล้วหันกลับมามองตัวเอง ลู่หมิงมีแรงกระตุ้นที่อยากตายเลย

อะไรที่เรียกว่าคนที่ชอบเปรียบเทียบกับใครต่อใคร ช่างน่าโมโหนัก ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมลู่ฝานถึงเติบโตได้เร็วเช่นนี้แล้ว

ลู่ฝานพูดว่า : “นั่นก็คือดีที่สุด ลูหมิง สิ่งของเหล่านี้สำคัญมาก พี่จะทำหาย หรือว่าตัวเองคดโกงทั้งหมดไม่ได้เด็ดขาด ไม่เช่นนั้น ผมจะไปจัดการพี่ให้ทุพพลภาพเลย เชื่อผม ผมไม่ได้ล้อเล่น”

ลู่หมิงเปลี่ยนมือถอดเสื้อออกมาแล้ว นำมาห่อสิ่งของเหล่านี้ไว้ พูดอย่างจริงจังว่า : “ถ้าหากฉันคดโกงหรือว่าทำหล่นหายแล้ว แม้ว่านายไม่ฆ่าฉัน ฉันก็จะฆ่าตัวเอง”

ลู่ฝานพยักหน้า ยื่นมือออกไปตบไหล่ของลู่หมิงแล้ว

“ตระกูลสำคัญ”

ลู่ฝานพูดเสียงเบาๆ

ลู่หมิงพยักหน้า พูดกลับว่า :”ตระกูลสำคัญ”

ทั้งสองคนสบตากัน ลู่หมิงเตรียมกลับไป

และในเวลานี้ ลู่ฝานนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ทันที ก็เรียกลู่หมิงให้หยุดแล้ว

“รอเดี๋ยว ลู่หมิง เอาจดหมายฉบับนี้กลับไปด้วย ช่วยเอาไปให้คนๆหนึ่งด้วย”

ลู่ฝานนำจดหมายเมื่อครู่นี้ออกมาแล้ว ส่งมอบให้ลู่หมิง ในขณะเดียวกันก็ฉีดพลังเข้าไปบนจดหมายเล็กน้อย พลังพิเศษเล็กน้อย

ลู่หมิงพูดอย่างสงสัยว่า : “จดหมายฉบับนี้?นายกำลังล้อเล่นกันอยู่เหรอ?ให้ฉันมอบให้ใคร”

ลู่ฝานพูดกล่าว : “พี่ไปเขาซีซาน ตะโกนชื่อของผมสามครั้ง หลังจากนั้นทิ้งจดหมายออกไปก็ได้แล้ว”

ลู่หมิงมองดูลู่ฝานเหมือนว่าไม่ได้ล้อเล่นกัน ค่อยๆพยักหน้า

เก็บจดหมาย ใส่แนบตัวไว้อย่างดี ลู่หมิงเดินไปอย่างรวดเร็ว

ลู่ฝานมองเงาหลังของลู่หมิง แอบคิดในใจ

“ลู่หมิงก็มีวุฒิภาวะมากกว่าเดิมเยอะแล้ว แผลเป็นบนตัวก็ไม่น้อย น่าจะเชื่อถือเขาได้ ตระกูลโม่ หวังว่าพวกนายจะยอมแพ้โดยเร็วได้ ไม่เช่นนั้น มหันตภัยรอคอยพวกนายอยู่”

บีบกำหมัดแล้ว ลู่ฝานเอามือไพล่หลัง เงยหน้าขึ้นมองนภา

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 368
กินข้าวเสร็จ ลู่ฝานก็พาพวกหลิงเหยามาซื้อพวกเครื่องประดับเล็กๆแล้ว นี่ถึงจะแยกย้ายกลับจวน

ก่อนที่จะจากไป หลิงเหยาแอบนัดเวลาและสถานที่ที่จะพบกับลู่ฝานในครั้งหน้าไว้แล้ว

บีบมือของลู่ฝานแล้ว หลิงเหยาพูดเสียงเบาๆว่า : “ลู่ฝาน ฉันรู้จักสถานที่สนุกๆแห่งหนึ่ง อยู่ที่ไม่ไกลจากหลังเขาวิพากษ์ ไว้ครั้งหน้าจะพานายไป”

ลู่ฝานยิ้มพร้อมพยักหน้า มองดูหลิงเหยาเดินจากไปพร้อมพวกหมิงจู

จนกระทั่งเห็นว่าพวกหลิงเหยาเดินไปไกลแล้ว ลู่ฝานถึงได้เก็บเส้นสายตากลับมา

ในเวลานี้ศิษย์พี่หานเฟิงมองซ้ายมองขวา พูดว่า :”ศิษย์พี่ฉู่เทียนไปไหนแล้ว ทำไมเพียงครู่เดียวก็ไม่เห็นคนเขาแล้ว”

ลู่ฝานยิ้มพร้อมพูดว่า : “ไม่เห็นศิษย์พี่หลินเสี่ยวอวิ๋นก็ไม่เห็นแล้วเหรอ?”

หานเฟิงพยักหน้าอย่างเข้าใจทันที พูดติดต่อกันว่า : “ฉันเข้าใจแล้ว ฉันเข้าใจแล้ว”

ทั้งสองคนยิ้มเบาๆพร้อมทั้งเดินกลับไปยังคณะหนึ่งเดียว

ตอนมามากันสี่คน ตอนกลับไปก็เหลือแค่สองคนแล้ว

ศิษย์พี่ฉู่เทียนไม่ต้องพูดมาก กำลังยุ่ง “ธุระสำคัญ”ศิษย์พี่ฉู่สิงก็หนีหายไปยังไร้ร่องรอย มีความเป็นไปได้สูงว่ากลับไปแล้ว

ลู่ฝานและหานเฟิงทั้งสองคนกระจายกําลังวิชากาย กลับไปยังคณะหนึ่งเดียวอย่างรวดเร็ว

หลังจากที่วิทยายุทธของทั้งสองคนแข็งแกร่งขึ้น ความเร็วในการวิ่งของพวกเขาก็เร็วกว่าความเร็วเดิมหนึ่งเท่ากว่าแล้ว

กลับมาถึงคณะหนึ่งเดียว หานเฟิงวิ่งมาเหงื่อไหลเต็มหน้า ปราศจากกังวล

“ศิษย์น้องลู่ฝาน นายยังคิดที่จะสลัดฉันออกไป ช่างไร้เดียงสาเสียจริง คำว่าศิษย์พี่เรียกเสียเปล่าเหรอ เหอะๆ”

ศิษย์พี่หานเฟิงยิ้มอย่างมีความสุข ลู่ฝานก็ยิ้มเล็กน้อย ไม่โต้แย้ง ไม่เห็นเหรอว่าเหงื่อของเขาไม่ไหลออกมาแม้แต่หยดเดียว?นี่ก็เห็นได้ชัดว่า ความเร็วนี้ ยังอยู่ห่างจากขีดจำกัดของเขาอีกไกล

เจ้าดำปีนขึ้นมาหน้าประตูอย่างเกียจคร้าน เพิ่งจะเดินเข้าไปคณะหนึ่งเดียว ลู่ฝานเห็นเงาร่างที่คุ้นเคยนั่นแล้วทันที

“ลู่หมิง?”

ลู่ฝานเปล่งเสียงออกมาอย่างสงสัย ในเวลานี้ทำไมลู่หมิงถึงอยู่ที่คณะหนึ่งเดียวได้

อาจารย์อี้ชิงนั่งบนเก้าอี้โยก อ่านหนังสือ เห็นลู่ฝานและหานเฟิงกลับมา โบกมือพร้อมพูดว่า : “เอาของอร่อยๆกลับมาแล้ว?ลู่ฝาน พี่ชายของนายมาหานายแล้ว”

ลู่หมิงเห็นลู่ฝานกลับมา ก็เดินเข้าไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วพร้อมพูดว่า : “ลู่ฝาน ฉันมีธุระจะคุยกับนาย”

ลู่ฝานขมวดคิ้วเล็กน้อย พาลู่หมิงเดินไปนอกคณะ

อาหารที่ศิษย์พี่หานเฟิงนำกลับมาเอาไปแบ่งปันกับพวกอาจารย์อี้ชิงแล้ว ถือโอกาสหลอกล่อเจ้าดำออกไป

ทั้งสองคนเดินออกไปข้างนอกคณะ ลู่ฝานถามอย่างนิ่งๆว่า : “เรื่องอะไร?”

ลู่หมิงหยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากอ้อมอก พูดว่า: “นายดูเองแล้วกัน ที่บ้านเกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อย ฉันได้ลาหยุดแล้ว เตรียมกลับบ้านไปก่อนล่วงหน้า เรื่องเหล่านี้ นายก็ควรจะรู้”

ลู่ฝานรับจดหมายมา ในจดหมายเขียนไว้ว่า “กรุณาให้ลูกๆหลานๆตระกูลลู่เปิดอ่าน”

หยิบจดหมายออก ลูฝานกวาดสายตาอ่านคร่าวๆ ขมวดคิ้วแน่นขึ้นอีกทันที

คำกล่าวทั้งหมดในจดหมาย นึกไม่ถึงเลยว่าตระกูลโม่และตระกูลลู่จะเกิดการปะทะกันด้วยกำลังอาวุธเพียงเพราะปัญหาทางธุรกิจ ลูกๆหลานๆตระกูลลู่เจ็บและเสียชีวิตกว่าหลายคน แน่นอนว่าตระกูลโม่ก็เช่นกัน ทั้งสองตระกูลต่อสู้กันอย่างไม่สามารถปลีกตัวออกมาได้

“ตระกูลโม่ที่สมควรตาย”

แอบด่าทอในใจ ลู่ฝานขย้ำจดหมายอย่างแน่น

ลู่หมิงถอนหายใจพร้อมพูดว่า : “รายละเอียดหลักๆคือตระกูลโม่รับรู้ถึงประสิทธิภาพในแสดงของนายที่สถาบันสอนวิชาบู๊แล้ว หลังจากนั้นพวกเขาหวาดกลัวแล้ว เพราะงั้นเตรียมที่จะไล่ออกไปก่อนที่นายจะกลับไป พยายามอย่างหนักเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ไม่ว่าจะเหตุผลอะไรล้วนแต่เป็นเท็จทั้งนั้น เป้าหมายก็เพื่อที่จะทำให้ตระกูลลู่ของเราพ่ายแพ้ก่อน คิดอยากจะยึดครองเมืองเจียงหลินโดยสิ้นเชิง ถึงตอนนั้นแม้แต่นายกลับไป ก็ไม่สามารถทำอะไรพวกเขาได้ ฉันเตรียมที่จะกลับไปทำให้สถานการณ์เสถียร แม้ว่าตอนนี้พละกำลังของฉันจะไม่แข็งแกร่งก็ตาม แต่ถึงยังไงก็เป็นนักบู๊แดนปราณในแล้ว กลับไปก็ถือว่าเป็นแรงช่วยของตระกูลได้ดีอีกแรง ”

ลู่ฝานนำจดหมายเก็บไว้ พูดว่า : “ผมก็ขอลากลับพร้อมกันนะ ในเมื่อตระกูลโม่คิดจะมาแบบนี้ งั้นพี่ก็จะกำจัดพวกเขาก่อน”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 367
ได้ยินว่า ตอนแรกขุนพลังสุดเหนือฟ้าตายที่นี่ทั้งหมด สมบัติมีค่าที่พกติดตัวก็กระจัดกระจายอยู่ที่นี่เช่นกัน เพียงแต่ว่าไม่มีใครหาเจอเลยเท่านั้นเอง

“พี่เสวียนเฟิง อย่าร้อนใจ จวนสมบูรณ์ดี พื้นที่โบราณส่วนลึก ใต้ดิน1500เมตร เป็นจวนของผู้แข็งแกร่งกึ่งเซียนบู๊ น่าจะเป็นผู้แข็งแกร่งท่านนี้สิ้นชีวิตตอนที่โจมตีแดนเซียนบู๊ ฉันสำรวจส่วนครึ่งแรกแล้ว ได้รับไม่มาก ต่อมาก็ถูกขวางไว้โดยหุ่นเชิดมากมายที่เขาทิ้งไว้ ยากที่จะก้าวไปข้างหน้า นี่จึงเชื้อเชิญทั้งสองท่านก้าวไปข้างหน้าพร้อมกัน”

สายตาของเสวียนเฟิงเปล่งประกายฉับพลัน

เกือบจะเข้าสู่เซียนบู๊ ระยะดังกล่าว ก็ถือว่าเป็นสูงเกินไปแล้ว

อย่างที่ทราบกันดีอยู่แล้ว การฝึกวิถีบู๊เหมือนเสี่ยงตายเพื่อคนอื่น ประมาทเลินเล่อ ก็จะทำให้ตัวตายไปพร้อมกับผลการฝึกตน แดนปราณนอก แดนปราณชีวิตที่ด้านหน้าก็ยังพอพูดได้หน่อย เริ่มตั้งแต่แดนปราณดิน คืออันตรายในทุกก้าวย่าง ผู้ที่ไม่ค่อยมีความมานะบากบั่นและไม่มีความสามารถสูง ไม่อนุญาตให้ก้าวไปข้างหน้า

ตั้งแต่ที่เกือบจะเข้าสู่เซียนบู๊โจมตีแดนเซียนบู๊ แม้ว่าเป็นแค่หนึ่งก้าวที่ยังไม่ก้าวออกไป แต่อันตรายที่ต้องเสี่ยงข้างในนั้น เมื่อเทียบกับก่อนหน้าแล้วมันยิ่งใหญ่กว่า

ลมที่เย็นยะเยือกแมกมาที่ปะทุจากภูเขาไฟ ฟ้าร้องผ่าลงมาบนตัวก็ไม่พูดแล้ว สิ่งเหล่านี้ถือว่ายังเป็นเรื่องเล็กนิดเดียว

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ทุกครั้งที่มีนักบู๊โจมตีแดนเซียนบู๊ ล้วนแต่จะต้องควบแน่นออกมาจากเขตวิถีที่เป็นของตัวเอง

ที่เรียกกันว่าชนะก็เขตวิถี พ่ายแพ้ก็เขตวิถี ควบแน่นจากเขตวิถี สู่แดนเซียนบู๊ เขตวิถีใช้การไม่ได้ แว้งกัดตัวมันเอง ตายในทันที

ผู้แข็งแกร่งที่เกือบจะเข้าสู่แดนเซียนบู๊กว่าเท่าไหร่ที่หยุดตรงนี้ เพราะงั้นผู้ที่สำเร็จน้อยอย่างมาก แต่ว่าก่อนที่ผู้แข็งแกร่งที่เกือบจะเข้าสู่แดนเซียนบู๊จำนวนมากมายจะเสียชีวิตล้วนแต่มีความเข้าใจ สิ่งของเหล่านี้พร้อมทั้งอาวุธ หยกแขวนจิตบู๊ของเขา

สิ่งของล้ำค่าเป็นต้น ก็จะหลงเหลือไว้ในจวนด้วยกัน รอจนคนรุ่นหลังมารับสืบทอดต่อ

สามารถหาจวนที่สมบูรณ์แบบแห่งหนึ่งเจอได้ เป็นความโชคดีที่คาดไม่ถึงแล้ว ถ้าหากได้รับการสืบทอดภายในจวน ต่อไปเส้นทางของการฝึกฝนจะเป็นเส้นทางที่ทะลุปรุโปร่งแน่นอน ขอเพียงแค่ไม่เสียชีวิตกลางคัน อย่างน้อยก็สามารถฝึกฝนถึงแดนปราณฟ้าได้

ในเวลานี้ เสวียนเฟิงละทิ้งความอคติที่มีต่อลั่วหยู่แล้ว ขยับเก้าอี้ไปยังข้างกายของลั่วหยู่ พูดกล่าวว่า : “หุ่นเชิดแบบไหน?”

ลั่วหยู่ยิ้มพร้อมพูดว่า : “พี่เสวียนเฟิง พี่ยังไม่รับปากฉันเลยนะ พี่เอี๋ยนตอบรับฉันแล้วนะ”

เสวียนเฟิงคิดครุ่นครู่หนึ่ง พูดกล่าว : “ได้ จวนของผู้แข็งแกร่งเกือบจะเข้าสู่แดนเซียนบู๊ท่านหนึ่ง คุ้มค่าที่ฉันจะสำรวจ ฉันไปเป็นเพื่อนนายเอง”

เอี๋ยนชิงหัวเราะเหอะๆพร้อมพูดว่า : “พี่ลั่วหยู่ ฉันว่านะ พี่เสวียนเฟิง ทนต่อสิ่งล่อใจไม่ไหวอย่างแน่นอน พอแล้ว มาครบทั้งสาม พวกเราก็นัดเวลาไปด้วยกันเถอะ”

ลั่วหยู่ยิ้มพร้อมพูดว่า : “นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว แต่ว่าฉันจะต้องเตือนทั้งสองท่านก่อน ที่นั่นอันตรายมาก เพียงแค่หุ่นเชิดเหล็กนิล ก็รับมือยากมากแล้ว ไม่แน่ว่าข้างในยังจะมีอะไรอีก ทางที่ดีที่สุดทั้งสองท่านเตรียมสิ่งของที่ช่วยชีวิตอย่างเช่นประจำพวกยา เครื่องยาสมุนไพรไว้หน่อย ”

เอี๋ยนชิงและเสวียนเฟิงทั้งสองคนพยักหน้า “นี่มันต้องเตรียมตัวอยู่แล้ว”

นัยน์ตาของลั่วหยู่สาดส่องกระแสอากาศสีเทาเข้ม ยิ้มพร้อมพูดว่า : “งั้นก็ดี งั้น ตอนนี้พวกเรานัดกันไว้ออกเดินทางหลังวันที่10 รอให้ฉันทำความเข้าใจเรื่องราวในคณะแล้ว เราสามคนก็ไปพร้อมกัน”

เอี๋ยนชิงยิ้มพร้อมพูดว่า : “เรื่องในคณะที่พี่ลั่วหยู่พูดมาทั้งหมด เป็นเรื่องของคณะหนึ่งเดียวสินะ หรือพูดให้แม่นยำกว่านี้หน่อย ก็คือลู่ฝาน”

ลั่วหยู่พยักหน้าเบาๆ ริมฝีปากของเอี๋ยนชิงขยับเล็กน้อย พูดส่งเสียงว่า : “พี่ลั่วหยู่ สู้พี่มาช่วยฉันจะดีกว่านะ หากครั้งนี้เจอลู่ฝาน ฆ่าเขาบนสังเวียนเลยนะ”

สีหน้าของลั่วหยู่ไม่เปลี่ยน พูดส่งเสียงเหมือนกันว่า : “งั้นฉันได้ประโยชน์อย่างไร?”

เอี๋ยนชิงลังเลตัดสินใจไม่ได้อยู่ครู่หนึ่งพร้อมพูดว่า : “ยาชีวิตสิบเม็ดเป็นไง?”

นัยน์ตาของลั่วหยู่สาดส่องกระแสอากาศสีเทาเข้มออกมา ยิ้มพร้อมพูดว่า : “ตกลง”

ชั้นล่าง ลู่ฝานก็รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างแล้ว เมื่อเงยหน้ามองดู ขมวดคิ้วแน่น

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 366
หมิงจูร้องออกมาด้วยน้ำเสียงที่ตกใจ

อดไม่ได้ที่จะพูดบ่นพึมพำจริงๆ เมื่อกี้พูดถึงลั่วหยู่ คิดไม่ถึงว่าลั่วหยู่ก็ปรากฏตัวต่อหน้าของเขาแล้ว

พวกลู่ฝานก็ทอดสายตามองไปยังลั่วหยู่ แม้ว่าไม่เต็มใจที่จะยอมรับอย่างมาก แต่ว่าลั่วหยู่หน้าตาดีกว่าพวกเขามากจริงๆ

เขย่าพัดพับในมือเบาๆ ชุดเผาบู๊ของสัตว์ร้ายต่างๆคร่อมทับอยู่บนกาย รูปร่างสูงใหญ่ ได้สัดส่วนกัน หนุ่มหน้าขาว ผิวพรรณเหมือนหญิงสาวเลยยังไงอย่างนั้น อ่อนโยนมาก

คิ้วโค้งเรียวเหมือนดาบดวงตาเป็นประกายดุจดวงดาว ผมยาวคลุมไหล่ ผมสีขาวสองปอยห้อยถึงหน้าอก มีออร่าของเซียนเทพหน่อยๆ

มองลู่ฝานอย่างนิ่งๆแวบหนึ่ง ลั่วหยู่และเอี๋ยนชิง เสวียนเฟิงทั้งสามคนขึ้นไปยังห้องส่วนตัวชั้นสองเลย

ตั้งแต่ต้นจนจบ เอี๋ยนชิงไม่แม้แต่จะมองลู่ฝานเลยสักแวบเดียว เหมือนกับว่าไม่รู้จักเขายังไงอย่างนั้น

เป็นเสวียนเฟิงที่ยิ้มให้ลู่ฝานครู่หนึ่ง ทั้งสามคนเดินขึ้นไปด้วยกัน พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน

หานเฟิงขมวดคิ้วพร้อมทั้งพูดว่า : “นี่ก็คือลั่วหยู่ที่พวกนายพูดถึง ก็ได้ ฉันยอมรับ เขาหล่อกว่าฉันนิดหน่อยจริงๆ”

หมิงจูพูด : “ทำไมลั่วหยู่ถึงมาคลุกคลีกับพวกเอี๋ยนชิงได้ ลู่ฝาน ฉันจำได้ว่านายมีความเกลียดแค้นกับเอี๋ยนชิงใช่ไหม?”

ลู่ฝานพยักหน้าพร้อมพูดว่า : “มีอยู่บ้างจริงๆแหละ”

หานเฟิงทำเสียงเหอะพร้อมพูดว่า : “ไม่เพียงแค่มีอยู่บ้างนะ มีไม่น้อยเลยทีเดียวนะ”

หมิงจูขมวดคิ้วแน่น พูดว่า : “งั้นนายต้องระวังไว้หน่อยนะ คนของคณะหยินหยางและคณะบังเหินสมคบคิดกัน ว่ายังไงก็ไม่ใช่เรื่องที่ดี”

ลู่ฝานเก็บเส้นสายตากลับมาพร้อมเอ่ยพูดว่า : “พวกเขาจะคลุกคลีอยู่ด้วยกันหรือไม่นั้น ไม่เกี่ยวข้องกับผมมากเท่าไหร่ ศิษย์พี่หมิงจู กินของกินสักหน่อยเถอะ”

ลู่ฝานหันหลังให้พนักงานในร้านนำพวกอาหารดีๆมาเสิร์ฟอีก

หมิงจูพยักหน้า แล้วก็เริ่มพูดคุยพวกเรื่องหยุมหยิมกับพวกหลิงเหยา

ไม่นาน เกิดความสนมกลมเกลียวกัน หัวเราะเฮฮาเสียงดังลั่น

ห้องส่วนตัวชั้นสอง พวกเอี๋ยนชิงทั้งสามคนนั่งลง

เสวียนเฟิงนั่งลงอีกฝั่งพร้อมทั้งกอดกระบี่ไว้เลย เริ่มดื่มชาอึกใหญ่ ไม่แม้แต่จะมองเอี๋ยนชิงเลยสักแวบเดียว

ลั่วหยู่วางพัดพับไว้บนโต๊ะ ยิ้มพร้อมพูดว่า : “พี่เอี๋ยน นี่ก็คือลู่ฝานที่พี่พูดถึงเหรอ?ฉันมองดูแล้วก็เป็นธรรมดามากนะ ทั้งไม่มีความโดดเด่น และก็ไม่สะดุดตา ไม่มีกำลังอันฮึกเหิมในตัวเลย พี่แน่ใจเหรอว่า คนที่พี่พูดคือเขา?”

เอี๋ยนชิงยิ้มเบาๆพร้อมพูดว่า : “พี่ลั่วหยู่อย่ามาหลอกฉัน พี่มองไม่ออก?ลู่ฝานไอ้หมอนี่มองดูแวบแรกธรรมดามากจริงๆ แต่ว่าไม่ว่าจะเป็นวิชาวิทยายุทธหรือว่าพละกำลังที่แข็งแกร่ง ไม่ได้น้อยไปกว่าฉันเลย แต่เดิมตอนที่พละกำลังของเขาต่ำ ก็สร้างความวุ่นวายให้ฉันไม่น้อยเลย ตอนนี้มันเป็นหายนะยิ่งกว่าแล้ว”

ลั่วหยู่ส่ายหน้าพร้อมพูดว่า : “พี่เอี๋ยนชิง พี่ต่างหากที่กำลังหลอกฉันนะ จากพละกำลังของพี่ในตอนนี้……เหอะๆ เกรงว่าทั่วทั้งสถาบันสอนวิชาบู๊ไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้ของพี่ แดนปราณชีวิต ถูกไหม”

เอี๋ยนชิงไม่ตอบ เพียงแค่ยิ่งยิ้มเบาๆครู่หนึ่ง

เสวียนเฟิงตะโกนเรียกอยู่ข้างๆว่า: “เสิร์ฟอาหารสิ เสิร์ฟอาหาร พูดกันแล้วว่ามากินอาหารอร่อยไม่ใช่เหรอ มาพูดเรื่องเพ้อฝันเหล่านี้กันทำไม เอี๋ยนชิง นายเรียกฉันมาทำไมกันแน่?”

เอี๋ยนชิงค่อยๆพูดว่า : “พี่เสวียนเฟิง อย่าเพิ่งวู่วามอดทนรอคอยสักประเดี๋ยว รายละเอียดหลักๆ ให้ลั่วหยู่พูดให้พี่ฟัง”

เสวียนเฟิงจ้องมองไปยังลั่วหยู่ เขาไม่เคยมีความรู้สึกดีอะไรต่อลั่วหยู่เลย ในเวลานี้สายตานำมาซึ่งความรังเกียจ ราวกับว่านั่งร่วมกับพวกเขา เป็นการทรมานอย่างหนึ่ง

ลั่วหยู่พูดอย่างเอื่อยเฉือย : “พี่เสวียนเฟิง เรื่องมันก็เป็นเช่นนี้ พี่ก็รู้ ก่อนหน้านี้ฉันฝึกฝนอยู่ที่ส่วนลึกของเทือกฉิงเทียนตลอด ฉันเจอจวนที่แปลกประหลาดแห่งหนึ่งที่นั่น พี่สนใจไหม”

“จวน?จวนอะไร จวนของผู้แข็งแกร่งท่านไหน ชำรุด หรือว่าสมบูรณ์ดี เคยพบทรัพย์สมบัติแล้ว ?”

เสวียนเฟิงถามคำถามติดต่อกันหลายคำถามเลย

มีทรัพย์สมบัติสูญหายท่ามกลางเทือกฉิงเทียนเป็นจำนวนมาก นี่เป็นเรื่องที่ศิษย์ทุกคนของสถาบันสอนวิชาบู๊รู้

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 365
สายตาของหลินเสี่ยวอวิ๋นมองไปที่ตัวของฉู่เทียน และตั้งแต่ที่หลินเสี่ยวอวิ๋นปรากฏตัวมา สายตาของฉู่เทียนก็มองเธอตลอดเวลา เหมือนกับโลกนี้มีเธอเพียงคนเดียว

พอเห็นหมิงจู ฉู่สิงก็วางตะเกียบลงทันที “พวกนายกินเลย ฉันมีธุระ ขอตัวก่อนแล้วกัน”

พูดจบ ก็ไม่รอให้คนอื่นตอบ ฉู่สิงก็รีบวิ่งออกไปทันที กลัวว่าสายไป จะถูกหมิงจูจับตัวมากระทืบ

หมิงจูก็กัดฟันมองฉู่สิงหนีไป หลิงเหยาก็เชิญศิษย์พี่ทั้งหลายคนนั่งลงอย่างดีใจ

หานเฟิงมองซ้ายมองขวา แล้วก็ขยับๆ เบียดไปทางลู่ฝาน

พอเก็บอารมณ์แล้ว หมิงจูก็มองไปยังลู่ฝานแล้วพูดว่า “ยินดีกับนายด้วยนะลู่ฝาน ที่เอาชนะคณะฟ้าร้องได้ ตอนนี้เชื่อเสียงนายดังใหญ่แล้วนะ การสายตาเฉียบแหลมของหลิงเหยาไม่เลวจริงๆ นายเก่งมากเลย”

ลู่ฝานก็รินเหล้าให้กับหมิงจู หลินเสี่ยวอวิ๋น และซู่มั่น พร้อมกับพูดว่า “ศิษย์พี่หมิงจูชมเกินไปแล้ว ทำไมถึงว่างมาที่นี่ได้ล่ะครับ”

หมิงจูตอบว่า “ไม่ใช่ว่าง แต่อาจารย์ให้ฉันมาเตือนนาย ว่าให้ระวังคณะบังเหิน”

หานเฟิงตกใจพูดว่า “คณะบังเหินงั้นหรือ ฉันไม่ได้ยินผิดไปใช่ไหม ศิษย์พี่หมิงจูพูดถึงคณะบังเหินใช่ไหม ตอนนี้ไม่เห็นจะมียอดฝีมืออะไรแล้วนะ เกรงว่าตอนนี้จะสู้คณะฟ้าร้องไม่ได้ด้วยซ้ำ พวกนั้นจะเก่งจนพลิกฟ้าได้เลยหรือไง”

ม่านเหยียนจ้องหานเฟิง แล้วพูดว่า “นายฟังศิษย์พี่หมิงจูพูดให้จบก่อนได้ไหม”

หานเฟิงก็รีบงอตัวกลับไป แล้วบ่นเบาๆ ว่า “ชายชาตรีไม่สู้กับผู้หญิง ชายชาตรีไม่สู้กับผู้หญิง”

หมิงจูไม่อยากจะไปสนใจหานเฟิง แล้วก็ค่อยๆ หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากอก แล้ววางบนโต๊ะ พร้อมพูดว่า “รายชื่อบู๊แผ่นใหม่ พวกนายดูสิ ลู่ฝาน ตอนนี้อยู่ที่อันดับสามแล้วนะ”

ลู่ฝานหยิบรายชื่อบู๊มา จริงๆ ด้วย พอมองดู ก็เห็นว่าชื่อของตนเองอยู่ที่อันดับสาม สองคนก่อนหน้า ก็คือเอี๋ยนชิง กับเสวียนเฟิง

ยิ้มเบาๆ ลู่ฝานพูดว่า “คิดไม่ถึงว่าอันดับของฉันจะขึ้นเร็วแบบนี้ ศิษย์พี่หมิงจูจะให้ฉันสังเกตดูตรงไหน”

หมิงจูชี้ไปยังรายชื่อคนสุดท้ายของรายชื่อบู๊ “คนนี้ ชื่อลั่วหยู่ เพิ่งได้ขึ้นรายชื่อบู๊ พวกนายอาจจะไม่ค่อยคุ้นกับชื่อนี้ ฉันจะเล่าให้พวกนายฟัง”

ทุกคนก็ตั้งใจฟัง หมิงจูนิ่งไปแล้วพูดว่า “ลั่วหยู่ สองปีก่อนเป็นอัจฉริยะของคณะบังเหิน เพราะตัวเธอ คณะบังเหินถึงได้สู้ขึ้นมาอยู่สามอันดับแรก เฉียวเซวียนเคยแพ้ให้กับเขา ตั้งแต่นั้นเฉียวเซวียนก็ไม่ได้ก้าวเข้าไปคณะบังเหินอีกเลย สองปีนี้ ลั่วหยู่เข้าไปส่วนลึกของเทือกฉิงเทียนคนเดียว ฝึกวิชาหนึ่งที่เรียกว่าลวงสังหาร ปัจจุบัน เขาถูกอาจารย์เมิ่งอวิ๋นเรียกตัวกลับ เห็นได้ชัดว่าเพื่อเอามารับมือกับคณะหนึ่งเดียวของพวกนาย ลู่ฝาน นายอย่าคิดว่าจางเยว่หานถูกไล่ออกไปแล้ว คณะบังเหินจะไม่มีคนสู้กับนายแล้วเด็ดขาดนะ ตอนนี้ลั่วหยู่พลังระดับปราณนอกชั้นหกขึ้นไปแล้วนะ”

ลู่ฝานหยักหน้าเบาๆ ขณะเดียวกันก็ยิ้มขึ้นมา

แบบนี้ถึงจะสนุก ถ้าคณะบังเหินอ่อนแอเกินไป จะทำให้เขารู้สึกหมดสนุกเปล่าๆ

หานเฟิงก็ถามอยู่ข้างๆ ว่า “ชื่อลั่วหยู่ ฉันเคยได้ยินมาเหมือนกัน เป็นผู้หญิงหรือเป็นผู้ชายกันแน่”

“ผู้ชาย”

หมิงจูพูดอย่างไม่สบอารมณ์ ขณะเดียวกันม่านเหยียนที่อยู่ข้างๆ ก็พูดว่า “อถมยังเป็นผู้ชายหน้าหล่อเหลามากด้วยล่ะ”

หานเฟิงหัวเราะเสียงดังออกมา “ต่อหน้าฉันยังกล้าบอกว่าเป็นชายรูปงาม บ้านนอกเสียจริงๆ”

ลู่ฝานเลือกที่จะไม่สนใจหานเฟิง กำลังอยากจะถามรายละเอียดเพิ่ม

ในตอนนี้เอง ที่หน้าประตูก็มี3คนเดินเข้ามา

มีเอี๋ยนชิง เสวียนเฟิง แล้วก็ชายรูปงามหล่อเหลา ถือพัดเดินเข้ามา

“ลั่วหยู่!”

ผ่านไปสองวัน ข่าวที่ลู่ฝานของคณะหนึ่งเดียวได้เอาชนะคณะฟ้าร้องก็แพร่ไปทั้งสถาบันสอนวิชาบู๊

“ได้ข่าวหรือยัง ลู่ฝานแห่งคณะหนึ่งเดียวท้าสู้กับคณะฟ้าร้องคนเดียว หลัวตานเลือกผาเหลยถิงที่เป็นจุดยุทธศาสตร์ของตนเอง แต่ก็ยังแพ้อย่างราบคาบ”

“ตอนแรกฉันก็คิดไว้แล้ว ว่าคณะหนึ่งเดียวก็เป็นหนึ่งในเก้าคณะ ไม่อ่อนแอหรอก ที่แท้พวกเขาก็เก็บตัวฝึกวิชากันนี่เอง ไม่สร้างชื่อ แต่พอสร้างชื่อขึ้นมาก็ดังกระฉ่อน พอได้บินก็บินทะยานฟ้า”

“ฉันว่านะ ครั้งนี้คณะหนึ่งเดียวต้องได้ขึ้นอยู่3อันดับแรกแน่ๆ ทางคณะบังเหิน จางเยว่หานก็ถูกไล่ออกสถาบันสอนวิชาบู๊ไปแล้ว ใครจะต้านทานลู่ฝานได้อีก”

“เหอะๆ ต่อให้จางเยว่หานยังอยู่แล้วยังไง นายคงยังไม่เห็นเธอสู้กับลู่ฝานตัวต่อตัวในป่าสินะ ก็ยังแพ้ราบคาบเหมือนกัน สุดท้ายก็ถูกจัดการจนต้องออกคณะไป”

“ก็ถูก ตอนนี้คนที่สามารถต้านทานคณะหนึ่งเดียวได้ ก็มีแต่คณะกระบี่กับคณะหยินหยางแล้วล่ะ”

……

บนเขาวิพากษ์ รอบๆ ล้วนมีแต่เสียงคุยกันเรื่องนี้

เดินไปที่ไหน ก็มีแต่นักเรียนจำนวนไม่น้อยชื่นชมคณะหนึ่งเดียว ต่างพากันเสียดายที่ตอนแรกไม่ได้ไปลงสมัครที่คณะหนึ่งเดียว

“เหอะๆ คนพวกนี้ ตอนแรกดูถูกคณะหนึ่งเดียวของเรา ตอนนี้กลับคำเร็วเชียวนะ ศิษย์น้องลู่ฝาน นายเชื่อไหม ปีหน้ารับศิษย์ใหม่ คณะหนึ่งเดียวขอเราต้องดังแน่นอน พอถึงตอนนั้น คณะหนึ่งเดียวของพวกเราก็จะมีศิษย์น้องมากมาย ฮ่าๆ นายก็จะได้เป็นศิษย์พี่ห้าแล้วล่ะ ต้องช่วยดูแลศิษย์น้องมากๆ ถึงจะถูก เข้าใกล้คนเก่งก็จะได้ประโยชน์ก่อนใครไงล่ะ”

หานเฟิงกินข้าวไปด้วย พูดข้าวเต็มปากไปด้วย

ด้านข้าง ฉู่สิง ฉู่เทียนไม่อยากจะไปสนใจหานเฟิง เอาแต่เรียกอย่างเดียวว่า “ยกกับข้าวมาเลย ยกมา จานนี้ไม่เลว เอามาอีก3จาน”

ลู่ฝานก็มีใบหน้าเอือมระอา หลิงเหยาที่อยู่ข้างๆ ก็กอดแขนของลู่ฝานอยู่ พูดกับหานเฟิงอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ฉันมาเที่ยวกับลู่ฝานที่เขาวิพากษ์ พวกนายตามมาด้วยทำไม เหอะ จะไม่ให้พวกฉันมีเวลาส่วนตัวบ้างเลยหรือไง”

ลู่ฝานพยักหน้าหงึกหงัก

หานเฟิงก็ยังนิ่งสงบอยู่ได้ พูดด้วยสีหน้าไม่กลัวไม่อายอะไรทั้งสิ้น “อาจารย์ให้พวกเรามาจับตาดูพวกนาย ลู่ฝาน ตอนนี้นายเป็นคนสำคัญของคณะหนึ่งเดียวเรา ยังเหลือการประลองอีก3รอบ นายจะเป็นอะไรไปไม่ได้เด็ดขาด ถึงแม้ที่เขาวิพากษ์จะมีคนคอยดูแล แต่ถ้ามีคนมาลอบฆ่านายจะทำอย่างไร นายลืมแล้วหรือไง ครั้งก่อนพวกเราก็ต่อสู้บนเขาวิพากษ์อย่างดุเดือด เสี่ยวเอ้อร์ เอาสองจานนี้ไปใส่ห่อจะเอากลับ ศิษย์พี่ใหญ่ พวกอาจารย์ยังรอพวกเราเอาของอร่อยกลับไปกันอยู่”

ลู่ฝานก็ถอนหายใจอย่างเอือมระอา

หลิงเหยากลับเริ่มถกแขนเสื้อกินอาหาร ไม่สนใจภาพลักษณ์เลย

“เป็นเงินทั้งนั้น เหอะ ลู่ฝานมีเงินก็ไม่ให้พวกนายกินแบบนี้หรอก ลู่ฝาน นายก็กินสิ กินเยอะๆ หน่อย กินให้คุ้ม”

หลิงเหยาก็คีบอาหารให้ลู่ฝานไปด้วย พูดไปด้วย

ลู่ฝานหัวเราะไปกินไป จริงๆ แล้วความรู้สึกที่ทุกคนออกมากินข้าวด้วยกันมันก็ดีเหมือนกัน เขาชอบแบบนี้มาก

กำลังกินไป ก็มีหลายคนเดินเข้ามา
“หลิงเหยา ลู่ฝาน ไม่ชวนพวกเรากินอะไรหน่อยหรือ”

สาวสวยหุ่นดี กระโปรงยาวลากพื้น ไม่ใช่หมิงจูของศิษย์พี่ยาวิเศษแล้วจะเป็นใครได้ คนที่อยู่ข้างๆ ของหมิงจู ก็ยังมีหลินเสี่ยวอวิ๋นกับม่านเหยียน

ทันใดนั้น คนที่โต๊ะอื่นๆ ก็มองมาทางนี้ สาวสวยมารวมกันเยอะแบบนี้มีให้เห็นไม่บ่อย

ไม่นานก็มีคนจำลู่ฝานได้ แล้วก็มีนักเรียนส่งเสียงตื่นเต้นออกมา

“ลู่ฝานนี่เอง ลู่ฝานแห่งคณะหนึ่งเดียว เขาก็อยู่ที่นี่ด้วย”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 363
ยิ้มไปเบาๆ ลู่ฝานก็เงยหน้าครั้งสุดท้ายมองดูวิชาสายฟ้าฟาดห้าธาตุบนผนัง

สิ่งพวกนี้ ลู่ฝานไม่ต้องไปจำให้ละเอียดแล้ว ได้สิ่งที่สำคัญที่สุดมาแล้ว เคล็ดวิชาและวิธีการฝึกบนผนังนี้ ล้วนเป็นเศษเสี้ยวของเศษเสี้ยวอีกที

กวาดมองไปทีเดียว พอจำได้พอสมควรแล้ว ลู่ฝานก็หันหลังเดินออกไปด้านนอก

เดินออกมาจากเรือนเก็บหนังสือของคณะฟ้าร้อง ลู่ฝานมองดวงอาทิตย์ รอยยิ้มก็เป็นประกาย

และบนหลังคาที่ไม่ไกลจากเขา อาจารย์ฮั่วซานก็ดูลู่ฝานเดินออกมาอย่างนิ่งๆ

“ไม่ถึงสามชั่วยาม เขาก็ออกมาแล้ว รู้แล้วหรือว่าต้องฝึกอย่างไร หรือว่าถอดใจแล้ว”

อาจารย์ฮั่วซานบ่นพึมพำ ตอนนี้เขาก็มองไม่ออกว่าลู่ฝานเรียนได้หรือยัง

“ไม่สนใจแล้ว จะเรียนได้หรือไม่ได้ ก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับคณะฟ้าร้องมากนัก คณะหนึ่งเดียวโชคดีไป พวกเขาได้สร้างชื่อเสียงเพิ่ม ดูเหมือนว่า เราคงจะต้องไปเตือนเสวียนเจินเสียหน่อยแล้ว ว่าอย่าประมาทเกินไป เฮ้อ ไปดูหลัวตานก่อนดีกว่า หวังว่าหลัวตานจะอดทนได้ ไม่ทำให้เราผิดหวัง”

อาจารย์ฮั่วซานพูดจบ ร่างก็หายไปจากหลังคา

ในขณะเดียวกัน ที่คณะฟ้าร้อง หลัวตานก็ขังตัวเองอยู่ในห้อง

ห้องของเขาหรูหรา กว้างมาก ของเครื่องใช้ การตกแต่ง ไม้ที่ใช้ ล้วนเป็นของดีทั้งนั้น

แค่หนังที่ปูพื้นก็ยังเป็นหนังสัตว์ ราคาเป็นพันเป็นหมื่น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกภาพวาดภาพเขียนต่างๆ และขวดหยกขวดยาอีก

แต่ในตอนนี้ ห้องของเขาเละเทะไปหมด

ของในห้องกว่าแปดส่วนถูกเขาขว้างทำลายหมด หลัวตานนั่งลงอย่างตกต่ำ สายตาเหม่อลอย

ความโอ้อวดของเขา ความมั่นใจของเขา ถูกทำลายเป็นผุยผงที่ผาเหลยถิงหมดแล้ว

เขาคิดมาตลอดว่าตนเองเป็นอัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดของสถาบันสอนวิชาบู๊ ไม่มีใครเทียบเขาได้ ต่อให้แพ้ให้กับจางเยว่หาน หลัวตานก็ยังคิดว่าถ้าจางเยว่หานไม่ลอบโจมตีเขา ชัยชนะก็ต้องตกเป็นของเขา เขายังเตรียมที่จะไปประลองกับเอี๋ยนชิงและเสวียนเฟิงอีกด้วย

แต่ลู่ฝานใช้พลังของตนบอกกับเขาว่า เขาไม่ใช่อัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุด ไม่มีทางใช่

ลู่ฝานเอาชนะเขาได้ ในถิ่นของเขาเองอย่างผาเหลยถิงที่เขามั่นใจที่สุด

พอนึกถึง ตอนที่เขาโอหังยอมอ่อนให้กับลู่ฝานสามกระบวนท่าก่อนประลอง หลัวตานก็อยากจะตบบ้องหูตนเองเสียจริงๆ

อวดดีอะไรกัน อวดดีจนเป็นเรื่องเลยไหมล่ะ!

ประตูถูกเปิดออก ร่างของอาจารย์ฮั่วซานก็มาปรากฏตรงหน้าของหลัวตาน

อาจารย์ฮั่วซานมองหน้าหลัวตานที่เศร้าสร้อย แล้วพูดเสียงเย็นว่า “หลัวตาน นายยังเป็นนักบู๊อยู่ไหม”

หลัวตานเงยหน้าขึ้นอย่างเศร้าสร้อย “อาจารย์ครับ ผมแพ้แล้ว ขอโทษครับ ที่ทำให้คณะฟ้าร้องขายหน้า ผ่านวันนี้ไป ข่าวที่ผมแพ้ให้กับลู่ฝานบนผาเหลยถิงก็จะแพร่ไปทั่วทั้งสถาบันสอนวิชาบู๊ ผมพาอาจารย์ขายหน้าไปด้วย”

ฮั่วซานยิ้มพูดว่า “ขายหน้างั้นหรือ สมัยหนุ่มฉันทำเรื่องขายหน้าไว้ตั้งมากมาย หลัวตาน บอกฉันมา แพ้หนึ่งศึก นายยังเป็นนักบู๊อยู่อีกหรือไม่”

หลัวตานกัดฟันพูดว่า “แน่นอนครับ”

ฮั่วซานถามต่ออีกว่า “งั้นก็ดี แล้วตอนนี้นักบู๊ควรทำอย่างไร”

หลัวตานหายใจเข้า แล้วลุกขึ้นพูดว่า “อดทนต่อการดูถูก และฝึกวิชาเพิ่ม”

ฮั่วซานพยักหน้า “เอาเถอะ ฉันถามหมดแล้ว นายฝึกต่อไป วันพรุ่งนี้ ฉันต้องการเห็นนายในคนใหม่ แต่ไม่ใช่นายในตอนนี้”

พูดจบ ฮั่วซานก็ปิดประตู

หลัวตานก็มองมือตนเอง แล้วก็ค่อยๆ หลับตาลง

“สำนักจิ่วเซียว นายเป็นคนของสำนักจิ่วเซียว สวรรค์เมตตา ที่แท้สำนักจิ่วเซียวก็ยังไม่สิ้นผู้สืบทอด”

ชายแก่ตะโกนออกมาอย่างตื่นเต้น ถึงแม้เขาจะเป็นแค่ดวงไฟดวงหนึ่ง แต่ตอนนี้กลับตื่นเต้นและพยายามสั่นๆ

ลู่ฝานขมวดคิ้วเบาๆ เหมือนว่าเคยได้ยินคำว่าจิ่วเซียวที่ไหนมาก่อน

ทันใดนั้นเอง ลู่ฝานก็นึกออก แหวนที่อาจารย์หวูเฉินให้ไว้กับเขา ก็มีชื่อว่า จิ่วเซียว และตอนนั้นก็เหมือนจะพูดว่า เขาก็คือผู้สืบทอดสำนักจิ่วเซียว

ทั้งสำนักที่มีแค่2คน ลู่ฝานก็ไม่ได้สนใจอะไร แทบจะลืมชื่อไปแล้วด้วยซ้ำ

แต่ตอนนี้ ดูเหมือนจะแปลกๆ ทำไมผู้แข็งแกร่งที่ทิ้งวิชาสายฟ้าฟาดห้าธาตุไว้ถึงได้ตื่นเต้นกับคำว่า จิ่วเซียว ขนาดนี้

ชายแก่ยังคงอยู่ในความตื่นเต้น เดิมทีเขาจะกลับแสงสายฟ้าที่ปล่อยออกมากลับไปแล้ว

ถึงแม้ชายแก่จะเป็นดวงไฟ แต่ก็ยังพูดกับลู่ฝานอย่างนอบน้อมว่า “ฉันมีชื่อว่าเหลยเจิ้นเทียน สวัสดีผู้สืบทอดของสำนักจิ่วเซียว”

ลู่ฝานอ้าปาก ไม่เข้าใจว่านี่มันอะไรกันแน่

แต่ว่าดูจากท่าทางของชายแก่ เขาน่าจะไม่ถูกสายฟ้าฟาดใส่อีกแล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะมีโอกาสเรียนแก่นแท้ของวิชาสายฟ้าฟาดห้าธาตุได้สำเร็จ

ลู่ฝานถามเบาๆ ว่า “ผู้อาวุโสไม่ต้องมากพิธีไปหรอกครับ ขอถามหน่อยว่า สำนักจิ่วเซียวคืออะไรกันแน่ เกี่ยวข้องอะไรกับสาขาสายฟ้าไหม”

ชายแก่ยิ้ม “เกี่ยวข้องกันมากเลยล่ะ มากจริงๆ แต่ขอถามหน่อยได้ไหม ตราจิ่วเซียวบนตัวของนายได้มาจากไหน ใครเป็นคนถ่ายทอดให้”

ลู่ฝานคิดๆ แล้วก็ตอบไปว่า “อาจารย์ของผมเป็นคนถ่ายทอดให้”

ชายแก่ถามอีกว่า “แล้วอาจารย์มีชื่อแซ่ว่าอะไร”

ลู่ฝานคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “ขออภัยผู้อาวุโสด้วย อาจารย์ของผมบอกไว้ว่า ไม่ให้บอกชื่อแซ่กับใคร”

ชายแก่หัวเราะ “ไม่เป็นไรๆ ในเมื่อนายไม่ยอมพูด ก็เป็นปกติ สำนักจิ่วเซียวสืบทอดกันมาถึงปัจจุบัน ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องระมัดระวังเป็นธรรมดา พ่อหนุ่มน้อย ดูเหมือนว่านายจะยังไม่ค่อยรู้จักสำนักจิ่วเซียวดีเลยนะ รอที่วันไหนนายมาที่สาขาสายฟ้า ฉันจะพาไปเจอกับผู้อาวุโสทั้งหลาย พอถึงตอนนั้น นายก็จะรู้เอง ว่าที่นายเป็นผู้สืบทอดของสำนักจิ่วเซียวนั้น เป็นความโชคดีขนาดไหน เอาเถอะๆ วิชาสายฟ้าฟาดห้าธาตุเล็กๆของฉัน เดิมทีก็ไม่คู่ควรที่จะถ่ายทอดให้กับศิษย์ของสำนักจิ่วเซียวหรอก แต่ในเมื่อนายมาเพื่อสิ่งนี้ ฉันก็ไม่อาจให้นายกลับไปมือเปล่า”

พูดไป ก็มีแสงส่องออกมาจากตัวของชายแก่ แล้วเข้าไปยังจิตในร่างของลุ่ฝาน

ทันใดนั้น ลู่ฝานก็สามารถรู้สึกได้ถึงพลังเต๋าที่สัมผัสได้ เข้ามายังร่างกายของเขา

ชายแก่ยิ้มพูดว่า “วิชาสายฟ้าฟาดห้าธาตุของฉัน บังเอิญได้มาจากเพ่งมองพลังสายฟ้า ถึงแม้จะไม่ได้แข็งแกร่งรุนแรงมาก แต่ก็ยังพอมีอานุภาพ ความล้ำลึกในทักษะวิชาบู๊ วันนี้ฉันจะถ่ายทอดให้นายเอง การสั่งสอนดีเช่นนี้ ศิษย์สาขาสายฟ้าของฉัน ล้วนไม่เคยได้รับ นายค่อยๆ ทำความเข้าใจให้ละเอียด รีบทำความเข้าใจก่อนที่จะถึงระดับแดนปราณฟ้า”

ลู่ฝานยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น ขยับอะไรไม่ได้เลย

ในสมองของเขา เต็มไปด้วยทุกสีของสายฟ้าที่ส่องสว่าง

ในขณะเดียวกันเต๋าที่แข็งแกร่งรุนแรงที่สุด ก็วนอยู่ในร่างกายเขา แม้แต่กระบี่หนักไร้คมก็ยังขยับตามไปด้วย มีแสงส่องออกมา

สติของลู่ฝานกลับเข้าไปในกาย ร่างของชายแก่ก็หายไป ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ พลังปราณในกายถูกค่ายกลควบคุมไว้อีกครั้ง เคลื่อนพลังไม่ได้

แต่ลู่ฝานก็ยังหลับตายืนนิ่งอยู่ตรงนั้น

ความเข้าใจในวิชาที่ได้รับเมื่อสักครู่นี้ มีความสำคัญต่อการบรรลุความเข้าใจในเต๋าอย่างมาก

ยืนไปหนึ่งชั่วยามเต็มๆ แล้วลู่ฝานก็ลืมตาขึ้นมา

“วิชาสายฟ้าฟาดห้าธาตุ ที่แท้ก็เป็นแค่เศษเสี้ยวของวิถีบู๊สายฟ้า เฮ้อ แค่เศษเสี้ยวเท่านั้นเอง ฉันไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาทำความเข้าใจนานเท่าไร ถึงจะเข้าใจได้ทั้งหมด”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 361
ด้วยพลังของเขาในตอนนี้น่ะหรือ ถ้าไปให้ฟ้าผ่าคงมีแต่ตายอย่างเดียว

แต่ว่าไปลองหาทัณฑ์อัสนีไม่ได้ แต่สายฟ้าพิเศษอื่นๆ ยังลองได้ เช่นสายฟ้าสีดำของผาเหลยถิง ก็ถือว่าไม่เลว

คิดดูแล้ว หลัวตานก็น่าจะฝึกวิชาสายฟ้าฟาดห้าธาตุบนผาเหลยถิงนี่แหละ

ลู่ฝานพิจารณา ยาแก้สายฟ้าหนึ่งเม็ดน่าจะช่วยเขาได้ สลายพลังส่วนใหญ่ของสายฟ้าได้

แต่ถ้าทำลายไป ก็จะหาแก้วรวมสารเพลิงสายฟ้าได้ยาก

นี่มันเป็นเรื่องที่ลำบาก ดูเหมือนว่าจะฝึกทางลัดได้ยาก จุดที่สำคัญมาก มีอยู่สองจุด หนึ่งคือการต้านทานของสายฟ้า ที่สองคือต้านการเผาไหม้ของไฟ

ข้อสอง ลู่ฝานค่อนข้างมั่นใจ แต่ข้อหนึ่ง อืม คอยดูกันก่อนแล้วกัน

อ่านต่อไป หลังจากฝึกสายฟ้าไฟสำเร็จ วันๆ หลังจากนั้นก็ต้องดูดซับพลังสายฟ้าทุกวัน เพื่อพัฒนา

ก็หมายความว่า ถ้าไม่มีเรื่องอะไรทำ ก็ต้องให้สายฟ้าฟาดใส่ตัวหน่อย ไม่อย่างนั้นก็จะฝึกไม่สำเร็จ

ลำบากในลำบากอีกที ลู่ฝานคิดอย่างละเอียด ดูเหมือนว่าทางที่ดีที่สุดเขาจะต้องไปหาเคล็ดวิชาที่สามารถเรียกเมฆสายฟ้าได้ตลอดเวลาเสียแล้ว

ดูเหมือนวิชาเมฆลมของผู้ฝึกชี่จะมีผลลัพธ์นี้ รอหลังปิดเทอม จะไปตลาดหม้อยา จะต้องหาเคล็กวิชานี้เสียหน่อย อย่างน้อยฝึกสำเร็จหนึ่งอย่างก็ดี

ตั้งใจดูบทของสายฟ้าไฟจนจบแล้ว ลู่ฝานก็อ่านบทอื่นๆ แล้วจดจำไว้

บันทึกทความสายฟ้าพวกนี้ ล้วนเป็นส่วนสำคัญในการฝึกวิชาสายฟ้าฟาดห้าธาตุให้สำเร็จ ขาดอะไรไปไม่ได้เลย ถึงแม้ตอนนี้จะฝึกไม่ได้ ก็ต้องจำให้ได้ ไม่อย่างนั้นล่ะก็ ทักษะวิชาบู๊นี้ก็จะฝึกออกมาได้แค่สายฟ้าไฟ แล้วมันจะมีประโยชน์อะไร

ตอนที่ลู่ฝานกำลังตั้งสติจดจำวิชาอยู่นั้น

ทันใดนั้นเอง ตัวอักษรบนผนังก็เกิดการเปลี่ยนแปลง

ลู่ฝานรู้สึกว่าสมาธิของตนเองได้ดูดช่องว่างอีกหนึ่งแห่งเข้าไป และสายฟ้าสายหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในหัวของเขา สั่นจนตัวลู่ฝานชักกระตุก

“ไม่มีต้นกำเนิดของสายฟ้า จะฝึกวิชาสายฟ้าฟาดห้าธาตุของฉันได้อย่างไร ไม่ผ่าน ไม่ผ่าน!”

เสียงตะโกนหลายเสียง ทำให้ลู่ฝานจิตตก

ด้านหน้าปรากฏแสงไฟดวงหนึ่ง มีประสบการณ์เคยฝึกเพลงเต๋าหนึ่งเดียว ลู่ฝานเข้าใจได้ทันที นี่คงจะเป็นความทรงจำที่เจ้านายทิ้งไว้

ลู่ฝานก็เปลี่ยนพลังปราณทั้งหมดเป็นพลังวิญญาณทันที แล้วสติของเขาก็นิ่งมั่นคงลงทันที

สายฟ้าหลายสายก็เข้ามาเรื่อยๆทีละสาย สายฟ้าพวกนี้มีแรงสั่นสะเทือนที่น่ากลัว

เหมือนจะมีพลังที่สั่นสะเทือนสมาธิคนให้แหลกได้

อยู่ดีๆ ลู่ฝานก็เข้าใจแล้ว หลักสำคัญของวิชาสายฟ้าฟาดห้าธาตุ ก็คือคำว่า สะเทือน

ทักษะวิชาบู๊ห้าสายฟ้าอะไรนั่น ล้วนเป็นวิชารอง ไม่ใช่สำคัญที่สุด สิ่งที่หลักที่สุด ถ้าเป็นคนที่มีความเข้าใจไม่สูงพอ ไม่มีสมาธิพอ ต่อให้ฝึกห้าสายฟ้าสำเร็จ ก็ฝึกถึงแก่นของวิชาบู๊ไม่ได้

สมาธิของลู่ฝานต้านทานกับสายฟ้ารนแรงพวกนี้ได้ สายฟ้า5สีตอนสุดท้าย เกือบทำให้สมาธิเขาแตกซ่าน

ในที่สุดสายฟ้าทุกอย่างก็ผ่านไปแล้ว ชายแก่ในดวงไฟพูดด้วยน้ำเสียงประหลาดใจว่า “ความตั้งมั่นแข็งแกร่งมาก เป็นศิษย์ของสาขาสายฟ้า ทำไมบนตัวถึงไม่มีพลังของสายฟ้าเลย”

ลู่ฝานตอบติดๆ ขัดๆ ว่า “ผมไม่ได้……..เป็นศิษย์ของสาขาสายฟ้า………แต่อยากจะฝึกวิชาสายฟ้าฟาดห้าธาตุท่านผู้อาวุโส”

“ไม่ได้ ไม่ได้ ไม่ได้เป็นศิษย์ของสาขาสายฟ้า จะฝึกวิชาสายฟ้าฟาดห้าธาตุได้อย่างไร นายกลับไปเถอะ”

พูดไป บนตัวชายแก่ก็มีแสงสายฟ้าสว่างขึ้น

แต่ในตอนนี้เอง ลู่ฝานก็ไม่ทันได้พบว่า แหวนในมือของเขาอยู่ดีๆ ก็สว่างขึ้นมา

จากนั้น จิตเขาก็มีแสงสว่างขึ้นมา

ชายแก่ก็ยืนอึ้งอยู่ที่เดิม

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 360
ตัวอักษรเขียนอย่างมีพลัง ตัวอักษรทุกตัวบนวิชาสายฟ้าฟาดห้าธาตุ ดูไปแล้วเหมือนเป็นสายฟ้าฟาดลงใส่จริงๆ ลายเส้นมีพลังสายฟ้าอยู่ด้วย

ลู่ฝานนั่งอยู่ตรงหน้าผนังเลย ทำสมาธิกำหนดลมหายใจ ปรับอามรณ์ของตนเองให้นิ่งก่อน จากนั้นก็มองวิชาสายฟ้าฟาดห้าธาตุทีละตัว

“ที่สุดของสายฟ้า ก็คือแสงในจักรวาล ที่สุดของแสง ก็คือวิชาของฟ้าดิน ที่สุดของแสงสายฟ้า ก็คือความวัฏจักรของสรรพสิ่ง ดังนั้นสายฟ้าจึงมีพลังรุนแรง ดังนั้นห้าธาตุล้วนเป็นสายฟ้าได้…….”

อ่านไปเบาๆ ลู่ฝานก็ค่อยๆ เข้าไปสู่ภวังค์แห่งทักษะวิชาบู๊ของวิชาสายฟ้าฟาดห้าธาตุ

ครั้งที่หนึ่ง ก่อนหน้านี้ ลู่ฝานไม่เคยเห็นว่าทักษะวิชาบู๊ไม่ใช่วิธีการฝึก แต่เป็นการอธิบายที่มาและหลักเหตุผลของทักษะวิชาบู๊

วิชาสายฟ้าฟาดห้าธาตุ ที่แท้ก็ใช้พลังห้าธาตุเปลี่ยนเป็นทักษะวิชาบู๊สายฟ้า

แยกย่อยได้5แบบ มีสายฟ้าไฟ สายฟ้าลม สายฟ้าน้ำ สายฟ้าไม้ สายฟ้าทอง

ใช้พลังปราณแยก ถ้าฝึกสายฟ้าทั้ง5แบบสำเร็จ ก็จะได้พลังของสวรรค์

ถ้าบรรลุอีก อิงพลังสายฟ้าดิน ก็จะกลายเป็นชะตา

เพียงแต่ว่า กระบวนท่าสุดท้ายพลังสายฟ้าดิน แม้แต่อาจารย์ที่คิดค้นวิชาสายฟ้าฟาดห้าธาตุก็ยังฝึกไม่สำเร็จ

ในทักษะวิชาบู๊เอ่ยถึงวิธีการฝึกพลังสายฟ้าดิน แต่ดูไปแล้วแปลกประหลาดมาก ลู่ฝานรู้สึกว่าพลังสายฟ้าดินนี้ จะเป็นแค่การคาดเดาเท่านั้น

ยังไม่ต้องพูดถึงพวกนี้ ที่สำคัญคือพลังสายฟ้าทั้งห้าตรงหน้านี้

ใช้วิชาหนึ่งเป็นพื้นฐาน แล้วฝึกมันก่อน

เริ่มจากการฝึกพลังสายฟ้าหนึ่งให้สำเร็จ ทั้งชุดของวิชาสายฟ้าฟาดห้าธาตุก็จะถือว่าถึงระยะรู้ความ

พอฝึกครบ แล้วได้พลังของสวรรค์ ถึงจะถือว่าฝึกวิชาสายฟ้าฟาดห้าธาตุสำเร็จอย่างแท้จริง

จากการที่ทักษะวิชาบู๊อธิบายไว้ มือเดียวก็สามารถทลายภูเขา หมัดเดียวก็สยบมหาสมุทรที่รุนแรงได้

อืม ฟังดูแล้วรุนแรงมาก

ไม่ต้องสงสัยเลย หลัวตานเลือกพลังสายฟ้าแบบแรก ก็คือพลังสายฟ้าลม

จากผลพลังของหลัวตานแล้ว พลังสายฟ้าลมของเขา ก็ใกล้ฝึกจนเห็นผลลัพธ์แล้ว ขอเพียงเขาเข้าสู่แดนปราณชีวิต แล้วก็ค่อยดึงดูดพลังสายฟ้าจากฟ้าดินเข้าร่างกาย อย่างนั้นพลังของพลังสายฟ้าลมก็จะต้องสำเร็จสมบูรณ์ย่างแน่นอน

แต่ลู่ฝานไม่คิดจะเริ่มฝึกจากพลังพลังสายฟ้าลม จุดสนใจของเขาอยู่ที่พลังสายฟ้าไฟทั้งหมด

เมื่อเทียบกับพลังสายฟ้าลม ลู่ฝานชอบพลังสายฟ้าไฟมากกว่า

ไม่ว่าจะเป็นกายทองไฟอาบที่เขาฝึก หรือว่าหมัดมังกรเพลิงคำราม ล้วนคือไฟเป็นหลัก

ต่อให้ถึงระดับแดนปราณชีวิตแล้ว ลู่ฝานก็ตัดสินใจที่จะฝึกทักษะวิชาบู๊เพลิงไฟเป็นหลัก พลังสายฟ้าไฟเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเขา

สิ่งที่เรียกว่าพลังสายฟ้าไฟนั้น ก็คือดึงเพลิงอัสนีเข้าร่าง แล้วเผาผลาญหล่อหลอมร่างกาย

ไม่เพียงต้องอดทนได้ แถมตอนที่หล่อหลอมนั้น จะต้องเอาแก้วรวมสารเพลิงสายฟ้าส่วนหนึ่งเข้าไปยังตันเถียนด้วย

ถ้าอยากจะทำแบบนี้ได้ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยทีเดียว

ก่อนอื่น เพลิงอัสนีคืออะไร มันก็คือไฟที่ระเบิดออกมาหลังจากที่สายฟ้าฟาดลงพื้น

และไม่ไช่รอสายฟ้าระเบิดเสร็จแล้วค่อยไปเอาเก็บไฟ อย่างนั้นก็จะมีโอกาสเจอแก้วรวมสารเพลิงสายฟ้าอย่างน้อยมาก จากที่วิชาบอกไว้ มีเพียงหนึ่งวิธี

นั่นก็คือ หาคืนที่มีเมฆฝนชุกชุม แล้วยืนบนยอดไม้ล่อให้สายฟ้ามาฟาดใส่ตัวตนเอง จากนั้นก็ใช้พลังปราณในกายโดยขับเคลื่อนพลังแบบพิเศษ เคลื่อนพลังใส่เข้าไปในพลังเพลิงสายฟ้า ก็จะได้แก้วรวมสารเพลิงสายฟ้ามา จากนั้นก็ขับมันไปยังตันเถียน และสายฟ้าที่ล่อมา ยิ่งรุนแรงยิ่งดี ทางที่ดีให้เป็นทัณฑ์อัสนีในตำนาน สายฟ้าแบบนี้ ถ้าฟาดลงมา ทั้งพื้นก็จะเต็มไปด้วยแก้วรวมสารเพลิงสายฟ้า ไม่เพียงสามารถฝึกพลังสายฟ้าลมเท่านั้น พลังสายฟ้าทอง พลังสายฟ้าลม พลังสายฟ้าไม้ก็เอามาฝึกพร้อมกันได้หมด

อืม ฟังแล้วดูเหมือนเป็นการฆ่าตัวตาย

ถ้าลู่ฝานสมองไม่เสีย ก็คงไม่ไปหาทัณฑ์อัสนีหรอก

ล้อเล่นหรือเปล่า ได้ยินมาว่าต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งเซียนบู๊ก็ไม่แน่ว่าจะรอดมาจากทัณฑ์อัสนีได้

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 359
“เป็นไปไม่ได้ เป็นร้อยปีมานี้ คณะฟ้าร้องเรามีเพียงศิษย์พี่หลัวตานคนเดียวที่ฝึกสำเร็จ ลู่ฝานเป็นแค่นักเรียนของคณะอื่น ไม่มีทางเรียนไปได้หรอก”

“ฉันก็คิดแบบนี้เหมือนกัน จะเรียนวิชาสายฟ้าฟาดห้าธาตุ ต้องมีพื้นฐานเป็นวิชาเทพสายฟ้าไม่ใช่หรือ ถ้าไม่สามารถเรียกสายฟ้าได้ เขาจะเรียนวิชาสายฟ้าฟาดห้าธาตุไปทำไม”

“แต่ว่า แม้แต่ศิษย์พี่หลัวตานก็ยังแพ้เขาเลย ไม่แน่ว่า เขาอาจจะมีวิธีอะไรที่พิเศษก็ได้ ไม่อย่างนั้นทำไมเขาจะดูวิชาสายฟ้าฟาดห้าธาตุด้วยเล่า”

“ฉันไม่เชื่อ ไม่เชื่อแน่นอน”

……

เหล่าศิษย์ของคณะฟ้าร้องก็เริ่มโวยวายกัน เสียงดังเสียจนลู่ฝานกับอาจารย์ฮั่วซานที่เดินออกไปไกลก็ยังได้ยินชัดเจน

อาจารย์ฮั่วซานไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่มองลู่ฝานนิ่งๆ เท่านั้น อยากจะเห็นอะไรบ้างอย่างบนใบหน้าของลู่ฝาน

แต่ลู่ฝานมีใบหน้านิ่งๆ ทำให้อาจารย์ฮั่วซานมองอะไรไม่ออกเลย

เป็นศิษย์ที่ สุขุม มากจริงๆ

อาจารย์ฮั่วซานก็แอบคิดในใจว่า ถึงว่า อาจารย์ทั้งหลายรวมทั้งท่านผอ.ล้วนประเมินลู่ฝานสูงมาก

เสี่ยวเหวินกับศิษย์พี่หวังก็อยู่ในกลุ่มคนเหล่านั้นด้วย พอได้ยินทุกคนคุยกัน เสี่ยวเหวินก็เงียบไม่พูดอะไร

พอเห็นว่าหลัวตานถูกหามกลับมา เสี่ยวเหวินก็รีบวิ่งไปตรงหน้าของหลัวตาน แล้วพูดว่า “ศิษย์พี่หลัวตาน พี่เป็นอย่างไรบ้าง?”

หลัวตานหน้าซีดมองเสี่ยวเหวิน แล้วพูดเบาๆ ว่า “ถอยออกไป!”

พูดจบ หลัวตานก็พยายามดิ้นออกจากนักเรียนสองคนที่พยุงเขาออกไป แล้วก็ค่อยๆ เดินออกไปเอง

ใบหน้าเศร้าๆ กลับแผ่นหลังอันเงียบเหงา ล้วนอยู่ในสายตาของเสี่ยวเหวิน

เสี่ยวเหวินแทบจะร้องไห้ออกมา นี่คือศิษย์พี่หลัวตานที่เธอหลงรักมาตลอดอย่างนั้นหรือ? ทำไมถึงเป็นแบบนี้

ศิษย์พี่หวังก็ไม่ค่อยพอใจกับการกระทำของหลัวตานเหมือนกัน

เดินเข้าไปลากเสี่ยวเหวินไว้ แล้วพูดว่า “ไปกันเถอะ เสี่ยวเหวิน พวกเราควรกลับคณะได้แล้ว”

เสี่ยวเหวินพยักหน้า สองคนก็กลับออกไป

ที่เรือนเก็บหนังสือของคณะฟ้าร้อง บนชั้น3 ถิ่นพิเศษปราณบู๊

ผ่านม่านพลังป้องกันด่านหนึ่งเข้ามา ลู่ฝานรู้สึกได้ว่าพลังในตัวทั้งหมดถูกพลังรุนแรงสายหนึ่งกดไว้ พลังปราณในตัวถูกลดการเคลื่อนไหวไปถึงเก้าส่วน ช้าอย่างกับเต่าคลาน

“ค่ายกลป้องกัน กดพลังได้ นักบู๊หรือผู้ฝึกชี่ทุกคนที่มาที่นี่ ล้วนจะสูญเสียการควบคุมพลังไปชั่วคราว พอดูจบแล้วออกจากที่นี่ ก็จะไม่เป็นอะไรแล้ว”

อาจารย์ฮั่วซานอธิบายอย่างนิ่งๆ

ลู่ฝานพยักหน้าเบาๆ แล้วก็ค่อยๆ เดินตามอาจารย์ฮั่วซานเข้าไป

ที่นี่เป็นห้องกว้างขนาดใหญ่ ข้างในสุดเป็นผนังห้อง ด้านบนมีตัวอักษรที่เขียนอย่างมีพลัง พอจ้องมองดู ลู่ฝานก็เห็นคำว่า วิชาสายฟ้าฟาดห้าธาตุทันที

เดินมาตรงหน้าของผนัง สายตาของอาจารย์ฮั่วซานก็จยับเบาๆ ยื่นมือไปคลำผนัง แล้วปัดฝุ่นบนตัวนั้นออก แล้วพูดว่า “วิชาสายฟ้าฟาดห้าธาตุ สุดยอดทักษะวิชาบู๊ของคณะฟ้าร้อง ได้มาจากสาขาสายฟ้าสำนักจิ่วเซียว นายมีเวลาทำความเข้าใจ3ชั่วโมง หลังจาก3ชั่วโมง นายก็กลับออกไปเองได้ ไม่อย่างนั้นก็จะผิดกฏของคณะฟ้าร้องเรา”

อาจารย์ฮั่วซานกวาดมองไปที่ลู่ฝาน ลู่ฝานก็พยักหน้าพูดว่า “3ชั่วโมงก็3ชั่วโมง”

อาจารย์ฮั่วซานหันหลังกลับออกไป พอเสียงเดินไกลออกไป ห้องกว้างๆ ก็เหลือเพียงลู่ฝานคนเดียว

ลู่ฝานขมวดคิ้วเล็กน้อย สำนักจิ่วเซียว ชื่อนี้ เหมือนเคยได้ยินที่ไหน

ส่ายหัว ดูเหมือนว่าจะคิดไม่ออก ไม่สนใจแล้ว เอาเวลามาทำความเข้าใจทักษะวิชาบู๊ดีกว่า

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 358
หมัดหนักดั่งขุนเขา ต่อยทำลายการตั้งรับสุดท้ายของหลัวตาน

กระอักเลือดพุ่งออกมา หลัวตานก็สลบไปในพลังหมัดของลู่ฝาน

เก็บพลังปราณกลับไป แล้วลู่ฝานก็หายใจเข้าลึกๆ

“เฮ้อ ถึงแม้หลัวตานจะแข็งแกร่งมากแล้ว แต่ก็ยังไม่อาจจะทำให้เราใช้พลังทั้งหมดออกมาได้”

ส่ายหัวถอนหายใจไป ลู่ฝานก็หยิบกระบี่เงาม่วงของหลัวตานขึ้นมาดูๆ

พลังปราณถูกใส่เข้าไปยังตัวกระบี่ ลู่ฝานก็รู้สึกได้ว่าในตัวกระบี่นี้มีภูมกลุ่มเล็กๆ อยู่ด้านใน ถึงแม้จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ยังห่างจากการเป็นภูติอาวุธอีกไกล แต่มีภูติอยู่ ก็แสดงว่าคุณภาพของกระบี่เล่มนี้มันสูงมากแล้ว

จากนั้น เสียงของเจดีย์เสวียนเก้ามังกรในกายก็ดังขึ้น

“ของดีเลยนะเนี่ย ฮ่าๆ เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ ท่านได้ของดีอีกแล้วนะ ฮ่าๆ กระบี่ไม่เลวเลยนะ คาดว่าท่านน่าจะไม่ได้ใช้มัน เอามาให้ข้ากลืนกินมันเถอะ อย่างน้อยก็จะได้ฟื้นฟูพลังให้ข้าหน่อย”

ลู่ฝานพูดว่า “ไม่ได้ ถ้าฉันเอากระบี่นี้ไป เกรงว่าทั้งคณะฟ้าร้อง คงจะไม่ปล่อยฉันไปแน่ อย่าหาเรื่องดีที่สุด”

พูดไป ลู่ฝานก็ปล่อยกระบี่เล่มนั้น แล้วเอาไปปักไว้ข้างหลัวตาน

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดเบาๆ ว่า “เสียดาย น่าเสียดาย เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ เมื่อไหร่ที่ท่านได้ไปโลกปราณก็คงจะดี ของล้ำค่าที่นั่นมีเป็นกองๆ เลยล่ะ……”

ลู่ฝานขมวดคิ้วเบาๆ โลกปราณมันคืออะไรกัน?

แต่ลู่ฝานยังไม่ทันได้ถามต่อ เจดีย์เสวียนเก้ามังกรก็กลับไหลกลับไปในตันเถียนของเขาเหมือนเดิม

ดูเหมือนว่าเรื่องนี้คงจะต้องถามวันหลังแล้วล่ะ

เดินกลับไป ลู่ฝานก็เดินกลับไปยังสะพานผ่านทัณฑ์อีกครั้ง ผาเหลยถิงถูกโจมตีจนเละเทะไปหมด คงจะต้องใช้ค่ายกลของสถาบันสอนวิชาบู๊มาฟื้นฟู แต่สะพานผ่านทัณฑ์ไม่ได้เป็นอะไรเลยแม้แต่น้อย

ข้างๆ สะพานผ่านทัณฑ์ นักเรียนของคณะฟ้าร้องทุกคนล้วนยืดคอรอคอย ตอนที่พวกเขาเห็นเงาของลู่ฝานเดินกลับมานั้น สีหน้าของนักเรียนพวกนี้ก็เสียใจเหมือนเสียญาติสนิท

อาจารย์ฮั่วซานก็ยืนอยู่ข้างๆ สะพาน สีหน้านิ่งๆ ผลการต่อสู้นี้เขาเดาออกแต่แรกแล้ว

ลู่ฝานเดินลงสะพานผ่านทัณฑ์ แล้วพูดนิ่งๆ ว่า “ตอนนี้หลัวตานต้องการการรักษา ตอนนี้สลบไปแล้ว”

อาจารย์ฮั่วซานสะบัดมือ ให้นักเรียนทางด้านหลังรีบไปช่วยเหลือ

แล้วนักเรียนหลายคนก็ตาโต แล้วรีบมุ่งหน้าไปยังผาเหลยถิง

สำหรับนักเรียนพวกนี้นั้น ปกติก็ไม่ได้มีโอกาสขึ้นไปยังผาเหลยถิงหรอก วันนี้มีโอกาสได้เข้าไป ขอเพียงครู่เดียวก็ยังดี ผาเหลยถิงแฝงไปด้วยพลังของสายฟ้ามากมากมาย มีประโยชน์พวกเขาที่ฝึกทักษะวิชาสายฟ้า

ลู่ฝานหันหน้ามาพูดกับอาจารย์ฮั่วซานว่า “อาจารย์ฮั่วซาน ตอนนี้พาผมไปดูวิชาสายฟ้าฟาดห้าธาตุได้หรือยังครับ?”

อาจารย์ฮั่วซานก็หน้ากระตุกๆ เขาเกือบลืมไปเลย ว่าเขาพนันกับลู่ฝานไว้ว่าจะให้ดูวิชาสายฟ้าฟาดห้าธาตุ

ลู่ฝานใบหน้าอมยิ้ม เมื่อครู่นี้เขาได้สัมผัสกับความยิ่งใหญ่รุนแรงของวิชาสายฟ้าฟาดห้าธาตุใกล้ๆ เป็นทักษะวิชาบู๊ระดับระดับดินขั้นกลางจริงๆ ถ้าได้เรียน ก็จะเพิ่มพลังของเขาได้เป็นอย่างมาก

ทักษะวิชาบู๊ที่สามารถล่อพลังสายฟ้าจากฟ้าดินได้แบบนี้ ถ้ามาอยู่ในมือของเขา จะต้องแสดงอานุภาพออกมาได้มากอย่างแน่นอน

เพราะว่าเขาไม่ใช่นักบู๊ธรรมดา แต่ยังเป็นผู้ฝึกชี่ด้วย

พลังที่สามารถล่อสายฟ้ามาได้ เหอะๆ เขาก็ทำได้!

“ตามฉันมานี่”

อาจารย์ฮั่วซานเดินพาลู่ฝานไปยังคณะฟ้าร้องอย่างไร้สีหน้า เหล่านักเรียนด้านข้าง ไม่มีใครกล้าตามไปสักคน

พวกคนที่รู้เรื่อง ยังคงคุยกันเรื่องนี้อยู่

“อาจารย์จะพาลู่ฝานไปดูวิชาสายฟ้าฟาดห้าธาตุแล้ว เขาคงจะไม่เรียนสุดยอดทักษะวิชาบู๊ของคณะฟ้าร้องเราไปได้หรอกมั้งนะ”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 357
การกลับออกไปของอาจารย์ฮั่วซาน หลัวตานก็เห็น

ตั้งแต่เข้ามาในคณะฟ้าร้องก็เป็นอัจฉริยะแห่งยุค ตอนนี้เริ่มใจสับสนแล้ว

อาจารย์หมดหวังกับเขาแล้วอย่างนั้นหรือ?

“เป็นไปไม่ได้ ไม่มีทางแน่นอน ยืมพลังของผาเหลยถิงมาแล้ว แถมยังมีกระบี่เงาม่วงอีก เขาจะแพ้ได้อย่างไร ใช่แล้ว กระบี่เงาม่วง”

เงยหน้าขึ้น หลัวตานจ้องมองไปยังแผ่นหลังของลู่ฝาน

เมื่อครู่นี้เขาได้เอากระบี่เงาม่วงแทงเข้าไปในหลังของลู่ฝานแล้ว ตอนนี้ลู่ฝานก็น่าจะได้รับบาดเจ็บหนักแล้วล่ะ

น่าเสีย วินาทีต่อมา ลู่ฝานก็ได้เคลื่อนไหวอะไรบางอย่างที่ทำให้เขาแทบจะสิ้นหวัง

ลู่ฝานค่อยๆ เอากระบี่เงาม่วงออกมา โดยที่คิ้วไม่ขมวดเลยแม้แต่น้อย

รอยแผลที่หลังของลู่ฝาน ก็ยิ่งอยู่ในสายตาของหลัวตาน แผลมันสมานเร็วมาก ไม่นาน ก็ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติแล้ว

หลัวตานแทบจะตาเหลือกออกมา นี่ยังเป็นคนอีกหรือนี่? พลังฟื้นฟูกายที่น่ากลัวแบบนี้ เป็นสัตว์อสูรชัดๆ

ลู่ฝานมองหลัวตานนิ่งๆ พลังการตอบ ของหลัวตานเมื่อครู่นี้ ทำให้ลู่ฝานแอบพยักหน้าให้เหมือนกัน เป็นคู่ต่อสู้ที่ไม่เลวเลยทีเดียว

สะบัดมือ ลู่ฝานโยนกระบี่เงาม่วงคืนให้กับหลัวตาน

จากนั้น พลังปราณก็มาปกคลุมตัวอีกครั้ง ลู่ฝานยืดเส้นยืดสาย รู้สึกว่าตนเองน่าจะใช้โอกาสนี้ฝึกพลังปราณของตนเองไว้ใช้

คู่ต่อสู้แบบนี้หายาก ต้องคว้าโอกาสนี้ไว้

เสียงดัง ติ๊ง กระบี่เงาม่วงปักลงที่ตรงหน้าของหลัวตาน ใบกระบี่ส่ายไปมาเบาๆ

หลัวตานไม่พูดอะไร ชักกระบี่เงาม่วงออกมา แล้วก็พยายามเก็บอาการบาดเจ็บของตนเองลงไป

ตอนนี้ลู่ฝานก็เอากระบี่หนักของตนเองใส่กลับหลังลงไปเหมือนเดิม เสื้อปราณทั่วกายก็เปลี่ยนเป็นพลังที่ไหลดั่งสายน้ำ ไหลไปทั่วร่างกาย

กวัดแกว่งมือ พลังฟ้าดินโดยรอบก็ถูกแยกออกไป ความเร็วในการออกหมัดของเขาเร็วจนน่ากลัว

หลัวตานเห็นท่าทางของลู่ฝาน ก็ตกใจอีกครั้ง แต่เขาก็กัดฟันพูดว่า “ลู่ฝาน นายเก็บกระบี่ไปแบบนี้แล้ว ดูถูกฉันงั้นหรือ?”

ลู่ฝานพูดนิ่งๆ ว่า “จริงๆ แล้วฉันถนัดวิชาหมัดที่สุด”

แสงก็สว่างขึ้นบนตัวของหลัวตาน สายฟ้าก็ฟาดระเบิดไปทั่วทิศ

“ในเมื่อเป็นแบบนี้ อย่างนั้นก็ให้ฉันได้เห็นวิชาหมัดของนายหน่อยก็แล้วกัน”

พูดจบ หลัวตานก็ฟันกระบี่ออกไป แสงสายฟ้าขนาดเท่าเสาบ้านก็ปรากฏขึ้น พุ่งไปตรงหน้าของลู่ฝาน

ลู่ฝานก็ขยับเท้าเล็กน้อย แล้วก็เคลื่อนไหวเร็วกว่าสายฟ้าหลบการโจมตีของหลัวตานไป

เท้าสะกิดพื้นเบาๆ ตัวลู่ฝานก็มาปรากฏตรงหน้าของหลัวตานอย่างกับผี

พริบตาก็ต่อยไปร้อยหมัด มันเร็วเสียจนหลัวตานไม่เห็นอะไรเลย แล้วเขาก็กระเด็นลอยออกไป

ยังไม่ทันร่วงลงพื้น ลู่ฝานก็มาตรงหน้าเขาอีกแล้ว แล้วก็เตะไปอีก3ครั้ง

ใบหน้า ท้อง หัวไหล่ถูกเตะอย่างแรง แล้วก็ร่วงลงมาที่พื้นเหมือนกับอุกกาบาต ทะลุพื้นดินลงไปจนลึก

ลู่ฝานค่อยๆ ร่อนลงพื้น ยืนอยู่ตรงหน้าของหลัวตาน แล้วฉีกยิ้มเบาๆ

สามารถปัดพลังฟ้าดินออกไปก่อนที่จะออกหมัดได้ ทำให้ความเร็วหมัดตนเองไปได้มากที่สุด แล้วทำไมจะเคลื่อนไหวตัวด้วยไม่ได้เล่า

หลายวันมานี้ลู่ฝานก็ไม่ได้ว่าง ในที่สุดก็ทำให้วิชาการต่อสู้ของตนเองชุดนี้ผสานเข้าด้วยกันเป็นอย่างดี ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะมีผลลัพธ์ที่ไม่เลวเลยทีเดียว

หลัวตานก็ยังคิดจะดิ้นรนสู้ต่อ กระบี่เงาม่วงกลายเป็นแสงกระบี่นับร้อยโจมตีใส่ลู่ฝาน

แต่ลู่ฝานก็หลบไปเบาๆ ก็หลบการโจมตีของแสงกระบี่ทั้งหมดได้แล้ว จากความเร็วของลู่ฝานตอนนี้ กระบี่พวกนี้มันดูช้ามากเลย

ยกมือขึ้น แล้วลู่ฝานก็ต่อยหมัดสุดท้ายออกมา

“หมัดถล่มเขาอู๋เซี่ยง”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 356
“ที่แท้ นี่ต่างหากถึงจะเป็นกระบี่หนัก”

ดวงตาใสสว่างดั่งสายน้ำ พลังล่องลอยเหนือทางโลก

เวลานี้ ในที่สุดลู่ฝานก็ได้ใช้พลังที่ซ่อนอยู่ในเขตวิถีกระบี่หนักไร้คม ในขณะเดียวกันก็ได้เปิดประตูใหม่ให้กับการฝึกวิชาของเขาด้วย

หลัวตานค่อยๆ เงยหน้าขึ้น

ร่างกายของเขาระยิบระยับไปด้วยแสงสายฟ้า รอบๆ มีแต่เสียงฟ้าร้อง

“วิชาสายฟ้าฟาดห้าธาตุ เทพสายฟ้าระเบิด!”

ทั้งผาเหลยถิง มีสายฟ้านับไม่ถ้วนกลายเป็นบอลสายฟ้าที่ส่องสว่าง

พอลู่ฝานเห็นสายฟ้ามีการเปลี่ยนแปลง ก็รีบเอากระบี่หนักมาไว้ด้านหน้า

บอลสายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนเกิดระเบิดขึ้น แสงสายฟ้าที่น่ากลัวกลายเป็นเมฆสายฟ้า ปกคลุมไปทั้งผาเหลยถิง

สายฟ้าที่น่ากลัวโจมตีใส่จนสะพานผ่านทัณฑ์สั่นไหวตลอดเวลา

เหล่านักเรียนของคณะฟ้าร้องที่ยืนอยู่ข้างๆ สะพานผ่านทัณฑ์ ก็ได้รับแรงระเบิดไปด้วย เสียงร้องโอดโอยดังขึ้นไม่หยุด

ตัวของหลัวตานอยู่กลางสายฟ้า เหมือนกับเป็นเทพสายฟ้าจุติลงมา

กระบี่เงาม่วงในมือก็กำไว้แน่น สายตาของหลัวตานก็จ้องมองไปยังลู่ฝานที่ยืนนิ่งดั่งขุนเขาท่ามกลางสายฟ้า

ในแสงสายฟ้าที่น่ากลัว ลู่ฝานยืนอยู่ในนั้น นิ่งเฉยไร้ผู้เทียบเคียง

บนกระบี่หนัก พลังที่เป็นเส้นๆ เหมือนสายน้ำช่วยเขากำจัดการโจมตีของสายฟ้าไปกว่าครึ่ง

แสงสายฟ้าที่เหลือ พอมาสัมผัสตัวของลู่ฝานก็สลายไปทันที เหมือนกับถูกพลังที่ไร้ลักษณ์กลืนกินไปเสียอย่างนั้น

หลัวตานกำกระบี่เดินขึ้นหน้าไป บนกระบี่เงาม่วง มีแสงสีแดงเปล่งออกมา

“สายฟ้าและลมเกิดพร้อมกัน แสงสายฟ้าจงปรากฏ สายลมพัดขึ้น”

ทันใดนั้นเอง หลัวตานก็เคลื่อนตัวราวกับสายลม มาปรากฏตัวทางด้านหลังของลู่ฝาน

ฟาดฟันกระบี่ออกไป ชี้ไปยังหลังของลู่ฝาน

เสื้อปราณสั่นไหว ลู่ฝานเอียงหัวไปช้าๆ มองหลัวตานด้วยหางตา

ในสายฟ้าที่น่ากลัวแบบนี้ ต่อให้เขากินยาแก้สายฟ้าลงไป ก็รับมือได้อย่างเดียว ไม่กล้าลงมือวู่วาม หลัวตานกลับลงมือได้ดั่งใจคิด วิชาสายฟ้าฟาดห้าธาตุ สมคำร่ำลือจริงๆ

กระบี่ฟันเข้ามาอีกแล้ว เสียงลมดังเข้ามา พัดแรงจนลืมตาแทบไม่ขึ้น

แรงลมที่น่ากลัวแฝงไปด้วยแสงสายฟ้า โจมตีใส่เสื้อปราณของลู่ฝานไม่หยุด

แคร่ก เสียงแตกเบาๆ

ในที่สุดเสื้อปราณของลู่ฝานก็ถูกหลัวตานทำลาย สาดสายตาเข้ามา หลัวตานเห็นเป็นจังหวะเหมาะ ตอนนี้นี่แหละ

“วิชาสายฟ้าฟาดห้าธาตุ พลังสายฟ้าลม งูไคลคลา”

กระบี่เงาม่วงในมือ เปลี่ยนรูปร่างเป็นรูสีม่วงทะลุเข้าไปยังเสื้อปราณของลู่ฝาน แล้วแทงเข้าไปยังแผ่นหลังของลู่ฝาน

ความเจ็บปวดส่งมาจากทางด้านหลัง แต่ลู่ฝานก็ยังไม่ขยับ

บนสองมือของหลัวตาน เต็มไปด้วยงูสายฟ้าเล็กๆ โจมตีออกไปสองมือ โจมตีไปยังตำแหน่งหัวใจของลู่ฝาน

แต่ตอนที่จะถูกตัวของลู่ฝานนั้น ก็รู้สึกว่ามีพลังอันตรายที่รุนแรง

หลัวตานกลับทิ้งการโจมตีครั้งนี้ไปอย่างไม่ลังเล และตอนที่เขาดึงพลังกลับไปนั้น ตัวของลู่ฝานก็มีไฟพุ่งสว่างออกมาอย่างน่ากลัว

“พลังวิญญาณ จงเปิด!”

พลังของห้าธาตุสะท้อนสายฟ้าทั้งหมดออกไป แม้แต่เสียงลมก็น้อยลงไปมากเลย

หลัวตานที่อยู่ใกล้ที่สุดถูกพลังวิญญาณของลู่ฝานโจมตีจนต้องถอยไปหลายก้าว ที่ปากและจมูกก็มีเลือดไหลออกมา

“เพลงเต๋าหนึ่งเดียว ที่แท้ก็คือเพลงเต๋าหนึ่งเดียว”

บนท้องฟ้า ในที่สุดอาจารย์ฮั่วซานก็มองเข้าใจเสียที

ถึงว่าลู่ฝานถึงได้ใช้พลังที่เหมือนของพลังเต๋าออกมาได้ ที่แท้เขาก็ได้ฝึกเพลงเต๋าหนึ่งเดียว ที่เป็นวิชาสุดยอดของคณะหนึ่งเดียว

อาจารย์ฮั่วซานที่คิดว่าเดาออกแล้ว ก็มีสีหน้าแหยๆ

ถึงแม้วิชาสายฟ้าฟาดห้าธาตุจะเรียนยากเหมือนกัน แต่เมื่อเทียบกับเพลงเต๋าหนึ่งเดียวที่เป็นวิชาที่ยากที่สุดของสถาบันสอนวิชาบู๊แล้ว ถือว่าห่างกันมากนัก

“ลู่ฝานถึงจะเป็นอัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดของสถาบันสอนวิชาบู๊”

อาจารย์ฮั่วซานหันหลังเหาะกลับไป ไม่ต้องดูบทสรุปแล้ว เพลงเต๋าหนึ่งเดียว จะอันตรายกว่าวิชาสายฟ้าฟาดห้าธาตุเสียอีก และรุนแรงกว่ามาก หลัวตานใช้พลังของผาเหลยถิงก็ยังไม่อาจที่จะกดลู่ฝานได้ อย่างนั้นการต่อสู้ต่อจากนี้ ก็จะได้เปรียบอยู่ฝ่ายเดียวแน่นอน

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 355
มังกรยักษ์สีแดงเลือดกระแทกตัวของหลัวตาน แทบจะพริบตา หลัวตานก็รู้สึกว่าเสื้อปราณสายฟ้าของตนเองจะต้านทานไม่ไหวแล้ว

“วิชาสายฟ้าฟาดห้าธาต เทพสายฟ้าปรากฏ ฟ้าดินสลาย”

เอากระบี่เงาม่วงในมือปักลงพื้น สองมือของหลัวตานก็ใช้พลังปราณรวมกันเป็นมุกสายฟ้าสองอัน บนท้องฟ้าก็มีสายฟ้าสีดำสองสายทอดลงมาใส่มือของเขา

หลัวตานโจมตีออกไปสองหมัด มุกสายฟ้าอันน่ากลัวก็ปะทะเข้ากับมังกรยักษ์

เกิดระเบิดรุนแรงอีกครั้ง ครั้งนี้ แรงระเบิดซัดออกไปไกลถึงด้านนอกของสะพานผ่านทัณฑ์ จนทำให้นักเรียนทุกคนในคณะฟ้าร้องล้มเอนเอียงกันไปหมด

อาจารย์ฮั่วซานจ้องมองอย่างเคร่งครัด แล้วก็แอบกำหมัดไว้อย่างแน่น

น่ากลัว น่ากลัวจริงๆ

แค่กระบวนท่าที่สอง ก็บีบให้หลัวตานต้องใช้วิชาสายฟ้าฟาดห้าธาต

ลู่ฝานแห่งคณะหนึ่งเดียว เขามีพลังระดับแดนปราณนอกจริงๆ งั้นหรือ?

ในหัวของอาจารย์ฮั่วซานก็คิดถึงปัญหาข้อนี้เหมือนกับคนอื่นๆ ไม่น้อย

บนผาเหลยถิง ลู่ฝานยืนองอาจอยู่ตรงนั้น การป้องกันเสื้อปราณบนตัวของเขา ไม่ได้ด้อยไปกว่าเสื้อปราณสายฟ้าของหลัวตานเลย แถมยังแข็งแกร่งกว่ามากด้วยซ้ำ

ฟ้าร้องที่น่ารำคาญก็ไม่สามารถทำอันตรายใดๆ ต่อเขาได้เลย ทั้งหมดถูกดูดซึมไปเหมือนกับเป็นพลังฟ้าดินปกติทั่วไป

สรรพคุณของยาแก้สายฟ้าดีขนาดนี้ ลู่ฝานก็คิดว่ากลับไปจะไปกลั่นเพิ่มอีกสักหลายๆ เตา

วันหลังถ้าต้องเจอกับคนของคณะฟ้าร้องแบบนี้ คนที่ชอบใช้ทักษะวิชาสายฟ้าแบบนี้ ยาแก้สายฟ้าเม็ดเดียว ก็สามารถทำให้พวกเขากลุ้มใจได้

ตอนนี้หลัวตานไม่ได้มีสีหน้าโอหังอวดดีและมั่นใจในตัวเองเหมือนตอนแรกเริ่มแล้ว แต่มีสีหน้าที่เหมือนเผชิญกับศัตรูอันร้ายกาจจ้องมองมายังลู่ฝาน

“ดูเหมือนว่าผมจะดูถูกนายเกินไปแล้ว ลู่ฝาน พลังของนายแข็งแกร่งกว่าที่ผมคิดไว้ ตอนนี้ผมเริ่มรู้สึกเสียดายแล้วที่ต่อให้นายสามกระบวนท่า”

ลู่ฝานยิ้มพูดว่า “ตอนนี้นายจะเปลี่ยนข้อตกลงก็ยังทันนะ”

หลัวตานหัวเราะลั่นออกมา “คำพูดที่ผมพูดออกไป ไม่เคยเปลี่ยนแปลงภายหลัง มาเลย เริ่มกระบวนท่าที่สามเลย ให้ผมดูหน่อย ว่านายยังมีอะไรที่รุนแรงอีก”

ลู่ฝานยกกระบี่ขึ้นอีกครั้ง พูดว่า “ไม่ทำให้นายผิดหวังแน่นอน”

พูดไป ลู่ฝานก็เอาพลังปราณของตนเองถ่ายทอดเข้าไปยังกระบี่หนักไร้คม ในขณะเดียวกันก็สัมผัสกับเขตวิถีบนกระบี่หนักไร้คม

พลังที่ไร้ลักษณ์ก็กระจายออกมาในทันที หลัวตานสัมผัสอะไรไม่ได้เลย ก็ถูกผลักจนต้องถอยไปสองก้าว

“นี่มันคืออะไรกัน?”

หลัวตานส่งเสียงตกใจออกมา

ข้างๆ ของสะพานผ่านทัณฑ์ อาจารย์ฮั่วซานก็มีสีหน้าเปลี่ยนทันที เขาสัมผัสได้ถึงพลังที่ชัดเจนสายหนึ่ง

คือพลังของเต๋า เป็นพลังของเต๋าจริงๆ

อาจารย์ฮั่วซานตกใจ แล้วก็เหาะขึ้น พุ่งไปยังผาเหลยถิง

เขาจะไม่ไปขัดขวางการต่อสู้ของลู่ฝานกับหลัวตาน แต่เขาจะเข้าไปดูให้ชัดเจนว่าพลังนี้มันมาจากไหน

ลู่ฝานก็ค่อยๆ ยกกระบี่หนักไร้คมขึ้น เวลานี้ กระบี่หนักไร้คมก็เหมือนจะหนักเป็นพันชั่ง ลู่ฝานก็รู้สึกแปลกๆ มันไม่น่าจะหนักขนาดนี้

แต่ว่า ลู่ฝานก็รู้สึกได้ว่าด้านในของกระบี่หนักไร้คม พลังที่เป็นของเขตวิถีมันชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ

พลังปราณของเขาไปกระทบกับด้านบน ทุกครั้งก็จะมีพลังสะเทือนมาอย่างน่ากลัว

“กระบี่หนักไม่คม ไหวพริบต้องเรียบง่าย”

10คำนี้ปรากฏขึ้นในหัวของลู่ฝาน

ไม่มีที่มาที่ไป อยู่ดีๆ ลู่ฝานก็เข้าใจในความหมายได้

กระบี่ค่อยๆ ร่อนลง ท่าทางไม่ช้าไม่เร็ว แต่กลับแฝงไปด้วยพลังที่ล้ำลึก

หลัวตานก็รู้สึกได้ทันทีว่ามีพลังที่รุนแรงพุ่งเข้ามาจากทุกทิศ ทำให้เขาโค้งตัวลงไปรีบจับกระบี่เงาม่วงทันที

ที่บนท้องฟ้า อาจารย์ฮั่วซานก็ถอยไปหลายก้าว สีหน้าตกใจ

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 354
ลู่ฝานหัวเราะ หัวเราะอย่างมีความสุขมาก

“ต่อให้ฉันสามกระบวนอย่างนั้นหรือ? นายแน่ใจนะ?”

หลัวตานนั่งอยู่ตรงนั้น เอามือลูบคลำกระบี่ยาวในมือ “แน่นอน แต่ถ้าพอผ่านไปสามกระบวนท่า เกรงว่าจะเป็นเวลาที่นายพ่ายแพ้พอดี ฉันหวังว่าจะได้เห็นพลังที่แข็งแกร่งที่สุดของนายภายในสามกระบวนท่านี้”

ลู่ฝานยิ้มพูดว่า “นายมีความมั่นใจมากนะ มั่นใจเหมือนกับฉันเลย”

คำพูดนี้ หลัวตานเพิ่งพูดออกไป ลู่ฝานก็เลยพูดตอบกลับไป

หลัวตานก็หัวเราะ สองคนมองหน้ากัน สามารถเห็นความฮึกเหิมในสายตาของทั้งคู่ได้เลย

ลู่ฝานก็ค่อยๆ ปล่อยพลังปราณของตนเองออกมา ในขณะเดียวกันก็ชักกระบี่หนักไร้คมออกมาด้วย

ส่งพลังปราณเข้าไป กระบี่หนักไร้คมก็เปล่งแสงออกมาระเรื่อ ก้อนหินแปลกๆ ที่ตั้งอยู่รอบๆ ก็ถูกพลังของกระบี่หนักไร้คมที่ปล่อยออกมา ทำลายจนเป็นผุยผง

“ยอดกระบี่!”

หลัวตานตาเป็นประกายจนน่ากลัว

ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้สังเกตเห็นกระบี่หนักไร้คมในมือของลู่ฝาน นักบู๊คนอื่นๆ รวมถึงเขาด้วย ล้วนคิดว่ากระบี่ในมือของลู่ฝานเป็นเศษเหล็ก

กระบี่ที่หนักขนาดนี้ ยังไม่ได้เปิดคมกระบี่ มองอย่างไรก็เหมือนกับเศษเหล็กที่ยังตีไม่เสร็จสมบูรณ์ คนไม่น้อยแอบซุบซิบกัน ว่าทำไมลู่ฝานทำไมถึงใช้กระบี่แบบนี้ ที่บ้านยากจนหรือเปล่า

แต่ตอนนี้ ในใจของหลัวตานก็หัวเราะเยาะพวกคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย รวมทั้งตัวเขาเองด้วย

กระบี่หนักไร้คมในมือของลู่ฝานเป็นอาวุธที่หาได้ยากชิ้นหนึ่ง เกรงว่าน่าจะมีพลังพิเศษเหมือนกับกระบี่เงาม่วงในมือของเขา

ยกกระบี่หนักไร้คมขึ้น ลู่ฝานเอ่ยปากพูดว่า “รับให้ดีล่ะ กระบวนท่าแรก!”

กระบี่แกว่งออกไป ลมฟ้าอากาศในฟ้าดินก็เปลี่ยนสี

“กระบี่ฆ่าพิชิตฟ้า หนึ่งกระบี่ฆ่าหก!”

พริบตา ตัวอักษรคำว่า ฆ่า 6ตัวก็พุ่งไปทางหลัวตาน

พลังที่ซัดเข้ามานั้น รุนแรงจนทำให้ก้อนหินที่เท้าของหลัวตานแหลกละเอียดเป็นผุยผง รอบตัวของหลัวตานก็ปกคลุมไปด้วยเกราะพลังปราณสายฟ้าหนึ่งชั้น

“ยอดวิชากระบี่!”

หลัวตานตะโกนออกมาอย่างตื่นเต้น

แค่กระบวนท่าแรกก็รุนแรงขนาดนี้แล้ว หลัวตานเห็นว่าเสื้อปราณสายฟ้าที่ตนภูมิใจเกือบถูกกระบวนท่าของลู่ฝานทำลาย

ตอนที่ตัวอักษรคำว่า ฆ่า พุ่งเข้ามาโจมตีตอนท้ายนั้น ตัวอักษรคำว่า ฆ่า ก็ระเบิดออก

แรงระเบิดที่น่ากลัว ทำให้ทั้งผาเหลยถิงสั่นสะเทือนไปหมด

ที่ไกลออกไป ข้างๆ สะพานผ่านทัณฑ์ นักบู๊ของคณะฟ้าร้องนับไม่ถ้วน ยืดคอยื่นหน้ากันมาดู

“พลังรุนแรงมากเลย ตอนแรกก็สู้กันรุนแรงเลย”

“ว้าว มีหินแหลกสลายมากมายเลย”

……

อาจารย์ฮั่วซานยืนเอามือไพล่หลังยืนมองนิ่งๆ ได้ยินนักเรียนทางด้านหลังคุยกัน แล้วก็แอบส่ายหัวเบาๆ

“นี่มันแค่เริ่มต้นเท่านั้น”

เสียงระเบิดค่อยๆ หายไป หินที่แตกร่วงหล่นลงมาเหมือนสายฝน และในฝุ่นก้อนหินนั้น

หลัวตานก็ลุกขึ้นมา มือกำกระบี่เงาม่วง สีหน้าหนักใจพูดว่า “กระบวนท่าที่หนึ่ง”

ลู่ฝานหัวเราะเบาๆ พูดว่า “พลังป้องกันไม่ธรรมดา อย่างนั้นก็รับกระบวนท่าที่สองเถอะ”

พูดไป กายของลู่ฝานก็ปลดปล่อยไฟสีทองออกมาทั้งร่าง พลังปราณบนกายก็รวมกันเป็นรูปร่างมังกร

พอมีสภาพแบบนี้ หลัวตานก็พูดอย่างตกใจว่า “วิชาราชันมังกรงั้นหรือ? เป็นไปไม่ได้!”

ลู่ฝานยิ้มพูดว่า “ไม่ใช่วิชาราชันมังกรอยู่แล้ว แค่เรียนมานิดหน่อยเท่านั้นเอง รับอีกกระบี่ก็แล้วกัน กระบี่มังกรเพลิงคำราม!”

ก้าวออกไปด้านหน้าอย่างแรง รอยเท้ายุบลงไปในพื้นจนเป็นหลุม

กระบวนท่ากระบี่นี้ปล่อยออกไป มังกรยักษ์สีแดงเลือดก็คำรามพุ่งตัวขึ้น

เมื่อเทียบกับวิชาหมัดมังกรเพลิงคำรามที่ลู่ฝานเคยใช้ อานุภาพของกระบี่นี้ แรงกว่าเท่าตัว

หลังจากลู่ฝานได้เห็นวิชาราชันมังกรของเฉียวเซวียน ก็ได้เข้าใจอะไรหลายอย่าง

เอาพลังปราณรวมเป็นรูปลักษณ์มังกรเหมือนกัน ตอนนี้ลู่ฝานสามารถร่ายร่างมังกรออกมาได้รุนแรงมากกว่าเดิม ใหญ่กว่าเดิม แล้วแข็งแรงกว่าเดิม

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 353
ลู่ฝานก็คำนับให้กับอาจารย์ฮั่วซานเบาๆ แล้วก็รีบเดินไปยังสะพานผ่านทัณฑ์

พอก้าวออกไปก้าวแรก ลู่ฝานก็รู้สึกว่าสายฟ้าเหมือนกับงูตัวน้อยๆ แทรกเข้าไปในร่างกายตนเอง ทำให้เข้ารู้สึกชา

ด้วยสายฟ้าพวกนี้ เกรงว่านักบู๊แดนปราณในจะผ่านไปไม่ได้

“มีวิธีการอะไรอยู่จริงๆ ด้วย”

ลู่ฝานยิ้มเบาๆ แล้วก็เดินไปด้านหน้า

ตอนที่ออกมาจากห้อง ยาแก้สายฟ้าเม็ดหนึ่งก็ถูกเขากลืนลงท้องไปแล้ว แค่สายฟ้าพวกนี้ ทำอะไรเขาไม่ได้หรอก

ฝีเท้าของลู่ฝานนั้นเร็วมาก สายฟ้ารอบๆ ก็โจมตีเขาไม่หยุด ยิ่งเดินเข้าไปลึกขึ้น สายฟ้าก็ยิ่งเยอะ แต่สายฟ้าที่เล็กเหมือนเส้นด้ายพวกนี้ ไม่ได้มีผลกระทบอะไรต่อเขาเลย

อาจารย์ฮั่วซานเห็นดังนั้น ก็ยิ้มพูดเบาๆ “น่าสนใจ น่าสนใจ ถ้าไม่รู้มาก่อนว่าเป็นศิษย์ที่พวกของอี้ชิงสั่งสอนมา ผมก็นึกว่าเป็นลูกศิษย์ของคณะฟ้าร้องเราเสียแล้ว สายฟ้าของสะพานผ่านทัณฑ์ถึงได้ทำอะไรเขาไม่ได้เลยแม้แต่น้อย เป็นต้นกล้าที่จะฝึกทักษะวิชาบู๊ด้านสายฟ้าจริงๆ”

เหล่านักเรียนของคณะฟ้าร้องทั้งหลาย ก็ยืนอยู่ด้านนอกของสะพานผ่านทัณฑ์ มองดูลู่ฝานเดินไปยังผาเหลยถิงทีละก้าวอย่างเงียบๆ

สายลมจากสี่ทิศก็เริ่มรุนแรงขึ้น ฟ้าดินโดยรอบก็มืดลงไปไม่น้อย

สายฟ้าสีดำที่ไม่ไกลออกไป เป็นเหมือนกับรอยแผลที่พาดผ่านท้องฟ้า น่ากลัวชวนขนลุก

เดินไปเป็นเวลาธูปหนึ่งดอกพอดี ในที่สุดลู่ฝานก็เดินผ่านสะพานผ่านทัณฑ์ไปได้ ตอนนี้บนตัวของเขามีแสงของสายฟ้าระยิบระยับทั้งตัว จากพลังตัวช่วยของยาแก้สายฟ้า ตันเถียนในร่างกายของเขาเต็มเปี่ยมเหลือประมาณ

บนผาเหลยถิง มีหินประหลาดวางไปทั่ว

โดยเฉพาะหินก้อนใหญ่ตรงกลางนั้น มีรูปร่างคล้ายๆ กับค้อนอันใหญ่

แต่ตรงส่วนด้ามจับของค้อนนั้น ก็มีหลัวตานนั่งนิ่งๆ อยู่ตรงนั้น

สายฟ้าสีดำร่วงลงมาข้างตัวเขาไม่หยุด เขาหันหลังให้กับลู่ฝาน แล้วพูดเบาๆ ว่า “ลู่ฝาน รู้ไหม? ที่นัดนายมาประลองฝีมือกันที่นี่ ฉันลังเลอยู่นานมากเลยนะ”

ลู่ฝานยิ้มพูดว่า “สุดท้ายนายก็เลือกที่นี่ไม่ใช่หรือไง? จะพูดเรื่องพวกนี้ทำไมกัน”

สายฟ้าสายหนึ่งแตกออก แฝงไปด้วยแรงระเบิดออกมาด้วย พัดมาทำให้เสื้อของทั้งสองคนปลิว

หลัวตานหันหน้ามา บนหน้าตักของเขามีกระบี่สีม่วงเล่มหนึ่งวางอยู่ ยาวประมาณ1เมตร ใบกระบี่กว้าง2นิ้ว ทุกครั้งที่มีสายฟ้าร่วงลงมา ก็มีแสงสายฟ้าขึ้นมา

สีหน้าที่เคยขาวซีดของหลัวตานนั้น วันนี้ดูเหมือนว่าจะดีขึ้นไม่น้อย

“นายพูดถูก พูดเรื่องพวกนี้ก็ไร้ประโยชน์ แต่ว่าในเมื่อเจ้ามาแล้ว ฉันก็จะบอกนายเสียหน่อย ที่นายกับฉันประลองกันที่นี่ นายไม่มีโอกาสชนะเลยแม้แต่ส่วนเดียว”

ลู่ฝานก็ยิ้มพูดว่า “จะมีหรือไม่มี สู้กันก่อนเดี๋ยวก็รู้ หลัวตาน นายนัดฉันมา คงจะไม่ได้มาพูดเรื่องไร้สาระพวกนี้หรอกนะ”

หลัวตานยิ้มพูดเบาๆ ว่า “นายมีความมั่นใจมาก มั่นใจเหมือนกับฉัน ฉันชอบคู่ต่อสู้แบบนาย แต่ว่าก่อนที่จะสู้กัน ฉันต้องพูดอะไรสองเรื่องก่อน เรื่องที่หนึ่ง นายไล่จางเยว่หานออกไป คนที่ฝึกทักษะวิชาชั่วร้าย แถมยังลักลอบทำร้ายผู้หญิงของฉันอีก ฉันดีใจมาก เรื่องที่สอง เมื่อวานนายก็ยังสู้กับพวกของจินเฟยหยู่อีกแล้ว ฉันได้ยินมาหมดแล้ว รอเราประลองกันเสร็จ เดี๋ยวฉันจะไปสั่งสอนพวกนั้นเสียหน่อย ไปทิ้งร่องรอยอะไรสักอย่างให้พวกนั้นไม่มีวันลืมไปทั้งชีวิต”

ลู่ฝานขมวดคิ้วพูดว่า “นายจะพูดอะไรกันแน่?”

หลัวตานหัวเราะขึ้นมา แล้วค่อยๆ พูดว่า “ที่ฉันจะพูด ก็มีสองเรื่องนี้ พอตอนที่เราประลองกัน ฉันจะต่อให้นายสองกระบวนท่า บวกกับ ตอนที่นายประลองกันกับฉันที่ผาเหลยถิง ฉันได้เปรียบเรื่องสถานที่ ก็จะต่อให้นายอีกกระบวนท่า ดังนั้น ฉันจะต่อให้นายทั้งหมดสามกระบวนท่า”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 352
“ต่อให้ช่วยรักษาอาการบาดเจ็บให้ฉัน แต่ก็ไม่ควร….ทำแบบนั้นนะ”

เสี่ยวเหวินโมโหไม่พอใจ พอนึกถึงมือของลู่ฝานมาวางบนตัวเธอ เธอก็รู้สึกว่าใบหน้าเหมือนมีไฟลุก

หวังหว่านนึกถึงตอนที่เพิ่งเข้าไปแล้วเห็นเสี่ยวเหวินเสื้อผ้าหลุดลุ่ย คาดว่าลู่ฝานจะถอดเสื้อผ้าให้เธอตอนทำการรักษา

นักฝึกบู๊รักษาอาการบาดเจ็บ จะถอดเสื้อผ้าเพื่อรักษา สามารถเห็นได้ทั่วไป

หวังหว่านมองเสี่ยวเหวินแล้วพูดว่า “เสี่ยวเหวิน เรื่องนี้ห้ามพูดกับใครเด็ดขาด ในเมื่อเขารักษาอาการบาดเจ็บให้เธอแล้ว ยังทำให้วิทยายุทธของเธอเพิ่มขึ้นมากด้วย และไม่ได้ชิงความบริสุทธิ์ของเธอไปด้วย เรื่องนี้ก็พักเอาไว้ก่อน ถ้าเธอโมโหจนทนไม่ไหวล่ะก็ เดี๋ยวศิษย์พี่ไปหาคนช่วยเธอจัดการเขาให้”

เสี่ยวเหวินบ่นพึมพำว่า “ศิษย์พี่ เกรงว่าทั้งคณะฟ้าร้องคงจะไม่มีใครจัดการเขาได้นะ”

หวังหว่านก็พูดไม่ออก

สองคนก็นิ่งไป เสี่ยวเหวินพูดว่า “ศิษย์พี่ ฉันขอกลับไปนอนก่อนแล้วกัน อย่าเอาเรื่องนี้ไปบอกใครนะ”

หวังหว่านตอบว่า “วางใจเถอะ เดี๋ยวพี่จะช่วยจัดการให้ อ่อแล้วก็ เสี่ยวเหวิน เธอได้รับบาดเจ็บได้อย่างไร?”

เสี่ยวเหวินตอบว่า “คือว่าฉัน…….”

คำพูดตอนท้าย เสี่ยวเหวินก็คิดๆ แต่ก็ไม่ได้พูดออกมา เพราะว่าเธอบอกศิษย์พี่หวังหว่านไปว่าตนเองแอบเข้าไปในห้องของลู่ฝาน ศิษย์พี่จะต้องด่าเธอแน่นอน

เสี่ยวเหวินส่ายหัว ไม่อยากพูดอะไรมาก แล้วก็หันหลังกลับไป

หวังหว่านมองดูเสี่ยวเหวินทางด้านหลัง แล้วก็ส่ายหัวยิ้มเบาๆ

หวังหว่านหันตัวเดินกลับไป จนมาถึงตรงหน้าห้องของลู่ฝานอีกครั้ง

พวกคนรับใช้ฟังคำสั่งของเธอ ยังคงคอยเฝ้าอยู่หน้าประตู

หวังหว่านโบกมือพูดว่า “พวกนายออกไปเถอะ เรื่องในวันนี้ ถ้าแพร่ออกไป ฉันรับรองเลยว่าพวกนายทุกคนจะต้องได้ออกไปจากสถาบันสอนวิชาบู๊แน่นอน”

คนรับใช้ทุกคนก็สีหน้าเปลี่ยน รีบรับปากแล้วรีบเดินออกไป

หวังหว่านเคาะประตูห้องของลู่ฝาน แต่ไม่ได้เปิดเข้าไป

ยืนอยู่หน้าประตู พูดเบาๆ ว่า “ลู่ฝาน นายเป็นคนช่วยรักษาอาการบาดเจ็บให้กับเสี่ยวเหวินใช่ไหม?”

ทางด้านใน ลู่ฝานก็ค่อยๆ ลืมตาทั้งสองข้างขึ้น “ศิษย์พี่หวัง พี่รู้แล้วงั้นหรือ? ผมไม่ได้โกหกพี่ ผมช่วยรักษาให้จริงๆ”

“รักษาให้อย่างเดียวงั้นก็ดี ขอถามอีกหน่อย เลือดบนเตียงมันนั้นคืออะไร?”

ลู่ฝานถามอย่างนิ่งๆ ว่า “คือเลือดคั่ง ถ้าศิษย์พี่หวังไม่เชื่อ ก็เข้ามาดูได้ เลือดคั่งกับเลือดสด มันไม่เหมือนกัน”

ศิษย์พี่หวังพยักหน้าเบาๆ ที่นอกประตู นิ่งไปครู่หนึ่ง ก็พูดว่า “อย่างนั้นก็ยังไม่ต้องคุยกันเรื่องนี้ วันพรุ่งนี้นายต้องประลองกับศิษย์พี่หลัวตาน รีบพักผ่อนเถอะ”

ลู่ฝานขมวดคิ้วเบาๆ เชื่อกันง่ายๆ แบบนี้เลยหรือไง? แต่ว่าเชื่อเขาได้ ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี

เสียงที่หน้าประตูค่อยหายไป หวังหว่านกลับออกไปแล้ว

ลู่ฝานหายใจออกมายาวๆ แล้วก็หลับตากลับไปอีกครั้ง

……

เช้าวันต่อมา ที่ผาเหลยถิง บนเขาด้านหลังของคณะฟ้าร้อง

ในหมู่เมฆหมอก บนยอดหน้าผา

ภายใต้การนำของอาจารย์ฮั่วซาน ลู่ฝานค่อยๆ เดินไปทางผาเหลยถิง

ด้านหลัง เสี่ยวเหวินกับหวังหว่านก็อยู่ในกลุ่มคนที่ขึ้นมา ดูเหมือนว่าทั้งสองคนจะลืมเรื่องเมื่อคืนไปหมดแล้ว สีหน้าเป็นปกติ มองดูผาเหลยถิงที่ไกลออกไป

มองไกลออกไป ผาเหลยถิงก็เหมือนกับสายฟ้าที่ฟาดลงมาใส่หน้าผาจนแยกออก มีลวดลายที่สายฟ้าฟาดลงมาชัดเจนตรงส่วนที่ถูกตัดออกไป รอบๆ มีเมฆหมอกหนาแน่น บางครั้งก็จะมีสายฟ้าฟาดลงมาใส่หน้าผาอยู่บ่อยๆ ถือว่าเป็นทัศนียภาพที่แปลกเหมือนกัน

แต่ว่าสีสันของสายฟ้ามันแปลกไปมาก มันเป็นสีดำสนิท ดูแล้วน่ากลัว

สะพานเหล็กเฟยเถียนเชื่อมต่อกับผาเหลยถิง มีแสงสายฟ้าสาดไปมาบนสะพานเหล็ก

อาจารย์ฮั่วซานชี้ไปยังสะพานเหล็ก

“ถึงสะพานผ่านทัณฑ์แล้ว ลู่ฝาน หลัวตานกำลังรอนายอยู่บนผาเหลยถิง นายเข้าไปเองได้เลย”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 351
เสี่ยวเหวินเสื้อผ้าหลุดลุ่ย ร้องไห้โฮ พอเห็นศิษย์พี่หวังหว่านก็ยิ่งร้องหนักกว่าเดิม แล้วก็วิ่งเข้าไปหา

ศิษย์พี่หวังหว่านก็สีหน้าเปลี่ยนไปทันที มองดูลู่ฝาน แล้วก็ชักอาวุธออกมาของตนเอง คนรับใช้หลายคนเห็นว่าหวังหว่านมีสีหน้าอาฆาต ก็เลยไม่กล้าเข้าไปใกล้ชิด

หวังหว่านกัดฟันมองดูรำคาญลู่ฝาน “สัตว์เดรัจฉาน”

ลู่ฝานก็พูดดีสีหน้าทำอะไรไม่ได้ “ถ้าผมบอกว่าทั้งหมดนี้มันแค่ช้ำเลือด เธอเชื่อไหม?”

หวังหว่านสั่นไปทั้งตัว คิดอยากจะสู้กับลู่ฝานด้วยชีวิต

แต่พอนึกถึงวิทยายุทธอันน่ากลัวของเขา หวังหว่านก็เลยเหลือสติที่ทำให้เธอไม่บุ่มบ่ามบุกเข้าไป

ลู่ฝานก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรจริงๆ

ทำอะไรลงไป เดิมทีช่วงนี้ก็ชื่อเสียงไม่ค่อยดีอยู่แล้ว พอเกิดเรื่องนี้มาอีก เกรงว่าคงจะลบล้างฉายากระบี่โหดเหี้ยมฆ่าอนงค์ไม่ได้ตลอดชีวิต

หวังหว่านพูดเสียงดังว่า “ลู่ฝาน เรื่องนี้ฉันจะต้องไปรายงานต่อท่านอาจารย์ นายรอเข้าไปอยู่ในคุกของสถาบันได้เลย”

ลู่ฝานก็มองเธออย่างกลุ้มใจ แล้วก็ถอนหายใจออกมายาวๆ

หวังหว่านหันหลังเดินกลับออกไป ตอนเดินออกไปยังปิดประตูให้ด้วย เล่นเอาพวกคนรับใช้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

หวังหว่านมองไปยังคนรับใช้ที่ยื่นหน้าเข้ามาดู แล้วก็ตะโกนใส่ว่า “พวกนายคอยดูอยู่ที่นี่นะ ถ้าเขามีอะไรเคลื่อนไหว ให้รีบมารายงานฉันเลย”

พวกคนรับใช้ก็รีบตอบรับกันเสียงดัง ลู่ฝานที่อยู่ด้านในก็ได้ยินอย่างชัดเจน

เขาก็หวังว่าอาจารย์ฮั่วซานจะสามารถมาได้ ด้วยสายตาของอาจารย์ฮั่วซาน น่าจะมองออกว่าเขานั้นเป็นผู้บริสุทธิ์

แต่เรื่องที่ถอดเสื้อผ้ารักษาอาการบาดเจ็บ เขาไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรเหมือนกัน

เฮ้อ วุ่นวาย วุ่นวายจริงๆ

ยิ่งคิดยิ่งสับสน ลู่ฝานก็เลยหลับตาทั้งสองข้างลง

หลับตาทำสมาธิ ไม่อยากจะไปคิดเรื่องเหล่านี้ มันจะเป็นอย่างไรก็ช่างมันเถอะ

ด้านนอก หวังหว่านเดินออกไปไม่ไหล ก็เห็นเสี่ยวเหวินกำลังทำลายข้าวของอย่างโมโห เอาเท้าถีบประตูสำริดของคณะพัง

หวังหว่านก็รู้สึกว่าผิดปกติ

นี่ก็ไม่เหมือนกับถูกใครลวนลามมานะ อีกอย่าง พลังของเสี่ยวเหวินก็ดูรุนแรงเกินไปหน่อย

หวังหว่านเลยรีบเข้าไปพูดว่า “เสี่ยวหวิน เธออย่าโมโหไปเลย ศิษย์พี่มีเรื่องคำถามจะถามเธอหน่อย”

เสี่ยวเหวินพูดตาแดงๆ ว่า “ศิษย์พี่ ฉันจะฆ่าไอ้บ้านั่น ฉันรู้ว่าสู้มันไม่ไหว แต่ฉันจะฆ่ามันให้ได้ มันล่วงเกินฉัน ชิงความบริสุทธิ์ของฉันไป ฉันจะยอมสู้จนตัวตายไปพร้อมกับมัน”

หวังหว่านพูดเบาๆ ว่า “ล่วงเกินความบริสุทธิ์ของเธอไปเลยจริงๆ งั้นหรือ? เสี่ยวเหวิน…..เจ็บตรงนั้นหรือเปล่า?”

เสี่ยวเหวินก็อึ้งนิ่งไป ถึงแม้เธอจะไร้เดียงสา แต่ก็ไม่ใช่เด็กที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย

“เหมือนจะไม่เจ็บ แต่ว่า ทำไมมันต้องเจ็บด้วยล่ะ”

เสี่ยวเหวิรำคาญเอียงหัวถามว่า จากนั้นก็ตาเป็นประกาย “ไม่สิ ไม่สิ ฉันไม่ระวังหลุดเข้าไปในสถานที่ที่แปลกประหลาด น่าจะได้รับบาดเจ็บทั้งตัวถึงจะถูกสิ ทำไมตอนนี้ถึงไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเลยล่ะ”

เสี่ยวเหวินจับแขนของตนเอง แล้วเธอก็คลำไปยังรอยแผลที่ยังไม่หายดี

“จริงด้วย ฉันได้รับบาดเจ็บจริงๆ แล้วใครมาช่วยรักษาให้ล่ะ? หรือว่าจะเป็น……..”

สีหน้าของเสี่ยวเหวินกับหวังหว่านก็เปลี่ยนไป ถึงแม้ไม่อยากจะเชื่อ แต่ดูเหมือนว่าจะมีลู่ฝานคนเดียวที่ช่วยรักษาให้เธอ มีคำตอบนี้เพียงหนึ่งเดียว

หวังหว่านเข้าไปคิดจะใช้พลังปราณเพื่อตรวจสอบพลังปราณของเสี่ยวเหวิน ทันใดนั้น หวังหว่านก็ถูกพลังปราณคุ้มกายของเสี่ยวเหวินกระแทกกลับออกมา

“เสี่ยวเหวิน วิทยายุทธของเธอตอนนี้ สูงกว่าของศิษย์พี่แล้ว”

เสี่ยวเหวินก็รีบมองตัวเอง จากนั้นเธอก็อ้าปากค้าง ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 350
“เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ ดูเหมือนความสนใจของเราเหมือนกันนะ”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดอยู่ในตัวลู่ฝาน

อะไรที่ไม่เหมาะสมก็อย่าไปมองๆ

ลู่ฝานรีบปิดตาแล้วตะโกนว่า “ไอ้เก้ารีบบอกมาว่าควรทำยังไง”

ได้ยินน้ำเสียงของลู่ฝานมีความขุ่นเคือง เจดีย์เสวียนเก้ามังกรรีบพูดว่า “เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ เอามือวางไว้ตรงอกเธอ ที่เหลือฉันจัดการเอง”

ลู่ฝานหัวใจกระตุก

“ฉันต้องเอามือวางไว้ที่อกเธอเหรอ”

ลู่ฝานตะโกนอยู่ในใจ

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรรีบพูดว่า “เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ ต้องวางไว้ที่อก ฉันถึงจะส่งพลังเข้าไปได้สูงสุด อาจต้องใช้ปราณชี่ของเจ้านายเล็กน้อย ทางที่ดีเจ้านายเตรียมยาไว้อีกสองเม็ด แค่มีประสิทธิภาพรักษาอาการบาดเจ็บก็พอ”

ลู่ฝานยังคงลังเล เจดีย์เสวียนเก้ามังกรตะโกนเสียงดังอยู่ในตัวเขา

“เจ้านาย เธอจะไม่ไหวแล้ว รีบตัดสินใจสิ”

ลู่ฝานลืมตาขึ้น รีบวางมือลงบนอกของเสี่ยวเหวิน

เสี่ยวเหวินดูเป็นคนตัวเล็ก แต่หน้าอกอวบอึ๋มมาก ใช้คำว่ากระเพื่อมมาบรรยายก็ไม่เกินไป

มือสัมผัสกับก้อนนุ่มนิ่ม ปราณชี่ในตัวลู่ฝานเคลื่อนไหวเข้าไปในมุกเทพอย่างต่อเนื่อง

เงาของเจดีย์เสวียนเก้ามังกรปรากฏขึ้นในตันเถียน ในการมองเห็นด้านในของลู่ฝาน เจดีย์เสวียนเก้ามังกรเหมือนต้นไม้ใหญ่ที่สูงเสียดฟ้า เติบโตอยู่ในตันเถียนอย่างรวดเร็ว

พลังบริสุทธิ์ต่างๆ อยู่ภายใต้การควบคุมของเจดีย์เสวียนเก้ามังกร เข้าไปในตัวเสี่ยวเหวินผ่านแขนของเขา

เห็นได้ด้วยตาเปล่าว่า มีแสงบางๆ สว่างขึ้นบนตัวเสี่ยวเหวิน

เหมือนหิ่งห้อยท่ามกลางความมืด แสงนวลบวกกับผิวใสของเสี่ยวเหวิน เหมือนความฝันจริงๆ

ลู่ฝานสัมผัสได้ว่าร่างกายของเสี่ยวเหวินกำลังฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว แม้ปกติเจดีย์เสวียนเก้ามังกรชอบคุยโม้ แต่ในช่วงเวลาสำคัญก็พึ่งพาได้

พลังบริสุทธิ์ที่เจดีย์เสวียนเก้ามังกรแปรเปลี่ยนออกมา มีความสามารถในการรักษาที่แข็งแกร่ง ดีกว่ายาเม็ดเป็นอย่างมาก มิน่าล่ะเจดีย์เสวียนเก้ามังกรถึงพูดว่าปกป้องชีวิตเขาได้

มีความสามารถในการรักษาที่น่ากลัวแบบนี้อยู่ อยากตายก็ยังยาก

เส้นลมปราณกับกระดูกในตัวเสี่ยวเหวินกำลังฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังทำให้พลังปราณของเธอ ค่อยๆ ฟื้นฟูกลับมาอยู่ในสภาวะสมบูรณ์

“เจ้านาย รีบป้อนยาให้เธอ”

ลู่ฝานได้ยินก็รีบป้อนยาเข้าไปในปากเสี่ยวเหวิน

เมื่อรู้สึกว่าฤทธิ์ยากำลังแผ่ซ่านในตัวเสี่ยวเหวิน เจดีย์เสวียนเก้ามังกรีบเพิ่มพลังเข้าไปอีก

ทันใดนั้น เสี่ยวเหวินกระอักเลือดออกมา ทั้งเตียงเต็มไปด้วยเลือด

“หายแล้วๆ ฮ่าๆ เด็กผู้หญิงคนนี้โชคดีมาก เจ้านาย ยาสองเม็ดของเจ้านายบวกกับพลังที่ฉันส่งเข้าไปให้เธอ คงทำให้ผลการฝึกตนของเธอสูงขึ้นเกินหนึ่งขั้น”

ลู่ฝานพยักหน้าเบาๆ ขณะกำลังจะชักมือกลับมา

ขณะนั้นเสี่ยวเหวินลืมตาขึ้นมา

เสี่ยวเหวินสะลึมสะลือ เห็นมือที่ลู่ฝานวางอยู่บนอกของตัวเอง อีกทั้งเสื้อผ้าตัวเองที่ถูกถอดออก

เสี่ยวเหวินกรีดร้องออกมาทันที

ลู่ฝานยังไม่ทั้นตั้งตัว เสี่ยวเหวินถีบลงบนหน้าของเขา

เสียงกรีดร้องดังสนั่น

คนที่ได้ยินเสียงเป็นคนแรก คือคนที่อยู่ไม่ไกลอย่างศิษย์พี่หวัง รวมถึงคนใช้สองสามคน ที่เดินตรวจตราตอนกลางคืน

หวังหว่านพุ่งออกมาทันที

“เสี่ยวเหวิน เธอเป็นอะไร”

หวังหว่านตะโกนพลางใช้ฝ่ามือผลักประตูออก

หลังจากนั้นสิ่งที่ปรากฏอยู่ในสายตาคือเสี่ยวเหวินกำลังร้องไห้ กับลู่ฝานที่ยืนอึ้งอยู่ข้างๆ อีกทั้งยังมีเลือดเต็มเตียง……

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 349
“เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ เหมือนมีคนบุกเข้ามาในจวนอากาศธาตุ”

ลู่ฝานตกใจแล้วพูดว่า “อะไรนะ ใครบุกเข้ามา ทำไมถึงเพิ่งบอกตอนนี้”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดว่า “เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ เมื่อกี้คุณตั้งใจกลั่นยาอยู่ไง ฉันไม่กล้ารบกวนคุณ อีกฝ่ายพละกำลังแย่มาก ขนาดประตูคุ้มครองยังผ่านไม่ได้ ตอนนี้เกือบจะไม่รอดแล้ว ช่วยเธอดีไหม”

ลู่ฝานคิดในใจ ตัวเขาย้ายไปที่ประตูคุ้มครองอย่างรวดเร็ว

ทันใดนั้น ลู่ฝานมาถึงหน้าประตูคุ้มครอง เมื่อมาถึงลู่ฝานเห็นเสี่ยวเหวินที่โดนมังกรสีทองบนประตูคุ้มครองทำร้ายจนบาดเจ็บไปทั้งตัว

“หยุด!”

ลู่ฝานแผดเสียงดังออกมา มังกรสีทองหายไปเหมือนฟองอากาศ

เพราะตอนนี้ลู่ฝานคือเจ้าของจวนอากาศธาตุ สมบัติทั้งจวนอากาศธาตุเป็นของเขา แค่ประตูคุ้มครองบานเดียว จะกล้าขัดใจเขาได้อย่างไร

ลู่ฝานรีบเดินเข้ามา มองเสี่ยวเหวินที่หายใจรวยรินอย่างตกตะลึง

“เธอเข้ามาได้ยังไง โง่จริงๆ ถ้าฉันมาช้าแค่ก้าวเดียว เธอต้องตายที่นี่แน่ๆ”

พูดพลาง ลู่ฝานป้อนยาเม็ดหนึ่งให้เสี่ยวเหวิน ถือว่ารักษาชีวิตเธอเอาไว้ได้

จากนั้นลู่ฝานอุ้มเสี่ยวเหวินออกมาจากจวนอากาศธาตุ แสงสีดำเข้าไปในเข็มขัดของเขาทันที

เสื้อผ้ายับยู่ยี่ ตัวของเสี่ยวเหวินเต็มไปด้วยเลือด ถึงลู่ฝานป้อนยาเธอไปแล้ว ก็ไม่สามารถทำให้เธอฟื้นขึ้นมา

ลู่ฝานรีบวางเสี่ยวเหวินลงบนเตียง วางมือลงบนหลังเสี่ยวเหวินเบาๆ ปราณชี่เข้าไปในร่างกายเสี่ยวเหวินผ่านเส้นลมปราณของเธอ

“เส้นลมปราณถูกทำลายไป 30 เปอร์เซ็นต์ เลือดลมเสียหาย พลังปราณไม่มั่นคง อาการไม่ดี!”

ลู่ฝานหาในเข็มขัดของตัวเอง มียาอะไรที่สามารถรักษาชีวิตของเสี่ยวเหวินได้บ้าง

แต่หาไปหามา ยารักษาอาการบาดเจ็บมีไม่น้อย แต่ถ้าจะรักษาเสี่ยวเหวินให้หาย มันไม่มีเลย

อาการสาหัสขนาดนี้ ถ้าไม่รีบรักษา ถึงหายก็มีอาการภายหลังที่น่ากลัว ไม่แน่เสี่ยวเหวินอาจจะต้องหยุดอยู่ที่แดนปราณในไปตลอดชีวิต

นี่ไม่ใช่สิ่งที่ลู่ฝานอยากเห็น ลู่ฝานกัดฟัน เหงื่อเต็มหน้าผาก

ขณะนั้นเสียงของเจดีย์เสวียนเก้ามังกรดังขึ้น

“เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ เจ้านายอยากช่วยเธอไหม”

ลู่ฝานพูดอย่างกังวลว่า “อยากสิ แกมีวิธีอะไรรีบพูดมา”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรหัวเราะคิกคัก “ฉันช่วยเธอได้ แค่เธอยังไม่ตาย ก็ไม่มีใครที่เจดีย์เสวียนเก้ามังกรช่วยไม่ได้ แค่อาการบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น เรื่องจิ๊บจ๊อย เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ เจ้านายวางเธอให้นอนราบ”

ลู่ฝานได้ยินก็รีบวางตัวเสี่ยวเหวินให้นอนราบลง ให้ตายเถอะ ถ้าให้คนรู้ว่าเขามาคณะฟ้าร้องวันแรก ก็ทำให้นักเรียนหญิงบาดเจ็บสาหัส เขาต้องซวยแน่ๆ ยังดีที่เจดีย์เสวียนเก้ามังกรมีวิธี

“หึหึ ถอดเสื้อออกให้หมด อย่าให้เหลือ ถอดออกให้หมด เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ ถอดสิ อย่าลังเล เวลาไม่คอยท่านะ!”

ลู่ฝานยืนอึ้งอยู่ที่เดิม ตะโกนในใจว่า “ทำไมต้องถอดเสื้อด้วย ใส่เสื้อผ้ารักษาไม่ได้เหรอ”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดเบาๆ ว่า “มีเสื้อผ้ากั้นอยู่ส่งพลังเข้าไปยาก ต้องรีบช่วยคน เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ ต้องมีความคิดใสสะอาดสักหน่อยนะ”

ลู่ฝานแทบอยากเอาเจดีย์เสวียนเก้ามังกร ในตันเถียนออกมาซัดสักยก

ลู่ฝานกัดฟัน สับสนอยู่ครู่หนึ่ง แล้วค่อยๆ ถอดเสื้อผ้าบนตัวเสี่ยวเหวินออก

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 348
เวลาผ่านไปเรื่อยๆ สมาธิของลู่ฝานจมดิ่งไปกับการกลั่นยา

ยาชีวิตระดับสี่กลั่นยากตามคาดจริงๆ ตอนนี้ลู่ฝานล้มเหลวไป 7-8 ครั้งแล้ว เปลืองสมุนไพรไปไม่น้อย

ดีที่ตำหนักยาขนาดใหญ่ จึงไม่สนใจสมุนไพรแค่นี้

โดยทั่วไปแค่เป็นสูตรการกลั่นยาสำหรับนักบู๊โดยเฉพาะ สมุนไพรที่ใช้ จึงระดับไม่สูงมาก เป็นสิ่งที่หาได้ในกองสมุนไพร ดังนั้นเปลืองเล็กน้อย ลู่ฝานจึงไม่เจ็บใจมากเท่าไร

ลู่ฝานเร่งเวลาในการกลั่นยา

ด้านนอกมีคนใช้มาเรียกลู่ฝานกินข้าวเย็น

แต่เรียกอยู่พักหนึ่งก็ไม่มีเสียงตอบรับ คนใช้สองคนทำได้เพียงออกไปอย่างไม่พอใจ

เวลาโพล้เพล้ กลางวันถูกแทนที่ด้วยยามค่ำคืน ท้องฟ้ามืดเหมือนโดนหมึกสาด

หวังหว่านได้ยินว่าลู่ฝานปิดประตูไม่ออกมา จึงไม่รบกวนแล้ว แต่เสี่ยวเหวินอดความสงสัยของตัวเองเอาไว้ไม่ได้ วิ่งมาหน้าประตูห้องของลู่ฝาน ทำลับๆ ล่อๆ เพราะอยากดูว่าลู่ฝานทำอะไรอยู่ในห้อง

“หึ ต้องไม่ได้ฝึกอยู่แน่นอน ไม่มีความเคลื่อนไหวของพลังปราณสักนิด”

เสี่ยวเหวินแอบใช้พลังปราณผลักประตูห้องของลู่ฝาน

เธอมองไปรอบๆ ไม่เห็นเงาของลู่ฝาน

“แปลกมาก เขาไปไหนแล้ว”

เสี่ยวเหวินเกาหัว ไม่เข้าใจเล็กน้อย

ลู่ฝานอยู่ในห้องนี้แท้ๆ ทำไมถึงหายไปได้ล่ะ

“คนเลวนี่คงไม่ได้แอบไปทำเรื่องไม่ดีใช่ไหม ฉันบอกแล้วว่าเขาเป็นคนเลว หึ ต้องใช่แน่ๆ ฉันจะไปบอกศิษย์พี่หวัง”

เสี่ยวเหวินกระทืบเท้าแล้วแอบด่า

ตอนกำลังจะออกไป เห็นจุดสีดำกะพริบลอยอยู่ในห้อง

แม้ในห้องมืดไปหมด แต่จุดดำนี้ กลับดำจนผิดปกติ จนทำให้เธอมองเห็น

“เอ๊ะ นี่คืออะไร”

เสี่ยวเหวินยื่นมือไปคว้าจุดดำ

ต่อมาแรงดูดมหาศาลออกมาจากจุดดำ เสี่ยวเหวินโดนดูดเข้าไปในจวนอากาศธาตุ

เสี่ยวเหวินกรี๊ดออกมา เข้ามาในที่ที่เธอไม่ควรเข้ามา

เห็นประตูคุ้มครองขนาดใหญ่อยู่ข้างหน้า เสี่ยวเหวินเห็นบรรยากาศประหลาดรอบๆ ตกใจจนเกือบจะร้องไห้ออกมา

เสี่ยวเหวินตกใจตะโกนออกมา “มีคนไหม ที่นี่ที่ไหน ช่วยด้วย!”

เสี่ยวเหวินตะโกนพลาง ใช้พลังปราณของตัวเอง เริ่มผลักประตูที่อยู่ด้านหน้า

แต่ขณะนั้น มังกรตัวใหญ่บนประตู เริ่มลอยขึ้นมา อ้าปากกว้างใส่เสี่ยวเหวิน

……

ในตำหนักยา ลู่ฝานยังพยายามกลั่นยาแก้สายฟ้า

ครั้งที่ 10 ครั้งนี้ต้องสำเร็จ

ยาเม็ดทรงกลมก่อตัวเป็นรูปร่างอยู่ในหม้อสือฟาง ลู่ฝานกระตุ้นปราณชี่ ทำให้ความเร็วในการก่อตัวของยาในหม้อสือฟางช้าลงไป

ตอนนี้กระบวนการก่อตัวของยา จะผิดพลาดไม่ได้สักนิดเดียว

ในที่สุดยาเม็ดที่มีเสียงลมฟ้าเบาๆ ก่อตัวขึ้นในหม้อสือฟาง ลู่ฝานตาเป็นประกาย ปราณชี่บนตัวทะลักออกมา

เปลวไฟสีทองร้อนระอุเข้าไปในหม้อสือฟาง ยาแก้สายฟ้าเด้งออกมาพร้อมกับเสียงกรีดร้อง!

กลั่นยาสำเร็จ!

ลู่ฝานคว้ายาแก้สายฟ้าเอาไว้ในมือ หัวเราะออกมาอย่างมีความสุข

มียาแบบนี้อยู่ ผาเหลยถิงพรุ่งนี้ก็ไม่นับประสาอะไร

แม้สายฟ้าฟาดลงมาบนตัว อาศัยยาแก้สายฟ้าเม็ดนี้ ก็สามารถต้านทานได้

ลู่ฝานยิ้มแล้วเก็บยาแก้สายฟ้าลงไปในขวดยา อันที่จริงกลั่นยาชีวิตระดับสี่ออกมาได้ ลู่ฝานก็มีความสุขมากแล้ว

ลู่ฝานเก็บหม้อสือฟาง เตรียมจะออกไป

แต่ขณะนั้น เสียงของเจดีย์เสวียนเก้ามังกรที่อยู่ในตัวดังขึ้น

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 347
ลู่ฝานพยักหน้า ลานบ้านใหญ่ขนาดนี้ ไม่ต่างจากคฤหาสน์ตระกูลลู่ของเขาสักเท่าไร

หวังหว่านพูดต่อ “คืนนี้ฉันกับเสี่ยวเหวินก็พักที่นี่ นายเป็นแขก มีเรื่องอะไรเรียกพวกเราได้”

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “งั้นรบกวนทั้งสองท่านด้วย โอเค ในเมื่อมาถึงแล้ว งั้นทั้งสองท่านตามสบายเลย ผมพักแค่คืนเดียวเท่านั้น ไม่มีเรื่องอะไรหรอก”

ลู่ฝานเดินไปด้านหลัง เดินเล่นสวนหลังบ้านสักเล็กน้อย จากนั้นหาห้องเพื่อพักผ่อน

หวังหว่านเห็นลู่ฝานปิดประตูลง ยิ้มแล้วพูดว่า “เสี่ยวเหวิน เธอว่าเขาเป็นคนเลวจริงเหรอ”

เสี่ยวเหวินพูดว่า “ไม่รู้สิ ศิษย์พี่หวังคืนนี้เราทดสอบเขาสักหน่อยไหม”

ศิษย์พี่หวังรีบส่ายหน้าพูดว่า “ห้ามเด็ดขาด เรารับคำสั่งจากอาจารย์ ให้ดูแลเขาคืนนี้ ห้ามรบกวนการพักผ่อนของเขา พอแล้ว เสี่ยวเหวินฉันจะไปบอกให้ในครัวเตรียมอาหาร เธอก็เดินเล่นตามสบายเถอะ”

เสี่ยวเหวินตอบรับ มองศิษย์พี่หวังจนลับสายตา

จากนั้นเสี่ยวเหวินมองห้องของลู่ฝาน มีประกายประหลาดในแววตา

ลู่ฝานเพิ่งเข้ามาในห้อง ก็ได้กลิ่นไม้จันทน์

หลังจากนั้น ลู่ฝานเห็นผู้หญิงสวมชุดคนใช้ กำลังเช็ดโต๊ะเก้าอี้อยู่

เมื่อเห็นลู่ฝานเข้ามา ผู้หญิงรีบหยุดการกระทำ แล้วพูดอย่างนอบน้อมว่า “นายท่าน”

ลู่ฝานรีบโบกมือไปมาแล้วพูดว่า “ไม่ต้องเรียกว่านายท่านหรอก ผมเป็นแค่นักเรียนคนหนึ่งในสถาบันสอนวิชาบู๊เท่านั้น”

ผู้หญิงพูดเบาๆ ว่า “แค่เป็นนักเรียนของสถาบันสอนวิชาบู๊ ก็เป็นนายท่านของพวกเราแล้ว คนใช้อย่างพวกเรา ล้วนรับใช้พวกนายท่าน”

ลู่ฝานหัวเราะเหอะๆ แล้วพูดว่า “คิดไม่ถึงว่านักเรียนคณะฟ้าร้อง ช่างสบายจริงๆ ออกมาฝึกฝน ยังมีพวกคนใช้คอยปรนนิบัติ”

ผู้หญิงพูดอย่างตกใจว่า “คณะอื่นไม่ได้เป็นแบบนี้เหรอ นายท่าน ฉันได้ยินว่าพวกนายท่านคณะกระบี่ คณะหยินหยาง ยิ่งหรูหรากว่านี้ เฟอร์นิเจอร์ข้างในหนึ่งชิ้นแพงมากเลยนะ”

ลู่ฝานโบกมือไปมา “เธอไม่รู้จักคณะหนึ่งเดียวสินะ โอเคๆ เธอออกไปเถอะ เธอไม่ต้องรับใช้ที่นี่หรอก”

ผู้หญิงตอบรับเบาๆ จากนั้นคำนับแล้วปิดประตูออกไป

ลู่ฝานนั่งอยู่ในห้อง กวาดตามองรอบๆ ห้องใหญ่ขนาดนี้ แต่ราศีและความงามไม่หายไป

บนกำแพงมีรูปภาพต่างๆ แขวนอยู่เต็มไปหมด สไตล์แตกต่างกันออกไป แต่ดูแล้วสบายตา

ลู่ฝานละสายตาออกมา ยังต้องทำเรื่องสำคัญ

เอาสูตรการกลั่นยาออกมาจากเข็มขัดเป็นปึก ลู่ฝานอ่านทีละแผ่น

เขาจำได้ว่าในสูตรการกลั่นยาที่เซียนสือฟางทิ้งไว้ มีสูตรการกลั่นยาสูตรหนึ่ง สามารถช่วยเขาขจัดสภาวะของผาเหลยถิงออกไปได้

หาอยู่ครู่หนึ่ง ลู่ฝานก็หาเจอ

เขาจำไม่ผิด มีสูตรการกลั่นยานี้จริงๆ ดูชื่อแล้วมีประโยชน์มาก

ยาแก้สายฟ้า กินแล้วสามารถนำพลังสายฟ้าเข้าสู่ร่างกายได้ ทำให้กระดูกและเส้นเอ็นแข็งแรง เสริมกล้ามเนื้อ พัฒนาพลังปราณ นักบู๊เท่านั้นที่กินได้

ยาชนิดนี้เป็นยาชีวิตระดับสี่ มีความยากในการกลั่นออกมา

แต่ไม่ต้องกังวล สมุนไพรในคลังมีอยู่ตลอด ใช้เวลาหนึ่งคืน ทำออกมาสักหนึ่งถึงสองเม็ด ไปสู้กับหลัวตานที่ผาเหลยถิงพรุ่งนี้ เขามีโอกาสชนะสูงมาก

คนอื่นคงรู้สึกเจ็บปวดใจที่ต้องเสียยาชีวิตในการต่อสู้

แต่สำหรับลู่ฝาน แค่เขาสามารถกลั่นยาออกมาได้ ก็เป็นแค่เรื่องเล็กน้อย

ลู่ฝานสูดหายใจลึก เข้าไปในจวนอากาศธาตุ

เมื่อมาถึงตำหนักยา ลู่ฝานเอาหม้อสือฟางออกมา เลือกสมุนไพรเรียบร้อย และเริ่มกลั่นยา

ไม่นาน กลิ่นยาแผ่ซ่านไปทั่วจวนอากาศธาตุ

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 346
เมื่อออกจากโถงพลังธรรมด้านนอกยังเต็มไปด้วยผู้คน

แต่ตอนนี้สีหน้าที่พวกนักเรียนคณะฟ้าร้องมองลู่ฝาน ไม่ได้เต็มไปด้วยความไม่เป็นมิตรเหมือนเมื่อกี้แล้ว

กลับเต็มไปด้วยสีหน้าหวาดกลัว อิจฉา ริษยาเต็มไปหมด

เพราะผู้แข็งแกร่งอยู่ที่ใด ล้วนได้รับการเคารพ นักเรียนคณะฟ้าร้องส่วนใหญ่ ไม่เคยเห็นการแสดงออกของลู่ฝานในคณะอื่น แม้ได้ยินมาว่าลู่ฝานแข็งแกร่งมาก แต่ก็ไม่ได้สนใจสักเท่าไร แต่ตอนนี้สิ่งที่หูได้ยินอาจจะไม่ใช่เรื่องจริง สิ่งที่ตาเห็นต่างหากจึงจะเป็นเรื่องจริง พวกนักเรียนที่ล้อมอยู่ด้านนอกโถงพลังธรรม เห็นการแสดงออกของลู่ฝานในโถงพลังธรรม

สู้ชนะทั้งสามรอบ พวกศิษย์พี่จินเฟยหยู่กับศิษย์พี่เหอคุน ไม่สามารถรับกระบวนท่าได้เลย

พละกำลังที่น่ากลัวขนาดนี้ พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน

อีกทั้งมีคนกำลังสงสัย ลู่ฝานเป็นนักเรียนจริงๆ ใช่ไหม

ทำไมเป็นนักบู๊เหมือนกัน ถึงห่างชั้นกันได้ถึงเพียงนี้

ที่ที่ลู่ฝานเดินผ่านไป กลุ่มคนแยกทางให้เหมือนสายน้ำ เสียงถกเถียงดังเข้ามาในหูอย่างต่อเนื่อง

“ลู่ฝานน่ากลัวมาก ศิษย์พี่หลัวตานจะสู้เขาได้จริงเหรอ”

“ฉันคิดว่าไม่น่าจะได้ เหมือนศิษย์พี่หลัวตานยังไม่เคยเอาชนะพวกศิษย์พี่จินเฟยหยู่ด้วยกระบวนท่าเดียวได้”

“พวกนายพูดอะไร ศิษย์พี่หลัวตานชนะแน่นอน อีกทั้งพวกนายไม่รู้เหรอ ฉันได้ยินว่า ศิษย์พี่หลัวตานนัดต่อสู้ที่ผาเหลยถิง”

“จริงเหรอ งั้นศิษย์พี่หลัวตานชนะแน่นอน”

“ใช่ ผาเหลยถิงเป็นสถานที่ที่ทำให้วิชาคณะฟ้าร้องแข็งแกร่งขึ้น จากพละกำลังของศิษย์พี่หลัวตาน อยู่ที่นั่นคงปล่อยออกมาได้ 2-3 เท่า”

“เงียบ ไม่ต้องพูดมาก”

……

ลู่ฝานหันไปมองพวกนักเรียนที่พูดคุยกัน ทันใดนั้นพวกนักเรียนเงียบลงทันที

แต่ลู่ฝานได้ยินข้อมูลที่เป็นประโยชน์

เขาขมวดคิ้วเบาๆ ผาเหลยถิงสามารถเพิ่มพลังวิชาของหลัวตานได้

คิดไม่ถึงว่าหลัวตานจะแอบเล่นงานเขาเงียบๆ ลู่ฝานแอบขำ แต่ถ้าคิดว่าแบบนี้สามารถเอาชนะเขาได้ หลัวตานคิดง่ายดายเกินไปแล้ว

ลู่ฝานลูบคาง เริ่มคิดว่ามีวิธีอะไรต้านทานประสิทธิภาพของผาเหลยถิงได้บ้าง

หลัวตานอยากอาศัยความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์จัดการหลัวตาน ลู่ฝานไม่โง่เสียเปรียบเรื่องนี้หรอก

ทันใดนั้น ลู่ฝานคิดอะไรบางอย่างได้

รอยยิ้มบางๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้า เริ่มมีความมั่นใจขึ้นมา

หวังหว่านกับเสี่ยวเหวินที่อยู่ข้างๆ มองรอยยิ้มบนหน้าลู่ฝาน รู้สึกสงสัยขึ้นมา

เสี่ยวเหวินตบไหล่ลู่ฝานแล้วพูดว่า “นายคิดอะไร ยิ้มมีความสุขเชียว นายยังไม่ตอบตกลงฉันเรื่องสอนวิชาเลย”

ลู่ฝานหันไปมองเสี่ยวเหวิน แล้วพูดว่า “เรื่องเกี่ยวกับความลับของคณะหนึ่งเดียว ผมจะสอนพี่ได้ยังไง อีกอย่างสมุนไพรแค่เล็กน้อยจะแลกวิชา พี่ฝันไปเถอะ ศิษย์พี่หวังใกล้ถึงเรือนหยูฮั่วหรือยัง”

เสี่ยวเหวินพูดเบาๆ “ไอ้ขี้เหนียว”

หวังหว่านหัวเราะแล้วพูดว่า “ใกล้ถึงแล้ว เลี้ยวถนนนี้ไปก็ถึงแล้ว”

ทั้งสามรีบเลี้ยวผ่านถนน เมื่อถึงสถานที่ คนที่มามุงดูน้อยลง จากนั้นกลุ่มคนแยกย้ายออกไป

เดินประมาณครึ่งชั่วยาม มาถึงสถานที่ที่เรียกว่าเรือนหยูฮั่ว

ดูเหมือนเป็นห้องที่โดดเด่นงดงาม มีกลอนคู่ติดอยู่ตรงประตู

“ทะเลที่กว้างใหญ่แล้วแต่ปลาจะว่ายวน ฟ้าที่สูงแล้วแต่นกจะบิน”

เมื่อผลักประตูเข้ามา ด้านในมีคนจำนวนไม่น้อยกำลังทำความสะอาดอยู่ หวังหว่านพูดว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน นี่คือคนใช้ของเรือนหยูฮั่ว คืนนี้เป็นคนรับใช้ของนาย มีลานบ้านสามลานบ้าน มีห้องซ้ายขวาแปดห้อง ห้องหนังสือ ลานประลองบู๊อยู่ด้านหลัง”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 345
ถ้าสู้กัน ก็ต้องสู้กับคนที่มีพละกำลังใกล้เคียงกันสิ แตกต่างกันขนาดนี้ สู้กันแล้วนอกจากโดนทารุณ ยังจะมีอะไรอีก

คนที่สี่ยืนขึ้นอย่างโงนเงน จนเกือบทำให้เก้าอี้ล้ม

อาจารย์ฮั่วซานเห็นภาพตรงหน้า ก็สะบัดมือไปมา “พอแล้ว ไม่ต้องสู้กันแล้ว ลู่ฝานชนะ”

ลู่ฝานส่ายหน้าไปมา “อาจารย์ฮั่วซาน เราคุยกันแล้ว ชนะทั้งสี่รอบ อาจารย์จะให้ผมดูวิชาสายฟ้าฟาดห้าธาตุ ตอนนี้เพิ่งสามรอบเอง อาจารย์จะไม่กลืนคำพูดตัวเองใช่ไหม!”

อาจารย์ฮั่วซานแผดเสียงเบาๆ “คณะฟ้าร้องไม่ได้ไร้ความน่าเชื่อถือขนาดนั้น นายเป็นอัจฉริยะในรอบร้อยปีของคณะหนึ่งเดียวจริงๆ นักเรียนคณะฟ้าร้องของฉัน สู้นายไม่ได้ ดูเหมือนพรุ่งนี้คงมีแค่หลัวตานที่สู้กับนายได้ การต่อสู้สี่รอบนี้ถือว่านายชนะ ไม่งั้นถ้านายบาดเจ็บแล้วแพ้พรุ่งนี้ จะมาว่างั้นงี้กับคณะฟ้าร้องอีก”

พูดจบ ฮั่วซานยักคิ้วหลิ่วตาให้ลู่ฝาน

ความหมายชัดเจนมาก “ไอ้เด็กน้อย ทางที่ดีนายไว้หน้าฉันหน่อย ไม่งั้นอย่าหวังว่าจะได้ดูวิชาสายฟ้าฟาดห้าธาตุ”

ลู่ฝานหัวเราะแล้วพยักหน้าเบาๆ จากนั้นพูดเสียงดังว่า “ขอบคุณอาจารย์ฮั่วซานมาก เพิ่งสู้สามรอบ ผมก็เหนื่อยแล้ว ดูสบายๆ แต่เสียพลังไปเยอะมาก กลัวว่าถ้าเข้ามาอีกคน ผมคงสู้ลำบากแน่ๆ อาจารย์ฮั่วซานให้ผมชนะหนึ่งรอบ ผมซาบซึ้งใจมาก”

อาจารย์ฮั่วซานพยักหน้าอย่างพอใจ ดวงตามีรอยยิ้ม ขยับปากพูดว่า “ถือว่านายรู้งาน”

อาจารย์ฮั่วซานสะบัดมือมองจินเฟยหยู่และคนอื่น ครูทุกคนที่อยู่ข้างๆ พาจินเฟยหยู่และคนอื่นไปรักษา ไม่อยู่ขวางตาที่นี่ต่อ

เสี่ยวเหวินเห็นดังนั้น ย่นปากยู่แล้วพูดว่า “ที่แท้เขาก็หมดแรงแล้ว หึ ฉันว่าแล้ว ไม่มีใครเอาชนะพวกศิษย์พี่จินกับศิษย์พี่เหอได้ง่ายๆ หรอก”

ศิษย์พี่หวังยิ้มแล้วพูดว่า “เสี่ยวเหวิน เธอเชื่อเขาพูดจริงเหรอ”

ศิษย์พี่หวังหัวเราะความใสซื่อของเสี่ยวเหวินพลางมองรอยยิ้มบางๆ บนใบหน้าลู่ฝาน

คนที่มีรอยยิ้มเบาบางแบบนี้ เป็นคนเลวจริงเหรอ

ศิษย์พี่หวังยิ่งไม่เชื่อข่าวลือเข้าไปใหญ่

ตอนนี้อาจารย์ฮั่วซานลุกขึ้นมา พูดกับลู่ฝานว่า “ลู่ฝาน หลังจากนายสู้กับหลัวตานเสร็จ ฉันจะให้นายยืมดูวิชาสายฟ้าฟาดห้าธาตุ คืนนี้นายพักที่คณะฟ้าร้องละกัน หวังหว่าน เธอพาลู่ฝานไปเรือนหยูฮั่ว”

ลู่ฝานกำลังจะพูดว่าให้เขายืมดูตอนนี้ได้ไหม แต่เมื่อคิดดูแล้ว ลู่ฝานคิดขึ้นมาได้ว่าคงจะไม่ได้

เพราะพรุ่งนี้เขาจะสู้กับหลัวตาน และที่พึ่งใหญ่สุดของหลัวตาน ก็คือวิชาสายฟ้าฟาดห้าธาตุ อาจารย์ฮั่วซานคิดเพื่ออันดับของสถาบัน คงไม่ให้เขายืมวิชาสายฟ้าฟาดห้าธาตุตอนนี้หรอก

ลู่ฝานประสานมือคำนับให้อาจารย์ฮั่วซาน จากนั้นหันหลังเดินออกไป

ศิษย์พี่หวังก็คือหวังหว่านลากเสี่ยวเหวินวิ่งตามไปอย่างตระหนก

พวกเธอสองคนเข้ามาในโถงพลังธรรมได้ เพราะพวกเธอดำเนินงานในสถาบัน เดินตรวจตราตามปกติ ช่วยนักเรียนในสถาบันส่งข่าว ก็ยังพอมีอำนาจอยู่บ้าง

ทั้งสามรีบเดินออกจากโถงพลังธรรม เสี่ยวเหวินยื่นหน้าเข้ามามองลู่ฝาน “เมื่อกี้นายใช้วิชาของคณะหนึ่งเดียวทั้งหมดเลยเหรอ สอนฉันได้ไหม ฉันแลกสมุนไพรกับนาย”

ลู่ฝานยิ้มแล้วมองเสี่ยวเหวิน “พี่บอกว่าผมเป็นคนเลวไม่ใช่เหรอ ทำไมผมต้องสอนพี่ด้วย”

เสี่ยวเหวินย่นปากยู่ “แม้นายเป็นคนเลว แต่เป็นคนเลวที่มีความสามารถ ฉันอยากเรียนเคล็ดวิชาบู๊ที่เก่งกาจ ไม่ได้หรือไง”

ลู่ฝานหัวเราะออกมา ไม่ตอบอะไร

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 344
จัดการสองคนด้วยสองกระบวนท่าอย่างรวดเร็ว

สองคนที่เหลือของคณะฟ้าร้อง เห็นแล้วถึงกับอึ้ง

อาจารย์ฮั่วซานช็อกไปแล้ว ตอนนี้เขารู้สึกว่าพนันแบบนี้กับลู่ฝาน ประมาทไปหน่อยหรือเปล่า

ครู นักเรียนคณะฟ้าร้องที่อยู่ที่นี่ พากันมองลู่ฝานอย่างตกตะลึง

เสี่ยวเหวินเอามือปิดปากตัวเองเบาๆ “ทำไมถึงแข็งแกร่งขนาดนี้ ขนาดศิษย์พี่หลัวตาน ก็ไม่มีทางเอาชนะศิษย์พี่เหอคุนได้ด้วยกระบวนท่าเดียว”

ศิษย์พี่หวังที่อยู่ข้างๆ ตาเป็นประกาย มองแผ่นหลังลู่ฝาน ด้วยความตื่นเต้น

ผู้ชายที่แข็งแกร่งมาก ห้าวหาญ สง่าผ่าเผย สุภาพบุรุษจริงๆ ช่างเป็นคนที่เธอ……

เสี่ยวเหวินเห็นความผิดปกติของศิษย์พี่หวังดึงเธอเบาๆ แล้วพูดว่า “ศิษย์พี่หวังไม่เป็นอะไรใช่ไหม”

ศิษย์พี่หวังแก้มแดงระเรื่อทันที “ไม่เป็นไรๆ ลู่ฝานคณะหนึ่งเดียวแข็งแกร่งจริงๆ”

กล้ำกลืนฝืนทน นักเรียนที่โดดเด่นคนที่สามของคณะฟ้าร้องเดินออกมา

“เว่ยตงเจิง โปรดชี้แนะด้วย”

เพิ่งพูดจบ เว่ยตงเจิงแผ่พลังปราณไปทั่วร่างกาย เสื้อปราณอย่างหนาเป็นชั้นๆ ราวกับเอาพลังปราณทั้งหมดมาใช้เพื่อป้องกัน

สภาพแบบนี้ ทำให้อาจารย์ฮั่วซานถอนหายใจออกมา

คิดไม่ถึงว่านักเรียนที่โดดเด่นของคณะฟ้าร้อง จะตกใจจนสติแตกไปแล้ว

เห็นการแสดงออกของเว่ยตงเจิง แค่ต้านทานกระบวนท่าของลู่ฝานได้ ก็นับว่าทำหน้าที่สำเร็จแล้ว

การกระทำแบบนี้ ยังจะพูดเรื่องชนะได้ยังไง

ลู่ฝานเห็นแล้วแทบจะหัวเราะออกมา จนลืมจู่โจมไปเลย

เว่ยตงเจิงเริ่มเดินวนรอบลู่ฝาน ท่าทางหวาดระแวง เหมือนเจอสัตว์อสูรที่น่ากลัวมาก มีเหงื่อไหลลงมาจากหน้าผาก

“นายจะหมุนสักกี่รอบ”

ลู่ฝานยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น

เว่ยตงเจิงกัดฟัน แล้วหยุดลง จากนั้นดึงดาบพุ่งเข้าไปหาลู่ฝาน

สายฟ้าแผ่ออกมาจากใต้เท้าของเขา

“ดาบฟ้าร้อง งูสายฟ้าฆ่า!”

ไม่พูดก็ไม่ได้ กระบวนท่านี้มีอำนาจมาก แต่พลานุภาพธรรมดาทั่วไปมาก

กระบวนท่างดงามแต่ไม่สมจริง พลังปราณก่อตัวแต่ไม่มั่นคง ถ้าเดาไม่ผิด แดนปราณนอกของเว่ยตงเจิงต้องพึ่งสมุนไพรหรือไม่ก็ยา ไม่สามารถควบคุมได้สักนิด

ในบรรดานักเรียนที่โดดเด่นของคณะฟ้าร้อง พละกำลังของเว่ยตงเจิงคงต่ำที่สุด

ลู่ฝานไม่คิดจะใช้เคล็ดวิชาบู๊ระดับดินในการจัดการเขาสักนิด

กายทองไฟอาบพลุ่งพล่าน เปลวไฟสีทองลุกโชนบนตัวลู่ฝาน

ลู่ฝานยกมือซ้ายบีบดาบยาวพลังปราณในมือเว่ยตงเจิง

ปราณชี่ในตัวเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง ที่เว่ยตงเจิงกรีดโดนผิวหนังลู่ฝานเมื่อครู่ สมานกันอย่างรวดเร็ว ไม่เหลือแม้แต่รอยแผล

ใช้แรงบีบดาบยาวพลังปราณของเว่ยตงเจิงกลายเป็นแสงเล็กๆ มากมาย

พลิกมือสะบัดกระบี่ วิชากระบี่มังกรม้วนโจมตีลงบนตำแหน่งหัวใจของเว่ยตงเจิง

เสื้อปราณบนตัวเว่ยตงเจิงแตกออกทันที เหมือนโดนหินก้อนใหญ่กระแทกตัว กระเด็นออกไปสามสิบกว่าเมตร จึงหยุดลง

พละกำลังแดนปราณนอกชั้นหนึ่ง สิ่งที่อยู่ตรงหน้าลู่ฝานตอนนี้ ดูเล็กน้อยมาก

นักบู๊ทั่วไป ถ้าไม่ใช่แดนปราณนอกชั้นสี่ขึ้นไป ไม่มีทางสู้กับเขาได้

“คนที่สาม”

ลู่ฝานพูดออกมาอย่างสบายๆ

ต่อสู้สามคนต่อเนื่อง ลู่ฝานแสดงออกสบายๆ เหมือนหั่นผัก ผู้ใหญ่รังแกเด็กชัดๆ สู้ไปงั้นๆ ก็ชนะแล้ว

คนสุดท้ายของคณะฟ้าร้องกลืนน้ำลาย แววตามีความหวาดกลัว

ถ้ารู้ว่าลู่ฝานแข็งแกร่งขนาดนี้ ใครจะออกมากันล่ะ

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 343
อาจารย์ฮั่วซานส่งเสียงหึเบาๆ “เป็นเด็กที่ปากคอเราะร้ายจริงๆ นายอยากเห็นวิชาสายฟ้าฟาดห้าธาตุใช่ไหม ฉันจะให้นายดู แค่วันนี้นายต้องชนะนักเรียนทั้งสี่คนของคณะฉัน จะให้นายยืมดูเป็นไง แต่นายต้องฟังให้ดี ต้องชนะทั้งสี่รอบ ถ้าทำไม่ได้ ก็เอาตามที่ฉันพูดเมื่อกี้”

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่มีปัญหา งั้นเริ่มตอนนี้เลยไหม จะได้ไม่เสียเวลา”

พูดพลาง ลู่ฝานดึงกระบี่หนักไม่คมด้านหลังออกมา กระบี่หนักลงสู่พื้น พลังอันน่ากลัว ทำให้พื้นหยกขาวยุบลงไป

อาจารย์ฮั่วซานกวักมือพูดว่า “เอาเอกสารความเป็นตายมา”

ครูคนหนึ่งรีบเดินเข้ามา เอาเอกสารความเป็นตายให้ทุกคนลงชื่อ

เมื่อเอกสารเสร็จเรียบร้อย การต่อสู้เริ่มขึ้น

คนที่ออกมาเป็นคนแรก ไม่ใช่ใครอื่น คือจินเฟยหยู่

“ลู่ฝาน นายคงจำฉันได้”

จินเฟยหยู่กำหมัด พลังปราณทั้งตัวพลุ่งพล่าน

กระบี่ยาวที่รวมตัวจากพลังปราณอยู่ในมือ พลานุภาพเดือดพล่าน

ลู่ฝานมองจินเฟยหยู่แล้วพูดว่า “จำได้สิ ไม่ต้องพูดไร้สาระได้ไหม เริ่มเร็วๆ”

จินเฟยหยู่ส่งเสียงหึออกมา มีสายฟ้าสีเลือดกะพริบขึ้นบนตัว

“วิชาเทพสายฟ้า!”

นี่เป็นวิชาที่ใช้ทั่วไปของคณะฟ้าร้อง ศิษย์ทุกคนสามารถฝึกได้ พลานุภาพขึ้นอยู่กับผลการฝึกตน

เห็นได้ชัดว่าจินเฟยหยู่มีความรู้เกี่ยวกับวิชาเทพสายฟ้าลึกซึ้งมาก เมื่อกระบี่ออกมา สายฟ้าพลุ่งพล่าน ทั้งตัวเหมือนกระบี่ยาวที่ก่อตัวจากสายฟ้า พุ่งเข้ามาจู่โจมลู่ฝาน

ลู่ฝานพลิกมือสะบัดกระบี่หนัก

“กระบี่ฆ่าพิชิตฟ้า!”

เมื่อกระบี่ออกมา เป็นกระบี่สังหารขั้น6

แสงกระบี่อันน่ากลัว ทำลายพลังปราณของจินเฟยหยู่ สายฟ้าร่วงลงบนตัวลู่ฝาน เหมือนทะเลอันเงียบสงบ ไม่มีเสียงใดๆ

กระบี่หนักแตะลงบนตำแหน่งหัวใจของจินเฟยหยู่ จินเฟยหยู่พ่นเลือดใส่ชุดคลุมบู๊มังกรดำของลู่ฝาน

ชุดคลุมบู๊ไม่เปื้อน เลือดหยดลงบนพื้นเหมือนหยดน้ำ แผ่ซ่านไปทั่วพื้นหยกขาว

จินเฟยหยู่ล้มลงบนพื้น สลบด้วยการโจมตีเดียว

แค่กระบวนท่าเดียวเท่านั้น

จินเฟยหยู่ที่มีชื่อเสียงในคณะฟ้าร้อง โดนซัดจนสลบไป

เหตุการณ์แบบนี้ คงไม่มีใครคาดคิด ขนาดอาจารย์ฮั่วซานยังอึ้งไป

ทำไมรู้สึกว่าลู่ฝาน แข็งแกร่งกว่าตอนที่อยู่คณะกำแหง!

ตอนนั้นอาจารย์ฮั่วซานยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายบู๊

ลู่ฝานกำกระบี่หนักไม่คม สีหน้าราบเรียบ เขตวิถีบนกระบี่หนักไม่คม ทำให้การจู่โจมของเขาพัฒนาขึ้นอย่างน่ากลัว

กระบวนท่าเดียวกัน พลานุภาพเหนือกว่าก่อน นักบู๊อย่างจินเฟยหยู่ เดิมทีเขาจะทำให้แขนขาพิการ

แต่ตอนนี้กลับต้านทานกระบี่หนักของเขาไม่ได้สักกระบวนท่าเดียว

“คนต่อไป!”

ลู่ฝานเอ่ยขึ้น

ครูที่อยู่ข้างๆ รีบแบกจินเฟยหยู่ออกไปรักษา พลังปราณเพิ่งเข้าไปในตัวจินเฟยหยู่ พวกเขาสัมผัสได้ถึงพลังที่ซับซ้อน กดทับเลือดลมของจินเฟยหยู่ จู่ๆ สีหน้าของอาจารย์ถึงกับตกตะลึง

มีนักเรียนที่โดดเด่นของคณะฟ้าร้องเดินออกมา

“ฉันเหอคุน เชิญ!”

พูดพลาง พลังปราณพุ่งออกจากตัวเหอคุนผลการฝึกตนแดนปราณนอกเช่นกัน

สายฟ้าในพลังปราณเพิ่งพุ่งขึ้นมา ลู่ฝานขยับตัวทันที

มือซ้ายเป็นหมัด มีเปลวไฟสีแดงก่ำพุ่งขึ้นมาบนตัว

“หมัดมังกรเพลิงคำราม!”

เมื่อปล่อยหมัดออกมา มังกรไฟที่ก่อตัวจากปราณชี่ของลู่ฝาน โถมเข้าไปหาเหอคุนพร้อมเสียงคำราม

เสียงร้องโอดครวญดังขึ้น เหอคุนกระเด็นออกไปชนกับกำแพง ล้มอยู่บนพื้น ไม่สามารถลุกขึ้นมาได้

จัดการด้วยกระบวนท่าเดียวอีกแล้ว

“คนต่อไป”

ลู่ฝานชักหมัดกลับมาแล้วเอ่ยขึ้น มีรอยยิ้มตรงมุมปาก

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 342
“ไร้สาระ! นั่งลงให้หมด”

อาจารย์ฮั่วซานสีหน้าโมโห พูดตำหนิเสียงดัง

จินเฟยหยู่และคนอื่นนั่งลงอย่างไม่พอใจ แต่สายตายังจ้องไปที่ลู่ฝาน

“ลู่ฝาน นายก็เห็นแล้ว นักเรียนของคณะเรา มีความไม่พอใจ ไม่ยอมให้พวกนายต่อสู้กันเอง ฉันว่านายกลับไปพาพวกศิษย์พี่นายมาดีไหม เรามาสู้กันอย่างเป็นทางการ ฉันจะถือโอกาสเชิญอาจารย์คณะอื่นมาด้วย เหมือนคณะกำแหง มาสู้กันแบบเปิดเผย”

ลู่ฝานพูดอย่างราบเรียบ “ไม่จำเป็นหรอกครับ ในเมื่อผมมาแล้ว สู้ให้เสร็จแล้วค่อยกลับ ผมอยากถามเพียงประโยคเดียว ไม่นับการต่อสู้ของผมกับหลัวตานเหรอ คำพูดที่นักเรียนชั้นนำของคณะฟ้าร้องพูดออกมา ดูไม่มีน้ำหนักขนาดนี้เลยเหรอ”

สีหน้าของจินเฟยหยู่และคนอื่นเปลี่ยนไป เสียงของลู่ฝานราบเรียบ แต่คำพูดแหลมคมเหมือนมีด

ถึงพวกจินเฟยหยู่โมโห แต่ปฏิเสธความจริงที่หลัวตาน เป็นนักเรียนชั้นนำของคณะฟ้าร้องไม่ได้

ในเมื่อเป็นนักเรียนชั้นนำ คำพูดลอยๆ จะทำให้คณะฟ้าร้องเสียหน้าไม่ใช่หรือไง งั้นถึงพวกเขาชนะลู่ฝานได้ยังไงก็อับอายอยู่ดี

พวกจินเฟยหยู่ก็ไม่รู้จะทำยังไง ต่างมีสีหน้าครุ่นคิด

อย่าบอกนะว่าต้องให้หลัวตานเป็นตัวแทนคณะฟ้าร้องต่อสู้อีกครั้งหนึ่ง

นี่อาจเป็นการต่อสู้สุดท้ายของพวกเขา ในการต่อสู้จัดอันดับของสถาบัน

พวกเขาจะไม่มีโอกาสต่อสู้สักครั้งจริงเหรอ

อาจารย์ฮั่วซานก็กำลังครุ่นคิด

ทันใดนั้น อาจารย์ฮั่วซานพูดว่า “ลู่ฝาน เอาอย่างนี้ไหม วันนี้นายสู้กับนักเรียนคนอื่นของคณะฟ้าร้องก่อน ชนะสามในสี่ ฉันจะยอมรับว่าการต่อสู้จัดอันดับครั้งนี้ของนายกับคณะฟ้าร้องจะเสมอกัน ไม่ว่าพรุ่งนี้การต่อสู้ของนายกับหลัวตานจะเป็นยังไง อย่างน้อยคณะหนึ่งเดียวของนายก็ได้ผลเสมอกัน แน่นอนว่าถ้าวันนี้นายชนะพวกเขา พรุ่งนี้ชนะหลัวตานได้อีก ก็เท่ากับคณะหนึ่งเดียวชนะ”

จินเฟยหยู่และคนอื่นพยักหน้า อาจารย์ความคิดว่องไวจริงๆ

เงื่อนไขนี้ไม่เลว พวกเขารับได้ พวกเขาไม่เชื่อหรอกว่า ผลัดกันสู้สี่คนจะเอาชนะคนกระจอกอย่างลู่ฝานไม่ได้

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “ฟังแล้วเป็นเงื่อนไขที่สมเหตุสมผล”

อาจารย์ฮั่วซานพูดว่า “นายตกลงแล้วเหรอ”

ลู่ฝานส่ายหน้า “ไม่ ผมปฏิเสธ ผมต้องการสู้ตัดสินแพ้ชนะกับหลัวตาน ทำไมวันนี้ต้องสู้สี่รอบด้วยล่ะ ผมไม่ตกลง เว้นแต่……”

ลู่ฝานลากเสียงยาว จินเฟยหยู่พูดเสียงดังว่า “เว้นแต่อะไร พูดมาสิ”

ลู่ฝานพูดว่า “เว้นแต่จะเพิ่มอะไรดีๆ สักหน่อย”

อาจารย์ฮั่วซานหัวเราะ เดิมทีเขาคิดว่าลู่ฝานจะพูดเงื่อนไขรุนแรง คิดไม่ถึงว่าลู่ฝานจะพูดอะไรที่ไม่ใช่เงื่อนไข

“อะไรดีๆ นายอยากพนันอะไร”

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “ผมอยากชมวิชาสายฟ้าฟาดห้าธาตุของคณะอาจารย์”

สีหน้าของอาจารย์ฮั่วซานชะงักไป จินเฟยหยู่พูดตำหนิเสียงดังว่า “ลู่ฝาน นายเป็นใคร ถึงจะดูวิชาสุดแข็งแกร่งของคณะฉัน นายไม่ใช่นักเรียนคณะฟ้าร้อง”

เสี่ยวเหวินที่อยู่ตรงมุม ได้ยินคำพูดของลู่ฝาน จึงพูดเบาๆ ว่า “ไม่ใช่คนดีจริงๆ ด้วย คนที่เห็นวิชาสายฟ้าฟาดห้าธาตุในคณะเรา ก็มีแค่ไม่กี่คนเอง เขามีสิทธิ์อะไรถึงจะมาดู”

ศิษย์พี่หวังไม่ได้พูดอะไรมาก บอกให้เสี่ยวเหวินพูดเบาๆ

ลู่ฝานพูดอย่างราบเรียบว่า “ไม่แลกด้วยอะไรสักหน่อย จะเปลี่ยนการตัดสินใจตามใจชอบได้ยังไง ถ้าอาจารย์ฮั่วซานไม่เห็นด้วย งั้นผมไปก่อน ให้คณะอื่นได้รู้ว่าคำพูดคณะฟ้าร้องเชื่อถือไม่ได้ นัดสู้แล้วยังเปลี่ยนแปลงตามใจชอบ”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 341
โถงพลังธรรมคณะฟ้าร้องหาง่ายมาก ลู่ฝานเดินเข้าไปข้างใน เห็นสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ ซึ่งก็คือโถงพลังธรรม

ด้านหน้าประตูโถง มีคำว่าซื่อตรงยิ่งใหญ่ ลู่ฝานมองด้วยแววตาวูบไหว

มีธรรมในตัว เรียกได้ว่าเป็นวิถีทางที่ถูกต้อง

ปราณชี่ในตัวลู่ฝานเคลื่อนไหว เรียนรู้อะไรได้อีกนิดหน่อย

สิ่งที่เรียกว่าวิชาบู๊ คือการรวบรวมความเข้าใจทีละนิด ในที่สุดเกิดการเปลี่ยนแปลงทางปริมาณสู่การเปลี่ยนแปลงทางคุณภาพ จนเป็นความเข้าใจบู๊

เดินเข้ามาในประตูโถง คนรอบๆ น้อยลง นักเรียนทั่วไปไม่ได้รับอนุญาต เข้ามาในโถงพลังธรรมไม่ได้ แต่เสี่ยวเหวินกับศิษย์พี่หวังทำลับๆ ล่อๆ เอาป้ายอะไรออกมา แล้วเข้ามา ยืนอยู่ที่มุมโถงพลังธรรมกับพวกนักเรียน

เสาสีขาว 49 ต้นตั้งอยู่ในโถง บนเก้าอี้สีม่วงทองขนาดใหญ่ มีอาจารย์ฮั่วซานนั่งอยู่ สองข้างเป็นครูและนักเรียนที่โดดเด่นของคณะฟ้าร้อง

ลู่ฝานก้าวเข้ามา ประสานมือคารวะแล้วพูดว่า “ลู่ฝานคณะหนึ่งเดียว มาพบอาจารย์ฮั่วซานและครูทุกท่าน”

ครูทุกคนพยักหน้า มองลู่ฝานด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

อันที่จริงครูในสถาบันสอนวิชาบู๊ ส่วนใหญ่มาจากการเป็นนักเรียน เห็นนักเรียนยอดเยี่ยมแบบลู่ฝาน โดดเด่นในสถาบันของตัวเอง ครูส่วนใหญ่ล้วนดีใจ

เพราะนี่แสดงถึงความแข็งแกร่งของสถาบันสอนวิชาบู๊ และความแข็งแกร่งของสถาบันสอนวิชาบู๊ ทำให้พวกเขาสามารถได้ทรัพยากรเยอะขึ้น ชีวิตก็ดีขึ้นด้วย

อาจารย์ฮั่วซานรอยยิ้มเต็มหน้า ลูบหนวดใต้คางแล้วพูดว่า “ลู่ฝาน นายกล้ามาก เดิมทีได้ยินว่านายไปท้าประลองคณะศิงขรด้วยตัวเอง ฉันคิดว่านายอวดดีมาก คิดไม่ถึงว่าวันนี้ นายยังมาท้าประลองคณะฟ้าร้องด้วยตัวคนเดียว”

เมื่อพูดออกมา ลู่ฝานเห็นนักเรียนที่โดดเด่นของคณะฟ้าร้อง มองเขาด้วยแววตาเย็นชา

ไม่ว่าใครโดนคนคนเดียวมาท้าประลอง ก็รู้สึกโมโหทั้งนั้น

นักเรียนโดดเด่นของคณะฟ้าร้องอย่างพวกเขา เดิมทีก็ไม่ค่อยได้รับความสนใจอยู่แล้ว เพราะหลัวตานชอบไปสู้คนเดียว ดังนั้นจนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เคยสู้กับนักเรียนคณะอื่นเลย วันนี้โดนลู่ฝานมาท้าประลองคนเดียว ถ้าแพ้อีก ชื่อเสียงของพวกเขาคงไม่เหลือแล้ว

ลู่ฝานพูดอย่างราบเรียบว่า “อาจารย์ฮั่วซานพูดเกินไปแล้ว ผมมีนัดกับหลัวตานคณะอาจารย์ พรุ่งนี้สู้ตัดสินแพ้ชนะที่ผาเหลยถิง”

ฮั่วซานพยักหน้าเข้าใจ เขารู้ว่าต้องเป็นหลัวตานที่ทนไม่ไหว ไปนัดรบกับลู่ฝาน

แต่ผาเหลยถิง……

เหอะๆ ไอ้หลัวตานไม่ได้โง่ นัดที่นั่น รับประกันชัยชนะ

“ที่แท้เป็นแบบนี้นี่เอง วันนี้หลัวตานกำลังเก็บตัว นัดกันไว้ว่าสู้กันพรุ่งนี้ อืม งั้น……”

อาจารย์ฮั่วซานกำลังจะพูดเห็นด้วย ขณะนั้น นักเรียนที่โดดเด่นของคณะฟ้าร้องลุกขึ้นยืน “อาจารย์ ผมไม่เห็นด้วย หลัวตานมีสิทธิ์อะไรเป็นตัวแทนของคณะฟ้าร้อง”

นักเรียนที่โดดเด่นอีกคนก็ลุกขึ้นเช่นกัน “ใช่ หลัวตานสู้ตัวคนเดียวทุกครั้ง ไม่เห็นพวกเรากับคณะฟ้าร้องอยู่ในสายตา ตอนนี้เขามาถึงที่นี่ เขายังจะสู้คนเดียวอีก งั้นจะเลือกพวกเราออกมาทำไม ผมไม่ยอม ลู่ฝาน ถ้านายอยากเอาลำดับของคณะฟ้าร้องไป ต้องผ่านด่านฉันไปก่อน”

ทั้งสี่คนลุกขึ้นยืน จ้องลู่ฝานเขม็ง

ลู่ฝานเลิกคิ้วขึ้น เขาคิดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้

ในบรรดาทั้งสี่คน จินเฟยหยู่ที่เคยเจอลู่ฝาน เดินออกมาพูดว่า “ลู่ฝานชอบสู้แบบหนึ่งต่อห้าไม่ใช่เหรอ กล้าสู้ไหมล่ะ”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 340
ผู้หญิงเชิดหน้าขึ้น สีหน้าดูหมิ่น

ลู่ฝานไม่รู้จริงๆ ว่า1-2 วันมานี้ “ชื่อไม่ดี” ของเขา ดังไปทั่วสถาบันสอนวิชาบู๊แล้ว

กระบี่โหดเหี้ยมฆ่าอนงค์ ชื่อนี้ไม่น่าฟังเป็นอย่างมาก

ลู่ฝานขี้เกียจอธิบายให้ผู้หญิงฟัง หันหน้ามาอย่างไม่สะทกสะท้าน

ผู้หญิงเห็นว่าลู่ฝานไม่อยากเถียงกับเธอ จึงโมโหทันที

เดินเข้ามายืนหน้าลู่ฝาน จ้องตาลู่ฝานแล้วพูดว่า “ทำไม ไม่กล้าพูดแล้วเหรอ ดูเหมือนข่าวลือจะจริงสินะนายมันก็แค่แสร้งเป็นสุภาพบุรุษ หึ คนอย่างนายน่ะเหรอจะสู้กับศิษย์พี่หลัวตาน นายรอแพ้อย่างทุเรศได้เลย”

ลู่ฝานหัวเราะเบาๆ มองผู้หญิงด้านหน้า ระยะใกล้ขนาดนี้ เขาสามารถนับได้เลยว่าบนหน้าผู้หญิงมีกระเยอะแค่ไหน

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “จะดีหรือร้าย พวกพี่ก็พูดไป ผมก็ทำของผม พี่เชื่อข่าวลือ เป็นเรื่องของพี่ พี่จะให้ผมพูดอะไรล่ะ บอกพี่ว่าอย่าหูเบาเชื่อข่าวลือ ผมเป็นคนดีงั้นเหรอ”

ลู่ฝานยิ้มอย่างสดใส จนทำให้ผู้หญิงอึ้งไป

ผู้หญิงถอยหลังสองก้าว สีหน้าดูสับสน

ขณะนั้นเอง เสียงดังก้องขึ้นในคณะฟ้าร้อง

“ลู่ฝานคณะหนึ่งเดียว มาที่โถงพลังธรรม”

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “อาจารย์ฮั่วซานของพวกพี่เรียกผมแล้ว ขอโทษด้วย ผมคงคุยกับพี่ไม่ได้แล้ว”

ลู่ฝานก้าวไปด้านหน้า ผู้หญิงกัดฟันกระทืบเท้า แล้วรีบเดินตามไป

ทั้งคณะฟ้าร้องโกลาหล หลังจากคำพูดของอาจารย์ฮั่วซาน

“ลู่ฝานคณะหนึ่งเดียวมาแล้วเหรอ เขามาเองเหรอ จะประลองเดี่ยวกับคณะฟ้าร้องหรือไง”

“อวดดีเกินไปแล้ว คิดว่าคณะเราอ่อนแอเหมือนคณะศิงขรเหรอ”

“ไป ฉันจะดูสิว่าลู่ฝานเก่งจริงหรือเปล่า”

……

นักเรียนคณะฟ้าร้องมาที่ประตูคณะกันเป็นกลุ่ม ลู่ฝานเดินไปเรื่อยๆ ทั้งสองข้างเต็มไปด้วยนักเรียนคณะฟ้าร้อง

ลู่ฝานเดินไปข้างหน้า ท่ามกลางสายตาอาฆาตของนักเรียนคณะฟ้าร้อง

แต่ยังดีที่นักเรียนพวกนี้นิสัยดี ไม่ได้เกิดเหตุการณ์ด่าคนขึ้น

ถ้าสายตาฆ่าคนได้ ตอนนี้ลู่ฝานคงพรุนเป็นรังผึ้งไปแล้ว เดินไปพลาง คนที่ยืนขวางอยู่ข้างหน้าค่อยๆ หลีกทางให้

สีหน้าลู่ฝานยังราบเรียบ เหมือนไม่เห็นคนพวกนี้อย่างไรอย่างนั้น เดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ ความเร็วไม่ลดลงเลย

นักเรียนหญิงที่ตามหลังลู่ฝาน โดนนักเรียนคนหนึ่งรั้งไว้ “เสี่ยวเหวิน เขามาเองจริงเหรอ คนคณะหนึ่งเดียวคนอื่นไม่มาด้วยเหรอ”

เสี่ยวเหวินพยักหน้า “ใช่ ศิษย์พี่หวัง เขามาเอง หึ ฉันด่าเขาที่หน้าประตูไปยกหนึ่งแล้ว คนโลเล ทอดทิ้งผู้หญิงแบบนี้ มีความสามารถก็เสียเปล่า”

ศิษย์พี่หวังพูดว่า “เสี่ยวเหวิน ทำไมเธอถึงเป็นแบบนี้ เขามาท้าประลองที่คณะเรา เธอด่าคนหน้าประตู คนคณะอื่นจะหาว่าคณะฟ้าร้องของเราไม่ได้รับการสั่งสอนนะ ถ้าเขาพูดออกไป เธอลำบากแน่”

เสี่ยวเหวินสีหน้าเปลี่ยนไป “ห๊า ศิษย์พี่หวังงั้นจะทำยังไงดี”

ศิษย์พี่หวังถอนหายใจพูดว่า “จะทำไงได้ล่ะ หวังว่าเธอจะไม่ใช่คนใจแคบ ฉันเห็นว่าเขาดูเป็นคนดี ไม่เหมือนคนเลวที่ชอบปล่อยข่าวลือ”

เสี่ยวเหวินพูดเสียงเบาว่า “หึ ไม่มีลมไหนเลยจะมีคลื่น เพราะคนที่เป็นศัตรูกับศิษย์พี่หลัวตาน ล้วนเป็นคนเลวทั้งนั้น”

ศิษย์พี่หวังส่ายหน้าแล้วหัวเราะ ไม่ได้พูดอะไรมาก

นักเรียนที่เลื่อมใสศิษย์พี่หลัวตานเหมือนเสี่ยวเหวินมีอยู่ไม่น้อย เธอไม่อยากมีเรื่อง เพราะคำพูดที่ไม่เหมาะสมของเธอ

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 339
อาจารย์เต้ากวงที่อยู่ข้างๆ ไม่ได้ยินอะไรผิดปกติ กินอาหารต่อไปเรื่อยๆ

เงียบอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้น อาจารย์อี้ชิงตบโต๊ะแล้วยืนขึ้น

“ผาเหลยถิง แย่แล้ว!”

อาจารย์อี้ชิงตบโต๊ะจนหักเป็นสองท่อน อาจารย์เต้ากวงสะดุ้งโหยงแล้วพูดว่า “มีอะไรอี้ชิง ทำคนตกใจหมด”

อาจารย์อี้ชิงแววตาวูบไหว “เต้ากวง นายคิดดูดีๆ ผาเหลยถิง วิชาสายฟ้าฟาดห้าธาตุ”

อาจารย์เต้ากวงเหมือนนึกอะไรได้ พึมพำออกมาว่า “วิชาสายฟ้าฟาดห้าธาตุ ให้ตายเถอะ ทำไมเราถึงลืมไปได้ ตอนนั้นปรมาจารย์ของคณะฟ้าร้อง ทำความเข้าใจวิชาสายฟ้าฟาดห้าธาตุที่ผาเหลยถิง ที่นั่นหลัวตานสามารถแสดงพลังได้ถึงหนึ่งเท่า หรือมากกว่านั้น”

หานเฟิง ฉู่สิงและฉู่เทียนถึงกับช็อก

หานเฟิงตะโกนออกมาว่า “งั้นแสดงว่าศิษย์น้องลู่ฝานมีอันตรายแล้ว”

อาจารย์อี้ชิงพยักหน้าเบาๆ จากนั้นนั่งลง “ช่างเถอะๆ ลู่ฝานนัดกับเขาไว้แล้ว จะคืนคำพูดไม่ได้ เรารอที่นี่เงียบๆ รอลู่ฝานกลับมาเถอะ”

……

อีกด้านหนึ่ง ลู่ฝานไม่รู้ว่าหลังจากเขาออกมาไม่นาน อาจารย์อี้ชิงเพิ่งรู้สถานการณ์ทุกอย่าง

ใช้เวลาครึ่งวันเต็มๆ ลู่ฝานใช้ความเร็วทั้งหมดพุ่งไปข้างหน้า เสียปราณชี่ไปเกือบครึ่ง กว่าจะมาถึงคณะฟ้าร้อง

คณะฟ้าร้องตั้งอยู่บนเขาสายฟ้า เหมือนอยู่ท่ามกลางฟ้าร้องจริงๆ

ที่อื่นอากาศสดใสแท้ๆ แต่เมื่อมาถึงบริเวณเขาสายฟ้ากลับมีเมฆดำปกคลุมไปทั่ว เสียงฟ้าร้องโครมคราม

“ว่ากันว่านักเรียนคณะฟ้าร้องส่วนใหญ่ ฝึกวิชาเทพสายฟ้า ถึงระยะรู้ความ จะสามารถกระตุ้นพลังฟ้าร้องได้ ดูเหมือนจะเป็นความจริง”

ลู่ฝานมองเงียบๆ ไม่นานก็มาถึงหน้าประตูคณะฟ้าร้อง

คณะฟ้าร้องขนาดใหญ่ครอบคลุมพื้นที่กว้าง ที่แตกต่างกับคณะอื่นก็คือ คณะฟ้าร้องไม่มีกำแพงคณะ

ที่เรียกว่าประตูคณะ แค่เป็นประตูบานเล็กๆ เท่านั้น ไม่โดดเด่นสะดุดตา

ลู่ฝานเดินเข้ามาในคณะฟ้าร้อง เพิ่งเดินมาถึงหน้าประตู ก็โดนคนเรียกไว้

“นายเป็นนักเรียนคณะไหน มาที่นี่ทำไม”

เมื่อหันไปมอง มีนักเรียนไม่กี่คน เดินมาจากทางซ้าย เป็นชายสองหญิงหนึ่ง สวมชุดบู๊สีบานเย็นเป็นเอกลักษณ์ของคณะฟ้าร้อง

ลู่ฝานพูดอย่างราบเรียบว่า “ผมชื่อลู่ฝานคณะหนึ่งเดียว มาตามนัดของหลัวตาน”

เมื่อได้ยินคำว่าลู่ฝาน นักเรียนสามคนด้านหน้าอึ้งไป

จากนั้นชายคนหนึ่งพูดอย่างตกใจว่า “ลู่ฝาน! ลู่ฝานที่กระบี่โหดเหี้ยมฆ่าอนงค์เหรอ”

ลู่ฝานอึ้งไป กระบี่โหดเหี้ยมฆ่าอนงค์คืออะไรกัน

ผู้ชายอีกคนพูดว่า “ศิษย์พี่ลู่ฝาน รอที่นี่สักครู่ ผมจะไปแจ้งอาจารย์ ถือโอกาสบอกศิษย์พี่หลัวตานด้วย”

ลู่ฝานพยักหน้า มองผู้ชายสองคนวิ่งออกไป

เหลือเพียงผู้หญิงคนเดียว กำลังมองลู่ฝานอย่างประเมิน

ลู่ฝานโดนเธอมองจนขนลุก พูดช้าๆ ว่า “ศิษย์พี่ท่านนี้ ทำไมมองผมอย่างนั้น บนตัวผมมีอะไรไม่เหมาะสมเหรอ”

ผู้หญิงหัวเราะเบาๆ “ไม่ใช่ไม่เหมาะสมหรอก แค่ฉันได้ยินคนพูดว่าลู่ฝานคณะหนึ่งเดียว มีแววตาร้ายกาจ หน้าตาลามกสุดทน นายไม่เหมือนกับสิ่งที่ฉันได้ยินมา”

ลู่ฝานอ้าปากค้าง แล้วพูดว่า “มีข่าวลือแบบนี้ด้วยเหรอ”

ผู้หญิงยิ้มแล้วพูดว่า “มีสิ กระบี่โหดเหี้ยมฆ่าอนงค์ ลู่ฝาน! ดูนายสิ นายยังไม่รู้เหรอ เรื่องที่นายทิ้งผู้หญิงดังไปทั่วสถาบันสอนวิชาบู๊แล้ว แค่คิดไม่ถึงว่านายจะดูดี เป็นไปตามคาด บนโลกนี้คนที่ยิ่งดูดี ก็จะยิ่งร้ายกาจ”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 338
ลู่ฝานถามถึงตำแหน่งโดยรวมของตลาดหม้อยาจากนั้นจำชื่อเขาอวี่ฮั่วที่นอกเมืองหยุนไห่เอาไว้

หลิงเหยาอยู่ในคณะหนึ่งเดียวประมาณ 2-3 ชั่วยาม หลังจากทานอาหารฝีมือเจ้าดำกับพวกหานเฟิงและคนอื่น ก็กลับไป

ก่อนจะไป หลิงเหยายังดูห้องของลู่ฝานด้วย

เมื่อเห็นห้องที่สะอาด สว่างและกว้างขวางของลู่ฝาน หลิงเหยาดีใจจนผิดปกติ

ตอนแรกลู่ฝานไม่รู้ว่าทำไมหลิงเหยาดีใจขนาดนี้ ต่อมาศิษย์พี่ฉู่เทียนบอกเขาว่า “ผู้หญิงส่วนใหญ่คิดว่าดูห้องของผู้ชาย สามารถเห็นนิสัยใจคอของเขาได้ เห็นได้ชัดว่า เธอคิดว่านิสัยของนายเหมือนกับห้องของนาย ไม่มีฝุ่นสักนิด ดังนั้นเธอจึงดีใจขนาดนี้”

ลู่ฝานได้ยินจึงเข้าใจทันที

แต่นี่ไม่ใช่ความดีความชอบของเขา แค่ห้องของเขาสร้างจากต้นปรงเหล็ก เดิมทีต้นปรงเหล็กไม่กลัวฝุ่น อีกทั้งยังมีความสามารถพิเศษไล่ยุงด้วย

เมื่อฟังจบ ศิษย์พี่หานเฟิงกลับไปจัดห้องโดยไม่พูดอะไรสักคำ

เพื่อที่จะสร้างความประทับใจให้ศิษย์น้องผู้หญิง ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ศิษย์พี่หานเฟิงตัดสินใจจัดห้องทุกวัน อีกทั้งยังถือโอกาสขโมยไม้ออกมาจากห้องลู่ฝานด้วย

การกระทำของเขา อยู่ในสายตาของลู่ฝานและคนอื่น

ศิษย์พี่ฉู่สิงหัวเราะเบาๆ “นี่เรียกเตรียมการไว้ล่วงหน้าหรือเปล่า ทำไมฉันรู้สึกแปลกๆ”

ลู่ฝานพูดว่า “แปลกจริงๆ ศิษย์พี่หาเฟิงไม่รู้สึกเหรอว่า ก่อนที่จะเตรียมการล่วงหน้า ต้องมีศิษย์น้องผู้หญิงที่เป็นคนรักก่อน แล้วศิษย์น้องจะยอมมาหาเขาไหม”

ทุกคนหัวเราะออกมา อาจารย์อี้ชิงกับอาจารย์เต้ากวงหัวเราะอย่างมีความสุข

ค่ำคืนผ่านไปอย่างเงียบสงบ

เมื่อแสงอาทิตย์ยามเช้าส่องผ่านหน้าต่างเข้ามา ลู่ฝานออกมาจากจวนอากาศธาตุ ในมือมียาสองขวดที่เพิ่งออกจากเตา เขาเทใส่ปากเหมือนกินลูกอม

ตอนนี้ลู่ฝานไม่จำเป็นต้องใช้การนอนมาฟื้นฟูสติแล้ว

โดยทั่วไป แค่ปราณชี่เคลื่อนไหวอยู่ในร่างกายเขา สติของเขาก็ยังเต็มเปี่ยม

ยิ่งฝึกฝนไปเรื่อยๆ เรื่องเล็กๆ อย่างกินข้าว นอน เข้าห้องน้ำ ก็หายไปด้วย

อันที่จริงตอนนี้ลู่ฝานสามารถกินยาเพื่อทำให้อิ่มท้อง แต่ความอยากอาหารกับความต้องการด้านความรักของหญิงชาย ล้วนเป็นหนึ่งในสัญชาตญาณของมนุษย์

ขอแค่มีของกิน เขาก็กินวันละสามมื้อต่อไป

ส่วนเรื่องไม่กินธัญพืชทั้งห้า เขาไม่เคยคิดเลย และไม่คิดจะทำด้วย

วันนี้ลู่ฝานจะเดินทางไปคณะฟ้าร้อง

เขากับหลัวตานนัดกันไว้ว่าจะสู้กันที่ผาเหลยถิง ลู่ฝานยังไม่ค่อยรู้ตำแหน่งของผาเหลยถิง ดังนั้นจึงออกไปหาล่วงหน้าก่อน เพื่อที่จะไม่ทำให้เสียเวลา

เมื่อทานข้าวเช้าเสร็จ ลู่ฝานออกมาท่ามกลางเสียงหัวเราะของศิษย์พี่หานเฟิงและคนอื่น

สำหรับพวกหานเฟิงและคนอื่น การต่อสู้ของลู่ฝานและหลัวตาน ไม่มีเรื่องที่ต้องกังวล ถึงหลัวตานแข็งแกร่งแค่ไหน ก็ไม่สามารถเทียบกับลู่ฝานได้

ล้วนคิดว่าการต่อสู้ครั้งนี้ลู่ฝานต้องชนะ รวมอาจารย์อี้ชิงอยู่ในนั้นด้วย ดังนั้นพวกเขาจึงไม่คิดจะไป

อาจารย์อี้ชิงให้ลู่ฝานออกไป โดยไม่กำชับสักประโยค

ลู่ฝานก็ไม่คิดอะไรมาก ไปตามทางที่ศิษย์พี่หานเฟิงบอก มุ่งหน้าไปยังคณะฟ้าร้อง

หลังจากลู่ฝานไป อาจารย์อี้ชิงคิดอะไรได้ จึงถามว่า “หานเฟิง หลัวตานคณะฟ้าร้องนัดลู่ฝานไปสู้ที่ไหน”

หานเฟิงกินพลาง พูดแบบไม่ชัดว่า “ผาเหลยถิง อาจารย์รู้ตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอ”

“อ๋อ ผาเหลยถิงเหรอ”

อาจารย์อี้ชิงขมวดคิ้วเบาๆ เขารู้สึกผิดปกติ

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 337
ลู่ฝานมองด้ายแดงในมือหลิงเหยาอย่างตกใจ ด้ายธรรมดาแบบนี้ มีความสามารถขนาดนี้เลยเหรอ

ลู่ฝานยังไม่ทันพูด หลิงเหยาพูดต่อ “ครั้งนี้ได้ยินว่านายเจอคนที่ฝึกวิชาชั่วร้าย ฉันตกใจแทบแย่ อาจารย์ฉันบอกว่า พวกฝึกฝนชั่วร้ายเป็นคนเลว พวกเขาชั่วร้ายมาก และแข็งแกร่งมากด้วย ฉันเสียเงินตั้งเยอะ กว่าจะซื้อด้ายแดงมาจากตลาดหม้อยาได้ ผู้ฝึกชี่คนนั้นพูดชัดเจนมาก คนฝึกชั่วร้ายระดับต่ำกว่านักเรกิลงไป ทำอะไรนายไม่ได้ ถ้าแบ่งตามแดนนักบู๊แบบเรา คนฝึกชั่วร้ายที่ต่ำกว่าแดนปราณชีวิตลงไป ไม่สามารถทำอะไรนายได้”

หลิงเหยาแก้มแดงระเรื่อ เหมือนก้อนเมฆสีแดง เธอพูดไม่หมด อันที่จริงตอนซื้อด้ายแดง เขาขายเป็นคู่

ชื่อของเชือกแดงคือ “ห่างกันพันลี้แสนไกล บุพเพเชื่อมไว้ด้วยด้ายแดง”

ต้องบอกนะ ว่าผู้ฝึกชี่ที่ขายสิ่งนี้ทำธุรกิจเป็น อาศัยชื่อที่ไม่เลว เพิ่มความหมายแฝง ขายของให้กับหลิงเหยาได้อย่างง่ายดาย

ลู่ฝานเห็นหลิงเหยาหน้าแดง ก็เหมือนจะเดาอะไรได้ ด้ายแดงมีความสามารถเช่นนี้จริงหรือเปล่า ตอนนี้ค่อยว่ากัน แต่น้ำใจนี้เขาต้องรับไว้

ลู่ฝานใส่ด้ายแดงเอาไว้ที่ข้อมือตัวเอง เพิ่งใส่เข้าไป ด้ายแดงก็หายไป มหัศจรรย์จริงๆ

“ฉันก็มีของให้เธอเหมือนกัน”

ลู่ฝานยิ้มบางๆ เอายาออกมาจากเข็มขัดอากาศธาตุของตัวเอง และเลือดมังกรอีกสองสามขวด

“ยาชีวิตสิบขวด เลือดมังกรสามขวด จะได้ประสิทธิภาพผิวหนังเผ่ามังกร อาวุธแทงไม่เข้า น้ำไฟทำอะไรไม่ได้”

หลิงเหยาเบิกตาโต จากนั้นจ้องลู่ฝานน้ำตารื้น “ให้ฉันหมดเลยเหรอ”

ลู่ฝานพยักหน้า “ใช่ เธอร้องไห้ทำไม”

หลิงเหยาร้องไห้ออกมา จากนั้นยัดยากับเลือดมังกรลงในกระเป๋าตัวเอง

“ฉัน……ฉันดีใจ นายให้ของฉันครั้งแรก ก็ให้ของล้ำค่าขนาดนี้ ฉันดีใจมาก”

ลู่ฝานจับจมูก ดีใจจนร้องไห้เหรอ……

ลู่ฝานเอะใจ หันหน้าไปมอง เป็นไปตามคาด ศิษย์พี่หานเฟิงและคนอื่น โผล่หัวออกมาทางหน้าต่าง กำลังมองมาทางนี้

หานเฟิงพูดเบาๆ ว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน เกิดอะไรขึ้น ทำไมนายทำหลิงเหยาร้องไห้ล่ะ”

ลู่ฝานสีหน้ากลุ้มใจ ขี้เกียจสนใจเขา

หลิงเหยาเก็บของทั้งหมดเอาไว้ แล้วเช็ดน้ำตา จากนั้นกอดแขนลู่ฝาน แล้วเข้ามาจูบลู่ฝาน

ทันใดนั้น ศิษย์พี่หานเฟิงและคนอื่นตะโกนขึ้นมา ลู่ฝานเบิกตาโต แล้วกวาดตามอง หานเฟิงและคนอื่นจึงรีบหดหัวกลับเข้าไป

“พอแล้วๆ เช็ดน้ำตาสิ หลิงเหยา ตลาดหม้อยาที่เธอพูดเมื่อกี้คืออะไร”

ลู่ฝานได้ยินสิ่งอื่นจากคำพูดของหลิงเหยา จึงถามขึ้นมา

หลิงเหยาพูดว่า “ตลาดหม้อยาคือที่ที่พวกผู้ฝึกชี่รวมตัวกันขายของ ไม่ไกลจากบ้านฉัน”

ลู่ฝานตาเป็นประกาย เขาอยากถามว่าพวกผู้ฝึกชี่รวมตัวกันที่ไหนตั้งนานแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะรู้ง่ายขนาดนี้ วันนี้เขาได้รู้แล้ว

หลิงเหยาเห็นสีหน้าดีใจของลู่ฝาน จึงพูดว่า “ลู่ฝาน นายอยากไปเหรอ รอปิดเทอม ฉันจะพานายไป ที่นั่นมีของน่าสนใจเยอะแยะ แต่ราคาแพงไปหน่อย ต้องเอาสมุนไพรไปแลก”

ลู่ฝานพูดเสียงดังว่า “เรื่องสมุนไพรไม่มีปัญหา ฉันอยากเห็นแค่นั้นเอง”

หลิงเหยาพูดว่า “ที่แท้นายเป็นเศรษฐีนี่เอง ดูเหมือนฉันเจอถูกคนแล้ว”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 336
“เธอมาได้ยังไง”

ลู่ฝานพูดอย่างสงสัย แต่ก็ลุกขึ้นยืน

เจ้าดำเห่าอย่างตื่นเต้น วิ่งเข้าไปหาหลิงเหยาทันที

อาจารย์อี้ชิงลุกขึ้น ยิ้มบางๆ ให้หลิงเหยาที่เดินเข้ามา จากนั้นเดินกลับไปที่ห้องของตัวเอง

อาจารย์เต้ากวงมองหลิงเหยาแล้วพูดว่า “หลิงเหยาใช่ไหม นั่งตามสบายเลย พวกเรามีธุระ ให้ลู่ฝานพาเธอดูรอบๆ ล่ะกัน อืม เอาแบบนี้แหละ อู๋เหวย นายรีบกินให้เสร็จสิ”

ศิษย์พี่ใหญ่ไม่พูดพร่ำทำเพลง กินของบนโต๊ะจนหมด

จากนั้นลูบท้องตัวเอง หัวเราะแล้วเดินออกไป

หลิงเหยายืนหน้าประตูคณะหนึ่งเดียวอย่างเก้ๆ กังๆ เจ้าดำใช้หัวตัวเองถูกับขาหลิงเหยา แล้วแลบลิ้นออกมา

ลู่ฝานสงสัยว่าเจ้าดำมีสายเลือดเผ่ามังกรจริงเหรอ สภาพแบบนี้ ถึงต่อไปเป็นมังกร คงเป็นมังกรที่เหมือนสุนัขตัวหนึ่ง

ลู่ฝานเดินเข้ามา มองหลิงเหยาแล้วพูดว่า “หลิงเหยา เธอมาได้ยังไง”

หลิงเหยาพูดว่า “ฉันกังวลเรื่องนายนิดหน่อย ตอนนี้ข่าวลือเรื่องนายข้างนอกไม่ดีเอามากๆ”

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “เธอเชื่อข่าวลือข้างนอกเหรอ”

หลิงเหยาส่ายหน้า “ไม่เชื่อ ศิษย์พี่หลายคนให้ฉันระวัง แต่ฉันบอกพวกเขาว่านายไม่ใช่คนแบบนั้นแน่นอน เพราะฉันมองดวงตานายออกชัดเจน”

ลู่ฝานพูดอย่างไม่เข้าใจ “มองดวงตาฉันออกชัดเจนเหรอ”

หลิงเหยายิ้มแล้วพยักหน้า ยิ้มจนตาเป็นสระอิ

ลู่ฝานก็ไม่ถามมาก เดาว่าคงเกี่ยวกับจิตบู๊เข้าฌานของหลิงเหยา

หลิงเหยาลูบหัวเจ้าดำแล้วพูดว่า “ไม่เชิญฉันเข้าไปนั่งเหรอ”

ลู่ฝานเพิ่งนึกได้ จึงรีบเอียงตัวแล้วพูดว่า “เชิญๆ พูดตลอดว่าจะพาเธอมาคณะหนึ่งเดียว คิดไม่ถึงว่าวันนี้เธอจะมาเอง เจ้าดำ รีบไปทำอาหารให้หลิงเหยากินสิ”

เจ้าดำวิ่งไปทำอาหารให้หลิงเหยากินอย่างตื่นเต้น มันดูกระตือรือร้นกว่าใคร พุ่งเข้าไปในห้องของหานเฟิง

หลังจากวุ่นวายอยู่ครู่หนึ่ง เจ้าดำพุ่งเข้ามาพร้อมของอร่อย

ศิษย์พี่หานเฟิงตะโกนไล่หลังว่า “ให้ตายเถอะ เจ้าดำ แกมันโหดเหี้ยม เอาของมาซ่อนไว้ในห้องฉัน แกคือสัตว์อสูรจริงเหรอ ที่ที่อันตรายที่สุด คือที่ที่ปลอดภัยที่สุด ทำไมฉันคิดไม่ถึงนะ ฉันว่าแล้วช่วงนี้ได้กลิ่นหอมๆ ในห้องฉัน……”

หลิงเหยาปิดปากหัวเราะ มองเจ้าดำเอาเนื้อแห้งออกมา หลิงเหยารับเนื้อแห้งมา แล้วลูบหัวเจ้าดำ “ขอบใจนะเจ้าดำ”

ลู่ฝานหัวเราะอย่างมีความสุขอยู่ข้างๆ เจ้าดำฉลาดขึ้นเรื่อยๆ แล้ว

เลือกที่ซ่อนของได้เยี่ยมจริงๆ!

หลิงเหยานั่งตรงโต๊ะกินข้าว กินเนื้อแห้งคำเล็กๆ แล้วพูดว่า “ลู่ฝาน นี่คือคณะหนึ่งเดียวของพวกนายเหรอ ไม่เหมือนที่ฉันคิดไว้เลย แต่ดูอบอุ่นมาก”

ลู่ฝานพูดว่า “งั้นเหรอ เธอคงไม่ได้คิดว่าคณะหนึ่งเดียวของเราดูเรียบง่ายใช่ไหม”

หลิงเหยาส่ายหน้า “ไม่เรียบง่าย บ้านฉันก็เป็นแบบนี้ ทุกคนอยู่ด้วยกัน กินอยู่ด้วยกัน ลู่ฝาน รอให้ปิดเทอม นายไปบ้านฉันไหม ฉันจะพานายไปตกปลาที่บึงบ้านฉัน”

ลู่ฝานพูดว่า “ได้เลย ไปแน่นอน”

หลิงเหยาหัวเราะอย่างมีความสุข จู่ๆ หลิงเหยาเอาด้ายแดงออกมาจากกระเป๋าตัวเอง “ลู่ฝาน นายใส่อันนี้ไว้ มีสิ่งนี้ ต่อไปนายไม่ต้องกลัวคนที่ฝึกฝนชั่วร้ายแล้ว กลิ่นอายแห่งความตาย กลิ่นอายของเลือด กลิ่นอายชั่วร้ายของพวกเขา ทำอะไรนายไม่ได้”

บทที่ 335

ลู่ฝานยื่นมือออกไป แล้วพูดว่า “ไม่เป็นไรครับ ออร่าปีศาจถูกผมกำจัดไปหมดแล้ว”
อาจารย์อี้ชิงมองมือลู่ฝานอย่างละเอียด พยักหน้าแล้วพูดว่า “มีร่องรอยที่โดนออร่าปีศาจจริงๆ ลู่ฝาน นายสามารถจัดการออร่าปีศาจได้ ฉันตกใจเล็กน้อย แต่แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ต่อไปนายเจอวิชาชั่วร้าย ก็มีวิธีป้องกันตัวมากขึ้น”
ลู่ฝานชักมือกลับมาแล้วพูดว่า “อาจารย์ ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยได้ยินการฝึกฝนชั่วร้าย คุณเล่าให้ผมฟังได้ไหม”
อาจารย์เต้ากวงพูดว่า “อืม เล่าให้นายฟังก็ได้ ฝึกฝนชั่วร้าย ก็ตามชื่อมันเลย คือคนที่ฝึกฝนจนธาตุไฟเข้าแทรก แน่นอนว่า ธาตุไฟเข้าแทรกคือการประเมินที่เรามีต่อพวกเขา พวกเขาเองไม่ได้คิดแบบนี้”
พูดพลาง อาจารย์เต้ากวงเขียนคำว่าชั่วร้ายลงบนโต๊ะ
“คนที่ฝึกฝนชั่วร้าย คือการที่เขาภูมิใจ จากการอาศัยการทำร้ายคนอื่น เพื่อตัวเองจะได้ผลประโยชน์ ภูมิใจกับอำนาจชี้ต้นตายชี้ปลายเป็น อาศัยกลิ่นอายความตายและกลิ่นเลือดเป็นพื้นฐาน ยิ่งฆ่าคนได้เยอะ ยิ่งทำผิดใหญ่หลวง พวกเขายิ่งได้พลังแข็งแกร่งขึ้น เดิมทีก่อนต่อสู้ขับไล่สิ่งชั่วร้าย คนที่ฝึกวิชาชั่วร้ายอวดดีจนถึงขั้นที่ใช้ชีวิตทั้งเมืองเป็นสิ่งแลกเปลี่ยน กลั่นยาเกิดใหม่เลือดกระดูก
ในยุคที่มืดมิด ผู้ฝึกชั่วร้ายกับนักบู๊และผู้ฝึกชี่คนอื่น เกิดการต่อสู้กันนับไม่ถ้วน จนกระทั่งสุดท้าย นักบู๊และผู้ฝึกชี่ทั้งหมดร่วมมือกัน กำจัดคนที่ฝึกวิชาชั่วร้ายออกจากจีนจนหมด อีกทั้งพวกผู้แข็งแกร่งที่นำโดยอริยปราชญ์โอวหยาง ร่วมมือกันออกคำสั่งไล่ฆ่าทุกยุค นี่จึงทำให้คนที่ฝึกวิชาชั่วร้ายหลบซ่อนตัวไม่ปรากฏต่อสาธารณะในจีน จนถึงทุกวันนี้”
ลู่ฝานขมวดคิ้วพูดว่า “พูดแบบนี้ คนที่ฝึกวิชาชั่วร้ายเป็นหายนะของจีน ทุกคนสามารถฆ่าเขาได้”
อาจารย์อี้ชิงพูดว่า “ใช่ จนถึงตอนนี้ สายเลือดของคนที่ฝึกวิชาชั่วร้ายมีน้อยมาก แน่นอนฉันไม่คิดว่าพวกเขาจะโดนกำจัดไปหมด ต้องหลบเอาตัวรอดอยู่ที่ใดที่หนึ่งแน่นอน ได้เห็นคนที่ฝึกวิชาชั่วร้ายในจีน อันที่จริงส่วนใหญ่คือคนที่โดนถ่ายทอดจากคนที่ฝึกวิชาที่ตายไปแล้วโดยไม่ทันระวัง หรือไม่ก็คนที่ได้เครื่องรางหรืออาวุธของคนที่ฝึกวิชาชั่วร้าย พวกเขาโดนดึงดูดจากวิชาชั่วร้าย จึงเข้าสู่การฝึกฝนชั่วร้าย อย่างเช่น จางเยว่หาน เป็นต้น”
ลู่ฝานพูดว่า “วิชาชั่วร้ายล่อตาล่อใจขนาดนั้นเลยเหรอครับ”
อาจารย์อี้ชิงพูดว่า “อันที่จริงล่อตาล่อใจมาก อย่างเช่นนักบู๊ทั่วไป ตั้งแต่แดนปราณในจนถึงแดนปราณนอก อย่างน้อยต้องใช้เวลาหลายปี ถึงมีพรสวรรค์ มีทรัพยากรสนับสนุน ก็ยังต้องค่อยๆ พัฒนาทีละขั้น ไม่งั้นพื้นฐานจะไม่มั่นคง จนทำให้ไม่สามารถพัฒนาได้อีก แต่การฝึกฝนชั่วร้าย แค่ฆ่าคนธรรมดาร้อยคน หลอมอาวุธโลหิตสักเล่ม ก็สามารถใช้พละกำลังแดนปราณในสู้กับนักบู๊แดนปราณนอกได้แล้ว ”
“หรือไม่ก็ใช้เลือดสารจำเป็นของคนร้อยคน เป็นตัวยากระตุ้นในการกลั่นยาความตาย สามารถยกระดับจากแดนปราณในไปถึงแดนปราณนอก ภายในระยะเวลาหนึ่งเดือน สิ่งที่ต้องแลกง่ายดายมาก ต่อไปพวกเขาทำได้เพียงพึ่งยาสมุนไพรในการดำรงชีวิต นายว่าล่อตาล่อใจไหมล่ะ นี่คือสิ่งที่คนทั่วไปพูดกันว่าวิธีของพวกนอกรีด ทักษะลับวิชาชั่วร้ายที่พวกนักบู๊พูดถึง เทคนิคฉาบฉวยที่พวกผู้ฝึกชี่พูดกัน”
ลู่ฝานสูดหายใจเฮือก
ล่อตาล่อใจจริงๆ ด้วย!
อาจารย์เต้ากวงยิ้มแล้วพูดว่า “ลู่ฝาน เรื่องพวกนี้นายเข้าใจไว้ก็พอแล้ว ไม่ต้องศึกษาลงลึก คนส่วนใหญ่กลายเป็นคนที่ฝึกวิชาชั่วร้าย เพราะความอยากรู้ สุดท้ายตายและวิถีถูกทำลาย ความอยากรู้ไม่ใช่เรื่องผิด แต่มีบางสิ่งที่แตะต้องไม่ได้จริงๆ”
ลู่ฝานพูดอย่างนอบน้อมว่า “ขอบคุณอาจารย์ ผมเข้าใจแล้ว”
อาจารย์อี้ชิงเงยหน้าขึ้น พูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ลู่ฝาน นายดูสิว่าใครมา”
ลู่ฝานหันไปมอง เห็นเงาคนเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว
“หลิงเหยา”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 334
หลังผ่านไปหนึ่งวัน เรื่องที่จางเยว่หานคณะบังเหิน โดนอาจารย์เมิ่งอวิ๋นไล่ออกจากสถาบันสอนวิชาบู๊ดังไปทั่ว

ทั้งสถาบันสอนวิชาบู๊ช็อกมาก นี่เป็นครั้งแรกตลอดหลายสิบปี ที่มีเหตุการณ์ทำลายผลการฝึกตน และไล่ออกจากสถาบันสอนวิชาบู๊จริงๆ

ความแค้นระหว่างจางเยว่หานกับลู่ฝาน ก็โดนขุดขึ้นมา ว่ากันว่าเป็นข่าวจากนักเรียนแซ่โม่ของคณะนานา

ที่แท้จางเยว่หานกับลู่ฝานมีอดีตกันมาก่อน เคยเป็นคนรักกัน

ข่าวซุบซิบแบบนี้ ไม่เป็นรองข่าวที่ลู่ฝานเอาชนะกำแหงได้ ดังไปทั่วแต่ละคณะในพริบตา

คนจำนวนมากคิดว่านี่คือแค้นเพื่อรัก ผู้หญิงบ้าเพราะความรัก ถึงทำเรื่องแบบนี้ สำหรับนักเรียนที่ไม่รู้ความจริง ข่าวลือแบบนี้ โน้มน้าวใจได้เป็นอย่างมาก

โดยเฉพาะมีคนแฉออกมาว่า หลังจากจางเยว่หานโดนไล่ออกจากสถาบันสอนวิชาบู๊ ใช้แรงทั้งหมด ใช้เลือดเขียนคำว่าเกลียดบนพื้นสิบตัว

คนฟังไม่มีใครที่ไม่สะเทือนใจ พากันถกเถียงกัน เพราะรักจึงเกิดความเกลียด ถึงมีความโกรธใหญ่หลวงเช่นนี้

ข่าวลือที่ลู่ฝานทิ้งคนรักดังไปทั่ว

ที่คณะหนึ่งเดียว เป็นอีกหนึ่งวันที่สงบ

บนโต๊ะอาหาร ศิษย์พี่หานเฟิงเอาแต่ถามไม่หยุด
“ศิษย์น้องลู่ฝาน ทำไมคนรักของนายถึงอยู่ทุกคณะเลย ฉันนับก่อน ไม่ต้องพูดถึงหลิงเหยาคณะสงบใจแล้ว จูบก็จูบแล้ว ต้องเป็นคนของนายอยู่แล้ว จางเยว่หานคณะบังเหิน เคยมีความสัมพันธ์กับนาย ฮ่วนเย่ว์คณะหยินหยาง ต้องมีความสัมพันธ์กับนายแน่นอน นายเป็นยอดฝีมือด้านความรักอย่างแท้จริง ศิษย์น้องเป็นปราชญ์ด้านความรัก แบ่งเคล็ดลับให้ฉันบ้างสิ ไม่ต้องเหมือนนายก็ได้ คนรักแต่ละคนฝีมือดี เรียกได้ว่าเป็นสาวงาม แค่ได้ศิษย์น้องหญิงสักคนสองคน ฉันก็พอใจแล้ว”
ลู่ฝานมองหานเฟิงด้วยสีหน้าประหลาด “ศิษย์พี่หานเฟิง รู้ได้ยังไงว่าผมจูบหลิงเหยา”

หานเฟิงหน้าเปลี่ยนสีทันที

ฉู่สิงกับฉู่เทียนที่อยู่ข้างๆ แทบจะเอาตะเกียบแทงไอ้ปัญญาอ่อนพูดมากคนนี้ให้ตาย

ฉู่เทียนรีบทำเป็นไม่ได้ยิน ก้มหน้าก้มตากินข้าว

ฉู่สิงกระแอมหนึ่งทีแล้วพูดว่า “ไม่ต้องสนใจรายละเอียดพวกนี้หรอก หานเฟิง สภาพแบบนี้ ยังอยากได้ศิษย์น้องหญิง ถึงศิษย์น้องลู่ฝานบอกเคล็ดลับให้นาย นายจะจัดการได้เหรอ กินข้าวๆ พูดอะไรเยอะแยะ”

หานเฟิงที่รู้ว่าพลั้งปากพูดไป รีบกินข้าวต่อทันที

ลู่ฝานพอเดาได้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น กวาดตามองหานเฟิง ฉู่เทียนและฉู่สิง พูดช้าๆ ว่า “พวกพี่ไม่ได้แอบมองผมใช่ไหม”

หานเฟิงตะโกนเสียงดังว่า “โอ๊ย เจ้าดำ อาหารที่แกทำวันนี้มีพิษเหรอ ฉันไม่ไหวแล้ว ฉันจะกลับห้องไปขับพิษ”

พูดพลาง หานเฟิงรีบวิ่งออกไปทันที

ฉู่สิงกับฉู่เทียนก็รีบวางตะเกียบลง

“โอ๊ย ฉันก็โดนพิษเหมือนกัน”

“ฉันขอไปอึก่อน”

ทั้งสองคนวิ่งเร็วไม่แพ้หานเฟิง เข้าไปในห้องตัวเอง จากนั้นจึงปิดประตูลงทันที

ศิษย์พี่ใหญ่มองอย่างอึ้งๆ แล้วพูดว่า “มีพิษจริงเหรอ เฮ้อ มีพิษก็มีพิษสิ เพราะพิษไม่ทำให้ฉันตายหรอก”

ศิษย์พี่ใหญ่กินต่อ อาจารย์อี้ชิงกับอาจารย์เต้ากวงหัวเราะอย่างมีความสุข

อาจารย์อี้ชิงวางตะเกียบลง แล้วพูดว่า “ลู่ฝาน เรื่องจางเยว่หาน ฉันได้ยินมาแล้ว ข่าวลือเชื่อไม่ได้ เรื่องโดยรวมเป็นยังไง นายเล่าให้ฉันฟังสิ”

ลู่ฝานพยักหน้า เล่าเหตุการณ์ตอนนั้นออกมา

เมื่อพูดถึงตอนที่จางเยว่หานใส่ออร่าปีศาจลงไปในฝ่ามือเขา อาจารย์อี้ชิงพูดขัดขึ้นมาว่า “อะไรนะ ออร่าปีศาจเข้าไปในฝ่ามือเหรอ รีบให้ฉันดูเร็วๆ”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 333
อาจารย์เซินถูส่ายหน้าเบาๆ “เฮ้อ ข่าวฉาวโฉ่อีกแล้ว เมิ่งอวิ๋น นักเรียนคณะเธอ จัดการเองแล้วกัน แจ้งท่านผอ.เอาเองละกัน ฉันกลับไปนอนก่อน ลู่ฝาน มีเวลาค่อยมาเล่นหมากรุกเป็นเพื่อนฉันอีกนะ ให้ฉัน……อืม ชี้แนะทักษะการเล่นหมากรุกของนาย”

อาจารย์เซินถูกลายเป็นลำแสงแล้วหายไป

อาจารย์เสวียนเจินดูจบ ไม่พูดอะไรสักคำ หลับตาลงแล้วเหาะไปอีกด้าน เห็นได้ชัดว่ายกให้อาจารย์เมิ่งอวิ๋นจัดการทั้งหมด

สีหน้าอาจารย์เมิ่งอวิ๋นเย็นชามาก ซีดจนน่าตกใจ

แววตาเย็นชาเป็นอย่างมาก มองจางเยว่หานแล้วพูดว่า “จางเยว่หาน เธอยังไม่สำนึกผิดอีก”

จางเยว่หานกัดฟัน คุกเข่าลงกับพื้นแล้วสะอื้นเบาๆ

“อาจารย์ ฉันผิดไปแล้ว ฉันโดนความแค้นบังตา ฉันโดยวิชาชั่วร้ายทำลาย จิตใจเดิมของฉันไม่ใช่แบบนี้ อาจารย์เชื่อฉันเถอะ”

อาจารย์เมิ่งอวิ๋นตบฝ่ามือออกไป พลังปราณอันน่ากลัวทำให้ท้องฟ้าเปลี่ยนสี รอยฝ่ามือดำขลับร่วงลงบนตำแหน่งหัวใจของจางเยว่หาน

ทันใดนั้นเสียงดังออกมาจากตัวจางเยว่หานอย่างต่อเนื่อง

กระแสลมมากมายทะลักออกจากตัวจางเยว่หาน กลายเป็นสายลมเบาๆ

เลือดไหลออกจากรูขุมขนของเธอ เลือดแต่ละหยดมาพร้อมกับแสงสว่างทันใดนั้นแสงสว่างหายไปภายใต้แสงอาทิตย์

อาจารย์เมิ่งอวิ๋นทำลายวิชาของจางเยว่หาน

เส้นลมปราณ พลังปราณ ตันเถียนของเธอ โดยทำลายจนแหลกทั้งหมด

ต่อไปถึงรักษาหาย ก็เป็นได้แค่คนธรรมดาทั่วไปเท่านั้น

มือของอาจารย์เมิ่งอวิ๋นสั่นเบาๆ เธอทำลายอัจฉริยะที่เธอคิดว่าจะทำให้คณะบังเหินแข็งแกร่งได้

ทำไมตอนแรกเธอไม่เห็นธาตุแท้ของจางเยว่หาน ทำไมตอนแรกเธอไม่สังเกตว่าจางเยว่หาน มีวิชาชั่วร้ายอยู่ในตัว

เมื่อเสร็จสิ้น อาจารย์เมิ่งอวิ๋นพูดอย่างเย็นชาว่า “จางเยว่หานคณะบังเหิน ลอบทำร้ายนักเรียนสถาบันเดียวกัน มีวิชาชั่วร้ายในตัว หลังจากแพ้ยังใส่ร้ายคนอื่น ทำลายชื่อเสียงของคณะบังเหิน ดูหมิ่นกฎของสถาบันสอนวิชาบู๊ โทษร้ายแรงมาก ขับไล่ออกจากสถาบันสอนวิชาบู๊ตั้งแต่วันนี้ ทำลายผลการฝึกตนของเธอ โยนทิ้งออกไปจากสถาบันสอนวิชาบู๊สามร้อยลี้ ปล่อยไปตามยถากรรม”

จางเยว่หานหมอบอยู่บนพื้น ในแววตาหม่นหมอง เหมือนคนตาย

นักเรียนคณะบังเหินคนอื่น ไม่รู้จะพูดอย่างไร

ข่งหลินที่โดนซัดจนเข้าไปอยู่ในลำต้นของต้นไม้ แข็งทื่อไปทั้งตัว อ้าปากค้าง พูดอะไรไม่ออกสักคำ

อาจารย์เมิ่งอวิ๋นมองน่าหลานรั่วด้านล่าง แล้วพูดว่า “ครูน่าหลาน พาเธอออกไป”

น่าหลานรั่วกลืนน้ำลาย เหน็บหนาวไปทั้งหัวใจ

น่าหลานรั่วค่อยๆ อุ้มจางเยว่หานขึ้นมา เดินโงนเงนออกไปเหมือนคนเมา

เขารู้อยู่แก่ใจ จางเยว่หานโดนไล่ออกจากสถาบันครั้งนี้ โทษฐานชัดเจน งั้นเขาเป็นครูที่มาจัดการเป็นคนแรก ก็จบสิ้นแล้วเหมือนกัน

ไม่ต้องพูดเรื่องอื่น แค่ลู่ฝานเอาเรื่องนี้ไปพูดกับครูคนอื่น เขาต้องเสียตำแหน่งครูตรวจตราภูเขาแน่นอน

บางทีอาจเป็นเหมือนจางเยว่หาน โดนไล่ออกจากสถาบันสอนวิชาบู๊ เป็นครูที่โดนส่งไปทำงานข้างนอก เหนื่อยทั้งวัน

น่าหลานรั่วอยากตบหน้าตัวเองจริงๆ จะแส่หาเรื่องไปทำไม

ลู่ฝานมองทุกอย่างเงียบๆ แล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรในตัวตะโกนเสียงดัง “เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ มุกปีศาจ มุกปีศาจ! ตอนนี้เธอไม่มีผลการฝึกตนแล้ว ไม่สามารถดูดซับมุกปีศาจได้แล้ว รีบไปแย่งมุกปีศาจมา ของบำรุงชั้นดีเลยนะ”

ลู่ฝานพูดอย่างราบเรียบในใจว่า “ช่างเถอะ ในเมื่อเธอก็ดูดซับไม่ได้แล้ว งั้นให้เธอเก็บไว้เถอะ เรื่องของฉันกับเธอ จบลงแค่นี้”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดเบาๆ ว่า “จบแค่นี้จริงเหรอ นั่นมุกปีศาจเลยนะ……”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 332
ตอนหัวของเทียนฉี่ปรากฏออกมากลางอากาศ จางเยว่หานหน้าซีดทันที ทรุดลงบนพื้น

จบแล้ว จบสิ้นแล้ว มิน่าล่ะตอนที่ลู่ฝานได้ยินเธอใช้วิธีนี้ใส่ร้ายเขา จึงมีสีหน้าประหลาด มิน่าล่ะไม่ว่าเธอยั่วโมโหลู่ฝานยังไง เขาก็ไม่ฆ่าเธอ

ที่แท้เป็นแบบนี้นี่เอง มีเทียนฉี่มองทุกอย่างอยู่บนท้องฟ้า ลู่ฝานจึงไม่กลัว และไม่มีทางฆ่าเธอ

ถ้าเป็นเช่นนั้น ลู่ฝานก็กลายเป็นฆาตกรฆ่านักเรียนสถาบันเดียวกันน่ะสิ

จางเยว่หานรู้สึกเย็นไปทั้งตัว เธอรู้กฎของสถาบันอยู่แล้ว

คนที่ใส่ร้ายนักเรียนสถาบันเดียวกัน คนที่จิตใจโหดเหี้ยม คนนั้นต้องโดนทำลายผลการฝึกตน โดนไล่ออกจากสถาบันสอนวิชาบู๊

ทุกคนพากันเงยหน้ามองฟ้า ทุกคนเกือบลืมไปแล้ว ทั้งเก้าคณะของสถาบันสอนวิชาบู๊ ล้วนอยู่ภายใต้การสังเกตของเทียนฉี่

ฟ้ามองการกระทำของเราอยู่

คำพูดเหล่านี้ เห็นได้ชัดที่สุดในสถาบันสอนวิชาบู๊

อาจารย์เซินถูพูดเสียงดังว่า “เทียนฉี่ นายรู้เหตุการณ์ฝั่งนี้ใช่ไหม”

จางเยว่หานมองฟ้า ด้วยความหวังสุดท้าย

เธอหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเทียนฉี่จะไม่รู้ ในสถาบันสอนวิชาบู๊ คนที่บาดเจ็บจนพิการ คนที่โดนทำร้าย คนที่ตายเพราะสัตว์อสูรมีทุกปี ไม่เคยเห็นเทียนฉี่ออกมาพูดอะไรยุติธรรม ทำเรื่องอะไรที่ยุติธรรมเลย

ทำไมเมื่อเรื่องเกี่ยวกับเธอ เทียนฉี่ต้องออกมาเป็นพยานด้วย

ไม่แน่เทียนฉี่อาจเป็นแค่ตัวแสดง เพื่อมาข่มขู่นักเรียนใหม่เท่านั้น

แต่น่าเสียดาย ต่อมาเทียนฉี่หัวเราะเสียงดัง “ฮ่าๆ ฉันรู้อยู่แล้ว ในเก้าคณะใหญ่เกิดเรื่องอะไรขึ้น ไม่มีอะไรที่ฉันไม่รู้”

เพียงประโยคเดียว ทำลายความหวังของจางเยว่หานจนแหลกสลาย ปากของเธอสั่นไปหมด

เซินถูพูดว่า “งั้นนายเล่าเหตุการณ์ออกมาสิ”
เทียนฉี่พูดว่า “พวกนายรู้กฎอยู่แล้ว เล่าเหตุการณ์ไม่ได้ แต่อาจารย์แบบพวกนายดูได้ โดยรวมเป็นอย่างไร พวกนายแยกแยะกันเอาเองว่าควรจัดการยังไง เป็นเรื่องของพวกนาย เรื่องเล็กๆ แบบนี้ ทำไมต้องให้ฉันออกหน้าพูด ฉันคงยุ่งวุ่นวายมาก เด็กผู้หญิงคนนี้จะเป็นหรือตาย พวกนายจัดการกันเอาเองเถอะ”

พูดจบ มีแสงสามดวงร่วงลงมาจากฟ้า

ร่วงลงมาตรงหน้าอาจารย์เซินถู เมิ่งอวิ๋นและเสวียนเจิน

ในลำแสง มีเงาคนเคลื่อนไหว อีกทั้งยังมีเสียงเบาๆ เป็นเหตุการณ์ของลู่ฝานกับจางเยว่หานที่เกิดขึ้นเมื่อครู่

นักเรียนคนอื่นพากันมองไปยังจางเยว่หาน

เงาของเทียนฉี่หายไปแล้ว แต่ทุกคนได้ยินคำพูดเขาอย่างชัดเจน

“เด็กผู้หญิงคนนี้จะเป็นหรือตาย พวกนายจัดการกันเอาเอง”

คำพูดนี้กำลังบอกว่า ความรับผิดชอบทุกอย่างอยู่ที่จางเยว่หาน อย่าบอกนะว่าใส่ร้ายจริงๆ

ผู้หญิงคนหนึ่ง ใช้ชื่อเสียงของตัวเองใส่ร้ายอีกฝ่ายเหรอ

นี่ต้องแค้นเคืองขนาดไหน ต้องหน้าไม่อายขนาดไหนกัน!

เห็นจางเยว่หานทรุดลงกับพื้นอีก นักเรียนที่ฉลาดหน่อย เริ่มเดาได้แล้ว

เสวียนเฟิงที่อยู่บนกิ่งไม้ ส่ายหน้าเบาๆ แล้วพูดว่า “ฉันเข้าใจว่านักเรียนที่ได้ฉายาว่าแข็งแกร่งที่สุดคนใหม่ของคณะบังเหินอย่างจางเยว่หาน จะมีความสามารถแค่ไหน วันนี้ได้เห็น ดูหมิ่นชื่อเสียงของคณะบังเหินชัดๆ”

หลัวตานที่อยู่ข้างๆ พูดว่า “น่าเศร้าใจ น่าหดหู่”

ทั้งสองหันหลังเดินออกไป ไม่อยากเสียเวลาอยู่ที่นี่ต่อ

เฉียวเซวียนก็ส่งเสียงหึออกมา พูดช้าๆ ว่า “พวกผู้หญิง จิตใจคับแคบ ไม่มีราศี อยู่ในวิชาบู๊ได้ยังไง”

เมื่อพูดจบ เฉียวเซวียนก็เดินออกไป

อาจารย์ทั้งสามท่านดูทุกอย่างในลำแสงจนจบ ต่างมีสีหน้าประหลาด

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 331
คนในที่นี้จำนวนมาก ตอนนี้ยังไม่มีใครกล้าเข้าไปลองสู้กับลู่ฝาน

เพราะภาพที่ลู่ฝานเอาชนะเฉียวเซวียนยังคงติดตา เขาอาศัยเพียงร่างกาย สามารถทัดเทียมกับนักบู๊แดนปราณนอกได้

ลู่ฝานไม่แม้แต่จะมองน่าหลานรั่ว หันไปพูดรอบๆ ว่า “ครูอาจารย์ทุกท่าน พวกคุณยังไม่ออกมาเหรอ จะให้ผมแหกกฎหรือไง”

เสียงของลู่ฝานสะท้อนอยู่กลางอากาศ สะเทือนจนต้นไม้รอบๆ เกิดเสียงดัง

คนอื่นยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จู่ๆ มีเงาคนปรากฏขึ้นบนต้นไม้รอบๆ

อาจารย์เซินถู อาจารย์เมิ่งอวิ๋น อาจารย์เสวียนเจิน

หลัวตาน เฉียวเซวียน เสวียนเฟิง

ทุกคนอยู่ที่นี่ทั้งหมด!

เมื่อคนพวกนี้ปรากฏตัว นักเรียนคนอื่นพากันโค้งคำนับ หลัวตานมองลู่ฝานอย่างสนใจ

เฉียวเซวียนสีหน้าเคร่งขรึม เสวียนเฟิงนั่งบนกิ่งไม้ สีหน้าเหมือนกำลังดูเรื่องสนุก

อาจารย์เซินถูลอยอยู่กลางอากาศ ยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าลู่ฝาน นายเป็นเด็กชอบก่อเรื่อง พอฉันเห็นความเคลื่อนไหวที่นี่ ก็รู้ว่าคงไม่มีใครนอกจากนาย นายรู้ตั้งแต่เมื่อไรว่าพวกเรามา”

ลู่ฝานยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “เมื่อกี้”

เขาไม่สามารถพูดเรื่องที่เขาตรวจสอบได้เป็น 10-20 ลี้ออกมาได้

อาจารย์เมิ่งอวิ๋นมองจางเยว่หานแล้วพูดว่า “เยว่หาน เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เธอพูดความจริงออกมา ถ้าเธอพูดความจริง อาจารย์จะจัดการให้”

นักเรียนคณะบังเหินทั้งสองคน ที่อยู่ข้างจางเยว่หานพยุงเธอขึ้นมา “อาจารย์ เมื่อกี้ศิษย์พูดชัดเจนมากแล้ว ลู่ฝานคิดจะรังแกฉัน ไม่เพียงแค่นั้น ศิษย์พบกลิ่นอายของการฝึกชั่วร้ายจากตัวลู่ฝานด้วย พวกอาจารย์ดูฝ่ามือเขาได้”

อาจารย์เซินถู อาจารย์เมิ่งอวิ๋น อาจารย์เสวียนเจิน มองไปทางลู่ฝานพร้อมกัน

ลู่ฝานหัวเราะเบาๆ แล้วยกมือขึ้น ให้ทุกคนเห็นอย่างชัดเจน

อาจารย์เซินถูพยักหน้าพูดว่า “พลังสีเทา เป็นร่องรอยของการฝึกชั่วร้ายจริงๆ อย่าบอกนะว่านี่คือสิ่งที่หญิงบ้าหลงเหลือเอาไว้ ตอนตายอยู่ที่เทือกเขาฉิงเทียน เมื่อไม่กี่ร้อยปีก่อน ลู่ฝาน นายไม่ทันระวังได้สิ่งที่ฝึกฝนชั่วร้ายมาหรือเปล่า”

ลู่ฝานพูดอย่างราบเรียบ “เปล่า”

ขณะนั้นจางเยว่หานตะโกนออกมา “อาจารย์ฉันพูดถูกใช่ไหม เขาไม่ได้มีสิ่งที่ฝึกฝนชั่วร้าย แต่เขาเป็นคนที่ฝึกฝนชั่วร้าย ต่อหน้าเป็นอีกคนหนึ่ง ลับหลังเป็นอีกคนหนึ่ง พวกคุณอาจไม่รู้ ก่อนเขาเข้าสถาบันสอนวิชาบู๊ ตอนอยู่เมืองเจียงหลิน เขามีฉายาว่าสวะมาหลายสิบปี ถ้าไม่ได้ฝึกฝนชั่วร้าย จะอธิบายอย่างไรได้อีก”

อาจารย์เสวียนเจินขมวดคิ้ว พูดอย่างเย็นชาว่า “ลู่ฝาน เป็นอย่างนี้จริงเหรอ”

ลู่ฝานพยักหน้า “ผมมีชื่อเสียงว่าสวะ แต่เรื่องฝึกฝนชั่วร้าย เป็นเรื่องที่ไม่มีมูล”

ขณะนั้นน่าหลานรั่วพูดเสียงดังว่า “นายพูดว่าไม่มีมูลก็จบงั้นเหรอ อาจารย์ทุกท่าน คนคนนี้ไม่เพียงแต่อวดดี อีกทั้งยังทำร้ายคนแบบไร้เหตุผล ผมเป็นครูเฝ้าภูเขาคณะกำแหง กลับโดนนักเรียนทำร้าย สถาบันต้องให้ความยุติธรรมกับผม”

อาจารย์เซินถูยิ้มแล้วพูดว่า “อย่างงั้นเหรอ งั้นก็ได้ เพราะพวกเราก็มาช้า สู้เรียกเทียนฉี่ออกมาดีกว่า ดูกันให้ละเอียดว่าตอนนั้นเกิดอะไรขึ้น”

อาจารย์เสวียนเจินกับอาจารย์เมิ่งอวิ๋นพยักหน้าเบาๆ

ลู่ฝานก็หัวเราะเบาๆ เขารู้ว่าต้องเป็นเช่นนี้

เมื่อได้ยินคำว่าเทียนฉี่ สีหน้าของจางเยว่หานเปลี่ยนไปทันที

เธอลืมไปแล้วจริงๆ สถาบันสอนวิชาบู๊ยังมีองครักษ์ผู้ยิ่งใหญ่อยู่อีกคน สามารถมองดูนักเรียนของสถาบันได้ทุกคน

อาจารย์เซินถูดีดนิ้ว ลำแสงหนึ่งเข้าไปในก้อนเมฆ

ต่อมา หัวขนาดใหญ่ของเทียนฉี่ค่อยๆ ปรากฏออกมากลางท้องฟ้า

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 330
คนที่อยู่ในความทรงจำกับน่าหลานรั่วที่อยู่ตรงหน้าซ้อนทับกัน สีหน้าลู่ฝานเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เขาเข้าใจการกระทำของน่าหลานรั่วแล้ว

แก้แค้น เป็นการแก้แค้นชัดๆ

เดิมทีก่อนที่น่าหลานรั่วจะมายังไม่ได้คิดอะไร ครูที่ถูกส่งไปทำงานที่อื่น เลื่อนขั้นเป็นครูตรวจตราภูเขา งานของน่าหลานรั่วคือป้องกันไม่ให้นักเรียนเกิดเรื่องขึ้นในป่า

แต่เมื่อเห็นหน้าลู่ฝาน ความคิดร้ายกาจผุดขึ้นมาในหัวน่าหลานรั่ว

เขาคิดถึงความลำบากใจที่ลู่ฝานทำกับเขาที่เมืองเจียงหลิน แม้เรื่องนี้ลู่ฝานไม่ได้แจ้งเบื้องบน แต่ตอนนั้นครูสองคนที่ตามมาด้วย แอบพูดเรื่องนี้ออกไป

ครูทำให้นักเรียนลำบากใจ สุดท้ายยังโดนนักเรียนที่ยังไม่ได้เข้าสถาบันโจมตี ข่าวไม่ดีแบบนี้ทำให้เขาอยู่ในสถาบันยากขึ้น เดิมทีหลังจากที่เขายกระดับผลการฝึกตนถึงแดนปราณนอก จะได้เป็นครูประจำ กลับต้องมาทำงานอยู่ในป่าเพียงคนเดียว

เขาเคยคิดแก้แค้น เคยคิดว่ารอให้ลู่ฝานเข้าสถาบัน ค่อยทำให้เขาลำบากใจ แต่น่าเสียดาย การแสดงออกของลู่ฝานในช่วงนี้ ดังไปทั่วสถาบันสอนวิชาบู๊ ขนาดเขาที่อยู่ในป่ายังเคยได้ยินข่าวมาบ้าง

เข้าสถาบันเพียงหนึ่งปี อยู่ในสิบอันดับแรกของรายชื่อบู๊ เข้าสู่แดนปราณนอกอย่างรวดเร็ว อัจฉริยะระดับนี้ ทำให้เขาเห็นแล้วถึงกับชะงัก อย่าว่าแต่ไปหาเรื่องเขาเลย เขาไม่มาหาเรื่องก็ดีเท่าไรแล้ว เขาจะไปหาเรื่องได้ยังไง

เรื่องนี้อัดอั้นอยู่ก้นบึ้งหัวใจเขา กลายเป็นปมในใจ

วันนี้ไม่รู้สวรรค์เห็นใจเขาหรือเปล่า จึงส่งลู่ฝานมาตรงหน้าเขา อีกทั้งยังเกิดเรื่องแบบนี้ด้วย

เมื่อเห็นจางเยว่หานเสื้อผ้ายับยู่ยี่ น่าหลานรั่วรู้ว่าโอกาสแก้แค้นของตัวเองมาถึงแล้ว

รังแกนักเรียนหญิงในสถาบัน แค่โทษข้อนี้ สามารถทำให้ลู่ฝานโดนกำจัดผลการฝึกตน โดนทำให้แขนขาพิการ และไล่ออกจากสถาบันสอนวิชาบู๊

ตอนนี้น่าหลานรั่วไม่อยากฟังลู่ฝานพูดสักนิด ต้องทำเรื่องนี้ให้จบแบบนี้

น่าหลานรั่วเดินเข้ามา หินผนึกกำลังในมือมีแสงสว่าง กลายเป็นตัวอักษรคำว่าบู๊

ถ้าอักษรยันต์ผนึกกำลังเช่นนี้ติดไว้บนตัว จะไม่สามารถเอาออกได้ เว้นเสียแต่จะมีวิธีควบคุมอักษรยันต์ น่าหลานรั่วเอาอักษรยันต์นี้ออกมา ยังตั้งใจเพิ่มอะไรลงไป ในแสงสว่างที่แผ่ออกมา มีกลิ่นอายของความรุนแรงแฝงอยู่ด้วย

นี่คือสิ่งที่เขาตั้งใจใส่ลงไป เพียงพอที่ทำให้คนรู้ว่าอะไรคือความเจ็บปวดทรมาน ตายดีกว่ามีชีวิตอยู่มันเป็นยังไง

น่าหลานรั่วยกมือ จะเอาอักษรยันต์ผนึกกำลังติดลงบนตัวลู่ฝาน

เขาคิดว่าถึงลู่ฝานอวดดี แต่ยังไงก็เป็นนักเรียน จะขัดแย้งกับครูต่อหน้าทุกคนได้อย่างไร

แต่ต่อมาลู่ฝานยกขาถีบเขาออกไป

ฝ่าเท้าถีบไปที่ท้องของน่าหลานรั่วอย่างไม่เกรงใจ

จากสายตาของลู่ฝาน จะไม่รู้ได้อย่างไรว่าน่าหลานรั่วเพิ่มอะไรเข้าไปในนั้น ในเมื่ออีกฝ่ายตั้งใจมาแก้แค้นเขา เขาจึงไม่ออมมือ โดยไม่สนใจว่าจะเป็นครู

ถีบจนกระเด็นไป!

น่าหลานรั่วเป็นนักบู๊แดนปราณนอก แต่เมื่ออยู่ภายใต้เท้าลู่ฝาน กลับอ่อนแอเหมือนเด็กน้อย

เมื่อโดนถีบ น่าหลานรั่วกลิ้งบนพื้นเหมือนน้ำเต้า กลิ้งไปหลายสิบรอบถึงจะหยุด

ทุกคนเห็นแล้วถึงกับช็อก ขนาดจางเยว่หานยังมองลู่ฝานอย่างไม่อยากเชื่อ

เขาถีบอาจารย์ต่อหน้าทุกคน!

น่าหลานรั่วเจ็บจนเหงื่อไหลออกมาบนหน้าผาก ถ้าลู่ฝานถีบต่ำลงอีกสักสามนิ้ว เขาต้อง “พิการ” แน่นอน

น่าหลานรั่วหมอบอยู่บนพื้น ชี้หน้าลู่ฝานแล้วพูดว่า “ลู่ฝาน นายกล้ามาก กล้าทำร้ายครูต่อหน้าทุกคน”

นักเรียนรอบๆ ไม่กล้าส่งเสียงสักคน

ให้ตายเถอะ ขนาดครูยังกล้าทำร้าย คงซัดคนอื่นได้โดยไม่ต้องหาเหตุผล

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 329
“ศิษย์พี่ข่งหลิน เป็นอะไรไป ศิษย์พี่ข่งหลินไอ้เดรัจฉานลู่ฝาน ไม่เพียงแต่รังแกฉัน ยังฆ่าศิษย์พี่ข่งหลินอีกด้วย”

นักเรียนต่างมองลู่ฝานด้วยสายตาดุดัน

เดิมทีข่งหลินที่กำลังจะออกมาจากต้นไม้ ได้ยินคำพูดนี้ จึงตัดสินใจแกล้งทำเป็นสลบ นอนแผ่อยู่ในลำต้นของต้นไม้

ไม่พูดก็ไม่ได้ว่าไหวพริบนี้ใช้ได้ เข้าใจคำพูดของจางเยว่หานได้อย่างรวดเร็ว

“หลีกไป หลีกไป เกิดอะไรขึ้นกันแน่”

คนที่ดูเหมือนครูเดินเบียดคนเข้ามา เมื่อเขาปรากฏตัว นักเรียนรอบๆ พากันเงียบ

ลู่ฝานมองเขาด้วยสีหน้าราบเรียบ คนที่ดูเหมือนครู ดูคุ้นหน้าเล็กน้อย เหมือนเคยเจอที่ไหน

สีหน้าที่ครูมองลู่ฝานก็ประหลาดมาก มีประกายแปลกประหลาดในแววตา

เขาเดินไปทางจางเยว่หานก่อน หลังจากดูแผลบนหน้าจางเยว่หาน ครูคนนี้พูดกับลู่ฝานอย่างขุ่นเคืองว่า “ลู่ฝาน คิดไม่ถึงว่าคณะหนึ่งเดียวจะมีศิษย์ไร้เหตุผลแบบนาย คิดไม่ถึงว่าจะลงมือกับนักเรียนหญิงรุนแรงแบบนี้”

ลู่ฝานขมวดคิ้วเบาๆ ครูคนนี้สรุปโดยไม่ถามเขาสักคำ คงไม่ได้เป็นพวกเดียวกับจางเยว่หานใช่ไหม

ขณะเดียวกัน นักเรียนคณะบังเหินสองคนพุ่งเข้ามาข้างจางเยว่หานแล้วพูดว่า “เยว่หานเธอไม่เป็นไรใช่ไหม เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงบาดเจ็บแบบนี้”

จางเยว่หานจ้องลู่ฝาน แล้วชี้หน้าลู่ฝาน “ฉันเจอลู่ฝานกลางป่าโดยบังเอิญ เดิมทีคิดว่าเขาแค่อยากคุยเรื่องเก่าๆ คิดไม่ถึงว่าเขาจะรังแกฉัน ฉันไม่ยอม เขาเลยทำร้ายฉันจนเป็นแบบนี้ แม้แต่ศิษย์พี่ข่งหลินที่ตามมาช่วยฉัน ก็โดนเขาซัดจนกระเด็น”

มีเสียงตกใจดังขึ้นรอบๆ เหล่านักเรียนชายคณะกำแหง ตะโกนเสียงดังออกมา

“อะไรกัน ลู่ฝานเป็นคนแบบนี้เหรอ ฉันอุตส่าห์คิดว่านายเหมือนศิษย์พี่เฉียวเซวียนของเรา เป็นสุภาพบุรุษ ถุย!”

“ลู่ฝาน ความจริงอยู่ตรงหน้า นายยังมีอะไรจะพูดไหม”

“อาจารย์อี้ชิงคณะหนึ่งเดียวล่ะ เรียกเขามาดูคนแย่ๆ ของคณะพวกเขาสิ”

……

คำหยาบต่างๆ นานา โถมเข้ามาใส่ลู่ฝาน

มนุษย์ก็แบบนี้ ยืนอยู่ข้างคนอ่อนแอตามสัญชาตญาณ อีกทั้งตอนนี้คนที่เสื้อผ้าไม่เรียบร้อย ใบหน้าเต็มไปด้วยเลือด อย่างจางเยว่หานคือฝ่ายอ่อนแอ พวกเขาไม่ถามเหตุผล ไม่ถามความจริง ก็ด่าออกมาทันที

นักเรียนคณะบังเหินสองคน ชักกระบี่ออกมาทันที

ครูที่เพิ่งพูดก้าวมา ถือหินไว้ในมือหนึ่งก้อน

หินผนึกกำลัง!

ลู่ฝานมองหินในมือเขา ไม่ตลกแล้ว จะใช้สิ่งนี้ควบคุมเขาเหรอ อย่ามาล้อเล่น

ครูพูดอย่างเย็นชาว่า “ลู่ฝาน ฉันว่าไม่มีอะไรต้องพูดแล้ว ตอนนี้นายอย่าขัดขืนเถอะ ฉันจะพานายไปพบท่านผอ.กับอาจารย์ทุกท่าน บางทีนายอาจรักษาผลการฝึกตนของนายไว้ได้”

ลู่ฝานพูดอย่างราบเรียบว่า “ครูไม่ถามผมเหรอว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ฟังแค่คำพูดของเธอฝ่ายเดียวเหรอ”

ครูพูดด้วยเสียงเย็นชาว่า “มีอะไรต้องฟังอีก ความจริงอยู่ตรงหน้า นายจะเล่นลิ้นอะไรอีก อย่าบอกนะว่านายจะบอกว่าเธอใส่ร้ายนาย”

นักเรียนคณะกำแหงที่อยู่ข้างๆ ตะโกนขึ้นมา

“ครูน่าหลาน จะไปเสียเวลาพูดกับเขาทำไม พาตัวเขาไปเลย!”

ลู่ฝานได้ยินคำว่าน่าหลาน ก็เข้าใจทันที

“ครูน่าหลาน น่าหลานรั่ว! ครูที่เคยไม่ให้เขาผ่านที่เมืองเจียงหลิน ที่แท้เป็นเขานี่เอง!”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 328
เมื่อใครคนหนึ่งถูกความแค้นบังตา เธอเป็นเพียงทาสของความแค้น ไม่มีสติเลยสักนิด

ในสายตาลู่ฝาน จางเยว่หานกำลังเป็นแบบนี้ ความชั่วร้ายในแววตาเธอ เหมือนหนองที่จะทะลักออกมา สาดลงบนพื้น

ลู่ฝานคิดไม่ถึงเลยว่า เขาเคยรู้จักกับผู้หญิงแบบนี้ อีกทั้งยังเคยรักด้วย

อย่างที่ในหนังสือบอกไว้ ตอนวัยรุ่นใครไม่เคยรักคนแย่ๆ บ้าง คำพูดคนโบราณไม่เคยโกหก

ไม่นาน มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นจากไม่ไกล

มีทั้งหนักและเบา เห็นได้ชัดว่าคนที่มา มีทั้งช้าและเร็ว

เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า จางเยว่หานยิ่งตะโกนเสียงสูง

“ช่วยด้วย ช่วยด้วย ลู่ฝานยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน ไสหัวไป ไสหัวไป!”

เสียงตะโกนดุดัน จางเยว่หานฉีกปลายเสื้อของตัวเองที่เหลืออยู่ไม่มากออกเรื่อยๆ

ทำให้เหตุการณ์ดูเหมือนเป็นเช่นนั้น

ในที่สุดมีคนมาถึงเป็นคนแรก ลงมาจากต้นไม้สูงบนหัว พร้อมกับพลังปราณอันแข็งแกร่ง ลงมาสู่พื้นดิน

ในมือมีกระบี่ พลังปราณบ้าคลั่งเหมือนสายลม เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่นักเรียนคณะกำแหง

ชุดบู๊บนตัวเขาบ่งบอกตัวตนของเขาแล้ว ปักลายภูเขาแม่น้ำ เหาะเหินมหัศจรรย์

คนนี้เป็นนักเรียนคณะบังเหินเหมือนจางเยว่หาน คงเป็นหนึ่งในนักเรียนที่โดดเด่นด้วย ไม่งั้นคงไม่น่ามาถึงที่คณะกำแหง ลู่ฝานพอจำได้รางๆ เหมือนเขาเจอคนคนนี้ ในงานเลี้ยงเมื่อคืน

“ศิษย์น้องเยว่หาน เธอเป็นอะไร”

ผู้ชายรีบเข้ามาประคองจางเยว่หาน

เห็นจางเยว่หานมีเลือดเต็มหน้า ใบหน้าซ้ายขวายุบลงไป ชายหนุ่มโมโหทันที

จางเยว่หานชี้มาที่ลู่ฝาน “ศิษย์พี่ข่งหลินลู่ฝาน……ลู่ฝานรังแกฉัน”

เมื่อข่งหลินได้ยิน ก็ระเบิดพลังปราณบนตัวทันที

เขาหันมาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยเส้นเลือด “ยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน ลู่ฝาน นายคู่ควรเป็นศิษย์สถาบันสอนวิชาบู๊งั้นเหรอ”

ลู่ฝานยกมือขึ้น “นายใจเย็นหน่อย อย่าวู่วาม”

ข่งหลินไม่ฟังคำพูดของลู่ฝานสักนิด ยกกระบี่พุ่งเข้ามาหาลู่ฝาน

พลังปราณทั้งตัว มีผลการฝึกตนแดนปราณนอกชั้นหนึ่ง

เมื่อกระบี่ออกมา เหมือนสายลมทำลายล้าง

เจอสถานการณ์แบบนี้ ลู่ฝานจำใจต้องลงมือ วงแหวนสีดำที่ก่อตัวบนกระบี่หนัก กะพริบเบาๆ

จากนั้นลู่ฝานพลิกมือ ตบกระบี่ลงบนตัวข่งหลิน

ทั้งสองแทบไม่ได้ป้องกันตัว กระบี่ของข่งหลินแทงโดนลู่ฝาน เช่นเดียวกัน กระบี่หนักของลู่ฝานก็ตบโดนเขา

แต่ผลต่างกันมาก ลู่ฝานไม่เป็นอะไรเลย ราวกับกระบี่ของข่งหลินเป็นไม้จิ้มฟันที่ไม่คม ทำอันตรายเขาไม่ได้สักนิด

แต่กระบี่หนักของลู่ฝาน ที่ตบโดนข่งหลินเหมือนกระแทกกับหินใหญ่ที่กลิ้งลงจากเขา อย่าว่าแต่กระเด็นออกไปหลายเมตรเลย ตัวเขายังฝังลงไปในลำต้นของต้นไม้ขนาดใหญ่อีกด้วย

ทันใดนั้น มีคนตื่นตระหนกออกมาจากด้านหลังของต้นไม่ใหญ่

ล้วนเป็นนักเรียนที่รีบมาที่นี่ ไม่นาน มีนักเรียนมาบริเวณรอบๆ อย่างต่อเนื่อง เมื่อมองออกไป เป็นนักเรียนคณะกำแหงจำนวนมาก นักเรียนโดดเด่นของคณะอื่นก็ไม่น้อยเช่นกัน

ลู่ฝานมองคร่าวๆ เห็นนักเรียนคณะฟ้าร้อง คณะนานา อีกทั้งยังมีนักเรียนคณะกระบี่ด้วย

เมื่อคนพวกนี้เห็นเหตุการณ์ พากันอึ้งไปก่อน จากนั้นแต่ละคนมองลู่ฝานด้วยสีหน้าประหลาด

ในสีหน้าของพวกเขา มีทั้งหวาดกลัว สงสัย และสะใจแอบขำอีกด้วย

กลุ่มคนล้อมที่นี่เอาไว้ จางเยว่หานตะโกนออกมาอีกครั้ง

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 327
แต่ลู่ฝานกลับตั้งกระบี่หนักอย่างสุขุม ต้านทานกระแสลมของพลังสีเทาเอาไว้

กระบี่หนักไม่คมมีแสงขึ้นอีกครั้ง ดูดพลังเข้ามา เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่บำรุงมันได้เป็นอย่างดี มีเท่าไรก็เอามาเลย กระบี่หนักไม่คมไม่ถือสาอยู่แล้ว

จางเยว่หานมีแววตาตกตะลึง ที่แท้เมื่อกี้ลู่ฝานกำลังหลอกเธอ ตั้งแต่ต้นจนจบ ลู่ฝานไม่ได้ฟังสักประโยค

ลู่ฝานพลิกมือใช้กระบี่ ตบลงไปบนหน้าอีกด้านหนึ่งของจางเยว่หาน

พลังมหาศาลตบจางเยว่หานจนปลิวไปเก้าเมตร เลือดสาดกลางอากาศ

เสียงดังพลั่ก จางเยว่หานตกลงมาบนพื้น

โดนลู่ฝานตบหัวในระยะใกล้ขนาดนี้ จางเยว่หานยังไม่สลบ

จางเยว่หานเงยหน้าขึ้น มองลู่ฝานด้วยใบหน้าโหดเหี้ยม “ลู่ฝาน มีปัญญาก็ฆ่าฉันสิ ฆ่าฉันสิ!”

ลู่ฝานเดินเข้ามา ไม่พูดอะไรสักคำ

จางเยว่หานตะโกนแทบขาดใจ

“ลู่ฝาน คนอื่นไม่รู้จักนาย ฉันรู้จักนายเป็นอย่างดี นายเป็นคนไม่เอาไหนมาตลอด อย่าคิดว่านายได้อาวุธวิเศษแล้วจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้ หึ อัจฉริยะอะไร ผลการฝึกตนบ้าบออะไร นักเรียนที่แข็งแกร่งที่สุดในคณะหนึ่งเดียวอะไรกัน นายก็เหมือนฉัน ล้วนอาศัยพลังภายนอกทำให้โดดเด่น เมื่อไม่มีอาวุธวิเศษ นายก็ยังเป็นคนไม่เอาไหนอยู่วันยังค่ำ เป็นคนไม่เอาไหนตลอดไป มีปัญญาก็วางกระบี่ในมือ แล้วมาสู้กับฉัน”

ลู่ฝานมองจางเยว่หานอย่างสงสาร เก็บกระบี่เอาไว้ด้านหลัง

“เธอน่าสงสารมาก”

ลู่ฝานพูดเบาๆ

จางเยว่หานกำไข่มุกในมือแน่น กระแสลมสีเทาปกคลุมร่างกายเอาไว้อีกครั้ง

เสียงของเจดีย์เสวียนเก้ามังกรดังขึ้น

“เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ ฮ่าๆ มุกปีศาจ ในมือเธอมีมุกปีศาจ รีบแย่งมุกปีศาจมาเร็วๆ เป็นของบำรุงชั้นดี ของบำรุงชั้นดีอย่างแท้จริง!”

กระบี่หนักด้านหลังมีแสงกะพริบ เห็นได้ชัดว่าโหยหามุกปีศาจมาก

ลู่ฝานถามในใจว่า “มุกปีศาจคืออะไร”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดว่า “เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ มุกปีศาจคือที่เก็บพลังชี่ของผู้ฝึกชั่วร้าย เหมือนกับหยกแขวนจิตบู๊ของนักบู๊ อาวุธพอเศษที่สองของผู้ฝึกชี่”

ลู่ฝานฟังพอเข้าใจ เป็นของล้ำค่าตามคาด

ไม่รู้จางเยว่หานได้มาจากไหน

จู่ๆ ลู่ฝานมองผิวของจางเยว่หาน ใบหน้าเริ่มเปลี่ยนไป เหมือนแก่ขึ้นภายในพริบตา

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรตะโกนอยู่ในตัวว่า “เธอกำลังบูชายัญ เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ รีบขวางเธอ เธอกำลังใช้อายุขัยหรือไม่ก็เลือดสารจำเป็นของตัวเองทำการบูชายัญ เพื่อแลกกับพลังในมุกปีศาจ”

ลู่ฝานเดินเข้ามา ขณะกำลังจะห้าม

จู่ๆ จางเยว่หานตะโกนออกมาว่า

“ช่วยด้วย ช่วยด้วย!”

พูดพลาง จางเยว่หานเงยหน้าใส่ลู่ฝาน ตราประทับที่ก่อตัวขึ้นเหมือนจริง ออกมาจากมือเธอ

ตอนลู่ฝานยังไม่ทันตั้งตัว มันก็ประทับลงบนฝ่ามือของลู่ฝาน

หลังจากนั้นจางเยว่หานกลืนไข่มุกลงไป

จางเยว่หานหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ยิ้มเย็นชาแล้วพูดว่า “ลู่ฝาน อีกไม่นานนักเรียนคณะกำแหง รวมไปถึงนักเรียนคณะอื่นใกล้มาถึงแล้ว เมื่อพวกเขาเห็นออร่าปีศาจบนตัวนาย อีกทั้งฉันยังอยู่ในสภาพนี้ นายต้องตายแน่นอน ดูสิว่าตอนนี้นายจะทำยังไง”

ลู่ฝานก้มหน้ามองฝ่ามือตัวเอง ออร่าปีศาจโผล่ขึ้นมาในฝ่ามือเขารางๆ

ลู่ฝานมองจางเยว่หานด้วยสีหน้าประหลาด “เธอจะใส่ร้ายฉันแบบนี้เหรอ”

จางเยว่หานกัดฟันพูดว่า “นายตายแน่”

พูดพลาง จางเยว่หานฉีกกระโปรงยาวของตัวเองออกครึ่งหนึ่ง

ลู่ฝานเอามือไพล่หลัง พูดอย่างสุขุมว่า “โอเค งั้นฉันจะดูสิว่า เหตุการณ์จะเป็นยังไงกันแน่”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 326
จู่ๆ จางเยว่หานหัวเราะออกมา รอยยิ้มเย้ายวน

“งั้นนายก็ฆ่าฉันสิ ตอนนี้ฉันอยู่ภายใต้กระบี่นายแล้ว นายฆ่าฉันได้อย่างง่ายดาย นายลงมือสิ!”

จางเยว่หานขยิบตาให้ลู่ฝาน

แต่ตอนนี้หน้าของเธอมีรอยยุบ จากการที่โดนลู่ฝานตบเมื่อครู่ ดังนั้นการกระทำของเธอ ดู……แปลกประหลาดเป็นอย่างมาก

ลู่ฝานมองเธอโดยไม่พูดอะไร

จางเยว่หานเงยหน้าขึ้น จู่ๆ ก็สะบัดผม ปลดเสื้อออกเบาๆ เผยให้เห็นผิวขาวครึ่งหนึ่ง รวมไปถึงหัวไหล่ด้วย

เสื้อไปอยู่ด้านข้าง ถ้าไม่มองรอยยุบบนหน้า ตอนนี้ท่าทีของจางเยว่หานมีแรงดึงดูดเป็นอย่างมาก

“ลู่ฝาน ดูเหมือนนายยังไม่ลืมฉัน ก็ถูก เราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก อยู่ในสถานการณ์โรแมนติกแบบนี้ นายจะลืมฉันง่ายๆ ได้ยังไง ลู่ฝานนายอยากสานต่อความสัมพันธ์หรือเปล่า ทุกสิ่งที่ฉันทำตอนนี้ อันที่จริงเพื่อต้องการให้นายกลับมาข้างกายฉันอีกครั้ง นายรู้หรือเปล่า”

จางเยว่หานพูดพลาง น้ำตารื้นขึ้นมา

จางเยว่หานพยายามลุกขึ้นมา พลังของกระบี่หนักไม่คมหายไป ความกดดันบนตัวเธอค่อยๆ หายไป

ลู่ฝานยังคงมองเธออย่างแน่วแน่ กระบี่หนักที่อยู่ตรงลำคอของเธอ ยังอยู่ที่เดิม

แต่เหมือนจางเยว่หานไม่เห็นกระบี่ในมือเขาอย่างไรอย่างนั้น

เอาแต่จะเข้าใกล้ลู่ฝาน อีกทั้งมือขวาที่เธอกำไข่มุกเอาไว้ ไปอยู่ด้านหลังแล้ว

ลู่ฝานพูดช้าๆ ว่า “งั้นเหรอ ทำไมฉันดูไม่ออกสักนิด”

จางเยว่หานรีบพูดว่า “เพราะนายไม่มองอย่างจริงจัง นายไม่มองอย่างละเอียด ลู่ฝาน ฉันยังรักนาย ตอนนั้นที่ฉันจากนายมา เพราะฉันเลอะเลือน ฉันคิดว่านายไม่มีอนาคต นายไม่สามารถเป็นนักบู๊ที่แท้จริงได้ แต่ตอนนี้ฉันรู้ว่าฉันผิด ผิดเป็นอย่างมาก”

จางเยว่หานชะงักไป จากนั้นก้าวเข้ามา

กระบี่หนักไม่คมแทงลงไปในเนื้อของเธอ

“ลู่ฝาน ตอนนี้นายเป็นผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงแล้ว ไม่เพียงแต่เข้าสู่แดนปราณนอก อีกทั้งยังเป็นอัจฉริยะทั้งสถาบันสอนวิชาบู๊ ไม่สิ ควรเรียกว่าอัจฉริยะในบรรดาอัจฉริยะ นายช่วงชิงอันดับหนึ่งของนักเรียนใหม่ นายเอาชนะหลินฉี ตอนนี้ยังเอาชนะเฉียวเซวียนได้อีก นายทำให้ฉันยอมรับ ลู่ฝานฉันยอมรับในความกล้าหาญของนาย เรามาเริ่มกันใหม่ได้ไหม ฉันสาบาน ครั้งนี้ฉันจะไม่จากนายไปแน่นอน”

น้ำตาไหลออกมาจากดวงตาของจางเยว่หาน เธอพูดได้อย่างน่าประทับใจ ราวกับเป็นคำพูดที่ออกมาจากใจ

กระบี่ของลู่ฝานลดต่ำลง ตอนนี้สีหน้าจางเยว่หานเปลี่ยนไปเล็กน้อย เธอรู้ว่า “การบอกรักอย่างจริงใจ” ของตัวเองได้ผลแล้ว

จางเยว่หานเดินเข้ามาหนึ่งก้าว จับมือลู่ฝานเอาไว้ทันที

“ลู่ฝาน ให้โอกาสฉันสักครั้งได้ไหม”

จางเยว่หานมองลู่ฝานด้วยดวงตาพร่ามัว ตอนนี้พลังหม่นหมองด้านหลังเธอ ไหลลงจากตัวเธอไปบนพื้น

ลู่ฝานถอนหายใจแล้วพูดว่า “จางเยว่หาน อันที่จริงฉันเคยคิดให้โอกาสเธอ”

จางเยว่หานหยุดร้องแล้วหัวเราะออกมา “ฉันว่าแล้ว ลู่ฝานนายก็ยังรักฉัน เราสามารถสร้างรักขึ้นมาใหม่ได้ ฉันจะมีลูกให้นายหลายๆ คนเลย”

จู่ๆ ลู่ฝานส่ายหน้า “แต่คนอย่างเธอ ไม่คู่ควรได้รับโอกาสอีกครั้งจริงๆ”

พูดพลาง สายตาของลู่ฝานดุดันขึ้นมา

ใบหน้าจางเยว่หานไม่สู้ดี

“งั้นนายตายซะเถอะลู่ฝาน!”

แสงสีเทาน่ากลัวที่อยู่ด้านล่างพุ่งขึ้นมา พื้นด้านล่างโดนกวาดจนเรียบไปหนึ่งฟุต ทุกอย่างกลายเป็นผุยผง ภายใต้แสงสีเทานี้

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 325
เหมือนหุ่นร้ายความฝันทั้งสี่ตัวนี้ ไม่ได้แสดงทักษะเก่งกาจอะไรออกมา ก็โดนกระบี่หนักไม่คมควบคุมเอาไว้แล้ว

อย่าบอกนะว่านี่คือการข่มกันของพลัง ที่อาจารย์หวูเฉินเคยพูดกับเขา

วันนี้ลู่ฝานได้เห็นแล้ว

จางเยว่หานทรุดลงบนพื้น แม้พลานุภาพของกระบี่เธอจะแข็งแกร่ง แต่ไม่สามารถทำอะไรลู่ฝานได้

ตอนที่ปลายกระบี่พุ่งไปตรงหน้าอกลู่ฝาน จางเยว่หานเห็นเกราะต้านทานกระบี่เธอเอาไว้

หลังจากนั้นพลังอันน่ากลัวจากกระบี่หนักของลู่ฝาน กดดันเธอเอาไว้

พลังนี้เหมือนพลานุภาพจากฟ้า

ไม่ว่าจากร่างกายหรือจิตวิญญาณ ล้วนโจมตีเธออย่างสาหัสและน่ากลัว

ตอนสัมผัสกับพลังนี้ เธอรู้สึกว่าอวัยวะภายในของตัวเอง โดนโจมตีอย่างแรง ตอนนี้กำลังปั่นป่วนอยู่ในร่างกาย

เธอรู้สึกว่าไม่ว่าจะเป็นเส้นลมปราณหรือกระดูกในร่างกายตัวเอง เหมือนโดนสอดเหล็กเข้ามา หนักจนเธอไม่สามารถยืนตรงได้

นี่เป็นพลานุภาพเขตวิถีบนกระบี่หนักไม่คม กดดันพลังทุกสิ่งเอาไว้

กระบี่ในมือจางเยว่หานไม่ใช่ของธรรมดา แต่อยู่ภายใต้การโจมตีของเขตวิถีของกระบี่หนักไม่คม ก็กลายเป็นผุยผงอย่างรวดเร็ว

ด้วยเหตุนี้เห็นได้ว่า เขตวิถีบนกระบี่หนักไม่คม แข็งแกร่งและน่ากลัวขนาดไหน

เมื่อครู่ลู่ฝานแค่กระตุ้นเขตวิถีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ราวกับโยนหินลงไปในท้องทะเลอันกว้างใหญ่ ทำให้เกิดแรงกระเพื่อมเป็นวงกว้าง

อีกทั้งแรงกระเพื่อมอันเล็กน้อย ทำให้จางเยว่หานไม่สามารถต้านทานได้

พลังและหุ่นร้ายความฝันทั้งสี่ตัว ที่เธอได้มาอย่างยากลำบาก หายไปราวกับฟองอากาศ ภายใต้แรงกระเพื่อมนี้

จางเยว่หานมองลู่ฝานอย่างตะลึง

หุ่นร้ายความฝันทั้งสี่ตัวยังคงดิ้นไปมา แต่การเคลื่อนไหวเบาลงเรื่อยๆ ส่วนแสงสว่างบนกระบี่หนักไม่คม สว่างขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งยังกะพริบอย่างไม่รู้สาเหตุ

เหมือนคนที่ทานจนอิ่ม แล้วเริ่มเรอออกมา

สุดท้ายหุ่นร้ายความฝันทั้งสี่ตัวกลายเป็นพลังสีเทา เข้าไปในกระบี่หนักไม่คม

ตอนนี้กระบี่หนักไม่คมไม่มีแสงแล้ว ตัวอักษรหายไปอย่างไร้ร่องรอย

จู่ๆ ลู่ฝานโงนเงนไปมา

จนถึงตอนนี้ เขาเพิ่งสัมผัสได้ว่าปราณชี่ของตัวเอง ใช้ไปแบบไม่สามารถควบคุมได้

เพราะเมื่อกี้กระบี่หนักไม่คมปล่อยพลังออกมาตลอด ดังนั้นลู่ฝานจึงไม่ได้สังเกต

แต่ตอนนี้กระบี่หนักไม่คมเก็บพลังไปแล้ว ความอิดโรยจึงแผ่ซ่านไปทั้งตัวลู่ฝาน

แต่ต่อมามีพลังทะลักออกมาจากมุกเทพ เคลื่อนไหวไปตามเส้นลมปราณของลู่ฝาน

ความพิเศษที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง เสริมสร้างปราณชี่แรกของลู่ฝานออกมาอย่างรวดเร็ว ทำให้ลู่ฝานไม่เหมือนนักบู๊คนอื่น ที่หลังจากอิดโรย ก็ไม่มีแรงเคลื่อนไหวทันที

ความเหนื่อยล้าปรากฏขึ้นในแววตาของลู่ฝาน

มองจางเยว่หานที่นอนแข็งทื่ออยู่ด้านหน้า ลู่ฝานมีแววตาเย็นชา

จางเยว่หานกัดฟันตะโกนออกมาว่า “ลู่ฝาน มีปัญญาก็ฆ่าฉันสิ”

ลู่ฝานมองเธออย่างแน่วแน่ จากนั้นเงยหน้ามองฟ้า หัวเราะแล้วพูดว่า “จางเยว่หาน เธอเกลียดฉันถึงขั้นนี้ ต้องกำจัดฉันให้ได้ เธอถึงจะมีความสุขใช่ไหม”

จางเยว่หานกระอักเลือดออกมาอีก แล้วกัดฟันมองลู่ฝาน

จู่ๆ เธอกระโจนเข้ามาหาลู่ฝาน ทำท่าแยกเขี้ยว ราวกับผีร้ายอย่างไรอย่างนั้น

ลู่ฝานใช้กระบี่โจมตีเธอจนล้มลงกับพื้น กระบี่นี้ลู่ฝานไม่ออมมือ เสียงดังขึ้นชัดเจน ลู่ฝานตบหน้าจางเยว่หาน ตบกระบี่ของเธอจนยุบลงไป

ลู่ฝานเดินเข้ามา ใช้กระบี่หนักวางไว้ตรงลำคอของจางเยว่หาน

ลู่ฝานพูดช้าๆ ว่า “จางเยว่หาน เธอกำลังรนหาที่ตาย”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 324
ตัวอักษรเพิ่งปรากฏขึ้นมา หุ่นร้ายความฝันทั้งสี่ตัวเหมือนก้อนน้ำแข็งเจอกับไฟ ส่งเสียงร้องโอดครวญออกมา

เสียงแสบแก้วหูทำให้จางเยว่หานไม่สามารถทนได้ ถอยหลังไปอย่างต่อเนื่อง

ลู่ฝานสะบัดกระบี่หนัก หุ่นร้ายความฝันตัวหนึ่งถูกกระบี่หนักตบจนปลิวไปสามฟุต ตัวที่เหมือนหมอกควัน โดนตบจนหายไปเกือบครึ่ง

ไข่มุกในมือจางเยว่หานเริ่มสั่น เธอสัมผัสได้ว่าตอนนี้วิญญาณของราชาปีกกำลังหวาดกลัว

นี่เป็นเรื่องที่ยากจะจินตนาการได้ จางเยว่หานเคยได้ยินราชาปีกพูด

ตั้งแต่ไข่มุก จนถึงราชาปีกที่อยู่ด้านใน เคยติดตามผู้แข็งแกร่งเซียนบู๊ไปต่อสู้

แม้ตอนนี้มันไม่สมบูรณ์ แต่ตั้งแต่ปราณดินลงไป ไม่มีใครสู้ได้ ทำไมเจอคนกระจอกอย่างลู่ฝาน ถึงต้องหวาดกลัวล่ะ

จางเยว่หานถือกระบี่พุ่งเข้าไป ด้วยสายตาเย็นชาอีกครั้ง

วิชากายเหมือนสายฟ้า ฝีเท้าเหมือนเงา มาพร้อมกับสายลมแห่งการฆ่า

หุ่นร้ายความฝันทั้งสี่ตัว ก็ตามเข้าไปฆ่าเช่นกัน

จางเยว่หานไม่จำเป็นต้องสั่ง หุ่นเชิดทั้งสี่กลายเป็นค่ายกลสี่ด้าน ล้อมลู่ฝานเอาไว้ด้านใน

ทั้งสี่ลงมือพร้อมกัน แส้อันเย็นยะเยือก มัดแขนขาทั้งสี่ของลู่ฝานเอาไว้

แส้ที่เร็วจนน่าประหลาด ไม่มีเวลาให้ลู่ฝานตั้งตัว แค่พริบตาเดียว แส้ยาวพันข้อมือและข้อเท้าของลู่ฝานเอาไว้

ลู่ฝานแผดเสียงเบาๆ ใส่ปราณชี่ของตัวเองเข้าไปในกระบี่หนักไม่คมอีกครั้ง ทันใดนั้นกระบี่หนักไม่คม กระแทกลงบนพื้นอย่างแรง พร้อมด้วยตัวอักษรที่มีพลานุภาพด้านบนกระบี่

ตอนนี้กระบี่ของจางเยว่หานอยู่ตรงหัวใจของลู่ฝานพอดี

ตู้ม!

ต้นไม้ทั้งแถบระเบิดออก กิ่งไม้นับไม่ถ้วนปลิวออกไป

เสียงระเบิดรุนแรง ทำให้นักเรียนคณะกำแหงจำนวนไม่น้อย พากันมองลงมาทางนี้

“เกิดอะไรขึ้น”

“ไม่ได้มีใครฝึกฝนจนเกิดปัญหาอะไรใช่ไหม”

พวกนักเรียนต่างมองมาตรงที่เกิดเหตุด้วยความสงสัย

ในป่าเกิดหลุมใหญ่ปรากฏขึ้นมา

ทุกสิ่งทุกอย่างรอบๆ หลงเหลือเพียงความย่อยยับ หินด้านล่างเท้ากลายเป็นผุยผง

ลู่ฝานยืนสีหน้าปกติอยู่ในหลุม มือขวามีกระบี่หนักไม่คม มือซ้ายจับกระบี่ยาวที่จางเยว่หานแทงมา

สายลมเย็นพัดผ่านไป กระบี่ในมือจางเยว่หาน หักออกเป็นท่อนทันที

จางเยว่หานกระอักเลือดออกมา

ตัวอักษรสีทองใต้เท้าลู่ฝาน ค่อยๆ ลอยขึ้นมา

หุ่นร้ายความฝันทั้งสี่ตัว นอนอยู่บนพื้น เริ่มดิ้นไปมาอย่างสุดชีวิต

ตัวอักษรสีทองทับอยู่บนตัวพวกมัน พลังหม่นหมองออกมาจากตัวพวกมัน เข้าไปในกระบี่หนักไม่คม

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรในตัว หัวเราะออกมา

“พลังบริสุทธิ์มาก เป็นพลังปราณนอกขั้นสูงสุดอย่างแน่นอน เจ้านาย ครั้งนี้รุ่งเรืองแล้ว มีพลังของหุ่นร้ายความฝันสี่ตัวนี้ ไม่คมน่าจะฟื้นฟูพลังได้ไม่น้อย อิอิ ไม่คมเก่งจริงๆ เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ ไม่ต้องเกรงใจไม่คมนะ รอมันฝึกพลังจนเสร็จ คุณขอจากมันส่วนหนึ่ง เพื่อยกระดับพละกำลัง ทำให้มั่นคง ยังดีกว่ายาเม็ดอีก ไม่คมนายแบ่งให้ฉันสักนิดด้วยสิ อย่าขี้เหนียว โอ๊ย ทำไมนายทำอย่างนี้ ยังไงตอนนี้เราก็อยู่ฝั่งเดียวกัน แบ่งฉันสักนิดจะทำไม……”

เสียงของเจดีย์เสวียนเก้ามังกร เข้าไปในมุกเทพ เห็นได้ชัดว่าต้องการขอพลังจากกระบี่หนักไม่คม

ลู่ฝานฟังจนหนังตากระตุก หุ่นเชิดแดนปราณนอกขั้นสูงสุดสี่ตัว

พละกำลังระดับนี้ เขาสามารถสู้ตัวต่อตัวได้ แต่ถ้าสู้หนึ่งต่อสี่ เขาคงทำได้เพียงหนีเท่านั้น

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสถานการณ์ในตอนนี้ ที่ควบคุมหุ่นเชิดทั้งสี่ตัวให้ยอมจำนน

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 323
จางเยว่หานโมโหจนสั่นไปทั้งตัว สติที่เหลืออยู่เล็กน้อย ทำให้เธอไม่พุ่งออกไป

ลู่ฝานเดินไปเดินมา ก้าวไปข้างหน้าอีก 50 กว่าก้าว

แต่ไม่กี่ก้าวสุดท้าย ลู่ฝานไม่เดินแล้ว ยืนยิ้มอยู่ที่เดิม

เลือดลมของจางเยว่หานเริ่มไม่สม่ำเสมอ จ้องเท้าลู่ฝานอยู่อย่างนั้น นายเดินมาอีกสักสองสามก้าวสิ

เดินมาอีกสักสองสามก้าวสิ!

มือที่กำไข่มุกกำลังสั่น จางเยว่หานรู้สึกว่าเลือดพุ่งมาถึงคอ

ลู่ฝานแค่เดินๆ หยุดๆ ก็เกือบทำให้จางเยว่หานกระอักเลือดแล้ว

จางเยว่หานกลืนเลือดกลับลงไปในคอ มองลู่ฝานจากไกลๆ จู่ๆ จางเยว่หานสัมผัสได้ถึงสายตาของลู่ฝานที่มองมา แฝงไปด้วยความเยาะเย้ย

จางเยว่หานเข้าใจแล้ว อีกฝ่ายกำลังหลอกเธอ!

ลู่ฝานรู้นานแล้วว่าเธอซ่อนตัวอยู่ที่นี่!

จางเยว่หานอายจนโมโหทนไม่ไหวแล้ว มีแสงออกมาจากตัว หุ่นร้ายความฝันทั้งสี่ตัวพุ่งเข้าไป

ลู่ฝานรอพวกมันมานานแล้ว ตอนที่พลังฟ้าดินรอบๆ เคลื่อนไหว เขาดึงกระบี่หนักไม่คมของตัวเองออกมา

ใส่ปราณชี่เข้าไป วันนี้กระบี่หนักไม่คมแตกต่างจากปกติเป็นอย่างมาก

พลานุภาพที่ไม่สามารถบรรยายได้ด้วยคำพูด ปลดปล่อยออกมาจากกระบี่หนักไม่คม เห็นได้ด้วยตาเปล่าว่าพื้นรอบๆ ยุบลงไปเกินกว่าหนึ่งนิ้ว

เงาคนดำขลับสี่เงา พุ่งเข้ามาที่ลำคอของลู่ฝาน

เมื่อเงาทั้งสี่พุ่งมาตรงหน้าลู่ฝาน ดูเสื่อมสภาพลงเล็กน้อย

นี่คือระยะทางถึงขีดจำกัด เจดีย์เสวียนเก้ามังกรคาดเดาไม่พลาด ระยะทางในการจู่โจมของหุ่นร้ายความฝันแค่นี้แหละ

การเสื่อมสภาพลงเล็กน้อย ทำให้ลู่ฝานมีเวลาป้องกันตัวเพียงพอ

สะบัดกระบี่หนักขวางการโจมตีของหุ่นร้ายความฝันทั้งสี่ตัว

พวกมันสะบัดแส้ยาวออกมาจากมืออันดำขลับ ฟาดลงบนกระบี่หนักไม่คม

พลังที่แฝงอยู่บนแส้ยาวยังเป็นเรื่องรอง สิ่งสำคัญคือความหนาวจนถึงกระดูก เข้ามาในตัวของลู่ฝาน

ลู่ฝานสัมผัสได้ว่าความหนาวไม่เพียงแต่ทำให้ผิวหนัง เส้นเอ็นและกระดูกของเขาหดตัว อีกทั้งยังทำให้การเคลื่อนไหวปราณชี่ของเขาช้าลงด้วย

จางเยว่หานพุ่งออกมาเช่นกัน ถือกระบี่อ่อนไว้ในมือ แทงมาตรงหว่างคิ้วของลู่ฝาน

“ตายซะลู่ฝาน!”

เมื่อกระบี่พุ่งออกมา เสียงโหยหวนดังออกมา

เสียงโหยหวนนับไม่ถ้วน พุ่งไปทางลู่ฝานตามกระบี่ของจางเยว่หาน

วิชากระบี่ที่มีออร่าวิญญาณ ไม่รู้จางเยว่หานไปเรียนมาจากไหน ต้องไม่ใช่วิชาของคณะบังเหินแน่นอน

ลู่ฝานแทงกระบี่หนักออกไป

กระบี่ฆ่าพิชิตฟ้า ฆ่าห้าตัว!

คำว่าฆ่าปรากฏขึ้นมาห้าตัว ขวางจางเยว่หานรวมถึงหุ่นร้ายความฝันทั้งสี่ตัวเอาไว้

พลังที่แฝงอยู่บนตัวอักษรคำว่าฆ่า ทำให้หุ่นร้ายความฝันเป็นรูพรุน ขวางพลานุภาพกระบี่ของจางเยว่หานเอาไว้ อีกทั้งยังดันจางเยว่หานออกไปด้วย

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรตะโกนเสียงดังอยู่ในตัวลู่ฝาน “สู้ได้ดี เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ ฉันประเมินเจ้านายต่ำเกินไปแล้ว ไม่เสียแรงที่เป็นผู้แข็งแกร่งที่มีมุกเทพ ไม่เสียแรงที่เป็นเจ้านายที่ฉันเลือก ฮ่าๆ ไม่คม นายรออะไรอยู่ล่ะ ผนึกวิญญาณสิ!”

พลานุภาพของกระบี่หนักไม่คมพลุ่งพล่าน ลู่ฝานรู้สึกว่าปราณชี่ของตัวเองโดนกระบี่หนักไม่คมดูดไปเหมือนน้ำ

ทันใดนั้น บนกระบี่หนักไม่คม มีลายเหมือนคลื่นน้ำ

ลู่ฝานตั้งสติ เริ่มกระตุ้นเขตวิถีด้านบน

คำว่ากระบี่หนักไม่คม ไหวพริบต้องเรียบง่าย เริ่มมีแสงแสบตาสว่างขึ้นมาเหมือนภาพลวงตา

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 322
ลู่ฝานปรึกษาอยู่ฝั่งนี้อย่างเงียบๆ ยืนนิ่งเหมือนตอไม้ไม่ขยับไปไหน

จางเยว่หานที่รอพวกเขามา ใกล้กระอักเลือดแล้ว เห็นลู่ฝานกำลังจะเดินมา ใครจะไปรู้ว่าเขายังยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น

ระยะนี้ไม่สามารถทำให้จางเยว่หานออกคำสั่งได้

หนึ่งคือเธอไม่รู้ว่าลู่ฝานเห็นหรือเปล่า ถ้าลู่ฝานเห็นว่าผิดปกติ แล้วหนีไป การตามฆ่าเป็นเรื่องลำบาก ไม่แน่อาจมีปัจจัยอื่น ทางที่ดีต้องฆ่าด้วยการโจมตีเดียว

อีกอย่างคือเธอยังรู้รูปแบบการโจมตีและระยะการโจมตีของหุ่นร้ายความฝัน

หุ่นร้ายความฝันระดับปราณนอกขั้นสูงสุด ระยะการฆ่าเพียงครั้งเดียว เธอรู้เป็นอย่างดี

แค่ลู่ฝานเดินมาข้างหน้าอีกร้อยก้าว จางเยว่หานกล้าพาหุ่นร้ายความฝันพุ่งเข้าไปทันที

เธอกำไข่มุกในมือแน่น รวบรวมสติเอาไว้ ไม่กล้าแม้แต่จะกะพริบตา

แค่ร้อยก้าว นายขยับสิ!

ดวงตาของจางเยว่หานแดงก่ำ เธอแทบจะเดินเข้าไปแทงลู่ฝานแล้ว

ให้นายยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น!

เหมือนสิ่งที่เธอบ่นในใจได้ผล ในที่สุดลู่ฝานก็ขยับแล้ว จางเยว่หานตื่นเต้นทันที เตรียมจะออกคำสั่ง

หนึ่งก้าว สองก้าว สามก้าว

หลังเดินได้สิบก้าว ลู่ฝานก็หยุดลงอีก

จากนั้นยืนเงียบอยู่ตรงนั้น

ลมหายใจของจางเยว่หานไม่สม่ำเสมอ อะไรกัน หยุดอีกทำไม!

ลู่ฝานทำเป็นชมนกชมไม้ ใบหน้ามีรอยยิ้ม อีกทั้งยังฮัมเพลงอีกด้วย ในเวลาเดียวกัน ลู่ฝานอาศัยปราณชี่ของตัวเองสัมผัสกับพลังที่จางเยว่หานระเบิดออกมา

พลังที่อัดอั้นเป็นเวลานาน ใกล้จะระเบิดออกมาแล้ว ตอนนี้จางเยว่หานคงอดกลั้นจนทรมานมากแล้ว

แต่นี่คือสิ่งที่ลู่ฝานต้องการเห็น เขาต้องการให้จางเยว่หานเห็นทักษะพิเศษในการชมนกชมไม้ของเขา

ลู่ฝานยืนอยู่ที่เดิมครู่หนึ่ง จากนั้นเดินมาข้างหน้าอีกไม่กี่ก้าว

ครั้งนี้เขาเดินเร็วมาก ลมหายใจของจางเยว่หานเพิ่มขึ้นอีก แต่ไม่ถึงสิบก้าว ลู่ฝานก็หยุดลงอีกครั้ง

“บานพร้อม พร่างมาลา เต็มไปด้วยต้นไม้เขียวขจี ทักษะกลอนยกระดับขึ้นนะเนี่ย ฉันจะแต่งกลอนในฤดูใบไม้ผลิสักหนึ่งบทกลอน”

ลู่ฝานส่ายหน้าไปมาแล้วพูด จงใจพูดเสียงดัง ให้จางเยว่หานได้ยินอย่างชัดเจน

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรในตัว หัวเราะจนแทบบ้าแล้ว

“ฮ่าๆ เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ คุณมีความสามารถจริงๆ วิธีการประเมินกับดักของอีกฝ่ายแบบนี้ น่าสนใจจริงๆ เจ้านาย ฉันว่าหุ่นร้ายความฝันของเธอ ขอบเขตการโจมตีในครั้งเดียว น่าจะอยู่นอกระยะหกสิบก้าว ออร่าของหุ่นร้ายความฝันทั้งสี่ตัว น่าจะอยู่ในแดนปราณนอกขั้นสูงสุด เดาว่าคงต้องพุ่งเข้าไปในระยะนี้ คุณเดินอีกสัก 58-59 ก้าว แล้วค่อยหยุดลงอีกครั้ง ระยะห่างเพียงแค่นั้น ต้องทำให้อีกฝ่ายโมโหจนแทบกระอักเลือดแน่นอน”
ลู่ฝานสีหน้ายิ้มแย้ม เขาก็คิดแบบนี้เหมือนกัน มีการคาดเดาของเจดีย์เสวียนเก้ามังกร เขายิ่งมีความมั่นใจ ทำให้อีกฝ่ายโมโหจนตาย

ลู่ฝานเริ่มก้าวเดินเล่นไปรอบๆ บางครั้งก้าวขึ้นไปข้างหน้า บางครั้งก็ก้าวถอยหลัง ทำให้จางเยว่หานโมโหจนกัดฟันแทบแตก

ลู่ฝานเหมือนกำลังคิดกลอนจริงๆ พูดโพล่งออกมาว่า “โอ้ ฟ้าใส โอ้ เมฆขาว”

จางเยว่หานแทบอยากจะเข้ามาแทงลู่ฝานสักร้อยที

ฤดูใบไม้ผลิอะไรกันล่ะ ใกล้ถึงเทศกาลเซ่นไหว้ประจำปี เข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงตั้งนานแล้ว

ยังมาแต่งกลอนฟ้าใส เมฆขาวบ้าบออะไรกัน

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 321
ลู่ฝานมองอย่างเงียบๆ แอบคิดว่าเจดีย์เสวียนเก้ามังกรอัศจรรย์ตามคาด พลังของเขาค้นหาผ่านเจดีย์เสวียนเก้ามังกร มีประสิทธิภาพถึง 2-3 เท่า ไม่เพียงแต่ขอบเขตกว้างขึ้น สิ่งที่ค้นหาได้ยังชัดเจนด้วย
ไม่นานเส้นใยพวกนี้หาที่มาของพลังเยือกเย็นจนเจอ
ภาพบนตัวของเจดีย์เสวียนเก้ามังกร เป็นภาพของจางเยว่หานที่ถูกพลังหม่นหมองปกคลุมไว้
เมื่อลู่ฝานเห็นใบหน้าจางเยว่หาน เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย
จางเยว่หานรอเขาอยู่ข้างหน้า แต่จางเยว่หานท่าทางลับๆ ล่อๆ แววตาเยือกเย็น ต้องการฆ่าคนสินะ
เสียงของเจดีย์เสวียนเก้ามังกรดังขึ้นอีกครั้ง
“เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ คุณลำบากแล้ว มีผู้หญิงพร้อมด้วยหุ่นร้ายความฝันสี่ตัว รอคุณอยู่ข้างหน้า จากการคาดเดาของฉัน เธอน่าจะมาฆ่าคุณ พละกำลังของคุณตอนนี้ ยังไม่เพียงพอรับมือกับหุ่นร้ายความฝันสี่ตัว ถึงมีฉันช่วยก็ไม่ไหว”
ลู่ฝานขมวดคิ้วพูดว่า “หุ่นร้ายความฝันคืออะไร”
ในเจดีย์เสวียนเก้ามังกร กลายเป็นภาพของหุ่นร้ายความฝัน สายตาดำขลับที่ซ่อนอยู่ในความมืด ร่างกายเหมือนหมอกควัน ทั้งประหลาดและอันตราย
เจดีย์เสวียนเก้ามังกรอธิบายว่า “นี่เป็นหุ่นเชิดที่ใช้ฆ่าคนชิงชี่โดยเฉพาะ จุดประสงค์ที่สร้างพวกมันออกมา คือการฆ่าคน จากนั้นแย่งชิงเลือดสารจำเป็น พลังชี่ พลังปราณ พลังที่สามารถใช้ได้ของอีกฝ่ายมา สิ่งนี้ในสมัยที่ฉันเกิด ได้รับความนิยม นักบู๊ ผู้ฝึกชี่ที่ชั่วร้ายจำนวนมากล้วนสร้างมันขึ้นมา ต่อมาโดนร่วมมือกันทำลาย น่าจะสูญหายไปนานแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะเจอที่นี่อีก น่าเสียดาย แม้พลังนี้ดี แต่ไม่สามารถชิงมาได้”
ลู่ฝานพูดว่า “นั่นหมายความว่า ตอนนี้ฉันควรหันหลังหนี”
เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดว่า “ใช่ ควรหนีไป เร็วเท่าไรยิ่งดี”
แต่เจดีย์เสวียนเก้ามังกรเพิ่งพูดจบ กระบี่หนักไม่คมด้านหลังลู่ฝานสว่างขึ้น
มุกเทพในตัวก็กะพริบสองสามครั้ง
เจดีย์เสวียนเก้ามังกรรีบพูดว่า “เดี๋ยวก่อน เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ เหมือนไม่คมจะพูดอะไร อืม ไม่คมบอกว่าเจ้านายไม่ต้องหนีก็ได้ มันมีวิธีรับมือกับหุ่นร้ายความฝันพวกนั้น”
ลู่ฝานพูดอย่างตกใจว่า “อะไรนะ มันมีวิธีรับมือเหรอ มันพูดไม่ได้ไม่ใช่เหรอ แกรู้ได้ยังไง”
เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดว่า “เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ แม้มันพูดไม่ได้ แต่เป็นภูติอาวุธเหมือนกัน ฉันเข้าใจสิ่งที่มันต้องการจะสื่อ มันบอกว่าแค่เจ้านายกระตุ้นเขตวิถี ทุกอย่างจะไม่เป็นปัญหา มันสามารถ……ให้ตายเถอะ กระบี่เสวียนอู่……เอ้ย ไม่ใช่สิ กระบี่ไม่คม นายมีความสามารถผนึกวิญญาณตั้งแต่เมื่อไร”
กระบี่หนักไม่คมกะพริบอีกสองสามครั้ง ครั้งนี้แม้แต่ลู่ฝานก็มองออกว่ามันกำลังได้ใจ
เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดออกมาอย่างตกใจ “โอเค เจ้านาย ครั้งนี้ไม่คมจะได้ประโยชน์ครั้งใหญ่แล้ว มันสามารถผนึกหุ่นเชิดที่ก่อตัวจากพลังอันบริสุทธิ์ได้ แค่เจ้านายถือกระบี่นี้ไว้ กระตุ้นเขตวิถี ต่อสู้กับหุ่นร้ายความฝันพวกนี้ แต่ฉันคิดว่ายังเสี่ยงอยู่ เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ คุณคิดว่าจะทำยังไง”
ลู่ฝานยืนคิดอยู่ที่เดิมครู่หนึ่ง
ทันใดนั้นลู่ฝานคิดในใจว่า “ในเมื่อกระบี่ไม่คมมีความมั่นใจ งั้นลองสักครั้งเถอะ ไอ้เก้าแกรับประกันไม่ใช่เหรอว่าฉันไม่ตาย งั้นฉันจะกลัวอะไร”
เจดีย์เสวียนเก้ามังกรหัวเราะแล้วพูดว่า “วางใจเถอะเจ้านาย มีฉันอยู่ รับรองว่าคุณไม่เป็นไร สู้ไม่ได้ หนีก็ไม่มีปัญหาแน่นอน”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 320
ฟ้าดินมีความผิดปกติ ต้องมีอะไรแปลกประหลาด ลู่ฝานขมวดคิ้วสังเกตพลังฟ้าดินรอบๆ

ถ้าพูดว่ารัศมีร้อยลี้ในคณะกำแหงมีสัตว์อสูร ลู่ฝานเป็นคนแรกที่ไม่เชื่อ พวกคณะกำแหงชอบหาเรื่อง นักเรียนที่เจอต้นไม้ยังต้องเตะ ปล่อยให้สัตว์อสูรมีชีวิตรอดสักตัว คงเป็นเรื่องแปลก

แต่ถ้าไม่ใช่สัตว์อสูร งั้นพลังที่เปลี่ยนแปลงพลังฟ้าดินคืออะไร

ลู่ฝานเดินไปทางที่พลังฟ้าดินเปลี่ยนแปลงด้วยความสงสัย

เดินพลาง ลู่ฝานรู้สึกหวาดระแวงอยู่ในใจ เหมือนเขากำลังเดินเข้าไปในกับดักอย่างไรอย่างนั้น

ไม่ไกลจางเยว่หานพาหุ่นร้ายความฝันสี่ตัวมา มองผ่านไข่มุกในมือ “เห็น” ลู่ฝานกำลังเดินเข้ามา

จางเยว่หานมีรอยยิ้มโหดเหี้ยมบนใบหน้า เธอชะงักฝีเท้าลง สะบัดมือแล้วพูดว่า “ซ่อนตัว”

หุ่นร้ายความฝันทั้งสี่ตัวหายไปเหมือนวิญญาณ ไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรสักนิด

ถ้าพวกมันไม่ออกมา ถึงจางเยว่หานมองการเคลื่อนไหลของชี่ ก็ไม่รู้ว่าพวกมันหลบอยู่ที่ไหน ทำได้เพียงอาศัยไข่มุกในมือ สัมผัสถึงตำแหน่งของหุ่นร้ายความฝันทั้งสี่ตัว

ทันใดนั้น จางเยว่หานยืนอยู่ด้านหลังต้นไม้ใหญ่ แสงหม่นหมองปกคลุมตัวเธอไว้ ออร่าหายไปจนหมด เหมือนหายไปในอากาศ

เธอรอลู่ฝานเดินเข้ามาอย่างเงียบๆ

ไข่มุกในมือไร้แสง กระแสลมสีเทาเหมือนหมอกควัน กำลังเคลื่อนไหวอยู่ด้านใน

“มาสิลู่ฝาน ให้ฉันเห็นเลือดนายสาดลงพื้น ให้ฉันเห็นประกายในดวงตานายหายไป ฉันถึงจะคลายความเกลียดชังในใจได้”

ฝีเท้าของลู่ฝานช้าลง เขารู้สึกผิดปกติเล็กน้อย เริ่มใช้ปราณชี่ตรวจสอบสถานการณ์บริเวณรอบๆ

โดยทั่วไปแล้วพลังปราณของนักบู๊ ห่างจากตัวได้ไม่มาก นักบู๊แดนปราณนอก ปล่อยพลังปราณออกไปร้อยก้าว ถือเป็นขีดจำกัดแล้ว

แต่ผู้ฝึกชี่ที่มีผลการฝึกตนระดับเดียวกัน สามารถใช้พลังชี่ตรวจสอบสถานการณ์ในรัศมีไม่กี่ลี้ได้ อีกทั้งลู่ฝานที่มีพลังสองอย่างรวมกัน แค่ใช้ใจสัมผัส ก็สามารถตรวจสอบสถานการณ์ในรัศมีสิบลี้ได้

นี่เป็นขอบเขตที่ใหญ่มาก แม้ผลที่ค้นหาได้ไม่ชัดเจนเท่าไรนัก แต่อย่างน้อยสามารถแยกแยะได้ว่าข้างหน้าคืออะไร

ลู่ฝานตั้งสติค้นหา พบว่าไม่ไกลข้างหน้า มีออร่าแปลกประหลาด

เต็มไปด้วยความชั่วร้าย ทำให้รู้สึกหนาวเหน็บ

พลังนี้ดูเหมือนไม่ใช่สัตว์อสูรธรรมดา และไม่เหมือนนักบู๊ทั่วไป ยิ่งไม่เหมือนชิ้นส่วนสมบัติสวรรค์

ลู่ฝานชะงักฝีเท้าลง กำลังลังเลว่าจะเดินต่อไปข้างหน้าดีไหม

ขณะนั้นเสียงของเจดีย์เสวียนเก้ามังกรในตัวเขาดังขึ้นมา

“เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ เจอของดีอีกแล้ว พลังที่นี่เยือกเย็นขนาดนี้ อืม เป็นพลังที่บริสุทธิ์มาก”

ลู่ฝานคิดในใจ “แกรู้เหรอว่าพลังนี้คืออะไร”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดว่า “ไม่ค่อยรู้มากนัก แต่ตรวจสอบดูได้ เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ ฉันขอยืมพลังสักนิด เพื่อค้นหาบริเวณรอบๆ ได้ไหม แน่นอนว่าคุณเห็นทั้งหมดได้ด้วย”

ลู่ฝานพูดว่า “งั้นแกก็ค้นหาสิ”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรตอบรับอย่างตื่นเต้น ทันใดนั้นลู่ฝานรู้สึกว่าในตันเถียนของตัวเอง มีเงาของเจดีย์เสวียนเก้ามังกรโผล่ขึ้นมา

จากนั้นเส้นใยปราณชี่อันบางเบา ปล่อยออกมาจากในตัวเขา กระจายไปรอบๆ เหมือนลูกธนูนับไม่ถ้วน

ต่อมาทุกที่ที่เส้นใยนี้พาดผ่านไป ภาพเหมือนกับภาพวาด สะท้อนมาบนตัวของเจดีย์เสวียนเก้ามังกรในตัวเขา

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 319
จางเยว่หานแอบกัดฟัน กำไข่มุกในมือแน่น เล็บแทบจะจิกเข้าไปในไข่มุก

“ออกมาสิราชาปีก”

จางเยว่หานใส่พลังปราณของตัวเองเข้าไปในไข่มุก พลังปราณอันแข็งแกร่ง อยู่ในแดนปราณนอกชั้นสาม

ความเร็วการฝึกฝนน่ากลัวแบบนี้ ไม่ได้ต่างจากลู่ฝานมากนัก แค่ในพลังปราณของเธอ มีออร่ามืดมนอยู่เล็กน้อย

ไข่มุกสีใส ตอนนี้กลายเป็นแสงหม่นหมอง

จากนั้นมีร่างของวิญญาณออกมาจากไข่มุกเหมือนหมอกควัน

“จางเยว่หาน เธอต้องรู้ว่าเรียกฉันออกมา เธอต้องจ่ายอย่างมหาศาล เรียกฉันมาครั้งนี้มีเรื่องอะไร”

แววตาทั้งสองข้างของจางเยว่หานหม่นหมอง พูดด้วยสีหน้าเย็นชาว่า “ฉันจะให้แกช่วยฉันฆ่าคน นั่นก็คือเขา!”

จางเยว่หานชี้ไปยังลู่ฝานที่อยู่ไกลๆ

วิญญาณหัวเราะด้วยเสียงแสบแก้วหู “ฆ่าคนเหรอ ง่ายขนาดนี้ เธอต้องรู้ว่าเรียกฉันมาครั้งนี้ เธอจะเสียเลือดสารจำเป็นไปหนึ่งปี และช่วงชิงความงามของเธอไปอีกหนึ่งปี”

สีหน้าจางเยว่หานไม่สู้ดีเล็กน้อย เลือดสารจำเป็นหนึ่งปียังไม่เท่าไร นี่เป็นสิ่งที่สามารถใช้สมุนไพรหรือยาทดแทนได้

แต่ความงามหนึ่งปี ทำให้จางเยว่หานเจ็บปวด ผู้หญิงถึงเป็นนักบู๊ จะงดงามเหมือนดอกไม้สักกี่ปี ไม่รู้ว่าตอนมีชีวิตอยู่ วิญญาณที่ชื่อราชาปีกเป็นสิ่งใด ถึงมีความสามารถในการช่วงชิงความงาม

แต่ตอนนี้จางเยว่หานไม่มีเวลามาสนใจอะไรมาก อย่าว่าแต่ความงามหนึ่งปีเลย เป็นสิบปีเธอก็ยอม

“รีบเอาไป ฉันต้องการให้เขาตาย!”

จางเยว่หานตวาดออกมา ทันใดนั้น พลังสีใสพาดผ่านหน้าจางเยว่หานไป เข้าไปในวิญญาณ

เห็นใบหน้าของวิญญาณอย่างเลือนราง

จางเยว่หานแก่ขึ้นหนึ่งปีทันที ไม่ว่าจะเป็นร่างกายหรือใบหน้า ดูหย่อนคล้อย

นี่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมจางเยว่หานดูไม่สดใส ใบหน้าแก่ลง หน้าตาจืดชืด

มีเพียงจางเยว่หานที่รู้ เธอต้องสูญเสียเท่าไร เพื่อพละกำลังในตอนนี้

วิญญาณดูดพลังของจางเยว่หาน กลายเป็นเงาหลายเงา

สะท้อนกับแสงอาทิตย์ แสงของเงาสะท้อนเป็นเจ็ดสี เหมือนควันกลายเป็นรูปร่าง

จากนั้นกลายเป็นคนสี่คน

สี่คนที่เหมือนกันไม่มีผิด แววตาว่างเปล่า ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ

“หุ่นร้ายความฝัน!”

จางเยว่หานพึมพำออกมา ยิ้มมุมปากอย่างโหดเหี้ยม

มีหุ่นร้ายความฝันสี่ตัวนี้อยู่ รับประกันว่าลู่ฝานตายแน่นอน

วิญญาณกลับเข้าไปในไข่มุกอีกครั้ง “จางเยว่หาน หุ่นร้ายความฝันสี่ตัวนี้ แต่ละตัวมีพละกำลังแดนปราณนอกขั้นสูงสุด หุ่นสี่ตัวร่วมมือกัน เทียบได้กับนักบู๊แดนปราณชีวิต หรือไม่ก็ผู้ฝึกชี่ระดับนักเรกิ ช่วยให้เธอฆ่าศัตรูได้อย่างไม่มีปัญหา แต่จำเอาไว้ว่า พละกำลังของฉันตอนนี้ สามารถทำให้พวกมันเคลื่อนไหวได้หนึ่งชั่วยามเท่านั้น หลังผ่านไปหนึ่งชั่วยาม พวกมันจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย”
จางเยว่หานพูดว่า “หนึ่งชั่วยามก็เพียงพอแล้ว!”

พูดพลางจางเยว่หานสะบัดมือเบาๆ ไปที่หุ่นร้ายความฝันทั้งสี่ตัว

ทันใดนั้น หุ่นร้ายความฝันทั้งสี่ตัวโค้งคำนับจางเยว่หาน เพื่อแสดงความภักดี

“ครั้งนี้ฉันจะดูนายตายด้วยตาตัวเอง”

จางเยว่หานยิ้มเย็นชา เด้งตัวออกไปพร้อมหุ่นเชิดทั้งสี่ตัว

ลู่ฝานที่กำลังวิ่งอยู่ในป่าชะงักฝีเท้าลง มองพลังฟ้าดินที่เปลี่ยนแปลงเล็กน้อยจากไม่ไกล แล้วขมวดคิ้วเบาๆ

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 318
เช้าวันต่อมา อาจารย์เซินถูเดินบ่นออกมาจากลานบ้าน

ในมือยกกางเกงของตัวเอง อาจารย์เซินถูเดินไปที่ลานบ้านของตัวเอง ท่ามกลางสายตาประหลาดของนักเรียนคณะกำแหง

“มองอะไร ไม่เคยเห็นคนเข็มขัดหายเหรอ ไสหัวไปฝึกให้หมด”

เมื่อตวาดออกมา นักเรียนที่กลั้นขำพากันวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว

ปกติอาจารย์เซินถูจะไม่โมโห แต่ถ้าโมโหขึ้นมาจริงๆ ก็น่ากลัวมาก

อาจารย์เซินถูรู้สึกว่าภาพที่ตัวเองยกกางเกงดูไม่งาม ถึงเขาหน้าหนา ก็อดอายขึ้นมาไม่ได้

รีบใช้วิชากายเหาะออกไป หายลับไปจากสายตาทุกคนอย่างรวดเร็ว

ลู่ฝานรีบเดินตามออกมาจากลานบ้านเช่นกัน

แม้เล่นหมากรุกทั้งคืน แต่ลู่ฝานรู้สึกว่าตัวเองกระปรี้กระเปร่า อารมณ์ดีเป็นอย่างมาก

ไม่พูดก็ไม่ได้ว่า ทักษะหมากรุกของอาจารย์เซินถูเรียกได้ว่าแย่

ระดับครึ่งๆ กลางๆ อย่างลู่ฝาน ยังสามารถเอาชนะเขาได้ เดิมทีหลังจากเล่นหมากสองกระดาน ลู่ฝานไม่อยากแกล้งเขาอีกแล้ว

แต่อาจารย์เซินถูกลับโมโหเอง เอาแต่จะให้เขาเล่นต่อ ไม่เล่นก็ไม่ได้ หลังจากนั้นยังเริ่มพนันอีกด้วย

ผลสรุปก็คือตอนนี้ อาจารย์เซินถูต้องเสียเข็มขัดให้กับลู่ฝาน

ยังดีที่สุดท้ายลู่ฝานออมมือให้เสมอกัน อาจารย์เซินถูจึงปล่อยเขาไป ไม่งั้นอาจารย์เซินถูคงต้องเอากางเกงให้ลู่ฝานด้วย

ครั้งนี้เขาได้มาไม่น้อย แค่เข็มขัดเส้นเดียว ก็สามารถใช้เป็นอาวุธที่ไม่เลวได้แล้ว

จากที่อาจารย์เซินถูพูด ใช้สิ่งนี้มัดตัวคนได้ดีมาก ถ้าไม่ใช่แดนปราณฟ้า ก็ไม่สามารถหลุดได้

ลู่ฝานตบเข็มขัดอากาศธาตุของตัวเอง ได้มาเยอะจริงๆ

ลู่ฝานเดินออกจากคณะกำแหง กะจะกลับคณะหนึ่งเดียวก่อน ไม่รู้ว่าพวกศิษย์พี่หานเฟิงรอเขาหรือเปล่า

เมื่อเดินออกมาจากโถงใหญ่ เดินออกจากประตูคณะกำแหง

สอบถามคนดู จึงรู้ว่าพวกศิษย์พี่หานเฟิงกลับไปแล้ว กินเสร็จก็แยกย้าย ไม่ค้างคืน นี่เป็นสไตล์ของคณะหนึ่งเดียว

ลู่ฝานส่ายหน้า ดูเหมือนต้องกลับเองซะแล้ว

ตลอดทาง นักเรียนคณะกำแหงเคารพเขาจนผิดปกติ

ไม่ว่าจะเป็นนักเรียนที่อายุมากกว่าเขา หรือนักเรียนที่อายุน้อยกว่าเขา ล้วนเรียกเขาว่าศิษย์พี่ลู่ฝาน อีกทั้งยังบอกให้เขามาครั้งหน้าด้วย

พวกผู้ชายคณะกำแหง ล้วนเป็นคนร่าเริง แค่เป็นคนที่พวกเขายอมรับ พวกเขาเป็นกันเองมาก ถึงคนคนนี้เพิ่งทำให้คณะของพวกเขาร่วงลงไปหนึ่งอันดับก็เถอะ

ลู่ฝานใช้วิชากายลงจากคณะกำแหง

ตั้งแต่เข้าสู่แดนปราณนอก ความเร็วของเขาเพิ่มขึ้นเป็นเท่า เดินขวักไขว่ในป่า

คนทั่วไปเห็นเพียงลมพาดผ่านอยู่ในป่า

ลู่ฝานพอจำทางกลับคณะหนึ่งเดียวได้ แค่ทิศทางไม่ผิดพลาด ต้องกลับไปได้แน่นอน

ลู่ฝานวิ่งพลางซึมซับพลังฟ้าดิน เขาชอบความรู้สึกที่เป็นอิสระมาก

บนยอดเขาเล็กๆ ที่อยู่ไม่ไกล มีเงาคนคนหนึ่งยืนอยู่

แววตาเย็นชา จ้องเงาของลู่ฝานที่กำลังวิ่งอยู่

รูปร่างงดงาม ริมฝีปากแดง ในมือมีมุกอยู่หนึ่งเม็ด เป็นจางเยว่หานคณะบังเหิน

ลู่ฝานกำลังจมอยู่กับความสุขของการซึมซับพลังฟ้าดิน ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังโดนจางเยว่หานจ้องอยู่

“ลู่ฝาน วันนี้เป็นวันตายของนาย”

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 317
อีกทั้งตอนนี้ลู่ฝานเข้าใจแล้ว ทำไมตอนนี้กระบี่หนักไม่คมถึงยอมรับเขา เพราะเมื่อกี้เขาเพิ่งทำความเข้าใจว่าความหนักมาจากไหน ขณะเดียวกันออร่าของเขาทานหนักก็กระตุ้นกระบี่หนักไม่คม

แค่เขาทานหนักกระจอกๆ กล้ากำเริบเสิบสานต่อหน้ามัน นี่ทำให้กระบี่หนักไม่คมที่มีเขตวิถีสูงสุด อีกทั้งยังมีพลังระดับเดียวกัน ไม่สามารถทนได้

เหมือนหนูยั่วโมโหแมว เหมือนสุนัขแยกเขี้ยวใส่สิงโตอย่างไรอย่างนั้น

กระบี่หนักไม่คมใช้พลังทำลายวิถีของเขาทานหนักในหัวของลู่ฝานอย่างไม่เกรงใจ

ตอนนี้กระบี่หนักไม่คมยอมรับลู่ฝานเป็นเจ้าของแล้ว ถ้าลู่ฝานอยากทำความเข้าใจวิถีนี้ ก็มาหามันได้ ไม่จำเป็นต้องให้เขาทานหนักกระจอกๆ มาสอน

ลู่ฝานสัมผัสได้ถึงความเย่อหยิ่งของกระบี่หนักไม่คม เป็นความเย่อหยิ่งที่ไม่เห็นใครอยู่ในสายตา ดูหมิ่นทั้งโลก

แน่นอนว่ามันก็มีสิทธิ์ทำเช่นนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเจ้าของคนก่อนของกระบี่หนักไม่คม อย่างน้อยก็ต้องเป็นผู้แข็งแกร่งเซียนบู๊

เหมือนได้สมบัติมาจริงๆ!

ถ้าเขาเอาเรื่องที่มีเขตวิถีอยู่ในกระบี่หนักไม่คมพูดออกไป นักบู๊ทั้งโลกคงต้องมาจัดการเขา

กระบี่ที่แฝงด้วยเขตวิถี ใครไม่อยากได้บ้างล่ะ!

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรยังพูดว่า “ไม่คม นายทุเรศจริงๆ พูดไม่เป็นแล้วเหรอ ฮ่าๆ นายมาทีหลัง ต่อไปต้องเรียกฉันว่าพี่เจดีย์เสวียนเก้ามังกร”

ออร่าของกระบี่หนักไม่คมเคร่งขรึม เห็นได้ชัดว่าไม่อยากสนใจเจดีย์เสวียนเก้ามังกร

ลู่ฝานพูดในใจว่า “ไอ้เก้า ไม่คมเก่งมากเหรอ”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดว่า “เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ นั่นแน่นอนอยู่แล้ว มันเป็นอาวุธวิเศษระดับเดียวกับฉัน แม้ไม่ใช่ชนิดเดียวกัน ฉันเป็นพวกเครื่องราง ส่วนมันเป็นอาวุธ แต่พูดถึงเรื่องพละกำลัง ไม่ค่อยต่างกันเท่าไร ตอนนี้มันบาดเจ็บสาหัส ต่อไปถ้าเจ้านายมีทรัพยากรเหลือๆ ก็แบ่งให้มันสักหน่อย ฉันขอไปนอนต่อก่อน พูดก็เสียพลังเหมือนกัน เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ มีเรื่องอะไรให้เรียกฉัน มีอะไรดีๆ ก็เรียกฉันด้วยล่ะ”

พูดพลางเจดีย์เสวียนเก้ามังกรพึมพำสองสามประโยค จากนั้นก็เงียบไป

กระบี่หนักไม่คมในมือมีแสงเบาบางลง

ลู่ฝานเก็บมันเอาไว้ด้านหลัง

อาจารย์เซินถูดูอยู่ข้างๆ ตลอด เมื่อเห็นลู่ฝานเก็บกระบี่ไว้ด้านหลัง จึงพูดว่า “ลู่ฝาน เหมือนกระบี่ของนายไม่ธรรมดา เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น”

ลู่ฝานพูดว่า “กระบี่ของผมอาจโดนออร่าของผมกระตุ้น จึงคุ้มครองเจ้าของโดยอัตโนมัติ ไม่มีอะไรหรอกครับ”

อาจารย์เซินถูยิ้มแล้วพูดว่า “คุ้มครองเจ้าของโดยอัตโนมัติงั้นเหรอ เป็นกระบี่ล้ำค่าจริงๆ คงอยู่ในระดับอาวุธจิตวิญญาณ ลู่ฝาน อาวุธดีระดับนี้หายาก นายอย่าให้ใครรู้เยอะไม่เปิดเผยทรัพย์สินเงินทองที่นำติดตัวให้คนอื่นรู้ ถึงจะถูก”

ลู่ฝานพยักหน้าพูดว่า “ขอบคุณอาจารย์เซินถูที่ชี้แนะ เรามาเล่นหมากรุกต่อเถอะ”

อาจารย์เซินถูยิ้มแล้วพูดว่า “จะเล่นต่อเหรอ เดิมทีฉันเล่นหมากรุกครั้งนี้ เพราะต้องการให้นายได้สัมผัสวิถีของพลังที่แท้จริงว่าเป็นอย่างไร นายก็ได้สัมผัสแล้ว ดูเหมือนนายได้อะไรอยู่บ้าง ฉันว่าพอประมาณแล้ว นายคงยกตัวหมากขึ้นมาไม่ได้หรอก วันนี้พอแค่นี้……”

อาจารย์เซินถูยังไม่ทันพูดจบ ก็เห็นลู่ฝานหยิบตัวหมากขึ้นมาอย่างง่ายดาย

อาจารย์เซินถูอ้าปากค้าง “นี่เป็นไปได้ยังไง นายทำความเข้าใจวิถีด้านในนั้นแล้วเหรอ”

ลู่ฝานยิ้มบางๆ ไม่ได้ทำความเข้าใจได้หรอก แค่บนตัวเขามีออร่าของกระบี่หนักไม่คม วิถีที่อยู่ในตัวหมากพวกนี้ ไม่กล้าขัดขวางมันเท่านั้น

แค่พลังเล็กน้อยของหินผนึกกำลัง ลู่ฝานชินแล้ว

ลู่ฝานวางตัวหมากลงแล้วหัวเราะ “ตาของอาจารย์เซินถูแล้ว”

บทที่ 316
ลู่ฝานหลับตาลง ไม่สนใจคำพูดของอาจารย์เซินถู

เมื่อรู้ว่าข้างในมีวิชาบู๊แฝงอยู่ ความคิดเพียงอย่างเดียวของลู่ฝานในตอนนี้ คือทำความเข้าใจกับวิถีด้านใน

ส่วนเรื่องเดินหมาก การแพ้ชนะอะไรนั่น ไม่อยู่ในความคิดของเขา โดนขจัดออกไปจากสมองทันที

ลู่ฝานเอามือวางลงบนตัวหมาก ปราณชี่บริสุทธิ์เริ่มตรวจสอบ ทำความเข้าใจวิถีด้านในนั้น

ทันใดนั้น ในหัวของลู่ฝานมีภูเขาลูกใหญ่ปรากฏขึ้น

ตัวภูเขามีตัวอักษรขนาดใหญ่ “เขาทานหนัก!”

ความรู้สึกตามสัญชาตญาณของลู่ฝานบอกว่า ภูเขาลูกนี้คือวิถีในตัวหมาก

วิถีที่สามารถทำให้ตัวหมากหนักเหมือนภูเขา

หินผนึกเป็นแค่วัสดุที่แฝงวิถีได้ดีที่สุด สิ่งสำคัญกว่านั้นคือวิชาบู๊ข้างในนั้น

ลู่ฝานมอง “เขาทานหนัก”ในสมองของตัวเองอย่างเงียบๆ ทำความเข้าใจพลานุภาพและวิถีอันแข็งแกร่งของมัน

ปราณชี่ในตัวลู่ฝานเริ่มสัมผัสกับออร่าที่แผ่ออกมาจากเขาทานหนักจู่ๆ ลู่ฝานยกยิ้มมุมปาก

ที่แท้เป็นแบบนี้นี่เอง ที่แท้ความหนักขนาดนี้ เปลี่ยนแปลงมาแบบนี้นี่เอง

ขณะที่ลู่ฝานเริ่มรับรู้ ตัวเขาเองไม่รู้เลยว่า กระบี่หนักไม่คมด้านหลัง มีแสงสว่างขึ้นมาบางๆ

อาจารย์เซินถูเห็นภาพนี้ ถึงกับตกตะลึง

ลู่ฝานกำลังทำความเข้าใจ จู่ๆ เขาสัมผัสได้ถึงพลังที่ไม่ธรรมดา ส่งมาจากภายนอก

หลังจากนั้นตัวอักษรคำว่า กระบี่หนักไม่คม ไหวพริบต้องเรียบง่าย ลอยมาเหมือนภูเขา กระแทกในหัวของเขา

กระแทกเขาทานหนักจนทรุดลงมาเป็นผุยผง

ลู่ฝานสั่นไปทั้งตัว จากนั้นจึงถอยออกมา

ลู่ฝานลืมตา เขารู้สึกผิดปกติ

ยื่นมือไปจับกระบี่หนักไม่คมด้านหลัง ครั้งนี้ลู่ฝานรู้สึกถึงออร่าอันน่ากลัว แผ่ออกมาจากกระบี่หนักไม่คม เข้ามาในตัวเขา

“สหายท่านไหนกัน ฮ่าๆ สหายยังมีชีวิตอยู่เหรอ ใครกันแน่”

เสียงเจดีย์เสวียนเก้ามังกรในตัวดังขึ้น

ลู่ฝานยังไม่ทันพูดอะไร เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดอย่างตกใจ “กระบี่เสวียนอู่ เป็นกระบี่เสวียนอู่ ทำไมนายกลายเป็นแบบนี้ ฉันจำได้ว่านายโดนทำลายไปแล้ว! กระบี่หนักไม่คม ไหวพริบต้องเรียบง่าย ยอดฝีมือ! ดูเหมือนดวงนายไม่เลวเหมือนกัน อยู่ในมือยอดฝีมือ โดนคนเปลี่ยนแปลงจนเป็นแบบนี้ พูดได้สินะ กระบี่เสวียนอู่……เอ๊ะ ไม่ใช่สิ ตอนนี้ต้องเรียกนายว่ากระบี่หนักไม่คมสินะ”
จู่ๆ แสงของกระบี่หนักไม่คมสว่างวาบ เหมือนกำลังจะพูดจริงๆ
แต่หลังจากสว่างอยู่ครู่หนึ่ง ลู่ฝานไม่ได้ยินเสียงอะไร แต่มีแสงเข้ามาในตันเถียนของเขา เข้าไปสู่มุกเทพ

เหมือนสัมผัสกับไฟฟ้า ลู่ฝานสั่นไปทั้งตัว จู่ๆ ลู่ฝานสัมผัสได้ว่าตัวเองควบคุมกระบี่หนักไม่คมแล้ว

ให้ตายเถอะ ที่แท้ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้ควบคุมกระบี่หนักไม่คม แม้เขามีสิทธิ์ใช้กระบี่หนักไม่คม อีกทั้งอาจารย์หวูเฉินยังทำการกลั่นเลือด แต่กระบี่หนักไม่คมยังไม่ยอมรับเขา

จนกระทั่งตอนนี้ กระบี่หนักไม่คมยอมรับเขาอย่างแท้จริงแล้ว อีกทั้งตอนนี้ลู่ฝานเข้าใจความแข็งแกร่งของกระบี่หนักไม่คมอย่างแท้จริงแล้ว

รู้สึกว่าตัวอักษรบนกระบี่ไม่ใช่แค่ชื่อกระบี่ แต่เป็นเขตวิถีด้วย

เขตวิถีอย่างแท้จริง เขตวิถีสูงสุดที่เจ้าของคนก่อนของกระบี่หนักไม่คมหลงเหลือไว้ แม้ตอนนี้ลู่ฝานไม่สามารถใช้ได้ แต่ขอแค่ทำความเข้าใจเล็กน้อย ต้องมีสักวันเขาต้องรู้ทั้งเขตวิถีนี้

บทที่ 315
ทั้งสองเริ่มเล่น ตอนวางหมากตัวแรก

ตอนหยิบหมากตัวแรกขึ้นมา ลู่ฝานรู้สึกผิดปกติ เป็นแค่ตัวหมากธรรมดาๆ ทำไมเมื่ออยู่ในมือ กลับรู้สึกหนักเหมือนภูเขา เขาไม่สามารถยกหมากตัวนี้ขึ้นมาได้

ลู่ฝานมองอาจารย์เซินถูอย่างตกตะลึง

แต่อาจารย์เซินถูมองลู่ฝานด้วยสีหน้าปกติ “ทำไม นายไม่เริ่มเดินก่อนเหรอ งั้นฉันเริ่มก่อนนะ”

พูดพลาง อาจารย์เซินถูหยิบตัวหมากขึ้นมาอย่างง่ายดาย แล้วเดินหมาก

สายตาของลู่ฝานจ้องไปที่ตัวหมาก ทันใดนั้น ลู่ฝานมองออก ยิ้มแล้วพูดว่า “ที่แท้คือหินผนึกกำลังนี่เอง!”

อาจารย์เซินถูตาเป็นประกาย “ความรู้ดี นายเป็นนักเรียนคนแรกในบรรดานักเรียนที่เล่นหมากรุกกับฉัน แล้วรู้ที่มาของตัวหมากนี้ ไม่เลว คือหินผนึกกำลัง อีกทั้งยังเป็นหินผนึกกำลังที่ไม่ธรรมดา ตัวหมากทั้งหมดหนักเหมือนภูเขา ตัวหมากไม่สามารถคาดเดาได้ เมื่อเล่นหมากกระดานนี้จบ ก็สามารถวางหมากกระดานอื่นที่เรียกว่าหมากแห่งวิถีบู๊ โอเค ถึงตานายแล้ว”

ลู่ฝานสูดหายใจ ปราณชี่ในตัวพลุ่งพล่าน ใช้แรงตรงนิ้ว พยายามจะยกตัวหมากขึ้นมา

แต่หมากตัวนี้หนักเกินไปจริงๆ เหมือนมันงอกอยู่บนกระดานหมากรุก

แต่ถ้างอกอยู่บนกระดานจริงๆ จากพละกำลังของลู่ฝาน เอากระดานหมากรุกขึ้นมาทั้งกระดาน ก็ยังไม่มีปัญหา

แต่ตอนนี้อย่าว่าแต่เอากระดานหมากรุกขึ้นมาเลย แค่หมากตัวเล็กๆ แค่นี้ เขายังไม่สามารถขยับมันได้

อาจารย์เซินถูหัวเราะ แล้วพูดว่า “นายไม่เดินอีกแล้วเหรอ งั้นฉันเดินต่อนะ นำก่อนหนึ่งก้าว จะโดนนำไปตลอด”

พูดพลาง อาจารย์เซินถูเดินหมากอีกครั้ง

ลู่ฝานยิ้มบางๆ มองอาจารย์เซินถู ยังไม่เคยเจอการเดินหมากวิธีนี้มาก่อน

ลู่ฝานพูดว่า “อาจารย์เซินถู คุณไม่คิดว่าการเดินหมากแบบนี้ ผมมีแต่แพ้เท่านั้น”

เซินถูพยักหน้าแล้วพูดว่า “ใช่ นายต้องแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย นอกจากนายจะยกหมากขึ้นมา เรายังมีเวลา ถ้านายรู้สึกไม่ยุติธรรม งั้นฉันจะบอกนายว่า ทุกเรื่องบนโลกนี้ล้วนเป็นเช่นนี้ นายทำอะไรไม่ได้ คนอื่นเขาก็ทำ นายเอามาไม่ได้ คนอื่นเอามาได้ นายเอาแต่ย่ำอยู่ที่เดิม มีเพียงความตายเท่านั้น ไม่มีอะไรคาดเดาได้!”
ลู่ฝานจิตใจวูบไหว คำพูดของอาจารย์เซินถู ทำให้เขาทำความเข้าใจได้เล็กน้อย

ไม่พูดพร่ำอะไรมาก ลู่ฝานเริ่มกระตุ้นพลังฟ้าดิน มารวมไว้ที่นิ้วของตัวเอง

เขาไม่กล้ากระตุ้นมากเท่าไรนัก เพราะอาจารย์เซินถูยังนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม

อาศัยพลังฟ้าดินเล็กน้อย มีแสงเล็กน้อยก่อตัวที่นิ้วของลู่ฝาน

อาจารย์เซินถูเห็นภาพตรงหน้า จึงพูดอย่างตกใจว่า “มีความสามารถ เหมือนนายยังไม่ได้เข้าสู่แดนปราณชีวิตนิ กระตุ้นพลังฟ้าดินได้ ถือว่าไม่เลว ถึงเป็นพวกผู้ฝึกชี่ ก็คงประมาณนี้เหมือนกัน”

ลู่ฝานจับตัวหมากเอาไว้อีกครั้ง ค่อยๆ ยกขึ้นมาช้าๆ

ครั้งนี้ เขาขยับตัวหมากได้นิดหน่อย

แต่แค่นิดหน่อยเท่านั้น ลู่ฝานมีเหงื่อออกตรงหน้าผาก เขาพยายามสุดความสามารถแล้ว

แต่ต่อมา มีพลังอันน่ากลัวพุ่งออกมาจากตัวหมาก กระแทกเข้ากับตัวเขา

แรงโจมตีหนักเหมือนภูเขา จู่ๆ ลู่ฝานรู้สึกว่ามีหินหนักนับไม่ถ้วนทับเอาไว้ นิ้วของเขาไร้เรี่ยวแรง

“วิถีบู๊!”

ลู่ฝานพูดออกมาอย่างตกใจ

อาจารย์เซินถูพยักหน้าเบาๆ เป็นการสื่อว่าลู่ฝานพูดถูก

อาจารย์เซินถูเดินหมากอีกครั้ง “เดินหมากครั้งที่สาม นายเหลืออีกแค่ไม่กี่ก้าวแล้ว”

บทที่ 314
หลัวตานรอยยิ้มเต็มใบหน้า แววตาที่มองพวกฉู่สิงเป็นมิตรมาก

“พวกคนน่าสนใจ”

พึมพำออกมาหนึ่งประโยค หลัวตานพูดต่อ “ในเมื่อศิษย์พี่ของนายตกลงแล้ว ลู่ฝานงั้นเราตกลงกันแล้ว สองวันหลังจากนี้ ต่อสู้ครั้งเดียวตัดสินแพ้ชนะที่ผาเหลยถิง ไม่มีผู้ชม ไม่มีใครรบกวน”

ลู่ฝานวางชามเหล้าลง พูดอย่างราบเรียบว่า “เอาตามที่พี่ต้องการ”

หลัวตานยิ้มแล้วพยักหน้า จากนั้นหันหลังเดินออกไป

บทสนทนาของพวกเขาสองคน มีคนจำนวนมากได้ยิน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าผ่านวันนี้ไป คนทั้งสถาบันสอนวิชาบู๊ต้องรู้เรื่องที่ลู่ฝานคณะหนึ่งเดียวกับหลัวตานคณะฟ้าร้องต่อสู้กัน

งานเลี้ยงดำเนินไป 1-2 ชั่วยาม ตอนที่กำลังจะจบ

อาจารย์เซินถูลุกออกจากที่นั่งเงียบๆ จากนั้นเดินไปที่ประตูหลังโถงใหญ่บู๊

ลู่ฝานเห็น หลังจากทักทายอาจารย์อี้ชิง เขาก็เดินออกไป

เดินไปทางประตูด้านหลัง มีนักเรียนคณะกำแหงทักทายลู่ฝานเป็นระยะ

ลู่ฝานพยักหน้าเป็นการตอบกลับ จากนั้นเดินออกจากโถงใหญ่บู๊

เมื่อเดินออกมา เสียงโหวกเหวกเบาลงไม่น้อย เมื่อมองออกไป เห็นต้นไม้ ดวงจันทร์อยู่บนฟ้า ดวงดาวเต็มท้องฟ้า

เดินตามทางเดินหินเล็กๆ ไปด้านหน้า สุดทางของคณะเป็นประตูบานหนึ่ง ทำจากทองสำริด ไม่มีลวดลายใดๆ ดูธรรมดาทั่วไป

เมื่อเปิดประตู เห็นแสงจากด้านหลังประตูแบบรางๆ

ลู่ฝานเปิดประตูเบาๆ แล้วเดินเข้าไป เห็นอาจารย์เซินถูนั่งอยู่ด้านหน้าโต๊ะหิน พร้อมใบหน้าที่มีรอยยิ้ม

“มาสิลู่ฝาน”

อาจารย์เซินถูกวักมือเรียก เขาดื่มจนหน้าแดงระเรื่อ ตอนนี้ข้างตัวยังมีไหเหล้าวางอยู่

ลู่ฝานนั่งลงตรงข้ามอาจารย์เซินถู ประตูสำริดด้านหลังเกิดเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด จากนั้นก็ปิดลง

อาจารย์เซินถูหยิบแก้วมาใบหนึ่ง เป็นแก้วเคลือบดินเผา ด้านบนมีลวดลาย เป็นเครื่องเคลือบที่ผ่านการทำมาอย่างดี

เหล้าสีใสสะท้อนดวงจันทร์ จนเกิดแสงระยิบระยับ ดมแล้วไม่มีกลิ่นหอมอะไร

“ดื่มสิ มีประโยชน์กับนาย!”

อาจารย์เซินถูยิ้มแล้วดื่มเองก่อน

ลู่ฝานยกแก้วเหล้าดื่มรวดเดียวจนหมด

เหล้าผ่านลำคอ กลายเป็นคลื่นความร้อน ลู่ฝานหน้าแดงเล็กน้อย รู้สึกว่าฤทธิ์แอลกอฮอล์พุ่งไปทั่วร่างกาย เหมือนได้กินยาชั้นดีอย่างไรอย่างนั้น เริ่มมีเสียงดังเบาๆ ออกมาจากตัว

เหล้าแก้วหนึ่งลงสู่ท้อง ลู่ฝานรู้สึกว่าพลังปราณของตัวเองเพิ่มขึ้นกว่าเท่า

ประสิทธิภาพระดับนี้ ดีกว่ายาชีวิตทั่วไป

“เหล้าดี!”

ลู่ฝานพูดออกมา อ้าปากพ่นคลื่นความร้อนออกมา

แววตาอาจารย์เซินถูดูตกใจเล็กน้อย ลู่ฝานดื่มไปแก้วใหญ่ แต่ดูเหมือนไม่เป็นไรเลย

เขาจำได้ว่าครั้งก่อนให้เฉียวเซวียนดื่มแก้วนี้ไป เฉียวเซวียนโดนฤทธิ์แอลกอฮอล์จนตัวสั่น

เซินถูไม่รู้ว่าลู่ฝานเคยดื่มยาที่แรงกว่าเหล้านี้ ยาที่อาจารย์หวูเฉินทำให้เขา มีอะไรบ้างที่ไม่รุ่มร้อนทรมาน ลู่ฝานชินไปนานแล้ว

เหล้าแค่นี้จะทำให้เขาขาดสติ ไม่มีทางอยู่แล้ว

อาจารย์เซินถูประเมินลู่ฝานสูงขึ้นอีกแล้ว

“ลู่ฝาน นายเล่นหมากรุกเป็นไหม”

อาจารย์เซินถูชี้ไปที่โต๊ะด้านหน้า ลู่ฝานจึงเห็นว่าบนโต๊ะหิน สลักเป็นกระดานหมากรุก ขณะเดียวกัน ตัวหมากก็วางอยู่เรียบร้อยแล้ว

ลู่ฝานพูดอย่างราบเรียบว่า “รู้นิดหน่อยครับ แต่ความสามารถด้านหมากรุกไม่มาก”

อาจารย์เซินถูยิ้มแล้วพูดว่า “รู้นิดหน่อยก็โอเคแล้ว มาเล่นเป็นเพื่อนฉันสักตาสิ”

ลู่ฝานพยักหน้า สายตามองไปที่กระดานหมากรุก

แม้ไม่เข้าใจว่าอาจารย์เซินถูเรียกเขามา เพราะแค่ต้องการให้เล่นหมากรุก แต่ในเมื่ออาจารย์เซินถูพูดแล้ว เล่นสักตาจะเป็นไรไป

บทที่ 313
ลู่ฝานยิ้มแหย ทำได้เพียงรับมือด้วยการพยักหน้าไป

นักเรียนคณะกำแหงพวกนี้ มีความเป็นกันเองมาก แม้พวกเขาจะหยาบคาย แต่ก็มีความจริงใจ เป็นชายอย่างแท้จริง แน่นอนว่าผู้หญิงก็นับว่าเป็นหญิงแกร่ง

กว่าจะรับมือคนพวกนี้เสร็จไม่ง่ายเลย คิดไม่ถึงว่าเฉียวเซวียนจะมาด้วย

ใบหน้ายังซีดอยู่เล็กน้อย เฉียวเซวียนหัวเราะอย่างมีพลังไม่กี่ครั้ง เข้ามายกชามเหล้าขนาดใหญ่กับลู่ฝาน แล้วพูดว่า “ลู่ฝาน มาชนแก้วกัน การต่อสู้วันนี้มีความสุขจริงๆ”

ลู่ฝานก็ยกชามเหล้าแล้วพูดว่า “เชิญครับศิษย์พี่เฉียวเซวียน”

“เชิญ!”

ทั้งสองดื่มรวดเดียวจนหมด จู่ๆ เฉียวเซวียนพูดกับลู่ฝานเสียงเบาว่า “ลู่ฝาน ไปหลังคณะหลังจบงานเลี้ยง อาจารย์อยากเจอนาย”

ลู่ฝานจิตใจวูบไหว อาจารย์ที่เฉียวเซวียนพูดถึง แน่นอนว่าคงเป็นอาจารย์เซินถูคณะกำแหง

แม้ลู่ฝานไม่รู้ว่าอาจารย์เซินถูต้องการเจอเขาเพราะอะไร แต่คงไม่ใช่เรื่องร้าย จึงพยักหน้าเบาๆ

เฉียวเซวียนพูดจบก็หัวเราะเบาๆ พูดเสียงดังว่า “ลู่ฝาน ครั้งหน้ารอแผลฉันหายก่อน ต้องสู้กับนายอีกครั้งแน่นอน”

ลู่ฝานประสานมือคารวะแล้วพูดว่า “ยินดีต้อนรับทุกเมื่อ”

ทั้งสองมองหน้ากันแล้วหัวเราะ เฉียวเซวียนเดินออกไป

เมื่อเฉียวเซวียนเพิ่งเดินออกไปอีกด้าน มีคนที่ลู่ฝานไม่ค่อยรู้จักเดินเข้ามา

ผู้ชายหน้าตาโดดเด่น ดูผอมเล็กน้อย สีหน้าดูซีดเล็กน้อย เดินเข้ามาทางลู่ฝาน

ในมือเขามีชามเล็กๆ ในนั้นมีเหล้าเพียงครึ่งหนึ่ง

เขาเอาชามเล็กๆ มาดื่มยินดีกับลู่ฝาน ในงานเลี้ยงที่ดื่มเหล้ากันชามใหญ่แบบนี้ ทำให้เกิดเสียงหัวเราะจากนักเรียนคณะกำแหงไม่น้อย

แต่คนคนนี้ไม่สนใจสักนิด เดินมาหน้าลู่ฝานแล้วยิ้ม “ฉันคือหลัวตานคณะฟ้าร้อง ศิษย์น้องลู่ฝานดื่มสักแก้วสิ”

เมื่อได้ยินคำว่าหลัวตาน เสียงบริเวณรอบๆ เบาลง

หลัวตานคณะฟ้าร้อง! ชื่อนี้มีอิทธิพลในสถาบันสอนวิชาบู๊ในช่วงนี้

คณะฟ้าร้องเป็นเป้าหมายต่อไป ที่คณะหนึ่งเดียวจะท้าประลอง อีกทั้งหลัวตานเป็นศัตรูที่พวกลู่ฝานจะรับมือยากที่สุด

ลู่ฝานยกยิ้มมุมปาก จ้องไปที่ดวงตาทั้งสองข้างของหลัวตาน

ดวงตาของนักบู๊ สามารถบอกแดนผลการฝึกตนได้ ที่เรียกว่าดวงตาสะท้อนระดับขั้น ดูว่าคนคนหนึ่งแข็งแกร่งโดดเด่นหรือไม่ผ่านดวงตาคนนั้น

ดวงตาทั้งสองข้างของหลัวตานนิ่งสงบ ไม่วูบไหว ทำให้ลู่ฝานแอบพยักหน้า

ได้ยินว่าวิชาของคณะฟ้าร้อง ฝึกการโจมตีเป็นหลัก ต้องฆ่าด้วยการโจมตีเดียว วิชาบู๊ระดับนี้ ต้องโดดเด่นจนน่าตกใจแน่นอน ดวงตาเหมือนกระบี่ คิ้วเหมือนดาบ แต่หลัวตานนิ่งขนาดนี้ ต้องฝึกจนถึงอีกระดับแน่นอน

ลู่ฝานสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของวิชาบู๊พอดี

ทั้งสองคนชนชามกันเบาๆ แล้วดื่มรวดเดียวจนหมด

หลัวตานเช็ดคราบเหล้ามุมปาก แล้วยกยิ้มมุมปาก รอยยิ้มของเขาประหลาดมาก เหมือนซีกหน้าด้านหนึ่งพิการ ขยับมุมปากได้เพียงข้างเดียว

“ได้ยินว่านายไปคณะศิงขรเพียงคนเดียว งั้นรอให้นายไปคณะฟ้าร้อง สู้กับฉันเพียงคนเดียว เป็นไง”

เมื่อพูดออกมา ทุกคนพากันเงียบ มองมาทางนี้อย่างตะลึง

ท้ารบ!

หลัวตานเป็นฝ่ายท้ารบลู่ฝาน!

คณะหนึ่งเดียวกับคณะฟ้าร้องสู้ตัดสินแพ้ชนะเหรอ

ลู่ฝานขมวดคิ้วเบาๆ “เรื่องนี้ผมตัดสินใจไม่ได้หรอก ต้องถามพวกศิษย์พี่ก่อนว่าจะตกลงหรือเปล่า”

ลู่ฝานเพิ่งพูดจบ หานเฟิงและคนอื่นโบกมือไปมา “ฉันไม่สู้แล้ว เหนื่อยจะตาย ศิษย์น้องลู่ฝานจัดการเองเลย”

ฉู่สิงกัดน่องไก่พูดแบบไม่ชัดว่า “ใช่ นายสู้เองเลย”

ฉู่เทียนพูดว่า “สู้รอบเดียวก็รอบเดียว ฉันว่าโอเคนะ”

ศิษย์พี่ใหญ่โบกขาหมูในมือใส่ลู่ฝาน

ลู่ฝานมีสีหน้าเหนื่อยใจ

บทที่ 312
การกระทำของลู่ฝาน อยู่ในสายตาของคนที่ดูออก

โดยเฉพาะอาจารย์เสวียนเจิน เห็นอาการบาดเจ็บที่แขนของลู่ฝานฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว ก็อดยิ้มอย่างประหลาดออกมาไม่ได้

แต่เสวียนเจินไม่ได้พูดอะไรมาก พวกอาจารย์ที่ดูออก ก็พากันมีสีหน้าประหลาด ไม่รู้กำลังคิดอะไรอยู่

การต่อสู้สามรอบสิ้นสุดลงแล้ว คณะหนึ่งเดียวแทนที่คณะกำแหงอย่างเป็นทางการ เป็นคณะลำดับที่ 5 ในสถาบันสอนวิชาบู๊

ลำดับนี้จะเรียกว่าสูงก็ไม่สูง จะเรียกว่าต่ำก็ไม่ต่ำ

แต่สำหรับคนอื่น คณะหนึ่งเดียวได้สร้างประวัติศาสตร์แล้ว

ไม่เพียงแต่เป็นประวัติศาสตร์ที่หลุดพ้นจากการเป็นลำดับสุดท้าย สู้อย่างต่อเนื่องจนมาเป็น 5 อันดับแรก สิ่งสำคัญกว่านั้น สามารถเอาชนะคณะนานา คณะศิงขร คณะสงบใจ คณะกำแหงได้ ด้วยการต่อสู้จัดอันดับเพียงครั้งเดียว ผลการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ คณะอื่นไม่เคยมีมาก่อน

แม้จะย้อนไปตอนที่คณะหยินหยางรุ่งเรือง ก็ต้องใช้เวลาถึง 5 ปีเต็ม ถึงจะขึ้นสู่อันดับหนึ่งได้

ทุกครั้งเอาชนะ 1-2 คณะได้ ถือว่าถึงขีดจำกัดแล้ว

จะไปเหมือนคณะหนึ่งเดียว ที่สามารถเอาชนะสี่คณะได้ อีกทั้งยังดูมีพลังเหลือล้นได้ยังไงล่ะ

ไม่ว่าใครก็ดูออกว่าคณะหนึ่งเดียวไม่ได้ทุ่มสุดตัว อย่างน้อยลู่ฝานก็ต้องออมมือแน่นอน

ว่ากันว่าตอนเขาไปสู้ที่คณะศิงขร ได้ใช้วิชากระบี่อันน่ากลัว แต่วันนี้เขายังไม่ได้ใช้วิชากระบี่เลย

ในคืนวันเดียวกัน คณะกำแหงเชิญอาจารย์และศิษย์ที่โดดเด่นของเก้าคณะ แสดงถึงการเป็นเจ้าบ้านที่ดีต้อนรับแขกผู้มาเยือน

เดิมทีพวกลู่ฝานควรกลับไปแล้ว ได้ยินว่ามีงานเลี้ยง จึงอยู่ต่อทันที

โดยเฉพาะศิษย์พี่หานเฟิง รีบกลับไปบอกให้อาจารย์อี้ชิงแจ้งพวกอาจารย์เต้ากวง บอกให้ศิษย์พี่ใหญ่กับเจ้าดำมาด้วยกัน

นี่สิถึงเรียกว่ามางานเลี้ยงอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ไม่งั้นจะขาดทุนเปล่าๆ ทุกคนต้องมีความสุขด้วยกันสิ

ความจริงเป็นสิ่งยืนยันว่าคนคณะหนึ่งเดียว เป็นพวกที่เห็นแก่กินตามคาด

ขนาดศิษย์พี่ใหญ่ที่ไม่ยอมแม้แต่จะขยับ ยังรีบพาเจ้าดำมาด้วย

เมื่อมาถึงก็ถามว่า “งานเลี้ยงเริ่มตอนไหน ฉันเอาชามใหญ่ของฉันมาด้วย”

ยามค่ำคืนมีไฟสว่างไสว

โถงใหญ่บู๊คณะกำแหง จัดงานเลี้ยงยิ่งใหญ่

คนคณะต่างๆ ล้วนอยู่ที่นี่ มีเพียงคณะหยินหยางที่กลับไปก่อน แต่ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไร

สไตล์ของคณะกำแหงก็คือกินดื่มอย่างเต็มที่

ในงานเลี้ยง ไม่ค่อยมีผักสักเท่าไร ล้วนเป็นอาหารจากเนื้อหลากหลายชนิด ชามที่มีเหล้าเต็มเปี่ยม ใหญ่จนแทบจะเหมือนหม้อแล้ว

นี่ทำให้พวกหานเฟิงและศิษย์พี่ใหญ่ ตะโกนออกมาว่าสะใจ เจ้าดำก็กินอย่างมีความสุข

อีกทั้งไม่เพียงแค่กิน ยังแอบหยิบเก็บไว้ด้วย

ตั้งแต่เป็นคนทำอาหารของคณะหนึ่งเดียว เจ้าดำใช้ชีวิตเก่งขึ้นเรื่อยๆ

บนโต๊ะเหล้า คณะอื่นพากันมาแสดงความยินดีกับอาจารย์อี้ชิง

วันนี้อาจารย์อี้ชิงสบายใจมาก หัวเราะจนไขมันสะเทือนทั้งตัว

คนที่มาดื่มแสดงความยินดีกับลู่ฝานก็ไม่น้อย อีกทั้งยังเป็นนักเรียนคณะกำแหงด้วย

“ศิษย์พี่ลู่ฝาน มาดื่มสักแก้ว แม้ผมเป็นนักเรียนคณะกำแหง แต่ก็ยอมรับว่าพี่เป็นชายที่แท้จริง ต่อไปศิษย์พี่ลู่ฝานช่วยชี้แนะด้วย”

“ศิษย์พี่ลู่ฝานเก่งจริงๆ จะย้ายมาคณะกำแหงของเราตอนไหน พี่ควรเป็นคนคณะกำแหงของพวกเรา!”

“ศิษย์พี่ลู่ฝานมีคู่ครองหรือยัง น้องสาวผมยังไม่มีคู่ครองเลย ลองคิดดูหน่อยไหม นี่เป็นรูปของเธอ……”

“ศิษย์พี่ลู่ฝานยังไม่มีภรรยาใช่ไหม ดูฉันสิ ถึงจะดูห้าวไปหน่อย แต่ก็มีนมมีก้นนะ ว่ากันว่าก้นใหญ่มีลูกง่ายนะ เรามาลองคบกันสักระยะไหม นี่……พวกนายดึงฉันทำไม รนหาที่ตายเหรอ!”

……

บทที่ 311
“คลั่งโจมตี!”

อาจารย์อี้ชิงส่ายหน้าพูดออกมา

“ไม่ได้เห็นมาหลายปีแล้ว คิดไม่ถึงว่ายังมีศิษย์คณะกำแหงฝึกวิชานี้ พวกบ้าที่ไม่รักร่างกายตัวเองจริงๆ”

หานเฟิงหัวเราะออกมาเบาๆ แต่รอยยิ้มของเขามีความดูหมิ่นเล็กน้อย “ที่แท้นี่คือคลั่งโจมตีนี่เอง ก็ไม่เท่าไร”

อาจารย์อี้ชิงตบหัวหานเฟิงหนึ่งที แล้วพูดว่า “สำหรับนายน่ะไม่เท่าไร แต่ถ้านายไม่มีร่างกายและสายเลือดที่ถ่ายทอดจากตระกูลนาย นายยังกล้าพูดแบบนี้ไหม รู้จักถ่อมตัวบ้าง ไม่รู้เรื่องอะไรเลย”

หานเฟิงหัวเราะคิกคัก ลูบหัวแล้วพยักหน้าหงึกหงัก

ถ้าพูดว่าการโจมตีของเฉียวเซวียน เหมือนวิธีการสู้ของสัตว์ป่าคลุ้มคลั่ง งั้นวิธีการต่อสู้ของลู่ฝาน ก็เหมือนกับภูเขาใหญ่อันมั่นคง

เขาออกหมัดไม่เร็ว แต่ทุกหมัดที่ออกไป สามารถทำให้เฉียวเซวียนตัวสะเทือนได้

เจอการโจมตีของเฉียวเซวียนอย่างต่อเนื่อง แต่กลับไม่สะเทือนสักนิด

ในที่สุดลู่ฝานเห็นโอกาสเหมาะ ซัดหมัดเข้าไปที่หมัดของเฉียวเซวียนพอดี

หมัดทั้งสองปะทะกัน พลังอันน่ากลัวทำงานอยู่บนแขนของทั้งสองคน

เสียงแตกดังขึ้นชัดเจนสองครั้ง เห็นได้ชัดว่าการโจมตีเพียงครั้งเดียว ทำให้กระดูกของทั้งสองคนหัก

เสียงที่ทำให้คนเสียวฟันแบบนี้ ทำให้พวกนักเรียนถึงกับขมวดคิ้ว

แต่ลู่ฝานกับเฉียวเซวียนเหมือนไม่เป็นอะไรเลย ซัดหมัดซ้ายออกมา ปะทะใบหน้าของอีกฝ่าย

ครั้งนี้เฉียวเซวียนโดนซัดจนกระเด็นออกไป ล้มลงบนพื้นทันที

ใบหน้าของลู่ฝานโดนชกจนยุบลงไป แต่ต่อมาก็กลับเป็นเหมือนเดิมอย่างประหลาด

เฉียวเซวียนที่นอนอยู่บนพื้นกระอักเลือดออกมา

“ฉันแพ้แล้ว!”

เฉียวเซวียนยิ้มขมขื่น ลูบใบหน้าที่โดนซัดจนเบี้ยวของตัวเอง “คิดไม่ถึงว่าผลการฝึกตนด้านร่างกายของนายจะแข็งแกร่งกว่าฉัน ลู่ฝานนายเกิดมาเพื่อคณะกำแหงของฉัน”

ลู่ฝานพูดอย่างราบเรียบว่า “บนโลกนี้ไม่มีอะไรที่เป็นมาแต่กำเนิดหรอก”

เฉียวเซวียนพยักหน้าเข้าใจ จากนั้นก็สลบไป

“ลู่ฝานคณะหนึ่งเดียวชนะ!”

ครูขึ้นมาประกาศบนเวที

นักเรียนคณะกำแหงลุกขึ้นปรบมือ ถึงพวกคณะกำแหงแพ้สามรอบต่อเนื่อง แต่พวกเขากลับยอมรับความพ่ายแพ้จากใจ

อาจารย์เซินถูคณะกำแหงหัวเราะแล้วพูดว่า “ยอดเยี่ยมๆ ดูเหมือนว่าฉันต้องถามตาเฒ่าอี้ชิงสักหน่อยแล้ว ว่าเขาสอนศิษย์อย่างไร ลู่ฝานร่างกายยอดเยี่ยมอย่างประหลาด ต้องถามสักหน่อยแล้ว”

อาจารย์ซิงยวนเห็นนักเรียนคณะกำแหงตะโกนเรียกชื่อลู่ฝาน เขาแสยะยิ้มแล้วพูดว่า “ตะโกนเรียกชื่อของอีกฝ่าย ดูเหมือนคณะกำแหงก็จบสิ้นแล้วสินะ”

พูดจบ อาจารย์ซิงยวนลุกขึ้นเดินออกไป เอี๋ยนชิงและคนอื่นรีบเดินตามไป

มีเพียงฮ่วนเย่ว์ที่ยังนั่งอยู่ตรงนั้น ไม่ได้ตามคนคณะหยินหยางไป

เธอยิ้มแล้วมองลู่ฝานจากไกลๆ ฮ่วนเย่ว์หัวเราะอย่างมีความสุข

ลู่ฝานฟังเสียงเชียร์อยู่บนเวทีอย่างเงียบๆ

แขนขยับเล็กน้อย กระดูกที่โดนกระแทกจนหัก ต่อกันโดยอัตโนมัติ

นี่คือวิถีที่เขาทำความเข้าใจได้ในช่วงนี้

วิถีแห่งชีวิต รักษาทุกสรรพสิ่ง

บาดเจ็บแค่นี้ ไม่อยู่ในสายตาเขาสักนิด

บทที่ 310
เลือดไหลออกจากมุมปากของเฉียวเซวียน การโจมตีรุนแรงสองครั้งของลู่ฝาน ทำให้เขาบาดเจ็บภายในอย่างสาหัส

ตอนนี้ลู่ฝานไม่ได้ฉวยโอกาสตอนได้เปรียบ เขาถอยหลังออกไป ปล่อยให้เฉียวเซวียนลุกขึ้นยืน

ลู่ฝานมีรอยยิ้มบนใบหน้า ดูเขาสนใจเป็นอย่างมาก

“ศิษย์น้องลู่ฝานกำลังทำอะไร จัดการเขาเลย ปล่อยให้เขาลุกขึ้นมาทำไม”

หานเฟิงตะโกนออกมา นักเรียนคณะกำแหงที่อยู่ด้านหลัง มองเขาด้วยสายตาโมโห แต่ไม่มีใครเถียงคำพูดของเขา

เพราะบนเวทีประลอง การต่อสู้ของคณะไม่ออมมือ นั่นเป็นสิ่งที่สมควรอยู่แล้ว

แม้ตอนนี้ลู่ฝานซัดเฉียวเซวียนอีกสักยก จนทำให้เฉียวเซวียนตาย ก็ไม่มีใครพูดว่าผิด

แต่นั่นเป็นเฉียวเซวียนศิษย์พี่ใหญ่คณะกำแหงเชียวนะ แค่เห็นเฉียวเซวียนโดนซัด พวกเขาก็เจ็บปวดหัวใจแล้ว

บนเวทีประลอง เฉียวเซวียนเช็ดคราบเลือดมุมปากเบาๆ

“วิชาดี ผลการฝึกตนดี ฉันอยู่ในสถาบันสอนวิชาบู๊มานานขนาดนี้ เพิ่งเคยเห็นนักบู๊ที่ระเบิดพลังแบบวิปริตอย่างนายเป็นครั้งแรก สะใจ กล้าสู้ด้วยร่างกายไหม”

ลู่ฝานหัวเราะเบาๆ “มีอะไรต้องกลัว”

พูดพลาง ทั้งสองถอดเสื้อผ้า ลู่ฝานเก็บเสื้อคลุมบู๊มังกรดำ เหลือแค่กางเกงขาสั้น

ส่วนเฉียวเซวียนไม่เพียงแค่ถอดเสื้อ ยังฉีกกางเกงออกไปครึ่งหนึ่ง เหลือแค่กางเกงขาสั้น

กล้ามเนื้องดงามบนตัวทั้งสองคน ทำให้ทุกคนเห็นได้อย่างชัดเจน

การต่อสู้ด้วยร่างกาย ก็คือการไม่ใช้พลังปราณ สู้ด้วยพลังของร่างกายเท่านั้น

สู้กันด้วยความแข็งแกร่งของร่างกาย!

ถ้าไม่ได้ฝึกร่างกาย น้อยมากที่นักบู๊จะสู้ด้วยร่างกาย!

คณะกำแหงไม่ต้องพูดอะไรมาก ล้วนฝึกร่างกายทั้งนั้น พวกเขาต่อสู้ด้วยร่างกายได้สบายๆ แต่ลู่ฝานเป็นนักเรียนคณะหนึ่งเดียว กล้ารับคำท้าการต่อสู้ด้วยร่างกาย นี่แสดงว่าระดับผลการฝึกตนด้านร่างกายของลู่ฝาน ก็ไม่ด้อยเช่นกัน

ตอนนี้นักเรียนคณะกำแหง พากันส่งเสียงตะโกนอย่างตื่นเต้น

ไม่เพียงแค่ตะโกนช่วยเพิ่มพลานุภาพให้เฉียวเซวียน ยังมีคนไม่น้อยที่เป็นกำลังใจให้ลู่ฝาน ในความคิดของนักเรียนคณะกำแหง นักบู๊ที่กล้าสู้ด้วยร่างกาย คือผู้ชายอย่างแท้จริง

ดูกล้ามเนื้อบนตัวลู่ฝาน นั่นเป็นกล้ามเนื้อที่แข็งแกร่ง เต็มไปด้วยพลัง

นักเรียนหญิงคณะกำแหงจำนวนน้อย ตะโกนออกมาเสียงดัง

“ลู่ฝาน นายเป็นผู้ชายอย่างแท้จริง ฉันยอมมีลูกกับนาย”

บนเวทีประลอง เฉียวเซวียนกับลู่ฝานยืนด้วยกัน ระยะห่างไม่ถึงหนึ่งนิ้ว

เฉียวเซวียนวาดเส้นด้านหลังตัวเอง นี่คือเขตเป็นตาย ในการต่อสู้ด้วยร่างกาย ถ้าเลยออกจากเส้นนี้ เท่ากับแพ้

ลู่ฝานก็วาดเส้นด้านหลังเท้าตัวเองเหมือนกัน ต่างคนต่างจ้องอีกฝ่าย จิตวิญญาณการต่อสู้พลุ่งพล่าน

ทันใดนั้นทั้งสองซัดหมัดออกมาพร้อมกัน

หมัดของเฉียวเซวียนกระแทกลงบนอกลู่ฝาน หมัดของลู่ฝานก็กระแทกลงบนอกเฉียวเซวียน

เสียงดังอึกทึก เฉียวเซวียนกัดฟัน ตัวโงนเงนไปมา

ลู่ฝานไม่ขยับไปไหนเลย ปล่อยหมัดออกไปอีก!

ทั้งสองใช้การต่อสู้ออกมา ไม่ใช่แค่หมัด ไหล่ หัว ขา ล้วนใช้โจมตีได้ทั้งนั้น

ตอนนี้เฉียวเซวียนใช้วิธีต่อสู้ที่น่ากลัว เขาเหมือนสิงโตคลุ้มคลั่ง โจมตีใส่เหยื่อของตัวเองอย่างบ้าคลั่ง หมัดกระแทกโดนเนื้อ อ้าปากกว้าง แทบจะพุ่งเข้าไปงับคอลู่ฝาน

บทที่ 309
อาจารย์อู๋โฉวอยากถามหมิงจูตอนนี้เลย ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่น่าเสียดาย ครั้งก่อนที่หมิงจูโดนกระบี่ของฉู่สิงฟันเสื้อขาดที่คณะสงบใจ ดังนั้นวันนี้หมิงจูจึงไม่ได้มาด้วย ดูเหมือนคงต้องกลับไปถาม อาจารย์อู๋โฉวไม่มีทางเชื่อ คนคนหนึ่งเห็นเพียงรอบเดียว แล้วจะสามารถฝึกเคล็ดวิชาบู๊ที่มั่นคงของคณะพวกเธอได้

บนเวทีประลอง พลังปราณบนตัวเฉียวเซวียนกลายเป็นรูปร่างมังกร

มังกรขาวคำราม ที่เกิดจากการรวมของพลังปราณของเขา

“เคล็ดวิชาบู๊ที่มั่นคงของคณะกำแหง วิชาราชันมังกร!”

หานเฟิงตะโกนออกมา เขาดูนั่งไม่ค่อยติดแล้ว เคล็ดวิชาบู๊นี้ สามารถยกระดับพลังการต่อสู้ของนักบู๊ได้ทุกด้าน ว่ากันว่าแค่ฝึกเคล็ดวิชาบู๊นี้ถึงระยะรู้ความ นักบู๊แดนปราณนอกสามารถสู้กับนักบู๊แดนปราณชีวิตได้เลย ส่วนนักบู๊แดนปราณชีวิตจะสามารถสู้กับนักบู๊แดนปราณดินได้อย่างซึ่งหน้า

เคล็ดวิชาบู๊ที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริง เคล็ดวิชาบู๊ระดับดินขั้นกลางที่แท้จริง

เฉียวเซวียนยกมือพุ่งเข้าไปฆ่าลู่ฝาน แขนสองข้างกลายเป็นกรงเล็บมังกร

“พัง!”

กรงเล็บสองข้างโจมตีลงมา ขอบเขตการโจมตีขนาดใหญ่ ทำให้ลู่ฝานไม่สามารถหลบได้ ทำได้เพียงยกกระบี่ขึ้นมาต้านทานไว้

เสียงดังสนั่น ข้างๆ ลู่ฝานระเบิดจนเป็นหลุมลึกนับไม่ถ้วน ตัวซีกหนึ่งของเขาโดนกรงเล็บตบจนจมลงไปบนพื้น

เฉียวเซวียนเหาะเข้ามาแล้วสะบัดตัวเตะทันที

“ทำลาย!”

เห็นได้ด้วยตาเปล่า พลังปราณแข็งแกร่งกลายเป็นมังกรปีศาจพุ่งออกไป อ้าปากกว้างโจมตีใส่ลู่ฝาน

ลู่ฝานที่ตัวจมลงไปในเวทีประลอง โดนเตะจนปลิว กระแทกจนเวทีประลองเป็นรอยแยกลึกลงไป รอยร้าวมากมายแผ่กว้างออกไปรอบๆ ทั้งเวทีประลองแทบจะสลายเพราะการโจมตีของเฉียวเซวียน

“ดี! ศิษย์พี่เฉียวเซวียนสู้ได้ดีมาก!”

“ศิษย์พี่เฉียวเซวียนไร้เทียมทาน ราชันมังกรนิรันดร์ เป็นหนึ่งในใต้หล้า!”

“พญาสิงห์ไร้เทียมทาน ราชันมังกรไร้เทียมทาน!”

…..

นักเรียนคณะกำแหงแผดเสียงตะโกนออกมา สองกระบวนท่านี้ทำให้คณะกำแหงดูดีมาก

นักเรียนหญิงคณะกำแหงที่มีไม่มาก ตอนนี้ถอดเสื้อผ้าเต้นกันแล้ว

ปราณชี่บนตัวลู่ฝานสั่นไหว เจ็บปวดไปทั้งตัว

“พลังแข็งแกร่งมาก วิชาราชันมังกร ชื่อเสียงสมคำร่ำลือ!”

เฉียวเซวียนพุ่งเข้ามาอีกครั้ง การต่อสู้ไม่จบไม่สิ้น เขาไม่ให้โอกาสคู่ต่อสู้ได้หายใจ

กรงเล็บโจมตีลงไปอีก ครั้งนี้เขาจับกระบี่หนักของลู่ฝาน

“แย่งชิง!”

เฉียวเซวียนจะแย่งกระบี่หนักของลู่ฝาน

แต่ทว่าลู่ฝานกลับยิ้มออกมา ปล่อยมือให้เฉียวเซวียนเอากระบี่หนักไป

เฉียวเซวียนรู้สึกผิดปกติ กำลังจะป้องกัน แต่เห็นลู่ฝานปรากฏตัวตรงหน้าเขา จับแขนเขาเอาไว้ ไฟลุกขึ้นมาทั้งตัว

“ย๊าก!”

ลู่ฝานแผดเสียงออกมา ยกเฉียวเซวียนขึ้นมาด้วยมือเดียว จากนั้นกระแทกลงกับพื้นอย่างแรง

เส้นเลือดปูดขึ้นทั้งแขน ให้เทียบเรื่องการระเบิดพลัง ลู่ฝานไม่เคยกลัวใคร

ปราณชี่ระเบิดออกมาทันที พลังที่เหนือกว่าพลังปราณทั่วไป 20-30 เท่า กดเฉียวเซวียนเอาไว้กับเวทีประลอง

เฉียวเซวียนยังดิ้นไปมา อ้าปากคำรามออกมา

เสียงโหยหวนอันน่ากลัว ทำให้คนรอบๆ ปวดแก้วหู

ปราณชี่ในตัวลู่ฝาน แปรเปลี่ยนเป็นพลังวิญญาณ ต้านทานเอาไว้ทันที ทันใดนั้นก็ยกเฉียวเซวียนขึ้นมาอีก และกระแทกลงบนพื้นอีกครั้ง

ภาพลวงตามังกรบนตัวเฉียวเซวียนโดนลู่ฝานกระแทกจนเบาบางลงไปไม่น้อย

คนที่ชอบต่อสู้สุดกำลังอย่างเฉียวเซวียนต้องใช้วิธีที่รุนแรงยิ่งกว่าโจมตีกลับไป

ทุกคนช็อกกับพลังระเบิดของกล้ามเนื้อของร่างกายลู่ฝาน

บทที่ 308
จิตวิญญาณการต่อสู้พลุ่งพล่าน พลานุภาพของทั้งสองฝ่ายกำลังพุ่งขึ้น จากนั้นปะทะเข้าหากัน เหมือนกระแสลมที่มองไม่เห็นระเบิดออก พร้อมด้วยสายลมอันบ้าคลั่ง

ลู่ฝานมีผลการฝึกตนอ่อนกว่าเฉียวเซวียนสองขั้นแท้ๆ แต่เมื่อพลานุภาพปะทะกัน ดูไม่เสียเปรียบเลย

ความตื่นเต้นในแววตาเฉียวเซวียนเพิ่มขึ้น พลังปราณรวมตัวเป็นดาบยาวสีขาวสองเล่ม โน้มตัวมาด้านหน้าเล็กน้อย

ทันใดนั้น ทั้งสองคนลงมือพร้อมกัน

ตัวหายไปจากที่เดิม ทิ้งรอยเท้าสี่รอยเอาไว้บนหินดำนิลอย่างชัดเจน

ชิ้ง!

เงาทั้งสองคนปรากฏกลางเวทีประลอง อาวุธทั้งสองฝ่ายปะทะกัน จนเกิดประกายไปเป็นแถบ

“ฟาดล้างเปรต!”

ตัวของเฉียวเซวียนสั่นอย่างแรง เหมือนร่างแยกออกมาเป็นหมื่นเป็นพัน เงาคนนับไม่ถ้วนเข้ามาโจมตีลู่ฝาน

วิธีรับมือของลู่ฝานง่ายดายมาก สะบัดกระบี่หนัก กระบวนท่าละหนึ่งแบบ มั่นคงและมีพลัง

วิชากระบี่ขั้นพื้นฐาน!

การโจมตีดั่งสายน้ำ การป้องกันดั่งขุนเขา

เพียงพริบตาเดียว ทั้งสองใช้ไปหลายสิบกระบวนท่า

กระบี่หนักของลู่ฝานเหมือนกำแพง ป้องกันการโจมตีของเฉียวเซวียนเอาไว้ได้

ทันใดนั้น ข้อมือของเฉียวเซวียนสั่น เหมือนพลังปราณไม่มั่นคง

โอกาสเพียงแค่พริบตาเดียว ลู่ฝานเห็นแล้ว

“กระบี่มังกรเหิน!”

กระบี่หนักไม่คมเหมือนมังกรซ่อนขึ้นไปบนสวรรค์ การโจมตีเดียวสามารถทำลายดาบคู่ของเฉียวเซวียนได้ กระบี่หนักโจมตีโดนอกของเฉียวเซวียน

แต่ตอนนี้เฉียวเซวียนยังคงมีรอยยิ้ม ต่อมาแขนเขาใหญ่ขึ้นสิบเท่า พลังปราณกลายเป็นเกล็ดปกคลุมตัวเขาเป็นชั้นๆ ดาบยาวพลังปราณในมือถูกปกคลุมไว้ กลายเป็นกรงเล็บมังกร ตบมาทางลู่ฝาน

พลั่ก พลั่ก!

เสียงดังขึ้นสองครั้ง ลู่ฝานกับเฉียวเซวียนกระเด็นออกไปพร้อมกัน

ทั้งสองคนพยายามบิดตัวกลางอากาศ เหมือนหินก้อนใหญ่ กระแทกลงบนพื้น

กระบี่ของลู่ฝานปักลงบนหินดำนิล เสื้อปราณบนตัวโดนโจมตีจนยุบลงไปลึก แต่ไม่ได้แตกออก

ปราณชี่แสดงพลังป้องกันอันแข็งแกร่งของมันออกมา

เฉียวเซวียนมองอกตัวเอง ฟกช้ำเป็นแถบ แม้บาดเจ็บเล็กน้อย แต่ลู่ฝานทำลายพลังปราณเขาได้ อีกทั้งทำร้ายเขาได้ ก็ทำให้เขาตกใจแล้ว

“ไม่เลว ไม่เลว!”

เฉียวเซวียนหัวเราะออกมา ชี้หน้าลู่ฝานแล้วพูดว่า “เป็นคู่ต่อสู้ที่ไม่เลวจริงๆ วันนี้จะได้สู้อย่างเต็มที่แล้ว”

พูดพลาง เฉียวเซวียนฉีกเสื้อตัวเองออก เผยให้เห็นขนหน้าอกดกดำ

สมแล้วที่เป็นผู้ชายที่ถูกขนานนามว่าพญาสิงห์ขนบนตัวอยู่ภายในแสงสว่างของพลังปราณ ส่องแสงสีทองเหมือนดวงอาทิตย์ออกมา

ลู่ฝานยกกระบี่หนัก พลังปราณบนตัวเริ่มเคลื่อนไหว

ลู่ฝานใช้โอกาสตอนนี้ แยกพลังปราณของตัวเอง กลายเป็นค่ายสังหารพลังปราณของตัวเองอยู่รอบๆ

“เอ๊ะ”

อาจารย์อู๋โฉวคณะสงบใจเห็นภาพนี้ ก็ส่งเสียงประหลาดใจออกมา

เธอคือคนที่เห็นการเคลื่อนไหวของลู่ฝานอย่างชัดเจน อาจารย์เสวียนเจินที่อยู่ข้างๆ ก็ถามอย่างตกใจ “อู๋โฉว นี่เป็นจิตบู๊เข้าฌานของคณะสงบใจไม่ใช่เหรอ นักเรียนคณะหนึ่งเดียว ฝึกเคล็ดวิชาบู๊ของคณะสงบใจได้ตั้งแต่เมื่อไร”

อาจารย์อู๋โฉวพูดช้าๆ ว่า “นี่ไม่ใช่ พลังปราณฌานจิตของคณะสงบใจ ไม่ใช่แน่นอน”

อาจารย์เสวียนเจินอึ้งไป จากนั้นพูดเบาๆ ว่า “ไม่ใช่เหรอ แล้วนี่คืออะไร”

อู๋โฉวส่ายหน้า “เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด เขาเคยเห็นหมิงจูใช้แค่รอบเดียว ไม่มีเหตุผลที่จะเรียนรู้ได้ทันที”

อาจารย์เสวียนเจินช็อกจนพูดไม่ออก เห็นเพียงรอบเดียว ก็สามารถเรียนรู้ได้แล้วงั้นเหรอ

ถ้านี่เป็นเรื่องจริง งั้นลู่ฝานคณะหนึ่งเดียว เป็นปีศาจในบรรดาปีศาจชัดๆ

บทที่ 307

บทที่ 309

บทที่ 307
“คนขี้ขลาด!”

ฮ่วนเย่ว์พูดเยาะเย้ยเอี๋ยนชิง สายตามองไปทางลู่ฝานตลอด

ฮ่วนเย่ว์เล่นผมหางม้าของตัวเอง แล้วหัวเราะอย่างมีความสุข

อาจารย์ซิงยวนมองฮ่วนเย่ว์ ไม่ได้พูดอะไร

ฉู่เทียนเดินลงจากเวทีประลอง ผางไห่ถูกครูหามออกไปรักษาอาการบาดเจ็บ

คณะกำแหงแพ้ติดต่อกันสองรอบ ถูกบีบมาถึงขั้นที่จะแพ้แล้ว ตอนนี้ดูว่าคณะกำแหง จะสู้ครั้งสุดท้ายอย่างสุดกำลังหรือเปล่า

ใบหน้าอาจารย์อี้ชิงมีรอยยิ้ม พูดกับฉู่เทียนที่เดินกลับมาว่า “ทำได้ไม่เลว คิดไม่ถึงว่าดาบมือขวานายก็ฝึกได้แล้ว”

ฉู่เทียนยิ้มบางๆ ออกมา ราวกับว่าดาบเมื่อครู่ เป็นเรื่องจิ๊บจ๊อย

หานเฟิงยิ้มแล้วยื่นหน้าเข้ามา “ศิษย์พี่ฉู่เทียน ดาบเมื่อกี้สุดเท่ไปเลย พี่ดูสิ จนถึงตอนนี้พี่สะใภ้เสี่ยวอวิ๋นยังมองพี่อยู่เลย”

ฉู่เทียนอึ้งไป หันไปมองทางหลินเสี่ยวอวิ๋น

ทั้งสองสบตากัน แล้วละสายตาออกจากกัน ฉู่สิงพูดว่า “ดูเหมือนเรื่องนี้แน่นอนแล้ว ผู้หญิงคนไหนจะต้านทานผู้ชายที่เกรี้ยวกราดขนาดนี้ได้”

ฉู่เทียนกระแอมเบาๆ สองที นั่งลงอย่างสุขุม แล้วรีบพูดเปลี่ยนเรื่อง “ศิษย์น้องลู่ฝาน นายไปสู้รอบสามสิ รีบสู้ให้จบ เราจะได้กลับไปกินข้าว”

ลู่ฝานยิ้มแล้วลุกขึ้นยืน เดินขึ้นไปบนเวทีประลอง

“ลู่ฝานคณะหนึ่งเดียว!”

เห็นลู่ฝานออกมา อาจารย์เซินถูหัวเราะไม่หยุด

“เฉียวเซวียน ฝากนายด้วย วันนี้ไม่ต้องเครียดที่คณะกำแหงแพ้ให้คณะหนึ่งเดียว แต่นายต้องทำให้ฉันเห็นพละกำลังแท้จริงของลู่ฝาน”

เฉียวเซวียนกำหมัดตัวเอง “อาจารย์ มองผมไม่ดีขนาดนั้นเลยเหรอ ผมไม่เชื่อว่าเขาจะชนะผมได้”

พูดพลาง เฉียวเซวียนกระโดดขึ้นไปบนเวที พูดเสียงสูงว่า “เฉียวเซวียนคณะกำแหง”

ทันใดนั้น นักเรียนทั้งคณะกำแหงคึกคักขึ้นมา

“ฮู้! ฮู้! ฮู้!”

กลุ่มคนตะโกนเสียงดัง เหมือนว่าแพ้สองครั้งก่อนหน้านี้แค่เรื่องเล็ก แค่ศิษยพี่เฉียวเซวียนของพวกเขาขึ้นมา ปัญหาทุกอย่างก็จัดการได้ง่ายดาย ชัยชนะอยู่กับคณะกำแหงแล้ว

อาจารย์เซินถูลูบคาง มองดูด้วยรอยยิ้ม

เรื่องแพ้ชนะ อาจารย์เซินถูไม่ได้ให้ความสำคัญมากนัก สิ่งที่เขาให้ความสำคัญกว่าคือ ช่วยสถาบันสอนวิชาบู๊อบรมศิษย์ที่ดีออกมา

อันดับในสถาบันบู๊สำคัญอะไร สามารถสอนนักบู๊แดนปราณฟ้า หรือถึงขั้นเซียนบู๊ออกมาได้ คือความปรารถนาของเขาที่มีมานานแล้ว แม้ศิษย์คนนี้ไม่ใช่คนคณะกำแหงของเขา อาจารย์เซินถูมองลู่ฝาน ด้วยแววตาที่แตกต่างออกไป

วันนี้เขาจะดูฝีมือของลู่ฝาน ถ้าลู่ฝานพละกำลังเพียงพอ อนาคตยาวไกลไม่สิ้นสุด หลังการแข่งขัน ให้เขาอยู่ที่คณะกำแหงสักวัน มอบโชคดีให้เขาสักหน่อยจะเป็นไรไป นี่คือวิสัยทัศน์และจิตใจที่อาจารย์ควรมี

หึ คนอื่นล้วนว่าเขาเป็นคนแก่หยาบคาย ในความเป็นจริง ใครจะรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่

คนอื่นหัวเราะเยาะฉันว่าเลอะเลือน แต่ฉันหัวเราะเยาะคนอื่นที่เป็นคนโง่ แค่นี้เท่านั้นเอง

ครูที่อยู่ข้างๆ ประกาศเสียงดัง

“ลู่ฝานคณะหนึ่งเดียวสู้กับเฉียวเซวียนคณะกำแหง”

เพิ่งพูดจบ ทั้งสองคนปล่อยเสื้อปราณบนตัวออกมา

เสื้อปราณสีขาวปกคลุมร่างกาย เป็นรูปร่างเกราะ เหมือนเฉียวเซวียนสวมเสื้อผ้าที่ทำจากผ้าหนา บุด้านในด้วยแผ่นเหล็ก พลังปราณแดนปราณนอกขั้น5 ล้ำลึกเป็นอย่างมาก

เฉียวเซวียนมองลู่ฝานด้วยสายตาเย็นชา “ได้ยินว่าคณะหนึ่งเดียวมีอัจฉริยะแบบนาย วันนี้นายต้องทำให้ฉันเปิดหูเปิดตาหน่อย”

ลู่ฝานดึงกระบี่หนักด้านหลังออกมา “ไม่ทำให้นายผิดหวังอยู่แล้ว”

บทที่ 306

บทที่ 308

บทที่ 306
แสงดาบสาดลงพื้น แสงดาบที่ปรากฏในสายตา ทะลักออกไปเป็นแถบ โจมตีลงบนตัวผางไห่

เห็นพลังปราณบนตัวผางไห่แตกออก ถอยไปข้างหลังไม่หยุด

ทันใดนั้น ผางไห่โดนแสงดาบกดลงกับพื้น

ประกายในแววตาแดงก่ำวูบไหว ผางไห่เจอการโจมตีแบบนี้ ไม่สามารถโจมตีกลับได้เลย

พลังที่สาดลงไป ทำให้นักเรียนคณะกำแหงที่ดูอยู่ ตัวแข็งทื่อ พวกที่พละกำลังแย่หน่อย โงหัวกันไม่ขึ้นเลย

ทันใดนั้น แสงดาบหายไป

ฉู่เทียนเก็บดาบอย่างสุขุม ความเกรี้ยวกราดบนตัวหายไป เขากลับมาเป็นคนธรรมดาเหมือนเดิม

ทั้งเวทีประลองโดนแสงดาบของเขาปาดไปหนึ่งชั้น ผางไห่ที่ล้มลงบนพื้นสลบไปแล้ว เสียงลมหายใจดูเบา บนตัวมีรอยดาบอันน่ากลัวเต็มไปหมด

แต่ไม่ว่าอย่างไร ผางไห่ยังคงมีชีวิตอยู่ นี่เป็นการบอกอ้อมๆ ว่า ตอนฉู่เทียนใช้เคล็ดวิชาบู๊อันน่ากลัว เขายังยับยั้งชั่งใจเอาไว้

อาจารย์ทุกท่านมองออก ผางไห่ดูมีแผลเต็มตัว อันที่จริงเป็นแผลภายนอกที่ไม่ถึงเอ็นและกระดูก ฉู่เทียนไม่ได้ลงมือรุนแรง

อาจารย์เซินถูสีหน้าไม่พอใจ “ทำไมคนฝีมือดีล้วนไปคณะหนึ่งเดียว ดาบเทียนควบ ได้ยินมาว่ามือซ้ายมีแรงสุด ไอ้เด็กนี่ใช้แค่มือขวา”

คำพูดของอาจารย์เซินถู ทำให้เฉียวเซวียนอดหน้าเปลี่ยนสีไม่ได้

เห็นได้ชัดว่า อาจารย์เซินถูคิดว่าถ้าฉู่เทียนใช้มือซ้ายลงมือ ต้องมีพลานุภาพมากกว่านี้

อาจารย์คนอื่นต่างมีสีหน้าต่างๆ นานา โดยเฉพาะอาจารย์เสวียนเจินมองฉู่เทียน เหมือนคนเห็นแก่เงินเห็นตุ๊กตาทองคำที่เปล่งประกาย

“เกรี้ยวกราด เกรี้ยวกราดจริงๆ ถ้าเด็กคนนี้เข้าคณะกระบี่ ต้องฝึกเพลงกระบี่คลั่งเทียมฟ้าของคณะกระบี่ได้แน่นอน น่าเสียดายที่เขาใช้ดาบ”

เสวียนเฟิงที่อยู่ข้างเขาก็ตาเป็นประกาย

เสวียนเฟิงยิ้มยิงฟันแล้วพูดว่า “ความสามารถดีจริงๆ ผมต้องสู้กับคนคนนี้แน่นอน”

เสวียนเจินยิ้มบางๆ “รอเถอะ คนพวกนี้ของคณะหนึ่งเดียว มีความสามารถมาถึงคณะกระบี่ของเรา”

เสวียนเฟิงพยักหน้าเห็นด้วย

สีหน้าอาจารย์ซิงยวนไม่สู้ดีเป็นอย่างมาก ครั้งก่อนที่ลานประลองคณะหลัก ยังดูไม่ออกว่าพวกคณะหนึ่งเดียวเก่งแค่ไหน เพราะพวกเหลิ่งหานพละกำลังไม่เพียงพอ จึงเดาได้ไม่หมด

แต่ตอนนี้อาจารย์ซิงยวนสัมผัสได้ถึงภัยคุกคามจริงๆ แล้ว

นักเรียนคณะหนึ่งเดียวพวกนี้ แต่ละคนล้วนไม่ธรรมดา แต่ยังอยู่ในขอบเขตที่ควบคุมได้

ซิงยวนหันไปมองผู้หญิงด้านหลัง

“ฮ่วนเย่ว์ เธอจัดการคนที่ชื่อฉู่เทียนได้ไหม”

ฮ่วนเย่ว์มัดผมหางม้า ท่าทางไม่เคารพซิงยวนสักนิด กลอกตาใส่ซิงยวนแล้วพูดว่า “เขาสู้ฉันไม่ได้”

ได้ยินคำพูดของฮ่วนเย่ว์ เอี๋ยนชิงที่อยู่ข้างหน้า หัวเราะพรืดออกมา

ฮ่วนเย่ว์ตบท้ายทอยเอี๋ยนชิง เสียงดังฟังชัด ดึงดูดสายตาคนจำนวนไม่น้อย

“ขำอะไร”

เอี๋ยนชิงจ้องฮ่วนเย่ว์อย่างโหดเหี้ยม แล้วกัดฟันพูดว่า “ฮ่วนเย่ว์ เธอรนหาที่ตายใช่ไหม”

ฮ่วนเย่ว์มองเอี๋ยนชิงอย่างดูหมิ่น “ใช่ แล้วไง นายกล้าทำฉันไหมล่ะ นายกล้าแตะต้องฉันแม้แต่ปลายนิ้วไหม”

เอี๋ยนชิงโมโหมาก แต่กลับพูดอะไรไม่ออกสักคำ

เขาไม่กล้าแตะต้องฮ่วนเย่ว์แม้แต่ปลายนิ้วจริงๆ ไม่เพียงแค่เขารู้ที่มาของฮ่วนเย่ว์ มันเป็นสิ่งที่เขาไม่สามารถหาเรื่องได้ สิ่งสำคัญไปกว่านั้น พละกำลังของฮ่วนเย่ว์ในตอนนี้ก็……

เอี๋ยนชิงหันหน้ากลับมา ไม่ยอมพูดกับฮ่วนเย่ว์อีก

บทที่ 305
บนเวทีประลอง ฉู่เทียนกำดาบยาวในมือ ไม่ได้ปล่อยพลังปราณออกมา แต่พลานุภาพพลุ่งพล่านขึ้นอย่างรวดเร็ว

ดวงตาสองข้างของผางไห่แดงก่ำ คำรามอย่างโมโหเหมือนสัตว์ป่า พุ่งเข้ามาหาฉู่เทียนทันที

พลังมวยหนัก!

ทุกที่ที่ผ่านไป เวทีประลองเหมือนพื้นดินที่โดนรถแทรกเตอร์บด

อำนาจอันน่ากลัว พลังที่พุ่งเข้ามาอันแข็งแกร่ง เห็นได้ด้วยตาเปล่าว่า ด้านหน้าผางไห่มีการบิดเบี้ยว

นั่นคือพลังถึงระดับที่เหมาะสม ทำให้อากาศยุบลงไป

ฉู่เทียนยืนนิ่งไม่ขยับ ปล่อยให้ผางไห่พุ่งเข้ามา

ผางไห่เหมือนแรดหินทรงพลังคลุ้มคลั่ง พุ่งเข้ามาชนตัวฉู่เทียน มือซ้ายของฉู่เทียนกดลงบนวงพลังปราณของผางไห่ สามารถต้านทานการโจมตีของผางไห่ได้

ฉู่เทียนขมวดคิ้ว เส้นเลือดปูดขึ้นมาบนแขน เหมือนเท้ามีรากงอก ฝังลึกลงไปในเวทีประลอง ไม่ถอยหลังแม้แต่น้อย

“ดี!”

อาจารย์เซินถูตะโกนออกมา ไม่รู้ว่าพูดคำว่าดีกับฉู่เทียนหรือผางไห่

ด้านล่างเวทีประลอง ตำแหน่งที่นักเรียนโดดเด่นของคณะสงบใจอยู่ สายตาของหลินเสี่ยวอวิ๋นจ้องไปที่ฉู่เทียน ประกายในแววตาเปลี่ยนไป

ผางไห่เห็นว่าแบบนี้ไม่สามารถสู้กับฉู่เทียนได้ จึงแผดเสียงออกมาอีก

ไขมันบนตัวเคลื่อนไหวอีกครั้ง กลายเป็นกล้ามเนื้อ ตอนนี้ผางไห่ดูเป็นชายมีพลัง กล้ามเนื้อล่ำสัน

“แรงเงี่ยมล่อ พลังครึ่ง”

พลังปราณบนตัวผางไห่ระเบิดออก จนฉู่เทียนส่งเสียงออกมา แล้วถอยหลังออกไป

ขณะนั้น ผางไห่ก้าวเข้ามา ใช้การโจมตีท่าแนบตัว กระแทกลงบนหน้าอกฉู่เทียน

พลังแข็งแกร่ง ระเบิดจนเกิดแรงกระเพื่อม แผ่กระจายไปทั่ว เศษหินกระเด็นลอยขึ้นมานับไม่ถ้วน ทำให้แขนเสื้อของลู่ฝานและคนอื่นสะบัดไปมาด้วย

ตัวของฉู่เทียนโงนเงน ฝ่าเท้าจมลงไปในหินดำนิล

แววตาเป็นประกายวูบไหว หมัดซ้ายชกลงไปบนตัวผางไห่

ไม่มีแรงกระเพื่อม ไม่มีพลังปราณอันงดงาม มีเพียงเสียงดังขึ้นเบาๆ แต่ผางไห่เหมือนโดนภูเขาลูกใหญ่ชน กระเด็นออกไปไกล แล้วกระแทกลงกับพื้น

พลานุภาพบนตัวฉู่เทียนยังคงพุ่งขึ้น ผมปลิวไปมา

ผางไห่รีบลุกขึ้นยืน มองมายังฉู่เทียน ดวงตายิ่งแดงเข้าไปอีก

ตัวเขาเริ่มใหญ่ขึ้น เพียงพริบตาเดียว ตัวเขาใหญ่ขึ้นสามเท่า ผางไห่เหมือนหมีควายไปแล้ว

“เคล็ดวิชาบู๊ฝึกร่างด้วยพลังปราณอีกแล้ว ดูเหมือนแย่กว่าศิษย์พี่ใหญ่เยอะเลย”

หานเฟิงยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น

ลู่ฝานพยักหน้าเบาๆ แย่กว่าร่างทองครองธรรมของศิษย์พี่ใหญ่จริงๆ

“แรงเงี่ยมล่อ แปดในสิบ!”

ผางไห่แผดเสียงออกมา พุ่งเข้าไปหาฉู่เทียน

แต่ขณะนั้น ฉู่เทียนถลึงตาอย่างโหดเหี้ยม พลานุภาพอันน่ากลัวโถมเข้ามา ควบคุมการเคลื่อนไหวของผางไห่เอาไว้

นี่มันพลานุภาพน่ากลัวขนาดไหน ขนาดนักเรียนคณะกำแหงที่อยู่รอบๆ ยังพากันเงียบ

พวกเขารู้สึกเหมือนไม่ได้เผชิญหน้ากับคน แต่เป็นเทวดาองค์หนึ่ง

พลานุภาพร้ายแรง กดดันบนตัวพวกเขา หนักเหมือนภูเขาใหญ่ ถึงกับทำให้เขาขาดอากาศหายใจ

หลินเสี่ยวอวิ๋นช็อกกับความเกรี้ยวกราดของฉู่เทียน เธอเพิ่งเคยเห็นฉู่เทียนเกรี้ยวกราดขนาดนี้เป็นครั้งแรก พลานุภาพแบบนี้ แข็งแกร่งเหมือนไม่ใช่นักบู๊แดนปราณนอก

ไม่ใช่สิ ถึงเป็นนักบู๊แดนปราณชีวิตทั่วไป ก็ไม่มีพลานุภาพแบบนี้ อีกทั้งยังห่างชั้นอีกไกล

นี่เป็นความหยิ่งยโสที่มาจากธาตุแท้ ความเกรี้ยวกราดที่เชื่อมั่นว่าบนโลกนี้ไม่มีใครเก่งเท่ากับตนเองอีกแล้ว

ผางไห่เงยหน้าคำรามออกมา

“แรงเงี่ยมล่อ พลังเต็ม!”

ฉู่เทียนยกมือขวาของตัวเองขึ้นมาช้าๆ

“ดาบเทียนควบ ทำลาย!”

บทที่ 304
“หานเฟิงคณะหนึ่งเดียวชนะรอบแรก!”

ครูประกาศว่าคณะหนึ่งเดียวชนะรอบแรก การแสดงออกของหานเฟิงไม่เพียงแต่ทำให้ทุกคนตะลึง ขนาดลู่ฝานยังอดถามไม่ได้

“ศิษย์พี่หานเฟิง กระบวนท่าสุดท้ายคืออะไร เป็นวิชากระบี่ที่เท่มาก”

ลู่ฝานเป็นคนไม่กี่คนที่เห็นการเคลื่อนไหวของหานเฟิงชัดเจน นี่อาศัยความไวต่อการสังเกตที่เขามีต่อพลังฟ้าดินรอบๆ จึงทำให้เขาเห็นทิศทางกระบี่ของศิษย์พี่หานเฟิง

ช่วงเวลานั้น ศิษย์พี่หานเฟิงแทงกระบี่ออกมา 108 กระบี่

แต่ละกระบี่เร็วเหมือนสายฟ้า ฟาดฟันฟ้าดินบริเวณรอบๆ

108 กระบี่นี้ ทำให้ลู่ฝานรู้สึกว่ายอดเยี่ยมเหมือนกับกระบี่มังกรเหินที่เขาสร้างออกมา

แต่วิชากระบี่ของศิษย์พี่หานเฟิง ล้ำลึกและกระชับกว่า ทำให้ลู่ฝานทำความเข้าใจได้มาก

หานเฟิงยิ้มแล้วพูดว่า “วิชากระบี่ชิงสวรรค์ไง กระบวนท่าที่สองเท่านั้น ไม่ต้องเลื่อมใสฉันเกินไป แค่เก่งขนาดนี้เอง ศิษย์น้องลู่ฝาน ต่อไปถ้าเจอคนที่จัดการไม่ได้ บอกศิษย์พี่มาเลย ศิษย์พี่ช่วยจัดการให้”

อาจารย์อี้ชิงดึงปกเสื้อหานเฟิงให้เขานั่งลง

“นั่งลงดีๆ ไหลตามน้ำไปเรื่อย พื้นฐานแค่นั้นของนาย ก็แค่กระบี่แรกโจมตีโดนจุดสำคัญของอีกฝ่าย นายก็เลยทำลายรางปราณเคลือบทองของอีกฝ่ายได้”

หานเฟิงก้มหน้าลง ความสามารถแค่นั้นของเขา ปิดบังคนอื่นได้ แต่ไม่สามารถปิดบังอาจารย์อี้ชิงได้

ด่าหานเฟิงจนน้ำลายเต็มหน้า อาจารย์อี้ชิงพูดว่า “วิชากระบี่กระบวนท่าที่สอง ยังฝึกไม่ถึงขั้นสมบูรณ์ ยังมีหน้าโม้ไปทั่ว ฉันจะกลับไปฝึกฝนพิเศษให้นายอีกครั้ง ฉู่เทียนนายไปสู้รอบสอง ถ้าเดาไม่ผิด อีกฝ่ายน่าจะเป็นหนึ่งในสองพี่น้องผางไห่ หรือไม่ก็ผางเทา จัดการให้รวดเร็ว อย่าเผยอะไรออกมาเยอะเหมือนหานเฟิง”
ฉู่เทียนพยักหน้า ลุกขึ้นไปบนเวทีประลอง แล้วพูดว่า “ฉู่เทียนคณะหนึ่งเดียว!”

อาจารย์เซินถูมองฉู่เทียน บนเวทีประลองจากไกลๆ หัวเราะพูดว่า “ตอใหญ่มาอีกแล้ว ผางไห่ ผางเทา พวกนายใครจะขึ้นไป”

ผางไห่ยิ้มแล้วพูดว่า “ผมเอง”

พูดจบ ผางไห่ลุกขึ้น เดินไปบนเวทีประลอง

พุงกับไขมันบนหน้าที่ส่ายไปมา ทำให้ผางไห่ดูเป็นมิตรมาก ดูท่าทางไม่เป็นพิษเป็นภัย

“ผางไห่คณะกำแหง!”

ทั้งสองฝ่ายประสานมือคำนับกัน

ครูรีบประกาศว่า “ฉู่เทียนคณะหนึ่งเดียวกับผางไห่คณะกำแหง เริ่มต่อสู้รอบสองได้”

เสียงของครูยังไม่ทันหายไป ผางไห่รีบปล่อยพลังปราณของตัวเองออกมา

เป็นผลการฝึกตนแดนปราณนอกเหมือนกัน พลังปราณบนตัวผางไห่ แปรเปลี่ยนจากเสื้อปราณ เป็นอากาศรูปทรงกลม ปกคลุมตัวผางไห่เอาไว้

ขณะเดียวกัน ผางไห่ชนหมัดทั้งสองข้าง ไขมันบนตัวส่วนหนึ่ง กลายเป็นกล้ามเนื้อ

หานเฟิงที่ดูอยู่ด้านล่าง พูดอย่างตกใจ “ผมนึกออกแล้ว ผางไห่ 20 อันดับแรกในรายชื่อบู๊ นี่คือร่างมารร้ายเคล็ดวิชาที่สามารถเก็บพลังเอาไว้ได้”

ฉู่สิงยิ้มแล้วพูดว่า “ศิษย์น้องหานเฟิงความรู้กว้างขวาง รู้จักร่างมารร้ายด้วย แต่ครั้งนี้นายพูดผิดแล้ว เขาไม่ได้ใช้ร่างมารร้าย แต่เป็นเคล็ดวิชาบู๊ร่างเงี่ยมล่อที่อาจารย์คณะกำแหงทำให้ง่ายขึ้น ร่างมารร้ายที่แท้จริง เป็นเคล็ดวิชาบู๊ระดับฟ้า คิดว่าทั้งสถาบันสอนวิชาบู๊ คงไม่มีใครฝึกสำเร็จ แต่ร่างเงี่ยมล่อฉบับง่าย ก็ลดเงื่อนไขไปมากมายแล้ว แต่พลังการกักเก็บมีขีดจำกัด ดูไขมันบนตัวเขาสิ ห่างชั้นกับศิษย์พี่ใหญ่ตั้งเยอะ”

ลู่ฝานหัวเราะขึ้นมาเช่นกัน

ใช่ พูดเรื่องอ้วน เขายังไม่เคยเจอคนที่สูสีกับศิษย์พี่ใหญ่เลย

ร่างเงี่ยมล่อฟังดูชื่อมีพลังมาก ไม่รู้ว่าเก่งกาจแค่ไหน

บทที่ 303
เสียงอึกทึกที่ชัดเจน เป็นเสียงสะท้อนออกมาจากทรวงอก หลังจากพลังปราณเข้าไปในอวัยวะภายใน

ตอนนี้หานเฟิงน่าจะบาดเจ็บภายในแล้ว ถ้าไม่รีบรักษา ไม่แน่อาจเกิดอาการบาดเจ็บ ที่รักษาหายยาก

อาจารย์เซินถูสะบัดมือให้ครูที่ดูอยู่ข้างเวที รีบให้พวกเขาขึ้นไปช่วยหานเฟิง

แต่ขณะนั้น หานเฟิงกลับเงยหน้าขึ้น แล้วหัวเราะออกมา

รอยยิ้มของเขาดูชั่วร้าย ร่างกายบิดอย่างประหลาด กระบี่ฟ้าครามในมือหายไป

จากนั้นตัวของจ้าวคั่วระเบิดจนเลือดสาด หงายหลังล้มลงไปพร้อมใบหน้าตกตะลึง เขายังไม่รู้เลยว่าตัวเองแพ้ได้ยังไง

ภาพน่าตกใจเช่นนี้ ทำให้อาจารย์จำนวนไม่น้อยเบิกตาโต

เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น

อาจารย์อี้ชิงมีสีหน้ารู้อยู่แล้วว่าจะเป็นเช่นนี้ เขายิ้มแล้วพูดว่า “หานเฟิงเริ่มฉลาดขึ้นแล้ว”

หานเฟิงเก็บกระบี่ฟ้าคราม ปัดฝุ่นบนหน้าอก บิดตัวไปมาเล็กน้อย

เสียงที่ทำให้คนเสียวฟันดังขึ้น นั่นเป็นเสียงที่กระดูกกลับเข้าตำแหน่งเดิม

กระบี่ฟ้าครามปรากฏอยู่ในมือเขาอีกครั้ง ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้

หานเฟิงเก็บกระบี่ฟ้าคราม เดินลงมาเหมือนคนไม่เป็นอะไร ก่อนจะไป ยังพูดกับจ้าวคั่วว่า

“ฉันบอกแล้ว เมื่อมีครั้งแรก ก็มีครั้งที่สอง ครั้งนี้นายควรยอมรับได้แล้ว!”

พูดจบ หานเฟิงเดินลงไปอย่างสบายใจ

นักเรียนคณะกำแหงมองหน้ากันไปมา ยังตั้งสติไม่ได้

“เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น”

“ใครเห็นชัดๆ บ้าง เจ้าห้า นายเห็นชัดหรือเปล่า”

“ชัดกะผีน่ะสิ ฉันตาลายไปหมด แป๊บเดียวก็จบแล้ว”

“ศิษย์พี่จ้าวคั่วแพ้ได้ยังไง”

“ใครจะไปรู้ล่ะ!”

……

อาจารย์แต่ละคณะก็มีสีหน้าประหลาดเช่นกัน บางคนดูออกบ้าง บางคนกำลังครุ่นคิด

อาจารย์ซิงยวนมีแววตาประหลาด หันไปพูดกับเอี๋ยนชิงและคนอื่น “ต่อไปถ้าพวกนายเจอคนคนนี้ ต้องเพิ่มความระวังขึ้นอีก ถ้าต้องสู้กัน ต้องโจมตีเขาให้สลบ หรือซัดให้ตกจากเวที อย่าให้เขามีโอกาสได้ลุกขึ้นมา”

เอี๋ยนชิงและคนอื่นไม่เข้าใจ แต่ก็พยักหน้าตอบ

หานเฟิงน่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอ

ในแววตาของเอี๋ยนชิง มีแสงแผ่ซ่านเหมือนยาพิษ

อาจารย์เสวียนเจินคณะกระบี่ หันไปถามอาจารย์อู๋โฉวที่นั่งอยู่ไม่ไกล “อู๋โฉว เธอรู้นานแล้วใช่ไหม”

อู๋โฉวยิ้มแล้วพูดว่า “รู้นิดหน่อยเท่านั้น”

เสวียนเจินหัวเราะ “คณะหนึ่งเดียวมีความสัมพันธ์ไม่เลวกับคณะสงบใจของเธอ เธอรู้นิดหน่อยก็เป็นเรื่องสมควร แต่เธอไม่ควรปิดบังพวกเรา หานเฟิงตระกูลหาน ฉันควรจะเดาได้ตั้งแต่แรก ดูเหมือนคณะกระบี่ของเรา ก็ต้องรับการท้าประลองของคณะหนึ่งเดียวแล้วเหมือนกัน”

อู๋โฉวยิ้มบางๆ ไม่พูดอะไรอีก

อาจารย์เซินถูอ้าปากค้าง เพิ่งพูดว่าตัดสินแพ้ชนะแล้ว สุดท้ายกลายเป็นแบบนี้ เขารู้สึกขายหน้าจริงๆ

อาจารย์เซินถูตบท้ายทอยนักเรียนคนหนึ่ง ที่ยืนอยู่ข้างๆ แล้วพูดว่า “ยังไม่รีบพาจ้าวคั่วลงมาอีก”

เฉียวเซวียนโน้มหน้าไปกระซิบข้างหูเซินถู “อาจารย์ ที่หานเฟิงใช้คือ……”

อาจารย์เซินถูยั้งเฉียวเซวียนไม่ให้พูดมาก “นายดูออกก็ดีแล้ว ไม่ต้องพูดออกมา เฮ้อ คนมีความสามารถแบบนี้ ควรเป็นคนของคณะกำแหงของเราสิ!”

เฉียวเซวียนได้รับคำตอบยืนยัน แววตาเป็นประกายลุกโชนทันที

“คณะหนึ่งเดียว น่าสนใจขึ้นเรื่อยๆ แล้ว”

บทที่ 302
เสียงระเบิดบนเวทีประลองค่อยๆ หายไป

หานเฟิงเพ่งมองเข้าไปในเศษหิน

จ้าวคั่วยังยืนตระหง่าน ไม่ได้ล้มลงด้วยกระบวนท่าเดียว

จ้าวคั่วหอบหายใจ บนตัวเต็มไปด้วยบาดแผล เลือดไหลออกมาเต็มตัว

แต่เขายังยืนตระหง่าน พลังปราณบนตัวเทียบกับเมื่อครู่ ดูแข็งแกร่งไม่ด้อยลงเลย

เลือดสดไหลออกมา แต่สีหน้าจ้าวคั่วยังเหมือนเดิม

จู่ๆ ทั้งตัวถูกปกคลุมด้วยสีดำทมิฬ เสื้อปราณบนตัวเขากลายเป็นของเหลวหนืด ไหลไปทั่วทั้งตัว

“รางปราณเคลือบทอง!”

จู่ๆ ฉู่สิงหัวเราะออกมา

ลู่ฝานถามว่า “เป็นวิชาที่เก่งกาจเหรอ”

ฉู่เทียนที่อยู่ข้างๆ อธิบายว่า “เป็นหนึ่งในวิชาวิปริตที่เปลี่ยนแปลงร่างกายของคณะกำแหง ถ้าไม่สามารถรับความเจ็บปวดแบบอมนุษย์ ไม่มีทางฝึกได้ ฝึกถึงระยะรู้ความ พลังปราณปกคลุมร่างกายเหมือนเคลือบด้วยทอง ทำลายยาก หานเฟิงลำบากแล้ว”

ลู่ฝานตอบรับ เขาเข้าใจวิธีการฝึกวิชาฝึกร่างเป็นอย่างดี

ตอนนั้นเขาฝึกหมัดถล่มเขา สูญเสียไปเยอะมาก อดทนแบกรับความเจ็บปวดตั้งเท่าไร ยิ่งต้องการวิชาเปลี่ยนแปลงร่างกาย ก็ยิ่งต้องมีจิตใจที่ไม่ใช่มนุษย์

คนที่ฝึกวิชาแบบนี้สำเร็จ อย่างน้อยต้องมีจิตใจแข็งแกร่ง ร่ากายเหมือนเหล็กกล้า

จ้าวคั่วมองลู่ฝานอย่างเย็นชา “ถ้านายคิดว่ากระบวนท่าแบบนี้ จะเอาชนะฉันได้ งั้นนายใสซื่อเกินไปแล้ว”

พูดจบ จ้าวคั่วก้าวเข้ามาหาหานเฟิง

แต่ละก้าวเหมือนมาพร้อมกับพลังมหาศาล ทำให้บนพื้นเป็นรอยเท้าลึก

ตึง ตึง ตึง!

เสียงดังมาจากใต้เท้าของจ้าวคั่วอย่างต่อเนื่อง

ทั้งตัวเหมือนกลายเป็นทอง เพียงพริบตาเดียว เหมือนตัวของจ้าวคั่วใหญ่ขึ้น

หานเฟิงตวัดกระบี่ฟ้าครามอย่างต่อเนื่อง แสงกระบี่ทำให้เวทีหินดำนิล กลายเป็นรอยแยกลึกลงไป แต่ไม่สามารถทำอะไรจ้าวคั่วได้แม้แต่น้อย

จ้าวคั่วต้านทานแสงกระบี่เดินเข้ามา เหมือนปราณกระบี่ของหานเฟิง เป็นแค่เรื่องตลกสำหรับเขา

เมื่อห่างจากหานเฟิงไม่กี่ก้าว จู่ๆ จ้าวคั่วพุ่งออกไปเหมือนสายฟ้า

ปฏิกิริยาของหานเฟิงก็รวดเร็วมาก เห็นจ้าวคั่วปล่อยพลังออกมากะทันหัน เขารีบหลบไปอีกด้าน

เพราะการตอบสนองของไหวพริบของเขา ทำให้เขาหลบกระบวนท่านี้ได้

ตำแหน่งที่ยืนเมื่อครู่ระเบิดออก หมัดของจ้าวคั่ว กระแทกจนพื้นเป็นหลุมลึก เศษหินกระเด็นไปทั่ว

พลังหมัดอันแข็งแกร่ง ทำให้เกิดพลังกระเพื่อม จนหานเฟิงกระเด็นออกไป

“พลังแข็งแกร่งมาก!”

หานเฟิงเอ่ยชมออกมา

ลู่ฝาน ฉู่สิงและฉู่เทียนที่อยู่ด้านล่าง มีสีหน้าประหลาด

ลู่ฝานหรี่ตาลง ดูถูกนักบู๊ของคณะกำแหงไม่ได้จริงๆ จุดแข็งแกร่งที่สุดของการฝึกร่างกายคือ พวกเขายอมตายไม่ยอมแพ้ จิตใจและวิชาที่ยิ่งสู้ยิ่งแกร่ง

ศิษย์พี่หานเฟิงตกอยู่ในอันตรายแล้ว!

หานเฟิงเงยหน้ามองจ้าวคั่ว ตอนนี้ใบหน้าเขายังมีรอยยิ้ม ราวกับอันตรายเมื่อครู่ ไม่สามารถทำอะไรเขาได้

หมุนกระบี่ฟ้าคราม หานเฟิงแทงไปทางจ้าวคั่วอีกครั้ง

ไม่มีปราณกระบี่งดงาม แค่กระบี่แสนธรรมดา แทงโดนไหล่ของจ้าวคั่ว

เสียงดังฉึบ ปลายกระบี่ทิ้งรอยสีขาวไว้บนตัวจ้าวคั่ว ส่วนจ้าวคั่วพลิกหมัด กระแทกมาบนหน้าอกหานเฟิง

เกิดเสียงดังอึกทึก คนรอบๆ ได้ยินอย่างชัดเจน

ตัวหานเฟิงสั่นโงนเงนไปมาอย่างแรง เซไปด้านหลังเล็กน้อย

อาจารย์เซินถูเห็นภาพนี้ หัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “ตัดสินแพ้ชนะได้แล้ว!”

เฉียวเซวียนและคนอื่นก็หัวเราะแล้วพยักหน้า โดนหมัดหนักของจ้าวคั่วโจมตีเข้าเต็มๆ ไอ้เด็กชื่อหานเฟิงแพ้แล้ว

บทที่ 301
พูดพลาง หานเฟิงเดินออกมา จากนั้นเด้งตัวขึ้นไปบนลานประลอง

เพิ่งเหยียบลงบนพื้น หานเฟิงรู้สึกถึงพลังความร้อนจากใต้เท้า แทบจะเผาไหม้รองเท้าของเขา

“หานเฟิงคณะหนึ่งเดียว!”

หลังบอกชื่อของตัวเอง สายตาหานเฟิงมองไปยังนักเรียนที่โดดเด่น ข้างๆ อาจารย์เซินถู

อาจารย์เซินถูลูบคางตัวเอง มองนักเรียนข้างๆ ทั้งห้าคน “พวกนายใครจะไปสู้”

เฉียวเซวียนสีหน้าราบเรียบ เขาเป็นคนควบคุมสถานการณ์ ต้องไม่ขึ้นไปคนแรกแน่นอน

ขณะนั้นจ้าวคั่วลุกขึ้นยืน แล้วพูดว่า “ผมเอง ผมเคยสู้กับไอ้เด็กนี่ เขาสู้ผมไม่ได้!”

อาจารย์เซินถูยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่พบกัน 3 วัน ควรดูกันใหม่ จ้าวคั่วนายอย่าชะล่าใจ”

จ้าวคั่วก้าวออกมา กระโดดขึ้นไปบนลานประลอง เสียงเหมือนเสือคำราม

“จ้าวคั่วคณะกำแหง!”

หานเฟิงมีรอยยิ้มมุมปากทันที “จ้าวคั่ว!”

เขายังจำภาพที่จ้าวคั่วซัดเขาลงกับพื้นด้านหน้าหอคอยฝึกฝนได้

“เสือดำจ้าวคั่ว นายอีกแล้ว”

หานเฟิงดึงกระบี่ฟ้าครามออกมาพร้อมรอยยิ้ม ปลายกระบี่ชี้ลงพื้น ตัวกระบี่สะท้อนใบหน้าของจ้าวคั่ว

จ้าวคั่วใช้นิ้วชี้หน้าหานเฟิง “ไอ้เด็กน้อย ครั้งก่อนหน้าหอคอยฝึกฝน ฉันชะล่าใจ เกือบติดกับดักของนาย ครั้งนี้ฉันไม่มีทางให้โอกาสนายแน่นอน”

หานเฟิงพูดว่า “ไม่ๆ ทุกเรื่องเมื่อมีครั้งแรก ต้องมีครั้งที่สองแน่นอน”

จ้าวคั่วยิ้มเย็นชา “งั้นเหรอ งั้นเข้ามาสิ ดูสิว่าช่วงนี้นายก้าวหน้าอะไรขึ้นบ้าง”

“ได้!”

หานเฟิงหัวเราะเสียงดัง ทั้งสองใช้พลังปราณของตัวเองพร้อมกัน

เสื้อปราณปกคลุมร่างกาย เป็นผลการฝึกตนแดนปราณนอกเหมือนกัน

ซิงยวนมองบนเวทีประลอง แล้วถามว่า “เอี๋ยนชิง หานเฟิงหมอนี่ อยู่ในผลการฝึกตนแดนปราณนอกมาตลอดเลยเหรอ”

เอี๋ยนชิงส่ายหน้า “ไม่ครับ ตอนอยู่ในจวนอากาศธาตุ เขาเป็นแค่ไอ้เด็กแดนปราณใน พละกำลังธรรมดาทั่วไป”

ซิงยวนพูดว่า “งั้นหมายความว่า ระยะเวลานี้เขาเจออะไรที่มหัศจรรย์เหรอ”

เอี๋ยนชิงพูดว่า “อาจมีคนให้ยายกระดับพละกำลังกับเขา ยาในจวนอากาศธาตุ เป็นยาชั้นดี!”

พูดจบ ทั้งสองคนหันไปมองลู่ฝาน

ในตาซิงยวนฉายแววประหลาด เหมือนตัดสินใจอะไรบางอย่าง

บนเวทีประลอง หานเฟิงกับจ้าวคั่วต่อสู้กัน

หานเฟิงใช้กระบี่ฟ้าคราม กลายเป็นแสงกระบี่อันน่ากลัวเป็นแถบ จ้าวคั่วทำได้เพียงอาศัยร่างกายอันแข็งแกร่งของตัวเองต้านทานไว้ โดนซัดจนถอยหลังกรูด

“ดูไม่ออกเลย วิชากระบี่ของหานเฟิงพัฒนาขึ้นแล้ว”

ฉู่สิงยิ้มแล้วพูดออกมา เทียบกับวิชากระบี่ “ตามสไตล์ของตัวเอง”ของหานเฟิงในตอนแรก ตอนนี้วิชากระบี่ของเขา เรียกได้ว่ายอดเยี่ยม

ฉู่เทียนพูดว่า “แน่นอนอยู่แล้ว ทุกคนกำลังพัฒนากันหมด โอเค พลานุภาพเพียงพอ ศิษย์น้องหานเฟิงจะใช้วิชากระบี่ชิงสวรรค์แล้ว”

เมื่อศิษย์พี่ฉู่เทียนตะโกนออกมา บนเวทีประลอง หานเฟิงเอากระบี่ออกไปจากมือ วิชากระบี่ปรากฏขึ้น

“กระบี่ชิงสวรรค์!”

แสงกระบี่อันน่ากลัว แผ่ไปทั่วเวทีประลอง

ตู้มตู้มตู้มตู้ม!

เสียงระเบิดดังขึ้นติดต่อกัน หินดำนิลบนเวทีประลองแตกกระเด็นไปทั่ว

พลานุภาพของวิชากระบี่นี้ น่ากลัวจริงๆ

อาจารย์จำนวนไม่น้อย กำลังชี้แนะนักเรียนที่โดดเด่นข้างๆ ตัวเอง จำกระบวนท่านี้ไว้ แล้วคิดดูว่าจะทำลายยังไง

“ชนะแล้ว!” ฉู่สิงยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น คิดไม่ถึงว่าการสู้รอบแรกจะง่ายแบบนี้

ลู่ฝานขมวดคิ้วเบาๆ “เหมือนจะไม่ง่ายขนาดนั้น”

บทที่ 300
เมื่อครูพูดจบ นักเรียนคณะกำแหงด้านหลัง พากันตะโกนออกมา

เสียงตะโกนดังสนั่น เสียงโหยหวน เต็มไปด้วยพลัง

“พวกเราให้นักเรียนคณะอื่นได้เห็นการต้อนรับขับสู้ของคณะกำแหง!”

เมื่อชายคนหนึ่งตะโกนขึ้นมา

นักเรียนคณะกำแหง ตบอกแล้วหัวเราะออกมา

“ฟังคำสั่งฉัน ทุกคนร้องพร้อมกัน หนึ่ง สอง สาม!”

เสียงกลองดังขึ้น ชายคณะกำแหงกระทืบเท้า จากนั้นร้องเพลงออกมาเสียงดัง

“คณะไหนเจ๋งสุดยอด ฮุยเลฮุย!”

“นักเรียนคณะกำแหงเจ๋งสุดยอด ฮุยเลฮุย!”

“นักเรียนที่ไหนพลังปราณแข็งแกร่ง นักเรียนที่ไหนร่างกายกำยำ ฮุยเลฮุย!”

“นักเรียนคณะกำแหงพลังปราณแข็งแกร่ง นักเรียนคณะกำแหงร่างกายกำยำ”

……

เสียงดังสนั่น นักเรียนที่โดดเด่นของคณะอื่น รวมไปถึงพวกครู ได้ยินถึงกับสีหน้าไม่สู้ดี

อาจารย์เซินถูหัวเราะเสียงดัง ฟังแล้วส่ายหัวไปมา

ขณะนั้น ชายที่เป็นผู้นำพูดเสียงสูง “นักเรียนคณะกำแหงแข็งแกร่งเหมือนวัว คืนเดียวเก้าครั้ง ไม่ต้องกังวล!”

ชายเป็นร้อยคนพูดพร้อมกัน “แม่สาวน้อยไม่ต้องกังวล อันที่จริงเก้าครั้งยังไม่พอ!”

ชายที่เป็นผู้นำทำท่ายั่วยวน พูดเสียงดังขึ้นมาอีก “นักเรียนคณะกำแหงมีกล้ามเนื้อ อีกทั้งยังสูง หล่อและอ่อนโยน”

ชายเกือบพันยืนขึ้นมา ตะโกนเสียงดังว่า “ไม่ได้อ่อนโยนธรรมดาๆ ท่าไหนก็ทำได้!”

ชายที่เป็นผู้นำตะโกนสุดเสียง “นักเรียนคณะกำแหงไม่มีเงื่อนไข เป็นผู้หญิงก็ได้หมด”

ทั้งลานประลอง ผู้ชายทุกคนยืนขึ้น พูดเสียงดังสนั่น “แค่แม่สาวน้อยไม่ไปไหน ก็ไม่หยุดหย่อนทุกคืน”

สุดท้ายนักเรียนคณะกำแหงทุกคน ย่ำเท้าตามจังหวะ ปรบมือแล้วพูดขึ้น

“สนุกๆ สนุกจริงๆ อีกทั้งยังมีลูกได้”

“คณะกำแหงๆ มีพลังห้าวหาญ!”

เมื่อบทเพลงจบ สีหน้าของลู่ฝานและคนอื่น อึมครึมเหมือนถ่าน

ไม่เคยเจอพวกคนประหลาดขนาดนี้มาก่อน นี่คือคณะกำแหงที่มีชื่อเสียงในสถาบันสอนวิชาบู๊มาตลอดเหรอ

ลู่ฝานคิดว่ามาผิดที่แล้ว

อาจารย์เซินถูหัวเราะ จากนั้นจึงนั่งลง หันไปถามเมิ่งอวิ๋นที่อยู่ข้างๆ ด้วยเสียงดัง “เป็นไง พวกเด็กนรกของคณะเรา ดูมีพลานุภาพมากใช่ไหม”

อาจารย์เมิ่งอวิ๋นสีหน้าอึมครึม เธอรู้สึกเสียใจที่มาที่นี่

แอบตัดสินใจอยู่ในใจว่า หลังจากกลับไป ต้องอบรมศิษย์ในคณะบังเหิน อย่าหาคู่เป็นพวกปัญญาอ่อนของคณะกำแหง ช่างน่าอายจริงๆ

คนที่คิดเหมือนอาจารย์เมิ่งอวิ๋น ยังมีอาจารย์อู๋โฉวคณะสงบใจด้วย

เดิมทีอาจารย์อู๋โฉวกังวลเล็กน้อยที่หลิงเหยาและคนอื่น หาคู่เป็นนักเรียนคณะหนึ่งเดียว

แต่คณะนี้ ยังกลัวที่จะเปรียบเทียบ เมื่อมองเช่นนี้ พวกลู่ฝานคณะหนึ่งเดียว ปกติที่สุดแล้ว สามารถเรียกได้ว่าเป็นคนมีเกียรติน่านับถือ

ดูพวกเปลือยท่อนบนพวกนี้สิ ผู้ชายคณะกำแหงใส่กางเกงบ๊อกเซอร์ย้วยๆ ร้องเพลงเต้นรำ ร่างกายแข็งแกร่งจริง แต่ความคิดตื้นเขินตามแบบฉบับ

หลิงเหยาและคนอื่น ทนดูต่อไปไม่ได้แล้ว ศิษย์พี่ม่านเหยียนที่อยู่ข้างๆ ก่นด่าออกมา

“พวกปัญญาอ่อน”

นักเรียนที่โดดเด่นของคณะอื่น ต่างมีสีหน้าประหลาดเช่นกัน บางคนอยากหัวเราะ แต่ไม่กล้าหัวเราะออกมา บางคนมีสีหน้าดูหมิ่น ตัดสินใจหลับตาลงทันที

อาจารย์อี้ชิงกระแอมสองครั้ง “โอเค พวกนายใครจะขึ้นมาก่อน รีบขึ้นมาสิ รีบสู้ให้เสร็จ จะได้กลับเร็วๆ”

หานเฟิงพูดเบาๆ ว่า “ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมศิษย์พี่ใหญ่กับอาจารย์เต้ากวงไม่มา ที่แท้กลัวแปดเปื้อนสายตากับหูนี่เอง ช่างเถอะๆ ผมขึ้นไปสู้ก่อน”

บทที่ 299
บางครั้งจะเจอผู้หญิงใส่เพียงเสื้อในอยู่ในบรรดาผู้ชายพวกนี้ นี่เป็นส่วนน้อยในคณะกำแหง เรียกได้ว่าเป็นนักเรียนหญิงที่หายากมาก

แต่นักเรียนหญิงที่เข้าคณะกำแหงได้ รู้ได้เลยว่า ไม่ใช่หาเรื่องได้ง่ายๆ โดยทั่วไปจะแข็งแกร่งกว่านักเรียนชายทั่วไปของคณะกำแหง

พวกเธอมีร่างกายกำยำเช่นกัน ท่อนแขนแข็งแกร่ง เสียงตะโกนโหดเหมือนสัตว์ป่า

หานเฟิงนั่งอยู่แถวแรก มองสาวแกร่งของคณะกำแหง จากนั้นกลืนน้ำลายลงคอ

ฉู่สิงที่อยู่ข้างๆ ใช้ศอกกระทุ้งหานเฟิง “ทำไม ศิษย์น้องหานเฟิงรักนักเรียนหญิงของคณะกำแหงเข้าหรือ ฮ่าๆๆๆ”

หานเฟิงเกือบตะโกนออกมาอย่างตกใจ “ให้ตายเถอะ ศิษย์พี่ฉู่สิงอย่ามาล้อเล่น คณะกำแหงมีนักเรียนหญิงเหรอ เห็นแค่นักเรียนที่ดูเหมือนผู้หญิงเล็กน้อย อืม ใช่แหละ”

ลู่ฝานส่ายหน้าหัวเราะเบาๆ แล้วมองไปรอบๆ

สายตาของเขา วนเวียนอยู่ที่แถวแรก สิ่งที่ปรากฏในสายตา คืออาจารย์และนักเรียนโดดเด่นของแต่ละคณะ

ลู่ฝานเห็นซิงยวนและเอี๋ยนชิง

ตอนนี้เอี๋ยนชิงจ้องเขาด้วยสายตาเคียดแค้น ลู่ฝานเห็นรอยแผลที่หางตาเอี๋ยนชิง อย่าบอกนะว่าช่วงนี้เกิดอะไรขึ้นกับเอี๋ยนชิง

ซิงยวนเห็นเอี๋ยนชิงกับลู่ฝานมองหน้ากัน

ซิงยวนพูดกับเอี๋ยนชิงเบาๆ “เอี๋ยนชิง เก็บความรู้สึกนายไว้ อย่าลืมสิ ตอนนี้นายกำลังถูกจับตามองอยู่ ท่านผอ.ส่งเทียนฉี่จับตามองนายด้วย”

เอี๋ยนชิงเงยหน้ามองฟ้า เห็นใบหน้าใหญ่ของเทียนฉี่บนท้องฟ้าอยู่เลือนราง

เอี๋ยนชิงกัดฟันพูดว่า “อาจารย์ ท่านผอ.ไม่มีหลักฐาน นั่นเป็นแค่คำพูดของคณะหนึ่งเดียวฝ่ายเดียว เขาไม่มีทางโยนผมเข้าคุกใต้ดินหรอก”

ซิงยวนพูดว่า “ใช่ ท่านผอ.ไม่มีหลักฐาน แต่บางเรื่อง ไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานก็ทำได้ อย่างเช่น นายยังอยากเข้าร่วมคัดเลือกการแข่งขันนานาประเทศหรือเปล่า”

เอี๋ยนชิงก้มหน้าอย่างไม่พอใจ ซิงยวนพูดต่อ “ดังนั้นอย่าเป็นปรปักษ์กับท่านผอ. เขาทำโทษให้นายทำอะไร นายก็ทำ แสดงท่าทีสงบด้วย อย่าทำท่าอาฆาตใครอีก รวมถึงลู่ฝานด้วย”

“ครับอาจารย์!”

เอี๋ยนชิงพยักหน้าเข้าใจ หลับตาลงทันที

อีกด้านหนึ่ง จางเยว่หานคณะบังเหิน ก็จ้องหน้าลู่ฝานตลอดเวลา

“ลู่ฝาน ลู่ฝาน……”

จางเยว่หานพึมพำชื่อของลู่ฝาน

เธอกำไข่มุกเม็ดหนึ่งในมือ ในไข่มุกมีปราณดำวนไปมา มีเสียงแสบแก้วหูดังออกมาจากด้านใน

เสียงนี้เบามาก คนที่นั่งอยู่ข้างเธอ ก็ยังไม่ได้ยิน

แต่จู่ๆ มีปราณสีดำปรากฏขึ้นในตาจางเยว่หาน เธอยกยิ้มชั่วร้ายมุมปาก

เงาคนหนึ่งเดินขึ้นลานประลอง

ร่างกายกำยำล่ำสัน คำว่ามีพลังมหาศาล ไม่เพียงพอใช้บรรยายชายคนนี้

เป็นเซินถูอย่างไม่ต้องสงสัย!

“วันนี้เป็นวันดีของคณะกำแหงของเรากับคณะหนึ่งเดียว ทุกคนต่างมาดูการสู้ ฉันดีใจมาก ฮ่าๆ โอเค ตอนนี้มาเริ่มกันเถอะ ไอ้อู๋ รีบเอาเอกสารขึ้นมาสิ”

ทุกคนกลอกตามองบน โดยเฉพาะอาจารย์อี้ชิง เกือบสำลักน้ำลายตัวเอง

อะไรคือวันดีของคณะกำแหงของเรากับคณะหนึ่งเดียว! ทำไมฟังดูคลุมเครือแบบนี้ เหมือนคณะหนึ่งเดียวมีงานแต่งงานกับคณะกำแหงอย่างไรอย่างนั้น

ลงชื่อในเอกสารอย่างรวดเร็ว

ครูยืนอยู่บนลานประลอง ยกเอกสารขึ้นมา พร้อมพูดเสียงดัง

“เอกสารเรียบร้อยแล้ว การต่อสู้ระหว่างคณะหนึ่งเดียวกับคณะกำแหง เริ่มขึ้นได้”

บทที่ 298
ผ่านไปสามวัน เขาเหิงซาน คณะกำแหงอันยิ่งใหญ่และมีพลานุภาพ

ในฐานะที่เป็นคณะที่มีนักเรียนฝึกร่างกาย และมีวิชาฝึกร่างแข็งแกร่งที่สุด มองจากสิ่งก่อสร้างของคณะกำแหง สามารถเห็นถึงสไตล์ความแข็งแกร่งห้าวหาญ

ภูเขาสูงใหญ่ เหมือนกระบี่คมหนึ่งเล่ม แทงขึ้นไปบนฟ้า

ทั้งคณะสร้างขึ้นตามแนวเขา เชื่อมต่อด้วยโซ่เหล็ก

นักเรียนในคณะอยากเข้าออก ต้องเดินผ่านโซ่เหล็ก ไม่มีการป้องกันใด ทุกสิ่งอาศัยความแข็งแกร่งและมั่นคงของร่างกาย

ด้านล่างโซ่เหล็ก เป็นหน้าผาลึก

สำหรับนักเรียนคณะกำแหง แค่ออกไปก็คือการฝึกฝนอย่างหนึ่งแล้ว
ทุกปีจะมีนักเรียนที่ฝีเท้าไม่มั่นคง พละกำลังแย่ ตกลงไปด้านล่างหน้าผา จนไม่เหลือแม้แต่กระดูก ถ้าเป็นคณะอื่น ถ้ามีนักเรียนตายง่ายๆ แบบนี้ ต้องวุ่นวายแน่นอน แต่ที่คณะกำแหง เป็นเรื่องที่เห็นจนชิน นักเรียนที่มาใหม่ทุกปี ด่านแรกที่เข้าสู่คณะกำแหง ก็คือการเดินบนโซ่เหล็กพวกนี้
ด้วยเหตุนี้ โซ่เหล็กนี้ถูกนักเรียนคณะกำแหงและคณะกำแหงเรียกว่า โซ่สู่สวรรค์

แค่เดินข้ามโซ่สู่สวรรค์ได้ ก็ก้าวสู่สวรรค์ได้

ประตูหน้าคณะกำแหง มีพลานุภาพยิ่งใหญ่

มีหุ่นเชิดหินวางอยู่ซ้ายขวา สูงใหญ่มีอำนาจ มีกระบี่และดาบในมือ ยืนตระหง่านอยู่

ประตูข้างขวามีแท่นหินวางอยู่ มีตัวหนังสือหนึ่งประโยค

“รักตัวกลัวตาย ห้ามเข้าประตูนี้”

ตัวอักษรเหล่านี้ เป็นกลิ่นอายของคณะกำแหง

แค่เป็นนักเรียนที่มาจากคณะกำแหง ไม่มีใครที่กลัวตาย

จากที่อาจารย์อี้ชิงพูด นักเรียนคณะกำแหง เป็นพวกซื่อบื้อ พอหัวร้อน ก็ลงมือทันที

มีสมองหรือไม่ค่อยว่ากัน แต่เรื่องเลือดร้อน เป็นสิ่งสืบทอดกันมา

ในคณะกำแหง มีห้องตั้งอยู่เรียงราย อย่ามองว่าเป็นคณะที่ใช้กำลังอย่างเดียว สิ่งก่อสร้างของพวกเขา เรียกได้ว่าไม่เป็นรองใครในสถาบันสอนวิชาบู๊

อาจเป็นเพราะเมื่อพวกเขาสู้ มักจะทำลายห้องที่พักเป็นประจำ ดังนั้นทั้งคณะกำแหง ล้วนสร้างจากหิน สไตล์ของห้องแตกต่างกันไป ทำตามความชอบของนักเรียนแต่ละคน

ไม่พูดก็ไม่ได้ นักเรียนคณะกำแหง มีความสามารถในการสร้างห้องจริงๆ สามารถสร้างห้องเป็นรูปแบบต่างๆ ถึงขนาดที่มีนักเรียน ใช้หินสร้างห้องเป็นรูปร่างมังกรขนาดใหญ่

เห็นแล้วอดชื่นชมไม่ได้ ถึงนักเรียนคณะกำแหง ออกไปข้างนอกแล้วโดนทำลายพลังปราณ ต่อไปก็ยังสามารถเป็นหัวหน้าคนงานได้!

ตรงกลางคณะกำแหง เป็นลานประลองหินลาวา ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วสถาบันวิชาสอนบู๊

ว่ากันว่าเดิมทีเขาเหิงซานเป็นภูเขาไฟ อาจารย์รุ่นแรกของคณะกำแหง เปลี่ยนแปลงมันอย่างเหนือธรรมชาติ จึงสามารถปิดภูเขาไฟเอาไว้ได้

เดิมทีลานประลองหินลาวา เป็นตรงกลางปล่องภูเขาไฟ พื้นดินตรงนี้ร้อน ถ้าไม่ใส่รองเท้า เหยียบลงไปจะรู้สึกเหมือนโดนเผา หน้าหนาวไม่เย็น หน้าร้อนจะร้อนมาก

นักเรียนที่ฝึกที่คณะกำแหง ไม่ค่อยสวมเสื้อผ้าหนา หนึ่งคือ เพราะร่างกายแข็งแกร่งพอ ไม่กลัวความเย็นความร้อน อีกอย่างคือคณะกำแหงร้อน จะสวมเสื้อผ้าหนาๆ ไปทำไม

ด้วยเหตุนี้ ฝึกวิชาฝึกร่างที่สำนักกำแหง สะดวกสบายมาก อย่างเช่น กายทองไฟอาบของลู่ฝาน ถ้าสามารถมาฝึกที่คณะกำแหง ความเร็วในการยกระดับ ต้องเพิ่มขึ้นหนึ่งเท่าขึ้นไป

ทั้งลานประลองหินลาวา ก็ใช้หินดำนิลสร้างขึ้น ระดับความทนทาน สามารถต้านทานการโจมตีของยอดฝีมือแดนปราณชีวิตได้

วันนี้มีคนนั่งเต็มลานประลองหินลาวา

เมื่อมองออกไป จะเห็นพวกผู้ชายเปลือยท่อนบน ไม่สวมรองเท้า ส่งเสียงเชียร์ออกมา

“คณะกำแหง ฮู้! ฮู้! ฮู้!”

มีคนตีกลองเป็นจังหวะอยู่ด้านหน้า ดูเหมือนพวกทหารรบอย่างไรอย่างนั้น

บทที่ 297
ลู่ฝานได้ยินถึงตรงนี้ จึงหยิบยาออกมาอีกสองสามขวด “ผมมียารักษาอาการบาดเจ็บ ศิษย์พี่หานเฟิง ศิษย์พี่ฉู่สิง ศิษย์พี่ฉู่เทียน พวกพี่แบ่งกันสิ จากอาการบาดเจ็บของพวกพี่ แค่คืนเดียวก็น่าจะดีขึ้นไม่น้อย”

ฉู่เทียนดันยาไปให้ฉู่สิง “อาการบาดเจ็บฉันหายนายแล้ว ให้ฉู่สิงเถอะ”

หานเฟิงไม่รู้ว่าอะไรคือคำว่าเกรงใจ รีบเอายายัดลงไปในเสื้อทันที

ยัดพลางพูดว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน มีนายอยู่ ไม่ต้องกังวลว่าจะสู้คณะหยินหยางไม่ได้ นักเรียนคนอื่นไม่มีทางได้สวัสดิการแบบเรา ฮ่าๆ บาดเจ็บก็มียากิน!”

ลู่ฝานส่ายหน้าหัวเราะเบาๆ เขาไม่ได้คิดเช่นนี้

อย่างอื่นเขาไม่กล้าพูด แต่เอี๋ยนชิงต้องมีสวัสดิการเช่นนี้แน่นอน ไม่งั้นเอี๋ยนชิงคงไม่มีทางรู้จักพวกเฒ่าประหลาด

ขณะที่ทุกคนกำลังแบ่งยากัน มีลำแสงพาดผ่านท้องฟ้า

เจ้าดำที่หมอบอยู่หน้าประตู เงยหน้าขึ้นมา มองไปยังลำแสง จากนั้นอ้าปากพ่นเปลวไฟดำออกมาราวกับลูกธนูคม

โดนลำแสงเข้าเต็มๆ

ทุกคนเงยหน้ามองไป ลู่ฝานพูดเบาๆ ว่า “สัตว์อสูรหรือเปล่า”

เพ่งมองไปไกลๆ เห็นกระดาษปกคลุมด้วยเปลวไฟร่วงลงมา

อาจารย์อี้ชิงสะบัดมือใช้กระบวนท่า กระดาษโดนดูดเข้ามาในมือเขา เปลวไฟหายไปอย่างไร้ร่องรอย

อาจารย์อี้ชิงขมวดคิ้วมองตัวอักษรด้านบน ไม่นาน อาจารย์อี้ชิงหัวเราะออกมา

“ฮ่าๆ ดูเหมือนครั้งนี้คณะหนึ่งเดียวของเราโด่งดังแล้วจริงๆ”

พูดพลาง อาจารย์อี้ชิงโยนกระดาษมาบนโต๊ะ

หานเฟิงเก็บกระดาษขึ้นมา อ่านออกมาเบาๆ

“อี้ชิง เต้ากวง! ต่อไปพวกนายคงมาที่คณะกำแหง มาอย่างดียอดเยี่ยม ฉันรอพวกเด็กนรกคณะหนึ่งเดียวมานานแล้ว ครั้งนี้เราสองคณะต้องแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันอย่างดี เสวียนเจิน เมิ่งอวิ๋น ซิงยวนและฮั่วซานฝากฉันมาบอกนาย พวกนายมาคณะกำแหงครั้งนี้ ทางที่ดีนัดเวลาไว้ล่วงหน้าก่อน พวกเขาอยากมาดู ฉันคิดว่าสามวันหลังจากนี้ นายคิดว่ายังไง ถ้าไม่ได้ตอบฉันกลับด้วย เซินถู!”

ลู่ฝานหัวเราะแล้วพูดว่า “อาจารย์เซินถูเป็นคนที่……ยอดเยี่ยมจริงๆ”

อี้ชิงหัวเราะแล้วพูดว่า “คนยอดเยี่ยมอะไรกัน คนหยาบคายน่ะสิ! โอเค ในเมื่อพวกเขาบอกว่าสามวันหลังจากนี้ งั้นก็อีกสามวัน พวกซิงยวนจะมาดูการต่อสู้ด้วย เพราะอยากเห็นความสามารถของคณะหนึ่งเดียวของเราชัดๆ น่ะสิ”

อาจารย์เต้ากวงลูบหนวดแล้วพูดว่า “นี่แสดงว่าคณะหนึ่งเดียวของเรา ทำให้พวกเขารู้สึกโดนคุกคาม”

หานเฟิงพูดเสียงดังว่า “กลัวอะไร ดูก็ดูไปสิ ดูแล้วจะทำอะไรได้ ต้านทานเราไม่ได้หรอก”

ลู่ฝาน ฉู่สิงกับฉู่เทียนหัวเราะออกมา

……

ในเวลาเดียวกัน อีกด้านหนึ่ง

ที่คณะกำแหง คนใหญ่คนโตรวมตัวกัน

อาจารย์เสวียนเจินคณะกระบี่ พาเสวียนเฟิงกับมู่ซั่วและคนอื่นมาที่นี่

อาจารย์เมิ่งอวิ๋นคณะบังเหิน พาจางเยว่หานและคนอื่นเหาะมาที่นี่

คณะฟ้าร้อง คณะหยินหยาง คณะสงบใจ คณะศิงขร คณะนานา

อาจารย์คณะต่างๆ ล้วนพาคนมาที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นคณะที่แพ้ให้คณะหนึ่งเดียว หรือคณะที่ยังไม่ได้สู้กับคณะหนึ่งเดียว ล้วนรวมตัวกันอยู่ที่นี่

อาจารย์เซินถูยืนหน้าประตูคณะ มองคนจากคณะต่างๆ มาถึง

หัวเราะเสียงกังวาน “โอ้ มากันครบแล้ว ฮ่าๆ คณะกำแหงของเรา ไม่ได้ต้อนรับแขกเยอะขนาดนี้มานานแล้ว โอ้ บอกว่าหลังจากสามวันไม่ใช่เหรอ ทำไมวันนี้ก็มากันแล้ว”

อาจารย์เสวียนเจินคณะกระบี่พูดว่า “เพราะกลัวพึ่งนายไม่ได้ไง เราเลยมาล่วงหน้า มารอคณะหนึ่งเดียวมาที่นี่”

บทที่ 296
วันต่อมา อาทิตย์ส่องแสง

ที่คณะหนึ่งเดียว ทั้งเจ็ดคนนั่งล้อมโต๊ะอาหาร กำลังทานอาหารเช้าวันนี้อย่างเพลิดเพลิน

ตั้งแต่มีเจ้าดำ ตอนนี้อาหารของคณะหนึ่งเดียว ดีขึ้นเรื่อยๆ

เดิมทีอาหารเช้าที่ง่ายๆ ตอนนี้เปลี่ยนเป็นอาหารที่ประณีต ตอนนี้แม้แต่โจ๊กหม้อหนึ่ง เจ้าดำยังทำให้มีรสชาติ

ลู่ฝานนั่งข้างศิษย์พี่หานเฟิง กินอาหารของตัวเองเงียบๆ

เขารู้สึกว่าวันนี้บรรยากาศแปลกๆ ทำไมศิษย์พี่ทุกคนมองเขาด้วยสายตาแปลกๆ

โดยเฉพาะศิษย์พี่หานเฟิง รอยยิ้มมีเลศนัยบนหน้าเขาคืออะไร เหมือนลูกค้าเจอแม่เล้า ส่งซิกเข้าใจกัน

มีเพียงศิษย์พี่ใหญที่เหมือนเดิม กินข้าวเสร็จไม่กี่คำ ก็นั่งหลับอยู่ตรงนั้น

ลู่ฝานวางชามและตะเกียบลง มองศิษย์พี่หานเฟิงแล้วพูดว่า “ศิษย์พี่หานเฟิง มีอะไรจะพูดกับผมหรือเปล่า”

ศิษย์พี่หานเฟิงหัวเราะคิกคัก “ไม่มี ฉันจะมีอะไรได้ล่ะ”

ศิษย์พี่ฉู่สิงกับศิษย์พี่ฉู่เทียนหัวเราะอยู่ข้างๆ ทำให้ลู่ฝานงงไปหมด

พวกเขาเป็นอะไรกัน

อาจารย์อี้ชิงกระแอมสองที “พอแล้ว มาพูดเข้าเรื่องกันดีกว่า ต่อไปเราต้องเจอกับคณะกำแหง ไม่เหมือนกับคณะก่อนหน้านี้ คณะกำแหงเป็นตอแข็งอย่างแท้จริง สืบทอดเคล็ดวิชาบู๊ฝึกร่าง ได้ทั้งสู้และต้านทาน จัดการยากมาก ฉันต้องเตือนพวกนายไว้ก่อน อย่าคิดว่าผ่านคณะก่อนหน้านี้มาได้ แล้วจะประมาทคณะกำแหง”
หานเฟิงตบไหล่ลู่ฝาน “กลัวอะไร เรามีศิษย์พี่ใหญ่ มีศิษย์น้องลู่ฝานอยู่ ต้องชนะได้แน่นอน”
อาจารย์อี้ชิงยิ้มแล้วพูดว่า “ฉันต้องการพูดสิ่งนี้แหละ ตั้งแต่นี้อู๋เหวยศิษย์พี่ใหญ่ของพวกนาย จะไม่ลงมืออีก จนพวกนายสู้ไปถึงคณะหยินหยาง เพราะฉะนั้นพวกนายไม่ต้องหวังพึ่งอู๋เหวย”
ฉู่สิงขมวดคิ้วพูดว่า “อาจารย์ ทำไมครับ ศิษย์พี่ใหญ่บาดเจ็บเหรอครับ”
อาจารย์เต้ากวงพูดว่า “ไม่ได้บาดเจ็บ ตอนนี้ศิษย์พี่พวกนายจำเป็นต้องสะสมพลัง ไม่ใช่ปล่อยพลังออกมา อู๋เหวย ตื่น นายพูดกับพวกเขาเองละกัน”
เต้ากวงตีหนังท้องของศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่ใหญ่จึงตื่นขึ้นมา
“เรื่องอะไรเหรอ”
อาจารย์เต้ากวงพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “นายอย่าเอาแต่กินข้าวแล้วหลับทุกครั้งได้ไหม พูดกับพวกเขาสิ ทำไมการต่อสู้ครั้งต่อไป นายถึงลงมือไม่ได้”
ศิษย์พี่ใหญ่หัวเราะแล้วพูดว่า “เรื่องนี้เหรอ ง่ายมาก เพราะร่างทองครองธรรมที่ฉันฝึก กำลังอยู่ในขั้นหัวเลี้ยวหัวต่อ หลังจากสู้ที่คณะสงบใจเมื่อวาน อาจารย์อู๋โฉวแนะนำฉันมา ให้ฉันทำความเข้าใจ ตอนนี้ฉันอยากข้ามขั้นอย่างสงบ ต้องสะสมพลังปราณเอาไว้ จนกระทั่งพลังปราณเต็มทุกส่วนของร่างกาย จากนั้นพยายามทำให้ร่างทองครองธรรมถึงขั้นสูงสุดในเร็ววัน”
หานเฟิงพูดด้วยสีหน้าเหนื่อยใจ “แบบนี้นี่เอง งั้นก็ได้ คงต้องพึ่งตัวเองแล้ว”
ศิษย์พี่ใหญ่พูดว่า “ดังนั้นการต่อสู้ต่อไป ฉันจึงไม่ลงมือก่อน รอให้ถึงตอนสู้กับคณะหยินหยาง ฉันค่อยไปสู้กับพวกนาย”
ฉู่สิงพูดว่า “ศิษย์พี่ใหญ่เราพูดกันไว้แล้ว เมื่อถึงตอนนั้นพี่ต้องช่วยเรา”
ศิษย์พี่ใหญ่พยักหน้าแล้วหัวเราะ
อาจารย์อี้ชิงพูดว่า “อืม เรื่องก็เป็นแบบนี้ พวกนายไม่ต้องกังวลเรื่องของอู๋เหวย ระยะเวลาหลังจากนี้ เขาจะเก็บตัวที่คณะหนึ่งเดียว สองสามวันนี้พวกนายศึกษาดูว่าจะจัดการกับคณะกำแหงยังไง ถือโอกาสฟื้นฟูอาการบาดเจ็บของตัวเองด้วย พยายามให้หายก่อนไปคณะกำแหง”

บทที่ 295
ฉู่เทียนยื่นกระจกไปอย่างเหนื่อยใจ ทั้งสามคนดูต่อ

ฝั่งลู่ฝาน ทั้งสองคนอยู่ในความเงียบ

ขณะนั้นเอง เจ้าดำจับปลาได้สองตัว จากนั้นวิ่งมาด้วยความดีใจ

หลิงเหยาเงยหน้าพูดว่า “นี่คือสัตว์อสูรของนายเหรอ เจ้าดำใช่ไหม”

ลู่ฝานพยักหน้า “ใช่แล้ว”

เจ้าดำยิ้มยิงฟันให้หลิงเหยาจนตาหยี

สัตว์อสูรสามารถยิ้มเหมือนคนได้ขนาดนี้ ทำให้หลิงเหยาตกใจเล็กน้อย

เธอนั่งลงอย่างสงสัย ห่างจากลู่ฝานไม่ถึงสามนิ้ว ลู่ฝานได้กลิ่นหอมอ่อนๆ จากตัวเธอ

“สัตว์อสูรน่ารักมากเลย เจ้าดำ แกทำอาหารเป็นด้วยใช่ไหม!”

เจ้าดำพยักหน้าหงึกหงัก จากนั้นวิ่งไปข้างหลัง

หลิงเหยาพูดอย่างตกใจว่า “มันไปทำอะไร”

ลู่ฝานพูดว่า “มันไปเอาไม้ ฉันว่ามันอยากทำอาหารให้เธอกิน”

หลิงเหยาปิดปากหัวเราะ “เป็นสัตว์อสูรที่ดีจริงๆ”

ลู่ฝานพูดว่า “แน่นอนอยู่แล้ว มันงั้นฉันไม่พามันออกมาหรอก”

ขณะกำลังพูด เจ้าดำกอดกองไม้กับหินเดินกลับมา

อ้าปากพ่นเปลวไฟดำออกมา กองไฟกับเครื่องมือหินปรากฏออกมา

จากนั้นเจ้าดำทำปลาอย่างคล่องแคล่ว และเริ่มย่าง

ท่าทางของมันเชี่ยวชาญมาก หลิงเหยาเห็นแล้วถึงกับอึ้ง

เพียงไม่นาน ปลาสองตัวย่างเสร็จเรียบร้อย เจ้าดำให้ปลาทั้งสองตัวกับหลิงเหยา เหมือนถวายสมบัติ

แต่หลิงเหยาเอาปลาหนึ่งตัวให้ลู่ฝาน เมื่อกัดลงไปหนึ่งคำ ข้างนอกกรอบข้างในนุ่ม หลิงเหยาพูดอย่างตกใจว่า “อร่อยมาก เจ้าดำ ฝีมือแกเยี่ยมมาก”

หลิงเหยาลูบหัวเจ้าดำ เจ้าดำหมอบลงบนพื้นอย่างเพลิดเพลิน

ลู่ฝานยิ้มและกินปลาในมือ หลิงเหยาหันมาพูดกับลู่ฝาน “ต่อไปนายพาเจ้าดำมาทำอาหารให้ฉันกินบ่อยๆ ได้ไหม”

ลู่ฝานพยักหน้า “โอเค ไม่มีปัญหา”

กินปลาในมือหมดอย่างรวดเร็วและง่ายดาย ตอนนี้หลิงเหยามองหน้าลู่ฝานแล้วพูดว่า “เดี๋ยว อย่าขยับ”

จู่ๆ หลิงเหยายื่นหน้าเข้ามา ลู่ฝานมองหน้าขาวใสของหลิงเหยา จู่ๆ ตัวเขาแข็งเล็กน้อย โดยเฉพาะอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่ง

“ตรงนี้เลอะนิดหน่อย”

หลิงเหยายื่นมือไปเช็ดคราบมันมุมปากลู่ฝาน ทั้งสองมองหน้ากัน สายตาลู่ฝานโดนปากแดงของหลิงเหยาที่อยู่ในระยะประชิด ดึงดูดเข้าให้แล้ว

ลู่ฝานยื่นมือออกมา จับมืออ่อนนุ่มของหลิงเหยาเบาๆ

หลิงเหยาหน้าแดงเข้าไปอีก แดงจนจะเป็นลูกตำลึงแล้ว

“โอ๊ะ…..จูบสิ รีบจูบ จูบสิ รีบเลย ศิษย์น้องลู่ฝานรีบจูบสิ!”

หานเฟิงตะโกนออกมาเบาๆ อาจเป็นเพราะเสียงสูงไปหน่อย ฉู่สิงกับฉู่เทียนที่อยู่ข้างๆ รีบเอามือปิดปากเขาไว้

“หุบปาก!”

ลู่ฝานมองหลิงเหยาอย่างอ่อนโยน จากนั้นเขาโน้มตัวเข้าไปจูบ

ริมฝีปากแตะกัน สมองทั้งสองขาวโพลน

เจ้าดำที่อยู่ข้างๆ ปิดตาตัวเอง หานเฟิงและคนอื่นในป่า หัวเราะออกมา

ในชั้นเมฆ ยังมีสองคนที่เฝ้าดูภาพนี้ด้วยเช่นกัน

อาจารย์อู๋โฉวถอนหายใจเบาๆ “เฮ้อ ดอกไม้สดของคณะสงบใจของเรา โดนศิษย์คณะหนึ่งเดียวของพวกนายเด็ดไปแล้ว”

อาจารย์อี้ชิงยิ้มแล้วพูดว่า “วัยรุ่นไง ต้องมีเรื่องความรักอยู่แล้ว ไปกันเถอะ ไม่ต้องดูต่อหรอก ไม่งั้นต่อไปถ้าลู่ฝานรู้ว่าอาจารย์อย่างฉันแอบดูเขา จะไม่ทำให้ฉันอับอายขายหน้าเหรอ”

หัวเราะพลาง อาจารย์อี้ชิงกับอาจารย์อู๋โฉวหายไปอย่างไร้ร่องรอย

ลมพัดเอื่อย พัดความรักลึกซึ้งขึ้นมา

ทั้งสองกอดจูบกัน จูบเดียวแน่ใจ จูบเดียวมีความหมาย

บทที่ 294
ช่วงค่ำ แสงดวงดาวเต็มท้องฟ้า

ดึกดื่นเที่ยงคืน สายลมหนาวพัดเอื่อย

มีเงาใครคนหนึ่งเดินลับๆ ล่อๆ ออกมาจากคณะสงบใจ

ใบหน้ามีรอยยิ้ม ฝีเท้าเบาจนไร้เสียง แสงจันทร์สีนวลสาดลงบนใบหน้าเธอ ถ้าไม่ใช่หลิงเหยาแล้วจะเป็นใครได้อีก

ดึกดื่นขนาดนี้ เธอออกจากคณะสงบใจเพียงคนเดียว

สวมชุดคลุมยาวสีขาวบริสุทธิ์ ผมยาวปลิวไสว เสื้อสะบัดไปมา

ข้างนอกประตูคณะ มีใครคนหนึ่งยืนรออยู่นานแล้ว มีสุนัขที่ตัวใหญ่เหมือนสิงโตยืนอยู่ข้างๆ

สะพายกระบี่หนักไว้ด้านหลัง แววตาลู่ฝานเต็มไปด้วยความอบอุ่น เขายกยิ้มมุมปาก

เมื่อเห็นหลิงเหยาเดินมาอย่างรวดเร็ว ลู่ฝานเดินเข้าไปหาช้าๆ

ลู่ฝานกำลังจะพูด จู่ๆ หลิงเหยาดึงเสื้อของเขา

เอานิ้วแตะปากแล้วพูดว่า “อย่าพูดอะไรมาก เดี๋ยวโดนคนเขาได้ยิน ตามฉันมา”

ลู่ฝานพยักหน้าเบาๆ ทั้งสองใช้วิชากาย พุ่งออกไปจากคณะสงบใจ

เจ้าดำวิ่งตามหลังทั้งสองคนอย่างตื่นเต้น

ผ่านป่าไม้และทางเล็กๆ

หลิงเหยาวิ่งพลางหันมายิ้มหวานให้ลู่ฝาน

ลู่ฝานก็ยิ้มเช่นกัน ทั้งสองวิ่งมาถึงริมทะเลสาบระยิบระยับ จึงหยุดลง

“ลู่ฝานมานั่งนี่”

หลิงเหยาเรียกลู่ฝานมานั่งริมทะเลสาบ

ลู่ฝานเอากระบี่วางลงข้างๆ แล้วนั่งลงช้าๆ

เจ้าดำมาถึงริมทะเลสาบ ก็เบิกตาโตทั้งสองข้าง มองปลาว่ายน้ำในทะเลสาบ ยื่นอุ้งเท้าออกไปจับ

สายลมเอื่อย ดวงจันทร์สว่าง ทะเลสาบเล็กๆ

มองไปจากมุมของลู่ฝาน ดวงจันทร์สะท้อนลงบนผิวน้ำ ชัดเจนจนเหมือนกับลอยขึ้นจากน้ำ

ดวงจันทร์บนผิวน้ำเริ่มเปลี่ยนสีไปตามกระแสน้ำ

แดง ส้ม เหลือง เขียว ฟ้า น้ำเงิน ม่วง เปลี่ยนสีไปมาเจ็ดสี งดงามเป็นอย่างมาก

หลิงเหยาพูดเบาๆ ว่า “ลู่ฝาน นี่คือทะเลสาบเจ็ดสีของคณะสงบใจ มหัศจรรย์เป็นอย่างมาก”

“วิชามหัศจรรย์อะไรเหรอ”

ลู่ฝานยิ้มแล้วถามขึ้น

หลิงเหยาชี้ทะเลสาบแล้วพูดว่า “ว่ากันว่ามันสามารถสะท้อนความรู้สึกคนได้ ถ้านายรู้สึกแย่ จะเห็นสีดวงจันทร์เป็นสีเทาหม่น แต่ถ้านายรู้สึกดี จะเป็นสีสดใส ลู่ฝาน นายเห็นสีอะไรบ้าง”

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “เจ็ดสี ฉันเห็นสีเจ็ดสี”

หลิงเหยาหน้าแดงระเรื่อ พูดเบาๆ ว่า “เจ็ดสีจริงเหรอ”

ลู่ฝานพยักหน้าพูดว่า “ใช่ เจ็ดสี เธอเห็นกี่สีเหรอ”

หลิงเหยาก้มหน้าลง แล้วพูดว่า “ฉัน……ฉันเห็นเจ็ดสี”

ลู่ฝานมองหลิงเหยาอย่างไม่เข้าใจ อย่าบอกนะว่าเห็นดวงจันทร์เจ็ดสี เป็นเรื่องที่ต้องเขินอายเหรอ

แต่สิ่งที่ทั้งสองคนไม่ได้สังเกต ในป่าที่อยู่ไม่ไกล

กลุ่มเงาดำหลบอยู่บนต้นไม้ มองมาทางนี้จากไกลๆ

“ฮ่าๆ ที่แท้ศิษย์น้องลู่ฝานมีความรักแล้ว สีเจ็ดสี นี่เป็นสีของความรัก ที่นักเรียนหญิงของคณะสงบใจเอาแต่พูดทุกวันไม่ใช่เหรอ”

คนที่พูดคือหานเฟิง ศิษย์พี่ที่ไม่มีอะไรดีของลู่ฝาน

“ผมบอกแล้วว่าคืนนี้ศิษย์น้องลู่ฝานมีนัด แต่พวกพี่ไม่เชื่อ หึ!”

หานเฟิงทำท่าทำทาง ในมือหานเฟิงมีกระจกจำภาพที่ค่อนข้างพิเศษ มีความสามารถมองคนอื่นจากทางไกล ตอนนี้กำลังส่องไปที่ตำแหน่งของพวกลู่ฝาน

หานเฟิงถ่มน้ำลายลงมือ กำลังจะเช็ดกระจกให้สะอาด

ฉู่เทียนแย่งกระจกจำภาพมา แล้วพูดว่า “ศิษย์น้องหานเฟิง กว่าฉันจะยืมมาได้ไม่ง่ายเลยนะ นายจะใช้น้ำลายทำลายมันเหรอ”

หานเฟิงหัวเราะคิกคัก “ผมแค่อยากดูชัดๆ หน่อยเท่านั้นเอง”

บทที่ 293
ลู่ฝานอ้าปากค้าง เมื่อกี้พลังปราณของศิษย์พี่ใหญ่ กระตุ้นพลังฟ้าดินห้าธาตุ

นี่เป็นเรื่องที่นักบู๊แดนปราณชีวิต ถึงจะทำได้ ให้ตายเถอะ พลังปราณรวมตัวเป็นห้าธาตุ!

ศิษย์พี่ใหญ่เป็นผู้แข็งแกร่งแดนปราณชีวิต!

ลู่ฝานกลืนน้ำลาย ตอนนี้เขาเพิ่งรู้ว่า ที่แท้นักเรียนที่แข็งแกร่งสุดในสถาบันสอนวิชาบู๊ คือศิษย์พี่ใหญ่ของเขา

ไม่เพียงแค่เขา อาจารย์อู๋โฉวก็อึ้งเช่นกัน

วันนี้ใจเธอเจอบททดสอบจากคณะหนึ่งเดียว

“พลังปราณดินเสวียน!”

อาจารย์อู๋โฉวมองอู๋เหวยอย่างตกตะลึง อาจารย์อี้ชิงกับอาจารย์เต้ากวงหัวเราะอย่างมีความสุข

อาจารย์อู๋โฉวพูดว่า “คณะหนึ่งเดียวของพวกนาย มีผู้แข็งแกร่งแดนปราณชีวิตหนึ่งคน เขาเพิ่งอายุเท่าไรเอง”

อาจารย์อี้ชิงพูดว่า “ไม่ถึง 30 ปี”

อาจารย์อู๋โฉวสูดหายใจเฮือก จากนั้นยิ้มอย่างขมขื่นออกมา

“มิน่าล่ะพวกนายถึงไม่คิดอะไรกับการต่อสู้จัดอันดับของสถาบัน มิน่าล่ะคนของพวกนายน้อยขนาดนี้ แต่กลับมั่นคงดั่งขุนเขา”

อาจารย์อี้ชิงหัวเราะ ไม่ได้พูดอะไรออกมา

อาจารย์เต้ากวงมองอู๋เหวยอย่างพอใจ

ไม่มีใครรู้ ภายใต้รอยยิ้มเป็นมิตรของอู๋เหวย เขาต้องลำบากขนาดไหน กว่าจะมีผลการฝึกตนในวันนี้

ในฐานะที่อาจารย์เต้ากวง เป็นคนเดียวที่รู้กระบวนการฝึกฝนของอู๋เหวย เขาสามารถบอกนักเรียนทั้งสถาบันสอนวิชาบู๊ได้ว่า อู๋เหวยคือนักบู๊ที่จิตใจแข็งแกร่ง ทรหดอดทน

เยียนหรานโดนขังเอาไว้ จนไม่สามารถออกมาได้

อย่าว่าแต่เธอเป็นแค่นักบู๊แดนปราณใน ถึงนักบู๊แดนปราณนอกมาที่นี่ ก็ไม่ต่างกัน กำแพงหินที่สร้างจากพลังปราณธาตุดิน คนทั่วไปไม่สามารถทำลายได้

เยียนหรานที่อยู่ด้านใน ยังคงดิ้นรน แต่ทุกอย่างกลับไร้ประโยชน์

ศิษย์พี่ใหญ่ยังนับว่าเป็นคนที่อ่อนโยนต่อสตรี ไม่ได้ปิดตายกำแพงหิน หนีบเยียนหรานจนสลบไป เธอจะกระโดดออกมาก็ไม่ได้ กำแพงหินรวมตัวเข้าหากัน ปิดทางออกเอาไว้ทั้งหมด

หลังจากเยียนหรานดิ้นรนอยู่ครู่หนึ่ง จึงยอมแพ้อย่างทำอะไรไม่ได้

ศิษย์พี่ใหญ่ยิ้มแล้วพยักหน้า ดูไว้ซะ การแข่งขันควรง่ายดายแบบนี้แหละ

ศิษย์พี่ใหญ่นั่งลงช้าๆ

นักเรียนทั้งคณะสงบใจพากันโหวกเหวกโวยวายขึ้นมา

“นี่คือเคล็ดวิชาบู๊อะไร พวกเขาไม่ได้เอาผู้ฝึกชี่มาหลอกเราใช่ไหม”

“นี่เป็นวิชาของผู้ฝึกชี่ชัดๆ การต่อสู้ในสถาบัน จะเชิญคนอื่นมาช่วยได้ยังไง”

“พวกเราไม่ยอม”

“รอบนี้ไม่นับ”

……

นักเรียนที่ไม่มีความรู้พากันตะโกนออกมา พวกเขาไม่อยากเชื่อ ความจริงที่แพ้ให้กับคณะหนึ่งเดียว อีกทั้งยังไม่รู้ว่าศิษย์พี่ใหญ่ใช้เคล็ดวิชาบู๊อะไร

จากพละกำลังที่เพิ่งอยู่ในแดนปราณในอย่างพวกเขา จะดูผลการฝึกตนแดนปราณชีวิตของศิษย์พี่ใหญ่ออกได้ยังไงกัน

แม้มีคนที่สายตาหลักแหลม มีความรู้ที่สามารถดูออก ก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกัน

อาจารย์อู๋โฉวได้ยินเสียงโวยวายของพวกเขา เธอรู้สึกอับอาย

“เงียบ!”

เมื่อเสียงตวาดอย่างโมโหดังขึ้น นักเรียนพวกนี้ถึงเงียบลง

“ทุกอย่างไม่มีข้อกังขา เคล็ดวิชาบู๊ที่นักเรียนอู๋เหวยคณะหนึ่งเดียวใช้ ไม่ใช่คาถา คนที่สงสัย เท่ากับสงสัยในตัวอาจารย์อย่างฉันด้วย ยังมีใครจะพูดอะไรอีกไหม”

พูดจบ อาจารย์อู๋โฉวกวาดตามองไปรอบๆ ใครยังจะกล้าพูดอีก

อาจารย์อู๋โฉวพยักหน้าให้ครูที่อยู่ข้างๆ

ครูประกาศออกมาว่า

“คณะหนึ่งเดียวชนะ!”

เสียงลอยออกไปจากโถงหลัก ดังก้องไปทั่ว

คิดว่าอีกไม่นาน ข่าวที่คณะหนึ่งเดียวชนะคณะสงบใจ คงดังไปทั่วสถาบันสอนวิชาบู๊อย่างรวดเร็ว

บทที่ 292

บทที่ 294

บทที่ 292
อาจารย์อู๋โฉวไม่พูดอะไรมาก แต่มีรอยยิ้มบนใบหน้า

ต่อไปเมื่อคณะหนึ่งเดียวต่อสู้ไปถึงคณะกระบี่และคณะหยินหยาง เธอจินตนาการสีหน้าของเสวียนเจินกับซิงยวนได้เลย

ต้องหลากหลายอารมณ์แน่นอน!

ลู่ฝานเดินกลับมา ศิษย์พี่ใหญ่ถามอย่างเป็นห่วง

“ศิษย์น้องลู่ฝาน อาการนายเป็นไงบ้าง”

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “วางใจเถอะศิษย์พี่ใหญ่ ทุกอย่างอยู่ในการควบคุม”

ศิษย์พี่ใหญ่อมยิ้มแล้วพยักหน้า จากนั้นสะบัดก้นที่มีไขมันลุกขึ้นยืน

“รอบสุดท้ายแล้ว รีบทำให้จบ จะได้กลับคณะเร็วๆ”

คณะสงบใจเหลือเพียงเยียนหรานคนเดียว

เยียนหรานเห็นฝ่ายตรงข้ามมีคนอ้วนเต็มไปด้วยไขมันเดินออกมา เธอมีความมั่นใจอยู่บ้าง

เหมือนเจ้าอ้วนคนนี้ไม่เคยลงมือเลย บอกว่าเป็นคนคณะหนึ่งเดียว แต่ไม่เคยมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับคณะสงบใจ พละกำลังต้องแย่แน่นอน จึงไม่ได้ออกมาสู้

มองพลานุภาพของศิษย์พี่ใหญ่อย่างละเอียด เหมือนคนธรรมดาทั่วไปไม่มีผิด

ทุกคนที่เป็นนักบู๊ ยังไงก็ต้องมีพลานุภาพเฉียบคมอยู่บ้าง ถึงเป็นคนที่เก็บงำพลานุภาพอย่างลู่ฝาน มองดูดีๆ ก็ยังเห็นพลานุภาพเฉียบคมของลู่ฝาน

แต่เจ้าอ้วนตรงหน้า กลับไม่มีอะไรเลย

เหมือนคนที่ไม่เคยฝึกพลังปราณมาก่อน!

ครูยักคิ้วหลิ่วตาให้ศิษย์พี่ใหญ่ เหมือนเขาก็ไม่รู้ชื่อของศิษย์พี่ใหญ่เหมือนกัน

ศิษย์พี่ใหญ่จับพุงแล้วพูดว่า “อู๋เหวยคณะหนึ่งเดียว”

ครูพยักหน้าพูดว่า “อู๋เหวยคณะหนึ่งเดียวสู้กับเยียนหรานคณะสงบใจ รอบสุดท้ายตัดสินแพ้ชนะ”

นักเรียนคณะสงบใจยืดคอออกมา เพื่อจะดูอย่างละเอียด

“อู๋เหวยคือใคร”

“ไม่รู้ ไม่เคยได้ยินมาก่อน เป็นนักเรียนใหม่ของคณะหนึ่งเดียวเหรอ”

“ไม่ใช่ เมื่อกี้ฉันได้ยินลู่ฝานเรียกเขาว่าศิษย์พี่ใหญ่!”

“ศิษย์พี่ใหญ่เหรอ ศิษย์พี่ใหญ่คณะหนึ่งเดียว ไม่ใช่หรอกมั้ง นายฟังผิดแน่ๆ เจ้าอ้วนดูไม่มีผลการฝึกตนสักนิด มีความเป็นไปได้ 80 เปอร์เซ็นต์ ที่ลากเขามาให้ครบจำนวนเท่านั้น”

“ฉันก็คิดอย่างนั้น คนคณะหนึ่งเดียวไม่มีทางวิปริตทุกคนหรอก”

……

ศิษย์พี่ใหญ่ยืนหัวเราะอยู่ตรงกลาง ฟังเสียงถกเถียงรอบๆ อย่างสนใจ เหมือนคนอื่นไม่ได้พูดถึงเขา

เยียนหรานเดินเข้ามา ปล่อยพลังปราณของตัวเองออกมาก่อน

ผลการฝึกตนแดนปราณใน ก่อนที่ยังไม่เข้าร่วมการต่อสู้จัดอันดับของสถาบัน นับว่าไม่เลว

แต่ตอนนี้ทุกคนคิดว่า ผลการฝึกตนระดับนี้ ต่ำไปเล็กน้อย

แต่นักเรียนคณะสงบใจจำนวนมาก ยังมองโลกในแง่ดี เพราะเจ้าอ้วนฝั่งตรงข้ามที่ชื่ออู๋เหวย ไม่ได้ปล่อยพลังปราณออกมาแม้แต่น้อย

หานเฟิงหัวเราะคิกคัก “ศิษย์น้องลู่ฝาน นายว่าศิษย์พี่ใหญ่จะให้เธอลูบพุงเขาไหม จากนั้นเขาค่อยโจมตีกลับ!”

ลู่ฝานพูดด้วยสีหน้าประหลาด “ผมคิดว่ามีความเป็นไปได้”

ฉู่สิงยื่นหน้าเข้ามา “ถ้าฉันเป็นศิษย์พี่ใหญ่ ฉันจะทำแบบนี้”

ทั้งสามยิ้มอย่างลามกออกมาพร้อมกัน

ศิษย์พี่ฉู่เทียนที่อยู่ข้างๆ กลอกตามองบน เลื่อนเก้าอี้ออกห่างทั้งสามคน

ที่ต่อสู้ ศิษย์พี่ใหญ่อู๋เหวยยังไม่ขยับ

เยียนหรานไม่ได้สนใจอะไรมากมาย ชิงลงมือก่อน

พลังปราณบนตัวพลุ่งพล่าน เยียนหราแผดเสียงออกมาเบาๆ “ลม……”

ยังพูดไม่ทันจบ ศิษย์พี่ใหญ่กระทืบเท้าลงบนพื้นเบาๆ

วินาทีต่อมา โถงหลักสั่นไหวไปมาเบาๆ ด้านล่างเท้าเยียนหรานมีกำแพงหิน ปรากฏขึ้นสี่ด้าน ขังเยียนหรานไว้ด้านใน

หานเฟิงอ้าปากค้าง แล้วหรี่ตาลง

“ศิษย์พี่ใหญ่เป็นฝ่ายโจมตีแล้ว!”

ฉู่สิงก็ตะโกนออกมาเช่นกัน “อีกทั้งยังขังเธอไว้ด้านในด้วย”

บทที่ 291

บทที่ 293

บทที่ 291
ถ้าใช้เคล็ดวิชาบู๊นี้ คงสามารถทำให้ย่อยยับตั้งแต่ยังไม่ได้สู้ อีกทั้งทำลายอนาคตด้วย

เคล็ดวิชาบู๊อันน่ากลัว ยังดีที่คนใช้คือหลิงเหยา ไม่งั้นถึงวันนี้ลู่ฝานเสียเปรียบไม่มาก ก็ต้องโดนตัดขาดการทำความเข้าใจ

ลู่ฝานยิ้มบางๆ ปราณชี่ในตัวสว่างจ้า เส้นลมปราณทั้งหมดสว่างขึ้นมา

เพียงพริบตา พลังที่พุ่งเข้ามาในตัวเขา โดนขจัดไปจนหมด

เหลือพลังสุดท้ายเพียงเล็กน้อย กลายเป็นรูปร่างของหลิงเหยา ลู่ฝานครุ่นคิด ไม่ได้กำจัดมันทิ้งไป หลงเหลือพลังนี้ไว้ เคลื่อนไหวตามปราณชี่ เข้าไปสู่ในมุกเทพ จากนั้นมุกเทพใช้วิชาเทพไร้ขีดจำกัด กลืนกินมันเข้าไป

หลิงเหยาชะงักไปทั้งตัว ประกายในแววตาหายไปอย่างรวดเร็ว

เธอก็คิดไม่ถึงเช่นกัน เคล็ดวิชาบู๊ของตัวเอง โดนทำลายอย่างง่ายดาย แม้เธอออมมือ แต่นักบู๊ทั่วไป ไม่สามารถต้านทานการโจมตีเพียงพริบตาของเธอได้

ลู่ฝานไม่เพียงแต่ต้านทานได้ อีกทั้งต้านทานได้อย่างสบายๆ

เธอสัมผัสได้ถึงสิ่งมีชีวิตที่มีพลังในตัวลู่ฝาน อีกทั้งพลังปราณที่สามารถทำลายสรรพสิ่งได้

หลิงเหยาไม่สามารถบรรยายพลังปราณของลู่ฝานได้ พลังปราณของนักบู๊คนอื่น เจอกับพลานุภาพที่เกิดจากการใช้จิตบู๊เข้าฌานของเธอ ไม่สามารถทำอะไรได้เลย

แต่พลังปราณของลู่ฝาน ไม่กลัวเลย ใช้พลังอันน่ากลัว บีบพลานุภาพออกมา

แต่เธอสัมผัสได้ว่าลู่ฝานหลงเหลือพลังของเธอเอาไว้เล็กน้อย เอาเข้าไปในตัวเขา

นี่หมายความว่าอะไร มีเพียงเธอกับลู่ฝานเท่านั้นที่รู้

หลิงเหยาแก้มแดงระเรื่อ สูดหายใจลึก เก็บพลังเอาไว้

พลังปราณในตัวลู่ฝานเคลื่อนไหวต่อไป เขาสัมผัสได้ว่าปราณชี่ของตัวเอง กำลังถึงขั้นที่เป็นงอกงามไม่หยุด นี่ต้องขอบใจหลิงเหยาจริงๆ

พลานุภาพที่ทั้งสองคนปล่อยออกมาหายไป กลับสู่ปกติเหมือนเดิม

“นายชนะแล้ว!”

หลิงเหยายิ้มแล้วเอ่ยขึ้น

ลู่ฝานพยักหน้า “ขอบคุณที่ชี้แนะ”

ทั้งสองมองหน้ากัน แล้วหัวเราะออกมา นิ้วชี้ข้างขวาของหลิงเหยา ขยับเบาๆ สามครั้ง

ลู่ฝานพยักหน้าเข้าใจ รู้ทุกอย่างโดยไม่ต้องพูด

นักเรียนรอบๆ ตั้งสติได้

เมื่อหันมามอง เห็นลู่ฝานสู้กับหลิงเหยาจบแล้ว ผลออกมาแล้วด้วย

“เกิดอะไรขึ้น จบแล้วเหรอ ทำไมฉันถึงเหม่อ ไม่เห็นอะไรเลย!”

หานเฟิงโวยวายขึ้นมา

ฉู่สิงกับฉู่เทียนที่อยู่ข้างๆ เหมือนคิดอะไรอยู่ นักเรียนคนอื่นของคณะสงบใจ กำลังพึมพำกับตัวเอง

“เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น”

หลิงเหยากับลู่ฝานเดินกลับมาแล้ว

ครูหันมามองอู๋โฉว เมื่อกี้เธอเหม่อเหมือนกัน แม้บอกว่าหลิงเหยายอมแพ้ แต่เป็นแบบนี้จริงเหรอ

อาจารย์อู๋โฉวพยักหน้า เพื่อบอกว่าหลิงเหยาแพ้จริงๆ

ครูประกาศเสียงดังว่า “ลู่ฝานคณะหนึ่งเดียวชนะ”

อาจารย์อู๋โฉวถอนหายใจอย่างหม่นหมอง

“ฉันคิดว่าคณะสงบใจรับคนมีความสามารถเข้ามา จะภูมิใจได้สักระยะ แต่คิดไม่ถึงว่าคณะหนึ่งเดียวของพวกนาย รับคนมีความสามารถที่น่ากลัวยิ่งกว่า”

อาจารย์อี้ชิงแสร้งพูดเหมือนไม่เข้าใจ “แค่โชคชะตาเท่านั้น โชคชะตาของลู่ฝานดีมาตลอด”

อาจารย์อู๋โฉวกัดฟันพูดว่า “เสแสร้ง นายยังมาเสแสร้งใส่ฉัน อย่าคิดว่าฉันดูไม่ออก เมื่อกี้ลู่ฝานใช้เพลงเต๋าหนึ่งเดียวของคณะหนึ่งเดียว”

อาจารย์อี้ชิงเห็นว่าโดนจับได้ จึงตัดสินใจไม่แกล้งทำอีก

พูดอย่างราบเรียบว่า “เรื่องนี้อย่าบอกให้คนอื่นรู้”

อาจารย์อู๋โฉวพูดว่า “นายคิดจะปิดบังฉันไปถึงเมื่อไร”

อาจารย์อี้ชิงพูดว่า “ปิดบังได้นานเท่าไรก็ปิดบังไปนานเท่านั้น”

บทที่ 290
รอยยิ้มบนใบหน้าหลิงเหยาค่อยๆ หายไป มีพลานุภาพแปลกประหลาดเกิดขึ้นบนตัวเธอ

เหมือนน้ำเย็นสาดลงบนตัว เย็นสะท้านไปถึงขั้วหัวใจ

มีแสงสีเงินสว่างขึ้นในแววตาของหลิงเหยา

เหมือนแสงจันทร์ส่องลงมา แสงสีขาวเงินเคลื่อนไหวอย่างอิสระ

ดวงตาสองข้างของเธอ สว่างเหมือนดวงดาว มองดูดีๆ เหมือนมีกาแล็กซี่ เคลื่อนไหวอยู่ในดวงตาของเธอ

หลิงเหยากวาดตามองทุกคน คนที่มองเห็นดวงตาเธอ ต่างมีสีหน้าตะลึง

นักเรียนยืนนิ่งเหมือนหินไปเป็นแถบ

ขนาดอาจารย์อี้ชิงกับอาจารย์เต้ากวง โดนสายตาของหลิงเหยามองมา ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย

“จิตบู๊เข้าฌานอันน่ากลัว สามารถส่งผลกับสภาพจิตใจบู๊ของคนได้ด้วย”

อาจารย์อี้ชิงสีหน้าประหลาด เคล็ดวิชาบู๊แบบนี้ สถาบันสอนวิชาบู๊ไม่สามารถถ่ายทอดให้ได้

เคล็ดวิชาบู๊ระดับดินทั่วไปเปรียบเทียบกับมัน มีความด้อยกว่าอย่างชัดเจน ต้องเป็นยอดฝีมือถ่ายทอดให้แน่นอน นั่นหมายความว่า เบื้องหลังของหลิงเหยา ต้องมียอดฝีมืออยู่แน่นอน ถึงขั้นที่เป็นผู้แข็งแกร่งเซียนบู๊

รอยยิ้มอยู่บนใบหน้าอู๋โฉว เธอรู้ที่มาของจิตบู๊เข้าฌาน และพอรู้ว่าผู้อาวุโสท่านใด ถ่ายทอดให้แก่หลิงเหยา

ตอนนี้หลิงเหยาพอชำนาญจิตบู๊เข้าฌาน แค่ผลการฝึกตนพลังปราณของหลิงเหยา ยังไม่แข็งแกร่งพอ ไม่งั้นถึงเธอนำคณะสงบใจ สู้ไปจนถึงคณะหยินหยาง อู๋โฉวก็ไม่มีทางแปลกใจหรอก

ตอนนี้ดูว่าลู่ฝานคณะหนึ่งเดียว จะต้านทานได้หรือเปล่า

อาจารย์อี้ชิงกับอาจารย์เต้ากวง มีแววตาเคร่งขรึม

เดิมทีพวกเขามั่นใจในตัวลู่ฝานมาก แต่เมื่อหลิงเหยาใช้วิชาสงบจิตอันแปลกประหลาด พวกเขาจึงไม่ค่อยมั่นใจเท่าไรแล้ว

พวกเขาหวังเพียงว่าลู่ฝานจะต้านทานโดยใช้ผลการฝึกตนที่มีอยู่ในร่างกาย

ตอนนี้พวกเขาคิดว่าสิ่งที่ลู่ฝานพึ่งได้ มีเพียงเพลงเต๋าหนึ่งเดียวเท่านั้น

สีหน้าของลู่ฝานยังนิ่ง ตอนนี้ดวงตาสว่างของหลิงเหยา จ้องเขม็งมาที่เขา

ทั้งสองคนสบตากัน ลู่ฝานรู้สึกถึงพลังอันแข็งแกร่ง พุ่งเข้ามาในสมองของเขา

เขาไม่รู้ว่าพลังนี้มาจากไหน และไม่รู้ว่าพลังนี้ก่อตัวขึ้นได้ยังไง เป็นพลังปราณหรือพลังชี่ หรือเป็นพลังอื่น ไม่รู้เลย มองพลังนี้บ้าคลั่งเหมือนพายุในสมองของเขา

ปราณชี่ในตัวเขาเริ่มโจมตีกลับ ในหัวของลู่ฝานมีภาพลวงตาเกิดขึ้นเป็นฉากๆ

ภูเขาและแม่น้ำ ท้องฟ้าแจ่มใส

วิวแต่ละภาพ เหมือนค้อนหนักทุบหัวเขา

มุกเทพของลู่ฝาน ปล่อยปราณชี่แผ่ซ่านไปทั่วร่างกายทันที เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วในตัวเขา

คิดไม่ถึงว่าวิธีของหลิงเหยา ทำให้การเคลื่อนไหวพลังปราณของเขาเร็วขึ้น ลดเวลาทำความเข้าใจของเขา

ลู่ฝานอาศัยจิตใจของตัวเอง รับการโจมตีรอบแรกได้ จากนั้นปราณชี่ที่พุ่งไปบนหัว กลายเป็นพลังวิญญาณ เข่นฆ่ากับพลังนี้

พลังทั้งสองฟาดฟันกัน

ทุกครั้งที่ฟาดฟันกัน ลู่ฝานสัมผัสได้ว่าสภาพจิตใจของตัวเอง ได้รับผลกระทบเล็กน้อย

ความรู้สึกแปลกๆ พุ่งเข้ามาในหัวเขา แทรกซึมเข้ามาในใจเขา

ลู่ฝานได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นเบาๆ

“ลู่ฝาน นายชอบฉันไหม”

เสียงสดใสน่ารัก ลู่ฝานฟังออกทันทีว่าเป็นเสียงของหลิงเหยา

ผู้หญิงคนนี้ เอาความรู้สึกตัวเองส่งเข้ามา ขณะกำลงต่อสู้กับคนอื่นเนี่ยนะ

แต่เคล็ดวิชาบู๊นี้เก่งกาจมาก ในเมื่อส่งความรู้สึกของตัวเองมาในใจคนอื่นได้ แน่นอนว่าต้องทิ้งความรู้สึกเชิงลบไว้ในใจคนอื่นได้เช่นกัน

บทที่ 289
สายตาของนักเรียนหญิงที่มองฉู่สิงและคนอื่น เต็มไปด้วยความโมโห แทบจะเข้ามาควักลูกตาของฉู่สิง

ฉู่สิงยังมีใบหน้าเหม่อลอย เหมือนยังคงนึกย้อนไป

แต่ตอนนี้คณะหนึ่งเดียวแพ้ไปสองรอบแล้ว จะแพ้อีกไม่ได้

ลู่ฝานมองศิษย์พี่ใหญ่แล้วพูดว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ รอบต่อไปให้ผมละกัน เราสองคนต้องขึ้นไปสู้”

ศิษย์พี่ใหญ่พยักหน้าเบาๆ “ระวังด้วย เทียบกับอันดับ การทำความเข้าใจวิถีสำคัญกว่า”

ลู่ฝานพูดว่า “ผมมีความยับยั้งชั่งใจอยู่แล้วครับ”

ลู่ฝานลุกขึ้นเดินไปที่ต่อสู้

เมื่อเห็นลู่ฝานออกมา หลิงเหยาลุกขึ้นมาทันที

ครูมองแล้วประกาศว่า “ลู่ฝานคณะหนึ่งเดียวสู้กับหลิงเหยาคณะสงบใจ”

หลิงเหยาเดินก้าวเข้ามา มองลู่ฝานอยู่อย่างนั้น

ลู่ฝานพูดอย่างราบเรียบว่า “เจอกันอีกแล้วนะหลิงเหยา”

หลิงเหยายิ้มเหมือนดอกไม้ “ใช่ ช่วงนี้นายเป็นไงบ้าง”

“ก็ไม่เลวนะ เธอล่ะ”

……

ทั้งสองคนคุยกันต่อหน้าอาจารย์ทั้งสองคณะ รวมไปถึงนักเรียนทุกคน

ไม่มีใครคาดคิด ว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้

ขนาดศิษย์พี่หานเฟิงยังตกใจจนอ้าปากค้าง

“ศิษย์น้องลู่ฝานทำอะไรอยู่ จีบสาวต่อหน้าทุกคนเหรอ”

ศิษย์พี่ฉู่สิงตั้งสติได้แล้ว กำลังใช้เสื้อเช็ดเลือดบนหน้า

ศิษย์พี่ฉู่สิงไม่สนใจ อาการบาดเจ็บภายในสักนิด แค่คราบเลือดบนหน้า ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์เล็กน้อย จำเป็นต้องเช็ดให้สะอาด

“นี่คือทักษะการต่อสู้พิเศษ นายจะไปรู้อะไร”

ศิษย์พี่ฉู่สิงหัวเราะแล้วเอ่ยขึ้น

หานเฟิงพูดว่า “ผมไม่รู้จริงๆ ศิษย์พี่ฉู่สิง ถ้าพี่ไม่บอกวิชากระบี่พิเศษและทักษะกับผม……”

ฉู่สิงขี้เกียจสนใจเขา แล้วหันไปมองลู่ฝาน

ตอนนี้ลู่ฝานกับหลิงเหยาคุยกันสนุกขึ้นเรื่อยๆ

คนอื่นทนดูทั้งสองคนคุยกันไม่ได้แล้ว

อาจารย์อี้ชิงกับอาจารย์อู๋โฉวตะโกนขึ้นพร้อมกัน

“หลิงเหยา”

“ลู่ฝาน!”

ลู่ฝานกับหลิงเหยาหันมา

อาจารย์อี้ชิงยักคิ้วหลิ่วตาให้ลู่ฝาน “ลู่ฝาน นายมาแข่งขัน ไม่ได้มาพูดเรื่องความรัก”

อาจารย์อู๋โฉวก็มองหลิงเหยา “หลิงเหยา ตอนนี้กำลังต่อสู้อยู่ ถ้าพวกเธออยากคุยกัน รอให้แข่งเสร็จ ค่อยคุยกันได้ไหม”

หลิงเหยาหน้าแดงเล็กน้อย แล้วพยักหน้า

ลู่ฝานสีหน้าเหนื่อยใจ มองหลิงเหยาแล้วพูดว่า “งั้นก็ได้ หลิงเหยา เธอใช้กระบวนท่าออกมา ฉันจะรับเอง”

หลิงเหยาส่ายหน้า “เคล็ดวิชาที่ฉันใช้เป็นมีไม่มาก เราตัดสินแพ้ชนะด้วยกระบวนท่าเดียวดีไหม”

ลู่ฝานอึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นพูดว่า “ตัดสินแพ้ชนะด้วยกระบวนท่าเดียวยังไง”

หลิงเหยาพูดว่า “แค่นายรับกระบวนท่าฉันได้ ถือว่านายชนะแล้ว”

หลิงเหยาเพิ่งพูดจบ เยียนหรานที่อยู่ข้างๆ ตะโกนว่า “ไม่ได้ ศิษย์น้องหลิงเหยา เธอทำแบบนี้จงใจอ่อนข้อให้หรือเปล่า อย่าบอกนะว่าเพราะเธอชอบลู่ฝาน แล้วจะยอมอ่อนข้อให้ในการต่อสู้จัดอันดับคณะ”

เสียงตะโกนของเยียนหราน ทำให้คนจำนวนไม่น้อยถกเถียงกัน

หลิงเหยาพูดเสียงก้องว่า “ฉันจะใช้จิตบู๊เข้าฌาน กระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุด และเป็นท่าไม้ตายใหญ่ของฉัน ถ้าศิษย์พี่เยียนหรานไม่เชื่อฉัน งั้นรอบนี้ พี่มาสู้ละกัน”

เยียนหรานโดนหลิงเหยาพูดประโยคนี้ใส่จนอึ้งไป

ลู่ฝานขี้เกียจสนใจเยียนหราน แต่เมื่อได้ยินจิตบู๊เข้าฌาน ก็สนใจขึ้นมาทันที

ลู่ฝานพูดอย่างราบเรียบว่า “จิตบู๊เข้าฌาน ต้องช่วยชี้แนะให้ด้วยนะ”

หลิงเหยายิ้มออกมา “ต้องทำให้นายพอใจแน่นอน”

บทที่ 288
ตัวอักษร 16 ตัว ระเบิดขึ้น 16 ครั้ง

ทั้งโถงหลักเจอการทำลายอันน่ากลัวเพียงครั้งเดียว

นักเรียนนับไม่ถ้วนพยายามถอยหลังสุดชีวิต ตัวแทบจะแนบกับกำแพงแล้ว

ขนาดอาจารย์อู๋โฉว ยังต้องใช้ค่ายกลป้องกัน ต้านทานพลานุภาพระเบิด เพื่อไม่ให้โดนผู้บริสุทธิ์

กลางโถงหลัก เละเทะไปหมด

เงาคนสองคนกระแทกลงกับพื้น หมิงจูผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้าขาด เผยให้เห็นผิวขาวบริสุทธิ์

มุมปากมีเลือด มือจับตรงหน้าอก เหมือนบาดเจ็บภายใน

“อ๊าก!”

หมิงจูรีบกลายเป็นสายลม พุ่งไปด้านหลังทันที

เพียงพริบตา ก็หายไปจากโถงหลัก

นี่เป็นครั้งแรกที่หมิงจูเป็นแบบนี้ต่อหน้านักเรียนคณะสงบใจ

เดิมทีเธอไม่พ่ายแพ้ศัตรู อีกทั้งยังเดินออกไปอย่างสง่างาม

ดูเหมือนวันนี้ฉู่สิง ทำเรื่องที่คนมากมายไม่สามารถทำได้

เพิ่งผลการฝึกตนแดนปราณนอกขั้น1 แท้ๆ แต่สามารถสู้กับหมิงจูที่อยู่ในระดับแดนปราณนอกขั้น3 จนอยู่ในสภาพแบบนั้น อีกทั้งยังทำเรื่องที่สกปรกขนาดนั้นด้วย

ทุกคนหันมามองฉู่สิงอีกครั้ง เห็นสีหน้าของฉู่สิงราบเรียบมาก เลือดที่ออกมาจากหางตาและจมูก ภาพนั้นมันตลกมาก

โดยเฉพาะเลือดกำเดาที่ออกมาจากรูจมูก เหมือนไม่ได้โดนคนซัดมา การไหลของเลือด เหมือนน้ำตกอย่างไรอย่างนั้น

อาจารย์อู๋โฉวอึ้งไป สีหน้าไม่สู้ดี ภาพที่เห็นตอนนี้ เธอไม่รู้ควรพูดอะไรดี

นักเรียนคณะสงบใจคนอื่น อึ้งไปก่อนตอนแรก จากนั้นพากันโมโห จากนั้นตะโกนออกมาเสียงดัง

“ไร้ยางอาย”

“อันธพาล!”

“สมควรตาย ฉันจะสู้กับนาย!”

“อันธพาลคณะหนึ่งเดียว!”

……

ทุกคนพากันเดือดดาล ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย ต่างพากันจะเข้ามาสู้กับฉู่สิง

ฉู่สิงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เหมือนกำลังนึกย้อนไปเมื่อครู่

อาจารย์อู๋โฉวพูดด้วยเสียงกังวาน “ทุกคนเงียบให้หมด!”

เสียงดังไปทั่ว ทุกคนรีบเงียบลง

อาจารย์อู๋โฉวสูดหายใจลึก สงบสติอารมณ์ของตัวเอง จากนั้นพูดว่า “ระหว่างการแข่งขัน ห้ามส่งเสียงโหวกเหวก ฉู่สิงคณะหนึ่งเดียว เมื่อกี้คือความผิดพลาดที่เกิดจากความไม่ตั้งใจ ฉันตัดสินให้นายแพ้รอบนี้ นายยอมหรือเปล่า”

ฉู่สิงยังคงอึ้งอยู่ มองไปด้านหน้าอย่างเหม่อลอย

อาจารย์อี้ชิงอดกระแอมออกมาไม่ได้ “ฉู่สิง อาจารย์อู๋โฉวพูดกับนายอยู่น่ะ”

ฉู่สิงหลุดจากภวังค์ รีบพูดว่า “ได้ๆ อะไรก็ได้ครับ”

“ลงไป ลงไป!”

อาจารย์เต้ากวงอดพูดขึ้นมาไม่ได้

ฉู่สิงเดินกลับมา ท่ามกลางสายตาอาฆาตของนักเรียนคณะสงบใจ

เลือดกำเดาหยดลงบนพื้น ฉู่สิงขี้เกียจเช็ด

หานเฟิงหัวเราะแล้วพูดว่า “ศิษย์พี่ฉู่สิง เห็นอะไรมาล่ะ”

ฉู่สิงพูดช้าๆ ว่า “ขาวมาก ใหญ่มาก”

สี่คำนี้สื่อเอาไว้ทั้งหมดแล้ว

ลู่ฝานอดหัวเราะออกมาไม่ได้

ศิษย์พี่ฉู่เทียนกับศิษย์พี่ใหญ่ เกือบหัวเราะออกมา

หานเฟิงตบไหล่ศิษย์พี่ฉู่สิง แล้วพูดว่า “ได้กำไรแล้วๆ ได้กำไรเต็มๆ!”

การแสดงออกของพวกเขา อยู่ในสายตาของพวกคณะสงบใจ เป็นการยั่วโมโหชัดๆ

หมิงจูสำหรับพวกเขา ไม่เพียงแค่ศิษย์พี่ใหญ่ ยังเป็นชื่อเสียงของคณะสงบใจอีกด้วย เป็นความภาคภูมิใจของคณะสงบใจ

ตอนนี้โดนไอ้ลามกคณะหนึ่งเดียว ทำให้แปดเปื้อน จะทนได้ยังไง

เมื่อมองออกไป เห็นนักเรียนคณะสงบใจเกือบครึ่ง มีเส้นเลือดปูดขึ้นมาบนหน้าผาก ดวงตาแดงก่ำ นักเรียนพวกนี้ เป็นนักเรียนชายจำนวนมาก มีท่าทางเหมือนจะเอาชีวิตได้ทุกเมื่อ

บทที่ 287
ฉู่เทียนถอนหายใจ ยังดี ยังสู้ได้ ไอ้ฉู่สิงยังมีวิธีสู้

แสงทั้งหมดโดนต้านทานเอาไว้ทั้งหมด ฉู่เทียนสะบัดกระบี่ อักษรแปดตัวทำลายพลังปราณของหมิงจูลงพื้น

หมิงจูตกใจเล็กน้อย “นี่คือวิชากระบี่มังกรดำขั้น5 ปากว้าสวรรค์ประทานเหรอ”

ฉู่สิงดูหมดแรง ยิ้มแล้วพูดว่า “ศิษย์พี่หมิงจูสายตาหลักแหลม”

หมิงจูพูดว่า “ฉันควรพูดว่าศิษย์น้องฉู่สิงพยายามอย่างดีมากกว่า ถ้านายฝึกถึงขั้น6 ยังสามารถสู้กับฉันได้อย่างสูสี”

ฉู่สิงสูดหายใจเฮือก พูดอกผายไหล่ผึ่งว่า “ศิษย์พี่หมิงจู ลองดูได้นะ”

ดวงตาหมิงจูฉายแววประหลาด “ดูเหมือนนายฝึกถึงขั้น6แล้วจริงๆ”

นักเรียนคนอื่นรอบๆ รวมถึงพวกนักเรียนที่ใช้กระจกจำภาพดู พากันกลั้นหายใจ จ้องค่ายกลหยินหยางปากว้าบนตัวฉู่สิง

ขนาดอาจารย์อู๋โฉว ยังหันไปมองอาจารย์อี้ชิง “เขาฝึกถึงขั้น6แล้วจริงเหรอ เป็นไปไม่ได้ แดนปราณชีวิตลงไป ไม่มีใครฝึกปากว้า 16 อักษรได้”

อาจารย์อี้ชิงยิ้มแล้วพูดว่า “ทุกเรื่องมีความเป็นไปได้ ไม่ใช่หรือไง”

สีหน้าอาจารย์อู๋โฉวเปลี่ยนไป “ดูเหมือนทั้งสถาบันสอนวิชาบู๊ ประเมินคณะหนึ่งเดียวของพวกนายต่ำไป!”

อาจารย์อี้ชิงกับอาจารย์อู๋โฉวหัวเราะเบาๆ

ในที่ต่อสู้ มีแสงสว่างขึ้นข้างฉู่สิง

แต่ครั้งนี้ ฉู่สิงทำให้ทุกคนเหลือเชื่อ เอาค่ายกลปากว้าบนตัวพร้อมกับพลังปราณ ใส่ลงไปในกระบี่ยาวทั้งหมด

วิธีที่เขาทำแบบนี้ เป็นการเปิดเผยตัวเอง ให้กับการโจมตีของหมิงจู

หมิงจูขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจว่าทำไมฉู่สิงถึงทำเรื่องโง่ๆ แบบนี้

“ศิษย์น้องฉู่สิง นายกำลังรนหาที่ตาย!”

หมิงจูพูดเตือนด้วยความหวังดี แต่ฉู่สิงทำเพียงยิ้มแล้วพูดว่า “คงงั้นมั้ง ศิษย์พี่หมิงจู”

พูดพลาง กระบี่ยาวในมือฉู่สิงมีแสงสว่างจ้า มีเพียงฉู่สิงที่รู้ว่า ทุกครั้งที่พลังปราณฌานจิตของศิษย์พี่หมิงจูโจมตีโดนเขา ทำให้เขาเสียพลังปราณไปแบบไม่มีเหตุผล พลังปราณที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้ เพียงพอให้เขาใช้พลานุภาพของวิชากระบี่มังกรดำขั้น6 เพียงครั้งเดียวเท่านั้น เขามีโอกาสเพียงครั้งเดียว!

เห็นฉู่สิงระเบิดพลานุภาพออกมา หมิงจูรีบควบคุมแสงบริเวณรอบๆ ปล่อยเสาแสงออกไปโจมตีเขา

แต่เกิดเรื่องประหลาดขึ้น เมื่อแสงหนึ่งโดนฉู่สิง เหมือนฉู่สิงรู้ก่อนแล้ว ขยับเท้าไปข้างๆ หลบแสงได้พอดี

แต่แค่ครั้งนี้ยังไม่เท่าไร จากนั้นเสาแสงสิบแสงที่พุ่งเข้ามา โดนฉู่สิงหลบได้เพียงแค่เคลื่อนไหวในขอบเขตเล็กๆ

เขาแทบจะไม่ลืมตาขึ้นมามอง ทำเพียงแค่มองกระบี่ในมือ

“เขามีตาด้านหลังหรือไง”

นักเรียนคณะสงบใจคนหนึ่ง อดตะโกนออกมาไม่ได้

หานเฟิง ฉู่เทียนและลู่ฝาน เผยรอยยิ้มอย่างรู้กัน

ความสามารถการคิดคำนวณ นี่เป็นความสามารถการคิดคำนวณของศิษย์พี่ฉู่สิง!

เขาต้องจำตำแหน่งที่แสงทั้งหมดพุ่งมาอย่างแน่นอน จากนั้นใช้การคำนวณเพื่อหลบ

พรสวรรค์และความสามารถที่น่ากลัวเช่นนี้ คนอื่นยากจะจินตนาการได้ ถูกใช้ออกมาในเวลานี้ได้อย่างแข็งแกร่ง

แค่หมิงจูไม่เปลี่ยนตำแหน่งของแสงจากปราณ ก็ไม่สามารถทำอะไรเขาได้

แววตาของหมิงจูเคร่งขรึม เธอเพิ่งเคยเจอคนที่ใช้วิธีประหลาดแบบนี้ ทำลายค่ายกลสังหารของเธอ

ทันใดนั้น กระบี่ในมือฉู่สิง มีอักษร 16 ตัวสว่างขึ้นมา

เฉียน คุน เจิ้น ซวิ่น ตุ้ย เกิ้น ข่าน หลี

ซิว เซิง ซาง ตู้ จิ่ง สื่อ จิง ไค*

ฆ่า!

สร้อยข้อมือของหมิงจูสั่นอย่างรุนแรง ครองวิญญาณผูกมัดจิต!

บทที่ 286
บนเวที ฉู่สิงยังสัมผัสความอันตรายที่ใกล้เข้ามาไม่ได้ เขารอให้หมิงจูใช้กระบวนท่าออกมาก่อน

ให้นักเรียนหญิงลงมือก่อน นี่เป็นมารยาทและการอบรมที่ดี เขาไม่อยากเสียมารยาท

แต่ฉู่สิงไม่รู้ว่า วันนี้เขาต้องแลกอย่างแสนสาหัส เพราะคำว่ามารยาท

เมื่อพลังปราณพลังสุดท้าย ปล่อยออกมาจากตัวหมิงจู เหมือนดวงดาวหยุดอยู่รอบๆ หมิงจูมีรอยยิ้มสดใสบนใบหน้า

รอยยิ้มเดียวสามารถทำให้ใจหวั่นไหว รอยยิ้มเดียวสามารถล่มเมืองได้

รอยยิ้มของหมิงจูทำให้ฉู่สิงชะงักอยู่ที่เดิม

จากนั้นหมิงจูลงมือทันที!

ฝ่ามือแตะลงบนอากาศเบาๆ แสงนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นมาทันที

เหมือนท้องฟ้ายามค่ำคืน ดวงดาวมากมายส่องประกาย ทำให้ฉู่สิงอกสั่นขวัญแขวน

“ดาวเต็มฟ้า!”

หมิงจูพูดออกมาเบาๆ เสียงอันอ่อนโยน เหมือนกำลังครางเบาๆ อยู่ใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืน

ฉู่สิงโดนโจมตีจากทุกด้าน เหมือนพลังอันน่ากลัว แทงทะลุเสื้อปราณของเขาในพริบตา

“วิชากระบี่มังกรดำ!”

ช่วงเวลาคับขัน ฉู่สิงใช้วิชากระบี่ของตัวเองออกมา

ปราณกระบี่กระจายออกมา ปะทะกับแสงที่พุ่งเข้ามาไม่หยุด

ฉู่สิงถอยหลังอย่างต่อเนื่อง เหงื่อไหลลงจากหน้าผาก ทันใดนั้นโดนแสงหนึ่งโจมตี จนเกือบโดนทำร้าย

เขาคิดไม่ถึงว่า ศิษย์พี่หมิงจูที่อ่อนช้อยดั่งน้ำ งดงามโดดเด่น จะลงมือโหดเหี้ยมแบบนี้

ฉู่สิงกัดฟัน ยกกระบี่ขึ้นมาขวางไว้ด้านหน้า แล้วตวัดกระบี่ออกไป

“ค่ายกลกระบี่!”

ค่ายกลหยินหยางปากว้าใต้เท้า แผ่ขยายออกไปเป็นสิบเท่า

กระบี่ยาวที่เกิดจากพลังปราณดูสมจริง ปรากฏอยู่ข้างหน้าหมิงจู

ตอนนี้ฉู่สิงกะจะพังพินาศไปทั้งคู่

หมิงจูสะบัดมืออีกครั้ง มีสร้อยข้อมือสีเงินปรากฏขึ้นที่มือขวา มีกาแล็กซี่สลักไว้ด้านบน

นี่คือสร้อยข้อมือเศษดาวอาวุธของหมิงจู

พูดว่าเป็นอาวุธ อันที่จริงคนที่รู้จะรู้ว่า นี่เป็นผลงานที่ภูมิใจของนักเรกิ

นักบู๊สามารถใช้ได้ ผู้ฝึกชี่ก็สามารถใช้ได้เช่นกัน

ใส่พลังปราณเข้าไป เขย่าเบาๆ กระบี่ที่มีแรงกระเพื่อมที่มองไม่เห็น พุ่งโจมตีเข้ามา

เมื่อใช้แรงเขย่าอีก ค่ายกลหยินหยางปากว้าใต้เท้าฉู่สิง มีแนวโน้มที่จะแตก

ตอนนี้หมิงจูถูกปกคลุมด้วยแสงทั้งตัว เสื้อปราณของเธอแสบตาจนไม่สามารถมองตรงๆ ได้

ขนาดลู่ฝานกับศิษย์พี่ใหญ่มองเธอ ยังต้องหรี่ตามองเลย

แควก!

เสียงเสื้อโดนฉีกดังขึ้นมา แขวนขวาของฉู่สิง โดนแสงหนึ่งแทงทะลุ

ข้อมือสั่นจนแทบจับกระบี่ยาวไว้ไม่ได้

“แย่แล้ว ศิษย์พี่ฉู่สิงจะแพ้แล้ว”

หานเฟิงร้อนใจมาก แต่ไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย

มีแสงพุ่งเข้ามาอีก ฉู่สิงหลบไม่ทัน แทงทะลุมาที่ข้อเท้าของเขา

สีหน้าของฉู่เทียนกับลู่ฝานเปลี่ยนไป

ฉู่สิงจะแพ้แบบนี้เหรอ

หมิงจูเห็นภาพตรงหน้า สะบัดมือเตรียมโจมตีฉู่สิงครั้งสุดท้าย

พลังปราณบนตัวหมุนวนขึ้นมา แสงดวงดาวบริเวณรอบๆ รวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อน พุ่งเข้าไปหาฉู่สิง

นี่เป็นเสาแสงที่ใหญ่กว่าตัวฉู่สิง ลู่ฝานไม่สงสัยเลยว่าถ้าโดนเสาแสงนี้ ศิษย์พี่ฉู่สิงต้องบาดเจ็บจนลุกไม่ได้แน่นอน

แต่จู่ๆ ศิษย์พี่ฉู่สิงสะบัดกระบี่ยาว ค่ายกลหยินหยางปากว้าใต้เท้า ปกคลุมตัวเขาเอาไว้

ตัวอักษรแปดตัวปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน

เฉียน คุน เจิ้น ซวิ่น ตุ้ย เกิ้น ข่าน หลี*

อักษรแปดตัวกลายเป็นกำแพงทนทาน ต้านทานการโจมตีถึงตายของหมิงจูเอาไว้

หานเฟิงเห็นแล้วอึ้ง ตะโกนออกมาว่า “ปากว้าสวรรค์ประทาน! ศิษย์พี่ฉู่สิงฝึกถึงปากว้าสวรรค์ประทานแล้ว แข็งแกร่งจริงๆ!”

บทที่ 285
“พลังปราณฌานจิต!”

ฉู่สิงพูดออกมาเบาๆ

ว่ากันว่าพลังปราณแบบนี้ มีความสามารถพิเศษ เมื่อโจมตีโดนศัตรู จะละลายพลังปราณของอีกฝ่าย

อาศัยพลังปราณแบบนี้ นักบู๊ที่อยู่ในระดับเดียวกัน มีแค่ไม่กี่คนที่สู้หมิงจูได้

สายตาของฉู่สิงเคร่งขรึม ฐานะของพลังปราณฌานจิตในคณะสงบใจ ไม่เป็นรองเพลงเต๋าหนึ่งเดียวของคณะหนึ่งเดียว

แม้ไม่ได้ฝึกยากเหมือนเพลงเต๋าหนึ่งเดียว แต่ไม่ใช่ใครก็ได้ที่ฝึกได้

พูดขึ้นมาก็แปลก คณะสงบใจหลายปีมานี้ มีเพียงคนเดียวที่ฝึกสำเร็จ เมื่อฝึกสำเร็จ จะกลายเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของคณะสงบใจทันที

เมื่อศิษย์พี่ใหญ่คนเดิมออกไป ศิษย์น้องคนใหม่ ถึงจะฝึกได้

อันที่จริงสิบอันดับแรกที่เข้ามาในคณะสงบใจ ต้องได้ฝึกฝนวิชา แต่ไม่มีเคยได้ยินว่าปีไหน มีคนของคณะสงบใจ ฝึกสำเร็จสองคนในเวลาเดียวกัน นี่คงเกี่ยวกับเรื่องเล่าน่าตกใจของพลังปราณฌานจิต

เมื่อใช้พลังปราณฌานจิตแสดงว่าหมิงจูเอาจริงแล้ว

ฉู่สิงไม่กล้าชะล่าใจ เสื้อปราณปกคลุมตัว รวบรวมพลังปราณห่อหุ้มเขาอย่างแน่นหนา

ค่ายกลหยินหยางปากว้าปรากฏใต้เท้า เตรียมพร้อมพุ่งออกไป

หมิงจูอมยิ้มมองฉู่สิง เธอรู้ว่าถ้าไม่ลงมือ ฉู่สิงไม่มีทางชิงลงมือก่อนแน่นอน

นี่เป็นกฏที่นักเรียนทุกคนยอมรับ เมื่อสู้กับคณะสงบใจ เพราะเผชิญหน้ากับสาวงาม ถ้ายังชิงลงมือก่อน มันเสียกิริยามารยาท

แต่คงมีน้อยคนที่รู้ จัดการคนที่มีพลังปราณฌานจิตถ้าไม่ชิงลงมือก่อน โอกาสชนะมีน้อยมาก

พลังปราณที่มองเห็นด้วยตาเปล่าได้ยาก แผ่ออกจากตัวหมิงจูแผ่ซ่านไปรอบๆ

พลังปราณแต่ละพลังสามารถเคลื่อนไหวพลังฟ้าดินเป็นแถบ แม้จะเล็กน้อยมาก แต่คนที่อยู่ในระดับที่แน่นอนมั่นคง สามารถสัมผัสได้

อย่างเช่น ลู่ฝาน

ลู่ฝานขมวดคิ้วเบาๆ เขาเห็นพลังฟ้าดินรอบๆ เริ่มไหลเวียนตามลมหายใจของหมิงจู

พลังปราณที่แผ่ออกไป เหมือนดวงตาของค่ายกล รวมพลังรอบๆ ที่สามารถใช้ได้เอาไว้ทั้งหมด

เมื่อเป็นเช่นนี้ สิ่งที่ศัตรูของเธอต้องเจอ ไม่ใช่แค่พลังปราณของเธอ ยังต้องเจอกับความกดดันของพลังฟ้าดินรอบๆ

เคล็ดวิชาบู๊ที่ไม่เลว!

ลู่ฝานตาเป็นประกาย เขาพอสัมผัสได้ว่า วิธีใช้พลังปราณแบบนี้ เขาก็ทำได้เหมือนกัน

แม้ไม่รู้ว่าหลักการของพลังปราณฌานจิตคืออะไร แต่ปราณชี่ของเขากระตุ้นพลังฟ้าดิน ยังคงไม่เป็นปัญหา

สิ่งที่ลู่ฝานต้องทำ คือจำลำดับการปล่อยพลังปราณนี้ เขาสัมผัสได้ว่าการปล่อยพลังปราณ ที่เหมือนไม่มีลำดับขั้นตอน อันที่จริงมีกฎตายตัวอยู่

รวบรวมสมาธิ ลู่ฝานมองอย่างละเอียด

ขณะเดียวกัน ปราณชี่ในตัวเขา กำลังใช้อีกวิธีหนึ่งในการเคลื่อนไหว

นั่นเป็นสิ่งที่เขาทำความเข้าใจได้จากเขตวิถี ถ้าตอนนี้มีคนเห็นเส้นทางการเคลื่อนไหว ของปราณชี่ของลู่ฝานในเส้นลมปราณ จะพบว่าเส้นทางการเคลื่อนไหวเป็นเส้นๆ เป็นคำว่าเป็นอย่างชัดเจน

เป็นของคำว่าความเป็นความตายวนเวียน งอกงามไม่รู้จบ!

ใช้วิธีการเคลื่อนไหวแบบนี้ เส้นลมปราณในตัวลู่ฝาน ใช้ความเร็วอันน่าตกใจเปลี่ยนแปลงอยู่

ขนาดเจดีย์เสวียนเก้ามังกร ยังได้ผลดีของการเปลี่ยนแปลงด้วย!

การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ จะทำให้กล้ามเนื้อของเขาแข็งแกร่ง ปราณชี่ยิ่งมีพลัง แต่ต้องการเวลาสักหน่อยเท่านั้น

นี่เป็นเหตุผลแท้จริงที่ว่าทำไมลู่ฝานไม่สามารถลงมือได้ตอนนี้

บทที่ 284
ม่านเหยียนสีหน้าไม่พอใจ ส่งเสียงหึ แล้วหันหลังเดินกลับไป

หานเฟิงบาดเจ็บทั้งตัว แต่กลับได้ใจเป็นอย่างมาก

เขาสะบัดผม หันมาพูดกับลู่ฝานและคนอื่น “เป็นไง ชนะได้เท่สุดๆ ไปเลยสินะ”

ลู่ฝานมองรอยเลือดบนตัวหานเฟิง “ศิษย์พี่หานเฟิง พี่เช็ดเลือดให้สะอาด แล้วค่อยพูดเถอะ”

หานเฟิงหัวเราะแล้วโบกมือไปมา “เลือดเล็กน้อยเท่านั้น เรื่องเล็กๆ ศิษย์น้องลู่ฝาน รอบต่อไปเป็นของนาย”

ลู่ฝานยังไม่พูดอะไร ศิษย์พี่ใหญ่พูดขึ้นข้างๆ ว่า “ช่วงนี้ศิษย์น้องลู่ฝานกำลังทำความเข้าใจวิถี อย่าเพิ่งลงมือดีกว่า ศิษย์น้องฉู่สิง นายไปก่อน”

ฉู่สิงพูดอย่างตกใจ “ทำความเข้าใจวิถีเหรอ เกิดอะไรขึ้น”

ฉู่เทียนกับหานเฟิงหันไปมองลู่ฝานตามฉู่สิง

ลู่ฝานมองรอยยิ้มของศิษย์พี่ใหญ่ แล้วพยักหน้าเบาๆ “อันที่จริงก็ทำความเข้าใจอยู่เล็กน้อย ถ้าลงมือจะส่งผลกระทบกับสภาวะ ศิษย์พี่ใหญ่รู้ได้ยังไง”

ศิษย์พี่ใหญ่ลูบท้อง ยิ้มอย่างเดาไม่ถูก “ฉันเคยไปที่ริมทะเลสาบเหมือนกัน”

ลู่ฝานยิ้มออกมาอย่างเข้าใจ

หานเฟิง ฉู่สิงและฉู่เทียน มีสีหน้าสงสัย สองคนนี้พูดมีลับลมคมในอะไรกัน

“ริมทะเลสาบ” เป็นรหัสลับอะไรหรือเปล่า

ทั้งสองไม่มีท่าทีจะอธิบาย หานเฟิงและคนอื่นจึงไม่ถามมาก

ฉู่สิงลุกขึ้นเดินไปด้านหน้า พูดอย่างราบเรียบว่า “ฉู่สิงคณะหนึ่งเดียว”

นักเรียนมีความสามารถของคณะสงบใจ ที่เหลืออยู่สามคน ต่างมองหน้ากันไปมา

หลิงเหยาพูดออกมาว่า “รอบนี้ฉันไม่สู้”

หมิงจูหัวเราะพรืดออกมา เห็นได้ชัดว่ากลั้นไม่อยู่

“ศิษย์น้องหลิงเหยา เธอชัดเจนเกินไปแล้ว เอาแต่รอคนที่ชอบขึ้นมาสู้ เธอถึงจะไปสู้ใช่ไหม”

หลิงเหยาก้มหน้าจนแทบจะมุดลงไปในอก พูดเบาๆ ว่า “ยังไงฉันก็ไม่สู้รอบนี้ แล้วแต่ศิษย์พี่ทั้งสองเลย”

หมิงจูมองเยียนหรานแล้วพูดว่า “งั้นศิษย์น้องเยียนหรานไปสู้ไหม”

เยียนหรานหวาดกลัวเล็กน้อย พูดเบาๆ ว่า “ศิษย์พี่หมิงจู พละกำลังของพวกนักเรียนคณะหนึ่งเดียวน่าจะอยู่ในแดนปราณนอกขึ้นไปเกือบทุกคน จากพละกำลังของฉันขึ้นไปสู้ คงมีแค่แพ้เท่านั้น ศิษย์พี่หมิงจูขึ้นไปสู้ดีกว่า”

ศิษย์พี่หมิงจูพยักหน้าพูดว่า “ได้ งั้นฉันเอง”

หมิงจูลุกขึ้น เดินอย่างอ่อนช้อยมากลางโถงใหญ่

ครูพูดเสียงดังว่า “หมิงจูคณะสงบใจสู้กับฉู่สิงคณะหนึ่งเดียว”

เสียงดังก้องไปทั่วโถงใหญ่ เห็นหมิงจูขึ้นมา ทันใดนั้น นักเรียนคณะสงบใจคึกคักทันที

“ศิษย์พี่หมิงจูสู้ๆ! ศิษย์พี่หมิงจูคือความภูมิใจของคณะสงบใจ”

“ศิษย์พี่หมิงจูผมรักพี่! ผมยอมเปิดหัวใจให้ดูเลย ในนั้นมีแค่พี่”

……

ไม่ว่าจะเป็นนักเรียนหญิงหรือชายของคณะสงบใจ เสียงตะโกนของกลุ่มคน แทบจะทำให้เพดานปลิวออกไป

นี่แค่สถานการณ์ในโถงหลัก จินตนาการได้เลยว่านักเรียนคณะสงบใจด้านนอก มีสภาพเป็นอย่างไร

บนที่ต่อสู้ หมิงจูกับฉู่สิงมองหน้ากันอย่างสุขุม ไม่มีใครมีท่าทีจะลงมือก่อน

หมิงจูยิ้มมุมปากบางๆ มองฉู่สิงแล้วพูดว่า “ศิษย์น้องฉู่สิง นายไม่ได้จะไม่ใช้อาวุธสู้กับฉันใช่ไหม”

ฉู่สิงยิ้มแล้วพูดว่า “ศิษย์พี่หมิงจูตลกแล้ว ผมไม่ได้มั่นใจจนถึงขั้นที่ไม่ต้องใช้อาวุธ สู้กับศิษย์พี่หมิงจูอันดับ 10 ของรายชื่อบู๊หรอก”

พูดพลาง ฉู่สิงสะบัดมือ กระบี่ยาวปรากฏออกมา

“โปรดชี้แนะด้วย!”

หมิงจูเคลื่อนไหวแขนเสื้อเบาๆ ฝ่ามือมีแสงเหมือนแสงจันทร์สว่างขึ้นมา

เสื้อปราณที่เหมือนแสงของดวงดาว ปกคลุมบนตัวหมิงจู นี่คือเคล็ดวิชาที่ทำให้หมิงจูมีชื่อเสียง และเป็นเคล็ดวิชาบู๊ล้ำค่าของคณะสงบใจ

บทที่ 283
ทันใดนั้นมีเสียงตกใจดังขึ้น ลู่ฝานและคนอื่นอ้าปากค้าง จนแทบยัดแอปเปิลเข้าไปได้ทั้งลูก

“หานเฟิง นายบ้าไปแล้วเหรอ”

ฉู่สิงพูดออกมาเป็นคนแรก

ศิษย์พี่ใหญ่หัวเราะ เสียงหัวเราะเหมือนเขาจะจากโลกนี้ไปแล้ว

นักเรียนคนอื่นของคณะสงบใจโมโหมาก โดยเฉพาะนักเรียนชายที่มีไม่มาก ลุกขึ้นมาชี้หานเฟิงแล้วพูดว่า “ไอ้หื่นกาม รนหาที่ตายใช่ไหม”

พวกนักเรียนหญิงอ้าปากอย่างตกใจ ทำไมหานเฟิงคณะหนึ่งเดียว ปากไม่มีหูรูดขนาดนี้ ศิษย์พี่ม่านเหยียนจะโมโหแล้ว

เป็นไปตามคาด ศิษย์พี่ม่านเหยียนหน้าแดงถึงหูทันที

ใบหน้าทั้งหน้าเหมือนผ่านการย่างมา แดงจนควันจะลอยขึ้นมา

“คนไร้ยางอาย!”

ตอนนี้พลังปราณบนตัวม่านเหยียนระเบิดออกมาสามเท่า ความโมโหทำให้ม่านเหยียนระเบิดพลังออกมาเหนือกว่าปกติ

เสียงเพลงดูเย็นยะเยือก นี่คือไม้ตายที่น่ากลัวของเพลงล่าขวัญฝันเลือนราง ผีร้ายกลืนจิต!

ทำนองหนึ่งดังขึ้นมา พื้นล่างเท้า พลังปราณบนตัวระเบิดออก

แรงกระเพื่อมอันน่ากลัว พร้อมด้วยแสงปกคลุมตัวหานเฟิงเอาไว้

จนแรงกระเพื่อมมาถึง หานเฟิงเพิ่งตั้งสติได้ สีหน้าตกใจทันที

ตู้มตู้มตู้มตู้ม!

เสียงระเบิดดังขึ้นบนตัวหานเฟิงติดต่อกัน

หานเฟิงกระอักเลือดออกมาเป็นสาย ตัวเอียงไปด้านหน้า ตอนช่วงเวลาสำคัญ เขาคว้ากระบี่ฟ้าครามเอาไว้ เพื่อไม่ให้ตัวเองล้มลงบนพื้น

แววตาม่านเหยียนมีความโมโห มองหานเฟิงอย่างแน่วแน่ ลู่ฝาน ฉู่สิงและฉู่เทียน เห็นหานเฟิงยังกำกระบี่ฟ้าครามเอาไว้แน่น จึงพากันโล่งอก

“ไม่ตายก็ดี!”

ลู่ฝานพยักหน้าพูด

ฉู่สิงพูดว่า “บาดเจ็บเล็กน้อยแบบนี้ ไม่เป็นปัญหากับศิษย์น้องหานเฟิง เรื่องเล็กๆ”

ฉู่เทียนพูดว่า “นิสัยปากไม่ดีของเขา ในที่สุดก็ต้องชดใช้แล้ว เห็นแล้วสะใจจริงๆ พวกนายจะกินเนื้อแห้งจนหมดจริงเหรอ”

ศิษย์พี่ใหญ่พักสายตา รอบนี้ตัดสินแพ้ชนะได้แล้ว

อาจารย์อี้ชิงกับอาจารย์เต้ากวง ดูอย่างนิ่งสุขุม หนังตาไม่กระตุกตั้งแต่ต้นจนจบ

อาจารย์อู๋โฉวที่อยู่ข้างๆ เห็นม่านเหยียนโมโหก็ตกใจ เตรียมจะห้ามม่านเหยียนเอาไว้ ตอนนี้เห็นหานเฟิงแผลเต็มตัว จึงทนดูไม่ค่อยได้

หันไปมองอี้ชิงกับเต้ากวง กลับพบว่าคนเป็นอาจารย์อย่างพวกเขาสองคนนิ่งมาก ราวกับคนที่บาดเจ็บสาหัสอยู่ข้างล่างไม่ใช่ศิษย์คณะหนึ่งเดียวของพวกเขา

อาจารย์อู๋โฉวอดพูดไม่ได้ว่า “อี้ชิง เต้ากวง พวกนายไม่พานักเรียนตัวเองกลับไปรักษาเหรอ ฉันว่าเขาบาดเจ็บสาหัสนะ อีกทั้งผลแพ้ชนะก็เห็นชัดเจนแล้ว”

อี้ชิงยิ้มแล้วพูดว่า “บาดเจ็บสาหัสเหรอ นั่นสำหรับคนอื่น สำหรับหานเฟิง บาดเจ็บแค่นี้ เป็นเพียงการฝึกฝนปกติเท่านั้น”

อาจารย์อู๋โฉวได้ยินดังนั้น แววตาของเธอเย็นชา เตรียมจะด่าอี้ชิง เป็นอาจารย์จะทำแบบนี้ไม่ได้

แต่พอคิดกลับกัน เหมือนอู๋โฉวคิดอะไรได้ พูดเบาๆ ว่า “หานเฟิง นายหมายถึง ตระกูลหานนั่น……”

อาจารย์อี้ชิงยิ้มแล้วพยักหน้า

อาจาย์อู๋โฉวสีหน้าประหลาด แววตาที่มองหานเฟิงเปลี่ยนไป ที่แท้เป็นเด็กตระกูลหาน ที่แท้เป็นแบบนี้นี่เอง

งั้นบาดเจ็บแค่นี้ ไม่นับประสาอะไร ความวิปริตของตระกูลนั้น ได้ฉายาว่าเลือดไหลจะเกิดใหม่

ม่านเหยียนมองหานเฟิงด้วยสายตาเย็นชา “นายแพ้แล้ว”

หานเฟิงเงยหน้าขึ้น มองม่านเหยียนด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยเลือด ยิ้มแล้วพูดว่า “ผมจะแพ้ได้ยังไง ล้มลงกับพื้นถึงจะแพ้ นี่ผมยังไม่ได้ล้มลงกับพื้นเลย พี่ดูสิ ผมยังยืนได้อยู่เลย”

พูดพลาง หานเฟิงยืดตัวขึ้น

เขายืนขึ้นมาได้จริงๆ

หานเฟิงยืนหลังตรงอีกครั้ง มองม่านเหยียนแล้วพูดว่า “จบหนึ่งบทเพลง พี่แพ้แล้ว”

บทที่ 282
โน้ตเพลงสูงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อถึงสุดท้าย เพลงแทบจะทำให้คนกระอักเลือดออกมา

สีหน้าหานเฟิงเปลี่ยนไป เห็นได้ชัดว่าฝืนอย่างยากลำบาก เสื้อปราณบนตัวบิดเบี้ยวตามเสียง

หานเฟิงเหมือนท้องผูก สีหน้าทุกข์ระทม อยากขยับก็ไม่สามารถทำได้

จู่ๆ เสียงเพลงหยุดลง ตอนมันขึ้นเสียงสูงสุด ก็หยุดลงอย่างกะทันหัน

ลู่ฝานขมวดคิ้วเบาๆ เขารู้สึกไม่ดีเช่นกัน

นักเรียนคณะสงบใจที่อยู่ในนี้ มีเลือดไหลออกจากมุมปาก เคล็ดวิชาบู๊คลื่นเสียงแค่นี้ ครอบคลุมพื้นที่เป็นวงกว้าง นักเรียนที่อยู่ในโถงหลัก โดนคลื่นเสียงโจมตี

ตัวหานเฟิงเอนไปด้านหน้า เหมือนจะอ้วกออกมา

แต่ขณะนั้น เสียงขลุ่ยดังขึ้นอีก

แรงกระเพื่อมแปลกประหลาดสามแรง ตามเสียงโจมตีตัวลู่ฝานเหมือนคลื่น

เสื้อปราณบนตัวลู่ฝานแตกออก ใกล้จะฝืนไม่ไหวแล้ว

แต่จู่ๆ หานเฟิงมีท่าทีตัดสินใจสู้ตาย เสื้อปราณบนตัวระเบิดออก ทำลายพลังปราณของตัวเอง ฝืนให้เขาประคองตัวยืนได้

แรงกระเพื่อมที่โจมตีบนตัวเขาทั้งสามแรง โดนเขาทำลายและหายไป

หานเฟิงตัวโงนเงน เสื้อของหานเฟิงระเบิดขาดเป็นแถบ เผยให้เห็นลำตัวส่วนบนอันแข็งแกร่งของเขา

เพราะเป็นคนที่ฝึกบู๊ ร่างกายสมส่วน กล้ามเนื้อกำยำ เป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้ว เลือดไหลออกมาจากรูขุมขนบนตัวหานเฟิง

ลู่ฝานอดกังวลไม่ได้

การทำลายพลังปราณตัวเองแบบนี้ ต้องบาดเจ็บถึงอวัยวะภายใน

สำหรับนักบู๊ อันที่จริงบาดเจ็บภายนอกไม่น่ากลัว โดยเฉพาะการบาดเจ็บที่มือเท้า ดูบาดแผลปะปนไปด้วยเลือดเนื้อเละเทะ อันที่จริงแค่ใช้สมุนไพร หรือยาเม็ด ผ่านไปสองวันก็ดีขึ้นแล้ว

สิ่งที่กลัวคือบาดเจ็บภายใน ถ้าบาดเจ็บถึงจุดสำคัญ จะเป็นเรื่องใหญ่ พิการทั้งหมด ใช่ว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

ม่านเหยียนตกใจกับการกระทำของหานเฟิง เสียงเพลงหยุดลงทันที

เธอเอามือปิดปาก มองไปทางหานเฟิง

หานเฟิงเงยหน้า ยิ้มอย่างน่ากลัว “จบแล้วเหรอ ดูเหมือนผมชนะแล้ว”

ม่านเหยียนกัดฟันพูดว่า “อันที่จริงยังมีท่อนสุดท้าย แต่นาย……”

หานเฟิงพูดว่า “ยังมีท่อนสุดท้ายเหรอ! มาสิ ฟังเพลงต้องฟังให้จบ จะขาดอีกท่อนได้อย่างไร!”

ม่านเหยียนดูไม่มีสมาธิแล้ว เธอกลัวว่าเป่าท่อนสุดท้ายแล้ว หานเฟิงที่อยู่ตรงหน้าจะตายต่อหน้าเธอหรือเปล่า

ม่านเหยียนหันไปมองอาจารย์อู๋โฉว แต่กลับพบว่าสีหน้าอาจารย์อู๋โฉวนิ่งมาก

ม่านเหยียนรวบรวมสติ วางขลุ่ยหยกไว้ตรงปาก

เสียงขลุ่ยดังขึ้น คลื่นเสียงพลุ่งพล่าน เหมือนเสียงบ่นข้างหู จากนั้นกลายเป็นเสียงอันทรงพลัง

การเปลี่ยนแปลงคาดเดาไม่ได้ แต่ไพเราะจนน่าอัศจรรย์

ในความฝันเลือนราง เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ดั่งสายน้ำ บทเพลงล่าวิญญาณ มีความระทมไม่จบไม่สิ้น

ลู่ฝานถูกดึงดูดไปแล้ว นี่คือ เพลงล่าขวัญฝันเลือนรางเหรอ

ยั่วยวนจิตวิญญาณคน ทำลายพลังปราณ ฆ่าพลังชี่ เป็นเคล็ดวิชาบู๊ที่เก่งกาจจริงๆ อย่างน้อยต้องระดับดินขึ้นไป

ลู่ฝานอาศัยวิชาเทพไร้ขีดจำกัดควบคุมสติ จึงทำให้เขาไม่โดนเพลงล่าขวัญฝันเลือนรางรบกวน

แต่เหมือนหานเฟิงติดกับดักแล้ว แววตาเหม่อลอย จ้องม่านเหยียนอยู่อย่างนั้น น้ำลายแทบไหลออกมาแล้ว

เห็นดังนั้น ม่านเหยียนรู้ว่าตัวเองชนะแล้ว อีกฝ่ายโดนควบคุมเอาไว้แล้ว เธอต้องเค้นเสียง ถึงจะโจมตีให้เขาล้มลงได้

พลังปราณบนตัวม่านเหยียนหายไป เธอไม่สู้แล้ว ฆ่าคนเป็นสิ่งไม่ดี

แต่ขณะนั้น หานเฟิงพูดเหมือนผีเข้า

“ศิษย์พี่ม่านเหยียนผมชอบพี่ พี่มีลูกกับผมเถอะ”

บทที่ 281
แต่จากที่พวกลู่ฝานมองแล้ว ไม่ใช่ท่าก้าวร้าวดุดัน แต่เป็นไอ้โง่เง่าเต่าตุ่นแยกขามากกว่า

ลู่ฝานกลอกตามองบน ไม่รู้จะพูดยังไงเหมือนกัน ปล่อยเขาไปเถอะ

เพราะศิษย์พี่หานเฟิงรู้สึกไปเองว่าดีก็พอแล้ว

หานเฟิงหัวเราะขึ้นมา “ใครจะมาสู้กับฉัน”

นักเรียนมีความสามารถของคณะสงบใจที่เหลืออยู่ มองหน้ากันไปมา ไม่มีท่าทีจะขึ้นไปสู้

หลิงเหยาก้มหน้า หมิงจูทำเหมือนไม่เห็นหานเฟิง

ม่านเหยียนกับเยียนหรานมองหน้ากัน ทั้งสองไม่เต็มใจขึ้นไปอย่างเห็นได้ชัด

โดยเฉพาะเยียนหราน เธอเคยเห็นหานเฟิงลงมือ รู้ว่าตัวเองขึ้นไป ต้องไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหานเฟิงแน่นอน

สุดท้าย อาจารย์อู๋โฉวพูดว่า

“ม่านเหยียน เธอไปรอบสองละกัน”

“ค่ะอาจารย์!”

ม่านเหยียนออกมายืนอย่างไม่เต็มใจอย่างยิ่ง ถือขลุ่ยหยก

ในมือ ม่านเหยียนขมวดคิ้วงาม มองหานเฟิงแล้วพูดว่า “โปรดชี้แนะด้วย”

หานเฟิงโบกมือไปมาแล้วพูดว่า “มิกล้าชี้แนะหรอก ศึกษาแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน ศิษย์พี่ม่านเหยียนผมได้ยินว่าเพลงล่าขวัญฝันเลือนรางของพี่ก้าวหน้าขึ้นอีกขั้น วันนี้เรามาสู้กันด้วยความดีงามสูงส่งไหม พี่เป่าขลุยมาหนึ่งบทเพลง ผมฟัง เมื่อจบบทเพลง ถ้าผมยังยืนอยู่ได้ นั่นคือผมชนะ ถ้าผมฝืนไม่ไหวแล้วล้มลงไป ถือว่าผมแพ้ เป็นไง”
ม่านเหยียนตาเป็นประกาย “หานเฟิงช่างห้าวหาญ แบบนี้ก็ดี ไม่ทำลายมิตรภาพ งั้นหานเฟิงได้โปรดฟังบทเพลงของฉัน”

หานเฟิงเอากระบี่ฟ้าครามปักลงบนพื้น มือสองข้างเท้าเอว ยืนอกผายไหล่ผึ่ง

ท่านี้ลู่ฝานไม่รู้จะพูดยังไง เห็นแล้วงง โดยเฉพาะท่ายืดเอว ดูลามกยังไงไม่รู้ ถ้ามีนักเรียนหญิงชอบเขา คงเป็นเรื่องแปลก

ม่านเหยียนวางขลุ่ยหยกตรงปาก ชุดปราณปรากฏขึ้นบนตัว มีผลการฝึกตนแดนปราณนอก

เสียงเพลงดังขึ้น ลู่ฝานรู้สึกว่าปราณชี่ในตัวเคลื่อนไหวตามไปด้วย เป็นเคล็ดวิชาบู๊ที่ดุดันมาก

เคล็ดวิชาบู๊คลื่นเสียงแบบนี้ ฝึกยากที่สุด แต่เมื่อฝึกได้แล้ว ก็เป็นสิ่งที่คาดเดาได้ยาก ดูถูกพลานุภาพไม่ได้เลย

ถ้าศิษย์พี่หานเฟิงประมาทเล็กน้อย ต้องเสียเปรียบแน่นอน

เสียงเพลงลอยไป จากต่ำไปสูง เสื้อปราณบนตัวม่านเหยียนค่อยๆ เปลี่ยนแปลง เห็นได้ด้วยตาเปล่าว่า มีแรงกระเพื่อมกระจายออกมาจากขลุ่ยหยก

นี่คือการที่พลังปราณกระตุ้นพลังฟ้าดิน ส่งแรงกระเพื่อมมาโจมตีหานเฟิง

ไม่นาน สีหน้าหานเฟิงจริงจังขึ้นมา มีเสื้อปราณขึ้นมาบนตัวเช่นกัน

เมื่อเห็นผลการฝึกตนแดนปราณนอกของหานเฟิง นักเรียนคณะสงบใจพากันส่งเสียงตกใจ โดยเฉพาะพวกนักเรียนที่ไม่ได้อยู่ในโถงหลัก นักเรียนที่ดูผ่านกระจกจำภาพ ล้วนพากันตะโกนออกมา

“ไอ้ขี้แพ้นี่มีพละกำลังแดนปราณนอกแล้ว อภัยไม่ได้!”

“เสื้อปราณเขาดูสมจริงมาก ไม่เหมือนได้มาจากวิชาชั่วร้าย หึ ถึงเขาเก่งจริงๆ ก็ให้เขาอวดดีในคณะสงบใจไม่ได้”

“ครั้งก่อนเขาเกือบถ้ำมองฉันในภูเขาตอนอาบน้ำ! ไอ้ขี้แพ้ทุเรศ ศิษย์พี่ม่านเหยียนสู้ๆ”

“จัดการไอ้ขี้แพ้เลย!”

……

เสียงตะโกนเช่นนี้ ดั่งไปทั่วคณะสงบใจ

ขนาดลู่ฝานที่อยู่ในโถงหลัก ยังแอบได้ยินเบาๆ

ไอ้ขี้แพ้เหรอ

นี่กำลังตะโกนใส่ใครอยู่ ศิษย์พี่หานเฟิงเหรอ

อย่าบอกนะว่าศิษย์พี่หานเฟิงยังมี “ฉายางดงาม” แบบนี้ในคณะสงบใจ

ลู่ฝานหัวเราะเบาๆ แล้วลูบหัวเจ้าดำ

เคล็ดวิชาบู๊คลื่นเสียงของม่านเหยียนไม่สามารถทำอะไรเขาได้เลย

บทที่ 280
สีหน้าหลินเสี่ยวอวิ๋นเปลี่ยนไป ประกายในแววตากำลังวูบไหว

ฉู่เทียนยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เหมือนที่ปักบนตัวเขาไม่ใช่กระบี่ ที่ไหลออกมาไม่ใช่เลือดของเขา

“ทำไมไม่หลบ ทำไมนายไม่หลบ!”

หลินเสี่ยวอวิ๋นตะโกนออกมาแทบขาดใจ

“ดาบของนายล่ะ ทำไมไม่เอาดาบออกมา นายบื้อหรือไง”

ฉู่เทียนพูดอย่างราบเรียบ “ฉันไม่ใช้ดาบกับเธอ ไม่มีทางเด็ดขาด!”

สีหน้าหลินเสี่ยวอวิ๋นเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว มือเริ่มสั่น

พวกนักเรียนคณะสงบใจ เห็นภาพตรงหน้า แววตาหันมามองด้านคณะหนึ่งเดียว หานเฟิงเอาเนื้อแห้งออกมาจากในอก แบ่งให้ลู่ฝานและคนอื่น แบ่งพลางพูดว่า “มาๆ ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่ฉู่สิง ศิษย์น้องลู่ฝาน นี่เป็นเนื้อแห้งที่เจ้าดำทำใหม่ๆ ทุกคนลองชิม เจ้าดำอย่ากัดฉัน แค่กินเนื้อแห้งของแกนิดหน่อยเอง ต้องทำขนาดนี้เหรอ”
ลู่ฝานปลอบใจเจ้าดำ กินเนื้อแห้งอย่างมีความสุข มองศิษย์พี่ฉู่เทียนกับหลินเสี่ยวอวิ๋นมองหน้ากันอย่างมีเยื่อใย
ดูเหมือนศิษย์พี่ฉู่เทียนโดนกระบี่แทง แต่ความจริงแล้วบาดเจ็บเพียงแค่ผิวหนังเท่านั้นเริ่มเป็นประกาย

หลินเสี่ยวอวิ๋นออมมือตอนวินาทีสุดท้าย พลังปราณไม่ได้เข้าไป

บาดเจ็บเพียงเล็กน้อย ไม่เป็นปัญหาอะไร

ลู่ฝานและคนอื่นเหมือนดูเรื่องสนุก

อาจารย์อี้ชิงมองหานเฟิงและคนอื่น น่าอับอายจริงๆ

ศิษย์พี่ของตัวเองกำลังอยู่ในช่วงสำคัญของความรัก ไอ้พวกนี้กลับกินอาหารกัน แต่ละคนกินจนมีเสียงแจ๊บๆ ออกมา เสียบรรยากาศ เสียบรรยากาศจริงๆ

ไม่เหลือเนื้อแห้งให้พวกเขาสักนิด……

ฉู่เทียนพูดกับครูว่า “รอบนี้ผมยอมแพ้”

ครูหัวเราะแล้วพยักหน้า จีบสาวตอนแข่งขันคณะ ภาพแบบนี้ไม่ได้เห็นง่ายๆ

คนพูดกันว่าคณะหนึ่งเดียว แต่ละคนล้วนอัศจรรย์พันลึก วันนี้ได้เห็น สมคำร่ำลือจริงๆ

หลินเสี่ยวอวิ๋นเก็บกระบี่กลับมา จากนั้นมองฉู่เทียน แล้วเดินกลับไป

ตอนที่ชักกระบี่ออกไป เลือดก็หยุดแล้ว จากพละกำลังของศิษย์พี่ฉู่เทียน บาดแผลเล็กน้อยแค่นี้ แค่นอนก็หายแล้ว

เดินกลับมาช้าๆ หานเฟิงมองฉู่เทียนแล้วพูดว่า “ศิษย์พี่รอง ขอโทษด้วยนะ ส่วนของพี่โดนเจ้าดำแย่งไปแล้ว”

ฉู่เทียนพูดว่า “ขอโทษด้วย ฉันแพ้รอบแรก แต่ไม่ได้ส่งผลกระทบกับพวกนายใช่ไหม”

หานเฟิงโบกมือไปมา “พี่แพ้จนชินแล้ว ใครจะว่าอะไรล่ะ ดูเหมือนรอบที่สอง ต้องให้ผมไปโชว์แล้วล่ะ ศิษย์พี่ศิษย์น้องทุกคน ฉันไปสู้ละ”

กินเสร็จแล้วเช็ดปาก หานเฟิงถือกระบี่หยกเดินออกไป

ฉู่สิงถามฉู่เทียนเบาๆ ว่า “จะพาพี่สะใภ้กลับตระกูลตอนไหน”

ฉู่เทียนหน้าแดง แบบเห็นได้ไม่บ่อย “พี่สะใภ้อะไร อย่าพูดมั่วซั่ว”

ศิษย์พี่ใหญ่หัวเราะเสียงดัง แล้วพูดว่า “ฉันว่าโอเคนะ พากลับไปตอนเทศกาลเซ่นไหว้ประจำปีในปีนี้สิ”

ลู่ฝานก็ยิ้มตาม แต่จู่ๆ เขาเห็นว่าสายตาของหลิงเหยา เอาแต่มามองที่เขา

ลู่ฝานสบตากับหลิงเหยา จู่ๆ หลิงเหยาก้มหน้าลงอย่างเขินอาย

วันนี้หลิงเหยาแต่งตัวธรรมดามาก แต่กลับมีออร่าเบาๆ สวมชุดขาวทั้งตัว มีปอยผมด้านหน้า ท่วงท่างดงามเป็นธรรมชาติ

ลู่ฝานรู้สึกว่าหัวใจตัวเองเต้นแรงขึ้น ความรู้สึกหวั่นไหวเหรอ

คงใช่!

ที่แข่งขัน หานเฟิงยืนอย่างโอหัง

ยืนแยกขาออก จนแทบจะลงไปอยู่บนพื้น

นี่คือท่ายืนก้าวร้าวที่ศิษยพี่หานเฟิงพูด ยืนทำท่าก้าวร้าวดุดัน ได้ยินศิษย์พี่ฉู่สิงพูดว่า เพื่อท่านี้ หานเฟิงฝึกอยู่หนึ่งวัน

บทที่ 279
ในโถงหลัก อาจารย์อู๋โฉวกับอาจารย์อี้ชิงยืนขึ้น

ครูคนหนึ่งนำเอกสารมา ทุกคนเซ็นอย่างรวดเร็ว เมื่อจัดการเอกสารเสร็จ การแข่งขันจึงเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ

พริบตาเดียว โต๊ะเก้าอี้เลื่อนไปด้านหลัง นักเรียนคณะสงบใจก็ลุกขึ้นอย่างรู้งาน พากันยืนตรงมุมสี่มุมในโถงใหญ่ เหลือพื้นที่ตรงกลางไว้เป็นที่แข่งขัน

“เชิญ!”

“เชิญ!”

เก้าอี้หวายสามตัวผุดขึ้นมาจากใต้ดิน อยู่ด้านล่างใกล้กับกระจกจำภาพบานที่อยู่เหนือสุด

อาจารย์ทั้งสามท่านนั่งลง ครูพูดว่า “การแข่งขันจัดอันดับคณะ ระหว่างคณะหนึ่งเดียวกับคณะสงบใจ เริ่มได้”

เมื่อพูดจบ หลินเสี่ยวอวิ๋นคณะสงบใจเดินออกมาคนแรก

“ฉู่เทียน นายออกมา”

หลินเสี่ยวอวิ๋นชี้หน้าศิษย์พี่รองฉู่เทียน แล้วพูดเสียงดัง

ลู่ฝานอึ้งไป ฟังจากน้ำเสียงของผู้หญิงคนนี้ เหมือนมีความสัมพันธ์อะไรกับศิษย์พี่ฉู่เทียน ขนาดเจ้าดำยังหันไปมองศิษย์พี่ฉู่เทียน

ศิษย์พี่หานเฟิงหัวเราะ พูดข้างหูลู่ฝานว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน ตกใจใช่ไหม ฉันบอกอะไรให้รู้นิดหน่อยไหม”

ลู่ฝานพูดว่า “อย่าบอกนะว่าศิษย์พี่ฉู่เทียนกับหลินเสี่ยวอวิ๋นมี……”

หานเฟิงยักคิ้วหลิ่วตาแล้วพูดว่า “ไม่ใช่แค่มี นายก็รู้ คณะหนึ่งเดียวของเราอยู่ที่เก้าทุกปี ทุกครั้งที่ต่อสู้ คณะที่เจอเป็นคณะแรกคือคณะสงบใจ อันที่จริงฉันสู้ได้ไม่เลวนะ แต่ทุกครั้งที่ถึงตาศิษย์พี่ฉู่เทียน เขาจะแพ้ให้กับหลินเสี่ยวอวิ๋น เหตุการณ์แท้จริงเป็นไง นายรู้ดี”

ศิษย์พี่ฉู่สิงยื่นหน้าเข้ามา “ฉันจะบอกพวกนายให้นะ หนึ่งเดือนก่อนหน้านี้ ฉู่เทียนบอกว่าจะขึ้นเขาไปเก็บตัว อันที่จริงไปหาหลินเสี่ยวอวิ๋น”

ลู่ฝานกับหานเฟิงอ้าปากค้าง ศิษย์พี่ใหญ่ที่อยู่ข้างๆ ตบหลังฉู่เทียน “ฉู่เทียน เขาเรียกนายน่ะ ยังไม่รีบไปอีก!”

สีหน้าฉู่เทียนไม่เคยกระอักกระอ่วนแบบนี้มาก่อน เขาเดินออกไปช้าๆ

ครูพูดออกมาพอดีว่า “รอบแรก ฉู่เทียนคณะหนึ่งเดียวสู้กับหลินเสี่ยวอวิ๋นคณะสงบใจ เริ่มสู้ได้”

หลินเสี่ยวอวิ๋นสะบัดมือ กระบี่เมฆาห้าสีปรากฏขึ้นในมือ เธอมองฉู่เทียนแล้วพูดว่า “ฉู่เทียน ถ้าวันนี้นายยังทำอย่างขอไปทีอีก อย่าหาว่าฉันลงมืออย่างไร้เยื่อใย”

“โอ๊ะ……”

หานเฟิงส่งเสียงออกมา ฉู่สิงที่อยู่ข้างๆ ปิดปากเขาไว้

ฉู่เทียนมองหลินเสี่ยวอวิ๋น ด้วยสีหน้าดูไม่เป็นธรรมชาติ

ลู่ฝานพูดด้านล่างว่า “เฮ้อ ดูเหมือนรอบแรกคงไม่สวยแล้ว”

อาจารย์อู๋โฉวเห็นดังนั้น จึงยิ้มแล้วพูดว่า “ดูเหมือนนักเรียนคณะสงบใจ โดนคนคณะหนึ่งเดียวเอาไปอีกคนแล้ว”

อี้ชิงพูดว่า “ศิษย์คณะหนึ่งเดียว ล้วนห้าวหาญ หน้าตาก็ได้ พละกำลังก็ได้ อยู่กับคนคณะหนึ่งเดียว ไม่ผิดแน่นอน”

“เหรอ”

อาจารย์อู๋โฉวหันมามองอี้ชิง มองพุงของอี้ชิงไปมา

อี้ชิงพยายามแขม่วพุง แต่ดูเหมือนยังไม่ได้แขม่ว

ในที่ประลอง หลินเสี่ยวอวิ๋นจ้องฉู่เทียนแล้วพูดว่า “เอาดาบออกมาสิ”

ฉู่เทียนยืนนิ่งที่เดิม หลินเสี่ยวอวิ๋นจ้องเขม็ง ถือกระบี่พุ่งเข้ามา

พลานุภาพพลุ่งพล่าน ทันใดนั้น หลินเสี่ยวอวิ๋นใช้พละกำลังปราณในขั้นสูงสุดออกมาทันที ผลการฝึกตนระดับนี้ ไม่ต่างจากก่อนที่ลู่ฝานจะให้ยากับฉู่เทียน

กระบี่พุ่งไปที่หน้าอกของฉู่เทียน

นักเรียนหญิงจำนวนไม่น้อย ต่างส่งเสียงตกใจออกมา ทำไมตอนนี้ฉู่เทียนไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย

วินาทีต่อมา กระบี่ของหลินเสี่ยวอวิ๋นปักลงบนตัวฉู่เทียน

เลือดหยดหนึ่งไหลลงมาตามตัวกระบี่

บทที่ 278
อาจารย์อู๋โฉวยิ้มออกมา รอยยิ้มราวกับดอกกล้วยไม้เบ่งบาน

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นเราแข่งดนตรีบทเพลงกันไหม”

จู่ๆ สีหน้าอาจารย์อี้ชิงชะงักไป ลู่ฝานและคนอื่นมีสีหน้าตกใจ

คงไม่ได้ให้พวกเขาแข่งดนตรีบทเพลงกับพวกผู้หญิงหรอกใช่ไหม

หานเฟิงหดคอพูดเสียงเบาว่า “ตีฉันให้ตาย ฉันก็ไม่แข่ง ใครจะแข่งก็แข่ง”

ศิษย์พี่ฉู่สิง ศิษย์พี่ฉู่เทียนและศิษย์พี่ใหญ่กลอกตามองบน

ลู่ฝานก็มีสีหน้าประหลาด ถ้าแข่งเรื่องนี้ คณะหนึ่งเดียวคงยอมแพ้ได้ทันที

อาจารย์เต้ากวงหัวเราะเบาๆ อยู่ข้างๆ “อู๋โฉว พวกเธอแข่งเรื่องนี้ งั้นเราคงต้องกลับคณะแล้วล่ะ รวมคณะอื่นในสถาบันสอนวิชาบู๊ ก็ยังสู้คณะสงบใจของพวกเธอไม่ได้เลย”

อู๋โฉวยิ้ม มองอาจารย์อี้ชิงแล้วพูดว่า “อี้ชิง นายบอกว่าแข่งอะไรก็ได้ไม่ใช่เหรอ”

อาจารย์อี้ชิงยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน

อาจารย์อู๋โฉวพูดว่า “ฉันพูดเล่น เอาตามกฎเดิมดีกว่า ชนะ 3 ใน 5”

อี้ชิงยิ้มแล้วพยักหน้า อาจารย์อู๋โฉวปรบมือ นักเรียนด้านล่างรีบยกกระจกทองเหลืองขนาดใหญ่สี่บาน มาวางไว้รอบๆ

กระจกทรงกลมสะท้อนไปทั่วโถงใหญ่

“กระจกจำภาพเหรอ”

ลู่ฝานพูดอย่างตกใจเล็กน้อย อาจารย์อู๋โฉวยิ้มแล้วพูดว่า “คิดไม่ถึงว่าในคณะหนึ่งเดียว มีคนรู้จักเครื่องรางของผู้ฝึกชี่ด้วย นายชื่อลู่ฝานใช่ไหม”

ลู่ฝานพูดอย่างนอบน้อมว่า “ใช่ครับอาจารย์อู๋โฉว”

อาจารย์อู๋โฉวยิ้มแล้วพูดว่า “บุคคลที่มีความสามารถ ผลการฝึกตนก็ไม่เลว นายมีโอกาสสูงที่จะหาคู่ทุกข์คู่ยากได้จากคณะสงบใจของเรา พยายามต่อไปนะ”

พูดพลางอาจารย์อู๋โฉวมองหลิงเหยาอย่างมีเลศนัย

ทันใดนั้นหน้าของหลิงเหยา แดงเหมือนเปลวไฟเผา

นักเรียนหญิงคณะสงบใจจำนวนไม่น้อย พากันหัวเราะขึ้นมา ถึงขั้นที่ลู่ฝานเห็นนักเรียนหญิงส่วนหนึ่ง มองเขาด้วยสายตารักใคร่

ขนาดลู่ฝานเองก็ไม่รู้ ตอนนี้ชื่อเสียงของเขาดังไปทั่วสถาบันสอนวิชาบู๊ นักเรียนหญิงที่สนใจเขามีไม่น้อย นักเรียนหญิงจำนวนไม่น้อยมาดูเขาที่นี่

โดยเฉพาะตอนนี้ เห็นลู่ฝานหน้าตาไม่แย่ ใบหน้าแข็งแกร่งเด็ดขาด ส่วนประกอบบนใบหน้าโดดเด่น ดูมีความห้าวหาญ

นักเรียนหญิงจำนวนมากหวั่นไหวทันที จินตนาการได้เลยว่าเมื่อพวกเขาแข่งเสร็จ จะมีนักเรียนหญิงแอบส่งจดหมายรักให้ลู่ฝานมากมายแค่ไหน

หานเฟิงที่อยู่ข้างๆ ถามเบาๆ ว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน กระจกจำภาพคืออะไรเหรอ”

ศิษย์พี่ฉู่เทียน ศิษย์พี่ฉู่สิงและศิษย์พี่ใหญ่ที่อยู่ข้างๆ เงี่ยหูฟัง พวกเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคืออะไร

ลู่ฝานอธิบายว่า “เป็นเครื่องรางชนิดหนึ่งของผู้ฝึกชี่ สามารถบันทึกภาพการต่อสู้เอาไว้ได้ และสามารถปล่อยออกไปได้ แค่มีกระจกจำภาพขนาดใหญ่วางไว้ด้านนอกอีกหนึ่งบาน ภาพการแข่งขันของเราที่นี่ คนนอกสามารถเห็นได้บนกระจกจำภาพ”

หานเฟิงและคนอื่นพยักหน้าเข้าใจ ดูเหมือนสิ่งนี้ใช้การได้จริง

อย่างที่ลู่ฝานพูด ตอนนี้ในคณะสงบใจ มีกระจกจำภาพวางไว้สิบกว่าบาน เพื่อให้นักเรียนในคณะดู

เพราะนักเรียนที่มานั่งในโถงใหญ่ได้ มีจำนวนน้อย ส่วนมากรวมตัวกันอยู่ที่ลานประลองของคณะสงบใจ

พูดขึ้นมา ลานประลองคณะสงบใจ คงเป็นสิ่งก่อสร้างที่ไร้ประโยชน์ที่สุดในสถาบันสอนวิชาบู๊

ปกตินักเรียนคณะสงบใจอยู่กันอย่างสันติ ต่อสู้กันน้อยมาก ถึงมีก็จัดการกันส่วนตัว ไม่เหมือนนักเรียนคณะอื่น ไม่ทันไรก็ไปพนันกันที่ลานประลอง ถึงขนาดที่ว่างๆ ก็ไปสู้กันเล่นๆ

ดังนั้นตอนนี้ลานประลอง มีประโยชน์ให้ทุกคนดูการแข่งขันด้วยกัน

บทที่ 277
จากที่ศิษย์พี่หานเฟิงพูดว่า “จะให้ศิษย์น้องลู่ฝานไปสู้คนเดียวทุกครั้งได้ยังไง ครั้งนี้พวกศิษย์พี่จะไปเป็นเพื่อนนายเอง นายไม่ต้องลงมือเลย ให้ศิษย์พี่จัดการเอง”

ตอนพูดประโยคนี้ ศิษย์พี่หานเฟิงตบอกตัวเองดังปักๆ

แต่ในความเป็นจริง ลู่ฝานรู้เป็นอย่างดี เมื่อเช้ายังได้ยินศิษย์พี่หานเฟิงกับศิษย์พี่ฉู่สิงคุยกันอยู่เลย

“วันนี้ไปคณะสงบใจ ต้องจีบนักเรียนหญิงกลับมาให้ได้สักคน นี่เป็นความปรารถนาของฉันมาหลายปี”

“ก่อนหน้านี้หลายปี ไม่มีโอกาสไปคณะสงบใจอย่างอกผายไหล่ผึ่ง ครั้งนี้จะเสียเปล่าไม่ได้ นักเรียนหญิงคณะสงบใจ พวกเรามาแล้ว”

“ศิษย์พี่สามพูดถูก เราพาเจ้าดำไปด้วย ไม่แน่มันอาจเจอสัตว์อสูรตัวอื่นก็ได้ คณะสงบใจมีสัตว์อสูรไม่น้อยเลย วะฮ่าๆๆๆ”

…..

เดินเข้ามาในคณะสงบใจ เพิ่งเดินเข้าประตูคณะ ก็มีนักเรียนหญิง 2-3 คน เดินเข้ามา

“คณะหนึ่งเดียวใช่ไหม อาจารย์สั่งไว้แล้ว เชิญทางนี้”

นักเรียนหญิงคณะสงบใจผายมือขวา นักเรียนหญิงงดงามอ่อนช้อย พูดด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้มสดใส

จู่ๆ หานเฟิงกับฉู่สิงมองจนเคลิ้ม

อาจารย์อี้ชิงกระแอมเบาๆ ให้หานเฟิงกับฉู่สิงสุขุมหน่อย อย่าทำเหมือนไม่เคยเจอผู้หญิง

“งั้นรบกวนนำทางด้วย”

นักเรียนหญิงคณะสงบใจ 3 คน พากันหัวเราะ คนที่นำมาอย่างม่านเหยียนยิ้มจนตาเป็นสระอิ แล้วเดินนำทางไปข้างหน้า

ตอนนี้ศิษย์พี่ฉู่เทียนปรายตามองหานเฟิงกับฉู่สิง แล้วพูดว่า “พวกนายนิ่งๆ หน่อยได้ไหม อย่าทำขายหน้านี่ ฉันล่ะอับอายแทนพวกนายจริงๆ พวกนายนิ่งแบบศิษย์พี่ใหญ่ได้ไหม”

เมื่อศิษย์พี่ใหญ่ได้ยิน ก็ยืดพุงโตของตัวเอง

หานเฟิงมองศิษย์พี่ใหญ่อย่างประเมิน “ศิษย์พี่ใหญ่ ไม่ต้องแสร้งทำแล้ว ศิษย์พี่แข็งหมดแล้ว”

ศิษย์พี่ใหญ่รีบจับเป้าด้วยสีหน้าเขินอาย

หานเฟิงหัวเราะออกมา ฉู่สิงที่อยู่ข้างหานเฟิงพูดดุว่า “ศิษย์น้องหานเฟิง ดูเหมือนนายจะไม่กลับคณะหนึ่งเดียวแล้วใช่ไหม”

ตอนนี้หานเฟิงเพิ่งเห็นว่าศิษย์พี่ใหญ่ยืนกำหมัดมองเขา

หานเฟิงรีบไปหลบข้างหลังลู่ฝาน แล้วตะโกนว่า “ศิษย์น้องลู่ฝานช่วยฉันด้วย”

ลู่ฝานมีสีหน้าเหนื่อยใจ พูดว่า “ศิษย์พี่หานเฟิง พูดน้อยๆ หน่อย ไม่ตายหรอก”

เสียงทะเลาะโหวกเหวกโวยวาย ม่านเหยียนพาทุกคนมายังโถงหลักของคณะสงบใจ

เมื่อเข้ามาในโถง มองออกไป มีนักเรียนคณะสงบใจนั่งอยู่เต็มไปหมด

คณะสงบใจฝึกวิชาบู๊ ใช้ใจที่สงบฝึกฝน มีชื่อเสียงด้านบทกลอน เขียนพู่กัน การเล่นขิม หมากรุก ลักษณะเด่นของคณะคือ ไม่ชอบการแข่งขันต่อสู้ ด้วยเหตุนี้ จึงมีนักเรียนหญิงเยอะ มองไปรอบๆ นักเรียนเกือบ 70 เปอร์เซ็นต์ ล้วนเป็นผู้หญิง
คนที่นั่งตรงกลางคืออาจารย์อู๋โฉวคณะสงบใจ ตำแหน่งเรียงจากซ้ายมือคือ หมิงจู หลิงเหยา หลินเสี่ยวอวิ๋น ม่านเหยียนและเยียนหราน รวมห้าคน
ห้าคนนี้เป็นนักเรียนที่โดดเด่นของคณะสงบใจ ล้วนเป็นผู้หญิง ไม่มีผู้ชายสักคน

หานเฟิงพึมพำว่า “คณะสงบใจใกล้เป็นคณะผู้หญิงแล้ว ปีก่อนยังมีนักเรียนชายโดดเด่นอยู่คนหนึ่ง ปีนี้ไม่มีเลย หรือว่าอาจารย์อู๋โฉวเลือกปฏิบัติ”

“ไร้สาระ!”

อาจารย์อี้ชิงหันมาดุหานเฟิง

หานเฟิงไม่เพียงแต่รีบหุบปาก ยังหลับตาลงด้วย

ศิษย์พี่ฉู่สิงที่อยู่ข้างๆ กระซิบข้างหูลู่ฝานว่า “อาจารย์ทนฟังคนต่อว่าอาจารย์อู๋โฉวไม่ได้ ฉันสงสัยว่าตอนนั้นอาจารย์กับ……อิอิ นายก็รู้”

ลู่ฝานทำท่าเข้าใจ มองอาจารย์อี้ชิงกับอาจารย์อู๋โฉวไปมา

พูดขึ้นมา อาจารย์อู๋โฉวกับอาจารย์เมิ่งอวิ๋นของคณะบังเหิน ถ้าไม่มองเรื่องอายุ ก็ยังเป็นสาวงามที่สวยจนตกตะลึง

กาลเวลาที่ผ่านไป แทบจะไม่ทิ้งร่องรอยอะไรไว้บนใบหน้าพวกเธอเลย

ดูอาจารย์อี้ชิงสิ โดนกาลเวลาทำร้ายจนกลายเป็นอะไรไปแล้ว หันมามองอาจารย์อู๋โฉว จินตนาการยากมากว่าพวกเขาเป็นคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน

อาจารย์อู๋โฉวลุกขึ้นพูดว่า “เชิญคณะหนึ่งเดียวทุกท่าน!”

ลู่ฝานและคนอื่นรีบโค้งคำนับ จากนั้นทุกคนพากันไปนั่ง

เพิ่งนั่งลง คนที่นั่งตรงข้ามลู่ฝานคือหลิงเหยา ที่ไม่ได้เจอกันนาน

เธออมยิ้มมองลู่ฝาน

หมิงจูที่นั่งข้างหลิงเหยาขยับเข้ามาใกล้แล้วพูดว่า “ศิษย์น้องหลิงเหยา สายตาเธอไม่เลวนี่ มองดูดีๆ ลู่ฝานดูห้าวหาญ เทียบกับครั้งก่อนที่เจอเขา เหมือนเขาเปลี่ยนแปลงไป อย่าบอกนะว่าพละกำลังเพิ่มขึ้นอีกแล้ว”

หลิงเหยาแก้มแดงระเรื่อ “ศิษย์พี่ เบาๆ หน่อย”

หมิงจูหยุดพูด ไม่ได้พูดอะไรมากอีก แต่รอยยิ้มยังไม่หายไป

ไม่รู้สายตาของอาจารย์อู๋โฉว มองมาทางหลิงเหยาตั้งแต่เมื่อไร จากนั้นหันไปกวาดตามองลู่ฝาน

อาจารย์อู๋โฉวยกยิ้มมุมปาก พูดเสียงก้องกังวานว่า “อี้ชิง เต้ากวง วันนี้พวกนายมาคณะสงบใจของฉัน ต้องการสู้แบบไหน”

อี้ชิงรีบพูดว่า “แข่งยังไงก็ได้”

บทที่ 276
แววตาลู่ฝานวูบไหวเล็กน้อย เงียบอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ท่านผอ. บนตัวผมมีความพิเศษเล็กน้อย จึงรู้วิชาของผู้ฝึกชี่เล็กน้อย”

ท่านผอ.พยักหน้านิ่งๆ “อืม อายุแบบนาย มีความสำเร็จขนาดนี้ มีความพิเศษ เป็นเรื่องปกติมาก แต่ฉันต้องเตือนนายไว้ ทุกสิ่งที่ฝึกสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นวิชาบู๊หรือฝึกชี่ ไม่มีใครที่ไม่มีความพิเศษ ตอนนี้ฉันไม่ได้เปิดโปงนาย แต่หวังว่าต่อไปนายจะรอบคอบ หลอกลวงต้องหลอกให้แนบเนียน”

ท่านผอ.พูดถึงตรงนี้ แล้วหัวเราะเบาๆ ออกมา

ลู่ฝานเห็นรอยยิ้มของท่านผอ. ก็เข้าใจทันที

“ที่แท้ท่านผอ.รู้ทุกอย่างแล้ว”

ท่านผอ.หัวเราะแล้วพูดว่า “ไม่ได้รู้ทั้งหมดหรอก อย่างเช่น สถานการณ์ในจวนอากาศธาตุของนาย ฉันไม่รู้จริงๆ แต่เมื่อนายออกจากจวนอากาศธาตุ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น จะปิดบังเทียนฉี่ได้ยังไง ในเมื่อปิดบังเทียนฉี่ไม่ได้ ก็ปิดบังฉันไม่ได้เหมือนกัน ตอนเอี๋ยนชิงออกจากจวนอากาศธาตุ ฉันเห็นอย่างชัดเจน หม้อสือฟางโดนพวกเฟิงหลิงขุดขึ้นมายังไง ฉันก็เห็นอย่างชัดเจน ต้นสายปลายเหตุเป็นอย่างไร แม้ไม่รู้ทั้งหมด แต่ก็พอรู้อยู่บ้าง แค่ไม่พูดเท่านั้น จ้าวซวี่อะไรนั่นคิดว่าฉันเลอะเลือนจริงๆ หรือไง”

ลู่ฝานพูดว่า “แล้วทำไมท่านผอ.ยัง……”

ท่านผอ.ยิ้มแล้วมองลู่ฝาน “เพราะฉันอยากเห็นการแสดงออกของนาย”

ลู่ฝานกลืนคำที่จะพูดลงไป ส่ายหน้าแล้วยิ้มแหย

ท่านผอ.พูดว่า “แต่การแสดงออกของนาย ทำให้ฉันตกใจจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นราศีหรือความสุขุม ความไม่กลัวอันตราย ไม่แข็งกร้าวจนดูเย่อหยิ่ง และไม่ถ่อมตัวเกินจนดูต้อยต่ำ เห็นบุคลิกของผู้กล้าอายุน้อย นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมฉันถึงพานายมาที่นี่ นายคิดว่าในสถาบันสอนวิชาบู๊ ศิษย์ทุกคนจะมาลองเขตวิถีที่นี่ได้เหรอ”

ลู่ฝานประสานมือคำนับ “ขอบพระคุณท่านผอ.มากครับ”

ท่านผอ.โบกมือไปมาเบาๆ “ตอนนี้ไม่พูดเรื่องพวกนี้ก่อน สุดท้ายจะถามนายอีกว่าอุดมคติของนายคืออะไร”

ลู่ฝานตอบโดยไม่ต้องคิดว่า “ผมจะเป็นผู้แข็งแกร่ง”

ท่านผอ.ยิ้มแล้วพูดว่า “ผู้แข็งแกร่งแบบไหน”

ลู่ฝานพูดว่า “ผู้แข็งแกร่งที่แข็งแกร่งกว่าทุกคน แค่ผมยังมีชีวิตอยู่ ผมจะแข็งแกร่งให้ได้”

ท่านผอ.ยกยิ้มมุมปาก จากนั้นหัวเราะออกมา
“น่าสนใจๆ ฉันรอวันที่นายมาเมืองหลวงแล้วล่ะ เอาล่ะ ลู่ฝาน ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป นายเข้าออกที่นี่ได้ตามใจชอบ การต่อสู้จัดอันดับของสถาบัน ฉันแนะนำว่านายอย่าเสียเวลากับเรื่องเล็กน้อยแบบนี้ รีบฝึกฝนคือสิ่งสำคัญ สองสามวันต่อจากนี้ นายใช้สิ่งที่ทำความเข้าใจ 2-3 วันนี้ให้ดี อย่าลงมือแบบประมาทอีก”
พูดจบ ตัวของท่านผอ.กลายเป็นลำแสง หายไปอย่างไร้ร่องรอย
หลังผ่านไปหนึ่งวัน ที่คณะสงบใจ
แม่น้ำภูเขาอันงดงามไร้ที่ติ นี่คือการประเมินที่ลู่ฝานพูดในใจ เมื่อมาถึงคณะสงบใจ
ไม่ว่าจะเป็นเขาหยู่เฟิงที่ตั้งของคณะสงบใจ หรือสิ่งก่อสร้างอันประณีตงดงามในคณะสงบใจ เหมาะสมกับการประเมินนี้มาก
“ศิษย์น้องลู่ฝาน นายว่าเสื้อตัวนี้ของฉันเป็นไง ยับหรือเปล่า ผิดรูปไหม ที่สำคัญคือเท่ไหม”
ศิษย์พี่หานเฟิงเชิดหน้าขึ้น อกผายไหล่ผึ่ง พยายามทำท่าดุดันออกมา
แต่น่าเสียดายความดุดันของเขาทำได้เพียงโอหัง ไม่สามารถแสดงออกมาได้
ลู่ฝานมองแล้วพูดราบเรียบ “อืม ดีมากครับ เท่สุดๆ ไปเลย!”
“ฮ่าๆ ฉันบอกแล้ว แค่คนหน้าตาดี สิ่งอื่นเป็นแค่สิ่งที่จับต้องไม่ได้ เสื้อผ้าแค่ทำให้ฉันดูเท่ขึ้นเท่านั้น โอ๊ย ศิษย์พี่ฉู่สิง อย่าเอามือที่เข้าห้องน้ำแล้วไม่ล้างมาโดนผม”
ฉู่สิงถลึงตาใส่หานเฟิง “อย่าพูดไร้สาระ ฉันเข้าห้องน้ำไม่ล้างมือตอนไหน ศิษย์น้องหานเฟิง ถ้านายทำให้ฉันมีความทรงจำที่ไม่ดีต่อหน้าพวกศิษย์น้องหญิงคณะสงบใจ กลับไปฉันจะทำให้นายรู้ว่าควรเคารพศิษย์พี่อย่างไร”
ทั้งสองมองหน้ากัน ศิษย์พี่ฉู่เทียนกับศิษย์พี่ใหญ่จัดเสื้อผ้า พากันมองหานเฟิงกับฉู่สิงอย่างดูหมิ่น
วันนี้ทั้งคณะหนึ่งเดียว รวมอาจารย์อี้ชิงกับอาจารย์เต้ากวงในนั้นด้วย ล้วนเปลี่ยนชุดใหม่ดูดี
มองชุดคลุมบู๊ใหม่เอี่ยม แล้วมองผมที่หานเฟิงเอาน้ำลายปาดจนเรียบแปล้ แววเหมือนสุนัขเลีย วันนี้เจ้าดำยังตามมาด้วย บนตัวมีชุดที่ทำมาจากกางเกงบ็อกเซอร์ของศิษย์พี่ใหญ่ เจ้าดำที่ตัวใหญ่ประมาณสิงโต ดึงเสื้อบนตัวไม่หยุด เหมือนการสวมชุดนี้ เป็นการหยามเกียรติของสัตว์อสูรอย่างมัน
เดิมทีลู่ฝานคิดว่าการแข่งกับคณะสงบใจวันนี้ พวกศิษย์พี่จะให้เขามาคนเดียวอีก
คิดไม่ถึงว่าพวกศิษย์พี่ กระตือรือร้นกว่าเขามาก เตรียมตัวไว้นาน เมื่อลู่ฝานกลับมา วันต่อมาจึงมาที่คณะสงบใจ

บทที่ 275
น้ำกระเพื่อมจนเป็นคลื่น

ลู่ฝานใช้อีกเท้าก้าวออกมา ยืนอยู่บนผิวน้ำ

เหมือนหินหล่นลงไปในน้ำ จนทำให้น้ำกระเพื่อมออกไปเป็นวงกว้าง

ลู่ฝานยืนตระหง่านบนผิวน้ำ พลังฟ้าดินบริเวณรอบๆ เริ่มเคลื่อนไหวอย่างประหลาด

เกิดกระแสน้ำวนบนผิวน้ำ มีพลังสีทองเคลื่อนไหวอยู่รอบๆ

แววตาท่านผอ.เป็นประกาย พูดออกมาติดต่อกันสามครั้ง

“ดี ดี ดี!”

ฝีเท้าของลู่ฝานมั่นคง ก้าวไปกลางทะเลสาบ

การที่เรียกว่าเขตวิถี สิ่งสำคัญคือวิถีด้านในนั้น

ลู่ฝานสัมผัสได้ถึงความมีชีวิต ในเขตวิถีแฝงไปด้วยพลังไม่มีที่สิ้นสุด

ยิ่งใหญ่ ล้ำลึก ลึกลับเป็นอย่างมาก

แม้เขามองเห็นจากรูเล็กๆ แต่ทำให้เขตวิถีไม่ผลักดันเขาออกมาอีก

ไม่รู้เป็นเขตวิถีที่ใครทิ้งไว้ ลู่ฝานอดจินตนาการไม่ได้ พลังของคนคนนั้น จะน่ากลัวและแข็งแกร่งขนาดไหนกันนะ

มองเพียงด้านเดียวก็เป็นที่ประจักษ์

ลู่ฝานเดินไปอย่างเงียบๆ พยายามทำให้ตัวมั่นคง ทำให้ออร่าของตัวเองและเขตวิถีผสานกัน

นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าผิดพลาดเพียงนิดเดียว เขาจะโดนเขตวิถีขจัดออกไปอีกครั้ง

180 ก้าว ลู่ฝานเดินมาถึงกลางทะเลสาบ เหยียบลงบนเรือลำเล็ก

ตอนเท้าสัมผัสลงบนเรือ แรงกดดันทั้งหมดหายไป

เหมือนเขตวิถีไม่มีอยู่อีกแล้ว ทุกอย่างกลับมาว่างเปล่า กลายเป็นทะเลสาบอันนิ่งสงบ

ท่านผอ.อมยิ้มมองลู่ฝาน

“นายเป็นนักเรียนคนแรกที่ขึ้นมาบนเรือได้ นายไม่เลวเลย ฉันสามารถเห็นวันที่นายอยู่จุดสูงสุดของประเทศอู่อานแล้ว”

ลู่ฝานพรูลมหายใจออกมา เห็นร่างโปร่งแสงของท่านผอ.ด้านหน้า สายตาดูแปลกประหลาด แต่ก็ตอบกลับไปว่า “ท่านผอ.ชมเกินไปแล้ว”

ท่านผอ.ยื่นมือมาด้านหน้าลู่ฝาน ตบไหล่ลู่ฝานเบาๆ

แต่ลู่ฝานเห็นเพียงมือของท่านผอ.ขยับสองครั้ง ไม่รู้สึกถึงอะไรเลย

“ไม่ต้องแปลกใจหรอก สิ่งที่นายเห็นคือพลังปราณแยกร่างของฉันเท่านั้น จึงไม่มีรูปร่าง”

ลู่ฝานสีหน้าตกใจ “แยกร่างเหรอครับ ท่านผอ.ไปที่ไกลแสนไกลเหรอครับ”

ท่านผอ.หัวเราะแล้วพูดว่า “ไม่ได้ไปไกลหรอก แต่ฉันอยู่ที่ไกลอยู่แล้ว ตัวฉันที่อยู่ในสถาบันสอนวิชาบู๊ 2-3 ปีมานี้ คือร่างแยกของฉัน แค่มองจากด้านนอก ดูเป็นรูปร่างสมจริงเท่านั้น แต่เมื่ออยู่ที่นี่ จะแสดงให้เห็นรูปร่างเดิม”

ลู่ฝานยิ่งตกใจเข้าไปใหญ่ ท่านผอ.สถาบันสอนวิชาบู๊ มีร่างแยกด้วย

ไม่รอให้ลู่ฝานหายตกใจ ท่านผอ.พูดว่า “ร่างจริงของฉัน ตอนนี้เมืองอู่ผิง เมืองหลวงของประเทศอู่อาน รอให้นายเข้าร่วมการแข่งขันนานาประเทศ สามารถมาหาฉันได้ด้วย ตอนนี้นายมีคุณสมบัติเพียงพอแล้ว นายเอาอันนี้ไว้”

ท่านผอ.สะบัดมือ มีแสงร่วงลงมา ฝ่ามือของลู่ฝานมีคำว่าเทียนปรากฏขึ้นมา

ดูมีพลังและดุดัน ท่านผอ.พูดว่า “จำไว้ว่าหลังมาเมืองหลวง มาหาฉันที่ตระกูลเทียน”

ลู่ฝานโค้งคำนับ เมืองหลวงประเทศอู่อานเป็นอย่างไร ว่ากันว่านักบู๊ที่นั่น คนเฝ้าประตูมีผลการฝึกตนอย่างน้อยแดนปราณนอก ตระกูลเทียนที่ท่านผอ.พูดถึง ลู่ฝานไม่รู้ แต่คงเป็นตระกูลบู๊อย่างแท้จริงแน่นอน

“ท่านผอ. การแข่งขันนานาประเทศคืออะไร”

ท่านผอ.พูดว่า “เป็นการแข่งผลการฝึกตนของพวกมีความสามารถอายุน้อยของทุกประเทศ เป็นสถานที่ให้ยอดฝีมือเลือกผู้สืบทอด เรื่องนี้นายกลับไปถามอาจารย์นายก็ได้ ลู่ฝาน ตอนนี้ฉันจะถามนาย 2-3 คำถาม นายต้องตอบตามความจริง”

ลู่ฝานพยักหน้าเบาๆ

ท่านผอ.พูดว่า “ก่อนอื่นบอกฉันมาว่า นายทำความเข้าใจอะไรได้จากเขตวิถีของฉัน”

ลู่ฝานตอบอย่างมั่นใจ “ทุกวิถีเพื่อเป็น!”

แววตาท่านผอ.เป็นประกาย

“ดี ทำความเข้าใจได้ นายจะลดการฝึกฝนไปได้ร้อยปี ฉันจะบอกนายอีกประโยค การฝึกวิถีบู๊เพื่ออยู่ เป็นหนึ่งเดียวกับฟ้า เป็นอมตะกับดิน แต่การฝึกวิถีบู๊ก็เพื่อตายได้เช่นกัน เมื่อเลือดร้อน เมื่อมีโลกีย์ จุดระหว่างความเป็นตาย ความเป็นความตายวนเวียน งอกงามอย่างต่อเนื่อง”

ลู่ฝานพูดพึมพำประโยคเหล่านี้อยู่ 2-3 รอบ แม้ตอนนี้ยังไม่เข้าใจ แต่เขาพยายามจำคำพูดนี้เอาไว้ในสมอง

ท่านผอ.ยิ่งมองลู่ฝานยิ่งถูกใจ มีพรสวรรค์ มีความยโส มีความสุขุมและใจเย็น จู่ๆ ท่านผอ.มีความคิดอยากรับศิษย์ขึ้นมา

แต่ท่านผอ.หยุดความคิดนี้ไว้ ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลา

ท่านผอ.ชะงักไป แล้วถามว่า “คำถามที่ 2 บอกฉันมา ทำไมนายถึงทำให้เครื่องรางของผู้ฝึกชี่เชื่อฟังนายได้”

บทที่ 274
ก่อนที่ลู่ฝานยังไม่มา สิ่งที่ทำให้ท่านผอ.ตกใจเพียงสิ่งเดียวคือ อู๋เหวยคณะหนึ่งเดียว

ตอนนั้นอู๋เหวยเห็นความไม่ธรรมดาของทะเลสาบ รีบทำความเข้าใจที่ริมฝั่งถึง 3 วัน จากนั้นหัวเราะแล้วเดินจากไป

ไม่มีใครรู้ว่าอู๋เหวยได้อะไรจากการทำความเข้าใจเขตวิถี ขนาดท่านผอ.ก็ยังไม่รู้

ตอนนี้ท่านผอ.ก็ยังไม่รู้ว่าอู๋เหวยได้รับพลัง หรือไม่ได้อะไรเลย อีกทั้งอู๋เหวยเป็นคนถ่อมตน สองสามปีมานี้ยังไม่เห็นเขาแสดงอะไรออกมา ด้วยเหตุนี้จึงไม่นับเขาเป็นคนที่ 4

ตอนนี้ท่านผอ.แน่ใจว่าลู่ฝานต้องได้รับผลดีแน่นอน เพราะระยะเวลาสั้นๆ

บนตัวลู่ฝานเริ่มมีออร่าของวิถีแล้ว

แม้เบาบางและดูอ่อนแอ แต่ยังไงก็คือวิถี แค่มันเล็กน้อยเท่านั้น การฝึกฝนในอนาคตของลู่ฝาน จนถึงแดนปราณฟ้า ต้องราบรื่นไร้อุปสรรค

ท่านผอ.ยืนรอบนเรือเงียบๆ เขาอยากดูว่าลู่ฝานจะทำความเข้าใจนานแค่ไหน

เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ในขณะที่ลู่ฝานกำลังทำความเข้าใจ หนึ่งชั่วยาม สองชั่วยาม หนึ่งวัน สองวัน ผ่านไปเรื่อยๆ

จนถึงวันที่สาม ปราณชี่บนตัวลู่ฝานเคลื่อนไหว

การเคลื่อนไหวนี้เล็กน้อยมาก แต่ก็ทำให้ท่านผอ.สังเกตได้

สามวันมานี้ ท่านผอ. ไม่ละสายตาจากลู่ฝานเลย ตอนนี้เห็นปราณชี่บนตัวลู่ฝานเคลื่อนไหวเล็กน้อย ท่านผอ.รู้ทันทีว่าการทำความเข้าใจวิถีของลู่ฝาน จะสิ้นสุดลงแล้ว

“น่าเสียดาย!”

ท่านผอ.ถอนหายใจเบาๆ เวลา 3 วัน จะว่านานก็ไม่นาน จะว่าสั้นก็ไม่สั้น ถ้าคนอื่นใช้ทำความเข้าใจเคล็ดวิชาบู๊ น่าจะเพียงพอ

แต่อยากทำความเข้าใจพลังในเขตวิถี ไม่มีเวลาครึ่งเดือน คงไม่สามารถทำได้

นี่คือเหตุผลที่ทำไมท่านผอ.จึงไม่จับตาดูอู๋เหวย ศิษย์พี่ใหญ่คณะหนึ่งเดียว เวลาสามวัน ถึงทำความเข้าใจอะไรได้ ก็มีข้อจำกัดเป็นอย่างมาก

ตัวลอยไปด้านหลัง กระแสน้ำพาเรือกลับไปกลางทะเลสาบอีกครั้ง

ตอนนี้ลู่ฝานค่อยๆ ลืมตาขึ้น

ประกายในแววตา แปรเปลี่ยนจากสับสนเป็นชัดเจน

ลู่ฝานยืนขึ้นช้าๆ

“นี่คือวิถีบู๊เหรอ”

ลู่ฝานพึมพำกับตัวเอง

เวลาสามวัน ลู่ฝานใช้ปราณชี่ของตัวเองเปิดเขตวิถีออกเล็กน้อย เหมือนเข็มแทงลงไปบนประตูทนทาน ให้เขาอาศัยรูเล็กนี้ เห็นโลกที่อยู่หลังประตู

เป็นพลังแปลกประหลาด ลึกลับ มหัศจรรย์และแข็งแกร่ง

ทั้งหมดนี้ท่านผอ.คิดไม่ถึง นักบู๊ที่อยู่แค่แดนปราณนอก จะเปิดเขตวิถีและเห็นแก่นแท้ได้

ใช่แล้ว เวลาสามวัน ถ้าเป็นนักบู๊ทั่วไป คงทำได้เพียงเดินไปมาหน้าประตู อย่างมากก็แค่ทำความเข้าใจพลังด้านบนประตู และเดินออกมา แม้เป็นแค่พลังบนประตู ก็ทำให้พวกเขาทำความเข้าใจเป็นเวลานาน

แต่ลู่ฝานอาศัยปราณชี่ พุ่งไปที่แก่นแท้

มองจากด้านนอกกับมองเข้าไปด้านใน แตกต่างกันอยู่แล้ว

ลู่ฝานเกือบเคลิบเคลิ้มไปในเขตวิถี อาศัยความพยายามอันแข็งแกร่ง ใช้จิตวิญญาณของตัวเองดึงสติกลับมา

เขาจะทำความเข้าใจลึกลงไปอีกไม่ได้ นั่นไม่ใช่ระดับที่พละกำลังของเขาในตอนนี้ จะสัมผัสได้

แต่ถึงเป็นเช่นนี้ ลู่ฝานก็ได้ประโยชน์จนไม่สามารถจินตนาการได้

ลู่ฝานเดินไปทางเรือลำเล็กช้าๆ

น้ำกระเพื่อมขึ้นมา ลู่ฝานเหยียบลงบนผิวน้ำอย่างนิ่งสงบ ไม่มีสัญญาณว่าจะจมลงไป

ท่านผอ.เห็นภาพนี้ ก็ตกใจเป็นอย่างมาก

บทที่ 273
ลู่ฝานค่อยๆ หลับตาลง ใช้ใจทำความเข้าใจเขตวิถีด้านหน้า

ปล่อยทุกอย่างให้ว่างเปล่า ใจเคลื่อนไหวตามปราณ ปราณเคลื่อนไหวตามวิชา วิชาเคลื่อนไหวตามฟ้า

ท่านผอ.เทียนหยาจื่อที่อยู่บนเรือ หันหน้ามา

ถ้าตอนนี้ลู่ฝานเข้าใกล้ท่านผอ.ได้สักนิด จะเห็นตัวของท่านผอ.โปร่งใส

ท่านผอ.มองลู่ฝาน ผ่านผิวน้ำมาจากไกลๆ

“การทำความเข้าใจของเด็กนี่ไม่เลว ไม่เหมือนคนอื่น รู้แต่บุกรุกอย่างป่าเถื่อน ไม่รู้จะคิดเลยสักนิด ไม่แน่เขาอาจทำได้ก็ได้”

รอยยิ้มบางๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้า แต่สภาพเหมือนวิญญาณของเขา ทำให้รอยยิ้มนี้ดูไม่สมจริง

ที่ริมฝั่ง ลมหายใจของลู่ฝานสม่ำเสมอ นี่คือการเจริญภาวนา

ท่านผอ.แตะนิ้วมาด้านหน้าเบาๆ แรงกระเพื่อมโถมเข้ามา เรือลำเล็กค่อยๆ ลอยไปทางลู่ฝาน

เมื่อเข้ามาใกล้ ท่านผอ. สัมผัสได้ว่าลู่ฝานกำลังทำความเข้าใจเขตวิถีบู๊อย่างสุดความสามารถ

เขตวิถีที่ผู้แข็งแกร่งเซียนบู๊ทิ้งเอาไว้ พลังด้านในล้ำลึกและลึกลับอยู่แล้ว ยากจะทำความเข้าใจได้

แต่ท่านผอ.มองออกว่าลู่ฝานกำลังจับทางได้แล้ว

พลังที่ปล่อยออกจากตัวเขา กำลังแยกแยะความต่างระหว่างเขตวิถีกับพลังฟ้าดิน

หาเขตวิถีก่อน แล้วค่อยทำความเข้าใจมัน ได้พลังจากในนั้น จากนั้นได้รับการยอมรับจากเขตวิถี ไม่แน่อาจผ่านเขตวิถีก็ได้

นี่เป็นวิธีเดียวที่ลู่ฝานคิดได้ ท่านผอ.แอบพยักหน้าเบาๆ คนอายุน้อยที่มีความเข้าใจดี นี่เป็นสมบัติที่สถาบันสอนวิชาบู๊ของพวกเขาเก็บมาได้

ตั้งแต่เห็นลู่ฝานครั้งแรก ท่านผอ.เห็น “พลังปราณ” ของเด็กคนนี้ ไม่เหมือนคนอื่น ไม่แน่อาจมีโอกาสพิเศษก็ได้

ดูเหมือนตอนนี้ “พลังปราณ” ของเขา ไม่เพียงแค่แตกต่างกับคนอื่น อีกทั้งยังมีพรสวรรค์ไม่ธรรมดาด้วย

พลังปราณธรรมดาจะเปลี่ยนแปลงแบบนี้ได้ยังไง จะควบคุมตามใจอย่างนี้ได้ยังไง

ท่านผอ.เห็น “พลังปราณ” ของลู่ฝาน เริ่มหลอมรวมกับพลังฟ้าดินรอบๆ

ออร่าของลู่ฝานค่อยๆ หายไป

นี่เหมือนจะเป็นความสามารถของผู้ฝึกชี่ ท่านผอ.อดชื่นชมไม่ได้ พรสวรรค์อันน่ากลัว อนาคตของเด็กคนนี้ยังยาวไกล

ท่านผอ.มีแผนการในใจ ยืนบนเรือรอลู่ฝานทำความเข้าใจอย่างเงียบๆ

สำหรับทุกคน สามารถทำความเข้าใจเขตวิถีอย่างไม่กลัวเช่นนี้ ถือว่าเป็นโอกาสใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัย

แต่บางคนคว้ามันไว้ไม่ได้ บางคนยังไม่รู้ว่าตัวเองเผชิญกับอะไรอยู่ จึงยอมแพ้ไป

ท่านผอ.เคยพานักเรียนคนอื่นมาก่อนหน้าลู่ฝาน

ทุกครั้งที่มีอัจฉริยะปรากฏขึ้นในสถาบัน นักเรียนที่มีอนาคตยาวไกล ท่านผอ.จะพาพวกเขามาที่นี่ ดูว่าพวกเขาสามารถคว้าโอกาสไว้ได้หรือไม่

คนเราเมื่อเจอโอกาสที่หาได้ยาก จะแสดงโชคชะตา ความฉลาดและความสามารถของคนคนนี้ให้เห็น

ท่านผอ.ถือว่าการทำความเข้าใจเขตวิถี เป็นการทดสอบครั้งหนึ่ง แยกแยะว่านักเรียนคนนี้มีอนาคตยาวไกลจริงหรือเปล่า

น่าเสียดาย ผ่านไปหลายสิบปี คนที่รู้ว่าเป็นเขตวิถี อีกทั้งนั่งลงทำความเข้าใจเขตวิถีและได้รับผลดี สิบกว่าปีมานี้ ทั้งสถาบันสอนวิชาบู๊มีแค่ 3 คน สุดท้ายไม่มีคนที่เดินขึ้นมาบนเรือได้สักคน

ตอนนี้สามคนนั้น มีชื่อเสียงอยู่ในประเทศอู่อาน

ท่านผอ.พาเอี๋ยนชิงคณะหยินหยางมาที่นี่เหมือนกัน น่าเสียดาย เอี๋ยนชิงรู้แค่ใช้พลัง พยายามทั้งวัน ไม่ได้อะไรยังไม่เท่าไร อีกทั้งยังเกือบทำลายพื้นฐานอีกด้วย

ท่านผอ.ประเมินเอี๋ยนชิงอย่างง่ายดายว่า โหดเหี้ยมเหลือล้น ความฉลาดไม่เพียงพอ พรสวรรค์เหลือล้น ความเข้าใจยังไม่พอ

บทที่ 272
ลู่ฝานมองเรือลำเล็ก แล้วมองผิวน้ำอันนิ่งสงบ สัมผัสได้ว่าพลังฟ้าดินรอบๆ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร จึงพยักหน้าพูดว่า “ได้ครับ”

ท่านผอ.ยิ้มบางๆ รอยยิ้มอบอุ่นเป็นอย่างมาก

“งั้นก็ดี งั้นนายไปตอนนี้ ฉันจะรอนายบนเรือ”

พูดจบ ตัวของท่านผอ.หายไป ทันใดนั้นลู่ฝานเห็นบนเรือกลางทะเลสาบ มีเงาคนอยู่หนึ่งคน

ลู่ฝานกระทืบเท้าลงบนพื้น เด้งตัวขึ้นไป

เหมือนลูกธนูออกจากคันธนู ลู่ฝานพุ่งไปยังเรือลำเล็ก

แต่ขณะที่ลู่ฝานกำลังพุ่งไป พลังฟ้าดินรอบๆ เกิดการเปลี่ยนแปลง ลู่ฝานเห็นผิวน้ำด้านล่าง เกิดการหมุนวน

ตัวของเขาตกลงไปในน้ำโดยอัตโนมัติ เขาไม่ได้ทันได้ดิ้น ภาพตรงหน้าเปลี่ยนไปทันที

เมื่อเพ่งมองดีๆ ไม่รู้ตัวเองกลับมาอยู่บนฝั่งตั้งแต่ตอนไหน

ทะเลสาบยังเป็นทะเลสาบเดิม เรือลำเล็กยังคงลอยอยู่กลางทะเลสาบ

ท่านผอ.หันหลังให้ลู่ฝาน ไม่รู้กำลังมองอะไรอยู่ ลู่ฝานมองชุดคลุมบู๊มังกรดำของตัวเอง ไม่เปื้อนน้ำ เมื่อลองลูบผม ผมก็ยังแห้งอยู่

นี่มันแปลกไปหน่อย ชุดคลุมบู๊มังกรดำกันน้ำยังพอเข้าใจได้ แต่ผมของเขา ไม่สามารถกันน้ำได้ ไม่มีเหตุผลที่มันจะไม่เปียก

ทะเลสาบนี้แปลกประหลาด!

ลู่ฝานหรี่ตาลง มองรอบๆ อย่างละเอียด

ลู่ฝานแอบเคลื่อนไหวพลังชี่ กระตุ้นพลังฟ้าดินรอบๆ

แต่ทุกอย่างปกติมาก ไม่มีอะไรผิดแปลกไปเลย

ใช่ค่ายกลหรือเปล่า

ลู่ฝานเรียกเจดีย์เสวียนเก้ามังกรในใจ

“ออกมา ไอ้เก้าออกมา”

เรียกชื่อเต็มของเจดีย์เสวียนเก้ามังกรทุกครั้ง ลู่ฝานรู้สึกหงุดหงิด จึงตัดสินใจเรียกว่าไอ้เก้า

เสียงของเจดีย์เสวียนเก้ามังกรดังขึ้น

“เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ มีเรื่องอะไรอีกหรือเปล่า หรือมีไอ้หน้าไหนล่วงเกินคุณอีก”

ลู่ฝานพูดว่า “ไม่ใช่ แกช่วยฉันดูหน่อย ทะเลสาบด้านหน้าเป็นค่ายกลหรือเปล่า”

“ได้เลยเจ้านาย แค่เป็นค่ายกล ไม่มีทางหลุดรอดสายตาของฉันได้ เมื่อกี้เจ้านายเรียกฉันว่าไอ้เก้าใช่ไหม รู้สึกว่าชื่อนี้ไม่ค่อยดีเท่าไร เปลี่ยนชื่ออื่นได้ไหม……”

ขณะกำลังพูดพึมพำ บนตัวลู่ฝานเริ่มมีเส้นไหมเป็นเส้นๆ

ลู่ฝานปล่อยปราณชี่ออกมาปิดบัง ให้เจดีย์เสวียนเก้ามังกรไปค้นหา

ทันใดนั้น เสียงของเจดีย์เสวียนเก้ามังกรดังขึ้นอีกครั้ง

“เจ้านาย ขอโทษด้วย นี่ไม่ใช่ค่ายกล แต่เป็นเขตวิถี ฉันไม่สามารถทำลายได้”

ลู่ฝานพูดอย่างสงสัยในใจ “เขตวิถีเหรอ คืออะไร”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดว่า “มันคือเขตวิถีที่มีเพียงผู้แข็งแกร่งที่ถึงระดับอริยปราชญ์ หรือไม่ก็ระดับเซียนบู๊ ถึงจะทำความเข้าใจได้ พวกเขาเผยวิถีของตัวเอง ก็จะกลายเป็นเขตวิถีบู๊ของพวกเขา ในเขตวิถีบู๊พละกำลังของพวกเขาจะเพิ่มขึ้นเป็นพันเท่า ส่วนคนที่ไม่มีเขตวิถีบู๊ จะโดนขยี้จนไม่เหลือกระดูก นี่คือเขตวิถี แข็งแกร่งกว่าค่ายกลเป็นพันเท่าหมื่นเท่า”

ลู่ฝานตกใจ เขตวิถีน่ากลัวขนาดนี้ เขาจะผ่านไปได้อย่างไร

ท่านผอ.กำลังล้อเขาเล่นหรือเปล่า

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดเบาลง “เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ เขตวิถีสำหรับเจ้านายในตอนนี้ คือสิ่งที่ทำอะไรไม่ได้เลย ไม่ว่าจะเป็นการต้านทานหรือทำลาย ไม่ต้องคิดถึงเรื่องพวกนี้เลย สิ่งที่ทำได้เพียงอย่างเดียวคือ ทำความเข้าใจกับมัน ทำความเข้าใจวิถีด้านในนั้น ไม่แน่อาจได้รับการยอมรับจากเจ้าของมันก็ได้ ฉันว่าเขตวิถีนี้มั่นคงมาก ถึงขั้นที่ผสมผสานกับพลังแห่งฟ้าดินได้เลย ผู้อาวุโสยอดฝีมือต้องทิ้งไว้แน่นอน ไม่แน่อาจเป็นโอกาสใหญ่ของเจ้านายก็ได้”

แววตาลู่ฝานเป็นประกาย พยักหน้าอย่างเข้าใจ

ลู่ฝานมองเรือลำเล็กกลางทะเลสาบ สูดหายใจ วางกระบี่หนักไว้ข้างๆ จากนั้นจึงนั่งลง

บทที่ 271
อาจารย์อี้ชิงลุกขึ้นยืน พยักหน้าให้ท่านผอ.เบาๆ กวักมือพูดกับหานเฟิงและฉู่สิง “เรากลับกันเถอะ”

หานเฟิงยังอยากพูดอะไร แต่โดนฉู่สิงรั้งไว้

“ไปเถอะ”

ฉู่สิงขยิบตาให้หานเฟิง หานเฟิงยักคิ้วหลิ่วตาให้ลู่ฝาน จากนั้นจึงเดินออกไปด้านนอก

เมื่อเดินออกจากโถงคณะหลัก อี้ชิงเห็นซิงยวนยืนอยู่ตรงมุมมืดด้านนอกโถง

เงาของสิ่งก่อสร้างบดบังหน้าซีกหนึ่งของเขาไว้ ทำให้เขาดูอึมครึมน่ากลัว

“อี้ชิง”

จู่ๆ ซิงยวนเอ่ยขึ้น

อี้ชิงชะงักฝีเท้า หันมาอย่างเฉยชา “ซิงยวน นายไม่ได้จะคุยกับฉันใช่ไหม ฉันกับนายไม่มีอะไรต้องพูดกัน อีกทั้งตอนนี้ นายควรกลับไปจับตัวเอี๋ยนชิงที่คณะหยินหยางก่อนไม่ใช่เหรอ”

ซิงยวนพูดอย่างเย็นชา “อี้ชิง พวกนายจะเป็นศัตรูของคณะหยินหยางจริงเหรอ ฉันคิดว่าเราสองคณะไม่ได้มีความแค้นฝังลึกอะไรกัน”

หานเฟิงพูดเสียงดังว่า “เป็นศัตรูแล้วยังไง นายเข้ามากัดฉันสิ ไอ้เลวเอี๋ยนชิง เกือบฆ่าพวกเราตายหมด ยังมาพูดว่าไม่มีความแค้น ไอ้โง่เง่าเต่าตุ่นอย่างนาย……”

ซิงยวนขี้เกียจสนใจหานเฟิง จ้องอี้ชิงเขม็ง

ฉู่สิงพูดเสียงเบาว่า “อาจารย์ เขาต้องพูดแก้ตัวให้เอี๋ยนชิงแน่นอน อย่าโดนเขาหลอกนะ”

อาจารย์อี้ชิงยกมือขึ้น บอกให้หานเฟิงกับฉู่สิงหุบปาก

แววตาวูบไหว อาจารย์อี้ชิงยื่นพุงโตแล้วพูดว่า “ซิงยวน นายพูดถูก เดิมทีเราสองคณะไม่มีความแค้นต่อกัน”

ซิงยวนพูดหน้าตาย “อี้ชิง นายเป็นคนมีเหตุผล เรื่องที่แล้วก็ให้มัน……”

ซิงยวนยังไม่ทันพูดจบ อี้ชิงพูดว่า “ตอนนี้ความแค้นใหญ่เช่นนี้ เป็นเพราะนายกับลูกศิษย์นายก่อขึ้นมา ซิงยวน ถ้าฉันเป็นนาย สิ่งที่ต้องทำตอนนี้คือ รีบกลับไปทำลายผลการฝึกตนของเอี๋ยนชิง ไล่มันออกจากสถาบันสอนวิชาบู๊ อย่าให้ศิษย์เพียงคนเดียว ทำลายทั้งคณะหยินหยาง”

สีหน้าซิงยวนอึมครึมทันที

เงียบครู่หนึ่ง ซิงยวนพูดอย่างเย็นชา “เรื่องของคณะหยินหยาง นายไม่ต้องกังวล อี้ชิง นายต้องชดใช้กับสิ่งที่นายทำวันนี้”

อี้ชิงพูดเสียงกังวาน “มีความสามารถ ก็รีบมาเถอะ”

ทั้งสองมองหน้ากัน ในแววตามีประกายลุกโชน

ซิงยวนสะบัดมือหันหลังเดินออกไป

อาจารย์อี้ชิงมองแผ่นหลังซิงยวน แล้วด่าออกมาว่า “คนสติไม่ดีที่หน้าตาย สักวันหนึ่งฉันจะซัดหน้านายให้เละเลย”

หานเฟิงกับฉู่สิงอึ้งไป โมโหเหมือนอาจารย์อี้ชิง เบิกตาโตมองอาจารย์

“มองอะไร ไม่เคยเห็นฉันด่าคนหรือไง”

อาจารย์อี้ชิงเอามือไพล่หลัง แล้วส่งเสียงหึออกมา

หานเฟิงกับฉู่สิงมองหน้ากัน แล้วหัวเราะออกมา เดินตามอาจารย์อี้ชิงออกไป

ในโถงใหญ่ ลู่ฝานเก็บหม้อสือฟางกลับมา

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรเล่นจนพอใจ เมื่อเหนื่อยจึงเงียบลง

ท่านผอ.เดินไปด้านหลังโถงใหญ่โดยไม่พูดอะไร แม้ลู่ฝานไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่ก็รีบเดินตามไป

ดูท่านผอ.เดินไม่เร็ว แต่เร็วกว่าลู่ฝานหนึ่งก้าวเสมอ

ทั้งสองเดินออกจากโถงใหญ่ มาทางด้านหลัง เดินผ่านศาลาและภูเขาเทียม ผ่านทางเดินนับไม่ถ้วน ดอกไม้ใบหญ้าเต็มสวน

ในที่สุด ท่านผอ.หยุดลงตรงหน้าทะเลสาบมรกต มองไปไกลๆ กลางทะเลสาบมีเรือลำหนึ่ง ไหลไปตามกระแสน้ำ

ลู่ฝานยืนข้างท่านผอ.ไม่รู้ท่านผอ.พาเขามาที่นี่ทำไม

ท่านผอ.ชี้ไปยังเรือลำเล็ก แล้วพูดว่า “ลู่ฝาน นายขึ้นไปบนเรือได้ไหม”

บทที่ 270
ตอนนี้อาจารย์อี้ชิงนิ่งดั่งขุนเขา อมยิ้มแล้วพูดว่า “หืม ก็ไม่แน่นะ ภูติอาวุธแกพูดมาสิว่าทำไมเขาต้องฆ่าอาจารย์กับศิษย์พี่ศิษย์น้องตัวเอง”

ภูติอาวุธพูดว่า “ฉันจะไปรู้ได้ยังไงล่ะ เดาว่า 80 เปอร์เซ็นต์คือต้องการครอบครองฉัน แต่ฉันเป็นแค่หม้อเล็กๆ ธรรมดาๆ หม้อหนึ่ง คนพูดอย่างไรก็อย่างนั้น จะทำอะไรได้ล่ะ ฉันเถียงได้เหรอ”

ลู่ฝานพูดในใจว่า “เจดีย์เสวียนเก้ามังกร พอแล้ว!”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรหัวเราะออกมา

หานเฟิงกับฉู่สิงสีหน้าประหลาด พึมพำออกมา หานเฟิงพูดว่า “ภูติอาวุธนี้คงไม่ใช่ผู้หญิงใช่ไหม”

จ้าวซวี่หน้าซีดเผือด ชี้ลู่ฝานแล้วพูดว่า “ลู่ฝาน นายทำอะไรกันแน่ นายควบคุมหม้อนี้ใช่ไหม นายสั่งให้มันพูดแบบนี้ใช่ไหม”

ลู่ฝานมองเขาอย่างดูหมิ่น “ฉันเป็นแค่นักบู๊ จะควบคุมเครื่องรางผู้ฝึกชี่ได้ยังไง อีกทั้งยังเป็นเครื่องรางที่มีภูติอาวุธด้วย”

จ้าวซวี่เดินถอยหลัง ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ไม่ใช่แบบนี้ ไม่ใช่แบบนี้”

ซิงยวนพูดว่า “ท่านผอ. คำพูดของภูติอาวุธเพียงฝ่ายเดียว อย่าเชื่อง่ายๆ อีกทั้งพวกเขาทั้งสามฝ่ายพูดไม่ตรงกันด้วย”

ท่านผอ.พูดอย่างราบเรียบ “ไม่ตรงกันจริงๆ ภูติอาวุธ แกไม่ได้หลอกฉันใช่ไหม”

“หม้อสือฟาง” พูดว่า “ฉันจะหลอกพวกนายไปทำไม พวกนายไม่รู้เหรอว่าภูติอาวุธซื่อสัตย์ ใสสะอาดและจิตใจดีที่สุด ช่างเถอะ ในเมื่อพวกนายไม่เชื่อ งั้นฉันกลับไปฝึกฝนต่อละกัน”

ดวงแสงหายไป หม้อสือฟางมีแสงห้าสีกะพริบขึ้นมา

สีหน้าจ้าวซวี่ดีขึ้นเล็กน้อย แค่ภูติอาวุธกับพวกลู่ฝานพูดไม่ตรงกัน ก็เป็นหลักฐานไม่ได้ ยังดีๆ

แต่ขณะนั้นดวงแสงโผล่ออกมาอีก

“โอ๊ย เดี๋ยวก่อน ฉันจำได้แล้ว ตาเฒ่านั่นโดนเด็กอีกคนหนึ่งฆ่าตาย ฉันให้พวกนายดูเหตุการณ์ตอนนั้นได้”

เมื่อพูดออกมา แสงสว่างออกมาจากหม้อสือฟาง

ภาพที่เอี๋ยนชิงหักขาสองข้างของเฒ่าประหลาดเฟิงหลิง ปรากฏขึ้นข้างใน

เสียงร้องโอดครวญของเฒ่าประหลาดดังขึ้น ลู่ฝานเห็นภาพนี้ จึงพูดในใจว่า “หม้อสือฟางสามารถบันทึกภาพได้ด้วยเหรอ”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดว่า “มันบันทึกไม่ได้ แต่ฉันบันทึกได้ เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ ความสามารถของฉันไม่เลวใช่ไหมล่ะ เจ้านายไม่กี่คนก่อนของฉัน ชมความสามารถนี้ของฉันไม่หยุดปากเลยนะ”

ภาพหายไป ซิงยวนพูดว่า “เป็นไปไม่ได้!”

ท่านผอ.หันมามองซิงยวน “ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ ภาพนี้ไม่เหมือนของปลอม ดูเหมือนเอี๋ยนชิงศิษย์ของนาย ต้องมาคณะหลักแล้วล่ะ”

จ้าวซวี่ตกใจมาก เขาคิดไม่ถึงว่าอาจารย์ของเขา ตายเพราะเอี๋ยนชิงคณะหยินหยางจริงๆ

ซิงยวนลุกขึ้นพูดว่า “ผมจะกลับไปหาเอี๋ยนชิง”

พูดจบ ซิงยวนไม่รอให้คนอื่นพูด รีบเดินออกไปทันที

ท่านผอ.หันมามองจ้าวซวี่ “จ้าวซวี่ ดูเหมือนสิ่งที่นายพูดมา เป็นเรื่องโกหกทั้งหมด”

จ้าวซวี่กัดฟัน พูดดิ้นรนเฮือกสุดท้าย “ผมพูดจริงทั้งหมด ภาพพวกนี้……ภาพพวกนี้เป็นของปลอม”

อาจารย์อี้ชิงพูดอย่างเย็นชา “ดื้อดึงยิ่งนัก!”

ท่านผอ.เดินมาหน้าจ้าวซวี่ ถอนหายใจเบาๆ ประตูบานหนึ่งปรากฏออกมา

“ใส่ร้ายนักเรียนในสถาบัน นายไปสำนึกผิดในคุกใต้ดินเถอะ”

จ้าวซวี่สีหน้าเปลี่ยนไป ตะโกนออกมาว่า “ผมผิดไปแล้ว ท่านผอ. ผมผิดไปแล้ว อย่าให้ผมไปคุกใต้ดินเลย ผมเป็นผู้ฝึกชี่นะ……”

ยังไม่ทันพูดจบ ประตูดูดจ้าวซวี่เข้าไปข้างใน

“สมน้ำหน้า!”

หานเฟิงหัวเราะออกมา จู่ๆ เขารู้สึกว่าร่างกายขยับได้แล้ว

เมื่อท่านผอ.จัดการเสร็จเรียบร้อย จึงเงยหน้ามองลู่ฝาน “เก็บหม้อสือฟางสิ ลู่ฝาน นายตามฉันมา อี้ชิง นายกลับไปได้แล้ว”

บทที่ 269
สีหน้าของซิงยวนกับจ้าวซวี่อึมครึมทันที

สถานการณ์ไม่ควรเป็นแบบนี้! จู่ๆ เรื่องก็เริ่มผิดปกติขึ้นมา

เดิมทีซิงยวนแน่ใจว่าในสถาบันสอนวิชาบู๊ เหลือจ้าวซวี่เป็นผู้ฝึกชี่คนเดียว นอกจากเขาแล้ว ไม่มีใครปลุกภูติอาวุธได้อีก แต่จากพละกำลังของจ้าวซวี่ ไม่น่าปลุกภูติอาวุธออกมาได้ แต่ตอนนี้ดวงแสงที่ออกมาจากหม้อสือฟาง ถ้าไม่ใช่ภูติอาวุธแล้วจะเป็นอะไรได้อีก

ซิงยวนจ้องจ้าวซวี่อย่างโหดเหี้ยม จ้าวซวี่ก็ทำอะไรไม่ถูก

ลู่ฝานสีหน้าอึมครึม พูดในใจว่า “เจดีย์เสวียนเก้ามังกร ใช่แกหรือเปล่า ให้ตายเถอะ น้ำเสียงโทนนี้ เป็นแกแน่นอน แกจะทำอะไร”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรหัวเราะประหลาดขึ้นมา

“เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่เดาถูกแล้ว เป็นฉันเอง หม้อสือฟางอ่อนแอมาก มันยังไม่มีความสามารถพูดออกมาได้ ตอนนี้ฉันพูดแทนมัน วางใจเถอะ เราทั้งสองมีความสัมพันธ์ที่ดี มันไม่ถือสาเอาความฉันหรอก”

ลู่ฝานกลอกตามองบน โอเค ตอนนี้คงทำได้เพียงปล่อยเจดีย์เสวียนเก้ามังกรทำตามใจชอบ

เพราะเจดีย์เสวียนเก้ามังกรยอมรับเขาเป็นเจ้านายแล้ว ต้องไม่ทำเรื่องที่ไม่ดีต่อเขาแน่นอน ลู่ฝานจึงปล่อยมันไป

ท่านผอ.ก็ตกใจ

เป็นภูติอาวุธจริงเหรอ เหลือเชื่อ ผู้ฝึกชี่ธรรมดาๆ จะสื่อสารกับภูติอาวุธได้เหรอ

แต่ท่านผอ.เก็บงำแววตาเอาไว้อย่างรวดเร็ว ทำเหมือนไม่รู้อะไร “อืม แกคือภูติอาวุธของหม้อสือฟาง แกบอกฉันได้ไหม ใครเป็นคนฆ่าอาจารย์ของจ้าวซวี่ รวมถึงศิษย์พี่ศิษย์น้องของเขาด้วย”

“หม้อสือฟาง” พูดเสียงดังว่า “นายพูดถึงพวกไร้สติ ที่ไม่เข้าใจแม้กระทั่งค่ายกลพวกนั้นเหรอ ตาเฒ่าพร้อมกับลูกศิษย์ห้าคนใช่ไหม”

เมื่อได้ยิน หานเฟิงหัวเราะออกมา

แม้ฉู่สิงขยับไม่ได้ แต่ก็ยกยิ้มมุมปาก

จ้าวซวี่สีหน้าอึมครึม ตอนนี้เขาปล่อยหม้อสือฟางแล้ว เขารู้สึกว่าควบคุมสถานการณ์ไม่ได้แล้ว

ท่านผอ.พยักหน้า “ใช่ ตาเฒ่าพร้อมลูกศิษย์ห้าคน ตาเฒ่าคนนั้นชื่อเฟิงหลิง”

“หม้อสือฟาง” ส่ายดวงแสงไปมา “ตายแล้ว ตายหมดแล้ว พวกโง่โดนค่ายกลฆ่าตายหมดแล้ว ตาเฒ่าโดนศิษย์ตัวเองลอบฆ่า ไอ้เด็กที่ชื่อจ้าวซวี่ หน้าตาร้ายกาจ”

“อะไรนะ”

จ้าวซวี่พูดออกมาอย่างตกใจ เข้ามาจะคว้าหม้อสือฟาง “แก แก อย่ากล่าวหาคนอื่น”

หม้อสือฟางสาดแสงสีแดงออกมา ทำให้จ้าวซวี่กระเด็นออกไป

อาจารย์ซิงยวนหน้าอึมครึม แววตาที่มองลู่ฝานเหมือนงูพิษ

ลู่ฝานมองเขาอย่างราบเรียบ อาจารย์ใช้วิธีสกปรกแบบนี้ทำร้ายนักเรียน จิตใจคับแคบเช่นนี้ ไม่มีค่าให้ลู่ฝานเคารพเลยสักนิด

ไม่ต้องคิดก็รู้ จากไหวพริบของคนอย่างจ้าวซวี่ ไม่มีทางคิดแผนแบบนี้ ลู่ฝานยังจำได้ว่าครั้งแรกตอนเจอจ้าวซวี่ที่เมืองเจียงหลิน จ้าวซวี่ยังเป็นคนมีหลักการ แพ้แล้วยังยอมรับ ไม่ใช่คนเจ้าเล่ห์แบบนี้

ตอนนี้ต้องมีคนยุยงอยู่เบื้องหลังแน่นอน จึงทำแบบนี้ได้ และคนที่มีความคิดแบบนี้ ก็คือซิงยวนที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่หรือไง ไม่งั้นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับเขา ทำไมเขาถึงมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ล่ะ

ท่านผอ.มองจ้าวซวี่อย่างเย็นชา “จ้าวซวี่ ภูติอาวุธพูดจริงหรือเปล่า”

จ้าวซวี่พูดอย่างตกใจว่า “ไม่จริง ไม่จริงครับ ผมจะฆ่าอาจารย์ตัวเองได้ยังไง”

บทที่ 268
“ดี กล้าหาญมาก ตอนนี้ฉันเริ่มเชื่อแล้วว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนาย”

ท่านผอ.เอาหม้อสือฟางมาตรงหน้าจ้าวซวี่

ท่านผอ.พูดด้วยสีหน้าโกรธ “จ้าวซวี่ แม้นายเป็นผู้ฝึกชี่ แต่ไม่ได้อยู่ในการดูแลของสถาบัน แต่ถ้านายใส่ร้ายนักเรียนของสถาบันฉัน และคิดจะเล่นงานถึงตาย นายจะโดนขังในคุกใต้ดินของสถาบันร้อยปี รับการลงโทษจากปราณฟ้าดินที่แปดเปื้อน ไม่มีทางพลิกตัวกลับมาได้”

แววตาจ้าวซวี่วูบไหว แต่เมื่อเห็นหม้อสือฟางในมือท่านผอ. จ้าวซวี่จึงมีความคิดแน่วแน่

ยื่นมือไปรับหม้อสือฟาง ซิงยวนที่อยู่ข้างๆ แววตาเป็นประกายแปลกประหลาด

แผนสำเร็จแล้ว!

ถูกต้อง ทั้งหมดอยู่ในแผนของเขา หลังจากเขาได้ยินเรื่องที่ลู่ฝานทำ 2-3 วันนี้ ซิงยวนตั้งใจวางแผนออกมาทันที

พละกำลังของลู่ฝาน ข่มเหงคณะหยินหยางได้แล้ว แม้ซิงยวนไม่อยากรับความจริงนี้ก็เถอะ

โดยเฉพาะซิงยวนยังรู้ว่าลู่ฝานไปสู้กับคณะศิงขรคนเดียว ไม่เพียงแต่ทำลายค่ายกลปราณมังกรของคณะศิงขร ยังทำลายค่ายกลที่คุ้มครองภูเขาคณะศิงขรไปเกือบหมดอีกด้วย

หลังลู่ฝานกลับไป ค่ายกลด้านหน้าคณะทั้งหมด ประสิทธิภาพหายไปจนเกือบหมด

อายุเท่านี้กับพละกำลังระดับนี้ สะเทือนขวัญจริงๆ

แม้ไม่รู้ว่าลู่ฝานทำได้ยังไง แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่า พละกำลังของลู่ฝานเหนือจินตนาการเขาไปแล้ว

กันไว้ดีกว่าแก้ เขาต้องทำอะไรสักอย่าง และเรื่องของจ้าวซวี่ ทำให้เขาหาช่องโหว่ได้เป็นอย่างดี ตั้งแต่เห็นลู่ฝานกับจ้าวซวี่ออกมาจากจวนอากาศธาตุ ซิงยวนก็รู้ว่า จ้าวซวี่กับลู่ฝานต้องมีเรื่องขัดแย้งกัน

ตอนนั้นซิงยวนให้จ้าวซวี่อยู่ที่คณะหยินหยาง ตอนนี้ใช้งานได้ตามที่คาดไว้

อีกเดี๋ยวจ้าวซวี่จะใช้วิธีพิเศษที่เขาถ่ายทอดให้ ทำให้หม้อสือฟางพูดได้

สื่อสารกับภูติอาวุธเหรอ นั่นไม่น่าจะทำได้ อย่าว่าแต่ผู้ฝึกชี่ที่ความสามารถต่ำอย่างจ้าวซวี่เลย ถึงเป็นเฟิงหลิงอาจารย์ของจ้าวซวี่ ก็ทำไม่ได้ สิ่งที่จ้าวซวี่ต้องทำคือ ทำเป็นใส่พลังชี่ลงไป ตอนฝ่ามือสัมผัสโดนหม้อสือฟาง ทำให้ค่ายกลความคิดในใจที่ประทับอยู่บนฝ่ามือ ปกคลุมหม้อสือฟางเอาไว้

นี่เป็นค่ายกลเล็กๆ ที่ไม่ได้มีค่าอะไรมากนัก ทั้งโลกรู้แค่ไม่กี่คนเท่านั้น

ประโยชน์เพียงอย่างเดียวคือ ทำให้คนที่สร้างค่ายกล ไม่ต้องใช้เสียง เพียงแค่พูดในใจ ก็สามารถส่งคำพูดออกมาทางค่ายกลได้

ฟังดูประสิทธิภาพไม่เลว แต่เพราะข้อจำกัดของระยะห่างกับระยะเวลาที่ค่ายกลอยู่ได้ไม่นาน ดังนั้นจึงมีคนเรียนแค่ไม่กี่คน

แต่ตอนนี้สามารถใช้มันได้พอดี

จ้าวซวี่วางมือลงบนหม้อสือฟาง ใส่พลังชี่เข้าไปต่อหน้าทุกคน แต่ในความเป็นจริง เขาวางค่ายกลบนฝ่ามือลงไปเรียบร้อยแล้ว จู่ๆ ลู่ฝานรู้สึกผิดปกติ จึงขมวดคิ้วขึ้นมา

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดว่า “เอาวิธีแค่นี้ออกมาใช้ด้วย หม้อสือฟางกลืนกินค่ายกลซะ!”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรตะโกนออกมา หม้อสือฟางปล่อยแสงห้าสีออกมา

จ้าวซวี่สะดุ้งโหยง เพราะเขารู้สึกว่าค่ายกลหายไป

ทันใดนั้น หม้อสือฟางพ่นดวงแสงเล็กๆ ออกมา

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดว่า “ฮ่าๆ เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ นี่คือภูติอาวุธของหม้อสือฟาง ต่อไปเจ้านายรอดูเรื่องสนุกได้เลย”

เมื่อเจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดจบ เสียงชัดเจนดังขึ้นในโถงหลัก

“ไอ้เด็กที่ไหนปลุกฉันให้ตื่น!”

บทที่ 267

บทที่ 269

บทที่ 267
ลู่ฝานแววตาวูบไหว พูดในใจว่า “แกจะช่วยยังไง”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดว่า “เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ เขาจะดูหม้อสือฟางไม่ใช่เหรอ ก็เอาออกมาให้เขาดูสิ วางใจเถอะ ฉันจะช่วยเก็บรอยประทับบนหม้อสือฟาง ยังสามารถเพิ่มอะไรนิดหน่อย ทำให้มันดูเป็นรูปเป็นร่าง”

ลู่ฝานพูดว่า “แกแน่ใจเหรอ ว่าจะเก็บรอยประทับได้ ถ้าเกิดอะไรขึ้นมา……”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดว่า “ถ้าเกิดอะไรขึ้น เจ้านายทำลายฉันได้เลย เพราะถ้าเจ้านายอยากทำลายฉัน เป็นเรื่องง่ายนิดเดียว เชื่อฉันสักครั้ง เจ้านายยังไม่เคยเห็นประโยชน์อัศจรรย์ต่างๆ นานาของฉันเลยนะ แค่ฉันฟื้นฟูพลังได้ ต่อไปฉันจะทำให้เจ้านายยิ่งตกใจ”

ลู่ฝานเงยหน้าสบตากับท่านผอ.

จากนั้นหันไปมองจ้าวซวี่

ลู่ฝานพูดในใจว่า “งั้นก็ได้ แกจัดการเถอะ ต้องใช้เวลานานแค่ไหน”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดว่า “หึหึ เจ้านาย ไม่ต้องใช้เวลานานเลย แป๊บเดียวก็เรียบร้อยแล้ว”

พูดพลาง ลู่ฝานรู้สึกถึงพลังประหลาดในร่างกายตัวเอง เข้าไปในเข็มขัด

หม้อสือฟางที่เก็บไว้ในเข็มขัด ปล่อยแสงบางๆ ออกมาทันที ลู่ฝานรู้สึกเหมือนตัวเองเชื่อมโยงกับภูติอาวุธของหม้อสือฟาง

ต่อมารอยประทับบนหม้อสือฟางหายไปอย่างไร้ร่องรอย เหมือนไม่มีคนควบคุมอย่างไรอย่างนั้น

แต่ลู่ฝานสัมผัสได้ว่า รอยประทับที่เขาทิ้งไว้ ยังอยู่ด้านล่างสุดของหม้อสือฟาง แต่ออร่าเบาบาง จนแม้แต่เขาก็สังเกตเห็นยาก

ลู่ฝานตั้งสติ มองจ้าวซวี่ที่มีรอยยิ้มเย้ยหยัน “อยากดูหม้อสือฟางใช่ไหม งั้นให้ดูก็ได้”

ลู่ฝานเอาหม้อสือฟางออกมาจากเข็มขัด

หม้อสือฟางสีใสเพิ่งปรากฏออกมา ก็ดึงดูดสายตาทุกคนได้ทันที

โดยเฉพาะจ้าวซวี่ ถึงกับเหม่อลอย

ท่านผอ.เดินเข้ามา มองหม้อสือฟางอย่างประเมิน แล้วพูดว่า “เป็นหม้อที่ดีจริงๆ”

จ้าวซวี่ตะโกนออกมาว่า “ดี คิดว่านายจะไม่กล้าเอาออกมา ท่านผอ.อาจารย์ซิงยวน ในฐานะที่เป็นผู้ฝึกชี่ ผมมีวิชาอย่างหนึ่ง สามารถสื่อสารกับภูติอาวุธผ่านพลังชี่ ให้ภูติอาวุธเป็นพยานให้ผม ดูสิว่าใครกำลังโกหก”

อาจารย์ซิงยวนยิ้มแล้วพูดว่า “อืม ฉันเคยได้ยินวิชาแบบนี้ อีกไม่นานความจริงคงเปิดเผย หม้อสือฟางเป็นหม้อล้ำค่าอย่างเห็นได้ชัด จิตวิญญาณเต็มเปี่ยม ต้องมีภูติอาวุธอย่างแน่นอน”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรในตัวลู่ฝานหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง

“ฮ่าๆ เด็กที่ยังไม่ถึงระดับนักเรกิ กล้าพูดว่าสื่อสารกับภูติอาวุธได้ ตลกชะมัด เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ เหมือนพวกเขามีแผนจัดการเจ้านายอยู่นานแล้ว เจ้านายจะให้ฉันช่วยจัดการพวกเขาไหม”

ลู่ฝานหัวเราะในใจ แล้วพูดว่า “นายมีวิธีก็ใช้สิ”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรหัวเราะออกมา เสียงหัวเราะประหลาดเป็นอย่างมาก

“เจ้านายรอดูได้เลย”

ท่านผอ.เดินมาหน้าลู่ฝาน ยื่นมือออกมาแล้วพูดว่า “ลู่ฝาน เอาหม้อสือฟางมาให้ฉัน”

อาจารย์อี้ชิงลุกขึ้นยืนทันที “ท่านผอ. ผมไม่เห็นด้วยกับการให้จ้าวซวี่ สื่อสารกับภูติอาวุธควรให้ผู้ฝึกชี่อีกคนมาสื่อสารกับภูติอาวุธสิ ถ้าไม่ได้ ให้ผมทำก็ได้ ผมไม่เชื่อหรอก แค่ภูติอาวุธเล็กๆ เท่านั้น พละกำลังของผมจะสื่อสารกับมันไม่ได้เหรอ”

ท่านผอ.ยกยิ้มมุมปากเบาๆ ทันที แม้เพียงเล็กน้อย แต่ลู่ฝานก็เห็น

รอยยิ้มหายไปอย่างรวดเร็ว ท่านผอ.มองลู่ฝานด้วยสายตาดุดัน “ลู่ฝาน นายจะให้ใครสื่อสารกับภูติอาวุธของหม้อสือฟาง”

ลู่ฝานมองจ้าวซวี่ “ในเมื่อจ้าวซวี่เอาแต่พูดว่าผมฆ่าศิษย์พี่ศิษย์น้อง รวมถึงอาจารย์ของเขา งั้นให้เขาสื่อสารกับภูติอาวุธแล้วกัน”

จ้าวซวี่พยักหน้า แล้วพูดว่า “หลังจากนั้นค่ายกลแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ เราไม่สามารถต้านทานได้แล้ว อาจารย์โดนค่ายกลดูดเข้าไปในประตูคุ้มครอง ศิษย์พี่ศิษย์น้องของผมก็เละเทะ ในช่วงเวลาคับขัน ลู่ฝานลงมือกับพวกเรา เขาแย่งหม้อสือฟางที่อาจารย์ให้ผม อีกทั้งยังฆ่าศิษย์พี่ศิษย์น้องของผม ผมก็เกือบโดนเขาฆ่าตาย ฝืนอยู่ในจวนอากาศธาตุ นานประมาณสองเดือน จึงรักษาอาการบาดเจ็บจนหาย แล้วออกมาได้ ตอนนี้ไม่รู้ว่าอาจารย์ของผมเป็นหรือตาย อาจโดนวิธีสกปรกของพวกเขาเหมือนกัน”
ฉู่สิงทนฟังไม่ไหวแล้ว กัดฟันดึงกระบี่ออกมา
“พวกพูดจามั่วซั่ว”
หานเฟิงลุกขึ้นมาด่า
“ทำไมนายพูดบิดเบือนความจริงขนาดนี้ ฉันจะฟันนายให้ตาย!”
อาจารย์อี้ชิงสะบัดมือปล่อยพลังปราณออกมา ล็อกตัวหานเฟิงกับฉู่สิงไว้ที่เดิม
กรงคุกพลังปราณ!
การเคลื่อนไหวของหานเฟิงกับฉู่สิง ชะงักลงทันที ไม่สามารถกระดิกได้แม้แต่นิ้ว
ท่านผอ.มองลู่ฝานแล้วพูดว่า “ลู่ฝาน นายมีอะไรจะพูดไหม”
ลู่ฝานลุกขึ้นยืน พูดอย่างสุขุม “สิ่งที่จ้าวซวี่พูด มีคำโกหกมากกว่าความจริง ศิษย์พี่ศิษย์น้องของเขา ตายเพราะถูกเฒ่าประหลาดอาจารย์ของพวกเขาทอดทิ้ง จึงโดนค่ายกลฆ่าตาย ไม่เกี่ยวข้องกับผมและพวกศิษย์พี่สักนิด ส่วนเฒ่าประหลาดอาจารย์ของเขา ตายอยู่ในจวนอากาศธาตุแล้ว ฆาตกรไม่ใช่ใครที่ไหน คือเอี๋ยนชิงคณะหยินหยาง!”
อาจารย์ซิงยวนได้ยิน ถึงกับหัวเราะพรืดออกมา “เอี๋ยนชิงเหรอ ลู่ฝาน นายหาคนมารับผิด คิดไม่ถึงว่าจะโทษคณะหยินหยางของฉัน เอี๋ยนชิงจะเข้าไปในจวนอากาศธาตุได้ยังไง จะฆ่าเฟิงหลิงเฒ่าประหลาดได้ไง นายคงไม่รู้สินะ เฟิงหลิงเฒ่าประหลาดเป็นเพื่อนกับคณะหยินหยาง”
ลู่ฝานพูดอย่างราบเรียบว่า “เรื่องจริงเป็นแบบนี้ ส่วนคนอื่นจะเชื่อหรือไม่ ไม่เกี่ยวกับผมแล้ว เรื่องทั้งหมด ศิษย์พี่ทั้งสามคนของผมเป็นพยานได้”
จ้าวซวี่พูดอย่างดุดันว่า “ศิษย์พี่ทั้งสามของนายจะเป็นพยานอะไรได้”
ท่านผอ.หันไปมองจ้าวซวี่ “เอ๊ะ ฟังจากที่นายพูด นายยังมีหลักฐานเหรอ”
จ้าวซวี่พูดเสียงดังว่า “มีหลักฐานอยู่แล้วครับ หม้อสือฟางที่อาจารย์ผมใช้เปิดจวนอากาศธาตุ โดนพวกเขาเอาไปแล้ว ตอนนี้ต้องอยู่กับพวกเขาแน่นอน”
ลู่ฝานขมวดคิ้ว ที่แท้มาเพราะหม้อสือฟางนี่เอง
แต่ตอนนี้หม้อสือฟางยอมรับเขาเป็นเจ้าของ ตามจวนอากาศธาตุแล้ว ถ้าเอาออกมาแล้วพวกเขาเห็นรอยประทับของเขาด้านบน เรื่องจะวุ่น เพราะนักบู๊จะทิ้งรอยประทับของผู้ฝึกชี่ ไว้บนเครื่องรางของตัวเองได้ยังไง
ท่านผอ.หันมามองลู่ฝาน “ลู่ฝาน เขาพูดจริงหรือเปล่า นายมีหม้อสือฟางจริงเหรอ นายฆ่าคนจริงเหรอ”
ลู่ฝานพูดว่า “หม้ออยู่กับผม แต่ผมไม่ได้ฆ่าคน หม้อสือฟางเป็นสิ่งที่เซียนสือฟางทิ้งไว้ หลังเซียนสือฟางตายไป จึงเป็นสิ่งที่ไม่มีเจ้าของ ผู้มีวาสนา ถึงจะครอบครองสมบัติล้ำค่าได้”
ท่านผอ.ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “นายเป็นนักบู๊ เอาเครื่องรางของผู้ฝึกชี่ไปทำไม หรือบนหม้อสือฟาง มีหลักฐานในการฆ่าคนของนาย”
อาจารย์อี้ชิงพูดว่า “ผมใช้ชื่อเสียงคณะหนึ่งเดียวเป็นประกัน ลู่ฝานไม่ฆ่าคนอย่างไร้เหตุผล”
แม้หานเฟิงโดนล็อกไว้กับที่ แต่พยายามฝืนพูดว่า “ศิษย์น้องลู่ฝานไม่ได้ฆ่าคน ผมให้ฟ้าดินเป็นพยาน ให้ตายเถอะ ไอ้จ้าวซวี่ นายใส่ร้ายพวกเรา กล้าสู้กับฉันไหมล่ะ”
อาจารย์ซิงยวนพูดว่า “รับประกัน สาบาน สิ่งเหล่านี้มีประโยชน์อะไร ลู่ฝาน เอาหม้อสือฟางออกมาก่อนเถอะ”
ลู่ฝานยืนนิ่งอยู่ที่เดิม
ตอนนี้ท่านผอ.เทียนหยาจื่อลุกขึ้นยืน สองมือไพล่หลัง ถามลู่ฝานด้วยท่าทางเหนือกว่า “ลู่ฝาน ฉันขอถามอีกรอบ นายฆ่าคนหรือเปล่า”
ลู่ฝานพูดอย่างราบเรียบ “เปล่า”
จ้าวซวี่พูดขึ้นมาข้างๆ “เขาไม่กล้ายอมรับหรอก ศิษย์พี่ศิษย์น้องผม เป็นผู้ฝึกชี่ที่โดดเด่น อาจารย์ผมมีความดีความชอบต่อสถาบันสอนวิชาบู๊เป็นอย่างมาก”
จ้าวซวี่กำลังพูดยั่วโมโหลู่ฝาน ถือโอกาสบอกท่านผอ.ด้วยว่าศิษย์พี่ศิษย์น้อง และอาจารย์ของตัวเอง มีความดีความชอบต่อสถาบันสอนวิชาบู๊ จะปล่อยปละละเลยเรื่องนี้ไม่ได้
เขาไม่เพียงแต่จะให้ลู่ฝานเอาหม้อสือฟางออกมา ยังต้องการให้คณะหนึ่งเดียวเสื่อมเสียชื่อเสียงอีกด้วย นี่เป็นเรื่องที่เขานัดกับซิงยวนเอาไว้แล้ว
พูดตามตรง ถ้าซิงยวนไม่มาหาเขาเมื่อสองวันก่อน เขาคงคิดความคิดดีๆ แบบไม่ได้
ลู่ฝานแอบกัดฟัน สถานการณ์ไม่ค่อยดีแล้ว
ขณะนั้นเสียงเจดีย์เสวียนเก้ามังกรดังขึ้น
“เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ ให้ช่วยไหม”

บทที่ 265
อาจารย์อี้ชิงที่อยู่ด้านหน้า หันมาดุว่า “พวกนายสองคนอย่าวุ่นวาย หาเรื่องในคณะหลัก พวกนายอยากโดนไล่ออกจากสถาบันสอนวิชาบู๊ใช่ไหม บอกว่าไม่ต้องมาๆ ก็ยังตามมาอยู่นั่น”

น้ำลายของอาจารย์อี้ชิงพ่นลงบนหน้าทั้งสองคน หานเฟิงเช็ดพลางยืดคอพูดว่า “เราสองคนมาช่วยศิษย์น้องลู่ฝาน ท่านผอ.เรียกศิษย์น้องลู่ฝานมาคณะหลักเพียงคนเดียว ในเวลาแบบนี้ ต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน เราจะไม่ตามมาดูได้ยังไง ศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมต่อสู้ ศิษย์พี่ใหญ่เก็บตัวอยู่กับศิษย์พี่รอง ถ้าเราไม่ตามมา เขาคงคิดว่าคณะหนึ่งเดียวไร้คนมีความสามารถ”

อาจารย์อี้ชิงพูดเสียงดัง “น่ารำคาญ นายรู้ได้ยังไงว่าไม่ใช่เรื่องดี ไม่แน่ท่านผอ.อาจตั้งใจอบรมสั่งสอนลู่ฝานก็ได้ หรือไม่ก็……”

พูดพลาง อาจารย์อี้ชิงรู้สึกว่าเป็นไปไม่ค่อยได้ จึงเสียงเบาลง พึมพำสองสามประโยค แล้วเดินไปทางโถงใหญ่

ลู่ฝานยืนอยู่ข้างทั้งสามคน ทำได้เพียงยิ้มแหยส่ายหน้าไปมา

เดินมาถึงโถงใหญ่ กระเบื้องหยกแวววาว พื้นหินศิลาดำใหญ่โตโอ่อ่า เป็นประกายระยิบระยับ

มองจากไกลๆ เห็นคนสองสามคนนั่งอยู่ด้านใน

ท่านผอ.เทียนหยาจื่อ อาจารย์ซิงยวนคณะหยินหยาง อีกทั้งยังมีคนที่คุ้นเคยอย่างจ้าวซวี่

เมื่อเห็นจ้าวซวี่ ลู่ฝานขมวดคิ้วเบาๆ เหมือนเขาเดาได้แล้วว่าคือเรื่องอะไร

หานเฟิงกับฉู่สิงก็ไม่ได้โง่ แค่เห็นจ้าวซวี่ ศิษย์พี่หานเฟิงรีบพูดเสียงเบาว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน ศิษย์พี่ฉู่สิง ดูเหมือนวันนี้เจอปัญหาแล้ว”

ลู่ฝานพูดเสียงทุ้มว่า “ไม่ว่าจะมาวิธีไหนก็สามารถรับมือได้ กลัวอะไรล่ะ”

ฉู่สิงพยักหน้าพูดว่า “ใช่ เราไม่ได้ทำเรื่องอะไรผิด จะกลัวพวกเขาทำไม”

อาจารย์อี้ชิงเดินนำทั้งสามคนเข้าไป ท่านผอ.เทียนหยาจื่อที่นั่งอยู่ตรงตำแหน่งหลัก กวักมือพูดว่า “มาแล้วเหรออี้ชิง นั่งสิ พวกนายก็นั่งด้วยสิ”

อี้ชิงพยักหน้า พาพวกลู่ฝานเข้ามานั่ง

เก้าอี้ไม้ขนาดใหญ่ ปูด้วยหนังสัตว์อสูร มีความอุ่นเบาๆ นั่งลงไปรู้สึกเหมือนความร้อนแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย สบายเป็นอย่างมาก

อาจารย์อี้ชิงเพิ่งนั่งลง ก็ถามออกมาว่า “ท่านผอ. เรียกลู่ฝานของคณะผมมากะทะหันแบบนี้ มีเรื่องอะไรเหรอครับ”

ท่านผอ.ยิ้มแล้วพูดว่า “เรื่องเล็กน้อยน่ะ โอเค จ้าวซวี่ มากันครบแล้ว นายพูดได้แล้ว”

จ้าวซวี่มีแววตาร้ายกาจ ลุกขึ้นชี้หน้าลู่ฝานแล้วพูดว่า “ลู่ฝานของคณะหนึ่งเดียวฆ่าศิษย์พี่ศิษย์น้องผม ทำให้อาจารย์ผมต้องตาย ท่านผอ.โปรดจัดการให้ด้วย”

เสียงดังก้องโถงหลัก สีหน้าจ้าวซวี่เศร้าโศก นิ้วสั่นเล็กน้อย

หานเฟิงลุกขึ้นยืนทันที

“นายว่าใคร ใครทำให้ศิษย์พี่ศิษย์น้องและอาจารย์ของนายตาย คนไร้สติอ้าปากก็พูดแต่เรื่องสกปรก นายอยากโดนซัดใช่ไหม……”

อี้ชิงที่อยู่ข้างๆ รีบดึงหานเฟิงกลับมา

“พอแล้ว!”

อาจารย์อี้ชิงมองจ้าวซวี่ด้วยสายตาเย็นชา “จ้าวซวี่ สิ่งที่นายพูดเมื่อกี้เป็นเรื่องรุนแรงมากนะ ถ้านายพูดเท็จแม้เพียงคำเดียว อย่างน้อยนายจะโดนขังในคุกใต้ดินของสถาบันสอนวิชาบู๊ร้อยปี”

จ้าวซวี่ชะงักไปครู่หนึ่ง

ท่านผอ.พยักหน้าเบาๆ “ใช่ สิ่งที่อาจารย์อี้ชิงพูด คือสิ่งที่ฉันจะพูด จ้าวซวี่ คิดให้ดีก่อนพูด นายบอกว่าลู่ฝานทำให้ศิษย์พี่ศิษย์น้อง รวมถึงอาจารย์นายตาย งั้นนายเล่าเหตุการณ์ตอนนั้นมาก่อน”

จ้าวซวี่กัดฟันพูดว่า “เหตุการณ์ไม่มีอะไรมาก ตอนนั้นอาจารย์พาเราห้าคน เข้าไปในจวนอากาศธาตุของเซียนสือฟาง เจอประตูคุ้มครองที่เซียนสือฟางหลงเหลือเอาไว้ ไม่รู้พวกลู่ฝานของคณะหนึ่งเดียวโผล่มาจากไหน เข้าไปพร้อมกันกับเรา ผมสงสัยว่าพวกเขาวางแผนไว้นานแล้ว อยู่ที่นั่นเพื่อรอเวลา”

หานเฟิงส่งเสียงหึอย่างเย็นชา “เราไปดูยาทิพย์ปรากฏออกมา ไม่รู้ผีอะไรดึงพวกเราเข้าไปพร้อมกัน”

อาจารย์อี้ชิงถลึงตาใส่หานเฟิง “นายอย่าพูดมาก ให้เขาพูดจบก่อน”

หานเฟิงรีบหุบปาก จ้องหน้าจ้าวซวี่เขม็ง

จ้าวซวี่พูดต่อ “หลังจากนั้นอาจารย์ไม่ระวัง แตะต้องสิ่งต้องห้ามบนประตูคุ้มครอง กระตุ้นค่ายกลที่เซียนสือฟางทิ้งไว้ ค่ายกลนั่นแข็งแกร่งมาก อาจารย์กับเราร่วมกันต่อสู้ แต่ไม่สามารถทำลายค่ายกลได้ ในเวลานั้นอาจารย์ขอร้องให้พวกลู่ฝานช่วย แต่พวกเขากลับนิ่ง ปล่อยให้เราโดนค่ายกลข่มเหงรังแก ตั้งแต่ตอนนั้นผมก็สงสัย พวกเขาต้องวางแผนร้ายไว้นานแล้ว ไม่งั้นทำไมค่ายกลถึงโจมตีแต่พวกเรา ไม่โจมตีพวกเขา”

หานเฟิงส่งเสียงหึ พึมพำกับตัวเองว่า “ก็เพราะพวกนายโง่ไง ไม่รู้จุดสำคัญของค่ายกลสักนิด”

อาจารย์ซิงยวนพูดออกมาว่า “อี้ชิง ถ้านายดูแลปากศิษย์นายไม่ได้ ฉันช่วยดูแลให้ได้นะ”

อี้ชิงพูดด้วยสีหน้าอึมครึม “นายไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”

ท่านผอ.มีท่าทางปวดหัวเป็นอย่างมาก พูดกับจ้าวซวี่ว่า “นายพูดต่อสิ”

หลังผ่านไปหนึ่งวัน ข่าวที่คณะศิงขรโดนลู่ฝานจัดการด้วยตัวคนเดียว ดังไปทั่วสถาบันสอนวิชาบู๊
“ได้ยินหรือยัง ค่ายกลปราณมังกรของคณะศิงขรถูกทำลายแล้ว ทำลายค่ายกลด้วยตัวคนเดียว พละกำลังของลู่ฝานคณะหนึ่งเดียวแข็งแกร่งมาก!”
“ใช่ ตอนนี้ลู่ฝานอยู่ที่ 9 ในรายชื่อบู๊แล้ว คณะหนึ่งเดียวมีคนที่เจ๋งสุดยอดออกมาแล้ว”
“พวกนายจะไปรู้อะไร ฉันได้ยินว่าลู่ฝานเป็นน้องเล็กสุดในคณะหนึ่งเดียว ศิษย์พี่ของเขาก็พละกำลังไม่ด้อยเหมือนกัน”
“จริงเหรอ แล้วทำไมหลายปีก่อนศิษย์พี่เขาถึงไม่อยู่ในรายชื่อบู๊ล่ะ”
“พวกนายจะไปรู้อะไร หลายปีก่อนคณะหนึ่งเดียวของพวกเขา สู้ทั้งหมดแค่สามคน ศิษย์พี่ใหญ่ของคณะหนึ่งเดียวไม่เคยลงมือเลย”
“โอ๊ย พูดแบบนี้ คณะหนึ่งเดียวมีความสามารถจริงๆ”
“ก็ใช่น่ะสิ ดูเอาแล้วกัน พวกเขาจะสู้ต่อไปเรื่อยๆ”
……
เสียงพูดคุยถกเถียงเช่นนี้ ได้ยินอยู่ในทุกคณะของสถาบันสอนวิชาบู๊
หลังจากเอาชนะคณะศิงขรได้ ความเย่อหยิ่งและอคติที่มีต่อคณะหนึ่งเดียว ล้วนหายไปจนหมด
การแสดงออกของลู่ฝานที่คณะศิงขร พูดกันแบบเกินจริงไปทั่วสถาบันสอนวิชาบู๊
บางทีสถานการณ์การต่อสู้ในครั้งนั้นอาจจะหมดไปในคำพูดปากต่อปาก แต่รายชื่อบู๊อันดับ 9 ของลู่ฝาน เป็นสิ่งจริงแท้แน่นอน
ขนาดนักเรียนคณะศิงขรพูดถึงลู่ฝาน ยังเปรียบเทียบด้วยคำพูดที่ดุดัน
นี่คือการยอมรับโดยแท้จริง แต่พละกำลังที่ลู่ฝานแสดงออกมา ก็มีค่าพอให้พวกเขายอมรับจากใจจริง
ตอนนี้คณะหนึ่งเดียวอยู่อันดับ 7 ปลายกระบี่ชี้ไปที่คณะสงบใจที่อันดับ 6
เดิมทีคณะสงบใจจะไปสู้กับคณะกำแหง หลังได้ยินข่าวคณะศิงขรโดนจัดการด้วยคนคนเดียว จึงเงียบลง
ราวกับเงียบรอให้คณะหนึ่งเดียวมาท้าประลอง
ในคณะสงบใจ ตอนนี้หลิงเหยาที่เป็นศิษย์พี่รองในคณะ กำลังแต่งหน้าหวีผมอยู่
ด้านนอก ศิษย์พี่หมิงจูเคาะประตูเบาๆ แล้วพูดว่า “ศิษย์น้องหลิงเหยา ฉันเข้าไปได้ไหม”
หลิงเหยาหันมายิ้มแล้วพูดว่า “ศิษย์พี่หมิงจูเหรอคะ เข้ามาได้เลย”
หมิงจูเดินเข้ามาช้าๆ รูปร่างงดงาม ชุดคลุมลายดาวยาวลากพื้น แต่กลับไม่เปื้อนฝุ่นสักนิด
“ศิษย์น้องหลิงเหยา ได้ยินอาจารย์พูดว่า เธอเสนอว่าอย่าไปสู้กับคณะกำแหง เพื่อรอให้คณะหนึ่งเดียวมาก่อน บอกเหตุผลศิษย์พี่ได้ไหม”
หลิงเหยายิ้มงดงาม จับมือหมิงจูทั้งสองนั่งลงบนเตียง
“ศิษย์พี่ แม้พละกำลังของคณะสงบใจไม่เลว แต่คณะกำแหงก็ไม่ได้หาเรื่องง่ายๆ ถ้าเราบาดเจ็บตอนสู้กับคณะกำแหง กลับมาเจอคณะหนึ่งเดียวท้าประลองอีก นั่นจะทำให้เสียอันดับที่ได้มาอย่างยากลำบากไม่ใช่เหรอ สู้รอให้คณะหนึ่งเดียวมาสู้ก่อน สู้กับพวกเขาเสร็จ ค่อยพูดเรื่องสู้กับคณะกำแหงก็ได้”
หมิงจูส่ายหน้าพูดว่า “ฉันไม่ได้ต้องการเหตุผลนี้”
หลิงเหยาอ้าปากแดงเล็กน้อย พูดอย่างตกใจว่า “ศิษย์พี่ เหตุผลนี้ไม่พอเหรอ”
หมิงจูพูดว่า “ไม่ใช่เรื่องพอหรือไม่พอ แต่ฉันต้องการเหตุผลที่แท้จริงของเธอ ลู่ฝาน……”
หลิงเหยาหน้าแดงระเรื่อทันที หมิงจูเห็นดังนั้นจึงหัวเราะเบาๆ
เสียงหัวเราะเหมือนเสียงนกขมิ้น ไพเราะน่าฟังมาก
“โอเค เหมือนฉันเดาถูกแล้วล่ะ เธออยากรอคนรักมาหาที่บ้านสินะ”
“โอ๊ย ศิษย์พี่!”
หลิงเหยาตะโกนอย่างงอนๆ หมิงจูยิ้มแล้วลุกขึ้นยืน “โอเคๆ ฉันไม่บอกใครหรอก อาจารย์ดูออกแล้ว เลยให้ฉันมาถามจริงเท็จ เสียเปรียบเด็กน้อยลู่ฝานจริงๆ รอเขามา ฉันจะช่วยเธอสอบถามเบื้องลึกของเขาอย่างเต็มที่ ถ้านิสัยใช้ไม่ได้ หรือหน้าตาใช้ไม่ได้ ศิษย์พี่ไม่เห็นด้วยหรอกนะ แต่ความปรารถนาที่เธอรออยู่ที่นี่ คงจะสูญเปล่าแล้ว สองสามวันนี้คนของคณะหนึ่งเดียวไม่มาหรอก”
หลิงเหยาถามอย่างตกใจ “ทำไมเหรอคะ พวกเขาไม่สู้ต่อไปเรื่อยๆ แล้วเหรอ”
หมิงจูยิ้มแล้วพูดว่า “ดูเธอร้อนใจสิ ไม่ใช่อย่างนั้น พวกเขาไปคณะหลักแล้ว เห็นว่าท่านผอ.เรียกพวกเขาไป สองสามวันนี้คงกลับมาไม่ได้”
“ท่านผอ.เรียพวกเขาไปทำอะไร”
หลิงเหยาขมวดคิ้วเบาๆ
หมิงจูพูดว่า “ใครจะไปรู้ล่ะ”
……
คณะหลักของสถาบันสอนวิชาบู๊
ลู่ฝาน หานเฟิง ฉู่สิงเดินมาที่โถงหลัง ภายใต้การนำของอาจารย์อี้ชิง
“วันธรรมดาคณะหลักสงบมาก มีแค่ไม่กี่คนเอง!”
หานเฟิงเดินอย่างสบายใจ มองไปทั่ว
ฉู่สิงพูดขึ้นข้างๆ ว่า “คณะหลักไม่รับนักเรียน เป็นสถานที่ให้ครูที่ไปปฏิบัติงานข้างนอก กลับมาพักผ่อนและฝึกฝน จึงไม่ค่อยมีคนสักเท่าไร ฉันได้ยินว่าคณะหลักมีของดีไม่น้อย ถ้าถือโอกาสได้มา 1-2 ชิ้น คงไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้ว”
หานเฟิงพูดอย่างตกใจว่า “โอ๊ย ศิษย์พี่ฉู่สิงคิดเหมือนผมเลย”
หานเฟิงหัวเราะแล้วพูดเบาๆ ว่า “หรือว่าอีกเดี๋ยวเราจะไป……เดินเล่นกันดี”
ฉู่สิงก็หัวเราะตาม

บทที่ 263
“ปราณมังกรคำราม ฟ้าดินแตกสลาย!”

เหยียนฮ่าวเปลี่ยนค่ายกลอีกครั้ง ครั้งนี้ปราณมังกรพุ่งไปหาลู่ฝานทันที

พลังปราณนับไม่ถ้วน เหมือนมีดพุ่งไปทั่ว นักเรียนคณะศิงขรที่อยู่ใกล้สุด ก็โดนไปด้วย

ลู่ฝานถือกระบี่หนักไม่คมเอาไว้แน่น ไฟบนตัวลุกโชนขึ้นมา

ปราณชี่ในตัว เคลื่อนไหวตามลายเส้นวิชาเทพไร้ขีดจำกัด ตอนนี้กระบี่หนักไม่คมในมือลู่ฝาน มีเปลวไฟขึ้นมาด้วย

“กระบี่มังกรเพลิงคำราม!”

เมื่อฟาดกระบี่ออกมา ลู่ฝานมีปราณมังกรเช่นกัน

วิชาหมัดเปลี่ยนเป็นวิชากระบี่ ใช้พลังประสานอันน่ากลัวของวิชาเทพไร้ขีดจำกัด ลู่ฝานประสบความสำเร็จอย่างเหลือเชื่อ

ถ้าตอนนี้อาจารย์เต้ากวงอยู่ที่นี่ เห็นภาพนี้ ต้องร้องออกมาอย่างตกใจแน่นอน

มังกรตัวเล็กและตัวใหญ่ ปะทะเข้าด้วยกัน

พลังอันน่ากลัว สั่นสะเทือนจนพวกเหยียนฮ่าวทั้งห้าคน เลือดออกปากและจมูก พลังแผ่ออกไปเป็นวงกว้างพร้อมเสียงลม พัดจนนักเรียนจำนวนไม่น้อยหมอบอยู่บนพื้น

ตอนนี้เฟิ่งหวากระอักเลือดออกมา เธอฝืนไม่ไหวเป็นคนแรก

อาจารย์ชีหลินเห็นเฟิ่งหวาหน้าซีดเผือด ก็ใจสั่นทันที

นี่แสดงออกถึงการที่ค่ายกลจะพังทลาย อย่าบอกนะว่านักเรียนคณะศิงขรห้าคน ต้านทานลู่ฝานคณะหนึ่งเดียวเพียงคนเดียวไม่ได้

ตัวลู่ฝานโงนเงนเหมือนกัน แม้เสื้อปราณที่แข็งแกร่ง ช่วยต้านทานพลังส่วนใหญ่เอาไว้ แต่พลังที่เหลือ ก็ยังทำให้เขารู้สึกเจ็บ

แต่นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร สิ่งสำคัญที่สุดคือ พลานุภาพของกระบี่นี้ แข็งแกร่งจนน่าตกใจจริงๆ ขนาดเขาเองยังคิดไม่ถึง

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรในตัวตะโกนขึ้นมาอีกครั้ง

“เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ เจ้านายดุดันมาก เจ้านายใกล้ทำลายค่ายกลของพวกเขาแล้ว ตอนนี้ฉันเก็บมันได้ไหม”

ลู่ฝานพูดในใจว่า “เก็บสิ”

“ฮ่าๆ ได้เลยเจ้านายผู้ยิ่งใหญ่!”

ทันใดนั้น บนตัวลู่ฝานมีเส้นไหมละเอียดปรากฏขึ้นมา

เส้นไหมเหล่านี้ซ่อนอยู่ในปราณชี่ของลู่ฝาน ขนาดอาจารย์ชีหลินก็มองเส้นไหมนี้ไม่เห็น

ทันใดนั้น พลังบริสุทธิ์โดนเส้นไหมดึงกลับมาที่ตัวลู่ฝาน

พลังพวกนี้ปรากฏในตันเถียนของลู่ฝานอย่างรวดเร็ว ลู่ฝานเห็นรอยค่ายกลปรากฏบนมุกเทพ

ถ้าพูดให้ถูก มันประทับอยู่บนเจดีย์เสวียนเก้ามังกรในมุกเทพ

“เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ เรียบร้อยแล้ว ได้ค่ายกลมาแล้ว แยกย้ายได้”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรยังไม่ทันพูดจบ พวกเหยียนฮ่าวทั้งห้าคนที่อยู่หน้าลู่ฝาน กระเด็นออกไปพร้อมกัน ค่ายกลหายไป เหมือนกระบี่ของลู่ฝานฟันค่ายกลของพวกเขาจนแหลก ทั้งห้าคนกระอักเลือดออกมาจนเลอะแขนเสื้อ

สีหน้าอาจารย์ชีหลินเปลี่ยนไปทันที นักเรียนคณะศิงขรคนอื่น เห็นภาพตรงหน้า ล้วนช็อกอยู่กับที่

ลู่ฝานเก็บกระบี่หนักอย่างสงบ หันไปมองครูเฉินลี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ อย่างสุขุม

“ครูประกาศได้แล้วครับ”

ครูเฉินลี่เพิ่งตั้งสติได้ ประกาศออกมาว่า “ลู่ฝานคณะหนึ่งเดียวชนะ”

ลู่ฝานอมยิ้มแล้วพยักหน้า หันหลังเดินไปอีกด้าน เก็บเหรียญทองสองเหรียญ ต่อหน้าต่อตาทุกคน

การต่อสู้จบลงแล้ว เขาควรกลับได้แล้ว

ลู่ฝานเดินลงจากเขาช้าๆ นักเรียนคณะศิงขรมองตามลู่ฝานเดินจากไป

“เฮ้อ กลับกันเถอะ”

อาจารย์ชีหลินดูแก่ลงเป็นสิบปี สะบัดมือบอกให้นักเรียนคนอื่น แบกเหยียนฮ่าวและคนอื่นกลับไป

เฟิ่งหวาที่นอนอยู่บนพื้น จนถึงตอนนี้ก็ยังช็อกอยู่

พวกเขาแพ้แล้วจริงๆ คณะศิงขรแพ้แล้วจริงๆ

ไม่ต้องคิดเลย ผ่านวันนี้ไป ชื่อลู่ฝานคณะหนึ่งเดียว ต้องดังไปทั่วสถาบันสอนวิชาบู๊!

บทที่ 262
เหยียนฮ่าวและคนอื่นหน้านิ่งดั่งสายน้ำ เดินออกมาช้าๆ

แววตาที่มองลู่ฝานเหมือนแสงกระบี่ แทบจะทิ่มตัวลู่ฝานจนพรุน

เฟิ่งหวาที่ล้มอยู่บนพื้นก็ลุกขึ้นมา ลู่ฝานใช้พละกำลังทำลายความภูมิใจของเธอ แววตามีความสับสน ตอนนี้เธอยังรับไม่ได้ ผู้ชายคณะหนึ่งเดียวที่อยู่ตรงหน้า มีพละกำลังทำลายคณะศิงขรได้ด้วยตัวคนเดียว

เฟิ่งหวาปรับลมหายใจ เดินตามพวกเหยียนฮ่าวไปด้านหน้า

ฝึกฝนมาเป็นเวลานาน ทำให้เฟิ่งหวาจับจุดได้อย่างรวดเร็ว ลมหายใจทั้งห้าคนเริ่มเป็นหนึ่งเดียว ฝีเท้าพร้อมเพรียง พลังปราณที่ปล่อยออกมาก็รวมตัวเข้าด้วยกัน กลายเป็นปราณมังกรขนาดใหญ่

ทั้งห้าคนล้อมลู่ฝานเอาไว้ อาวุธชี้ไปที่ห้าตำแหน่ง หู ตา จมูก ปากและลำคอของลู่ฝาน

พลังฟ้าดินรอบๆ เริ่มจับตัวกัน ตอนทั้งห้าคนยืนในตำแหน่งที่มั่นคง ทำให้ลู่ฝานสัมผัสถึงแรงกดดันที่มาจากพลังฟ้าดิน

เป็นค่ายกลที่ไม่เลวจริงๆ ยังไม่ทันโจมตี ก็มีพลานุภาพขนาดนี้

ตอนนี้ออร่าของทั้งห้าคนหายไปจนหมด ถูกแทนที่ด้วยพลานุภาพมังกรบางๆ

“ค่ายกลจงปรากฏขึ้นมา!”

เฟิ่งหวาตะโกนนำขึ้นมา

มีลวดลายสว่างใต้เท้าทั้งห้าคนเป็นแถบ ทันใดนั้นพลังปราณห้าพลัง ทับซ้อนไปมาอยู่บนตัวลู่ฝาน

ลู่ฝานอยากขยับ แต่พบว่าพลังปราณห้าพลังนี้ เหมือนสิ่งผูกมัดห้าเส้น ล็อกเขาให้อยู่ที่เดิม

เมื่อยกมือขึ้น รู้สึกว่าลำบากเหมือนเดินผ่านซอกหิน

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรในตัว ส่งเสียงหัวเราะออกมา

“คิดไม่ถึงว่าจะเป็นค่ายกลล็อคขังพลังบวกกับค่ายกลปราณมังกร ค่ายกลที่รวมกันซึ่งหาได้ยาก เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ ครั้งนี้เจ้านายได้ประโยชน์เต็มๆ จะให้ฉันเก็บค่ายกลของพวกเขาเลยไหม”

ลู่ฝานพูดในใจว่า “ไม่ต้อง ให้ฉันเห็นพลานุภาพของค่ายกลนี้ก่อน”

ขณะกำลังพูด ทั้งห้าคนลงมือพร้อมกัน

“กรงเล็บแตกดิน!”

อาวุธห้าเล่มออกมาพร้อมกัน ตอนนี้ปราณมังกรขนาดใหญ่ง้างกรงเล็บขึ้นมา โจมตีไปทางลู่ฝานอย่างรุนแรง

อาวุธทั้งห้าเล่ม เหมือนกรงเล็บทั้งห้าของมังกร พร้อมกับพลานุภาพมังกรมหาศาล ฟาดลงมาทันที

ปราณชี่ทั้งตัวลู่ฝานเคลื่อนไหวอย่างรุนแรง ทำลายพลังปราณทั้งห้ารอบตัวจนกระจาย กระบี่หนักออกมา!

กระบี่ฆ่าพิชิตฟ้า!

ตัวอักษรคำว่าฆ่าปรากฏขึ้นกลางอากาศ ชนเข้ากับกรงเล็บมังกรจากพลังปราณ

เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นขึ้นทันที

พลังกระเพื่อมออกไปเป็นวงกว้าง กวาดดินหินรอบๆ ไปจนเกลี้ยง

เหยียนฮ่าว เฟิ่งหวาและคนอื่น ถอยหลังไปสามก้าวพร้อมกัน ฝีเท้าเป็นหนึ่งเดียว แม้แต่ระยะห่างก็ยังเท่ากันเป๊ะ

“หางมังกรสะท้านเขา!”

เสียงคำสั่งดังขึ้นอีกครั้ง ทั้งห้าคนยืนเรียงเป็นแถวหน้ากระดาน โจมตีออกมาอีกครั้ง

ปราณมังกรสะบัดหางฟาด อำนาจอันน่ากลัว ทำให้นักเรียนคณะศิงขรที่อยู่รอบๆ เห็นแล้วพากันส่งเสียงร้องตกใจออกมา ถอยไปด้านหลังไม่หยุด

ลู่ฝานตั้งกระบี่หนัก โจมตีวิชาหมัดด้วยมือซ้าย

“หมัดถล่มเขาอู๋เซี่ยง!”

หมัดโจมตีเข้ากับอากาศ ครั้งนี้เห็นหมัดลู่ฝานได้ชัดเจน แต่อากาศรอบๆ กลับแปรปรวนขึ้นมา

หางมังกรชนกับพลังหมัดของลู่ฝาน แต่ไม่สามารถพุ่งเข้ามาได้แม้แต่นิ้วเดียว

เหมือนมีรากงอกอยู่ใต้ขาลู่ฝาน ไม่ขยับสักก้าว ไม่ถอยหลังสักก้าว

มุกเทพในตัว ปล่อยแสงเก้าสีออกมา ปราณชี่มากมายพลุ่งพล่านอยู่ในเส้นลมปราณของลู่ฝาน

ลู่ฝานใช้กายทองไฟอาบโดยอัตโนมัติ!

พวกเหยียนฮ่าวกัดฟันกรอด กำอาวุธเอาไว้แน่น เหงื่อที่ไหลลงมาจากหน้าผาก ระเหยไปอย่างรวดเร็ว

พลังอันแข็งแกร่ง เขาเป็นแค่นักบู๊แดนปราณนอกจริงเหรอ

ค่ายกลปราณมังกรรวบรวมพลังของพวกเขาห้าคนเอาไว้เลยนะ ยังไม่สามารถยั้งลู่ฝานเอาไว้ได้

เหยียนฮ่าวตะโกนเหมือนคลั่ง กระตุ้นพลังปราณสุดชีวิต

คนด้านหลังทั้งสามคนกำลังเล่นกับชีวิต แต่สีหน้าเฟิ่งหวากลับไม่สู้ดี เหมือนเธอฝืนต่อไปไม่ไหวแล้ว

บทที่ 261
“วางค่ายกลมากมายในพริบตางั้นเหรอ”

ลู่ฝานตาเป็นประกาย ฟังดูล่อตาล่อใจมาก

ลู่ฝานมองพวกเฟิ่งหวา แอบประเมินกำลังตัวเองครู่หนึ่ง สู้แบบหนึ่งต่อห้า น่าจะไม่ใช่ปัญหา

อืม รีบจัดการให้เสร็จ แล้วกลับไปเร็วๆ ดีกว่า

เฟิ่งหวาที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเดินออกมาก่อน

“ฉันสู้รอบแรก”

เฟิ่งหวาเดินมาทางลู่ฝานด้วยสีหน้าเย็นชา หยุดลงห่างจากลู่ฝานประมาณ 10 ก้าว

พลังปราณก่อตัวเป็นกระบี่ ชี้ลู่ฝานจากไกลๆ

“ลู่ฝาน ฉันจะทำให้นายรู้ว่าสวะคณะหนึ่งเดียว ไม่ว่าจะดิ้นรนยังไง สุดท้ายก็ยังเป็นสวะอยู่วันยังค่ำ”

ใบหน้าเฟิ่งหวาเย็นชาเหมือนน้ำแข็ง เหมือนเคียดแค้นกับลู่ฝานมาก แต่ในความเป็นจริง ลู่ฝานรู้ดีแก่ใจ เขาเคยเจอเฟิ่งหวาในหอคอยฝึกฝนครั้งหนึ่ง และไม่ได้ช่วยเฟิ่งหวาเอาเคล็ดวิชาบู๊มาแค่นั้น

ผู้หญิงหยิ่งยโสคนนี้ เชิดหน้าใส่ลู่ฝาน

ลู่ฝานพูดเบาๆ ว่า “เข้ามาพร้อมกันห้าคนเถอะ”

เมื่อเขาพูดออกมา นักเรียนรอบๆ พากันก่นด่าออกมา

“บ้าหรือไง คิดว่าตัวเองเป็นเซียนบู๊หรือไง”

“ฆ่าไอ้หมอนี่เลย ทำให้เขาลงจากคณะศิงขรไม่ได้เลย!”

อาจารย์ชีหลินสีหน้าเย็นชา ส่งเสียงหึออกมาเบาๆ

เฟิ่งหวาพูดอย่างดุดันว่า “อะไรนะ คณะศิงขรจัดการนาย ต้องใช้ห้าคนเหรอ รับกระบี่นี่ไปซะ!”

เมื่อกระบี่พุ่งออกมา พัดดินหินจนปลิว พุ่งไปตรงหน้าลู่ฝาน

ลู่ฝานยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่มีท่าทีจะดึงกระบี่หนักขึ้นจากพื้น

เห็นกระบี่พุ่งเข้ามา ลู่ฝานยกมือขวาขึ้นช้าๆ ยืนนิ้วออกมาสองนิ้ว

ชิ้ง!

เหมือนเหล็กกระทบกัน ลู่ฝานรับกระบี่ของเฟิ่งหวาเอาไว้ได้ เสื้อปราณปกคลุมร่างกาย ลู่ฝานรับกระบี่ของเฟิ่งหวาได้อย่างง่ายดาย

เป็นแดนปราณนอกเหมือนกัน ลู่ฝานสัมผัสได้ว่าเฟิ่งหวาแตกต่างกับเขาไม่ใช้น้อยๆ

“อำนาจเหลือล้น พลานุภาพยังไม่พอ”

ลู่ฝานประเมินวิชากระบี่ของเฟิ่งหวา ใช้แรงที่นิ้วเล็กน้อย ปราณชี่เคลื่อนไหวจากนั้นระเบิดออกมา เหนือกว่าแรงระเบิดของพลังปราณ 30 เท่า

หลังจากค่ายกลในตัวกลายเป็นมุกเทพ พลังระเบิดของลู่ฝานในตอนนี้ แข็งแกร่งกว่าก่อนมาก

ไม่ต้องแปรเปลี่ยนผ่านค่ายกล ใช้เพียงการเคลื่อนไหวปราณชี่ ก็สามารถระเบิดพลังอันน่ากลัวออกมาได้

เสียงหักดังกรอบ กระบี่ของเฟิ่งหวาโดนหนีบจนแหลกเป็นชิ้น

ลู่ฝานกระทืบเท้าบนพื้นอย่างแรง กระแสลมอันน่ากลัวกระเพื่อมออกมา เฟิ่งหวากระเด็นออกไป มีเลือดไหลออกมาตรงมุมปาก

อ่อนแอยิ่งนัก!

สี่คำนี้ปรากฏขึ้นในหัวนักเรียนคณะศิงขรทันที

นักเรียนคณะศิงขรคนอื่น พากันสูดหายใจเฮือก

“ไอ้หมอนี่พละกำลังแข็งแกร่งจริงๆ!”

พวกนักเรียนแอบตกใจ สีหน้าอาจารย์ชีหลินเคร่งขรึม ดูเหมือนว่านักเรียนคณะศิงขรทั้งห้าคน น่าจะสู้เขาไม่ได้สักคน

ลู่ฝานระเบิดพลังที่แข็งแกร่งของตัวเองออกมา หลังจากนั้นก็ข่มขวัญคนคณะศิงขรได้

ลู่ฝานพูดว่า “ฉันบอกแล้ว เข้ามาห้าคนเลย จัดการให้เสร็จครั้งเดียว”

ครั้งนี้ไม่มีใครกล้าว่าลู่ฝานอวดดีอีกแล้ว

ตอนนี้อาจารย์ชีหลินนั่งไม่ติดแล้ว เขาลุกขึ้นพูดว่า “ลู่ฝาน นายจะสู้หนึ่งต่อห้าจริงเหรอ”

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “ได้ยินมานานว่าค่ายกลปราณมังกรของคณะศิงขรมหัศจรรย์ อยากเห็นสักหน่อย”

เมื่อได้ยินคำว่าค่ายกลปราณมังกร อาจารย์ชีหลินพยักหน้า พูดอย่างดุดันว่า “ได้ จะให้นายได้เห็นละกัน เหยียนฮ่าว รวมค่าย!”

บทที่ 260

บทที่ 262

บทที่ 260
กลุ่มคนแยกออกเหมือนสายน้ำ อาจารย์ชีหลินพานักเรียนห้าคนของคณะศิงขรเดินเข้ามา

เมื่อเห็นลู่ฝาน อาจารย์ชีหลินพูดว่า “อี้ชิงกับเต้ากวงล่ะ ทำไมนายถึงมาคนเดียว”

ลู่ฝานพูดว่า “อาจารย์อี้ชิงกับอาจารย์เต้ากวงงานรัดตัว จึงมาไม่ได้ เลยส่งผมมาคนเดียว”

สีหน้าอาจารย์ชีหลินเย็นชา “คณะหนึ่งเดียวดูถูกคณะศิงขรขนาดนี้เลยเหรอ เจ้าเด็กลู่ฝาน ฉันได้ยินเรื่องที่นายเอาชนะหยุนอานได้ แต่ถ้านายคิดว่าจะเอาชนะศิงขรของเรา คงคิดไปเองแล้วล่ะ”

เฟิ่งหวาที่ยืนด้านหลังอาจารย์ชีหลินตะโกนออกมาว่า “ลู่ฝาน นายต้องสูญเสียเพราะการอวดดี วันนี้นายอย่าคิดว่าจะลงไปจากคณะศิงขรได้ง่ายๆ”

ลู่ฝานมองเฟิ่งหวา ผู้หญิงคนนี้ยังคงอวดดี ไม่เห็นใครอยู่ในสายตา

ลู่ฝานไม่ได้พูดอะไรมาก แค่พูดเนิบๆ ว่า “พูดมากไปก็เปล่าประโยชน์ อาจารย์ชีหลิน เราเริ่มกันเถอะ”

“ได้! เฉินลี่ เอาเอกสารมา”

ครูเฉินลี่เดินออกมาจากกลุ่มคน เตรียมเอกสารไว้ในมือเรียบร้อยแล้ว

เฉินลี่เดินมาหน้าลู่ฝาน ยื่นเอกสารให้ลู่ฝานแล้วพูดว่า “ลู่ฝานคณะหนึ่งเดียว นายมาคณะศิงขรคนเดียว คือความผิดพลาดอย่างหนึ่ง”

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “คงงั้นมั้ง ยังไงต้องแข่งกันก่อนถึงจะรู้”

“ดื้อดึงยิ่งนัก!”

เฉินลี่ส่ายหน้า มองลู่ฝานเซ็นเอกสารเกี่ยวกับชีวิตและความตาย เมื่อพิมพ์ลายนิ้วมือเสร็จ เอาเหรียญทองวางไว้อีกด้าน

อาจารย์ชีหลินให้นักเรียนยอดฝีมือด้านหลัง เอาเหรียญทองออกมา สะบัดมือโยนเหรียญทองของคณะศิงขรไปไว้อีกด้าน เหรียญทองขนาดใหญ่สองเหรียญ เปล่งประกายระยิบระยับ ทำให้นักเรียนคณะศิงขรจำนวนไม่น้อยอิจฉาตาร้อน

แต่พวกเขาไม่มีกล้าเข้าไปแตะสักคน เพราะไม่ใช่ของพวกเขา

ครูเฉินลี่เอาเอกสารเกี่ยวกับชีวิตและความตายกลับมา ให้อาจารย์ชีหลินและคนอื่นลงชื่อ

อาจารย์ชีหลินพูดว่า “อี้ชิงกับเต้ากวงไม่ได้มา ฉันจะลงชื่อไปทำไม เหยียนฮ่าวพวกนายเซ็นซะสิ”

นักเรียนยอดฝีมือทั้งห้าคน เดินเข้ามาเซ็นชื่อทีละคน

เมื่อเสร็จสิ้นทุกอย่าง ครูเฉินลี่ยกเอกสารขึ้น แล้วพูดว่า “เอกสารเรียบร้อยแล้ว เริ่มแข่งได้”

อาจารย์ชีหลินเดินไปด้านข้าง พวกนักเรียนข้างๆ รีบเอาเก้าอี้ไม้ตัวใหญ่ออกมาอย่างรู้งาน บอกให้อาจารย์ชีหลินนั่งลง

นักเรียนยอดฝีมืออย่างพวกเฟิ่งหวาเดินเข้ามา ฝีเท้าพร้อมเพรียงจนประหลาด ทั้งห้าคนปล่อยพลานุภาพออกมาจากตัว ลู่ฝานเห็นพลังฟ้าดินรอบๆ กลายเป็นรูปร่างมังกร ภายใต้พลานุภาพกดดันของพวกเขา

เสียงเจดีย์เสวียนเก้ามังกรดังขึ้นอีกครั้ง

“เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ คู่ต่อสู้ของเจ้านายน่าสนใจมาก เหมือนคนที่ฝึกค่ายกล อืม ปราณกลายเป็นมังกร ประจวบเหมาะกับธาตุทั้งห้า ค่ายกลปราณมังกรนี่ เจ้านาย ค่ายกลนี้ไม่เลว เจ้านายเล่นกับพวกเขาสิ”

ลู่ฝานพูดอย่างตกใจในใจ “แกว่าอะไรนะ เล่นงั้นเหรอ แกให้ฉันสู้กับพวกเขาห้าคนเหรอ”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดว่า “ใช่ เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่สู้กับพวกเขา ทำให้พวกเขาใช้ค่ายกลปราณมังกรออกมาทั้งหมด จากนั้นฉันจะได้ลากค่ายกลที่พวกเขาสร้างขึ้น เข้ามาในมุกเทพ เพิ่มความทนทานให้มุกเทพฮ่าๆ เรื่องแย่งพลังปราณค่ายกล ฉันถนัดมาก เจ้านายคนแรกของฉันอาศัยการช่วงชิงค่ายกล จนทำให้ได้ชื่อว่าปรมาจารย์ค่ายกลเลยนะ”

ลู่ฝานพูดว่า “ช่วงชิงค่ายกลเข้ามาในมุกเทพเหรอ แกจะทำอะไร”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดว่า “ทำเรื่องดีไง เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ มุกเทพของคุณมีความสามารถในการกักเก็บพลังฟ้าดินทั้งหมด ค่ายกลก็ไม่ต่างกัน ลากค่ายกลของอีกฝ่ายเข้ามาไว้ในมุกเทพ ต่อไปเจ้านายจะได้ใช้งานไง ถ้าเจ้านายสู้กับคนที่ใช้ค่ายกลเยอะๆ เพื่อเก็บเอาไว้ หึหึ เจ้านายก็จะเป็นเหมือนเจ้านายคนแรกของฉัน สามารถวางค่ายกลมากมายในพริบตา ควบคุมทุกสรรพสิ่งในโลกได้!”

บทที่ 259
เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดว่า “เจ้านายไม่ต้องลงมือหรอก ฉันเองก็พอแล้ว ฮ่าๆ พลังค่ายกลพวกนี้ไม่เลวเลย ฉันยิ้มรับแล้ว เจ้านายจัดการเรื่องตัวเองเลย ฉันขอไปเอาของสักหน่อย”

ลู่ฝานขมวดคิ้วมองรอยรางๆ ใต้เท้าแผ่กว้างออกไปเรื่อยๆ

ขี้เกียจสนใจการกระทำของเจดีย์เสวียนเก้ามังกร ลู่ฝานรอการมาถึงของนักเรียนยอดฝีมือคณะศิงขรอย่างเงียบๆ

นักเรียนคณะศิงขรบริเวณรอบๆ เยอะขึ้นเรื่อยๆ เห็นลู่ฝานยืนนิ่งอยู่คนเดียว นักเรียนพวกนี้ตกใจและโมโห

“เกิดอะไรขึ้น คณะหนึ่งเดียวมาสู้จัดอันดับของสถาบันไม่ใช่เหรอ ทำไมมีแค่คนเดียวล่ะ คนอื่นล่ะ”

“คณะหนึ่งเดียวจะสู้กับคณะศิงขรเพียงคนเดียวเหรอ เขาคิดว่าตัวเองเป็นหลัวตานหรือไง อวดดีเกินไปแล้ว!”

“ใช่ ดูถูกคณะศิงขรเกินไปแล้ว ให้ฉันลองกับเขาสักสองกระบวนท่าก่อน ฉันจะทำให้เขาเยี่ยวราดเลย”

“อย่าวู่วาม ทำแบบนี้จะทำให้เราโดนข้ออ้างทำลายกฎ”

……

ลู่ฝานกวาดตามองรอบๆ อย่างสุขุม ฟังพวกนักเรียนคณะศิงขร ถกเถียงเรื่องเขาและคำวิจารณ์ต่างๆ นานา

คนกลุ่มหนึ่งตะโกนออกมาว่า “เด็กน้อยคณะหนึ่งเดียวไปตายซะ เด็กน้อยคณะหนึ่งเดียวไสหัวไปซะ”

การกระทำไร้สมองแบบนี้ เรียกความสนใจจากลู่ฝานไม่ได้เลย เขากอดอกแล้วหลับตาลง

เส้นไหมที่เจดีย์เสวียนเก้ามังกรปล่อยออกมา เริ่มแย่งชิงพลังต่างๆ นานา

ตอนพลังหนึ่งโดนกระชากเข้ามา ลู่ฝานถึงกับตกใจ

เสียงเจดีย์เสวียนเก้ามังกรดังขึ้น

“ฮ่าๆ เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ พลังที่นี่บริสุทธิ์มาก ฉันรู้สึกว่าสามารถฟื้นฟูพลังได้เล็กน้อยแล้ว”

ลู่ฝานพูดในใจว่า “แกซึมซับพลังค่ายกลของเขาเหรอ ไม่โดนจับได้เหรอ”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดว่า “เจ้านายไม่ต้องกังวล แค่ที่นี่ไม่มีนักบู๊ระดับเซียนบู๊ขึ้นไป ไม่มีทางจับได้ ฉันก็ไม่ซึมซับพลังของค่ายกลจนหมดหรอก เหลือไว้สัก 20-30 เปอร์เซ็นต์ก็พอแล้ว มีพลังพวกนี้อยู่ ฉันพอฟื้นฟูได้สักหน่อย เจ้านายสามารถยืมใช้ได้นิดหน่อยด้วย”

ลู่ฝานพูดอย่างตกใจ “ยืมใช้เหรอ”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดว่า “ใช่ ยืมใช้ สามารถเอาพลังส่วนหนึ่ง แปรเปลี่ยนเป็นพลังปราณให้เจ้านาย แม้ซึมซับไม่ได้ แต่ปล่อยออกไปได้อย่างไม่มีปัญหา”

ลู่ฝานยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “ที่แท้แกยังมีประโยชน์แบบนี้ด้วย ไม่ต่างจากหยกแขวนจิตบู๊สักเท่าไร”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรหัวเราะแล้วพูดว่า “พลังกับวิชาบู๊ที่หยกแขวนจิตบู๊กักเก็บได้ ยังห่างชั้นกับฉันมาก อันที่จริงถ้าเจ้านายไม่ถือสา เอาหยกแขวนจิตบู๊เข้ามาด้วยก็ได้ ให้ฉันได้หล่อเลี้ยงมัน มันจะได้ซึมซับพลังด้วยกันกับฉัน จะก้าวหน้าเร็วขึ้นด้วย”

ลู่ฝานพูดว่า “งั้นก็ได้ เพราะฉันไม่มีเวลาดูแลหยกแขวนจิตบู๊ชั่วคราว ฝากแกด้วยละกัน แกระวังไว้ด้วย ห้ามให้ใครจับได้เด็ดขาด”

“วางใจเถอะ”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรหายไปพร้อมเสียงหัวเราะ ลู่ฝานรู้สึกว่าหยกแขวนจิตบู๊ของตัวเองหายไปด้วยเช่นกัน มาถึงตันเถียนผ่านเส้นลมปราณของเขา

สภาวะมหัศจรรย์เช่นนี้ ทำให้ลู่ฝานเลิกคิ้วขึ้นเบาๆ

ดูเหมือนเจดีย์เสวียนเก้ามังกร มีความสามารถประหลาดจริงๆ

“อาจารย์ชีหลินมาแล้ว พวกศิษย์พี่เฟิ่งหวาก็มาแล้ว”

เมื่อเสียงตะโกนดังขึ้น ลู่ฝานลืมตาขึ้นเช่นกัน

ในที่สุดก็มาสักที ลู่ฝานดึงกระบี่หนักออกมาปักไว้ด้านหน้า

“ลู่ฝานคณะหนึ่งเดียว มาท้าประลอง”

บทที่ 258
หลังผ่านไปสองวัน ล่างเขาคงต้ง ลู่ฝานสะพายกระบี่หนักไม่คม เงยหน้ามองทิวเขาคงต้ง แล้วถอนหายใจยาว

“รู้แบบนี้ ฉันไม่ใช่แรงหมดตัวหรอก”

ลู่ฝานบ่นพึมพำ จากนั้นส่ายหน้าเบาๆ

นึกถึงสามกระบวนท่าที่เขานัดกับศิษย์พี่ใหญ่ เมื่อสองวันก่อน ลู่ฝานยิ้มแหยๆ ออกมา

กระบวนท่าที่สามของเขา ทำให้ศิษย์พี่ใหญ่ถอยหลังไปก้าวเดียวเท่านั้น จากนั้นศิษย์พี่ใหญ่ทำเป็นแกล้งตาย นอนลงไปบนพื้น

อีกทั้งยังนอนโอดครวญบนพื้นว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน นายเก่งเกินไปแล้ว ฉันว่าสู้รอบที่เหลือ นายไปเองเถอะ”

จากนั้นศิษย์พี่ทุกคนส่งซิกให้เขา เขาจึงมาเขาคงต้งเพียงคนเดียว

พวกศิษย์พี่หานเฟิงอ้างว่าต้องดูแลศิษย์พี่ใหญ่ เลยไม่มากันทั้งหมด

อาจารย์อี้ชิงกับอาจารย์เต้ากวง เอาเหรียญทองที่ได้จากคณะนานา ให้ลู่ฝานทั้งหมด

“พวกเขาโล่งใจกันจริงๆ!”

ลู่ฝานยิ้มอย่างเหนื่อยใจ

ลู่ฝานเงยหน้ามองเขาคงต้งอันยิ่งใหญ่ ถูกปกคลุมอยู่ในเมฆหมอก มาพร้อมกับแสงอาทิตย์สีทองบนฟ้า

เทียบกับคณะนานา คณะศิงขรดูมีออร่าของเซียนมากกว่า ไม่ต้องพูดเรื่องอื่น แค่ยอดเขาก็งดงามมากแล้ว

ยอดเขาสูงเสียดฟ้า สะพานเซียนข้ามรุ้ง ภูเขาตระหง่านงดงาม แสงจันทร์สาดส่องระยิบระยับ สายลมฤดูใบไม้ผลิอบอุ่น สายน้ำใสไหลริน นกกระเรียนเหลียวมองมฆลอยขึ้นข้างถ้ำ หมอกหลากสีเหนือยอดเขา….ทั้งเขาคงต้งมีวิวทิวทัศน์นับไม่ถ้วน บันไดหินทอดยาวไปถึงคณะศิงขรที่อยู่ข้างบนสุด

ลู่ฝานเดินไป 2-3 ชั่วยามเต็มๆ กว่าจะถึงหน้าประตูคณะศิงขร

หุ่นคุ้มครองซ้ายขวา ด้านล่างมีค่ายกลปราณบู๊

ศิลาบู๊แต่ละก้อนแฝงไปด้วยพลังปราณ วางเรียงอยู่หน้าประตูคณะ ศิษย์คณะศิงขรที่กำลังจะลงเขา เห็นลู่ฝานมาถึง ต่างมีแววตาสงสัย

“ดูจากการแต่งตัวของนักเรียนคนนี้ นายไม่ใช่นักเรียนคณะศิงขรใช่ไหม มาที่นี่ทำไม”

นักเรียนคณะศิงขรคนหนึ่งเดินเข้ามาถามลู่ฝาน

ลู่ฝานมองซ้ายมองขวา คณะศิงขรใหญ่มาก แค่ประตูบานนี้ก็กินพื้นที่หลายลี้แล้ว ถ้าเขาไปคงหลงทางเลยมั้ง

นักเรียนเห็นลู่ฝานไม่พูด จึงขมวดคิ้วพูดว่า “นักเรียนคนนี้ คณะศิงขรไม่ใช่ที่ที่นักเรียนคณะอื่นบุกมาเข้ามาได้นะ นายมาที่นี่เพราะอะไร”

ลู่ฝานมองเขาอย่างราบเรียบแล้วพูดว่า “ฉันมาท้าประลอง”

นักเรียนพูดอย่างตกใจ “ท้าประลองเหรอ นายจะท้าประลองใคร”

ลู่ฝานพูดช้าๆ ว่า “ไม่ได้ท้าประลองคนอื่นหรอก มาท้าประลองคณะศิงขรน่ะ”

“ท้าประลองคณะศิงขร นายบ้าไปแล้ว……”

เมื่อนักเรียนได้ยิน อยากจะหัวเราะเยาะลู่ฝาน แต่เห็นลู่ฝานเอาเหรียญทองขนาดใหญ่ ออกมาจากเข็มขัด แล้วโยนลงบนพื้น

ลู่ฝานพูดเสียงก้องเหมือนฟ้าร้อง

“ลู่ฝานคณะหนึ่งเดียว มาขอท้าประลอง!”

เสียงดังก้องไปทั่วคณะศิงขร

นักเรียนที่ยืนหน้าลู่ฝานช็อกอยู่นาน จากนั้นวิ่งกุลีกุจอออกไป วิ่งพลางพูดว่า “คณะหนึ่งเดียวมาท้าประลอง คณะหนึ่งเดียวมาต่อสู้จัดอันดับของสถาบันแล้ว”

เพียงพริบตา ลู่ฝานเห็นความโกลาหลไปทั่วคณะศิงขร

นักเรียนนับไม่ถ้วนวิ่งออกมาข้างนอก ไม่นานนักเรียนมากมายล้อมลู่ฝานเอาไว้

ตอนนี้ในหัวของลู่ฝานมีเสียงดังขึ้นมา

“เจ้านายมาที่ไหนเนี่ย ทำไมฉันรู้สึกถึงออร่าค่ายกล ฮ่าๆ ของดีเยอะแยะเลย”

นี่เป็นเสียงของเจดีย์เสวียนเก้ามังกร ไอ้นี่พอเงียบก็เงียบไป 2-3 วัน คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะเสนอหน้าออกมา

ลู่ฝานตอบกลับไปในสมอง “ฉันไม่มีเวลาเอาของให้แกหรอกนะ”

บทที่ 257

บทที่ 259

บทที่ 257
ครั้งนี้ลู่ฝานรู้แล้วว่าพลังโจมตีของตัวเอง แข็งแกร่งขนาดไหน

เสื้อปราณที่ปกคลุมตัวเอาไว้โดนโจมตีจนสั่น

“กระบวนท่าที่หนึ่ง!”

ศิษย์พี่ใหญ่พูดอย่างสุขุม

ลู่ฝานตาเป็นประกาย เขาเพิ่งเคยเจอเคล็ดวิชาบู๊ประหลาดแบบนี้เป็นครั้งแรก

ลู่ฝานดึงกระบี่หนักของตัวเองออกมา แล้วพูดว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ ระวังไว้ให้ดี”

ศิษย์พี่ใหญ่หัวเราะ มีแสงบางๆ สว่างขึ้นรอบตัว

ไม่ใช่เสื้อปราณ ไม่ใช่พลังปราณ แต่เป็นพลังฟ้าดินที่ดูแตกต่าง ลู่ฝานสัมผัสได้ว่าพลังฟ้าดินรอบตัวศิษย์พี่ใหญ่ เริ่มเคลื่อนไหวอย่างประหลาด ออร่าลึกลับโถมเข้ามา ในเวลาเดียวกันรู้สึกเหมือนบนตัวศิษย์พี่ใหญ่ มีพลังวิญญาณที่แปลกประหลาด

ลู่ฝานเดินเข้ามาฟาดกระบี่ลงไป

“ฆ่า!”

เป็นกระบี่ฆ่าพิชิตฟ้าเหมือนเดิม แต่ครั้งนี้ลู่ฝานไม่ได้ ปล่อยตัวอักษรคำว่าฆ่า 5 ตัว ภายในกระบี่เดียว สะบัดคำว่าฆ่าออกมาเพียงตัวเดียวเท่านั้น

แต่อาจารย์อี้ชิงกับอาจารย์เต้ากวง ยังตกใจเล็กน้อย

เพราะคำว่าฆ่าที่ลู่ฝานสะบัดออกมา มีพลังสะเทือนขวัญ ไม่ใช่ตัวอักษรคำว่าฆ่า 5 ตัวก่อนหน้านี้ แต่เป็นคำว่าฆ่าตัวที่ 6

พวกเขาคิดไม่ถึงว่า ตอนลู่ฝานสู้กับหยุนอาน เขายังออมมือไว้

ตัวอักษรคำว่าฆ่า โจมตีลงบนตัวศิษย์พี่ใหญ่

พื้นใต้เท้าศิษย์พี่ใหญ่เป็นรอยร้าว ลวดลายคำว่าฆ่าปรากฏออกมา

ศิษย์พี่ใหญ่สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ผิวหนังท้องเริ่มบิดไปมา

“พลังแข็งแกร่งมาก”

ศิษย์พี่ใหญ่พูดออกมา

“แต่แค่นี้ยังไม่พอหรอก ร่างทองครองธรรม!”

ต่อมามีแสงสว่างขึ้นบนตัวศิษย์พี่ใหญ่ ลู่ฝานมองตัวของศิษย์พี่ใหญ่ มีขนาดใหญ่ขึ้น

ใหญ่ขึ้นสองสามเท่า ศิษย์พี่ใหญ่เหมือนเทือกเขาเล็กๆ ยืนอยู่ตรงหน้าลู่ฝาน

ตัวอักษรคำว่าฆ่าที่ลู่ฝานปล่อยออกมา เหมือนสะกิดเข้ากับภูเขาใหญ่เท่านั้น ศิษย์พี่ใหญ่พลิกมือปัดมันออกไป

“กระบวนท่าที่สอง!”

ศิษย์พี่ใหญ่ยื่นนิ้วขนาดใหญ่ไปทางลู่ฝานสองนิ้ว ใบหน้ามีรอยยิ้ม

หานเฟิงตะโกนขึ้นข้างๆ “ฮ่าๆ ศิษย์น้องลู่ฝาน นายทำให้ศิษย์พี่ใหญ่ใช้ร่างทองครองธรรมแล้ว นี่เป็นวิชาที่ตระกูลเขาสืบทอดมา เอากระบวนท่าแข็งแกร่งกว่านี้ ศิษย์พี่ใหญ่จะฝืนไม่ไหวแล้ว”

ลู่ฝานได้ยินจึงยิ้มบางๆ ที่แท้นี่คือวิชาที่สืบทอดกันมา ของตระกูลศิษย์พี่ใหญ่ ดูแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก

อาจารย์อี้ชิงพยักหน้าอยู่ข้างๆ “กระบี่ฆ่าพิชิตฟ้าของลู่ฝานอยู่ในระยะรู้ความแล้ว สามารถใช้กระบี่ที่หกได้ พิสูจน์ได้ว่าแรงระเบิดของพลังปราณเขา เหนือกว่านักบู๊แดนปราณนอกทั่วไป แต่เขาแค่ฝึกออกมาได้ไม่กี่เดือนเท่านั้น ฝึกเคล็ดวิชาบู๊ระดับดินหนึ่งเล่ม จนถึงระยะรู้ความแล้วเหรอ”

อาจารย์เต้ากวงพูดว่า “ฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน แต่คณะหนึ่งเดียวของเรา มีอัจฉริยะที่ทำให้เราไม่รู้ถึงขีดจำกัด เป็นเรื่องดีไม่ใช่หรือไง”

อาจารย์อี้ชิงยิ้มแล้วพูดว่า “ใช่ๆ”

ลู่ฝานมองศิษย์พี่ใหญ่ ปักกระบี่หนักลงบนพื้นทันที

ลู่ฝานกำหมัดแล้วพูดว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ กระบวนท่าต่อไปรุนแรงหน่อย ผมเองก็ไม่รู้พลังสังหารแข็งแกร่งถึงขั้นไหน พี่ต้องระวังไว้หน่อย”

ศิษย์พี่ใหญ่หัวเราะ “มาเถอะ ศิษย์น้องลู่ฝาน ให้ฉันดูสิว่าขีดจำกัดของนายอยู่ตรงไหน พลานุภาพสองกระบวนท่าเมื่อกี้ไม่เลวเลย ทำให้ฉันตกใจอีกหน่อยสิ”

ลู่ฝานพูดว่า “งั้นศิษย์พี่ใหญ่ยืนให้ดี”

พลังฟ้าดินรอบๆ เริ่มบ้าคลั่ง ตัวลู่ฝานร้อนระอุ ตอนนี้กายทองไฟอาบระอุจนมีควันขาวลอยขึ้นมา เหมือนมังกรคำรามออกมา

อาจารย์เต้ากวงพูดอย่างตกใจ “หมัดมังกรเพลิงคำราม เขาฝึกได้แล้วเหมือนกันเหรอ”

อาจารย์อี้ชิงยิ้มแล้วพูดว่า “ความคิดนี้ไม่เลว แต่ลู่ฝานนายต้องบอกอะไรเราหน่อย ตอนนี้พละกำลังของนายเป็นยังไงบ้าง”

ลู่ฝานพูดว่า “ปราณนอกขั้นสาม”

หานเฟิงตะโกนว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน ทำไมนายยกระดับเร็วขนาดนี้”

ฉู่สิงกับฉู่เทียนถึงกับช็อก

ฉู่สิงพูดว่า “ฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ศิษย์น้องลู่ฝาน เซียนสือฟางเป็นผู้ฝึกชี่ไม่ใช่เหรอ ทำไมนายถึงได้รับโอกาสในนั้นล่ะ เขาถ่ายทอดพลังปราณให้นายได้เหรอ”

ลู่ฝานจิตใจวูบไหว คำถามนี้ตอบยากแล้ว

อาจารย์อี้ชิงเคาะโต๊ะ แล้วพูดว่า “ใครจะตอบเรื่องโอกาสได้กันล่ะ มีความลับบนตัวลู่ฝานเล็กน้อย พอเข้าใจได้อยู่”

ฉู่สิงตอบรับ มองลู่ฝานแล้วพูดว่า “ศิษย์น้องลู่ฝานอย่าถือสา ฉันแค่สงสัย”

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่เป็นไรๆ อันที่จริงผมก็ไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์ในตอนนั้นเท่าไร”

หานเฟิงพูดว่า “ไปสนใจทำไม ตอนนี้ศิษย์น้องลู่ฝานเก่งก็พอแล้ว แต่ศิษย์น้องลู่ฝาน นายพูดแค่ระดับขั้น มันไม่ได้ใช้ประโยชน์สูงสุดนะ ดูพละกำลังโดยรวมไม่ออก ไม่งั้น……”

สายตาหานเฟิงหันไปมองศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่ฉู่สิง และศิษย์พี่ฉู่เทียน

จู่ๆ ศิษย์พี่หานเฟิงชี้ท้องศิษย์พี่ใหญ่ “ศิษย์น้องลู่ฝาน นายสู้กับศิษย์พี่ใหญ่ไหม ให้พวกเราดูหน่อย ถ้านายชนะศิษย์พี่ใหญ่ได้ หึหึ ต่อไปฉันจะตามนายไปด้วย”

ไขมันบนหน้าศิษย์พี่ใหญ่สั่นไปมา “ศิษย์น้องหานเฟิง วิธีนี้ไม่เหมาะสม ไม่เหมาะเป็นอย่างมาก ฉันเพิ่งกินอิ่ม กำลังง่วงเลย สู้อะไรล่ะ”

อาจารย์อี้ชิงพูดว่า “ฉันคิดว่าวิธีนี้ไม่เลว อู๋เหวย ถือซะว่าชี้แนะศิษย์น้องสักหน่อย สู้กับเขาสักรอบ”

อาจารย์เต้ากวงพูดว่า “อืม อู๋เหวย ลองดูสิ พละกำลังของลู่ฝานไม่ด้อยเลย นายไม่ต้องกลัวทำเขาบาดเจ็บหรอก”

ศิษย์พี่ใหญ่สีหน้าหดหู่ พูดอย่างไม่เต็มใจ “เฮ้อ เดี๋ยวนี้เป็นศิษย์พี่ใหญ่ช่างยากจริงๆ ศิษย์น้องลู่ฝาน เรามาพูดกันก่อน สามกระบวนท่าเท่านั้น เมื่อผ่านสามกระบวนท่า ฉันไม่สู้แล้ว ขอกลับห้องไปนอน”

ลู่ฝานยิ้มแหยแล้วพูดว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ เชื่อผมเถอะ ผมไม่อยากใช้สักกระบวนท่า แต่ในเมื่ออาจารย์สั่งแล้ว งั้นเรามาสู้กันสามกระบวนท่าละกัน”

ทั้งสองลุกขึ้นยืน ไม่จำเป็นต้องพูดพร่ำทำเพลง

ล้วนเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องของคณะหนึ่งเดียว ลงมืออย่างยับยั้งชั่งใจ

ศิษย์พี่ใหญ่ยื่นพุงใหญ่ไปยืนหน้าลู่ฝาน “โอเค ศิษย์น้องลู่ฝาน นายโจมตีได้แล้ว จะหมัดหรือกระบี่ก็ได้ แต่สามกระบวนท่านะ”

ลู่ฝานพูดอย่างตกใจ “ศิษย์พี่ใหญ่ พี่บอกว่าสามกระบวนท่า ให้ผมสู้สามกระบวนท่าเหรอ”

ศิษย์พี่ใหญ่ลูบท้องแล้วพูดว่า “ผลการฝึกตนของฉันทั้งตัว ล้วนอยู่ที่ไขมันทั้งหมด มาสิ ทำให้ฉันถอยหลังได้หนึ่งก้าว ถือว่านายชนะ”

ลู่ฝานพยักหน้า “ได้ ศิษย์พี่ใหญ่ยืนให้ดี”

ลู่ฝานสูดหายใจลึก ประกายในแววตาดูดุดันขึ้น

ง้างมือส่งหมัดออกมา กระบวนท่าแรก หมัดถล่มเขาอู๋เซี่ยง!

ทันใดนั้น ไขมันบนตัวศิษย์พี่ใหญ่ยุบลงไป พลังหมัดอันน่ากลัวของลู่ฝาน ปกคลุมผิวหนังบนท้องศิษย์พี่ใหญ่เอาไว้ เหมือนหมัดทุบลงบนก้อนแป้ง

แต่ศิษย์พี่ใหญ่ยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม สีหน้าไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย

ทันใดนั้น ผิวหนังบนท้องศิษย์พี่ใหญ่ดีดกลับมา แรงสะท้อนกลับทำให้ลู่ฝานเซถอยหลังไปสามก้าว

ลู่ฝานรู้สึกถึงพลังหมัดของตัวเองทั้งหมด กระแทกเข้ากับตัวเขาเอง

เมิ่งอวิ๋นพยักหน้า สะบัดแสงหนึ่งลงไปในมือจางเยว่หาน
เคล็ดวิชาบู๊มีควันสีม่วงลอยขึ้นมา ดูเหมือนภาพลวงตา
จางเยว่หานเก็บเคล็ดวิชาบู๊เอาไว้ ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาดู แม้นักเรียนคนอื่นอิจฉาตาร้อน แต่ไม่มีใครกล้าพูดสักคน เพราะความแข็งแกร่งที่จางเยว่หานแสดงออกมา ตอนสู้กับหลัวตานทำให้คนพวกนี้ยอมรับแล้ว ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป จางเยว่หานเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของคณะบังเหินแล้ว
อาจารย์เมิ่งอวิ๋นพูดว่า “เมื่อวานฉันได้ข่าวมาว่า คณะหนึ่งเดียวชนะคณะนานา คณะหนึ่งเดียวส่งคนไปแค่สองคน คนหนึ่งชื่อหานเฟิง ชนะติดต่อกันสองรอบ อีกคนชื่อลู่ฝาน เอาชนะหยุนอานของคณะนานาได้”
เมื่อพูดจบ สีหน้าจางเยว่หานเปลี่ยนไป
เมื่อได้ยินชื่อลู่ฝาน จางเยว่หานสีหน้าไม่สู้ดี เหมือนกินของเสีย รีบก้มหน้าลง ไม่ให้คนข้างๆ เห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของเธอ
อาจารย์เมิ่งอวิ๋นพูดว่า “พวกเธออย่าคิดว่าไม่มีอะไร แม้คณะหนึ่งเดียวเรียบง่าย แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่แข็งแกร่ง ฉันบอกพวกเธอได้แค่ว่า คณะหนึ่งเดียวมีพละกำลัง สามารถสั่นคลอนฐานะของคณะบังเหินได้ โดยเฉพาะลู่ฝาน คู่แข่งที่เขาเอาชนะได้ คือหยุนอานอันดับห้าในรายชื่อบู๊เมื่อสองปีก่อน หยุนอานที่ทั้งสถาบันสอนวิชาบู๊ยอมรับว่าเป็นอัจฉริยะ ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป คณะหนึ่งเดียวคือศัตรูในจินตนาการของพวกเธอ ทางที่ดีพวกเธอระวังคู่ต่อสู้คนนี้ไว้ ไม่งั้นเมื่อถึงตอนนั้นจะเสียเปรียบมาก”
ทุกคนคำนับแล้วพูดว่า “ศิษย์จะจดจำคำสอนของอาจารย์”
มีเพียงจางเยว่หานที่ไม่พูด เธอกำหมัดแน่น แววตาเย็นชา
ลู่ฝาน มีปัญญานายก็มาคณะบังเหินสิ
ฉันจะให้นายสัมผัสถึงความเจ็บปวดที่แท้จริง
……
ที่คณะหยินหยาง เอี๋ยนชิงฟังนักเรียนคนหนึ่งเล่าจนจบ ด้วยความสุขุม
เอี๋ยนชิงโยนเหรียญทองถุงหนึ่งออกไป แล้วพูดว่า “นายสอบถามข่าวมาได้ไม่เลว ไปสอบถามข่าวเกี่ยวกับคณะหนึ่งเดียวให้เยอะขึ้นอีก ฉันมีรางวัลใหญ่ให้”
นักเรียนหยิบเหรียญทอง พูดตอบรับ แล้วรีบเดินออกไป
รอยยิ้มบนใบหน้าเอี๋ยนชิงเย็นชาลงเรื่อยๆ
“คณะหนึ่งเดียว ให้พวกนายได้ใจไปก่อนสักพัก”
เอี๋ยนชิงพูดพึมพำ เอาอัญมณีออกมาเม็ดหนึ่ง นี่เป็นสิ่งที่อาจารย์ซิงยวนให้เขา
มีสิ่งนี้อยู่ พละกำลังของเขาจะเพิ่มขึ้นอีกขั้น
วิถีที่แฝงอยู่ด้านใน ชัดเจนมาก ราวกับยื่นมือออกไปก็ไม่สามารถสัมผัสได้
เอี๋ยนชิงสัมผัสได้ว่าพละกำลังของตัวเอง เพิ่มขึ้นต่อเนื่องภายใต้การหล่อเลี้ยงของอัญมณี ใกล้เข้าสู่แดนปราณชีวิตอย่างแท้จริง
……
คณะหนึ่งเดียว
หานเฟิงมองรายชื่อบู๊ที่เพิ่งออกมาใหม่ แล้วสบถออกมาว่า “ให้ตายเถอะ ใครทำรายชื่อนี้ ทำไมผมเพิ่งอันดับที่ 49 ล่ะ ทำไมๆ”
ฉู่สิงกลอกตามองบน “ทำไมเหรอ ก็เพราะพละกำลังนายไม่ได้เรื่องไง ดูศิษย์น้องลู่ฝานสิ อันดับที่ 20 ฮ่าๆ สูงกว่านายตั้ง 29 อันดับ ศิษย์น้องลู่ฝานเข้าสู่ 10 อันดับแรกให้ได้นะ”
ลู่ฝานหัวเราะเบาๆ ลูบหัวเจ้าดำแล้วพูดว่า “รับรองว่าอยู่ใน 10 อันดับแรกได้แน่”
หานเฟิงตะโกนว่า “10 อันแรกอะไรกัน ต้องที่ 1 สิ รอให้ศิษย์น้องลู่ฝานอยู่ที่ 1 ฉันจะได้เป็นศิษย์พี่ของอันดับหนึ่งในสถาบันสอนวิชาบู๊ ได้ยินแล้วสะใจจัง ศิษย์พี่ใหญ่ว่าไหม”
ศิษย์พี่ใหญ่พูดว่า “ใช่ ฉันก็คิดแบบนี้เหมือนกัน ศิษย์น้องลู่ฝาน รอบต่อไปนายไปคณะศิงขรเองไหม เอาชนะแบบหนึ่งต่อห้า รับรองว่าอยู่ใน 10 อันดับแรกแน่นอน”
หานเฟิง ฉู่สิงและฉู่เทียนตบโต๊ะ พูดพร้อมกันว่า “ความคิดดี”
ลู่ฝานอ้าปากกำลังจะพูด แต่ก็จำใจกลืนคำพูดลงคอ

หลังผ่านไปหนึ่งวัน ข่าวคณะหนึ่งเดียวเอาชนะคณะนานาได้ กระจายไปทั่วสถาบันสอนวิชาบู๊เหมือนติดปีก
ชื่อลู่ฝานกับหานเฟิง เข้าสู่รายชื่อบู๊อย่างเป็นทางการ
อันดับรายชื่อคือ หานเฟิงที่ 49 ลู่ฝานที่ 20
การต่อสู้ของทั้งสองคน เคล็ดวิชาบู๊ที่ใช้ หลังจากผ่านการบิดเบือนเกินจริง ก็โดนคนพูดออกไป
ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป คณะหนึ่งเดียวไม่ใช่ที่สุดท้ายของสถาบันสอนวิชาบู๊อีกแล้ว ขึ้นสู่ที่แปด คณะนานาลงไปสู่ที่สุดท้าย
อาจารย์เซินถูคณะกำแหงได้ยินข่าว ยังให้คนสอบถามสถานการณ์อย่างละเอียด
จ้าวคั่วกับเฉียวเซวียนนั่งฟังเงียบๆ อยู่ข้างๆ ตอนแรกพวกเขาไม่เข้าใจ ทำไมอาจารย์เซินถูต้องให้พวกเขาสอบถามเรื่องการต่อสู้ของคณะหนึ่งเดียว คณะอันดับต่ำขนาดนี้ ไม่สามารถข่มขวัญพวกเขาได้หรอก
แต่เมื่อนักเรียนเล่าเหตุการณ์จนจบ สีหน้าจ้าวคั่วกับเฉียวเซวียนอึมครึมขึ้นมาทันที
มีเพียงอาจารย์เซินถูที่กำลังหัวเราะ
“ดีๆๆ”
อาจารย์เซินถูพูดคำว่าดีติดต่อกันสามครั้ง “ฉันพูดตั้งแต่แรกแล้ว เด็กชื่อลู่ฝานไม่ธรรมดา หยกดีขนาดนี้ ไม่ว่าอยู่ที่ไหน ก็ส่องประกายได้เสมอ หยุนอานก็เอาชนะเขาไม่ได้ อืม เฉียวเซวียนพวกนายคอยระวังไว้ด้วย”
เฉียวเซวียนแววตาลุกโชน “ให้เขามาเถอะ แค่เขามาถึงคณะกำแหงของเราได้ สู้กับเขาสักสองกระบวนท่า ไม่เห็นเป็นไร ดูว่าเขาจะข้ามผ่านมาได้หรือเปล่า”
อาจารย์เซินถูพูดว่า “ฉันคิดว่าเป็นไปได้สูง ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ให้นักเรียนคนอื่นรวบรวมข้อมูลของคณะหนึ่งเดียว เหอะๆ อักษรคำว่าฆ่าขึ้นมาพร้อมกันห้าตัว กระบี่ฆ่าพิชิตฟ้า ถ้าข่าวลือเป็นจริง พละกำลังของเด็กคนนี้ คงรับมือยาก ไม่ด้อยไปกว่าหลัวตานด้วย”
จ้าวคั่วพูดอย่างเย็นชา “ยังเทียบกับหลัวตานไม่ได้หรอกครับ ผมเพิ่งได้ข่าวมา หลัวตานไปคณะบังเหินคนเดียวอีกแล้ว คณะบังเหินคงสู้ไม่ได้”
อาจารย์เซินถูยิ้มแล้วพูดว่า “ข่าวของนายเก่าแล้ว หลัวตานแพ้ให้กับคณะบังเหิน ผู้หญิงที่ชื่อจางเยว่หานเอาชนะเขาได้”
จู่ๆ จ้าวคั่วกับเฉียวเซวียนพูดอย่างตกใจ
“อะไรนะ”
“จางเยว่หานเป็นใครครับ”
ทั้งสองคนไม่เคยได้ยินชื่อนี้เลย
อาจารย์เซินถูพูดว่า “ฉันก็ไม่เคยได้ยินสักเท่าไร รู้แค่ว่าหลัวตานแพ้เละเทะ โดนซัดจนช็อกไปเลย ตลกชะมัด คณะฟ้าร้องยังจะให้หลัวตานจัดการคณะอื่นไปเรื่อยๆ จนถึงคณะกระบี่และคณะหยินหยางด้วยนะ คิดไม่ถึงว่าจะเจอตอใหญ่ที่คณะบังเหิน ผู้หญิงที่ชื่อจางเยว่หานไม่ธรรมดา ว่ากันว่าวิชาที่เธอใช้ คือเคล็ดวิชาบู๊โบราณที่สูญหายไปนานแล้ว ไม่รู้ไปเจอมาจากไหน”
“เคล็ดวิชาบู๊โบราณเหรอ”
จ้าวคั่วกับเฉียวเซวียนขมวดคิ้ว เคล็ดวิชาบู๊โบราณคืออะไร พวกเขาไม่เคยได้ยินมาก่อน
อาจารย์เซินถูขี้เกียจอธิบาย ลุกขึ้นพูดว่า “พวกนายรีบรักษาอาการบาดเจ็บเร็วๆ ฉันกลับก่อน ถ้ามีข่าวของคณะหนึ่งเดียว ให้บอกฉัน”
จ้าวคั่วกับเฉียวเซวียนคำนับ มองอาจารย์เซินถูเดินออกไป
……
คณะบังเหิน อาจารย์เมิ่งอวิ๋นมองห้าคนด้านล่าง พร้อมรอยยิ้มบางๆ บนใบหน้า
โดยเฉพาะจางเยว่หานที่อยู่หน้าสุด อาจารย์เมิ่งอวิ๋นหัวเราะมีความสุขเป็นพิเศษ
“จางเยว่หาน พละกำลังก้าวหน้าไม่เลวเลย ดูเหมือนมีโชคใหญ่ ครั้งนี้เธอเอาชนะหลัวตานได้ รักษาอันดับของคณะบังเหินเอาไว้ได้ คณะตัดสินใจมอบเคล็ดวิชาบู๊ระดับดินขั้นกลางให้เธอหนึ่งเล่ม เธอต้องตั้งใจฝึกฝน”
จางเยว่หานยิ้มงดงาม “ขอบพระคุณมากค่ะอาจารย์”

บทที่ 253
เงาสองเงาร่วมมือกัน ไม่มีร่องรอยการลงมือ ไม่มีสัญญาณบอกล่วงหน้า การโจมตีอันเฉียบคมพุ่งมาทันที

ลู่ฝานสะบัดกระบี่หนัก โจมตีกระบี่ยาวจากปราณจนแหลกสลาย แต่การโจมตีแบบนี้ไร้ประโยชน์ ต่อมามีกระบี่ยาวปรากฏในมือพวกเขาอีก

“กระบวนท่าไม่เลว น่าสนใจมาก!”

อาจารย์อี้ชิงหัวเราะอย่างมีความสุข อาจารย์เต้ากวงรู้ว่าอาจารย์อี้ชิงกำลังหัวเราะอะไร ความคิดสร้างสรรค์ของกระบวนท่านี้ไม่เลวเลย

ไม่รู้หยุนอานคิดเอง หรืออาจารย์เสวียนคงที่อยู่ด้านหลังเป็นคนคิด

“แต่กระบวนท่านี้ มีข้อบกพร่องใหญ่มาก”

อาจารย์อี้ชิงพูดออกมา

อาจารย์เต้ากวงหัวเราะแล้วพยักหน้า “กระบวนท่านี้ ข่มขวัญลู่ฝานไม่ได้เลย หยุนอานคิดแผนพลาดแล้ว”

ไม่มีใครได้ยินการพูดคุยของทั้งสองคน

ลู่ฝานที่อยู่บนหอคอยก็หัวเราะออกมา

ที่แท้เป็นอย่างนี้นี่เอง เขารู้แล้วว่าเงาสองเงานี้คืออะไร

ลู่ฝานกวาดตามองเงาทั้งสองเงา จากนั้นหรี่ตาลง เขาเห็นเส้นไหมบางๆ สีใสด้านหลังเงาทั้งสอง เชื่อมต่อกับหยุนอาน

พลังที่เหมือนพลังวิญญาณ อยู่ในพลังปราณประหลาด

แม้เป็นพลังปราณประหลาดเหมือนกัน แต่พลังวิญญาณแข็งแกร่งกว่าพลังนี้เยอะมาก

มีปราณกระบี่นับไม่ถ้วนฟันไปทางลู่ฝานจากเงาสองเงา

ลู่ฝานยืนนิ่งที่เดิม ปราณชี่ในตัวผ่านมุกเทพในตันเถียน กลายเป็นพลังวิญญาณ

“ย๊าก!”

แผดเสียงออกมา คลื่นเสียงกระเพื่อมออกไป

ทันใดนั้น เงาสองเงาหายไป เส้นไหมสีใสที่เชื่อมอยู่หลังพวกเขา โดนสะเทือนจนขาด และทำให้หยุนอานกระอักเลือดออกมา จากนั้นหงายหลังล้มลงบนพื้น

สีหน้าตกตะลึง หยุนอานมีสีหน้าไม่อยากเชื่อ

ทำลายกระบวนท่าของเขาง่ายดายขนาดนี้เชียวเหรอ

หยุนอานรู้สึกเหมือนตัวเองเจอผี

อาจารย์เสวียนคงได้ยินเสียงตะโกนของลู่ฝาน สีหน้าเปลี่ยนไปทันที

นี่คือ……เพลงเต๋าหนึ่งเดียว!

อาจารย์เสวียนคงเหาะขึ้นไปบนหอคอยทันที

“พวกเรายอมแพ้แล้ว!”

อาจารย์เสวียนคงตวาดออกมาเบาๆ และส่งสายตาให้ครูข้างๆ

ครูรีบตะโกนว่า “ลู่ฝานคณะหนึ่งเดียวชนะ ชนะทั้งสามรอบ คณะหนึ่งเดียวได้รับอันดับของคณะนานา”

เสียงดังไปทั่ว นักเรียนคณะนานาสีหน้าอึมครึม

“ทำไมถึงเป็นแบบนี้!”

“ทำไมคณะหนึ่งเดียวแข็งแกร่งขนาดนี้ อย่าบอกนะว่าคณะนานาของเราจะอยู่อันดับสุดท้าย”

“พระเจ้า ทำไมตอนนั้นฉันถึงเลือกคณะนานา ทำไมฉันไม่เลือกคณะหนึ่งเดียว!”

“ฉันเปลี่ยนใจไปคณะหนึ่งเดียวตอนนี้ยังทันไหม”

……

นักเรียนคณะนานาไม่มีหน้าอยู่ต่อ รีบออกไปอย่างรวดเร็ว

ถึงขนาดที่นักเรียนบางคนของคณะนานา ร้องไห้ออกมา เพราะชัยชนะของคณะหนึ่งเดียว ทำให้คณะนานาของพวกเขาตกต่ำสุด นี่เท่ากับฉีกหน้าคณะนานาจนหมดสิ้น เมื่อพวกเขาเจอนักเรียนคณะอื่น จะเงยหน้าขึ้นมาได้ยังไง

ลู่หมิงก็ยืนขึ้นเหมือนกัน จากนั้นมองไปทางลู่ฝาน

“ลู่ฝานนายทำได้ดีมาก ทำดีกว่าฉันเยอะมาก อืม ฉันคงต้องไปเขียนจดหมายให้ที่บ้านละ”

ลู่หมิงเดินออกไปพร้อมรอยยิ้ม

อาจารย์อี้ชิงกับอาจารย์เต้ากวง ก็เด้งตัวขึ้นไปบนหอคอย

อาจารย์เสวียนคงจ้องลู่ฝาน แล้วมองอาจารย์อี้ชิงกับอาจารย์เต้ากวง “คณะหนึ่งเดียวมีอัจฉริยะ ในที่สุดฉันก็รู้แล้ว ทำไมพวกนายเลือกลุกขึ้นมาในเวลานี้ ดูเหมือนคณะอื่นคงมีปัญหาใหญ่แล้ว”

อาจารย์อี้ชิงยิ้มแล้วพูดว่า “เสวียนคง นายรู้ก็ดีแล้ว แต่ห้ามบอกคนอื่น”

เสวียนคงพูดว่า “ฉันจะเตือนพวกเขาทำไม อี้ชิง เต้ากวง ยินดีด้วย”

อาจารย์อี้ชิงกับอาจารย์เต้ากวงพยักหน้าเบาๆ

บทที่ 252
“ชนะแล้วเหรอ ดูท่าหยุนอานก็แค่นั้น รู้แบบนี้ ผมจัดการเองไปแล้ว คงไม่ต้องใช้ศิษย์น้องลู่ฝาน”

หานเฟิงยิ้มออกมา สายตาจ้องไปที่หยุนอาน

ฉู่สิงพูดว่า “นายเนี่ยนะ ศิษย์น้องหานเฟิง ถ้านายสู้เอง คงโดนซัดเละเทะจนจำไม่ได้เลยล่ะ กระบวนท่านี้ของศิษย์น้องลู่ฝานแข็งแกร่งจริงๆ ต้องเป็นเคล็ดวิชาบู๊ระดับดินแน่นอน แต่เขาฝึกตั้งแต่เมื่อไร”

หานเฟิงหัวเราะออกมาทันที “ศิษย์พี่ฉู่สิงไม่รู้สินะ ขอร้องผมสิ ผมจะบอกให้”

ฉู่สิงมองหานเฟิงด้วยสีหน้าอึมครึม เสียงฉู่เทียนดังขึ้นด้านหลัง

“ศิษย์น้องหานเฟิง ถ้านายไม่พูด ฉันจะให้นายขอร้องฉัน”

หานเฟิงตัวสั่นแล้วพูดว่า “ก็ได้ๆ ผมบอกแล้ว กระบวนท่านี้ชื่อว่ากระบี่ฆ่าพิชิตฟ้า เคล็ดวิชาบู๊ระดับดิน ตอนแรกอาจารย์เต้ากวงเคยให้ผมดู แต่ผมไม่เลือก ดังนั้นอาจารย์เต้ากวงต้องเป็นคนสอนศิษย์น้องลู่ฝานแน่นอน”

ฉู่สิงกับฉู่เทียนหันไปมองอาจารย์เต้ากวงด้านหลัง

อาจารย์เต้ากวงจ้องพวกเขา แล้วพูดว่า “ถ้าพวกนายอยากเรียน กลับไปฉันสอนให้ กลัวแค่พวกนายจะรับไม่ไหวน่ะสิ ตอนนี้ดูแข่งเถอะ ยังไม่จบเลย”

หานเฟิงและคนอื่นหัวเราะออกมา ละสายตาออกมามองหอคอย

เป็นอย่างที่อาจารย์เต้ากวงพูด ยังไม่จบเลย

บนเวที หยุนอานมีเลือดไหลออกมา ยังค่อยๆ ลุกขึ้นมาได้

การเคลื่อนไหวของเขาช้ามาก มือที่ค้ำตัวไว้กำลังสั่น เลือดหยดลงบนเวทีจนเกิดเสียง

ลู่ฝานไม่ได้ใช้โอกาสนี้เข้าไปโจมตี เขายืนรอเงียบๆ อยู่ที่เดิม

หยุนอานยืนขึ้นมา ยื่นมือกระชากเสื้อตัวเองออก

“หนึ่ง สอง สาม สี่……”

หยุนอานนับแผลบนตัวอย่างสุขุม แววตาดุดันขึ้นเรื่อยๆ เสียงชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ

เหมือนมาพูดเบาๆ อยู่ข้างหู ราวกับเสียงกระซิบของปีศาจร้าย

ลู่ฝานขมวดคิ้ว เสียงหยุนอานเปลี่ยนไป ทำให้เขารู้สึกประหลาด

อาจารย์เสวียนคงสีหน้ากังวล หยุนอานจะใช้กระบวนท่านั้นเหรอ

แต่กระบวนท่านั้น หยุนอานยังไม่มั่นใจเลย!

อาจารย์เสวียนคงเตรียมตัวช่วยหยุนอานทุกเมื่อ แม้ผิดกฎ เขาก็ไม่สามารถให้ศิษย์รักของตัวเอง ตายบนเวทีแข่งขัน

หยุนอานนับบาดแผลบนตัวท่อนบนของตัวเองเสร็จ

“ทั้งหมด 56 แผล ดีมาก”

หยุนอานเงยหน้าขึ้น แววตาเต็มไปด้วยแสงสีขาวหม่นหมอง

พลังปราณปรากฏขึ้นบนตัวอีกครั้ง แต่ครั้งนี้พลังปราณของเขาดูเบาบาง ไม่สามารถรวมตัวเป็นเสื้อปราณได้

ลู่ฝานพูดอย่างราบเรียบ “นายจะนับบาดแผลท่อนล่างด้วยไหม ฉันรอได้นะ”

หยุนอานพูดว่า “อีกเดี๋ยว นายนับแผลตัวเองเถอะ”

พูดพลาง พลังปราณบนตัวหยุนอานหายไป

ไม่ได้หายไปเพราะกลับเข้าไปในตัว แต่หายไปเพราะกระจายออกไป

ลู่ฝานเห็นดังนั้น สีหน้าตกใจเล็กน้อย ไอ้หมอนี่คงไม่ได้จะใช้……

ไม่รอให้ลู่ฝานหายตกใจ พลังที่มองไม่เห็นพุ่งมาหาเขา นี่ยังไม่เท่าไร จู่ๆ มีเงาเลือนรางปรากฏขึ้นรอบๆ เงาที่เหมือนหยุนอานไม่มีผิด

นี่คือเงาที่หยุนอานใช้พลังปราณสร้างออกมา

ลู่ฝานไม่เคยรู้ว่าพลังปราณก่อตัวเป็นรูปร่างคนได้ด้วย!

เงาถือกระบี่ใสในมือ พุ่งเข้ามาแทงตรงหน้าอก ลู่ฝานเหวี่ยงหมัดโจมตีหัวเงา

พลังหมัดทำลายส่วนหัวของเงา แต่เงาไม่เป็นอะไรเลย กระบี่ใสแทงลงบนเสื้อปราณของลู่ฝาน

เสื้อปราณบนตัวลู่ฝานสั่นอย่างแรง พลังทะลุทะลวงของกระบี่น่ากลัวมาก ทำให้เสื้อปราณของลู่ฝานหม่นลงไม่น้อย

หยุนอานหลับตาลง เงาที่ก่อตัวจากพลังปราณ ปรากฏด้านหลังลู่ฝานอีก

บทที่ 251
โม่หยุนเฟยขี้เกียจสนใจพวกเขา วิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว

กัดฟัน ตาแดงก่ำ ความเป็นตายของตระกูลเขา คงขึ้นอยู่กับตอนที่เขาวิ่งกลับไปเขียนจดหมายนี่แหละ

โม่หยุนเฟยอยากร้องไห้จริงๆ ถ้าเขาด้อยกว่าลู่ฝานแค่นิดหน่อย หรือแค่หนึ่งถึงสองขั้น เขาคงไม่เสียสติแบบนี้ เขายังหนุ่ม ทำไมจะสู้สุดใจไม่ได้

แต่พละกำลังของลู่ฝานตอนนี้ ทำให้เขาสิ้นหวังจริงๆ

โดยเฉพาะความเร็วการฝึกฝนอันน่ากลัวของลู่ฝาน ทำร้ายเขาเต็มๆ ไม่มีความคิดที่จะเอาชนะลู่ฝานเลย

เขาคือคนที่รู้เบื้องลึกของลู่ฝานอย่างแท้จริง รู้ว่าเมื่อหนึ่งปีก่อน ลู่ฝานยังเป็นแค่คนไม่เอาไหน

เวลาปีกว่า แค่ปีกว่าเท่านั้น

โม่หยุนเฟยตะโกนในใจอย่างสุดชีวิต สิ้นหวังมาก

การออกไปของโม่หยุนเฟย ไม่ส่งผลกระทบกับการรับชมของคนอื่น

การต่อสู้ของลู่ฝานกับหยุนอานบนเวที เข้าสู่ขั้นดุเดือด

“พันเข็มเล่น!”

“วิชากระบี่หนักท่าที่หนึ่ง”

ลู่ฝานถือกระบี่หนักไม่คมไว้ในมือ สะบัดไปมาเหมือนสายลม เสียงระเบิดดังสนั่นไปทั่ว

เสื้อปราณบนตัวหยุนอานเกิดการเปลี่ยนแปลงพิลึกกึกกือ แป๊บๆ กลายเป็นหอกยาว กลายเป็นโล่ อีกเดี๋ยวก็กลายเป็นมังกรบิน กลายเป็นเข็มบิน

เสื้อปราณบนตัวเขาเหมือนโคลนที่สามารถปั้นได้ตามใจชอบ

ภายใต้การสั่งของหยุนอานกลายเป็นการโจมตีรูปแบบต่างๆ ทำให้ไม่สามารถรับมือได้

เสียงดังขึ้นติดต่อกันอีกครั้ง

ลู่ฝานควงกระบี่หนักในมือ ปัดเข็มบินที่สร้างจากพลังปราณของหยุนอานออกไป

กระบี่หนักปักลงบนพื้นอย่างแรง เสื้อปราณบนตัวลู่ฝานระเบิดออก

มุกเทพในร่างกายเคลื่อนไหว จากนั้นปล่อยพลังอันน่ากลัวออกมา

“เปิดออก!”

เสียงอันดุดันดังขึ้น หอคอยระเบิดทันที

เสียงระเบิดทำให้หยุนอานตกใจจนเด้งตัวขึ้นสูง เสื้อปราณบนตัวกลายเป็นโล่กลมสี่ด้าน ป้องกันตัวเขาไว้

พลังมากมายพุ่งขึ้นจากพื้นดิน กลายเป็นเสาแสงปราณชี่อันน่ากลัว

ต้องมีปราณชี่ถึงทำเรื่องแบบนี้ได้ พลังปราณทั่วไป ระยะทางยิ่งไกล ขอบเขตยิ่งกว้าง พลังสังหารก็ยิ่งลดลง

แต่ปราณชี่ของลู่ฝานไม่ใช่เช่นนั้น ปราณชี่ของเขาสามารถกระตุ้นพลังฟ้าดิน และโจมตีในเวลาเดียวกัน แค่เขาสามารถควบคุมขอบเขตได้ พลังสังหารไม่มีทางลดลง

ฆ่า! ฆ่า! ฆ่า! ฆ่า! ฆ่า!

คำว่าฆ่าห้าคำปรากฏพร้อมกันบนพื้น รอยร้าวขนาดใหญ่ แทบทำให้หอคอยแหลกไปเกือบครึ่ง

อาจารย์เต้ากวงมองหอคอยอย่างตะลึง

นี่คือหนังสือเคล็ดวิชาบู๊ที่เขาให้ลู่ฝาน มีชื่อว่า กระบี่ฆ่าพิชิตฟ้า!

กระบวนท่านี้ ใช้พลังสังหารเป็นพื้นฐาน ศึกษาเกี่ยวกับการฆ่าด้วยตัวอักษรเก้าคำ ยืดหยุ่นได้ อักษรคำว่าฆ่าแต่ละตัว เป็นวิชากระบี่หนึ่งกระบวนท่า อักษรแต่ละตัวน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ จนถึงคำว่าฆ่าตัวที่เก้า ฟ้าดินแปรปรวน เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างน่ากลัว

แต่วิชากระบี่ก็คือวิชากระบี่ แม้กระบี่ฆ่าพิชิตฟ้าเป็นเคล็ดวิชาบู๊ระดับดิน แต่ต้องใช้ตัวอักษรคำว่าฆ่าทีละตัว

ไม่เหมือนลู่ฝาน ที่ใช้คำว่าฆ่าทีเดียวห้าตัว แม้แต่คนสร้างวิชากระบี่ ก็ไม่น่าจะทำได้ ลู่ฝานทำได้ยังไง!

หยุนอานโดนเสาแสงนับไม่ถ้วนโจมตีอยู่กลางอากาศ

เสาแสงพวกนี้ เหมือนกระบี่ยาวพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า แทงหยุนอานจนตัวพรุน

แม้เสื้อปราณบนตัวหยุนอานมีการเปลี่ยนแปลงอีก แต่แค่พลังปราณเท่านั้น

เสาแสงเป็นร้อยโจมตีเขาในพริบตา พลังปราณของหยุนอานต้านทานไม่ไหว โล่พลังปราณรอบๆ โดนทำลายจนหมด หยุนอานลอยกระเด็นเหมือนว่าวเชือกขาด ร่วงลงบนพื้น

พลั่ก!

หยุนอานร่วงลงพื้นอย่างแรง เลือดสดไหลออกมา

ณ เขตที่นั่งของผู้ชม นักเรียนคณะนานาเกือบครึ่งส่งเสียงออกมาอย่างตกใจ อาจารย์เสวียนคงลุกขึ้นยืนทันที

บทที่ 250

บทที่ 252

บทที่ 250
“สองคนนี้ไม่เลวนะ……”

อาจารย์อี้ชิงส่ายหน้าพูดแล้วยิ้มออกมา

อาจารย์เต้ากวงพูดว่า “อี้ชิง นายว่าตอนนี้อี้ชิงกับหยุนอาน ใช้พลังไปกี่เปอร์เซ็นต์”

อาจารย์อี้ชิงพูดว่า “หยุนอานต้องใช้พลังอย่างน้อย 60 เปอร์เซ็นต์ ส่วนลู่ฝานใช้เพียง 30 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น”

อาจารย์เต้ากวงพยักหน้า

“ฉันก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน เจ้าเด็กลู่ฝานล้ำลึกมาก ทักษะของเขาเยอะมากเลย”

อาจารย์อี้ชิงเห็นด้วยอย่างยิ่ง

บนเวที ลู่หมิงยิ้มอย่างโล่งใจ

ถอยไปด้านหลังแล้วกอดอกไว้

ตอนนี้เขารู้สึกว่าตัวเองกังวลมากไป ลู่ฝานยังแข็งแกร่งเหมือนเดิม เหนือกว่าเขาอย่างมาก

ตระกูลลู่มีคนอย่างลู่ฝาน รับรองได้ว่าจะมีเกียรติอันรุ่งโรจน์

เหมือนลู่หมิงเห็นภาพลู่ฝานกลับมาอย่างมีเกียรติ สายเลือดตระกูลลู่แห่งเมืองเจียงหลิน ถึงกระทั่งที่ออกจากเมืองเจียงหลิน ไปยังสถานที่รุ่งเรืองกว่านี้ กลายเป็นตระกูลใหญ่ในเมืองใหญ่อย่างแท้จริง

รอยยิ้มบนใบหน้ากว้างขึ้น ตอนนี้ลู่หมิงไม่มีจิตใจแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นอีกแล้ว

เขาไม่แก่งแย่งอะไรกับลู่ฝานอีกแล้ว เพราะเขากับลู่ฝานแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

ตอนนี้ลู่ฝานยืนต่อหน้าเขา เขาคงต้องเงยหน้ามองแล้วสินะ

ลู่หมิงหัวเราะออกมา คนข้างๆ มองเขาเหมือนมองคนสติไม่ดี

“มีอะไรให้ขำ ไม่เห็นเหรอว่าศิษย์พี่หยุนอาน ทำอะไรอีกฝ่ายไม่ได้เลย”

“ลู่หมิงบ้าหรือเปล่า เขาเป็นนักเรียนคณะนานานะ ขำอะไรไม่รู้”

“ไม่ใช่สิ ลู่หมิงแซ่ลู่ ลู่ฝานที่อยู่บนเวทีก็แซ่ลู่ อย่าบอกนะว่า……”

“จริงเหรอ ลู่ฝานกับลู่หมิงเป็นคนตระกูลเดียวกันเหรอ ฉันจำได้ว่าตระกูลของลู่หมิง เป็นตระกูลเล็กๆ ไม่ใช่เหรอ ครั้งนี้ตระกูลลู่จะยิ่งใหญ่แล้ว!”

……

ลู่หมิงมองนักเรียนรอบๆ อย่างดูหมิ่นเล็กน้อย จากนั้นหัวเราะออกมาเบาๆ

บนเวทีอีกด้านหนึ่ง โม่หยุนเฟยหน้าซีดเผือด

เขาไม่คิดมาก่อนเลยว่าจะมีวันที่ลู่ฝานแข็งแกร่งถึงขั้นนี้ พลังแบบนี้ ถึงเป็นพ่อหรือปู่ของเขา ก็ไม่มีทางสู้ได้

ตอนนี้สิ่งที่โม่หยุนเฟยอยากทำเพียงอย่างเดียวคือ ตบหน้าตัวเอง

ทำไมเขาต้องล่วงเกินลู่ฝานตอนอยู่เมืองเจียงหลิน ทำไมต้องไปหาเรื่องตระกูลลู่

ปู่ พ่อ ตระกูลลู่มีคนน่ากลัวขนาดนี้ ไม่นานตระกูลโม่ต้องซวยแน่

โม่หยุนเฟยทนดูต่อไปไม่ได้แล้ว พูดอะไรไม่ได้อีกแล้ว

หลังจากการต่อสู้จัดอันดับของสถาบัน ไม่นานก็เป็นวันหยุดเทศกาลเซ่นไหว้ประจำปี เมื่อถึงตอนนั้น ลู่ฝานกลับไปด้วยท่าทางแข็งแกร่งเช่นนี้ ตระกูลโม่ของพวกเขา จะเอาอะไรมาต้านทาน

โม่หยุนเฟยรีบลุกขึ้นเดินออกไป

เขาต้องรีบกลับไปเขียนจดหมาย ส่งกลับไปแจ้งพ่อกับปู่

ตระกูลลู่มีปีศาจ ปีศาจที่แท้จริง ปีศาจที่ไม่สามารถต้านทานได้

พวกเขาต้องแสดงท่าทีออกมา จะเป็นศัตรูกับตระกูลลู่อีกไม่ได้ ไม่งั้นคงไม่ต้องคิดถึงผลที่ตามมา

โม่หยุนเฟยรีบออกจากลานประลอง วิ่งเหมือนเอาชีวิตรอดอย่างไรอย่างนั้น

ตอนอยู่หน้าประตู เขาสะดุดบันไดหินด้วย จากพละกำลังนักบู๊แดนปราณในของเขา ยังสะดุดบันไดหินได้ คนอื่นเห็นก็หัวเราะออกมา

คนที่รู้จักโม่หยุนเฟย ตะโกนอยู่ด้านหลัง

“โม่หยุนเฟย รีบกลับไปเกิดใหม่หรือไง”

“โอ๊ย โม่หยุนเฟย นายทำฉันขำจะตายแล้ว”

“ฮ่าๆๆ โม่หยุนเฟย นายวิ่งเหมือนหมาเลย”

……

บทที่ 249

บทที่ 251

บทที่ 249
ทันใดนั้น หยุนอานปล่อยพลานุภาพของตัวเองออกมา ภายใต้การบีบของพลังปราณของหยุนอานพลังฟ้าดินรอบๆ รวมตัวเป็นพลานุภาพพุ่งเข้าไปหาลู่ฝาน

ลู่ฝานจงใจไม่ปล่อยพลานุภาพตัวเองออกมา เขาตั้งใจสัมผัสกับพลานุภาพของหยุนอาน

ทันใดนั้น สิ่งที่ทำให้เขาคิดไม่ถึงคือ พลานุภาพของหยุนอาน มั่นคงและรวมตัวกัน แตกต่างจากความไม่มั่นคงที่แสดงออกมา

ดูเหมือนพลังปราณของเขาแปลก ลู่ฝานมีอะไรในใจแล้ว ตอนขึ้นมาบนเวทีเมื่อกี้ ศิษย์พี่ฉู่สิงยังเตือนให้เขาระวังพลังปราณของอีกฝ่าย

ตอนนี้หยุนอานขมวดคิ้วเบาๆ เช่นกัน ภายใต้พลานุภาพของเขา ที่พุ่งไปโจมตี ฝั่งตรงข้ามอย่างลู่ฝาน ไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย

เหมือนพลานุภาพของเขาโจมตีเข้ากับอากาศ เสียพลังไปเปล่าๆ

ทันใดนั้น หยุนอานเก็บพลานุภาพกลับมา พุ่งเข้าไปแล้วยืนนิ้วหนึ่งออกมา

ลู่ฝานยืนอยู่ที่เดิม รอให้นิ้วของหยุนอานพุ่งเข้ามา

“จี้ฟ้าดิน!”

ตอนนิ้วแตะลงบนเสื้อปราณของลู่ฝาน กลายเป็นการโจมตี 108 ครั้ง รวดเร็วจนไม่มีอะไรเปรียบได้ แม้แต่ลู่ฝานก็ยังมองเห็นการขยับนิ้วไม่ชัดเจนเท่าไรนัก

เสื้อปราณของลู่ฝานสั่นไปมา แต่ไม่โดนทำลาย

พลังทะลุทะลวงของนิ้วหยุนอานน่าตกใจมาก แข็งแกร่งมาก แต่เสื้อปราณของลู่ฝานแข็งแกร่งและทนทานกว่า

ลู่ฝานพลิกมือซัดหมัดโจมตีไปที่อกหยุนอาน

“หมัดถล่มเขาอู๋เซี่ยง!”

พลังหมัดปกคลุมไปทั่ว เสียงระเบิดนับไม่ถ้วน ดังขึ้นพร้อมกัน เหมือนอากาศระเบิด

ตอนนี้พลังปราณบนตัวหยุนอานบิดไปมา เหมือนลูกบอลน้ำ นุ่มนิ่มและจับต้องยาก

พลังหมัดของลู่ฝานโจมตีโดนทั้งหมด แต่หยุนอานน่าจะอาศัยพลังปราณแปลกประหลาดบนตัว ต้านทานเอาไว้ได้

จากนั้นมือสองข้างของหยุนอานหายไปต่อหน้าลู่ฝาน ถูกแทนที่ด้วยแสงพลังปราณสว่างเป็นแถบ

ลู่ฝานใช้วิชากายของตัวเอง ในพื้นที่เล็กบริเวณรอบๆ โดยแยกฝ่าเท้าไปด้านหลังเล็กน้อย เอียงตัวไปทางซ้าย และก้มหัวลงเล็กน้อย

การเคลื่อนไหวง่ายดาย แต่ทำให้การโจมตีของหยุนอานร่วงลงโดนอากาศเป็นส่วนใหญ่ ส่วนที่เหลือไม่สามารถทำลายเสื้อปราณของลู่ฝานได้

ขณะเดียวกัน มือสองข้างของลู่ฝาน ก็หายไปเช่นกัน ใช้หมัดอู๋เซี่ยงด้วยพลังทั้งหมด เสียงหมัดและฝ่ามือปะทะกันดังสนั่น

เพียงพริบตาเดียว ลู่ฝานกับหยุนอานปะทะกันเป็นร้อยกระบวนท่าแล้ว

คนนอกมองดู เห็นแค่ตัวของลู่ฝานกับหยุนอานโดนเงาปกคลุมเอาไว้

คนที่พละกำลังไม่เพียงพอ ไม่สามารถเห็นการเคลื่อนไหวของทั้งสองคนได้เลย

หยุนอานค่อยๆ ขมวดคิ้ว แต่ลู่ฝานกลับยิ้มกว้างขึ้นเรื่อยๆ

“หนาม!”

ทันใดนั้น หยุนอานพูดออกมาหนึ่งคำ

เสื้อปราณบนตัวหยุนอานกลายเป็นหนามแหลมทันที ลู่ฝานไม่ทันตั้งตัว จึงโดนหนามจากปราณโจมตี จนเสื้อปราณเกือบขาด

ตัวโงนเงน การต่อสู้ของยอดฝีมือ นิดเดียวก็ต้องสู้

เพียงพริบตา หยุนอานเป็นฝ่ายได้เปรียบ ทันใดนั้นตัวของหยุนอานมีเงาลวงตาปรากฏขึ้นมากมาย เหมือนมีสามเศียรหกกร โจมตีจากทุกทิศทาง

พลังปราณแปลกประหลาดมาก คิดไม่ถึงว่าใช้แบบนี้ได้ด้วย!

ลู่ฝานตกใจจริงๆ การใช้พลังปราณของหยุนอานเลิศล้ำเกินคำบรรยาย

ทันใดนั้นพลังมหาศาลทำลายเสื้อปราณของลู่ฝาน โจมตีโดนตัวเขา

หยุนอานแผดเสียงออกมาอย่างดุดัน

“ทยอยโจมตีพันๆมือ!”

การโจมตีนับไม่ถ้วนโถมลงมาพร้อมกัน หมัดปะทะกับเนื้อ ฝ่ามือทำลายพลัง

แต่ลู่ฝานไม่ถอยแม้แต่ก้าวเดียว ฝืนทนเอาไว้

“ทำลาย!”

ลู่ฝานแผดเสียงออกมา แรงกระเพื่อมออกจากปากลู่ฝาน หยุนอานสะเทือนจนถอยหลังไป

ตอนนี้พื้นหินล่างเท้าเกิดรอยร้าวเป็นแถบ

ลู่ฝานตบชุดคลุมบู๊มังกรดำบนตัว บนเสื้อไม่มีรอยเสียหายอะไรเลย

ลู่ฝานพูดอย่างราบเรียบว่า “ทักษะไม่เลว ควรเริ่มอย่างเป็นทางการได้แล้ว”

หยุนอานหัวเราะเบาๆ “เอาตามที่นายต้องการ”

ทั้งสองมองหน้ากัน รอบๆ เต็มไปด้วยความตกตะลึง

การต่อสู้ระดับนี้ เป็นแค่การลองเชิงก่อนเริ่มเองเหรอ

บทที่ 248
ลู่ฝานลุกขึ้นยืน แววตาตกใจเล็กน้อย

หลังจากศิษย์พี่หานเฟิงกินยาของเขา ตอนนี้พละกำลังคือแดนปราณนอกอย่างไม่ต้องสงสัย ทำให้ศิษย์พี่หานเฟิงพูดว่า “รับมือยาก” ออกมาได้ พิสูจน์ได้ว่าผู้ชายชื่อหยุนอานบนเวที พละกำลังต้องอยู่ในแดนปราณนอกขึ้นไป

เป็นไปได้ว่าเข้าสู่แดนปราณนอกนานแล้ว จึงทำให้ศิษย์พี่หานเฟิง ไม่มั่นใจว่าจะชนะ

เสียงศิษย์พี่ฉู่สิงดังขึ้นด้านหลัง

“ศิษย์น้องลู่ฝาน ระวังพลังปราณของเขา”

ลู่ฝานมองฉู่สิง ไม่เข้าใจเล็กน้อย

ฉู่สิงไม่ได้พูดอะไรมาก มองลู่ฝานขึ้นไปบนเวที

นักเรียนคณะนานารอบๆ ถึงกับกลั้นหายใจรวบรวมสติ ไม่พูดอะไรสักคำ

นักเรียนใหม่ที่อยากถาม โดนสายตานักเรียนเก่ายั้งเอาไว้ ราวกับว่าถ้าคนพวกนี้พูดมาก จะส่งผลกระทบกับการรับชมของพวกเขา

นักเรียนคณะนานาจำนวนไม่น้อย ไม่คุ้นชื่อหยุนอาน

โดยเฉพาะนักเรียนใหม่ ไม่ค่อยได้ยินชื่อนี้ ถึงกระทั่งที่ไม่เคยเจอคนคนนี้ในคณะ

แต่นักเรียนที่อยู่ในคณะนานาเกินสองปี ล้วนจำชื่อหยุนอานได้เป็นอย่างดี

เพราะชื่อนี้ เป็นเกียรติยศสุดท้ายของคณะนานา

มือพันเงา หยุนอาน

เขาเป็นศิษย์ก้นกุฏิของอาจารย์เสวียนคง เป็นศิษย์พี่ใหญ่ตัวจริงของคณะนานา

สองปีก่อน พละกำลังของเขาถึงแดนปราณนอก ตอนนี้คนที่เอาชนะหยุนอานได้ มีเพียงอันดับต้นๆ ไม่กี่คนของคณะอื่น

เช่น เอี๋ยนชิง เสวียนเฟิง เซียวปิง เฉียวเซวียน

ที่เหลือไม่มีสักคนที่สู้หยุนอานได้ แม้คณะนานาอันดับต่ำมาก นั่นเป็นเพราะนักเรียนคนอื่นอ่อนแอมาก ถ้ามองคนที่มีพละกำลังอันดับต้นๆ ของนักเรียนในคณะต่างๆ หยุนอานสามารถอยู่ในห้าอันดับแรก

ลู่หมิงมองบนเวทีด้วยแววตาตื่นเต้น เอนตัวไปด้านหน้าเล็กน้อย

ในฐานะที่เป็นคนมีชื่อเสียงในคณะนานา แม้เขาเพิ่งเข้ามาในสถาบันได้ปีกว่า แต่เขาเคยได้ยินชื่อของหยุนอาน

ตำนานของคณะนานา ผู้แข็งแกร่งสิบอันดับแรกในรายชื่อบู๊ เมื่อสองปีก่อน ไม่รู้ลู่ฝานจะเอาชนะเขาได้ไหม

สิ่งสำคัญคือ ตอนนี้พละกำลังของลู่ฝานเป็นอย่างไร

ถ้าตอนนี้พละกำลังของลู่ฝานแย่เกินไป หรือไม่ก้าวหน้า เขาจะไปด่าคณะหนึ่งเดียว ให้ลู่ฝานรู้ว่า ในฐานะที่เป็นผู้นำตระกูลลู่คนต่อไป ต้องมีหน้าที่รับผิดชอบมากมายแค่ไหน ไม่ไหวก็ไสหัวไป

อีกด้านหนึ่ง โม่หยุนเฟยยกยิ้มมุมปาก

แม้เขาไม่ค่อยได้ยินชื่อหยุนอานมากเท่าไรนัก แต่เขาเห็นจากท่าทางของสุ่ยอู๋ฉิงและคนอื่น หยุนอานต้องเป็นผู้แข็งแกร่งแน่นอน เป็นนักบู๊ที่แข็งแกร่งกว่าพวกสุ่ยอู๋ฉิง

โม่หยุนเฟยไม่คิดว่าลู่ฝานจะชนะ แม้เขาเห็นการต่อสู้ของลู่ฝานกับเหลิ่งหานคณะหยินหยางแล้ว เหลิ่งหานแพ้อย่างประหลาด ใครจะไปดูออกล่ะ

ครั้งนี้ โม่หยุนเฟยขอดูสักหน่อยว่าลู่ฝานเป็นยังไง

บนเวที ลู่ฝานยืนอยู่ที่เดิม ไม่มีท่าทีจะเอากระบี่หนักออกมา หยุนอานที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็มีเพียงมือเปล่า ไม่มีท่าทีเอาอาวุธอะไรออกมา อีกทั้งดูจากการแต่งกายของเขา เหมือนไม่มีอาวุธอะไร

“การต่อสู้ของหยุนอานคณะนานากับลู่ฝานคณะหนึ่งเดียว เริ่มได้”

ครูเพิ่งพูดจบ มีชุดที่ก่อตัวจากพลังปราณปกคลุมตัวหยุนอานเอาไว้ ลู่ฝานก็ปล่อยปราณชี่ออกมา ก่อตัวเป็นชุดจากปราณชี่

ชุดที่ก่อตัวจากปราณชี่ของลู่ฝานไม่สลายไป เหมือนเสื้อผ้าจริงๆ คลุมอยู่ด้านนอกชุดคลุมบู๊มังกรดำ

แต่ชุดที่ก่อตัวจากปราณของหยุนอานแตกต่างออกไป เหมือนเม่นอย่างไรอย่างนั้น พลังปราณแยกออกจากกัน ทำให้ชุดที่ก่อตัวจากปราณดูจับต้องไม่ได้ เหมือนภาพลวงตา

ลู่ฝานขมวดคิ้วเบาๆ เขาคิดไม่ถึงว่าชุดที่ก่อตัวจากพลังปราณของหยุนอาน จะมีรูปร่างแบบนี้

ชุดที่ก่อตัวจากพลังปราณแบบนี้ เหมือนคนที่ไม่มีพื้นฐานการฝึกฝน ฝึกฝนโดยใช้ยากระตุ้นออกมา แสดงให้เห็นถึงพลังปราณไม่มั่นคง พลังปราณไม่รวมตัวกัน

บทที่ 247
ตู้ม!

แสงกระบี่ร่วงลงมา ฟันก้อนหินจนแตก เศษหินมากมายกระจายไปทั่ว โดนนักเรียนคณะนานาจำนวนไม่น้อย

ฝุ่นตลบอบอวล อี้ไป๋พลิกตัวลงสู่พื้น ส่งเสียงหึออกมาเบาๆ

“คณะหนึ่งเดียว ก็แค่นั้น”

อี้ไป๋เงยหน้ามองไปด้านหน้า กระบวนท่านี้ เขามั่นใจว่าเอาชนะนักเรียนแดนปราณในได้ทุกคน

แต่จู่ๆ อี้ไป๋เห็นว่า คนอื่นของคณะหนึ่งเดียว ไม่มีความเคลื่อนไหวสักนิด

สีหน้าไม่เปลี่ยนไปด้วยซ้ำ

ลู่ฝาน ฉู่สิงและฉู่เทียนยังคงยิ้ม ศิษย์พี่ใหญ่กำลังพักสายตา อาจารย์อี้ชิงกับอาจารย์เต้ากวง กำลังพูดคุยกัน ไม่ได้ตั้งใจดูการแข่งบนเวที

อี้ไป๋สีหน้าเปลี่ยนไป เหมือนมีอะไรผิดปกติ

วินาทีต่อมา ลมพัดมาเบาๆ ไม่รู้พัดมาจากไหน พัดฝุ่นด้านหน้าออกไปเบาๆ

จากนั้นสิ่งที่ปรากฏในสายตา คือหานเฟิงที่สุขุมเป็นอย่างมาก

บนตัวมีปราณปกคลุมอยู่หนึ่งชั้น นี่สื่อถึงผลการฝึกตนแดนปราณนอก

อึก อึก

เสียงกลืนน้ำลายดังขึ้นต่อเนื่อง

แววตาอี้ไป๋มีความหวาดกลัว แดนปราณนอก!

ไม่ได้ห่างกันแค่ขั้นสองขั้น แต่ห่างกันเป็นแดน ถ้าไม่มีทักษะเหนือธรรมชาติ เขาไม่มีทางชนะได้เลย

ตอนนี้หานเฟิงไม่บ้าคลั่งแล้ว มองอี้ไป๋นิ่งๆ “จะสู้อีกไหม”

อี้ไป๋รู้สึกมือตัวเองเริ่มสั่น นักเรียนคณะนานาทุกคน ไม่ด่าหานเฟิงอีกแล้ว

พละกำลังเห็นอยู่ตรงหน้า ผู้แข็งแกร่งไม่ได้ดูหมิ่นง่ายๆ

อาจารย์เสวียนคงถอนหายใจ ดูเหมือนวันนี้คณะนานาต้องโดนคณะหนึ่งเดียว จัดการจนเละแน่นอน

อาจารย์เสวียนคงหันไปพูดกับนักเรียนข้างๆ “หยุนอาน นายมั่นใจว่าจะชนะหรือเปล่า”

นักเรียนที่ชื่อหยุนอานสวมชุดคลุมสีดำ ก้มหน้า เห็นเพียงประกายในแววตา

“พอได้ เขาเพิ่งเข้าสู่แดนปราณนอกเท่านั้น”

เสียงหยุนอานแหบพร่า ฟังดูเหมือนมีอะไรติดคอ

บนเวที อี้ไป๋ตาเป็นประกาย สุดท้ายก็พุ่งออกไป

เขาจะยอมแพ้แค่นี้ไม่ได้!

ในมืออี้ไป๋มีกระบี่ยาว ที่ก่อตัวจากพลังปราณ ตอนนี้เขาก้าวข้ามขั้นแล้ว

แทงกระบี่ออกมา เสียงระเบิดดังขึ้นไม่หยุด

แต่ต่อมา อี้ไป๋กลับกระเด็นออกไป เสื้อตรงหน้าอกโดนแทงจนขาด รอยแผลจากกระบี่ลึกจนเห็นกระดูก ปรากฏขึ้นมา

ไม่รู้กระบี่ฟ้าครามอยู่ในมือหานเฟิงตั้งแต่เมื่อไร

อี้ไป๋ล้มลงบนพื้น กัดฟันมองหานเฟิง “นายไม่ใช้กระบี่ไม่ใช่เหรอ”

หานเฟิงมองอี้ไป๋อย่างดูหมิ่น “ใครบอกว่าฉันไม่ใช้ มีกระบี่ไม่ใช้ ฉันโง่เหรอ”

อี้ไป๋โกรธจนกระอักเลือดออกมา แล้วสลบไป

ครูเข้ามาเอาตัวอี้ไป๋ลงจากหอคอย และประกาศอย่างราบเรียบว่า

“หานเฟิงแห่งคณะหนึ่งเดียวชนะ”

อาจารย์เสวียนคงสีหน้าเย็นชา แพ้ติดต่อกันสองครั้ง อีกทั้งยังแพ้ให้คนคนเดียว คณะนานาขายหน้าหมดแล้ว

ถ้าแพ้ทั้งสามรอบ คณะนานาต้องเป็นตัวตลกของเก้าคณะแน่นอน

อาจารย์เสวียนคงพูดอย่างเย็นชา “หยุนอาน นายขึ้นไป”

หยุนอานลุกขึ้นยืน เอาเสื้อคลุมของตัวเองออก เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยบาดแผล

ทันใดนั้น หยุนอานกระโดดออกไป มาถึงบนหอคอยแข่งขัน

หานเฟิงเห็นคนคนนี้ จึงเลิกคิ้วขึ้น

“หยุนอาน นายอีกแล้วเหรอ!”

ฉู่สิงกับฉู่เทียนที่อยู่ด้านหลัง เริ่มสนใจเช่นกัน

ฉู่สิงพูดกับลู่ฝานเบาๆ “ศิษย์น้องลู่ฝาน หยุนอาน คนนี้แหละ ที่เอาชนะเราครั้งก่อน”

ลู่ฝานพยักหน้าเบาๆ

หยุนอานกอดอก แล้วพูดว่า “มาสิ เรามาสู้กันหน่อย”

หานเฟิงหัวเราะ “ฉันไม่รู้สึกสนใจ ศิษย์น้องลู่ฝาน รอบนี้นายมาสู้สิ”

พูดพลาง หานเฟิงเดินลงมาอย่างสบายใจ

ลู่ฝานอึ้งเล็กน้อย เห็นศิษย์พี่หานเฟิงยักคิ้วหลิ่วตาให้เขา

ศิษย์พี่หานเฟิงพูดว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน รับมือยาก ที่เหลือฝากนายด้วยละกัน”

บทที่ 246

บทที่ 248

คณะนานา คู่ต่อสู้ตาแรกที่คณะหนึ่งเดียวจะท้าประลอง ในการต่อสู้จัดอันดับของสถาบัน! สำหรับชัยชนะ หลังจากยกระดับ พวกลู่ฝานมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม

เจอความเย้ยหยันและความมั่นใจเต็มเปี่ยมของหานเฟิง เฉียนเฟิงศิษย์คณะนานา ออกมาเป็นคนแรก

เพราะชื่อทั้งสองคนคล้ายกัน จึงเห็นอีกฝ่ายขวางหูขวางตาเป็นพิเศษ

เพิ่งเริ่ม หานเฟิงโจมตีเฉียนเฟิงที่โจมตีเขาก่อน จนเฉียนเฟิงกระเด็นออกไป

เสียงฮือฮาดังไปทั่ว ศิษย์คณะนานาทุกคน มองเฉียนเฟิงกระเด็นไปไกลจนตาค้าง

แม้พละกำลังห่างกัน แต่ไม่น่าจะมากขนาดนี้หรอกมั้ง

ขนาดสีหน้าอาจารย์เสวียนคง ก็ไม่สู้ดีเป็นอย่างมาก เฉียนเฟิงไม่เพียงแต่ทำให้คนคณะนานาขายหน้า อีกทั้งยังตบหน้าเขาอีกด้วย

หานเฟิงยืนเอามือเท้าเอวบนหอคอย หัวเราะออกมาเสียงดัง

จู่ๆ หานเฟิงหันไปมองลู่ฝานกับฉู่สิง แล้วตะโกนว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน ศิษย์พี่ฉู่สิง ให้ผมสู้รอบสองด้วยดีกว่า ผมรู้สึกยังสู้ได้อีกสิบคน”

ฉู่สิงกับลู่ฝานมองหน้ากัน แววตาทั้งสองคนดูจนปัญญา

ลู่ฝานถามเบาๆ ว่า “คนหนึ่งสามารถสู้ได้หลายรอบเหรอ”

ฉู่สิงพูดว่า “ได้อยู่แล้ว ไม่งั้นนายคิดว่าคณะหนึ่งเดียวของเราจะเข้าร่วมยังไงล่ะ”

ลู่ฝานเงยหน้าพูดกับหานเฟิง “ศิษย์พี่หานเฟิง จะสู้กี่รอบก็ได้ แต่อย่าแพ้ก็พอ”

หานเฟิงหัวเราะอย่างได้ใจ ส่ายหัวพูดว่า “ตลก ฉันจะแพ้เหรอ”

เสียงเขาไม่เบาเลย นักเรียนคณะนานาได้ยินอย่างชัดเจน

อี้ไป๋กระบี่นักปราชญ์และคนอื่น โมโหจนหน้าแดง

อาจารย์เสวียนคงทนไม่ไหว พูดอย่างเย็นชาว่า “ถ้าพวกนายสู้อีกฝ่ายไม่ได้สักคน หลังการต่อสู้จัดอันดับของสถาบัน เตรียมไปเขาหมั่งซานได้เลย”

สุ่ยอู๋ฉิง อี้ไป๋และคนอื่นหน้าซีดทันที

การเป็นนักเรียนยอดฝีมือของคณะนานา พวกเขารู้ดีว่าเขาหมั่งซานคืออะไร

นั่นเป็นสถานที่ลงโทษของคณะนานา เต็มไปด้วยสัตว์อสูรและสิ่งมีพิษ

ว่ากันว่านักเรียนที่ไปเขาหมั่งซาน ไม่ตายก็บาดเจ็บ แม้รอดกลับมาก็แผลเป็นเต็มตัว เมื่อพูดถึงเขาหมั่งซานถึงกับสะดุ้งโหยง

นักเรียนคณะนานา เคยชินกับการอยู่อย่างสุขสบาย กินดีอยู่ดี พวกเขาไม่มีใครอยากไปเขาหมั่งซาน

เดิมทีสุ่ยอู๋ฉิงจะสู้รอบสอง แต่ตอนนี้เขาไม่กล้าออกไปแล้ว

เพราะเขาไม่มั่นใจว่าจะชนะหานเฟิงได้ ถ้าแพ้อีก เขาไม่อยากคิดว่าตัวเองจะโดนลงโทษแบบไหน

สุ่ยอู๋ฉิงมองอี้ไป๋ สำหรับพวกเขา คนที่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ มีเพียงอี้ไป๋เท่านั้น

แต่อี้ไป๋รู้ดีแก่ใจ ถึงเขาไปสู้ ก็ไม่น่าจะชนะ

ยังจำเมื่อไม่กี่เดือนก่อนได้ เขาต่อสู้ครั้งใหญ่กับคนคณะหนึ่งเดียว

ตอนนั้นเขาแพ้ให้กับคนที่นั่งอยู่ด้านล่าง เด็กที่ชื่อลู่ฝาน

แม้ตอนนี้คนที่มาสู้ไม่ใช่ลู่ฝาน แต่พละกำลังน่าจะพอๆ กัน

อี้ไป๋กำลังลังเล สองจิตสองใจ ครูข้างบนพูดว่า “นักเรียนคนต่อไปของคณะนานาขึ้นมา”

เสวียนคงส่งเสียงหึ อี้ไป๋รีบลุกขึ้นยืน

ไม่ต้องมองสีหน้าอาจารย์เสวียนคง อี้ไป๋ก็รู้ ถ้าเขาไม่ออกไปสู้อีก คงไม่ใช่แค่ไปเขาหมั่งซานแล้วล่ะ

อี้ไป๋รีบเดินขึ้นไป ด้านหลังสะพายกระบี่ยาว จ้องหน้าหานเฟิงเขม็ง

ตอนนี้อี้ไป๋รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ตื่นเต้นขนาดนั้น แค่ต่อสู้เท่านั้น

กระบี่พุ่งออกมา พลังปราณพลุ่งพล่าน

แววตาอี้ไป๋เหมือนกระบี่ แทงลงไปบนหน้าหานเฟิง

หานเฟิงหัวเราะอย่างมีความสุข ยังไม่มีท่าทีจะเอากระบี่ฟ้าครามออกมา

“การแข่งขันระหว่างอี้ไป๋แห่งคณะนานากับหานเฟิงแห่งคณะหนึ่งเดียว เริ่มได้”

ครูยังประกาศไม่จบ อี้ไป๋ชิงลงมือก่อน

ทันใดนั้น กระบี่สี่เล่มออกมาพร้อมกัน อี้ไป๋ใช้ท่าไม้ตายอันแข็งแกร่งของตัวเองทันที

“ค่ายกลกระบี่ไม้ตาย!”

แสงกระบี่ทะลักออกมา แรงผูกมัดปกคลุมหานเฟิงเอาไว้ เทียบกับการต่อสู้ของหานเฟิงกับอี้ไป๋ครั้งที่แล้ว ท่าไม้ตายของเขาก้าวหน้าขึ้น

ไม่จำเป็นต้องมีการผลักดัน ไม่ต้องเตรียมการ ลงมือได้ทุกเมื่อ

แสงกระบี่อันแข็งแกร่ง แข็งแกร่งกว่าครั้งก่อนไม่น้อย

แววตาอี้ไป๋มีความมั่นใจ ดูถูกเขา มีราคาที่ต้องจ่าย

ฉู่สิงพูดสรุปว่า “หมายความว่าอันดับของแต่ละคณะในตอนนี้คือ คณะหยินหยาง คณะกระบี่ คณะบังเหิน คณะฟ้าร้อง คณะกำแหง คณะสงบใจ คณะศิงขร คณะนานา และคณะหนึ่งเดียวของเรา”
หานเฟิงพูดว่า “ถูกต้อง แต่คณะสงบใจอาจสู้กับคณะกำแหงอีกครั้ง คณะฟ้าร้องจะสู้กับคณะบังเหิน ยังไม่รู้แพ้ชนะ”
ฉู่สิงสะบัดมือพูดว่า “นั่นไม่เกี่ยวกับเราแล้ว ถ้าเราจะพุ่งขึ้นไปที่สูง ต้องเริ่มจากคณะนานา ฉันเตรียมตัวพร้อมแล้ว ศิษย์พี่ศิษย์น้องทุกคนว่าไง เราออกเดินทางพรุ่งนี้เลยไหม”
ฉู่สิงกับฉู่เทียนพยักหน้าเบาๆ
ฉู่สิงพูดว่า “ไม่มีปัญหา งั้นออกเดินทางพรุ่งนี้เลย เริ่มสู้จากคณะนานา”
จู่ๆ ลู่ฝานพูดออกมาว่า “ศิษย์พี่ทุกท่าน รออีกสักสองสามวันเถอะ”
หานเฟิงมองลู่ฝานอย่างสงสัย “ศิษย์น้องลู่ฝาน นายยังมีเรื่องที่ยังไม่จัดการเหรอ”
ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “ผมจัดการเรื่องตัวเองแล้ว แต่อยากช่วยยกระดับพละกำลังของศิษย์พี่ก่อน จากนั้นค่อยไป แบบนี้ความมั่นใจจะมากขึ้นหน่อย”
หานเฟิงพูดว่า “ยกระดับพละกำลัง ยกระดับยังไง ฉันถึง……ให้ตายเถอะ!”
หานเฟิงเบิกตาโต หานเฟิงและคนอื่น เห็นลู่ฝานเอาขวดยาออกมาจากเข็มขัด
เมื่อเปิดขวดยา กลิ่นยาแผ่ซ่านไปทั่วคณะหยินหยางทันที
“ยาชีวิต ยาชีวิตชั้นดี”
อาจารย์อี้ชิงตาเป็นประกาย ฉู่สิง ฉู่เทียนและศิษย์พี่ใหญ่ มองลู่ฝานเอายาออกมาทีละขวดจนตาค้าง
ลู่ฝานเอายาออกมาสิบกว่าขวด จากนั้นลู่ฝานแบ่งยาให้ศิษย์พี่ทั้งสี่คน คนละสิบขวดพอดี
หานเฟิงกลืนน้ำลายอย่างตื่นเต้น “ศิษย์น้องลู่ฝาน ยาพวกนี้ให้ฉันเหรอ”
ลู่ฝานพยักหน้า “ใช่ ศิษย์พี่ทุกคน ยาพวกนี้เป็นยาชีวิตระดับ 2-3 น่าจะช่วยพวกพี่ได้มาก”
ฉู่สิงหยิกตัวเองอย่างแรง จากนั้นตีขาแล้วพูดว่า “ฉันไม่ได้ฝันไป ยาชีวิตสิบขวด สิบขวดเต็มๆ มียาพวกนี้ ฉันน่าจะพุ่งไปถึงแดนปราณนอก ศิษย์น้องลู่ฝานให้ฉันจริงเหรอ แล้วของนายล่ะ”
ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “ผมเจอตำหนักเก็บยาในจวนอากาศธาตุของเซียนสือฟาง วางใจเถอะ ผมกินมาไม่น้อยแล้ว ไม่งั้นผมคงไม่ยกระดับเร็วแบบนี้หรอก”
ฉู่สิงกับหานเฟิงหัวเราะออกมา
ฉู่เทียนพยายามสงบสติ แม้สีหน้าของเขาไม่ตื่นเต้น แต่นิ้วมือสั่นเบาๆ
ฉู่สิงสูดหายใจลึก “ศิษย์น้องลู่ฝาน นายรู้ไหมยาพวกนี้ราคาเท่าไร รู้ไหมว่ายาพวกนี้ทำเรื่องได้เยอะขนาดไหน นายให้พวกเราแบบนี้เลยเหรอ”
ลู่ฝานพยักหน้า “ผมรู้ แต่พวกพี่เป็นศิษย์พี่ผมไม่ใช่เหรอ”
ศิษย์พี่ใหญ่ตบท้องตัวเอง เขาเป็นคนเดียวที่นิ่งสุขุม “ศิษย์น้องลู่ฝาน ต่อไปเรื่องของนาย ให้เป็นหน้าที่ศิษย์พี่ใหญ่ ของที่ศิษย์น้องเราให้ พวกนายจะชักช้าอยู่ทำไม เก็บไว้ๆ รีบกลับไปกิน เพื่อยกระดับพละกำลัง”
ฉู่สิง ฉู่เทียนและหานเฟิง เก็บยาไว้ทั้งหมด มองลู่ฝานอย่างซาบซึ้ง
ศิษย์พี่ใหญ่หัวเราะ ในแววตามีความตื่นเต้น
เหมือนลู่ฝานคิดอะไรได้ เอายาสองสามขวด ออกมาให้อาจารย์อี้ชิงกับอาจารย์เต้ากวง ยาขวดพวกนี้ เป็นยาหม้อที่เขากลั่นได้ดีที่สุด
ลู่ฝานไม่ได้นอนทั้งคืน เพื่อกลั่นยาหลายสิบขวดนี้
แต่อาจารย์ทั้งสองคนโบกมือไปมา “ลู่ฝาน เราไม่เอายาของนายหรอก ถึงแดนอย่างพวกเรา ยาชีวิต ยาทิพย์ ยาเสวียน ประสิทธิภาพไม่มากแล้ว นายเก็บไว้เองเถอะ ให้เจ้าดำสักสองสามขวดก็ได้ ตอนนี้มันต้องการพลัง ยาของนายช่วยมันได้ไม่น้อย”
เจ้าดำยกอาหารเดินเข้ามา มองลู่ฝานด้วยสีหน้าโหยหา
ลู่ฝานตอบรับเบาๆ จากนั้นเอายาให้เจ้าดำ
เจ้าดำตื่นเต้นทันที โยนอาหารที่ยกมาใส่หน้าหานเฟิง
เจ้าดำอ้าปากกินขวดไปด้วย นอนข้างลู่ฝาน ส่งเสียงออกมาอย่างมีความสุข
ตอนนี้หานเฟิงยิ้มเหมือนคนสติไม่ดี ไม่สนใจความเละเทะบนใบหน้า
อาจารย์อี้ชิงยิ้มแล้วพูดว่า “ดูเหมือนครั้งนี้ฟ้ากำหนดไว้แล้ว คณะหนึ่งเดียวของเราจะรุ่งโรจน์แล้ว พวกนายรีบกินยา รีบยกระดับขั้น ไปสู่แดนปราณนอกให้หมดทุกคน จากนั้นเราไปหาคณะอื่นกันสักหน่อย”
หานเฟิงหัวเราะเสียงดัง
“ไอ้พวกคณะหยินหยาง รอฉันก่อนเถอะ พี่หานเฟิงจะไปตีก้นพวกนาย”
ลู่ฝานมีรอยยิ้มเต็มใบหน้า เงยหน้ามองไปไกลๆ
ทิวเขามากมาย ท้องฟ้าแจ่มใส
การต่อสู้จัดอันดับของสถาบันงั้นเหรอ
แปดคณะอื่น พวกนายเตรียมพร้อมรับคณะหนึ่งเดียวที่แข็งแกร่งหรือยัง

วันต่อมา แสงอาทิตย์สว่างจ้า
สายลมพัดอ่อนๆ ต้นไม้เขียวขจี ท้องฟ้าสดใส
ลู่ฝานและคนอื่นนั่งด้วยกัน กำลังเพลิดเพลินกับฝีมือการทำอาหารของเจ้าดำ
ชุดคลุมบู๊มังกรดำที่สวมใส่ ยิ่งใหญ่และสง่า เข้ากับรูปร่างสมส่วนของลู่ฝาน ดูหล่อเหลาและเป็นธรรมชาติ
เหมือนชุดคลุมบู๊ชุดนี้ สร้างมาเพื่อลู่ฝานโดยเฉพาะ เหมาะสมเป็นอย่างมาก
ลู่ฝานสวมใส่อย่างสบาย ชุดคลุมบู๊มังกรดำสามารถดูดซับพลังฟ้าดิน กันน้ำกันฝุ่น นี่แสดงว่าเข้าสามารถใส่ชุดนี้ได้นานโดยไม่ต้องเปลี่ยน
อีกทั้งความสามารถในการป้องกันที่ไม่เลวของชุดคลุมบู๊มังกรดำ ทำให้ไม่ขาดแบบงงๆ ตอนกำลังฝึกฝน
“ศิษย์พี่หานเฟิงล่ะ”
ลู่ฝานเช็ดปากหลังกินเสร็จ แล้วเอ่ยถาม
มองซ้ายมองขวา ศิษย์พี่ทุกคนอยู่ครบ มีเพียงศิษย์พี่หานเฟิง ที่ไม่รู้หายไปไหน
ศิษย์พี่ฉู่สิงยัดของกินใส่ปาก พลางพูดว่า “หานเฟิงออกไปสอบถามข่าวสาร ดูว่าคณะอื่นมีความเคลื่อนไหวอะไรบ้าง”
อาจารย์อี้ชิงพูดว่า “นายพูดกับหานเฟิงชัดเจนหรือยัง อย่าให้เขาก่อเรื่องข้างนอก ถ้าสร้างเรื่องวุ่นวายข้างนอกตอนนี้ การสู้จัดอันดับของสถาบันครั้งนี้ จะไม่เกี่ยวข้องกับเขาแล้ว”
ฉู่สิงยิ้มแล้วพูดว่า “ผมบอกเขาแล้ว ถ้าเขาออกไปมีเรื่องกับคนอื่น จะไม่พาเขาไปการต่อสู้จัดอันดับของสถาบัน”
ฉู่เทียนพูดต่อ “ดังนั้นตอนไอ้เด็กนี่ออกไป จึงไม่เอากระบี่ฟ้าครามไปด้วย ถือโอกาสให้ศิษย์พี่ใหญ่แต่งหน้าให้นิดหน่อยด้วย เปลี่ยนแปลงหน้าตา คนจะได้จำไม่ได้”
อาจารย์เต้ากวงหันไปมองศิษย์พี่ใหญ่ “อู๋เหวย ทำไมฉันไม่รู้ว่านายแต่งหน้าเป็นด้วย ไปเรียนทักษะปลอมตัวตั้งแต่เมื่อไร”
ศิษย์พี่ใหญ่ลูบท้อง หัวเราะจนไขมันกระเพื่อม “แต่งหน้าอะไรล่ะ ผมแค่ซัดเขาจนหน้าปูดเท่านั้น เพื่อทำให้คนอื่นจำไม่ได้”
ทุกคนกลั้นหัวเราะไม่อยู่ พากันหัวเราะจนท้องแข็ง
ขณะกำลังหัวเราะ เงาของหานเฟิงปรากฏอยู่ไม่ไกล
ใต้เท้าเป็นสายลม เห็นฝุ่นควันพุ่งเข้ามา
หานเฟิงรวดเร็วมาก เมื่อเห็นทุกคนจึงตะโกนว่า “ฮ่าๆ ผมกลับมาแล้ว”
ลู่ฝานหันไปมอง หานเฟิงดูท่าทางเหน็ดเหนื่อย
แต่ที่บอกว่าหน้าตาปูดบวม บนหน้าศิษย์พี่หานเฟิง ไม่มีแผลสักนิด
นี่คือคุณสมบัติร่างกายอมตะของศิษย์พี่หานเฟิงเหรอ มหัศจรรย์เกินไปแล้ว ไม่รู้ว่าประสิทธิภาพการรักษา ที่เจดีย์เสวียนเก้ามังกรมอบให้เขา เทียบกับความเร็วการฟื้นฟูของศิษย์พี่หานเฟิงได้หรือเปล่า เจดีย์เสวียนเก้ามังกรโม้กับเขาอยู่นาน ประสิทธิภาพน่าจะไม่เลว
หานเฟิงนั่งลง ลูบหัวเจ้าดำแล้วพูดว่า “เจ้าดำ รีบไปทำอาหารให้ฉันกินหน่อย”
เจ้าดำมองเขาอย่างดูหมิ่น เดินไปห้องครัวอย่างไม่เต็มใจ
ฉู่เทียนถามว่า “หานเฟิง ไปสอบถามได้เรื่องอะไรบ้าง ตอนนี้แต่ละคณะสถานการณ์เป็นยังไง”
หานเฟิงยิ้มแล้วพูดว่า “สถานการณ์ไม่น้อยเลยล่ะ ก่อนอื่นยินดีกับศิษย์น้องลู่ฝาน หลิงเหยาคนรักเก่าของนาย มีชื่อเสียงในสถาบันสอนวิชาบู๊แล้ว”
อาจารย์อี้ชิง อาจารย์เต้ากวงและศิษย์พี่ใหญ่ หันไปมองลู่ฝาน
“คนรักเก่าเหรอ มีชื่อเสียงยังไง”
ลู่ฝานยังไม่ทันเถียง หานเฟิงพูดว่า “คณะสงบใจเอาชนะคณะนานาได้ กำจัดคณะศิงขร สุดท้ายแพ้ให้กับหลัวตานของคณะฟ้าร้อง วิชาสายฟ้าฟาดห้าธาตุดุดันมาก หลัวตานไม่ให้โอกาสคณะสงบใจได้สร้างปาฏิหาริย์ แต่หลิงเหยา คนรักเก่าของศิษย์น้องลู่ฝาน แสดงวิชาอันน่ากลัวออกมา จินเฟยหยู่ของคณะฟ้าร้องแพ้คามือหลิงเหยา ว่ากันว่าหลิงเหยามองจินเฟยหยู่แวบเดียว จินเฟยหยู่ก็ล้มลงไปเลย ได้ยินคนพูดว่า นั่นเป็นจิตบู๊เข้าฌานในตำนาน บู๊ไปตามการเคลื่อนไหวของจิตใจ มองแวบเดียวทำลายทุกสรรพสิ่ง”
อาจารย์อี้ชิงกับอาจารย์เต้ากวงพยักหน้า
อาจารย์อี้ชิงพูดว่า “คณะสงบใจรับศิษย์เช่นนี้ แข็งแกร่งขึ้นมาก็ไม่แปลก”
หานเฟิงมองลู่ฝานอย่างหยอกล้อ แล้วพูดว่า “เฮ้อ อนาคตศิษย์น้องลู่ฝานไม่ง่ายแล้ว หาคนรักแบบนี้ ระวังโดนเธอจับได้ทุกอย่างนะ”
ลู่ฝานมองหานเฟิงอย่างน่ากลัว
“นอกจากคณะสงบใจ แล้วคณะอื่นล่ะ”
หานเฟิงพูดว่า “คณะกระบี่ไปคณะหยินหยาง แต่แอบสู้กัน ไม่ค่อยมีใครรู้สักเท่าไร เหมือนว่าคณะกระบี่ไม่ชนะ ว่ากันว่าเสวียนเฟิงบาดเจ็บเล็กน้อย กลับไปรักษาอาการบาดเจ็บแล้ว”
อาจารย์อี้ชิงพยักหน้าเบาๆ หานเฟิงหยุดครู่หนึ่งแล้วพูดต่อ “คณะฟ้าร้องกับคณะกำแหงสู้กันรอบหนึ่ง แต่หลัวตานไม่ได้พาคนไป เป็นตัวแทนของคณะฟ้าร้องไปคณะกำแหงเพียงคนเดียว ต่อสู้ครั้งใหญ่กับเฉียวเซวียน หลัวตานชนะเฉียวเซวียนได้อย่างสูสี ตอนนี้อันดับของคณะฟ้าร้องเหนือกว่าคณะกำแหงแล้ว เหมือนว่าหลัวตานเตรียมไปคณะบังเหินด้วย น่าจะสองสามวันนี้แหละ คณะบังเหินไม่มีความเคลื่อนไหวอะไร คณะนานาไปท้าประลองคณะศิงขรหนึ่งครั้ง สุดท้ายแพ้เละเทะ อืม สถานการณ์ก็ประมาณนี้”

ทันใดนั้น ตันเถียนของเขาถูกกระตุ้น เม็ดไข่มุกในตันเถียนส่องแสงสว่าง ปล่อยปราณชี่ออกมา
เส้นลมปราณในตัวลู่ฝานขยายตัว อวัยวะภายในแข็งแกร่งขึ้น
ความสบายตั้งแต่หัวจรดเท้าแผ่ซ่านทั่วร่างกาย ยาเม็ดเดียว ทำให้ลู่ฝานเข้าสู่แดนปราณนอกขั้นสาม
ลู่ฝานหัวเราะเสียงดัง สบายจริงๆ ฝึกทั้งชี่และบู๊ควบคู่กัน ยกระดับเร็วกว่าการฝึกเพียงอย่างเดียวจริงๆ
เจดีย์เสวียนเก้ามังกรตกใจ มันตะโกนออกมาเหมือนเจอผี
“อ๊าก นายกินยาของนักบู๊ได้ยังไง นาย นาย นายเป็นผู้ฝึกชี่ไม่ใช่เหรอ”
เสียงตะโกนของเจดีย์เสวียนเก้ามังกรดังก้องในหัวลู่ฝาน เหมือนมันคลั่งไปแล้ว แผดเสียงออกมาสุดชีวิต
ลู่ฝานเอาตัวเจดีย์เสวียนเก้ามังกรออกมา แล้วตบลงไปอย่างแรง “หุบปาก น่ารำคาญชะมัด”
เจดีย์เสวียนเก้ามังกรรีบเงียบลง ทันใดนั้นพูดออกมาช้าๆ ว่า “เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ เจ้านายผู้ฉลาดหลักแหลม เจ้านายผู้มีอนาคตสดใส ช่วยไขความสงสัยของฉันหน่อยเถอะ นายทำได้ยังไง”
ลู่ฝานพูดอย่างราบเรียบ “แกไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องพวกนี้”
เจดีย์เสวียนเก้ามังกรในมือสั่นไปมา เสียงของมันเปลี่ยนไป
“เจ้านาย เจ้านายคนใหม่ของฉัน นายต้องบอกฉัน นายกลัวฉันเผยความลับนายเหรอ วางใจเถอะ ในฐานะที่เป็นภูติอาวุธ ฉันจะเอาเรื่องเจ้านาย ไปบอกคนอื่นได้ยังไง ตอนนี้ฉันรวมอยู่ในตัวนาย เจ้านายสามารถใช้วิชากลั่นเลือดควบคุมฉันได้ ฉันขอแค่วิธี ถ้าฉันสามารถซึมซับพลังปราณของนักบู๊ได้ แม้จะได้เพียงเล็กน้อย ฉันจะได้ฟื้นฟูกลับมาอย่างรวดเร็ว และแข็งแกร่งกว่าเดิม!”
พูดพลาง เจดีย์เสวียนเก้ามังกรกลายเป็นแสง เข้าไปตรงหว่างคิ้วของลู่ฝาน
ลู่ฝานรู้สึกว่าที่ตันเถียนของตัวเองมีเจดีย์เพิ่มอีกอัน เม็ดไข่มุกในตันเถียน ควบคุมเจดีย์ทันที พลังอันแข็งแกร่งหดเจดีย์เสวียนเก้ามังกรเข้าไปในเม็ดไข่มุก
เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดอย่างตกใจ “นี่ฉันเห็นอะไร มุกเทพ มุกเทพในตำนาน เจ้านายก้าวข้ามพันธนาการของฟ้าดินแล้วเหรอ”
ลู่ฝานถามอย่างไม่เข้าใจ “อะไรคือมุกเทพ”
เสียงของเจดีย์เสวียนเก้ามังกรสั่นด้วยความตื่นเต้น
“ก็หัวใจสำคัญของพลังเจ้านายไงนักบู๊คือมุกบู๊หยินหยาง ผู้ฝึกชี่คือมุกชี่ห้าดิน แต่หัวใจสำคัญของพลังเจ้านาย กลับเป็นมุกเทพสองสิ่งผสานรวมกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่มีข้อบกพร่องสักนิด พลังไม่มีที่สิ้นสุด ความเป็นไปได้ไร้ขีดจำกัด ฉันติดตามเจ้านายถูกคนแล้ว ฉันไม่ไปไหนแล้ว ฉันอยู่ในนี้แหละ”
ลู่ฝานได้ยินเจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูด อดหัวเราะออกมาไม่ได้
เขายังไม่รู้เลยว่าเม็ดไข่มุกในตันเถียนของตัวเอง คนอื่นเรียกว่ามุกเทพ
เอาเถอะ มุกเทพก็มุกเทพ ฟังดูไม่เลว
ลู่ฝานสัมผัสได้ว่าเจดีย์เสวียนเก้ามังกรโดนมุกเทพกลั่นอย่างรวดเร็ว ไม่นานเจดีย์เสวียนเก้ามังกรกลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเขา
ไม่นานเสียงของเจดีย์เสวียนเก้ามังกรดังขึ้นอีกครั้ง
ครั้งนี้เจดีย์เสวียนเก้ามังกรดูเลื่อมใสและกระตือรือร้นกว่าเมื่อกี้
“เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ เจดีย์เสวียนเก้ามังกรผู้ภักดีของคุณ รับฟังคำสั่งของคุณ ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เจดีย์เสวียนเก้ามังกรจะเป็นเครื่องรางติดตามคุณไปทั้งชีวิต อยู่และตายไปพร้อมกับคุณ”
ลู่ฝานเลิกคิ้วขึ้น แล้วพูดว่า “งั้นเหรอ แต่เซียนสือฟางบอกว่า ถ้าฉันตายไปแล้ว นายยังสามารถสืบทอดต่อไปได้”
เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดอย่างไม่ลังเล “เซียนสือฟาง เป็นผู้ครอบครองฉัน ไม่ใช่ผู้ควบคุมฉัน นายคือเจ้านายที่ฉันรอมาหมื่นปี”
ลู่ฝานยิ้มกว้าง

ลู่ฝานเอาสูตรการกลั่นยาเป็นกองมาได้อย่างง่ายดาย

ด้านบนมีแสงห้าสีไหลวนอยู่ สูตรการกลั่นยาพวกนี้ไม่ธรรมดาอย่างเห็นได้ชัด

แม้เป็นสูตรการกลั่นยาที่วางไว้ด้านนอกสุด แต่เซียนบำเพ็ญชี่เก็บเอาไว้ แสดงว่ามีส่วนที่ไม่ธรรมดา

ลู่ฝานหยิบขึ้นมาดู พลังของห้าธาตุพาดผ่าน วิธีกลั่นยาเม็ดแต่ละชนิดเข้ามาในหัวลู่ฝาน

ดูออกเลยว่าคนที่เขียนสูตรการกลั่นยา ไม่ได้ร่ายมนตร์อะไรใส่สูตรการกลั่นยาเพื่อป้องกัน แค่ใส่พลังของห้าธาตุเข้าไป เพื่อรับรองว่าคนที่ฝึกสูตรการกลั่นยา คือระดับผู้ฝึกชี่ขึ้นไป

ตอนนี้พละกำลังของลู่ฝานเพียงพอแล้ว ลู่ฝานหลับตาลง อ่านสูตรการกลั่นยาใหม่ที่เพิ่งเข้ามาในหัว ลู่ฝานยิ้มออกมา

สูตรการกลั่นยาพวกนี้ ล้วนเป็นการกลั่นยาเม็ดที่ยกระดับพละกำลังของนักบู๊ มิน่าล่ะถึงวางไว้ด้านนอกสุด

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรถามไม่หยุด “มีสูตรการกลั่นยาดีๆ ไหม ใช้ได้ไหม”

ลู่ฝานพูดอย่างราบเรียบว่า “ยาพละกำลังดุร้าย ยาเลือด ยากระดูก เหอะๆ ยาเม็ดแบบนี้ทั้งนั้น แกว่าไงล่ะ”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดอย่างโมโห “ไม่มีสูตรการกลั่นยาของผู้บำเพ็ญชี่เหรอ ได้สูตรการกลั่นยาพวกนี้มา ก็ไม่มีประโยชน์ มิน่าล่ะถึงไม่ได้ร่ายมนตร์ไว้”

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ สูตรการกลั่นยาพวกนี้ดีมาก อย่างน้อยมีประโยชน์กับฉันมาก ไปดูตำหนักยาดีกว่า จะรวบรวมสมุนไพรได้หรือเปล่า”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดว่า “มีประโยชน์เหรอ จะเอาออกไปขายเหรอ สูตรการกลั่นยาพวกนี้ เอาไปแลกอะไรกับผู้ฝึกชี่ไม่ได้เลย ถ้าแลกกับนักบู๊ คงแลกได้แค่เงินหรือสมุนไพร มีประโยชน์อะไร”

ลู่ฝานขี้เกียจพูด ตรงไปที่ตำหนักยาทันที

หาอยู่ครู่หนึ่ง จึงรวบรวมสมุนไพรในสูตรการกลั่นยาอย่างดี ได้สองสามสูตร

ลู่ฝานตัดสินใจกลั่นยาที่นี่

ลู่ฝานสะบัดเอาหม้อไฟบุ๋นออกมา

เมื่อเห็นหม้อไฟบุ๋น เจดีย์เสวียนเก้ามังกรหัวเราะออกมา “ทำไมเจ้านายยังใช้หม้อยาพื้นฐานแบบนี้อีก เจ้านายมีหม้อสือฟางไม่ใช่เหรอ ใช้มันสิ กลั่นยาเร็วกว่าหม้อใบนี้เยอะเลยนะ”

ลู่ฝานถามอย่างตกใจ “เร็วกว่าเยอะเหรอ หมายความว่าไง”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูด “ประสิทธิภาพใหญ่สุดของหม้อสือฟาง คือทำให้การกลั่นยาเร็วขึ้น เจ้านายลองดูก็รู้เอง ในบรรดาหม้อยา หม้อสือฟางมีชื่อเสียงด้านความเร็ว”

ลู่ฝานเก็บหม้อไฟบุ๋น แล้วเอาหม้อสือฟางออกมา

ใส่ปราณชี่เข้าไป หม้อสือฟางสีใส มีหมอกควันหลากหลายสีพุ่งขึ้นมา

ลู่ฝานเอาสมุนไพรออกมา เรียงลำดับตามสูตรยา มือซ้ายเป็นไฟ มือขวารวมตัวเป็นน้ำ เมื่อพละกำลังก้าวหน้าขึ้น ทำให้เขาควบคุมพลังฟ้าดินได้ตามใจต้องการด้วย

เดิมทีต้องใช้เวลาหนึ่งก้านธูป ถึงครึ่งชั่วยาม จึงจะกลั่นสมุนไพรเสร็จ

แต่ตอนนี้เพียงแค่ไม่นาน ก็สามารถกลั่นจนเสร็จ

ใส่สมุนไพรเข้าไปในหม้อสือฟาง ต่อมาลู่ฝานเห็นฤทธิ์ยากลายเป็นรูปร่างอย่างรวดเร็ว ภายใต้การกระตุ้นของหม้อสือฟาง

ไม่ได้เร็วธรรมดาๆ พลังที่หมุนเวียนในหม้อสือฟาง เหมือนมือใหญ่ที่มองไม่เห็น ปั้นยาออกมา

ไม่กี่อึดใจ ยาเม็ดแรกเด้งออกมาจากหม้อ

ยาเม็ดกลม กลิ่นยารุนแรง มีแสงกะพริบและพลังฟ้าดินห้าธาตุที่ผ่านการกลั่นแล้ว

ยานี้มีชื่อว่ายาขยายเส้นลมปราณ เป็นยาชีวิต น่าจะเป็นยาชีวิตระดับ 2-3

ยาชนิดนี้ แม้เป็นนักบู๊แดนปราณชีวิต ก็ยังต้องการ

ลู่ฝานกินลงไปอย่างไม่ลังเล ฤทธิ์ยาแผ่ซ่านในร่างกาย

มองชุดคลุมดำในมือ ลู่ฝานส่ายหน้าแล้วยิ้มบางๆ พวกศิษย์พี่ดีกับเขามาก แต่ชุดคลุมบู๊มังกรดำนี้ ลู่ฝานรู้สึกว่ารับมาแล้วรู้สึกผิด ตัวเองซึมซับพลังจากเหรียญทองคนเดียว ตอนนี้ยังได้ชุดคลุมบู๊มังกรดำอีก ลู่ฝานคิดว่าตัวเองต้องชดเชยให้พวกศิษย์พี่หานเฟิงสักหน่อย เพราะพวกศิษย์พี่หานเฟิงก็ออกแรงเหมือนกัน
เมื่อคิดเช่นนี้ ลู่ฝานคิดถึงยาเม็ดและสมุนไพรเป็นกองในจวนอากาศธาตุ
เขารีบเอาแสงดำในจวนอากาศธาตุจากในเข็มขัดตัวเองออกมา
เมื่อคิดเช่นนั้น ลู่ฝานเข้าไปในจวนอากาศธาตุ
ทันใดนั้น ลู่ฝานมาถึงหน้าประตูคุ้มครอง แต่ครั้งนี้ประตูคุ้มครองไม่ได้ขัดขวาง ลู่ฝานมองมันแวบหนึ่ง มันก็เปิดออก
ลู่ฝานเดินเข้าไปข้างใน เดินผ่านตำหนักดวงดาว องครักษ์ดวงดาวด้านใน คุกเข่าตรงหน้าลู่ฝาน อ้าปากจนเห็นประตู
หม้อสือฟางกับเจดีย์เสวียนเก้ามังกร ลอยออกไปช้าๆ ร่วงลงข้างหน้าลู่ฝาน
ลู่ฝานถือหม้อสือฟางกับเจดีย์เสวียนเก้ามังกรเอาไว้ เขาสัมผัสได้ถึงแรงกระเพื่อมที่ออกมาจากหม้อสือฟาง นั่นเป็นเจตนาดีจากจิตวิญญาณ หม้อสือฟางเหมือนเด็กน้อยเจอพ่อ ให้ความรู้สึกสนิทสนมกับลู่ฝาน
ไม่ต้องสงสัยเลย หม้อสือฟางใกล้รวมตัวเป็นเครื่องรางที่มีภูติอาวุธแล้ว
แค่จุดนี้ หม้อสือฟางเหนือกว่าเครื่องรางธรรมดาเป็นอย่างมาก แม้แต่หม้อไฟบุ๋นที่อาจารย์หวูเฉินให้เขา ก็ไม่สามารถเทียบได้
เจดีย์เสวียนเก้ามังกรตรงมือขวา มีออร่าลึกลับยากที่จะจับต้องได้
ทันใดนั้น เสียงของเจดีย์เสวียนเก้ามังกรดังขึ้นในหัวลู่ฝานอีกครั้ง
“นายเข้ามาอีกแล้ว ฉันคิดว่านายจะให้ฉันอยู่ในนี้ไปตลอด”
ลู่ฝานพูดอย่างราบเรียบ “ให้แกอยู่ในนี้ไม่ดีเหรอ”
เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดว่า “ดีอะไรล่ะ ฉันเดินไปไหนมาไหนเองไม่ได้ ในเมื่อนายมาแล้ว รีบพาฉันไปห้องเครื่องราง หรือห้องหุ่นก็ได้ ตอนนี้ฉันต้องรีบฟื้นฟูพลัง”
ลู่ฝานหัวเราะอย่างมีความสุข “ฉันคิดว่าแกไปเองได้ซะอีก ห้องเครื่องราง ห้องหุ่น อยู่ไหนเหรอ ฉันไม่เคยไปเหมือนกัน”
เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดว่า “มีฉันอยู่ นายยังกลัวหาไม่เจอเหรอ อีกอย่าง ทั้งจวนอากาศธาตุเป็นของนายหมดแล้ว นายคิดในใจก็สามารถไปได้แล้ว นายจงใจหลอกฉันใช่ไหม”
ลู่ฝานอึ้งไป เขาไม่รู้ว่าแค่ตัวเองคิด ก็สามารถไปถึงได้
ลู่ฝานยืนอยู่ที่เดิมสักพัก จากนั้นคิดอยู่ในใจ แต่ก็ไม่เกิดอะไรขึ้น
ลู่ฝานพูดอย่างดูหมิ่นในใจ “แกนั่นแหละหลอกฉัน ทำไมไปไม่ได้ล่ะ”
เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดว่า “เป็นไปไม่ได้ งั้นนายเดินไปข้างหน้า เดี๋ยวฉันบอกทางให้”
ลู่ฝานถอนหายใจเบาๆ เจดีย์เสวียนเก้ามังกรดูพึ่งไม่ได้เท่าไร เดินไปทางองครักษ์ดวงดาว ลู่ฝานมองตำหนักดวงดาวอยู่ครู่หนึ่ง
ที่แห่งนี้ อาจเป็นสถานที่ให้เขาทำความเข้าใจ มีสถานที่แบบนี้ คิดว่าความเร็วในการทำความเข้าใจของเขา จะเร็วกว่าคนอื่นเยอะมาก
เดินออกมาจากตำหนักดวงดาว ลู่ฝานมาที่ตำหนักยาอีกครั้ง
ลู่ฝานลองหยิบสมุนไพรอีกสองสามต้น พบว่าถึงตอนนี้เขาเป็นเจ้าของจวนอากาศธาตุ ก็ยังต้องใช้พลังตัวเอง ทำลายมนตร์บนนั้น ยาระดับสูงด้านบนสุด ของล้ำค่าทั้งชีวิตของเซียนซือฟาง เขายังเอามันมาไม่ได้อยู่ดี
ดูเหมือนต้องรอให้พละกำลังแข็งแกร่งมากกว่านี้อีกเยอะ แล้วค่อยมาลองดูอีกครั้ง
เดินออกจากตำหนักยา ลู่ฝานเดินมาหน้าประตูที่ซ่อนอยู่
เมื่อเปิดประตูออก สิ่งที่ปรากฏในสายตาคือเครื่องรางเป็นแถบ
มีทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็น หมึก กระดาษ พู่กัน แท่นฝนหมึก พิณกู่ฉิน หมากล้อม หนังสือ ภาพวาด และอาวุธต่างๆ เยอะกว่าอาวุธของนักบู๊เสียอีก ลู่ฝานเห็นเครื่องรางลูกเต๋าสองสามอัน ไม่รู้ผู้ฝึกชี่ที่ฝึกเครื่องรางแบบนี้จะชอบเล่นพนันขนาดไหน
เดินเข้าไปไม่ถึงสองก้าว ลู่ฝานโดนกำแพงใสชั้นหนึ่งขวางไว้
เจดีย์เสวียนเก้ามังกรพูดอย่างเคียดแค้น “ที่แท้ร่ายมนตร์เอาไว้นี่เอง ไอ้โง่สือฟาง ตอนตายไม่รู้จักแก้มนตร์ออก ครั้งนี้ฉันตายแน่”
ลู่ฝานลองโจมตีมนตร์ อาศัยปราณชี่แข็งแกร่ง เขาเดินเข้าไปได้ หยิบเครื่องรางสองชิ้นด้านนอกสุดได้พอดี
เป็นกระบี่บินหนึ่งชุดกับแท่นฝนหมึกหนึ่งอัน
ลู่ฝานหาห้องหุ่นเจออีก จึงลองทดสอบดู
ในห้องหุ่นก็ร่ายมนตร์ไว้เหมือนกัน ลู่ฝานได้หุ่นมาแค่ตัวเดียว
เห็นของดีมากมาย แต่ไม่สามารถเอามาได้ ลู่ฝานหดหู่เล็กน้อย
คนที่ไม่เชื่อสิ่งชั่วร้ายอย่างเขา วิ่งไปที่ห้องยาเม็ด มีมนตร์อีกแล้ว ไม่สามารถเอาของมาได้
หลังเจดีย์เสวียนเก้ามังกรโอดครวญอยู่ครู่หนึ่ง “เจ้านาย ดูเหมือนว่าเจ้านายต้องเพิ่มพละกำลังให้แข็งแกร่ง ถึงกลับมาเอามันได้ จากการคาดเดาของฉัน รอให้เจ้านายถึงระดับนักเรกิ จะสามารถให้ของที่นี่ไปได้ครึ่งหนึ่ง เมื่อถึงระดับปรมาจารย์บำเพ็ญชี่ สามารถเอาของดีอย่างแท้จริงไปได้ ถ้าอยากเอาไปทั้งหมด คงต้องถึงระดับเซียนบำเพ็ญชี่ ฉันต้องรออีกนานแค่ไหน!”
ลู่ฝานถอนหายใจ “นี่เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้”
ลู่ฝานเอายามาสองขวด เตรียมจะออกไป แต่ขณะนั้น
เจดีย์เสวียนเก้ามังกรเรียกเขาไว้
“เดี๋ยวก่อน เจ้านายไปดูสูตรการกลั่นยาพวกนั้นสิ ถูกร่ายมนตร์เอาไว้หรือเปล่า”
ลู่ฝานอาศัยปราณชี่อันแข็งแกร่ง ฝืนเดินเข้ามาข้างหน้าชั้นยาด้านนอกสุด ด้านบนมีสูตรการกลั่นยาวางเอาไว้เป็นแผ่นๆ
เขายื่นมือไปหยิบ สิ่งที่ผิดคาดคือไม่มีอะไรขัดขวาง
ลู่ฝานสีหน้ายินดี ไม่มีการร่ายมนตร์เอาไว้

บทที่ 240
ลู่ฝานเดินในเส้นทางบู๊อย่างมั่นคงมาตลอด เขาพยายามรักษาสภาวะนี้ต่อไป

ลู่ฝานซึมซับพลังในเหรียญทองอย่างระมัดระวัง ค่อยๆ กลั่นทีละนิด พยายามควบคุมให้สมบูรณ์แบบ

หลังผ่านไปครึ่งชั่วยาม เจ้าดำยกอาหารออกมา หานเฟิงและคนอื่นได้กลิ่นหอม รีบพากันมากินข้าว

แต่ลู่ฝานไม่ขยับไปไหน ยังคงนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น

ไม่มีใครรบกวนลู่ฝาน พวกเขาเห็นปราณปกคลุมตัวลู่ฝาน ตอนแรกอึ้งไปก่อน จากนั้นแต่ละคนมีรอยยิ้มบนใบหน้า

หานเฟิงพูดว่า “ศิษย์น้องลู่ฝานไม่กินข้าวจะไหวไหม เขาต้องซึมซับอีกนานแค่ไหน”

ศิษย์พี่ใหญ่มองดู แล้วพูดว่า “น่าจะประมาณ 3-5 วัน วางใจเถอะ พลังในตัวศิษย์น้องลู่ฝานเต็มเปี่ยม ถึงแดนปราณนอกแล้ว พลังในตัวคอยหล่อเลี้ยงร่างกายเขาตลอดเวลา ถึงไม่กินข้าวก็ไม่เป็นไร”

หานเฟิงตอบรับ แล้วยิ้มออกมา

“ศิษย์น้องลู่ฝานแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ผมเห็นภาพที่ตามศิษย์น้องลู่ฝานไปกวาดล้างคณะอื่นในอนาคตแล้ว”

ศิษย์พี่ใหญ่ลูบท้องแล้วพยักหน้า “ตอนนี้พละกำลังของศิษย์น้องลู่ฝาน ใกล้ตามฉันทันแล้ว แม้ครั้งนี้ฉันไม่ได้ไปด้วย พวกนายก็สามารถฆ่าไปถึงคณะหยินหยางได้”

ฉู่สิง หานเฟิงและฉู่เทียน ได้ยินศิษย์พี่ใหญ่ขี้เกียจอีกแล้ว จึงตะโกนออกมาพร้อมกัน

“ศิษย์พี่ใหญ่ ไม่ได้คิดจะไม่ไปอีกแล้วใช่ไหม พูดไว้แล้วว่าจะไปกับเราไง”

ศิษย์พี่ใหญ่หัวเราะ “ไปอยู่แล้ว วางใจเถอะ”

อาจารย์อี้ชิงก็หัวเราะด้วย “ฉันจะเอาชุดคลุมบู๊มังกรดำที่ได้มาให้ลู่ฝาน พวกนายมีความเห็นอะไรไหม”

ศิษย์พี่ใหญ่ ฉู่เทียนและฉู่สิงส่ายหน้าเบาๆ พร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า

หานเฟิงไม่ได้พูดอะไร ศิษย์พี่ใหญ่ขมวดคิ้วเบาๆ มองหานเฟิงแล้วพูดว่า “ศิษย์น้องหานเฟิง นายต้องการชุดคลุมบู๊มังกรดำเหรอ”

หานเฟิงรีบพูดว่า “เปล่า ผมไม่ได้ต้องการชุดคลุมบู๊มังกรดำ สิ่งนี้ควรให้ศิษย์น้องลู่ฝาน แต่เสื้อผมเพิ่งโดนไหม้ไป พวกพี่มีใครพอให้ผมได้สักชุดไหม ใส่แบบนี้ไปคณะอื่นคงไม่ค่อยดี ผมไม่เอาของศิษย์พี่ใหญ่นะ คิดว่าผมไม่รู้เหรอว่าพี่ทำมาจากกางเกงบ็อกเซอร์”

ศิษย์พี่ใหญ่อ้าปากค้าง จากนั้นกลืนคำที่จะพูดลงคอไป

อาจารย์เต้ากวงพูดว่า “นายไปซื้อที่เขาวิพากษ์สัก 2-3 ชุดสิ อย่าบอกนะว่าศิษย์คณะหนึ่งเดียว ไม่มีปัญญาซื้อชุดแม้แต่ชุดเดียว”

หานเฟิงพูดเบาๆ ว่า “อาจารย์ เสื้อผ้าที่เขาวิพากษ์ตัวเดียวก็ 2-3 เหรียญทองแล้วนะครับ”

อาจารย์เต้ากวงกระแอมสองครั้ง จากนั้นพูดว่า “ฉันว่าทำจากกางเกงบ็อกเซอร์ก็ดีนะ อู๋เหวยนายยังมีบ็อกเซอร์อีกกี่ตัว”

หานเฟิงสีหน้าหดหู่ ฉู่สิงที่อยู่ข้างๆ พูดว่า “ศิษย์น้องลู่ฝานน่าจะมีเสื้อผ้าอีก 2-3 ตัว ศิษย์น้องหานเฟิง รอให้ลู่ฝานตื่นก่อน แล้วไปถามเขาสิ มีจวนอากาศธาตุในมือ ตอนนี้เขารวยแล้ว”

หานเฟิงตาเป็นประกาย รู้ความหมายจากคำพูดของฉู่สิง

หานเฟิงมองลู่ฝาน แล้วหัวเราะออกมา

เจ้าดำยกถ้วยมาข้างลู่ฝาน เห็นลู่ฝานกำลังฝึกฝนอยู่ เจ้าดำจึงหมอบลงข้างๆ ดันถ้วยไปด้านหน้าลู่ฝาน

มันหวังว่าลู่ฝานจะซึมซับเสร็จเร็วๆ เพื่อชิมฝีมือการทำอาหารของมัน

เวลาสิบวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว

เช้าตรู่ สายลมเบาๆ ปะทะใบหน้า ลู่ฝานลืมตาขึ้นช้าๆ ในที่สุดเขาก็ตื่นแล้ว

ซึมซับพลังสิบวันเต็มๆ ทำให้พละกำลังของเขาก้าวหน้าขึ้นไม่น้อย ลู่ฝานสัมผัสได้ว่าเขาสามารถก้าวสู่แดนปราณนอกขั้นสามได้ทุกเมื่อ

ปราณชี่ในร่างกายเต็มเปี่ยม จนจะทะลักออกมา ทำให้เขามีพลังเต็มเปี่ยม

ฟู่ว……

พรูลมหายใจออกมา ลู่ฝานถอนหายใจนานประมาณหนึ่งก้านธูป เห็นถึงความแข็งแกร่งของอวัยวะภายในของเขา

ลู่ฝานลุกขึ้นยืดเส้นยืดสาย

พลังฟ้าดินรอบๆ เคลื่อนไหวตามการเคลื่อนไหวของเขา

ลู่ฝานเห็นอาจารย์อี้ชิงกับอาจารย์เต้ากวง กำลังเล่นหมากรุกกันอยู่

ตอนนี้ทั้งสองวางหมากลง อาจารย์อี้ชิงมองลู่ฝานแล้วพูดว่า “ฝึกเสร็จแล้วเหรอ รู้สึกอย่างไรบ้าง”

ลู่ฝานตอบว่า “ดีมากครับ”

อาจารย์อี้ชิงสะบัดมือโยนชุดคลุมบู๊มังกรดำให้ลู่ฝาน

“นายสวมชุดคลุมบู๊ตัวนี้สิ”

ลู่ฝานยื่นมือไปรับชุดคลุมบู๊มังกรดำด้วยสีหน้าตกใจ อาจารย์เต้ากวงพูดว่า “รีบสวมสิ พวกศิษย์พี่เขาตกลงกันให้นายแล้ว”

ลู่ฝานยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

จู่ๆ ประตูเปิดออก หานเฟิงวิ่งหัวเราะออกมา

“ศิษย์น้องลู่ฝาน นายยังมีเสื้อผ้าอีกไหม ให้ฉันสองตัวสิ โธ่ ฉันรอนายจะตายแล้ว”

หานเฟิงเปลือยท่อนบน ด้านล่างมีเสื้อพันอยู่หนึ่งตัว

เสื้อโดนดัดแปลงจนไม่เป็นรูปร่าง ไม่ต่างจากผ้ากันเปื้อนเท่าไร หานเฟิงใส่อยู่บนตัว ดูแปลกประหลาดมาก

ลู่ฝานรีบเอาชุดในเข็มขัดโยนให้หานเฟิง นี่เป็นชุดสุดท้ายของเขาเหมือนกัน ต่อไปถ้าจะเปลี่ยน คงต้องเปลี่ยนชุดคลุมบู๊มังกรดำในมือนี่แหละ

หานเฟิงรับเสื้อผ้ามา ยิ้มตาหยีกลับเข้าไปในห้อง

อาจารย์อี้ชิงพูดว่า “ลู่ฝาน นายพักผ่อนสักสองวัน สองวันนี้พวกนายเตรียมแข่งขันต่อสู้ของสถาบัน สู้ไปเรื่อยๆ อย่างน้อยต้องสู้ให้ถึงสามอันดับแรก”

อาจารย์เต้ากวงพูดต่อ “อีกอย่าง คาถาเคล็ดวิชาบู๊ระดับดินที่ฉันถ่ายทอดให้นาย นายก็ทบทวนให้ดี วิชาโดยรวมอยู่นี่ นายมาดูสักหน่อย ฝึกได้แค่ไหนเอาแค่นั้น มันช่วยได้นิดหน่อย”

อาจารย์เต้ากวงสะบัดมือ โยนเคล็ดวิชาบู๊สองสามเล่มมาให้

ลู่ฝานรับหนังสือเคล็ดวิชาบู๊เอาไว้ จากนั้นคำนับ

ลู่ฝานเดินกลับห้อง เจ้าดำหมอบอยู่หน้าประตู กำลังกัดเนื้อแกะชิ้นใหญ่อยู่

ลู่ฝานลูบหัวเจ้าดำ แล้วปิดประตูห้อง

ลู่ฝานยังไม่ทันพูดอะไร ฉู่สิงตบไหล่เขา ยิ้มบางๆ แล้วเดินตามศิษย์พี่ฉู่เทียนออกไป
“ศิษย์พี่ทุกท่าน พวกพี่ทำเพื่ออะไร”
ลู่ฝานเอ่ยถาม
ฉู่สิงโผล่ตัวออกมาจากห้องครึ่งตัว มองลู่ฝานแล้วพูดว่า “ทำไมเหรอ เพราะนายคือศิษย์น้องของเรา!”
ฉู่สิงยิ้มอย่างผ่อนคลาย แล้วปิดประตูลง
ศิษย์พี่ใหญ่อู๋เหวย ศิษย์พี่รองฉู่เทียน ก็ปิดประตูลงเช่นกัน ทั้งลานบ้านเหลือลู่ฝานเพียงคนเดียว
ด้านหลังบ้านไม้ หานเฟิงเดินออกมาอย่างโมโห ในมือมีขาแกะหนึ่งขา ใบหน้าดำเป็นแถบ
เสื้อผ้าบนตัวโดนเผาจนเหลืออยู่ครึ่งเดียว หานเฟิงดับไฟที่กำลังไหม้ผมตัวเอง เงยหน้ามองลู่ฝานแล้วพูดว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน พวกศิษย์พี่ะ กลับห้องหมดแล้วเหรอ”
ลู่ฝานพูดว่า “ใช่ พวกเขาให้พวกเราซึมซับพลังหมดเลย ศิษย์พี่หานเฟิง เรามาซึมซับพลังของเหรียญทองกันเถอะ”
หานเฟิงหัวเราะ กัดขาแกะหนึ่งคำ แล้วพูดอู้อี้ “ฉันไม่เอาหรอก เหรียญทองเป็นของนายแล้ว ให้นายทั้งหมดเลย พลังแล้วยังไง ศิษย์น้องช่วยชีวิตฉันไว้ เรื่องซึมซับพลัง ซึมซับเพียงคนเดียว ดีกว่าหลายคนอยู่แล้ว ศิษย์น้องลู่ฝานเก่งขึ้นอีกหน่อย ต่อไปฉันออกไปมีเรื่อง จะได้มีที่พึ่ง ฮ่าๆ ขาแกะไม่เลวจริงๆ กลับไปค่อยๆ กินดีกว่า”
หานเฟิงพูดพลาง รีบเดินกลับห้องตัวเอง
ลู่ฝานยืนอยู่ที่เดิม รอยยิ้มเป็นมิตรอยู่บนใบหน้า
ไม่ว่าศิษย์พี่ของเขาจะมีความผิดปกติอะไร ไม่ว่าจะหาเรื่องมากมายแค่ไหน ไม่ว่าคนอื่นมองยังไง ในสายตาลู่ฝาน พวกเขาคือศิษย์พี่ที่ดีที่สุดในโลก
ลู่ฝานนั่งลงหน้าเหรียญทองช้าๆ วางมือลงบนเหรียญทอง
ลู่ฝานสัมผัสถึงพลังบริสุทธิ์ แผ่ซ่านไปทั่วเหรียญทอง พลังที่สามารถซึมซับได้ ไหลเวียนเป็นอากาศอยู่บนเหรียญทอง
ลู่ฝานเปิดปราณชี่ของตัวเอง ทันใดนั้นพลังทั้งหมดเหมือนหาทางออกเจอ ทะลักเข้ามาหาลู่ฝาน
พลังเหล่านี้โดนร่างกายเขากลั่นอย่างรวดเร็ว เข้าไปในเม็ดไข่มุกเจ็ดสีในตันเถียนของเขา
เม็ดไข่มุกใหญ่ขึ้นอีก เหมือนเสียงหัวใจเต้น ดังทุ้มออกมานอกตัวเขา
ตอนนี้ตันเถียนของลู่ฝานเหมือนบึงเล็กๆ ในนั้นเป็นแสงเจ็ดสี นี่เป็นพลังของเซียนสือฟาง ลู่ฝานยังกลั่นพลังไม่เสร็จสมบูรณ์ เพราะเป็นผลการฝึกตนชั่วชีวิตของเซียนบำเพ็ญชี่ ลู่ฝานต้องถึงแดนอีกหนึ่งแดน ถึงจะกลั่นอีกส่วนหนึ่งได้ จนสักวันหนึ่ง เขาก้าวสู่แดนเซียนบำเพ็ญชี่ หรือมีแดนปราณฟ้าระดับเดียวกับเซียนบำเพ็ญชี่ ถึงจะซึมซับพลังทั้งหมดได้
มีพลังเหล่านี้กักเก็บไว้ในตันเถียนของเขา การฝึกของลู่ฝานจะเร็วขึ้นมาก ตันเถียนได้รับการหล่อเลี้ยง ไข่มุกที่ลู่ฝานก็ไม่รู้ว่าคืออะไรนั้น จะแข็งแกร่งขึ้นอีกขั้นเหมือนกัน
ไม่สามารถซึมซับพลังพวกนี้ได้ชั่วคราว แต่พลังในเหรียญทอง สามารถเข้าไปในเม็ดไข่มุกได้ เมื่อเทียบกันแล้ว พลังในเหรียญทองอบอุ่นกว่า ซึมซับแล้วไม่มีอันตรายอะไร
เดาได้ไม่ยาก คนที่ใส่พลังเข้าไปในนี้ ต้องเป็นพลังของคนที่แดนสูงกว่าเซียนบำเพ็ญชี่
ไม่รู้ว่าเป็นแดนฟ้าดินหรือแดนหยินหยาง
สามารถกลั่นพลังถึงระดับนี้ ซึมซับง่ายกว่าพลังฟ้าดิน ฝีมือแข็งแกร่งจริงๆ
ลู่ฝานหลับตาลง จมอยู่กับการซึมซับพลัง
เห็นได้ชัดเจนว่า พลังสีเงินในเหรียญทองสว่างขึ้นมา จากนั้นเข้าไปในฝ่ามือลู่ฝาน
ปล่อยปราณชี่ออกมา ชุดที่ก่อตัวจากปราณคลุมตัวลู่ฝานเอาไว้ บนปราณมีลวดลายค่ายกลหยินหยางชัดเจน ถ้ามองดูดีๆ จะเห็นค่ายกลเบญจธาตุด้านล่างค่ายกลหยินหยาง
ไม่มีใครรู้ หลังจากลู่ฝานได้รับการถ่ายทอดจากเซียนสือฟาง เขาเข้าสู่แดนปราณนอกอย่างเป็นทางการแล้ว อีกทั้งไม่ใช่ขั้นหนึ่ง แต่เป็นผลการฝึกตนแดนปราณนอกขั้นสอง
ลู่ฝานระงับมันเอาไว้อย่างสุดกำลัง ไม่ได้พุ่งข้ามขั้นแบบรวดเร็ว
เพราะไม่ใช่พลังของตัวเอง ถ้าพุ่งไปอย่างรวดเร็ว จนไม่สามารถควบคุมได้ จะได้ไม่คุ้มเสีย
ความแข็งแกร่งของพละกำลัง ไม่เพียงแค่ระดับสูงต่ำ สิ่งสำคัญกว่านั้นคือการใช้และควบคุมพลัง

บทที่ 238
คณะหนึ่งเดียว

ผ่านไปกี่เดือน ได้กลับมาห้องตัวเองอีกครั้ง รู้สึกดีอย่างนี้นี่เอง

ลู่ฝานสูดหายใจ แม้แต่อากาศก็สดชื่นมาก

เจ้าดำเห็นลู่ฝาน ก็วิ่งเข้ามากระโจนใส่ลู่ฝานทันที

ไม่เจอกันไม่กี่เดือน เจ้าดำตัวจะโตเท่าสิงโตแล้ว แล้วลายสีดำบนตัวมันคืออะไรกัน

ดูเหมือนมีดสลักเอาไว้ ตอนปะทะกับอกลู่ฝาน ลวดลายมีแสงกะพริบด้วย

พละกำลังของเจ้าดำตอนนี้ ดูถูกไม่ได้เลย จากพละกำลังของลู่ฝานตอนนี้ โดนมันชนยังรู้สึกเจ็บหน้าอก

ตอนนี้พละกำลังของเจ้าดำ คงเทียบได้กับนักบู๊แดนปราณในขั้นสูงสุด

หานเฟิงอยู่ข้างๆ พูดว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน ตอนนี้เจ้าดำกินเยอะสุดในคณะหนึ่งเดียวของเรา นายไม่รู้หรอกว่าวันหนึ่งมันกินเยอะแค่ไหน ถ้าไม่ใช่เพราะมันขึ้นเขาไปหาอาหารเองได้ ฉันว่าคณะหนึ่งเดียวคงเลี้ยงมันไม่ไหว อีกทั้งมันเลือกกินมาก หยิบกินแต่ของดีๆ ไม่สนใจเนื้อธรรมดาๆ แล้ว”

อาจารย์อี้ชิงเดินเข้ามา พูดเสียงดังว่า “นายจะไปรู้อะไร ตอนนี้เจ้าดำอยู่ในขั้นสำคัญของการเจริญเติบโต จำเป็นต้องมีพลังมหาศาลคอยช่วยเหลือ ช่วงนี้ฉันจะพามันไปเทือกเขาฉิงเทียน ให้มันไปแช่สระปีศาจมีประโยชน์กับมันมาก”

ลู่ฝานเอาสมุนไพรออกมาจากอก จากนั้นยื่นให้เจ้าดำ

สมุนไพรมีแสงสว่างออกมาบางๆ เห็นได้ชัดว่าเป็นสมุนไพรระดับยาวิเศษ

เจ้าดำกินลงไปอย่างไม่ลังเล มองลู่ฝานอย่างพอใจ สายตานั้นเหมือนกำลังพูดว่า เจ้านายตัวเองช่างดีจริงๆ

ลู่ฝานรู้สึกว่าเจ้าดำฉลาดขึ้นเรื่อยๆ มันแค่พูดภาษาคนไม่ได้ โดยพื้นฐานมันฉลาดเหมือนกับคน

ลู่ฝานตบหัวเจ้าดำเบาๆ แล้วพูดว่า “เจ้าดำ ทำอาหารมากินสักหน่อย ไม่ได้กินอาหารฝีมือแกนานแล้ว”

เจ้าดำพยักหัวรัวๆ จากนั้นวิ่งไปด้านหลังบ้านไม้

ไม่นาน เห็นเจ้าดำกอดเนื้อสัตว์อสูร ที่หมักเรียบร้อยออกมา จากนั้นเดินไปยังห้องครัว

หานเฟิงและคนอื่นมองจนเหม่อ ฉู่สิงพูดอย่างตกใจว่า “เจ้าดำหมักของเป็นตั้งแต่เมื่อไร มันเรียนกับใคร ให้ตายเถอะ ฉันนึกออกแล้ว มันเคยเห็นฉันหมักไก่ป่าครั้งหนึ่ง แต่แค่ครั้งเดียวเองนะ”

หานเฟิงตะโกนออกมาว่า “เจ้าดำรู้จักเก็บของกินเอาไว้เองแล้ว มันเก็บของอร่อยไว้ ไม่บอกพวกเรา ผมบอกตั้งนานแล้ว เราไม่ได้กินเนื้อส่วนที่อร่อยที่สุดของสัตว์อสูร พวกพี่ไม่เชื่อ ตอนนี้เชื่อหรือยัง มันเอาเนื้อดีที่ได้กลับมาเก็บไว้เอง”

ลู่ฝานหัวเราะ คนอื่นไม่สนใจเสียงตะโกนของหานเฟิง

ศิษย์พี่ใหญ่เอามือลูบท้องแล้วพูดว่า “ดูเหมือนหลังจากศิษย์น้องลู่ฝานกลับมา อาหารของเรายกระดับขึ้นอีกขั้นแล้ว ดีมากๆ”

หานเฟิงสะบัดมือโยนเหรียญทองไปในลานบ้าน

“ฉันจะไปดูหลังห้อง เจ้าดำยังเอาออกมาไม่หมดแน่นอน มันต้องแอบเอาไว้แน่ๆ ฉันจะไปหาดู”

พูดพลาง หานเฟิงวิ่งไปด้านหลังบ้านไม้ของลู่ฝาน

ทันใดนั้น เสียงตกใจของหานเฟิงดังขึ้นมา

“ให้ตายเถอะ เจ้าดำแกทิ้งกับดักเอาไว้ แค่เนื้อไม่กี่ชิ้นเอง ต้องทำถึงขนาดนี้ไหม เสื้อฉัน ใครก็ได้มาช่วยฉันหน่อย”

ทุกคนหัวเราะเบาๆ แล้วส่ายหน้า ไม่มีใครไปช่วยหานเฟิงสักคน

เจ้าดำโผล่หัวออกมาจากห้องครัว มองแวบหนึ่ง จากนั้นพ่นประกายไฟออกมาทางจมูก และทำอาหารต่อไป

อาจารย์เต้ากวงชี้ไปที่เหรียญทองแล้วพูดว่า “พวกนายซึมซับพลังของเหรียญทองก่อนเถอะ เวลานานไปอาจเกิดเรื่องไม่ดี ลู่ฝาน หลังจากนายซึมซับเสร็จแล้ว มาหาฉันด้วย”

พูดพลาง อาจารย์เต้ากวงยิ้มบางๆ แล้วเดินกลับห้อง

อาจารย์อี้ชิงก็มีรอยยิ้มประหลาด มองลู่ฝานแล้วเดินกลับห้องตัวเอง

ลู่ฝาน ฉู่สิง ฉู่เทียน และศิษย์พี่ใหญ่มาตรงหน้าเหรียญทอง

ศิษย์พี่ใหญ่ลูบเหรียญทอง หัวเราะแล้วพูดว่า “ช่างเถอะ ครั้งนี้ฉันไม่ซึมซับพลังในเหรียญทองแล้ว ตอนนี้ฉันอยู่ในขั้นหัวเลี้ยวหัวต่อ จำเป็นต้องทำความเข้าใจ ไม่ต้องการพลัง ศิษย์น้องลู่ฝาน ส่วนของฉันให้นายแล้วกัน”

ศิษย์พี่ใหญ่หัวเราะแล้วมองลู่ฝาน จากนั้นหันหลังเดินออกไป

ศิษย์พี่ฉู่เทียนก็หัวเราะ “ฉันก็ไม่ได้ต้องการพลังส่วนนี้เหมือนกัน ศิษย์น้องลู่ฝาน ฉันยกให้นายแล้วกัน ซึมซับให้หมดนะ อย่าให้เสียของ”

ศิษย์พี่ฉู่เทียนพูดจบ ก็เดินกลับห้องตัวเอง

บทที่ 237
แต่พละกำลังของลู่ฝาน ทำให้พวกเขารับไม่ได้จริงๆ

ยืนเอามือไพล่หลังไม่ปล่อยพลังปราณออกมาสักนิด คู่ต่อสู้ก็ลงไปนอนกองกับพื้นเอง โดนกดเข้าไปในพื้นหินจนสลบ

ทักษะระดับนี้ พวกเขาไม่เคยเห็น อีกทั้งยังไม่เคยได้ยินมาก่อน

ถ้าเรื่องนี้เป็นฝีมือของอาจารย์หรือครูคนใดคนหนึ่ง ยังพอเข้าใจได้ แต่ลู่ฝานที่ดูเด็กกว่าคนส่วนใหญ่ในที่นี้ ทำไมเขาถึงแข็งแกร่งขนาดนี้

อีกทั้งคนที่โดนเขาจัดการอย่างง่ายดาย ไม่ใช่นักเรียนธรรมดาด้วย เป็นเหลิ่งหาน ที่มีอันดับไม่เลวในรายชื่อบู๊

ยอดฝีมือที่จัดการเหลิ่งหานได้ง่ายดายขนาดนี้ แล้วถ้าจัดการพวกเขา แค่ดีดนิ้ว คงทำให้พวกเขาตายได้เป็นแถบ ไม่ใช่สิ ไม่แน่อาจไม่ต้องดีดนิ้วเลยก็ได้

เหลิ่งหานโดนแบกออกไป ครูที่ช่วยรักษาอาการบาดเจ็บของเหลิ่งหาน สัมผัสได้ว่ากระดูกในตัวเหลิ่งหาน โดนกดจนเปลี่ยนรูป แค่อีกฝ่ายใช้แรงอีกนิด กระดูกพวกนี้ต้องหักและแทงอวัยวะภายในแน่นอน พวกอี้ว์หวาที่ยืนอยู่บนหอคอย หน้าซีดเผือด พวกเขารู้สึกอับอายเมื่อยืนอยู่ที่นี่

ไม่รอให้ซิงยวนพูดอะไรออกมา พวกเขาวิ่งลงจากหอคอยทันที

อาจารย์อี้ชิงลุกขึ้นยืน เดินมาตรงกลาง หยิบชุดคลุมบู๊มังกรดำ ที่ลอยอยู่กลางอากาศ จากนั้นโยนให้ลู่ฝาน “ลู่ฝานรับไป เรากลับกันเถอะ”

ลู่ฝานยิ้มบางๆ และพยักหน้า เดินลงจากหอคอยช้าๆ

อาจารย์อี้ชิงฮัมเพลงเบาๆ ยืดพุงโตๆ เดินออกไปอย่างสง่าผ่าเผย

หานเฟิง ฉู่สิงและศิษย์พี่ใหญ่ ยืนขึ้นเช่นกัน

อาจารย์เต้ากวงสะบัดมือ ใช้พลังปราณลากเหรียญทองขึ้นมา แล้วหันหลังเดินออกไป

“ศิษย์น้องลู่ฝาน กระบวนท่านี้ไม่เลว กลับไปสอนฉันด้วย”

หานเฟิงกับลู่ฝานกอดคอกัน

ลู่ฝานพูดว่า “ได้เลย แค่พี่เรียนได้ ผมสอนอยู่แล้ว”

ฉู่สิงยื่นหน้าเข้ามา “ฉันด้วยคน กระบวนท่านี้ใช้จีบสาว ไม่เลวแน่นอน”

ศิษย์พี่ฉู่เทียนพูดอย่างเย็นชา “นายฝึกเคล็ดวิชาเพื่อจีบสาวเหรอ ไม่มีความทะเยอทะยานเอาเสียเลย ศิษย์น้องลู่ฝาน พรสวรรค์ของพวกเขาสองคนใช้ไม่ได้ นายสอนฉันก่อนแล้วกัน ฮ่าๆๆ”

ฉู่สิงกับหานเฟิง ยกนิ้วกลางให้ฉู่เทียน

ศิษย์พี่ใหญ่ลูบท้อง แล้วพูดว่า “รีบกลับเถอะ ฉันหิวแล้ว รู้อย่างนี้ ฉันพาเจ้าดำออกมาด้วยแล้ว”

ทุกคนพูดคุยยิ้มแย้ม เดินออกไปไกล

ทางด้านนี้ นักเรียนของคณะอื่น มองแผ่นหลังของพวกลู่ฝาน จนหายลับไปจากสายตา จึงละสายตาออกมา

เฉียวเซวียนคณะกำแหงฉีกยิ้มออกมา หัวเราะอย่างมีความสุข ส่ายหน้าพูดว่า “ลู่ฝานเป็นของฉัน แค่เขามาคณะกำแหง ต้องต่อกรกับฉันเป็นคนแรก ใครกล้าแย่ง ฉันจะซัดคนนั้น”

จ้าวคั่วพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ไม่มีใครแย่งนายหรอก”

คนอื่นพยักหน้าเห็นด้วย

เสวียนเฟิงคณะกระบี่กอดกระบี่ แล้วพูดว่า “คู่ต่อสู้ที่หายาก มีเวลาต้องไปคณะหนึ่งเดียวสักหน่อยแล้ว”

มู่ซั่วหัวเราะอยู่ข้างๆ “เหอะๆ นายไม่คิดว่าพวกเขาจะมาสู้กับคณะกระบี่เหรอ”

เสวียนเฟิงยิ้มบางๆ กอดกระบี่ไม่พูดอะไร

มู่ซั่วก็เข้าใจ แล้วหันไปมองอีกด้าน จ้องไปทางคณะหยินหยาง

หลิงเหยาแห่งคณะสงบใจ พูดพึมพำว่า “ที่แท้ลู่ฝานแข็งแกร่งขนาดนี้เลย ดูเหมือนฉันต้องพยายามสักหน่อยเหมือนกัน อืม รอให้มาคณะสงบใจของเรา ฉันต้องสู้กับเขาไหมนะโอ๊ย เลือกยากจริงๆ”

จางเยว่หานแห่งคณะบังเหิน แววตาเย็นชา เล่นไข่มุกในมือ จู่ๆ มีรอยยิ้มปรากฏตรงมุมปาก

“ลู่ฝาน วันสุดท้ายของนายใกล้มาถึงแล้ว”

เอี๋ยนชิงแห่งคณะหยินหยาง ไม่พูดอะไรสักคำ เขาหลับตาลงช้าๆ

บทที่ 236
“พลานุภาพไม่เลว เขาเดินบนเส้นทางวิถีบู๊แล้ว”

อาจารย์อู๋โฉวคณะสงบใจ พิจารณาลู่ฝานได้อย่างแม่นยำที่สุด อาจารย์คนอื่นที่อยู่ข้างๆ พากันพยักหน้า

สีหน้าของอาจารย์ซิงยวนในตอนนี้ ไม่เพียงแต่จะไม่สู้ดี ยังตกใจอีกด้วย

เขาจำลู่ฝานได้ นักเรียนที่เขาถูกใจ ตอนการแข่งขันของนักเรียนใหม่

ตอนนั้นเขามั่นใจว่าหลังจากลู่ฝานเข้าคณะหนึ่งเดียว ต้องพังย่อยยับแน่นอน แต่ตอนนี้ลู่ฝานใช้ความจริงบอกเขา คณะหนึ่งเดียวไม่ได้ทำลายเขา แต่กลับทำให้เขาประสบความสำเร็จ

ปราณที่มองไม่เห็น อย่างน้อยต้องเป็นนักบู๊แดนปราณชีวิตถึงจะทำความเข้าใจได้

สามารถปล่อยพลานุภาพใส่คน ในขณะที่ต่ำกว่าแดนปราณชีวิต อย่างไม่มีข้อบกพร่อง เดิมทีอาจารย์ซิงยวนได้ยินว่ามีอัจฉริยะแบบนี้ แต่ไม่เคยเจอมาก่อน

แต่วันนี้ลู่ฝานทำให้เขาได้เห็นแล้ว

เข้าสถาบันไม่ถึงหนึ่งปี ลู่ฝานไม่มีทางเข้าสู่แดนปราณชีวิตได้

อาจารย์ซิงยวนจินตนาการไม่ออก นี่ต้องมีพรสวรรค์น่ากลัวขนาดไหน รวมไปถึงการสั่งสอนที่เก่งกาจขนาดไหน ถึงทำให้เขาฝึกปราณที่มองไม่เห็นได้

หันกลับมาดูศิษย์เกือบหมื่นของคณะหยินหยาง ไม่มีใครทำได้สักคน

อาจารย์ซิงยวนรู้ว่าตัวเองแพ้แล้ว อย่างน้อยด้านการอบรมสั่งสอนลูกศิษย์ เขาพ่ายแพ้อย่างราบคาบ

แววตาหม่นหมอง อาจารย์ซิงยวนอดคิดไม่ได้ อย่าบอกนะว่าวิธีที่เขาสอนศิษย์ มันผิดทั้งหมด

อย่าบอกนะว่าทำให้พวกเขามีจิตวิญญาณแห่งการแย่งชิง ไม่ยอมตามหลังผู้อื่น เป็นสิ่งผิดเหมือนกันเหรอ

เขาจมอยู่ในความคิด

อาจารย์อี้ชิงเห็นการแสดงออกของลู่ฝาน ตกใจเป็นอย่างมาก

พูดตามตรง ความสำเร็จของลู่ฝานในตอนนี้ เขาก็ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร

แต่เขาดีใจแทนลู่ฝาน ศิษย์ประสบความสำเร็จเช่นนี้ คนเป็นอาจารย์ปลื้มใจเป็นอย่างมาก

บนหอคอย เหลิ่งหานสลบไปแล้ว ถูกกดจนไม่สามารถร้องโอดครวญออกมาได้

ลู่ฝานเก็บพลานุภาพของตัวเอง มาอย่างไร้เงา ไปอย่างไร้ร่องรอย

ตอนนี้เขาไม่จำเป็นต้องปล่อยปราณชี่ของตัวเองออกมา ก็สามารถกระตุ้นพลังฟ้าดิน ขยี้คู่ต่อสู้ที่พละกำลังไม่เพียงพอได้แล้ว

ตอนนี้ลู่ฝานเพิ่งสัมผัสถึงความแข็งแกร่งของปราณชี่อย่างแท้จริง

หลังรับการถ่ายทอดจากเซียนสือฟาง พละกำลังของเขาเข้าสู่แดนปราณนอกแล้ว

เมื่อถึงแดนนี้ เขาสามารถใช้วิชาบางส่วนของผู้ฝึกชี่ และไม่ห่างชั้นกับคนอื่นด้วย

ปราณที่มองไม่เห็น เป็นการทดสอบเล็กๆ ของเขา ดูประสิทธิภาพไม่เลว

นักบู๊คนอื่นจะเทียบการควบคุมพลังฟ้าดินกับเขาได้อย่างไร แม้คนที่มีพรสวรรค์เหนือธรรมชาติ สามารถใช้ปราณที่มองไม่เห็นได้ แต่ไม่สามารถทำได้แข็งแกร่งและง่ายดายแบบลู่ฝาน

มีกระบวนท่านี้ ลู่ฝานไม่กลัวนักบู๊แดนปราณใน และคนฝึกชี่ที่ยังไม่เข้าสู่แดนผู้ฝึกชี่อีกแล้ว

เมื่อแดนไม่เพียงพอ จำนวนคน ไม่มีความหมายกับเขามากนัก

นักบู๊ธรรมดา ผู้ฝึกชี่ธรรมดา ยังมีโอกาสโดนศัตรูที่อ่อนกว่า ข่มด้วยจำนวนคน สถานการณ์แบบนี้ จะไม่เกิดขึ้นกับลู่ฝานตั้งแต่นี้เป็นต้นไป

ลู่ฝานรู้สึกว่าตัวเองกำลังเดินบนถนนที่ไม่รู้จัก ลึกลับ และแข็งแกร่งมาก

เขาเดินบนเส้นทางผู้แข็งแกร่งแล้ว

คณะหนึ่งเดียวชนะทั้งสามรอบ ความสงสัย การดูหมิ่น ความไม่สบอารมณ์ทั้งหมด หายไปจนหมดสิ้น

ถูกแทนที่ด้วยสายตาเลื่อมใสของนักเรียนคณะอื่น

โดยเฉพาะสายตาที่พวกเขามองลู่ฝาน แฝงไปด้วยความหวาดกลัว

จนปัญญา ไม่ว่าจะเป็นหานเฟิงหรือฉู่สิง อย่างน้อยก็ใช้เคล็ดวิชาบู๊ ปล่อยกระบวนท่า ปล่อยพลังปราณ ทำให้ทุกคนเห็นแดนผลการฝึกตน

ชนะคือชนะ ทำให้พวกเขาอับอาย แต่ยังอยู่ในขอบเขตที่ยอมรับได้

บทที่ 235
ฉู่สิงยืนอยู่ที่เดิม ปล่อยปราณกระบี่ออกมาอย่างผ่อนคลาย

ปราณกระบี่ดุดันเหมือนพายุฝน ร่วงลงบนตัวจิ่วซาง

หลังปราณกระบี่สามสิบหกสายผ่านไป จิ่วซางนอนอยู่บนพื้น เหมือนกระสอบขาด

ตัวเต็มไปด้วยบาดแผล พื้นหินใต้ร่างกาย ที่เดิมโดนระเบิดจนเป็นหลุม ตอนนี้โดนปราณกระบี่เฉือนจนเรียบเหมือนกระจก

บนพื้นหินเป็นค่ายกลแปดทิศธรรมดาๆ นี่เป็นผลที่ฉู่สิงยังออมมือ ถ้าฉู่สิงใช้ปราณกระบี่แปดสิบเอ็ดสายออกมา จิ่วซางต้องตายศพไม่สวยแน่นอน

นักเรียนคณะหยินหยางเงียบเหมือนตาย พูดอะไรไม่ออกแล้ว

แพ้ราบคาบ เหมือนรังแกเด็กอย่างไรอย่างนั้น

ศิษย์พี่จิ่วซางที่อยู่อันดับต้นๆ ในคณะหยินหยางมาโดยตลอด กลับแพ้ในสภาพนี้ ดูไม่ได้ยิ่งกว่ารอบที่แล้วเสียอีก

เพราะรอบที่แล้ว ทุกคนดูออกว่า หานเฟิงใช้กระบวนท่าอันแข็งแกร่งทันที

แต่รอบนี้ ฉู่สิงเหมือนกำลังเล่น ปล่อยปราณกระบี่ออกมาตามใจชอบ ศิษย์พี่จิ่วซางก็แพ้แล้ว

ศิษย์คณะหยินหยางจำนวนไม่น้อย สีหน้าซีดเผือด คำพูดที่พวกเขาตะโกนเมื่อครู่ เหมือนฝ่ามือตบหน้าพวกเขาไม่หยุด ทำให้สีหน้าพวกเขาบูดเบี้ยว

ทำไมถึงเป็นแบบนี้

นี่เป็นความคิดในใจของนักเรียนคณะหยินหยาง

แม้แต่นักเรียนยอดฝีมือของคณะต่างๆ เช่น เอี๋ยนชิง ฮ่วนเย่ว์ เสวียนเฟิงและเฉียวเซวียนก็ยังมองคณะหนึ่งเดียว ด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป

ไอ้คนที่นับว่าไม่เลวหนึ่งคน พวกเขาคิดว่ายังไม่เป็นไร แต่สองคน เริ่มมีปัญหาแล้ว

ถ้าศิษย์ทั้งห้าคนของคณะหนึ่งเดียว ล้วนมีความสามารถระดับนี้ งั้นฐานะของพวกเขา ต้องสั่นคลอนอย่างรุนแรง

การต่อสู้จัดอันดับของสถาบันในปีนี้ อาจเกิดอะไรแผลงๆ ขึ้นก็ได้

ฉู่สิงแบกกระบี่เดินลงจากหอคอย พร้อมรอยยิ้มบางๆ ตอนกำลังจะไป เขาพยักหน้าให้ลู่ฝาน เพื่อบอกว่าที่เหลือฝากนายด้วย

หานเฟิงตะโกนเรียกลู่ฝานที่อยู่บนหอคอย “ศิษย์น้องลู่ฝาน รอบสุดท้ายไม่ต้องไว้หน้าพวกเขา รีบจัดการให้จบ เรากลับไปยังมีเรื่องต้องทำ”

ลู่ฝานพยักหน้านิ่งๆ แล้วเดินออกมาช้าๆ

ตอนนี้อี้ว์หวา เถียนปู้ชิง มองไปยังเหลิ่งหาน ในบรรดาคนที่เหลืออยู่สามคน มีเพียงเหลิ่งหานที่แข็งแกร่งที่สุด

เหลิ่งหานกัดฟันเดินออกมา แม้เขาจะกลัวเล็กน้อย แต่เกี่ยวข้องกับหน้าตาของคณะหยินหยาง เขาจำเป็นต้องออกมา

“ทำไมเหลิ่งหานดูร้อนรนจัง ท่าทางไม่มั่นคงเลย!”

อาจารย์เซินถูมองความผิดปกติของเหลิ่งหานออกเพียงแวบเดียว

อี้ชิงยิ้มแล้วพูดว่า “ก็นักเรียนของคณะหยินหยาง พอเข้าใจได้อยู่”

ซิงยวนเหลือบมองอย่างน่ากลัว แล้วกำหมัดแน่น

อี้ชิงหัวเราะอย่างมีความสุข เขาต้องการกดคณะหยินหยางให้ต่ำลง จู่ๆ อาจารย์อี้ชิงตะโกนใส่ลู่ฝาน “ลู่ฝาน ทำไมนายไม่เอากระบี่ออกมา รีบจัดการให้จบๆ”

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “อาจารย์ ไม่จำเป็นต้องใช้กระบี่หรอก”

ลู่ฝานยกยิ้มมุมปาก เห็นได้ชัดว่ามีแผนในใจ

อี้ชิงเห็นท่าทางลู่ฝานมั่นใจมาก จึงไม่พูดอะไรมาก

นักเรียนคณะหยินหยางด้านล่างได้ยิน ก็ไม่พอใจ อะไรคือรีบจัดการให้จบๆ!

มีเสียงดังขึ้น นักเรียนสองคนตะโกนออกมา

“ศิษย์พี่เหลิ่งหานสู้ๆ พี่เป็นผู้แข็งแกร่งในรายชื่อบู๊เชียวนะ”

“ใช่ ศิษย์พี่เหลิ่งหานไม่มีทางแพ้”

เมื่อทั้งสองตะโกนจบ จู่ๆ พบว่าไม่ค่อยมีใครตะโกนตามพวกเขา

นักเรียนเก่าคนหนึ่งที่อยู่ข้างๆ ดึงเสื้อเขาแล้วพูดว่า “ไม่ต้องตะโกนแล้ว พวกนายไม่รู้เหรอ ลู่ฝานก็เป็นผู้แข็งแกร่งในรายชื่อบู๊เหมือนกัน”

นักเรียนพูดอย่างตกใจ “อะไรนะ เขาอยู่ในรายชื่อบู๊ตั้งแต่เมื่อไร”

นักเรียนเก่าถอนหายใจออกมา “ไม่กี่เดือนก่อน เขาเอาชนะจ้าวคั่วของคณะกำแหงต่อหน้าทุกคน”

อีกฝั่งหนึ่ง เฉียวเซวียนแอบแซะจ้าวคั่วว่า “เสือดำ ได้ยินว่านายแพ้เด็กที่ชื่อลู่ฝานนี่เหรอ”

จ้าวคั่วสีหน้าอึมครึม “ใช่แล้วจะทำไม”

เฉียวเซวียนตาเป็นประกาย “เปล่า ดูเหมือนคณะหนึ่งเดียวน่าสนใจขึ้นมานิดหน่อยแล้วล่ะ”

บนหอคอย เหลิ่งหานปล่อยพลังปราณตัวเองออกมา

ยังอยู่แค่ระดับนี้ ผ่านไปสองสามเดือนแล้ว เขาไม่ยกระดับขึ้นสักนิด

ลู่ฝานขมวดคิ้ว เขานึกว่าเหลิ่งหานจะทำให้เขาตกใจเสียอีก คิดดูดีๆ แล้ว ช่วงนี้เหลิ่งหานคงกำลังรักษาอาการบาดเจ็บสินะ

ลู่ฝานส่ายหน้า ในเมื่อเหลิ่งหานไม่สามารถทำให้เขาตกใจได้ เขาก็ไม่อยากลงมือเลย

ลู่ฝานเอาสองมือไพล่หลัง มองเฉียวเซวียนอย่างราบเรียบ

เมื่อทำเช่นนี้ สีหน้าซิงยวนอึมครึมทันที เขาพูดอย่างเย็นชาว่า “เด็กอวดดีเหลือเกิน”

อาจารย์อี้ชิงยิ้มแล้วพูดว่า “อวดดีหรือเปล่า นายดูก็รู้แล้วไม่ใช่เหรอ จะพูดเยอะแยะไปทำไม”

เหลิ่งหานยกกระบี่ เตรียมพุ่งเข้าไปหาลู่ฝาน เพิ่งก้าวได้แค่ก้าวเดียว พลานุภาพอันน่ากลัว พุ่งเข้ามาหาเขา

เหมือนภูเขา เหมือนทะเลบ้าคลั่ง เหมือนฟ้าถล่ม

เหลิ่งหานโดนกดจนหมอบลงบนพื้น พลานุภาพอันน่ากลัว พร้อมกับแรงมหาศาล แม้แต่นิ้วก็ไม่สามารถกระดิกได้

พลังปราณบนตัวโดนทำลายเหมือนภาพลวงตา ตัวยุบลงไปในพื้นหินหนึ่งเมตร

ทุกคนตกใจ เพราะคนข้างๆ ไม่สัมผัสถึงพลานุภาพอะไรเลย

ลู่ฝานยืนอยู่ที่เดิม นิ่งสงบดั่งสายน้ำ

ทันใดนั้นทุกคนสีหน้าเปลี่ยนไป รวมถึงพวกอาจารย์ด้วย

บทที่ 234
หานเฟิงเดินลงจากหอคอย อย่างเบิกบานใจ

เขาจงใจกระโดดลงมาท่ามกลางกลุ่มคน เมื่อเดินผ่าน กลุ่มคนแยกออกเหมือนสายน้ำ

มีแต่ความเงียบ เสียงตะโกนและเสียงเยาะเย้ย หายไปจนหมด

สิ่งที่หานเฟิงแสดงออกมา ทำให้คนพูดไม่ออกจริงๆ คนที่เพิ่งด่าหานเฟิงอย่างเจ็บแสบ แววตามีความสับสนวุ่นวาย

หานเฟิงแข็งแกร่งขนาดนี้ โดนพวกเขาตะโกนว่าเป็นขยะของคณะหนึ่งเดียว แล้วพวกเขาคืออะไรล่ะ

ยังเทียบกับขยะไม่ได้เลยมั้ง

กลุ่มคนพากันเงียบลง แม้แต่ครูทุกคนที่นั่งบนหอคอย ยังตกใจมาก

พละกำลังของกระบวนท่าเมื่อกี้ สามารถจัดการคนส่วนหนึ่ง ในบรรดาพวกเขาได้แล้ว

หานเฟิงเดินอย่างยโสโอหังมาข้างพวกศิษย์พี่ใหญ่ แล้วนั่งไขว่ห้าง

อาจารย์เต้ากวงขี้เกียจดุเขา คำว่าชนะไม่เย่อหยิ่ง ใช้กับหานเฟิงไม่ได้จริงๆ

แต่เป็นคนของตระกูลหานก็ไม่จำเป็นต้องรู้สิ่งนี้ อาจารย์เต้ากวงหัวเราะเบาๆ ตามใจเขาละกัน

ให้ทุกคนได้เห็นพละกำลังของคณะหนึ่งเดียว ในเมื่ออยากให้คนอื่นเห็นความสำคัญ ก็ต้องทำให้พวกเขาตกใจสุดขีด

ลู่ฝานกับฉู่สิงที่มองไปบนหอคอย กระแอมออกมาเบาๆ อาจารย์เต้ากวงส่งสายตาให้พวกเขาสองคน

ความหมายที่แฝงอยู่ในแววตาชัดเจนมาก ถ้าพวกนายสองคนทำได้แย่กว่าหานเฟิง เตรียมกลับไปรับโทษได้เลย

ฉู่สิงสั่นไปทั้งตัว แต่ลู่ฝานกลับหัวเราะออกมา

ฝั่งตรงข้าม เหลิ่งหานและคนอื่นสีหน้าหวาดผวา ความไม่สบอารมณ์และความเย่อหยิ่ง ที่มีแต่เดิม โดนกระบี่ของหานเฟิงทำลายไปจนหมด

“ศิษย์พี่เหลิ่งหาน พี่ไปสู้รอบสองละกัน อย่าให้พวกเขาได้อวดดีเกินไป”

เถียนปู้ชิงกับอี้ว์หวาหันมามองเหลิ่งหานแล้วเอ่ยขึ้น พวกเขาคิดว่าในบรรดาพวกเขาห้าคน คนที่จะชนะแน่นอน มีเพียงเหลิ่งหาน ดังนั้นพวกเขาหวังว่าตอนนี้เหลิ่งหานจะออกไป เก็บชัยชนะได้หนึ่งรอบก่อน ข่มความฮึกเหิมของฝั่งตรงข้ามเอาไว้

เหลิ่งหานไม่ได้พูดอะไร แต่มองลู่ฝานด้วยแววตาหวาดกลัวเล็กน้อย

คนพวกนี้ไม่รู้ความน่ากลัวของลู่ฝาน คิดว่าเขาจะชนะได้แน่นอน แต่ตัวเขารู้ดีแก่ใจ แม้เขาไปสู้ แค่อีกฝ่ายส่งลู่ฝานออกมา เขาต้องแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย

เหลิ่งหานกำลังลังเล นักเรียนข้างๆ ที่ชื่อจิ่วซางทนไม่ไหว เดินออกมาข้างนอกด้วยสายตาโมโห

“รอบนี้ฉันเอง”

เหลิ่งหานตกใจ จิ่วซางเดินออกไปแล้ว

คนของคณะหยินหยางด้านล่าง ตะโกนขึ้นมาอีกครั้ง

แต่เสียงไม่ดังเหมือนเมื่อครู่ คนกลุ่มหนึ่งถกเถียงกันเบาๆ

“ศิษย์พี่จิ่วซางไหวไหม คนของคณะหนึ่งเดียวพวกนั้น เหมือนมีความสามารถจริงๆ!”

“ไร้สาระ ศิษย์พี่จิ่วซางชนะได้แน่นอน แม้คณะหนึ่งเดียวเหมือนขยะ แต่ยังไงก็มีอาจารย์ มีคนที่ดูแข็งแกร่งสักคน เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว แต่ไม่มีทางที่จะแข็งแกร่งทุกคน ศิษย์พี่จิ่วซางชนะแน่นอน”

“ศิษย์พี่หวางต้าฉุยพูดมีเหตุผล”

“กำจัดพวกขยะคณะหนึ่งเดียว”

……

ทางฝั่งนี้ ฉู่สิงกับลู่ฝานมองหน้ากัน ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “ศิษย์พี่ฉู่สิง พี่หรือผมจะขึ้นไป”

ฉู่สิงตบไหล่ลู่ฝานแล้วพูดว่า “ฉันก่อนละกัน ศิษย์น้องลู่ฝาน อีกเดี๋ยวนายจัดท่าไม้ตายให้พวกเขาเลย ไม่ต้องปรานี”

ลู่ฝานพยักหน้าเบาๆ “วางใจได้เลย”

ศิษย์พี่ฉู่สิงเดินออกมาพร้อมกระบี่ยาวในมือ กระดิกนิ้วใส่จิ่วซาง

ตอนนี้สายตาของอาจารย์ทั้งหลายมองไปยังฉู่สิง การแสดงออกของหานเฟิงเมื่อครู่ ทำให้อาจารย์ทุกคนรู้ว่าศิษย์คณะหนึ่งเดียวมีความสามารถ ดังนั้นตอนนี้พวกอาจารย์อยากเห็นว่าศิษย์คนอื่นของคณะหนึ่งเดียวเป็นอย่างไร

อาจารย์เซินถูที่อยู่ใกล้อาจารย์อี้ชิง ถามออกมาเบาๆ

“อี้ชิง คณะหนึ่งเดียวของพวกนาย มีศิษย์ฝึกเคล็ดวิชาบู๊ระดับดินอันล้ำค่า ได้กี่คนกันแน่”

อี้ชิงยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่เยอะเท่าไรหรอก แค่ห้าคนเอง”

อาจารย์คนอื่นได้ยินอาจารย์อี้ชิงพูด อึ้งไปก่อนในตอนแรก จากนั้นแต่ละคนมีสีหน้าประหลาด

เซินถูยิ้มแล้วพูดว่า “เองงั้นเหรอ คณะหนึ่งเดียวของพวกนาย มีศิษย์ทั้งหมดห้าคน ไอ้หมอนี่ฝึกเคล็ดวิชาบู๊อะไร โอ้โห……วิชากระบี่มังกรดำ”

เซินถูยังพูดไม่ทันจบ ก็เห็นฉู่สิงยกกระบี่ด้วยมือเดียว ค่ายกลแปดทิศปรากฏด้านล่างเท้า พลังปราณรูปมังกรไหลวนอยู่บนกระบี่

อาจารย์คนอื่นพากันตะลึง วิชากระบี่มังกรดำ เป็นวิชาระดับดินอีกชุด อาจารย์ซิงยวนสีหน้าไม่สู้ดี เขารู้ความหมายของวิชาระดับดินชุดนี้ มีวิชาแบบนี้ แม้ไอ้เด็กนี่มีพละกำลังแค่ปราณในขั้นต้น ก็สามารถต่อสู้กับนักบู๊แดนปราณในขั้นสูงสุดได้ แต่พลังปราณในตัวเด็กนี่ คือผลการฝึกตนแดนปราณในขั้นสูงสุดชัดๆ นั่นหมายความว่า นักบู๊แดนปราณนอกก็ไม่น่าใช่คู่ต่อสู้ของเขา

ฉู่สิงมองจิ่วซางที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ด้วยสายตาเย็นชา สะบัดมือพร้อมปราณกระบี่

ตอนจิ่วซางเห็นพลังปราณที่ปล่อยออกจากตัวฉู่สิง ก็เร่งความเร็วพุ่งเข้ามา หมัดมาพร้อมกับแสงจ้า ปกคลุมด้วยพลังปราณพิเศษหนึ่งชั้น

“หมัดแทง!”

เจอกับปราณกระบี่ที่ฉู่สิงปล่อยออกมา จิ่วซางเลือกสู้สุดชีวิตอย่างไม่ลังเล

เมื่อเห็นการเคลื่อนไหวของจิ่วซางอาจารย์ซิงยวนหลับตาลง

ไอ้ปัญญาอ่อน ฝืนรับพลังปราณมังกรดำ รนหาที่ตายชัดๆ พวกบ้าร่างกายกำยำของคณะกำแหง ก็ไม่แน่ว่าจะต้านทานได้ ไม่ต้องพูดถึงจิ่วซางที่ฝึกวิชาหมัดได้แค่ไม่เลว

พลังปราณฟาดจิ่วซางจนกระเด็นออกไป พลังปราณมังกรดำอันน่ากลัว ผนึกพลังของจิ่วซางเอาไว้ทันที

คนที่ฝึกวิชาหมัด ไม่สามารถประชิดตัวได้ และไม่มีความสามารถปล่อยพลังปราณออกมาด้านนอก งั้นจุดจบของเขาถูกกำหนดเอาไว้แล้ว

บทที่ 233
ดวงตาสองข้างของหานเฟิงกลายเป็นสีทอง มีเสียงมังกรคำรามดังขึ้นรอบๆ

ศิษย์พี่หานเฟิงปล่อยพลังปราณออกมา ก่อตัวเป็นรูปร่างมังกรสีทองห้าเล็บด้านหลังเขา

แม้มังกรทองจะเบาบาง ดูเลือนรางมาก แต่พลานุภาพของมังกรไม่ธรรมดาเลย

“วิชาฝึกร่างหยางแท้!”

ลู่ฝานนึกออกแล้ว ตอนเขาอยู่ในหอคอยฝึกฝน เขาช่วยศิษย์พี่หานเฟิงเอาเคล็ดวิชาบู๊ระดับทิพย์ขั้นสูงมาหนึ่งเล่ม ตอนนี้ศิษย์พี่หานเฟิงคงใช้เคล็ดวิชาบู๊เล่มนั้นสินะ

ไม่พูดก็ไม่ได้ ดูเหมือนเก่งกาจมากเลย

“ปราณมังกรคุ้มกันกาย!”

หานเฟิงแผดเสียงออกมาเบาๆ ฮวาหยู่รู้สึกว่าโดนพลังแข็งแกร่งดันเขาออกไป

เซถอยหลังไปสามก้าว สีหน้าฮวาหยู่เปลี่ยนไปทันที

ให้ตายเถอะ พลังปราณของไอ้หมอนี่ ไม่ด้อยไปกว่าเขาเลย!

หานเฟิงปล่อยพลังปราณบนตัวออกมา พุ่งไปถึงแดนปราณในขั้นสูงสุด

ลู่ฝานยิ้มบางๆ แค่เวลาไม่กี่เดือนเท่านั้น ศิษย์พี่หานเฟิงก้าวหน้าขึ้นมาก!

ศิษย์พี่ใหญ่พูดอยู่ข้างๆ “ผลของการฝึกพิเศษออกมาแล้ว แม้หานเฟิงขี้เกียจไปหน่อย แต่ผลนับว่าไม่เลว”

ฉู่เทียนพูดต่อ “อืม ต่อไปต้องเพิ่มความแข็งแกร่งในการฝึกฝนให้เขาเยอะขึ้น ศักยภาพของเขาไม่น้อยเลย”

อาจารย์เต้ากวงที่อยู่ข้างๆ พยักหน้าเบาๆ ทั้งสามคนหัวเราะพร้อมกัน

ถ้าหานเฟิงรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองแสดงออกมาเมื่อครู่ ทำให้ตัวเองได้รับการฝึกพิเศษต่อไป ไม่รู้เขาจะหัวเราะหรือร้องไห้

แต่ตอนนี้หานเฟิงกำลังอยู่ในความตื่นเต้น

เขาพลิกฝ่ามือ กระบี่ฟ้าครามลอยขึ้นมา หมุนวนอยู่บนหัวเขา

กระบวนท่านี้คือการใช้ปราณลงบนกระบี่ ทำให้เห็นระดับความสามารถของเขา

สีหน้าอาจารย์ซิงยวนเปลี่ยนไป อย่าบอกนะว่าคือกระบวนท่านั้น

เป็นไปไม่ได้ ศิษย์คณะหนึ่งเดียวฝึกกระบวนท่านั้นสำเร็จเหรอ นั่นเป็นเคล็ดวิชาบู๊ระดับดินเชียวนะ!

“ชิงสวรรค์ ทำลายผืนดิน ฟันเทพมาร!”

หานเฟิงยื่นมือเปล่าออกมา กระบี่ฟ้าครามหายไปทันที

วินาทีต่อมา เสียงคำรามดังขึ้น ปราณกระบี่นับไม่ถ้วนปกคลุมทั้งหอคอย

สายตาของทุกคนถูกบดบังเอาไว้ เห็นเพียงแสงกระบี่อันน่ากลัวมากมาย

นักเรียนด้านล่าง โดนกดดันจนถอยหลังกรูด ในแสงกระบี่อันน่ากลัว เห็นเพียงสีหน้าเคร่งขรึม และท่วงท่าอันสง่างามของหานเฟิง

ปราณกระบี่ออกมา ฟ้าดินสลาย

สุดท้ายแสงกระบี่ทั้งหมดระเบิดออกมา

ในแสงกระบี่ ฮวาหยู่ปลิวลงมาจากหอคอย

แม้เขามีเคล็ดวิชาบู๊มากแค่ไหน รวมถึงมีผลการฝึกตนปราณในขั้นสูงสุด แต่เมื่ออยู่ภายใต้กระบวนท่านี้ของหานเฟิง เขาดูอ่อนแอเป็นอย่างมาก

ทันใดนั้น แม้แต่นักเรียนยอดฝีมือของคณะอื่น ก็ยังมีสีหน้าตกตะลึง

แม้แต่พวกเขาก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองจะรอดปลอดภัย จากกระบวนท่านี้ได้หรือเปล่า

เอี๋ยนชิงมองจนเหม่อ แล้วพูดพึมพำว่า “นี่คือนักเรียนของคณะหนึ่งเดียวเหรอ”

เขาไม่อยากเชื่อเลย ทำไมคณะหนึ่งเดียวมีเคล็ดวิชาบู๊น่ากลัวขนาดนี้ แม้แต่เขายังรู้สึกถึงพลานุภาพข่มขวัญ

ปราณกระบี่ค่อยๆ หายไป กระบี่ฟ้าครามกลับไปอยู่ในมือหานเฟิงอีกครั้ง

“สะใจ ไม่ได้สู้อย่างสะใจแบบนี้นานมากแล้ว!”

หานเฟิงลูบผมตัวเองหนึ่งครั้ง หัวขาดได้ เลือดออกได้ แต่ผมเสียทรงไม่ได้

กระบวนท่านี้คงเรียกความสนใจจากนักเรียนหญิงได้ไม่น้อย

เขากวาดตามองไปรอบๆ พบว่านักเรียนหญิงทุกคน มองเขาอย่างหวาดผวา ไม่มีใครมองเขาอย่างหลงรักเลยสักคน

เฮ้อ ดูเหมือนยังใช้ไม่ได้

หานเฟิงครุ่นคิด สงสัยท่าทางยังเท่ไม่พอ ค่อยกลับไปศึกษาอีกรอบ

ฮวาหยู่กระอักเลือดออกมา บนตัวเต็มไปด้วยรอยแผลจากกระบี่สยดสยอง

ครูสองสามคนรีบเข้ามา รักษาอาการบาดเจ็บของฮวาหยู่ สีหน้าที่พวกเขามองหานเฟิง เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

บทที่ 232
ศิษย์พี่ใหญ่กับฉู่เทียน เดินลงจากหอคอยท่ามกลางสายตาทุกคน แล้วไปนั่งลงอีกด้าน

การกระทำของทั้งสองคน ทำให้ท่านผอ.กับอาจารย์ทุกคนขมวดคิ้วเบาๆ อย่าบอกนะว่า คณะหนึ่งเดียวส่งเพียงสามคนมารับมือ

ซิงยวนพูดว่า “อี้ชิง ศิษย์ของนายไม่ยอมสู้เหรอ”

อาจารย์อี้ชิงเดินกลับไปนั่งที่ตัวเอง นั่งลงช้าๆ แล้วพูดว่า “ไม่ใช่ไม่ยอม แต่ไม่จำเป็น พวกนายส่งมาห้าคน เราส่งสามคนก็พอแล้ว ชนะสามในห้าใช่ไหม”

เมื่อพูดออกมา เสียงฮือฮาดังไปทั่ว

ซิงยวนพูดเย็นชา “อวดดีว่าตัวเองเก่ง”

ฮวาหยู่ เถียนปู้ชิงและคนอื่น ก็สีหน้าอึมครึม คณะหนึ่งเดียวกล้าดูหมิ่นพวกเขาขนาดนี้ รนหาที่ตายอย่างแท้จริง

นักเรียนคณะหยินหยางด้านล่าง พากันตะโกนด้วยเช่นกัน

“ขยะคณะหนึ่งเดียว พวกนายเตรียมแพ้ทั้งสามรอบสินะ”

“หึ กลัวขายหน้า เลยส่งมาแค่สามคน คิดว่าเราตาบอด มองไม่ออกว่าพวกนายร้อนตัวหรือไง”

“ศิษย์พี่เหลิ่งหาน ศิษย์พี่ฮวาหยู่สู้ๆ จัดการพวกขยะคณะหนึ่งเดียวให้ตายไปเลย”

……

นักเรียนคณะหยินหยางต่างขุ่นเคือง เหมือนจะขึ้นไปจัดการพวกลู่ฝาน

หานเฟิงยิ้มแล้วมองพวกเขา “พวกปัญญาอ่อน อีกเดี๋ยวพวกเขาจะได้หุบปาก ศิษย์น้องลู่ฝาน ศิษย์พี่ฉู่สิง ให้ผมรอบแรกละกัน ให้ตายเถอะ ในที่สุดก็ใช้เคล็ดวิชาบู๊ระดับดินได้แล้ว ผมขอปลดปล่อยสักหน่อย อย่าขวางผม”

หานเฟิงพูดแล้วเดินออกมา

ลู่ฝานกับฉู่สิงมองหน้ากัน แล้วหัวเราะออกมา ได้สิ ให้หานเฟิงไปสู้รอบแรก

ดูเหมือนเขาอัดอั้นมานาน อัดอั้นจนจะผิดปกติแล้ว ให้เขาได้ปลดปล่อย ถือโอกาสให้พวกคณะหยินหยางหยุดลงสักที ตะโกนแบบนี้ น่ารำคาญจริงๆ

หานเฟิงเอากระบี่ฟ้าครามของตัวเองออกมา เมื่อตวัดกระบี่ พลังปราณเหมือนของจริง ทำให้พื้นหินแยกออก

“ใครจะมาสนุกกับฉัน”

สีหน้ามีความเหิมเกริม ไม่สบอารมณ์และดูหมิ่น หานเฟิงแทบจะเชิดหน้าใส่พวกซิงยวน

ฮวาหยู่เดินออกมาอย่างทนไม่ไหว “ฉันเอง พวกนายอย่าขวางฉัน”

อาจารย์ซิงยวนพยักหน้า พละกำลังของฮวาหยู่ถือว่าไม่เลว ผลการฝึกตนปราณในขั้นสูงสุด จัดการเด็กปากดีคนนี้ ไม่ใช่ปัญหาแน่นอน

ฮวาหยู่ปล่อยพลังปราณออกมา รวมตัวเป็นดาบยาวในมือ

รวมปราณเป็นอาวุธ แม้ไม่ใช่ผลการฝึกตนแดนปราณนอก แต่ก็อีกไม่ไกลแล้ว

ดาบยาวสีขาวชี้หน้าหานเฟิง ฮวาหยู่พูดว่า “ไอ้เด็กน้อย ถ้าวันนี้ไม่หักกระดูกนาย ไม่จบแน่นอน”

หานเฟิงหัวเราะ เสียงหัวเราะแสบหูและไม่น่าฟัง ทำให้สีหน้าฮวาหยู่อึมครึมขึ้นอีก

เขาปักกระบี่ฟ้าครามลงบนพื้น

มือข้างหนึ่งเท้าเอว หานเฟิงชี้หน้าฮวาหยู่ “มาสิ ให้ฉันเห็นพละกำลังนายหน่อย แค่วันนี้นายแตะต้องฉันได้ ถือว่านายชนะ!”

ฮวาหยู่โดนยั่วจนโมโห กระทืบเท้าบนพื้นอย่างแรง เศษหินปลิวขึ้นมา พุ่งไปหาหานเฟิงเหมือนลูกธนูออกจากคันธนู

“ตายซะเถอะ ดาบฝ่าลมฝน!”

ดาบยาวพุ่งออกมาพร้อมสายลม จนผมหานเฟิงปลิวไปมา

“ลมแรงมาก!”

หานเฟิงยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม พวกนักเรียนคณะหยินหยางด้านล่าง เบิกตาโต ยกยิ้มมุมปาก

ไอ้ปัญญาอ่อน กล้ารับวิชาดาบของศิษย์พี่ฮวาหยู่ เขาตายแน่นอน!

ดาบของฮวาหยู่มีสายลมของความคมออกมาเป็นแถบ ดาบยาวมาถึงหน้าหานเฟิง จู่ๆ เมื่อห่างจากหานเฟิงเพียงสองก้าว ดาบหยุดลงทันที

ฮวาหยู่เบิกตาโต ไม่รู้ทำไม เขารู้สึกว่าดาบของตัวเอง ฟันลงไปบนกระแสลมที่มองไม่เห็น

บทที่ 231
อาจารย์เต้ากวงตบหลังลู่ฝาน แล้วพูดว่า “รีบขึ้นไป มีการเจรจากันแล้ว”

ลู่ฝานและคนอื่นพากันยิ้ม แล้วขึ้นไปบนหอคอยอีกครั้ง ท่านผอ.สะบัดมือ แล้วพูดกับนักเรียนยอดฝีมือคนอื่น “พวกนายเดินลงไปก่อน”

นักเรียนคนอื่นคำนับเป็นการตอบรับ เอี๋ยนชิงมีรอยยิ้มยียวน แอบคิดในใจว่าครั้งนี้อาจารย์เล่นงานคนคณะหนึ่งเดียวตายแน่

ดีเหมือนกัน ไอ้พวกคณะหนึ่งเดียว ต้องโดนสั่งสอนซะให้เข็ด

รอให้อาจารย์เล่นงานพวกเขาเสร็จ เขาจะไปหาเรื่องคณะหนึ่งเดียวโดยตรง

กลุ่มนักเรียนลงไป บนหอคอยเหลือเพียงพวกหานเฟิง

อาจเป็นเพราะการด่าของหานเฟิงเมื่อครู่ ทำให้นักเรียนคนอื่นด้านล่างโมโห เมื่อเห็นพวกหานเฟิงขึ้นไปบนหอคอยอีกครั้ง พวกนักเรียนพากันตะโกนอยู่ด้านล่าง

“ฆ่าพวกเขาเลย”

“ขยะคณะหนึ่งเดียว จำเอาไว้ให้ดี ต่อไปอย่าให้ฉันเจอพวกนายข้างนอกอีก”

“พวกเลวคณะหนึ่งเดียว ออกไปจากสถาบันสอนวิชาบู๊ซะ”

……

ท่านผอ.กวาดตามองทุกคน พูดอย่างดุดันว่า “เงียบ!”

เสียงตะโกนของนักเรียนเบาลงทันที ท่านผอ.ขมวดคิ้วเบาๆ นักเรียนยอดฝีมือพวกนี้ โดนคนด่าสองประโยค ก็โกรธจนเป็นแบบนี้ สภาพจิตใจยังไม่ดีพออย่างเห็นได้ชัด

ดูเหมือนต่อไปต้องอบรมสั่งสอนพวกนักเรียนธรรมดาให้ดีขึ้น สภาพจิตใจเป็นส่วนสำคัญมากในการฝึกบู๊

หันมามองพวกลู่ฝานยังเป็นปกติ ขนาดคนที่ก่นด่าอยู่นานอย่างหานเฟิง ยังมีสีหน้ายิ้มแย้ม

ท่านผอ.อดทอดถอนใจไม่ได้ นี่เป็นคนของคณะหนึ่งเดียว แต่ละคนหน้าด้านไม่ใช่ธรรมดา นิสัยก็เหมือนกันไม่มีผิด

อาจารย์อี้ชิงเดินมาข้างพวกหานเฟิง แล้วพูดเบาๆ ว่า “พวกนายฟังฉัน เคล็ดวิชาบู๊ระดับดินอะไรนั่น ใช้ได้ตามสบาย การแข่งขันครั้งนี้ ถ้าพวกนายแพ้สักรอบเดียว กลับไปฉันจะทำให้พวกนายรู้ว่า การฝึกฝนพิเศษเป็นอย่างไร”

เมื่อหานเฟิงได้ยินคำว่าฝึกพิเศษ ถึงกับสั่นไปทั้งตัว

ฉู่สิงกับฉู่เทียนยังดีหน่อย แต่สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย

มีเพียงศิษย์พี่ใหญ่กับลู่ฝานที่สีหน้ายังนิ่ง แต่ศิษย์พี่ใหญ่ไม่กลัวการฝึกพิเศษ ส่วนลู่ฝานไม่รู้ว่าการฝึกพิเศษคืออะไร

อาจารย์ซิงยวนเดินขึ้นมา ชี้พวกนักเรียนคณะหยินหยาง แล้วพูดว่า “เหลิ่งหาน ฮวาหยู่ เถียนปู้ชิง จิ่วซาง อี้ว์หวา พวกนายขึ้นมา”

คนที่โดนซิงยวนเรียกชื่อ รีบขึ้นมาบนหอคอย

มีสองชื่อที่ลู่ฝานคุ้นหู เหลิ่งหานกับอี้ว์หวา เป็นคนที่แพ้คามือเขาไม่ใช่เหรอ

ทั้งห้าคนขึ้นมา อาจารย์ซิงยวนพูดอย่างเย็นชา “พวกนายห้าคนสู้กับนักเรียนห้าคนของคณะหนึ่งเดียว ให้พวกเขารู้ว่านักเรียนสถาบันสอนวิชาบู๊ ควรเป็นอย่างไร”

ทั้งห้าคนตอบรับเสียงดัง สามคนในนั้นสีหน้าดูหมิ่น แต่อีกสองคนเหงื่อไหลลงมาจากหน้าผาก

สองคนนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน คือเหลิ่งหานกับอี้ว์หวา ที่รู้พละกำลังแท้จริงของคณะหนึ่งเดียว

เมื่อพวกเขาเห็นใบหน้าลู่ฝาน ที่ทำให้พวกเขาจดจำฝังลึก อี้ว์หวาเริ่มมือสั่น เหลิ่งหานตาแดงก่ำ จ้องไปที่ลำคอของลู่ฝาน ตรงนั้นมีหยกแขวนจิตบู๊ของเขาอยู่

หานเฟิงหัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “ขยะพวกนี้ยังกล้าสู้กับเราเหรอ ศิษย์พี่ศิษย์น้องทุกคน เราเอายังไงดี”

ศิษย์พี่ใหญ่เงยหน้ามอง แล้วพูดว่า “ไม่มีสักคนที่ควรให้ฉันลงมือ หานเฟิง พวกนายจัดการละกัน ฉันลงไปนั่งละ”

ฉู่เทียนก็ส่ายหน้าเบาๆ “อืม ฉันก็ขี้เกียจลงมือ หานเฟิง ฉู่สิง ลู่ฝาน พวกนายจัดการเถอะ”

หานเฟิง ลู่ฝานและฉู่สิงมองหน้ากัน ต่างมีสีหน้าเหนื่อยใจ

หานเฟิงถอนหายใจ “เป็นศิษย์พี่นี่ดีจริงๆ เลย”

บทที่ 230
เสียงดังก้องเวทีประลอง เสียงลมพัด คลื่นเสียงมาพร้อมกับสายลมอันบ้าคลั่ง

ศิษย์คณะหยินหยางด้านล่าง ตะโกนออกมาก่อน

“ใช่ กล้าสู้หรือเปล่า”

“ขยะคณะหนึ่งเดียว ไม่มีความสามารถ แล้วเอาเหรียญทองไปได้ยังไง”

“ฉันสู้ก็สามารถจัดการพวกนายได้ พวกขยะคณะหนึ่งเดียว กล้าสู้กับฉันไหม”

เสียงตะโกนดังโหวกเหวก คงเป็นเพราะชื่อเสียงเดิมของคณะหนึ่งเดียว นักเรียนคณะอื่นพากันโห่ร้องตาม

นักเรียนคณะนานา ตะโกนดังที่สุด อีกทั้งเสียงก่นด่ากลบเสียงของนักเรียนคณะหยินหยางจนหมด

คณะกำแหง คณะฟ้าร้อง คณะศิงขร ยิ้มแล้วตะโกนตาม นักเรียนคณะสงบใจ คณะกระบี่ คณะบังเหิน ยังพอมีการศึกษา จึงทำแค่มองพวกหานเฟิงของคณะหนึ่งเดียว ด้วยสายตาเย็นชา

แม้พวกหานเฟิงหน้าด้านพอ แต่โดนด่าแบบนี้ ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้

ลู่ฝานยิ้ม เหตุการณ์นี้ทำให้เขานึกถึงตอนอยู่เมืองเจียงหลิน ตอนนั้นเขาเผชิญมันคนเดียว แต่ตอนนี้โดนด่าไปพร้อมกับพวกศิษย์พี่

“ศิษย์พี่ทุกคน ดูเหมือนวันนี้เราคงไปไม่ได้แล้ว”

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดออกมา

หานเฟิงวางเหรียญทองลงบนพื้น ถลกแขนเสื้อขึ้น เตรียมจะด่า

แข่งก่นด่าโวยวาย เขาไม่เคยกลัวใคร!

เห็นท่าทีของหานเฟิง ลู่ฝานและคนอื่นถอยหลังอย่างรู้งาน

ฉู่สิงตบไหล่หานเฟิงเบาๆ แล้วพูดว่า “ฝากนายด้วยนะ”

หานเฟิงยิ้มแล้วพูดว่า “วางใจเถอะ เด็กน้อยพวกนี้ จะด่าให้ตายเลย”

หานเฟิงกระแอม และเริ่มด่า

เสียงเหมือนเป็ด หานเฟิงเริ่มชี้คนทั้งหมด แล้วก่นด่าออกมา

คำหยาบต่างๆ นานา เหมือนประทัดออกมาจากปากเขา ก่นด่าไม่หยุด ยิ่งด่ายิ่งกล้าขึ้นเรื่อยๆ

อาจารย์ที่อยู่บนหอคอย พากันตะลึง พวกเขาไม่เคยเห็นคนด่าเก่งขนาดนี้มาก่อน อีกทั้งด่าคนเป็นกลุ่ม ดูท่าแล้ว คนของแปดคณะ คงด่าสู้เขาไม่ได้

เสียงหานเฟิงดังขึ้นเรื่อยๆ เหมือนฝึกทักษะการด่าคนแบบพิเศษมาชัดๆ

เสียงคนเยอะขนาดนี้ กลบเสียงเขาไม่ได้เลย เสียงของเขาเหมือนเข็ม แทงลงไปในหูทุกคน ไม่อยากได้ยินก็ไม่ได้

อาจารย์เซินถูคณะกำแหงอ้าปากค้าง “นี่ก็เป็นพรสวรรค์เหมือนกัน ลำคอเขาโดนทำให้แข็งแกร่งขึ้นหรือเปล่า หรือพลังปราณของเขาพิเศษมาก หานเฟิง…หานเฟิง…อย่าบอกนะว่าคือตระกูลหาน!”

เหมือนนึกอะไรได้ อาจารย์เซินถูสีหน้าเปลี่ยนไป สีหน้าที่มองหานเฟิงไม่เหมือนเดิม

ถ้าเหมือนที่เขาเดาไว้ ที่มาของหานเฟิงไม่ธรรมดาจริงๆ

ตอนนี้อาจารย์อี้ชิงเดินเข้ามา ชี้ซิงยวนแล้วพูดว่า “ไอ้เฒ่าผมขาว คิดว่าคณะหนึ่งเดียวของฉันไม่ได้เรื่องจริงเหรอ ได้ พนันก็พนันสิ เอาของพนันนายออกมา เรามาเริ่มกันเลย!”

ซิงยวนส่งเสียงหึอย่างเย็นชา โยนชุดคลุมนักบู๊สีดำขลับออกมา

ด้านบนปักลายมังกรดำ แม้ดูธรรมดา แต่ด้านในมีแสงสว่างอยู่

“ชุดคลุมบู๊มังกรดำหนึ่งตัว นี่คือของพนัน พอแล้วใช่ไหม!”

เมื่อได้ยินคำว่าชุดคลุมบู๊มังกรดำ อาจารย์คนอื่นพากันชำเลืองมอง

สีหน้าท่านผอ. เปลี่ยนไปเล็กน้อย “ซิงยวน นายจะเอาสิ่งนี้ออกมาจริงเหรอ นี่เป็นชุดคลุมที่ทำจากหนังมังกรดำเชียวนะ หายากมาก”

ซิงยวนพูดว่า “ถ้าหาง่าย ผมไม่เอาออกมาหรอก อี้ชิง เรียกนักเรียนของนายขึ้นมา ให้ฉันเห็นพละกำลังของพวกเขาหน่อย”

อาจารย์อี้ชิงมองชุดคลุมบู๊มังกรดำ จู่ๆ รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้า

อาจารย์อี้ชิงหันไปตะโกนเรียกหานเฟิง

“หานเฟิง พวกนายขึ้นมาให้หมด มีอะไรให้ทำแล้ว”

เสียงของอี้ชิงเหมือนระฆัง ดังกว่าเสียงของหานเฟิงมาก

เมื่อได้ยินเสียงตะโกนของอี้ชิง หานเฟิงรีบหุบปากทันที

ลู่ฝานคิดว่าตัวเองจำเป็นต้องทำเหมือนศิษย์พี่หานเฟิง อยู่ในสถาบันสอนวิชาบู๊อีกสักสองสามปี หาอักษรยันต์บู๊มาสี่ห้าอัน นี่เป็นเหตุผลที่ทำไมหานเฟิง ฉู่สิง และอาจารย์เต้ากวง ถึงให้ลู่ฝานออกมา ถ้ามาช้า อาจไม่มีอักษรยันต์แล้ว
คนอื่นบนหอคอย ส่วนใหญ่สีหน้าราบเรียบ เห็นได้ชัดว่าพวกเขารู้มานานแล้ว มีเพียงคนใหม่ที่เพิ่งเข้าร่วมการต่อสู้จัดอันดับของสถาบันเป็นครั้งแรกเหมือนลู่ฝาน ที่มีสีหน้าตกตะลึง
มีอักษรยันต์บู๊อันนี้ ความเร็วการฝึกฝนของพวกเขา จะทิ้งห่างนักเรียนทั่วไป
ความห่างนี้จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งไม่สามารถตามทัน
ไม่สามารถตามได้ก้าวหนึ่ง ก็จะตามไม่ทันอีก นี่คือการฝึกฝน นี่คือโลก
นักเรียนด้านล่างไม่รู้ว่าพวกคนบนหอคอยได้สิ่งดีมากแค่ไหน ตอนนี้พวกเขาส่งเสียงเชียร์ยอดฝีมือของคณะตัวเองเท่านั้น
ศิษย์พี่ใหญ่ตบไหล่ลู่ฝานแล้วพูดว่า “ไปกันเถอะ ได้ของแล้ว เราควรกลับได้แล้ว คนอ้วนก็ไม่ดี ยืนแป๊บเดียวรู้สึกเหนื่อยแล้ว”
ศิษย์พี่ใหญ่และคนอื่นแบกเหรียญทอง ลงจากหอคอย
ลู่ฝานถามว่า “กลับแล้วเหรอ”
หานเฟิงพูดว่า “ไม่กลับแล้วจะอยู่ทำไมล่ะ ดูพวกเขาทะเลาะกันเหรอ ศิษย์น้องลู่ฝาน ไม่คิดว่าเรากลับไปดูดซับเหรียญทองอันนี้ก่อน คือสิ่งสำคัญเหรอ ส่วนการต่อสู้จัดอันดับของสถาบัน ยังมีเวลาอีกหนึ่งเดือน ค่อยเป็นค่อยไป ไม่ต้องรีบร้อน”
อาจารย์เต้ากวงพยักหน้าพูดว่า “ใช่ นี่คือเรื่องสำคัญ”
ลู่ฝานถามอย่างไม่เข้าใจ “แต่เหรียญทองใช้เข้าร่วมการต่อสู้จัดอันดับไม่ใช่เหรอ เราดูดซับมัน แล้วจะเอามันเข้าร่วมการต่อสู้จัดอันดับได้ยังไงล่ะ”
ศิษย์พี่ใหญ่และคนอื่นหัวเราะเสียงดัง
ฉู่สิงตอบว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน นายยังไม่เข้าใจสินะ เราเป็นคณะอันดับสุดท้าย การต่อสู้จัดอันดับของสถาบัน คณะอันดับต่ำต้องไปท้าประลองคณะอันดับสูง เราอยู่ในอันดับสุดท้าย ใครจะมาท้าพวกเราล่ะ ดังนั้น ดูดซับก็ดูดซับไปสิ ไม่มีใครมาแย่งหรอก เราทำแบบนี้ทุกปี”
ลู่ฝานเข้าใจทันที ที่แท้ลำดับต่ำ ยังมีประโยชน์แบบนี้
เหรียญทองนี้เหมือนให้พวกเขาฟรีๆ
ใครว่าสวัสดิการของคณะหนึ่งเดียวแย่ แค่เหรียญทองนี้ ก็พอๆ กับสวัสดิการต่างๆ ของคณะอื่นแล้ว
นักเรียนคณะอื่นต่างมองพวกลู่ฝาน นักเรียนที่ฉลาดจำนวนไม่น้อย มองไม้นี้ออก พากันพูดอย่างตกใจ
“คณะหนึ่งเดียวจะไปแบบนี้เหรอ พวกเขาได้เหรียญทองง่ายจัง”
“ใช่ คณะหนึ่งเดียวมีทั้งหมดแค่ห้าคน เหรียญทองใหญ่ขนาดนี้ พวกเขาต้องแบ่งกันได้ไม่น้อย”
“ไม่ยุติธรรมเลย”
“หรือฉันจะไปคณะหนึ่งเดียว ได้เหรียญทองแล้วออกมา”
“ฮ่าๆ แค่ทองนิดหน่อย นายจะไปคณะหนึ่งเดียวเลยเหรอ นายปัญญาอ่อนจริงๆ”
……
เสียงถกเถียง ไม่ได้ทำให้พวกลู่ฝานชะงักฝีเท้าลง
หานเฟิงพูดอย่างสะใจว่า “ถ้าคนพวกนี้รู้ประโยชน์แท้จริงของเหรียญทอง คงโกรธจนตาแดง น่าเสียดาย ไม่ว่าเหรียญทองอันไหน ก็ไม่มีให้พวกเขาแล้ว”
ศิษย์พี่ใหญ่ตบท้ายทอยหานเฟิง แล้วพูดว่า “น่ารำคาญ มาแบกเหรียญทอง แล้วรีบกลับไป”
ศิษย์พี่ใหญ่เอาเหรียญทองวางบนหัวหานเฟิง หานเฟิงยิ้มแล้วรับมา เดินเบาๆ ออกไปด้านนอก
อาจารย์อี้ชิงที่อยู่บนหอคอย ก็ลุกขึ้นปัดก้น “โอเค พิธีเสร็จสิ้นแล้ว ฉันกลับแล้วเหมือนกัน เพราะคณะหนึ่งเดียวของเราก็เป็นแบบนี้มาตลอด ไม่ใช่หรือไง”
อาจารย์อี้ชิงยิ้มแย้ม เตรียมจะออกไป
เมื่อเห็นอู๋เหวยแบกเหรียญทองใหญ่กลับไป อาจารย์อี้ชิงยิ้มอย่างเบิกบาน
ปีนี้ได้ไม่น้อยเลย ไอ้เด็กพวกนั้นโชคดีอีกแล้ว
อาจารย์คนอื่นมองกันไปมา แต่ละคนสีหน้าอึมครึม
โดยเฉพาะอาจารย์ซิงยวน สีหน้าไม่สู้ดีเป็นอย่างมาก
ซิงยวนตบเก้าอี้อย่างแรง แล้วพูดว่า “ท่านผอ. แบบนี้ไม่ยุติธรรม”
ท่านผอ.เทียนหยาจื่อพูดด้วยสีหน้าสงสัย “ซิงยวน ทำไมพูดแบบนี้ล่ะ”
ซิงยวนพูดเสียงดังว่า “พวกเราแปดคณะ นักเรียนเกินหมื่น ครูเกือบพัน แบ่งเหรียญทองให้แค่เหรียญเดียว ถึงมีสิทธิ์เข้าร่วมการต่อสู้จัดอันดับของสถาบัน ส่วนพวกคณะหนึ่งเดียว มีคนน้อยมาก นักเรียนอ่อนแอ อันดับต่ำทุกปี ทำไมถึงมีสิทธิ์ได้เหรียญทองนี้ล่ะ”
ซิงยวนพูดเสียงสูง ทำให้ได้ยินเสียงซิงยวนทั้งลานประลอง
เมื่อพวกลู่ฝานได้ยิน ถึงกับชะงักฝีเท้าลง เงยหน้ามองไปบนหอคอย
สายตาอาจารย์เต้ากวงเย็นชา
อาจารย์อี้ชิงก็ชะงักฝีเท้า แล้วหันมา
ท่านผอ.เทียนหยาจื่อยังคงยิ้ม ตอนนี้ยิ้มกว้างเข้าไปอีก มองอี้ชิงแล้วพูดว่า “อี้ชิง ซิงยวนว่าคณะหนึ่งเดียวของนายแบบนี้ นายมีอะไรจะพูดไหม”
อี้ชิงสายตาเย็นชา “ซิงยวน ดูเหมือนนายต้องการเป็นศัตรูกับคณะหนึ่งเดียวสินะ ได้ คณะหนึ่งเดียวก็ไม่กลัวนาย บอกมาเลย จะเอายังไง”
ซิงยวนลุกขึ้น พูดชัดถ้อยชัดคำว่า “ฉันก็ไม่รังแกคณะหนึ่งเดียวของนาย เข้าร่วมการแข่งขัน เอาเหรียญทองเป็นของพนัน ฉันส่งศิษย์คณะหยินหยางไปสู้กับนาย วางใจเถอะ ไม่ใช่คนบนนี้หรอก คณะหนึ่งเดียวของนาย ยังไม่คู่ควรให้พวกเขาลงมือ ฉันจะเรียกศิษย์ที่อ่อนแอสักหน่อย ไปสู้กับคณะหนึ่งเดียวของพวกนาย กล้าไหมล่ะ!”

นี่เป็นเหรียญทองของคณะหนึ่งเดียว หานเฟิงมองจนน้ำลายจะไหล
“ทองใหญ่มากเลย”
ลู่ฝานถามเบาๆ ว่า “ศิษย์พี่หานเฟิง ที่ผ่านมาไม่ได้ใหญ่แบบนี้เหรอ”
หานเฟิงก้มหน้าพูดเบาๆ “ที่ผ่านมาใหญ่ประมาณฝ่ามือ จะเทียบกับอันนี้ได้ยังไง ศิษย์น้องลู่ฝาน เหรียญทองพวกนี้ปลุกเสกด้วยค่ายกลพิเศษ ด้านในมีพลังปราณอันแข็งแกร่ง เดิมทีขนาดเท่าฝ่ามือ ก็เพียงพอให้ฉันกับพวกศิษย์พี่ฉู่สิงดูดซับไปหลายวันแล้ว ครั้งนี้ใหญ่ขนาดนี้ น่าจะทำให้เรายกระดับได้เป็นขั้นเลยล่ะ”
ลู่ฝานกะพริบตามองเหรียญทอง แววตาเริ่มลุกโชน ที่แท้เหรียญทองพวกนี้ มีประโยชน์แบบนี้นี่เอง ถ้าได้เหรียญทองทั้งเก้าเหรียญมาอยู่ในมือ งั้นพวกเขาจะได้ผลดีมากแค่ไหนกัน
ขณะที่ลู่ฝานคิดจะกวาดล้างเก้าคณะ จู่ๆ มีเสียงดังขึ้นในหัว
“เหรียญทองนี้ดูท่าไม่เลว เจ้านายใหม่ของฉัน ฉันกลืนกินมันได้ไหม”
ลู่ฝานสะดุ้ง รีบมองซ้ายมองขวา ใครส่งเสียงหาเขาถึงในสมอง ผลการฝึกตนต้องแข็งแกร่งอยู่บ้าง
“ไม่ต้องมองแล้ว ฉันคือภูติเจดีย์ของเจดีย์เสวียนเก้ามังกร ฉันอยู่ในสมองนาย”
ลู่ฝานเบิกตาโต เจดีย์เสวียนเก้ามังกรงั้นเหรอ
ลู่ฝานอดไม่ไหว ล้วงมือลงไปในเข็มขัดตัวเอง เจดีย์มีภูติเจดีย์ด้วยเหรอ แถมยังพูดในสมองเขาได้ด้วย
ลู่ฝานสงสัยว่าตัวเองโดนวิชาชั่วร้ายหรือเปล่า
เสียงดังขึ้นในหัวอย่างต่อเนื่อง
“ไม่ต้องสงสัยแล้ว นายไม่เคยได้ยินภูติอาวุธเหรอ วิชาชั่วร้ายไหนจะฟังความรู้สึกในใจนายได้ เจ้านายใหม่ที่น่ารัก ดูเหมือนนายต้องเรียนรู้อีกเยอะ ฮ่าๆๆๆ วางใจเถอะ ฉันจะสอนนายช้าๆ”
มือของลู่ฝานจับถูกจวนอากาศธาตุในเข็มขัด นิ้วสัมผัสโดนแสงสีดำจุดเล็กๆ เขาก็เข้าใจทุกอย่างทันที
เซียนสือฟางทิ้งทุกอย่างให้เขา รวมถึงเจดีย์เสวียนเก้ามังกรกับจวนอากาศธาตุด้วย
ตอนนี้ทั้งจวนอากาศธาตุเป็นของเขาแล้ว เมื่อจิตใจวูบไหว ประตูคุ้มครองในจวนอากาศธาตุจะเปิดออกตามหัวใจ
ลู่ฝานคิดในใจ “เจดีย์เสวียนเก้ามังกรได้ยินว่าพลังการฟื้นฟูของแกแข็งแกร่งมาก จริงหรือเปล่า”
เจดีย์เสวียนเก้ามังกรตอบกลับว่า “พลังฟื้นฟูเหรอ หึหึ นั่นเป็นทักษะเล็กน้อยของฉันเท่านั้น ไม่มีอะไรที่ฉันทำไม่ได้ ตอนนี้พละกำลังของนายยังไม่พอ รอให้ต่อไปนายมีพละกำลังแข็งแกร่งขึ้น ฉันช่วยนายได้หมด การฟื้นคืนชีพก็ยังทำได้ นายรีบแข็งแกร่งขึ้นเร็วๆ ถือโอกาสหาสมบัติสวรรค์ อาวุธวิเศษให้ฉันได้กลืนกิน มีฉันอยู่ นายได้รับประโยชน์นับไม่ถ้วน เห็นของที่เจ้าของคนก่อนทิ้งเอาไว้หรือเปล่า 80 เปอร์เซ็นต์ได้มาเพราะฉัน เฮ้อ น่าเสียดายฉันบาดเจ็บสาหัส ใช้พลังที่เก็บเอาไว้ไปเกือบหมด ไม่งั้นคงช่วยนายคลายมนตร์ได้ ทำให้นายยกระดับผลการฝึกตนได้เร็วขึ้น เอาล่ะ ไม่พูดกับนายมากแล้ว พูดก็ต้องใช้พลังงาน ขอถามอีกครั้ง เหรียญทองนี้ให้ฉันกลืนกินได้ไหม”
ลู่ฝานพูดในใจอย่างแน่วแน่ “ตอนนี้ไม่ได้ ต่อไปค่อยว่ากัน”
เจดีย์เสวียนเก้ามังกรถอนหายใจอย่างเสียดาย เสียงค่อยๆ หายไป
ลู่ฝานยกยิ้มมุมปาก เหมือนเขาได้ของสุดเจ๋งมาหนึ่งชิ้น
ตอนนี้ศิษย์พี่ใหญ่เดินเข้าไปเอาเหรียญทองของคณะหนึ่งเดียว ท่านผอ.กวาดตามองทุกคน จากนั้นพูดว่า “งั้นเริ่มการต่อสู้จัดอันดับของสถาบันอย่างเป็นทางการ ระยะเวลาหนึ่งเดือน”
พูดจบ ท่านผอ.สะบัดมือ พลังปราณสว่างกลายเป็นผงอยู่บนท้องฟ้า โปรยลงมาบนตัวทุกคน
ผงพวกนี้เพิ่งร่วงลงบนตัวลู่ฝาน ลู่ฝานรู้สึกว่าปราณชี่ของตัวเองโดนกระตุ้น เม็ดไข่มุกในตันเถียน โดนกระตุ้นจนปล่อยปราณชี่ออกมา
ผงบนแขนลู่ฝาน รวมตัวกันเป็นอักษรยันต์เล็กๆ ด้านบนเขียนคำว่าบู๊ไว้ชัดเจน
ลู่ฝานสัมผัสได้ว่าพลังฟ้าดินบริสุทธิ์ โดนอักษรยันต์ดูดซับ แปรเปลี่ยนเป็นพลังให้นักบู๊ดูดซับ
หานเฟิงยืนหัวเราะอยู่ข้างๆ เห็นสีหน้าลู่ฝานตกใจเล็กน้อย
หานเฟิงพูดว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน ฮ่าๆ นี่เป็นสวัสดิการแท้จริงของสถาบันสอนวิชาบู๊ อักษรยันต์บู๊ สัมผัสถึงประสิทธิภาพการดูดซับพลังของมันหรือยัง ฉันมาสถาบันสอนวิชาบู๊เพราะสิ่งนี้ หลายปีมานี้ฉันเก็บอักษรยันต์บู๊ได้หลายอันแล้ว”
หานเฟิงพูดพลางถลกแขนเสื้อให้ลู่ฝานดู
ด้านบนเป็นอักษรยันต์บู๊สี่อัน หานเฟิงพูดเบาๆ อย่างได้ใจ “พวกปัญญาอ่อนคณะอื่น คิดว่าคณะหนึ่งเดียวไม่ดี พวกเขาไม่รู้ว่าเมื่อเข้าคณะหนึ่งเดียว จะมีโอกาสได้รับอักษรยันต์บู๊ นักเรียนยอดฝีมือคณะอื่นที่ได้อักษรยันต์บู๊ ก็ไม่บอกเรื่องนี้กับพวกเขา ดังนั้น……หึหึ!”
ลู่ฝานก็หัวเราะออกมา อย่างที่ศิษย์พี่หานเฟิงพูด นี่เป็นสิ่งดีที่หาได้ยาก
การฝึกของนักบู๊ อาศัยพลังฟ้าดินกลั่นร่างกาย อาศัยร่างกายเป็นพื้นฐานฝึกพลังปราณ ส่วนการดูดซับพลังฟ้าดินมาใช้ นั่นเป็นทักษะที่ผู้ฝึกชี่ชำนาญที่สุด
ด้วยเหตุนี้ อักษรยันต์ที่สามารถทำให้นักบู๊ดูดซับพลังฟ้าดินเหมือนผู้ฝึกชี่ เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งในการฝึกฝน เป็นสิ่งล้ำค่ามาก ราคาของมันเท่ากับยาทิพย์หนึ่งเม็ด
แม้ในตัวลู่ฝานมีวิชาผู้ฝึกชี่ ตัวเขาสามารถดูดซับพลังฟ้าดินมาใช้ แต่พลังฟ้าดินที่ปราณชี่ต้องการ เหนือกว่าพลังชี่กับพลังปราณทั่วไป ดังนั้นการมีอักษรยันต์แบบนี้ช่วยเขาดูดซับให้เร็วขึ้น เป็นเรื่องดีอย่างเห็นได้ชัด

เอี๋ยนชิงจำได้อย่างชัดเจน พละกำลังของลู่ฝานห่างชั้นจากแดนปราณนอกอีกเยอะ จะใช้พลังปราณส่งเสียงของแดนปราณนอกได้อย่างไร
แต่ความจริงปรากฏอยู่ตรงหน้า ลู่ฝานทำให้เขาเห็นแล้ว
เอี๋ยนชิงจิตใจวูบไหว หรือว่าลู่ฝานได้อะไรดีๆ จากจวนอากาศธาตุ
เอี๋ยนชิงยิ่งคิดยิ่งรู้สึกมีความเป็นไปได้ ไม่งั้นลู่ฝานโดนเขาซัดจนบาดเจ็บแบบนั้น ทำไมถึงออกมาได้อย่างปลอดภัยเช่นนี้
แววตามีความเย็นชา เอี๋ยนชิงยิ้มร้ายกาจให้ลู่ฝาน
ลู่ฝานจ้องเขาเขม็ง จากนั้นจึงละสายตาออกมา
สี่คนที่ตามเอี๋ยนชิงมา มีสองคนที่ลู่ฝานรู้จัก
หยู่ซินที่เคยเจอกันหนึ่งครั้ง เดินขึ้นไปด้วยสีหน้าราบเรียบ ลู่ฝานเห็นเขาแล้วอยากหัวเราะ หยู่ซินกับเหลิ่งหาน มอบของให้เขาไม่น้อยเลย รอให้พักผ่อนก่อน ลู่ฝานกะจะเปิดเตากลั่นยาสักหน่อย
ด้านหน้าหยู่ซินคือฮ่วนเย่ว์ที่มัดผมหางม้า
ใบหน้าฮ่วนเย่ว์มีรอยยิ้มเย่อหยิ่ง เธอชักสีหน้าไปทางท่านผอ. เหมือนกำลังยั่วยุ
ท่านผอ.ไม่สนใจฮ่วนเย่ว์ หันหน้าไปทางอื่น
ตอนนี้ลู่ฝานยังจำได้ การพูดคุยของฮ่วนเย่ว์กับท่านผอ. ในหอคอยฝึกฝน ท่านผอ.คงทำอะไรฮ่วนเย่ว์ไม่ได้เช่นกัน เพราะอาจารย์ของฮ่วนเย่ว์ คือเซียนบู๊แดนหยินหยางระยะรู้ความที่แท้จริง
นักเรียนคณะหยินหยางเงยหน้าส่งเสียงเชียร์ให้พวกเอี๋ยนชิงบนหอคอย
นักเรียนคณะอื่น ไม่มีท่าทีจะช่วยพวกเขาส่งเสียงเชียร์ แต่ละคนจ้องเสื้อผ้าและอาวุธของพวกเอี๋ยนชิง แล้วส่งเสียงชื่นชมและอิจฉาออกมา
นักเรียนยอดฝีมือของแปดคณะมากันหมดแล้ว หานเฟิงลุกขึ้นแล้วพูดว่า “ศิษย์พี่ศิษย์น้องทุกท่าน ไปกันเถอะ ถึงตาพวกเราขึ้นไปแล้ว”
ลู่ฝานพยักหน้า แล้วลุกขึ้นยืน
ศิษย์พี่ใหญ่ยกมือขึ้น “รอฉันสักครู่ ให้ฉันเอาก้นออกมาก่อน”
ศิษย์พี่ใหญ่พูดพลาง พยายามเอาไขมันของตัวเอง ออกมาจากเก้าอี้ จากนั้นยิ้มแล้วเด้งตัวขึ้นไป
พวกลู่ฝานทั้งห้าคนขึ้นมาด้านบน พวกเขาแตกต่างจากคณะอื่น ไม่มีเสียงเชียร์ใดๆ มันถูกแทนที่ด้วยเสียงดูหมิ่นเย้ยหยัน
“โอ๊ย นี่นักเรียนคณะหนึ่งเดียวนี่นา ฮ่าๆ ห้าคนพอดีเลย ฉันกำลังคิดว่าถ้าพวกเขาคนไม่พอ จะทำอย่างไร”
“เหอะๆ ไม่รู้เหรอ ไม่กี่ปีก่อนพวกเขาก็คนไม่พอตลอด สี่คนสู้กับห้าคน แพ้อย่างเละเทะ”
“เฮ้อ คณะคนน้อยแบบนี้ สู้ไม่เปิดดีกว่า”
“ฉันก็คิดอย่างนั้น คณะขยะแบบนี้ มีไปทำไม”
……
พวกลู่ฝานได้ยินเสียงพูดคุยด้านล่าง ก็มองหน้ากันแล้วยิ้ม
รอให้คนพวกนี้เห็นพวกเขากวาดล้างคณะอื่น พวกเขาจะไม่มีทางพูดแบบนี้แล้ว
นักเรียนทั้งหมด 44 คน ยืนเรียงเป็นแถวหน้ากระดาน
ท่านผอ.ลุกขึ้นยืน พูดเสียงก้องว่า “พวกนายคือคนมีความสามารถของเก้าคณะ เป็นความหวังของสถาบันสอนวิชาบู๊ การต่อสู้จัดอันดับของสถาบันครั้งนี้ ฉันหวังว่าพวกนายจะเอาพละกำลังของตัวเองออกมา เพื่อเกียรติของคณะตัวเอง อีกทั้งสิ่งที่ไม่เหมือนก่อนคือ การต่อสู้จัดอันดับของสถาบันปีนี้ คณะที่มีคนได้เหรียญทองสามเหรียญขึ้นไป จะได้โอกาสชมเคล็ดวิชาบู๊ระดับฟ้าหนึ่งครั้ง ขอให้นักเรียนทุกคนทำให้เต็มที่”
เมื่อได้ยินว่าเคล็ดวิชาบู๊ระดับฟ้า ทุกคนถึงกับอึ้งไป
ลู่ฝานรู้สึกว่าเลือดในตัวพลุ่งพล่าน เคล็ดวิชาบู๊ระดับฟ้าเชียวนะ เคล็ดวิชาบู๊ระดับฟ้าในตำนานที่ทำได้ทุกอย่าง มีพลังมหาศาล
ประโยคเดียวกระตุ้นให้นักเรียนทุกคนกระตือรือร้นที่จะต่อสู้ ท่านผอ.เงยหน้าชี้ไปบนฟ้า
“รับเหรียญทอง!”
ทันใดนั้น สายฟ้าสีทองเก้าสายฟ้าผ่าลงมา
เหรียญทองเก้าเหรียญ ขนาดประมาณคน ผ่านสายฟ้ามาอยู่ตรงพวกลู่ฝาน
ลู่ฝานเงยหน้ามองเหรียญทองข้างหน้า ด้านบนมีตัวอักษรเขียนไว้ชัดเจน
“หนึ่งเดียว!”

“โอ๊ย ศิษย์น้องลู่ฝานแอบส่งซิก”
หานเฟิงชนไหล่ลู่ฝาน ยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วเอ่ยขึ้น
ฉู่สิงกับฉู่เทียนก็เห็นภาพนี้เช่นกัน ฉู่เทียนตบหัวหานเฟิง แล้วพูดว่า “อย่าเอาความจริงมาพูด”
ตอนนี้ลู่ฝานหน้าด้านพอแล้ว พูดอย่างไม่อายว่า “พวกพี่อิจฉา”
หานเฟิงยืดหลังตรง “อิจฉานายเหรอ ศิษย์พี่นายมีคนหลงรักเป็นหมื่น มีฉายาว่าจ้าวปราบสาว”
ศิษย์พี่ใหญ่ลูบท้อง แล้วพูดว่า “อืม เรื่องนี้ฉันยืนยันได้ ถือโอกาสพูดหน่อยละกัน ถ้าฉันผอมลง ก็เป็นหนุ่มหล่อเหมือนกัน”
ลู่ฝานและคนอื่นหัวเราะออกมา แม้แต่อาจารย์เต้ากวง ก็ยังหัวเราะอย่างมีความสุข
นี่คือบรรยากาศของคณะหนึ่งเดียว ความรักของศิษย์พี่ศิษย์น้องคณะหนึ่งเดียว เป็นมิตรภาพพี่น้องที่ไม่เห็นในคณะอื่น
ถัดมาเป็นนักเรียนยอดฝีมือห้าคนของคณะบังเหิน
สามคนแรกที่ขึ้นมาลู่ฝานไม่รู้จัก แต่สองคนหลังทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าลู่ฝานชะงักไป โดยเฉพาะผู้หญิงที่ขึ้นมาเป็นคนสุดท้าย
จางเยว่หาน!
จางเยว่หานสวมชุดนักบู๊สีม่วงอ่อน เธอดูห้าวหาญและยังคงสง่างาม
ผมสยายพลิ้วไหว ริมฝีปากแดง ดูออกเลยว่าเธอแต่งหน้าอ่อนๆ ก่อนขึ้นมา
ร่างกายมีส่วนเว้าส่วนโค้ง ความงดงามไม่เหมือนกับนักเรียนคณะสงบใจ ที่สวมชุดคลุมยาวปกปิดร่างกาย จางเยว่หานดูมีเสน่ห์กว่า
เธอเรียกเสียงฮือฮาจากนักเรียนชายได้ไม่น้อยเช่นกัน หันมายิ้มอย่างสดใส ความงดงามของรอยยิ้ม ทำให้นักเรียนชายที่ใสซื่อบริสุทธิ์ เพ้อฝันไปทันที
ลู่ฝานมองเธออย่างราบเรียบ เขาไม่รู้ว่าจางเยว่หานทำอย่างไร ถึงโดดเด่นในบรรดายอดฝีมือของคณะบังเหิน
และไม่รู้ว่าทำไมจางเยว่หานถึงกลายเป็นคนหลากหลายบุคลิก จากที่ตอนนั้นเธอใสซื่อบริสุทธิ์มาก
เวลาเป็นสิ่งน่ากลัวจริงๆ มันทำให้คนเปลี่ยนไป จนจำคนสนิทที่สุดในตอนนั้นหายไปแล้ว
แน่นอนว่าจางเยว่หานเปลี่ยนไปอย่างไร ก็ไม่เกี่ยวข้องกับเขา
ลู่ฝานมองแวบหนึ่ง แล้วละสายตาออกมา
ทั้งเจ็ดคณะขึ้นมาแล้ว ตอนนี้เหลือแค่คณะหนึ่งเดียวกับคณะหยินหยาง ที่ยังไม่ได้ขึ้นไป
ลู่ฝานและคนอื่น ไม่รีบร้อนสักนิด หานเฟิงยิ้มแล้วพูดว่า “เราขึ้นไปเป็นคณะสุดท้ายทุกปี ทำไมปีนี้ต้องทำให้แตกต่างล่ะ คนเก่งกาจต้องขึ้นไปเป็นคนสุดท้าย ไม่เห็นเหรอว่าท่านผอ. มาทีหลังทุกครั้ง พวกเขาจะไปรู้อะไร ศิษย์น้องลู่ฝาน พวกเรานั่งนิ่งๆ ให้พวกเลวคณะหยิงหยางขึ้นไปก่อน!”
ลู่ฝานพยักหน้า นั่งอยู่นิ่งๆ
รอไม่นาน นักเรียนยอดฝีมือของคณะหยินหยางขึ้นไป
นักเรียนทั้งห้าคน สวมชุดคลุมยาวสีขาวดำ
นี่เป็นชุดนักบู๊ ที่เป็นเอกลักษณ์ของคณะหยินหยาง ไม่เพียงแต่เป็นสัญลักษณ์ของคณะพวกเขา สิ่งสำคัญกว่านั้น แค่วัสดุของเสื้อผ้าเพียงชุดเดียว เท่ากับอาวุธไม่ธรรมดาหนึ่งชิ้น
วัสดุของเสื้อผ้า เอามาจากสัตว์อสูรที่ชื่อว่าสัตว์เกราะ ที่อยู่ลึกลงไปในเทือกเขาฉิงเทียน
ใช้หนังของมันทำเป็นเสื้อผ้า ไม่เพียงแต่มีพลังป้องกันที่น่ากลัว น้ำไฟทำอะไรไม่ได้ ยังสามารถใส่พลังปราณเข้าไป เพื่อแผดเผามัน ระยะเวลาสั้นๆ สามารถปล่อยทะเลเพลิงออกมาได้
ราคาของชุดนี้เทียบได้กับยาชีวิตระดับห้าหนึ่งเม็ด นักเรียนคณะอื่น ไม่ได้สวัสดิการดีขนาดนี้
ทั้งห้าคนขึ้นไป คนที่นำมาคือเอี๋ยนชิง
แววตาโหดเหี้ยม เอี๋ยนชิงมองไปทางคณะหนึ่งเดียวตลอดเวลา
เมื่อกี้เขามองลู่ฝานเดินออกมาจากจวนอากาศธาตุอยู่ตลอดเวลา เขาขยับปาก ลู่ฝานได้ยินเสียงที่ส่งมาจากเอี๋ยนชิง
“ดีมากที่นายไม่ตายอยู่ข้างใน ฉันขอชีวิตนายละกัน”
ลู่ฝานขยับปากเบาๆ เช่นกัน
เอี๋ยนชิงได้ยินเสียงลู่ฝานดังข้างหูอย่างชัดเจน
“วางใจเถอะ ฉันจะไปสั่งสอนนายที่คณะหยินหยาง”
เอี๋ยนชิงหรี่ตาลง
เขาก็ใช้พลังปราณส่งเสียงเป็นเหมือนกันเหรอ

บทที่ 225
มีคนอ้วนสองคนหน้าตาแทบจะเหมือนกัน ยืนอยู่ข้างจ้าวคั่ว แม้เทียบกับศิษย์พี่ใหญ่อู๋เหวยไม่ได้ แต่อ้วนจริงๆ เป็นสองพี่น้องผางไห่กับผางเทาที่ชอบเปิดพนันที่ลู่ฝานเจอตอนขัดแย้งกับพวกเหลิ่งหาน คิดไม่ถึงว่าพวกเขาเป็นนักเรียนยอดฝีมือของคณะกำแหง

“พรึ่บ! พรึ่บ! พรึ่บ!”

นักเรียนขึ้นมาอีกห้าคน ครั้งนี้เป็นศิษย์ของคณะกระบี่

ชุดนักบู๊สีเขียวแกมน้ำเงิน ปักรูปกระบี่ลอยฟ้าด้านบน

ศิษย์คณะกระบี่ทั้งห้าคน มีกระบี่ยาวหนึ่งเมตรด้านหลัง ไม่มีใครผิดแปลกไปเลย

คนที่ยืนตรงกลาง ดูคล้ายอาจารย์เสวียนเจินของคณะกระบี่ ตัวตรง รูปร่างผอม ดูเหมือนกระบี่เล่มหนึ่ง ลู่ฝานถามว่า “คนเก่งที่สุดของคณะกระบี่คือเขาเหรอ”

อาจารย์เต้ากวงยังไม่ทันพูด ฉู่เทียนตอบว่า “ใช่ ศิษย์น้องลู่ฝาน สายตาเฉียบแหลมมาก เขาเก่งสุดในคณะกระบี่ กระบี่ยาวหนึ่งเมตร เลือดไหลสิบเมตร เดินสิบก้าวฆ่าหนึ่งคน ปราบยุทธภพได้ ชื่อว่า กระบีหนึ่งเมตร เสวียนเฟิง”

หานเฟิงพูดต่อ “เขาเป็นลูกชายของอาจารย์เสวียนเจิน ว่ากันว่าได้รับการถ่ายทอดอย่างแท้จริงจากอาจารย์เสวียนเจิน อีกทั้งยังฝึกเพลงกระบี่หนึ่งเมตรของคณะกระบี่สำเร็จแล้ว เป็นที่สองในอันดับบู๊ ผลการฝึกตนต้องแดนปราณนอกขั้น7ขึ้นไป ยังไงฉันก็สู้ไม่ได้ ศิษย์พี่ใหญ่ ถึงตอนนั้นฝากคนนี้ด้วย”

ศิษย์พี่ใหญ่หันมาปรายตามองหานเฟิง แล้วกลอกตามองบน

ลู่ฝานพยักหน้า ดูเหมือนนักเรียนแต่ละคณะไม่ด้อยเลย

จากนั้นนักเรียนคณะฟ้าร้องขึ้นมา

สิ่งที่เหนือความคาดหมาย นักเรียนคณะฟ้าร้องขึ้นมาเพียงสี่คน ครูและอาจารย์บนเวทีขมวดคิ้วเบาๆ

อาจารย์เมิ่งอวิ๋นของคณะบังเหินพูดว่า “ทำไมคณะฟ้าร้องขึ้นมาแค่สี่คน”

อาจารย์ฮั่วซานของคณะฟ้าร้องพูดอย่างราบเรียบ “ช่วงนี้หลัวตานศิษย์ของฉัน กำลังฝึกวิชาสายฟ้าฟาดห้าธาตุ อีก 2-3 วันจะออกมาได้ ดังนั้นจึงไม่ได้มา”

เมื่อพูดออกมา มีเสียงฮือฮาเกิดขึ้นทันที

“วิชาสายฟ้าฟาดห้าธาตุเหรอ”

“มีคนฝึกวิชาสายฟ้าฟาดห้าธาตุที่แข็งแกร่งสุดของคณะฟ้าร้องได้แล้ว ว่ากันว่าห้าสิบปี ยังไม่มีใครฝึกได้”

“การต่อสู้จัดอันดับครั้งนี้น่าดูแล้วล่ะ คณะฟ้าร้องต้องพุ่งทะยานแน่นอน”

……

ใบหน้าฮั่วซานมีรอยยิ้ม เห็นได้ชัดว่าความสำเร็จของหลัวตาน ทำให้เขามีความสุขและพอใจมาก

อาจารย์คนอื่นมีสีหน้าประหลาด โดยเฉพาะอาจารย์ของคณะ ที่ลำดับเหนือกว่าคณะฟ้าร้อง ยิ่งกังวลขึ้นมาในใจ ถ้าหลัวตานฝึกวิชาสายฟ้าฟาดห้าธาตุของคณะฟ้าร้องสำเร็จ แม้เป็นเพียงก้าวแรก ก็เพียงพอข่มขวัญอันดับของพวกเขาได้แล้ว

หานเฟิงฟังพวกเขาคุยกัน แสยะยิ้มอย่างไม่สบอารมณ์ “แค่วิชาสายฟ้าฟาดห้าธาตุ แค่ไม่มีใครฝึกได้ห้าสิบปีเอง เพลงเต๋าหนึ่งเดียวของคณะหนึ่งเดียวไม่มีคนฝึกสำเร็จไม่รู้ตั้งกี่ปี ครั้งนี้ศิษย์น้องลู่ฝานเราก็ฝึก……”

ฉู่สิงรีบเอามือปิดปากหานเฟิง ฉู่เทียนตบหัวหานเฟิงอย่างแรง

“พูดน้อยลงนายจะตายใช่ไหม กลัวคนอื่นไม่รู้หรือไง”

ลู่ฝานยิ้มมุมปาก ปราณชี่ในร่างกายเคลื่อนไหว พลังวิญญาณ หึหึ ตอนนี้ไม่ใช่แค่นั้นแล้ว

เสียงพูดคุยยังดังต่อไป นักเรียนยอดฝีมือคณะศิงขรขึ้นมา

นักเรียนห้าคนสวมเสื้อผ้าห้าสี เป็นชายสี่คนและหญิงหนึ่งคน ออร่าบนตัวพอๆ กัน แยกไม่ออกว่าใครเก่งกว่ากัน

เมื่อเห็นห้าคนนี้ อาจารย์เต้ากวงยิ้มบางๆ “ตาเฒ่าชีหลินอบรมลูกศิษย์แปลกขึ้นทุกวัน ไม่สอนเคล็ดวิชาบู๊ดีๆ สอนให้ศิษย์ฝึกค่ายกลปราณมังกร นี่ช่าง……”

ลู่ฝานไม่เข้าใจ จึงถามว่า “อาจารย์เต้ากวง อะไรคือค่ายกลปราณมังกร”

อาจารย์เต้ากวงโบกมือไปมา “ไม่นานนายก็จะรู้เอง”

ลู่ฝานส่งเสียงตอบรับ

ตอนนี้กลุ่มคนอลหม่านวุ่นวาย สาวงามห้าคนขึ้นไปด้านบน

หานเฟิงตาเป็นประกาย “สาวงามคณะสงบใจขึ้นมาแล้ว ฮ่าๆ ศิษย์น้องลู่ฝาน ศิษย์น้องหลิงเหยาคนรักเก่าของนายก็อยู่ด้วยนิ”

ลู่ฝานถลึงตาใส่หานเฟิง ปากไม่มีหูรูดจริงๆ ถ้าหลิงเหยาได้ยินคงไม่ดี

แต่หลิงเหยาคงไม่ได้ยินเสียงของหานเฟิง

เพราะผู้ชายคณะอื่น เห็นสาวงามห้าคนของคณะสงบใจขึ้นมา ต่างพากันส่งเสียงอย่างบ้าคลั่ง

“ศิษย์น้องเยียนหราน มาอยู่ในอ้อมอกฉันเถอะ”

“ศิษย์น้องหลิงเหยา ฉันรักเธอ”

“ศิษย์พี่หมิงจู ยอมมีลูกให้ฉันไหม”

……

เสียงตะโกนดังขึ้นลงเหมือนคลื่นน้ำ

นักเรียนยอดฝีมือที่ขึ้นมาก่อนหน้านี้ พวกเขาไม่ได้ตื่นเต้นขนาดนี้ ตอนนี้นักเรียนชายทั้งหมดของสถาบัน พากันตะโกนเสียงสูง

หานเฟิงก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่เขาตะโกนว่า “ศิษย์พี่ม่านเหยียน ผมเคยเห็นเสื้อในคุณแล้ว คุณยอมกับผมเถอะ”

ลู่ฝานหน้าแดง จู่ๆ เขารู้สึกว่าคิดผิดแล้ว ที่ออกจากการเก็บตัวตอนนี้

สาวงามทั้งห้าของคณะสงบใจยืนนิ่ง จู่ๆ หลิงเหยาหันมามองทางลู่ฝาน

ทั้งสองสบตากัน หลิงเหยาหน้าแดง ยิ้มออกมาบางๆ

ลู่ฝานก็ยิ้มอย่างสดใสเช่นกัน

บทที่ 224
ลืมตาขึ้นช้าๆ มีแสงส่องประกาย

ดวงตาลู่ฝานสว่างเหมือนดวงดาว แสงที่เหมือนจริง พุ่งออกมาจากประตูอากาศ ส่องลงบนพื้นดิน

ประกายในตาหายไป ลู่ฝานเดินออกจากประตู

ตอนนี้สายตาของนักเรียนไม่น้อย กำลังมองมาทางนี้ เพราะการปรากฏตัวของลู่ฝานประหลาดเกินไป แม้แต่ครูอาจารย์ที่อยู่บนหอคอย ยังมองมาทางนี้ด้วย

“จวนอากาศธาตุ ไอ้เด็กที่โชคดี”

อาจารย์เซินถูของคณะกำแหงหัวเราะออกมา เขาจำลู่ฝานที่ออกมาจากประตูได้

สำหรับนักเรียนที่เขาชื่นชอบเป็นอย่างมาก เซินถูให้ความสนใจมาตลอด แม้ลู่ฝานเข้าคณะหนึ่งเดียว แต่เซินถูคิดมาตลอดว่าลู่ฝานต้องรู้ ไม่ช้าก็เร็ว อันที่จริงนักเรียนที่มีร่างกายแข็งแกร่งอย่างเขา เหมาะฝึกฝนกับคณะกำแหงมากกว่า

อาจารย์คนอื่นก็มีรอยยิ้ม มองไปยังลู่ฝาน โดยเฉพาะท่านผอ.เทียนหยาจื่อ หัวเราะอย่างมีความสุข

สำหรับเขาแล้ว นักเรียนทุกคนที่นี่ ล้วนเป็นศิษย์ของเขา เห็นลูกศิษย์ได้รับโอกาส แน่นอนว่าเขามีความสุขมาก

ลู่ฝานเพิ่งเดินออกจากประตู มีอีกคนถูกดีดออกมาจากประตูอากาศ จากนั้นประตูกลายเป็นแสงสีดำ เข้าไปในเข็มขัดของลู่ฝาน

คนนั้นกระแทกลงกับพื้น อันที่จริงเขาคือจ้าวซวี่ ที่ไม่ได้เจอหลายเดือน

รูปร่างซูบผอม เสื้อผ้าบนตัวใกล้เป็นเศษผ้าแล้ว

จ้าวซวี่ดูไม่ได้ยิ่งกว่าขอทาน ผอมจนหนังหุ้มกระดูก

หานเฟิงตกใจเล็กน้อย มองอยู่นานกว่าจะจำได้ คนนี้คือผู้ฝึกชี่ปัญญาอ่อน ที่ขัดแย้งกับพวกเขาหน้าประตูคุ้มครอง

เพราะเรื่องของลู่ฝาน ทำให้พวกเขาเกือบลืมว่ายังมีคนนี้ อยู่ในจวนอากาศธาตุ

“ให้ตายเถอะ เขารอดได้ยังไง”

หานเฟิงพูดอย่างตกใจ

ฉู่สิงกับฉู่เทียน สีหน้าตกใจเช่นกัน

ลู่ฝานมองจ้าวซวี่แวบหนึ่ง เขาได้กลิ่นศพบางๆ จากตัวจ้าวซวี่

อย่าบอกนะว่าไอ้หมอนี่ กินศพเพื่อเอาชีวิตรอด

ลู่ฝานคิดว่าการคาดเดาของตัวเอง มีโอกาสเป็นไปได้ ไม่งั้นถึงจ้าวซวี่เป็นผู้ฝึกชี่ สามารถใช้พลังฟ้าดินหล่อเลี้ยงร่างกาย แต่ไม่สามารถอยู่ในสภาวะขาดน้ำขาดอาหารได้ 2-3 เดือนหรอก

จ้าวซวี่หมอบอยู่บนพื้น ไม่สามารถลุกยืนได้ แต่ดวงตาแดงก่ำ จ้องมายังพวกลู่ฝาน

ครูคนหนึ่งรีบวิ่งเข้ามา หลังมองหน้าจ้าวซวี่อย่างละเอียด ครูคนนี้ตะโกนออกมาว่า “จ้าวซวี่ ผู้ฝึกชี่จ้าวซวี่ ทำไมนายถึงเป็นแบบนี้”

ครูรีบกวักมือเรียกนักเรียน 2-3 คน เข้ามาแบกจ้าวซวี่

ครูหันไปมองลู่ฝาน “นักเรียนลู่ฝาน เรื่องของจ้าวซวี่ อีกสองวันจะมีคนไปสอบถามนาย นายต้องตอบตามความจริง”

ลู่ฝานพยักหน้าเบาๆ จากนั้นนั่งลงข้างอาจารย์เต้ากวง ท่ามกลางเสียงเชียร์ของหานเฟิงและคนอื่น

หานเฟิงหัวเราะแล้วพูดว่า “ศิษย์น้องลู่ฝานออกมาสักที อืม ดูเก่งขึ้นนะ ต่อไปนายปกป้องฉันด้วย ศิษย์พี่จะอยู่กับนาย”

ฉู่สิงกับฉู่เทียนตบไหล่ลู่ฝานเบาๆ ศิษย์พี่ใหญ่อมยิ้ม ไม่พูดอะไร เอากระบี่หนักของลู่ฝานออกมา

“เก็บกระบี่นายไว้ให้ดี อย่าให้หายอีก!”

ลู่ฝานรับกระบี่มาอย่างตกใจ เขาคิดไม่ถึงว่าศิษย์พี่ใหญ่จะช่วยเขาเอากระบี่คืนมา อีกทั้งกระบี่หนักไม่คมของเขา ยังดูเก่งกาจขึ้นด้วย น้ำหนักดูพอดีมือขึ้น

“ขอบคุณศิษย์พี่ใหญ่มากครับ”

“ไม่ต้องขอบคุณฉัน ขอบคุณเอี๋ยนชิงเถอะ”

ศิษย์พี่ใหญ่ลูบท้อง ยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น

ลู่ฝานอึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นเหมือนเข้าใจบางอย่าง แล้วหัวเราะออกมา

เต้ากวงมองลู่ฝานอย่างประเมิน แล้วพูดเบาๆ ว่า “ฉันสัมผัสได้ถึงพลังนุภาพไม่เลวจากตัวนาย”

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “ได้รับความรู้มาแล้ว ขอบคุณอาจารย์เต้ากวงมากครับ”

เต้ากวงโบกมือไปมา “เป็นหน้าที่ฉัน ใครใช้ให้ติดหนี้นายล่ะ โอเค พวกนายเตรียมตัวขึ้นเวที เอาป้ายกลับมาให้ฉัน ครั้งนี้คณะหนึ่งเดียวของเรา ต้องได้อันดับที่ดี”

ลู่ฝานหันไปมองบนหอคอย ตอนนี้นักเรียนคณะอื่น พากันขึ้นไปด้านบน

“คณะกำแหงไร้เทียมทาน”

“กวาดล้างทั้งหมด กลืนกินแม่น้ำภูเขา!”

“ใครจะสู้เราได้”

เมื่อเสียงเชียร์ของนักเรียนคณะกำแหงดังขึ้น นักเรียนยอดฝีมือของคณะกำแหง ที่มีร่างกายแข็งแกร่งสุดในเก้าคณะ ขึ้นไปบนเวทีตามลำดับ

ผู้ชายร่างกายกำยำ กล้ามเนื้อชัดเจนห้าคน โดยเฉพาะคนตรงกลาง สูงประมาณหนึ่งฟุต ดูเหมือนสัตว์ป่า หนวดเคราเต็มหน้า ผมเผ้ายุ่งเหยิง กล้ามเนื้อบนตัวเหมือนทาน้ำมัน ส่องประกายภายใต้แสงอาทิตย์

อาจารย์เต้ากวงยิ้มแล้วพูดว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน นั่นเป็นนักเรียนที่แข็งแกร่งสุดในคณะกำแหง พญาสิงห์เฉียวเซวียน เขาฝึกวิชาราชันมังกร แดนผลการฝึกตน น่าจะประมาณแดนปราณนอกขั้นสี่ถึงขั้นห้า ปะทะกับเขาต้องระวัง”

ลู่ฝานอมยิ้ม ไม่พูดอะไร

เห็นลู่ฝานไม่สนใจผลการฝึกตนของเฉียวเซวียน ดวงตาอาจารย์เต้ากวงฉายแววประหลาด อย่าบอกนะว่าตอนนี้ พละกำลังของลู่ฝาน ไม่เกรงกลัวนักเรียนแดนปราณนอกขั้นสี่ถึงขั้นห้าแล้ว

ลู่ฝานกวาดตามองคนอื่น ทันใดนั้นเขาพบว่า นักเรียนอีกสามคนของคณะกำแหง เขาเคยเจอหน้ามาแล้วครั้งหนึ่ง

เสือดำจ้าวคั่วที่แพ้เขา ก็อยู่ในนั้นด้วย

จ้าวคั่วสายตานิ่ง เห็นได้ชัดว่าเขาสงบมาก 2-3 เดือนก่อนหน้านี้ ลู่ฝานซัดเขาไม่เบาเลย ตอนนี้เขามายืนอยู่ตรงนี้ได้อย่างสมบูรณ์ อาการบาดเจ็บน่าจะหายดีแล้ว ศิษย์คณะกำแหงที่ฝึกกลั่นร่างเป็นหลัก มีความสามารถในการฟื้นฟูร่างกาย แข็งแกร่งกว่าคนทั่วไปจริงๆ

บทที่ 223
หานเฟิงและคนอื่นนั่งอยู่ข้างล่างเงียบๆ เทียบกับสองเดือนที่แล้ว พวกเขาดูนิ่งขึ้นเล็กน้อย

โดยเฉพาะหานเฟิง ตรงหางตามีแผลเป็นจากกระบี่เล็กๆ

แผลเป็นเล็กน้อยแค่นี้ ใช้ยาทาก็หายแล้ว หานเฟิงได้ยามาจากจวนอากาศธาตุไม่น้อย อยากลบรอยแผลเป็น ทำได้ง่ายดายมาก

แต่เขาไม่ได้ทำเช่นนั้น จงใจทิ้งแผลเป็นเอาไว้ หานเฟิงถึงจะจดจำการฝึกพิเศษครั้งนี้ได้ขึ้นใจ จากที่เขาพูดว่า “ไม่ได้เป็นคณะอันดับหนึ่ง จะไม่ลบรอยแผลเป็นนี้”

แน่นอนว่านี่เป็นความคิดของเขา ถ้าให้ฉู่สิงหรือศิษย์พี่ใหญ่พูด การกระทำของหานเฟิง ไม่มีอะไรนอกจาก “ไอ้หมอนี่ทิ้งรอยแผลเป็นเอาไว้ เพราะคิดว่าเท่เท่านั้น!”

“อาจารย์เต้ากวง ทำไมยังไม่เรียกศิษย์น้องลู่ฝานออกมาอีก นักเรียนยอดฝีมือของแต่ละคณะ ใกล้จะเอาป้ายแล้ว จะให้ศิษย์น้องลู่ฝานพลาดพิธีนี้ไม่ได้”

ฝ่ามืออาจารย์เต้ากวง กุมแสงสีดำเอาไว้อยู่

ด้านในเป็นจวนอากาศธาตุที่ลู่ฝานอยู่

อาจารย์เต้ากวงขมวดคิ้ว “ฉันส่งเสียงเข้าไปแล้ว แต่ลู่ฝานยังไม่ตื่น นายจะรีบร้อนทำไม”

หานเฟิงพูดว่า “ผมต้องรีบสิครับ ศิษย์แต่ละคณะที่เข้าร่วมการแข่งขันวันนี้ ล้วนต้องโดดเด่น ถ้าลู่ฝานไม่ออกมา เมื่อถึงตอนนั้น เขาจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมการต่อสู้จัดอันดับ”

ฉู่สิงก็พูดว่า “อาจารย์เต้ากวง คุณเร่งอีกครั้งสิ”

อาจารย์เต้ากวงโมโหมาก คิดว่าเขาไม่ได้เร่งหรือไง

ตั้งแต่รีบมาเมื่อเช้า เขาเร่งมาตลอดทาง แต่พลังปราณที่ใส่เข้าไป เหมือนก้อนหินจมดิ่งลงในทะเล ไม่มีการตอบกลับเลย เขาจะทำอะไรได้อีก คงไม่สามารถใช้แรงทำลายจวนอากาศธาตุแล้วเข้าไป นั่นจะเป็นการรบกวนลู่ฝาน

“รออีกหน่อย!”

อาจารย์เต้ากวงพูดด้วยเสียงเย็นชา

ศิษย์พี่ใหญ่หัวเราะแล้วนั่งลงข้างๆ กัดน่องไก่ พลางพูดว่า “วางใจเถอะ ศิษย์น้องลู่ฝานสบายดี”

ศิษย์พี่ใหญ่พูดแบบนี้ แน่นอนว่าต้องมีเหตุผลของเขา ในเข็มขัดอากาศธาตุของเขา กระบี่หนักไม่คมยังอยู่ดี ไม่เป็นอะไรสักอย่าง ยังเห็นรอยเลือดนั้นอย่างชัดเจน ศิษย์น้องลู่ฝานต้องไม่เป็นอะไรแน่นอน

หานเฟิงและคนอื่น ไม่รู้ศิษย์พี่ใหญ่เอาความมั่นใจมาจากไหน แต่ศิษย์พี่ใหญ่ทำให้พวกเขาเดาไม่ออก อีกทั้งไม่ว่าเรื่องอะไร ยังไม่เคยพูดผิดพลาด ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงเชื่อใจศิษย์พี่ใหญ่มาก และไม่ได้พูดอะไรมาก

บนหอคอย เสียงของท่านผอ.เทียนหยาจื่อดังขึ้นอีกครั้ง

“นักเรียนยอดฝีมือแต่ละคณะ ขึ้นมาบนเวที”

เมื่อพูดจบ นักเรียนห้าคนของคณะนานา ที่นั่งอยู่หน้าสุด กระโดดขึ้นไปบนเวที ทันใดนั้น นักเรียนของคณะนานาทุกคน ส่งเสียงเชียร์ขึ้นมา

“คณะนานาชนะ!”

“ไปสามอันดับแรกให้ได้!”

นักเรียนพวกนี้ คือคนที่เข้าร่วมการต่อสู้จัดอันดับของสถาบันครั้งนี้ เพียงแค่ขึ้นมาบนเวที ก็จะได้เข้าร่วม และเอาป้ายบู๊ของคณะตัวเองไป

มีคนขึ้นไปเรื่อยๆ หานเฟิงพูดออกมาว่า “อาจารย์ เราควรขึ้นไปได้แล้ว”

อาจารย์เต้ากวงมองแสงดำในมือ แล้วพูดว่า “รออีกหน่อย เราจะรีบไปทำไม”

ขณะนั้นอาจารย์เต้ากวงเห็นแสงดำในมือสว่างขึ้น

อาจารย์เต้ากวงสีหน้ายินดีทันที นี่เป็นสัญญาณของการออกจากการเก็บตัว

วินาทีต่อมา แสงดำกะพริบอย่างรวดเร็ว กลายเป็นประตูบานเล็ก

หานเฟิงและคนอื่น จ้องเข้าไปข้างใน เห็นไข่หินใบหนึ่ง สั่นอย่างต่อเนื่อง รอยร้าวนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นมา

ตู้ม!

ไข่หินระเบิดออก ตัวลู่ฝานปรากฏอยู่ในสายตา

บทที่ 222
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาผ่านไป 2-3 เดือนแล้ว

เมฆขาวลอยล่อง สายลมพัดผืนดิน ต้นไม้โงนเงนไปมาเบาๆ จนเกิดเสียงดังขึ้น

สายน้ำและภูเขา มีกลิ่นอายของฤดูใบไม้ร่วง ลมในฤดูใบไม้ร่วง พัดใบไม้ที่ร่วงลงมา ปลิวลอยตามลมไปไกล

โถงหลักของสถาบันสอนวิชาบู๊ ศิลาบู๊ขนาดใหญ่ ยังลอยอยู่กลางอากาศ ส่องแสงออกมาบางๆ

เวทีประลองเสียงคนดังสนั่น บนหอคอยมีเสียงคนตะโกนดังไปทั่ว

วันนี้เป็นวันพิเศษของสถาบันสอนวิชาบู๊ เป็นวันเริ่มการต่อสู้จัดอันดับของสถาบัน นั่นก็คือวันที่เก้าคณะใหญ่ต่างส่งนักเรียนของคณะ เข้าร่วมการแข่งขันต่อสู้

หอคอยหินขนาดใหญ่ มีครูแต่ละคณะนั่งอยู่เต็ม ครูของเก้าคณะใหญ่สวมเครื่องแต่งกายของคณะที่แตกต่างกัน นั่งเรียงตามลำดับ

ด้านล่างหอคอย เป็นนักเรียนของเก้าคณะใหญ่ แบ่งออกเป็นเก้าสายอย่างชัดเจน ยืนล้อมหอคอยทั้งหมดเอาไว้

แต่ละคณะจะมีครูเก้าคนกับอาจารย์หนึ่งคน นั่งเป็นค่ายกลเก้าจุด

เก้าอี้เป็นเก้าอี้ไม้ สลักลวดลายเปลวไฟ ความหมายที่แฝงอยู่คือ ภูเขาขจีไร้ที่สิ้นสุด สืบทอดสายเลือดใหม่อย่างต่อเนื่อง

อาจารย์ที่นั่งอยู่ตรงกลาง นั่งบนเก้าอี้ไม้อู๋ถง ด้านบนมีสัญลักษณ์ของแต่ละคณะ เช่น ภาพค่ายกลไท่จี๋ของคณะหยินหยาง ภาพกระบี่ลอยของคณะกระบี่ ภาพอาร์เรย์ทหารของคณะนานา

อาจารย์ของเก้าคณะสวมชุดหรูหรางดงาม นั่งเรียงตามลำดับ มีเพียงคณะหนึ่งเดียว ที่ดูแต่งตัวเรียบง่าย อาจารย์อี้ชิงนั่งเหงาอยู่ตรงนั้น จับดวงตาตัวเองเป็นระยะ

“ตาเฒ่าเทียนทุเรศ ฝึกก็ฝึกไปสิ ทำไมต้องทำร้ายคนอื่นด้วย คิดว่าตัวเองแรงเยอะ แล้วทำร้ายคนไปทั่วได้เหรอ หึ รอให้ฉันก้าวข้ามขั้นได้ก่อนเถอะ จะซัดนายให้ฟันร่วงเลย”

อาจารย์อี้ชิงพูดพึมพำ ใช้พลังปราณกระตุ้นความบวมตรงขอบตาล่างให้หายไป ช่วงนี้เขาโดนท่านผอ.เทียนหยาจื่อทารุณไม่น้อยเลย แผลตรงขอบตาถือว่ายังน้อย บนตัวฟกช้ำดำเขียวไปหมด เทียนหยาจื่อใช้พลังหยินหยางของผู้แข็งแกร่งเซียนบู๊เล่นงานเขา แผลแบบนี้รักษาหายยาก การฟื้นฟูเป็นเรื่องยุ่งยาก

อี้ชิงหันไปมองซิงยวนที่อยู่ไม่ไกล ซิงยวนนั่งตัวตรง สีหน้ายังคงไม่สบอารมณ์

อี้ชิงหัวเราะเบาๆ อันที่จริงอาการบาดเจ็บของซิงยวน หนักกว่าเขาเยอะ แต่บาดเจ็บตรงอก มีเสื้อผ้าบดบังอยู่ คนอื่นมองไม่เห็นเท่านั้น ตอนนี้ซิงยวนคงฝืนอย่างอยากลำบากอยู่สินะ

เหมือนสัมผัสได้ถึงสายตาของอี้ชิง ซิงยวนหันมามองอี้ชิง

ทั้งสองจ้องตากัน อากาศรอบๆ เริ่มอุณหภูมิสูงขึ้น

มีเสียงหึดังขึ้นพร้อมกัน ทั้งสองละสายตาออกมา

กลางหอคอย เก้าอี้หวายขนาดใหญ่ สีเขียวมรกตระยิบระยับ ราวกับมีน้ำไหลเวียนอยู่ในนั้น

เพ่งมองดูดีๆ ถึงเห็นว่า นั่นเป็นพลังธาตุไม้สีเขียว กำลังไหลเวียนอยู่ เก้าอี้ที่สามารถรวบรวมพลังฟ้าดินโดยอัตโนมัติ เอาไปให้ผู้ฝึกชี่ทำเป็นเครื่องราง ก็นับว่าไม่เลว

หวายเป็นหวายสีเขียวหมื่นปี บนนั้นมีอักษรสลักว่า “บู๊ไร้ขอบเขต วิถีไร้ขีดจำกัด”

ต่อมา มีแสงดวงหนึ่งลงมาจากฟ้า ท่านผอ.เทียนหยาจื่อปรากฏออกมาจากแสง ยืนอยู่หน้าเก้าอี้หวาย เทียนหยาจื่อชี้ไปบนฟ้า

นักเรียนด้านล่าง ส่งเสียงเชียร์ดังสนั่น นี่เป็นงานใหญ่ของสถาบันสอนวิชาบู๊ หนึ่งปีมีเพียงครั้งเดียว

มองลงมาจากท้องฟ้า นักเรียนทั้งเก้าคณะ เหมือนแม่น้ำเก้าสาย ทอดยาวออกไป บนหลังคาโถงใหญ่ของสถาบันบู๊ บนต้นไม้บริเวณรอบๆ มีคนยืนอยู่เต็มไปหมด

มีเพียงฝั่งคณะหนึ่งเดียว ที่ดูน้อยจนน่าสงสาร

อาจารย์เต้ากวงพาหานเฟิงและคนอื่น มานั่งด้านล่างหอคอย

พวกเขาห้าคนกับเจ้าดำ กินพื้นที่หนึ่งในเก้าของเวทีประลอง

บทที่ 221
บนเขาหลีซาน ที่ตั้งอยู่ไกลๆ

อาจารย์เต้ากวงกับฉู่สิงที่กำลังหาร่องรอยของจวนอากาศธาตุ เห็นแสงสีทองพุ่งมาเช่นกัน

รับแสงสีทองเอาไว้ อาจารย์เต้ากวงกวาดตามอง ยิ้มแล้วพูดว่า “ไอ้อี้ชิง โดนทำโทษให้เก็บตัวแล้ว แต่ในเมื่อซิงยวนโดนลงโทษไปด้วย ก็ไม่เป็นไร”

อาจารย์เต้ากวงบีบแสงสีทองจนแตก กวาดตามองยอดเขาหลีซานแล้วพูดว่า “นายแน่ใจว่าใช่ที่นี่เหรอ”

ฉู่สิงพยักหน้า “ใช่ครับ เราโดนดูดเข้าไปจากที่นี่”

อาจารย์เต้ากวงปล่อยพลังปราณของตัวเองออกมา กระแทกหมัดลงบนพื้น

พื้นดินสะเทือน ฝุ่นลอยขึ้นมา

รีบกวาดตามองฝุ่นทั้งหมด ทันใดนั้น อาจารย์เต้ากวงเห็นจุดดำเล็กๆ

อาจารย์เต้ากวงพุ่งเข้าไป จับจุดสีดำเอาไว้

ใส่พลังปราณเข้าไปในจุดสีดำ แล้วหลับตาลง อาจารย์เต้ากวงอาศัยพลังปราณนี้ มองเห็นจวนอากาศธาตุด้านใน

ทันใดนั้น อาจารย์เต้ากวงสัมผัสถึงพลังชีวิตอันโดดเดี่ยวที่อยู่ด้านใน

“อืม ลู่ฝานยังมีชีวิตอยู่ เหมือนกำลังเก็บตัวอยู่”

อาจารย์เต้ากวงยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น แค่มีชีวิตอยู่ก็พอแล้ว บาดเจ็บไม่ใช่เรื่องใหญ่ ผู้สืบทอดคณะหนึ่งเดียวที่มีเกราะเกล็ดมังกร ไม่ได้ฆ่าง่ายขนาดนั้น พลังฟื้นฟูน่าตกใจมาก เรื่องนี้อาจารย์เต้ากวงรู้ดีกว่าใคร

“โอเค เอามันกลับไปศึกษาให้ดี แต่ช่วงนี้อย่ารบกวนลู่ฝาน ให้เขาฝึกฝนเต็มที่ รอดจากหายนะครั้งใหญ่ มักเจอโชคดี ไม่แน่ลู่ฝานอาจมีโชคครั้งใหญ่ก็ได้”

อาจารย์เต้ากวงบีบแสงสีดำในมือ แล้วเดินกลับไป

ฉู่สิงถามว่า “ไม่เป็นไรจริงเหรอครับ ดีจังเลย โอ๊ย ถ้าศิษย์น้องลู่ฝานเป็นอะไรไป ผมจะต้องไปฆ่าคณะหยินหยางให้ได้ แม้จะแพ้ ก็ต้องฆ่าเอี๋ยนชิงให้ได้”

อาจารย์เต้ากวงยิ้มแล้วพูดว่า “จากพละกำลังของนายตอนนี้ ไม่ได้หรอก แต่เรื่องนี้ เตือนสติฉันว่าต้องเพิ่มความแข็งแกร่งให้พวกนาย ตั้งแต่วันนี้ไป ฉันอนุญาตให้พวกนายใช้เคล็ดวิชาบู๊ระดับดินในสถาบัน”

ฉู่สิงพูดด้วยตาเป็นประกาย “จริงเหรอครับ”

อาจารย์เต้ากวงเงยหน้ามองฟ้า “คนเคารพฉันแค่ไหน ฉันเคารพกลับมากกว่านั้น คนทำร้ายฉันหนึ่งครั้ง ฉันจะฆ่ามันทั้งหมด หลังจากนี้ แค่พวกนายไม่ฆ่านักเรียนในสถาบัน ก็ใช้เคล็ดวิชาบู๊ระดับดินได้อย่างไร้ข้อกังวล”

ฉู่สิงเหวี่ยงหมัดไปมาอย่างแรง

อาจารย์เต้ากวงยกยิ้มมุมปาก พลังปราณพร้อมกับเสียง เข้าไปในจุดแสงสีดำ

พลังปราณนี้ล่องลอย สุดท้ายร่วงลงบนไข่หิน ที่ปกคลุมลู่ฝานอยู่

ลู่ฝานกำลังซึมซับพลังอยู่เงียบๆ ได้ยินเสียงของอาจารย์เต้ากวง

“ลู่ฝาน ในเมื่อนายกำลังเก็บตัว งั้นฉันเอาวิชาคาถาเคล็ดวิชาบู๊ระดับดิน ถ่ายทอดให้นายเลยแล้วกัน ถ้านายสามารถทำความเข้าใจได้ทั้งหมด จะดีเป็นอย่างมาก แต่จำเอาไว้ว่า ก่อนถึงการต่อสู้จัดอันดับของสถาบัน นายต้องออกจากการเก็บตัว ทุกคนกำลังรอนายอยู่”

ลู่ฝานพยักหน้าเบาๆ ต่อมาคาถาสองสามบทดังขึ้นมา

ลู่ฝานจำไปพร้อมกับความรู้ที่เซียนสือฟางหลงเหลือให้ ฝังลึกอยู่ในสมอง

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “อาจารย์เต้ากวง ศิษย์พี่ทุกท่าน ผมจะไม่ทำให้ผิดหวัง”

พูดจบ ลู่ฝานสูดลมหายใจแล้วจมดิ่งลงไปอีกครั้ง

อาจารย์เต้ากวงที่อยู่ด้านนอก เก็บพลังปราณกลับมา แล้วยิ้มบางๆ

เขารอคอยที่จะเห็นระดับตอนที่ลู่ฝานออกจากการเก็บตัว บางทีเมื่อถึงตอนนั้น ทั้งสถาบันสอนวิชาบู๊ อาจไม่มีนักเรียนคนไหนสู้ลู่ฝานได้เลย

เหอะๆ ใครจะไปรู้ล่ะ!

บทที่ 220
ศิษย์พี่ใหญ่เหยียบลงบนพื้นเบาๆ แวบเดียวเขาปรากฏตัวไกลออกไปร้อยเมตร พลังที่กดเอี๋ยนชิงจนล้ม ไม่สามารถทำอะไรศิษย์พี่ใหญ่ได้แม้แต่น้อย

บนท้องฟ้า ซิงยวนตะโกนออกมาว่า “อี้ชิง วันนี้ไม่นายก็ฉันที่ต้องตาย!”

อี้ชิงตอบว่า “พูดไร้สาระเยอะจริงๆ ตายซะเถอะ!”

เห็นทั้งสองกำลังจะสู้กันอีกครั้ง

มีเสาแสงสว่างขึ้นไม่ไกล จากนั้นแสงพุ่งออกมา กวาดทุกสิ่งทุกอย่างบนท้องฟ้าจนหมด

นี่คือแสงเจ็ดสีมหัศจรรย์ แสงเหมือนสายรุ้ง ทำให้ซิงยวนกับอี้ชิงหยุดลง

หลังจากนั้นเงาของคนแก่ ปรากฏตรงหน้าซิงยวนกับอี้ชิง เป็นท่านผอ.เทียนหยาจื่อ

“ซิงยวน อี้ชิง พวกนายจะร่วมกันทำลายสถาบันสอนวิชาบู๊หรือไง”

อี้ชิงพูดเสียงดังว่า “เรื่องนี้คุณต้องถามเขา ศิษย์เขาฆ่าศิษย์ผม”

ซิงยวนพูดว่า “ข้ออ้าง ทั้งหมดคือข้ออ้าง”

“พอแล้ว!”

ท่านผอ.แผดเสียงดุดัน

“ดูเหมือนพวกนายสองคนต้องนั่งวิปัสสนาแล้ว ดีเหมือนกัน พวกนายมาอยู่เป็นเพื่อนฉัน รอถึงตอนต่อสู้จัดอันดับของสถาบัน ค่อยปล่อยพวกนายออกมา”

พูดพลาง มีประตูเจ็ดสีปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า

แรงดูดอันน่ากลัวกระชากอี้ชิงกับซิงยวนเข้าไป

ทั้งสองหายไปในพริบตา ท้องฟ้ากลับมาเป็นเหมือนเดิม ทุกอย่างสงบลง

นักเรียนคณะหยินหยางมองอย่างตกตะลึง ไม่รู้จะพูดอะไร เอี๋ยนชิงเพิ่งเห็นว่าศิษย์พี่ใหญ่ไปแล้ว จึงเงยหน้าตะโกนว่า “กระบี่ฉัน เอากระบี่ฉันมา!”

เอี๋ยนชิงกำลังจะพุ่งไปข้างหน้า สายฟ้าผ่าลงมาจากท้องฟ้า

เทียนฉี่ปรากฏขึ้นอีกครั้ง หัวขนาดใหญ่มีสายฟ้ากะพริบอยู่

“นักเรียนคณะหยินหยางทุกคน กลับไปฝึกที่ห้อง ทำเหมือนเดิมทุกอย่าง ใครกล้าก่อเรื่อง จะโดนสายฟ้าฟาด!”

ดวงตาน่ากลัวของเทียนฉี่ มองมายังเอี๋ยนชิง เอี๋ยนชิงรู้ว่าประโยคสุดท้าย เทียนฉี่พูดกับเขา

เขากำหมัดและกัดฟันอย่างไม่พอใจ

เมื่อกี้เขาใช้ของล้ำค่าของตัวเองสิบกว่าชนิด เพิ่มความแข็งแกร่งให้กระบี่หนัก

สิบกว่าชนิดเลยนะ!

เอี๋ยนชิงอยากเงยหน้าตะโกนออกมาจริงๆ

ทว่าตอนนี้ แสงหนึ่งร่วงลงมาจากท้องฟ้า

เอี๋ยนชิงมือเท้าว่องไว คว้าเอาไว้

เมื่อเพ่งมอง มีตัวอักษรตวัดไปมา เป็นลายมือของอาจารย์ซิงยวน

“รอฉันกลับมาตอนต่อสู้จัดอันดับของสถาบัน ความแค้นนี้ อาจารย์จะสะสางให้นาย!”

เอี๋ยนชิงบีบแสงจนแตกกระจาย พูดพึมพำว่า “อาจารย์ไม่ต้องช่วยแล้ว ตอนต่อสู้จัดอันดับของสถาบัน ผมจะทำให้นักเรียนของคณะหนึ่งเดียวทุกคน พิการทั้งหมด ไม่สิ ตายคามือผมทั้งหมด! ไอ้เลวพวกนี้!”

ศิษย์พี่ใหญ่มาถึงหน้าหานเฟิงกับฉู่สิง ที่กำลังรีบเดินอยู่ไกลๆ

ตบไหล่ฉู่สิงกับหานเฟิงเหมือนผี ศิษย์พี่ใหญ่พูดว่า “ไม่ต้องไปแล้ว ฉันเอาของของศิษย์น้องลู่ฝานกลับมาแล้ว”

หานเฟิงตกใจจนตัวสั่น หลังเห็นว่าเป็นศิษย์พี่ใหญ่ หานเฟิงพูดว่า “ของเหรอ เขาขโมยของศิษย์น้องลู่ฝานด้วยเหรอ ศิษย์พี่ใหญ่ได้ซัดเขาหรือเปล่า”

ฉู่เทียนกัดฟัน “ศิษย์พี่ใหญ่ เราไปกันสามคน ต้องเอาชนะเขาได้แน่นอน”

ศิษย์พี่ใหญ่ส่ายหน้า “ไม่ใช่ตอนนี้ ศิษย์น้องลู่ฝานปลอดภัยดี พวกนายวางใจได้สักระยะ ส่วนจะจัดการเอี๋ยนชิง พวกนายรอตอนต่อสู้จัดอันดับของสถาบันเถอะ ช่วงนี้ฉันจะเพิ่มความแข็งแกร่งในการฝึกให้นาย พวกนายห้ามถอยเด็ดขาด”

ได้ยินว่าศิษย์น้องลู่ฝานปลอดภัย หานเฟิงกับฉู่เทียนถึงกับโล่งอก

หานเฟิงพูดว่า “ขอพูดอย่าสักคำ ผมก็เป็นหมา ศิษย์พี่ใหญ่เข้าร่วมการต่อสู้ครั้งนี้หรือเปล่า”

ศิษย์พี่ใหญ่พูดช้าๆ ว่า “สบายมานานขนาดนี้แล้ว ควรจริงจังสักหน่อย ครั้งนี้เรามารับตำแหน่งคณะอันดับหนึ่งมาเถอะหน่อยแล้วกัน”

……

บทที่ 219

บทที่ 221

บทที่ 219
เอี๋ยนชิงละสายตาออกมา เสียงอึมครึมแฝงไปด้วยความอาฆาต ดังขึ้นข้างเขา

“นายคือเอี๋ยนชิงใช่ไหม”

เอี๋ยนชิงรีบหันไปมอง รอบตัวเขาไม่มีใครสักคน

มองดูดีๆ อีกครั้ง ตรงสุดสายตา มีคนตัวใหญ่เหมือนเนินเขาเล็กๆ เดินมา

การเดินของเขาประหลาดมาก ทุกก้าวเหมือนเทเลพอร์ต ข้ามมาเป็นร้อยเมตร

“หดระยะทาง ยอดฝีมือ!”

เอี๋ยนชิงประเมินคนอ้วนคนนี้ เพียงพริบตา คนอ้วนที่อยู่ไกลๆ มาถึงตรงหน้าเขาแล้ว

คนอ้วนก้มหน้ามองกระบี่หนักในมือเอี๋ยนชิง ดวงตาฉายแววเย็นชา

“กระบี่ในมือนาย เป็นของศิษย์น้องฉัน”

เพียงประโยคเดียว ทำให้เอี๋ยนชิงรู้ว่าอีกฝ่ายมาอย่างไม่เป็นมิตร สีหน้าอึมครึมทันที

“ใช่แล้วไง นายเป็นใคร”

เอี๋ยนชิงปรายตามองคนอ้วน ด้วยความอวดดีและไม่สบอารมณ์

“ฉันเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของคณะหนึ่งเดียว บอกฉันมา นายฆ่าศิษย์น้องฉันหรือเปล่า”

แม้เสียงของศิษย์พี่ใหญ่ราบเรียบ แต่แฝงด้วยพลานุภาพอย่างไม่ต้องสงสัย คำพูดแต่ละคำ เหมือนค้อนทุบลงข้างหูเอี๋ยนชิง

เอี๋ยนชิงเห็นพลังเหมือนภูเขาไฟใกล้ระเบิดของศิษย์พี่ใหญ่ เขาถอยหลังโดยอัตโนมัติ “ศิษย์น้องนายเหรอ ฉันไม่ได้ฆ่าเขา แค่แย่งกระบี่เขามาเท่านั้น”

ศิษย์พี่ใหญ่กวาดตามองใบหน้าเอี๋ยนชิง และมองกระบี่หนักไม่คม สุดท้ายหยุดลงที่รอยเลือดบนด้ามกระบี่

คนอื่นมองไม่ออก แต่ศิษย์พี่ใหญ่มองความหมายของรอยเลือดนี่ออก นั่นเป็นร่องรอยของวิชากลั่นเลือด รอยเลือดจะไม่หายไป นอกจากเจ้าของเดิมจะตายจากไป

ทันใดนั้น ศิษย์พี่ใหญ่พูดว่า “ดูเหมือนนายไม่ได้โกหก งั้นเอากระบี่มาให้ฉัน”

เอี๋ยนชิงหัวเราะเสียงดัง “ตลก ของที่อยู่ในมือฉันแล้ว มันคือของฉัน จะ……”

ยังพูดไม่ทันจบ ตัวของศิษย์พี่ใหญ่หายไป

ต่อมาเอี๋ยนชิงเห็นก้อนไขมันก้อนหนึ่ง เหมือนกำแพงชนกับตัวเขา

ก้อนไขมันมีแรงสั่นสะเทือนที่ไม่สามารถจินตนาการได้ ชนเขาจนปลิว กระบี่ไม่คมถูกมือหนาคว้าเอาไว้ น่าจะแย่งกระบี่ไป

เอี๋ยนชิงฝืนบิดตัวกลางอากาศ เท้าทั้งสองข้างแตะพื้น

“ทุเรศ!”

เอี๋ยนชิงแผดเสียงออกมา หมัดพร้อมพลังสีดำ โจมตีไปทางศิษย์พี่ใหญ่

หมัดโจมตีลงบนไขมันของศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่ใหญ่สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง แค่ในไขมันมีแสงสว่างวาบขึ้นมารางๆ

ทันใดนั้น พลังปราณสีดำของเอี๋ยนชิงสะท้อนกลับไป

พลั่ก!

เอี๋ยนชิงโดนพลังของตัวเองโจมตีกลับจนปลิว

ศิษย์พี่ใหญ่พยักหน้า แล้วเก็บกระบี่หนัก

สีหน้าเอี๋ยนชิงเปลี่ยนไปทันที นี่มันกระบวนท่าอะไร เขาไม่เคยเห็นมาก่อน

“นายเป็นใครกันแน่ คณะหนึ่งเดียวไม่มีทางมีผู้แข็งแกร่งแบบนาย”

เอี๋ยนชิงตะโกนเสียงดัง

ศิษย์พี่ใหญ่พูดอย่างราบเรียบ “นายจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่”

พลังปราณสีดำบนตัวเอี๋ยนชิงแผ่ซ่านออกมา ปกคลุมรัศมีสิบฟุต

“ไอ้เลว นายไม่ควรยั่วโมโหฉัน วันนี้ฉันจะให้นายตายที่คณะหยินหยาง”

เมื่อพูดเช่นนี้ เอี๋ยนชิงเตรียมลงมืออีกครั้ง

ทว่าตอนนี้มีพลังกวาดล้างทุกอย่าง เกิดขึ้นบนท้องฟ้าอีกครั้ง

พื้นดินสั่นสะเทือน ฟ้าทรุดลงมา เหมือนวันสิ้นโลก

ศิษย์พี่ใหญ่เงยหน้าขึ้น เห็นอาจารย์อี้ชิงแทงกระบี่ลงบนไหล่ซิงยวนอย่างแรง

ส่วนวงแหวนของซิงยวน กระแทกกับอกของอาจารย์อี้ชิง

ศิษย์พี่ใหญ่ขมวดคิ้วเบาๆ แล้วพูดว่า “อาจารย์โกรธแล้ว ฉันรีบถอยดีกว่า!”

บทที่ 218
เอี๋ยนชิงเดินออกมาหน้าประตูที่พัก แล้วเงยหน้าขึ้นมอง

เอี๋ยนชิงเล่นกระบี่หนักในมือ มองพลางลูบลวดลายบนกระบี่หนัก

อี้ชิงกับซิงยวนต่อสู้ฟัดเหวี่ยงกันอยู่บนท้องฟ้า เร็วจนไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า เห็นเพียงแสงสองดวง ฟาดฟันกันไปมาบนท้องฟ้า มีพลังกระเพื่อมออกมาไม่หยุด

วันนี้คณะหยินหยางต้องเละแน่นอน

ตอนนี้อาจารย์ซิงยวน เสียเปรียบอาจารย์อี้ชิง ไม่มีเวลาสนใจพลังที่กระเพื่อมออกไป

ส่วนอาจารย์อี้ชิง……นี่ไม่ใช่คณะหนึ่งเดียวสักหน่อย เละก็เละสิ ทางที่ดีคือทำลายให้หมด!

เมื่อมีความคิดเช่นนี้ อาจารย์อี้ชิงลงมือรุนแรงขึ้น

พลังฟ้าดินบริเวณรอบๆ แตกกระจายและโดนทำลายอย่างต่อเนื่อง ทั้งท้องฟ้าเต็มไปด้วยพลังอันน่ากลัว

“อี้ชิง รับกระบวนท่าฉันไปซะ วงล้อม!”

วงแหวนสองอันออกไปจากมือ ล็อกแขนทั้งสองข้างของอาจารย์อี้ชิงเอาไว้ ซิงยวนกดฝ่ามือลงไป พลังสีขาวดำอันน่ากลัว ฟาดฟันกัน มังกรดำและมังกรขาวเป็นสิบตัว พุ่งออกมาจากรอบทิศ

“มังกรคำราม!”

ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!

เสียงระเบิดดังติดต่อกันสี่ครั้ง ทั่วท้องฟ้าเป็นสีดำทั้งหมด

แสงอาทิตย์โดนบดบัง เห็นเพียงแสงเล็กน้อยตรงสุดสายตา

อาจารย์ซิงยวนเหงื่อไหลจากหน้าผาก มุมปากมีรอยยิ้ม

“โดนกระบวนท่านี้ไป ครั้งนี้นายต้องบาดเจ็บสาหัส!”

เมื่อพูดจบ กระบี่ยาวส่องแสง ตัวของอาจารย์อี้ชิงเดินออกมาอีกครั้ง

ค่ายกลหยินหยางปรากฏขึ้นล่างเท้า รอบตัวอาจารย์อี้ชิงปกคลุมด้วยเกราะสีขาวดำ นี่คือเกราะรบอย่างแท้จริง หลังจากเป็นนักบู๊ปราณดิน ถึงสามารถรวมเกราะได้

ซิงยวนขมวดคิ้ว มองอี้ชิงอย่างงุนงง

เกราะของนักบู๊ปราณดิน เมื่อถึงแดนปราณฟ้า ประโยชน์จะไม่มากแล้ว เพราะนักบู๊ปราณฟ้า มีกายปราณบู๊ที่แข็งแกร่งกว่า ร่างกายของพวกเขาเท่ากับเกราะ ถึงขั้นที่แข็งแกร่งกว่าเกราะเป็นสิบเท่าร้อยเท่า

อี้ชิงสะบัดมือแทงกระบี่ออกมา ไม่มีพลังปราณ ไม่มีแสง เป็นเพียงกระบี่ธรรมดา แต่ฟันจนซิงยวนถอยหลังกรูดอยู่กลางอากาศ

ซิงยวนมองอี้ชิงอย่างตกใจ พูดอย่างตะลึงว่า “นี่มัน……”

อี้ชิงพูดเสียงกังวาน “ดูออกแล้วเหรอ เดิมทีฉันไม่อยากเปิดเผย แต่นายไม่ควรยั่วโมโหฉัน และยิ่งไม่ควรรู้เห็นเป็นใจกับศิษย์ของนาย ฆ่าศิษย์ของฉัน”

เกราะบนตัวส่องแสงลึกลับขึ้นมา ทันใดนั้น เกราะหายไป อี้ชิงเหมือนเทพลงมาจากฟ้า ทั้งตัวดูมีกลิ่นอายของความลึกลับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

อยู่ใกล้ขนาดนี้แท้ๆ ซิงยวนกลับรู้สึกว่าอี้ชิงอยู่ไกลออกไปเป็นหมื่นฟุต ไม่ได้ปล่อยพลังปราณอะไรออกมา อี้ชิงกลับทำให้เขารู้สึกเหมือนไม่สามารถเอาชนะได้

“ขอบเขตวิถีบู๊! นายเข้าสู่แดนฟ้าดินแล้ว”

ซิงยวนกัดฟันพูดออกมา

อี้ชิงพูดว่า “เหยียบเข้ามาเพียงก้าวเดียวเท่านั้น แต่แค่นี้ ก็เพียงพอจัดการนายแล้ว”

อี้ชิงยกกระบี่ช้าๆ ปลายกระบี่ชี้หน้าซิงยวน

ตอนนี้ไม่รู้ว่าทำไม ซิงยวนคิดถึงที่ตัวเองเย้ยหยันอี้ชิงหลายปีมานี้

ตอนนี้ดูไร้สมองเป็นอย่างมาก น่าขำชะมัด

ซิงยวนโมโหจนตัวสั่น จู่ๆ เขายกฝ่ามือตบอกตัวเอง กระอักเลือดออกมาจนเลอะแขนเสื้อ ขณะเดียวกันวงแหวนในมือก็มีสีแดง

สีหน้าอี้ชิงเคร่งขรึม ซิงยวนกระตุ้นเลือดสารจำเป็น จะเล่นกันถึงชีวิตแล้ว

ส่งเสียงหึออกมา ถ้าเล่นถึงชีวิต คนของคณะหนึ่งเดียว ไม่เคยกลัวใคร!

เอี๋ยนชิงที่อยู่ด้านล่าง ไม่สามารถมองการต่อสู้บนท้องฟ้าได้ตรงๆ อีกแล้ว

การต่อสู้ข้างบน นักบู๊ระดับอย่างเขาไม่สามารถมองดูได้ พลังแฝงในนั้น ขืนดูต่ออีก ต้องทำให้เขารู้สึกอยากกระอักเลือดแน่นอน

บทที่ 217
ซิงยวนโกรธจนหน้าเปลี่ยนสี จากนั้นมีสีหน้าอึมครึม

“อี้ชิง ลูกศิษย์คนไหนของฉัน ฆ่าลูกศิษย์นาย นายกล้าบอกชื่อ บอกความจริงกับฉันหรือเปล่า!”

อี้ชิงชี้หน้าซิงยวน “ไอ้เฒ่าผมขาว นายยังมีศิษย์อีกสักกี่คนกัน ก็เอี๋ยนชิงศิษย์รักของนายไง ถ้านายไม่เชื่อ ก็เรียกเขาออกมาถามสิ”

เมื่อได้ยินชื่อเอี๋ยนชิง ซิงยวนมีแววตาดุดัน

ซิงยวนมองอี้ชิงอย่างเย็นชา “เอี๋ยนชิง ฉันเข้าใจแล้ว นายฉวยโอกาสตอนยังไม่ถึงการสู้จัดอันดับของสถาบัน จงใจมาหาเรื่องเอี๋ยนชิงใช่ไหม หึ คณะหนึ่งเดียวของนาย อยู่อันดับท้ายทุกปี ปีนี้อยู่ไม่สุขหรือไง”

กล้ามเนื้อบนหน้าอี้ชิงกระตุกทันที

“นายคิดว่าฉันไร้ยางอายเหมือนพวกคณะหยินหยางหรือไง ซิงยวน จะเอาเอี๋ยนชิงออกมาไหม!”

ผมขาวของซิงยวนสะบัดปลิว ดวงตากลายเป็นสีขาวทั้งหมด

“อี้ชิง นายอยากสู้ก็สู้สิ ไม่จำเป็นต้องหาเหตุผล ให้ฉันเอาศิษย์ของฉันออกมา ฝันไปซะเถอะ”

สองมือของซิงยวนมีวงแสงสีขาวดำปรากฏขึ้น นี่คือวงแหวนหยินหยางเป็นอาวุธที่เป็นเอกลักษณ์ของซิงยวน ซึ่งทำให้เขาเหิมเกริมในสถาบันสอนวิชาบู๊ได้

เห็นซิงยวนทำท่าเหมือนต่อสู้ครั้งใหญ่ อี้ชิงก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงเช่นกัน

“ฟาดฟันวิญญาณ์!”

กระบี่ฟันออกมา ลมเมฆพัดปลิว ท้องฟ้าเป็นสีดำ

อี้ชิงไม่เกรงใจแม้แต่น้อย ใช้ท่าไม้ตายทันที

พลังปราณอันแข็งแกร่งกระตุ้นฟ้าดิน เทียนฉี่ของสถาบันสอนวิชาบู๊ก็โผล่หัวขนาดใหญ่ออกมากลางอากาศ ดูการต่อสู้ของอี้ชิงกับซิงยวนเช่นกัน

ถ้าเป็นการเข่นฆ่าของศิษย์ในสถาบัน เทียนฉี่สามารถขัดขวางได้

แต่การต่อสู้ของอาจารย์สองคณะ เทียนฉี่ทำได้เพียงมองดูเท่านั้น

กระบี่พร้อมแสงทำลายล้าง ฟันลงกลางอากาศ

พลังอันน่ากลัวทำให้พลังฟ้าดินข้างหน้าแยกออก เหลือเพียงความว่างเปล่า รอยกระบี่พุ่งไปทางซิงยวนอย่างรวดเร็ว

ซิงยวนพลิกมือขว้างวงแหวนออกไป วงแหวนทั้งสองรวมตัวกันเป็นวงแหวนสีใส ต้านทานแสงกระบี่ของอี้ชิงเอาไว้

วงแหวนหยินหยางสั่นอย่างแรง ตัวของซิงยวนที่อยู่ด้านใน เริ่มเลือนราง

พลังหนึ่งแผ่กระจายออกมา ศิษย์คณะหยินหยางที่อยู่ด้านล่าง ต่างรู้สึกถึงความกดดันมหาศาล จากบนท้องฟ้า ห้องทั้งหมดมีเสียงแบกรับน้ำหนักดังขึ้น

ซิงยวนคิดไม่ถึงว่า อี้ชิงมีพละกำลังเช่นนี้ ต้องมีผลการฝึกตนแดนปราณฟ้าขั้นสูงสุดแน่นอน

ซิงยวนดูถูกอี้ชิงมาโดยตลอด ไม่ใช่แค่เพราะคณะหนึ่งเดียวของอี้ชิงอยู่ลำดับเก้ามาโดยตลอด สิ่งสำคัญกว่านั้นคือ เพลงเต๋าหนึ่งเดียวของคณะหนึ่งเดียว ในปีที่ผ่านมา ยังไม่มีใครสืบทอดเลย

คณะหนึ่งเดียวที่ไม่มีเพลงเต๋าหนึ่งเดียว ไม่ควรค่าให้เขายกยกย่อง ด้วยเหตุนี้ ซิงยวนจึงเย้ยหยันคนคณะหนึ่งเดียวมาโดยตลอด

ทว่ากระบี่นี้ของอี้ชิง เหมือนฝ่ามือตบหน้าเขา

เอี๋ยนชิงที่นั่งอยู่ในห้องฝึกฝน เดินออกมาอย่างรวดเร็ว

เอี๋ยนชิงเงยหน้ามองฟ้า สีหน้าไม่สู้ดีทันที

เสียงก้องกังวานของอี้ชิง ทำให้ศิษย์คณะหยินหยางได้ยินชัดเจน

เมื่อได้ยินอี้ชิงเรียกชื่อตัวเอง เอี๋ยนชิงหัวใจเต้นแรง

เขาคิดไม่ถึงว่าตัวเองจัดการเด็กแดนปราณในไม่กี่คน จะทำให้อาจารย์ของคณะโกรธ จนมาหาเรื่องถึงคณะหยินหยาง

เห็นพละกำลังอันแข็งแกร่ง พลานุภาพอันน่ากลัวของอีกฝ่าย

เอี๋ยนชิงรู้ว่าตัวเองสู้ไม่ได้แน่นอน ตอนนี้ความหวังเดียวของเขา คืออาจารย์ซิงยวนจะชนะได้

ไม่ใช่สิ อาจารย์ซิงยวน เป็นอันดับต้นๆ ของเก้าคณะใหญ่ จะแพ้ได้อย่างไร

เอี๋ยนชิงถอนหายใจออกมา แล้วยิ้มบางๆ เขากังวลมากเกินไป อาจารย์ซิงยวนต้องซัดคนอ้วนที่ถือกระบี่คนนี้ กลับคณะตัวเองแน่นอน

เอี๋ยนชิงนั่งขัดสมาธิ เอาของที่ได้รับจากการต่อสู้ครั้งนี้ออกมา
โดนไล่ออกมาจากจวนอากาศธาตุ ทำให้เขาไม่ได้ยาจากเฒ่าประหลาดแม้แต่เม็ดเดียว สิ่งที่ได้เพียงอย่างเดียว คือกระบี่หนักไม่คมของลู่ฝาน
เอี๋ยนชิงเอากระบี่หนักสีดำขลับ ออกมาจากแหวน เขามองดูอย่างละเอียด
กระบี่หนักกว่าที่เขาคิด เอี๋ยนชิงไม่เข้าใจ ทำไมนักบู๊แดนปราณในธรรมดาๆ ถึงสะบัดกระบี่หนักแบบนี้ได้
เขาใช้นิ้วเคาะลงไปบนกระบี่ ตามองไปที่ตัวอักษร “กระบี่หนักไม่คม ไหวพริบต้องเรียบง่าย” ประกายในตาเอี๋ยนชิงสว่างวาบ
“กระบี่ดี! กระบี่ดีจริงๆ หายากมากๆ ราคากระบี่เล่มนี้ คงเกินกว่ายาทิพย์สิบเม็ด”
เอี๋ยนชิงเห็นความไม่ธรรมดาของกระบี่หนักไม่คม โดยเฉพาะตัวอักษรบนกระบี่ เป็นสมบัติที่ตีราคาไม่ได้
“กระบี่ดีขนาดนี้ อยู่ในมือนักบู๊แดนปราณในธรรมดาๆ ช่างไม่เป็นธรรม อยู่กับฉันสิ แกถึงจะส่องแสงได้อย่างงดงาม”
เอี๋ยนชิงยิ้มกว้าง จากนั้นเอาขวดสิบกว่าขวดกับหินรูปร่างประหลาด ออกมาจากแหวน
“อืม ในเมื่ออยู่ในมือฉัน ต้องเพิ่มพลานุภาพของกระบี่นี่สักหน่อย”
เอี๋ยนชิงเอาขวดเล็กๆ ขึ้นมาหนึ่งขวด เทของเหลวสีดำขลับ ลงบนกระบี่หนักไม่คม
ของเหลวนี้มีชื่อว่า น้ำทิพย์รวมสาร มีประสิทธิภาพยกระดับผลการฝึกตนของร่างกายคน แต่เมื่อปาดลงบนอาวุธหรือเครื่องราง จะมีประสิทธิภาพยกระดับความสามารถของอาวุธ น้ำทิพย์รวมสารเพียงขวดเดียว ราคาไม่ด้อยกว่าอุกกาบาตจิตเย็นเลย เอี๋ยนชิงชอบกระบี่เล่มนี้จริงๆ เขาจะเปลี่ยนกระบี่หนักไม่คม เป็นอาวุธที่เหมาะสมกับเขาที่สุด ยกระดับพลานุภาพของอาวุธ คือสิ่งจำเป็นอยู่แล้ว เอี๋ยนชิงจึงทำอย่างเต็มที่
เพียงแค่ไม่นาน เอี๋ยนชิงเทน้ำทิพย์รวมสารสี่ขวดกับน้ำสุเมรุสองขวด ขณะเดียวกันก็เอาหินแปลกที่สามารถรวมพลังอัคคีบนโลกบดเป็นผง แล้วปาดลงไปบนตัวกระบี่
ทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งล้ำค่าที่สุด ที่เอี๋ยนชิงเก็บเอาไว้ ไม่งั้นเขาคงไม่เก็บติดตัวไว้
ถ้าลู่ฝานรู้ว่ากระบี่หนักไม่คมของตัวเอง มีของราคาไม่ธรรมดาปาดลงไป คงไม่รู้จะยิ้มหรือหัวเราะอย่างบ้าคลั่งดี
เอี๋ยนชิงทำทุกอย่างแล้ว แต่ไม่พบว่ากระบี่เล่มนี้ โดนหวูเฉินใช้วิชาพิเศษกลั่นหลอมมาก่อน มีเพียงลู่ฝานที่สามารถใช้มันได้
แม้เอี๋ยนชิงจะทำให้มันแข็งแกร่งอีกเท่าไร ก็ไม่สามารถเอาความสามารถของมันออกมาได้ แม้แต่ส่วนเดียว
แน่นอนว่าทั้งหมดนี้ เอี๋ยนชิงไม่รู้ จากประสบการณ์ของเขา รู้แค่ว่าเมื่อกระบี่อยู่ในมือเขา ก็เป็นของเขาแล้ว จะเพิ่มความแข็งแกร่งอย่างไรก็ได้ ถึงขั้นที่เอี๋ยนชิงจะให้อาจารย์ซิงยวน ช่วยเขาหลอมด้วย
ขณะเอี๋ยนชิงกำลังเพิ่มความแข็งแกร่งของกระบี่อย่างตื่นเต้น ข้างนอกมีเสียงตวาดดังขึ้น
“ซิงยวน นายออกมาเดี๋ยวนี้!”
เสียงตวาดดังไปทั่วคณะหยินหยาง
คลื่นเสียงอันน่ากลัว ทำให้หลังคาห้องของคณะหยินหยาง ปลิวออกไปเป็นจำนวนมาก
ลูกศิษย์คณะหยินหยางเดินออกมา เงยหน้ามอง เห็นอาจารย์อี้ชิงลอยอยู่กลางอากาศ มีแสงน่ากลัวปกคลุมทั้งตัว แทบจะปกคลุมเกือบครึ่งท้องฟ้า
ซิงยวนที่กำลังฝึกฝนอยู่ ลืมตาขึ้น พูดเย็นชาว่า “อี้ชิง เขาเป็นบ้าอะไรอีก”
ซิงยวนเหาะออกมาจากคณะ
ผมขาวสะบัดไปมา ซิงยวนเห็นอี้ชิงที่กำลังโมโห
ซิงยวนพูดอย่างดุดันว่า “อี้ชิง นายมาคณะหยินหยางของฉันทำไม อยากตายหรือไง”
อี้ชิงสะบัดมือ ถือกระบี่ยาวสิบเมตรอยู่ในมือ เมื่อกระบี่เล่มนี้ปรากฏออกมา พื้นที่รอบๆ แปรปรวนทันที
“ซิงยวน ศิษย์ของนายฆ่าศิษย์ฉัน วันนี้ฉันจะทำให้คณะหยินหยางไม่เป็นสุข! ฉันจะดูสิว่าสถาบันสอนวิชาบู๊ ไม่มีกฎเกณฑ์จริงหรือไม่!”

เวลาในจวนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ส่วนโลกภายนอกยุ่งเหยิงไปหมด

หลังจากลู่ฝานเก็บตัวรับการถ่ายทอดวิชา มีเสียงหนึ่งดังไปทั่วสถาบันสอนวิชาบู๊

“อะไรนะ ลู่ฝานโดนขังไว้ในจวนอากาศธาตุเหรอ”

อาจารย์อี้ชิงโมโหมาก ตบโต๊ะด้านหน้าจนพัง ถึงจะเป็นโต๊ะทานข้าวตัวเดียวในคณะหนึ่งเดียวก็เถอะ

เจ้าดำที่นอนหมอบอาบแดดอยู่หน้าประตู ก็ลุกขึ้นมองพวกหานเฟิง ที่คุกเข่าอยู่บนพื้นเช่นกัน

หานเฟิงกัดฟันพูดเสียงดังว่า “เพราะเอี๋ยนชิงของคณะหยินหยาง ไอ้หมอนั่นใช้วิชาบูชาเลือดบังคับให้เราเอาเลือดสารจำเป็นออกมา เพื่อหลบเครื่องรางของเซียนบำเพ็ญชี่ ศิษย์น้องลู่ฝาน……ศิษย์น้องลู่ฝานเข้าไปในจวนอากาศธาตุเพื่อช่วยพวกเรา ไอ้เอี๋ยนชิงหนีออกมาได้ แต่ศิษย์น้องลู่ฝานไม่ได้ออกมา ศิษย์น้องลู่ฝานอาจ……อาจตายอยู่ในนั้นแล้ว!”

อาจารย์อี้ชิงพูดอย่างโมโหว่า “ไอ้เอี๋ยนชิง กล้าดีขนาดนี้”

ทันใดนั้นอาจารย์อี้ชิงเหาะขึ้นไป มุ่งไปทางคณะหยินหยาง พร้อมลำแสงเป็นแถบ

อาจารย์เต้ากวงกับศิษย์พี่ใหญ่ ยังไม่ทันพูดอะไรสักคำ

อาจารย์เต้ากวงเห็นอาจารย์อี้ชิงเหาะไป จึงกัดฟันพูดว่า “ครั้งนี้เป็นศึกใหญ่ของสองคณะ หานเฟิง พวกนายรีบพาฉันไปที่เกิดเรื่อง มีชีวิตอยู่ขอให้ได้เจอคน ตายไปก็ขอให้เจอศพ”

หานเฟิงรีบพาอาจารย์เต้ากวงออกไป

ใบหน้าอวบอิ่มของศิษย์พี่ใหญ่เคร่งขรึม คว้าฉู่สิงที่กำลังจะตามไปด้วย ศิษย์พี่ใหญ่พูดว่า “ศิษย์น้องฉู่สิง เอี๋ยนชิงคณะหยินหยางใช่ไหม”

ฉู่สิงกัดฟันพูดว่า “ใช่ครับ เขานั่นแหละ”

ฉู่สิงกำหมัด ตะโกนออกมาว่า “ถ้าเขาฆ่าศิษย์น้องลู่ฝานตายจริง ผมจะฆ่าเขาแน่นอน”

ศิษย์พี่ใหญ่พูดว่า “คนที่ทำร้ายศิษย์น้องฉัน แม้อยู่สุดหล้าฟ้าเขียว ก็ต้องตาย”

ศิษย์พี่ใหญ่เดินเอามือไพล่หลังออกไปด้านนอก

ฉู่สิงมองแผ่นหลังศิษย์พี่ใหญ่ แล้วพูดว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ จะไปหาเรื่องเอี๋ยนชิงเหรอ”

น้ำเสียงราบเรียบของศิษย์พี่ใหญ่ แฝงไปด้วยพลัง “ฉันจะไปคณะหยินหยาง ทำศึกครั้งใหญ่!”

เอี๋ยนชิงกลับมายังที่พักของตัวเอง ที่คณะหยินหยาง

ในฐานะที่เป็นศิษย์พี่ใหญ่ของคณะหยินหยาง ที่พักของเขาเปรียบเหมือนวัง

ครอบคลุมพื้นที่รัศมีร้อยลี้ ตั้งอยู่บนยอดเขา เมฆปกคลุม แปลกและงดงามมาก เป็นรองแค่จวนอาจารย์ที่ซิงยวนพักอยู่

แค่คนรับใช้ของเขา ก็เยอะเกือบพันคนแล้ว อาหารและของใช้ทุกวัน ล้วนราคาไม่ธรรมดา

เอี๋ยนชิงเดินมาในห้องยา เลือกยาที่ตัวเองต้องการ จากบรรดายาหลายร้อยขวดออกมากิน

ตอนคนอื่นมียาเพียงสองเม็ด และรักษามันเหมือนสมบัติล้ำค่า ยาที่เอี๋ยนชิงมีอยู่ สามารถวางจนเต็มห้อง

กินยาไปสองขวดเต็มๆ เอี๋ยนชิงถึงรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย

กลับมาในห้องฝึกฝน ที่นี่เป็นพื้นที่ส่วนตัวของเขา นอกจากซิงยวนอาจารย์ของเขา คนอื่นห้ามเข้าใกล้ แม้เป็นคนรับใช้ที่เขาไว้ใจที่สุด กล้าเข้ามาในห้องนี้เพียงก้าวเดียว ก็จะโดนฆ่าทันที

ทั้งห้องฝึกฝน ถูกสร้างด้วยหินอุ่น

หินอุ่นที่ว่า ถูกเรียกว่าหินอุ่นบู๊ มีประสิทธิภาพทำให้จิตใจสงบ หล่อเลี้ยงร่างกาย เพิ่มผลการฝึกตนให้แข็งแกร่งขึ้น

ใช้หินอุ่นจำนวนเยอะขนาดนี้ สร้างห้องขึ้นมา นักบู๊ปราณดินธรรมดาๆ ทำไม่ได้แน่นอน

แต่เอี๋ยนชิงที่มีคณะหยินหยางคอยสนับสนุน สามารถทำได้อย่างง่ายดาย

เขาคืออนาคตและความหวังของคณะหยินหยาง

อาจารย์ซิงยวนของเขาเคยบอกเขาว่าแค่เขารักษาระดับความเร็วการฝึกเช่นนี้ ต่อไปเขาสามารถเป็นอาจารย์ของคณะหยินหยางได้

เอี๋ยนชิงเองก็คิดว่า การเป็นอาจารย์ของคณะหยินหยางในอนาคต เป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้ว

เซียนสือฟางกลายเป็นโครงกระดูกสีทองอีกครั้ง จากนั้นโครงกระดูกเริ่มหักเป็นท่อนๆ กลายเป็นผงสีทองลอยกลางอากาศ มาถึงตรงหน้าลู่ฝาน
ผงสีทองเข้าไปในตัวลู่ฝานอย่างรวดเร็ว ลู่ฝานรู้สึกว่าพลังมหาศาล เริ่มหล่อเลี้ยงร่างกายตัวเอง
รูปทรงกลมที่อยู่ในตันเถียน เริ่มหดเล็กลงอย่างรวดเร็ว ปล่อยแสงนวลออกมา
รูปทรงกลมอยู่ด้านล่างฐานกลมหล่อเลี้ยงของพลังสีทอง ตรงจุดที่ยุบลงไปมีแสงสว่างขึ้น
เหมือนยาเม็ดหนึ่ง ปล่อยพลังกระเพื่อมในตันเถียนของเขา แรงกระเพื่อมเข้าไปในเส้นลมปราณ กลายเป็นปราณชี่ราวกับสายน้ำ เข้าไปในกระดูกและทำให้กระดูกแข็งแรงทนทานยิ่งขึ้น ไม่สามารถหักง่ายๆ
เข้าไปในกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อมีพลังที่ระเบิดออกมาอย่างน่ากลัว เข้าไปในอวัยวะภายในร่างกาย ทำให้มีเกล็ดสีทองปรากฏออกมาด้านนอกเหมือนเกราะ สามารถป้องกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ขณะเดียวกัน ภาพและความรู้มากมาย เข้าไปในสมองลู่ฝาน
ความรู้เหมือนน้ำทะลัก รวมความทรงจำทั้งชีวิตของเซียนสือฟางเข้าไปด้วย
ในความทรงจำเหล่านี้ ส่วนที่เซียนสือฟางประสบพบเจอมา หายไปอย่างรวดเร็ว ส่วนที่ฝังอยู่ในสมองเขา เหมือนความรู้ต่างๆ ตามสัญชาตญาณ หลงเหลือเอาไว้เกือบทั้งหมด
ลู่ฝานกำลังซึมซับความรู้เหล่านี้ การถ่ายทอดมีเพียงครั้งเดียว เมื่อผ่านครั้งนี้ไป ความทรงจำทั้งหมดที่เซียนสือฟางหลงเหลือเอาไว้ จะหายไปพร้อมกับโครงกระดูกของเขา
ลู่ฝานจะซึมซับได้เท่าไร ต้องดูความโชคดีครั้งนี้
นี่คือการถ่ายทอดอย่างแท้จริง ถ่ายทอดพลังและความรู้ทั้งหมด อย่างไม่หลงเหลือไว้สักนิด
ภายในภาพเหล่านี้ ลู่ฝานเห็นความแค้นระหว่างเซียนสือฟางกับอู่ชิงเฉิงรางๆ
ที่แท้อู่ชิงเฉิงเป็นสาวงามคนหนึ่ง ภาพที่ชัดเจนที่สุดคืออู่ชิงเฉิงมีเมฆเรืองรองคลุมตัว ลอยอยู่ท่ามกลางเมฆ มองออกไปไกลแสนไกล
ใบหน้างามล่มเมือง มีหยดน้ำตาอยู่
ภาพค่อยๆ หายไป สุดท้ายกลับสู่ความว่างเปล่า
ลู่ฝานทอดถอนใจ เขารวบรวมสติ รับการถ่ายทอดจากเซียนสือฟางต่อให้สำเร็จ
หม้อสือฟางกับเจดีย์เสวียนเก้ามังกร ลอยมาอยู่ข้างตัวเขาช้าๆ
รอยจารึกของเซียนสือฟางในหม้อ ค่อยๆ หายไปจนมองไม่เห็น รอรับเจ้าของคนใหม่
ส่วนเจดีย์เสวียนเก้ามังกร ร่วงลงมาบนหัวลู่ฝาน
เจดีย์มีเสียงดังเบาๆ
“เปลี่ยนเจ้าของอีกแล้ว เมื่อไรจะมีคนเชื่อถือได้บ้าง เป็นแบบนี้ทุกที ผ่านไปไม่กี่ร้อยปี เจ้าของก็ตาย เมื่อไรฉันจะอยู่ในสภาพสมบูรณ์เหมือนเดิมสักที ให้ตายเถอะๆ หวังว่าไอ้เด็กนี่จะเก่งสักหน่อย อืม พลังในตัวไม่เลว เป็นคนที่ไม่เลวเลย ต้องดูโชคกับชะตาชีวิตของเขาว่าเป็นยังไง ความคิดที่ว่าพรสวรรค์อะไรนั่นเป็นเรื่องรอง สุดท้ายมีชีวิตอยู่ต่อไปเป็นสิ่งสำคัญที่สุด!”
เสียงค่อยๆ เบาลง
ลู่ฝานกำลังซึมซับพลังรับความรู้ จึงไม่ได้ยินเสียงนี้
ลมหายใจเริ่มช้าลง ออร่าของลู่ฝานค่อยๆ สงบลง
ผงสีทองจับตัวเป็นก้อนแสงสีทองเหมือนรังไหม ปกคลุมลู่ฝานเอาไว้
แสงสีทองหยุดลง ถ้าตอนนี้มีใครมา จะเห็นหินที่เหมือนไข่ไก่ ตั้งอยู่ในโถงใหญ่
รอให้สักวันหนึ่ง ลู่ฝานทำลายรังไหมออกมา

เสียงราบเรียบ หม้อสือฟางเข้าไปในมือชายคนนั้น

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า คนคนนี้คือเซียนสือฟางผู้ล่วงลับ แสงสีขาวบนตัวลู่ฝานหายไป เขายังไม่เข้าใจว่า ทำไมจู่ๆ อีกฝ่ายถึงยอมรับเขาเป็นศิษย์

“ต้องเป็นนักเรกิที่อายุไม่ถึงร้อยปี ถึงจะเป็นผู้สืบทอดของคุณไม่ใช่เหรอ”

ลู่ฝานจ้องเซียนสือฟาง

เซียนสือฟางชี้ไปที่หัวใจลู่ฝาน แล้วพูดว่า “นายอายุไม่ถึงร้อยไม่ใช่หรือไง อีกทั้งพลังที่นายปล่อยออกมาเมื่อครู่ ถึงเกณฑ์นักเรกิแล้ว แม้พลังแปลกไปหน่อย แต่เจดีย์เสวียนเก้ามังกรบอกฉันว่า พลังของนายบริสุทธิ์และแข็งแกร่งมาก”

ลู่ฝานสีหน้าประหลาด เจดีย์เสวียนเก้ามังกรบอกเขาอย่างนั้นเหรอ

ขณะกำลังจะพูด ลู่ฝานรู้สึกไร้เรี่ยวแรง มันแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย ลู่ฝานรู้สึกว่าสติตัวเอง ค่อยๆ หายไปเรื่อยๆ

เหมือนเซียนสือฟางก็รู้ว่าออร่าของลู่ฝานเปลี่ยนไป

แสงสีทองอบอุ่นปล่อยออกมาจากเจดีย์เสวียนเก้ามังกรในมือเขา เข้าไปในตัวลู่ฝาน

ลู่ฝานรู้สึกจมลงไปในแสงสีทอง พลังอันอบอุ่นและสบาย ไหลเวียนภายในตัวเขา ช่วยเขาฟื้นฟูพลังบาดเจ็บอย่างรวดเร็ว

พลังการฟื้นฟูของแสงสีทองนี้น่ากลัวมาก เพียงพริบตา เส้นลมปราณและกระดูก ที่เสียหายในตัวเขา ฟื้นฟูกลับมาเหมือนเดิม

แม้ปราณชี่ของเขายังอยู่ในสภาพไม่สมบูรณ์ แต่อาการบาดเจ็บคงที่แล้ว

ชิ้นส่วนค่ายกลหยินหยางกับค่ายกลเบญจธาตุในตัวเขา กลับเข้าไปในตันเถียน เศษชิ้นส่วนรวมตัวกันเป็นรูปทรงกลม ส่องแสงออกมาบางๆ

ฟู่วว……

ลู่ฝานพรูลมหายใจออกมา ทรงตัวอย่างมั่นคง

เซียนสือฟางยังมองเขาอย่างเป็นมิตร แล้วพูดว่า “นี่คือพลังของฉันและเป็นพลังของเจดีย์เสวียนเก้ามังกรด้วย ได้รับการถ่ายทอดจากฉัน บนโลกใบนี้ไม่มีใครฆ่านายได้ง่ายๆ”

ลู่ฝานมองเขาอย่างราบเรียบ “แต่คุณก็ยังโดนฆ่าตาย”

เซียนสือฟางพยักหน้า “ใช่ แต่ฉันทิ้งโครงกระดูกกับมรดกตกทอดของตัวเองเอาไว้ เป็นเพียงเซียนบำเพ็ญชี่แดนเล็กๆ โดนอริยปราชญ์สิบคนโจมตี เซียนบำเพ็ญชี่ร้อยคนล้อมโจมตี แต่ก็ยังทิ้งโครงกระดูกเอาไว้เป็นอย่างดี การถ่ายทอดมั่นคง แม้ตัวตาย แต่จิตวิญญาณไม่ตายตามไปด้วย”

ลู่ฝานพยักหน้า “ฟังดูไม่เลว แต่ผมเป็นผู้สืบทอดของคุณ ต้องทำอะไรบ้าง”

เซียนสือฟางโมโหขึ้นมา เสียงลมบ้าคลั่งดังไปทั่วโถงใหญ่

เสียงเหมือนสายฟ้าผ่าไม่หยุด เซียนสือฟางแผดเสียงอย่างโมโห

“ฉันต้องการให้นายฆ่าอู่ชิงเฉิง ไม่ว่าฟ้าถล่มดินทลาย เวลาเปลี่ยนแปลงไปนานแค่ไหน สักวันหนึ่ง ฉันต้องการให้นายไปโลกจู๋หลง ฆ่าอู่ชิงเฉิง วิญญาณของฉันจะติดตามคอยดูอยู่ข้างกายนาย ถ้าวันไหนนายทำไม่สำเร็จ หรือตายไป ฉันจะถ่ายทอดต่อให้คนอื่น”

เสียงของเซียนสือฟางแฝงไปด้วยความแค้นไม่สิ้นสุด

ลู่ฝานโดนเสียงเขาโจมตี จนตัวโงนเงน เสียงสะท้อนดังขึ้นข้างหู

เสียงค่อยๆ หายไป ใบหน้าโมโหของเซียนสือฟาง กลับมาสงบเหมือนเดิม

ลู่ฝานถามเบาๆ ว่า “อู่ชิงเฉิงคือใคร โลกจู๋หลงคืออะไร”

เซียนสือฟางพูดอย่างราบเรียบว่า “นายรับการถ่ายทอดจากฉัน นายจะรู้เอง”

ลู่ฝานครุ่นคิดผลได้เสีย สุดท้ายจึงพยักหน้า “ได้ ผมรับการถ่ายทอดจากคุณ”

เซียนสือฟางยิ้มกว้าง แล้วพูดว่า “ปลดปล่อยจิตใจและร่างกายนาย อย่าต้านทาน”

ลู่ฝานสูดหายใจลึก ผ่อนคลายร่างกายทั้งหมด

ต่อมาเซียนสือฟางปล่อยแสงสีทองกว่าหมื่นฟุตออกจากตัว ร่างของเขาเริ่มโงนเงน หม้อสือฟางกับเจดีย์เสวียนเก้ามังกรในมือลอยขึ้นพร้อมกัน มาถึงหน้าลู่ฝาน ภายใต้การผลักดันของแสงสีทอง

“ถึงตาย ก็ต้องตายอย่างสมศักดิ์ศรี ลากอีกฝ่ายไปตายด้วยกัน”

ลู่ฝานแผดเสียงออกมา ค่ายกลหยินหยางกับค่ายกลเบญจธาตุในตัวแตกออกทันที เศษชิ้นส่วนนับไม่ถ้วน ลอยอยู่ในตัวลู่ฝาน จากนั้นพลังของค่ายกลที่แตกสลายทั้งสองค่ายกล ทำให้บนตัวลู่ฝานมีแสงขึ้นมา

นี่เป็นแสงสีขาวที่ทำให้คนตาบอดได้ แสบตายิ่งกว่าแสงอาทิตย์เสียอีก

เมื่อแสงนี้ปรากฏขึ้น เลือดสารจำเป็นของลู่ฝาน เริ่มหดตัวลง พลังฟ้าดินรอบๆ หายกลับไปจนหมด

พลังแบบนี้ ไม่ใช่พลังปราณ แล้วก็ไม่ใช่พลังชี่แน่นอน

เมื่อมันปรากฏขึ้น อากาศรอบๆ เริ่มแตกออก เอี๋ยนชิงสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่เป็นอันตรายถึงชีวิตเขา

ทันใดนั้นเอี๋ยนชิงขนลุกขึ้นมาทันที

ขณะนั้นโครงกระดูกสีทองลุกขึ้นยืน แสงสีทองแสบตา โจมตีกับพลังปราณที่กระบี่ใหญ่ปล่อยออกมา

เอี๋ยนชิงยังไม่ทันตั้งตัว แสงสีทองทำลายพลังปราณของเขา ขณะเดียวกัน พลังอันแข็งแกร่ง ดันเขาไปอยู่ด้านหลังโครงกระดูกสีทอง จากนั้นมีแสงโจมตีใส่เอี๋ยนชิงอีก ทำให้เขาเข้าไปในประตูที่เปิดอยู่

เอี๋ยนชิงโดนไล่ออกจากจวนอากาศธาตุ โดยไม่ได้ขัดขืนแม้แต่น้อย

เอี๋ยนชิงกระแทกกับหินขนาดใหญ่ หินขนาดประมาณบ้านจนแตกเป็นชิ้นๆ ประตูหายไปอย่างไร้ร่องรอย

ไม่ไกลจากเขา ไม่ง่ายเลยกว่าหานเฟิงและคนอื่น จะหลุดออกจากพระเนตรสะกดของเอี๋ยนชิง และขยับได้เหมือนเดิม

เห็นเอี๋ยนชิงโดนกระแทกออกมา หานเฟิงโมโหทันที ตะโกนเสียงดังว่า “ให้ตายเถอะ เอี๋ยนชิงเอาชีวิตนายมา”

ฉู่เทียนที่อยู่ข้างๆ รั้งหานเฟิงเอาไว้

ฉู่สิงกัดฟัน โกรธจนตัวสั่นไปหมด เห็นได้ชัดว่าต้องการสู้กับเอี๋ยนชิง จนทนไม่ไหวแล้ว

ฉู่เทียนรั้งฉู่สิงเอาไว้เช่นกัน ดึงทั้งสองคน แล้วพูดว่า “กลับ!”

หานเฟิงตะโกนว่า “ศิษย์น้องลู่ฝานล่ะ ศิษย์น้องลู่ฝานยังไม่ออกมาเลย ศิษย์พี่รอง ปล่อยผม!”

ฉู่เทียนกัดฟัน ไม่พูดอะไร ลากหานเฟิงกับฉู่สิงกลับไป

เอี๋ยนชิงคุกเข่าข้างหนึ่งลงพื้น มองพวกหานเฟิงเดินออกไป กัดฟันพูดว่า “ถ้าตอนนี้ฉันไม่บาดเจ็บสาหัส พวกนายตายแน่ ลู่ฝานใช่ไหม ฉันจะจำชื่อนี้ไว้ คณะหนึ่งเดียวสารเลว!”

เลือดไหลออกมาจากมุมปากเอี๋ยนชิง ตอนนี้อาการในตัวเขาแย่มาก

จากนั้นมองไปตรงตำแหน่งที่ประตูหายไป ดวงตาของเอี๋ยนชิงฉายแววหวาดกลัว

เมื่อกี้สิ่งที่ทำให้เขาอกสั่นขวัญแขวนคืออะไรกันแน่ เป็นไปไม่ได้ ที่จะเป็นพลังของเด็กนั่น เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด

ต้องเป็นพลังของเซียนบำเพ็ญชี่ ที่ตายไปคนนั้น หลงเหลือเอาไว้แน่นอน

เอี๋ยนชิงสูดหายใจลึก พึมพำออกมาว่า “ต้องกลับไปรักษาก่อน คงต้องกลับมาเอาของในนั้นครั้งหน้า ไอ้เด็กน้อย ตอนนี้ฉันหวังว่านายจะมีชีวิตต่อไป รอเจอนายครั้งหน้า ฉันจะหั่นนายเป็นหมื่นชิ้นแน่นอน”

เอี๋ยนชิงลุกขึ้น ร่างกายกลายเป็นสายลม ออกไปอย่างรวดเร็ว

ในจวนธาตุอากาศ ลู่ฝานโดนแสงสีทองอันสงบ ปกคลุมเอาไว้ด้านใน

ตอนนี้สีหน้าลู่ฝานตกใจ มองโครงกระดูกสีทองด้านหน้า เริ่มมีเนื้อหนัง มีเส้นเลือดขึ้นมาอีกครั้ง

สุดท้ายชายวัยกลางคนหน้าตาเป็นมิตร ดูเหมือนเทพเซียน ปรากฏตัวตรงหน้าเขา

เสื้อผ้าบนตัว มีลายค่ายกลสือฟาง หม้อสือฟางในเข็มขัดลู่ฝานลอยออกมาเอง

ผู้ชายมีรอยยิ้ม พูดออกมาว่า “นายยอมเป็นผู้สืบทอดของฉันไหม”

เมื่อเอี๋ยนชิงแผดเสียงออกมาอย่างโมโห มังกรยาวสามสิบกว่าเมตร คำรามออกมา จากนั้นกลายเป็นสายลมสีขาวดำ พุ่งไปรอบๆ
วงแหวนแสงจำนวนนับไม่ถ้วน ปะทะกับพลังฟ้าดินที่ระเบิดออกมา พลังฟ้าดินอันรุนแรง เหมือนน้ำแข็งปะทะกับเปลวไฟ ละลายอย่างรวดเร็ว
เพียงชั่วพริบตา พลังฟ้าดินรอบๆ ที่ระเบิดออกมา โดนกระบวนท่าของเอี๋ยนชิงทำให้สงบลง
ลู่ฝานมองอย่างตกตะลึง จิตใจวูบไหว
ขนาดนี้แล้ว ยังไม่สามารถทำอะไรเอี๋ยนชิงได้
ความแตกต่างระหว่างพวกเขา ยังห่างชั้นกันมากจริงๆ
เอี๋ยนชิงหอบหายใจหนักหน่วง หน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อ
เอี๋ยนชิงโมโห บีบคอลู่ฝาน แล้วโยนเขาออกไปอย่างแรง
เสียงระเบิดดังขึ้นติดต่อกัน ลู่ฝานกระแทกกับพื้นหินศิลาดำ จนกลายเป็นหลุมลึก รอยแยกลึก ปรากฏขึ้นในโถงใหญ่ ลู่ฝานร่วงลงตรงหน้าโครงกระดูกสีทอง
ไม่ไกล เฒ่าประหลาดที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าโครงกระดูกสีทอง ได้สิ้นลมหายใจไปแล้ว
เฒ่าประหลาดโดนแผดเผาเลือดสารจำเป็นจนหมดสิ้น ไม่มีลมหายใจอีกแล้ว
โครงกระดูกสีทองหันมามองลู่ฝานช้าๆ ดวงตาที่เต็มไปด้วยหมอกควันหม่นหมอง ไม่เห็นความรู้สึกสักนิด ในนั้นเหมือนโลกอีกใบหนึ่ง
ลู่ฝานรู้สึกเหมือนเส้นลมปราณและกระดูกทั้งตัวขาด
ช่วงเวลาคับขัน พึ่งได้แค่ความสามารถในการฟื้นฟูร่างกาย อันแข็งแกร่งของตัวเอง ถึงทำให้เขาไม่สลบไป
“จะตายแล้วงั้นเหรอ งั้นก็ยืนตายซะเถอะ!”
ลู่ฝานกลั้นหายใจ เอาพลังเฮือกสุดท้ายออกมา ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน
เคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย ทำให้เขารู้สึกเจ็บไปถึงหัวใจ เกราะบนตัวไม่ปรากฏออกมาแล้ว เผยให้เห็นตัวลู่ฝาน ที่มีแต่เลือด
ค่ายกลเบญจธาตุในตันเถียนโงนเงนไปมา
ค่ายกลหยินหยางในสมอง ค่อยๆ ทรุดลง
เห็นลู่ฝานยังยืนขึ้นได้ในสภาพแบบนี้ เอี๋ยนชิงก่นด่าออกมา
“ให้ตายเถอะ ไอ้เด็กนี่ ยังกล้าลุกขึ้นมาอีก สวะอย่างนาย บนตัวยังมีเครื่องรางค่ายกลของผู้ฝึกชี่ วันนี้ถ้าฉันไม่หั่นนายเป็นหมื่นชิ้น ฉันคงไม่หายโมโห”
เอี๋ยนชิงเคียดแค้นถึงขีดสุด ครั้งนี้เขาอับอายขายหน้ามาก เมื่อครู่เขาใช้ขุมพลังหยินหยางหมดไป 60 เปอร์เซ็นต์ นั่นเป็นสิ่งที่เขาสั่งสมจากการฝึกฝนวิชาหยินหยางไท่จี๋อย่างยากลำบากมาสามปี ความเสียหายนี้ เกินกว่ายาทิพย์หนึ่งเม็ด และทั้งหมดนี้ เขาคิดว่าเป็นเพราะเครื่องรางค่ายกลบนตัวลู่ฝานเท่านั้น นี่เป็นวิถีที่ผู้ฝึกชี่แข็งแกร่งสามารถทำได้ภายในหนึ่งครั้ง ไม่ธรรมดาเลย พลานุภาพไม่ธรรมดา พูดจากความรู้ทั่วไป การพิจารณานี้ถูกต้อง แต่เขาคงคิดไม่ถึงว่า ลู่ฝานอาศัยพลังตัวเอง ตั้งค่ายกลทำลายห้าธาตุค่ายเล็ก
เขาง้างมือขึ้น กระบี่ใหญ่ยาวสีดำปรากฏขึ้นในมือเขา
ด้ามกระบี่เหมือนหัวมังกร ตัวกระบี่มีลายมังกร
กระบี่ยักษ์พลังปราณ ยาวถึงหกสิบเมตร กว้างสิบเมตร ปรากฏออกมา
ออร่าอันแข็งแกร่งเหมือนสายลมบ้าคลั่งพัดมา จนแขนเสื้อลู่ฝานปลิว
เสื้อเปื้อนเลือดสะบัดอย่างรุนแรง ลู่ฝานเนื้อตัวเต็มไปด้วยเลือด เงยหน้าขึ้นมา
สายตามองไปยังกระบี่ยาวสีดำขนาดใหญ่ในมือเอี๋ยนชิง ลู่ฝานรู้สึกว่าสภาพจิตใจตัวเองตอนนี้ปลอดโปร่ง
รอดแล้วยังไง ตายแล้วยังไง โลกจะเป็นยังไงอีก
เอี๋ยนชิงฟาดกระบี่ลงมา ด้วยสีหน้าโหดเหี้ยม
ตอนนี้ กระบี่ใหญ่ที่เร็วเหมือนสายฟ้าแลบ ลู่ฝานกลับช้าจนเห็นลายพลังที่ไหลเวียนอยู่บนกระบี่ และเส้นทางที่กระบี่ฟันลงมา
“น่าเสียดาย ตัวเองยังมีอีกหลายเรื่อง ที่ยังไม่ได้ทำ”
ลู่ฝานทอดถอนใจ แต่ประกายในแววตากลับแหลมคมขึ้นมา

ลู่ฝานเจ็บจนเกือบสลบไป ถึงมีเกราะปกคลุมบนตัว แต่เตะของเอี๋ยนชิงทำให้กระดูกซี่โครงของเขา หักไปอย่างน้อยสามซี่

ลู่ฝานฝืนกระโดดออกจากเสาหิน พุ่งประชิดกระแทกเข้ากับตัวเอี๋ยนชิง

เอี๋ยนชิงตัวโงนเงน ส่วนลู่ฝานใช้แรงสะท้อนกลับ กลิ้งตัวหลายสิบครั้ง มาอีกด้านหนึ่ง

ลู่ฝานหมอบอยู่บนพื้น หายใจรุนแรง หยิบกระบี่หนัก ที่ตกอยู่ข้างๆ ขึ้นมา

“คิดไม่ถึงว่ามีเคล็ดวิชาป้องกันตัวแบบนี้ ไอ้เด็กน้อย นายทำให้ฉันสนใจซะแล้ว ถ้านายเป็นคนคณะหยินหยาง ฉันยังไว้ชีวิตนายได้ น่าเสียดาย นายเป็นคนคณะอื่น ฉันจัดการศัตรู แบบถอนรากถอนโคนมาโดยตลอด”

โจมตีสองครั้ง แต่ไม่สามารถฆ่าลู่ฝานได้ ตอนนี้เอี๋ยนชิงโมโหมาก รอยยิ้มมุมปาก ดูโหดเหี้ยม

ขยับไปทางซ้ายสองสามก้าว เอี๋ยนชิงตั้งสมาธิ จะจัดการลู่ฝานที่นี่

ตำแหน่งการยืนของเขา ปิดโอกาสหนีของลู่ฝานไว้ทั้งหมด จากนั้นเขาเดินไปหาลู่ฝานช้าๆ

นี่เป็นท่าทางกดดันอย่างหนึ่ง เอี๋ยนชิงจะลงมือสุดแรง ปล่อยพลานุภาพของยอดฝึมือปราณชีวิต ออกมาข่มขวัญ

นักบู๊แดนปราณนอก แดนปราณใน ใช้แรงเต็มที่ก็ทำได้แค่มีท่าทีข่มขวัญคน แต่เมื่อถึงแดนปราณชีวิต พลังปราณกระตุ้นฟ้าดิน พลานุภาพแปรเปลี่ยนเป็นวิธีมากมาย

อย่างเช่น เสียงฝีเท้าของเอี๋ยนชิงในตอนนี้ ถ้านักบู๊ที่สติปัญญาไม่แน่วแน่ ต่อสู้กับเขา ต้องโดนเสียงฝีเท้าของเขาทำลายจังหวะ อีกทั้งยังทำให้พลังปราณของอีกฝ่ายเคลื่อนไหวช้าลงด้วย

เอี๋ยนชิงมาถึงหน้าลู่ฝาน ด้วยท่าทียโสและเหยียดหยาม “จะถามอีกครั้ง ยอมหรือไม่ยอม!”

ลู่ฝานยืนขึ้นอีกครั้ง สูดหายใจลึก หัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “ยอมบ้านพ่อนายสิ!”

ลู่ฝานยกกระบี่ขึ้นมา ใช้กระบวนท่ากระบี่ที่ตัวเองใช้เป็น ปลดปล่อยออกมาทั้งหมด

ตอนนี้ ลู่ฝานระเบิดศักยภาพตัวเองออกมา แสงกระบี่เหมือนดอกไม้เบ่งบาน เพียงพริบตา ลู่ฝานฟันกระบี่ลงไปเป็นร้อยครั้ง

ทุกกระบี่มีพลังระเบิด เสียงระเบิดดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ชี่ที่ปกคลุมตัวเอี๋ยนชิงโดนโจมตีจนสั่นไหว เอี๋ยนชิงแผดเสียงออกมา มือกลายเป็นกรงเล็บมังกร จับกระบี่หนักของลู่ฝานทันที

เมื่อจับกระบี่ เอี๋ยนชิงรู้สึกผิดปกติ พลังปราณบนตัวเขาโดนกระบี่ไม่คมขจัดออกไปอย่างต่อเนื่อง เมื่อเขาจับมัน เดิมทีจะหักอาวุธของลู่ฝาน แต่คิดไม่ถึงว่า เมื่อจับลงไป กระบี่หนักของลู่ฝานไม่เป็นอะไรเลย มือของเขากลับมีรอยเลือดปรากฏขึ้นมา

มีประกายฉายในแววตา พลังปราณบนตัวเอี๋ยนชิงกลายเป็นงูขนาดใหญ่ พันตัวลู่ฝานเอาไว้แน่น

“ไอ้เด็กน้อย ฉันจะดูสิว่านายถึกแค่ไหน!”

หมัดกระแทกลงบนหน้าลู่ฝาน ลู่ฝานกระอักเลือดออกมา เกราะโดนกระแทกจนยุบ

มือซ้ายของเอี๋ยนชิงกลายเป็นเงา ซัดหมัดออกไปอย่างต่อเนื่อง

แต่ละหมัด ทำให้เกราะของลู่ฝานเปลี่ยนรูป เกราะที่สว่างไสวมีพลานุภาพดุดัน โดนกระแทกจนแสงริบหรี่ เสียหายเรื่อยๆ

ลู่ฝานฝืนไม่ให้ตัวเองสลบ ขยับแขนซ้ายเล็กน้อย พลังฟ้าดินรอบๆ ล้อมรอบเอี๋ยนชิง ขณะที่เอี๋ยนชิงไม่ทันได้สังเกต

เอี๋ยนชิงซัดหมัดไปกระแทกข้อมือขวาของลู่ฝาน

พลังหมัดกระแทกจนเกราะแตก กระดูกข้อมือของลู่ฝาน โดนกระแทกจนหัก กระบี่หนัก ร่วงลงไปในมือเอี๋ยนชิง

“กระบี่เล่มนี้ไม่เลว ไอ้เด็กน้อย กระบี่ของนาย ฉันเก็บไว้ละกัน”

เอี๋ยนชิงมองลู่ฝานอย่างเฉยเมย จับกระบี่หนักไว้ในมือ จากนั้นยัดเข้าไปในแหวนของเขา

ลู่ฝานมีเลือดหยดตรงมุมปาก หัวเราะแล้วพูดว่า “น่าเสียดาย นายเอาไปไม่ได้หรอก”

พูดจบ มือซ้ายของลู่ฝาน วาดยันต์อันสุดท้าย

จู่ๆ เอี๋ยนชิงรู้สึกถึงพลังที่ทำให้เขาอกสั่นขวัญแขวน จากด้านล่างเท้าของตัวเอง เขาก้มลงมอง

ทันใดนั้น เอี๋ยนชิงเห็นค่ายกลห้าธาตุขนาดใหญ่ ก่อตัวอยู่ด้านล่างเท้าของเขา ลำแสงหนึ่งพุ่งขึ้นมา

“อะไรกัน”

เอี๋ยนชิงพูดอย่างตกใจ

ลำแสงน่ากลัวของห้าธาตุ สาดส่องไปทั่วตำหนักจนขาวโพลน

อากาศเวิ้งว้างที่ลอยอยู่รอบๆ แตกเหมือนฟอง ลู่ฝานกระตุ้นพลังฟ้าดินรอบๆ นี่เป็นการต่อสู้ที่พังพินาศไปด้วยกัน เรียกว่า ค่ายกลทำลายห้าธาตุค่ายเล็ก

ภาพลวงตาของสัตว์ห้าธาตุมากมาย ปรากฏออกมา คำรามและวิ่งอยู่ในตำหนัก

ลู่ฝานใช้ปราณชี่สุดท้ายจนหมด มองแสงห้าธาตุพุ่งเข้ามา เตรียมจะกลืนกินเขาเข้าไป

เอี๋ยนชิงตกใจ ชี่ที่ปกคลุม กลายเป็นมังกรสีดำ ปกป้องพื้นที่บริเวณสิบเมตร รอบตัวเขา รวมไปถึงลู่ฝาน ไม่ได้โดนแสงห้าธาตุฆ่าในทันที

แสงทั้งหมด ชนกับพลังปราณของเอี๋ยนชิง

เอี๋ยนชิงกระอักเลือดออกมาอย่างต่อเนื่อง ให้ตายเถอะ ทำไมพลังฟ้าดินที่นี่ ถึงรุนแรงเช่นนี้

ถ้าเป็นผู้ฝึกชี่ คงไม่กลัวเท่าไร ไม่มีอะไรมากไปกว่า ห้าธาตุปกป้องร่างกาย แค่ลบล้างค่ายกลก็จบแล้ว จากผลการฝึกตนของลู่ฝานในตอนนี้ แม้กระตุ้นเลือดสารจำเป็นของตัวเอง เสี่ยงชีวิต อย่างมากจัดการได้แค่อาจารย์บำเพ็ญชี่ขั้นพื้นฐาน หรือไม่ก็ขั้นกลาง จะจัดการอาจารย์บำเพ็ญชี่ที่เก่งกาจ ไม่มีความเป็นไปได้เลย

แต่ใช้จัดการนักบู๊แท้ๆ อย่างเอี๋ยนชิง พลานุภาพของกระบวนท่านี้ เพียงพอแล้ว แม้ฆ่าเอี๋ยนชิงไม่ตาย แต่ก็ทำให้เขาต้องจ่ายอย่างแสนสาหัส

เอี๋ยนชิงตะโกนเสียงดัง

“อยากฆ่าฉัน ไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก หยินหยางแปรเปลี่ยนไท่จี๋ ทำลายมันซะ!”

สีหน้าของเอี๋ยนชิงแปรเปลี่ยนจากตกใจ เป็นโหดเหี้ยม

ใบหน้าขาวของเขา ค่อยๆ เป็นสีแดง ขมวดคิ้วแน่น ในแววตาที่หรี่ลงนั้น มีความอาฆาตแวบขึ้นมา

“ที่แท้ นายคือผู้แข็งแกร่งของคณะหนึ่งเดียว น่าเสียดาย เมื่ออยู่ต่อหน้าฉัน นายก็ยังอ่อนแอจนน่าเวทนา คุกเข่าลง!”

พลังปราณทั้งตัวเอี๋ยนชิงปลดปล่อยออกมา พลังปราณอันน่ากลัว รวมตัวเป็นค่ายกลปราณบู๊ส่องสว่างอยู่ด้านหลังเอี๋ยนชิง

มังกรฟ้า เสือขาว หงส์แดง เต่าดำ สัตว์เทพสี่ตัว รวมตัวกัน พลังปราณสีดำเหมือนคลื่นทะลัก เอี๋ยนชิงยกมือขึ้น กดลู่ฝานกลางอากาศ

“พลังสัตว์เทพ!”

ทันใดนั้น ลู่ฝานรู้สึกเหมือนพลังฟ้าถล่มกระแทกลงบนตัวเขา พลังอันน่ากลัวทำให้ขาทั้งสองข้างของเขา จมลงไปในหินศิลาดำ รอยร้าวนับไม่ถ้วนแผ่ออกไป พลังฟ้าดินรอบๆ รุนแรงเป็นอย่างมาก

กล้ามเนื้อทั้งตัวลู่ฝาน ถูกกดดันเอาไว้ ปราณชี่ที่ปล่อยออกมา โดนกดจนติดผิวหนัง

ข้อกระดูกแขนทั้งสองข้าง รับแรงมหาศาลเอาไว้ จนเกิดเสียงกระดูกลั่น

แต่ลู่ฝานยังยืนอยู่ที่เดิม

“ให้ฉันคุกเข่า นายไม่มีสิทธิ์นั้น!”

ลู่ฝานถือกระบี่หนัก ฟันใส่เอี๋ยนชิง

“พลังวิญญาณ!”

กระบี่ฟันลงกลางอากาศ ตัวของเอี๋ยนชิงเซไปมา

พลังวิญญาณอันน่ากลัว ทำให้สมองของเอี๋ยนชิงได้รับการกระแทก

ขณะนั้น ตรงคอของเอี๋ยนชิงเกิดลำแสงสีขาว ปกป้องศีรษะเขา ต้านทานพลังวิญญาณเอาไว้ทั้งหมด

เอี๋ยนชิงส่งเสียงหึ ตัวเหมือนภาพลวงตา มาโผล่ตรงหน้าลู่ฝาน

เอี๋ยนชิงซัดหมัดไปตรงอกลู่ฝานอย่างแม่นยำ

พลังหมัดอันน่ากลัวเหมือนสัตว์ประหลาดกลืนกินแสง ขจัดปราณชี่ของลู่ฝานไปจนหมด

“หมัดสยบใต้หล้า!”

รอยยุบประหลาด ปรากฏตรงหน้าอกลู่ฝาน อวัยวะภายในปั่นป่วน ความเจ็บแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย

ลู่ฝานกัดฟันจนเกิดเสียง และสะบัดกระบี่ออกไป

กระบี่หนักฟันลงบนตัวเอี๋ยนชิง หลงเหลือไว้เพียงประกายไฟ

ทั้งสองคนมีแดนผลการฝึกตน แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว ให้ลู่ฝานโจมตีอย่างเฉียบคม ไม่มีประโยชน์อะไรเลยสักนิด

เอี๋ยนชิงตวัดขา แตะไปที่เอวลู่ฝาน

พลังอันน่ากลัวทำให้ลู่ฝานกระเด็นออกไปไกล กระแทกกับเสาหินข้างๆ จนเกิดเสียงดังอึกทึก

เอี๋ยนชิงมองส่วนที่ตัวเองโดนโจมตี ปัดฝุ่นบนเสื้อเบาๆ พูดอย่างราบเรียบว่า “คนอ่อนแอ”

ไม่มีส่วนไหนบนร่างกายลู่ฝาน ที่ไม่เจ็บปวด รู้สึกเหมือนมีอะไรในลำคอ นั่นคือความรู้สึกที่เลือดพุ่งขึ้นมา

ลู่ฝานกระอักเลือดออกมา เขาคงไม่สามารถใช้แรงฝืนสู้ได้อีก

ดวงตาสองข้างของลู่ฝานเต็มไปด้วยเลือด กลืนเลือดกลับลงไป เคลื่อนไหวปราณชี่ของตัวเองอีกครั้ง

ตอนนี้ พลังฟ้าดินรอบๆ เริ่มรวมตัวกันทีละนิด

เอี๋ยนชิงมองลู่ฝาน แล้วเดินเข้ามา ฝีเท้าชัดเจนจนผิดปกติ เหมือนเหยียบลงบนหูลู่ฝาน

“ยอมไหม ถ้ายอม คุกเข่าขอโทษฉันซะ!”

เอี๋ยนชิงพูดอย่างราบเรียบ

ลู่ฝานตั้งกระบี่หนักบนพื้น ฝืนลุกขึ้นมา “มีปัญญา ก็ฆ่าฉันสิ ไอ้เด็กน้อย จะให้ฉันยอมนาย รอชาติหน้าเถอะ”

ลู่ฝานฉีกยิ้ม เลือดหยดลงมาจากมุมปาก

อาจเป็นเพราะอยู่กับศิษย์พี่หานเฟิงมานาน ลู่ฝานจึงรู้จักใช้คำพูดยั่วโมโหอีกฝ่าย

นี่เป็นวิธีและกลยุทธ์การต่อสู้ เมื่อเผชิญหน้ากับคนที่แข็งแกร่งกว่าตัวเอง แค่อีกฝ่ายหัวร้อน ถึงจะมีโอกาสชนะ

เอี๋ยนชิงโดนยั่วจนโมโห เร่งฝีเท้าเร็วขึ้น พลังปราณบนตัวพลุ่งพล่าน

“ไอ้เด็กน้อย นายไม่ควรยั่วโมโหฉัน ปากดี จะตายเอานะ!”

เอี๋ยนชิงมาถึงหน้าลู่ฝาน ลู่ฝานแอบนับระยะห่าง ยี่สิบก้าว สิบก้าว ห้าก้าว

เอี๋ยนชิงซัดหมัดโจมตีกลางอากาศอีกครั้ง ลู่ฝานก็ลงมือเช่นกัน

กระบี่หนักกันเอาไว้ หมัดของเอี๋ยนชิงกระแทกลงบนกระบี่หนักไม่คม เสียงดังชิ้ง

กระบี่ไม่คมของลู่ฝาน พุ่งออกไป เอี๋ยนชิงตกใจเล็กน้อย ตอนนี้ ลู่ฝานที่หลบหลังกระบี่หนัก ลงมือแล้ว

หมัดถล่มเขาอู๋เซี่ยง!

หมัดอู๋เซี่ยงบวกกับหมัดทำลายล้าง บวกกับหมัดถล่มเขา พลังหมัดทั้งสามรวมเป็นหนึ่งเดียว ตัวลู่ฝานแดงทั้งตัว พลานุภาพหมัดพลุ่งพล่าน

พลังหมัดอันน่ากลัว พุ่งตรงไปที่หัวเอี๋ยนชิง ขณะที่เอี๋ยนชิงกำลังอึ้ง หมัดของลู่ฝาน กระแทกไปบนหน้าเอี๋ยนชิง แสงสาดกระจายไปทั่ว

ชี่ที่ปกคลุมตัวเอี๋ยนชิงโดนกระแทกจนยุบ ซีกหน้าโดนต่อยจนบิดเบี้ยวเล็กน้อย

ความอาฆาตฉายขึ้นในแววตาเอี๋ยนชิงเขาคิดไม่ถึงว่า ลู่ฝานจะโจมตีอย่างเฉียบคมได้ในสถานการณ์เช่นนี้ ถ้าผลการฝึกตนของลู่ฝานแข็งแกร่งกว่านี้ หมัดนี้คงทำร้ายเขาได้เลยสินะ

เอี๋ยนชิงรู้สึกว่าชี่ที่ปกคลุมตัวเอง แทบจะป้องกันไม่ได้แล้ว พลานุภาพของหมัดลู่ฝาน เหนือกว่านักบู๊แดนปราณนอกขั้น 2-3 แน่นอน

เอี๋ยนชิงหงุดหงิดจนโมโห ถ้าโดนไอ้เด็กแดนปราณในทำร้าย พูดออกไป เขาจะเอาหน้าไปไว้ไหน!

เขายกขาเตะไปที่หัวใจลู่ฝาน

เมื่อเตะลงไป เกิดเสียงอึกทึกดังไปทั่วตำหนัก เกราะบนตัวลู่ฝาน ปรากฏออกมา ปกคลุมตัวเอาไว้

เอี๋ยนชิงเตะลู่ฝาน จนตัวฝังเข้าไปในเสาหิน

“มีความสามารถน้อยนิด แต่คิดทำการใหญ่ ไม่เจียมตัว”

เอี๋ยนชิงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม แต่พลังปราณบนตัว ปล่อยออกมาอย่างรุนแรง ทันใดนั้น ฉู่สิงกับหานเฟิงกระเด็นออกไปทันที พลังปราณสีดำมาพร้อมกับเสียงระเบิด เหมือนหมัดนับไม่ถ้วน กระแทกลงบนตัวฉู่สิงกับหานเฟิง ทั้งสองโดนกระแทกจนกระเด็นไปหลายสามสิบเมตร

ฉู่เทียนรีบเดินเข้ามา ฟันดาบไปทางเอี๋ยนชิง

พลังดาบแผ่ซ่าน ความแหลมคมของแสงดาบ ทำให้เอี๋ยนชิงขมวดคิ้วเบาๆ และหลีกทางเล็กน้อย

หลบดาบของฉู่เทียนเพียงมิลลิเมตร เอี๋ยนชิงยื่นนิ้วออกมาหนึ่งนิ้ว แตะไปที่อกฉู่เทียน

“โดน!”

เลือดพุ่งออกมา อกของฉู่เทียนโดนทิ่มเป็นรูเล็ก

ฉู่เทียนตัวโงนเงน แต่ไม่ได้เซถอยหลัง พลิกมือใช้วิชาดาบอีกครั้ง

วิชาดาบที่ยืดหยุ่นได้ ฟันจนเกิดประกายไฟบนตัวเอี๋ยนชิง ในเวลาเดียวกัน ลู่ฝานพุ่งเข้ามา ยกกระบี่หนักขึ้น ลู่ฝานระเบิดพลังปราณ 20 เท่าของตัวเองทันที

“กระบี่มังกรเหิน!”

กระบี่ฟันตรงๆ ไปที่เอวของเอี๋ยนชิง พลังปราณ 20 เท่าทำให้ชี่ที่ปกคลุมร่างกายเอี๋ยนชิงสั่นรุนแรง

“เอ๊ะ”

เอี๋ยนชิงตกใจเล็กน้อย มองลู่ฝานอีกครั้ง

จากนั้น เอี๋ยนชิงหรี่ตาลง แล้วพูดว่า “คนกระจอกกล้ามาสู้กับผู้ยิ่งใหญ่! พระเนตรสะกด เปิด!”

ตาทั้งสองข้างของเอี๋ยนชิงมีแสงน่าตกใจพุ่งออกมา ฉู่เทียนกับลู่ฝานที่อยู่ใกล้สุด โดนแสงส่อง ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมทันที

ลู่ฝานรู้สึกเหมือนร่างกายตัวเองเป็นหิน ปราณชี่ในตัวเคลื่อนไหวช้าลง พลังอันน่ากลัวระงับการเคลื่อนไหวของเขาเอาไว้

วินาทีนั้น ลู่ฝานรู้สึกเหมือนภูเขาขนาดใหญ่ หนีบเขาเอาไว้ตรงกลาง ไม่สามารถขยับได้ ขนาดหายใจยังลำบาก

ตอนนี้ดวงตาทั้งสองข้างของเอี๋ยนชิง เหมือนสัตว์ประหลาด แปลกประหลาด ชั่วร้าย เต็มไปด้วยสีดำและสีแดง

ฉู่สิงกับหานเฟิงที่เพิ่งลุกขึ้นมา โดนพระเนตรสะกดของเอี๋ยนชิงสาดส่องมาเช่นกัน ยืนนิ่งที่เดิมทันที

แสงค่อยๆ หายไป ลู่ฝานเห็นตรงหว่างคิ้วของเอี๋ยนชิง มีกล้ามเนื้อกระตุกเบาๆ เหมือนจะทะลุออกมาจากตรงกลาง

แสงในดวงตาหายไป เอี๋ยนชิงพูดว่า “พวกพละกำลังไม่เกินแดนปราณใน กล้าเหิมเกริมต่อหน้าฉัน เอาเลือดสารจำเป็นของพวกนายออกมา”

พลังปราณบนตัวเอี๋ยนชิงแยกออกเหมือนหนวดหมึก ที่ไร้รูปร่างนับไม่ถ้วน พันพวกลู่ฝานทั้งสี่คนเอาไว้ หนวดสองสามหนวด เข้าไปในตา จมูก ปาก หู ของพวกลู่ฝาน

วินาทีต่อมา ลู่ฝานเห็นศิษย์พี่ของตัวเอง เริ่มมีเลือดออกเจ็ดทวาร เลือดสดไหลจากใบหน้าลงบนพื้น และไหลไปทางเฒ่าประหลาด

เอี๋ยนชิงตบพลังปราณลงบนพื้น วินาทีต่อมา ด้านล่างตัวเฒ่าประหลาดปรากฏเป็นค่ายกลที่รวมตัวจากพลังปราณ

ตอนเลือดสดสัมผัสกับค่ายกล มีแสงสีแดงก่ำสว่างขึ้น ออร่าบนตัวเฒ่าประหลาดพลุ่งพล่านขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้ ใบหน้าเฒ่าประหลาดเกิดการเปลี่ยนแปลง

เฒ่าประหลาดค่อยๆ หนุ่มขึ้น ผิวหนังแห้งกร้าน กลับมาชุ่มชื่นอีกครั้ง ใบหน้าชรา หนุ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

ตอนนี้ อายุของเฒ่าประหลาดเกิดการย้อนกลับ ไม่นาน เฒ่าประหลาดกลับไปเป็นอายุ 20-30 ปี

ลู่ฝานยังต่อสู้กับพลังปราณของเอี๋ยนชิงในร่างกายตัวเอง พลังปราณของเอี๋ยนชิงมีพลานุภาพทำลายทุกสิ่ง สร้างความเสียหายในตัวลู่ฝาน อย่างบ้าคลั่ง สิ่งเดียวที่สามารถต้านทานมันได้ นั่นก็คือปราณชี่ในตัวลู่ฝานที่ดูเหมือน “อ่อนแอ” มาก

สิ่งที่แตกต่างจากพวกศิษย์พี่คือ ลู่ฝานไม่ได้เลือดออกเจ็ดทวาร แต่กลับรู้สึกว่า ตัวเองเริ่มเคลื่อนไหวได้

ปราณชี่ของเขาปล่อยพลังป้องกันอันแข็งแกร่งออกมา จากพลังปราณของเอี๋ยนชิงที่เหนือกว่าเขาหลายสิบขั้น ไม่น่าจะทำลายปราณชี่ของเขาได้

ยังดีที่ตอนนี้ เอี๋ยนชิงจดจ่อกับเฒ่าประหลาด

มองออร่าของเฒ่าประหลาดที่แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ อย่างพอใจ ใกล้ถึงนักเรกิแล้ว

การยกระดับที่ฝืนเช่นนี้ ไม่เพียงแต่ต้องใช้เลือดสารจำเป็นของคนอื่น เลือดสารจำเป็นของตัวเอง ก็โดนแผดเผาไปด้วย ภายใต้การควบคุมของเอี๋ยนชิง เฒ่าประหลาด ได้จุดไฟชีวิตของตัวเองแล้ว ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เมื่อเขาถึงขั้นสูงสุด จะเป็นช่วงที่เขาต้องจบชีวิตลง

ทันใดนั้น ออร่าบนตัวเฒ่าประหลาดพลุ่งพล่าน

นี่คือการก้าวเข้าสู่นักเรกิ แต่เฒ่าประหลาดเจ็บปวดจนตัวกระตุก

เอี๋ยนชิงหัวเราะอย่างมีความสุข

โครงกระดูกสีทองเงยหน้าขึ้น พูดเสียงก้อง “นักเรกิที่คุกเข่าตรงหน้าฉัน แม้พละกำลังของนายเพียงพอ แต่ทำไมออร่าอ่อนแอเช่นนี้ นายไม่มีคุณสมบัติเป็นผู้สืบทอดของฉัน!”

เพียงประโยคเดียว ทำให้เอี๋ยนชิงสีหน้าเปลี่ยนไปทันที

ลู่ฝานแผดเสียงออกมา ตอนนี้แหละ!

ทันใดนั้น ลู่ฝานระเบิดพลังอันแข็งแกร่งออกมา พร้อมกับปราณชี่ของเขา และพลังปราณของเอี๋ยนชิงก็ระเบิดออกมาด้วย

พลิกมือสะบัดกระบี่หนัก ลู่ฝานตบฉู่เทียนออกไป

ลู่ฝานเดินเข้ามา และตวัดกระบี่สองครั้ง ฉู่สิงกับหานเฟิงกระเด็นออกไป

ทั้งสามคนลอยเป็นเส้นโค้งงดงาม ไปยังประตูด้านหลังโครงกระดูกสีทอง

“ศิษย์น้องลู่ฝาน!”

หานเฟิงตะโกนกลางอากาศ

ลู่ฝานกัดฟันพูดว่า “อย่ากลับมา!”

พวกหานเฟิงกระเด็นเข้าไปในประตู ปลิวออกจากจวนอากาศธาตุ

เอี๋ยนชิงมีสีหน้าตกตะลึง จากนั้นพูดเสียงดังว่า “นายหลุดพ้นจากพระเนตรสะกดของฉัน เป็นไปไม่ได้!”

ลู่ฝานตั้งกระบี่ตรง แล้วพูดว่า “นี่หมายความว่าพระเนตรสะกดของนาย ใช้ไม่ได้!”

“แต่นายไม่ใช่ผู้ฝึกชี่ นายไม่มีทางได้เครื่องรางของอริยปราชญ์”
เฒ่าประหลาดกัดฟันพูดออกมา
แววตาเอี๋ยนชิงเย็นชาลง จ้องใบหน้า ที่เต็มไปด้วยรอยตีนกาของเฒ่าประหลาด “ใช่ ฉันไม่ใช่ แต่นายใช่!”
พูดพลาง เอี๋ยนชิงเดินเข้ามา จับตัวเฒ่าประหลาดเอาไว้
พลังชี่ที่เพิ่งปล่อยออกมาจากตัว โดนแรงระเบิดรุนแรง ของเอี๋ยนชิงทำลายจนหมด
เอี๋ยนชิงใช้แรงตรงนิ้วมือ จับแขนเสื้อเฒ่าประหลาดเหวี่ยงมาด้านหน้าโครงกระดูกสีทอง
เฒ่าประหลาดโดนกระแทกจนเลือดสาด พวกลู่ฝานที่ยืนอยู่ข้างๆ ขมวดคิ้วขึ้นมา
แม้พวกเขา ไม่ได้พัวพันกับเฒ่าประหลาด อีกทั้งยังสะอิดสะเอียน คนแบบเฒ่าประหลาด แต่เห็นเฒ่าประหลาดโดนเอี๋ยนชิงข่มเหงขนาดนี้ สีหน้าทั้งสี่คน เปลี่ยนไปเล็กน้อย
เอี๋ยนชิงเคลื่อนตัวเข้ามาด้านหน้า เตะลงบนน่องของเฒ่าประหลาด
เสียงกระดูกแตกที่ทำให้คนเสียวฟันดังขึ้น เฒ่าประหลาดคุกเข่าข้างหนึ่งลงบนพื้น ส่งเสียงร้องโอดครวญออกมา
เอี๋ยนชิงสีหน้านิ่งสงบ อีกทั้งมีรอยยิ้มบนใบหน้า กระแทกขาอีกข้างของเฒ่าประหลาดจนหัก เลือดพุ่งออกมา เอี๋ยนชิงก้มตัวลง หักขาของเฒ่าประหลาดทีละท่อน หัวเราะแล้วพูดว่า “คนอย่างฉัน ได้เรียนรู้มากมาย อยู่ในคณะหยินหยางมา 5-6 ปี เรียนเคล็ดวิชา วิชาทักษะลับต่างๆ มาไม่น้อย เรียกได้ว่าความรู้กว้างขวาง แม้ฉันไม่ใช่ผู้ฝึกชี่ แต่ฉันรู้วิชาที่ช่วยพวกผู้ฝึกชี่ คุณเฟิงหลิง เคยได้ยินวิชากลั่นเลือดหรือเปล่า”
เฒ่าประหลาดได้ยินคำว่าวิชากลั่นเลือด ก็ตะโกนออกมาอย่างบ้าคลั่ง
“เอี๋ยนชิง นายห้ามทำแบบนี้ ฉันเป็นเพื่อนสนิทกับอาจารย์นาย ฉันแขวนแผ่นชีวิตในสถาบันสอนวิชาบู๊ ถ้าฉันเป็นอะไรไป นายไม่รอดแน่ นายจะโดนสถาบันสอนวิชาบู๊ลบล้างผลการฝึกตน และไล่ออก”
เอี๋ยนชิงขมวดคิ้วเบาๆ แล้วพูดว่า “นายแขวนแผ่นชีวิตในสถาบันด้วยเหรอ นี่ทำให้ฉันจัดการยากแล้ว ดูเหมือนฉันต้องตบตาเรื่องการตายของนายสักหน่อยแล้ว”
เฒ่าประหลาดเริ่มดิ้นสุดชีวิต เขาหันตัวมา ทั้งสองมือมีกรวยแหลมที่ก่อตัวจากพลังชี่ จะแทงไปที่ลิ้นปี่ของเอี๋ยนชิง
เอี๋ยนชิงแค่ปล่อยพลังปราณของตัวเองออกมา ก็กันกระบวนท่าของเฒ่าประหลาดได้สบายๆ
“อยู่นิ่งๆ ถึงจะมีโอกาสรอด เรื่องแค่นี้ นายไม่เข้าใจหรือไง”
มีเปลวไฟสีดำขาวก่อตัวขึ้นในมือเอี๋ยนชิง นี่เป็นแสงที่เป็นเอกลักษณ์ของวิชาหยินหยางไท่จี๋ของคณะหยินหยาง
ฝ่ามือตบลงบนหัวเฒ่าประหลาดเบาๆ ความมีชีวิตชีวาในดวงตาเฒ่าประหลาดหายไป เหลือเพียงหมอกสีเทาหม่นหมอง
เอี๋ยนชิงรีบจัดท่ากราบแบบเบญจางคประดิษฐ์ ให้เฒ่าประหลาด หันมามองพวกลู่ฝาน แล้วยิ้มอย่างผ่อนคลาย เป็นระยะๆ
หานเฟิงถามฉู่เทียนเบาๆ ว่า “ศิษย์พี่ฉู่เทียน เขากำลังทำอะไร วิชากลั่นเลือดคืออะไร”
ฉู่เทียนส่ายหน้าเบาๆ เขาก็ไม่รู้เหมือนกัน
ลู่ฝานรู้สึกเหมือนตัวเองเคยได้ยิน แต่นึกรายละเอียดไม่ออก อาจารย์หวูเฉินน่าจะเคยพูดออกมา ลู่ฝานจำได้รางๆ วิชากลั่นเลือดเป็นสิ่งที่ไม่ดีเป็นอย่างมาก ดังนั้นลู่ฝานจับด้ามกระบี่หนัก ของตัวเองเอาไว้แน่น
เอี๋ยนชิงปัดมือไปมา รอยยิ้มเต็มใบหน้า
เอี๋ยนชิงหันมามองหน้าพวกลู่ฝาน แล้วพูดว่า “โอเค ตอนนี้ขอให้พวกนาย หลั่งเลือดออกมาสักหน่อย”
ทั้งสี่คนอึ้งไปทันที ฉู่เทียนพูดเย็นชาว่า “เอี๋ยนชิง นายจะทำอะไร”
เอี๋ยนชิงพูดว่า “ดูเหมือนพวกนายไม่รู้ว่า วิชากลั่นเลือดคืออะไรสินะ อันที่จริงมันง่ายมาก วิชากลั่นเลือด ตามชื่อมันเลย นั่นก็คือกระตุ้นด้วยเลือดสารจำเป็นของคน วิชาที่เพิ่มพลังด้านต่างๆ ของร่างกาย ภายในระยะเวลาสั้นๆ ผู้ฝึกชี่ที่ตายไปแล้วคนนี้ เขาต้องการนักเรกิเป็นศิษย์ไม่ใช่เหรอ งั้นฉันเอาตาเฒ่านี่เป็นนักเรกิก็จบแล้ว พวกนายให้ฉันยืมเลือดสารจำเป็นนิดหน่อย ให้ฉันจัดการเรื่องเสร็จเรียบร้อย วันนี้ฉันจะให้พวกนายออกไปอย่างปลอดภัย”
เอี๋ยนชิงหัวเราะอย่างมีความสุข ราวกับพวกลู่ฝาน จะยอมรับเงื่อนไขของเขา ในแววตามีความโอหังและดูหมิ่น เอี๋ยนชิงกวาดตามองพวกลู่ฝาน
เมื่อได้ยินคำว่า เลือดสารจำเป็น หานเฟิงก่นด่าออกมา
“ยืมกะผีน่ะสิ ทำไมนายไม่ใช้เลือดสารจำเป็นของตัวเองล่ะ นายสติไม่ดี อย่าคิดว่าคนอื่นก็สติไม่ดีเหมือนนาย เลือดสารจำเป็นเป็นของที่ยืมได้ง่ายเหรอ ไอ้คนไม่มีสมอง…..”
คำด่าหยาบคายของหานเฟิง ทำให้สีหน้าเอี๋ยนชิงอึมครึม
ฉู่เทียนเอาดาบยาว ขวางไว้ด้านหน้า พูดเสียงดังว่า “เอี๋ยนชิง จะสู้ก็สู้ พูดไร้สาระเยอะแยะไปทำไม”
ปราณชี่บตัวลู่ฝาน แอบพุ่งขึ้นถึงจุดสูงสุด แววตาแหลมคม จ้องไปที่หน้าเอี๋ยนชิง
เอี๋ยนชิงหัวเราะเย็นชา “งั้นพวกนายไม่ให้ยืมใช่ไหม ก็ได้ ดูเหมือนฉันต้องเอามาเองแล้วล่ะ!”
พลังปราณสีดำบนตัวสว่างวาบ ปกคลุมร่างกาย
ฉู่เทียนรีบตะโกนว่า “ศิษย์น้องทุกคน ลงมือ!”
หานเฟิงกับฉู่สิงเด้งตัวออกไป กระบี่ยาวสองเล่ม แทงไปที่หน้าอกเอี๋ยนชิง
“ตายซะเถอะ! คนสติไม่ดีของคณะหยินหยาง”
กระบี่ของหานเฟิงมีพลังทะลุทะลวงอันแข็งแกร่ง แทงไปบนหน้าอกของเอี๋ยนชิง แต่ปลายกระบี่ แทงลงไปบนชี่ ที่ปกคลุมตัวเอี๋ยนชิงเพียงหนึ่งนิ้ว และหยุดลง กระบี่หยกสั่นอย่างรุนแรง
กระบี่ของฉู่สิงปักลงไปบนตำแหน่งหัวใจเอี๋ยนชิง วินาทีต่อมา แรงสะท้อนกลับ ส่งผ่านมายังกระบี่ ทำให้ฉู่เทียนถอยหลังไปหลายก้าว

บทที่ 206
“ยังไม่แน่หรอก ว่าใครจะเป็นคนตาย!”
ลู่ฝานเดินเข้ามาพูด
หานเฟิงตะโกนว่า “เอี๋ยนชิง นายเก่งเพราะอาศัยวิชาของคณะหยินหยาง มีปัญญา มาสู้กับฉัน โดยไม่ใช้วิชาของคณะหยินหยางสิ นายกล้าไหม ไอ้เด็กน้อย”
เอี๋ยนชิงไม่อยากสนใจหานเฟิง หันไปมองลู่ฝาน แล้วพูดว่า “ไม่คุ้นหน้า คงใช่ศิษย์คนใหม่ของคณะหนึ่งเดียวใช่ไหม น่าเสียดาย ดูเป็นเด็กที่ไม่เลว แต่กลับไปคณะหนึ่งเดียวซะอย่างนั้น”
ลู่ฝานพูดช้าๆ ว่า “งั้นฉันคงโชคดีแล้วล่ะ ที่แท้คณะหยินหยางมีแต่พวกปัญญาอ่อน หลงตัวเองแบบนาย”
เอี๋ยนชิงหัวเราะเบาๆ พลังปราณบนตัว เริ่มรวมตัวกัน
พวกลู่ฝานทั้งสี่คน ต่างปล่อยพลังปราณออกมาเช่นกัน การต่อสู้ครั้งใหญ่ กำลังจะเริ่มขึ้น
ตอนนี้ บริเวณรอบๆ มีเสียงเหมือนฟ้าร้องดังขึ้น
“เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ไม่รู้ผ่านไปกี่ปีแล้ว ฉันคือสวีช่าง รู้จักกันในนามเซียนสือฟาง สหายทุกท่านที่มาที่นี่ ถ้าพวกนายต้องการมาแย่งสมบัติของฉัน งั้นฉันคิดว่า พวกนายคงได้จากตำหนักยาไปมากมายแล้ว ของที่เหลือ ฉันต้องการเหลือไว้ให้ศิษย์ผู้สืบทอด ถ้าไม่เต็มใจเป็นศิษย์ผู้สืบทอดของฉัน ก็รีบออกไปเถอะ ตอนนี้ยังมีเวลา”
พูดพลาง ด้านหลังโครงกระดูกสีทอง มีประตูดูโปร่งใสปรากฏขึ้น
ด้านนอกเป็นป่าสีเขียว วัชพืชต่างๆ เห็นได้ชัดว่า เป็นประตูทางออก
พวกลู่ฝานมองหน้ากัน ไม่มีท่าทีจะออกไป กว่าเฒ่าประหลาดจะลุกขึ้นจากพื้นได้ มองตำหนักเครื่องรางในอากาศเวิ้งว้างด้วยแววตาลุกโชน จากสายตาของเฒ่าประหลาด มองออกว่าเครื่องรางแต่ละอัน เป็นของชั้นดี ไม่ว่าอันไหน ก็สามารถยกระดับความสามารถของเขาได้
เอี๋ยนชิงหันไปมองรอบๆ ตอนเห็นตำหนักที่มียาเม็ดวางอยู่เต็มไปหมด ดวงตาเอี๋ยนชิงเป็นประกายทันที
เอี๋ยนชิงเดินเข้าไป ยื่นมือออกไป ลองดูว่าเข้าไปได้หรือไม่
มือของเขาเพิ่งสัมผัสกับอากาศเวิ้งว้าง โครงกระดูกสีทองสะบัดมือปล่อยแสงสีทองออกมา กระแทกลงบนตัวเอี๋ยนชิง
พลังที่แฝงอยู่ในแสงสีทองดูน่ากลัวมาก จากพละกำลังที่เกือบเข้าสู่แดนปราณชีวิตของเอี๋ยนชิง กลับโดนแสงสีทองโจมตีเข้ามาในพลังปราณ ทำให้หน้าอกของเขา เป็นรอยแผลสีดำ
เอี๋ยนชิงโมโหทันที จ้องโครงกระดูกสีทองเขม็ง
ในตำหนัก มีเสียงเซียนสือฟางดังขึ้นอีกครั้ง
“คนที่ไม่ได้รับการถ่ายทอดจากฉัน ไม่มีทางให้พวกนายได้สิ่งของใด ของมีค่า ทำให้ใจคนหวั่นไหว จนเกิดความโลภ ทำให้ตัวตาย ตอนนี้พวกนายมีเวลาหนึ่งชั่วยาม เลือกว่าจะหนีหรืออยู่ต่อ ผู้ฝึกชี่ที่ถึงระดับนักเรกิ อายุไม่ถึงร้อยปี ล้วนมาเคารพหน้าโครงกระดูกฉัน ให้ฉันเลือกว่ามีคุณสมบัติ รับการถ่ายทอดจากฉันได้หรือเปล่า”
เอี๋ยนชิงเดินเข้ามาพูดว่า “นักเรกิที่อายุไม่ถึงร้อยปี คนแบบนี้ ล้วนเป็นคนที่โดดเด่นเหมือนฉันทั้งนั้น จะฝากตัวเป็นศิษย์กับคนตายอย่างนายได้ยังไง ฉันจะดูสิว่า คนตายไปแล้ว จะมีพลังแข็งแกร่งแค่ไหน”
เอี๋ยนชิงเดินเข้าไป ซัดหมัดไปโจมตีโครงกระดูกสีทอง
หมัดกลายเป็นมังกรดำ ทั้งตัวจมอยู่ในพลังปราณพลุ่งพล่าน
แต่หมัดของเขา ไม่ทันโจมตีโดนโครงกระดูกสีทอง เจดีย์เล็กในมือโครงกระดูกสีทอง สว่างวาบขึ้นมา
ดูเหมือนเป็นเจดีย์เล็กๆ ธรรมดา ตอนนี้มีแสงเก้าสีแสบตา สว่างวาบขึ้นมา เหมือนเสาแสงเก้าต้น หมุนเป็นเกลียว พุ่งขึ้นไปบนฟ้า ทำลายพลังหมัดของเอี๋ยนชิงทันที
ขณะเดียวกัน แสงทั้งเก้าแสง กลายเป็นกระบี่ยักษ์เก้าเล่ม ฟันลงมาพร้อมกัน
เอี๋ยนชิงเบิกตาโต รีบยกมือขึ้นมา
“รวม!”
พลังปราณกลายเป็นโล่มังกรสีดำ กันกระบี่ยักษ์ที่ฟันลงมา
เสียงดังตู้ม ตัวซีกหนึ่งของเอี๋ยนชิงโดนระเบิด จนเข้าไปในหินศิลาดำที่ทนทาน
เคลื่อนไหวตัว ราวกับเทเลพอร์ต เอี๋ยนชิงโดดออกมาจากหินศิลาดำ เลือดสดไหลลงมาจากหน้าผาก
“พลังน่ากลัว เครื่องรางแข็งแกร่ง”
เอี๋ยนชิงพูดพึมพำ
ลู่ฝานมองโครงกระดูกสีทอง สีหน้าเปลี่ยนไปทันที
ความสามารถในการต่อสู้ ของโครงกระดูกนี้ ไม่ด้อยไปกว่านักบู๊ แดนปราณดิน หรือไม่ก็ผู้ฝึกชี่ ที่เป็นปรมาจารย์บำเพ็ญชี่
เฒ่าประหลาดอ้าปากค้าง มองเจดีย์เล็กๆ ในมือโครงกระดูกสีทอง พูดเบาๆ ว่า “เจดีย์เสวียนเก้ามังกร คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเจดีย์เสวียนเก้ามังกร เป็นไปไม่ได้ ทำไมเจดีย์เสวียนเก้ามังกร ถึงอยู่ในมือเซียนสือฟาง เขามีเจดีย์เสวียนเก้ามังกรทำไมถึงตายได้ล่ะ ผู้ฝึกแดนฟ้าดินก็ไม่น่าจะฆ่าเขาตายได้”
แม้เสียงของเฒ่าประหลาดเบา แต่หูของเอี๋ยนชิงขยับเล็กน้อย ได้ยินอย่างชัดเจน
เอี๋ยนชิงหัวเราะทันที
“นี่คือเจดีย์เสวียนเก้ามังกรเหรอ ฉันเคยได้ยินชื่อเสียงของมัน หมื่นปีก่อน เป็นเครื่องรางที่มีชื่อเสียงของอริยปราชญ์เทพมังกร เครื่องรางหลักของอริยปราชญ์ ดีมากๆ”
สายตาลู่ฝานเปลี่ยนไป เครื่องรางของอริยปราชญ์!
ในตำนาน แค่ได้มา จะมีพลานุภาพไม่สิ้นสุด เป็นเครื่องรางของอริยปราชญ์ที่สามารถเคลื่อนย้ายภูเขาและทะเล ได้สบายๆ
ลู่ฝานตื่นเต้นเหมือนกัน ถ้าได้เครื่องรางอันนี้ คงลดความยากลำบากในการฝึกฝนของเขา ได้เป็นร้อยปี
เฒ่าประหลาดตะโกนออกมาเสียงดัง
“เอี๋ยนชิง ช่วยฉันเอามันมา เครื่องรางไม่มีประโยชน์กับนาย แค่เอาเจดีย์นี้ มาให้ฉันได้ นายจะเอายาทิพย์เท่าไร ฉันให้นายได้หมด”
เอี๋ยนชิงมองเฒ่าประหลาดเหมือนมองคนสติไม่ดี “ได้เครื่องรางของอริยปราชญ์ ยาทิพย์ยังจำเป็นสำหรับฉันไหม เอาเครื่องรางนี้ไปแลกยาเสวียน จากผู้ฝึกชี่ ที่เก่งกาจได้ ไม่ใช่สิ แลกเป็นยาเซียนได้เลยล่ะ”
เฒ่าประหลาดหน้าซีดเผือดทันที

“ถอย ถอย!”

ฉู่เทียนดึงหานเฟิงเข้ามา ถืออาวุธไว้ในมือ

โครงกระดูกสีทอง เงยหน้าขึ้นช้าๆ ในดวงตาทั้งสองข้าง มีควันสีเทาพุ่งขึ้นมา ตอนนี้รวมตัวเป็นเหมือนลูกตา

โครงกระดูกสีทอง พร้อมดวงตาโดดเดี่ยว มีแสงสีทองแสบตา อยู่ทั่วร่างกาย พลานุภาพอันแข็งแกร่ง แผ่ซ่านไปทั่ว

ลู่ฝานและคนอื่น รีบถอยหลัง เว้นระยะห่างกับโครงกระดูกสีทอง

แต่ถอยไม่ถึงสิบก้าว ลู่ฝานเห็นพื้นที่ด้านหลัง เริ่มบิดเบี้ยวขึ้นมา

ความบิดเบี้ยวของมันน่ากลัวมาก ทำให้ลู่ฝานและคนอื่น ไม่กล้าเดินไปอีก

ด้านในตำหนัก มีพื้นที่ภาพลวงตาปรากฏขึ้นมาเรื่อยๆ แบบไร้เหตุผล เหมือนม้วนภาพเปิดออกทีละม้วน ปรากฏขึ้นบริเวณรอบๆ

ทันใดนั้น ลู่ฝานเห็นว่าตำหนักดวงดาวที่พวกเขาเพิ่งเดินผ่านมา และห้องสมุนไพรที่พวกเขาเคยเอามา รวมไปถึงประตูใหญ่ที่เดินเข้ามา

ส่วนอื่น รวมถึงห้องที่มีขวดเล็กๆ วางเต็มไปหมด ลู่ฝานมองแวบหนึ่ง รู้สึกตกใจทันที นี่คือตำหนักยา ยาเม็ดทั้งหมดที่เซียนบำเพ็ญชี่หลงเหลือเอาไว้ แบ่งเป็นหมวดหมู่ วางไว้เป็นระเบียบเรียบร้อย

ลองนับคร่าวๆ มีประมาณพันขวดขึ้นไป

เมื่อมองไปด้านข้าง ยังมีห้องวางเครื่องราง ห้องที่มีหุ่นวางอยู่เต็มห้อง ห้องที่มีเงินทองกองอยู่

แต่ละห้อง ดูเหมือนโอ่อ่าตระการตามาก วัสดุด้านในล้วนเป็นของดี ทรัพย์สินมากมายขนาดนี้ ต้องคู่ควรกับฐานะของเซียนบำเพ็ญชี่ แม้กระทั่งทรัพย์สินที่อริยปราชญ์ฟ้าดินมี อาจเทียบกับที่นี่ไม่ได้

ทันใดนั้น หานเฟิงเห็นห้องที่พวกเฒ่าประหลาดกำลังต่อสู้กันอยู่

เฒ่าประหลาดกับเอี๋ยนชิงที่อยู่ข้างใน มีเลือดเต็มตัว สิ่งที่กำลังต่อสู้กับพวกเขา เป็นค่ายกลผสมที่น่ากลัว

ค่ายกลมากมาย ทำให้เอี๋ยนชิงต้องทุ่มสุดตัว

พลังปราณอันแข็งแกร่งพร้อมกับแสงสีดำที่มองเห็นด้วยตาเปล่า เห็นได้ชัดว่าเขาเกือบเข้าสู่แดนปราณชีวิตแล้ว

พลังปราณรวมตัวเป็นสี เป็นความสามารถของนักบู๊แดนปราณชีวิต แสงสีดำบางๆ แสดงให้เห็นว่า ผลการฝึกตนของเอี๋ยนชิงในวิถีบู๊ เน้นหนักไปที่วิถีทำลายและความมืดมน

แต่ไม่ว่าจะเป็นวิถีบู๊ประเภทไหน แค่ก้าวเข้ามา พลานุภาพจะพุ่งสูงขึ้น

แม้เอี๋ยนชิงยังไม่ได้เข้าสู่แดนปราณชีวิตอย่างสมบูรณ์แบบ ระดับความเฉียบคมของการโจมตี พวกนักบู๊แดนปราณนอกไม่สามารถเทียบได้

ซัดหมัดออกไป พลังอันน่ากลัว สามารถทำลายทุกสิ่งที่มองเห็นได้

แม้เป็นค่ายกลผสมห้าธาตุค่ายใหญ่ก็ต้องสั่นไหวเพราะหมัดของเขา มีสัตว์ร้ายพลานุภาพน่ากลัวขนาดประมาณสามสิบเมตร ก่อตัวอยู่ในค่ายกล โดนทำลายด้วยหมัดของเอี๋ยนชิง ท่ามกลางอากาศเวิ้งว้างที่แตกต่างกันออกไป ลู่ฝานสัมผัสได้ถึงพลังอันน่าตกใจ ที่ออกมาจากหมัดของเอี๋ยนชิง

ทันใดนั้น เอี๋ยนชิงกับเฒ่าประหลาดหันมาพร้อมกัน พวกเขาเห็นอากาศเวิ้งว้างที่ปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน

ทั้งสองสีหน้าตกใจ เห็นพวกลู่ฝานด้วยเช่นกัน จากนั้นพวกเขาพุ่งเข้ามา

ลู่ฝานจับอาวุธตัวเองเอาไว้แน่น มองเอี๋ยนชิงพุ่งออกมาจากอากาศเวิ้งว้างลักษณะเป็นวงกลม พร้อมกับแผดเสียงออกมาด้วย

เอี๋ยนชิงกับเฒ่าประหลาดที่ปรากฏตัวกะทันหัน ทำให้พวกลู่ฝาน ยืนหันหลังชนกัน

เอี๋ยนชิงสบถออกมาว่า “ที่บ้าบออะไรเนี่ย เกือบทำผมตาย เฒ่าประหลาดเฟิงหลิง ผมจะบอกให้นะ ยาทิพย์เม็ดเดียวไม่พอหรอก อย่างน้อยต้องสองเม็ด”

เฒ่าประหลาดลุกขึ้นอย่างน่าเวทนา ขาของเขา มีเลือดสีดำไหลออกมาไม่หยุด เห็นได้ชัดว่าเขาโดนพิษ

เฒ่าประหลาดยัดยาเม็ดใส่ปากไม่หยุด “พูดไว้แล้วว่าหนึ่งเม็ดก็หนึ่งเม็ดสิ เอี๋ยนชิง ถึงอาจารย์นายมา ก็ได้แค่ยาทิพย์เม็ดเดียวเท่านั้น”

เอี๋ยนชิงเข้ามาบีบคอเฒ่าประหลาด

ระยะใกล้ขนาดนี้ บวกกับพละกำลังของเอี๋ยนชิง เฒ่าประหลาดแทบจะไม่ขัดขืน

เอี๋ยนชิงกัดฟันพูดว่า “ตาเฒ่า ฉันบอกว่าสองเม็ดก็สองเม็ดสิ ถ้านายไม่ให้ฉัน ฉันจะฆ่านายที่นี่ จากนั้นเอาของนายไปทั้งหมด”

ในแววตาของเอี๋ยนชิงเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม พลังปราณสีดำรอบตัว เริ่มกลายเป็นมังกรสีดำ

ใบหน้าเฒ่าประหลาดเป็นสีแดง เขาสัมผัสได้ถึงความอาฆาตรุนแรง จากตัวเอี๋ยนชิง

“ได้ สองเม็ดก็สองเม็ด!”

เฒ่าประหลาดยอมจำนน กัดฟันพูดออกมา

เอี๋ยนชิงส่งเสียงหึ เหวี่ยงเฒ่าประหลาดออกไปด้านข้าง เหมือนทิ้งขยะ จากพละกำลังอาจารย์บำเพ็ญชี่ ของเฒ่าประหลาด ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเอี๋ยนชิงสักนิด

สายตาค่อยๆ หยุดลงที่พวกลู่ฝาน เอี๋ยนชิงยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “มีใครพออธิบายให้ฉันได้ไหม ว่าที่นี่คือที่ไหน”

พวกลู่ฝานไม่พูดอะไร มองเขาเหมือนศัตรู

เอี๋ยนชิงเห็นฉู่เทียน อึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นหัวเราะ แล้วพูดว่า “นี่คือฉู่เทียน ดาบเทียนควบแห่งคณะหนึ่งเดียวไม่ใช่เหรอ อย่าบอกนะว่า ที่นี่เป็นถิ่นของคณะหนึ่งเดียว”

ฉู่เทียนพูดอย่างเย็นชาว่า “นายคิดว่าฉันจะตอบนายไหม เอี๋ยนชิง”

เอี๋ยนชิงหัวเราะ “ฉันว่านายต้องตอบ ถ้านายไม่อยากโดนฉันซัด จนต้องนอนบนเตียงไปหลายเดือน อีกครั้งหนึ่ง”

ฉู่เทียนยกดาบยาวขึ้นมา “ครั้งก่อนที่คณะหยินหยาง ฉันไม่ได้ใช้พลังทั้งหมด ถ้านายอยากสู้กับฉันที่นี่ ฉันจะบอกนายว่า ถึงต้องละเมิดกฎของคณะหนึ่งเดียว ฉันก็จะหักกระดูกนาย”

เอี๋ยนชิงยกยิ้มมุมปาก อย่างเย้ยหยัน

“งั้นเหรอ กลัวว่านายจะตายที่นี่น่ะสิ”

บทที่ 204
ฉู่เทียนพูดว่า “อริยปราชญ์แดนฟ้าดินก็ใช่ว่าจะทำได้ สิ่งที่แน่ใจได้คือ เจ้าของจวนแห่งนี้ ต้องไม่ใช่แค่เซียนบำเพ็ญชี่แน่นอน”
ลู่ฝานและคนอื่น พยักหน้าเห็นด้วย
เมื่อก้าวไปข้างหน้า แผ่นหินสีดำด้านล่างเท้า เป็นหลุมลึกทีละหลุม ลายเหมือนใยแมงมุม ขยายเป็นวงกว้างไปรอบๆ
จนถึงตอนนี้ ลู่ฝานเพิ่งเห็นอย่างชัดเจน ว่าแผ่นหินด้านล่างเท้า ทำมาจากอะไร ในแผ่นหิน มีสีแดงสว่างวาบ ทำให้ลู่ฝานนึกออก
หินพวกนี้ ล้วนเป็นหินศิลาดำชั้นยอด
หินศิลาดำแบบธรรมดาที่สุดสามารถเป็นเครื่องมือ ให้นักบู๊ได้ทดสอบฝีมือได้อย่างสบายๆ หินศิลาดำชั้นยอด มีระดับความทนทานที่น่ากลัว และมีความสามารถในการฟื้นฟูตัวเอง
แต่ตอนนี้ หินศิลาดำชั้นยอดเหล่านี้ ไม่สามารถทำให้หลุมลึกหายไปได้
จินตนาการได้เลยว่า การต่อสู้ครั้งใหญ่ตอนนั้น มันสะท้านฟ้า สะเทือนดินแค่ไหน
ศิษย์พี่ฉู่เทียนมองหลุมลึกพวกนี้ แล้วพูดว่า “ดูเหมือนว่า พวกเขาไม่ได้เข้ามาเอง แต่โดนพลังอันแข็งแกร่ง ลากเข้ามา เห็นร่องรอยนี่ไหม คนพวกนี้จะหนีไปข้างนอก แต่น่าเสียดาย พวกเขาหนีไม่ทัน และตายอยู่ที่นี่ พลังก่อนตายระเบิดลงไปบนพื้นทั้งหมด”
ศิษย์พี่ฉู่เทียนเหมือนผู้อาวุโสที่มีประสบการณ์การต่อสู้มากมาย อธิบายเหตุการณ์ที่น่าจะเกิดขึ้นในตอนนั้น ให้พวกลู่ฝานฟัง ศิษย์พี่ฉู่สิงคอยพูดเสริมข้างๆ เป็นระยะ ทำให้ลู่ฝานกระจ่างแจ้งขึ้นมาทันที
ตอนนี้ลู่ฝานรู้สึกอยากรู้ที่มา ของศิษย์พี่ฉู่เทียนกับศิษย์พี่ฉู่สิง พวกเขาอายุมากกว่าเขาไม่กี่ปี ทำไมแววตาถึงเฉียบแหลมและมีประสบการณ์เช่นนี้
หานเฟิงที่อยู่ข้างๆ เหมือนมองความคิดของลู่ฝานออก พูดเบาๆ ว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน ตกใจมากสินะ ฮ่าๆ ฉันบอกแล้ว คนคณะหนึ่งเดียวล้วนมีความลับเล็กๆ น้อยๆ”
ลู่ฝานพยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจ
ในที่สุด ศิษย์พี่ฉู่เทียนชะงักฝีเท้าลง โครงกระดูก ที่คุกเข่าข้างหนึ่งลงบนพื้น ปรากฏเข้ามาในสายตา
สิ่งที่แตกต่างจากโครงกระดูกอื่น เหมือนโครงกระดูกนี้ ทนทานมาก
หานเฟิงเดินเข้าไป เอากระบี่จิ้มโครงกระดูก ได้ยินเสียงดังขึ้นชัดเจน แต่โครงกระดูกไม่ขยับเลย
“โอ้ ยังมีอยู่หนึ่งโครงกระดูก ที่ไม่กลายเป็นผุยผง”
หานเฟิงหัวเราะ แล้วพูดออกมา
ศิษย์พี่ฉู่เทียนพูดว่า “เขาคงเป็นคนที่ใช้กระบวนท่านี้”
สายตาลู่ฝาน หยุดลงที่มือขวาของโครงกระดูกนี้
เห็นตรงมือขวาของเขา มีเจดีย์เล็กๆ สีดำ ยาวประมาณครึ่งฟุต สีดำขลับ แม้ดูธรรมดา แต่ฝีมือการสลักประณีต เหมือนมีชีวิต เมื่อมองอย่างละเอียด ลายดอกไม้ด้านบน เหมือนมีชีวิตอย่างไรอย่างนั้น
สัญชาตญาณบอกลู่ฝานว่า นี่คือของดี
แต่ลู่ฝานเกิดความหวาดระแวงในใจ ไม่ได้ยื่นมือไปหยิบทันที
ทันใดนั้น ลู่ฝานรู้สึกว่าเข็มขัดตัวเอง สั่นขึ้นเบาๆ
ลู่ฝานยื่นมือเข้าไปจับข้างใน พบว่า หม้อสือฟางกำลังสั่นอย่างรุนแรง
เขาใช้มือจับหม้อสือฟาง หม้อสีใส มันสั่นไปมาอย่างบ้าคลั่ง
ลู่ฝานขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
ศิษย์พี่หานเฟิงเดินวนโครงกระดูกนี้ แล้วมองรอบๆ “ทำไมฉันรู้สึกว่า กระบวนท่าที่ฆ่าคนมากมาย มาจากเขา”
ฉู่เทียนพูดว่า “ความสามารถในการสังเกตของนาย พัฒนาขึ้นแล้ว ถูกต้อง น่าจะเป็นฝีมือเขา”
หานเฟิงพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น ตอนคนคนนี้มีชีวิตอยู่ ต้องสุดยอดมากแน่ๆ ไหนให้ฉันดูหน่อย”
หานเฟิงเดินเข้ามา เคาะหัวโครงกระดูก
วินาทีต่อมา ตำหนักสั่นสะเทือนอย่างแรง โครงกระดูกสีทอง ขยับทันที

ในภาพลวงตา เอี๋ยนชิงพาเฒ่าประหลาดพุ่งไปด้านหน้า เหมือนลำไผ่

ศิษย์พี่ฉู่เทียนบอกว่าเขามีผลการฝึกตน ปราณนอกชั้นสุดยอด แต่จากสายตาของลู่ฝาน ต้องไม่ใช่แค่นั้น

เผชิญกับหุ่นหินตัวใหญ่ พลานุภาพรุนแรง ในมือมีอาวุธต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เอี๋ยนชิงไม่แม้แต่จะปล่อยปราณคุ้มกันร่างกายออกมา ใช้เพียงวิชาหมัดที่มีพลังสั่นสะเทือน พุ่งไปด้านหน้า หุ่นหินพวกนี้ ไม่สามารถขวางทางเขาได้เลย

ท่าทางห้าวหาญและมั่นใจของเขา ทำให้ลู่ฝานรู้สึกว่าตัวเองเทียบไม่ได้

เอี๋ยนชิงดูแก่กว่าเขาไม่กี่ปี พละกำลังแข็งแกร่งกว่าเขา ลู่ฝานแอบคาดเดาในใจ หลังจากตัวเองทะลุถึงแดนปราณนอก ถึงจะสามารถเทียบกับเอี๋ยนชิงได้

หลังจากมองอยู่ครู่หนึ่ง ลู่ฝานและคนอื่นละสายตาออกมา

ลู่ฝานไม่เข้าใจเล็กน้อย อากาศเวิ้งว้างทับซ้อนกัน ความจริงกับภาพลวงตา ความสามารถนี้ เซียนบำเพ็ญชี่ทั่วไปไม่สามารถทำได้

ลู่ฝานจำได้ว่า นี่เป็นเรื่องที่ผู้ฝึกชี่อย่างน้อยก็แดนฟ้าดิน ถึงจะสามารถทำได้

อย่าบอกนะว่า อันที่จริง เซียนบำเพ็ญชี่คนนี้ ถึงแดนฟ้าดินแล้ว

หานเฟิงเบะปากพูดว่า “หัตถเลือดเอี๋ยนชิง ฉันว่าก็แค่นั้น แข็งแกร่งกว่าฉันนิดหน่อยเท่านั้น ฉันต้องเหนือกว่าเขา ไม่ช้าก็เร็ว ใช่ ไม่ช้าก็เร็ว……”

แอบคิดอยู่ในใจ ทั้งสี่คนเดินต่อไปข้างหน้า

ห้องนี้ใหญ่จริงๆ เดินเกือบหนึ่งชั่วยาม มีสิ่งน่ากลัว ปรากฏขึ้นด้านหน้า

ลู่ฝานและคนอื่น ชะงักฝีเท้าลง สูดหายใจเฮือก

สิ่งที่ปรากฏในสายตา คือกองกระดูก กองทับกันเป็นภูเขา เต็มทั้งห้อง มีเสาหินสองต้น โผล่ขึ้นมากลางกองกระดูก

เสาหินผุพัง เหมือนโดนอาวุธนับไม่ถ้วนฟาดฟัน

“กระดูกคน กระดูกคนทั้งนั้น นี่ต้องตายมาแล้วกี่คนเนี่ย อย่าบอกนะว่า เซียนบำเพ็ญชี่คนนี้ โดนยอดฝีมือทั้งสถาบันสอนวิชาบู๊ล้อมโจมตีถึงเสียชีวิต?”

หานเฟิงอุทานออกมา เอากระบี่หยกเขี่ยกระดูก

วินาทีต่อมา กระดูกสลายกลายเป็นผุยผง

หานเฟิงสะดุ้งโหยง แล้วพูดว่า “นี่มันอะไรกัน”

ศิษย์พี่ฉู่เทียนที่ดูค่อนข้างใจเย็น คุกเข่าลง สัมผัสผงกระดูกเบาๆ จากนั้นมองกระดูกทั้งหมด อย่างละเอียด แล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “ไม่ได้เกิดขึ้นมาเป็นเวลานาน แต่คนพวกนี้โดนลอกเนื้อหนังไปอย่างรวดเร็ว เหลือเพียงกระดูก แต่กระดูกของพวกเขาโดนสะเทือนจนแหลกสลาย แค่ยังอยู่ในสภาพก่อนตายเท่านั้น”

ศิษย์พี่ฉู่สิงก็คุกเข่าลง ชี้โครงกระดูกข้างใน แล้วพูดว่า “เห็นโครงกระดูกนั่นไหม กระดูกกลายเป็นสีทองแล้ว อย่างน้อยต้องเป็นนักบู๊แดนปราณฟ้า โครงกระดูกนั่นด้วย มีแสงเจ็ดสีปกคลุมกระดูกหลังตาย เซียนบำเพ็ญชี่แน่นอน”

หานเฟิงพูดอย่างตกใจ “เป็นไปไม่ได้ ไหนบอกว่า เจ้าของจวนแห่งนี้เป็นเซียนบำเพ็ญชี่ไม่ใช่เหรอ หนึ่ง สอง สาม สี่”

หานเฟิงนับไปเรื่อยๆ จากที่ศิษย์พี่ฉู่สิงพูด ในกองกระดูกนี้ อย่างน้อยมีนักบู๊แดนปราณฟ้า สิบกว่าคน เซียนบำเพ็ญชี่ 5-6 คน

พละกำลังเช่นนี้ ถึงโจมตีสถาบันสอนวิชาบู๊ ก็ไม่ใช่ปัญหา

แต่ตอนนี้ กลับตายอยู่ที่นี่ทั้งหมด อีกทั้งยังโดนกำจัดเพียงการโจมตีเดียว เหลือเชื่อมากจริงๆ

ศิษย์พี่ฉู่เทียนสัมผัสโครงกระดูกหนึ่งเบาๆ ทันใดนั้น กระดูกกระเพื่อมเป็นวงกว้าง และแหลกเป็นผุยผง ถ้าแค่กระดูกกลายเป็นผุยผง ยังไม่เท่าไร อาวุธที่กองอยู่ข้างกระดูก ก็สลายเป็นผุยผงเช่นกัน

ลู่ฝานมองอย่างตะลึง พูดแบบอึ้งๆ ว่า “ต้องมีพลังน่ากลัวขนาดไหน ถึงจะทำแบบนี้ได้”

หม้อสือฟางสีใส มีวงแหวนสิบสี สว่างขึ้นมา ส่องสว่างประตูคุ้มครองด้านหน้า

ลู่ฝานสัมผัสได้ว่า พลังของตัวเองโดนหม้อสือฟางสูบไปอย่างรวดเร็ว ยิ่งแสงสว่างขึ้นมากเท่าไร ลวดลายบนประตูคุ้มครองสว่างขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ลวดลายพวกนี้ เคลื่อนไหวเป็นตัวอักษรสือฟางสีทอง ต่อมา ประตูเปิดออกทันที

หานเฟิงตะโกนอย่างตกใจ

“เปิดแล้ว นายไม่ได้เจ๋งแค่ธรรมดาๆ แล้ว!”

ฉู่สิงพูดอย่างตกใจและสงสัย “ศิษย์น้องลู่ฝาน นายใช้มันยังไง เครื่องรางของผู้ฝึกชี่ นักบู๊อย่างเรา ก็ใช้ได้เหรอ”

ฉู่เทียนเห็นความเจ็บปวดบนใบหน้าลู่ฝาน จึงเดินเข้ามา ปัดหม้อสือฟางในมือลู่ฝานทิ้ง

ลู่ฝานเซถอยหลัง ปราณชี่บนตัวหายไป ลู่ฝานหันมามองฉู่เทียนแล้วพูดว่า “ขอบคุณศิษย์พี่รอง เกือบโดนมันสูบจนหมดแล้ว หม้อสือฟางอันนี้โดนสะกดเอาไว้ ดูเหมือนต่อไป ต้องค่อยๆ หลอมมัน”

ฉู่เทียนหยิบหม้อสือฟางขึ้นมา ยื่นให้ลู่ฝาน “สิ่งของของเซียนบำเพ็ญชี่ จะควบคุมได้ง่ายขนาดนั้นเหรอ แต่ทำไมนายถึงใช้มันได้ล่ะ”

ลู่ฝานกะพริบตา แล้วพูดว่า “อาจเป็นเพราะพลังปราณของผม ค่อนข้างพิเศษมั้งครับ”

ฉู่เทียนยิ้มบางๆ ไม่ถามอะไรมากอีก

ฉู่สิงได้ยิน ก็ยิ้มบางๆ เหมือนกัน “ไปเถอะ ประตูเปิดแล้ว”

ลู่ฝานเห็นว่า ฉู่เทียนกับฉู่สิงไม่มีท่าทีจะถามต่อ แอบรู้สึกตกใจขึ้นมา

พูดเบาๆ ว่า “ใครไม่มีความลับบ้างล่ะ ศิษย์น้องลู่ฝาน นายไม่ยอมพูด พวกศิษย์พี่ก็ไม่ถามมากหรอก เหอะๆ ดูเหมือนคณะหนึ่งเดียว ช่างแตกต่าง

คำพูดของหานเฟิงทำให้ลู่ฝานครุ่นคิด จากนั้นเก็บหม้อสือฟาง ทุกคนเดินต่อไปข้างหน้า

เดินออกจากห้องสมุนไพร ด้านหน้าเป็นพื้นที่โล่ง

พื้นด้านล่าง กลายเป็นแผ่นหินสีดำทนทาน หินชนิดนี้ ดำกว่าหินศิลาดำที่ใช้ทดสอบระดับนักบู๊ อีกทั้งยังดำสนิท เหมือนจะดูดวิญญาณของคนเข้าไปข้างใน

เมื่อเดินบนแผ่นหิน มีเสียงเท้าของพวกลู่ฝานดังสะท้อนขึ้นมารอบๆ

ด้านหน้ามีเสาหินขนาดใหญ่สี่ต้น มีอากาศไหลเวียนอยู่เหมือนหมอกควัน

เมื่อมองอย่างละเอียด ยังเห็นเงาคนกะพริบท่ามกลางหมอกควันพวกนี้ ราวกับภาพลวงตา

พวกลู่ฝานทั้งสี่คนเดินเข้าไป มองผ่านหมอกควัน เห็นคนที่ดูคุ้นตา

“ทำไมไอ้หมอนี่ ถึงมาอยู่ที่นี่”

หานเฟิงชี้เงาคนที่อยู่ท่ามกลางภาพลวงตา แล้วตะโกนออกมา คนที่ถูกเรียกว่าไอ้หมอนี่ ก็คือเฒ่าประหลาด

ลู่ฝานจำได้แล้ว เขาหัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “นี่คือประตูแห่งความตาย ความจริงและภาพลวงตา ที่แท้เขาก็อยู่ที่นี่ด้วย ยังมีไอ้เด็กอีกคนด้วย……”

หานเฟิงถามอย่างไม่เข้าใจ “ศิษย์น้องลู่ฝาน นายกำลังพูดอะไร”

ลู่ฝานยังไม่ทันพูด ฉู่สิงมองรอบๆ แล้วพูดว่า “ศิษย์น้องลู่ฝานหมายความว่า อันที่จริงพวกเขาอยู่ที่นี่เหมือนกัน แต่ไม่เหมือนกับอากาศเวิ้งว้างที่พวกเราอยู่ นายเข้าใจอย่างนี้ก็ได้ เราอยู่ในโลกแห่งความจริง แต่พวกเขาอยู่ในโลกแห่งวิญญาณ”

หานเฟิงตอบรับอย่างเข้าใจ “ก็คืออากาศเวิ้งว้างทับซ้อนกันไม่ใช่เหรอ ผมเข้าใจ งั้นสองคนนี้ลำบากแล้ว จากที่ศิษย์น้องลู่ฝานบอก เราเข้ามาในประตูเป็น พวกเขาเข้าไปในประตูตายฝั่งเราปลอดภัย ส่วนฝั่งพวกเขาน่าจะมีกับดักมากมาย ฮ่าๆ ค่ายกลหุ่นเชิด พวกเขาโดนหุ่นโจมตีแล้ว”

ลู่ฝานเพ่งมองไป เป็นไปตามคาด เฒ่าประหลาดในภาพลวงตา กำลังเผชิญกับค่ายกลหุ่นเชิดอันน่ากลัว

หุ่นหินขนาดใหญ่กลุ่มหนึ่ง โจมตีเฒ่าประหลาดกับอีกคนหนึ่งอย่างบ้าคลั่ง หุ่นหินขนาดใหญ่แต่ละตัวขนาดใหญ่กว่าเฒ่าประหลาดหลายสิบเท่า

หานเฟิงขมวดคิ้วพูดว่า “ทำไมไอ้หนุ่มอีกคน รู้สึกคุ้นตาขนาดนี้ อ้อ ฉันนึกออกแล้ว เอี๋ยนชิงของคณะหยินหยาง ศิษย์พี่ฉู่สิง ศิษย์พี่ฉู่เทียน พวกพี่มาดูสิ ใช่เขาหรือเปล่า”

ฉู่สิงพยักหน้า “ใช่ เขานั่นแหละ เขาเข้ามาได้ยังไง”

ฉู่เทียนพูดว่า “ไม่ว่าเขาเข้ามาได้ยังไง ทางที่ดีเราอย่าปะทะกับเขา”

ลู่ฝานรู้สึกคุ้นหูชื่อของเอี๋ยนชิง ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ลู่ฝานนึกออก เหมือนฮ่วนเย่ว์เคยพูดถึงชื่อนี้กับเขา อีกทั้งยังให้เขาระวังด้วย

ลู่ฝานถามว่า “เอี๋ยนชิงคือใคร”

หานเฟิงกัดฟันพูดว่า “ไอ้เลวคณะหยินหยาง อีกทั้งยังเป็นคนเลวที่สุด เขาเป็นศิษย์พี่ใหญ่คณะหยินหยาง มีชื่อเรียกว่า หัตถเลือดเอี๋ยนชิง”

“หัตถเลือดเอี๋ยนชิงเหรอ”

ลู่ฝานขมวดคิ้วแน่น ได้ยินชื่อนี้ ก็พอรู้ว่าเอี๋ยนชิงเป็นคนยังไง

ฉู่เทียนพูดต่อ “ศิษย์น้องลู่ฝาน ต่อไปถ้าเจอคนคนนี้ นายต้องหลบ เขาไม่ฆ่านักเรียนของคณะหยินหยาง แต่นักเรียนคนอื่นในสถาบัน แค่เจอเขาข้างนอก อีกทั้งถ้ารอบๆ ไม่มีครู ต้องโดนเขาดูหมิ่นและฆ่าอย่างทารุณ แม้ตอนต่อสู้จัดอันดับของสถาบัน นักเรียนที่ตายคามือเขา มีอยู่มากมาย”

ลู่ฝานพูดอย่างตกใจ “พวกครูไม่สนใจเลยเหรอ”

ฉู่สิงพูดว่า “สนใจเหรอ จะสนใจยังไงล่ะ เขาเป็นนักเรียน ที่มีความสามารถที่สุด ในคณะหยินหยาง ตอนนี้ผลการฝึกตน คงใกล้ถึงปราณนอกชั้นสุดยอดแล้ว เป็นที่รู้จักในนาม อัจฉริยะที่เจอในรอบพันปี ของสถาบันสอนวิชาบู๊ ครูทั่วไป ยังเก่งไม่เท่าเขาเลย อาจารย์ซิงยวนของคณะหยินหยาง ให้ท้ายเขาเป็นอย่างมาก”

ลู่ฝานพยักหน้าเข้าใจ ดูเหมือนเอี๋ยนชิงเป็นคนไม่มีขื่อมีแปสินะ

บทที่ 200

บทที่ 202
เฒ่าประหลาดเบิกตาโต เห็นเงาคนเดินออกมาจากค่ายกล

ดวงตาเป็นประกายเหมือนดวงดาว คิ้วเหมือนกระบี่คม ผมสั้นเป็นสีขาวเล็กน้อย ใบหน้ามีความร้ายกาจเผยออกมา

ชุดคลุมนักบู๊สีดำ สง่างามและโดดเด่น มีเข็มขัดหยกมังกรดำตรงเอว เป็นหยกอุ่นฟ้า ราคาสูงมาก เมื่อพกติดตัว ไม่เพียงแต่ทำให้ร่างกายอบอุ่น อีกทั้งยังช่วยต้านทานภัยอันตรายแทนเจ้าของอีกด้วย

มือซ้ายและมือขวา สวมแหวนอากาศธาตุ แหวนข้างซ้ายเป็นสีขาวบริสุทธิ์ สลักคำว่า “หยาง” ออร่ารุนแรงมาก แหวนข้างขวาเป็นสีดำเหมือนน้ำหมึก สลักคำว่า “หยิน” ลึกลับยากจะคาดเดาได้

ตรงหน้าอกมีสัญลักษณ์หยินหยาง นี่เป็นเครื่องแต่งกายที่เป็นเอกลักษณ์ของนักบู๊คณะหยินหยาง

ผู้ชายเพิ่งเดินออกมา หุ่นวิญญาณบริเวณรอบๆ พากันง้างเคียว พุ่งเข้ามาโจมตี

ผู้ชายขมวดคิ้วเบาๆ ซัดหมัดออกไปกลางอากาศ

หมัดปะทะกับอากาศ ทันใดนั้น อากาศด้านหน้าเขา เหมือนคลื่นน้ำกระเพื่อม

“คลื่นพิพิโรธสะท้าน!”

พลังอันน่ากลัวแผ่ออกไปเป็นวงกว้าง ทันใดนั้น หุ่นวิญญาณ โดนโจมตีจนกระเด็น

เฒ่าประหลาดโดนพลังอันแข็งแกร่ง พัดใส่จนกล้ามเนื้อบนใบหน้าบิดเบี้ยว ผู้ชายกวาดตามองรอบๆ ในแววตาทั้งสองข้าง มีแสงที่น่าตกใจพุ่งออกมา

เมื่อโดนแสงจากตาของผู้ชายโจมตี หุ่นวิญญาณหยุดนิ่งอยู่ที่เดิม

“พระเนตรสะกด”

เฒ่าประหลาดพึมพำออกมา เขารู้จักกระบวนท่านี้ นี่เป็นเคล็ดวิชา ที่ซิงยวนชำนาญไม่ใช่เหรอ

หุ่นวิญญาณหลายสิบตัวหยุดชะงัก ทุกอย่างกลับสู่ความสงบ

ผู้ชายละสายตาออกมา ยิ้มแล้วพูดว่า “สวัสดีคุณเฟิงหลิง ผมชื่อเอี๋ยนชิง”

เฒ่าประหลาดมองเอี๋ยนชิงอย่างประเมิน จากนั้นพูดว่า “อาจารย์นายคือซิงยวนใช่ไหม”

เอี๋ยนชิงพยักหน้า “ถูกต้อง”

เฒ่าประหลาดพูดต่อ “เคยได้ยินคนพูดนานแล้ว ซิงยวนรับศิษย์ที่สุดยอดมาคนหนึ่ง มีความหวังว่าจะปะทะสู้ในงานประลองบู๊ของประเทศอู่อาน คงเป็นนายสินะ”

เอี๋ยนชิงยิ้มมุมปาก เห็นได้ชัดว่า เขาก็พอใจกับผลการฝึกตนของตัวเองมาก

“คุณเฟิงหลิงชมเกินไปแล้ว ยาทิพย์ที่คุณพูดถึงเมื่อกี้ เป็นความจริงใช่ไหม”

เฒ่าประหลาดพยักหน้า “จริงอยู่แล้ว แค่นายช่วยให้ฉันอยู่ในนี้อย่างปลอดภัยสัก 3-5 วัน จะได้ยาทิพย์หนึ่งเม็ด”

รอยยิ้มบนใบหน้าเอี๋ยนชิงยิ่งกว้างขึ้น “คุณเฟิงหลิง หวังว่าคุณจะไม่เอายาเม็ดไร้คุณภาพ มาหลอกผมนะ พูดแล้วว่าคือยาทิพย์ เมื่อถึงตอนนั้นอย่าเอายาชีวิต มาทำให้ผมเสียเวลาล่ะ”

เฒ่าประหลาดหรี่ตาลง “วางใจเถอะ เป็นยาทิพย์แน่นอน”

เอี๋ยนชิงพยักหน้าอย่างพอใจ กวาดตามองรอบๆ แล้วพูดว่า “งั้นบอกมาก่อนว่าที่นี่คือที่ไหน ต่อไปเราจะทำอะไร”

……

อีกด้านหนึ่ง พวกลู่ฝาน เดินมาถึงหน้าประตู

เป็นประตูคุ้มครองอีกบานหนึ่ง แต่ไม่มีลวดลายซับซ้อน กับเสือและมังกรที่เป็นสัตว์คุ้มครองจากภาพลวงตา

ลู่ฝานมองอย่างระมัดระวัง สุดท้ายแน่ใจว่าประตูคุ้มครองบานนี้ ใช้พลังชี่พิเศษเปิดออก นั่นหมายความว่า นอกจากเจ้าของจวนแห่งนี้ คนอื่นเปิดประตูคุ้มครองบานนี้ได้ยาก

ลู่ฝานครุ่นคิด จากนั้นตัดสินใจ เอากระบี่หนักของตัวเองออกมา โจมตีประตูบานใหญ่อย่างแรง

ชิ้ง!

การกระทำของลู่ฝาน ทำให้พวกหานเฟิงสะดุ้งโหยง

ทั้งสามคนถอยหลัง และเอาอาวุธออกมาโดยอัตโนมัติ

แต่เมื่อรอสักพัก กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ทั้งสามคนมองไปรอบๆ จากนั้นหานเฟิงถอนหายใจออกมา “ศิษย์น้องลู่ฝาน นายอย่าทำให้ตกใจได้ไหม อาจตกใจตายได้เลยนะ”

ลู่ฝานยืนที่เดิม สัมผัสถึงพลังที่ตัวเองปล่อยออกไป ถูกประตูคุ้มครองดูดซับเข้าไป และแปรเปลี่ยนเป็นพลังป้องกันของประตูคุ้มครอง

ลู่ฝานลืมตาขึ้น “แย่แล้ว ประตูบานนี้เปิดยากมาก”

พวกหานเฟิงเดินเข้ามา ฉู่สิงพูดว่า “ไม่สามารถกดลงไปยังจุดใดจุดหนึ่ง เหมือนประตูบานนั้นเหรอ”

ลู่ฝานส่ายหน้า “ไม่ได้ เว้นแต่จะมีเครื่องรางของเซียนบำเพ็ญชี่คนที่ล่วงลับไปแล้ว หรือไม่ก็วิชาอะไรทำนองนั้น เดี๋ยว เครื่องรางอาจจะเป็น……”

เหมือนลู่ฝานนึกอะไรได้ เอาหม้อสือฟางออกมาจากเข็มขัดของตัวเอง

ด้านในหม้อสือฟางสีใส มีพลังห้าธาตุฟ้าดินเคลื่อนไหวอยู่

ลู่ฝานเอาหม้อสือฟางมาถือไว้ ใส่พลังของห้าธาตุ เข้าไปด้านใน

ลู่ฝานสัมผัสได้ว่าด้านในหม้อสือฟาง มีพลังฟาดฟันอันน่ากลัวออกมา ฟาดฟันปราณชี่ที่เขาใส่เข้าไปอย่างต่อเนื่อง

ลู่ฝานสีหน้าเคร่งขรึม ปราณชี่เคลื่อนไหวทั้งตัว ปราณชี่กลายเป็นพลังชี่ ทันใดนั้น พลังชี่ 20 เท่าระเบิดออกมา ทะลักเข้าไปในหม้อสือฟาง

ทันใดนั้น ลู่ฝาน “มองเห็น” ผ่านพลังชี่ ว่าข้างในหม้อสือฟางมีรอยจารึกเล็กๆ

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า นี่คือร่องรอยประทับที่เจ้าของหม้อสือฟางหลงเหลือเอาไว้ เพื่อควบคุมหม้อสือฟาง จากรอยจารึกเล็กๆ นี้ ลู่ฝานสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งของเซียนบำเพ็ญชี่คนนี้

พลังลึกล้ำเหมือนทะเลกว้างใหญ่ ไม่สามารถคาดเดาได้ แม้ผ่านไปเป็นร้อยปี ในรอยประทับ ยังแฝงไปด้วยออร่า ที่ทำให้คนรู้สึกเลื่อมใส

ลู่ฝานสูดหายใจลึก เอาปราณชี่ของตัวเอง ใส่เข้าไปในรอยจารึก

วินาทีต่อมา หม้อสือฟางสว่างขึ้นมา

ลู่ฝานหยิบสมุนไพรข้างในขึ้นมา เพ่งมองอย่างตั้งใจ น่าตกใจ มันเป็นเห็ดที่ยังเคลื่อนไหวอยู่

บนเห็ดมีใบหน้าผี ยิ้มยิงฟันสีขาว เหมือนคนกำลังหลับ

สมุนไพรชนิดนี้ แค่ดูก็รู้แล้ว ต้องเหนือกว่าระดับยาวิเศษทั่วไป

ลู่ฝานอึ้งไป เพราะเขารู้ว่านี่เป็นหนึ่งในยาสมุนไพร ที่ทำยาเบญจธาตุ เห็ดชีวิต

โดยทั่วไปแล้ว แค่มีรากของเห็ดชีวิตเป็นตัวนำยา จะกลั่นยาเบญจธาตุน้อยอย่างดีออกมาได้

ถ้าได้ชิ้นส่วนจากตัวต้นเห็ดชีวิต สามารถลองกลั่นยาเบญจธาตุใหญ่ได้ นั่นเป็นยาทิพย์อย่างแท้จริง เป็นยาทิพย์สำหรับบำรุงชั้นดี

ลู่ฝานกลืนน้ำลาย เก็บเห็ดชีวิตขึ้นมา ขณะเดียวกันก็แยกไม้พักหงส์ออกมาสองสามชิ้น ใส่เข้าไปในแหวนพร้อมกับยาสมุนไพร

ด้านล่าง พวกหานเฟิงยังคงกอบโกย เมื่อเก็บสมุนไพรธรรมดาหมด พวกเขาเริ่มลองสมุนไพรในตู้

น่าเสียดาย พวกเขาไม่มีพลังชี่ หลังจากได้สมุนไพรสองสามต้น ก็ไม่มีวิธีทำต่อไปได้

มองสมุนไพรเยอะขนาดนี้ พวกเขาทำได้เพียงเสียดายเป็นอย่างมาก

“เฮ้อ ศิษย์น้องลู่ฝานโหดมาก เราไม่สามารถเอามาได้ แต่เขากลับเอามาได้”

หานเฟิงมองมือตัวเอง ที่โดนบาดจนเลือดเต็มไปหมด แล้วส่ายหน้าช้าๆ

ฉู่สิงส่ายหน้าไปมา แล้วถามว่า “ถ้าต่อไปคณะหนึ่งเดียวของเราโดดเด่นขึ้นมา ต้องเป็นเพราะศิษย์น้องลู่ฝานแน่นอน ศิษย์น้องหานเฟิง ศิษย์พี่ฉู่เทียน ครั้งนี้พวกเราได้สมุนไพรเยอะขนาดนี้ ควรสร้างเซอร์ไพรส์ให้นักเรียนคณะอื่นสักหน่อยไหม”

หานเฟิงฉีกยิ้ม รอยยิ้มเต็มหน้า “ครั้งนี้เด็กน้อยพวกนั้น ซวยแน่นอน ปกติให้พวกเขาอวดดี หัวเราะเยาะคณะหนึ่งเดียวของเรา พี่ว่าครั้งนี้เราขยี้พวกเขาไว้ใต้เท้า จะสะใจหรือเปล่า”

ฉู่สิงยิ้มแล้วพูดว่า “ฉันคาดหวังมาก”

ฉู่เทียนพยักหน้าพูดว่า “ควรให้พวกเขาเห็นความเก่งกาจของคณะหนึ่งเดียวของพวกเรา”

พูดพลาง ทั้งสามคนมองหน้ากัน แล้วยิ้มออกมา

ขณะเดียวกัน ลู่ฝานได้สมุนไพรมาเพียงพอแล้ว โดดลงมาจากด้านบนตู้ยา

ลู่ฝานหอบหายใจ แล้วพูดว่า “ศิษย์พี่ทุกคน เก็บเรียบร้อยแล้วเหรอ”

หานเฟิงตบกางเกงตัวเอง แล้วพูดว่า “เก็บเสร็จเรียบร้อยแล้ว ศิษย์น้องลู่ฝาน นายได้มาเยอะเลยนี่”

ลู่ฝานยิ้มแล้วพยักหน้า ทันใดนั้น ลู่ฝานเห็นไหล่หานเฟิงที่เคยเป็นรู ตอนนี้ไม่มีบาดแผลอะไรแล้ว

ลู่ฝานถามอย่างสงสัย “ศิษย์พี่หานเฟิง รักษาบาดแผลตั้งแต่เมื่อไร”

หานเฟิงหัวเราะออกมา “รักษาบาดแผลเหรอ ฉันไม่ค่อยต้องการหรอก อย่างมากก็แค่กินยาสักสองเม็ด เพื่อลดอาการปวดเท่านั้น”

ลู่ฝานมองหานเฟิงอย่างไม่เข้าใจ ฉู่สิงพูดอธิบายข้างๆ “ศิษย์น้องลู่ฝาน นายไม่ต้องถามแล้ว ร่างกายของหานเฟิงค่อนข้างประหลาด ฟื้นฟูอาการบาดเจ็บรวดเร็ว ต่อไปนายจะได้เห็นพลังชีวิตของเขาที่เหมือนแมลงสาบ ตียังไง ก็ตีไม่ตาย”

หานเฟิงเลิกคิ้วขึ้น “ผมมีพรสวรรค์ไม่ธรรมดา พวกพี่จะไปรู้อะไร”

หานเฟิงโบกมือไปมา แล้วพูดว่า “ไปกันเถอะ เราดูต่อสิว่าที่นี่ ยังมีของดีอะไรอีก ผมหลงรักจวนอากาศธาตุเข้าให้แล้ว เซียนบำเพ็ญชี่สุดยอดมาก เก็บของไว้เยอะแยะ ผมต้องรวยอีกสักหน่อย”

ลู่ฝานหัวเราะเบาๆ เดินตามหานเฟิงเข้าไปด้านใน ด้านหน้าสุดของห้องสมุนไพร เป็นประตูขนาดใหญ่ มีแสงบางๆ สว่างออกมา

และอีกด้านหนึ่งของประตู ในห้องที่มีหุ่นเต็มไปหมด

เฒ่าประหลาดยืนเลือดเต็มตัวอยู่ด้านใน

รอบๆ เหมือนเงามืด หุ่นถือเคียว ชุดคลุมยาวสีดำ ปกคลุมทั้งตัว กำลังโจมตีเฒ่าประหลาดอย่างต่อเนื่อง

เฒ่าประหลาดดูฝืนไม่ไหวแล้ว วงแหวนสีฟ้าบนตัว โดนบีบจนถึงขั้นสุด จนเกือบจะแหลกสลาย

“หุ่นวิญญาณน่าสะอิดสะเอียน ทำไมถึงมีของแบบนี้คุ้มครองจวนล่ะ อย่าบอกนะว่าฉันมา…..ประตูตาย!”

เฒ่าประหลาดกัดฟัน ตอนนี้เขาตั้งสติได้แล้ว

“ฉันตายที่นี่ไม่ได้เด็ดขาด”

ทันใดนั้น เฒ่าประหลาดเอาหยกแขวนระยิบระยับ ออกมาจากในอก จากนั้นบีบจนแตก

เฒ่าประหลาดตะโกนด้วยน้ำเสียงเศร้าโศก “ซิงยวน! ฉันคือเฟิงหลิง ช่วยเป็นกำลังเสริมให้ฉันหน่อย จะมอบยาทิพย์ให้”

วินาทีต่อมา ค่ายกลส่องแสง ปรากฏอยู่ตรงหน้าเฒ่าประหลาด

จากนั้นมีเสียงดังขึ้นในค่ายกล

“ขอโทษด้วย อาจารย์ไม่อยู่ งั้นให้ผมช่วยคุณละกัน”

มือข้างหนึ่ง ยื่นออกมาจากค่ายกล

หานเฟิงได้ยินคำว่ารวย มีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที พูดเสียงดังว่า “รวยเหรอ รวยอะไร ไหนทรัพย์สิน……หา! ยาสมุนไพรเยอะมาก!”

หานเฟิงตะโกนออกมาอย่างบ้าคลั่ง ฉู่สิงกับฉู่เทียนยังช็อกอยู่

สิ่งที่ปรากฏในสายตา คือห้องสมุนไพรขนาดใหญ่ ในอากาศเต็มไปด้วยกลิ่นยารุนแรง

รอบห้องล้วนเป็นตู้ยาสูง แยกเป็นชนิด วางไว้อย่างดี

ตรงกลางมียาสมุนไพรหลากหลายชนิด กองเป็นภูเขา

เหมือนรอบๆ จุดไม้จันทน์อยู่มากมาย กลิ่นแบบนี้ มีชื่อว่าหอมหมื่นปี สามารถรักษาไม่ให้สมุนไพรเน่าได้เป็นหมื่นปี

แค่ไม้หอมพวกนี้ มูลค่าไม่รู้เท่าไร เหนือกว่าประสิทธิภาพของยาทิพย์หนึ่งเม็ดแน่นอน

ถ้าเอาไม้หอมพวกนี้ออกไปขายข้างนอกได้ พวกผู้ฝึกชี่คงแหกปากร้อง มาอ้อนวอนขอไม้หอมเพียงแค่นี้

มองไปยังตู้ยาใส่สมุนไพรพวกนั้น ไม้พักหงส์แท้ๆ ไม้พักหงส์มูลค่าไม่ธรรมดา ไม้ประเภทนี้ โดนไฟไม่ไหม้ โดนน้ำไม่เปื่อย ถ้านำมาแกะสลัก พกไว้บนตัว มีประสิทธิภาพอายุยืน ป้องกันพิษภัย

ไม้พักหงส์ขนาดเท่าฝ่ามือ สามารถเป็นสมบัติสืบทอดของตระกูลได้ อีกทั้งยังเป็นสมบัติของตระกูล ที่มีหน้ามีตาด้วย

แต่ตอนนี้ มองตู้ไม้สูงด้านหน้า ล้วนเป็นไม้พักหงส์ทั้งหมด

และไม่ใช่ไม้ใหม่อายุไม่กี่สิบปีอีกด้วย ดูสีดำขลับ จนแทบจะแวววาว อย่างน้อยต้องเป็นไม้พักหงส์อายุเป็นร้อยปี

แค่เอาตู้พวกนี้ แยกออกไปขาย ต้องกลายเป็นเศรษฐี ที่ใช้เงินไม่หมดอย่างแน่นอน

แน่นอนว่าสิ่งที่จะเป็นไปได้คือ หลังจากเขาเอาไม้พวกนี้ออกไป จะโดนผู้ฝึกชี่ หรือไม่ก็นักบู๊ ที่แข็งแกร่ง มาช่วงชิงไป

ราษฎรเดิมไม่มีความผิด แต่เพราะมีหยกกับตัวจึงมีความผิด เหตุผลนี้ เขาเข้าใจ

ลู่ฝานพยายามควบคุมความตื่นเต้นของตัวเอง หานเฟิงพุ่งเข้าไปทันที กระโดดตัวเข้าไปในกองสมุนไพร

“รวยแล้ว รวยจริงๆ ศิษย์น้องลู่ฝาน ศิษย์พี่รอง ศิษย์พี่สาม รออะไรอยู่ล่ะ รีบเก็บสิ ได้แค่ไหนเอาแค่นั้น!”

พูดพลาง ศิษย์พี่หานเฟิงเริ่มโกยยาสมุนไพร

ถูกต้อง มันคือการโกย เขาแทบจะใช้ทั้งมือทั้งเท้า เอาสมุนไพรทั้งหมดใส่เข้าไปในสิ่งอากาศธาตุ

และเมื่อเร็วๆ นี้ รวมถึงวันนี้ พวกเขาได้สิ่งอากาศธาตุมาไม่น้อย บวกกับที่ได้มาจากพวกจ้าวซวี่ จึงเริ่มโกยยาสมุนไพรอย่างบ้าคลั่ง

ไม่งั้น ยาสมุนไพรเยอะขนาดนี้ พวกเขาเอาไปได้ไม่มากหรอก ศิษย์พี่ฉู่สิงกับศิษย์พี่ฉู่เทียนตาเป็นประกาย เริ่มเก็บอย่างสุดชีวิต ทั้งสองเลือกเก็บแต่สมุนไพรดีๆ และต้นใหญ่ สิ่งที่แตกต่างจากหานเฟิงคือ ศิษย์พี่ฉู่สิงกับศิษย์พี่ฉู่เทียนหาสมุนไพรแบบลำเอียง เห็นได้ชัดว่าสมุนไพรที่พวกเขาต้องการ ล้วนเป็นสมุนไพรที่เหมาะสมกับวิชาของตัวเอง

ลู่ฝานไม่ได้เก็บสมุนไพรธรรมดาเหล่านี้ เหมือนอย่างศิษย์พี่หานเฟิง ศิษย์พี่ฉู่เทียนและศิษย์พี่ฉู่สิง

เขายื่นมือไปดึงลิ้นชักแต่ละลิ้นชัก ลู่ฝานเริ่มค้นหาตู้ยา

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า สมุนไพรที่วางไว้อย่างดีพวกนี้ ต้องดีกว่าสมุนไพรที่กองไว้แบบนั้นมาก

แต่เหมือนสมุนไพรเหล่านี้ วางการกักขังเอาไว้ ทุกครั้งที่ลู่ฝานเอาสมุนไพรขึ้นมา จะสัมผัสถึงพลัง โจมตีบนฝ่ามือเขา

ใช้พลังปราณลำบากจนผิดปกติ ต้องใช้พลังชี่ขจัด ถึงจะง่ายขึ้นเล็กน้อย

ตู้ยายิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งได้มายากขึ้น สุดท้ายลู่ฝานเหมือนกำลังต่อสู้ ปราณชี่แผ่ซ่านทั่วร่างกาย พยายามดึงลิ้นชักแต่ละอันออกมา

สิ่งที่สะกดไว้ยิ่งเยอะขึ้น ก็ยิ่งลำบากขึ้น ลู่ฝานได้สมุนไพรดีขึ้นเรื่อยๆ

ใช้มือดึงลิ้นชัก ที่มีแสงสีขาวบางๆ ส่องออกมา ยังไม่ทันเห็นว่าสมุนไพรด้านในคืออะไร มีดาบลมรูปจันทร์เสี้ยว พุ่งออกมา กระแทกกับปราณชี่ของลู่ฝาน จนเกิดเสียงดัง

“ศิษย์น้องลู่ฝาน แน่ใจใช่ไหม ว่าเราเข้าประตูเป็นมา นายแน่ใจใช่ไหม ว่าไม่ผิดพลาด”

หานเฟิงวิ่งพลาง ตะโกนออกมาเสียงดัง องครักษ์ดวงดาวด้านหลังลอยมาเหมือนสายลม ซัดหมัดใส่ทั้งสี่คนอย่างแรง

“หลีกไป!”

ลู่ฝานแผดเสียงออกมา เตะหานเฟิงออกไปก่อน ฉู่สิงกับฉู่เทียนลงมือพร้อมกัน แสงกระบี่กับดาบ สว่างขึ้นพร้อมกัน

“ทำลาย!”

ฉู่สิงกับฉู่เทียนร่วมมือกัน ทันใดนั้น ทำให้พลังฟ้าดินรอบๆ ปั่นป่วนทันที

ฝ่ามือขนาดใหญ่ที่ฟาดลงมา โดนปัดออกไป แต่พลังลมอันน่ากลัวยังคงพัดผ่านไปรอบๆ พัดจนฉู่สิงกับฉู่เทียนกลิ้งลงบนพื้น

ลู่ฝานลงมืออย่างบ้าคลั่ง ปราณชี่ดันพลังรอบๆ ออกไป ความเร็วของกระบี่ไม่สามารถมองเห็นได้ตรงๆ

กระบี่มังกรเหิน! เมื่อกระบี่พุ่งออกมา แสงกระบี่อันแข็งแกร่ง สว่างขึ้นบนกระบี่หนัก

องครักษ์ดวงดาวโดนฟันแขน และถอยหลังไปหลายก้าว

ลู่ฝานเก็บกระบี่หนักไว้ด้านหลัง หิ้วศิษย์พี่ฉู่สิงกับฉู่เทียนขึ้นมาคนละข้าง หลบลำแสงที่พุ่งมาโจมตีไม่หยุด และวิ่งหนีอย่างต่อเนื่อง

หานเฟิงโดนแสงทะลุฝ่ามือ ร้องออกมาอย่างเจ็บปวด รีบกระโดดขึ้นมา วิ่งตามลู่ฝานเข้าไปด้านใน

ในหัวลู่ฝานหวนคิดถึงสิ่งที่เกี่ยวกับตำหนักดวงดาวอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้เขารู้สึกเสียใจ ทำไมตอนแรก ถึงไม่เรียนรู้เกี่ยวกับผู้ฝึกชี่ จากอาจารย์หวูเฉิน ให้มากกว่านี้

กวาดตามองไปทั่ว ทางออกอยู่ไหน ทางออกอยู่ไหน

ไม่ว่าจะเป็นตำหนักแบบไหน ยังไงก็ต้องมีทางออก

ทันใดนั้น ลู่ฝานเห็นดวงดาวที่สว่างเป็นพิเศษด้านหน้า ลู่ฝานพาศิษย์พี่พุ่งเข้าไป อย่างไม่ลังเล

องครักษ์ดวงดาวขนาดใหญ่ด้านหลัง อ้าปากสูดลมหายใจ ลำแสงนับไม่ถ้วน เข้าไปในตัวมันเองอีกครั้ง ช่วยสร้างแขนใหม่ออกมาให้มัน

มองพวกลู่ฝานกำลังวิ่งหนี องครักษ์ดวงดาวกลายร่างเป็นสายลม พุ่งเข้ามาอีกครั้ง

ตอนนี้ พวกลู่ฝานพุ่งเข้ามาข้างหน้าดาว ดวงที่สว่างที่สุด

ตอนนี้ลู่ฝานเพิ่งเห็นว่าดาวดวงนี้ ไม่ใช่ทางออก แต่เป็นแร่ควอตซ์สีใส

“ให้ตายเถอะ!”

ลู่ฝานสบถออกมา แต่หานเฟิงกลับพุ่งเข้าไป คว้าแร่ควอตซ์ลงมา

“ได้มาแล้วศิษย์น้องลู่ฝาน”

หานเฟิงตะโกนออกมา แต่ตอนที่เขาเอาแร่ควอตซ์ องครักษ์ดวงดาวด้านหลังพุ่งเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง

มันอ้าปาก แสงดาวเป็นแถบ พ่นออกมาจากปากองครักษ์ดวงดาว

แสงดาวอันแข็งแกร่ง เหมือนแสงกระบี่อันน่ากลัว ลู่ฝานรีบหันไป ดึงกระบี่หนักออกมา ใช้เกราะ ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม

“ยืนด้านหลังผม!”

ลู่ฝานตวาดออกมา ฉู่สิง ฉู่เทียนและหานเฟิงรีบมายืนด้านหลังลู่ฝาน

ตู้ม!

แสงดาวเป็นแถบ โจมตีมายังลู่ฝาน

แสงดาวอันน่ากลัวมาพร้อมกับพลังทำลายลึกถึงกระดูก พุ่งเข้ามาสู่ปราณชี่กับอวัยวะภายในของลู่ฝาน

เป็นการโจมตีจากข้างนอกสู่ข้างใน ตอนที่ได้สัมผัส ลู่ฝานมีเลือดออกตรงมุมปาก

ค่ายกลห้าธาตุกับค่ายกลหยินหยางในตัว เคลื่อนไหวอย่างบ้าคลั่ง

ปราณชี่อันแข็งแกร่ง เหมือนรากต้นไม้ใต้ดิน ไม่ว่าลมจะพัดอย่างไร ก็ไม่ขยับไปไหน

“ศิษย์น้องลู่ฝาน!”

หานเฟิง ฉู่สิงและฉู่เทียนตะโกนออกมา ทั้งสามคนโจมตีไปยังองครักษ์ดวงดาวอย่างสุดชีวิต

ลู่ฝานกัดฟันอดทน ขณะนั้น ลู่ฝานเห็นสิ่งแปลกประหลาดในปากองครักษ์ดวงดาว

แสงเหล่านั้นเหมือน……

ลู่ฝานพูดออกมาด้วยความตกใจ “ทางออก ทางออกคือปากของมัน ศิษย์พี่ทั้งสาม คอยช่วยเหลือผมด้วย!”

กล้ามเนื้อทั้งตัวลู่ฝานปูดขึ้นมา ปราณชี่บนตัวหายไปอย่างรวดเร็ว

วินาทีต่อมา ลู่ฝานปล่อยกระบี่หนัก

ตอนกระบี่หนักโดนแสงดาวโจมตี ลู่ฝานเหวี่ยงหมัดออกมา รวบรวมพลังทั้งหมดเอาไว้ แก่นแท้หมัดอู๋เซี่ยง แก่นแท้ของหมัดทำลายล้าง แก่นแท้ของหมัดถล่มเขา โจมตีออกมาพร้อมกัน

“พุ่งไป!”

เหวี่ยงหมัดออกมา แสงดาวรอบๆ เหมือนโดนคลื่นยักษ์โจมตี วกกลับไปทันที พลังหมัดนับไม่ถ้วน ปกคลุมด้านหน้าลู่ฝานเอาไว้ ต่อยจนองครักษ์ดวงดาวสะเทือนไปทั้งตัว

หานเฟิง ฉู่สิงและฉู่เทียนเด้งตัวขึ้นพร้อมกัน

“ฆ่า! ฆ่า! ฆ่า!”

แสงกระบี่แสบตาสองดวง แสงดาบอันบ้าคลั่งหนึ่งดวง ปล่อยลำแสงเป็นหมื่นฟุตออกมาทันที

หัวขององครักษ์ดวงดาวโดนฟันจนกระเด็น แขนทั้งสองข้างโดนฟันจนขาด แสงสีขาว ทะลักออกจากปากของมัน จนเกือบจะทำลายดวงตาคนอื่น

“พุ่งเข้าไป!”

ลู่ฝานพลิกมือรับกระบี่หนักของตัวเอง และพุ่งไปทางแสงสีขาว

ปฏิกิริยาของฉู่สิง ฉู่เทียนและหานเฟิงรวดเร็วเช่นกัน พุ่งเข้าไปอย่างรวดเร็ว

ตัวขององครักษ์ดวงดาวที่อยู่ด้านล่าง ระเบิดอย่างรุนแรง

แรงระเบิดอันน่ากลัว ทำให้เกิดพลังทำลายล้าง ตามมาด้านหลัง

ลู่ฝานเร่งความเร็ว พุ่งไปด้านหน้าแสงสีขาว

พลิกกระบี่ ตบหานเฟิง ฉู่สิง และฉู่เทียนเข้าไปข้างในทันที

ส่วนตัวเอง โดนแรงระเบิด จนเข้าไปในแสงสีขาว

พลั่ก พลั่ก พลั่ก!

เสียงอึกทึกดังต่อเนื่องสามครั้ง และร่วงลงบนพื้น

เสียงร้องโอดครวญของศิษย์พี่หานเฟิงดังขึ้น “ศิษย์น้องลู่ฝาน ก้นนายทับหัวฉันแล้ว”

ลู่ฝานพลิกตัวอย่างน่าเวทนา ปราณชี่โดนกระแทกจนเกือบสลาย รวมไปถึงเกราะก็แสงหม่นลงด้วย

หานเฟิงบ่นแล้วลุกขึ้นยืน ลูบเอว แล้วพูดว่า “รอให้ฉันแข็งแกร่งก่อนเถอะ ฉันต้องกลับมาจัดการมันแน่นอน!”

ลู่ฝานหัวเราะเบาๆ แล้วลุกขึ้น ลู่ฝานช้อนตาขึ้นมอง เห็นห้องด้านหน้า

ทันใดนั้น ลู่ฝานอ้าปากกว้าง

ฉู่สิงกับฉู่เทียนลุกขึ้นมา ก็เบิกตาโต มองห้องนี้เช่นกัน

เงียบอยู่นาน ลู่ฝานกลืนน้ำลาย สบถออกมาแบบที่เห็นได้น้อยครั้ง “รวยแล้ว!”

บทที่ 197
ลู่ฝานถอยออกมาไม่กี่ก้าว ด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้ม มองประตูเปิดออก
ลายมังกรและเสือ บนประตูคุ้มครองหายไป ถูกแทนที่ด้วยคำว่าสือฟาง
หานเฟิงมองลู่ฝานอย่างตกตะลึง จากนั้นหัวเราะออกมา “ศิษย์น้องลู่ฝาน นายเปิดมันออกได้จริงๆ ไอ้หมอนั่นบอกว่านักบู๊ ไม่มีคุณสมบัติเข้าไปไม่ใช่เหรอ นายเปิดประตูออกได้ยังไง”
ลู่ฝานยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “บนโลกนี้ ไม่มีที่ไหนที่นักบู๊เข้าไปไม่ได้ ผู้ฝึกชี่แค่มีวิธีมากกว่านักบู๊เท่านั้นเอง”
“ใช่ๆ คุณท่านของตระกูลฉัน ก็พูดแบบนี้เหมือนกัน ผู้ฝึกชี่ เหอะๆ ก็เท่านั้นแหละ”
หานเฟิงหัวเราะอย่างมีความสุข จ้องไปยังประตูบานใหญ่
ฉู่สิงกับฉู่เทียนเดินเข้ามา ฉู่เทียนพูดว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน ดูเหมือนต่อไป ถ้าเจอสมบัติลึกลับ หรือจวน คงต้องเรียกนายมาด้วย”
ศิษย์พี่ฉู่สิงมองอย่างประเมิน แล้วถามว่า “เอ๊ะ ทำไมประตูบานนี้ ถึงเปิดออกมาทางด้านนอกล่ะ ตอนตาเฒ่านั่นเข้าไป มันเปิดเข้าไปด้านในนี่”
ลู่ฝานหัวเราะเบาๆ ศิษย์พี่ฉู่สิงมองละเอียดจริงๆ
“ประตูคุ้มครองแบ่งเป็นประตูเป็น ประตูตาย โดยทั่วไปแล้ว อาศัยรูปแบบที่ถูกต้องที่เจ้าของทิ้งไว้ จะเข้าไปยังประตูเป็น ส่วนที่ใช้พลังทำลายหรือไม่ก็ติดกับดัก จะเข้าสู่ประตูตาย ประตูเป็นอาจมีความยากลำบากมากมาย หรืออาจเป็นเส้นทางทั้งแถบ แต่ยังไงก็มีชีวิตรอด ในประตูตาย ไม่ต้องสงสัยเลยว่า มีกับดักเต็มไปหมด ถึงแก่ชีวิตได้เลย”
ลู่ฝานพูดเรื่องเกี่ยวกับประตูคุ้มครองที่ตัวเองรู้ออกมา
หานเฟิงตาเป็นประกาย “แล้วตอนนี้เราเปิดประตูเป็นหรือประตูตาย”
ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “ประตูเป็น”
พวกฉู่สิงหัวเราะออกมา ตอนนี้พวกเขาเชื่อใจลู่ฝานมาก
หานเฟิงถือกระบี่หยกในมือ เดินไปด้านหน้า
“ศิษย์พี่ศิษย์น้องทุกคน ให้ฉันนำทางเอง พูดกันก่อน เดี๋ยวถ้าเจอของดี ฉันจะแบ่งเป็นคนแรก”
หานเฟิงเดินอย่างสบายใจ จนเกือบฮัมเพลงออกมา
ลู่ฝานอดเตือนศิษย์พี่หานเฟิงไม่ได้ อย่าคิดว่าจวนอากาศธาตุที่เซียนบำเพ็ญชี่หลงเหลือเอาไว้ เป็นสนามเด็กเล่น แม้เป็นประตูเป็น ไม่แน่อาจเจอองครักษ์ก็ได้
จากพละกำลังของเซียนบำเพ็ญชี่ ถึงทิ้งหุ่นเอาไว้สองตัว ก็ใช่ว่าพวกเขาจะรับมือได้
ทั้งสี่คนเดินเข้าไปข้างในช้าๆ
โลกด้านหน้าเหมือนกาแล็กซี่ ด้านล่างเป็นแสงดาวเคลื่อนไหว รอบๆ มีความมืดหมุนเวียนไปมา แอบมีลมสีขาวหมุนวนอยู่ในนั้น
“นี่คือ ตำหนักดวงดาว!”
ลู่ฝานพูดออกมาเบาๆ
เมื่อได้ยินคำว่า ตำหนักดวงดาว หานเฟิงอดถามไม่ได้ว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน นายกำลังพูดอะไร”
ลู่ฝานอธิบายว่า “ผมบอกว่า ที่นี่คือตำหนักดวงดาวของผู้ฝึกชี่ แค่ผู้ฝึกชี่มีจวน โดยพื้นฐานจะสร้างตำหนักดวงดาวแบบนี้ เอาไว้ใช้ตระหนักรู้ กลั่นยา ขนาดของตำหนักดวงดาว พลังที่เหลืออยู่ สามารถรู้พละกำลังของผู้ฝึกชี่คนนี้ได้ ผมคิดว่า เซียนบำเพ็ญชี่คนนี้ คงเป็นเซียนบำเพ็ญชี่ที่ฝึกพลังลมเป็นหลัก มองตำหนักดวงดาวที่ไม่มีจุดสิ้นสุด เซียนบำเพ็ญชี่คนนี้คงเป็นผู้แข็งแกร่งในบรรดาเซียนบำเพ็ญชี่”
แววตาลู่ฝานเป็นประกาย เขามีพลังชี่ในตัว แค่ยืนอยู่ในตำหนักดวงดาว ก็สามารถสัมผัสได้ถึงพลังรอบๆ ที่เข้ามาในร่างกาย แอบมีพลังของวิถีใดวิถีหนึ่ง แฝงอยู่ด้วย
ลู่ฝานแน่ใจว่า ถ้าตัวเองทำความเข้าใจอยู่ในนี้สักระยะ ต้องได้รับสิ่งดีๆ มากมายแน่นอน
ลู่ฝานสูดหายใจลึก แอบเคลื่อนไหววิชาเทพไร้ขีดจำกัดของตัวเอง พลังแห่งลมที่อยู่ในตำหนักดวงดาวเข้ามาในตัวเขาอย่างต่อเนื่อง ภายใต้การเคลื่อนไหวของค่ายกลห้าธาตุในตัว กลายเป็นพลังบริสุทธิ์เข้าไปในปราณชี่ ให้ความชุ่มชื้นกับปราณชี่ของลู่ฝานอย่างต่อเนื่อง
หานเฟิงมองไปรอบๆ แล้วพูดว่า “สถานที่บ้าๆ แบบนี้ ควรไปทางไหน ตำหนักดวงดาว ไม่มีประโยชน์กับฉันสักนิด ยาเม็ด ฉันต้องการยาเม็ด อย่าบอกนะว่าเซียนบำเพ็ญชี่ จะไม่เหลือยาอะไรไว้ในจวนของตัวเองเลย”
ขณะกำลังพูด จู่ๆ ในตำหนักดวงดาว เงาเลือนรางพร้อมแสงดาว ปรากฏขึ้นมา
ใบหน้าเลือนราง ตัวปกคลุมด้วยแสงดาว เงาเลือนรางสูงสิบกว่าฟุต มองลงมายังพวกลู่ฝาน
“นักบู๊ พวกนายเข้ามาที่นี่ไม่ได้ รีบออกไป จะไว้ชีวิตพวกนาย”
ฉู่สิง ฉู่เทียนและหานเฟิงรีบเอาอาวุธออกมา
หานเฟิงตะโกนว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน จะเอายังไง สู้ไหม หรือยืนนิ่งๆ”
ลู่ฝานพูดเสียงดังว่า “จะสู้ยังไงล่ะ นี่เป็นองครักษ์ดวงดาวที่ก่อตัวจากตำหนักดวงดาว รีบหนีเร็ว”
เมื่อได้ยินคำว่าหนี พวกหานเฟิงรีบแยกย้ายกันหนี องครักษ์ดวงดาวที่อยู่ด้านหลังอ้อมผ่านใบหน้าเลือนราง ง้างมือขึ้นแล้วพูดว่า “ฉันปกป้องที่นี่ ไม่มีทางให้พวกนาย เข้ามาตามใจชอบ ทำลาย!”
เมื่อพูดออกมาว่าทำลาย แสงดาวรอบๆ เปลี่ยนไปทันที
พลังนับไม่ถ้วน พุ่งเข้ามา แสงดาวเหมือนใยแมงมุมเต็มท้องฟ้า ค่ายกลแห่งความตาย พุ่งเข้ามาฆ่า
แสงดวงหนึ่ง พุ่งเข้ามาบนตัวหานเฟิง ไหล่ของหานเฟิงเป็นรูทันที ไม่มีเลือดไหลออก ตรงบาดแผลมีควันสีขาวลอยออกมา
ลู่ฝานสะบัดกระบี่หนัก กันแสงนับไม่ถ้วนเอาไว้ แสงแต่ละดวง เหนือกว่าการโจมตีด้วยพลังทั้งหมด ของนักบู๊แดนปราณนอก จากร่างกายอันแข็งแกร่งของลู่ฝาน โดนลำแสงโจมตี ก็ต้องร้องซี๊ดออกมา

หานเฟิงเอาของส่วนหนึ่งยัดใส่ในอกลู่ฝาน แล้วพูดว่า “สภาพสังคมนี้ ไม่นายฆ่าฉัน ก็ฉันฆ่านาย ถึงอยู่ในสถาบันสอนวิชาบู๊ มีคนตายอย่างน่าประหลาดจำนวนไม่น้อยทุกปี สิ่งของของพวกเขาจะโดนเก็บกลับมา และส่งให้นักเรียนคนอื่น ผู้ฝึกชี่ไม่กี่คนนี้ สมควรแล้วที่ต้องเจออาจารย์ที่ไร้เยื่อใย”

ฉู่สิงพูดต่อ “ศิษย์น้องลู่ฝาน เอาไปเถอะ อย่างน้อยก็ขายเป็นเงินได้ เราไม่ฆ่าคนปากดีอย่างจ้าวซวี่ ถือว่าเมตตาแล้ว”

ลู่ฝานรับของมาช้าๆ เก็บเข้าไปในอกตัวเอง

เดินไปยังประตูบานใหญ่ หันมามองจ้าวซวี่และคนอื่นบนพื้น

ฉู่เทียนตบไหล่ลู่ฝาน แล้วพูดว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน นายจะค่อยๆ ชินเอง ไม่ว่าจะเป็นโลกนักบู๊ หรือโลกผู้ฝึกชี่ คนตายเป็นเรื่องปกติมาก ฉันจำที่พ่อเคยพูดกับฉันได้ สภาพสังคมก็เป็นเช่นนี้ สิ่งที่เราทำได้ คือพยายามมีชีวิตต่อไปเท่านั้น ศิษย์น้องลู่ฝาน ในเมื่อนายรู้ว่าเป็นค่ายกลพลังแว้งกัด งั้นนายพาเราออกไปได้ไหม”

ลู่ฝานพยักหน้าเบาๆ เดินไปยังประตูบานใหญ่

ทอดถอนใจอย่างเศร้าโศก บางทีศิษย์พี่อาจพูดถูก สภาพสังคมก็เป็นเช่นนี้

เมื่อเดินมาถึงหน้าประตู ลู่ฝานยื่นมือออกไป สายตามองหาจุดสำคัญบนประตูคุ้มครอง

จากความรู้ที่อาจารย์หวูเฉินสอนเขา เกี่ยวกับประเภทค่ายกลของผู้ฝึกชี่ ลู่ฝานมีวิธีเปิดประตูคุ้มครอง เกินสิบวิธี

แต่วิธีพวกนั้น จะเปิดเผยความจริงว่าเขามีพลังชี่

ถึงเขาเชื่อใจในตัวศิษย์พี่ของเขา แต่ลู่ฝานก็ไม่อยากเปิดเผยความลับอันยิ่งใหญ่ออกมา

ดังนั้นอาศัยวิธีที่โง่ที่สุดละกัน

ประตูคุ้มครองที่เต็มไปด้วยค่ายกลแบบนี้ ผู้สร้างต้องทิ้งจุดสำคัญที่ซ่อนอยู่เอาไว้ ไม่งั้น ทุกครั้งที่เจ้าของเข้ามาต้องต่อสู้กับค่ายกลเสมอ นั่นเป็นอะไรที่ยุ่งยากมาก โดยเฉพาะค่ายกลพลังแว้งกัดแบบนี้ โจมตีอย่างไม่เลือกหน้า

จุดสำคัญที่ว่า ก็คือวิธีเปิดประตูคุ้มครองอย่างถูกต้องและง่ายดายที่สุด บางทีแค่กดเบาๆ หรือไม่ก็พูดออกคำสั่ง ใส่ลงไป หรือไม่ก็เคลื่อนไหวพลังชี่พิเศษออกมา ก็สามารถเปิดประตูได้แล้ว

ตำแหน่งของจุดสำคัญ บนประตูคุ้มครอง หรือบนหุ่นคุ้มครอง บนลายค่ายกล จะมีปรากฏให้เห็น

ถ้าอาจารย์หวูเฉินอยู่ที่นี่ จากประสบการณ์อันแก่กล้าของเขา คงมองไม่กี่ที ก็สามารถหาจุดสำคัญเจอได้

แต่ประสบการณ์ของลู่ฝานยังไม่พอ เขาต้องการเวลา ในการค้นหา

ยังดีที่ค่ายกลพลังแว้งกัดโดนทำลายแล้ว ลู่ฝานจึงไม่กลัวว่าจะเกิดเหตุไม่คาดฝัน แม้จะยืนหน้าประตูนานขนาดไหน

ลู่ฝานดูไปดูมา เหมือนหัวหน้าคนงาน ตรวจสอบไซต์งาน

หานเฟิง ฉู่สิงและฉู่เทียนไม่เข้าใจว่าลู่ฝานทำอะไร พวกเขาหมดปัญญากับประตูคุ้มครอง จึงทำได้เพียงเดินไปดู

หานเฟิงพูดเบาๆ ว่า “ศิษย์พี่คิดว่าศิษย์น้องลู่ฝานมาจากตระกูลแบบไหนกันแน่ อย่าว่าแต่นักบู๊พรสวรรค์อันดับต้นๆ เลย ขนาดเรื่องพวกนั้นของผู้ฝึกชี่ เขาก็รู้เหมือนกัน เกือบเทียบกับนักบู๊ผู้ชาญฉลาดอย่างฉันได้แล้ว”

ฉู่สิงไม่สนใจคำพูดส่วนหลังของหานเฟิง “คงจะเป็นลูกชายของตระกูลใหญ่อย่างแท้จริง แต่ฉันไม่เคยได้ยินว่าในมณฑลมีตระกูลใหญ่แซ่ลู่นะ เฮ้อ อยากรู้เรื่องเขาขนาดนี้ ตอนวันหยุดเทศกาลเซ่นไหว้ประจำปี นายก็ไปเที่ยวเล่นบ้านศิษย์น้องลู่ฝานสิ”

หานเฟิงหัวเราะ แล้วพูดว่า “ช่างเถอะ คุณท่านตระกูลผม ยังรอผมกลับตระกูลอยู่”

ขณะกำลังคุยกัน จู่ๆ ลู่ฝานกดเมฆสีบนประตูคุ้มครอง

วินาทีต่อมา ประตูคุ้มครองเปิดออก

“อย่าบอกนะว่าของนาย”

ลู่ฝานมองจ้าวซวี่ แล้วเอ่ยขึ้น

จ้าวซวี่พูดอย่างเย็นชา “นักบู๊ปัญญาอ่อน นี่เป็นหม้อของผู้ฝึกชี่ นักบู๊ที่ไม่มีพลังชี่แบบพวกนาย จะเอาไปทำไม เอาหม้อมาให้ฉัน”

จ้าวซวี่ยื่นมือไปหาลู่ฝาน แม้บนตัวเขามีเลือด แต่น้ำเสียงยังคงโอหัง

ลู่ฝานขมวดคิ้วเบาๆ เขาไม่เข้าใจจริงๆ ตอนนี้จ้าวซวี่อยู่ในสถานการณ์คับขัน ทำไมถึงยังอวดดีแบบนี้

หานเฟิงไม่ชอบคนอวดดีแบบนี้ พูดเสียงก้องว่า “เราเอาไปจะมีประโยชน์หรือไม่ เกี่ยวอะไรกับนาย หาเรื่องใช่ไหม”

จ้าวซวี่สีหน้าบูดเบี้ยว ฝ่ามือกำลังสั่น

จ้าวซวี่พลิกมือ ปล่อยพลังชี่ออกมา ห้าธาตุแปรเปลี่ยนเป็นวัตถุ ทอง น้ำ ไม้ ไฟ ดินรวมกันออกมา สัตว์ลวงตาที่ประกายแสงสว่างห้าสีพุ่งออกมา

หานเฟิงเบิกตาโต ยังไม่ทันตั้งตัว ก็โดนวัตถุที่ก่อตัวจากห้าธาตุพุ่งเข้ามาโจมตี

พลังของห้าธาตุอันแข็งแกร่ง โจมตีจนหานเฟิงกระอักเลือดออกมา

การโจมตีของผู้ฝึกชี่เฉียบคมกว่าการโจมตีของนักบู๊ธรรมดา พลังของห้าธาตุไม่สนใจว่าร่างกายคุณแข็งแกร่งขนาดไหน เมื่อเข้ามาในตัว จะระเบิดทันที

ฉู่สิงรีบประคองหานเฟิง

จ้าวซวี่ยิ้มเย็นชา “ไอ้เด็กปากดี กล้าหยาบคายต่อหน้าผู้ฝึกชี่อันสูงส่งงั้นเหรอ เบื่อการมีชีวิตอยู่แล้วเหรอ”

หานเฟิงโกรธจนกัดฟัน แผดเสียงออกมาว่า “สูงส่งกะผีน่ะสิ”

ขว้างกระบี่หยกออกไป พร้อมแสงกระบี่ โจมตีไปบนขาจ้าวซวี่ทันที

เลือดสาดกระเซ็น และล้มลงบนพื้น

จ้าวซวี่มองแผลบนขา แล้วตะโกนออกมาว่า “พวกนายกล้าทำร้ายผู้ฝึกชี่อันสูงส่ง พวกนายอยากตายหรือไง”

จ้าวซวี่ใช้แรงดึงกระบี่หยกบนขาออกมา และกำยาเม็ดออกมาจากในอก ยัดเข้าไปในปาก

ลู่ฝานหรี่ตาลง สีหน้าเย็นชา แล้วพุ่งตัวเข้าไป

เมื่อเห็นลู่ฝานเข้ามา จ้าวซวี่ยิ้ม แล้วพูดว่า “ลู่ฝาน ฉันรู้จักนาย ตระกูลนายมีผู้ฝึกชี่อยู่หนึ่งคน นายน่าจะรู้ความสูงส่งของผู้ฝึกชี่ เอาหม้อในมือนายมาให้ฉัน”

ลู่ฝานถือหม้อสือฟางในมือ มองจ้าวซวี่แล้วพูดว่า “นายอยากได้หม้อนี่เหรอ งั้นให้นายก็ได้”

พูดพลาง ลู่ฝานแปรเปลี่ยนปราณชี่เป็นพลังปราณ ระเบิดพลังปราณ 20 เท่าออกมา ทำให้ฝ่ามือของเขาเต็มไปด้วยแสงสว่าง

จ้าวซวี่มองลู่ฝานเอาหม้อสือฟางกระแทกมาที่หัวเขา อย่างตกตะลึง

เสียงดังพลั่ก จ้าวซวี่โดนกระแทกจนหัวแตก ซีกหน้ามีเลือดเนื้อผสมกัน พลังปราณอันแข็งแกร่งระเบิดอยู่ในตัวเขาอย่างต่อเนื่อง เลือดออกเจ็ดทวาร

จ้าวซวี่สลบไปทันที

ลู่ฝานเก็บหม้อสือฟางขึ้นมา พูดอย่างราบเรียบว่า “ฉันให้นายแล้ว แต่นายเอาไม่ได้ จะมาว่าฉันไม่ได้นะ”

เอาหม้อสือฟางเก็บลงไปในเข็มขัด หานเฟิงและคนอื่นเดินมาทางด้านหลัง

หานเฟิงยกขาเตะไปตรงเอวจ้าวซวี่อย่างแรง พลังปราณทำให้ตำแหน่งตันเถียนของจ้าวซวี่เสียหายและบาดเจ็บ จนเห็นกระดูกข้างใน

เตะลงไปแบบนี้ คงทำให้ตันเถียนของจ้าวซวี่ได้รับความเสียหาย

“ไอ้หมอนี่ ไม่ได้คลั่งเพราะการตายของศิษย์พี่ ศิษย์น้องใช่ไหม ทำไม่เขากล้าท้าทายพวกเรา”

หานเฟิงพูดอย่างดูหมิ่น พูดพลาง หานเฟิงค้นหาข้าวของของจ้าวซวี่และคนอื่น

เครื่องราง ยาเม็ด หรือสิ่งอากาศธาตุ ล้วนเอามาทั้งหมด ขนาดศิษย์พี่ที่ตายไปของจ้าวซวี่ ก็ไม่เว้น รูดของมาจนเกลี้ยง

“มานี่สิ ศิษย์น้องลู่ฝาน แม้ของพวกนี้ใช้ประโยชน์ไม่ได้ แต่เรามาแบ่งกันเถอะ”

ลู่ฝานมองของที่เต็มไปด้วยเลือด ไม่แน่ใจว่าจะเอาดีไหม

ตอนนี้มีวิธีใช้หมัดอู๋เซี่ยงแวบเข้ามาในหัวลู่ฝาน

เจอมังกรขนาดใหญ่กว่าตัวเอง มีหมัดแข็งแกร่งอย่างหมัดอู๋เซี่ยง เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

ปราณชี่แปรเปลี่ยนเป็นพลังปราณ ระเบิดออกมาทันที

พลัง 20 เท่า ปล่อยออกมาเหมือนน้ำทะลัก

“หมัดอู๋เซี่ยง!”

โจมตีด้วยหมัดเดียว อากาศด้านหน้าลู่ฝาน เกิดเป็นรอยยุบอย่างแปลกประหลาด

การที่เป็นเคล็ดวิชาบู๊ระดับดิน ความน่ากลัวของหมัดอู๋เซี่ยงอยู่ที่การโจมตีที่ครอบคลุมของมัน

วิชาหมัดของมันคือบีบอัดพลังปราณ ใช้ท่วงท่าสมดุลของตนเองทำลายสมดุลของอีกฝ่าย ผ่านการสั่นสะเทือนที่พิเศษ กระตุ้นพลังฟ้าดินรอบๆ ให้ระเบิดออก

เมื่อหมัดนี้ออกมา วัตถุรอบๆ บริเวณสามสิบเมตรโดนการโจมตี ถ้าลู่ฝานสามารถฝึกวิชาหมัดนี้ จนถึงระยะรู้ความ งั้นที่ที่พลังปราณสามารถไปถึง จะเป็นขอบเขตการโจมตี ไม่สามารถหลบการโจมตีแบบครอบคลุมได้เลย

เหมือนมังกรสีทองตัวใหญ่โดนโจมตีหลายร้อยหมัด จนถอยหลังกรูด

ปากมังกรที่อ้าอยู่ โดนลู่ฝานต่อยจนหุบลงอีกครั้ง

ลู่ฝานสาดพลังปราณอันแข็งแกร่งออกมาขนาดนี้ แต่มังกรตัวใหญ่ไม่สามารถดูดซึมพลังปราณได้สักนิด

ค่ายกลห้าธาตุในจุดตันเถียนมีแสงเคลื่อนไหว ปราณชี่ในตัวเคลื่อนไหวด้วยวิธีของวิชาเทพไร้ขีดจำกัด แม้พลังปราณที่แปรเปลี่ยนออกมา ค่ายกลก็ไม่สามารถดูดซึมได้ วินาทีต่อมา โดนค่ายกลห้าธาตุกับค่ายกลหยินหยางในหัวดึงกลับมา

ลู่ฝานเดินไปข้างหน้า พลางเหวี่ยงหมัดอย่างต่อเนื่อง

กระบี่หนักที่มือขวา ยังฟันลงไปบนตัวมังกรสีทองไม่หยุด

อีกด้านหนึ่ง หานเฟิงและคนอื่นกำลังต่อสู้กับเสือขาวอย่างมีความสุข เสือขาวที่น่าสงสาร เดิมทีมีอยู่เพื่อจัดการผู้ฝึกชี่ เมื่อเจอนักบู๊ พลังจึงลดลงไปมาก แต่พลังปราณที่พวกหานเฟิงปล่อยออกมาโดนเสือขาวดูดซึม และเข้าไปในประตูคุ้มครอง แปรเปลี่ยนเป็นพลัง เข้าไปในตัวมังกรสีทองขนาดใหญ่

ด้วยเหตุนี้ มังกรสีทองขนาดใหญ่ จึงสามารถยื้อยุดกับลู่ฝานได้

ลู่ฝานกระแทกมังกรสีทอง กลับไปด้านล่างประตูคุ้มครอง เก็บกระบี่หนัก หยิบหางมังกรด้วยสองมือ ลู่ฝานแผดเสียงออกมา กระแทกมังกรสีทองขนาดใหญ่ กลับเข้าไปในประตูคุ้มครอง

ทันใดนั้น ประตูคุ้มครองที่แง้มออกมา ปิดลงอีกครั้ง

ขณะเดียวกัน ฉู่เทียนแผดเสียงออกมา

“ดาบเทียนควบ!”

ทันใดนั้น ดาบยาวในมือซ้ายฉู่เทียนกลายเป็นแสงยาวร้อยเมตร ฟาดฟันลงไป

กระบวนท่านี้ ฉู่เทียนไม่สามารถใช้กับนักเรียนในสถาบันสอนวิชาบู๊ได้ แต่ใช้จัดการเสือขาวได้

เมื่อฟันดาบลงมา เสือขาวร้องโอดครวญ กลายเป็นควันขาว หายไปอย่างไร้ร่องรอย

“ให้ตายเถอะ ถือว่าจัดการได้ละกัน”

ฉู่สิงเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก มองประตูคุ้มครองแล้วพูดว่า “แต่ประตูปิดไปแล้ว”

หานเฟิงเก็บกระบี่ เดินเข้ามาผลักประตูคุ้มครอง

ใช้พลังทั้งหมดที่มีในตัว แต่ประตูก็ไม่ขยับสักนิด

ขณะนั้น มีเสียงหนึ่งดังขึ้น

“นักบู๊ พวกนายไม่มีคุณสมบัติเข้ามาในจวนของฉัน กลับไปเถอะ”

เสียงดังก้อง พร้อมเสียงสะท้อนดังไปทั่ว และค่อยๆ ห่างออกไป

เหมือนลู่ฝานพบอะไรบางอย่าง หันไปมองหม้อสือฟางบนพื้น

ลู่ฝานเดินเข้ามาช้าๆ เอาหม้อสือฟางมาไว้ในมือ หานเฟิงชี้ประตูบานใหญ่ แล้วตะโกนว่า “นายบอกทางออกฉันมาสิ คิดว่าฉันอยากอยู่ในนี้เหรอ ผู้ฝึกชี่ปัญญาอ่อน นายมีปัญญาซ่อนของ มีความสามารถ ก็เปิดประตูสิ!”

หานเฟิงก่นด่าอยู่นาน จากนั้นหันมามองลู่ฝาน “ศิษย์น้องลู่ฝาน ตอนนี้จะทำยังไง เอ๊ะหม้อนี้ดูไม่เลวนะ เอากลับไปก็ดีนะ”

ลู่ฝานลูบหม้อสือฟางอย่างละเอียด รอยยิ้มบนใบหน้าชัดเจนขึ้น

แต่ขณะนั้น จ้าวซวี่ยืนขึ้นอย่างโงนเงน “วางหม้อลง นี่ไม่ใช่ของพวกนาย”

จ้าวซวี่เห็นเฒ่าประหลาดหายไปจากสายตา แววตาหม่นหมองลงทันที

อาจารย์ของเขา ทอดทิ้งพวกเขาอย่างแท้จริง

ผู้ฝึกชี่อีกคนที่บาดเจ็บสาหัสเหมือนจ้าวซวี่ ตอนนี้กระอักเลือดออกมา ค่อยๆ สิ้นลมหายใจ

จ้าวซวี่หันมามองผู้ฝึกชี่คนนี้ และตะโกนออกมาด้วยความเสียใจและโมโห

“ศิษย์พี่หลี่ ศิษย์พี่หลี่!”

ผู้ฝึกชี่ที่ถูกเรียกว่าศิษย์พี่หลี่หันมามองจ้าวซวี่ แล้วเค้นเสียงออกมาจากลำคอ “หนีไป!”

จากนั้นเขาหายใจเฮือกสุดท้าย แล้วค่อยๆ หลับตาลง

จ้าวซวี่คลานเข้าไปหาศิษย์พี่หลี่ จากนั้นกอดกันอย่างเศร้าโศก

จากอาการบาดเจ็บของศิษย์พี่หลี่ ไม่มีทางตาย แค่อาจารย์ไม่หนีไป ยาเม็ดแค่ไม่กี่เม็ด สามารถช่วยชีวิตศิษย์พี่หลี่เอาไว้ได้

แต่เฒ่าประหลาดเฟิงหลิงอาจารย์ของพวกเขา กลับเลือกหนีอย่างไม่ลังเล ปล่อยให้พวกเขาเป็นไปตามยถากรรม

จ้าวซวี่ร้องไห้อย่างเจ็บปวดเงียบๆ โดยไม่มีใครเห็น เพราะเสียงสะท้อนรอบๆ มีเพียงเสียงคำรามของมังกรสีทองตัวใหญ่

“ระวัง!”

ลู่ฝานตะโกนออกมา ง้างมือใช้พลังวิญญาณกระแทกไปยังมังกรสีทองตัวใหญ่ที่กำลังพุ่งเข้ามา

มังกรสีทองตัวใหญ่อันน่ากลัว แตกต่างกับเสือขาวโดยสิ้นเชิง มันไม่เหมือนสัตว์เทพจากภาพลวงตาที่สร้างมาจากแสง แต่เหมือนสัตว์ที่มีเลือดเนื้อจริงๆ ลู่ฝานฟันกระบี่ลงไป เหมือนฟันลงบนหินที่ทนทาน จนทำให้เกิดประกายไฟ ลู่ฝานกระเด็นไปด้านหลังกว่าร้อยก้าว

หานเฟิง ฉู่สิงและฉู่เทียนลงมือพร้อมกัน กระบี่และดาบแทงลงไปในตัวมังกรสีทองขนาดใหญ่

มังกรสีทองตัวใหญ่อันน่ากลัว ยาวเป็นสามร้อยเมตร แค่หัวมังกร ยังใหญ่กว่าห้องใต้หลังคาเสียอีก

การโจมตีของฉู่สิง หานเฟิงและฉู่เทียน ไม่ได้ด้อยเลย พลังที่แทงเข้าไปในตัวมังกรสีทอง แฝงไปด้วยแรงทำลายมหาศาล แต่ดูจากสถานการณ์เหมือนไม้จิ้มฟันไม่กี่อัน ปักลงบนตัวมังกร

ไม่ได้สร้างความเสียหายใดๆ มังกรสีทองขนาดใหญ่ ไม่สนใจการโจมตีของฉู่เทียน หานเฟิงและฉู่สิง

พลังปราณของทั้งสามคนกลับทำให้ตัวมังกรสีทองใหญ่ขึ้น แค่สะบัดหาง ก็ทำให้ทั้งสามคนกระเด็นออกไป มีเพียงลู่ฝานที่ใช้ร่างกายต้านทานการโจมตีจากหางมังกรขนาดใหญ่ได้

ลู่ฝานกัดฟันมองมังกรสีทองขนาดใหญ่ โจมตีศิษย์พี่ทั้งสามของเขา จนกระเด็นออกไป ตัวเขาแดงทั้งตัว

“ศิษย์พี่ทั้งสามท่าน มังกรตัวนี้ ให้ผมจัดการเอง พวกพี่ไปจัดการเสือขาวตัวนั้นก่อน จำไว้ว่าให้ใช้พลังปราณน้อยที่สุด”

หานเฟิงลุกขึ้นจากพื้นอย่างน่าสงสาร “ศิษย์น้องลู่ฝาน นายแน่ใจเหรอว่าจัดการได้”

ลู่ฝานแผดเสียงออกมา จู่ๆ มีเกราะปรากฏขึ้นมา ปกคลุมตัวเอาไว้

ไม่มีพลังปราณออกมาสักนิด ลู่ฝานใช้พลังของร่างกายตัวเอง ยกมังกรสีทองตัวใหญ่ ลำตัวกว่าสามร้อยเมตรขึ้นมา

“ย๊าก!”

ลู่ฝานเหวี่ยงแขน เอามังกรตัวใหญ่กระแทกพื้น ม่านแสงด้านล่างเท้าสั่นคลอน

หานเฟิง ฉู่สิงและฉู่เทียนเห็นภาพนี้ พากันอ้าปากค้าง พวกเขาไม่รู้มาก่อนว่า พลังของร่างกายลู่ฝานจะแข็งแกร่งถึงขั้นนี้

“ดูเหมือนศิษย์น้องลู่ฝานฆ่ามันได้!”

พวกหานเฟิงมองหน้ากัน จากนั้นพุ่งไปหาเสือขาว ที่เพิ่งลุกขึ้นมา

มังกรสีทองตัวใหญ่โดนลู่ฝานกระแทกจนมึน แต่มันยังพ่นเปลวไฟสีทองออกมา

ลู่ฝานยืนใกล้สุด ไม่สามารถหลบได้

แต่เขาไม่จำเป็นต้องหลบ เกราะสีเงินบนตัว ช่วยเขาต้านทานเปลวไฟได้ทั้งหมด

ในตาลู่ฝาน ฉายแววประหลาด การที่เขาแยกพวกศิษย์พี่หานเฟิงออกไป เพราะเขาจะใช้วิธีพิเศษทำลายค่ายกล สำหรับเฒ่าประหลาด ค่ายกลพลังแว้งกัดเป็นสิ่งที่รับมือยากมาก

แต่ลู่ฝานที่มีวิชาเทพไร้ขีดจำกัดอยู่ในตัว ค่ายกลนี้ ไม่นับประสาอะไร

ปราณชี่ในตัวกะพริบ ลู่ฝานกระแทกหมัด ลงไปบนหน้าผากมังกรสีทองตัวใหญ่

เป็นพลังที่แข็งแกร่งไม่มีจุดอ่อน มังกรสีทองตัวใหญ่โดนกระแทกจนสะเทือนไปทั้งตัว ไม่สามารถดูดพลังอะไรจากตัวลู่ฝานได้เลย

ลู่ฝานยิ้มบางๆ จะเทียบการดูดซึมกับวิชาเทพไร้ขีดจำกัด แค่ค่ายกลพลังแว้งกัดธรรมดาๆ ยังไม่มีความสามารถพอ

มังกรสีทองตัวใหญ่ ใช้การโจมตีกลับด้วยกรงเล็บมังกร และอ้าปากกว้าง เกล็ดมังกรสีทองทั้งตัว เปล่งแสงแสบตาออกมา

ลู่ฝานสัมผัสถึงพลังอันแข็งแกร่งโจมตีเข้ามา เขาหรี่ตาลง และรวบรวมพลังทั้งตัว

“เพราะพวกเราไม่ได้ขยับแม้แต่ก้าวเดียว อันที่จริงค่ายกลพลังแว้งกัดประเภทนี้ มีจุดอ่อนใหญ่อย่างหนึ่ง นั่นก็คือมันโจมตีเพียงเป้าหมายที่ล็อกเป้าไว้ แค่เรายืนนิ่งอยู่ที่เดิม และไม่ใช้พลังใดๆ ค่ายกลไม่สามารถซึมซับพลังได้ ก็ไม่สามารถโจมตีเราได้แล้ว ในเวลาเดียวกัน พื้นที่ที่เรายืนอยู่ เป็นพื้นที่ปลอดภัยที่สุด เมื่อพลังเหล่านั้นหาเป้าหมายโจมตีไม่เจอ จะดึงพลังที่ปล่อยออกมา กลับไปอัตโนมัติ ดูเหมือนเปลวไฟเมื่อกี้ โจมตีโดนพวกเรา แต่ความจริง ตอนพวกพี่ขจัดพลังปราณออกไป พลังเหล่านั้นก็โดนดึงกลับไปแล้ว เปลวไฟที่โดนตัวพวกพี่ เป็นเพียงภาพลวงตาเท่านั้น”

ฉู่สิงและคนอื่นมองหม้อสือฟางที่เฒ่าประหลาดถือไว้ในมือตลอดเวลา ส่งเสียงตอบรับอย่างเข้าใจ นั่นคงเป็นเป้าหมายที่ลู่ฝานพูดถึง

หานเฟิงยิ้มแล้วพูดว่า “ฟังดูค่ายกลนี้ระดับสูงมาก เอากลับไปเป็นประตูของคณะหนึ่งเดียวได้ไหม”

ลู่ฝานอ้าปากค้าง ประตูคุ้มครองที่เซียนบำเพ็ญชี่หลงเหลือไว้ ลู่ฝานคิดว่าตัวเอง ไม่น่าจะมีพละกำลังเอาไปได้ เว้นเสียแต่จวนอากาศธาตุจะพังทลายลงทั้งหมด ทุกอย่างสูญเสียการควบคุม ตอนนั้น เขายังพอมีโอกาสเอาไปได้

ฉู่เทียนมองมังกรสีทองตัวใหญ่บนประตูตลอดเวลา แววตาดูเหม่อลอย เหมือนตระหนักอะไรบางอย่างได้ ยืนอยู่ตรงนั้นเงียบๆ

ขณะเดียวกัน เฒ่าประหลาดที่ต่อสู้กับเสือขาวเข้าสู่สภาวะบ้าคลั่งแล้ว

ทันใดนั้น เขากัดนิ้วตัวเองจนเป็นแผล ดอกไม้ดอกที่หนึ่งบนหัวส่องแสงสีฟ้าแสบตา

“ยะเยือกกัด!”

เลือดหนึ่งหยด โดนเขาสะบัดออกไป หยดเลือดโดนแสงสีฟ้าปกคลุมเอาไว้กลางอากาศ กลายเป็นหยดเลือดคริสตัลใสสีฟ้า ร่วงลงบนตัวเสือขาว

ทันใดนั้น เสือขาวส่งเสียงคำรามอย่างโมโหออกมา หยดเลือดสีฟ้าอันน่ากลัว เริ่มกัดกินตัวมัน

จ้าวซวี่และคนอื่น เห็นโอกาสดีเช่นนี้ ทั้งห้าคนสร้างค่ายกล ขังเสือขาวเอาไว้ตรงกลาง

“ค่ายกลห้าธาตุค่ายเล็ก ห้าธาตุกำจัด!”

ทั้งห้าคนลงมือพร้อมกัน พลังฟ้าดินอันแข็งแกร่ง กลายเป็นตาข่ายขนาดใหญ่ กดเสือขาวเอาไว้บนพื้น

สีหน้าเฒ่าประหลาดซีดเผือด นี่เป็นท่าไม้ตายสุดยอดของเขา กระตุ้นด้วยเลือดสด เขาไม่เชื่อว่าเสือขาวที่สร้างจากค่ายกลจะกลืนกินเลือดสารจำเป็นของเขาได้

จ้าวซวี่และคนอื่นตัวเปียกไปด้วยเหงื่อ พลังชี่ของพวกเขาห้าคนใกล้จะหมดแล้ว

ถ้าครั้งนี้ยับยั้งเสือขาวตัวนี้ไม่ได้ พวกเขาคงต้องตายที่นี่

เสือขาวร้องคำรามออกมา แสงบนตัวกะพริบอย่างต่อเนื่อง

หยดเลือดสีฟ้ากัดกินขาหน้าของเสือขาวแล้วก็ได้หยุดลง แสงสีขาวปกคลุมหยดเลือดสีฟ้าเอาไว้ และค่อยๆ กลืนกินทีละนิด

ลวดลายบนประตูคุ้มครอง ส่องแสงกะพริบ และค่อยๆ เปิดออก

ทันใดนั้น ประตูคุ้มครองแง้มออก มีแสงสีทองแสบตา พุ่งออกมาจากข้างใน

ประตูแง้มออกเพียงนิดเดียว แต่ดึงดูดสายตาของทุกคน

เมื่อเห็นภาพตรงหน้า หานเฟิงตะโกนออกมาว่า “โอ้ ประตูเปิดแล้ว ศิษย์น้องลู่ฝาน เราเข้าไปเลยไหม”

ลู่ฝานส่ายหน้าเบาๆ จวนอากาศธาตุที่เซียนบำเพ็ญชี่ทิ้งไว้ จะมีฝีมือแค่นี้เหรอ ดูช่างขัดแย้งกับชื่อเสียงอันน่าเกรงขามของเซียนบำเพ็ญชี่ ตอนนี้ประตูบานใหญ่เปิดแล้ว ดูยังไงก็เหมือนกับดักอีกอย่างหนึ่ง

ขณะนั้น ปีกทั้งสองข้างของเสือขาวที่โดนควบคุมไว้ กลายเป็นเปลวไฟลุกโชนสองดวง กระแทกการควบคุม ที่พวกจ้าวซวี่ร่วมมือกัน

ตอนการกำจัดจากห้าธาตุโดนทำลาย พวกจ้าวซวี่สั่นสะเทือนไปทั้งตัว ล้มลงบนพื้น พลังชี่บนตัวสลายไป เลือดออกเจ็ดทวาร

“อาจารย์!”

จ้าวซวี่และคนอื่นตะโกนด้วยความตกใจ

แต่เฒ่าประหลาดมองพวกเขาแค่แวบเดียว จากนั้นพุ่งไปทางประตูบานใหญ่

เสือขาวบ้าคลั่ง อ้าปากกลืนผู้ฝึกชี่เข้าไปหนึ่งคน ก่อนตาย ผู้ฝึกชี่คนนี้มองแผ่นหลังของเฒ่าประหลาดด้วยแววตาสิ้นหวัง

เขาไม่เข้าใจ ทำไมอาจารย์ตัวเอง ถึงไม่ช่วย

“อาจารย์ อย่าทิ้งพวกเรา”

จ้าวซวี่ร้องตะโกนอย่างน่าสงสาร เสือขาวน่ากลัว ง้างกรงเล็บสองข้าง ตะปบทั้งสองคนจนตาย จากนั้นพุ่งไปหาเฒ่าประหลาด

เสือขาวเร็วปานสายฟ้า กระพือปีกตามเฒ่าประหลาดจนทัน

เฒ่าประหลาดกัดฟัน หันตัวพุ่งเข้าหาพวกลู่ฝาน ในขณะเดียวกัน เขาสะบัดมือ หม้อสือฟางโดนเฒ่าประหลาดโยนทิ้งอย่างไม่ลังเล

สีหน้าลู่ฝานเคร่งขรึม เฒ่าประหลาดใช้วิธียืมมือบุคคลที่สามงั้นเหรอ

ลู่ฝานดึงกระบี่หนักออกมา เกิดเสียงดังชิ้ง ลู่ฝานกันหม้อสือฟางที่ลอยมาเอาไว้ได้

พลังของห้าธาตุที่แฝงอยู่บนหม้อ แผ่ซ่านออกมาทันที

“ให้ตายเถอะ ศิษย์พี่ทุกท่าน ลงมือ!”

ลู่ฝานตะโกนออกมา การกระทำของเฒ่าประหลาด บีบบังคับให้พวกเขาต้องลงมือ

วินาทีต่อมา เสือขาวส่งเสียงคำรามน่ากลัวออกมา หันมาจู่โจมพวกลู่ฝาน

หานเฟิงรีบดึงกระบี่หยกออกมา ฉู่สิงกับฉู่เทียนก็เอาอาวุธตัวเองออกมาเหมือนกัน

“ย๊าก!”

ทั้งสี่คนลงมือพร้อมกัน พลังปราณอันแข็งแกร่ง ฟันลงบนตัวเสือขาว ที่กำลังพุ่งเข้ามา

เสือขาวร้องโอดครวญ มันที่สามารถข่มเหงผู้ฝึกชี่ได้ ตอนนี้โดนพลังปราณของพวกลู่ฝาน โจมตีจนปลิวออกไป

แต่ต่อมา มังกรสีทองตัวใหญ่บนประตูคุ้มครองส่องแสงสว่าง ส่งเสียงคำรามขึ้น มังกรสีทองตัวใหญ่ พุ่งออกมาเช่นกัน

เฒ่าประหลาดแสยะยิ้มเย็นชา หลีกทางให้มังกรสีทองพุ่งออกไป จากนั้นพุ่งเข้าไปในประตู โดยไม่หันกลับมามอง

บทที่ 191
ในตามังกร แฝงไปด้วยพลานุภาพกดดันและความศักดิ์สิทธิ์ ออร่าของสัตว์ร้ายเริ่มแผ่ซ่านไปทั่ว
เห็นได้ด้วยตาเปล่าว่า ตัวมังกรขนาดใหญ่ที่สลักอยู่บนประตู ตอนนี้เริ่มปรากฏออกมา ลำแสงที่ไหลเวียน คือออร่าของพลังปราณ
ก็ยังเป็นลู่ฝานที่ตะโกนออกมาเร็ว ไม่งั้นถ้าพวกหานเฟิงปลดปล่อยพลังปราณออกมาเรื่อยๆ มังกรตัวนี้คงออกมาแล้ว
พวกเฒ่าประหลาดสังเกตเห็นสถานการณ์ของพวกลู่ฝาน ได้ยินคำว่าค่ายกลพลังแว้งกัด สีหน้าของเฒ่าประหลาดเหมือนกินของเน่าเข้าไป
ในฐานะที่เป็นอาจารย์บำเพ็ญชี่ที่มีความรู้รอบตัว เฒ่าประหลาดรู้อยู่แล้วว่าค่ายกลพลังแว้งกัดคืออะไร
เป็นค่ายกลที่ร้ายกาจชนิดหนึ่ง เป็นกับดักที่น่ากลัว
ค่ายกลแบบนี้ ตอนยังไม่โดนโจมตี ประโยชน์ของมันน้อยและมีข้อจำกัด มันอาจเป็นพลังของค่ายกลอื่นโจมตีในคราวเดียว และบางครั้งก็ไม่มีพลังเลย
แต่ถ้ามันโดนคนโจมตี ไม่ว่าจะเป็นพลังชี่หรือพลังปราณ แค่มันได้ซึมซับพลังแรก ยิ่งสู้ มันจะยิ่งแข็งแกร่ง ยิ่งการโจมตีของฝ่ายตรงข้ามแข็งแกร่ง การโจมตีกลับของมัน จะยิ่งบ้าคลั่งขึ้น อีกทั้งใช้พลังพิเศษแปรเปลี่ยนเป็นวิชา การโจมตีที่มันปล่อยออกมา จะแข็งแกร่งยิ่งขึ้น บังคับให้อีกฝ่ายต้องสู้กับมันต่อไป จนพลังหมดตัว และตายไป หรือไม่ก็โดนค่ายกลฆ่าตาย
นี่คือความร้ายกาจขอพลังแว้งกัด จัดการค่ายกลแบบนี้ วิธีที่ดีที่สุด คือเมื่อเจอมัน ต้องทำเป็นไม่สนใจ ถึงมันพุ่งออกมาโจมตี ก็ทำได้เพียงหลบ ห้ามโจมตีกลับ เมื่อเป็นเช่นนี้ ประโยชน์ของค่ายกลนี้จะหายไปทั้งหมด ไม่สามารถซึมซับพลังได้ ค่ายกลนี้ ก็กลายเป็นแค่ขยะ
จากการคาดเดาของลู่ฝาน อันที่จริงพลังแฝงบนประตูคุ้มครอง เพียงพอแค่ให้เสือขาวกระโดดออกมาตะปบเท่านั้น อันที่จริงหลังจากเฒ่าประหลาดต้านทานกรงเล็บนั้น แล้วไม่ทำอะไรต่อ ก็จะไม่เกิดอะไรขึ้น แต่เขาโกรธ และโจมตีกลับ ตัดโอกาสสุดท้ายของเขา
ตอนนี้ ทุกอย่างมันสายไปแล้ว
ขณะที่เฒ่าประหลาดตะโกนว่า “สกัดมัน!” อย่างบ้าคลั่ง ตั้งแต่การโจมตีของพวกจ้าวซวี่ โดนประตูคุ้มครอง ความแข็งแกร่งของค่ายกลพลังแว้งกัดก็ปรากฏออกมาอย่างชัดเจน
เห็นเสือขาวโดนกรงคุกฟ้าดินขังไว้กลางอากาศ สีหน้าเฒ่าประหลาดเริ่มบิดเบี้ยว
เขาสัมผัสได้ถึงการกลืนกินจากตัวเสือขาว วินาทีต่อมา เสือขาวงับลงบนกรงคุกฟ้าดินที่เป็นภาพลวงตาจากพลังฟ้าดิน
กัดเพียงครั้งเดียว กรงคุกฟ้าดินกลางอากาศโดนกลืนกิน พลังฟ้าดินที่แฝงอยู่ในนั้นกลายเป็นลำแสง ทะลุผ่านตัวเสือขาว เข้าไปในประตูคุ้มครอง
เสียงเปิดประตูดังขึ้นอีกครั้ง ตัวเสือขาวใหญ่ขึ้นทันที เมื่อเพ่งมอง เหมือนตัวของมันดูสมจริงขึ้น ราวกับเปลี่ยนจากภาพลวงตา เป็นรูปร่างที่มีเลือดเนื้อสมจริง
เสือขาวพุ่งเข้ามา แสงบนตัวพุ่งออกมา กลายเป็นเปลวไฟสีขาวกลางอากาศ
เฒ่าประหลาดแอบกัดฟัน ศิษย์ของเขาถอยหลังกรูด
แม้ตอนนี้พวกเขาไม่อยากใช้พลังชี่อีก แต่ไม่ทันแล้ว เพราะพลังของเสือขาวในตอนนี้ สามารถฆ่าพวกเขาตอนพวกเขาไม่ตอบโต้กลับ แต่ถ้าพวกเขาโจมตีกลับ เสือขาวจะกลืนกินพลังของพวกเขา เพิ่มพลังให้ตัวมันเอง
ไม่ว่าพวกเขาเลือกวิธีไหน ผลแทบจะเหมือนกัน
แต่ถ้าเทียบกับโดนเสือขาวฆ่าตาย เพราะไม่โจมตีกลับ เลือกต่อสู้จนตัวตายดีกว่า พวกเขาไม่เชื่อว่าค่ายกลพลังแว้งกัด จะแว้งกัดพลังได้ทุกอย่าง
ไม่ว่าค่ายกลประเภทไหน ยังไงก็ต้องมีข้อจำกัด
เฒ่าประหลาดมีความคิดเช่นนี้ เริ่มโจมตีกลับพร้อมกับศิษย์ของเขา
แสงต่างๆ กะพริบไม่หยุด พลังฟ้าดินรอบๆ พร้อมแสงต่างๆ กลายเป็นการโจมตีต่างๆ นานา
ลู่ฝานและคนอื่นยืนอยู่ที่เดิม มองเสือขาวสู้กับพวกเฒ่าประหลาดอย่างเงียบๆ
มีแสงร่วงลงบนตัวพวกเขาไม่หยุด แต่ลู่ฝานและคนอื่นกลับทำเหมือนมองไม่เห็น พลังทั้งหมดของเสือขาวเหมือนมีตา ไม่มีพลังไหนโจมตีพวกลู่ฝานเลย

“เหน็บหนาวขั้นสุด น้ำแข็งปกคลุมไปทั่ว”

แตะนิ้วออกมา แสงบางๆ แสงหนึ่งพุ่งออกไป หล่นลงบนตัวเสือขาว

แสงนี้ไม่ได้ทะลุผ่านไป มันกลายเป็นกำแพงน้ำแข็งนับไม่ถ้วน ขังเสือขาวเอาไว้ด้านใน

เสือขาวใช้หัวชนกำแพงน้ำแข็ง พลังอันน่ากลัวทำให้ลู่ฝานและคนอื่น รู้สึกว่าม่านแสงด้านล่างเท้า สั่นไหวไปมา

กำแพงน้ำแข็งอันแข็งแกร่ง เริ่มเกิดรอยร้าว ประตูคุ้มครองทางด้านหลังมีแสงกะพริบขึ้นอีกครั้ง

เสือขาวหันไป ปีกสองข้างด้านหลังราวกับมีดคม ฟันทำลายกำแพงน้ำแข็งรอบๆ จนแตกกระจาย

เศษน้ำแข็งยังไม่ทันหล่นลงพื้น ก็กลายเป็นแสงสีฟ้าอ่อน ร่วงลงบนประตูคุ้มครอง

วินาทีต่อมา ประตูคุ้มครองมีเสียงเปิดดังขึ้นชัดเจน

ตอนนี้หานเฟิงเข้าใจแล้ว

ตะโกนออกมาว่า “ประตูบานนี้ กำลังดูดซับพลัง!”

เฒ่าประหลาดก็ตะโกนออกมาว่า “ไอ้เด็กปัญญาอ่อน เพิ่งดูออกหรือไง รีบโจมตีสิ”

ลู่ฝานหันมาจ้องเฒ่าประหลาด “ท่านเฟิงหลิง อย่าบอกนะว่ายังไม่รู้ว่าประตูนี้ดูดซับพลังทั้งหมดได้ ถ้าเราลงมือด้วย มังกรทองบนประตูคงออกมาด้วยเช่นกัน แน่ใจเหรอว่าเราจะจัดการสัตว์คุ้มครองสองตัวนี้ได้”

เฒ่าประหลาดชะงักไป เขามองจุดนี้ไม่ออกจริงๆ

“ทำไมนายรู้ว่ามัน……”

เฒ่าประหลาดยังไม่ทันพูดจบ เสือขาวโจมตีมาแล้ว

อ้าปากพ่นเปลวไฟสีขาวออกมา พวกจ้าวซวี่โดนปกคลุมเอาไว้ทันที

“คุ้มครอง!”

จ้าวซวี่ตะโกนอย่างตกใจ ทั้งห้าคนยกเครื่องรางออกมา

พลังฟ้าดินอันแข็งแกร่งกลายเป็นค่ายกลส่องแสงระยิบระยับ เคลื่อนไหวอยู่ตรงหน้าพวกเขา ต้านทานเปลวไฟสีขาวเอาไว้

แต่เสือขาวไม่ได้มีแค่การโจมตีเดียว ตอนพ่นเปลวไฟออกมา เสือขาวกระพือปีกพุ่งเข้ามาด้วย

เฒ่าประหลาดง้างมือโจมตี อย่างไม่ลังเล

“กรงคุกฟ้าดิน!”

ธาตุทั้งห้ากลายเป็นคุก ขังเสือขาวเอาไว้

เสียงคำรามดังขึ้นไม่หยุด เสือขาวดิ้นสุดชีวิต เปลวไฟสีขาวกระจายไปทั่ว ลุกโชนมาตรงหน้าลู่ฝานและคนอื่น

หานเฟิงรีบปล่อยพลังปราณออกมา เตรียมจะต้านทานไว้

แต่ลู่ฝานยั้งเขาเอาไว้ “เก็บพลังปราณซะ ห้ามขยับ ห้ามเคลื่อนไหวใดๆ”

เปลวไฟขาวลุกโชนเข้ามา ลู่ฝานยืนนิ่งที่เดิม ทันใดนั้น เปลวไฟสีขาว ทะลุผ่านตัวเขาไป

ฉู่สิงกับฉู่เทียนได้ยินเสียงร้องตะโกนของลู่ฝาน แต่สัญชาตญาณนักบู๊ของพวกเขา ทำให้พวกเขาปล่อยพลังปราณออกมา

ทันใดนั้น พวกเขารู้สึกถึงความเจ็บปวด ที่พลังปราณโดนแผดผา

ความเจ็บปวดนี้ เหมือนมาจากกระดูก ทำให้ฉู่สิง ฉู่เทียนและหานเฟิงร้องโอดโอยออกมา

ลู่ฝานตะโกนไม่หยุด “ขจัดพลังปราณ รีบขจัดพลังปราณ”

ทั้งสามคนเห็นลู่ฝานไม่เป็นอะไรเลย จึงรีบขจัดพลังปราณออกไป

พูดไปก็แปลก ตอนพวกเขาขจัดพลังปราณออกไป เปลวไฟพวกนั้น ไม่มีผลกับพวกเขาแล้ว

หานเฟิงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น มองเปลวไฟทะลุผ่านตัวเองไปด้วยความตกตะลึง พูดพึมพำว่า “นี่มันอะไรกัน”

ลู่ฝานพูดช้าๆ ว่า “นี่เรียกว่า ค่ายกลพลังแว้งกัด เสือขาวตัวนี้แข็งแกร่งเท่าไร ขึ้นอยู่กับว่าเราต่อต้านได้แข็งแกร่งแค่ไหน แค่เราอยู่นิ่งๆ เสือขาวก็ไม่สามารถทำอะไรเราได้แม้แต่น้อย”

พูดพลาง ลู่ฝานหันไปมองทางประตูคุ้มครอง

มังกรทองบนประตู ดูแตกต่างจากเมื่อครู่

หัวมังกรหันมาทางนี้ ดวงตามังกร จ้องเขม็งมาทางลู่ฝานและคนอื่น

เสียงเสือคำราม ทำให้ปวดแก้วหู เสือสีขาวตะปบไปบนตัวเฒ่าประหลาดที่กำลังถอยหลังอย่างตระหนก

ช่วงเวลาคับขัน เฒ่าประหลาดปล่อยแสงสีฟ้า ที่รวมตัวเป็นกำแพงน้ำแข็งออกมา ป้องกันการโจมตีจากเสือขาวเอาไว้

แต่ถึงเป็นเช่นนี้ กำแพงน้ำแข็งแหลกเป็นผุยผงในพริบตา แขนขวาของเฒ่าประหลาดมีเลือดเนื้อผสมกันเป็นแถบ กระเด็นออกไปไกลสิบเมตร

“สกัดมันไว้!”

เฒ่าประหลาดตะโกนออกมา มุมปากมีเลือดสด มือซ้ายกำยาออกมาจากอก ยัดเข้าไปในปากตัวเอง

ศิษย์ของเขารีบเอาเครื่องรางออกมา แสงที่เป็นชิ้นส่วนโจมตีไปบนเสือขาว แต่แสงทะลุผ่านไปทั้งหมด ไม่มีพลังชี่ไหนทำร้ายเสือขาวได้ พลังชี่ทั้งหมดสาดลงไปบนประตูคุ้มครองด้านหลัง รวมตัวเป็นแสง เคลื่อนไหวอยู่บนลวดลายบนประตู

วินาทีต่อมา เสือขาวคำรามอีกครั้ง

เทียบกับเสียงคำรามเมื่อกี้ ตอนนี้เสียงของมัน มีคลื่นอากาศ คำรามจนพวกจ้าวซวี่ถอยหลังกรูด

“โง่”

ลู่ฝานพูดเบาๆ

หานเฟิง ฉู่สิงและฉู่เทียนที่ยืนข้างเขา มองเขาอย่างอึ้งๆ หานเฟิงกดเสียงต่ำพูดว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน เหมือนนายรู้เป็นอย่างดีเลย”

ลู่ฝานยังไม่ได้พูด เสือขาวตัวใหญ่มีปีกสองข้างบนหลัง เหมือนปีกแสง กระพือปีกเบาๆ ทำให้เกิดลมแรง

เฒ่าประหลาดและคนอื่นเบิกตาโต พยายามเว้นระยะห่างกับเสือขาว

สำหรับผู้ฝึกชี่ ต่อสู้ระยะใกล้กับสัตว์ร้าย เป็นการกระทำที่รนหาที่ตาย อย่างไม่ต้องสงสัย

เฒ่าประหลาดตะโกนเสียงดัง “รวมค่าย รวมค่าย! เด็กคณะหนึ่งเดียว ถ้าพวกนายสกัดสัตว์เทพคุ้มครองตัวนี้ได้ ฉันจะให้ยาเม็ดพวกนาย”

เมื่อได้ยินคำว่ายาเม็ด หานเฟิงตาเป็นประกาย จับกระบี่หยกในมือ อยากเข้าไปลองมาก

แต่ลู่ฝานดึงเขาเอาไว้ แล้วพูดว่า “อย่าขยับ ศิษย์พี่หานเฟิง ตอนนี้ห้ามขยับเด็ดขาด เราไม่ใช่คู่ต่อสู้ของสัตว์เทพคุ้มครองตัวนี้ ศิษย์พี่สาม ศิษย์พี่รอง พวกพี่ก็ห้ามขยับเด็ดขาด”

เสียงของลู่ฝาน ทำให้พวกหานเฟิงหยุดการเคลื่อนไหว

แต่ต่อมา พวกจ้าวซวี่เริ่มรวมค่าย

“ค่ายกลห้าธาตุค่ายเล็ก ขึ้น!”

ทั้งห้าคนยืนเป็นตำแหน่งธาตุทั้งห้า ต่างคนต่างรวบรวมพลังชี่ให้เป็นธาตุทั้งห้าฟ้าดิน หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว

ค่ายกลห้าธาตุค่ายเล็กแบบนี้ เป็นค่ายกลขั้นพื้นฐานอย่างหนึ่งของพวกผู้ฝึกชี่ แค่รวมผู้ฝึกชี่ ที่มีพลังชี่ห้าคน ก็สามารถรวมค่ายได้

ประสิทธิภาพของค่ายกลก็ไม่เลว สามารถรวมพลังของทั้งห้าคนเป็นหนึ่งเดียว ทั้งห้าคนลงมือ ภายใต้การกระตุ้นของพลังของห้าธาตุ

การหมุนเป็นวงกลมของพลังห้าธาตุ ลอยไปยังเสือขาว

เสือขาวยืนอยู่ที่เดิม มองวงแหวนที่กำลังลอยมา ไม่มีการเคลื่อนไหวใด

ต่อมา วงแหวนทะลุผ่านตัวเสือขาวไปอีก ร่วงลงบนประตูคุ้มครองที่อยู่ด้านหลัง

ทันใดนั้น ลวดลายบนประตูคุ้มครองสว่างขึ้นอีกครั้ง เกิดเสียงดังกึกกักชัดเจน นี่เป็นเสียงที่ประตูคุ้มครองเปิดออกเพียงเล็กน้อย

เมื่อได้ยินเสียงนี้ เฒ่าประหลาดคิดว่าตัวเองหาวิธีเข้าไปได้แล้ว พูดเสียงดังว่า “โจมตีสุดพลัง โจมตีสุดพลัง!”

เขาปล่อยพลังชี่อันแข็งแกร่งออกมาเช่นกัน เห็นดอกไม้ปรากฏขึ้นด้านบนอย่างเลือนราง

นี่เป็นสัญลักษณ์ของผู้ฝึกชี่ เป็นดอกไม้ดอกแรกในสามดอกรวมหัว* เรียกว่า ดอกกลั่นสารเป็นชี่

ถ้าฝึกสามดอกรวมหัวสำเร็จ นั่นคือปรมาจารย์บำเพ็ญชี่

ดอกไม้สดปล่อยแสงออกมา พลานุภาพของเฒ่าประหลาดพลุ่งพล่าน

พลังฟ้าดินรอบๆ ไหลไปรวมตัวในมือเขาเหมือนน้ำ จากนั้นเฒ่าประหลาดแผดเสียงออกมา

ฉู่สิงหัวเราะอยู่ข้างๆ “จะพูดแบบนั้นก็ไม่ได้ ของที่เซียนบำเพ็ญชี่หลงเหลือไว้ ฉันคิดว่าผู้ฝึกชี่จำนวนมาก ยอมเอาเม็ดยามาแลก แค่ได้ของล้ำค่ามา ไม่ต้องกังวลว่าจะขายไม่ออก ไม่แน่ ที่นี่อาจมียาทิพย์ ยาเซียน รอให้เราไปเอาก็ได้ ศิษย์น้องหานเฟิง ถ้านายไม่ต้องการ สู้ให้ฉันดีกว่า”

หานเฟิงอึ้งไป จากนั้นหัวเราะออกมา

“ฟังดูไม่เลวนะ ยาเม็ดเหรอ เป็นของดี งั้นเราจะรออะไรล่ะ เดินไปข้างในต่อสิ”

หานเฟิงเดินนำไปข้างหน้า ฉู่สิงกับฉู่เทียนเดินตามหลัง

ลู่ฝานมองทุกสิ่งที่แปลกประหลาดในบริเวณรอบๆ แล้วขมวดคิ้วขึ้นมา

ระหว่างทางเดินไปข้างหน้า ทุกครั้งที่เหยียบม่านแสงใต้เท้า มันจะส่องแสงกะพริบ

ด้านหน้าเป็นประตูบานใหญ่ สูงเป็นอย่างมาก เงยหน้าขึ้นมองอย่างยากลำบาก

ประตูบานใหญ่ มีแสงสีฟ้าอ่อนสว่างขึ้น ลวดลายเสือและมังกรต่อสู้กันที่แกะสลักอยู่ทั้งสองด้าน เสือสีขาวกับมังกรตัวใหญ่สีทองเงยหน้าคำราม เมื่อมองดูดีๆ รู้สึกสะเทือนขวัญ เหมือนมีเสียงของมังกรกับเสือ ดังอยู่ข้างหู

มังกรในเมฆ เสือจากสายลม ส่วนอื่นบนประตูแกะสลักลวดลายของเมฆและสายลมที่ดูแปลก

ลู่ฝานสังเกตลวดลายพวกนี้เป็นอันดับแรก เมื่อมองอย่างละเอียด เหมือนลวดลายทั้งหมดรวมตัวกัน กลายเป็นแถบ

เพิ่งเดินมาด้านล่างประตู ทันใดนั้น เงาคนลงมาจากกลางอากาศ เมื่อพวกเขาลงมา ยังมีเศษหินด้วย เกือบกระแทกโดนหัวพวกลู่ฝานด้วย

พวกลู่ฝานทั้งสี่คน รีบถอยหลัง และดึงอาวุธออกมาทันที

“หยุด!”

เมื่อแผดเสียงออกมาเบาๆ เงาคนที่ร่วงลงมา หยุดลงกลางอากาศ

พลังของห้าธาตุเคลื่อนไหว กลายเป็นค่ายกลห้าธาตุโปร่งแสง รับร่างคนพวกนี้เอาไว้

แค่ฝีมือนี้ ก็แน่ใจแล้วว่าคนที่มาคือผู้ฝึกชี่ อย่างไม่ต้องสงสัย

หมุนตัวช้าๆ ค่ายกลห้าธาตุดึงฝ่าเท้าของคนพวกนี้ ลงมาบนพื้นอย่างมั่นคง เป็นพวกเฒ่าประหลาด

เฒ่าประหลาดปัดเสื้อ ถือหม้อสีใสอยู่ในมือ สายตาจ้องไปยังพวกลู่ฝาน แล้วพูดว่า “พวกนายเป็นศิษย์คณะไหน ถึงเหิมเกริมขนาดนี้ คิดไม่ถึงว่าจะเข้ามาในจวนอากาศธาตุกับพวกเรา พวกนายต้องรู้ถึงผลที่ตามมา”

หานเฟิงแคะรูจมูก มองเฒ่าประหลาดแล้วพูดว่า “ตาเฒ่า นายเป็นใคร ทำไมฉันไม่รู้จักนาย มาถึงก็พูดไร้สาระ นายคิดว่าเรายินดีเข้ามากับนายหรือไง”

เฒ่าประหลาดก่นด่าออกมา “ฉันเฟิงหลิง เป็นหัวหน้าผู้ฝึกชี่ของสถาบันสอนวิชาบู๊ ไอ้หนุ่ม จากที่นายพูดเมื่อกี้ ฉันจะให้ครูของนายตบปากนาย”

หานเฟิงหัวเราะออกมา “ขอโทษ ฉันไม่มีครู”

ฉู่สิงพูดต่อ “เราเป็นศิษย์คณะหนึ่งเดียว มีปัญญา นายก็พูดคำนี้กับอาจารย์เราสิ ตาเฒ่า นายพาเราเข้ามาใช่ไหม”

คงเป็นเพราะไม่มีใครกล้าพูดกับเขาแบบนี้ มานานแล้ว เฒ่าประหลาดโดนหานเฟิงกับฉู่สิงพูดใส่จนโมโห แต่เมื่อได้ยินคำว่าคณะหนึ่งเดียว เหมือนเฒ่าประหลาดนึกอะไรได้ กลืนคำที่จะพูดลงคอ

ทันใดนั้น เฒ่าประหลาดส่งเสียงหึ “ที่แท้พวกคณะหนึ่งเดียว มิน่าล่ะถึงพูดจาไม่ไพเราะเช่นนี้ ช่างเถอะ ไม่เถียงกับพวกนายแล้ว ในเมื่อพวกนายโชคร้ายโดนพาเข้ามาด้วย งั้นต้องระวังให้มาก ที่นี่นายจะเดินตามใจชอบไม่ได้ ถ้าเกิดปัญหาอะไรขึ้นมา ฉันไม่รับผิดชอบนะ”

เฒ่าประหลาดพูดพึมพำ จากนั้นพูดด้วยเสียงที่มีเพียงตัวเองที่ได้ยิน “แค่นักบู๊ไม่กี่คนเท่านั้น น่าจะมีปัญหาไม่มาก หุ่นหินเสียหายไปแล้ว ไม่แน่ถ้าเจอสถานการณ์ที่ต้องการโล่มนุษย์ ให้เด็กพวกนี้ไปแบกรับได้ เพราะพวกเขาเข้ามาแล้ว จะมีใครรู้ว่าพวกเขาเป็นหรือตาย”

ในตาฉายแววประหลาด เฒ่าประหลาดหันหน้ากลับไป

จ้าวซวี่และคนอื่นที่อยู่ด้านหลัง เริ่มมองไปรอบๆ

สายตาจ้าวซวี่กวาดตามองพวกหานเฟิง จากนั้นสายตาหยุดลงที่ลู่ฝาน เพราะลู่ฝานมองเขา ด้วยสายตาประหลาด

จ้าวซวี่ไม่รู้ว่าทำไมลู่ฝานถึงใช้สายตานี้มองเขา มีเม็ดข้าวติดหน้าเขาหรือไง

จ้าวซวี่หันหน้าไปอย่างไม่เข้าใจ เขามองไปยังประตูใหญ่ ทันใดนั้น สายตาเขา โดนดึงดูดด้วยประตูอัศจรรย์

“นี่คือ……”

เฒ่าประหลาดมองประตู พลางหัวเราะออกมา เริ่มสัมผัสบนประตูบานใหญ่ไปทั่ว

จากนั้นพูดชื่นชมออกมาว่า “ประตูคุ้มครอง ประตูคุ้มครองสูงเป็นพันเมตร ฉันสัมผัสได้ถึงพลังแข็งแกร่งบนประตู ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหลังประตูต้องมีทุกสิ่งที่ฉันต้องการแน่นอน”

เฒ่าประหลาดใส่พลังชี่ลงบนประตูอย่างต่อเนื่อง เพื่อเปิดประตูบานนี้

หานเฟิงเอียงหัวพูดว่า “เขาแค่เปิดประตูใช่ไหม ทำไมฉันรู้สึกเหมือนเขาร่างทรง”

ลู่ฝานหัวเราะเบาๆ มองเฒ่าประหลาด ประตูคุ้มครองงั้นเหรอ อาจารย์หวูเฉินของเขาบอกวิธีเปิดประตูพวกนี้ไว้มากมาย

แต่ดูเหมือนเฒ่าประหลาดใช้ไม่ถูกต้องสักวิธี ลู่ฝานกำลังคิดว่าจะช่วยดีไหม

ทันใดนั้น เหมือนเฒ่าประหลาดกดโดนอะไรบางอย่างบนประตู

วินาทีต่อมา เสือสีขาวตัวใหญ่บนประตู กระโดดออกมาทันที

เฒ่าประหลาดร้องอย่างตกใจ ถอยหลังอย่างตื่นตระหนก

หานเฟิงก็ถอยหลังเช่นกัน แต่ลู่ฝานกลับจับเขาเอาไว้ “อย่าขยับ”

บทที่ 187
สายลมพัดเบาๆ ยอดเขาเขาหลีซาน กลับสู่ความสงบ
แสงสีดำหายไป พร้อมกับหม้อสือฟางรวมไปถึงลู่ฝานและคนอื่นด้วย สุดท้ายกลายเป็นเม็ดสีดำร่วงลงบนพื้น ส่องแสงหม่นหมองออกมา
ไม่มีการขัดขวางจากพลังชี่ของเฒ่าประหลาด ค่ายกลของสถาบันสอนวิชาบู๊ เริ่มฟื้นฟูเขาหลีซานให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม
หินก้อนใหญ่ที่แตกออกกลับมารวมตัวกัน หุบเขาที่พังทลายกลับมาเป็นเหมือนเดิม ความผิดปกติทั้งหมดหายไป
ยอดเขาอันว่างเปล่า หลงเหลือเพียงเสียงลมพัด
ไม่มีใครรู้ว่าลู่ฝานและคนอื่นไปที่ไหน และไม่มีใครรู้ว่า พวกเฒ่าประหลาดยังมีชีวิตอยู่หรือไม่
เหมือนทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
นักเรียนของสถาบันสอนวิชาบู๊ที่ตามมาทีหลัง มองไปบนยอดเขาอย่างตะลึง และรู้สึกประหลาดใจด้วย
ภายในความมืด ลู่ฝานลืมตาขึ้น
ความมืดที่ทอดยาวเหมือนจะกลืนกินเข้าไปในกระดูก ความว่างเปล่าที่ยื่นมือออกไป ยังมองไม่เห็นนิ้วมือ หลงเหลือเพียงเสียงลมหายใจเบาๆ
ลู่ฝานเรียกออกมา “ศิษย์พี่หานเฟิง ศิษย์พี่ฉู่เทียนศิษย์พี่ฉู่สิง”
ทันใดนั้น มีเสียงเรียกของศิษย์พี่หานเฟิงดังมาจากด้านหลัง ในเวลาเดียวกัน กระบี่หยกส่องแสงสีเขียว ทำให้พื้นที่รอบๆ สว่างขึ้น
“นี่มันที่ไหนกัน”
ศิษย์พี่หานเฟิงตะโกนออกมา
ใบหน้าของฉู่เทียนสะท้อนอยู่ภายใต้แสงสีเขียว “เราไม่ได้เข้ามาในจวนอากาศธาตุของผู้แข็งแกร่งคนใดคนหนึ่งใช่ไหม”
ทั้งสามคนมองไปทางฉู่เทียนด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ
ฉู่เทียนรีบพูดว่า “มันเป็นที่พักผ่อนที่ซ่อนตัวของผู้แข็งแกร่งในวันธรรมดา โดยทั่วไปจะหลอมจากสิ่งอากาศธาตุ เปลี่ยนพื้นที่ว่างภายในนั้นมาเป็นจวนของตัวเอง ใส่ค่ายกลการกักขังต่างๆ เข้าไป เก็บสมบัติ ปกติจะใส่ไว้บนตัว อาจเป็นหยกแขวน แหวน หรือไม่ก็อาวุธ หลบเข้าไปในช่วงคับขัน ไม่เพียงแต่จะเอาชีวิตรอดได้ ยังสามารถทำเวลาได้ด้วย ตอนตายไป สามารถทำให้จวนกลายเป็นสถานที่ถ่ายทอดที่ทิ้งไว้บนโลก นี่คือจวนอากาศธาตุ”
ฉู่เทียนชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นพูดต่อ “ด้านในอาจมีอันตรายใหญ่ เพราะเป็นของที่ผู้แข็งแกร่งหลงเหลือเอาไว้ ค่ายกลการกักขัง หุ่น สัตว์อสูร มีได้ทุกอย่าง จำเป็นต้องระวัง และอาจมีโชคดีครั้งใหญ่แฝงอยู่ด้วย ได้สมบัติจากผู้แข็งแกร่งชิ้นเดียว เอาชนะการฝึกหนักสิบปี”
แววตาหานเฟิงเป็นประกาย ในหัวของเขาไม่สนใจคำพูดก่อนหน้าของฉู่เทียน หยุดลงตรงคำว่าโชคดีครั้งใหญ่
หานเฟิงถูมือไปมา แล้วพูดว่า “หึหึ พูดแบบนี้ ครั้งนี้เราจะรวยแล้วใช่ไหม ฉันชอบความรวยที่สุด”
ลู่ฝานส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจ ฉู่สิงถอนหายใจออกมา
ทั้งสี่คนเดินไปด้านหน้า รอบๆ มีเสียงน้ำหยดเป็นระยะ
หานเฟิงถามว่า “จวนอากาศธาตุ มีเสียงน้ำ เป็นพื้นที่บุกเบิกใหม่ไม่ใช่เหรอ ทำไมเหมือนเข้ามาในถ้ำเลย”
ฉู่เทียนขมวดคิ้ว “เป็นพื้นที่บุกเบิกใหม่น่ะถูกแล้ว เสียงน้ำนี้ ถ้าไม่ใช่เกิดจากการสร้างของค่ายกล ก็คงเป็นเสียงหลอน ฉันเคยตามคนในตระกูลไปจวนอากาศธาตุของนักบู๊แดนปราณฟ้าคนหนึ่ง ในนั้นเป็นน้ำแข็งทั้งหมด น้ำแข็งหลากหลายรูปแบบ ทุกก้าวที่เดิน รู้สึกหนาวไปถึงกระดูก ความหนาวแบบนั้นแทบอยากจะกระโจนเข้าไปย่างบนกองไฟ ฉันเดินได้แค่สามก้าวก็ทนไม่ไหว แล้วถอยออกมาทันที”
เหมือนฉู่สิงนึกอะไรได้ จึงพูดว่า “ที่แท้เป็นแบบนี้นี่เอง ที่นายป่วยหนักในตอนนั้น……”
ฉู่เทียนพยักหน้า “ใช่ เพราะข้างในนั้นนั่นแหละ ครั้งนี้เราต้องระวังทุกฝีก้าว สิ่งที่อยู่ในจวนอากาศธาตุ อย่างน้อยล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งที่มองเห็นวิถีสวรรค์ ข้อห้ามที่พวกเขาหลงเหลือไว้ อาจทำให้เราถึงแก่ชีวิตได้”
พูดพลาง จู่ๆ มีแสงสว่างปรากฏขึ้นด้านหน้า พื้นด้านล่างเท้า ทุกสิ่งทุกอย่างรอบๆ มีแสงแสบตาสว่างขึ้นมา
ลู่ฝานและคนอื่นรีบชะงักฝีเท้า หรี่ตาลง แสงยืดยาวไปเรื่อยๆ ส่องสว่างประตูใหญ่ด้านหน้า
ตอนนี้ ลู่ฝานและคนอื่นเพิ่งเห็นบริเวณรอบๆ อย่างชัดเจน
นี่เป็นพื้นที่ที่เกือบเป็นที่เวิ้งว้าง ล่างเท้าเป็นม่านแสงสีทองกะพริบ รอบๆ มีสิ่งของเคลื่อนไหวมากมาย ทุกอย่างดูไร้กฎ ไม่สามารถอธิบายได้
อย่างเช่นหยดน้ำด้านบน หยดลงมาในอากาศเวิ้งว้าง เป็นเสียงน้ำใส ไหลลงสระ เมื่อกี้พวกเขาได้ยินเสียงนี้
อย่างเช่น ดอกไม้เหี่ยวเฉาที่ผลิบานอย่างต่อเนื่อง ในอากาศเวิ้งว้าง ทุกครั้งที่ผลิบาน มันจะหุบลง และกลายเป็นเมล็ดเล็กๆ หายไปอย่างไร้ร่องรอย
อย่างเช่น ก้อนหินที่เหมือนฟองน้ำ ปล่อยเปลวไฟน้ำแข็งเย็นยะเยือก
ลู่ฝานหรี่ตาลง แล้วพูดเบาๆ ว่า “ห้าธาตุวิปลาส”
หานเฟิงและคนอื่น รีบหันไปมองลู่ฝาน แล้วพูดว่า “ศิษย์น้องลู่ฝานพูดอะไร”
มีวิชาเกี่ยวกับผู้ฝึกชี่แวบเข้ามาในหัวลู่ฝานมากมาย สิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่อาจารย์หวูเฉินยัดเข้ามาในหัวเขา พร้อมสูตรการกลั่นยา
แม้ว่าตอนนี้ลู่ฝานใช้ไม่ได้ เพราะพละกำลังไม่เพียงพอ แต่เมื่อลู่ฝานเห็นสิ่งเหล่านี้ ก็นึกออกทันที
ลู่ฝานพูดเบาๆ ว่า “โลกห้าธาตุวิปลาส หนึ่งในวิชามาตรฐานของเซียนบำเพ็ญชี่ เราคงเข้ามาในจวนอากาศธาตุของเซียนบำเพ็ญชี่คนหนึ่งแล้วล่ะ”
หานเฟิงรีบตะโกนขึ้นว่า “อะไรนะ จวนอากาศธาตุของเซียนบำเพ็ญชี่เหรอ มันมีประโยชน์อะไร นักบู๊อย่างเราไม่สามารถใช้วิธีของผู้ฝึกชี่ได้ ขาดทุนแล้วๆ ใครเป็นคนดึงฉันเข้ามากันนะ ถ้าฉันจับได้ ฉันจะชกให้ตาย”

บทที่ 186
แสงของธาตุทั้งห้าฟ้าดินกระจัดกระจายไปทั่วยอดเขา ขนาดจ้าวซวี่ที่แขนบาดเจ็บ ยังลุกขึ้นมาช่วยปล่อยพลังของตัวเอง
นี่เป็นการต่อสู้ที่เผาผลาญ ใครปล่อยมือก่อน คนนั้นแพ้
ตอนนี้บนท้องฟ้า อาจารย์เซินถูของคณะกำแหงมาถึงแล้ว
มองผ่านชั้นเมฆลงมา อาจารย์เซินถูขมวดคิ้ว มองพวกจ้าวซวี่ที่กำลังขะมักเขม้น แล้วพึมพำว่า “คนพวกนี้กำลังทำอะไร”
เฒ่าประหลาดที่กำลังใจจดใจจ่อ ไม่เห็นว่าเซินถูมาถึงแล้ว แต่ขณะนั้น เสียงของเซินถูดังขึ้นข้างหูเฒ่าประหลาด
“เฒ่าประหลาด นายกำลังทำอะไร”
เฒ่าประหลาดสะดุ้งโหยง พลังชี่บนมือสั่น ทำให้เกิดแผลขึ้นบนรูปปั้นหุ่นหิน
เฒ่าประหลาดกัดฟันพูดว่า “กำลังปราบหม้อใบหนึ่งมาเป็นของตัวเอง เซินถู ใช่นายไหม ช่วยฉันหน่อยได้ไหม”
เซินถูพูดออกมาว่า “สายฟ้ายาสามสีเมื่อกี้ เป็นฝีมือนายเหรอ ถ้านายเอายาทิพย์ให้ฉัน ฉันช่วยนายได้นะ”
เฒ่าประหลาดกัดฟันพูดว่า “ไม่มียาทิพย์ แต่นายเลือกยาเม็ดระดับเก้าได้ตามสบาย”
เซินถูส่ายหัวอยู่กลางท้องฟ้าอย่างสิ้นหวัง จากนั้นหันหลังเหาะออกไป เขาไม่สนใจอะไรแบบนั้นของผู้ฝึกชี่ ในเมื่อไม่มียาทิพย์ที่เขาต้องการ สู้ให้เขากลับไปฝึกต่อดีกว่า
แสงในมือเฒ่าประหลาดกะพริบ ในฐานะที่เป็นผู้ฝึกชี่ พูดว่าไม่มียาทิพย์เป็นเรื่องโกหก ในมือเขามียาทิพย์สองสามเม็ด แต่ใช้ประโยชน์ได้มาก ไม่มีทางเอาให้เซินถูหรอก
เงยหน้ามองเซินถูออกไป เฒ่าประหลาดยิ้มออกมาบางๆ
ไปก็ไปสิ เพราะเขาไม่หวังให้นักบู๊ของสถาบันสอนวิชาบู๊ มาช่วยอยู่แล้ว
ทำไมเขาถึงกล้าพาลูกศิษย์ตัวเองมาแย่งสมบัติ หลักๆ คือในสถาบันสอนวิชาบู๊ มีแค่เขากับศิษย์พวกนี้ที่เป็นผู้ฝึกชี่ คนอื่นล้วนเป็นนักบู๊ ถึงเห็นหม้อสือฟางอันนี้ ก็ไม่มีความสนใจ ไม่งั้นหม้อสือฟางอันนี้คงไม่อยู่ที่นี่มาหลายร้อยปี โดยไม่มีใครเอาไปสักคน
ไม่มีคนแย่งชิง ก็ไม่ต้องกังวลว่าสมบัติจะมีเจ้าของ เป็นเรื่องที่ไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้ว
ถ้าเปลี่ยนเป็นสถานที่ ที่มีผู้ฝึกชี่เป็นจำนวนมาก เขาคงไม่มีทางเอาหม้อสือฟางมาได้
เฒ่าประหลาดมีรอยยิ้มมุมปาก รวบรวมสมาธิ เพิ่มพลังชี่ออกไป ทันใดนั้น หุ่นหินดึงหม้อสือฟางออกมาเร็วขึ้นอีก
……
หลังผ่านไปครู่หนึ่ง ตรงตีนเขา ลู่ฝานและคนอื่นต่างมาถึงที่นี่
นี่อาศัยการนำทางของลู่ฝาน พวกเขาจึงไม่ออกนอกทิศทาง ระหว่างทาง หานเฟิงยังบอกว่าลู่ฝานจมูกสุนัข พวกเขาไม่ได้กลิ่นยา แต่ลู่ฝานกลับนำทางพวกเขาอย่างมั่นใจ ไม่ออกนอกทิศทางเลยสักนิด
ความเร็วของพวกเขาไม่ช้าเลย ผลการฝึกตนของทั้งสี่คนไม่แย่เลย ใช้วิชากายออกมาทั้งหมด เรียกได้ว่า รวดเร็วปานสายฟ้าแลบ เห็นว่าใกล้ถึงแล้ว แต่พวกเขายังต้องเดินอีกไกล
ตรงตีนเขา หานเฟิงเงยหน้ามองขึ้นไป
“ข้างบนเกิดอะไรขึ้น ยังกลั่นยาอยู่เหรอ แสงห้าสีรุนแรงมาก ได้ยินว่าผู้ฝึกชี่ล้วนมีสมบัติในตัว ยาเม็ดในมือมีเป็นกอง ศิษย์น้องลู่ฝาน นายว่าเราจะซื้อยาเม็ดจากเขาก่อนสักหน่อย แล้วค่อยจ่ายเงิน ทางที่ดีคือยาทิพย์ รอผ่านไปสักไม่กี่ปีหรือสักสิบกว่าปี เมื่อเราเจริญรุ่งเรืองแล้ว ค่อยคืนให้เขาเป็นหลายสิบเท่า”
หานเฟิงถูมือไปมา สีหน้ามุ่งหวัง
ฉู่สิงตัดความเพ้อฝันของเขา อย่างไม่เกรงใจ “ติดหนี้ยาเม็ดงั้นเหรอ ตั้งแต่โบราณจนถึงตอนนี้ ยังไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนี้ นายคิดว่าผู้ฝึกชี่เป็นคนพูดง่ายเหรอ ตอนฉันอยู่ในตระกูล รู้จักผู้ฝึกชี่คนหนึ่ง เรียกได้ว่านิสัยประหลาดมาก”
เหมือนคิดถึงเรื่องไม่ดีในอดีตขึ้นมาได้ สีหน้าของฉู่สิงกับฉู่เทียนเปลี่ยนไปเล็กน้อย
หานเฟิงถอนหายใจออกมา “เฮ้อ ถ้าผู้ฝึกชี่พวกนั้นพูดง่ายเหมือนศิษย์น้องลู่ฝานก็ดีสิ โยนยาเม็ดสองสามขวดมาให้ฉันอย่างง่ายดาย”
ลู่ฝานหัวเราะ แต่ไม่ได้พูดอะไร
เมื่อฉู่สิงกับฉู่เทียนได้ยินว่าลู่ฝานโยนยาสองสามขวดให้หานเฟิง พวกเขามีสีหน้าประหลาดทันที
ฉู่สิงพูดเบาๆ ว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน นายมาจากตระกูลร่ำรวยหรือเปล่า ขาดลูกน้องหรือเปล่า รอให้ศิษย์พี่เรียนจบก่อน จะติดตามนายไปด้วย”
ลู่ฝานพูดอย่างกระอักกระอ่วน “ศิษย์พี่ทุกคน เราคุยนอกเรื่องกันแล้วหรือเปล่า ขึ้นไปดูบนเขาก่อนเถอะ”
ฉู่เทียนพยักหน้าพูดว่า “ใช่ ได้ยินว่ายาเม็ดถึงระดับเหมาะสม ถึงจะได้กลิ่นห่างขนาดนี้ ก็มีประโยชน์ต่อคนเป็นอย่างมาก ดูว่าครั้งนี้เราจะโชคดีหรือเปล่า”
ทั้งสี่คนรีบไปบนยอดเขา ยิ่งใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เห็นพลังฟ้าดินเคลื่อนไหวบนยอดเขา ชัดเจนยิ่งขึ้น
ลู่ฝานรู้สึกไม่เข้าใจเล็กน้อย โดยทั่วไปแล้ว เมื่อกลั่นยาเม็ดสำเร็จ ควรจะเก็บของพักผ่อนแล้ว
แต่พลังฟ้าดินบนยอดเขาดูไม่เหมือนกำลังกลั่นยา แต่เหมือนกำลังต่อสู้กัน
นี่มันเกิดอะไรขึ้น เพิ่งกลั่นยาสำเร็จ ก็สู้กันแล้วเหรอ
ลู่ฝานและคนอื่น วิ่งไปบนยอดเขาด้วยความสงสัยมากมาย
ลู่ฝานมองจากไกลๆ เห็นพวกเฒ่าประหลาดกำลังต่อสู้กับหม้อสือฟางอย่างสุดกำลัง
ขณะนั้น หุ่นหินแผดเสียงโมโหออกมา ดึงหม้อสือฟางขึ้นมาจากใต้พื้นดิน
พลังอันน่ากลัว พุ่งออกมาจากใต้หม้อสือฟาง ลู่ฝานเห็นเพียงความมืด พุ่งปะทะเข้ามา
หานเฟิงตะโกนว่า “ให้……”
วินาทีต่อมา คนบนยอดเขาหายไปอย่างไร้ร่องรอย
บทที่ 185

บทที่ 185
เขาหลีซาน ภูเขาอันงดงาม
บนยอดเขา มีกลิ่นยาหอมไปทั่ว ยาเม็ดกลมตกลงบนพื้น จากนั้นกลายเป็นน้ำ ซึมเข้าไปในดิน
ในภูเขาที่ระเบิดออก หม้อเล็กสีใส มีแสงหม่นส่องขึ้นมา
ตัวหม้อโปร่งใสเหมือนคริสตัล พลังของห้าธาตุและฟ้าดินรวมอยู่ในหม้อ
ไม่มีคนควบคุม ไม่มีใครใส่พลังชี่เข้าไปกลั่น พลังฟ้าดินรวมตัวกันอัตโนมัติ
ตรงตีนเขา เงาคนพุ่งมาอย่างรวดเร็ว
“เร็วๆ สมบัติปรากฏออกมาแล้ว จ้าวซวี่ นายเร็วหน่อย”
“ครับอาจารย์”
จ้าวซวี่กัดฟัน เร่งความเร็วสุดชีวิต
ในมือเขายังลากรูปปั้นหินหนึ่งองค์ สูงประมาณครึ่งตัวคน หัวมังกร ตัวเป็นเสือ หางเสือดาว เกล็ดเป็นปลา ดวงตาปิดสนิททั้งสองข้าง ใบหน้าโหดเหี้ยมน่ากลัว
ผู้อาวุโสด้านหน้าสุดแววตาเป็นประกายลุกโชน เขาคืออาจารย์ของจ้าวซวี่ ในสถาบันสอนวิชาบู๊ มีชื่อเรียกว่า อาจารย์บำเพ็ญชี่ เฒ่าประหลาด
ทุกคนเข้าใจว่าสายฟ้ายาสามสีครั้งนี้ มาจากฝีมือการกลั่นยาของเฒ่าประหลาด แต่ไม่มีใครรู้ว่า อันที่จริง ไม่เกี่ยวกับเฒ่าประหลาดสักนิด
เฒ่าประหลาดพาลูกศิษย์ตัวเอง พุ่งไปยังยอดเขาเขาหลีซานอย่างบ้าคลั่ง
ในที่สุด เฒ่าประหลาดมาถึงยอดเขา สิ่งที่เห็นคือเศษหินรวมไปถึงหุบเขาที่แยกออก ไม่สามารถขัดขวางฝีเท้าเขาได้สักนิด
“อยู่ไหน อยู่ไหน! ฉันอยู่ในที่พังๆ แบบนี้มาสิบกว่าปี เพื่อรอวันนี้ อย่าบอกว่าการพิจารณาของฉันผิดพลาด”
สายตามองไปรอบๆ ไม่หยุด ศิษย์ที่ตามมาข้างหลังเฒ่าประหลาดก็หากันสุดชีวิต
รวมไปถึงจ้าวซวี่ด้วย แสงในตาพวกเขาเป็นสีเขียวเหมือนหมาป่าหิวโหย กำลังตามหาอาหารของตัวเอง
ทันใดนั้น หม้อใสเหมือนคริสตัล ปรากฏอยู่ในสายตาเฒ่าประหลาด
เฒ่าประหลาดจ้องเขม็งทันที
ใบหน้าเขาบิดเบี้ยว กล้ามเนื้อทั้งตัวกำลังสั่น
“หม้อสือฟาง!”
เฒ่าประหลาดเดินไปที่หม้อเหมือนสติหลุด จากพละกำลังอาจารย์บำเพ็ญชี่ของเขา แค่โดนหินขวางเอาไว้ ทำให้เดินเซจนเกือบล้มลงไป
ลูกศิษย์ของเขาเห็นอาจารย์หาของเจอ รีบพากันเดินเข้ามา
อาจารย์และศิษย์รวมห้าคน ยืนอยู่หน้าหม้อใสเหมือนคริสตัล หุบเขารอบๆ เริ่มกลับมาเป็นเหมือนเดิม ค่ายกลที่ปกคลุมสถาบันสอนวิชาบู๊เอาไว้กำลังช่วยให้เขาหลีซานกลับมาเป็นเหมือนเดิม
เฒ่าประหลาดสะบัดมือ พลังชี่ที่แฝงไปด้วยพลังของห้าธาตุและฟ้าดิน โจมตีไปกลางอากาศ ทันใดนั้น พลังฟ้าดินรอบๆ เริ่มรวมตัวกัน
อาจารย์และศิษย์รวมห้าคน ยืนอยู่หน้าหม้อใสเหมือนคริสตัล หุบเขารอบๆ เริ่มกลับมาเป็นเหมือนเดิม ค่ายกลที่ปกคลุมสถาบันสอนวิชาบู๊เอาไว้กำลังช่วยให้เขาหลีซานกลับมาเป็นเหมือนเดิม
การเคลื่อนไหวของเขา ทำให้ความเร็วการฟื้นฟูของค่ายกลลดลง
จ้าวซวี่เดินเข้ามา สูดหายใจอย่างแรง ควบคุมอารมณ์ของตัวเอง จากนั้นพูดว่า “อาจารย์ นี่คือหม้อสือฟางที่อาจารย์พูดถึงเหรอ”
เฒ่าประหลาดพยักหน้า “ใช่ นี่แหละ รวบรวมพลังฟ้าดินสิบแห่ง ชิงพลังของห้าธาตุรวมตัวเป็นยา หม้อเซียนอย่างแท้จริงไม่ต้องใช้คนควบคุม มันสามารถใช้พลังฟ้าดินกลั่นเป็นยาได้ ถ้าอยู่ในมือของผู้ฝึกชี่ที่แข็งแกร่ง ไม่มีอะไรที่กลั่นไม่ได้ ใส่สมุนไพรธรรมดาเข้าไปจะได้ยาทิพย์ออกมาหนึ่งเม็ด ถ้ามีความสามารถในการกลั่นที่แข็งแกร่ง หลังจากกลั่นเสร็จ เก็บเข้าไปในตัว จะเป็นเครื่องราง ฝึกพลังชี่ มีโจมตีแรง ป้องกันก็ไม่ด้อย”
ประกายในแววตาเฒ่าประหลาดยิ่งลุกโชน เหมือนจะพ่นไฟออกจากตา
ลูกศิษย์ที่ยืนด้านหลังเขา สูดหายใจเฮือก หม้อมหัศจรรย์เช่นนี้ ใครไม่อยากได้บ้าง แค่ผู้ฝึกชี่เห็นมัน ก็ต้องชื่นชมออกมา และคลั่งไคล้มัน
“งั้นให้ผมเอามันออกมาละกัน”
จ้าวซวี่วางหุ่นลง แล้วเดินไปด้านหน้า ยื่นมือไปสัมผัสบนหม้อสือฟาง
แต่ทันใดนั้น พลังของห้าธาตุ ที่ไหลเวียนอยู่ในหม้อสือฟาง กลับกลายเป็นลำแสงห้าสี โจมตีลงบนฝ่ามือของจ้าวซวี่
จ้าวซวี่เหมือนโดนฟ้าผ่า กระเด็นออกไปไกล กระดูกแขนหลุด ร้องโอดครวญออกมา
ศิษย์คนที่เหลือจ้องเขม็ง เห็นกระดูกแขนของจ้าวซวี่หักเป็นท่อนๆ เลือดไหลออกมาตามรูขุมขน
จ้าวซวี่เจ็บจนเกือบสลบไป รีบเอายาออกมาจากอกหนึ่งขวด กรอกใส่ปากตัวเอง เหมือนกินลูกอม
“โง่!”
เฒ่าประหลาดเอ่ยขึ้น
หม้อสือฟางเป็นของที่เซียนสือฟางหลงเหลือเอาไว้เมื่อสามร้อยปีที่แล้ว นายจะเอาไปง่ายๆ ได้อย่างไร ถ้าฉันเดาไม่ผิด หม้อสือฟางต้องเป็นสิ่งคุ้มครองจวนที่หลังจากเซียนสือฟางมรณภาพกลายตัวมา แค่ได้หม้อสือฟางอันนี้มา ฉันยังจะได้สิ่งของของเซียนสือฟางด้วย
เมื่อพูดเช่นนี้ เฒ่าประหลาดยังพูดไปทางด้านหลังว่า “หุ่นยามา”
ปล่อยพลังชี่ห้าสีออกมา ใส่เข้าไปในรูปปั้นหิน
รูปปั้นหินที่นิ่งอยู่ตลอดเวลา มีแสงสว่างในตา และมีชีวิตขึ้นมา
สะบัดหาง กระโจนเข้ามา เสียงเสือคำรามดังขึ้น เฒ่าประหลาดชี้ไปที่หม้อสือฟาง รูปปั้นหินที่คล้ายคลึงกับสัตว์ชนิดต่างๆ ผสมผสานกัน กระโจนเข้าไป งับไปที่หม้อสือฟาง
หม้อสือฟางสีใสปล่อยพลังของห้าธาตุออกมา โจมตีรูปปั้นหินอย่างต่อเนื่อง แต่รูปปั้นหินที่ทำจากหิน หนึ่งคือไม่มีเส้นลมปราณ สองคือไม่มีความรู้สึกเจ็บปวด ความเสียหายที่พลังของห้าธาตุมีต่อมัน จึงไม่มากเท่าไร รูปปั้นหินค่อยๆ ดึงหม้อสือฟางออกมา ในเวลาเดียวกัน ตัวมันเองก็แตกเป็นเศษหิน
เฒ่าประหลาดยืนด้านหลังรูปปั้นหิน ใส่พลังปราณเข้าไปฟื้นฟูรูปปั้นหินอย่างต่อเนื่อง
“ศิษย์ทุกคน เข้ามาช่วย”
เมื่อแผดเสียงออกมา ลูกศิษย์ด้านหลัง รีบวิ่งเข้ามา ปล่อยพลังชี่ของพวกเขาออกมา

บทที่ 184
หานเฟิงตะโกนออกมา
“ทำไมผมไม่รู้ว่ามีกฎนี้ด้วย”
ลู่ฝานหัวเราะเบาๆ เอาอาวุธสองเล่มออกมาจากเข็มขัด
ดาบหัวผีขนาดใหญ่หนึ่งเล่ม กับกระบี่อ่อนไผ่เขียวครามหนึ่งเล่ม
อาวุธสองเล่มนี้ เป็นสมบัติล้ำค่าของหยู่ซิน แม้หยู่ซินไม่ได้ใช้อาวุธพวกนี้ แต่เขาอยู่ในคณะหยินหยางมานาน มีของในมือไม่น้อย กฎของคณะหยินหยาง ถ้าแพ้ต้องยอมจ่าย คนที่เป็นยอดฝีมือชั้นนำในคณะหยินหยางอย่างหยู่ซิน ต้องทำให้นักเรียนไม่น้อยจ่ายอย่างหนักอยู่แล้ว ดังนั้นทรัพย์สินของเขาจึงเยอะมากจนผิดปกติ แต่ตอนนี้ ทรัพย์สินพวกนี้ล้วนตกมาเป็นของลู่ฝาน
ตอนนี้ในเข็มขัดของลู่ฝาน ยังมีอาวุธไม่เลวอีก 7-8 เล่ม แม้ไม่ถือว่าเป็นอาวุธวิเศษ แต่เป็นของดีที่หาไม่ได้ในท้องตลาดอย่างแน่นอน
“ศิษย์พี่ทั้งสอง อาวุธสองชิ้นนี้ เป็นของพวกพี่”
ลู่ฝานเอาออกมาอย่างกล้าหาญ ฉู่สิงกับฉู่เทียนรับมาคนละเล่ม ทิ้งอาวุธที่หลอมเป็นร้อยครั้ง ลงบนพื้นทันที ทั้งสองคนน้ำลายแทบจะไหลออกมา
“ศิษย์น้องลู่ฝาน ล้ำค่ามาก ฮ่าๆ ล้ำค่ามาก ศิษย์พี่ฝืนใจรับไว้ละกัน”
ฉู่สิงพ่นน้ำลายออกมา เช็ดอย่างละเอียด การกระทำเหมือนหานเฟิงไม่มีผิด
ลู่ฝานรู้แล้วว่าหานเฟิงเรียนรู้การกระทำนี้จากใคร
ศิษย์พี่ฉู่เทียนยังดีหน่อย เล่นดาบหัวผีรอยยิ้มเต็มใบหน้า
“อันนี้น้ำหนักพอดี สัมผัสมือดีมาก ฉันชอบ ศิษย์น้องลู่ฝาน ศิษย์พี่ติดหนี้น้ำใจนายแล้ว”
ศิษย์พี่หานเฟิงส่ายหน้าพูดว่า “ศิษย์พี่รอง ศิษย์พี่สาม ดูพวกพี่สดใสกันขนาดนี้”
ยังไม่ทันพูดจบ ฉู่เทียนใช้ดาบฟันลงไปบนพื้นข้างหน้าหานเฟิง รอยดาบลึกปรากฏขึ้นมา หานเฟิงตกใจจนขนลุก เหงื่อแตกพลั่ก
“ดาบดีๆ”
ฉู่เทียนหัวเราะ แล้วเอ่ยขึ้น
หานเฟิงปิดปากอย่างรู้งาน เขาไม่บอกฉู่เทียนกับฉู่สิงหรอก อันที่จริงบนตัวเขาก็มีของดีไม่น้อยเหมือนกัน
ขณะที่ศิษย์พี่ฉู่สิงกับฉู่เทียนกำลังดีใจ จู่ๆ มีเสียงฟ้าผ่า ดังมาจากขอบฟ้าไกลๆ
ทั้งสี่คนหันไปมองพร้อมกัน เห็นบนฟ้าไม่ไกลกลายเป็นเมฆสามสี สายฟ้าขนาดประมาณแขนผ่าลงมาอีกครั้ง
ตู้ม!
ยอดเขาครึ่งหนึ่งระเบิดออก ภูเขาหินขนาดประมาณห้องแตกกระจายไปทั่ว พื้นที่ตีนเขาสั่นไปมา
หานเฟิงหันไปมองอย่างตกใจ แล้วพูดว่า “ให้ตายเถอะ เกิดอะไรขึ้น มีคนมาเล่นงานสถาบันสอนวิชาบู๊เหรอ”
ลู่ฝานขยับจมูกไปมา เขาได้กลิ่นหอมของยาอย่างรุนแรง
“เป็นยาเม็ด มีคนกลั่นยาทิพย์สำเร็จ สายฟ้ายาสามสี ระดับยาไม่ต่ำด้วย”
หานเฟิงพูดอย่างตกตะลึง “ยาทิพย์เหรอ ว้าว ที่แท้สถาบันสอนวิชาบู๊ยังมีผู้ฝึกชี่ที่แข็งแกร่งขนาดนี้อยู่ด้วย เราไปดูกันเถอะ ฉันยังไม่เคยเห็นยาทิพย์ออกจากหม้อเลย ดูเหมือนไม่ไกลนะ”
พวกลู่ฝานมองหน้ากัน ยิ้มบางๆ ออกมา จากนั้นทั้งสี่คนใช้วิชากาย พุ่งไปยังยอดเขา ที่อยู่ไกล
ในเวลาเดียวกัน อาจารย์ของเก้าคณะเหาะมากลางอากาศ
อาจารย์ซิงยวนของคณะหยินหยางมองยอดเขาที่ระเบิดจากไกลๆ ยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “ดูเหมือนวิชายาของเฒ่าประหลาดยกระดับขึ้นอีกแล้ว”
อาจารย์เซินถูของคณะกำแหงหัวเราะ แล้วเหาะออกไป “ฮ่าๆ ยาทิพย์ ฉันมาแล้ว”
อาจารย์เมิ่งอวิ๋นของคณะบังเหินหัวเราะเบาๆ แล้วเหาะกลับไป
อาจารย์อี้ชิงของคณะหนึ่งเดียวเงยหน้าขึ้น จากนั้นละสายตาออกมา มองอาจารย์เต้ากวง แล้วพูดว่า “นายเอาเคล็ดวิชาระดับดินพวกนี้มาทำอะไร”
อาจารย์เต้ากวงกลอกตามองบน แล้วพูดว่า “ติดหนี้น้ำใจคน เอาไปคืนให้เด็กคนหนึ่ง นายไม่ต้องสนใจหรอก”
อาจารย์อี้ชิงส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจ

บทที่ 183
เงียบตลอดทั้งคืน
วันต่อมา ลู่ฝานกับหานเฟิงเดินลงจากเขาวิพากษ์
“โอ้ว หลับสบายมาก ศิษย์น้องลู่ฝาน ต่อไปเรามาที่เขาวิพากษ์ทุกๆ สองสามวันดีกว่า หอเครื่องหอมเป็นสถานที่ที่ดี เตียงนั่น กลิ่นหอมนั่น……”
ศิษย์พี่หานเฟิงพูดไปพูดมา น้ำลายจะไหลออกมาอีกแล้ว
ลู่ฝานพูดตัดบทศิษย์พี่ “เหรียญทองก็ไหลออกไปอย่างรวดเร็ว แค่คืนเดียว ตั้งหลายร้อยเหรียญทอง ครั้งนี้มีเงินของพวกคณะหยินหยางที่ให้เราไม่น้อย แต่ครั้งหน้า และครั้งต่อๆไป ศิษย์พี่หานเฟิงแน่ใจเหรอว่าจะจ่ายไหว”
สีหน้าของศิษย์พี่หานเฟิงสลดทันที พูดขึ้นมา ลู่ฝานเป็นคนออกค่าที่พักเมื่อคืน เขาเสียดายเงินเล็กน้อยที่มีในตัว นั่นเป็นเงินส่วนตัวของเขาเชียวนะ
“เฮ้อ ถ้าคนในครอบครัวฉันสนับสนุนฉันสักหน่อย ฉันจะแคร์เงินเล็กน้อยพวกนี้เหรอ……”
ศิษย์พี่หานเฟิงส่งเสียงหึออกมา จากนั้นสบถพึมพำออกมาอีกสองสามประโยค
ลู่ฝานไม่รู้ว่าศิษย์พี่หานเฟิงกำลังพูดอะไร และไม่อยากสนใจ
ที่ตีนเขาเขาวิพากษ์ ศิษย์พี่ฉู่สิงกับฉู่เทียนรออยู่นานแล้ว
เห็นหานเฟิงกับลู่ฝานเดินมา ศิษย์พี่ฉู่สิงกับฉู่เทียนยิ้มอย่างสดใส
“ฮ่าๆ ศิษย์น้องทั้งสอง ในที่สุดก็มาสักที พวกนายคงคิดไม่ถึง เมื่อคืนพวกเราอยู่ที่ตึกพิณคืนละห้าสิบเหรียญทอง ดูอาวุธบนมือเราสิ เป็นอาวุธอย่างดีที่หลอมเป็นร้อยครั้ง ดาบกับกระบี่อย่างละเล่มรวมกันแล้วห้าร้อยกว่าเหรียญทองเชียวนะ”
ฉู่สิงกับฉู่เทียนยิ้มอย่างมีความสุขจนออกทางใบหน้า
หานเฟิงกระแอมเบาๆ หนึ่งที หันไปถามลู่ฝานว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน เราโจมตีเขากลับหน่อยไหม”
ลู่ฝานพยักหน้า ทำท่าผายมือเชิญให้หานเฟิง
หานเฟิงเอาป้ายออกมาจากมือ นั่นเป็นป้ายของหอเครื่องหอม หานเฟิงขโมยออกมาโดยเฉพาะ
“เฮ้อ ศิษย์พี่สาม ศิษย์พี่รอง รสนิยมของพวกพี่ ใช้ไม่ได้เอาเสียเลย ตึกพิณ คืนละห้าสิบเหรียญทอง พูดออกมาได้ เห็นไหม ป้ายห้องของหอเครื่องหอม เมื่อคืนผมกับศิษย์น้องลู่ฝาน เสียเงินแปดร้อยเหรียญทอง เพลิดเพลินทั้งคืน ของพวกพี่นับประสาอะไรกัน ยังเอามาอวดอีก”
ฉู่สิงกับฉู่เทียนเบิกตาโตทันที
จากนั้น ฉู่สิงเดินมาแย่งป้ายห้องหอเครื่องหอมในมือหานเฟิง หลังจากมองอย่างละเอียด ฉู่สิงหางตากระตุก “เป็นป้ายห้องของหอเครื่องหอมจริงๆ นายไม่ได้ขโมยออกมาใช่ไหม นายเอาเหรียญทองแปดสิบเหรียญมาจากไหน คนอย่างนาย ขนาดเหรียญสตางค์ยังเก็บไว้เลย”
หานเฟิงพูดด้วยสายตาล่องลอย “ขโมยออกมาน่ะใช่ แต่นี่ไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือศิษย์น้องลู่ฝานจ่ายให้ เหอะๆ พวกพี่คงไม่รู้สินะ เมื่อวานผมกับศิษย์น้องลู่ฝานทำเรื่องใหญ่มากมายเลยล่ะ”
พูดพลาง หานเฟิงเล่าเรื่องที่เขากับลู่ฝานทำ ให้ฉู่สิงกับฉู่เทียนฟัง
ไม่พูดก็ไม่ได้ ความสามารถในการเล่าเรื่องของหานเฟิงเข้าขั้นดี โม้ได้สุดยอด คนที่รู้ ยังฟังออกว่าเขาพูดเกี่ยวกับตัวเองกับลู่ฝาน คนที่ไม่รู้คงนึกว่าเขากำลังพูดถึงการต่อสู้ระหว่างเทพมารในสมัยโบราณ
“เฮ้อ ถ้าคนในครอบครัวฉันสนับสนุนฉันสักหน่อย ฉันจะแคร์เงินเล็กน้อยพวกนี้เหรอ……”
เล่ามาหนึ่งชั่วยามเต็มๆ หานเฟิงจึงหยุดพูด
ฉู่สิงกับฉู่เทียนตัดการบรรยายที่ไร้สาระออกไป ถามเจาะจงออกมาว่า “หมายความว่า พวกนายรีดไถนักเรียนของคณะหยินหยางสามคน และนักเรียนคณะสงบใจหนึ่งคนเหรอ”
หานเฟิงพยักหน้า “ฟังดูประหลาด รีดไถอะไรกันล่ะ แต่ความจริงก็เป็นแบบนั้นแหละ”
ฉู่สิงกับฉู่เทียนยื่นมือมาตรงหน้าลู่ฝานกับหานเฟิง ฉู่สิงตะโกนออกมาอย่างน่าสงสาร “ศิษย์น้องทั้งสอง สงสารศิษย์พี่ดวงซวยคนนี้เถอะ”
ฉู่เทียนพูดเสียงก้องว่า “กฎของคณะหนึ่งเดียว มีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้าน พวกนายได้มา อย่างน้อยก็แบ่งมาสักหน่อย”

บทที่ 182
หานเฟิงตะโกนขึ้นมา “ให้ตายเถอะ ทำไมลูกไม้ของฉันถึงได้รับความนิยมอย่างนี้ ศิษย์น้องลู่ฝาน ทักษะการแสดงของพวกเขาดีกว่านายเยอะเลย”
ลู่ฝานกลอกตามองบนไม่หยุด หลิงเหยาที่อยู่ข้างๆ หัวเราะอย่างไม่สนใจภาพลักษณ์
ในขณะที่กำลังวุ่นวาย เสียงอันมีพลังดังขึ้นมา
“เงียบให้หมด”
เสียงเหมือนฟ้าผ่า สะเทือนจนทุกคนเงียบ มีเงาคนเดินมาจากไกลๆ เมื่อทุกคนเห็นคนคนนี้ ต่างพากันเรียกอย่างเคารพ “ครูซุนเฉิง”
ซุนเฉิงพูดเสียงดังว่า “ดูพฤติกรรมพวกนายสิ นี่มันอะไรกัน ตอนนี้เปลี่ยนกฎแล้ว จะเข้าหอคอยฝึกฝน ไม่เพียงแต่ต้องมีรายชื่อในอันดับบู๊ ผลการฝึกตนต้องผ่านระดับแดนปราณนอก ถ้าไม่ถึง ก็ไสหัวกลับไปฝึกให้หมด จะมายืนล้อมอยู่ตรงนี้ทำไม พวกแกสองตัวได้ยินชัดเจนหรือยัง”
ครูซุนเฉิงชี้หุ่นเชิดสองตัว แล้วแผดเสียงออกมา
หุ่นสองตัวรีบพูดอย่างนอบน้อมว่า “ครับ!”
พูดจบ พวกนักเรียนออกไปด้วยความสิ้นหวัง
หานเฟิงหัวเราะ แล้วพูดว่า “คนพวกนี้ซวยจริงๆ ลูกไม้ของฉัน อยากฝึกก็ฝึกได้งั้นเหรอ ฮ่าๆ ศิษย์น้องลู่ฝาน เราสองคนโชคดีแล้ว”
ลู่ฝานพยักหน้า “ดวงไม่เลวเลยจริงๆ”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ลู่ฝานนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เอาเคล็ดวิชา ที่ได้จากในหอคอยฝึกฝนออกมา ยื่นให้หลิงเหยาแล้วพูดว่า “นี่ให้เธอ”
หลิงเหยาอึ้งไป เดิมทีเธอพูดเล่นกับลู่ฝาน คิดไม่ถึงว่าลู่ฝานจะเอาเคล็ดวิชาออกมาให้เธอจริงๆ
อีกทั้งแถบสีเขียวรางๆ ที่สามแถบด้านล่าง คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเคล็ดวิชาบู๊ระดับทิพย์ขั้นสูง
หลิงเหยายืนอึ้งอยู่ที่เดิม ไม่ขยับไปไหน
ลู่ฝานถามอย่างแปลกใจ “เอาไปสิ เป็นเคล็ดวิชาบู๊ที่ไม่เลวเลยนะ วิชาพิณซึ้ง ฉันคิดว่าน่าจะเหมาะกับเธอมาก”
หลิงเหยากัดริมฝีปาก “นี่เป็นเคล็ดวิชาบู๊ระดับทิพย์ขั้นสูง นายแน่ใจเหรอ ว่าจะให้ฉัน”
ลู่ฝานขมวดคิ้ว “ก็จะให้เธออยู่แล้ว”
หลิงเหยายังไม่ยื่นมือออกมารับ แล้วถามต่อ “แล้วของนายล่ะ เคล็ดวิชาบู๊ระดับทิพย์ขั้นสูง อย่างน้อยต้องไปเอาที่ชั้น 5 อีกทั้งแต่ละชั้นเอาได้แค่เล่มเดียว”
ลู่ฝานพูดอย่างตกใจ “เธอรู้เยอะมากเลยนะ วางใจเถอะ ฉันได้ของดียิ่งกว่ามาแล้ว เล่มนี้เลยให้เธอ”
ลู่ฝานเอาเคล็ดวิชาบู๊ ยัดใส่มือหลิงเหยาทันที
หลิงเหยามองรอยยิ้มเบิกบานบนใบหน้าลู่ฝาน จู่ๆ เธอหยิบตุ๊กตาผ้าตัวเล็กๆ ออกมาจากกระเป๋า
มีรอยปะอยู่บนตัวตุ๊กตาผ้าเต็มไปหมด ตัวขนาดประมาณฝ่ามือ
หลิงเหยาก้มหน้าแดง ยัดตุ๊กตาผ้าใส่มือลู่ฝาน
“นี่ให้นาย”
เสียงหลิงเหยาเบาเหมือนยุง แต่คนที่หูดีอย่างลู่ฝานได้ยินชัดเจน ถ้าเป็นคนอื่น ต้องไม่ได้ยินอย่างแน่นอน
เมื่อเสร็จเรียบร้อย หลิงเหยากอดเคล็ดวิชาบู๊ แล้วหันหลังวิ่งไป หายไปจากสายตาลู่ฝาน อย่างรวดเร็ว
ลู่ฝานมองตุ๊กตาผ้าในมือ รู้สึกงุนงง
หานเฟิงใช้ศอกกระแทกหน้าอกลู่ฝานเบาๆ แล้วพูดว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน เธอบอกว่าจะไปเจอเจ้าดำที่คณะหนึ่งเดียวกับเราไม่ใช่เหรอ ทำไมตอนนี้ถึงวิ่งหนีไปล่ะ”
ลู่ฝานส่ายหน้า “ผมจะไปรู้ได้ไงล่ะ ตุ๊กตานี่ หมายความว่ายังไง”
หานเฟิงยิ้มแปลกๆ แล้วพูดว่า “ฉันว่า 80 เปอร์เซ็นต์ แม่นางหลิงเหยาชอบนาย ตุ๊กตาตัวนี้เป็นของแทนใจมั้ง ใช้ได้นี่ ศิษย์น้องลู่ฝาน เคล็ดวิชาบู๊เล่มเดียวแลกกับคนข้างกายที่สวยขนาดนี้ คุ้มค่าจริงๆ”
ลู่ฝานจิปากใส่หานเฟิง “ศิษย์พี่หานเฟิง พี่จะซวยเพราะปาก ไม่ช้าก็เร็ว”
หานเฟิงส่งเสียงไม่พอใจออกมา “ศิษย์น้องลู่ฝาน นายแช่งฉันแบบนี้ได้ไง ฉันเป็นศิษย์พี่แสนใจดีของนายนะ ช่างเถอะๆ ถ้านายไม่ต้องการตุ๊กตาตัวนี้ งั้นให้ฉันสิ ฉันจะเอาไปให้เจ้าดำเล่น”
ลู่ฝานเอาตุ๊กตาผ้าเก็บไว้ในแหวนจิ่วเซียวของตัวเอง ส่ายนิ้วไปมาแล้วพูดว่า “วางใจเถอะ ผมไม่ให้พี่หรอก”
ศิษย์พี่หานเฟิงเบะปาก “ไอ้ขี้เหนียว ฉันว่านายก็ชอบเธอเหมือนกัน”
ลู่ฝานเชิดหน้าขึ้น “ชอบแล้วยังไง”
ทั้งสองจ้องหน้ากัน แล้วเดินไปข้างหน้า
บนถนนอีกเส้นหนึ่ง หลิงเหยาชะงักฝีเท้าลง
เธอรู้สึกว่าหัวใจตัวเองเต้นตึกตัก ก้มมองเคล็ดวิชาบู๊ในมือ หลิงเหยาพึมพำว่า “ขอโทษนะอาจารย์ ฉันเอาตุ๊กตาที่อาจารย์ให้ ไปให้คนอื่นแล้ว แต่ลู่ฝานเป็นคนดีจริงๆ เขาเก็บตุ๊กตาเอาไว้ ได้ใช้ประโยชน์มากกว่าฉัน”
หลิงเหยาเอาเคล็ดวิชาบู๊ใส่ลงไปในกระเป๋า หลิงเหยาเอาตุ๊กตาอีกตัวออกมาจากกระเป๋า
ถ้าตอนนี้ลู่ฝานอยู่ ต้องมองออกว่าตุ๊กตาทั้งสองตัวเหมือนกันไม่มีผิด นอกจากสีรอยปะที่แตกต่างกัน อย่างอื่นเหมือนกันทุกอย่าง
หลิงเหยาส่ายตุ๊กตาไปมา 2-3 ครั้ง จู่ๆ มีแสงหม่นหมองส่องออกมาจากตาของตุ๊กตา
หลิงเหยาตบหัวตุ๊กตา เธอหัวเราะอย่างมีความสุข และเก็บมันลงในกระเป๋า แล้วเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
และในแหวนของลู่ฝาน ตุ๊กตาที่ดูธรรมดาๆ ตอนนี้ดวงตาที่เหมือนกระดุม มีแสงสว่างออกมาเบาๆ
ลวดลายซับซ้อน สลักไว้ในส่วนลึกของตาตุ๊กตา กะพริบเป็นระยะ
พลังอันแปลกประหลาด เกิดขึ้นบนตัวตุ๊กตา และหายไปอย่างไร้ร่องรอย
แสงสว่างนี้ เหมือนแสงของหินค่ายกลเป็นอย่างมาก และประโยชน์ของหินค่ายกลมีเพียงสองอย่างเท่านั้น
หนึ่งคือ เอาไว้วางค่ายกล
สองคือ สร้างและยกระดับหุ่นเชิด
ทันใดนั้น มุมปากของตุ๊กตาผ้ามีรอยยิ้มบางๆ ปรากฏขึ้นมา เหมือนมันมีชีวิตอย่างไรอย่างนั้น
บทที่ 181
C

บทที่ 181
พวกลู่ฝานแบ่งของเสร็จอย่างรวดเร็ว ได้รับอย่างมากมาย รอยยิ้มเต็มใบหน้า
ส่วนเยียนหรานกับหยู่ซิน สีหน้าซีดเผือด มีแต่ความว่างเปล่า
ฮ่วนเย่ว์ใจดี ปล่อยพวกหยู่ซินไป ไม่ง่ายเลยกว่าหยู่ซินจะยืนขึ้นมาได้ เขาลุกขึ้นยืน เอามือกุมเป้า แล้วเดินออกไป ไม่เหลียวแลเหลิ่งหานที่นอนสลบอยู่
แต่เยียนหรานเป็นคนวิ่งไปประคองเหลิ่งหานออกไป ระหว่างทาง เยียนหรานไม่กล้ามองหลิงเหยาสักนิด เธอพอเดาได้แล้วว่า หลิงเหยาจะจัดการเธออย่างไรหลังกลับไปคณะสงบใจ
ศิษย์น้องที่มีพละกำลัง ความสามารถเหนือกว่าเธอ อีกทั้งยังมีอาจารย์คอยปกป้อง ถ้าต้องการจัดการเธอจริงๆ ต้องจัดการเธอให้เละคณะได้อย่างแน่นอน โดยเฉพาะหลิงเหยายังรู้จักไอ้พวกเลวที่มีพละกำลังแข็งแกร่ง ลงมืออย่างโหดเหี้ยม เยียนหรานรู้สึกว่าต่อไป เธอคงใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก เยียนหรานรู้สึกเสียใจที่จัดการหลิงเหยา
ลู่ฝานเอากระบี่หยกคืนให้ศิษย์พี่หานเฟิง
ศิษย์พี่หานเฟิงรับกระบี่มา จากนั้นถ่มน้ำลายลงไปเช็ด เช็ดพลางพูดว่า “ใครจะเอากระบี่ฉันไปไม่ได้ ทั้งคณะหนึ่งเดียว มีกระบี่ที่แฝงจิตวิถีบู๊แค่เล่มเดียว ถ้าฉันทำหายไป อาจารย์อี้ชิงต้องถลกหนังฉันแน่”
ฮ่วนเย่ว์เห็นการกระทำของหานเฟิง แล้วรู้สึกอยากอ้วก หลิงเหยาถอยห่างจากหานเฟิงโดยอัตโนมัติ
แต่ลู่ฝานเริ่มชินกับสไตล์ของศิษย์พี่หานเฟิงแล้ว คิดถึงสไตล์ของคณะหนึ่งเดียวอยู่ในใจ หน้าไม่ด้าน ผลการฝึกตนจะไม่เพียงพอ
“ลู่ฝาน ฉันจะไปซื้อของสักหน่อย ไม่ไปกับพวกนายแล้ว ต่อไปใครรังแกนาย ไปหาฉันที่คณะหยินหยาง ฉันรับรองว่าจะเตะกล่องดวงใจของมันออกมาเลย”
ฮ่วนเย่ว์สะบัดหมัดของตัวเอง เผยให้เห็นลุคหญิงแกร่งของเธอ
ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “คณะหยินหยางเหรอ ฉันไปแน่นอน”
ฮ่วนเย่ว์ฟังความหมายจากน้ำเสียงของลู่ฝานออก เธอยิ้มแล้วพูดว่า “ได้ยินมาว่าหลายปีนี้ คณะหนึ่งเดียวของพวกนายอยู่อันดับท้ายของเก้าคณะ ลู่ฝานนายจะล้างประวัติให้ไหมล่ะ”
ลู่ฝานอมยิ้ม ไม่พูดอะไร แต่ความมั่นใจในแววตา เป็นคำตอบให้ฮ่วนเย่ว์แล้ว
ฮ่วนเย่ว์พยักหน้าพูดว่า “งั้นฉันจะรอนายที่คณะหยินหยาง ไม่แน่เมื่อถึงตอนนั้น เราอาจต้องต่อกรกันก็ได้ ฮ่าๆ”
ฮ่วนเย่ว์เดินเข้ามา เธอขยับปาก เสียงของฮ่วนเย่ว์ ดังขึ้นข้างหูลู่ฝาน
“ระวังเอี๋ยนชิงของคณะหยินหยางด้วย”
ลู่ฝานมองฮ่วนเย่ว์อย่างไม่เข้าใจ แต่ฮ่วนเย่ว์ไม่ได้พูดอะไรอีก ยิ้มบางๆ แล้วหันหลังเดินไป สะบัดผมหางม้า จากนั้นเดินออกไป
หานเฟิงมองแผ่นหลังฮ่วนเย่ว์ ส่ายหน้าถอนหายใจ “คนงามที่ดีขนาดนี้ แต่นิสัยแย่เกินไป ลงมือโหดเหี้ยม ไม่งั้นคงอยู่ในสายตาคนอย่างหานเฟิง”
หลิงเหยาอดมองหานเฟิงอย่างดูหมิ่นไม่ได้ “หลักๆ เลยคือนายสู้เธอไม่ได้สินะ”
หานเฟิงหัวเราะแหะๆ แล้วพูดว่า “เรื่องนี้ไม่ต้องพูดละเอียดหรอก คนสวยขนาดนี้ ให้ศิษย์น้องลู่ฝานได้เพลิดเพลินเถอะ ใช่ไหม ศิษย์น้องลู่ฝาน”
ลู่ฝานพูดอย่างกระอักกระอ่วน “ผมกับเธอเป็นแค่เพื่อนกันเท่านั้น”
แววตาหลิงเหยาเปลี่ยนไปเล็กน้อย “พวกนายรู้จักกันนานแล้วเหรอ”
ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “เข้าใจผิดกันนิดหน่อย ตอนนั้นเธอเกือบฟันผมตาย”
หานเฟิงอ้าปากอย่างตกใจ “มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ ศิษย์น้องลู่ฝาน งั้นนายต้องคุยกับฉันแล้วล่ะ นายทำเรื่องละเอียดอ่อนอะไรกับเธอหรือเปล่า”
ลู่ฝานพูดช้าๆ ว่า “ศิษย์พี่หานเฟิง พี่คิดว่าผมเป็นพี่เหรอ”
หลิงเหยาชะโงกเข้ามาแล้วพูดว่า “ฉันก็อยากฟังเหมือนกัน”
ลู่ฝานชะงักไป ทำได้เพียงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในป่าให้หานเฟิงกับหลิงเหยาฟังอย่างรวบรัด
ส่วนเรื่องของอาจารย์เขา และเรื่องของอาจารย์ฮ่วนเย่ว์ ลู่ฝานไม่ได้พูดออกมา ภายใต้การบรรยายของลู่ฝาน เรื่องของเขากับฮ่วนเย่ว์กลายเป็นการต่อสู้แย่งชิงสมบัติสัตว์อสูร หานเฟิงกับหลิงเหยาฟังอย่างออกรส
พูดพลาง ทั้งสามคนเดินอ้อมมายังประตูหน้าของหอคอยฝึกฝน
ตอนนี้ประตูหน้าดูคึกคักเป็นอย่างมาก นักเรียนกลุ่มหนึ่งส่งเสียงตะโกน มีนักเรียนนอนอยู่บนพื้นด้วยท่าทางโอเวอร์อยู่เป็นระยะ
“โอ๊ย ฉันแพ้แล้ว ศิษย์น้องห้า นายเก่งมาก”
“ฮ่าๆ ศิษย์พี่หยู อย่าว่าศิษย์น้องลงมือรุนแรง องครักษ์ทั้งสอง ฉันเข้าไปได้แล้วใช่ไหม ดูสิ ฉันเอาชนะศิษย์พี่หยูได้แล้ว”
เมื่อนักเรียนที่ชื่อศิษย์พี่หยูได้ยิน รีบกระตุ้นพลังปราณ บังคับให้กระอักเลือดออกมา
เลือดสดทะลักออกมามากมาย กระอักเลือดพลาง กลอกตาขาว ทักษะการแสดงยอดเยี่ยม คงเหนือกว่าผลการฝึกพลังปราณของเขาด้วยซ้ำ
หุ่นทองสำริดสองตัว ยังไม่พูดอะไร อีกด้านมีคนล้มลงอีกเป็นแถบ
“ฉันก็เอาชนะศิษย์พี่หลิงได้แล้ว ศิษย์พี่หลิงเพิ่งเอาชนะศิษย์พี่ฉวู่ซ่านได้เมื่อกี้ ส่วนศิษย์พี่ฉวู่ซ่านเพิ่งเอาชนะศิษย์พี่สุ่ยเซียนที่ 45 ในอันดับบู๊ได้เมื่อกี้ ฉันเข้าไปได้แล้วใช่ไหม พูดออกมาสิ”
“ฉันก็เอาชนะศิษย์พี่เจียงได้เหมือนกัน ให้ฉันเข้าไปหอคอยฝึกฝนสิ”
“ฉันก็ด้วย”
……
คนกลุ่มหนึ่งตะโกนอย่างสุดชีวิต ทำให้หุ่นทองสำริดทั้งสองคน ไม่รู้จะทำอย่างไร
การที่เป็นหุ่นทองสำริด ที่ระดับค่อนข้างต่ำ ไอคิวของพวกมันแย่อยู่แล้ว เห็นสถานการณ์แบบนี้ จึงไม่รู้ว่าควรจะจัดการอย่างไร

บทที่ 180
หยู่ซินเอามือกุมช่วงล่างเอาไว้ เขาเห็นฮ่วนเย่ว์จะเตะช่วงล่างของเขาอีกครั้ง จึงรีบตะโกนว่า “ยอมแล้วๆ!”
ฮ่วนเย่ว์หัวเราะเบาๆ และดึงเท้ากลับมา สะบัดมือแล้วพูดว่า “นี่สิถึงจะถูก เอาของมาให้ฉันเร็วๆ”
หยู่ซินเอาถุงออกมาจากแขนเสื้อ ถุงใบเล็กๆ มีลายเส้นค่ายกลพลังปราณกะพริบอยู่
ฮ่วนเย่ว์ยิ้ม แล้วพูดว่า “นายรวยมากเลยนะ คิดไม่ถึงว่าจะมีถุงอากาศธาตุ ให้ฉันดูหน่อยสิ ในนี้มีอะไรบ้าง”
ฮ่วนเย่ว์ยื่นมือไปคลำ เอาของข้างในออกมา
เคล็ดวิชาบู๊ สมุนไพร เงิน จำนวนไม่น้อย ดูหยู่ซินแต่งกายธรรมดา คิดไม่ถึงว่าจะรวยมาก
ฮ่วนเย่ว์หัวเราะ แล้วเอาของที่ดีที่สุดในนั้นออกมาสองสามอย่าง ใส่เข้าไปในด้ายแดงตรงข้อมือตัวเอง จากนั้นเอาถุงอากาศธาตุโยนให้ลู่ฝาน
“พวกนี้เป็นของนาย ฮ่าๆ ได้มาไม่เลวเลย ถ้ามีพวกปัญญาอ่อนแบบนี้ มาอีกสองสามคน ฉันจะได้ก้าวหน้าขึ้นอีกขั้น เดี๋ยวนะ เหลิ่งหานน่าจะมีไม่น้อยเหมือนกัน พวกนายลองไปแย่งมาดูสิ”
หานเฟิงหัวเราะเสียงดัง แล้วเดินไปอย่างไม่สามารถปฏิเสธได้
เหลิ่งหานที่นอนอยู่บนพื้น ได้ยินเสียงของฮ่วนเย่ว์ ตัวสั่นไปทั้งตัว
หานเฟิงเดินมาข้างเหลิ่งหาน “ไม่ต้องพูดไร้สาระ บอกมาว่าของนายอยู่ไหน ถ้านายไม่อยากโดนฉันกระทืบตาย”
เหลิ่งหานโมโหจนกระอักเลือดออกมาอีก สายตาของหานเฟิงจ้องไปที่ช่วงล่างของเหลิ่งหาน หัวเราะแล้วพูดว่า “ฆ่านายตายคงไม่ได้ แต่กระทืบนายจนพิการ น่าจะไม่เป็นไร ใครให้นายเลือกสถานที่ไร้ผู้คนอย่างนี้ล่ะ เหลิ่งหาน นายยังไม่มีผู้สืบทอดใช่ไหม น่าสงสารจัง นายจะไร้ผู้สืบทอดแล้ว”
เหลิ่งหานได้ยินหานเฟิงพูดร้ายกาจขนาดนี้ แววตาของเขาเปลี่ยนไป ตะโกนออกมาว่า “ฉันให้แล้วๆ”
เหลิ่งหานตะเกียกตะกาย ถอดแหวนออกจากนิ้วตัวเอง
หานเฟิงแย่งมาทันที หัวเราะแล้วพูดว่า “สิ่งอากาศธาตุอีกแล้ว รวยจริงๆ ขอบใจนายมาก”
เหลิ่งหานไม่พูดอะไร โกรธจนสั่นไปทั้งตัว แต่ขณะนั้น หานเฟิงคลำไปบนตัวเหลิ่งหานอีก
“นายทำอะไร”
เหลิ่งหานร้องอย่างตกใจ
หานเฟิงไม่ได้สนใจอะไรมาก เกี่ยวเอาหยกแขวนอันเล็กๆ จากตรงตำแหน่งหัวใจของเหลิ่งหาน
“นี่อะไร”
หานเฟิงเล่นหยกแขวนอันนี้ เหลิ่งหานตะโกนออกมาเหมือนคนบ้า
“นั่นมันของฉัน เอาคืนมา”
หานเฟิงเตะหัวเหลิ่งหานจนสลบไป และคลำหาบนตัวเหลิ่งหานอีก เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีของอะไรอีก หานเฟิงจึงเดินกลับมา
หานเฟิงเอาหยกแขวนให้ลู่ฝาน แล้วพูดว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน นายดูสิว่านี่คืออะไร”
ลู่ฝานเพ่งมอง เห็นเพียงหยกแขวนสีใส สลักเป็นรูปมังกร มองไม่เห็นว่ามีอะไรแปลก
ฮ่วนเย่ว์มอง แล้วพูดอย่างตกใจว่า “หยกแขวนจิตบู๊”
ลู่ฝานขมวดคิ้ว ถามว่า “อะไรคือหยกแขวนจิตบู๊ มีประโยชน์อะไร”
ฮ่วนเย่ว์รีบอธิบายว่า “หยกแขวนจิตบู๊เป็นสิ่งที่ผู้แข็งแกร่งในวิถีบู๊พกติดตัว เหมือนอาวุธของผู้แข็งแกร่งวิถีบู๊ แฝงด้วยวิถีบู๊ชั่วชีวิตของผู้แข็งแกร่ง หยกแขวนจิตบู๊ที่แข็งแกร่ง มูลค่าไม่ด้อยกว่าอาวุธวิเศษ หยกแขวนชนิดนี้ ยังสามารถเก็บพลังปราณได้ด้วย ปกติจะเอาแดนวิชาบู๊กับพลังปราณ ใส่เข้าไปในหยกแขวน เมื่อถึงเวลาต่อสู้ สามารถเอาออกมาใช้ได้ สิ่งสำคัญคือ บางครั้งถ้าโดนคนจับตัว ขยับตัวไม่ได้ หรือสูญเสียพลังปราณไปจนหมด สิ่งนี้สามารถช่วยชีวิตได้”
ฮ่วนเย่ว์พูดพลาง เอาหยกแขวนมา ใส่พลังปราณเข้าไป ส่ายหน้าพูดว่า “เฮ้อ น่าเสียดาย คุณภาพทั่วไป เก็บพลังปราณได้ไม่มาก น่าจะเป็นหยกแขวนที่ผู้แข็งแกร่งของตระกูลเขา ทำให้เขาโดยเฉพาะ วัสดุไม่เลว ถ้าดูแลสัก 8-10 ปี สามารถใช้การได้อยู่ ลู่ฝาน นายเก็บไว้สิ ต่อไปถ้ามีเวลา ก็ใช้พลังปราณของตัวเองดูแลมัน รอจนถึงวันที่นายมีวิถีบู๊ของตัวเอง ก็สามารถใส่แดนวิชาบู๊เข้าไปได้ มันจะเป็นผู้ช่วยที่ดีให้นายได้”
ลู่ฝานรับมา มองอย่างละเอียด หยกแขวนอันเล็กๆ คิดไม่ถึงว่าจะมีประโยชน์ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ควรค่าแก่การให้นักบู๊ ดูแลไปทั้งชีวิต
หานเฟิงที่อยู่ข้างๆ ยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านเฒ่าของตระกูลฉันก็มีของแบบนี้ มันมีประโยชน์จริงๆ แต่หาวัสดุยาก ทำก็ยากมากเหมือนกัน ลู่ฝาน นายโชคดีแล้ว เก็บไว้ใช้สิ ศิษย์พี่จะฝืนใจ เก็บของอื่นๆ เอาไว้เอง”
ลู่ฝานหัวเราะเบาๆ เก็บหยกแขวนเอาไว้ในเข็มขัดตัวเอง
หยู่ซินมองอยู่ข้างๆ เขาไม่เคยรู้เลยว่า มีของดีขนาดนี้อยู่บนตัวเหลิ่งหาน
รอเหลิ่งหานฟื้นขึ้นมา เขาคงร้องไห้โฮ นี่ไม่ต่างจากการขโมยชีวิตเขาไปครึ่งหนึ่ง
ฮ่วนเย่ว์เดินมาข้างเยียนหรานกระดิกนิ้วใส่เยียนหรานแล้วพูดว่า “ฉันคงไม่ต้องพูดอะไรนะ เอาของมา”
เยียนหรานไม่กล้าพูดอะไร เหลิ่งหานกับหยู่ซินที่แข็งแกร่งกว่าเธอ ยังไม่มีที่ให้ต่อต้าน เธอยิ่งไม่มีโอกาสได้หลบหนี เอาของตัวเองออกมา อย่างตัวสั่นงันงก ฮ่วนเย่ว์ดูพลางพูดว่า “เอามาหมดหรือยัง อย่าให้ฉันเรียกไอ้หมอนั่น มาค้นบนตัวเธอนะ”
ฮ่วนเย่ว์ชี้ไปที่หานเฟิง หานเฟิงชะงักไปครู่หนึ่ง
การข่มขู่นี้ ใช้ได้ผลเป็นอย่างมาก เยียนหรานเอาของที่เหลือออกมาจนหมด
ฮ่วนเย่ว์หัวเราะอย่างได้ใจ
บทที่ 179

บทที่ 179
เหลิ่งหานล้มลงบนพื้น บนพื้นเต็มไปด้วยหลุมและเศษหิน รวมไปถึงฮ่วนเย่ว์ที่จ้องอย่างดุดันอยู่ข้างๆ
หยู่ซินกลืนน้ำลาย มองลู่ฝานเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ
“หยุดเดี๋ยวนี้!”
หยู่ซินแผดเสียงต่ำออกมา กระบี่ฟ้าครามโดนเขาโยนออกมา เกิดเสียงดังสวบ กระบี่ปักไว้ตรงหน้าลู่ฝาน ให้ลู่ฝานชะงักฝีเท้าลง
ลู่ฝานมองกระบี่ฟ้าครามตรงหน้า แล้วยิ้มบางๆ หยู่ซินยอมจำนนแล้ว
ลู่ฝานหันไปมองหลิงเหยาแล้วพูดว่า “หลิงเหยา เธอไม่เป็นไรใช่ไหม”
หลิงเหยาส่ายหน้า ปล่อยเยียนหรานและรีบเดินเข้ามา ยืนข้างลู่ฝาน
หยู่ซินหันไปมองเยียนหรานที่สีหน้าซีดเผือด กัดฟันพูดว่า “เกิดอะไรขึ้น ทำไมเธอถึงขยับได้”
เยียนหรานกัดฟันพูดว่า “เห็นได้ชัดว่า พวกเราประเมินพวกเขาต่ำไป”
หยู่ซินกำหมัด กวาดตามองฮ่วนเย่ว์ที่กำลังยิ้มอยู่ข้างๆ
เงยหน้ามองลู่ฝาน แล้วพูดว่า “เรื่องวันนี้ให้จบแค่นี้เถอะ ไอ้ปัญญาอ่อนเหลิ่งหานล่วงเกินนาย เขาก็ได้รับการสั่งสอนแล้ว”
ลู่ฝานดึงกระบี่ฟ้าครามขึ้นมา ชี้ไปยังหานเฟิงที่อยู่ด้านหลัง “แล้วเรื่องที่ศิษย์พี่ฉันโดนทำร้ายล่ะ จะจัดการยังไง”
ลู่ฝานยังไม่ทันพูดจบ หานเฟิงเด้งตัวขึ้นมา ตะโกนอย่างทรงพลังว่า “จบแค่นี้บ้าบออะไร ศิษย์น้องลู่ฝาน ไอ้นี่มันทำร้ายฉัน แย่งกระบี่ฉัน ต่อยหน้าฉัน แล้วจะจบแค่นี้เหรอ ศิษย์น้องลู่ฝาน นายเอากระบี่ให้ฉัน ฉันจะฟันมันให้ตาย”
เมื่อกี้หานเฟิงยังบาดเจ็บหนัก แต่ตอนนี้ดีขึ้นพอสมควรแล้ว
หยู่ซินพูดอย่างเย็นชา “งั้นพวกนายจะเอายังไง”
ลู่ฝานพูดว่า “ไม่เอายังไง ตาต่อตา ฟันต่อฟันเท่านั้น”
หยู่ซินปล่อยพลังปราณของตัวเองออกมา พลังปราณอันแข็งแกร่งกลายเป็นชุดนักบู๊แบบเรียบง่าย มีคำว่าบู๊ตรงกลาง พลานุภาพมหาศาล
หยู่ซินเบิกตาโต พูดว่า “ไอ้เด็กน้อย อย่าคิดว่านายเอาชนะเหลิ่งหานแล้วจะเหิมเกริมได้ ต่อหน้าฉัน นายยังไม่ได้เก่งขนาดนั้น”
เมื่อพูดจบ มีดสั้นสีแดงกระแทกลงบนตัวหยู่ซิน
มีดสั้นแทงลงบนไหล่หยู่ซินอย่างไม่รู้ตัว พลังปราณบนตัวเขาไม่สามารถป้องกันได้สักนิด
ทุกคนหันไปมอง เห็นฮ่วนเย่ว์มีรอยยิ้มบนใบหน้า “ลองพูดไร้สาระอีกสิ”
หยู่ซินตกใจมาก หันไปมองมีดสั้นสีแดงบนแขน
นี่ดูเหมือนมีดสั้นที่ดูมีพื้นผิว มากกว่ามีดสั้นจากเหล็กกล้าทั่วไป แต่เป็นแค่อาวุธที่ก่อตัวจากพลังปราณ
พละกำลังเช่นนี้ เหนือกว่าเขามาก และอีกฝ่ายไร้เหตุผลขนาดนี้ ทำให้หยู่ซินเกือบโมโหขึ้นมา
หานเฟิงอ้าปากค้าง สูดหายใจเฮือก จากนั้นกระซิบข้างหูลู่ฝาน “ผู้หญิงงดงามมาก ฉันรู้สึกเหมือนโดนลูกธนูยิงมาที่หัวใจ ลูกธนูนี้เรียกว่าความรัก ศิษย์น้องลู่ฝาน นี่เพื่อนนายเหรอ”
ลู่ฝานพยักหน้าเป็นการตอบ ตอนนี้ในมือฮ่วนเย่ว์มีมีดสั้นสีแดงเพลิง อีกสองเล่ม “พูดต่อสิ นายเจ๋งมากไม่ใช่เหรอ พูดจริงๆ นะ ฉันอยู่ในคณะหยินหยางตั้งนาน เจอคนเจ๋งๆ มาตั้งเยอะ พวกเขายังไม่กล้าอวดดีต่อหน้าฉัน นายกล้ามาก หยู่ซิน คนที่อยู่20 อันดับแรก ในอันดับบู๊”
ฮ่วนเย่ว์พูดเน้นคำว่าอันดับบู๊ด้วยเสียงสูง เป็นการเยาะเย้ยหยู่ซินให้โมโห จนแทบจะระเบิดออกมา
แต่เขาไม่กล้าแตะต้อง ไม่กล้าแตะต้องจริงๆ เพราะเขาเห็นตอนที่ฮ่วนเยว์แปรเปลี่ยนมีดสั้นออกมา มีแสงขาวดำสว่างขึ้นมาเบาๆ
คนอื่นไม่รู้ แต่นักเรียนเก่าคณะหยินหยางอย่างหยู่ซินรู้เป็นอย่างดี
นั่นเป็นเคล็ดวิชาบู๊แข็งแกร่งของคณะหยินหยาง วิชาหยินหยางไทเก็ก
หยู่ซินรู้สึกว่าหัวใจตัวเอง กำลังสั่น คนที่สามารถฝึกวิชาหยินหยางไทเก็กสำเร็จได้ ทั้งคณะหยินหยาง นอกจากอาจารย์ซิงยวน ก็มีแค่ศิษย์พี่ใหญ่ที่เก็บตัวฝึกฝนอยู่
ผู้หญิงคนนี้ คิดไม่ถึงว่าผู้หญิงคนนี้……
ฮ่วนเย่ว์เดินเข้ามา “ตามกฎของคณะหยินหยาง ผู้แพ้ ต้องทิ้งของไว้ แล้วค่อยไสหัวไป”
หยู่ซินกัดฟันจนแทบแตก โมโหเป็นอย่างมาก
ฮ่วนเย่ว์เห็นหยู่ซินยังยืนนิ่ง จึงเดินเข้ามา ง้างมีดสั้นขึ้น
หยู่ซินรวบรวมพลังปราณทั้งตัวซัดหมัดโจมตีฮ่วนเย่ว์ แต่พลังหมัดของเขายังไม่ทันโดนตัวฮ่วนเย่ว์ ก็หายไปอย่างประหลาด
ลู่ฝานเห็นภาพนี้ แววตาวูบไหวทันที
มีดสั้นของฮ่วนเย่ว์ ปักลงบนแขนของหยู่ซินอย่างแม่นยำ มีดสั้นสีแดงเพลิงแทงทะลุแขนหยู่ซิน
ในเวลาเดียวกัน ฮ่วนเย่ว์เตะไปที่ช่วงล่างของหยู่ซิน
แค่เป็นผู้ชาย ตำแหน่งนี้ คือจุดสำคัญ ทันใดนั้น หยู่ซินหนีบขาเข้าหากันแน่น พลังปราณแตกสลาย ล้มลงบนพื้น
ลู่ฝานกับหานเฟิงเห็นแล้วรู้สึกเสียวตรงเป้าทันที
ตอนนี้ หานเฟิงไม่กล้าพูดเรื่องรักๆ ใคร่ๆ กับฮ่วนเย่ว์อีกแล้ว เขารีบหุบปาก แล้วไปหลบหลังลู่ฝาน
หลิงเหยาหันไปทางอื่น เพราะทนดูไม่ได้
ฮ่วนเย่ว์สะบัดผมหางม้า แล้วพูดว่า “ยอมหรือยัง”
พูดพลาง ฮ่วนเย่ว์เตะลงบนท้องหยู่ซินอีกครั้ง
หยู่ซินผู้น่าสงสาร ในฐานะที่เป็นนักบู๊แดนปราณนอกอันแข็งแกร่ง ปกติเดินโอ้อวดในคณะหยินหยาง วันนี้ซวยจริงๆ เสียเปรียบเป็นอย่างมาก

กระบี่ลุยสังหาร!

ลมพัดอย่างบ้าคลั่งทางด้านหลัง เหลิ่งหานพุ่งเข้ามาฆ่าอีกครั้ง

ลู่ฝานสายตาเฉียบคม แต่ไม่ได้เคลื่อนไหว มีเปลวไฟ ลุกโชนขึ้นบนตัว

กายทองไฟอาบ!

ฉึบ!

กระบี่ของเหลิ่งหานแทงลงบนหัวใจของลู่ฝาน ไอ้หมอนี่ลงมือโหดเหี้ยม ใช้ท่าไม้ตายทันที

น่าเสียดาย พลังปราณของเขายังไม่พอ ปราณชี่ของลู่ฝานบวกกับผิวหนังเผ่ามังกรที่ทนทาน ต้านทานกระบี่ยาวของเขา ปลายกระบี่แทงเสื้อจนขาด แต่หยุดลงบนผิวหนังของลู่ฝาน ไม่ถึงหนึ่งนิ้ว ไม่สามารถแทงเข้าไปได้อีก

ลู่ฝานถือกระบี่ยาวไว้ในมือซ้าย เหลิ่งหานพยายามกระตุ้นพลังปราณอย่างสุดชีวิต พยายามใช้เท้าและมือ โจมตีใส่ตัวลู่ฝาน

กระบี่หนักตั้งตรง การโจมตีเกือบครึ่งของเหลิ่งหานโดนต้านทานเอาไว้ทั้งหมด พลังของนักบู๊แดนปราณนอกไม่สามารถทำลายปราณชี่ของลู่ฝานได้

ตอนนี้ พลังป้องกันอันแข็งแกร่งของปราณชี่กับระดับความทนทาน สะท้อนให้เห็นอย่างสมบูรณ์แบบ

ลู่ฝานยิ่งรู้ว่าปราณชี่ของตัวเองมันวิปริต และแข็งแกร่งแค่ไหน มิน่าละ หลายร้อยหลายหมื่นปีมานี้ คนจำนวนมากอยากผสานพลังปราณกับพลังชี่ เขาแน่ใจได้ว่า ปราณชี่ของเขายังมีความสามารถแข็งแกร่งอีกมากมาย รอให้เขาเปิดมันออกมาทีละอย่าง

แววตาเป็นประกายเฉียบคม ปราณชี่ทั้งตัวลู่ฝาน กลายเป็นพลังวิญญาณ

ย๊าก!

ลู่ฝานแผดเสียงดังออกมา พลังวิญญาณกลายเป็นคลื่นเสียง โจมตีออกไป

คลื่นเสียงอันน่ากลัว สั่นสะเทือนจนหยู่ซินหน้ามืด หานเฟิงพูดอย่างตกใจ “มาอีกแล้ว!” จากนั้นปวดหัวอย่างรุนแรง แต่เขาเคยฝึกเพลงเต๋าหนึ่งเดียว ชินกับความเจ็บปวดแบบนี้ไปแล้ว พริบตาเดียวก็ตั้งสติได้

ฮ่วนเย่ว์ถอยหลังไปหลายก้าว แววตาเป็นประกาย และตั้งสติได้

ลู่ฝานมีทักษะมากมาย เดิมทีฮ่วนเย่ว์เข้าใจว่าตัวเอง เห็นเบื้องลึกของลู่ฝานในหอคอยฝึกฝนแล้ว คิดไม่ถึงว่าลู่ฝานจะทำให้เธอตกใจอีก

เยียนหรานโดนคลื่นเสียงกระแทกจนตัวสั่น และปล่อยมือที่จับเอาไว้

แต่ไม่มีใครเห็นว่า เมื่อหลิงเหยาเผชิญกับพลังวิญญาณของลู่ฝาน แค่แววตาวูบไหวเท่านั้น และรับมันได้อย่างสบาย

หลิงเหยาจับเยียนหรานเอาไว้

พลังความร้อนเข้าไปในตัวเยียนหรานต่อต้านเยียนหรานได้ทันที

หลิงเหยาพูดเบาๆ ข้างหูเยียนหราน “ศิษย์พี่เยียนหราน ขอโทษด้วย”

เยียนหรานหน้าซีดเผือด สัมผัสได้ถึงแรงที่หลิงเหยาควบคุมเธอเอาไว้ แข็งแกร่งกว่าเธอไม่ใช่แค่ขั้นเดียว ความบริสุทธิ์ของพลังเหนือกว่าเป็นเท่าตัว

ที่แท้ศิษย์น้องหลิงเหยา เหนือกว่าเธอตั้งนานแล้ว

แต่หลิงเหยาอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่เคยแสดงพลังของเธอต่อหน้าคนอื่น และไม่รู้ว่าพลังปราณของหลิงเหยาเกินกว่าแดนปราณนอกแล้ว

ในลานกว้าง เหลิ่งหานโดนพลังวิญญาณของลู่ฝานกระแทกจนเลือดออกเจ็ดทวาร พลังปราณบนตัวไม่สามารถรวมตัวกันได้อีก

ลู่ฝานโมโหจริงๆ จึงลงมืออย่างโหดเหี้ยม

กระบี่หนักปักลงบนพื้น เมื่อปล่อยมือ ลู่ฝานยกหมัดขึ้นมา

หมัดถล่มเขาทำลายล้าง!

หมัดกระแทกลงบนท้องเหลิ่งหานอย่างแรง

กรอบ กรอบ!

เสียงกระดูกหักดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตัวของเหลิ่งหานโดนต่อยจนโค้ง และยุบลงไปจนน่ากลัว จากนั้นกระเด็นออกไป

กระเด็นออกไปไกลหลายสามสิบเมตร เหลิ่งหานกลิ้งลงบนพื้น

เหลิ่งหานกระอักเลือดออกมา ลุกขึ้นมาไม่ได้อีก แค่หมัดธรรมดาๆ เหลิ่งหานคงต้องนอนบนเตียงไปหลายเดือน

“อ่อนแอสิ้นดี!”

ลู่ฝานหันมามองหยู่ซินด้วยแววตาเย็นชา

สายตาอันดุดัน ทำให้หยู่ซินรู้สึกอกสั่นขวัญแขวน

หยู่ซินกัดฟัน เขาไม่รู้ว่าตอนนี้ควรทำอย่างไร

หยู่ซินรู้จักชื่อของฟางเทียน

นั่นเป็นผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงแห่งคณะหยินหยางของพวกเขา ยอดฝีมือที่เป็นตัวแทนคณะหยินหยาง ไปแข่งขันต่อสู้จัดอันดับของสถาบัน

แต่ไม่กี่วันก่อนหน้านี้ เขาได้ยินว่าฟางเทียนโดนคนจัดการ และเป็นผู้หญิงในสถาบันที่จัดการเขา ทำให้ฟางเทียนต้องนอนบนเตียงเป็นเดือน

เรื่องนี้ วุ่นวายไปทั้งคณะหยินหยาง

ส่วนนักเรียนหญิงที่จัดการฟางเทียนคือใคร มีคนรู้น้อยมาก ฟางเทียนก็ยิ่งอับอายเป็นเท่าตัว ดังนั้นจึงปิดปากเงียบ สิ่งที่หยู่ซินรู้เพียงสิ่งเดียวคือ นักเรียนหญิงคนนี้ มัดผมหางม้า

สายตาจ้องไปที่ผมหางม้าของฮ่วนเย่ว์ หยู่ซินสีหน้าเปลี่ยนไป

ใช่เธอหรือเปล่า

ถ้าเป็นเธอจริงๆ งั้นวันนี้เขาต้องเสียเปรียบแล้ว หยู่ซินเคยเห็นสภาพที่ฟางเทียนโดนซัดจนเละ พละกำลังของเขาด้อยกว่าฟางเทียนเล็กน้อย ไม่รู้จะเอาชีวิตรอดได้ไหม นี่ยังเป็นปัญหา

เขาชอบต่อสู้ แต่ไม่ได้หมายความว่าชอบโดนรุมกระทืบ

สำหรับหยู่ซิน รอยยิ้มของฮ่วนเย่ว์เหมือนกับรอยยิ้มตอนที่หมาป่าจ้องกระต่ายตัวน้อย

หยู่ซินแอบสบถในใจ ไอ้ปัญญาอ่อนเหลิ่งหาน วันนี้ต้องซวยเพราะเขาจริงๆ

เหลิ่งหานเดินเข้ามา ปล่อยพลังปราณออกมา

“ฉันไม่ใช่คนโง่อย่างอี้ว์หวานะ ฉันจะทำให้นายรู้ว่า ภายใต้พละกำลังอย่างแท้จริง ทักษะทั้งหมดเป็นแค่สิ่งที่จับต้องไม่ได้ นักบู๊แดนปราณในไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้ของนักบู๊แดนปราณนอก”

พลังปราณปกคลุมร่างกาย เสื้อพลังปราณสีขาวธรรมดาๆ ที่ปกคลุมร่างกาย เทียบไม่ได้กับจ้าวคั่วที่ลู่ฝานเอาชนะมาได้

พละกำลังแบบนี้ยังกล้ามาอวดดีต่อหน้าลู่ฝาน ขนาดคนที่นั่งกินยาอยู่ข้างๆ อย่างหานเฟิง ยังเห็นจุดจบของเหลิ่งหานแล้ว หานเฟิงจิตใจหดหู่มาก เขาเพิ่งออกมาจากหอคอยฝึกฝนอย่างมีความสุข เห็นหลิงเหยาโดนจับเอาไว้จึงโมโหขึ้นมาทันที หานเฟิงพุ่งเข้าไปอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง แต่สุดท้าย โดนหยู่ซินกับเหลิ่งหานรุมกระทืบอย่างโหดเหี้ยม

หานเฟิงพึมพำกับตัวเอง “ถ้าไม่ใช่เพราะฉันบาดเจ็บอยู่แล้ว ไอ้สองคนนี้ จะเอาชนะฉันง่ายๆ ได้เหรอ ให้ตายเถอะ หยู่ซินเก่งกาจอยู่บ้าง แต่เหลิ่งหานเป็นแค่คนปัญญาอ่อน ระดับแค่นี้ ยังกล้าเหิมเกริมกับศิษย์น้องลู่ฝาน รนหาที่ตายแท้ๆ”

เหลิ่งหานไม่ได้ยินเสียงบ่นของหานเฟิง ยกกระบี่พุ่งเข้ามา เหลิ่งหานใช้วิชากระบี่ของตัวเอง

ลมกระบี่สังหาร!

ทันใดนั้น บริเวณรอบๆ เกิดลมพัด ตัวของเหลิ่งหานผสานกับลมเหลือเพียงแสงเงาสีขาว พุ่งไปด้านหน้า

รวดเร็วมาก กระบี่ยาวผสานเข้าไปในลม พุ่งเข้ามาตรงหน้าลู่ฝานทันที

นี่เป็นวิชากระบี่ที่เหลิ่งหานภูมิใจที่สุด ตัวเหมือนลำแสง กระบี่เหมือนสายลม

ลู่ฝานสัมผัสถึงพลังรอบๆ โจมตีเข้ามา ทั้งซ้ายและขวา ทั่วทุกทิศทาง สายลมพิฆาตใกล้เข้ามาถึงตัว

ลู่ฝานพลิกมือ สะบัดกระบี่หนัก เปลี่ยนปราณชี่เป็นพลังปราณ 20 เท่า ปลดปล่อยออกมาทันที

กระบี่หนักรวดเร็ว จนไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า

เสียงดังปัง เหลิ่งหานที่พุ่งเข้ามาฆ่าลู่ฝาน โดนกระบี่ตบจนลอยออกไป

ลู่ฝานอาศัยสัญชาตญาณ ที่ได้จากการฝึกฝนวิชากระบี่พื้นฐาน ตัดสินทิศทางที่เหลิ่งหานพุ่งเข้ามา และโจมตีกลับทันที ทำลายพลังปราณรอบตัวเหลิ่งหาน

ปัง เหลิ่งหานกระแทกลงไปบนพื้นดิน

ด้านหลังหอคอยฝึกฝน เป็นลานกว้างขนาดใหญ่ แผ่นหินสีเขียวถูกเหลิ่งหานกระแทกจนเป็นรอยยุบรูปคน

เหลิ่งหานลุกขึ้นมาทันที แววตาเต็มไปด้วยความตกตะลึง

เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น เหลิ่งหานรู้สึกเพียงพลังอันแหลมคมและแข็งแกร่ง ซัดพลังปราณบนตัวเขาจนกระจายออก

“ไร้เหตุผล เป็นไปไม่ได้ ทำไมนักบู๊แดนปราณใน ถึงมีพลังปราณแข็งแกร่งเช่นนี้”

เหลิ่งหานไม่เชื่อ และพุ่งเข้ามาอีกครั้ง กระบี่ยาวมาพร้อมแสงแสบตาหนึ่งชั้น

บทที่ 176
“ไอ้ยักษ์โง่ เห็นแก่ที่แกซื่อสัตย์และน่ารักมาก อันนี้ให้แก เหอะๆ หวังว่าฉันมาครั้งหน้า แกจะก้าวหน้าขึ้นนะ อย่างน้อยก็เปลี่ยนรูปร่างได้ หัวของแกมันกลมเกินไปน่ะ”
หุ่นสีทองรับอัญมณี ที่ฮ่วนเย่ว์โยนมา ทันใดนั้น ดวงตาเป็นประกายทันที
“หินค่ายกล”
ฮ่วนเย่ว์หัวเราะ แล้วพูดว่า “สายตาเฉียบแหลม รีบซึมซับสิ มีประโยชน์กับหุ่นเชิดแบบพวกแกมาก ลาก่อนนะ ไอ้ยักษ์โง่”
หุ่นสีทองรีบกลืนอัญมณีลงไป จากนั้นมันยืนขึ้น ทำความเคารพฮ่วนเย่ว์ และพูดเสียงก้องว่า “เจอกันใหม่คราวหน้า”
ฮ่วนเย่ว์เงยหน้าหัวเราะเสียงดัง ลู่ฝานขนลุก รีบลงไปด้านล่าง
ลงไปด้านล่าง อย่างไร้อุปสรรค
ตอนขึ้นมายากลำบากเป็นอย่างมาก ตอนลงไปโคตรสบาย ภายใต้การช่วยเหลือของฮ่วนเย่ว์ ไม่นาน ลู่ฝานได้วิชาพิณซึ้งที่ชั้นห้า เหมาะสำหรับให้ผู้หญิงฝึกฝน หลิงเหยามีความรู้ด้านดนตรีเป็นอย่างมาก คิดว่าวิชาพิณซึ้งเล่มนี้ คงจะเหมาะกับเธอ
ได้เคล็ดวิชาบู๊จากชั้นสามและชั้นสี่อีกสองเล่ม ตอนอยู่ชั้นสี่ ลู่ฝานเห็นเฟิ่งหวากำลังพยายามอยู่ ไม่ได้คุยอะไรกันมาก ลู่ฝานเลือกเคล็ดวิชาบู๊เสร็จ ก็ไปทันที ท่าทีผ่อนคลายและง่ายดาย ทำให้เฟิ่งหวาแอบกัดฟัน เมื่อเก็บเคล็ดวิชาบู๊ระดับทิพย์สองเล่มนี้เรียบร้อย ลู่ฝานจึงออกจากหอคอยฝึกฝนกับฮ่วนเย่ว์ด้วยความพอใจ
แสงสีขาวกะพริบ ทั้งสองกลับมานอกหอคอย ลู่ฝานมีรอยยิ้มบนใบหน้า ครั้งนี้ถือว่าได้จากในหอคอยฝึกฝน ไม่ธรรมดาเลย
“ลู่ฝาน!”
ลู่ฝานเพิ่งทรงตัวยืนได้ มีเสียงตะโกนดังขึ้นข้างหู
เมื่อหันไปมอง เป็นเสียงตะโกนของหลิงเหยาที่โดนเยียนหรานคุมตัวเอาไว้ เหลิ่งหานกับชายอีกคนที่ไม่รู้จัก ยืนอยู่ข้างๆ รอยยิ้มเต็มใบหน้า ด้านข้างเป็นหานเฟิงที่ล้มลงบนพื้น
“หลิงเหยา!ศิษย์พี่หานเฟิง!”
ลู่ฝานโมโหทันที รีบเดินมาข้างหานเฟิง
หานเฟิงไม่ได้สลบ ชี้ผู้ชายข้างเหลิ่งหานแล้วพูดว่า “กระบี่ฟ้าครามของฉัน!”
ลู่ฝานหันไปมอง ตามคาด กระบี่ฟ้าครามของศิษย์พี่หานเฟิงอยู่ในมือคนคนนี้
ลู่ฝานให้ยาศิษย์พี่หานเฟิงหนึ่งขวด แล้วจ้องไปยังคนนั้น “นายเป็นใคร เอากระบี่คืนมา”
ผู้ชายถือกระบี่ฟ้าครามไว้ในมือ แล้วพูดว่า “ฉันชื่อหยู่ซิน กระบี่เล่มนี้ไม่เลว เป็นของฉันแล้ว”
ได้ยินชื่อหยู่ซิน ฮ่วนเย่ว์เลิกคิ้วขึ้น
เหลิ่งหานพูดว่า “ลู่ฝาน เรารอนายอยู่นี่ตั้งนาน ตอนนี้นายมีสองทางเลือก หนึ่งคือ เอาของมีค่าในมือนายมาทั้งหมด และคุกเข่าสำนึกผิด สองคือ เราจะจัดการนายที่นี่”
ลู่ฝานดึงกระบี่หนักของตัวเองออกมา แล้วพูดว่า “ฉันได้ยินว่าที่เขาวิพากษ์มีครูที่ปรึกษาคอยเดินตรวจตรา เหลิ่งหานนายกล้าเหิมเกริมขนาดนี้เชียวเหรอ”
เหลิ่งหานหัวเราะ แล้วพูดว่า “ถ้าต่อหน้านักเรียนจำนวนมาก ฉันไม่กล้าทำเรื่องแบบนี้หรอก แต่นายแหกตาดูสิลู่ฝาน รอบๆ ยังมีคนอื่นไหม”
ลู่ฝานหันไปมอง ตามคาด รอบๆ นอกจากพวกเหลิ่งหานก็ไม่มีใครอีก
เหลิ่งหานยิ้ม แล้วอธิบายว่า “ตอนนี้พวกนายไม่ได้อยู่ด้านหน้าหอคอยฝึกฝน แต่อยู่ด้านหลังหอคอยฝึกฝน นี่คือทางออกของหอคอยฝึกฝน นักเรียนทั่วไป ไม่สามารถเข้าไปในหอคอยฝึกฝนได้ พวกเขาจะรู้ได้ยังไงว่าทางออกอยู่ที่ไหน ยังดีที่ไม่กี่วันก่อน ฉันเข้ามาในหอคอยฝึกฝนรอบหนึ่ง ไม่งั้นคงหาที่นี่ไม่เจอ ”
“อันที่จริง การที่นายเข้าไปในหอคอยฝึกฝนได้ ทำให้ฉันตกใจมาก ตอนลูกน้องฉันบอกว่า นายรับปากผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งในอันดับบู๊ ฉันอึ้งมาก แต่ลืมแนะนำให้นายรู้จัก นี่คือศิษย์พี่หยู่ซินแห่งคณะหยินหยางของเรา 20 อันดับแรกของอันดับบู๊ นายไม่มีโอกาสอื่นแล้ว คุกเข่าสำนึกผิดตอนนี้ ยังทันนะ”
เหลิ่งหานหันมามองฮ่วนเย่ว์ที่อยู่ข้างลู่ฝาน แล้วยิ้มออกมา เหลิ่งหานพูดด้วยน้ำเสียงลวนลามใส่ฮ่วนเย่ว์ “คุณผู้หญิงคนนี้ ทางที่ดีถอยไปไกลๆ ดีกว่า อีกเดี๋ยวอาจมีการนองเลือด หรือไม่ก็มายืนข้างหลังฉัน ฉันจะปกป้องเธอเอง”
ฮ่วนเย่ว์หัวเราะออกมา หันไปมองลู่ฝาน แล้วพูดว่า “จะให้ฉันลงมือไหม ไอ้หมอนี่ ทำให้ฉันอยากอ้วกแล้ว”
ลู่ฝานพูดว่า “แล้วแต่เธอ แต่ให้ฉันจัดการเสร็จก่อน”
ฮ่วนเย่ว์พยักหน้า เธอเห็นความอาฆาตในแววตาลู่ฝาน
ฮ่วนเย่ว์มั่นใจในพละกำลังของลู่ฝาน แม้ผลการฝึกตนพลังปราณไม่สูง แต่ความแข็งแกร่ง การระเบิดพลังของมันนับว่าไม่เลว โดยเฉพาะพลังป้องกัน สูงจนน่ากลัว ฮ่วนเย่ว์เห็นแล้วว่า ลู่ฝานต้านทานแสงกระบี่อันน่ากลัวเหล่านั้นอย่างไร
ปราณชี่บนตัวพลุ่งพล่าน ลู่ฝานเริ่มเพิ่มพลานุภาพของตัวเองขึ้นเรื่อยๆ
เหลิ่งหานเห็นลู่ฝานยังพยายามดิ้นเฮือกสุดท้ายก่อนตาย จึงพูดอย่างเย็นชาว่า “ได้ เดี๋ยวให้ฉันหักกระดูกนายก่อน ดูสิว่านายจะแข็งข้อได้ไหม ศิษย์พี่หยู่ซิน ช่วยผมดูสถานการณ์ ผมจะไปสั่งสอนเขา”
หยู่ซินสัมผัสได้ถึงพลานุภาพบนตัวลู่ฝาน จึงขมวดคิ้ว เหมือนเขาไม่เห็นด้วยกับเหลิ่งหาน
แต่ขณะนั้น เสียงดังขึ้นข้างหูหยู่ซิน
“หยู่ซินใช่ไหม ฉันขอเตือน ทางที่ดีอย่าลงมือ ไม่งั้นนายจะเหมือนฟางเทียนโดนซัดจนดูไม่ได้”
สีหน้าหยู่ซินเปลี่ยนไปทันที มองฮ่วนเย่ว์เหมือนเห็นผี
ลู่ฝานให้ยาศิษย์พี่หานเฟิงหนึ่งขวด แล้วจ้องไปยังคนนั้น “นายเป็นใคร เอากระบี่คืนมา”
บทที่ 175

บทที่ 175
ฮ่วนเย่ว์ตบหลังลู่ฝาน แล้วพูดว่า “ดีบ้าอะไรล่ะ นายกลับไปศึกษาดูละกัน นายได้วิชาหมัดแล้ว ฉันยังไม่ได้อะไรเลย นายพักเสร็จหรือยัง รีบมาช่วยฉันหาเคล็ดวิชาบู๊สิ”
ลู่ฝานสัมผัสอาการในร่างกายตัวเอง ปราณชี่กำลังฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว เพียงครู่เดียว เขาฟื้นฟูได้เกือบครึ่งแล้ว
ลู่ฝานพยักหน้าพูดว่า “ได้ แต่ครั้งนี้เธอต้องเร็วหน่อย”
ฮ่วนเย่ว์พูดเสียงดังว่า “ไม่มีปัญหา เมื่อกี้ฉันใช้ชี่หยินหยางด้วย รีบลงมือตอนที่พลังของฉัน ยังอยู่ในจุดสูงสุด”
ฮ่วนเย่ว์พูดพลาง เปลี่ยนพลังปราณเป็นแส้ยาวอีกครั้ง เธอเหวี่ยงเข้าไปในทะเลดาวแห่งเคล็ดวิชาบู๊
ครั้งนี้ ฮ่วนเย่ว์เลือกดาวดวงที่ใหญ่กว่าเมื่อกี้
มีแสงสีขาวดำ พุ่งขึ้นจากใต้เท้า ฮ่วนเย่ว์แผดเสียงเบาๆ พลังปราณทั้งตัวพุ่งถึงจุดสูงสุด ผ้าคลุมลายดอกบัวสีแดงเพลิง ปกคลุมตัวเธอเอาไว้ ทำให้เธอเหมือนเซียนหญิงบนสวรรค์
ลู่ฝานสังเกตว่าปราณนอกของฮ่วนเย่ว์ในตอนนี้ ไม่ใช่แค่ขั้น 1-2 แล้ว
เห็นชุดคลุมลายดอกบัวอันงดงาม เหมือนดอกบัวสีแดงเพลิงเบ่งบาน ลวดลายเหมือนจริงมาก ลำแสงเคลื่อนไหวไปมา
พละกำลังระดับนี้ อย่างน้อยคงต้องมีผลการฝึกตน ปราณภายนอกขั้นสามแล้ว
นี่ระยะเวลาแค่ครึ่งปีกว่า ความเร็วการฝึกฝนของฮ่วนเย่ว์ เร็วจนเหนือมนุษย์
“ลู่ฝาน อึ้งอะไรล่ะ แสงกระบี่มาแล้ว”
ลู่ฝานได้ยิน จึงหลุดออกจากภวังค์ รีบยกกระบี่หนักในมือขึ้นมา
แสงกระบี่โจมตีมากมายเหมือนเมื่อครู่ จากนั้นเคลื่อนไหวมาทางด้านหลัง
มีประสบการณ์ครั้งแรกแล้ว จึงรับมือการโจมตีครั้งที่สองได้ง่ายมาก หลังใช้พลังไปเยอะ ฮ่วนเย่ว์เกี่ยวเคล็ดวิชาบู๊ออกมา
เมื่อเห็นตัวอักษรบนปก ฮ่วนเย่ว์หัวเราะออกมา
“วิชาแบ่งร่างลวงตา ของดี ฉันเอาเล่มนี้แหละ คิดไม่ถึงว่าในหอคอยฝึกฝน จะมีของดีจริงๆ ตาเฒ่านั่นไม่ได้หลอกฉัน”
ลู่ฝานอยากถามว่าไอ้แก่ ที่ฮ่วนเย่ว์พูดถึงเป็นใคร แต่คำพูดติดอยู่ตรงปาก ไม่ได้ถามออกมา
ไม่มีเหตุผลอื่นใด เพราะฮ่วนเย่ว์เอาหยกแขวนสีขาวออกมา ข้างบนมีลวดลายมากมาย เห็นได้ชัดว่าเป็นค่ายกลชนิดหนึ่ง
ฮ่วนเย่ว์ใส่พลังปราณลงไป ตะโกนใส่หยกแขวนว่า “ตาเฒ่า ฉันได้เคล็ดวิชาบู๊แล้ว เล่มนี้ ฉันเอาไปแล้วนะ!”
ลู่ฝานยื่นหน้าเข้ามาดู ในหยกแขวนมีภาพลวงตาปรากฏขึ้นมา เป็นใบหน้าของท่านผอ.
ท่านผอ.มองฮ่วนเย่ว์อย่างเหนื่อยใจ “แกอยากเรียนก็เรียน ทำไมต้องเอาไปด้วย”
ฮ่วนเย่ว์พูดว่า “ฉันไม่ชอบเคล็ดวิชาบู๊ที่ฉันเคยเรียนแล้ว คนอื่นก็ทำได้ เพราะคนที่ใช้กระบวนท่าเหมือนฉันยิ่งน้อยยิ่งดี ฉันเอาเคล็ดวิชาบู๊ไป อย่างมากก็รอให้ฉันฝึกสำเร็จ แล้วค่อยคืนให้”
ท่านผอ.ส่ายหัวพูดว่า “ช่างเถอะ แกเอาไปเถอะ”
พูดพลาง ลำแสงหนึ่งออกมาจากหยกแขวน เข้าไปยังหนังสือในมือฮ่วนเย่ว์ แสงสีแดงลอยขึ้นจากด้านล่างหนังสือ จากนั้นหายไปในอากาศ เมื่อเป็นเช่นนี้ เครื่องหมายที่สถาบันสอนวิชาบู๊ทำไว้บนหนังสือจึงหายไป หนังสือเล่มนี้ จึงเป็นหนังสือของฮ่วนเย่ว์
ฮ่วนเย่ว์เก็บหยกแขวน เอาหนังสือใส่ลงไปในเส้นด้ายสีแดงที่สวมไว้ตรงมือซ้าย
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ด้ายแดงบนมือเธอต้องเป็นสิ่งอากาศธาตุแน่นอน เมื่อทำทุกอย่างเสร็จ ฮ่วนเย่ว์หัวเราะ แล้วพูดกับลู่ฝานว่า “ฮ่าๆ ได้เคล็ดวิชาบู๊ระดับดินมาแล้ว เคล็ดวิชาบู๊ระดับดินแบบนี้ โดนพวกแก่ๆ ในสถาบันสอนวิชาบู๊เห็นว่าเป็นสมบัติล้ำค่า ไม่ยอมให้นักเรียนเอาออกจากหอคอย แต่ตัวเองขจัดข้อห้ามออกไปก็ได้ เคล็ดวิชาบู๊ระดับทิพย์เอาออกไปได้ แต่ระดับดินเอาออกไปไม่ได้ กฎบ้าบออะไร เหอะๆ ฉันไม่คืนเขาหรอก ของที่อยู่ในมือฉันก็คือของฉัน ต่อไปเอาหนังสือเล่มนี้กลับบ้าน ฉันจะได้ฝึกให้น้องสาวฉัน ไม่แน่ อาจฝึกให้หมูที่ฉันเลี้ยงได้ด้วย”
ลู่ฝานพูดอะไรไม่ออก เธอช่างมีอารมณ์คิดเช่นนี้
ฮ่วนเย่ว์ใช้เท้าเหยียบหัวหุ่นสีทองอย่างแรง สองสามครั้ง แล้วพูดว่า “เอาล่ะ ไอ้ยักษ์โง่ เราทำได้แล้ว ส่งเราออกไปเถอะ”
ลู่ฝานรีบพูดว่า “เดี๋ยว ฉันยังมีเวลาอีกนิดหน่อย ฉันจะไปหาเคล็ดวิชาที่สองสามชั้นด้านล่าง”
ฮ่วนเย่ว์พูดอย่างสงสัย “สองสามชั้นด้านล่างเหรอ นายหมายถึงเคล็ดวิชาบู๊ระดับทิพย์งั้นเหรอ จะเอาเคล็ดวิชาบู๊ไร้ประโยชน์แบบนั้นไปทำไม”
ลู่ฝานหัวเราะเบาๆ มองฮ่วนเย่ว์ ไม่ได้ตอบอะไร
คนที่มีเซียนบู๊แดนหยินหยางเป็นอาจารย์อย่างฮ่วนเย่ว์ เคล็ดวิชาบู๊ระดับทิพย์ จึงไม่มีประโยชน์อะไรนัก
แต่สำหรับลู่ฝาน เคล็ดวิชาบู๊ระดับทิพย์มีประโยชน์มาก ไม่เห็นเหรอว่าของล้ำค่าของตระกูลลู่ก็แค่เคล็ดวิชาบู๊ระดับทิพย์ขั้นต่ำเพียงเล่มเดียวเท่านั้น เอามาอีกสักสองสามเล่ม เมื่อกลับบ้าน จะได้ถือว่าทำประโยชน์ให้ตระกูล ยิ่งไปกว่านั้น ลู่ฝานจำได้ว่าต้องเอาให้หลิงเหยาเล่มหนึ่งด้วย
ฮ่วนเย่ว์มองรอยยิ้มของลู่ฝาน จึงโบกมือไปมา แล้วพูดว่า “โอเคๆ ฉันไปกับนายละกัน มีฉันอยู่ เคล็ดวิชาบู๊ชั้นด้านล่าง นายจะเลือกอันไหนก็ได้ หึ ถ้าเลือกยาก ก็ให้ไอ้ยักษ์โง่พวกนั้น แนะนำให้นาย ใช่ไหม ไอ้ยักษ์โง่”
หุ่นสีทองถอนหายใจยาว มันรู้สึกได้อย่างลึกซึ้งว่าการเป็นหุ่น ไม่ง่ายเลยจริงๆ
ทั้งสองเด้งตัวลงจากหัวของหุ่นสีทอง เหมือนฮ่วนเย่ว์นึกอะไรได้ โยนอัญมณีแวววาวไปทางหุ่นสีทอง

ลู่ฝานเห็นแสงกระบี่ที่อ้อมมา เกราะปกคลุมร่างกายทันที ใช้วิชากายทองไฟอาบ ลู่ฝานยืนด้านหลังฮ่วนเย่ว์ทันที

เสียงเหล็กกระทบกันดังขึ้น ฮ่วนเย่ว์สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างด้านหลัง เมื่อเห็นลู่ฝานมายืนด้านหลังเธอ ใช้หลังตัวเองบังแสงกระบี่เอาไว้อย่างไม่ลังเล ฮ่วนเย่ว์ถึงกับอึ้งไป

ลู่ฝานตะโกนออกมาว่า “ฮ่วนเย่ว์ เธอทำอะไรน่ะ เร็วๆ!”

ฮ่วนเย่ว์รีบตั้งสติ กัดฟันพูดเบาๆ ว่า “ชี่หยินหยาง ขึ้น!”

แสงขาวดำพุ่งขึ้นจากใต้เท้าฮ่วนเย่ว์ ทันใดนั้น พลังปราณบนตัวฮ่วนเย่ว์พลุ่งพล่าน

หนังสือโบราณเล่มหนึ่งโดนดึงออกมา แส้พันหนังสือเล่มนั้นมาอยู่ในมือฮ่วนเย่ว์ แสงกระบี่ทั้งหมดหยุดลงทันที ลู่ฝานนั่งลงบนหัวของหุ่นเชิดสีทอง

แสงกระบี่ค่อยๆ หายไป ลู่ฝานหอบหายใจ หันไปพูดกับฮ่วนเย่ว์ “ได้มาแล้วใช่ไหม ดูสิว่าเป็นอะไร”

ฮ่วนเย่ว์มองลู่ฝานอย่างกังวล แล้วพูดว่า “นายไม่เป็นไรใช่ไหม”

ลู่ฝานโบกมือไปมา แล้วพูดว่า “ไม่เป็นไรๆ แค่เหนื่อยนิดหน่อย”

ลู่ฝานก้มหน้า มองเกราะบนตัว เกราะสีเงินโดนโจมตีจนเป็นรอยยุบลงไป เพราะพลังฟื้นฟูของลู่ฝานมีความวิปริต ความเร็วในการซึมซับพลังฟ้าดินก็มีความวิปริต ถ้าเปลี่ยนเป็นนักบู๊แดนปราณนอกคนอื่น คงฝืนการเผาผลาญของเกราะไม่ได้ อีกทั้งคงไม่สามารถต้านทานแสงกระบี่ที่หนาแน่นและน่ากลัวแบบนี้

ลู่ฝานใช้ปราณชี่ ให้ความชุ่มชื้นกับเกราะ เมื่อปราณชี่เข้าไป ส่วนที่ยุบบนเกราะค่อยๆ กลับมาเป็นเหมือนเดิม

ฮ่วนเย่ว์ยกยิ้มมุมปาก ตบหลังเขาไปหนึ่งที แล้วพูดว่า “คิดไม่ถึงว่านายจะเก่งมาก ครั้งนี้ฉันติดหนี้นายแล้ว”

ลู่ฝานยิ้ม แล้วมองเธอ “เหรอ เธออย่ามาหาเรื่องฉันเพราะเรื่องที่ฉันแย่งสมบัติเธอก็พอแล้ว”

ฮ่วนเย่ว์ชะงักไปก่อน จากนั้นตบไปที่หน้าผาก แล้วพูดว่า “ฉันลืมเรื่องนี้ไปแล้ว งั้นก็ได้ เราไม่มีอะไรติดค้างกันแล้ว ฮ่าๆ”

ลู่ฝานอ้าปาก เธอลืมเรื่องนี้ไปแล้วเหรอ งั้นตัวเองจะพูดมันขึ้นมาทำไม ไอ้โง่……

ฮ่วนเย่ว์เอาหนังสือโบราณมาตรงหน้าลู่ฝาน หนังสือบางมาก เมื่อพลิกดู เห็นส่วนท้ายมีลายสีแดงหนึ่งแถบ ก็ตกใจทันที

เคล็ดวิชาบู๊ระดับดิน เคล็ดวิชาบู๊ระดับดินอย่างแท้จริง

ฉีกยิ้มกว้าง แล้วพลิกไปที่หน้าปก มีตัวอักษรขนาดใหญ่เขียนว่า

“หมัดอู๋เซี่ยง”

ลู่ฝานหัวเราะอย่างมีความสุข ฮ่วนเย่ว์ขมวดคิ้ว “วิชาหมัด เฮ้อ ฉันไม่ชอบวิชาหมัด ฉันอยากได้วิชากาย หรือไม่ก็วิชาฝึกร่าง ลู่ฝาน นายต้องการไหม ถ้าต้องการ นายก็เอาไปเลย”

ลู่ฝานรับมาอย่างไม่ลังเล แล้วพูดว่า “ขอบใจมาก ฉันขาดวิชาหมัดอยู่พอดี หมัดอู๋เซี่ยง ฟังดูเก่งกาจมาก”

พูดพลาง ลู่ฝานเปิดหนังสือ ยังไม่ทันเห็นตัวหนังสือ ลำแสงหนึ่ง พุ่งออกมาจากหนังสือ เข้ามาตรงหว่างคิ้วของลู่ฝาน หนังสือในมือหายไป กลายเป็นลำแสง กลับเข้าไปในทะเลดาวอีกครั้ง

ลู่ฝานชะงักไปทั้งตัว น้ำเสียงมีพลัง ดังขึ้นในหัว

“หมัดอู๋เซี่ยง เป็นแก่นแท้ของวิชาหมัดทั้งชีวิตของเซียนบู๊อู๋เซี่ยงอย่างฉัน ความหมายลึกซึ้ง กะทัดรัด มีวิชาหมัดทั่วทุกที่ ไร้ซึ่งตัวตน ไร้ซึ่งจิตใจ ไร้เงา ไร้รูปร่าง……”

ข้อมูลเกี่ยวกับหมัดอู๋เซี่ยงทะลักเข้ามาในหัวลู่ฝาน

ลู่ฝานสัมผัสความรู้อันกว้างขวางและลึกซึ้งของหมัดอู๋เซี่ยง ผ่านไปครู่หนึ่ง ลู่ฝานลืมตาขึ้น แววตาทั้งสองข้างเป็นประกาย “วิชาหมัดที่ดี”

ลู่ฝานหนังตากระตุก ผู้หญิงคนนี้อันตรายเหลือเกิน

คนที่ไม่เอาใจใส่อะไรอย่างฮ่วนเย่ว์ กลับไม่สนใจอะไรมาก ดึงแขนลู่ฝาน พุ่งขึ้นไปบนหัวหุ่นสีทอง

หุ่นสีทองเงยหน้ามองพวกเขา ตอนกำลังจะพูด ฮ่วนเย่ว์พูดเสียงดังว่า “ไอ้ยักษ์โง่ ถ้าพูดมากอีก ฉันจะเรียกท่านผอ.มาฆ่าแก”

หุ่นสีทองปิดตาลงอย่างเหนื่อยใจ ไม่ขยับไปไหน

ลู่ฝานโดนฮ่วนเย่ว์ ลากมาบนหัวหุ่นสีทอง

ฮ่วนเย่ว์ใช้ฝ่าเท้าเหยียบลงบนหัวหุ่นสีทองอย่างแรง สองสามครั้ง แล้วพูดว่า “หัวบวมๆ สีทองนี่ ใครเป็นคนทำให้กลมขนาดนี้ แถมยังลื่นด้วย อีกทั้งยังมีค่ายกลด้วย ยืนไม่อยู่เลย ทำเป็นสี่เหลี่ยมไม่ได้หรือไง”

หุ่นสีทองลืมตาขึ้นอีกครั้ง มันรู้สึกอัดอั้นจริงๆ ในฐานะที่เป็นผู้ดูแลชั้นหกของหอคอยฝึกฝน ปกตินักเรียนที่มาล้วนให้ความเคารพ แต่ผู้หญิงคนนี้ อาศัยอำนาจใหญ่เบื้องหลังตัวเอง ไม่เพียงแต่จะเหยียบหัวมัน ยังรำคาญที่หัวมันกลมเกินไป หุ่นเชิดก็มีศักดิ์ศรีเหมือนกันนะ!

แอบบ่นอยู่สองสามครั้ง หุ่นก็ปิดตาลง ครุ่นคิดในใจ เรื่องอะไรที่รู้ว่าเห็นแล้วจะแปดเปื้อนสายตาและจิตใจเรา ก็อย่าไปมอง……

ลู่ฝานพูดว่า “ทะเลดาวแห่งเคล็ดวิชาบู๊ ใช้มือคว้าเคล็ดวิชาลงมา เหมือนกับด้านล่างใช่ไหม”

ฮ่วนเย่ว์พูดว่า “ใช่ก็ใช่นะ แต่ด้านล่างโจมตีกลับไม่ได้ ส่วนทะเลดาวแห่งเคล็ดวิชาบู๊พวกนี้ โจมตีกลับรุนแรงมาก ฉันเกือบเอาเคล็ดวิชาบู๊มาได้หลายครั้งแล้ว แต่โดนแสงกระบี่บ้าบอพวกนั้นทำให้ต้องหลบ ฉันเสียเวลาที่นี่มาครึ่งวันแล้ว เดี๋ยวนายต้านทานแสงกระบี่ให้ฉัน ฉันช่วยนายเอาเคล็ดวิชาบู๊คนละเล่ม เป็นไง”

“ครึ่งวันเหรอ” ลู่ฝานพูดอย่างตกใจ “มีเวลาอยู่ในหอคอยฝึกฝนแค่หนึ่งชั่วยามไม่ใช่เหรอ”

ฮ่วนเย่ว์สะบัดผมหางม้าอย่างได้ใจ ยิ้มแล้วพูดว่า “นั่นมันพวกนาย ฉันจะอยู่ที่นี่นานแค่ไหนก็ได้ ถ้าไม่ได้เคล็ดวิชาบู๊ดีๆ ใครจะกล้าไล่ฉันออกไป ใช่ไหม ไอ้ยักษ์โง่ แกกล้าไล่ฉันไหม”

ฮ่วนเย่ว์เหยียบลงบนหุ่นสีทองสองสามครั้ง

หุ่นสีทองหลับตา ไม่พูดอะไร ทำเหมือนไม่ได้ยิน

ฮ่วนเย่ว์พูดว่า “ดูสิ มันไม่กล้าไล่ฉัน”

ลู่ฝานพูดอย่างเหนื่อยใจ “โอเค เธอเก่ง งั้นเริ่มเลยละกัน ฉันมีเวลาแค่ครึ่งชั่วยามเท่านั้น”

ฮ่วนเย่ว์ถลกแขนเสื้อขึ้น เผยให้เห็นแขนเรียวขาว “ได้ งั้นเริ่มเลย นายระวังด้วย”

มีแสงสีแดงพุ่งขึ้นมาบนตัว ต่อมา ฮ่วนเย่ว์สะบัดแส้ยาวที่ก่อตัวจากพลังปราณ

แส้ยาวเข้าไปในทะเลดาวแห่งเคล็ดวิชาบู๊ พันเข้ากับดวงดาวที่กะพริบอยู่ดวงหนึ่ง

“จับได้แล้ว!”

ฮ่วนเย่ว์ดีใจเป็นอย่างมาก ต่อมา ทะเลดาวแห่งเคล็ดวิชาบู๊เริ่มเกิดเป็นพลังหมุนวน จากนั้นแสงกระบี่พุ่งออกมาเป็นแถบ

ลู่ฝานยกกระบี่หนักขึ้นมา ตอนนี้ได้เห็นประโยชน์อันยิ่งใหญ่ของตัวกระบี่หนักแล้ว

ยกกระบี่ขึ้นมา เหมือนโล่ขนาดใหญ่กันไว้ด้านหน้าฮ่วนเย่ว์กับลู่ฝาน

เสียงดังชิ้งๆ แสงกระบี่ร่วงลงบนกระบี่หนักของลู่ฝาน

เมื่อแสงกระบี่แสงแรก ร่วงลงบนกระบี่หนัก ลู่ฝานรู้สึกกดดัน เหมือนแสงกระบี่แต่ละแสงคือการโจมตีด้วยแรงทั้งหมดของนักบู๊แดนปราณนอกขั้นต้น

ทันใดนั้นแสงกระบี่หลายสิบแสงร่วงลงมา ลู่ฝานทำได้เพียงกัดฟันอดทน

ฮ่วนเย่ว์ก็กำลังพยายามสุดชีวิต ตะโกนออกมาว่า “ใกล้ออกมาแล้วๆ อดทนไว้”

ลู่ฝานตะโกนว่า “ฉันอดทนอยู่ เธอเร็วหน่อย”

ในทะเลดาวแห่งเคล็ดวิชาบู๊ หนังสือโบราณเล่มหนึ่ง โดนดึงออกมาจากกลุ่มดาว

ตอนนี้ ความหนาแน่นของแสงกระบี่ มากขึ้นเรื่อยๆ แสงกระบี่อ้อมมาด้านหลังด้วย

หุ่นสีเงินยื่นมือออกมา ตบลงไปที่จินเฟยหยู่เหมือนตบยุง

พลังปราณของจินเฟยหยู่พุ่งมาได้ครึ่งทางก็โดนขวางไว้ พละกำลังแดนปราณนอกอันแข็งแกร่ง ไม่สามารถทำอะไรหุ่นสีเงินได้สักนิด ฝ่ามือขนาดใหญ่มาพร้อมกับแสงสีขาวอันแข็งแกร่ง ตบลงไปบนตัวจินเฟยหยู่ จินเฟยหยู่โดนตบจนกระอักเลือดออกมา

ทันใดนั้น เกิดแสงสว่างขึ้น ตัวของจินเฟยหยู่หายไป เหมือนเขาไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน หายไปอย่างไร้ร่องรอย

หุ่นสีเงินพูดอย่างราบเรียบ “คนที่ไม่ทำตามกฎของหอคอยฝึกฝน มีโทษห้ามเข้าหอคอย 3 ปี นายยังไม่เก็บกระบี่อีกเหรอ”

หานเฟิงหัวเราะแหะๆ แล้วรีบเก็บกระบี่

ส่ายหัวไปมา แล้วพูดว่า “ฉันเป็นคนรักษากฎ นายอย่าตบฉัน ฉันรับความรู้สึกที่โดนตบจนแบนไม่ได้หรอกนะ”

หานเฟิงหันหลังเดินลงไปด้านล่าง เดินพลาง พึมพำว่า “ไอ้เลวคณะฟ้าร้องในเมื่อนายจะเป็นศัตรูกับฉัน งั้นฉันจะไม่ให้นายได้เคล็ดวิชาบู๊ดีๆ หรอก ฮ่าๆ โง่จริงๆ แถมยังโดนฉันยั่วโมโห จนลงมือ ฉันใช้ทักษะยั่วโมโหคนไม่ถึง 3 ใน 10 เลย เหอะๆ ห้ามเข้าหอคอย 3 ปี ไอ้หมอนี่ ไม่ได้เคล็ดวิชาบู๊ดีๆ แล้ว แต่ละชั้นสามารถได้เคล็ดวิชาบู๊หนึ่งชุด ฉันไปเดินเล่นชั้นสี่อีกดีกว่า ดูว่ามีเคล็ดวิชาบู๊อื่นหรือเปล่า ทางที่ดีต้องใช้หลบหนีได้ ล่วงเกินคนเยอะไปหมด ต้องคิดว่าควรเอาชีวิตรอดอย่างไร”

หานเฟิงเดินฮัมเพลงไปยังชั้นสี่ ตอนขึ้นมายากลำบากมาก แต่ตอนลงมา กลับไม่มีอะไรขัดขวางสักนิด

ลู่ฝานไม่สนใจสถานการณ์ของหานเฟิงกับจินเฟยหยู่ที่อยู่ข้างล่าง ตอนนี้เขาใช้แรงทั้งหมด ขึ้นไปข้างบน

ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ!

กระบี่หนักสะบัดไปมา ปราณชี่พลุ่งพล่าน เพียงพริบตา พลังปราณที่ปลดปล่อยออกมา 20 เท่า ไม่ค่อยได้ใช้ประโยชน์เท่าไร

ใช้พลังวิญญาณประกายแสงระยิบระยับ ปกคลุมบนกระบี่ของลู่ฝาน ทุกครั้งที่สะบัดกระบี่ออกไป มีพลังข่มขวัญเป็นอย่างมาก อำนาจพลุ่งพล่านขึ้นเรื่อยๆ

ไม่นาน ด้านหน้าเหลือบันไดหินเพียงสามขั้น

แต่ตอนนี้พลังลมบริเวณรอบๆ เหมือนพายุเฮอริเคน พัดจนลู่ฝานแทบลืมตาไม่ขึ้น

เมื่อยื่นเท้าออกมา ม่านแสงสามแสงสว่างขึ้นพร้อมกัน ม่านแสงสีขาว เงินและแดง รวมตัวเป็นหนึ่งเดียว ลู่ฝานยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ก็เห็นกระบี่ใหญ่กว่าสามสิบเมตรที่ก่อตัวจากม่านแสงสามสี ส่องแสงระยิบระยับ กำลังฟันมาบนหัวของเขา

ลู่ฝานยกกระบี่หนักขึ้นมา ปล่อยปราณชี่ออกมาทั้งตัว

ตอนนี้ ไม่ได้แปรเปลี่ยน พลังวิญญาณคงไม่สามารถต้านทานการโจมตีอันน่ากลัวนี้ได้

สิ่งที่ลู่ฝานสามารถทำได้เพียงสิ่งเดียวคือ นำพลังทั้งตัวผสานเข้าไปในกระบี่หนัก

ขณะเดียวกันก็ผลักดันพลังฟ้าดินทั้งหมด ในรัศมีรอบๆ สามสิบเมตร ขนาดสายลมอันบ้าคลั่ง ยังต้องหยุดชะงัก

ตอนนี้ กระบี่ใหญ่ใกล้เข้ามาถึงตัว พลังอันน่ากลัว ทำให้ลู่ฝานสั่นไปทั้งตัว

“กระบี่มังกรเหิน!”

ลู่ฝานยกกระบี่ขึ้น ความเร็วเหมือนลำแสงกะพริบ เร็วกว่าการลงมือของนักบู๊แดนปราณนอก เป็น 10 เท่า

กระบี่หนักกระแทกกับกระบี่ใหญ่อย่างแรง

พลังอันน่ากลัว สร้างแรงกระเพื่อม แผ่ออกไปเป็นวงกว้าง

ลู่ฝานกัดฟันยืนหยัด เกราะปรากฏขึ้นทั้งตัวกลายเป็นเกราะอันแข็งแกร่ง ปกคลุมตัวเขา ขนาดที่ใบหน้า ก็ยังป้องกันเอาไว้ด้วย

ลู่ฝานพลิกมือ ฟันกระบี่ใหญ่ออกไป กระบี่ใหญ่โดนลู่ฝานแยกเป็นสอง แต่กระบี่หนักครึ่งที่เหลือหล่นลงมาบนตัวลู่ฝาน

เสียงดังชิ้ง ลู่ฝานถอยหลังไปครึ่งก้าว มีรอยสีขาวขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นบนเกราะ แต่มันก็แค่เท่านั้น

วิชากระบี่หนัก ระเบิด!

ลู่ฝานฟาดกระบี่ออกมา โจมตีลงบนแสงกระบี่ที่เหลืออีกครึ่งหนึ่ง

พลังสามสีแตกกระจายทันที กลายเป็นแสงดวงเล็กๆ ลอยไปทั่ว ลู่ฝานใช้โอกาสนี้เดินขึ้นไปสามก้าว เข้าสู่ชั้นที่หก

ฟู่ว……

ลู่ฝานถอนหายใจออกมา ชั้นหกนี่ขึ้นยากจริงๆ เขาใช้แทบทุกวิธีแล้ว

ช้อนตามองไป ชั้นหกของหอคอยฝึกฝนแตกต่างจากชั้นห้าโดยสิ้นเชิง

เมื่อเงยหน้าขึ้น ไม่เห็นเปลวไฟลอยไปมา แต่เป็นทางช้างเผือก เหมือนทางช้างเผือกจริงๆ รู้สึกเหมือนสามารถยื่นมือไปสัมผัสได้

เกราะบนตัวหายไป ลู่ฝานมองทางช้างเผือกอย่างอึ้งๆ

ขณะนั้น เสียงหนึ่งดังขึ้น

“ลู่ฝาน นายเหรอ”

ลู่ฝานหันไปมอง เห็นตรงกลางชั้นหกอันกว้างใหญ่ มีบัลลังก์สีทองหนึ่งบัลลังก์ หุ่นสีทองตัวหนึ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์ อีกทั้งยังมีผู้หญิงคนหนึ่งอยู่บนหัวหุ่น เป็นผู้หญิงที่คุ้นตามาก

“ฮ่วนเย่ว์”

ลู่ฝานหัวเราะเบาๆ ไม่คิดว่าพวกเขาจะเจอกันที่นี่อีก

ฮ่วนเย่ว์โดดลงมาจากบนหัวหุ่นสีทอง วิชากายเต็มเปี่ยม ราวกับใบหลิวปลิวไปมา ลงมาตรงหน้าลู่ฝาน

ฮ่วนเย่ว์มองหน้าลู่ฝาน เธอยิ้มแล้วตบไหล่ลู่ฝาน “นายใช้ได้เลยนะ คิดไม่ถึงว่าจะขึ้นมาชั้นหกได้ คิดไม่ถึงๆ เมื่อกี้เกราะบนตัวนายคืออะไร ดูเท่มากเลยนะ”

ลู่ฝานยิ้มบางๆ “วิชาพิเศษอย่างหนึ่งเท่านั้น”

ฮ่วนเย่ว์หัวเราะ เผยให้เห็นฟันเขี้ยวเล็กๆ “สอนฉันได้ไหม”

ลู่ฝานอึ้งไป จากนั้นส่ายหน้าพูดว่า “กลัวว่าคงไม่ได้”

ฮ่วนเย่ว์ย่นปากยู่ “ขี้เหนียว ช่างเถอะ ในเมื่อนายมาแล้ว งั้นช่วยฉันหน่อย ทะเลดาวแห่งเคล็ดวิชาบู๊บ้าบอนี่ ทำให้ฉันเก็บเคล็ดวิชาบู๊ไม่ได้สักเล่ม น่าโมโหชะมัด”

ลู่ฝานขมวดคิ้ว “ทะเลดาวแห่งเคล็ดวิชาบู๊งั้นเหรอ”

ฮ่วนเย่ว์ชี้ทางช้างเผือกบนหัว “ก็สิ่งนี้ไง ดวงดาวข้างในทุกดวง ล้วนเป็นเคล็ดวิชาบู๊ เราเก็บดวงใหญ่ที่สุด นายมาช่วยฉันสิ”

ลู่ฝานพูดว่า “ช่วยยังไงล่ะ”

ฮ่วนเย่ว์สะบัดมือ แสงสีขาวดวงหนึ่ง เข้าไปในทางช้างเผือก ต่อมา แสงกระบี่ร่วงลงมา

ลู่ฝานสะดุ้งโหยง ยกกระบี่หนักขึ้นมากันแสงกระบี่เอาไว้

ฮ่วนเย่ว์ยิ้มแล้วพูดว่า “ช่วยแบบนี้ไง”

บทที่ 171
พลังลมอันบ้าคลั่งไม่สามารถขัดขวางลู่ฝาน ให้เดินไปข้างหน้าได้ ค่ายกลอันแสงสว่างใต้เท้า ก็ไม่สามารถขวางฝีเท้าของลู่ฝานได้
ม่านแสงสว่างขึ้นมา แตกต่างกับบันไดของชั้นห้า ม่านแสงของชั้นหกดูแน่นหนา มันรอให้ลู่ฝานเหยียบลงไป จึงโผล่ขึ้นมา
ทันใดนั้น ม่านแสงเหมือนกับมีดคม เกือบแทงทะลุฝ่าเท้าของลู่ฝาน
ปราณชี่ปกคลุมร่างกาย ลู่ฝานใช้เท้าตัวเองเหยียบลงไปอย่างแรง แต่ละก้าว เหมือนจะขยี้ม่านแสงที่พุ่งขึ้นมาจนแหลก
ส่วนม่านแสงที่โดนลู่ฝานเหยียบกลายเป็นสายลมที่หลากหลายสีสัน เยอะขึ้นตามม่านแสงที่ลู่ฝานเหยียบทำลาย พลังลมยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
ลู่ฝานเดินขึ้นไปเรื่อยๆ แต่ละก้าวมั่นคงมาก
ตอนนี้ เขาเอากระบี่หนักของตัวเองออกมา เทียบกับแรงดึงดูดของค่ายกลใต้เท้า พลังลมพวกนี้น่ากลัวกว่าเยอะ เขาต้องใช้กระบี่หนักช่วยให้ร่างกายมั่นคง
หานเฟิงยิ้ม มองลู่ฝานเดินขึ้นไป จินเฟยหยู่ที่อยู่ข้างๆ เห็นลู่ฝานขึ้นไปได้ แววตาวูบไหวไม่หยุด
จินเฟยหยู่เดินมาหน้าบันได อย่างรวดเร็ว เพิ่งก้าวออกไปก้าวเดียว พลังลมอันแข็งแกร่งพัดเขาจนปลิวกลับมา
จินเฟยหยู่ถอยหลังมาหลายก้าว ดูน่าเวทนามาก เขามองแผ่นหลังลู่ฝาน แอบกัดฟันกรอด
เป็นไปไม่ได้ ศิษย์คณะหนึ่งเดียวสามารถขึ้นไปได้ แต่เขากลับขึ้นไปไม่ได้
หานเฟิงหัวเราะอย่างไม่จริงใจ
“นายจะขึ้นไปเหมือนศิษย์น้องฉันเหรอ ฮ่าๆ น่าขำชะมัด นายเนี่ยนะ ฮ่าๆๆๆ”
จินเฟยหยู่หน้าเปลี่ยนสี เอากระบี่ของตัวเองออกมา
แต่ตอนที่เขาเอากระบี่ออกมา หุ่นสีเงินหันมามองจินเฟยหยู่ “ไม่อนุญาตให้ต่อสู้ในหอคอยฝึกฝน คนที่ลงมือจะโดนพาออกจากหอคอย ส่งใครูที่ปรึกษาจัดการ”
จินเฟยหยู่เก็บกระบี่กลับไปอย่างโมโห
หานเฟิงยกนิ้วกลางทั้งสองข้าง ให้จินเฟยหยู่ “ปัญญาอ่อน มีปัญญาก็มาจัดการฉันสิ ขอแบบแรงๆ นะ มาสิ ไอ้เด็กน้อย ลงมือสิ!”
จินเฟยหยู่โมโหจนแทบจะระเบิด แต่เขากลับลงมือไม่ได้
หานเฟิงได้ใจเป็นอย่างมาก เขามีเคล็ดวิชาบู๊ในมือ ไม่มีอะไรทำ เวลาที่เหลือเขาสามารถเล่นกับจินเฟยหยู่ได้
แต่จินเฟยหยู่ไม่มีเวลายื้อกับเขามาก ทันใดนั้น เหมือนจินเฟยหยู่นึกอะไรได้ หัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “เมื่อกี้นายเรียกเขาว่าศิษย์น้อง เหอะๆ ศิษย์น้องของนาย ยังแข็งแกร่งกว่านาย ดูเหมือนตำแหน่งนายในคณะหนึ่งเดียวคงต้องให้ศิษย์น้องแล้ว คนน่าสงสาร โดนศิษย์น้องตัวเองบีบออก คงรู้สึกดีมากเลยใช่ไหม”
หานเฟิงอึ้งไป ท่าทางนี้ทำให้จินเฟยหยู่เข้าใจว่าพูดแทงใจดำหานเฟิงได้ ในแววตาเต็มไปด้วยความได้ใจ
แต่วินาทีต่อมา หานเฟิงกลับกุมท้องหัวเราะ
“โอ๊ย นายตลกชะมัด ไอ้เด็กน้อย นายคิดว่าคณะหนึ่งเดียวเหมือนคณะอื่นหรือไง ฮ่าๆ……คณะหนึ่งเดียวของเรา มีนักเรียนทั้งหมดแค่ห้าคน แย่งตำแหน่ง แย่งที่นั่งกินข้าวหรือ ฮ่าๆๆๆ……ด่าว่านายเป็นคนปัญญาอ่อน นายปัญญาอ่อนจริงซะงั้น”
หานเฟิงระเบิดหัวเราะออกมา ดูท่าทางของเขาเหมือนใกล้จะหัวเราะจนตายแล้ว
จินเฟยหยู่ไม่รู้สภาพการณ์ของคณะหนึ่งเดียว เพราะเขาไม่เคยไป แต่จินเฟยหยู่รู้จักคณะอื่น โดนพื้นฐาน จะใช้อันดับความแข็งแกร่งมาตัดสินตำแหน่งในคณะ วัฏจักรปลาใหญ่กินปลาเล็ก เป็นลำดับชั้นที่เข้มงวด ศิษย์พี่ที่เข้ามาเร็ว แม้เขาจะนิสัยดีแค่ไหน มนุษยสัมพันธ์กว้างขวางแค่ไหน แค่พละกำลังไม่พอ เขาก็จะโดนดูหมิ่น โดนทอดทิ้ง อยู่ในมุมที่คนมองไม่เห็นของคณะ ไม่มีใครสนใจ คณะฟ้าร้องของพวกเขาเป็นเช่นนี้ คณะกระบี่ก็เป็นเช่นนี้ คณะหยินหยางก็เช่นกัน
จินเฟยหยู่เข้าใจว่าคณะหนึ่งเดียว เหมือนคณะอื่น
แต่น่าเสียดาย คณะหนึ่งเดียวไม่ได้เป็นเช่นนี้ นักเรียนทั้งห้าคนของคณะหนึ่งเดียว มีความสัมพันธ์ดีมาก จนใส่กางเกงตัวเดียวกันได้ ประโยคนี้ไม่ใช่การเปรียบเทียบ หานเฟิงรู้เป็นอย่างดี มีบางช่วง กางเกงของเขากับศิษย์พี่ฉู่เทียนและฉู่สิง ดัดแปลงมาจากกางเกงของศิษย์พี่ใหญ่ แม้ลู่ฝานยังไม่เคยเจอ แต่จากนิสัยทำลายเสื้อผ้าบ่อยๆ ของคณะหนึ่งเดียว เดาว่าคงอีกไม่นาน
หานเฟิงนอนหัวเราะบนพื้น จินเฟยหยู่แช่งให้หานเฟิงหัวเราะจนตายไปเลย
จินเฟยหยู่กัดฟัน พูดกับหานเฟิง “ไอ้คนสมควรตาย อย่าให้ฉันเจอนายข้างนอกนะ ฉันจะจัดการนายจนเอ๋อเลย ฉันจะให้นายหัวเราะทั้งวัน หัวเราะให้พอ”
หานเฟิงเอามือกุมท้อง แล้วลุกขึ้นยืน “ได้สิ ถ้านายจัดการฉันจนเอ๋อไม่ได้ นายก็คือลูกจ๊อกของฉัน ไหนลูกจ๊อกหัวเราะให้พี่หน่อยสิ”
จินเฟยหยู่ทนไม่ไหวแล้ว พุ่งไปหาหานเฟิงโดยไม่ต้องดึงกระบี่ออกมา
ถึงต้องโดนไล่ออกจากหอคอยฝึกฝน จินเฟยหยู่ก็ต้องลงมือ
หมัดเหมือนเปลวไฟ พลังปราณพลุ่งพล่าน จินเฟยหยู่ใช้พละกำลังแดนปราณนอกออกมาทันที
พลังปราณโจมตีออกมากลางอากาศ จนมาถึงข้างหน้าหานเฟิง
หานเฟิงตะโกนว่า “จะฆ่าคนแล้ว ไอ้ยักษ์ นายไม่สนใจเลยเหรอ”
พูดพลาง หานเฟิงดึงกระบี่ฟ้าครามของตัวเองออกมา

ลู่ฝานแปรเปลี่ยนปราณชี่เป็นพลังปราณ พลังปราณอันรุนแรง 20 เท่าปกคลุมทั้งแขน ดันจินเฟยหยู่ออกไปหลายก้าว

ลู่ฝานมองเขา แล้วพูดว่า “ข้อแรก นายไม่ใช่ผู้แข็งแกร่งอะไรทั้งนั้น ข้อสอง ถ้านายต้องการขอร้องให้คนช่วยจริงๆ นายจะไม่ใช้น้ำเสียงนี้คุยกับฉัน อย่างที่ศิษย์พี่ฉันบอก ตอนนี้จะไปไหนก็ไป อยากได้เคล็ดวิชาบู๊ ก็ไปเอามาเอง!”

พูดจบ ลู่ฝานทิ้งเคล็ดวิชาบู๊ระดับทิพย์ขั้นกลางในมือ เฟิ่งหวากำลังจะบอกให้ลู่ฝานเอาเคล็ดวิชาบู๊เล่มนี้ให้เธอ แต่ลู่ฝานกลับไม่ให้โอกาสเธอได้พูดเลย

ตอนทิ้งเคล็ดวิชาบู๊ อากาศบริเวณรอบๆ มีเปลวไฟสีดำรวมตัวกันปกคลุมเคล็ดวิชาบู๊เอาไว้

ต่อมา เกิดเป็นลูกไฟทุคติลูกใหม่ ลอยขึ้นไป

จินเฟยหยู่พูดกับลู่ฝานอย่างเย็นชา “นายจะต้องเสียใจ”

เฟิ่งหวาสะบัดแขนเสื้อเดินออกไปที่ชั้นสี่ เธอมีเวลาไม่มากแล้ว ในเมื่อไม่สามารถเอาเคล็ดวิชาบู๊ในชั้นห้าได้ คงทำได้แค่กลับไปเอาเคล็ดวิชาบู๊ ที่ชั้นสี่

จินเฟยหยู่ไม่พอใจที่ต้องไปแบบนี้ ยังยืนคิดหาหนทาง อยู่ที่เดิม

ลู่ฝานกับหานเฟิงขี้เกียจสนใจพวกเขา ทันใดนั้น ลู่ฝานเด้งตัวขึ้นไป ครั้งนี้ลู่ฝานโจมตีทั้งสองมือ จับเปลวไฟสองดวงเอาไว้

เอาเคล็ดวิชาบู๊ออกมา เหมือนกับเมื่อครู่ หานเฟิงรีบเข้ามาใกล้ มองดูอย่างละเอียด

“เคล็ดวิชาบู๊ระดับทิพย์ขั้นกลางทั้งสองเล่มอีกแล้ว ให้ตายเถอะ เคล็ดวิชาบู๊ระดับทิพย์ขั้นสูง ไปไหนหมดเนี่ย”

ลู่ฝานส่ายหน้า โยนเคล็ดวิชาบู๊ทิ้งไป และหาต่อไป

หลังเวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป จู่ๆ ลู่ฝานเห็นลูกไฟดวงหนึ่งเคลื่อนไหวเร็วกว่าดวงอื่น

ฝ่าเท้าเหยียบลงกลางอากาศ ลู่ฝานใช้วิชาของผู้ฝึกชี่ออกมาเล็กน้อย ใช้พลังลมปกคลุมลูกไฟเอาไว้ จากนั้นคว้าลูกไฟมาไว้ในมือ

ลู่ฝานเอาเคล็ดวิชาบู๊ในลูกไฟออกมาด้วยความคาดหวัง เขาไม่ดูแม้แต่ปก พลิกไปหน้าสุดท้ายทันที ลายสามแถบปรากฏอยู่ในสายตา

“ฮ่าๆ ระดับทิพย์ขั้นสูงเล่มแรก”

หานเฟิงยื่นหน้าเข้ามา แววตาเป็นประกายลุกโชน

ลู่ฝานจึงดูหน้าปก มีตัวอักษรขนาดใหญ่ “วิชาฝึกร่างหยางแท้”

เขาขมวดคิ้วเบาๆ นี่เหมือนวิชาฝึกร่าง วิชาฝึกร่างกายขั้นทิพย์เล่มหนึ่งสำหรับลู่ฝานมีประโยชน์ไม่ค่อยมากเท่าไร

กายทองไฟอาบของเขาก็เป็นเคล็ดวิชาระดับทิพย์เหมือนกัน แม้ระดับต่ำหน่อย แต่ก็พอใช้ได้แล้ว บวกกับผิวหนังเผ่ามังกร รวมไปถึงเกราะ เขามีวิธีป้องกันตัวมากมาย ให้เสียเวลาฝึกวิชาฝึกร่างกายอีก จะเสียเวลา

ลู่ฝานอยากได้วิชาหมัดดีๆ สักเล่ม มีวิชาเทพไร้ขีดจำกัดเป็นพื้นฐาน ถ้าได้วิชาหมัดระดับทิพย์ขั้นสูงสักเล่มมาฝึกฝนและประสานกัน ระดับความเฉียบขาดของการโจมตีของเขาต้องเพิ่มขึ้นสูงแน่นอน

ศิษย์พี่หานเฟิงเอาเคล็ดวิชาบู๊ ไปพลิกดูอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นหนึ่งประโยคในนั้น “ผู้ฝึกวิชาฝึกร่างหยางแท้ เลือดลมสูบฉีด เพิ่มความแข็งแกร่งของความเป็นชายหยาง สู้ผู้หญิงเป็นร้อยคน สมรรถภาพก็ไม่ลดลง”

ศิษย์พี่หานเฟิงรีบพูดตัดสินใจ “ศิษย์น้องลู่ฝาน ฉันต้องการเล่มนี้ เยี่ยม เล่มนี้แหละ ฮ่าๆ”

ลู่ฝานมองศิษย์พี่หานเฟิงน้ำลายใกล้ไหลออกมาแล้ว รีบเอาหนังสือยัดเข้าไปในเป้ากางเกง ศิษย์พี่หานเฟิงหัวเราะอย่างมีความสุข

ลู่ฝานสงสัยว่าศิษย์พี่หานเฟิงเอาสิ่งอากาศธาตุที่ใส่ของได้ ใส่ลงไปในเป้ากางเกงหรือเปล่า ไม่งั้นทำไมเขาใส่ของไปในนั้นเยอะแยะ แต่จากภายนอก ดูไม่ออกเลยสักนิด

เขาสะบัดหัว เอาความคิดบ้าบอออกไป

ลู่ฝานหันไปมองขั้นบันไดหินด้านหน้า แล้วเดินไป

หานเฟิงตะโกนว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน นายคงไม่ได้จะไปชั้นหกใช่ไหม”

ลู่ฝานพูดอย่างราบเรียบว่า “ในเมื่อยังมีเวลาทำไมถึงไม่ไปดูล่ะ ศิษย์พี่หานเฟิง รอผมที่นี่แป๊บนึง”

เมื่อพูดจบ ลู่ฝานขึ้นไปบนบันได เสียงลมพัดอันบ้าคลั่งทำให้แขนเสื้อลู่ฝานปลิวจนเกิดเสียงดังพึ่บพั่บ เกือบพัดลู่ฝานปลิวกลับมา

จินเฟยหยู่ที่อยู่ข้างๆ ตะโกนว่า “นายบุกไปชั้นหกไม่ได้หรอก ลู่ฝานแห่งคณะหนึ่งเดียว”

จินเฟยหยู่พูดเน้นคำว่าคณะหนึ่งเดียว

ลู่ฝานมองเขาแวบหนึ่ง หัวเราะเบาๆ แล้วเดินขึ้นไปอย่างแน่วแน่

ลู่ฝานใช้แรงในมือ ค่อยๆ เอาเคล็ดวิชาในอัคคีทุคติออกมา อัคคีทุคติอันน่ากลัวไม่ได้ทำร้ายลู่ฝานมากนัก

ปราณชี่ของลู่ฝาน มีความทนทานเหนือพลังปราณ บวกกับผิวหนังเผ่ามังกรและกายทองไฟอาบ อัคคีทุคติทำให้ลู่ฝานรู้สึกร้อนมือเท่านั้น

หานเฟิงรีบลุกขึ้นมา มองลู่ฝานเอาเคล็ดวิชาบู๊ออกมา

ตอนเอาเคล็ดวิชาบู๊ออกมา อัคคีทุคติหายไปอย่างไร้ร่องรอย เหมือนภาพลวงตา ลู่ฝานมองปกเคล็ดวิชาบู๊ อ่านออกเสียงออกมาว่า “วิชาคล่องกาย”

หานเฟิงชะโงกเข้ามา พลิกเคล็ดวิชาบู๊ไปหน้าสุดท้าย ชี้ลายสีเขียวสองแถบ แล้วพูดว่า “เคล็ดวิชาบู๊ของสถาบันสอนวิชาบู๊จะใช้ลายนี้เป็นเครื่องหมายของเคล็ดวิชาบู๊ สีแบ่งออกเป็นสี่สี คือเหลือง เขียว แดงและทอง สีเขียวหนึ่งแถบเป็นระดับทิพย์ขั้นต่ำ สองแถบเป็นเคล็ดวิชาบู๊ ระดับทิพย์ขั้นกลาง สามแถบถึงจะเป็นระดับทิพย์ขั้นสูง ถ้าเป็นเคล็ดวิชาบู๊ระดับดินจะเป็นลายสีแดง”

ลู่ฝานพยักหน้าเข้าใจ

ถือเคล็ดวิชาบู๊เล่มนี้ในมือ เตรียมจะหาอีกเล่ม

แต่ขณะนั้น หุ่นสีเงินขนาดใหญ่ส่งเสียง หันหัวล้านสีเงินแวววาว พร้อมพูดเสียงดังก้อง “ในแต่ละชั้น แต่ละคนได้เคล็ดวิชาบู๊เพียงเล่มเดียวเท่านั้น ถ้านายไม่ต้องการเล่มนี้ โปรดทิ้งไป แล้วค่อยเลือกเล่มอื่น”

ลู่ฝานส่งเสียงตอบรับ เตรียมจะโยนเคล็ดวิชาบู๊ทิ้งไป

แต่ขณะนั้น เสียงของชายหญิงข้างๆ ดังขึ้น “เดี๋ยวก่อน”

ลู่ฝานหันไปมองทั้งสองคน แล้วพูดว่า “มีอะไร”

ผู้หญิงกับผู้ชายเดินเข้ามา ผู้ชายพูดว่า “ฉันจินเฟยหยู่แห่งคณะฟ้าร้อง เธอคือเฟิ่งหวาแห่งคณะศิงขร คิดว่านายคงเคยได้ยินชื่อเราสองคน”

ลู่ฝานพูดอย่างราบเรียบว่า “ลู่ฝานแห่งคณะหนึ่งเดียว เขาคือหานเฟิงศิษย์พี่ฉัน ขอโทษด้วย ฉันไม่รู้จักทั้งสองท่านจริงๆ พวกนายมีอะไรหรือเปล่า”

เมื่อจินเฟยหยู่กับเฟิ่งหวาได้ยินว่าลู่ฝานมาจากคณะหนึ่งเดียว ก็อึ้งไปทันที

จินเฟยหยู่ขมวดคิ้ว “คนคณะหนึ่งเดียวเข้าหอคอยฝึกฝนได้ด้วยเหรอ”

เมื่อพูดออกมา ทำให้สีหน้าของลู่ฝาน กับหานเฟิงไม่เป็นมิตรทันที

จินเฟยหยู่กับเฟิ่งหวามองหน้ากัน หลังจากได้ยินว่าลู่ฝานกับหานเฟิงเป็นคนของคณะหนึ่งเดียว สีหน้าทั้งสองยโสขึ้นทันที

จินเฟยหยู่พูดว่า “ช่างเถอะ ไม่ว่าพวกนายมาจากคณะไหน ในเมื่อขึ้นมาบนชั้นห้าของหอคอยฝึกฝนได้ คงมีความสามารถอยู่บ้าง ฉันเห็นพวกนายไม่กลัวอัคคีทุคติเลยอยากให้พวกนายช่วย เอาเคล็ดวิชาบู๊ระดับทิพย์ขั้นสูงมาให้ เราจะให้สมุนไพร เงิน หรือไม่ก็การชดเชยอื่นๆ เป็นการตอบแทน”

เฟิ่งหวาก็พูดว่า “ฉันกับจินเฟยหยู่อยู่ใน 30 อันดับแรกของอันดับบู๊ ในสถาบันสอนวิชาบู๊ ก็นับว่ามีชื่อเสียง แค่นายช่วยพวกเรา ต่อไปถ้ามีเรื่องอะไรในสถาบันสอนวิชาบู๊ สามารถมาให้ฉันช่วยได้ นี่เป็นสัญญาที่ฉันให้พวกนาย”

ลู่ฝานพูดเนิบๆ ว่า “ฉันคิดว่า ไม่มีอะไรต้องให้เธอช่วย”

หานเฟิงที่อยู่ข้างๆ แคะขี้มูกแล้วพูดว่า “พวกนายสองคนน่ารำคาญมาก พูดจบแล้วใช่ไหม จะไปไหนก็ไป ศิษย์น้องลู่ฝาน รีบทิ้งเคล็ดวิชาบู๊ในมือไปสิ หาเคล็ดวิชาบู๊ระดับทิพย์ขั้นสูงสิ”

เฟิ่งหวากับจินเฟยหยู่สีหน้าอึมครึมทันที

ลู่ฝานก็ขี้เกียจสนใจ คนที่มีความโอหังมากมายขนาดนี้ เขามีเวลาแค่หนึ่งชั่วยาม รีบใช้เวลาหาเคล็ดวิชาบู๊เถอะ

ตอนที่กำลังจะโยนเคล็ดวิชาบู๊ในมือทิ้ง จินเฟยหยู่จับแขนเขาไว้

“เดี๋ยวก่อน นายจะไม่คิดสักหน่อยเหรอ นายจะเสี่ยงล่วงเกินผู้แข็งแกร่ง 30 อันดับแรก แล้วไม่ยอมช่วยเราเหรอ”

ชั้นสี่ของหอคอยฝึกฝน ลู่ฝานกับหานเฟิงไม่รู้สถานการณ์ข้างนอกเลย ยังคงพยายามปีนขึ้นไป

“เคล็ดวิชาบู๊สูงสุดของชั้นสองคือระดับคนขั้นสูง เคล็ดวิชาบู๊สูงสุดของชั้นสามคือระดับทิพย์ขั้นต่ำ ชั้นสี่คือระดับทิพย์ขั้นกลาง ศิษย์น้องลู่ฝาน แค่ขึ้นไปชั้นห้า เราจะมีโอกาสได้เคล็ดวิชาบู๊ระดับทิพย์ขั้นสูง ไปกันเลย!”

หานเฟิงตะโกนออกมาเสียงดัง พยายามเดินขึ้นไปอย่างสุดชีวิต แทบจะใช้ทั้งมือทั้งเท้า

เมื่ออยู่ตรงนี้ ขั้นบันไดบ้าๆ ที่มีอักษรยันต์เหล่านี้ ยิ่งเดินลำบากขึ้นเรื่อยๆ ทุกก้าวที่เหยียบลงไป รู้สึกเหมือนโดดดูดไว้บนแผ่นหิน ยกเท้าไม่ขึ้นเลย ไม่เพียงแค่นั้น บันไดหินแต่ละขั้น ยังมีม่านแสงอันแข็งแกร่ง ขวางทางด้านหน้าเอาไว้

ม่านแสงสูงเป็นสามสิบเมตร กว่าจะใช้พลังปราณทำลายไปได้ ม่านแสงนี้ ยังกลายเป็นพลังอันบ้าคลั่ง กระเพื่อมออกไป โจมตีลงบนตัวพวกเขา

เมื่อขึ้นบันไดหินแต่ละขั้น ต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมาก มือทั้งสองข้างของลู่ฝาน เหมือนลอยได้ โจมตีอย่างสุดชีวิต

เขาจำเป็นต้องเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เพราะม่านแสงเหล่านี้กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ ถ้าเขาช้าเพียงนิดเดียว ก็จะโดนม่านแสงบีบเอาไว้อีกครั้ง

หมัดถล่มเขา!

ตอนนี้ลู่ฝานเอากระบี่หนัก เก็บเข้าไปในแหวนแล้ว แบกกระบี่หนักปีนขึ้นไปในตอนนี้ ไม่ต่างจากหาเรื่องให้ตัวเองลำบาก

ลู่ฝานใช้กายทองไฟอาบ แต่ละหมัดของลู่ฝานต้องระเบิดพลังอันแข็งแกร่ง ทันใดนั้นปราณชี่ แปรเปลี่ยนเป็นพลังปราณ 20 เท่า ทำให้เขามีพลานุภาพพลุ่งพล่าน พุ่งไปข้างหน้าเรื่อยๆ ขั้นบันไดที่ขึ้นไปชั้นห้าธรรมดาๆ ไม่สามารถขวางเขาเอาไว้ได้!

หานเฟิงยังคงสะบัดกระบี่ฟ้าครามอย่างเอาเป็นเอาตาย ตอนจัดการนักเรียนคนอื่นข้างนอก เขาไม่สามารถใช้วิชากระบี่ชิงสวรรค์ แต่ที่นี่ เขาสามารถใช้ได้อย่างสบายๆ

แต่ละกระบี่ที่ฟันออกไป สามารถฟันม่านแสงไปเป็นแถบ กัดฟันฝืนไม่ให้พลังที่กระเพื่อมบีบเอาไว้ หานเฟิงสู้อย่างเอาเป็นเอาตายต่อไป ลู่ฝานจงใจเดินให้ช้าลงหน่อย ให้หานเฟิงตามเขาทัน มีเขากำจัดม่านแสงด้านหน้าให้ ศิษย์พี่หานเฟิงลดความกดดันไปได้เยอะ บางครั้งใช้ช่วงที่ม่านแสง กำลังจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม ตามลู่ฝานขึ้นไปได้หลายขั้น

ทั้งสองขึ้นบันไดหินหลายร้อยขั้น แต่ยังไม่ถึงชั้นห้าสักที เปลวไฟสีม่วงที่อยู่ไม่ไกลสามารถยื่นมือขึ้นไปหยิบได้ แต่ลู่ฝานกับหานเฟิงไม่สนใจสักนิด

หลังจากปีนบันไดหินร้อยกว่าขั้น มีประตูปรากฏขึ้นตรงหน้า เมื่อก้าวเข้าไป ทุกสิ่งตรงหน้ากว้างใหญ่

หานเฟิงทรุดลงนั่งหน้าประตู นับนิ้วดูเวลา แล้วพูดว่า “ประมาณครึ่งชั่วยามแล้ว เหนื่อยแทบตาย แค่ขึ้นบันไดหิน ฉันก็เกือบตายแล้ว ศิษย์น้องลู่ฝาน เรารีบหาเคล็ดวิชาบู๊เถอะ”

ลู่ฝานพยักหน้า ทั้งสองเพ่งสายตามอง เห็นว่าชั้นห้าไม่ต่างจากสี่ชั้นด้านล่างเท่าไร หุ่นสีเงินขนาดใหญ่ยืนอยู่ตรงกลาง มีเปลวเพลิงสีดำลอยอยู่บนหัว

หานเฟิงมองอยู่ข้างๆ เมื่อหาแท่นหินเจอ จึงอ่านออกเสียงว่า “ชั้น 5 อัคคีทุคติ”

ลู่ฝานกวาดตามองไปทั่วชั้นห้า ทันใดนั้น ลู่ฝานเห็นด้านล่างของหุ่นสีเงิน มีนักเรียนอยู่สองคน

สองคนนี้เคลื่อนไหวร่างกายรวดเร็ว กำลังพยายามจับเปลวไฟที่ลอยไปมา แต่ทุกครั้งที่เขาจับ จะโดนอัคคีทุคติสีดำเผาจนสั่นไปทั้งตัว จนต้องปล่อยไป

นักเรียนสองคน เป็นชายหนึ่งคน หญิงหนึ่งคน สีหน้าไม่สู้ดีมาก

ทั้งสองหันมามองลู่ฝานกับหานเฟิง และไม่สนใจอีก

“เริ่มเถอะ ศิษย์น้องลู่ฝาน เลือกเก็บของที่ดี ถ้าไม่ใช่ระดับทิพย์ขั้นสูง ก็ไม่เอา!”

ลู่ฝานพยักหน้า เคล็ดวิชาบู๊ระดับทิพย์ขั้นสูงต้องไม่เลวอย่างแน่นอน เพราะเคล็ดวิชาบู๊ที่ตระกูลลู่ของเขาถ่ายทอด แค่ระดับทิพย์ขั้นต่ำเท่านั้น

สายตาลู่ฝาน จ้องไปที่ลูกไฟทุคติกลางอากาศ เทียบกับชั้นหนึ่ง ลูกไฟที่ลอยไปมาพวกนี้ ใหญ่กว่าเยอะ ความเร็วก็เร็วกว่ามากด้วย ไม่ได้จับง่ายขนาดนั้น

หานเฟิงทนไม่ไหว จึงลงมือก่อน เด้งตัวขึ้นไป มือของหานเฟิงเหมือนฟ้าแลบ จับลูกไฟสีดำเอาไว้อย่างรวดเร็ว

“ฮ่าๆ ได้เคล็ดวิชาบู๊มาแล้ว!”

หานเฟิงหัวเราะเสียงดัง ฝ่ามือล้วงเข้าไปในลูกไฟ คลำเคล็ดวิชาบู๊ด้านในเล่มหนึ่ง

แต่ยังไม่ทันเอาเคล็ดวิชาบู๊ออกมา หานเฟิงรู้สึกถึงความเจ็บปวดจนถึงหัวใจ เกิดขึ้นที่ฝ่ามือ ขณะเดียวกันพลังรุนแรงของเปลวไฟ ผลักเขาจนกระเด็นออกมา

หานเฟิงเบิกตาโต ร้องโอดครวญ นอนแผ่หลาอยู่บนพื้น

ผู้หญิงกับผู้ชายที่อยู่ข้างๆ หัวเราะพรืดออกมา

ผู้ชายพูดด้วยแววตาดูหมิ่นว่า “ปัญญาอ่อน เคล็ดวิชาบู๊ที่มีอัคคีทุคติปกป้อง จะเอามาได้ง่ายขนาดนั้นเหรอ”

ลู่ฝานรีบเดินเข้ามา มองศิษย์พี่หานเฟิงแล้วพูดว่า “ไม่เป็นไรใช่ไหม”

ศิษย์พี่หานเฟิงมองฝ่ามือตัวเอง ถึงมีพลังปราณปกป้องอยู่ ก็โดนเผาจนแดงเป็นแถบ

“ไม่เป็นไรๆ เปลวเพลิงนี้ ไม่ให้คนเอาเคล็ดวิชาไป”

ลู่ฝานหัวเราะ “อาจเป็นเพราะวิธีของพี่ไม่ถูกต้อง ให้ผมลองดูหน่อย”

พูดพลาง ลู่ฝานเด้งตัวขึ้น คว้าลูกไฟดำที่ลอยไปมา แล้วลงมาบนพื้น ลู่ฝานจับเอาไว้แน่น ไม่มีท่าทีว่าจะปล่อยมือ

ผู้หญิงกับผู้ชายที่อยู่ข้างๆ เบิกตาโตทันที

ด้านนอกหอคอยขาว หลิงเหยายิ้มบางๆ เดินกลับไปช้าๆ อาจเป็นเพราะอารมณ์ดี ฝีเท้าของเธอดูมีความสุขมาก

ส่วนพวกลู่ฝานต้องอยู่ในหอคอยฝึกฝนหนึ่งชั่วยาม งั้นอีกชั่วยาม เธอค่อยกลับมาก็ได้

คนอื่นไม่รู้กฎของหอคอยฝึกฝน แต่หลิงเหยารู้เป็นอย่างดี ไม่ใช่สาเหตุอื่น อันที่จริงเธอเคยเข้าไปครั้งหนึ่ง หลิงเหยาไม่ใช่คนในอันดับบู๊ เธอไม่มีชื่อในอันดับบู๊ แต่ตอนที่ยอดฝีมือในอันดับบู๊ยังไม่สามารถเข้าไปได้ เธอโดนอาจารย์ของตัวเองพาเข้าไปเลือกเคล็ดวิชาบู๊

แน่นอนว่าหลิงเหยาไม่มีทางบอกคนอื่น

หลิงเหยายิ้มบางๆ เธอตบกระเป๋าใบเล็กของตัวเอง วันนี้ได้เหรียญทองมาเยอะ เธอจะไปซื้อของแวววาวระยิบระยับสักหน่อย

ขณะกำลังเดิน จู่ๆ มีคนเดินสวนมาสามคน

หลิงเหยาเห็นทั้งสามคน จึงชะงักฝีเท้าลง เธอรู้จักสองคนในนั้น

“ศิษย์พี่เยียนหราน”

หลิงเหยาพูดออกมา

ทั้งสามมาถึงตรงหน้าหลิงเหยา เยียนหรานที่อยู่ซ้ายสุดพูดว่า “ศิษย์น้องหลิงเหยา เธอก็มาดูหอคอยฝึกฝนเหรอ”

หลิงเหยาพยักหน้า พูดตอบรับ จากนั้นกวาดตามองสองคนที่เหลือ คนที่ยืนอยู่ตรงกลางคือเหลิ่งหาน ส่วนอีกคนเป็นผู้ชายใบหน้าซูบผอม เบ้าตาลึกลงไป สวมชุดคลุมยาวสีเทา เธอรู้จัก

เยียนหรานยิ้มแล้วพูดว่า “ศิษย์น้องหลิงเหยาเธอน่าจะรู้จักศิษย์พี่เหลิ่งหานแล้ว อีกท่านคือ ศิษย์พี่หยู่ซินแห่งคณะหยินหยาง”

เมื่อได้ยินชื่อหยู่ซินสีหน้าหลิงเหยาตกใจเล็กน้อย

“ศิษย์พี่หยู่ซินที่ 21 ในอันดับบู๊เหรอ”

เหลิ่งหานพูดว่า “ใช่ คิดไม่ถึงว่าศิษย์น้องหลิงเหยาจะดูอันดับบู๊ในปีนี้ด้วย แต่ข้อมูลของศิษย์น้องหลิงเหยาดูเก่าไปหน่อยนะ อันที่จริงเมื่อกี้ศิษย์พี่หยู่ซินเอาชนะที่ 19 ศิษย์พี่หวงลูหลินแห่งคณะกระบี่ ดังนั้นตอนนี้ ศิษย์พี่หยู่ซินอยู่ 20 อันดับแรกแล้ว”

หลิงเหยามองหยู่ซินอย่างตกใจขึ้นอีก

แต่หยู่ซินกลับพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “เหลิ่งหานอย่าพูดไร้สาระ ไอ้เด็กที่ทำลายชื่อเสียงคณะหยินหยางของเราอยู่ที่ไหน รีบให้ฉันจัดการเขา ก็จบแล้ว”

เหลิ่งหานยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ไกลครับๆ อยู่ในหอคอยฝึกฝน”

หยู่ซินพูดด้วยเสียงเย็นชา “หอคอยฝึกฝนเหรอ ในหอคอยห้ามฆ่ากัน”

เหลิ่งหานพูดว่า “ในหอคอยไม่ได้ งั้นก็นอกหอคอยสิ เพราะยังไงเขาก็ต้องออกมา”

หยู่ซินครุ่นคิด แล้วพูดว่า “โอเค งั้นรอเขาละกัน หวังว่าเขาจะมีฝีมืออย่างที่พวกนายพูด ถ้าอ่อนแอเกินไป ฉันจะจัดการพวกนายด้วย”

รอยยิ้มเหลิ่งหานกระอักกระอ่วนขึ้นทันที มองหยู่ซินแล้วพูดในใจว่า ไอ้คลั่งบู๊คนนี้รู้แต่การต่อสู้ คิดไม่ถึงว่าจะเล่นงานเขาด้วย ถ้าไม่ใช่เพราะสู้นายไม่ได้ วันนี้ฉันคงตบนายไปแล้ว

หลิงเหยาขมวดคิ้ว พูดว่า “พวกพี่ไม่ได้หมายถึงลู่ฝานใช่ไหม เหลิ่งหาน ทำไมต้องให้คนมาทำร้ายลู่ฝาน”

สีหน้าหลิงเหยาดูโมโห เยียนหรานพูดว่า “ศิษย์น้องหลิงเหยา ลู่ฝานกับหานเฟิงแห่งคณะหนึ่งเดียวทำให้คณะหยินหยางต้องอับอาย คณะหยินหยางมาสั่งสอนพวกเขา เป็นเรื่องปกติ ทำไมเธอต้องโมโหด้วยล่ะ”

หลิงเหยาหน้าแดง “พวกเขาแข่งขันกันปกติ ต่อสู้กันปกติ อับอายก็เพราะคนคณะหยินหยาง หาเรื่องเอง ยิ่งไปกว่านั้น……ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาเป็นเพื่อนฉัน”

แววตาเหลิ่งหานเปลี่ยนไป เขาฟังน้ำเสียงผิดปกติของหลิงเหยาตอนพูดประโยคสุดท้ายออก

เยียนหรานพูดว่า “เพื่อนเหรอ ศิษย์น้องหลิงเหยา เธอเป็นเพื่อนกับพวกเขาเร็วขนาดนี้เลยเหรอ อย่าบอกนะว่าหวั่นไหว”

หน้าหลิงเหยาแดงเป็นอย่างมาก สีหน้าเหลิ่งหานไม่สู้ดีขึ้นเรื่อยๆ เพราะยิ่งหลิงเหยาเป็นแบบนี้ ยิ่งอธิบายว่าคำพูดของเยียนหรานเป็นจริง

คนที่คิดว่าหลิงเหยาเป็นของตัวเองมานานแล้วอย่างเหลิ่งหาน ไม่อยากให้ใครมาแย่งของตัวเอง จึงพูดอย่างเย็นชาว่า “ศิษย์น้องหลิงเหยา นี่เป็นเรื่องของคณะหยินหยางกับคณะหนึ่งเดียว ไม่เกี่ยวกับเธอ แต่ในเมื่อศิษย์น้องหลิงเหยาเห็นพวกเขาเป็นเพื่อน ฉันจะได้ลงมือกับพวกเขาเบาลงหน่อย”

เหลิ่งหานเงียบไป แล้วพูดต่อ “แน่นอนว่า เพื่อเป็นการตอบแทน ฉันหวังว่าศิษย์น้องหลิงเหยาจะทานข้าวเที่ยงกับฉันสักมื้อ เงื่อนไขนี้ คงไม่เกินไปนะ”

หลิงเหยากัดฟันพูดว่า “ที่แท้หานเฟิงประเมินนายไม่ผิดเลยสักนิด”

จู่ๆ เหลิ่งหานยื่นมือไปหาหลิงเหยา จะดึงมือหลิงเหยา

หลิงเหยาปฏิกิริยารวดเร็ว ปัดมือเหลิ่งหานไปทางอื่น หยู่ซินที่อยู่ข้างๆ ยิ้มแล้วพูดว่า “เป็นผู้หญิงที่เป็นตัวของตัวเอง เหลิ่งหานคณะหยินหยางของเรา ต้องการผู้หญิงสักคน ควรทำยังไง”

เหลิ่งหานหัวเราะเบาๆ “ผมรู้ครับ ศิษย์พี่หยู่ซิน”

เมื่อพูดจบ เหลิ่งหานยื่นมือออกมาทันที ใช้นิ้วแตะลงไปบนหัวไหล่หลิงเหยา พลังปราณอันแข็งแกร่งเข้าไปในตัวหลิงเหยา ทันใดนั้น หลิงเหยายืนอึ้งอยู่ที่เดิม

เหลิ่งหานยิ้ม แล้วมองหลิงเหยา “ขอโทษด้วยนะ แม่นางหลิงเหยา เธอคงต้องยืนดูข้างๆ แล้วล่ะ เยียนหราน ประคองศิษย์น้องของเธอ เราไปรอไอ้สองคนของคณะหนึ่งเดียวหน้าหอคอยขาวกัน”

เยียนหรานเดินเข้ามา ประคองตัวหลิงเหยา

แม้หลิงเหยาตัวแข็งทื่อ แต่ยังพูดได้ เธอกดเสียงต่ำพูดว่า “ศิษย์พี่เยียนหราน พี่เป็นพวกเดียวกับเขาเหรอ”

เยียนหรานใช้เสียงพูดแบบที่หลิงเหยาได้ยินเพียงคนเดียว “ศิษย์น้องหลิงเหยา อันที่จริง ฉันก็ไม่อยากทำแบบนี้ แต่ใครใช้ให้เธอมาแย่งความโดดเด่นของฉันล่ะ ใครใช้ให้เธอใกล้ชิดกับอาจารย์ขนาดนั้น เหมือนอาจารย์อู๋โฉวมีเธอเป็นศิษย์แค่คนเดียว ศิษย์น้องหลิงเหยา ทั้งหมดต้องโทษเธอ แต่รอให้ศิษย์พี่เหลิ่งหานจัดการเพื่อนสองคนนั้นของเธอ หลังจากได้ตัวเธอ เธอก็ข่มขู่ฉันไม่ได้แล้ว ฉันยังคงเป็นศิษย์พี่สามแห่งคณะสงบใจส่วนเธอก็ต้องเป็นศิษย์น้องที่เชื่อฟังฉัน”

หลิงเหยาปิดปาก ไม่พูดอะไรอีก

เยียนหรานหัวเราะเบาๆ ประคองหลิงเหยาเดินตามเหลิ่งหานกับหยู่ซินไป

……

ลู่ฝานพูดอย่างมีความสุขว่า “ไม่มีปัญหา”

ลู่ฝานลุกขึ้น แล้วเดินไปข้างใน หุ่นทองสำริดทั้งสองตัวกำลังจะขวาง แต่ลู่ฝานพูดเสียงดังว่า “แม้ฉันจะแพ้ แต่แค่อันดับตกลงมาเท่านั้น ไม่มีอะไรนอกจากหล่นจากอันดับที่ 32 ไปอันดับที่ 33 อย่าบอกนะว่าฉันเข้าไปไม่ได้”

เมื่อหุ่นทองสำริดทั้งสองตัวได้ยิน ก็อึ้งไปอีก สมองพวกเขาไม่เข้าใจเรื่องวุ่นวายพวกนี้

ดูเหมือนไอ้หนุ่มคนนี้พูดมีเหตุผล หุ่นสำริดทั้งสองตัวจึงปล่อยเขาเข้าไป

ประตูหนักโดนแง้มออก ลู่ฝานเดินเข้าไป จากนั้นประตูปิดลง เสียงวุ่นวายด้านหลังหยุดลงทันที

นี่เป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ ด้านบนหัวมีเปลวไฟสีทอง ส่องแสงอยู่มากมาย

เปลวไฟพวกนี้ เหมือนลูกไฟผีลอยไปมา ลอยขึ้นๆ ลงๆ

ลู่ฝานเพ่งมองไป เห็นมีสิ่งของเหมือนหนังสืออยู่ในเปลวไฟ

นี่มันอะไรกัน

ลู่ฝานเดินไปข้างในเรื่อยๆ เห็นบันไดหินขึ้นไปชั้นสอง แต่บันไดหินดูไม่ธรรมดา มีลวดลายซับซ้อนสว่างขึ้นมา ลู่ฝานสัมผัสได้ถึงพลังแข็งแกร่งพลุ่งพล่านอยู่บนบันไดหิน

“ศิษย์น้องลู่ฝาน นายมาดูนี่สิ”

ทันใดนั้น เสียงหนึ่งดังมาจากข้างบันไดหิน เป็นเสียงเรียกของศิษย์พี่หานเฟิงที่เข้ามาก่อนเขา

ศิษย์พี่หานเฟิงโค้งตัวลง กำลังตั้งใจมอง เหมือนเจออะไรบางอย่าง

ลู่ฝานเดินมาข้างศิษย์พี่หานเฟิง แท่นหินปรากฏอยู่ในสายตา ข้างบนเขียนไว้ชัดเจนว่า “ชั้น 1 อัคคีทอง”

“หมายความว่ายังไง”

ลู่ฝานถามขึ้น

ศิษย์พี่หานเฟิงส่ายหน้า “ไม่ค่อยเข้าใจ เดาว่าน่าจะเป็นเปลวเพลิงที่ลอยอยู่พวกนี้”

ขณะกำลังพูด มีเสียงดังขึ้นทั้งสองด้าน

วินาทีต่อมา หุ่นขนาดใหญ่เดินออกมา ร่างทำจากหิน สูงประมาณ 33 เมตร ถือดาบยาวอยู่ในมือ มีแสงสีแดงอยู่ข้างในตา

“ผู้ฝึกฝน เชิญเลือกเคล็ดวิชาบู๊ของตัวเองในชั้นนี้ แต่ละคนจะได้รับเคล็ดวิชาบู๊หนึ่งประเภท ”

หานเฟิงหัวเราะ แล้วพูดว่า “มีคนมาอธิบายแล้ว ได้เลย แม้เป็นหุ่นก็เถอะ นี่ ไอ้ยักษ์ เคล็ดวิชาบู๊ที่นายว่า คือที่อยู่ในอัคคีทองนี่เหรอ”

หุ่นพูดอย่างเย็นชา “ใช่ พวกนายมีเวลาเลือกหนึ่งชั่วยาม เกินหนึ่งชั่วยาม จะโดนไล่ออกจากหอคอยฝึกฝน ที่เคล็ดวิชาบู๊ชั้นหนึ่งสูงสุดคือระดับคนขั้นกลาง ถ้าอยากได้เคล็ดวิชาบู๊ที่สูงกว่านี้ สามารถไปที่ชั้นสองของหอคอยฝึกฝน”

หานเฟิงขมวดคิ้ว “แค่ระดับคนขั้นกลางเองเหรอ ต่ำไปหน่อย ไปเถอะๆ ศิษย์น้องลู่ฝาน ไปชั้นสองกับฉัน ไอ้ยักษ์ นายบอกว่าหนึ่งชั่วยาม หมายถึงมีเวลาที่ชั้นหนึ่ง หรือทั้งหอคอย หนึ่งชั่วยาม”

หุ่นพูดช้าๆ ว่า “ทั้งหอคอย มีเวลาให้พวกนายหนึ่งชั่วยาม แต่ละชั้น พวกนายสามารถเลือกเคล็ดวิชาบู๊ได้หนึ่งประเภท แต่จำไว้ให้ดี พวกนายมีเวลาแค่หนึ่งชั่วยาม”

“ให้ตายเถอะ งั้นต้องทำเวลา ศิษย์น้องลู่ฝาน ถึงเราไม่ได้เคล็ดวิชาบู๊ระดับดิน อย่างน้อยต้องได้ทักษะบู๊ระดับทิพย์ชั้นยอด รีบไปข้างบนเถอะ”

ลู่ฝานตอบรับ แล้วรีบเดินไปข้างบน

แต่เท้าเพิ่งเหยียบลงบนบันได ลู่ฝานสัมผัสได้ถึงพลังที่ไม่นับว่าพิเศษเท่าไร ดึงเขาลงไปด้านล่าง

ความเร็วของทั้งสองคนช้าลง

หานเฟิงปีนขึ้นไปพลางก่นด่าออกมา “ให้ตายเถอะ ขึ้นบันไดยังลำบากขนาดนี้ ถ้าฉันบินได้คงดี”

ลู่ฝานจินตนาการได้เลย ขั้นต่อๆ ไปต้องลำบากแบบนี้แน่

เหมือนอย่างที่หลิงเหยาพูด ถึงเข้ามาได้ อยากได้เคล็ดวิชาบู๊ ต้องอาศัยพละกำลังของตัวเอง

หานเฟิงหัวเราะ แล้วถูมือไปมา “เร็วสิๆ เขาต้องการให้ฉันเอาชนะคนในอันดับบู๊ไม่ใช่เหรอ นายเอาชนะจ้าวคั่ว แน่นอนว่านายต้องแทนที่ชื่อของเขา ฉันเอาชนะนายได้ก็จบแล้ว นายรู้อยู่แล้วนิ หลับตาข้างหนึ่งอะไรทำนองนั้น……ฮ่าๆๆๆ”

เมื่อพูดถึงตอนท้าย หานเฟิงเสียงเบาลง

ลู่ฝานเงยหน้ามองหุ่นทองสำริดทั้งสองตัว วิธีนี้ได้เหรอ แต่ลองดูสักครั้งก็ได้

หลิงเหยาฟังทั้งสองปรึกษากัน เอามือป้องปากแอบขำ ไอ้เลวสองคนนี้ ฉลาดจริงๆ

ทันใดนั้น หานเฟิงยืดตัวตรง มองลู่ฝาน แล้วพูดว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน เมื่อกี้นายสู้ได้ไม่เลวเลย แต่มีปัญหาอยู่เล็กน้อย ให้ศิษย์พี่ชี้แนะนายละกัน เพื่อไม่ให้นายเกิดความยโส ไม่เห็นใครในสายตา”

ลู่ฝานกลั้นขำ เอากระบี่หนักออกมา แล้วพูดว่า “งั้นเหรอ แล้วทำไมเมื่อกี้ศิษย์พี่หานเฟิง ถึงโดนซัดจนเละแบบนั้นล่ะ”

หานเฟิงหน้าแดง พูดออกมาว่า “เมื่อกี้ฉันยอมให้ไอ้เด็กนั่นเท่านั้น นายคิดว่าเป็นเรื่องจริงเหรอ ดูกระบวนท่า ศิษย์พี่สอนวิชากระบี่ที่ชื่อศิษย์น้องล้มลง”

หานเฟิงสะบัดมือ กระบี่ฟ้าครามที่หล่นอยู่ข้างๆ ลอยกลับเข้ามาในมือ เมื่อเห็นฉากนี้ คนจำนวนมากตาเป็นประกาย

จากนั้น หานเฟิงพุ่งเข้าไป แทงเข้าไปหาลู่ฝานแบบเบาๆ

ไม่เห็นพลังปราณอะไรเลย แต่ต่อมา เหมือนตัวลู่ฝานโดนกระบี่หลายสิบเล่ม ตัวสั่นอย่างรุนแรง จากนั้นหงายหลังล้มลงไป

“ศิษย์พี่หานเฟิง เก่งจริงๆ ผมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพี่ ศิษย์น้องยอมแพ้แล้ว!”

ลู่ฝานพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนบาดเจ็บสาหัส

หานเฟิงหัวเราะเสียงดังไม่กี่ครั้ง หันไปพูดกับหุ่นทองสำริดที่เฝ้าอยู่ “เห็นหรือยัง ลู่ฝานที่เอาชนะนักบู๊ในอันดับบู๊ได้ ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉัน ฉันคงเข้าไปได้แล้วสินะ”

หุ่นทองสำริดทั้งสองตัวมองหน้ากัน สมองทองสำริดของพวกเขา คิดไม่ออกว่าเกิดอะไรขึ้น

แต่กฎคือกฎ แค่อยู่ในอันดับบู๊ หรือไม่ก็เอาชนะนักบู๊ที่อยู่ในอันดับบู๊ได้ ก็สามารถเข้าไปได้

เงียบอยู่ครู่หนึ่ง หุ่นทองสำริดสองตัวพูดว่า “นายเข้าไปได้แล้ว”

หานเฟิงหันไปกะพริบตาให้ลู่ฝาน จากนั้นเดินหัวเราะเข้าไปในหอคอยฝึกฝน

ภาพนี้ ทำให้นักเรียนรอบๆ เดือดดาล

“อะไรกัน พวกเขาเข้าไปได้ยังไง”

“การแสดงอันจอมปลอมเกินจริงขนาดนี้ เจ้าโง่แบบพวกนายสองคน ดูไม่ออกหรือไง”

“อีกทั้งวิธีนี้ สามารถเข้าไปได้แล้วเหรอ ฉันจะไปหาศิษย์พี่หลิน”

……

ลู่ฝานลุกขึ้นช้าๆ ปัดฝุ่นบนเสื้อผ้า นักเรียนบางคนรีบไปเรียกคน บางคนกำลังเถียงอย่างโมโห แต่ทั้งหมดนี้ ไม่เกี่ยวอะไรกับลู่ฝาน

หลิงเหยากะพริบตามองลู่ฝาน “คนคณะหนึ่งเดียวของพวกนาย ร้ายแบบนี้ทุกคนหรือเปล่า”

ลู่ฝานหัวเราะ “นี่ไม่เรียกว่าร้าย แค่มีไหวพริบเท่านั้น”

หลิงเหยาหัวเราะเบาๆ รอยยิ้มของเธองดงามมาก ดูบริสุทธิ์ ทำให้คนสดชื่น

หลิงเหยาตบไหล่ลู่ฝาน แล้วพูดว่า “เอาล่ะ นายก็รีบเข้าไปเถอะ ถ้าเป็นไปได้ อย่าลืมเลือกเคล็ดวิชาบู๊มาให้ฉันสักหนึ่งประเภทด้วยล่ะ”

ลู่ฝานยิ้ม แล้วมองหลิงเหยา “เธอเข้าไปกับพวกเราสิ แสร้งทำอีกครั้งก็ได้แล้วนิ”

หลิงเหยาส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก ฉันได้ยินอาจารย์เคยพูดว่า เข้าไปเอาเคล็ดวิชาบู๊ในหอคอยฝึกฝนต้องมีพละกำลัง พละกำลังแค่นี้ของฉัน ถึงเข้าไปก็เอาไม่ได้ คงต้องพึ่งนายแล้ว ฉันรอนายข้างนอกแล้วกัน”

ลู่ฝานมองดวงตาใสของหลิงเหยา พยักหน้าเบาๆ แล้วพูดว่า “โอเค งั้นฉันเข้าไปละ ออกมาฉันจะเลี้ยงข้าวเธอ”

หลิงเหยาพูดว่า “นายต้องพาฉันไปกินข้าวที่คณะหนึ่งเดียวของนายนะ ฉันอยากเห็นอสูรวิเศษที่ชื่อเจ้าดำ”

ลู่ฝานฟันกระบี่ลงไปอย่างแรง โดยไม่รู้ตัว

กระบี่หนักเหมือนบานประตู ตีลงไปบนตัวจ้าวคั่ว

พลังอันน่ากลัวเกิดเสียงระเบิดออกมา พลังฟ้าดินรอบๆ ระเบิดออกมาทันที

ลู่ฝานโดนแรงกระแทกกลับจนกระเด็นออกมา จ้าวคั่วกระแทกลงบนพื้นเหมือนอุกกาบาต

ตู้ม ตู้ม ตู้ม!

เสียงระเบิดดังขึ้นติดต่อกัน

บนพื้นมีหินสูงกว่าสามสิบเมตร แรงระเบิดทำให้คนที่ดูอยู่รอบๆ ถอยหลังไม่หยุด เพราะกลัวผลกระทบของพลังอันน่ากลัวนี้

ลู่ฝานพลิกตัวลงมาบนพื้น เก็บกระบี่หนัก ความโมโหในแววตาค่อยๆ หายไป

ทันใดนั้น ทุกอย่างกลับมาสงบเหมือนเดิม

ทุกคนเพิ่งเห็นข้างในหลุมลึก คือร่างที่ปะปนไปด้วยเลือดเนื้อของจ้าวคั่ว

ใบหน้าของจ้าวคั่วเหมือนโดนตบจนแบน กระอักเลือดออกมาไม่หยุด แม้ลู่ฝานลงมือรุนแรงเล็กน้อย แต่ก็รู้ว่าต้องยั้งใจ ไม่ได้กำจัดจ้าวคั่วทันที ไม่งั้น เขาคงไม่ใช่วิธีการตบ แต่จะใช้กระบี่หนักฟันลงไปเลย

จ้าวคั่วกระอักเลือดออกมาอีก และสลบไป เพราะนักเรียนของคณะกำแหงร่างกายแข็งแกร่ง ถ้าเป็นนักเรียนคณะอื่น โดนลู่ฝานซัดขนาดนี้ คงตายไปแล้ว

จ้าวหลิงทรุดลงบนพื้น มีคราบเลือดเปื้อนด้านล่างกางเกงของเธอ

จ้าวหลิงสั่นไปทั้งตัว จู่ๆ เธอร้องไห้โฮออกมา นักเรียนของคณะบังเหินกับคณะกำแหงทนดูไม่ได้ รีบพาสองพี่น้องจ้าวคั่วกับจ้าวหลิงออกไป หลังจากการต่อสู้ จ้าวหลิงคงอยู่ในคณะบังเหินต่อยากแล้ว โดนคนข่มขวัญจนอยู่ในสภาพนี้ เป็นการดูหมิ่นชื่อเสียงของคณะบังเหินจริงๆ

นักเรียนคนอื่นบริเวณรอบๆ มองลู่ฝานด้วยสีหน้าประหลาด

นี่คือคนของคณะหนึ่งเดียวเหรอ

คิดไม่ถึงว่าเขาจะจัดการจ้าวคั่วที่ 32 ของอันดับบู๊ได้อย่างโหดเหี้ยม ถ้าไม่เห็นด้วยตาตัวเอง คนที่อยู่ตรงนี้ คงไม่มีใครเชื่อสักคน

“ลู่ฝานแห่งคณะหนึ่งเดียว รีบจำเอาไว้ พลังแข็งแกร่งมาก เขาต้องไม่ใช่แค่ที่ 32 แน่นอน พละกำลังของเขาน่าจะข่มขวัญคนสิบอันดับแรกได้แล้ว รีบเปลี่ยนอันดับบู๊ เอาชื่อลู่ฝานขึ้นไปด้วย รีบไปเลย”

ในกลุ่มคน นักเรียนคนหนึ่งรีบเดินออกไป อีกทั้งยังมีนักเรียนที่ถือพัดอยู่ในมือ หัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “คณะหนึ่งเดียวมียอดฝีมือออกมาแล้ว การสู้จัดอันดับของสถาบันครั้งนี้ น่าดูแล้ว”

คนรอบๆ ต่างพากันมองลู่ฝานด้วยแววตาหลากหลาย ในบรรดานั้น นักเรียนหญิงมีประกายร้อนแรงในแววตา

“ศิษย์น้องลู่ฝาน ฮ่าๆ ตัดสินใจถูกจริงๆ ที่พานายออกมาด้วย ให้ตายเถอะ เอวฉัน เอวอันบอบบางที่น่าสงสารของฉัน”

หานเฟิงตะเกียกตะกายขึ้นจากพื้น ลุกขึ้นมานั่ง จับเอวตัวเอง แล้วร้องโอดครวญออกมา

ขณะนั้นหลิงเหยาเดินออกมา ดึงปลายเสื้อลู่ฝานเบาๆ ดวงตาเป็นประกาย พูดเบาๆ ว่า “ลู่ฝาน นายเก่งมากเลย ว้าว เพิ่งเข้าคณะมาไม่นาน นายแดนปราณในขั้นเจ็ดแล้ว ขนาดศิษย์พี่แดนปราณนอกยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาย”

ลู่ฝานหัวเราะเบาๆ ไม่ได้ตอบอะไร หันหลังเดินมาข้างหานเฟิง ยิ้มแล้วพูดว่า “ศิษย์พี่หานเฟิง ยังลุกขึ้นได้ไหม”

หานเฟิงเหวี่ยงหมัด แล้วพูดว่า “อย่าดูถูกฉัน ยังไงฉันก็เป็นศิษย์พี่นาย โอ๊ย ฉันเจ็บเอวมาก คงไม่กระทบกับภาพลักษณ์ชายผู้สง่างามของฉันใช่ไหม ศิษย์น้องลู่ฝาน ยาที่นายให้ฉันกินเมื่อกี้ ไม่เลวจริงๆ ขออีกเม็ดได้ไหม”

ลู่ฝานหยิบยาออกจากเอว แล้วโยนให้หานเฟิง

หานเฟิงมองอย่างละเอียด แต่ไม่ได้กินลงไป ยิ้มแล้วเก็บเอาไว้ พูดเบาๆ ว่า “มียาแบบนี้ ฉันเดาว่าคงไปจีบศิษย์น้องผู้หญิงได้แล้ว”

ลู่ฝานรู้สึกขนลุก หลิงเหยาก็มองหานเฟิงอย่างดูหมิ่นเช่นกัน

ทันใดนั้น หุ่นทองสำริด ที่เฝ้าอยู่หน้าประตูทั้งสองตัว พูดว่า “ลู่ฝานแห่งคณะหนึ่งเดียว นายเอาชนะจ้าวคั่วที่ 32 ในอันดับบู๊ได้ นายสามารถเข้าไปในหอคอยฝึกฝนได้แล้ว”

ลู่ฝานอึ้งไป เขาเกือบลืมเรื่องนี้ไปแล้ว

คิดไม่ถึงว่าหุ่นสองตัวนี้ รู้ว่าจ้าวคั่วอยู่ที่ 32 ในอันดับบู๊

หานเฟิงอึ้งไปเช่นกัน จากนั้นชี้ตัวเอง แล้วพูดว่า “แล้วฉันล่ะ ตอนนี้ฉันเข้าไปได้หรือเปล่า”

หุ่นทองสำริดสองตัว พูดออกมาว่า “นายไม่เคยเอาชนะนักเรียนในอันดับบู๊ได้สักคน ดังนั้นจึงเข้าไปไม่ได้”

หานเฟิงก่นด่าออกมา “พวกนายปัญญาอ่อนหรือไง ดูไม่ออกเหรอ ฉันมีพละกำลังที่สามารถอยู่ในอันดับบู๊ได้ ต้องเอาชนะถึงจะถูก สมองพวกนายยัดหินหรือไง”

หานเฟิงก่นด่าจนตัวเองอึ้งไป แต่ก็ถูกแล้วนิ สมองของหุ่นสองตัวนี้ ต้องเป็นหินแน่นอนอยู่แล้ว

ตอนนี้นักเรียนคนอื่นบริเวณรอบๆ ไม่กล้าเยาะเย้ยหานเฟิงอีก เพราะพวกเขาเห็นการต่อสู้ของหานเฟิงแล้ว พูดว่ามีพละกำลังในอันดับบู๊ก็ไม่ผิด แต่น่าเสียดาย หานเฟิงเจอกับจ้าวคั่วที่ 32 ในอันดับบู๊ ถ้าเจอกับคนที่อันดับต่ำกว่านี้ คงมีโอกาสชนะมาก

หานเฟิงกัดฟัน กลอกตาไปมา หันมาพูดว่า “ศิยษ์น้องลู่ฝาน นายรีบมาสู้กับฉันเร็ว แพ้ให้ฉันต่อหน้าไอ้โง่สองตัวนี้”

ลู่ฝานอึ้งไปก่อน จากนั้นหัวเราะออกมา “ศิษย์พี่หานเฟิง วิธีนี้ไม่เลวนะ”

เสียงเหมือนเหล็กกล้า มีพลังอย่างรุนแรง

ลู่ฝานปล่อยปราณชี่ของตัวเองออกมา ปราณชี่พลุ่งพล่านเหมือนเปลวไฟ พลังฟ้าดินรอบๆ เริ่มปั่นป่วน พละกำลังแดนปราณในชั้นเจ็ด กลับปล่อยพลานุภาพเหมือนแดนปราณนอก

หุ่นทองสำริดทั้งสองตัวที่ยืนอยู่หน้าหอคอยขาว เหมือนสัมผัสอะไรได้ หันไปมองรอบๆ ทันที

จ้าวคั่วสัมผัสได้ถึงพลานุภาพกดดันจากลู่ฝาน สีหน้าเปลี่ยนไปทันที

“มาสู้กัน!”

ลู่ฝานปักกระบี่ลงไปบนพื้น เสียงดังปึง ปราณชี่อันแข็งแกร่งทำให้บนพื้นที่กระบี่หนักปักลงไปแตกร้าว จนเป็นรูกลม

จ้าวคั่วยังไม่ทันพูดอะไร จ้าวหลิงที่อยู่ข้างๆ ตะโกนขึ้นว่า

“พี่ จัดการเขา คนของคณะหนึ่งเดียวล้วนเป็นขยะ เขาสู้พี่ไม่ได้ จัดการเขาเลย”

เสียงตะโกนของจ้าวหลิง ทำให้จ้าวคั่วขมวดคิ้ว

ขยะงั้นเหรอ

เมื่อกี้คนที่ชื่อหานเฟิงเกือบเอาชีวิตเขาเลยนะ!

จ้าวคั่วไม่รู้จะพูดอย่างไร แต่ความยโสของเขา ทำให้เขาก้าวออกมา

หมัดกับฝ่ามือปะทะกัน พลังปราณบนตัวจ้าวคั่วพุ่งสูงขึ้นอีก ปราณสีขาวปกคลุมร่างกาย จ้าวคั่วเผยพลานุภาพของตัวเองเช่นกัน

พลานุภาพของทั้งสองคน ปะทะกันกลางอากาศ จู่ๆ ตัวของจ้าวคั่วโงนเงน

เป็นไปไม่ได้! พลานุภาพของอีกฝ่าย กดดันเขาได้

วินาทีต่อมา พลานุภาพของจ้าวคั่วโดนทำลายไปทั้งหมด พลานุภาพของลู่ฝานพุ่งเข้ามาเหมือนสายลมอันบ้าคลั่ง

ลู่ฝานที่กำลังโกรธ ไม่เหมือนลู่ฝานตอนปกติที่รู้ว่าต้องออมมือ เขาเปลี่ยนปราณชี่ของตัวเอง เป็นพลังปราณ 20 เท่า

แม้ภายนอกดูไม่แตกต่าง แต่ในความเป็นจริง ลู่ฝานกระตุ้นพลังฟ้าดินบริเวณรอบๆ ที่สามารถกระตุ้นได้ ให้กลายเป็นพลานุภาพ

แม้จ้าวคั่วเป็นนักบู๊แดนปราณนอก แต่ไม่สามารถเอาชนะพลานุภาพของลู่ฝานได้

พลานุภาพอันแข็งแกร่งกดดันบนตัวจ้าวคั่ว สำหรับนักบู๊ พลานุภาพคือเคล็ดวิชาบู๊ที่สามารถข่มขวัญคู่ต่อสู้ได้ ถ้าพลานุภาพโดนกดไว้ จะโดนบังคับให้ลงมือ หรือไม่ก็โดนยับยั้งพละกำลังไว้

จ้าวคั่วเพิ่งเคยโดนคนที่แดนต่ำกว่าตัวเอง ใช้พลานุภาพกดดันไว้

จ้าวคั่วแผดเสียงออกมา ในตามีเส้นเลือดซัดหมัดออกมาโจมตี

หมัดนี้แฝงด้วยคลื่นพลังปราณ พลังที่ออกไปเหมือนคลื่นน้ำแผ่ออกไปด้านหน้า

หมัดยังไม่ทันถึง พลังโจมตีลงบนตัวลู่ฝานแล้ว

ลู่ฝานพลิกมือ ฟันกระบี่ลงไป จัดการนักบู๊พลังบริสุทธิ์แบบนี้ ไม่ว่าจะเป็นกระบวนท่าหรือวิชากระบี่ ล้วนเป็นสิ่งไร้สาระ สิ่งที่ต้องทำเพียงอย่างเดียวคือ ใช้พลังที่แข็งแกร่งยิ่งกว่า ใช้วิธีที่ดุดันกว่า โจมตีกลับไป

กระบี่มังกรเหิน!

ลู่ฝานใช้กระบวนท่ากระบี่ที่แข็งแกร่งที่สุดของตัวเอง อย่างไม่เกรงใจสักนิด

พลังปราณ 20 เท่า แฝงไปด้วยการทะลุทะลวงบนกระบี่ พุ่งออกไปฆ่าทันที

กระบี่กับหมัดปะทะกัน เท้าของลู่ฝานเหยียบจนพื้นเป็นรอยยุบ ลึกลงไป

จ้าวคั่วเห็นพลังปราณของตัวเอง ถูกทำลายลงทีละนิด หมัดโดนพลังอันบ้าคลั่งทำลายจนผิวหนังแตก ความเจ็บปวดเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ตอนนี้ จ้าวคั่วระเบิดพลังออกมา เสียงเสือคำรามดังขึ้น กล้ามเนื้อของจ้าวคั่วใหญ่ขึ้น

แรงเสือเทพ!

ลู่ฝานสัมผัสได้ถึงพลังที่ส่งมาจากตัวกระบี่ เขาแผดเสียงออกมาเช่นกัน มีเปลวเพลิงพุ่งขึ้นมาบนตัว กายทองไฟอาบ!

ตู้ม!

พื้นใต้เท้าทั้งสองคนแตกละเอียด บนตัวลู่ฝานมีเกราะส่องแสงขึ้นเลือนราง แต่ส่องแสงเพียงครู่เดียวเท่านั้น

ทันใดนั้น จ้าวคั่วโดนฟัน แขนทั้งแขนโดนพลังอันแข็งแกร่งของกระบี่หนัก ทำให้กระดูกเคลื่อน

จ้าวคั่วถอยหลังไปหลายก้าว สีหน้ามีความตกตะลึง

พลังน่ากลัวขนาดนี้ อีกฝ่ายเป็นแค่นักบู๊แดนปราณในจริงเหรอ จ้าวคั่วสงสัยมากว่าลู่ฝานใช่คนของคณะหนึ่งเดียวหรือเปล่า พลังน่ากลัวขนาดนี้ บวกกับเปลวไฟร้อนระอุบนตัวลู่ฝาน เขาไม่ใช่นักเรียนของคณะกำแหงจริงๆ เหรอ

จ้าวคั่วบิดแขนตัวเองอย่างแรง กระดูกที่เคลื่อนออกมากลับเข้าไปยังตำแหน่งเดิม แต่หมัดที่โดนไฟเผาจนเกรียม ตอนนี้ไม่สามารถกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้

ลู่ฝานเดินเข้ามา ใช้กระบี่ฟันลงมาอีกครั้ง

กระบี่อัคคี!

กระบี่หนักสะบัดออกไป พร้อมเปลวเพลิงเป็นแถบ

จ้าวคั่วเคลื่อนไหวภายในขอบเขตเล็กๆ หลบกระบี่หนักของลู่ฝาน ขณะเดียวกัน ก็ปล่อยหมัดออกมาโจมตีด้วย

แขนทั้งแขนกลายเป็นสีดำ พลังหมัดของจ้าวคั่วไม่ธรรมดา

แต่ลู่ฝานไม่มีท่าทีจะหลบ ยอมให้จ้าวคั่วซัดหมัดมาหาเขา

เกิดเสียงดังพลั่ก ตัวลู่ฝานเซเล็กน้อย แต่ก็แค่เท่านั้น

ลู่ฝานคว้าแขนจ้าวคั่วเอาไว้ แววตาเต็มไปด้วยความเย็นชา ทำให้จ้าวคั่วหรี่ตาลง

จากนั้นพลังอันน่ากลัว ส่งผ่านมือลู่ฝาน เข้าไปในแขนของเขา และพุ่งไปบนหัว

พลังวิญญาณ จู่โจมวิญญาณ!

ลู่ฝานใช้พลังวิญญาณของเพลงเต๋าหนึ่งเดียว จ้าวคั่วที่ไม่ได้ตั้งตัว โดนโจมตีเต็มๆ ยืนช็อกอยู่ที่เดิม พลังปราณบนตัวเขาไม่สามารถต้านทานพลังวิญญาณอันน่ากลัวได้แม้แต่น้อย เมื่อโดนพลังวิญญาณโจมตีสมอง จ้าวคั่วจะสูญเสียพลังป้องกัน

ลู่ฝานจับแขนจ้าวคั่ว ยกเขาขึ้นมาเหมือนท่อนไม้

ร่างที่เหมือนเนินเขาเล็กๆ ของจ้าวคั่ว โดนลู่ฝานกระแทกลงบนพื้นข้างๆ อย่างแรง เสียงกระแทกดังสนั่น จนเศษหินแตกกระจายไปทั่ว

หนึ่งที สองที สิบที

ลู่ฝานกระแทกจ้าวคั่วไปมาอย่างแรง ครั้งสุดท้าย เขาขว้างจ้าวคั่วไปกลางอากาศ

จากนั้นลู่ฝานเด้งตัวขึ้นไป พลังฟ้าดินอันรุนแรงรวมตัวเข้ามาในตัวลู่ฝานอย่างต่อเนื่อง จากนั้นโดนลู่ฝานแปรเปลี่ยนเป็นพลังปราณอันแข็งแกร่ง

ลู่ฝานที่ดุดัน เริ่มตระหนักได้ มีภาพที่เขาเห็นตอนทำความเข้าใจกระบี่หนักไม่คม ผุดขึ้นมาในหัว

การฟาดฟันอันดุดัน!

จ้าวคั่วถอยหลังไปหลายก้าว เขาคิดไม่ถึงว่า ร่างกายอันแข็งแกร่งของเขา จะโดนเตะจนบาดเจ็บได้

จ้าวคั่วก้มลงมองบาดแผลตัวเอง แววตาเปลี่ยนไปเล็กน้อย สีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา

หานเฟิงยืนหอบหายใจอยู่ที่เดิม ให้ตายเถอะ เตะไปขนาดนั้น แต่กลับทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บเล็กน้อย นักบู๊ของคณะกำแหงเป็นพวกกล้ามเนื้อแข็งแกร่งจริงๆ

“นายทำร้ายฉันได้ ฉันประเมินนายต่ำไป บอกชื่อนายมา ฉันไม่ทำร้ายคนไร้นาม”

จ้าวคั่วพูดอย่างจริงจัง

หานเฟิงก่นด่าออกมาว่า “ทำเป็นเสแสร้ง ทำร้ายฉันมาตั้งนาน ยังมาบอกว่าไม่ทำร้ายคนไร้นาม ฉันหานเฟิงแห่งคณะหนึ่งเดียว จำเอาไว้ให้ดี”

หานเฟิงด่าอย่างไม่เกรงใจ ทำให้จ้าวคั่วสีหน้าบูดเบี้ยว

นักเรียนคนอื่นพากันช็อก ใช้พละกำลังแดนปราณในทำร้ายแดนปราณนอกอย่างจ้าวคั่วได้ พละกำลังนี้ ไม่ได้ด้อยเลย!

“หานเฟิงใช่ไหม ฉันจะดึงลิ้นนายออกมาให้ได้ ไอ้เลวสมควรตาย”

พูดพลาง จ้าวคั่วปล่อยพลังปราณออกมา พลังปราณสีขาวหนึ่งชั้นเหมือนเครื่องแต่งกายนักบู๊อยู่บนตัวจ้าวคั่ว

เครื่องแต่งกายอันแข็งแกร่ง ทำให้จ้าวคั่วดูดุดันเป็นอย่างมาก

จ้าวคั่วยกหมัดขึ้นมา ซัดหมัดโจมตีหานเฟิงกลางอากาศ

“แรงพยัคฆ์ร้าย!”

ความเคลื่อนไหวในอากาศห่างออกไปเป็นสามสิบเมตร พลังของจ้าวคั่วโดนบนตัวหานเฟิง

เสียงดังอึกทึก หานเฟิงกระเด็นออกไปสองฟุต

จ้าวคั่วก้าวออกมา ฝ่าเท้าทำให้พื้นเป็นหลุมลึกขนาดใหญ่ จากนั้นกระแทกหมัดออกไปอีก

“เสือบำราบป่า!”

พลังปราณทั้งตัวปลดปล่อยออกมา เสือขาวพุ่งออกไปด้วยเสียงคำรามที่ดังก้องไปทั่วป่า มันกระแทกเข้ากับร่างกายของหานเฟิง

หานเฟิงกัดฟันยืนหยัด ฝืนไม่ให้ล้มลง

รอบฝ่ามือแตกออก เสื้อโดนลมพัดจนเสียงดังพึ่บพั่บ

ทันใดนั้น พลังปราณเสือขาวระเบิดออกมา

เสียงดังตู้ม หานเฟิงล้มลงกับพื้น เปลือกตาลู่ฝานกระตุกอย่างแรง พุ่งออกไปประคองหานเฟิง และเอายายาจิตนิ่งออกมาจากเอว ป้อนให้หานเฟิง เป็นยาเม็ดระดับสี่ ยังไงก็มีประสิทธิภาพรักษาบาดแผลด้วย

คนรอบๆ พากันอึ้ง สายตาพวกเขาไม่ได้จ้องไปที่หานเฟิง แต่จ้องไปที่จ้าวคั่ว

เลือดไหลลงจากหน้าผากจ้าวคั่ว กระบี่ฟ้าครามด้านหลังเขาส่งเสียงคำราม ปักอยู่บนแผ่นหิน อีกแค่นิดเดียว เขาเกือบโดนกระบี่ฟ้าครามแทงหัว จ้าวคั่วหันไปมองกระบี่ด้านหลัง เหงื่อไหลลงจากหน้าผาก

ตอนเสือขาวระเบิดออกมา หานเฟิงขว้างกระบี่ออกไป

ไม่มีใครเห็นเส้นทางของกระบี่ เห็นเพียงรอยกระบี่บนหน้าผากจ้าวคั่ว

“ไอ้เด็กนี่……”

จ้าวคั่วก่นด่าอะไรไม่ออก เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายยังออมมือไว้ ถ้าต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตาย เขาต้องตายแน่นอน

นักเรียนข้างๆ พากันกลืนน้ำลาย คนที่ชื่อหานเฟิง มีความสามารถจริงๆ

จ้าวคั่วหน้าเปลี่ยนสี จัดการไอ้เด็กแดนปราณในเพียงคนเดียว ทำให้ตัวเองเกือบตาย เขาอับอายเป็นอย่างมาก หันไปดึงจ้าวหลิง เตรียมจะเดินออกไป

แต่ขณะนั้น มีเสียงดังขึ้นด้านหลัง

“ทำร้ายคนอื่น แล้วจะหนีไปอย่างนั้นเหรอ”

จ้าวคั่วหันมา เห็นใบหน้าโมโหของลู่ฝาน ขณะเดียวกัน จ้าวคั่วสัมผัสได้ถึงพลานุภาพอันแหลมคม ราวกับอาวุธวิเศษ

“งั้นนายจะเอายังไง”

จ้าวคั่วพูดอย่างเย็นชา

ลู่ฝานดึงกระบี่หนักด้านหลังออกมา พูดด้วยสีหน้าโมโหว่า “นายกล้าทำร้ายศิษย์พี่ฉัน เท่ากับรนหาที่ตาย”

เกิดความโกลาหลอลหม่าน นักเรียนบริเวณรอบๆ พากันอ้าปากค้าง

อาจเป็นเพราะสิ่งที่จ้าวหลิงตะโกนออกมา น่าตกใจมาก ดังนั้นสายตาทุกคน จึงฉายแววแปลกประหลาด

รังแกงั้นเหรอ รังแกยังไงล่ะ

ทันใดนั้น คนจำนวนมากมีความคิดหลายอย่างผุดขึ้นมาอย่างไม่ขาดสาย

สีหน้าจ้าวคั่วก็เปลี่ยนไปทันที มองตามที่จ้าวหลิงชี้ไป จ้องหานเฟิงเขม็ง

“นายกล้ารังแกน้องสาวฉัน”

จ้าวคั่วเดินเข้ามา มองหานเฟิงอย่างเหนือกว่า กำมือจนเกิดเสียงดังขึ้น

หานเฟิงอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นพูดเสียงดังว่า “ให้ตายเถอะ การแข่งขันปกติ มีข้อกำหนดแพ้ชนะ ฉันจะรังแกเธอได้ยังไง ฉันเป็นคนมีเกียรติน่านับถือเชียวนะ”

พูดพลาง หานเฟิงสะบัดผม มั่นใจเป็นอย่างมาก

แต่เห็นได้ชัดว่าไม้นี้ ใช้ไม่ได้สักนิด เมื่ออยู่ต่อหน้าจ้าวคั่ว

จ้าวคั่วพูดด้วยเสียงมีพลัง “ฉันเกลียดการพูดทฤษฎีกับคนที่สุด นายรังแกน้องสาวฉัน เท่ากับรนหาที่ตาย”

ไม่รอให้พูด จ้าวคั่วกระแทกหมัดออกมาทันที

ถือว่าปฏิกิริยาของหานเฟิงรวดเร็วมาก เอากระบี่ฟ้าครามออกมา กันไว้ด้านหน้าทันที

เสียงดังชัดเจน ทันใดนั้น กระบี่ฟ้าครามของหานเฟิงโค้งจนน่ากลัว หานเฟิงถอยหลังไปหลายก้าว ร่างกายโงนเงน ใบหน้าแดงก่ำ เลือดลมพลุ่งพล่าน

“ให้ตายเถอะ นายไม่มีเหตุผลงั้นเหรอ งั้นฉันไม่พูดด้วยเหตุผลแล้ว”

หานเฟิงถือกระบี่พุ่งเข้าไป ปล่อยพลังปราณออกมา กระบี่ฟ้าครามมีแสงขึ้นมาบางๆ

จ้าวคั่วหัวเราะเย็นชา “เด็กน้อยที่ยังฝึกไม่ถึงแดนปราณนอก กล้ามาอวดดีต่อหน้าฉัน”

กระแทกหมัดออกมาโจมตีอีกครั้ง พลังปราณพุ่งขึ้นมา แขนถูกปกคลุมไปด้วยสีดำทั้งแขน เสียงคำรามดังขึ้นชัดเจน

ลู่ฝานแอบพูดว่าไม่ดีแล้ว พลังของหมัดนี้ กลัวว่าศิษย์พี่หานเฟิงจะต้านทานไม่ได้

แต่ขณะที่เขากำลังจะลงมือ หุ่นทองสำริดข้างๆ ทั้งสองตัว เอาหอกยาวสองเล่มปักไว้ตรงหน้าเขา ขวางไม่ให้เขาเดิน

“การแข่งขันของนักบู๊ คนนอกห้ามก้าวก่าย”

หุ่นทองสำริดทั้งสองตัวพูดด้วยเสียงเย็นชา พลังอันแข็งแกร่งทำให้พื้นสะเทือนจนพังทลาย ลู่ฝานจำเป็นต้องถอยไปด้านหลังหนึ่งก้าว แอบกัดฟันเบาๆ

กระบี่ของหานเฟิงฟันลงบนหมัดของจ้าวคั่วอย่างแม่นยำ

ทั้งสองฝ่ายปะทะกัน ประกายไฟกระเด็นออกมาจากจุดที่ปะทะกัน

ร่างกายของหานเฟิงโดนขวางไว้ทันที ฝ่าเท้ายุบลงไปในพื้นดิน

เสียงลมพัดแขนเสื้อหานเฟิงจนปลิว สีหน้าบิดเบี้ยว

จ้าวคั่วแผดเสียงออกมาเบาๆ พลังปราณบนหมัดระเบิดออกมา

หมัดระเบิด!

หานเฟิงโดนระเบิดกระเด็นออกไป กระแทกลงกับพื้นอย่างแรง

จ้าวคั่วก้าวขึ้นมา พูดอย่างเย็นชาว่า “พละกำลังแค่นี้ กล้ารังแกน้องสาวฉัน ตลกสิ้นดี!”

จ้าวคั่วซัดหานเฟิงจนล้มลงกับพื้นด้วยหมัดเดียว

คนจำนวนไม่น้อยที่อยู่ข้างๆ ทนดูไม่ได้แล้ว ใช้แดนปราณในชั้นเจ็ด ต่อกรกับแดนปราณนอกขั้นสามอย่างจ้าวคั่ว มีเพียงคำว่าน่าเวทนาเท่านั้น

ในคณะกำแหง มีใครไม่รู้จักเสือดำจ้าวคั่วบ้าง

หมัดกำลังจะโจมตีเข้ามา พลังอันรุนแรงปะทะหน้าหานเฟิงจนรู้สึกเจ็บ

หานเฟิงเด้งตัวขึ้นมา หลบหมัดของจ้าวคั่วได้อย่างหวุดหวิด ขณะเดียวกัน ก็เตะออกไป

เตะนี้ไร้สุ้มเสียงและธรรมดา แต่กลับทำให้รู้สึกใจเต้นเร็วด้วยความหวาดกลัว

ลู่ฝานหรี่ตาลง เขารู้ว่านี่คือวิชาเท้าของศิษย์ที่แปรเปลี่ยนมาของพี่หานเฟิง วิชาเท้าที่มีแรงทำลายของเคล็ดวิชาบู๊ระดับดิน

จ้าวคั่วไม่ได้หลบ เหมือนกับดูหมิ่นการเตะของหานเฟิง

นักเรียนของคณะกำแหงล้วนยึดการฝึกร่างเป็นหลัก ไม่มีคนไหนที่ร่างกายไม่แข็งแกร่งเหมือนสัตว์ป่า แค่เตะเดียว ไม่ควรค่าให้พูดถึง

เกิดเสียงดังสวบ

สีหน้าจ้าวคั่วเปลี่ยนไปทันที เลือดสีแดงสาดกระเซ็น ตรงหน้าอกจ้าวคั่วเกิดรอยแผลที่เหมือนรอยแผลจากกระบี่

ออกมาจากอาคารไม้ไผ่ ทั้งสามคนเดินออกจากถนนกว้าง ไปยังมุมตะวันตกเฉียงใต้ของเขาวิพากษ์

หอคอยฝึกฝน คือหอคอยสีขาว ที่ลู่ฝานเห็นตอนขึ้นเขา หอคอยสีขาวตั้งตระหง่าน เดินออกมา สามารถเห็นได้อย่างชัดเจน ไม่ต้องกลัวว่าจะหลงทาง

ทั้งสามคนรวดเร็วมาก สิ่งที่ทำให้ลู่ฝานตกใจเล็กน้อย หลิงเหยาตามพวกเขาทัน อีกทั้งยังดูเหมือนทำได้แบบสบายๆ

เมื่อเห็นดังนั้น ลู่ฝานกับหานเฟิง เพิ่มความเร็วการเคลื่อนไหวเข้าไปอีก

หลังผ่านไปครึ่งชั่วยาม ทั้งสามคนมาถึงหน้าหอคอย หอคอยสีขาวขนาดใหญ่ ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางเมฆหมอก มองแวบเดียว ไม่สามารถมองเห็นได้ทั้งหมด

เมื่อเข้ามาใกล้ ยิ่งรู้สึกว่าหอคอยสีขาวไม่ธรรมดา แสงสลัวริบหรี่บนท้องฟ้า เสียงระฆังทองดัง ทำให้จิตใจสงบลงทันที

ข้างหน้าหอคอยสีขาว เป็นลานกว้าง มีคนอยู่เต็มไปหมด

“เฮ้อ ทำไมคนที่อยู่ในรายชื่อบู๊ ถึงได้เข้าไปล่ะ ปกติต้องผ่านการทดสอบ ถึงจะเข้าไปได้ไม่ใช่เหรอ”

“ไม่ได้ยินหรือไง ช่วงนี้ในหอคอยฝึกฝน มีวิชาอันแกร่งกล้า เป็นสิ่งที่ท่านผอ.ใส่เข้าไป เพื่อยกระดับความสามารถของทุกคน คนในรายชื่อบู๊มีสิทธิพิเศษ สามารถเข้าไปก่อนได้หนึ่งครั้ง ส่วนเราไม่ได้ ต้องผ่านการทดสอบบ้าบออะไรนี่ก่อน”

“ใครใช้ให้คนในรายชื่อบู๊เก่งกันล่ะ”

“บ่นอยู่ได้ มีปัญญา นายก็เข้าไปอยู่ในรายชื่อบู๊สิ”

……

คนกลุ่มหนึ่งถกเถียงกัน หานเฟิงดึงลู่ฝาน เดินเบียดเข้าไปในนั้น

“หลีกไป หลีกไป ยอดฝีมือในรายชื่อบู๊มาแล้ว หลีกไปให้หมด ฉันจะเข้าหอคอยฝึกฝนแล้ว”

หานเฟิงไม่รู้เลยว่าการถ่อมตัวคืออะไร พูดเสียงดัง น้ำลายกระเด็นไปไกล ทันใดนั้น กลุ่มคนหลีกทางให้เขาทันที

หลิงเหยาก้มหน้า เดินตามอยู่ไกลๆ ทำเหมือนไม่รู้จักหานเฟิงกับลู่ฝาน

ลู่ฝานก็ทำเช่นนี้เหมือนกัน แต่ศิษย์พี่หานเฟิงเอาแต่เกี่ยวแขนเขาไว้ ไม่ให้เขาได้หนีเลย สิ่งที่ลู่ฝานทำได้เพียงอย่างเดียว คือแสร้งทำเป็นดูวิว

“นี่ใคร โวยวายอะไร”

“พวกเขาเป็นคนในรายชื่อบู๊เหรอ”

……

คนทั้งสองด้าน มองหานเฟิงกับลู่ฝาน อย่างสงสัย

หานเฟิงดึงลู่ฝานมาหน้าประตู

หุ่นทองสัมฤทธิ์ขนาดใหญ่สองตัว วางอยู่หน้าประตู สูงเก้าเมตรกว่า สีหน้าดุดัน ถือหอกเก่าๆ อยู่ในมือ

หานเฟิงกำลังจะเดินเข้าไปในประตู หอกของหุ่นทองสัมฤทธิ์ทั้งสองตัว ขวางประตูเอาไว้ เสียงทุ้มต่ำสองเสียง ดังขึ้นมาว่า

“ไม่ได้อยู่ในรายชื่อบู๊ เข้าไปไม่ได้ บอกชื่อมา”

หานเฟิงตะโกนว่า “หานเฟิง ลู่ฝาน คณะหนึ่งเดียว”

มีแสงสีแดง ออกมาจากดวงตาของหุ่นทองสัมฤทธิ์ทั้งสองตัว หลังกะพริบอยู่ครู่หนึ่ง ก็พูดพร้อมกันว่า “ไม่มีชื่อนี้ในรายชื่อบู๊ เข้าไปไม่ได้”

หานเฟิงตะโกนออกมาว่า “ศิษย์น้องของฉัน เอาชนะยอดฝีมือในรายชื่อบู๊ได้ ทำไมจะเข้าไปไม่ได้”

หุ่นทองสัมฤทธิ์ทั้งสองตัว พูดว่า “ชื่อของพวกนายไม่อยู่ในรายชื่อบู๊ ไม่มีสิทธิพิเศษที่จะเข้าไปได้ พวกนายสามารถผ่านการทดสอบ แล้วเข้าไปข้างในได้”

พวกนักเรียนด้านนอก พากันหัวเราะออกมา

“ที่แท้คนปัญญาอ่อนสองคนนี่เอง ฉันนึกว่าเป็นยอดฝีมือในรายชื่อบู๊จริงๆ ซะอีก”

“นักเรียนคณะหนึ่งเดียว อย่ามาตลก คนของคณะหนึ่งเดียวเคยอยู่ในรายชื่อบู๊ ตั้งแต่เมื่อไร”

“พวกเลวน่ะสิ พวกนายสองคนยืนตรงนี้ ขวางตาชะมัด อย่ามาขวางทางคนอื่น”

“พวกนายเลือกทดสอบเหรอ ฮ่าๆ พวกนายคงไม่รู้ว่าการทดสอบ คือการสู้กับองครักษ์ทองสัมฤทธิ์สองตัวนี้สินะ เอาชนะพวกเขาได้ พวกนายถึงจะเข้าไปได้”

……

ลู่ฝานไม่คิดอะไร กับเสียงหัวเราะของทุกคน การเยาะเย้ยแบบนี้ เขาได้ยินมาหลายสิบปีแล้ว คำพูดไม่น่าฟังกว่านี้เป็นสิบเท่า เขายังอดทนมาได้ จึงไม่ได้คิดอะไร

หานเฟิงก่นด่าไม่หยุด ถกแขนเสื้อขึ้น แล้วพูดว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน เราสู้กับสองตัวนี้ไหม ให้ตายเถอะ ปีก่อนฉันสู้สองตัวนี้ไม่ได้ ปีนี้มีนายช่วย ฉันรู้สึกมั่นใจ”

ลู่ฝานรู้สึกเชื่อไม่ค่อยได้ จึงถามศิษย์พี่หานเฟิงเบาๆ “หุ่นสองตัวนี้พละกำลังเป็นไง”

หานเฟิงคิดแล้วพูดว่า “น่าจะประมาณปราณนอกขั้น 6-7 ร่วมมือกันสองตัว ก็ประมาณปราณนอกขั้น 8-9”

ลู่ฝานอ้าปากค้าง คิดในใจว่า ยังดีที่ไม่รีบลงมือ

พละกำลังปราณนอกขั้น 8-9 ถึงเขาใช้พลังทั้งหมด ก็คงสู้ไม่ได้ หนีคงไม่เป็นปัญหาอะไร แต่ถ้าสู้ คงเป็นไปไม่ได้ ถึงมีศิษย์พี่หานเฟิงก็เถอะ!

ขณะที่ลู่ฝานกำลังครุ่นคิด จู่ๆ เสียงหัวเราะของทุกคนเบาลง มีเสียงตกใจดังขึ้น

“ศิษย์พี่จ้าวคั่วแห่งคณะกำแหงมาแล้ว”

“เป็นศิษย์พี่จ้าวคั่วจริงๆ เขาก็มาที่เขาวิพากษ์เหรอ”

“ศิษย์พี่จ้าวคั่วเป็นยอดฝีมือ อันดับที่ 35 ในรายชื่อบู๊เชียวนะ”

ลู่ฝานกับหานเฟิงหันไปมอง เห็นผู้ชายร่างกายกำยำ เดินเข้ามา

ร่างกายกำยำล่ำสัน รูปร่างสูงใหญ่ คงไม่สามารถอธิบายผู้ชายคนนี้ได้ กล้ามเนื้อเหมือนหิน หนวดเคราเต็มหน้า ดวงตาโต สูงประมาณสองเมตร เมื่อยืนต่อหน้าทุกคน ความสูงห่างกันเหมือนเด็กกับผู้ใหญ่

ชุดนักบู๊สีดำทั้งตัว เผยแผงอกกว้าง เห็นกล้ามเนื้อแข็งแกร่งอย่างชัดเจน

ทุกก้าวที่เดินเข้ามา จะมีเสียงอึกทึก มีพลังที่เหมือนระเบิดในร่างกาย

ยังมีผู้หญิงหนึ่งคน เดินอยู่ข้างจ้าวคั่ว ลู่ฝานรู้สึกคุ้นตาผู้หญิงคนนี้มาก

ทันใดนั้น ลู่ฝานนึกออก จ้าวหลิงแห่งคณะบังเหินไม่ใช่เหรอ!

ความคิดไม่ค่อยดี ผุดขึ้นมาในหัวลู่ฝาน ตอนนี้หานเฟิงหันมาเช่นกัน

เมื่อเห็นหน้าหานเฟิง จ้าวหลิงที่อยู่ด้านหลังจ้าวคั่ว ชะงักฝีเท้าลง ชี้หานเฟิงแล้วพูดว่า “คิดไม่ถึงว่านายอยู่ที่นี่ด้วย”

จ้าวคั่วชะงักฝีเท้าลง หันไปมองจ้าวหลิง แล้วพูดว่า “เกิดอะไรขึ้น”

จ้าวหลิงตะโกนออกมาเสียงดัง “พี่ เขารังแกฉัน ไอ้เลวนี่แหละ!”

หานเฟิงหยิบกระดาษขึ้นมา กระดาษบางๆ แผ่นเดียว ตั้งแต่บนลงล่าง เต็มไปด้วยชื่อคน เยอะประมาณห้าสิบคน

หลิงเหยาพูดว่า “ฉันต้องจ่ายหนึ่งเหรียญทองเพื่อซื้อข้อมูลนี้มาเลยนะ”

หลิงเหยาดูได้ใจเป็นอย่างมาก ราวกับว่าใช้หนึ่งเหรียญทองซื้อกระดาษแผ่นเดียว เป็นเรื่องที่ได้กำไรมหาศาล

หานเฟิงพูดอย่างตกใจ “รายชื่อบู๊ปีนี้ ออกมาเร็วขนาดนี้เลยเหรอ มันออกมาก่อนต่อสู้จัดอันดับของสถาบัน ไม่กี่วันไม่ใช่เหรอ ใครมันเก่ง ถึงขั้นที่รู้พละกำลังของนักบู๊ ในเก้าคณะใหญ่ทั้งหมด หลอกคนหรือเปล่า ไหนดูสิว่านักบู๊คณะหนึ่งเดียวของฉัน มีรายชื่อกี่คน”

หานเฟิงดูตั้งแต่บนลงล่าง มองตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่มีชื่อคนของคณะหนึ่งเดียวสักคน

“ไอ้ฉิบหาย คณะหนึ่งเดียวของเรา ไม่ติดห้าสิบอันดับแรกสักคน”

หานเฟิงตบกระดาษลงบนโต๊ะ

ลู่ฝานถามอย่างสงสัย “รายชื่อบู๊คืออะไร”

หานเฟิงอธิบายว่า “คือนักเรียนห้าสิบอันดับแรก ของสถาบันสอนวิชาบู๊ พวกนักพนันทำออกมาเป็นรายชื่อ แค่เป็นการอ้างอิงเท่านั้น เช่นนักบู๊แบบฉัน ไม่อยู่ในรายชื่อ ก็รู้แล้วว่าเชื่อไม่ได้แค่ไหน ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้หรอก”

หลิงเหยาขมวดคิ้ว “ทำไมถึงใช้ประโยชน์ไม่ได้ล่ะ แค่ได้อยู่ในรายชื่อบู๊ จะมีรายชื่ออยู่ได้สามเดือน คณะจะให้รางวัลเยอะด้วย”

หานเฟิงยิ้มแล้วพูดว่า “นั่นมันคณะสงบใจของเธอ คณะหนึ่งเดียวอย่างเรา อยู่ในรายชื่อก็เหมือนไม่ได้อยู่ ไม่มีรางวัลบ้าบออะไรทั้งนั้น ฉันไม่พยายามขนาดนั้นหรอก วันๆ ต้องมากังวลว่า จะมีคนมาแย่งอันดับไหม น่าเบื่อ”

ลู่ฝานเอากระดาษขึ้นมาดู รายชื่อคนส่วนใหญ่ เขาไม่รู้จัก แต่มีสองคนที่เขารู้จัก

“เหลิ่งหานแห่งคณะหยินหยาง อันดับที่ 42 การประเมิน วิชากระบี่เหมือนสายลม หลินฉีแห่งคณะบังเหิน อันดับที่ 50 การประเมิน ใกล้ถึงระดับปราณนอก”

หานเฟิงยิ้มแล้วพูดว่า “ขนาดเหลิ่งหานยังอยู่ในอับดับที่ 42 งั้นถ้าฉันแสดงพลังที่แท้จริงออกมา คงอยู่ใน 30 อันดับแรกได้ ส่วนศิษย์น้องลู่ฝาน อย่างน้อยต้องอยู่ใน 20 อันดับแรก”

หลิงเหยาตาเป็นประกาย “จริงเหรอ งั้นพวกนายต้องลองดูหน่อยแล้ว ปีนี้คนที่มีรายชื่อบู๊ จะได้โอกาสขึ้นไปบนหอคอยฝึกฝนหนึ่งครั้ง”

“อะไรนะ!”

หานเฟิงลุกขึ้นทันที จนโต๊ะเกือบคว่ำ

ลู่ฝานขมวดคิ้ว “ศิษย์พี่หานเฟิง เลิกอาการตกใจแบบนี้ได้ไหม พี่เป็นแบบนี้ ถ้ามีผู้หญิงมาชอบ คงแปลกมาก”

หน้าด้านๆ ของหานเฟิง แดงขึ้นมาเล็กน้อย แต่แดงเพียงครู่เดียวเท่านั้น

หานเฟิงหัวเราะคิกคัก ถูมือไปมา แล้วพูดว่า “ศิษย์น้องหลิงเหยา เธอพูดจริงเหรอ 50 คนแรก ขึ้นไปบนหอคอยฝึกฝนได้เหรอ”

หลิงเหยาพูดว่า “เหมือนได้ยินศิษย์พี่อื่นพูดว่าใช่นะ”

หานเฟิงหันไปมองลู่ฝาน “ศิษย์น้องลู่ฝาน ไปกันเถอะ เราไปกันเถอะ หอคอยฝึกฝนเลยนะ สถานที่ดีเลยล่ะ”

พูดพลาง หานเฟิงเตรียมจะเกี่ยวแขนลู่ฝานไป

ลู่ฝานขมวดคิ้ว “ศิษย์พี่หานเฟิง เราไม่ได้อยู่ในรายชื่อบู๊ ไปแล้วได้อะไร”

หานเฟิงพูดว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน นายเอาชนะหลินฉีได้ไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงไม่อยู่ในรายชื่อล่ะ”

หลิงเหยามองลู่ฝานอย่างตกใจ “ลู่ฝาน นายเคยสู้กับคนในรายชื่อบู๊เหรอ หลินฉีงั้นเหรอ ขอฉันดูแป๊บ อันดับที่ 50 นายชนะเขาเหรอ”

หลิงเหยากะพริบตา มองลู่ฝานอย่างสงสัย

ลู่ฝานพยักหน้าเบาๆ แล้วพูดว่า “ฉันเอาชนะเขาได้ครั้งนึง”

ไม่งั้น ศิษย์น้องลู่ฝาน คงอยู่ในรายชื่อไปแล้ว เด็กพวกนี้เป็นเด็กจริงๆ รีบไปกันเถอะ ศิษย์น้องลู่ฝาน ฉันใจร้อนแทบตายแล้ว นายรู้ไหมว่าหอคอยฝึกฝน เอาไว้ทำอะไร เป็นคลังเคล็ดวิชาบู๊เลยนะ เป็นคลังเคล็ดวิชาบู๊อย่างแท้จริง แค่ไปทดสอบ ก็จะได้ทักษะเคล็ดวิชาบู๊ ไม่มีข้อจำกัด ถ้าได้แล้ว สามารถใช้ได้ ฝึกสำเร็จ สามารถออกมาซัดคนได้ เมื่อซัดคนเสร็จ จะดึงดูดศิษย์น้องคนสวยด้วย

ดวงตาหานเฟิงเป็นสีแดง

หลิงเหยารีบถามว่า “ดึงดูดศิษย์น้องได้ จะได้อะไร”

ลู่ฝานรีบตัดบทคำถามของหลิงเหยา เขากลัวว่าศิษย์พี่หานเฟิง จะหลุดพูดเกี่ยวกับ “ความสัมพันธ์ลึกซึ้งของชายหญิง” ออกมา เขาลุกขึ้นยืน “ไปกันเถอะ ศิษย์พี่หานเฟิง เราไปตอนนี้เลย หลิงเหยา เธอไปด้วยไหม”

หลิงเหยาพูดว่า “ไปด้วยอยู่แล้ว ถ้าพวกนายเข้าไปหอคอยฝึกฝนได้จริง อย่าลืมเอาเคล็ดวิชาบู๊ให้ฉันสักเล่มนะ”

หานเฟิงหัวเราะ แล้วพูดว่า “ไม่มีปัญหา ศิษย์น้องลู่ฝาน ฝากด้วยนะ ฉันเชื่อใจนาย”

ลู่ฝานสีหน้าอึมครึม มองศิษย์พี่หานเฟิงอย่างเหนื่อยใจ

อาคารไม้ไผ่ ในห้องที่ดูสูงส่งงดงาม สายลมพัดผ่าน

หานเฟิงคีบเนื้อปลาเข้าปาก

“สบายใจมาก ศิษย์พี่ใหญ่ไม่มา ถือว่าเขาขาดทุนมาก ที่ไม่ได้กินของอร่อยแบบนี้ ฮ่าๆๆ ฉันไม่ห่อกลับไปให้เขาหรอกนะ”

หานเฟิงพูดพลาง ก็เริ่มกินเหมือนพายุ ท่าทางการกินของเขาทุเรศมาก ทำให้หลิงเหยา ที่นั่งอยู่ข้างๆ ขมวดคิ้วขึ้นมาเบาๆ

ลู่ฝานกระแอมหนึ่งที แล้วพูดกับหานเฟิงว่า “ศิษย์พี่หานเฟิง พี่กินแบบนี้ในคณะได้นะ แต่ตอนนี้ควรเป็นผู้ดีสักหน่อย”

หานเฟิงชะงักไป เช็ดเม็ดข้าวที่ปาก แล้วพูดว่า “ทำไมล่ะ ศิษย์น้องหลิงเหยา เธอคงยังไม่รู้ ในคณะหนึ่งเดียวของเรา คนที่กินช้า ต้องหิวโหย เห็นว่าตอนนี้ศิษย์น้องลู่ฝาน ดูเป็นผู้ดี อันที่จริง กินข้าวเร็วกว่าใครในคณะ ฉันยังแย่งเขาไม่ทันเลย”

ลู่ฝานสีหน้าเหยเก แต่หลิงเหยากลับหัวเราะอย่างมีความสุข “งั้นเหรอ คณะพวกนาย น่าสนใจขนาดนี้ คณะสงบใจของเราน่าเบื่อไปเลย อยู่ในลานขนาดใหญ่ เพียงคนเดียว ของกินเป็นของที่คนทำเสร็จแล้วส่งมาให้ ปกติฉันไม่ค่อยได้ออกไปไหนเท่าไร พวกนายทำอาหารกันเองเหรอ”

หานเฟิงพูดว่า “เดิมทีเป็นอย่างนั้น แต่ตอนนี้เจ้าดำทำแล้ว อ้อ เจ้าดำเป็นสัตว์อสูรของลู่ฝาน”

หลิงเหยาพูดอย่างตกใจ “สัตว์อสูรทำอาหารเหรอ”

อาหารที่เจ้าดำทำ อร่อยมาก แม้เทียบไม่ได้กับที่นี่ แต่รสชาติไม่เลวเหมือนกัน ถ้ามีโอกาส เธอไปเดินเล่นที่คณะหนึ่งเดียวของเราได้นะ ลู่ฝาน

ลู่ฝานถอนหายใจอย่างเหนื่อยใจ เขาขี้เกียจบอกให้หานเฟิง เอาผักที่ติดฟันออก หันไปสั่งอาหารอีกสองสามอย่าง

หลิงเหยาตาเป็นประกาย “งั้นฉันต้องไปดูสักหน่อยแล้ว ใช่สิ พวกนายจะเข้าร่วมการต่อสู้จัดอันดับของสถาบันไหม”

ลู่ฝานพยักหน้า “ว่าจะเข้าร่วมนะ”

หลิงเหยายิ้มแล้วพูดว่า “ดีมากเลย ฉันเข้าร่วมเหมือนกัน ถึงตอนนั้น เราจะได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน พวกนายเก่งขนาดนี้ ต้องชี้แนะฉันอย่างเต็มที่แน่นอน”

หลิงเหยากะพริบตา ทำให้หานเฟิงชะงักไป

หานเฟิงหัวเราะออกมา “ได้เลยๆ ฉันว่าเธอให้ศิษย์น้องลู่ฝาน ชี้แนะให้เธอแบบตัวต่อตัว ก็พอแล้ว ทางที่ดีชี้แนะ จนมีลูกออกมา……ฮ่าๆ ฉันไม่ได้พูดอะไรเลยนะ”

ลู่ฝานอยากบีบคอหานเฟิงจริงๆ ทำไมไอ้หมอนี่ ชอบพูดนอกเรื่องตลอดเลย

เห็นความอาฆาตในแววตาลู่ฝาน หานเฟิงหุบปากอย่างรู้งาน ลู่ฝานรีบพูดเปลี่ยนเรื่อง “ศิษย์พี่หานเฟิง ผมว่าพลังปราณของเหลิ่งหานไม่ด้อยเลยนะ พี่เตะเขาจนปลิวได้ยังไง”

หานเฟิงรีบบอกให้พูดเบาๆ “เรื่องนี้เหรอ ฉันพูดความจริงเลยนะ ฉันแหกกฎนิดหน่อย แม้ฉันใช้เท้า แต่ฉันใช้วิชานั้นออกมา ตอนนี้ยังเจ็บขาอยู่เลย”

ลู่ฝานพยักหน้าเข้าใจ หลิงเหยาท่าทางไม่เข้าใจ

หานเฟิงส่ายหน้า แล้วพูดว่า “หึหึ ยังไงอาจารย์ก็ไม่รู้ว่า ฉันฝึกวิชานี้จนถึงที่ขาแล้ว เขาให้วิชากระบี่ แต่ฉันใช้การเคลื่อนไหวขา ไม่ถือว่าแหกกฎหรอก รอให้ถึงการต่อสู้จัดอันดับของสถาบัน ฉันต้องทำให้พวกเลวคณะอื่น เห็นความเก่งกาจของฉัน”

หลิงเหยาหัวเราะ “ฮ่าๆ ครั้งนี้คณะหนึ่งเดียว ต้องโดดเด่นมากแน่ๆ ใช่สิ อันนี้น่าจะมีประโยชน์กับพวกนาย พวกนายจะดูไหม”

หลิงเหยายื่นมือลงไปคลำในถุงเล็กๆ แล้วหยิบกระดาษออกมาหนึ่งแผ่น วางลงบนโต๊ะ

ลู่ฝานกับหานเฟิง เอากระดาษขึ้นมา จากนั้นจึงเพ่งมอง ข้างบนมีตัวอักษรตัวใหญ่ชัดเจน

“รายชื่อบู๊”

ร้านอาหารเป่าหลง ที่เขาวิพากษ์

นี่เป็นร้านอาหารที่มีชื่อเสียงบนเขาวิพากษ์ ขึ้นชื่อว่าเป็นซ่องและบ่อนพนัน

หรูหรา ร่ำรวย ประณีต คือความประทับใจที่ร้านอาหารนี้มอบให้ ไม่ว่าจะเป็นป้ายทองหน้าร้าน หรือฉากกั้น อัญมณีด้านในโถง รวมไปถึงไข่มุกราตรีที่ฝังอยู่บนกำแพง ล้วนทำให้คนรู้สึกว่า เดินเข้ามาในวังมังกร

โต๊ะแปดเซียนวางไว้ตามลำดับ โต๊ะเก้าอี้ทุกตัวทำจากต้นไม้สูงขนาดใหญ่ ราคาไม่ธรรมดา เมื่อนั่งลงไป จะสดชื่นปลอดโปร่ง อบอุ่นร่างกาย มีชามและตะเกียบ ทำจากทองคำบริสุทธิ์ วางอยู่บนโต๊ะ ดูยิ่งใหญ่ขึ้นไปอีก ด้านบนแกะสลักมังกรและหงส์ เหมือนจริงมาก แค่ชามและตะเกียบก็เป็นรายรับทั้งชีวิตของคนธรรมดาทั่วไปแล้ว

มีรูปมังกรบินขึ้นไปบนท้องฟ้าขนาดใหญ่อยู่บนกำแพง ใช้ไข่มุกราตรีแวววาว ทำเป็นดวงตามังกร เมื่อถึงตอนกลางคืน ที่นี่ไม่ต้องใช้แสงไฟ แค่แสงจากไข่มุกราตรี ก็สว่างไปทั่วร้านอาหารเป่าหลงแล้ว ส่วนอาหาร จะยึดความประณีตเป็นหลัก

ปลาขนาดประมาณเล็บมือ มาจากบ่อน้ำปิงหลิงที่ลึกลงไปในเทือกเขาฉิงเทียน ปลาทุกตัวมีราคาไม่ต่ำกว่าร้อยเหรียญทอง

ไก่สายพันธุ์ดีเยี่ยมที่เลี้ยงด้วยสมุนไพร หลังจากทำเป็นอาหาร จะมีกลิ่นยาหอมอย่างรุนแรง กินเข้าไป ยังช่วยให้ร่างกายแข็งแกร่ง หนึ่งร้อยเหรียญทอง สามารถสั่งเนื้อไก่ 1 ตำลึง

สรุปแล้ว ที่นี่ทุกอย่างแพงมาก แต่ก็ดีมากเช่นกัน

ถ้าจ่ายไหว คุณจะได้กินสิ่งที่หากินไม่ได้ข้างนอก

แน่นอนว่าถ้าคุณจ่ายได้เยอะขึ้น คุณจะได้ห้องส่วนตัวบนชั้นสอง

ชามและตะเกียบ ที่ทำจากหยก โต๊ะเก้าอี้ จากไม้ท้อ กลิ่นอายโบราณ แตกต่างจากความหรูหราของชั้นหนึ่ง ที่นี่ยึดความงดงามเป็นหลัก

ตอนนี้เหลิ่งหานนั่งอยู่ในห้องลักษณะแบบนี้

ความโกรธบนใบหน้า ยังไม่หายไป

เหลิ่งหานทุบหมัดลงบนโต๊ะข้างหน้า จนกลายเป็นขี้เลื่อย

“ทุเรศ คณะหนึ่งเดียว สมควรตาย หานเฟิง สมควรตาย ฉันอยากให้มันตาย ฉันอยากให้มันออกจากเขาวิพากษ์ไม่ได้”

คนที่นั่งตรงข้ามเหลิ่งหาน คือเยียนหราน ศิษย์พี่ของหลิงเหยา

เห็นท่าทางโกรธของเหลิ่งหาน ศิษย์พี่เยียนหราน พูดอย่างระแวดระวัง “ศิษย์พี่เหลิ่งหาน พี่ทำให้เขาตายได้อยู่แล้ว จากพละกำลังของพี่ ฆ่าเขา คงไม่เป็นปัญหาอะไร”

เหลิ่งหานมองเยียนหราน ด้วยสีหน้าเย็นชา เหลิ่งหานเข้ามาบีบคอเยียนหราน

“เธอกำลังเยาะเย้ยฉันเหรอ”

เยียนหรานรีบพูดว่า “ฉันไม่ได้เยาะเย้ยพี่ ไม่มีความคิดเยาะเย้ยพี่เลย”

“เธอกำลังเยาะเย้ยฉัน ฉันมีผลการฝึกตนแดนปราณนอก แต่หานเฟิงเตะฉัน จนกระเด็นไปไกล พละกำลังของเขาไม่ได้อ่อนแอ ศิษย์น้องของเขา ไอ้เชี่ย ไอ้เด็กทุเรศนั่น ถึงฉันดูเขาต่อสู้กับอี้ว์หวาจนจบ แต่ฉันยังไม่รู้ว่าเขาล้ำลึกแค่ไหน ฉันรู้สึกว่าเขาอันตรายมาก ฉันคนเดียว

เยียนหรานกลอกตาไปมา “พี่ให้เพื่อนคณะเดียวกันช่วยพี่ได้นิ เพื่อนคณะหยินหยาง ศิษย์พี่หรือศิษย์น้องของพี่”

จากนั้นปล่อยมือจากคอเยียนหราน ลูบใบหน้างดงามของเยียนหรานเบาๆ “ใช่ เธอพูดถูก ฉันหาคนมาช่วยได้ แต่จะหาใครล่ะ อ้อ ฉันนึกออกแล้ว ฉันให้ไอ้บ้านั่นช่วยได้ แค่ฉันบอกว่าคณะหนึ่งเดียวมีคนเก่งออกมาสองคน เขาต้องออกไปหาเรื่องเองแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้น

เยียนหรานยิ้มงดงาม ราวกับดอกไม้ “ศิษย์พี่เหลิ่งหาน หมายถึงศิษย์พี่เหยียนจิ่วเหรอ”

เหลิ่งหานยิ้ม แล้วพูดว่า “ถูกต้อง เธอฉลาดมาก เขานั่นแหละ ฉันได้ยินว่าเขามาที่เขาวิพากษ์เหมือนกัน เอาตามนี้ละกัน เยียนหราน เธองดงามมาก เธอทำให้ฉันเร่าร้อนอีกแล้ว”

พูดพลาง เหลิ่งหานเริ่มถอดเสื้อผ้าตัวเอง

“เยียนหราน เธอจะเอาหลิงเหยามาให้ฉันใช่ไหม”

เยียนหรานพูดว่า “แน่นอน ทำตามศิษย์พี่เหลิ่งหานทุกอย่าง”

……

ยาระดับ4 แค่เม็ดเดียวราคาอย่างน้อยเป็นพันขึ้นไป สิบขวดเต็มๆ ถึงเขาขายตัว ก็ยังชดใช้ไม่ได้

ผางไห่เอายาออกมาหนึ่งเม็ด ให้ทุกคนเห็นอย่างชัดเจน ทุกคนมีสีหน้าแปลกประหลาด ทุกคนล้วนเป็นศิษย์หัวกะทิของสถาบันสอนวิชาบู๊ เคยเห็นยาอยู่แล้ว เมื่อมองลายของยาอย่างละเอียด และลองดมกลิ่น นักเรียนสองสามคนพยักหน้า “เป็นยาระดับ4 จริงๆ”

สายตาที่มองอี้ว์หวา แปรเปลี่ยนเป็นสายตาเศร้าโศก สะใจ รวมไปถึงเห็นใจ

หานเฟิงหัวเราะ แล้วพูดว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน นายโหดมาก ยาสิบขวดเต็มๆ ให้ตายเถอะ ถ้าวันนี้ไอ้หมอนี่ไม่ออกไปตัวเปล่า ฉันไม่มีทางให้เขาออกไปแน่นอน”

หานเฟิงเดินมาข้างอี้ว์หวา ก้มมองอี้ว์หวาแล้วพูดว่า “แกล้งตายไม่ได้ผลหรอกนะ ถ้านายชดใช้ไม่ไหว ฉันจะแก้ผ้านายให้หมดแทน แล้วโยนไปบนถนน กล้าพนัน ก็ต้องยอมรับผล นักพนัน เหลือแต่ตัว เป็นเรื่องปกติ ฉันว่าอาจารย์คณะหยินหยาง คงไม่ถือสาหรอก”

อี้ว์หวากระอักเลือดออกมาอีก เขาหันไปมองรอบๆ เพื่อขอความช่วยเหลือจากศิษย์พี่เหลิ่งหาน เพราะศิษย์พี่เหลิ่งหานเป็นคนบอกให้เขาต่อสู้ แต่น่าเสียดาย ศิษย์พี่เหลิ่งหานไปตั้งนานแล้ว

อี้ว์หวาปากสั่น พูดอะไรไม่ออกสักคำ

หานเฟิงเลิกคิ้วขึ้น “ดูท่านายจะจ่ายไม่ไหวสินะ งั้นคงไม่มีทางเลือก ศิษย์น้องลู่ฝาน มาช่วยฉันแก้ผ้าหน่อย เสื้อผ้าของไอ้หมอนี่คุณภาพไม่เลวเลยนะ”

พูดพลาง หานเฟิงจะถอดกางเกงของอี้ว์หวา

เมื่อเห็นว่าอี้ว์หวากำลังจะโชว์ก้น ทันใดนั้น อี้ว์หวาตะโกนเสียงดัง

“เดี๋ยว ฉันจ่ายไหว ฉันจ่าย”

อี้ว์หวาปลดเข็มขัดตัวเองออก แล้วส่งให้หานเฟิง “นี่คือเข็มขัดอากาศธาตุของฉัน ข้างในมีพื้นที่จัดเก็บภายในรัศมีสามร้อยกว่าเมตร พอกับราคาของยาสิบขวดนั่นแล้วใช่ไหม”

หานเฟิงได้ยินว่าเข็มขัดอากาศธาตุ เขารีบคว้าเข็มขัดมาทันที

ใส่พลังปราณเข้าไป หานเฟิงหัวเราะออกมา “ไม่เลวๆ แม้จะแย่นิดหน่อย แต่สมุนไพรกับเหรียญทองข้างใน นับว่าพอชดเชยได้”

อี้ว์หวาเกือบกระอักเลือดออกมาอีก ให้ตายเถอะ เข็มขัดอากาศธาตุ ยังเทียบยาสิบขวดไม่ได้เหรอ ยังต้องการสมุนไพรกับเหรียญทองมาชดเชยอีกเหรอ

อี้ว์หวากลอกตามองบน ครั้งนี้เขาเป็นลมล้มพับไปเลย

หานเฟิงยื่นเข็มขัดให้ลู่ฝาน “เข็มขัดอากาศธาตุ ของดีเลยนะ เก็บไว้สิ”

หานเฟิงพูดเบาๆ ข้างหูลู่ฝาน “แบ่งเหรียญทองข้างในให้ฉันครึ่งหนึ่ง ให้ตายเถอะ นายรวยจริงๆ”

ลู่ฝานยิ้ม แล้วรับเข็มขัดมา จากนั้นจึงเปลี่ยนเข็มขัดตัวเองทันที

มาไว้ในนี้ แม้พื้นที่จัดเก็บในแหวนจิ่วเซียว จะใหญ่กว่ามาก แต่แหวนจิ่วเซียว เป็นของที่อาจารย์อู๋เฉินให้เขา อย่าเปิดเผยออกมาง่ายๆ ดีกว่า

หลิงเหยาเดินมาข้างหน้าผางไห่เช่นกัน “ฉันพนันว่าคุณชายลู่ฝานชนะเหมือนกัน”

ผางไห่ยิ้มแล้วพูดว่า “รู้แล้วๆ หนึ่งต่อสิบ แม่นางหลิงเหยา นี่คือของเธอทั้งหมด”

เหรียญทองกองหนึ่ง วางไว้บนมือหลิงเหยา ทันใดนั้น หลิงเหยาดีใจจนควบคุมตัวเองไม่อยู่ ผางไห่กับผางเทา เอาเหรียญทองที่เหลืออยู่ ให้ลู่ฝานครึ่งหนึ่ง “คุณชายลู่ฝาน นี่คือของนาย”

ลู่ฝานรับเหรียญทองมา ยิ้มแล้วมองผางไห่ “ขอบใจมาก”

นายสมควรได้รับ ศิษย์น้องลู่ฝาน แม้เราเจอกันครั้งแรก แต่ฉันได้ยินชื่อนายจากอาจารย์มาไม่น้อยเลย นายอาจไม่รู้ว่า อาจารย์เซินถู โกรธอยู่หลายวัน เพราะนายเลือกคณะหนึ่งเดียว ฉันขอพูดแทนอาจารย์สักประโยค ถ้าวันไหน

ลู่ฝานพยักหน้า “เข้าใจแล้ว”

นักเรียนคนอื่นก็แยกย้ายเช่นกัน คิดว่าผ่านไปไม่กี่วัน ข่าวที่อี้ว์หวาแห่งคณะหยินหยางแพ้ให้กับลู่ฝานแห่งคณะหนึ่งเดียว คงดังไปทั่วสถาบันสอนวิชาบู๊ ก่อนไป ยังมีนักเรียนสองคนที่มีจิตใจงาม ช่วยแบกอี้ว์หวากลับไปด้วยกัน อี้ว์หวาที่สลบอยู่ ดูน่าเวทนาเป็นอย่างมาก นักเรียนสองคนที่แบกเขากลับไป ถอนหายใจออกมาไม่หยุด

หลิงเหยานับเหรียญทองเสร็จ จากนั้นเก็บเข้าไปในถุงเล็กๆ ของตัวเอง เมื่อหันกลับมา หลิงเหยาไม่เห็นศิษย์พี่เยียนหรานแล้ว

ให้ตายสิ ศิษย์พี่เยียนหรานไปไหนแล้ว เธอกลับไปคนเดียวได้ยังไง

หานเฟิงเบิกตาโต มองเหรียญทองบนมือลู่ฝาน กระแอมออกมา แล้วพูดว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน ในเหรียญทองพวกนี้ มีความดีความชอบของศิษย์พี่คนนี้อยู่ด้วยหรือเปล่า”

ลู่ฝานเอาเหรียญทองบนมือ ให้หานเฟิงทั้งหมด

หานเฟิงอึ้งไป จากนั้นหัวเราะ “ฮ่าๆ ศิษย์น้องลู่ฝาน เกรงใจเกินไปแล้ว แม้ความดีความชอบของฉันจะมาก แต่เยอะขนาดนี้……ก็ได้ เพราะนายรวยแล้ว งั้นฉันฝืนใจเก็บไว้แล้วกัน จำไว้นะ ว่าฝืนใจ”

ขณะนั้น หลิงเหยาเดินเข้ามา พูดกับลู่ฝานว่า “ลู่ฝาน นายชนะ ได้เงินเยอะขนาดนี้ เลี้ยงข้าวฉันสักมื้อได้ไหม”

ลู่ฝานหัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “ไม่มีปัญหา”

เหลิ่งหานโกรธจนสั่นไปทั้งตัว นักเรียนของคณะหยินหยางที่อยู่รอบๆ ทนดูต่อไปไม่ได้ ออกมาก่นด่าว่า

“คนคณะหนึ่งเดียว อย่าทำเกินไปหน่อยเลย”

“นายกล้าเตะหน้าศิษย์พี่เหลิ่งหาน ระวังนักเรียนของคณะหยินหยาง เอาชีวิตนายแล้วกัน”

……

เยียนหรานที่อยู่ข้างๆ พูดขึ้นมาเช่นกัน “คนหนุ่มมีความสามารถของคณะหนึ่งเดียวท่านนี้ ของพนันแบบนี้ เป็นเรื่องไม่สำคัญ อย่าจริงจังเกินไป เห็นแก่หน้าฉัน ช่างมันเถอะ”

เยียนหรานยิ้มบางๆ ทำให้นักเรียนรอบๆ มองตาเยิ้ม ลำคอแห้งผาก

หานเฟิงกลืนน้ำลาย กวาดตามองเยียนหราน หัวเราะแล้วพูดว่า “เกือบแล้วๆ เธอเกือบทำให้ฉันทิ้งของพนันแล้ว แต่น่าเสียดาย ฉันไม่ชอบไอ้หน้าละอ่อนคณะหยินหยาง ยื่นหน้านายมาเดี๋ยวนี้ ศิษย์คณะหยินหยางไม่รู้จักคำว่ากล้าพนัน ก็ต้องยอมรับความพ่ายแพ้เหรอ ถ้าพวกนายยอมรับว่าพวกนาย เป็นคนหน้าไม่อาย งั้นพวกนายช่วยเดินออกไปป่าวประกาศหน่อย คนในที่นี้เป็นพยานได้ นักเรียนคณะหยินหยางเป็นพวกอ่อนที่แพ้ไม่เป็น”

หานเฟิงถ่มน้ำลายออกมา อาจเป็นเพราะอยู่กับอาจารย์อี้ชิงมานาน น้ำลายที่หานเฟิงถุยออกมา เยอะกว่าคนทั่วไปเล็กน้อย มันถ่มลงบนรองเท้าของเหลิ่งหาน

เหลิ่งหานโมโหมาก เหมือนพลังปราณจะระเบิดออกมา

เหลิ่งหานก้าวออกมาข้างหน้า

“มาสิ ฉันยืนให้นายเตะ ฉันจะดูว่านายเตะฉันปลิวได้ไหม”

พูดพลาง เหลิ่งหานใช้พลังปราณปกคลุมร่างกาย พลังปราณของแดนปราณนอกเหมือนชุดสีขาวบนตัว ด้านบนมีลายเป็นเส้นๆ บ่งบอกว่าผลการฝึกตนแดนปราณนอกของเหลิ่งหานล้ำลึกมาก

หานเฟิงฉีกยิ้ม “ยืนให้ดีก็พอ”

หานเฟิงเข้ามาเตะอย่างรวดเร็ว เตะนี้โดนหน้าเหลิ่งหานเต็มๆ

ไม่มีเสียง ไม่มีพลังปราณปะทะกัน ขาของหานเฟิงเหมือนมีดกำจัดพลังปราณของเหลิ่งหาน

เหมือนพลังปราณที่ปกคลุมตัวเหลิ่งหาน ไม่ได้แสดงพลังป้องกันอะไรเลย เขามองขาของหานเฟิง เตะมาที่หน้าเขา อย่างตกตะลึง

เหลิ่งหานกระเด็นถอยหลังออกไป ลอยไปไกลสามสิบกว่าเมตร กระแทกลงบนพื้น จนเกิดเสียงดัง

ทุกคนหันไปมองอย่างตกตะลึง เห็นรอยเท้าขนาดใหญ่ บนหน้าเหลิ่งหาน อย่างชัดเจน ใบหน้าโดนหานเฟิงเตะจนเบี้ยวเล็กน้อย ใบหน้าอันหล่อเหลาปูดบวมขึ้นทันที

“สะใจ!”

หานเฟิงหัวเราะ และดึงขากลับมา

สายตาที่ทุกคนมองเขา ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว เตะนักบู๊แดนปราณนอกกระเด็น

พละกำลังเช่นนี้ เรียกได้ว่าไม่ธรรมดา

ตอนนี้นักเรียนของคณะหยินหยาง ไม่กล้าเข้ามา รีบวิ่งไปข้างเหลิ่งหาน

“ศิษย์พี่เหลิ่งหาน ไม่เป็นอะไรใช่ไหม”

เหลิ่งหานผลักนักเรียนคณะหยินหยางทั้งสองคนออกไป มองหานเฟิงด้วยสีหน้าอาฆาต

เหลิ่งหานกัดฟัน “กลับ!”

เหลิ่งหานปัดรอยเท้าบนหน้าออก แล้วเดินออกไป นักเรียนคณะหยินหยาง รีบตามออกไป พวกเขาอยู่ที่นี่ต่อไม่ได้แล้ว วันนี้คณะหยินหยางขายหน้าจนหมดแล้ว

หลิงเหยาเดินยิ้มเข้ามา มองหานเฟิงแล้วพูดว่า “คิดไม่ถึงว่านายก็เก่งเหมือนกัน”

หานเฟิงหัวเราะ “แน่นอนอยู่แล้ว คนอย่างหานเฟิง ไม่เคยกลัวใคร แม่นางหลิงเหยา ไปกินข้าวกับฉันสักมื้อไหม”

หลิงเหยาหัวเราะเบาๆ “ฉันจะรู้ได้ยังไง ว่านายไม่ได้มีเจตนาร้าย”

หานเฟิงส่ายหน้ารัวๆ “ฉันเป็นคนบริสุทธิ์ขนาดนี้ จะมีเจตนาร้ายได้ยังไง ไม่เชื่อเธอถามศิษย์น้องลู่ฝานสิ ฉันบริสุทธิ์ที่สุดในคณะแล้ว”

ลู่ฝานยิ้ม แล้วเดินกลับมา “ศิษย์พี่หานเฟิง คณะหนึ่งเดียวของเรา มีทั้งหมดห้าคน อีกทั้งพี่คือคนที่ไม่บริสุทธิ์ที่สุด คุณหลิงเหยา เจอกันอีกแล้วนะ”

หลิงเหยายิ้มให้ลู่ฝาน รอยยิ้มน่าหลงใหล จนจะทำให้ทุกคนวูบ “คุณชายลู่ฝาน สวัสดีค่ะ”

ทั้งสองคนสบตากัน จู่ๆ หลิงเหยาหน้าแดงเล็กน้อย รีบก้มหน้าลงทันที

หานเฟิงเห็นท่าทางของหลิงเหยา และมองลู่ฝาน เงยหน้าถอนหายใจ “ที่แท้พวกนายเป็นคนรักเก่ากันนี่เอง”

ลู่ฝานอึ้งไป เบิกตามองหานเฟิง “ศิษย์พี่หานเฟิง ไม่พูดก็ไม่มีใครว่าพี่เป็นใบ้นะ”

พูดจบ ลู่ฝานเดินไปหาเจ้าอ้วนตัวใหญ่ แล้วพูดว่า “เปิดถุงของฉันสิ ควรชำระของพนันสักหน่อย”

เจ้าอ้วนตัวใหญ่หัวเราะ “ฮ่าๆ ได้เลยๆ ศิษย์น้องลู่ฝานฝีมือดี ฉันชื่อผางไห่ เป็นศิษย์ของอาจารย์เซินถูแห่งคณะกำแหง นี่คือผางเทาน้องชายฉัน มาเป็นเพื่อนกันเถอะ”

ผางไห่กับผางเทาเจ้าอ้วนทั้งสองคน คารวะให้ลู่ฝาน ลู่ฝานยิ้มแล้วคารวะกลับ

ผางไห่เปิดถุงของลู่ฝานออกช้าๆ แล้วพูดว่า “ฉันวางถุงไว้ตรงนี้ตลอดเวลา ไม่เคยมีใครแตะต้อง ทุกคนเห็นชัดเจนแล้ว”

ทุกคนเห็นผางไห่ หยิบขวดเล็กๆ ออกมาจากข้างใน เปิดขวดดม แล้วพูดว่า “ยาวิเศษ ฮ่าๆ ยาวิเศษ”

ลู่ฝานหัวเราะเบาๆ “ถูกต้อง ยาวิเศษ ยาจิตนิ่งระดับ4 ทั้งหมดสิบขวด”

ได้ยินคำว่ายาวิเศษระดับ4 สีหน้าทุกคนเปลี่ยนไปทันที

มีคนเอายาวิเศษออกมาเป็นของพนัน สิ่งนี้มันยิ่งใหญ่มาก

อี้ว์หวาตะเกียกตะกาย ลุกขึ้นมาได้ครึ่งตัว เห็นสิ่งพนันของลู่ฝาน เป็นยาจิตนิ่งสิบขวด อี้ว์หวากระอักเลือดออกมา แล้วล้มลงไปบนพื้นอีก

หลิงเหยาดูตึงเครียดเล็กน้อย เธอไม่ได้เครียดที่ลู่ฝานแพ้ แต่เครียดเรื่องเหรียญทองสิบกว่าเหรียญของตัวเอง ไม่มีใครรู้ว่าฐานะทางบ้านของหลิงเหยาไม่ได้ร่ำรวย เหรียญทองสิบกว่าเหรียญนี้ เป็นเงินค่าใช้จ่ายของเธอหนึ่งปี

เมื่อฝุ่นควันหายไป เผยให้เห็นเหตุการณ์ด้านใน

อี้ว์หวาหอบหายใจไม่หยุด ขวานในมือ โดนฟันจนเป็นรอยร้าว

กระบี่หนักตั้งอยู่ตรงนั้น บังลู่ฝานเอาไว้

“อี้ว์หวาชนะแล้วเหรอ”

มีคนหนึ่งถามขึ้น

ต่อมา กระบี่หนักถูกยกขึ้นเบาๆ ลู่ฝานร่างกายปลอดภัย ไม่เป็นอะไร

ลู่ฝานมีรอยยิ้มบนใบหน้า รู้สึกว่าวิชากระบี่ขั้นพื้นฐานของตัวเอง สมบูรณ์แบบขึ้นเรื่อยๆ การโจมตีแค่นี้ คิดจะทำลายการป้องกันของเขา น่าขำจริงๆ

อี้ว์หวาแผดเสียงออกมา ใช้ขวานฟันลงไปอีกครั้ง

แสงขวานขนาดใหญ่ เป็นรูปจันทร์เสี้ยว แต่ยังไม่ทันฟันโดน กระบี่หนักของลู่ฝาน เหมือนวิญญาณ แตะลงมาบนด้ามขวานของเขา

นี่เป็นจุดที่อี้ว์หวาพลังอ่อนแอที่สุด ต่อสู้นานขนาดนี้ ถ้าลู่ฝานยังจับทางกลอุบายของอี้ว์หวาไม่ได้ เขาคงฝึกวิชากระบี่ขั้นพื้นฐานมาสูญเปล่า

แตกต่างกับการวางแผนของศิษย์พี่ฉู่สิง วิชากระบี่ขั้นพื้นฐานของลู่ฝาน อาศัยความรู้สึกและสัญชาตญาณมากกว่า

เขาเอากระบวนท่า การโจมตีกลับและกลอุบายต่างๆ มาเป็นสัญชาตญาณ ไม่ต้องคิดอะไรมาก หลังจากคุ้นชินกับการลงมือของอี้ว์หวา ตอนเห็นอี้ว์หวาฟันขวาน ลู่ฝานจึงแตะกระบี่ออกไปตามสัญชาตญาณ

ระยะเวลาและพลัง เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ ไร้ที่ติ

กระบี่เดียว สามารถทำลายพลังป้องกันของอี้ว์หวาได้ ครั้งนี้ลู่ฝานก็ไม่ได้ใช้พลังทั้งหมด อี้ว์หวายังไม่เหมาะสม ให้เขาใช้พลังปราณยี่สิบเท่าออกมา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพลังวิญญาณกับปราณชี่เลย ตอนนี้ ลู่ฝานใช้พลังน้อยมาก แต่ประสิทธิภาพน่าตกใจมาก

แค่กระบี่ง่ายๆ โจมตีจนอี้ว์หวากระเด็น

พลังอันแข็งแกร่ง ทำให้อี้ว์หวากระอักเลือดออกมา อย่างมากมาย เลอะแขนเสื้อไปหมด

ลู่ฝานเดินเข้ามาเตะหน้าอี้ว์หวาอีก

ไม่ต้องใช้แรงมาก ลู่ฝานเตะอี้ว์หวา จนกระเด็นออกไป

การเคลื่อนไหวงดงาม สบายๆ และสุขุม เหมือนเจอหินอยู่ข้างทางก้อนหนึ่ง เลยเตะมันออกไปเบาๆ

อี้ว์หวาโดนเตะจนลอยไปสิบเมตร จากนั้นหล่นตุ้บลงบนพื้น ขวานหล่นอยู่ข้างๆ

เขาไม่ได้สลบ แต่ไม่สามารถตะเกียกตะกายขึ้นมาได้

อี้ว์หวาร่วงลงบนพื้น เหมือนหินกระแทกลงบนใจนักเรียนคนอื่น ทำให้สีหน้าพวกเขาเปลี่ยนไป

ลู่ฝานเอาชนะได้อย่างง่ายดาย เป็นเรื่องที่พวกเขาคาดไม่ถึง

เหมือนพวกเขากลืนของสะอิดสะเอียนเข้าไป สีหน้าบูดเบี้ยว และพูดอะไรไม่ออก

หานเฟิงหัวเราะออกมา “ศิษย์น้องลู่ฝาน ทำได้ดีมาก”

หานเฟิงหันมาพูดกับเหลิ่งหาน “ฉันบอกแล้ว สายตานายจะมองอะไรได้”

เหลิ่งหานกัดฟัน ไม่พูดอะไร โกรธจนสั่นไปทั้งตัว เหลิ่งหานมองหานเฟิง แล้วกัดฟันกรอด “นายมาสู้กับฉัน กล้าหรือเปล่า”

หานเฟิงหัวเราะแล้วพูดว่า “ไม่กล้า ฉันไม่กล้าจริงๆ ฮ่าๆ ฉันชนะแล้ว ทำไมต้องพนันกับนายอีกล่ะ เมื่อชนะ ได้ของพนันก็กลับ เป็นเรื่องที่ฉันชอบทำที่สุด ตอนนี้ นายเอาหน้านายมานี่ ให้ฉันเตะสักที วางใจเถอะ ฉันไม่ทำแรงมากหรอก อย่างมากก็เตะจนหน้านายเป็นอัมพาตเท่านั้น ไม่อันตรายถึงชีวิตหรอก”

เหลิ่งหานอยากฟันไอ้เลวนี่ให้ตายจริงๆ แต่เขาทำแบบนั้นไม่ได้ แพ้แล้วฆ่าคน ข่าวทุเรศแบบนี้ ต้องทำให้เขาโดนไล่ออกจากคณะหยินหยาง

หานเฟิงกระดิกนิ้วให้เหลิ่งหาน ด้วยรอยยิ้มเต็มหน้า

พลังปราณเหมือนเปลวเพลิง พลานุภาพเหมือนสายลม

พลานุภาพของลู่ฝานกับอี้ว์หวา พลุ่งพล่านขึ้นเรื่อยๆ ทั้งสองโจมตีพร้อมกัน

อี้ว์หวาใช้พลังปราณทั้งตัว ใส่เข้าไปในขวาน ทันใดนั้น ขวานใหญ่ขึ้นห้าเท่า ฟันไปที่ลู่ฝานทันที

ขวานยักษ์ทำลาย!

เพื่อจะแสดงพลานุภาพของคณะหยินหยาง อี้ว์หวาใช้เคล็ดวิชาบู๊ของคณะหยินหยางทันที ทำลายคู่ต่อสู้ด้วยกระบวนท่าเดียว

ขวานยักษ์พร้อมด้วยพลังมหาศาลฟันลงไป ปกคลุมพื้นที่ที่ลู่ฝานจะหลบได้

ลู่ฝานยิ้มบางๆ เขาไม่คิดจะหลบสักนิด

อี้ว์หวาอยากกำจัดเขาด้วยกระบวนท่าเดียว มีหรือที่ลู่ฝานจะไม่คิดเช่นนี้

สะบัดกระบี่หนักในมือ พลังอันแข็งแกร่ง กระแทกลงบนขวานยักษ์ ปราณชี่ในตัวลู่ฝานผ่านค่ายกลหยินหยาง แปรเปลี่ยนเป็นพลังปราณ

พลังที่เหนือกว่าอี้ว์หวาหลายเท่า ถูกปล่อยออกมา กระบี่หนักฟันภาพลวงตาขวานยักษ์ของอี้ว์หวา

อี้ว์หวามองกระบี่หนักของลู่ฝานที่ฟาดฟันกระบวนท่าของเขาอย่างไม่อยากเชื่อ กระบี่ใหญ่มาพร้อมกับพลานุภาพรุนแรง โจมตีโดนเขา

เสียงดังพลั่ก อี้ว์หวาโดนตบจนจมดิน พลังปราณทั้งตัวสั่นไหว

ลู่ฝานใช้โอกาสตอนนี้ ฟันลงไปอีก แต่ทว่าอี้ว์หวา เด้งตัวขึ้นมา ฟันขวานออกมาอีกครั้ง

ขวานยังไม่ทันโดนตัวลู่ฝาน ลู่ฝานใช้หมัดซ้าย ชกไปที่ท้องน้อยของเขาอย่างไม่เกรงใจ

หมัดถล่มเขา!

พลังพุ่งออกมา อี้ว์หวาโดนต่อยจนกระเด็น

ตัวบิดอยู่กลางอากาศ หล่นลงมาบนพื้น ฝ่าเท้าจมลึกลงไปในดิน

การโจมตีติดต่อกันอย่างรุนแรง ทำให้พวกนักเรียน ตะโกนออกมาอย่างสะใจ สีหน้าของเหลิ่งหานกับเยียนหราน ไม่สู้ดีเป็นอย่างมาก

นักเรียนที่พนันว่าอี้ว์หวาชนะ พากันตะโกนขึ้นมา

“เป็นไปได้ยังไง อี้ว์หวาของคณะหยินหยาง สู้ด้านพละกำลังกับไอ้คนคณะหนึ่งเดียวไม่ได้”

“อี้ว์หวา วันนี้นายไม่ได้กินข้าวเหรอ”

“อี้ว์หวา ปล่อยท่าไม้ตายออกมาสิ เคล็ดวิชาแข็งแกร่งของคณะหยินหยางล่ะ”

……

อี้ว์หวาหนังตากระตุก ตอนนี้เขาเพิ่งเข้าใจ ว่าตัวเองเจอของแข็งเข้าให้แล้ว

ลู่ฝานยิ้มบางๆ เมื่อกี้เขาใช้ปราณชี่น้อยมาก น้อยสุดๆ

ถ้าอี้ว์หวาใช้พลังตัวเองเจ็ดส่วน งั้นลู่ฝานคงใช้ไม่ถึงหนึ่งส่วน

การเคลื่อนไหวยี่สิบเท่า ไม่ใช่เล่นๆ เลย

ลู่ฝานยิ้มบางๆ กระดิกนิ้วใส่อี้ว์หวา

ท่าทางท้าทายแบบนี้ ทำให้อี้ว์หวาโมโหมาก จนแทบจะพ่นไฟออกจากตา

ยกขวานไว้ด้านหน้า พลังปราณทั้งตัวอี้ว์หวา พลุ่งพล่านขึ้นอีกครั้ง

“เบิกภูเขาท่าที่หนึ่ง!”

อี้ว์หวาเดินเข้ามา สะบัดขวานใส่ลู่ฝาน ส่วนคมของขวาน มีพลังออกมา พุ่งผ่านอากาศเข้ามา

ลู่ฝานยกกระบี่ ขึ้นมาตั้งอย่างง่ายๆ ต้านทานพลังขวานเอาไว้ โดยร่างกายไม่สั่นสะเทือนเลย

อี้ว์หวาพุ่งเข้าไปอย่างรวดเร็วอีก แขนกลายเป็นเงา ขวาน 18 อัน ฟันลงไปอย่างต่อเนื่อง

ตู้ม ตู้ม ตู้ม ตู้ม!

เสียงระเบิดดังสนั่นอย่างต่อเนื่อง ฝุ่นตลบอบอวล ทำให้มองไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นข้างใน

เหลิ่งหานยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “แม้ผลการฝึกตนของศิษย์น้องอี้ว์หวา จะทั่วไป แต่วิชาขวานนี้ ไม่เลวจริงๆ ศิษย์น้องของนาย คงต้านทานไม่ไหว ฉันว่า รู้ผลแพ้ชนะแล้วล่ะ”

หานเฟิงสีหน้าสงบ หานเฟิงที่ปกติมีสีหน้าตื่นเต้น เวลาต่อสู้ ตอนนี้กลับนิ่งเป็นอย่างมาก

ฉีกยิ้มแล้วพูดว่า “สายตาแบบนาย ดูออกเหรอว่าใครแพ้ชนะ น่าขำ”

เหลิ่งหานโดนหานเฟิงพูดใส่ จนกัดฟันกรอด พูดในใจว่า เดี๋ยวนายก็ขำไม่ออกแล้ว

นักเรียนรอบๆ ยื่นคอมองไปข้างหน้า อีกทั้งทุกคนยังช่วยกันปัดฝุ่นควันออกไป

ในที่นี้ มีคน 99 เปอร์เซ็นต์ อยากให้ลู่ฝานแพ้ เพราะพวกเขาพนันว่าอี้ว์หวาชนะ

ลู่ฝานถอนหายใจ ขวางศิษย์พี่หานเฟิงไว้ “ช่างเถอะ เดี๋ยวผมเอง”

ลู่ฝานเดินออกมา มองอี้ว์หวาแล้วพูดว่า “ลู่ฝาน คณะหนึ่งเดียว”

อี้ว์หวาแสยะยิ้มเย็นชา เดินมาข้างเตียง แล้วเด้งตัวลง ลู่ฝานเด้งตัวตามลงไป ความสูงระดับอาคารสามชั้น สำหรับเขาแล้ว ไม่เป็นปัญหาอะไรเลย ลงสู่พื้นอย่างมั่นคง

ที่นี่เป็นด้านหลังอาคาร พื้นที่ว่างสะอาด ครอบคลุมพื้นที่อย่างน้อยสามร้อยกว่าเมตร มีชั้นอาวุธหลากหลายประเภท วางอยู่สองข้าง เห็นได้ชัดว่าที่นี่ เป็นสถานที่ให้คนใช้ต่อสู้

จากนั้น พวกนักเรียนพากันกระโดดลงมาเช่นกัน

สำหรับการต่อสู้ พวกเขาชอบเป็นที่สุด โดยเฉพาะการต่อสู้เพื่อสาวงาม

ยืนอย่างมั่นคง หานเฟิงหันไปมองเหลิ่งหาน “กล้าพนันสักหน่อยไหม ศิษย์พี่เหลิ่งหานแห่งคณะหยินหยาง”

เหลิ่งหานมองลู่ฝาน แสยะยิ้มเย็นชา “นายจะพนันอะไร รีบพูดมา สวะคณะหนึ่งเดียว”

เอาแต่พูดว่าสวะคณะหนึ่งเดียว ทำให้สีหน้าหานเฟิง ไม่สู้ดีเป็นอย่างมาก

หานเฟิงกัดฟัน พูดว่า “ฉันไม่พนันอย่างอื่น พนันแค่อย่างเดียว ถ้านายแพ้ ต้องให้ฉันถีบแรงๆ หนึ่งที ฉันว่าถ้าฉันถีบหน้านายจนบวม ต้องน่าสนุกมากแน่นอน”

เหลิ่งหานยิ้มแล้วพูดว่า “ได้สิ แต่ถ้าศิษย์น้องนายแพ้ นายต้องตะโกนคำว่าคณะหนึ่งเดียวสวะสิบครั้ง ตะโกนสุดเสียงให้ได้ยินไปทั้งเขาวิพากษ์”

“ไม่มีปัญหา”

หานเฟิงยื่นมือออกมา เหลิ่งหานก็ยื่นมือออกมาเช่นกัน ทั้งสองชนหมดกันเป็นสัญญา

คนอื่นเห็นหานเฟิงกับเหลิ่งหานพนันกัน แต่ละคนเริ่มตะโกนขึ้นมา

“มาๆ เดิมพันเลยๆ คณะหนึ่งเดียวชนะ หนึ่งต่อสิบ คณะหยินหยางชนะสิบต่อหนึ่ง”

“ฉันพนันอี้ว์หวาของคณะหยินหยางชนะ”

“ฉันก็พนันคณะหยินหยางชนะเหมือนกัน”

……

คนอ้วนสองคนเปิดโต๊ะพนัน คนอ้วนตัวใหญ่เก็บเงิน คนอ้วนที่ตัวเล็กกว่าจดบัญชี คนอ้วนทั้งสอง มีสีหน้ายิ้มแย้ม

ลู่ฝานเห็นว่าเอาเขามาพนัน จึงคลำหาในแหวนตัวเองพักหนึ่ง โยนถุงเล็กๆ ออกไป แล้วพูดว่า “ฉันพนันว่าตัวเองชนะ”

คนอ้วนที่ตัวเล็กกว่า รีบหยิบถุงขึ้นมา เตรียมจะเปิดออกและจดบัญชี ขณะนั้นอี้ว์หวา หัวเราะออกมา “ฉันพนันว่าตัวเองชนะเหมือนกัน ก็แค่พนันนะ ฉันพนันเหมือนเขาละกัน”

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “นายแน่ใจเหรอว่าจะพนันเหมือนฉัน กลัวว่านายจะชดใช้ไม่ไหวน่ะสิ”

อี้ว์หวาพูดว่า “สิ่งที่นายเอามาได้ ฉันก็เอามาได้เหมือนกัน กลัวว่านายจะชนะไม่ได้น่ะสิ”

ลู่ฝานหันไปมองคนอ้วนที่ตัวเล็กกว่า “ไม่ต้องเปิดถุงนั่นก่อน รอให้สู้เสร็จ ค่อยว่ากัน”

คนอ้วนตัวเล็กกว่ายิ้ม แล้วเอาถุงวางให้ทุกคนเห็น ถุงธรรมดาๆ ทำให้ทุกคนยิ้มบางๆ ก็แค่เหรียญทองเล็กๆ น้อยๆ ทำไมต้องเปิดหลังจากสู้เสร็จด้วย

จู่ๆ หลิงเหยาเดินเข้ามา เอาเหรียญทองสิบกว่าเหรียญ ออกมาจากในอก “เดี๋ยวก่อน ฉันพนันด้วย ฉันพนันว่าลู่ฝานของคณะหนึ่งเดียวชนะ”

ทุกคนอึ้งไป ขนาดเยียนหราน ที่อยู่ข้างหลิงเหยายังอึ้ง เหลิ่งหานสีหน้าอึมครึม

เยียนหรานจับมือหลิงเหยา แล้วพูดว่า “หลิงเหยา เธอบ้าไปแล้วเหรอ ทำไมถึงพนันว่าคนปัญญาอ่อนของคณะหนึ่งเดียวชนะล่ะ เธอมีเงินเยอะเหรอ”

หลิงเหยาวางเหรียญทองลง แล้วพูดเบาๆ ว่า “ฉันเงินไม่เยอะหรอก แต่ฉันคิดว่าเขาน่าจะชนะ”

หลิงเหยาพูดจบ ก็มองไปยังลู่ฝาน แววตาวูบไหว

ลู่ฝานยิ้มบางๆ แม่นางหลิงเหยา มีความสามารถในการมองจริงๆ

ตอนนี้เหลิ่งหานส่งสายตาให้อี้ว์หวา อี้ว์หวาพยักหน้าเข้าใจ ศิษย์พี่เหลิ่งหาน ให้เขาลงมืออย่างรุนแรง

อี้ว์หวาเอาอาวุธของตัวเองออกมา เป็นขวานที่มีแสงเย็นยะเยือก ดูมีพลานุภาพร้ายแรง

อี้ว์หวาร่างกายกำยำล่ำสัน เอาขวานออกมา และปล่อยพลังปราณของตัวเองออกมา

แดนปราณในชั้น7 นี่คือผลการฝึกตนของอี้ว์หวา

ผลการฝึกตนระดับนี้ ถ้าเป็นศิษย์คณะอื่น อย่างน้อยต้องอยู่ในอันดับต้นๆ แต่เมื่ออยู่ในคณะหยินหยาง ผลการฝึกตนแบบนี้ แค่ทั่วไปเท่านั้น

ลู่ฝานปล่อยปราณชี่ของตัวเองออกมาเช่นกัน ปราณชี่อยู่ในระดับเดียวกับอี้ว์หวา ผลการฝึกตนแดนปราณในชั้น7

เมื่อเขาปล่อยปราณออกมา ทำให้นักเรียนรอบๆ เริ่มถกเถียงกัน

“ผลการฝึกตนของไอ้หนุ่มคณะหนึ่งเดียว ไม่เลวเลย แดนปราณในชั้น7”

“คณะหนึ่งเดียวมีอัจฉริยะแบบนี้ด้วย มันเป็นคณะที่อยู่ในลำดับสุดท้ายไม่ใช่เหรอ”

“อยู่ลำดับสุดท้าย ไม่ได้หมายความว่า ไม่มียอดฝีมือ ดูเหมือนไอ้หมอนี่ เป็นยอดฝีมืออันดับต้นๆ ของคณะหนึ่งเดียว”

“ยอดฝีมืออันดับต้นๆ อะไรกัน ว่ากันว่าคณะหนึ่งเดียวมีทั้งหมดห้าคนเอง”

“จริงหรือเปล่า นั่นเรียกว่าคณะเหรอ!”

……

เหลิ่งหานเห็นผลการฝึกตนของลู่ฝาน ถึงกับขมวดคิ้ว

หลิงเหยาหัวเราะอย่างมีความสุข เยียนหรานที่อยู่ข้างๆ พูดอย่างดูหมิ่น “ผลการฝึกตนงั้นๆ เขามีเคล็ดวิชาบู๊เก่งกาจงั้นเหรอ ยังไม่เคยได้ยินว่าคณะหนึ่งเดียวมีเคล็ดวิชาเก่งกาจ สู้กับนักเรียนคณะหยินหยางที่มีเคล็ดวิชาบู๊เหนือธรรมชาติ เขาแพ้แน่นอน”

หลิงเหยากะพริบตา ยิ้มแล้วพูดว่า “ศิษย์พี่ เขาเก่งมาก ถ้าฉันจำไม่ผิด เขาเป็นอันดับหนึ่ง ในการแข่งขันของนักเรียนใหม่ครั้งนี้”

เยียนหรานอึ้งไป แล้วพูดว่า “คนโง่ที่ไม่ไปคณะหยินหยาง แต่เลือกคณะหนึ่งเดียวงั้นเหรอ”

หลิงเหยาพยักหน้า พูดเบาๆ ว่า “เขาไม่ใช่คนโง่นะ ดูไม่โง่สักนิด”

หานเฟิงเชิดหน้าขึ้น ด้วยใบหน้ารักความยุติธรรม เดินขึ้นมาไม่กี่ก้าว เหมือนนิ้วจะทิ่มรูจมูกเหลิ่งหาน

“เหลิ่งหาน ก่อนหน้านี้ นายเพิ่งทำชั่วกับศิษย์น้องหญิงของคณะบังเหิน วันนี้นายจะมาทำชั่วใส่ศิษย์น้องคณะสงบใจอีกแล้วเหรอ ให้ตายเถอะ นายไม่ได้เปิดสถาบันสอนวิชาบู๊นะ”

หลิงเหยาได้ยินคำพูดของหานเฟิง มองเหลิ่งหานอย่างตกใจ แล้วรีบเว้นระยะห่างกับเหลิ่งหาน

เยียนหรานที่อยู่ข้างเธอ หน้าซีดเผือด แววตาวูบไหว

นักเรียนรอบๆ ไม่พูดอะไรสักคำ ดูสีหน้าพวกเขา ไม่ค่อยตกใจเท่าไร เหมือนมีคนรู้อยู่ไม่น้อยเลย

สายตาเหลิ่งหานเหมือนมีด ถ้าเขาฝึกจนสามารถปล่อยพลังปราณ ออกจากตาได้ ตอนนี้หานเฟิงคงโดนฟันเป็นชิ้นๆ แล้ว

เหลิ่งหานพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “อะไรที่เรียกว่าทำชั่ว นายพูดมาให้ชัดเจน”

ตอนพูดออกมา บนตัวเหลิ่งหาน มีพลังปราณออกมาเบาๆ พลังปราณที่รวมตัวกัน กับแสงสว่างที่กะพริบในฝ่ามือ ทำให้ลู่ฝานขมวดคิ้ว

พลังปราณของหมอนี่ แข็งแกร่งกว่าหลินฉี งั้นแสดงว่าเขาคือนักบู๊ปราณนอก

ลู่ฝานเดินขึ้นมายืนหลังหานเฟิง เขารู้ว่าความสามารถศิษย์พี่หานเฟิงไม่แย่ แต่กันไว้ดีกว่าแก้ เขาต้องจับตาดูเอาไว้

หานเฟิงส่งเสียงหึแล้วพูดว่า “ได้แล้วทิ้ง ทำลายความบริสุทธิ์คนอื่น เรียกว่าทำชั่วไหม หลายปีมานี้ นายทำเรื่องชั่วน้อยหรือไง ให้ฉันเตือนสตินายหน่อยไหม”

เหลิ่งหานดึงกระบี่ออกมา เป็นกระบี่ที่ก่อตัวจากพลังปราณ มีความทนทานเหมือนกระบี่ที่สร้างจากเหล็กกล้า อีกทั้งดูมีพลานุภาพกว่าด้วย

ลายกระบี่เต็มไปหมด ดูแกร่งกล้ามาก เหลิ่งหานพูดออกมาว่า “ศิษย์น้องท่านนี้ นายสร้างข่าวลือแบบนี้ ทำให้ฉันโมโหมาก นายเป็นนักเรียนคณะไหน ถึงกล้าอวดดีแบบนี้ ไม่กลัวฉันทำให้นายไสหัวออกไปจากสถาบันสอนวิชาบู๊หรือไง”

หานเฟิงไม่กลัวกระบี่ด้านหน้าสักนิด แคะขี้หู เหมือนคำพูดของเหลิ่งหานไร้สาระ

หานเฟิงพูดช้าๆ ว่า “ฉัน หานเฟิงแห่งคณะหนึ่งเดียว ถ้านายมีความสามารถจริง ก็ทำให้ฉันออกจากสถาบันจริงๆ สิ ถ้าทำไม่ได้ นายมันก็แค่ไอ้พวกผู้หญิง”

เมื่อพูดออกมา นักเรียนหญิงในที่นี้ต่างมีสีหน้าลำบากใจ สายตาจ้องไปที่หานเฟิงอย่างโหดเหี้ยม

หานเฟิงยังยิ้มอย่างได้ใจ ไม่รู้เลยว่าคำพูดของเขา ทำลายการมาหาความรักของเขาในวันนี้แล้ว

เหลิ่งหานได้ยินคำว่าคณะหนึ่งเดียว เขาอึ้งไปก่อน จากนั้นหัวเราะออกมา

“ฮ่าๆๆ คณะหนึ่งเดียว ที่แท้เป็นสวะคณะหนึ่งเดียวนี่เอง ฉันว่าแล้ว จะมีนักเรียนสมองไม่ปกติคณะไหน มาพูดใส่ร้ายฉัน ที่แท้ก็คณะหนึ่งเดียวนี่เอง”

นักเรียนคณะอื่น พากันหัวเราะตาม

ลู่ฝานขมวดคิ้วเบาๆ ดูเหมือนศิษย์คณะหนึ่งเดียว ในสายตานักเรียนทุกคน คงไม่ใช่แค่ชื่อไม่ดีอย่างเดียวแล้วล่ะ

เหลิ่งหานยิ้มเย้ยหยัน จากนั้นเก็บพลังปราณ “ฉันไม่ถือสาเอาความสวะเพียงคนเดียวหรอก นั่นจะทำให้ฉันลดระดับลงไปเหมือนนาย สวะคณะหนึ่งเดียว รีบไสหัวไปซะ อย่าให้ฉันลงมือ”

เหลิ่งหานชี้หานเฟิง แล้วหันไปพูดกับหลิงเหยา “แม่นางหลิงเหยา เธอคงไม่เชื่อคำพูดของคนปัญญาอ่อนแห่งคณะหนึ่งเดียวเพียงแค่คนเดียวหรอกนะ”

เยียนหรานก็พูดว่า “ใช่ ศิษย์น้องหลิงเหยา คณะหนึ่งเดียวที่อยู่ในลำดับเก้า นักเรียนที่นั่นสมองมีปัญหาทั้งนั้น อย่าไปเชื่อพวกเขา”

หลิงเหยาขมวดคิ้ว แล้วพูดว่า “แต่ศิษย์พี่ คณะสงบใจของเรา ก็อยู่ในลำดับแปดเองนะ ไม่ได้ดีไปกว่าคณะหนึ่งเดียวเท่าไรหรอก”

เยียนหรานอึ้งไป พูดอะไรไม่ออกสักคำ

ทันใดนั้น หานเฟิงกวาดตามองทุกคน พูดเสียงดังว่า “หัวเราะบ้าบออะไร มีปัญญาก็เข้ามาสู้กับฉัน ลำดับคณะสูงหรือต่ำ เกี่ยวข้องอะไรกับพละกำลัง คนปัญญาอ่อนแบบพวกนาย ฉันใช้แค่มือเดียว พวกนายยังเอาชนะฉันไม่ได้เลย”

ลู่ฝานถอนหายใจออกมา เอาเถอะ ศิษย์พี่หานเฟิง เริ่มสร้างความเกลียดชังอีกแล้ว

สายตานักเรียนรอบๆ ที่มองหานเฟิง ดูไม่เป็นมิตรทันที เหลิ่งหานพูดว่า “นายสมองมีปัญหาจริงๆ นั่นแหละ”

จู่ๆ เหลิ่งหานหันมาชี้นักเรียนคนหนึ่ง “อี้ว์หวา นายมาสู้กับศิษย์น้องคณะหนึ่งเดียวคนนี้ สักสองกระบวนท่าสิ ให้เขารู้ว่าทำไมคณะหนึ่งเดียวถึงอยู่อันดับต่ำขนาดนั้น”

นักเรียนที่โดนเรียกชื่อเดินออกมา กำหมัดพูดว่า “ศิษย์พี่เหลิ่งหาน วางใจเถอะ ผมจะทำให้เขารู้ความเก่งกาจของคณะหยินหยาง ไอ้หนุ่ม กล้าออกไปประลองกับฉันสักสองกระบวนท่าหรือเปล่า ที่นี่ประลองไม่ได้”

หานเฟิงส่งเสียงหึ แล้วพูดว่า “นายเนี่ยนะ อยากจะประลองกับฉัน นายคิดมากไปแล้ว ศิษย์น้องลู่ฝาน สู้กับพวกเขาหน่อยสิ”

ลู่ฝานอึ้งไป หันมามองหานเฟิงอย่างประหลาด พูดเบาๆ ว่า “ศิษย์พี่หานเฟิง ทำไมพี่ไม่ไปสู้เอง”

ศิษย์พี่หานเฟิงหัวเราะคิกคัก แล้วพูดว่า “ศิษย์น้องหานเฟิง ฉันบาดเจ็บอยู่ไง พละกำลังนายแข็งแกร่ง ช่วยฉันกระทืบพวกเขาหน่อย ให้พวกเขารู้ความเก่งกาจของคณะหนึ่งเดียว พอจบเรื่องแล้ว ฉันจะได้รับคำชมจากพวกนักเรียนหญิงด้วย รอให้ฉันจัดการเรื่องใหญ่ในชีวิตเสร็จ ฉันจะช่วยนายหาสาวงามแน่นอน เป็นไง”

ลู่ฝานมองหานเฟิงอย่างดูหมิ่น ไม่มีท่าทีจะเข้าไป

ศิษย์พี่หานเฟิงพูดเบาๆ ว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน นายทำให้ฉันต้องโดนพวกพี่กระทืบ จนเกือบตาย เรื่องนี้นายจะไม่ช่วยหน่อยเหรอ ก็ได้ งั้นฉันไปเองก็ได้ ถ้าพวกเขาทำฉันตาย อย่าลืมเก็บศพฉันด้วย”

พูดพลาง หานเฟิงกำลังจะเดินออกไป ด้วยสีหน้าเหมือนจะไม่กลับมา

หลิงเหยาโดนศิษย์พี่ของตัวเองชมแบบนี้ จึงหน้าแดงเล็กน้อย “ศิษย์พี่เยียนหราน ชมเกินไปแล้ว”

เยียนหรานยิ้มแล้วพูดว่า “เกินที่ไหนกันล่ะ ศิษย์น้องได้รับฉายาอัจฉริยะอันดับหนึ่งของคณะสงบใจ กลัวว่าผ่านไปอีกสักระยะ ขนาดศิษย์พี่อย่างฉันคงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเธอแล้ว”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ ดวงตาเยียนหราน ฉายแววประหลาด แต่หลิงเหยาที่ก้มหน้าอย่างเขินอาย กลับมองไม่เห็น

ทั้งสองเพิ่งนั่งลง พวกหนุ่มๆ เข้ามาล้อมทันที

“แม่นางหลิงเหยา ผมชื่อเฝิงคั่วแห่งคณะกำแหง ขอชวนคุณทานข้าวสักมื้อได้ไหม ผมเลี้ยงเอง อยากกินอะไร ได้หมดเลย”

“แม่นางหลิงเหยา ผมชื่อเหอตงแห่งคณะฟ้าร้อง ไม่ทราบว่าพอมีโอกาสชวนคุณ ไปชมวิวด้วยกันได้ไหม”

“แม่นางหลิงเหยา ผมชื่อกู่หลิงแห่งคณะศิงขร……”

“แม่นางหลิงเหยา……”

กลุ่มคนล้อมหลิงเหยากับเยียนหรานเอาไว้แล้ว

เยียนหรานเบิกตาโต แล้วพูดว่า “พวกนายทำอะไร หลีกไปเลย นี่เป็นสถานที่ฟังเพลง ไม่ใช่สถานที่ที่ให้พวกนายมาวุ่นวาย ถ้ากล้ารบกวนศิษย์น้องฉัน ระวังฉันจะไม่เกรงใจพวกนาย”

กลุ่มคนรีบเงียบเสียง หานเฟิงพูดเบาๆ ว่า “ผู้หญิงคนนี้ก้าวร้าวจัง เสียงใหญ่ นิสัยเกรี้ยวกราด ใครแต่งด้วยคงซวย”

เยียนหรานจับมือหลิงเหยา แล้วพูดเบาๆ ว่า “หลิงเหยา ไปกันเถอะ ไปกินข้าวกับพี่ ไม่ต้องสนใจคนพวกนี้”

หลิงเหยาหน้าแดงเล็กน้อย “ค่ะศิษย์พี่”

ขณะนั้น ผู้ชายที่นั่งติดประตูพูดว่า “คุณหลิงเหยา ผมขอเลี้ยงข้าวคุณสักมื้อได้ไหม”

ทุกคนหันไปมอง เฝิงคั่วแห่งคณะกำแหงที่พูดออกมาเมื่อครู่ ก่นด่าออกมา “นายเป็นใคร นายพูดว่าเลี้ยง……”

เขาไม่ได้พูดต่อ เพราะเขารู้ว่าคนที่พูดเป็นใคร

เฝิงคั่วพูดเบาๆ ว่า “ศิษย์พี่เหลิ่งหานนี่เอง”

เหลิ่งหานลุกขึ้นยืน “ฉันเอง พวกนายมีปัญหาอะไรหรือเปล่า”

นักเรียนคนอื่นเงียบลงทันที ลู่ฝานถามหานเฟิงที่อยู่ข้างๆ ด้วยเสียงเบา “เหลิ่งหานคือใครเหรอ”

หานเฟิงกัดฟันพูดว่า “ไอ้เลวคณะหยินหยาง ศิษย์น้องลู่ฝาน จำเอาไว้ พวกหน้าละอ่อนคณะหยินหยาง ล้วนเป็นคนเลว”

เหลิ่งหานเดินเข้าไปหาหลิงเหยา ใบหน้าเนียน เครื่องหน้าหล่อเหลา บวกกับชุดบู๊สีขาวเงินทั้งตัว เหลิ่งหานดูสูงส่งและสง่างาม มีกระบี่ยาวสีเงินอยู่ตรงเอว ไม่มีฝักกระบี่ ผมดำสยาย ดูมั่นคงและเป็นอิสระ

เมื่อเดินมาถึงหน้าหลิงเหยา เหลิ่งหานยิ้มงดงาม “คุณหลิงเหยา ฉันพอมีโอกาสนั้นไหม”

พูดพลาง เหลิ่งหานเหลือบมองเยียนหรานข้างๆ ประกายที่ออกจากตา ทำให้เยียนหรานตัวสั่นไปหนึ่งที

มันเล็กน้อยมาก แต่ลู่ฝานยังมองเห็น

เหมือนมีอะไรบางอย่าง

ต่อมา เยียนหรานจับมือหลิงเหยา แล้วพูดว่า “ศิษย์น้องหลิงเหยา ศิษย์พี่เหลิ่งหาน เป็นคนโดดเด่นของคณะหยินหยาง เป็นอัจฉริยะเหมือนเธอ หรือเธอจะ……”

เหลิ่งหานพูดต่อ “แม่นางหลิงเหยา แค่กินข้าวมื้อเดียวเท่านั้น ฉันรู้เรื่องดนตรีนิดหน่อย พอแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันได้”

หลิงเหยามองเยียนหราน แล้วมองเหลิ่งหาน กำปลายเสื้อแล้วพูดว่า “ก็ได้”

เหลิ่งหานรอยยิ้มเต็มหน้า ผายมือขวา แล้วพูดว่า “งั้นเชิญแม่นางหลิงเหยา”

หลิงเหยาลุกขึ้นยืน เดินตามเหลิ่งหานออกไป

ตอนนี้ หานเฟิงที่ยืนข้างลู่ฝาน ทนไม่ไหว พูดกับลู่ฝานว่า “ให้ตายเถอะ ฉันทนดูไม่ไหวแล้ว เหลิ่งหาน นายจะทำชั่วใส่ผู้หญิงดีๆ อีกแล้วใช่ไหม”

หานเฟิงเดินออกมา แล้วแผดเสียงดัง

เหลิ่งหานอึ้งไปก่อน จากนั้นสีหน้าเย็นชาทันที

สภาวะจิตใจเหมือนน้ำ มีเพียงเสียงธรรมชาติ วนอยู่ในหัว

เหมือนเสียงวุ่นวายทั้งโลก หายไปไกล ความคิดซับซ้อนหายไปจนหมด

ปราณชี่ในตัวค่อยๆ เคลื่อนไหว ไหลไปทั่วร่างกาย แสงที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็นอยู่บนผิวหนังของเขา

ตอนนี้ถ้าคนอื่นสังเกตเขา จะตกใจที่พบว่าออร่าของเขาหายไป

พลังฟ้าดินรอบๆ เคลื่อนไหวอีกครั้ง แต่ผ่านตัวของลู่ฝานไป

ลู่ฝานตกใจเป็นอย่างมาก ต่อมา เขาพบความเปลี่ยนแปลงของตัวเอง

เหมือนวิชาร่างผสานฟ้าดินของเขาอยู่ในชั้นพื้นฐานแล้ว

แค่ฟังท่วงทำนอง กลับทำให้วิชาร่างผสานฟ้าดินของเขาอยู่ในชั้นพื้นฐาน

ลู่ฝานยิ้มบางๆ มาฟังเพลงกับศิษย์พี่ลู่ฝานครั้งนี้ ถือว่ามาถูกแล้ว

ทันใดนั้น เพลงจบลง

ตอนบทเพลงหายไป พวกหนุ่มหล่อชั้นสาม พากันชะงัก และหลุดออกจากภวังค์

เงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นคนพวกนั้นตะโกนออกมา

“ดีมาก บทเพลงของแม่นางหลิงเหยาดีมาก”

“เสียงธรรมชาติ เป็นเสียงธรรมชาติจริงๆ”

พวกนักเรียนพูดคำชมของตัวเองออกมาทันที ชมหลิงเหยาจนตัวลอย ลู่ฝานปรบมือเบาๆ บทเพลงของหลิงเหยา สมควรได้รับคำชมจริงๆ

ศิษย์พี่หานเฟิงเช็ดน้ำลายที่ปาก แล้วพูดว่า “บทเพลงไพเราะ คนดี งดงามมาก”

ตาเป็นประกาย ศิษย์พี่หานเฟิงยิ้มแล้วพูดว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน เราเข้าไปทำความรู้จักแม่นางหลิงเหยาสักหน่อยดีกว่า ฮ่าๆ นายดูศิษย์พี่อย่างฉันสิ เป็นคนมีความสามารถและมีอิสระอย่างนี้ ควรหาคู่ครองสักคนแล้วใช่ไหม”

ลู่ฝานปรายตามองหานเฟิง “ศิษย์พี่หานเฟิง ถ้าจะไปก็ไปเอง ผมยืนอยู่ตรงนี้ละกัน”

ศิษย์พี่หานเฟิงมองลู่ฝานอย่างดูหมิ่น “ศิษย์น้องลู่ฝาน ทำอะไรก็ต้องทำด้วยกันสิ นายเป็นศิษย์น้องของฉัน นายไม่ไปกับฉัน จะให้ใครไป”

ลู่ฝานหันหน้าไปอีกด้าน “พี่ไปเองสิ ผมอาย ทำไม่ได้หรอก”

สีหน้าศิษย์พี่หานเฟิง เปลี่ยนไปเล็กน้อย เพิ่งก้าวออกไปก้าวหนึ่ง แล้วถอยกลับมา

ลู่ฝานขำการกระทำของหานเฟิง “ศิษย์พี่หานเฟิง พี่ไม่ได้ไม่กล้าไปทักทายเธอใช่ไหม”

แม้หานเฟิงหน้าด้านพอ แต่โดนลู่ฝานพูดใส่แบบนี้ ก็หน้าแดง “เด็กอย่างนายจะรู้อะไร นี่เรียกว่าระมัดระวัง ความรู้สึกเป็นเรื่องไม่จริงจังหรือไง ไปทำความรู้จักลูกสาวบ้านเขา จะทำตามใจชอบได้เหรอ ขอฉันคิดคำพูดแป๊บนึง ใช่ คิดแป๊บนึง”

ลู่ฝานหัวเราะเบาๆ เขามองออกว่าศิษย์พี่หานเฟิง เป็นคนคิดชั่วๆ แต่ไม่กล้าทำ

ลู่ฝานพูดเบาๆ ว่า “ศิษย์พี่หานเฟิง ผมไม่ใช่เด็กสักหน่อย ผมสงสัยมาก ว่าพี่เป็นเด็กหรือเปล่า”

หานเฟิงมองลู่ฝานอย่างตกใจ “คิดไม่ถึงว่านายจะ……”

สีหน้าศิษย์พี่หานเฟิงเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก เขาคิดไม่ถึงว่าศิษย์น้องลู่ฝาน จะหลุดพ้นจากคำว่าเด็กแล้ว

ลู่ฝานยิ้มบางๆ เขาไม่ใช่เด็กนานแล้ว ในหัวมีภาพจางเยว่หานแวบเข้ามา ลู่ฝานทอดถอนใจ ตอนนั้นจางเยว่หานงดงามมาก น่าเสียดาย คนเรามักเปลี่ยนแปลง บางคนเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น ส่วนบางคนยิ่งทำให้รู้สึกแปลกหน้า

ขณะที่ลู่ฝานกำลังคุยกับหานเฟิง

หลิงเหยาลุกขึ้น แล้วยิ้มบางๆ โค้งตัวให้นักเรียนทุกคนเบาๆ จากนั้นจึงเดินลงมา

ผู้หญิงคนหนึ่งจับมือหลิงเหยา พูดอย่างดีใจว่า “น้องหลิงเหยา เธอเก่งมาก ไม่เสียแรงที่อาจารย์เมิ่งอวิ๋น พูดถึงความสามารถ เธอฝึกพันภูผาในความฝันของคณะสงบใจสำเร็จแล้ว เธอเพิ่งเข้ามาในคณะสงบใจไม่นานเท่าไรเอง”

“ต่างกันมาก ต่างกันมาก!”

หานเฟิงร้องโอดครวญออกมา

เสียงของเขาเรียกความสนใจของนักเรียนคณะอื่นที่เดินผ่านมา กลุ่มคนมองหานเฟิง เหมือนมองคนโง่ สายตากำลังบ่งบอกว่า คนคนนี้ประสาท

ลู่ฝานกลืนน้ำลาย ความแตกต่างระหว่างคณะมันมากขนาดนี้เลยเหรอ แล้วความแตกต่างระหว่างนักเรียน จะต่างจนโอเวอร์เลยหรือเปล่า

ลู่ฝานฟังถึงตรงนี้ ก็สงสัยว่าตัวเองเลือกคณะผิดหรือเปล่า

เมื่อเทียบกับอย่างนี้ แตกต่างเหมือนเล้าหมูกับพระราชวังจริงๆ

มิน่าล่ะ ตอนคนคณะบังเหินมาหา เห็นคณะหนึ่งเดียวถึงพูดออกมาว่าเล้าหมู

เขาพูดความจริงนิ!

ทั้งสี่คนถอนหายใจออกมาพร้อมกัน แล้วเดินขึ้นไปเรื่อยๆ

ไม่นาน เดินมาถึงยอดเขา ภาพตรงหน้ากว้างใหญ่

เมื่อถึงที่นี่ เห็นความหรูหราของเขาวิพากษ์อย่างชัดเจน ร้านน้ำชา ร้านเหล้าเป็นแถบ เห็นแล้วไม่ธรรมดามาก

ศิษย์พี่ฉู่เทียนชะงักฝีเท้าลง แล้วพูดว่า “หานเฟิง นายพาศิษย์น้องลู่ฝาน ไปเดินเล่นรอบๆ ฉันจะไปซื้ออาวุธกับฉู่สิงก่อน พรุ่งนี้เราเจอกันที่ตีนเขา”

หานเฟิงยิ้มแล้วพูดว่า “ได้เลย ศิษย์น้องลู่ฝาน มาๆ เดี๋ยวฉันพานายไปที่ดีๆ ก่อน นายชอบฟังเพลงไหม ฉันรู้จักที่ฟังเพลงดีๆ สาวสวยของคณะสงบใจชอบขึ้นไปร้องเพลงบนเวทีบ่อยๆ เราไปฟังกันเถอะ”

ลู่ฝานไม่อยากไป เขาแค่อยากเดินเล่นรอบๆ สัมผัสความหรูหราของเขาวิพากษ์ ทำไมต้องฟังเพลงอะไรนั่นด้วย

แต่หานเฟิงไม่ให้เขาได้พูด ลากเขาเดินไปทันที

เห็นแววตาเหมือนหมาป่าหิวโหยของศิษย์พี่หานเฟิง ลู่ฝานกลืนคำที่จะพูดลงไปทันที ตอนนี้ถึงเป็นมารหรือเทพ ก็ไม่สามารถขัดขวางศิษย์พี่หานเฟิงได้

เลี้ยวมาบนถนนกว้าง หานเฟิงพาลู่ฝาน มาหน้าประตูอาคารแห่งหนึ่ง

เห็นได้ชัดว่าเจ้าของอาคารนี้หรูหราฟุ่มเฟือยมาก ข้างหน้าวางนกหงส์หยกขาวคู่หนึ่ง เหมือนจริงมาก

ป้ายด้านบนตึก มีตัวอักษรขนาดใหญ่ “หงส์วอนรัก!”

ศิษย์พี่หานเฟิงเกี่ยวแขนลู่ฝานมาหน้าประตู ยังไม่ทันเข้าไป ก็โดนผู้หญิงคนหนึ่งขวางไว้

“ค่าเข้าสามเหรียญทอง”

หานเฟิงหยุดลง แล้วพูดว่า “ให้ตายเถอะ ครั้งก่อนแค่เหรียญทองเดียว ทำไม่ถึงขึ้นล่ะ คณะสงบใจของพวกเธออย่าเอาแต่ได้สิ ไม่มีกฎเกณฑ์หรือไง”

ผู้หญิงกลอกตามองบน แล้วพูดว่า “ครั้งก่อนคือครั้งก่อน ครั้งนี้มีศิษย์น้องหลิงเหยาบรรเลงเพลง เก็บสามเหรียญทองให้นายได้ฟังเพลง นับว่ามีสิทธิพิเศษมากแล้ว คำพูดของนายเมื่อกี้ ฉันควรไล่นายออกไปซะ”

ลู่ฝานพึมพำว่า “หลิงเหยา เหมือนเคยได้ยินชื่อนี้”

หานเฟิงตาเป็นประกาย “นายรู้จักเหรอ”

ลู่ฝานครุ่นคิดอย่างละเอียด ในที่สุดก็คิดออก “อ้อ ผู้หญิงที่เลือกคณะสงบใจ ผมนึกออกแล้ว เป็นนักเรียนใหม่ที่ต่อสู้ได้สิบอันดับแรกเหมือนผม”

ผู้หญิงมองลู่ฝานอย่างประเมิน “นายก็เป็นนักเรียนใหม่สิบอันดับแรกเหรอ งั้นก็ได้ เห็นแก่นาย เก็บนายคนละสองเหรียญทองก็ได้”

ศิษย์พี่หานเฟิงดึงเสื้อลู่ฝาน “ลู่ฝาน ผู้หญิงคนนั้นสวยไหม”

ลู่ฝานพยักหน้า “สวยมาก”

ศิษย์พี่หานเฟิงหัวเราะออกมา ล้วงมือเข้าไปตรงเป้า หยิบเหรียญทองออกมาสี่เหรียญ ยื่นให้ผู้หญิงหน้าประตู “สวยก็ดี สี่เหรียญทองก็สี่เหรียญทอง”

ผู้หญิงเห็นหานเฟิง หยิบเหรียญทองออกมาจากตรงนั้น จึงโกรธจนหน้าแดง เธอไม่รับมันมา

หานเฟิงยัดเข้าไปในมือเธอ ทำให้ผู้หญิงกรีดร้องออกมา พลังปราณบนตัวเธอ ถูกปล่อยออกมา

ลู่ฝานเห็นท่าไม่ดี รีบดึงศิษย์พี่หานเฟิงเข้าไปด้านใน

ยังดีที่ทั้งสองคนว่องไว พุ่งไปเหมือนควัน ผู้หญิงกระทืบเท้าโมโหอยู่หน้าประตู ปาเหรียญทองสี่เหรียญลงพื้นอย่างแรง

เมื่อเข้ามาในอาคาร หานเฟิงไม่พูดพร่ำทำเพลง วิ่งขึ้นไปบนอาคารทันที

เพิ่งขึ้นมาถึงชั้นสาม ลู่ฝานได้ยินเสียงอันไพเราะ ลอยมาเบาๆ

เสียงพิณจีนดังไพเราะชัดเจน

เสียงเหมือนธรรมชาติ เหมือนความฝัน

ลู่ฝานชะงักฝีเท้า มองไปด้านใน อาคารขนาดใหญ่ ดูเรียบง่ายและสวยงาม มีโต๊ะชา เรียงตามลำดับ ภาพสาวงามบนกำแพง เต็มไปด้วยเสน่ห์

ตอนนี้คนนั่งเต็มชั้นสาม ไม่ไกล หญิงคนหนึ่งกำลังดีดพิณ นิ้วเรียวขาว ตาเป็นประกายงดงาม ดีดสายพิณเหมือนดีดใจ

“สายลมพัดมาเมื่อคืน ฝนร่วงโปรยปราย พิงประตูมองไปนอกหน้าต่าง คนที่ลุ่มหลงในความรักยืนอยู่กลางสายฝน ใครร้องเพลง เสียงดังตามทำนอง จิตใจหญิงสาวตั้งเท่าไร นิมิตยุทธจักรตั้งเท่าไร”

ลู่ฝานฟังจนเคลิ้มทันที ยืนมองผู้หญิงดีดพิณอยู่ที่เดิม

ถูกต้อง เธอคือหลิงเหยาแห่งคณะสงบใจ

หานเฟิงยืนอยู่อีกด้าน ตกอยู่ในสภาวะเคลิบเคลิ้ม

มองหลิงเหยาแล้วน้ำลายไหล ไม่ใช่เขาเพียงคนเดียว คนทั้งชั้นสามที่เป็นเหมือนเขา มีอยู่นับไม่ถ้วน

ลู่ฝานหลับตาลง ฟังเงียบๆ ตอนนี้จิตใจเขาสงบลง

พลังฟ้าดินบริเวณรอบๆ หยุดลง ลู่ฝานจมอยู่ในแดนอัศจรรย์

สายลม เมฆขาว ปกคลุมไปทั่ว

ท่ามกลางขุนเขา เขาวิพากษ์ดูเป็นเอกลักษณ์ ตั้งอยู่ในนั้น

ลู่ฝานไม่รู้ว่าควรเรียกมันว่าภูเขาได้ไหม เพราะมันดูเหมือนเมือง ไม่ใช่ภูเขา

ภูเขาสูงกว่าสามหมื่นฟุต เต็มไปด้วยบ้านเรือน ตึก ศาลา แท่นต่างๆ ร้านอาหาร ร้านเหล้า ไม่ขาดอะไรสักอย่าง

แม้ตึกพวกนี้ หมุนขึ้นไปตามรูปร่างภูเขา ตรงกลางเป็นขั้นบันไดหินเขียวเหมือนน้ำตก บนยอดเขาเหมือนโดนคนเอากระบี่ตัดให้เรียบ จากสายตาของลู่ฝาน ก่อนที่ยอดเขาลูกนี้ยังไม่โดนทำให้เรียบ คงจะสูงอย่างน้อยหกหมื่นฟุต

เพราะพื้นที่ที่โดนทำให้เรียบ มีขนาดใหญ่มาก กวาดตามองไป อย่างน้อยครอบคลุมพื้นที่หลายร้อยลี้

เหมือนยอดเขาอันยิ่งใหญ่ โดนคนตัดเอว และถูกปรับให้เป็นเมือง

ในเมฆหมอกที่ล้อมรอบภูเขา สิ่งก่อสร้างเหล่านี้เหมือนคนงามที่ซ่อนอยู่หลังฉากกั้น เพิ่มความลึกลับและงดงามเข้าไปอีก

ผู้คนในภูเขาไม่น้อยเลย ได้ยินเสียงคนจากไกลๆ ลู่ฝานใช้ความสามารถของสายตาตัวเอง มองผ่านเมฆหมอกไปไกล ยิ่งพบว่าเขาวิพากษ์น่าตกใจมาก นี่เป็นเมืองยิ่งใหญ่ในเทือกเขาชัดๆ

หานเฟิงตบไหล่ลู่ฝาน แล้วพูดว่า “ฮ่าๆ ศิษย์น้องลู่ฝานคงตกใจสินะ คงคิดไม่ถึงว่าเขาวิพากษ์จะเป็นแบบนี้ อันที่จริง ตอนฉันมาครั้งแรกก็อึ้งเหมือนกัน ไปกันเถอะ ที่นี่ขายของที่เราต้องการ”

ทั้งสี่คนเดินต่อไป หลังข้ามเขาเล็กๆ ไปหนึ่งลูก มาถึงตีนเขาวิพากษ์

เมื่อเข้ามาใกล้ ยิ่งเห็นความหรูหราของเขาวิพากษ์

ประตูทางเข้าสูงเสียดฟ้า ตัวอักษรสีทองคำว่าเขาวิพากษ์ ส่องแสงระยิบอยู่ในเมฆหมอก

ก้าวขึ้นไปเรื่อยๆ แผ่นหินกว้างเหมือนโดนคนเช็ด ไม่มีฝุ่นสักนิด สองข้างมีต้นไม้ใบหญ้า ส่งกลิ่นหอมฟุ้ง

ทั้งสองข้างมีอาคาร อาคารพวกนี้ส่วนใหญ่ทำจากไม้ ไม่กี่ชั้นด้านล่าง ทำจากหินขนาดใหญ่ ด้านบนสร้างจากไม้อย่างดี ทั้งล่างและบนมีหลายสิบชั้น ยาวสุดลูกหูลูกตา ชั้นของอาคารแต่ละชั้นเป็นชายคาที่โค้งขึ้นแบบจีน แกะสลักเป็นรูปนกนักล่า ทองและหยกระยิบระยับ

ถึงอยู่ในเมืองเจียงหลิน ลู่ฝานก็ไม่เคยเห็นอาคารแบบนี้ ในเมืองทั่วไป อาคารมีประมาณสามชั้น ถ้าอาคารสูงเสียดฟ้าแบบนี้ อยู่ในเมืองเจียงหลิน ต้องเป็นสิ่งยิ่งใหญ่แน่นอน แต่ที่นี่ กลับเห็นได้ทั่วไป

ทรงเหลี่ยม สูงเป็นพันฟุต โดยเฉพาะหอคอยสีขาวตรงกลาง ดูมีพลานุภาพยิ่งใหญ่ แขวนระฆังทองเต็มไปหมด มีเสียงไพเราะลอยตามลม เป็นระยะ อีกทั้งยังมีแสงสีขาว ปกคลุมอยู่หนึ่งชั้น ลู่ฝานหรี่ตามอง หอคอยนี้

ผู้คนเดินไปมารอบๆ ส่วนใหญ่เป็นนักเรียนคณะอื่น แค่แป๊บเดียว มีคนราวๆ หลายร้อยคน

หรือไม่ก็อาจารย์ได้ออกคำสั่ง พวกนายอย่าสร้างความวุ่นวายที่นี่ โดยเฉพาะศิษย์น้องหานเฟิง ถ้านายอยากสู้ รอขึ้นไปที่สนามกลางแจ้งบนยอดเขา นายสู้กับคนอื่นได้ตามใจ

หานเฟิงพูดอย่างหงุดหงิดว่า “รู้แล้วๆ พูดซ้ำทุกรอบที่มา ศิษย์พี่รองไม่หงุดหงิดที่พูด แต่ผมฟังจนหงุดหงิดแล้ว”

ฉู่เทียนส่ายหน้า ถอนหายใจแล้วพูดว่า “น่าเสียดายที่ไม่เข้าหูนายสักรอบ”

ลู่ฝานยังคงมองไปรอบๆ ทันใดนั้น ถามออกมาว่า “ทำไมที่นี่หรูหราขนาดนี้ล่ะครับ คนเยอะมากเลย”

ฉู่เทียนอึ้งไป จากนั้นมองลู่ฝานด้วยสีหน้าแปลกประหลาด “ศิษย์น้องลู่ฝาน ดูเหมือนนายโดนบรรยากาศในคณะหนึ่งเดียวของเราทำร้ายเข้าให้แล้ว”

ลู่ฝานพูดอย่างไม่เข้าใจ “หมายความว่ายังไงครับ”

หานเฟิงมีสีหน้าเข้าใจ ตบไหล่ลู่ฝานแล้วพูดว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน ศิษย์พี่รองหมายความว่า นายอยู่ในคณะหนึ่งเดียวนานไปแล้ว เลยคิดว่าที่อื่นในสถาบันสอนวิชาบู๊เหมือนกับคณะหนึ่งเดียว แต่ความจริงไม่ใช่อย่างนั้น”

ศิษย์พี่หานเฟิงเงยหน้ามองฟ้า ท่าทางเศร้าใจ แล้วพูดต่อ “ศิษย์น้องลู่ฝาน นายรู้ไหมว่าคณะอื่นใหญ่ขนาดไหน ทรงพลังขนาดไหน ส่องแสงระยิบระยับขนาดไหน สาวงามเยอะแยะแค่ไหน”

ศิษย์พี่หานเฟิงเอามือตบหน้าผากตัวเอง แล้วพูดว่า “ตอนนั้นฉันไปถิ่นของคณะสงบใจ ถึงกับอึ้งไปเลย ฉันโง่แค่ไหนถึงเลือกคณะหนึ่งเดียว คณะสงบใจใหญ่กว่ากำแพงเมืองบ้านเก่าฉันอีก นักเรียนทุกคนจะถูกแยกไปยังเรือนขนาดใหญ่ ครอบคลุมพื้นที่กว่าหกหมื่นตารางเมตร อย่าว่าแต่วิวงดงามเหมือนภาพวาดเลย ยังมีพร้อมทุกอย่าง อีกทั้งถ้ายกระดับผลการฝึกตนเร็ว อาจารย์จะมอบคนใช้ให้ด้วย เรียกได้ว่าสะดวกสบาย สบายใจสุดๆ นักเรียนทุกคนอยู่ดีกินดี แค่ฝึกอย่างสงบก็พอแล้ว”

พูดถึงตรงนี้ ศิษย์พี่ฉู่สิงกับศิษย์พี่ฉู่เทียน ถอนหายใจออกมาเช่นกัน

ศิษย์พี่ฉู่สิงพูดต่อ “คณะสงบใจนับว่าแย่แล้วนะ ฉันได้ยินว่านักเรียนคณะหยินหยางให้ของทุกเดือน ไม่ว่าจะเป็นเงินทอง สมุนไพร หรือวิชา ถ้าทำความดีความชอบให้คณะ จะได้ไปเลือกอาวุธและวิชาด้วยตัวเองที่หอคอยดวงดาวกลางคณะหยินหยาง ไม่เพียงแต่ตัวเองจะใช้ได้ ยังสามารถคัดลอกกลับไปให้ตระกูลได้ด้วย นักเรียนที่เข้าคณะหยินหยาง คนข้างนอกล้วนแย่งชิงกันเข้าคณะหยินหยางเพื่อมาเป็นคนรับใช้พวกเขา แค่ขายตำแหน่งทาส ก็ทำให้พวกเขาทำเงินได้หลายแสนเหรียญทองแล้ว”

เจ้าดำยังคงนอนราบอยู่หน้าประตู อาจเป็นเพราะความวุ่นวาย ในลานบ้านดังเกินไป เจ้าดำตื่นขึ้นมา มองพวกหานเฟิงอย่างดูหมิ่น แล้วเข้าไปนอนต่อในห้อง

ผ่านไปนาน ศิษย์พี่ใหญ่และคนอื่นจึงหยุดลง

ศิษย์พี่ใหญ่ปรบมือ แล้วพูดว่า “รู้ตั้งนานแล้วว่าเป็นฝีมือนาย แต่ขี้เกียจพูดเท่านั้น วันนี้ได้ต่อยอย่างสะใจ เหงื่อเต็มตัวไปหมด”

ศิษย์พี่ใหญ่เอามือลูบพุงแววๆ แล้วเดินหัวเราะออกไป

ฉู่สิงกับฉู่เทียนก็เหนื่อยเหมือนกัน มองหานเฟิงแล้วพูดว่า “ศิษย์น้องหานเฟิง ต่อไปถ้าต้องการอีก รีบมาหาพวกเรานะ ต่อยคนได้ตามใจชอบ นี่มันดีจริงๆ ฮ่าๆ”

ฉู่สิงกับฉู่เทียนหันหลังเดินกลับห้อง

หานเฟิงแผ่หลาบนพื้น อยู่ในสภาพเกือบตาย

“ความรู้สึกนี่แหละ ความรู้สึกนี่แหละ”

หานเฟิงฝืนเอากระดาษวิชาหนึ่งเดียวออกมา เมื่อคืนเขาใช้ไม้อ่อนหว่านล้อมไม่หยุด กว่าจะได้มาจากอาจารย์เต้ากวง ตอนนี้มาดูว่าวิธีที่ศิษย์น้องลู่ฝานบอกเขา จะใช้ได้หรือเปล่า

หานเฟิงลืมตาแทบจะไม่ขึ้น เขาใช้นิ้วถ่างตาเอาไว้ จ้องกระดาษวิชาหนึ่งเดียวเขม็ง

ทันใดนั้น ศิษย์พี่หานเฟิงร้องโอดครวญ แล้วล้มลงบนพื้น ตัวสั่น กระดาษร่วงลงบนพื้น

อาจารย์อี้ชิงหันมามองหานเฟิง “ปัญญาอ่อนจริงๆ ถ้าวิธีนี้ฝึกวิชาหนึ่งเดียวได้ งั้นสายเลือดหนึ่งเดียว คงเป็นตัวตลกไปทั้งโลกแล้ว”

หานเฟิงเงยหน้าขึ้น พูดเสียงขาดๆ หายๆ “อาจารย์อี้ชิงรู้ว่าไม่ได้ผลเหรอ”

อาจารย์อี้ชิงจิบชาเบาๆ แล้วพูดว่า “ฉันรู้แน่นอน ลู่ฝานฝึกสำเร็จ นั่นเป็นโอกาส โชคชะตาบวกกับความเข้าใจ นายไม่มีอะไรสักอย่าง จะฝึกสำเร็จได้ยังไง ไม่ได้บอกนาย เพราะอยากเห็นนายโดนกระทืบเท่านั้น”

อาจารย์เต้ากวงพูดต่อ “ถูกต้อง เห็นคนโดนกระทืบตั้งแต่เช้า รู้สึกดีมาก เหมือนย้อนกลับไป ตอนเราฝึกแรกๆ”

เมื่อศิษย์พี่หานเฟิงได้ยินดังนั้น จึงกระอักเลือดออกมาอีก ครั้งนี้สลบไปเลย

อาจารย์อี้ชิงหัวเราะ แล้วเดินเข้ามาใส่พลังปราณเข้าไปในตัวหานเฟิง

เพราะพวกศิษย์พี่ใหญ่ ไม่ได้ลงมือถึงตาย ศิษย์พี่หานเฟิงดูบาดเจ็บสาหัส อันที่จริงไม่ได้บาดเจ็บถึงเส้นเอ็นและกระดูก

ลู่ฝานส่ายหน้า หันหลังเดินเข้าไปในห้อง

……

พวกเขาจะไปเขาวิพากษ์ที่สถาบันสอนวิชาบู๊เพื่อซื้ออาวุธ ลู่ฝานเพิ่งรู้เหมือนกัน สถาบันสอนวิชาบู๊ไม่ได้มีแค่เก้าคณะใหญ่ ยังมีสถานที่ให้นักเรียนพูดคุย

หานเฟิงโดนรุมกระทืบจนสลบเมื่อเช้า ตอนนี้ฟื้นฟูพอประมาณแล้ว แม้ใบหน้ายังฟกช้ำ ดูน่าเวทนา แต่ส่วนอื่นไม่เป็นอะไร

“ศิษย์น้องลู่ฝาน ครั้งนี้นายหลอกฉันเละเลย ทำไมนายไม่รีบบอกว่าวิธีนี้ใช้ไม่ได้ผล”

หานเฟิงบ่นอุบ เขายังแค้นที่ตัวเองโดนกระทืบฟรีๆ

แต่ศิษย์พี่ฉู่สิงกับศิษย์พี่ฉู่เทียน กลับหัวเราะอย่างมีความสุข

ลู่ฝานพูดอย่างเหนื่อยใจ “ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน”

ศิษย์พี่หานเฟิงถอนหายใจ “ดูเหมือนฉันคงไม่มีวาสนากับวิชาหนึ่งเดียว วิชาแข็งแกร่งขนาดนี้ ทำไมฉันถึงเรียนไม่ได้ ใช่สิ ลู่ฝาน อาจารย์ได้บอกข้อห้ามของวิชาหนึ่งเดียวกับนายไหม”

ลู่ฝานส่ายหน้า “ไม่ครับ เหมือนวิชาหนึ่งเดียว ไม่มีข้อห้าม เพราะไม่ใช่เคล็ดวิชาบู๊การโจมตี แท้จริงอะไรขนาดนั้น”

หานเฟิง ฉู่สิงและฉู่เทียนเบิกตาโต “นี่ยังไม่นับว่าเป็นเคล็ดวิชาบู๊การโจมตีอีกเหรอ ขนาดหลินฉียังโดนนายฟันกระบี่ แค่ไม่กี่ครั้ง นายจะเอายังไงอีก”

ลู่ฝานพูดว่า “พลังวิญญาณที่รวมตัวจากวิชาหนึ่งเดียว เป็นแค่การใช้พลังด้วยวิธีพิเศษ แม้พลานุภาพแข็งแกร่ง แต่เปลืองพลังปราณไม่น้อย ส่วนเคล็ดวิชาพลังวิญญาณ ผมยังฝึกออกมาไม่ได้”

หานเฟิงพยักหน้าอย่างเข้าใจ “ที่แท้เป็นแบบนี้นี่เอง ก็ถูกแล้วล่ะ พลังน่ากลัวขนาดนี้เปลืองพลังปราณมากก็สมควร ดูเหมือนว่า ต่อไปศิษย์น้องลู่ฝานลงมือต้องรีบจัดการคู่ต่อสู้ให้เร็ว ขืนสู้นาน คงใช้วิชาหนึ่งเดียวไม่ได้”

ลู่ฝานยิ้มบางๆ เขายังไม่ได้บอกศิษย์พี่หานเฟิง อันที่จริงความสามารถในการฟื้นฟูของเขา สามารถสร้างความสมดุล กับพลังที่สูญเสียไปกับวิชาหนึ่งเดียว

อันที่จริง วิชาหนึ่งเดียวมีวิชาเคลื่อนไหวพลังปราณในตัวมันเอง แต่แค่วิชาชุดนี้ แย่กว่าค่ายกลหยินหยาง กับค่ายกลห้าธาตุในตัวลู่ฝาน ดังนั้นลู่ฝานจึงไม่ใช้

ทั้งสี่คนพูดคุยยิ้มแย้ม เดินไปยังเทือกเขาฉิงเทียน

หลังเดินไปได้หนึ่งวันหนึ่งคืน ยอดเขาหนึ่ง ซึ่งแตกต่างออกไป ปรากฏเข้ามาในสายตา

หานเฟิงชี้ยอดเขานั้น “ศิษย์น้องลู่ฝาน ถึงเขาวิพากษ์แล้ว”

ในคืนนั้น ลู่ฝานนั่งอยู่หน้าสุสานเครื่องทรงทั้งคืน

เหมือนอย่างที่อาจารย์อี้ชิงพูด วิชาเปลี่ยนเกราะฝังลึกอยู่ในหัวเขา ทำความเข้าใจหนึ่งคืน ลู่ฝานรู้แล้วว่าควรใช้ยังไง

เห็นชุดเกราะบนตัวแบบเลือนราง เป็นชุดเกราะที่มีลาย เหมือนชุดเกราะที่วาดค่ายกลเต็มไปหมด เต็มไปด้วยความแข็งแกร่ง

ชุดเกราะสีขาวปกคลุมบนตัว เหมือนชุดเกราะสุดหรูที่ขายในร้านค้าอาวุธ แต่กลับแข็งแกร่งทนทานกว่าชุดเกราะพวกนั้นหลายเท่า ส่องแสงสว่างภายใต้แสงอาทิตย์

ชุดเกราะแบบสวมทั้งตัว สามารถใส่เป็นเสื้อผ้าได้ ตอนไม่ได้ใช้งาน มันจะซ่อนอยู่ในตัว กลายเป็นเกราะห่อหุ้มกระดูก ปกป้องอวัยวะภายในกับกระดูกได้ดีที่สุด เมื่อมันโดนพลังวิญญาณกระตุ้น จะสามารถปกคลุมร่างกายได้ ถึงกระทั่งที่กลายเป็นหมวกเกราะรูปมังกร ปกป้องส่วนหัวเอาไว้มิดชิด

ลู่ฝานหาน้ำออกมา มองด้านหลังของชุดเกราะตัวเอง เหมือนพวกนักบู๊ฆ่ามังกรในตำนาน

แบกกระบี่หนักบนหลัง เหมือนเพิ่มความโหดร้ายขึ้น ต่อยลงไปบนเกราะหนึ่งหมัด ไม่มีความรู้สึกอะไรเลย พลังป้องกันระดับนี้ ใช้งานได้ดีกว่าผิวหนังเผ่ามังกรของเขา จากวิชาที่เซียนบู๊ซงหยางถ่ายทอดให้เขา ถ้าฝึกเกราะนี้ถึงขั้นสูงสุด จะเหมือนกับเกล็ดของมังกรขนาดใหญ่ในสมัยโบราณ อาวุธวิเศษทำอะไรไม่ได้ สวรรค์ไม่สามารถทำลายได้

เวลาทั้งคืน ลู่ฝานสามารถเก็บและปล่อยเกราะออกมาได้ตามใจชอบ

เขาต้องทำเพียงแค่ใช้ปราณชี่หล่อเลี้ยงเกราะในร่างกายต่อไป ก็เพียงพอแล้ว

เกราะระดับนี้ ถ้าคนอื่นฝึกฝน แค่ใช้วิญญาณรวมตัวเป็นเกราะขั้นแรก ก็ยากจะควบคุมได้แล้ว ยังดีที่เซียนบู๊ซงหยางช่วยเขาให้ผ่านขั้นนี้มาได้

สิ่งที่ลู่ฝานต้องทำ คือฝึกให้แข็งแกร่ง ยกระดับผลการฝึกตน ชุดเกราะจึงจะยกระดับตามไปด้วย

ค่ายกลห้าธาตุกับค่ายกลหยินหยางขนาดใหญ่ในตัว ยังดูดซับและกลั่นพลังฟ้าดินอยู่ตลอดเวลา

ค่ายกลห้าธาตุดูดซับพลังฟ้าดิน ค่ายกลหยินหยาง กลั่นเป็นพลังที่ดี เพื่อให้ร่างกายลู่ฝานดูดซับ

มีค่ายกลสองค่ายกลนี้ เรียกได้ว่าความเร็วในการฝึกของลู่ฝานเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว นำห่างนักบู๊คนอื่นไปไกล โดยเฉพาะหลังจากที่ค่ายกลทั้งสองค่ายกล ขยายใหญ่ขึ้นห้าเท่า ความเร็วในการดูดซับพลังฟ้าดิน ก็เพิ่มขึ้นห้าเท่าด้วย

ดูเหมือนว่า การที่ลู่ฝานเอาพลังบริสุทธิ์ ให้ค่ายกลทั้งสองค่ายกล ได้ดูดซับ เป็นเรื่องที่ถูกต้องมาก

ท้องฟ้าเริ่มสว่าง แสงสาดส่องไปทั่ว

ลู่ฝานลุกขึ้นเพื่อจะเดินกลับ ก่อนจะไป เขาตั้งใจทำความสะอาดสุสานของเซียนบู๊ซงหยางด้วย

เดินกลับมายังคณะหนึ่งเดียว เพิ่งมาถึงข้างหน้า ลู่ฝานเห็นหานเฟิงร้องโอดครวญอยู่ ศิษย์พี่ฉู่สิงกับศิษย์พี่ฉู่เทียนขนาดคนที่มีเมตตา อ่อนโยนดั่งน้ำ อย่างศิษย์พี่ใหญ่ กำลังรุมกระทืบเขาอยู่

โดนรุมไปพลาง หานเฟิงตะโกนออกมาว่า “แรงอีก แรงขึ้นอีก”

ลู่ฝานอึ้งไป ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

ลู่ฝานรีบเดินเข้าไปลากศิษย์พี่หานเฟิงออกมา “เกิดอะไรขึ้นครับ ศิษย์พี่ทั้งสามกระทืบศิษย์พี่หานเฟิงทำไม”

ศิษย์พี่หานเฟิงโดนรุมจนหน้าตาฟกช้ำดำเขียว พูดไม่ชัด “ศิษย์น้องลู่ฝาน นาย……ปล่อยฉัน”

ศิษย์พี่ฉู่สิงหนังตากระตุก “นายถามเขาเองเถอะ ไอ้นี่อยากโดนกระทืบ แถมยังให้เรารุบกระทืบเขา เราก็ไม่เกรงใจอยู่แล้ว”

ฉู่เทียนกับศิษย์พี่ใหญ่พยักหน้าหงึกหงัก

ลู่ฝานมองศิษย์พี่หานเฟิง “ศิษย์พี่หานเฟิง เกิดอะไรขึ้น พี่ให้พวกเขากระทืบเหรอ”

“ศิษย์น้องลู่ฝาน นายบอกเองไม่ใช่เหรอ ว่าผ่านช่วงเวลาแห่งความเป็นตาย ถึงจะฝึกวิชาหนึ่งเดียวสำเร็จ ฉันกำลังสัมผัสกับความเป็นตายอยู่ มาสิ รุมกระทืบฉันต่อ ศิษย์พี่ฉู่สิง ครั้งก่อนกางเกงพี่ขาดเป็นรู ฝีมือผมเองแหละ เดินโชว์ก้นในคณะอื่น คงรู้สึกไม่เลวใช่ไหม ศิษย์พี่ใหญ่ เนื้อที่พี่กินจนอ้วกครั้งนั้น ผมตั้งใจทำเอง ผมใส่วัตถุดิบอื่นลงไปนิดหน่อย

ลู่ฝานหางตากระตุก รู้สึกว่าศิษย์พี่หานเฟิงกำลังรนหาที่ตาย

ศิษย์พี่ฉู่สิงกับศิษย์พี่ใหญ่ ได้ยินศิษย์พี่หานเฟิงตะโกน โมโหขึ้นมาทันที เข้ามารุมต่อย

ลู่ฝานรีบโยนศิษย์พี่หานเฟิงออกไป ไม่งั้นเละแน่ๆ

ศิษย์พี่ฉู่สิงกับศิษย์พี่ใหญ่ จับศิษย์พี่หานเฟิง แล้วซัดอย่างแรง ซัดไปพลางตะโกนว่า “อยากโดนรุมกระทืบใช่ไหม ที่แท้ฝีมือนายนี่เอง”

ลู่ฝานยืนอยู่อีกด้าน จะบอกความจริงกับศิษย์พี่หานเฟิงดีไหม

เห็นศิษย์พี่หานเฟิงโดนกระทืบจนจะไม่ใช่คนแล้ว ลู่ฝานตัดสินใจไม่พูดดีกว่า ไม่งั้นศิษย์พี่หานเฟิงต้องคลุ้มคลั่งแน่นอน ถึงเขาโดนกระทืบจนอยู่ในสภาพนี้ เขาก็ต้องคลุ้มคลั่งแน่นอน

อาจารย์อี้ชิงกับอาจารย์เต้ากวงนั่งอยู่ข้างๆ ดื่มชาพลางพูดคุยกันเรื่องทั่วไป และมองหานเฟิงโดนกระทืบไปพลาง

“เป็นวันที่ดีสุดๆ ไปเลย!”

อาจารย์อี้ชิงส่ายหัวไปมา แล้วเอ่ยขึ้น

“ปลดปล่อยพลังวิญญาณของนายออกมา”

อาจารย์อี้ชิงพูดต่อ

ลู่ฝานค่อยๆ แปรเปลี่ยนปราณชี่เป็นพลังวิญญาณ จากนั้นปล่อยออกมาจากฝ่ามือทั้งสองข้าง พลังวิญญาณ สัมผัสกับกระบี่และดาบ ทันใดนั้น อาวุธสองเล่มนี้ ส่งเสียงคำรามออกมา

ลู่ฝานเริ่มรู้สึกมึนหัวเล็กน้อย เหมือนเสียงคำราม โจมตีพลังของวิญญาณ

ยังดีที่เสียงคำรามหายไปอย่างรวดเร็ว กระบี่และดาบกลายเป็นชิ้นเล็กๆ

อาจารย์อี้ชิง อาจารย์เต้ากวงเห็นภาพตรงหน้า ต่างมีสีหน้าตื่นเต้น

“เป็นพลังวิญญาณที่สมบูรณ์ตามคาด อาจารย์ คุณตายตาหลับแล้ว”

อาจารย์อี้ชิงเสียงสะอื้นเล็กน้อย

ลู่ฝานหันไปมองอาจารย์อี้ชิงอย่างไม่เข้าใจ

อาจารย์เต้ากวงมองลู่ฝานที่มีสีหน้าไม่เข้าใจ “ลู่ฝาน นายรู้ไหมว่าสุสานเครื่องทรงนี้ เป็นสุสานที่ฝังใคร”

ลู่ฝานส่ายหน้าเบาๆ

“ที่นี่ฝังอาจารย์ของฉันกับอี้ชิง เซียนบู๊ซงหยาง ตอนอาจารย์ใกล้จะจากไป เขาให้เราฝังเขาไว้ที่นี่ และสั่งพวกเราว่า ถ้าในบรรดาศิษย์ของเรา มีคนฝึกพลังวิญญาณ ได้อย่างสมบูรณ์ ให้พาเขามาดูที่นี่ ดาบและกระบี่ที่นายจับอยู่ เป็นดาบและกระบี่ติดตัวของอาจารย์ ติดตามอาจารย์เป็นเวลานาน

อาจารย์อี้ชิงพยักหน้าพูดว่า “ถูกต้อง ตอนนี้ในที่สุดก็สามารถกลับสู่ที่ของมันแล้ว”

เมื่อพูดจบ เศษซากบนพื้นกลายเป็นลำแสง ปกคลุมลู่ฝานเอาไว้

ลู่ฝานยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น พลังบริสุทธิ์เข้าสู่ร่างกายเขา

ลู่ฝานรู้สึกว่าปราณทั้งตัวพลุ่งพล่าน พลังพุ่งขึ้นเรื่อยๆ ร่างกายเริ่มแข็งตัวเป็นชุดเกราะ

ลู่ฝานอึ้งไป เขามองเกราะทั้งตัว ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

อาจารย์อี้ชิง อาจารย์เต้ากวงกลับมองเงียบๆ ไม่มีสีหน้าตกใจสักนิด

ตู้ม พลังแข็งแกร่ง ระเบิดในตัวลู่ฝาน ระเบิดเส้นลมปราณและกระดูกของเขาทั้งตัว

ความเจ็บแผ่ซ่านไปทั้งตัว ลู่ฝานเกือบประคองตัวไม่ได้ กระอักเลือดสีดำออกมา

ทันใดนั้น พลังอันแข็งแกร่ง เริ่มฟื้นฟูเส้นลมปราณและกระดูกของเขา เส้นลมปราณที่สร้างขึ้นใหม่ ไหลเวียนดีมาก โครงกระดูกมีเกราะสีขาวปกคลุมอยู่หนึ่งชั้น ส่องแสงกะพริบ

แดนปราณในชั้น5 แดนปราณในชั้น6 แดนปราณในชั้น7

ระยะเวลาสั้นๆ ลู่ฝานรู้สึกว่าพลังของตัวเอง พุ่งไปถึงแดนปราณในชั้น7

ลู่ฝานรีบควบคุมพลังที่พลุ่งพล่านของตัวเอง เขารู้สึกว่า ถ้าตัวเองไม่ควบคุมไว้ พลังนี้จะทำให้เขาพุ่งไปถึงแดนปราณนอก

แต่ลู่ฝานไม่สามารถให้มันพุ่งขึ้นต่อไปได้ วิถีบู๊ ต้องมั่นคง การยกระดับอย่างรวดเร็ว อาจทำให้พื้นฐานไม่มั่นคง อีกทั้ง แค่พลังระดับแดนปราณในชั้น7 ลู่ฝานแทบจะควบคุมไม่อยู่แล้ว

ขืนปล่อยไปเรื่อยๆ ไม่อยากคิดถึงผลของมันเลย

ลู่ฝานควบคุมปราณชี่ที่พลุ่งพล่านทั้งตัว และใช้ปราณชี่ควบคุมพลังอันบริสุทธิ์นั้น เข้าสู่จุดตันเถียน ใส่เข้าไปในค่ายกลห้าธาตุที่อยู่ในจุดตันเถียน

เมื่อพลังบริสุทธิ์เข้าสู่ค่ายกลห้าธาตุ ค่ายกลห้าธาตุขยายใหญ่ขึ้นสามเท่า ทำให้จุดตันเถียนของเขาสั่นไปมา

จากนั้น ลู่ฝานเอาพลังนี้ใส่เข้าไปในค่ายกลหยินหยางที่อยู่ในหัวเขา ค่ายกลหยินหยาง ขยายใหญ่ขึ้นสามเท่าเช่นกัน

หลังทำอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดพลังนี้หมดไป ส่วนค่ายกลหยินหยางกับค่ายกลห้าธาตุ ในตัวเขา ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมห้าเท่า

ลมหายใจลู่ฝาน เริ่มสม่ำเสมอ เกราะบนตัวค่อยๆ หายไป แต่ด้านหลังเขา มีลายเล็กๆ เป็นทาง เห็นเป็นตัวอักษรคำว่า “หนึ่ง” แบบเลือนราง

อาจารย์อี้ชิงกับอาจารย์เต้ากวงดูอยู่ตลอดเวลา

เมื่อแสงบนตัวลู่ฝานหายไป อาจารย์อี้ชิงยิ้มแล้วพูดว่า “พลังแห่งการถ่ายทอดยิ่งใหญ่มาก คิดไม่ถึงว่านายจะประคองตัวเองได้ ควบคุมแดน เดิมทีฉันคิดว่าอย่างน้อย นายจะยกระดับถึงแดนปราณนอก”

ลู่ฝานพูดว่า “นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ครับ ชุดเกราะนั่น”

อาจารย์เต้ากวงพูดว่า “นี่เป็นโอกาสของนาย เซียนบู๊ซงหยาง อาจารย์ของฉัน มีชื่อเรียกอีกอย่างว่าเซียนบู๊เกล็ดมังกร เคล็ดวิชาบู๊ทั้งหมด ส่วนใหญ่อยู่บนเกราะนี่แล้ว นายได้รับการถ่ายทอดจากเขา จึงมีเกราะอันนี้ ผ่านการกระตุ้นจากพลังวิญญาณของนาย เกราะนี่จึงแข็งแกร่งมากจนถึงจุดสูงสุด สายฟ้าไม่สามารถทำอะไรนายได้ ส่วนพลังนั่น เป็นพลังปราณส่วนหนึ่งที่เข้าไปในอาวุธตอนที่อาจารย์ละสังขารเท่านั้น ”

พลังปราณส่วนหนึ่งงั้นเหรอ แค่พลังปราณส่วนหนึ่ง สามารถทำให้เขาพุ่งไปได้สามขั้น เซียนบู๊ซงหยางแข็งแกร่งแค่ไหนกันนะ

ลู่ฝานพูดว่า “ทำไมต้องถ่ายทอดให้ผมล่ะ”

อาจารย์อี้ชิงพูดว่า “อย่างแรกคือ เป็นเจตนาของอาจารย์ ส่วนอีกอย่างคือ พลังวิญญาณของนายสมบูรณ์แบบ ดีกว่าคนที่ใช้ความพยายามอย่างมากมายแต่ได้พลังวิญญาณมาแค่เสี้ยวเดียวแบบพวกเรา ดังนั้นนายจึงได้มันมา ไม่ใช่คนอื่น ลู่ฝาน นายอยู่ทำความเข้าใจที่นี่เถอะ อาจารย์น่าจะให้วิชาเปลี่ยนเกราะกับนายด้วย”

ลู่ฝานพยักหน้าอย่างเข้าใจ มองสุสานของเซียนบู๊ซงหยาง

ลู่ฝานคุกเข่าลง และคำนับทำความเคารพ

สายลมพัดผ่านมา ลู่ฝานรู้สึกว่าลมนี้ เหมือนมือคนตบลงบนไหล่เขาเบาๆ สองที จากนั้นก็หายไป

จางเยว่หานและคนอื่นยังยืนอยู่ที่เดิม จนกระทั่งคนข้างๆ ดึงปลายเสื้อเธอ จางเยว่หานจึงตั้งสติได้

คนคณะบังเหินมาอย่างรวดเร็ว แต่ไปเร็วยิ่งกว่า เหมือนมีผีไล่ตามหลังพวกเขาอย่างไรอย่างนั้น หายลับไปจากสายตาอย่างรวดเร็ว

ลู่ฝานมองเสื้อผ้าที่โดนทำลายของตัวเอง ขมวดคิ้วขึ้นมาเบาๆ เหมือนเขามีเสื้อผ้าให้เปลี่ยนไม่มากเท่าไรแล้ว

ศิษย์พี่หานเฟิงหัวเราะเสียงดัง เดินเข้ามาตบไหล่ลู่ฝาน

“ศิษย์น้องลู่ฝาน นายเจ๋งจริงๆ ครั้งนี้คณะบังเหิน แพ้จนสภาพน่าเวทนาเช่นนี้ ฉันจะดูสิว่ายังมีคณะไหนกล้ามาฝึกฝีมือกับคณะหนึ่งเดียวของเราอีก จะเอาให้ตายเลย”

หานเฟิงหัวเราะพลางเหวี่ยงหมัดไปมา

ฉู่เทียนก็หัวเราะ แล้วพูดว่า “ดูเหมือนครั้งนี้ หลินฉีจะเข้าร่วมการสู้จัดอันดับของสถาบันไม่ได้แล้ว วิชาดาบที่เขาใช้เมื่อครู่ พลานุภาพรุนแรง แต่ฝืนใช้พลังปราณออกมา ร่างกายต้องบาดเจ็บ กลับไปครั้งนี้ หลินฉีคงเสียใจไปจนตาย”

หานเฟิงโบกมือไปมา แล้วพูดว่า “ใครสนใจเขากันล่ะ”

ทันใดนั้น หานเฟิงโอบคอลู่ฝาน แล้วพูดเบาๆ ว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน นายต้องบอกพี่ ว่านายฝึกวิชาหนึ่งเดียวสำเร็จได้ยังไง”

ลู่ฝานยิ้มแหยแล้วพูดว่า “ศิษย์พี่หานเฟิง ผมก็ไม่รู้ว่าฝึกสำเร็จได้ยังไง เพราะได้เจอกับช่วงเป็นตายของชีวิตครั้งหนึ่ง จึงฝึกสำเร็จเลย”

หานเฟิงเลิกคิ้วขึ้น แล้วพูดว่า “เจอกับช่วงเป็นตายของชีวิต แล้วฝึกได้งั้นเหรอ”

ลู่ฝานกะพริบตา พยักหน้าพูดว่า “ผมฝึกได้เพราะแบบนี้แหละ”

ศิษย์พี่หานเฟิงมีแววตาเข้าใจ ตบไหล่ลู่ฝานเบาๆ อีกครั้ง

ลู่ฝานยิ้มแห้ง เขาบอกศิษย์พี่หานเฟิงไม่ได้ ว่าในตัวเขามีปราณชี่ที่เกิดจากการรวมตัวของพลังปราณกับพลังชี่

อาจารย์อี้ชิงรอยยิ้มเต็มใบหน้า “ลู่ฝาน นายทำได้ดีมาก ดูเหมือนการต่อสู้จัดอันดับสถาบัน ในปีนี้ คณะหนึ่งเดียวของเรา คงเข้าร่วมได้เหมือนกัน”

อาจารย์เต้ากวงยืนกลอกตามองบนอยู่ข้างๆ ไม่พูดอะไร ศิษย์พี่ใหญ่ลูบท้อง แล้วพูดว่า “ต้องเข้าร่วมเหรอครับ ผมไม่อยากลงมือเลย การต่อสู้เป็นเรื่องที่เหนื่อยมาก ทำให้ไขมันลดลง”

หานเฟิงพูดเสียงดังว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ มีศิษย์น้องลู่ฝานอยู่ ศิษย์พี่ใหญ่คงไม่ต้องลงมือ คณะหนึ่งเดียวของเรามีนักเรียนห้าคนครบพอดี พี่รวมอยู่ในจำนวนก็พอแล้ว”

ศิษย์พี่ใหญ่คิดครู่หนึ่ง เขายังคงลังเล

หานเฟิงหันไปมองเจ้าดำ แล้วพูดว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ รอให้พวกเราไปสู้กับคณะอื่น เจ้าดำจะต้องไปด้วย มันเป็นสัตว์อสูรของศิษย์น้องลู่ฝาน เป็นกำลังเสริมใหญ่ พี่จะอยู่ที่คณะกับอาจารย์เต้ากวง กินอาหารป่า กินเนื้อย่างหรือเปล่า”

ศิษย์พี่ใหญ่กับอาจารย์เต้ากวงมองหน้ากัน

อาจารย์เต้ากวงกระแอม แล้วพูดว่า “การต่อสู้ของคณะ เป็นเรื่องใหญ่ของสถาบันสอนวิชาบู๊ คนเป็นอาจารย์ต้องไปกับพวกนายด้วย”

ศิษย์พี่หานเฟิงหัวเราะ มองศิษย์พี่ใหญ่แล้วพูดว่า “งั้นศิษย์พี่ใหญ่อยู่คณะคนเดียวเหรอ”

ศิษย์พี่ใหญ่สีหน้าไม่สู้ดี ทันใดนั้น เขาถอนหายใจแล้วพูดว่า “จากประหยัดมาฟุ่มเฟือยนั้นง่าย จากฟุ่มเฟือยมาประหยัดนั้นยาก กินอาหารฝีมือเจ้าดำจนชินแล้ว นายจะให้ฉันแทะหัวไชเท้าเขียวเหรอ ช่างเถอะๆ ไปกับพวกนายละกัน คณะหนึ่งเดียวของเรา ควรจะได้อันดับรายชื่อดีสักหน่อย”

ฉู่สิงหัวเราะ แล้วพูดว่า “ขนาดศิษย์พี่ใหญ่ยังเข้าร่วมด้วย ครั้งนี้อันดับรายชื่อมั่นคงแล้ว ในเมื่อต้องเตรียมตัว งั้น พรุ่งนี้เราไปเขาวิพากษ์กันดีกว่า จะได้ซื้ออาวุธมาด้วย”

ฉู่เทียนพยักหน้าข้างๆ อาวุธของพวกเขาสองคนพังแล้ว ใช้กระบี่ธรรมดาของคณะหนึ่งเดียว สู้นักบู๊ทั่วไปพอได้ แต่ถ้าจะใช้สู้ในการจัดอันดับของสถาบัน ต้องซื้อของดีสักหน่อย

ศิษย์พี่ใหญ่โบกมือไปมา แล้วพูดว่า “ตามใจพวกนาย พวกนายไม่ต้องซื้อให้ฉัน ไขมันทั้งตัวฉันเหมือนอาวุธวิเศษแล้ว”

ศิษย์พี่ใหญ่ตบพุงตัวเอง เตรียมจะเดินกลับไปพักผ่อนที่ห้อง

ในหนึ่งวัน อย่างน้อยเขาหลับไปสิบกว่าชั่วโมง ขนาดลู่ฝานยังไม่รู้ว่าผลการฝึกตนของศิษย์พี่ใหญ่ฝึกมาได้อย่างไร

ตอนนี้หานเฟิงกับฉู่สิงเดินกลับไปเอาของในห้องตัวเอง อย่างน้อยพวกเขาก็มีทรัพย์สินที่ตระกูลให้ไว้ แล้วยังไม่ได้ใช้ ไปเขาวิพากษ์ครั้งนี้ ต้องเอาไปด้วย

อาจารย์อี้ชิงเรียกลู่ฝานเอาไว้ “ลู่ฝาน นายตามฉันมา”

ลู่ฝานเดินตามอาจารย์อี้ชิงออกไปข้างนอก อาจารย์เต้ากวงรีบตามไปเช่นกัน

ทั้งสามเดินออกจากคณะหนึ่งเดียว มาถึงในป่า

ลมพัดปะทะหน้า ต้นไม้สะบัดปลิวไปมา แสงส่องผ่านช่องว่างใบไม้ ลงมาบนหน้าลู่ฝาน

เดินคดเคี้ยวเลี้ยวลดไปตามทางเล็กๆ จนถึงสถานที่ที่เกือบมองไม่เห็นคณะหนึ่งเดียว อาจารย์อี้ชิงชะงักฝีเท้าลง

ด้านหน้ามีต้นไม้สูงเสียดฟ้าต้นหนึ่ง สูงประมาณสามร้อยกว่าเมตร ลำต้นใหญ่มาก ประมาณหลายสิบคนโอบ รากต้นไม้ยืดยาวไปบริเวณรอบๆ ใบไม้ราวกับเมฆสีเขียว ปกคลุมไปทั่ว

ใต้ต้นไม้มีสุสานเครื่องทรง ข้างๆ มีอาวุธผุพังปักไว้สองเล่ม เป็นดาบหนึ่งเล่มและกระบี่หนึ่งเล่ม มันผุพังตามกาลเวลา ที่ผ่านมายาวนาน

อาจารย์อี้ชิงเดินเข้าไป ทำความเคารพสุสาน จากนั้นพูดกับลู่ฝานว่า “ลู่ฝาน นายมาจับอาวุธสองเล่มนี้”

แม้ลู่ฝานไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่ก็ทำตามที่อาจารย์อี้ชิงบอก เดินเข้าไปจับอาวุธเอาไว้

ต่อมา ลู่ฝานรู้สึกว่าปราณชี่ในตัว เคลื่อนไหวอย่างไม่สามารถควบคุมได้

ศิษย์พี่ใหญ่หันไปมองหานเฟิง แล้วพูดว่า “นายไม่ได้ยอมรับความพ่ายแพ้ได้ แต่นายหน้าด้านต่างหาก”

การสรุปที่แม่นยำเช่นนี้ ทำให้ฉู่สิงกับฉู่เทียนพยักหน้ารัวๆ

หานเฟิงกลับหัวเราะ แล้วพูดว่า “หน้าไม่ด้าน ผลการฝึกตนไม่พอไง อาจารย์ นี่เป็นสิ่งที่พวกคุณพูดนะ”

อาจารย์อี้ชิง อาจารย์เต้ากวงสีหน้าเปลี่ยนไป อาจารย์อี้ชิงจ้องหานเฟิงแล้วพูดว่า “เรื่องดีๆ ไม่ศึกษา ศึกษาแต่เรื่องพวกนี้”

หลินฉีได้ยินคำเยาะเย้ยของหานเฟิง ตาแดงก่ำเหมือนเลือดจะหยดลงมา

ผมเผ้ายุ่งเหยิงปลิวไสว มือขวาของหลินฉี มีดาบยาวรวมตัวขึ้นอีกครั้ง แต่นี่คือดาบยาวที่เกิดจากการรวมตัวของพลังปราณ แต่มีออร่าสีโลหิตอยู่ด้วย

“หลินฉี อย่า!”

หลางเจี้ยนเห็นหลินฉีรวมพลังปราณเป็นดาบโลหิต จึงรีบตะโกนออกมาทันที

หลางเจี้ยนพุ่งเข้าไป เขาต้องขวางหลินฉีไว้ ขืนหลินฉีใช้กระบวนท่านี้ จะไม่สามารถเอาทุกอย่างกลับคืนมาได้อีก

แต่วินาทีที่หลางเจี้ยนพุ่งเข้าไป พลังปราณพลังหนึ่งกระแทกเขากลับไป

อาจารย์อี้ชิงมองเขาอย่างเย็นชา พูดอย่างนิ่งสงบว่า “อย่าขยับ ห้ามขัดขวางการต่อสู้รอบตัดสิน ไม่รู้หรือไง”

หลางเจี้ยนกัดฟัน แต่ไม่กล้าก้าวเข้ามา

เจออาจารย์ที่มีพละกำลังแข็งแกร่ง ครูที่ปรึกษาตัวเล็กๆ แบบเขา ไม่มีสิทธิ์พูดอะไรสักนิด

พลานุภาพของหลินฉีกำลังพุ่งขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้ลู่ฝานสามารถลงมือได้แล้ว แต่ลู่ฝานไม่ทำแบบนั้น

เขาอยากเห็นว่าหลินฉีจะโจมตีอย่างไร ใช้เคล็ดวิชาบู๊อะไร

หลินฉีแผดเสียงออกมา จากนั้นลงมือ

แสงดาบสว่างวาบ เหมือนแสงสีโลหิตฟาดลงมา

ดาบสายฟ้า!

ทันใดนั้น พื้นดินข้างลู่ฝานแตกออกทั้งหมด

พลังอันน่ากลัว ทำให้บ้านไม้ของคณะหนึ่งเดียวเริ่มสั่นโงนเงน

วิชาดาบอันน่ากลัวเช่นนี้ ลู่ฝานเคยเห็นแค่ที่ศิษย์พี่ฉู่เทียน แค่กระบวนท่านี้ หลินฉีสามารถสู้กับศิษย์พี่ฉู่เทียนที่ใช้ดาบเทียนควบได้อย่างสูสี

ตอนนี้ ลู่ฝานไม่กล้ายื้อให้เป็นเรื่องใหญ่แล้ว

เจอพลังสุดยอดแบบนี้ วิชากระบี่ขั้นพื้นฐานของเขาใช้ไม่ค่อยได้ สิ่งที่ทำได้เพียงอย่างเดียวคือ ใช้ความแข็งแกร่งสู้กับความแข็งแกร่ง

กระบี่มังกรเหิน!

เมื่อใช้วิชากระบี่นี้ ปราณชี่ทั้งตัวลู่ฝานเข้าไปในกระบี่หนัก

สายฟ้าสีโลหิต โจมตีลงบนตัวลู่ฝาน และกระบี่ของลู่ฝาน ก็โจมตีหลินฉีเช่นกัน

ตู้ม!

เสียงฟ้าผ่าดังสนั่น

พลังแผ่กระจายเป็นระลอกคลื่น จากตรงกลางที่ทั้งสองต่อสู้กัน

หลังคาบ้านไม้บริเวณรอบๆ ปลิวลอยออกไป ยกเว้นบ้านของลู่ฝาน

พวกคนที่ดูอยู่รอบๆ โดยพลังกระแทกจนถอยหลังไป จางเยว่หานที่พละกำลังค่อนข้างอ่อนแอ ล้มลงบนพื้นทันที

เศษหินหล่นลงมาจากฟ้าเหมือนฝน มีหลุมลึกขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นตรงที่ต่อสู้

ลู่ฝานกับหลินฉียืนอยู่ในหลุมลึก

ดาบโลหิตในมือหลินฉีหายไปแล้ว ส่วนเสื้อลู่ฝาน ไหม้เกรียมเป็นแถบ

หลินฉีมองลู่ฝาน กัดฟันพูดออกมาทีละคำ “ถือว่านายโหดเหี้ยม!”

ลู่ฝานมองเขาอย่างราบเรียบ สะบัดมือ แสงโลหิตที่เหลืออยู่บนตัวหายไปจนหมด

วิชาดาบของหลินฉีถึงจะฟันจนเสื้อผ้าลู่ฝานขาด แต่ไม่สามารถทำลายการป้องกันของปราณชี่ลู่ฝานได้เลย ยิ่งไม่สามารถทำร่างกายเขาบาดเจ็บได้

ร่างกายอันแข็งแกร่งกับปราณชี่ป้องกัน ทำให้ลู่ฝานไร้เทียมทานตั้งแต่เริ่มแข่งแล้ว

หลินฉีล้มลงบนพื้น ลมหายใจอ่อนแรง

หลางเจี้ยนพุ่งเข้ามา อุ้มหลินฉีที่อ่อนแรงขึ้นมา

หลางเจี้ยนกัดฟันพูดว่า “การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ครั้งนี้ คณะหนึ่งเดียวชนะ”

พูดจบ หลางเจี้ยนหันหลังเดินไป ไม่อยากอยู่ที่นี่ต่ออีกแล้ว

หลินฉีไม่สามารถหลบได้ ใครก็ไม่คาดคิดว่า กระบี่ของลู่ฝานจะเร็วขึ้นระหว่างทาง อีกทั้งยังเพิ่มความเร็วอย่างน่ากลัวด้วย

ลู่ฝานไม่ได้ใช้แรงมากเท่าไร เพราะแค่สายตาเท่านั้น

แต่ความเร็วอันแข็งแกร่ง ทำให้กระบี่ของลู่ฝานแทงทะลุพลังปราณที่คุ้มกันหลินฉีได้อย่างง่ายดาย ถึงแม้กระบี่หนักของลู่ฝานจะไม่คม ปลายกระบี่ก็ไม่ได้แหลมมาก

ปลายกระบี่สัมผัสกับท้องของหลินฉี ลู่ฝานรีบกักแรงเอาไว้ไม่น้อย เขาสัมผัสได้ว่าถ้าตัวเองไม่กักแรงไว้ หลินฉีต้องโดนเขาแทงทะลุแน่

ลู่ฝานไม่อยากฆ่าคนสถาบันเดียวกันในคณะหนึ่งเดียว นั่นจะทำให้เขาโดนไล่ออกจากสถาบัน

หลินฉีโดนลู่ฝานแทงจนกระเด็นออกไป ความเจ็บปวดสุดขีด แผ่ซ่านมาจากท้อง ทำให้เขากระอักเลือดออกมาเหมือนน้ำพุบนพื้นดิน

ปราณชี่ของลู่ฝานเข้าไปในตัวเขา แผ่การควบคุมและทำลาย สุดท้ายระเบิดในตัวของเขา

หลินฉีกระแทกลงกับพื้น ตัวกระตุกอยู่ครู่หนึ่ง

ลู่ฝานชักมือกลับมาช้าๆ เขาดูสุขุมและสบายใจมาก

ตั้งแต่ต้นจนจบ เขาไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรมาก กระบี่ธรรมดาๆ ไม่กี่ครั้ง เหมือนหั่นผักหั่นผลไม้อะไรทำนองนั้น ทำให้หลินฉีที่เกือบจะเข้าสู่แดนแดนปราณนอก ล้มกระเด็นลงบนพื้น

“เขาไม่ใช่แดนปราณในชั้น4 แน่นอน ไม่ใช่แน่นอน เด็กปีศาจ มีปีศาจปรากฏในคณะหนึ่งเดียว”

หลางเจี้ยนพึมพำออกมา มองลู่ฝานด้วยแววตาวูบไหว

พละกำลังเช่นนี้ ถึงเขาเป็นครู แล้วขึ้นไปสู้กับลู่ฝาน โอกาสชนะคงมีไม่มาก

พลังมากมาย ลึกล้ำเกินคาดเดาของลู่ฝาน ทำให้หลางเจี้ยนตะโกนออกมาว่าปีศาจ

จางเยว่หานมองหลินฉีที่ล้มลงบนพื้นอย่างสติแตกกระเจิง เธอไม่เข้าใจ ทำไมศิษย์พี่หลินฉีของเธอถึงแพ้เหมือนกัน

ศิษย์พี่หลินฉีแข็งแกร่งขนาดนี้ ศิษย์พี่หลินฉีที่มีชื่อเสียงทั้งคณะบังเหิน รวมไปถึงสถาบันสอนวิชาบู๊ด้วย คิดไม่ถึงว่าจะแพ้ให้ลู่ฝาน คนที่มาสถาบันสอนวิชาบู๊ได้แค่ครึ่งปีเท่านั้น เขากินยาวิเศษอะไรถึงโชคดีขนาดนี้

จางเยว่หานรู้สึกขาอ่อน ที่นี่ไม่ได้ต่างจากเมืองเจียงหลินเลยนะ

ถ้าศิษย์พี่หลินฉีคุ้มครองเธอไม่ได้ งั้นถ้าลู่ฝานอยากจัดการเธอ คงง่ายเหมือนเหยียบมดไม่ใช่หรือไง

เมื่อคิดได้ว่าลู่ฝานอาจจะแก้แค้น จางเยว่หานรู้สึกระแวงขึ้นมา

เหมือนที่เธอคิดจะจัดการลู่ฝาน ลู่ฝานต้องหาโอกาส จัดการเธออย่างไม่รู้ตัวแน่นอน

ตอนนี้แววตาจางเยว่หานเต็มไปด้วยความหวาดผวา

ลู่ฝานไม่อยากสนใจเธอสักนิด แก้แค้นงั้นเหรอ

ตัวตลกอย่างจางเยว่หานในใจลู่ฝาน เป็นสิ่งที่มีหรือไม่มีก็ได้ไปตั้งนานแล้ว ตอนนี้ในใจลู่ฝานมีเพียงบู๊ ส่วนการแก้แค้นผู้หญิงคนหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นผู้หญิงแบบจางเยว่หาน ลู่ฝานไม่สนใจสักนิด

หลินฉีที่นอนแผ่อยู่บนพื้น พยายามตะเกียกตะกายลุกขึ้น แต่เขาขยับเพียงนิดเดียว ก็รู้สึกเจ็บอวัยวะภายในไปหมด เส้นลมปราณกระดูกซี่โครง ได้รับความเสียหาย

หลินฉีผู้หยิ่งผยอง ถึงตายก็ไม่ยอมแพ้ให้ลู่ฝาน เขาจ้องลู่ฝานอย่างอาฆาต

หลินฉีลุกขึ้นมา แล้วพูดว่า “ลู่ฝาน คิดไม่ถึงว่านายจะหลับตาสู้กับฉัน นายดูถูกฉัน นายกล้าดูถูกฉัน”

ลู่ฝานมองหลินฉีอย่างงุนงงๆ

เขาหลับตาเพราะสัมผัสการใช้งานของปราณชี่ในร่างกาย เกี่ยวอะไรกับการดูถูก

หานเฟิงตะโกนอยู่ข้างๆ ว่า “ดูถูกนายแล้วยังไง หลินฉี นายมันอ่อน นายแพ้สภาพนี้ นักเรียนคณะบังเหินด้านหลังนายพากันดูถูกนาย ไม่ต้องพูดถึงศิษย์น้องลู่ฝานเลย ไอ้อ่อนแพ้ไม่ได้แบบนาย สู้ฉันยังไม่ได้นายเลย”

หานเฟิงได้ใจสุดขีด เขาชอบยกยอตัวเอง หลังจากเอาชนะคู่ต่อสู้ได้

อาจารย์เต้ากวงตื่นเต้นจนพูดไม่ออก สบถในใจไม่หยุดว่า “ฉันเกือบจะฆ่าลู่ฝานตาย ถ้าอาจารย์ยังอยู่ แล้วรู้ว่าฉันเกือบฆ่าผู้สืบทอดสายเลือดหนึ่งเดียวตาย เขาต้องฆ่าฉันตายแน่ๆ!”

สายตาที่ทั้งสองมองลู่ฝานเหมือนซาตานเห็นคนงาม อีกทั้งยังเป็นสาวงามที่นอนเปลือยกายอยู่บนเตียงด้วย ประกายในแววตาเหมือนเปลวไฟลุกโชน

ศิษย์พี่หานเฟิงตั้งสติได้ ต่อมา หานเฟิงหัวเราะแล้วพูดว่า “ดูทำท่าเข้า ให้ตายเถอะ ถ้าไม่หาเรื่องใส่ตัว ก็ไม่ต้องเจอสถานการณ์ยากลำบาก นายไม่รู้เหรอ อวดดีสมควรเจอฟ้าผ่า ต้านทานไม่ได้แม้แต่กระบี่เดียว นายยังกล้าทำอวดดี นายคิดว่าตัวเองเป็นฉันหรือไง! ศิษย์น้องลู่ฝาน จัดการเขาสุดกำลังไปเลย ให้เขาอีกสักกระบี่”

สีหน้าฉู่เทียนโหดเหี้ยมขึ้นมา หลินฉีเป็นคู่ต่อสู้ที่สูสีกับเขา เมื่อปีก่อน แม้ตอนนั้น เขาไม่ได้ใช้ดาบเทียนควบ เคล็ดวิชาบู๊ระดับดิน แต่ตอนนั้นหลินฉีไม่ได้สู้สุดชีวิตเช่นกัน จากเบื้องลึกของคณะบังเหิน หลินฉีมีเคล็ดวิชาบู๊ระดับดินก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้

ศิษย์น้องลู่ฝานสามารถจัดการหลินฉีจนเป็นแบบนี้ด้วยกระบี่เดียว งั้นแสดงว่าเขาสามารถจัดการตัวเองได้ จนไม่เหลือแม้แต่กางเกงใน

เมื่อคิดถึงตรงนี้ ฉู่เทียนถอนหายใจออกมา ศิษย์น้องลู่ฝานมาคณะหนึ่งเดียวแค่ครึ่งปี แค่ครึ่งปีเท่านั้น!

คนคณะบังเหินพูดอะไรไม่ออก หวังเพียงว่าหลินฉีจะไม่แพ้แค่กระบี่เดียวแบบนี้ นายรีบลุกขึ้นมาสิ!

เหมือนคำขอของพวกเขาได้ผล หลินฉีลุกขึ้นมาช้าๆ

รอยแผลจากกระบี่ตรงหน้าอก ฉีกจนเห็นกล้ามเนื้อด้านใน

หลินฉียกมือสัมผัสแผลของตัวเอง เมื่อเห็นเลือด ผมของหลินฉีชี้ขึ้น

“ลู่ฝาน!”

เหมือนหลินฉีพูดลอดไรฟันออกมา

พลังปราณระเบิดออกมา ดาบยาวในมือขวา ใหญ่ขึ้นหนึ่งเท่า

เมื่อดาบออกมา เหมือนหลินฉีเป็นหนึ่งเดียวกับดาบ พุ่งเข้าไปฆ่าลู่ฝาน พลานุภาพที่ไม่สิ้นสุด เต็มไปด้วยความอาฆาต

อะไรที่ว่าพอเป็นพิธี อะไรที่ว่ามิตรภาพในคณะ ตอนนี้เป็นแค่สิ่งบ้าบอในสายตาหลินฉี

ฆ่า!ฆ่า!ฆ่า!

เหมือนเสียงคำรามของสัตว์อสูร พลานุภาพของหลินฉีในตอนนี้ ไม่ต่างจากนักบู๊แดนปราณนอกแล้ว

ดาบยาวฟาดลงมา พลังปราณแหลมคมเป็นอย่างมาก

ลู่ฝานสุขุม ไร้ความเกรงกลัว ยกกระบี่หนักเข้าไปรับ

หนึ่งดาบ ห้าดาบ สิบดาบ ร้อยดาบ

ทันใดนั้น หลินฉีสะบัดออกมาเป็นร้อยดาบ

พลังดาบอันน่ากลัวทำให้พื้นใต้เท้าลู่ฝาน ยุบลงไปเรื่อยๆ

แต่ลู่ฝานไม่เป็นอะไรสักนิด กระบี่หนักในมือเหมือนสิ่งมีชีวิต ไม่ว่าหลินฉีจะใช้ดาบอย่างไร เขาสามารถต้านทานได้หมด

การเคลื่อนไหวของหลินฉีดูช้าลงในสายตาลู่ฝาน เมื่อมองออกชัดเจน ลู่ฝานสามารถต้านทานได้

ชำนาญวิชาใดวิชาหนึ่ง ก็จะชำนาญวิชาที่เกี่ยวข้องไปด้วย ลู่ฝานใช้วิชากระบี่ขั้นพื้นฐานของตัวเองต้านทานการโจมตี การมองคู่ต่อสู้ออกแบบนี้ วิชากระบี่ที่โจมตีและป้องกันอย่างสบายๆ ทำให้หลินฉีแทบกระอักเลือด

หลินฉีกัดฟัน ดาบยาวในมือ โดนฟันจนเกิดประกายไปทั่ว แต่ไม่สามารถทำอะไรลู่ฝานได้เลย

ทำไมลู่ฝานมีผลการฝึกตนแค่ระดับแดนปราณในชั้น4 พลังป้องกันของพลังปราณกลับเวอร์ถึงขั้นนี้

ทำไมการเคลื่อนไหวของลู่ฝานช้าจนเหมือนคนแก่รำไทเก็ก แต่กลับล็อกการโจมตีของเขาได้ทั้งหมด

หลินฉีไม่เข้าใจ ดูไม่ออก สิ่งที่เขาทำได้เพียงอย่างเดียวคือ โจมตีอย่างบ้าคลั่ง

ลู่ฝานไม่ได้โจมตีกลับอย่างรวดเร็ว ปราณชี่ปกคลุมร่างกาย ลู่ฝานกำลังทดสอบปราณชี่ของตัวเอง

พลังป้องกันไม่เลว นักบู๊ที่เกือบจะเข้าสู่แดนปราณนอก โจมตีอย่างบ้าคลั่งขนาดนี้ ลู่ฝานยังรู้สึกว่าตัวเอง เคลื่อนไหวได้สบายๆ

ความสามารถในการฟื้นฟูยิ่งน่าตกใจ ลู่ฝานรู้สึกว่าถึงตัวเองสู้กับหลินฉีสามวันสามคืนก็ไม่เหนื่อย แต่ต้องบอกไว้ก่อนว่า หลินฉีจะสามารถอยู่ได้ถึงสามวัน

การเคลื่อนไหวทุกครั้ง ลู่ฝานยังรู้สึกว่าพลังร่างกายตัวเองแข็งแกร่งตามไปด้วย กล้ามเนื้อแข็งแกร่ง ทำให้เขาคิดไปว่า ไม่ต้องใช้พลังปราณก็สามารถสู้กับหลินฉีได้สามร้อยรอบ

พลังโจมตีมั่นคง ไม่เห็นว่ามีอะไรแปลกไป

อย่าบอกนะว่านี่คือจุดอ่อนเดียวของปราณชี่เหรอ หรือเขายังไม่เชี่ยวชาญวิธีโจมตีของปราณชี่

ลู่ฝานคิดเช่นนี้ และลองโจมตีกลับอีกครั้ง

อย่าดูแค่การโจมตีของหลินฉีรวดเร็ว พลังปราณดุดัน

แต่ในสายตาลู่ฝาน กระบวนท่าโจมตีของเขาล้วนมีช่องโหว่

กระบี่หนักสะบัด ต้านทานได้อีกสิบดาบ ลู่ฝานหลับตา หมุนตัวสะบัดกระบี่

เมื่อสะบัดกระบี่ออกไป ลู่ฝานสัมผัสถึงรูปแบบการเคลื่อนไหว เปลี่ยนแปลง โจมตี ของปราณชี่ได้อย่างชัดเจน

ทันใดนั้น ลู่ฝานรู้สึกว่าตอนปราณชี่ของตัวเองพุ่งออกไป พลังฟ้าดินเคลื่อนไหว เหมือนพวกมันไม่เต็มใจขัดขวางปราณชี่ของลู่ฝาน

ใช่แล้ว จู่ๆ ลู่ฝานนึกขึ้นมาได้ ปราณชี่ของเขาคือพลังปราณผสานกับพลังชี่

พลังปราณ คือพลังที่หล่อหลอมฟ้าดิน ฝึกออกมาจากตัวนักบู๊ แต่พลังชี่ คือการเปลี่ยนแปลงของพลังฟ้าดินแบบแท้ๆ

ถ้าตอนที่เขาออกกระบี่ แล้วขจัดพลังฟ้าดินออกไป ไม่เจอการขัดขวางของพลังฟ้าดินจะเป็นอย่างไรนะ

คิดได้เช่นนี้ ลู่ฝานรีบเคลื่อนไหวพลังฟ้าดินรอบๆ

จิตเคลื่อนไหว เบญจธาตุเคลื่อนไหว นี่เป็นทักษะของผู้ฝึกชี่

ลู่ฝานใช้อย่างเงียบๆ แทบจะไม่เคลื่อนไหวร่างกายเลย

พลังฟ้าดินที่ขวางอยู่หน้ากระบี่หนัก ถูกขจัดออกไป กระบี่หนักที่ลู่ฝานแทงออกไป เร็วขึ้นเป็นสิบเท่า

ราวกับลำแสงหนึ่ง ชนกับตัวหลินฉี

ลู่ฝานเดินออกมาช้าๆ หันหลังเดินไปที่หน้าประตูห้องตัวเองก่อน

หลินฉีมองการกระทำที่เชื่องช้าของลู่ฝาน หัวเราะพรืด แล้วพูดว่า “นายต้องกลับไปนอนสักรอบสินะ วางใจเถอะ ฉันรอได้”

ลู่ฝานพูดอย่างราบเรียบว่า “ไม่วุ่นวายแบบนั้นหรอก แค่หยิบอาวุธเท่านั้น”

ลู่ฝานยื่นมือไปหยิบกระบี่หนักและทื่อ ที่วางข้างประตูขึ้นมา

จับกระบี่ไว้ในมือ ลู่ฝานรู้สึกว่ากระบี่หนักไร้คมนี้เบาลงไปเยอะ เหมือนหินผนึกกำลังบนด้ามกระบี่ ควบคุมเขาน้อยลง

ลู่ฝานค่อยๆ เดินกลับมา พูดอย่างราบเรียบว่า “เริ่มได้แล้ว”

แววตาหลินฉีเย็นชาลงทันที ปลดปล่อยพลังปราณของตัวเอง ออกมาอย่างรวดเร็ว

ลำแสงขนาดประมาณริบบิ้น วนเวียนอยู่รอบตัวหลินฉี พลังปราณอันแข็งแกร่ง พัดจนดินทรายใต้เท้า ปลิวขึ้นมา เผยให้เห็นพื้นสะอาด

สะบัดมือขวา ดาบยาวที่ก่อตัวจากพลังปราณ ปรากฏขึ้นในมือ ดาบยาวสีขาว มีแสงกะพริบ

“พลังปราณกลายเป็นอาวุธ แดนปราณนอกเหรอ”

หานเฟิงพูดอย่างตกใจอยู่ข้างๆ หลังจากศิษย์พี่ใหญ่ มองดูอย่างละเอียด จึงพูดว่า “พลังปราณกลายเป็นตัวดาบ แต่ไม่มีด้ามดาบ ลวดลายปราณ แค่กำลังจะเหยียบประตูธรณีสู่แดนปราณนอก ยังไม่เรียกว่าแดนปราณนอก”

หานเฟิงส่งเสียงตอบรับ ยิ้มแล้วพูดว่า “ผมว่าแล้ว พรสวรรค์ของหลินฉี ก็แค่นั้น ศิษย์พี่ฉู่เทียนไม่ได้ก้าวหน้าอะไรมาก เขาก็คงไม่สามารถก้าวหน้าสู่แดนปราณนอกได้เร็วขนาดนั้นเหมือนกัน”

ฉู่เทียนปรายตามองหานเฟิง แล้วพูดว่า “ศิษย์น้องหานเฟิง ต่อไปเวลานายเปรียบเทียบ ช่วยเอาตัวเองไปเทียบกับเขา ไม่งั้นฉันจะหาโอกาสให้นาย เทียบกับนักบู๊แดนปราณนอกของคณะอื่น”

หานเฟิงหัวเราะ เงยหน้าขึ้นแล้วพูดว่า “วันนี้อากาศดีสุดๆ เลย”

ลู่ฝานขมวดคิ้วเบาๆ พลังปราณของหลินฉี ไม่ธรรมดาจริงๆ แต่ก็ดี ให้เขาได้ฝึกฝีมือ

ลู่ฝานปล่อยปราณชี่ของตัวเองออกมา เป็นปราณชี่ที่เหมือนกับเปลวไฟเหมือนเดิม

แต่ข้างในปราณชี่ มีความเปลี่ยนแปลงที่ซับซ้อนเล็กน้อย ภายใต้แสงอาทิตย์ที่ส่องลงมา เหมือนมีวงแหวนเจ็ดสีสะท้อนออกมา

การเปลี่ยนแปลงทีละนิดทำให้คนมองเห็นได้ยาก อาจารย์อี้ชิงกับอาจารย์เต้ากวงที่อยู่ใกล้สุด ยังไม่เห็นว่าปราณชี่ของลู่ฝานผิดปกติไป

หลินฉีเห็นว่าผลการฝึกตนของลู่ฝาน แค่แดนปราณในชั้น4 จึงแสยะยิ้มมุมปากอย่างไม่สบอารมณ์

แค่แดนปราณในชั้น4 พูดตรงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะจางเยว่หาน หลินฉีคงขี้เกียจจะท้าสู้ด้วย

ใครใช้ให้เขาอยากเอาชนะใจหญิงงามกันล่ะ

“นายลงมือเถอะ เดี๋ยวจะหาว่าฉันรังแกนาย”

หลินฉีพูดเสียงก้อง

สีหน้าดูมีความเย่อหยิ่ง หลินฉีเชิดหน้าขึ้น เหมือนก้มลงมองมดอย่างลู่ฝาน

จางเยว่หานสีหน้าตื่นเต้น เธอรอวันนี้มานานแล้ว วันนี้เธอจะได้เห็นหลินฉีเอาชนะและทำร้ายลู่ฝาน ถึงกระทั่งที่ทำให้ตาย เธอถึงจะพอใจ เธอถึงจะหายแค้น

ลู่ฝานได้ยินคำพูดของหลินฉี รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้า

ให้เขาลงมือก่อนงั้นเหรอ ได้สิ งั้นเขาไม่เกรงใจแล้วละกัน

ลู่ฝานแอบเคลื่อนไหวปราณชี่ของตัวเอง ใช้พลังปราณส่วนหนึ่ง แปรเปลี่ยนเป็นพลังวิญญาณ

ในหัวของเขานึกถึงวิธีการใช้พลังวิญญาณของเซียนบู๊หนึ่งเดียว พลังวิญญาณสีใสปรากฏบนฝ่ามือเขา จากนั้นปกคลุมบนตัวกระบี่

ลู่ฝานเดินเข้ามาช้าๆ เมื่อห่างจากหลินฉีประมาณสิบก้าว จึงสะบัดกระบี่เบาๆ

ดูเหมือนเป็นกระบี่ไร้เรี่ยวแรง แต่กลับมีการเคลื่อนไหวอย่างแปลกประหลาดกลางอากาศ พลังวิญญาณบนตัวกระบี่ของลู่ฝานหายไปทันที หานเฟิง ฉู่สิง จางเยว่หานและคนอื่นรู้สึกสติวูบไหวเพราะสิ่งนี้ เหมือนมีอะไรหนักๆ มากระแทกหัว

ต่อมา หลินฉีเบิกตาโตเหมือนเห็นผี ตัวขยับไม่ได้ อยากหลบก็หลบไม่ได้

พลังปราณที่ไหลเวียนบนตัวแตกสลายไปทันที เสื้อผ้าส่วนบนของหลินฉี ก็ขาดด้วยเช่นกัน

พรวด หลินฉีกระอักเลือด และกระแทกลงกับพื้น จนทำให้พื้นแยกออกเป็นรอยร้าวลึกลงไป ตัวเขาเกือบจมลงไปในดิน

ลู่ฝานตกใจมาก พลังวิญญาณแข็งแกร่งถึงขนาดนี้เลยเหรอ

เป็นไปไม่ได้ ปราณชี่ของเขายังไม่น่ากลัวขนาดนี้ ทำไมพลานุภาพการโจมตีของพลังวิญญาณถึงแข็งแกร่งเพียงนี้

ต้องรู้ว่าปราณชี่ส่วนเดียวของเขา สามารถกลายเป็นพลังวิญญาณสิบส่วน ดูจากการเปรียบเทียบนี้ ปราณชี่ของเขาต้องแข็งแกร่งกว่าพลังวิญญาณสิถึงจะถูก!

ลู่ฝานขมวดคิ้ว ปราณชี่ไหลเวียนอยู่ในตัว

จากการไหลเวียนของปราณชี่ พลังฟ้าดินรอบๆ พุ่งเข้ามาในตัวเขาอย่างบ้าคลั่ง เพื่อเติมเต็มพลังของเขา

ไม่นาน ปราณชี่ที่เขาสูญเสียไปถูกเติมเต็มกลับมาอย่างรวดเร็ว ลู่ฝานแอบคิดในใจ ความเร็วในการฟื้นฟูไม่เลวจริงๆ

ต่อไปต้องลองดูปราณชี่ของเขา ว่าจะมีประสิทธิภาพอย่างไร

หานเฟิงและคนอื่นอ้าปากค้าง กระบี่เดียว แค่กระบี่เดียวเท่านั้น หลินฉีที่เกือบจะเข้าสู่แดนปราณนอกโดนโจมตีจนกระเด็นออกไป เสื้อผ้าบนตัวไม่เหลือแล้ว

ฉู่สิง ฉู่เทียน และศิษย์พี่ใหญ่เบิกตาโต จางเยว่หานที่อยู่ฝั่งตรงข้าม หลางเจี้ยนและคนอื่น เหมือนกับเห็นผี

โดยเฉพาะจางเยว่หาน หน้าซีดเผือดทันที ตัวสั่นอย่างไม่สามารถควบคุมได้

อาจารย์อี้ชิง อาจารย์เต้ากวงยังดีหน่อย แต่ทั้งสองเริ่มหนังตากระตุก

พลังที่ลู่ฝานเพิ่งใช้ออกมา เป็นพลังวิญญาณจริงๆ พลังวิญญาณที่สมบูรณ์ พลังวิญญาณที่สามารถใช้เป็นปราณได้

“สวรรค์มีตา!”

อาจารย์อี้ชิงสูดหายใจลึก แล้วพูดออกมา

ศิษย์พี่ใหญ่พูดว่า “วิชากระบี่งดงามแต่ไม่แท้จริง เปลืองพลังปราณ”

ศิษย์พี่ฉู่เทียนพูดต่อ “มองดูสวย แต่ประสิทธิภาพแท้จริงแย่มาก วิชากระบี่ของศิษย์น้องหานเฟิงสมบูรณ์แล้ว เธอแพ้แล้ว”

เมื่อพูดจบ ลู่ฝานเห็นมือซ้ายของศิษย์พี่หานเฟิงทำเป็นกระบี่ ต่อมามีแสงสว่างวาบขึ้นมา

ชิ้ง!

กระบี่ปักลงบนพื้น ตัวกระบี่สั่นเล็กน้อย

ทุกคนหันไปจ้อง เห็นกระบี่ฟ้าครามที่กระเด็นออกไป ลอยกลับมาอีกครั้ง และปักลงบนพื้น

เงาหายไป จ้าวหลิงรู้สึกถึงความชื้นบริเวณลำคอ จึงยื่นมือไปลูบ เห็นสีแดงเป็นแถบ

บริเวณลำคอเธอเป็นรอยเลือดสีแดง ผิวหนังแยกออกจากกัน แต่ไม่ได้ลึกเข้าไปในเนื้อ

จ้าวหลิงมองหานเฟิงอย่างตกตะลึง จากนั้นสีหน้าโหดเหี้ยมขึ้นทันที

หานเฟิงยืนอยู่หน้ากระบี่ฟ้าคราม มองจ้าวหลิงอย่างเย็นชา แล้วพูดว่า “ตัดสินแพ้ชนะแล้ว เธอไสหัวไปได้แล้ว ฉันกะจะให้กระบี่ไปทางซ้ายสักหนึ่งนิ้ว แต่เธอยืนนิ่งไม่ขยับ เฮ้อ ใครใช้ให้ฉันเป็นบุรุษที่ทะนุถนอมอ่อนโยนต่อสตรีกันล่ะ”

อาจารย์หลางเจี้ยนอึ้งเช่นกัน จ้าวหลิงเป็นนักเรียนที่ไม่เลว ในคณะบังเหิน เดิมทีเขาจะแนะนำให้จ้าวหลิง ได้ลำดับรายชื่อในการสู้จัดอันดับของสถาบัน

แต่ตอนนี้……

จ้าวหลิงแผดเสียงแทบขาดใจออกมา

“นายมันคนต่ำตม ฉันไม่ได้แพ้ นายลอบโจมตี นักเรียนของคณะขยะ อย่างคณะหนึ่งเดียว ไม่มีทางเอาชนะฉันได้ ฉันจะฆ่านาย!”

ความคลุ้มคลั่งของจ้าวหลิง ทำให้อาจารย์อี้ชิงกับอาจารย์เต้ากวง ถึงกับขมวดคิ้ว

อาจารย์หลางเจี้ยนรีบพูดว่า “จ้าวหลิง อย่านะ!”

เขายังไม่ทันพูดจบ จ้าวหลิงพุ่งเข้าไปฆ่าหานเฟิงพร้อมแสงกระบี่

หานเฟิงคิดไม่ถึงว่าตอนนี้ จ้าวหลิงจะกล้าลงมือกับตัวเองอย่างไม่คิดชีวิต

ลู่ฝานลุกขึ้นทันที แต่ขณะนั้น เงาหนึ่งเข้ามาขวางหน้าหานเฟิง

ร่างคนขนาดใหญ่ ไขมันบนร่างกายเหมือนกำแพงเมือง ไม่ใช่ศิษย์พี่ใหญ่อู๋เหวย จะเป็นใครได้อีก

จ้าวหลิงกับแสงกระบี่ ชนกับพุงของศิษย์พี่ใหญ่ ต่อมา จ้าวหลิงกระเด็นออกไป กระแทกลงกับพื้นก่อน จากนั้นกลิ้งหลุนๆ เหมือนน้ำเต้า ไปไกลสิบกว่าฟุต

หลางเจี้ยนรีบเข้าไปจับจ้าวหลิงเอาไว้ แต่พลังบนตัวจ้าวหลิงทำให้หลางเจี้ยนสั่นไปทั้งตัว จนบาดเจ็บเล็กน้อย กดตัวของจ้าวหลิงเอาไว้ เธอถึงหยุดลงได้

เมื่อมองดูดีๆ จ้าวหลิงเลือดออกตรงมุมปาก ยังคงสลบอยู่ กระบี่ในมือหักเป็นท่อนๆ ร่วงลงบนพื้น

จางเยว่หานอ้าปาก พูดอะไรไม่ออก นี่คณะหนึ่งเดียวเหรอ

นี่เป็นคณะลำดับที่เก้าในสถาบันสอนวิชาบู๊อย่างนั้นเหรอ ทำไมนักเรียนแต่ละคนที่นี่ ถึงแข็งแกร่งขนาดนี้

ศิษย์พี่ที่ยืนข้างจางเยว่หาน ประกายในแววตาวูบไหว สายตาที่หันไปมองศิษย์พี่ใหญ่อู๋เหวย เต็มไปด้วยความหวาดกลัว

ดูสิ โกรธแล้วไม่ดีนะ เอาตัวเองมาชนจนสลบไปเลย ทุกคนเห็นอย่างชัดเจนแล้ว ฉันไม่ได้ลงมืออะไรเลย เธอมาชนเอง ยังดีที่ผิวหนังพุงฉันทนทาน ไม่งั้นคงทะลุไปแล้ว

หานเฟิงยื่นหน้ามาจากข้างหลังศิษย์พี่ใหญ่ ลูบผิวหนังของพุงศิษย์พี่ใหญ่ แล้วพูดว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ ไขมันในพุงของพี่ถึงจะทะลุ ก็แค่เนื้อบาดเจ็บเท่านั้น ฮ่าๆ ดูเหมือนผมต้องสร้างไขมันแล้วเหมือนกัน”

ศิษย์พี่ใหญ่จ้องหานเฟิง แล้วเดินกลับไป

อาจารย์อี้ชิงพูดว่า “ชนะก็คือชนะ แพ้ก็คือแพ้ นักเรียนคณะบังเหิน แพ้ไม่เป็นหรือไง ดูเหมือนฉันต้องคุยกับอาจารย์เมิ่งอวิ๋นของพวกนายหน่อยแล้ว”

สีหน้าหลางเจี้ยนเปลี่ยนไป แพ้ติดกันสองรอบ แถมยังเกิดเรื่องนี้ด้วย เขารู้สึกว่าคณะบังเหินของเขา ขายหน้าไปหมดแล้ว

เขากัดฟันกรอด กฎการแข่งคือชนะสามในห้า ตอนนี้แพ้สองครั้ง จะแพ้อีกไม่ได้แล้ว

หลางเจี้ยนหันไปมองศิษย์พี่ข้างจางเยว่หาน

“หลินฉี นายมารอบสาม แพ้อีกไม่ได้แล้ว”

หลินฉีพยักหน้า ค่อยๆ เดินเข้ามา ยืนตรงกลาง ฉู่เทียนเห็นหลินฉี จึงยิ้มแล้วพูดว่า “ไอ้หมอนี่มาแล้ว รอบนี้ให้ฉันละกัน”

พูดพลาง ฉู่เทียนเดินขึ้นมาข้างหน้า แต่เพิ่งเดินได้สองก้าว หลินฉีมองทุกคนของคณะหนึ่งเดียว แล้วพูดออกมาว่า “ฉันไม่อยากแข่งกับคนอื่น ฉู่เทียน เราเคยต่อกรกันเมื่อหนึ่งปีที่แล้ว วันนี้ไม่อยากสู้ด้วยอีก อยากประลองกับลู่ฝานของคณะหนึ่งเดียวสักหน่อย ลู่ฝาน นายกล้ารับคำท้าไหม”

ลู่ฝานมองหลินฉี แล้วมองจางเยว่หาน เขาไม่ตกใจเลยสักนิด

ลู่ฝานเงยหน้ามองจางเยว่หานแล้วพูดว่า “จางเยว่หาน นี่คือคนที่มาพัวพันใหม่ของเธอเหรอ สายตาเธอยังแย่เหมือนเดิมเลยนะ”

จางเยว่หานยิ้มเย็นชา “จะแย่หรือไม่ นายลองดูก็รู้เอง”

“มีเหตุผลนะ”

ลู่ฝานหัวเราะเบาๆ แล้วลุกขึ้น

ลู่ฝานมองหลินฉี แล้วพูดอย่างเฉยเมย “สู้ก็สู้สิ มีอะไรต้องกลัว”

หานเฟิงสีหน้าไม่ยินยอม ดึงกระบี่ฟ้าครามออกมาอย่างอืดอาด

จ้าวหลิงเห็นว่าหานเฟิงจะสู้กับเธอ ก็กัดฟันด้วยสีหน้าอึมครึม

หานเฟิงก้าวขึ้นมา แล้วพูดว่า “นี่ เธอชื่ออะไร ช่างเถอะ เธอรีบยอมแพ้ซะเถอะ ฉันมีหลักการนะ ไม่ทำร้ายผู้หญิง”

จ้าวหลิงเอากระบี่ยาวออกจากแขนเสื้อ จนเกิดเสียงดังสวบ

จ้าวหลิงมองหานเฟิง แล้วพูดว่า “คนไร้ยางอาย ชั้นต่ำ ที่ชอบหยาบคายแบบนายเนี่ยนะ จะมีหลักการ พูดไปใครจะเชื่อ นายรีบยอมแพ้ฉันซะเถอะ ฉันจะไว้ชีวิตนาย”

หานเฟิงเอามือแคะหู ดีดขี้หูออกจากเล็บ แล้วพูดว่า “งั้นไม่มีอะไรต้องพูดกันแล้ว ลำบากจริงๆ ฉันไม่ทำร้ายผู้หญิงจริงๆ ไม่ควรทำแบบนี้เลย”

พลังปราณพลุ่งพล่านบนตัวจ้าวหลิง คนที่ดูอ่อนโยนและอ่อนแอแบบเธอ มีผลการฝึกตนระดับแดนปราณในชั้น7

เสื้อผ้าปลิวสะบัด หานเฟิงจ้องขาเรียวยาวอยู่อย่างนั้น

พูดตรงๆ จ้าวหลิงหน้าตาไม่แย่

แต่แค่เธอปากร้ายเกินไปเท่านั้น

เธอมองหานเฟิงแล้วพูดเสียงดังว่า “ไอ้พวกคณะหนึ่งเดียวขยะ รีบมาสู้กับฉัน ฉันไม่มีเวลามายืดเยื้อกับนายหรอกนะ ได้กลิ่นอากาศของคณะหนึ่งเดียว ฉันรู้สึกจะขาดอากาศหายใจแล้ว”

สีหน้าหานเฟิงเย็นชา แล้วพูดว่า “เธอว่าฉันได้ แต่อย่ามาดูหมิ่นคณะหนึ่งเดียว เอาเถอะ ดูเหมือนวันนี้ฉันต้องแหกกฎแล้ว ฉันจะสู้กับผู้หญิงอย่างไม่เว้น”

เดินมาข้างหน้า แสงกระบี่ฟ้าครามไหลเวียน

ศิษย์พี่ฉู่เทียนยิ้มแล้วพูดว่า “เหอะๆ ศิษย์น้องหานเฟิงโกรธแล้ว ต้องน่าดูซะแล้ว”

ศิษย์พี่ใหญ่ตบพุง จนทำให้ไขมันกระเพื่อมเหมือนน้ำ “ใช่ ศิษย์น้องหานเฟิงโกรธขึ้นมา น่ากลัวมาก ถ้าเขาใช้วิชากระบี่ชิงสวรรค์ ฉันยังต้องหลีกให้เขา”

พูดพลาง ศิษย์พี่ใหญ่มองอาจารย์อี้ชิงแวบหนึ่ง

อาจารย์อี้ชิงกลอกตามองบน แล้วพูดว่า “ถ้าเขากล้าใช้วิชากระบี่ชิงสวรรค์ในคณะหนึ่งเดียว เขาจะได้ชิงเรียนจบก่อน แล้วไสหัวออกไปจากสถาบันสอนวิชาบู๊”

แม้น้ำเสียงของอาจารย์อี้ชิงจะราบเรียบ แต่กลับดังเข้ามาในหูหานเฟิงอย่างชัดเจน

หานเฟิงหน้ากระตุกเล็กเบาๆ ยังไม่ให้ใช้สินะ เฮ้อ ตอนไหนจะได้สะใจสักทีนะ

ไม่ง่ายเลยกว่าจะฝึกสำเร็จ ยังไม่ให้ใช้อีก รู้สึกอึดอัดชะมัด

หลางเจี้ยนและคนอื่นได้ยินคำว่าวิชากระบี่ชิงสวรรค์ ต่างพากันขมวดคิ้ว

นี่มันเคล็ดวิชาบู๊อะไรกัน พวกเขาไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่ฟังจากชื่อ เหมือนเก่งกาจมาก แถมยังไม่ให้ใช้ด้วย

หลางเจี้ยนหัวเราะพรืดออกมา คงเป็นวิชากระบี่ที่ยังไม่สมบูรณ์สินะ ไม่งั้นทำไมถึงไม่ให้ใช้ล่ะ

หลางเจี้ยนไม่คิดว่าคนในคณะหนึ่งเดียว จะฝึกวิชากระบี่ที่มีพลานุภาพออกมาได้ กี่ปีมาแล้ว ไม่เคยได้ยินวิชาที่มีพลานุภาพของคณะหนึ่งเดียวเลย ในการต่อสู้จัดอันดับของสถาบันทุกครั้ง คณะหนึ่งเดียวจะสู้ไปงั้นๆ เมื่อเห็นคนอื่นใช้ท่าไม้ตาย ก็ตัดสินใจยอมแพ้

หานเฟิงง้างกระบี่ขึ้น ปล่อยพลังปราณออกมาบนตัว

จ้าวหลิงส่งเสียงหึอย่างเย็นชา ไม่พูดพร่ำทำเพลง พุ่งเข้าไปฆ่าทันที

การเคลื่อนไหวของเธอแปลกมาก ตอนพุ่งออกมาเกิดเงาเป็นแถบ นี่เป็นการแสดงออกที่เมื่อความเร็วถึงขั้นใดขั้นหนึ่ง

ลู่ฝานหรี่ตาลงเล็กน้อย เขาเห็นการเคลื่อนไหวของจ้าวหลิงอย่างชัดเจน

การเคลื่อนไหวแบบคดเคี้ยว วิ่งเหมือนสายฟ้า ดูน่าสนใจมาก

หานเฟิงเบิกตาโต จู่ๆ เป้าหมายหายไป ต่อมา ยังไม่ทันตั้งสติได้ กระบี่ของจ้าวหลิงก็โจมตีมาพร้อมกับปราณกระบี่อาฆาต

ปราณกระบี่ห่างจากหานเฟิงสามฟุต แต่ทำให้หานเฟิงรู้สึกเจ็บผิว

หานเฟิงสะบัดกระบี่ฟ้าคราม ต้านทานกระบี่ของจ้าวหลิงเอาไว้ ใช้แรงดึงขึ้น กระบี่ของจ้าวหลิงหันออกไป พุ่งไปทางข้างแขนซ้ายของหานเฟิง

เกิดเสียงดังสวบ เสื้อทางด้านซ้ายของหานเฟิง โดนปราณกระบี่ฟันจนเป็นรูใหญ่

หานเฟิงก่นด่าออกมา “ให้ตายเถอะ ชุดที่ฉันชอบที่สุด นี่เป็นชุดทางการชุดสุดท้ายของฉันแล้วนะ เธอแทงมันจนขาด”

จ้าวหลิงไม่สนใจเสียงตะโกนของหานเฟิง ฝ่าเท้าลอยขึ้นจากพื้น เมื่อหมุนตัว แสงกระบี่พลุ่งพล่านไปบนฟ้า

“หนึ่งกระบี่หมู่ดาว!”

หานเฟิงหลบอย่างต่อเนื่อง พลังปราณบนตัวสั่นไหวไม่หยุด แสงบนกระบี่ฟ้าครามยิ่งชัดขึ้นเรื่อยๆ

หานเฟิงดูตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน จู่ๆ เหมือนกระบี่ฟ้าครามในมือเขา โดนแสงกระบี่โจมตี สั่นจนเกือบจับไว้ไม่อยู่

โอกาสแบบนี้ จ้าวหลิงจะปล่อยไปได้อย่างไร กระบี่เหมือนหมู่ดาว สาดแสงไปทั่ว โจมตีกระบี่ฟ้าครามของหานเฟิง กระเด็นด้วยกระบี่เดียว

“วิชากระบี่ที่ดี วิชากระบี่ของพี่จ้าวหลิง ยังคงงดงามมาก”

จางเยว่หานพูดออกมาเป็นคนแรก หลางเจี้ยนรอยยิ้มเต็มใบหน้าเช่นกัน นี่เป็นหัวกะทิของคณะบังเหิน พลังปราณไม่ธรรมดา การเคลื่อนไหวรวดเร็ว เคล็ดวิชาบู๊งดงาม

ตอนนี้ลู่ฝานขมวดคิ้วแน่น พูดเบาๆ ว่า “ศิษย์พี่หานเฟิงทำอะไรน่ะ”

เมื่อกี้ลู่ฝานเห็นชัดๆ ว่า ศิษย์พี่หานเฟิงปล่อยมือเอง

ศิษย์พี่ใหญ่ส่ายหน้า ถอนหายใจแล้วพูดว่า “เอาอีกแล้ว ศิษย์น้องหานเฟิง หลอกลวงคนอื่นอีกแล้ว”

ลู่ฝานไม่เข้าใจความหมายของศิษย์พี่ใหญ่ เห็นศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่ฉู่เทียนกับฉู่สิงพากันส่ายหน้า เหมือนเห็นศิษย์พี่หานเฟิงโดนคนดีดกระบี่กระเด็นจนชินไปแล้ว

ในการต่อสู้ หานเฟิงที่ไร้กระบี่ก้าวถอยหลังอย่างต่อเนื่อง เพื่อเว้นระยะห่าง

การโจมตีของจ้าวหลิงน่าตกใจมาก ไม่เห็นตัวจริงแล้ว เห็นเงานับไม่ถ้วนของจ้าวหลิง กำลังโจมตีอยู่ แสงกระบี่ทุกแสง ดูงดงามมาก แต่กลับไม่ได้สัมผัสปลายเสื้อของหานเฟิงเลย

หานเฟิงถอยหลังอย่างต่อเนื่อง จ้าวหลิงตามฆ่าอย่างสุดชีวิต

การเปลี่ยนแปลงยี่สิบเท่า เท่ากับปราณชี่ที่มีผลการฝึกตนปราณในแค่ขั้น 5-6 สามารถปลดปล่อยพลังนักบู๊แดนปราณในทั่วไปถึงยี่สิบเท่า นี่เป็นการเพิ่มขึ้นที่น่ากลัวขนาดไหนกัน ลู่ฝานคิดว่าตอนนี้ ตัวเองประลองกับนักบู๊ปราณนอก ก็ไม่ใช่ปัญหาแล้ว นักบู๊ปราณนอกทั่วไป น่าจะสู้เขาไม่ได้แล้ว

ลู่ฝานตกใจกับทักษะของตัวเองเป็นอย่างมาก ได้ยินศิษย์พี่หานเฟิงเรียกอยู่ข้างหูไม่หยุด “ศิษย์น้องลู่ฝาน นายฝึกสำเร็จหรือยัง”

ลู่ฝานกลืนน้ำลาย แล้วพูดว่า “คงฝึกสำเร็จแล้วมั้งครับ”

เมื่อพูดออกมา ทุกคนสีหน้าเปลี่ยนไป อาจารย์อี้ชิงและอาจารย์เต้ากวงก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันที

อีกด้านหนึ่ง หลางเจี้ยนเห็นคนคณะหนึ่งเดียว สีหน้าเปลี่ยนไปมาก เข้าใจว่าพวกเขามองออกว่าฉู่สิงจะแพ้

ตลก เพิ่งแพ้ก็เครียดกันขนาดนี้แล้ว หรือว่านักเรียนที่กำลังสู้กับเถาสิง คือนักเรียนที่แข็งแกร่งสุดในคณะหนึ่งเดียวสินะ

หลางเจี้ยนคิดว่าตัวเองเดาความจริงได้ ยิ้มกว้างจนปากแทบจะฉีกถึงหู

จางเยว่หานหัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “ศิษย์พี่เถาสิงเก่งมาก พละกำลังของคณะหนึ่งเดียวแย่ขนาดนี้ สมกับเป็นคณะที่แย่ที่สุด”

ผู้หญิงข้างๆ อีกคน เห็นด้วยกับคำพูดของเธอ ศิษย์พี่ที่โดนจางเยว่หานดึงแขนเสื้อตลอดเวลา ก็หัวเราะออกมา

แต่ขณะนั้น สถานการณ์เปลี่ยนไปทันที

ทันใดนั้น กระบี่ยาวฟาดฟันม่านแสงสีม่วง คนที่โดนกดมาตลอดอย่างฉู่สิง แตะกระบี่ไปที่ข้อพับแขนขวาของเถาสิง

“โดนซะ!”

ฉู่สิงแผดเสียงออกมาเบาๆ กระบี่ยาวพุ่งทะลุพลังปราณที่คุ้มกันตัวเถาสิง

เถาสิงอึ้งไป ใช้การเคลื่อนไหวร่างกายจนเป็นเงาสามเงา เพื่อที่จะโจมตีกลับ แต่ต่อมากระบี่ของฉู่สิงพาดผ่านเป็นเส้นโค้งอันงดงาม และแตะไปที่หนึ่งในเงานั้น

“โดนอีก!”

ใบหน้าฉู่สิงมีรอยยิ้ม ฟาดฟันไปที่ข้อมือเถาสิงอีกครั้ง จนเลือดสาดออกมา

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “ดูเหมือนศิษย์พี่ฉู่สิงจับการเคลื่อนไหวของเถาสิงได้แล้ว และจับทางจุดอ่อนของพลังปราณที่คุ้มกันเถาสิงได้ด้วย”

หานเฟิงและคนอื่น ตั้งสติได้ ข่าวที่ลู่ฝานฝึกวิชาหนึ่งเดียวสำเร็จ น่าตกใจมาก จนพวกเขาเกือบลืมว่าฉู่สิงกำลังต่อสู้อยู่

ศิษย์พี่ใหญ่เก็บงำความตกใจไว้ รอยยิ้มเต็มใบหน้า “ความสามารถในการคิดคำนวณของศิษย์น้องฉู่สิง น่าตกใจมาก กระบวนท่าที่เหมือนกัน ใช้ต่อหน้าศิษย์น้องฉู่สิงไม่นาน ก็โดนเขาจับได้ และชนะได้ง่ายดาย เป็นรูปแบบการต่อสู้ของศิษย์น้องฉู่สิงมาตลอด”

เมื่อศิษย์พี่ใหญ่พูดออกมา ฉู่สิงโจมตีกลับทั้งหมด

ทุกกระบี่โดนตำแหน่งข้อต่อของเถาสิง ตรงนั้นเป็นจุดอ่อนของพลังปราณที่คุ้มกันร่างกายเถาสิง พลังปราณคุ้มกันร่างกายที่ได้ความแข็งแกร่งมาจากดาบโค้งสีม่วงในมือ เถาสิงคิดมาตลอดว่าพลังปราณของตัวเองแข็งแกร่งและทนทาน ระดับแดนปราณนอกลงไป ไม่มีนักบู๊คนไหนสามารถทำลายพลังปราณของเขาได้ง่ายๆ

แต่ฉู่สิงใช้กระบี่ในมือ ให้บทเรียนเขาอย่างดี ไม่ว่าพลังปราณแบบไหนล้วนมีจุดอ่อน ยิ่งไปกว่านั้น เป็นพลังปราณที่อาศัยพลังภายนอกเพิ่มความแข็งแกร่ง

ไม่มีกระบวนท่างดงาม ไม่มีพลังปราณที่พลุ่งพล่าน อาศัยแค่การโจมตีที่แม่นยำ ไม่นาน ตัวของเถาสิงเต็มไปด้วยบาดแผล

ลู่ฝานมองดูเงียบๆ กระบวนท่าของทั้งสองคน อยู่ในหัวของเขา เหมือนภาพสโลวโมชั่น

ลู่ฝานไม่รู้ว่าตัวเองเอาความสามารถนี้มาจากไหน แต่เขารู้สึกว่าการเคลื่อนไหวของทั้งสองคนช้ามาก ทุกการโจมตีจะต้องทะลุผ่านพลังฟ้าดินที่หนามาก ถึงจะโจมตีโดนอีกฝ่าย ลู่ฝานรู้สึกว่า ถ้าทุกการโจมตีไม่ต้องทะลุผ่านพลังฟ้าดิน งั้นความเร็วการโจมตีของพวกเขา อย่างน้อยต้องยกระดับขึ้นสิบเท่าขึ้นไป

ตาลู่ฝานเป็นประกาย ตอนนี้ขนาดตัวลู่ฝานเองยังไม่รู้ ว่าดวงตาของเขาทั้งสองข้าง ดูชั่วร้ายเล็กน้อย

ในดวงตาข้างซ้าย แอบมีสีขาวดำ บริเวณตาขวามีแสงห้าธาตุเคลื่อนไหวอยู่

แม้จะเบาบาง มองแทบจะไม่เห็น แต่มันมีอยู่จริงๆ

ในการต่อสู้ เถาสิงฝืนไม่ไหวแล้ว เขากัดฟันง้างดาบโค้งแสงม่วงขึ้นมา แผดเสียงออกมาว่า “เมฆสีม่วงปรากฏที่ทิศตะวันออก!”*

แสงสีม่วงพลุ่งพล่าน เหมือนจะปล่อยท่าไม้ตายออกมา แต่ต่อมากระบี่ของฉู่สิงดีดดาบโค้งแสงม่วงในมือเขาจนกระเด็น อีกทั้งยังทำให้ฝ่ามือเขาเป็นรอยแผลลึก

เถาสิงร้องโอดครวญออกมา โดนฉู่สิงถีบจนกระเด็น

ฉู่สิงลงมาบนพื้น จับดาบโค้งแสงม่วงเอาไว้ แล้วโยนไปตรงหน้าเถาสิง แล้วพูดว่า “นายยังไม่มีคุณสมบัติมาท้าประลองคณะหนึ่งเดียว”

เถาสิงโกรธจนกระอักเลือดออกมา และสลบไป

ศิษย์คณะบังเหินมองภาพตรงหน้าอย่างตกตะลึง ทุกคนสีหน้าบูดเบี้ยว เหมือนได้กินของน่าขยะแขยง

หลางเจี้ยนเดินเข้ามาป้อนยาเถาสิง จากนั้นหันไปพูดกับผู้หญิงข้างจางเยว่หานว่า “จ้าวหลิง เธอไปสู้รอบสอง”

จ้าวหลิงพูดตอบรับเสียงสูง และเดินออกมา

จ้าวหลิงพูดโดยไม่มองเถาสิง “พวกนายใครจะมาสู้”

ฉู่เทียนมองหานเฟิง ศิษย์พี่ใหญ่ก็มองหานเฟิง จากนั้นอาจารย์อี้ชิง ลู่ฝาน อาจารย์เต้ากวง หันไปมองหานเฟิง พาเจ้าดำวิ่งออกมามองหานเฟิงด้วย

หานเฟิงชี้ตัวเองแล้วพูดว่า “ให้ตายเถอะ ผมไปสู้เหรอ เธอเป็นผู้หญิงนะ”

ศิษย์พี่ใหญ่ตบไหล่หานเฟิง แล้วพูดว่า “ถูกต้อง เพราะเป็นผู้หญิง ถึงให้นายไปไง ผู้ชายไม่พูดว่าไม่ได้นะ”

พูดจบ ศิษย์พี่ใหญ่กับฉู่เทียน ร่วมมือกันดันหานเฟิงออกไป

พลังปราณพลุ่งพล่าน ลมพัดผ่าน การต่อสู้เริ่มขึ้น

แสงกระบี่เต็มไปหมด ศิษย์พี่ฉู่สิงไม่เกรงใจ ขึ้นมาก็ชิงลงมือก่อน กระบี่เป็นภาพลวงตานับหมื่นพัน

ดาบโค้งแสงม่วงในมือเถาสิง ไม่กลัวแม้แต่น้อย

เห็นแสงกระบี่นับหมื่นพัน เถาสิงใช้พลังปราณปกคลุมร่างกาย

“แสงม่วงคุ้มกันกาย!”

เถาสิงแผดเสียงออกมาเบาๆ ดาบโค้งแสงม่วงในมือเถาสิง ปล่อยวงแหวนสีม่วงนับไม่ถ้วน เข้าไปในพลังปราณของเขา

ทันใดนั้น พลังปราณนับไม่ถ้วน ของเถาสิงกลายเป็นสีม่วงอ่อน กระบี่ของฉู่สิง โจมตีไปบนตัวเถาสิง ได้ยินเพียงเสียงเหล็กกระทบกัน

เคร้งๆ

ทันใดนั้น กระบี่ของฉู่สิง หยุดลงตรงหน้าอกของเถาสิง

กระบี่งอเล็กน้อย ฉู่สิงขมวดคิ้วเบาๆ หลังจากกระบี่ของเขา แทงเข้าไปในพลังปราณของเถาสิงหนึ่งนิ้ว ก็ไม่สามารถแทงลึกลงไปได้อีก

เถาสิงส่งเสียงหึอย่างเย็นชา แล้วพูดว่า “ฝีมือต่ำต้อย รับกระบวนท่าของฉันไป”

ดาบโค้งแสงสีม่วงสะบัดไปมา ได้ยินเสียงสัตว์ร้องคำราม

เสียงเคลื่อนไหวเป็นระลอกคลื่นในอากาศ แผ่ซ่านออกไป

ฉู่สิงตัวชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นถอยหลังออกไป

“เคล็ดวิชาคลื่นเสียง!”

ศิษย์พี่ใหญ่ที่อยู่ข้างๆ พูดอย่างตกใจ

ลู่ฝานขมวดคิ้วเบาๆ เคล็ดวิชาคลื่นเสียงเป็นเคล็ดวิชาที่ไม่ได้รับความนิยม อย่าว่าแต่ตอนฝึกยุ่งยากซับซ้อนเลย หนำซ้ำยังเปลืองพลังปราณด้วย

แต่เห็นได้ชัดว่าเถาสิงไม่ได้ปล่อยเคล็ดวิชาคลื่นเสียง มาจากพลังปราณของตัวเอง ต้องเป็นดาบโค้งแสงม่วงในมือเขาแน่นอน

ใช้ช่วงตอนที่ฉู่สิงกำลังอึ้ง เถาสิงพุ่งไปข้างหน้า

ฝีเท้ารวดเร็ว มีรูปเจ็ดดาวรางๆ เหมือนความฝัน เหมือนภาพลวงตา การเคลื่อนไหวเหมือนสายฟ้า

ดาบโค้งมาพร้อมกับแสงสีม่วงเป็นแถบ เหมือนแสงสีทองบนท้องฟ้า บีบบังคับให้ฉู่สิงถอยหลังกรูด

หลางเจี้ยนหัวเราะ ยกยิ้มมุมปากอย่างได้ใจ

คณะที่อยู่ในลำดับต่ำ พละกำลังใช้ไม่ได้ตามคาด ไม่รู้ทำไมอาจารย์เมิ่งอวิ๋นถึงเตือนเขาให้ระวัง ก่อนจะพาคนมา ไม่มีความจำเป็นต้องทำแบบนั้นเลย

แต่พละกำลังของเถาสิง แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ พละกำลังระดับนี้ ตอนต่อสู้จัดอันดับในสถาบัน คงต้องโดดเด่นอย่างแน่นอน

ฉู่สิงโดนเถาสิงโจมตีไม่หยุด ภายในแสงอร่าม ไม่เห็นตัวของฉู่สิงเลย

ศิษย์คณะบังเหิน ทำอย่างอื่นไม่เป็น แต่ความสามารถในการเคลื่อนไหวหลบหลีก เป็นที่หนึ่งในเก้าคณะใหญ่

การเคลื่อนไหวร่างกายที่เถาสิงใช้ตอนนี้ คือการเดินเจ็ดดาว ที่คณะบังเหินถ่ายทอดให้

เมื่อใช้มัน การหลบหลีก เปลี่ยนแปลงเหมือนดวงดาว ถ้าเถาสิงใช้การเคลื่อนไหว จนถึงจุดสูงสุด จะสามารถกลายเป็นภาพลวงตาเจ็ดเงา โจมตีภายในครั้งเดียว เรียกได้ว่าเก่งกาจ

หานเฟิงกับฉู่เทียน เริ่มตึงเครียดขึ้นมา

หานเฟิงเดินช้าๆ มาข้างศิษย์พี่ใหญ่ แล้วพูดว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ พี่สายตาดี ศิษย์พี่ฉู่สิง ไม่ไหวแล้วใช่ไหม”

ศิษย์พี่ใหญ่หัวเราะ แล้วตอบว่า “ศิษย์น้องหานเฟิง นายไม่มีความมั่นใจในศิษย์น้องสามเลยเหรอ วางใจเถอะ ศิษย์น้องสามนิ่งอยู่เลย ยื้อต่อไป ไอ้คนแซ่เถา คงแพ้แน่ๆ”

หานเฟิงพูดอย่างดีใจว่า “อย่างนั้นเหรอครับ”

แต่อันที่จริงวิชากระบี่ มีทั้งโจมตีและคุ้มกัน แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก อย่ามองแค่ว่าเถาสิงโจมตีเป็นร้อยกระบวนท่า แต่อันที่จริง ไม่โดนสักกระบวนท่า กลับกัน

ลู่ฝานเพิ่งพูดจบ ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่หานเฟิง ศิษย์พี่ฉู่เทียน รวมไปถึงอาจารย์อี้ชิงกับอาจารย์เต้ากวง ที่อยู่ข้างๆ มองเขาอย่างอึ้งๆ

ลู่ฝานโดนมอง ถึงกับสะดุ้งโหยง แล้วพูดว่า “เป็นอะไรกันครับ”

ศิษย์พี่หานเฟิงอ้าปากค้าง พูดว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน นายมองเห็นหมดเลยเหรอ นายเห็นทุกกระบี่หมดเลย พระเจ้า ดวงตานายมันยังไงกัน ควักออกมาให้ฉันดูเร็วๆ”

อาจารย์อี้ชิงอดพูดออกมาไม่ได้ว่า “ลู่ฝาน นายมองเห็นชัดเจนจริงเหรอ”

ลู่ฝานพยักหน้าทื่อๆ แล้วพูดเบาๆ ว่า “พวกคุณมองไม่ชัดเจนเหรอ”

อาจารย์อี้ชิงกับอาจารย์เต้ากวงมองหน้ากัน ไม่ได้พูดอะไร แม้พวกเขามองเห็นชัดเจน เพราะผลการฝึกตนของพวกเขา สูงกว่าเถาสิงกับฉู่สิง แต่ลู่ฝานมองเห็นชัดเจน ดูแปลกไปหน่อย เพราะผลการฝึกตนของลู่ฝาน เทียบไม่ได้กับทั้งสองคน

โดยเฉพาะเถาสิงเป็นคนของคณะบังเหิน แถมยังฝึกวิชาการเดินเจ็ดดาว ถ้าโดนคนจับการเคลื่อนไหวได้อย่างชัดเจน งั้นถ้าเถาสิงเจอกับลู่ฝาน เถาสิงคงโดนลู่ฝานกดจนจมดิน

ศิษย์พี่ใหญ่มองลู่ฝานตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วพูดว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน ฉันมองเห็นชัดเจน แต่ฉันใช้ผลการฝึกตน วิชาหนึ่งเดียวขั้น2 เลยมองเห็นชัดเจน อย่าบอกนะว่า นายฝึกวิชาหนึ่งเดียวสำเร็จแล้ว”

เมื่อพูดออกมา สายตาทุกคนจ้องไปที่ลู่ฝาน

ลู่ฝานจับจมูก ในหัวนึกถึงวิชาหนึ่งเดียว ทุกสิ่งของเซียนบู๊หนึ่งเดียวขึ้นมาได้

ลู่ฝานแอบลองรวบรวมพลังวิญญาณ พลังสีใสในร่างกาย พุ่งเข้ามาในหัว เคลื่อนไหวเล็กน้อย พลังวิญญาณสีใส เปลี่ยนแปลงออกมา และแข็งแกร่งเกินกว่าสิบเท่า ปราณชี่หนึ่ง เคลื่อนไหวพลังวิญญาณออกมาสิบพลัง ลู่ฝานตกใจมาก

ค่ายหยินหยางในหัวเขา เหมือนหม้อกลั่นยา พลังที่เข้าไปในค่ายกล ล้วนเปลี่ยนแปลงเป็นพลังต่างๆ ลองเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง พลังปราณก็ไม่เป็นปัญหา แต่แค่กลายเป็นพลังปราณยี่สิบเท่า ใช้พลังชี่ ต้องให้พลังสีใสเข้าไปเคลื่อนไหวในค่ายกลห้าธาตุ ออกมาเป็นพลังชี่ที่บริสุทธิ์ยี่สิบเท่า ทั้งสองประสานกันเป็นหนึ่ง กลายเป็นหยดน้ำปราณชี่สีใส

อาจารย์อี้ชิงตวาดว่า “หานเฟิง อย่าเล่นอะไรพวกนี้เถอะ”

หานเฟิงกำลังจะโยนของในมือออกไป เมื่อได้ยินคำพูดของอาจารย์อี้ชิง จึงรีบชะงักการกระทำทันที

พวกหลางเจี้ยน รีบถอยหลัง มองหานเฟิงและคนอื่น เหมือนผู้หญิงบริสุทธิ์สดใส เห็นนักเลงฉาวโฉ่ ต้องรีบถอยให้ไกลที่สุด

อาจารย์เต้ากวงส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจ เฮ้อ วันนี้วุ่นวายแบบนี้ รอให้พวกคณะบังเหินกลับไป ชื่อของคณะหนึ่งเดียวของพวกเขาต้องอื้อฉาวแน่นอน

อาจารย์อี้ชิงเบิกตาโตใส่หานเฟิง หานเฟิงวางลูกกลมๆ ในมืออย่างทำอะไรไม่ได้

อาจารย์อี้ชิงเบิกตาโตแล้วพูดว่า “ยังมีอีก”

หานเฟิงกลอกตามองบน สะบัดชุดคลุมยาว ของเยอะแยะร่วงลงมาบนพื้นทั้งหมด

ลู่ฝานจ้องมอง เห็นเข็มเงินส่องแสงสลัว มีดสั้นพังๆ เต็มไปด้วยของเหลวสีแดง อีกทั้งขวดอีกหลายสี ได้กลิ่นเหม็นมาจากไกลๆ ของพวกนี้กองอยู่ใต้เท้าหานเฟิงเต็มไปหมด

หลางเจี้ยนและคนอื่น เห็นแล้วสะอิดสะเอียน ตอนนี้พวกเขารู้สึกเสียใจ ที่ตามอาจารย์หลางเจี้ยน มาคณะหนึ่งเดียว พวกคณะหนึ่งเดียวเป็นนักบู๊ที่ซื่อสัตย์ ใสสะอาดจริงเหรอ

ฉู่สิงกับฉู่เทียนยืนด้านข้าง ทำเป็นไม่รู้จักหานเฟิง

อาจารย์เต้ากวงสะบัดมือ แล้วพูดว่า “หลางเจี้ยน นายพาศิษย์มาฝึกฝีมือไม่ใช่เหรอ รีบสิ ทำเสร็จจะได้จบ”

หลางเจี้ยนกัดฟัน พูดว่า “ฉันก็คิดแบบนี้เหมือนกัน เถาสิง นายมาก่อน ไม่ทราบว่าศิษย์คนไหนของคณะหนึ่งเดียว จะมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน”

เถาสิงที่โดนเรียกชื่อ ชะงักไป จากนั้นเดินเข้ามา

เถาสิงมองหานเฟิงแล้วพูดเสียงดังว่า “ผมไม่แข่งกับไอ้นี่นะๆ พวกนายเปลี่ยนคนมาเถอะ”

หานเฟิงหัวเราะแล้วพูดว่า “ไม่ยอมแข่งกับฉัน ฉันก็ไม่อยากแข่งกับนายเหมือนกัน”

ฉู่สิงกับฉู่เทียนมองหน้ากัน จากนั้น ฉู่สิงเดินออกมา พูดว่า “ฉันละกัน โปรดชี้แนะด้วย”

เถาสิงส่งเสียงหึเย็นชา เอาอาวุธของตัวเองออกมา ดาบโค้งแสงสีม่วง

ฉู่สิงเอากระบี่ตัวเองออกมา ทั้งสองตั้งท่าเรียบร้อย พลานุภาพพลุ่งพล่าน

ศิษย์คณะบังเหินดูมั่นใจมาก ราวกับว่าเถาสิงชนะแน่นอน

สายตาของจางเยว่หานจ้องลู่ฝานตลอดเวลา จากนั้นดึงแขนผู้ชายข้างๆ แล้วพูดว่า “ศิษย์พี่ วันนี้ต้องช่วยฉันระบายความแค้นนะ”

ผู้ชายที่โดนเรียกว่า “ศิษย์พี่” หัวเราะแล้วพูดว่า “วางใจเถอะ ในเมื่อมาแล้ว ช่วยเธอระบายความแค้นแน่นอน ไอ้เด็กนั่นใช่ไหม วันดีๆ ของเขาจบลงแล้วล่ะ”

เหมือนลู่ฝานได้ยินคนพูดถึงตัวเอง หันมามองทางจางเยว่หาน

เพียงแวบเดียว ลู่ฝานเห็นความเคียดแค้นและชั่วร้ายในแววตาจางเยว่หาน

ศิษย์พี่ใหญ่ที่อยู่ข้างๆ หันมาพูดว่า “ลู่ฝาน นายกับผู้หญิงคนนั้น มีความแค้นอะไรกันหรือเปล่า เหมือนฉันได้ยินว่าพวกเขาจะจัดการนาย”

ลู่ฝานพยักหน้าพูดว่า “เรียกว่ามีความแค้นกันก็ได้มั้ง”

ศิษย์พี่ใหญ่ยิ้มแล้วพูดว่า “ให้ฉันช่วยนายจัดการไหม กลัวว่าอีกเดี๋ยวพวกเขาจะเล่นงานนายโดยเฉพาะน่ะสิ”

ลู่ฝานส่ายหน้าพูดว่า “ขอบคุณพี่ใหญ่ แต่ผมว่าผมจัดการเองได้”

พูดพลาง ลู่ฝานสัมผัสอาการภายในร่างกายตัวเอง ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมา เขายังไม่ได้สำรวจอาการตัวเองเลย

ลู่ฝานหลับตาลง เข้าสู่สภาวะภายใน ทันใดนั้น ลู่ฝานตกใจ

ทำไมพลังในตัวเขา เต็มเปี่ยมขนาดนี้ พลังสีใสที่ไหลเวียนอยู่ในตัว ลู่ฝานได้ยินเสียงน้ำไหล ดังขึ้นในร่างกายตัวเอง

ลู่ฝานลืมตา ลองใช้พลังนี้เบาๆ เขารู้สึกว่าพลังฟ้าดินบริเวณรอบๆ พลุ่งพล่านเข้ามา จุดตันเถียนและในสมองของเขา สว่างวาบขึ้นมาพร้อมกัน

ค่ายกลห้าธาตุ ค่ายกลหยินหยาง สาดแสงไปทั่วทุกที่

ลู่ฝานอึ้งไป เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขาแน่ใจว่า พลังของเขา แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมเยอะมาก

ตอนนี้เขาอยู่ในแดนปราณในชั้น5 หรือชั้น6 กันแน่

ลู่ฝานก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน

เงาคนร่วงลงมาตามสายลม เป็นหญิงสาม ชายสาม ทั้งหมดหกคน

นำมาด้วย ผู้ชายหน้าตาน่ามองคนหนึ่ง อายุประมาณสามสิบปี ร่างสูงโปร่ง มีกระบี่เล่มหนึ่งตรงเอว มือซ้ายสวมแหวนเงินวงหนึ่ง

ชายหญิงที่อยู่ด้านหลังผู้ชาย ล้วนสวมเสื้อราคาแพง ท่าทางสูงส่ง ลู่ฝานเห็นว่าในนั้นมีคนคุ้นเคย เป็นผู้หญิงที่ยืนหลังสุด คือคนที่ไม่ได้เจอนานอย่างจางเยว่หานไม่ใช่เหรอ ลู่ฝานขมวดคิ้วเบาๆ

“นี่คณะหนึ่งเดียวเหรอ ดูไม่ต่างจากเล้าหมูเท่าไร”

ผู้หญิงที่ยืนข้างจางเยว่หาน ขมวดคิ้วพูดขึ้นมา ปิดจมูกราวกับว่า ถ้าสูดอากาศที่คณะหนึ่งเดียวเข้าไป จะทำให้เธอเป็นลมอย่างไรอย่างนั้น

คำพูดของเธอ ทำให้หานเฟิงและคนอื่น สีหน้าอึมครึมทันที คณะหนึ่งเดียวเล็กกว่าคณะอื่นจริง แต่คนพวกนี้ไม่มีสิทธิ์มาดูหมิ่น ทันใดนั้น หานเฟิง ฉู่สิง ฉู่เทียน สายตาเย็นชาทันที

ขนาดคนที่หัวเราะอยู่ตลอดอย่างศิษย์พี่ใหญ่ ก็ชะงักไปเช่นกัน

ผู้ชายที่นำมา สะบัดมือไม่ให้ผู้หญิงพูดไร้สาระ เงยหน้าคารวะอาจารย์อี้ชิงกับอาจารย์เต้ากวง แล้วพูดว่า “อี้ชิง เต้ากวง ไม่เจอกันนานเลย”

ราวกับว่าอาจารย์อี้ชิงกับอาจารย์เต้ากวง ไม่ชอบชายคนนี้เท่าไร เมื่อชายคนนี้ทักทายพวกเขา ทั้งสองไม่มีท่าทีว่าจะลุกขึ้น

อาจารย์อี้ชิงพูดอย่างเฉยเมยว่า “หลางเจี้ยน ไม่ต้องมาพูดพิธีรีตอง นี่ศิษย์คณะบังเหินของพวกนายเหรอ ดูผอมแห้ง ดูไม่ค่อยเท่าไรนะ”

คำพูดของอาจารย์อี้ชิงทำให้หานเฟิงและคนอื่น หัวเราะขึ้นมาทันที

โดยเฉพาะหานเฟิง หัวเราะเวอร์ที่สุด ทำให้หญิงชายที่ตามหลางเจี้ยนมา มีสีหน้าอึมครึมทันที

หลางเจี้ยนขมวดคิ้วเบาๆ พวกแก่คณะหนึ่งเดียว ไม่เห็นคุณค่าของผู้อื่น ตัวเองเกรงใจพวกเขา แต่พวกเขากลับกล้าอวดดีขนาดนี้ คิดไม่ออกจริงๆ ทำไมท่านผอ. ยังให้พวกเขาตั้งคณะ ในสถาบันต่อไป

ผู้ชายตาสามเหลี่ยมด้านหลังหลางเจี้ยน พูดว่า “ได้ยินมานานว่าคนคณะหนึ่งเดียวหยาบคาย วันนี้ได้เห็น สมคำร่ำลือตามคาด”

จางเยว่หานได้ยิน หัวเราะออกมาเบาๆ รอยยิ้มงดงามจนน่าตกใจ ทำให้ผู้ชายคนที่พูด เหลือบมองเบาๆ แล้วแอบกลืนน้ำลาย

ไม่ต้องพูดอะไรมาก ผู้ชายคนนี้คงเป็นทาสของจางเยว่หานอีกคน ลู่ฝานยกยิ้มมุมปาก แววตาเต็มไปด้วยความดูหมิ่น

หานเฟิงก่นด่าออกมา “ฉันหยาบคายแล้วไง เดี๋ยวจะหยาบคายให้นายดู”

พูดพลาง หานเฟิงโยนของสีดำออกไป

เสียงดังพลั่ก สิ่งของรูปร่างกลมขรุขระ แตกออกทันที มีควันสีเหลืองเหมือนอุจจาระ ออกมาจากในนั้น

ทุกคนยังมองไม่ออกว่าคืออะไร ต่อมามีกลิ่นเหม็นตีจมูก ลู่ฝานรีบกลั้นหายใจ

เหมือนหานเฟิง ฉู่สิง ฉู่เทียนและคนอื่นเตรียมตัวไว้แล้ว เอาสมุนไพรต้นหนึ่งวางไว้ตรงจมูก ควันทั้งหมดแยกออกไปทันที

จางเยว่หานกับผู้หญิงอีกคน เหมือนจะเป็นลม แต่หลางเจี้ยน ปฏิกิริยารวดเร็ว สะบัดแขนเสื้อกำจัดควันออกไป

“นี่คืออะไร”

หลางเจี้ยนตวาดออกมา

หานเฟิงหัวเราะ แล้วพูดวา “นี่เรียกว่ายินดีต้อนรับ เป็นของที่เราเตรียมต้อนรับพวกนายโดยเฉพาะ กลิ่นไม่เลวใช่ไหม ฉันยังมีอีกนะ นายลองหน่อยไหม”

พูดจบ หานเฟิงเอาก้อนกลมสีดำออกมากองหนึ่ง

ลู่ฝานเห็นก้อนนี้ แววตาดูตะลึง เขาเคยเห็นสิ่งนี้ ศิษย์พี่หานเฟิง ชอบศึกษาอะไรพวกนี้ เหมือนมันวางอยู่เต็มห้องเขา ตอนแรกลู่ฝานคิดว่าเป็นสิ่งของลึกลับอะไร คิดไม่ถึงว่ามันจะใช้แบบนี้

อาจารย์อี้ชิงสีหน้าอึมครึม หานเฟิงนี่นะ คนอื่นว่านายหยาบคาย นายก็หยาบคายจริงๆ กลิ่นนี้ไม่ต่างจากมูลสัตว์เลย

อาจารย์เต้ากวงหัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “ความสามารถในการฟื้นฟูเหมือนกับสัตว์อสูร ไม่เสียแรงที่ฉันให้นายกินยาวิเศษ ลู่ฝาน ถ้านายฟื้นขึ้นมา ฉันจะถ่ายทอดเคล็ดวิชาบู๊ ที่เก่งกาจแท้จริงให้นาย ถึงตอนนั้นนายก็อย่าโทษอาจารย์แล้ว”

เหมือนลู่ฝานได้ยินคำพูดของอาจารย์เต้ากวง เขาขยับคิ้วเบาๆ

อาจารย์เต้ากวงพูดเสียงดังขึ้นเล็กน้อย “นายได้ยินเหรอ ฮ่าๆ ได้ยินก็ดี อยากเรียนเคล็ดวิชาบู๊ล้ำลึก ก็รีบฟื้นขึ้นมา”

ลู่ฝานขยับคิ้วอีกครั้ง

อาจารย์เต้ากวงเดินเข้ามา ใส่พลังปราณเข้าไปในตัวลู่ฝาน ช่วยให้ลู่ฝานรักษาอาการบาดเจ็บเร็วขึ้น จากนั้นเดินเอามือไพล่หลัง ออกไปข้างนอก

เจ้าดำเงยหน้ามองเต้ากวงตลอดเวลา มีเพียงเจ้าดำที่รู้ว่ากลิ่นไอแข็งแกร่งเมื่อครู่มาจากที่ไหน

เจ้าดำแยกเขี้ยวใส่หลังอาจารย์เต้ากวง จากนั้นหันมามองลู่ฝาน แล้วกลอกตาไปมา

จากนั้น เจ้าดำคำรามออกมาเบาๆ กลายเป็นลำแสงเข้าไปตัวลู่ฝาน กลายเป็นมังกรดำ ที่แขนลู่ฝาน แล้วเลื้อยไปทั่วทุกที่

พลังปราณ ในตัวลู่ฝาน เริ่มไหลไปที่แขนขวาของเขา อย่างไม่สามารถควบคุมได้

มังกรดำเคลื่อนไหวอยู่ในเส้นปราณชี่ ได้รับความชุ่มชื้นจากปราณของลู่ฝาน ลำตัวยาวขึ้นอย่างรวดเร็ว

เหมือนมีเสียงคำรามอย่างสดชื่น ดังขึ้นมาจากในแขนของลู่ฝาน

……

หลังผ่านไปสามวัน มีเสียงเอะอะดังขึ้นข้างหู ลู่ฝานลืมตาขึ้นช้าๆ

เหมือนเขานอนไปหมื่นปี มีแสงสว่างส่องออกมาจากดวงตาทั้งสองข้าง ทะลุไปในอากาศ

เหมือนโลกตรงหน้าไม่เหมือนเดิม ฟ้าดินกำลังสั่นไหว เหมือนม้วนภาพวาด ราวกับว่าแค่ลู่ฝานยื่นมือไปทิ่มเบาๆ โลกที่เหมือนม้วนภาพวาด ก็จะโดนทิ่มจนเป็นรู

ฟู่ว……

ลู่ฝานพรูลมหายใจออกมา จากนั้นค่อยๆ ลุกขึ้น

เจ้าดำนอนหมอบอยู่ข้างเตียง กระบี่หนักไร้คมของเขาวางอยู่หน้าประตู ลู่ฝานมองเจ้าดำ แล้วขมวดคิ้ว นี่เขาสลบไปนานมากเลยเหรอ ทำไมดูเหมือนเจ้าดำตัวโตขึ้นแล้วเนื้อกลมๆ สองก้อนที่นูนอยู่บนหัวมันคืออะไร

ลู่ฝานลูบหัวใหญ่ๆ ของเจ้าดำ เจ้าดำแลบลิ้นมาออกมาเลียอย่างบ้าคลั่ง เลียจนใบหน้าลู่ฝาน เต็มไปด้วยน้ำลาย

ลู่ฝานดันเจ้าดำออก จัดแจงเสื้อผ้า แล้วเดินออกไปข้างนอก

แสงแดดด้านนอกแยงตา ทำให้ลู่ฝานหรี่ตาลงเบาๆ

“ฮ่าๆ ศิษย์น้องลู่ฝาน ในที่สุดนายก็ฟื้นแล้ว นายนอนเหมือนหมูตายไปตั้งสามวัน!”

เสียงเหมือนเป็ดของศิษย์พี่หานเฟิงดังขึ้นมา ลู่ฝานหันไปมอง เห็นศิษย์พี่ของตัวเองอยู่ในลานบ้าน เสื้อผ้าเรียบร้อย หน้ามันแวววาว

อาจารย์อี้ชิง อาจารย์เต้ากวง ก็สวมชุดใหม่ นั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างๆ

อาจารย์อี้ชิงมองลู่ฝาน ยิ้มแล้วพูดว่า “ลู่ฝาน นายเพิ่งหายจากอาการบาดเจ็บสาหัส มานั่งนี่สิ”

ลู่ฝานไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น จึงถามว่า “อาจารย์ ผมหลับไปนานแค่ไหน”

อาจารย์อี้ชิงยิ้มแล้วพูดว่า “สามวันเอง ไม่นับว่านาน ดูจากอาการบาดเจ็บของนายในวันนั้น นายจะหลับไปอีกสามสิบวันก็ยังได้ ลู่ฝาน นายต้องขอบคุณอาจารย์เต้ากวง เขาให้ยาวิเศษที่ช่วยชีวิตนาย”

ลู่ฝานหันไปมองอาจารย์เต้ากวง ด้วยสีหน้าแปลกประหลาด เขานึกออกแล้ว ว่าตัวเองบาดเจ็บได้ยังไง

อาจารย์เต้ากวงสีหน้ากระอักกระอ่วน “ไม่ต้องขอบคุณหรอก ลู่ฝานมานั่งสิ นายฟื้นขึ้นมาพอดีเลย วันนี้เป็นวันที่คณะหนึ่งเดียวของเรารับคำท้าประลอง”

พูดจบ อาจารย์เต้ากวง ทำปากพูดกับลู่ฝานว่า “ลู่ฝาน เรื่องที่ไม่ได้ตั้งใจทำร้ายนาย ไม่ต้องพูดแล้ว เดี๋ยวฉันจะถ่ายทอดเคล็ดวิชาบู๊ระดับดินให้นายสองสามชุด เรื่องนี้เอาแบบนี้แล้วกัน”

ลู่ฝานกะพริบตาสองสามครั้ง เคล็ดวิชาบู๊ระดับดินสองสามชุดงั้นเหรอ ฟังดูดึงดูดใจมาก

ลู่ฝานแอบพยักหน้า จากนั้นนั่งลงข้างอาจารย์เต้ากวง อาจารย์เต้ากวงเห็นลู่ฝานตกลง จึงโล่งอก เขารักษาหน้าเอาไว้ได้แล้ว

ลู่ฝานขมวดคิ้วพูดว่า “รับคำท้าประลองของใครเหรอครับ”

ศิษย์พี่หานเฟิงพูดเสียงดังว่า “ก็รับคำท้าของไอ้พวกเลวคณะอื่นน่ะสิ คนพวกนี้มาในเวลานี้ทุกปี บอกว่าจะมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน แต่อันที่จริง มาฝึกฝีมือกับเรา ศิษย์น้องลู่ฝาน นายรอดูดีๆ เลย ปีนี้ฉันต้องทำให้ไอ้เลวพวกนี้อับอายขายหน้า เหมือนว่าพวกเขาใกล้มาแล้ว”

ลู่ฝานยังไม่เข้าใจนิดหน่อย ขณะนั้น ศิษย์พี่ใหญ่อู๋เหวยเลื่อนเก้าอี้ตัวใหญ่มานั่ง ยิ้มแล้วมองลู่ฝาน “ลู่ฝาน นายเพิ่งมาคณะหนึ่งเดียวปีนี้ เลยไม่รู้เรื่องการสู้จัดอันดับในสถาบันใช่ไหม”

ลู่ฝานพูดว่า “เรื่องนี้ผมรู้ครับ การต่อสู้จัดอันดับในสถาบัน เริ่มวันนี้เหรอครับ”

ศิษย์พี่ใหญ่ลูบท้อง แล้วพูดว่า “ไม่ใช่ กว่าการสู้จัดอันดับในสถาบันจะเริ่มขึ้น ยังมีเวลาอีกสองเดือน แค่วันนี้พวกที่จะเข้าร่วมการต่อสู้จัดอันดับในสถาบัน มาฝึกฝีมือกับเราเท่านั้น”

ลู่ฝานพูดว่า “ฝึกฝีมือเหรอครับ ยังไงเหรอ”

ศิษย์พี่ใหญ่พูดว่า “กฎการต่อสู้จัดอันดับในสถาบันคือ คณะอันดับต่ำ สามารถท้าประลองคณะอันดับสูงได้ แต่ละคณะส่งคนมาประลองห้าคน ชนะสองในสาม คณะหนึ่งเดียวของเรา อยู่ในลำดับท้ายสุด เดิมที ต้องมีเพียงเราที่ไปท้าประลองเขา เขาไม่สามารถท้าประลองเราได้ แต่คนคณะอื่น ล้วนมาฝึกฝีมือกับคณะหนึ่งเดียว บ้างก็เพื่อที่จะแสดงพลานุภาพ บ้างก็เพื่อที่จะอุ่นเครื่อง พวกเขาไม่มาตอนต่อสู้จัดอันดับของสถาบัน ล้วนมาก่อนล่วงหน้า สู้เสร็จก็ไป ชนะก็สมควร ถ้าแพ้อันดับก็ไม่ตก”

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “ดังนั้นคณะหนึ่งเดียวของเรา จึงกลายเป็นหินให้พวกเขาฝึกฝีมือเหรอครับ”

ศิษย์พี่ใหญ่พูดว่า “แม้ดูไม่น่าฟัง แต่มันคือเรื่องจริง อ้อ นายดูสิ พวกเขามาแล้ว”

พูดพลาง เงาคนเหาะมาบนท้องฟ้า ทุกคนในคณะหนึ่งเดียว หรี่ตาลง

“นี่มันอะไรกัน”

ลู่ฝานพูดอย่างตกใจ

หนึ่งเดียวหัวเราะแล้วพูดว่า “พลังวิญญาณระดับแรกเริ่มก็เป็นแบบนี้แหละ ถ้านายสามารถฝึกพลังวิญญาณจนถึงชั้น5 ขึ้นไป จะเป็นเหมือนฉัน ใช้พลังวิญญาณก่อตัวเป็นรูปร่างคนได้”

ลู่ฝานพูดว่า “แต่ทำไมฉันถึงมีรูปร่างแบบนี้ล่ะ ฉันจำไม่ได้เลย”

หนึ่งเดียวพูดว่า “จำไม่ได้จริงเหรอ พลังปราณแปรเปลี่ยนเป็นพลังวิญญาณ มีความลำบากนับร้อยนับพัน ผ่านการนองเลือด ผ่านความเป็นตาย พลังกลายเป็นปราณ พลุ่งพล่านไปสวรรค์”

ลู่ฝานครุ่นคิดอย่างละเอียด จากนั้นพึมพำว่า “การนองเลือด ความเป็นความตายงั้นเหรอ ฉันก็เกือบโดนคนฆ่าตายแล้ว”

หนึ่งเดียวพูดว่า “นี่ถูกต้องแล้ว อยู่ในช่วงใกล้ตาย จะฝึกพลังวิญญาณได้ง่ายที่สุด ตอนนั้นฉันวนเวียนอยู่เป็นร้อยครั้ง สร้างพลังวิญญาณออกมา แต่น่าเสียดาย แม้พลังวิญญาณจะแข็งแกร่ง แต่ไม่สามารถทะลุพ้นการพันธนาการของฟ้าดินได้ บางทีอาจมีแค่การเอาพลังปราณกับพลังชี่มาผสานกัน จึงจะสร้างพลังที่สามารถหลุดพ้นทุกสิ่งได้ แต่ฉันกลัวว่าจะทำไม่ได้แล้ว ผู้สืบทอดของฉัน ถ้าวันหนึ่งนายสามารถฝึกพลังวิญญาณถึงขั้นสูงสุดได้ นายลองเอาพลังชี่ผสานกับพลังวิญญาณ ความปรารถนาที่ฉันทำไม่สำเร็จ หวังว่านายจะทำสำเร็จสักวันหนึ่ง”

ในน้ำเสียงของหนึ่งเดียว เต็มไปด้วยความเสียใจ

ลู่ฝานอึ้งไปเล็กน้อย เอาพลังปราณผสานกับพลังชี่งั้นเหรอ นี่เป็นปราณชี่ของเขาไม่ใช่เหรอ

อย่าบอกนะว่าในตัวของเขามีปราณชี่นี้อยู่ ดังนั้นเขาจึงสามารถตกอยู่ในช่วงใกล้ตายได้อีกครั้ง เพื่อฝึกพลังวิญญาณออกมา

หนึ่งเดียวไม่ได้ให้เวลาลู่ฝานคิดนาน ต่อมา เสียงของหนึ่งเดียวดังขึ้น

“รับการถ่ายทอดอย่างสมบูรณ์ของฉันไปซะ”

ลำแสงดวงหนึ่งส่องมา ลู่ฝานรู้สึกว่าวิญญาณของตัวเองใกล้จะแตกสลาย

ต่อมา ข้อมูลนับไม่ถ้วน รูปภาพเหมือนชิ้นส่วนทะลักเข้ามาในหัวของลู่ฝาน

ทั้งพื้นที่หนึ่งเดียวเริ่มพลังทลาย พลังวิญญาณที่เป็นของลู่ฝาน แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ

สติค่อยๆ หายไป ลู่ฝานจมลึกเข้าไปในการหลับใหล

ในความฝันของเขา ผู้อาวุโสชุดขาวราวกับหิมะ ดูมีความเป็นเซียน กำลังสู้กับปีศาจ สัตว์อสูร ที่น่ากลัวนับไม่ถ้วน

ทุกครั้งที่ผู้อาวุโสลงมือ จะมีพลานุภาพน่ากลัว ฟ้าดินกำลังถล่มทลาย เทือกเขาสูงถูกทำลาย สายน้ำไหลวน น้ำพุ่งขึ้นไปบนฟ้า

พลังวิญญาณที่ปกคลุมบนฝ่ามือผู้อาวุโส แข็งแกร่ง มีพลานุภาพ เหมือนแสงทำลายล้าง

ลู่ฝานเหมือนคนที่กำลังยืนมองทุกอย่างเงียบๆ รับรู้ถึงการต่อสู้ของพลังวิญญาณที่รุนแรง สัมผัสกับการใช้พลังวิญญาณ

ปราณชี่ในร่างกายเคลื่อนไหวอัตโนมัติ พลังวิญญาณสายหนึ่งที่ลู่ฝานฝึกออกมา เริ่มเข้ามาในตัวลู่ฝาน

ปราณชี่ในตัวเขาเหมือนน้ำมันสาดเข้าไปในเปลวไฟ เริ่มเคลื่อนไหวอย่างบ้าคลั่ง

เดิมทีปราณชี่ที่สีใสกลายเป็นห้าสี นี่เป็นสีพลังชี่ของผู้ฝึกชี่ เป็นตัวแทนของเบญจธาตุฟ้าดิน

ต่อมา สีขาวในพลังปราณเริ่มปรากฏขึ้นมาเช่นกัน แสงทั้งหกสีสว่างขึ้น และเคลื่อนไหววนไปมา

เมื่อหมุนวนถึงจุดที่เหมาะสม แสงสีดำแสงหนึ่งปรากฏขึ้นมา

สีดำขลับเหมือนวิญญาณคน

เมื่อสีดำปรากฏออกมา พลังปราณก็เริ่มหมุนช้าลง

เบญจธาตุที่เป็นตัวแทนพลังชี่ กลายเป็นค่ายกลเบญจธาตุขนาดเล็ก เข้าไปในจุดตันเถียนของลู่ฝาน

ส่วนสีดำและสีขาวเริ่มซ้อนทับกัน พุ่งขึ้นไปด้านบนช้าๆ จนมาถึงในหัวสมองของลู่ฝาน จึงค่อยๆ หยุดลง

สีดำและสีขาวรวมตัวกันเป็นค่ายกลหยินหยาง มีแสงสีขาวดำแผ่ซ่านออกมา

ค่ายกลเบญจธาตุในจุดตันเถียนกับค่ายกลหยินหยางในหัวสมอง แยกแยะกันอย่างชัดเจน แต่จากการหมุนของมัน ล้วนเริ่มเกิดพลังสีใสออกมา

พลังกลายเป็นหยดน้ำ ผสานกับเส้นชีพจร

พลังไร้ขีดจำกัดแฝงอยู่ในหยดน้ำสีใส ราวกับว่าถ้ามีใครแหวกเส้นชีพจรของลู่ฝานได้ แล้วมองหยดน้ำนี้อย่างละเอียด จะเห็นแสงเจ็ดสีแสบตาที่อยู่ในหยดน้ำ

ลู่ฝานกำลังหลับใหล ไม่รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของร่างกายตัวเอง กลิ่นไอที่แข็งแกร่ง มีพลานุภาพมากมาย ปรากฏขึ้นบนตัวลู่ฝาน

ทันใดนั้น ยอดฝีมือทั้งสถาบันสอนวิชาบู๊ล้วนได้รับรู้ถึงกลิ่นไอนี้

วินาทีนั้น ยอดฝีมือทั้งหมดเงยหน้ามองบนฟ้าไกล

พวกเขาไม่รู้ว่าพลังนี้มาจากที่ไหน แต่พวกเขารู้ว่า คนที่มีพลังนี้ น่ากลัวอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

ในโถงหลักของสถาบันสอนวิชาบู๊ ท่านผอ.เหาะขึ้นไปช้าๆ

“พลังอันน่ากลัว อาวุธวิเศษปรากฏออกมา หรือมีใครก้าวหน้าถึงแดนหยินหยางกันแน่”

ท่านผอ.ขมวดคิ้ว ครุ่นคิดอย่างละเอียด จากนั้นพึมพำว่า “ไม่ใช่ นักบู๊แดนหยินหยางไม่มีกลิ่นไอเช่นนี้ นี่มันคืออะไรกันแน่”

อาจารย์อี้ชิงที่กำลังเหาะอยู่บนท้องฟ้า หยุดลงทันที

“พลังอันน่ากลัว ช่วงนี้สถาบันสอนวิชาบู๊ เกิดอะไรขึ้นกันแน่ อย่าบอกนะว่ามียอดฝีมือคิดจะเล่นงานสถาบันสอนวิชาบู๊ ไม่ได้การแล้ว ต้องไปหาท่านผอ.ที่โถงหลักก่อน”

อาจารย์อี้ชิงเหาะอย่างรวดเร็ว ตัวหายไปบนฟ้าทันที

ในคณะหนึ่งเดียว อาจารย์เต้ากวง เข้าไปในห้องลู่ฝาน

อาจารย์เต้ากวงมองไปรอบๆ ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “น่าแปลก พลังอันแข็งแกร่งมาจากไหนกัน”

อาจารย์เต้ากวงมองลู่ฝานอย่างจริงจัง เห็นว่าบาดแผลบนตัวลู่ฝาน สมานกันเกือบครึ่งแล้ว

หานเฟิงและคนอื่น เห็นลู่ฝานบาดเจ็บสาหัส รีบเข้ามาล้อมทันที

“ศิษย์น้องลู่ฝาน ศิษย์น้องลู่ฝานเป็นอะไรไป ใครเป็นคนทำ”

อาจารย์เต้ากวงหน้าแดงก่ำ พูดอึกอักว่า “ฝีมือคนชุดดำคนหนึ่ง ตอนนี้อาการลู่ฝานแย่นิดหน่อย พวกนายพาเขาไปนอนที่ห้อง จากนั้นป้อนยานี้ให้เขากิน”

อาจารย์เต้ากวงหยิบขวดยาออกมาจากแขนเสื้อ

ด้านในเป็นยารักษาแผลชั้นดี ยาน้ำไฟทั้งสองธาตุ แม้จะเสียดายนิดหน่อย แต่เมื่อคิดว่าลู่ฝานบาดเจ็บเพราะตัวเอง อาจารย์เต้ากวงจึงเอายาให้หานเฟิง อย่างไม่ลังเล

หานเฟิงและคนอื่น รีบแบกลู่ฝานกลับห้อง และป้อนยาให้

ต่อมา เห็นลมเย็นลอยออกมาจากตัวลู่ฝาน แช่แข็งบาดแผลเอาไว้ จากนั้นมีคลื่นความร้อน เริ่มสมานบาดแผลอย่างรวดเร็ว

เห็นประสิทธิภาพของยาอย่างชัดเจน ลู่ฝานเริ่มหายใจสม่ำเสมอ

หานเฟิงและคนอื่น ถอนหายใจอย่างโล่งอก เดินออกจากห้อง หานเฟิงตะโกนว่า “ไอ้เลวที่ไหนทำ คนชุดดำใช่ไหม ผมจะไปหามันเดี๋ยวนี้ ผมต้องทำให้มันตายให้ได้”

พูดจบ หานเฟิง ฉู่สิง ฉู่เทียน เดินออกไปข้างนอกอย่างแค้นเคืองต่อความไม่เป็นธรรม

อาจารย์เต้ากวงพูดว่า “อีกฝ่ายเป็นผู้ฝึกชี่ แม้วิทยายุทธไม่สูง แต่พวกนายจับเขาไม่ได้หรอก”

หานเฟิงพูดเสียงดังว่า “จับได้แล้ว ค่อยว่ากัน”

อาจารย์อี้ชิงหันมามองอู๋เหวย

อู๋เหวยลูบท้อง แล้วลุกขึ้นยืน ใบหน้าที่เดิมมีรอยยิ้มอบอุ่น ตอนนี้ไม่เหลือรอยยิ้มแล้ว “ผมจะไปกับพวกศิษย์น้องหานเฟิง วางใจเถอะ พวกเขาไม่เป็นไรแน่นอน คนที่กล้าแตะต้องศิษย์น้องของผม มันรนหาที่ตาย”

เห็นคนที่ถูกเรียกว่าเป็นคนนิสัยดีที่สุดในสถาบันสอนวิชาบู๊ อย่างอู๋เหวยโมโหขึ้นมา อาจารย์อี้ชิงจึงไม่ห้าม

ศิษย์ทั้งหมดของคณะหนึ่งเดียว ขึ้นไปบนเขา เริ่มหาคนชุดดำอะไรนั่น

อาจารย์อี้ชิงมองอาจารย์เต้ากวง “ผู้ฝึกชี่เหรอ มีผู้ฝึกชี่ จากที่อื่น มาที่สถาบันสอนวิชาบู๊เหรอ”

อาจารย์เต้ากวงพยักหน้า “ใช่ เป็นคนสวมชุดคลุมดำ สวมหน้ากากเงิน ความสามารถธรรมดาทั่วไป แต่รับการโจมตีด้วยแรงทั้งหมดจากฉันได้โดยไม่ตาย อย่างน้อยมีวิทยายุทธระดับอาจารย์บำเพ็ญเพียร”

อาจารย์อี้ชิงพูดว่า “อืม แม้เป็นแค่อาจารย์บำเพ็ญเพียร แต่นี่ก็ถือว่าเป็นเรื่อง ฉันไปแจ้งหัวหน้าคณะอื่นก่อน แค่พวกเขายอมช่วย คนชุดดำคนนั้น ไม่มีทางหลบได้แน่นอน”

อาจารย์เต้ากวงพยักหน้า “อืม ไปสิ”

อาจารย์อี้ชิงเหาะบนพื้นดิน ออกไปไกลทันที

อาจารย์เต้ากวงลูบเคราตัวเองพลาง มองลู่ฝานที่อยู่ในห้อง “ลู่ฝาน อาจารย์ไม่ได้ตั้งใจทำร้ายนาย หวังว่านายฟื้นขึ้นมา จะไม่ว่าอาจารย์นะ”

เจ้าดำวิ่งเข้าไปในห้อง หมอบลงข้างเตียงลู่ฝาน

มองลู่ฝานด้วยดวงตาแวววาว คำรามออกมาเบาๆ

คิ้วลู่ฝานขยับเล็กน้อย อันที่จริง เขาได้ยินคำพูดของอาจารย์เต้ากวง แต่ไม่ว่าอย่างไร เขาไม่สามารถตื่นขึ้นมาได้

ตอนนี้ลู่ฝานรู้สึกว่าตัวเอง จมดิ่งลงไปในความมืด

เขาได้ยินคำพูดทุกอย่างด้านนอก แต่เขาไม่สามารถออกจากความมืดนี้ได้

ทันใดนั้น มีแสงดวงหนึ่ง ปรากฏตรงหน้าเขา

เหมือนกระบี่ขจัดความมืด ตัดทุกสิ่งทุกอย่าง

เสียงทุ้มต่ำ เหมือนข้ามเวลามาเป็นพันเป็นหมื่นปี

“ในที่สุด…..ในที่สุดก็มีคนมาที่นี่ได้แล้ว……”

เสียงแก่ชรา ลำแสงด้านหน้า ค่อยๆ รวมตัวเป็นรูปร่างผู้อาวุโส

ลู่ฝานอึ้งไป มองผู้อาวุโส แล้วพูดอย่างตกใจว่า “นายเป็นใคร”

ผู้อาวุโสยิ้มแล้วพูดว่า “นายไม่รู้ว่าฉันคือใครเหรอ นายคิดดูดีๆ มีใครสามารถคุยกับนายในปริภูมิหนึ่งเดียวได้บ้าง นายมาเพราะฝึกเพลงเต๋าหนึ่งเดียวไม่ใช่เหรอ”

ลู่ฝานอึ้งไปทันที ปริภูมิหนึ่งเดียว นี่มันที่ไหนกัน

ลู่ฝานอึ้งอยู่ที่เดิม ผู้อาวุโสหัวเราะขึ้นมาอีก แล้วพูดว่า “บนตัวนายมีร่องรอยของคณะหนึ่งเดียวแท้ๆ คิดไม่ถึงว่านายจะไม่รู้ว่าฉันเป็นใคร ไอ้หนุ่ม ฉันบอกให้ละกัน ฉันชื่อหนึ่งเดียว เป็นบูรพาจารย์ของพวกนาย เซียนบู๊หนึ่งเดียว”

“บูรพาจารย์!”

ลู่ฝานพูดอย่างตกใจ ไม่อยากเชื่อ

หนึ่งเดียวยิ้มแล้วพูดว่า “ถูกต้อง บูรพาจารย์ แม้ไม่รู้ว่าโลกภายนอก ผ่านไปกี่ปีแล้ว แต่อย่างน้อยต้องมีสักร้อยปีหมื่นปี เวลาผ่านไปอย่างยาวนาน สรีระสังขารของฉันคงสูญสิ้นไปแล้ว หลงเหลือเพียงดวงจิตอยู่บนโลก”

ลู่ฝานไม่รู้ว่าสรีระสังขาร ดวงจิต คืออะไร

ลู่ฝานมองหนึ่งเดียว แล้วพูดว่า “ในเมื่อนายเป็นบูรพาจารย์ พาฉันมาที่นี่ทำไม”

หนึ่งเดียวพูดว่า “ฉันไม่ได้พานายมา แต่นายมาเอง ในเพลงเต๋าหนึ่งเดียว ที่ฉันทิ้งไว้ มีดวงจิตของฉันอยู่ นายใช้เลือดตัวเอง เปิดปริภูมิหนึ่งเดียว และมีพลังวิญญาณพลังแรก จึงถูกพามาที่นี่ ตอนนี้ฉันจะถ่ายทอดเพลงเต๋าหนึ่งเดียวชั้นหนึ่ง ให้นาย ถ้านายมีอะไรไม่เข้าใจ ถามฉันได้เลย”

ลู่ฝานยิ้มออกมา ที่แท้นี่คือปริภูมิในการถ่ายทอดเพลงเต๋าหนึ่งเดียวนี่เอง

เขามีคำถามที่ไม่เข้าใจ จึงถามว่า “พลังวิญญาณ คืออะไร ทำไมฉันจำไม่ได้ ว่ามีพลังนี้”

หนึ่งเดียวพูดว่า “นายไม่รู้เหรอ งั้นนายดูตัวเองตอนนี้ละกัน”

ลู่ฝานก้มมองตัวเอง ทันใดนั้น เห็นร่างกายตัวเอง เป็นลำแสงดวงเล็กๆ

มือเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ นิ้วมือของอาจารย์เต้ากวง สัมผัสกับหน้ากากเงินของลู่ฝาน

ขณะนั้น มีเสียงหอนดังขึ้นจากด้านหลัง

อาจารย์เต้ากวงหันไปมอง เห็นเจ้าดำกำลังพุ่งเข้ามา อ้าปากพ่นเปลวไฟดำออกมา

อาจารย์เต้ากวงสะดุ้งโหยง สะบัดมือทำลายเปลวไฟดำ

แต่เปลวไฟอันน่ากลัว ร่วงลงบนตัวลู่ฝาน

อาจารย์เต้ากวงตะโกนว่า “เจ้าดำ แกทำอะไร”

เจ้าดำไม่สนใจ เดินไปข้างหน้า และพ่นเปลวไฟดำออกมาเรื่อยๆ

ลู่ฝานที่ล้มลงบนพื้น รู้สึกว่ามีพลังพุ่งเข้ามาในตัว เมื่อดูอย่างละเอียด เขาเห็นเปลวไฟดำ เข้ามาทางมือขวาของเขา กลายเป็นกระแสอุ่นๆ ไหลไปทั่วร่างกาย

เจ้าดำเหรอ

ลู่ฝานตกใจก่อน จากนั้นใช้แรงทั้งหมด เด้งตัวขึ้นมา

ตอนนี้ลู่ฝานปลดปล่อยพลังทั้งหมดออกมา กระโดดลงจากหิน และวิ่งเข้าไปในป่า

เดิมทีอาจารย์เต้ากวงคิดว่าคนชุดดำสลบไปแล้ว คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะ “แกล้งตาย” แล้วหนีไปทันที

อาจารย์เต้ากวงโมโห ง้างมือขึ้นมา กระบี่ยาวปรากฏออกมา แสงบนกระบี่ เหมือนลำแสงนำทางฟ้าดิน

กระบี่ฟาดฟันโดนต้นไม้แถบนั้นพอดี

เจ้าดำเห่าออกมาอย่างร้อนใจ ขณะนั้น เสียงลู่ฝานดังขึ้นในป่า

“อาจารย์เต้ากวง หยุดครับ!”

ได้ยินเสียงลู่ฝาน อาจารย์เต้ากวงอึ้งไป รีบสลัดพลังในมือทิ้ง

แต่ถึงกระนั้น กระบี่ใหญ่ที่เล็กลงไปแล้วสิบเท่า ก็ยังยาวหลายสิบฟุต ร่วงลงไปทันที

เสียงดังสนั่นบนเขาอวิ๋นซาน

ฉู่สิง อู๋เหวยและคนอื่น เห็นแสงนั้น ก็ทอดถอนใจออกมา หานเฟิงส่ายหน้า “ไม่รู้คนโชคร้ายที่ไหน หาเรื่องอาจารย์เต้ากวง

ฉู่สิงตะโกนออกมาว่า “ไม่ต้องพูดไร้สาระ รีบมาช่วยเร็ว ศิษย์พี่ใหญ่ ยังจะขยายห้องอีกเหรอ ขยายไปหลายรอบแล้วนะ”

อาจารย์อี้ชิงมองไปทางลำแสง ขมวดคิ้วขึ้นมาเบาๆ แสงกระบี่เมื่อกี้ยิ่งใหญ่มาก ทำไมตอนนี้ถึงลดลงล่ะ เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า

บนยอดเขาอวิ๋นซาน แสงกระบี่ตัดต้นไม้แถบนั้น จนราบเป็นหน้ากลอง

ลู่ฝานไม่รอดจากแสงกระบี่เช่นกัน แม้เขาจะถอดชุดคลุมกับหน้ากากเงิน ตอนวิ่งเข้าไปในป่า แถมเอากระบี่หนักออกมา

แต่แสงกระบี่ของอาจารย์เต้ากวง ทำให้เขาเกือบตาย

ไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน ลู่ฝานรู้สึกว่าตัวเองใกล้ความตายมาก กระบี่หนักไร้คมอยู่ข้างหน้า ต้านทานแสงกระบี่ให้เขาได้เกือบครึ่ง แต่ที่เหลือ ทำให้เขาเลือดเต็มตัว

กระดาษเพลงเต๋าหนึ่งเดียว ลอยลงมาบนตัวเขา แม้แสงกระบี่รุนแรงเช่นนี้ ก็ไม่ทำให้กระดาษเสียหายเลยสักนิด

แต่เลือดของลู่ฝานเปื้อนลงบนกระดาษ กระดาษทั้งแผ่นเป็นสีแดง ตัวอักษรคำว่าหนึ่งบนกระดาษ อยู่ในเลือด มันกลับดูดำขลับและลึกล้ำยิ่งขึ้น ต่อมา แสงสีขาวในกระดาษ เข้าไปในตัวลู่ฝาน

ตัวอักษรคำว่าหนึ่งบนกระดาษ ดูเลือนราง ลมพัดผ่านมา จนกระดาษปลิวไปข้างๆ

“ลู่ฝาน!”

อาจารย์เต้ากวงรีบเหาะมา

เห็นลู่ฝานเนื้อตัวเต็มไปด้วยเลือด อาจารย์เต้ากวงเหมือนโดนมีดกรีดหัวใจ เขาทำร้ายลูกศิษย์ตัวเอง โดยไม่ตั้งใจ ถ้าลู่ฝานตาย เขาคงเสียใจไปตลอดชีวิต

เมื่อมาตรงหน้าลู่ฝาน อาจารย์เต้ากวงรีบเอาพลังปราณของตัวเอง ใส่เข้าไปในตัวลู่ฝาน

ลู่ฝานที่กำลังจะตาย ได้รับปราณอันรุนแรงจากอาจารย์เต้ากวง เริ่มดูดซับกัดกิน ลู่ฝานไอกระอักเลือดออกมาหนึ่งครั้ง

ยังโชคดี แค่บาดเจ็บสาหัส ไม่ถึงตาย

อาจารย์เต้ากวงแอบโล่งอก แผลบนตัวลู่ฝานยังรักษาได้

พลังปราณปกคลุมตัวลู่ฝาน ลู่ฝานลอยมาตรงหน้าอาจารย์เต้ากวง

เจ้าดำวิ่งเข้ามาเหมือนกัน เห่าใส่อาจารย์เต้ากวงไม่หยุด แถมยังวิ่งเข้ามากัดอาจารย์เต้ากวงหนึ่งที

อาจารย์เต้ากวงโกรธมาก มองเจ้าดำแล้วพูดว่า “เพราะแกพ่นไฟมั่วซั่ว ทำให้คนชุดดำหนีไปได้ เลยทำให้ฉันทำร้ายลู่ฝาน โดยไม่ได้ตั้งใจ แกยังกัดฉันอีก ปล่อยเดี๋ยวนี้ ฉันจะช่วยลู่ฝาน”

เจ้าดำปล่อย และคำรามใส่อาจารย์เต้ากวงอีก

อาจารย์เต้ากวงส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจ สัตว์อสูรปกป้องเจ้าของ จนปัญญาจริงๆ

แต่ไอ้คนชุดดำไปไหนแล้ว

อาจารย์เต้ากวงหันไปมองรอบๆ ไม่เห็นอะไรสักอย่าง

ไอ้นั่นหนีไปแล้วเหรอ บรรดาผู้ฝึกชี่ มีวิชาหนีที่แปลกประหลาด จับตัวได้ยาก

อาจารย์เต้ากวงไม่ได้คิดอะไรมาก มองกระดาษเพลงเต๋าหนึ่งเดียว ที่ลอยอยู่บนพื้น

ยิ้มบางๆ คนชุดดำเอาเพลงเต๋าหนึ่งเดียวไปไม่ได้ก็ดีแล้ว

อาจารย์เต้ากวงหยิบกระดาษขึ้นมา รู้สึกว่ากระดาษใบนี้แปลกๆ ตัวอักษรคำว่าอี ดูเลือนรางไปเล็กน้อย

รวบรวมสติ เพ่งมองเข้าไปในกระดาษ พลังวิญญาณที่แข็งแกร่งแต่เดิม ตอนนี้เบาบางลงไปเล็กน้อย

ให้ตายเถอะ ผู้ฝึกชี่ชุดดำต้องใช้วิธีอะไร บนกระดาษเพลงเต๋าหนึ่งเดียวแน่นอน

แต่ไม่เป็นไร ในนี้บันทึกไว้แค่เพลงเต๋าหนึ่งเดียวชั้นหนึ่ง เท่านั้น ไม่ได้สำคัญอะไรมาก

มือซ้ายใช้พลังปราณลากลู่ฝาน มือขวาจับเจ้าดำ อาจารย์เต้ากวงเหาะขึ้นไป มุ่งหน้าไปยังคณะหนึ่งเดียว

ทันใดนั้น อาจารย์เต้ากวงลงมาในลานคณะหนึ่งเดียว

เห็นได้ด้วยตาเปล่าว่า พลังลมนับไม่ถ้วน เปลี่ยนแปลงอยู่ในมือเขา สุดท้ายกลายเป็นใบหลิวแห่งลมสีใส พุ่งไปทั่ว

การค้นหาวิธีนี้ ลู่ฝานเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก

แต่เขาไม่กลัวสักนิด เมื่อใบหลิวแห่งลม มาถึงข้างตัวเขา ก็เปลี่ยนทิศทางออกไป

ลู่ฝานยืนอยู่ตรงนั้น เฟิงหลิงหาเขาไม่เจอ แต่เฟิงหลิงใช้วิชาค้นหาแบบนี้ จู่ๆ ลู่ฝานไม่กล้าขยับแล้ว

เขาไม่ได้ฝึกวิชาผสานฟ้าดิน จนถึงขั้นสมบูรณ์ ถ้าขยับ ต้องเคลื่อนไหวพลังฟ้าดิน เห็นได้ชัดว่าความสามารถของอีกฝ่ายเหนือกว่าเขา ลู่ฝานไม่อยากโดนหาเจอ

ผ่านไปนาน เฟิงหลิงเก็บพลังชีวิตของตัวเองกลับมา

“ดูเหมือนไปแล้วจริงๆ อีกฝ่ายเคลื่อนไหวเร็วขนาดนี้ ดูเหมือนพละกำลังไม่ด้อยไปกว่าฉัน ไม่รู้ว่าเป็นผู้ฝึกชี่ที่มาจากไหน”

จ้าวซวี่พูดว่า “อาจารย์ ผู้ฝึกชี่มาที่นี่โดยไม่มีเหตุผล ไม่ได้มาเพราะสมบัติชิ้นนั้นใช่ไหม”

เฟิงหลิงเบิกตาโตใส่จ้าวซวี่ แล้วพูดว่า “เงียบเลยนะ กล้าพูดแบบนี้ข้างนอกได้ยังไง”

จ้าวซวี่รีบก้มหน้า ลู่ฝานได้ยินพวกเขาคุยกัน ตกใจเล็กน้อย สมบัติชิ้นนั้นเหรอ คืออะไรกัน

เฟิงหลิงพูดว่า “ไม่ว่าเขามาเพราะเหตุใด ในเมื่อไม่สนใจเรา ก็ญาติดีกับเขาไม่ได้อีกแล้ว ให้นักบู๊ของสถาบันสอนวิชาบู๊ มาหาฉัน เขาหนีไปไหนไม่ได้หรอก เว้นเสียแต่จะใช้ความเร็วสูงสุด ออกจากสถาบันสอนวิชาบู๊”

จ้าวซวี่พยักหน้าเบาๆ ขณะนั้น เงาคนร่วงลงมาเหมือนดาวตก เป็นอาจารย์เต้ากวง

เห็นเฟิงหลิงกับจ้าวซวี่ อาจารย์เต้ากวงยิ้ม แล้วพูดว่า “ฉันนึกว่าผู้ฝึกชี่ที่ไหน มาเขาอวิ๋นซาน ที่แท้อาจารย์เฟิงหลิงนี่เอง ไม่เจอกันนานเลยนะ”

ยิ้มแล้วพูดว่า “เรามาตามกลิ่นยา ที่นี่ต้องมีผู้ฝึกชี่มากลั่นยาแน่นอน ฉันแค่อยากเจอเขา แต่หาไม่เจอ อาจารย์เต้ากวง ต่อไปฝากนายด้วย ผู้ฝึกชี่ ไม่ยอมเปิดเผยตัว

อาจารย์เต้ากวงพูดอย่างราบเรียบว่า “วางใจเถอะ ฉันจะหาเขาให้เจอ”

เฟิงหลิงยิ้มแล้วพูดว่า “งั้นรบกวนอาจารย์เต้ากวงด้วย เราไปกันเถอะลูกศิษย์ ถ้าอาจารย์เต้ากวงหาเขาเจอจริงๆ ขอให้ยืนยันเจตนาที่เขามาที่นี่ก่อน ถ้าเจตนาไม่ดี ให้จัดการโดยสถาบันสอนวิชาบู๊ได้เลย แต่ถ้าบุกเข้ามาผิดที่ หวังว่าเห็นแก่ผู้ฝึกชี่ ให้เขามาคุยกับฉันสักหน่อย”

เต้ากวงพูดว่า “เข้าใจแล้ว เราไม่เข้าใจผิด ฆ่าผู้ฝึกชี่แน่นอน”

เฟิงหลิงพยักหน้าพูดว่า “งั้นก็ดี”

พูดจบ เฟิงหลิงพาจ้าวซวี่ออกไป อาจารย์เต้ากวงมองซ้ายมองขวา ขมวดคิ้วเบาๆ จากนั้นเหาะขึ้นไป

ลู่ฝานไม่กล้าทำอะไร ยืนอยู่ที่เดิมครึ่งชั่วยาม เมื่อแน่ใจแล้วว่าอาจารย์เต้ากวง กับพวกเฟิงหลิง ไม่วกกลับมาอีก จึงค่อยๆ เดินออกมา

ออกจากสภาวะผสานฟ้าดิน ลู่ฝานเตรียมไปฝึกต่อ

กลับมาบนยอดเขาอวิ๋นซานอีกครั้ง นั่งลงบนหินขรุขระ

ลู่ฝานเอากระดาษออกมา

แต่ขณะที่เขากำลังจะเอายาจิตนิ่งออกมา ทันใดนั้น มีเงาหนึ่งลงมาตรงหน้าเขา

ลู่ฝานลุกขึ้นตามสัญชาตญาณ คว้ากระดาษ ถอยหลังไปสองก้าว

คนที่ปรากฏในสายตา คืออาจารย์เต้ากวง

“สหายท่านนี้ ถ้าทำลับๆ ล่อๆ หลบอยู่บนเขาอวิ๋นซานของฉัน ยังไงก็ต้องบอกเหตุผลมาสักหน่อย”

อาจารย์เต้ากวงลอยอยู่กลางอากาศ แววตาเย็นชาดุดัน จ้องลู่ฝานเขม็ง

ตอนนี้ ลู่ฝานเพิ่งนึกออกว่า ตัวเองลืมถอดชุดคลุมดำกับหน้ากากเงิน ตอนนี้อาจารย์เต้ากวง จำไม่ได้ว่าเขาคือลู่ฝาน

ซวยแล้ว ซวยแล้ว

คิดไม่ถึงว่าอาจารย์เต้ากวง จะรอเขาครึ่งชั่วยามเต็มๆ

ลู่ฝานแอบเคลื่อนไหวพลังปราณ เปลี่ยนเสียงตัวเอง แต่เขายังไม่ทันพูดอะไร อาจารย์เต้ากวงมองเห็นกระดาษในมือเขา

“นี่คือ……เพลงเต๋าหนึ่งเดียว นายทำอะไรลู่ฝาน ศิษย์คณะฉัน”

อาจารย์เต้ากวงโมโหทันที แสงสว่างวาบทั้งตัว เหมือนดวงอาทิตย์ พลังปราณกลายเป็นชุดเกราะปกคลุมทั้งตัว

ฟ้าดินเปลี่ยนสี ท้องฟ้าแจ่มใส อึมครึมขึ้นมาทันที

พลานุภาพเช่นนี้ ต้องเป็นนักบู๊ปราณฟ้าแน่นอน

พลานุภาพอันน่ากลัว เหมือนคลื่นยักษ์ในท้องทะเล ซัดโจมตีตัวลู่ฝาน

แค่พลานุภาพนี้ อาจารย์เต้ากวง ทำให้ลู่ฝานรู้สึกว่าใกล้จะขยับตัวไม่ได้แล้ว

ลู่ฝานรู้สึกแปลกๆ ที่ลำคอ เกือบจะกระอักเลือดออกมา

อาจารย์เต้ากวงลงมือทันที ปลดปล่อยพลังน่ากลัวออกจากฝ่ามือ กดใส่ลู่ฝานกลางอากาศ

“บอกมา!”

ลู่ฝานถูกกดอยู่บนพื้นดิน พูดอะไรไม่ออกสักคำ

หน้ากากบนหน้า โดนพลังอันน่ากลัว กดจนเป็นรอยร้าว

อาจารย์เต้ากวง ยังเพิ่มแรงขึ้นเรื่อยๆ เห็นได้ชัดว่า เขาคิดว่าคนชุดดำตรงหน้า คือฆาตกรฆ่าลู่ฝาน ไม่งั้นคนชุดดำคนนี้ จะเอากระดาษเพลงเต๋าหนึ่งเดียว มาจากมือลู่ฝานได้ยังไง

“นายจะบอกไหม”

แววตาอาจารย์เต้ากวงเย็นชา เหมือนว่าถ้าเขาไม่พูด ก็จะฆ่าทันที

ลู่ฝานอ้าปาก แต่พูดอะไรไม่ออก

เลือดไหลออกมาตามร่องหน้ากาก หยดลงมาบนกระดาษเพลงเต๋าหนึ่งเดียวพอดี

แสงบางๆ สว่างขึ้นมาบนกระดาษ แต่ไม่ว่าจะเป็นลู่ฝาน หรืออาจารย์เต้ากวง กลับมองไม่เห็น

สติลู่ฝานใกล้จะเลือนรางเต็มที

อาจารย์เต้ากวงเดินเข้ามา เตรียมจะดึงหน้ากากของลู่ฝานออก เขาอยากรู้ว่าคนชุดดำคนนี้ เป็นใครกันแน่ ถึงกล้าแตะต้องศิษย์คณะเขา

ในหม้อไฟบุ๋น ยาข้นหนืดกำลังก่อตัวเป็นเม็ดๆ

เปลวไฟที่เหมือนกับลูกไฟ กำลังลุกโชนอยู่ในหม้อไฟบุ๋น ช่วยให้ยาค่อยๆ กลายเป็นรูปร่าง

กลิ่นยาค่อยๆ หายไป ยาสีใสถูกกลั่นออกมา

ลู่ฝานลืมตา รู้สึกพอประมาณแล้ว ใช้ฝ่ามือซ้าย ตบลงไปเบาๆ บนหม้อไฟบุ๋น

“ออกมา!”

ทันใดนั้น ยาทั้งหมดเด้งออกมาจากหม้อไฟบุ๋น

เขายืนมือไปกวาด ยาหลายสิบเม็ด อยู่ในมือลู่ฝาน เขารีบเอาขวดกระเบื้องเคลือบออกมา ใส่ยาเข้าไปทีละเม็ด ขวดมีแสงสีขาวแวววาวสว่างขึ้นมา

ลู่ฝานเก็บหม้อไฟบุ๋น จากนั้นแบมือ ในมือเหลือยาขนาดเท่าหยดน้ำอยู่หนึ่งเม็ด

เพราะยาสมุนไพรธรรมดาเกินไป ทำให้ยาเม็ดเล็กขนาดนี้ แต่โชคดีที่จำนวนยาไม่น้อย เพียงพอให้ลู่ฝานใช้แล้ว

ลู่ฝานเอายาใส่เข้าไปในปาก

ฤทธิ์ยาทำงานในร่างกาย ลู่ฝานหลับตาลง สัมผัสการทำงานของฤทธิ์ยาในร่างกาย

ทันใดนั้น ลู่ฝานยกยิ้มมุมปาก

ประสิทธิภาพของยาจิตนิ่งเม็ดนี้ นับว่าไม่เลวจริงๆ เขารู้สึกว่าความอ่อนล้าในร่างกาย หายไปในพริบตา ขนาดสมองยังรู้สึกปลอดโปร่ง ความเจ็บปวดหายไปจนหมด

ลู่ฝานพยักหน้าเบาๆ แค่มีประสิทธิภาพ ลู่ฝานก็กล้าสู้กับเพลงเต๋าหนึ่งเดียวต่อไป

มีการช่วยเหลือจากยาจิตนิ่งหลายสิบเม็ดนี้ ลู่ฝานรู้สึกว่าตัวเองมีโอกาสทำได้ถึงสามพันครั้ง

ลู่ฝานยิ้มแล้วมองกระดาษตรงหน้า เขามีความมั่นใจเต็มเปี่ยม

“เอ๊ะ”

จู่ๆ ลู่ฝานได้ยินเสียงลมข้างหู

เสียงใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ตรงสุดสายตา ลู่ฝานเห็นเงาคนวิ่งมาจากทางเดินภูเขา

ความเร็วของการเคลื่อนไหวร่างกาย เหมือนสายลมพัดผ่านหุบเขา

แสงสีเขียวไหลวนอยู่ข้างตัวทั้งสองคน เห็นได้ชัดว่าสองคนนี้ ไม่ใช่นักบู๊

ลู่ฝานขมวดคิ้วเบาๆ เหาะเหินด้วยธาตุทั้งห้า เป็นผู้ฝึกชี่ทั้งสองคน

โดนดึงดูดจากการกลั่นยาของเขาเมื่อกี้เหรอ นี่มันวุ่นวายเล็กน้อยแล้วล่ะ

ลู่ฝานรีบเก็บกระดาษตรงหน้า เอาชุดคลุมดำกับหน้ากากออกมาจากแหวน และเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว ซ่อนกระบี่หนักไร้คมเอาไว้ นี่คือการแต่งตัว เวลาเขาทำความรู้จักกับผู้ฝึกชี่

จากนั้นลู่ฝานเด้งตัวลงจากยอดเขาอวิ๋นซาน ใช้พลังสายลมเหาะเหิน ลงสู่พื้นดินอย่างมั่นคง หันหลังเข้าไปซ่อนตัวในป่า

ลู่ฝานหลบอยู่บนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง เขาใช้วิชาร่างผสานฟ้าดิน

จากการที่พละกำลังของเขาทะลุระดับขึ้น วิชานี้ยิ่งใช้ง่ายขึ้น ลู่ฝานยืนอยู่ตรงนั้นเงียบๆ เหมือนรวมเป็นหนึ่งเดียวกับฟ้าดิน แม้อีกฝ่ายใช้พลังชีวิตค้นหา ก็ไม่น่าจะเจอร่องรอยของเขา

ไม่นาน ลู่ฝานเห็นผู้อาวุโสกับวัยรุ่นคนหนึ่ง เดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว

ผู้อาวุโสสวมชุดคลุมสีขาว ปักรูปหยินหยางและธาตุทั้งห้าข้างบน ไว้เคราแพะ ตีนกาเต็มหน้า มีประกายซ่อนอยู่ในแววตา

ลู่ฝานรู้จักวัยรุ่นข้างๆ จ้าวซวี่ ที่เขาเคยดวลวิชายาด้วย

ลู่ฝานยิ้มบางๆ แล้วตั้งใจฟัง

เสียงจ้าวซวี่ลอยตามลมมา “อาจารย์ เหมือนเขาไปแล้ว”

ผู้อาวุโสที่จ้าวซวี่เรียกว่าอาจารย์ พูดอย่างราบเรียบว่า “เขาไปหลังจากเห็นเรา”

เสียงก้องกังวาน ผู้อาวุโสมองไปรอบๆ แล้วพูดว่า “ข้าชื่อเฟิงหลิง ไม่ทราบว่าสหายท่านใด กลั่นยาที่นี่ ออกมาคุยกันได้หรือไม่ ฉันไม่มีเจตนาร้าย”

เสียงดังก้องเขาอวิ๋นซาน ลู่ฝานไม่มีความคิดที่จะออกไป

แค่เห็นจ้าวซวี่ ลู่ฝานไม่มีทางคุยกับเขาได้อย่างปกติ ไม่ต้องพูดเรื่องอื่น แค่จ้าวซวี่เห็นหน้ากากเงินของเขา 80 เปอร์เซ็นต์ ต้องมีสีหน้าอึมครึม ยิ่งไปกว่านั้น ผู้อาวุโสที่ชื่อเฟิงหลิง เป็นอาจารย์ของจ้าวซวี่ด้วย

เฟิงหลิงมองไปรอบๆ แต่ไม่มีเสียงตอบกลับ

เฟิงหลิงขมวดคิ้ว และตะโกนออกมาอีกครั้ง

“แม้โลกกว้างใหญ่ แต่ผู้ฝึกชี่มีแค่ไม่กี่คน ในเมื่ออยู่เส้นทางเดียวกัน ออกมาคุยกันได้หรือไม่ พูดคุยเรียนรู้กัน ฝึกฝนพลังชี่ด้วยกัน แลกเปลี่ยนสูตรยากัน ดีหรือไม่”

ลู่ฝานยังคงนิ่ง แม้เขาฟังออกว่าเฟิงหลิง ไม่มีเจตนาร้ายจริงๆ

จ้าวซวี่ขมวดคิ้วพูดว่า “อาจารย์ อีกฝ่ายไปแล้ว หรือไม่ก็ไม่อยากออกมา ทำไมต้องเรียกเขาอีก”

เฟิงหลิงหันมาพูดว่า “เจ้าโง่ แกคิดว่าในมณฑลหนิงโจว เจอผู้ฝึกชี่คนอื่นง่ายหรือไง ได้เจอสักคน นับว่าเป็นโชคดี ถ้าในมือเขามีสูตรยา ที่แลกเปลี่ยนกันได้ หรือไม่ก็วิชาผู้ฝึกชี่ ถือว่าเราโชคดีมาก”

จ้าวซวี่อ้าปากค้าง ไม่ได้พูดอะไร เขาอยากบอกอาจารย์มาก ว่าเขาเจอผู้ฝึกชี่ ในเมืองเล็กๆ อย่างเมืองเจียงหลิน แต่ไม่เพียงแค่ไม่ได้แลกเปลี่ยนสูตรยา หนำซ้ำยังเอายาเบญจธาตุของตัวเอง ให้เขาไปด้วย

แน่นอนว่าจ้าวซวี่ ไม่มีทางพูดเรื่องน่าอายแบบนี้ เขาหวังว่าชีวิตที่เหลืออยู่ จะเจอผู้ฝึกชี่หน้ากากเงินอีกครั้ง เขาต้องเอาชนะได้แน่นอน

เฟิงหลิงไม่ได้มีปฏิกิริยาใด ก้มหน้าเล็กน้อย แล้วพูดว่า “ในเมื่อสหายไม่อยากเปิดเผยตัว งั้นอย่าโทษที่อาวุโสต้องค้นหา แม้เทือกฉิงเทียนเห็นได้ชัดเจน แต่เป็นถิ่นของสถาบันสอนวิชาบู๊ สหายเข้ามาโดยไม่ได้รับเชิญ ดูจะผิดกฎเล็กน้อย ฉันจำเป็นต้องค้นหา ล่วงเกินแล้ว!”

พูดจบ เฟิงหลิงใช้วิชาฝ่ามือ พลังฟ้าดินรอบๆ เริ่มเปลี่ยนแปลง

บางครั้งเวลาเป็นสิ่งไร้ค่ามาก อย่างเช่น ตอนใครสักคนสงบใจฝึกฝน เวลาผ่านไปรวดเร็วเหมือนสายลม อีกทั้งยังไม่เหลือร่องรอยอะไรไว้เลย

ผ่านไปครึ่งเดือนอย่างรวดเร็ว คนที่ยังฝึกเพลงเต๋าหนึ่งเดียว เหลือแค่ลู่ฝาน เพียงคนเดียว

ไม่ใช่ว่าคนอื่นไม่มีความอุตสาหะ แต่คนที่ถูกบั่นทอนจนใกล้จะไม่ใช่คนอย่างหานเฟิง ทนไม่ไหว จึงไปถามศิษย์พี่ใหญ่ ว่าทำยังไงให้ฝึกสำเร็จ ศิษย์พี่ใหญ่ตอบกลับเพียงประโยคเดียวว่า “ยืนหยัดต่อไปสามพันครั้ง จะฝึกเพลงเต๋าหนึ่งเดียวชั้นหนึ่ง สำเร็จได้”

สามพันครั้ง ตัวเลขนี้ โจมตีหัวใจดวงน้อยของหานเฟิงและคนอื่นทันที

แม้เขาพยายามอย่างสุดชีวิตแล้ว ลองได้เพียงแค่สิบกว่าครั้ง ขืนทำต่อไป คงเลือดออกเจ็ดทวาร และตายไป ถ้าอยากทะลุระดับไปถึงสามพันครั้งต่อเนื่อง ไม่รู้พวกเขาต้องเสียเวลาและสติไปเท่าไร จากที่อาจารย์อี้ชิงพูดมา ถ้าไม่ใช้เวลาสิบปี คงไม่มีทางทำได้

หานเฟิงเลือกไม่ฝึกฝนต่อ อันที่จริง ตอนเขามาในตอนแรก ก็อยากเรียนเพลงเต๋าหนึ่งเดียวเหมือนกัน แต่อาจารย์อี้ชิง กลับให้เคล็ดวิชาบู๊ชุดอื่นกับเขา แถมยังบอกว่า เขาไม่เหมาะกับเพลงเต๋าหนึ่งเดียว

ตอนนั้นหานเฟิงไม่เข้าใจ คิดว่าอาจารย์สบประมาทเขา ตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว เขาไม่เหมาะกับเพลงเต๋าหนึ่งเดียวจริงๆ เวลาสิบปี ไม่แน่เขาอาจฝึกเคล็ดวิชาบู๊ ที่เขามีอยู่ สำเร็จจนถึงขั้นสมบูรณ์ไปแล้ว ทำไมต้องมาฝึกเพลงเต๋าหนึ่งเดียวชั้นหนึ่ง ซึ่งไม่รู้จะฝึกสำเร็จหรือเปล่า

หลังฉู่เทียนกับฉู่สิง ฝืนอดทนได้สิบวัน ก็เลือกยอมแพ้เช่นกัน ดังนั้นตอนนี้ กระดาษแผ่นนั้น จึงเป็นของลู่ฝาน ลู่ฝานทำความเข้าใจทุกวัน

แน่นอนว่าลู่ฝานไม่ยอมแพ้ จุดประสงค์ใหญ่ที่เขามาสถาบันสอนวิชาบู๊ ก็คือสิ่งนี้

แม้เขาจะยืนหยัดไม่ถึงสามพันครั้ง แค่ร้อยครั้งยังลำบากมาก แต่ลู่ฝานพยายามทำความเข้าใจอย่างสุดชีวิต

ครึ่งเดือนไม่สำเร็จ ก็หนึ่งเดือน หนึ่งเดือนไม่สำเร็จ ก็หนึ่งปี ลู่ฝานเชื่อว่า แค่ตัวเองพยายามต่อไปเรื่อยๆ จะได้ผลอย่างแน่นอน

แต่พวกอาจารย์อี้ชิง ไม่ได้คิดเช่นนี้

อาจารย์เต้ากวงเตือนลู่ฝานอีกครั้ง เวลาหนึ่งเดือน เขาจะฝึกเพลงเต๋าหนึ่งเดียวได้หรือไม่ มีเวลาจำกัดแค่หนึ่งเดือนเท่านั้น

ลู่ฝานกัดฟัน ครุ่นคิด และเอากระดาษ ขึ้นไปฝึกเงียบๆ บนเขา ไม่พาเจ้าดำไปด้วย ลู่ฝานจะสู้สักครั้ง ต้องฝึกเพลงเต๋าหนึ่งเดียว สำเร็จให้ได้

เมฆหมอกปกคลุมยอดเขาอวิ๋นซาน

บนหินขรุขระก้อนหนึ่ง ลู่ฝานวางกระดาษในมือไว้ข้างหน้า และใช้หินทับเอาไว้

เสียงลมพัดผ่าน พัดจนแขนเสื้อเขาดังพึ่บพั่บ

ลู่ฝานพึมพำว่า “ตอนนี้ฉันทำได้ประมาณเจ็ดสิบครั้ง ยังห่างจากสามพันครั้งอีกไกล ถ้าใช้วิธีฝึกฝนธรรมดา ค่อยๆ ทะลุระดับขึ้น ไม่มีทางทำสำเร็จในหนึ่งเดือนแน่นอน ดูเหมือนต้องกลั่นยาสักหน่อย”

ในคณะหนึ่งเดียว ลู่ฝานไม่สามารถเปิดเผยทักษะผู้ฝึกชี่ของตัวเองได้ แต่เมื่อมาหลบอยู่ที่นี่ ลู่ฝานจะใช้แรงทั้งหมด ฝึกเพลงเต๋าหนึ่งเดียวให้ได้

เขาไม่ใช่แค่นักบู๊ ที่มีพรสวรรค์ อีกทั้งยังเป็นผู้ฝึกชี่ ที่มีลำดับขั้น ถ้าเรื่องที่นักบู๊ ไม่สามารถทำได้ งั้นลองใช้ทักษะผู้ฝึกชี่ดู

ลู่ฝานเอาหม้อไฟบุ๋นออกมาจากแหวน ตัวหม้าที่ตั้งอยู่ด้านหน้า ใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว ในหัวคิดถึงสูตรยาต่างๆ ที่อาจารย์หวูเฉินให้เขา สุดท้ายลู่ฝานตัดสินใจเลือกสูตรยาชื่อว่ายาจิตนิ่ง

ยาจิตนิ่ง ยาระดับสี่ มีประสิทธิภาพทำให้จิตใจปลอดโปร่ง ล้างพิษ

ยาประเภทนี้ เหมาะสำหรับระงับอาการปวดหัว ลู่ฝานจะใช้มันมาสู้กับกระดาษข้างหน้า

ลู่ฝานสูดหายใจลึก เอายาสมุนไพรที่เหลือไม่มากของตัวเองออกมา เลือกสมุนไพรที่เหมาะสมกับการกลั่นยาจิตนิ่ง

ประโยคที่อาจารย์หวูเฉินชอบพูดทุกครั้ง เมื่อกลั่นยาคือ ยาเป็นของตาย สมุนไพรมีชีวิต

ลู่ฝานทำตามวิถีการกลั่นยาของอาจารย์หวูเฉิน ใช้ยาสมุนไพรที่แย่สุด มากลั่นยาที่ดีสุด

ยาที่อาจารย์หวูเฉินให้เขาแทบทุกชนิด ล้วนประกอบขึ้นมาจากสมุนไพรที่แตกต่างกัน ลู่ฝานเลือกสมุนไพรที่จำเป็นออกมาจนเสร็จเรียบร้อย

จากนั้นเตรียมกลั่นยา

สมุนไพรของเขามีไม่มาก พอแค่กลั่นยาครั้งนี้ ดังนั้นลู่ฝานต้องมั่นใจว่าจะสำเร็จในครั้งเดียว จะล้มเหลวไม่ได้

ลู่ฝานสูดหายใจลึก และค่อยๆ เริ่มกลั่นยา

การเคลื่อนไหวของเขาช้ามาก แต่ละเอียดประณีต พยายามไม่ให้ผิดพลาด แม้แต่ขั้นตอนเดียว

กลั่นสมุนไพรทั้งหมดเรียบร้อย แววตาลู่ฝานสงบและเป็นประกายร้อนแรง เอาสมุนไพรทั้งหมดโยนเข้าไปในหม้อไฟบุ๋น

พลิกฝ่ามือ เปลวไฟลุกโชนขึ้นมา

จากการทะลุระดับปราณของลู่ฝาน ทำให้เขาใช้พลังธาตุทั้งห้า ได้คล่องมือยิ่งขึ้น

ลู่ฝานหลับตาลงช้าๆ ตั้งสติและลมหายใจ ปรับไฟให้เหมาะสมที่สุด การเปลี่ยนแปลงของสมุนไพรทุกขั้นตอน อยู่ในการควบคุมของเขา

บางครั้งก็เติมไอน้ำ บางครั้งก็แบ่งเปลวไฟออกเป็นสองด้าน

อุณหภูมิสูงขึ้นเรื่อยๆ กลิ่นยาแปลกๆ ลอยฟุ้งไปทั่วยอดเขา

กลิ่นหอมลอยตามลมไปไกล

ขณะนี้ บนเขาเล็กๆ ในเทือกฉิงเทียน ไม่ไกลจากเขาอวิ๋นซาน ผู้อาวุโสคนหนึ่ง เดินช้าๆ ออกมาจากบ้านไม้

“มีกลิ่นหอม ใครกำลังกลั่นยา”

หน้าประตู วัยรุ่นหลายคน มองหน้ากันไปมา ด้วยสีหน้าตกใจ หนึ่งในนั้นพูดว่า “อาจารย์ เรากำลังทำกันอยู่ ในสถาบันสอนวิชาบู๊แห่งนี้ ยังมีผู้ฝึกชี่คนอื่นเหรอครับ”

ผู้อาวุโสหัวเราะ แล้วพูดว่า “น่าจะไม่มีแล้ว แต่ใช่ว่าจะไม่มีผู้ฝึกชี่คนใหม่มาถึง”

หันไปมองวัยรุ่นคนหนึ่ง แล้วพูดว่า “จ้าวซวี่ นายตามฉันไปดู”

ลู่ฝานกับอีกสามคน ทำความเข้าใจกับตัวอักษร คำว่า “อี” ง่ายๆ เพียงตัวเดียว ตลอดทั้งคืน

ลู่ฝานเอาสติของตัวเองลงไปในนั้นสิบกว่าครั้ง แต่ทุกครั้งที่เจอกับพลังใสนั่น สติของเขาจะโดนโจมตี จากนั้นก็สะดุ้งอย่างรุนแรง เหงื่อซกไปหมด

สภาพของหานเฟิง ฉู่สิง ฉู่เทียน ไม่ต่างกันเท่าไร ตอนลองติดต่อกันสิบกว่าครั้ง ฉู่สิงรับไม่ไหวเป็นคนแรก เหมือนเขาเพิ่งโผล่ขึ้นมาจากน้ำ เหงื่อแตกจนตัวเปียกไปหมด จากนั้นหลับไปในห้องของลู่ฝาน

คนที่ฝืนไม่ไหวเป็นคนที่สอง คือฉู่เทียน ในตามีเส้นเลือดสีแดง หลังจากลองไปยี่สิบกว่าครั้ง ฉู่เทียนก็ล้มลงไป คนที่สู้จนถึงฟ้าสว่าง เหลือแค่ลู่ฝานกับหานเฟิง

สภาพของลู่ฝานยังดีหน่อย แต่หานเฟิงเริ่มด่าออกมาไม่หยุด เหมือนกับมีเพียงการทำแบบนี้ ถึงจะทำให้เขายืนหยัดต่อไปได้

ลองอีกสองสามชั่วยาม หานเฟิงลุกขึ้นยืน จับหัวตัวเอง แล้วพูดว่า “ฉันฝืนไม่ไหวแล้ว ศิษย์น้องลู่ฝานทำต่อไปเถอะ ฉันกลับไปพักผ่อนที่ห้องละ ให้ตายเถอะ ทำไมฉันปวดหัวขนาดนี้ ปวดจนจะตายแล้ว”

หานเฟิงเดินโงนเงนกลับห้อง แม้แต่ประตูห้องก็ไม่ปิด

ลู่ฝานสูดหายใจลึก เขาเริ่มปวดหัวนิดๆ เหมือนกัน แต่ยังไม่ถึงขั้นทนไม่ไหว

แต่ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป เขาคงเหมือนพวกศิษย์พี่

พลังอันน่ากลัวนั้น ไม่มีความรู้สึกอะไรเลย เมื่อสติเข้าไปใกล้นิดหน่อย ก็จะโจมตีจนแตกสลาย ไม่ว่าจะลองสักกี่ครั้ง เกรงว่าผลคงเหมือนเดิม

ลู่ฝานหลับตาลง เคลื่อนไหวพลังฟ้าดิน เริ่มฟื้นฟูร่างกายตัวเอง

เขาไม่ได้สูญเสียปราณชี่ไปสักนิด แต่ร่างกายรู้สึกแย่จนน่าตกใจ ลู่ฝานไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร สิ่งที่เขาทำได้เพียงอย่างเดียวคือ เคลื่อนไหวพลังฟ้าดินเข้าสู่ร่างกาย ปราณชี่ไหลเวียนอยู่ในร่างกาย

แสงแดดยามเช้าตรู่ ส่องเข้ามาในห้อง

อาจารย์เต้ากวง อาจารย์อี้ชิง เดินออกจากห้องแทบจะพร้อมกัน

สายตาของทั้งสองคนดีมากจนน่าตกใจ เห็นสภาพลู่ฝานในห้องจากไกลๆ เมื่อหันมา ก็เห็นหานเฟิงฟุบอยู่บนที่นอน

อาจารย์อี้ชิงหัวเราะ “อยากฝึกเพลงเต๋าหนึ่งเดียว ไม่ใช่เรื่องง่าย แค่เจอกับพลังวิญญาณสายเดียวที่เซียนบู๊หนึ่งเดียวทิ้งไว้ ไม่รู้ว่าอัจฉริยะยอมแพ้ไปตั้งเท่าไรแล้ว”

แม้พลังวิญญาณนั้นจะแข็งแกร่ง และเป็นอมตะ แต่ยังไงก็มีวิธีข้ามผ่านไปได้ เหมือนฉันกับนาย ทำความเข้าใจวิชาจิตควบคุมพลังปราณ ใช้ทักษะเอาชนะพลัง

อาจารย์อี้ชิงพยักหน้า “ใช่ แต่ทำเช่นนี้ ก็ไม่สามารถฝึกเพลงเต๋าหนึ่งเดียว ถึงจุดสูงสุดได้ ไม่รู้เมื่อไร จะมีอัจฉริยะที่สามารถทำความเข้าใจการเปลี่ยนพลังปราณเป็นพลังวิญญาณออกมาจริงๆ สักคน เมื่อเป็นเช่นนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างของคณะหนึ่งเดียว จะได้ถ่ายทอดอย่างแท้จริงสักที”

“ยาก พลังวิญญาณ เป็นเซียนบู๊หนึ่งเดียวสร้างออกมาหลังจากเขาได้เป็นขุนพลังสุดเหนือฟ้า จากความสามารถขุนพลังสุดเหนือฟ้าของเขา จึงสร้างวิชาเหนือฟ้าแบบนี้ออกมาได้ คนรุ่นต่อมาซึบซับได้นิดหน่อย แต่มีผลดีมากมาย ถ้ามีคนทำความเข้าใจวิธีเปลี่ยนพลังปราณ เป็นพลังวิญญาณ ผ่านพลังวิญญาณได้จริง คนนั้นคงมีพรสวรรค์แข็งแกร่งกว่าอาจารย์หนึ่งเดียว คนระดับนี้ ถึงจะนับว่าเป็นคนที่โดดเด่นจนน่าตกใจ เกินกว่าความสำเร็จในอดีต เย้ยไปทั่วจีน แม้แต่ในหมู่วีรบุรุษรุ่นเยาว์ที่ชนะทั้งโลกนี้

อาจารย์อี้ชิงยิ้ม แล้วพูดว่า “ถูกต้องที่สุด ตอนนั้นเซียนบู๊หนึ่งเดียว เป็นที่เลื่องลือไปทั่ว ในการแข่งขันนานาประเทศ ถ้าคณะหนึ่งเดียวของฉัน มีนักเรียนที่ไปเข้าร่วมการแข่งนานาประเทศได้ ถือว่าสวรรค์เมตตาแล้ว”

อาจารย์เต้ากวงพูดว่า “อย่าคิดเรื่องไม่เข้าท่าพวกนี้เลย การแข่งรอบคัดเลือกของประเทศอู่อาน ไม่รู้สถาบันสอนวิชาบู๊ของเรา จะคัดเลือกผ่านสักคนหรือเปล่า”

อาจารย์อี้ชิงยิ้มเย้ยหยันตัวเอง แล้วพูดว่า “ตอนนี้คณะหนึ่งเดียวของฉัน ขนาดลำดับรายชื่อ ยังอยู่ลำดับสุดท้ายของสถาบันสอนวิชาบู๊ เหอะๆ”

อาจารย์เต้ากวงพูดว่า “สุดท้ายก็สุดท้ายสิ ลำดับของสถาบันสอนวิชาบู๊ ไม่เห็นทำไรได้”

อาจารย์อี้ชิงพูดว่า “ทำอะไรไม่ได้ก็จริง แต่ได้ยินแล้วรู้สึกไม่ดี นายอย่าไปทำความรู้จักกับผู้แข็งแกร่งคณะอื่น ไม่งั้นนายจะรู้ว่า การอยู่ในลำดับที่เก้า จะโดนคนอื่นเยาะเย้ยขนาดไหน”

ไปเอาลำดับดีๆ มา โดยไม่ต้องใช้วิชาระดับดิน จะทำลายกฎเกณฑ์ไม่ได้ เพราะเซียนบู๊หนึ่งเดียว จากโลกนี้ไปเป็นร้อยเป็นหมื่นปีแล้ว

อาจารย์อี้ชิงกับอาจารย์เต้ากวง หัวเราะขึ้นพร้อมกัน

เจ้าดำที่นอนราบอยู่หน้าประตูมาตลอด บิดขี้เกียจ หันไปมองลู่ฝานและคนอื่น ที่ยังนอนอยู่ในนั้น ด้วยสายตาดูหมิ่น

สีหน้ากำลังบอกว่า ขนาดสัตว์อสูรอย่างฉัน ยังตื่นแล้ว มนุษย์อย่างพวกนาย ยังนอนกันอยู่อีก คนขี้เกียจจริงๆ

เจ้าดำเห่าสองครั้ง หันหน้าเดินไปบนเขา มันจะไปหาวัตถุดิบอาหารกลับมา และฝึกวิชาอสูรเห่าหอนด้วย

……

ศิษย์พี่ทุกคน รวมตัวกันในห้องลู่ฝาน

ตอนแรกนัดกันว่าจะไปห้องศิษย์พี่ใหญ่ แต่หลังจากศิษย์พี่ใหญ่เข้าไป ทุกคนพบว่าไม่มีทีนั่ง จึงจำใจต้องย้ายมาที่ห้องลู่ฝาน ที่นี่ใหญ่กว่านิดหน่อย

ย้ายเก้าอี้เรียบร้อย ทุกคนนั่งลง

ศิษย์พี่ใหญ่นั่งลงบนเตียง แค่ก้นก็กินพื้นที่ไปครึ่งเตียงแล้ว

เห็นสายตากระตือรือร้น ที่จะเรียนรู้ของศิษย์น้องทุกคน ศิษย์พี่ใหญ่พูดว่า “พวกนายมีคำถามอะไร รีบถามมา ฉันเป็นคนมีข้อพิเศษ ถ้าผ่านห้าทุ่มถึงตีหนึ่งไป ฉันจะง่วงนอนมาก อีกเดี๋ยวก็จะนอนแล้ว ดังนั้น ถ้าพวกนายไม่อยากแบกฉันกลับห้อง ก็รีบถามมาซะ”

หานเฟิงรีบถามว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ พี่ฝึกเพลงเต๋าหนึ่งเดียวได้แล้วจริงเหรอ ตอนฝึกสำเร็จ อาจารย์ให้ใช้หรือเปล่า นี่ไม่ใช่เคล็ดวิชาบู๊ระดับดิน น่าจะไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม”

ศิษย์พี่ใหญ่ลูบท้อง แล้วพูดว่า “อันที่จริง ฉันฝึกได้แค่ขั้น2 เท่านั้น อาจารย์เต้ากวงบอกว่าฉันจิตใจบอบบาง เพลงเต๋าหนึ่งเดียวขั้น3 น่ากลัวจนฝึกสำเร็จได้ยาก ดังนั้นจึงไม่นับว่าฝึกเพลงเต๋าหนึ่งเดียวสำเร็จสมบูรณ์ เดาว่าคงไม่ถึงแดนพื้นฐานเลยมั้ง อีกอย่าง เพลงเต๋าหนึ่งเดียวมีลำดับขั้น ผู้ที่ถูกลิขิตว่าเรียนได้ ยอมได้ผลดีกว่าวิชาระดับสวรรค์ ส่วนผู้ไร้โชควาสนา ถึงจะฝืนฝึกสำเร็จ ก็ใช้อะไรไม่ได้ วิชาเหมือนกัน แต่คนฝึกคนละคน ล้วนแตกต่างกันสิ้นเชิง”

ลู่ฝานถามอย่างตกใจว่า “อัศจรรย์ขนาดนี้เลยเหรอครับ”

ศิษย์พี่ใหญ่พยักหน้าเบาๆ

หานเฟิงพูดว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ศิษย์พี่แสดงให้ผมเห็นหน่อยสิ เพลงเต๋าหนึ่งเดียว มีประโยชน์ยังไงกันแน่”

ศิษย์พี่ใหญ่หัวเราะ แล้วพูดว่า “ตอนนี้ฉันใช้ออกมาไม่ได้ เพลงเต๋าหนึ่งเดียวของฉัน ฝึกอยู่บนไขมันของร่างกาย นอกจากนายจะแตะต้องกับไขมันของฉัน ไม่งั้นมันจะไม่เกิดอะไรขึ้น”

หานเฟิงหัวเราะแล้วพูดว่า “ศิษย์พี่ใหญ่อย่ามาหลอกผม จริงหรือเปล่า เพลงเต๋าหนึ่งเดียวสามารถฝึกบนไขมันได้ด้วยเหรอ”

พูดพลาง หานเฟิงตบลงไปที่ไขมันบนท้องศิษย์พี่ใหญ่อย่างแรง จากนั้นมีแสงสีทองสว่างวาบขึ้นมา หานเฟิงกระเด็นออกไปทันที

เสียงดังพลั่ก หานเฟิงกระแทกลงบนพื้นจนเป็นหลุมลึก เสียงร้องโอดครวญ ดังเข้ามาในหูไม่หยุด

ศิษย์พี่ใหญ่ส่ายหน้าพูดว่า “ศิษย์น้องหานเฟิง ฉันบอกแล้ว อย่าแตะต้องไขมันฉัน นายไม่ฟังเอง ความอยากรู้ของนาย จะทำให้เกิดเรื่อง ไม่ช้าก็เร็ว”

หานเฟิงยกนิ้วกลางขึ้นมาจากในหลุม นี่เป็นสัญลักษณ์มือ ที่พวกนักเลงข้างถนนชอบใช้ “ทักทาย”

ศิษย์พี่ใหญ่ทำเป็นไม่เห็น แล้วพูดต่อ “พวกนายมีอะไรจะถามอีกไหม ถ้าไม่มีอะไรจะถามแล้ว ฉันจะมอบวิชาชั้นหนึ่งให้”

พูดพลาง ศิษย์พี่ใหญ่คลำกระดาษใบหนึ่ง ออกมาจากก้นด้านหลัง มีตัวอักษรใหญ่ คำว่า หนึ่ง

มีแค่คำเดียว ไม่มีอย่างอื่น

ศิษย์พี่ใหญ่พูดว่า “ดูให้ละเอียด ค่อยๆ ดู เมื่อดูวิชาออก พวกนายก็ทำได้แล้ว”

ลู่ฝานรับกระดาษมา มองคำว่า หนึ่ง ธรรมดาๆ แล้วขมวดคิ้วแน่น

ฉู่เทียนถามว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ เพลงเต๋าหนึ่งเดียว ฝึกอะไรกันแน่ครับ แค่คำว่าอีตัวเดียว จะฝึกอะไรออกมาได้”

ศิษย์พี่ใหญ่ลูบหัวแล้วพูดว่า “นายจะฝึกอะไรออกมาได้ อยู่ที่ตัวนายเอง โอเค หน้าที่ฉันเสร็จสิ้นแล้ว ถ้ามีอะไรไม่เข้าใจ มาถามฉันได้ ฉันกลับไปนอนละ ฉู่เทียนอย่าลืมมาขยายห้องให้ฉันด้วย”

ศิษย์พี่ใหญ่ลุกขึ้นช้าๆ แล้วเดินไปข้างนอก เมื่อมาถึงหน้าประตู ยังลูบหัวเจ้าดำด้วย

เจ้าดำไม่ต่อต้านสักนิด ปล่อยให้ศิษย์พี่ใหญ่ลูบหัวเบาๆ

หานเฟิงปีนขึ้นมาจากหลุมได้แล้ว รีบเดินกลับมาพูดว่า “เป็นไง ทำไมศิษย์พี่ใหญ่ไปแล้วล่ะ วิชาล่ะ”

ลู่ฝานส่งคำว่าหนึ่งให้หานเฟิง แล้วพูดว่า “นี่คือวิชา ศิษย์พี่หานเฟิงคิดว่าไง”

พลิกไปพลิกมาอยู่นาน ในที่สุดก็โยนกระดาษทิ้ง แล้วพูดว่า “ไอ้ฉิบหาย ศิษย์พี่ใหญ่ล้อเราเล่นหรือเปล่า ต้องโกรธเรื่องครั้งก่อน ที่เราขโมยกางเกงเขามาทำเป็นตาข่ายแน่ๆ ฉันจะไปคุยกับเขา ถ้าไม่ได้

ฉู่เทียนรับกระดาษเอาไว้ และดึงหานเฟิงไว้ “ศิษย์พี่ใหญ่ ไม่เอาเรื่องนี้มาล้อเล่นหรอก คำว่าหนึ่ง ต้องมีอะไรลึกลับแน่นอน นายดูกระดาษนี่สิ ไม่ใช่ของธรรมดา รอยตัวอักษร ก็ไม่เหมือนใช้หมึกธรรมดาเขียนด้วย”

ลู่ฝานรีบยื่นหน้าเข้ามาดู เป็นอย่างที่ศิษย์พี่ฉู่เทียนพูด กระดาษใบนี้มีพิรุธ แม้ลายมือจะไม่มีอะไรแตกต่าง แต่เมื่อมองดูอย่างละเอียด เห็นว่ามีแสงบางๆ สว่างอยู่ในนั้น ตรงกลางคำว่าหนึ่ง ดูเหมือนธรรมดา แต่เมื่อเพ่งมอง จะพบว่าสติของตัวเองจมดิ่งลงไปทีละนิด

ราวกับคำว่าหนึ่ง จะทำให้เขาจมดิ่งลงไปในที่ใดที่หนึ่ง ต่อมา ลู่ฝานเห็นกระแสลมใส ปรากฏขึ้นมา กระแสลมนี้ ทำให้ลู่ฝานรู้สึกจิตใจวูบไหว

เขารีบตั้งสติ พวกศิษย์พี่ข้างๆ ก็พยายามจะหาอะไรออกมาจากคำว่าอีเหมือนกัน

ลู่ฝานตั้งสติ พลังเมื่อกี้คืออะไรกัน

ไม่เหมือนพลังปราณ ไม่เหมือนพลังชี

นั่นมันพลังแบบไหนกัน เต็มไปด้วยอันตราย ราวกับแตะโดนนิดหน่อย ก็จะทำให้ร่างแหลกเป็นชิ้น

ลู่ฝานแอบคิด อย่าบอกนะว่านี่คือพลังของเพลงเต๋าหนึ่งเดียว

ลู่ฝานยื่นหน้าเข้าไปอีกครั้ง

หานเฟิง ฉู่สิง ฉู่เทียน ตัวสั่นขึ้นอย่างกะทันหัน ราวกับพวกเขาสัมผัสพลังนี้ได้เช่นกัน

หลังผ่านไปไม่กี่ชั่วโมง ทุกคนมองบ้านไม้หลังใหม่ของลู่ฝาน ด้วยรอยยิ้มอันสดใส

ต้นปรงสาคูหนึ่งต้นเต็มๆ ไม่ได้เสียเปล่าเลย ส่วนท่อนไม้ที่เหลือ ยังทำเตียงกับโต๊ะเก้าอี้ให้ลู่ฝาน บ้านไม้หลังใหม่ มีกลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ของต้นปรงสาคู ลู่ฝานยืนหน้าประตู รู้สึกเบิกบานและผ่อนคลาย

ฉู่เทียนยืนแบกขวานอยู่ข้างๆ “ศิษย์น้องลู่ฝาน ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป นี่คือบ้านของนาย ฮ่าๆ บ้านที่ทำจากไม้ปรงสาคู ทนทานกว่าหินเสียอีก ต่อไปถ้าบ้านของเราโดนลมแรงพัดไป หรือไม่ทันระวัง โดนหานเฟิงทำพัง เราจะได้มาใช้ห้องนายนอน”

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่มีปัญหาครับ ศิษย์พี่ทุกท่าน อยากมาเมื่อไรก็ได้”

ศิษย์พี่ใหญ่หัวเราะอยู่ข้างๆ “ศิษย์น้องฉู่เทียน พรุ่งนี้ช่วยฉันปรับปรุงห้องหน่อยสิ ช่วงนี้ฉันอ้วนขึ้น กลัวว่าห้องจะเล็กไปหน่อย”

ฉู่เทียนมองท้องของศิษย์พี่ใหญ่ แล้วพูดว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ พูดจริงนะ ดูไม่ออกเลยว่าพี่อ้วนขึ้น หรือว่าหลังจากที่คนอ้วนถึงระดับที่เหมาะสม จะดูไม่ออกว่าอ้วนแล้ว”

ศิษย์พี่ใหญ่ตบท้องแล้วพูดว่า “อย่าดูถูกไขมันนี้ วิทยายุทธทั้งชีวิต ล้วนพึ่งพามันนะ”

ฉู่เทียน ฉู่สิง และหานเฟิง พยักหน้าอย่างเข้าใจ

ลู่ฝานฟังอยู่ข้างๆ เลิกคิ้วขึ้นเบาๆ ไขมันเท่ากับวิทยายุทธเหรอ

เขาอยากรู้มาก ศิษย์พี่ใหญ่ฝึกวิชาประเภทไหน

ตะวันตกดิน แสงยามโพล้เพล้ สาดส่องมาในลานบ้าน

เจ้าดำเอาอาหารอันโอชะ ที่วางอยู่บนหัว วางลงบนโต๊ะ ศิษย์พี่ใหญ่กับอาจารย์เต้ากวง เพิ่งเคยเห็นสัตว์อสูร ทำอาหารเป็นครั้งแรก ถึงกับเบิกตาโต

หลังทานอาหารอันโอชะฝีมือเจ้าดำ ศิษย์พี่ใหญ่นับถือเลย น้ำตาไหลพรากออกมาจากดวงตาสองข้าง

“ห้าปีแล้ว ห้าปีแล้ว ในที่สุดก็ได้กินอาหารมื้ออร่อยแล้ว”

ศิษย์พี่ใหญ่ร้องไห้ไป กลืนอาหารคำใหญ่ไป รูปร่างสมบูรณ์ ก็กินอาหารได้เยอะ อาหารเต็มโต๊ะ ครึ่งหนึ่งลงไปอยู่ในท้องของศิษย์พี่ใหญ่อย่างรวดเร็ว

หานเฟิงตะโกนว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ อย่าไร้ยางอายแบบนี้ พี่กินข้าวยังใช้วิชาเงาพันมือ ศิษย์พี่ศิษย์น้องแย่งเลย ถ้าไม่รีบกิน จะโดนศิษย์พี่ใหญ่แย่งกินหมดนะ”

อันที่จริงไม่ต้องให้หานเฟิงตะโกน คนอื่นก็เริ่มรีบกินกันแล้ว

เจ้าดำขี้เกียจสนใจพวกเขา เอาขาหน้าลากเก้าอี้มาหนึ่งตัว นั่งลงบนเก้าอี้เหมือนคน เจ้าดำเหลือเนื้อให้ตัวเองชามใหญ่ มันกินอย่างมีความสุข

ตอนนี้อาจารย์เต้ากวง ปัดเคราไปอีกด้าน เริ่มทานอาหาร

ทุกครั้งที่คนคณะหนึ่งเดียวกินข้าว จะเหมือนสงครามใหญ่ ไม่เพียงแต่จะต่อสู้ด้านความเร็ว ยังต้องแย่งอาหารอีก ตอนนี้เพิ่มคนมือไว อย่างอาจารย์เต้ากวงกับศิษย์พี่ใหญ่มาสองคน คู่ต่อสู้ใหม่ที่มีวิทยายุทธสูง “การต่อสู้” ยิ่งดุเดือดขึ้น

ผ่านไปไม่นาน อาหารถูกแย่งกันจนหมด

แล้วพูดว่า “ตั้งแต่นี้ ฉันไม่ไปไหนแล้ว ไม่ไปเก็บตัวที่เขาอี้ว์หลิง บ้าบออะไรนั่นแล้ว มีสัตว์อสูรทั่วทุกที่ อยากกินอะไร ต้องใช้แรงตัวเองไปฆ่ามา ยังไงแล้ว คณะหนึ่งเดียวดีที่สุด ฮ่าๆ เจ้าดำ ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป นายอยู่กับฉันนะ ฉันจะเลี้ยงแกให้เป็นสัตว์อสูรวิญญาณ

ศิษย์พี่ใหญ่หัวเราะ แล้วเอ่ยขึ้น

เจ้าดำกลอกตามองบน แล้วกอดชาม ไปกินที่อื่น

“ฉันก็ไม่ไปไหนเหมือนกัน อี้ชิง นายรับศิษย์ที่ดีมาแล้ว ไม่เพียงแต่คนจะดี สัตว์อสูรยิ่งดีเข้าไปใหญ่ ลู่ฝาน นายให้เจ้าดำ เป็นสัตว์ในตำนาน คุ้มครองคณะหนึ่งเดียวสิ ฉันรับรองว่าจะดูแลมันอย่างดี มันมีสายเลือดมังกรไม่ใช่เหรอ ฉันจะให้มันกินของสายเลือดมังกรทุกวัน

ลู่ฝานหัวเราะ แล้วพูดว่า “เรื่องนี้ตัดสินไม่ได้หรอกครับ ให้เจ้าดำตัดสินใจเองเถอะครับ ผมรู้สึกว่า มันก็ชอบที่นี่เหมือนกัน”

ทุกคนหันหน้าไปมองเจ้าดำ กอดชามเดินไปหน้าห้องลู่ฝาน แล้วหมอบลง จึงยิ้มออกมาบางๆ

อาจารย์เต้ากวงพูดว่า “ถ้ารู้ว่ามีสัตว์อสูรจิตวิญญาณ ที่ทำอาหารเก่ง มาคณะหนึ่งเดียว ฉันควรกลับมาตั้งนานแล้ว อ้อ เห็นแก่เจ้าดำ ลู่ฝาน นายบอกว่าอยากเรียนเพลงเต๋าหนึ่งเดียว เดิมทีฉันจะทดสอบสักสองสามครั้ง”

ลู่ฝานได้ยิน แววตาวูบไหว หานเฟิงและคนอื่นก็หยุดการกระทำเช่นกัน

แล้วพูดต่อ “แต่ตอนนี้ ฉันจะให้บททดสอบนายอย่างเดียว ตั้งแต่คืนนี้ นายฝึกเพลงเต๋าหนึ่งเดียวชั้นหนึ่งกับอู๋เหวย ศิษย์พี่ใหญ่ของนาย ถ้านายเรียนรู้ได้ภายในหนึ่งเดือน ฉันกับอี้ชิง จะถ่ายทอดเพลงเต๋าหนึ่งเดียวทั้งหมดให้นาย หานเฟิง ฉู่สิง

หานเฟิง ฉู่สิง ฉู่เทียน ตาเป็นประกายทันที

ลู่ฝานถามขึ้นมาว่า “แล้วแบบไหนถึงเรียกว่าเรียนรู้ได้ล่ะครับ”

อาจารย์เต้ากวงยิ้มอย่างเดาไม่ถูก “แค่นายใช้มันออกมาได้ ก็นับว่าเรียนรู้ได้แล้ว”

ลู่ฝานขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ

ฉู่สิง ฉู่เทียน หานเฟิง เริ่มครุ่นคิดความหมายของประโยคนี้

มีเพียงศิษย์พี่ใหญ่ ที่หัวเราะอยู่ข้างๆ ด้วยท่าทางแบบว่าฉันเข้าใจ

ช่วงค่ำ แสงไฟสว่างไสว

อาจารย์อี้ชิง อาจารย์เต้ากวง กลับห้องไปพักผ่อนนานแล้ว เดิมทีลู่ฝานไม่รู้ว่าห้องที่ปิดสนิท ข้างห้องอาจารย์อี้ชิง เอาไว้ทำอะไร ตอนนี้เพิ่งรู้ว่า น่าจะเป็นห้องของอาจารย์เต้ากวง แต่จากที่ศิษย์พี่หานเฟิงพูด ในห้องเต็มไปด้วยฝุ่นและแมลงเต็มพื้น ขอให้คืนนี้อาจารย์เต้ากวง นอนหลับอย่างปลอดภัย

หานเฟิงหันมามองฉู่เทียน แล้วพูดว่า “ศิษย์พี่รอง แบบนี้ไม่สนุกเลย ไม่สนุกสักนิด”

ฉู่เทียนยิ้มแล้วพูดว่า “ฉันว่าสนุกมากนะ โอเค ไม่ต้องนอนแล้ว เราควรกลับกันแล้ว หานเฟิง แบกต้นปรงสาคูเอาไว้ เรากลับกันเถอะ”

หานเฟิงตอบรับ และแบกต้นปรงสาคูขึ้นมา

ทุกคนกลับคณะอย่างมีความสุข หานเฟิงแบกต้นปรงสาคู แล้วยื่นหน้าเข้ามา พูดกับลู่ฝาน “ศิษย์น้องลู่ฝาน เดี๋ยวกลับไป นายสู้กับฉันสักสองกระบวนท่าสิ วิชากระบี่ของนายไม่เลวจริงๆ นะ นายว่าฉันเรียนได้ไหม”

ลู่ฝานเกาหัว แล้วพูดว่า “น่าจะได้นะครับ แต่ผมไม่รู้จะสอนยังไง สิ่งนี้ซับซ้อนมาก”

หานเฟิงยิ้ม แล้วพูดว่า “วางใจเถอะ ไม่มีเคล็ดวิชาบู๊อะไร ที่ศิษย์พี่ของนายเรียนไม่ได้ ก็แค่วิชากระบี่ไม่ใช่เหรอ ไอ้ฉิบหาย พวกนั้น รีบเข้ามาเลย”

ลู่ฝานยิ้มแล้วพยักหน้า

หลังผ่านไปสองชั่วยาม ทั้งสี่คนกลับมายังคณะหนึ่งเดียว

เพิ่งมาถึงหน้าประตู ลู่ฝานเห็นคนสามคน ยืนอยู่กลางลานบ้าน

หนึ่งในนั้นคืออาจารย์อี้ชิง แต่อีกสองคน เขาไม่รู้จัก

ผู้อาวุโสคนหนึ่ง หนวดเคราขาว เครายาวจนใกล้จะลากพื้น รูปร่างผอม ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

ส่วนอีกคน เป็นคนรูปร่างสมบูรณ์ ที่สูงและอ้วนกว่าอาจารย์อี้ชิง พุงยื่นออกมา ร่างกายเต็มไปด้วยไขมัน เหมือนลูกบอล

ร่างกายคนเรามีหลายลักษณะ แต่คนผอม มีรูปแบบผอมเป็นของตัวเอง แต่คนอ้วน ล้วนไม่เหมือนกัน

เขายืนอยู่กับอาจารย์อี้ชิง เหมือนสัตว์อสูร ที่เป็นหมูอ้วนสองตัวถูกขัดเกลามาอย่างดี แต่ตัวนี้อ้วนและหัวล้าน ไม่มีผมบนหัว แวววาวเป็นอย่างมาก

“ศิษย์พี่ใหญ่!”

“อาจารย์เต้ากวง!”

หานเฟิงกับฉู่สิง พูดออกมา

ลู่ฝานเข้าใจทันที ที่แท้สองคนนี้คืออาจารย์เต้ากวงกับศิษย์พี่ใหญ่ ของคณะหนึ่งเดียว

อาจารย์อี้ชิงเห็นพวกเขาสี่คน เขาส่งเสียงหึ แล้วพูดว่า “พวกแกสี่คนไปไหนมาอีก หานเฟิง ฉันบอกแกแล้วใช่ไหม ห้ามพวกแกไปวุ่นวายที่ไหน พวกแกไปทำอะไรกันมาอีก”

อาจารย์อี้ชิงรีบเดินเข้ามา เมื่อเห็นต้นปรงสาคู อาจารย์อี้ชิงตาเป็นประกาย “ต้นปรงสาคูพันปี พวกแกไปเอาสิ่งนี้มาเหรอ มิน่าล่ะ ถึงมาถามหาขวานจากฉัน”

หานเฟิงยิ้ม แล้วโยนต้นไม้ลง จากนั้นพูดว่า “จะสร้างบ้านให้ศิษย์น้องลู่ฝาน ต้องเลือกไม้ดีอยู่แล้วครับ”

อาจารย์อี้ชิงยิ้ม แล้วพูดว่า “ไม้นี้ไม่เลวจริงๆ เดี๋ยวเอาดอกปรงสาคู มาให้ฉันสักสิบกว่าดอก ฉันขาดใบชาอยู่พอดี ชาดอกปรงสาคู คิดว่าดื่มแล้วน่าจะไม่เลว”

ฉู่สิงกับฉู่เทียนหน้าสลดลงทันที

แป๊บเดียวหายไปหลายสิบดอก

อาจารย์เต้ากวงเดินเข้ามาเช่นกัน มองต้นปรงสาคู แล้วพูดว่า “ของดีเลยนี่ ดูคุ้นตามาก ไม่สนละ เอาให้ฉันหลายสิบดอกด้วย ได้ยินว่าเอาสิ่งนี้มาเช็ดก้น จะทิ้งกลิ่นหอมเอาไว้ด้วย”

สีหน้าฉู่สิง ฉู่เทียน อึมครึมทันที

เอามาเช็ดก้น พูดออกมาได้!

ลู่ฝานอ้าปากค้าง เดิมทีเขาคิดว่าอาจารย์เต้ากวง ที่ดูเหมือนเซียนแท้จริง น่าจะเป็นอาจารย์ที่มีวิทยายุทธสูงส่งเช่นกัน คิดไม่ถึงว่ามาถึงก็พูดแบบนี้แล้ว

อาจารย์เต้ากวง หันมามองลู่ฝาน แล้วพูดว่า “นี่คงเป็นนักเรียนใหม่สินะ ได้ยินว่านายอยากเรียนเพลงเต๋าหนึ่งเดียว เหอะๆ งั้นนายต้องโชว์ความสามารถ ให้ฉันเห็นสักหน่อย ไม่งั้น ฉันไม่ถ่ายทอดให้นายง่ายๆ หรอกนะ”

ลู่ฝานพยักหน้าพูดว่า “ผมทำดีที่สุดแน่นอนครับ”

อาจารย์เต้ากวงพยักหน้า หรี่ตามองลู่ฝาน สายตานั้น ทำไมลู่ฝานรู้สึกขนลุก

ตอนนี้คนอ้วนด้านหลัง เดินเข้ามาเช่นกัน รอยยิ้มบนใบหน้า เหมือนรอยจับจีบบนซาลาเปา

“สวัสดีศิษย์น้องห้า ฉันชื่ออู๋เหวย นายเรียกฉันว่าศิษย์พี่ใหญ่ก็ได้ ต่อไปถ้านายมีอะไรลำบาก มาหาฉันได้ ใช้ศิษย์พี่ใหญ่เป็นโล่กำบังได้”

ประโยคเดียว ทำให้ลู่ฝานรู้สึกดีกับเขาทันที

ไม่พูดก็ไม่ได้ว่า ศิษย์พี่ใหญ่ดูเป็นกันเอง ดูยังไง ก็เหมือนคนจริงใจ

ลู่ฝานเรียกศิษย์พี่ใหญ่อย่างนอบน้อม

รอยยิ้มบนใบหน้าศิษย์พี่ใหญ่ กว้างขึ้นอีก เขาเอามือคลำอยู่ด้านหลังครู่หนึ่ง จากนั้นหยิบของรูปร่างเหมือนหัวไชเท้าออกมา วางไว้ในมือลู่ฝาน แล้วพูดว่า “เจอหน้ากัน ไม่มีของขวัญดีๆ ให้นาย ศิษย์น้องห้า อันนี้ให้นาย”

ลู่ฝานมองของที่มีรูปร่างเหมือนหัวไชเท้า เดาว่าน่าจะเป็นยาสมุนไพร แต่ไม่รู้ว่าคือสมุนไพรอะไร

อาจารย์เต้ากวง ที่อยู่ข้างๆ อธิบายว่า “ลู่ฝาน นี่คือยาเสริมจิต ยาวิเศษ กว่าศิษย์พี่ใหญ่ของนายจะหามาได้ ไม่ง่ายเลย นายหาโอกาสเหมาะสม กินมันลงไป สามารถทะลุระดับอวัยวะภายใน เส้นลมปราณในร่างกายได้”

ลู่ฝานอ้าปากค้าง ด้วยความตกใจ นี่เรียกว่ายาวิเศษเหรอ ยาวิเศษที่ไหนหน้าตาเหมือนหัวไชเท้าแบบนี้

ล้อเล่นหรือเปล่า!

ศิษย์พี่ใหญ่พูดอย่างกระอักกระอ่วนว่า “ฉันไม่ชินกับการกินยาเม็ด จึงบดยาให้เป็นผง โรยลงบนไชเท้าแห้ง ศิษย์น้องห้ากินควบคู่กันไปละกัน ตอนนี้น่าจะยังไม่เสีย แค่โดนฉันนั่งทับไม่กี่ครั้งเอง”

ลู่ฝานหนังตากระตุก เป็นไชเท้าจริงๆ แถมยังเป็นไชเท้าที่โดนนั่งทับด้วย

จู่ๆ ลู่ฝานรู้สึกไม่อยากกินสักนิด

“ฮ่าๆ ศิษย์น้องลู่ฝานสู้ได้ดี คนปัญญาอ่อนอย่างพวกนาย อึ้งกันอยู่ทำไมล่ะ ยังไม่รีบแบกศิษย์พี่อี้ไป๋ของพวกนายไปอีก พวกนายจะให้เขาตายอยู่ที่นี่เหรอ พวกโง่”

หานเฟิงหัวเราะพลาง เดินไปข้างหน้าลู่ฝาน

ศิษย์คณะนานาบริเวณรอบๆ เพิ่งตั้งสติได้ พากันวิ่งเข้ามาแบกศิษย์พี่อี้ไป๋ของพวกเขา

แววตาหลากหลาย มองมายังลู่ฝาน แม้ศิษย์คณะนานา สีหน้ายังคงไม่เป็นมิตร แต่ตอนนี้ ไม่มีใครกล้าว่าพวกหานเฟิงอีกแล้ว

ศิษย์คณะนานา แบกศิษย์พี่อี้ไป๋ ออกไปอย่างรวดเร็ว

ฉู่สิง ฉู่เทียน รีบเดินเข้ามา มองลู่ฝานอย่างละเอียด

ฉู่เทียนหัวเราะ จากนั้นพูดว่า “ศิษย์น้องลู่ฝานจะทะลุระดับแล้ว ดูเหมือนการต่อสู้นี้ มีผลดีกับนายมาก ต้องขอบคุณอี้ไป๋มากๆ เลยล่ะ พวกนายหลีกไป อย่ารบกวนการทะลุระดับของศิษย์น้องลู่ฝาน”

หานเฟิงกับฉู่สิงได้ยิน จึงถอยหลังไปสองก้าว มองลู่ฝานที่กำลังฝึกฝนอย่างเงียบๆ

แม้พวกเขาไม่เห็นว่าพลังฟ้าดินที่พลุ่งพล่าน ไหลเข้าไปในตัวลู่ฝานอย่างไร แต่รู้สึกว่าลมปราณของลู่ฝาน กำลังพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่วนร่างกายมีควันขาวลอยออกมาบางๆ

หานเฟิงพูดอย่างประหลาดใจ “ศิษย์น้องลู่ฝานไม่ธรรมดาจริงๆ นักบู๊ทั่วไปทะลุระดับถึงแดนปราณในชั้นสี่ มีพลานุภาพแบบนี้ที่ไหนกัน ผ่านไปรวดเร็วเหมือนผายลม ตอนนี้สภาพของศิษย์น้องลู่ฝาน เหมือนตอนที่ฉันทะลุระดับถึงแดนปราณในชั้นเจ็ดเลย”

ฝึกวิชาบู๊เกี่ยวกับร่างกาย ที่นับว่าไม่เลว พวกนายดูสิ กล้ามเนื้อบนตัวเขา เหมือนหิน เหมือนเหล็กเลย

ฉู่เทียนหัวเราะแล้วพูดว่า “ดูเหมือนคณะหนึ่งเดียวของเราจะรุ่งเรืองแล้ว แค่รอให้พละกำลังของศิษย์น้องลู่ฝาน ก้าวหน้าขึ้นอีกเล็กน้อย ไม่ต้องใช้วิชาระดับดิน ศิษย์น้องลู่ฝาน ก็สามารถสู้กับคนของคณะอื่นได้อย่างสบาย ฉันเดาว่ารอถึงพรุ่งนี้ คณะหนึ่งเดียวของเรา คงไม่อยู่ในลำดับสุดท้ายอีกแล้ว”

หานเฟิงพูดว่า “ใช่ อยู่ที่เก้ามานาน พูดขึ้นมาก็ไม่น่าฟัง ทำเหมือนคณะหนึ่งเดียวของเราแย่มาก ไม่รู้อาจารย์คิดยังไง เรียนวิชาระดับดิน แต่ไม่ให้ใช้ คณะอื่น ไม่เห็นมีกฎนี้”

ฉู่สิงขมวดคิ้วพูดว่า “อาจารย์น่าจะมีเหตุผลของตัวเองล่ะมั้ง”

“พวกนายไม่เข้าใจ นักบู๊ที่ยังไม่ผ่านแดนกำลังภายในอย่างเรา สิ่งสำคัญคือการสร้างพื้นฐานที่ดี ไม่ใช่การแสวงหาเคล็ดวิชาบู๊ที่มีพลานุภาพยิ่งใหญ่ ถ่ายทอดเคล็ดวิชาบู๊ระดับดินให้พวกนาย เพราะให้พวกนายเอาไว้ใช้ป้องกันตัว ไม่ได้ให้ใช้สู้กับศิษย์สถาบันเดียวกัน อยากแย่งอันดับดีๆ ก็ไปสร้างรากฐานให้มั่นคงเองสิ เหมือนกับศิษย์น้องลู่ฝาน ไม่ต้องใช้พลานุภาพของท่าไม้ตาย เคล็ดวิชาบู๊

หานเฟิงกับฉู่สิงพูดอย่างจริงจังว่า “ศิษย์พี่รองพูดถูกต้อง”

อันที่จริง ถ้าศิษย์พี่ใหญ่ ยอมไปสู้ เพื่ออันดับของสถาบันล่ะก็ คณะหนึ่งเดียวของเรา ก็สามารถแย่งชิงอันดีๆ ได้เหมือนกัน ถึงสู้คณะกระบี่ คณะหยินหยางไม่ได้

หานเฟิงยิ้มแล้วพูดว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ไม่ชอบต่อสู้แย่งชิง ชอบฝึกฝน ชอบดื่มเหล้า กินอาหาร เขาไม่ไปแข่งขันหรอก”

ฉู่เทียน ฉู่สิงยิ้มแล้วพยักหน้า เหมือนคิดภาพตอนที่ศิษย์พี่ใหญ่กินเหล้า กินอาหารขึ้นมาได้

พูดขึ้นมา พวกเขาไม่ได้เจอศิษย์พี่ใหญ่นานมากแล้ว

ลู่ฝานกำลังทะลุระดับต่อไป พลังฟ้าดินนับไม่ถ้วน โดนเขาใช้เป็นปราณชี่ของตัวเอง แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย

พลังไหลเวียนอยู่ในร่างกาย ปราณชี่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ร่างกายของเขาเหมือนฟองน้ำ ซึมซับพลังฟ้าดินอย่างต่อเนื่อง

สิ่งที่เรียกว่าทะลุระดับ ไม่มีอะไรนอกเสียจาก หลังจากที่ความสามารถในการแบกรับของร่างกาย ถึงจุดสูงสุด แล้วทะลุระดับขึ้นจากเดิม

เส้นลมปราณขยายกว้างขึ้น กล้ามเนื้อร่างกายแข็งแกร่งขึ้นขั้นหนึ่ง

ในตำนาน ร่างกายของเซียนบู๊หยินหยาง เหมือนกับอาวุธที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก และร่างกายแบบนั้นไม่สามารถเป็นได้ด้วยการฝึกทุกวัน จำเป็นต้องเพิ่มความแข็งแกร่งทุกครั้ง จนสุดท้าย ไม่เกรงกลัวอะไรบนโลก

ลู่ฝานนั่งอยู่ตรงนี้หนึ่งวันหนึ่งคืน

พวกหานเฟิงไม่ได้ไปไหน ค่อยคุ้มกันอยู่ข้างๆ ตลอด

เพราะที่นี่เป็นถิ่นของคณะนานา แม้ลู่ฝานเอาชนะอี้ไป๋ได้ ศิษย์ทั่วไปของคณะนานา ไม่มีทางมาหาเรื่องพวกเขาอีก

แต่ไม่แน่ ศิษย์ของคณะนานาบางส่วน อาจจงใจมาหาเรื่อง ขณะที่ลู่ฝานกำลังทะลุระดับ จะโดนคนอื่นรบกวนไม่ได้

พระจันทร์หายไป พระอาทิตย์ขึ้น เมื่อแสงอาทิตย์แรกของยามเช้า สาดลงบนตัวลู่ฝาน

ในที่สุด ลู่ฝานลืมตาขึ้น

พลังเต็มเปี่ยมร่างกาย ทำให้ลู่ฝานอยากหอนออกมา

เห็นลู่ฝานลืมตาขึ้นมา ฉู่เทียนที่นั่งอยู่ข้างๆ ตลอดเวลา พูดว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน ในที่สุดนายก็ฝึกเสร็จแล้ว”

ลู่ฝานหันไปมอง เห็นศิษย์พี่หานเฟิงกับศิษย์พี่ฉู่สิง นั่งหันหลังพิงกัน หลับน้ำลายยืด

ฉู่เทียนตะโกนใส่หานเฟิง แล้วพูดว่า “ตื่น มีคนบุกมาฆ่าแล้ว”

หานเฟิงลืมตาขึ้นมา ดึงกระบี่ฟ้าครามออกมา แล้วพูดว่า “ใครๆ ใครที่มันไม่ดูตาม้าตาเรือ”

ฉู่สิงขยี้ตา แล้วพูดว่า “ศิษย์น้องหานเฟิง นายมีสติหน่อยได้ไหม กระบี่นายจะถูกฉันแล้ว”

ฉู่เทียนกับลู่ฝานหัวเราะอย่างมีความสุข

อี้ไป๋เอากระบี่เล่มที่สองออกมา กระบี่ยาวสีแดงเพลิง มีแสงสีเลือดไหลวนอยู่บางๆ

เอามือทั้งสองข้างจับกระบี่ อี้ไป๋ยืนด้วยท่าประหลาด

“ดาวตกอเวจีสังหาร!”

พลังปราณพลุ่งพล่าน อี้ไป๋รวมดรรชนีกระบี่เป็นหนึ่งเดียว พุ่งไปทางลู่ฝาน

กระบี่สองเล่ม เหมือนลำแสงสองดวง มาถึงด้านหน้าในพริบตา

ลู่ฝานหรี่ตาลง จากนั้นสะบัดกระบี่หนักช้าๆ

ขัดขวาง ท่าแยกข้าง หมุนตัวโจมตี

ตั้งกระบี่ ตวัดขึ้น หมุนวนกระบี่

การเคลื่อนไหวของลู่ฝานไม่เร็ว เทียบกับอี้ไป๋ ที่กลายเป็นลำแสงสองดวง เรียกได้ว่าการเคลื่อนไหวของเขา ช้าจนทนดูไม่ได้ ราวกับว่าอีกเดี๋ยว จะโดนลำแสงสองดวงนั้น ฟันจนเป็นชิ้นๆ

แต่ที่น่าแปลกใจ เสียงกระบี่กระทบกัน ดังขึ้นมา

ลู่ฝานไม่เป็นอะไรเลย

พวกศิษย์ที่สายตาดี มองออกว่า ทุกการเคลื่อนไหวของลู่ฝาน สามารถต้านทานการโจมตีของอี้ไป๋ได้ อีกทั้งยังสามารถโจมตีกลับอย่างน่ากลัวด้วย บีบจนอี้ไป๋ต้องเปลี่ยนการเคลื่อนไหว

ฉู่เทียน ฉู่สิง และหานเฟิง ยืนมองอย่างอึ้งๆ

พวกเขาดูออกว่า นี่มันการเคลื่อนไหว ตอนที่ลู่ฝานเบื่อๆ แล้วถือสมุดฝึกในตอนเช้าไม่ใช่เหรอ

การเคลื่อนไหวชุดนี้ สามารถใช้แบบนี้ได้ด้วย เหลือเชื่อจริงๆ

ทันใดนั้น หานเฟิงพูดว่า “ฉันจำได้ว่า การเคลื่อนไหวต่อไปของศิษย์น้องลู่ฝานคือ……”

เห็นได้ชัดว่าฉู่สิง ฉู่เทียน เป็นคนความจำดี สองคนพูดออกมาพร้อมกันว่า “หรือว่าจะเป็น ไม้ตาย”

ทั้งสามมองหน้ากัน สีหน้ามีความตกตะลึง

เสียงดังหลายสิบครั้งผ่านไป ลู่ฝานไม่เป็นอะไรเลย แต่เป็นอี้ไป๋ ที่ค่อยๆ กลับร่างเดิม นี่คือการที่พลังปราณ ไม่สามารถยืนหยัดต่อไปได้

การเคลื่อนไหวของลู่ฝานไม่เร็ว ใช้ปราณชี่ไปน้อยมาก

พลังฟ้าดินรอบๆ เติมเต็มให้เขาอย่างต่อเนื่อง ความสามารถในการดูดซับของร่างกาย บวกกับการช่วยเหลือของอุกกาบาตจิตเย็น กับแหวนของตระกูล ปราณของเขาฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว ถึงขนาดที่ว่านักบู๊ปราณนอกทั่วไป ยังสู้ไม่ได้ เขาหวังว่าอีกฝ่ายจะต่อสู้กับเขาต่อไป

แต่ดูเหมือนว่าอี้ไป๋ฝืนไม่ไหวแล้ว ทันใดนั้น ลำแสงกระบี่ทั้งสองของอี้ไป๋หยุดลง เอากระบี่ยาวอีกเล่มออกมาจากข้างหลัง และโยนใส่ลู่ฝาน

แสงกระบี่ล้อมเอาไว้ ลู่ฝานยกกระบี่ขึ้นมาขวางไว้ อย่างไม่สะทกสะท้าน

ตอนนี้เขาชอบกระบี่หนักไร้คมเล่มนี้ขึ้นเรื่อยๆ ตัวกระบี่ใหญ่ เหมือนโล่ป้องกันและโจมตีได้ ทำให้เขาไม่กลัวการโจมตีแบบนี้เลย

กระบี่ที่อี้ไป๋โยนมากระแทกกับกระบี่หนักไร้คม จนประกายไฟกระเด็นออกมา และหล่นลงบนพื้น

แต่ต่อมา ลู่ฝานรู้สึกแปลกๆ จึงขมวดคิ้วเบาๆ

ตอนกระบี่นี้ร่วงลงพื้น พลังปราณที่อยู่บนกระบี่ ไม่ได้จมลงไปในพื้นดิน

ฟึ่บๆๆ หนามสามอันพุ่งขึ้นมาบนพื้น เกือบแทงโดนฝ่าเท้าลู่ฝาน

ลู่ฝานสะบัดกระบี่ ตัดหนามดินที่พุ่งขึ้นมาจากพื้น ยาวประมาณสิบนิ้วออกไป ตอนนี้ อี้ไป๋โผล่อยู่บนหัวของเขา

เขาดึงกระบี่เล่มสุดท้ายออกมา กัดไว้ที่ปาก

“ค่ายกลกระบี่ไม้ตาย!”

กระบี่สี่เล่ม มีแสงสว่างขึ้นมาพร้อมกัน ลู่ฝานสัมผัสได้ว่าพลังฟ้าดินรอบๆ เปลี่ยนไปทันที

สถานการณ์แบบนี้ รู้สึกเหมือนตอนที่เขาใช้พลังฟ้าดิน ก่อตัวเป็นวัตถุ

คิดไม่ถึงว่า กระบี่ทั้งสี่เล่มของอี้ไป๋ เป็นผลงานชิ้นเอกของผู้ฝึกชี่ กระบี่สี่เล่มเป็นหนึ่งเดียว ท่าไม้ตายที่เคลื่อนไหวพลังฟ้าดิน

ลำแสงรูปร่างจันทร์ครึ่งเสี้ยวสามดวง ร่วงลงมาจากฟ้า พลังฟ้าดินข้างกาย กักขังรอบตัวเอาไว้ เป็นลักษณะของท่าไม้ตายจริงๆ

แต่ตอนนี้ ลู่ฝานกลับหัวเราะออกมา

พลังฟ้าดินแค่นี้ จะกักขังเขางั้นเหรอ น่าขำจริงๆ

ตอนนี้กระบี่หนักของลู่ฝาน พุ่งขึ้นไปบนฟ้า

หานเฟิงพูดเสียงดังว่า “ฮ่าๆ กระบวนท่านี้จริงด้วย”

ฉู่สิง ฉู่เทียน เห็นดังนั้น ก็หัวเราะออกมา

ปราณชี่พุ่งออกมาจากกระบี่ของลู่ฝาน แทงไปตรงกลางลำแสงรูปจันทร์เสี้ยวทั้งสามดวง เป็นตรงกลางที่กระบี่ทั้งสามเล่มซ้อนทับกันพอดี

จุดนี้เป็นจุดโจมตี ที่แข็งแกร่งที่สุด แต่ในสายตาของลู่ฝาน มันเป็นจุดที่ทำลายทั้งหมดได้

ลมปราณเหมือนมังกรพุ่งขึ้นไป กระบี่หนักหมุนวน เหมือนลมหมุน

กระบวนท่านี้ ลู่ฝานใช้วิชากระบี่หมุน ในวิชากระบี่ขั้นพื้นฐาน และเป็นสิ่งที่เขาค้นพบ หลังจากศึกษามานาน เป็นท่าโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุด

ตู้ม!

พลังปราณพร้อมกับสายลมรุนแรง แผ่ขยายไปทั่ว ตรงกลางที่ทั้งสองต่อสู้กัน พลังแผ่ออกมา ทำให้ต้นไม้บริเวณรอบๆ ล้มลงหมด

นักเรียนที่พละกำลังแย่ โดนลมพัดจนล้มระเนระนาด ไม่สามารถลืมตาขึ้นมาได้

ผ่านไปนาน ทุกอย่างจึงกลับมาสงบเหมือนเดิม

ในฝุ่นตลบอบอวล เงาคนสองคน ยืนประจันหน้ากัน

ลมพัดเอาฝุ่นออกไป

ลู่ฝานเก็บกระบี่หนักอย่างสุขุม อี้ไป๋ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม สีหน้าตกตะลึง หนังตากระตุก มองลู่ฝานแล้วพูดว่า “กระบวนท่านี้ เรียกว่าอะไร”

ลู่ฝานคิดแล้วพูดว่า “วิชากระบี่หนัก มังกรเหิน”

อี้ไป๋พูดพึมพำ “มังกรเหิน เป็นชื่อที่ดี ฉันจำไว้แล้ว”

พูดจบ มีเลือดออกมาจากอกอี้ไป๋ เขาล้มคว่ำลงบนพื้น

ศิษย์คณะนานาเงียบสนิท ยืนอึ้งอยู่ที่เดิม

ลู่ฝานกำลังจะเดินกลับ แต่ปราณชี่บนตัวสว่างวาบอยู่สองสามครั้ง

นี่เป็นลางที่ปราณชี่จะก้าวหน้า

ลู่ฝานรีบนั่งลงบนพื้น เริ่มซึมซับพลังฟ้าดินอย่างบ้าคลั่ง

จิตวิญญาณการต่อสู้พลุ่งพล่าน อาวุธออกจากฝัก

ลู่ฝานดึงกระบี่หนักออกมาจากข้างหลัง วางลงบนพื้นเบาๆ

อี้ไป๋ดึงกระบี่เล่มหนึ่ง ออกมาจากข้างหลัง ตัวกระบี่เป็นสีเงินแวววาว

คนรอบๆ เว้นระยะห่าง ให้ทั้งสองคน หานเฟิงตะโกนเสียงดัง “ศิษย์น้องลู่ฝาน ไม่ต้องไว้หน้าเขา ซัดไปซึ่งหน้าเลย ไอ้หนุ่มน้อยกลัวการโดนซัดหน้าที่สุด”

สีหน้าอี้ไป๋อึมครึม เหลือบมองหานเฟิง

หานเฟิงทำเหมือนไม่เห็น ตะโกนต่อไป

ตอนนี้ลู่ฝานปล่อยปราณชี่ของตัวเองออกมา

ปราณชี่ที่รุนแรงและรวมตัวกัน เหมือนเปลวเพลิงลุกโชน ทำให้ศิษย์คณะนานาตกใจ

“พลังปราณของเขาแปลกมาก เหมือนเปลวเพลิงเลย”

“หึ กลัวว่าจะไม่ได้มาจากการฝึกฝนที่ซื่อตรงน่ะสิ”

“ทำไมพลังปราณของเขา ดูเหมือนพลังชี่ของผู้ฝึกชี่เลยล่ะ”

…..

นักเรียนเก่าที่ไม่เคยดูการต่อสู้ของนักเรียนใหม่ พากันถกเถียงเรื่องพลังปราณของลู่ฝาน

อี้ไป๋หัวเราะเย็นชา ไม่ว่าจะเป็นพลังปราณอะไร วิทยายุทธคือพื้นฐาน ดูระดับการก่อตัวของพลังปราณนี้ แค่แดนปราณในชั้นสาม ธรรมดาๆ เท่านั้น

วิทยายุทธเช่นนี้ ไม่สามารถข่มขู่อะไรเขาได้ ถึงขนาดที่เขาคงไม่ต้องใช้กระบี่เล่มที่สองเลยล่ะ

อี้ไป๋ปล่อยพลังปราณออกมาทันที

พลังปราณอันแข็งแกร่ง เหมือนของแข็ง วิทยายุทธต้องมีแดนปราณในชั้นเก้าแน่นอน

หานเฟิงขมวดคิ้วเบาๆ ไม่ได้เจออี้ไป๋นาน วิทยายุทธเพิ่มขึ้นหนึ่งขั้นอีกแล้ว

แดนปราณในชั้นเก้า วิทยายุทธเช่นนี้ แค่ก้าวหน้าอีกขั้นหนึ่ง สามารถยื่นเป็นครูที่ปรึกษาของสถาบันสอนวิชาบู๊ได้แล้ว ศิษย์น้องลู่ฝานจะสู้ได้ไหม หานเฟิงมีความสงสัยมากมายในใจ

“ลงมือเถอะ ไม่งั้นอีกเดี๋ยว นายจะไม่มีโอกาสแล้ว”

อี้ไป๋พูดอย่างเย็นชา

เขาไม่ได้ดูถูกคู่ต่อสู้ แต่เผชิญกับคนที่มีวิทยายุทธต่ำกว่าเขาหกขั้น อี้ไป๋ไม่สามารถโจมตีก่อนได้จริงๆ นั่นจะทำให้ชื่อเสียงยอดฝีมือของเขาเสียหาย

ลู่ฝานยิ้มบางๆ ในเมื่ออีกฝ่ายให้เขาลงมือก่อน งั้นเขาลงมือเลยละกัน

ลู่ฝานถือกระบี่หนัก ก้าวไปบนพื้น จนมาถึงหน้าอี้ไป๋

สะบัดกระบี่ออกไป!

ฟันกระบี่ลงไปแบบธรรมดาทั่วไป ปราณชี่บนตัวไม่ได้เคลื่อนไหวอะไร

อี้ไป๋เห็นดังนั้น จึงยกกระบี่ขึ้นมาขวางไว้ ความดูหมิ่นในใจ พุ่งถึงขั้นสุด

นักบู๊แดนปราณในชั้นสาม ไม่ว่าอย่างไร ก็น่าจะมีกระบวนท่าที่เก่งกาจ อีกฝ่ายฟันกระบี่โจมตี ง่ายดายขนาดนี้ เพราะความสามารถแย่เกินไปหรือเปล่า

อย่าบอกนะว่า การรับนักนักเรียนใหม่ของสถาบันสอนวิชาบู๊ในปีนี้ แย่ถึงขั้นนี้เลยเหรอ

เคร้ง!

เสียงดังขึ้นชัดเจน ต่อมา หน้าของอี้ไป๋ชะงักไป

พลังแข็งแกร่งมาก!

การฟาดฟันเพียงครั้งเดียวของลู่ฝาน ทำให้ฝ่าเท้าของอี้ไป๋ จมลงไปในพื้นดินหนึ่งนิ้ว กระบี่ของอี้ไป๋ เกือบจะหลุดมือ

เป็นไปได้ยังไง นักบู๊แดนปราณในชั้นสาม มีพละกำลังมากกว่าเขางั้นเหรอ

ครั้งนี้ อี้ไป๋ไม่รับการโจมตีแบบโง่ๆ แล้ว เขาหมุนตัว เอากระบี่โจมตีออกไป พลังปราณทั้งตัว ปกคลุมตัวกระบี่เอาไว้

แต่กระบี่ของเขาเพิ่งออกมาแค่ครึ่งเดียว ก็โดนกระบี่หนักของลู่ฝานขวางเอาไว้

เปลี่ยนกระบวนท่ากลางคัน ทำลายการโจมตีของอีกฝ่าย ลู่ฝานสะบัดกระบี่ออกมาอย่างไม่รีบร้อนอีกครั้ง

อี้ไป๋หน้าแดงขึ้นมาทันที กระบี่ของลู่ฝานเมื่อกี้ โดนช่องว่างของเขาพอดี เหมือนเขาใช้พลังทั้งหมด แทงกระบี่ออกมากลางอากาศ ความรู้สึกอันตราย ที่ไม่ได้โฟกัส ทำให้เขาไม่สามารถทรงตัวได้

เมื่อเห็นว่าลู่ฝานกำลังจะฟันกระบี่ลงมาอีก อี้ไป๋เลือกที่จะหลบ

การเคลื่อนไหวร่างกายเหมือนใยหลิว มีภาพลวงตาด้วย

แต่วินาทีต่อมา เขาเห็นว่ากระบี่ของลู่ฝาน ยังตามมาโจมตีเขา แต่การฟาดฟันเมื่อกี้ กลายเป็นตัวกระบี่ กวาดไปทั่ว

เสียงดังอึกทึก กระบี่หนัก เหมือนกับประตูบานใหญ่ กระแทกเข้ากับตัวอี้ไป๋

พลังไม่ได้แข็งแกร่งมาก แต่พลังเป็นกลุ่มเป็นก้อนมาก พุ่งเข้าไปในตัวเขาทันที

จากนั้นระเบิดออกมา

อี้ไป๋สั่นไปทั้งตัว โดนกระบี่หนักกระแทกจนกระเด็นไปสามฟุต

พยายามบิดตัวกลางอากาศ กระบี่ยาวปักลงไปในดิน อี้ไป๋คุกเข่าข้างหนึ่งลงพื้น เลือดไหลออกมาจากมุมปาก

ทุกคนพากันอ้าปากค้าง เหตุการณ์นี้ ไม่เหมือนกับที่พวกเขาจินตนาการไว้

หานเฟิงพูดเบาๆ ว่า “ศิษย์พี่รอง ศิษย์พี่สาม ผมไม่ได้ตาฝาดใช่ไหม ศิษย์น้องลู่ฝานกำลังได้เปรียบอี้ไป๋ กระบวนท่าของเขา ดูเหมือนธรรมดามาก ทำไมถึงทำให้ผมรู้สึก……อธิบายไม่ถูก”

ศิษย์พี่รองพยักหน้าพูดว่า “ใช่ กระบวนท่าของเขา ไม่มีอะไรนอกจากการฟันและเหวี่ยง แต่ทำให้คนไม่สามารถหลบได้ และรู้สึกมีพลังกดดัน ไม่สามารถต้านทานได้ พวกนายสังเกตหรือเปล่า ทุกครั้งที่อี้ไป๋เคลื่อนไหว ศิษย์น้องลู่ฝานจะเปลี่ยนกระบวนท่าทันที กระบวนท่าเต็มเปี่ยมเป็นอย่างมาก ราวกับว่าเดิมทีเขาจะทำแบบนี้ แปลกมาก อย่าบอกนะว่านี่คือสิ่งที่ศิษย์น้องลู่ฝานฝึกออกมา”

หานเฟิงหัวเราะขึ้นมา แล้วพูดว่า “ไม่ต้องไปสนใจเขา กลับไปค่อยถามศิษย์น้องลู่ฝาน ก็รู้แล้ว ศิษย์น้องลู่ฝาน อย่าโจมตีหน้าอก โจมตีหน้า โจมตีหน้า!”

หานเฟิงตะโกนขึ้นมาอีก ลู่ฝานหันมายิ้มบางๆ ให้หานเฟิง

ศิษย์คณะนานาคนอื่น มองศิษย์พี่อี้ไป๋เขม็ง พวกเขาสงสัยว่า ก่อนหน้าที่ศิษย์พี่อี้ไป๋มา เขาบาดเจ็บสาหัสหรือเปล่า ทำไมดูเหมือนไม่แข็งแกร่งเลย

อี้ไป๋ปาดเลือดตรงมุมปาก แอบพูดในใจว่า ประมาทแล้ว ถึงไอ้เด็กนี่พลังปราณอ่อนแอ แต่พละกำลังน่าตกใจมาก อีกทั้งวิชากระบี่นั่น มีความแปลกประหลาดเล็กน้อย ดูเหมือนจะชะล่าใจไม่ได้เลย

เหมือนคลื่นอันน่ากลัว โจมตีไปทั่ว พลังรุนแรงทำให้พื้นใต้เท้าราบเป็นหน้ากลอง เศษหินเศษดิน โดนกวาดออกไปจนหมด

สิงคงยืนอยู่ที่เดิม ดาบง้าวในมือหักออก

ขาเริ่มสั่น สุดท้ายสิงคงร้องโอดครวญออกมา และคุกเข่าข้างหนึ่งลงบนพื้น

กระบวนท่าของหานเฟิง ทำลายพลังการต่อสู้ของเขา

หานเฟิงส่งเสียงหึอย่างเย็นชา “ไม่เจียมตัว”

เมื่อพูดแบบนี้ หานเฟิงหันกลับไปยักคิ้วให้พวกลู่ฝาน

ฉู่เทียนไม่รอช้า แบกต้นปรงสาคูขึ้นมา เตรียมจะเดินออกไป

ศิษย์คณะนานาบริเวณรอบๆ พูดไม่ออกสักคำ

มองสิงคงคุกเข่าข้างเดียวอยู่บนพื้น พวกเขาไม่เข้าใจว่าคณะหนึ่งเดียว มียอดฝีมือแบบนี้ได้อย่างไร คณะหนึ่งเดียว เป็นคณะที่แย่สุดไม่ใช่หรือไง

ลู่ฝานพรูลมหายใจออกมา ไม่ว่ายังไง จัดการได้ก็ดีแล้ว

เห็นท่าทางได้ใจของศิษย์พี่หานเฟิง ลู่ฝานยิ้มแหยๆ ไปเถอะ รีบกลับกันเถอะ

ทั้งสี่คนเดินออกมาจากกลุ่มคน ศิษย์คณะนานาโมโหมาก แต่ไม่ได้ขวางไว้

ตอนพวกเขากำลังจะออกไป จู่ๆ มีเสียงดังขึ้นจากไกลๆ

“เดี๋ยวก่อน ในเมื่อมาแล้ว จะกลับไปง่ายๆ แบบนี้เหรอ”

เสียงดังเข้ามาในหูศิษย์พี่ฉู่สิงและคนอื่น ทันใดนั้น ศิษย์พี่ทั้งสามของลู่ฝาน สีหน้าเปลี่ยนไป

“ศิษย์พี่อี้ไป๋ ศิษย์พี่อี้ไป๋มาแล้ว”

ศิษย์คณะนานา ตะโกนแทบขาดใจ กลุ่มคนแยกเป็นสองทาง หลีกทางให้ใครคนหนึ่ง

เสื้อขาวดั่งหิมะ หน้าตาหล่อเหลา กระบี่ยาวสี่เล่ม เสียบอยู่ด้านหลัง ทำให้ศิษย์ที่เป็นผู้หญิง แทบกรี๊ดจนสลบ เห็นได้ชัดว่าศิษย์พี่อี้ไป๋คนนี้ เป็นที่นับถืออย่างมาก ในบรรดาคนพวกนี้

ฉู่เทียนวางต้นปรงสาคู ลากหานเฟิงมาด้านหลัง การกระทำนี้ ดูเหมือนว่าศิษย์พี่ฉู่เทียนคิดว่า หานเฟิงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา

แต่หานเฟิงกลับพูดอย่างไม่สนใจ “อี้ไป๋กระบี่นักปราชญ์ มีอะไรเหรอ ถ้าไม่ใช่เพราะอาจารย์ ไม่อนุญาตให้ฉันใช้เคล็ดวิชาบู๊ระดับดิน จัดการศิษย์คณะอื่น ฉันคงทำให้นายตาย ด้วยกระบวนท่าเดียวไปแล้ว”

ลู่ฝานได้ยินคำพูดของหานเฟิง จึงถามอย่างไม่เข้าใจ “ศิษย์พี่หานเฟิง พูดอะไรน่ะ อาจารย์ไม่ให้พี่ใช้เคล็ดวิชาบู๊ ระดับดินเหรอ”

ศิษย์พี่รอง ศิษย์พี่สาม แค่ฝึกเคล็ดวิชาบู๊ระดับดินที่อาจารย์ถ่ายทอดให้ กฎเหล็กข้อแรกคือ ห้ามใช้กับคนสถาบันเดียวกัน ไม่งั้นนายคิดว่าคณะหนึ่งเดียวของเรา จะสู้คณะอื่นไม่ได้เหรอ ชิ

ลู่ฝานพยักหน้าเข้าใจ ที่แท้เป็นแบบนี้นี่เอง ฝึกแต่ห้ามใช้ มิน่าล่ะ ถึงอยู่ลำดับสุดท้าย

ศิษย์พี่รองฉู่เทียน เข้ามาพูดว่า “อี้ไป๋ ไม่เจอกันนานเลย”

อี้ไป๋พูดว่า “ฉู่เทียน ไม่ต้องมาพิธีรีตองกับฉัน บุกรุกเข้ามาในคณะนานาของฉัน ไม่สู้กับฉันสักสองกระบวนท่า นายไปไหนไม่ได้หรอก”

ฉู่เทียนพูดว่า “ช่างไม่ประจวบเหมาะเอาเสียเลย เมื่อกี้คนของคณะนาย พนันเอาไว้แล้ว พวกเราชนะแล้ว ดังนั้นจึงจะกลับ”

ฉู่เทียนพูดจบ หันหลังจะเดินไป ทันใดนั้น กระบี่ยาวลอยออกมา ปักอยู่ตรงหน้าฉู่เทียน

อี้ไป๋พูดว่า “ตลก เขาเป็นตัวแทนของทั้งคณะนานาได้เหรอ”

ฉู่เทียนพูดว่า “แล้วนายเป็นตัวแทนได้เหรอ”

อี้ไป๋สีหน้าเปลี่ยนไป พูดออกมาว่า “ฉันบอกว่าเป็นได้ ก็เป็นได้สิ ถ้าเอาชนะฉันได้ ต่อไปถ้ายังมีศิษย์คณะนานา ไปหาเรื่องพวกนายอีก ฉันคือคนแรกที่จะไม่ยอม ฉันใช้ฉายากระบี่นักปราชญ์ของฉัน เป็นประกัน โอเคแล้วใช่ไหม”

ขณะนั้น หานเฟิงทนไม่ไหวแล้ว พูดเสียงดังออกมาว่า “กระบี่นักปราชญ์ของนาย สูงส่งมากหรือไง เจ๋ง……”

หานเฟิงโดนฉู่สิงเอามือปิดปาก และลากกลับไป มาเยาะเย้ยตอนนี้ ไม่ใช่เรื่องดี

แววตาฉู่เทียนวูบไหว เห็นได้ชัดว่ากำลังครุ่นคิด ว่าจะสู้ดีไหม

ลู่ฝานเดินเข้าไปพูดว่า “ศิษย์พี่รอง กำลังคิดอยู่เหรอว่าจะใช้เคล็ดวิชาบู๊ดีไหม”

ฉู่เทียนพูดช้าๆ ว่า “โดนอาจารย์ไล่ออกจากสถาบัน เพราะเขา มันไม่คุ้ม”

ลู่ฝานถามว่า “พละกำลังของเขาเป็นยังไงครับ”

ฉู่เทียนขมวดคิ้วพูดว่า “น่าจะแดนปราณในชั้นแปด อาจชั้นเก้าก็ได้ เขาอยู่ในสถาบันมาสามปีแล้ว ฝึกเคล็ดวิชาบู๊ได้ไม่เลวเลยล่ะ”

ลู่ฝานชะงักไป แล้วพูดว่า “สามปี อยู่ในสถาบันได้แค่สามปีไม่ใช่เหรอ”

ฉู่เทียนพูดว่า “นั่นกับศิษย์ทั่วไป ฝึกไม่ถึงแดนปราณในชั้นห้า ภายในสามปี ต้องโดนไล่ออกจากสถาบันทั้งหมด ส่วนศิษย์ที่ฝึกสำเร็จจากข้างนอก และกลับมา เป็นผู้มีพรสวรรค์แท้จริง ฝึกในสถาบันเป็นสิบปีก็ได้”

ลู่ฝานพยักหน้าพูดว่า “ที่แท้เป็นอย่างนี้นี่เอง ศิษย์พี่ฉู่เทียน งั้นรอบนี้ ให้ผมจัดการเอง พี่ใช้เคล็ดวิชาบู๊ไม่ได้ ของผมคงไม่มีปัญหา อาจารย์ไม่ได้บอกผมว่าห้ามใช้”

ฉู่เทียนพูดว่า “วิชากระบี่ขั้นพื้นฐานของนายเล่มนั้น แค่ระดับมนุษย์ชั้นต้น แน่นอนว่าใช้ได้อยู่แล้ว เดี๋ยวนะศิษย์น้องลู่ฝาน นายพูดจริงเหรอ อีกฝ่ายเป็นแดนปราณในชั้นแปดถึงเก้าเลยนะ”

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “วางใจเถอะ ขอแค่ไม่ใช่นักบู๊ปราณนอก ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ถึงเขาเป็นนักบู๊ปราณนอก ผมก็ไม่แพ้ง่ายๆ หรอก ผมมั่นใจ”

ฉู่เทียนมองแววตาแน่วแน่ของลู่ฝาน ครุ่นคิดแล้วหัวเราะออกมา “โอเค ศิษย์น้องลู่ฝาน ฉันก็อยากเห็นเหมือนกัน ว่าช่วงนี้ นายฝึกอะไรออกมาได้บ้าง”

ฉู่เทียนหันไปพูดกับอี้ไป๋ “อี้ไป๋ ในเมื่อนายอยากสู้ งั้นให้ศิษย์น้องฉันสู้กับนายละกัน ถ้านายเอาชนะศิษย์น้องฉันได้ ฉันจะสู้กับนายสองกระบวนท่า”

อี้ไป๋หัวเราะพรืดออกมา “ฉู่เทียน นายลืมไปแล้วเหรอ ว่านายเคยแพ้คามือฉัน”

ฉู่เทียนหัวเราะ “ใครแพ้คามือ นายน่าจะรู้อยู่แก่ใจ”

รอยยิ้มบนใบหน้าอี้ไป๋ชะงักไป จากนั้นหันไปมองลู่ฝาน

อี้ไป๋พูดว่า “ศิษย์คนใหม่ของคณะหนึ่งเดียว หึ ฉันเคยได้ยินมาแล้ว ฉันจะทำให้นายรู้ว่าการเลือกคณะหนึ่งเดียว เป็นข้อผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง”

ลู่ฝานเข้าใจแล้วว่าทำไมศิษย์พี่ฉู่สิง ศิษย์พี่ฉู่เทียน ไม่กล้าบอกอาจารย์อี้ชิงไปตรงๆ เรื่องที่จะยืมขวาน

คงเป็นเพราะว่าต้นไม้ที่พวกเขาจะตัด เป็นต้นไม้ล้ำค่าของคณะคนอื่น

ศิษย์พี่หานเฟิงเอาสองมือเท้าเอว ด่ากับศิษย์คณะนานา อย่างน้อยหลายสิบคน คิดไม่ถึงว่าพลานุภาพ ไม่ได้ด้อยกว่าเลยสักนิด

ลู่ฝานเพิ่งเคยเห็นครั้งแรกว่าการด่าคน สามารถด่าได้อย่างเฉียบคมขนาดนี้ ศิษย์พี่หานเฟิงยืนพูดไม่หยุด ด่าไปครึ่งชั่วยามเต็มๆ คำที่ด่าไม่ซ้ำกันสักประโยค

กลับกัน ศิษย์คณะนานา โดนด่าจนเสียงเบาลงเรื่อยๆ บางคนโกรธจนจะเข้ามาหาเรื่องหานเฟิง

สุดท้ายหานเฟิงต่อยพวกเขา จนกลิ้งลงบนพื้น โดยไม่ต้องชักกระบี่ออกมาเลย

“ถุย พวกไม่เอาไหนอย่างพวกนาย กล้ามาลงมือกับฉัน กลับบ้านไปกินนมแม่ แล้วค่อยกลับมานะ”

หานเฟิงสู้จบ ก็ด่าขึ้นมาอีก ทำให้ศิษย์คณะนานา โกรธจนตาแดงก่ำ

ศิษย์คณะนานา รวมตัวเยอะขึ้นเรื่อยๆ เกินสองร้อยคนเข้าไปแล้ว

ลู่ฝานเห็นแล้วหนังตากระตุก พูดเบาๆ ว่า “ศิษย์พี่รอง ศิษย์พี่สาม พอได้แล้วมั้งครับ พวกเรารีบแยกย้ายเถอะ”

ศิษย์พี่ฉู่สิงพูดว่า “นายไม่ต้องรีบ หานเฟิงจะจัดการได้แล้ว”

“จัดการ จัดการอะไร”

“ในเมื่อพวกนายไม่ยอม สู้เรามาจัดการกันหน่อยไหม มาสู้กับฉัน ถ้าฉันชนะ พวกนายไสหัวกลับไปฝึกฝนต่อซะ ฉันจะเอาต้นปรงสาคูไป ถ้าฉันแพ้ จะคืนต้นปรงสาคูให้พวกนาย

“ใครว่าไม่มี ไอ้เลวคณะหนึ่งเดียว ฉันจะสั่งสอนนายเอง”

“ฉันด้วย”

……

กลุ่มคนถกแขนเสื้อขึ้น ดึงมีด กระบี่ออกมา เตรียมจะเข้ามา

ขณะนั้น เสียงตวาดดังขึ้นมา

“พวกนายจัดการได้เหรอ หลีกไปเลย!”

เสียงทรงพลัง กลุ่มคนหลีกทางให้ ชายถือดาบง้าวเดินออกมา

“ศิษย์พี่สิงคง!”

ศิษย์คณะนานา ดีใจเป็นอย่างมาก

“ศิษย์พี่สิงคง จัดการพวกเลวคณะหนึ่งเดียว เอาต้นปรงสาคูคืนมา”

“ศิษย์พี่สิงคงเป็นคนจัดการของเรา เขารับคำท้าแทนพวกเรา ไอ้เลวคณะหนึ่งเดียว นายตายแน่”

ศิษย์คณะนานา พูดตะโกนเสียงดัง หานเฟิงกลับยิ้มอย่างดูหมิ่น แล้วพูดว่า “ไม่เคยได้ยินชื่อสิงคง ดูใช้ได้นะ กล้ารับคำท้าหรือเปล่า”

สิงคงชี้ดาบง้าวตรงหน้าหานเฟิง แล้วพูดว่า “มีอะไรต้องกลัว มาสิ ให้ฉันดูหน่อยว่า ศิษย์คณะลำดับต่ำอย่างคณะหนึ่งเดียว มีความสามารถอะไร”

หานเฟิงหัวเราะ ยกกระบี่ฟ้าครามขึ้นมาตรงหน้า

ฉู่สิง ฉู่เทียน ที่อยู่ด้านหลังก็หัวเราะ ฉู่เทียนพูดเสียงเบาว่า “ฮ่าๆ ดูเหมือนว่าแค่หานเฟิงตอบรับไอ้ยักษ์นี่ เราจะได้เอาต้นปรงสาคูกลับไปได้ ศิษย์น้องลู่ฝาน อีกไม่นาน จะมีบ้านที่ทำจากต้นปรงสาคูให้นายแล้ว”

ลู่ฝานยิ้มแหย “ที่แท้นี่คือแผนของศิษย์พี่หานเฟิงเหรอ ยั่วยุอีกฝ่ายก่อน แล้วค่อยพนัน ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ อย่างมากแค่ขอโทษ จากนั้นกลับไปอย่างปลอดภัย”

ฉู่สิงหัวเราะ แล้วพูดว่า “ใช้ได้ผลมาก ไม่ใช่หรือไง กลับกัน แค่ศิษย์ของคณะนานาพวกนั้นไม่มา หานเฟิงต้องชนะแน่นอน”

ลู่ฝานพยักหน้า เรื่องนี้เขาไม่สงสัย พละกำลังของศิษย์พี่หานเฟิง ประมาณกำลังภายในขั้น6 นักบู๊ทั่วไป ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา บวกกับกระบวนท่ากระบี่ที่แข็งแกร่งของเขา แม้นักบู๊แดนปราณนอกมา ก็ไม่น่าจะกลัวเท่าไร

ตอนนี้ สิงคงแห่งคณะนานา ปล่อยกำลังภายในออกมา พลังปราณที่รวมตัวกัน น่าจะประมาณกำลังภายในขั้น 5-6

ดูจากพลังปราณ ระดับของทั้งสองคนไม่ต่างกัน

ย๊าก!

สิงคงแผดเสียงออกมา มือทั้งสองข้างง้างดาบง้าวขึ้นสูง เคลื่อนไหวราวกับบินได้ รวดเร็วเหมือนลมหมุน

จากนั้น ดาบพุ่งมาทางหานเฟิง

แสงดาบตัดจนพื้นกลายเป็นรอยร้าวครึ่งวงกลม

หานเฟิงยกกระบี่ฟ้าครามขึ้นมาขวางดาบง้าวเอาไว้

กล้ามเนื้อบนแขนทั้งสองข้างของสิงคงเป็นมัดๆ เส้นเลือดปูดขึ้นมา เขาเพิ่มแรงเข้าไปอีก

ตัวของหานเฟิงนิ่งไม่ขยับ ถือกระบี่ด้วยมือเดียว ไม่ว่าสิงคงจะเพิ่มแรงยังไง เขาก็ไม่ขยับไปไหน

ศิษย์คณะนานาบริเวณรอบๆ สีหน้าตกตะลึง พวกเขาคิดไม่ถึงว่า คณะลำดับต่ำในสถาบันสอนวิชาบู๊ อย่างคณะหนึ่งเดียว จะมียอดฝีมือแบบนี้ด้วย

หานเฟิงพลิกข้อมือ จนเกิดเป็นประกายกระบี่ โจมตีจนดาบง้าวของสิงคงเด้งออกไป

แสงกระบี่สว่างวาบ สิงคงโดนโจมตีสามกระบี่

แต่ขณะนั้น ดาบง้าวที่กระเด็นออกไป ร่วงลงมาอีกครั้ง

ฟ้าถล่มดินทลาย

เมื่อกระบี่ร่วงลงมา หานเฟิงหมุนตัวหลบ

แต่รอยร้าวใต้เท้าของเขา ขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว เสียงระเบิดดังขึ้น พื้นดินแตกกระจาย ฝ่าเท้าหานเฟิง จมลงไปในพื้นดินที่ถล่ม

ปราณอันแข็งแกร่ง ปกคลุมตัวหานเฟิงเอาไว้ แม้การเคลื่อนไหวของหานเฟิงจะรวดเร็ว แต่กลับไม่สามารถหลบได้

ในสถานการณ์คับขัน กระบี่ฟ้าครามในมือหานเฟิง มีวงแหวนสีฟ้าสว่างวาบขึ้นมา

หานเฟิงเอากระบี่ ปักลงไปบนพื้น วงแหวนสีฟ้าแตกกระจายทันที

หานเฟิงฉีกยิ้ม พูดว่า “เมื่อไรฉันจะเหาะได้บ้างนะ เฮ้อ ช่างเถอะ เจ้าดำ ถึงวันนี้แกจะก้าวร้าว แต่ฉันไม่จู้จี้กับแกแล้ว”

หานเฟิงทำเป็นสะบัดหมัดใส่เจ้าดำ สองสามที จากนั้นเตรียมจะกลับไปพักผ่อนที่ห้อง

ขณะนั้น มีใครบางคนวิ่งกลับมาอย่างรวดเร็ว

“ศิษย์พี่สาม”

หานเฟิงพูดอย่างตกใจ เห็นฉู่สิงสภาพน่าเวทนาเป็นอย่างมาก เสื้อผ้าขาดเป็นรูทั้งตัว เหมือนโดนคนนับไม่ถ้วน ใช้กระบี่โจมตีใส่

“เกิดอะไรขึ้น ศิษย์พี่รองล่ะครับ”

หานเฟิงพูดออกมา แล้วรีบเดินเข้าไป

ฉู่สิงพูดว่า “อย่ามัวพูดไร้สาระ เก็บขวานให้ดีก่อน นายเอากระบี่ ไปบนเขากับฉัน เร็ว ให้ตายเถอะ เราโดนคนของคณะนานาล้อมไว้ ฉันหนีกลับมา ฉู่เทียนยังอยู่บนเขาอยู่เลย”

หานเฟิงรีบรับขวานที่ฉู่สิงส่งให้ จากนั้นโยนเข้าไปในห้องตัวเอง

ดึงกระบี่ฟ้าครามออกมาจากด้านหลัง หานเฟิงพูดเสียงดังว่า “ไอ้ฉิบหาย กล้าแตะต้องศิษย์พี่รองฉัน ถามฉันหรือยัง ไป!”

ลู่ฝานได้ยินทั้งสองคุยกันด้านนอก เขาขมวดคิ้วเบาๆ ปิดหนังสือลง เปิดประตูแล้วพูดว่า “ผมไปด้วย อย่างน้อยก็ได้ช่วย”

หานเฟิง ฉู่สิง อึ้งไปในตอนแรก

ทั้งสองก้มหน้าลง เห็นว่าไม่มีหนังสือในมือลู่ฝานแล้ว หานเฟิงหัวเราะแล้วพูดว่า “ฮ่าๆ ศิษย์น้องลู่ฝาน ในที่สุดนายก็อ่านจบแล้ว ไปๆ ถือโอกาสให้ฉันได้เห็น ผลของการที่นายฝึกฝนมาสองสามเดือน”

ฉู่สิงสีหน้ากังวล เขากังวลเรื่องวิทยายุทธของลู่ฝาน จึงพูดว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน อีกฝ่ายเป็นหัวกะทิของคณะนานาเชียวนะ อย่างน้อยอยู่ในระดับแดนปราณในชั้นห้า ขึ้นไป นายไม่มีปัญหาใช่ไหม”

ลู่ฝานพยักหน้าพูดว่า “ไม่มีปัญหาครับ ช่วงนี้อ่านหนังสือจนเหนื่อยพอดี ควรฝึกฝนฝีมือสักหน่อย”

ลู่ฝานหยิบกระบี่หนัก ที่วางอยู่ข้างประตูขึ้นมา แววตาของเขาเฉียบคม

หานเฟิงหัวเราะ แล้วพูดว่า “ศิษย์น้องโหดเหี้ยมจริงๆ ฉันชอบคำนี้นะ ศิษย์พี่สาม มัวคิดอะไรอีกล่ะ รีบไปกันเถอะ ถ้าช้าแล้วเกิดอะไรกับศิษย์พี่รอง จะทำยังไง เจ้าดำ แกเฝ้าบ้านให้ดีล่ะ”

หานเฟิงฉีกยิ้มให้เจ้าดำ แต่เจ้าดำกลับกลอกตามองบนใส่หานเฟิง

ฉู่สิงพยักหน้าหงึกหงัก ทั้งสามรีบมุ่งหน้าไปบนเขา

เทือกฉิงเทียน ยาวเป็นหมื่นลี้ มีพื้นที่เป็นเนินขึ้นๆ ลงๆ มากมาย เหมือนรูปมังกร เป็นสถานที่มงคลอย่างแท้จริง

ภูเขาที่ตั้งของคณะหนึ่งเดียว ชื่ออวิ๋นซาน เป็นแค่เนินเขาเล็กๆ ในภูเขาสูงมากมาย ของเทือกฉิงเทียน เพราะว่าคณะหนึ่งเดียวตั้งอยู่ที่นี่ ดังนั้นเขาลูกนี้จึงชื่อว่าอวิ๋นซาน

ข้ามเขาอวิ๋นซาน ไปทางซ้ายสามร้อยลี้ จะเป็นคณะบังเหิน ซึ่งครอบคลุมพื้นที่พันลี้ ส่วนไปทางขวาสองร้อยลี้ จะเป็นคณะนานา ที่ใหญ่ยิ่งกว่า

ตอนนี้ ฉู่สิงพาลู่ฝานกับหานเฟิง เหาะไปทางขวา

ระยะทางสองร้อยลี้ มาถึงเพียงพริบตาเดียว ลู่ฝานวิ่งพลางขมวดคิ้ว

ที่นี่คงเป็นถิ่นของคณะนานาสินะ

เสียงต่อสู้ดังเข้ามาในหู ทั้งสามคนวิ่งไปยังทิศทางที่เสียงดังมา ไม่นาน ทุกคนเห็นกลุ่มนักเรียนของคณะนานา กำลังล้อมวงกันอยู่

ตรงกลาง มีผู้ชายกอดต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง เหวี่ยงรอบๆ ไม่หยุด นั่นต้องเป็นฉู่เทียนแน่นอน

“หลีกไปนะ”

หานเฟิงแผดเสียงดังออกมา พุ่งเข้าไปก่อนเพื่อน ลู่ฝานกับฉู่สิง ตามหลังไปติดๆ พุ่งเข้าไปในกลุ่มคน

พลานุภาพของทั้งสามคนพลุ่งพล่าน ศิษย์คณะนานารอบๆ พากันหลีกทาง

ฉู่เทียนเห็นศิษย์น้องทั้งสามคนมา จึงหัวเราะแล้วพูดว่า “พวกนายมาสักที ขืนรออีก คนพวกนี้คงจะคลุ้มคลั่ง”

ฉู่เทียนหันไปวางต้นปรงสาคูขนาดใหญ่ ลงบนพื้นอย่างแรง

ต้นปรงสาคูยาวเกือบสิบฟุต กว้างสิบฟุต กระแทกจนพื้นสั่น

หานเฟิงยืนหน้าฉู่สิง แล้วพูดเสียงดังว่า “ทำไมต้องทำร้ายศิษย์พี่ฉัน ศิษย์คณะนานา ก้าวร้าวเกินไปแล้วนะ ถ้ากล้าก็เข้ามาสู้กับฉัน”

หานเฟิงเพิ่งพูดจบ ศิษย์คณะนานาคนหนึ่ง เดินออกมาพูดว่า “ใครก้าวร้าวกันแน่ พวกนายมายังถิ่นของคณะนานา และตัดต้นปรงสาคูพันปีที่อาจารย์ของเราปลูก พวกนายเป็นศิษย์คณะไหน ถึงไม่ทำตามกฎเกณฑ์เช่นนี้”

ลู่ฝานอึ้งไป พูดเบาๆ กับศิษย์พี่ฉู่สิงว่า “เขาพูดจริงเหรอ”

ศิษย์พี่ฉู่สิงหัวเราะอย่างกระอักกระอ่วน แล้วพูดว่า “เรื่องนี้พูดยาก”

ศิษย์พี่ฉู่เทียนที่อยู่ข้างๆ หัวเราะออกมา เห็นสีหน้าของทั้งสองคน เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายพูดถูก

สีหน้าลู่ฝานเปลี่ยนไปเล็กน้อย รีบดึงแขนเสื้อศิษย์พี่หานเฟิง แล้วพูดว่า “ศิษย์พี่หานเฟิง เขาพูดถูก เราทิ้งต้นปรงสาคู แล้วรีบไปกันเถอะ”

หานเฟิงพูดอย่างตกใจว่า “จริงแล้วไง ทำไมต้องทิ้งต้นปรงสาคูด้วย”

หานเฟิงหันกลับมา ยืดอกพูดเสียงดังว่า “สมบัติล้ำค่า คนมีวาสนาถึงจะได้ ปรงสาคูต้นนี้ อยู่ในคณะของพวกนายมาพันปี ไม่มีใครเอาไปได้ แสดงว่ามันไม่ใช่ของพวกนาย ตอนนี้ศิษย์พี่ของฉันเอามันมาได้ ต้องเป็นของศิษย์พี่ฉันอยู่แล้ว ฉันชื่อหานเฟิง ของคณะหนึ่งเดียว กล้าเปิดเผยตัวเองอย่างองอาจ”

ทันใดนั้น สีหน้าของศิษย์คณะนานา อึมครึมขึ้นมา ก่นด่าคำหยาบต่างๆ นานา ออกมายกใหญ่

ลู่ฝานอ้าปากค้าง พูดไม่ออก ฉู่สิงที่อยู่ข้างๆ พูดเบาๆ ว่า “หน้าไม่ด้าน วิทยายุทธไม่พอ ศิษย์น้องลู่ฝาน นี่เป็นสไตล์คณะหนึ่งเดียวของเรา ต่อไปนายจะชินเอง”

ทันใดนั้น ลู่ฝานเหมือนโดนตบหน้า มึนงงขึ้นมาทันที

เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ผ่านเดือนสามไปอีกแล้ว

สายลมเย็นเหมือนเดิม เมฆขาวเคลื่อนตัวอย่างงดงาม

ปราณบนมือซ้ายของลู่ฝาน เคลื่อนไหวตลอดเวลา ศึกษาวิชากระบี่ขั้นพื้นฐานอย่างละเอียด

สภาพจิตใจปลอดโปร่ง ไม่มีสิ่งใด นอกจากวิชากระบี่ ในใจเปลี่ยนแปลง

ด้านนอก ศิษย์พี่หานเฟิง ตามเจ้าดำ ที่กำลังวิ่งไปทั่ว เหมือนเจ้าดำขโมยอะไรของศิษย์พี่หานเฟิงอีกแล้ว หานเฟิงโกรธสุดขีด วิ่งไปตะโกนไป “หยุดเดี๋ยวนี้ อย่าบังคับให้ฉันจับแกมาตุ๋นนะ”

เจ้าดำเหมือนสายฟ้าสีดำ เร็วมาก จนน่าอัศจรรย์

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกินนกกระจอกอัคคีม่วง กินโสมแก่ หรือกินผลไม้ชาด เพราะเจ้าดำเติบโตเร็วมาก

เวลาแค่ไม่กี่เดือน ตัวประมาณสุนัขพันธ์ครึ่งสุนัขครึ่งหมาป่าแล้ว ไม่สามารถกระโดดขึ้นไปอยู่บนไหล่ลู่ฝานได้อีก

ผิวหนังบนตัวก็เป็นสีดำขลับ ความแข็งเหมือนหินเหมือนเหล็ก ก่อนหน้านี้ ศิษย์พี่ฉู่สิง พาเจ้าดำขึ้นไปบนเขารอบหนึ่ง หลังจากกลับมา ศิษย์พี่ฉู่สิง เอาแต่ชมเจ้าดำไม่หยุด บอกว่าความสามารถในการจับสัตว์อสูรของเจ้าดำ เหนือธรรมชาติมาก เห่าครั้งเดียว พวกสัตว์อสูรระดับต่ำ ล้มลงบนพื้น ตัวสั่นงันงกกันหมด

วันนั้นเป็นวันที่ศิษย์พี่ฉู่สิง ได้ของเยอะที่สุด ทุกคนได้ทานอาหารมื้อใหญ่ อย่างเอร็ดอร่อย

อาจารย์อี้ชิงก็หาเวลาว่างสองสามวัน เพื่อสอนเจ้าดำสักเล็กน้อย

ไม่รู้ว่าอาจารย์อี้ชิงใช้วิธีอะไร ทำให้เจ้าดำฝึกวิชาชุดหนึ่ง ได้โดยอัตโนมัติ

ทุกคืนจะเห็นเจ้าดำเหมือนคน นั่งสมาธิอยู่หน้าประตู ดูดซับแสงจันทร์

ชื่อของกระบวนท่าก็โหดเหี้ยมมาก มีชื่อว่าวิชาสัตว์อสูรเห่าหอน

ตั้งแต่นั้นมา เจ้าดำดุดัน ไม่มีใครขวางได้ เหมือนแข็งแกร่งขึ้นทุกวัน จนถึงตอนนี้ แม้พวกศิษย์พี่หานเฟิง จะใช้วิชาเคลื่อนไหวร่างกาย ด้วยพลังทั้งหมด ก็จับเจ้าดำได้ยาก

แน่นอนว่าลู่ฝานไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้

เขายังคงศึกษาวิชากระบี่ขั้นพื้นฐาน อย่างเงียบๆ บางทีก็สะบัดกระบี่หนักอยู่ในลานบ้าน บางทีก็กอดหนังสือ เดินขึ้นไปบนเขา นั่งบนหินอยู่หลายวัน

เขาแทบจะไม่ได้สนทนาอะไรกับพวกศิษย์พี่ หลายเดือนมานี้ คุยกับศิษย์พี่หานเฟิง แทบจะนับประโยคได้

อย่างเช่น “ศิษย์พี่หานเฟิง พี่อย่าเอาแต่คิดจะขโมยหนังสือผมได้ไหม พี่อยากอ่าน เราศึกษาด้วยกันก็ได้”

“ศิษย์พี่หานเฟิง พี่ราดน้ำใส่หัวผมทำไม”

“ศิษย์พี่หานเฟิง อย่ารบกวนผมอ่านหนังสือได้ไหม”

“ศิษย์พี่หานเฟิง ผมไม่อยากอ่านหนังสือลับของพี่ อย่าว่าแต่ในนั้นมีแต่ภาพเลย อีกทั้งยังดูไม่งามด้วย”

“ศิษย์พี่หานเฟิง อย่าคิดว่าพี่เปลี่ยนหนังสือของผม แล้วผมจะไม่รู้ วิชากระบี่ขั้นพื้นฐาน ไม่มีทางมีรูปคนสองคนกำลังแข่งขันกระบี่กัน แข่งไปแข่งมา แล้วไปอยู่บนเตียง”

“ศิษย์พี่หานเฟิง……”

ลู่ฝานเหนื่อยใจ แต่ศิษย์พี่หานเฟิงชอบมาแกล้งเขา

เข้าใจว่ามีเหตุผลเพียงพอ จึงเอาแต่พูดไม่หยุด “เอาแต่กอดหนังสือทั้งวัน เหมือนพวกหนอนหนังสือที่บ้านเก่าฉัน เราเป็นนักบู๊ นักบู๊ต้องเคลื่อนไหว มา ศิษย์น้องลู่ฝาน ไปบนเขากับฉัน อ้อมเขาลูกนี้ไป จะไปคณะบังเหินได้ ได้ยินว่านักเรียนหญิงที่คณะบังเหิน

ลู่ฝานไม่มีทางไปกับศิษย์พี่หานเฟิงหรอก สุดท้ายศิษย์พี่ฉู่สิง ศิษย์พี่ฉู่เทียนตามเขาไป เมื่อกลับมา ทั้งสามคนหน้าตาฟกช้ำดำเขียว

อาจารย์อี้ชิงถามอย่างละเอียด ถึงรู้ว่าโดนศิษย์พี่หญิง ของคณะบังเหินจัดการมา

อันที่จริง ลู่ฝานไม่ค่อยเข้าใจสิ่งนี้เท่าไร เขาคิดว่าศิษย์พี่ทั้งสามคนเก่งมาก ทำไมถึงโดนจัดการได้ล่ะ

ต่อมาลู่ฝานจึงเข้าใจ เมื่อสามคนนี้สู้กับสาวงาม จะยอมโดนซัดอย่างเดียว ไม่ยอมสู้กลับ จึงโดนซัดจนสภาพน่าเวทนามาก

วันนี้ ศิษย์พี่ฉู่สิง ศิษย์พี่ฉู่เทียน ขึ้นเขาไปอีกแล้ว

ทั้งสองคนจะขึ้นไปหาไม้ดีๆ สักหน่อย จะทำบ้านไม้ใหม่ให้ลู่ฝาน เพราะเอาแต่อยู่ในห้องของศิษย์พี่ใหญ่ไม่ได้ ถ้าศิษย์พี่ใหญ่กลับมาจะทำยังไง

เดิมที นี่เป็นเรื่องของลู่ฝาน สองสามเดือนก่อนหน้านี้ ลู่ฝานคิดจะทำเองแล้ว

แต่ศิษย์พี่ฉู่สิง ศิษย์พี่ฉู่เทียน แอบมาบอกลู่ฝานว่าไม่ให้เขาทำก่อน เหตุผลคือ ศิษย์พี่ฉู่สิง ศิษย์พี่ฉู่เทียน รู้ว่าในภูเขามีต้นปรงสาคูพันปีอยู่ต้นหนึ่ง ขาดอีกแค่ไม่กี่เดือน จะออกดอกแล้ว

เป็นเรื่องมหัศจรรย์ โดยเฉพาะดอกของมัน เป็นวัตถุดิบยาชั้นดี แต่ต้นปรงสาคูพันปี ศิษย์พี่ฉู่เทียนกับศิษย์พี่ฉู่สิง ไม่สามารถทำอะไรมันได้ เพราะต้นไม้ชนิดนี้ มีความสามารถในการฟื้นฟู และความสามาถในการป้องกัน แข็งแกร่งมาก

คิดไปคิดมา ศิษย์พี่ทั้งสองจึงคิดจะยืมอาวุธของอาจารย์อี้ชิง ขึ้นไปบนเขา

อาจารย์อี้ชิงมีขวานวิเศษเล่มหนึ่ง คมมาก ทนทาน ไม่มีอะไรที่ไม่ขาด มีขวานวิเศษนี้ ต้องจัดการกับต้นปรงสาคูได้แน่

เรื่องนี้จะบอกอาจารย์อี้ชิงไม่ได้ ต้องหาเหตุผลดีๆ ยืมขวานมาให้ได้

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เหตุผลที่ดีที่สุด คือช่วยศิษย์น้องลู่ฝานสร้างบ้าน

เมื่อเป็นเช่นนี้ ลู่ฝานก็เลยต้องอยู่ในห้องของศิษย์พี่ใหญ่ ต่อไปสองสามเดือน จนกระทั่งวันนี้ ศิษย์พี่ฉู่สิงกับศิษย์พี่ฉู่เทียน ยืมขวานได้ และรีบไปบนเขาแล้ว คิดว่าอีกไม่นานคงกลับมา

ด้านนอก การวิ่งไล่ตามของเจ้าดำกับหานเฟิง สิ้นสุดลงแล้ว

สุนัขหนึ่งตัวกับคนหนึ่งคน ยืนหอบอยู่ในลานบ้าน ต่างฝ่ายต่างจ้องหน้ากัน

ประตูห้องอาจารย์อี้ชิงเปิดออก เขาลูบท้องที่เต็มไปด้วยไขมัน อาจารย์อี้ชิงพูดกับหานเฟิงว่า “หานเฟิง ฉันจะไปเขาอี้ว์หลิงสักรอบ ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกแก น่าจะใกล้ออกจากการเก็บตัวฝึกฝนแล้ว ฉันจะไปรับเขา สองสามวันนี้ พวกแกฝึกฝนในคณะดีๆ อย่าออกไปทำเรื่องไม่ดี”

หานเฟิงยิ้มแล้วพูดว่า “อาจารย์วางใจได้เลยครับ ทักทายศิษย์พี่ใหญ่แทนพวกเราด้วยนะครับ พวกเรารอให้เขากลับมาเร็วๆ”

อาจารย์อี้ชิงพยักหน้า เด้งตัวขึ้นไปบนฟ้า จากนั้นจึงเหาะไป หายเข้าไปในกลีบเมฆ อย่างรวดเร็ว

ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน ลู่ฝานต้องหาให้เจอ

และไม่ว่าจะเป็นลู่ฝาน ฉู่สิง ฉู่เทียน หรือหานเฟิง ล้วนไม่รู้ว่าอาจารย์อี้ชิง มายืนอยู่หลังประตูตั้งนานแล้ว มองการกระทำของพวกเขาผ่านประตูที่แง้มไว้ เห็นอย่างชัดเจน

“ไอ้เด็กพวกนี้”

อาจารย์อี้ชิงหัวเราะออกมา เขาคิดถึงช่วงเวลาที่ตัวเองฝึกฝนในตอนนั้น

มิตรภาพของลูกศิษย์ การสืบทอดในคณะเดียวกัน

อาจารย์อี้ชิงเปิดประตู สะบัดมือเอาเก้าอี้โยกมา จากนั้นค่อยๆ นั่งลงพักสายตา

เห็นอาจารย์อี้ชิงออกมา ฉู่สิง ฉู่เทียน หานเฟิง ท่องเสียงดังทันที เสียงลอยไปไกลตามสายลม

……

เวลาที่เหลือ ลู่ฝานศึกษาวิชากระบี่ขั้นพื้นฐาน อย่างละเอียด

ตั้งแต่เช้ายันค่ำ ดวงอาทิตย์ขึ้นยันดวงอาทิตย์ตก ศึกษาอย่างตั้งใจจนถึงเช้าของอีกวัน

ตอนแรกลู่ฝานไม่เห็นวิชาอะไรเลย นี่คือหนังสือวิชากระบี่ขั้นพื้นฐาน

แต่หลังจากอ่านอย่างละเอียด ลู่ฝานพบว่าวิชากระบี่ขั้นพื้นฐานเล่มนี้ แตกต่างจากวิชากระบี่ขั้นพื้นฐานอื่นๆ

ท่าแยก ท่าแทง ท่าหมุนวน ท่ากวาด ท่าตัด ท่าแขวน ท่ากระดกขึ้น ท่าตวัดลง ท่าสัมผัส ท่ายก ท่าตวัดบน ท่าตั้ง ท่าขวาง ท่าพาดเฉือน ท่าทะลุผ่าน ท่าผ่า ท่าเฉือน

แค่ท่าแยกยังแบ่งเป็นย่อยเป็น ท่าแยกแบบขาซวี ท่าแยกแบบท่านั่งธนู ท่าแยกแบบหมุนตัวด้านหลัง ท่าแยกแบบโจมตีด้านล่าง เป็นต้น ท่าแยกกว่าพันสองร้อยรูปแบบ

วิธีการแยกแต่ละวิธี ยังมีเทคนิคการใช้อยู่ 3-4ประเภท รวมไปถึงคำอธิบายเคล็ดวิชาบู๊ ที่เกี่ยวข้องด้วย

18 กระบวนท่าเต็มๆ นับดูแล้ว อย่างน้อยมีเทคนิคการใช้วิชากระบี่อยู่หลายหมื่นประเภท

ไม่พูดเรื่องอื่น แต่จำนวนแบบนี้ ทำให้ลู่ฝานตกใจกับความไม่ธรรมดา เมื่ออ่านไปเรื่อยๆ พบว่าไม่ได้มีแค่สิ่งเหล่านี้

หลังจากอธิบายกระบวนท่าหนึ่งจบ ยังมีการประสานเชื่อมโยงกระบวนท่านี้ กับกระบวนท่าอื่น อธิบายไว้โดยละเอียด เมื่อจำนวนกระบวนท่าเพิ่มขึ้น คำอธิบายโดยละเอียด ก็มีความหลากหลายมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่เพียงแต่จะมีวิธีเผชิญหน้ากับศัตรู ยังมีเทคนิคการโจมตีกลับด้วย

ยิ่งหน้าหลังๆ ยิ่งเยอะขึ้น จำนวนเยอะจนน่ากลัว

ลู่ฝานจินตนาการไม่ออก คนที่ขยันระดับไหน จึงจะเขียนหนังสือเล่มนี้ออกมาได้ เอาการวิเคราะห์อย่างสมบูรณ์แบบของวิถีกระบี่ทั้งหมด มาวางไว้ต่อหน้าเขาชัดๆ

ใช้รูปแบบง่ายๆ คำพูดง่ายและตรงที่สุด มาบอกคุณว่าฝึกฝนกระบี่อย่างไร ควรฝึกอย่างไร

ง่ายถึงขนาดที่ว่าถ้าอีกฝ่ายแยกออก คุณก็แค่ขวางเอาไว้

เรียนสิ่งนี้ ไม่จำเป็นต้องมีพรสวรรค์ใด ขอแค่ความขยันและความจำอันแข็งแกร่ง อีกทั้งยังต้องมีความสามารถในการเอาความรู้ ความเข้าใจมารวมกัน

ลู่ฝานจมอยู่ในวิถีแห่งกระบี่

ก่อนหน้านี้ ลู่ฝานคิดมาตลอดว่า วิชากระบี่ล้ำลึกสูงส่งที่สุด เป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ สูงส่งราวกับเทพ ลึกลับไม่เปิดเผย

แต่ตอนนี้ หนังสือเล่มนี้บอกเขาว่า วิถีกระบี่ก็เป็นอย่างนี้

พูดให้เข้าใจก็คือ ไม่มีอะไรนอกจากการฝึกฝนจนเชี่ยวชาญ

ลู่ฝานฝึกฝนทุกวัน เรียนรู้อยู่ตลอดเวลา เขาไม่อาจแยกจากวิชากระบี่ขั้นพื้นฐานได้แล้ว

หานเฟิงและคนอื่น เห็นท่าทางของลู่ฝาน ต่างพากันไม่ค่อยเข้าใจ

ก็แค่เคล็ดวิชาบู๊ระดับคนขั้นพื้นฐานเล่มหนึ่ง อาจารย์ต้องเอาออกมาทดสอบเขาแน่นอน ทำไมต้องจริงจังขนาดนี้ ดูไม่เหมือนแสร้งทำด้วย

คุณเคยเห็นคนที่แสร้งทำตอนกินข้าว จนเกือบจะเอาอาหารยัดใส่จมูกหรือเปล่าล่ะ

คุณเคยเห็นคนแสร้งทำตอนกลางคืน ขณะที่ทุกคนหลับ แต่เขายังสะบัดกระบี่อยู่ทั้งคืนหรือเปล่าล่ะ

หานเฟิงและคนอื่น เริ่มเรียกลู่ฝานว่าศิษย์น้องบ้าบู๊

ลู่ฝานไม่ได้ว่าอะไร คำเรียกที่ไม่น่าฟังกว่านี้ เขายังได้ยินมาแล้วหลายสิบปี จะเรียกอะไรก็เรียกไปเถอะ

พริบตาเดียว เวลาผ่านไปสองเดือน ลู่ฝานยังไม่วางหนังสือลง

หานเฟิงและคนอื่น ลองอยู่หลายรอบ เพื่อที่จะให้ลู่ฝานละสายตาออกมา

แต่ไม่ว่าพวกเขาทำอย่างไร ก็ไม่สามารถรบกวนลู่ฝานได้เลย ถึงตอนกลางคืน พวกเขาอยากแอบเอาหนังสือลู่ฝานมา ก็ไม่ได้

ลู่ฝานเอาการนอนหลับมาเป็นการฝึกฝน กอดหนังสือตลอดเวลา จะให้พวกเขาแอบเอามาได้อย่างไร

อาจารย์อี้ชิงเห็นท่าทีของลู่ฝาน เขายิ้มแล้วพูดว่า “รอให้ศิษย์น้องลู่ฝานของพวกแก ฝึกฝนรอบนี้เสร็จ เขาคงตามแดนของพวกนายทันแล้ว”

หานเฟิงตะโกนออกมาทันที “อาจารย์ล้อเล่นหรือเปล่า ผมฝึกฝนมาปีกว่าแล้วนะครับ ศิษย์น้องลู่ฝานจะตามผมทัน ในสองเดือนเนี่ยนะ อาจารย์ให้เขากินยาวิเศษหรือเปล่า”

อาจารย์อี้ชิงยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่มียาวิเศษหรอก ถ้ามี ฉันกินเองไปแล้ว จะจริงหรือไม่ รอให้ลู่ฝานฝึกเสร็จ เดี๋ยวก็รู้เอง”

หานเฟิงและคนอื่นมองลู่ฝาน เริ่มคาดหวังให้ลู่ฝานฝึกเสร็จ

เคล็ดวิชาบู๊ระดับคนขั้นพื้นฐาน เก่งกาจขนาดนั้นเชียวหรือ

ลู่ฝานจะพูดอะไรได้อีก เขาตอบรับเบาๆ และเดินออกมาจากห้อง ท่ามกลางสายตาที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ของอาจารย์อี้ชิง

หนังสือหนามาก เหมือนกับแผ่นหิน ลู่ฝานเพิ่งเคยเห็นเคล็ดวิชาบู๊ หนาขนาดนี้เป็นครั้งแรก นี่แค่อ่านจบ คงต้องใช้เวลาหลายวัน

ลู่ฝานเงยหน้าขึ้น เห็นบนพื้นที่ศิษย์พี่ฉู่เทียนทำจนเกิดรอยแยก กลับมาอยู่ในสภาพเดิม ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้

ลู่ฝานขมวดคิ้ว แอบตกใจ อย่าบอกนะว่าเป็นฝีมือของอาจารย์อี้ชิง

ต้องมีวิทยายุทธยังไง ถึงจะทำให้พื้นที่แตก กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้

“นี่ ศิษย์น้องลู่ฝาน อาจารย์ไม่ได้ว่าอะไรใช่ไหม”

ศิษย์พี่หานเฟิง แอบเปิดประตูออกมาเรียกลู่ฝาน ตอนนี้ศิษย์พี่ฉู่สิงกับฉู่เทียน ท่องเสียงดังขึ้นมาทันที ราวกับคุ้มกันศิษย์พี่หานเฟิง

ลู่ฝานเดินมาหน้าประตูห้องศิษย์พี่หานเฟิง แล้วพูดว่า “ไม่ได้ว่าอะไรครับ อาจารย์ให้วิชากระบี่ผมมาเล่มนึง แล้วให้ผมออกมา ศิษย์พี่หานเฟิง รู้ไหมว่าเกิดอะไรกับพื้นนี้ เมื่อกี้ยัง……”

ศิษย์พี่หานเฟิงรีบพูดว่า “ไม่มีอะไร แค่ค่ายกลคณะในสถาบันสอนวิชาบู๊ ว่ากันว่าเซียนบำเพ็ญชี่กับเซียนบู๊ที่ค่อนข้างเก่งร่วมกันวางเอาไว้ เป็นทั้งสถาบันสอนวิชาบู๊ เมื่อพื้นเสียหาย จะกลับมาอยู่ในสภาพเดิมอย่างรวดเร็ว นายชินไว้ก็ดี ศิษย์น้องลู่ฝาน นายได้วิชากระบี่อะไรมา เคล็ดวิชาบู๊ระดับดินหรือเปล่า”

ลู่ฝานเอาหนังสือในมือ ยื่นให้หานเฟิง แล้วพูดว่า “ไม่ใช่ เป็นเคล็ดวิชาบู๊ระดับคนขั้นพื้นฐานเท่านั้น”

“หา?”

ศิษย์พี่หานเฟิง เปิดหนังสืออย่างไม่อยากเชื่อ พบว่าเป็นวิชากระบี่พื้นฐานจริงๆ กระบวนท่าง่ายไม่ซับซ้อน

หานเฟิงหน้าเปลี่ยนสี พึมพำว่า “อาจารย์ขี้เหนียวขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร”

หานเฟิงเงยหน้า คืนหนังสือให้ลู่ฝาน จากนั้นแอบวิ่งไปอีกด้าน คลำหนังสือคู่มือเล่มเล็ก ยื่นให้ลู่ฝาน “ศิษย์น้องลู่ฝาน นี่เป็นวิชาของศิษย์พี่ ในนี้มีความรู้จากผู้อาวุโสในอดีตกับความเข้าใจของฉัน นายเอาไปอ่าน ไม่ต้องรีบคืนฉัน”

ลู่ฝานสีหน้าเปลี่ยนไป รีบส่ายหน้าพูดว่า “ศิษย์พี่หานเฟิง จะทำแบบนี้ได้ยังไง”

ให้นายอ่านก็อ่านเถอะ เมื่อไรที่ฉันต้องใช้ ฉันค่อยไปเอาจากนาย ไม่ต้องเกรงใจ นี่เป็นประเพณีของคณะหนึ่งเดียว ตอนฉันมา รุ่นพี่ใหญ่ รุ่นพี่รอง

หานเฟิงเอาคู่มือเล่มเล็ก ยัดใส่มือลู่ฝาน จากนั้นดันลู่ฝานออกไป

ลู่ฝานมองคู่มือเล่มเล็กในมือ แววตาวูบไหวเล็กน้อย

ลู่ฝานกลับถึงห้อง เอาหนังสือกับคู่มือวางไว้บนโต๊ะ

ลู่ฝานเปิดคู่มือของศิษย์พี่หานเฟิงก่อน เขาอยากรู้ว่าเมื่อกี้ทำไมตอนที่ศิษย์พี่หานเฟิง จะโชว์เคล็ดวิชาบู๊ของตัวเอง ถึงโดนศิษย์พี่ทั้งสองคนขวางไว้สุดชีวิต

เปิดคู่มือของศิษย์พี่หานเฟิง ลู่ฝานอ่านอยู่ครู่หนึ่ง แล้วสูดหายใจเฮือก

ที่แท้เป็นอย่างนี้นี่เอง มิน่าล่ะ ถึงไม่ยอมให้ศิษย์พี่หานเฟิงใช้

เคล็ดวิชาระดับนี้ เทียบกับเคล็ดวิชาของศิษย์พี่ฉู่เทียนกับศิษย์พี่ฉู่สิง ดูเหมือนจะน่ากลัวกว่าเล็กน้อย

ถ้าเขาใช้ สิ่งก่อสร้างที่นี่ คงหายไปหมด

เคล็ดวิชาอันน่ากลัว น่ากลัวจริงๆ อีกทั้งเงื่อนไขการฝึกสูงมาก ต้องมีร่างกายพิเศษ ศิษย์พี่หานเฟิงทำได้ยังไง

ปิดคู่มือลง เคล็ดวิชาบู๊นี้ โอกาสที่เขาจะฝึกสำเร็จ คงมีไม่มาก เพราะเขาไม่มีคุณสมบัติของร่างกาย ที่เป็นอมตะ อย่างในคู่มือบอกไว้ แม้จะฝืนฝึก ความสำเร็จคงมีไม่มาก ขั้นหลังๆ คงไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาแล้ว

ปิดคู่มือเล่มเล็กลง ลู่ฝานเปิดหนังสือวิชากระบี่พื้นฐานเล่มหนา

ยังไม่ทันอ่าน ขณะนั้น มีเสียงดังขึ้นหน้าประตู

“ศิษย์น้องลู่ฝาน รับไป”

ศิษย์พี่ฉู่เทียนกับศิษย์พี่ฉู่สิง ยืนยิ้มอยู่หน้าประตู ฉู่สิงพูดว่า “อาจารย์ไม่ให้ของดีกับนาย นายก็เรียนเคล็ดวิชาของพวกเราสิ ฮ่าๆ รอให้ศิษย์พี่ใหญ่กลับมา นายค่อยไปเรียนกับศิษย์พี่ใหญ่ ต้องไม่มีปัญหาแน่นอน

ศิษย์พี่ฉู่เทียนยิ้มบางๆ ไม่พูดอะไรมาก หัวเราะเสียงดังให้ลู่ฝาน

ทั้งสองพูดจบ จึงเดินออกไป รีบกลับไปท่องต่อ

ลู่ฝานมองหนังสือสองเล่มในมือ แล้วมองหนังสือของหานเฟิงบนโต๊ะ

เขารู้สึกอบอุ่นใจเป็นอย่างมาก

ความรู้สึกนี้ ตอนเขาอยู่บ้าน ได้สัมผัสน้อยมาก แค่ไม่กี่ครั้ง และมาจากพ่อของเขา ไม่มีในบรรดาคนรุ่นเดียวกัน

ลู่ฝานเอาหนังสือวางบนโต๊ะ ตาเป็นประกาย เขาพึมพำว่า “ดูเหมือนฉันถูกกำหนดไว้แล้ว ว่าต้องเป็นคนของคณะหนึ่งเดียว ศิษย์พี่ทุกท่าน ฉันจะไม่ทำให้พวกพี่ผิดหวัง”

เปิดหนังสือวิชากระบี่ขั้นพื้นฐาน ลู่ฝานเริ่มศึกษาอย่างละเอียด เขาไม่เชื่อว่าอาจารย์อี้ชิง จะจงใจเอาหนังสือเคล็ดวิชาบู๊ระดับคนขั้นพื้นฐาน มาให้เขาพอเป็นพิธี

บางทีนี่อาจเป็นการทดสอบอย่างหนึ่ง หรือไม่ก็มีอะไรลึกลับในนั้น

ฟ้าดินสั่นสะเทือน ลู่ฝานรู้สึกว่าพื้นกำลังสั่นสะเทือน

ต่อมา เกิดรอยแยกลึกเป็นทาง อยู่ตรงหน้าลู่ฝาน เหมือนศิษย์พี่ฉู่เทียน ตัดพื้นดินแยกออกจากกัน ด้วยการโจมตีครั้งเดียว

รอยแยกลึก ยืดยาวออกไปเรื่อยๆ จนสุดสายตา นี่ศิษย์พี่ฉู่เทียนยังไม่ได้ใช้มีดเลย

ฉู่เทียนฟื้นฟูลมหายใจ ยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ได้สับแบบสะใจอย่างนี้มานานแล้ว ศิษย์น้องลู่ฝาน การโจมตีรูปแบบนี้คือระเบิด เอาพลังทั้งหมด กลับไปกักเก็บไว้ในจุดตันเถียน แล้วปลดปล่อยมันออกมาทันที ไม่ต้องเหลือไว้ ไม่ต้องคิดอะไรเยอะ เมื่อโจมตีออกไป ไม่มีสิ่งใดในโลก ฆ่าคนอื่นไม่ได้ ให้รีบหนีทันที”

นับว่าลู่ฝานเข้าใจบ้างแล้ว พยักหน้าพูดว่า “เข้าใจแล้วครับ”

การโชว์ของศิษย์พี่ทั้งสองคน ทำให้ลู่ฝานเปิดหูเปิดตา ไม่ว่าใครก็เก่งกว่าเขา ลู่ฝานถามตัวเอง ตอนนี้ตัวเองคงไม่สามารถต้านทานกระบวนท่าของศิษย์พี่รองได้

ตอนนี้หานเฟิงหัวเราะเสียงดัง พูดว่า “โอเค ศิษย์พี่รอง ศิษย์พี่สาม โชว์เรียบร้อยแล้ว งั้นฉันขอโชว์สักหน่อยละกัน”

เมื่อเขาพูดออกมา จู่ๆ สีหน้าของศิษย์พี่รองกับศิษย์พี่สาม เปลี่ยนไปทันที

หานเฟิงพูดพลาง เอากระบี่ฟ้าครามออกมา

ฉู่เทียนรีบตะโกนออกมาทันที “หานเฟิง นายหยุดเดี๋ยวนี้นะ”

ฉู่สิงพุ่งเข้าไปทันที กระโจนใส่จนหานเฟิงล้มลงกับพื้น

ฉู่เทียนพุ่งตามเข้ามา ทั้งสองคนกดตัวหานเฟิงลงกับพื้น

หานเฟิงดิ้นพลางร้องตะโกนว่า “ให้ผมโชว์หน่อยสิ ผมควบคุมได้ ทำไมพวกพี่ไม่เชื่อผม ผมควบคุมได้! ศิษย์พี่รอง ศิษย์พี่สาม อย่ากดหน้าผม หน้าอันหล่อเหลาของผมนะ”

หานเฟิงตะโกนเสียงดัง ขณะนั้นประตูห้องของอาจารย์อี้ชิงเปิดออก

เห็นทั้งสามคนกำลังชุลมุน อาจารย์อี้ชิงระเบิดความโมโหออกมา แผดเสียงดังพูดว่า “พวกแกไม่ได้ทะเลาะกันวันหนึ่ง ไม่สบายใจกันใช่ไหม มานี่เลย กลับมาที่ห้องเลย อ่านบทจิตเต๋าหมื่นรอบ”

เสียงตะโกนของอาจารย์อี้ชิง ทำให้ทั้งสามคนลุกขึ้นยืน ก้มหน้าสลด ทั้งสามเดินกลับห้อง เริ่มท่องเสียงดังขึ้นมา

“จิตใจสงบ สรรพสิ่งราบเรียบ ไม่แย่งไม่ชิง……”

ลู่ฝานยืนอยู่ที่เดิม เขาก้มหน้าเหมือนกัน นี่มาฝึกตอนเช้านะ

อาจารย์อี้ชิงมองรอยร้าวบนพื้น พูดอย่างไม่ได้ดั่งใจว่า “รู้ว่าการทะเลาะกัน วันหนึ่งไม่ช้าก็เร็ว คณะหนึ่งเดียวคงแตกเพราะพวกแก ลู่ฝานมานี่”

ลู่ฝานรู้ว่าตัวเองหนีไม่พ้น จึงตอบรับเบาๆ และรีบเดินไป

เดินตามอาจารย์อี้ชิงเข้าไปในห้อง ยืนอย่างว่าง่ายในห้อง

อาจารย์อี้ชิงลูบท้อง สีหน้าผ่อนคลายลงเล็กน้อย จากนั้นพูดว่า “ลู่ฝาน เมื่อกี้นายเห็นการแสดงออกของศิษย์พี่ไม่เอาไหนทั้งสองคนแล้ว รู้สึกยังไงบ้าง”

ลู่ฝานพูดว่า “ศิษย์พี่ทั้งสองท่านแข็งแกร่งมาก ผมสู้ไม่ได้”

ลู่ฝานพูดความจริง อาจารย์อี้ชิงหัวเราะ แล้วพูดว่า “ฉันไม่ได้ถามเรื่องนี้ ฉันถามว่ารู้สึกยังไงกับกระบวนท่าของพวกเขา”

ลู่ฝานอึ้งเล็กน้อย จากนั้นคิดแล้วพูดว่า “วิชากระบี่ของศิษย์พี่ฉู่สิง มีความแข็งแกร่งอยู่ในความอ่อนโยน อ่อนโยนและแข็งแกร่งควบคู่กันไป วิชาดาบของศิษย์พี่ฉู่เทียน โหดเหี้ยมไร้เทียมทาน”

อาจารย์อี้ชิงพยักหน้า “ถูกต้อง แล้วนายชอบอันไหน”

ลู่ฝานพูดอย่างไม่ต้องคิด “ชอบหมดเลยครับ”

แต่ก็ถูก นักบู๊คนไหนไม่ชอบวิชาแข็งแกร่งบ้างล่ะ น่าเสียดาย เคล็ดวิชาของพวกเขาทั้งสองคน ฉันเตือนนายว่าทางที่ดี อย่าเรียนให้ลึกซึ้ง แค่มองดู และเอาแก่นแท้มานิดหน่อยพอแล้ว

ลู่ฝานถามว่า “อาจารย์ เคล็ดวิชาบู๊ของศิษย์พี่ทั้งสอง อาจารย์เป็นคนถ่ายทอดให้เหรอครับ”

อี้ชิงพูดว่า “แน่นอนอยู่แล้ว ไม่งั้นพวกเขาจะไปเรียนวิชาลึกล้ำสูงส่งแบบนี้ จากที่ไหนกันล่ะ”

ลู่ฝานพูดตาเป็นประกาย “งั้นขอถามอาจารย์ ผมเหมาะสมกับเคล็ดวิชาบู๊แบบไหนครับ”

มีความสามารถ แน่วแน่ นิ่งดั่งขุนเขา ไม่บุ่มบ่าม ความรู้ความเข้าใจ เป็นที่น่าตกใจ นายเหมาะกับวิชาอันลึกล้ำสูงส่งที่ซับซ้อน วิชาประเภทนั้น คนทั่วไปฝึกไม่ได้

ลู่ฝานพูดว่า “อาจารย์พูดอวยเกินไปแล้ว”

อาจารย์อี้ชิงพูดว่า “นี่ไม่ได้อวย เป็นเรื่องจริง เดิมที จากที่ฉันคิด นายเหมาะจะฝึกเพลงเต๋าหนึ่งเดียวที่สุด แต่ตอนนี้อาจารย์เต้ากวงไม่อยู่ เขาไม่พูด ฉันก็ถ่ายทอดให้นายตามใจชอบไม่ได้ ดังนั้น ช่วงนี้ นายฝึกวิชาอื่นไปก่อน ฉันมีวิชากระบี่ระดับคนขั้นพื้นฐาน อยู่เล่มหนึ่งพอดี นายอ่านดูดีๆ ช่วงนี้ฝึกมันไปก่อนละกัน”

พูดพลาง อาจารย์อี้ชิง เอาหนังสือที่เต็มไปด้วยฝุ่น ออกมาจากใต้เตียง ดูออกเลยว่าหนังสือเล่มนี้ วางอยู่ใต้เตียงมานานแล้ว

ได้ยินคำว่าระดับมนุษย์ขั้นพื้นฐาน ลู่ฝานขมวดคิ้วเบาๆ

รับสมุดเคล็ดวิชาบู๊มา ตัวอักษรขนาดใหญ่ชัดเจนเขียนว่า เพลงกระบี่ขั้นพื้นฐาน

ลู่ฝานมองอาจารย์อี้ชิง แล้วพูดว่า “ให้ผมฝึกมันเหรอครับ”

อาจารย์อี้ชิงพยักหน้าพูดว่า “ใช่ นายฝึกมัน ตั้งใจฝึก อย่าปล่อยปละละเลย”

วันต่อมา สายลมยามเช้าพัดปะทะหน้า จิตใจเบิกบาน

ลู่ฝานเริ่มมาฝึกในลานตั้งแต่เช้า

ลู่ฝานถือกระบี่หนักในมือ ค่อยๆ สะบัดช้าๆ ปราณภายในบนตัวพลุ่งพล่าน

ลมหายใจสม่ำเสมอ ยืนอย่างมั่นคง การเคลื่อนไหวของเขาไม่เร็วเท่าไรนัก แต่สายลมรอบๆ เคลื่อนไหวตามลู่ฝาน

เจ้าดำคลานมาที่ประตูบ้านไม้อย่างเกียจคร้าน แม้บ้านไม้หลังนี้ เป็นของศิษย์พี่ใหญ่ แต่ตอนนี้ศิษย์พี่ใหญ่ฝึกอยู่หลังเขา ดังนั้นลู่ฝานจึงนอนชั่วคราวหนึ่งคืน วันนี้เขาต้องขึ้นเขาไปตัดไม้ สร้างบ้านไม้ของตัวเอง

ประตูห้องของศิษย์พี่ฉู่เทียนและศิษย์พี่ฉู่สิง เปิดออกช้าๆ ทั้งสองบิดขี้เกียจแทบจะพร้อมกัน หลังจากมองหน้ากัน ฉู่เทียนมองลู่ฝาน ที่กำลังฝึกกระบี่ แล้วพูดว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน นายขยันจริงๆ”

ฉู่สิงหยิบแก้วหินใบหนึ่ง ดื่มน้ำพลางพูดว่า “กระบี่มีปราณกดดัน รวมตัวแต่ไม่กระจายออกไป แดนแข็งแกร่งมากเลย แต่วิชากระบี่ดูแปลกๆ เล็กน้อย”

ลู่ฝานได้ยินคำพูดของฉู่สิง จึงเก็บกระบี่ หันมามองฉู่สิง แล้วพูดว่า “ศิษย์พี่สามหลักแหลม ผมไม่เคยเรียนวิชากระบี่ แค่ฝึกไปเท่านั้น”

ฉู่เทียนและฉู่สิงอึ้งไป

ฉู่เทียนหัวเราะแล้วพูดว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน นายไม่ได้หลอกฉันใช่ไหม แดนกระบี่เช่นนี้ นายไม่เคยฝึกวิชากระบี่จริงเหรอ”

ฉู่สิงพูดต่อ “หลอกคนมันไม่ถูกต้องนะ ศิษย์น้องลู่ฝาน ฉันใช้เล่ห์เหลี่ยมบ่อยเหมือนกัน แต่ไม่ได้แสร้งทำเก่งเหมือนนาย กับศิษย์พี่นายจะหลอกกันไปทำไม”

ลู่ฝานพูดอย่างกระอักกระอ่วน “ไม่เคยเรียนจริงครับ แค่ทำความเข้าใจด้วยตัวเอง ได้เล็กน้อยเท่านั้น”

แววตาลู่ฝานจริงจัง ไม่ได้โกหกจริงๆ

ฉู่เทียนกับฉู่สิงมองหน้ากัน จากนั้นฉู่สิงพูดว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นฉันขอหน้าด้าน สอนนายสักหน่อยละกัน ศิษย์น้องลู่ฝานอยากเรียนไหม”

ลู่ฝานยิ้มและมายืนอีกด้าน

ฉู่สิงเดินเข้ามา ย่อตัวลง ยืนอย่างมั่นคง มือซ้ายยกขึ้นสูง มือขวากดลงบนอากาศ ทำท่าทางอยู่ตรงหน้าลู่ฝาน

เขานั่งยองหน้าประตู แล้วพูดว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน วิชากระบี่ของศิษย์พี่ฉู่สิง สูงส่งมาก อยู่กับศิษย์พี่รองฉู่เทียน ถูกเรียกว่าคู่วีรบุรุษดาบกระบี่ ตั้งแต่แดนปราณนอกลงไป ไม่มีใครต้านทานได้ แม้จะธรรมดาๆ แต่นายก็ต้องเรียนรู้เอาไว้ รอให้นายเป็นแล้ว ศิษย์พี่จะสอนการป้องกันตัว ให้สองกระบวนท่า

ลู่ฝานตาเป็นประกาย ลืมคำพูดด้านหลังของหานเฟิงไปทันที

แดนปราณนอกลงไป ไม่มีใครต้านทานได้งั้นเหรอ

งั้นเขาต้องลองเรียนดูซะแล้ว

ฉู่สิงหัวเราะเบาๆ กวักมือเบาๆ ไปทางหานเฟิง พลังปราณบนตัวสว่างวาบ จากนั้นหานเฟิงเหมือนนกตื่นธนู กระโดดขึ้นมาทันที

เสียงแตกดังขึ้นชัดเจน ด้านล่างเท้าของหานเฟิง ปรากฏเป็นปราณกระบี่เรียวยาว

ฉู่สิงหมุนมืออีกครั้ง หานเฟิงหัวเราะ ตะโกนแล้วถอยหลังไปสองก้าว

ลู่ฝานหรี่ตาลงมองให้ชัดเจน เห็นศิษย์พี่ฉู่สิงปล่อยพลังปราณออกมาแบบเลือนราง

แต่ศิษย์พี่ฉู่สิงไม่มีพละกำลังแดนปราณนอก เขาควบคุมพลังปราณเหมือนสั่งการได้ ปลดปล่อยมันออกมาทันที

ฉู่สิงพลิกข้อมืออย่างต่อเนื่อง เท้าทั้งสองข้างเคลื่อนไหวเบาๆ

หานเฟิงโดนพลังปราณที่มองไม่เห็น จัดการจนกระโดดไปมา ปล่อยหมัดออกมาอย่างต่อเนื่อง พลังปราณปกคลุมร่างกาย แต่โดนปราณที่มองไม่เห็นต้านทานเอาไว้ เสื้อผ้าบนตัวโดนสับจนขาดเป็นรูเต็มไปหมด

หานเฟิงตะโกนออกมาว่า “ศิษย์พี่สาม ผมผิดไปแล้ว หยุด หยุด ผมมีเสื้อให้เปลี่ยนไม่กี่ตัวแล้วนะ ถ้าไม่หยุดผมจะแย่งเสื้อผ้าพี่มาใส่นะ”

ในที่สุดฉู่สิงก็หยุด หันไปมองลู่ฝานแล้วพูดว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน เห็นชัดเจนหรือยัง”

ลู่ฝานพอเรียนรู้ได้บ้าง จึงพยักหน้าแล้วพูดว่า “มองออกนิดหน่อยครับ”

ฉู่สิงพูดว่า “วิชากระบี่ชุดนี้ล้ำลึก กระบวนท่าก็ไม่เลว มีทั้งโจมตีและป้องกัน นายเข้าไปดูอย่าละเอียดสิ”

ลู่ฝานได้ยิน จึงเดินเข้าไป เมื่อเขาเห็นใต้เท้าของหานเฟิง ก็อึ้งไปทันที

บนพื้นมีตราหยินหยางปากว้าอย่างชัดเจน เขาเห็นอยู่ชัดๆ ตอนที่ศิษย์พี่ฉู่สิง ใช้กระบวนท่า สะบัดมืออย่างตามใจชอบ แต่ทำไมถึงเป็นแบบนี้ล่ะ

หานเฟิงมองรอยขาดบนเสื้อตัวเอง ร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตาออกมา

เหมือนลู่ฝานนึกอะไรได้ รีบเดินกลับมา มองไปใต้เท้าศิษย์พี่ฉู่สิง

เป็นรูปหยินหยางเหมือนกัน

“วิชากระบี่ที่ดี”

ลู่ฝานพูดออกมา

ฉู่สิงยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “แค่เป็นสิ่งที่ถนัดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ศิษย์น้องลู่ฝานลองดูได้ วิชากระบี่ชุดนี้ เมื่อถึงแดนปราณนอก พลานุภาพจะเพิ่มขึ้นมาก นับว่าดีมาก”

หานเฟิงก็ก้าวข้ามตัวอักษรมา แล้วพูดว่า “ไม่เพียงแค่ดีมาก วิชากระบี่มังกรดำชุดนี้ ยังเป็นเคล็ดวิชาบู๊ระดับดิน แม้จะเทียบไม่ได้กับดาบเทียนควบของศิษย์พี่ฉู่เทียน แต่ก็ไม่ต่างกันมากเท่าไร ศิษย์พี่ฉู่เทียน มาโชว์สักหน่อยไหม”

ฉู่เทียนหัวเราะเสียงดัง แล้วพูดว่า “ได้สิ ศิษย์น้องลู่ฝานอยากดูไหม”

ลู่ฝานพูดว่า “อยากสิครับ เชิญศิษย์พี่ฉู่เทียน”

ฉู่เทียนเดินเข้ามา ในมือไม่มีอาวุธอะไร พูดอย่างราบเรียบว่า “พวกนายหลีกไปหน่อย”

ลู่ฝานถอยหลังไปสองก้าว หันไปมองฉู่สิงกับหานเฟิง ถอยหลังกรูดเข้าไปในห้อง

ฉู่เทียนหันมาพูดกับลู่ฝาน “ศิษย์น้องลู่ฝาน ทางที่ดีถอยไปอีกหน่อย”

ลู่ฝานได้ยิน จึงถอยไปอีกหลายก้าว แต่เห็นสายตาของฉู่เทียน ดูเหมือนยังไม่พอ จึงตัดสินใจเดินไปข้างหานเฟิง

ฉู่เทียนละสายตาออกมา ทันใดนั้นพลานุภาพพลุ่งพล่านทั้งตัว

ตอนนี้ ฉู่เทียนเหมือนปีศาจดุร้าย ระเบิดพลานุภาพบนตัวออกมา มีแสงสีเลือดสว่างตรงมือซ้าย ต่อมา ฉู่เทียนเหวี่ยงมือไปที่พื้นอย่างแรง

ลู่ฝานรู้สึกได้ว่าฉู่เทียน ปล่อยพลังปราณทั้งหมดของตัวเองออกมาในพริบตา โจมตีออกไป

หันไปมอง ดูเหมือนศิษย์พี่หานเฟิงจะดูนิ่งสงบ

แต่ดูอย่างละเอียดแล้ว ทำไมศิษย์พี่หานเฟิงถึงหลับตาล่ะ

ลู่ฝานถามว่า “ศิษย์พี่สี่ เป็นอะไรไป อาหารไม่คุ้นปากเหรอ”

หานเฟิงพูดช้าๆ ว่า “อย่าพูด ให้ฉันได้สัมผัสรสชาติสักครู่”

ลู่ฝานพูดอะไรไม่ออก หันหน้ามาเงียบๆ

พอหันกลับมา ลู่ฝานเห็นอาจารย์อี้ชิง ศิษย์พี่ฉู่เทียน ศิษย์พี่ฉู่สิง ใช้มือคีบอาหารกินอย่างรวดเร็วสุดชีวิต

เห็นได้ด้วยตาว่าอาหารหม้อใหญ่ ลดลงอย่างรวดเร็ว

ลู่ฝานรีบหยิบตะเกียบกินอาหาร

ศิษย์พี่หานเฟิงสัมผัสรสชาติเสร็จแล้ว พูดเบาๆ ว่า “เฮ้อ ในที่สุดวันนี้ก็ได้กินของอร่อยแล้ว”

ศิษย์พี่หานเฟิงลืมตา หยิบตะเกียบขึ้นมา ทันใดนั้น เขาเห็นหม้อหินเปล่าๆ ที่โดนกินจนสะอาด หมุนอยู่ข้างหน้าตัวเอง

แล้วพูดว่า “ดีมาก มื้อนี้กินอย่างสบายใจ ต่อไปหน้าที่การทำอาหาร ยกให้เจ้าดำละกัน ลู่ฝานไม่ต้องเสียใจ อันที่จริงการทำอาหาร เป็นการฝึกฝนอย่างหนึ่ง รอให้ถึงเวลา ฉันจะมอบสิ่งดีๆ

ฉู่เทียน ฉู่สิง พยักหน้าสุดชีวิต พูดพร้อมกันว่า “อาจารย์พูดถูกที่สุด”

อาจารย์อี้ชิงชี้โต๊ะ แล้วพูดว่า “หานเฟิง เก็บทำความสะอาดด้วย ลู่ฝาน นายตามฉันมา”

ลู่ฝานลุกขึ้น เดินตามอาจารย์อี้ชิงออกไป

หานเฟิงมองโต๊ะอย่างอึ้งๆ จนถึงตอนนี้สติก็ยังไม่กลับมา

เอายาสมุนไพรออกมาจากอก ยัดให้เจ้าดำ แล้วพูดว่า “ฮ่าๆ เจ้าดำ ต่อไปเราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว ขอบคุณอาหารเย็นที่แกทำ ผลไม้ชาดนี้

เจ้าดำเบิกตาโตแวววาว มองผลไม้ชาดข้างหน้า สัญชาตญาณของมัน รู้สึกได้ว่าเป็นของดี รีบเอาอุ้งเท้าทั้งสองจับไว้แน่น

ทั้งสองเดินออกไป หานเฟิงเพิ่งตั้งสติได้ ตะโกนเสียงดังว่า “พวกนายมันเลวววว!”

หลังจากตะโกนออกมาเสร็จ หานเฟิงนึกอะไรออก คว้าเจ้าดำขึ้นมา

เจ้าดำคิดว่าหานเฟิงจะขโมยผลไม้ชาดในมือ จึงแยกเขี้ยวใส่หานเฟิง มีแสงอยู่ในปาก

แล้วพูดว่า “อย่าวู่วาม อย่าวู่วามเด็ดขาด เจ้าดำ เจ้าดำที่รักของฉัน แกดูสิ แกกินเนื้อของฉัน ฉันไม่ได้ว่าอะไรเลย แกทำอะไรให้ฉันกินอีกหน่อยได้ไหม ฉันหาวัตถุดิบให้ เป็นไง แกดูสิ ฉันก็มีสมุนไพรเหมือนกัน แกทำอาหารให้ฉัน

หานเฟิงเอาสมุนไพรเหี่ยวแห้งออกมา ดูเหมือนโสมแก่ในภูเขา

เจ้าดำดมอยู่ครู่หนึ่ง มันดมกลิ่นออกว่า สมุนไพรนี้ไม่เลว นิ่งไปพักหนึ่ง เจ้าดำจึงพยักหน้า

หานเฟิงยิ้ม เอาโสมแก่ให้เจ้าดำทันที

จากนั้นหานเฟิงเดินไปทางบ้านไม้ที่ถล่มลงมา เดินไปพูดไป “ในครัวยังมีวัตถุดิบแน่นอน ไปกันเถอะ เราทำอาหารตอนนี้เลย ฮ่าๆ พวกนายแย่งกันกินอย่างรวดเร็ว ฉันจะกินคนเดียว”

……

อีกด้านหนึ่ง อาจารย์อี้ชิงพาลู่ฝาน เข้ามาในห้องที่ดูค่อนข้างใหญ่

ผลักประตูห้อง กลิ่นไม้จันทน์หอมกระแทกจมูก เงยหน้าขึ้นมอง ภาพวาดแม่น้ำภูเขาขนาดใหญ่ แขวนเกือบครึ่งกำแพง

บนภาพมีตัวอักษรอยู่ทั้งซ้ายและขวา “ ปีใหม่เวียนมาบรรจบอีกรอบ ทุกสิ่งทุกอย่างกลับมาเป็นใหม่อีกครั้ง”

อาจารย์อี้ชิง เอาธูปออกมาจากด้านข้างสามดอก ส่งให้ลู่ฝานแล้วพูดว่า “มา คารวะภาพสามครั้งสิ ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป นายคือศิษย์ของคณะหนึ่งเดียวอย่างเป็นทางการ”

ลู่ฝานได้ยินดังนั้น จึงรับธูปมา สูดหายใจลึก คารวะรูปภาพสามครั้ง

ทันใดนั้น ธูปในมือเขาไหม้จนหมด ขี้เถ้าร่วงลงมาในมือลู่ฝาน จนทำให้เขาตกใจ

อาจารย์อี้ชิงพูดว่า “ไม่ต้องตกใจ นี่เป็นการแสดงออกอะไรก็ตาม อย่าคิดว่าสิ่งที่นายทำเมื่อกี้ไร้ประโยชน์ นายดูมือนายสิ”

ลู่ฝานรีบดูหลังมือตัวเอง

เห็นขี้เถ้าที่โดนสองมือตัวเองเมื่อกี้ ค่อยๆ ปรากฏออกมาเป็นคำว่าหยวน

อาจารย์อี้ชิงพูดว่า “มีสิ่งนี้ นายจึงจะเรียนเพลงเต๋าหนึ่งเดียวได้ โอเค มานี่สิ ฉันจะบอกเรื่องที่ต่อไป นายต้องฝึกฝนในคณะหนึ่งเดียว”

อาจารย์อี้ชิงสะบัดมือเบาๆ เก้าอี้สองตัวลอยมา

ลู่ฝานนั่งลงบนเก้าอี้ รอให้อาจารย์อี้ชิงพูดอย่างเงียบๆ

กว่าอาจารย์อี้ชิงจะเอาก้นใหญ่ของตัวเอง นั่งลงไปบนเก้าอี้ได้ พยายามนั่งพลางพูดว่า “ดูเหมือนต้องเอาเก้าอี้ใหญ่กว่านี้หน่อย เดิมทีไม่ได้อึดอัดขนาดนี้นี่ หรือว่าฉันอ้วนขึ้นเหรอ ใจกว้างรูปร่างสมบูรณ์ตามคาดจริงๆ!”

นั่งเข้าที่อย่างช้าๆ อาจารย์อี้ชิงพูดกับลู่ฝานว่า “ฝึกฝนในคณะหนึ่งเดียว มีเพียงสองเรื่องที่นายต้องจำไว้ เรื่องแรกต่อไปอย่าเข้าไปในส่วนลึกของเทือกฉิงเทียนและเขาอี้ว์หลิงตามใจชอบ ถ้าฉันกับอาจารย์เต้ากวงไม่ได้สั่ง นายห้ามเข้าไปที่นั่นแม้แต่ก้าวเดียว เชื่อฉัน เพราะหวังดีกับนาย ที่นั่นมีคนและสัตว์ ที่สามารถฆ่านายตายได้ เยอะแยะไปหมด เรื่องที่สอง ลูกศิษย์คณะนี้ ต้องมีจิตใจดี จิตใจขาวสะอาด ไม่งั้น จะโดนทำลายวิทยายุทธ ขับไล่ออกจากสถาบัน นายเข้าใจหรือยัง”

ลู่ฝานพยักหน้าจริงจัง “เข้าใจแล้วครับอาจารย์”

อาจารย์อี้ชิงพยักหน้า พูดว่า “อืม ดีมาก ลู่ฝาน หนทางการฝึกบู๊ ยังอีกยาวไกล จิตใจและกำลังของอาจารย์มีจำกัด สอนลูกศิษย์จำนวนมากไม่ได้ บวกกับประเพณีของคณะหนึ่งเดียว ดังนั้นศิษย์คณะหนึ่งเดียวไม่เยอะ แต่แค่นายเข้ามา อาจารย์จะสอนนายอย่างเต็มที่ ฉันอาจจะไม่สามารถทำให้นายก้าวหน้า ในระยะเวลาสั้นๆ และไม่ให้นายเรียนรู้เคล็ดวิชาบู๊อันสูงส่งทันที แต่เชื่อฉันเถอะ นายจะได้เรียนรู้สิ่งที่สำคัญกว่าการฝึกบู๊ ในคณะหนึ่งเดียว นั่นก็คือการฝึกจิตใจ แม้หนทางการเป็นนักบู๊จะช้า ไปเป็นผู้แข็งแกร่งคนนั้น เดินไปสู่จุดสุดยอดทีละก้าว”

หลังผ่านไปหนึ่งชั่วยาม พระจันทร์ทรงกลดสาดแสงไปทั่ว

ในลานบ้าน มีโต๊ะไม้วางไว้เรียบร้อย อาหารพื้นๆ ตามแบบแผนชีวิตที่เรียบง่าย ผักจานหนึ่ง ผลไม้ป่าสองสามอย่าง

“ลู่ฝาน แนะนำให้นายรู้จักสักหน่อย นี่คือหานเฟิง ศิษย์พี่สี่ของนาย ฉู่สิง ศิษย์พี่สาม ฉู่เทียน ศิษย์พี่รอง ศิษย์พี่ใหญ่ของนาย กำลังฝึกฝนกับอาจารย์เต้ากวง อยู่หลังเขา จะไม่กลับมาชั่วคราว”

อาจารย์อี้ชิงนั่งหัวโต๊ะ เอ่ยแนะนำตามลำดับ ลู่ฝานลุกขึ้นยืนคารวะ และเรียกชื่อ

“หานเฟิง ฉู่สิง ฉู่เทียน นี่คือลู่ฝาน นักเรียนใหม่ของคณะหนึ่งเดียว และเป็นศิษย์น้องห้าของพวกแก”

อาจารย์อี้ชิงชี้ลู่ฝาน แล้วพูดออกมา รอยยิ้มเต็มใบหน้า เห็นได้ชัดว่าพอใจกับลูกศิษย์ที่เพิ่งรับเข้ามา อย่างลู่ฝานเป็นอย่างมาก

“ฮ่าๆ ในที่สุดฉันก็ไม่ได้อยู่ล่างสุดแล้ว มาๆ ศิษย์น้องห้า ชิมฝีมือศิษย์พี่สิ โอ๊ย หน้าฉัน”

หานเฟิงดีใจอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าฟกช้ำดำเขียว ฉีกยิ้มโชว์ฟันขาว แต่ตำแหน่งฟันหน้าหายไปหนึ่งซี่ ดูโง่เงามาก

ฉู่เทียน ฉู่สิง ทั้งสองคนก็ไม่ต่างกันเท่าไร บาดเจ็บทั้งหน้า เห็นได้ชัดว่าเมื่อกี้อาจารย์อี้ชิง ลงมือไม่เบาเลย อีกอย่างกฎเกณฑ์ที่ว่า จะทำอะไรต้องไว้หน้าบ้าง ดูเหมือนจะใช้ไม่ได้ในคณะหนึ่งเดียว

ฉู่เทียน ฉู่สิงอยากยิ้มแสดงเจตนาดีให้ลู่ฝาน แต่สะเทือนถึงแผล รอยยิ้มดูแปลกประหลาดมาก

ลู่ฝานคีบอาหาร ท่ามกลางการเชิญอย่างอบอุ่น ของศิษย์พี่ทั้งสาม เมื่ออาหารเข้าปาก สีหน้าลู่ฝานเปลี่ยนไปทันที

หานเฟิงหัวเราะแล้วตบไหล่ลู่ฝาน “เป็นไงศิษย์น้อง อร่อยไหม”

ลู่ฝานฝืนกลืนอาหารลงไป และยิ้มออกมา

อาจารย์อี้ชิงพูดว่า “ลู่ฝาน ไม่อร่อยก็บอกไม่อร่อย พูดมาตรงๆ ไม่จำเป็นต้องกลัว”

หานเฟิงมองสีหน้าลู่ฝาน แล้วพูดว่า “ไม่อร่อยจริงเหรอ”

ลู่ฝานพยักหน้าเบาๆ หานเฟิงถอนหายใจ “เฮ้อ ดูเหมือนฝีมือการทำอาหารของฉัน คงไม่ก้าวหน้าแล้ว ศิษย์พี่รอง พี่มาทำเถอะ”

ฉู่เทียนพูดว่า “ได้น่ะได้อยู่แล้ว แต่พวกนายต้องรับรองว่า หลังจากฉันทำ พวกนายต้องกิน”

เขายังไม่ทันพูดจบ อาจารย์อี้ชิงรีบโบกมือไปมา “ช่างเถอะๆ ลู่ฝาน นายทำอาหารเป็นไหม”

ทุกคนหันไปมองลู่ฝาน

ลู่ฝานคิดไม่ถึงว่าคำถามแรกที่โดนถาม เมื่อมาถึงคณะหนึ่งเดียว คือทำอาหารเป็นหรือเปล่า

ลู่ฝานพูดช้าๆ ว่า “ผมทำไม่ค่อยเป็น”

ทุกคนถอนหายใจ หานเฟิงตะโกนออกมาว่า “สวรรค์ ทำไมฉันต้องกินอาหารแบบนี้ทุกวันด้วย ดูคณะบังเหินเขาสิ ดูคณะกำแหงเขาสิ เทียบกับคนอื่น มันน่าโมโหจริงๆ!”

อาจารย์อี้ชิงพูดอย่างราบเรียบว่า “น่ารำคาญ”

คนของคณะหนึ่งเดียวน้อยมาก ไม่เหมือนคณะอื่น ที่มีคนเตรียมอาหารให้โดยเฉพาะ ดังนั้นเราเลยทำอาหารกินเอง วัตถุดิบทั้งหมด ล้วนได้มาจากในภูเขา สิ่งที่ทำให้ทุกคนลำบากที่สุด คือก่อไฟทำอาหาร ไม่กลัวว่านายจะเห็นเป็นเรื่องตลกหรอก สิบกว่าปีมานี้ ศิษย์คณะหนึ่งเดียว ได้กินอาหารมื้อใหญ่ แค่ไม่กี่มื้อเท่านั้น ล้วนเป็นอาหารพื้นๆ ตามแบบแผนชีวิตที่เรียบง่าย เนื้อสัตว์ป่า ผักป่า ฝีมือการทำอาหารของศิษย์พี่นาย ก็ใช้ไม่ได้ พูดขึ้นมา ฝีมือการทำอาหารของหานเฟิง ดีสุดในบรรดาพวกนี้แล้ว

ลู่ฝานหนังตากระตุก นี่ดีที่สุดแล้วเหรอ งั้นศิษย์พี่คนอื่นทำอาหาร กินแล้วจะไม่ตายเหรอ เงียบไปพักหนึ่ง เขาจึงพูดว่า “ถึงผมทำไม่เป็น แต่เจ้าดำทำเป็น”

เมื่อพูดออกมา ทุกคนหันมา หานเฟิงพูดว่า “เจ้าดำเหรอ”

ลู่ฝานเอาวัตถุดิบและสมุนไพรออกมาจากแหวน แล้วให้เจ้าดำ “ไปทำของกินมา”

เจ้าดำใช้ขาหน้าสั้นๆ กอดวัตถุดิบเอาไว้ และเดินไปอีกด้าน เอาก้อนหินมากองหนึ่งอย่างคล่องแคล่ว พ่นเปลวเพลิงดำลงไป หินเหล่านี้กลายเป็นของใช้ในครัว จากนั้นใช้อุ้งเท้าหน้า แยกวัตถุดิบออกจากกัน จุดเปลวเพลิงดำ เริ่มปรุงอาหารช้าๆ

หานเฟิงและคนอื่นมองอย่างอึ้งๆ พวกเขาไม่เคยเห็นสัตว์อสูร ทำอาหารเหมือนคน

ลู่ฝานเห็นจนชินแล้ว นี่คือผลของการที่หวูเฉินฝึกให้เจ้าดำ ตอนที่ฝึกฝนอยู่ในป่า เพราะตอนพวกเขาฝึกฝนอยู่ในป่า จะกินแต่เนื้อย่างทุกวันไม่ได้ ต้องทำอาหารอย่างอื่นกินบ้าง

ไม่นาน เจ้าดำปรุงอาหารหม้อใหญ่ออกมา เอาหม้อหินวางไว้บนหัว ใช้ขาหน้าทั้งสองข้างจับหม้อหิน แล้วเดินมา จากนั้นวางลงบนโต๊ะ

ลู่ฝานเอาเนื้อชิ้นใหญ่สุดในนั้น ออกมาให้เจ้าดำอย่างดีใจ

หานเฟิงและคนอื่น มองหน้ากันไปมา ทั้งสามคน หยิบตะเกียบขึ้นมากินอาหารพร้อมกัน

จากนั้น สีหน้าทั้งสามคน เปลี่ยนไปทันที

อาจารย์อี้ชิงพูดว่า “เป็นไง ไม่อร่อยเหรอ ดูท่าว่าจะทำไม่เป็นสินะ”

อาจารย์อี้ชิงก็ชิมคำหนึ่ง ทันใดนั้น เขาร้องออกมาว่า “ดี! รสชาตินี้ไม่เลว”

ฉู่เทียน ฉู่สิง ทำเหมือนกัน ส่ายหน้าไปพลาง ตะโกนออกมาว่า “อร่อย ฉันไม่ได้กินของอร่อยแบบนี้มานานแล้ว”

ลู่ฝานอ้าปากค้าง มันเวอร์ขนาดนี้เลยเหรอ

แต่คิดถึงอาหารบ้านๆ ที่กินไปเมื่อกี้ ลู่ฝานพอเข้าใจได้ ความรู้สึกที่พวกเขากินอาหาร ฝีมือศิษย์พี่หานเฟิง แล้วไปกินอาหารอย่างอื่น

เสียงเอะอะโวยวายดังออกมา จากนั้นเจ้าดำกัดเนื้อชิ้นใหญ่ วิ่งออกมาก่อน

ตามมาด้วยคนสามคน วิ่งออกมา แต่ละคนถือตะเกียบในมือ เปลือยท่อนบน สวมกางเกงขาสั้น ดูทุเรศทุรัง

โดยเฉพาะชายหนุ่มด้านหน้า ยังเคี้ยวเนื้อชิ้นใหญ่ในปาก มือซ้ายมีกระบี่ฟ้าคราม ด้านบนเต็มไปด้วยคราบมัน

“ไอ้เจ้าสุนัข ฉันจะดูสิว่าแกจะหนีไปไหน……”

ทันใดนั้น ชายหนุ่มหยุดลง เงยหน้ามองอาจารย์อี้ชิง อ้าปากค้าง พูดอย่างกระอักกระอ่วนว่า “อา……อาจารย์!”

สีหน้าอาจารย์อี้ชิงโมโหมาก มองทั้งสามคน และมองกระบี่ฟ้าครามในมือของชายหนุ่ม

อาจารย์อี้ชิงแผดเสียงออกมาว่า “หานเฟิง ฉันให้กระบี่ฟ้าครามกับแก แกเอามาหั่นเนื้ออย่างนั้นเหรอ”

หานเฟิงโดนพ่นน้ำลายใส่เต็มหน้า ลู่ฝานที่ยืนข้างๆ พลอยซวยไปด้วย

ไอ้เลว ตอนอาจารย์อี้ชิงคลุ้มคลั่ง เสียงนี้ น้ำลายนี้ ไม่อยากเชื่อเลยจริงๆ

ลู่ฝานอดถอยหลังไปสองก้าวไม่ได้

หานเฟิงหลับตา ใช้มือปาดบนใบหน้า อาจารย์อี้ชิงแผดเสียงอีกว่า “แกเช็ดอะไร”

หานเฟิงหลับตาปี๋ พูดอย่างน่าสงสาร “ไม่ได้เช็ดอะไรครับ เช็ดฝุ่นครับๆ”

อีกสองคนก้มหน้ากลั้นขำ อาจารย์อี้ชิงชี้ไปที่ทั้งสองคน แล้วพูดว่า “ฉู่เทียน ฉู่สิง แกสองคนไม่ต้องขำ กลับห้องไปสวมเสื้อให้เรียบร้อยเดี๋ยวนี้”

ทั้งสองตอบรับเบาๆ แล้วรีบวิ่งไปทันที

หานเฟิงใช้โอกาสนี้ เช็ดน้ำลายบนหน้าจนแห้ง แล้วพูดว่า “อาจารย์ งั้นผมกลับไปสวมเสื้อก่อนนะครับ”

อาจารย์อี้ชิงเบิกตาโต พูดว่า “เล่าเรื่องให้ฉันฟังก่อน”

หานเฟิงหลับตา เวรละ เมื่อกี้เช็ดไปเสียเปล่าแล้ว

หานเฟิงพูดช้าๆ ว่า “อาจารย์ ก็อาวุธของศิษย์พี่รอง กับศิษย์พี่สาม มันพังหมดแล้ว หามีดไม่ได้ ก็เลยเอากระบี่ฟ้าครามมาหั่นเนื้อครับ”

อาจารย์อี้ชิงพูดเสียงดังว่า “พังได้ยังไง พวกแกไปหาเรื่องใครมาอีก”

หานเฟิงพูดว่า “ขึ้นเขาไปล่าสัตว์ เจอนกอัคคีม่วง เก่งกาจมาก เผาอาวุธของศิษย์พี่ทั้งสองจนหมด ถ้าผมไม่มีกระบี่ฟ้าคราม คงหนีไม่พ้นนกอัคคีม่วงแน่ๆ”

“นกอัคคีม่วงเหรอ” อาจารย์อี้ชิงขมวดคิ้วเบาๆ ทำไมเหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน

ทันใดนั้น อาจารย์อี้ชิงนึกขึ้นมาได้

“พวกนายไม่ได้ไปตีนกกระจอกอัคคีม่วง ของอาจารย์เมิ่งอวิ๋น คณะบังเหินแล้วใช่ไหม”

อาจารย์อี้ชิงเบิกตาโต

หานเฟิงก็ตกใจมากเช่นกัน พยายามลืมตาข้างหนึ่ง แล้วพูดว่า “อาจารย์หมายถึงตัวที่บนปีกมีลายอัคคีสีม่วงใช่ไหมครับ”

อาจารย์อี้ชิงพยักหน้าพูด “ถูกต้อง พวกแกทำอะไรมัน”

หานเฟิงกลืนน้ำลาย แล้วพูดว่า “เป็นสัตว์เลี้ยงของอาจารย์เมิ่งอวิ๋นจริงเหรอ! อาจารย์ไม่ได้เข้าใจผิดใช่ไหม”

อาจารย์อี้ชิงตวาดว่า “รีบบอกมา พวกแกทำอะไรมัน”

หานเฟิงหันไปมองเจ้าดำ ที่อยู่ข้างลู่ฝาน

ตอนนี้เจ้าดำกำลังกินเนื้ออย่างมีความสุข

ทั้งสามคนมองเจ้าดำ ลางไม่ดีผุดเข้ามาในหัวอาจารย์อี้ชิง

หานเฟิงชี้ไปที่เนื้อในปากเจ้าดำ แล้วพูดว่า “อาจารย์ นี่คือนกกระจอกอัคคีม่วงตัวนั้น”

อาจารย์อี้ชิงช็อกไปทันที ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม

ลู่ฝานหนังตากระตุก นี่จะไม่ทำให้อาจารย์ทั้งสองคนสู้กันใช่ไหม

เจ้าดำไม่รู้ว่าพวกเขาพูดอะไรกัน เงยหน้ากลืนเนื้อที่เหลือลงไปในท้อง บนพื้นเหลือแค่กระดูกกองหนึ่ง

ลมเย็นพัดผ่าน สีหน้าอาจารย์อี้ชิงเปลี่ยนสี

จากนั้นตวาดออกมาเสียงดังเหมือนฟ้าผ่า

“ฉู่เทียน ฉู่สิง พวกแกสองคนออกมา”

ต่อมา ลู่ฝานเห็นฉู่เทียนกับฉู่สิงวิ่งออกมา ในสภาพยังสวมกางเกงไม่เรียบร้อย แต่พวกเขาไม่ได้วิ่งมาทางอี้ชิง แต่วิ่งออกไปข้างนอกอย่างไม่คิดชีวิต

“อาจารย์คลุ้มคลั่งแล้ว รีบหนีเร็ว!”

ฉู่เทียนตะโกนเสียงดังออกมา ทั้งสองวิ่งแยกกันอย่างบ้าคลั่ง การเคลื่อนไหวร่างกายราวกับสายลม

ตอนนี้หานเฟิงตั้งสติได้ อยากวิ่งหนีเหมือนกัน

อาจารย์อี้ชิงคว้าหานเฟิง ที่กำลังจะวิ่งหนีเอาไว้ จากนั้นตัวหายไปจากที่เดิม จับฉู่เทียน กับฉู่สิง มาพร้อมกัน

“พวกแกสามคน ทำให้ฉันโมโหจริงๆ”

อาจารย์อี้ชิงถกแขนเสื้อขึ้นอย่างไม่รอช้า และเริ่มต่อย ฉู่สิง ฉู่เทียน และหานเฟิง ก็ไม่หยุด ใช้พลังปราณของแต่ละคนเหมือนกัน หานเฟิงพูดเสียงดังว่า “ศิษย์พี่ทั้งสองท่าน อาจารย์เอาจริงแล้ว เราสู้สุดชีวิตเลย”

พูดจบ ทั้งสามคนแยกเป็นสามทาง เริ่มโจมตีอาจารย์อี้ชิงกลับ

ทันใดนั้น พลังปราณปลดปล่อยไปทั่ว หินกระจาย บ้านไม้ที่อยู่ใกล้สุด ก็ไม่รอด โดนพลังปราณการต่อสู้ ที่แผ่ออกมา สั่นสะเทือนจนทรุดลง

ลู่ฝานยืนอยู่ที่เดิม มองภาพตรงหน้าแล้วอ้าปากค้าง

โอเค นี่คือคณะหนึ่งเดียวในตำนาน

ทำไมเขารู้สึกว่าเหมือนตัวเองมาผิดที่

เจ้าดำเรอออกมาอย่างสบายใจ มาถึงก็เจอของอร่อยแบบนี้ มันคิดว่าตัวเองมาถูกที่แล้ว!

หลังผ่านไปสิบวัน ในเขาเขียวขจี

ทางเล็กๆ ในเขา เมฆหมอกปกคลุม เดินไปตามทางคดเคี้ยวเลี้ยวลด

สิบวันเต็มๆ ลู่ฝานกอดกระบี่หนักไร้คมของตัวเอง ไม่พูดอะไรสักคำ

ไม่ว่าจะเช้าหรือค่ำ ตาของลู่ฝานจ้องไปที่กระบี่หนักตลอดเวลา ขนาดกินข้าว พักผ่อน ก็ไม่ต่างกัน

อี้ชิงไม่ได้รบกวนลู่ฝาน เขาดูออกว่า ลู่ฝานกำลังอยู่ในสภาวะทำความเข้าใจ

แต่จมดิ่งกับความคิดถึงสิบวัน ทำให้อี้ชิงแปลกใจเล็กน้อย การทำความเข้าใจ ยิ่งใช้เวลากับมันมากเท่าไร ก็จะทำความเข้าใจกับสิ่งนั้นได้ดียิ่งขึ้น

อี้ชิงอยากรู้สิ่งที่ลู่ฝานทำความเข้าใจ

เจ้าดำไม่ได้กระโดดบนไหล่ลู่ฝานต่ออีก มันมีจิตวิญญาณ แม้ไม่รู้ว่าลู่ฝานกำลังทำอะไร แต่เจ้าดำรู้ว่าตอนนี้ รบกวนลู่ฝานไม่ได้

เดินต่อไปข้างหน้า ผ่านไปอีกสองชั่วยาม

จู่ๆ ลู่ฝานชะงักฝีเท้าลง มีพลังปราณเคลื่อนไหวบนตัว

อี้ชิงตาเป็นประกาย หัวเราะจนมีรอยยิ้มเต็มใบหน้า

ดูเหมือนว่า ลู่ฝานทำความเข้าใจสำเร็จแล้ว

ลู่ฝานพรูลมหายใจออกมาช้าๆ พูดพึมพำว่า “ที่แท้เป็นแบบนี้นี่เอง”

ลู่ฝานยื่นมือไปยกกระบี่หนัก สะบัดไปทางต้นไม้ข้างทางเบาๆ

การเคลื่อนไหวของเขาไม่เร็ว แต่ทำให้คนรู้สึกว่าไม่สามารถหลบได้

กระบี่สะบัดออกไป ต้นไม้ 5-6 ต้น งอลงพร้อมกัน เหมือนมีมือขนาดใหญ่ กดอยู่บนต้นไม้

เสียงกรอบดังขึ้น ต้นไม้ 5-6 ต้น หักพร้อมกัน

อี้ชิงยิ่งยิ้มกว้าง กระบี่ไม่เลวจริงๆ ใช้พลังฟ้าดิน มาเป็นความกดดันของกระบี่ น่าสนใจอยู่

อี้ชิงกำลังจะพูด แต่ขณะนั้น ลู่ฝานพูดเบาๆ ว่า “ระเบิด!”

ต่อมา ต้นไม้ 5-6 ต้นระเบิดพร้อมกัน

เศษต้นไม้นับไม่ถ้วน กระจายไปทั่ว

อี้ชิงอึ้งไปครู่หนึ่ง แล้วพูดอย่างตกใจว่า “วิชารวบแรงทละสิ่ง คิดไม่ถึงว่านายจะทำความเข้าใจกับเคล็ดวิชาบู๊ ที่นักบู๊แดนปราณนอกยังฝึกได้ยาก ออกมาได้แล้ว”

ลู่ฝานเก็บกระบี่หนัก ได้ยินเสียงของอี้ชิง จึงหลุดออกจากภวังค์

ลู่ฝานหันมามองอี้ชิง แล้วพูดว่า “อาจารย์ วิชารวบแรงทละสิ่งอะไรเหรอครับ”

เก็บพลังเอาไว้จนถึงจุดที่เหมาะสม แล้วปล่อยออกไป จากนั้นระเบิดจากด้านในของวัตถุ วิชาแบบนี้ เรียกว่ารวบแรงทละสิ่ง โดยทั่วไปแล้ว มีเพียงนักบู๊แดนปราณนอก ที่จะเริ่มทำความเข้าใจได้ นักบู๊ที่ฝึกถึงยอดแดนปราณนอกจำนวนมาก ยังทำถึงขั้นที่นายทำไม่ได้เลย ลู่ฝานการทำความเข้าใจของนาย

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “ที่แท้ผมฝึกสิ่งนี้ได้แล้ว อาจารย์ ผมทำความเข้าใจไปกี่วันแล้วครับ”

อี้ชิงพูดว่า “ไม่ถือว่ามาก แค่สิบวันเท่านั้น”

ลู่ฝานได้ยิน จึงลูบท้องตัวเอง ตอนนี้เขาเพิ่งรู้สึกว่าความหิวถาโถมเข้ามา

ลู่ฝานเอาของกินออกจากแหวน แล้วกินอย่าตะกละทันที คนทั่วไปไม่กินข้าวสิบวัน คงหิวตายไปแล้ว ลู่ฝานเป็นนักบู๊ จึงอดทนได้หลายวันหน่อย ไม่กินอะไรสิบวัน เขาจึงไม่มีอาการขาดน้ำและหมดแรง แค่หิวมากเท่านั้น

อี้ชิงยิ้ม มองลู่ฝานเขมือบของกินเหมือนสัตว์ร้าย แล้วเดินต่อไปข้างหน้า

ตอนนี้เจ้าดำกระโดดมาบนไหล่ลู่ฝาน หลังจากเลียแก้มลู่ฝานสองสามครั้ง เจ้าดำเริ่มแย่งของกินกับลู่ฝาน

เมื่อรู้สึกอิ่มพอประมาณแล้ว ลู่ฝานเช็ดปาก แล้วถามว่า “อาจารย์ จะถึงคณะหนึ่งเดียวแล้วใช่ไหม”

อี้ชิงพูดว่า “ถูกต้อง ใกล้ถึงแล้ว ข้ามเขาลูกนี้ไป เราก็ถึงแล้ว”

ลู่ฝานยิ้มบางๆ ในที่สุดก็จะถึงแล้ว

คณะหนึ่งเดียวที่อาจารย์หวูเฉินพูดถึง ลู่ฝานอยากรู้เป็นอย่างมาก

เร่งฝีเท้าขึ้นเล็กน้อย เวลาโพล้เพล้ ในที่สุดทั้งสองข้ามเขา ที่ถูกปกคลุมด้วยเมฆหมอกมาได้แล้ว

ลู่ฝานมองไปรอบๆ อยากหาร่องรอยของคณะหนึ่งเดียว

อี้ชิงหัวเราะ มองท่าทางของลู่ฝาน จากนั้นพูดว่า “นายหาอะไรอยู่”

ลู่ฝานพูดว่า “หาคณะหนึ่งเดียวไงครับ”

อี้ชิงชี้ไปยังบ้านไม้ไม่กี่หลังตรงนั้น แล้วพูดว่า “นั่นไง”

ลู่ฝานมองตามนิ้วอี้ชิง สิ่งที่ปรากฏในสายตาเขา ที่ราบบนเนินเขาไม่ไกล มีลานบ้าน ที่มีบ้านไม้อยู่ไม่กี่หลัง ระหว่างยอดเขา มีควันขาวลอยขึ้นมา

“นี่คือคณะหนึ่งเดียวเหรอ”

ลู่ฝานถามอย่างตกใจ

อี้ชิงพูดว่า “ถูกต้อง นี่คือคณะหนึ่งเดียว”

พูดพลาง อี้ชิงเดินไปทางบ้านไม้

ลู่ฝานตกใจจริงๆ เห็นความยิ่งใหญ่ของโถงใหญ่สถาบันสอนวิชาบู๊ เขาไม่อยากเชื่อเลยว่า คณะหนึ่งเดียว หนึ่งในเก้าคณะใหญ่ จะเป็นแค่บ้านไม้เล็กๆ ไม่กี่หลังแบบนี้

ลู่ฝานรีบเดินตามไป เมื่อเข้าไปใกล้ เขาเห็นป้ายหินอันหนึ่ง ปักอยู่หน้าบ้านไม้

ด้านบนป้ายหินเขียนไว้ว่า “หนึ่งเดียว” อย่างชัดเจน

คณะหนึ่งเดียวจริงๆ ลู่ฝานหัวเราะอย่างขมขื่น อาจารย์นะอาจารย์ ช่างเลือกให้ผมจริงๆ นะ

ลานบ้านขนาดใหญ่ ไม่มีแม้แต่ประตู แค่ตรงกลางลานบ้าน ปูด้วยแผ่นหินสีเขียว นับว่าเป็นระเบียบดี ตรงกลางสลักอักษรคำว่าบู๊ ที่ดูเลือนราง

ทันใดนั้น เจ้าดำขยับจมูกสองครั้ง เหมือนได้กลิ่นหอมอะไรบางอย่าง

จากนั้น เจ้าดำไม่ได้สนใจอะไรมาก กระโดดลงจากไหล่ลู่ฝาน รีบวิ่งไปยังบ้านไม้ ทางด้านซ้าย

อี้ชิงชะงักฝีเท้าลง หันไปมองบ้านไม้หลังนั้นเหมือนกัน

ต่อมา เสียงตะโกนดังขึ้นมา

“สุนัขบ้านใครเนี่ย กล้ามาแย่งของกินฉัน ปล่อยนะ ปล่อย ฉันจะจับแกตุ๋นเลยนะ อย่าหนี เนื้อของฉัน”

“เนื้อฉันด้วย”

“หานเฟิงไอ้ปัญญาอ่อน รีบไปจับมันเร็ว”

……

เซินถูพูดว่า “โอเค คิดไม่ถึงว่าคณะหนึ่งเดียว จะได้ของดีไป ไอ้แก่เต้ากวง ต้องดีใจแทบตายแน่นอน”

ซิงยวนพูดว่า “แค่เขาไม่ปล่อยปละละเลยลูกศิษย์ก็พอแล้ว น่าเสียดายอัจฉริยะคนหนึ่ง น่าเสียดาย”

ท่านผอ.มองซิงยวน หัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “น่าเสียดายเหรอ คงงั้นมั้ง”

นักเรียนเก่าที่ดูเหตุการณ์ตลกร้ายอยู่ตลอดเวลา เริ่มพากันถกเถียงกันเบาๆ

โม่หยุนเฟย ยิ้มเย็นชา แล้วพูดว่า “คิดไม่ถึงว่าจะเลือกคณะหนึ่งเดียว ปัญญาอ่อน ถ้าเพลงเต๋าหนึ่งเดียวเรียนง่ายขนาดนั้น ร้อยปีมานี้ คงมีคนฝึกสำเร็จไปแล้ว คิดว่าตัวเองเป็นอัจฉริยะไร้เทียมทานเหรอ ไม่เจียมตัว”

ศิษย์พี่ข้างจางเยว่หาน ขมวดคิ้วพูดว่า “ไอ้เด็กนี่เข้าคณะหนึ่งเดียว คงไปหาเรื่องเขาไม่ได้ง่ายๆ คนคณะหนึ่งเดียวน้อยมาก อี้ชิง เต้ากวง ล้วนเป็นอาจารย์ที่เข้าข้างลูกศิษย์มาก ดูจะจัดการยากแล้ว”

จางเยว่หานเกี่ยวแขนศิษย์พี่ แล้วพูดว่า “ฉันไม่สน ศิษย์พี่รับปากฉันแล้ว”

ศิษย์พี่ขมวดคิ้วพูดว่า “โอเคๆๆๆ ให้ฉันคิดหน่อยสิ เขาคงไม่มีทางอยู่ในคณะหนึ่งเดียวตลอดเวลาหรอก ยังไงก็ต้องออกมาเก็บยา แข่งขัน ฝึกฝน เมื่อถึงตอนนั้นคงมีโอกาส หึ”

……

ผ่านไปครึ่งวัน อาจารย์อี้ชิงยังคงพาลู่ฝานเดินอยู่ในโถงสถาบัน

ดูเหมือนอาจารย์อี้ชิงเดินไม่เร็ว แต่ทุกก้าว กลับมีระยะห่างหลายสิบฟุต ทำให้ลู่ฝานต้องวิ่งเหยาะๆ ตามไป

“ลู่ฝาน สัตว์อสูรตัวนี้ของนายดูไม่เลวนะ มีความสามารถอะไรเหรอ”

อาจารย์อี้ชิงเดินพลาง เอ่ยปากถามลู่ฝาน

ลู่ฝานตอบไปตรงๆ ว่า “พ่นไฟได้ สิงร่างได้ด้วย อย่างอื่นก็ไม่รู้แล้วครับ”

อี้ชิงตกใจเล็กน้อย พูดว่า “สิงร่างได้ด้วย นั่นเป็นระดับอสูรวิเศษแล้วนะ ดูเหมือนต่อไปการฝึกฝนของนาย จะต้องทำไปกับมัน มันมีพละกำลังเพิ่มขึ้น นายก็มีผลดีไปด้วย”

ลู่ฝานจิตใจวูบไหว พูดว่า “อาจารย์อี้ชิงเลี้ยงสัตว์อสูรเป็นด้วยเหรอ”

อี้ชิงพูดว่า “รู้เล็กน้อยๆ แม้จะเทียบไม่ได้กับครูฝึกสัตว์จริงๆ แต่สอนสัตว์อสูรที่ยังไม่โต ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรมาก”

ลู่ฝานหัวเราะ แล้วพูดว่า “งั้นดีมากเลยครับ ผมกำลังกลุ้มใจ ไม่รู้จะเลี้ยงมันยังไง”

อี้ชิงพยักหน้า ทั้งสองเดินต่อไปข้างหน้า

ผ่านไปอีกสองสามชั่วยาม ทั้งสองยังเดินไม่ถึงคณะหนึ่งเดียว

ตอนนี้ฟ้าเริ่มมืดลง แสงยามโพล้เพล้ ปกคลุมรอบๆ ลู่ฝานถามว่า “อาจารย์ คณะหนึ่งเดียวไกลมากเหรอครับ”

อาจารย์อี้ชิงยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ไกล จากความเร็วนี้ เดินอีกสิบวัน ก็ถึงแล้ว”

ลู่ฝานชะงักฝีเท้าลง มองอาจารย์อี้ชิงแบบอึ้งๆ

อาจารย์อี้ชิงไม่มีท่าทีจะหยุด เขาพูดว่า “ทำไม ไม่ชอบที่มันไกลเหรอ หรือว่าเดินเหนื่อยแล้ว ถ้านายเดินไม่ไหว ก็บอกฉันมา ฉันจะพานายเหาะไป”

ลู่ฝานรีบเดินตามไป แล้วพูดว่า “เปล่าครับ ผมไม่เหนื่อย แค่ตกใจนิดหน่อย”

อาจารย์อี้ชิงหันมามองลู่ฝาน แล้วพูดว่า “เดินต่อไหม”

ลู่ฝานพยักหน้าพูด “เดินต่อครับ”

อาจารย์อี้ชิงยกยิ้มมุมปาก แล้วพูดว่า “นี่สิถึงจะถูก วิถีบู๊ก็เหมือนการเดิน เท้าย่ำพื้น เดินไปทีละก้าว ถึงจะถูกต้อง คนอื่นพานายบินได้ไม่ไกลหรอก มีความสามารถ บินเองถึงจะเชี่ยวชาญ”

พูดจบ อาจารย์อี้ชิงเอามือไพล่หลัง ฮัมเพลงขึ้นมาเบาๆ

ฝึกบู๊ฝึกใจคน ทำไมต้องใช้อาวุธท่อง เหล้าหนึ่งจอก เพลงหนึ่งเพลง พระจันทร์ครึ่งเสี้ยว

ฟังอาจารย์อี้ชิงฮัมเพลง ลู่ฝานรู้สึกแปลกขึ้นมาในใจ

ทันใดนั้น เหมือนมีแสงแวบเข้ามาในหัว

ลู่ฝานเอากระบี่หนักไร้คมของตัวเองออกมา มองตัวอักษรบนกระบี่หนักอย่างละเอียด

ลู่ฝานพูดเบาๆ ว่า “ฝึกยุทธ์คือการฝึกใจคน ทำไมต้องใช้อาวุธท่องไปทั่ว ไหวพริบที่สุดอยู่บนพื้นฐานของความเรียบง่าย ไหวพริบที่สุดอยู่บนพื้นฐานของความเรียบง่าย……”

ลู่ฝานเดินไปเรื่อยๆ แต่จิตใจจมอยู่กับความคิด

อาจารย์อี้ชิงหันมามองลู่ฝาน หัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “ความเข้าใจ ดูน่าตกใจตามคาด ไม่เสียแรงที่ฉันฮัมท่วงทำนองเพลงแดนของเต๋าให้นายฟัง ความเข้าใจที่น่าตกใจเช่นนี้ สภาพจิตใจก็ไม่แย่ ร่างกายด้านต่างๆ ล้วนไม่เลว มีศักยภาพในการฝึกเพลงเต๋าหนึ่งเดียวจริงๆ อย่าบอกนะว่า คณะหนึ่งเดียวของฉัน จะมีผู้แข็งแกร่งปรากฏออกมาแล้วเหรอ ฮ่าๆ หวังว่าจะเป็นอย่างนั้นนะ”

ทั้งสองเดินต่อไปข้างหน้า ดวงดาวเต็มฟ้า พระจันทร์ดวงกลม อยู่บนฟ้าสูง

เมื่อพูดออกมา เกิดเสียงฮือฮาดังขึ้น

เมื่อนักเรียนเก่ารอบๆ ได้ยินคำพูดของลู่ฝาน ไม่มีใครที่ไม่ตกตะลึง

โม่หยุนเฟย จางเยว่หาน ต่างตกตะลึง

สายตาที่ทุกคนมองลู่ฝาน เหมือนเห็นคนบ้าที่ธาตุไฟเข้าแทรก

“คณะหนึ่งเดียวเหรอ ฉันไม่ได้ฟังผิดใช่ไหม”

“เขาจะเข้าคณะหนึ่งเดียว จะทำลายตัวเองหรือไง”

“คณะหนึ่งเดียว เป็นคณะที่อยู่ในลำดับเก้าเลยนะ!”

“เฮ้อ ทำลายอนาคตตัวเอง ภัยพิบัติที่มาจากสวรรค์ ยังหลบหนีได้ แต่การกระทำผิดด้วยตัวเอง หนีไม่พ้น”

……

เสียงตกใจและเศร้าใจ ดังขึ้นมาอย่างรวดเร็ว พวกอาจารย์ก็มีสีหน้าผิดปกติ ไม่มีใครคิดว่า ลู่ฝานซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของอาจารย์ขนาดนี้ จะเลือกคณะหนึ่งเดียว

ท่านผอ.ขมวดคิ้ว แล้วพูดเสียงก้องกังวาน “เงียบ!”

เสียงดังสนั่น สั่นสะเทือนไปทั่ว

นักเรียนที่กำลังถกเถียงกัน โดนสั่นสะเทือนจนมึนหัว พละกำลังอ่อนแอลง พากันทรุดลงบนพื้น

ทันใดนั้น เต็มไปด้วยความเงียบ

อาจารย์อี้ชิงลูบท้อง ใบหน้ามีรอยยิ้ม

เซินถู เมิ่งอวิ๋นและคนอื่น หันไปมองไปอี้ชิง แววตาของซิงยวนเปลี่ยนไป ขมวดคิ้วเบาๆ

พวกเขาคิดไม่ถึงว่าลู่ฝาน จะตัดสินใจแบบนี้

แต่ท่านผอ. กลับมีสีหน้าราบเรียบ มองลู่ฝานแล้วพูดว่า “คณะหนึ่งเดียวเหรอ นายแน่ใจใช่ไหม”

ลู่ฝานพยักหน้าพูดว่า “แน่ใจครับ”

ท่านผอ.ยิ้ม แล้วหันไปมองอี้ชิง จากนั้นพูดว่า “อี้ชิง มีคนเลือกคณะหนึ่งเดียวของนายแล้ว นายว่ายังไง”

อี้ชิงวางมือที่ลูบท้องลง ลุกขึ้นยืน เอามือสองข้างไพล่หลัง แล้วพูดว่า “ลู่ฝาน พูดมาสิ ทำไมนายถึงเลือกคณะหนึ่งเดียว ขอเหตุผลให้ฉันสักหนึ่งเหตุผล”

ลู่ฝานพูดว่า “ผมได้ยินมาว่าคณะหนึ่งเดียว มีเพลงเต๋าหนึ่งเดียว”

ไม่มีใครฝึกสำเร็จเลย ถ้านายเข้าคณะหนึ่งเดียว เพราะสิ่งนี้ ฉันขอเตือนให้นายคิดอย่างจริงจัง อาจารย์ของคณะกำแหง ให้นายเป็นศิษย์ก้นกุฏิ ถ้านายไปคณะกำแหง ไม่เพียงแต่จะได้เคล็ดวิชาบู๊ ระดับดิน

ลู่ฝานไม่พูดอะไร ทำเพียงมองอี้ชิง ด้วยสายตาแน่วแน่ แววตาแน่วแน่ของเขา อธิบายทุกอย่างแล้ว

แววตาของอี้ชิงเย็นชาลง รอยยิ้มบนใบหน้าค่อยๆ หายไป

อี้ชิงมองลู่ฝานแล้วพูดว่า “นายแน่วแน่มาก แต่น่าเสียดาย คนไม่รู้จักปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์แบบนาย ต่อไปจะมีความลำบากในเส้นทางบู๊ นายเข้าคณะหนึ่งเดียวไม่ได้ เลือกคณะอื่นเถอะ อาจารย์คนอื่นรอนายอยู่”

ลู่ฝานหนังตากระตุกเล็กน้อย แอบผิดหวังในใจ

ได้ยินลู่หมิงพูดแต่แรกแล้วว่า อาจารย์คณะหนึ่งเดียว นิสัยประหลาด วันนี้ได้เจอเอง ตามคาดจริงๆ แม้ไม่รู้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้า ใช่อาจารย์คนที่ลู่หมิงพูดหรือเปล่าก็เถอะ

ลู่ฝานคารวะอีกครั้ง แล้วพูดว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นผมไม่รบกวนแล้ว ขอบคุณอาจารย์อธิการและอาจารย์ทุกท่าน”

ลู่ฝานหันหลัง เตรียมจะเดินออกไป ในเมื่อไม่มีวิธีเอาเพลงเต๋าหนึ่งเดียวมาแบบซึ่งหน้าได้ งั้นลู่ฝานต้องหาวิธีแอบเรียน อยู่ในคณะอื่น คงมีโอกาสไม่มาก ลู่ฝานแอบคิดในใจว่า อีกเดี๋ยวจะทำยังไง ถึงจะหลบเลี่ยงสายตาของทุกคน จากนั้นค่อยคิดวิธีไปหาที่ตั้งของคณะหนึ่งเดียว

เหล่าอาจารย์เห็นลู่ฝานปฏิเสธ และจะเดินออกไป ต่างพากันตกใจเล็กน้อย

ทันใดนั้น เสียงหนึ่งดังขึ้นมา

“เดี๋ยวก่อน”

ลู่ฝานชะงักฝีเท้า หันมาถามอย่างสงสัย “อาจารย์อี้ชิง มีเรื่องอะไรอีกครับ”

อี้ชิงหัวเราะออกมา ส่ายหน้ามองลู่ฝาน แล้วพูดว่า “ไอ้เด็กนี่จริงๆ เลย แข็งไม่ต่างจากหิน”

ซิงยวนพูดต่อ “นี่คือนิสัยแย่ๆ ที่คณะหนึ่งเดียวของนาย สืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่น ไม่ใช่หรือไง”

อี้ชิงทำเป็นไม่ได้ยินการพูดแซะของซิงยวน เขามองลู่ฝานแล้วพูดว่า “ดีมาก ถ้าเมื่อกี้นายลังเล คงเข้าคณะหนึ่งเดียวของฉันไม่ได้จริงๆ ดีมากๆ แต่นายอยากเรียนเพลงเต๋าหนึ่งเดียว ฉันไม่สามารถตัดสินใจได้ นายต้องไปถามศิษย์พี่ของฉัน และก็เป็นอาจารย์เต้ากวงของนาย ตามฉันมาสิ”

พูดจบ อี้ชิงเดินออกไปข้างนอก

ลู่ฝานมีสีหน้ายินดี รีบเดินตามไป เจ้าดำที่หลบอยู่ข้างๆ เงียบๆ มุดออกมา กระโดดขึ้นไปบนไหล่ลู่ฝาน

ท่านผอ. ตะโกนมาจากด้านหลังว่า “อี้ชิง นายไม่เลือกศิษย์คนอื่นแล้วเหรอ”

อี้ชิงพูดโดยไม่หันหน้ามา “คนเดียวก็พอแล้ว”

ทั้งสองเดินออกจากสนามต่อสู้ หายลับไปจากสายตาทุกคน เหล่าอาจารย์ส่ายหน้า ยิ้มแหยๆ

มู่ซั่วยืนเงียบๆ อยู่ด้านหนึ่ง จากนั้นคนอื่นเริ่มแนะนำตัวทีละคน เหมือนได้รับอิทธิพลจากมู่ซั่ว คนพวกนี้พูดเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ หน้าไม่อายขึ้นเรื่อยๆ ผู้ชายร่างกายกำยำล่ำสันคนหนึ่ง เผยกล้ามเนื้อออกมา จนทำให้อาจารย์อดหัวเราะออกมาไม่ได้

สุดท้ายอาจารย์เซินถูพูดกับคนนี้ว่า “นายมาคณะกำแหง ฉันจะทำให้ร่างกายแข็งแกร่งดั่งหิน” จากนั้นก็เอาไป

แต่ไม่ใช่อาจารย์ทุกคน ที่มีสีหน้าดี เช่น อาจารย์ซิงยวนของคณะหยินหยาง มีสีหน้าเย็นชา ตั้งแต่ต้นจนจบ

ในสิบคน มีสี่คน อยากเป็นศิษย์คณะหยินหยาง เมื่อได้ยินคำพูดของสี่คนนี้ อาจารย์ซิงยวน ตอบเหมือนกันว่า “ได้”

เสียงไม่มีความรู้สึกอะไรเลย สายตาของอาจารย์ซิงยวน ราวกับมีด ทำให้คนพวกนี้ ไม่กล้าพูดอะไรมาก

ไม่นาน คนข้างหน้าแปดคน เลือกได้เรียบร้อย ไปคณะกระบี่สองคน ไปคณะหยินหยางสี่คน ไปคณะกำแหงสองคน ล้วนเป็นคณะอันดับต้นๆ ทั้งนั้น ส่วนคณะที่อยู่อันดับท้ายๆ ไม่มีใครเลือกเลย

เหลือสองคนสุดท้าย ลู่ฝานกำลังจะพูด แต่เห็นท่านผอ. หรี่ตามองเขา ประกายในแววตา กำลังพูดว่า “นายอย่าเพิ่งพูดอะไร”

ลู่ฝานไม่พูดอะไรอย่างรู้งาน รอให้เด็กผู้หญิงข้างๆ พูดก่อน

เด็กผู้หญิงคนนี้ หน้าแดงตลอดเวลา ไม่รู้เพราะตื่นเต้นดีใจหรือเพราะอย่างอื่น เธอตัวเตี้ยกว่าลู่ฝานเล็กน้อย แต่ร่างกายสมส่วน ตัวเล็กน่ารัก เหมือนดวงตาโตทั้งสองข้างพูดได้

“เธอล่ะ เธออยากเข้าคณะไหน”

อาจารย์เมิ่งอวิ๋นของคณะบังเหินเอ่ยถาม คิดไม่ถึงว่าจนถึงตอนนี้ ยังไม่มีใครเลือกคณะบังเหินสักคน นี่จึงทำให้อาจารย์เมิ่งอวิ๋นหดหู่ใจ คณะบังเหิน อยู่ในอันดับสามแท้ๆ สูงกว่าคณะกำแหงนิดหน่อย สุดท้ายเซินถูเอาไปสองคน อย่างเบิกบานใจ เขากลับไม่ได้นักเรียนดีสักคน

ผู้หญิงคนนี้ดูอ่อนโยนและอ่อนแอ อาจารย์เมิ่งอวิ๋น ดูการต่อสู้ของเธอเมื่อครู่ พื้นฐานไม่เลว สามารถเจียระไนได้ จึงถามออกมา

เด็กผู้หญิงกำชายเสื้อ แล้วพูดเบาๆ ว่า “ฉันชื่อหลิงเหยา ฉันอยากเข้า……ฉันอยากเข้าคณะสงบใจ”

เมื่อพูดออกมา เมิ่งอวิ๋นอึ้งไปทันที

อาจารย์อู๋โฉวของคณะสงบใจ ที่เอาแต่หรี่ตามองเรื่องสนุก ตอนนี้ได้ยินว่าหลิงเหยา จะเข้าคณะสงบใจ ตาของอาจารย์อู๋โฉว เป็นประกายราวกับฟ้าแลบทันที

สายตาของอาจารย์อู๋โฉว จ้องไปที่หลิงเหยา แล้วพูดว่า “หืม เธออยากเข้าคณะสงบใจเหรอ เพราะอะไรล่ะ”

หลิงเหยาคิดไม่ถึงว่าอาจารย์อู๋โฉว จะถามเธอว่าเพราะอะไร คิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงตอบเสียงเบาว่า “เพราะฉันอยากวิชาบู๊สงบจิต ทำสมาธิ เดิมทีฉันรู้จักตาเฒ่าคนหนึ่ง เขาบอกว่าฉันเหมาะที่จะวิชาบู๊สงบจิตที่สุด เขายังให้อันนี้ฉันไว้ด้วย”

หลิงเหยาพูดแล้วยื่นมือออกมา กระตุ้นพลังปราณ ทุกคนเห็นในฝ่ามือเธอ มีแสงสว่างวาบขึ้นมา ปรากฏเป็นตัวอักษรรางๆ คำว่าบู๊ ถ้าไม่มองอย่างละเอียด คงไม่มีทางมองเห็น

อาจารย์อู๋โฉวยืนขึ้นทันที พูดอย่างตกใจว่า “จิตบู๊เข้าฌาน”

อาจารย์อู๋โฉว รีบเดินเข้ามาจับมือหลิงเหยา แล้วพูดว่า “ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เธอคือศิษย์ก้นกุฏิของฉัน ตอนนี้ไปคณะสงบใจกับฉันเถอะ”

ไม่พูดพร่ำทำเพลง อาจารย์อู๋โฉวพาหลิงเหยาไปทันที ตัวลอยขึ้นไปบนฟ้า เหาะออกไปไกล

พวกนักเรียนเก่า เห็นภาพนี้ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น อาจารย์คนอื่น ก็ขมวดคิ้วเหมือนกัน พวกเขาไม่รู้ว่าเคล็ดวิชาบู๊ หัวใจแห่งเต๋าคืออะไร แต่เห็นท่าทางอู๋โฉว ตื่นเต้นขนาดนั้น ต้องเป็นเคล็ดวิชาบู๊ที่ยอดเยี่ยมแน่นอน

เมิ่งอวิ๋นส่ายหน้า ให้ตายสิ! โดนเอาไปอีกคนแล้ว

เหลือลู่ฝานคนเดียว ที่ยืนตรงหน้าอาจารย์ทั้งเก้าคน สายตาทุกคนมองมายังลู่ฝาน

อาจารย์อีกแปดคน มองลู่ฝานด้วยสายตาแปลกประหลาด

ลู่ฝานแอบกระแอมเบาๆ แล้วพูดว่า “ผมลู่ฝาน ผมอยากเข้า……”

ยังไม่ทันพูดจบ จู่ๆ อาจารย์เซินถู พูดขึ้นมาว่า “ไอ้หนุ่ม อย่าเพิ่งรีบร้อน ฉันมีประโยคหนึ่ง จะพูดกับนายก่อน นายฟังจบ แล้วค่อยตัดสินใจอย่างรอบคอบ”

อาจารย์คนอื่น มองเซินถูด้วยสายตาดูหมิ่น ไอ้หมอนี่เอาอีกแล้ว

แน่นอนว่าเซินถู ไม่สนใจสายตาของอาจารย์คนอื่น ถ้าพูดเรื่องความหน้าด้าน ในสถาบันสอนวิชาบู๊ ยังไม่มีใครเทียบเขาได้

หน้าด้านก็หน้าด้านไปสิ!

ไอ้หนุ่ม ฟังให้ดี ถ้านายมาคณะกำแหงของฉัน นายจะเป็นศิษย์ก้นกุฏิของฉัน ไม่เพียงแค่นั้น ฉันจะมอบเคล็ดวิชาบู๊ระดับดินให้นายด้วยชุดหนึ่ง คนอย่างฉันไม่มีอะไรมาก นอกจากใจกว้าง เข้าข้างลูกศิษย์

เซินถูพูดพลางยิ้มพลาง ในแววตามีประกายลุกโชน

ลู่ฝานได้ยินแล้วหัวใจเต้นแรง เคล็ดวิชาบู๊ระดับดินเชียวนะ!

ให้ตายเถอะ เขาอยากตอบตกลงตอนนี้เลย

แต่น่าเสียดาย เขาต้องเชื่อฟังคำพูดของอาจารย์หวูเฉิน

ลู่ฝานส่ายหน้า ประสานมือคารวะเซินถู แล้วพูดว่า “ขอบคุณที่อาจารย์ให้ความสำคัญ แต่ผมมีคนที่เลือกไว้ในใจแล้ว เกรงว่าจะทำให้อาจารย์ผิดหวัง”

เซินถูอึ้งไป สิ่งดึงดูดใจขนาดนี้ ไอ้เด็กนี้ยังปฏิเสธ เขาไม่ได้ฟังผิดใช่ไหม

เห็นเซินถูพูดอะไรไม่ออก เสวียนเจิน เมิ่งอวิ๋น พากันหัวเราะออกมา ซิงยวนยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย ไอ้เด็กนี่น่าสนใจ สิ่งดึงดูดใจขนาดนี้ คนทั่วไปไม่สามารถต้านทานได้หรอก

เซินถูโบกมือไปมาอย่างเหนื่อยใจ แล้วพูดว่า “โอเค นายคงอยากเข้าคณะหยินหยางสินะ ซิงยวน ชื่อเสียงอันดับหนึ่งในเก้าคณะใหญ่ของนาย ช่างมีประโยชน์จริงๆ อัจฉริยะล้วนพากันวิ่งเข้าหานาย”

ซิงยวนพูดอย่างราบเรียบว่า “นายก็มาแย่งชิงได้นิ”

เซินถูหัวเราะออกมา เขาหลับตาลง สิ่งใดที่แปดเปื้อนสายตา ก็อย่าไปดู

ท่านผอ.พูดกับลู่ฝานว่า “โอเค นายพูดต่อสิ นายอยากเข้าคณะไหน”

ลู่ฝานพูดอย่างหนักแน่นว่า “ผมอยากเข้าคณะหนึ่งเดียว!”

ตอนนี้บนเกาะเล็ก มีแปดคนได้รับชัยชนะ เดิมทียังมีอีกสองคน กำลังต่อสู้ เมื่อได้ยินเสียงเทียนฉี่ จึงรีบหยุดลงทันที

ใบหน้าทั้งสองคน มีรอยยิ้มขึ้นมาพร้อมกัน คิดไม่ถึงว่าพยายามมานาน จะได้ทะลุระดับพร้อมกัน ถือว่าไม่เลวจริงๆ

ทั้งสิบคนยืนอย่างมั่นคง เหล่าครูปล่อยพลังปราณออกมาพร้อมกัน ใส่เข้าไปในหินล่างเท้า

แสงค่ายกลลึกลับแต่ละแสง สว่างวาบขึ้นมา เสียงระเบิดดังสนั่น เกาะเล็กด้านล่างเริ่มเคลื่อนตัว ราวกับจิ๊กซอว์ เกาะเล็กๆ ที่แยกออกจากกัน กลับมาเป็นประสานกันอีกครั้ง

พื้นดินที่ลอยขึ้นมา กลับลงไปสู่พื้นดิน พื้นหินที่เละเทะเพราะการต่อสู้ ตอนร่วงลงไปสู่พื้นดิน กลับมาเป็นเหมือนเดิมโดยอัตโนมัติ

นักเรียนใหม่เห็นภาพนี้ ไม่มีใครไม่ตกใจ ส่วนนักเรียนเก่า ไม่มีความรู้สึกอะไร เพราะอย่างน้อย พวกเขาเคยเห็นแล้วครั้งหนึ่ง

อาจารย์ทั้งเก้าคนกับท่านผอ. ลอยลงมาจากท้องฟ้าช้าๆ

เก้าอี้และโต๊ะขนาดใหญ่สิบตัว ร่วงลงมาบนพื้น อาจารย์ทุกคน ยืนเป็นสองด้านอย่างพร้อมเพรียง

อีกเดี๋ยวรอครูเลือกศิษย์ คนที่อยู่ในร้อยอันดับแรก เดินมาข้างหน้าสิบก้าว เขียนว่าพวกนายจะเข้าคณะไหน แล้วส่งให้ครู ให้ครูแต่ละคนพิจารณารับเอง ยี่สิบคนแรก เดินขึ้นมาข้างหน้ายี่สิบก้าว เลือกเป็นศิษย์ของครูได้

เมื่อนักเรียนใหม่ทั้งหมดได้ยิน ก็เริ่มเคลื่อนไหวทันที

นักเรียนในร้อยอันดับแรก คือคนที่ชนะได้สองครั้งเท่านั้น ส่วนนักเรียนที่ไม่อยู่ในร้อยอันดับแรก ก็แอบเคียดแค้น ถ้าตัวเองโชคดีสักหน่อย เจอคู่แข่งอ่อนแอสักหน่อย หรือไม่ก็ถ้าพละกำลังของตัวเองแข็งแกร่งกว่านี้ คงเลือกคณะได้แล้ว ไม่ต้องรอให้อาจารย์มาเลือก

แน่นอนว่าพวกเขาเทียบกับพวกชนะรอบหนึ่งไม่ได้ นักเรียนใหม่ที่ไปเรือนซีเซียง ก็มีเยอะมาก คนพวกนั้น ต้องรอให้ฝั่งนี้เลือกเสร็จ จึงจะถึงตาพวกเขา น่าสงสารถึงขนาดที่ไม่มีโอกาสแม้แต่จะมองดู

นักเรียนห้าสิบคนแรก ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้น รับพู่กันและหมึก มาจากครู เริ่มเขียนคณะที่ตัวเองอยากเข้า

นี่เป็นคำถามที่ยากมาก ถ้านักเรียนเลือกไม่ดี ถึงเข้าไปได้ แต่ถ้าเป็นเช่นนั้น การเข้ามาในห้าสิบอันดับแรก ได้อย่างยากลำบาก คงไร้ความหมายไปเลย

แต่ถ้าเลือกดีเกินไป มีคู่ต่อสู้เยอะ จนเข้าไปไม่ได้ จะทำยังไง

คนพวกนี้กำลังคิดว่าจะเลือกคณะไหน ส่วนนักเรียนสามสิบคนแรก กำลังคิดว่าจะเลือกครูที่ปรึกษาคนไหน

มีคนบางส่วน รู้เกี่ยวกับคณะเป็นอย่างดี หรือไม่ก็เคยสอบถามมา มีคนที่เลือกไว้ในใจแล้ว แต่คนบางส่วน ไม่รู้ว่าจะเลือกใครดี แค่ดูว่าคนไหนค่อนข้างเก่ง ก็เลือกคนนั้น

ส่วนสิบคนแรก ต่างมีสีหน้าตื่นเต้น

พวกเขามีโอกาสทำความรู้จักอาจารย์ทั้งเก้าคน ถ้าครั้งนี้อาจารย์ทั้งเก้าคนถูกใจ ได้รับโอกาสอบรมสั่งสอนจากอาจารย์ด้วยตัวเอง คงไม่มีอะไรดีกว่านี้แล้ว

ลู่ฝานก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่น่าเสียดาย เขาไม่ได้ดีใจขนาดนั้น สิ่งที่เขาอยากเห็นคือ คนไหนเป็นอาจารย์ของคณะหนึ่งเดียว

ทั้งสิบคนเดินขึ้นมา สายตาของนักเรียนเก่าคนอื่น พากันจ้องมาที่พวกเขา

เรื่องที่คนกลุ่มไหน จะมาเป็นศิษย์น้องของตัวเอง คนพวกนี้ไม่สนใจเท่าไรนัก กลับกัน การที่สิบคนนั้นจะเข้าคณะไหน ทำให้พวกเขาสนใจยิ่งกว่า เพราะคนพวกนี้ มีโอกาสที่จะเป็นคู่ต่อสู้ในสถาบันของพวกเขา

เดินมาข้างหน้าร้อยก้าว มายืนตรงหน้าอาจารย์ทั้งเก้าและท่านผอ.พอดี

ท่านผอ.กวาดตามองทั้งสิบคน เขาเห็นอารมณ์ต่างๆ เช่น ตื่นเต้น ดีใจ นี่เป็นอารมณ์ปกติของมนุษย์ ท่านผอ.ไม่ได้สนใจ กลับกัน สีหน้าแน่วแน่และสุขุมของลู่ฝาน กลับทำให้เขาสนใจเด็กคนนี้ โดดเด่นจนไม่เหมือนใครจริงๆ

ท่านผอ.ยิ้มแล้วพูดว่า “ยินดีต้อนรับสู่สถาบันสอนวิชาบู๊ พวกนายสามารถบอกชื่อตัวเอง กับอาจารย์คณะต่างๆ ได้”

ท่านผอ.เพิ่งพูดจบ นักกระบี่คนหนึ่ง ที่ยืนอยู่ซ้ายสุด ตะโกนขึ้นมาก่อนเพื่อน

“ผมชื่อมู่ซั่ว ผมใช้กระบี่เป็น เชี่ยวชาญวิชากระบี่น้ำลอย ผมอยากเข้าคณะกระบี่ ผมอยากเรียนรู้วิชากระบี่ที่ลึกล้ำที่สุด”

มู่ซั่วดูตื่นเต้นเป็นอย่างมาก หน้าแดงไปหมด อาจารย์เสวียนเจินของคณะกระบี่ ไม่เคยเจอคนหนุ่มที่มีพลังแบบนี้มานานแล้ว

เสวียนเจินพยักหน้า พูดว่า “โอเค นายเข้าคณะกระบี่ของฉัน ผ่านสองปีไป นายมายอดเขากระบี่หัก ฉันจะให้นายได้เห็นวิชากระบี่สุดลึกล้ำ แต่นายจะเรียนรู้ได้หรือไม่ นั่นเป็นเรื่องของนายแล้ว”

มู่ซั่วคุกเข่าสองข้างลงบนพื้น พูดกับเสวียนเจินว่า “ท่านอาจารย์ โปรดรับการบูชาจากศิษย์”

เสวียนเจินอึ้งไป เขายังไม่พูดว่าจะรับเป็นศิษย์เลย ไอ้เด็กนี่รู้จักพูดประจบจริงๆ

เสวียนเจินส่ายหน้า กวักมือให้มู่ซั่วลุกขึ้น แล้วพูดว่า “ตอนนี้ไม่ต้องพูดเรื่องรับเป็นศิษย์ก่อน ถ้านายเรียนรู้วิชากระบี่ของฉันได้ ฉันจะรับนายเป็นศิษย์”

มู่ซั่วพูดเสียงดัง “ผมเรียนรู้ได้แน่นอนครับ”

เสวียนเจินพยักหน้า บอกให้มู่ซั่วไปยืนอีกด้านหนึ่งได้

นักเรียนเก่าคนอื่น เห็นการแสดงออกของมู่ซั่ว จึงแอบถกเถียงกัน “หน้าไม่อายจริงๆ แต่กระบวนท่าของเขาสุดยอดมากจริงๆ”

“เฮ้อ ถ้าตอนนั้นฉันหน้าไม่อายแบบนี้ คงดีไปแล้ว”

“นายเหรอ ตอนนั้นนายอยู่ในสิบอันดับแรกหรือเปล่า”

……

ทันใดนั้น มือทั้งสองข้างของลู่ฝานปล่อยด้ามกระบี่ พลานุภาพบนตัวหายไป

เฉียนหยู่รู้สึกว่าลู่ฝานหายไป เขาเห็นอยู่ชัดๆ ว่าลู่ฝานยืนอยู่ที่เดิม แต่ลู่ฝานเหมือนผี ไม่โดนกระบี่สังหารของเขากดดันเอาไว้

แสงกระบี่มาถึงตรงหน้าลู่ฝาน แต่ลู่ฝานเคลื่อนไหวเพียงหนึ่งครั้ง นั่นก็คือขยับไปทางซ้ายหนึ่งก้าว หลบลำแสงของกระบี่

ลำแสงกระบี่เฉียดแขนเสื้อไป

ขณะที่ตัวของเฉียนหยู่ กำลังจะผ่านหน้าลู่ฝาน เขาได้ยินเสียงของลู่ฝาน

“รู้หรือเปล่า ฉันเกลียดคนที่ใช้อำนาจข่มเหงคนอื่นที่สุด”

เฉียนหยู่เบิกตาโต จนลูกตาแทบจะหลุดออกมา

ทันใดนั้น ลู่ฝานลงมือ

สงบดั่งขุนเขา เคลื่อนไหวดั่งคลื่นอันบ้าคลั่ง

สองหมัดโจมตีออกมาพร้อมกัน หมัดไฟถล่มเขา!

ตู้ม!

ตัวเฉียนหยู่มีไฟลุกขึ้นมา และกระเด็นออกไป

หมัดเดียวของลู่ฝาน ต่อยจนเฉียนหยู่กระเด็นผ่านเกาะเล็กๆ ไป ราวกับดาวตก กระอักเลือดออกมากลางอากาศ

ลู่ฝานหลุดพ้นจากการกดดันของกระบี่หนัก ระเบิดพลัง ที่ไม่ด้อยไปกว่านักบู๊ปราณในที่มีวิทยายุทธสี่ถึงห้าชั้น

เฉียนหยู่สลบกลางอากาศ อาจารย์คนหนึ่ง หูตาว่องไว รับเฉียนหยู่เอาไว้ได้ ก่อนเขาจะร่วงลงพื้น

นักเรียนคนอื่นด้านล่าง พากันพูดแบบไม่ไว้หน้าเฉียนหยู่

“ไอ้หมอนี่อ่อนมาก เคล็ดวิชาบ้าบออะไร หมุนไปมาสองสามรอบ แล้วก็โดนคนต่อยจนกระเด็น น่าอายจริงๆ”

“เขาจะหมุนให้อีกฝ่ายมึนก่อนหรือเปล่า แล้วค่อยโจมตี เคล็ดวิชานี้โง่มาก คนก็โง่เหมือนกัน โจมตีกระบี่เดียว ไม่ออมแรงสักนิด โดนคนต่อยจนเหมือนดาวตก”

“น่าอาย เฉียนเฟิง น้องชายนายน่าอายจริงๆ”

“เคล็ดวิชาบู๊ของตระกูลเฉียนแย่มาก ให้น้องนายเรียนรู้ให้มากสักหน่อยเถอะ”

……

เฉียนเฟิงไม่พูดอะไร หน้าแดงไปหมด รีบเดินออกไป เสียงตะโกนเรียก ทำให้เฉียนเฟิงใกล้จะบ้าจริงๆ เขาไม่มองน้องชายตัวเองเลยสักนิด

ลู่หมิงเห็นการกระทำของลู่เฟิง จู่ๆ ก็เห็นภาพที่ตัวเองทำกับลู่ฝานในตอนแรก

เป็นแบบนี้เหมือนกัน ลู่ฝานทดสอบล้มเหลว เขารีบเดินออกไปทันที ตัวเองเป็นลูกพี่ลูกน้องกับลู่ฝาน อย่าว่าแต่ไม่ทำอะไรสักอย่าง หนำซ้ำยังพูดเยาะเย้ยด้วย ราวกับว่าทุเรศกว่าเฉียนเฟิงอีกด้วย

ในแววตาลู่หมิง มีประกายแปลกประหลาด สว่างวาบขึ้นมา เขาเคยสัมผัสกับความเจ็บปวด ที่โดนคนรังแกในสถาบันสอนวิชาบู๊ และในตอนนี้ เขาเห็นความทุเรศของตัวเองในตอนนั้น

“ลู่หมิง น้องชายนายเก่งจริงๆ ต่อไปต้องแนะนำให้พวกเรารู้จักนะ”

“ลู่หมิง นายมีน้องชายแบบนี้ ดูสิต่อไป ใครจะกล้าเรียกชื่อเล่นนายอีก นายมีที่พึ่งแล้ว ฮ่าๆ”

“ให้น้องชายนายสอนได้ไหม นายบอกมาว่าต้องการอะไร พูดมาตามสบาย ถ้าฉันให้ได้ ฉันให้หมดเลย ต่อไปใครกล้าเรียกนายว่าเต่าขนเขียวอีก ฉันจะช่วยนายจัดการเอง”

เฉียนเฟิงไปแล้ว คนกลุ่มหนึ่งมาล้อมลู่หมิงเอาไว้

แต่บนใบหน้าลู่หมิง กลับไม่มีรอยยิ้ม หันหลังเดินออกไปเช่นกัน

เขาจะกลับไปเก็บตัวฝึกฝน

ตอนนี้ จู่ๆ เขารู้สึกว่าตัวเอง ไม่มีหน้าไปเจอลู่ฝาน เพราะถ้าไม่ใช่การต่อสู้อย่างง่ายดายของลู่ฝาน เขาคงโดนคนอื่นรังแกอีก

เขาจะให้คนที่เคยรังแกตัวเองมาช่วย ลู่หมิงคิดว่าตัวเองไร้ยางอายและทุเรศ

ดังนั้นเขาจึงเร่งฝีเท้า เดินออกไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่สนใจเสียงตะโกนเรียกของใครทั้งนั้น

……

“ลู่ฝาน ชนะ”

ครูเจียงชิ่นพูดอย่างราบเรียบ มองลู่ฝานด้วยสายตาชื่นชม

คนอื่นดูไม่ออก แต่ครูเจียงชิ่นดูออกอย่างชัดเจน

ที่สามารถเหาะเหินเดินอากาศ ออกมาอย่างง่ายดาย ครูเจียงชิ่นถามตัวเอง ตัวเขาเองก็ไม่สามารถทำได้ เขาสามารถใช้วิทยายุทธ ต้านทานกระบวนท่าของเฉียนหยู่ และเอาชนะเฉียนหยู่ได้ แต่นั่นเป็นเพราะ พละกำลังของเขาแข็งแกร่ง

ถ้าเขาแค่แดนปราณในชั้นสาม คงไม่มีทางหลบได้สบายๆ แบบลู่ฝาน และซัดกระเด็นด้วยหมัดเดียวได้

กลางอากาศ เซินถูหันไปมองอาจารย์เมิ่งอวิ๋นของคณะบังเหิน แล้วพูดว่า “เมิ่งอวิ๋น เธอมองวิชาเคลื่อนไหวร่างกายของเขาออกหรือเปล่า ทำไมฉันรู้สึกว่ามันแปลกๆ”

เมิ่งอวิ๋นพูดว่า “นายรู้สึกแปลก เป็นเรื่องปกติมาก เพราะนั่นไม่ใช่วิชาเคลื่อนไหวร่างกาย แต่เป็นการหลบธรรมดาๆ เท่านั้น”

เซินถูพูดว่า “ฉันรู้ แต่ไม่ควรเป็นอย่างนี้ ทำไมเขาไม่โดนการกดดันจากพลังฟ้าดิน ตอนนั้น ฉันรู้สึกว่าเขาหลอมรวมไปกับฟ้าดินแล้ว”

เสวียนเจินที่อยู่ข้างๆ พูดว่า “ความรู้สึกของนายถูกแล้ว เขาหลอมรวมไปกับฟ้าดินจริงๆ แม้ไม่รู้ว่าเขาทำได้ยังไง”

“เด็กที่น่าสนใจ วิชาที่น่าสนใจ ฉันว่าวันนี้ จบลงเท่านี้เถอะ เรามาดูว่าเขาจะเลือกคณะไหน”

เซินถูพูดแล้วลูบหมัดไปมา

ท่านผอ.ยิ้มแล้วพูดว่า “ฉันคิดว่าควรจบแค่นี้เหมือนกัน อืม เหลือสิบคนพอดี เทียนฉี่ประกาศผลเถอะ”

สะบัดมือ เกิดเสียงฟ้าผ่า ดังขึ้นบนท้องฟ้าอีกครั้ง หัวคนขนาดใหญ่ ปรากฏออกมา

เสียงราวกับฟ้าผ่าดังขึ้นมา

“การแข่งขันจบลงแล้ว คนที่เหลือสิบคน เดินขึ้นมา เลือกคณะ”

ลู่ฝานตกใจเล็กน้อย จากนั้นรอยยิ้มเต็มใบหน้า

สายลมเย็นพัดแขนเสื้อสะบัด พลังปราณแผ่ซ่านไปทั่ว

ตอนนี้สายตาของเหล่าอาจารย์ ต่างมองมาที่ลู่ฝาน

เทียบกับนักเรียนคนอื่น ไม่มีใครสักคน ที่สามารถทำให้แววตาของพวกเขา เป็นประกายได้ถึงเพียงนี้

เฉียนหยู่ที่อยู่ตรงข้ามลู่ฝาน เหงื่อหยดลงมาจากหน้าผาก ฝ่ามือเหงื่อออก จนกระบี่ยาวในมือเปียกโชก

ยังไม่ทันได้สู้ แพ้พลานุภาพไปเกือบครึ่งแล้ว

ลู่ฝานยิ้ม มองเฉียนหยู่ แล้วพูดเบาๆ ว่า “ฉันลู่ฝาน ขอโทษด้วยที่จำชื่อนายไม่ค่อยได้ ชื่อเฉียนอะไรนะ”

เฉียนหยู่พูดเบาๆ ว่า “ฉันชื่อเฉียนหยู่”

ลู่ฝานพยักหน้าพูดว่า “ใช่ๆ นายชื่อเฉียนหยู่ มาสิ เรามาสู้กัน โปรดชี้แนะด้วย”

ลู่ฝานง้างมือขึ้นมา กระบี่หนักชี้ไปที่หน้าเฉียนหยู่

ครูทั้งสองข้าง ยืนอย่างมั่นคง แล้วประกาศว่า “เริ่มได้แล้ว”

ลู่ฝานไม่ขยับ รอเฉียนหยู่เข้ามาโจมตีอย่างเงียบๆ

ลู่ฝานไม่ได้จงใจถ่อมตัว แต่เขามองออกว่า เฉียนหยู่ตื่นตระหนกมาก

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ลู่ฝานจึงไม่ขยับ ขอแค่เพิ่มพลานุภาพขึ้นอย่างต่อเนื่อง สำหรับนักบู๊ทั่วไป พลานุภาพเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น ควบคุมได้ยาก แต่สำหรับลู่ฝาน ไม่ใช่เรื่องยากอะไร

เพราะเขาเป็นผู้ฝึกชี่ อันที่จริงพลานุภาพ ไม่มีอะไรนอกเสียจากดึงกระแสฟ้าดิน เพื่อข่มขู่ศัตรู

และจุดนี้ เป็นสิ่งที่ผู้ฝึกชี่แข็งแกร่ง ตอนนี้ลู่ฝานสามารถใช้พลังฟ้าดิน แปรเปลี่ยนเป็นวัตถุ ควบคุมพลานุภาพ เป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก

พลังฟ้าดินเพิ่มขึ้นทีละนิด ภายใต้การกระตุ้นของลู่ฝาน อาศัยปราณเป็นพื้นฐาน ดึงพลังฟ้าดิน ถ้าไม่กลัวว่าความลับของตัวเองจะถูกเปิดเผย อันที่จริงตอนนี้ ลู่ฝานจะใช้การโจมตีฟ้าดินแปรเปลี่ยนเป็นวัตถุ ใส่เฉียนหยู่สักหนึ่งชุด

ภายใต้การกดดันของลู่ฝาน เฉียนหยู่ถึงกับหายใจอย่างรุนแรง

เมื่อเห็นภาพนี้ เหล่าอาจารย์ที่อยู่กลางอากาศ ล้วนมีสีหน้าผิดหวัง

อาจารย์เสวียนคงของคณะนานาพูดว่า “วิทยายุทธไม่เลว แต่สภาพจิตใจแย่เกินไป ไม่โดดเด่น ไม่เป็นโล้เป็นพาย”

เสวียนเจินพูดขึ้นมาเหมือนกัน “ใช่ เดิมทีฉันจะรับเขาเข้ามาในคณะกระบี่ แล้วสอนเขาด้วยตัวเองสักสองวัน แต่ดูเหมือนตอนนี้ เขาจำเป็นต้องฝึกฝนด้านจิตใจมากกว่า”

เซินถูส่ายหน้าพูดว่า “แย่เกินไปๆ แบบนี้โอกาสที่จะทำร้ายเด็กนั่น แทบจะไม่มีเลย ฉันอยากดูว่าไอ้เด็กนั่นจะมีทักษะอะไรอีก”

เฉียนหยู่ไม่รู้ว่า การแสดงออกของตัวเองเพียงครู่เดียว ทำให้อาจารย์ทั้งหลาย ไม่ค่อยประทับใจสักเท่าไร และเสียโอกาสที่จะได้รับการอบรมสั่งสอน จากอาจารย์เสวียนเจินไปหนึ่งครั้ง

ในที่สุด เฉียนหยู่ลงมือท่ามกลางพลานุภาพ ที่เหมือนคลื่นของลู่ฝาน

เขาจะไม่ลงมือไม่ได้ เพราะถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป เขาคงโดนพลานุภาพของลู่ฝาน กดจนทรุด

พลังปราณปลดปล่อยออกมา เป็นแดนปราณในชั้นสาม

ฝ่าเท้าเหาะไปบนพื้น เงาคนราวกับสายลม พัดผ่านไปด้านหลังลู่ฝาน ตัวของเขาผลุบโผล่ วนเวียนไปมารอบตัวลู่ฝานไม่หยุด

แค่ดูก็รู้ วิชากระบี่ที่เฉียนหยู่ใช้คือ วิชากระบี่ร้อยเล่ห์

เคล็ดวิชานี้ ศึกษาด้านการลงมือที่เร็ว แม่นยำ และโหดเหี้ยม แต่นักบู๊ประเภทนี้ ก็กลัวนักบู๊ที่มีร่างกายแข็งแกร่ง

ลู่ฝานเป็นประเภทนี้พอดี

กระบี่หนักตั้งตรงขึ้นด้านหน้า ราวกับโล่ป้องกันอยู่ด้านหน้า

นี่ดูเหมือนเป็นการกระทำที่ง่ายดาย แต่สามารถทำลายพลานุภาพการโจมตี ของเฉียนหยู่ได้เกือบครึ่ง

เฉียนหยู่แอบกัดฟัน เพราะตอนแรก เขาจะใช้โอกาสตอนที่ลู่ฝาน เอาแต่สังเกตด้านหลัง โจมตีเข้าทางด้านหน้า

เช่นนี้จะได้ใช้ประสิทธิภาพโจมตีเมื่อยามไม่ทันระวัง ใช้กลยุทธ์ที่คู่ต่อสู้คาดไม่ถึง

น่าเสียดาย ลู่ฝานไม่ให้โอกาสเขาเลยสักนิด

ฝีเท้าเร็วขึ้นเรื่อยๆ เฉียนหยู่ร้อนใจแล้วจริงๆ พลานุภาพบนตัวลู่ฝาน ยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เขาจินตนาการไม่ออกจริงๆ ทำไมพวกเขาสองคน มีวิทยายุทธเหมือนกัน แต่ลู่ฝานกลับมีพลานุภาพ ที่น่ากลัวเช่นนี้ และยืนอยู่ตรงนั้นอย่างแข็งแกร่ง

เขาคิดไม่ออก คนอื่นก็มองไม่ออกเหมือนกัน

ผู้ชายคนหนึ่ง ตะโกนพูดกับเฉียนเฟิง “เฉียนเฟิง น้องชายนาย วนไปวนมารอบๆ เหมือนคนปัญญาอ่อนคนนึง นี่มันกระบวนท่าอะไรกัน ต้องดูโง่ขนาดนี้ไหม”

เฉียนเฟิงเบิกตาโตใส่ผู้ชายคนนี้ “เกี่ยวอะไรกับนาย”

ลู่หมิงหันมามองเฉียนเฟิง แล้วพูดว่า “เขาไม่ได้เรียนวิชาหมุนรอบตัวใช่ไหม”

กลุ่มคนหัวเราะขึ้นมา ทำให้สีหน้าเฉียนเฟิง ลำบากใจเข้าไปอีก

หลังจากด้านบน วนอยู่อีกสองสามรอบ เฉียนหยู่ยังหาช่องโหว่ของลู่ฝานไม่ได้ อีกทั้งเพราะเขาพยายามเคลื่อนไหวไปรอบๆ ด้วยความเร็ว พลังปราณก็หายไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน

จะยื้อแบบนี้ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว!

เฉียนหยู่ลงมือทันที เขาพุ่งตัวไปหาลู่ฝานพร้อมลำแสงสีขาว

ทุกที่ที่ลำแสงพาดผ่านไป มีเสียงระเบิดดังขึ้นมา

กระบี่นี้ รวมกระแสลมทั้งหมดเอาไว้บนกระบี่ กระบี่ในมือเฉียนหยู่ มีการหมุนทะลุทะลวงที่น่ากลัว

ขณะเดียวกัน หินบนพื้น โดนสายลมอันบ้าคลั่ง พัดขึ้นมา เสียงน่าตกใจเป็นอย่างมาก

กระบี่นี้ มีชื่อว่าท่ากระบี่สังหาร!

เป็นท่าไม้ตายที่แข็งแกร่งที่สุดของเฉียนหยู่ ใช้การหมุนของกระแสลม กดดันคู่ต่อสู้ ทำให้อีกฝ่ายไม่สามารถหลบได้ จากนั้นค่อยเข้าไปฆ่า

ลู่ฝานรู้สึกเหมือนสายลมรอบตัว กดดันเข้ามาที่เขา ขังเขาอยู่ตรงนั้น

อยากจะเคลื่อนไหว เป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก ต้องพูดเลยว่า กระบวนท่านี้ไม่เลว

แต่ขณะนั้น ลู่ฝานกลับหัวเราะ

ไอ้หมอนี่ รู้ว่าพลานุภาพสู้เขาไม่ได้ จึงใช้กระบวนท่านี้ รนหาที่ตายจริงๆ

ด้านบน ลู่ฝานก็เอาชนะคู่ต่อสู้ใหม่ได้อีกแล้ว

สุ่ยหยวนถูกหามออกไป ตอนนี้คนที่ยังอยู่บนเกาะได้ เหลือเพียงแค่10กว่าคน

มาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่มีใครอยากถูกคัดออก ถึงแม้พวกเขาจะมาถึงจุดที่สามารถเลือกสถาบันเองได้แล้ว แต่ถ้าสามารถได้เป็นอันดับหนึ่งล่ะก็ คาดว่าหลังจากเข้าสถาบันไป ก็จะถูกอาจารย์มองดีหน่อย ไม่แน่ว่าอาจจะได้รับการชี้แนะก็ได้ 10กว่าคนที่เหลือนี้ เนื่องจากให้เลือกคู่ต่อสู้เอง ดังนั้นทุกคนเลยเลือกกันอย่างระวังมาก ล้วนเลือกคนที่ตนเองสามารถสู้ด้วยได้ อย่างน้อยก็มองดูคนที่รับมือได้ง่ายหน่อย

ในที่สุด ก็มีคนขยับมาทางลู่ฝานแล้ว กระโดดมาลงตรงหน้าของลู่ฝาน

กำมือคำนับพูดว่า “ผมชื่อเถ่หนิว โปรดชี้แนะด้วย”

คนที่เข้ามาเป็นชายกำยำมั่นคง ตัวสูง แผ่นหลังใหญ่เหมือนหมี กล้ามเนื้อดูแข็งแกร่งดั่งหินผา หัวโล้นเป็นเงามันขลับ มือถือค้อนใหญ่สองข้าง

ท่าทางแบบนี้ บวกกับอาวุธแบบนี้ ดูแล้วจะรุนแรงไม่เบา พลังปราณถูกปล่อยออกมาท่วมกาย มีระดับแดนปราณในชั้นสอง พละกำลังไม่เลว

ลู่ฝานก็กำมือคำนับกลับไป แล้วชักกระบี่ออกมา ไฟก็ลุกขึ้นมาอีกครั้ง

สู้มาถึงขั้นนี้ ไม่ได้เป็นการเปรียบเทียบพละกำลังอย่างเดียว ยังวัดกันที่การฟื้นตัวของร่างกายตนเองด้วย

บังเอิญว่า ลู่ฝานสามารถดูดซับเอาพลังฟ้าดินได้เร็วมาก ดังนั้นความสามารถด้านการฟื้นตัวเลยเป็นอันดับต้นๆ ต่อให้สู้กันหลายสนามติดกัน พลังของลู่ฝานก็เสียไปไม่เท่าไร ตอนนี้ยังอยู่ในระดับที่เต็มเปี่ยม

เจียงชิ่นเรียกเจ้าดำที่กำลังกระโดดโลดเต้นให้ขยับออกมาด้านหลัง จากนั้นอาจารย์อีกคนก็ประกาศให้เริ่มการประลองได้

พริบตา เถ่หนิวก็บ้าคลั่งเหมือนแรดตกมัน ยกค้อนใหญ่บุกเข้ามาหาลู่ฝาน

แผ่นหินที่พื้นก็แตกออก แต่ละก้าวก็ลงน้ำหนักลงพื้นยุบไป ลู่ฝานมองดูก็รู้ว่าฝั่งตรงข้ามมีแรงไม่ด้อยไปกว่าตนเอง

แต่ว่า ลู่ฝานก็ไม่คิดจะหลบ ยกกระบี่หนักขึ้นไว้ แล้วฟันออกไป

เพล๊ง ลู่ฝานฟันไปที่ส่วนกลางของค้อนคู่พอดี ตำแหน่งถูกต้องไม่ผิดเพี้ยน

การบุกโจมตีของเถ่หนิวถูกลู่ฝานใช้กระบี่ขวางไว้ รอยเท้าก็ยุบลงไปที่พื้นลึกขึ้น ลู่ฝานก็เกร็งกล้ามเนื้อ แล้วก็ลุกออกไปใส่กระบี่หนัก

เถ่หนิวเหมือนจะไม่กลัวไฟเผา ค้นคู่ก็ถูกไฟเผาจนแดง แต่เถ่หนิวก็ยังกำไว้แน่น

“แรงบุกเขาดุนลาย!”

กล้ามเนื้อของเถ่หนิวใหญ่ขึ้นมา แล้วก็ออกแรงกดกระบี่หนักของลู่ฝานกลับไป

ทันใดนั้นเอง เถ่หนิวก็เอาค้อนหนักข้างหนึ่งออกมา แล้วทุบไปทางลู่ฝานอย่างแรง

ลู่ฝานก็กำมือซ้าย แล้วต่อยออกไป

หมัดถล่มเขาทำลายล้าง!

ตุบ ตุบ

เสียงดังขึ้นสองครั้ง กำปั้นของลู่ฝานต่อยถูกท้องของเถ่หนิว แล้วค้อนเหล็กของเถ่หนิวก็แฝงไปด้วยพลังปราณเข้มข้น แล้วก็กระแทกลู่ฝานกระเด็นออกไปสามฟุต

มีคนไม่น้อยส่งเสียงตกใจ ค้อนหนักขนาดนี้ทุบมาที่ลำตัว คงจะอันตรายถึงชีวิต

ลู่ฝานก็ตกลงไปในหลุม โชคดีที่เกาะที่ลอยฟ้านี้มันหนาพอสมควร ไม่อย่างนั้นถ้าถูกค้อนทุบทะลุลงไปล่ะก็ คงจะน่าอับอายมาก

โม่หยุนเฟยเห็นดังนั้น ก็ชื่นชมในใจ

ทุบมันให้ตาย ทุบมันเลย ทีนี้ลู่ฝานลุกขึ้นมาไม่ไหวแล้ว

จางเยว่หานก็ยิ้มหน้าบาน สายตาก็มีความสะใจ จากนั้นศิษย์พี่ของเธอก็ยิ้มพูดว่า “ดูเหมือนว่าจะไม่ต้องให้พี่ลงมือแล้วล่ะ ไอ้ตัวใหญ่นั่นมีแรงไม่น้อย เกรงว่าพอทุบไป คงจะทำให้หมอนั่นนอนติดเตียงได้เป็นปีเลยทีเดียว”

จางเยว่หานยิ้มพูดว่า “ถือว่าหมอนั่นคดีไป ถ้าฉลาดแล้วกลับไปรักษาตัวที่บ้าน ฉันก็จัดการอะไรเขาไม่ได้แล้ว”

ศิษย์พี่ก็ยิ้มจับคางของจางเยว่หาน “เธอนี่มีเมตตาจริงๆ เลยนะ” แต่น่าเสียดาย รอยยิ้มมีแค่เวลาสั้นๆ

เสียงดังโครม เถ่หนิวเอามือจับท้องล้มลงพื้นภายใต้สายตาของทุกคนที่กำลังตกใจ

ล้มเหมือนคุกเข่าคำนับลงให้ จนพื้นแตกเป็นลายเหมือนกระดองเต่า

“เกิดอะไรขึ้น ทำไมเขาถึงล้มลงพื้นล่ะ?”

คนมากมายมองไม่ออก ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

และในตอนนี้เอง ลู่ฝานก็ปัดเศษฝุ่นดินบนตัว แล้วค่อยๆ ลุกขึ้นด้วยท่าทางสบายๆ

“เขาไม่เป็นอะไรงั้นหรือ? ไม่เป็นอะไรแม้แต่นิดเดียว พระเจ้าช่วย เขาเป็นคนหรือสัตว์อสูรกันเนี่ย!”

ทุกคนก็ผงะ สายตาที่มองลู่ฝานก็เหมือนกับเห็นปีศาจร้าย จางเยว่หานกับโม่หยุนเฟยก็อึ้งจนอ้าปากค้าง

บนท้องฟ้า สายตาของเซินถูก็เป็นประกาย “สภาพร่างกายสุดยอดมาก จริงๆ แล้ววิชาของเขาก็ไม่ได้ฝึกถึงขั้นสูงขนาดนั้นหรอก อาจจะเป็นเพราะร่างอสูรโดยกำเนิด หรือไม่ก็วิชาอะไรพิเศษ ฮ่าๆ ผมชอบเด็กคนนี้ ทางที่ดีพวกนายอย่ามาแย่งกับผมแล้วกัน ใครแย่งผมไม่ยอมแน่”

อาจารย์คนอื่นๆ ก็ไม่ได้สนใจเสียงพูดของเซินถู ล้วนแต่ยิ้มมองไปยังลู่ฝาน

เวลานี้ คนอื่นๆ ที่กำลังประลองกันอยู่ พอได้ยินเสียงดัง ก็พากันหันไปมองลู่ฝาน พอเห็นว่าเถ่หนิวถูกอาจารย์หามออกไป แล้วก็เห็นเกาะที่กลายเป็นหลุมยุบลงไปหมด ทุกคนก็เผยสีหน้าหนักใจขึ้นมา

เฉียนหยู่ก็ใช้กระบี่ประลองกับผู้หญิงตรงหน้า จากนั้นก็มองไปยังลู่ฝาน แล้วบ่นว่า “เก่งขนาดนี้เลยหรือนี่ ดูเหมือนว่าจะต้องหลบอยู่ห่างๆ มันหน่อยแล้ว”

พูดไปอย่างนั้น ลู่ฝานก็หันมามองเขาพอดี ลู่ฝานขมวดคิ้วเบาๆ คนคนนี้หน้าตาคุ้นๆ อ๋อ คือสองพี่น้องที่ล้อเลียนลู่หมิงไม่ใช่หรอกหรือ?

หัวเราะเบาๆ ลู่ฝานก็ตัดสินใจว่าสนามต่อไปจะไม่รอให้คนอื่นมาเลือกตนเองแล้ว ควรถึงเวลาที่เข้าจะต้องไปเลือกบ้างแล้ว

เฉียนหยู่หนังตากระตุกๆ แล้วก็เห็นลู่ฝานกระโดดเข้ามาอย่างเร็ว

ด้านล่าง เฉียนเฟิงก็ตกใจจนพูดอะไรออกมาไม่ออกแล้ว

เวลานี้ เขาไม่มีความมั่นใจว่าชนะพนันได้อีกแล้ว

เมิ่งอวิ๋นกับเซินถูต่างก็มีสีหน้าตกใจอย่างแปลกใจ

ซิงยวนก็พูดนิ่งๆ ว่า “พลังปราณดั่งชี่ คล้ายๆ พลังชี่ของผู้ฝึกชี่ แต่ว่าเป็นพลังปราณไม่ผิดแน่นอน เขาคงจะมีวาสนาอะไรพิเศษๆ แน่ๆ”

ท่านผอ.พูดว่า “ผมก็คิดแบบนี้เหมือนกัน ไม่ค่อยเหมือนกับนักบู๊ธรรมดาทั่วไป”

เซินถูก็พูดว่า “แล้วพลังปราณของเขามันดีขึ้น หรือว่าแย่ลงล่ะ?”

ซิงยวนจ้องเขม็งมองลงไป ถึงแม้จะห่างกันมาก แต่แม้แต่เส้นผมเส้นเดียวบนตัวของลู่ฝานก็ไม่พ้นสายตาของซิงยวนไปได้

“พลังปราณเข้มข้นมีกำลังมาก เหนือกว่านักบู๊ธรรมดาทั่วตัว แถมหมดช้ามาก น่าจะมีแรงตอนท้ายมาก เอ๊ะเดี๋ยวนะ เขากลับสัมผัสสายตาของผมได้ ดูเหมือนว่าด้านประสาทสัมผัสก็เพิ่มขึ้นไม่น้อย”

ซิงยวนพูดไป ก็ยิ้มมุมปากเบาๆ ไปด้วย

เซินถูที่อยู่ด้านข้างก็พูดออกมาอย่างตกใจว่า “ซิงยวน นายยิ้มแล้วหรือ ผมไม่ได้เห็นนายยิ้มมาหลายสิบปีแล้ว ผมไม่ได้มองผิดไปใช่ไหม”

ซิงยวนก็รีบเก็บรอยยิ้มไปทันที แล้วส่งเสียง เหอะ

อี้ชิงก็เอามือลูบพุงแล้วหัวเราะ “หาได้ยาก หาได้ยาก แม้แต่ซิงยวนก็ยังยิ้มออกมา ดูเหมือนว่าเด็กคนนี้จะมีพรสวรรค์ที่น่าตกใจ วันข้างหน้าจะต้องไปได้ไกลแน่นอน ผมก็เริ่มสนใจขึ้นมาบ้างแล้วสิ”

ซิงยวนหันไปเหลือบมองอี้ชิง “แกบอกว่าจะเลือกแต่ลูกศิษย์ที่ต้องตาไม่ใช่หรือไง?”

อี้ชิงยิ้มพูดว่า “แน่นอน แต่ถ้าลูกศิษย์ของผมทั้งถูกชะตา ทั้งมีพรสวรรค์ล่ะก็ ก็คงจะดีมากเลย”

ซิงยวนพูดเสียงเย็นว่า “อย่างนั้นก็เกรงว่าแกจะต้องผิดหวังแล้วล่ะ ด้วยชื่อเสียงของคณะหนึ่งเดียวของแกในตอนนี้ เด็กอัจฉริยะคนนี้คงจะไม่เลือกไปคณะหนึ่งเดียวของพวกแกหรอก”

อี้ชิงก็ถอนหายใจพูดว่า “นั่นน่ะสิ แล้วแต่วาสนาก็แล้วกัน”

ท่านผอ.หัวเราะเบาๆ แล้วก็พูดว่า “เห็นเด็กคนนี้แล้วผมก็อยากจะรับศิษย์เหมือนกันแล้วสิ”

อาจารย์ทั้งเก้ามองไปยังท่านผอ.พร้อมกัน สายตามีความตื่นตกใจ

ท่านผอ.ยกมือพูดว่า “แต่พวกนายวางใจเถอะ ผมไม่แย่งกับพวกนายหรอก แต่อีกเดี๋ยวไม่ว่าเด็กคนนี้จะเข้าไปอยู่ที่ไหน พวกนายก็ไปสืบมาหน่อย ว่าเด็กคนนี้ฝึกพลังปราณพิเศษแบบนี้ออกมาได้อย่างไร ถ้าเลียนแบบแล้วเอาไปสอนต่อได้ ก็ให้รีบพาเขามาหาผมที่นี่ ผมจะคุยกับเขาเอง”

อาจารย์ทั้งเก้าพยักหน้าพร้อมกัน

…….

ด้านล่าง ลู่หมิงก็หันไปยิ้มให้กับเฉียนเฟิง “โทษทีนะ ต่อไปก็ให้นายมาล้างเท้าให้ผมแล้วกัน แล้วก็จะบอกให้ เท้าของผมน่ะเหม็นมาก เตรียมใจไว้ให้ดีแล้วกัน”

เฉียนเฟิงก็หน้าเสียไปไม่ถูก ถูกพูดแดกดันจนตอบโต้อะไรไม่ออก

ส่วนสุ่ยอู๋ฉิงที่อยู่ด้านข้าง ก็จ้องมองลู่ฝานด้านบนตลอดเวลา สายตาเหมือนดั่งดาบ แฝงรังสีอาฆาต

พอได้ยินลู่หมิงประชดประชัน ถึงแม้จะไม่ได้พูดถึงเขา แต่สุ่ยอู๋ฉิงก็รู้สึกว่าขายขี้หน้าไปด้วย แล้วมองไปรอบๆ การซุบซิบนินทากันของคนรอบๆ ทำให้สุ่ยอู๋ฉิงหน้าเสียไปด้วย ตอนแรกพูดไว้อย่างมั่นใจเกินไป พอแพ้ขึ้นมาก็จะขายหน้ามาก

ส่งเสียงไม่พอใจ แล้วสุ่ยอู๋ฉิงก็สะบัดแขนเสื้อจากไป ทุกคนก็เปิดทางให้สุ่ยอู๋ฉิงเดินออกไป

เฉียนเฟิงก็อยากจะไป วันนี้เขาถือว่าขายขี้หน้าเหมือนแก้ผ้าเปิดก้นเต้นให้ทุกคนดู

แต่สติสัมปชัญญะบอกเขาว่า ถ้าวันนี้เขากลับออกไป วันข้างหน้าถ้าเจอกับลู่หมิงอีก เขาก็คงจะต้องหลบหน้า เขาจะไม่มีทางไปล้างเท้าให้ลู่หมิงเด็ดขาด เดิมทีเฉียนเฟิงก็ไม่ชอบลู่หมิงอยู่แล้ว แกล้งลู่หมิงมาเป็นปี พอมาถูกลู่หมิงเยาะเย้ยแบบนี้ เฉียนเฟิงก็ทนความรู้สึกนี้ไม่ได้

ตาก็เริ่มแดงๆ เฉียนเฟิงพูดว่า “ลู่หมิง อย่าเพิ่งได้ใจไป แน่จริงก็มาพนันกันอีกครั้งสิ”

ลู่หมิงกอดอกพูดว่า “จะพนันแบบไหน”

เฉียนเฟิงก็ชี้ไปบนกลางอากาศ “น้องชายกูยังไม่ถูกคัดออก แน่จริงพวกเราก็มาพนันกันอีก ถ้าน้องชายกูแพ้ให้กับมันอีกล่ะก็……”

ลู่หมิงถือโอกาสพูดว่า “อย่างนั้นก็แก้กางเกงเปิดก้นวิ่งรอบสถาบันสอนวิชาบู๊หนึ่งรอบ วิ่งวนให้ครบทุกคณะ”

เฉียนเฟิงก็กัดฟันพูดเสียงผ่านฟันออกมาว่า “ได้เลย แต่พี่น้องมึงแพ้แน่”

ลู่หมิงพูดอย่างใจใหญ่ว่า “อย่างนั้นเรื่องคนรับใช้ก็เป็นอันว่าหายกันไป”

เฉียนเฟิงกำหมัด แล้วพูดว่า “ได้ ไอ้เต่าขนเขียว มึงว่าแค่นี้ก็จะเขี่ยกูออกไปได้งั้นสิ ถ้ามึงแพ้ มึงต้องมาเลยตีนให้กู”

ลู่หมิงหยีตาลง “งั้นกูไม่พนันด้วยแล้ว มึงมาเป็นคนรับใช้ให้กูเลยหนึ่งปี”

อยู่ดีๆ คนรอบๆ ก็ตะโกนกันขึ้นมา

“เฉียนเฟิง ไปเป็นคนรับใช้ให้เต่าขนเขียวเถอะ ฮ่าๆ พวกเรากำลังรอดูอยู่”

“เต่าขนเขียว อย่าสิ พนันกับเขาไปเลย”

“นั่นสิ ถ้าเป็นผู้ชาย ก็พนันให้สุดๆ ไปเลย”

เสียงตะโกนดังขึ้น จนดึงดูดให้คนของสถาบันอื่นๆ มองมาดู

เฉียนเฟิงก็พูดเสียงเย็นว่า “เต่าขนเขียว มึงอยากโดนกระทืบใช่ไหม”

ลู่หมิงพูดเบาๆ ว่า “มึงคิดจะกระทืบกูที่นี่งั้นหรือ กระทืบกูต่อหน้าครูกับอาจารย์เนี่ยนะ?”

เฉียนเฟิงหายใจเข้า แล้วก็กำหมัดแน่น “ได้ พนันตามที่มึงบอกเลย ถ้าชนะ ก็เป็นอันหายกัน แต่ว่าเรื่องในวันนี้ กูจะจำไว้ กูไม่ปล่อยมึงไปแน่”

ลู่หมิงพูดเสียงเย็น “กูไม่เคยคิดเลยว่ามึงจะปล่อยกูไป แต่กูก็ไม่กลัวหรอก”

เฉียนเฟิงเก็บสายตาตนเอง แล้วตะโกนเรียกเฉียนหยู่ จากนั้นก็ชี้ไปยังลู่ฝาน

เฉียนหยู่ขมวดคิ้วเบาๆ แล้วมองไปที่ลู่ฝาน แล้วก็ไม่ได้จะสนใจอะไรมาก แล้วก็หันตัวไปยังอีกเกาะหนึ่งที่มีผู้หญิงคนหนึ่งอยู่

คนกลุ่มหนึ่งหัวเราะการตัดสินใจของลู่หมิง และในตอนนี้เอง ก็มีเสียงหนึ่งดังมาจากด้านหลัง

“พวกนายผิดกันหมดแล้ว ลู่ฝานของตระกูลลู่แข็งแกร่งมากจริงๆ”

ทุกคนหันไปมอง แล้วก็พูดกับคนที่ส่งเสียงมาว่า “โม่หยุนเฟย นายไม่ได้หรอกพวกเราใช่ไหม”

โม่หยุนเฟยยิ้มพูดว่า “ไม่แน่นอน มีคนเปิดพนันแล้วไม่ใช่หรือว่า นักเรียนใหม่รอบนี้ใครจะได้อันดับที่1 พวกนายไปพนันตัวลู่ฝานได้ ไม่แพ้แน่นอน”

พูดจบ โม่หยุนเฟยก็เงยหน้าขึ้นไปมองด้านบน สายตาจับจ้องไปที่ตัวของลู่ฝาน

อีกฝั่ง ในหลุ่มนักเรียนของคณะบังเหิน จางเยว่หานชี้ไปยังตัวของลู่ฝานพูดว่า “ศิษย์พี่ เขานั่นแหละ ช่วยฉันจัดการเขาหน่อยได้ไหม?”

คนที่ถูกจางเยว่หานเรียกว่าศิษย์พี่นั้น ได้โอบเอวเล็กๆ ของจางเยว่หานไว้ แล้วพูดว่า “ไม่มีปัญหาแน่นอน คนดีของพี่ ขอเพียงบอกมา ไม่ว่าใครพี่ก็จะช่วยจัดการได้หมด เดี๋ยวรอมันเข้าสถาบันแล้ว พี่จะสั่งสอนมันเอง ต้องการให้มันน่าอายแบบนี้ก็ได้หมดเลย”

สายตาของจางเยว่หานเผยความเยือกเย็นออกมา “ถ้าฉันต้องการให้เขาตายล่ะ?”

ศิษย์พี่ก็อึ้งไป แล้วก็พูดว่า “ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีวิธี”

จางเยว่หานก็รีบหัวเราะร่าออกมา “ศิษย์พี่ดีจังเลย”

ศิษย์พี่ที่ว่าก็หัวเราะออก จางเยว่หานเงยหน้า สายตามองไปยังลู่ฝาน แล้วบ่นว่า “นายทำให้ฉันดูแย่ ฉันจะทำให้นายตายเพื่อชดใช้”

ด้านบน ลู่ฝานกับสุ่ยหยวนก็สู้กันอย่างยากที่จะรู้แพ้ชนะได้

ดาบมือซ้ายกระบี่มือขวาของสุ่ยหยวน สามารถโจมตีได้คนละมุมและคนละความรุนแรง ทำให้ปัดป้องได้ยากลำบากจริงๆ

โชคดีที่ดาบของลู่ฝานยาวพอ ใหญ่พอ แกว่งๆ ออกไปก็สามารถปัดป้องการโจมตีได้ไม่น้อย ถ้ารับไม่ไหว ก็มีผิวหนังเผ่ามังกรคุ้มกันกาย โดนไปครั้งสองครั้ง ก็แค่เป็นรอยใส่ผิวหนังเท่านั้น

สุ่ยหยวนกลับยิ่งโจมตียิ่งรีบร้อน เขาไม่เคยเจอนักบู๊ที่แบกรับได้ขนาดนี้

พลังการป้องกันของฝ่ายตรงข้ามเหนือความคาดหมายของเขามาก กว่าจะหาจุดอ่อนเจอ แล้วแทงเข้าไป ก็ไม่สะกิดผิวของฝั่งตรงข้ามเลย กลับแลกมาด้วยความร้อนที่ลวกมือของเขาจนแสบร้อน

จะเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว สุ่ยหยวนส่งเสียงฮึกเหิมเบาๆ แล้วกระโดดพลิกตัวถอย เอาดาบและกระบี่มาไว้ที่หน้าอก

ด้านล่าง สุ่ยอู๋ฉิงเห็นท่าทางของสุ่ยหยวน ก็รู้ได้เลยว่าสุ่ยหยวนจะใช้กระบวนท่าอะไร เลยชื่นชมไปว่า “ดีมาก วิชาหยาดน้ำ กระบี่กลายพิรุณ”

พอสิ้นเสียงของสุ่ยอู๋ฉิง สุ่ยหยวนก็ลงมือ

พริบตา ดาบและกระบี่ในมือก็หายไป เหลือแต่เงาลวงที่ยังพอเห็นได้ด้วยตาเปล่า

เงาลวงที่น่ากลัว มันเหมือนกับลมและฝน ปกคลุมไปทั้งตัวของลู่ฝาน หัวใจของลู่หมิงก็แทบจะหยุดเต้น

ลู่ฝานตาเหลือก บนตัวก็มีเปลวไฟพวยพุ่งออกมาทันที

วิชากายทองไฟอาบ!

เจ้าดำที่ยื่นอยู่ข้างๆ เจียงชิ่นโดยตลอดก็กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ มันชอบไฟมาก พอเห็นบนตัวของลู่ฝานมีไฟลุก เจ้าดำก็จะดีใจมาก

แต่คนอื่นไม่รู้ว่าเจ้าดำทำอะไร มีเพียงลู่ฝานที่พอรับรู้ได้ว่ากายทองไฟอาบของตนเองไม่ค่อยปกติ ทำไมในไฟถึงมีสีดำๆ อยู่ด้วย เขาไม่ได้ใช้เคล็ดฝึกชี่เสียหน่อย

จะสนใจอะไรมากไม่ได้ ปราณชี่ปกคลุมกาย ลู่ฝานก็แกว่งกระบี่ออกไป

ไฟก็ปกคลุมทั่วตัวกระบี่ทันที ลู่ฝานก็ยังตกใจเอง วินาทีต่อมา กระบี่หนักก็ไปโจมตีทำลายการโจมตีจากเงาของสุ่ยหยวน

เสียงดังโครม ไฟระเบิดออก สุ่ยหยวนถูกกระบี่โจมตีจนลอยออกไป เกาะก็สั่นไปหมด

อาวุธหลุดออกจากมือ สุ่ยหยวนร่วงลงพื้น จนลุกขึ้นมาไม่ไหว

คนทางด้านล่างก็อึ้งกันหมด เฉียนเฟิงถึงกับส่งเสียงดังออกมา “อะไรกัน!”

ลู่หมิงก็กำหมัดแน่น ลู่ฝานทำได้ดีมาก!

สุ่ยอู๋ฉิงก็อึ้งไปเหมือนกัน อ้าปากค้างไม่กล้าพูดอะไร

นักเรียนมากมายเริ่มคุยกัน

“หมอนี่บ้ามาจากไหนกันเนี่ย เขาฝึกแดนปราณนอกไม่ใช่หรือไง? แล้วไฟนั่น มันน่ากลัวมากเลย”

“เหมือนจะไม่ใช่แดนปราณนอก เหมือนจะเป็นวิชาเกี่ยวกับฝึกร่าง แต่ว่าพลังรุนแรงมากเลย!”

“โม่หยุนเฟย รู้จักหมอนั่นไหม? เขาใช้วิชาอะไร?”

คนก็เข้าไปล้อมโม่หยุนเฟย ใบหน้าก็เหงื่อตก ทุกครั้งที่โม่หยุนเฟยเห็นลู่ฝานต่อสู้ ก็ล้วนจะรับรู้ได้ว่าลู่ฝานแข็งแกร่งขึ้นอีกแล้ว

หายใจเข้าไปลึกๆ โม่หยุนเฟยก็พูดว่า “นั่นเป็นวิชาที่สืบทอดกันมาของตระกูลเขา ชื่อว่ากายทองไฟอาบ”

ทุกคนก็ถึงบางอ้อ “แบบนี้นี่เอง เป็นวิชาของตระกูล เขามาพร้อมกับลู่หมิงไม่ใชหรือไง? ลู่หมิงก็เป็นคนของตระกูลลู่นะ ทำไมลู่หมิงไม่เป็นวิชานี้ล่ะ?”

“นายคิดว่าตระกูลหนึ่งจะมีอัจฉริยะได้หลายคนงั้นหรือ? เกรงว่าลู่ฝานคงจะเป็นอัจฉริยะแห่งยุคของพวกเขาเลยล่ะ”

“อืมๆ เกรงว่าอยู่ในสถาบันสอนวิชาบู๊ก็คงจะเป็นอัจฉริยะในอัจยริยะอีกที”

……….

บนท้องฟ้า อาจารย์เซินถูก็หัวเราะขึ้นมาว่า “วิชาฝึกร่าง ไม่เลวเลย ไม่เลวๆ เสวียนเจิน ในเมื่อเขาไม่ยอมเข้าคณะกระบี่ของนาย ก็ให้มาเข้าคณะกำแหงของผมแล้วกัน”

เสวียนเจินหัวเราะพูดว่า “แม้แต่คณะกระบี่ของผมเขายังไม่ไป แล้วจะไปคณะกำแหงของนายได้ไง”

เซินถูก็ส่ายหัวพูดว่า “ก็เพราะว่านายไม่รู้จักดึงคนไปอยู่ด้วยน่ะสิ จะรับเขาไว้เป็นศิษย์ จะต้องให้ผลประโยชน์ เดี๋ยวผมจะให้วิชากับเขา พอเขาเห็นวิชาที่สูงส่ง ก็จะยอมรับปากเองนั่นแหละ”

เสวียนเจินเก็บรอยยิ้มไป แล้วพูดว่า “นายนี่นะ จริงๆ เลยเชียว……ซิงยวนไม่พูดอะไรหน่อยหรือไง?”

ซิงยวนนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วก็หันหน้ามาพูดว่า “ท่านผอ. เห็นแล้วใช่ไหมครับ?”

ท่านผอ.พยักหน้า “เห็นแล้ว พลังปราณของหมอนี่ ค่อนข้างไม่ปกติ”

พูดไป อาจารย์เสวียนเจินก็ส่งเสียงผ่านอากาศไปให้ครูเจียงชิ่นข้างๆ ลู่ฝาน

ครูเจียงชิ่นก็หันไปพูดกับลู่ฝานว่า “ลู่ฝาน นายโชคดีมาก อาจารย์เสวียนเจินของคณะกระบี่ถูกใจนาย เลยถามนายว่ายินดีจะเข้าร่วมกับคณะกระบี่ไหม ถ้ายินดี ก็จะไม่ต้องประลองต่อไปแล้ว สามารถออกไปก่อนได้เลย”

ลู่ฝานยิ้มเบาๆ “ไม่ล่ะครับ ผมไม่ไปคณะกระบี่”

ครูเจียงชิ่นอึ้งไป เขาเพิ่งเคยเห็นนักเรียนใหม่ปฏิเสธคำเชิญจากอาจารย์สถาบันเป็นครั้งแรก แถมยังเป็นคณะกระบี่ที่อยู่อันดับที่สองของทั้ง9อันดับด้วย

“ลู่ฝาน คิดให้ดีนะ อาจารย์เสวียนเจินของคณะกระบี่ชื่นชอบนาย ไม่ใช่อาจารย์คนใดคนหนึ่งในคณะกระบี่ชื่นชอบนะ จะต้องได้รับการชี้แนะจากอาจารย์เสวียนเจินโดยตรงแน่นอน มันเป็นโอกาสดีมากเลยนะ”

ลู่ฝานส่ายหัวพูดว่า “ผมทราบครับ แต่ผมไม่ไป ประลองกันต่อเลยครับ เหมือนจะเหลือคนไม่เยอะแล้ว”

ครูเจียงชิ่นถอนหายใจ ช่างเป็นวัยรุ่นที่ยังไม่รู้ความจริงๆ วันข้างหน้าจะต้องเสียใจภายหลังแน่นอน

ปากขยับๆ เจียงชิ่นก็ใช้กระแสจิตสื่อกลับ ขอเพียงฝึกถึงแดนปราณนอก ก็จะส่งเสียงออกไปได้อย่างง่ายดาย

เสวียนเจินได้ยินเสียงนั้น ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยพูดว่า “ไอ้เด็กคนนี้ กล้าปฏิเสฉันงั้นรึ”

ยังไม่ทันสิ้นเสียง อี้ชิงก็หัวเราะขึ้นมาก่อนเลย

“อะไรนะ? ไอ้เด็กหนุ่มที่ถือกระบี่หนักไม่ยอมเข้าคณะกระบี่งั้นหรือ น่าสนใจ น่าสนใจมากเลยทีเดียว”

อาจารย์เมิ่งอวิ๋นของคณะบังเหินก็ส่ายหัวพูดว่า “เด็กหนุ่มทะเยอทะยาน คงจะเล็งคณะหยินหยางไว้แล้ว ซิงยวนนายจะรับเขาไว้ไหม?”

ซิงยวนก็ตอบว่า “ได้ มีพื้นฐานพละกำลังไม่เลว เป็นต้นกล้าชั้นดี ดูกันไปก่อน”

ท่านผอ.หัวเราะเบาๆ พูดว่า “ผมก็ว่าไม่เลวเหมือนกัน”

ตอนที่อาจารย์ทั้งหลายและท่านผอ.กำลังคุยเล่นกันนั้น ลู่ฝานที่อยู่ด้านล่างก็เอาชนะคู่ต่อสู้ได้อีกครั้งแล้ว

ในตอนนี้ เหลือนักเรียนเพียงแค่ไม่กี่สิบคนเท่านั้น ทุกคนล้วนเป็นระดับแดนปราณในขึ้นไปหมด

ก่อนที่จะมาที่นี่ ลู่ฝานคิดมาตลอดว่าระดับพละกำลังของตนเองถือว่าสูงแล้ว แต่พอเจอคนพวกนี้ ลู่ฝานถึงพบว่าระดับของตนเองนั้นยังไม่ถือว่าสูงมาก อย่างน้อยก็มี10คนที่เหมือนกับเขา สถาบันสอนวิชาบู๊เป็นสถานที่ที่รวบรวมคนเก่งไว้จริงๆ สมคำร่ำลือ

อาจารย์สองคนยืนในเกาะเดียวกัน เพื่อควบคุมดูแลการประลองครั้งนี้ นักเรียนฝั่งตรงข้ามก็มีมารยาทมาก เดินเข้ามายกมือคำนับพูดว่า “ผมชื่อสุ่ยหยวน ช่วยชี้แนะด้วย”

ลู่ฝานก็ตอบกลับไปว่า “ผมชื่อ ลู่ฝาน เชิญเลย”

สุ่ยหยวนหยิบอาวุธของตนเองออกมา เป็นดาบกับกระบี่อย่างละเล่ม

มือซ้ายดาบ มือขวากระบี่ พลังปราณถูกปล่อยออกมา ท่าทางรุนแรง ดูแล้วท่าจะไม่ธรรมดา

ด้านล่าง ลู่หมิงก็มองดูอยู่ในฝูงชน ตอนที่เห้นว่าคู่ต่อสู้ของลู่ฝานคือสุ่ยหยวนนั้น ลู่หมิงก็ขมวดคิ้วเบาๆ รู้ว่าครั้งนี้ลู่หมิงลำบากแน่

เพราะว่าสุ่ยหยวนคนนี้เป็นพี่น้องกับสุ่ยอู๋ฉิง ยอดฝีมืออันดับหนึ่งในคณะนานา สุ่ยอู๋ฉิงเคยพูดไว้หลายครั้งว่า น้องชายของเขามีพรสวรรค์ไม่ด้อยไปกว่าเขาเลย มีพละกำลังอยู่ที่แดนปราณในชั้นสอง ถ้าหากเป็นเพราะว่ายังไม่ได้ฝึกวิชาของตระกูลหมด สองปีก่อนก็ได้เข้ามายังสถาบันสอนวิชาบู๊แล้ว ครั้งนี้ ก็มาเพื่อจะเข้าคณะหยินหยาง

ตอนที่ลู่หมิงกำลังกังวลอยู่นั้น ด้านหลังก็มีเสียงของเฉียนเฟิงที่น่ารำคาญดังเข้ามาอีก

“เต่าขนเขียวลู่หมิง อยู่ที่นี่หรอกหรือ ให้หาตั้งนาน เพื่อนเอ็งโชคดีไม่เบาเลยนี่หว่า ถึงได้เจอกับน้องชายของพี่สุ่ย ดูเหมือนว่าเส้นทางข้างหน้าของเขาคงจะต้องจบลงแล้ว ใช่ไหมครับพี่สุ่ย”

เฉียนเฟิงเดินมาพร้อมกับสุ่ยอู๋ฉิง เสียงหัวเราะแสบแก้วหู รำคาญเสียงมาก

คนอื่นๆ ก็เห็นได้ชัดว่ารู้จักสองคนนี้กันหมด เลยหลีกทางให้เฉียนเฟิงกับสุ่ยอู๋ฉิงเดินเข้ามา

สุ่ยอู๋ฉิงเหล่มองลู่หมิง แล้วพูดว่า “แค่คนของตระกูลลู่เล็กๆ มาถึงจุดนี้ได้ ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว แต่น่าเสียดาย เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของน้องชายผม”

เฉียนเฟิงพูดต่อไปว่า “แน่นอนอยู่แล้ว ลู่หมิง เอ็งควรจะดีใจไว้นะ ที่พี่น้องเอ็งเจอกับน้องชายของพี่สุ่ย แต่ไม่ใช่เฉียนหยู่น้องชายของเรา ไม่อย่างนั้นอาจจะแพ้อย่างน่าอนาถ แถมอาจจะทิ้งความเจ็บใจไว้ให้อีกด้วย”

ลู่หมิงก็แอบกัดฟัน ถึงแม้เขาจะไม่ชอบลู่ฝาน แต่ตอนนี้ เขาไม่อยากให้ลู่ฝานแพ้เลย

ลู่หมิงก็ตอบไปนิ่งๆ ว่า “ชนะหรือแพ้ มันก็ยังไม่แน่เลย”

เฉียนเฟิงก็อึ้งไป แล้วก็หัวเราะลั่นออกมา พร้อมกับพูดว่า “โอ้ว เต่าขนเขียวมีความมั่นใจเหมือนกันนี่กว่า พนันกันหน่อยไหมล่ะ?”

ลู่หมิงยิ้มเย็นพูดว่า “ผมไม่มีอะไรสักอย่าง จะเอาอะไรไปพนันด้วยล่ะ”

เฉียนเฟิงก็ยิ้มพูดว่า “ผมรู้ว่านายไม่มีอะไรสักอย่าง ผมต้องการพนันให้นายมาทำความสะอาดและซักผ้าให้1ปี ยอมถูกด่าและทุบตี เหมือนกับคนรับใช้ กล้าพนันไหมล่ะ”

ลู่หมิงหนังตากระตุก สายตาเป็นประกาย

สุ่ยอู๋ฉิงหัวเราะออกมา “พี่เฉียน ไม่ต้องไปพนันก็สั่งสอนให้มันมาทำงานให้เราได้แล้ว จะต้องไปพนันทำไมกัน?”

ถึงแม้ปกติแล้วผมจะรังแกมัน แต่หมอนี่ใจแข็งไม่เบา เหมือนกับก้อนหิน เกือบเป็นเรื่องตั้งหลายครั้ง ถ้าหากว่ามันยอมให้ทุบตีด่าทอได้ ผมก็สะใจไม่เบาเลย พอถึงตอนนั้น

สุ่ยอู๋ฉิงยิ้มพูดว่า “ดีจริงๆ ดีจริงๆ ลู่หมิงกล้าพนันไหมล่ะ? ตอบหน่อย ดูสิ ข้างบนเริ่มสู้กันแล้ว”

ในหัวของลู่หมิงก็เกิดภาพของลู่ฝานกับน่าหลานรั่วอาจารย์ประมือกัน กัดฟันพูดว่า “พนันก็พนัน ถ้าผมชนะ ก็ต้องยอมซักผ้าให้ผม ยอมให้ผมด่าให้ทุบตีเหมือนกัน”

เฉียนเฟิงหัวเราะแทบจะสิ้นลม แล้วพูดว่า “ไม่มีปัญหา”

คนอื่นๆ ได้ยินสองคนนี้พนันกัน ต่างก็พากันซุบซิบ สายตาที่มองลู่หมิงก็เหมือนกันมองคนปัญญาอ่อนเสียอย่างนั้น

“เต่าขนเขียวลู่หมิงโง่อีกแล้ว เขายังลำบากไม่พอหรือไง?”

“ไม่แน่ว่าพี่น้องของเขาอาจจะเก่งมากก็ได้นะ?”

“ฮ่าๆ นายก็พูดตลอดไป ตระกูลลู่เนี่ยนะ? ผมได้ยินว่าเป็นแค่ตระกูลเล็กๆ ในเมืองเจียงหลินเท่านั้น”

……

สายฟ้าฟาดลงไปยังช่องว่างระหว่างเกาะ จนลงไปสู่พื้นด้านล่าง จนพื้นด้านล่างยุบเป็นหลุมลงไป

เสียงนี้พูดขึ้นจนนักเรียนกลุ่มนั้นเงียบไป ลู่ฝานก็มองไปยังหัวคนขนาดใหญ่บนท้องฟ้านั้นอย่างตกใจ ในใจก็ระทึก

“พระเจ้า ในโลกนี้มีคนตัวใหญ่ขนาดนี้ด้วยหรือนี่”

ครูเจียงชิ่นเห็นใบหน้าที่ตกใจของลู่ฝานกับนักเรียนอีกคน ก็พูดออกมาว่า “นี่คือเทียนฉี่ เป็นผู้ลงทัณฑ์ของสถาบัน วันข้างหน้าถ้าพวกเธอไม่ปฏิบัติตามกฎของสถาบัน ก็ระวังสายฟ้าของเขาลงโทษแล้วกัน”

ลู่ฝานกลืนน้ำลาย มีคนที่น่ากลัวแบบนี้อยู่ ใครจะกล้าทำผิดกฎ

นักเรียนกลุ่มนั้นถูกพาตัวออกไปอย่างรวดเร็ว ท้องฟ้าก็กลับมาเงียบสงบอีกครั้ง พวกนักเรียนเก่าด้านล่างก็เริ่มคุยกันขึ้นมาอีกครั้ง สำหรับพวกเขาแล้ว ทุกคนที่เจอกับเทียนฉี่ก็จะรู้สึกเกรงกลัวเหมือนกัน

“เอาเถอะเริ่มการทดสอบได้”

ครูเจียงชิ่นสั่งการ ลู่ฝานก็ชักกระบี่หนักของตนเองออกมา

นักเรียนฝังตรงข้ามก็หยิบอาวุธของตนเองออกมาเหมือนกัน ส่งเสียงฮึกเหิมเบาๆ แล้วก็บุกมายังลู่ฝาน

ลู่ฝานขับเคลื่อนพลังปราณ แล้วยกมือร่ายกระบวนท่าแรก วิชากระบี่หนัก สายลมทำลาย!

พอนักเรียนที่บุกเข้ามาเห็นพลังปราณ ก็อึ้งไป ต่อมาก็ถูกลู่ฝานใช้กระบี่โจมตีจนสลบไปที่พื้น

ตอนที่ลู่ฝานต่อสู้กันนั้น นักเรียนบนเกาะอื่นๆ ก็เริ่มทดสอบเหมือนกัน เวลานี้เสียงการต่อสู้ก็ดังขึ้น

บนท้องฟ้า ผอ.สถาบันสอนวิชาบู๊กับอาจารย์ของเก้าคณะทุกท่านก็ยิ้มมองดูทุกคน

ท่านผอ.ยิ้มพูดว่า “ปีนี้ดูเหมือนว่าสถาบันจะดีกว่าปีก่อนๆ หน่อย มีนักเรียนที่ฝึกพลังปราณได้ไม่น้อย”

ด้านข้าง อาจารย์เสวียนเจินของคณะกระบี่ คิ้วแหลมคมเป็นดาบดวงตากลมโต สวมชุดสีคราม ก็พูดว่า “นั่นน่ะสิ ใช้กระบี่กันเยอะเลย ดูเหมือนว่าคณะกระบี่ของเรา ปีนี้จะได้ต้นกล้าเก่งๆ เยอะเลย”

“มีแต่คณะกระบี่ของพวกนายที่รับแต่เด็กเก่งๆ ได้หรือไง? ผมมองดูแล้ว ก็เห็นเด็กหนุ่มที่ร่างกายแข็งแรงฝึกมาเป็นอย่างดี ฮ่าๆ เห็นเด็กวัยรุ่นสู้กันอย่างดุดัน ผมรู้สึกว่าตนเองหนุ่มขึ้นหลายปีเลย”

อาจารย์เซินถูของคณะกำแหงที่มีใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเคราหัวเราะอย่างมีความสุข มือใหญ่ๆ ก็ลูบเคราของตนเองไปด้วย

ท่านผอ.หัวเราะเบาๆ ออกมา แล้วก็หันหน้าไปมองพูดกับชายวัยกลางคนอีกด้านว่า “อี้ชิง ครั้งนี้นายคิดว่าจะรับนักเรียนกี่คน?”

อี้ชิงยักคิ้วมองท่านผอ. ใบหน้ากลมๆ ผลิยิ้มพูดออกมา “ถ้าเจอคนถูกใจก็รับสักคนสองคน ถ้าไม่เข้าใจก็ไม่รับ”

พูดไปอย่างนั้น อาจารย์อี้ชิงก็หัวเราะเอามือลูบพุงกลมๆ ของตนเอง ร่างกายที่อ้วนพี่ทำให้ชุดเผาบู๊ของอี้ชิงปกปิดไว้ไม่มิด

พอสิ้นเสียง ก็มีเสียงเยือกเย็นดังเข้ามา

“วิธีนี้ของนาย อีกไม่นานคณะหนึ่งเดียวจะต้องล่มสลายด้วยเงื้อมือนายแน่ๆ”

คนที่พูดออกมา ก็คืออาจารย์ซิงยวนของคณะหยินหยาง ผมขาวยาวประบ่า ใบหน้าดูเป็นคนปลดปล่อย ดวงตาทั้งสองเยือกเย็น คนแปลกหน้าอย่าห้ามเข้าใกล้

เหมือนจะรู้นิสัยของซิงยวนมานานแล้ว อี้ชิงก็เลยไม่อยากจะสนใจเขา

คนอื่นๆ ก็ส่ายหัวยิ้มแหย สองคนนี้ก็อายุปูนนี้แล้ว ยังมีนิสัยแบบนี้อีก ไม่ไหวเลยจริงๆ

ทางด้านล่าง การทดสอบรอบแรกจบลง นักเรียนครึ่งหนึ่งถูกคัดออก

ลู่ฝานยืนอยู่กลางเกาะ รอบนี้เขาเอาชนะได้อย่างง่ายดาย มุมปากก็มีรอยยิ้มเบาๆ

เปลี่ยนสถานที่ แล้วการทดสอบอีกรอบก็เริ่มขึ้น ครั้งนี้คู่ต่อสู้ของเขาเป็นนักบู๊ที่ถืออาวุธเป็นดาบยาว วิชาดาบไม่เลว พอบุกเข้ามาก็มีแสงสะท้อนของดาบแทงตามาเลย แต่น่าเสียดาย พลังของเขาด้อยมาก พละกำลังไม่เพียงพอ แม้แต่พลังปราณก็ยังไม่ได้ฝึกออกมา แล้วจะเป็นคู่ต่อสู้ของลู่ฝานได้อย่างไร สองกระบวนท่าก็จัดการได้แล้ว

รอบที่สาม คู่ต่อสู้เป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ถนัดใช้วิชาขา พลังระดับแดนปราณในชั้นหนึ่ง แต่น่าเสียดายวิชาขาของเธอเตะไม่โดนลู่ฝาน และเกือบโดนลู่ฝานเอากระบี่โจมตีบีบออกเกาะไป แล้วเธอก็ยอมแพ้ไปเอง

รอบที่สี่ เป็นนักเรียนที่ถนัดใช้กระบี่มือซ้าย วิชากระบี่เจ้าเล่ห์มาก แถมยังพูดมากอีกด้วย โจมตีไปด้วยด่าทอไปด้วย ลู่ฝานก็ไม่เกรงใจเขา ใช้หมัดถล่มเขา ซัดตกเกาะไปเลย ถ้าอาจารย์ไม่ได้ใช้พลังปราณไปรับตัวเขาไว้ล่ะก็ เกรงว่าหมอนี่คงจะต้องได้รับบาดเจ็บไปแล้ว แต่ว่าลู่ฝานก็ถือว่าได้ทิ้งความทรงจำไว้ให้เขาอย่างลึกซึ้งเลยทีเดียว

จำนวนคนน้อยลงเรื่อยๆ ไม่นานก็เหลือไม่กี่สิบคนแล้ว

อาจารย์ทั้งหลายต่างก็แอบพยักหน้า อาจารย์ซิงยวนชี้ไปยังเกาะน้อยตรงกลาง แล้วพูดว่า “เด็กผู้หญิงคนนี้คือใคร?”

ท่านผอ.ยิ้มพูดเบาๆ “มองออกแล้วหรือ? นั่นคือลูกศิษย์ของเจ้าแก่นั้น ตั้งใจมาแอบเรียนวิชาความรู้ของเราที่นี่”

ซิงยวนพูดอย่างใบหน้าไร้อารมณ์ว่า “ไม่ต้องประลองแล้ว มาเข้าคณะหยินหยางของผมเลย ผมก็อยากจะเห็นเหมือนกัน ว่าเธอจะขโมยวิชาไปได้สักแค่ไหน”

พูดจบ ซิงยวนก็ส่งเสียงไปให้กับอาจารย์เบาเกาะ อาจารย์ก็พูดกับเด็กผู้หญิงคนนั้นทันที “นักเรียนชื่อฮ่วนเย่ว์ เธอไม่ต้องทดสอบแล้ว อาจารย์ซิงยวนแห่งคณะหยินหยาง ยอมรับเธอเป็นศิษย์ ยินยอมไปหรือไม่”

ฮ่วนเย่ว์เก็บมีดแล้วพูดว่า “คณะหยินหยางงั้นหรือ? ฮ่าๆ เดิมทีฉันก็อยากจะเข้าคณะหยินหยางอยู่แล้ว ในเมื่อไม่ต้องทดสอบแล้ว งั้นฉันก็กลับไปนอนก่อนแล้วกันนะ”

ฮ่วนเย่ว์จากไปอย่างดีใจ การกลับไปของเธอทำให้ทุกคนหันไปมองตามตัวของเธอ

ลู่ฝานก็มองดูเธอ แล้วยิ้มพูดเบาๆ ว่า “เธอทำอะไรอีกเนี่ย? หรือว่าได้สิทธิพิเศษอะไร”

คิดไปอย่างนั้น ฮ่วนเย่ว์ก็ตะโกนมาทางฝั่งของลู่ฝาน “ลู่ฝาน ฉันไปคณะหยินหยางแล้วนะ ถ้านายเข้ามาได้ ก็มาหาฉันนะ”

ลู่ฝานอึ้งๆ ไป แล้วก็ยิ้มอย่างทำอะไรไม่ได้ เขาไม่ไปคณะหยินหยางหรอก

และในตอนนี้เอง นักเรียนที่สู้กับลู่ฝานเห็นว่าลู่ฝานเสียสมาธิ ก็เลยใช้กำปั้นต่อยมุ่งมาที่ใบหน้าของลู่ฝาน

ลู่ฝานก็สะบัดมือใช้กระบี่กระแทกไปที่ลำตัวของเขา จนเขาล้มลงพื้น แค่น้ำหนักของกระบี่ก็กดตัวของฝั่งตรงข้ามได้แล้ว จนกระทั่งฝั่งตรงข้ามขยับตัวไม่ได้ ก็เลยต้องยอมแพ้ไป

ด้านบน อาจารย์เสวียนเจินเห็นสิ่งที่ลู่ฝานแสดงออกมา ก็ยิ้มพูดว่า “เด็กหนุ่มคนนี้ไม่เลว ให้มาอยู่ในคณะกระบี่ของผมแล้วกัน”

ที่เรือนตงเซียง มีกลิ่นดอกไม้หอมอบอวล

เวลาว่าง3วันผ่านอย่างรวดเร็ว ลู่ฝานอยู่ในห้องไม่ออกมาเลย3วันเต็มๆ เพื่อรอการประลองแบ่งห้อง

มีเสียงระฆังดังเข้ามา ลู่ฝานค่อยๆ ลืมตาขึ้นจากการฝึกวิชา

เจ้าดำที่อยู่ข้างๆ ก็ตื่นขึ้นมาด้วย จากการพักผ่อนไปหลายวันเจ้าดำก็ฟื้นฟูพลังกลับมาแล้ว

จากนั้น ก็มีเสียงดังเข้ามาจากทุกด้าน

“นักเรียนใหม่ทุกคน ไปรวมตัวกันที่ลานประลองบู๊”

ลู่ฝานลุกขึ้นเปิดประตูออก ก็เห็นนักเรียนเป็นกลุ่มรีบเดินกันออกไปข้างนอก ลู่ฝานก็พาเจ้าดำเดินตามหลังไป

เรือนตงเซียงขนาดใหญ่ มีห้องเป็นหมื่นห้อง มองสุดสายตา

นักเรียนใหม่มีจำนวนมากมาย ใช่คำว่าผู้คนมืดฟ้ามัวดินยังได้ ทุกคนล้วนเดินตามการนำทางของอาจารย์ไปยังลานประลองบู๊

หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง ทุกคนก็มารวมกันยังลานประลองบู๊

ลานประลองบู๊ที่กว้างขวาง ไม่เล็กกว่าเมืองเมืองหนึ่งเลย

นักเรียนนับหมื่นยืนอยู่ในลานประลองบู๊ แต่ก็ยังไม่กินพื้นที่ของลานประลองบู๊ได้เลยแม้แต่มุมเดียว

ไกลออกไป ก็เห็นว่ามีเงาคน10คนลอยอยู่บนอากาศ ล้วนนั่งอยู่บนเก้าอี้ มีรัศมีแผ่ออกมาเหมือนดวงอาทิตย์

ไม่ต้องสงสัย 10คนนี้ก็คืออาจารย์เก้าท่านของสถาบันสอนวิชาบู๊บวกกับท่านผู้อำนวยการ

ลอยขึ้นจากพื้นไปบนชั้นเมฆ 10คนนี้อย่างน้อยมีพละกำลังถึงระดับแดนปราณฟ้าขึ้นไป

ถึงแม้พวกเขาจะไม่ได้ปล่อยพลังปราณออกมา แต่ท่าทางที่น่าเกรงขามเหมือนแพร่ไปทั่วทั้งสี่ทิศ ทำให้พวกของลู่ฝานรู้สึกหายใจลำบาก

“นักเรียนใหม่ทุกคนมารวมตัวกันพร้อมแล้ว เปิดค่ายกล”

เสียงตะโกนดังขึ้นอีกครั้ง ทันใดนั้น ลู่ฝานก็รู้สึกว่าทั้งลานประลองบู๊เริ่มเคลื่อนไหว

พื้นด้านล่างลอยขึ้นแล้วมีเสียงดังสนั่น

ลานประลองบู๊ขนาดใหญ่เป็นเหมือนพื้นดินที่ลอยอยู่กลางอากาศ สายลมก็พัดขึ้น ลอยสูงขึ้นไปกว่าพื้นด้านล่าง300กว่าเมตร ในที่สุดก็หยุดลง

นักรเรียนใหม่ทุกคนก็มีเสียงตื่นตกใจ ไม่กล้าขยับ

พื้นกระดานหินก็แยกออกจากกัน แต่ละแผ่นห่างออกไประยะเท่าๆ กัน มีแต่พื้นที่พวกเขายืนอยู่ที่ไม่ได้แยกออกจากกัน ยังคงเป็นสภาพเดิม

ทั้งลานประลองบู๊ถูกแบ่งเป็นเกาะลอยได้หลายร้อยเกาะ จากนั้น แสงสว่างหลายสายก็พุ่งออกมาจากทั่วสารทิศ

มีใบหน้าคนแปลกหน้ามากมายปรากฏขึ้นในเกาะลอย ประมาณ100กว่าคน ทุกคนสวมชุดเผาบู๊สีเงิน ปักอักษรคำว่า วิชาบู๊

ในตอนนี้ บนท้องฟ้าก็มีเสียงดังขึ้นมาอีกครั้ง

“นักเรียนใหม่ทุกคน เลือกสถานที่ แล้วสู้กันสองคน เริ่มการประลองได้ จนกระทั่งเหลือ10คน”

พอสิ้นเสียง ลู่ฝานก็เห็นคนข้างมากมายบุกออกไป เริ่มแย่งกันไปยึดเกาะลอยไว้ ถึงแม้ลู่ฝานจะไม่เข้าใจว่าเพราะอะไร แต่ก็ยังบุกออกไปเหมือนกัน

ด้วยความเร็วของลู่ฝาน ไม่นานก็บุกไปยังเกาะลอยหนึ่งได้ แล้วยืนอย่างมั่นคง ตรงหน้าของเขาก็มีอีกคนบุกมาเหมือนกัน

เกาะหนึ่งสามารถยืนได้2คน คนที่มาทีหลังก็จากไปพร้อมกับสายตาเย็นชาของชายชุดเงินที่อยู่ตรงกลาง

อีกเดี๋ยวพอสู้กัน ถ้ายอมแพ้ ตกลงไป หรือสลบไป ให้ถือว่าแพ้การประลอง ห้ามใช้ยาพิษ หรือยาอะไรที่เกี่ยวข้อง ห้ามลงมือหนัก

ลู่ฝานกับอีกคนก็พยักหน้าเบาๆ

ครูเจียงชิ่นยิ้มพูดว่า “ดีมาก นักเรียนคนนี้กรุณาวางสัตว์เลี้ยงไว้ข้างๆ ด้วย”

ลู่ฝานลูบหัวของเจ้าดำ เจ้าดำก็เดินไปยังตรงเท้าของครูเจียงชิ่นอย่างรู้ความ ครูเจียงชิ่นมองเจ้าดำแล้วก็ยิ้มเบาๆ

เพียงแค่เวลาไม่นาน เกาะลอยทั้งหมดก็มีคนครอบครองหมด แต่ยังมีคนบางส่วนหาเกาะลอยไม่ได้ และกำลังมองไปรอบๆ อย่างร้อนรน

ตอนนี้ก็มีเสียงพูดแข็งๆ ดังขึ้นมา

“คนที่ไม่ได้มายืนบนเกาะลอย จะถูกคัดออก ให้ไปเรือนซีเซียง เพื่อรออาจารย์คัดเลือก”

พอพูดออกมาแบบนี้ นักเรียนพวกนี้ก็อึ้งกันไปหมด ที่แท้นี่ก็คือการทดสอบด่านแรก

ลู่ฝานเห็นดังนั้นก็ยกคิ้วสูงขึ้น ในใจก็รู้สึกโชคดี ยังดีที่ตอบสนองได้ไว วิชากายก็เร็วพอ

เกาะที่ใหญ่ที่สุดค่อยๆ ลงต่ำมา นักเรียนกลุ่มนั้นก็ก้มหน้าเดินจากไปอย่างเสียดาย ลู่ฝานก้มลงไปมอง ก็เห็นว่ามีนักเรียนเก่ามากมายโผล่มาตอนไหนไม่รู้

เห็นได้ชัดว่านักเรียนเก่าพวกนี้มาดูความสนุก พอเห็นนักเรียนที่แย่งพื้นที่ไม่ได้จนต้องออกไปจากที่นี่ ต่างก็พากันหัวเราะชอบใจ

“ฮ่าๆ ดูพวกนั้นสิ แค่พื้นที่แค่นี้ก็ยังแย่งมาไม่ได้”

“อย่างน้อยกูก็ยังได้สู้กับคนอื่นเขาอยู่นะ”

……

เสียงหัวเราะที่แสบหู ทำให้นักเรียนที่ถูกคัดออกรู้สึกแย่ยิ่งกว่าเดิม นักเรียนคนหนึ่งตะโกนออกมาว่า “นี่มันไม่ยุติธรรม ยังไม่ได้บอกกติกาให้ชัดเจนเลย พวกเราแค่ช้าไปก้าวเดียว หรือไม่ก็ยังฟังไม่เข้าใจ ทำไมถึงคัดพวกเราออกแบบนี้ พวกเราก็ต้องการโอกาสทดสอบเหมือนกัน!”

การตะโกนพูดของนักเรียนคนนี้ ได้รับการเห็นด้วยจากคนอื่นๆ ไม่น้อย กลุ่มนี้ก็ลุกฮือตะโกนกันออกมา

ตอนนี้ ท้องฟ้าก็มืดครึ้มขึ้นมา ในสายฟ้าที่พาดผ่านไปมา หัวคนขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า พูดเสียงดังเหมือนสายฟ้า “เดิมทีในโลกนี้มันก็ไม่มีความยุติธรรม ช้าก้าวเดียว ก็ช้าต่อไปทุกก้าว ต่อให้พวกเธอมีเหตุผลมากมายแค่ไหน ก็เป็นแค่ข้ออ้างจากการพ่ายแพ้ ถ้ายังพูดเอะอะโวยวายอีก จะลงโทษด้วยสายฟ้า”

“เฉียนเฟิง ไม่เจอกันหลายเดือน สบายดีนะ”

เฉียนเฟิงยิ้มพูดว่า “สบายดี สบายดีมาก มีคนจะแนะนำให้รู้จัก นี่คือน้องชายของผม ชื่อเฉียนหยู่ ปีนี้เพิ่งผ่านการทดสอบของสถาบันสอนวิชาบู๊ เฉียนหยู่ นี่คือลู่หมิงฉายาเต่าขนเขียว ที่เคยเล่าให้ฟังตอนอยู่ที่บ้านไง ต่อไปถ้าเอ็งขาดเหลืออะไร หรืออยากได้คนไปช่วยเก็บสมุนไพร ก็ไปหาเขาได้เลย หรือถ้าขาดคนซักผ้า ก็ไปหาเขาได้”

เฉียนหยู่อ้าปากยิ้ม รอยยิ้มดูร้ายกาจมาก แล้วพูดว่า “เข้าใจแล้วครับพี่”

เฉียนเฟิงเดินขึ้นไปข้างหน้า แล้วเอามือตีที่แก้มของลู่หมิง ดูเหมือนจะตีเบาๆ แต่มันแรงเหมือนกัน ตีจนแก้มของลู่หมิงแดงไปเลย แล้วพูดว่า “ลู่หมิง เอ็งจะมาช่วยทุกอย่างเลยใช่ไหมล่ะ”

ลู่หมิงกัดฟันไม่พูดจา ตอนนี้ลู่ฝานก็ทนดูต่อไปไม่ได้ เลยพูดออกมาว่า “เขาจะช่วยหรือไม่ช่วย มันก็ใช่ว่าคุณจะมาสั่งการได้”

เฉียนเฟิงหันหน้ามามองลู่ฝาน สองคนจ้องหน้ากัน บนตัวของลู่ฝานก็อารมณ์ขึ้นจะเอาเรื่อง

เฉียนเฟิงดูเหมือนจะสัมผัสได้ว่าลู่ฝานไม่ธรรมดา เลยเลิกราไป แล้วพูดว่า “อ้าว ลู่หมิง เอ็งหาพวกมาหรอวะ เป็นคนในตระกูลเหมือนกันงั้นสิ? เหอะๆ เห็นแก่ที่มีคนของตระกูลแกอยู่ด้วย จะไม่ทำให้เอ็งขายหน้าก็แล้วกัน เดี๋ยวกลับเข้าไป เราต้องมาคุยกันหน่อย”

เฉียนเฟิงพูดจบก็พาน้องชายตนเองจากไป เอาป้ายหยกให้ชายแก่ดู แล้วก็ผ่านทางเข้าไป

ลู่ฝานหันไปมองลู่หมิง เหมือนว่าลู่หมิงอยู่ในสถาบันสอนวิชาบู๊จะมีชีวิตที่ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก

นิ่งเงียบไปสักพัก ลู่ฝานก็พูดว่า “ลู่หมิง มีอะไรให้ช่วยไหม?”

ลู่หมิงกัดฟันพูดว่า “ไม่ต้องการ นี่มันเป็นเรื่องของฉัน นายไม่ต้องยื่นมือเข้ามายุ่ง สนใจแต่เรื่องตัวเองก็พอ”

พูดจบ ลู่หมิงก็หยิบป้ายหยกออกมา แล้วเดินเข้าไป

ฮ่วนเย่ว์ก็พูดว่า “พี่น้องของนายคนนี้ นิสัยแย่มาก ถ้าฉันเป็นนายนะ ฉันคงเกลียดตั้งแต่เด็กแล้ว”

ลู่ฝานยิ้มเบาๆ พูดว่า “เธอพูดถูกต้อง ผมไม่ค่อยชอบเขาตั้งแต่เด็กแล้ว”

ฮ่วนเย่ว์ไม่เข้าใจความหมายที่ลู่ฝานพูดมา ลู่ฝานก็ขี้เกียจจะอธิบาย

รีบเดินขึ้นหน้าไป ลู่ฝานก็เอาป้ายหยกมาให้ชายแก่ดู

ชายแก่ก็พูดนิ่งๆ ว่า “เข้าไปได้”

ลู่ฝานเก็บป้ายหยกแล้วก็เดินเข้าไป ฮ่วนเย่ว์ที่อยู่ด้านหลังก็บุกเข้ามาเลย แล้วก็ถูกชายแก่ขวางไว้

“นักเรียนคนนี้ กรุณาแสดงป้ายหยกของเธอด้วย”

ชายแก่พูดอย่างสงบนิ่ง ฮ่วนเย่ว์ก็โยนป้ายเหล็กไปตรงหน้าของชายแก่

“ฉันไม่มีป้ายหยก”

ฮ่วนเย่ว์พูดอย่างเย่อหยิ่ง เหมือนกับว่าการไม่มีป้ายหยกก็ไม่ได้เป็นเรื่องขายหน้าอะไร

พอได้ยินคำของฮ่วนเย่ว์ คนทางด้านหลังก็หัวเราะกันหมด

“ไม่มีป้ายหยกแล้วจะมาสถาบันสอนวิชาบู๊ทำไม มาเยี่ยมชมเฉยๆ งั้นสิ”

“สมองมีปัญหารึไง สถาบันสอนวิชาบู๊ไม่ใช่สถานที่ที่เธอจะเข้ามาได้ง่ายๆ รีบกลับไปกินยาเถอะไป”

…….

ฮ่วนเย่ว์ก็หันไปทำตาโตใส่คนพวกนี้ แล้วก็โยนป้ายเหล็กใส่ตรงหน้าของชายแก่ “มองดูให้ดี แล้วอย่าบอกว่าฉันเข้าไปไม่ได้”

ชาแก่มองอย่างสงสัย พอเห็นชัดเจนแล้วบนป้ายเหล็กมีคำว่า บู๊ ชายแก่ก็สีหน้าเปลีย่นทันที

แล้วก็รีบเอาป้ายเหล็กคืนให้กับฮ่วนเย่ว์อย่างเคารพ “ที่แท้คุณหนูฮ่วนเย่ว์มาถึงนี่เอง เชิญเลยครับๆ”

ฮ่วนเย่ว์ส่งเสียงไม่พอใจเบาๆ แล้วก้าวขายาวๆ เดินเข้าไป คนด้านนอกก็อึ้งไปกันไปหมด

เกิดอะไรขึ้น ให้เข้าไปได้เลยหรือ?

ลู่ฝานพอเดาได้ว่าป้ายเหล็กอันนั้นน่าเป็นของที่อาจารย์ของฮ่วนเย่ว์ให้มา มีอาจารย์ระดับแดนหยินหยางนี่ไม่ธรรมดาจริงๆ

เส้นทางที่มืดมิดมีเสียงน้ำหยอดลงมา เส้นทางคับแค้นลงเรื่อยๆ จนสุดท้ายเหลือช่องว่างให้สองคนเดินเรียงกันเท่านั้น

พอเดินเข้ามาลึกเรื่อยๆ ก็เห็นว่าด้านหน้ามีแสงสว่าง

ในที่สุดก็เดินมาถึงจุดที่มีแสง สว่างขึ้นมาทันที แสงอาทิตย์แยงตา จ้องมองไปสุดสายตา

ทันใดนั้นเอง ทิวทัศน์สวยงามดั่งภาพวาดก็ปรากฏขึ้นในสายตาของลู่ฝาน

ตำหนักหลังหนึ่งที่ไกลออกไป มีขนาดใหญ่มาก ดูโอ่อ่ามาก เหมือนกับกำลังล่องลอยอยู่ในก้อนเมฆ มองออกไปไกลๆ ก็เห็นเป็นงานแกะสลักไม้ หลังคาสีเหลืองทองประกาย

ด้านบนของตำหนัก ตั้งหินที่ลอยกลางอากาศไว้ ด้านบนเขียนไว้ว่า วิถีบู๊ สะท้อนจิตใจคนอย่างมาก

มีภูเขาเขียวน้ำใสแต่งเติมโดยรอบ วิหคบินไปมา เมฆขาวล้อมรอบ

ในตำหนัก มีสนามบู๊ขนาดใหญ่ มีนักบู๊กลุ่มหนึ่งกำลังฝึกวิชาอยู่ด้านใน เสียงฝึกซ้อม หึ ห่ะ ดังออกมา ดูมีกำลังกันมาก

ทั้งสี่ทิศถูกภูเขาล้อมรอบ บนหน้าผาหิน ยังมีสิ่งก่อสร้างอีก คดเคี้ยวไปตามน้ำตก

ศาลาหรือตึกในรูปแบบโบราณมีให้เห็นมากมาย มีแม่น้ำสายหนึ่งไหลผ่านด้านนอกของตำหนัก จนสามารถมองเห็นปลากระโดดขึ้นมาได้

มีกลิ่นอายของความเป็นสถานที่แห่งเทพเซียน

ลู่ฝานมองดูจนละสายตาไม่ได้ กระทั่งฮ่วนเย่ว์ไปชนตัวเขา แล้วพูดว่า “อย่ามาขวางทาง รีบเดินต่อไป”

ลู่ฝานจึงตั้งสติขึ้นมาได้ เลยรีบเดินลงไปด้านล่าง

ด้านหลังมีเสียงตื่นเต้นดังขึ้นไม่หยุด แล้วทุกคนก็ค่อยๆ เดินลงไปบนทางเดินที่เป็นกระดานหิน

ถนนกระดานหินสายนี้เหมือนลอยอยู่บนอากาศ มุ่งตรงไปยังประตูหลักของตำหนัก

พอเข้ามาใกล้ ถึงจะรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าตำหนักยิ่งใหญ่แค่ไหน กินพื้นที่เป็นพันลี้

ในที่สุด ก็มาถึงยังประตูหลักของสถาบันสอนวิชาบู๊ อาจารย์หลายคนก็มารอนานแล้ว เลยพูดกับทุกคนว่า “นักเรียนที่มาใหม่ เข้าไปพักที่เรือนตงเซียงกันให้หมด อีกสามวัน จะเริ่มการประลอง”

ลู่ฝานก็รู้อยู่แล้วว่าการประลองแบ่งห้องเป็นอย่างไร แต่ก็ยังมีบางคนไม่รู้ ได้ยินดังนั้นก็เริ่มคุยกัน

พอตามอาจารย์คนหนึ่งเข้าไปทางประตูหลัก ก็เดินไปทางทิศตะวันออก

ลู่ฝานก็มองหินที่อยู่เหนือหัวเขาขึ้นไปไม่หยุด

คำว่า วิถีบู๊ ที่ยิ่งใหญ่ ทำให้ลู่ฝานรู้สึกชอบมาก ลู่ฝานสัมผัสได้ว่าพลังฟ้าดินโดยรอบเข้มข้นขึ้นอย่างผิดปกติ

ที่นี่เป็นสถานที่ที่เหมาะกับการฝึกวิชาอย่างที่สุด

เขามาถูกที่แล้ว

ลู่ฝานกำมือแน่น อีกสามปีหลังจากนี้ เขาจะอยู่ที่นี่ เขาตัดสินใจจะสร้างตำนานของตนเองไว้ที่นี่

ปีกพัดโบกเกิดเป็นลมแรง นกปิดฟ้าร่อนลงห่างจากเมืองเผิงหลายสิบลี้

ต้นไม้ด้านล่างถูกลมพัดจนล้มไป ลู่ฝานจับขนของนกปิดฟ้าไว้อย่างแน่น อีกมือก็จับเจ้าดำไว้

ลู่หมิงกับฮ่วนเย่ว์ก็จับขนไว้ แต่สีหน้าของทั้งสองคนไม่เหมือนกัน

ลู่หมิงตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด ลมที่กระโชกแรงพัดใส่หน้าของเขาจะเบี้ยวไป ส่วนฮ่วนเย่ว์ก็ร้องตะโกนไม่หยุด ตื่นเต้นผิดปกติ

ในที่สุด นกปิดฟ้าก็ร่อนลงพื้นอย่างมั่นคง แล้วเก็บปีกยักษ์ใหญ่ของมัน

พวกลู่ฝานกระโดดลงจากนกปิดฟ้า จนพื้นดินที่มั่นคงยุบลงไป

พอสามคนคงมายืนได้มั่นคงแล้ว นกปิดฟ้าก็กางปีกอีกครั้ง

ลมที่รุนแรงทำให้พวกของลู่ฝานลืมตาไม่ได้ แล้วก็มีเสียงร้องที่กังวานไปทั่วฟ้าดิน นกปิดฟ้าบินสูงขึ้นไป

พริบตา บนท้องฟ้าก็เหลือแค่เงาดำเล็กๆ

ลู่หมิงปัดเศษฝุ่นและใบไม้บนร่างกาย แล้วก็พูดว่า “ไปกันเถอะ ไปสถาบันสอนวิชาบู๊”

ลู่ฝานกับฮ่วนเย่ว์ก็มาครั้งแรก เลยไม่รู้ทาง

ลู่หมิงดูเหมือนว่าจะรู้ทางเป็นอย่างดี ไม่นานก็พาทั้งสองคนเดินลัดเลาะไปทางในป่า

เส้นทางที่เป็นพื้นกระดานหินทอดยาวออกไปไกล

ลู่หมิงเดินไปพูดไปว่า “สถาบันสอนวิชาบู๊ไม่ได้อยู่ในเมืองเผิง แต่อยู่ที่เทือกฉิงเทียนนอกเมืองเผิง แน่นอนว่า ถ้ามาครั้งแรก ก็สามารถเข้าไปถามในเมืองเผิงได้ แล้วก็จ่ายด้วยเหรียญเงินนิดหน่อย ก็จะมีคนนำทางมาให้เอง”

ฮ่วนเย่ว์ยิ้มพูดว่า “ตามตำนาน เทือกฉิงเทียนเคยเป็นสถานที่ที่ฉิงเทียนที่เป็นขุนพลังสุดเหนือฟ้านั่งสิ้นลมหายใจ หลังจากตายไปแล้ว ก็กลายเป็นเทือกเขา ของล้ำค่ามากมายของเขาล้วนอยู่ในเทือกเขา ถูกต้องไหม”

ลู่ฝานขมวดคิ้วเล็กน้อย ขุนพลังสุดเหนือฟ้า นี่มันคือระดับไหน? ไม่เคยได้ยินมาก่อน

ลู่หมิงก็พูดว่า “ถึงแม้ที่สถาบันจะมีตำนานนี้อยู่จริง แต่ฟังดูก็รู้ว่าไม่จริง มีใครกันที่ตายแล้วกลายเป็นเทือกเขา มันดูเกินจริงไปหน่อย คุณหนูฮ่วนเย่ว์ คุณคงจะไม่ได้คิดว่าเป็นเรื่องจริงหรอกนะ”

ฮ่วนเย่ว์เบะปากพูดว่า “กบในกะลา ไม่อยากจะคุยกับนาย”

ลู่หมิงโดนพูดแดกดันใส่ เลยหยุดฝีเท้าลง

ฮ่วนเย่ว์ก็เดินนำไป แล้วไม่พูดอะไรกับลู่หมิง

ลู่หมิงมองหลังของฮ่วนเย่ว์ แล้วบ่นว่า “ผู้หญิงคนนี้ พูดอย่างกับเคยเห็นคนที่ตัวใหญ่เท่าภูเขาเสียอย่างนั้น ว่าเราเป็นกบในกะลาอีก อย่างมากเธอก็เป็นได้แค่แม่คางคกนั่นแหละ”

ลู่ฝานอ้าๆ ปาก ตอนนี้เขาอยากจะบอกลู่หมิงเสียจริงๆ ว่าอาจารย์ของฮ่วนเย่ว์เป็นขุนพลังแดนหยินหยาง เรื่องความรู้ ฝั่งนั้นน่าจะมากกว่าพวกเขาเยอะเลย แต่ว่า ลู่ฝานก็ไม่ได้เอ่ยปากพูดออกไป แต่ละคนล้วนมีความลับของตนเอง ในเมื่อตลอดทางมานี้ฮ่วนเย่ว์ไม่ได้พูดเรื่องอาจารย์ของตนเอง เช่นนั้นฮ่วนเย่ว์ก็ไม่ควรพูดอะไรมาก

สามคนเดินมุ่งหน้ากันต่อไป แล้วก็ค่อยๆ เจอกับเพื่อนร่วมทาง

บนเส้นทางที่ปูพื้นด้วยหิน ค่อยๆ เจอกับคนอื่นๆ เดินกันเข้ามา ไม่ต้องแปลกใจเลย คนพวกนี้ล้วนจะไปสถาบันสอนวิชาบู๊ ลู่หมิงก็เหมือนจะเห็นเพื่อนร่วมสำนักที่รู้จัก เลยโบกมือทักทายกันไป

แต่ว่าทำไม คำที่ใช่เรียกลู่หมิง เหมือนจะไม่ค่อยถูก แต่ละคนล้วนเรียกว่า “เต่าขนเขียว”

ลู่ฝานขมวดคิ้วเล็กน้อย ถึงแม้เขาจะไม่เข้าใจว่าในสถาบันสอนวิชาบู๊จะมีกฏที่คิดฉายาให้ด้วย แต่พอคิดดู คำว่าเต่าขนเขียว ก็ไม่ได้จะน่าฟังอะไร

อีกอย่าง จากที่คนพวกนั้นตะโกนเรียกไปด้วย ท่าทางหัวเราะไปด้วย ฉายานี้คงจะต้องเป็นการพูดประชดแน่นอน

เขาสูงด้านหน้าเริ่มมองเห็นชัดเจนขึ้น ยอดเขาสูง เมฆหมอกปกคลุมไปทั่วทั้งเขา

ในที่สุด หลังจากเดินกันมาเกือบสองชั่วยาม ก็มาถึงตีนเขาแล้ว

ต่อให้ยืนอยู่ตรงนี้ ก็ยังมองลักษณะของภูเขาทั้งลูกไม่ชัดเจน มองเห็นได้แค่ระหว่างภูเขานั้น มีเส้นทางที่ให้คนเดินไปได้

นอกเส้นทาง มีตาแก่คนหนึ่งนั่งอยู่ เสื้อผ้าขาดวิ่น ไม่ใส่รองเท้า เส้นผมและหนวดเคราเต็มไปด้วยฝุ่นดิน

ลู่หมิงหันไปพูดว่า “หยิบป้ายหยกของทุกคนออกมา ให้ชายชราคนนั้นดูแล้วก็เข้าไป”

ลู่ฝานได้ยินดังนั้นก็หยิบป้ายหยกออกมา แต่ฮ่วนเย่ว์กลับไม่อยากจะหยิบออกมา

ลู่หมิงก็ขมวดคิ้วพูดกับฮ่วนเย่ว์ว่า “ป้ายหยกของคุณล่ะ?”

ฮ่วนเย่ว์พูดนิ่งๆ ว่า “ป้ายหยกอะไร ฉันไม่มีป้ายหยก ฉันมีแค่ป้ายเหล็กอันเดียว”

พูดไป ฮ่วนเย่ว์ก็หยิบป้ายเหล็กเก่าๆ อันหนึ่งออกมา ด้านบนเขียนคำว่า บู๊ ตัวใหญ่ๆ ลู่หมิงก็สีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อยพูดว่า “คุณหนูฮ่วนเย่ว์ ถ้าไม่มีป้ายหยก จะเข้าสถาบันสอนวิชาบู๊ไม่ได้นะ เอาป้ายเหล็กเก่าๆ ออกมาจะมีประโยชน์อะไร?”

ฮ่วนเย่ว์พูดว่า “นายรู้ได้ไงว่าไม่มีประโยชน์ ป้ายเหล็กของฉันมีประโยชน์กว่าป้ายหยกของพวกนายเยอะเลย เชื่อไหมล่ะ”

ลู่หมิงก็มีสีหน้าไม่เชื่อ และในตอนนี้เอง ก็มีเสียงหนึ่งดังเข้ามา

“เต่าขนเขียวลู่หมิง กลับมาแล้วหรือ ฮ่าๆ ปีนี้จะได้แกล้งนายอีกแล้วนะ”

เสียงนั้นฟังแล้วก็น่ารำคาญ ชายรูปร่างผอม ตารูปสามเหลี่ยม สวมชุดเผาบู๊สีม่วงเดินเข้ามา

อยู่ข้างๆ ชายคนหนึ่ง แล้วก็มีชายสวมชุดนักบู๊สีขาว สองคนนี้เหมือนจะหน้าตาเหมือนกัน

สายตาของลู่หมิงมีความเยือกเย็นสาดออกมา มือก็กำหมัดแน่น

ฮ่วนเย่ว์ยิ้มพูด “ได้ แต่นายก็ต้องรู้ไว้ว่า เพราะกระบี่หนักของนายเล่มนี้ ทำให้นกเมฆธรรมดาไม่สามารถบรรทุกนายได้ ฉันเลยต้องหานกปิดฟ้าที่ดีที่สุดมาโดยเฉพาะ ถึงจะพาพวกเราขึ้นบินได้ ถ้านายไม่บอกฉัน ฉันก็จะไล่นายลงไปจากนกปิดฟ้า ให้นายเดินทางไปเอง”

ลู่ฝานมองไปถามความจริงจากลู่หมิง ลู่หมิงก็พยักหน้า แสดงให้รู้ว่าที่ฮ่วนเย่ว์พูดนั้นเป็นความจริง

ลู่ฝานกลืนน้ำลาย ถึงว่านกตัวนี้ถึงตัวใหญ่ขนาดนี้ แค่ส่วนหลัง ก็กว้างหลายลี้ขนาดนี้ ที่แท้เป็นสุดยอดของนกเมฆ เป็นนกปิดฟ้า!

ทำอะไรไม่ได้ ลู่ฝานเลยพูดว่า “เพราะว่ากระบี่เล่มนี้ได้หยดเลือดไปเพื่อเลือกเจ้านายแล้ว ผมเลยใช้ได้ คนอื่นใช้ไม่ได้”

ลู่ฝานพูดจริงบ้างปลอมบ้าง หยดเลือดไปเพื่อเลือกเจ้านายนั้นเป็นเรื่องจริงๆ หวูเฉินอาจารย์ของเขาได้สร้างผนึกไว้บนกระบี่หลังจากที่สร้างมันเสร็จแล้ว ทำให้ลู่ฝานหยดเลือดลงใส่เพื่อเป็นเจ้าของกระบี่ไปหนึ่งครั้ง แต่ผลของการทำแบบนี้ มีผลกับแค่อุกกาบาตจิตเย็นบนกระบี่เท่านั้น ส่วนอื่นๆ รวมถึงน้ำหนักไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย ส่วนที่บอกว่าคนอื่นใช้ไม่ได้นั้น ก็พูดออกมามั่วๆ

แต่ดูเหมือนว่าฮ่วนเย่ว์จะคำโกหกของเขาไม่ได้

ส่งเสียงว่า อ๋อ ออกมา ฮ่วนเย่ว์ก็พูดว่า “อย่างนี้นี่ ฉันก็ว่าอยู่ กระบี่ที่แม้แต่ฉันยังยกไม่ขึ้น นายจะยกขึ้นได้อย่างไร เอาเถอะ ถือว่านายซื่อสัตย์ดี คำถามที่สอง นายทำให้สัตว์อสูรตัวนี้ติดตามนายได้อย่างไร ฉันจำได้ว่าตอนแรก มันเผานายไปด้วยเหมือนกันนะ”

คำถามนี้ตอบง่ายหน่อย ลู่ฝานตอบอย่างมั่นใจว่า “ง่ายมาก ผมพามันออกมา ไม่ให้เธอฆ่ามันตาย จากนั้นก็ให้มันกินเนื้อย่างไปชิ้นหนึ่ง มันก็ติดตามผมแล้ว”

ฮ่วนเย่ว์อึ้งไป แล้วพูดว่า “อะไรนะ? เนื้อย่างชิ้นเดียวงั้นหรือ?”

ลู่ฝานยิ้มพูดว่า “ใช่ เนื้อย่างชิ้นเดียว”

ฮ่วนเย่ว์มองบน ” เนื้อย่างชิ้นเดียวก็แลกอสูรวิเศษที่สิงเข้าร่างได้งั้นหรือ นายนี่มันโชคดีจริงๆ ไม่สิ นายโชคดีหลายครั้งมาก ความโชคดีทั้งหมดในโลกนี้ถูกนายได้ไปหมดแล้ว”

บ่นไป แล้วฮ่วนเย่ว์ก็พูดเบาๆ ว่า “ทำไมฉันไม่เห็นได้อสูรวิเศษสักตัวบ้างเลย”

ลู่ฝานยิ้มพูดเบาๆ ว่า “เธอลองเอาเนื้อย่างเข้าไปในป่าดูสิ ไม่แน่ว่าอาจจะได้สักตัว”

ฮ่วนเย่ว์พูดเสียงดัง “นายคิดว่าอสูรวิเศษมันจะหากันได้ง่ายๆ หรือไง เอาเถอะ คำถามสุดท้าย นายไปเรียนวิชาอสูรเข้าสิงมาจากไหน นายก็เป็นคนของหอสัตว์พันลายงั้นหรือ?”

ลู่ฝานขมวดคิ้วพูดว่า “หอสัตว์พันลายอะไร?”

ฮ่วนเย่ว์หลุดพูดออกมาว่า “แม้แต่หอสัตว์พันลายนายก็ไม่รู้จัก แต่ใช้วิชาอสูรเข้าสิงได้เนี่ยนะ?”

ลู่ฝานส่ายหัว “ไม่รู้จริงๆ แล้วอสูรเข้าสิงมันคืออะไร?”

ลู่หมิงทนไม่ไหวแล้ว เลยพูดว่า “ลู่ฝาน นายจำเรื่องที่เกิดขึ้นวันนั้นได้แล้วหรือไง? เจ้าดำของนายสิงเข้าไปในแขนของนาย จากนั้นนายก็ต่อยไอ้อ้วนคนนั้นจนตาย”

ลู่ฝานพยายามนึก แล้วก็คิดออก แขนที่มีสีดำ มีมังกรเคลื่อนไหวอยู่

“นั่นคืออสูรเข้าสิงหรือ?”

ฮ่วนเย่ว์ก็นวดขมับของตนเอง รู้จะหมดแรง

“ถูกต้อง คืออสูรเข้าสิง เป็นเคล็ดวิชาที่แข็งแกร่งสำหรับการใช้สัตว์อสูร สามารถรวมเป็นหนึ่งกับสัตว์อสูรได้ในชั่วพริบตา ได้รับพลังของสัตว์อสูร จะต้องมีพรสวรรค์สูงส่งอย่างมากถึงจะใช้ได้ และสัตว์อสูรที่สามารถสิงเข้าร่างได้นั้น ก็จะถูกเรียกว่าอสูรวิเศษ”

ลู่ฝานพูดอย่างอึ้งๆ ว่า “แบบนี้นี่เอง ผมก็ถือว่าเป็นคนที่มีพรสวรรค์สูงส่งงั้นหรือ?”

“คนที่ฝึกเคล็ดวิชาจนสำเร็จ ถึงจะถือว่ามีพรสวรรค์สูงส่ง อย่างนายไม่เคยฝึกเคล็ดวิชาเลย แต่ใช้ออกมาได้เอง ที่หอสัตว์พันลายจะเรียกว่า บู๊พรสวรรค์ ไม่อาจจะใช้คำว่าพรสวรรค์มาอธิบายได้ บอกได้อย่างว่าเป็นปีศาจ หรือไม่ก็สัตว์อสูรของนายค่อนข้างพิเศษ สามารถสิงเข้าร่างได้เอง แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน

ลู่ฝานหัวเราะเหอะๆ ออกมา คิดไม่ถึงว่าเนื้อย่างชิ้นเดียวแล้วพาเจ้าดำออกมาได้จะมีประโยชน์มากมายแบบนี้ ดูเหมือนว่าพอมันตื่นขึ้นมา จะต้องเอาของอร่อยๆ ให้กินเยอะๆ เสียแล้ว

เจ้าดำก็เหมือนจะรับรู้ถึงความคิดของลู่ฝาน แล้วมันก็ยิ้มขึ้นมาทั้งๆ ที่หลับอยู่ ทำตาหยีด้วย

“ไม่คุยกับนายแล้ว คุยกับคนโชคดีแบบนายคุยแล้วก็เจ็บปวด ฉันไปฝึกวิชาดีกว่า เดี๋ยวพอถึงแล้ว ค่อยเรียกฉันแล้วกัน”

พูดจบ ฮ่วนเย่ว์ก็เดินไปอีกฝั่ง แล้วนั่งฝึกวิชา

ลู่หมิงมองลู่ฝาน แล้วก็ลุกขึ้นพูดว่า “ฉันก็รู้สึกว่าเจ็บปวดเหมือนกัน ลู่ฝาน นายไปฝึกวิชาเถอะ ด้วยความเร็วของนกปิดฟ้า วันเดียวก็น่าจะถึง”

ลู่ฝานพยักหน้า มองลู่หมิงเดินไปฝึกวิชาอีกฝั่ง เขาก็ฝึกกายทองไฟอาบเหมือนกัน

ลู่ฝานก็เดินไปข้างๆ เจ้าดำ มองดูเจ้าดำที่กำลังนอนกรนอยู่ ลู่ฝานก็ยิ้มหน้าบาน

หายใจเข้าอย่างลึก ลู่ฝานก็นั่งขัดสมาธิเริ่มฝึกวิชาเหมือนกัน

ปราณชี่ถูกใช้ไปเยอะมาก บนร่างกายก็มีอาการบาดเจ็บเล็กน้อย ลู่ฝานจำเป็นต้องปรับร่างกายตนเองให้เป็นถึงจุดสูงสุดในเวลาอันสั้น เพราะว่าพอถึงสถาบันสอนวิชาบู๊แล้ว จะมีการต่อสู้รอเขาอยู่

รอยยิ้มบนใบหน้าค่อยๆ หายไป ลู่ฝานก็อยู่ในสมาธิของการฝึกวิชา

หนึ่งวันผ่านไป ความเร็วของนกปิดฟ้าก็ค่อยๆ ช้าลง

ลู่ฝานลืมตาขึ้น มองออกไป ก็เห็นเมืองเมืองหนึ่งปรากฏขึ้นในสายตา

มีตัวอักษรขนาดใหญ่เขียนไว้ที่ประตูเมืองว่า เมืองเผิง!

สถาบันสอนวิชาบู๊ ในที่สุดเราก็มาถึงแล้ว

ข้างหูมีเสียงลมพัด ในโลกแห่งความมืดเริ่มมีแสงสว่างขึ้นมาเล็กน้อย

จากภวังค์อันเวิ้งว้างสู่แสงสว่าง ลู่ฝานค่อยๆ ลืมตาขึ้น

ฟ้าสีครามเมฆสีขาว สายลมเอื่อยๆ พัดโบกมากระทบชายเสื้อปลิวไสว

“ในที่สุดนายก็ฟื้นแล้ว รู้สึกไม่สบายตัวเลยใช่ไหมล่ะ”

ภาพที่เข้ามาในสายตาก็คือรอยยิ้มอันซุกซนของฮ่วนเย่ว์ ลู่ฝานก็ตกใจ แล้วรีบลุกขึ้น

แต่ตอนที่เขาลุกขึ้นนั้น เท้าก็ยืนไม่มั่นคง ท่อนล่างอ่อนแรงเหมือนขนนก ลมพัดแรงหน่อยก็พัดเขาปลิวได้เลย ยังมีกระบี่หนักไม่คมด้านหลังที่หนักพออยู่แล้วด้วย ทำให้ลู่ฝานไม่ได้ถูกพัดไปเลยทันที แต่ขับเคลื่อนปราณชี่ แล้วปราณชี่ก็ยืนได้อย่างมั่นคง

จ้องตาไปมอง ลู่ฝานก็พบว่า ตอนนี้ตนเองกำลังอยู่บนหลังของนกยักษ์ตัวหนึ่ง

เมฆสีขาวพาดผ่านร่างกายไป มองไปไกลๆ ภูเขาที่ไกลออกไปกำลังหายลับสายตาไปอย่างรวดเร็ว

เห็นได้ชัดว่า ความเร็วของนกยักษ์นั้นเร็วมาก ฮ่วนเย่ว์ดึงให้ลู่ฝานนั่งลงบนหลังของนก

“วางใจเถอะ ฉันจะไม่ลงมือกับนายตอนนี้หรอก บัญชีของเราเอาไว้ค่อยคิดกัน”

ใบหน้าของฮ่วนเย่ว์ยิ้มระรื่น เผยฟันเขี้ยวน่ารักๆ ออกมาสองข้าง

ด้านหลัง ก็มีเสียงของลู่หมิงดังเข้ามา

“ลู่ฝาน ฟื้นสักทีนะ หลับไปหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ น่าจะพักผ่อนพอแล้วนะ”

ลู่หมิงพูดไปแล้วก็เข้ามานั่งข้างๆ จากนั้นยื่นเหล้าปลาอาหารมาให้ลู่ฝาน

พอได้กลิ่นหอมของอาหาร ลู่ฝานก็รู้สึกค่อนข้างหิวขึ้นมาทันที พอแกะกล่องอาหาร ลู่ฝานก็หวนคิดขึ้นมา ว่าตนเองได้สลบไปตอนที่สู้กับเถ้าแก่อ้วนคนนั้น

มองไปรอบๆ อย่างร้อนใจ แล้วก็ถามว่า “เจ้าดำล่ะ?”

ทันใดนั้นเอง ลู่ฝานก็เห็นเจ้าดำนอนหงายเหยียดแข้งเหยียดขาอยู่ตรงนั้น เสียงกรนดังสนั่น เห็นได้ชัดว่ากำลังพักผ่อนอยู่เหมือนกัน

ฮ่วนเย่ว์ยิ้มพูดว่า “นายนี่นะ พอตื่นขึ้นมา ก็ไม่สนใจอาการของตนเองเลย เป็นห่วงสัตว์อสูรของนายเหลือเกินนะ เฮ้อ นายชื่อลู่ฝานใช่ไหม ฉันชื่อฮ่วนเย่ว์ ต่อไปก็เรียกฉันว่าพี่ฮ่วนเย่ว์แล้วกัน”

ลู่ฝานยักคิ้วขึ้นเล็กน้อย ฮ่วนเย่ว์ตรงหน้าก็ดูไม่แก่กว่าเขา แต่กลับให้เขาเรียกว่าพี่สาว

ยิ้มไปเบาๆ แล้วลู่ฝานก็ไม่พูดอะไร เริ่มกินเหล้าปลาอาหารไป

ลู่หมิงพูดอยู่ข้างๆ ว่า “ลู่ฝาน คุณหนูฮ่วนเย่ว์เป็นคนช่วยพวกเราหาสัตว์อสูรบินได้นะ และเพราะเธอนี่แหละ นายถึงไม่ถูกหน่วยป้องกันเมืองของเมืองตงซานเอาตัวไป คุณหนูฮ่วนเย่ว์ก็จะไปสถาบันสอนวิชาบู๊เหมือนกัน ไม่แน่ว่าวันข้างหน้าจะได้เป็นศิษย์สำนักเดียวกัน”

ลู่ฝานได้ยินดังนั้นก็อึ้งๆ ผู้หญิงที่เจอหน้ากับตนเองทีไรแล้วต้องสู้กันทุกรอบคนนี้ เป็นมิตรได้ด้วยหรือนี่?

ฮ่วนเย่ว์เงยหน้าพูดว่า “ทำไมล่ะ รับความช่วยเหลือจากคนอื่น ไม่คิดจะขอบคุณกันสักคำเลยหรือไง?”

“ลู่ฝานวางถุงเหล้าลง แล้วกลืนเนื้อในปากลงไป พร้อมพูดว่า ‘ขอบคุณคุณหนูฮ่วนเย่ว์มากเลย’”

ฮ่วนเย่ว์ยิ้มพูดว่า “ค่อยยังชั่วหน่อย แต่นายอย่าคิดนะว่าเรื่องที่แย่งของล้ำค่าของฉันไปมันจะจบได้ง่ายๆ พอไปถึงสถาบันแล้วรอให้นายฟื้นฟูพลังกลับมา ฉันจะไปคิดบัญชีกับนาย”

ลู่ฝานหัวเราะแหยๆ รู้อยู่แล้วว่าเด็กผู้หญิงสวยตรงหน้าไม่ปล่อยเขาไปง่ายๆ แน่ แต่ว่าเด็กผู้หญิงที่ชื่อฮ่วนเย่ว์คนนี้ ก็ไม่เลวเหมือนกัน ทำอะไรเปิดเผย ตรงไปตรงมา

ครุ่นคิดสักพัก ลู่ฝานก็พูดว่า “คุณหนูฮ่วนเย่ว์ เรื่องของล้ำค่านั้น ผมไม่มีทางคืนคุณได้จริงๆ เอาอย่างนี้ เดี๋ยวผมเอายาชดใช้ให้”

ฮ่วนเย่ว์พูดอย่างตกใจว่า “นายมียาด้วยงั้นหรือ? รู้อย่างนี้ ตอนที่นายสลบ ฉันค้นตัวเสียให้หมดก็ดี ว่ามา มียาอะไรบ้าง ยาธรรมไม่นับนะ ฉันรู้ว่าของล้ำค่านั่นมันดีมากๆ นายอย่าเอาของไม่ดีมาหลอกฉันนะ”

ลู่ฝานหันตัวหลบเลี่ยงสายตาของฮ่วนเย่ว์กับลู่หมิง แล้วก็หยิบขวดน้อยออกมาจากแหวน

“ยากลั่นซ้ำ ถือว่าเป็นยาระดับห้า ถือว่าผมชดใช้ให้ก็แล้วกัน”

พอได้ยินคำว่า ยากลั่นซ้ำ ลู่หมิงก็พูดออกมาว่า “คุณผู้ชายเถ่เมี่ยนให้ไว้ใช่ไหม?”

ลู่ฝานพยักหน้าเบาๆ สายตาของลู่หมิงมีทั้งอิจฉาและริษยา วันนั้นที่ประลองวิชายากันหน้าประตูตระกูลลู่ จริงๆ แล้วลู่หมิงก็แอบเบียดเสียดเข้าไปดูด้วยเหมือนกัน สำหรับตัวคุณผู้ชายเถ่เมี่ยนนั้น ลู่หมิงก็นับถืออย่างมาก ตอนนี้ได้เห็นยากลั่นซ้ำที่คุณผู้ชายเถ่เมี่ยนกลั่นออกมาวันนั้น มาอยู่ในมือของลู่ฝาน ในใจลู่หมิงอิจฉาแค่ไหนคิดดูก็รู้

ไม่นาน ลู่หมิงก็พูดว่า “ที่แท้เธอก็สนิทกับคุณผู้ชายเถ่เมี่ยนดีนี่เอง”

“แค่ยาระดับห้าเอง ฉันก็นึกว่าจะเป็นยาดีอะไรเสียอีก”

ฮ่วนเย่ว์ค่อนข้างไม่ตื่นเต้นอะไร หยิบขวดยามา แล้วก็ดมเบาๆ

“ถือว่าได้อยู่ คุณภาพธรรมดา แต่ว่าคิดดูแล้วตอนนี้นายก็น่าจะเอาของดีอะไรมาชดใช้ไม่ได้แล้ว ฉันรับยานี้ไว้ก็แล้วกัน ถือว่านายชดใช้ไปแล้วหนึ่งในสิบส่วน ต่อไปถ้ามีของดีอะไร เดี๋ยวฉันค่อยขูดเลือดขูดเนื้อเอาจากนายก็แล้วกัน”

ลู่ฝานพูดในใจว่า เธอก็รู้เหมือนกันนี่ว่าเป็นการขูดเลือดขูดเนื้อ

ฮ่วนเย่ว์ยิ้มตาหยีหยิบเอายาใส่ไว้ในถุงผ้าสีแดงที่เอวของเธอ จากนั้นก็พูดว่า “เอาเถอะ ลู่ฝานตอนนี้ฉันมีคำถามจะถามนาย นายจะต้องตอบฉันมาตามตรง”

ลู่ฝานพูด “ถามอะไร”

ตอนนี้ฮ่วนเย่ว์ก็ขยับเข้าไปใกล้อีก จ้องตาของลู่ฝานพูดว่า “เรื่องแรก กระบี่ของนายมันเป็นอย่างไรกันแน่ มันหนักมากเลย ด้วยพลังของฉันก็แทบจะยกไม่ขึ้น บอกฉันมา พละกำลังของนายแค่ปราณในขั้นต้น กวัดแกว่งกระบี่ที่หนักแบบนั้นได้อย่างไร?”

ลู่ฝานค่อยๆ พูดว่า “คำถามนี้ไม่ตอบได้ไหม? มันเกี่ยวข้องกับทักษะวิชาบู๊ของผม”

เถ้าแก่อ้วนอับอายจนโมโห เขายอมให้คนอื่นเรียกเขาว่า ไอ้อ้วน ได้ แต่ไม่ยอมให้คนอื่นมาเรียกว่า ไอ้อ้วนสมควรตาย มันก็เหมือนด่าพวกลามก แล้วเติมคำว่า ไอ้เหี้ย ไว้ด้านหลัง

เถ้าแก่อ้วนลุกขึ้นพูดว่า “ไอ้หนู ต่อให้มึงให้สัตว์อสูรของมึงกับกูในตอนนี้ กูก็ไม่ปล่อยมึงไปแล้วล่ะ ตายเสียเถอะ!”

พลังปราณทั้งตัวรวมกันเป็นลมที่ไหลเวียน เถ้าแก่อ้วนตะโกนออกมา

“ฝ่ามือลมปราณโต้คลื่น!”

พลังปราณสีขาวที่ปลดปล่อยออกมา ทำให้มือของเถ้าแก่อ้วนใหญ่ขึ้น10เท่า แล้วก็ตบลงไปยังฝั่งของลู่ฝาน!

ฝ่ามือขนาดใหญ่มีลมกดดันมหาศาล ทำให้การเคลื่อนไหวของลู่ฝานเป็นไปได้อย่างยากลำบาก

ในพลังปราณที่น่ากลัว ลู่ฝานก็พยายามต่อยออกมาหนึ่งหมัด

เสียงดังโครม ลู่ฝานถูกกระแทกจนล้มลงพื้นไป

แรงหมดของเขาเมื่อเจอกับพลังที่รุนแรงกว่ามาก เลยดูเหมือนไร้แรงไปเลย

ที่พื้นถูกกระแทกจนเป็นหลุมยุบลงไป มุมปากของลู่ฝานมีเลือดไหลซิบเล็กน้อย เจ้าดำที่อยู่ด้านข้างก็คำรามออกมา

“ยังไม่ตายอีก ไอ้หนู ร่างกายแข็งแรงดีนี่ รับอีกฝ่ามือแล้วกัน”

เถ้าแก่อ้วนเห็นว่าลู่ฝานรับฝ่ามือเต็มแรงของตนเองไป แต่ยังลุกขึ้นมาได้ ก็เลยต้องรวบรวมพลังปราณอีกครั้ง แต่ในตอนนี้เอง ก็มีเงาคนหนึ่งเคลื่อนเข้ามาตรงหน้าของเขาอย่างรวดเร็ว คือฮ่วนเย่ว์เอง

“ไอ้อ้วน เมื่อครู่นี้บอกว่าไงนะ จะแย่งสัตว์อสูรของพวกเขาอย่างนั้นหรือ?”

ดูเหมือนว่าฮ่วนเย่ว์จะสนใจเรื่องนี้มาก จ้องมองเถ้าแก่อ้วนไม่ละสายตา

เถ้าแก่อ้วนก็อึ้งๆ ไปครู่หนึ่งสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย “คุณหนูฮ่วนเย่ว์ เรื่องนี้มันซับซ้อนน่ะครับ คุณอย่าเพิ่งมาสนใจเลย ให้ผมจัดการไอ้หมอนี่ก่อน”

ฮ่วนเย่ว์พูดเสียงเย็นว่า “มาห้ามฉันยุ่งได้อย่างไรกัน กฎของหอฝึกสัตว์ ห้ามแย่งสัตว์อสูรของคนอื่น ใครผิดกฎจะต้องถูกทำลายพละกำลัง แล้วไล่ออก”

เถ้าแก่อ้วนกัดฟันพูดว่า “คุณหนูฮ่วนเย่ว์อีกเดี๋ยวผมจะอธิบายกับคุณเอง คุณหลบไปก่อน”

ฮ่วนเย่ว์ก็ยกมีดพกสองด้ามของตนเองขึ้นมา แล้วชี้ไปยังเถ้าแก่อ้วน พร้อมพูดว่า “อธิบายให้ฉันฟังเดี๋ยวนี้เลย”

เถ้าแก่อ้วนก็สีหน้าเปลี่ยนไปทันที เขารู้ว่าวันนี้คงจะหลีกเลี่ยงเรื่องนี้ไปไม่ได้เสียแล้ว

ทันใดนั้น เถ้าแก่อ้วนก็ตาเป็นประกาย ยกมือซัดฝ่ามือจนฮ่วนเย่ว์ลอยกระเด็นไป

ฮ่วนเย่ว์คิดไม่ถึงว่าเถ้าแก่อ้วนจะกล้าลงมือกับเธอ ถูกซัดลอยลงมาตกที่พื้น แต่ว่าไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร

เถ้าแก่อ้วนไม่กล้าลงมือจนฮ่วนเย่ว์บาดเจ็บหรอก เขาใช้พลังที่อ่อนโยน เพียงแต่ต้องการให้ฮ่วนเย่ว์หลบออกไปเท่านั้น จากนั้นก็รวบรวมพลังเข้าไปโจมตีลู่ฝาน

ขอเพียงฆ่าเจ้าเด็กนี่กับพวกของมันได้ พอไม่มีใครเป็นพยาน ต่อให้ฮ่วนเย่ว์จะรู้ว่าเขามาแย่งสัตว์อสูรของคนอื่น ก็ไม่อาจจะทำอะไรเขาได้

พอตัดสินใจแล้ว เถ้าแก่อ้วนก็ลงมือหนักขึ้น

ลู่ฝานมองดูเถ้าแก่อ้วนซัดฝ่ามือมาที่ตน ปราณชี่ทั้งตัวก็พุ่งสูงขึ้น พลังของห้าธาตุทั้งสี่ทิศก็เริ่มรวมเข้าด้วยกัน

เวลานี้เป็นเวลาเป็นตาย เขาไม่มีเวลามาปกปิดอะไรแล้ว

เถ้าแก่อ้วนก็สัมผัสได้ว่าพลังฟ้าดินโดยรอบมีการเปลี่ยนแปลง ทำให้ฝ่ามือที่เขาซักลงมามันช้าลง รัศมีห้าสีกระจายออกมาจากตัวของลู่ฝาน พลังฟ้าดินโดยรอบเปลี่ยนเป็นลมพายุ กำลังรอโจมตีออกไป เจ้าดำก็กัดเข้าไปที่ฝ่ามือของลู่ฝานอย่างแรง

วินาทีต่อมา เจ้าดำก็หายตัวไป แล้วที่แขนของลู่ฝานก็มีรอยสีดำบางอย่าง เปลวไฟดำที่น่ากลัวพุ่งออกมาจากแขนของลู่ฝาน

กำปั้น ที่แฝงไปด้วยเสียงคำรามของมังกร

เปลวไฟดำอันน่ากลัวเปลี่ยนเป็นสัตว์ร้ายอยู่ในฟ้าดินนี้ อ้าปากกว้างๆ ใส่เถ้าแก่อ้วน

นี่คือเคล็ดห้าธาตุกลายวัตถุของลู่ฝาน เป็นเคล็ดวิชาพื้นฐานของผู้ฝึกชี่ แต่ไม่ได้เป็นเหมือนครั้งก่อนๆ ที่ลู่ฝานใช้ออกมา

เปลวไฟดำที่น่ากลัวไม่ได้เปลี่ยนเป็นเสือร้ายที่พร้อมกระโจนออกไปเหมือนที่เขาคิดไว้ แต่เป็นมังกรสีดำตัวหนึ่งทะยานขึ้นไปบนฟ้า

พริบตา พลังปราณบนตัวของเถ้าแก่อ้วนก็ถูกทำลายจนหมด ตัวอ้วนกลมๆ เหมือนลูกชิ้นก็ถูกโจมตีจนทะลุหลังคาขึ้นไป แล้วไปตกลงบนท้องถนนในตลาด

เลือดไหลนอง เถ้าแก่อ้วนลุกไม่ไหวแล้ว

นี่มันต้องเป็นพลังที่น่ากลัวขนาดไหน นี่มันกระบวนท่าอะไรกัน!

ลู่ฝานเองก็ไม่รู้เหมือนกัน มองดูแขนตนเองอย่างอึ้งๆ

ลวดลายสีดำนั้น เป็นมังกรทะยานตัวหนึ่ง กำลังเคลื่อนไหวในแขนของเขา

ลู่ฝานรับรู้ได้ว่ามังกรตัวนี้มีชีวิต แต่วินาทีต่อมา มังกรดำก็หายไป ตัวของเจ้าดำก็ปรากฏออกมาอีกครั้ง แต่ท่าทางดูย่ำแย่มาก

ลู่ฝานยังคิดไม่ตกว่าทำไมเจ้าดำถึงได้ดูเพลียแบบนี้ วินาทีต่อมา ความอ่อนแรงก็ปกคลุมไปทั้งตัวของเขา

ฟ้าดินก็มืดครึ้มขึ้นทันที ลู่ฝานรู้สึกเหมือนว่าโลกตรงหน้ากำลังจะหายไป

ทุกอย่างมันเข้าไปในภวังค์ และเขาก็ได้ล้มลงที่พื้น

ลู่หมิงกับฮ่วนเย่ว์ก็อึ้งอ้าปากค้างมองดูลู่ฝานซัดฝ่ามือเถ้าแก่อ้วนลอยไป แล้วก็เป็นลมสลบไป

ลู่หมิงรีบเข้าไปรับตัวของลู่ฝานไว้ หลังจากตรวจสอบดูแล้ว ลู่หมิงก็เบาใจ

“ยังดี แค่หมดแรงเท่านั้น ลู่ฝาน ถ้านายตายไป ถือว่าผิดต่อตระกูลลู่ ฉันไม่ปล่อยนายไปแน่”

ฮ่วนเย่ว์ก็เดินเข้าไปดูเหมือนกัน มองดูเจ้าดำที่อยู่ข้างๆ แล้วก็มองลู่ฝานอีกครั้ง

กลืนน้ำลายลงคอ แล้วฮ่วนเย่ว์ก็บ่นพึมพำว่า “ที่แท้ที่อาจารย์พูดก็เป็นความจริง อสูรเข้าสิง เป็นวิชาอสูรเข้าสิงจริงๆ ด้วย”

เถ้าแก่อ้วนก็เดินไปข้างๆ อย่างทำอะไรไม่ได้ คำพูดของคุณหนูฮ่วนเย่ว์ เขาไม่อาจจะขัดได้ เพราะว่าคุณหนูฮ่วนเย่ว์เป็นถึง…..เฮ้อ พูดไม่ได้ พูดไม่ได้

ฮ่วนเย่ว์จ้องลู่ฝานตาเขม็ง “หน็อยแน่ ฉันก็ว่าอยู่ว่าทำไมตอนนั้นนายปัดป้องเปลวไฟดำได้ คิดไม่ถึงว่านายจะเป็นพวกเดียวกับสัตว์อสูรตัวนี้ ไอ้หนู รีบเอาของเมื่อวันนั้นออกมาให้ฉันเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นวันนี้ฉันไม่ยอมจบกันไปง่ายๆ แน่”

ลู่ฝานกัดฟันพูดว่า “ข้อดีทั้งหลาย คนมีวาสนาย่อมได้มาครอง เกรงว่าจะให้ไปไม่ได้”

มีดเพลิงไฟในมือของฮ่วนเย่ว์ก็เปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มขึ้น พูดว่า “ดูเหมือนว่านายจะยังไม่เคยลิ้มลองฝีมือของฉันสินะ”

พูดจบ ฮ่วนเย่ว์ก็บุกเข้าไปหาลู่ฝานอีกครั้ง ร่างกายเคลื่อนไหวเร็วดั่งเงา ในพริบตา ลู่ฝานก็เห็นฮ่วนเย่ว์สองคนอยู่ตรงหน้า

ลู่ฝานก็รีบกวัดแกว่งกระบี่หนักในมืออย่างรวดเร็วและไม่หยุดหย่อน กระบวนท่ากระบี่หนักก็บังเกิดขึ้นในมือของเขา

เสียงดังเพล๊งๆ ลู่ฝานปัดป้องการโจมตีของฮ่วนเย่ว์หลายกระบวนท่า กายทองไฟอาบก็ปรากฏออกมา เปลวไฟพลุ่งพล่าน เจ้าดำพ่นเปลวไฟดำออกมาไม่หยุด เพื่อที่จะโจมตีให้ฮ่วนเย่ว์ถอยออกไป

เถ้าแก่อ้วนก็ส่งเสียงออกมาว่า “คุณหนูฮ่วนเย่ว์ ให้ช่วยไหมครับ?”

ฮ่วนเย่ว์ก็ใช้พลังปราณทำลายเปลวไฟดำบนตัวอย่างสะบักสะบอม กัดฟันพูดว่า “ไม่ต้อง!”

ลู่ฝานมือกำกระบี่หนัก เหมือนได้เจอศัตรูตัวฉกาจ ถึงแม้จะมีเจ้าดำช่วยเหลือ เขาก็ยังรู้สึกว่ารับมือได้ยาก เมื่อเทียบกับครั้งก่อน ครั้งนี้รู้สึกว่าฮ่วนเย่ว์คนนี้เก่งกาจขึ้นเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นวิชากาย หรือพลังปราณ ล้วนสูงขึ้นไปอีกระดับหนึ่งแล้ว

ฮ่วนเย่ว์พลิกมือเอามีดเพลิงไฟออกมาอีก เอาอาวุธมาไว้ระดับหน้าอก แล้วพลังปราณที่รุนแรงดั่งสายฟ้าก็บังเกิดขึ้น

มังกรไฟสาดแสงออกมา!

แสงสีแดงเกิดขึ้นตรงหน้าของลู่ฝาน

ลู่ฝานมีเวลาแค่ยกกระบี่หนักในมือตั้งขึ้น วินาทีต่อมา มีดเพลิงไฟก็ฟันมายังตัวกระบี่ของเขา

ง่ามมือก็ฉีกออกทันที กายทองไฟอาบของลู่ฝานบวกกับผิวหนังเผ่ามังกรก็ไม่อาจปัดป้องการโจมตีอันรุนแรงของฝั่งตรงข้ามได้

แต่ว่าก็ไม่ใช่คนที่จะรังแกได้ง่ายๆ มือซ้ายกำหมัด ต่อยไปยังแสงสีแดงนั่น

หมัดถล่มเขาทำลายล้าง!

เสียงดังสนั่น กำปั้นต่อยโดนฮ่วนเย่ว์เข้าอย่างจัง

ในตอนนี้มีดพกอีกด้ามของฮ่วนเย่ว์ก็ปักเข้าไปที่หัวไหล่ของลู่ฝานเหมือนกัน

กำปั้นที่มีเปลวไฟ ฮ่วนเย่ว์ถูกต่อยกระเด็นออกไปเกือบ10เมตร กระแทกเข้ากับโต๊ะเก้าอี้หลายตัว

ลู่ฝานมองดูหัวไหล่ที่บาดเจ็บของตนเอง ก็ตกใจจนเหงื่อแตก การโจมตีของฝั่งตรงข้ามมันรุนแรงเกินไป

ฮ่วนเย่ว์หงายท้องกระโดดสะพานโค้งขึ้น หมัดของลู่ฝานไม่ทำอันตรายต่อเธอได้ แต่ว่าเธอก็มีสีหน้าตกใจไปเหมือนกัน

ครั้งก่อนตอนที่สู้กัน เขาไม่มีพลังแม้แต่จะสู้กลับ คิดไม่ถึงว่าตอนนี้จะสามารถต่อยเธอกระเด็นได้ เธอเป็นถึงลูกศิษย์ของเซียนบู๊แดนหยินหยางเชียวนะ

ฮ่วนเย่ว์ยังตกใจอยู่ เถ้าแก่อ้วนที่อยู่ข้างๆ ก็โมโหขึ้นมา

“กล้าทำร้ายคุณหนูฮ่วนเย่ว์ ไปตายเสียเถอะ”

เถ้าแก่อ้วนก้าวเข้าไปอย่างเร็ว พลังปราณอันน่ากลัวก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา เหมือนกับมีดเล่มหนึ่งฟันลงไปทางฝั่งลู่ฝาน

ปราณชี่ของนักบู๊แดนปราณนอกปลดปล่อยออกมาด้านนอก ตอนนี้ลู่ฝานก็ถือว่าได้เรียนรู้แล้ว พลังปราณอันน่ากลัวโจมตีเขากระเด็น ที่หน้าอกเกิดเป็นบาดแผล

เจ้าดำที่อยู่กลางอากาศก็พ่นเปลวไฟดำออกมา ก็ถูกเถ้าแก่อ้วนใช้มือปัดป้องไว้ พลังปราณอันแข็งแกร่ง รวมกันเป็นลูกกลมๆ และทำลายเปลวไฟดำจนสลายไป แล้วก็ใช้มือเปล่าตบเจ้าดำกระเด็นลอยไป

จริงๆ แล้วเถ้าแก่อ้วนได้ออมมือให้กับเจ้าดำแล้ว พลังของฝ่ามือที่ใช้ไป พอเหมาะที่จะทำให้เจ้าดำสลบไปได้พอดี

น่าเสียดาย เจ้าดำอดทนได้ดีกว่าที่เขาคิดไว้ ถูกตบจนร่วงลงพื้น ก็รีบคลานลุกขึ้นมา จากนั้นก็วิ่งมาตรงหน้าของลู่ฝาน แล้วก็แยกเขี้ยวใส่เถ้าแก่อ้วน

ฮ่วนเย่ว์ก็ตะโกนออกมา “แกทำอะไร บอกแล้วไง ว่าไม่ต้องการให้แกเข้ามาช่วย”

เถ้าแก่อ้วนก็หันมาพูดกับฮ่วนเย่ว์ว่า “คุณหนูฮ่วนเย่ว์ ผมไม่อาจจะเห็นคุณบาดเจ็บได้ ให้ผมมาจัดการเองก็แล้วกัน”

ในตอนนี้ ลู่ฝานก็ค่อยๆ ลุกขึ้นได้แล้ว ไม่ได้มองแผลที่หน้าอกเลย ส่งเสียงฮึดสู้ แล้วก็โยนกระบี่หนักพุ่งออกไป

เถ้าแก่อ้วนเพิ่งหันหน้ากลับไป ก็เห็นกระบี่หนักเล่มหนึ่งลอยเข้ามาหาตนเอง ก็ยกมือขึ้นมาจับไว้อย่างไม่แยแส ตอนที่มือของเขาสัมผัสกับตัวกระบี่นั้น สีหน้าของเถ้าแก่อ้วนก็เปลี่ยนไป

พลังที่มาจากหินผนึกกำลังสายหนึ่ง กับพลังของกระบี่หนักเอง กดจนทำให้เถ้าแก่อ้วนนิ่งไป

แค่นิ่งไปครู่เดียว ลู่ฝานก็บุกเข้ามา

กำปั้นพุ่งมาโดยตรง แถมยังมีไฟลุกโชน ต่อยเข้าที่ใบหน้าของเถ้าแก่อ้วน ต่อให้มีพลังปราณคุ้มกาย เถ้าแก่อ้วนก็ยังถูกพลังอันแข็งแกร่งของลู่ฝาน ต่อยจนหมุนตัวลงไปฟุบกับพื้น ใบหน้าผิดรูปไปเลย

“ว้าว เห็นไหม นักบู๊แดนปราณนอกถูกนักบู๊แดนปราณในต่อยตัวหมุนไปเลย”

“พลังน่ากลัวมาก หมอนี่เป็นใครกัน!”

ด้านบน มีคนที่เข้ามามุงดูก็สะใจกันมาก การต่อสู้ที่ต่างระดับกันแบบนี้หาชมได้ยาก

ตอนนี้ลู่หมิงก็พุ่งเข้ามา ตะโกนเสียงดังว่า “ไอ้อ้วนสมควรตาย อย่างมึงน่ะหรือคิดจะมาแย่งชิงสัตว์อสูรของคนอื่นเขา ไปตายเสียเถอะ”

ลู่หมิงอาศัยจังหวะนี้กระทืบไปที่ใบหน้าของเถ้าแก่อ้วนอีกครั้ง

แต่ว่าพลังของเขามีไม่พอ แม้แต่พลังปราณก็ยังไม่มี ก็เลยถูกพลังปราณคุ้มกายของเถ้าแก่อ้วนดีดกลับกระเด็นออกไป

แต่ว่าไม่เป็นไร เขายังทิ้งรอยเท้าไว้บนใบหน้าของเถ้าแก่อ้วนอย่างชัดเจน ทำให้คนที่มุงดูด้านบนหัวเราะกันยกใหญ่

ลู่ฝานก็กลืนน้ำลายพูดว่า “ทำไมคณะหนึ่งเดียวถึงได้แย่ขนาด?”

ลู่หมิงส่ายหัวพูดว่า “ยากจะประเมินเหมือนกัน ฉันได้ยินอาจารย์ที่ปรึกษาบอกว่า ตั้งแต่ที่สถาบันสอนวิชาบู๊ก่อตั้งมา คณะสามแห่งแรกก็มีคณะหนึ่งเดียวแล้ว ตอนนั้นคณะหนึ่งเดียวเป็นหน้าเป็นตาของสถาบันสอนวิชาบู๊ มีลูกศิษย์ยอดฝีมือมากมาย ผู้คนต่างไม่รู้จักสถาบันสอนวิชาบู๊ รู้จักแค่คณะหนึ่งเดียว ต่อมา คณะหนึ่งเดียวก็ค่อยๆ ตกต่ำลง อยู่อันดับสุดท้ายทุกปี เหมือนกับไม่เคยมียอดฝีมืออยู่เลย แต่ว่า นักเรียนที่จบออกไปจากคณะหนึ่งเดียวนั้น ต่อมาก็ได้มีชื่อเสียงกันทั้งนั้น เป็นคณะที่น่าแปลกอยู่เหมือนกัน จะว่าแข็งแกร่ง ก็ไม่รู้ว่าแข็งแกร่งที่จุดไหน จะว่าอ่อนแอ แต่ลูกศิษย์ก็ตั้งใจเอาการเอางานกันมาก อย่างน้อยก็ทำได้ดีหลังจากออกไปจากคณะ”

นิ่งไปสักพัก ลู่หมิงก็พูดต่อว่า “อีกอย่าง อาจารย์เต้ากวงของคณะหนึ่งเดียว เป็นคนนิสัยแปลกประหลาด อัจฉริยะที่คนอื่นๆ ชื่นชอบ เขากลับเบะปากใส่ แต่สำหรับคนที่อ่อนแอ คนที่ถูกคนอื่นรังแกทุกวันๆ นั้น เขากลับชอบและอยากจะไปสั่งสอน”

ลู่ฝานได้ฟังก็ขมวดคิ้วเบาๆ ฟังดูแล้วน่าสนใจดีเหมือนกัน

“แล้วนายอยู่ในสถาบันไหน?” ลู่ฝานถามๆ ไปอย่างนั้น

ลู่หมิงตอบว่า “ความสามารถพื้นฐานมีน้อย คะแนนการประลองได้น้อย ได้เข้าคณะนานา ใช่แล้วจางเยว่หานของตระกูลจาง ก็เป็นคนของคณะนานาเหมือนกัน ต่อมาก็ได้สนิทกับศิษย์พี่ในคณะบังเหิน ก็เลยให้เธอได้เข้าไปในคณะบังเหินด้วย เหอะๆ”

ลู่ฝานยักคิ้วขึ้นเบาๆ ไม่อยากจะวิจารณ์อะไร

ตอนนี้ กับข้าวก็มาวางครบแล้ว เจ้าดำไม่รอช้า เริ่มกินทันที ลู่ฝานกับลู่หมิงก็กินไปคุยกันไป ไถ่ถามเรื่องราวในสถาบันสอนวิชาบู๊ต่อไป

ในมุมมืดหนึ่งของห้องโถง ลู่ฝานกับลู่หมิงไม่รู้เลยว่า เถ้าแก่อ้วนของหอฝึกสัตว์แอบนั่งอยู่ตรงนั้น

ความมืดปกปิดลำตัวของเถ้าแก่อ้วนไปจนหมด เห็นลู่ฝานกับลู่หมิงคุยกันสนุกสนาน เถ้าแก่อ้วนก็สีหน้าไม่ดี

เดิมทีเข้าตั้งใจว่าคืนนี้จะมาขโมยเจ้าดำไป แต่คิดไม่ถึงว่า เวลานี้ลู่ฝานกับลู่หมิงยังไม่เข้าไปในห้องอีก แต่ออกมากินข้าวข้างนอก ดูเหมือนว่าเขาคงจะต้องรอไปอีกสักพักแล้ว

สายตาจับจ้องไปยังเจ้าดำที่อยู่บนหัวไหล่ของลู่ฝาน เภ้าแก่อ้วนยิ่งมองยิ่งอยากได้ สายตาจับจ้องจะเอามาให้ได้

สัตว์อสูรตัวนี้ ถ้าหากเขามองไม่ผิดไปล่ะก็ จะต้องเป็นมังกรครึ่งอสูรแน่นอน หายากมาก ที่สำคัญที่สุดก็คือ มันยังเป็นลูกอสูรที่ยังไม่โตอีกด้วย

ขอเพียงสั่งสอนให้เชื่อง วันข้างหน้าจะต้องเป็นพาหนะที่แข็งแกร่งแน่นอน พลังไม่ด้อยกว่านักบู๊แดนปราณดิน หรือเหนือกว่านักบู๊แดนปราณฟ้าก็เป็นได้

ลูกอสูรแบบนี้ จะเอาเงินมาเปรียบเทียบกันได้อย่างไร มันมีค่าควรเมือง

เถ้าแก่อ้วนตัดสินใจ ว่าจะต้องสัตว์อสูรตัวนี้มาครอบครองให้ได้

เถ้าแก่อ้วนรอคอยอย่างสงบเพื่อให้ลู่ฝานกับลู่หมิงกลับห้อง แล้วเขาค่อยลงมือ แต่เขาไม่รู้เลยว่า คืนนี้ลู่ฝานกับลู่หมิงวางแผนไว้ว่าจะไม่กลับห้อง จะคุยกันตรงนี้จนถึงเช้า

คนรอบๆ ค่อยๆ จากไป หรือไม่ก็กลับห้องไปนอน หรือไม่ก็กลับบ้านกันไปหมดแล้ว

แต่ลู่ฝานกับลู่หมิงยังนั่งอยู่ที่นี่ สั่งเหล้ามาอีกไหแล้ว ไม่คิดจะลุกขึ้นไปไหนเลย

เถ้าแก่อ้วนก็ทนรอไม่ไหวแล้ว ไม่สู้อาศัยฟ้ามืดแบบนี้ เข้าไปแย่งชิงมาเลยดีกว่า อย่างไรเสียพอเสร็จเรื่องก็กัดฟันไม่ยอมรับเรื่องที่เกิดขึ้นก็พอ ไอ้เด็กต่างถิ่นสองคนมันจะทำอะไรได้?

พอตัดสินใจแล้ว เถ้าแก่อ้วนก็เตรียมจะลงมือ

แต่ในตอนนี้เอง ก็มีเรือนร่างอ่อนช้อยเดินเข้ามา พอเห็นผู้หญิงคนนี้นั้น ตัวของเถ้าแก่อ้วนก็หยุดลง

“ยกกับข้าวมาเร็วๆ เอาของอร่อยๆ มาให้ฉันกินหน่อยซิ”

เสียงไพเราะเสนาะหู ทำให้คนที่ยังอยู่ในห้องโถงต้องหันไปมอง พอเห็นแล้วก็ตาเป็นประกาย

สาวสวยแบบนี้ หาชมได้ยากจริงๆ !

ลู่ฝานก็หันหัวไปมองเหมือนกัน พอเห็นใบหน้าของผู้หญิงคนนั้นแล้ว ลู่ฝานก็ตกใจขึ้นมาทันที

เธอไม่ใช่คนที่เขาซีซานคนนั้นหรอกหรือ……

ผู้หญิงคนนั้นก็มองไปรอบๆ เหมือนกัน แล้วก็สบตากับลู่ฝานพอดี

“นายนี่เอง/เธอนี่เอง!”

ลู่ฝานและผู้หญิงคนนั้นแทบจะพูดออกมาพร้อมกัน

ผู้หญิงคนนั้นรีบลุกขึ้น แล้วพูดกับลู่ฝานว่า “หน็อยแน่ ดูซิครั้งนี้จะหนีไปไหนได้”

พูดไป ในมือของผู้หญิงคนนั้นก็มีมีดพกสีแดงดั่งไฟปรากฏออกมา แล้วตัวก็พุ่งไปยังฝั่งลู่ฝานอย่างเร็ว

ลู่หมิงตอบสนองไม่ทันท่วงที ก็เลยถูกผู้หญิงคนนั้นถีบลอยออกไป พลิกตัวบนอากาศ แล้วผู้หญิงคนนั้นก็แทงปัดมีดพกลงไปยังตัวลู่ฝาน

ลู่ฝานก็ตอบสนองเร็วมาก ตอนที่ผู้หญิงคนนั้นลงมือ ก็ชักกระบี่ด้านหลังออกมาแล้ว

เพล๊งๆๆ !

เสียงดังต่อเนื่องสามครั้ง ดูไปแล้วจะเหมือนมีดเพลิงไฟ แต่จริงๆ แล้วมีพลังระดับ30เปอร์เซ็นต์ สะเทือนจนแขนของลู่ฝานสั่นเล็กน้อย

วิชากระบี่หนัก สายลมทำลาย!

กระบี่หนักของลู่ฝานกวัดแกว่งอย่างแรง แล้วฟันไปทางผู้หญิงคนนั้น

อาวุธของทั้งสองคนปะทะกัน โต๊ะตรงหน้าถูกแรงสั่นสะเทือนจนแตกออก สองฝั่งก็ถอยกันออกไป3ก้าว

ตอนนี้เจ้าดำก็กระโดดขึ้นไปยังหัวไหล่ของลู่ฝาน ในปากก็มีเปลวไฟดำออกมา แล้วพ่นไปยังผู้หญิงคนนั้น

ผู้หญิงคนนั้นเห็นเจ้าดำกับเปลวไฟดำ ก็หน้าเสียไปทันที และในตอนนี้ เถ้าแก่อ้วนก็บุกออกมา

“คุณหนูฮ่วนเย่ว์!”

เถ้าแก่อ้วนตะโกนเรียก จากนั้นก็สะบัดมือปัดป้องเปลวไฟดำไว้

เปลวไฟดำถูกทำลายลงด้วยมือของเถ้าแก่อ้วน คนรอบๆ ก็ตกใจอึ้งกันไปหมด รีบหลบซ่อนกันพัลวัน บนชั้นสองก็มีคนชะโงกหัวกันลงมือดูว่าเกิดอะไรขึ้น

ในที่สุดลู่หมิงก็ลุกขึ้นมาแล้ว ฮ่วนเย่ว์ก็เตะไปอีกที เกือบจะทำให้เขาเดินไม่ได้

มองดูเถ้าแก่อ้วน แล้วก็มองฮ่วนเย่ว์ ลู่หมิงกัดฟันพูดว่า “ที่แท้ พวกเธอก็เป็นพวกเดียวกัน”

ฮ่วนเย่ว์ขมวดคิ้วพูดว่า “พวกเดียวกันอะไร ไอ้อ้วน แกเป็นใคร?”

ใบหน้าอ้วนๆ ของเภ้าแก่อ้วนก็กระตุกๆ เขาไม่อยากจะโผล่ออกมาจริงๆ แต่ก็ต้องพุ่งเข้ามา เลยพูดไปว่า “คุณหนูฮ่วนเย่ว์ ผมคือเถ้าแก่ของหอฝึกสัตว์ใน เมืองตงซาน ผมชื่อสวีตาน”

ฮ่วนเย่ว์ตอบรับ แล้วก็พูดว่า “หอฝึกสัตว์งั้นหรือ เข้าใจแล้ว นายหลบไปก่อน ฉันกำลังคิดบัญชีกับหมอนี่อยู่”

ตกดึก ความเงียบก็เข้ามา

ลู่ฝานนั่งอยู่ในห้อง ฝึกวิชากายทองไฟอาบของตนเอง

วิชายุทธไม่มีวันสิ้นสุด ทุกวินาทีห้ามปล่อยให้เสียเปล่า ลู่ฝานใช้การฝึกฝนมาทดแทนการนอนหลับเสียจนชินแล้ว

รอบๆ มีพลังฟ้าดินเกิดหมุนรอบขึ้นจากการดึงดูดของลู่ฝาน เป็นเหมือนกับเตาหลอม ที่กำลังหล่อหลอมร่างกายเขา

หายใจเข้า หายใจออก

บนตัวเหมือนมีไอควันบางๆ โชยออกมา ค่อยๆ ทำให้ร่างกายของเขาแข็งแกร่งขึ้น

ตั้งแต่ที่เขามีแหวนที่ตระกูลให้มา ลู่ฝานสัมผัสได้ว่าการฝึกฝนของตนเองเร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ประสิทธิภาพของมัน ดีกว่าอุกกาบาตจิตเย็นเสียอีก ทำให้ลู่ฝานคิดไม่ถึงไปเหมือนกัน

ด้านนอกประตูก็มีเสียงเคาะดังขึ้น

“ลู่ฝาน”

ลู่ฝานค่อยๆ ลืมตาขึ้น แล้วก็เก็บปราณชี่เข้าไป

ลุกขึ้นมาเปิดประตู ก็เห็นตัวของลู่หมิงปรากฏขึ้นในสายตา

ลู่หมิงพูดนิ่งๆ ว่า “ฉันจะไปกินอะไรที่ห้องโถงเสียหน่อย จะไปด้วยไหม?”

ลู่ฝานตอบว่า “ได้สิ ตั้งแต่เข้ามาจนถึงตอนนี้ ยังไม่ได้กินข้าวกินน้ำเลย ควรจะกินอะไรสักหน่อยแล้วเหมือนกัน”

พอได้ยินว่าจะมีของกิน เจ้าดำที่กำลังนอนหลับปุ๋ยก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาทันที แล้วก็กระโดดขึ้นมาบนหัวไหล่ของลู่ฝาน

ลู่หมิงมองเจ้าดำแล้วพูดว่า “ระวังสัตว์อสูรของนายจะกินล้างกินผลาญจนหมดเงินล่ะ”

ลู่ฝานก็หัวเราะเบาๆ

ปิดประตู แล้วทั้งสองคนก็เดินไปยังห้องโถงของโรงเตี๊ยม

ตอนนี้ในห้องโถงมีคนมากินข้าวไม่น้อย พวกลู่ฝานก็หาโต๊ะตัวหนึ่งแล้วนั่งลง จากนั้นก็สั่งกับข้าวง่ายๆ มาสองอย่าง

พูดว่า “ลู่ฝาน พวกเราสองคนอยู่ในตระกูลถึงจะไม่ถูกกัน มันก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่ออกมาด้านนอก ก็เป็นคนของตระกูลลู่เหมือนกัน ต้องสามัคคีกันไว้ เห็นแก่ส่วนรวม

ลู่ฝานพูด “ทำไมถึงจะไม่ปลอดภัย?”

“เมื่อตอนกลางวันเจอกับเถ้าแก่ของหอฝึกสัตว์ คาดว่าคงจะไม่รามือง่ายๆ แน่ เป็นไปได้ว่าตอนกลางคืนจะส่งคนมาหาเรื่องพวกเรา อย่าคิดว่าฉันกำลังพูดล้อเล่นนะ ตอนที่ฉันอยู่ที่สถาบัน

ลู่ฝานยักคิ้วสูงขึ้นเล็กน้อย เขาไม่ค่อยกลัวเถ้าแก่ของหอฝึกสัตว์เท่าไร ถึงแม้ฝั่งตรงข้ามจะมีพลังระดับถึงแดนปราณนอก

ลู่ฝานสนใจเรื่องในสถาบันสอนวิชาบู๊มากกว่า เลยพูดว่า “สถาบันสอนวิชาบู๊มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นด้วยหรือนี่?”

ลู่หมิงยิ้มพูดเบาๆ ว่า “มีแน่นอน ไปถึงแล้วเดี๋ยวก็รู้เอง ที่นั่นมันเป็นสถานที่ที่คนกินคน บีบบังคับให้คนรีบเติบโต ไม่อย่างนั้นก็จะถูกคัดทิ้งออกไป”

ลู่ฝานพูด “อ๋อ เล่าเรื่องของสถาบันสอนวิชาบู๊ให้ฉันฟังหน่อยได้ไหม? จะได้ทำใจไว้ก่อน”

ก่อนอื่นเลย ฉันจะบอกให้นะ ในสถาบันสอนวิชาบู๊ไม่ได้เป็นที่อย่างที่นายคิด ไม่ได้เป็นสถาบันธรรมดาๆ มันแบ่งย่อยเป็น9คณะ เหมือน9สำนัก แต่ละคณะก็จะสอนไม่เหมือนกัน และในแต่ละคณะก็มีจะพลังที่สูงต่ำต่างกัน พอนายไปถึงสถาบันสอนวิชาบู๊แล้ว อันดับแรกก็จะทำการประลองเพื่อแบ่งระดับของนักเรียนใหม่ นักเรียนที่มีผลงานดี ก็จะถูกส่งไปคณะที่ดีหน่อย

ลู่ฝานพยักหน้าอย่างเข้าใจ สำหรับเรื่องคณะนั้น เขารู้ว่าอาจารย์อยากให้เขาเข้าไปยังคณะหนึ่งเดียวให้ได้ เรื่องอื่นๆเขาไม่รู้เลย ส่วนเรื่องการประลองแบ่งระดับคะแนนนั้น ก็ไม่เคยได้ยินเหมือนกัน

ลู่ฝานถามออกมาว่า “ในคณะทั้งเก้าคณะที่แข็งแกร่งที่สุดคืออันไหน?”

ลู่หมิงยิ้มพูดว่า “หัวสูงไม่เบาเหมือนกันนะ คณะที่แข็งแกร่งที่สุด ก็คือคณะหยินหยาง ปีก่อนรับนักเรียนใหม่ไป30คน ปีนี้ก็คาดว่าจะจำนวนเท่านี้เหมือนกัน ถ้าอยากเข้าไปล่ะก็ ในการประลองก็พยายามให้ติดอยู่30อันดับแรกก็พอแล้ว”

ลู่ฝานก็ส่งเสียงว่าเข้าใจ คณะที่แข็งแกร่งที่สุดกลับไม่ใช่คณะหนึ่งเดียวที่อาจารย์บอกไว้ ทำให้เขารู้สึกแปลกๆ

ลู่ฝานถามต่อไปว่า “แล้วลำดับที่สองกับสามล่ะ? บอกฉันมาทั้ง9ระดับเลยก็ได้”

ลู่หมิงพูดว่า “คณะที่แข็งแกร่งเป็นอันดับสองก็คือ คณะกระบี่ รับนักเรียนที่มีใจคิดจะฝึกกระบี่ ก็เหมาะกับนายเหมือนกันนะ”

พอพูดถึงตรงนี้ ลู่หมิงก็มองกระบี่ด้านหลังของลู่ฝาน

“อันดับที่สาม ก็คือคณะบังเหิน ฝึกวิชากายเป็นหลัก อันดับที่สี่คือคณะกำแหง ฝึกร่างเยอะหน่อย อันดับห้าคือคณะฟ้าร้อง ไม่มีอะไรพิเศษ แต่วิชาฟ้าร้องเทพคุมร้ายกาจมาก อันดับที่หกคือคณะศิงขร วิชาฝึกฝนเคล็ดบู๊ก็ธรรมดาๆ ตั้งมีข้อดีตรงที่มั่นคงและสมดุล อันดับที่เจ็ดคือคณะนานา ฝึกทุกวิชา อาวุธอะไรก็มีหมด อันดับที่แปดคือคณะสงบใจ คนที่เรียนอยู่ในนี้ ล้วนเป็นคนไม่ค่อยชอบต่อสู้ ไม่ค่อยอยากจะชนะ คบค้าสมาคมกับคนที่อื่นน้อยมาก อันดับที่เก้าก็คือคณะหนึ่งเดียว สถาบันนี้ผมก็ไม่ค่อยรู้เหมือนกันว่ามีอะไรพิเศษ รู้อย่างเดียวคือ ถึงแม้จะเป็นหนึ่งในเก้าคณะเหมือนกัน แต่มีลูกศิษย์น้อยมาก ได้ยินมาว่ามีแค่3-5คนเอง”

ลู่ฝานตกใจ 3-5คนงั้นหรือ? อยู่อันดับสุดท้ายอีก คณะหนึ่งเดียวทำไมถึงเป็นแบบนี้

อาจารย์คงจะไม่ได้ตั้งใจแกล้งเขาหรอกนะ?

เถ้าแก่เป็นคนรูปร่างอ้วน ตาทั้งสองข้างถูกใบหน้าที่อวบอ้วนบีบจนตาตี่ เหลือช่องให้มองเห็นเล็กน้อย

มองดูเหรียญทอง10อันบนโต๊ะ แล้วก็มองลู่หมิงกับลู่ฝาน พร้อมยิ้มพูดว่า “นกเมฆที่บินได้วันละหมื่นลี้ เงินเท่านี้ไม่พอหรอก อย่างน้อยต้องใช้เหรียญทอง20อัน”

เถ้าแก่ยื่นนิ้วอ้วนๆ ออกมาสองนิ้ว แต่ลู่หมิงไม่มีใจคิดจะหยิบเงินออกมาเพิ่ม เลยพูดว่า “ผมได้หลงเชื่อไปครั้งหนึ่งแล้ว จะไม่มีทางหลงเชื่ออีกแน่ เหรียญทอง10อัน ไม่มีอะไรต้องมาต่อรองกันแล้ว”

เถ้าแก่อ้วนทำหน้าบู้บี้ พูดว่า “พวกนายเป็นนักเรียนของสถาบันสอนวิชาบู๊ใช่ไหม? เอาเถอะๆ สมัยนี้หาเงินนิดหน่อยก็ยากลำบากขนาดนี้ นกเมฆบินได้หมื่นลี๊2ตัว ลงเชื่อประทับลายนิ้วมือก็แล้วกัน”

หยิบหลักฐานการซื้อออกมา แล้วเขียนชื่อประทับลายนิ้วมือไป เถ้าแก่อ้วนก็ให้ลูกน้องพาพวกเขาเข้าไปยังลานสัตว์ทางด้านหลัง

ลู่หมิงเดินนำหน้าไป ลู่ฝานตามหลังไปติดๆ

แต่ในตอนนี้เอง เถ้าแก่อ้วนก็เห็นเจ้าดำที่อยู่บนหัวไหล่ของลู่ฝาน ดวงตาตี่ๆ ก็เบิกโตขึ้นมา แล้วก็ลากตัวลู่ฝานไว้

“คุณชายท่านนี้ ช้าก่อนๆ”

ลู่ฝานหยดฝีเท้าลงอย่างสงสัย เถ้าแก่อ้วนกระโดดข้ามโต๊ะบัญชีจากด้านหลังออกมาเลย

ตัวอ้วนเกือบจะกลมแบบนี้ แต่ดูคล่องแคล่วไม่เบา ดูเหมือนว่าเถ้าแก่อ้วนก็จะฝึกวิชามาเหมือนกัน

เดินวนรอบตัวลู่ฝานไปหนึ่งรอบ หลังจากที่เถ้าแก่อ้วนจ้องมองเจ้าดำอย่างละเอียดแล้วนั้น ก็พูดว่า “คุณชายท่านนี้ สัตว์อสูรบนหัวไหล่นี่ขายไหม?”

ลู่ฝานก็พูดอย่างระแวงขึ้นมาทันที “ไม่ขาย นายคิดจะทำอะไร?”

เถ้าแก่อ้วนลูบมือตัวเองพูดว่า “อย่ามั่นใจขนาดนี้ ผมสามารถเสนอราคาที่ไม่เลวให้เลยนะ 1000เหรียญทองเป็นไง?”

ลู่ฝานพูดว่า “ไม่ขาย ให้เป็นหมื่นก็ไม่ขาย”

“อย่างนั้นก็หนึ่งหมื่น เป็นไง”

ลู่ฝานอึ้งเล็กน้อย จะซื้อเจ้าดำด้วยราคาหมื่นเหรียญทองงั้นหรือ? เขาไม่รู้เลยจริงๆ ว่าเจ้าดำจะมีราคาขนาดนี้

แต่ว่าลู่ฝานก็ยังส่ายหัว แล้วก็เตรียมจะเดินหนีไป

“เราคุยกันได้ ดูเหมือนว่าสัตว์ตัวน้อยนี้จะสนิทกับนายไม่น้อย เงินไม่อาจสั่นคลอนจิตใจนายได้ เอาอย่างนี้

ลู่ฝานปัดมือของเถ้าแก่อ้วน พูดว่า “ผมบอกแล้วไงว่าไม่ขายๆ”

ตอนนี้เจ้าดำก็ดูค่อนข้างฉลาด แยกเขี้ยวใส่เถ้าแก่อ้วน แล้วก็พ่นเปลวไฟดำออกมา

เถ้าแก่อ้วนตกใจจนถอยไปหลายก้าว แล้วรีบดับเปลวไฟดำบนตัวทันที

แต่ว่าท่าทางของเขาทำให้ลู่ฝานเห็นแล้วต้องอึ้งไป เปลวไฟดำของเจ้าดำไม่ใช่จะดับได้ง่ายๆ เถ้าแก่อ้วนคนนี้มีพลังไม่ธรรมดา เมื่อครู่นี้ ลู่ฝานมองเห็นปราณชี่ที่ปล่อยออกมาด้านนอก

แดนปราณนอก อย่างน้อยก็เป็นพลังของระดับแดนปราณนอก

เอามือตีดับไฟได้ เถ้าแก่อ้วนไม่เพียงไม่โกรธ แต่สายตากลับเป็นประกายมากกว่าเดิม

เถ้าแก่อ้วนก็พูดกับลู่ฝานว่า “คุณชายท่านนี้ สัตว์อสูรของนาย ไม่ใช่คนธรรมดาจะเลี้ยงดูได้ นายอย่ามองว่าตอนนี้มันจะดูเชื่องดี รอมันโตขึ้นมาอีกหน่อย ก็จะเป็นเหมือนสัตว์ร้าย พอถึงตอนนั้นนายก็จะมีอันตรายถึงชีวิต ไม่สู้เอามาขายให้ผมเลยดีกว่า เรื่องราคาคุยกันได้ จะเอาเงินผมก็มีให้ จะเอาวิชาฝึกฝนผมก็มีให้ จะเอาเคล็ดวิชาบู๊ก็มีให้ นายชอบยาไหม?

เถ้าแก่อ้วนยิ่งพูดยิ่งตื่นเต้น แต่ลู่ฝานกลับพูดอย่างหนักแน่นว่า “ไม่ได้”

เจ้าดำก็เหมือนจะรับรู้ได้ว่าลู่ฝานโกรธขึ้นเรื่อยๆ มันก็เลยจ้องเถ้าแก่อ้วนคนนั้นไม่ละสายตา

สองฝ่ายจ้องมองกัน พักใหญ่ สีหน้าของเถ้าแก่อ้วนก็เย็นชาขึ้นมา

“ในเมื่อนายไม่ยอมขายให้ผม งั้นก็ช่างเถอะ แต่ว่านายพาสัตว์อสูรเข้าไปด้วย จะทำให้นกเมฆที่พวกเราเลี้ยงไว้ตกใจได้ ดังนั้นพวกเราไม่สามารถจะขายนกเมฆให้พวกนายเดินทางกันได้แล้ว เงิน10เหรียญทอง ยินดีคืนให้หมด ขออภัยที่ไม่ไปส่ง”

สะบัดมือ เถ้าแก่อ้วนโยนเงิน10เหรียญทองกลับมา

ลู่ฝานรับเอาไว้ สีหน้าโมโหๆ ลู่หมิงรีบเดินกลับมาพูดว่า “เซ็นสัญญากันไปแล้ว จะเปลี่ยนใจได้อย่างไร”

เถ้าแก่อ้วนพูดว่า “ผมเป็นเถ้าแก่ของที่นี่ ผมบอกว่าไม่ได้ก็คือไม่ได้ พวกนายกลับกันไปได้แล้ว”

ลู่หมิงจะลงมือไปอย่างโมโห ลู่ฝานรีบไปขวางเขาไว้ที่ด้านหน้า

ลู่ฝานพูดเสียงต่ำว่า “อย่าวู่วาม เขาเป็นนักบู๊แดนปราณนอก”

ลู่หมิงก็สีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย แล้วสองคนก็เดินออกจากหอฝึกสัตว์

สายตาของเถ้าแก่อ้วนมองไปยังเจ้าดำตลอดเวลา พอพวกลู่ฝานเดินพ้นสายตาไป เถ้าแก่อ้วนก็เรียกบอดี้การ์ดคนหนึ่งเข้ามา “จับตาดูพวกมันสองคนไว้ ไปสืบให้ดีว่าพวกมันพักอยู่ที่ไหน แล้วรีบกลับมารายงาน”

บอดี้การ์ดรีบตามไปติดๆ เถ้าแก่อ้วนก็ยืนกุมมือ สายตาเย็นชา

ด้านนอก ลู่หมิงกัดฟันพูดว่า “ซวยจริงๆ มาเจอเรื่องแบบนี้ได้ เมืองตงซานไม่มีหอฝึกสัตว์ร้ายอื่นแล้ว ลู่ฝาน สัตว์อสูรของนายมีราคาขนาดนี้ นายรู้ที่มาของมันไหม?”

ลู่ฝานพยักหน้าพูดว่า “ถือว่าพอรู้บ้างนิดหน่อย แต่ฉันก็พอรู้ว่าเจ้าดำมีราคามาก ลู่หมิง พวกเราพักก่อนสักวันหนึ่งก่อนก็แล้วกัน พรุ่งนี้ค่อยวางแผนกันต่อ อย่างมากก็แค่เช่ารถม้าสองคันไปก็ได้ ไปเมืองอื่นค่อยหานกเมฆใหม่ เอาร้านนี้ก็แล้ว โรงเตี๊ยมพาโชค ชื่อนี้ไม่เลว”

ลู่หมิงพูดว่า “ก็ต้องเป็นแบบนี้ไปก่อน เฮ้อ ดูเหมือนว่าต้องไปถามคนที่นี่ดูว่า เมืองไหนมีนกเมฆให้นั่งได้บ้าง”

สองคนเดินเข้าโรงเตี๊ยมไป เปิดห้องที่ชั้นบน บอดี้การ์ดที่ตามมาไม่ไกล พอเห็นชื่อของโรงเตี๊ยม ก็รีบเดินกลับไปทันที

และพอทั้งสองคนเข้าโรงเตี๊ยมไปไม่นาน ผู้หญิงหน้าตาสะสวยคนหนึ่งก็เดินเข้ามาด้วยเหมือนกัน

ผมถักเปียด้านหลัง สวมชุดนักบู๊สีแดงเหมือนไฟ ถ้าหากว่าตอนนี้ลู่ฝานยังอยู่ที่ห้องโถงด้านล่างล่ะก็ จะต้องจำได้แน่นอน

ผู้หญิงคนนี้ก็คือคนที่เขาประมือกับที่เขาซีซาน!

อีกด้าน ที่หน้าประตูบ้านตระกูลโม่

จ้าวซวี่หยุดฝีเท้าลงกะทันหัน ครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วพูดออกมาว่า “เจ้าบ้านโม่ พี่โม่ ผมไม่กลับไปตระกูลโม่ดีกว่า ประลองวิชายาครั้งนี้ รับรู้ได้ว่าตนเองฝีมือยังด้อย ตอนนี้ผมอยากจะกลับไปที่สถาบัน ไปฝึกวิชาข้างกายอาจารย์ต่อ ดังนั้น ก็ลากันตรงนี้เลย พอพี่โม่กลับไปยังสถาบันค่อยมาหาผมก็แล้วกัน”

พูดจบ จ้าวซวี่ก็หันตัวจากไป โม่หยุนเฟยก็รีบเรียกชื่อไว้ “พี่จ้าว” จ้าวซวี่เดินดุ่มๆ ไม่หันกลับมามอง เดินจากไปอย่างรวดเร็ว

โม่เทียนแอบกัดฟัน แล้วตะโกนไปยังโม่หยุนเฟย “หยุนเฟย ไม่ต้องตามไปแล้ว ปล่อยเขาไปเถอะ ครั้งนี้พวกเราแพ้ให้กับตระกูลลู่อย่างราบคาบ”

โม่หยุนเฟยก็หยุดฝีเท้าลง หันหัวกลับมา สีหน้าไม่อยากให้เป็นแบบนี้

“ตระกูลลู่จะมากเกินไปแล้ว”

โม่เทียนพูดว่า “รู้ไว้ก็ดีแล้ว ตอนนี้ตระกูลลู่มีอิทธิพลไม่ด้อยไปกว่าตระกูลโม่ของเราเลย มีคนเก่งไม่น้อยไปกว่าเรา โดยเฉพาะ ลู่ฝานคนนั้น เก่งจนน่ากลัว คนรุ่นหลังเก่งกาจไม่น้อย ยิ่งมีผู้ฝึกชี่ช่วยเหลืออีก ถ้าตระกูลโม่ของเราไม่พยายามกันมากกว่านี้ เกรงว่าอีกไม่กี่ปี ทั้งเมืองเจียงหลินก็จะเป็นของแซ่ลู่หมดแล้ว”

โม่หยุนเฟยกัดฟันพูดว่า “ผมไม่มีทางให้เรื่องแบบนั้นมันเกิดขึ้นแน่นอน”

โม่เทียนกล่าว “ถ้าไม่อยากให้อนาคตเป็นแบบนั้น งั้นก็ต้องแข็งแกร่ง หยุนเฟย ทั้งตระกูลโม่ มีเอ็งคนเดียวที่อยู่ในสถาบันสอนวิชาบู๊ และมีเอ็งคนเดียวเท่านั้นที่มีโอกาสเหนือกว่าลู่ฝานได้ ความหวังหลังจากนี้ของตระกูลโม่ ก็อยู่บนตัวเอ็งแล้ว”

โม่หยุนเฟยพยักหน้าอย่างแรง มือก็กำหมัดแน่น

โม่เทียนถอนหายใจพูดว่า “ถ้าตระกูลลู่ไม่มีไอ้ลู่ฝานคนนั้นก็คงจะดี ไอ้คนไม่เอาไหนแค่คนเดียว กลับสามารถมีอิทธิพลต่ออนาคตทั้งเมืองเจียงหลินได้ น่าขำ น่าขำจริงๆ”

โม่หยุนเฟยได้ยินดังนั้น ในสายตาก็เป็นประกายออกมาแปลกๆ

ใช่ ถ้าตระกูลลู่ไม่มีลู่ฝานก็คงจะดี

ทำอย่างไรถึงจะกำจัดลู่ฝานได้

โม่หยุนเฟยบึนปากคว่ำลง เขาคิดวิธีจัดการได้แล้ว

ดูเหมือนว่าทุกอย่าง จะต้องไปกลับไปยังสถาบันก่อนค่อยว่ากัน

……

หลังจากนั้นสองวัน ที่ประตูเมือง มีลมจากทางเหนือพัดเข้ามา

ลู่หาวยืนรับลม เป็นตัวแทนของตระกูลลู่มาส่งลู่ฝานกับลู่หมิง วันนี้พวกเขาสองคนจะไปสถาบันสอนวิชาบู๊แล้ว

เจ้าดำกระโดดไปมาบนตัวของลู่ฝาน เห็นได้ชัดเลยว่าช่วงนี้มันอยู่ที่ตระกูลลู่กินดีอยู่ดีมาก อ้วนตัวกลมไปเลย

ลู่หาวยิ้มมองลู่ฝานกับลู่หมิง แล้วพูดว่า “ไม่พูดอะไรมากแล้วกัน ลู่ฝานไปสถาบันสอนวิชาบู๊ครั้งแรก จะต้องอยู่ติดๆ กับลู่หมิงไว้ ห้ามเดินหลงผลัดกัน เดี๋ยวจะพลาดเวลารายงานตัว”

ลู่ฝานพยักหน้า “รู้ครับพ่อ”

ลู่หมิงก็พูดอย่างทนรอไม่ได้ “ไปกันได้หรือยัง?”

ลู่หาวยิ้มพูดว่า “ไปเถอะๆ ตอนปีใหม่ อย่าลืมกลับมานะ”

สุดท้ายก็ตบไหล่ของลู่ฝานไปสองที ลู่หาวมองลู่ฝานกับลู่หมิงจากไป ก่อนจะออกไป ลู่ฝานมองไปยังเขาซีซาน เหมือนว่าจะเห็นเงาคนหนึ่งลอยอยู่กลางอากาศ

ไม่ต้องสงสัยเลย นั่นก็คืออาจารย์ของเขา หวูเฉิน ลู่ฝานพยักหน้าเบาๆ ถือว่าได้บอกลากับหวูเฉินแล้ว เขารู้ว่าอาจารย์จะเห็นท่าทางของเขา

ส่วนหวูเฉินที่ลอยอยู่กลางอากาศนั้นก็ยิ้มเบาๆ และพยักหน้าเบาๆ ให้เหมือนกัน

เจ้าดำก็โบกกรงเล็บให้ลู่หาวอยู่บนหัวไหล่ของลู่ฝาน ส่งเสียงร้องออกมาเบาๆ เหมือนว่าจะไม่อยากจากเมืองเจียงหลินนี้ไป

ลู่ฝานก็เอามือลูบหัวเจ้าดำแล้วพูดว่า “เอาน่า เดี๋ยวไปสถาบัน อาจจะมีของอร่อยๆ ให้กินอีกก็ได้นะ”

เจ้าดำก็อ้าปากแลบลิ้นมาเลียใบหน้าของลู่ฝาน ลิ้นเปียกๆ ทำให้ใบหน้าของลู่ฝานเต็มไปด้วยน้ำลาย ลู่ฝานก็รีบจับหัวของเจ้าดำไว้

สายตาของลู่หมิงก็แอบๆ มองไปยังฝ่ามือของลู่ฝาน

ขณะนั้น ลู่หมิงก็เอ่ยขึ้นมา “นั่นคือแหวนผู้นำของตระกูลลู่ใช่ไหม?”

ลู่ฝานพยักหน้าพูดว่า “ใช่แล้ว”

ลู่หมิงหันหน้าหนี เหมือนว่าไม่อยากจะมองแหวนนั้นอีก

“ที่แท้ท่านปู่ก็เอาให้นายแล้วจริงๆ ด้วย”

ลู่ฝานอ้าปากจะพูด แต่ยังไม่ได้พูด ลู่หมิงก็ยกมือพูดขึ้นมาว่า “ไม่ต้องพูดแล้ว ผลลัพธ์นี้พอจะเดาออก และรู้ด้วยว่านี่เป็นการเลือกที่ดีที่สุดของตระกูล เรื่องนี้ไม่ต้องเอ่ยกันอีกแล้ว จะได้ให้ผมเลิกคิดเรื่องนี้ไปเสีย”

ลู่ฝานพยักหน้า ไม่พูดอะไร ลู่หมิงก็ไม่พูดอะไรอีก สองคนเดินกันไปเงียบๆ

เดินกันไปครั้งนี้ ก็เป็นเวลา3วันเต็มๆ เวลา3วันนี้ลู่หมิงกับลู่ฝานไม่ได้คุยอะไรกันเลยแม้แต่คำเดียว แม้แต่เจ้าดำโชว์ฝีมือทำอาหารในป่า ลู่หมิงก็แค่มองดูอย่างตกใจเท่านั้น แต่ไม่ได้พูดอะไร

หลังจากนั้น3วัน ลู่หมิงก็พาลู่ฝานมายังเมืองที่ดูเหมือนจะกว้างใหญ่กว่าเมืองเจียงหลินเท่าตัว มีชื่อว่า เมืองตงซาน

พอจ่ายเงินค่าเข้าเมืองแล้ว ในที่สุดลู่หมิงก็พูดกับลู่ฝานคำแรกหลังจากที่ไม่ได้คุยกันมาหลายวัน “ตอนนี้พวกเราจะไปหอฝึกสัตว์ อีกเดี๋ยวฉันจะคุยเรื่องราคาเอง นายไม่ต้องพูดแทรก”

ลู่ฝานตอบรับไป แล้วก็เดินตามลู่หมิงไปยังทิศเหนือของเมือง

เมืองตงซานที่มีขนาดใหญ่ บ้านเมืองรุ่งเรืองมาก ทั้งร้านเหล้าโรงน้ำชา มีความเป็นระเบียบมาก

ท้องถนนที่กว้างใหญ่ เต็มไปด้วยพ่อค้าวาณิชเดินที่ผ่านไปมา คุณชายสูงศักดิ์ที่สวมอาภรณ์หรูหรา หญิงนางโลมที่เรียกแขกอยู่หน้าประตู

พวกลู่ฝานสองคนเดินกันมาวันหนึ่งเต็มๆ ก็มาถึงยังทิศเหนือสุดของเมืองตงซาน

คำว่าหอฝึกสัตว์ขนาดใหญ่ก็โผล่ออกมารับที่ใบหน้า ดูยิ่งใหญ่มาก

สองคนเดินเข้าไป ลู่หมิงหยิบเหรียญทองออกมา10อัน แล้ววางบนโต๊ะ พูดว่า “เถ้าแก่ เอานกเมฆมาสองตัว เอาตัวที่บินได้วันละหมื่นลี้ จะบินไปเมืองเผิง”

จ้าวซวี่หน้าแหยไปทันที ยาหยางเดียวเป็นยาชีวิตที่เหนือกว่ายาธรรมดา ผู้ฝึกชี่ระดับสองเล็กๆ อย่างเขา จะมีสูตรการกลั่นยาระดับยาชีวิตได้อย่างไร

ลู่ฝานก็รู้ว่าเขาไม่มี แค่ปฏิเสธแบบทางอ้อมไปเท่านั้น

ยาเม็ดเหมือนกับแดนฝึกฝน แบ่งเป็นยาธรรมดา ยาชีวิต ยาทิพย์ ยาเสวียนและยาเซียนทั้งหมด5ระดับ ยาหยางเดียวอยู่ในระดับยาชีวิต และเป็นยาที่มีชื่อมาก อย่างน้อยยาชีวิตชั้นห้าขึ้นไป อาจารย์บำเพ็ญชี่ทั่วไปไม่มีทางกลั่นออกมาได้

จ้าวซวี่กัดฟันพูดว่า “สูตรการกลั่นยาของยาหยางเดียว ฉันไม่มี เอาอย่างนี้ เอายาวิเศษกับยาเม็ดของฉันไป เพื่อแลกกับยากลั่นซ้ำของนายเม็ดนี้ได้ไหม?”

ลู่ฝานพูดว่า “ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้ นายยังมียาเบญจธาตุอีกไหม? เอายาเบญจธาตุมาอีก2เม็ด แล้วฉันจะแลกด้วย”

จ้าวซวี่หน้าแหย ยาเบญจธาตุ2เม็ดจะมีราคาสูงกว่ายากลั่นซ้ำเยอะมากเลย ฝั่งตรงข้ามคิดจะแกล้งเขา ไม่มีใจคิดจะแลก ยิ่งกว่านั้น ไม่ต้องพูดถึงเอายาเบญจธาตุมาอีก2เม็ดหรอก แค่ยาเบญจธาตุเม็ดนี้ เป็นอาจารย์ของเขาให้เขาต่างหาก

สะบัดแขนเสื้อจากไป จ้าวซวี่ก็เก็บหม้อไฟแรงของตนเองแล้วเดินจากไป

โม่เทียนเห็นดังนั้นก็ได้แต่ต้องกลับไป คนของตระกูลลู่ก็ดีใจกัน คำพูดร้ายๆ ทุกอย่างก็ไปตกลงที่คนของตระกูลโม่กันหมด

ลู่หาวยิ้มไปพูดไปว่า “ลู่เทียนกัง ระวังมารยาทหน่อย จะไปใช้คำสำหรับหมาไร้บ้านไปอธิบายเจ้าบ้านโม่ได้อย่างไร เขามีบ้านอยู่ พวกเอ็งระวังคำพูดกันด้วยนะ”

พวกของลู่เทียนกังก็พยักหน้า ความนัยของลู่หาว ก็คือไม่ต้องหยุดนั่นแหละ ด่าว่าเป็นหมาไร้บ้านมันไม่เหมาะ ก็เปลี่ยนไปด่าอย่างอื่น ก็ไม่มีปัญหาแล้ว

ผู้คนโดยรอบที่เข้ามาดูก็ค่อยๆ แยกย้ายกันกลับไป ได้มาดูผู้ฝึกชี่ทำการประลองวิชายากัน ถือว่าพวกเขาได้เปิดหูเปิดตามากแล้ว

ลู่หาวเดินเข้าไปพูดว่า “คุณผู้ชายเถ่เมี่ยน ครั้งนี้ต้องขอบคุณคุณมากเลย ไม่ทราบว่าจะขอเชิญเข้าไปคุยกันในตระกูลลู่หน่อยได้ไหมครับ ถึงแม้ในบ้านจะธรรมดาๆ แต่เหล้าปลาอาหารก็ไม่เลวอยู่นะครับ”

ลู่ฝานพูดว่า “ไม่ต้องขอบคุณกันหรอกครับ ผมก็ได้ยาเบญจธาตุเม็ดหนึ่งมาแล้ว ไม่ต้องเข้าไปคุยกันแล้วล่ะครับ ผมมีธุระคงต้องขอตัวก่อน ถ้าวันข้างหน้ามีเรื่องอะไร ให้ลู่ฝานมาหาผมก็ได้ครับ ขอตัวก่อน”

พูดจบ ลู่ฝานก็รีบเผ่นทันที

ลู่หาวมองดูลู่ฝานทางด้านหลัง ก็พูดเบาๆ ว่า “เป็นนิสัยของคนเก่งจริงๆ ด้วย ไม่รู้ว่าลู่ฝานไปรู้จักคุณผู้ชายเถ่เมี่ยนคนนี้ได้อย่างไร เฮ้อ เสียดายที่ตระกูลลู่เราไม่มีของดีสักอย่าง ไม่อย่างนั้นก็สามารถช่วยลู่ฝานแลกยากลั่นซ้ำเม็ดนั้นมาเสียก็ดี”

ลู่หาวไม่รู้หรอกว่า ยากลั่นซ้ำแบบนี้ ตอนที่ลู่ฝานฝึกวิชาในเขานั้น กินยากลั่นซ้ำเล่นเป็นลูกอมเลย เพราะว่าการกลั่นยาแบบนี้ใช้ตัวยาไม่ที่ไม่ยากมาก ดังนั้นตอนที่หวูเฉินสอนเขากลั่นยานั้น ก็ได้เน้นสอนเขากลั่นยากลั่นซ้ำเป็นพิเศษ

ก็หมายถึงว่าลู่ฝานอาศัยยากลั่นซ้ำนี้ ถึงสามารถคุ้นชินกับน้ำหนักของกระบี่หนักไม่คมได้ในเวลาอันสั้น

เมื่อห่างบ้านของตระกูลลู่ไป ลู่ฝานก็ไปหาที่ลับตาคนแล้วถอดเสื้อคลุมสีดำกับหน้ากากออก จากนั้นถอนหายใจออกมายาวๆ

หยิบยาเบญจธาตุออกมา ลู่ฝานก็ยิ้ม

ยาที่มีแสงออกมา ดูไปแล้วมันเตะตามาก ยาเบญจธาตุเป็นยาที่ให้ผู้ฝึกชี่เพิ่มพลังชี่โดยเฉพาะ ในสูตรการกลั่นยาที่หวูเฉินให้เขามา ก็มียาเบญจธาตุอยู่ด้วย

จริงๆ แล้วช่วงเวลานี้ลู่ฝานก็อยากจะลองกลั่นออกมาสักเม็ด แต่ว่ายังรวบรวมวัตถุดิบไม่ครบ ดังนั้นก็เลยพักไว้ก่อน

แต่ว่าตอนนี้ ยาเบญจธาตุที่เสร็จสมบูรณ์มาอยู่ในมือเขาแล้ว มีเหตุอะไรเล่าที่จะไม่กินมัน

มองดูยาที่แทบจะเป็นเงินของผู้ฝึกชี่ได้เม็ดนี้ ลู่ฝานก็ตั้งจิตกำหนดลมหายใจ จากนั้นก็กลืนยาลงไป

รวมพลังห้าธาตุจากฟ้าดิน มาเพิ่มพลังในกายให้แข็งแกร่ง

ทันใดนั้น ลู่ฝานก็รับรู้ได้ว่าพลังของห้าธาตุอันพลุ่งพล่านและบริสุทธิ์เคลื่อนไหวในร่างกายของตน จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นปราณชี่ของตนเอง

ลู่ฝานยืนนิ่งไม่ขยับ ที่ตันเถียนมีแสงสว่างขึ้นมา

รูขุมขนบนตัวเปิดออก พลังจากฟ้าดินโดยรอบไหลเข้าไปภายในกายไม่หยุด

มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ปราณชี่ของเขาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ความรู้สึกแบบนี้มันไม่ใช่ความรู้สึกดีธรรมดาๆ

ปราณชี่ที่ผนึกกันเป็นสายไหลไปทั่วกาย สิ่งผิดปกติทุกอย่างในร่างกายถูกกำจัดหมดไปอย่างรวดเร็ว

สองตามีแสงเป็นประกายส่องออกมา ความสามารถทางการได้ยินสูงขึ้น

พลังบริสุทธิ์นี้ไหลเวียนต่อเนื่องเกือบหนึ่งชั่วยาม ในที่สุดก็หยุดลง

ตอนที่พลังของห้าธาตุสายสุดท้ายถูกร่างกายของเขาดูดซับ ลู่ฝานก็ค่อยๆ หายใจเอาพลังเสียออกมา

แค่ยาเม็ดเดียว พลังก็ได้รับการเพิ่มขึ้นมา

ยืนมือออกไปหนึ่งกระบวนท่า พลังฟ้าดินที่สามารถควบคุมได้ก็มีมากขึ้น

แค่ยาเบญจธาตุเม็ดเล็กๆ เม็ดเดียว ก็ทำให้เขายืนอยู่ในระดับปราณในชั้นหนึ่งขั้นสูงสุด ถ้าเป็นระดับเดียวกับผู้ฝึกชี่ก็คือระดับสามขั้นสูงสุดคาดว่าฝึกไปอีกสักระยะ เขาก็จะบรรลุไปถึงระดับสี่ได้

จริงๆ แล้วเขารับรู้ได้ว่า ถ้าเป็นแค่ผู้ฝึกชี่อย่างเดียวจริงๆ ตอนนี้คงจะบรรลุไปถึงระดับสี่แล้ว

ประสิทธิภาพของยาเบญจธาตุจะดีกว่าที่คิดไว้อีก

ลู่ฝานก็ครุ่นคิดว่า หลังจากนี้จะต้องรวบรวมวัตถุดิบให้ครบให้ได้ จะต้องมีให้กินเล่นเป็นเหมือนลูกอมให้ได้ จนกระทั่งจะไม่ได้ผลของยาเบญจธาตุอีก

คิดไปอย่างนี้ แล้วลู่ฝานก็หัวเราะส่งเสียงออกมา

ลู่ฝานก้าวเท้าเดินกลับออกไปอย่างตัวเบาหวิว

สองฝ่ายแทบจะกลั่นยาออกมาสำเร็จพร้อมกัน สีสันเงางาม กลิ่นหอมกระจายไปทั่ว

จ้าวซวี่ค่อนข้างตกใจเล็กน้อย วิธีการกลั่นของฝั่งตรงข้ามก็สามารถกลั่นสำเร็จได้เหมือนกัน ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย

แต่ว่าไม่เป็นไร ชัยชนะสำคัญที่สุด

จ้าวซวี่เดินขึ้นหน้าไปหนึ่งก้าว แล้วเผยยาในมือออกมา

“ตรัยยาเพลิงแดง สามารถสร้างเกราะเพลิงไฟขึ้นมาในกายคนได้หนึ่งชั้นในเวลาอันสั้น สามารถป้องกันการโจมตีของระดับแดนปราณนอกลงมาได้3ครั้ง นักบู๊หรือผู้ฝึกชี่ล้วนสามารถใช้ได้”

ในน้ำเสียงของจ้าวซวี่มีแต่ความเย่อหยิ่งได้ใจ สำหรับยาระดับสามเม็ดหนึ่งนั้น ประสิทธิภาพแบบนี้ ถือว่าสุดยอดมากแล้ว

แม้แต่โม่เทียนเองได้ยินแล้วก็ยังอยากได้ นักบู๊สู้กัน กระบวนท่าเดียวก็เอาชีวิตได้ สามารถรับการโจมตีของคู่ต่อสู้ได้ถึง3ครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการบุกหรือเอาตัวรอด ก็ล้วนมีประโยชน์ทั้งนั้น

แต่ว่านี่ไม่ใช่จุดสำคัญที่สุด จุดที่มีค่าที่สุดคือประโยคหลัง นักบู๊หรือผู้ฝึกชี่ล้วนสามารถใช้ได้

ถ้าใช้ได้แค่นักบู๊ล่ะก็ เกรงว่าราคาคงจะต้องไปกว่าครึ่ง แต่ถ้าผู้ฝึกชี่ใช่ได้ด้วยล่ะก็ ยาเม็ดนี้ถึงแม้ไม่สูงสุด แต่ก็ติดอันดับในโลกยาเหมือนกัน

นี่ก็คือเหตุผลที่จ้าวซวี่มั่นใจมาก ในกลุ่มยาระดับสาม ยาที่สามารถเหนือกว่านี้มีน้อยมาก

ลู่ฝานก็ค่อยแบมือออก ยาที่ประกายแสงสะท้อนเข้าไปในสายตาของทุกคน

“ยากลั่นซ้ำ ไม่มีประสิทธิภาพอะไรพิเศษมาก ทำให้พลังเดิมมั่นคงเท่านั้น”

เสียงของลู่ฝานสงบนิ่ง แต่จ้าวซวี่กลับหัวเราะร่าออกมา

“ทำให้พลังเดิมมั่นคงงั้นหรือ? หรือยาของนาย กินไปแล้วจะไม่เห็นผลอะไรเลย? ถ้าหากไม่ใช่เพราะเห็นว่านายมีพลังชี่อยู่ในกาย แล้วสามารถควบคุมห้าธาตุได้ล่ะก็ ผมคงต้องสงสัยแล้วล่ะว่านายเป็นผู้ฝึกชี่จริงหรือเปล่า น่าขำ น่าขำมาก นายเอายาแบบนี้มาประลองวิชายางั้นหรือ? ดูเหมือนว่าเลือดมังกรของนายคงจะต้องตกเป็นของผมแล้วล่ะ”

จ้าวซวี่พูดจบก็ทำให้พวกของโม่เทียนหัวเราะกันยกใหญ่ คนของตระกูลลู่ก็หน้าเสีย พวกเขาก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมคุณผู้ชายเถ่เมี่ยนเอายาแบบนี้มาประลองวิชายา โดยเฉพาะลู่หาว เขาคิดในใจว่า ถึงแม้จะเอายารวมพลังออกมาแข่ง ก็ยังดีกว่านี้นะ

ถึงแม้จะมีประสิทธิภาพแค่คงสภาพพลังเดิม แต่สรรพคุณชัดเจนมาก คนธรรมดากินแล้วจะทำให้ร่างกายแข็งแรง ไม่เจ็บป่วย นักบู๊กินแล้ว จะขยายเส้นลมปราณ รวบรวมพลังได้ดี

ยังไม่ทันพูดจบ รอบๆ ก็มีเสียงสูดหายใจเข้าดังเข้ามา

จ้าวซวี่ก็อึ้งไป โดยเฉพาะได้ยินว่า กินแล้วตันเถียนจะขยายกว้าง รับพลังจากฟ้าดินได้มากขึ้น จ้าวซวี่ก็ตกใจเหมือนถูกฟ้าผ่า หลุดปากพูดมาว่า “อะไรนะ? ยาของนายเปลี่ยนแปลงตันเถียนได้งั้นหรือ เป็นไปไม่ได้”

ลู่ฝานพูดนิ่งๆ ว่า “จะเป็นไปได้หรือไม่ นายเข้ามาดูเดี๋ยวก็รู้เอง”

จ้าวซวี่เดินเข้ามาหลายก้าว ตรัยยาเพลิงแดงในมือก็ถูกบีบจนเปลี่ยนรูปร่างไปเล็กน้อย

ลู่ฝานยื่นมือออกไป เพื่อให้จ้าวซวี่มองได้อย่างละเอียด

การดูยา หนึ่งมอง สองดม สามลองกิน

จ้าวซวี่มองดูอย่างละเอียด แล้วก็เข้าไปดมยากลั่นซ้ำใกล้ๆ สุดท้ายใช้นิ้วมือไปลูบดูผิวสัมผัสของยา แล้วเอาใส่ปาก

หลับตาลอง จ้าวซวี่ค่อยๆ รับรสอย่างละเอียด

ไม่นาน จ้าวซวี่ก็สีหน้าเปลี่ยน เพราะว่าต่อให้แค่พลังยาเล็กน้อย ก็ทำให้เขารู้สึกได้ถึงการขยับผิดปกติของตันเถียน เส้นลมปราณขยายตัว เป็นสุดยอดยาคงพลังที่ดี

ยาที่เปลี่ยนคุณลักษณะร่างกายอย่างสมบูรณ์แบบนี้ มีราคาที่แพงกว่ายาอื่นๆ ทั้งหมด ยาแบบนี้ขอเพียงกลั่นออกมาก็คือกลั่นข้ามระดับไปแล้ว ต่อให้เป็นผู้ฝึกชี่ระดับหนึ่งธรรมดา ขอเพียงเขาสามารถกลั่นออกมาได้ ระดับของยาอย่างน้อยก็จะได้ระดับสามขึ้นไป ส่วนเม็ดนี้ ถ้าจะเอาไปวัดกันจริงๆล่ะก็ เกรงว่าจะอยู่ที่ระดับห้าโดยประมาณ

จ้าวซวี่ลืมสองตาขึ้น สีหน้าก็สับสนมาก

เขาแพ้แล้ว แพ้อย่างราบคาบ ถึงแม้เขาจะไม่อยากยอมรับมัน แต่ความจริงมันก็ปรากฏตรงหน้า

อีกอย่าง จุดที่สำคัญที่สุดก็คือ เขาอยากได้สูตรการกลั่นยาของยากลั่นซ้ำนี้มาก แต่ว่า ท่าทีของเขาทำไปเมื่อครู่นี้ ไม่รู้จะให้เขาเอ่ยปากอย่างไรดี

ถ้าทั้งสองคนไม่รู้จัก จ้าวซวี่ยอมให้ยกทรัพย์สมบัติของทั้งตระกูลให้เพื่อขอสูตรการกลั่นยานี้มาจากผู้ฝึกชี่เถ่เมี่ยนให้ได้

สีหน้าเปลี่ยนไปนานมาก แล้วจ้าวซวี่ก็พูดขึ้นว่า “ฉันแพ้แล้ว ผู้ฝึกชี่เถ่เมี่ยน นายมีความสามารถสูงกว่า ฉันยอมแพ้จากใจจริง”

ลู่ฝานอมยิ้ม ดูเหมือนว่าอย่างน้อยจ้าวซวี่ก็ยังมีคุณสมบัติของการเป็นผู้ฝึกชี่อยู่บ้าง

ผู้ฝึกชี่เป็นกลุ่มคนที่ไม่ชอบการพูดโกหกที่สุด พวกเขาเย่อหยิ่ง อารมณ์เสีย ถึงขนาดไม่เห็นใครอยู่ในสายตา แต่พวกเขาก็รักษาคำพูดกันมาก

แพ้ก็แพ้ ชนะก็ชนะ

โม่เทียนได้ยินคำของจ้าวซวี่ หน้าก็ซีดทันที คนของตระกูลโม่ทั้งหลายก็สีหน้าดูไม่จืดไปตามกัน

คนของตระกูลลู่ทั้งหลายก็ดีใจ ดีใจกันออกนอกหน้า ไม่ไว้หน้าตระกูลโม่เลย ส่งเสียงชื่นชมกันดังขึ้นมา

ลู่หาวยิ้มพยักหน้า ผู้ฝึกชี่เถ่เมี่ยนเป็นคนที่พึ่งพาอาศัยได้จริงๆ แล้วลู่ฝานล่ะ? เขาไปเรียกผู้ฝึกชี่เถ่เมี่ยนมา ผู้ฝึกชี่เถ่เมี่ยนก็มาถึงแล้ว แล้วเขาไปไหนเสียแล้ว

จ้าวซวี่ยื่นยาเบญจธาตุให้กับลู่ฝานอย่างไม่ติดใจอะไร จากนั้น จ้าวซวี่ก็พูดว่า “ผู้ฝึกชี่เถ่เมี่ยน ฉันขอแลกสูตรการกลั่นยาของนายได้ไหม?”

ลู่ฝานยิ้มพูดว่า “ได้สิ เอาสูตรการกลั่นยาของยาหยางเดียวมาให้ฉัน เดี๋ยวฉันเอาอันนี้ให้นาย”

เดิมพันยา จากความหมาย ก็คือเดิมพันจากการประลองวิชายา ปกติแล้วจะเดิมพันด้วย เช่นสูตรการกลั่นยา วัตถุดิบยา หรือยา

การประลองวิชายากันระหว่างผู้ฝึกชี่ มีการเดิมพันด้วยเงินน้อยมาก ถึงขนาดมีผู้ฝึกชี่จำนวนไม่น้อยดูถูกพวกที่ใช้เงินมาเดิมพัน

จ้าวซวี่ก็รู้กฎกติกาดี ยิ้มพูดว่า “เดิมพันยาก็มีแน่นอน ยาเบญจธาตุ1เม็ด พอไหม?”

พูดจบ จ้าวซวี่ก็หยิบขวดน้อยๆ ออกมาจากหน้าอก

ขวดมีสีสันหลากหลาย ค่อนข้างโปร่งใส สามารถมองเห็นสีสันมันเงาที่ยาด้านในปล่อยออกมา

ลู่ฝานอึ้งไปเล็กน้อย เขานึกไม่ถึงว่าจ้าวซวี่จะรวยและใจป้ำแบบนี้ ถึงได้เอายาเบญจธาตุหนึ่งเม็ดที่ใช้เพิ่มพลังชี่แบบนี้ออกมาเดิมพัน มันมีค่ามากกว่ายารวมพลังที่เขากลั่นออกมาเป็นร้อยเม็ดเสียอีก ต้องรู้ก่อนว่า ผู้ฝึกชี่ที่มีระดับต่ำนั้นไม่มีทางได้เห็นสูตรการกลั่นยาของยาเบญจธาตุ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ากลั่นออกมาได้เลย

ตอนนี้ลู่ฝานยังรวบรวมตัวยาที่จะกลั่นยาเบญจธาตุไม่ครบเลย คิดไม่ถึงว่าจ้าวซวี่จะหยิบออกมาเลย

จ้าวซวี่อมยิ้มเบาๆ สำหรับผู้ฝึกชี่ระดับต่ำนั้น แรงจูงใจจากยาเบญจธาตุมีมากแค่ไหนก็พอรู้ได้ เขาหยิบยาเม็ดนี้ออกมา ก็เพื่อที่จะให้ฝั่งตรงข้ามแพ้เดิมพันของตนเองให้หมด

เขาเอายาเบญจธาตุออกมา ฝั่งตรงข้ามก็ไม่อาจจะเอาของธรรมดาๆ มาเดิมพันได้แล้ว

จ้าวซวี่ใช้ชิงเอาวิธีนี้ก่อน ทำให้คู่ต่อสู้กังวลก่อน เพื่อจะได้มีผลต่อจิตใจ สำหรับการกลั่นยา สมาธินั้นสำคัญมาก ถ้าไม่สามารถรักษาความสงบนิ่งภายในใจได้ล่ะก็ ประสิทธิภาพของการกลั่นยาก็จะลงลดมาก

ทางที่ดี คู่ต่อสู้เอาของที่มีราคาสู้ยาเบญจธาตุไม่ได้จะดีที่สุด ทีนี้ล่ะสนุกแน่

จ้าวซวี่ไม่ถือสาที่จะเยาะเย้ยชายสวมหน้ากากเงินคนนี้ก่อนประลองวิชายาเสียหน่อย

ลู่ฝานครุ่นคิด แล้วก็คลำสิ่งของบางอย่างออกมาจากหน้าอก มีกลิ่นคาวเลือดเข้มข้นออกมา

จ้าวซวี่ยิ้มพูดว่า “ผู้ฝึกชี่เถ่เมี่ยน หยิบอะไรออกมา กลิ่นแรงแบบนี้ เหมือนจะไม่ใช่ยานะ เอาอะไรมั่วๆ มาวางเดิมพันหรือเปล่า”

ลู่ฝานพูดนิ่งๆ ว่า “คุณเดิมพันด้วยยาเบญจธาตุเสียขนาดนี้ ผมก็จะเดิมพันด้วยของธรรมดาๆ ไม่ได้ นี่คือเลือดมังกรที่ผ่านการกลั่นมาแล้ว ราคานั้นก็ไม่ต้องพูดถึงเลย”

พอได้ยินว่าเลือดมังกร จ้าวซวี่ก็ตกใจทันที ลู่ฝานเปิดขวดน้อยนั้นออก ให้กลิ่นมันโชยออกมา

จ้าวซวี่หลับตาตั้งใจดมกลิ่นนั้น เป็นเลือดมังกรไม่ผิดแน่ กลิ่นเดียวกับที่ในหนังสืออธิบายไว้เลยไม่มีผิด

เอาขวดวางไว้ข้างๆ จริงๆ แล้วเลือดมังกรแบบนี้ ลู่ฝานมีเยอะ แต่อาจารย์บอกว่า ของแบบนี้ห้ามเอาไปให้ใครเห็นง่ายๆ แถมยังต้องใส่ไว้ในขวดเล็กให้ดี คนอื่นจะได้ไม่รู้ว่าเขามีเยอะ มีของดีแล้วคนจะอิจฉา เรื่องนี้เขารู้ดี

ลู่ฝานพูดว่า “เริ่มกันได้หรือยัง?”

จ้าวซวี่เก็บสายตาที่ตื่นตกใจของตนเอง คิดไม่ถึงว่าจะถูกฝั่งตรงข้ามเหนือกว่าแบบนี้ได้

“เริ่ม!”

จ้าวซวี่พลิกมือเอาหม้อไฟเล็กในมือโยนลงพื้น แล้วก็ตะโกนว่า “ลุก!”

หม้อไฟเล็กก็ใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว พริบตาก็สูงเท่าตัวคน

หม้อก็แบ่งสูงต่ำ สามารถหดเล็กลงได้ หม้อนี้ไม่ธรรมดา ความมั่นใจส่วนใหญ่ของจ้าวซวี่ก็มาจากหม้ออันนี้ มีหม้อไฟแรงอันนี้ ถึงแม้เขาจะมีพละกำลังแค่ผู้ฝึกชี่ระดับสอง แต่ก็สามารถกลั่นยาระดับสามออกมาได้

จ้าวซวี่มองลู่ฝานอย่างได้ใจ แต่ก็แอบเห็นว่าลู่ฝานก็หยิบหม้อออกมาอันหนึ่งเหมือนกัน

ขยายใหญ่ขึ้นได้เหมือนกัน หม้อของลู่ฝานขยายใหญ่ขนาด5คนโอบ สูงประมาณ3เมตรกว่าๆ

หม้อใหญ่แบบนี้ ดูก็รู้ว่าเก่งกาจกว่าจ้าวซวี่ ลู่ฝานไม่ได้ตั้งใจทำให้หม้อขยายใหญ่ขนาดนี้ แต่ขนาดเท่านี้ มันเหมาะสมกับการกลั่นยาต่อจากนี้ของเขา

พลิกมือแล้วลูบไปที่แหวน ตัวยามากมายก็ไหลออกมาราวกับน้ำ ไหลเข้าไปในหม้อ

การไม่หลอมเป็นผงยาวัตถุดิบมาก่อนก็เริ่มกลั่นยาแบบนี้ จ้าวซวี่เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกเหมือนกัน

รีบตั้งสติกลับมา จ้าวซวี่ใช้มือซ้ายติดไฟ มือขวาหยิบยา วัตถุดิบยาสีแดง3ต้นถูกหยิบออกมาจากเอวของเขา แล้วก็ลอยอยู่ตรงหน้า จากนั้นเริ่มลุกไหม้

ภาพที่อัศจรรย์แบบนี้ ทำให้คนรอบๆต้องเอ่ยปากชม ชาวบ้านรอบๆ ก็ไม่รู้ว่าไปได้ข่าวมาจากไหน ต่างพากันเข้ามาล้อมดู บนหลังคา บนต้นไม้ เต็มไปด้วยผู้คน

“ว้าว นี่ก็คือการกลั่นยาสินะ น่าอัศจรรย์มากเลย ตัวยาก็ลอยขึ้นมาด้วย ทั้งไฟทั้งลม”

“นี่ก็คือผู้ฝึกชี่น่ะหรือ ถ้าเราได้เป็นผู้ฝึกชี่บ้างก็คงจะดีมากเลยนะ”

“พวกเอ็งว่าผู้ฝึกชี่ของตระกูลโม่หรือผู้ฝึกชี่ของตระกูลลู่จะชนะ?”

……

ในสามแถว นอกสามแถว ไม่นานประตูบ้านตระกูลลู่ก็ถูกล้อมไว้จนเข้าออกไม่ได้

แต่ว่าคนของตระกูลโม่กับตระกูลลู่ล้วนไม่สนใจ สายตาของทั้งสองฝั่งล้วนจ้องมองไปยังหม้อใหญ่สองอันนั้น

ลู่ฝานหลับตาลง แล้วควบคุมไฟและน้ำ

ส่วนจ้าวซวี่ก็ได้เริ่มกลั่นเสร็จแล้ว เอาผงยาโยนใส่ไปในหม้อ

พอเห็นท่าทางของลู่ฝานที่กลั่นยาอย่างสงบนิ่ง จ้าวซวี่ก็หัวเราะเย็นๆ ออกมา

นายแพ้แน่ ตรัยยาเพลิงแดงของผม เป็นสุดยอดในยาระดับสาม ดูสิว่าจะเอาชนะผมได้อย่างไร!

เพิ่มความแรงของไฟ จ้าวซวี่ไม่เสียดายพลังชี่ของตนเอง รีบเร่งให้ยาสำเร็จ

ขั้นตอนสุดท้าย ยาสำเร็จ!

ยาเม็ดหนึ่งก็ลอยออกมาจากกองไฟ

จ้าวซวี่ก็ยิ้มออกมา สำเร็จแล้ว

และในตอนนี้นั้น ในหม้อไฟบุ๋นของลู่ฝาน ก็เกิดเป็นเสียงดังวิ๊งๆ

แล้วก็มียากระเด็นลอยออกมา!

ที่ประตูหลักของตระกูลลู่ ลู่หาวเดินออกมาด้วยความโกรธอยากจะฆ่าคน สายตากวาดมอง สุดท้ายก็ไปตกอยู่บนตัวของโม่เทียน

“ตาเฒ่าโม่ เอาคนตระกูลมึงมาขวางหน้าประตูบ้านผม จะเปิดศึกกับตระกูลลู่งั้นหรือ?”

ลู่หาวพูดจาไม่ไว้หน้าใคร

โม่เทียนก็ไม่โกรธอะไรเลย แล้วยกมือพูดว่า “หลานลู่หาว พูดเกินไปแล้ว ที่มาวันนี้ก็เพื่อมาดูประลองวิชายา ในเมืองเจียงหลินไม่ได้เจอผู้ฝึกชี่ประลองวิชายากันมาหลายปีแล้ว ถือเป็นโอกาสหายากที่วันนี้จะได้เห็นสักครั้ง ก็เลยพาคนของตระกูลโม่มาเปิดหูเปิดตา วางใจเถอะ จะไม่ก่อเรื่องอะไรทั้งนั้น จะไม่ส่งเสียงดังด้วย คนตระกูลโม่ทุกคนฟังไว้ ห้ามส่งเสียงดังเอะอะโวยวายหน้าประตูตระกูลลู่ และห้ามลงไม้ลงมือกับคนของตระกูลลู่ ถ้าใครขัดคำสั่ง ก็จะลงโทษตามกฏตระกูล”

คนของตระกูลโม่ทุกคนก็ส่งเสียงตอบรับอย่างดัง แต่แค่เสียงนี้ ก็ทำเอาเด็กๆ ในถนนสายนี้ตกใจร้องไห้กันไปหมด

นี่หรือที่บอกว่าจะไม่ส่งเสียงดัง ลู่หาวกัดฟันพูดว่า “ตาเฒ่าโม่ ถ่อมาถึงตระกูลลู่เราเพื่อมาดูอะไรนะ?”

โม่เทียนยิ้มพูดว่า “หลานลู่หาว ไม่ใช่จะมาเพื่อประลองวิชายากับตระกูลลู่ ตระกูลโม่เราทั้งหมดไม่มีผู้ฝึกชี่เลยสักคน ไหนเลยจะกล้าพูดว่ามาประลองวิชายา พอดีว่ามีสหายมาจากสถาบันสอนวิชาบู๊ชื่อจ้าวซวี่ เขาได้ยินว่าตระกูลลู่มีอยู่คนหนึ่ง ก็เลยจะมาขอประลองฝีมือกัน พวกเราก็แค่มาดูเขาสู้กันเท่านั้นแหละ”

ลู่หาวก็เปลี่ยนสายตาไปมองยังตัวของจ้าวซวี่ แล้วพูดเสียงเย็นว่า “ผู้ฝึกชี่จ้าวซวี่ คุณจะประลองวิชายา มีสถานที่อื่นตั้งเยอะ ทำไมจะต้องมาที่ตระกูลลู่ของผม นี่มันจะต่างอะไรกับการหาเรื่องล่ะ?”

จ้าวซวี่ฟังน้ำเสียงที่ไม่เป็นมิตรของลู่หาว แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร

ก็เลยพูดตอบนิ่งๆ ไปว่า “ผู้ฝึกชี่ประลองวิชายาอย่างพวกเรา ไม่ได้สนใจเรื่องพิธีรีตองอะไรมากมาย มีคน มีหม้อ มียา ก็ประลองวิชายาได้ทุกเมื่อ ผู้จัดการตระกูลลู่ท่านนี้ รบกวนไปเชิญผู้ฝึกชี่ที่อยู่ด้านในออกมาด้วย ไม่อย่างนั้น ผมก็จะคิดว่าเขากลัวผมแล้วจริงๆ ถ้าเรื่องนี้แพร่ออกไป

ลู่หาวอดกลั้นอารมณ์วู่วามที่อยากจะต่อยออกไปสักหมัด แล้วพูดว่า “ผู้ฝึกชี่จ้าวซวี่ คุณไปได้ยินมาจากไหนว่าตระกูลลู่เรามีผู้ฝึกชี่? อย่าถูกคนอื่นหลอกใช้เอานะ”

จ้าวซวี่ก็มองลู่หาวด้วยหางตา แล้วหัวเราะเบาๆ พูดว่า “ผมรู้มาจากไหน ทำไมต้องบอกคุณด้วยล่ะ”

หัวเราะเบาๆ จ้าวซวี่ก็ส่ายหัวเบาๆ แล้วก็หลับตาลง ท่าทางที่วางมาดโอหังอวดดีนั้นไม่หมดไป ไม่เห็นลู่หาวอยู่ในสายตาเลย

โม่เทียนก็พูดเสี้ยมให้เกิดเรื่อง “ลู่หาว ยืนอยู่ตรงนี้ก็ช่วยอะไรไม่ได้ แถมยังไล่ผู้ฝึกชี่คนหนึ่งออกไปไม่ได้อีกด้วย ไม่สู้รีบไปเชิญคนเก่งในบ้านออกมาเร็วๆ ดีกว่า”

คำพูดของโม่เทียนไปเสียดแทงลู่หาว ถ้าหากว่าลู่หาวหัวร้อนขึ้นมาจริงๆ แล้วใช้พละกำลังขับไล่จ้าวซวี่ออกไป โม่เทียนก็จะดีใจมากเป็นพิเศษ

มันก็จะแสดงว่าตระกูลลู่จะเป็นปฏิปักษ์กับผู้ฝึกชี่คนหนึ่ง มันเป็นเรื่องที่ไม่ดีอย่างมาก โดยเฉพาะฝั่งตรงข้ามเข้ามาโดยอ้างว่าจะมาประลองวิชายา

ความแค้นของผู้ฝึกชี่ มันน่ากลัวกว่านักบู๊เยอะเลย

ในตอนนี้เอง เงาคนหนึ่งก็เดินออกมาจากซอยเล็กๆ อีกซอยหนึ่ง

สวมชุดคลุมสีดำ หน้ากากเงินเย็นชา

ทันใดนั้น รอยยิ้มบนใบหน้าของโม่เทียนก็นิ่งไป โม่หลินที่อยู่ข้างหลังของเขาก็สีหน้าเปลี่ยนไปมาก ในใจก็ตกใจ เป็นเขานี่เอง

จ้าวซวี่ค่อยๆ ลืมตาขึ้น เขาสัมผัสได้ถึงพลังของผู้ฝึกชี่ แถมยังไม่ด้อยกว่าเขาอีกด้วย ตระกูลลู่มีผู้ฝึกชี่ระดับสองขึ้นไปด้วยหรือนี่

หันหัวไป จ้าวซวี่ก็จับจ้องไปยังหน้ากากเงินนั้น จนอยากจะใช้สายตามองทะลุเข้าไปดูใบหน้าให้ชัดเจน

พอเห็นตัวชัดเจนแล้ว ลู่หาวก็ตั้งสติทำหน้าปกติขึ้นได้ สีหน้าระรื่น รีบเดินเข้าไปต้อนรับ

“คุณผู้ชายเถ่เมี่ยน ต้องขอโทษด้วยครับ”

ลู่ฝานที่ซ่อนใบหน้าไว้ในหน้ากากเงินก็ตั้งใจทำเสียงให้แหบแห้ง พูดว่า “ไม่เป็นอะไร พอดีว่า ผมเองก็คันไม้คันมือเหมือนกัน เดี๋ยวจะประลองกับเขาหน่อยก็แล้วกัน”

รอบตัวปกคลุมไปด้วยสายลมพัดเบา ลู่ฝานเดินออกไปไกล จนมาถึงตรงหน้าของจ้าวซวี่ เหตุผลที่เขาไม่อยากพูดกับลู่หาวเยอะ ก็เพราะกลัวลู่หาวจะฟังเสียงของเขาออก พูดมากจะเสียเรื่อง พูดน้อยไว้ก่อนดีที่สุด

ลู่ฝานยืนอยู่ที่หน้าประตูตระกูลลู่ จ้องหน้ากับจ้าวซวี่

จ้าวซวี่ก็มองลู่ฝานหัวจรดเท้า แล้วยิ้มพูดเบาๆ ว่า “ท่านนี้ก็คือผู้ฝึกชี่ของตระกูลลู่ใช่ไหมครับ ไม่ทราบว่าจะบอกชื่อแซ่ได้หรือไม่?”

ลู่ฝานพูดเสียงแหบว่า “เถ่เมี่ยน* ข้ามพวกคำพูดที่น่าเบื่อไปได้ไหม? นายมาประลองวิชายาไม่ได้หรือ? คุยกันเรื่องการแข่งเลยดีกว่า ว่าจะสู้แบบบุ๋นหรือบู๊”

ลู่ฝานฝึกกับหวูเฉินมาหนึ่งปี ก็พอรู้กฎเกณฑ์ของผู้ฝึกชี่ไม่น้อย

การสู้แบบบุ๋นนั้น ก็คือทั้งสองฝ่ายกลั่นยาของตนเอง แล้วใช้ยาเป็นตัวตัดสิน

ส่วนแบบบู๊นั้น ก็คือประลองวิชายาสู้พลังอีกด้วย กลั่นยาไปด้วยโจมตีฝั่งตรงข้ามไปด้วย บางครั้งก็ไม่รีบให้ยาเสร็จออกมา แต่รีบโจมตีคู่ต่อสู้ แล้วก็มากลั่นยาของตนเองอย่างสบายๆ ก็ได้

การประลองวิชายาสองแบบนี้ เหมาะกับการแก้ปัญหาขอพิพาทกันของผู้ฝึกชี่ในทวีป เพราะผู้ฝึกชี่มีน้อยมาก เมื่อเทียบกับนักบู๊แล้ว ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในหมื่นเลย

ดังนั้นผู้ฝึกชี่ส่วนใหญ่ก็จะรู้จักสามัคคีกันเป็นกลุ่มก้อน ยกเว้นคนที่เป็นศัตรูกัน ไม่อย่างนั้นปกติแล้วจะไม่ลงมือกับพวกเดียวกัน

คำพูดที่ว่า เป็นคนต้องไว้หน้ากันบ้าง วันหลังจะได้มองหน้ากันติด มันเป็นหลักการของผู้ฝึกชี่ทุกคน

“แบบบุ๋นก็แล้วกัน ผู้ฝึกชี่เถ่เมี่ยน พวกเราเลือกยาที่ตนเองถนัด แล้วเอามาแข่งกันดีไหม?”

จ้าวซวี่พูดอย่างนิ่งๆ ถึงแม้จะรู้ว่าฝั่งตรงข้ามก็มีพลังไม่ด้อยไปกว่าตนเองเลย จ้าวซวี่ก็ยังมั่นใจว่าจะชนะได้

“งั้นหรือ? ก็ถือว่าเป็นการประลองที่ดีเหมือนกัน แต่ในเมื่อจะประลองวิชายา แล้วมีเดิมพันยาไหม”

ลู่ฝานพูดช้าๆ

เหมือนโม่เทียนโดนฟ้าผ่า เขาพูดออกมาว่า “นายว่าอะไรนะ พวกลู่เทียนกังก็กินยาเหมือนกันเหรอ ผลการฝึกตนพุ่งสูงขึ้นหนึ่งขั้นงั้นเหรอ”

โม่ไห่พยักหน้ารัวๆ โม่เทียนพูดเสียงดังว่า “เป็นไปไม่ได้ ตระกูลลู่ไม่มีทางเชิญผู้ฝึกชี่มาได้ เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!”

พูดพลาง โม่เทียนเริ่มเดินไปมา ด้วยความกังวล ทันใดนั้น โม่เทียนพูดกับโม่หยุนเฟยว่า “โม่หยุนเฟย นายรีบไปเชิญพ่อหนุ่มจ้าวซวี่มา”

“ไม่ต้องเชิญแล้ว ผมมาแล้ว ในเมืองเจียงหลิน ยังมีผู้ฝึกชี่คนที่สอง น่าสนใจๆ”

เสียงลอยตามลมเข้ามา จ้าวซวี่เดินออกมาช้าๆ

โม่เทียนรีบเดินเข้าไปพูดว่า “พ่อหนุ่มจ้าวซวี่ ก็ไม่รู้เหรอว่าผู้ฝึกชี่ของตระกูลลู่คือใคร”

จ้าวซวี่ส่ายหน้าพูดว่า “ไม่รู้ แต่ไปเจอได้ พอดีเลย ช่วงนี้ผมอยากหาผู้ฝึกชี่มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่องวิชายาสักหน่อย ถ้าทุกท่านสนใจ ตามผมไปท้าได้ เมื่อถึงตอนนั้นตระกูลลู่ มีผู้ฝึกชี่หรือไม่ แค่ลองก็รู้”

โม่เทียนสีหน้ายินดี พูดว่า “พ่อหนุ่มจ้าวซวี่มั่นใจเหรอ”

จ้าวซวี่ยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่กล้าพูดว่ามั่นใจหรอก คิดว่าไม่น่าจะมีผู้ฝึกชี่ระดับสอง โผล่มาในเมืองเจียงหลินได้อีก”

พูดจบ จ้าวซวี่ยิ้มอย่างสง่างาม

โม่เทียนยิ้มแล้วพูดว่า “ได้ครับ ในเมื่อพ่อหนุ่มจ้าวซวี่มีแผนการแล้ว งั้นผมไปกับพ่อหนุ่มจ้าวซวี่สักรอบ ผมอยากรู้เหมือนกันว่าผู้ฝึกชี่ของตระกูลลู่ คือใครกันแน่”

……

ตอนนี้ตระกูลลู่ กำลังอยู่ในความยินดี

ลู่ฝานกับลู่หาวนั่งตรงกันข้าม กำลังดื่มชา ผ่อนคลายหลังจากหายกลุ้มใจ

วันนี้ลู่ฝานไม่ได้ไปฝึกบนเขา ซึ่งเป็นไปได้ยากมาก หลักๆ คืออยากรู้ว่าประสิทธิภาพของยาที่ตัวเองกลั่น เป็นอย่างไรบ้าง

ฟังเสียงตะโกนของลู่เทียนกังที่อยู่ด้านนอก “สะใจมาก ไม่เคยต่อยตีอย่างสะใจแบบนี้มาก่อน ฉันจะดูสิว่าต่อไปโม่ไห่ยังกล้ามาอวดดี ต่อหน้าฉันอีกไหม”

ลู่ฝานอมยิ้มแล้วพยักหน้า ดูเหมือนประสิทธิภาพของยาไม่เลว

“ลู่ฝาน เราสองพ่อลูก ไม่ได้นั่งคุยกันนานแล้ว ฉันอยากถามนายเรื่องหนึ่ง”

ลู่หาวพูดออกมา

“เรื่องอะไรครับ” ลู่ฝานพูด

ลู่หาวพูดว่า “การฝึกบู๊ของนายไม่ช้า ต่อไปต้องห่างไกลกับทุกคนในตระกูลลู่ นายจะยอมกลับมาเป็นผู้นำตระกูล ดูแลตระกูล หรือจะออกไปหาประสบการณ์ ฝึกฝนวิถีบู๊”

ลู่ฝานคิดครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “ฝึกฝนวิถีบู๊ ผมอยากฝึกวิถีบู๊ เรื่องดูแลตระกูล มีพ่ออยู่ก็พอแล้ว”

สุดท้ายต่อไปก็ต้องพึ่งนาย แต่ในเมื่อนายมีจิตใจมุ่งมั่น ในการฝึกบู๊ งั้นดีเหมือนกัน เรื่องวุ่นวายใจของตระกูล นายไม่ต้องกังวลใจ ถ้าต่อไปนายกลายเป็นนักบู๊ ที่แท้จริงได้ ไม่แน่อาจนำตระกูลลู่ไปที่เมืองใหญ่ได้ อย่างเช่น เมืองตงหวา

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “ผมจะพยายาม วันใดที่ผมยังไม่ตาย วันนั้นผมก็ยังจะปกป้องตระกูล”

พ่อกังวลกับนายมาตลอด ถึงหลังจากนายฝึกบู๊สำเร็จ ฉันก็ยังกังวล ฉันกลัวนายจะเกลียดตระกูล ฉันกลัวนายจะรังเกียจคนในตระกูล แต่ดูเหมือนตอนนี้ ฉันคงกังวลมากไปเอง นายจิตใจดี

ลู่ฝานพยักหน้าเบาๆ คิดในใจว่า ผมไม่ได้เกลียดตระกูล เพราะพ่อทั้งหมดนั่นแหละ!

แต่ผู้ชายไม่พูดอะไรเยอะ มองหน้าแล้วยิ้ม เข้าใจทุกอย่าง โดยไม่ต้องพูดออกมา

ทันใดนั้น มีเสียงดังขึ้นในอากาศ

“ฉันจ้าวซวี่ เป็นศิษย์สถาบันสอนวิชาบู๊ ผู้ฝึกชี่ระดับสอง ผู้ฝึกชี่ตระกูลลู่ กล้าออกมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่องวิชายาหรือไม่”

เสียงดังไปทั่วตระกูลลู่ ก้องอยู่ในหู

ลู่ฝานขมวดคิ้วเล็กน้อย นี่เป็นวิชาสายลมส่งเสียง ของผู้ฝึกชี่ ลู่ฝานก็เคยฝึกเช่นกัน

ลู่หาวหน้าเปลี่ยนสีทันที ลุกขึ้นตะโกนว่า “กล้ามาท้าตระกูลลู่ รนหาที่ตายหรือไง”

เสียงราวกับพยัคฆ์คำราม ดังก้องไปทั่ว

การที่ลู่หาวถูกเรียกว่าพยัคฆ์สวรรค์นั้นมีเหตุผล เสียงของเขา ราวกับพยัคฆ์คำราม แค่ตะโกนออกมา ก็ไม่ด้อยกว่าวิชาส่งเสียงโดยสายลมของจ้าวซวี่

ลูกหลานตระกูลลู่ รีบวิ่งไปที่ประตู มองเห็นจ้าวซวี่ ยืนถือกระถางเปลวไฟอยู่ด้านนอก ข้างหลังเต็มไปด้วยลูกหลานตระกูลโม่

จ้าวซวี่พูดออกมาอีกว่า “เรียนรู้แลกเปลี่ยนวิชายา มีมากมายตั้งแต่โบราณ ผู้ฝึกชี่ตระกูลลู่ อย่าบอกนะว่ากลัวผู้ฝึกชี่แค่ระดับสองอย่างฉัน”

ลู่หาวกำหมัดแน่น แล้วพูดว่า “ให้ตายเถอะ คิดไม่ถึงว่าผู้ฝึกชี่ ของตระกูลโม่ จะมาหาเรื่องถึงที่ ให้ฉันไปซัดเข้าสักยก ดูสิว่ายังจะกล้าอวดดีไหม”

ลู่ฝานรั้งลู่หาวเอาไว้ แล้วพูดว่า “พ่อ อย่า แม้อีกฝ่ายเป็นแค่ผู้ฝึกชี่ระดับสอง แต่ไม่มีใครรู้ว่าเขามีคนช่วยมากเท่าไร อย่าลืมความน่ากลัวของผู้ฝึกชี่”

ลู่หาวใจเย็นลง กัดฟันพูดว่า “จะให้เขาพูดอวดดีตามใจชอบอยู่หน้าประตูงั้นเหรอ”

ลู่ฝานพูดว่า “พ่อไปดูก่อน ผมจะไปหาผู้ฝึกชี่เถ่เมี่ยน ดูว่าเขาจะช่วยได้ไหม อีกฝ่ายเป็นผู้ฝึกชี่ คิดว่าผู้ฝึกชี่เถ่เมี่ยนคงสนใจจะสู้วิชายากับเขา”

ลู่หาวพยักหน้าพูดว่า “ได้ งั้นนายออกไปทางประตูหลัง เดี๋ยวฉันไปดูก่อน”

ลู่ฝานรีบออกไปทางประตูหลังราวกับสายลม มาถึงตรงที่ที่ไม่มีคนสังเกตเห็น ลู่ฝานเอาเถ่เมี่ยนกับชุดคลุมดำ ออกมาจากแหวน

สู้วิชายางั้นเหรอ

กลัวที่ไหนล่ะ!

หลังผ่านไปหนึ่งวัน ที่บ้านตระกูลโม่

โม่เทียนมองโม่หลินกับโม่หยุนเฟย ที่อยู่ข้างหน้า ความโมโหพลุ่งพล่าน

“ฉันเพิ่งเก็บตัวฝึกฝนเล็กๆ สองวัน คิดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องน่าอายแบบนี้ พวกนายยังไม่บอกฉัน ตอนนี้ทั้งเมืองเจียงหลิน คงไม่มีใครรู้ว่านักบู๊แดนปราณในชั้นเจ็ดผู้ยิ่งใหญ่อย่างโม่หลิน จะแพ้ให้ลู่ฝาน ที่เพิ่งฝึกพลังปราณได้ไม่นาน!”

โม่เทียนตบโต๊ะอย่างแรง โต๊ะแปดเซียนอย่างดี กลายเป็นผงด้วยการตบครั้งเดียว กระจายไปทั่ว

โม่หลินตากระตุก พูดเบาๆ ว่า “โม่หลินไร้ความสามารถ ทำให้พ่อ…..ทำให้ผู้นำตระกูลผิดหวัง”

โม่เทียนพูดว่า “ฉันไม่ต้องการฟังนายพูด โม่หยุนเฟย นายพูดมา ตอนนั้นเกิดอะไรขึ้น”

โม่หยุนเฟยมองโม่หลินแวบหนึ่ง ตอบรับเบาๆ จากนั้นเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้นออกมา

ตอนพูดว่าลู่ฝานปะทะหมัดกับโม่หลิน โม่เทียนหันไปมองโม่หลิน แล้วพูดว่า “โม่หลิน หมัดทำลายล้างของนาย สู้วิชาหมัดของลู่ฝานไม่ได้เหรอ ตระกูลลู่ไม่มีวิชาหมัดที่เก่งกาจ เขาใช้วิชาหมัดอะไร”

โม่หลินกลืนน้ำลาย แล้วพูดว่า “คือ…คือหมัดทำลายล้างครับ!”

เมื่อพูดออกมา โม่เทียนพูดอย่างตกใจทันที

“นายพูดอีกรอบนะ”

โม่หลินกัดฟันพูดว่า “ความรู้สึกผมไม่ผิดแน่นอน เป็นหมัดทำลายล้างแน่ๆ แต่หมัดทำลายล้างของเขา เหมือนจะมีพลังกายทองไฟอาบอยู่ด้วย”

โม่เทียนแววตาโมโห จ้องโม่หลินเขม็ง

มองแววตาโม่หลิน เต็มไปด้วยความแน่วแน่ โม่เทียนหวังเป็นอย่างยิ่งว่า โม่หลินกำลังโกหก แต่เห็นได้ชัดว่าโม่หลินพูดความจริง

โม่เทียนสูดหายใจลึก แล้วพูดว่า “จากการที่เพิ่งเข้าสู่แดนปราณใน แต่สามารถเอาชนะแดนปราณในชั้นเจ็ดอย่างนายได้ อาศัยตำราชำรุดเล่มหนึ่ง สามารถฝึกวิชาหมัดที่เก่งกาจกว่าต้นฉบับได้ ลู่ฝาน เป็นอัจฉริยะระดับไหนกันแน่ ตอนนี้ฉันสงสัยมาก เบื้องหลังลู่ฝาน มียอดฝีมือคอยชี้แนะให้หรือเปล่า”

โม่หลินพยักหน้าพูดว่า “มีความเป็นไปได้สูง ลู่ฝานฝึกฝนกลับมาครั้งนี้ แบกกระบี่หนักมาด้วยหนึ่งเล่ม ตอนผมสู้กับเขา รู้สึกว่ากระบี่ของเขา แปลกประหลาดมาก ต้องไม่ใช่ของธรรมดาแน่นอน”

“งั้นคงใช่แล้วล่ะ”

โม่เทียนถอนหายใจออกมา

“สอนวิชาให้ก่อน แล้วค่อยให้อาวุธ นี่เป็นแนวทางการสอนลูกศิษย์ของอาจารย์ผู้มีชื่อเสียง คนตระกูลลู่ คงสั่งสอนอัจฉริยะแบบนี้ออกมาไม่ได้”

โม่หยุนเฟยแอบกัดฟัน ในใจเต็มไปด้วยความริษยา

เขารับไม่ได้ที่สวะอย่างลู่ฝาน ได้รับการชี้แนะจากยอดฝีมือ พลิกตัวกลับมาได้ ส่วนนักบู๊ที่มีพรสวรรค์ไม่เลวอย่างเขา กลับไม่มีโอกาสแบบนี้

โชคดีชะมัด โม่หยุนเฟยแอบพูดในใจ

เขากลับไม่รู้ว่า อันที่จริงพละกำลังของลู่ฝาน ส่วนใหญ่ล้วนมาจากการฝึกฝนอย่างหนัก

ผู้อ่อนแอ เห็นเพียงเกียรติยศและโอกาสของผู้แข็งแกร่ง แต่กลับมองไม่เห็นความเหนื่อยล้าและเจ็บปวด ที่อยู่เบื้องหลังผู้แข็งแกร่ง

ขณะที่พวกเขากำลังคุยกัน มีเสียงเอะอะดังขึ้นนอกลานบ้าน เสียงใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ดังขึ้นเรื่อยๆ

“ออกไปดูสิ เกิดอะไรขึ้น น่ารำคาญขนาดนี้ นับวันยิ่งไม่มีกฎเกณฑ์ขึ้นเรื่อยๆ ดูเหมือนช่วงนี้ หลังจากพวกนายได้ยา ล้วนได้ใจกันใหญ่

โม่หลินทำได้เพียงพยักหน้า โม่หยุนเฟยรีบเดินออกไป ทันใดนั้น โม่หยุนเฟยพาคนกลับมาหนึ่งคน คนนั้นคือโม่ไห่

สีหน้าโม่หยุนเฟยไม่สู้ดีจนผิดปกติ ถ้าไม่ใช่เพราะเป็นเรื่องเร่งด่วน เขาไม่อยากบอกเรื่องนี้กับปู่จริงๆ

แต่จนปัญญา เรื่องนี้สำคัญมาก ถ้าไม่บอกปู่ รอปู่รู้หลังเกิดเรื่อง จะยิ่งโทษหนักเข้าไปอีก

บนหน้าโม่ไห่มีบาดแผล ใต้จมูกมีคราบเลือด ท่าทางเหมือนต่อสู้แพ้กลับมา

โม่เทียนเห็นสภาพโม่ไห่ ก็โมโหทันที พูดเสียงดังว่า “โม่ไห่ นายไปก่อเรื่องที่ไหนมาอีก”

โม่ไห่พูดอย่างตะกุกตะกัก “ไม่ได้ก่อเรื่องครับ แต่ลู่เทียนกังของตระกูลลู่….เขา….เขา…”

โม่ไห่พูดอึกอักคำว่า “เขา” อยู่นาน ไม่ได้พูดอะไรออกมาต่อ

โม่เทียนเบิกตาโตแล้วพูดว่า “เขาทำไม อย่าบอกนะว่านายสู้เขาไม่ได้”

โม่ไห่สั่นไปทั้งตัว จากนั้นก้มหน้าพูดว่า “ผู้นำตระกูลสายตาหลักแหลม ผมสู้เขาไม่ได้จริงๆ พี่น้องในตระกูลหลายคน โดนพวกเลวตระกูลลู่ ซัดหมดเลยครับ”

โม่เทียนอึ้งไปก่อน จากนั้นแผดเสียงออกมา “นายว่าอะไรนะ แกกินยาไปเสียเปล่าหรือไง”

โม่ไห่โดนตวาดจนปวดหู ถอยหลังไปสองสามก้าว แล้วพูดว่า “ผู้นำตระกูล เดิมทีหลังจากเรากินยา ลู่เทียนกังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเราสักนิด ถ้าครั้งก่อน ไม่ใช่เพราะลู่ฝานช่วย ผม…..”

พูดถึงตรงนี้ โม่หยุนเฟยจ้องโม่ไห่เขม็ง พูดสิ่งที่ไม่ควรพูดจริงๆ เมื่อกี้ปู่กำลังโกรธเรื่องนี้อยู่เลย

โม่ไห่กลืนคำที่จะพูดต่อลงคอ โม่เทียนพูดด้วยความโมโห “พูดต่อ ในเมื่อเดิมทีพวกเขาสู้พวกนายไม่ได้ แล้วครั้งนี้เกิดอะไรขึ้น ลู่ฝานมาช่วยอีกเหรอ เขาว่างจนไม่มีอะไรทำหรือไง วันๆ เอาแต่มาหาเรื่องพวกนาย”

โม่ไห่พูดเบาๆ ว่า “ครั้งนี้ลู่ฝานไม่ได้มาครับ”

“งั้นลู่หมิงช่วยเหรอ”

โม่เทียนถามต่อ

“ไม่ใช่เหมือนกันครับ ครั้งนี้ไม่มีใครช่วย แค่ลู่เทียนกัง เหมือนกินยาอะไรเข้าไป ผลการฝึกตนพุ่งสูงหนึ่งขั้น อีกทั้งพละกำลังแข็งแกร่งกว่าเราด้วย เราถึงได้แพ้อย่างเละเทะ”

พูดถึงสุดท้าย เสียงโม่ไห่เบาจนแทบจะไม่ได้ยิน

เห็นลู่ฝานพยักหน้า ลู่เฮ่าหรานยิ้มกว้างเข้าไปอีก “ที่แท้เป็นแบบนี้นี่เอง งั้นยาพวกนี้ ตระกูลเก็บไว้ทั้งหมดแล้วกัน ลู่ฝาน นายขอบคุณคุณผู้ชายเถ่เมี่ยนแทนปู่ด้วย ต่อไปถ้าเขาต้องการความช่วยเหลือจากตระกูลลู่ ลูกหลานตระกูลลู่ ไม่มีทางปฏิเสธแน่นอน”

ลู่ฝานพูดช้าๆ ว่า “ผมจะบอกให้ครับ ปู่ พ่อ ลองกินยาดูก่อนสิ คิดว่ามันช่วยปู่กับพ่อได้เหมือนกัน”

ลู่เฮ่าหรานยิ้มแล้วพูดว่า “มีความคิดนี้พอดีเลย”

พูดพลาง หยิบยารวมพลังออกมาหนึ่งเม็ด ใส่เข้าไปในปากอย่างไม่ลังเล

คนอื่นให้ยากับเขา เขายังต้องคิดสักหน่อย ยาที่หลานตัวเองเอามา ยังมีอะไรให้คิดอีก กินไปก็จบแล้ว

ยาเข้าไปในปากแล้วละลาย ลู่เฮ่าหรานหลับตาลง สัมผัสฤทธิ์ยาที่แผ่ซ่านในร่างกาย

มีควันออกมาจากตัวเล็กน้อย ทันใดนั้น ลู่เฮ่าหรานลืมตาขึ้น “ฤทธิ์ยารุนแรงมาก ยาชั้นดี คิดไม่ถึงว่าจะช่วยนักบู๊แดนปราณในชั้นเก้าอย่างฉันได้ ฉันรู้สึกว่าตัวเองจะถึงขั้นปราณนอกได้ทุกเมื่อ”

ลู่หาวได้ยิน รีบกลืนยาลงไปเช่นกัน ทันใดนั้น ตัวเขามีควันออกมาเหมือนกัน

ลู่หาวเอ่ยชมว่า “เป็นยาดีจริงๆ ฉันพูดผิดแล้ว อย่างน้อยคุณผู้ชายเถ่เมี่ยน อย่างน้อยก็เป็นผู้ฝึกชี่ระดับสาม ต้องเป็นระดับสามขึ้นไปแน่นอน”

ลู่ฝานได้ยินคำชมแบบนี้ แอบยินดีอยู่ในใจ

“ลู่หาว ลู่ฝาน ฉันว่าช่วงนี้จะต้องเก็บตัวแล้ว คว้าโอกาสเอาไว้ ทะลุแดนปราณนอกให้ได้ ยาพวกนี้ ให้ลู่หาวจัดการทั้งหมด แต่ห้ามใช้หมด ต้องเหลือไว้สำรองใช้สักนิด ลูกหลานสายเลือดโดยตรงของตระกูล สามารถเอาไปได้หนึ่งเม็ด ส่วนคนที่ไม่ใช่ลูกหลานสายเลือดโดยตรง ถ้าผลการฝึกตนไม่เลว พรสวรรค์เป็นเลิศ ก็ให้ได้เหมือนกัน ส่วนโดยรวม

ลู่หาวตอบรับเบาๆ ลู่เฮ่าหรานมองลู่ฝาน แล้วพูดว่า “ลู่ฝาน นายเอาสิ่งนี้ไปก่อน”

ลู่เฮ่าหรานเอาแหวนสีดำขลับ ออกมาจากอก วางไว้ตรงหน้าลู่ฝาน บนนั้นมีตัวอักษรคำว่าลู่ชัดเจน ลู่ฝานเห็นแล้วตกใจเล็กน้อย

“ปู่ นี่คือ…”

ลู่เฮ่าหรานยิ้ม แล้วพูดว่า “นี่เป็นสัญลักษณ์ผู้นำตระกูล เดิมทีฉันจะให้พ่อนาย แต่พ่อนายคิดว่า สิ่งนี้อยู่ในมือนายคงมีประโยชน์มากกว่า เก็บเอาไว้ ห้ามปัดความรับผิดชอบของตระกูล”

ลู่ฝานรับแหวนมาอย่างจริงจัง เมื่ออยู่ในมือ ลู่ฝานรู้สึกถึงความเย็น จากนั้นลู่ฝานรู้สึกถึงพลังฟ้าดินอันบริสุทธิ์ เริ่มไหลเวียนอยู่รอบๆ เขา

ลู่หาวยิ้ม แล้วพูดว่า “ลู่ฝาน อย่าดูถูกแหวนวงนี้ นี่เป็นหินเล็กๆ ที่ไม่มีใครรู้ชื่อมัน จะช่วยทำให้นายฝึกฝนเร็วขึ้น ปู่นายจ่ายไปเยอะ กว่าจะสร้างมันออกมาเป็นเครื่องรางตระกูลได้ ตอนนี้มอบให้นายแล้ว นายต้องดูแลรักษาให้ดี”

ลู่ฝานพยักหน้า จากนั้นสวมแหวนไว้บนมือซ้าย

ก็ให้นายแล้ว อนาคตตระกูลลู่ ยังต้องพึ่งนายไปฝ่าฟัน ฉันไปเก็บตัวแล้ว ถ้าออกมาไม่ได้ ลู่หาว นายรับตำแหน่งผู้นำตระกูลไป

พูดจบ ลู่เฮ่าหรานเดินออกไปช้าๆ เขาอารมณ์ดี จนฮัมเพลงออกมา

ลู่ฝานมองแผ่นหลังปู่ ถามด้วยสีหน้ากังวลว่า “พ่อ ปู่คงไม่เป็นไรใช่ไหม”

ไม่คืบหน้าก็ถอยหลัง แค่ผ่านด่านก็ต้องมีความเสี่ยง โดยเฉพาะอายุมากอย่างปู่นาย ถ้าไม่ระวัง จะโดนแว้งกัด ผลจะรุนแรงมากขึ้น แต่โอกาสเจอการแว้งกัด ไม่ได้เยอะมาก แค่แดนปราณนอกเท่านั้น ไม่ได้โจมตีวิถีบู๊อย่างเป็นตาย นายกับฉันรอไปก็พอ

ลู่ฝานพูดว่า “ไม่มีวิธีอื่น ที่จะลดความเสี่ยงลงเหรอครับ อย่างเช่น ผมไปขอยาจากคุณผู้ชายเถ่เมี่ยนอีกครั้ง”

“ไม่จำเป็น เรารบกวนคุณผู้ชายเถ่เมี่ยนครั้งนึงแล้ว ไปหาเขาอีก จะไม่ค่อยเหมาะ อีกอย่างยาที่ลดการแว้งกัด ตอนนักบู๊ผ่านด่าน เกรงว่าคุณผู้ชายเถ่เมี่ยนคงไม่สามารถกลั่นออกมาได้ ถึงจะกลั่นได้

ลู่ฝานกัดฟัน เขารู้ว่าพ่อพูดความจริง ความกังวลบนใบหน้า ยังไม่หายไป เขาหวังเพียงว่าปู่จะทำสำเร็จ ภายในครั้งเดียว

ลู่หาวเก็บยาเอาไว้ แล้วพูดว่า “ไปกันเถอะลู่ฝาน เราเอายาไปให้ลูกหลานที่มีอนาคตในตระกูลกัน คิดว่าผ่านวันนี้ไป ไอ้เด็กตระกูลโม่พวกนั้น คงไม่มีโอกาสมาหาเรื่องตระกูลเราอีก ฉันเอาให้ลู่เทียนกังก่อนดีกว่า ให้เขาไปสู้กับโม่ไห่อีกครั้งเป็นไง นายคิดว่า ถ้าตระกูลโม่รู้ว่า ตระกูลลู่ของเรา มีผู้ฝึกชี่คอยช่วยเหลืออยู่เหมือนกัน พวกเขาจะมีปฏิกิริยายังไง”

ลู่ฝานพูดว่า “คงเดือดเป็นฟืนเป็นไฟ นั่งไม่ติดเลยมั้งครับ”

ลู่หาวยิ้มแล้วพูดว่า “ถูกต้อง ฉันอยากเห็นคนตระกูลโม่เป็นแบบนี้ ให้ฉันนับก่อนว่าควรแบ่งยายังไง ลู่หมิงหนึ่งเม็ด ลู่เฟิงหนึ่งเม็ด ลู่เทียนกังหนึ่งเม็ด……”

ลู่ฝานเงยหน้ามองฟ้า นกฝูงหนึ่งบินขึ้นมาจากหลังคา

หลังผ่านไปหนึ่งวันหนึ่งคืน ยารวมพลังร้อยกว่าเม็ด เสร็จเรียบร้อย

ยังดีที่เชี่ยวชาญเรื่องกลั่นยา ยิ่งกลั่นไปเรื่อยๆ ก็ยิ่งเร็วขึ้น จึงทำให้กลั่นเสร็จเร็วขนาดนี้

เอายารวมพลังเม็ดสุดท้ายใส่ลงไปในขวด ลู่ฝานเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก แล้วถอนหายใจออกมา

มียารวมพลังร้อยกว่าเม็ดนี้ ไม่เพียงแต่จะยกระดับพละกำลังของตระกูลลู่ได้ ยังเหลือไว้สำรองใช้ได้อีกด้วย

หวูเฉินดูลู่ฝานกลั่นยา ตั้งแต่ต้นจนจบ จนลู่ฝานทำเสร็จทั้งหมด หวูเฉินจึงกลับไปฝึกฝนในห้อง

จากการสังเกตดูมาหนึ่งวันหนึ่งคืน หวูเฉินแน่ใจแล้วว่า ลูกศิษย์ตัวเอง มีพรสวรรค์ด้านการกลั่นยามาก อีกทั้งทำอย่างจริงจัง นิ่งสงบ เขาไม่จำเป็นต้องกังวลอีก

เจ้าดำที่อยู่ข้างๆ วิ่งไปวิ่งมา อ้าปากเหมือนตะกละ

ลู่ฝานมองมันแล้วหัวเราะ “ชอบกินอย่างแก อะไรก็อยากลองชิม ไม่กลัววันหนึ่งกินของมีพิษ แล้วตายหรือไง”

พูดพลาง ลู่ฝานโยนยาให้มันหนึ่งเม็ด มันกลืนเข้าไปในท้อง ทันใดนั้น มีเสียงกระดูกดังขึ้นทั่วตัวเจ้าดำ

เห็นได้ด้วยตาเปล่าว่า เจ้าดำตัวใหญ่ขึ้น ได้ยินมาตั้งนานว่า ประโยชน์ของยาต่อสัตว์ มีมากกว่านักบู๊ เมื่อเห็นวันนี้ เป็นจริงอย่างว่า แค่ยารวมพลังเม็ดเดียว เหมือนทำให้พละกำลังของเจ้าดำ เพิ่มขึ้นไม่น้อย

อ้าปากพ่นเปลวไฟออกมา พื้นโดนเผาจนไหม้เกรียม ดูออกเลยว่า เปลวไฟของเจ้าดำ ยกระดับขึ้นอย่างชัดเจน

เจ้าดำรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ดีใจจนวิ่งไปวิ่งมา จากนั้นหันมาเบิกตาโตใสซื่อ มองลู่ฝาน ในแววตาวูบไหว เต็มไปด้วยความคาดหวัง

แต่ลู่ฝานกลับปิดฝาขวด แล้วพูดว่า “กินยาเยอะไม่ได้ วันนี้กินไปเม็ดนึงแล้ว อีกสักระยะค่อยกินอีก ให้ฤทธิ์ยาที่เหลือหมดไปก่อน แล้วค่อยว่ากัน”

ราวกับเจ้าดำฟังออก ก้มหัวลงอย่างผิดหวัง

ลู่ฝานยังคงหัวเราะ ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป เจ้าดำจะโดนเขาเลี้ยงด้วยยา จนกลายเป็นสัตว์ตัวโตหรือเปล่า!

เหอะๆ ดูเหมือนจะมีความเป็นไปได้สูง

เอายาใส่เข้าไปในห่อผ้าทั้งหมด ลู่ฝานบอกลาอาจารย์ และรีบกลับเมืองเจียงหลิน

เพิ่งเดินถึงหน้าประตูตระกูลลู่ ลู่ฝานเห็นพ่อตัวเองเดินไปเดินมาหน้าประตู

เมื่อเห็นลู่ฝาน ลู่หาวรีบเดินเข้ามาพูดว่า “ลู่ฝาน เป็นยังไงบ้าง”

ลู่ฝานพยักหน้าพูดว่า “กลั่นยาออกมาได้เรียบร้อย ผมเอากลับมาแล้ว”

ลู่หาวหัวเราะออกมา “ดี รีบเข้ามาสิ ปู่นายรอจนนอนไม่หลับทั้งคืนแล้ว วันนี้ให้ฉันมาเฝ้าหน้าประตูตั้งแต่เช้า”

ลู่ฝานอดหัวเราะไม่ได้ จากนั้นเดินตามลู่หาวเข้าไป ลู่หาวให้ยามไปแจ้งก่อน ยามวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว

ยังเดินไม่ทันถึงสวนหลังบ้าน ลู่ฝานเห็นปู่เดินมาอย่างร้อนใจ

ลู่เฮ่าหรานจับมือลู่ฝาน แล้วพูดเบาๆ ว่า “เอายากลับมาแล้วเหรอ มีเท่าไร”

ลู่ฝานพูดว่า “ร้อยกว่าเม็ด”

ลู่เฮ่าหรานสีหน้าดีใจเป็นอย่างมาก ตบไหล่ลู่ฝานไปสามครั้งติด แล้วพูดว่า “คุณผู้ชายเถ่เมี่ยน มีสัจจะจริงๆ”

ลู่ฝานพยักหน้าเบาๆ เขามี “สัจจะ” จริงๆ เพื่อยาร้อยกว่าเม็ดนี้ เขาวุ่นตั้งหนึ่งวันหนึ่งคืน จนถึงตอนนี้ยังไม่ได้พัก แน่นอนว่า จากสภาพร่างกายของเขาในตอนนี้ ถึงโต้รุ่งอีกสักสองวัน ก็ไม่ใช่ปัญหา

ลู่เฮ่าหรานให้คนออกไป เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครในสวนหลังบ้าน จึงพูดกับลู่ฝานว่า “มา เอายาออกมาสิ ฉันดูหน่อยว่ายาอะไร”

ลู่ฝานเปิดห่อผ้าออกช้าๆ ขวดยาปรากฏอยู่ในสายตา ทำให้ลู่หาว ลู่เฮ่าหราน ตื่นเต้นเป็นอย่างมาก

เปิดขวดยาเล็กๆ เอายาออกมาดู ลู่หาวพูดอย่างตกใจ “นี่คือยารวมพลังเหรอ”

ลู่ฝานพยักหน้า “ถูกต้อง ยารวมพลัง ทั้งหมด 125 เม็ด ทุกขวดมีห้าเม็ด”

ลู่หาวเอ่ยชม “ของดี ของดีจริงๆ ลู่ฝาน ดูเหมือนยารวมพลังนี้ จะดีกว่าที่ฉันให้นายครั้งที่แล้วเยอะมาก ดูเหมือนคุณชายเถ่เมี่ยนจะไม่ใช่แค่ระดับหนึ่งเท่านั้น อย่างน้อยน่าจะระดับสองขึ้นไป ตระกูลลู่ของเรา มีอนาคตแล้ว”

ลู่เฮ่าหรานยิ้มแล้วพูดว่า “ทั้งหมดเป็นความดีความชอบของลู่ฝาน ลู่ฝานนายเอาไปก่อนครึ่งหนึ่ง ตระกูลเอาแค่ครึ่งเดียวพอแล้ว”

ลู่ฝานส่ายหน้า “ยารวมพลังนี้ ผมกินไป ไม่ค่อยได้ประโยชน์เท่าไร ปู่กับพ่อเอาไปทั้งหมดเถอะ”

ลู่ฝานพูดความจริง ยาที่เขากิน ล้วนเป็นยาดีที่อาจารย์หวูเฉินกลั่นให้ ไม่รู้ว่าดีกว่ายารวมพลังตั้งเท่าไร เว้นเสียแต่เป็นยารวมพลังที่อาจารย์หวูเฉินกลั่นให้เขา ไม่งั้นคงไม่มีประสิทธิภาพเท่าไร

ยิ่งไปกว่านั้น ช่วงก่อนหน้านี้ ลู่ฝานกินยารวมพลังมาแล้ว เป็นยาเพิ่มพละกำลังเหมือนแบบนี้ เม็ดแรกประสิทธิภาพดีที่สุด ยิ่งกินเยอะ ประสิทธิภาพจะยิ่งแย่ลง ลู่ฝานคิดว่าอย่าสิ้นเปลืองดีกว่า ถ้าจะกิน ก็รอให้เขาถึงแดนปราณในชั้นแปดชั้นเก้าเสียก่อน ค่อยกลั่นสักร้อยเม็ดออกมา ใช้เพื่อผ่านด่าน

เหมือนลู่เฮ่าหรานคิดอะไรได้ จึงพูดว่า “ก็จริง นายสนิทกับคุณผู้ชายเถ่เมี่ยนขนาดนี้ คงกินยาที่ดีกว่านี้ไปตั้งนานแล้ว มิน่าล่ะ พละกำลังของนายจึงเพิ่มเร็ว จนฝีมือห่างไกลคนอื่น”

ลู่เฮ่าหรานคิดว่าหาเหตุผลที่ลู่ฝาน ยกระดับพละกำลังอย่างรวดเร็วได้แล้ว เพราะมีผู้ฝึกชี่ คอยช่วยเหลือนี่เอง แดนผลการฝึกตนของนักบู๊ จึงก้าวหน้ารวดเร็ว นี่เป็นสิ่งที่ทุกคนรู้กันอยู่แล้ว

ลู่ฝานลูบจมูก ไม่ได้อธิบาย คิดไปคิดมา จึงตัดสินใจพยักหน้ายอมรับ

ลู่เฮ่าหรานขมวดคิ้ว “ไม่ต้องการยาวิเศษ สมบัติจริงๆ เหรอ ถึงสนิทกันแค่ไหน เชิญคนมาช่วย ก็ทำลายกฎไม่ได้หรอกนะ ไม่งั้น ถึงเขาไม่พูดอะไร แต่ในใจต้องรู้สึกว่าเราละเลยเขา ลู่ฝาน ฉันตามนายไปเชิญเขามาคุยที่ตระกูลดีกว่า แบบนี้ดูจริงใจมากกว่า”

ลู่ฝานรีบพูดว่า “ปู่ ไม่ต้องไปจริงๆ ครับ เขาไม่ยอมมาจริงๆ ถ้ามาได้ คงมานานแล้ว ผมเอาของไปก็พอครับ เขา….เขาเป็นคนแปลกๆ ถูกชะตาถึงจะช่วย ถ้าเป็นคนอื่น ถึงให้สมบัติมากขนาดไหน เขาก็ไม่ช่วย ปู่เชื่อผมสักครั้งเถอะ ให้ผมไปก็พอแล้ว”

ลู่เฮ่าหรานมองสายตา “จริงจัง” ของลู่ฝาน พูดอย่างเหนื่อยใจว่า “งั้นก็ได้ นายไปละกัน จำไว้ให้ดี ห้ามเรียกร้อง เพราะเราขอความช่วยเหลือจากเขา ถ่อมตนเข้าไว้”

ลู่ฝานพยักหน้า ลู่เฮ่าหรานพูดว่า “โอเค เราไปเอาสมุนไพรกันเถอะ”

ลู่เฮ่าหรานพาลู่ฝานเดินไปข้างนอก ไม่นาน ลู่หาวเอาสมุนไพรที่สามารถหามาได้ เทลงเต็มเกือบครึ่งลานบ้าน ลู่เฮ่าหรานเอาสมุนไพรที่ดูไม่ค่อยได้เรื่อง ทิ้งไปทั้งหมด ขาดไปใบเดียว ก็ใช้ไม่ได้

เรื่องเกี่ยวกับความรุ่งเรืองของตระกูล ลู่เฮ่าหรานจริงจังอย่างเห็นได้ชัด หาเจ้าของร้านยามาสองคน หลังจากดูผ่านตาทั้งหมด จึงให้ลู่ฝานเริ่มเลือก

ลู่ฝานเลือกบางส่วน ไม่สามารถเอาสมุนไพรเก็บเข้าไปในแหวนต่อหน้าพ่อได้ ดังนั้นจึงห่อเป็นห่อใหญ่ ม้วนมันอย่างไม่สนใจ แบกไว้ แล้วเดินออกไป

ลู่เฮ่าหรานยังไม่วางใจ จะต้องใช้รถม้า คุ้มครองลู่ฝานออกจากประตูเมือง ไปที่ตีนเขาซีซาน

ลู่ฝานเกลี้ยกล่อมอยู่หลายครั้ง ในที่สุดก็กล่อมให้ลู่เฮ่าหรานกลับไปได้

ลู่ฝานถอนหายใจอย่างโล่งอก พูดกับเจ้าดำที่อยู่บนไหล่ว่า “รู้อย่างนี้ ฉันไปหาสมุนไพรมาเองดีกว่า จะได้ไม่ต้องทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่แบบนี้”

เจ้าดำเอาแต่จะมุดเข้าไปในห่อผ้า ไม่นาน จึงเกี่ยวสมุนไพรออกมาได้ต้นหนึ่ง อ้าปากกินเข้าไป

แต่กินได้สองคำ เจ้าดำพ่นสมุนไพรออกมา ทำท่าพะอืดพะอม

ลู่ฝานหัวเราะแล้วมองเจ้าดำ “สัตว์อสูรอื่นๆ เติบโตจากการกินสมุนไพร จะปกป้องยังไม่ทัน ดูแกสิ เลือกกินไปซะแล้ว มีให้กินก็ไม่กิน”

ลู่ฝานพูดพลาง เอาสมุนไพรเก็บเข้าไปในแหวน แล้วเดินขึ้นไปบนเขา

ไม่นาน ลู่ฝานกลับมาริมน้ำตก หวูเฉินมองลู่ฝานเดินมาจากไกลๆ แล้วพูดว่า “มาแล้วเหรอ เริ่มฝึกกันเถอะ”

ลู่ฝานเดินมาหน้าหวูเฉิน เอาสมุนไพรออกมาก่อน แล้วพูดว่า “อาจารย์ วันนี้ไม่ฝึกก่อน ผมจะกลั่นยาให้ตระกูลสักหน่อย”

หวูเฉินเลิกคิ้วขึ้นมองลู่ฝาน “นายไม่ได้บอกคนในตระกูลใช่ไหม ว่านายเป็นผู้ฝึกชี่”

ลู่ฝานพูดว่า “ถ้าเป็นอย่างนั้น ผมคงไม่มาหลบกลั่นยาบนเขาหรอกครับ”

พูดจบ ลู่ฝานเอาหม้อไฟบุ๋นออกมา

หวูเฉินพูดว่า “ไม่ก็ดีแล้ว กลั่นยาสิ นายจะกลั่นยาอะไรล่ะ”

ลู่ฝานพูดว่า “ยาที่สามารถช่วยให้นักบู๊ของตระกูล ยกระดับพละกำลังได้ ผมกะจะกลั่นยารวมพลัง”

พูดจบ ลู่ฝานเอาสมุนไพรวางเต็มพื้น เขาไม่ค่อยรู้ยาที่ช่วยยกระดับพละกำลัง ให้นักบู๊สักเท่าไร ยารวมพลังเป็นหนึ่งในนั้นพอดี เดิมทีลู่ฝานเคยกิน ประสิทธิภาพไม่เลว เพราะสูตรยาที่หวูเฉินให้เขา ส่วนใหญ่เป็นสูตรยา ยกระดับพลังชี่ ให้นักบู๊ใช้ได้น้อยมาก

ยารวมพลังนับว่าเป็นยาที่พบบ่อยมากที่สุด อีกทั้งผู้ฝึกชี่ขั้นไหนก็สามารถกลั่นได้ แค่ประสิทธิภาพของยาที่ผู้ฝึกชี่ที่แตกต่างกันกลั่นออกมา ก็จะต่างกันไปด้วย

อย่างเช่นยาที่หวูเฉินลงมือกลั่น ยารวมพลังที่กลั่นออกมา นักบู๊ปราณฟ้าต้องพากันแย่งแน่นอน

แต่ลู่ฝานมากลั่นเอง คงได้รับความนิยมแค่นักบู๊แดนปราณในเท่านั้น แต่เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว

“ยารวมพลังเหรอ เป็นยาที่ไม่เลวนะ นายกลั่นสิ เดี๋ยวฉันคอยแนะนำให้”

หวูเฉินหัวเราะเบาๆ แล้วเอ่ยขึ้น

อันที่จริง เทียบกับการฝึกบู๊ หวูเฉินอยากเห็นลู่ฝานกลั่นยามากกว่า เพราะเขาไม่สามารถให้คำแนะนำลู่ฝาน เกี่ยวกับการฝึกบู๊ แต่เขาสามารถให้คำแนะนำเรื่องการกลั่นยาได้

ลู่ฝานเริ่มกลั่นยา เมื่อพลิกมือ มีเปลวไฟลุกขึ้นมา ตอนนี้ลู่ฝานสามารถใช้วิธีกลั่นยาที่หวูเฉินใช้ในตอนแรกได้แล้ว

กองสมุนไพร ลอยมาข้างลู่ฝานด้วยพลังลม จากนั้นเปลวไฟลุกขึ้นมา เริ่มกลั่นยา

วิธีกลั่นยาแบบนี้ เป็นการทดสอบ การควบคุมพลังธาตุทั้งห้า

ยังดีที่ตอนนี้ ลู่ฝานมีพลังควบคุมที่ไม่ด้อย กลั่นสมุนไพรพร้อมกันสิบกว่าต้น ไม่ได้เป็นปัญหาอะไร

ไม่นาน ผงสมุนไพรปรากฏออกมา ลู่ฝานเริ่มผสานด้วยน้ำฟ้าดิน

ลู่ฝานเพิ่งกลั่นยารวมพลังเป็นครั้งแรก จึงดูระมัดระวังมาก

หวูเฉินคอยแนะนำอยู่ข้างๆ “น้ำน้อยไป เพิ่มอีกนิด”

ลู่ฝานได้ยิน จึงเติมเข้าไปอีก ไม่นาน การผสานจึงสำเร็จ

ตอนเห็นสีที่ตัวเองต้องการปรากฏขึ้นมา ลู่ฝานเอามันโยนเข้าไปในหม้อไฟบุ๋น

จากนั้นกระตุ้นปราณชี่ เริ่มกลั่น

การกลั่นครั้งนี้ ใช้เวลาหนึ่งชั่วยาม มีเสียงดัง ออกมาจากในหม้อไฟบุ๋น

ลู่ฝานเปิดหม้อ ยาเม็ดหนึ่งเด้งออกมา

ยาเม็ดกลม มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ออกมา รอยยิ้มเต็มหน้าลู่ฝาน แค่เริ่มก็ดีแล้ว วันนี้ถือว่าไม่เลว

หวูเฉินพยักหน้าแล้วพูดว่า “ถือว่าไม่เลว นายกลั่นต่อสิ ระวังด้วย เมื่อกี้ผสมผงยาน้อยไปหน่อย มีสมุนไพรสองชนิดที่เผานานไป ระวังเรื่องอุณหภูมิของเปลวไฟและน้ำด้วย ทำต่อเถอะ!”

ลู่ฝานเก็บยา พยักหน้าตอบรับ แล้วกลั่นยาต่อ

ยารวมพลังออกมาจากเตาอย่างรวดเร็ว

กลับมาถึงตระกูลลู่ ก็เห็นเจ้าดำกำลังวิ่งไปวิ่งมา อยู่ในลานบ้าน เมื่อเห็นลู่ฝานกลับมา เจ้าดำกระโดดขึ้นไปบนไหล่ลู่ฝาน

ลู่เทียนกังและคนอื่น เล่าเรื่องที่ลู่ฝานเอาชนะโม่หลินได้เมื่อครู่ ให้ทั้งตระกูลลู่รู้

คนตระกูลลู่ที่ได้ยินข่าวนี้ ล้วนบอกว่าดี ยิ่งเคารพลู่ฝานเพิ่มขึ้นไปอีก

ที่แท้ลู่ฝานเติบโตจนเอาชนะโม่หลินได้แล้ว งั้นอีกไม่นาน ลู่ฝานคงกลายเป็นอันดับหนึ่งของเมืองเจียงหลิน

เมื่อลู่เฮ่าหราน ลู่หาวรู้ข่าวนี้ รีบมาหาลู่ฝานทันที

ในสวนหลังบ้าน สายตาลู่เฮ่าหรานจ้องเขม็ง และถามขึ้น

“ลู่ฝาน นายเอาชนะโม่หลินได้จริงเหรอ”

ลู่ฝานพยักหน้าเบาๆ

“เขาไม่ได้บาดเจ็บเหรอ นายไม่ได้เล่นแง่ใช่ไหม”

ลู่หาวถามต่อ

ลู่ฝานพยักหน้า

“นายคนเดียว แค่นายคนเดียวเหรอ”

ลู่ฝานพูดอย่างเหนื่อยใจ “ผมคนเดียว”

หลังจากซักถามความจริงจากลู่ฝาน ลู่เฮ่าหรานและลู่หาวถึงกับสูดหายใจเฮือก

ทันใดนั้น ลู่เฮ่าหรานหัวเราะออกมา “ตอนนี้ฉันจินตนาการสีหน้าคนตระกูลโม่ได้เลย ฮ่าๆ ตระกูลลู่ของเรา มีอัจฉริยะแบบนี้ พวกเขาต้องกลุ้มใจมากแน่ๆ ลู่ฝาน นายพูดความจริงมา นายอยู่ในแดนไหนกันแน่”

ลู่ฝานพูดช้าๆ “ปราณในชั้นสาม”

“ดี!”

ลู่เฮ่าหรานพูดออกมาอย่างตื่นเต้น

“อายุแค่นี้ ผลการฝึกตนขนาดนี้ คิดว่าในเขตตงหวา คงมีไม่กี่คน ตระกูลโชคดีจริงๆ ตระกูลโชคดีจริงๆ!”

ลู่หาวตกใจก่อน จากนั้นยิ้มแล้วพยักหน้า

ทุกครั้งที่ลู่ฝานฝึกกลับมา จะทำให้เขาตกใจตลอด ลู่หาวหวังว่าการตกใจแบบนี้ จะมีต่อไปเรื่อยๆ เขารอวันที่ลู่ฝานกลายเป็นคนใหญ่คนโต

“ปู่ พ่อ ครั้งนี้ ผมเห็นลูกหลานตระกูลลู่ ทะเลาะกับลูกหลานตระกูลโม่ ดูท่าไม่ค่อยดี ถ้าผมไม่อยู่ พวกลู่เทียนกังต้องแพ้อย่างน่าเวทนามากแน่”

ลู่ฝานพูดออกมา

ตระกูลโม่มีผู้ฝึกชี่คอยช่วยเหลือ อย่างน้อยลูกหลานตระกูล ต้องยกระดับผลการฝึกตนได้หนึ่งชั้น นอกจากนาย ลูกหลานตระกูลลู่คนอื่น ไม่มีทางสู้ได้ แต่เรื่องพวกนี้ ไม่ใช่เรื่องที่นายต้องกังวล นายสนใจแค่หลังจากไปสถาบันสอนวิชาบู๊

ลู่ฝานเงียบครู่หนึ่ง จากนั้นพูดว่า “อันที่จริง ผมรู้จักผู้ฝึกชี่เหมือนกัน”

“อ้อ รู้จักก็รู้จักสิ…..หืม…ลู่ฝาน นายพูดอะไรนะ”

ลู่เฮ่าหรานตกใจ พูดออกมาเสียงดัง

ลู่หาวลุกขึ้น แล้วพูดว่า “ลู่ฝาน นายรู้จักผู้ฝึกชี่เหรอ ผู้ฝึกชี่คนไหน”

ทันใดนั้น เหมือนลู่หาวนึกอะไรออก ปรบมือแล้วพูดว่า “ใช่ผู้ฝึกชี่ ที่ขายผงทะลวงกายที่เมืองเจียงหลิน เมื่อหนึ่งปีก่อนหรือเปล่า คนที่สวมหน้ากากเงินบนหน้า”

เหมือนลู่หาวจับส่วนสำคัญได้ เสียงตื่นเต้นดูสั่นเครือ

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “พ่อความจำดีมาก ถูกต้อง เขานั่นแหละ ผู้ฝึกชี่เถ่เมี่ยน”

ลู่เฮ่าหรานสูดหายใจเฮือก จากนั้นถามเบาๆ ว่า “นายกับเขาความสัมพันธ์เป็นไงบ้าง เชิญเขามาช่วยได้หรือเปล่า”

ลู่ฝานคิดคำพูดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นพูดออกมาว่า “ผมมีความสัมพันธ์อันดีกับเขามาก อืม ดีมาก”

แล้วพูดว่า “ดีมากงั้นเหรอ อ้อ ฉันเข้าใจแล้ว มิน่าล่ะ นายถึงยกระดับได้ถึงขนาดนี้ ดูเหมือนผู้ฝึกชี่เถ่เมี่ยนคนนี้ จะมีความดีความชอบไม่น้อยสินะ คิดไม่ถึงว่าหลานชายฉันจะมีโอกาสดีแบบนี้เหมือนกัน ลู่ฝาน ผู้ฝึกชี่เถ่เมี่ยนคนนี้

ลู่ฝานเข้าใจความหมายคำพูดของลู่เฮ่าหราน แค่ผู้ฝึกชี่มีลำดับขั้น ก็จะกลั่นยาได้ เป็นที่ยกย่องสรรเสริญ ผู้ฝึกชี่ที่ไม่มีลำดับขั้น ก็เหมือนนักบู๊ที่ยังฝึกพลังปราณไม่ได้ เป็นแค่ผู้เรียนเท่านั้น ไม่นับว่าเป็นอะไร

ลู่ฝานครุ่นคิด แล้วพูดว่า “มีลำดับขั้นแน่นอน แต่ขั้นไหนไม่แน่ใจ”

ลู่ฝานพูดจริง เพราะถ้าว่าตามระดับพลังปราณของเขา เขาน่าจะเป็นผู้ฝึกชี่ระดับสาม แต่ในความเป็นจริง เขาไม่สามารถกลั่นยาระดับสามออกมาได้ เพราะเขาเพิ่งก้าวสู่ชั้นได้ไม่นาน ยาระดับสามที่แท้จริง ยังจำเป็นต้องฝึกฝน

“มีลำดับขั้นก็พอแล้วๆ เชิญเขามาช่วยได้ไหม กลั่นยาให้ตระกูลลู่สักเตา” ลู่เฮ่าหรานรีบถาม

ลู่ฝานพยักหน้าอย่างไม่ลังเล “ไม่มีปัญหาแน่นอน แค่ยาเตาเดียวเท่านั้น ต้องกลั่นได้อยู่แล้ว แต่แค่สมุนไพรไม่ค่อยพอ”

ลู่เฮ่าหรานยิ้มจนปากจะฉีก โบกมือไปมา แล้วพูดว่า “สมุนไพรจะเอาเท่าไรก็ได้ ลู่หาว ตอนนี้นายไปเอาสมุนไพรออกมาทั้งหมด ไปเอาของดีในโกดังสมบัติมาด้วย ลู่ฝาน นายพาฉันไปเจอผู้ฝึกชี่เถ่เมี่ยนสิ ฉันเข้าใจกฎของผู้ฝึกชี่ ยาหนึ่งเตา ต้องมียาวิเศษหนึ่งต้น สมบัติหนึ่งชิ้น”

ลู่ฝานรีบโบกมือพัลวัน “ไม่ต้องๆ ผู้ฝึกชี่เถ่เมี่ยนคนนี้ ไม่ชอบเจอคนอื่น ผมเอาสมุนไพรไปให้ก็พอ ยาวิเศษ สมบัติ ไม่จำเป็นหรอกครับ ผมสนิทกับเขามาก มีความสัมพันธ์อันดีต่อกันมาก ไม่ต้องพูดถึงเรื่องกฎหรอกครับ”

ตลก ตัวเขานี่แหละคือผู้ฝึกชี่เถ่เมี่ยน จะให้ปู่ตามไปได้ยังไง นั่นไม่ใช่การเปิดเผยตัวหรือไง

เสียงดังปึก ลู่ฝานชกจนอกของโม่หลินยุบลงไป

แต่เหมือนโม่หลินไม่รู้สึกอะไร ตัวไม่โงนเงนสักนิด แขนทั้งสองข้างกระแทกลงบนไหล่ลู่ฝานอย่างแรง

ลู่ฝานรู้สึกถึงแรงมหาศาล โจมตีมาที่ร่างกาย พละกำลังรุนแรง เกือบกระแทกเขาจนจะโงนเงน

น่าเสียดาย ตอนนี้ประสิทธิภาพผิวหนังเผ่ามังกรของลู่ฝาน ถูกใช้ออกมา เหมือนแขนทั้งสองข้างของโม่หลิน กระแทกลงบนอลูมิเนียม ที่หลอมมาเป็นเวลานาน มีเพียงเสียงเหล็กกระแทกกันดังออกมา

ลู่ฝานต้านพลังแขนของโม่หลินเอาไว้ แบกกระบี่หนักฝึกฝนเป็นเวลานาน ต้านทานการกดดัน ถือว่าไม่ฝึกเปล่า

สองมือของโม่หลิน จับหัวไหล่ลู่ฝานเอาไว้ พลังปราณบนฝ่ามือ กระแทกตัวลู่ฝานไม่หยุด

นี่เป็นวิชาชั้นเลิศของโม่หลิน นานแล้วที่ไม่ได้ใช้

“ลู่ฝาน โดนลำแขนเฮอร์คิวลิสของฉัน นายตายแน่!”

โม่หลินกัดฟันพูดออกมา ลู่ฝานรู้สึกว่าพละกำลังของตัวเองไหลไปช้าๆ แม้จะช้ามาก แต่ลู่ฝานก็รู้สึกได้

โม่หลินคือคนที่น่าตกตะลึงอย่างแท้จริง นักบู๊คนอื่น ถึงมีผลการฝึกตน สูงกว่าเขา 1-2 ชั้น โดนกระบวนท่านี้ไป ต้องเสียพลังไปหลายเปอร์เซ็นต์แน่นอน อีกทั้งยังจะสูญเสียพลังต้านทานอีกด้วย

แต่พลังของลู่ฝาน ไหลไปช้าๆ แต่ “พลังปราณ” ที่เหมือนเปลวเพลิงบนตัวเขา กลับไม่มีสัญญาณว่าจะลดลง

ทันใดนั้น โม่หลินสงสัยว่ากระบวนท่าของตัวเองผิดหรือเปล่า

ลู่ฝานกระแทกหมัดใส่โม่หลินติดต่อกัน โม่หลินต้านหมัดของลู่ฝาน พลังปราณฝ่ามือแข็งแกร่งขึ้น ตอนนี้เทียบกันด้วยผลการฝึกตน ดูว่าใครจะหมดพลังก่อนกัน

โม่หลินไม่มีทางเชื่อว่า ผลการฝึกตนแดนปราณในชั้นเจ็ดของตัวเอง จะเทียบไม่ได้กับเด็กที่เพิ่งเข้าสู่แดนปราณในได้ไม่นาน

ทั้งสองใช้พลังกัน ลมรอบๆ หมุนวนกลายเป็นเกลียว ปกคลุมทั้งสองคนเอาไว้ ลูกหลานตระกูลโม่และตระกูลลู่เห็นแล้ว ถึงกับตกใจ

ลู่ฝานเริ่มรู้สึกว่าตัวเองยื้อไม่ไหวแล้ว ผลการฝึกตนของเขา ไม่ได้มากเหมือนอีกฝ่าย แต่ปราณชี่ของเขากลับพลุ่งพล่าน แม้จะโดนกดจนกลับมาอยู่ในตัว แต่ลู่ฝานรู้สึกว่าปราณชี่ของตัวเอง กำลังซัมซึบพลังฟ้าดินบริเวณรอบๆ

ลู่ฝานกัดฟัน แต่ไม่ยอมแพ้ ถึงจะแพ้ ก็ไม่ยอมแพ้คามือโม่หลิน

ทำลายซะ!

ทันใดนั้น ปราณชี่ของลู่ฝานเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ในปราณชี่ของเขา มีแสงห้าสีพาดผ่าน

ปราณชี่จับตัวกันทันที!

นี่คือสัญญาณของการที่ผลการฝึกตนก้าวหน้า!

ตู้ม!

เสียงระเบิดดังขึ้น กระแสลมรอบๆ โดนระเบิดจนแยกออก กลายเป็นคลื่นอากาศ โถมเข้ามา กวาดไปรอบๆ

โม่หลินโดนพลังอันแข็งแกร่ง กระแทกออกไป มองลู่ฝานอย่างตกตะลึง

ปราณชี่จับตัวกันรอบตัว พลังของลู่ฝานพุ่งขึ้นอีกหนึ่งเท่า

โจมตีออกไปหนึ่งหมัด หมัดถล่มเขาทำลายล้าง!

พลังหมัดเหมือนมังกร พลังพลุ่งพล่าน

โม่หลินจะยกมือขึ้นมาบัง แต่ไม่สามารถต้านทานได้ โดนลู่ฝานชกจนกระเด็น กระอักเลือดออกมากลางอากาศ เปื้อนเต็มพื้น

“พ่อ ลุงโม่หลิน!”

ลูกหลานตระกูลโม่ ร้องออกมาอย่างตกใจ รีบพากันไปรับโม่หลินที่กระเด็นออกมา

แต่คนพวกนี้ก็รับไม่ไหว พละกำลังอันรุนแรงบนตัวโม่หลิน กระแทกพวกเขาจนบาดเจ็บ

ลูกหลานตระกูลโม่ ล้มลงบนพื้น

ลู่ฝานชักหมัดกลับมา สีหน้าเต็มไปด้วยความปลาบปลื้ม

คิดไม่ถึงว่า ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ที่ขัดขวางเขามา 1-2 เดือน ตอนนี้ทะลุไปได้แล้ว

อันที่จริงตอนเขากลับมาจากการฝึกฝน ก็เข้าสู่แดนปราณในชั้นสองแล้ว แต่ทุกคนแค่คิดว่าเขาอยู่ในแดนปราณในชั้นหนึ่ง

ส่วนตอนนี้ทะลุมาได้อีกแล้ว ลู่ฝานเข้าสู่แดนปราณในชั้นสามอย่างไม่ต้องสงสัย

บวกกับปราณชี่ และผิวหนังเผ่ามังกร แม้ตอนนี้ลู่ฝานเผชิญกับนักบู๊แดนปราณในชั้นเก้าทั่วไป ก็ไม่กลัวแล้ว โม่หลินเป็นแค่แดนปราณในชั้นเจ็ด ไม่สามารถขวางเขาได้แล้ว

“กลับ ลู่ฝาน นายรอฉันก่อนเถอะ”

สายตาโม่หยุนเฟยโมโหมาก พูดเสียงดังออกมา แต่กลับไม่กล้าเข้ามาสู้กับลู่ฝาน

ถึงเขาก้าวหน้าถึงแดนปราณในแล้วเช่นกัน ถึงตอนที่เขาหนีออกมา ยังมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม

แต่ตอนนี้ เมื่อโม่หลินล้มลงบนพื้น โม่หยุนเฟยจึงเข้าใจอย่างชัดเจน ตัวเองกับลู่ฝาน ไม่ได้ต่างกันแค่เล็กน้อย ทำได้เพียงรีบพาพ่อออกไป

“ฮ่าๆ ตระกูลโม่ก็แค่เท่านั้น ไปเรียกโม่เทียน ผู้นำตระกูลของพวกนาย มาสู้กับพี่ลู่ฝานเถอะ พวกนายยังห่างชั้นมาก!”

“ดูสภาพตอนพวกนายหนีสิ เหมือนสุนัขไหม”

“รีบไสหัวไป ระวังโดนคนถีบตูดล่ะ”

ลูกหลานตระกูลลู่ ประชดลูกหลานตระกูลโม่ที่หนีไป

ลู่เทียนกังเดินมาข้างๆ จะหยิบกระบี่หนักยื่นให้ลู่ฝาน แต่มือเขาเพิ่งสัมผัสกระบี่หนัก สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที

พยายามสุดชีวิต ที่จะยกกระบี่หนักขึ้นมา แต่พยายามอยู่นาน ลู่เทียนกังก็ไม่สามารถยกกระบี่ขึ้นมาได้

ลูกหลานตระกูลลู่อีกสองคน รีบเข้ามาช่วย สามคนยกกระบี่หนักขึ้นมาได้นิดเดียว

สีหน้ามีความตกใจ ที่แท้พี่ลู่ฝาน ใช้กระบี่หนักแบบนี้ในการต่อสู้ น่ากลัวจริงๆ

ลู่ฝานเดินเข้ามาช้าๆ ยกกระบี่ขึ้นด้วยมือเดียว เก็บกลับไปไว้ข้างหลัง

มองลูกหลานตระกูลลู่ ที่มองตัวเองอย่างเลื่อมใส ลู่ฝานพูดออกมาว่า “กลับไปกับฉันสิ”

ลู่เทียนกังและคนอื่น พยักหน้าหงึกหงัก พากันตามลู่ฝานกลับไป

ถึงลู่ฝานจะดีใจที่ก้าวหน้าได้ แต่กลับกังวลเล็กน้อย

มีเขาอยู่ สามารถคุ้มครองลูกหลานตระกูลลู่ ไม่ให้โดนรังแกได้ แล้วถ้าเขาไม่อยู่ล่ะ

ดูเหมือนต้องยกระดับให้ลูกหลานตระกูลลู่สักหน่อยแล้ว!

โม่หลินโดนลู่ฝานพูดใส่จนหน้าดำคร่ำเครียด คนอายุน้อยที่โอ้อวดขนาดนี้ เขาเพิ่งเคยเจอครั้งแรก ไม่มีใครกล้าพูดแบบนี้ต่อหน้าเขามาหลายปีแล้ว “ลู่ฝาน ดูเหมือนฉันต้องสั่งสอนนาย แทนผู้อาวุโสของนายแล้วล่ะ”

พูดพลาง บนตัวโม่หลินมีแสงหม่นๆ สว่างขึ้นมา ในฐานะผู้ดูแลตระกูลโม่ เขามีความสามารถในแดนปราณในชั้นเจ็ด

พลังปราณพลุ่งพล่าน โม่หลินมาอยู่ตรงหน้าลู่ฝานทันที ง้างมือขึ้นมาเป็นเงาหมัด

เงาหมัดเยอะขนาดนี้ ทำให้ไม่สามารถแยกแยะได้ว่า อันไหนจริงหรือปลอม แต่ลู่ฝานไม่คิดจะแยกแยะ ชักกระบี่หนักด้านหลังออกมา ใช้วิชากระบี่หนักท่าที่หนึ่ง สายลมทำลาย!

เคร้ง!

หมัดของโม่หลิน ถูกลู่ฝานรับเอาไว้อย่างแม่นยำ ประโยชน์ของกระบี่ใหญ่ อยู่ตอนที่สะบัดมันไปมา ขอบเขตในการโจมตียิ่งกว้างขึ้น ทุกวิธีแยบยลที่อยู่ตรงหน้ามัน แทบไม่สามารถใช้ได้เลย

ทั้งหมัดทั้งกระบี่ ทั้งสองไม่ถอยออกจากกันเลย

โม่หลินตกใจมาก เขาเป็นนักบู๊แดนปราณในชั้นเจ็ดเชียวนะ แต่กลับกดดันลู่ฝานด้านกำลังไม่ได้เลย ตอนนี้เขาสงสัยว่า ลู่ฝานฝึกฝนอยู่ในระดับเดียวกับเขาหรือเปล่า กุเรื่องใหญ่โตให้หวาดกลัวจริงๆ

อีกทั้งโม่หลินยังสัมผัสได้ถึงพลังแปลกๆ ที่กดดันเขา จากกระบี่ใหญ่ของลู่ฝาน อีกทั้งยังเผาผลาญพลังปราณของเขาไม่หยุด ตอนหมัดสัมผัสกับกระบี่หนัก เกือบโดนกระแสลมบนกระบี่ ทำลายพลังปราณ

กระบี่เล่มนี้ ต้องมีอะไรแปลกแน่นอน แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เขาจะสืบเรื่องพวกนี้

ปราณชี่บนตัวลู่ฝานมีพลานุภาพ พลังถึงขั้นสุดยอด

กระบี่ถูกฟันออกมาอีกครั้ง โม่หลินไม่ได้หลบ หมัดหนึ่งถูกชกออกมาอีก แต่หมัดนี้ มีชี่สีดำอยู่ด้วย

ลู่ฝานมองออกเพียงแวบเดียว นี่เป็นท่าไม้ตายของตระกูลโม่ หมัดทำลายล้าง!

หมัดชกลงบนกระบี่อีกครั้ง ครั้งนี้ ลู่ฝานถอยหลังไปสองก้าว พลังแฝงของหมัดทำลายล้าง ไม่เลวจริงๆ

วิชาหมัดเหมือนกัน คนใช้ต่างกัน ก็จะมีแดนที่ต่างกัน ครั้งก่อนโม่หยุนเฟยใช้หมัดนี้ ไม่ได้ใช้แก่นแท้ของหมัดทำลายล้าง แต่หมัดของโม่หลินตอนนี้ ไม่ธรรมดา ทันใดนั้น ทำให้ลู่ฝานมีความเข้าใจใหม่ เกี่ยวกับหมัดทำลายล้าง

ทันใดนั้น ทั้งสองประลองกระบวนท่ากันอีก หมัดทำลายล้างของโม่หลิน ไม่เพียงแต่จะซัดหมัดออกมาได้ ยังใช้เท้าได้ด้วยเช่นกัน

ลู่ฝานสะบัดกระบี่หนัก ต้านทานกระบวนท่าของโม่หลินอย่างต่อเนื่อง เท้าเฉียดผ่านซีกแก้มไป สะบัดกระบี่หนักไปมา ลู่ฝานถอยหลังไปหลายก้าว เพื่อเว้นระยะห่าง

โม่หลินหน้าดำคร่ำเครียด ประลองกับคนอายุน้อยไปหลายกระบวนท่า ยังไม่รู้แพ้ชนะ ทำให้เขาเสียหน้ามาก ลูกหลานตระกูลโม่และตระกูลลู่ ที่ดูอยู่ข้างๆ ต่างมีสีหน้าแตกต่างกัน

ลูกหลานตระกูลโม่ มีสีหน้าตื่นเต้น ลู่ฝานสู้กับโม่หลินได้ขนาดนี้ แข็งแกร่งมากจริงๆ

ส่วนลูกหลานตระกูลโม่กลับตกตะลึง ลู่ฝานแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไร ลุงโม่หลินเป็นนักบู๊แดนปราณในชั้นเจ็ดเชียวนะ!

โม่หลินก้าวเข้ามา เร่งเครื่องเอาชนะให้ได้

ครั้งนี้ เขาต้องทำให้ลู่ฝานลงไปกองกับพื้นให้ได้ ถ้าเป็นไปได้ โม่หลินไม่ถือสา ที่จะทิ้งความทรงจำฝังลึกให้ลู่ฝาน ทางที่ดีซัดให้เขาจนไปสถาบันสอนวิชาบู๊ไม่ได้เลย

ซัดหมัดทำลายล้างออกมาอีก แสงดำบนพลังหมัด ดูเข้มและล้ำลึก

แต่ทว่าลู่ฝานกลับทำสิ่งที่ทุกคนไม่คาดฝัน เขาเก็บกระบี่หนักเอาไว้ด้านหลัง

ลู่เทียนกังพูดอย่างตกใจ “ลู่ฝาน ระวัง”

ลู่ฝานสีหน้าราบเรียบ เล็งหมัดของโม่หลิน ที่กำลังโจมตีเข้ามา เปลวไฟลุกขึ้นมาบนตัว และซัดหมัดออกไปเช่นกัน

หมัดถล่มเขาทำลายล้าง!

หมัดทั้งสองปะทะกัน หมัดของลู่ฝานเหมือนพยัคฆ์คำราม เปลวไฟลามไปทั่วตัวโม่หลิน

ตอนนี้ไม่มีใครรู้ว่าลู่ฝาน ได้ใช้วิชาเปลวไฟกลายรูปของผู้ฝึกชี่ ยังคิดว่าเป็นวิธีการใช้กายทองไฟอาบ

พลังหมัดของโม่หลิน ทำให้ลู่ฝานสะเทือนไปทั้งตัว แต่ลู่ฝานไม่ถอยสักก้าว ถึงฝ่าเท้าจมลงไปในหินแล้ว

ส่วนพลังหมัดของลู่ฝาน กลับทำให้โม่หลินถอยหลังไปไม่หยุด เปลวไฟบนตัว แผดเผาจนโม่หลินรู้สึกเจ็บ

แต่สิ่งเหล่านี้ เทียบไม่ได้กับความตกตะลึงของโม่หลิน จนทำให้เขาพูดออกมาอย่างตกใจ “หมัดทำลายล้าง นายฝึกหมัดทำลายล้างได้แล้ว!”

โม่หลินจะบ้าตาย หมัดทำลายล้าง ที่พวกเขาให้ตระกูลลู่ พยายามกำจัดแก่นแท้ของวิชาหมัด ไปหมดแล้ว แต่ลู่ฝานยังฝึกวิชาหมัดได้ สิ่งที่เวอร์ไปกว่านั้น พลังหมัดนี้ของลู่ฝาน รุนแรงกว่าหมัดทำลายล้างที่เขาใช้เสียอีก

“พี่ลู่ฝานเยี่ยมมาก พี่ลู่ฝานเก่งจริงๆ”

“หมัดทำลายล้างบ้าบออะไร พี่ลู่ฝานของเรา แค่เรียนก็ใช้เป็นแล้ว”

“พวกนายฝึกได้แค่นี้ ยังเอาออกมาทำให้ขายหน้า สู้เอาเคล็ดวิชาทั้งหมดออกมา ให้พี่ลู่ฝานฝึก ให้พวกนายดูดีกว่า”

พวกลูกหลานตระกูลลู่แผดเสียงตะโกนออกมา ทำให้ลูกหลานตระกูลโม่ สีหน้าไม่สู้ดีเข้าไปอีก

สีหน้าโม่หลินอึมครึม ตอนนี้เขาโมโหมากเช่นกัน

พลังปราณบนตัว เริ่มหมุนเวียน แปรเปลี่ยนไป ตอนนี้ เขาเห็นลู่ฝานเป็นคู่ต่อสู้ระดับเดียวกันแล้ว

ฝ่ามือโดนกระแสลมสีดำปกคลุมเอาไว้ โม่หลินนำพลังไปสู่จุดสูงสุด

ลู่ฝานเห็นดังนั้น จึงวางกระบี่หนักลงก่อน ปราณชี่บนตัวเหมือนถูกปลดปล่อยออกมา พลุ่งพล่านไม่หยุด

โม่หลินแผดเสียงออกมา แล้วพุ่งไปข้างหน้า

แขนทั้งสองข้างตบไปทางลู่ฝาน ลำแขนเฮอร์คิวลิส!

โม่หลินยกแขนทั้งสองข้างขึ้น ทำให้มีช่องโหว่ด้านหน้า ลู่ฝานไม่ได้สนใจแขนของโม่หลิน ซัดหมัดไปที่อกโม่หลินทันที

ลู่ฝานเพิ่งรู้เป็นครั้งแรกว่าในสถาบันสอนวิชาบู๊ มีผู้ฝึกชี่ด้วย

เห็นลู่เฮ่าหรานสีหน้าเป็นกังวล ลู่ฝานมีความคิดอยากบอกพวกเขาว่า ตัวเองก็เป็นผู้ฝึกชี่เหมือนกัน

แต่เขาอดกลั้นเอาไว้ ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อใจปู่กับพ่อ แต่เรื่องใหญ่มาก เกี่ยวพันไปถึงความลับปราณชี่ด้วย ลู่ฝานจึงไม่ได้พูดออกมา

ตอนนี้ลู่เฮ่าหรานเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ยิ้มแล้วพูดกับลู่ฝานว่า “ลู่ฝาน นายอายุ 18 ปีบริบูรณ์แล้ว หาภรรยาให้นายก่อนดีไหม นายบอกมาก่อน ว่ามีคนที่ชอบหรือเปล่า”

ลู่ฝานกำลังกินอยู่ เกือบสำลักออกมา พูดอย่างกระอักกระอ่วนเล็กน้อยว่า “ยังไม่มีคนที่ชอบครับ แต่ไม่จำเป็นต้องรีบขนาดนี้หรอกครับ ผมยังไม่ได้เตรียมตัวแต่งงานเลย”

ลู่เฮ่าหรานหัวเราะออกมา แล้วพูดว่า “นายไม่ต้องเตรียมอะไรเลย นายแค่เลือกผู้หญิงหนึ่งคน จากที่ฉันหาให้ก็พอแล้ว ช่วงนี้นายฝึกฝนอยู่บนเขา อาจไม่รู้ว่า คนที่มาขอนายแต่งงาน มากันจนธรณีประตูตระกูลลู่ จะพังแล้ว นายก็ควรจะแต่งภรรยาได้แล้ว รีบแต่งงานมีลูก จะได้มีคนสืบสกุลต่อไป”

ลู่ฝานส่ายหน้าไปมาเหมือนกลองป๋องแป๋ง แล้วพูดว่า “ไม่จำเป็นๆ ผมไม่อยากแต่งงาน ตอนนี้ไม่อยากแต่งงานเลย ลู่หมิงยังไม่แต่งเหมือนกันไม่ใช่เหรอ”

ขณะที่ทำอะไรไม่ถูก ลู่ฝานทำได้เพียงเอาลู่หมิงมาเป็นโล่กำบัง

แต่ขณะนั้น ลู่เฟิงพูดว่า “ลู่ฝาน นายเอาลู่หมิงมาพูด ลู่หมิงเลือกภรรยาเอาไว้แล้ว อีกฝ่ายชื่อสวี่หัง เป็นลูกสาวของนักธุรกิจร่ำรวยตระกูลสวี่ จะแต่งงานในช่วงงานเทศกาลเซ่นไหว้ประจำปีในปีหน้า ไม่งั้นนายก็ทำอะไรให้เร็วสักหน่อย แต่งงานพร้อมกันกับลู่หมิงไปเลย”

ลู่ฝานอ้าปากค้าง แล้วพูดว่า “ไม่ครับ ผมไปหาในสถาบันสอนวิชาบู๊ดีกว่า ในสถาบันสอนวิชาบู๊ต้องดีกว่านิดหน่อยแน่นอน”

ลู่ฝานทำได้เพียงเอาคำพูดนี้มารับมือ ไม่มีใครรู้ว่าในสถาบันสอนวิชาบู๊เป็นยังไง แค่พูดไปมั่วๆ แล้วค่อยว่ากัน

ลู่เฮ่าหรานพูดว่า “ก็ได้ หาผู้หญิงในสถาบันสอนวิชาบู๊มาเป็นคู่ครองได้ ดีที่สุดอยู่แล้ว โอเค วันนี้ไม่บังคับนายแล้ว”

ลู่เฮ่าหราน ลู่หาวและลู่เฟิงเห็นสีหน้ากระอักกระอ่วนของลู่ฝาน จึงหัวเราะออกมาเสียงดัง

งานเลี้ยงเทศกาลเซ่นไหว้ประจำปีที่เพลิดเพลิน สิ้นสุดลงท่ามกลางความเพลิดเพลิน

วันต่อมา ลู่ฝานเตรียมจะออกจากเมืองไปเขาซีซานตั้งแต่เช้า

พูดกันตามเหตุผล วันนี้ยังถือว่าเป็นเทศกาลอยู่ อาจารย์ก็หยุดเหมือนกัน แต่คนที่ฝึกจนเสพติดอย่างลู่ฝาน ไม่ให้เขาฝึกหนึ่งวัน รู้สึกเหมือนขาดอะไรบางอย่างไป เรื่องเทศกาลไม่เหมาะสมกับเขา ผ่อนคลายคืนเดียวก็พอแล้ว

สิ่งสำคัญยิ่งกว่านั้น แม้เมื่อวานพ่อบอกว่าไม่บังคับเขาแต่งงาน แต่ไม่แน่วันนี้ อาจเอาลูกสาวตระกูลอื่นมาให้เขาดูก็ได้

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ลู่ฝานรู้สึกขนหัวลุก หลบไว้ดีกว่า

เดินบนถนน วันนี้ร้านเปิดน้อยมาก กำลังอยู่ในบรรยากาศยินดีปรีดา

เมื่อเดินมาถึงหน้าประตูเมือง จู่ๆ ลู่ฝานได้ยินเสียงต่อสู้

เลี้ยวไปถนนอีกเส้นหนึ่ง ลู่ฝานเห็นเงาที่คุ้นเคย

นี่มันลูกหลานตระกูลลู่ไม่ใช่เหรอ พวกเขามาทำอะไรที่นี่

คนที่เป็นผู้นำเป็นลู่เทียนกัง ลูกหลานตระกูลลู่ที่ลู่ฝานรู้จัก แต่ตรงข้าม เป็นลูกหลานตระกูลโม่ ซึ่งลู่ฝานไม่รู้จัก

แยกคนทั้งสองฝ่ายได้ง่ายมาก เพราะสวมเครื่องแต่งกายของตระกูลตัวเอง มีทั้งหมดสิบกว่าคน สู้กันบนถนน ไม่มีท่าทีจะแยกออกจากกัน

แต่ซอยเล็กๆ แบบนี้ เดิมทีไม่มีคนอยู่แล้ว บวกกับเป็นช่วงเทศกาลด้วย ดังนั้นบนถนน เหลือแต่สิบคนนี้ กำลังต่อสู้กัน คนอื่นพากันเปิดหน้าต่างดู เหมือนมองดูเรื่องสนุก

ในสถานที่ที่ให้ความสำคัญกับบู๊แบบนี้ มีเรื่องต่อสู้กันบนถนนทุกวัน แต่การเห็นลูกหลานสองตระกูลใหญ่ทะเลาะกันแบบนี้ เห็นได้ไม่บ่อย

“ลู่เทียนกัง ครั้งก่อนซัดนายไปยกหนึ่ง นายยังไม่ยอม ครั้งนี้ฉันจะซัดให้อีกยก ดูเหมือนปีนี้ นายคงอยากใช้ชีวิตบนเตียง”

พูดพลาง ลูกหลานตระกูลโม่คนหนึ่ง ถือกระบี่ยาวในมือ ฟันลงไปที่แขนลู่เทียนกังสองที

ลู่เทียนกังโดนซัดจนถอยหลัง ลูกหลานตระกูลลู่คนอื่น ท่าจะไม่ค่อยดีเช่นกัน

เหมือนลูกหลานตระกูลโม่พวกนี้ จะมีผลการฝึกตนสูงกว่าลูกหลานตระกูลลู่หนึ่งขั้น ลู่ฝานขมวดคิ้ว แม้ตอนแรกเขาจะมีเรื่องขัดแย้งกับลู่เทียนกัง แต่ยังไงคนพวกนี้ ล้วนเป็นลูกหลานตระกูลลู่

เห็นว่าลูกหลานตระกูลลู่ จะสู้ไม่ไหวแล้ว เพราะผลการฝึกตนสูงกว่าหนึ่งขั้น แสดงว่าพละกำลัง ความเร็ว ความสามารถในการต่อสู้อย่างต่อเนื่อง สูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

บวกกับที่ตระกูลโม่ เป็นตระกูลบู๊ เคล็ดวิชาบู๊ไม่ได้ด้อย สองฝ่ายต่อสู้กัน พละกำลังเท่ากัน ลูกหลานตระกูลลู่ ใช่ว่าจะได้เปรียบ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ผลการฝึกตนสูงกว่าหนึ่งขั้น

ลู่ฝานรีบเดินเข้ามา ร่างกายเหมือนกับสายลม ชกไอ้คนที่จะฟันใส่ลู่เทียนกัง

แม้ลู่ฝานไม่ได้ใช้พละกำลังมากเท่าไร แต่ไอ้คนนั้นเหมือนโดนหินขนาดใหญ่กระแทกใส่ กระเด็นไปไกลกว่าร้อยฟุต กระแทกลงกับพื้นอย่างแรง

“หยุดเดี๋ยวนี้!”

ลู่ฝานแผดเสียงออกมา กวาดตามองไปรอบๆ

ทันใดนั้น ทุกคนชะงักการกระทำ

“ลู่ฝาน พี่ลู่ฝาน”

พวกลูกหลานตระกูลลู่ เห็นลู่ฝาน ราวกับเห็นผู้ช่วยชีวิต รีบไปยืนหลังลู่ฝานทันที

ลูกหลานตระกูลโม่ฝั่งตรงข้าม รวมกลุ่มเช่นกัน กัดฟันมองลู่ฝาน พวกเขารู้ดีว่า ตัวเองสู้ไม่ได้

แต่ขณะนั้น มีเงาหนึ่งโผล่ออกมา

“ลู่ฝาน ท่าทางยิ่งใหญ่ดีนี่”

คนที่ออกมาพร้อมกับเสียงคือ โม่หลิน พ่อของโม่หยุนเฟย

โม่หยุนเฟยยืนอยู่ข้างโม่หลิน เดิมทีพวกเขามองดูอยู่ตั้งนานแล้ว

โม่หยุนเฟยรีบไปดู คนที่โดนลู่ฝานชกจนกระเด็น ส่วนโม่หลินเดินเข้ามาพูดว่า “ลู่ฝาน นายกล้าทำร้ายลูกหลานตระกูลโม่”

ลู่ฝานพูดอย่างราบเรียบว่า “แล้วยังไง”

หลังผ่านไปหนึ่งเดือน เป็นงานเทศกาลเซ่นไหว้ประจำปีอีกปีหนึ่ง

ยังคงมีเสียงเพลงดังสนั่น หิมะตกนั้นเป็นลางบอกว่าปีหน้าจะอุดมสมบูรณ์

ลู่ฝานนั่งตรงที่นั่งตำแหน่งหลัก มองลูกหลานตระกูลลู่ ทดสอบอยู่ด้านล่างอย่างต่อเนื่อง

ปีที่ผ่านๆ มา ลู่ฝานก็อยู่ในกลุ่มคนพวกนี้ ชกหมัดไปที่หินศิลาดำ แต่ปีนี้ เพราะพละกำลังของเขา เกินกว่าขอบเขตที่หินศิลาดำจะทดสอบได้ ดังนั้นจึงไม่ต้องทดสอบต่ออีกแล้ว นั่งเงียบๆ อยู่ตรงที่นั่งหลักกับผู้เป็นพ่ออย่างลู่หาว เหมือนเขาไม่ใช่รุ่นเด็กของตระกูลลู่ แต่สองสามวันมานี้ สายตาที่พวกลูกหลานตระกูลลู่มองเขา ยิ่งเหมือนมองผู้อาวุโสขึ้นไปทุกวัน

แต่ลู่หมิงกลับนั่งอยู่ตรงตำแหน่งพวกรุ่นเด็ก เหมือนกับปีที่ผ่านๆ มา ลู่หมิง แบบอย่างของพวกลูกหลานตระกูลลู่ ทำให้ทุกคนได้เปิดหูเปิดตา กับพละกำลังแดนฝึกร่างชั้นเก้า

แต่ปีนี้ ทุกคนไม่ค่อยตกใจหรือเชียร์พละกำลังของลู่หมิงสักเท่าไร เพราะทุกคนรู้ว่าคนที่เป็นผู้นำทางของตระกูลลู่ ถึงขนาดที่จะเป็นเจ้าตระกูลคนต่อไป ต้องเป็นลู่ฝานอย่างไม่ต้องสงสัย สายตาแต่ละคน มองไปยังลู่ฝาน ที่อยู่ด้านบน มีทั้งความเลื่อมใส อิจฉา และศรัทธา

เมื่อทดสอบเสร็จสิ้น งานเลี้ยงเริ่มขึ้น เจ้าดำวิ่งกินไปทั่ว เห็นแก่ที่มันเป็นสัตว์เลี้ยงของลู่ฝาน ทุกคนล้วนหลีกให้เจ้าดำ ให้มันกินอย่างมีความสุขจนผิดปกติ

ทุกครั้งที่ถึงงานเทศกาลเซ่นไหว้ประจำปี เป็นช่วงที่เด็กๆ มีความสุขที่สุด กินดื่มอย่างปลดปล่อย มีแต่ความยินดีปรีดา

“ลู่ฝาน ผ่านเทศกาลเซ่นไหว้ประจำปีไป นายจะต้องไปสถาบันสอนวิชาบู๊แล้ว ตระกูลเตรียมเงินและสมุนไพรไว้ให้นาย เมื่อถึงตอนนั้นนายเอาไปด้วย แม้เป็นสถาบันสอนวิชาบู๊ ของพวกนี้ก็ใช้งานได้อยู่ดี”

ลู่เฮ่าหรานพูดพลาง บอกให้ลู่หาวเอาของออกมา

ลู่ฝานมองแวบหนึ่ง ด้านในเป็นสมุนไพรชั้นดี อีกทั้งยังมีการ์ดเหรียญทองอีกด้วย

แค่ห่อผ้าธรรมดาๆ แต่ด้านในเต็มไปด้วยทรัพย์สินของตระกูล

ลู่ฝานไม่ได้พูดอะไร เก็บมันเอาไว้เงียบๆ เพราะนี่เป็นกฎของตระกูล ตอนลู่หมิงไปสถาบันสอนวิชาบู๊ ตระกูลก็ทำแบบนี้ ตอนนี้ถึงตาลู่ฝานแล้ว ตระกูลก็ทำเช่นเดียวกัน

“ใช่สิ ลู่ฝาน ยาที่ได้จากน่าหลานรั่ว นายกินหรือยัง พละกำลังยกระดับขึ้นไหม” ลู่หาวยิ้มแล้วถามขึ้น

ลู่ฝานส่ายหน้า พูดว่า “ยังไม่ได้กินครับ ยาขวดนั้นเป็นยาฟื้นฟูพลัง ไม่ใช่ยาที่ใช้ยกระดับพละกำลัง เป็นยาที่ฟื้นฟูพละกำลังการต่อสู้”

ลู่หาวตอบรับอย่างเข้าใจ ฟังดูแล้ว เหมือนยาขวดนี้จะใช้งานได้มาก

แต่เมื่อพูดถึงยา สีหน้าลู่เฮ่าหรานเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาถอนหายใจออกมาเบาๆ

ลู่ฝานรู้สึกผิดปกติ ทำไม่เหมือนปู่ดูกลุ้มใจ

ลู่ฝานเอ่ยถามว่า “ปู่ เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า”

ลู่เฮ่าหรานพูดช้าๆ ว่า “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก ลู่เฟิง นายมาพูดสิ”

ลู่เฟิงพยักหน้าตอบ แล้วพูดว่า “เหมือนช่วงนี้ ตระกูลโม่เชิญผู้ฝึกชี่มาคนหนึ่ง พ่อเลยกลุ้มใจกับเรื่องนี้”

เมื่อได้ยินคำว่าผู้ฝึกชี่ ลู่ฝานแววตาวูบไหวเล็กน้อย

“ผู้ฝึกชี่งั้นเหรอ เรื่องเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไร ทำไมผมไม่เคยได้ยินเลย”

ลู่หาวขมวดคิ้วถาม

สองสามวันก่อน ลู่เทียนกังกับคนของตระกูลโม่มีเรื่องกันบนถนนเพราะสมุนไพรต้นเดียว สุดท้ายแพ้อย่างน่าเวทนา คนยังบาดเจ็บอีกด้วย เดิมทีเราคิดว่าเป็นฝีมือของคนอายุน้อย ที่เก่งกาจของตระกูลโม่อย่างโม่หยุนเฟย ไม่ก็โม่หง แต่เมื่อสอบถามดู จึงรู้ว่า

ลู่หาวพูดว่า “เพราะผู้ฝึกชี่อย่างนั้นเหรอ”

ลู่เฟิงพยักหน้าพูดว่า “ถูกต้อง เพราะผู้ฝึกชี่นั่นแหละ ฉันตรวจสอบมาแล้ว ไม่เพียงแค่โม่ไห่ ลูกหลานตระกูลโม่ล้วนได้รับผลดีจากผู้ฝึกชี่ พละกำลังเพิ่มขึ้นมาก อีกทั้งเหมือนว่าโม่หยุนเฟย ฝึกพลังปราณได้ เพราะยาด้วย ฉันถามลู่หมิงมา น่าจะเป็นเพื่อนที่เป็นผู้ฝึกชี่ที่โม่หยุนเฟยรู้จักในสถาบันสอนวิชาบู๊ เฮ้อ ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป พละกำลังโดยรวมของพวกเด็กตระกูลโม่ ต้องเหนือกว่าตระกูลลู่ของเราแน่นอน”

ลู่เฮ่าหรานยกมือขึ้นมา พูดว่า “พอแล้ว ไม่ต้องพูดแล้ว กำลังอยู่ในงานเทศกาลเซ่นไหว้ประจำปี อย่าพูดเรื่องที่ทำให้ไม่มีความสุข ลู่ฝาน นายเข้าสถาบันสอนวิชาบู๊แล้ว ทำความรู้จักผู้ฝึกชี่ไว้สักคนก็พอแล้ว ผู้ฝึกชี่คนหนึ่ง สามารถช่วยตระกูลเล็กๆ อย่างเราได้เยอะมาก เดิมทีโม่หยุนเฟยจะไล่ตามนาย อย่างน้อยต้องใช้เวลาเกือบครึ่งปี ตอนนี้แค่ยาเม็ดเดียว ทำให้เขาไล่ตามนายทันแล้ว หวังว่าผู้ฝึกชี่คนนั้น แค่ช่วยตระกูลโม่เอาไว้แค่นั้น ถ้าเขาอยู่ในตระกูลโม่นาน คงต้องวุ่นวายแน่”

ลู่หาวถอนหายใจตาม แล้วพูดว่า “ตระกูลโม่โชคดีจริงๆ ว่ากันว่าในสถาบันสอนวิชาบู๊ มีผู้ฝึกชี่แค่ไม่กี่คน คิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดคุยกันได้ แต่ผู้ฝึกชี่คนนั้นต้องกลับสถาบัน อยู่นานไม่ได้ พ่อไม่ต้องกังวล”

ลู่เฮ่าหรานพยักหน้าเบาๆ ไม่พูดเรื่องนี้อีก

ในเขาซีซาน น้ำไหลริมผา

ลู่ฝานเอาเหล้าดี อาหารดี มากินกับอาจารย์หวูเฉิน

หวูเฉินดื่มจนตาปรือ เจ้าดำนอนหลับอยู่บนพื้นข้างๆ เสียงกรนดังสนั่น

แต่มันหลับแล้ว ยังไม่ยอมปล่อยไหเหล้า ลู่ฝานหัวเราะ มองสภาพเจ้าดำ แล้วพูดว่า “มันเป็นขี้เมานะเนี่ย”

หวูเฉินหัวเราะเหมือนกัน จากนั้นจึงพูดว่า “ลู่ฝาน ผ่านเทศกาลเซ่นไหว้ประจำปีไป นายต้องไปสถาบันสอนวิชาบู๊แล้ว ยังจำที่ฉันพูดกับนายได้ไหม”

ลู่ฝานพยักหน้า “จำได้ครับ สถาบันสอนวิชาบู๊ คณะหนึ่งเดียว เพลงเต๋าหนึ่งเดียว”

หวูเฉินพูดว่า “ถูกต้อง อย่าลืมเด็ดขาด มันสำคัญสำหรับนายมาก ทำทุกวิถีทางเพื่อเข้าไปในคณะหนึ่งเดียวให้ได้ ถ้าไม่สำเร็จ งั้นสถาบันสอนวิชาบู๊คงไม่มีคุณค่าสำหรับนายเท่าไรแล้ว”

ลู่ฝานงงเล็กน้อย แล้วพูดว่า “สถาบันสอนวิชาบู๊ เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในการฝึกบู๊ไม่ใช่เหรอครับ ทำไมถึงไม่มีคุณค่าล่ะครับ”

หวูเฉินพูดว่า “แค่สถาบันเท่านั้น จะมีคุณค่าแค่ไหนกัน นายฝึกปราณชี่สำเร็จแล้ว เทียบกับผู้ฝึกชี่และนักบู๊คนอื่นแล้ว รู้หรือเปล่าว่าแข็งแกร่งตรงส่วนไหน”

ลู่ฝานพูดว่า “ผมใช้วิชาได้สองทาง เข้าไปโจมตี ถอยมาป้องกัน เดิมปราณชี่แข็งแกร่งกว่าพลังปราณอยู่แล้ว”

หวูเฉินส่ายหน้าพูดว่า “นี่เป็นแค่ส่วนหนึ่งในภายนอกเท่านั้น ฉันจะบอกนายให้ ผลดีที่สุดของการฝึกทั้งพลังชี่และบู๊คือ นายสามารถกินยาได้ทุกชนิด”

ลู่ฝานมองหวูเฉินอย่างไม่เข้าใจ เขาไม่เข้าใจว่ามันเป็นจุดแข็งแกร่งตรงไหน

“ผู้ฝึกชี่ทั่วไป หากต้องการกลั่นยายกระดับพละกำลังตัวเอง เป็นเรื่องยากมาก เพราะยาที่สามารถยกระดับพลังชี่ของผู้ฝึกชี่ได้ ล้วนเป็นยาระดับดีเยี่ยม ตั้งแต่สมุนไพร จนไปถึงสูตรยา ล้วนล้ำค่ามาก ผู้ฝึกชี่ระดับหนึ่งหลายปียังรวบรวมสมุนไพรที่กลั่นยาเบญจธาตุได้ไม่ครบเลย เป็นเรื่องปกติที่ทั้งชีวิต จะมีสูตรยายกระดับพลังชี่น้อยกว่าสามหรือห้าสูตร แต่ยาที่ผู้ฝึกชี่ทำให้นักบู๊ ง่ายดายมาก เพราะการคิดค้นยาพวกนี้ เพราะต้องการให้นักบู๊รับใช้พวกเขาเท่านั้น

ดังนั้น สูตรยาพวกนี้ ระหว่างผู้ฝึกชี่ เป็นเรื่องธรรมดามาก ไม่ได้มีอะไรเป็นความลับ สูตรยาที่ทำให้นักบู๊ปราณดินยกระดับพละกำลังได้ สามารถใช้เงินซื้อได้ พวกสูตรยาสำหรับผู้ฝึกชี่แล้ว แค่สานสัมพันธ์ที่ดีกับนักบู๊เท่านั้น หรือเป็นการขูดรีดวิธีการของนักบู๊ แต่สำหรับนาย เป็นสิ่งสำคัญในการยกระดับพละกำลัง ผู้ฝึกชี่ไม่สามารถใช้ได้

การยกระดับพละกำลังของผม สามารถฝึกบู๊ แล้วก็สามารถฝึกพลังชี่ได้ด้วย สามารถกินยาได้ทั้งสองแบบ ถ้าทำยาที่ยกระดับพลังชี่ไม่ได้ สามารถยกระดับพลังปราณก็ไม่เป็นปัญหา

สถาบันสอนวิชาบู๊ ไม่ได้มีคุณค่ากับนายมากเท่าไร สิ่งที่นายต้องทำ คือไปที่ที่มีผู้ฝึกชี่รวมตัวกัน พูดคุยทำความรู้จักกับผู้ฝึกชี่เอาไว้เยอะๆ จากนั้นซื้อสูตรยาจากพวกเขา ถ้ามีสูตรยาเป็นกอง ระดับการยกระดับของนายจะเร็วขึ้นมาก อีกทั้งเมื่อปราณชี่ยกระดับ นายจะสามารถกลั่นยาได้ดียิ่งขึ้น นี่เป็นวัฎจักรที่ดีงาม เพียงพอจะทำให้นายยกระดับอย่างรวดเร็ว ไม่ต้องไปสถาบันสอนวิชาบู๊อะไรสักนิด

ลู่ฝานพยักหน้า เหมือนนึกอะไรได้ จึงพูดว่า “พูดแบบนี้ งั้นผู้ฝึกชี่ก็เป็นผู้ชุบเลี้ยงนักบู๊ผู้แข็งแกร่งได้ง่าย ไม่ใช่เหรอครับ”

อยากก้าวหน้าถึงแดนปราณฟ้า จำเป็นต้องเข้าใจอย่างถ่องแท้ นี่ไม่ใช่สิ่งที่ยาทั่วไปจะยกระดับได้ ยาที่สามารถยกระดับความเข้าใจได้ ก็ล้ำค่ามากเหมือนกัน เพราะผู้ฝึกชี่ต้องเข้าใจอย่างถ่องแท้เช่นกัน ดังนั้นต่อไป ถ้านายเจอผู้ฝึกชี่

ลู่ฝานพรูลมหายใจออกมา แล้วพูดว่า “พูดแบบนี้ สถาบันสอนวิชาบู๊มีคุณค่าไม่มากจริงๆ ก่อนที่ยังฝึกไม่ถึงแดนปราณดิน ผมไม่ต้องตั้งใจไปเรียนรู้วิชาบู๊อะไร แค่รวบรวมสูตรยามาให้ได้ รวบรวมสมุนไพรมากพอ แค่กินยาที่ตัวเองทำ ก็สามารถยกระดับได้แล้ว”

หวูเฉินพูดว่า “ถูกต้อง แต่ฉันไม่ค่อยเห็นด้วย กับวิธีใช้ยายกระดับตลอดเวลา จะทำให้พื้นฐานไม่มั่นคง ต่อไปพลังจะน้อย ต้องกินยาอย่างเหมาะสม เลือกกินที่ดีที่สุด ตอนนี้ฉันจะถ่ายทอดสูตรยาของผู้ฝึกชี่ที่ฉันมีอยู่ให้นายก่อน ล้วนเป็นสูตรยาล้ำค่า อย่าเปิดเผยให้คนอื่นง่ายๆ นายไปฝึกฝนที่สถาบันสอนวิชาบู๊ครั้งนี้ ในเวลาสามปี พยายามอย่ากลับมา เทศกาลเซ่นไหว้ประจำปีทุกปี เป็นตอนที่ผู้ฝึกชี่รวมตัวกัน ถ้าฉันจำไม่ผิด มีอยู่สถานที่หนึ่ง ผู้ฝึกชี่จะรวมตัวกัน ที่ทางเหนือของเขตตงหวาซึ่งไม่ไกลจากสถาบันสอนวิชาบู๊ของนาย นายลองไปดูเยอะๆ”

หวูเฉินพูดพลาง เอานิ้ววางไว้ที่หว่างคิ้วของลู่ฝาน ทันใดนั้น สูตรยาแต่ละสูตร ผุดขึ้นในหัวของเขา ฝังลึกอยู่ในความจำของเขา

หวูเฉินพูดช้าๆ ว่า “โลกกว้างขวาง ไร้ขอบเขต แต่พื้นที่สงบสุขอย่างประเทศอู่อาน มีเขตหนึ่งหมื่นแปดพันเขต เขตเล็กๆ อย่างเขตตงหวา นายไม่ต้องเสียเวลามากหรอก อาจารย์หวังว่าจะได้เห็นนาย อยู่ในจุดสูงสุดของโลกเร็วๆ”

“พอแล้วลู่ฝาน เรื่องสัญญา ปล่อยให้มันผ่านไปเถอะ”

เสียงลอยตามลมมา ลู่เฮ่าหรานและคนอื่นลงมาจากโรงน้ำชา และรีบเดินเข้ามา

เจ้าดำกระโดดขึ้นไปบนไหล่ลู่ฝานอีกครั้ง แยกเขี้ยวใส่น่าหลานรั่ว สีหน้าลู่เฮ่าหรานมีรอยยิ้ม โบกมือไปมา แล้วพูดกับน่าหลานรั่วว่า “ครูน่าหลาน ผ่านไปสามกระบวนท่าแล้ว ลู่ฝานพิสูจน์แล้ว ว่าไม่ใช่ฝึกฝนด้วยเส้นทางชั่วร้าย เรื่องจะขอโทษหรือไม่ขอโทษ แค่ประชดเท่านั้น คุณไม่ต้องสนใจหรอก วันนี้จบกันแค่นี้ ต่อไปลู่ฝานไปสถาบัน คงต้องฝากเนื้อฝากตัวกับครูน่าหลานด้วย”

น่าหลานรั่วแอบโล่งใจ ขอโทษเด็กคนหนึ่งต่อหน้าทุกคน ถ้าทำเรื่องนี้จริง เขาต้องอับอายแน่ๆ ในเมื่อคนตระกูลลู่อยู่เป็นขนาดนี้ เขาก็ทำตามเงื่อนไขที่เป็นประโยชน์ “เรื่องนี้สมควรอยู่แล้ว ลู่ฝานมีพรสวรรค์จนน่าตกใจ ต่อไปอยู่ในสถาบันสอนวิชาบู๊ คงจะก้าวหน้ามาก ฉันมียาเม็ดอยู่หนึ่งขวดพอดี ให้เขาละกัน ถือว่าเป็นการขอโทษ”

น่าหลานรั่วพูดพลาง เอายาเม็ดในอก โยนให้ลู่ฝาน เพราะเขาไม่ได้ยาขวดนี้แล้ว ขวางลู่ฝานไม่ได้ คนตระกูลโม่ต้องเอายากลับแน่นอน สู้เอาออกมาแสดงน้ำใจ ถือโอกาสบอกคนตระกูลโม่ไปด้วย ว่าฉันกับพวกนาย ไม่เกี่ยวข้องอะไรกันอีก

ลู่ฝานรับยามา ตกใจเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าจะได้ยาเม็ดหนึ่งขวด ถือว่าไม่เลวจริงๆ

ลู่เฮ่าหรานอมยิ้มแล้วพยักหน้า ดึงเสื้อลู่ฝานเบาๆ แล้วพูดว่า “ไปกันเถอะลู่ฝาน เรากลับไปจัดงานเลี้ยงที่บ้านกัน”

ลู่ฝานสีหน้ามีรอยยิ้ม มีแผ่นหยกรับนักเรียนของวิทยาบู๊อยู่ในมือ เขาทำตามเป้าหมายได้แล้ว แถมยังได้ยามาฟรีๆ หนึ่งขวด ได้ไม่น้อยเลย ควรกลับตระกูลได้แล้ว

คนตระกูลลู่เดินกลับไป ท่ามกลางเสียงเชียร์ของคนรอบๆ

ลูกหลานของตระกูลลู่ที่อยู่ในกลุ่มคน อกผายไหล่ผึ่ง ยินดีปรีดา สิ่งที่ลู่ฝานทำให้อับอายในการทดสอบของสถาบันสอนวิชาบู๊หลายปีมานี้ วันนี้กู้หน้ากลับมาได้ทั้งหมดแล้ว

ในโรงน้ำชา โม่เทียนมองครูน่าหลาน โยนขวดยาให้ลู่ฝาน สีหน้าโมโหทันที

โม่หยุนเฟยที่อยู่ด้านหลังพูดว่า “ทำไมน่าหลานรั่วถึงทำแบบนี้ นั่นเป็นยาเม็ดที่พี่จ้าวซวี่ขายให้ผม เป็นของตระกูลโม่”

เขาเอายาให้ลู่ฝานแล้ว เราจะทำอะไรได้ ดูเหมือนว่า น่าหลานรั่วจะตัดสัมพันธ์กับตระกูลโม่ของเราแล้ว ถึงตอนนี้นายไปหาเขา เขาต้องทำเป็นไม่เกี่ยวข้องกับนายแน่ๆ และไม่ยอมรับเรื่องยาด้วย

อย่างเงียบๆ ตอนนี้เห็นคนตระกูลโม่ สีหน้าเต็มไปด้วยความโกรธ โม่หยุนเฟย เพื่อนของตัวเอง ก็โกรธมากเช่นกัน จ้าวซวี่พูดว่า “แค่ยาฟื้นฟูพลังขวดเดียวเอง เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น พี่โม่ไม่จำเป็นต้องโกรธขนาดนี้ ถึงลู่ฝานฝึกพลังปราณได้แล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าตระกูลโม่

โม่หยุนเฟยได้ยินดังนั้น สีหน้าดีขึ้นทันที มองจ้าวซวี่แล้วพูดว่า “พี่จ้าวจะช่วยผมจริงเหรอ”

จ้าวซวี่ยิ้มแล้วพูดว่า “เรื่องเล็กเท่านั้น ถ้ากลั่นยาได้เยอะ พี่โม่สามารถใช้มันยกระดับพี่น้องในตระกูลโม่ได้ด้วย แต่กฎของผู้ฝึกชี่ ยังคงต้องปฏิบัติตาม การกลั่นยาเตาหนึ่ง ต้องได้ยาวิเศษหนึ่งต้น สมบัติหนึ่งชิ้น”

โม่หยุนเฟยหันไปมองโม่เทียน เรื่องนี้มีเพียงโม่เทียน ที่จะตัดสินใจได้

ผู้ฝึกชี่เก่งขนาดนี้ เชิญผู้ฝึกชี่ระดับหนึ่งมากลั่นยา อย่าว่าแต่ต้องเตรียมสมุนไพรเองเลย ยังต้องเอายาวิเศษหนึ่งต้น มามอบให้ด้วย สุดท้ายยังต้องให้สมบัติอีกหนึ่งชิ้น

“ไม่มีปัญหา สมุนไพร ยาวิเศษ สมบัติ กลับไปผมจะให้คุณ พ่อหนุ่มจ้าวซวี่ได้โปรดตั้งใจให้มากๆ ด้วย”

จ้าวซวี่ยิ้มแล้วพูดว่า “แน่นอนอยู่แล้ว รับรองว่ายาไม่มีปัญหาแน่นอน”

โม่เทียนพยักหน้า นี่เป็นโอกาสครั้งหนึ่ง ที่ตระกูลโม่ของพวกเขาจะยกระดับพละกำลังได้ ถึงตระกูลอื่น เอายาวิเศษและสมบัติมาได้ ก็ไม่สามารถเชิญผู้ฝึกชี่ออกมาช่วยได้ เพราะผู้ฝึกชี่ ตรงข้ามกับนักบู๊ มีน้อยจนน่าสงสาร

โม่เทียนแอบพูดในใจ “ตระกูลลู่ ครั้งนี้มีผู้ฝึกชี่คอยช่วย ต้องสลัดพวกนายทิ้งไว้ด้านหลังอย่างแน่นอน!”

……

ตอนกลางคืนที่ตระกูลลู่ เสียงเพลงดังสนั่น

หลังจากครั้งก่อนที่ลู่ฝานเอาชนะ ในงานล่าสัตว์เขาซีซานได้ นี่เป็นครั้งที่สอง ที่ตระกูลลู่จัดงานเลี้ยงยิ่งใหญ่

สิ่งที่ไม่เหมือนกับครั้งก่อนคือ ครั้งนี้ไม่ได้มีแค่คนตระกูลลู่ คนตระกูลอื่นในเมืองเจียงหลิน ต่างพากันมาแสดงความยินดีด้วย

ลู่เฮ่าหรานนั่งอยู่ตรงตำแหน่งผู้นำ ฟังเสียงแสดงความยินดี ดังอย่างต่อเนื่อง มองของขวัญกองเป็นภูเขา รู้สึกมีหน้ามีตาเป็นอย่างมาก ลู่หาวก็โดนตระกูลอื่นล้อมเอาไว้ ดื่มเหล้าแสดงความยินดีไม่หยุด

เดิมทีลู่หาวดื่มเก่งมาก ยังดื่มจนหน้าแดงไปหมด แต่ลู่หาวมีความสุขมาก เอาแต่พูดเสียงดังว่า ไม่เมา ไม่เลิก

มีลูกแบบนี้ ฉันไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว

มาๆ มาดื่มอีกสามแก้ว!

คนตระกูลลู่มาที่นี่กันหมดแล้ว มีเพียงตัวเอกอย่างลู่ฝาน ที่ไม่อยู่ที่นี่ ลู่ฝานโผล่มาตอนเริ่มงานเท่านั้น จากนั้นก็ไม่รู้หายไปไหนแล้ว

แต่ทุกคนไม่สนใจ แค่คิดว่าลู่ฝานไม่ชอบงานเลี้ยง

เพราะสิบกว่าปีมานี้ ลู่ฝานร่วมงานเลี้ยงน้อยมาก ออกไปถือว่าเป็นเรื่องปกติ อยู่ต่อเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นยาก

แน่นอนว่า ก่อนหน้านั้น ลู่ฝานไม่อยากใช้วิชาผู้ฝึกชี่ออกมาในเวลาเดียวกัน

ลู่ฝานไม่ได้โง่ถึงขั้นที่ใช้วิชาสองอย่าง โดยไม่มีเหตุผล วิชาของผู้ฝึกชี่ เป็นเคล็ดวิชาล้ำเลิศในการป้องกันตัวของเขา ในช่วงเวลานี้ เขาเรียนรู้จากหวูเฉินมาไม่น้อย

ลู่ฝานยกกระบี่หนักขึ้นช้าๆ ปลายกระบี่ชี้ไปที่น่าหลานรั่ว แววตาลู่ฝานลุกโชน “กระบวนท่าแรก!”

สายตาน่าหลานรั่วเปลี่ยนไป ความเย็นชาผุดขึ้นมา

เป็นการท้าทายชัดๆ นี่ทำให้น่าหลานรั่วโมโหมาก กระบี่นี้ของลู่ฝาน ตบหน้าเขาเต็มๆ อีกทั้ง “พลังปราณ” บนตัวลู่ฝาน เหมือนไม่ได้เพิ่งจะฝึกสำเร็จด้วย ไม่แน่อาจมีพละกำลังระดับปราณในชั้นสองถึงชั้นสามเลยด้วยซ้ำ

นอกจากเขาแล้ว โม่เทียน ลู่เฮ่าหรานและคนอื่น ก็ดูออกเหมือนกัน พละกำลังของลู่ฝาน ไม่ใช่แค่ปราณในชั้นหนึ่ง

ทันใดนั้น ปฏิกิริยาของทุกคน เปลี่ยนไปทันที

แต่สิ่งที่พวกเขาพูดต่อมา ล้วนเหมือนกันทั้งหมด

“ปีศาจ!”

ถูกต้อง มีเพียงคำนี้ ที่สามารถอธิบายความเร็วในการฝึกของลู่ฝานได้

ตอนนี้จางเหยียน ผู้นำตระกูลจาง เงียบไม่พูดอะไร แม้ผลการฝึกตนของเขา เทียบไม่ได้กับผู้นำทั้งสองตระกูล แต่ดูออกว่าลู่ฝานแข็งแกร่ง ไม่แน่อาจต้านทานสามกระบวนท่าได้ ทันใดนั้น สีหน้าจางเหยียนเปลี่ยนไป ยังดีที่ไม่มีใครได้ยิน ตอนเขาพูดออกความคิดเห็น เกี่ยวกับลู่ฝานเมื่อครู่ ไม่งั้นคงเป็นเรื่องตลกที่สายตาเขาตื้นเขิน

ตอนนี้น่าหลานรั่วเคลื่อนไหวทันที เคลื่อนตัวไปในระยะร้อยฟุต พลังปราณทั้งตัวพลุ่งพล่าน กระแทกหมัดโจมตีออกมาอีกครั้ง

หมัดนี้ เป็นหมัดที่ออกมาจากความอับอายจนโกรธของน่าหลานรั่ว พละกำลังเต็มร้อยแน่นอน

ลู่ฝานยกกระบี่ใหญ่ขึ้นมากันไว้ข้างหน้า ตัวกระบี่กว้างราวกับโล่ ต้านทานหมัดของน่าหลานรั่วเอาไว้

เคร้ง!

เสียงดังสนั่น ลู่ฝานรู้สึกถึงแรงสั่นมหาศาล มาจากกระบี่หนัก

เนื้อวัสดุของกระบี่หนักและทื่อ ไม่ธรรมดา หมัดของน่าหลานรั่ว ไม่สามารถสะเทือนตัวกระบี่ได้ แต่พละกำลังที่ออกมาจากกระบี่ กลับทำให้ลู่ฝานสั่นไปทั้งตัว

ผลของแรงทะลุทะลวงอันน่ากลัว อยู่บนฝ่ามือของเขา แววตาลู่ฝานวูบไหว ปล่อยด้ามกระบี่ออกทันที

“ลู่ฝานทิ้งกระบี่แล้ว!”

ลู่หาวพูดอย่างตกใจ ทิ้งกระบี่ตอนนี้ เท่ากับการรนหาที่ตายไม่ใช่เหรอ

ลู่เฮ่าหรานสีหน้าเคร่งขรึม กำหมัดแน่น คิดไม่ถึงว่าน่าหลานรั่วจะหน้าไม่อายถึงเพียงนี้ จัดการวัยรุ่นอายุแค่ 18 ปีด้วยแรงทั้งหมดที่มี

เขายังเป็นครูสถาบันอยู่เหรอ!

กระบี่หนักปลิวออกจากมือ กระแทกลงบนพื้น ตัวกระบี่ครึ่งหนึ่ง จมเข้าไปในดิน

เมื่อทิ้งกระบี่ไป ไม่ต้องรับแรงสั่นสะเทือนจากกระบี่อีก แต่เพราะเหตุนี้ ทำให้การป้องกันของลู่ฝานเกิดช่องโหว่

โอกาสแบบนี้ น่าหลานรั่วไม่มีทางพลาดอยู่แล้ว

พลังปราณทั้งตัว รวมตัวที่แขนของเขา หมุนวนราวกับเกลียว น่าหลานรั่วแผดเสียงออกมา “กระบวนท่าที่สาม หมัดพายุหมุน!”

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า กระบวนท่านี้ของน่าหลานรั่ว ต้องเป็นเคล็ดวิชาบู๊ระดับทิพย์แน่นอน เมื่อออกกระบวนท่า เสียงลมเหมือนพยัคฆ์คำราม

ทุกคนเบิกตาโตมองลู่ฝาน ที่เสียอาวุธไปแล้ว แต่ละคนพูดในใจว่า ครั้งนี้ลู่ฝานจบเห่แล้ว

แต่ขณะนั้น ปราณชี่ทั้งตัวของลู่ฝาน พลุ่งพล่านขึ้นมา

“หมัดถล่มเขาทำลายล้าง ระเบิด!”

สองหมัดปะทะกัน ลู่ฝานตัวเป็นสีแดงทั้งตัว เปลวไฟพลุ่งพล่านออกมา

พลังหมัดพร้อมกับกระแสลมสั่นสะเทือน แผ่ออกไปเป็นวงกว้าง พื้นใต้เท้า เป็นรอยร้าวจนแยกออกจากกัน หินศิลาดำที่อยู่ข้างๆ แตกละเอียดไปเกือบครึ่ง

กระแสลมรุนแรงซัดออกไป คนธรรมดานับไม่ถ้วน ล้มลงกับพื้น ไม่สามารถลืมตาขึ้นได้

จากนั้น น่าหลานรั่วถอยหลังไปสองก้าว

หมัดนี้ ลู่ฝานเป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างน่าตกตะลึง

สีหน้าน่าหลานรั่ว เต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ คนอื่นเห็นภาพนี้ พากันตกตะลึงอ้าปากค้าง หัวใจบีบรัดตัว

คิดไม่ถึงว่าหมัดของลู่ฝาน จะโจมตีจนครูของสถาบันสอนวิชาบู๊ถอยหลังไปได้!

จางเยว่หานเอามือปิดปากตัวเอง เธอคิดไม่ถึงว่าผลจะเป็นเช่นนี้

คนตระกูลโม่อยู่ในสภาวะแข็งทื่อ โดยเฉพาะโม่หยุนเฟย พึมพำออกมาไม่หยุด

“เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้….”

ตอนนี้ขนาดจ้าวซวี่ ก็ยังตกตะลึงกับความแข็งแกร่งของลู่ฝาน ลู่ฝาน ทัดเทียมกับพวกที่อยู่ในสถาบันสอนวิชาบู๊ได้แล้ว แต่เขายังไม่ได้เข้าสถาบันสอนวิชาบู๊เลย

ลู่หาวตกใจก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นกระโดดโลดเต้นอย่างตื่นเต้น พูดออกมาว่า “ลู่ฝาน เขาต้านทานได้ อีกทั้งเขายังทำให้น่าหลานรั่วกระเด็นออกไปได้”

ลู่เฮ่าหรานถอนหายใจอย่างโล่งอก แล้วพูดว่า “นี่สิถึงจะเป็นลูกหลานของตระกูลลู่”

ลู่หมิงยืนอยู่อีกด้าน ตอนนี้ไม่มีจิตใจที่จะเอาชนะลู่ฝานอีกแล้ว

“ผ่านไปสามกระบวนท่าแล้ว”

ลู่ฝานชักหมัดกลับมาช้าๆ ปราณชี่บนตัวหายไปจนเหลืออยู่นิดหน่อย

พลังที่โดนกระบี่หนักควบคุมเอาไว้เป็นเวลานาน ทำให้เมื่อเขาหลุดพ้นจากการควบคุม จึงปล่อยพลังอันน่ากลัวออกมาได้ แต่สูญเสียพลังไปไม่น้อยเหมือนกัน ลู่ฝานไม่สามารถโจมตีแบบนี้เป็นครั้งที่สองได้อีก

น่าหลานรั่วมองลู่ฝานอย่างอึ้งๆ เขาแพ้แล้ว ผ่านไปสามกระบวนท่าแล้ว คิดไม่ถึงว่าเขาจะเสียเปรียบ

ต้องรู้ก่อนว่า เขาเป็นนักบู๊แดนปราณในชั้นเก้าเชียวนะ!

น่าหลานรั่วกัดฟันกรอด แม้เขาจะโกรธ แต่ไม่ได้เสียสติ

น่าหลานรั่วเอาแผ่นหยกสีม่วงชิ้นหนึ่ง ออกมาจากในอก โยนให้ลู่ฝานแล้วพูดว่า “นี่เป็นแผ่นหยกรับเด็กของสถาบันสอนวิชาบู๊ นายสามารถเอามันไปฝึกในสถาบันสอนวิชาบู๊ได้”

พูดจบ น่าหลานรั่วหันหลัง เตรียมจะออกไป

เขาไม่มีหน้าอยู่ต่อจริงๆ ตอนนี้น่าหลานรั่วโกรธตระกูลโม่มากเหมือนกัน

เรื่องวันนี้ ถ้าสถาบันรู้ เขาคงไม่มีหน้าเจอใครแล้ว

“ช้าก่อน” จู่ๆ ลู่ฝานพูดออกมา

“ครูน่าหลาน เหมือนจะลืมอะไรนะ เราสัญญากันแล้ว”

ลู่ฝานถือแผ่นหยก พูดขึ้นมาอย่างราบเรียบ

น่าหลานรั่วสีหน้าเปลี่ยนไปมาก ลู่ฝานจะให้เขาขอโทษต่อหน้าทุกคนจริงเหรอ

แววตาน่าหลานรั่วสว่างวาบ แล้วพูดว่า “ได้ คำไหนคำนั้น ถ้านายรับสามกระบวนท่าของฉันได้ ฉันขอโทษนายอยู่แล้ว”

ลู่ฝานทำท่า “เชิญ” ให้กับน่าหลานรั่ว เว้นระยะห่าง และเผชิญหน้ากัน

แม้บทสนทนาของทั้งสองคน จะไม่ดังมาก แต่เมื่อหนึ่งคนบอกเล่าให้กับสิบคน สิบคนนั้นก็ไปบอกต่ออีกร้อยคน จนรู้กันทั้งหมด

กลุ่มคนถอยไปด้านหลัง เว้นที่ว่างให้ทั้งสองคน บนโรงน้ำชา ลู่เฮ่าหรานขมวดคิ้วพูดว่า “หาเรื่อง หาเรื่องจริงๆ เขาจะสู้กับน่าหลานรั่วได้ยังไง อีกฝ่ายเป็นครูสถาบันสอนวิชาบู๊นะ”

ลู่หาวพูดด้วยสีหน้ากังวลใจ “ดูเหมือนลู่ฝานจะมีความมั่นใจนะ แต่การตัดสินใจนี้ ดูบุ่มบ่ามไปหน่อย ตอนนี้ดูว่าเขาจะรับมือกับสามกระบวนท่าของน่าหลานรั่วอย่างไร คิดว่าในฐานะที่เป็นครูสถาบัน น่าหลานรั่ว ยังต้องไว้หน้าตัวเองสักนิด คงไม่ได้ลงมือด้วยแรงทั้งหมด”

คนตระกูลลู่ตกใจ คนตระกูลโม่อดหัวเราะออกมาไม่ได้

“ลู่ฝาน ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำจริงๆ คิดไม่ถึง……คิดไม่ถึงว่าจะประลองกับครูน่าหลาน สามกระบวนท่า น่าขำสิ้นดี!”

โม่หยุนเฟยหัวเราะออกมาเป็นคนแรก

โม่หลินถามว่า “หยุนเฟย ครูน่าหลาน พละกำลังเป็นยังไง”

โม่หยุนเฟยตอบว่า “แดนปราณในชั้นเก้า แม้ไม่ได้สูงในบรรดาครูของสถาบัน แต่จัดการลู่ฝานได้สบายๆ”

โม่เทียนหัวเราะ แล้วพูดว่า “งั้นก็ดี แดนปราณในชั้นเก้า แค่กระบวนท่าเดียว ก็กำจัดลู่ฝานได้แล้ว วัยรุ่นอวดดีตามคาด หาเรื่องใส่ตัว”

หัวหน้าตระกูลเหยียนจางเหยียนถามจางเยว่หาน ด้วยคำถามเดียวกัน

จางเยว่หานตอบอย่างนิ่งๆ “พละกำลังของครูน่าหลานไม่ด้อย ลู่ฝานแพ้แล้ว”

จางเหยียนหัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “งั้นก็ดี ฉันทนดูความโอ้อวดของลู่ฝานไม่ไหวแล้ว เยว่หาน ลูกเลือกถูกแล้ว คนอวดดีไร้สมองแบบนี้ ไม่ใช่คนรักในฝันของลูกหรอก ลูกไม่จำเป็นต้องเศร้าแล้ว”

จางเยว่หานแววตาวูบไหว พูดออกมาว่า “รู้แล้วค่ะพ่อ”

ในลานกว้าง

น่าหลานรั่วง้างมือขึ้น

“ลู่ฝาน ปล่อยพลังปราณของนายออกมาสิ วางใจเถอะ ฉันเป็นครูของสถาบัน ไม่เอาชีวิตนายหรอก นิดหน่อยก็พอแล้ว”

น่าหลานรั่วแสร้งทำเป็นอ่อนโยน ทำท่าเป็นแบบอย่างของครู

แต่ขณะนั้น น่าหลานรั่วแอบเอาพลังปราณมาไว้เต็มแขน เขาจะกำจัดลู่ฝานด้วยการโจมตีครั้งเดียว เมื่อเป็นเช่นนี้ จะเห็นได้ชัดว่าการพิจารณาของเขา ไม่มีปัญหา

ลู่ฝานไม่ได้ปล่อยพลังปราณออกมา แค่เอากระบี่หนักด้านหลังออกมา

มือจับด้ามกระบี่เอาไว้ ลู่ฝานยืนอยู่ตรงนั้น กลับทำให้คนรู้สึกมั่นคงดั่งขุนเขา

ภาพลวงตาเช่นนี้ ทำให้คนที่ผลการฝึกตนไม่เพียงพอ รู้สึกหายใจรุนแรง

ในโรงชา ลู่เฮ่าหรานตาเป็นประกาย พูดออกมาว่า “ท่าทางดีนะ ลู่ฝานเป็นวิชากระบี่ตั้งแต่ตอนไหน เมื่อคืนฉันลืมถามเขาว่าเอากระบี่ใหญ่ด้านหลังมาจากไหน”

เจ้าดำที่ติดตามข้างกายลู่ฝาน เดินมาข้างๆ อย่างเชื่อฟัง ตอนลู่ฝานสะบัดกระบี่หนักในมือ อันตรายเป็นอย่างมาก

เจ้าดำที่แสนฉลาด รู้จุดนี้เป็นอย่างดี จึงหลบไปก่อน

สีหน้าของน่าหลานรั่วเปลี่ยนไปเล็กน้อย ยังไม่ทันได้ออกกระบวนท่า กลับทำให้คนรู้สึกกดดัน พรสวรรค์ของเด็กคนนี้ ไม่ธรรมดาจริงๆ นี่ถ้าเข้าไปในสถาบันสอนวิชาบู๊ พละกำลังยกระดับขึ้นมา ไม่แน่อาจฝึกการกดดันออกมาได้ก่อนเป็นการปลดปล่อยพลังปราณ

น่าหลานรั่วรู้สึกเสียใจนิดหน่อย อัจฉริยะเช่นนี้ แค่ฝึกตามขั้นตอน ถึงไม่ได้เข้าสถาบันสอนวิชาบู๊ ความสำเร็จในอนาคต ก็ไม่ด้อยกว่าเขาแน่นอน

ถ้าผ่านไปอีกไม่กี่ปี แล้วมาหาเรื่องเขาอีกครั้ง เขาจะทำอย่างไรดี

น่าหลานรั่วอดไม่ได้ที่จะเพิ่มพลังปราณบนแขนอีกบางส่วน ดูเหมือนต้องสร้างอะไรให้ลู่ฝานจดจำเสียหน่อย ในเมื่อตัดสินใจจะล่วงเกินแล้ว ทำลายความสามารถของอีกฝ่ายด้วยเลยละกัน

คิดได้เช่นนี้ น่าหลานรั่วพูดเสียงก้อง “ลู่ฝาน รับกระบวนท่าแรกของฉันไปซะ”

พูดจบ น่าหลานรั่วยกมือขึ้น โจมตีลู่ฝานด้วยหมัด

ทั้งสองคนห่างกันร้อยฟุต หมัดของน่าหลานรั่วชกใส่อากาศ แต่กลับทำให้เสื้อผ้าบนตัวลู่ฝาน เกิดเสียงดังพึ่บพั่บ

ในฐานะที่เป็นนักบู๊แดนปราณในชั้นเก้า แม้จะไม่ถึงขั้นที่ปล่อยพลังปราณออกมาข้างนอกได้ แต่หมัดเดียวมีพละกำลังทะลุทะลวง ทำร้ายคู่ต่อสู้กลางอากาศ

วินาทีต่อมา พลังหมัดอันแข็งแกร่ง กระทบลงบนตัวลู่ฝาน

ทั้งตัวลู่ฝานมีแสงสว่างขึ้นมา พลังปราณปลดปล่อยออกมาภายนอก พลิกมือฟาดกระบี่ลงไป

วิชากระบี่หนักท่าที่หนึ่ง สายลมทำลาย!

ทันใดนั้น มีเสียงเหมือนแก๊สระเบิดดังขึ้นในอากาศ ลู่ฝานฟันกระบี่ลงไป ทำลายพลังหมัดของน่าหลานรั่วทันที

ฝ่าเท้าจมลงไปในพื้นดินลึก กระบี่หนักกระแทกลงบนพื้น จนเกิดเสียงอึกทึก

ทันใดนั้น ทุกคนรู้สึกเหมือนมีลมพัดผ่านมา ลู่ฝานที่อยู่ในลานกว้าง สามารถรับกระบวนท่าแรก ได้อย่างปลอดภัย

“เป็นไปไม่ได้!”

โม่เทียนพูดอย่างตกใจ กระบี่นี่ของลู่ฝาน ดูเหมือนธรรมดา แต่แฝงไปด้วยความลึกลับ

โม่เทียนดูออกว่ากระบี่ของลู่ฝานไม่ธรรมดา ไม่ใช่เพลงกระบี่ทั่วไปแน่นอน ฟาดลงไปเพียงกระบี่เดียว ทำให้นักบู๊แดนปราณในชั้นเก้าอย่างน่าหลานรั่ว ไม่สามารถทำอะไรเขาได้

ลานกว้างเต็มไปด้วยความเงียบ แค่กระบี่เดียว สามารถพิสูจน์พละกำลังของลู่ฝานได้แล้ว

ปราณชี่ที่เหมือนเปลวเพลิง ปกคลุมตัวเอาไว้ ลู่ฝานไม่กลัวว่าจะมีคนรู้จักปราณชี่ของเขา เพราะดูจากภายนอก ปราณชี่กับพลังปราณของเขา ต่างกันไม่มาก แค่เหมือนเปลวไฟเท่านั้น

ขนาดหวูเฉินอาจารย์ของเขา ยังพูดเลยว่า แม้ว่าจะใช้ นักบู๊แดนหยินหยางลงไป ไม่มีทางดูออก เว้นเสียแต่เจอนักบู๊แดนหยินหยางขึ้นไป อาจมองความไม่ธรรมดาของปราณชี่เขาออก

จางเยว่หานกัดริมฝีปาก เขายกระดับอีกแล้ว!

ทำไม ทำไม แค่เขาจากฉันไป ถึงเปลี่ยนไปจนเก่งขนาดนี้

ลู่เฮ่าหรานกับลู่หาวก็ยังตกอยู่ในความตกใจ จากนั้น ลู่เฮ่าหรานหัวเราะออกมาเสียงดัง “ตระกูลลู่ของฉัน มีนักบู๊แดนปราณในอีกคนแล้ว ดีมาก ดีมากเลย!”

ลู่หมิงอ้าปากค้าง พูดอะไรไม่ออก

เขารู้ว่าตอนนี้ลู่ฝานแข็งแกร่งกว่าเขา แต่ลู่หมิงคิดมาตลอดว่า แค่ขยันฝึก เขาจะเหนือกว่าลู่ฝานได้ ช่วงระยะเวลานี้ ลู่หมิงก็ทำเช่นนี้ เขาฝึกอย่างหนักหนาสาหัสมาก

แต่ตอนนี้ ความจริงตรงหน้า เขาไม่เพียงแต่ไล่ตามลู่ฝานไม่ทัน แถมยังโดนลู่ฝานสลัดทิ้งไว้ด้านหลัง

พลังปราณ ลู่ฝานฝึกพลังปราณได้ก่อนเขา

ลู่หมิงรู้สึกได้ระบาย ที่เรียกว่าก้าวไปก่อนหนึ่งก้าว ก้าวหน้าไปก่อนทุกครั้ง ลู่ฝานฝึกพลังปราณได้ก่อนเข้าสถาบันสอนวิชาบู๊ งั้นหลังจากเข้าสถาบันสอนวิชาบู๊ ความเร็วในการฝึกจะเร็วยิ่งขึ้น ลู่หมิงอยากไล่ตามเขา คงยากมาก

ลู่หมิงถอนหายใจอยู่ในใจ

ลู่ฝานยืนหน้าหินศิลาดำ เก็บหมัดกลับมาอย่างนิ่งๆ

หมัดเมื่อกี้ อันที่จริง เขาไม่ได้ใช้แรงเท่าไร เพราะเขาฝึกแดนปราณในสำเร็จ เป็นระยะเวลานานแล้ว

น่าหลานรั่วหางตากระตุก รู้สึกกระวนกระวายใจ

เพราะการทดสอบของสถาบันสอนวิชาบู๊ มีกฎชัดเจนข้อหนึ่ง นักบู๊อายุต่ำกว่า 18 ปีที่สามารถฝึกพลังปราณได้ ไม่จำเป็นต้องทดสอบ สามารถเข้าสถาบันสอนวิชาบู๊ได้ทันที

ถ้าแค่แดนฝึกร่างชั้นเก้า ยังง่ายหน่อย แม้จะปฏิเสธ อย่างมากสถาบันแค่ถามสองสามคำ ไม่มีเรื่องใหญ่อะไร

แต่ถ้าพัวพันถึงอัจฉริยะ ที่สามารถฝึกพลังปราณออกมาได้ แต่ยังไม่ได้เข้าสถาบัน งั้นก็ลำบากแล้ว

ครูที่เหลือสองคน ต่างมองมาที่น่าหลานรั่ว พวกเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าควรทำอย่างไร

น่าหลานรั่วจับยาเม็ดที่อยู่ในอก และเงยหน้ามองโม่เทียน สุดท้ายตัดสินใจขวางลู่ฝานไว้ครั้งหนึ่ง

ให้ตายเถอะ ถึงขั้นนี้แล้ว ต้องให้ตระกูลโม่มอบของมาอีกสักหน่อย

น่าหลานรั่วพูดอย่างเกลียดชังในใจ ตอนนี้เขาลุกขึ้น พูดด้วยเสียงก้อง “ช้าก่อน”

ลู่ฝานรู้ว่าน่าหลานรั่ว ไม่ปล่อยเขาไปง่ายๆ แน่นอน จึงยืนอยู่หน้าหินศิลาดำ อย่างเงียบๆ

“ผู้ทดสอบคนนี้ ชื่อลู่ฝานงั้นเหรอ”

น่าหลานรั่วเอ่ยถาม แล้วเดินเข้ามา

ลู่ฝานตอบอย่างนิ่งๆ ว่า “ถูกต้อง ฉันชื่อลู่ฝาน”

น่าหลานรั่วเดินมาหน้าลู่ฝาน แล้วถามต่อ “ฉันได้ยินคนพูดกัน ผลการทดสอบของนายเมื่อปีก่อน แค่แดนฝึกร่างชั้นสามเท่านั้น แค่ปีเดียว จากแดนฝึกร่างชั้นสามจนมาถึงขั้นที่หินศิลาดำไม่สามารถประเมินได้ การพัฒนาอย่างนี้ ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อน”

ลู่ฝานยิ้มแล้วตอบว่า “ครูน่าหลานรู้เรื่องฉันไม่น้อยเลยนะ”

แววตาน่าหลานรั่ว ฉายแววเย็นชา แม้คำพูดของลู่ฝานจะราบเรียบ แต่เมื่อเขาได้ยิน เป็นการประชดชัดๆ เรื่องพวกนี้เขาฟังโม่หยุนเฟยเล่า จริงหรือเท็จ ตอนนี้น่าหลานรั่วยังสงสัย

แต่พูดถึงขั้นนี้แล้ว ไม่มีทางให้หนีแล้ว น่าหลานรั่วพูดต่อ “ลู่ฝาน ฉันเห็นพลังสกปรกล้อมรอบตัวนายอยู่ นายคงไม่ได้ใช้วิชานอกรีด อย่างวิชากลั่นเลือดขจัดปราณ มายกระดับพละกำลังใช่ไหม สถาบันสอนวิชาบู๊ของเรา ไม่รับนักเรียนแบบนี้หรอกนะ”

เมื่อพูดออกมา คนในลานกว้าง พากันถกเถียงขึ้นมา

“ลู่ฝานคงไม่ได้ใช่วิชานอกรีดใช่ไหม” ชายคนหนึ่งถามอย่างตกใจ

“ฉันว่าใช่นะ ไม่งั้นจะยกระดับได้เร็วขนาดนี้ได้อย่างไร ฉันพูดตั้งแต่แรกแล้ว สวะคนหนึ่งพลิกตัวได้เร็วขนาดนี้ ต้องมีอะไรลึกลับแน่นอน”

ผู้ชายอีกคน พูดด้วยสีหน้าไม่พอใจ แต่ความริษยาในแววตาเขา มองแวบเดียวก็รู้แล้ว

“น่าขำ ผลการฝึกตนที่ยกระดับจากวิชานอกรีด ทำให้ลู่ฝานเอาชนะข้ามขั้น คนอย่างจางเยว่หานได้เหรอ สามารถทำให้ลู่ฝานฝึกวิชาของตระกูลอย่างวิชากายทองไฟอาบได้เหรอ พวกมีตาหามีแววไม่”

คนที่แสร้งทำเป็นนักบู๊คนหนึ่ง หัวเราะแล้วพูดออกมา กลับเป็นลูกหลานของตระกูลลู่

ทุกคนพากันถกเถียงกัน พวกมีความรู้มีไม่น้อย แต่คนไม่รู้เยอะกว่า ทันใดนั้น สีหน้าคนส่วนใหญ่ที่มองลู่ฝาน มีความดูหมิ่นและสงสัย

น่าเสียดาย ที่ลู่ฝานไม่มีความสนใจ จะมองพวกเขาสักนิด ทำเพียงยิ้มมองน่าหลานรั่ว แล้วพูดว่า “พลังสกปรกงั้นเหรอ วิชานอกรีดงั้นเหรอ เหตุผลแบบนี้ ฉันเพิ่งเคยได้ยินครั้งแรก ครูน่าหลาน ไม่ใช่แค่พูดว่าฉันใช้วิชานอกรีดในการฝึกฝน ก็จะยืนยันว่าเป็นจริงใช่ไหม มีหลักฐานหรือเปล่า”

น่าหลานรั่วพูดอย่างเย็นชา “หลักฐานง่ายดายมาก นายฝึกพลังปราณได้แล้วไม่ใช่เหรอ ถ้าฝึกด้วยวิชาเที่ยงตรง พลังปราณจะแข็งแกร่ง พื้นฐานมั่นคง แค่หานักบู๊แดนปราณในแท้จริง มาทดสอบนายก็รู้แล้ว ทุกคนจะได้เห็นผลการฝึกตนของนายกับตา เมื่อเป็นเช่นนี้ ฉันให้ครูหร่วนฉีประลองกับนาย สามกระบวนท่า ถ้านายรับสามกระบวนท่าของเขาอย่างไม่แพ้ได้ ฉันจะเชื่อว่านายเป็นผู้มีความสามารถที่สวรรค์ประทานมา ถ้าไม่สามารถรับสามกระบวนท่าได้ ที่มาของพลังปราณของนาย คงจะมีปัญหาแล้วล่ะ”

พูดจบ น่าหลานรั่วหันไปกวักมือเรียกครูหร่วนฉีเข้ามา

แต่ขณะนั้น ลู่ฝานกลับยกมือขึ้นพูดว่า “ไม่จำเป็นแล้ว ครูน่าหลาน สู้มาประลองสามกระบวนท่ากับฉันดีกว่า แบบนี้จะทำให้ทุกคนเชื่อได้มากกว่า”

น่าหลานรั่วอึ้งไปเล็กน้อย เขาหรี่ตาลงพูดว่า “ลู่ฝาน นายพูดจริงเหรอ ฉันลงมือหนักกว่าครูหร่วนฉีนะ”

ลู่ฝานพูดว่า “ไม่เป็นไร แค่ฉันรับสามกระบวนท่าได้ ครูน่าหลานขอโทษฉันต่อหน้าทุกคนก็พอ!”

ลู่ฝานแบกกระบี่หนักไว้ด้านหลัง เดินเข้าไปกลางลานกว้างอย่างมั่นคง

เจ้าดำที่อยู่บนไหล่ มองไปรอบๆ อย่างสงสัย ไม่เข้าใจว่าทำไมทุกคนมองมาทางพวกเขา

บนโรงน้ำชา ลู่หาวจะเรียกลู่ฝานอย่างอดไม่ได้ แต่โดนลู่เฮ่าหรานรั้งเขาเอาไว้

“ไม่ต้องเรียกเขา ในเมื่อลู่ฝานทำเช่นนี้ ต้องมีแผนของตัวเอง เราไม่จำเป็นต้องรั้งไว้”

“แต่ลู่ฝานไปทดสอบในสภาพนี้ ต้องโดนน่าหลานรั่วที่มีเจตนาร้ายขัดขวางแน่นอน”

ลู่หาวพูดด้วยสีหน้าร้อนใจ

ลู่เฮ่าหรานพูดต่อ “ลู่ฝานไม่ใช่คนโง่ เขาตัดสินใจเช่นนี้ เขาต้องคิดเอาไว้แล้ว”

ลู่เฮ่าหรานถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วนั่งลง

แม้การตัดสินใจของลู่ฝานครั้งนี้ จะไม่ค่อยฉลาดนัก แต่ลู่เฮ่าหรานก็ไม่รั้งเขาไว้

นักบู๊แข็งแกร่งทุกคน เมื่อมีการตัดสินใจของตัวเอง จะไม่สั่นคลอนเพราะสิ่งภายนอก จะไม่เปลี่ยนแปลงเพื่อใคร

ในเมื่อลู่ฝานตัดสินใจแล้ว ลู่เฮ่าหรานทำได้เพียงสนับสนุน

“ลู่ฝานมาในตอนนี้ ตั้งใจมาให้เราดูเรื่องตลกหรือเปล่า หยุนเฟย คุณชายจ้าวซวี่ มาแล้วเหรอ”

โม่หลินหัวเราะเบาๆ โม่หยุนเฟยที่อยู่ด้านหลัง เดินเข้ามา

ผู้ชายสูงใหญ่ หน้าตาหล่อเหลา ที่มากับโม่หยุนเฟย นิ้วมือนิ้วเท้าเรียวยาว ดูมีพลัง สวมชุดคลุมยาวสีขาว ดูมีราศีโดดเด่น

“ยังดีที่ผมมาทันเวลา ไม่งั้นคงพลาดตอนที่ลู่ฝานขายหน้าต่อหน้าทุกคน แบบนั้นคงเศร้าใจแย่”

โม่หยุนเฟยกับจ้าวซวี่นั่งลงข้างโม่หลิน สายตาจ้าวซวี่มองลู่ฝาน หลังจากประเมินตั้งแต่หัวจรดเท้า สีหน้าดูแปลกประหลาด

แอบคิดในใจ นี่คือลู่ฝานที่ความเร็วการฝึกฝนใกล้เคียงปีศาจอย่างนั้นเหรอ

ทำไมถึงมีกลิ่นอายของผู้ฝึกชี่ ออกจากตัวเขา

ฉันคิดมากไปเองหรือเปล่า

โม่เทียนมีรอยยิ้มเต็มใบหน้า แม้การมาถึงของลู่ฝาน จะเหนือความคาดหมายของเขา แต่ไม่มีอะไรดีกว่านี้แล้ว

โม่เทียนพยักหน้าจากไกลๆ ให้น่าหลานรั่ว ที่อยู่ข้างหินศิลาดำ

ตอนนี้น่าหลานรั่วลืมตา แววตาฉายแววเย็นชา

มาแล้วจริงๆ เป็นตามที่ใจเขาต้องการ เป็นไปตามที่เขาคิดไว้ในใจ เมื่อกี้ยังคิดว่าจะจัดการให้เสร็จเร็วๆ ตอนนี้ลู่ฝานมาถึงแล้ว

น่าหลานรั่วยกยิ้มมุมปาก หันไปพูดกับครูอีกสองคนที่เหลือ “ทั้งสองท่านคงเห็นแล้ว บนตัวของเด็กคนนี้มีอะไรไม่ธรรมดา”

ครูอีกสองคน จะไม่รู้ความหมายของน่าหลานรั่วได้อย่างไร พวกเขารู้ดีว่าน่าหลานรั่ว อยากทำอะไร ทั้งสองพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “ไม่ธรรมดาจริงๆ เหมือนมีอะไรสกปรกบนตัว”

น่าหลานรั่วหัวเราะ เขาพูดเช่นนี้ เพราะต้องการลองเชิงท่าทีของครูสองคนนี้ แค่ครูสองคนนี้ไม่วุ่นวาย ทุกอย่างจะง่ายดายมาก

ลู่ฝานเขียนชื่อ และยื่นให้ เขายื่นรอผู้ตรวจสอบเรียกชื่ออยู่ไม่ไกล

ขณะนั้น คนที่กำลังทดสอบข้างหน้า ไม่สามารถดึงดูดสายตาทุกคนได้แล้ว ทุกคนกำลังซุบซิบถึงพละกำลังของลู่ฝาน

“อย่างน้อยตอนนี้ลู่ฝานคงอยู่ในระดับฝึกร่างชั้นเก้า”

“น่าจะอยู่ในแดนฝึกร่างชั้นเก้าชั้นสูงสุด งานล่าสัตว์ที่เขาซีซานครั้งก่อน เขาเอาชนะจางเยว่หานที่ฝึกพลังปราณได้แล้ว”

“ไม่แน่เขาอาจฝึกพลังปราณได้แล้วเหมือนกัน”

“อืม มีความเป็นไปได้”

“ลู่ฝานต้องผ่านการทดสอบได้แน่”

……

คนที่ทดสอบข้างหน้า ลงมาอย่างรวดเร็ว ไม่มีใครทำให้เสียเวลา พวกเขาอยากเห็นพละกำลังตอนนี้ ของลู่ฝานเช่นกัน

ทุกคนให้ความสนใจกับสภาพของลู่ฝานในตอนนี้มาก คิดถึงการทดสอบเมื่อหนึ่งปีก่อน ต่างกันราวฟ้ากับเหวจริงๆ

“ต่อไป ลู่ฝาน!”

เสียงเรียกหนึ่งดังขึ้น ทุกคนเงียบลงทันที

ลู่ฝานเดินเข้าไปช้าๆ มองหินศิลาดำตรงหน้า อย่างไม่ยินดียินร้าย

สายตาของคนตระกูลลู่ ตระกูลโม่ และตระกูลจางที่อยู่บนโรงน้ำชา ต่างมองมาที่ลู่ฝาน อันที่จริง พวกเขาอยากรู้แดนพละกำลังของลู่ฝานในตอนนี้มาก

ฮึบ!

ลู่ฝานแผดเสียงเบาๆ และชกหมัดออกไปทันที

ไม่มีเสียงลม อีกทั้งคนส่วนใหญ่ มองการเคลื่อนไหวของลู่ฝาน ได้ไม่ชัดเจน ต่อมาหมัดของลู่ฝาน กระแทกลงบนหินศิลาดำ

เสียงแตกดังขึ้น รอยร้าวนับไม่ถ้วน ปรากฏขึ้นบนหินศิลาดำ แสงสีทองสว่างขึ้นมา แต่กลับไม่มีตัวอักษรปรากฏขึ้นมา

แสงสีทองสว่างวาบ แยงตาทุกคน ทันใดนั้นแสงหายไป

ทุกคนมองหินศิลาดำ ที่ไม่มีตัวอักษรใดปรากฏขึ้นมา ด้วยสีหน้าตกใจ

ไม่มีตัวอักษรปรากฏขึ้นมา ไม่มีตัวอักษรอะไรเลย

นี่สามารถอธิบายได้สองสถานการณ์ หนึ่งคือลู่ฝานไม่มีพละกำลัง แม้แต่แดนฝึกร่างชั้นหนึ่ง แต่ถ้าเป็นสถานการณ์นี้ ไม่น่าจะมีแสงแสบตาขนาดนั้น

สองคือ ลู่ฝานก้าวหน้าถึงแดนปราณในขึ้นไปแล้ว เพราะหินศิลาดำ เป็นเพียงเครื่องมือทดสอบของนักบู๊แดนฝึกร่างเท่านั้น แค่ฝึกพลังปราณได้ หินศิลาดำทั่วไปไม่สามารถประเมินระดับได้อีก

อย่าบอกนะว่า ลู่ฝานเข้าสู่แดนปราณในแล้ว

เหลือเชื่อจริงๆ ในเวลาหนึ่งปี ยกระดับจากแดนฝึกร่างชั้นสาม ไปสู่แดนปราณใน เป็นเรื่องมหัศจรรย์มาก!

กรอบ!

โม่เทียนกำแก้วชาในมือจนแตก กัดฟันพูดว่า “แดนปราณใน คิดไม่ถึงว่าลู่ฝานฝึกถึงแดนปราณในแล้ว พรสวรรค์ของเด็กคนนี้ ไม่ธรรมดาจริงๆ”

โม่หยุนเฟยสีหน้าตกตะลึง ตอนนี้ยังอยู่ในอาการเหม่อลอย เขาไม่อยากจะเชื่อ ลู่ฝานฝึกพลังปราณได้ก่อนเขา ส่วนจ้าวซวี่ที่นั่งอยู่ข้างๆ มีสีหน้าราบเรียบ แค่แดนปราณในเท่านั้น ต้องตกใจด้วยเหรอ ในสถาบันสอนวิชาบู๊ คนแบบนี้มีถมเถ จ้าวซวี่ไม่เข้าใจความตกใจของคนตระกูลโม่ เพราะเขาไม่รู้ว่าลู่ฝาน ใช้ความเร็วแบบไหน ก้าวหน้าถึงแดนปราณใน

เช้าวันต่อมา แสงอาทิตย์ส่องไปทั่ว หิมะบนท้องถนนละลาย อากาศดีที่มีไม่บ่อยนัก

ลู่เฮ่าหรานกับลู่หาวให้ลูกหลานตระกูลลู่ เอากล่องขนาดใหญ่สองกล่อง เข้ามาในโรงน้ำชา เลื่อนมาบนห้องของพวกเขาตั้งแต่เช้า

ของสองกล่องนี้ เป็นเงินทองสมบัติ ที่ตระกูลลู่สะสมไว้หลายปี อย่างที่ลู่หมิงพูด เพื่อที่จะให้ลู่ฝานเข้าสถาบันสอนวิชาบู๊ได้ ลู่เฮ่าหรานไม่เสียดายอยู่แล้ว

เพิ่งเลื่อนของมาบนหน้าประตูโรงน้ำชา ประตูใหญ่ของห้องตระกูลโม่ที่อยู่ไม่ไกล เปิดออกทันที ก็พบเจอตาเฒ่าโม่และโม่เทียนที่มีรอยยิ้มเตฅ็มอยู่ทั้งใบหน้า เมื่อเห็นกล่องใหญ่สองกล่อง โม่เทียนยิ้มแล้วพูดว่า “ตาเฒ่าลู่ นี่นายจะทำอะไร ติดสินบนคนเหรอ ตระกูลลู่ต่ำตมขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร”

ลู่เฮ่าหรานพูดอย่างเย็นชา “ตาเฒ่าโม่ นายรู้อยู่แก่ใจ ทำไมต้องถามอีก”

โม่เทียนพูดว่า “ฉันรู้อยู่แล้ว แต่เกรงว่าของพวกนี้คงไม่พอ น้อยจนน่าสงสาร ครูน่าหลานโลภมากๆเลยนะ!”

พูดคำว่า “มาก” ออกมาสองครั้ง โม่เทียนหัวเราะเสียงดัง และปิดประตูห้องลงทันที

ลู่เฮ่าหรานสีหน้าไม่สู้ดี สะบัดแขนเสื้อเดินเข้าห้อง ลู่หาวที่อยู่ข้างๆ ถามว่า “ตาเฒ่าโม่หมายความว่ายังไง”

ลู่เฮ่าหรานพูดว่า “จะหมายความว่าอะไรได้อีกล่ะ คงไม่มีอะไรนอกจากเยาะเย้ย ที่พวกเราเอาน่าหลานรั่วมาเป็นพวกไม่ได้ ถ้าเดาไม่ผิด พวกเขาต้องให้ผลประโยชน์กับน่าหลานรั่ว อย่างที่เราไม่สามารถให้ได้”

ขมวดคิ้วครุ่นคิดครู่หนึ่ง ลู่เฮ่าหรานพูดต่อ “ถ้าเดาไม่ผิดเป็นไปได้มากว่าต้องเป็นยาเม็ด”

เมื่อได้ยินคำว่ายาเม็ด ลู่หาวสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ตระกูลของพวกเขา ไม่สามารถเอายาเม็ดมาได้จริง

“คิดไม่ถึงว่าตระกูลโม่จะเอายาเม็ดให้คนได้ อย่าบอกนะว่าตระกูลพวกเขา มีผู้ฝึกชี่”

ลู่เฮ่าหรานส่ายหน้า “ตอนนี้ยังไม่รู้ ต่อไปค่อยสืบเถอะ ลู่เฟิง อีกเดี๋ยวนายไปทำความรู้จักกับน่าหลานรั่วอะไรนั่นหน่อย แอบเปิดเผยของดีที่เราจะให้เขา แค่เขามีท่าทางสนใจ รีบพาเขามาคุยทันที ขอแค่ให้ลู่ฝานเข้าสถาบันสอนวิชาบู๊ได้ ให้ไปอีกสักหน่อย ก็ไม่เป็นไร”

ลู่เฟิงพยักหน้าพูดว่า “เข้าใจแล้วครับ”

ลู่หมิงฟังอยู่ข้างๆ ตลอด แอบกัดฟันขึ้นมาไม่ได้

ในใจมีทั้งความอิจฉา ความโกรธ อารมณ์ต่างๆ มากมาย ลู่ฝาน นายบอกว่าจะไม่ให้ตระกูลเสียสละไม่ใช่เหรอ ตอนนี้นายอยู่ไหน

อีกด้านหนึ่ง โม่เทียนหัวเราะอย่างมีความสุข

“ฮ่าๆ ตาเฒ่าลู่คิดว่าตัวเองสามารถซื้อใจน่าหลานรั่วได้เหรอ โง่สิ้นดี เขาเป็นครูสถาบันสอนวิชาบู๊ที่ยิ่งใหญ่ ไม่ขาดแคลนเงินแค่เล็กน้อยของนายหรอก ถึงเขาเอาวิชากายทองไฟอาบของตระกูลลู่ออกมา เกรงว่าน่าหลานรั่วคงไม่มองสักเท่าไร”

โม่หลินที่อยู่ข้างๆ หัวเราะตาม “สู้เราให้ครูน่าหลาน เอาสมบัติทั้งหมดของตระกูลลู่ไปเลย เพราะไม่ได้ให้คำพูดที่แน่นอน เขายอมให้เอง ตระกูลลู่จะไปเอาเรื่องน่าหลานรั่วที่สถาบันสอนวิชาบู๊ได้เหรอ”

โม่เทียนหัวเราะแล้วพูดว่า “นี่เป็นความคิดที่ไม่เลวนะ อีกเดี๋ยวนายไปบอกครูน่าหลาน ใช่สิ สองวันนี้ ผู้ฝึกชี่จ้าวซวี่ เป็นยังไงบ้าง ครั้งนี้ต้องขอบคุณเขานะ”

โม่หลินพูดว่า “กำลังนอนอยู่ที่บ้านครับ”

โม่เทียนพูดว่า “ให้โม่หยุนเฟยเที่ยวกับเขา เขายอมช่วย เราจะชักช้ารีรอไม่ได้”

โม่หลินพูดว่า “ตอนนี้เขากับโม่หยุนเฟย เรียกกันว่าพี่น้อง สนิทกันไม่เบา เมื่อวานยังไปหอไป่เฟิ่งด้วยกัน ทั้งสองเที่ยวกันอย่างมีความสุข”

โม่เทียนยิ้มแล้วพูดว่า “งั้นก็ดี จ้าวซวี่อนาคตยังอีกไกล มีเขาคอยช่วย การยกระดับแดนของหยุนเฟย จะเร็วขึ้นด้วย เราต้องสานสัมพันธ์ที่ดีให้ได้ ในเมื่อเขามาตระกูลโม่แล้ว สู้ให้เขาช่วยเรากลั่นยาสักเตา และให้เขาช่วยยกระดับศิษย์ตระกูลโม่คนอื่นๆ ด้วย”

โม่หลินพยักหน้า พูดว่า “ผมกลับไปบอกหยุนเฟยให้ครับ เขาออกหน้า คิดว่าจ้าวซวี่คงจะช่วย”

รอยยิ้มเต็มใบหน้าโม่เทียน ได้เป็นเพื่อนกับผู้ฝึกชี่ ดีอย่างนี้นี่เอง

ด้านล่าง พวกคนธรรมดาในเมืองเจียงหลิน พากันทดสอบอย่างกระตือรือร้น มีแสงสว่างขึ้นมาจากหินศิลาดำเรื่อยๆ เผยให้เห็นระดับผลการฝึกตน

น่าหลานรั่วมองอยู่ข้างๆ เงียบๆ หรี่ตาลง เหมือนเหม่อลอยเล็กน้อย

ในอกมีขวดยาที่ตระกูลโม่ให้เขา รู้สึกพึงพอใจ ออกมาทำงาน ยังได้ยาเม็ดหนึ่งขวด คุ้มค่าแล้ว

แค่ขัดขวางวัยรุ่นที่ชื่อลู่หมิง ไม่ให้เข้าสถาบันสอนวิชาบู๊ แค่เรื่องปอกกล้วยเข้าปาก

เขาหวังว่าลู่ฝานจะมาเร็วๆ จัดการให้เสร็จเรียบร้อย จะได้กินยาเม็ดอย่างสบายใจ

ขณะนั้น กลุ่มคนที่โหวกเหวกโวยวายเงียบลง สายตาของทุกคนมองไปด้านหลังพร้อมกัน

“ลู่ฝานมาแล้ว ลู่ฝานมาแล้ว”

เสียงตะโกนดังออกมาจากกลุ่มคน ทันใดนั้นเสียงเชียร์ต่างๆ นานาดังขึ้นมา

สายตาของทุกคน มองไปยังลู่ฝาน ที่กำลังเดินเข้ามาช้าๆ

บนโรงน้ำชา ลู่เฮ่าหรานลุกขึ้นยืนอย่างตกใจ

ลู่ฝานมาได้ยังไง!

คืนวันเดียวกัน ตระกูลลู่ เปิดไฟสว่างไสว

ในห้องหนังสือ ผู้นำตระกูลลู่เรียกรวมสมาชิก ลู่เฮ่าหรานยิ้ม มองลู่ฝานกินอย่างตระกละ แล้วพูดว่า “ลู่ฝาน กินช้าๆ หน่อย ของกินมีเยอะแยะ”

ลู่ฝานพยักหน้าพลาง “ต่อสู้” กับเจ้าดำไปพลาง คนกับสัตว์กินอาหารเต็มโต๊ะอย่างสบายใจ ฝึกในเขาเกือบครึ่งปี วันๆ กินแต่เนื้อย่าง ผลไม้ป่า แม้ฝีมือจะดีขนาดไหน แต่ก็กินจนจะอ้วกออกมา กว่าจะกลับมาได้ ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องกินอาหารรสเลิศของพ่อครัวให้เยอะหน่อย

เจ้าดำแทบจะใช้ขาทั้งสี่ข้าง มันไม่เคยกินของอร่อยขนาดนี้มาก่อน ตามเจ้านายมา เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุด

ลู่เฮ่าหรานส่ายหน้า ดูเหมือนการฝึกฝนระยะนี้ ทำให้ลู่ฝานตะกละมาก

ลู่เฮ่าหรานหันไปพูดกับลู่หมิง “ลู่หมิง เล่าเรื่องโดยรวมให้ลู่ฝานฟังอีกครั้งสิ”

ลู่หมิงมองลู่ฝานกินอย่างเอร็ดอร่อย ด้วยสายตาดูหมิ่นเล็กน้อย เมื่อได้ยินลู่เฮ่าหรานพูด จึงเล่าเหตุการณ์ออกมาอีกรอบ

เมื่อเขาพูดจบ ลู่ฝานกินได้พอประมาณแล้ว

อาหารเต็มโต๊ะ สลายหายไปในพริบตา เจ้าดำลูบท้องป่องของตัวเอง ด้วยสีหน้าพอใจ

ลู่ฝานเช็ดปาก แล้วพูดว่า “ตระกูลโม่ใช้วิธีต่ำขนาดนี้เลยเหรอ พละกำลังของน่าหลานรั่วเป็นยังไงบ้าง”

ลู่หมิงครุ่นคิดครู่หนึ่ง จึงพูดว่า “ปราณในชั้นสุดยอด ครูที่ออกมาทำงานข้างนอก ล้วนอยู่ในแดนปราณในทั้งนั้น”

ลู่ฝานพยักหน้า แล้วพูดว่า “ไม่ใช่แดนปราณนอกก็ดีแล้ว กลัวเขาทำไม ผมอยากดูว่าเขาจะขัดขวางผมยังไง”

ลู่เฮ่าหรานขมวดคิ้ว พูดว่า “ลู่ฝาน อย่าประมาท ตอนนี้พละกำลังของนายเป็นยังไง น่าจะอยู่ในแดนฝึกร่างชั้นเก้าระดับสูงสุดใช่ไหม บนตัวมีบาดแผลหรือเปล่า”

ลู่ฝานพยักหน้าเบาๆ พูดคลุมเครือ “แดนฝึกร่างชั้นเก้าเหรอ ทำได้แน่นอน บนตัวไม่มีบาดแผล”

ได้ยินดังนั้น ลู่เฮ่าหราน ลู่หาวและคนอื่นถอนหายใจอย่างโล่งอก ช่วงนี้พวกเขากลัวว่าลู่ฝานจะฝึกจนร่างกายได้รับบาดเจ็บเป็นที่สุด

แค่ลู่ฝานไม่เป็นอะไร เรื่องอื่น สามารถไกล่เกลี่ยกันได้

เอาของไปให้เขา แล้วคุยกันสักหน่อย ดูว่ายังมีที่ให้ผ่อนปรนหรือไม่ สิ่งที่ตระกูลโม่ให้เขาได้ ไม่มีอะไรนอกจากเงิน สมบัติ เรื่องนี้ถึงตระกูลลู่เทียบไม่ได้กับตระกูลโม่ แต่ก็มีอยู่เหมือนกัน ลู่ฝานเพิ่งฝึกกลับมา พักผ่อนก่อนสักวัน ถ้าฉันต่อรองไม่สำเร็จ

ลู่ฝานอ้าปากเหมือนจะพูดอะไร แต่โดนลู่หาวขัดเอาไว้

ลู่หาวตบไหลลู่ฝาน แล้วพูดว่า “พักผ่อนเต็มที่สักวัน ไม่ต้องสนใจเรื่องอื่นมาก”

ลู่เฮ่าหราน ลู่หาว ลู่เฟิง ลุกออกไป เหมือนจะไปทางสวนด้านหลังตระกูลลู่

ลู่หมิงไม่ได้ไป มองลู่ฝานด้วยแววตาเย็นชา

เมื่อเห็นลู่เฮ่าหรานและคนอื่นออกไปจนลับตา ลู่หมิงพูดว่า “ลู่ฝาน นายรู้ไหมว่าตอนนี้พวกคุณปู่ไปไหน”

ลู่ฝานส่ายหน้าเบาๆ แล้วพูดว่า “ไม่รู้ เหมือนจะไปทางสวนด้านหลัง”

ลู่หมิงพูดต่อ “ถูกต้อง สวนด้านหลัง แต่พวกเขาไม่ได้ไปคุยกัน แต่ไปเอาของจากโกดังสมบัติด้านหลัง นายควรจะรู้ไว้นะ เพราะเรื่องของนาย ตระกูลอาจต้องเสียเงินก้อนโต ถึงขนาดเป็นสิ่งที่สะสมเอาไว้หลายปี หรือเป็นสิบปี”

ลู่ฝานอึ้งไปเล็กน้อย ลู่หมิงลุกขึ้นยืน มองลู่ฝานเขม็ง แล้วพูดว่า “ไม่มีใครรู้ว่าเสียเงินก้อนโตเพราะนาย จะคุ้มค่าหรือไม่ ลู่ฝาน นายบอกฉันมาตามตรง ผลการฝึกตนของนาย ได้มาจากเส้นทางชั่วร้ายหรือเปล่า”

พูดพลาง ลู่หมิงเอากระบี่ยาวออกมาจากแขนเสื้อ ปลายแหลมของกระบี่ จ่ออยู่ที่คอลู่ฝาน

ลู่ฝานพูดอย่างราบเรียบว่า “ผลการฝึกตนของฉัน ล้วนมาจากการฝึกฝนอย่างหนัก ทำไมถึงพูดว่ามาจากเส้นทางชั่วร้ายได้”

ลู่หมิงพูดว่า “เวลาแค่ไม่กี่เดือน จากฝึกร่างระดับต่ำ พุ่งไปถึงแดนฝึกร่างระดับสูง ถ้าไม่มีเส้นทางชั่วร้าย นายจะทำได้อย่างไร”

ลู่ฝานพูดว่า “ฝึกหนักอย่างเอาเป็นเอาตาย แค่นี้เท่านั้นเอง”

ลู่หมิงพูดว่า “ฉันไม่เชื่อ”

ลู่ฝานพูดว่า “ตอนแรก ฉันไม่เชื่อเหมือนกัน”

ทั้งสองมองตากัน แววตาลู่ฝานแน่วแน่ ลู่หมิงกลับแววตาวูบไหวเสียเอง

ทันใดนั้น ลู่หมิงวางกระบี่ลง ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ลู่ฝาน หวังว่าเงินของตระกูลที่เสียให้นาย จะเป็นประโยชน์ ครั้งนี้ตระกูลต้องสละให้นายมาก นายอย่าทำให้ตระกูลผิดหวัง”

ลู่หมิงพูดจบ เก็บกระบี่ เตรียมจะออกไป

ลู่ฝานพูดเบาๆ ว่า “ลู่หมิง ทำไมนายต้องช่วยฉัน”

ลู่หมิงหันมาพูดว่า “ฉันไม่ได้ช่วยนาย ฉันช่วยตระกูล ตอนนี้นายเป็นหน้าเป็นตาของตระกูล ถ้านายทำให้อับอาย ตระกูลลู่ก็จะอับอายตามทั้งตระกูล ฉันรังเกียจคนที่ทำให้ตระกูลขายหน้า”

ลู่ฝานหัวเราะออกมา แล้วพูดว่า “ที่แท้นี่เป็นเหตุผล ที่นายดูหมิ่นฉันในตอนแรก ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้ว นายวางใจเถอะ ฉันไม่ต้องการให้ตระกูลสละอะไรเพื่อฉัน และไม่ทำให้ตระกูลขายหน้าด้วย”

ลู่หมิงมองลู่ฝาน ส่ายหน้าหัวเราะ แล้วพูดว่า “ปัญญาอ่อน นายคิดจะไม่ไปสถาบันสอนวิชาบู๊เหรอ”

ลู่ฝานพูดอย่างราบเรียบ “ฉันจะไปสถาบันสอนวิชาบู๊อยู่แล้ว จะอาศัยพละกำลังของฉันเอง”

ลู่หมิงมองลู่ฝานใจเย็นและนิ่งดั่งน้ำ เริ่มมีความเชื่อมั่นผุดขึ้นมาในใจ

ลู่หมิงพูดขึ้นมาช้าๆ ว่า “หวังว่านายจะทำได้ ลู่ฝาน ขอถือโอกาสพูดอีกสักประโยค ฉันยังคงเกลียดนายมาก”

ลู่ฝานพยักหน้าพูดว่า “บังเอิญจัง ฉันก็ยังเกลียดนายมากเหมือนกัน”

ทั้งสองสบตากัน แล้วหัวเราะออกมา ลู่หมิงเดินออกไป

ลู่ฝานเอาเจ้าดำวางไว้บนโต๊ะ แล้วพูดกับเจ้าดำว่า “แกว่าพรุ่งนี้ น่าหลานรั่วจะขวางฉันไหม”

เจ้าดำท่าทางสับสน ลู่ฝานลูบคาง แล้วพูดว่า “ทำไม ฉันรู้สึกคาดหวังเล็กน้อยนะ”

……

ลู่เฮ่าหรานขมวดคิ้ว แล้วพูดว่า “ครั้งนี้น่าหลานรั่วเป็นหัวหน้าครู คำพูดของเขา คิดว่าครูอีกสองคน คงไม่กล้าเถียง ถ้านายพูดจริงทั้งหมด ลู่ฝานคงจะลำบากจริงๆ แล้ว”

ลู่หาวพูดอย่างโมโหว่า “เขายังสามารถฉ้อกลบนหินศิลาดำได้อีกเหรอ พละกำลังบนกระดานเห็นอยู่ทนโท่ เขาจะขัดขวางได้ยังไง”

ลู่เฮ่าหรานพูดด้วยความโกรธเล็กน้อย “ไอ้โง่ หินศิลาดำฉ้อกลได้ยาก แต่เขาคงหาเหตุผล มาบอกว่าพละกำลังของลู่ฝานไม่เที่ยงธรรม ดินแดนแห่งนี้ มีสายร้ายสายมารไม่น้อยที่สามารถทำให้พละกำลังของคนเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่การเติบโตเช่นนี้ ได้รับการเหยียดหยามบนโลก สถาบันสอนวิชาบู๊ก็ไม่รับ แค่อีกฝ่ายยืนหยัดในจุดนี้ ลู่ฝานก็ไม่อาจแก้ตัวได้ เพราะอีกฝ่ายเป็นครูของสถาบันสอนวิชาบู๊ พูดมีน้ำหนักมากกว่าเรา”

ลู่หาวเหงื่อไหลบนหน้า พูดออกมาว่า “ใช่เลย การพัฒนาของลู่ฝานรวดเร็วเกินไปจริงๆ ถ้าโดนคนเอาจุดนี้ไปเล่นงาน ต้องทำให้เขาเข้าสถาบันสอนวิชาบู๊อย่างไม่ราบรื่นแน่นอน”

ลู่เฮ่าหรานส่งเสียงหึอย่างเย็นชา แล้วพูดว่า “กลัวว่าคนที่จะเล่นงานคือตาเฒ่าโม่น่ะสิ ถ้าเรื่องนี้ไม่ใช่ความคิดของเขา คงแปลกมาก ถึงไม่ว่าจะมาวิธีไหนก็สามารถรับมือได้ สิ่งสำคัญในตอนนี้ คือรอลู่ฝานกลับมา แล้วค่อยว่ากัน แค่เขากลับมาก่อน เราจะได้ปรึกษากลยุทธ์รับมือตามพละกำลังของเขา”

ลู่หาวรีบลุกขึ้นยืน แล้วพูดว่า “ผมจะส่งคนไปหาลู่ฝานอีกชุดหนึ่ง”

ลู่เฮ่าหรานพยักหน้าเบาๆ ลู่หาวจึงรีบเดินออกไป

ลู่เฮ่าหรานขมวดคิ้ว มองใบหน้าของน่าหลานรั่ว แววตาแหลมคมขึ้นมาทันที

ลู่หมิงกลับไปนั่งที่เดิม หันไปมองลานกว้างที่คึกคัก เดิมทีในใจลู่หมิงสงสัยเช่นนี้เหมือนกัน พละกำลังของลู่ฝาน ไม่ใช่ได้มาจากเส้นทางชั่วร้ายเหรอ

คนที่เป็นสวะมาหลายสิบปี จะใช้ความพยายามของตัวเอง พลิกตัวได้จริงเหรอ

……

อีกด้านหนึ่ง โม่หยุนเฟยกระซิบข้างหูโม่เทียน ทันใดนั้น โม่เทียนยกยิ้มมุมปาก

และพลาดโอกาสครั้งนี้ แค่เขาอายุเกิน 18 ปี ก็ไม่สามารถเข้าสถาบันสอนวิชาบู๊ได้ตลอดชีวิต เข้าสถาบันสอนวิชาบู๊ไม่ได้ นั่นแสดงว่าเขาต้องเดินบนเส้นทางคดเคี้ยวของการฝึกบู๊อีกสิบกว่าปี ไม่มีครูที่มีชื่อเสียงให้คำแนะนำ และไม่มีทักษะวิชาบู๊สูงส่ง นี่เรียกว่า เดินผิดก้าวเดียว พลาดไปทั้งชีวิต

ครั้งนี้ลู่ฝานตายแน่ แม้พละกำลังเขาจะแข็งแกร่ง แต่ครั้งนี้ยังไงก็ต้องพ่ายแพ้ ปู่ ผมมีเรื่องสงสัยมาตลอด ลู่ฝานไม่ได้อาศัยหนทางชั่วร้ายในการฝึกฝนจริงเหรอ พละกำลังของเขาพัฒนาเร็วขนาดนี้ เหลือเชื่อมาก ไม่แน่ การกระทำครั้งนี้ของเรา

“หยุนเฟย นายคิดผิดแล้ว ถ้าใช้เส้นทางชั่วร้าย บนเวทีประลองครั้งนั้น เขาคงเอาชนะนายไม่ได้ เส้นทางชั่วร้าย สามารถทำให้ผลการฝึกตนเพิ่มขึ้นได้จริง แต่เคล็ดวิชากายทองไฟอาบของตระกูลลู่ นายจะอธิบายยังไง นี่เป็นวิชาจริงแท้แน่นอน ลู่ฝานต้องฝึกหนัก จนได้พละกำลังมา อย่างไม่ต้องสงสัย จุดนี้นายต้องจำเอาไว้ จัดการศัตรู นายจะโหดร้าย ไร้เยื่อใย

โม่หยุนเฟยแสดงสีหน้าน้อมรับคำสั่งสอน

น่าสงสัยยิ่งกว่า พื้นฐานไม่มั่นคง พลังปราณไม่แท้ แม้จะไม่ใช่เส้นทางชั่วร้าย แต่ก็ฝืนธรรมชาติ น่าขำที่ตระกูลจาง

โม่หยุนเฟยส่ายหน้า พูดว่า “ไม่แล้วครับ เธอหาเจอที่พึ่งใหญ่ยิ่งกว่าในสถาบันได้แล้ว เลยไม่เห็นผมอยู่ในสายตาแล้ว”

โม่เทียนพูดอย่างเย็นชา “ความสามารถหาผู้ชายไม่เลวเลยนะ น่าเสียดาย ยังไงก็ไม่ใช่หนทางเที่ยงธรรม”

โม่เทียนเงียบไป แล้วถามว่า “ลู่ฝานของตระกูลลู่ กลับมาหรือยัง”

โม่หลินที่อยู่ด้านหลังพูดว่า “เหมือนยังไม่กลับมาครับ”

โม่เทียนยิ้ม แล้วพูดว่า “ไม่กลับมาจะดีที่สุด เราจะได้ไม่ต้องคิดบัญชีเขา ถ้าเขาตายอยู่ในป่าลึกจริง ไม่แน่ ต่อไปเมืองเจียงหลิน อาจคิดถึงอัจฉริยะน่าตกตะลึงที่เคยมาจากตระกูลลู่ก็เป็นได้ แต่ถ้าเขากลับมา อัจฉริยะลู่ฝานคนนี้ จะกลายเป็นลู่ฝานที่ใช้เส้นทางชั่วร้าย”

พูดจบ โม่เทียน โม่หยุนเฟยและโม่หลินหัวเราะขึ้นพร้อมกัน

……

ตอนนี้ที่ตีนเขาซีซาน นอกเมืองเจียงหลิน

เงาคนคนหนึ่งเดินออกมาช้าๆ เปลือยท่อนบน แบกกระบี่หนักด้านหลัง บนหัวมีสุนัขสีดำยืนอยู่หนึ่งตัว

“ฮ่าๆๆ ฉันกลับมาแล้ว เมืองเจียงหลิน ฉันกลับมาแล้ว เจ้าดำ ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป แกไม่ต้องทำกับข้าวทุกวันแล้ว อาจารย์ยอมอยู่ในภูเขา ก็ให้เขาอยู่ในภูเขาไปเถอะ”

แสงแดดสาดลงมาบนหน้าคนคนนี้ คือลู่ฝานที่กลับมาจากการฝึกฝนอย่างหนัก

เห็นกำแพงเมืองที่ปรากฏตรงหน้า ลู่ฝานอ้าแขนทั้งสองข้าง หัวเราะออกมา

เจ้าดำที่ยืนอยู่บนหัวเขา มองกำแพงเมืองของมนุษย์อย่างสงสัย เบิกตาโตทั้งสองข้าง คำรามออกมา

ลู่ฝานรีบเดินไปยังกำแพงเมือง กระบี่หนักด้านหลังลู่ฝาน ไม่มีผลกระทบกับการวิ่งของลู่ฝานสักนิด พื้นดินใต้เท้า ไม่โดนเหยียบจนยุบลงไปลึกอีกแล้ว

การฝึกฝนไม่ใช่เรื่องง่าย พริบตาเดียวก็ผ่านฤดูใบไม้ผลิไป ใบไม้ร่วงหมดแล้ว

ในเมืองเจียงหลิน ใกล้ปลายปีแล้ว หิมะเต็มกิ่งไม้

วันนี้เป็นอีกวันที่สถาบันสอนวิชาบู๊รับสมัครนักเรียน ที่มีแค่ปีละครั้ง ลานกว้างขนาดใหญ่ มีหินศิลาดำวางไว้

เสียงคนดังเจี๊ยวจ๊าว คึกคักเป็นอย่างมาก

สามวันต่อมา หนุ่มสาวที่อายุไม่เกิน 18 ปี ล้วนเข้ามาลองได้ ผลจะถูกบันทึกโดยผู้ตรวจสอบของสถาบันสอนวิชาบู๊ที่อยู่ที่นี่ หนุ่มสาวที่ถึงมาตรฐาน จะได้เข้ามาฝึกในสถาบันสอนวิชาบู๊สามปี

ทุกครั้งที่ถึงช่วงนี้ เป็นช่วงที่เมืองเจียงหลินคึกคักที่สุด มีคนเข้าไปทดสอบ แทบจะทุกช่วงเวลา แม้คนทั้งเมืองเจียงหลินที่สามารถเข้าไปฝึกฝนในสถาบันสอนวิชาบู๊ได้จริงๆ จะมีไม่กี่คนเท่านั้น แต่นี่ไม่สามารถขัดขวางความกระตือรือร้นของทุกคนได้

เวลาสองวันก่อนหน้านี้ ล้วนเป็นช่วงของคนทั่วไป เมื่อถึงวันที่สาม ตระกูลลู่ ตระกูลโม่ จึงจะลูกหลานของตระกูลตัวเองออกมาทดสอบ

แต่ปีนี้ ตระกูลใหญ่นิ่งมาก เพราะตระกูลพวกเขา ล้วนมีคนเข้ามาในสถาบันสอนวิชาบู๊แล้ว มีผู้สืบทอดต่อไปแล้ว

ทุกครั้งในช่วงเวลานี้ ลูกหลานที่ไปมาระหว่างสถาบันสอนวิชาบู๊ จะรีบกลับไปเตรียมงานเทศกาลเซ่นไหว้ประจำปีที่ตระกูลตัวเอง

ลู่หมิง จางเยว่หาน โม่หยุนเฟย ล้วนนั่งอยู่ข้างผู้นำตระกูลตัวเอง

นี่เป็นโรงน้ำชาข้างลานกว้างที่อยู่ตำแหน่งดีที่สุด มองเห็นชัดเจน มองจากด้านบนโรงน้ำชา สามารถมองเห็นได้ทั้งลานกว้าง

ตอนนี้ทุกห้องในโรงน้ำชา มีคนนั่งเต็มไปหมด ห้องที่ดีที่สุดไม่กี่ห้อง ถูกเก็บไว้ให้ตระกูลใหญ่ ในเมืองเจียงหลิน

โม่เทียนดื่มชาอย่างสบายใจ พูดคุยยิ้มแย้มกับโม่หยุนเฟย และโม่หลินที่อยู่ข้างๆ

สีหน้าทุกข์ใจ ช่วงนี้ เพราะแพ้ให้ตระกูลลู่แสนเหรียญทอง ทำให้ผู้นำตระกูลจางกลุ้มใจอยู่สองสามเดือน เงินขาดดุล ทำให้ความคับแค้นใจของตระกูลได้ระบือไปทั่ว เดาว่าคงจะใช้เวลา 1-2 ปี ถึงจะสามารถฟื้นฟูพลังในการขับเคลื่อนการดำรงชีวิตกลับมาได้อีกครั้ง ทุกครั้งที่คิดถึงจุดนี้

จางเยว่หานที่อยู่ข้างๆ ไม่พูดอะไรสักคำ สายตาเอาแต่มองออกไปข้างนอก เหมือนกำลังรอใครมา

มีเพียงลู่เฮ่าหรานของตระกูลลู่ ที่ดื่มชาไม่ลง อดหันไปถามลู่หาวที่อยู่ข้างๆ ไม่ได้ “ทำไมลู่ฝานยังไม่กลับมา เขาไม่รู้เหรอว่าช่วงนี้เป็นการรับสมัครนักเรียนของสถาบันสอนวิชาบู๊ นายส่งคนไปหาแล้วหรือยัง”

ลู่หาวไม่รู้ว่าวันนี้ตอบเป็นครั้งที่เท่าไรแล้ว พูดด้วยสีหน้าเศร้าใจ “ส่งคนออกไปหาแล้วครับ ตอนนั้นลู่ฝานบอกว่าเข้าป่าไปฝึกหนัก ส่วนอยู่ที่ไหน ไม่มีใครรู้ แต่เขาอยากเข้าสถาบันสอนวิชาบู๊มาโดยตลอด ไม่มีเหตุผลที่จะไม่กลับมา พ่อรออย่างสบายใจเถอะ คิดว่าไม่เกินคืนนี้ เขาคงกลับมา”

ลู่เฮ่าหรานพูดว่า “หวังว่านายจะพูดถูก ฉันกลัวว่าเขาจะเจออะไรไม่ดีที่เขาซีซาน”

ลู่หาวหัวเราะอย่างผ่อนคลาย แล้วพูดว่า “เรื่องนี้ไม่ต้องกังวลครับ จากพละกำลังของลู่ฝาน ไม่เจออะไรที่ไม่ดีอย่างแน่นอน”

“ก็จริง ฉันคิดมากไปเอง รอลู่ฝานกลับมา จากแดนผลการฝึกตนของเขา การทดสอบของสถาบันสอนวิชาบู๊ เป็นแค่เรื่องง่ายเท่านั้น เมื่อถึงตอนนั้น ตระกูลลู่ของเรา จะเป็นตระกูลเดียวที่มีลูกหลานเข้าสถาบันสอนวิชาบู๊ได้สองคน ลู่หมิง ต่อไปอยู่ในสถาบันสอนวิชาบู๊กับลู่ฝาน ต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ไม่ว่าในตระกูลพวกนายจะทะเลาะกันอย่างไร ยังไงพวกนายก็คือพี่น้องสายเลือดเดียวกัน คนตระกูลเดียวกัน

ลู่หมิงที่นั่งอยู่ข้างลู่เฟิง ลุกขึ้นพยักหน้าตอบรับ ลู่หมิงเงยหน้าขึ้น เหมือนจะพูดอะไร แต่ก็ไม่พูด

ลู่เฮ่าหรานที่อยู่ข้างๆ ดูออก จึงเอ่ยถาม “ลู่หมิง นายมีอะไรจะพูดไหม”

ลู่หมิงสูดหายใจลึก แล้วพูดว่า “ปู่ ผมรู้ว่าผมกับลู่ฝาน ไม่ปรองดองกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร แต่สิ่งที่ผมจะพูดต่อไป ไม่มีทางทำร้ายลู่ฝานแน่นอน”

ลู่เฮ่าหรานขมวดคิ้ว แล้วพูดว่า “นายจะพูดอะไร”

ลู่หมิงกัดฟันกรอด “รอลู่ฝานกลับมา ได้โปรดเกลี้ยกล่อมเขา……เกลี้ยกล่อมเขา ไม่ให้เขาร่วมการทดสอบจะดีกว่า”

ราวกับลู่หมิงตัดสินใจครั้งใหญ่ ถึงจะพูดประโยคนี้ออกมาได้ ลู่เฮ่าหรานขมวดคิ้วทันที “ลู่หมิง นายรู้ไหมว่ากำลังพูดอะไรอยู่ อย่าบอกนะว่าใจริษยาของนาย ถึงขั้นนี้แล้ว”

ลู่เฟิงรีบเข้ามา จับลู่หมิงลูกชายตัวเองไว้ แล้วพูดกับลู่เฮ่าหรานว่า “พ่ออย่าเพิ่งโกรธ ผมว่าลู่หมิงพูดแบบนี้ ต้องมีเหตุผลแน่นอนครับ ลู่หมิง ยังไม่รีบบอกเหตุผลอีก”

ลู่เฮ่าหรานกับลู่หาวจ้องไปที่ลู่หมิง

ลู่หมิงสูดหายใจลึก แล้วพูดว่า “ผมได้ข่าวในสถาบันสอนวิชาบู๊ เหมือนโม่หยุนเฟยได้ซื้อน่าหลานรั่ว ครูที่ให้คำแนะนำ ซึ่งเป็นตัวแทนสถาบันในการรับนักเรียนครั้งนี้ไปแล้ว จุดประสงค์มีเพียงอย่างเดียว คือไม่ให้ลู่ฝานเข้าสถาบันสอนวิชาบู๊ เขาจะเล่นตุกติกตอนลู่ฝานทดสอบ มีความเป็นไปได้ว่า จะขัดขวางต่อหน้า เพื่อไม่ให้ลู่ฝานทดสอบ”

ได้ยินดังนั้น ลู่เฮ่าหรานกับลู่หาวหันไปมองทางลานกว้าง

ข้างหินสีดำ มีครูของสถาบันนั่งอยู่สามคน คนตรงกลาง เป็นชายวัยกลางคน สวมชุดนักบู๊ลายมังกรสีขาว บนหน้ามีแผลจากกระบี่ นิ้วมือซ้ายหายไปหนึ่งนิ้ว นั่นก็คือน่าหลานรั่วที่ลู่หมิงพูดถึง เมื่อวานตระกูลลู่กับตระกูลโม่ ร่วมมือกันจัดงานเลี้ยง เชิญเข้ามาทานข้าว

ลู่เฮ่าหรานพูดช้าๆ ว่า “ลู่หมิง นายพูดจริงเหรอ”

ลู่หมิงพูดว่า “ถ้าโกหกแม้แต่น้อย ขอให้โดนฟ้าผ่าเลยครับ”

ผ่านไปไม่กี่ชั่วยาม ดวงดาวระยิบระยับเต็มฟ้า

หม้อไฟบุ๋นวางอยู่ข้างๆ เจ้าดำยืนอยู่ด้านบน

ภายใต้การบังคับของหวูเฉิน เจ้าดำพ่นเปลวไฟดำออกมาอย่างยากลำบาก ย่างสัตว์ป่ากับสมุนไพรที่ได้มาใหม่

ลู่ฝานนั่งบนพื้น วางกระบี่หนักบนพื้น ยิ้มแหยๆ แล้วพูดว่า “อาจารย์ นี่คือสิ่งที่จะสอนมันเหรอ ให้เจ้าดำรู้จักการย่างนะ”

หวูเฉินยิ้มแล้วพูดว่า “ทำไม นี่เป็นงานฝีมือเหมือนกัน นายต้องเอาทุกวินาทีมาฝึกฝน เรื่องการย่าง ล่าสัตว์ ที่รบกวนชีวิตแบบนี้ ให้เป็นหน้าที่เจ้าดำ ฉันว่ามันมีความเข้าใจมาก เรียนการย่างไม่ใช่ปัญหา เจ้าดำ ไฟแรงแล้ว!”

หวูเฉินทำท่ากดมือลง เจ้าดำเห็นการกระทำของหวูเฉิน ก็รีบลดเปลวไฟให้เล็กลง

ลู่ฝานเห็นดังนั้น จึงพูดอะไรไม่ออก สมาธิทั้งหมดอยู่บนกระบี่หนักด้านหน้า

ตั้งแต่วันแรกที่ได้กระบี่หนักและทื่อ ลู่ฝานเอาแต่ครุ่นคิดถึงตัวอักษรบนตัวกระบี่

แม้ตอนนี้ยังไม่ได้อะไร แต่ลู่ฝานรู้สึกว่าตัวเองมองอะไรออกนิดหน่อย

ลู่ฝานรวบรวมสมาธิ มองตัวอักษรบนตัวกระบี่ไปมา

วันนี้รู้สึกแปลกไปเล็กน้อย มองไปมองมา ในหัวของลู่ฝาน “มองเห็น” กระบี่หนักฟันออกไป

กระบี่นี้ธรรมดาไม่หรูหรา โจมตีด้วยการฟันออกไปแบบธรรมดาๆ แต่กลับทำให้ลู่ฝานรู้สึกเหมือนฟ้าถล่มดินทลาย

ราวกับว่าเมื่อฟันลงไป ไม่มีอะไรที่ขัดขวางการล้างทำลายได้ ไม่มีอะไรที่ทำลายไม่ได้

ลู่ฝานสั่นไปทั้งตัว ละสายตาออกมาจากกระบี่เล่มนั้น

ตอนนี้ลู่ฝานเพิ่งรู้สึกว่าเหงื่อออกเต็มตัว

หวูเฉินเห็นลู่ฝานตั้งสติได้ จึงถามว่า “เข้าใจอะไรได้บ้าง”

ลู่ฝานพูดว่า “วิชากระบี่หนึ่งท่า แค่ท่าเดียว”

หวูเฉินยิ้มแล้วพูดว่า “เข้าใจวิชากระบี่ได้หนึ่งท่า นับว่าไม่เลวแล้ว ตั้งใจทำความเข้าใจ ไม่แน่ ต่อไปท่านี้ อาจเป็นท่าไม้ตายของนายก็ได้”

ลู่ฝานพยักหน้า แล้วพูดว่า “ผมรู้สึกแบบนี้เหมือนกัน ท่าที่แข็งแกร่ง พลานุภาพอันน่ากลัว”

สายตามองไปยังตัวอักษรบนกระบี่อีกครั้ง ทันใดนั้น ลู่ฝานเห็นการเขียนของตัวอักษรตัวแรก ทำไมถึงให้ความรู้สึกเหมือนท่ากระบี่ในหัวเมื่อครู่

ทันใดนั้น ลู่ฝานมองออกแล้ว การเขียนตัวอักษรนี้ แฝงไปด้วยกลิ่นอายและความมีชีวิตชีวาของวิชากระบี่ ที่ผุดขึ้นมาในหัวเขาเมื่อครู่

ลู่ฝานหัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “ที่แท้เป็นแบบนี้นี่เอง เจ้าของเดิมของกระบี่เล่มนี้ คืออัจฉริยะจริงๆ ใช้วิธีนี้เก็บรักษาเคล็ดวิชาบู๊ของตัวเองเอาไว้”

เมื่อจับต้นชนปลายได้ ลู่ฝานมีความสุขมาก มีตัวอักษรนี้เป็นสิ่งอ้างอิง ต่อไปเขารู้แล้ว ว่าควรฝึกฝนอย่างไร

แค่เขาสามารถเคลื่อนไหวกระบี่หนักเล่มนี้ได้……

ตอนนี้ เจ้าดำย่างเนื้อเสร็จแล้วเช่นกัน หวูเฉินเอาเนื้อย่างออกมา แม้มีบางส่วนที่โดนย่างจนเกรียม แต่ส่วนอื่นยังกินได้

ฉีกชิ้นใหญ่ให้เจ้าดำก่อน ส่วนที่เหลือหวูเฉินแบ่งกับลู่ฝาน

เจ้าดำกินเนื้อที่ตัวเองย่างอย่างมีความสุข หรี่ตาโตทั้งสองข้างลง

หวูเฉินหันไปมองท่าทางของเจ้าดำ จึงหัวเราะแล้วพูดว่า “ลู่ฝาน นายว่าต่อไปมันจะยิ่งขยันย่างเนื้อไหม”

ลู่ฝานพูดว่า “ดูจากท่าทางการกินของมัน แน่นอนอยู่แล้วครับ”

ลู่ฝานลุกขึ้นยืน จากนั้นแบกกระบี่ใหญ่ไว้ด้านหลัง พูดขึ้นมาว่า “พักผ่อนเสร็จแล้ว ฝึกฝนกันต่อ อย่างน้อยต้องตวัดกระบี่เล่มนี้ได้อย่างตามใจชอบ ก่อนเทศกาลเซ่นไหว้ประจำปีนี้ ผมอยากสอบเข้าสถาบันสอนวิชาบู๊”

หวูเฉินพยักหน้าข้างๆ แล้วพูดว่า “ถูกต้อง นายต้องไปสถาบันสอนวิชาบู๊ อีกทั้งทางที่ดี ต้องเข้าคณะหนึ่งเดียว”

ลู่ฝานถามว่า “ทำไมเหรอครับ”

หวูเฉินยิ้มแล้วพูดว่า “เพราะว่าถ้าฉันจำไม่ผิด ต่อไป วิชาที่เหมาะกับคนที่ฝึกทั้งบู๊และพลังชี่แบบนาย คือเพลงเต๋าหนึ่งเดียวของคณะหนึ่งเดียวเท่านั้น”

ลู่ฝานยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “เหรอครับ งั้นก็พยายามต่อ เพื่อเพลงเต๋าหนึ่งเดียว”

ลู่ฝานยืดหลังตรง หัวเราะออกมาเสียงดัง เจ้าดำที่อยู่ข้างๆ ก็เงยหน้าคำรามออกมาด้วยเช่นกัน

หลังผ่านไปครึ่งเดือน ในป่าทึบ คนสองคนและสุนัขหนึ่งตัว เดินไปข้างหน้าช้าๆ

หวูเฉินหลอมอุกกาบาตจิตเย็น เข้าไปในด้ามกระบี่แล้ว รูปหยินหยางปากว้าสีดำขลับตรงด้ามกระบี่ที่มองไม่เห็น ตอนนี้กลายเป็นสีฟ้า

อุกกาบาตจิตเย็นหลายสิบชั่ง สุดท้ายสามารถใช้บนด้ามกระบี่ได้เพียงนิดเดียว ความสิ้นเปลืองที่ไม่สมดุล ทำให้ลู่ฝานเศร้าใจ แต่หลังจากเขาสัมผัสได้ถึงประโยชน์ของอุกกาบาตจิตเย็น ก็ไม่เศร้าใจอีกแล้ว กลับรู้สึกคุ้มค่า

พลังระหว่างฟ้าดิน โดนอุกกาบาตจิตเย็นดูดซับอย่างต่อเนื่อง กลายรูป จากนั้นกลั่นเป็นพลังบริสุทธิ์ เข้าไปในร่างกายเขา

ไม่ว่าจะเป็นการฝึกพลังปราณของนักบู๊ หรือการฝึกพลังชี่ของผู้ฝึกชี่ ล้วนเป็นกระบวนการดูดซึมพลังฟ้าดิน ปราณชี่ของลู่ฝานก็ไม่ต่างกัน แต่เพราะเดิมที ความเร็วการฝึกของเขาช้านิดหน่อย จากที่อาจารย์พูด เพราะปราณชี่ของเขามีพลังสองชนิดรวมกัน ดังนั้นจึงต้องใช้พลังชี่ฟ้าดินเป็นสองเท่าเช่นกัน จากความเร็วการฝึกฝนของตัวเขา จะใช้ปราณชี่ฝึกจนเป็นรูปเป็นร่างได้ยาก มีเพียงการช่วยเหลือของอุกกาบาตจิตเย็น ความเร็วการฝึกของลู่ฝาน จึงจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

มิน่าล่ะ อาจารย์ถึงต้องหาอุกกาบาตจิตเย็นให้เจอ เพียงแค่นิดเดียว กลับทำให้การค้นหาหลายเดือน คุ้มค่าเป็นอย่างมาก

ลู่ฝานแบกกระบี่หนัก เดินหนึ่งก้าวหยุดหนึ่งก้าว

น้ำหนักอันน่ากลัว กดเขาจนแทบจะยกตัวไม่ได้ สุนัขที่เดินเหมือนคนอยู่ข้างๆ เดินเร็วกว่าเขาอีก ไม่ใช่สิ สุนัขยังแยกเขี้ยวยิงฟันใส่ลู่ฝานด้วย เหมือนกำลังหัวเราะเยาะ ที่ลู่ฝานเดินช้าขนาดนี้

เหงื่อบนตัวไหลออกมาเหมือนฝน ทุกก้าว ลู่ฝานจะเหยียบจนพื้นเป็นรอยเท้าลึก

สายตาของหวูเฉิน อยู่ที่สุนัขตลอดเวลา เขาหัวเราะแล้วถามว่า “ลู่ฝาน นายทำให้มันตามนายมาได้ยังไง สุนัขตัวนี้ ไม่ใช่สิ มังกรตัวนี้ ไม่ธรรมดานะ”

ลู่ฝานย่างเท้าช้าๆ แล้วพูดว่า “มังกร มันเป็นมังกรจริงเหรอครับ ทำไมดูเหมือนสุนัขเลย”

หวูเฉินพูดว่า “ง่ายมาก มันเป็นเลือดผสม แม้บนตัวมีเลือดมังกร แต่ก็มีเลือดสุนัขเหมือนกัน”

ลู่ฝานหัวเราะออกมา แล้วพูดว่า “อาจารย์จะบอกว่า มังกรกับสุนัขยังคบหากันได้เหรอ รูปร่างของพวกมันต่างกันขนาดนี้ จะเป็นไปได้ยังไงครับ!”

ลู่ฝานคิดถึงภาพที่สุนัขกับมังกรอยู่ด้วยกัน อดขำออกมาไม่ได้

หวูเฉินมองลู่ฝานอย่างดูหมิ่น แล้วพูดว่า “ต้องแปลกใจด้วยเหรอ นายไม่เคยเห็นเต่ามังกรที่มีสายเลือดมังกรเหรอ มังกรกับเต่าคบกันได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสุนัขแค่ตัวเดียว”

จู่ๆ ลู่ฝานพูดอะไรไม่ออก เหมือนสุนัขรู้ว่าลู่ฝานกำลังพูดถึงตัวเอง สะบัดขาหน้าสั้นๆ ทั้งสองข้างอย่างตื่นเต้น

“ลู่ฝาน นายยังไม่บอกเลยว่าทำให้มันตามมาได้ยังไง”

หวูเฉินอยากรู้เรื่องนี้มาก ลู่ฝานตอบว่า “แค่เนื้อย่างชิ้นเดียวก็จบแล้ว”

ครั้งนี้ หวูเฉินเป็นฝ่ายตกใจ ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ พูดออกมาว่า “แค่เนื้อย่างชิ้นเดียวเหรอ”

ลู่ฝานพยักหน้าพูด “ใช่ครับ แค่เนื้อย่างชิ้นเดียว”

หวูเฉินส่ายหน้า “เฮ้อ ถ้าพวกผู้ฝึกชี่ที่เลี้ยงสัตว์อสูรโดยเฉพาะมาได้ยินคำนี้ คงต้องอับอายจนฆ่าตัวตาย เป็นมังกรที่เลี้ยงง่ายจริงๆ นายจะตั้งชื่อมันว่าอะไร”

ลู่ฝานคิดไปคิดมา แล้วพูดว่า “มันดำขนาดนี้ ชื่อเจ้าดำละกัน”

หวูเฉินขมวดคิ้ว “นายจะตั้งชื่อมังกรยักษ์ ที่ต่อไปจะตัวยาวเป็นพันฟุต ว่าเจ้าดำจริงเหรอ”

ลู่ฝานพูดว่า “ต่อไปมันจะกลายเป็นแบบไหน ใครจะไปรู้ล่ะครับ แต่ตอนนี้มันทั้งตัวเล็กและดำ ไม่ใช่เหรอครับ”

พูดพลาง ลู่ฝานชะงักฝีเท้าลง เรียกสุนัขสองครั้ง

“เจ้าดำ เจ้าดำ มานี่”

สุนัขได้ยิน ก็วิ่งมาจริงๆ เด้งตัวขึ้นไปบนหัวลู่ฝาน

หวูเฉินพูดอะไรไม่ออก โบกมือไปมาแล้วพูดว่า “ช่างเถอะๆ พอกันทั้งคู่ ตามใจพวกแกละกัน ลู่ฝาน ต่อไปถ้านายเจอผู้ฝึกชี่ที่เลี้ยงสัตว์อสูร นายต้องขอให้เขาสอนเทคนิคการเลี้ยงมังกรเด็กด้วยนะ สัตว์อสูรที่สายเลือดไม่บริสุทธิ์เช่นนี้ ต่อไปจะเป็นสุนัขหรือมังกร หลักๆ คงต้องดูจากการเลี้ยงดู กินอาหารอะไร ทำให้เชื่องอย่างไร ล้วนเป็นสิ่งสำคัญ”

ลู่ฝานพยักหน้าเข้าใจ แล้วพูดว่า “เข้าใจแล้วครับ”

หวูเฉินเงียบครู่หนึ่ง จู่ๆ พูดขึ้นมาว่า “แม้ฉันจะเลี้ยงสัตว์อสูรไม่เป็น แต่ฉันสอนอย่างอื่นให้มันได้ นายบอกว่ามันพ่นไฟได้ไม่ใช่เหรอ”

ลู่ฝานตาเป็นประกาย แล้วพูดว่า “เหรอครับอาจารย์ อาจารย์จะสอนอะไรให้มันครับ”

หวูเฉินยิ้มแล้วพูดว่า “นายคอยดูก็พอแล้ว”

……

ลู่ฝานมองสุนัขแล้วพูดว่า “วางใจเถอะ ฉันไม่ฆ่าแกหรอก พูดขึ้นมา ครั้งก่อนแกช่วยฉันไว้ครั้งหนึ่ง เหอะๆ ถ้าครั้งก่อนแกพ่นไฟเหมือนครั้งนี้ ฉันคงตายไปแล้ว แกเป็นสุนัขหรือเป็นมังกรกันแน่เนี่ย!”

เหมือนสุนัขเข้าใจคำพูดของลู่ฝาน กลอกตามองบน ขณะนั้น เสียงโครกครากดังออกมาจากท้องสุนัข

ลู่ฝานหัวเราะเสียงดัง

“แกหิวแล้วใช่ไหม”

ลู่ฝานพลิกมือ เอาเนื้อย่างที่เตรียมไว้ในแหวนออกมา ส่งให้สุนัข

สุนัขดมก่อนสองสามที แล้วมองลู่ฝาน เหมือนกับกำลังดูว่ามียาพิษหรือเปล่า

ลู่ฝานเพิ่งเคยเห็นสัตว์อสูรฉลาดแบบนี้เป็นครั้งแรก เขายิ้ม แล้วฉีกเนื้อย่างยัดใส่ปาก เคี้ยวและกลืนลงท้อง

สุนัขเห็นดังนั้น จึงกัดคำใหญ่อย่างโล่งใจ

แม้จะขยับตัวไม่ได้ แต่ยังขยับปากกินได้ ไม่รู้เคี้ยวอย่างไร สุนัขกินอย่างตะกละ จนเนื้อย่างหมดไปหนึ่งชิ้นจากนั้นลู่ฝานเห็นสายตาของสุนัขเปลี่ยนไป เหมือนสัตว์อสูรที่หิวโหยมาก มีแสงสีเขียวสว่างขึ้นมา

ลู่ฝานไม่ต้องพูดอะไรอีก สุนัขกินเนื้อย่างอย่างเอาเป็นเอาตาย กินไปพลาง แรงของมันเริ่มกลับมา ขาหน้าสั้นๆ สองข้าง จับเนื้อย่างแล้วเริ่มกิน

ลู่ฝานมองมัน แล้วยิ้มบางๆ

ไม่นาน สุนัขกินเนื้อย่างชิ้นใหญ่จนหมด ลู่ฝานเอามันวางลงพื้น แล้วพูดว่า “โอเค ถ้าแกเดินได้แล้ว ก็เดินสิ แกไม่ต้องพ่นไฟใส่ฉัน วันนี้โดนแกพ่นจนน่าเวทนาพอแล้ว”

สุนัขฉีกปาก ราวกับกำลังมีความสุข ในปากมีเปลวไฟดำอยู่เล็กน้อย ลู่ฝานรีบเตือนมัน สุนัขก้มหัวลงอย่างว่าง่าย

“ไปเถอะ ไปใช้ชีวิตสัตว์อสูรที่สงบของแก จากความสามารถของแก ไม่แน่ต่อไป อาจเป็นเจ้าแห่งเขาซีซานก็ได้”

ลู่ฝานยิ้มมองสุนัข แล้วพูดกับสุนัข แต่สุนัขกลับไม่มีท่าทีว่าจะไป เบิกตาโตมองลู่ฝาน

ทันใดนั้น สุนัขกัดแขนของลู่ฝาน

ลู่ฝานร้องอย่างตกใจ “อีกแล้วเหรอ ฉันให้แกกิน แกมากัดฉันเนี่ยนะ!”

ยังพูดไม่ทันจบ ทันใดนั้น ลู่ฝานเห็นภาพมากมาย ผุดขึ้นมาในหัว

ล้วนเป็นสิ่งที่เกี่ยวกับสุนัขตัวนี้ มันเติบโตอย่างไร ในโพรงถ้ำอันมืดสนิท เอาชีวิตรอดด้วยการอาศัยดอกไม้ทิพย์ดิน

จนกระทั่งเขาเลื่อนแผ่นหินออก เอาดอกไม้ทิพย์ดินไป สุนัขจึงออกมาในป่าลึก โดนสัตว์อสูรต่างๆ นานารังแก หลังจากหลบซ่อนไปทั่ว มันเดินไปตามกำแพงหินอันราบเรียบ แอบเข้าไปในรังมังกร หกล้มคลุกคลานนับไม่ถ้วน แต่กลับลุกขึ้นมาได้หลายต่อหลายครั้ง

ช่วงที่อยู่ในรังมังกร นับว่าสงบสุข เหมือนมังกรฟ้าหกปีกตัวนั้นไม่ค่อยกลับมาเท่าไรนัก มันอาศัยการกัดกินแก้วหินสัตว์อสูร ในการเอาชีวิตรอด เพราะกินแก้วหินไปเยอะ มันจึงมีความสามารถในการพ่นไฟ

สุนัขตัวนี้ใช้วิธีนี้ ในการทำให้ลู่ฝานรู้ว่ามันผ่านอะไรมาบ้าง ลู่ฝานไม่เคยรู้เลยว่าสัตว์อสูรมีความสามารถระดับนี้ด้วย

เมื่อเห็นตอนที่สุนัขออกจากโพรงถ้ำ แล้วโดนสัตว์อสูรต่างๆ นานารังแก ไม่รู้ทำไม ลู่ฝานรู้สึกสะเทือนใจ สัตว์อสูรทุกตัวที่เจอสุนัขจะกลั่นแกล้ง แต่ไม่ทำให้ตาย แกล้งจนเกล็ดทั้งตัวของมันบาดเจ็บไปทั้งตัว จากนั้นจึงปล่อยมัน แล้วก็มาแกล้งอีก

เหมือนสุนัขรับรู้ความรู้สึกของลู่ฝานได้ น้ำตาเม็ดใหญ่ ไหลออกมาจากตาสุนัข ร่วงลงบนพื้น

ภาพสุดท้ายคือช่วงที่สุนัขกินเนื้อย่าง ช่วงเวลานี้ เหมือนเรื่องที่ดีที่สุด ในหลายวันที่ผ่านมา

ลู่ฝานคิดไม่ถึง เนื้อย่างเพียงชิ้นเดียว คือทุกสิ่งทุกอย่างที่มันต้องการ แค่เนื้อย่างเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น

สุนัขค่อยๆ ปล่อยออกช้าๆ ลู่ฝานไม่ได้สนใจตรงที่ตัวเองโดนกัด หันไปมองสุนัขแล้วพูดว่า “ที่แท้แกมันก็น่าสมเพช”

สุนัขต้องไม่รู้ความหมายของคำว่าน่าสมเพชแน่นอน แต่มันก็ยังพยักหน้าอย่างสุดชีวิต

ลู่ฝานลูบหัวสุนัข แล้วพูดว่า “ช่างเถอะ ครั้งแรกถือว่าบังเอิญ ครั้งที่สองถือว่าเป็นโชคชะตา แกกับฉันถือว่าเป็นโชคชะตา ฉันเลี้ยงสัตว์เลี้ยงแบบแกเอาไว้ดีกว่า ไปกับฉัน ฉันไม่รับรองว่าแกจะอยู่อย่างสบาย แต่มีเนื้อย่างให้กินทุกวันแน่นอน”

สุนัขยังคงพยักหน้าอย่างสุดชีวิต เหมือนมันทำเป็นแต่ท่านี้

ลู่ฝานยิ้มแล้วมองมัน เอาเนื้อย่างออกมาอีก ครั้งนี้ เขากินด้วยกันกับสุนัข

เวลาหยุดนิ่งอยู่ในช่วงนี้ ภาพค้างอยู่ในเวลานี้

สำหรับลู่ฝานแล้ว เขาเพียงแค่ตัดสินใจรับสัตว์อสูรตัวเล็กๆ มาเลี้ยงเท่านั้น

แต่สำหรับสุนัข ช่วงเวลานี้เป็นนิรันดร์

ลู่ฝานใช้แรงทั้งหมด ในที่สุดก็เอากระบี่ออกมาได้

กระบี่ยาวประมาณสี่ฟุตกว่า กว้างหนึ่งฟุตกว่า ตัวกระบี่หนาและหนัก ไม่มีลวดลาย เห็นภาพหยินหยางเล็กๆ แบบรางๆ บริเวณด้ามกระบี่ เมื่อกระแทกลงบนพื้น ลู่ฝานเห็นพื้นยุบลงไป

นี่เป็นกระบี่ที่ทำจากวัสดุอะไรกัน ถึงหนักได้ขนาดนี้

สายตาของหวูเฉินโดนกระบี่ดึงดูด เขายื่นมือไปคว้า ฝ่ามือเพิ่งสัมผัสโดนตัวกระบี่ หวูเฉินชักมือกลับอย่างรวดเร็ว เหมือนจับโดนสายฟ้า

“หินเต่างูดำทลายชี่!”

หวูเฉินพูดอย่างตกใจ และดูกระบี่เล่มนี้อย่างละเอียด

มีลำแสงอยู่บนมือ หวูเฉินสัมผัสเบาๆ ตรงด้ามกระบี่ ทันใดนั้นมีแสงปรากฏขึ้นบนภาพหยินหยาง

บนตัวกระบี่ มีตัวอักษรลอยขึ้นมา

“กระบี่หนักไม่คม ไหวพริบต้องเรียบง่าย!”

ลู่ฝานโดนตัวอักษรเหล่านี้ดึงดูดเอาไว้ ตัวอักษรขนาดใหญ่ เหมือนกระบี่หนักกระแทกลงบนใจเขา เมื่อมองตัวอักษรเหล่านี้ ลู่ฝานรู้สึกพูดอะไรไม่ถูก มหัศจรรย์มาก ยากที่จะเข้าใจได้

“กระบี่ดี เป็นกระบี่ดีจริงๆ”

หวูเฉินหัวเราะออกมาเสียงดัง

“ลู่ฝาน นายโชคดีจริงๆ แค่กระบี่เล่มนี้ เหนือกว่าอุกกาบาตจิตเย็นเป็นหมื่นเป็นพัน”

ลู่ฝานพูดอย่างไม่เข้าใจ “อาจารย์ กระบี่เล่มนี้ มีอะไรพิเศษเหรอครับ ผมรู้สึกเพียงแค่มันหนักมากเท่านั้น”

หวูเฉินชี้กระบี่แล้วพูดว่า “ถูกแล้วที่รู้สึกหนัก นายดูด้ามกระบี่สิ รู้สึกคุ้นหรือเปล่า”

ลู่ฝานยื่นมือไปสัมผัสด้ามกระบี่ รู้สึกคุ้นจริงๆ

ทันใดนั้น ลู่ฝานนึกออก แล้วพูดอย่างตกใจ “หินผนึกกำลัง!”

หวูเฉินยิ้มแล้วพูดว่า “ถูกต้อง คือหินผนึกกำลัง ด้ามกระบี่สร้างมาจากหินผนึกกำลัง ตัวกระบี่เป็นหินเต่างูดำทลายชี่ วัสดุสองสิ่งที่สร้างยากมาก แต่กลับสร้างออกมาเป็นกระบี่เล่มหนึ่งได้อย่างสมบูรณ์แบบ”

หวูเฉินใช้มือลูบตรงคมกระบี่เบาๆ กระแสลมในมือ ถูกกำจัดจนกระจัดกระจาย

ถ้าเดาไม่ผิด กระบี่เล่มนี้ น่าจะเป็นอาวุธของนักบู๊ขั้นสุดยอดท่านใดท่านหนึ่ง กระบี่หนักไม่คม ไหวพริบต้องเรียบง่าย คำพูดเหล่านี้ คงเป็นวิถีบู๊ของเจ้าของกระบี่เล่มนี้ ลู่ฝาน นายต้องใช้ใจตระหนักถึงมัน ไม่แน่อาจได้อะไรมาก็ได้ อีกอย่างนายก็ไม่มีอาวุธด้วย ต่อไปนายเอากระบี่เล่มนี้

ลู่ฝานอึ้งไป แล้วพูดว่า “กระบี่หนักขนาดนี้ ผมใช้ได้เหรอ”

หวูเฉินยิ้มแล้วพูดว่า “เพราะเดิมทีนายต้องใช้หินผนึกกำลังในการฝึกฝนต่อไป ตอนนี้ฉันคิดว่า กระบี่เล่มนี้ ต้องดีกว่าหินผนึกกำลังที่ฉันสร้างออกมาเยอะมาก ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป นายเอากระบี่เล่มนี้ไปฝึกฝนด้วย เมื่อไรที่นายสามารถใช้กระบี่เล่มนี้ได้ตามใจปรารถนา การฝึกฝนกดดันของนาย คงจะสิ้นสุดลง”

ลู่ฝานรู้สึกว่าบนหน้าผากจะมีเหงื่อไหลออกมา เมื่อกี้เขาลองดูแล้ว น้ำหนักของกระบี่เล่มนี้ ไม่ธรรมดาจริงๆ หินผนึกกำลังที่อาจารย์สร้างออกมา ไม่สามารถเทียบได้เลย

แต่ในเมื่ออาจารย์พูดแบบนี้แล้ว เขาก็ไม่มีเหตุผลให้ถอยเช่นกัน

ลู่ฝานสูดหายใจลึก แล้วพูดว่า “โอเค งั้นผมลองดูละกัน”

หวูเฉินยิ้มแล้วพูดว่า “ดีมาก แต่ก่อนหน้านี้ เอากระบี่มาให้ฉันก่อน ให้ฉันเอาอุกกาบาตจิตเย็น ใส่เข้าไปในด้ามกระบี่ มีอุกกาบาตจิตเย็นอยู่ ประสิทธิภาพการฝึกฝนของกระบี่เล่มนี้ จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น”

ลู่ฝานพยักหน้าอย่างเข้าใจ หวูเฉินพลิกมือ หยิบกระบี่ขึ้นมา

กระบี่ที่หนักจนน่ากลัว เมื่ออยู่ในมือหวูเฉิน ราวกับไม่มีน้ำหนักเท่าไร ลู่ฝานแอบตกใจเบาๆ ตามคาด พละกำลังของอาจารย์แข็งแกร่งกว่าเขาเยอะมาก ผู้ฝึกชี่ที่มีพละกำลังร่างกายแข็งแกร่งขนาดนี้ ลู่ฝานอยากเห็นจริงๆ ถ้าอาจารย์อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ จะเป็นอย่างไร

ลู่ฝานเอาอุกกาบาตจิตเย็นให้หวูเฉินทั้งหมด และตั้งหม้อไฟบุ๋นเอาไว้ ลู่ฝานเดินมาอีกด้านอย่างสนใจ เริ่มดูอย่างละเอียด ว่าในสมบัติที่กวาดมา ยังมีของอื่นหรือเปล่า

พูดขึ้นมา สมบัติของรังมังกรก็ดูยากจนข้นแค้น นอกจากอุกกาบาตจิตเย็นกับกระบี่หนัก อย่างอื่นล้วนเป็นหินแวววาวระยิบระยับ

หินแวววาวระยิบระยับพวกนี้ ส่วนใหญ่เป็นแร่ที่ใช้ไม่ได้ ส่วนอย่างอื่นยังมีแก้วหินจากสัตว์อสูร รวมไปถึงเหรียญทอง ลู่ฝานหาอยู่นาน ก็ไม่เจอสมบัติอะไรอีก

ว่างไม่มีอะไรทำ ลู่ฝานเอาสุนัขที่นอนนิ่งอยู่บนพื้นขึ้นมา

แม้สุนัขไม่มีแรง แต่ยังจ้องมองลู่ฝาน

ลู่ฝานเห็นเด็กผู้หญิงล้มลงบนพื้น เห็นได้ชัดว่าต้านไม่ไหว

เขากัดฟันกรอด ให้ตายเถอะ เขาทนไม่ได้ที่จะเห็นผู้หญิงตายต่อหน้าเขา จึงพุ่งเข้าไปหน้าเด็กผู้หญิง ลู่ฝานอุ้มเด็กผู้หญิงไว้ในอก

ปราณชี่ของเขาไม่สามารถปล่อยได้ไกลเหมือนนักบู๊ปราณนอก สามารถครอบคลุมพื้นที่ใกล้ๆ เท่านั้น ดังนั้น ลู่ฝานอุ้มเด็กผู้หญิงไว้แน่นมาก ทันใดนั้นลู่ฝานไม่ทันสังเกตว่าฝ่ามือตัวเองจับอยู่บนก้นของอีกฝ่าย แถมยังจับแรงด้วย

ทันใดนั้น เปลวไฟดำหายไป ลู่ฝานคิดว่าตัวเองคงสุกแล้ว เพราะเขาได้กลิ่นเนื้อย่าง

สุนัขตัวน้อยที่ลอยอยู่กลางอากาศ หล่นลงมาบนพื้น ปีกเปลวเพลิงสีดำด้านหลังหายไปแล้ว

สุนัขพ่นวงแหวนสีดำออกมาสองวง นอนนิ่งบนพื้นราวกับตาย

สมบัติในโพรงถ้ำละลายไปเกือบครึ่ง ลู่ฝานรู้สึกว่าขยับไม่ได้แล้ว พอขยับรู้สึกปวดเหมือนตัวจะฉีกออก

เด็กผู้หญิงจ้องลู่ฝาน แต่เธอไม่ขยับเช่นกัน เพราะเธอใช้พลังปราณไปหมดแล้ว ตอนนี้อยู่ในสภาวะอ่อนล้า

ทันใดนั้น มีเสียงลมดังขึ้นด้านนอก เงาคนพุ่งเข้ามาราวกับสายลม

เป็นหวูเฉิน อาจารย์ของลู่ฝาน!

เห็นลู่ฝานสภาพเช่นนี้ หวูเฉินตกใจมาก รีบเดินเข้ามาพูดว่า “ลู่ฝาน นายเป็นยังไงบ้าง”

ลู่ฝานไม่สามารถขยับตัวได้ แต่ยังพูดได้ เขาพูดช้าๆ ว่า “อาจารย์ ผมไม่เป็นไร แค่โดนเผาเท่านั้น อาจารย์รีบไปเอาของเร็ว”

หวูเฉินได้ยิน จึงรีบถอดแหวนบนมือลู่ฝานออก กวาดสมบัติที่เหลืออยู่มาทั้งหมด

ดูออกเลยว่าหวูเฉินเชี่ยวชาญเรื่องกวาดสมบัติ ท่าทางชำนาญมาก ของแต่ละอย่างเข้ามาในแหวนอย่างรวดเร็ว

เมื่อกวาดของเสร็จเรียบร้อย หวูเฉินยกมือขึ้นมา ใส่ปราณชี่เข้าไปในตัวลู่ฝาน

เดิมทีในตัวลู่ฝานอยู่ในสภาวะเหนื่อยล้า ไร้เรี่ยวแรง มีปราณชี่นี้คอยช่วยเหลือ ลู่ฝานรู้สึกว่าสามารถขยับได้แล้ว

เสียงเหมือนถั่วระเบิด ดังออกมาจากร่างกายเขา ลู่ฝานวางเด็กผู้หญิงลงก่อน

มองเด็กผู้หญิงที่ดูเหนื่อยล้า ลู่ฝานพูดเบาๆ ว่า “ขอโทษด้วย ฉันต้องการของที่นี่เหมือนกัน”

หวูเฉินพูดว่า “ลู่ฝาน ไปกันเถอะ ฉันแค่ล่อไอ้คนแดนหยินหยางระยะรู้ความคนนั้นออกไปเท่านั้น อีกไม่นาน เขาคงกลับมา”

ลู่ฝานตอบรับ ก้าวออกไปข้างนอก ตอนเดินผ่านสุนัขตัวนั้น เหมือนลู่ฝานลังเลเล็กน้อย จากนั้นจึงจับสุนัขขึ้นมา

“ไปกันเถอะ”

ลู่ฝานเอ่ยขึ้น

หวูเฉินจับไหล่ลู่ฝาน ร่างกายกลายเป็นสายลม ออกไปอย่างรวดเร็ว

ทั้งสองออกจากโพรงถ้ำ เข้าไปในป่าอย่างรวดเร็ว เมื่อลงมาสู่พื้น พวกเขาเห็นลำแสงขาวดำ พุ่งกลับมา เข้าไปในโพรงถ้ำทันที

ทั้งสองรีบออกไปอย่างรวดเร็ว

ในโพรงถ้ำ ผู้อาวุโสตะโกนอย่างร้อนใจ “ฮ่วนเย่ว์ ฮ่วนเย่ว์”

ทันใดนั้น ผู้อาวุโสเห็นฮ่วนเย่ว์นอนอยู่บนพื้น จึงรีบเดินเข้าไป วางมือข้างหนึ่ง ไว้บนหน้าผากฮ่วนเย่ว์

“โชคดีๆ แค่พลังหมดเท่านั้น”

ผู้อาวุโสสีหน้าโล่งอก ใส่พลังปราณสีดำขาวเข้าไป ฮ่วนเย่ว์หอบเบาๆ “อาจารย์โง่ ทำไมเพิ่งมาตอนนี้”

ผู้อาวุโสพูดด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน “ฉันคิดไม่ถึงเหมือนกันว่าอีกฝ่ายจะสร้างความโกลาหลเช่นนี้ เพื่อแค่สร้างสถานการณ์ขู่เท่านั้น”

ฮ่วนเย่ว์ค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง แล้วพูดว่า “ล่อเสือออกจากถ้ำง่ายๆ แค่นี้ อาจารย์ยังดูไม่ออก ยังเป็นนักบู๊แดนหยินหยางหรือเปล่า ฉันอับอายแทนอาจารย์จริงๆ”

ผู้อาวุโสโดนว่าจนหน้าแดง ฮ่วนเย่ว์ชี้ไปในโพรงถ้ำ แล้วพูดว่า “ตอนนี้แย่แล้ว เขาเอาสมบัติไปแล้ว เราไม่ได้อะไรสักอย่าง”

ผู้อาวุโสหันไปมองรังมังกรที่ว่างเปล่า พูดอย่างทอดถอนใจว่า “ไม่ได้ก็ไม่ได้สิ อีกอย่างสมบัติที่เราต้องการ ก็ไม่รู้อยู่ที่นี่หรือเปล่า เมื่อกี้แกเห็นว่าที่นี่มีอาวุธอะไรหรือเปล่า”

ฮ่วนเย่ว์ครุ่นคิด แล้วพูดว่า “ไม่รู้ อาจารย์ อาวุธของอาจารย์คืออะไรกันแน่ ถามมาตลอดทาง ก็ไม่ยอมบอก”

ผู้อาวุโสพูดอย่างเหนื่อยใจ “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่รู้ว่ามีอาวุธวิเศษของผู้แข็งแกร่งขั้นสุดยอดปรากฏขึ้นที่นี่ แต่เป็นผู้แข็งแกร่งขั้นสุดยอดท่านไหน ไม่มีใครรู้เหมือนกัน”

ฮ่วนเย่ว์พูดว่า “แล้วข่าวมาได้ยังไง”

ผู้อาวุโสพูดช้าๆ ว่า “ลุงหลงของแกบอกฉัน”

ฮ่วนเย่ว์ชะงักไป แล้วพูดว่า “อย่าบอกนะว่าลุงหลงรู้จากการดูดวงดาว”

ผู้อาวุโสพยักหน้า แล้วพูดว่า “น่าจะใช่ 80 เปอร์เซ็นต์”

ฮ่วนเย่ว์รู้สึกไม่พอใจ พูดเสียงดังว่า “อาจารย์โง่ คำพูดที่ลุงหลงพูดออกมาจากการดูดวงดาว อาจารย์เชื่อได้เหรอ อาจารย์เป็นอาจารย์โง่จริงๆ”

ผู้อาวุโสลูบจมูกแล้วพูดว่า “บางครั้งลุงหลงของแก ดูแม่นมากนะ”

ฮ่วนเย่ว์ย่นปากยู่ โกรธจนแก้มป่อง แล้วเดินออกไป

ผู้อาวุโสขมวดคิ้วเบาๆ พูดพึมพำว่า “ไม่ค่อยปกตินะ ทำไมวันนี้ฮ่วนเย่ว์ถึงโมโหขนาดนี้ เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ”

……

ออกมาไกลหลายสิบลี้ ลู่ฝานถอนหายใจอย่างโล่งอก โยนสุนัขที่สลบเหมือนตายไว้อีกด้าน จากนั้นนั่งลงบนพื้น

หวูเฉินอยู่ข้างๆ ยื่นแหวนให้เขา แล้วพูดว่า “ดูผลที่ได้ครั้งนี้สิ”

ลู่ฝานเริ่มเอาของออกจากแหวน เอาอุกกาบาตจิตเย็นออกจากแหวนก่อน ทั้งสองมองหินสีฟ้า ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

ทันใดนั้น ลู่ฝานมองของอีกอย่าง

“โอ๊ะ ตรงนี้ยังมีกระบี่อีกหนึ่งเล่ม”

ลู่ฝานค่อยๆ คลำกระบี่สีดำขลับ แถมยังหนักมากด้วย เมื่อถือไว้ในมือ ลู่ฝานรู้สึกว่าปราณชี่บนตัว โดนกดเอาไว้

นี่คือ……

ลู่ฝานไม่มีเวลาสนใจความเจ็บบนแขน ใต้เท้าของเขาเกิดสายลม เปลวไฟบนตัวพุ่งขึ้นมา

หมัดไฟถล่มเขา

หมัดปะทะกับมีดสั้นที่เข้ามาโจมตีพอดี ลู่ฝานรู้สึกถึงแรงหมุนอันรุนแรง ผ่านหมัดของเขา เข้ามาในเส้นลมปราณ

สั่นไปทั้งตัว ลู่ฝานรู้สึกชัดเจนอีกครั้งว่า ปราณในชั้นสุดยอดกับปราณในชั้นหนึ่งยังต่างกันราวฟ้ากับเหว

ครั้งนี้ ลูฝ่านกระแทกกับกำแพงหินอย่างแรง เหมือนจะรวมเข้าไปในกำแพงหิน

เด็กผู้หญิงโดนหมัดของลู่ฝานชกใส่ จนถอยหลังไปหลายก้าว มีดสั้นที่ก่อตัวจากพลังปราณ ที่อยู่ในมือ เริ่มเลือนราง

ลู่ฝานรู้สึกมีอะไรที่ลำคอ เลือดกำลังจะพุ่งออกมา แต่เขาฝืนกลืนเลือดลงไป

แสงเพลิงบนตัวหายไป มีเพียงปราณชี่ที่ไหลเวียนอยู่หนึ่งชั้น

เด็กผู้หญิงมองลู่ฝานอย่างละเอียด แล้วพูดว่า “พลังปราณของนายอ่อนแอขนาดนี้ คิดไม่ถึงว่าจะต้านทานการโจมตีของฉันได้ ไม่เลวเลยนี่ เฮ้อ ทำไมพลังปราณของนาย ถึงเป็นแบบนี้”

เมื่อเห็น “พลังปราณ” บนตัวลู่ฝานดูผิดปกติ เด็กผู้หญิงจึงรีบเดินเข้ามา

สายตาลู่ฝานกำลังมองไปทั่วถ้ำ ตอนนี้พละกำลังของเขา คงสู้เด็กผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ โอกาสเพียงอย่างเดียว คือรีบหาอุกกาบาตจิตเย็นให้เจอ แล้วรีบหนีไป

ทันใดนั้น ลู่ฝานเห็นหินสีฟ้ากองเล็กๆ ในกองสิ่งของแวววาวระยิบระยับ

ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คืออุกกาบาตจิตเย็น

ลู่ฝานสูดหายใจลึก ตอนนี้เด็กผู้หญิงเดินมาตรงหน้าเขาแล้ว

ทันใดนั้น ลู่ฝานเด้งตัวออกมา ยกมือ ปล่อยหมัดออกไป

หมัดถล่มเขาทำลายล้าง!

ราวกับเด็กผู้หญิงคิดไม่ถึง ว่าลู่ฝานยังมีแรงโต้กลับ ระหว่างตื่นตระหนก เธอกลายเป็นเศษเงา ด้านหน้าลู่ฝานกลายเป็นเด็กผู้หญิงที่เหมือนกันสองคน

หมัดชกได้เพียงอากาศ ลู่ฝานชะงักกลางอากาศ

เศษเงาหายไป เด็กผู้หญิงหมุนตัว เอามีดสั้นออกมา แต่ขณะนั้น เท้าของลู่ฝานเหยียบลงบดมีดสั้นของเธอ อย่างคาดไม่ถึง

ต้องการโอกาสนี้แหละ ออกหมัดเพื่อการโจมตีกลับของเด็กผู้หญิง

เมื่อเห็นโอกาสเหมาะ จึงยืมแรงนี้ ลู่ฝานพุ่งออกไปเหมือนสายฟ้า

มาอยู่บนอุกกาบาตจิตเย็น ลู่ฝานคว้าขึ้นมาหนึ่งอัน กำลังจะใช้แรงพุ่งออกไปจากโพรงถ้ำ แต่ขณะนั้น เขารู้สึกว่าอุกกาบาตจิตเย็น ที่คว้าอยู่ในมือซ้าย หยิบขึ้นมาไม่ได้ เหมือนติดอะไรบางอย่าง

ลู่ฝานเก็บแรงเอาไว้ หยุดลงบนกองสมบัติ

เมื่อหันไปมอง เห็นสุนัขตัวเล็ก ที่มีขาหน้าสั้น กอดอุกกาบาตจิตเย็นเอาไว้แน่น แยกเขี้ยวยิงฟันใส่ลู่ฝาน

ลู่ฝานอึ้งไป สุนัขตัวเล็กแค่นี้ คิดไม่ถึงว่าจะมีแรงเยอะขนาดนี้ อีกอย่างสุนัขขาหน้าสั้นตัวนี้ เขาเคยเห็น นี่ไม่ใช่สุนัขที่เจอตอนฝึกฝนที่เขาซีซาน ก่อนงานเทศกาลเซ่นไหว้ไม่ใช่เหรอ ดูเหมือนมันจะโตขึ้นไม่น้อย บนตัวมีแสงสีดำอยู่หนึ่งชั้น

ลู่ฝานกำลังตกใจ มีแรงลมโจมตีมาด้านหลังอีกครั้ง

เด็กผู้หญิงที่โดนลู่ฝานคิดบัญชีอย่างเฉียบแหลม โมโหเล็กน้อย แค่ไอ้คนที่มีปราณในชั้นหนึ่งแค่คนเดียว เธอยังจัดการไม่ได้ คนที่มีผลการฝึกตน ปราณในชั้นสุดยอดแบบเธอ คงฝึกเสียเปล่าแล้วล่ะ

มีดสั้นที่มีแสงสีแดงหนึ่งชั้น เด็กผู้หญิงใช้ท่าไม้ตายของตัวเอง

วิชาหงส์เริงสวรรค์!

มีดเดียวทำลายฟ้า!

กระแสลมด้านหน้ามีดสั้น เริ่มเคลื่อนไหวอย่างรุนแรง ท่าไม้ตายเช่นนี้ ถึงลู่ฝานมีผิวหนังเผ่ามังกร คุ้มกันร่างกายอยู่ ก็ยากจะต้านทานได้

ท่าไม้ตายยังไม่ทันถึงตัว ลู่ฝานโดนกระแสลมอันรุนแรง โจมตีจนเจ็บผิวหนัง

แต่ขณะนั้น สุนัขที่มีขาหน้าสั้น คำรามออกมาเสียงดังฟังชัด จากนั้นเปลวไฟสีดำ พ่นออกมาจากปากสุนัข

ลู่ฝานที่อยู่ใกล้สุด ได้รับบาดเจ็บ เปลวไฟดำอันน่ากลัว แผดเผาจนลู่ฝานเจ็บไปทั้งตัว และรีบปล่อยมือทันที

เด็กผู้หญิงที่พุ่งเข้ามา โดนเปลวไฟดำแผดเผาเช่นกัน มีดสั้นที่ก่อตัวจากพลังปราณ โดนเปลวไฟดำเผาจนหายไป

เสียงร้องตกใจ เด็กผู้หญิงถอยหลังกรูด เปลวไฟดำอันน่ากลัวเหมือนพิษในกระดูก แผดเผาพลังปราณของเธอ

เห็นได้ด้วยตาเปล่าว่า พลังปราณอันแข็งแกร่งของเด็กผู้หญิงกำลังโดนแผดเผาอย่างรวดเร็ว เผาจนเหลือเพียงชั้นบางๆ เปลวไฟดำจึงหายไป

ลู่ฝานกลับรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย เหมือนปราณชี่ของเขาจะไม่ค่อยกลัวเปลวไฟดำมากนัก ใช้ปราณชี่โจมตีไป เปลวไฟดำหายไปทันที

อีกทั้งยังมีผิวหนังเผ่ามังกรอยู่ ลู่ฝานเห็นส่วนที่โดนเผาของตัวเอง ฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว

เด็กผู้หญิงหวาดกลัวแล้ว ไม่กล้าเข้ามาอีก แต่สุนัขตัวน้อย ไม่มีท่าทีจะปล่อยเด็กผู้หญิงไป ด้านหลังของมันมีปีกเพลิงเล็กๆ โผล่มาสองปีก ทำให้สุนัขตัวเล็กลอยขึ้นมา

ตอนนี้ ลู่ฝานแน่ใจแล้วว่าสุนัขตัวนี้มีสายเลือดของเผ่ามังกร เพราะตอนนี้มันคำรามเสียงมังกรออกมา

แม้เสียงจะไม่ดัง แต่ยังมีพลานุภาพ

เปลวไฟดำรวมตัวในปาก สุนัขเล็งไปที่เด็กผู้หญิง

ตอนนี้ ในแววตาของเด็กผู้หญิง มีความหวาดกลัว ครั้งนี้เธอไม่มีทางรับการโจมตีจากเปลวไฟของสุนัขได้แน่นอน

ใช้วิชาเคลื่อนไหวร่างกาย ตอนนี้เด็กผู้หญิงกลายเป็นเศษเงาอีกครั้ง

แต่เปลวไฟที่สุนัขพ่นออกมาครั้งนี้ ไม่ใช่แค่เส้นตรง ทันใดนั้น ทั้งโพรงถ้ำ กลายเป็นทะเลเพลิง

เปลวไฟดำลุกโชน ลู่ฝานใช้ปราณชี่ของตัวเอง ออกมาบนผิวหนังทั้งหมด

เปลวไฟดำกับปราณชี่ของเขา รวมเข้าด้วยกัน ลู่ฝานได้กลิ่นร่างกายตัวเองกำลังโดนเผาจนเกรียม

ให้ตายเถอะ ที่แท้สุนัขตัวนี้เก่งกาจขนาดนี้

มีเสียงร้องเจ็บปวดมาจากด้านหลัง ลู่ฝานหันไปมอง เห็นเงาเลือนรางของเด็กผู้หญิงอยู่ในเปลวไฟดำ

ไม่รู้ว่าเด็กผู้หญิงคนนั้น หลบอยู่หลังเขาตั้งแต่เมื่อไร

ลู่ฝานเดาความคิดของเด็กผู้หญิงได้ ไม่มีอะไรนอกเสียจากจะให้เขาเป็นโล่เนื้อ กำบังเปลวไฟเอาไว้ แต่เธอคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะปล่อยทะเลเพลิงออกมา

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “ที่แท้เลือดมังกร ยังมีประโยชน์แบบนี้ด้วย ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย”

หวูเฉินพูดว่า “ความรู้ตื้นเขินอย่างนาย จะรู้วิธีการกลั่นเลือดมังกรได้อย่างไร ในโลกฝึกชี่ ไม่ใช่ทักษะการกลั่นยาที่คนทั่วไปจะเรียนรู้ได้”

เงียบครู่หนึ่ง หวูเฉินพูดว่า “เอาล่ะ นายรีบเก็บหม้อ เรายังมีเรื่องสำคัญต้องทำ”

ลู่ฝานพยักหน้าเข้าใจ ตอนนี้ลายมังกรบนตัวเขา ก็หายไปอย่างรวดเร็ว จนไม่เห็นอะไรแล้ว

หวูเฉินครุ่นคิด แล้วพูดต่อ “ลู่ฝาน เมื่อกี้นายเห็นแก้วหินที่พวกเขาเอาออกมาแล้ว อุกกาบาตจิตเย็น น่าจะอยู่แถวนี้ ไม่สิ มีความเป็นไปได้สูงว่าอยู่ในรังมังกร”

ลู่ฝานพูดว่า “มังกรชอบสะสมสิ่งที่เป็นประกายแวววาว อาจารย์น่าจะเดาไม่ผิด แต่รังมังกรอยู่ไหนเหรอครับ”

หวูเฉินหัวเราะออกมาทันที แล้วพูดว่า “ตอนนี้เห็นความแตกต่างระหว่างนักบู๊กับผู้ฝึกชี่แล้ว ลู่ฝาน นายก็เห็นแล้ว ผู้ฝึกชี่หาของกันแบบนี้”

พูดพลาง แสงห้าสีบนตัวหวูเฉินแสงหนึ่ง สว่างวาบขึ้นมา แผ่ออกมาจากฝ่าเท้าของเขา

พืชที่โดนแสงพาดผ่าน ล้วนสั่นไหว ลมก็เปลี่ยนทิศทันที มือของหวูเฉิน วางอยู่บนไหล่ลู่ฝาน

ต่อมา ลู่ฝาน “เห็น” ทุกสิ่งทุกอย่างในรัศมีหลายสิบลี้

ภาพต่างๆ ฉายขึ้นในหัวเขา ตอนนี้ เหมือนเขากลายเป็นสายลม สายน้ำ ต้นไม้ ฝุ่นผง

ทันใดนั้น ลู่ฝานเห็นโพรงที่ซ่อนอยู่ระหว่างกำแพงหิน ด้านในแวววาวระยิบระยับ ทำให้ลู่ฝานสั่นไปทั้งตัว

หวูเฉินชักมือกลับมา ยิ้มแล้วพูดว่า “เห็นหรือยัง”

ลู่ฝานเบิกตาทั้งสองข้าง

“อาจารย์ วิชานี้ชื่ออะไร แข็งแกร่งมาก”

หวูเฉินพูดว่า “นี่เรียกว่าตาทิพย์ รอให้นายฝึกร่างผสานฟ้าดินได้พอประมาณแล้ว จะสามารถเรียนวิชานี้ได้ เรารีบไปกันเถอะ ถ้าดึกจะวุ่น”

พูดจบ หวูเฉินกับลู่ฝานเดินไปด้านหน้า

ไม่นาน หน้าผาหนึ่ง ปรากฏอยู่ในสายตาลู่ฝาน

หน้าผาสูงเป็นอย่างมาก เรียบราวกับโดนมีดผ่า

ตรงกลางผาหิน มีโพรงยุบลงไป เป็นรังของมังกรฟ้าหกปีก

ลู่ฝานกับหวูเฉินมองหน้ากันแล้วยิ้ม พวกเขามาหาถูกที่แล้ว

แต่ขณะนั้น ลำแสงหนึ่งโผล่ออกมาจากป่า มาถึงหน้าโพรงอย่างรวดเร็ว

เป็นศิษย์กับอาจารย์เมื่อครู่

“ฮ่าๆ อาจารย์โง่ นับว่าสายตาฉันยังดี หากับอาจารย์ในป่า หาทั้งวันก็ไม่เจอ นี่คือรังมังกรเหรอ ดูเหมือนไม่มีอะไรพิเศษเลยนะ”

ผู้อาวุโสยิ้มแล้วพูดว่า “แน่นอนว่ามองด้านนอกดูเหมือนไม่มีอะไรพิเศษ ด้านในต้องมีของดีไม่น้อยแน่นอน ไปดูกันว่ามีอะไรบ้าง”

ด้านล่าง หวูเฉินหน้าเปลี่ยนสี คิดไม่ถึงว่าจะมีคนมาชิงตัดหน้าเสียก่อน

หวูเฉินหันไปมองลู่ฝาน แล้วพูดว่า “ลู่ฝาน ฉันจะช่วยนายล่อพวกเขา นายรีบทำอย่างรวดเร็ว ต้องเอาหินอุกกาบาตจิตเย็นออกมาให้ได้ อย่าให้พวกเขาแย่งไป”

พูดจบ หวูเฉินหายไปจากที่เดิมทันที

ต่อมา ลมเมฆเปลี่ยนไป มีเสียงฟ้าร้องดังขึ้นบนพื้น เสียงดังสนั่นอยู่ในอากาศ

“พวกเด็กไม่รู้ความ รีบไสหัวไปซะ ที่นี่เป็นถิ่นของอริยปราชญ์อู๋จี๋แบบฉัน”

เมฆดำรวมตัวกัน กลายเป็นหน้าคนขนาดใหญ่อย่างรวดเร็ว

ปกป้องศิษย์ตัวเองเอาไว้ด้านหลัง จากนั้นพูดเสียงก้องว่า “ที่นี่เป็นป่าเขา ปากถ้ำรังมังกร จะเป็นถิ่นของท่านอริยปราชญ์ได้อย่างไร ถ้าอยากแย่งสมบัติ

พูดพลาง กระบี่หยินหยางปรากฏในมือผู้อาวุโสอีกครั้ง เหาะขึ้นอย่างช้าๆ

เด็กผู้หญิงด้านหลังเขากลอกตาไปมา และเข้าไปในถ้ำ ลู่ฝานเห็นจึงร้อนใจ หน้าคนบนฟ้า เปล่งเสียงออกมาอีก

“น่าขำ น่าขำ ถ้าเช่นนี้ นายกล้าสู้กับฉันแบบไม่รู้จบไหม”

เสียงฟ้าผ่าดังขึ้นอีกครั้ง มาพร้อมกับวงแหวนห้าสี

เมื่อเห็นสายฟ้าห้าสี ผู้อาวุโสตาเป็นประกายทันที หัวเราะร่าแล้วพูดว่า “ทำไมจะไม่กล้า”

พูดจบ ผู้อาวุโสกลายเป็นลำแสง พุ่งไปที่ขอบฟ้า

ลู่ฝานเห็นว่านี่เป็นโอกาส จึงพลิกตัวขึ้นไปบนหน้าผา

ช่วงนี้ ได้ใช้การฝึกปีนผาที่น้ำตกออกมาทั้งหมด เคลื่อนไหวไม่กี่ครั้ง ลู่ฝานพุ่งเข้ามาในโพรงถ้ำ

โพรงถ้ำลึก กว้างและมืดสนิท

แต่มืดระดับนี้ กลับไม่สามารถขัดขวางการมองเห็นของลู่ฝานได้ หลังจากดื่มเลือดมังกร ลู่ฝานรู้สึกว่าความสามารถในการมองเห็นของตัวเอง แข็งแกร่งขึ้นมากเช่นกัน

ทันใดนั้น ลู่ฝานเห็นทั้งสองข้างของโพรงถ้ำ มีดอกอำพันมังกรเป็นชิ้นๆ แต่เขาไม่มีเวลามาเก็บ และเดินต่อไปข้างหน้า มีแสงสว่างปรากฏด้านหน้า

พุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ข้างหน้าปรากฏเป็นภาพกว้าง ลู่ฝานเห็นส่วนลึกในโพรงถ้ำ มีสิ่งของเป็นประกายแวววาวกองเหมือนภูเขา

ขณะนั้น มีดสั้นที่มาพร้อมกับคลื่นความร้อน พุ่งมาจากด้านข้าง

“ไอ้คนฉวยโอกาส ตายซะ!”

ลู่ฝานทำได้เพียงยกมือขึ้นมากัน มีดสั้นโจมตีบนแขนเขา มีเสียงเหมือนทองกระทบหินดังขึ้น

ลู่ฝานโดนพละกำลังมหาศาล โจมตีจนกระเด็น กระแทกเข้าไปในกองสมบัติ

เมื่อช้อนตาขึ้นมอง เห็นเด็กผู้หญิงคนนั้น ง้างมีดสั้นพุ่งเข้ามาอีกครั้ง

ฟ้าดินกำลังถล่มทลาย เหมือนโลกจะถล่มลงมาทันที

ลู่ฝานมองไม่เห็นว่าด้านนอกเกิดอะไรขึ้น ข้างหน้าเขาเต็มไปด้วยความมืด

มีเสียงคำรามดังขึ้นไม่หยุด แม้จะกระตุ้นพลังปราณของตัวเองไม่หยุด แต่ลู่ฝานรู้สึกว่าตัวเองเหมือนเรือลำน้อยที่อยู่ท่ามกลางคลื่นพายุ สามารถพลิกคว่ำได้ทุกเมื่อ

ผ่านไปนาน เสียงคำรามหายไป ข้างหน้าเริ่มสว่างขึ้น

เมื่อมองทุกอย่างด้านหน้าอีกครั้ง ลู่ฝานถึงกับอ้าปากค้าง

มังกรฟ้าหกปีกอันแข็งแกร่ง ล้มลงอยู่บนพื้นไม่ไกล เหมือนทิวเขาอย่างไรอย่างนั้น

ผู้อาวุโสถือกระบี่หยินหยางในมือ ผ่าหัวของมังกรฟ้าหกปีกออก เอาแก้วหินสีฟ้าระยิบระยับ ขนาดประมาณกำมือออกมาจากข้างใน

แม้จะอยู่ห่างกันมาก แต่ลู่ฝานเห็นพลังงานสีฟ้าที่ไหลวนอยู่ในแก้วหิน

“อาจารย์ นั่นมัน……”

หวูเฉินยิ้มแล้วพูดว่า “ถูกต้อง นั่นเป็นแก้วหินที่ก่อตัวขึ้น หลังจากกินอุกกาบาตจิตเย็นที่ตกลงมา ดูเหมือนเราตามถูกคนแล้ว”

หลังจากผู้อาวุโสเอาออกมา รีบเอาผ้าสีขาวห่อไว้ทันที เด็กผู้หญิงข้างๆ รีบเหาะเข้าไป

มองผู้อาวุโสแล้วพูดว่า “อาจารย์โง่ แก้วหินใหญ่มากเลย ครั้งนี้ได้ผลตอบแทนใหญ่เชียวนะ”

ผู้อาวุโสยิ้มแล้วพูดว่า “ใหญ่จริงๆ แก้วหินของมังกรฟ้าหกปีกหนึ่งเม็ด กลับไปจะได้ให้ลุงหลงของแก ทำคริสตัลคุ้มกันกายให้”

เด็กผู้หญิงยิ้มอย่างมีความสุข ชี้ศพของมังกรฟ้าหกปีก แล้วพูดว่า “แล้วศพของมัน เราเอากลับไปไหม”

ผู้อาวุโสส่ายหน้า “ไม่ต้อง หลังจากมังกรฟ้าตาย ศพจะกลายเป็นหินอย่างรวดเร็ว เอากลับไปคงได้แค่หิน ไปกันเถอะ ในเมื่อที่นี่มีมังกรฟ้าหกปีกคุ้มครองอยู่ แสดงว่าแถวนี้ต้องมีสมบัติแน่นอน เราหาให้ละเอียด”

เด็กผู้หญิงยังรู้สึกเสียดาย มองศพมังกรฟ้าหกปีกอยู่สองสามครั้ง แล้วเดินออกไปช้าๆ

บทสนทนาของอาจารย์และศิษย์ หวูเฉินใช้พลังต้นไม้ใบหญ้า จึงได้ยินทั้งหมด

หวูเฉินหันมามองลู่ฝาน ยิ้มแล้วพูดว่า “ลู่ฝาน เรามีของดีให้เก็บแล้ว นักบู๊ก็คือนักบู๊ ไม่รู้มูลค่าของสัตว์อสูรล้ำค่า รีบตามฉันมาเร็ว”

หวูเฉินเดินอย่างรวดเร็ว มีลมใต้เท้า ลู่ฝานรีบเดินไปอย่างตื่นตระหนก

เดินวนอยู่หนึ่งรอบ หวูเฉินมาตรงด้านหลังของมังกรฟ้าหกปีก ตำแหน่งนี้ ถึงผู้อาวุโสกับเด็กผู้หญิงวกกลับมาอีก ก็น่าจะมองไม่เห็นครู่หนึ่ง

ลู่ฝานเห็นฝ่ามือหวูเฉินกลายเป็นมีด ผ่าเกล็ดด้านหลังมังกรฟ้าหกปีกด้วยมีดอันแหลมคมอย่างระมัดระวัง

เลือดพุ่งออกมา หวูเฉินพูดกับลู่ฝานว่า “รีบเอาหม้อออกมาเร็ว”

ลู่ฝานรีบเอาหม้อไฟบุ๋นออกมา พูดกับหวูเฉินว่า “เอาหม้อรองเลือดมังกร จำเอาไว้ว่ารองไปพลาง ใช้ไฟทำให้ร้อนไปด้วย ป้องกันไม่ให้มันกลายเป็นหิน”

ลู่ฝานรีบทำตาม เป็นไปตามคาด เมื่อเลือดไหลลงมาในหม้อ มีแนวโน้มที่จะจับตัวกันอย่างรวดเร็ว

ตัวของมังกรฟ้าหกปีก ก็ใกล้จะกลายเป็นหินอย่างรวดเร็วเช่นกัน หลังจากลู่ฝานรองเลือดมังกรจนเต็มหม้อ

มังกรฟ้าหกปีกกลายเป็นหินทั้งหมด เลือดในหม้อที่มีความเป็นสีฟ้าเล็กน้อย กำลังไหลวน เพราะลู่ฝานใช้เปลวไฟกระตุ้นอย่างสุดความสามารถ

“อาจารย์ ต่อไปจะทำยังไงครับ”

ลู่ฝานถามขึ้น

หวูเฉินพูดว่า “เอาสมุนไพรที่นายมีอยู่ออกมาทั้งหมด ฉันบอก แล้วนายใส่ลงไป ทำตามลำดับ ห้ามพลาดเด็ดขาด”

ลู่ฝานรีบเอาสมุนไพรในแหวนออกมาทั้งหมด วางเต็มพื้นไปหมด ประกอบด้วยสมุนไพรที่เก็บได้สองสามวันนี้ รวมถึงสมุนไพรที่ใช้ไม่หมดช่วงก่อนหน้านี้

หวูเฉินรีบพูดว่า “ใส่เถาวัลย์อัคคีฟ้าลงไป ใส่ลูกปรงลงไป ใส่หญ้าเปลวเพลิงลงไป อย่าหยุดเปลวไฟในมือ หญ้างูหางกระดิ่ง……”

ใส่สมุนไพรสิบกว่าชนิดติดต่อกัน เลือดมังกรในหม้อกลายเป็นสีแดงสด

หวูเฉินเดินเข้ามาหยิบสมุนไพรสองต้นสุดท้าย ผสมมันเป็นผงยาที่เป็นสีสัน ใส่ลงไปในเลือดมังกร ต่อมา เหมือนเลือดมังกรเดือดพล่าน เริ่มผุดเป็นฟองขึ้นมา

“ลู่ฝาน รีบดื่มมันเร็ว ดื่มได้แค่ไหน ก็เอาแค่นั้น”

หวูเฉินหัวเราะออกมา ลู่ฝานอึ้งครู่หนึ่ง แต่ก็ยกหม้อไฟบุ๋นที่ใหญ่กว่าตัวเขาขึ้นมา และเริ่มดื่มอย่างบ้าคลั่ง

เลือดมังกรไหลลงคอเรื่อยๆ แถมยังเปียกไปทั้งตัวลู่ฝานอีกด้วย

ตอนนี้เลือดมังกรไม่มีกลิ่นคาว ดื่มเข้าไปกลับรู้สึกหอมอ่อนๆ

ไม่นาน ลู่ฝานรู้สึกร่างกายเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เส้นลมปราณของเขากำลังขยาย กระดูกและกล้ามเนื้อกำลังเปลี่ยนแปลง บนผิวหนังของเขาเริ่มมีลายเป็นเส้นๆ สีแดง

ดื่มไปเกือบครึ่ง ลู่ฝานดื่มไม่ไหวแล้ว

หวูเฉินเก็บเลือดมังกรที่เหลือเอาไว้ ไม่ให้สิ้นเปลืองสักนิด

ลู่ฝานยืนหอบหายใจอยู่ที่เดิม รู้สึกเพียงว่าเลือดมังกรจะพุ่งออกมาจากลำคอ

หวูเฉินถามว่า “ลู่ฝาน ตอนนี้นายรู้สึกยังไงบ้าง”

ลู่ฝานฉีกยิ้ม แล้วพูดว่า “อาจารย์ ผมว่าผมต้องเข้าห้องน้ำแล้ว ผมจะกลั้นไม่ไหวแล้ว”

หวูเฉินพูดอย่างแน่วแน่ “ทนไว้ ให้เลือดมังกรย่อย แล้วค่อยว่ากัน”

ลู่ฝานจนปัญญา ทำได้เพียงยืนอยู่ที่เดิมต่อไป ลายสีแดงเป็นเส้นๆ บนตัว เริ่มกลายเป็นรูปมังกร

ตอนที่กลายเป็นรูปมังกรอย่างสมบูรณ์แบบ ลู่ฝานเห็นผิวหนังตัวเองเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขายื่นมือไปสัมผัส ลู่ฝานรู้สึกว่าไม่ได้สัมผัสผิวหนัง แต่เป็นหิน

“รู้สึกได้แล้วใช่ไหม นี่เรียกว่าผิวหนังเผ่ามังกร ปืนจริงมีดจริงไม่สามารถทะลุได้ น้ำไฟทำอะไรไม่ได้ มีผิวหนังชั้นนี้อยู่ พลังป้องกันของร่างกายนาย จะแข็งแกร่งขึ้นเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นนักบู๊หรือผู้ฝึกชี่ จะทำร้ายนายยากมาก เว้นเสียแต่จะมีพละกำลังเหนือกว่านายมาก และความสามารถในการฟื้นฟูของนาย จะเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากตามไปด้วย”

หวูเฉินอธิบายออกมา

ลู่ฝานขมวดคิ้ว รู้ทันทีว่าทำไมอาจารย์ทำเช่นนี้ ถ้าเมื่อกี้อาจารย์ไม่เตือนให้เขาอย่าขยับ ตอนนี้เขาคงโดนอีกฝ่ายจับได้ไปแล้ว

รออยู่ครู่หนึ่ง หวูเฉินกำจัดวิชาร่างผสานฟ้าดินออกไป ยิ้มแล้วมองไปทางที่ผู้อาวุโสกับเด็กคนนั้นเดินออกไป หวูเฉินพูดว่า “นักบู๊แดนหยินหยาง ไม่ได้เห็นนานแล้ว คิดไม่ถึงว่าประเทศเล็กๆ อย่างประเทศอู่อาน จะมียอดฝีมือแดนหยินหยาง แต่น่าเสียดาย แดนหยินหยางของเขายังไม่สมบูรณ์”

ลู่ฝานฟังจากน้ำเสียงของอาจารย์หวูเฉิน ตกใจเล็กน้อย

ฟังดูเหมือน อาจารย์เคยเจอยอดฝีมือแดนหยินหยางมาเยอะ

ลู่ฝานอดถามไม่ได้ว่า “อาจารย์ ตอนที่อาจารย์ยังไม่บาดเจ็บ เป็นยอดฝีมือแดนไหนกันแน่ นักเรกิเหรอ”

หวูเฉินโดนลู่ฝานถาม จึงเลิกคิ้วขึ้นแล้วพูดว่า “นักเรกิ? นายดูถูกอาจารย์ขนาดนี้เลยเหรอ แดนฟ้าดิน เคยได้ยินไหม”

ลู่ฝานอ้าปากค้าง ผู้ฝึกชี่กับนักบู๊เหมือนกัน หลังจากฝึกพลังชี่ได้ จะแบ่งเป็นห้าแดนใหญ่ ได้แก่ ผู้ฝึกชี่ อาจารย์บำเพ็ญชี่ ปรมาจารย์บำเพ็ญชี่ เซียนบำเพ็ญชี่ เมื่อผ่านห้าแดนใหญ่นี้ จึงจะเป็นแดนฟ้าดิน แข็งแกร่งเหมือนกับนักบู๊แดนหยินหยาง

คนเรียกกันว่า อริยปราชญ์ฟ้าดิน

หวูเฉินส่งเสียงหึเบาๆ แล้วพูดอย่างไม่พอใจว่า “ผู้ฝึกชี่แดนฟ้าดินอยู่ต่อหน้าฉัน ยังต้องเรียกฉันว่าผู้อาวุโส”

ตอนนี้ทั้งปากและจมูกของลู่ฝานมีลมออกมา เขาไม่เคยรู้เลยว่าอาจารย์ตัวเองจะเก่งขนาดนี้

หวูเฉินโบกมือไปมา แล้วพูดว่า “ฮีโร่ที่แท้จริง ไม่พูดถึงความเก่งกาจที่ผ่านมา เรื่องมันผ่านมาแล้ว ตอนนี้ฉันคงเป็นแค่นักเรกิเท่านั้น”

หวูเฉินพูดอย่างทอดถอนใจ “ไปกันเถอะลู่ฝาน เราตามพวกเขาไป”

ลู่ฝานถามว่า “ตามพวกเขาเหรอครับ เราหาสมบัติเหมือนพวกเขาเหรอ อาจารย์แน่ใจเหรอว่าถ้าตามไป จะไม่เกิดเรื่อง”

หวูเฉินหัวเราะแล้วพูดว่า “ในเมื่อเขาไม่มีทางเห็นวิชาร่างผสานฟ้าดินของฉันได้ งั้นรับรองว่าเรายังปลอดภัย ฉันสงสัยเหมือนกัน นักบู๊แดนหยินหยางจะมาที่นี่ทำไม พวกเขาบอกว่ามาหาสมบัติไม่ใช่เหรอ เราตามไปดูได้นิ ไม่แน่อาจได้อะไรมาก็ได้”

ลู่ฝานเห็นอาจารย์มีความมั่นใจ จึงพยักหน้า แต่ยังมีปัญหาหนึ่งอยู่ตรงหน้า

“อาจารย์ แน่ใจเหรอว่าเราจะตามทัน เขากลายร่างเป็นลำแสงได้นะครับ”

“วางใจเถอะ ในเมื่อมาหาสมบัติ ต้องใช้การกลายร่างเป็นลำแสงน้อยมาก ถึงพวกเขาจะเร็ว ก็ไม่เร็วไปกว่าเราสักเท่าไร อีกอย่าง นายต้องจำไว้ว่า ผู้ฝึกชี่อย่างเรา อยู่ในป่า

พูดพลาง หวูเฉินขยับนิ้วเล็กน้อย ลู่ฝานรู้สึกเหมือนต้นไม้ใบหญ้ารอบๆ สัมผัสอะไรได้ และงอหลังลงตามนิ้วของหวูเฉิน

ลู่ฝานลองใช้พลังปราณแปรเปลี่ยนเป็นพลังธาตุไม้ของตัวเองเช่นกัน จากนั้น ลู่ฝานสัมผัสได้ว่าต้นไม้ใบหญ้าอยู่รอบบริเวณรัศมีสิบฟุต อยู่ในการควบคุมของเขา เหมือนต้นไม้ใบหญ้านี้ กลายเป็นดวงตาของเขา

หวูเฉินเห็นลู่ฝานใช้พลังไม้ได้อย่างไม่มีปัญหา จึงพยักหน้าอย่างพอใจ

นี่แสดงว่าพลังปราณของลู่ฝาน ผสานกับพลังปราณและพลังชี่แล้ว

หวูเฉินหลับตาลง สัมผัสเบาๆ ครู่หนึ่ง ชี้ไปทางซ้าย แล้วพูดว่า “ไปกันเถอะ พวกเขาไปทางนี้”

พูดจบ หวูเฉินกับลู่ฝาน รีบเดินไปในป่าทางด้านซ้าย

ผ่านทางคดเคี้ยวเลี้ยวลด

การเดินของผู้อาวุโสกับเด็กผู้หญิงด้านหน้า สะเปะสะปะไปหมด แต่ภายใต้การค้นหาของพลังไม้อันแข็งแกร่งของหวูเฉิน ทำให้ตามได้ทัน

หวูเฉินกับลู่ฝาน ตามอยู่ไกลๆ ด้านหลังเขา ตามถึงสิบวันเต็มๆ

สิบวันนี้ ลู่ฝานไม่ได้พักเลย ปรับตัวให้เข้ากับพลังของตัวเองไปพลาง เรียนวิชาผู้ฝึกชี่กับหวูเฉินไปพลาง

พูดขึ้นมา ด้านผู้ฝึกชี่ นอกจากลู่ฝานเรียนการกลั่นยา ยังเรียนแปรชี่เป็นห้าธาตุ ซึ่งเป็นพื้นฐานที่สุดด้วย ตอนนี้กว่าจะเรียนได้ มันไม่ง่ายเลย ตอนนี้หวูเฉินให้เขาเริ่มเรียน การก่อชี่เป็นวัตถุขั้นพื้นฐานด้วย

ลู่ฝานเดินไปพลาง เอาเปลวไฟในมือ แปรเปลี่ยนเป็นรูปร่างต่างๆ

เช่น หมาป่า เสือ งู เหยี่ยว

พลังปราณเคลื่อนไหวตามจิตใจ เปลวไฟแปรเปลี่ยนอย่างไม่สามารถคาดเดาได้

เป็นวิธีโจมตีพื้นฐานของผู้ฝึกชี่ เริ่มจากแปรชี่เป็นห้าธาตุ ทำความคุ้นเคยกับพลังของธาตุทั้งห้าก่อน จากนั้นเลือกธาตุที่เหมาะกับนายฝึกเป็นหลัก ส่วนธาตุอื่นๆ ฝึกเป็นรอง ไม่ต้องถามฉันว่าทำไมถึงฝึกแค่ธาตุเดียวไม่ได้ นี่เป็นคำถามที่โง่มาก แม้ต่อไปนายจะเจอผู้ฝึกชี่ ที่ฝึกเพียงชนิดเดียวเยอะมาก

ลู่ฝานฟังพลางพยักหน้า เปลวไฟในมือกลายเป็นเสือร้าย ต่อมากลายเป็นน้ำบริสุทธิ์ และกลายเป็นลมเย็นสดชื่น

ทันใดนั้น หวูเฉินชะงักฝีเท้าลง มีเสียงระเบิดดังออกมาจากป่าลึกด้านหน้า

แสงหนึ่งพุ่งสูงขึ้นไปบนฟ้า เสียงคำรามมังกรดังขึ้น หวูเฉินรีบปกป้องลู่ฝานเอาไว้ด้านหลัง

“เกิดอะไรขึ้นครับอาจารย์”

ลู่ฝานถามขึ้น

ยังไม่ทันพูดจบ เขาเห็นร่างใหญ่ลอยขึ้นบนฟ้า ท้องฟ้าเปลี่ยนสี เมฆดำรวมตัวกัน ฟ้าร้องโครมคราม

เสียงมังกรคำรามน่ากลัวดังสนั่น สิ่งที่ปรากฏอยู่ในสายตาลู่ฝานคือ มังกรฟ้าหกปีก

“ไม่ดีแล้ว มังกรฟ้าหกปีก!”

หวูเฉินดึงลู่ฝานถอยหลังอย่างรวดเร็ว ลู่ฝานมองเงาที่ปกคลุมท้องฟ้า สีหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึง

ขณะเดียวกัน เสียงร้องตะโกนดังขึ้นอย่างชัดเจน

“ปราณหยินหยางทำลายล้าง!”

ทันใดนั้น ฟ้าดินกลายเป็นสีขาวดำ ไม่รู้ว่าตัวของผู้อาวุโสลอยอยู่บนฟ้าตั้งแต่เมื่อไร

สีขาวดำกลายเป็นรูปหยินหยางปากว้า ผู้อาวุโสสะบัดมือไปบนฟ้า รูปหยินหยางปากว้าขนาดใหญ่กลายเป็นกระบี่วิเศษ ฟาดฟันลงไปทันที

หวูเฉินประคองลู่ฝานขึ้นมาจากพื้น ปัดฝุ่นที่อยู่บนตัวลู่ฝานออก

“ลู่ฝาน ตั้งแต่นี้ไป นายจะต้องเดินบนเส้นทาง ที่ไม่เคยมีใครเดินมาก่อน สิ่งที่ฉันช่วยได้ คือพวกวิชาผู้ฝึกชี่ ส่วนที่เหลือ ขึ้นอยู่กับตัวนายเอง”

ลู่ฝานพยักหน้าเข้าใจ

“โอเค ทุกอย่างก้าวหน้าอย่างราบรื่น เราไปหาอุกกาบาตจิตเย็นกันต่อ นายจะได้ถือโอกาสลองประสิทธิภาพพลังปราณด้วย ต้องแข็งแกร่งกว่าพลังปราณทั่วไป หรือพลังชี่อย่างแน่นอน”

หวูเฉินยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น แววตาเต็มไปด้วยความปลาบปลื้ม

ลู่ฝานยิ้มเช่นกัน จากนั้นพูดว่า “ผมก็รอไม่ไหวแล้ว ถ้าตอนนี้ ให้ผมเจอเต่าเกล็ดมังกรอีกครั้ง ผมต้องซัดมันล้มด้วยหมัดเดียวแน่นอน”

ลู่ฝานกำหมัด รู้สึกถึงพลังที่พลุ่งพล่านในตัว พูดอย่างมั่นใจ

แต่ขณะนั้น จู่ๆ สีหน้าหวูเฉินเคร่งขรึม ดึงลู่ฝาน แล้วเด้งตัวขึ้นไปบนกิ่งไม้ข้างๆ หวูเฉินพูดอย่างร้อนใจ “อย่าพูด มีคนมา”

ทันใดนั้น ลู่ฝานรู้สึกว่ารอบๆ ทั้งหมด เปลี่ยนไปเหมือนภาพลวงตา แสงขมุกขมัวในมือหวูเฉิน ใช้วิชาร่างผสานฟ้าดิน และพาลู่ฝานเข้าไปในนั้นด้วย

ลู่ฝานรีบรวบรวมสติ แม้ไม่รู้ว่าทำไมอาจารย์ถึงมีท่าทางเหมือนเจอศึกใหญ่ แต่บอกได้เลยว่าวิชาร่างผสานฟ้าดินมหัศจรรย์จริงๆ เมื่ออยู่ด้านใน ลู่ฝานรู้สึกว่าลมพัดผ่านเข้าไปในตัว เหมือนเขาเป็นวิญญาณตัวหนึ่ง

ต่อมา ลำแสงหนึ่งพาดผ่านมาจากขอบฟ้า ตกลงตรงริมฝั่งทันที

ลำแสงกระจายออก เห็นเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งกับเด็กคนหนึ่ง

ผู้อาวุโสผมและเคราขาว สวมชุดนักบู๊ขาวดำทั้งตัว มีพลานุภาพยิ่งใหญ่สูงส่งแผ่ออกมา

ผู้หญิงอายุเท่าลู่ฝาน ใบหน้าเนียนละเอียด มัดผมหางม้า สวมชุดนักบู๊สีแดงเพลิงทั้งตัว หน้าตาดูมีราศี ในมือมีลำแสงที่กลายเป็นมีดสั้น

ลู่ฝานกลั้นหายใจ เห็นได้ชัดว่าผลการฝึกตนของสองคนนี้ ไม่ธรรมดา

ในทวีปปราณบู๊ คนที่สามารถสวมชุดนักบู๊ขาวดำได้ มีเพียงเซียนบู๊แดนหยินหยางในตำนานเท่านั้น

ตั้งแต่นักบู๊เริ่มฝึกพลังปราณออกมาได้ จะแบ่งเป็น ปราณใน ปราณนอก ปราณชีวิต ปราณดิน ปราณฟ้า ห้าระดับใหญ่ เมื่อผ่านห้าระดับนี้ ถึงจะเป็นแดนหยินหยาง

นักบู๊แดนหยินหยางในตำนาน มีความสามารถขนาดที่ปิดท้องฟ้าด้วยมือเดียว เบิกฟ้าเบิกดิน ตัวกลายเป็นลำแสง ไปได้ไกลร้อยลี้ในพริบตา นี่เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของนักบู๊แดนหยินหยาง

เมื่อมาถึงระดับนี้ จะถูกมนุษย์เรียกว่า เซียนบู๊!

ลู่ฝานเพิ่งเคยเจอนักบู๊แดนหยินหยางเป็นครั้งแรก รู้สึกตื่นเต้นไปหมด เด็กผู้หญิงที่อยู่ข้างผู้อาวุโส ดูมีพละกำลังไม่ธรรมดาเช่นกัน พลังปราณกลายเป็นอาวุธ นี่เป็นพละกำลังที่ปราณในชั้นสุดยอดถึงจะทำได้ นักบู๊แดนปราณในชั้นสุดยอดที่อายุประมาณ 18 ปี ไม่สามารถจินตนาการได้จริงๆ

“อาจารย์โง่เขลา ดูสิหาผิดอีกแล้วใช่ไหม ที่นี่ไม่มีอะไรเลย”

เด็กผู้หญิงเบะปาก พูดอย่างไม่พอใจ

ผู้อาวุโสขมวดคิ้ว แล้วพูดว่า “เป็นไปไม่ได้ รู้สึกถึงพลังงานเคลื่อนไหวอยู่ที่นี่แท้ๆ อีกทั้งยังไม่ได้จางหายไปด้วย”

พูดพลาง ผู้อาวุโสยกมือขึ้นสะบัด มีแสงเหมือนดวงดาวระยิบระยับ เกิดขึ้นบนทะเลสาบพระจันทร์เลือด

แสงกะพริบหลากหลายสีสัน ผู้อาวุโสพูดต่อ “มีพลังของพลังปราณ และมีพลังของพลังชี่ แปลกมาก มีคนฝึกวิชาพิเศษได้ที่นี่ หรือมีสมบัติล้ำค่าออกมาสู่โลกกันแน่!”

ผู้อาวุโสกำลังครุ่นคิด เด็กผู้หญิงข้างๆ เตะผู้อาวุโสอย่างไม่เกรงใจ แล้วพูดว่า “อาจารย์โง่ ไม่มีอะไรเลย ยังดูอะไรอีก รีบทำเรื่องสำคัญสักที บอกว่าจะมาหาสมบัติล้ำค่าไม่ใช่เหรอ”

ผู้อาวุโสโดนขัดความคิด พูดอย่างเหนื่อยใจว่า “โอเคๆๆ เราไปหาสมบัติล้ำค่า ยัยเด็กนี่ ไม่มีความอดทนสักนิด รอให้แกฝึกถึงช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของปราณนอก ดูสิแกจะผ่านมันไปยังไง”

เด็กผู้หญิงยิ้มบางๆ จนเห็นฟันเขี้ยวน่ารักสองอัน แล้วพูดว่า “มีอาจารย์อยู่ไม่ใช่เหรอ ฉันจะกลัวอะไรล่ะ”

ผู้อาวุโสส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจ กลายเป็นลำแสงขึ้นไปอีกครั้ง พาเด็กผู้หญิงหายไปตรงขอบฟ้า

ลู่ฝานพูดช้าๆ ว่า “อาจารย์ พวกเขาเป็นใคร”

หวูเฉินพูดเสียงเบาว่า “อย่าพูด”

ลู่ฝานไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ฟังคำพูดของอาจารย์ ยืนบนต้นไม้ ไม่ขยับไปไหน

รออยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้น ลำแสงโผล่ออกมาจากป่าอีกครั้ง ผู้อาวุโสเมื่อครู่ พาเด็กผู้หญิงมาที่ริมฝั่งอีกครั้ง

ผู้อาวุโสกวาดตามองไปรอบๆ แล้วพูดอย่างผิดหวัง “ดูเหมือนจะไปไกลแล้ว น่าเสียดายจัง ถ้าผู้รักสันโดษท่านใดอยู่ที่นี่จริง อยากสู้วิชากับเขาสักหน่อย”

เด็กผู้หญิงเบะปาก แล้วพูดว่า “อาจารย์โง่รู้จักแต่ต่อสู้ ต่อสู้ไปต่อสู้มา ไม่เห็นอาจารย์จะก้าวหน้าถึงแดนหยินหยางได้เลย”

ผู้อาวุโสพูดด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน “แดนหยินหยาง ฝ่าฟันได้ง่ายขนาดนั้นซะที่ไหนกันล่ะ รอให้แกเข้าสู่แดนหยินหยางเมื่อไร แกจะรู้เอง ช่างเถอะ จะพูดเรื่องพวกนี้กับแกไปทำไม ไปกันเถอะ หาสมบัติกัน”

ทั้งสองเดินเข้าไปในป่า ครั้งนี้ไม่ได้กลายเป็นลำแสงออกไป

วันนี้ หวูเฉินยังคงนั่งข้างทะเลสาบ สูดลมหายใจของชี่ฟ้าดิน

ลู่ฝานเข้าไปในทะเลสาบจันทร์เลือด นานขนาดนี้ ทำให้หวูเฉินกังวลเล็กน้อย ถ้าไม่ใช่เพราะกลไกชี่ในตัวเขาสัมผัสได้ว่าลู่ฝานที่อยู่ก้นทะเลสาบยังปลอดภัยดี หวูเฉินคงไปช่วยลู่ฝานขึ้นมานานแล้ว

แต่ตอนนี้ลู่ฝานนิ่งสงบมาก ทำให้หวูเฉินสงสัยว่า ลู่ฝานฝึกอะไรผิดพลาดหรือเปล่า

ขณะที่หวูเฉินกำลังสงสัย ทะเลสาบพระจันทร์สีเลือด เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง

เดิมทีน้ำในทะเลสาบที่เป็นสีเลือด เริ่มเปลี่ยนสี สีเลือดอันแดงก่ำ หายไปอย่างรวดเร็ว น้ำจากริมทะเลสาบ เริ่มกลายเป็นสีใส

จากนั้น กลางทะเลสาบ มีน้ำวนเกิดขึ้น หวูเฉินที่ว่องไว รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของพลังฟ้าดิน กำลังเคลื่อนไหวไปที่ก้นทะเลสาบ

นี่เป็นลางบอกว่าจะออกมาแล้ว!

หวูเฉินลุกขึ้นทันที จ้องไปยังลู่ฝานที่อยู่ก้นทะเลสาบ

ตอนนี้ ลู่ฝานตื่นขึ้นมา ขยับเล็กน้อย พลังในตัวพลุ่งพล่านออกมา

เริ่มแรก พลังปราณอันแข็งแกร่งกลายเป็นชี่สีขาวหม่น ปกคลุมตัวเขาไว้ จากนั้นชี่ทั้งห้าสีในตันเถียนก็พุ่งออกมาจากร่างกาย อย่างไม่ยอมแพ้เช่นกัน

พลังทั้งสองปะทะกัน ทันใดนั้น ลู่ฝานรู้สึกว่าร่างกายบอบช้ำ

พลังทั้งสองที่ไม่เหมือนกัน ราวกับน้ำไฟที่ไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้ ตอนอยู่ในแดนฝึกร่าง พลังทั้งสองไม่สัมผัสกัน จึงปลอดภัย แต่ตอนนี้พลังทั้งสองอยู่ในจุดที่กลายเป็นรูปร่าง พลังชี่กับพลังปราณ ล้วนแย่งชิงตำแหน่งหลัก ไม่สนใจร่างกายของลู่ฝาน เริ่มต่อสู้กันเอง

เสียงปะทะดังมาจากก้นทะเลสาบ หวูเฉินก็ได้ยินเสียงนี้ ทันใดนั้นหวูเฉินรู้ว่า ลู่ฝานเริ่มเจอกับช่วงสำคัญที่สุดแล้ว

หวูเฉินตะโกนเสียงดังออกมาว่า “ทนต่อสรรพสิ่ง เทพยอดกลั่นยาอู๋จี๋!”

เสียงเหมือนสายฟ้า ผ่านทะเลสาบเข้าไปในหูลู่ฝาน

เสียงสะเทือนแก้วหูทำให้ลู่ฝานได้รับการกระตุ้น รีบใช้วิชาเทพยอดกลั่นยาอู๋จี๋ทันที แบ่งใจเป็นสอง ในขณะที่เขาพยายามควบคุม พลังปราณและพลังชี่หมุนวนรวมกันเหมือนสายน้ำวน

น้ำวนนี้ขยายวงกว้างอย่างรวดเร็ว ลู่ฝานไม่เพียงแค่ทำให้น้ำวน หมุนรวดเร็วขึ้น ขณะเดียวกัน ยังต้องรักษาสมดุลของพลังปราณกับพลังชี่

พลังชี่ที่ถูกดูดเข้าไปในน้ำวน จะต้องรวมกับพลังปราณที่เท่ากัน พลังทั้งสองค่อยๆ เข้าไปในผิว ผ่านเส้นลมปราณ กลับเข้าไปในจุดตันเถียน

จากการเปลี่ยนแปลงในตัวลู่ฝาน ทะเลสาบเริ่มเปลี่ยนแปลงทันที

หวูเฉินลอยกลางอากาศ มายังตำแหน่งน้ำวน

จ้องเขม็งลงไปด้านล่าง เห็นลู่ฝานนั่งอยู่กลางน้ำวนได้ชัดเจน

ตอนนี้ผมลู่ฝานสะบัดปลิว รอบตัวเริ่มมีกระแสลมขนาดเล็กปรากฏออกมา

พลังปราณสีขาวกับพลังชี่ห้าสี รวมเข้าด้วยกันงดงามมาก ในจุดตันเถียนและเส้นลมปราณของลู่ฝาน เริ่มมีการหมุนวนเล็กๆ โดยเฉพาะการหมุนวนในจุดตันเถียน เต็มไปด้วยสีสัน สวยเกินคำบรรยาย

ตอนพลังปราณกับพลังชี่สายสุดท้ายหมุนรวมกัน ลู่ฝานรู้สึกว่าการหมุนไม่สามารถควบคุมได้

การหมุนอันน่ากลัว ทำให้จุดตันเถียนของเขาแกว่งไปมา เส้นลมปราณและกระดูกมีเสียงร้องที่ทนไม่ไหวดังออกมา

พลังดูดซับอันรุนแรง เหมือนพลังกัดเซาะอย่างรุนแรง กัดเซาะไปยังบริเวณรอบๆ อย่างบ้าคลั่ง ไม่เพียงแค่พลังงานสีเลือดของทะเลสาบ ยังมีพลังฟ้าดินรอบๆ อีกด้วย

หวูเฉินดูพอประมาณแล้ว ให้เขาช่วยลู่ฝานสำเร็จขั้นสุดท้ายเถอะ

หวูเฉินสะบัดมือ ดีดพลังปราณออกจากนิ้วมือ

พลังปราณผ่านเข้าไปในหัวลู่ฝาน และเข้าสู่ร่างกายของเขา จนมาถึงจุดตันเถียน

เมื่อพลังปราณนี้เข้าสู่จุดตันเถียน การหมุนเริ่มช้าลง

เดิมทีลู่ฝานรับไม่ไหว ใกล้จะพังทลาย แต่จู่ๆ ก็หยุดลง ทำให้ลู่ฝานคว้าโอกาสได้

ทันใดนั้น ลู่ฝานรวบรวมสมาธิ พยายามทำให้การหมุนเล็กลง พลังปราณนั้นเข้าไปในการหมุน ลามไปเหมือนไฟ การหมุนทั้งหมดกลายเป็นรูปร่าง จากนั้นเปลี่ยนเป็นเหมือนไฟ แผดเผาลมสีขาว

พลังปราณที่เป็นของลู่ฝาน ในที่สุดก็เป็นรูปร่างแล้ว

ตู้ม!

ปราณเปลวเพลิงสีขาว ลุกขึ้นมาจากตัวลู่ฝาน น้ำในทะเลสาบบริเวณรอบๆ ถูกดันออกไปไกล จนเห็นก้นทะเลสาบ

ลู่ฝานสัมผัสได้ถึงพลังสั่นสะเทือนระหว่างฟ้าดิน และสัมผัสได้ถึงร่างกายของตัวเอง ที่เต็มไปด้วยพลัง

ทุกอย่างเปลี่ยนไปชัดเจนมาก เหมือนเขาสามารถมองเห็นกระแสลม สามารถมองเห็นพื้นผิวน้ำ

ความรู้สึกตระหนักรู้ถึงฟ้าดิน อยู่เพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้น ต่อมา ทุกอย่างกลับเป็นเหมือนเดิม ลู่ฝานกระทืบเท้าอย่างแรง ลมปราณกระแทกก้นทะเลสาบ เขาเด้งตัวขึ้นมา

หวูเฉินกับลู่ฝาน แทบจะมาถึงริมทะเลสาบพร้อมกัน มีเสียงระเบิดดังขึ้นในทะเลสาบ กระแสน้ำพุ่งขึ้นมา

ลู่ฝานมองพลังปราณที่พลุ่งพล่านบนตัว ก็หัวเราะออกมา

หวูเฉินพูดด้วยสีหน้าปลาบปลื้ม “ลู่ฝาน ยินดีด้วย นายทำสำเร็จแล้ว”

ลู่ฝานพยักหน้าอย่างตื่นเต้น จากนั้นหันมาคุกเข่าให้หวูเฉิน

“ขอบคุณครับอาจารย์!”

หวูเฉินเอามือวางบนหัวลู่ฝาน เงยหน้ามองฟ้า แล้วพึมพำออกมา

“พื้นฐานของสำนักมั่นคง ฝึกวิชาคู่สำเร็จ ความคิดของฉันสอดคล้องกับกฎธรรมชาติ ไม่ได้เกิดมาเสียเปล่า!”

“สะใจ!”

ลู่ฝานหัวเราะออกมา เมื่อยแขนเล็กน้อย แต่หมัดที่ชกออกไป ทำให้เขาสบายมาก

เต่าเกล็ดมังกรที่โดนชกลงไปบนพื้น ยังดิ้นไปมา เลือดดำไหลออกมาจากเขาที่หัก ได้ยินเสียงคำรามจากเต่าเกล็ดมังกรตัวอื่น ที่อยู่ไม่ไกล เหมือนพวกมันได้กลิ่นเลือดของพวกเดียวกัน รีบมาจากทุกทิศทุกทาง

ลู่ฝานรีบเก็บเขาเต่าเกล็ดมังกรเอาไว้ และดึงดอกอำพันมังกร เด้งตัวขึ้นไปบนต้นไม้

หวูเฉินเห็นท่าทางหอบของลู่ฝาน ยิ้มแล้วพูดออกมาว่า “รู้สึกไม่เลวใช่ไหม”

ลู่ฝานพยักหน้า พูดว่า “รู้สึกดีมากครับ แค่ใช้แรงเยอะไปหน่อยเท่านั้น”

หวูเฉินพูดว่า “นั่นเป็นเพราะนายขาดการฝึกฝน แต่นี่เป็นแค่เรื่องเล็ก หมัดทำลายล้างของนาย ไม่ได้รับรู้ถึงแก่นแท้ แต่กลับทำให้มันผสานกันได้ด้วยดี สำเร็จเพียงครั้งเดียว เป็นโชคดีจริงๆ ต่อไป ต้องขยันฝึกฝน ผสานวิชาหมัดอื่นๆ นายน่าจะได้เป็นปรมาจารย์วิชาหมัดแห่งยุค”

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “อาจจะมั้งครับ”

ด้านล่าง เต่าเกล็ดมังกรตัวอื่นมาถึง เวียนไปมาด้านล่างต้นไม้

ลู่ฝานหลบอย่างระมัดระวัง ตอนนี้เจอกับเต่าเกล็ดมังกร เขาทำได้เพียงกำจัดทีละตัว ถ้าเจอหลายตัวภายในครั้งเดียว หากเต่าเกล็ดมังกรใช้พลังสายฟ้าพร้อมกัน เขาต้องบาดเจ็บสาหัสแน่นอน

ยังดีที่ไอคิวของเต่าเกล็ดมังกรพวกนี้ไม่สูง เดินไปมาด้านล่างต้นไม้หนึ่งรอบ ไม่เจอคนร้าย ก็ลากเต่าเกล็ดมังกรเขาหัก ที่ดิ้นอยู่ออกไป

ลู่ฝานเด้งตัวไปยังต้นไม้อีกต้นเหมือนลิง

หลังจากมาถึงประมาณหนึ่งลี้ เอาดอกอำพันมังกรออกมาปักลงบนพื้นอีกครั้ง เขาจะล่อเต่าเกล็ดมังกรออกมาทีละตัว แค่มีเพียงตัวเดียว ก็จะเป็นตอนที่เขาต่อสู้ได้

เห็นได้ชัดว่าการตัดสินใจของเขาถูกต้องมาก ครั้งนี้ มีเต่าเกล็ดมังกรวิ่งมาก่อนเพื่อนหนึ่งตัว เหมือนเต่าเกล็ดมังกรตัวอื่นไม่อยากทิ้งเต่าเกล็ดมังกรตัวที่เขาหักออกมา จึงไม่มีความเคลื่อนไหว

เมื่อแน่ใจแล้วว่าเต่าเกล็ดมังกรด้านล่าง มีเพียงตัวเดียว ลู่ฝานเด้งตัวลงมาจากต้นไม้

พลังปราณพุ่งมาที่แขน ลู่ฝานโจมตีหมัดออกไป

หมัดถล่มเขาทำลายล้าง!

……

หลังผ่านไปหนึ่งวัน เต่าเกล็ดมังกรโดนลู่ฝานกำจัดจนหมด ศพกองอยู่ริมทะเลสาบ

มีกลิ่นของเต่าเกล็ดมังกรอยู่ สัตว์อสูรตัวอื่น ไม่กล้าเข้าใกล้ ป้องกันไม่ให้มารบกวนการฝึกฝนของลู่ฝาน

บนตัวลู่ฝานมีบาดแผล การโจมตีกลับอย่างไม่คิดชีวิตของเต่าเกล็ดมังกรตัวสุดท้าย ทำให้เขาโดนการโจมตีจากสายฟ้าที่น่ากลัว

ยังดีที่เขาตั้งสติได้รวดเร็ว ได้หักเขาของมัน ไม่งั้น จะบาดเจ็บหนักกว่านี้

มือขวาของลู่ฝานมีเลือดไหล หน้าทางด้านซ้ายดำมอมแมม เดินเข้าไปในทะเลสาบจันทร์เลือด

บาดแผลแค่นี้ ไม่เป็นอะไรสำหรับเขา แต่เมื่อลงไปในทะเลสาบจันทร์เลือด ลู่ฝานพูดออกมาอย่างตกใจ “พลังรุนแรงมาก”

เห็นได้ด้วยตาว่า พลังงานสีเลือดเป็นสายๆ ผ่านในรูขุมขนใต้ฝ่าเท้าของเขา เข้าไปในตัว

พลังนี้เชื่องช้าและเยือกเย็น แต่เมื่อผ่านเส้นลมปราณ กลับแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก กล้ามเนื้อก็แข็งแกร่งอย่างรวดเร็ว

หวูเฉินยืนอยู่ริมฝั่ง มองลู่ฝานเข้าไปในทะเลสาบ ตอนนี้หวูเฉินดูกังวลเล็กน้อย เพราะถ้าเดาไม่ผิด ต่อไป ลู่ฝานจะเจอด่านที่ยากลำบากที่สุด ในทะเลสาบจันทร์เลือดแห่งนี้ ความพยายามทั้งชีวิตของเขา จะเห็นผลกับลู่ฝานหรือไม่ ต้องดูกันครั้งนี้แล้วล่ะ

เดินเข้าไปตรงจุดลึกในทะเลสาบ ตัวของลู่ฝานจมลงไปในน้ำ

กลั้นลมหายใจ หลับตาลง ลู่ฝานปล่อยชี่ในจุดตันเถียนออกมา อาศัยชี่เหล่านี้ดึงดูดพลังฟ้าดิน ลู่ฝานสามารถหายใจได้เหมือนอยู่บนบก

ส่วนลึกของทะเลสาบ พลังงานสีแดงเหมือนกระแสน้ำซัดเข้ามาถูกตัวเขา

ลู่ฝานรวบรวมสมาธิเป็นหนึ่งเดียว สติค่อยๆ ดำดิ่งลงไป

ธาตุทั้งห้ารวมเป็นหนึ่ง มองเข้าไปข้างในตัว หายใจอย่างต่อเนื่อง

ตัวลู่ฝานค่อยๆ ดิ่งลงไป เมื่อระยะห่างจากก้นทะเลสาบประมาณสามนิ้ว ตัวของลู่ฝานหยุดลง

ก้นทะเลสาบมืดสลัว มีเพียงแสงสีเลือดบนตัวลู่ฝาน ที่สว่างไม่หยุด

เมื่อถึงตรงนี้ พลังงานสีเลือดรวมตัวกันอีกครั้ง ตัวของลู่ฝานเหมือนน้ำวน รวมพลังงานสีเลือดทั้งหมดเอาไว้ สูดหายใจ ชี่สี่สีในจุดตันเถียนของเขา ค่อยๆ หล่อหลอมแสงสีที่ห้าออกมา

พลังปราณที่หมุนเวียนอยู่ในผิว พลุ่งพล่านขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกับจะออกมาจากร่างกาย

พละกำลังของลู่ฝาน เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ภายในทะเลสาบแห่งนี้ แม้ภายนอกทะเลสาบแห่งนี้จะเงียบสงบ แต่ด้านล่างเดือดพล่านอยู่เงียบๆ

หวูเฉินนั่งอยู่ริมฝั่ง รอเวลาให้ลู่ฝานออกมา

เวลาผ่านไปเรื่อยๆ

รอมาเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็มๆ

เวลาหนึ่งเดือน ทำให้ศพเต่าเกล็ดมังกรข้างทะเลสาบเน่าเปื่อยจนปัญญา หวูเฉินทำได้เพียงกำจัดศพทิ้งไป และตัวเองเป็นผู้ที่คอยดูแลเอง

ในเวลาหนึ่งเดือน มีสัตว์อสูรเข้ามาใกล้ห้าตัว โดนหวูเฉินไล่ไปจนหมด จากพละกำลังของหวูเฉิน จัดการกับสัตว์อสูรตัวเล็กๆ พวกนี้ เป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก แต่เขาจะใช้แรงมากเกินไปไม่ได้ เช่นนั้นจะทำให้อายุขัยของเขาลดลง

ลู่ฝานก็ไม่รู้ว่าทำไม แค่โยนของลงไปย่างในหม้อไฟบุ๋น จะสุกง่ายมาก อีกทั้งยังอร่อยด้วย วันแรกที่ลู่ฝานค้นพบสิ่งนี้ เขาดีใจมาก เขาไม่ยอมกินพวกของแห้งแข็งๆ บวกกับเนื้อที่ย่างออกมาดำเหมือนถ่านหรอก

หม้อไฟบุ๋น เป็นอุปกรณ์ปรุงอาหารสุดวิเศษ สำหรับลู่ฝาน แค่เอาของทุกอย่างโยนเข้าไป จากนั้นใส่เปลวไฟเข้าไปก็พอแล้ว

ทุกครั้งที่เห็นลู่ฝานทำแบบนี้ หวูเฉินจะถอนหายใจออกมา หม้อที่ใช้กลั่นยา แต่ลู่ฝานเห็นเป็นหม้อในการปรุงอาหาร แต่ต้องพูดเลยว่า อาหารที่ปรุงออกมา อร่อยมาก

ทั้งสองกินจนอิ่มอย่างรวดเร็ว เนื้อย่างที่เหลือ ถูกเก็บเอาไว้ คืนนี้ค่อยกินอีก

เดินไปข้างหน้าต่อเรื่อยๆ มีบางครั้ง ลู่ฝานไม่รู้ว่าตัวเองเดินออกจากทิวเขาซีซานแล้วหรือยัง

ต้นไม้มากมาย ราวกับจะบดบังแสงอาทิตย์เอาไว้

ลู่ฝานเดินไปอีกครึ่งวัน ทันใดนั้นรู้สึกสว่างวาบ ตรงหน้ามีทะเลสาบเล็กๆ สีแดงเพลิง ปรากฏขึ้นมา บริเวณรอบๆ ทะเลสาบรูปจันทร์เสี้ยว มีสัตว์อสูรนอนอยู่สองสามตัว

ตอนเห็นสัตว์อสูรพวกนี้ ลู่ฝานรีบหลบเข้าไปในป่า

เหมือนกลัวอะไรเข้ามา สัตว์อสูรตรงหน้า คือเต่าเกล็ดมังกรที่ทำให้ลู่ฝานเสียเปรียบเป็นอย่างมาก

เต่าเกล็ดมังกรแต่ละตัว สูงประมาณสามเมตรกว่า ตัวขนาดใหญ่ เป็นหินที่แข็งแรงทนทาน บนหัวมีเขา ที่มีลำแสงสายฟ้าสีม่วง

เทียบกับเต่าเกล็ดมังกรที่เจอครั้งก่อน พวกนี้ดูตัวใหญ่กว่า

โดยทั่วไปแล้ว ขนาดของสัตว์อสูร แปรผันตามกำลังของมัน ลู่ฝานคิดว่าจะเดินอ้อมดีไหม ถือโอกาสตอนที่พวกมัน ยังไม่เห็น ตัวเองรีบชิงหนีไปก่อน

แต่ขณะนั้น เสียงหวูเฉินดังขึ้นมา

“ทะเลสาบจันทร์เลือด! คิดไม่ถึงว่าที่นี่ จะมีทะเลสาบจันทร์เลือด”

เสียงหวูเฉิน มีความตกใจ ลู่ฝานเพิ่งเคยได้ยินเสียงอาจารย์ตกใจขนาดนี้ อดถามไม่ได้ว่า “อาจารย์ ทะเลสาบจันทร์เลือด ทำไมเหรอ”

น้ำทะเลสาบจันทร์เลือด เป็นน้ำวิเศษ สามารถยกระดับพลังฝึกชี่ได้ นายหาวิธีเข้าไปฝึกในทะเลสาบจันทร์เลือด ไม่กี่วัน นายจะฝึกพลังชี่ได้ ขณะเดียวกัน น้ำทะเลสาบจันทร์เลือดมีประสิทธิภาพยกระดับพลังร่างกายด้วย

ลู่ฝานได้ยิน ตาเป็นประกาย คิดไม่ถึงว่า ทะเลสาบจันทร์เลือดตรงหน้า จะอัศจรรย์เช่นนี้

ทว่าทันใดนั้น ลู่ฝานขมวดคิ้ว มองเต่าเกล็ดมังกรข้างทะเลสาบจันทร์เลือด ไอ้พวกนี้นอนอยู่ตรงนี้ เป็นปัญหาเล็กน้อย

ลู่ฝานกัดฟันพูดว่า “ดูเหมือนว่าจะต้องล่อพวกมันออกไป”

หวูเฉินหัวเราะ แล้วพูดว่า “ทางที่ดี ล่อออกไปให้ไกลหน่อย เพื่อไม่ให้พวกมันกลับมา รบกวนการฝึกของนาย หรือไม่นายก็ฆ่าพวกมันซะ”

ลู่ฝานพูดว่า “ตอนนี้ผมทำได้เหรอ”

หวูเฉินพูดว่า “เชื่อตัวเอง ใช่สิ วิชาเทพยอดกลั่นยาอู๋จี๋ที่นายฝึก ไม่เพียงแต่ช่วยผสานพลังปราณกับพลังชี่ มันยังสามารถผสานสิ่งอื่นได้ด้วย แต่ก่อนฉันเคยใช้วิชาเทพยอดกลั่นยาอู๋จี๋ ผสานวิชาฝึกปราณ นายลองดูสิว่าเคล็ดวิชาบู๊สามารถผสานได้หรือเปล่า ช่วงนี้นายยังหาเวลาว่างมาฝึกวิชาหมัดทำลายล้างจากหนังสือชำรุดๆ นั่นไม่ใช่เหรอ”

ลู่ฝานพยักหน้า พูดว่า “ได้จริงเหรอครับ ช่างเถอะ ไม่มีวิธีที่ดีกว่านี้แล้ว ลองดูแล้วกัน”

พูดจบ ลู่ฝานเด้งตัวเข้าไปในป่า หามุมอับมุมหนึ่ง เอาดอกอำพันมังกร ปักลงไปในดิน

ทันใดนั้น ดอกอำพันมังกรส่งกลิ่นแปลกประหลาดออกมา

กลิ่นหอมนี้ ทำให้ลู่ฝานไร้สติไปชั่วคราว เพราะเป็นกลิ่นที่หวูเฉินเพิ่มเข้ามา

กลิ่นหอมค่อยๆ แผ่กระจายออกไป ไม่นาน ทำให้เต่าเกล็ดมังกรที่นอนอาบแดดอยู่ริมทะเลสาบได้กลิ่น

ทันใดนั้น เต่าเกล็ดมังกรลุกขึ้นพร้อมกัน ต่อมา เต่าเกล็ดมังกรพุ่งออกมาอย่างไม่คิดชีวิต

ลู่ฝานหลบอยู่บนต้นไม้ มองการเคลื่อนไหวของเต่าเกล็ดมังกรพวกนั้น

มีสองตัวที่พุ่งผิดทิศทาง ชนต้นไม้ข้างๆ จนหักหลายต้น ส่วนอีกสองตัว พุ่งมาถูกทาง แต่กลับพุ่งผ่านไปด้านหน้าอีก

มีแค่ตัวเดียว ที่หยุดลงใต้ต้นไม้ ค้นหาไปรอบๆ

ลู่ฝานเห็นว่าเป็นโอกาสเหมาะ จึงโดดลงมา เปลวไฟบนตัวลุกขึ้นมา

หมัดไฟถล่มเขา

เสียงกระทบดังขั้น กระดองหินแตกกระจาย

หมัดของลู่ฝาน ชกไปที่หัวของเต่าเกล็ดมังกรอย่างแม่นยำมาก

เต่าเกล็ดมังกรร้องโอดครวญออกมา แต่ไม่ได้ล้มลงไป พลังป้องกันอันแข็งแกร่ง ทำให้มันถอยหลังไปไม่กี่ก้าว และทรงตัวได้

ดวงตาแดงก่ำ เต่าเกล็ดมังกรโมโหแล้ว พุ่งเข้ามาหาลู่ฝานอย่างรวดเร็ว

ลู่ฝานกัดฟันพูดว่า “ครั้งก่อนโดนแกชนจนกระเด็น ครั้งนี้ไม่มีทางเป็นแบบนั้น”

ลู่ฝานยกมือขึ้น จับเขาบนหัวของเต่าเกล็ดมังกรเอาไว้แน่น แรงโจมตีอันแข็งแกร่ง ทำให้พื้นดินใต้เท้าลู่ฝานแยกออกเป็นทางลึก

เท้าทั้งสองข้างของเขา จมลงไปในพื้นดิน

บนแขนมีพลังปราณสีขาวไหลเวียนอยู่ ลู่ฝานยกมือขวาขึ้นมา กระแทกหมัดลงไป

หมัดทำลายล้าง!

เมื่อชกหมัดออกไป กระดองหินแตกออกมาอีก

แต่ครั้งนี้ บนเขาของเต่าเกล็ดมังกร มีลำแสงสายฟ้าสว่างขึ้นมา

เมื่อเห็นท่าไม่ดี มีเสียงหวูเฉิน ดังมาจากบนหัวลู่ฝาน

“ชี่เฝ้าตันเถียน เทพยอดกลั่นยาอู๋จี๋ ผสานได้ทุกสรรพสิ่ง”

ลู่ฝานท่องคำเหล่านี้ออกมาซ้ำๆ จิตใจปลอดโปร่ง มีพลังระหว่างฟ้าดิน ค่อยๆ เข้ามาในแขนของเขา

ลู่ฝานซัดหมัดออกไปอีกครั้ง

“หมัดถล่มเขาทำลายล้าง!”

เขาของเต่าเกล็ดมังกร โดนหมัดชกจนหักทันที เต่าเกล็ดมังกรกระแทกกับพื้นจนเกิดเสียงดัง

บนเขาซีซาน เรื่องราวในโลกหล้า ล้วนเปลี่ยนแปลง ไม่เที่ยงแท้แน่นอน

ภูผาเขียวขจี สายน้ำไหล

หลังผ่านไปสองเดือน ในป่าลึก มีเสียงต่อสู้ดังออกมาไม่หยุด

“เสือดาวปีศาจเลวๆ แกคิดว่าแบบนี้จะเผาฉันตายได้เหรอ ฮ่าๆ ฉันจะดูสิว่าพวกแกยังมีอีกเท่าไร”

ตามมาพร้อมเสียงตะโกน เสือดาวตัวหนึ่งที่มีเกล็ดและกระดองสีดำทั้งตัว โดยต่อยจนกระเด็น กระแทกต้นไม้จนหัก และหล่นลงบนพื้น หลังจากเสียงคำรามโอดครวญ เสือดาวปีศาจ ไม่สามารถลุกขึ้นมาได้อีก

ในป่ายังมีเสือดาวแบบมัน นอนตายอยู่บนพื้นห้าตัว

พละกำลังของเสือดาวปีศาจโตเต็มวัยแบบนี้ ทัดเทียมกับนักบู๊ระดับแดนฝึกร่างชั้นเก้า มีพละกำลังไม่ธรรมดา กรงเล็บแหลมคมมาก สิ่งสำคัญคือ เมื่อถึงช่วงวิกฤต เสือดาวปีศาจสามารถพ่นเพลิงปีศาจออกมาเผาคู่ต่อสู้ได้ นักบู๊แดนปราณในขั้นหนึ่งที่เพิ่งฝึกพลังปราณออกมาได้ อยากฆ่าพวกมันโดยไม่บาดเจ็บ เรียกว่ายากลำบาก ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่จะจัดการฝูงเสือดาวปีศาจด้วยตัวคนเดียวเลย

แต่วันนี้ คู่ต่อสู้ที่พวกมันเจอ เหนือความคาดหมายอย่างเห็นได้ชัด

ทั้งตัวลู่ฝานมีเปลวไฟลุกโชนขึ้นมา จับเสือดาวปีศาจตัวสุดท้ายด้วยมือข้างเดียว

ลู่ฝานเนื้อตัวดำมอมแมม บนหน้ายังมีคราบเลือดด้วย นั่นเป็นรอยเล็บที่เสือดาวปีศาจทิ้งไว้ให้เขา

เกล็ดและกระดองบนตัวเสือดาวปีศาจ ไม่สามารถต้านทานเปลวไฟในมือลู่ฝานได้ มองเสือดาวปีศาจ ที่ดิ้นไปมาไม่หยุด ลู่ฝานมีสีหน้าโมโห เพราะพวกมันไม่เพียงแต่จะเผาเสื้อผ้าชุดสุดท้ายของเขา อีกทั้งยังเผาผมเขาจนเสียหายด้วย

สมควรตาย เปลวไฟบนตัวเขา ยังไม่เผาผมเขาจนเสียหาย แต่เสือดาวพวกนี้ กลับมาช่วยจัดแต่งทรงผมให้เขา

ใช้แรงที่ฝ่ามือ ในแขนมีลำแสงสีขาวสว่างขึ้นมา นี่คือลางบอกว่า ใกล้จะฝึกพลังปราณได้แล้ว

ลู่ฝานบีบเสือดาวปีศาจตัวนี้จนตาย จากนั้นดึงดอกอำพันมังกรข้างๆ ขึ้นมา

“อาจารย์ ดอกอำพันมังกรเหนือธรรมชาติจริงๆ แค่ปักเอาไว้ บริเวณรัศมีสิบลี้ สัตว์อสูรจะวิ่งเข้ามาทันที ผมไม่รู้เลยว่าบนทิวเขาซีซาน จะมีสัตว์อสูรเยอะขนาดนี้ ฆ่าไปสองเดือนแล้ว จำนวนสัตว์อสูรไม่เพียงแต่จะไม่ลดลง หนำซ้ำยิ่งฆ่ายิ่งเยอะขึ้นเรื่อยๆ”

พูดจบ ลู่ฝานพลิกมือคว้าไปในอากาศ กระแสน้ำปรากฏขึ้นในมือเขา จากนั้นลู่ฝานกลืนมันเข้าไป ตอนนี้วิชาแปรชี่เป็นห้าธาตุของเขายิ่งดีขึ้นเรื่อยๆ ล้วนเป็นผลของการฝึกวิชาเทพยอดกลั่นยาอู๋จี๋ ที่ฝึกมาหลายวันมานี้

หวูเฉินที่ยืนดูการต่อสู้ ตั้งแต่ต้นจนจบ ยิ้มแล้วพูดออกมาว่า “ช่วงนี้ถือว่านายดวงไม่เลวนะ ไม่ได้เจอสัตว์อสูรที่ร้ายกาจมากกว่านี้ ถ้าดอกอำพันมังกร เรียกเต่าเกล็ดมังกรออกมา นายซวยแน่”

ได้ยินคำว่าเต่าเกล็ดมังกร ลู่ฝานหนังตากระตุก นั่นเป็นสัตว์อสูรที่เขาใช้ดอกอำพันมังกรเรียกออกมา เมื่อหนึ่งเดือนก่อน ทั้งตัวเหมือนกับหิน แข็งจนน่ากลัว ตอนนั้นลู่ฝานไม่ใช่คู่ต่อสู้ จำต้องวิ่งหนี

แท้ๆ แต่ไม่มีสัตว์อสูรโจมตีเขาสักตัว ลู่ฝานถามอยู่นาน จึงได้คำตอบ ที่แท้นี่เป็นวิชาหนึ่ง เรียกว่า

สองสามวันนี้ ลู่ฝานก็เรียนตามอยู่ระยะหนึ่ง แต่ประสิทธิภาพไม่ชัดเจนมาก

ลากศพเสือดาวปีศาจทั้งหมดเข้ามา ลู่ฝานเริ่มชำแหละด้วยมือเปล่า ดูว่าด้านในมีแก้วหินอสูรที่เขาต้องการหรือเปล่า

โดยทั่วไปแล้ว สัตว์อสูรขนาดเล็กแบบนี้ โอกาสมีแก้วหินไม่ค่อยมาก จากที่อาจารย์พูด ต้องเป็นอสูรกายอย่างพวกเต่าเกล็ดมังกร ที่ทัดเทียมกับนักบู๊แดนปราณในขึ้นไป ถึงจะมีแก้วหิน

ลู่ฝานชำแหละ 5-6 ตัวเต็มๆ เพิ่งเห็นแก้วหินขนาดเท่าหัวแม่มือหนึ่งเม็ด

ส่งให้หวูเฉินมองอย่างละเอียด หวูเฉินถอนหายใจออกมา “ไม่มีอุกกาบาตจิตเย็น ดูเหมือนว่าจะต้องเดินเข้าไปข้างในเรื่อยๆ”

ลู่ฝานถอนหายใจ แล้วพูดว่า “ใช้ของอย่างอื่นแทนไม่ได้เหรอครับ”

แต่ประสิทธิภาพที่กลั่นออกมา จะไม่ดี อุกกาบาตจิตเย็นคู่กับหินผนึกกำลัง เป็นการรวมตัวกันที่ดีที่สุด ไม่เพียงแต่จะมีประโยชน์ ในการควบคุมพลังฝึก อีกทั้งยังมีพลังดูดซึมฟ้าดินรวดเร็วขึ้นด้วย

ลู่ฝานพยักหน้า แล้วพูดว่า “โอเค งั้นหาต่อ อาจารย์ ผมรู้สึกว่าตัวเองสามารถก้าวหน้าได้ทุกเมื่อ โดยเฉพาะพลังปราณของผม ใกล้จะออกจากตัวแล้ว”

หวูเฉินตอบว่า “ฉันรู้ แต่ตอนนี้นายต้องระงับเอาไว้ พลังชี่กับพลังปราณต้องสมดุลกัน ก้าวหน้าพร้อมกัน ถึงจะเป็นโอกาสดีที่สุด”

ลู่ฝานพูดว่า “งั้นผมจะพยายามระงับไว้ พลังชี่ก็ใกล้จะออกมาแล้ว ผมเห็นกระแสลมที่ไหลอยู่ในจุดตันเถียน เป็นสี่สี มีอีกหนึ่งสี ก็จะได้แล้ว”

หวูเฉินอมยิ้ม แล้วพูดว่า “ถูกต้อง มีอีกแค่หนึ่งสี ก็จะได้แล้ว ฉันคิดไม่ถึงว่า นายฝึกด้านพลังชี่ จะมีความก้าวหน้าเร็วขนาดนี้เหมือนกัน”

ลู่ฝานพูดว่า “ผมอาจจะมีพรสวรรค์ด้านการฝึกชี่มั้งครับ”

พูดพลาง ลู่ฝานเอาหม้อไฟบุ๋นออกมาจากแหวน ใส่ชี่เข้าไป หม้อใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นลู่ฝานเอาเสือดาวโยนเข้าไปข้างใน บวกกับสมุนไพรที่ตัวเองเก็บมาบางส่วน จากนั้นจึงเริ่มเผา

ลู่ฝานโยนเปลวไฟในมือซ้ายเข้าไปในหม้อ ไม่นาน กลิ่นสมุนไพรบวกกับกลิ่นย่างเนื้อ ลอยออกมาพร้อมกัน

หวูเฉินเอาหนังสือออกมาหนึ่งเล่ม แล้วพูดว่า “นี่เป็นอีกหนึ่งอย่างที่สำคัญ ก่อนให้นาย ฉันต้องถามนายครั้งสุดท้าย ลู่ฝาน นายจะฝึกทั้งบู๊และชี่จริงๆ ใช่ไหม มันอาจทำให้นายไม่มีความสำเร็จอันใดเป็นชิ้นเป็นอัน ในชีวิตนี้”

ลู่ฝานพูดว่า “เรื่องที่ผมตัดสินใจแล้ว ไม่มีทางเปลี่ยนใจ อาจารย์วางใจเถอะ”

หวูเฉินพยักหน้าอย่างปลาบปลื้ม แล้วพูดว่า “โอเค นี่คือวิชาเทพยอดกลั่นยาอู๋จี๋ ที่สำคัญที่สุดของการฝึกทั้งชี่และบู๊ ก่อนอื่น ฉันต้องบอกนายไว้ก่อน นี่เป็นหนังสือวิชาฝึกชี่ที่แปลกประหลาด นอกจากคนที่สร้างมันขึ้นมา ยังไม่มีคนฝึกฝนมันได้”

ลู่ฝานพูดว่า “แล้วคนที่สร้างมัน เป็นยังไงบ้าง”

หวูเฉินเงียบครู่หนึ่ง จากนั้นจึงพูดว่า “คนที่สร้างมัน คือฉันเอง”

ลู่ฝานอึ้งไปทันที หวูเฉินเลิกแขนเสื้อตัวเองขึ้นมา ให้ลู่ฝานเห็นแขนของเขา

เส้นเลือดปรากฏออกมา เส้นเลือดมากมาย รวมตัวกันเป็นก้อนอยู่ตรงข้อพับ ตั้งแต่ข้อพับขึ้นไป ดูแห้งเหี่ยว ขาวซีด หวูเฉินเอาแขนเสื้อลง แล้วพูดว่า “นี่คือสิ่งที่ฉันต้องแลกมาจากการฝึกมัน เส้นลมปราณติดขัด เส้นเลือดไหลเวียนไม่ดี กลับตาลปัตรไปหมด ฉันสูญเสียพลังไปทุกเวลา จนสักวันหนึ่ง จุดตันเถียนจะแตกสลาย ร่างระเบิดตายไป”

ลู่ฝานแววตาวูบไหว กัดฟันพูดว่า “รักษาไม่ได้เหรอครับ”

“รักษาได้อยู่แล้ว แต่สมุนไพรที่ใช้ ล้ำค่าหายากมาก ฉันเคยท่องไปทั่วทุกที่กว่ายี่สิบปี ไม่ได้อะไรสักอย่าง บางทีบนโลกนี้ อาจมีคนหาสมุนไพรพวกนั้นเจอ และกลั่นมันเป็นยา แต่คงไม่ใช่ฉัน แต่นายไม่ต้องกังวล แม้เป็นเช่นนี้

ลู่ฝานเงียบไป จากนั้นพูดว่า “อาจารย์ไม่มีทางเอาวิชาที่ตัวเองสร้างขึ้นมาทำร้ายผมหรอก ในเมื่ออาจารย์ให้ผมฝึก ต้องมีความมั่นใจแน่นอน ใช่ไหม”

ได้ทำผิดครั้งยิ่งใหญ่ นั่นก็คือฉันฝึกชี่มาหลายปี ซึ่งทั้งหมดถูกกำหนดไว้แล้ว เข้าร่วมการเปลี่ยนแปลงพลังปราณของนักบู๊ ผลสุดท้าย ทั้งสองด้านไม่สามารถรวมกันได้ ทำให้ฉันคว้ามันมาไม่ได้ และบาดเจ็บสาหัส

หวูเฉินพูดพลาง มีกระแสลมออกจากนิ้ว กระแสลมสีขาว เหมือนกับเปลวไฟลุกโชน

หวูเฉินยิ้ม แล้วพูดว่า “พลังปราณของนักบู๊ ชี่ของผู้ฝึกชี่ รวมไว้ด้วยกัน ฉันเรียกมันว่า ปราณชี่!”

หวูเฉินสะบัดมือ ปล่อยกระแสลมเข้าไปในน้ำ กระแสลมเพียงเล็กน้อย ทำให้น้ำตกเกิดเสียงระเบิดสั่นสะเทือน

เสียงระเบิดอันน่ากลัว สั่นสะเทือนแก้วหู น้ำสาดกระเซ็นไปทั่ว ขณะเดียวกัน ลู่ฝานเห็นสายน้ำนับไม่ถ้วน เคลื่อนตัวอย่างรวดเร็ว ซัดโจมตีไปรอบๆ

“มีพลังรุนแรงของพลังปราณ และมีพลังเปลี่ยนแปลงฟ้าดินของการฝึกชี่ นี่คือปราณชี่ มีเพียงหนึ่งเดียว พลานุภาพสุดยอด”

หวูเฉินพูดพลาง แววตามีไฟลุกโชน

ลู่ฝานเห็นทุกอย่าง ตกใจเป็นอย่างแรก จากนั้นเกิดความมุ่งหวังกับพลังแบบนี้

“อาจารย์ พลังแบบนี้ อันตรายมากใช่ไหมครับ”

“ถูกต้อง อันตรายมาก แต่ถ้าคนคนหนึ่ง เริ่มฝึกปราณชี่ตั้งแต่แรก พลังปราณกับพลังชี่ในร่างกายเกิดขึ้นพร้อมกัน และผสมผสานกัน จะไม่มีทางเกิดปฏิกิริยาสะท้อนกลับ เหมือนร่างกายของฉัน จากนั้น เขาฝึกต่อไปเรื่อยๆ นับวันยิ่งแข็งแกร่งขึ้น ฉันจินตนาการไม่ออกเลย

ลู่ฝานกำหมัดแน่น ชีวิตคนจะมีโอกาสได้สู้สักกี่ครั้ง

ลู่ฝานกัดฟันพูดว่า “อาจารย์ สอนผมเถอะ”

หวูเฉินพูดว่า “ไม่เสียใจภายหลังเหรอ”

ลู่ฝานพยักหน้าพูดว่า “ไม่เสียใจแน่นอนครับ”

หวูเฉินหัวเราะ เอาวิชาเทพยอดกลั่นยาอู๋จี๋ วางไว้ในมือลู่ฝาน

“นายวางใจเถอะ ฉันจะคอยดูนายตลอดเวลา จนกระทั่งนายฝึกปราณชี่ครั้งแรกออกมาได้ จะไม่ให้ความเศร้าที่เกิดกับฉัน เกิดขึ้นในตัวนายอีกเด็ดขาด”

ลู่ฝานพยักหน้า เปิดวิชาเทพยอดกลั่นยาอู๋จี๋

ตัวอักษรใหญ่บรรทัดแรก ปะทะเข้ากับสายตาของลู่ฝาน

“ความไร้กำเนิดความเต็ม ความเต็มกำเนิดทวิภาวะ ทวิภาวะให้กำเนิดสี่ปรากฏการณ์ สี่ปรากฏการณ์ให้กำเนิดแปดเอกลักษณ์ แปดเอกลักษณ์ให้กำเนิดสรรพสิ่ง……”

ลู่ฝานนั่งลงช้าๆ ศึกษาวิชาเทพยอดกลั่นยาอู๋จี๋อย่างเงียบๆ

หวูเฉินหันไปมองรอบๆ จากตรงนี้ สามารถมองเห็นทิวเขายาวทั้งลูก

ทั่วดินแดนอันไร้ขอบเขต พระอาทิตย์สีแดง สายลมเบาๆ

ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ลู่ฝานกำลังจะเหยียบลงบนเส้นทางแปลกใหม่

ขนาดตัวเขาเองยังไม่รู้ ว่าเขาจะประสบความสำเร็จแบบใด บนเส้นทางนี้

เหล่านกบินขึ้นมาจากในป่า เข้าไปในเมฆหมอก

ในที่สุดความวุ่นวายก็จบลง กลับมาสงบสุขอีกครั้ง

หลังผ่านไปห้าวัน ป่าลึกเขาซีซาน สายลมพัดเบาๆ สายน้ำไหลริน

ลู่ฝานย่อตัวลงอย่างมั่นคง ยืนอยู่ด้านล่างน้ำตก สายลมปะทะใบหน้า น้ำกระทบลงบนตัว นิ่งไม่ไหวเอน

ทันใดนั้น ลู่ฝานลืมตาขึ้น แววตาเป็นประกาย

ใช้แรงเหยียบตรงเท้า เด้งตัวขึ้นสูงได้เก้าเมตรกว่า

กระแสลมพลุ่งพล่าน สายลมใต้เท้า ทำให้เขาลอยตัวกลางอากาศได้ครู่หนึ่ง หลังจากนั้น ลู่ฝานเหยียบลงบนน้ำตกเบาๆ พุ่งขึ้นไปด้านบนเรื่อยๆ

ลู่ฝานพุ่งขึ้นไปด้านบนน้ำตก โดยไม่ต้องใช้มือทั้งสองข้างเลย

ความเร็วของเขา เร็วจนน่าอัศจรรย์ น้ำที่ไหลลงมา ไม่สามารถขัดขวางเขาได้แม้แต่น้อย ขณะที่เขากำลังพุ่งขึ้นไปด้านบนเขา ทันใดนั้นน้ำตก ม้วนเป็นเกลียว กระแสน้ำกลายเป็นเสือดุร้าย คำรามออกมา อ้าปากใส่ลู่ฝาน

ลู่ฝานไม่กลัวแม้แต่น้อย เปลวไฟพุ่งออกมาจากตัว ซัดหมัดเข้าไปหาเสือดุร้ายอย่างรวดเร็ว

หมัดไฟถล่มเขา

เสียงกระแทกดังขึ้นกลางอากาศ เสือดุร้ายโดนหมัดซัด จนกลายเป็นน้ำสาดกระเซ็น มือข้างหนึ่งของลู่ฝาน เข้าไปในหน้าผา ไม่ได้ตกลงมา

จากนั้นพลิกตัว เด้งตัวขึ้น ลู่ฝานมาถึงด้านบนสุดของน้ำตก

“ดีมาก ครั้งนี้เร็วกว่าเมื่อวานมาก ดูเหมือนว่าการฝึกที่น้ำตก จะสิ้นสุดลงแล้ว”

ไม่รู้ว่าหวูเฉินมาอยู่ด้านบนน้ำตกตั้งแต่เมื่อไร

ลู่ฝานหอบหายใจ แล้วพูดว่า “อาจารย์ อย่ารุนแรงขนาดนี้เลย น้ำกลายเป็นสัตว์ ยิ่งรุนแรงขึ้นทุกครั้ง ครั้งก่อนเป็นแค่รูปกวาง แต่ครั้งนี้กลายเป็นเสือ”

หวูเฉินหัวเราะ แล้วพูดว่า “ถ้าไม่รุนแรงสักหน่อย จะเห็นระดับสุดยอดของนายได้อย่างไร เอาหินผนึกกำลังที่อกนายมาให้ฉัน”

ลู่ฝานถอดหินผนึกกำลังยื่นให้หวูเฉิน แล้วพูดว่า “อาจารย์ ทำไมเหรอ ต่อไปไม่ต้องใช้หินผนึกกำลังแล้วเหรอ”

หวูเฉินพูดว่า “เครื่องมือฝึกฝนดีขนาดนี้ ต้องใช้อยู่แล้ว แต่หินผนึกกำลังอันนี้ มีประโยชน์กับนายไม่มากแล้ว ต้องทำให้นายใหม่อีกครั้ง แต่ยังขาดวัตถุดิบอีกบางส่วน นายเอาอันนี้ไป”

หวูเฉินเอาดอกไม้สีขาวต้นหนึ่ง วางไว้บนมือลู่ฝาน

มีกลิ่นหอมเบาๆ เป็นยาวิเศษที่ตระกูลโม่แพ้ และมอบให้ตระกูลลู่ ขณะเดียวกันยังมีหนังสือหมัดทำลายล้างด้วย จนถึงตอนนี้ลู่ฝานยังจำได้ วันต่อมา สีหน้าศิษย์ตระกูลโม่ตอนเอาของสองอย่างนี้มาให้ แทบจะกินคนเข้าไปได้

ไม่ต้องพูดถึงดอกอำพันมังกร แม้เป็นยาวิเศษ แต่ประโยชน์เพียงอย่างเดียวคือ เมื่อกินเข้าไป จะทำให้หน้าไม่โทรม งดงาม ถ้ามอบให้ผู้หญิง นับว่าเป็นของขวัญที่ไม่เลวชิ้นหนึ่ง แต่สำหรับลู่ฝาน

วิชาหมัดทำลายล้างที่ส่งมาให้ ก็ไม่เพียงพอ ส่วนสำคัญที่สุด ไม่ได้เขียนเอาไว้ เห็นได้ชัดว่าเป็นเล่มที่ชำรุด แน่นอนว่า ไม่ว่าอย่างไรท่าทีของตระกูลโม่ ยังดีกว่าตระกูลจางมาก จนกระทั่งลู่ฝานกลับมาฝึกฝนที่เขาซีซาน เหมือนตระกูลจาง ยังไม่มีท่าทีว่าจะให้เงิน

ด้วยเหตุนี้ แม้ลู่ฝานได้ของสองสิ่งนี้ แต่กลับไม่ได้ใช้ หวูเฉินเห็นว่าดอกอำพันมังกร น่าสนใจเล็กน้อย ลู่ฝานจึงให้เขาทันที ทำไมตอนนี้ ถึงเอามันออกมาอีกล่ะ

“อาจารย์ จะใช้มันทำอะไร”

เมื่อเอาไปผสมยา จะไม่มากนัก ทำได้เพียงยาอ่อนเยาว์ แต่ประโยชน์อีกอย่างของมันกลับมีคนรู้น้อยมาก นั่นก็คือดึงดูดสัตว์อสูร ฉันเพิ่มความหอมให้ดอกอำพันมังกรแล้ว เพียงพอที่จะเอาประโยชน์สูงสุดของมันออกมาได้ ตอนนี้การฝึกฝนของนายอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ต้องการการต่อสู้เป็นตายที่แท้จริง นายอย่าคิดว่าการต่อสู้บนเวทีเมื่อสองสามวันก่อน คือการต่อสู้แบบเป็นตาย แม้ฉันไม่ได้ไปดู แต่รู้ว่านั่นยังห่างอีกมาก ต่อไปหน้าที่ฝึกฝนของนาย

ลู่ฝานพูดว่า “ของอะไรครับ”

หวูเฉินพูดว่า “อุกกาบาตจิตเย็น”

ลู่ฝานอ้าปากค้าง เหมือนเขาเคยได้ยินของสิ่งนี้ เมื่อไม่กี่ปีก่อน เหมือนจะมีตระกูลเล็กๆ หาสิ่งนี้เจอที่เขาซีซาน ขายได้ราคาสูงเสียดฟ้าในงานประมูล

“คิดว่านายคงเคยได้ยิน ฉันบอกได้เพียงว่า อุกกาบาตจิตเย็น ไม่ได้ปรากฏออกมาเดี่ยวๆ อย่างน้อยจะกระจายไปทั่วเขตพื้นที่ ถ้าหาไม่เจอ แสดงว่าโดนสัตว์อสูรกินไปแล้ว สิ่งที่นายต้องทำ คือฆ่าสัตว์อสูรพวกนั้น

ลู่ฝานพยักหน้า “เข้าใจแล้วครับ ฟังแล้วดูท้าทายดีครับ”

หวูเฉินพูดว่า “ท้าทายมาก แต่ถ้าประมาทเพียงเล็กน้อย นายจะถึงแก่ชีวิต ก่อนที่นายจะเริ่มฝึกฝน ต้องเตรียมของบางส่วนก่อน อันดับแรก นายรับสิ่งนี้ไป”

หวูเฉินเอาหม้ออันเล็ก ออกมาจากอก ยื่นให้ลู่ฝาน

ลู่ฝานมองอยู่ครู่หนึ่ง จึงจำได้ แล้วพูดว่า “นี่คือ……หม้อไฟบุ๋น”

หวูเฉินพูดว่า “ถูกต้อง มีหม้อไฟบุ๋น ความเร็วในการกลั่นยาของนาย จะเพิ่มขึ้นไม่น้อย ช่วงเวลาวิกฤต ก็สามารถซ่อนในหม้อเพื่อเอาชีวิตรอดได้ วิธีการใช้งาน คือใช้ชี่ในร่างกายกระตุ้นมัน ตอนนี้นายน่าจะสามารถทำได้”

อู่ฝานรับมาอย่างจริงจัง และเก็บเข้าไปในแหวน

เหมือนลู่เฟิงรู้ความคิดของลู่เฮ่าหราน เขายกแก้วเหล้าขึ้นมา พูดกับลู่ฝานว่า “ลู่ฝาน อาขอโทษแทนลู่หมิงด้วย หวังว่านายจะไม่ถือสาเอาความ เป็นครอบครัวเดียวกัน อย่าเจ็บแค้นเคืองโกรธกันเลย”

ลู่ฝานพยักหน้าด้วยสีหน้าราบเรียบ เขายกแก้วเหล้าขึ้นมาดื่มรวดเดียวจนหมด

ขณะนั้น องครักษ์คนหนึ่งวิ่งเข้ามา คารวะลู่เฮ่าหราน แล้วพูดว่า “ท่านเจ้าบ้าน ข้างนอกมีคนมาหาคุณชายลู่ฝานครับ”

“ใครเหรอ ถ้าเป็นคนที่มายินดี ก็ช่างเถอะ คืนนี้พูดปฏิเสธพวกเขาไปแล้วไม่ใช่เหรอ จะแสดงความยินดี ค่อยมาพรุ่งนี้”

องครักษ์ตอบว่า “คุณจางเยว่หานของตระกูลจางครับ”

ลู่เฮ่าหรานอึ้งเล็กน้อย จากนั้นหันไปมองลู่ฝาน

ลู่ฝานขมวดคิ้ว เขาคิดไปคิดมา จึงลุกขึ้น แล้วพูดว่า “ผมไปดูหน่อย”

ลู่หาวพูดว่า “ลู่ฝาน จำไว้ นายกำลังจะกลายเป็นคนสำคัญ ผู้หญิงอย่างจางเยว่หาน……ไม่เหมาะสมกับนาย”

ลู่ฝานพยักหน้าเข้าใจ “วางใจเถอะพ่อ ผมรู้ว่าควรทำยังไง”

พูดจบ ลู่ฝานเดินออกไปข้างนอก

ลู่เฮ่าหรานเรียกองครักษ์ แล้วพูดเบาๆ ว่า “อีกเดี๋ยวนายยืนใกล้ๆ หน่อย จำคำพูดที่ทั้งสองคนคุยกัน แล้วกลับมารายงานฉันตามความจริง”

องครักษ์ตอบว่ารับทราบด้วยเสียงเบา จากนั้นจึงรีบเดินออกไป

ค่ำคืนมาพร้อมกับลมเย็น ผู้หญิงด้านนอก ผมปลิวไปตามลม

จางเยว่หานยืนอยู่หน้าประตูตระกูลลู่ ชุดคลุมยาวถึงพื้น สีหน้าเศร้า คืนนี้เหมือนเธอแต่งหน้าเล็กน้อย ลงแป้งอ่อนๆ เขียนคิ้วบางๆ

ริมฝีปากสีแดงภายใต้แสงจันทร์ ดูงดงาม ตอนลู่ฝานเห็นจางเยว่หาน สีหน้าเขาดูวูบไหวเล็กน้อย

เดิมทีลู่ฝานเคยเห็นเธอแต่งตัวแบบนี้ จำได้รางๆ เป็นเหมือนค่ำคืนนี้ เขาเอายาที่พ่อทำให้เขาอย่างยากลำบาก ไปหาจางเยว่หาน จากนั้นเขาเอายาทั้งหมดให้จางเยว่หาน

ลู่ฝานยืนหน้าประตู มองจางเยว่หาน แล้วพูดว่า “เธอมาหาฉันทำไม”

จางเยว่หานพูดด้วยเสียงอ่อนโยน “ลู่ฝาน ฉันอยากคุยกับนาย เราไปร้านด้านในสุดบนถนนประตูเมือง ดื่มเหล้าสักนิด แล้วนั่งคุยกัน ดีไหม”

ลู่ฝานพูดอย่างราบเรียบ “มีอะไร คุยกันตรงนี้เถอะ”

จางเยว่หานกัดริมฝีปาก ก้าวเข้ามา จะจับมือลู่ฝาน

ลู่ฝานหลบด้วยสีหน้านิ่ง มองจางเยว่หาน แล้วพูดว่า “คุณเยว่หาน เคารพตัวเองหน่อย”

จางเยว่หานพูดด้วยแววตาเศร้า “ลู่ฝาน ขอโทษ เรามาเริ่มต้นกันใหม่ได้ไหม”

ลู่ฝานเงยหน้ามองจางเยว่หาน จู่ๆ ก็หัวเราะออกมา พูดช้าๆ ว่า “จางเยว่หาน ถ้าคืนนี้เธอมาที่นี่ เพื่อจะพูดประโยคนี้ งั้นเชิญเธอกลับไปเถอะ”

จางเยว่หานพูดว่า “ลู่ฝาน นายจะให้ฉันทำอะไร ถึงจะยอมยกโทษให้ฉัน”

ลู่ฝานพูดอย่างราบเรียบ “ไม่ถึงกับยกโทษหรือไม่ยกโทษหรอก คุณจางเยว่หาน ดึกแล้ว ถ้าไม่มีเรื่องอื่น เธอกลับไปได้แล้ว”

ลู่ฝานพูดเจาะจง แววตาจางเยว่หานวูบไหว แล้วพูดว่า “นายรู้เหรอว่าฉันมีเรื่องอื่น”

ลู่ฝานพูดว่า “ทำไมจะไม่รู้ จางเหยียนพ่อของเธอพนันกับปู่ฉัน แพ้ต้องให้แสนเหรียญทอง จุดประสงค์ที่เธอมาที่นี่ จะให้ฉันพูดขอร้องแทนเธอไม่ใช่เหรอ ยืดระยะเวลาผ่อน หรือไม่ก็ลดจำนวนลง ถูกต้องไหม”

สายตาที่ดูเหมือนมองออกทุกอย่าง ทำให้จางเยว่หานถอยหลังไปหนึ่งก้าวอย่างไม่รู้ตัว

จางเยว่หานพูดว่า “ลู่ฝาน ที่แท้นายฉลาดขนาดนี้ ทำไมก่อนหน้านี้ฉันไม่รู้เลยสักนิด”

ลู่ฝานพูดว่า “มีเรื่องที่เธอไม่รู้อีกเยอะเลยล่ะ”

จางเยว่หานกัดฟันพูดว่า “งั้นนายยอมช่วยฉันไหม ตอนนี้นายมีชื่อเสียงไปทั่ว แค่นายพูดประโยคเดียว ไม่แน่อาจตัดสิ่งเดิมพันทิ้งได้ ลู่ฝาน นายจะให้ฉันทำอะไร ฉันจะ……”

ลู่ฝานพูดตัดบทจางเยว่หาน “ฉันบอกเธอได้แค่ว่า ฉันจะช่วยเธอพูดสักคำ จางเยว่หาน คนเราไม่ควรต่ำตมขนาดนี้ เรื่องมากมายบนโลก ไม่ใช่การซื้อขายแลกเปลี่ยน พึ่งคนอื่น ไม่สู้พึ่งตน”

ลู่ฝานพูดจบ เตรียมจะหันหลังเดินกลับไป

จางเยว่หานพูดด้วยเสียงสั่น “นายว่าฉันต่ำตมเหรอ”

ลู่ฝานหันมามองจางเยว่หาน แล้วพูดว่า “ฉันพูดไปมากขนาดนี้ เธอได้ยินแค่สองคำเหรอ”

จางเยว่หาน พูดด้วยแววตาวูบไหว “ลู่ฝาน ระหว่างเรา ไม่มีความเป็นไปได้สักนิดเลยเหรอ”

ลู่ฝานครุ่นคิด แล้วพูดว่า “จางเยว่หาน ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ฐานะของเราแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว อยู่กับความเป็นจริงเถอะ เธอก็รู้ ระหว่างเราเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว ลาก่อน”

คำพูดของลู่ฝานเหมือนค้อนหนักทุบลงบนหัวใจจางเยว่หาน สองประโยคนี้ คือคำที่เธอพูด ตอนเลิกกับลู่ฝานในตอนนั้น

ตอนนี้ ลู่ฝานคืนคำเดิมกลับมาให้เธอแล้ว

แต่ละคำพูด เหมือนกับมีดแทงเธอจนทะลุ แววตาราบเรียบตั้งแต่ต้นจนจบของลู่ฝาน ทำให้จางเยว่หานพ่ายแพ้

ลู่ฝานเดินออกไปอย่างรวดเร็ว สะบัดมือให้องครักษ์ปิดประตู

จางเยว่หานยืนอยู่ที่เดิม มองไปยังประตูเหล็ก ที่ขวางเงาของลู่ฝานเอาไว้

เบ้าตาจางเยว่หาน ค่อยๆ แดงขึ้นเรื่อยๆ หลังจากนั้นแววตาเธอมีความอาฆาตผุดขึ้นมา

จางเยว่หานรีบเดินออกมาทันที

คนตระกูลจาง รีบเข้าไปประคองจางเยว่หาน ที่ล้มลงบนพื้น ต่างมีสีหน้าสับสน

จางเหยียนเดินเข้ามา ถามเบาๆ ว่า “ลูก เมื่อกี้ลูกพูดจริงหรือเปล่า ลูกกับลู่ฝาน……”

มุมปากจางเยว่หานมีคราบเลือด ผมเผ้ายุ่งเหยิง กัดฟันพูดว่า “พ่อไม่ต้องพูดแล้ว”

จางเหยียนพยักหน้าพูดว่า “ได้ ไม่พูดแล้ว มีอะไรค่อยกลับไปคุยกัน”

คนตระกูลจางรีบออกไปทันที คนตระกูลอื่นพากันกระซิบ ได้ยินเสียงถกเถียงต่างๆ นานา ดังขึ้นเบาๆ

“ที่แท้จางเยว่หานเคยคบกับลู่ฝาน”

“ก่อนหน้านี้ เธออยู่กับลู่หมิงไม่ใช่เหรอ อยู่กับลู่ฝานก่อน แล้วมาอยู่กับลู่หมิง นิสัยของผู้หญิงคนนี้แย่”

“เห็นเธอดูสดใสบริสุทธิ์ขนาดนี้ คิดไม่ถึงว่าธาตุแท้จะเป็นคนแบบนี้”

“เฮ้อ โลกเปลี่ยนไปทุกวัน”

……

จางเยว่หานหน้าแดงระเรื่อ เธอคิดไม่ถึงจริงๆ คำพูดตอนใจร้อนเพียงประโยคเดียว ทำให้เธอเสื่อมเสียชื่อเสียง แถมยังแพ้ให้ลู่ฝานอีกด้วย

การโจมตีทั้งสองทาง ทำให้จางเยว่หาน สั่นไปทั้งตัว คนตระกูลจางก็รู้ว่าเสียหน้าแล้ว ไม่พูดอะไร รีบออกไปทันที

คนตระกูลโม่คิดว่าครั้งนี้ ตัวเองจะเป็นผู้แพ้ แต่เห็นสิ่งที่ตระกูลจางต้องเจอ ดูเหมือนจะน่าเวทนากว่าเล็กน้อย

โม่เทียนหันไปมองโม่หยุนเฟย แล้วพูดว่า “หยุนเฟย นายไม่ได้คบกับจางเยว่หานใช่ไหม”

โม่หยุนเฟยพูดช้าๆ ว่า “เกือบแล้ว”

แววตาโม่เทียนแปรเปลี่ยนเป็นดุดัน แล้วพูดว่า “ไม่เคยคบก็ดีแล้ว ต่อไปอยู่ให้ห่างผู้หญิงคนนี้หน่อย”

โม่หยุนเฟยพยักหน้าอย่างเข้าใจ แล้วพูดว่า “ครับ”

โม่เทียนลุกขึ้นยืน พาคนตระกูลโม่ออกไปเช่นกัน พิธีกรด้านบนเห็นลู่เฮ่าหรานส่งสัญญาณ จึงประกาศว่าลู่ฝานได้รับชัยชนะ

ก่อนโม่หยุนเฟยจะไป หันมามองลู่ฝาน แม้แววตาดูไม่พอใจ แต่ในใจกลับยอมรับ

เทียบกับลู่หมิง โม่หยุนเฟยยังมีความกล้าหาญของนักบู๊มากกว่า

โม่หยุนเฟยพูดพึมพำ “ลู่ฝาน ครั้งนี้ถือว่านายชนะ ครั้งต่อไป รอให้ฉันฝึกพลังปราณได้ก่อน จะมาสู้กันอีกครั้ง”

โม่หลินที่อยู่ข้างๆ ได้ยินเสียงพึมพำของลูกชายตัวเอง หัวเราะแล้วตบไหล่โม่หยุนเฟย

บนเวที ลู่ฝานโบกมือให้คนตระกูลลู่ ทันใดนั้นศิษย์ตระกูลลู่ พากันตะโกนออกมาเสียงดัง

ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ชื่อของลู่ฝาน จะกลายเป็นตำนานของเมืองเจียงหลิน คนจำนวนมาก ต้องมาสอบถามว่า ทำไมลู่ฝานจึงเปลี่ยนจากสวะ มาเป็นผู้มีความสามารถในตอนนี้ได้

เปลี่ยนแปลงอย่างมาก ตื่นรู้เพียงข้ามคืน

เก็บซ่อนเอาไว้ วางแผนเอาไว้แล้ว

เชื่อว่าตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ตำนานเรื่องราวที่เกี่ยวกับลู่ฝานมากมาย ต้องแพร่กระจายออกไป

……

ตอนกลางคืน งานเลี้ยงขนาดใหญ่ เสียงเพลงดังสนั่น

คืนนี้ เป็นคืนของตระกูลลู่ เป็นคืนของลู่ฝาน ทั้งตระกูลลู่เฉลิมฉลองอย่างบ้าคลั่ง

บนโต๊ะหลัก สองพ่อลูกลู่ฝานกับลู่หาว นั่งอยู่ด้านซ้ายและขวาของลู่เฮ่าหราน ลู่เฮ่าหรานดูมีความสุขมาก ดื่มจนหน้าดูเมานิดๆ

เมื่อคนดื่มเยอะ ก็พูดค่อนข้างเยอะเหมือนกัน

ลู่เฮ่าหรานจับมือลู่ฝาน แล้วพูดเรื่องที่เขาท่องไปทั่วทุกที่ ในตอนนั้นไม่หยุด สำรวจหอนางโลมสิบแปดห้องยามวิกาล ชักดาบต่อสู้ยันฟ้าสาง อะไรทำนองนั้น

3-4 เรื่อง โดนลู่เฮ่าหราน พูดไปมา 2-3 ชั่วยาม ลู่ฝานก็ไปไม่ได้ นั่งฟังอยู่ตรงนั้น ลู่หาวที่อยู่ข้างๆ หัวเราะอย่างชอบใจ เหมือนเขาเคยเจอความทุกข์เช่นนี้

ศิษย์ตระกูลลู่มาดื่มเหล้ายินดีไม่หยุด ลู่ฝานพยักหน้าตอบกลับทีละคน

ในคืนนี้ สิ่งที่ลู่ฝานได้ยินเยอะที่สุด ไม่ใช่เรื่องของลู่เฮ่าหราน แต่เป็นคำขอโทษที่มาจากศิษย์ตระกูลลู่

แทบทุกคนที่เดินเข้ามา ล้วนพูดว่า “พี่ลู่ฝาน ขอโทษ ตอนนั้นผมดูถูกคนอื่น พี่เป็นเสาหลักของตระกูลลู่จริงๆ ผมดื่มไถ่โทษสามแก้ว”

ลู่ฝานฟังเงียบๆ ครั้งหนึ่ง เขาก็เคยคิดเหมือนกัน ต่อไปต้องทำให้คนที่เคยดูหมิ่นเขาในตอนนั้น มาเข้าแถวขอโทษต่อหน้า

แต่เมื่อเขาทำได้จริง กลับรู้สึกว่าไม่จำเป็นเลย

ถึงขั้นที่ตอนนี้ เขารู้สึกว่าตัวเองควรขอบคุณ ความยากลำบากในหลายปีนี้

ความยากลำบากพวกนี้ สร้างความแข็งแกร่งของเขา และความยากลำบากพวกนี้ ทำให้วิถีบู๊ของเขาสำเร็จ

ทันใดนั้น มีเงาที่คุ้นเคยเดินเข้ามา เป็นลู่เทียนกัง ที่เคยโดนลู่ฝานต่อย

ลู่เทียนกังร่างกายกำยำล่ำสัน อกผายไหล่ผึ่ง เขาเดินถือแก้วเหล้ามาตรงหน้าลู่ฝาน โค้งตัวคำนับ แล้วพูดว่า “ลู่ฝาน ฉันเคยด่านายว่าสวะ ตอนนี้ฉันรู้แล้ว ฉันผิดไปแล้ว ผิดจนเกินไป ฉันไม่ขอให้นายอภัย แค่อยากขอโทษนาย ลู่ฝานของตระกูลลู่ เป็นอัจฉริยะ ไม่ใช่สวะ ต่อไปใครกล้าพูดไม่ดีกับนายแม้แต่ประโยค ลู่เทียนกังคือคนแรกที่จะไม่ยอม”

พูดจบ ลู่เทียนกังเอาเหล้าในแก้ว เทใส่หน้า และโค้งคำนับลู่ฝาน จากนั้นจึงเดินออกไป

ลู่เฮ่าหรานหัวเราะ แล้วพูดว่า “ลู่ฝาน คิดไม่ถึงว่าการต่อสู้วันนี้ของนาย กลับทำให้ทั้งผู้อาวุโสและเด็กในตระกูลลู่พากันยอมรับนาย”

ลู่ฝานหัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “อาจจะมั้งครับ”

ขณะกำลังพูด ลู่เฟิงเดินเข้ามาด้วยแววตาหม่นหมอง ลู่เฮ่าหรานเรียกให้ลู่เฟิงนั่งลง จากนั้นถามว่า “ลู่หมิงล่ะ ทำไมเขาไม่มา”

ลู่เฟิงพูดว่า “ลู่หมิงกลับไปสถาบันสอนวิชาบู๊ในคืนนั้นแล้วครับ”

ลู่เฮ่าหรานขมวดคิ้ว แล้วพูดว่า “การโจมตีเล็กน้อยแค่นี้ ยังไม่สามารถเผชิญหน้าได้ หนีกลับวิทยาลัยแล้วเหรอ”

ลู่หาวได้ยิน จึงพูดว่า “พ่อ ลู่หมิงเป็นวัยรุ่นจิตใจฮึกเหิม การโจมตีครั้งนี้ ค่อนข้างหนักหนาสำหรับเขา กลับวิทยาลัยก็กลับไปเถอะ”

ลู่เฮ่าหรานยังคงไม่พอใจ ลู่เฮ่าหรานคิดว่า คนที่ควรขอโทษลู่ฝานที่สุด คือลู่หมิง แต่คิดไม่ถึงว่าลู่หมิงจะกลับไปแล้ว

เกิดเสียงกระแทกดังขึ้น เวทีหินโดนกระแทกจนเป็นรู เศษหินนับไม่ถ้วน กระจายไปทั่ว อยากใช้กำลังบีบให้จางเยว่หานออกไป

แต่เศษหินพวกนี้ ยังไม่ทันโดนตัวจางเยว่หาน กลับโดนพลังปราณต้านทานเอาไว้

พลังปราณของนักบู๊ ไม่เพียงแต่จะสามารถเพิ่มพลังได้ ยังสามารถป้องกันการโจมตีได้ด้วย

ใช้โอกาสนี้ กระบี่ยาวในมือจางเยว่หาน ส่งเสียงคำรามออกมาเบาๆ

วิชากระบี่มังกรเลื้อย!

เงาร่างกายไม่ขยับ กระบี่เหมือนมังกร เงากระบี่มากมายโจมตีมาทุกทิศทุกทาง แยกแยะไม่ได้ว่าอันไหนจริง อันไหนปลอม

ลู่ฝานอยู่ท่ามกลางกระบี่นับไม่ถ้วน โดนบีบให้ถอยไปด้านหลัง

จางเยว่หานเพิ่มพลังให้แข็งแกร่ง เห็นได้ว่าแสงกระบี่ มาพร้อมกับพลังปราณ กะพริบอย่างต่อเนื่อง

ทันใดนั้น ลู่ฝานตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤต

ลู่เฮ่าหรานเห็นแล้วกลุ้มใจ แต่กลับทำอะไรไม่ได้

วิชากระบี่มังกรเลื้อย เป็นเคล็ดวิชาที่ถ่ายทอดจากสถาบันสอนวิชาบู๊ ไม่ต้องพูดถึงพลานุภาพเลย

แม้จางเยว่หานจะฝึกเพียงผิวเผิน บวกกับพลานุภาพของพลังปราณ ก็เพียงพอที่จะทำให้ลู่ฝานพ่ายแพ้ได้

เพราะแดนปราณในกับแดนฝึกร่างห่างกันเกินไปมาก กายทองไฟอาบชั้นรู้ความไม่สามารถชดเชยได้

ความพ่ายแพ้ของลู่ฝาน กำลังจะมาถึงแล้ว

แต่ขณะที่ทุกคนคิดว่าลู่ฝาน ไม่มีโอกาสอีกแล้ว คิดไม่ถึงว่าลู่ฝาน จะจับกระบี่ของจางเยว่หาน ท่ามกลางเงากระบี่เป็นหมื่นเป็นพัน

ฝ่ามือแดงก่ำ ทำให้ตัวกระบี่แดงไปทั้งอัน

แต่จางเยว่หานไม่ได้ปล่อยมือ พลังปราณสามารถกำจัดพลังความร้อนที่แผ่ออกจากตัวลู่ฝานได้

“ยอมแพ้เถอะลู่ฝาน ระยะห่างระหว่างฉันกับนาย เหมือนแม่น้ำใหญ่”

จางเยว่หานพูดอย่างเย็นชา คำพูดสองแง่สองง่าม

แต่ลู่ฝานกลับยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “ยังสู้ไม่จบเลย!”

พูดจบ ลู่ฝานใช้แรงอย่างโหดเหี้ยม ตอนนี้ฝ่ามือ มีเปลวไฟลุกขึ้นมา

จางเยว่หานอึ้งเล็กน้อย จะดึงกระบี่ยาวกลับมา พลังปราณไหลเข้าไปในตัวกระบี่ จะดีดมือลู่ฝานออก

แต่มือลู่ฝาน แข็งแกร่งเหมือนหิน ฝ่ามือเปลวไฟ ทำให้ตัวกระบี่ เริ่มเปลี่ยนรูปร่าง

จางเยว่หานเห็นว่าดึงกระบี่กลับมาไม่ได้แล้ว ก้าวไปข้างหน้า ใช้ชุดวิชาฝ่ามือและวิชาเท้ารวมกัน โจมตีไปบนตัวลู่ฝาน แต่ลู่ฝานไม่ถอยแม้แต่ก้าวเดียว รับการโจมตีของจางเยว่หานอยู่อย่างนั้น ถึงบนตัวจางเยว่หาน มีพลังปราณไหลเวียนอยู่ ก็ไม่สามารถทำให้เขาถอยหลังไปได้

ลู่ฝานพูดช้าๆ ว่า “พลังปราณของเธอ ช่างอ่อนแอสิ้นดี!”

พูดพลาง ลู่ฝานดึงหินบนคอออก

หินผนึกกำลังก้อนเล็ก หล่นลงบนพื้น กระแทกจนพื้นกลายเป็นหลุมลึก

จากนั้น กระแสลมบนตัวลู่ฝานพลุ่งพล่าน มีเปลวไฟลุกขึ้นมาบนตัว

ลู่เฮ่าหรานตกตะลึงเป็นอย่างมาก นี่คือพละกำลังที่แท้จริงของลู่ฝานเหรอ เมื่อกี้เขาควบคุมพละกำลังของตัวเองเอาไว้ เพราะหินก้อนเล็กบนพื้นก้อนนั้นเหรอ

โม่หยุนเฟยที่กว่าจะฟื้นขึ้นมา เห็นภาพตรงหน้า หน้าซีดเข้าไปใหญ่ รู้สึกว่าตอนเขาสู้กับตัวเอง ยังไม่ได้ใช้พละกำลังที่แท้จริง!

เมื่อเอาหินผนึกกำลังออก พละกำลังของลู่ฝานพุ่งถึงจุดสูงสุด

พอพูดถึงหินผนึกกำลังอันนี้ ลู่ฝานก็โมโหขึ้นมา อาจารย์หวูเฉินบอกเขาว่า ให้หาวิธีเอาหินผนึกกำลังออกจากในหนังสือยา มันเป็นการล้อเขาเล่นแท้ๆ วิธีเอาหินผนึกกำลังออกจริงๆ คือดึงมันออกมาก็จบ

ไม่มีการควบคุมของหินผนึกกำลัง พลังการต่อสู้ของลู่ฝาน พุ่งขึ้นทันที

เปลวไฟอันน่ากลัว ลุกโชนขึ้นมา คลื่นความร้อนแผดเผา ทำให้จางเยว่หานตกใจจนหน้าเปลี่ยนสี

ไม่กล้าหยิบกระบี่อีก จางเยว่หานถอยหลังไปหลายก้าว

ลู่ฝานใช้ฝ่าเท้าเหยียบลงบนพื้นอย่างแรง พละกำลังที่เหมือนระเบิดออกมา ทำให้เวทีหินสั่นสะเทือน ความเร็วที่พุ่งออกไป ยิ่งน่ากลัว ถึงขนาดที่เหนือกว่าความเร็ว ตอนที่จางเยว่หานใช้พลังปราณ

นี่คือขั้นสูงสุดของแดนฝึกร่าง พลังปราณที่จางเยว่หานได้มาแบบฝืนธรรมชาติไม่สามารถทำได้

หมัดซ้ายของลู่ฝานชกไปที่พลังปราณของจางเยว่หาน ทันใดนั้น ตัวของจางเยว่หานสั่นสะเทือนตามไปด้วย

ตอนนี้เห็นได้เลยว่า พื้นฐานของจางเยว่หานไม่มั่นคง ถ้าได้พลังปราณมาแบบทีละขั้นอย่างแท้จริง จะไม่มีทางขาดความแข็งแกร่งแบบเธอ

หมัดของลู่ฝาน ทำให้แสงพลังปราณของจางเยว่หานริบหรี่ลง จางเยว่หานกัดฟัน รวมพลังปราณทั้งหมดเอาไว้ พลิกมือ ซัดฝ่ามือออกมา

แต่ตอนนี้ร่างกายของลู่ฝาน หลบเหมือนลอยได้ การเคลื่อนไหวนี้ นักบู๊ทั่วไปไม่สามารถทำได้ ลู่ฝานอาศัยชี่ของผู้ฝึกชี่ในร่างกายเขา แปรเปลี่ยนเป็นพลังลม ยกตัวเองขึ้นมา จึงทำมันออกมาได้

ฟาดขาออกมาอีกครั้ง เปลวไฟลุกโชน แผดเผาพลังปราณของจางเยว่หานออกไป

แตกสลายไปเหมือนเงาลวงตา จางเยว่หานพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ คราบเลือดกระจายออกมาตรงมุมปาก ตรงเอวเป็นสีดำ มีควันลอยขึ้นมา

ทุกคนมองอย่างอึ้งๆ การต่อสู้ ที่เกิดเรื่องไม่คาดฝันมากมาย ทำให้จิตใจทุกคน โดนโจมตีเต็มๆ

ขนาดคนที่มีพลังปราณอย่างจางเยว่หาน ยังเอาชนะลู่ฝานไม่ได้ นี่มันพลานุภาพระดับไหนกัน

เปลวไฟบนตัวลู่ฝาน จุดความบ้าคลั่งของคนตระกูลลู่

ตะโกนอย่างสุดเสียง ดังก้องไปทั่ว คำว่าลู่ฝานไร้เทียมทาน ออกมาจากปากพวกเขา สั่นสะเทือนแก้วหูไปหมด

ลู่ฝานเอากระบี่ที่โดนเผาจนเปลี่ยนรูป โยนลงบนพื้น เสียงดังชัดเจน ทำให้แววตาจางเยว่หานวูบไหว

ลู่ฝานซัดหมัดออกมาอีกครั้ง

จู่ๆ จางเยว่หานพูดขึ้นมาว่า

“ลู่ฝาน นายลืมคำมั่นสัญญาของเราแล้วเหรอ”

ประโยคนี้ ทำให้หมัดของลู่ฝานหยุดลง ทุกคนได้ยินคำพูดนี้ ไม่มีใครที่ไม่ตกตะลึง

ขณะที่กำลังถึงช่วงสำคัญ แววตาจางเยว่หานดูร้ายกาจ แอบยกขาลอบโจมตี ไปยังส่วนล่างของลู่ฝาน

จากนั้น แสงพลังปราณสว่างขึ้นมา โจมตีอย่างสุดกำลัง

เห็นว่าเธอใกล้จะทำสำเร็จ ตัวของลู่ฝานขยับเล็กน้อย หลบออกมาได้แบบฉิวเฉียด ลู่ฝานใช้มือบีบคอจางเยว่หานเอาไว้

สีหน้าจางเยว่หาน มีความตกใจ ลู่ฝานพูดเบาๆ ว่า “ฉันจำได้อยู่แล้ว แต่ฉันจำที่เธอหักหลังได้ดียิ่งกว่า”

พูดจบ ลู่ฝานโยนจางเยว่หานลงจากเวที เหมือนกับโยนขยะทิ้ง

การกระทำของโม่เทียน เรียกเสียงไม่พอใจของคนตระกูลลู่ โม่เทียนดูอับอาย รีบยกโม่หยุนเฟยลงจากเวที

ลู่เฮ่าหรานลุกขึ้นยืน ขมวดคิ้วมองโม่เทียน แล้วพูดว่า “ตาเฒ่าโม่ นายทำผิดกฎต่อหน้าทุกคน คิดว่ากฎที่ไม่สนเป็นตายของการต่อสู้บู๊ ไม่มีความหมายงั้นเหรอ”

โม่เทียนกัดฟันพูดว่า “นายไม่ต้องพูด ฉันรู้กฎ พรุ่งนี้ฉันจะส่งสมุนไพรวิเศษไปให้ตระกูลลู่หนึ่งต้น โอเคแล้วใช่ไหม”

ลู่เฮ่าหรานยิ้ม แล้วพูดว่า “ก็พอได้อยู่”

ลู่เฮ่าหรานยิ้มและพยักหน้าให้ลู่ฝาน กำลังสื่อว่า ไอ้เด็กน้อยทำได้ไม่เลว กลับไปมีรางวัล

ลู่ฝานเก็บกายทองไฟอาบของตัวเอง ยืนตระหง่านอย่างสงบ

ศิษย์ตระกูลลู่ต่างพากันลุกขึ้นยืน นี่เป็นครั้งแรกในหลายปีมานี้ที่ตระกูลลู่เอาชนะตระกูลโม่ได้ในการแข่งขันล่าสัตว์ และแข่งขันบู๊ที่เขาซีซาน

พวกลูกหลานตระกูลลู่ พากันตะโกนอย่างตื่นเต้น “ลู่ฝานไร้เทียมทาน ลู่ฝานไร้เทียมทาน……”

ลู่ฝานมองคนพวกนี้ แล้วยิ้มบางๆ

นึกถึงไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้ คนพวกนี้ยังเรียกเขาว่าสวะต่อหน้าเขา ตอนนี้กลับเปลี่ยนไปขนาดนี้

โลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน ไม่รู้พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร

ลู่เฟิงผลักลู่หมิงลูกชายตัวเอง ให้เขาลุกขึ้นมาตะโกนเชียร์

เดาได้ว่าเมื่อลู่ฝานผ่านอายุ 18 ปีไปแล้ว ต้องอยู่ในผู้สืบทอดตระกูลรุ่นที่ 3 อย่างแน่นอน

ลู่เฟิงทอดถอนใจ ทุกคนมีโชคชะตาแตกต่างกันจริงๆ เดิมทีคิดว่าลู่หมิง ลูกชายของเขา จะได้รับตำแหน่งผู้สืบทอด แต่ใครจะไปรู้ เพียงแค่ไม่กี่เดือน ทุกสิ่งทุกอย่างกลับเปลี่ยนไป

ลู่หมิงลุกขึ้นยืนอย่างไม่เต็มใจ แต่ไม่ได้ส่งเสียงเชียร์ลู่ฝาน กลับเดินตรงออกไป

ลู่เฟิงมองแผ่นหลังลู่หมิง ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง

ลู่ฝานยังยืนอยู่บนเวที เพราะการแข่งบู๊ยังไม่จบ เขายังมีคู่ต่อสู้อีกหนึ่งคน

ลู่ฝานหันไปมองจางเยว่หาน สายตาไม่ยินดียินร้าย

แต่แววตาจางเยว่หานวูบไหว ทันใดนั้น จางเยว่หานลุกขึ้นยืน เดินขึ้นมาบนเวทีช้าๆ

จางเยว่หานมองลู่ฝาน แล้วพูดว่า “ลู่ฝาน ฉันไม่เต็มใจจะสู้กับนายจริงๆ”

ลู่ฝานพูดอย่างราบเรียบ “พูดมากไป ก็เปล่าประโยชน์ คุณจางเยว่หาน เชิญเลย”

คำว่า “คุณจางเยว่หาน” ทำให้สีหน้าของจางเยว่หานเปลี่ยนไปเล็กน้อย

คนด้านล่างได้ยินทั้งสองคนคุยกัน ต่างไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ฟังดูแล้ว เหมือนจางเยว่หานกับลู่ฝานเคยรู้จักกันมาก่อน

สีหน้าจางเยว่หานเย็นชาลงทันที สะบัดมือ กระบี่อ่อนโผล่ออกมาจากแขนเสื้อของเธอ

จากนั้น มีลำแสงไหลวนอยู่บนตัวจางเยว่หาน ลำแสงสีขาว ไหลวนอยู่รอบตัวเธออย่างต่อเนื่อง

นี่คือ……พลังปราณ!

ทันใดนั้น ที่นี่เต็มไปด้วยความโกลาหล คนที่นั่งอยู่ด้านหลังสุด ลุกขึ้นเดินเข้ามาเบียดด้านหน้า

พลังปราณ จางเยว่หานฝึกพลังปราณได้แล้ว!

ข่าวนี้ ถูกส่งไปในที่นี้อย่างรวดเร็ว ราวกับสายลม ลำแสงสีขาวเหมือนอากาศปกคลุมตัวจางเยว่หานเอาไว้ แม้จะเป็นแค่ชั้นบางๆ แต่เป็นการยืนยันได้ว่า จางเยว่หาน ก้าวเข้าสู่วิถีบู๊อย่างเป็นทางการแล้ว

ผลการฝึกตน แดนปราณในขั้นหนึ่ง!

แววตาลู่ฝานเคร่งขรึมเช่นกัน เขาคิดไม่ถึงเหมือนกันว่าจางเยว่หาน จะฝึกพลังปราณได้แล้ว ความสามารถนี้ น่าตกใจจริงๆ

ลู่เฮ่าหรานตัวสั่นหนึ่งครั้ง ตระกูลจางมีผู้หญิงคนนี้ ตระกูลช่างโชคดี มิน่าล่ะ จางเหยียนถึงกล้าพนันกับพวกเขา ที่แท้กำชัยชนะอยู่ในมือนี่เอง

คนที่มีความคิดเหมือนลู่เฮ่าหราน ยังมีโม่เทียนอีกคน

เห็นพลังปราณบนตัวจางเยว่หาน โม่เทียนรู้สึกอับอายมาก สู้ตระกูลลู่ไม่ได้ ไม่เป็นไร เพราะเป็นศัตรูคู่แค้นหลายสิบปีแล้ว คิดไม่ถึงว่าตระกูลจางที่เดิมเป็นแค่ตระกูลระดับกลาง เลี้ยงดูคนมีความสามารถ ที่เหนือกว่าโม่หยุนเฟยออกมา โม่เทียนกำหมัดแน่น

ลู่หาวดูเครียดเล็กน้อย แม้ลู่ฝานเอาชนะโม่หยุนเฟยที่อยู่ในระดับแดนฝึกร่างชั้นเก้าได้ แต่เผชิญกับจางเยว่หานที่ฝึกพลังปราณได้แล้ว โอกาสชนะมีน้อยมาก ตอนนี้ต้องดูว่า จางเยว่หานจะเชี่ยวชาญการใช้พลังปราณหรือเปล่า นี่เป็นโอกาสเดียวของลู่ฝาน

ตอนนี้จางเยว่หานยโสโอหังเป็นอย่างมาก แม้พลังปราณของเธอเพิ่งฝึกได้ อีกทั้งยังได้มาด้วยการใช้วิธีพิเศษแบบฝืนธรรมชาติ แต่มีแดนปราณใน ก็คือแดนปราณในแล้ว เห็นพละกำลังอันแข็งแกร่ง ได้อย่างง่ายดาย

จางเยว่หานมองลู่ฝาน แล้วพูดว่า “คนอื่นล้มนายไม่ได้ งั้นฉันทำเองละกัน ลู่ฝาน ดูเอาไว้”

พูดจบ จางเยว่หานเหมือนลูกธนูออกจากคันธนู พุ่งเข้าไปหาลู่ฝาน

กระบี่อ่อนในมือเหมือนงู เคลื่อนไหวไปมา ทันใดนั้น มีเงากระบี่ออกมา

ลู่ฝานไม่อยากยื้อจนเป็นเรื่องใหญ่ รีบใช้กายทองไฟอาบทันที

เสียงดังชิ้งๆ กระบี่ในมือจางเยว่หาน ปะทะกับตัวลู่ฝานอย่างต่อเนื่อง

ลู่ฝานค่อยๆ ต้านทาน แม้กายทองไฟอาบจะแข็งแกร่ง แต่อยู่ในแสงกระบี่อันมากมายของจางเยว่หาน ก็ยังได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย

ทันใดนั้น วงแหวนสีขาวดวงหนึ่ง โผล่ขึ้นมาบนกระบี่พร้อมด้วยแสงสว่าง จางเยว่หานทลายการป้องกันของลู่ฝานด้วยกระบี่เดียว ทิ้งแผลจากกระบี่เอาไว้ด้านหลังของลู่ฝาน

ลู่ฝานพลิกมือออกหมัด ชกลงไปบนกระบี่ จะใช้พละกำลัง กำจัดกระบี่ออกจากมือจางเยว่หานก่อน แต่จางเยว่หานเคลื่อนตัวพร้อมกระบี่ ฝีเท้ารวดเร็ว กระบี่กลายเป็นงูพิษ เข้ามาโจมตีอีกครั้ง

ลู่ฝานใช้กายทองไฟอาบจนถึงขั้นสุดยอด ซัดหมัดไปกระแทกเวทีหิน

หมัดถล่มเขา!

กล้ามเนื้อของทั้งสองคน ปูดขึ้นมา หมัดขวากระแทกออกไป หมัดซ้ายถูกกระแทกออกมา

หมัดของโม่หยุนเฟย กระแทกลงบนอกลู่ฝาน หมัดของลู่ฝาน ซัดลงบนซีกหน้าของโม่หยุนเฟย อย่างแม่นยำ

เสียงหมัดกระแทกถูกร่างกายดังขึ้น โม่หยุนเฟยถอยหลังไปสามก้าว ถึงจะทรงตัวได้

แต่ลู่ฝานกลับถอยหลังไปเพียงครึ่งก้าว แสงสีแดงสว่างวาบขึ้นบนตัว ยืนอย่างมั่นคงทันที

“ดี!”

ลู่เฮ่าหรานตะโกนออกมาอย่างไม่รู้ตัว ทำให้ทุกคนหันมามอง

หมัดนี้ ทำให้ดูออกว่าพละกำลังของลู่ฝานเหนือกว่าโม่หยุนเฟย เคล็ดวิชาบู๊ระดับคนหมัดถล่มเขากลับสู้กับทักษะวิชาบู๊ระดับทิพย์หมัดทำลายล้างได้อย่างสูสี บ่งบอกว่าในด้านพละกำลัง ทั้งสองมีความแตกต่างกัน หมัดนี้แสดงให้เห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน

อย่างน้อยลู่ฝานต้องมีพละกำลัง ระดับแดนฝึกร่างชั้นเก้า

คนอื่นล่างเวที ถึงกับกลั้นหายใจ พวกเขาคาดเดาความแข็งแกร่งของโม่หยุนเฟยได้ เพราะเข้าสถาบันสอนวิชาบู๊เมื่อหนึ่งปีก่อน พละกำลังเห็นอยู่อย่างเปิดเผย

แต่ความแข็งแกร่งของลู่ฝาน กลับเป็นสิ่งที่ทุกคนคาดไม่ถึง คิดไม่ถึงว่าเขาจะมีระดับแดนฝึกร่างชั้นเก้า ทุกคนรู้สึกเหมือนจะวูบ

โดยเฉพาะศิษย์ตระกูลลู่ ตกตะลึงกันก่อน ตอนนี้กลับส่งเสียร์เชียร์ลู่ฝาน

“ลู่ฝาน จัดการเขา!”

“ลู่ฝานแข็งแกร่งที่สุด!”

“ตระกูลลู่ไร้เทียมทาน ตระกูลลู่ไร้เทียมทาน”

……

เห็นลู่ฝานแสดงออกอย่างแข็งแกร่งเช่นนี้ จู่ๆ เขารู้สึกหมดแรง ทุกสิ่งที่เขาภาคภูมิใจ ตอนนี้เป็นแค่เรื่องตลก ลู่เฟิงพ่อของเขาพูดเบาๆ ว่า “มังกรดำดิ่งลงน้ำ

ลู่หมิงก้มหน้า หลับตาลง ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ฉายาอันดับหนึ่งของทายาทตระกูลลู่ คงไม่ใช่ของเขาอีกต่อไปแล้ว

เมื่อลู่หมิงคิดถึงคำเย้ยหยันที่ตัวเองมีต่อลู่ฝาน ก็อกสั่นขวัญแขวนขึ้นมา ต่อไปคำเย้ยหยันแบบนี้ จะตกอยู่บนตัวเขาหรือเปล่า เขาจะรับได้ไหม

ลู่หมิงไม่รู้

บนเวที โม่หยุนเฟยกัดฟันกรอด ลู่ฝานแข็งแกร่งกว่าที่เขาจินตนาการไว้ หมัดทำลายล้างทักษะวิชาบู๊ระดับทิพย์ที่ถ่ายทอดมาในตระกูล ไม่สามารถทำอะไรเขาได้

โม่หยุนเฟยเห็นลู่ฝาน เป็นคู่ต่อสู้ที่ทัดเทียมกันแล้ว ขยับเท้าเล็กน้อย ตอนนี้โม่หยุนเฟยเหมือนกับใบหลิว ลอยตัวขึ้นมา

“วิชากายใบไม้ลอยตัว!”

ด้านล่าง โม่เทียนดูออกว่า นี่คือเคล็ดวิชาที่ถ่ายทอดมาจากสถาบันสอนวิชาบู๊ คิดไม่ถึงว่าโม่หยุนเฟยเรียนรู้ได้แล้ว

เคลื่อนไหวร่างกายที่รวดเร็ว ทำให้ลู่ฝานไม่สามารถจับร่องรอยอะไรได้

สายตามองตามไม่ทัน บางทีโม่หยุนเฟยมาโผล่อยู่ด้านซ้ายของเขา บางทีก็โผล่อยู่ด้านขวา

เคลื่อนไหวไปตามลม เคลื่อนไหวตามใจชอบ วิชาเคลื่อนไหวร่างกายของโม่หยุนเฟย มีความละเอียดอ่อนจริงๆ

ลู่ฝานชกหมัดออกไปติดต่อกัน แต่ชกอากาศเท่านั้น

ทันใดนั้น โม่หยุนเฟยลงมือ องศาที่แปลกประหลาด พลังหมัดจากล่างขึ้นบน พุ่งมาใต้คางของลู่ฝาน

ลู่ฝานปฏิกิริยาว่องไว ยกมือขึ้นมากันเอาไว้

แต่ตอนที่พลังหมัดกระทบกับแขนของเขา กลับกลายเป็นวิชาฝ่ามือ หมุนเป็นเส้นโค้ง กระแทกมายังอกของลู่ฝาน

ลู่ฝานรู้สึกเพียงว่าเจ็บตรงอก ยังไม่ทันได้ตั้งตัว ด้านหลังมีพลังลมโจมตีเข้ามาอีก

ลู่ฝานหลบการโจมตีของโม่หยุนเฟยทั้งซ้ายและขวา อย่างน่าเวทนา

โม่เทียนเห็นภาพดังกล่าว จึงหัวเราะอย่างได้ใจ ลู่เฮ่าหรานสีหน้าเคร่งขรึม เวลาที่ลู่ฝานฝึกเคล็ดวิชาบู๊ยังน้อยเกินไป เจอวิชาเคลื่อนไหวร่างกายที่รวดเร็วเช่นนี้ จึงหาวิธีป้องกันไม่ได้

ศิษย์ตระกูลโม่ พากันตะโกนออกมาพร้อมกัน

“โม่หยุนเฟย โม่หยุนเฟย……”

จางเยว่หานมองอย่างเงียบๆ เธอหวังว่าลู่ฝานจะแพ้ เธอไม่อยากเห็นลู่ฝานลุกขึ้นมาได้ นั่นจะแสดงว่าสายตาของเธอย่ำแย่มาก

บนเวที โม่หยุนเฟยได้เปรียบเป็นอย่างมาก ดูเหมือนลู่ฝานสูญเสียพลังการต่อต้านแล้ว อยู่ในท่าทางอ่อนล้า

โม่หยุนเฟยเห็นว่าพอประมาณแล้ว ควรโจมตีลู่ฝานเป็นครั้งสุดท้าย

เขาชะงักฝีเท้าลง ขณะเดียวกัน ก็ปล่อยหมัดสองข้างออกไป

เป็นหมัดทำลายล้างเช่นเคย!

ทันใดนั้น มีแสงสีแดงสว่างขึ้นบนตัวลู่ฝาน แสงสีแดงสว่างวาบทั้งตัว อุณหภูมิความร้อน ทำให้เกิดควันเล็กน้อย

เกิดเสียงดังปึก หมัดทำลายล้างของโม่หยุนเฟยชกลงไปบนตัวของลู่ฝาน แต่เหมือนชกลงบนหินอัคนีพุอันแข็งแกร่ง แรงสะท้อนกลับ ทำให้เขาสั่นไปทั้งตัว

แววตาลู่ฝานเป็นประกายลุกวาว ใช้สองมือจับแขนโม่หยุนเฟยเอาไว้

อุณหภูมิความร้อน ลวกจนโม่หยุนเฟยร้องออกมาอย่างเจ็บปวด

ล่างเวที โม่เทียนรีบลุกขึ้นยืน พูดอย่างตกใจว่า “กายทองไฟอาบ!”

แววตาลู่ฝานเย็นชา ซัดหมัดไปบนหน้าโม่หยุนเฟย ครั้งนี้ดูสิว่านายจะใช้วิชาเคลื่อนไหวร่างกาย หลบได้อย่างไร

หมัดไฟถล่มเขา!

สายลมหมัดราวกับเปลวไฟ ชกไปที่จมูกของโม่หยุนเฟยอย่างแม่นยำ

เมื่อโดนหมัดนี้ ทั้งหน้าของโม่หยุนเฟย มีควันลอยขึ้นมา กระเด็นออกไปไกล โม่หยุนเฟยหล่นลงมาที่ขอบเวทีหิน

เต็มไปด้วยความเงียบ ครั้งนี้เต็มไปด้วยความเงียบจริงๆ

ขนาดศิษย์ตระกูลลู่ยังคิดไม่ถึงว่าลู่ฝานสามารถฝึกกายทองไฟอาบได้แล้ว มองลู่ฝานที่แดงไปทั้งตัว แววตาทุกคนเต็มไปด้วยความนับถือ

ลู่เฮ่าหรานพูดคำว่าดีออกมาสามครั้ง ตัดสินใจถูก ที่มอบวิชากายทองไฟอาบให้ลู่ฝานฝึกฝน

ลู่หาวดีใจจนสั่นไปทั้งตัว

ลู่ฝานเดินไปด้านหน้า เตรียมจะโจมตีครั้งสุดท้ายใส่โม่หยุนเฟย

ขณะนั้น เงาดำปรากฏตัวด้านหน้าลู่ฝาน เป็นโม่เทียนที่กระโดดขึ้นมาบนเวที ยกมือแล้วพูดว่า “ไม่ต้องสู้กันแล้ว เรายอมแพ้แล้ว”

รอยยิ้มบนใบหน้าโม่หงชะงักไป กำหมัดจนเกิดเสียงกระดูกดังขึ้นมา

“ในเมื่อนายรีบรนหาที่ตายขนาดนี้ งั้นฉันจะสนองให้นายละกัน”

โม่หงก้าวเข้ามา กล้ามเนื้อปูดขึ้นมา ซัดหมัดกระแทกไปยังลู่ฝาน

แรงเหวี่ยงหมัดอันรุนแรง ทำให้หินก้อนเล็กๆ บนพื้น ปลิวออกไป หมัดมาพร้อมเสียงลม พุ่งไปตรงหน้าลู่ฝาน

ลู่ฝานยืนอยู่ที่เดิม รู้สึกเพียงว่าหมัดของโม่หงช้ามาก ขณะที่หมัดของโม่หงยังโจมตีไม่โดนเขา ลู่ฝานยกขาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ชิงเตะไปที่คอของโม่หงก่อน

พละกำลังอันน่ากลัว ทำให้โม่หงส่งเสียงโอดโอยออกมา จากนั้นตัวเขากลิ้งเหมือนน้ำเต้าออกไปไกล

เสียงหัวเราะของคนด้านล่าง เงียบลงทันที อ้าปากค้างอย่างตกตะลึง

มีประโยคหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวของทุกคน อย่างพร้อมเพรียงกัน

เป็นไปได้ยังไง!

โม่หงลุกขึ้นมาอย่างน่าเวทนา ทรงตัวไม่อยู่ ร่างโงนเงนเล็กน้อย

รอยเท้าดำบนตัว โม่หงเห็นแล้วรู้สึกตกใจและโมโห ตกใจที่ทำไมพละกำลังของลู่ฝาน ถึงมากมายขนาดนี้ โกรธที่เขาโดนลู่ฝานเตะจนกลิ้งเพียงแค่ทีเดียว

สีหน้าเปลี่ยนไป โม่หงจริงจังขึ้นมา

ส่งเสียงคำราม กระโจนเข้าไปหาลู่ฝาน เหมือนหมีควายในหุบเขา

ร่างกายสูงใหญ่ เหมือนอำนาจกดดันของขุนเขาใหญ่!

หมัดพยัคฆ์บิน!

ลู่ฝานแยกขาไปด้านหลังช้าๆ กลับตัวเตะก้านคอ ความเร็ว พละกำลัง องศา ไร้ที่ติ

แสงสีแดงสว่างวาบบนตัว โม่หงโดนเตะเข้าที่ซีกแก้ม

เกิดเสียงกระแทกดังขึ้น โม่หงกระแทกลงกับพื้น เวทีที่ทำจากหิน โดนเขากระแทกจนยุบลงไป

โม่หงโดนกระแทกจนล้มลง เหมือนค้อนกระแทกลงบนหน้า พวกที่เพิ่งหัวเราะเยาะเมื่อครู่

หวาดกลัว ริษยา อิจฉา ไม่อยากเชื่อ อารมณ์ต่างๆ ผุดขึ้นมาบนใบหน้าของทุกคน

นี่ใช่ลู่ฝาน ที่พวกเขารู้จักไหม

นี่คือลู่ฝาน ที่พวกเขาเรียกว่าสวะหรือเปล่า

ถ้าแข็งแกร่งแบบลู่ฝาน ยังโดนเรียกว่าสวะ งั้นพวกเขาเรียกว่าอะไรล่ะ

เงียบกันทั้งหมด ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจหวาดกลัว

เตะนักบู๊ที่ใกล้ถึงระดับแดนฝึกร่างชั้นแปด จนกระเด็นเพียงสองที พละกำลังระดับนี้ เป็นการตบหน้าตัวเองอย่างไม่ต้องสงสัย คนที่ตะโกนอย่างแรงที่สุด ไม่เพียงแต่จะหุบปากเงียบ อีกทั้งยังเตรียมหนีด้วย ถ้าลู่ฝานมาหาเรื่องพวกเขา จากตัวตนของลู่ฝาน จากพละกำลังของลู่ฝาน จัดการพวกเขาง่ายเหมือนขยี้มดตัวหนึ่งเท่านั้น

คนที่เอาแต่ตำหนิอย่างรุนแรง ก็คือคนที่ขี้ขลาดที่สุด

ตอนนี้ พวกเขานึกถึงข่าวลือ ที่ตระกูลลู่ปล่อยออกมา ทั้งหมดคือความจริง

ตามคาด ลู่ฝานไม่เหมือนตอนแรกแล้ว เขาไม่เพียงแต่จะหลุดพ้นจากชื่อสวะ แถมยังแข็งแกร่งขนาดนี้ด้วย

ลู่หาวที่อยู่ด้านล่าง ไม่สนใจความรู้สึกของคนอื่น ชิงหัวเราะออกมาก่อน

ลู่ฝานไม่ทำให้เขาผิดหวังตามคาด แค่เตะเพียงสองครั้ง ก็พิสูจน์ได้ว่า พละกำลังของลู่ฝานอย่างน้อยต้องอยู่ในระดับแดนฝึกร่างชั้นแปดขึ้นไป

ไม่ถึงครึ่งปี จากระดับแดนฝึกร่างชั้นสาม พุ่งไปถึงระดับแดนฝึกร่างชั้นแปด นี่มันเป็นความเร็วที่น่ากลัวขั้นไหนกัน

ลู่หาวเงยหน้าอย่างภูมิใจ นี่คือลูกชายของเขา ลูกชายของลู่หาว!

โม่หลินและโม่หยุนเฟย ไม่สู้ดีเป็นอย่างมาก ไม่เพียงแต่พวกเขาจะดูผิด แต่พวกเขาไม่เคยเห็นเลยว่า ลู่ฝานแห่งตระกูลลู่ เป็นบุคคลที่น่ากลัวถึงเพียงนี้ ที่แท้ทุกอย่าง เป็นเพียงการเสแสร้ง โม่หยุนเฟยนึกถึงเมื่อไม่กี่เดือนก่อน ที่ลู่ฝานแสดงให้เห็นในตลาด รู้สึกว่าอีกฝ่ายคงมองเขาเหมือนคนโง่ มีพละกำลังแท้ๆ แต่กลับยอม

จางเยว่หานที่นั่งอยู่ข้างจางเหยียน กลับตกตะลึงในใจเป็นอย่างมาก เธอคิดไม่ถึงว่าลู่ฝานจะเปลี่ยนไปจนเป็นแบบนี้

จางเยว่หานมองลู่ฝานที่มีความเกรี้ยวกราดบนเวที มือสั่นเล็กน้อย

จางเหยียนเห็นว่าลูกสาวตัวเองผิดปกติ จึงถามว่า “เยว่หาน เป็นอะไรไป”

จางเยว่หานละสายตาออกมา พูดเบาๆ ว่า “หนูไม่เป็นไร”

บนเวที โม่หงสลบไปแล้ว คนตระกูลโม่ ทำได้เพียงยกเขาออกไป

โม่เทียนหันไปหาโม่หยุนเฟย แล้วพูดว่า “หยุนเฟย ขึ้นไปจัดการเขาทิ้งซะ อย่ายั้งมือ ถ้าเกิดเรื่องจริง ปู่จะสนับสนุนนายเอง”

โม่หยุนเฟยเข้าใจความหมายของปู่ ลู่ฝานข่มเหงตระกูลโม่ของพวกเขาแล้ว ดังนั้นจำเป็นต้องกำจัดทิ้ง

โม่หยุนเฟยลุกขึ้น เรียกเสียงเชียร์มากมาย พลิกตัวขึ้นไปบนเวที สายตาโม่หยุนเฟย จ้องเขม็งไปที่ลู่ฝาน

“คิดไม่ถึง นายจะปกปิดมิดชิดขนาดนี้ ประมาทนายเกินไปจริงๆ ลู่ฝาน”

ลู่ฝานพูดอย่างราบเรียบว่า “ไม่เรียกว่าประมาทเกินไปหรอก โม่หยุนเฟย นายเตรียมรับความพ่ายแพ้หรือยัง”

โม่หยุนเฟยแสยะยิ้ม แล้วพูดว่า “นายอยากล้มฉัน ยังขาดความสามารถอีกหน่อย”

พูดจบ โม่หยุนเฟยกับลู่ฝานเคลื่อนไหวพร้อมกัน ความเร็วของทั้งสองคน ไม่ได้เร็วธรรมดา มาถึงกลางเวทีหินอย่างรวดเร็ว

หมัดทำลายล้าง!

หมัดถล่มเขา!

เสียงดังอึกทึก หมัดทั้งสองคนปะทะกัน กลางหมัดที่ทั้งสองปะทะกัน มีกระแสลมแผ่ซ่านออกมา

โม่หยุนเฟยหรี่ตาลง เขาขึ้นมาก็ใช้วิชาหมัดที่แข็งแกร่งที่สุด เพื่อที่จะฆ่าลู่ฝานในพริบตา แต่เขาคิดไม่ถึงว่า พลังหมัดของลู่ฝาน จะดุดันเช่นกัน หมัดที่ออกมาเมื่อครู่ ไม่ได้เสียเปรียบเลย

โม่เทียนหัวเราะ แล้วพูดว่า “เจ้าบ้านจาง คุณพูดออกมาได้นะ เราเหมือนคนขาดแคลนเงินเหรอ สองหมื่นน้อยไป หนึ่งแสนดีกว่า”

จางเหยียนขมวดคิ้วเบาๆ เหรียญทองแสนเหรียญ ไม่ใช่ตัวเลขน้อยๆ แม้ตระกูลจางมีเงิน เอาออกมาเป็นแสนในครั้งเดียว ต้องกระอักแน่นอน ขณะนั้น จางเยว่หานที่นั่งข้างๆ กลับพยักหน้าเบาๆ จางเหยียนเข้าใจความหมายของลูกสาว กัดฟันพูดว่า “ได้ หนึ่งแสนก็หนึ่งแสน”

โม่เทียนหัวเราะ แล้วพูดว่า “งั้นโอเค ฉันไม่มีปัญหา ตาเฒ่าลู่ นายว่ายังไง”

ลู่เฮ่าหรานพยักหน้า แล้วพูดว่า “ฉันก็ไม่มีปัญหาเหมือนกัน”

“งั้นตกลงกันเช่นนี้”

โม่เทียนกวักมือเรียกพิธีกร เขียนสัญญาแบบเดียวกันสามฉบับ เซ็นชื่อทั้งสามฝ่าย

หลังจากลู่เฮ่าหรานเซ็นชื่อ จึงหันไปมองลู่ฝาน แล้วพูดว่า “ลู่ฝาน นายก็เห็นแล้ว ปู่ไม่อยากเสียร้านค้าสองร้านไป นายพยายามเพื่อฉันหน่อย อย่าปกปิด ถ้าชนะ วิชาหมัดทำลายล้างเล่มนั้น จะเป็นของนาย”

ลู่ฝานพยักหน้าอย่างเข้าใจ ลู่เฮ่าหรานทำสัญญาเดิมพันนี้ขึ้นมา เพื่อที่จะเอาวิชาหมัดมาให้เขา นับว่าตั้งอกตั้งใจอย่างยิ่ง

การแข่งบู๊ของตระกูลเล็กอื่นๆ ใกล้จะจบลงแล้ว ที่ยังยืนอยู่บนเวที คือคุณชายตระกูลสวีในภาคใต้ของเมือง ผลการฝึกตนระดับแดนฝึกร่างชั้นเจ็ด กำลังโบกมือให้กลุ่มคนอย่างได้ใจ ทำให้สาวๆ แอบใจหวั่นไหว

ขณะนั้น โม่เทียนบอกให้ศิษย์ของตระกูลโม่คนหนึ่งขึ้นไปบนเวที เขารูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าเหลี่ยม กล้ามเนื้อเป็นมัดๆ ดูมีพลังอำนาจมาก

คนคนนี้ชื่อโม่หง เป็นคนโดดเด่นอันดับสองในตระกูลโม่ เมื่อขึ้นมาบนเวที ออกหมัดและเท้าไม่กี่ครั้ง ก็ทำให้คุณชายตระกูลสวีล้มลงบนเวที โม่หงกางแขนทั้งสองข้าง ตะโกนเสียงดังออกมาว่า “ยังมีใครอีก!”

โม่เทียนหัวเราะ แล้วพูดว่า “นับว่าโม่หงยิ่งมีอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ”

คนตระกูลอื่นด้านหลัง หัวเราะแล้วพูดว่า “โม่หงแห่งตระกูลโม่ นับวันยิ่งเหมือนหมีควาย”

ยืนอยู่บนเวที จู่ๆ ไม่มีใครกล้าท้าประลองกับโม่หง แค่เป็นคนฉลาด ดูก็รู้ว่าตอนนี้โม่หงมีพละกำลังเกือบถึงระดับแดนฝึกร่างชั้นแปดแล้ว ศิษย์ตระกูลเล็กๆ คงไม่มีใครสู้เขาได้แล้ว

ทุกคนมองไปยังตระกูลลู่และตระกูลจาง ตอนนี้ตระกูลที่จะสู้กับโม่หงได้ คงมีตระกูลลู่กับตระกูลจาง

แต่เมื่อกี้ ลู่หมิงเพิ่งกระอักเลือดต่อหน้าทุกคน ในระยะเวลาสั้นๆ คงจะสู้ไม่ได้ ตระกูลลู่ยังมีใครสู้กับโม่หงได้อีก ทุกคนพากันส่ายหน้าเบาๆ คงไม่มีคนของตระกูลลู่ขึ้นไปแข่งบู๊ได้อีกแล้ว

ขณะที่ทุกคนคิดว่าตระกูลลู่ไม่มีใครกล้าขึ้นไปต่อสู้แล้ว ลู่ฝานลุกขึ้นยืน ถึงตาเขาขึ้นเวทีแล้ว

ขยับร่างกายเล็กน้อย ลู่ฝานกระโดดขึ้นไปบนเวที

เมื่อทุกคนเห็นว่าคนที่ตระกูลลู่ส่งมา คือลู่ฝาน จู่ๆ คนจำนวนไม่น้อย หัวเราะขึ้นมาทันที

“ลู่ฝาน คิดไม่ถึงว่าคนที่ตระกูลลู่ส่งมา จะเป็นลู่ฝาน นี่ตั้งใจทำให้แย่ลงหรือไง”

“นี่ ลู่ฝาน นายลงมาใส่เสื้อให้ดีก่อนเถอะ ต่อไปกลัวว่านายจะโดนซัดจนใส่เสื้อไม่ได้แล้วน่ะสิ”

“สวะลู่ฝาน นายตั้งใจขึ้นไปตายหรือไง! ดูเหมือนนายจะไม่ใช่แค่สวะ แต่สมองยังมีปัญหาด้วย”

……

เสียงตะโกนของคนพวกนี้ ทำให้คนตระกูลลู่ลำบากใจมาก แต่นอกจากพวกลู่หาวที่นั่งอยู่หน้าสุด คนอื่นไม่สามารถเถียงเสียงตะโกนของคนพวกนี้ได้ ถึงลู่ฝานแสดงออกอย่างโดดเด่นในงานเทศกาลประจำปี แต่นั่นเป็นเรื่องภายในตระกูลลู่ คนนอกรู้น้อยมาก

สีหน้าพวกศิษย์ตระกูลลู่อึมครึม ทำไมพวกเขาถึงรังเกียจลู่ฝาน เหตุผลส่วนใหญ่คือ ลู่ฝานทำให้ตระกูลลู่อับอาย

ศิษย์ตระกูลลู่ทุกคนกำลังคิด ทำไมต้องให้ลู่ฝานขึ้นไป เปลี่ยนคนอื่นก็ได้นิ!

ลู่หาวได้ยินเสียงตะโกน จึงขมวดคิ้วเบาๆ แล้วพูดว่า “พวกสายตาตื้นเขิน เสียงพวกกบในกะลา”

ลู่เฮ่าหรานพูดว่า “อย่าไปสนใจ ผ่านวันนี้ไป พวกเขาจะภูมิใจที่ได้รู้จักลู่ฝานอีกครั้ง”

ลู่หาวยิ้ม แล้วพูดว่า “แน่นอนอยู่แล้ว”

บนเวที โม่หงหัวเราะขึ้นมา มองลู่ฝานแล้วพูดว่า “นายกล้าขึ้นมาเหมือนกันเหรอ นายอย่าทำให้ฉันตลกสิ”

ลู่ฝานไม่พูดอะไรสักคำ ยืนอยู่อย่างเงียบๆ

โม่หงกำลังเอามือกุมท้องหัวเราะ โม่หยุนเฟยและโม่หลินที่อยู่ด้านล่างหัวเราะอย่างชอบใจ จางเหยียนผู้นำตระกูลจางก็กำลังหัวเราะเหมือนกัน พลางพูดกับจางเยว่หานว่า “เยว่หาน ดูลู่ฝานนั่นสิ เป็นตัวตลกจริงๆ เขากล้าขึ้นไปตอนนี้ น่าขำชะมัด”

จางเยว่หานก็หัวเราะเหมือนกัน มองลู่ฝานด้วยแววตาสงสาร แต่แววตานี้หายไปในพริบตา

ทุกคนกำลังหัวเราะ มีเพียงโม่เทียนผู้นำตระกูลโม่ที่หัวเราะไม่ออก

เพราะตอนนี้ โม่เทียนเพิ่งเห็นแผลเป็นบนตัวลู่ฝานชัดๆ แผลเป็นแต่ละแผล มีทั้งตื้นและลึก ดูดีๆ น่าตกใจมาก

ผู้นำตระกูลโม่เข้าใจอย่างชัดเจน คนแบบไหน ถึงมีแผลเป็นเต็มตัวแบบนี้

นี่เป็นสัญลักษณ์ของนักบู๊ที่ฝึกอย่างหนักหนาสาหัส พิสูจน์ว่าไม่ย่อท้อ

แต่ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ไม่เข้าใจ ทำไมแผลเป็นพวกนี้ถึงอยู่บนตัวลู่ฝาน อย่าบอกนะว่าตัวตลกของเมืองเจียงหลินอย่างลู่ฝาน คือนักบู๊หนุ่มที่ตระกูลลู่แอบซ่อนเอาไว้

ผู้นำตระกูลโม่หวังว่าตัวเองจะคิดผิด แต่เขามองลู่ฝานที่ยืนอยู่ตรงนั้นเงียบๆ กลับสัมผัสได้ถึงพลังอำนาจที่ออกมาจากตัวลู่ฝานเล็กน้อย

นั่นเป็นสิ่งที่แสดงถึงการต่อสู้ที่ไร้ขีดจำกัด ลู่ฝานมองโม่หงนิ่งๆ แล้วพูดว่า “ขำพอหรือยัง เริ่มได้หรือยัง”

เสียงของลู่ฝานมั่นคงและมีพลัง ทันใดนั้น ลู่หาวและคนอื่น มองมายังลู่ฝาน

ขณะนั้น ลู่หมิงหัวเราะออกมา ในเสียงหัวเราะ แฝงด้วยความเยาะเย้ย

“นายเหรอ จากพละกำลังระดับแดนฝึกร่างชั้นหกของนาย ถึงขึ้นไป ก็ต้านทานกระบวนท่าเดียวไม่ได้”

ลู่เฟิงขัดไม่ให้ลู่หมิงพูดต่อ ตบเขาเบาๆ ลู่หมิงไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เขาพูดผิดหรือไง

ลู่เฮ่าหรานไม่สนใจคำพูดของลู่หมิง จ้องลู่ฝานอยู่อย่างนั้น แล้วพูดว่า “นายมีความมั่นใจเหรอ”

ลู่ฝานพูดอย่างแน่วแน่ “มี!”

ลู่เฮ่าหรานแววตาเป็นประกาย หันไปมองลู่หาวแล้วพูดว่า “นายว่ายังไง”

ลู่หาวคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “ในเมื่อลู่ฝานมีความมั่นใจ งั้นให้เขาขึ้นไปเถอะ แย่ที่สุด ก็แค่แพ้เท่านั้น”

ลู่หมิงได้ยิน อดพูดไม่ได้ “อะไรคือแค่แพ้เท่านั้น เขาขึ้นไปมีแต่จะทำให้ขายหน้า บ่งบอกว่าตระกูลลู่ไร้ความสามารถ”

ลู่เฟิงขมวดคิ้ว พูดตำหนิว่า “ลู่หมิง นายพูดอะไร ลู่ฝานเป็นน้องของนาย พูดอะไรระวังหน่อย”

นายอย่าคิดว่าผลการฝึกตนของตัวเอง เพิ่มขึ้นแค่เล็กน้อย ก็จะแบกเกียรติของตระกูลเอาไว้ได้ โม่หยุนเฟยกำลังจะฝึกพลังปราณได้แล้ว ถ้านายเผชิญหน้ากับเขา ต้องโดนโจมตีอย่างเวทนา บนหอคอยไม่สนเรื่องเป็นตาย

ลู่ฝานพูดอย่างราบเรียบว่า “ฉันรู้”

ลู่หมิงเห็นท่าทีแน่วแน่ของลู่ฝาน ความไม่พอใจสะสมมานาน แค่สวะคนเดียว คิดอยากจะโดดเด่นขึ้นมา

ลู่หมิงกำหมัดแน่น แล้วพูดกับลู่ฝานว่า “ให้ฉันดูหน่อยว่านายมีความสามารถ ที่จะขึ้นไปแข่งบู๊บนเวที จริงหรือเปล่า”

หมัดของลู่หมิงออกมาพร้อมเสียง หมัดที่เต็มไปด้วยความโกรธ พลังมาพร้อมกับเสียงกระแทกลม พลังของหมัดนี้ เพียงพอที่จะทำลายภูเขาได้

ปึก วินาทีต่อมา ลู่ฝานยกมือรับหมัดลู่หมิงเอาไว้

ง่ายดายและผ่อนคลายมาก ลู่ฝานไม่ต้องลุกขึ้นมาเลย เขาจับหมัดลู่หมิงเอาไว้ แล้วพูดว่า “นายนั่งพักผ่อนให้ดีเถอะ”

พูดจบ เขาใช้แรงสะบัดฝ่ามือ เห็นได้ด้วยตาว่าแขนของลู่หมิงกระเพื่อม ลู่หมิงรู้สึกเหมือนโดนหินก้อนใหญ่ทับ ทรุดลงนั่งบนเก้าอี้

สีหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึง จู่ๆ ลู่หมิงพูดอะไรไม่ออก

คนที่ตกตะลึง ไม่ได้มีแค่เขา ยังมีลู่เฟิง ที่ยืนอยู่ข้างๆ ด้วย

พวกเขาสองพ่อลูก ไม่คิดว่าพละกำลังของลู่ฝาน จะมากถึงขั้นนี้

ลู่เฮ่าหรานตาเป็นประกาย พูดออกมาว่า “ดี ลู่ฝาน อีกเดี๋ยวฝากนายด้วย”

ลู่ฝานปล่อยหมัดของลู่หมิง ตอนนี้ลู่หมิงเพิ่งเห็นว่าหมัดของตัวเอง ถูกลู่ฝานบีบจนเป็นรอยนิ้วมือทั้งห้า ที่เห็นได้อย่างชัดเจน

ลู่หมิงอึ้งไป ไม่อยากเชื่อความจริงที่ตัวเองเห็น

เป็นไปได้ยังไง คิดไม่ถึงว่าลู่ฝานจะแข็งแกร่งขนาดนี้ ราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ลู่หมิงรับไม่ได้ กับความจริงที่ลู่ฝานเหนือกว่าเขา สีหน้าไม่สู้ดีขึ้นมาทันที

นี่เพิ่งผ่านไปแค่สามเดือน แค่สามเดือนเองนะ!

ลู่หาวหัวเราะจนหุบปากไม่ได้แล้ว ไม่ว่าอีกเดี๋ยวลู่ฝาน จะแสดงออกมาอย่างไร แค่ภาพเมื่อครู่ ก็ทำให้เขามีความสุขไปสามวันแล้ว

บนหอคอย การแข่งบู๊เริ่มขึ้น

ศิษย์ของพวกตระกูลเล็กๆ ต่อสู้กันบนหอคอยอย่างเต็มกำลัง แต่พละกำลังของพวกเขาด้อยมาก แค่ระดับแดนฝึกร่างชั้นห้า-หก เท่านั้น การต่อสู้ไม่น่าดูสักนิด

ตอนนี้โม่เทียนหันมามองลู่เฮ่าหราน แล้วพูดว่า “ตาเฒ่าลู่ อีกเดี๋ยวตระกูลนาย ใครจะขึ้นไปต่อสู้ ปรึกษากันได้หรือยัง ฉันว่า ใครขึ้นไปก็แพ้ สู้ออกไปตอนนี้ดีกว่า”

รอยยิ้มเต็มหน้าโม่เทียน ราวกับกุมชัยชนะอยู่ในมือ

แววตาลู่เฮ่าหรานวูบไหว หลังคิดครู่หนึ่ง จึงพูดว่า “ตาเฒ่าโม่ ในเมื่อนายมั่นใจขนาดนี้ สู้เรามาเสี่ยงดวงกันหน่อยดีไหม”

โม่เทียนพูดอย่างตกใจ “ตาเฒ่าลู่ นายเอาจริงใช่ไหม อย่าบอกนะว่า ลู่หมิงไม่ใช่คนที่แข็งแกร่งที่สุด ของทายาทตระกูลลู่ของนาย น่าสนใจๆ นายจะเสี่ยงดวงอะไรล่ะ”

ลู่เฮ่าหรานพูดว่า “ถ้าตระกูลโม่ชนะ แล้วฉันแพ้ ฉันจะให้ร้านค้าในเมืองสองร้านกับพวกนาย”

โม่เทียนพูดอย่างสบายใจ “ได้ แต่พูดกันให้ดีก่อน ร้านค้าสองร้านไหน ฉันเป็นคนเลือก”

ลู่เฮ่าหรานหรี่ตาลง แต่ก็รับปาก พูดว่า “ไม่มีปัญหา แต่ถ้าตระกูลลู่ชนะการแข่งบู๊ นายต้องให้ฉันของหนึ่งเหมือนกัน”

โม่เทียนหัวเราะ “นายไม่ต้องการร้านค้าเหรอ อะไรในตระกูลโม่ที่ทำให้นายชอบขนาดนี้”

ลู่เฮ่าหรานยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “ไม่มีอะไร แค่อยากยืมหมัดทำลายล้างของตระกูลโม่เท่านั้น”

รอยยิ้มบนหน้าโม่เทียนชะงักไป เขาพูดว่า “ที่แท้ชอบทักษะบู๊ของตระกูลโม่นี่เอง ได้ ฉันรับปากนาย เอาเป็นว่าตกลงกันเช่นนี้”

ลู่เฮ่าหรานยิ้มบางๆ

โม่เทียนยิ้มเย็นชาแล้วพูดว่า “ฉันอยากดูสิว่า ตระกูลลู่ยังจะมาไม้ไหนได้อีก ฉันได้ร้านค้าสองร้านแน่ๆ”

ขณะนั้น จางเหยียนที่นั่งเงียบๆ อยู่อีกด้าน พูดขึ้นมาว่า “เจ้าบ้านโม่ เจ้าบ้านลู่ การเดิมพันของพวกคุณ ผมร่วมด้วยได้หรือเปล่า”

โม่เทียนหันไปมองจางเหยียน แล้วพูดว่า “หืม เจ้าบ้านจางอยากร่วมด้วยเหรอ ไม่มีปัญหา ไม่ทราบว่าเจ้าบ้านจาง จะเอาอะไรออกมาเป็นสิ่งเดิมพัน”

จางเหยียนคิด แล้วพูดว่า “เอางี้ละกัน ตระกูลจางของผม มีเงินและอำนาจไม่เท่าตระกูลทั้งสองท่าน และไม่มีเคล็ดวิชาบู๊ งั้นผมเดิมพันด้วยเหรียญทองสองหมื่นเหรียญ เป็นไงครับ”

ลู่เฮ่าหรานหันไปถามลู่หาวที่อยู่ด้านหลังด้วยเสียงเบา “ลู่ฝานล่ะ ไอ้เด็กนี่ไปไหนแล้ว ยังไม่กลับมาเหรอ”

ลู่หาวเห็นพ่อไม่พอใจ ไม่กล้ารอช้า รีบพูดว่า “ส่งคนไปหาแล้วครับ อีกไม่นานน่าจะถึงครับ”

ขณะกำลังพูด มีเสียงดังขึ้นข้างหลัง ลู่หาวหันไปมอง เห็นลู่ฝานพาองครักษ์ของตระกูลลู่ เดินเข้ามา

ตอนนี้ คนอื่นก็สังเกตมาทางลู่ฝานเช่นกัน เห็นสภาพลู่ฝาน พากันหัวเราะออกมาแทบจะทุกคน

“นี่ศิษย์ตระกูลไหนกัน ไม่ได้เรื่องจริงๆ เขาไม่รู้เหรอว่าควรแต่งตัวให้เรียบร้อย แล้วค่อยมา”

“ดูเขาน่าเวทนาขนาดไหน ฮ่าๆ กางเกงขาดขนาดนี้ จะโดนคนเสียมารยาทใส่ไม่ใช่เหรอ”

“ฉันนึกออกแล้ว เขาคือลู่ฝานแห่งตระกูลลู่ ไอ้สวะนี่ มาที่นี่ทำไม มาทำให้ขายหน้าหรือไง”

“ฉันได้ยินว่าเขาไม่ใช่สวะแล้วนะ ตอนเทศกาลประจำปี เขาปรากฏตัวอย่างโหดเหี้ยมเลยนะ”

“นายเชื่อด้วยเหรอ ตระกูลลู่ต้องสร้างเรื่องหลอกลวงขึ้นมาแน่ๆ สวะก็คือสวะ!”

……

ลู่ฝานไม่สนใจการถกเถียงของคนอื่น เดินตรงไปหาลู่หาว

ลู่หาวเห็นสภาพของลู่ฝาน สีหน้าแปลกประหลาดเล็กน้อย ลู่เฮ่าหรานขมวดคิ้ว มาถึงก็ทำให้เขาขายหน้าแล้ว

ลู่ฝานเดินมาด้านหลังลู่หาว แล้วพูดว่า “พ่อ”

ลู่หาวบอกให้ลู่ฝานนั่งลงก่อน จากนั้นพูดเบาๆ ว่า “ทำไมนายอยู่ในสภาพแบบนี้ ไม่รู้เหรอว่าวันนี้ตระกูลต่างๆ อยู่ที่นี่ด้วย”

ลู่ฝานพูดอย่างกระอักกระอ่วนว่า “ฝึกฝนไง หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะดูน่าเวทนาหน่อย”

ลู่หาวโบกมือไปมา แล้วพูดว่า “ช่างเถอะๆ ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว ตอนนี้ผลการฝึกตนของนาย เป็นอย่างไรบ้าง”

ลู่ฝานฉีกยิ้ม แล้วพูดว่า “ไม่ทำให้พ่อผิดหวังหรอก”

ลู่หาวได้ยินก็หัวเราะออกมา ตบไหล่ลู่ฝาน

ครั้งก่อนลู่ฝานพูดประโยคนี้ ทำให้เขาแปลกใจมาก หวังว่าครั้งนี้ก็เช่นกัน

โม่เทียนหันมามองลู่ฝานเหมือนกัน จากนั้นหัวเราะ แล้วพูดว่า “ตาเฒ่าลู่ การอบรมของตระกูลนาย น่าสนใจจริงๆ ไม่สอนให้คนใส่เสื้อผ้าให้ดีหรือไง”

ลู่เฮ่าหรานเบิกตาโตมองโม่เทียน แล้วพูดว่า “ตาเฒ่าโม่ นายไม่รู้สึกว่านายกำลังพูดไร้สาระ มากเกินไปหน่อยเหรอ นี่เรียกว่าอิสระ ตอนนายวัยรุ่น ยังแก้ผ้าวิ่งอยู่เลย คิดว่าฉันไม่รู้เหรอ”

โม่เทียนสีหน้าอึมครึม คิดไม่ถึงว่าลู่เฮ่าหราน จะขุดอดีตอันดำมืดของเขาออกมาในเวลานี้ เขาส่งเสียงหึ และไม่สนใจลู่เฮ่าหรานอีก

แต่จางเหยียน ผู้นำตระกูลจาง ที่อยู่ข้างๆ โม่เทียน กลับสนใจมาก ถามเบาๆ ว่า “เจ้าบ้านโม่ คุณแก้ผ้าวิ่งจริงๆ เหรอ”

โม่เทียนหันมาเบิกตาโตใส่จางเหยียน จางเหยียนหัวเราะเบาๆ ไม่ได้ถามอะไรอีก

ทันใดนั้น เสียงกลองดังขึ้น กลองใหญ่สองด้านของหอคอย ถูกตีขึ้นมาพร้อมกัน

เสียงกลองดังสนั่น จนฝูงนกบินหนี เสียงกลองในตอนนี้ บ่งบอกว่าคนที่เข้าไปล่าสัตว์ในเขา กลับมาพร้อมความสำเร็จ

ทันใดนั้น ทุกคนยืดคอมองเข้าไปในเขา เห็นเงาคนเป็นสิบเดินออกมาจากไกลๆ

คนเหล่านี้เป็นลูกศิษย์ที่แต่ละตระกูลส่งออกมา วันนี้พวกเขาล่าสัตว์ได้เท่าไร จะเป็นการตัดสินผลการแข่งขันล่าสัตว์ในรอบแรก

คนที่เดินมาข้างหน้าสุดคือโม่หยุนเฟยกับจางเยว่หาน ในมือของทั้งสอง มีสัตว์ที่ล่าได้ เต็มไปหมด พวกองครักษ์ข้างๆ รีบเข้าไปรับ และเริ่มนับจำนวน

เปรียบเทียบกับสองคนนี้ ผลการต่อสู้ของคนอื่น ไม่ได้โดดเด่นขนาดนั้น ส่วนใหญ่ล่าได้ประมาณ 1-2 ตัว

สายตาคนตระกูลลู่กำลังมองหาลู่หมิง ตอนนี้พวกเขาหวังว่าลู่หมิงจะโชคดี จำนวนสัตว์ที่ล่าได้มากกว่าโม่หยุนเฟยและจางเยว่หาน

เพราะการแข่งขันบู๊รอบที่สองบนหอคอย ลู่หมิงต้องแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้นถ้าชนะรอบนี้ได้ อาจกู้หน้ากลับมาได้นิดหน่อย

แต่ความจริงกระแทกเข้ามาในสายตาของคนตระกูลลู่อย่างไร้เยื่อใย ท้ายสุดของกลุ่มคน ลู่หมิงเดินกลับมาแบบใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ไม่มีสัตว์ที่ล่าได้สักตัว

ภาพนี้ ทำให้ลู่ฝานเห็นแล้ว ถึงกับขมวดคิ้ว ลู่หมิงไม่ควรขายหน้าขนาดนี้นะ

ลู่เฟิงพ่อของลู่หมิงเดินเข้าไปทันที จับไหล่ลู่หมิง ลู่เฟิงถามด้วยเสียงดังว่า “ลู่หมิง นายเป็นอะไรไป ไหนสัตว์ที่ล่าได้ล่ะ”

ลู่หมิงเงยหน้าขึ้น มองโม่หยุนเฟยอย่างอาฆาต แล้วพูดว่า “โดนเขากับไอ้คนต่ำตมนั่น แย่งไปแล้ว”

ประโยคเดียว ทำให้ทุกคนในที่นี้ได้ยินอย่างชัดเจน

โม่หยุนเฟยแสยะยิ้ม แล้วพูดว่า “ฝีมือเทียบไม่ได้ ยังมีหน้ามาพูดอีก”

จางเยว่หานไม่มองลู่หมิงสักนิด นั่งลงข้างจางเหยียนผู้เป็นพ่อตัวเอง

ลู่หมิงโมโหจนหน้าแดงไปหมด จากนั้นกระอักเลือดออกมา ตอนนี้ลู่เฟิงเห็นรอยฝ่ามือลึก ตรงหน้าอกของลู่หมิง เห็นได้ชัดว่าลู่หมิงได้รับบาดเจ็บ

ลู่เฮ่าหรานเห็นภาพนี้ เขาจ้องโม่เทียน แล้วพูดว่า “ทำร้ายคน แย่งของไป วิธีการช่างดีเหลือเกิน ศิษย์ตระกูลโม่ตามคาดจริงๆ”

โม่เทียนพูดอย่างราบเรียบว่า “ชมเกินไปแล้ว ชมเกินไปแล้ว พิธีกร ประกาศผลการแข่งล่าสัตว์รอบแรกได้หรือยัง ใครเป็นผู้ชนะ”

พิธีกรที่ยืนอยู่ข้างหอคอย รีบเดินขึ้นมาบนหอคอย พูดเสียงดังว่า “การแข่งขันล่าสัตว์รอบแรก โม่หยุนเฟยแห่งตระกูลโม่ จางเยว่หานแห่งตระกูลจาง ล้วนล่าสัตว์ป่ากลับมาได้สิบตัว ได้ที่หนึ่งร่วมกัน”

โม่เทียนขมวดคิ้วเบาๆ จางเยว่หานเหมือนกับโม่หยุนเฟยอย่างนั้นเหรอ นี่มันเกิดอะไรขึ้น

จางเหยียน ผู้นำตระกูลจาง มีรอยยิ้มเต็มใบหน้า ปรบมือเบาๆ ตระกูลอื่นด้านหลัง ก็ส่งเสียงอย่างดีใจ

พิธีกรประกาศเสียงดังว่า “การแข่งล่าสัตว์รอบแรกสิ้นสุดลงแล้ว การแข่งบู๊รอบสอง เริ่มต้นอย่างเป็นทางการ”

ลู่เฟิงพาลู่หมิงกลับมานั่ง ลู่หมิงพูดด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม “ขอโทษครับ ผมกลัวว่าจะขึ้นไปแข่งไม่ได้แล้ว”

ลู่เฮ่าหรานถอนหายใจเบาๆ อย่าบอกนะว่าการล่าสัตว์ที่เขาซีซานครั้งนี้ ตระกูลลู่ของเขาจะกลับไปพร้อมความพ่ายแพ้งั้นเหรอ

ขณะนั้น ลู่ฝานพูดขึ้นมาเบาๆ ว่า “การแข่งบู๊ ให้ผมทำละกัน”

เวลาผ่านไปเรื่อยๆ พริบตาเดียว ผ่านไปสองเดือนแล้ว

หิมะฤดูหนาวค่อยๆ ละลาย ทุ่งหญ้าสดใส ป่าลึกเขาซีซาน เป็นเดือนฤดูใบไม้ผลิ

ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินอยู่ในป่า มีคำว่าลู่ปักอยู่บนเสื้อ

“คุณชายลู่ฝาน คุณชายลู่ฝาน!”

ชายหนุ่มเดินพลางตะโกนเรียก นี่เป็นวิธีตามหาลู่ฝาน ที่เบื้องบนบอกเขามา แต่เขาตะโกนตลอดทางแล้ว เสียงดังก้องในป่าทึบ แต่ไม่ได้รับการตอบกลับเลย

ชายหนุ่มลูบลำคอ ตะโกนจนคอแห้ง แต่เขาเป็นองครักษ์ตัวเล็กๆ ของตระกูลลู่ เขาต้องทำสิ่งที่ผู้นำตระกูลมอบหมาย ให้สำเร็จ

ตะโกนเรียกต่อไป ทันใดนั้น มีเสียงดังขึ้นที่พุ่มไม้ข้างๆ ชายหนุ่มพูดอย่างตกใจ “ใช่คุณชายลู่ฝานหรือเปล่า”

ยังไม่ทันพูดจบ หมาป่าตาสีฟ้าตัวหนึ่ง กระโดดออกมา

ตัวหมาป่าสูงประมาณคน สีดำทั้งตัว ข้างในตามีแสงสีฟ้า

ชายหนุ่มสะดุ้งโหยง หมุนตัวเอากระบี่ยาวตรงเอวออกมา พละกำลังการต่อสู้ของหมาป่าตาสีฟ้า โตเต็มวัย ทัดเทียมกับนักบู๊ระดับแดนฝึกร่างชั้นหก แต่เขาอยู่แค่ระดับแดนฝึกร่างชั้นสี่เท่านั้น ครั้งนี้ซวยแล้ว

หมาป่าตาสีฟ้าจ้องชายหนุ่มเขม็ง เริ่มเคลื่อนไหวไปรอบๆ อย่างช้าๆ

ชายหนุ่มเหงื่อไหลลงมาจากหน้าผาก การตะโกนเรียกของตัวเอง หาคุณชายลู่ฝานไม่เจอ แต่กลับเรียกหมาป่าออกมา ช่างน่าเศร้าจริงๆ

จู่ๆ หมาป่าตาสีฟ้าพุ่งเข้ามา กระโจนเข้ามาหาชายหนุ่ม แล้วอ้าปากกว้าง

ชายหนุ่มฟาดกระบี่ลงไป แต่พลานุภาพกระบี่ ยังไม่ทันออกมา ตัวกระบี่โดนหมาป่าตาสีฟ้ากัดเอาไว้ จากนั้นใช้แรงสะบัด กระบี่ยาวกระเด็นออกจากมือ

ชายหนุ่มรีบถอยหลัง ไม่มีกระบี่แล้ว เขาต้องใช้แรงมาก ในการจัดการกับหมาป่าตาสีฟ้า

หมาป่าตาสีฟ้าคำรามใส่เขาเบาๆ จากนั้นกระโจนเข้ามาอีกครั้ง

ชายหนุ่มพูดในใจเบาๆ ชีวิตฉันจบแล้ว

ขณะนั้น มีลมแรงพัดมาจากในป่า หมาป่าตาสีฟ้าโดนกระแทกจนกระเด็น ตกลงไปบนพื้น

ชายหนุ่มอึ้งไป หันขวับไปมอง เห็นกิ่งไม้กิ่งหนึ่ง ปักอยู่ที่หัวของหมาป่าตาสีฟ้าอย่างแม่นยำ

สูดหายใจเฮือก ต้องใช้แรงเยอะขนาดไหน ถึงจะสามารถทำได้

ผู้อาวุโสท่านไหน เป็นคนช่วยเขา

ขณะที่ชายหนุ่มกำลังตกตะลึง มีเงาคน เดินออกมาจากในป่า ใบหน้าสง่างาม กล้ามเนื้อแข็งแกร่ง แผลเป็นเต็มตัว มีหินก้อนเล็กๆ แขวนอยู่ที่คอ ต้องเป็นลู่ฝานอย่างไม่ต้องสงสัย

“คุณชายลู่ฝาน คุณคือคุณชายลู่ฝานใช่ไหม”

ชายหนุ่มพูดอย่างตื่นเต้น ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “ใช่ ฉันเอง นายเป็นคนตระกูลลู่ มาหาฉันทำไม”

ชายหนุ่มรีบพูดว่า “คุณชายลู่ฝาน คุณลืมแล้วเหรอ วันนี้เป็นวันล่าสัตว์ที่เขาซีซานของแต่ละตระกูลใหญ่ ผู้นำตระกูลรอคุณอยู่ที่ตีนเขา ให้คุณรีบไป”

ลู่ฝานอ้าปากค้าง เขาลืมเรื่องนี้ไปแล้วจริงๆ ช่วงนี้ฝึกวิชาอย่างบ้าคลั่ง จนลืมเรื่องสำคัญไปหมด

ลู่ฝานพยักหน้าแล้วพูดว่า “โอเค งั้นเราไปกันเถอะ”

พูดพลาง ลู่ฝานเดินไปด้านล่างภูเขา

ชายหนุ่มเดินตามหลังลู่ฝาน มองแผ่นหลังลู่ฝาน และมองหมาป่าตาสีฟ้า ที่นอนตายอยู่อีกด้าน คิดในใจเงียบๆ

ครั้งนี้คุณชายลู่ฝาน ต้องทำให้ทุกคนประหลาดใจแน่นอน!

ไม่ใช่สิ บางทีอาจเรียกว่าตกใจถึงจะถูก

……

หอคอยสูง ที่ตีนเขา

ทุกปีในช่วงนี้ แต่ละตระกูลใหญ่ของเมืองเจียงหลิน จะวางหอคอยสูงไว้ที่นี่ แข่งขันล่าสัตว์ แข่งขันบู๊

ต้องส่งคนเข้ามาล่าสัตว์อสูรในเขา เพื่อรักษาความสงบเอาไว้ แต่ตอนนี้ เหมือนสัตว์อสูรในเขาซีซานแทบจะหายไปหมดแล้ว ที่เหลืออยู่ อย่างมากเป็นแค่พวกสัตว์ป่าเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้ ตระกูลใหญ่แต่ละตระกูลจึงเอาประเพณีล่าสัตว์มอบให้ทายาทรุ่นหลัง และเพิ่มการแข่งขันบู๊เข้าไปด้วย ใช้แก้ไขความขัดแย้งของตระกูลใหญ่แต่ละตระกูล

ประเพณีนี้ สืบเนื่องต่อกันมาหลายสิบปีแล้ว ตั้งแต่ตระกูลใหญ่สิบตระกูล แก่งแย่งกันเป็นใหญ่ในเมืองเจียงหลิน จนกลายเป็นการต่อสู้ระหว่างตระกูลลู่กับตระกูลโม่

แต่ปีนี้แตกต่างกัน เพราะปีนี้มีจางเยว่หานเพิ่มเข้ามา ดังนั้นตระกูลจางจึงมีคุณสมบัติในการแย่งกันเป็นใหญ่

ล่างหอคอย คนของแต่ละตระกูลใหญ่ นั่งกันตามลำดับ

นี่เป็นงานใหญ่เพียงงานเดียวในปีนี้ ของเมืองเจียงหลิน ตระกูลที่ร่ำรวยหรือตระกูลที่มีชื่อเสียง ล้วนมารวมตัวกัน พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน

ตระกูลที่นั่งอยู่หน้าสุด คือตระกูลลู่ ตระกูลโม่ ตระกูลจาง นั่งเรียงกัน ห่างกันสิบเมตร

สีหน้านายท่านลู่เฮ่าหราน ไม่ค่อยสู้ดีนัก โม่เทียน ผู้นำตระกูลโม่ กลับมีรอยยิ้มบางๆ บนใบหน้า จางเหยียน ผู้นำตระกูลจาง ก็มีความมั่นใจเต็มเปี่ยมเช่นกัน

“ตาเฒ่าลู่ ทายาทของตระกูลนาย ไม่ได้เรื่องจริงๆ ลู่หมิงไปสถาบันสอนวิชาบู๊สามเดือน คิดไม่ถึงว่าจะไม่ก้าวหน้าสักขั้น ช่างน่าผิดหวังจริงๆ”

ขณะที่โม่เทียนได้ใจเหลือล้น ก็ไม่ลืมพูดแซะลู่เฮ่าหราน ไม่ใช่เหตุผลอื่นใด เพราะโม่หยุนเฟย ของตระกูลพวกเขา ใกล้จะฝึกพลังปราณออกมาได้แล้ว ขาดแค่ก้าวเดียวเท่านั้น แต่ลู่หมิงของตระกูลลู่ ยังอยู่แค่ระดับแดนฝึกร่างชั้นแปด ไม่ได้แตกต่างจากสามเดือนก่อนเท่าไรนัก

ลู่เฮ่าหรานพูดอย่างราบเรียบ “โม่หยุนเฟยของตระกูลนาย เข้าสถาบันสอนวิชาบู๊หนึ่งปีแล้ว ยังฝึกพลังปราณไม่ได้ ก็ไม่ต่างกันนะ”

โม่เทียนหัวเราะ แล้วพูดว่า “ตาเฒ่าลู่ นายกำลังหลอกตัวเองอยู่เหรอ นายรู้อยู่แล้วว่าหยุนเฟย ใกล้จะฝึกได้แล้ว อย่าบอกนะว่าสายตาของนาย ถดถอยจนถึงขั้นนี้แล้ว”

ลู่เฮ่าหรานส่งเสียงหึออกมาอย่างเย็นชา ไม่ได้พูดอะไรอีก

โม่เทียนเห็นลู่เฮ่าหรานยอมแพ้ ยิ่งหัวเราะอย่างชอบใจเข้าไปใหญ่

ลู่ฝานสูดหายใจลึก กินยาเพลิงเข้าไป

ทันใดนั้น ลู่ฝานเห็นเหมือนร่างกายตัวเองโดนไฟเผา มีควันลอยขึ้นมา

ฤทธิ์ยารุนแรง เหมือนน้ำซัดเข้าไปในเส้นลมปราณและกระดูกของเขา ลู่ฝานปรับจังหวะลมหายใจ ทำให้ฤทธิ์ยาเข้าไปทั่วร่างกาย

ลู่ฝานตกอยู่ในสภาวะนี้อย่างเงียบๆ แผลบนตัวค่อยๆ ตกสะเก็ด และสมานเข้าด้วยกัน สุดท้ายเผยให้เห็นผิวชุ่มชื่น แข็งแรง ราวกับลอกหนังออกมาใหม่

ไม่รู้หวูเฉินมายืนอยู่หน้าประตูห้องลู่ฝานตั้งแต่เมื่อไร เห็นอาการของลู่ฝาน หวูเฉินพยักหน้าอย่างพอใจ ปิดประตูให้ลู่ฝานช้าๆ

ลู่ฝานซึมซับฤทธิ์ยาผ่านไปหนึ่งคืน

วันต่อมา แดดยามเช้าส่องผ่านหน้าต่าง มาบนหน้าลู่ฝาน

ลู่ฝานลืมตาช้าๆ เคลื่อนไหวเล็กน้อย ได้ยินเสียงเสียดสีอย่างรุนแรง

เมื่อมองดูดีๆ ตัวเองเหมือนงูลอกคราบ เอาสิ่งน่าเกลียดทิ้งไป ลู่ฝานขยับร่างกายครู่หนึ่ง รู้สึกว่าร่างกายเต็มไปด้วยพลัง

ชกหมัดออกไป มีคลื่นความร้อนออกไป ลู่ฝานชกหมัดไปที่ประตู

ประตูที่ทำจากไม้ โดนหมัดจนทะลุ ทันใดนั้น ไม้ทั้งแผ่นมีควันที่เกิดจากการเผาไหม้ลอยขึ้นมา ขี้เลื่อยที่โดนต่อยจนกระจัดกระจาย กลายเป็นสีดำ

ลู่ฝานยิ้มแล้วมองหมัดตัวเอง สภาพตอนนี้ เป็นการใช้กายทองไฟอาบที่ฝึกถึงระยะรู้ความออกมาอย่างไม่ต้องสงสัย

ลู่ฝานวิ่งออกไปข้างนอก มาที่ด้านล่างน้ำตกอีกครั้ง ฝ่าเท้าเบาดั่งลม ลู่ฝานรู้สึกว่าชี่ของตัวเองเพิ่มขึ้นไม่น้อย ตัวเบาเหมือนรังนก ยืนบนหิน ไม่มีทางลื่นล้มแน่นอน

กระแสน้ำกระทบร่างกาย ครั้งนี้ลู่ฝานนิ่งเหมือนขุนเขา

ลู่ฝานหัวเราะออกมาเสียงดัง ทั้งตัวมีแสงสีแดงสว่างวาบ กายทองไฟอาบออกมา กระแสน้ำผ่านไป ถึงกับเดือดพล่าน

เสียงหัวเราะดังทั่วนภา สั่นสะเทือนเหล่านกนับไม่ถ้วน

ไม่กี่วันต่อมา ลู่ฝานผ่านไปอย่างผ่อนคลายไม่น้อย แม้บางครั้งจะโดนกระแสน้ำซัดจนล้ม แต่น้ำร้อนไม่สามารถทำอะไรเขาได้แล้ว ยังมีความเจ็บปวด แต่ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรมาก

น่าเสียดาย ช่วงเวลาแบบนี้ อยู่ได้ไม่กี่วัน หวูเฉินเห็นว่าการฝึกแบบนี้ ไม่ท้าทายลู่ฝานแล้ว จึงรีบเปลี่ยนวิธีฝึกอีกครั้ง

หวูเฉินเอาเปลวไฟสีม่วง ใส่ลงไปด้านบนน้ำตก ครั้งนี้ น้ำที่ไหลลงไปจากน้ำตก จะกลายเป็นน้ำร้อน ไม่เพียงเท่านี้ หวูเฉินยังเอาของที่เขาเตรียมไว้ในช่วงสองสามวันนี้ออกมา ก้อนหินที่ไม่เป็นรูปเป็นร่าง ถูกลู่ฝานแขวนไว้บนคอ

ทันใดนั้น ลู่ฝานรู้สึกเหมือนร่างกายตัวเอง หนักเป็นพันชั่ง ยกแขนยังลำบากมาก

เป็นสิ่งพิเศษ สืบทอดมาจากโบราณ ผู้ฝึกชี่ทั่วไป จะไม่สร้างขึ้นมา กระบวนการที่ต้องใช้นั้นซับซ้อนมาก ประสิทธิภาพเพียงอย่างเดียวคือ ข่มผู้สวมใส่เอาไว้ สมัยโบราณ ผู้ฝึกชี่อาศัยหินผนึกกำลัง มากักขังคนทำผิด แน่นอนว่าหินผนึกกำลังชนิดนั้น น่ากลัวยิ่งกว่านี้ ทำให้นักบู๊ที่มีความสามารถไม่สามารถขยับได้แม้แต่น้อย ตายอย่างทรมาน อันที่ให้นายใส่

ลู่ฝานได้ยินแล้วหางตากระตุก แรงกดขนาดนี้ คิดไม่ถึงว่าจะเป็นแค่แบบเล็ก ลู่ฝานยืนอยู่ที่เดิม ทั้งวันเพิ่งย่างได้แค่ก้าวเล็กๆ

หวูเฉินมองเขา แล้วพูดว่า “ต่อไปหน้าที่ของนายคือ แขวนสิ่งนี้เอาไว้ ปีนฝ่าน้ำตกขึ้นไปข้างบนสุด ไม่ว่านายจะใช้วิธีไหน ปีนขึ้นไปจนถึงข้างบนสุด จะถือว่าการฝึกขั้นนี้เสร็จสิ้น”

ลู่ฝานอ้าปากค้าง การฝึกแบบนี้ ฆ่าคนชัดๆ

หวูเฉินตบไหล่ลู่ฝาน แล้วพูดว่า “ฉันทิ้งหนังสือกลั่นยาไว้ให้นาย ในนั้นมีวิธีเอาหินผนึกกำลังออก ถ้านายหาเจอ และทำสำเร็จ ถือว่านายผ่านขั้นนี้ ฉันบอกแล้ว ไม่ว่าวิธีไหน ขอแค่นายปีนไปถึงด้านบนสุดของน้ำตก”

ลู่ฝานมองหวูเฉิน แค่พยักหน้ายังทำไม่ได้

หวูเฉินไม่พูดอะไรมาก เอามือสองข้างไพล่หลัง แล้วเดินออกไป ลู่ฝานยืนอยู่ที่เดิม หนึ่งวันเต็มๆ

หลังผ่านไปห้าวัน ลู่ฝานพยายามเดินได้ แต่เดินช้าจนน่าหดหู่ ยังเทียบกับเด็กเพิ่งหัดเดินไม่ได้เลย

หลังผ่านไปสิบวัน ในที่สุดลู่ฝานกินข้าวเองได้แล้ว กินไปพลาง อ่านหนังสือยาเล่มหนาอย่างโมโห

หลังผ่านไปสิบห้าวัน ลู่ฝานโดดลงไปด้านล่างน้ำตก เกือบจนน้ำตาย

หลังผ่านไปยี่สิบวัน ลู่ฝานจ้องน้ำตก ที่น้ำร้อนจนน่ากลัว เริ่มปีนขึ้นไป แต่ปีนได้เพียง 9 เมตรกว่า ลู่ฝานก็ตกลงมาอีก

สามารถนำชี่ในตัว แปรเปลี่ยนเป็นพลังลมได้อย่างชำนาญแล้ว ไม่เพียงแต่จะปกคลุมไว้บนฝ่าเท้า สามารถปกคลุมได้ทั้งตัว เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงทำให้ร่างกายของเขาไม่หนักมาก ขณะเดียวกัน กล้ามเนื้อทั้งตัวของเขา

หลังจากผ่านไปหนึ่งเดือน ลู่ฝานนั่งอยู่ด้านล่างสุดของน้ำตก มีแสงสีแดงระเรื่ออยู่บนตัว เมื่อกระแสน้ำไหลลงมาบนหัวเขา ห่างประมาณหนึ่งนิ้ว สายน้ำแยกออกจากกันโดยอัตโนมัติ นี่คือสิ่งที่แสดงว่า ชี่ในตัวเขา แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย

ลมหายใจสงบ ทุกครั้งที่ลู่ฝานพ่นลมหายใจออกมา จะมีคลื่นความร้อนออกมาด้วย

ร่างกายของลู่ฝาน เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย เส้นเลือดเคลื่อนไหว ราวกับยินดี กล้ามเนื้อหดเกร็ง แข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว

ทันใดนั้น ลู่ฝานลืมตาขึ้น แววตาเป็นประกาย

ลู่ฝานชกหมัดไปที่น้ำด้านล่าง กระแสลมทั้งตัวแปรเปลี่ยนเป็นเปลวไฟ กระแสน้ำเดือดพล่านในพริบตา

หวูเฉินยืมอยู่มองอยู่ริมฝั่ง หัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “ลู่ฝาน นายเขาสู่ระดับแดนฝึกร่างชั้นแปดแล้ว”

ลู่ฝานสะบัดหมัดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “ครั้งนี้ฉันขอดูหน่อย ว่าจะปีนได้สูงแค่ไหน”

พูดจบ ลู่ฝานหันหน้าเข้าหาน้ำตก กระโดดเกาะหินขึ้นไปด้านบนอย่างมั่นคง

เช่นเดียวกับวิถีบู๊ของเขา!

สามวันต่อมา ในป่าลึกที่เขาซีซาน

ริมหน้าผามีน้ำตก ไหลยาวลงมา

ลู่ฝานอยู่ล่างน้ำตก ด้านล่างเท้ามีหินลื่นๆ เพียงก้อนเดียว

ลู่ฝานยืนเปลือยท่อนบนอยู่บนหิน พยายามทำให้ตัวเองไม่ตกลงไป กระแสน้ำด้านล่างร้อนผ่าว ล่างสุดของกระแสน้ำ มีเปลวไฟสีม่วงอยู่ดวงหนึ่ง แค่เปลวไฟสีม่วงเพียงดวงเดียว ทำให้กระแสน้ำที่ไหลผ่าน ร้อนขึ้นเป็นอย่างมาก

กระแสน้ำตก ปะทะตัวเขาอย่างรุนแรง ลู่ฝานพยายามปรับร่างกายตัวเอง ขณะเดียวกันก็ปรับลมในตัวด้วย

ตั้งสติ กลั้นลมหายใจ

ค่อยๆ เอากระแสลมในตัว ปกคลุมบริเวณฝ่าเท้า จนกลายเป็นสายลม ดึงตัวเขาขึ้นไป

นี่เป็นรูปแบบการต่อสู้ของผู้ฝึกชี่ พลังชี่สามารถแปรเปลี่ยนเป็นธาตุฟ้าดินทั้งห้า แค่นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ สามารถทำเรื่องเหลือเชื่อได้มากมาย

แต่ตอนนี้ แค่รวบรวมลม ซึ่งเป็นพื้นฐานที่สุด ลู่ฝานยังทำไม่ได้ กระแสลมใต้เท้าหายวับไป ลู่ฝานทรงตัวไม่ได้ จึงตกลงไปในน้ำ

น้ำร้อนระอุ ทำให้ลู่ฝานส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวดออกมา ผิวหนังแดงระเรื่อขึ้นมาทันที

ลู่ฝานรีบปีนขึ้นไปบนหินอีกครั้ง ถ้าด้านล่างเป็นน้ำธรรมดาทั่วไป ก็ไม่เป็นไร แต่น้ำที่ถูกเปลวไฟสีม่วงแผดเผา มันร้อนกว่าน้ำธรรมดาทั่วไปมาก

ราวกับที่โดนลวก ไม่ใช่แค่ผิวหนังกับกล้ามเนื้อของเขา แต่ยังเป็นกระดูกและอวัยวะภายในด้วย

ลู่ฝานกัดฟันอดทนต่อไป การฝึกเพิ่งเริ่มขึ้น

หวูเฉินที่อยู่ไม่ไกล กำลังเสริมความแข็งแรงให้บ้านของตัวเอง ต้นไม้แต่ละต้นกลายเป็นโต๊ะ เก้าอี้ จากฝีมือของเขา

หวูเฉินไม่ได้มองฝั่งลู่ฝานสักนิด ราวกับว่าลู่ฝานโดนลวกจนตาย ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเขา

อีกทั้งการฝึกแค่นี้ เป็นเพียงอาหารเรียกน้ำย่อยเท่านั้น

ลู่ฝานต่อสู้กับน้ำตกอยู่อย่างนั้นทั้งวัน เมื่อถึงตอนค่ำ ไม่มีเวลาพักผ่อนสักเท่าไร เพราะเขาต้องใช้โอกาสตอนกลางคืน กลั่นผงขจัดร้อนออกมารักษาแผลโดนลวกของตัวเอง

วิธีการทำผงขจัดร้อน หวูเฉินสอนเขาตั้งแต่วันแรกที่มาถึงแล้ว

ตอนนั้นลู่ฝานคิดว่าเป็นเพียงการฝึกกลั่นยาเฉยๆ ใครจะไปคิดว่าฝึกสิ่งนี้เพื่อรักษาตัวเองโดยเฉพาะ

การฝึกอย่างหนักหนาทั้งวัน ยังไงร่างกายก็ต้องบาดเจ็บ โดยเฉพาะตอนนี้เพิ่งเริ่ม ลู่ฝานแทบจะแดงไปทั้งตัวแล้ว

พรุ่งนี้จะเจ็บกว่านี้ ลู่ฝานรีบใช้เวลากลั่นยา ไอ้ผงขจัดร้อน ไม่มีสูตรตายตัว จำเป็นต้องเข้าใจสมุนไพรต่างๆ และกลั่นฤทธิ์ยาของสมุนไพร อันที่จริงสมุนไพรแต่ละชนิด ไม่ได้เป็นเพียงยาชนิดเดียว เพราะสรรพสิ่งบนโลก

ลู่ฝานต้องแยกธาตุทั้งห้าในสมุนไพรออกมา หาส่วนประกอบที่ตัวเองต้องการ ผสมเพื่อกลั่นยาออกมา

สมุนไพรธรรมดาที่อยู่ข้างมือพวกนี้ สามารถกลั่นเป็นผงขจัดร้อนอย่างดีออกมาได้ แต่สำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มเรียนแบบเขา เป็นงานยากมาก สมุนไพรที่ปนเปื้อนขนาดนี้ เป็นสิ่งที่หวูเฉินให้เขาซื้อมา จำได้ทั้งหมดไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคุณสมบัติเฉพาะ ของสมุนไพรแต่ละชนิด

จับต้นชนปลายเอาเองทั้งหมด หวูเฉินมาดูบ้างบางครั้ง และให้คำแนะนำ

คืนแรก วุ่นจนถึงเที่ยงคืน ลู่ฝานกลั่นผงขจัดร้อนที่สีแย่มากออกมา

หลังกินเข้าไป บรรเทาอาการเจ็บปวดของตัวเองได้เล็กน้อย เช้าวันต่อมา ลู่ฝานไปต่อสู้กับน้ำตกต่อ

หวูเฉินหยิบสมุนไพรขึ้นมาทุกวัน ไม่รู้ว่ากลั่นอะไร ติดต่อกันมาหลายวัน หวูเฉินดูอ่อนล้ามาก

ผ่านไปห้าวัน ลู่ฝานเป็นแผลฟกช้ำเต็มตัว ผิวหนังบนร่างกาย ไม่มีจุดไหนสมบูรณ์ นี่เป็นผลที่เขาฝึกกายทองไฟอาบ อย่างน้อยกายทองไฟอาบ สามารถช่วยเขาป้องกันพลังความร้อนได้เล็กน้อย ถ้าเป็นนักบู๊คนอื่น ตอนนี้คงนอนอาการสาหัสอยู่บนเตียงแล้ว

เมื่อพลบค่ำ หลังจากลงจากหิน ลู่ฝานเดินโงนเงน กลับมาที่ห้อง แทบจะยกมือไม่ขึ้นแล้ว แต่ยังฝืนทำผงขจัดร้อนต่อไป

เวลาสองสามวันนี้ ลู่ฝานทดสอบประสิทธิภาพของผงขจัดร้อน หลังจากกลั่นสมุนไพรต่างๆ ตอนนี้เขาพอจับทางได้แล้ว

บดยา ขจัดสิ่งปนเปื้อน ผสม ขึ้นรูป

แม้การกระทำจะเชื่องช้า แต่ลู่ฝานทำผงขจัดร้อนออกมาได้หนึ่งขวด ภายในเวลาหนึ่งชั่วยาม ระหว่างทำ ลู่ฝานเกือบเป็นลมไปหลายครั้ง แต่เขาก็ทำมันออกมาได้

ผงขจัดร้อน ลงท้องไปหนึ่งขวด ลู่ฝานเห็นว่าร่างกายตัวเอง เริ่มฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว บรรเทาอาการเจ็บปวด ความสบายแผ่ซ่านไปทั้งตัว

ถอนหายใจยาวออกมา ดูเหมือนผงขจัดร้อนในคืนนี้ จะทำออกมาได้ดีที่สุด ประสิทธิภาพชัดเจน ครั้งหน้าต้องทำแบบนี้ต่อ

รู้สึกว่าร่างกายฟื้นฟูพอประมาณแล้ว ลู่ฝานเอายาเม็ด ออกมาจากแหวนหนึ่งเม็ด

ยาเพลิง เขาอดทนไม่คิดถึงมันมาหลายวันแล้ว

การฝึกอย่างหนักหนาในช่วงนี้ ทำให้ฤทธิ์ยาที่เหลือในตัวเขา หมดไปแล้ว ร่างกายขาดสมดุลอย่างรุนแรง เป็นโอกาสที่จะกินยาเพลิงพอดี

เมื่อลู่ฝานเดินออกไปไกลแล้ว ลู่เฮ่าหรานพูดว่า “ใช่แน่ๆ เขาต้องรู้จักแน่นอน”

ลู่หาวพูดว่า “ไอ้เด็กคนนี้ รู้จักผู้ฝึกชี่ ไม่รู้จักเปิดเผยอะไรสักหน่อย ปิดซะมิดเชียว”

ลู่เฮ่าหรานพูดว่า “ไม่แน่ พรสวรรค์การฝึกฝนของเขา อาจถูกค้นพบโดยชายเถ่เมี่ยนคนนั้น ถ้าเป็นอย่างนี้จริงๆ คุณผู้ชายเถ่เมี่ยน เป็นผู้มีพระคุณของตระกูลลู่ของเรา”

ลู่หาวหัวเราะ แล้วพูดว่า “พ่อว่า เขาฝากตัวเป็นศิษย์กับคุณผู้ชายเถ่เมี่ยนหรือยัง”

ลู่เฮ่าหรานส่ายหน้า “พูดยาก ไม่ชัวร์ พูดไปอาจไม่ดี”

ท่านสวินฟังทั้งสองคนคุยกัน สุดท้ายพูดสรุปว่า “นายสองคนควรทำอะไร ก็ไปทำซะ ลู่ฝานมีบุญวาสนาของตัวเอง ปล่อยเขาไป กลับลานประลองบู๊อะไรนั่น ไม่รู้ว่าพูดถึงอะไรมั่วซั่ว”

พูดจบ ท่านสวินปิดประตูเรือนเก็บหนังสือ ลู่หาวยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน จากนั้นจึงเดินออกไปกับลู่เฮ่าหราน

……

ลู่ฝานออกมาจากตระกูลลู่ มุ่งหน้าไปยังร้านของหวูเฉิน

ถือผงทะลวงกาย ลู่ฝานยิ้มแหยๆ ช่างเถอะ ตัวเองกลั่นเอง ก็กินเองเถอะ

เงยหน้ากินยาทั้งสามขวด รู้สึกคันยุบยิบบนตัว เห็นได้ชัดว่า ยาที่ตัวเองกลั่นกับยาที่อาจารย์กลั่น ยังห่างชั้นกันมาก กินลงท้องไปสามขวด ประสิทธิภาพที่ได้มีน้อยมาก แน่นอนว่าแค่สำหรับเขาเท่านั้น เพราะหนึ่งเดือนมานี้ เขาใกล้จะเกิดอาการต่อต้าน ผงทะลวงกายแล้ว

มาถึงหน้าประตูร้าน ทันใดนั้น ลู่ฝานเห็นว่า วันนี้ร้านของอาจารย์มีลูกค้า

นั่งอยู่ในร้าน จักษุยาวดังนกการเวก ขนคิ้วยาว ปากแดงระเรื่อ งดงามไม่มีใครเทียบ ชุดคลุมสีเขียวเข้ม ยาวถึงพื้น รูปร่างงดงามมีเสน่ห์ อ่อนช้อยจนทำให้หวั่นไหว มีขลุ่ยไม้ไผ่วางอยู่ข้างมือซ้าย

หวูเฉินดื่มเหล้า หันมามองลู่ฝานแวบหนึ่ง จากนั้นละสายตา ไปพูดกับผู้หญิงว่า “ซู่มั่น เธอกลับไปเถอะ ฉันละทางโลกแล้ว แล้วไฉนพานต้องฝุ่นผงคลี”

ผู้หญิงที่ถูกเรียกว่าซู่มั่น ขมวดคิ้วเบาๆ แล้วพูดว่า “ละทางโลกก็เพื่อจะกลับมาอีกครั้งไม่ใช่เหรอ โรคของนาย ฉันรักษาได้”

หวูเฉินพูดช้าๆ ว่า “ร่างกายเป็นเพียงเปลือกนอก เปลือกนอกกู้กลับมาได้ แต่อาการป่วยทางใจ ใครจะรักษาได้”

ซู่มั่นถอนหายใจเบาๆ ลุกขึ้นยืน แล้วพูดว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นก็ถือว่าฉันไม่เคยมาละกัน”

หวูเฉินพูดว่า “เดิมเธอก็ไม่เคยมา”

ซู่มั่นเดินออกไปข้างนอกช้าๆ แต่เมื่อเธอเดินมาหน้าลู่ฝาน กลับชะงักฝีเท้าลง มองลู่ฝานอย่างประเมิน ซู่มั่นหันไปมองหวูเฉิน แล้วพูดว่า “นี่เป็นศิษย์ของนายเหรอ”

หวูเฉินพยักหน้าเบาๆ ถือเป็นการตอบกลับ

ซู่มั่นยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “ฉันนึกว่านายจะเอาความสามารถของนาย ลงไปในหลุมศพด้วย นายไม่ออกมา ไม่เป็นไร ลูกศิษย์นายต้องออกมา ไม่ช้าก็เร็ว”

พูดพลาง ซู่มั่นเอาแผ่นหยกวางไว้ในมือลู่ฝาน แล้วพูดว่า “เก็บมันไว้ซะ ศิษย์ของเพื่อนเก่า”

พูดจบ ซู่มั่นหันหลังเดินออกไป ฝีเท้าเบาจนไม่ได้ยินเสียง หายไปตรงสุดถนนอย่างรวดเร็ว

ลู่ฝานมองแผ่นหยกในมือ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

บนแผ่นหยกมีแค่ตัวอักษรตัวใหญ่ คำว่า เต๋า ลมไม่ธรรมดา พัดเข้ามาปะทะหน้า

หวูเฉินมองแผ่นหยกในมือลู่ฝาน แววตาเหมือนเข้าใจ แต่จู่ๆ หวูเฉินพูดว่า “ลู่ฝาน เก็บไว้สิ ต่อไปนายใช้มันได้”

ลู่ฝานได้ยิน จึงเก็บแผ่นหยกเอาไว้ หวูเฉินวางไหเหล้า มองร้านเก่าๆ แล้วพูดว่า “น่าเสียดาย ที่นี่โดนหาเจอแล้ว อยู่นานไม่ได้อีกละ”

ลู่ฝานอึ้งไป แล้วพูดว่า “อาจารย์ หมายความว่ายังไง อาจารย์จะไปแล้วเหรอ”

หวูเฉินพูดว่า “แค่ย้ายบ้าน เปิดร้านไม่ได้แล้ว ทำได้เพียงเข้าป่า ลู่ฝาน นายช่วยฉันเก็บของทั้งหมดให้เรียบร้อย เราไปเขาซีซานกัน การฝึกขั้นสองของนาย ต้องใช้สถานที่เงียบสงบพอดี”

ลู่ฝานพูดว่า “การฝึกขั้นสอง อาจารย์จะสอนอะไรผมครับ กลั่นยาชนิดอื่นเหรอ”

หวูเฉินส่ายหน้า “ไม่เพียงแต่กลั่นยา ฉันอยากถ่ายทอดวิธีป้องกันตัวของผู้ฝึกชี่ให้นายด้วย ตั้งแต่นี้ไป นายตามฉันไปเรียนบนเขา อาจลงเขามาไม่ได้สักสองสามเดือน นายช่วยฉันย้ายของเสร็จ กลับไปบอกที่บ้าน จากนั้นไปซื้อสมุนไพรกับของกิน แล้วค่อยขึ้นไปบนเขา”

ลู่ฝานพยักหน้า แล้วพูดว่า “ไม่มีปัญหาครับ”

หวูเฉินมองลู่ฝาน แล้วพูดว่า “ก่อนอื่นฉันจะบอกนายว่า การฝึกครั้งนี้ อาจถึงแก่ชีวิต นายเตรียมตัวเอาไว้แล้วใช่ไหม”

แววตาลู่ฝานลุกโชน แล้วพูดว่า “ถ้าผมไม่ตาย ผมจะพัฒนาถึงขั้นไหน”

หวูเฉินพูดว่า “นายจะฝึกพลังปราณและพลังชี่ออกมาได้ ภายในระยะเวลาอันสั้น”

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “งั้นเหรอครับ งั้นผมเตรียมตัวมาสิบกว่าปีแล้ว”

สายลมยามเช้าปะทะใบหน้า อารมณ์เบิกบาน

ลู่ฝานเดินออกมาจากห้องตัวเอง มองลานบ้านที่เต็มไปด้วยดอกไม้ใบหญ้า ยิ้มบางๆ เป็นอีกหนึ่งวันที่บรรยากาศดี

เดิมทีลู่ฝานคิดว่าตัวเองจะไม่ชินกับลานบ้านหลังจากที่ปรับปรุงใหม่ แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้ ตัวเองคิดมากไป ต้องบอกเลยว่า หลังจากขยายและปรับปรุงซ่อมสร้างลานบ้านแล้ว ดูงดงามขึ้นมากจริงๆ วางเฟอร์นิเจอร์เรียบร้อย ทำให้เขารู้สึกสบายแม้ยามหลับ

ยังไงมนุษย์ก็เป็นสัตว์ที่ต้องเพลิดเพลิน แต่อย่าให้ความเพลิดเพลิน มาทำลายความฮึกเหิม

เดินไปยังเรือนเก็บหนังสือ ก่อนออกจากประตู ลู่ฝานต้องทดสอบสักหน่อย ว่าตัวเองเข้าสู่ระดับแดนฝึกร่างชั้นเจ็ดแล้วจริงๆ

เพราะหินศิลาดำ เป็นสิ่งวัดระดับของนักบู๊ที่ต่ำกว่าแดนปราณในได้แม่นยำที่สุด

ระหว่างทาง ลูกศิษย์ตระกูลลู่เจอลู่ฝาน ล้วนเอ่ยทักทายเบาๆ การปฏิบัติเช่นนี้ เดิมทีลู่ฝานไม่เคยคาดคิดมาก่อน แต่ตอนนี้เขาชินแล้ว

มาถึงด้านนอกเรือนเก็บหนังสือ ตอนนี้รอบๆ ไม่มีใคร เป็นโอกาสให้เขาทดสอบพอดี

ย่อตัวลงอย่างมั่นคง ลู่ฝานสูดหายใจ ปล่อยหมัดไปยังหินศิลาดำอย่างแรง

หมัดถล่มเขา

ทันใดนั้น บนหินศิลาดำมีรอยแตก ตัวอักษรสีทองขนาดใหญ่ ปรากฏขึ้นมา

แดนแดนฝึกร่างชั้นเจ็ด ระดับสูง

ลู่ฝานยิ้มออกมา ถ้าฝึกในความเร็วแบบนี้ต่อไป การทดสอบของสถาบันสอนวิชาบู๊ในปีหน้า เขาต้องไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน

ขณะที่ลู่ฝานกำลังดีใจ มีเสียงดังขึ้นจากด้านหลัง

“ลู่ฝาน มาหาท่านสวินที่เรือนเก็บหนังสือเช้าขนาดนี้ ขยันจริงๆ”

เสียงใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ลู่ฝานหันไปมอง เห็นพ่อและปู่ของตัวเอง กำลังเดินเข้ามาช้าๆ

ใบหน้าทั้งสองมีรอยยิ้ม ลู่ฝานพูดอย่างนอบน้อมว่า “คุณปู่ คุณพ่อ”

ลู่เฮ่าหรานยิ้มแล้วพูดว่า “เราปู่หลานไม่ต้องมีพิธีรีตองหรอก เป็นไง การฝึกฝนช่วงนี้……”

ลู่เฮ่าหรานไม่ได้พูดต่อ เพราะเขากับลู่หาวเห็นหินศิลาดำข้างหลังลู่ฝานแล้ว

ตัวอักษรขนาดใหญ่กระแทกตาพวกเขา ลู่หาวพูดโพล่งออกมาว่า “นายแดนฝึกร่างชั้นเจ็ดแล้วเหรอ”

ลู่เฮ่าหรานหัวเราะร่า ดูเหมือนว่าเขาถามเกินความจำเป็นแล้ว ความเร็วในการฝึกของลู่ฝานไม่มีใครต้องสงสัยเลย

ลู่ฝานจะพูดอะไรได้อีก ทำได้เพียงตอบเบาๆ ว่า “โชคดีที่ก้าวหน้าได้ครับ”

ลู่หาวหัวเราะแล้วพูดว่า “การฝึกไม่มีคำว่าโชคดี หนึ่งเดือนยกระดับขึ้นหนึ่งขั้น ความเร็วในการฝึกของนาย เหนือธรรมชาติจริงๆ คิดถึงตอนที่ฉันอายุเท่านาย ยกระดับหนึ่งขั้น ต้องใช้เวลา……เฮ้อ ไม่ต้องพูดดีกว่า”

ขณะกำลังพูด ประตูเรือนเก็บหนังสือถูกผลักออก ท่านสวินยืนยิ้มหน้าประตู มองมายังลู่ฝาน

“ลู่หาว เอาของให้เขาสิ”

เดินเข้าไปยื่นให้ลู่ฝาน แล้วพูดว่า “นี่คือผงทะลวงกาย เป็นของดีที่ช่วยให้การฝึกแข็งแกร่งขึ้น เดิมทีเมื่อวานพ่อจะซื้อผลเพลิงมาด้วย ถ้ามีมัน อย่างน้อยความเร็วในการฝึกของนาย จะเพิ่มขึ้นเป็น 20 เปอร์เซ็นต์ แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้มันมา คงต้องเป็นครั้งหน้า ลู่ฝาน

ลู่ฝานมองผงทะลวงกาย แล้วอ้าปากค้าง เดิมทีพ่อซื้อสิ่งเหล่านี้เพื่อมอบให้เขา ด้วยเหตุนี้จึงไม่คำนึงว่าจะล่วงเกิน “ผู้ฝึกชี่”คนหนึ่ง

ลู่ฝานไม่รู้ควรทำอย่างไร ถือผงทะลวงกาย ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ของเหล่านี้ เขาเป็นคนเอาออกไปขาย ตอนนี้กลับมาอยู่ในมือเขาอีก นี่มันเรื่องอะไรกัน

แต่ความคิดพวกนี้ในใจเขา ไม่สามารถพูดออกมาได้ ทำได้เพียงโค้งคำนับ แล้วพูดว่า “ขอบคุณครับพ่อ”

ลู่หาวเห็นสีหน้าของลู่ฝาน รู้สึกมีอะไรผิดปกติเล็กน้อย

ลู่หาวหันกลับมา สบตากับลู่เฮ่าหราน เหมือนทั้งสองแน่ใจอะไรบางอย่าง

ลู่หาวพูดอย่างจริงจัง “ลู่ฝาน เมื่อวานฉันเจอชายหน้ากากเงินคนหนึ่ง นายรู้จักหรือเปล่า”

ลู่ฝานตกใจ รีบพูดว่า “ไม่รู้จักครับ”

ลู่หาวหัวเราะเบาๆ ออกมา “ไม่รู้จักเหรอ งั้นช่างเถอะ ถ้านายรู้จักคงดี เพราะคุณผู้ชายเถ่เมี่ยน อาจจะเป็นผู้ฝึกชี่ ถ้าได้เป็นเพื่อนกับผู้ฝึกชี่ คงเป็นเกียรติของตระกูลลู่ของเราจริงๆ เอาล่ะ ลู่ฝาน นายฝึกต่อเถอะ อย่าเอาแต่ออกไปข้างนอก ถ้ามีเวลาก็ไปลานประลองบู๊หน่อย ให้เด็กขี้เกียจพวกนั้นได้เห็นว่าการฝึกควรเป็นอย่างไร!”

ลู่ฝานพยักหน้า และรีบเดินออกไป

โม่หลินกระอักกระอ่วนเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีท่าจะไว้หน้ากัน จึงทำได้เพียงพูดว่า “ดูเหมือนผมทำเรื่องไม่เหมาะสม แต่ถ้าวันอื่นคุณว่าง ประตูตระกูลโม่เปิดต้อนรับคุณเสมอ”

โม่หลินโค้งคำนับและบอกลา ลู่หาวเดินมาจากอีกด้าน

ลู่หาวก้าวเข้ามาข้างลู่ฝาน แล้วพูดว่า “คุณผู้ชาย ถ้าเมื่อครู่ล่วงเกินอะไรไป โปรดอภัยให้ด้วย”

พูดพลาง ลู่หาวคารวะและคำนับ ลู่ฝานรีบประคองเขาขึ้นมา ตลก ให้พ่อทำความเคารพตัวเอง อายุจะสั้นลงเชียวนะ

ลู่ฝานพูดเสียงแหบพร่าออกมาอย่างผ่อนคลาย “คุณลู่ไม่จำเป็นหรอกครับ”

ลู่หาวขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วพูดว่า “คุณผู้ชายรู้เหรอ ว่าผมแซ่ลู่”

ลู่ฝานขยับมุมปากเล็กน้อย ถ้าไม่ระวังต้องถูกเปิดเผยแน่นอน ลู่ฝานกลอกตาไปมา แล้วอธิบายว่า “ผมรู้จักลูกชายคุณ แน่นอนว่าต้องรู้อยู่แล้ว”

“คุณผู้ชายรู้จักลู่ฝานเหรอ”

ลู่หาวตกใจเข้าไปใหญ่ เขาคิดไม่ถึงว่าลู่ฝานจะรู้จักผู้ฝึกชี่

ลู่ฝานพยักหน้า นับว่าเป็นการตอบกลับ ลู่หาวรีบพูดว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นเชิญคุณผู้ชายมาเป็นแขกที่ตระกูลลู่สิครับ ถ้าไอ้ลูกชายลำบากใจคุณ ผมจะได้ให้เขาขอโทษคุณผู้ชายต่อหน้า”

ลู่ฝานพูดว่า “คุณลู่คิดมากไปแล้ว ลูกชายคุณ……นับว่าไม่เลว ผมยังมีธุระ ไว้ครั้งหน้าจะมาเยี่ยมใหม่”

พูดจบ ลู่ฝานรีบเดินไป เขากลัวว่าขืนพูดอีก จะเปิดเผยตัวตนออกมา

พูดเสียงแหบมันทรมานมาก แต่ถ้าให้พ่อรู้ว่าตัวเองหลอกเขาแบบนี้ กลับไป ต้องมีจุดจบไม่สวยอย่างแน่นอน

หนีคือยอดกลยุทธ์! หนีคือยอดกลยุทธ์!

ลู่หาวมองตามลู่ฝานเดินออกไป ปากพึมพำคำว่า “นับว่าไม่เลว” ที่ลู่ฝานเพิ่งพูดเมื่อครู่

ทันใดนั้น ลู่หาวหัวเราะออกมา

“ไอ้ลูกเวร รู้จักผู้ฝึกชี่ แต่ไม่บอกฉัน ไม่……เลว…..จริงๆ อย่าบอกนะว่าลู่ฝานลูกชายฉัน จะมีความสามารถเป็นผู้ฝึกชี่เหมือนกัน”

ลู่หาวตาเป็นประกาย เดินกลับเข้าไป ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม

โม่หลินยืนอยู่ไม่ไกล มองลู่หาวคุยกับ “ชายหน้ากากเงินลึกลับ” อย่างมีความสุข แววตามีความโมโหขึ้นมาทันที

ชายหน้ากากเงินคนนี้ ไม่ไว้หน้าเขา แต่กลับคุยกับลู่หาวอย่างมีความสุข โม่หลินอยากส่งคนไปสืบตอนนี้เลยว่า ชายหน้ากากเงินคนนี้เป็นใครกันแน่ แต่สติของเขาไม่ให้เขาทำเช่นนี้ ช่างเถอะ แค่ผู้ฝึกชี่ที่ผ่านมาคนหนึ่งเท่านั้น

ฉันไม่เชื่อหรอกว่า ตระกูลลู่ของนาย จะเอาผู้ฝึกชี่มาเป็นพวกได้

โม่หลินสะบัดแขนเสื้อ เดินออกไปอย่างโมโห

……

ลู่ฝานกลับมาถึงนอกร้านเหล้าด้วยความระมัดระวัง เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครตามมา เขาจึงถอดเสื้อคลุมดำกับหน้ากากเงินออก

เดินเข้าไปในร้าน ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เห็นหวูเฉินกำลังดื่มเหล้าอยู่พอดี

“กลับมาแล้วเหรอ ผลที่ได้เป็นยังไงบ้าง”

หวูเฉินยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น เขาเห็นสีหน้าสดใสของลู่ฝาน ก็รู้ว่าลู่ฝานต้องได้เงินมาเยอะแน่นอน

ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “อาจารย์ ต่อไปจะซื้อสมุนไพรอะไร ขอให้บอก ผมซื้อกลับมาให้ท่านได้แล้ว”

หวูเฉินส่ายหน้าแล้วพูดว่า “หาเงินได้เยอะขนาดนี้ ดูนายดีใจเข้าสิ นายเกิดจากตระกูลร่ำรวยนะ เฮ้อ”

ลู่ฝานนั่งลงตรงข้ามหวูเฉิน แล้วพูดว่า “อาจารย์ ผมได้ของดีมาด้วย”

พูดพลาง ลู่ฝานเอาผลเพลิงออกมา

หวูเฉินเห็นผลเพลิง ยิ้มอย่างเบิกบานเข้าไปใหญ่

“นายหาสิ่งนี้เจอแล้วเหรอ ดีๆๆๆ ถ้ามีมัน การฝึกของนายจะรวดเร็วขึ้นอีก ปิดประตูสิ”

ลู่ฝานได้ยิน รีบปิดประตูทันที หวูเฉินหยิบผลเพลิงขึ้นมา แล้วพูดว่า “ลู่ฝาน วันนี้จะให้นายได้เห็นวิธีการกลั่นยาของผู้ฝึกชี่ที่แท้จริง”

ลู่ฝานเบิกตาโต เห็นมือของหวูเฉินมีกระแสลมออกมา ผลเพลิงทั้งลูก เริ่มบิดเบี้ยวขึ้นมา

หลังจากนั้น หวูเฉินคว้ามือในอากาศ ขณะเดียวกัน มีแสงห้าแสงปรากฏออกมาด้วย รวมอยู่ที่มือหวูเฉิน

แผดเสียงออกมาเบาๆ ผลเพลิงในมือหวูเฉิน กลายเป็นรูปร่างเลือนรางในพริบตา ผงสีดำหล่นลงมาจากมือ นี่เป็นสิ่งปนเปื้อนในสมุนไพร ลู่ฝานเพิ่งเคยเห็นวิธีกำจัดสิ่งปนเปื้อน ที่น่าอัศจรรย์เช่นนี้ เป็นครั้งแรก

ต่อมา ทั้งร้านเริ่มสั่นขึ้นมาเล็กน้อย มีเสียงลมพัด เสียงน้ำ เสียงฟ้าผ่า เสียงเผาไหม้ดังขึ้น สุดท้ายมีเสียงพื้นดินดังขึ้นเบาๆ

ลำแสงทั้งห้าทะลุเข้าไปในผลเพลิง ยาเม็ดกลมหนึ่งเม็ด แข็งตัวอย่างรวดเร็ว

ทั้งร้านเต็มไปด้วยลำแสงของยาเม็ด หลังผ่านไปครู่หนึ่ง ลำแสงหายไป กลั่นยาออกมาสำเร็จ

ในมือหวูเฉิน มียาเม็ดสีแดงก่ำหนึ่งเม็ด หวูเฉินยิ้มแล้วพูดว่า “ยาเพลิง ยาเม็ดระดับสอง”

ลู่ฝานรับยาเม็ดมา ในหัวมีแต่ภาพเมื่อครู่ปรากฏขึ้นมา

“อาจารย์ เมื่อกี้ทักษะการกลั่นยาของอาจารย์ เหนือชั้นมาก”

หวูเฉินพูดว่า “นี่เรียกว่าวิชาฟ้าดินแปลงเป็นยา รอให้ตอนไหน นายได้เป็นนักเรกิ ฉันจะสอนนาย”

ลู่ฝานพยักหน้าเบาๆ มองยาเม็ดแล้วพูดว่า “กินตอนนี้เลยไหมครับ”

หวูเฉินยิ้มแล้วพูดว่า “แล้วแต่นายเลย”

ลู่ฝานคิดอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายเก็บยาเอาไว้ แล้วพูดว่า “อีกสักสองสามวันค่อยกินดีกว่า ผมเพิ่งกินยาเม็ดระดับหนึ่งไปหนึ่งเม็ด ดูดซึมฤทธิ์ยาที่เหลือให้หมดก่อน แล้วค่อยว่ากัน”

หวูเฉินพยักหน้าอย่างพอใจ สิ่งล่อตาล่อใจอันยิ่งใหญ่อยู่ตรงหน้า ยังนิ่งสงบได้ นี่สิถึงจะเป็นลูกศิษย์ของเขา

ทั้งสองมองหน้ากันแล้วหัวเราะ รู้ทุกอย่างโดยไม่ต้องพูดออกมา

ได้ผลเพลิงมาแล้ว ลู่ฝานพิงเก้าอี้อย่างพอใจ ยิ้มจนปากจะฉีก

แต่ไม่มีใครเห็นอารมณ์แท้จริงของเขา ผ่านทางหน้ากากได้ เห็นเพียงเขานั่งอย่างสงบอยู่ตรงนั้น ราวกับทุกอย่างไม่เกี่ยวอะไรกับเขา

เสิ่นอวิ๋นบอกให้คนเอาสินค้าประมูลชิ้นสุดท้ายขึ้นมา เมื่อผงทะลวงกาย 20 กว่าขวด ถูกเข็นออกมา ความคึกคักของทุกคนเริ่มขึ้นทันที ตระกูลที่มาวันนี้ 90 เปอร์เซ็นต์มาเพราะสิ่งนี้

เสิ่นอวิ๋นชี้ผงทะลวงกาย แล้วพูดว่า “ฉันคิดว่าคงไม่ต้องแนะนำอะไรมาก ทุกคนรู้กันอย่างดีแล้ว ผงทะลวงกาย ประมูลเป็นชุด หนึ่งชุดมี 3 ขวด ประสิทธิภาพแตกต่างกัน ทั้งหมดแบ่งเป็น 8 ชุด ตอนนี้ประมูลชุดแรก ราคาต่ำสุด 1500 เหรียญทอง”

ลู่ฝานอึ้งไปก่อน จากนั้นเกือบหัวเราะออกมา

ขายเป็นชุด แถมประสิทธิภาพแตกต่างกัน วิธีการของงานประมูลช่างฉลาดจริงๆ อันที่จริงผงทะลวงกายของลู่ฝานล็อตนี้ มีทั้งดีและไม่ดี มีสองสามขวดเป็นผลงานเริ่มแรกสุดของเขา มีประสิทธิภาพเล็กน้อย เขายังกลัวว่าจะขายไม่ออกอยู่เลย

แต่งานประมูลจัดการแบบนี้ เป็นการบังคับให้ขายทั้งดีและไม่ดีออกไปพร้อมกัน 1500 เหรียญทอง ยังเป็นแค่ราคาขั้นต่ำ ลู่ฝานส่ายหน้า ถอนหายใจเบาๆ

“2000 เหรียญทอง”

โม่หลินชิงพูดออกมาก่อน ราคาสูงขึ้น 500 ทันที

แต่ราคานี้ ทำให้คนอื่นตกใจไม่ได้ จางเหยียน ผู้นำตระกูลจางพูดว่า “2500 เหรียญทอง”

เพิ่มขึ้นอีก 500 ราวกับว่าซื้อสิ่งนี้ ให้ราคาครั้งละ 100 เหรียญทอง เป็นเรื่องที่น่าอับอาย

โม่หลินมองจางเหยียน พูดโดยไม่หันหน้ามองว่า “3000 เหรียญทอง”

ราคานี้ ไม่ได้ทำให้จางเหยียนกังวลใจ แม้ตระกูลจางเทียบไม่ได้กับตระกูลโม่และตระกูลลู่ แต่ก็ร่ำรวยเหมือนกัน

“3500 เหรียญทอง”

เหมือนจางเหยียนจะไม่ไว้หน้าโม่หลิน เพิ่มราคาโดยไม่รีรอ

โม่หลินลังเลเล็กน้อย ราคานี้ สำหรับผงทะลวงกาย ค่อนข้างสูง ถ้าเพิ่มราคาอีก ต้องขาดทุน

แต่เขาคิดเช่นนี้ ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะคิดเช่นนี้เหมือนกัน โม่หลินชะงักไปเล็กน้อย ลู่หาวรีบพูดว่า

“4500 เหรียญทอง”

เพิ่มราคาครั้งละ 1000 ความกล้าหาญเด็ดขาดนี้ ทำให้จางเหยียนขมวดคิ้ว

การประมูลเปรียบเทียบอำนาจบารมีกัน ให้ความรู้สึกประมาณว่า “ฉันต้องได้” อะไรทำนองนั้น

จางเหยียนคิดเล็กน้อย เหมือนว่าลูกสาวตัวเอง จะมีความสัมพันธ์อันดีกับลู่หมิงของตระกูลลู่ ตอนนี้ไม่มีความจำเป็นต้องล่วงเกินครอบครัวในอนาคต

ดังนั้น จางเหยียนยิ้มบางๆ ให้ลู่หาว และไม่เรียกราคาอีก

โม่หลินอยากเรียกราคาอีก แต่คิดดูดีๆ แล้ว เห็นท่าทีแน่วแน่ของลู่หาว โม่หลินจึงไม่พูดอะไร

เสิ่นอวิ๋นยังคงพูดว่า “ยังมีใครให้ราคาอีกไหมคะ 4500 เหรียญทอง ยังมีใครให้เพิ่มไหมคะ”

ตะโกนอยู่สองสามครั้ง ไม่มีใครตอบ สุดท้าย ลู่หาวชิงชุดแรกมาได้ในราคา 4500 เหรียญทอง

ลู่ฝานไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ถ้าต่อไปพ่อรู้ว่า ของที่ใช้เงินจำนวนมากซื้อมา เป็นผลงานที่ลู่ฝานฝึกฝีมือ คงจะจิตใจหดหู่ กินข้าวไม่ลงไปสองสามวัน

แต่ตอนนี้เหมือนพ่อดูมีความสุขมาก รอยยิ้มเต็มใบหน้า

ต่อไปเป็นการประมูลชุดที่สอง ครั้งนี้ราคาพุ่งไป 3500 เหรียญทองในพริบตา สุดท้ายขายออกไปในราคา 4500 เหรียญทองเหมือนกัน ราวกับว่านี่เป็นการตั้งราคาของผงทะลวงกาย 1 ชุด

ผงทะลวงกายขายออกไปอย่างต่อเนื่อง เมื่อมาถึง 3 ชุดสุดท้าย ราคาสูงขึ้นเล็กน้อย พุ่งไปที่ 4800 เหรียญทอง

2 ชุดสุดท้าย ขายออกไปในราคาสูงถึง 5000 เหรียญทอง

ลู่ฝานเห็นราคานี้ แอบตกใจเบาๆ โดยเฉพาะคนที่ซื้อสองชุดสุดท้าย เป็นสองตระกูลเล็กๆ ที่ไม่มีชื่อเสียง คนรวยในเมืองเจียงหลินไม่น้อยเลยจริงๆ!

8 ชุด ตระกูลโม่ได้ 3 ชุด ตระกูลลู่ได้ 2 ชุด ตระกูลจางได้ 1 ชุด

คำนวณดูแล้ว ครั้งนี้ลู่ฝานได้อย่างน้อย 5-6 หมื่นเหรียญทอง

รวยอย่างฉับพลันภายในคืนเดียว รู้สึกไม่เลวจริงๆ ตั้งแต่นี้ไป เขาคงไม่ขาดแคลนเงินแล้ว

งานประมูลจบลงอย่างสมบูรณ์แบบ ผลเพลิงที่ลู่ฝานซื้อมาพร้อมกันการ์ดเหรียญเงิน เสิ่นอวิ๋นเป็นคนเอามาให้ด้วยตัวเอง

“คุณผู้ชาย นี่เป็นการ์ดเหรียญเงินของคุณ หักค่าธรรมเนียมงานประมูลเรียบร้อยแล้ว”

การ์ดเหรียญทองสีม่วงเหลือบทอง ไฮโซหรูหรา ด้านหลังเขียนไว้ว่าปราณบู๊แปดทิศ

ลู่ฝานรับการ์ดมา หยดเลือดลงไปหนึ่งหยด นับแต่นี้เป็นต้นไป การ์ดใบนี้เป็นของเขาเพียงผู้เดียว ลู่ฝานถือไว้ในมือ เห็นตัวเลขสีเลือดในการ์ดเหรียญทอง มีเพียงเจ้าของที่เห็น ไม่มีทางผิดแน่นอน ต่อไปเขาเอาถือการ์ดนี้ไว้ ไม่ว่าจะไปที่ไหน แค่เจอร้านค้าที่ดำเนินกิจการทางการเงิน ก็สามารถถอนเงินได้

ลู่ฝานพยักหน้าอย่างพอใจ แล้วหันหลังเดินออกมา เสิ่นอวิ๋นมาส่งลู่ฝานที่หน้าประตูงานประมูล

ท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคน ลู่ฝานกลายเป็นเป้าสายตา สายตามากมายมองมาที่เขา

แต่ลู่ฝานไม่สนใจ เพราะพวกเขาจำไม่ได้ ขณะนั้น โม่หลินเดินเข้ามา คารวะลู่ฝาน แล้วพูดว่า “ขอบคุณคุณผู้ชาย ที่สนับสนุนผงทะลวงกาย ผมโม่หลินจากตระกูลโม่แห่งเมืองเจียงหลิน พอจะมีโอกาสเชิญคุณผู้ชาย ไปคุยกันที่บ้านสักครั้งได้หรือไม่”

โม่หลินดูนอบน้อมมาก แต่ลู่ฝานกลับไม่สนใจเขาแม้แต่น้อย คิดว่าเขาเป็นคนนอก ไม่รู้ว่าเจ้าชั่วร้ายโม่หลินเป็นคนแบบไหนงั้นเหรอ ตระกูลโม่กับตระกูลลู่ของเขาเป็นศัตรูคู่แค้นกัน เขาไม่มีเวลาไปตระกูลโม่หรอก

ลู่ฝานพูดด้วยเสียงแหบพร่า “ไม่จำเป็นหรอก”

อันดับแรกขายพวกอาวุธมีดดาบ สร้างโดยฟางเสี่ยน ปรมาจารย์ด้านอาวุธ ที่มีชื่อเสียงในเมือง ลู่ฝานไม่สนใจสิ่งเหล่านี้ ขี้เกียจแม้ตาจะลืมตาขึ้นมา แต่เหมือนว่าอาวุธจะขายได้ในราคาที่ไม่เลว ลู่ฝานได้ยินราคาสุดท้าย คือ 600 กว่าเหรียญทอง

ต่อมาเป็นการจำหน่ายซากของสัตว์อสูร ลู่ฝานมีความสนใจสิ่งเหล่านี้ เพราะหลายส่วนของสัตว์อสูร สามารถใส่ในยาได้ บางทีต่อไปอาจต้องเจอมัน

มองอยู่ครู่หนึ่ง แต่เหมือนระดับขั้นของสัตว์อสูรไม่สูงนัก ราคาของซากจึงธรรมดาทั่วไป สุดท้ายขายออกไปในราคา 400 เหรียญทอง และจบลง ลู่ฝานเห็นในกลุ่มคนด้านล่าง มีคนหนึ่งถอนหายใจออกมา บางทีเขาอาจเป็นนักบู๊ที่ล่าสัตว์อสูรเหล่านี้

จากนั้น เป็นการประมูลสมุนไพรหายาก เป็นสมุนไพรหายาก 4-5 ชนิด ลู่ฝานได้ยินมาบ้าง นี่คงเป็นผลจากอิทธิพลของอาจารย์ในช่วงสองสามวันนี้

ตั้งแต่เขาควบคุมอาการคันบนร่างกายได้ ทุกครั้งที่กลั่นยา หวูเฉินมักจะพูดความรู้เกี่ยวกับสมุนไพรมากมาย เพื่อมาดึงสมาธิของเขา อีกทั้งยังให้เขาจำเอาไว้ ใช้สิ่งนี้ทำให้จิตใจของเขาแยกแยะเป็นสองได้ดียิ่งขึ้น

เมื่อเวลาผ่านไป ลู่ฝานจดจำความรู้มากมายเกี่ยวกับสมุนไพรได้จริงๆ แม้ไม่เคยเห็นสมุนไพรพวกนี้ แต่เมื่อได้ยินชื่อ ลู่ฝานพอนึกออกว่า สมุนไพรนี้มีประโยชน์อะไร ทำยาอย่างไร

สมุนไพรบางส่วน ขายออกได้ในราคาไม่เลว เสิ่นอวิ๋นดีใจมากเช่นกัน จากนั้นเอาสมุนไพรที่เหมือนกันออกมา “ต่อมาเป็นของชิ้นรองสุดท้าย อย่างผลเพลิง”

เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ลู่ฝานชะงักไป จากนั้นจ้องผลสีแดงก่ำข้างมือเสิ่นอวิ๋น

ต้องสละยอดฝีมือนักบู๊แดนฝึกร่างไปสองคนเพื่อที่จะได้มันมา อยู่ในระดับ4 หลังกินเข้าไป จะยกระดับความแข็งแกร่งทางด้านกายภาพของนักบู๊ เพิ่มพลัง อีกทั้งยังสามารถทำให้ผิวของนักบู๊แข็งตัว เหมือนสัตว์เกล็ด ราคาต่ำสุด 700

เมื่อเสิ่นอวิ๋นพูดจบ ลู่หาวพูดออกมาว่า “1000 เหรียญทอง”

ตระกูลโม่พูดตามหลังมาว่า “1200 เหรียญทอง”

เปิดมาก็ราคาดีดขึ้นไปเป็นพัน ทำให้ตระกูลอื่นไม่กล้าพูดออกมา มองสองตระกูลใหญ่ แข่งกันเงียบๆ

“1500 เหรียญทอง”

ลู่หาวพูดราคาออกมาอย่างไม่กังวล ผลแบบนี้ เหมาะกับนักบู๊ตระกูลลู่ของพวกเขาที่สุด ทำให้ผิวหนังแข็งตัวได้ เพิ่มการป้องกัน นั่นแสดงว่า สามารถยกระดับผลการฝึกกายทองไฟอาบ ในระดับที่แน่นอน ลู่หาวเป็นส่วนน้อยในไม่กี่คนที่รู้ว่าลู่ฝานเริ่มฝึกกายทองไฟอาบ เขาคิดจะซื้อให้ลู่ฝาน ช่วยลู่ฝานอีกส่วนหนึ่ง

“1800 เหรียญทอง”

โม่หลินของตระกูลโม่ก็ไม่ยอมอ่อนข้อเช่นกัน เขาเอาผลชนิดนี้กลับไป ก็มีประโยชน์อย่างมากเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น เขารู้ว่าผลชนิดนี้ ดีกับคนตระกูลลู่ ทุกเรื่องที่สามารถทำให้คนตระกูลลู่ทุกข์ทรมานได้ โม่หลินจึงทำอย่างไม่แคร์ เพราะแค่ไม่กี่พันเหรียญทองเท่านั้น ไม่มีปัญหาอะไร

ลู่หาวกำลังจะเพิ่มราคาอีก ขณะนั้น ลู่ฝานพูดออกมา

“2000 เหรียญทอง”

ลู่ฝานพูดด้วยเสียงแหบพร่า แม้เสียงไม่ดัง แต่ทั้งงานได้ยินชัดเจน

ทันใดนั้น ทุกคนพากันมองไปยังลู่ฝาน ลู่หาวกับโม่หลิน ต่างพากันขมวดคิ้ว จู่ๆ ก็ไม่กล้าเพิ่มราคาอีก

เสิ่นอวิ๋นพูดอย่างดีใจว่า “คุณผู้ชายเถ่เมี่ยนให้ราคา 2000 มีใครจะเพิ่มราคาไหมคะ”

เสิ่นอวิ๋นพูดพลาง ขยิบตาให้ลู่ฝาน การกระทำนี้ ในสายตาของคนมีใจ เป็นสัญญาณยืนยันตัวตนของลู่ฝานอย่างไม่ต้องสงสัย

แม้เสิ่นอวิ๋นหน้าตางดงาม แต่ไม่ใช่คนปล่อยตัว สามารถทำให้เธอตั้งใจประจบ ขยิบตาบนเวทีได้ อีกฝ่ายต้องเป็นคนฐานะสูงส่งมาก

สักพักหนึ่ง โม่หลินกับลู่หาวแน่ใจว่า คนที่เอาผงทะลวงกายมาขายวันนี้ ต้องเป็นชายเถ่เมี่ยนคนนี้ อีกฝ่ายเอาผงทะลวงกายออกมาเยอะขนาดนี้ภายในครั้งเดียว เป็นไปได้ว่าจะเป็นผู้ฝึกชี่

โม่หลินไม่พูดอะไร ลู่หาวกัดฟันแล้วพูดว่า “2100 เหรียญทอง”

เพื่อลูกชาย ลู่หาวทำได้เพียงลองสักครั้ง เขาหวังว่าอีกฝ่ายแค่พูดราคาลอยๆ ออกมาเท่านั้น ไม่มีความคิดอยากได้จริงๆ

โม่หลินหัวเราะ แล้วพิงเก้าอี้ จะได้ผลไม้หรือไม่ มันไม่สำคัญ แต่ถ้าล่วงเกินผู้ฝึกชี่ จะเป็นเรื่องใหญ่ ให้คนโง่อย่างลู่หาวไปแก่งแย่งกับผู้ฝึกชี่เถอะ

ลู่ฝานก็ตกใจเหมือนกัน เขาดูออกว่าพ่อเดาตัวตนผู้ฝึกชี่ของเขาได้แล้ว

ในขณะที่มีความเป็นไปได้ ว่าจะเป็นผู้ฝึกชี่ แต่ยังเรียกราคา นี่ไม่ใช่วิธีการของผู้ดูแลตระกูลที่เป็นผู้ใหญ่

ลู่ฝานคิดไปคิดมา แล้วพูดออกมาว่า “2101 เหรียญทอง”

ราคานี้ คงเพียงพอที่จะทำให้พ่อรู้ว่าเขาต้องการ พ่อคงไม่เรียกราคาต่ออีก

ตามคาด เมื่อพูดออกมา ลู่หาวถึงกับใจหล่นตุ้บ

ลู่หาวถอนหายใจออกมา ไม่เรียกราคาอีก ถ้าเรียกราคาต่อ คงต้องล่วงเกินอีกฝ่ายแน่ๆ ลู่หาวรู้ว่าอะไรเป็นอะไร

สองตระกูลใหญ่ไม่กล้าพูดอะไรอีก คนอื่นก็ไม่แก่งแย่งกับลู่ฝานอยู่แล้ว

เสิ่นอวิ๋นประกาศว่าผลเพลิง ตกเป็นของคุณผู้ชายเถ่เมี่ยน ลู่ฝานกำหมัดเบาๆ

ไม่มีใครรู้ ตอนเขาบอกอาจารย์ว่าตัวเองกำลังฝึกทักษะบู๊วิชากายทองไฟอาบ สิ่งแรกที่อาจารย์บอกคือ ถ้ามีเวลา ให้หาสมุนไพรพวกผลเพลิง สามารถยกระดับการฝึกทักษะบู๊ของเขาให้รวดเร็วขึ้น

ตอนนี้หาผลเพลิงที่อาจารย์พูดถึงเจอแล้ว

เหมือนลู่ฝานมองเห็นแดนเล็กของกายทองไฟอาบ กำลังโบกมือให้เขาอยู่

ช่วงค่ำมาถึงอย่างช้าๆ

หน้าประตูงานประมูลติ่งเซิ่ง เต็มไปด้วยคนแน่นขนัด คึกคักเป็นอย่างมาก

อาจเป็นเพราะประกาศประมูลเมื่อตอนบ่าย ดึงดูดผู้คนได้เป็นอย่างมาก ตระกูลร่ำรวยในเมืองเจียงหลินต่างส่งคนมาในคืนนี้ ผู้คนพากันพูดคุยเกี่ยวกับผงทะลวงกาย ซึ่งเป็นยาวิเศษในช่วงท้ายๆของค่ำคืนนี้ “ได้ยินหรือยัง ผงทะลวงกายมาจากมือของผู้ฝึกชี่เลยนะ ไม่ต่างจากยาเม็ดเท่าไร”

“อย่าฟังโฆษณาเกินจริงของประกาศประมูล ฉันไปถามมาแล้ว ผงทะลวงกาย แย่กว่ายาเม็ดจริงๆ อยู่เล็กน้อย”

“งั้นทำไมคืนนี้ทุกคนมากันหมด นายอย่ามาหลอกฉัน”

“เหตุผลที่ทุกคนมาง่ายดายมาก แม้ผงทะลวงกายเทียบยาเม็ดไม่ได้ แต่ประสิทธิภาพไม่ธรรมดาจริงๆ มีประโยชน์กับนักบู๊แดนฝึกร่างเป็นอย่างมาก สิ่งสำคัญกว่านั้น ผงทะลวงกายที่ขายคืนนี้ มีจำนวนเยอะ ได้ยินมาว่า 20 ขวดเต็มๆ”

“ว้าว ปริมาณเยอะขนาดนี้ สามารถยกระดับนักบู๊ทั่วไปได้เลยนะ”

“แน่นอนอยู่แล้ว ได้ยินว่าเพียงหยดเดียว สามารถยกระดับนักบู๊แดนฝึกร่างได้ 20 กว่าขวด ถ้าใช้ดีๆ ทำให้นักบู๊อายุน้อยของตระกูลก้าวหน้าขึ้นมา ไม่ใช่เรื่องที่เป็นปัญหาเลย”

“งั้นฉันจะซื้อสักสองสามขวด เงินไม่ใช่ปัญหา ฉันมีเงินเยอะ”

“ฮ่าๆ ฉันก็เหมือนกัน”

……

ลู่ฝานยืนอยู่หน้าประตูงานประมูลติ่งเซิ่ง ได้ยินสองคนด้านหน้าพูดคุยกัน จึงยิ้มออกมาบางๆ

เขาไม่คิดว่าผงทะลวงกายธรรมดาๆ เพียงล็อตเดียว จะทำให้ทั้งเมืองเจียงหลินเดือดขนาดนี้ ถ้าคนพวกนี้รู้ว่า หนึ่งเดือนมานี้ เขาใช้ผงทะลวงกายแบบดีเยี่ยมในการฝึก จะอิจฉาจนตายหรือเปล่า

ลู่ฝานเห็นตระกูลโม่ ตระกูลจาง รวมไปถึงตระกูลลู่ของเขา พาคนเข้าไปในงาน โดยเฉพาะตระกูลลู่ของเขา เป็นลู่หาวพ่อของเขา มาด้วยตัวเอง

กำลังต่อแถวเข้างาน ยามคนหนึ่งเดินเข้ามา พูดกับลู่ฝานว่า “คุณผู้ชายเถ่เมี่ยนใช่ไหม คุณนายเสิ่นอวิ๋นบอกว่าคุณเป็นแขกวีไอพี ไม่ต้องต่อแถว เชิญทางนี้ครับ”*

ลู่ฝานพยักหน้าเบาๆ เดินเข้าไปในงานประมูล ท่ามกลางสายตาอิจฉาของกลุ่มคน ที่กำลังต่อแถว

เดินขึ้นไปเรื่อยๆ ยามพาลู่ฝานเดินเข้ามาในห้อง จากนั้นเอาการ์ดแก้วหินสีม่วงออกจากอก ยื่นให้ลู่ฝาน แล้วพูดว่า “คุณผู้ชายเถ่เมี่ยน นี่เป็นบัตรวีไอพีของคุณ”

ลู่ฝานมองบัตรวีไอพี แล้วยิ้มยกใหญ่ ลู่ฝานเคยเห็นบัตรใบนี้ในมือพ่อตัวเอง เหมือนงานประมูลจะให้แค่ผู้จัดการของตระกูลใหญ่ คิดไม่ถึงว่าตัวเองจะได้เหมือนกัน ดูเหมือนว่างานประมูลจะนับถือเขามาก เพราะเขาเป็นผู้ฝึกชี่เหรอ

ลู่ฝานยิ้มบางๆ ตอนนี้ตัวเองเป็นแค่ผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรเท่านั้น ก็ได้รับการนับถือขนาดนี้แล้ว ถ้ากลั่นยาเม็ดออกมาได้จริงๆ กลายเป็นผู้ฝึกชี่ที่แท้จริง งั้นคนพวกนี้คงไม่กล้าเผชิญหน้ากับเขาแล้ว

ตามคาด ความแตกต่างระหว่างคนกับคน ย่อมใหญ่กว่าความแตกต่างระหว่างคนกับสัตว์

แต่ดูคลาสสิกและงดงาม รอบๆ เป็นภาพแม่น้ำและภูเขา ด้านหน้ามีเหล้าดีและถาดผลไม้ โดยเฉพาะเก้าอี้หวายสีม่วงตัวนั้น กว้างเป็นอย่างมาก ดูมีพลังอำนาจ นั่งลงไป รู้สึกอุ่นนิดๆ

มองไปรอบๆ ลู่ฝานเห็นห้องอื่นเช่นกัน แน่นอนว่าตระกูลลู่ ตระกูลโม่ มีห้องเช่นกัน แต่สิ่งที่ทำให้ลู่ฝานแปลกใจ ตระกูลจางที่เป็นแค่ตระกูลร่ำรวยของเมืองเจียงหลิน กลับมีห้องเช่นกัน

น่าจะเป็นเพราะจางเยว่หาน แน่นอนว่าอิทธิพลของสถาบันสอนวิชาบู๊ ยังมีอยู่อย่างมหาศาล ตระกูลจางมีเพียงแค่จางเยว่หานคนเดียวที่สามารถเข้าเป็นศิษย์ในสถาบันสอนวิชาบู๊ได้ แต่สามารถครองอันดับตระกูลต้นๆ ในเมืองเจียงหลินได้แล้ว นี่เรียกว่า น้ำขึ้นเรือย่อมลอยสูงขึ้นตาม

ลู่ฝานกำลังมองคนอื่นอย่างประเมิน อันที่จริงคนอื่นก็กำลังมองเขาอย่างประเมินเช่นกัน

คนของตระกูลใหญ่แทบทั้งหมด สังเกตว่ามีคนสวมหน้ากากเงิน ในห้องชั้น 2

ไม่ต้องสงสัยเลย คนที่สามารถให้งานประมูลจัดเตรียมห้องไว้ให้ได้ ต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน ทุกคนเริ่มคาดเดา ตัวตนของคนหน้ากากเงิน สิ่งที่เป็นไปได้มากที่สุด คือ ผู้สนับสนุนผงทะลวงกายในครั้งนี้

ทันใดนั้น แต่ละตระกูลแอบจดจำคนหน้ากากเงินเอาไว้ และออกคำสั่ง ต้องญาติดีกับคนนี้ ห้ามหาเรื่องเด็ดขาด

ทุกคนพากันนั่งลง วันนี้งานประมูลขนาดใหญ่ เต็มทุกที่นั่ง ไม่นาน หญิงงามเดินขึ้นมาบนเวทีประมูล เป็นเสิ่นอวิ๋นที่ลู่ฝานเคยเจอ

เสิ่นอวิ๋นสวมชุดกี่เพ้าสีม่วง แต่งหน้าอ่อนๆ

ลู่ฝานเห็นแววตาพวกนักธุรกิจร่ำรวยด้านล่าง แปรเปลี่ยนไป เสิ่นอวิ๋นยิ้มบางๆ ให้พวกเขา พวกเขารู้สึกเหมือนวิญญาณจะหลุดออกจากร่าง

มีพิธีกรประมูลแบบนี้ ของไม่ดีก็ขายออก ถึงเสิ่นอวิ๋นเอาหินออกมาขาย พวกที่โดนความงามกระแทกจนสติเลอะเลือน ก็ต้องซื้ออย่างไม่ลังเล

ลู่ฝานพิงเก้าอี้หวายสีม่วง หลับตาพักสายตา และฝึกฝนกายทองไฟอาบ ศิลปะการป้องกันตัว ต้องฝึกทีละน้อย จะปล่อยให้เสียเวลาเปล่าไม่ได้

ได้ยินเสิ่นอวิ๋นพูดคำขอบคุณเสร็จเรียบร้อย จากนั้นงานประมูลจึงเริ่มขึ้น

มาถึงหน้าประตู ยามคนหนึ่งขวางลู่ฝานเอาไว้

“คุณผู้ชาย ตอนนี้งานประมูลยังไม่เริ่ม ค่อยมาตอนกลางคืนเถอะ”

ลู่ฝานจงใจกดเสียงต่ำพูดว่า “ฉันไม่ได้มาซื้อของ แต่ฉันมาขายของ”

ยามได้ยิน จึงรีบชักมือกลับ แล้วพูดว่า “งั้นเชิญคุณตามผมมา”

พูดพลาง ยามพาลู่ฝานมาที่ประตูข้างของงานประมูล เคาะประตูเหล็กเบาๆ แล้วตะโกนว่า “พี่เสิ่น มีลูกค้ามาถึงแล้วครับ”

ประตูเหล็กเปิดออกช้าๆ เผยให้เห็นใบหน้า ที่ประดับด้วยรอยยิ้มสดใส

“ฮ่าๆ ลูกค้าท่านนี้ใช่ไหม เข้ามานั่งสิ”

พี่เสิ่นผายมือขวา เชิญลู่ฝานเข้าไปข้างใน ด้านในเป็นห้องเล็กๆ มีเฟอร์นิเจอร์ครบครัน เคาน์เตอร์ข้างๆ เต็มไปด้วยอาหาร ล่างเคาน์เตอร์เขียนไว้ว่าติ่งเซิ่ง

ยามออกไป และปิดประตูเหล็กลง พี่เสิ่นกับลู่ฝาน นั่งตรงกันข้าม ที่โต๊ะแปดเซียน

พี่เสิ่นยิ้มแล้วพูดว่า “ผมชื่อเสิ่นฉี่หมิง เป็นผู้ประเมินของงานประมูลติ่งเซิ่ง ไม่ทราบว่าลูกค้าท่านนี้ มีอะไรจะขาย เอาออกมาให้ผมดูได้ไหม”

ผู้ประเมินนั่น ก็คือผู้ประเมินสินค้า ที่ประมูลมักจะมีผู้อาวุโสที่ประเมินสินค้ามายาวนานเป็นคนรับหน้าที่นี้ เสิ่นฉี่หมิงดูเหมือนจะอายุ 20 กว่าปี เป็นผู้ประเมินในวัยเพียงแค่นี้ ดูเหมือนจะมีความสามารถอยู่บ้าง

ลู่ฝานเอาผงทะลวงกายออกมาสองขวด นี่เป็นผลงานภายในสองวันของเขา แม้จะมีความแตกต่างจากผงทะลวงกาย ที่กลั่นออกมาวันนี้ แต่ก็ไม่ต่างกันมากเท่าไร

“ผงทะลวงกาย เป็นยาที่สามารถช่วยผู้ฝึกบู๊ได้”

เมื่อได้ยินคำว่าผงทะลวงกาย แววตาเสิ่นฉี่หมิงเป็นประกาย เห็นได้ชัดว่าเขารู้จัก

“ผมดูหน่อย ผงทะลวงกาย เป็นของดีมากเลยนะ”

เสิ่นฉี่หมิงเปิดขวดออก ดูอย่างละเอียด และใช้จมูกดมไปด้วย

“กลิ่นหอมรุนแรง สีชัดเจน ลูกค้า ผมลองชิมสักหยดได้ไหม วางใจได้เลย ถ้าไม่มีปัญหา หลังจากขายออกไป จะชดเชยเงินให้ตามราคาหยดนี้”

ลู่ฝานหยักหน้าเบาๆ บอกว่าไม่มีปัญหา

เสิ่นฉี่หมิงเอาแก้วเล็กๆ ออกมา เทหนึ่งหยดอย่างระมัดระวัง และเอาเข้าปาก

หลับตาลง สัมผัสอย่างละเอียด ครู่หนึ่ง เสิ่นฉี่หมิงพูดว่า “โอเค เป็นผงทะลวงกายต้นตำรับ ฤทธิ์ยาแข็งแกร่ง ยาดียอดเยี่ยม”

ลู่ฝานยิ้มบางๆ แต่รอยยิ้มนี้ อยู่ภายใต้หน้ากากเงิน เสิ่นฉี่หมิงจึงมองไม่เห็น

ผงทะลวงกายแบบนี้ ในสายตาของอาจารย์เขา ไม่เกินระดับกลาง แต่คิดไม่ถึงว่าสำหรับเสิ่นฉี่หมิง จะเป็นของชั้นยอด

“ขายได้ไหม”

ลู่ฝานจงใจใช้เสียงแหบพร่า ได้ยินแล้วเหมือนโดนคนเหยียบคอเวลาพูดออกมา

เสิ่นฉี่หมิงพูดว่า “ไม่มีปัญหา คืนนี้ผมเอามันออกมาขาย ขวดหนึ่งราคาต่ำสุด 500 เหรียญทอง ต้องมีคนซื้อแน่นอน”

ลู่ฝานตกใจ แค่ขวดนี้ราคาต่ำสุด 500 เหรียญทองเลยเหรอ นี่เป็นเงินใช้จ่ายของเขาไม่รู้ตั้งกี่ปี

ผู้ฝึกชี่ ไม่ต้องกังวลเรื่องเงินจริงๆ ลู่ฝานชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “ไม่ใช่แค่ขวดเดียว ฉันจะขายหลายขวด”

พูดพลาง ลู่ฝานเอาผงทะลวงกายออกจากแหวน 20 กว่าขวด ผงทะลวงกาย วางจนเต็มโต๊ะ ทำให้เสิ่นฉี่หมิงถึงกับอึ้งไป

เสิ่นฉี่หมิงอึ้ง แล้วพูดว่า “คุณเป็นใครกันแน่”

และยังอาจจะล่วงเกินอีกฝ่ายด้วย เขาใส่ชุดแบบนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่อยากเปิดเผยตัวตน ตัวเองถามแบบนี้ จะทำให้อีกฝ่ายไม่ชอบเอาง่ายๆ

ขณะนั้น ผู้หญิงงามคนหนึ่ง เดินออกมาจากประตูด้านในห้อง แล้วพูดว่า “คุณผู้ชาย คุณอย่าถือสา น้องชายฉันปากไม่มีหูรูด ถ้าล่วงเกินไป ได้โปรดอภัยให้ด้วย”

เสิ่นฉี่หมิงรีบลุกขึ้น พูดกับหญิงงามว่า “พี่มาได้ยังไง”

หญิงงามจ้องเขา แล้วพูดว่า “ถ้าพี่ยังไม่มา นายก็จะล่วงเกินคุณผู้ชายท่านนี้แล้ว”

ลู่ฝานพูดอย่างราบเรียบว่า “ไม่เป็นไร มาเข้าเรื่องกันเถอะ”

แล้วพูดว่า “คุณผู้ชาย เรารับทั้ง 20 กว่าขวดของคุณ คืนนี้จะเอาออกมาประมูลทั้งหมด แต่ละขวดราคาต่ำสุด 500 ในฐานะที่ร่วมงานกันครั้งแรก เราจะเก็บค่าธรรมเนียมแค่ 5

ลู่ฝานพยักหน้าเบาๆ แล้วพูดว่า “5 เปอร์เซ็นต์ถือว่าต่ำมากแล้ว แต่ผงทะลวงกายพวกนี้ มีบางส่วนที่คุณภาพไม่ค่อยดี กลัวว่าจะมีราคาไม่ถึง 500”

หญิงงามยิ้ม แล้วพูดว่า “ไม่กี่ขวดเท่านั้น ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรมาก ถ้าคุณตกลง ฉันจะเปิดบิลเลย”

ลู่ฝานพูดว่า “ได้ งั้นตกลงตามนี้”

หญิงงามเอาบิลออกมาจากในอก เขียนสินค้า ราคาต่ำสุด จำนวน ประทับตราของร้านประมูลติ่งเซิ่ง แล้วส่งให้ลู่ฝาน

ลู่ฝานรับบิลมา แล้วพูดว่า “งั้นฉันค่อยมาคืนนี้”

หญิงงามลุกขึ้น แล้วพูดว่า “ยินดีต้อนรับทุกเมื่อ ครั้งหน้าหวังว่าจะได้ร่วมงานกัน ฉันชื่อเสิ่นอวิ๋น”

ลู่ฝานเดินออกมา เมื่อส่งลู่ฝานออกไปทางประตูข้าง เสิ่นอวิ๋นถอนหายใจอย่างโล่งอก

เสิ่นฉี่หมิง อยู่ข้างๆ พูดขึ้นมาว่า “พี่ ครั้งนี้ได้บิลใหญ่เลย พี่ว่าฝีมือแบบนี้ ในเมืองเจียงหลินจะเป็นใครได้”

เสิ่นอวิ๋นพูดตำหนิเบาๆ “ไม่ใช่เรื่องที่นายควรถาม นายก็อย่าถาม ดูไม่ออกเหรอว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ฝึกชี่ที่สูงส่ง ถ้านายล่วงเกินเขาขึ้นมาจริงๆ ร้านประมูลติ่งเซิ่งของเราต้องวุ่นวายแน่ รีบไปติดประกาศ คืนนี้ประมูลครั้งใหญ่”

เสิ่นฉี่หมิงรีบวิ่งออกไปบอกให้คนจัดการ เสิ่นอวิ๋นมองผงทะลวงกายบนโต๊ะ พึมพำออกมาว่า “ดูเหมือนคืนนี้จะคึกคักแล้ว”

หนึ่งเดือนต่อมา ลู่ฝานยังคงฝึกแบบนี้ต่อไป

หลังผ่านไปหนึ่งเดือน ลานด้านหลังร้าน

การหายใจเข้าออก สีหน้าลู่ฝานนิ่งสงบ ทุกครั้งที่หายใจ จะมีแสงสีแดงปรากฏออกมาบนตัว นี่เป็นสัญลักษณ์ของการที่กำลังฝึกกายทองไฟอาบ

แต่ระยะเวลาเพียงแค่เดือนเดียว สามารถเห็นผลได้แล้ว ถ้าลู่เฮ่าหรานกับท่านสวินรู้ คงต้องตกตะลึงเป็นอย่างมาก

การเคลื่อนไหวบนมือรวดเร็วมาก ลู่ฝานผสมของเหลวสีแดงก่ำออกมาชุดหนึ่ง มือซ้ายมีเปลวไฟออกมา เริ่มหลอมของเหลว ระยะเวลาหนึ่งเดือน การหมุนเวียนในตัวเขา ตอนนี้เติบโตแข็งแรง เพียงพอที่จะทำให้เขาใช้เปลวไฟ ในระยะเวลาสั้นๆ ได้

ผงทะลวงกายก่อตัวอย่างรวดเร็ว เมื่อรู้สึกว่าพอประมาณแล้ว ลู่ฝานเก็บเปลวไฟ นำมันใส่ลงไปในขวดเล็กๆ

“อาจารย์ ดูว่าขวดนี้เป็นยังไงบ้าง”

ลู่ฝานโยนขวดให้หวูเฉิน หวูเฉินรับขวดมามอง แล้วพูดว่า “ใช้ได้ ขวดนี้เรียกได้ว่ายอดเยี่ยม เวลาหนึ่งเดือน นับว่านายเรียนรู้การสร้างผงทะลวงกายแล้ว”

รอยยิ้มประดับบนใบหน้าลู่ฝาน ถอนหายใจอย่างโล่งอกออกมา

หวูเฉินพูดต่อ “ทักษะบู๊ของนายเป็นไงบ้าง ฝึกได้ผลไหม”

ลู่ฝานพูดว่า “ได้ผลอยู่แล้ว ผงทะลวงกายไม่ธรรมดาจริงๆ คิดไม่ถึงว่าจะมีประโยชน์ ทำให้ฝึกได้อย่างรวดเร็ว ตอนนี้ผมเริ่มสัมผัสวิชากายทองไฟอาบได้แล้ว”

หวูเฉินพยักหน้า “งั้นก็ดี แม้ฉันไม่ใช่นักบู๊ แต่หลักการฝึกเชื่อมโยงกัน ภายใต้ความเจ็บปวด ต้องมีผลตอบแทน นี่เป็นหลักการแท้จริง ที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงมาตลอด”

ลู่ฝานตอบรับเบาๆ หันหน้าไปมองรอบๆ

ฝึกฝนและทดสอบหนึ่งเดือน ทำให้ทั้งลานบ้านเต็มไปด้วยผงยา ข้างๆ มีขวดวางอยู่เป็นแถว นี่เป็นผลที่ลู่ฝานทดสอบมาในช่วงสองสามวันนี้

หยิบขวดด้านหน้าสุดขึ้นมา เก็บลงไปในแหวน ลู่ฝานพูดว่า “อาจารย์ พวกนี้เอาออกไปขายได้แล้วใช่ไหม ใช้สมุนไพรหมดแล้ว ต้องเติมของอีก ผมไม่มีเงินแล้ว”

หวูเฉินพูดว่า “ไปสิ แต่อย่าลืมซ่อนตัวตน เมืองเล็กๆ อย่างเมืองเจียงหลินแห่งนี้ ถ้ามีผู้ฝึกชี่ออกมา แม้จะเป็นผู้ฝึกชี่ระดับต่ำสุด ก็สร้างความสั่นสะเทือนได้แน่นอน ถ้านายไม่อยากโดนรุมมอง ทางที่ดีปิดให้ดี”

ลู่ฝานพยักหน้าอย่างเข้าใจ “เข้าใจแล้วครับอาจารย์”

“ลู่ฝาน รอก่อน ฉันให้ของนายก่อน”

ทันใดนั้น หวูเฉินสะบัดมือ ปล่อยเปลวไฟออกมา ปกคลุมขวดในมือ วินาทีต่อมาขวดแตกออก เห็นของเหลวสีแดงก่ำข้างใน เปลวไฟรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ของเหลวด้านในแข็งอย่างรวดเร็ว

ทันใดนั้น มือซ้ายของหวูเฉิน คว้าลำแสงแสบตากลางอากาศ โยนเข้าไปในเปลวไฟ

วินาทีต่อมา ของเหลวสีแดงก่ำนั้นมีแสงสีทองระยิบระยับ ของเหลวก่อตัวเป็นเม็ดยาอย่างรวดเร็ว จากนั้นดีดออกจากมือหวูเฉิน พร้อมเสียงคำรามเบาๆ เด้งเป็นเส้นโค้งอย่างงดงาม ตกลงมาในมือลู่ฝาน

“ยาแสงทะลวงกาย ยาระดับหนึ่งชั้นเยี่ยม กินมันเข้าไปสิ!”

ลู่ฝานมองอย่างตกตะลึง ฝีมือการกลั่นยาที่สะดุดตาขนาดนี้ เป็นสไตล์ของปรมาจารย์ชัดๆ

ลู่ฝานเอายาเข้าปากอย่างไม่ลังเล

ยากลายเป็นน้ำไหลเข้าไปในร่างกาย ยาคือการสะท้อนให้เห็นถึงฤทธิ์ยาที่ยิ่งใหญ่สุด จู่ๆ ลู่ฝานรู้สึกว่าเอ็นและกระดูกทั้งร่างกาย เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลง ไม่มีอาการคันแล้ว ถูกแทนที่ด้วยความเย็นสบาย

หนึ่งเดือนมานี้ นี่เป็นครั้งแรก ที่เขาหลุดพ้นจากอาการคันทั้งตัว ความสบายนี้ ไม่อยากเชื่อจริงๆ

ลู่ฝานเห็นแสงสีแดงบนตัวชัดขึ้น แผ่จากหน้าอกเขา ไปยังมือและเท้า เมื่อทั้งตัวมีแสงสีแดง แสดงว่าสำเร็จกายทองไฟอาบขั้นแรก

เดิมทีลู่ฝานฝึกกายทองไฟอาบได้เร็วอยู่แล้ว ผลจากยา ทำให้เขายกระดับอีกขั้นใหญ่

ครู่หนึ่ง ฤทธิ์ยาโดนร่างกายดูดซึม ลู่ฝานรู้สึกว่าพละกำลังของตัวเอง เพิ่มขึ้นอีกขั้นหนึ่ง

ขยับเล็กน้อย กระดูกและเอ็นแข็งแกร่ง นี่คือสิ่งที่แสดงถึงการพัฒนาขึ้น ลู่ฝานรู้ว่าตัวเองก้าวเข้าสู่แดนแดนฝึกร่างชั้นเจ็ด แล้ว เข้าสู่ระดับสูงของแดนฝึกร่างอย่างเป็นทางการ

ลู่ฝานชกหมัดกลางอากาศอย่างดีใจ พลังหมัดมาพร้อมกับลมร้อนระอุ หลังจากฝึกกายทองไฟอาบ หมัดของลู่ฝาน เริ่มมีพลังความร้อน แค่ฝึกถึงขั้นเล็กๆ เมื่อต่อยออกไป อีกฝ่ายจะโดนเผาจนเป็นรู

ลู่ฝานยิ้มอย่างพอใจ หนึ่งเดือนยกระดับอีกหนึ่งขั้น ความเร็วในการฝึก เรียกได้ว่ารวดเร็วมาก

ยังเหลืออีกสองเดือน การล่าสัตว์ที่เขาซีซานของแต่ละตระกูลใหญ่ในเมืองเจียงหลิน จะเริ่มขึ้นแล้ว ถ้าได้ยกระดับอีกขั้นภายในสองเดือนนี้ คงไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้ว

ลู่ฝานคำนับหวูเฉิน หวูเฉินยิ้มแล้วพูดว่า “โอเค รีบเอาสินค้าที่นายกลั่นออกมาไปขายสิ หาเงินมา ต่อไปฉันจะเริ่มสอนวิชาฝึกพลังชี่ให้นาย ต้องการสมุนไพรจำนวนไม่น้อย”

ลู่ฝานพูดอย่างจริงจัง “ครับอาจารย์ ผมไปเดี๋ยวนี้”

ลู่ฝานเดินออกไปจากร้าน เขาไปที่ตลาดก่อน

แม้ว่าช่วงนี้ซื้อสมุนไพรล็อตที่สอง ทำให้เขาใช้เงินไปจนหมด แต่เงินที่เหลือ ยังสามารถให้เขาซื้อชุดคลุมยาวห่อหุ้มตัวได้ บวกกับหน้ากากเงิน ที่ดูเย็นชาเป็นอย่างมาก

เมื่อสวมใส่เสร็จเรียบร้อย ลู่ฝานมุ่งหน้าไปยังงานประมูล ถ้าจะบอกว่าที่ไหนในเมืองเจียงหลินที่จะทำให้ผงทะลวงกายของเขาขายได้ราคาสูง คงหนีไม่พ้นงานประมูลติ่งเซิ่งแน่นอน

จู่ๆ ลู่ฝานรู้สึกปวดหัวขึ้นมา คลำเหรียญทองในกระเป๋าหลายสิบเหรียญ เดิมทีเขาคิดว่าเยอะมาก ดูเหมือนตอนนี้ จะซื้อสมุนไพรได้อีกเพียงล็อตเดียว ฟังจากที่อาจารย์พูด อยากเรียนกลั่นยา สมุนไพรสองล็อต น่าจะไม่พอ

ระหว่างที่คิด ทั้งสองเดินมาด้านหลังร้าน หวูเฉินพูดว่า “แต่นายไม่ต้องกังวล แค่นายกลั่นยาได้หนึ่งชนิดก่อนใช้ยาสมุนไพรล็อตแรกหมด เรื่องเงิน สามารถแก้ไขด้วยการขายยา”

ลู่ฝานเข้าใจทันที เขาลืมไปว่านักกลั่นยา ไม่ได้ขาดแคลนเงิน พวกเขากลั่นยาออกมาเม็ดหนึ่ง มีราคามหาศาล เพียงพอซื้อร้านขายยาได้หลายร้าน

“งั้นวันนี้เราจะเรียนกลั่นยาอะไรครับอาจารย์”

หวูเฉินพูดว่า “ผงทะลวงกาย”

ลู่ฝานขมวดคิ้วเบาๆ แล้วพูดว่า “อาจารย์ ฟังดูเหมือนไม่ใช่ยาเม็ดเลย!”

หวูเฉินพูดว่า “เดิมทีไม่ใช่ยาอยู่แล้ว อยากกลั่นยา อย่างน้อยต้องเป็นผู้ฝึกชี่ ที่มีพลังชี่ เอาล่ะ เอาสมุนไพรของนายเทออกมาเถอะ”

ลู่ฝานพยักหน้า แล้วเทสมุนไพรในแหวน ออกมาทั้งหมด สมุนไพรสิบกว่าชนิด เรียงตามลำดับอย่างเรียบร้อย

หวูเฉินมองคุณสมบัติของสมุนไพรพวกนี้ เขาพยักหน้าแล้วพูดว่า “สมุนไพรที่ซื้อมา นับว่าไม่เลว”

หยิบสมุนไพรส่วนหนึ่ง วางไว้ในมือ หวูเฉินพูดต่อ “ตอนนี้ฉันจะทำผงทะลวงกายส่วนหนึ่งก่อน นายต้องดูไว้ให้ดี อีกเดี๋ยวนายจะเป็นคนทำ”

พูดพลาง หวูเฉินเอาโทงเทงมาบีบในมือ ควันขาวลอยขึ้นจากมือหวูเฉิน ทันใดนั้น โทงเทงกลายเป็นผุยผง

แต่ผงพวกนี้ ไม่ได้ปลิวไปบนพื้น แต่ลอยอยู่หน้าหวูเฉิน จากนั้น หวูเฉินเอายาสมุนไพรสิบกว่าชนิด บีบจนกลายเป็นผุยผงตามลำดับ

สะบัดมือ ผงสิบกว่ากองผสมรวมกัน แต่แยกสีชัดเจน แยกเป็นชั้นๆ

หวูเฉินทำพลางพูดว่า “จำลำดับการผสมของผงพวกนี้ รวมถึงปริมาณแต่ละอย่างด้วย ผิดขั้นตอนเดียว ประสิทธิภาพของผงทะลวงกาย จะลดลงครึ่งหนึ่ง”

หวูเฉินดีดนิ้ว ไม่รู้มีน้ำสะอาดโผล่มาจากไหน ผสมเข้าไปในผงสมุนไพร

หมุนวนเหมือนน้ำวน ผงผสมเข้าไปในน้ำ หวูเฉินดีดนิ้วอีกครั้ง ปรากฏเปลวไฟสีม่วงออกมา

หลังเผาไหม้ครู่หนึ่ง กลายเป็นของเหลวสีแดงก่ำ ซึ่งมีความเหนียวและมีกลิ่นหอมอ่อนๆ

ไหเหล้าลอยมาอย่างรวดเร็ว หวูเฉินเอาของเหลวใส่ลงไปในไหเหล้า ไหเหล้าลงมาบนพื้น กลิ่นหอมกระตุ้นคน

“นี่คือผงทะลวงกาย นายลองประสิทธิภาพของมันได้ สำหรับคนระดับแดนฝึกร่างแบบนาย นับว่าดีมาก ทำให้นายฝึกพลังปราณได้อย่างรวดเร็ว วันละคำ ล็อตนี้นายกินได้ 1-2 เดือน ส่วนสมุนไพรที่เหลือ นายเอามาทำผงทะลวงกายเอง”

ได้ยินว่าสามารถทำให้ฝึกได้รวดเร็ว ลู่ฝานก้าวเข้ามาอย่างไม่ลังเล ยกไหขึ้นมาดื่มหนึ่งอึก

เข้าปากแบบไม่มีรสชาติ ลงไปในท้องทันที

ทันใดนั้น ลู่ฝานรู้สึกว่ามีพลังอันบ้าคลั่ง ไหลไปทั่วร่างกาย เริ่มคันไปทั่วร่างกาย

หวูเฉินยิ้ม แล้วพูดว่า “ลืมบอกนายไป เพราะผงทะลวงกาย เป็นยาเปลี่ยนแปลงร่างกาย ดังนั้นจึงทำให้ร่างกายคน

เดิมทีลู่ฝานกะว่าจะเกา เมื่อได้ยินคำพูดของหวูเฉิน เขารีบหยุดทันที

“อาจารย์ ผมต้องทำยา ทั้งๆ ที่คันแบบนี้เหรอ”

อีกอย่าง สิ่งสำคัญที่สุด ฉันจะบ่มเพาะให้นายเป็นคนที่ฝึกทั้งบู๊และลมปราณ เป็นผู้ที่ฝึกสองพลังที่แตกต่าง ในเวลาเดียวกัน คนแรกที่ไม่เคยมีมาก่อน จำเป็นต้องแบ่งใจเป็นสอง อย่ามั่วพูดไร้สาระ

ลู่ฝานได้ยินดังนั้น จึงทำได้เพียงกัดฟันอดทน ตอนนี้เขายอมเจ็บปวดทั้งตัว ดีกว่ายอมคันทั้งตัว

หยิบสมุนไพรขึ้นมาต้นหนึ่ง ลู่ฝานเริ่มบดมันเป็นผง

บดได้ไม่กี่ครั้ง ลู่ฝานรู้สึกว่าอาการคันจะเข้าไปในกระดูกแล้ว เหมือนมดเป็นหมื่นเป็นพันตัว กำลังกัดกินอาหาร ลู่ฝานร้องเสียงดังออกมา ปล่อยหมัดออกมาเหมือนระบาย

อู่เฉินยิ้ม มองดูทุกอย่าง แต่ไม่ได้ห้าม กลับพูดว่า “ถ้านายทรมาน ก็ฝึกบู๊ได้นะ เมื่อวานนายบอกว่าได้วิชาชั้นเลิศของตระกูลไม่ใช่เหรอ ตอนนี้เป็นโอกาสดีที่จะฝึกนะ”

ลู่ฝานได้ยิน การฝึกกายทองไฟอาบผุดเข้ามาในหัวเขาทันที เขาย่อตัว ตั้งท่าอย่างมั่นคง จากนั้นเริ่มปรับลมหายใจ

ลู่ฝานพยายามทำให้ตัวเองใจเย็น นี่เป็นขั้นแรกของการฝึกกายทองไฟอาบ บู๊ประสานกับฟ้า ใช้ใจสัมผัสพลังฟ้าดิน ใช้ฟ้าดินหล่อหลอมร่างกายตัวเอง

นี่เป็นเป็นความแตกต่างของทักษะวิชาบู๊ระดับทิพย์ กับทักษะบู๊ทั่วไป ความเข้าใจในการฝึกมัน พรสวรรค์กับความขยัน ขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดไปไม่ได้

ลู่ฝานพยายามคิดหาวิธี ทำให้ลืมอาการคันบนตัว เรื่องนี้ไม่ง่าย เพราะอาการคัน อดทนยากขนาดนี้

หวูเฉินมองการกระทำของลู่ฝาน เขายิ้มบางๆ แล้วเดินเข้าไปในห้อง เอาเก้าอี้โยกออกมา นั่งลงช้าๆ

อันที่จริงเขาไม่ได้บอกลู่ฝาน ผงทะลวงกาย คนอื่นกินเป็นหยด ผงทะลวงกายไม่กี่หยด ทำให้เกิดอาการคันได้ มีขีดจำกัด ใครๆ ก็สามารถทนได้ ถึงกระทั่งที่รู้สึกสบาย

แต่ถ้ากินอึกใหญ่แบบลู่ฝาน คนทั่วไปเห็นแล้ว เหมือนการรนหาที่ตาย แน่นอนว่าอดทน จนผ่านไปได้ ผลดีก็มหาศาลเช่นกัน

หวูเฉินไม่ได้อธิบาย เขาจงใจกลั่นมาเยอะ แถมยังเอาไหออกมา อยากหลอกล่อให้ลู่ฝานกินเยอะสักหน่อย

ไม่รู้ว่าหลังจากลู่ฝานรู้ความจริง จะคิดอย่างไร กลัวว่าจะโกรธจนกัดฟันกรอดน่ะสิ

เรือนเก็บหนังสือของตระกูลลู่ ยังคงสว่างไสว

ลู่เฮ่าหรานพาลู่ฝานมาที่เรือนเก็บหนังสืออย่างรวดเร็ว ผลักประตูบานใหญ่ ลู่เฮ่าหรานพูดเสียงดังว่า “ลุงสวิน รีบเอาวิชากายทองไฟอาบออกมาเร็วๆ”

ท่านสวินที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ข้างประตู ได้ยินเสียงเรียกของลู่เฮ่าหราน จึงปิดหนังสือลงช้าๆ

“น่ารำคาญ อายุปูนนี้แล้ว ยังไม่รู้จักใจเย็น คนอายุน้อยคนไหน มีคุณสมบัติฝึกกายทองไฟอาบ ขอฉันดูหน่อย”

ท่านสวินเงยหน้ามองข้างหน้า ลู่ฝานปรากฏอยู่ในสายตาเขา ท่านสวินตกใจเล็กน้อย

“ลู่ฝาน! นายเพิ่งฝึกทักษะบู๊ได้ไม่นานไม่ใช่เหรอ ทำไมผ่านไปแค่ปีเดียว นายถึงมีคุณสมบัติฝึกกายทองไฟอาบล่ะ”

ท่านสวินสีหน้าตกใจ มองลู่เฮ่าหรานด้วยแววตาที่เหมือนกำลังพูดว่า คุณไม่ต้องมาล้อฉันเล่น

ลู่เฮ่าหรานจิตใจสงบนิ่ง ยังคงยิ้ม แล้วพูดว่า “ลุงสวิน ลู่ฝานเพิ่งเป็นแดนฝึกร่างชั้นสามได้เมื่อเดือนก่อนจริงๆ แต่หนึ่งเดือนนี้ เขาก้าวหน้าเป็นอย่างมาก ยกระดับได้อย่างง่ายดาย ตอนนี้เขาแดนฝึกร่างชั้นหก แล้ว”

ท่านสวินขมวดคิ้ว แล้วพูดว่า “จริงเหรอ ก้าวหน้ารวดเร็วเหลือเชื่อ แต่แค่แดนฝึกร่างชั้นหก ยังมีคุณสมบัติไม่เพียงพอให้ฝึกกายทองไฟอาบ!”

ลู่เฮ่าหรานหัวเราะแล้วพูดว่า “ลู่ฝาน แสดงให้ท่านสวินดูหน่อย ให้เขาเห็นว่าตระกูลลู่ มีผู้มีความสามารถแบบไหน”

แววตาลู่ฝานวูบไหว ตอนนี้เขาไม่แน่ใจจริงๆ ว่าจะต่อยหมัดไฟออกมาได้หรือเปล่า

เพราะกระแสลมที่ไหลเวียนในร่างกายเขา หมดไปแล้ว และเปลวไฟของตัวเอง เหมือนหมุนเวียนมาจากกระแสลมนี้

แต่ลู่เฮ่าหรานพูดขนาดนี้แล้ว ลู่ฝานจึงไม่มีทางหนีทีไล่แล้ว

ลู่ฝานตอบรับเบาๆ เดินออกไปนอกประตู ยืนอยู่หน้าหินสีดำ

ท่านสวินยืนอยู่หน้าประตู กับลู่เฮ่าหราน ด้วยความแปลกใจ รอลู่ฝานลงมือเงียบๆ

ลู่ฝานหลับตารอครู่หนึ่ง แต่ไม่ได้เคลื่อนไหวอะไร

ท่านสวินเห็นลู่ฝาน ยังไม่ลงมือ จึงหัวเราะแล้วพูดว่า “เขาคงไม่ได้จะยืนตรงนี้ทั้งคืนใช่ไหม ยืนนิ่งๆ ไม่ได้บอกว่าจะฝึกกายทองไฟอาบได้นะ”

ลู่เฮ่าหรานปรายตามองท่านสวิน แล้วพูดว่า “ลุงสวิน คุณดูเอาเถอะ ไม่ทำให้คุณผิดหวังหรอก”

ผ่านไปนาน ในที่สุดลู่ฝาน สัมผัสได้ถึงกระแสลมในตัวเล็กน้อย

ปล่อยหมัดออกมาทันที จนทำให้เกิดเสียงลม ลู่ฝานใช้แรงทั้งหมดในตัว ต่อยลงไปบนหินศิลาดำ

แสงสว่างขึ้นมา คำว่าแดนฝึกร่างชั้นหก ไม่สามารถดึงดูดสายตาท่านสวินได้ สายตาของท่านสวินจ้องไปที่หมัดของลู่ฝาน วินาทีต่อมา ลู่ฝานรู้สึกว่ากระแสลมในตัวไหลออกมา หมัดของเขามีเปลวไฟขึ้นมาทันที

ท่านสวินมองภาพตรงหน้าอย่างตะลึง เปลวไฟที่ลุกโชนบนหมัดของลู่ฝาน เหมือนจุดไฟในใจของเขา

เดินไปข้างหน้าไม่กี่ก้าว ท่านสวินจับหมัดลู่ฝานเอาไว้ ไฟเผาฝ่ามือท่านสวิน แต่ท่านสวินไม่มีปฏิกิริยาใด

“เปลวไฟสวรรค์ประทาน เป็นเปลวไฟสวรรค์ประทานจริงๆ สวรรค์มีตา มอบผู้มีความสามารถที่หาได้ยากมาให้ตระกูลลู่!”

ท่านสวินดีใจมาก จับมือลู่ฝานไม่ปล่อย

ลู่เฮ่าหรานก็เดินมาข้างหน้า แล้วพูดว่า “ลุงสวิน รีบเอาวิชากายทองไฟอาบออกมา ผมอยากเห็นลู่ฝานฝึกกายทองไฟอาบ จนถึงขั้นสมบูรณ์เร็วๆ แล้ว”

ท่านสวินไม่พูดพร่ำทำเพลง รีบเอาสมุดเล่มหนึ่ง ออกมาจากในอก วางไว้ในมือลู่ฝาน

ลู่ฝานมองอย่างจริงจัง เป็นหนังสือที่ดูเก่า ถูกเก็บรักษาไว้อย่างดี หน้าปกมีตัวหนังสือใหญ่เขียนว่ากายทองไฟอาบ ทำให้ใจเขาเต้นอย่างรุนแรง

“ลู่ฝาน นี่เป็นกายทองไฟอาบ ทักษะวิชาบู๊ระดับทิพย์ของตระกูลลู่ของเรา นายเอาสมุดไปไม่ได้ แต่นายมีเวลาท่องมันหนึ่งคืน ถ้าต่อไปมีอะไรสงสัย สามารถมาถามฉันได้ทุกเมื่อ”

ท่านสวินตาเป็นประกาย เห็นรอยยิ้มมุมปากได้ชัดเจน

เดิมทีลู่เฮ่าหรานจะพูดประโยคนี้ แต่ในเมื่อท่านสวินพูดก่อนแล้ว ลู่เฮ่าหรานจึงไม่จำเป็นต้องพูดซ้ำอีก เพราะผลการฝึกตนของท่านสวิน เหนือกว่าเขาจริงๆ ถ้าลู่ฝานได้ฝึกกับท่านสวิน นับว่าเป็นโชคดี

ลู่ฝานคำนับแล้วตอบรับ รีบนั่งลงท่องทันที

หนังสือไม่หนา เวลาหนึ่งคืนน่าจะเพียงพอ ลู่ฝานรวบรวมสมาธิท่อง ลู่เฮ่าหรานกับท่านสวินเดินกลับไปที่เรือนเก็บหนังสือ

ท่านสวินเอาไหเหล้าหนึ่งไหกับถ้วยเล็กสองใบ ออกมาจากเรือนเก็บหนังสืออย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน เทเหล้าจนเต็มท่ามกลางเสียงหัวเราะของลู่เฮ่าหราน

ผู้อาวุโสทั้งสองคน ดื่มเหล้าฉลองกันในห้อง ส่วนลู่ฝานท่องหนังสือเงียบๆ อยู่ด้านนอก

ค่ำคืนผ่านไปอย่างสงบสุข

……

เช้าวันต่อมา ลู่ฝานมาในร้านหวูเฉิน อย่างกระปรี้กระเปร่า ท่องหนังสือเมื่อคืน ไม่เพียงแต่จะไม่ทำให้ลู่ฝานรู้สึกอ่อนเพลีย กลับทำให้เขาตื่นเต้นเป็นอย่างมาก

“อาจารย์ ผมมาแล้ว”

หวูเฉินยิ้ม มองลู่ฝานแล้วพูดว่า “รวมของได้หมดแล้วเหรอ”

ลู่ฝานเขย่าแหวนบนมือไปมา พูดเสียงก้องว่า “รวมได้หมดแล้ว ไม่มีปัญหาสักนิด เดิมทีไม่พอ แต่เมื่อคืนผมทำได้ดี ไม่เพียงแต่จะได้วิชาชั้นเลิศที่สืบทอดกันมาของตระกูล แถมยังได้เงินมาไม่น้อยอีกด้วย”

หวูเฉินหัวเราะ แล้วพูดว่า “เงินเยอะงั้นเหรอ พอซื้อสมุนไพรพวกนี้ได้กี่ครั้ง ต่อไปนายยังต้องซื้อสมุนไพรอีกเยอะนะ”

ลู่ฝานอึ้งไป แล้วพูดว่า “ยังต้องซื้อเหรอ”

หวูเฉินพูดว่า “ใช่ ไม่มีสมุนไพร นายจะเอาอะไรกลั่นยา ไม่กลั่นยา นายจะเป็นผู้ฝึกชี่ได้อย่างไร สมุนไพรพวกนี้เป็นแค่ล็อตแรกเท่านั้น”

ก่อนหน้านี้พวกเขาเหมือนกับพวกลู่หมิง ดูถูกลู่ฝานต่างๆ นานา ถึงไม่ได้พูดโหดร้าย แต่สายตาดูถูกต่างๆ ก็ไม่น้อย ยังดีที่คุณชายลู่ฝานไม่คิดแค้น ไม่งั้นเขาซวยแน่

แน่นอนว่า เป็นคนอย่างดูถูกคนอื่น ยามจำบทเรียนนี้เอาไว้ขึ้นใจ ไม่กล้าทำผิดแบบเดิมอีก

สวนหลังบ้านตระกูลลู่ เต็มไปด้วยสิ่งก่อสร้างมากมาย ภูเขาทะเลสาบ ปลาตัวน้อยเป็นฝูง

ลู่เฮ่าหรานนั่งอยู่ในศาลากลางน้ำ ฝึกฝนช้าๆ อย่างผ่อนคลาย แต่ละการเคลื่อนไหว เหมือนมีความหมายลึกซึ้งแฝงอยู่ แม้จะผ่อนคลาย แต่มีพลัง แม้จะช้า แต่มีบารมี เพราะความสามารถของเขากับลู่เฮ่าหราน ต่างกันราวฟ้ากับเหว

แดนปราณในหลังจากฝึกฝนร่างกาย เขายังไม่สามารถบรรลุได้เลย แต่ลู่เฮ่าหราน เป็นยอดฝีมือกำลังภายในขั้น9 แล้ว

ลู่ฝานมองเห็นลู่เฮ่าหรานจากไกลๆ เขาชะงักฝีเท้าลง แล้วตะโกนว่า “หลานชายลู่ฝานมาพบคุณปู่แล้ว”

ลู่เฮ่าหรานพูดเบาๆ ว่า “มานี่สิลู่ฝาน”

ลู่ฝานรีบเดินเข้าไปในศาลากลางน้ำ มองลู่เฮ่าหรานฝึกฝนอยู่ข้างๆ อย่างนอบน้อม

จากแดนของลู่ฝาน สัมผัสได้เพียงพลังอำนาจ จากทุกการเคลื่อนไหวของลู่เฮ่าหราน แม้จะช้าและผ่อนคลายมาก แต่กลับทำให้คนรู้สึกต้านทานได้ยาก

ลู่เฮ่าหรานพูดออกมาว่า “ลู่ฝาน มาฝึกกับปู่สักสองกระบวนท่า”

ลู่ฝานคำนับแล้วตอบว่า “ครับ”

ลู่เฮ่าหรานเลิกเคลื่อนไหว และหันมาทางลู่ฝาน พูดเบาๆ ว่า “ซัดหมัดด้วยแรงทั้งหมดมาทางฉัน”

ลู่ฝานเอาขาซ้ายไปด้านหลัง ตั้งท่าอย่างดี แววตาแน่วแน่ขึ้นมาทันที ตัวเหมือนคันธนูที่พร้อมจะยิงออกไป

ลู่เฮ่าหรานพยักหน้าเงียบๆ ท่าทางไม่เลว น่าสนใจ

แผดเสียงดังออกมา ลู่ฝานพุ่งเข้าไป ซัดหมัดไปที่หน้าอกลู่เฮ่าหราน

ลู่ฝานไม่ยั้งมือแม้แต่น้อย เขารู้ดีว่าพละกำลังของตัวเอง ไม่สามารถทำอะไรลู่เฮ่าหรานได้ ปู่แค่อยากดูว่าพละกำลังของเขาเป็นอย่างไรเท่านั้นเอง

หมัดยังไม่ทันได้สัมผัสเสื้อของลู่เฮ่าหราน ห่างประมาณหนึ่งนิ้ว ลู่ฝานสัมผัสได้ว่าหมัดของตัวเอง โดยกระแสลม ที่มองไม่เห็นต้านทานเอาไว้หนึ่งชั้น มีระลอกคลื่นปรากฏขึ้นในอากาศ

นัยน์ตาลู่เฮ่าหรานเป็นประกาย หมัดของลู่ฝาน ทำให้พลังปราณของเขาเคลื่อนไหว พลังหมัดไม่ด้อยเลย

“เข้ามาอีก!”

ลู่เฮ่าหรานแผดเสียงออกมาเบาๆ ลู่ฝานเปลี่ยนมาเป็นชกออกไปสองหมัด

หมัดถล่มเขา!

พลังทั้งหมดปลดปล่อยออกมาทันที หมัดที่ลู่ฝานต่อยออกมา มีพลานุภาพเหนือกว่า หมัดที่เขากำจัดลู่เทียนกังในตอนนั้น

พลังหมัดทำให้กระแสลมข้างหน้าลู่เฮ่าหราน สั่นสะเทือนรุนแรงเหมือนน้ำ

ลู่เฮ่าหรานดีใจอย่างเหนือความคาดหมาย พลานุภาพของหมัดนี้ เทียบได้กับการโจมตีของนักบู๊ที่ฝึกพลังปราณออกมาได้ ลู่หมิงยังไม่เคยต่อยหมัดรุนแรงแบบนี้ออกมาได้เลย

ลู่เฮ่าหรานคิดว่าจบแล้ว แต่ขณะนั้น มีเปลวไฟลุกขึ้นมาบนหมัดของลู่ฝาน

แม้จะไม่มีพลานุภาพอะไร แต่ทำให้ลู่เฮ่าหรานตกใจทันที

ลู่ฝานสัมผัสได้ว่าจุดตันเถียนของตัวเอง หายวูบไปเพราะเหตุนี้ กระแสลมเล็กน้อยที่หมุนเวียนอยู่ โดนเขาใช้ไปจนหมด

ลู่เฮ่าหรานสะบัดมือเบาๆ ลู่ฝานสัมผัสได้ถึงแรงมหาศาล จนทำให้เขาถอยหลังไปสามก้าว

ใบหน้าลู่เฮ่าหรานฉายแววตกใจ เหมือนเห็นสมบัติขนาดใหญ่ พูดกับลู่ฝานว่า “หมัดเมื่อกี้มันอะไรกัน ทำไมนายถึงต่อยออกมาเป็นเปลวไฟได้”

พูดตรงๆ โดยรวมเป็นอย่างไร ลู่ฝานเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แค่โดนอาจารย์ของเขาฝึกร่างกายออกมา

ลู่ฝานเกาหัว แล้วพูดว่า “ผมไม่รู้เหมือนกัน แต่เมื่อใช้แรงรุนแรงเกินไป มันก็ออกมา ผมก็เพิ่งรู้เมื่อไม่นานนี่เอง”

“ดีๆๆๆ!”

ลู่เฮ่าหรานพูดคำว่าดีติดต่อกัน

“สวรรค์คุ้มครองตระกูลลู่ของฉัน คิดไม่ถึงว่าจะส่งคนมีความสามารถมาให้ตระกูลลู่”

เหมือนลู่เฮ่าหรานจะตื่นเต้นมาก แต่ลู่ฝานรู้สึกไม่เข้าใจ จึงเอ่ยถามว่า “ปู่เป็นอะไรไป”

ลู่เฮ่าหรานพูดว่า “ลู่ฝาน นายรู้หรือเปล่าว่าฝึกหมัด แล้วมีเปลวไฟออกมาด้วย หมายถึงอะไร”

ลู่ฝานส่ายหัวเบาๆ

ลู่เฮ่าหรานจึงพูดต่อ “นี่หมายความว่า นายสามารถฝึกฝนวิชากายทองไฟอาบ ของตระกูลลู่ของเราได้อย่างสมบูรณ์แบบ ฮ่าๆ กี่ปีมาแล้ว ยังไม่มีใครฝึกวิชากายทองไฟอาบได้สำเร็จ ครั้งนี้ ตระกูลลู่มีนายแล้ว จะกลับไปในจุดสูงสุดอีกครั้ง”

ลู่ฝานอ้าปากค้าง ยังคงไม่เข้าใจ แต่เห็นปู่ดีใจขนาดนี้ ลู่ฝานจึงทำได้เพียงหัวเราะตามไปด้วย

ลู่เฮ่าหรานสงบสติอารมณ์ตัวเอง พูดกับลู่ฝานว่า “นายตามฉันมา”

พูดพลาง ลู่เฮ่าหรานเดินไปทางเรือนเก็บหนังสือ

ลู่ฝานเดินตามหลัง แล้วพูดว่า “ปู่ เราจะไปไหนกัน”

ลู่เฮ่าหรานพูดว่า “ยังต้องถามอีกเหรอ ก็ต้องไปที่เรือนเก็บหนังสือน่ะสิ ลู่ฝาน ปู่ขอโทษนายด้วย หลายปีมาแล้ว ไม่เห็นว่านายเป็นผู้มีความสามารถที่แท้จริง ของตระกูลลู่ของเรา แต่นายวางใจเถอะ ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ฉันจะดูแลนายอย่างเต็มความสามารถ นายอยากได้อะไร ปู่จะเอามาให้ ตอนนี้ฉันจะถ่ายทอดวิชากายทองไฟอาบของตระกูลลู่ให้นายก่อน”

ลู่ฝานอึ้งไป แต่ทันใดนั้นก็ตื่นเต้นขึ้นมา

วิชากายทองไฟอาบ!

เขาสามารถฝึกฝนวิชากายทองไฟอาบได้แล้ว! นี่เป็นหนึ่งในความฝันวัยเด็กของเขา

อีกทั้งจากท่าทางของลู่เฮ่าหรานในตอนนี้ ขอเงินจากเขาสักหน่อย ต้องไม่เป็นไรแน่นอน

หวูเฉินหรี่ตาลงทันที คิดไม่ถึงว่าการฝึกร่างกายเพียงครั้งเดียว ลู่ฝานจะทำให้เขาตกใจได้มากถึงเพียงนี้

เมื่อลู่ฝานปลดปล่อยออกมาจนหมด ก็ทรุดลงกับพื้น ร่างกายที่เป็นสีแดง ค่อยๆ หายไป

ลู่ฝานพูดว่า “อาจารย์ เปลวไฟเจ็บปวดมาก ผมอดทนได้นานแค่ไหนเหรอ”

หวูเฉินเก็บงำความรู้สึกตัวเองเอาไว้ พูดอย่างราบเรียบว่า “สองชั่วยาม นับว่าไม่เลว ดีกว่าที่ฉันคิดไว้เล็กน้อย”

ลู่ฝานตอบรับ แต่กลับไม่รู้ว่า “ดีเล็กน้อย” ที่หวูเฉินพูด มันขนาดไหนกัน

หวูเฉินเดินเข้ามากดไหล่ลู่ฝาน แสงสีขาวจากมือหวูเฉิน เข้าไปในตัวลู่ฝาน

ทันใดนั้น ลู่ฝานรู้สึกว่าอาการอ่อนเพลีย หายไปจนหมด ผู้ฝึกชี่ ลึกลับน่าอัศจรรย์ตามคาด

หวูเฉินพูดว่า “นายลองชกอีกหมัด ใช้แรงมากที่สุดของนาย ชกไปที่หม้อ”

ลู่ฝานลุกขึ้นยืนข้างหม้อ ตอนกำลังจะชก เหมือนลู่ฝานนึกอะไรได้ จึงพูดว่า “อาจารย์ ถ้าผมทำหม้อพัง อาจารย์จะไม่ว่าผมใช่ไหม”

หวูเฉินหัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “ถ้านายทำพัง ฉันจะให้นายเป็นอาจารย์ รีบชกเร็วสิ ใช้แรงทั้งหมดเลย”

ลู่ฝานสูดหายใจลึก และชกไปที่หม้อทันที

หมัดถล่มเขา!

สองหมัดต่อยลงไปบนหม้อ ลู่ฝานเห็นว่ามีกระแสลมไหลออกมาจากตำแหน่งตันเถียนของตัวเอง และกลายเป็นเปลวไฟ ลุกโชนบนหมดทั้งสองข้างของตัวเอง

เกิดเสียงดังขึ้น หม้อไม่เสียหายแม้แต่น้อย แต่ลู่ฝานสัมผัสได้ถึงแรงสะท้อนกลับ ที่ออกมาจากหม้อ

ทันใดนั้น ลู่ฝานกระเด็นออกมา กระแทกกับพื้น

ลู่ฝานกัดฟันกรอด ภายใต้แรงสะท้อนกลับนี้ ลู่ฝานรู้สึกว่าร่างกายใกล้จะแยกออกจากกัน

หวูเฉินยืนมองอย่างละเอียดอยู่ด้านข้าง ถ้าบอกว่าลู่ฝานชกหมัดแรกออกมาเป็นเปลวไฟ คือเรื่องไม่คาดฝัน แต่ครั้งนี้แน่ใจแล้ว

หวูเฉินพูดว่า “ลู่ฝาน คิดไม่ถึงว่านายจะมีพรสวรรค์กว่าที่ฉันจินตนาการไว้”

ลู่ฝานพูดว่า “เหรอครับ อาจารย์ เมื่อกี้ผมเห็นหมัดของผมมีเปลวไฟด้วย นี่มันเกิดอะไรขึ้นครับ”

ไม่เลว ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป นายมีคุณสมบัติของการเป็นผู้ฝึกชี่แล้ว แต่อย่าคิดว่าสิ่งที่ไหลเวียนอยู่ในตัวนาย คือพลังชี่ของผู้ฝึกชี่ นั่นยังห่างไกลอีกมาก อืม ดูเหมือนว่าจะเพิ่มการฝึกฝนของนายให้เร็วขึ้นสักหน่อยได้แล้ว ฉันมอบหมายงานให้หนึ่งอย่าง ไปซื้อสมุนไพรพวกนี้กลับมาก่อน เริ่มตั้งแต่พรุ่งนี้

หวูเฉินเอากระดาษออกมาแผ่นหนึ่ง ส่งให้ลู่ฝาน

มองแวบหนึ่ง บนกระดาษมีสมุนไพรมากเป็นสิบกว่าชนิด แม้เป็นพวกสมุนไพรพื้นฐาน ราคาไม่แพง แต่ดูเหมือนจะมีจำนวนเยอะมาก แค่โทงเทงชนิดเดียว ก็หลายชั่งแล้ว!

ลู่ฝานพูดว่า “ไปซื้อตอนนี้เลยเหรอครับ แต่เงินที่ผมมี ไม่น่าจะพอ”

หวูเฉินยิ้มแล้วพูดว่า “นายไม่ต้องมองฉัน ฉันก็ไม่มีเหมือนกัน หาวิธีเอาเอง ถ้านายอยากเรียนกลั่นยา ก็จำเป็นต้องซื้อ พรุ่งนี้อย่าลืมมาเวลานี้ด้วย”

ลู่ฝานพยักหน้าอย่างเหนื่อยใจ มิน่าล่ะ ผู้ฝึกชี่ ถึงมีน้อยมาก แค่เพิ่งเริ่มเรียน ก็ต้องใช้สมุนไพรมากขนาดนี้ คนทั่วไปจะเรียนได้อย่างไร

หันหลังเดินออกมา หวูเฉินยืนคิดเงียบๆ อยู่ในลานบ้าน

กลัวว่าแผนการฝึกฝนที่เขาเตรียมไว้ให้ลู่ฝานแต่เดิม จะต้องเปลี่ยนแล้ว ลูกศิษย์คนนี้ของเขา เหมือนจะมีพรสวรรค์กว่าที่เขาคิดไว้มาก

หวูเฉินยิ้มบางๆ แล้วเดินกะโผลกกะเผลก เข้าไปในห้องตัวเอง

เขายื่นมือหยิบหนังสือหนึ่งเล่ม ออกมาจากฐานโต๊ะ เป่าฝุ่นหนาบนนั้นออก

ดุเหมือนต้องสอนอะไรพิเศษให้เขาสักหน่อยแล้ว

หวูเฉินเปิดหนังสือออก บนหนังสือมีคำว่า “เทพยอดกลั่นยาอู๋จี๋” เขียนไว้อย่างชัดเจน

……

บนทางเดินขนาดใหญ่ ลู่ฝานกินไปพลาง มองหายาสมุนไพรไปพลาง

แต่ละร้านขายยา แต่ละแผงลอย ลู่ฝานไปมารอบหนึ่ง เปรียบเทียบราคา ต่อรองราคา ตัดราคา ใช้เวลาหนึ่งวันเต็มๆ จึงซื้อมาได้เพียงครึ่งหนึ่ง และยังใช้เงินที่มีไปจนหมดตัว

ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป ต้องทำสิ่งที่ได้รับมอบหมายมาไม่สำเร็จอย่างแน่นอน จนปัญญาแล้ว ลู่ฝานทำได้เพียงกลับบ้านก่อน คิดในใจว่าจะขอจากพ่ออีกหน่อยได้หรือเปล่า

แต่ถ้าพ่อถามขึ้นมาว่า ซื้อสมุนไพรไปทำไม ลู่ฝานคงตอบได้ยาก

ตอนนี้เขายังไม่อยากบอกเรื่องฝากตัวเป็นศิษย์ และไม่อยากให้คนอื่นรู้เรื่องที่เขาใกล้จะเป็นผู้ฝึกชี่

เดิมทีเขาไม่ใช่คนอวดดี เขาทำอะไรอย่างถ่อมตัวมาโดยตลอด

โดยเฉพาะ หลังจากบอกพ่อว่าตัวเองกลายเป็นผู้ฝึกชี่ ปฏิกิริยาของพ่อ น่าจะไม่เชื่อ เมื่อเป็นเช่นนี้ สู้ไม่บอกดีกว่า จะได้ไม่เปลืองน้ำลาย

กลับมาถึงบ้าน เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว ยามคนหนึ่งของตระกูลลู่ เรียกเขาเอาไว้ “คุณชายลู่ฝาน คุณท่านรอคุณอยู่ที่สวนหลังบ้านครับ รอคุณอยู่นานมากแล้ว คุณรีบไปเถอะครับ ขอพูดอีกหน่อยนะครับ คุณชายลู่ฝาน เมื่อคืนคุณเก่งมาก ผมรู้มาตลอดว่าคุณมีความสามารถ แต่แค่ไม่ยอมแสดงออกมาเท่านั้น ผมรู้ตั้งนานแล้วว่าคุณไม่เหมือนใคร จะต้องโบยบินขึ้นสูง ไม่ช้าก็เร็ว”

มองแวบเดียว ก็เห็นความประจบบนใบหน้าของยาม ลู่ฝานหัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “งั้นเหรอ แล้วทำไมหนึ่งเดือนก่อนหน้านี้ ฉันล้มอยู่หน้าประตูบ้านตัวเอง ถึงไม่มีใครมาประคองฉันสักคน นายอย่าบอกว่าวันนั้น นายไม่ได้เข้าเวร”

รอยยิ้มบนหน้ายามชะงักไป ลู่ฝานขี้เกียจสนใจเขา และไม่ได้จะหาเรื่องเขา

ถ้าตัวเองมีความสามารถ แล้วจะรังแกคนตามใจชอบ เขาคงไม่ต่างจากลู่หมิง ลู่ฝานพูดอย่างสงบนิ่งว่า “รู้แล้ว ฉันจะไปเดี๋ยวนี้”

ลู่ฝานเดินไปทางสวนหลังบ้าน ยามด้านหลัง ปาดเหงื่อบนหน้าผาก

ลู่ฝานเดินไปที่ข้างหม้อ และหวูเฉินพูดในเวลานี้ว่า “ถอดเสื้อผ้า แล้วเข้าไปข้างใน ขอลองให้นายก่อน และดูว่านายสามารถอยู่ได้นานแค่ไหนในวันแรก ด้วยความสามารถของนายยังยากอยู่นิดหน่อย ที่อยากจะผู้ฝึกชี่ แม้ว่าฉันได้ช่วยชำระแก่นแท้และไขกระดูก ช่วยสร้างความกลับเนื้อกลับตัวใหม่ให้นายแล้ว แต่ก็ยังแย่ไปเล็กน้อย ดังนั้นระดับแรกของการปรับแต่งร่างกายจึงมีความสำคัญมาก และยิ่งพยายามคงอยู่นานเท่าไรก็จะยิ่งดีกว่า”

ตอนนั้นเองที่ลู่ฝานถึงจำได้ว่า ในตำนานผู้ฝึกชี่ ล้วนแต่เป็นคนที่มีพรสวรรค์ต่างจากผู้อื่น คนส่วนใหญ่ไม่มีความหวังในการฝึกฝน แต่แบบไหนกันแน่ที่จะเรียกว่ามีพรสวรรค์ต่างจากผู้อื่น? เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ลู่ฝานก็กล่าวว่า “ท่านอาจารย์ งั้นคนที่มีพรสวรรค์อย่างใดถึงจะสามารถเป็นผู้ฝึกชี่ได้?”

หวูเฉินกล่าวว่า “อืม แน่นอนต้องเป็นคนที่มีความสัมพันธ์กับฟ้าดิน และมีชี่หยางหรือชี่หยิน ตัวอย่างเช่นคนที่เกิดมาเพื่อควบคุมน้ำและไฟ คนที่ไม่กลัวฟ้าผ่า คนที่สามารถใช้ลมได้เป็นต้น”

ลู่ฝานฟังแล้วอ้าปากกว้าง ต้องมีพรสวรรค์ที่ต่างจากผู้อื่นมากจริงๆ เลยทีเดียว ในการเปรียบเทียบนี้ เขาเป็นได้เพียงคนธรรมดาที่ “ไร้ค่า” คนหนึ่งเท่านั้น

“ท่านอาจารย์ ผมยังมีหวังที่จะได้เป็นผู้ฝึกชี่หรือไม่? ผมไม่มีความพิเศษ และเป็นแค่คนธรรมดาเช่นนี้”

หวูเฉินหัวเราะเบาๆ การแสดงออกของเขาแสดงถึงความมั่นใจ

“ผู้ฝึกชี่ คนอื่นอาจไม่สามารถรับศิษย์อย่างนายได้ แต่ฉันทำได้ คิดถึงในอดีต ฉันก็เป็นคนที่มีพรสวรรค์ต่ำ และฉันต้องพึ่งพาความพยายามทีละนิดทีละน้อยถึงจะไปถึงจุดสูงสุดได้ ฉันจะบอกนาย บนเส้นทางการฝึกฝน ไม่มีอะไรอื่น นอกจากความขยัน ถ้านายไม่มีพรสวรรค์อื่น ก็จงให้ยึดถือความพยายามของนายเป็นพรสวรรค์ของนาย ในโลกใบนี้ มีคนมากมายที่มีความฉลาดและพรสวรรค์มาตั้งแต่เกิด แต่อย่างไรก็ตามผู้ที่มีความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ต่อธรรม เอาชนะอุปสรรคทั้งหมด และไม่ยอมแพ้มีน้อยคนมากหายากยิ่งนัก นายจะต้องเป็นคนที่กล้าหาญและมุ่งไปข้างหน้า ไม่ใช่คนที่มีความพึงพอใจง่ายต่อตน”

ลู่ฝานกล่าวด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึมว่า “ครับ ท่านอาจารย์”

หวูเฉินโบกมือว่า “เอาละ รีบเข้าไปเถอะ”

ลู่ฝานถอดเสื้อผ้าของเขา และเข้าไปในหม้ออย่างเปือยเปล่า

ด้วยหม้อขนาดใหญ่เช่นนี้ อาจไม่เป็นปัญหาสำหรับจะใส่คนเข้าไปสิบคน ในขณะนั้นไฟรอบๆ หม้อก็สว่างขึ้น จากนั้นลู่ฝานก็เห็นข้อความปรากฏขึ้น และข้อความทั้งแถวก็ปล่อยแสงที่เหมือนเปลวไฟออกมาและพุ่งตรงเข้ามาโดยตรง

ทันใดนั้น ลู่ฝานก็ถูกล้อมรอบด้วยเปลวไฟ และไฟสีม่วงก็เผาร่างกายของเขา

ข้างนอก หวูเฉินเร่งไฟในหม้อ มือซ้ายของเขาเป็นกำปั้น และมือขวาของเขาเป็นฝ่ามือ

ในลานบ้านเล็กๆ ทั้งหมดปั่นป่วน ลมช่วยไฟ และไฟสีม่วงก็ลุกโชน

ลู่ฝานที่อยู่ในหม้อพูดไม่ออกด้วยความเจ็บปวด ความเจ็บปวดที่เขาได้รับเมื่อฝึกหมัดถล่มเขาอยู่ในซีซานนั้น เมื่อเทียบกับสิ่งนี้แล้วมันไม่ถือเป็นอะไรเลยทีเดียว

ความเจ็บปวดที่ลึกเข้าไปในกระดูกของเขาทำให้ลู่ฝานไม่สามารถแม้แต่จะตกอยู่ในอาการโคม่าได้ เขาอยากจะกระโดดออกจากหม้อ และหนีออกจากทะเลเพลิงได้อย่างไร แต่คำพูดของหวูเฉินวนเวียนอยู่ในสมองของลู่ฝาน พยายามยืนกรานให้ได้นานที่สุด

นอกจากนี้ ลู่ฝานยังรู้สึกว่าร่างกายของเขาไม่ได้รับความเสียหาย ยกเว้นความเจ็บปวด ในทางกลับกัน เมื่อมองเข้าข้างในแล้ว เขาจะเห็นว่ากระดูกเส้นลมปราณของเขากำลังแข็งแรงขึ้น ดูเหมือนว่า การเผาไหม้ดังกล่าวจะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งทางร่างกาย

ลู่ฝานยืนกรานไว้ ทั้งทั่วร่างกายของเขาสั่นไหวอย่างรุนแรง

ข้างนอก หวูเฉินได้หยุดกระตุ้น และรอผลของลู่ฝานอย่างเงียบๆ

เป็นเวลาหลายปี ที่เขาไม่ได้เปิดใช้งานหม้อไฟบุ๋น แต่เมื่อเขาใช้มันในวันนี้ มันก็ยังสคงคล่องมือมาก หวูเฉินรู้อย่างชัดเจนมากเกี่ยวกับสถานการณ์ในหม้อ

ไฟที่เขาเร่งออกมา เรียกว่าไฟสวรรค์ม่วง ซึ่งถูกใช้เป็นพิเศษเพื่อเผาผลาญชี่ชีวิตของผู้คน เคยพึ่งพาไฟนี้ หวูเฉินก็สร้างชื่อที่ดุร้ายในโลกบำเพ็ญชี่

แต่ตราบใดที่อุณหภูมิเหมาะสม ไฟสวรรค์ม่วงก็สามารถใช้มาฝึกกลั่นร่างกายได้เช่นกัน ที่สำคัญมันยังสามารถกระตุ้น ชี่หยางและชี่หยินของคนได้ แน่นอนว่าเอฟเฟกต์จะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล แต่สามารถชดเชยได้ด้วยเวลา นี่ก็คือวิธีที่หวูเฉินค้นพบวิธีทำให้คนที่ไม่สามารถเป็นผู้ฝึกชี่ ให้กลายเป็นผู้ฝึกชี่ได้

แม้ว่าจะดูง่าย แต่อันที่จริงแล้วไฟสวรรค์ม่วงที่กล่าวถึงและการควบคุมไฟนั้น มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

หวูเฉินได้ปรับเปลวไฟเป็นระดับที่ลู่ฝานสามารถยอมรับได้ ตราบใดที่เขาทนรอดจากความเจ็บปวด เขาก็จะได้รับผลประโยชน์

และในความเห็นของเขา ลู่ฝานสามารถอดทนได้เพียงแค่ชั่วขณะก็จะถือได้ว่าดีมากแล้ว ค่อยๆ เพิ่มความแข็งแกร่งขึ้นในอนาคต ตราบใดที่ลู่ฝานสามารถอยู่ได้ครึ่งชั่วโมงในทุกวัน หวูเฉินก็จะสามารถปรับแต่ง “พรสวรรค์” ของลู่ฝานได้ หลังจากผ่านไปหนึ่งเดือน เมื่อถึงเวลานั้น ก็สามารถฝึกฝนทักษะการฝึกฝนผู้ฝึกชี่ ได้อย่างเป็นทางการ ในเวลาเดียวกัน ร่างกายของลู่ฝานก็จะแข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน

เวลาสำหรับธูปหนึ่งแท่งผ่านไป เวลาสำหรับธูปสองแท่งผ่านไป และลู่ฝานก็ยังไม่ออกมา

ครึ่งชั่วโมงต่อมา ลู่ฝานก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ

คราวนี้ ถึงคราวของหวูเฉินที่ต้องแปลกใจแล้ว ถ้าเขาไม่ได้ยินการหายใจหนักของหม้อเขาคงจะคิดว่าลู่ฝานเป็นลมไปแล้วจริงๆ

หวูเฉินต้องการดูว่าลู่ฝานจะสามารถอยู่ได้นานแค่ไหน หรือว่าเขาเกิดมาโดยไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดงั้นเหรอ?

เวลาผ่านไปอย่างเงียบๆ และในที่สุดสองชั่วโมงต่อมา ไฟสวรรค์ม่วงก็ดับวูบไปก่อน

จนถึงเวลานั้น ลู่ฝานถึงกระโดดออกจากหม้อไฟบุ๋น

ลู่ฝานซึ่งมีร่างกายแดงก่ำคำราม และชกต่อยบนพื้นราวกับจะระบายออก

แต่หมัดของเขาก็เต็มไปด้วยเปลวเพลิงสีม่วง

ด้วยเสียงบูม บนพื้นถูกกระแทกจนเกิดหลุมลึก เปลวไฟสีม่วงเผาไหม้อยู่บนพื้น และหายไปอย่างไร้ร่องรอย

ในเช้าตรู่ของวันถัดไป ที่ลานบ้านของตระกูลลู่ ลู่ฝานขมวดคิ้วเล็กน้อย ในขณะที่มองดูกลุ่มช่างฝีมือเข้าๆ ออกๆ จากลานบ้านของเขา

“ลู่ฝาน เป็นไงบ้าง นายชอบเฟอร์นิเจอร์ไม้ฮวงหัวลี่ หรือเป็นไม้พะยูงดี”

ลู่หาวยืนอยู่ข้างๆ ด้วยรอยยิ้มที่สดใส และพูดกับลู่ฝาน

ลู่ฝานพูดอย่างช้าๆ ว่า “จริงๆ อันที่มีอยู่ก็ดีอยู่แล้ว”

ลู่หาวส่ายหัวและพูดว่า “ไม่ ลู่ฝาน ที่อยู่ของเธอมันทรุดโทรมเกินไปแล้ว แต่ก่อนพ่อช่วยอะไรเธอไม่ได้ แต่ตอนนี้คุณปู่ของเธอได้ออกคำสั่งให้ปรับปรุงสถานะของเธอสูงขึ้น แน่นอนว่าลานบ้านของเธอ ก็ต้องมีอุปนิสัยเหมือนลูกชายของตระกูลใหญ่มากขึ้น ตอนแรกคุณปู่ของนายเสนอว่าให้นายย้ายไปอาศัยอยู่ในสวนไผ่เขียวด้านหลัง แต่พ่อคิดว่าที่นี่คือที่ที่เธอเติบโต ที่คุ้นเคยจะดีกว่า ขยายลานบ้านให้ใหญ่ขึ้นเล็กน้อย เปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์ และก็ซ่อมบ้านสักหน่อยก็พอแล้ว คุณท่านบอกให้เธอไปอยู่เป็นเพื่อนเขาสักช่วงหนึ่ง ตอนกลางคืนเธอก็ไปพักที่คุณท่านเถอะ และเรียนรู้เพิ่มเติม เมื่อทางนี้ซ่อมเสร็จแล้ว เธอค่อยกลับมา”

ลู่หาวตบบนไหล่ของลู่ฝาน และความหมายของสิ่งที่เขาพูดนั้นชัดเจนมาก และขอให้ลู่ฝานติดตามปู่ของเขาเพื่อปรับปรุงการฝึกฝนของเขา

ไม่ต้องสงสัยเลย การทดสอบเมื่อคืนนี้ ทำให้ลู่เฮ่าหรานเห็นศักยภาพของลู่ฝานอย่างละเอียด ดังนั้นคุณท่านจึงวางแผนที่จะฝึกลู่ฝานคนเดียวในช่วงเวลาหนึ่ง

ลู่ฝานพยักหน้าและพูดว่า “ได้ครับท่านพ่อ ตกเย็นผมก็จะไป”

ลู่หาวจากไปอย่างพึงพอใจ ก่อนจากไปเขายัดสิ่งของให้ลู่ฝานด้วยถุงเล็กๆ เมื่อเขาเปิดออกมาดู ก็เห็นว่ามีเหรียญทองอยู่มากมาย สิบกว่าเหรียญเต็มๆ

ลู่ฝานหัวเราะคิกคักและเก็บมันไว้ เงินที่เขาเก็บได้มากว่าสิบปีนั้น ยังไม่เยอะเท่าเงินที่มานี้เลย

แต่เงินทองเป็นสิ่งที่ดีจริงๆ และไม่มีมันก็ทำอะไรไม่ได้

เมื่อก้าวออกไป ในเมื่อไม่สามารถฝึกซ้อมอยู่ที่บ้านได้ ลู่ฝานก็ตั้งใจที่จะไปนั่งเล่นกับอาจารย์สักหน่อย และเรียนรู้บางสิ่งที่เป็นประโยชน์เล็กน้อย

แม้ว่าทั้งสองจะเมาหนักในเมื่อคืนนี้ แต่หวูเฉินยังคงตบหน้าอกของเขาและรับรองกับลู่ฝานว่า ตราบใดที่ลู่ฝานรีบฝึกฝน ภายในหนึ่งปี ด้วยความช่วยเหลือของเขา ลู่ฝานก็จะสามารถฝึกฝนทั้งพลังปราณกับพลังชี่ของเขาในเวลาเดียวกันได้อย่างแน่นอน วางรากฐานสำหรับการเพาะปลูกแบบทวีคูณที่หวูเฉินได้กล่าวไว้

ลู่ฝานแทบรอไม่ไหวที่จะเห็นว่าอาจารย์ของเขาเร่งพัฒนาเขาอย่างไร ถ้าเขาสามารถแดนฝึกร่างชั้นแปดก่อนเทศกาลเซ่นไหว้ประจำปีปีหน้า เขาอาจจะสามารถสอบเข้าในสถาบันสอนวิชาบู๊ นั่นคือความฝันในวัยเด็กของเขา!

ลู่ฝานเร่งฝีเท้าของเขา และตลอดทางที่เจอเหล่าลูกศิษย์ของตระกูลลู่ที่เดินผ่านลู่ฝาน และไม่มีผู้ใดไม่กระซุบกระซิบเลย

สายตาที่อิจฉาริษยา ยังคงจับจ้องไปที่ลู่ฝาน และสิ่งเหล่านี้ ลู่ฝานล้วนเพิกเฉยทั้งหมด

การแสดงของลู่ฝานเมื่อคืนนี้ ได้กวาดล้างชื่อเสียงในฐานะที่เป็นไอ้ขยะของเขาไปทั้งหมด และถูกแทนที่โดยเจ้าปิศาจลู่ฝาน อย่างไรก็ตาม การเลื่อนขั้นสามระดับในหนึ่งเดือนนั้น มันไม่สามารถอธิบายได้ว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ พูดได้เพียงว่าเป็นปิศาจเท่านั้น

ลู่ฝานก็ได้ยินฉายาที่พวกเขาเรียกเช่นกัน แต่เมื่อเทียบกับฉายาไอ้ขยะลู่ฝานแล้ว ฉายาปิศาจในตอนนี้ เขากลับยินดีที่จะยอมรับมัน

ปิศาจก็ปิศาจเถอะ และเขาก็หวังว่าเขาจะเป็นปิศาจได้มากกว่านี้

เมื่อเดินผ่านลานประลองบู๊ ลู่ฝานก็มองเห็นจางเยว่หานที่อยู่กับลู่หมิง

ผู้หญิงคนนี้เพิ่งกลับบ้านในช่วงปีใหม่ ไม่คิดว่าจะมาที่นี่อีกในวันนี้

เมื่อลู่หมิงเห็นลู่ฝานเขาก็ขมวดคิ้ว ในขณะที่จางเยว่หานมองไปที่ลู่ฝานด้วยสายตาแปลกๆ เธอได้ยินเรื่องการแสดงของลู่ฝานในเมื่อคืนนี้แล้ว แต่จนถึงตอนนี้ เธอก็ยังไม่อยากจะเชื่อเลย

ลู่ฝานแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น และเดินไปทางที่ประตูต่อไป

แต่ในขณะนั้นเอง ลู่หมิงก็เรียกเขาไว้ทันใด

“ลู่ฝาน นายหยุดนะ”

ลู่ฝานหยุดเดิน หันไปมองลู่หมิงแล้วพูดว่า “มีอะไรหรือเปล่า?”

ลู่หมิงพูดอย่างเย็นชาว่า “นายทำร้ายพี่น้องของข้า นายคิดว่าจะเรื่องอะไรเหรอ? ถึงตอนนี้แล้วลู่เทียนกังยังขยับแขนไม่ได้เลย”

ลู่ฝานขมวดคิ้ว ลู่หมิงพูดราวกับว่าลู่หมิงไม่ใช่พี่น้องของเขา

ในความเป็นจริงหากว่าตามสายเลือด เขาใกล้ชิดกับลู่หมิงมากกว่าลู่เทียนกังเสียอีก

ลู่ฝานพูดว่า “แล้วนายอยากจะทำอย่างไร?”

ลู่หมิงกล่าวว่า “ไม่ทำอะไร ฉันจะต้องกลับไปสถาบันเมื่อเร็วๆ นี้แล้ว และยังไม่มีเวลาจัดการกับนาย แต่หลังจากสามเดือน หลายตระกูลใหญ่ในเมืองเจียงหลินจะออกล่าสัตว์ที่เขาซีซาน และฉันจะต้องกลับมาอย่างแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้นเราค่อยมาต่อสู้กันสักครั้ง ให้ข้าดูหน่อยสิ นายไม่ใช่ไอ้ขยะแล้วจริงหรือไม่”

ลู่ฝานไม่สนใจเลย กับกลยุทธ์ยั่วโมโหระดับต่ำที่ลู่หมิงใช้ อย่างไรก็ตามเมื่อออกล่าซีซาน ทุกอย่างก็จะไม่เป็นไปตามกฎของตระกูลลู่แล้ว เมื่อถึงเวลานั้นลู่หมิงอยากจะต่อสู้กับเขาจริงๆ เขาก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้แล้ว

“แล้วแต่นายเถอะ นายอยากทำอย่างไรก็ตามใจนาย”

หลังจากลู่ฝานพูดจบเขาก็หันหลังจากไป ลู่หมิงมองดูหลังของลู่ฝานแล้วพูดว่า “ถ้าไม่ใช่พ่อฉันห้ามฉันไว้ เมื่อคืนนี้ฉันก็จะทุบตีสั่งสอนเขาให้แรงๆ คิดว่าตัวเองจะเก่งมากนักหรือที่ฝึกถึงชั้นหกได้”

จางเยว่หานกำลังฟังอยู่ข้างๆ โดยไม่พูดอะไรสักคำ

เธอเพียงแค่จ้องมองเข้าไปในดวงตาของลู่ฝานในเมื่อกี้นี้ และตั้งแต่ต้นจนจบ ลู่ฝานไม่ต้องการที่จะมองเธอแม้แต่สายตาเดียวเลย

“คุณเป็นอะไรเหรอ เยว่หาน?”

ลู่หมิงมองออกว่าจางเยว่หานเผลอเล็กน้อย และถามเบาๆ ว่า

จางเยว่หานส่ายหัวและพูดว่า “ไม่เป็นไร คุณช่วยเล่ารายละเอียดเรื่องที่เกิดขึ้นในเมื่อคืนให้ฟังหน่อยได้ไหม? จู่ๆ เขาก็แข็งแกร่งขึ้นมาได้ยังไง?”

ลู่หมิงกัดฟันและพูดว่า “ใครจะไปรู้ว่าเขาแข็งแกร่งขึ้นมาอย่างกะทันหันได้อย่างไร”

……..

ในอีกด้านหนึ่ง ลู่ฝานได้เดินมาถึงร้านของลุงเฒ่าหวูแล้ว

เมื่อเห็นลู่ฟ่านเดินเข้ามา หวูเฉินก็ปิดประตูร้านโดยตรง และพูดว่า “เข้าไปข้างในเถอะ”

หลังจากที่พาลู่ฝานไปที่หลังร้าน สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าเขาคือลานกว้าง มีขวดเหล้าหลายใบวางอยู่บนผนัง ด้านในสุดมีกระท่อมติดกับกำแพง ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นห้องของหวูเฉิน

กลางลานบ้าน มีหม้อสามขาขนาดใหญ่ ลำตัวมืดไปทั้งตัว และมีปากมังกรแปดตัว ตระหง่านสวยงาม

หวูเฉินชี้ไปที่หม้อและกล่าวว่า “นับจากวันนี้ไป นายจะฝึกฝนอยู่ที่นี่”

ลู่ฝานพูดอย่างไม่ค่อยเข้าใจว่า “ท่านอาจารย์ ท่านจะให้ผมฝึกอยู่ในล้านบ้าน หรือในหม้อใหญ่”

หวูเฉินกล่าวว่า “ภายในหม้อ อันดับแรกของการฝึกพลังชี่ ก็คือการปรับแต่งร่างกาย! หากไม่สามารถผ่านด่านนี้ไปได้ ในชีวิตนี้ก็ไม่ต้องคิดที่ว่าจะปลูกฝังพลังชี่ได้”

เปลือกตาของลู่ฝานกระตุก และคำว่าปรับแต่งร่างกาย คำพูดนี้ฟังดูน่ากลัวมากแล้ว เป็นไปได้ไหมว่าเขากำลังกลั่นเขาเป็นยาเม็ด

ลู่ฝานหยิบขวดเหล้าขึ้นมาแล้วกระดกเข้าไปอึกใหญ่ เลห้าก็ไหลเข้าสู่ร่างกายของเขา และความร้อนราวกับเปลวไฟก็พุ่งไปทั่วร่างกายของเขา ลู่ฝานรู้สึกถึงพลังของเหล้านี้ เหมือนกับการกินสมุนไพรลงไป มันเป็นเพียงการจิบเหล้าที่เข้มข้น แต่กลับทำให้ลู่ฝานรู้สึกถึงพลังที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน

คุณค่าของเหล้าขวดนี้มีค่ามากกว่ายารวมพลังที่ท่านพ่อมอบให้เขาอย่างแน่นอน ลู่ฝานลุกขึ้นยืนทันใด เดินออกจากด้านหลังโต๊ะแล้วคุกเข่าลงที่ลุงเฒ่าหวู

“บุญคุณแห่งการกลับเนื้อกลับตัวใหม่นี้ ไม่อาจลืมเลือนได้จนตลอดชีวิตนี้”

รอยยิ้มของลุงเฒ่าหวูไม่ลดลง ละและกล่าวว่า “ลุกขึ้นมาเถอะ ใช้ชีวิตมาหลายสิบปี และสิ่งที่ฉันไม่สามารถรับได้มากที่สุดก็คือเรื่องนี้”

ลุงเฒ่าหวูโบกมือเบาๆ และลู่ฝานก็รู้สึกได้ว่ามีลมพัดพาตัวเขาขึ้นมา ด้วยความแข็งแกร่งของเขาเองกลับไม่มีที่ว่างให้ต้านทานเลยแม่แต่น้อย

ความมหัศจรรย์ของผู้ฝึกชี่ นั้นถูกแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนอยู่ในตัวลุงเฒ่าหวู

ลุงเฒ่าหวูมองเข้าไปในดวงตาของลู่ฝาน และถามอย่างนุ่มนวลว่า “ลู่ฝาน นายยินดีที่จะนับข้าเป็นอาจารย์หรือไม่?”

สีหน้าของลุงเฒ่าหวูเริ่มเคร่งขรึม แต่ลู่ฝานกลับตอบโดยไม่ลังเลเลยว่า “ยินดี ยินดีอย่างยิ่ง ท่านอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ ลูกศิษย์ขอคารวะ”

ในครั้งนี้ ลู่ฝานไม่ได้แสดงความเคารพแบบนักบู๊ เขาคุกเข่าลงโดยตรง และก้มกราบลงกับพื้นเก้าครั้งติดต่อกัน

“ดี ดี ดี!”

ลุงเฒ่าหวูพูดสามครั้งแล้ว ลุกขึ้นยืน

ในขณะนี้ ชายชราเดิมทีหลังค่อมเล็กน้อยก็ได้ยึดตัวตรงขึ้น และมีรัศมีในดวงตาของเขา

รัศมีแห่งการดูหมิ่นโลกปรากฏขึ้นจากบนตัวลุงเฒ่าหวู ลุงเฒ่าหวูวางมือลงบนหัวของลู่ฝาน แล้วพูดช้าๆ ว่า “ฟ้าดินอันยิ่งใหญ่ สวรรค์ที่ไร้ขอบเขตเป็นพยาน ในวันนี้ข้าพเจ้าหวูเฉินยอมรับลู่ฝานเป็นศิษย์ของข้าพเจ้า ยินดีที่จะสอนมอบสิ่งที่ข้าพเจ้าได้เรียนรู้มาตลอดทั้งชีวิตให้กับเขา ถือว่าชีวิตนี้ก็ไม่สูญเปล่า”

เอามือออก หวูเฉินก็ประคองตัวเขาขึ้นด้วยตัวเอง มหวูเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ลู่ฝาน นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป นายก็คือศิษย์ของสำนักจิ่วเซียว”

เมื่อพูดจบ หวูเฉินก็หยิบแหวนออกมาจากเสื้อผ้าของเขาแล้วยื่นให้ลู่ฝาน คำว่าจิ่วเซียว มองเห็นได้อย่างชัดเจน

“นี่ก็คือแหวนเจ้าสำนักของสำนักจิ่วเซียว และตอนนี้ส่งต่อให้นาย”

ลู่ฝานตกตะลึงกับที่ไปเลย มันเกิดอะไรขึ้น เพิ่งเข้ามาก็ได้เป็นเจ้าสำนักแล้วงั้นเหรอ?

ลู่ฝานมองไปที่หวูเฉินและกล่าวว่า “ท่านอาจารย์ แหวนเจ้าสำนัก ให้ผมงั้นเหรอ?”

หวูเฉินกินเหล้าและกับแกล้ม และพูดว่า “ใช่ มีปัญหาอะไรเหรอ? อย่างไรก็ตามสำนักจิ่วเซียวก็มีแค่เราสองคนเท่านั้น ไม่ใช่นาย ก็ต้องเป็นฉัน แหวนวงนี้ก็เป็นอาวุธวิเศษ สามารถเก็บสิ่งของได้”

ลู่ฝานพูดไม่ออกทันที ปรากฏว่านี่ก็คือสิ่งที่เรียกว่าสำนักจิ่วเซียวงั้นเหรอ

ในเวลานั้น ลู่ฝานก็รู้สึกว่าการไหว้อาจารย์ของตัวเองนั้นด่วนสรุปไปหน่อยหรือเปล่า แต่เห็นแก่แหวนเก็บสิ่งของ ก็ช่างมันเถอะ

“ท่านอาจารย์ งั้นนับจากวันนี้ไป ท่านก็จะสอนผมผู้ฝึกชี่ แล้วใช่หรือไม่?”

หวูเฉินมองขึ้นไปที่ลู่ฝานและกล่าวว่า “นายอยากจะเป็นผู้ฝึกชี่ และไม่อยากจะเป็นนักบู๊แล้วหรือ?”

ลู่ฝานกล่าวว่า “มีความแตกต่างอะไรหรือไม่? มันคือการฝึกตนทั้งคู่ และก็คือการแข็งแกร่งขึ้น”

หวูเฉินกล่าวว่า “ความแตกต่างนั้นใหญ่มาก ขั้นแรกนายต้องฝึกฝนวิชาบู๊ของนายต่อไปก่อน”

ลู่ฝานรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เมื่อกี้นี้ท่านอาจารย์ยังบอกว่าตัวเองเป็นผู้ฝึกชี่ เหตุใดจึงให้เขายังคงเป็นนักบู๊ต่อไป

ลู่ฝานถามว่า “งั้นท่านอาจารย์ ท่านวางแผนที่จะสอนทักษะวิชาบู๊แบบไหนครับ?”

หวูเฉินส่ายหัวและกล่าวว่า “ทักษะวิชาบู๊? นายกำลังพูดอะไรกัน ฉันเป็นผู้ฝึกชี่ ไม่เข้าใจทักษะวิชาบู๊พวกนั้น”

สีหน้าของลู่ฝานบิดเบี้ยว ราวกับถูกคนทุบตี

“ถ้าอย่างนั้นท่านอาจารย์ ท่านจะสอนอะไรผมเหรอครับ?”

หวูเฉินกล่าวว่า “ฉันจะสอนบางสิ่งที่พิเศษแก่นาย ลู่ฝาน นายอยากเป็นคนแรกที่เป็นทั้งผู้ฝึกชี่และนักบู๊ในใต้หล้านี้หรือไม่?”

ลู่ฝานตกตะลึงไปเลย ในดวงตาของหวูเฉินฉายแสงที่น่ากลัวในเวลานี้ และเขาพูดต่อไปว่า “พลังปราณบวกกับพลังชี่ ฝึกฝนทั้งภายในและภายนอก และอยู่ยงคงกระพันในโลกนี้”

ลู่ฝานตกใจเล็กน้อยกับคำพูดของหวูเฉิน และพูดเบาๆ ว่า “ท่านอาจารย์ ท่านกำลังพูดเล่นอยู่ใช่ไหม”

หวูเฉินกล่าวว่า “ไม่ใช่แน่นอน นี่เป็นงานวิจัยทั้งชีวิตของฉัน แม้ว่าฉันจะไม่ประสบความสำเร็จในตัวเอง แต่ฉันก็มั่นใจว่า มันจะประสบความสำเร็จอยู่ในตัวนาย”

ลู่ฝานกลืนน้ำลายอีกครั้ง แล้วพูดว่า “ท่านแน่ใจได้อย่างไร”

หวูเฉินกล่าวว่า “นายคิดว่าเหล้าที่ให้นายดื่มในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีไว้เพื่อการรักษาเท่านั้นหรือ? ฉันเป็นผู้ฝึกชี่ และเหล้าของฉันก็คือยาเม็ด”

ลู่ฝานกัดฟัน และตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะขึ้นเรือโจรสลัดแล้วจะลงไม่ได้แล้ว

แต่อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จในปัจจุบันของเขาทั้งหมดนั้นหวูเฉินเป็นคนมอบให้ ดังนั้นจะบ้าคลั่งไปกับเขาชั่วขณะหนึ่งแล้วจะเป็นไรไป มากสุดก็แค่กลับคืนสู่ร่างเดิมเท่านั้น

ลู่ฝานพยักหน้า “ตกลง ท่านอาจารย์ ท่านว่าอย่างไร ก็ทำอย่างนั้น ขั้นแรก ผมควรทำอย่างไร?”

หวูเฉินยิ้มเบาๆ และกล่าวว่า “ขั้นตอนแรก ก็คือดื่มเป็นเพื่อนฉัน และฉลองปีใหม่กับฉันให้ดีๆ สักครั้งก่อน”

หวูเฉินยกขวดเหล้าขึ้น และลู่ฝานก็ยกขวดเหล้าขึ้นตรงหน้าเขา

อาจารย์และศิษย์ทั้งสองก็เริ่มดื่มพร้อมกันอย่างเมามัน แล้วหัวเราะเสียงดังขึ้นมา

เสียงหัวเราะส่งตรงไปยังท้องฟ้า และหายไปพร้อมกับลม

เสียงประทัดดังขึ้นบอกลาปีเก่า และต้อนรับปีใหม่ด้วยเสียงหัวเราะคำพูดมีความสุข

ลู่ฝานถือเหล้าและกับแกล้มเดินไปตลอดทาง เขาไม่ได้กลับไปที่ลานบ้านเล็กๆ ของตัวเอง กลับเดินตรงออกจากประตูตระกูลลู่ และเดินไปที่ร้านของลุงเฒ่าหวู

เมืองเจียงหลินทั้งหมดอยู่ในบรรยากาศที่มีชีวิตชีวา และลู่ฝานมีรอยยิ้มที่มุมปากของเขา นี่เป็นครั้งแรกที่เขามีความสุขมากสำหรับเทศกาลปีใหม่ ระหว่างทาง เขายังแจกอาหารให้เด็กๆ หลายคนด้วย

เมื่อเดินไปถึงที่ประตูร้านของลุงเฒ่าหวู สายตาแรก ลู่ฝานก็เห็นลุงเฒ่าหวูพิงอยู่ที่ประตูและอยู่ในอาการมึนเมาไปแล้ว

จากระยะไกล เมื่อเห็นว่าลู่ฝาน บนใบหน้าแก่ของลุงเฒ่าหวูก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม

ลู่ฝานเดินเข้าไปหาลุงเฒ่าหวู ยกเหล้ากับแกล้มขึ้นและพูดว่า “ลุงเฒ่าหวู คราวนี้ผมจะให้คุณลองชิมอาหารของตระกูลลู่ของเราดู”

ลุงเฒ่าหวูหัวเราะขึ้นมา และกล่าวว่า “มันยากนักที่จะได้เห็นคุณอารมณ์ดีเช่นนี้สักครั้ง”

หลังจากรับอาหารและเหล้าไปแล้ว ทั้งสองก็นั่งลง ลู่ฝานกล่าวว่า “ลุงเฒ่าหวู เหล้าที่คุณให้ผมดื่นในรอบที่แล้วล่ะ เอามันออกมาด้วยสิ”

สายตาของลุงเฒ่าหวูเป็นประกาย แต่เขากลับไม่ได้ขยับตัวเลย

ในทางกลับกัน ลุงเฒ่าหวูกลับถามคำถามที่ไม่เกี่ยวข้องและกล่าวว่า “ลู่ฝาน นายน่าจะไม่ต้องจากไปแล้วใช่ไหม ตอนนี้ความแข็งแกร่งเป็นอย่างไรบ้าง แดนฝึกร่างชั้นห้าหรือชั้นหกแล้ว”

หัวใจของลู่ฝานสั่นไหว เขารู้ว่าลุงเฒ่าหวูอาจมีคำถาม แต่เมื่อเขาได้ยินลุงเฒ่าหวูพูดเช่นนี้จริงๆ เขาก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ

ลู่ฝานหยุดชั่วคราว และพูดว่า “ลุงเฒ่าหวู คุณเป็นคนช่วยผมใช่หรือไม่?”

ลุงเฒ่าหวูชี้ไปที่หัวใจของลู่ฝานและกล่าวว่า “ไม่ คุณเป็นคนที่ช่วยตัวเอง ข้าแค่มอบโอกาสให้คุณแค่นั้นเอง”

เมื่อกล่าวเช่นนั้น ลุงเฒ่าหวูก็ยกมือขึ้นและโบกมือ ขวดเหล้าที่ซ่อนอยู่ใต้เคาน์เตอร์ก็ลอยขึ้นเอง และลงสู่บนโต๊ะภายใต้สายตาที่ประหลาดใจของลู่ฝาน

เคลื่อนสิ่งของผ่านอากาศได้ วิธีการดังกล่าว ผู้ที่มีระดับการฝึกฝนในระดับสูงเท่านั้นถึงจะสามารถทำได้

ลู่ฝานไม่เคยคิดว่าลุงเฒ่าหวูที่รู้จักกับเขามานานหลายปีแล้วเป็นนักบู๊ที่ทรงพลัง

เมื่อเห็นใบหน้าที่เปลี่ยนไปของลู่ฝาน ลุงเฒ่าหวูก็ยิ้มและกล่าวว่า “ไม่ต้องแปลกใจ ฉันไม่ใช่นักบู๊ ฉันเป็นแค่ผู้ฝึกชี่ที่ต่ำต้อยเท่านั้น”

ผู้ฝึกชี่!

เมื่อได้ยินสามคำนี้ ลู่ฝานก็ยิ่งตกใจมากขึ้นไปอีก

ผู้ฝึกชี่นั้นประเสริฐกว่านักบู๊ทั่วไปมาก แม้ว่าลุงเฒ่าหวูจะเป็นเพียงผู้ฝึกชี่ที่ไม่มีระดับ แต่สถานะของเขานั้นสูงกว่านักบู๊ที่ฝึกฝนถึงระดับพลังปราณมาก

หลังจากกลืนน้ำลาย บนใบหน้าของลู่ฝานก็เต็มไปด้วยความไม่น่าเชื่อ

หลังจากนั้นไม่นาน ลู่ฝานก็สงบลง และพูดว่า “ทำไมถึงให้โอกาสฉัน?”

ลุงเฒ่าหวูกล่าวว่า “เพราะคุณเป็นคนที่คู่ควรที่จะได้รับการช่วยเหลือ”

“ลู่ฝาน ฉันยังคงจำครั้งแรกที่คุณเดินเข้ามาในร้านของฉันได้ เด็กชายที่ดูป่วยอ่อนแอ ซึ่งสูญเสียแม่ของเขา และสั่งเหล้าหนึ่งขวดด้วยความสิ้นหวัง ดื่นไปอึกเดียวก็อาเจียนออกมาอย่างเละเทะ แต่ก็ยังยืนกรานที่จะดื่มเหล้าให้หมดขวด วันรุ่งขึ้นตื่นมา ทั้งๆ ที่ยืนขึ้นยังไม่ไหวเลย ยังจะกลับไปฝึกวิชาบู๊

ลู่ฝานขมวดคิ้วและถามว่า “คำถามอะไรเหรอ?”

ลุงเฒ่าหวูกล่าวว่า “ดูเหมือนว่าคุณเองจะลืมมันไปแล้ว ฉันถามคุณว่า สภาพร่างกายคุณแย่มากขนาดนี้ อีกสองปีก็อาจจะป่วยจนตายแล้ว ทำไมคุณถึงยังจะฝึกวิชาบู๊”

ลุงเฒ่าหวูหัวเราะเมื่อกล่าวเช่นนี้

“สุดท้ายคุณตอบว่า ต่อให้ต้องตายพรุ่งนี้แล้ว ก็ยังต้องฝึกวิชา เพราะการฝึกศิลปะการต่อสู้ถึงจะสามารถแข็งแกร่งขึ้นมาได้ และการใช้ชีวิตถึงจะมีความหมาย”

ลู่ฝานเงียบสงบ ดูเหมือนว่าเขาจะเคยพูดคำพูดแบบนี้มาก่อน และประโยคนี้ไม่ได้เปลี่ยนไป มาจนถึงทุกในวันนี้ ก็ยังเป็นลัทธิของเขา

ลุงเฒ่าหวูชี้ไปที่จมูกของลู่ฝานและกล่าวว่า “มันยากที่จะจินตนาการว่าเด็กอายุสิบเอ็ดสิบสองปีจะประคองใจสู้ได้แบบนั้น เพียงเพราะคำพูดนี้ของคุณ ฉันคิดว่าคุณสมควรได้รับโอกาสสักครั้ง ดังนั้น ทุกครั้งที่คุณมา ฉันก็จะให้คุณดื่มเหล้าที่ฉันกลั่นขึ้นมาเป็นพิเศษของฉัน ทำให้ร่างกายของคุณค่อยๆ แข็งแรงขึ้น และสุดท้ายก็ใช้เหล้าขวดนี้เพื่อให้คุณกลับเนื้อกลับตัวใหม่อีกครั้ง”

ลู่ฝานตกตะลึงในจุดนั้น ปรากฏว่าเขาเปลี่ยนไปเช่นนี้นี่เอง จึงไม่น่าแปลกใจที่ร่างกายเขาอ่อนแอมาตั้งแต่ยังเด็ก พอเติบโตอย่างช้าๆ และกลับไม่ทุกข์ทรมานจากโรคอีกต่อไป ไม่น่าแปลกใจหลังจากที่เขาดื่มเหล้าขวดนี้แล้ว การฝึกวิชาบู๊ของเขาจะไปได้อย่างราบรื่นตลอดทาง เหตุผลก็คือว่าเขาได้กลับเนื้อกลับตัวใหม่อีกครั้งแล้วงั้นเหรอ

ลุงเฒ่าหวูผลักขวดเหล้าไปต่อหน้าลู่ฝาน และของเหลวสีเขียวเข้มก็มีกลิ่นหอมอย่างรุนแรงกระจายออกมา

ลู่เทียนกังกัดฟัน บีบคำพูดจากระหว่างฟันของเขาออกมา “ลู่ฝาน ฉันเคยบอกแล้วว่าฉันจะทุบตีนายให้คุกเข่าและขอความเมตตา ฉันก็จะทำอย่างแน่นอน ฉันจะทำให้ทุกคนได้เห็นท่าแท้ของนาย นายก็เป็นแค่ไอ้ขยะเท่านั้น”

ลู่ฝานมองไปที่ลู่เทียนกังและพูดว่า “คำพูดไร้สาระของนายจบหรือยัง?”

ดวงตาของลู่เทียนกังกำลังจะลุกเป็นไฟ และเขาก็ก้าวเข้าไปทางลู่ฝานอย่างรวดเร็ว

ด้วยหมัดที่ชกออกอย่างหนัก ความแรงของหมัดลู่เทียนกังนั้นได้นำเสียงลมที่พัดมา หมัดโจมตีที่สง่างาม ตรงไปที่จมูกของลู่ฝาน

ลู่ฝานกลับหันข้างเล็กน้อย และก็หลีกเลี่ยงหมัดนี้ไปได้ แต่ลู่เทียนกังยังคงไม่หยุดยั้ง หมัดเดียวไม่โดน และออกหมัดซ้ายของเขาอีกครั้ง

ในคราวนี้ ลู่ฝานยกมือซ้ายขึ้น และคว้าหมัดของลู่เทียนกังไว้

แขนสั่นเล็กน้อย ก็ได้ลบล้างความแข็งแกร่งของลู่เทียนกังทันที หลังจากนั้น ลู่เทียนกังก็รู้สึกถึงพลังที่ไม่อาจต้านทานได้ถูกส่งมาจากแขนขวาของลู่ฝาน เขาผลักดันอย่างแรง และลู่เทียนกังก็ถูกผลักออกไปหลายก้าวโดยตรง

บนเวที ลู่หาวยิ้มอย่างมีความสุข เห็นได้ชัดว่านี่เป็นการรวมตัวกันของพลังบดขยี้ ลู่เทียนกังจะต้องพ่ายแพ้อย่างหมดหวังแน่นอน

ลู่เทียนกังยืนหยัด สายตาของเขาเริ่มเปลี่ยนไป

พลังอันยิ่งใหญ่นั้น ออกมาจากตัวลู่ฝานจริงหรือ? ลู่เทียนกังเลือกที่จะไม่เชื่อตามสัญชาตญาณ จากนั้นจึงกระทืบเท้าลงบนพื้นอย่างแรง ร่างกายทั้งคนของเขาก็เหมือนลูกธนูบนธนู พุ่งเข้าหาลู่ฝานอีกครั้ง

หมัดโจมตี!

ลู่เทียนกังใช้ทักษะวิชาบู๊ของตัวเอง เพื่อรวมพลังไว้ที่หมัดขวาระหว่างโจมตี ตราบใดที่สัมผัสคู่ต่อสู้ มันก็จะเกิดการระเบิด ท่านี้เป็นทักษะวิชาบู๊แบบทหารที่พ่อของเขาสอนเขา และมันก็ดีกว่าทักษะวิชาบู๊ทั่วไปมาก

แต่ในวินาทีต่อมา ลู่เทียนกังก็รู้สึกว่าจุดจบของโลกกำลังมาถึง เมื่อเผชิญหน้ากับหมัดที่ดุดันของลู่เทียนกัง ลู่ฝานไม่ได้หลบหรือเลี่ยง แต่เขาก็ชกต่อยออกไปอย่างแรง

หมัดถล่มเขา!

หมัดทั้งสองกระแทกเข้ากัน และก็มีเสียงกระดูกแตกหักดังขึ้นมาในทันที

หมัดของลู่ฝานราวกับหินเหล็ก แขนของลู่เทียนกังหักเหมือนพลังทำลายล้าง

ในทันที ร่างกายของลู่เทียนกังสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง และก็บินกลับหัวออกไปไกล และตกลงไปที่พื้นอย่างแรง

พลังอันน่าสะพรึงกลัวไม่เหมือนคนที่มีแดนฝึกร่างชั้นหกสามารถชกออกมาได้ และทำให้ผู้ชมต่างตกใจในทันที

ในครั้งนี้ แม้แต่ลู่หมิงก็อดไม่ไหวที่จะลุกขึ้นยืน แม้ว่าเขาจะอยู่ที่แดนฝึกร่างชั้นแปด แต่เขาก็รู้สึกว่าถูกคุกคามขึ้นมาโดยสัญชาตญาณ เมื่อเห็นการออกหมัดของลู่ฝาน ถ้าหมัดนี้ถูกทุบตีอยู่บนตัวเขา เกรงว่าเขาก็คงจะรู้สึกไม่ดีเช่นกัน

“เยี่ยม!”

ลู่เฮ่าหรานพูดอย่างกะทันหัน ด้วยรอยยิ้มที่มุมปากของเขา

หมัดเหล็กเช่นนี้ มันช่างดุร้ายจริงๆ ด้วยการฝึกฝนของลู่เฮ่าหรานเขารู้ดีว่า ต้องใช้ความพยายามและความยากลำบากเพียงใดในการพัฒนาหมัดเหล็กในวัยของลู่ฝาน

นี่เป็นกังฟูอันแข็งแกร่งจริงๆ และไม่สามารถปลอมได้เลยแม้แต่น้อย

ลู่เทียนกังยืนขึ้นมาด้วยตัวสั่น เขารู้สึกว่าโลกทั้งใบของเขาพังทลายลงแล้ว

ลู่ฝานซึ่งเดิมเป็นเหมือนขยะในสายตาของเขา ตอนนี้มองลงมาที่เขาเหมือนเทพเจ้าแห่งการต่อสู้ ความอิจฉา ความสำนึกผิด และความกลัว ได้ท่วมท้นในสมองของเขา และคนที่อยู่รอบตัวเขาก็ได้แสดงความสงสารต่อเขาในเวลานี้

ลู่เทียนกังอยากจะต่อสู้กับลู่ฝานต่อไป แต่เขากลับไม่สามารถยืนขึ้นอย่างมั่นคงได้เลย

ลู่ฝานเดินเข้าไปต่อหน้าเขาอย่างช้าๆ และพูดว่า “ยังต้องการจะต่อสู้อีกหรือไม่?”

ลู่เทียนกังมองไปที่ลู่ฝาน สายตาของเขาสั่นไหว แต่ในท้ายที่สุดเขาก็หมดความกล้าที่จะลงมือ หลับตาลงและล้มลงกับพื้นด้วยเสียงดังปัง

การล้มของลู่เทียนกัง ราวกับค้อนหนัก กระทบสู่หัวใจของผู้ที่เคยหัวเราะเยาะลู่ฝานก่อนหน้านี้

ลู่ฝานเงยหน้าขึ้น เหลือบมองผู้ชมทั้งหมด และพูดว่า “ยังมีใครที่จะต่อสู้อีกไหม?”

เสียงไม่ได้ดัง แต่กลับทำให้ทุกคนได้ยินชัดเจน และเผยให้เห็นความครอบงำ ลูกศิษย์ของตระกูลลู่ทั้งหมดที่ถูกสายตาของลู่ฝานกวาดผ่านนั้น แทบจะก้มหน้าลงทั้งหมด โดยไม่กล้าสบตากับลู่ฝานเลย

ในที่สุดลู่หมิงก็อดไม่ไหวแล้ว เขาก้าวไปข้างหน้าแล้วพูดว่า “ลู่ฝาน ฉันจะลองกับนายสักหน่อย”

แต่ในเวลานี้ ลู่เฟิงยืนขึ้นและพูดว่า “ลู่หมิง นายถอยออกไป”

ลู่เฟิงขยิบตาให้ลู่หมิงอย่างซ้ำๆ เพราะจากความแข็งแกร่งของลู่เฟิงสามารถมองออกได้ชัดเจนว่าลู่ฝานยังไม่ได้ใช้กำลังทั้งหมดของเขาเลย เพียงแค่ชกต่อยออกหมัดอย่างง่ายดาย บางที ลู่ฝานยังคงมีท่าสังหารที่ซ่อนอยู่ซึ่งเขายังไม่ได้ใช้

ความท้าทายของลู่หมิงในตอนนี้ อันดับแรกไม่สอดคล้องกับมารยาท ลู่เทียนกังมีเพียงแดนฝึกร่างชั้นห้าเท่านั้น และเขาสามารถใช้คำว่าท้าทาย สำหรับลู่ฝานที่มีเพียงแดนฝึกร่างชั้นหก ได้ไม่มีปัญหา แต่ลู่หมิงนั้นไม่ว่าในแง่ของอายุและการฝึกฝนก็สูงกว่าลู่ฝาน เขาออกมาในเวลานี้ ก็ถูกสงสัยว่าเป็นการกลั่นแกล้งคนน้อยกว่า และมันจะทิ้งความประทับใจที่ไม่ดีให้คุณท่านลู่

เพื่อภาพรวม ลู่เฟิงต้องหยุดลูกชายของเขาไม่ให้ทำอะไรที่โง่เขลา

ลู่เฮ่าหรานก็มองออกแล้วเช่นกัน ยกมือขึ้นและพูดว่า “ลู่หมิง นายลงไปเถอะ มันไม่ใช่ธุระของนายในวันนี้ ลู่ฝาน นายก็ลงไปด้วย ในวันนี้นายทำได้ดีมาก”

ลู่หมิงและลู่ฝานต่างก็โค้งคำนับและตกลง

ลู่หมิงเดินกลับไปอย่างโกรธจัด ขณะที่ลู่ฝานไม่หยุด หยิบอาหารและเหล้าขึ้นมา และออกจากงานเลี้ยงภายใต้ความสนใจของทุกคน

แม้ว่าลู่ฝานจะจากไปเพียงลำพังเช่นนี้ในปีที่ผ่านมา แต่ปีนี้แผ่นหลังของเขา กลับสร้างความประทับใจให้ทุกคนแตกต่างกัน

ลู่เฮ่าหรานหันไปมองลู่หาวด้วยรอยยิ้มและพูดว่า “ลู่หาว นายมีลูกชายที่ดีคนหนึ่ง”

ลู่หาวหัวเราะขึ้นมา กวาดล้างภาวะซึมเศร้าในช่วงสิบปีที่ผ่านมาออกไปทั้งหมด

เงียบสงบราวกับการตาย

ทุกคนมองดูตัวอักษรบนหินศิลาดำ การเปลี่ยนสีหน้านั้น และมีสีสันทุกรูปแบบ

ทันทีหลังจากนั้น ทุกคนก็สูดหายใจเข้าลึกๆ พร้อมกัน ราวกับว่าพวกเขาแทบไม่เชื่อในสิ่งที่พวกเขาเห็นเลย

บนเวที ลู่หาวได้ยืนขึ้นมาแล้ว การแสดงออกของเขาตื่นเต้นจนไม่มีคำบรรยายได้

ลู่ฝานเขาทำได้แล้ว!

เขาทำได้แล้ว!

ลู่เฟิงตกตะลึงไปเลย เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่า ลู่ฝานผู้ซึ่งอยู่อย่างสูญเปล่ามาเป็นเวลากว่าสิบปีก็ลุกขึ้นมา

แม้แต่ลู่เฮ่าหรานก็ลุกขึ้นยืนเช่นกัน อันที่จริงแดนฝึกร่างชั้นหก นั้นไม่ถือเป็นอะไรจริงๆ แต่สิ่งที่น่ากลัวก็คือ เมื่อเดือนที่แล้ว ลู่ฝานยังอยู่ในแดนฝึกร่างชั้นสามเท่านั้น

อัพเกรดขึ้นสามระดับติดต่อกันในหนึ่งเดือน นี่มันเป็นไปได้เหรอ?

ลู่เฮ่าหรานรู้อย่างชัดเจนถึงผลของยารวมพลังที่เขาให้ลู่หาว เต็มที่ก็จะสามารถปรับระดับการฝึกฝนให้ลู่ฝานได้เพียงหนึ่งระดับเท่านั้น

และตอนนี้ มันเพิ่มขึ้นเป็นสามชั้นเลยทีเดียว!

ลู่หมิงที่กำลังเฝ้าคอยดูลู่ฝานขายหน้าก็ได้อ้าปากกว้างในเวลานี้ และความตกใจเช่นนี้ทำให้เขาไม่สามารถพูดอะไรได้เลย

ลูกศิษย์ของตระกูลลู่หลายคนก็ตะโกนขึ้นมาราวกับเสียสติไปเลย

“นี่มันเป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้!”

แต่อักขระสี่ตัวสีทองและสว่างของคำว่าแดนฝึกร่างชั้นหกนั้น กลับไม่อาจโต้แย้งได้

ลู่ฝานถอนกำปั้น และอารมณ์ของเขาก็กลับสู่ความสงบ

สิ่งเดียวที่เขาได้เรียนรู้ จากความเจ็บปวดตลอดหลายปีที่ผ่านมานั้น ก็คือวิธีควบคุมอารมณ์ของตัวเอง

เมื่อเดินกลับไปอย่างช้าๆ ทุกย่างก้าวของลู่ฝานดูเหมือนจะเหยียบย่ำใบหน้าของเหล่าคนที่เคยเยาะเย้ยเขามาก่อน ทำให้สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไป

เมื่อดูจากผลลัพธ์ของคนกลุ่มนี้แล้ว จะมีสักกี่คนที่สามารถแดนฝึกร่างชั้นหกได้เหมือนเขา

ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ความเร็วในการปรับปรุงที่น่าสะพรึงกลัวของลู่ฝานเลย

ข้างบน ลู่เฟิงกัดฟันและหันไปมองดูลู่หาวกล่าวว่า “ลู่หาว นายให้ลู่ฝานกินยาอะไรไปกันแน่?”

ลู่หาวไม่เคยรู้สึกว่าอารมณ์ของเขาดีขนาดนี้มาก่อน เขายิ้มแล้วพูดว่า “ยารวมพลังไง นายไม่รู้จักเหรอ?”

ลู่เฟิงกล่าวว่า “เป็นไปไม่ได้ ยารวมพลังไม่มีผลในการเพิ่มระดับสามระดับเป็นเวลาหนึ่งเดือนอย่างแน่นอน”

ลู่หาวตอบว่า “นายพูดถูกยารวมพลังไม่มีผลนี้ ทุกอย่างเป็นผลมาจากความพยายามของลู่ฝาน เห็นได้ชัดว่า เขาพยายามมาก และก็ฉลาดเฉลียวมาก”

คำพูดของลู่หาวเป็นการฉีกหน้าลู่เฟิงอย่างเห็นได้ชัด ในเมื่อกี้นี้ลู่เฟิงยังคงประจานลู่ฝานอยู่อย่างไม่รู้ยางอาย แต่ตอนนี้ลู่ฝานชกต่อยออกไปหมัดเดียว กลับทำได้ทุกอย่างมันพลิกด้าน สีหน้าของลู่เฟิงดูน่าเกลียดยิ่ง แต่เขากลับไม่สามารถโต้กลับได้เลย

“ไม่ เขาต้องใช้วิธีอะไรสักอย่างเพื่อหลอกหินศิลาดำอย่างแน่นอน ฉันไม่เชื่อแดนฝึกร่างชั้นหกในตัวเขา และจะไม่มีวันเชื่อมัน ลู่ฝาน นายคนโกหกที่ไร้ยางอาย อย่าคิดว่าใช้วิธีชั่วๆ แบบนี้ ก็จะสามารถหลอกลวงทุกคนไปได้ ไอ้ขยะไม่ว่ายังไงก็คือไอ้ขยะ!”

ลู่เทียนกังตะโกนอย่างเสียงดังขึ้นมา เขาเองอยู่ในการแดนฝึกร่างชั้นห้าเท่านั้น ซึ่งต่ำกว่าลู่ฝานหนึ่งระดับ เขาไม่สามารถยอมรับความจริงอันโหดร้ายนี้ได้ คนที่เขาเรียกว่าไอ้ขยะมาโดยตลอด กลับแข็งแกร่งกว่าเขางั้นเหรอ

ลู่เทียนกังที่โกรธจนเสียสติไม่สนใจผลที่จะตามมาเลย และการตะโกนด่าของเขาทำให้ลู่เฮ่าหรานขมวดคิ้วขึ้นมา

ลู่หาวก็โกรธขึ้นมา และตะโกนไปที่ลู่เทียนกังว่า “ลู่เทียนกัง นายอยากจะทำอะไร?”

เสียงตะโกนอันดังนี้นำมาซึ่งพลังปราณ และลมก็พัดมาทันที เสียงตะโกนของลู่หาวเหมือนเสือคำรามอยู่ในท่ามป่า นั่นก็คือเหตุผลที่เขาถูกเรียกว่ากังหู่

ลู่เทียนกังปิดปากของเขาอย่างไม่เต็มใจ เส้นเลือดบนหน้าผากของเขาสั่น

ลู่เฮ่าหรานกวาดมองทุกอย่างด้วยสายตา และเขาสามารถเห็นการแสดงออกของทุกคนได้

ความโกรธจนเสียสติของลู่เทียนกัง สีหน้าที่ซีดขาวของลู่หมิง และการแสดงออกที่อิจฉาริษยา และการแสดงออกตะลึงงันของเหล่าลูกศิษย์ตระกูลลู่ล้วนทำให้เขาผิดหวังอย่างยิ่ง

นี่ก็คือคนรุ่นน้อยของตระกูลลู่งั้นหรือ? ไม่มีความเป็นลูกศิษย์ของตระกูลใหญ่ที่สามารถสงบสติได้ยามวิกฤตเลยแม้แต่น้อย

มีเพียงลู่ฝานผู้ที่ก่อให้เกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้นนั้น มีสีหน้าที่สงบ ตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่เศร้าและไม่มีความสุข และมีท่าทีที่เหป็นผู้นำ

ลู่เฮ่าหรานแอบถอนหายใจอย่างลับๆ ดูเหมือนว่าตัวเองจะรู้จักกับหลานชายคนนี้น้อยเกินไปหน่อย ถ้าเกิดว่า ความสามารถของลู่ฝานแข็งแกร่งกว่านี้หน่อย และพรสวรรค์ดีกว่านี้หน่อย บางทีลู่ฝานอาจเป็นทายาทรุ่นที่สามที่เหมาะสมมากเลยทีเดียว

มีความคิดอยู่ในใจ ลู่เฮ่าหรานก็พูดว่า “ไม่มีใครสามารถหลอกลวงหินศิลาดำไปได้ แม้แต่คนของสถาบันสอนวิชาบู๊ก็ยังทำไม่ได้เลย หรือว่าพวกนายคิดว่าลู่ฝานจะสามารถทำได้แล้วงั้นเหรอ? ระวังคำพูดของแกด้วย พวกแกเป็นลูกศิษย์ของตระกูลลู่ ลู่ฝานก็เป็นเช่นกัน”

คำพูดของลู่เฮ่าหราน เป็นเหมือนคำพูดตัดสินครั้งสุดท้าย ลู่เทียนกังก็ไม่กล้าพูดอะไรมากไปกว่านี้ เขาทำได้เพียงโค้งคำนับให้ลู่เฮ่าหราน ไม่ว่าเขาจะมีอำนาจเหนือกว่าแค่ไหน เขาก็ไม่กล้าที่จะทำไรอยู่ต่อหน้าของตระกูลลู่เฮ่าหราน

“ลู่เทียนกัง นายไม่เชื่อไม่ใช่หรือ? ถ้าอย่างนั้น นายสามารถใช้โอกาสที่จะต่อสู้ของนายในปีนี้เพื่อไปต่อสู้ลู่ฝาน หากชนะ จะไม่ได้รับรางวัลใดๆ หากพ่ายแพ้ นายจะต้องไปเฝ้าป่าไม้ที่ตำบลผิงซานเป็นเวลาหนึ่งปี เป็นอย่างไร?”

ลู่เฮ่าหรานพูดเบาๆ สายตาของเขาจ้องไปที่ลู่เทียนกังราวกับมีด

ชนะแล้วไม่มีรางวัลใดๆ แต่ถ้าแพ้แล้วกลับจะมีบทลงโทษอย่างหนักขนาดนี้ เรื่องแบบนี้ถ้าเป็นลู่เทียนกังในเวลาปกติคงจะไม่ทำหรอก แต่ในวันนี้ เขาที่เสียสติไปแล้ว กลับตกลงโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย

“เรียนหัวหน้าตระกูล ฉันยอม ฉันจะต่อสู้กับลู่ฝานเดี๋ยวนี้เลย!”

มองบนเวที พ่อของลู่เทียนกังเริ่มวิตกกังวลเล็กน้อย แต่ลู่เฮ่าหรานเหลือบมองเขาเบาๆ และทันใดนั้นเขาก็ไม่กล้าที่จะพูดอะไรอีกเลย

ลู่เฮ่าหรานนั่งลง และพูดว่า “เอาล่ะ เรามาเริ่มการแข่งขันกัน ก็ถือว่าเป็นการเปิดงานให้กับการแข่งขันของตระกูลในช่วงต่อไป”

ลู่เทียนกังฉีกเสื้อผ้าของตัวเองออก และเดินก้าวออกมา

ลู่ฝานไม่มีทางเลือกอื่นจึงต้องเดินออกมาอีกครั้ง โดยสายตามองไปที่ลู่เทียนกังอย่างเฉยเมย

“ไอ้น้องชายขยะ ปีนี้นายเตรียมที่จะขายหน้าอย่างไรเหรอ?”

ในขณะที่มีความสุข เสียงที่น่ารำคาญของลู่หมิง และเสียงหัวเราะเยาะของพวกลู่เทียนกังก็ดังมาจากด้านหลัง

ลู่ฝานไม่สนใจที่จะหันไปมอง และยังคงดูการแสดงต่อไป

ลู่เทียนกังตบไหล่ของลู่ฝาน และพูดด้วยเสียงต่ำว่า “ในคืนนี้ นายเตรียมตัวที่จะถูกฉันทุบตีอย่างแรงได้เลย”

ลู่ฝานเงยหน้าขึ้นและเหลือบมองที่ลู่เทียนกัง และพูดอย่างสงบว่า “รอคอยอยู่เสมอ”

“เยาะ อวดดียิ่งนัก โอเค ช่วงค่ำคืนนี้ฉันจะคอยดูว่านายจะคุกเข่าขอความเมตตาจากฉันอย่างไรบ้าง”

หลังจากพูดแล้ว ลู่เทียนกังก็เดินจากไปอย่างรวดเร็ว และคนที่อยู่ข้างๆ เขาต่างก็ซุบซิบ และพูดคุยดูถูกลู่ฝาน

ลู่ฝานไม่ได้พูดอะไร และนั่งอยู่อย่างเงียบๆ

คุกเข่าขอความเมตตางั้นเหรอ? แต่ก่อนเขาก็ไม่เคยทำอยู่แล้ว และตอนนี้ก็ยิ่งจะเป็นไปไม่ได้เลย

ลู่ฝานวางแก้วเหล้าลงอย่างเบาๆ ในดวงตาของลู่ฝานเป็นประกายแสง

ช่วงค่ำคืน กำลังจะมาถึงในไม่ช้านี้

ตระกูลลู่ที่สว่างไสวกำลังจะเข้าสู่ช่วงต้อนรับปีใหม่ที่จะมาถึง

ลู่เฮ่าหรานหัวหน้าตระกูลลู่กำลังนั่งอยู่บนที่นั่งหลักในชุดยาว ถัดไปก็คือลู่เฟิงพ่อของลู่หมิง ลู่หาวพ่อของลู่ฝาน และคุณลุงคุณอาอีกหลายคนที่ลู่หมิงไม่ค่อยได้พบหน้า

การแสดงหยุดลงอย่างช้าๆ และลู่ฝานรู้ว่าช่วงเวลาต่อไปก็คือช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดของเขา

ลู่เฮ่าหรานยกแก้วเหล้าของเขาขึ้นมา ยืนขึ้น และกล่าวว่า “เหล่าลูกศิษย์ของตระกูลลู่ ขอพรจากสวรรค์ฟ้าดิน!”

สมาชิกในตระกูลลู่ยืนขึ้นมาทุกคน และยกแก้วเหล้าขึ้นมา

ลู่เฮ่าหรานกล่าวต่อไปว่า “เริ่มต้นปีใหม่ วิชาบู๊จะคงอยู่ตลอดไป”

หลังจากพูดจบ แก้วเหล้าก็ถูกเทลงพื้น ทุกคนต่างทำตามลู่เฮ่าหรานและเทเหล้าในแก้วลงไปที่พื้น

หลังจากทำทั้งหมดนี้ ลู่เฮ่าหรานก็นั่งลงกลับที่ และโบกมือเพื่อให้เคลื่อนหินศิลาดำที่วางอยู่ข้างหลังเขาออกมา

จากนั้น คุณลุงของลู่ฝานก็เดินออกมา และพูดด้วยเสียงดังว่า “ลูกศิษย์ของตระกูลลู่ทั้งหลาย เริ่มการทดสอบ!”

ด้วยคำสั่ง รุ่นน้อยของตระกูลลู่ต่างพากันลุกขึ้นยืน และต่อมาลู่เฟิงก็เริ่มเรียกชื่อให้ออกมาข้างหน้าทีละคน ลูกศิษย์ของตระกูลลู่ที่ถูกเรียกชื่อนั้น บางคนรู้สึกกระวนกระวาย และบางดูสีหน้าผ่อนคลาย

ด้านบน ลู่เฮ่าหรานคอยดูอยู่อย่างเงียบๆ เมื่อเขาได้เห็นรุ่นน้อยของตระกูลลู่เติบโตขึ้นอย่างแข็งแรง ลู่หห่าวหรันก็รู้สึกมีความสุขอย่างยิ่ง

ลู่หาวซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ เขาคอยมองไปทางลู่ฝานอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าการแสดงออกของลู่ฝานจะดูสงบ แต่ลู่หาวก็ยังรู้สึกกังวลยิ่งนัก

“หลู่หาว นายดูเหมือนจะไม่ค่อยสบายนัก”

เสียงของลู่เฮ่าหรานที่ดังขึ้นมาอย่างกะทันหัน และหันมามองที่ลู่หาว

ลู่หาวกล่าวว่า “รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยจริงๆ”

ลู่เฮ่าหรานกล่าวต่อไปว่า “เป็นเพราะลู่ฝานใช่หรือไม่? นายก็ได้มอบยาเม็ดที่ได้มาอย่างยากลำบากให้เขาไปแล้วไม่ใช่เหรอ?”

ลู่หาวพูดด้วยเสียงหัวเราะที่ขมขื่นว่า “คนที่เป็นพ่อคน สามารถช่วยได้เล็กน้อยก็ต้องช่วย กลัวแค่ว่าผมจะไม่สามารถช่วยเขาได้อีกแล้วในอนาคต”

ในเวลานี้ลู่เฟิงที่อยู่ข้างๆ เขายิ้มและพูดว่า “พี่ชาย พี่ก็ยังใจอ่อนเกินไป ลู่ฝานถ้าไม่ใช่เพราะไม่ขยันในการฝึกฝนและขี้เกียจจนเป็นนิสัย ก็คือเขาขาดพรสวรรค์ โง่เขลาและดื้อรั้น มันไม่ใช่ยาของพี่เพียงเม็ดเดียวก็จะสามารถชดเชยมันได้หรอก”

ลู่หาวขมวดคิ้ว อยากจะโต้กลับ

ในเวลานี้ลู่หาวโบกมือห้ามไม่ให้ทั้งสองคนพูดคุย และพูดว่า “ลูกหลานมีพรของลูกหลานเอง ถ้าเขาทำไม่ได้จริงๆ ออกห่างจากตระกูลก็เป็นเรื่องดีเหมือนกัน อย่างน้อยอยู่ข้างนอกก็จะสามารถใช้ชีวิตแบบธรรมดาได้”

ลู่หาวพยักหน้าเบาๆ และหยุดพูด เขาไม่ได้บอกใครเลยว่า อันที่จริงยาเม็ดนั้นคุณปู่ของเขาเป็นคนมอบให้กับเขาเอง แม้ว่าจะเป็นรางวัลสำหรับการช่วยเหลือของเขาในการช่วยตระกูลแย่งตลาดใหญ่ได้แห่งหนึ่งในครั้งที่แล้ว ลู่หาวรู้ว่าลู่เฮ่าหรานก็คือตั้งใจจะช่วยลู่ฝานเช่นกัน อย่างไรก็ตาม คุณท่านก็ยังคงรักใคร่หลานชายของเขาอยู่ แม้ว่าหลานชายคนนี้ จะไม่ค่อยเอาไหนสักเท่าไหร่ก็ตาม

ด้านล่าง เหล่าลูกศิษย์ของตระกูลลู่ได้รับการทดสอบเกือบเสร็จแล้ว ในเวลานี้ก็มีเสียงร้องดังขึ้นมา

“ลู่เทียนกัง เดินขึ้นไปทดสอบ”

ลู่เทียนกังที่นั่งอยู่ถัดจากลู่หมิงกำหมัดของเขาแน่นและก้าวไปข้างหน้า กล้ามเนื้อของเขาโผล่ขึ้นมาทั้งร่างกาย และต่อยเข้าที่หินศิลาดำอย่างแรง

“แดนฝึกร่างชั้นห้า ระดับกลาง”

บนใบหน้าลู่เทียนกังเต็มไปด้วยความผิดหวัง เขายังไม่ถึงแดนฝึกร่างชั้นหก ผลลัพธ์นี้ค่อนข้างอันตราย แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร เมื่อถึงการแข่งขันในช่วงต่อไป ตัวเองก็แค่เอาชนะคนสองสามคนก็พอแล้ว

ลู่เทียนกังเดินลงมาอย่างช้าๆ และเสียงจากด้านบนก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง

“ลู่หมิง ขึ้นไปทดสอบ”

ทันใดนั้น ทุกคนต่างมุ่งความสนใจไปที่ลู่หมิง ลู่หมิงก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นใจ และทุบหมัดของเขาไปที่หินศิลาดำ

ไฟสว่างขึ้น แม้ว่าจะยังคงอยู่ที่แดนฝึกร่างชั้นแปด แต่ทุกคนก็สามารถเห็นได้ชัดเจนว่ารอยร้าวบนหินศิลาดำนั้นใหญ่กว่ารอยร้าวก่อนหน้าที่อยู่ในจัตุรัสอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าในหนึ่งเดือนที่ผ่านมาลู่หมิงก็ไม่ได้เสียเวลาเปล่าเลย

ด้านบน บนใบหน้าลู่เฟิงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม และยกแก้วของเขาให้ลู่หมิง

ลู่เฮ่าหรานก็ยิ้มขึ้นและกล่าวว่า “การฝึกฝนของลู่หมิงดีขึ้นเรื่อยๆ ลู่เฟิง รอให้ลู่หมิงกลับมาจากสถาบันในปีหน้า คาดว่าน่าจะพัฒนาถึงระดับพลังปราณได้แล้ว เมื่อถึงเวลานั้นอย่าลืมพาเขามาหาฉัน ฉันจะส่งมอบวิชากายทองไฟอาบของตระกูลให้แก่เขา”

รอยยิ้มบนใบหน้าของลู่เฟิงสดใสยิ่งขึ้น เขาโค้งคำนับและพูดว่า “ครับ ท่านพ่อ”

ลู่เฮ่าหรานยิ้มและพยักหน้า ถ้าไม่เกิดเหตุอื่น ลู่หมิงก็น่าจะเป็นทายาทรุ่นที่สามของตระกูลลู่ สิ่งเดียวที่ลู่เฮ่าหรานกังวลก็คือ ลู่หมิงเป็นคนใจร้อนไปเล็กน้อย ท่าทีโอ้อวด หยิ่งทะนงไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ ด้วยนิสัยเช่นนี้ สักวันก็ต้องเจอดีอย่างแน่นอน หวังว่าเขาจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้ในอนาคตเถอะ

ลู่หมิงเดินกลับอย่างรวดเร็ว ลูกศิษย์ของตระกูลลู่ยังคงส่งเสียงเชียร์ สำหรับพวกเขาแล้ว ลู่หมิงก็เป็นแบบอย่างของพวกเขา

“ลู่ฝาน ขึ้นไปทดสอบ”

อีกเสียงตะโกนก็ดังขึ้น และลู่ฝานก็ค่อยๆ ลุกขึ้น

ในที่สุด ช่วงเวลานี้ก็มาถึง

คนรอบข้างหันความสนใจมาที่ลู่ฝาน และทุกคนต่างก็แสดงรอยยิ้มประชดประชัน รอให้ลู่ฝานอับอายขายหน้าอีกครั้ง บางคนถึงกับถอนหายใจและส่ายหัว ไม่อยากดูเลย ในวันนี้ คาดว่ามันจะเป็นการทดสอบครั้งสุดท้ายของลู่ฝานแล้ว หลังจากผ่านวันนี้ไป ไอ้ขยะที่น่าสงสารคนนี้ก็จะถูกปล่อยตัวออกจากตระกูลไปแล้ว ต่อจากนี้ไปก็จะสามารถเป็นได้แค่บทบาทรองในตระกูลแล้วเท่านั้น

ลู่ฝานกำหมัดของเขา ยืนอยู่ข้างหน้าหินศิลาดำ

ลู่ฝานชกด้วยกำลังทั้งหมด ราวกับจะชกต่อยความเจ็บปวดตลอดหลายปีที่ผ่านมาให้พังทลายไปเลย

ด้วยเสียงอู้อี้ แสงของหินศิลาดำก็สว่างขึ้นมา

ตัวอักษรขนาดใหญ่หลายตัวนั้น ทันใดนั้นก็ได้ทำให้หัวใจของทุกคนที่อยู่ในสถานที่หยุดไปชั่วขณะ

“แดนฝึกร่างชั้นหก ระดับกลาง!”

ลู่ฝานกลั้นลมหายใจ ในตอนนี้เขาหวังเพียงว่าสัตว์ประหลาดตัวนี้จะตาบอด และไม่สามารถมองเห็นเขาได้

ทันใดนั้น สัตว์ประหลาดตัวหนึ่งก็เดินออกมาจากส่วนลึกของถ้ำ ในขณะที่เขาเห็นสัตว์ประหลาด ลู่ฝานก็ตกตะลึงไปเลย

ไม่ใช่ความสยองขวัญและความตกใจกับสัตว์ประหลาด แต่เป็นความประหลาดใจของ…….ความน่ารักของสัตว์ประหลาดตัวนี้

ลูกสุนัขที่ดูทุพพลภาพตัวน้อยเดินตัวตรงออกมา ขาหน้าสองข้างสั้นเล็กน้อย และตาโตคู่หนึ่งกะพริบๆ

ลู่ฝานตกตะลึงชั่วขณะ สัตว์ที่ดูเหมือนไม่มีพิษภัยตัวนี้ ดูยังไงก็ไม่เหมือนสัตว์ประหลาดเลย

ด้วยการถอนหายใจเล็กน้อย ลู่ฝานเริ่มจดจ่อกับการย่อยพลังยาของดอกไม้ทิพย์ดินในร่างกายของเขา

ลูกสุนัขเดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ และใบไม้ของดอกไม้ทิพย์ดิน ก็ห่อตัวด้วยใบไม้ราวกับเห็นคนรู้จักที่คุ้นเคย

แสงจุดเล็กน้อยส่องเข้าไปในร่างกายของลูกสุนัข และลูกสุนัขก็ส่งเสียงที่สบาย แต่ไม่นาน แสงก็ดับลง ลูกสุนัขถึงเห็นดอกของดอกไม้ทิพย์ดินหายไปแล้ว ทันใดนั้นลูกสุนัขก็โกรธเล็กน้อย และยิ้มแสยะให้ลู่ฝาน เผยให้เห็นเขี้ยวที่ยังไม่ค่อยสมบูรณ์

วิ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ลูกสุนัขยืนตัวตรงราวกับมนุษย์ แล้วอ้าปากจะกัดข้อมือของลู่ฝาน

ลู่ฝานมองดูลูกสุนัขกัดเขา แต่ไม่กล้าขยับตัว

เลือดก็หลั่งไหลออกมา และในใจของลู่ฝานก็วิตกกังวลอย่างยิ่ง

ไอ้บ้าเอ๊ย ถ้าตายอยู่ในปากของสัตว์ประหลาดที่มีพลังจริงมันก็ว่าไปอย่าง แต่ถ้าตายอยู่ในปากของลูกสุนัขตัวหนึ่ง หลังจากตายไปแล้วก็จะไม่มีหน้าไปพบกับผีเลย

ในเวลานั้นเอง พลังที่รุนแรงจากเดิมที่อยู่ในร่างกายของลู่ฝาน ในขณะนี้ก็สงบลงอย่างกะทันหัน จากนั้นก็ไหลออกมาจากข้อมือพร้อมกับเลือดของเขา

ตัวของลูกสุนัขฉายแสง ราวกับดูดซับพลังยาที่เขาหลั่งออกมา

ในไม่นาน ลูกสุนัขก็ดูเหมือนจะอิ่ม และปล่อยไป มันยิ้มแสยะให้ลู่ฝาน แล้วรีบวิ่งเข้าไปในส่วนลึกของถ้ำ

ลู่ฝานไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือหัวเราะดี

เขาถูกคุกคามจากลูกสุนัขลึกลับตัวหนึ่ง แต่ลูกสุนัขตัวนี้กลับช่วยแก้ปัญหาใหญ่ให้กับเขา

พลังส่วนเกินในร่างกายถูกลูกสุนัขดูดออกไป และพลังยาที่เหลืออยู่ก็ไม่เพียงพอที่จะคุกคามลู่ฝานอีกต่อไป

ลู่ฝานนั่งอยู่กับที่อย่างเงียบๆ รอให้ร่างกายของเขาดูดซับพลังยาอย่างช้าๆ

การหายใจค่อยๆ คงที่ ลู่ฝานหลับตาลง และเข้าสู่การทำสมาธิในวิชาบู๊ ในเวลานี้แสงริบหรี่ ซึ่งเดิมเป็นของดอกไม้ทิพย์ดินก็ปรากฏขึ้นบนร่างกายเขาเช่นกัน

การนั่งสมาธิในครั้งนี้ ผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งวันหนึ่งคืนเลยทีเดียว

เมื่อลู่ฝานลืมตาขึ้นอีกครั้ง ก็มีแสงเฉียบคมแวบเข้ามาในดวงตาของเขา

ด้วยการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย ร่างกายก็ส่งเสียงเหมือนถั่วกำลังแตก

ลู่ฝานขยับแขน ตะโกนเสียงดัง และชกต่อยไปที่กำแพง

หมัดถล่มเขา!

เสียงอู้อี้ดังไปทั่วถ้ำ และมีรอยแตกลายปรากฏขึ้นที่ผนังเบื้องหน้าเขา ตามด้วยเสียงแตกของเศษหินนับไม่ถ้วน และหลุมลึกก็ปรากฏขึ้น

ลู่ฝานมองดูฉากนี้ด้วยรอยยิ้ม และดูเหมือนว่า หมัดถล่มเขาของเขาถือได้ว่าประสบความสำเร็จระยะรู้ความ

และความแข็งแกร่งของเขา ดูเหมือนจะก้าวหน้าไปมาก คาดว่าแม้ว่าจะไม่ใช่แดนฝึกร่างชั้นหก แต่ก็อยู่ไม่ไกลมากนัก ในหนึ่งเดือนได้ขึ้นขั้นสามระดับติดต่อกัน ด้วยความเร็วเช่นนี้ และแม้แต่ลู่หมิงผู้ที่มีพรสวรรค์ที่สุดในตระกูลของเขาก็ยังไม่สามารถตามให้ทันความเร็วนี้ได้

ทันใดนั้น ลู่ฝานได้กลิ่นเหม็น ดมอย่างระมัดระวัง แต่กลับพบว่ากลิ่นเหม็นนั้นมาจากร่างกายของเขาจริงๆ

โอเค เขาไม่ได้อาบน้ำมาหลายวันแล้วจริงๆ

เดินออกจากถ้ำอย่างรวดเร็ว ลู่ฝานหยิบหิมะหนึ่งกำมือมาเช็ดบนร่างกายของเขา

ตอนนี้การฝึกฝนเสร็จสิ้นแล้ว ได้เวลากลับไปแล้ว

บีบกำปั้นของเขา ไอ้ขยะงั้นเหรอ?

เทศกาลเซ่นไหว้ประจำปีปีนี้จะทำให้พวกคุณเซอร์ไพรส์สุดๆ ไปเลย ฉันอยากคอยดูว่าใครจะสามารถไล่ฉันออกไปได้!

หลังคำรามยาวๆ ลู่ฝานก็เริ่มวิ่งเข้าไปในป่า และร่างของเขาก็หายไป

และหลังจากที่เขาวิ่งออกไปไกล ลูกสุนัขตัวหนึ่งก็คลานออกมาจากถ้ำ มองไปรอบๆ และเงยศีรษะอีกครั้ง

……

ไม่กี่วันต่อมา ณ ตระกูลลู่ เมืองเจียงหลิน

จัดแต่งและแขวนโคมไฟ เสียงกลองและเสียงดนตรีดังไปทั่ว และช่วงเวลาแห่งวันสิ้นปีก็ได้กลับมาอีกครั้ง และทุกๆ บ้านก็ได้เปลี่ยนรูปลักษณ์ใหม่

สำหรับประชาชนในประเทศหวู่อันแล้ว ไม่มีเทศกาลใดที่สำคัญไปกว่าวันขึ้นปีใหม่ ทุกคนต่างจะเฉลิมฉลองในวันนี้ และบนถนนก็เต็มไปด้วยความสุข

ตระกูลใหญ่อย่างตระกูลลู่ยิ่งได้จัดงานเลี้ยงมาตั้งแต่สองวันก่อน เพื่อเลี้ยงแขกรับเชิญ ไม่ว่าจะรวยหรือจน ตราบใดที่มาตระกูลลู่ ก็จะมีอะไรให้กิน และนี่ก็เป็นประเพณีของตระกูลลู่

ในวันนี้เป็นวันสุดท้ายของวันขึ้นปีใหม่ ในค่ำคืนแห่งปีนี้มีงานที่สำคัญที่สุดในวันขึ้นปีใหม่ เทศกาลเซ่นไหว้ จุดประสงค์หลักคือการขอพรให้ทุกอย่างในปีหน้าราบรื่น พืชผลดี และกิจการรุ่งเรือง

และในเทศกาลไหว้นั้น ลูกศิษย์ทุกคนในตระกูลลู่ต่างจะต้องทำการทดสอบอีกรอบ เพื่อดูความก้าวหน้าในปีที่ผ่านมาว่าเป็นอย่างไร

เมื่อมาถึงในวันนี้ หัวหน้าแห่งตระกูลลู่ ซึ่งก็คือคุณปู่ของลู่หมิง ลู่เฮ่าหรานก็จะเข้าร่วม และมอบรางวัลให้กับเหล่าลูกศิษย์ของตระกูลลู่ที่ทำทำผลงานได้ดี

เดิมทีเมื่อถึงเวลานี้ ลู่ฝานก็จะกลายเป็นคนที่ถูกทุกคนหัวเราะเยาะ และก็ถูกลืมไว้ที่มุม และกลับไปเฉลิมฉลองเทศกาลที่ห้องของเขาคนเดียว

แต่ในปีนี้เห็นได้ชัดว่าคงไม่ใช่อย่างนั้นแล้ว ลู่ฝานนั่งอยู่ในงานเลี้ยง กำลังชมการแสดงเต้นรำที่ยังคงดำเนินต่อไป ดื่มเหล้าเล็กน้อย อารมณ์ค่อนข้างจะดี ผ่อนคลายและมีความสุขมาก

ดูเหมือนว่าปีใหม่ ก็เป็นเรื่องที่สนุกมากเหมือนกันเลยทีเดียว?

หมัดถล่มเขากล่าวกันว่าเป็นทักษะวิชาบู๊หนึ่งชุด ที่มีท่าที่ซับซ้อน แต่ลู่ฝานกลับค่อยๆ เข้าใจมัน หลังจากฝึกฝนมากว่าครึ่งเดือนแล้ว

อันที่จริงหมัดถล่มเขานั้นก็มีแค่ท่าเดียว ซึ่งจะเป็นท่าที่เพิ่มพลังให้สูงสุดกะทันหันและปล่อยมันออกมา

ท่วงท่าต่างๆ ที่กล่าวถึงนั้น ล้วนเป็นเพราะจะทำให้เขาปรับตัวเข้ากับวิธีการที่แตกต่างกัน เวลาที่แตกต่างกัน และมุมที่แตกต่างกันเพื่อชกต่อยหมัดที่มีแรงระเบิดนี้ออกไป

หลังจากที่คลำหามานาน ลู่ฝานก็พบหนทางแล้ว และหมัดที่ชกต่อยออกไปเมื่อกี้นี้ก็ถือเป็นข้อพิสูจน์แล้ว

ความยากลำบากที่เขาได้รับมาหลายวันนี้มันไม่ได้สูญเปล่า ลู่ฝานเก็บก้อนหินกลับมาและมองอย่างระมัดระวัง ดูเหมือนว่าผลลัพธ์จะยังคงแย่ไปเล็กน้อย ตามในหนังสือกล่าวว่า ระยะรู้ความควรจะเป็นแบบชกไปหมัดเดียวก็จะทำให้หินแตกกระจายไปทุกที่ถึงจะถูก นี่เขาก็แค่ทุบให้แบ่งมันออกเป็นสองท่อนเท่านั้น และดูเหมือนว่ายังคงไม่ได้ แต่เขากลับไม่คาดคิดเลยว่าทักษะวิชาบู๊ที่มีระดับคนชั้นสูง มักจะได้รับการฝึกฝนโดยผู้ที่ฝึกฝนพลังปราณ คนอย่างเขาเพียงแค่ระดับแดนฝึกร่างชั้นห้าจะสามารถบรรลุผลดังกล่าวได้ด้วยหมัดเดียว แล้วก็ถือได้ว่าเป็นระดับมากกว่าระยะรู้ความแล้ว

ลู่ฝานขมวดคิ้ว หันไปมองหาหินก้อนอื่น หลายวันที่ผ่านมานี้ เขาได้ทุบตีก้อนหินแตกไปเยอะมาก เพียงแต่ต่อหน้าเขามีแต่หินแตกเต็มไปถ้วนทั่ว เพราะถูกทุบตีมาเป็นเวลานาน และไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไป และพวกนี้ เขาทุบตีแค่ไม่ถึงวันเลย

ก่อนเดินไปที่หน้าผา มีเศษหินอยู่มากมายอยู่ที่นี่ ลู่ฝานมองหาหินที่เหมาะสมกับการฝึกฝนของเขาอยู่ที่นี่

เมื่อมองหารอบๆ ลู่ฝานพบว่าการที่จะหาก้อนหินที่สูงเท่าคนคนหนึ่งนั้นค่อนข้างยากพอสมควรนัก และดูเหมือนว่าจะถูกเขาทุบทิ้งหมดแล้ว ก้อนหินที่อยู่ในที่นี้ ไม่ใช่ว่าจะมีขนาดใหญ่เกินไป และไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้เลย หรือไม่ก็เล็กเกินไป และนำกลับไปแล้วก็สามารถโยนเล่นได้เท่านั้น

หลังเดินไปได้รอบหนึ่ง ในที่สุดลู่ฝานก็พบหินก้อนหนึ่งที่เขาพอใจและอยู่ติดกับหน้าผา

เมื่อเอื้อมมือออกไปเคลื่อนย้าย ลู่ฝานพบว่าหินก้อนนั้นใหญ่กว่าที่เขาคิดอีก และเมื่อเขายกมันขึ้นอย่างแรง เขาก็ดึงหินทั้งก้อนออกมา

แต่ในขณะที่เขาดึงก้อนหินออกมา ลู่ฝานก็เห็นหลุมดำแห่งหนึ่ง

ลู่ฝานเริ่มเกิดความสงสัย วางหินไว้ข้างๆ ก่อน แล้วก็เดินเข้าไปข้างใน

ดูเหมือนว่าหลุมดำนั้นค่อนข้างจะลึก และยิ่งเดินเข้าไปข้างในมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกกว้างขวางมากขึ้นเท่านั้น ภายในถ้ำก็วูบวาบราวกับเทียนไขที่ปลิวไสวไปตามสายลม ไม่รู้ว่าแสงมาจากไหน

ในขณะนั้น ทันใดนั้น จู่ๆ ลู่ฝานก็เห็นพืชที่พร่างพรายหนึ่งต้น ร่างกายทั้งหมดเป็นสีเงิน ใบไม้แผ่กระจายเหมือนเครื่องจักสาน และมีดอกไม้สีขาวเงินขนาดเล็กอยู่ตรงกลาง

ดอกไม้ทิพย์ดิน!

ลู่ฝานจำมันได้ มันคือยาวิเศษ ดอกไม้ทิพย์ดิน

ลู่ฝานก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ด้วยความดีใจ

เมื่อมองดูดอกไม้ทิพย์ดินอย่างใกล้ชิด ลู่ฝานก็มั่นใจมากขึ้นว่ามันคือยาวิเศษอย่างไม่ต้องสงสัย ยาสมุนไพรแบ่งออกเป็นเก้าระดับ ระดับที่สี่ขึ้นไปจะถูกเรียกว่ายาวิเศษ และคุณสมบัติที่ใหญ่ที่สุดของยาวิเศษก็คือมันมีจิตมาก เมื่อมีคนหรือสัตว์เข้ามาใกล้ มันก็จะตอบสนอง

ทันทีที่ลู่ฝานเดินไปที่ข้างดอกไม้ทิพย์ดิน ดอกไม้ทิพย์ดินทั้งต้นก็ม้วนตัวขึ้น ใบไม้ก็ห่อหุ้มดอกไม้ไว้อย่างแน่นหนา

บนใบหน้าของลู่ฝานเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ยาวิเศษด้านเดียวก็จะสามารถพูดได้ว่ามีค่ามหาศาลแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดคือ ยาวิเศษมีประโยชน์อย่างมากสำหรับนักบู๊ เช่นเดียวกับดอกไม้ทิพย์ดินที่อยู่ข้างหน้า มันถูกบันทึกไว้ในหนังสือว่า การกลืนมันลงไป สามารถปรับปรุงความสามารถในการฟื้นฟูร่างกายของนักบู๊ได้

แม้แต่ในหมู่ยาวิเศษ ดอกไม้ทิพย์ดินก็มีระดับที่สูงมาก ไม่ใช่การพูดเกินจริงที่จะถือเป็นยาสมุนไพรระดับหก ยาสมุนไพรชนิดนี้หากถูกนำไปประมูลในการประมูล และราคาก็ไม่น้อยไปกว่าเม็ดยาเลยทีเดียว

ในวันนี้เขาโชคดีเหลือเกิน ที่ได้พบมันอยู่ที่นี่

ลู่ฝานก้าวไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง ลอกใบของดอกไม้ทิพย์ดินออกแล้ว ถอดดอกไม้ออก

ทันทีที่เขาถอดดอกไม้ ใบไม้ของดอกไม้ทิพย์ดินก็กระจายออกอย่างรวดเร็ว ลู่ฝานไม่ได้ถอนรากของมันออกด้วย สมบัติที่ส่งมาจากสวรรค์เช่นนี้ คุณแค่ได้ใช้ประโยชน์จากมันก็พอแล้ว การทำลายรากนั้นเป็นข้อห้าม มันผิดต่อฟ้าดิน และถูกชาวโลกรังเกียจ ทิ้งรากฐานไว้ บางทีในอีกสิบสิบปี ดอกไม้ทิพย์ดินก็จะเติบโตขึ้นมาอีกต้นก็เป็นไปได้

ลู่ฝานนั่งสมาธิ และกลืนดอกไม้ลงไปในอึกเดียว

ยาสมุนไพรอันล้ำค่าเช่นนี้ เขาคงไม่คิดที่จะนำออกไปขายหรอก กินมันด้วยตัวเองจะดีกว่า

เมื่อดอกไม้เข้าไปในท้องของเขา ลู่ฝานก็รู้สึกได้ถึงแรงเย็นที่พุ่งออกมาจากท้องของเขา แล้วพุ่งไปที่แขนขาและทั่วร่างของเขาราวกับกระแสน้ำเชี่ยวกราก

ทั้งร่างกายสั่นสะเทือนกะทันหัน ลู่ฝานยังคงประเมินพลังการรักษาที่มีอยู่ในยาวิเศษต่ำไป แรงที่รุนแรงกำลังชำระล้างร่างกายของเขา และลู่ฝานก็รู้สึกว่าผิวหนังของเขาเริ่มมีเลือดซึมออกมา

ลู่ฝานกัดฟัน รู้สึกราวกับว่าตัวเองด่วนสรุปไปเล็กน้อย เขาคิดว่าสมุนไพรทั้งหมดสามารถย่อยได้ดี เหมือนกับการกินยาเม็ด แต่ไม่เคยคิดมาก่อนว่า ถ้ามันสามารถถูกย่อยอย่างสงบเหมือนยาเม็ด งั้นยังจะต้องมีผู้ฝึกชี่มาเพื่ออะไร

ในทันที ลู่ฝานก็ตกอยู่ในภาวะวิกฤติ ถ้าเขาไม่สามารถแยกแยะพลังที่รุนแรงนี้ได้ สิ่งที่รอเขาอยู่นั่นก็คือการตายเพราะร่างกายระเบิดที่ได้รับจากพลังผลของยา ทันใดนั้นลู่ฝานก็รู้สึกได้ถึงคลื่นความร้อนที่พัดมาต่อหน้าตัวเอง

เห็นได้ชัดว่าคลื่นความร้อนนี้ไม่ใช่ลมแห่งธรรมชาติ แต่กลับเหมือนว่ามีใครบางคนเป่าลมใส่ใบหน้าของเขา

ลู่ฝานตึงไปทั้งทั่วร่างกาย แต่กลับไม่สามารถยืนขึ้นมาได้ เนื่องจากเขาเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย พลังยาในร่างกายของเขาก็จะรุนแรงมากยิ่งขึ้น

เหงื่อหยดลงมาจากบนหน้าผากของลู่ฝาน และเขาก็ได้มองเห็นเงาของสัตว์ประหลาดตัวหนึ่ง ปรากฏขึ้นอยู่ในแสงที่ริบหรี่

บ้าเอ๊ย ไม่ใช่ว่าพบกับสัตว์ร้ายเข้าแล้วเหรอ

ฝ่ามือของลู่ฝานเริ่มมีเหงื่อออก และในที่สุดเขาก็รู้ว่าหลุมนี้ใช้ทำอะไร ปรากฎว่าหินที่เขาได้เอาออกไปเมื่อกี้นั้นเป็นประตูของคนอื่นเขา

สัตว์ประหลาดอาศัยอยู่ที่นี่ตัวหนึ่ง ไม่มีใครรู้เลยงั้นเหรอ เหล่าตระกูลในเมืองเจียงหลินต่างจะส่งนักบู๊มากวาดล้างในทุกๆ ปีไม่ใช่หรอกหรือ?

ทำไมไม่มีใครค้นพบที่นี่!

เงาของสัตว์ประหลาดกำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ และดูเหมือนว่ามันกำลังจะปรากฏตัวขึ้นในไม่ช้าแล้ว

ลู่ฝานเป็นกังวล และพลังที่รุนแรงในร่างกายของเขาก็ยิ่งปั่นป่วนมากขึ้น

หรือว่าในวันนี้เขาถูกลิขิตไว้ต้องตายอยู่ที่นี่แล้วหรือ?

เขารู้สึกไม่เต็มใจ!

นอกเมืองเจียงหลิน ซีซาน

หิมะปกคลุมภูเขา และปกคลุมกิ่งก้าน

เสียงอู้อี้มาจากกลางภูเขา อย่างต่อเนื่อง ต่อหน้าหินเหล็กขนาดใหญ่ ลู่ฝานไม่ได้สวมใส่เสื้อผ้า และชกหมัดออกไปอย่างรวดเร็ว ทุบกระแทกจนหินเหล็กมีรอยบุบต่อต่อกัน

แขนของเขาเต็มไปด้วยเลือดสด และพื้นก็เป็นสีแดง

แขนทั้งแขนของเขาบวมไปทั้งหมด ตอนแรกยังจะมีความรู้สึกเจ็บปวดอยู่บ้าง แต่ตอนนี้มันชาไปอย่างสมบูรณ์แล้ว และลู่ฝานแทบจะไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ของแขนเลยทีเดียว เพียงแค่พยายามฝึกฝนหมัดถล่มเขาอย่างสุดชีวิต

ข้างๆ นั้น มีกองหญ้าเปลวเพลิงและกองเสื้อผ้าวางอยู่ เครื่องมือ และอาหารที่ถูกแช่แข็งดั่งก้อนน้ำแข็ง

ลู่ฝานได้ฝึกฝนอยู่ที่นี่มาหลายชั่วโมงแล้ว หมัดถล่มเขานี้ฝึกง่ายกว่าที่เขาคิดไว้ นอกเหนือจากความเจ็บปวดจากการทุบตีก้อนหินด้วยแขนของเขาแล้ว เขายังค่อยๆ รับรู้ถึงท่าทีและการออกแรงมากยิ่งขึ้นเล็กน้อย

ในที่สุด หลังจากที่เขาหมดเรี่ยวแรง ลู่ฝานถึงหยุดลง

แขนทั้งสองข้างแทบจะขยับไม่ได้ ลู่ฝานรู้สึกเพียงว่าแขนของตัวเองหักไปบางส่วนแล้ว ดูเหมือนเขาจะได้ยินเสียงกระดูกแตกหัก

กัดหญ้าเปลวเพลิงขึ้นมาด้วยปากของเขา หลังจากเคี้ยวไปไม่กี่ครั้งเขาก็กลืนมันลงไปในท้อง

ในไม่ช้า ลู่ฝานก็เห็นร่างกายของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดง ราวกับว่ามันกำลังจะเผาไหม้ นี่เป็นช่วงที่พลังยาเริ่มเกิดผล และลู่ฝานก็รู้สึกว่าความแข็งแกร่งของเขากำลังฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว

เพียงเท่านี้มันก็ยังคงไม่เพียงพอหรอก การรับประทานหญ้าเปลวเพลิง เป็นเพียงวิธีการรักษาทั่วไป แต่การฝึกหมัดถล่มเขานั้น ไม่เพียงแต่จะต้องรับประทานเท่านั้น แต่ยังต้องนำมาประยุกต์ใช้ภายนอกอีกด้วย

รู้สึกว่าแขนของตัวเองเกือบจะขยับไม่ได้แล้ว ลู่ฝานหยิบเครื่องมือที่เขาเตรียมไว้ออกมาแล้วบดหญ้าเปลวเพลิงรากเป็นสีขาวให้เป็นผง จากนั้นก็ทาที่แขนของตัวเอง

ขณะที่ผงแป้งสัมผัสบาดแผลบนแขนของเขา ลู่ฝานก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่แทงใจมาจากแขนของเขา

ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงทำให้ใบหน้าของลู่ฝานเริ่มกระตุก ความเจ็บปวดเช่นนี้ มันก็เหมือนกับว่าแขนของเขาถูกไฟไหม้ ลู่ฝานกัดฟัน และพูดกับตัวเองอย่างต่อเนื่องว่า เขาทำได้ และเขาสามารถอดทนไหวได้

ทีละเล็กทีละน้อย เขากระจายผงแป้งอย่างสม่ำเสมอ และลู่ฝานก็เห็นว่าแขนของตัวเองเริ่มฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว

ต้องบอกว่า ผลลัพธ์ของหญ้าเปลวเพลิงรากสีขาวนั้นน่าทึ่งมาก และสามารถปรับปรุงความเร็วในการฝึกฝนได้จริงๆ

ความเจ็บปวดทำให้ลู่ฝานอยากจะระบายออกมาด้วยการคำรามออกอย่างอดไม่ไหว อดทนไว้ ลู่ฝานยังคงฝึกฝนต่อไป

แต่เมื่อหมัดของเขากระแทกลงหินอีกครั้ง เขาก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดอีกแบบหนึ่ง การซ้อนทับของความเจ็บปวดทั้งสองแบบ เกือบจะทำให้เขาเป็นลมไปเลย

ลู่ฝานด่าออกมาอย่างเสียงดัง และการฝึกฝนมานานกว่าสิบปี ก็ได้หายไปในทันที

ในขณะที่ด่าไปด้วย ลู่ฝานยังคงฝึกฝนต่อไป เพราะนี่คือเวลาที่ดีที่สุดในการฝึกหมัดถล่มเขา ตามคำกล่าวจากหนังสือ การฝึกฝนในเวลานี้สามารถช่วยให้พลังของยาซึมซับเข้าสู่ร่างกายได้ดียิ่งขึ้น

อันที่จริง การฝึกหมัดถล่มเขาที่พูดถึงนั้น ก็คือการทำลายมือและแขนของตนก่อน แล้วจึงแปรสภาพด้วยการใช้หญ้าเปลวเพลิงภายนอกและรับประทานเข้าสู่ภายใน และสุดท้ายก็พัฒนาหมัดเหล็กและแขนเหล็กที่สามารถถล่มหินและภูเขาด้วยหมัดเดียวได้

แม้ว่าลู่ฝานได้เตรียมใจไว้แล้วว่าการฝึกหมัดถล่มเขานี้เป็นเรื่องที่เจ็บปวดอย่างมาก แต่เขากลับไม่เคยคิดว่ามันจะเจ็บปวดจนถึงขนาดนี้

แต่สิ่งที่ได้ตัดสินใจไปแล้ว เขาก็จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงแน่นอน

เพื่อประหยัดเวลาในการฝึกฝน แม้กระทั่งเขายังได้ห่ออาหาร เครื่องมือ และเสื้อผ้ามาเพียงพอ และวางแผนที่จะอยู่ในเขาซีซานแห่งนี้เป็นเวลาประมาณยี่สิบวัน จนกว่าเขาจะฝึกฝนจนเป็นหมัดถล่มเขาได้

เสียงก่นด่าที่โกรธเคืองยังคงดังอยู่ในหุบเขา และลู่ฝานเริ่มฝึกฝนก็หลายชั่วโมงเลยทีเดียว

พระอาทิตย์ลับขอบฟ้า ยามพลบค่ำปกคลุมทั่วท้องฟ้า และท้องฟ้าก็เริ่มมีหิมะตกลงมาอีกครั้ง

จนกว่าจะยกแขนไม่ขึ้นมาอีกต่อไป ลู่ฝานถึงจะหยุดลง

ป่าภูเขาในตอนกลางคืน ช่างอ้างว้างและหนาวเหน็บ ลู่ฝานไปเก็บกิ่งไม้มาด้วยขาของเขา จากนั้นก็ใช้หินเหล็กไฟ และใช้เท้าของเขาจุดไฟให้กับตัวเอง

อาหารที่ย่างสุกและเย็นแล้ว ลู่ฝานกินคนเดียวอย่างเงียบๆ อยู่ในถ้ำ

นี่คือเหตุผลที่เขาเลือกที่แห่งนี้เป็นสนามฝึกฝน ก็เพราะว่าที่นี่มีถ้ำที่สามารถให้เขาพักผ่อนได้

เมื่อถึงกลางดึก ลู่ฝานรู้สึกว่ามือของเขาสามารถขยับได้แล้ว และเขาก็เอาผงแป้งมาทาตัวเล็กน้อย ด้วยอาการปวดแสบปวดร้อน พิงกับกำแพงหินแล้วพักผ่อน

วันเวลาแห่งการฝึกฝนนั้นมักยากลำบากเสมอ ลู่ฝานจ้องไปที่หิมะข้างนอก ไม่สามารถหลับไปได้

ในอีกยี่สิบกว่าวันต่อมา ลู่ฝานถูกแช่อยู่ในสภาวะการฝึกฝน

ยี่สิบกว่าวันที่ผ่านมานี้ ลู่ฝานเคยชินกับแขนเปื้อนเลือดที่เขาฝึกในทุกวัน และก็เคยชินกับความเจ็บปวดอันสาหัสจากการฝึกฝนต่อไปหลังจากทายาผงแป้ง

จากที่ทายาผงแล้วนอนไม่หลับ จนนอนหลับได้หลังจากทายาผงแล้ว ลู่ฝานก็รู้สึกว่าตัวเองแข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งไปกว่าเดิม อีกอย่าง หลังจากฝึกฝนอย่างเข้มข้นมากว่ายี่สิบวันติดต่อกัน ลู่ฝานรู้สึกว่าร่างกายของตัวเองก็มีความก้าวหน้าอย่างมากเช่นกัน และเขาก็รู้สึกว่าความแข็งแกร่งของตัวเองนั้นแข็งแกร่งขึ้นทุกวัน

ทักษะการชกมวยก้าวหน้าราวกับบินได้ และลู่ฝานเปลี่ยนรูปแบบการต่อสู้ทุกรูปแบบเพื่อทำลายหินเหล็กที่อยู่ตรงหน้าเขา หินเหล็กเดิมที่ไม่มีรอยบุบ เต็มไปด้วยรอยร้าวจากการที่ถูกเขาทุบตี

ทันใดนั้น ลู่ฝานก็หยุดการเคลื่อนไหว จากนั้นเขาก็ออกแรงจากช่วงเอวของเขา และหมัดของเขากระแทกเข้ากับหินเหล็ก ด้วยเสียงของลมที่พัดผ่าน

ด้วยเสียงที่ดังบูม หินเหล็กที่สูงเท่าคนถูกกระแทกจนบินออกไป แยกออกเป็นสองส่วนอยู่ในกลางอากาศ

ลู่ฝานยิ้มให้กับฉากนี้ แล้วมองไปที่แขนสีแดงของเขา ดูเหมือนว่าเขาได้รับผลลัพธ์จากการฝึกฝนแล้ว

กำลังมีความสุขอย่างแอบๆ และทันใดนั้นร่างของเขาก็ถูกใครบางคนชน เมื่อหันไปมอง ก็เห็นชายหนุ่มในชุดนักบู๊เข้ามาในสายตา

ชายผู้นี้ดูอายุพอๆ กับลู่ฝาน ด้วยใบหน้าสี่เหลี่ยม และรูปร่างที่แข็งแรง ชุดนักบู๊สีน้ำเงินมีโลโก้อันเป็นเอกลักษณ์ของสถาบันสอนวิชาบู๊ เห็นได้ชัดว่าคนคนนี้ภูมิใจที่ตัวเองได้เป็นนักเรียนของสถาบันสอนวิชาบู๊

ลู่ฝานก็จำได้แล้วว่า เขาเป็นลูกคุณชายคนเล็กของตระกูลโม่ ซึ่งเป็นตระกูลศิลปะการต่อสู้อันดับหนึ่งของเมืองเจียงหลิน โม่หยุนเฟย

“เฮ้ นี่ไม่ใช่ลู่ฝานไอ้ขยะของตระกูลลู่หรือ? ทำไม ตื่นแต่เช้าเพื่อมาช่วยครอบครัวซื้อยาสมุนไพรเหรอ นายไม่ใช่ควรไปขุดสมุนไพรที่เขาซีซานเหรอ?”

โม่หยุนเฟยหัวเราะอย่างมีความสุข และคนรับใช้ซึ่งติดตามอยู่ข้างหลังเขาก็หัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน

เอื้อมมือออกไป โม่หยุนเฟยหยิบหญ้าเปลวเพลิงไปสองต้นจากแขนของลู่ฝาน ลู่ฝานคว้ามันกลับมาแล้วพูดว่า “คุณชายโม่ คุณก็เดินเที่ยวของคุณไป เราจะไม่มายุ่งเกี่ยวกัน ลาก่อน”

หลังจากพูดแล้ว ลู่ฝานก็เตรียมที่จะจากไป

คนรับใช้หลายคนที่ติดตามอยู่ข้างหลังโม่หยุนเฟยขวางทางลู่ฝาน โม่หยุนเฟยมองดูลู่ฝานจากหัวจรดเท้าและพูดว่า “แค่ไม่ได้เจอไม่กี่วัน แข็งกล้าขึ้นมาแล้วงั้นเหรอ? แม้แต่ลู่หมิงอยู่ต่อหน้าข้า ก็ยังไม่กล้าหยิ่งผยองเลย นายกล้าดียังไง?”

ลู่ฝานกล่าวว่า “คุณชายโม่ คำพูดประโยคนี้ของคุณ ควรไปพูดกับลู่หมิง”

โม่หยุนเฟยยิ้ม ปรบมือเบาๆ แล้วพูดว่า “พูดได้ดีมาก ฉันจะหาโอกาสสั่งสอนเขาให้สาสมไปเลย ดูว่าตระกูลลู่ของพวกนายสิ ไอ้ขยะอย่างนายยังเลี้ยงไว้ได้ แบบนี้ยังอยากจะมาเปรียบเทียบกับตระกูลโม่ของเรางั้นเหรอ มันไม่ได้แค่แย่ไปเล็กน้อยเลยทีเดียว”

เมื่อพูดอย่างนั้น โม่หยุนเฟยก็เหยียดฝ่ามือออกมาและปัดกระจายยาสมุนไพรในมือของลู่ฝานลงไปที่พื้น

ลู่ฝานกำหมัดด้วยความโกรธในดวงตาของเขา สมองของเขาบอกให้เขาต้องสงบสติ อย่างน้อยโม่หยุนเฟยก็เป็นนักบู๊ แดนฝึกร่างชั้นแปดที่เก้า และเขาไม่สามารถเป็นคู่ต่อสู้ได้อย่างแน่นอน

ลู่ฝานบังคับสงบสติอารมณ์ของตัวเอง ก้มตัวลง และไปเก็บหญ้าเปลวเพลิงขึ้นมาจากบนพื้นทีละน้อย

โม่หยุนเฟยยืนดูอยู่ข้างๆ หัวเราะไม่หยุด และก็ยังหัวเราะเยาะอย่างต่อเนื่อง

คนอื่นๆ บนถนนก็มองมาทางนี้เช่นกัน และเป็นไปไม่ได้ที่จะมีคนช่วยลู่ฝานเลย

เหตุผลง่ายมาก คนหนึ่งเป็นคุณชายคนโตของตระกูลโม่ และอีกคนคือลู่ฝานไอ้ขยะของตระกูลลู่อันมีชื่อเสียง เมื่อเห็นโม่หยุนเฟยใช้ล้อเล่นกับลู่ฝาน หลายคนก็หัวเราะด้วยกัน

“ดูลู่ฝานนั่นสิ เขาดูเหมือนสุนัขตัวหนึ่งหรือไม่”

“ไอ้ขยะมีแต่จะถูกรังแกเท่านั้น ลูกชาย ลูกเห็นหรือไม่? ลูกต้องรู้จักแข็งแกร่งในอนาคต แต่ลูกจะเป็นเหมือนหลู่ฝานคนนั้นไม่ได้”

“มันน่าอับอายจริงๆ ทำไมตระกูลลู่ไม่ขังเขาไว้ ยังปล่อยให้เขาไปไหนมาไหนได้ อยากจะขายหน้าตระกูลลู่เสียไปจริงๆ งั้นเหรอ?”

……

ลู่ฝานเก็บหญ้าเปลวเพลิงทั้งหมดขึ้นมา มองขึ้นไปที่โม่หยุนเฟยแล้วพูดว่า “ผมจะไปได้หรือยัง?”

เห็นได้ชัดว่าโม่หยุนเฟยสนุกพอแล้ว และไม่มีปัญหาที่จะล้อเล่นกับลู่ฝาน แต่โม่หยุนเฟยไม่เคยคิดว่า จะทำอะไรจริงๆ กับลู่ฝาน

เพราะยังไง ลู่ฝานก็เป็นสมาชิกของตระกูลลู่ แม้ว่าสถานะของเขาจะไม่สูง แต่ถ้าทำให้ตระกูลลู่อับอายขายหน้า ตระกูลลู่ก็จะมาหาเรื่องกับเขาเช่นกัน

โม่หยุนเฟยแค่อยากมีความสุขในวันนี้ และไม่อยากจะสร้างปัญหา

“ฉันไม่สนใจ กับการที่กลั่นแกล้งไอ้ขยะ นายไปเถอะ”

หลังจากพูดจบ โม่หยุนเฟยก็โบกมือให้คนรับใช้แยกย้ายกันไป

ลู่ฝานจากไปท่ามกลางเสียงหัวเราะของโม่หยุนเฟย ในดวงตาของเขาเป็นประกายอย่างเย็นชา

นี่ก็คือวิถีของบนโลกใบนี้ ผู้แข็งแกร่งสามารถรังแกผู้อ่อนแอได้ตามต้องการ เขาอ่อนแอมาเป็นเวลากว่าสิบปีแล้ว และไม่อยากเป็นแบบนั้นอีกต่อไปแล้วจริงๆ

ลู่ฝานกัดฟันอย่างลับๆ ตอนนี้เขามีสัญญาณว่าจะสามารถกลายเป็นผู้ชายที่แข็งแกร่งได้ แม้ว่าเขาจะต้องพยายามอย่างดีที่สุด เขาก็จะต้องกลายเป็นผู้ชายที่แข็งแกร่งให้ได้

โม่หยุนเฟยอาจไม่ทราบว่า การกระทำของเขาในวันนี้ ได้จุดไฟลุกโชนในอกของลู่ฝานขึ้นมาแล้ว

และเปลวไฟก้อนนี้ จะกลายเป็นทะเลเพลิงเผาโลกทั้งใบในที่สุด

ในเช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น ท้องฟ้าสีฟ้าไม่มีเมฆ และดวงอาทิตย์ส่องแสงสีทองโปรยปราย

บนถนนถูกปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาว และคนเดินถนนก็เดินผ่านไปมาอย่างเร่งรีบ ลู่ฝานเดินไปทางร้านขายยาสมุนไพร ในกระเป๋าของเขาเต็มไปด้วยเหรียญทอง ซึ่งมันเป็นเงินออมเกือบทั้งหมดของเขา

หลังจากที่เขาได้ทักษะวิชาบู๊หมัดถล่มเขาในเมื่อคืนนี้ ลู่ฝานก็ศึกษามันอย่างระมัดระวัง อ่านมันให้เข้าใจก่อน อ่านให้ละเอียด แล้วจึงเริ่มฝึกฝน

เขาพบว่า สิ่งสำคัญที่สุดในการฝึกฝนหมัดถล่มเขานั้น ปัญหาไม่ใช่อยู่ที่แขน แต่เป็นปัญหาของวัสดุยา

ทักษะวิชาบู๊ชุดนี้ ต้องได้รับการฝึกฝนร่วมกับยาสมุนไพร และต้องใช้สมุนไพรชนิดหนึ่งเพื่อการรักษาที่ค่อนข้างดี นั่นก็คือหญ้าเปลวเพลิง และหากไม่มียาดังกล่าว งั้นการทุบแขนเข้ากับก้อนหินนั้น มันก็ถือเป็นการกระทำที่โง่เขลาอย่างไม่ต้องสงสัย

ดังนั้น ในช่วงเช้าตรู่ ลู่ฝานก็ได้ออกไปซื้อยาสมุนไพรชนิดนี้

สำหรับหญ้าเปลวเพลิง ลู่ฝานยังคงพอรู้เรื่องอยู่บ้าง ไม่ว่ายังไงเขาก็มาจากตระกูลแห่งวิชาบู๊เช่นกัน จำเป็นต้องรู้ด้วยว่า ยาสมุนไพรชนิดใดใช้อะไรได้บ้าง ไม่ว่ายังไงตระกูลลู่ของพวกเขาก็เปิดร้านขายยาสมุนไพรด้วยเช่นกัน แต่มีราคาขายที่แพงมาก และลูกศิษย์จากตระกูลเองไปซื้อ ก็ยังไม่มีส่วนลดเลย

เดินมาที่ถนนสายหลักในเมือง ถนนสายนี้พลุกพล่าน และเต็มไปด้วยเสียงผู้คน

อากาศที่หนาวเย็น ไม่ได้ลดความกระตือรือร้นในการช้อปปิ้งของทุกคนเลย พ่อค้าหาบเร่ตามถนน และร้านค้าที่เรียงรายเป็นแถว ยังคงเต็มไปด้วยแขก

ขณะที่ลู่ฝานเดินไป เขาก็มองหาเงาร่างของหญ้าเปลวเพลิง ถ้าสามารถหาได้จากแผงขายของข้างนอก ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันจะดีที่สุด เนื่องจากราคาที่พ่อค้าหาบเร่เสนอ มักจะถูกกว่าของร้านมาก และขึ้นอยู่กับสถานการณ์ยังจะสามารถต่อรองราคากันได้ ซึ่งเหมาะมากสำหรับคนที่ไม่ร่ำรวยอย่างลู่ฝาน

หลังจากมองหาตามถนนไปครึ่งทางแล้ว ลู่ฝานก็ไม่เห็นร่องรอยหญ้าเปลวเพลิงเลย

หญ้าเปลวเพลิงเป็นยาสมุนไพรสีแดงเพลิง รากเป็นสีขาวจะดีที่สุด สีฟ้าคืออันดับรอง และเป็นสีแดงทั้งต้นระดับต่ำที่สุด

ลู่ฝานค้นหาแผงลอยทีละร้าน และในที่สุด เขาก็เห็นกองหญ้าเปลวเพลิงสีแดงเพลิงอยู่หน้าแผงขายของใกล้ร้านขายอาวุธ

ลู่ฝานดีใจมาก และเดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ ราวกับว่ากำลังเดินเล่น ค้นหาไปมาอยู่ต่อหน้าพ่อค้าแม่ค้า แล้วหยิบหญ้าเปลวเพลิงขึ้นมาต้นหนึ่งแล้วพูดว่า “อันนี้ราคาเท่าไหร่?”

พ่อค้าเร่พูดข้างหลังเขาว่า “ต้นละห้าเหรียญเงิน”

ลู่ฝานขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย ห้าเหรียญเงินนั้นเทียบเท่ากับค่าใช้จ่ายหนึ่งเดือนสำหรับครอบครัวทั่วไปที่มีสามคน เขาทั้งเนื้อทั้งตัวของเขารวมๆ แล้วก็มีแค่สิบกว่าเหรียญทองเท่านั้น แน่นอนว่าเขาไม่สามารถที่จะซื้อหญ้าเปลวเพลิงกองที่อยู่ตรงหน้าเขาทั้งหมดได้

ลู่ฝานวางหญ้าเปลวเพลิงลง แล้วพูดว่า “มันแพงเกินไป ฉันไปหาดูที่อื่นดีกว่า”

เมื่อเขาหันหลังอยากจะเดินจากไป พ่อค้าหาบเร่หยุดเขาแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ต้นละสี่เหรียญเงิน ถ้าคุณซื้อมากกว่านี้ ข้าจะให้ส่วนลดแก่คุณอีกหน่อย คุณผู้ชาย หญ้าเปลวเพลิงนี้หามาได้ไม่ง่ายนัก คุณไปซื้อที่อื่น ต้องไม่ได้ราคานี้อย่างแน่นอน”

ลู่ฝานหันศีรษะ แล้วพลิกกองหญ้าเปลวเพลิงอย่างผ่านๆ อีกครั้ง แอบนับอยู่ในใจว่าหญ้าเปลวเพลิงกองนี้มีอยู่กี่ต้นกันแน่ และเพียงพอที่เขาจะสามารถใช่ได้เป็นเดือนหรือไม่

ในขณะที่นับ ทันใดนั้นเอง ลู่ฝานก็เอื้อมมือไปแตะรากของหญ้าเปลวเพลิง และก็พบทันทีว่ารากของหญ้าเปลวเพลิงสองสามต้นเป็นสีขาว

หัวใจของเขาเต้นแรงอย่างกะทันหัน หญ้าเปลวเพลิงที่มีรากสีขาวมีค่ามากกว่าหญ้าเปลวเพลิงที่มีลำต้นเป็นสีแดงกว่าสิบเท่า จากข้อมูลบนหนังสือทักษะวิชาบู๊ หมัดถล่มเขา ถ้าใช้หญ้าเปลวเพลิงที่เป็นสีขาวในการฝึกฝน ความเร็วก็จะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าตัว

ลู่ฝานบังคับระงับความปีติยินดีของตัวเอง และไม่ยอมให้สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปแม้แต่เล็กน้อย

หลังจากปรับอารมณ์แล้ว ลู่ฝานก็ชี้นิ้วสามนิ้วไปที่พ่อค้าหาบเร่และพูดว่า “สามเหรียญเงินต่อหนึ่งต้น ทั้งหมดนี้ ฉันจะเหมาไปหมดเลย”

พ่อค้าหาบเร่กัดฟัน ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ตกลง”

ลู่ฝานรีบหยิบเงินออกมาให้เขาทันที จากนั้นก็เอื้อมมือไปหยิบกองหญ้าเปลวเพลิงขึ้นมา

“ใช่แล้ว ผมมาถึงแดนฝึกร่างชั้นสี่แล้ว”

ท่านสวินพยักหน้าและพูดว่า “อืม เริ่มจากด้านซ้ายมือไป ตามลำดับคือวิชามีด วิชากระบี่ วิชาหมัด วิชากาย และด้านขวาสุดเป็นหนังสือเบ็ดเตล็ด ยังไม่ได้จำแนกหมวดหมู่ นายสามารถไปเลือกด้วยตัวเองได้ เลือกหยิบมาแล้ว ก็นำมาลงทะเบียนที่ฉันสักหน่อย”

ลู่ฝานโค้งคำนับตอบกลับ จากนั้นก็เริ่มเลือกทักษะวิชาบู๊อย่างตื่นเต้น

วิชามีด วิชากระบี่ เขายังไม่อยากฝึกในตอนนี้ เพราะวิชากายคือวิชาที่แข็งแกร่งที่สุดของตระกูลลู่ ดังนั้นหากจะฝึก ก็ต้องเริ่มฝึกด้วยวิชากายและวิชาการหมัด ซึ่งทั้งสองแบบนี้เป็นทักษะวิชาบู๊แบบต่อสู้ระยะประชิด หากฝึกฝนได้ดี ก็ถือได้ว่าเป็นการสร้างรากฐานของวิชากายทองไฟอาบที่แข็งแกร่งที่สุดของตระกูลลู่

แม้ว่าลู่ฝานจะยังสงสัยอยู่เล็กน้อยว่าในอนาคตเขาจะสามารถฝึกฝนวิชากายทองไฟอาบได้หรือไม่ แต่ก็จะเตรียมตัวล่วงหน้ามันก็ไม่มีผิดหรอก ก็เหมือนกับที่เขาไม่เคยคิดว่าตัวเองจะสามารถฝึกฝนถึงแดนฝึกร่างชั้นห้าได้ก่อนอายุสิบแปดปี นี่มันแทบจะเป็นระดับเฉลี่ยของคนรุ่นใหม่ของตระกูลลู่เลยทีเดียว

มีอุบัติเหตุ และความประหลาดใจมากมายในโลกใบนี้ ใครจำไปรู้ว่าช่วงเวลาต่อไปจะเป็นอย่างไร

เดินมาถึงที่ชั้นวางวิชากายก่อนเป็นอันดับแรก ลู่ฝานเริ่มเลือกทีละเล่ม วิชากายของที่นี่ ส่วนใหญ่จะเป็นขั้นตอนพื้นฐานบางประการในการหลบหลีก และทักษะศิลปะการต่อสู้ในการฝึกร่างกายในแนวนอนนั้น มีผลปานกลาง แม้กระทั่งมีอยู่บางส่วน ลู่ฝานก็เคยได้เห็นจากในตัวคนอื่นมาก่อนแล้ว โดยพื้นฐานแล้วมันก็คือท่าทีไม่สำคัญนั่นเอง

เลือกไปเลือกมา ลู่ฝานไม่พบเล่นที่เขาต้องการเลยแม้แต่เล่มเดียว อดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ทำได้เพียงไปดูวิชาชกมวยเท่านั้น

หมัดหินกลิ้ง หมัดชกมวย พลังมวยหนัก……

วิชาเหล่านี้เห็นแค่ชื่อก็รู้แล้วว่าเป็นแค่พื้นฐานต่ำสุด ลู่ฝานเปิดดูไปหลายสิบเล่มแต่ก็ยังไม่พบสิ่งที่เขาต้องการ ถ้าเขาอยากจะแสดงผลงานดีๆ ในเทศกาลเซ่นไหว้ประจำปี ตอนนี้เขาก็ต้องหาหนังสือทักษะวิชาบู๊ที่แข็งแกร่งกว่าคนอื่นๆ แดนฝึกร่างชั้นห้าไม่ได้รับประกันว่าจะไม่ถูกปล่อยตัวออกไป ส่วนที่สำคัญที่สุดของตอนเทศกาลเซ่นไหว้ประจำปีคือการแข่งขัน หากทักษะวิชาบู๊ของเขาไม่ดี เขาก็จะถูกคนอื่นๆ ในระดับเดียวกันทุบตีอย่างหนัก และเทศกาลเซ่นไหว้ประจำปีก็กำลังจะมาถึงในเร็วๆ นี้แล้ว และเหลือเวลาเพียงเดือนกว่าๆ เท่านั้น

สิ่งที่ลู่ฝานต้องการคือทักษะวิชาบู๊ที่รวดเร็วและทรงพลัง ทักษะวิชาบู๊ประเภทนี้เป็นความฝ่ายฝันของผู้อื่นเหมือนกัน และความเป็นไปได้ที่จะค้นพบมันต่ำมาก

หลังจากค้นหาเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง ลู่ฝานก็หาไม่เจอตามเคย ลู่ฝานที่ผิดหวัง เดินกลับไปที่ท่านสวินและพูดว่า “ท่านสวิน ผมอยากจะถามอะไรท่านสักอย่าง ในที่นี้ไม่มีทักษะศิลปะการต่อสู้แบบรวดเร็วหรือไม่?”

ท่านสวินวางหนังสือในมือลง และมองไปที่ลู่ฝานแล้วกล่าวว่า “เจ้าหนุ่มน้อย ความทะเยอทะยานเกินไปไม่ใช่วิธีที่ถูกต้องในการฝึกฝนวิชาบู๊”

ลู่ฝานพยักหน้าและพูดว่า “ผมรู้ แต่ผมมีเวลาไม่มากแล้วจริงๆ ยังมีเวลาอีกหนึ่งเดือนก็จะถึงงานเทศกาลเซ่นไหว้ประจำปีแล้ว ผมหวังว่าท่านสวินจะเข้าใจ”

ท่านสวินมองเข้าไปในดวงตาของลู่ฝาน และจากในดวงตาของลู่ฝาน ท่านสวินมองเห็นความแน่วแน่

ช่างเป็นเด็กที่น่าสนใจเสียจริง! ท่านสวินคิดอยู่ในใจ

หลังจากหยุดชั่วคราว ท่านสวินกล่าวว่า “ไม่ใช่ว่าไม่มีทักษะวิชาบู๊ที่สามารถฝึกได้อย่างรวดเร็ว เพียงแต่ทักษะวิชาบู๊ประเภทนี้โดยทั่วไปแล้วไม่มีใครฝึกฝนเท่านั้นเอง นายอยากจะลองดูไหม?”

ดวงตาของลู่ฝานเป็นประกาย และพูดว่า “อยาก อยากมาก”

ท่านสวินยิ้ม ยืนขึ้น และเดินกะเผลกไปที่กองหนังสือเบ็ดเตล็ดในมุมห้อง เมื่อเอื้อมมือออกไป ท่านสวินก็ได้ดึงหนังสือสีเหลืองออกมาจากด้านล่างของกองหนังสือเบ็ดเตล็ด

เมื่อเดินกลับไปอย่างโซเซ ท่านสวินก็ยื่นหนังสือให้ลู่ฝานและกล่าวว่า “ลองเอาไปดูเถอะ”

ลู่ฝานหยิบหนังสือขึ้นมา และเห็นตัวอักษรตัวใหญ่สามตัว

“หมัดถล่มเขา!”

ได้ยินแค่ชื่อก็โอ่อ่าอย่างยิ่ง น่าจะมีประตูช่องทางอยู่บ้าง ลู่ฝานรีบเปิดหนังสือ และอ่านดูอย่างระมัดระวัง

เมื่อมองแวบแรก รูม่านตาของเขาหดเล็กลงทันที ไม่น่าแปลกใจที่ไม่มีใครฝึกฝน ทักษะศิลปะการต่อสู้เล่นนี้ ถือกำเนิดขึ้นเพื่อฝึกจนแขนหักจริงๆ

ตามคำอธิบายในหนังสือ สิ่งแรกที่ต้องทำตอนฝึกหมัดถล่มเขา คือการใช้แขนทุบหินอย่างหมดท่า ทุบแปดชั่วโมงต่อวัน ทุบด้วยท่าต่างๆ อย่างเต็มกำลัง และก็จะสามารถประสบความสำเร็จเล็กๆ น้อยๆ ได้ภายในหนึ่งเดือน

เมื่อเห็นว่าลู่ฝานไม่พูดอีกต่อไป ท่านสวินก็ยิ้มและพูดว่า “เป็นไง จะฝึกไหม? นี่คือทักษะวิชาบู๊ระดับคนชั้นสูง ถ้าฝึกฝนจนสำเร็จได้ พลังนั้นค่อนข้างดี”

ลู่ฝานกัดฟัน เขาล่าช้าไปกว่าคนอื่นหลายปีแล้ว ถ้าอยากจะชดเชยช่องว่างระหว่างในนี้ ถ้าไม่ทนทุกข์สักหน่อยแล้วมันจะเป็นไปได้อย่างไร

หลังจากปิดหนังสือ ลู่ฝานก็พยักหน้าและพูดว่า “ตามนั่นแหละ ท่านสวิน ช่วยลงทะเบียนให้ผมหน่อย ผมขอเอาเล่มนี้”

การแสดงออกของท่านสวินเปลี่ยนไปเล็กน้อย

“นายแน่ใจหรือ?นายเห็นชัดเจนแล้วหรือว่าต้องฝึกฝนด้วยวิธีใด?”

ลู่ฝานกล่าวว่า “ดูชัดเจนแล้ว ในเส้นทางฝึกวิชาบู๊ มันไม่มีทางลัด ผมคิดว่า ความทุกข์แค่นี้ผมรับไหวได้”

ท่านสวินหัวเราะ หลายปีที่ผ่านไป มันเป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นคนที่มีความเหนียวแน่นและไม่กลัวความลำบากในหมู่รุ่นใหม่ของตระกูลลู่

แม้ว่า ความแข็งแกร่งของเขาจะอยู่ในระดับปานกลาง แต่จิตใจความคิด และจิตวิญญาณของเขานั้นค่อนข้างสูงส่ง

ท่านสวินกล่าวว่า “เอาไปเถอะ หนังสือเล่มนี้ให้นายแล้ว ไม่ต้องลงทะเบียน”

ลู่ฝานตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง และกำลังจะพูด ในขณะนี้เอง ประตูถูกผลักเปิดอีกครั้ง และมีผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามา คือจางเยว่หานนั่นเอง

สายตาแรก เมื่อจางเยว่หานเห็นว่าลู่ฝานก็อยู่ที่นั่น เธอก็รู้สึกทำตัวไม่ถูกเล็กน้อย

ลู่ฝานชำเลืองมองเธอ จากนั้นก็ถอนสายตา และพูดกับท่านสวินว่า “ขอบคุณท่านสวิน ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวไปก่อน”

การจากไปอย่างช้าๆ ฝีก้าวของลู่ฝานก็มั่นคงและทรงพลัง

เขามาทำอะไรที่นี่ ทักษะวิชาบู๊ ต้องมีแดนฝึกร่างชั้นสี่ถึงจะสามารถฝึกได้ไม่ใช่หรือ?

กำลังคิดอยู่กับเรื่องนี้ ท่านสวินก็พูดว่า “สาวน้อย เธอมาทำอะไรที่นี่? เธอไม่ใช่คนของตระกูลลู่ และคนนอกไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาอ่านหนังสือในเรือนเก็บหนังสือ”

จางเยว่หานหยิบกระบี่เล่มหนึ่งออกจากเอวของเธอ “ฉันมาที่นี่เพื่อช่วยลู่หมิง……..”

ก่อนที่เขาจะพูดจบ ท่านสวินก็พูดต่อไปว่า “ช่วยใครก็ไม่ได้ ออกไปเถอะ มันดึกแล้ว รีบไปพักผ่อน”

จางเยว่หานเดินออกจากเรือนเก็บหนังสืออย่างไม่เต็มใจ และกระทืบเท้าอย่างไม่พอใจ

หันศีรษะของเธอ จางเยว่หานมองไปที่ทิศทางที่ลู่ฝานกำลังเดินจากไป เกิดความคิดขึ้นมาเล็กน้อย

เขามาทำอะไรที่นี่ ทักษะวิชาบู๊ แดนฝึกร่างชั้นสี่ถึงจะสามารถฝึกได้ไม่ใช่เหรอ?

ช่วงค่ำคืนที่หนาวเหน็บดั่งน้ำ พระจันทร์สว่างและดวงดาวบาง

ลู่ฝานนั่งอยู่ในลานบ้านเล็กๆ หายใจเข้าและออก ค่อยๆ ไล่อากาศที่ขุ่นในร่างกายของเขาออกมา

เขากำลังเตรียมตัวที่จะกินยารวมพลัง และเขามีเพียงยาเม็ดล้ำค่าเช่นนี้แค่เม็ดเดียว ดังนั้นเขาจึงต้องดึงเอาผลลัพธ์สูงสุดของยาเม็ดนี้ออกมาให้ได้

หลังจากที่ทุกอย่างถูกปรับจนถึงระดับสูงสุดแล้ว ลู่ฝานก็หยิบยารวมพลังออกมาแล้วกินลงไป

เม็ดยาละลายทันทีเมื่อเข้าไปในปาก และกลายเป็นสายน้ำใสไหลเข้าสู่ร่างกาย

ในวินาทีต่อมา ลู่ฝานก็รู้สึกว่าร่างกายของเขาราวกับกำลังถูกมดกัดกิน และความเจ็บปวดก็ลามไปที่แขนขาจนทั้งทั่วร่างกายของเขา

ลู่ฝานไม่รู้ว่านี่เป็นเรื่องปกติหรือเปล่า แต่ความเจ็บปวดที่รุนแรงกว่านี้เขาก็เคยอดทนมาแล้ว ดังนั้นความเจ็บปวดแค่นี้ จึงไม่ถือเป็นอะไรเลย

หลังจากนั้นไม่นาน คลื่นความร้อนก็พุ่งผ่านร่างกายของเขา

เริ่มต้นจากจุดตันเถียนของเขา พลังอันอบอุ่นแผ่ซ่านไม่หยุด ลู่ฝานรู้สึกว่าเขาเหมือนได้ดื่มเหล้าของลุงเฒ่าหวู เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็อดหัวเราะไม่ได้ แต่ในทันที ลู่ฝานก็รวบรวมสติของเขาในทันที

นี่ไม่ใช่เวลามาเบี่ยงเบียงความสนใจ และสัมผัสถึงคลื่นความร้อนที่ไหลผ่านเส้นลมปราณ ค่อยๆ อ่อนกำลังลงทีละน้อย

ด้วยคลื่นความร้อนที่ไหลเวียน ลู่ฝานก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าร่างกายของตัวเองแข็งแรงขึ้นมาแล้ว

ความเจ็บปวดหายไป แทนที่ด้วยร่างกายที่เต็มเปี่ยมไปด้วยเรี่ยวแรง

ร่างกายแข็งแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว ด้วยกล้ามเนื้อที่แข็งแรง เส้นลมปราณที่เหนียวแน่น และอวัยวะภายในที่แข็งแรง

ในเวลานี้ลู่ฝานได้เข้าสู่สภาวะการมองเห็นภายในไปแล้ว เขาได้มองเห็นการเปลี่ยนแปลงในร่างกายของตัวเอง และเห็นกับตาเองว่าร่างกายของเขาที่แข็งแกร่งขึ้น ซึ่งแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง

ลู่ฝานตกใจมาก หากนี่เป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากยาเม็ดเม็ดเดียว งั้นผลลัพธ์ของยาเม็ดนั้นก็ค่อนข้างเหลือเชื่อเกินไปหน่อย

ลู่ฝานยังคงจำฉากที่เขาเข้าสู่สภาวะการมองเห็นภายในมองดูร่างกายของตัวเองเมื่อไม่กี่วันก่อน ซึ่งแตกต่างไปจากนี้อย่างสิ้นเชิง

คลื่นความร้อนค่อยๆ สงบลง และหายไปอย่างไร้ร่องรอยในที่สุด

ลู่ฝานรู้ว่า นี่เป็นสัญญาณว่าพลังแห่งยาถูกดูดซับ ก่อนหน้านี้ที่กินยาสมุนไพร ก็เป็นแบบนี้เช่นกัน

หายใจออกช้าๆ ลู่ฝานขยับร่างกายของเขา และดวงตาของเขาก็มีแสงสว่างขึ้นมา

แต่เดิมร่างกายที่ผอมบางและอ่อนแอของเขา ดูเหมือนจะแข็งแรงขึ้นมากในเวลานี้ และร่างกายของเขาก็ดูมีสุขภาพดีขึ้นมาก

ความแข็งแกร่งของร่างกายเพิ่มขึ้นจากเดิมเกือบเท่าตัว และเรี่ยวแรงนั้นยังไม่รู้ว่าเพิ่มขึ้นมาเป็นเท่าไหร่ แต่ต้องมากกว่าสองเท่าตัวแน่นอน

ลู่ฝานยืนขึ้น นั่งยองๆ และชกต่อยเข้าที่หินฝึกซ้อมอย่างหนัก

ด้วยเสียงลมพัด หมัดของเขากระแทกใส่หินฝึกซ้อม เสียงแตกที่คมชัดดังขึ้นมา เศษหินก็กระเด็นออกมา และลู่ฝานก็ชกหินฝึกซ้อมเป็นรูปหมัดลึก และรูปแบบที่แตกก็ขยายออกไป

เมื่อมองหมัดของเขาด้วยรอยยิ้ม ความแข็งแกร่งของเขาได้มีอัพเกรดขึ้นอย่างมากแล้วจริงๆ

เมื่อเปรียบเทียบรอยหมัดที่ชกต่อยในระหว่างวันอย่างระมัดระวังกับเครื่องหมายหมัดนี้ ลู่ฝานรู้สึกว่าพละกำลังของเขาเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว แต่เขาไม่รู้เลยว่า ตัวเองอยู่ที่แดนฝึกร่างชั้นสี่หรือชั้นห้าแล้ว

ลู่ฝานหัวเราะเบาๆ เสียงหัวเราะเร่ร่อนอยู่บนท้องฟ้ายามค่ำคืน

หลังจากเวลาผ่านไปนาน เสียงหัวเราะก็จางหายไป ลู่ฝานตัดสินใจที่จะทดสอบความแข็งแกร่งของตัวเอง และอีกอย่าง เขาก็ต้องการทักษะวิชาบู๊ย่างเป็นทางการแล้วอีกด้วย

โดยทั่วไปแล้ว ผู้ที่ฝึกวิชาบู๊จำเป็นต้องมีทักษะวิชาบู๊ เมื่อการฝึกฝนแดนฝึกร่างชั้นสี่ เพราะยังไงมีเพียงแค่แรงอย่างเดียว โดยไม่มีทักษะวิชาบู๊เลย ก็จะเป็นได้แค่คนบ้ากำลังที่มีแรงเปล่าๆ เท่านั้น

ในฐานะที่เป็นตระกูลแห่งวิชาบู๊ ตระกูลลู่มีเรือนเก็บหนังสือขนาดใหญ่ ซึ่งเต็มไปด้วยทักษะวิชาบู๊ต่างๆ ตราบใดที่เป็นลูกศิษย์ของตระกูลลู่ก็จะสามารถเข้าไปอ่านได้

แม้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นทักษะวิชาบู๊ระดับต่ำ แต่ก็มีทักษะวิชาบู๊ระดับคนที่ดีกว่าอยู่ไม่กี่แบบ และทักษะวิชาบู๊ระดับทิพย์ที่เหนือกว่าทักษะวิชาบู๊ระดับคนนั้นก็แค่เคยได้ยินแต่ทักษะเฉพาะตัวของตระกูลลู่นั่นก็คือวิชากายทองไฟอาบ แต่สำหรับคนอย่างลู่ฝานที่ไม่ได้รับการฝึกฝนสูง และยังไม่ได้พัฒนาไปถึงพลังปราณ ทักษะวิชาบู๊ระดับคนที่ต่ำที่สุดก็เพียงพอแล้ว

เดินไปที่เรือนเก็บหนังสือ เดินผ่านสวนหลังบ้านของตระกูลลู่ เดินตามเส้นทางสวน คดเคี้ยวไปข้างหน้า ลู่ฝานมาถึงที่ด้านนอกเรือนเก็บหนังสือ ตอนนี้เป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้ว และนอกจากจะเห็นยามสองสามคนระหว่างทางแล้ว และก็ไม่เห็นคนที่รู้จักเลยแม้แต่คนเดียว

ที่ประตูเรือนเก็บหนังสือ มีหินศิลาดำก้อนหนึ่งซึ่งสูงเท่ากับคนคนหนึ่ง

จุดประสงค์อย่างหนึ่งของลู่ฝานที่มาที่นี่ ก็คือการทดสอบความแข็งแกร่งของตัวเขาเอง และสิ่งที่แม่นยำที่สุดในการประเมินระดับการฝึกฝนคือหินศิลาดำที่ถูกดัดแปลงโดยขุมพลังแห่งวิชาบู๊

ลู่ฝานเดินไปตรงหน้าหินศิลาดำ กลั้นลมหายใจแล้วตั้งจิต แล้วก็ชกต่อยออกหมัดด้วยความแรงอย่างกะทันหัน

หมัดกระแทกอยู่บนหินศิลาดำ และหินศิลาดำก็ส่องแสงเป็นชั้นๆ ในเวลาต่อมา

“แดนฝึกร่างชั้นห้า ระดับกลาง”

เมื่อเห็นตัวหนังสือตัวใหญ่ของคำว่าแดนฝึกร่างชั้นห้า ลู่ฝานก็ชกหมัดด้วยความตื่นเต้นขึ้นมาทันที

อัพเกรดขึ้นสองระดับติดต่อกันในหนึ่งวัน ความก้าวหน้าแบบนี้ ขัดกับฟ้าดินเลยทีเดียว ถ้าไม่ใช่เพราะกลัวที่จะทำให้คนอื่นตื่น ลู่ฝานคงอยากจะกรีดร้องบนท้องฟ้าในเวลานี้

หลังจากสงบสติอารมณ์ ลู่ฝานก็ผลักประตูเรือนเก็บหนังสือออก

เมื่อชำเลืองมอง ลู่ฝานเห็นก็ชายชรานั่งอ่านหนังสืออยู่ที่ประตู และลู่ฝานก็เรียกอย่างสุภาพว่า “ท่านสวิน”

ชายชราคนนี้ เป็นผู้ดูแลเรือนเก็บหนังสือของตระกูลลู่ ลู่ฝานก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงปล่อยให้ชายชราอย่างท่านสวินที่เดินแทบไม่ไหวแล้วมาเฝ้าเรือนเก็บหนังสือ

ท่านสวินเงยหน้าขึ้นมองลู่ฝาน และพูดว่า “มาหาทักษะวิชาบู๊งั้นเหรอ? ลู่ฝาน นายเป็นแดนฝึกร่างชั้นสี่แล้วงั้นหรือ?”

ลู่ฝานรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยที่ท่านสวินสามารถเรียกชื่อของเขาออกมาได้ เพราะยังไงเขาก็ไม่ได้มาที่เรือนเก็บหนังสือมานานหลายปีแล้ว ครั้งสุดท้ายที่มา ก็ได้แต่มองไปรอบๆ อย่างรวดเร็ว และพบว่าเขาไม่มีโอกาสได้ฝึกทักษะวิชาบู๊เหล่านี้เลย ก็เลยจากไปด้วยความผิดหวัง

เพราะในแดนฝึกร่าง ชั้นหนึ่งถึงสาม ถูกเรียกว่าเป็นระดับต่ำ ชั้นสี่ถึงหกเรียกว่าระดับกลางชั้นเจ็ดถึงเก้าถือเป็นระดับสูง

สำหรับคนที่อยู่ในแดนฝึกร่างระดับกลาง จะปราบปรามแดนฝึกร่างส่วนล่างสามชั้นนั้นมันไม่มีปัญหาอะไรเลย

ลู่ฝานชกเข้าไปที่หินฝึกซ้อมวิชาอีกครั้งด้วยความประหลาดใจ เมื่อรู้สึกถึงพลังที่พุ่งออกมาจากหมัดของเขา เขาก็ได้ทุบหินฝึกซ้อมวิชาที่อยู่ตรงหน้าเขาให้เป็นรอยหมัดอีกครั้ง ในที่สุดลู่ฝานก็มั่นใจแล้วว่า ความแข็งแกร่งของเขาได้มาถึงแดนฝึกร่างชั้นสี่แล้วจริงๆ

ลู่ฝานตื่นเต้นจนเล่นหมัด ตราบใดที่ยังมีความคืบหน้า งั้นก็แสดงว่าเขายังคงมีทางออกทางด้านการฝึกวิชาบู๊

แต่ทำไมจู่ๆ เขาถึงพัฒนาขึ้นมาได้ล่ะ ลู่ฝานจำได้ว่าตอนที่เขาฝึกสามระดับแรก เขารู้สึกเจ็บปวดจนหัวใจแทบวายทุกครั้งที่เพิ่มระดับขึ้นหนึ่งชั้น ราวกับว่ากล้ามเนื้อของเขาฉีกขาดออกจากกัน

แต่ในครั้งนี้ไม่มี ซึ่งแปลกเกินไปจริงๆ

ทันใดนั้น ในสมองของลู่ฝานนึกถึงเหล้าของลุงเฒ่าหวูขึ้นมา เป็นไปได้ไหมว่า……

ในขณะที่ลู่ฝานกำลังคิดอยู่นั้น เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นมาจากที่ไกลมาใกล้ และชายวัยกลางคนร่างท่วมๆ ก็เดินเข้ามา ผู้ชายที่อายุเพียงสี่สิบปีมีผมสีขาวเล็กน้อย และดูซีดเซียวเล็กน้อย

เมื่อเห็นบุคคลนี้ ลู่ฝานก็เลิกแสดงสีหน้าทันที และกล่าวด้วยความเคารพว่า “ท่านพ่อ”

คนที่มาคือพ่อของลู่ฝาน ชื่อว่าลู่หาว

“ลู่ฝาน พ่อมีเรื่องอยากจะคุยกับเธอสักหน่อย”

ลู่หาวพยายามอย่างเต็มที่ที่จะพูดด้วยน้ำเสียงที่สงบ สีหน้าของลู่ฝานเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาพอจะเดาได้แล้วว่าพ่อจะพูดอะไรกับเขา

ลู่ฝานกัดฟัน และพูดว่า “พูดมาเถอะ ท่านพ่อ”

ลู่หาวกล่าวอย่างช้าๆ ด้วยความเศร้าใจในสายตา “ลู่ฝาน ทางตระกูลมีการประชุมแล้ว หลังจากเทศกาลเซ่นไหว้ประจำปีนี้ ผู้ที่มีการฝึกฝนไม่เพียงพอทั้งหมดจะถูกปล่อยออกไปข้างนอก ส่งไปยังเมืองเล็กๆ เพื่อจัดการธุรกิจของตระกูล”

ลู่ฝานพยักหน้าด้วยความเข้าใจ

“ท่านพ่อ ท่านไม่ต้องโทษตัวเอง ลูกเองที่ไม่เอาไหน ทำให้ท่านผิดหวังแล้ว”

ไม่ใช่ความผิดของเธอ เป็นเพราะพ่อไม่ได้ทำหน้าที่พ่อให้ดี สุขภาพของเธอไม่ดีมาตั้งแต่ยังเด็ก ขาดพลังชี่และเลือด และป่วยเป็นโรค ดังนั้นไม่ควรที่ให้เธอฝึกวิชาบู๊อยู่แล้ว พ่อเองที่เอาความคิดตัวเองเป็นหลัก ปล่อยให้เธอฝึกวิชาบู๊ แต่ไม่คาดคิดว่าจะทำให้เธอกลายเป็นเรื่องตลกของตระกูล ความผิดอยู่ที่พ่อทั้งหมด ความพยายามของเธอ

ลู่ฝานรู้สึกว่าขอบดวงตาของเขาเปียกเล็กน้อย และกำหมัดแน่น

ลู่หาวกล่าวต่อไปว่า “ลู่ฝาน พ่ออยากได้ยินทางเลือกของเธอในตอนนี้ ถ้าเธอเลือกที่จะออกจากตระกูล พ่อจะรับประกันให้เธอไปที่เมืองที่ดีที่สุด ดูแลธุรกิจหลักของตระกูล และร่ำรวยและปลอดภัยตลอดชีวิต มันไม่ใช่ปัญหาอยู่แล้ว”

ลู่ฝานส่ายหัวช้าๆ ตาแน่น

“ไม่ครับ ท่านพ่อ ผมขออยู่ต่อ”

“เธอแน่ใจหรือ?”

ลู่หาวถามด้วยเสียงเบาๆ

ลู่ฝานพยักหน้าอย่างหนักแน่นและพูดว่า “ผมจะทำให้ดีที่สุด”

“โอเค สมกับที่เป็นลูกชายของฉันแล้ว พ่ายแพ้แต่ไม่ท้อแท้ แข็งแกร่งดั่งก้อนหิน ลู่ฝาน พ่อก็จะพยายามเท่าที่พ่อจะทำได้ เพื่อช่วยเธออีกแรง”

เมื่อพูดจบ ลู่หาวก็หยิบขวดพอร์ซเลนสีน้ำเงินและสีขาวขวดเล็กๆ จากที่หน้าอกของเขา แล้วยื่นให้ลู่ฝาน “รับไปซะ นี่คือยารวมพลังเธอเอามันไปกินในคืนนี้ อย่างน้อยก็จะสามารถช่วยเพิ่มพลังให้เธอได้บ้าง”

ลู่ฝานตกตะลึงอยู่กับที่ เม็ดยา ท่านพ่อให้ยาเม็ดหนึ่งขวดแก่เขางั้นเหรอ

ลู่ฝานรู้ดีว่าเม็ดยาเป็นของที่หายากเพียงใด และก็มีค่าเพียงใด นี่คือสิ่งที่สามารถกลั่นได้โดยผู้ฝึกชี่ที่หายากอย่างยิ่งในทวีปปราณบู๊เท่านั้น

ผู้ฝึกชี่ที่เรียกว่า เป็นอาชีพที่มีเกียรติสูงส่ง พวกเขามีพลังเท่านักบู๊ มีวิธีการและความสามารถที่แข็งแกร่งกว่านักบู๊ สิ่งที่โดดเด่นที่สุด ก็คือพวกเขาสามารถกลั่นสมุนไพรชนิดต่างๆ ด้วยวัสดุยา ซึ่งแต่ละอย่างมีผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน เมื่อเทียบกับวัสดุยาทั่วไป ซึ่งดีกว่ากันมามายยิ่งนัก

ถ้าไม่ใช่เพราะว่ามีผู้ฝึกชี่น้อยเกินไป และเกณฑ์ก็สูงเกินไป เกรงว่าทวีปนี้ก็จะไม่ถูกเรียกว่าทวีปปราณบู๊แล้ว

ลู่ฝานรับขวดพอร์ซเลนสีน้ำเงินและสีขาวอย่างระมัดระวัง ซึ่งรู้สึกหวั่นไหวเกินความบรรยายได้เลยทีเดียว

แม้แต่เม็ดยาระดับต่ำสุด ราคาทางตลาดก็ยังสูงกว่าร้านค้าที่มีทำเลดีหลายแห่งอย่างแน่นอน และยังจะหาได้ยากมาก ในเมืองทั่วไปอย่างเมืองเจียงหลิน มีการกล่าวกันว่าจะมีการขายเพียงหนึ่งถึงสองเม็ดในการประมูลทุกปีเท่านั้น

ลู่ฝานไม่รู้ว่าคุณพ่อของตัวเองจ่ายไปเท่าไหร่ถึงจะซื้อเม็ดยานี้มาได้ แต่เมื่อมองดูผมสีขาวของพ่อ ลู่ฝานก็รู้ว่าเขาเป็นห่วงตัวเองอย่างยิ่ง

ลู่ฝานพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “ท่านพ่อ ผมจะไม่ทำให้ท่านผิดหวังแน่นอน”

ลู่หาวพยักหน้าเบาๆ และเดินออกไปอย่างช้าๆ

ลู่ฝานมองไปที่ด้านหลังของพ่อที่กำลังเดินจากไป และบีบขวดยาในมืออย่างแน่นๆ

นิมิตเหล่านี้กินเวลาไปเป็นชั่วโมง และลู่ฝานก็ตื่นขึ้นอย่างสบายๆ

ร่างกายของเขาแข็งทื่อเล็กน้อย และเมื่อขยับตัว มันก็เกิดเสียงที่คมชัดขึ้นมา

เมื่อเขาลุกขึ้น ลู่ฝานสะบัดลมและหิมะออกจากร่างกาย รู้สึกว่าร่างกายของเขาแตกต่างไปจากเดิมเล็กน้อย แต่ก็พูดไม่ถูกว่าความแตกต่างนั้นคืออะไร

เมื่อเดินกลับไปที่ประตูบ้านของตระกูลลู่ เพิ่งเดินเข้าไป ลู่ฝานก็เห็นลู่หมิงกำลังพาจางเยว่หานเดินเล่นรอบบ้านตระกูลลู่ และรอบข้างยังมีกลุ่มลูกศิษย์ของตระกูลอยู่ด้วย

คนเหล่านี้ บางคนลู่ฝานรู้จัก และบางคนก็เคยเจอกันหลายครั้ง แต่ก็ไม่มีความประทับใจที่ดีอะไรเลย

เมื่อได้ยินว่ามีคนเข้ามาจากข้างหลังเขา ลู่หมิงก็หันศีรษะของเขามา

เมื่อเห็นว่าเป็นลู่ฝาน ลู่หมิงก็ยิ้มเยาะที่มุมปากของเขาอีกครั้ง

ลู่หมิงดึงตัวจางเยว่หานเดินไปข้างหน้าช้าๆ พูดกับลู่ฝานว่า “มาเลย น้องชายไอ้ขยะ ขอแนะนำให้นายรู้จักสักหน่อย นี่คือคุณจางเยว่หาน ทักทายกันหน่อยเถอะ”

จางเยว่หานได้ก้มศีรษะลงแล้ว ดูเหมือนว่าจะเขินอายเล็กน้อย แต่จริงๆ แล้วเธอไม่กล้าที่จะมองเข้าไปในดวงตาของลู่ฝานเลย

ลู่ฝานไม่พูดอะไร และหันหลังกำลังจะเดินจากไป

ลู่หมิงเลิกคิ้วทันที และจ้องไปที่ลู่ฝานด้วยสายตาที่เย็นเฉียบ ในความเห็นของเขา คนไร้ค่าที่กล้าวางมาดต่อหน้าเขาย่อมมองหาการเฆี่ยนตีอย่างไม่ต้องสงสัย

ชายหนุ่มตัวอ้วนเล็กน้อยที่อยู่ถัดจากเขาก้าวไปข้างหน้าและห้ามลู่ฝานไว้ให้ลู่หมิง

“น้องลู่ฝาน นายไม่พูดอะไรสักคำก็อยากจะเดินจากไป มันเสียมารยาทเกินไปหน่อยไหม อย่าทำให้ตระกูลลู่ต้องขายหน้า ไม่ใช่ว่าไร้ประโยชน์จนเป็นใบ้ไปแล้วงั้นเหรอ”

หลังจากพูดจบ ลู่หมิงและคนอื่นๆ ต่างก็พากันหัวเราะขึ้นมา

ลู่ฝานเงยหน้าขึ้นมองเขา ชายคนนี้ก็ถือว่าเป็นพี่ชายของเขาอีกคน แต่เป็นเพียงญาติห่างๆ เขาชื่อว่าลู่เทียนกัง และเขาเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของลู่หมิง

ลู่ฝานพูดอย่างช้าๆ ว่า “มันไม่ใช่เรื่องของนาย อย่ามาขวางทาง”

ลู่เทียนกังโกรธขึ้นมาทันที และผลักลู่ฝานด้วยความแรง

ลู่ฝานรู้ดีกับความแข็งแกร่งของลู่เทียนกัง แดนฝึกร่างชั้นห้ามันแข็งแกร่งกว่าเขามาก ว่าตามเหตุผลแล้วด้วยความแข็งแกร่งของลู่เทียนกัง มันจะไม่เป็นปัญหาที่จะผลักเขาให้ล้มลงในครั้งเดียว

แต่คราวนี้ ลู่ฝานกลับไม่ได้ถอยหลังเลยแม้แต่ก้าวเดียว ร่างกายเขาแค่โยกไปมาเล็กน้อย และก็ยืนนิ่งได้แล้ว

มองขึ้นไปที่ลู่เทียนกัง ลู่ฝานกล่าวว่า “นายอยากจะต่อสู้งั้นหรือ?”

พูดได้คำเดียวว่า ทำให้มือของลู่เทียนกังที่ยกขึ้นมาปล่อยลงอีกครั้ง ดวงตาของเขาเบิกกว้างด้วยความโกรธ แต่ลู่เทียนกังก็ยังไม่กล้าที่จะเอื้อมมือออกไปตีลู่ฝาน

หนึ่งข้อในนั้นที่เข้มงวดที่สุดคือ ห้ามกลั่นแกล้งคนที่มีอายุน้อยกว่า พอดีเลย ลู่ฝานมีอายุน้อยกว่าลู่เทียนกังหนึ่งปี และอายุยังไม่ถึงสิบแปดปี ถ้าลู่เทียนกังกล้าที่จะสู้กับลู่ฝาน งั้นสิ่งที่รอคอยลู่เทียนกังก็คือจะต้องถูกกักขังอย่างน้อยร้อยวัน สำหรับชายหนุ่มคนหนึ่งแล้ว

ลู่เทียนกังกัดฟันของเขาและพูดว่า “ลู่ฝาน นายคอยดูเถอะ ฉันจะไม่ตีนายในตอนนี้ แต่นายจะไม่สามารถหนีไปได้ ในช่วงเทศกาลเซ่นไหว้ประจำปี เมื่อถึงเวลานั้น ฉันจะจัดการนายจนฟันล่วงหมดปากไปเลยทีเดียว”

ลู่ฝานมองเขาด้วยสายตาที่เย็นชา เขาไม่ได้อยากจะพูดอะไรที่ไร้สาระเลยแม้แต่คำเดียว และเดินตรงจากไป

ลู่เทียนกังโกรธจัด ยังอยากจะห้ามลู่ฝาน แต่ลู่หมิงกลับหยุดลู่เทียนกัง และกล่าวว่า “ช่างมันเถอะ จะไปสนใจอะไรกับไอ้ขยะคนหนึ่งล่ะ”

เสียงของลู่หมิงดังขึ้นโดยเจตนา เพื่อให้ลู่ฝานได้ยิน

เขาตบไหล่ลู่เทียนกังและพูดว่า “รอเทศกาลเซ่นไหว้ประจำปี นายก็ค่อยจัดการเขาอย่างสาสมไปเลย”

หลู่เทียนกังหัวเราะและกล่าวว่า “ไม่ต้องกังวล ฉันจะทุบตีเขาอย่างแน่นอน ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถดูแลตัวเองได้ ทำให้เขากลายเป็นคนสูญเปล่าที่ไม่สามารถลุกจากเตียงได้”

หลังจากพูดจบ ลู่หมิงและคนอื่นๆ ก็หัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง

จางเยว่หานซึ่งยืนอยู่ข้างๆ ก็หัวเราะกับเขาด้วยงั้นแหละ

……

ลู่ฝานเดินกลับไปที่ลานบ้านของเขา ในฐานะที่เป็นทายาทสายตรงของตระกูลลู่ เขามีลานบ้านเล็กๆ ที่รกไปด้วยวัชพืชแห่งหนึ่ง

ที่จริงแล้วเมื่อเทียบกับพวกลู่หมิงและคนอื่นๆ ลานบ้านของลู่ฝานนั้นทรุดโทรมมาก แต่ลู่ฝานไม่สนใจ

มีหินอยู่ในลานบ้านหนึ่งก้อน สูงประมาณเท่าคน นี่คือหินที่ลู่ฝานใช้ฝึกวิชา

เดินไปที่ก้อนหิน ลู่ฝานสูดหายใจเข้าลึกๆ และชกต่อยเข้าที่ก้อนหินอย่างแรง

ทันใดนั้น มีเสียงอู้อี้ดังขึ้น รอยหมัดก็ปรากฏขึ้นบนหินฝึกซ้อมวิชา และมีรอยแตกเล็กๆ ปรากฏขึ้น และลู่ฝานก็ตะลึงอยู่กับที่ไปเลย

ด้วยความแข็งแกร่งของเขาในแดนฝึกร่างชั้นสาม มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีผลกระทบดังกล่าวด้วยหมัดเดียว นี่ความแข็งแกร่งที่แดนฝึกร่างชั้นสี่ขึ้นไปถึงจะมีได้

เป็นไปได้ไหมว่า ตอนนี้เขาอยู่ที่แดนฝึกร่างชั้นสี่แล้ว?

ลู่ฝานมองไปที่กำปั้นของเขา และไม่อยากเชื่อเลย เขาติดอยู่ในแดนฝึกร่างชั้นสามมานานหลายปีแล้ว และในที่สุดเขาก็พัฒนาขึ้นไปจนได้ในวันนี้?

แม้ว่าจะมีความแตกต่างเพียงระดับเดียวระหว่างแดนฝึกร่างชั้นสามและแดนฝึกร่างชั้นสี่ แต่จริงๆ แล้วความแตกต่างนั้นก็ค่อนข้างใหญ่อยู่เช่นกัน

ลู่ฝานหัวเราะขึ้นมา แต่รอยยิ้มของเขานั้นดูเศร้าเล็กน้อย

“สอบผ่านงั้นเหรอ? ฉันไม่ได้คาดหวังกับสิ่งนี้อีกต่อไปแล้ว”

ลุงเฒ่าหวูกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นคุณจะไม่ฝึกบู๊อีกแล้วหรือ?”

ในเวลานี้สายตาของลู่ฝานก็แหลมคมขึ้นทันใด และกล่าวว่า “ฉันจะฝึกฝนต่ออย่างแน่นอน วิชาบู๊คือทุกสิ่งสำหรับฉัน แม้ว่าทั้งชีวิตของฉันอาจจะไม่สามารถรวบรวมตัวกลายเป็นพลังปราณได้ ฉันก็ภูมิใจในตัวเองในฐานะที่เป็นนักบู๊”

การแสดงออกของลุงเฒ่าหวูเปลี่ยนไปเล็กน้อย ราวกับว่าเขาไม่คาดคิดว่าลู่ฝานยังจะสามารถพูดคำที่น่าภาคภูมิใจเช่นนี้ออกมาในเวลานี้ได้

ลุงเฒ่าหวูคร่ำครวญเบาๆ

“สายลมหนาวเย็น พระจันทร์ไม่เต็มดวง ป่านนี้ ฝนตกหนัก หิมะก็ดูน่าเศร้า เมื่อไหร่คลื่นชีวิตอันขมขื่นจะสงบลง คนเมาจะคลายความโศกเศร้านับพันๆ เมื่อนึกถึงเส้นทางการฝึกวิชาบู๊นับสิบปี น้ำตาก็ไหลลงเข้าในถ้วย บรรดาผู้ที่มีฟ้าอยู่ในใจจะไปก่อน ใครจะไปเข้าใจ และใครจะอยู่ด้วย”

ลู่ฝานฟังบทกวีของลุงเฒ่าหวู ด้วยความเศร้าในดวงตาของเขา ยกขวดเหล้าขึ้นมาแล้วเริ่มดื่มอย่างบ้าคลั่ง

ลุงเฒ่าหวูท่องสองประโยคสุดท้ายอย่างเบาๆ ยืนขึ้น และเดินกลับไปที่เคาน์เตอร์

ค่อยๆ นำขวดเหล้าเล็กๆ ออกจากใต้เคาน์เตอร์ด้วยมือของเขา

“มาเถอะ ลู่ฝาน ดื่มขวดนี้ของฉัน เหล้าขวดนี้ ฉันเก็บไว้มาเป็นยี่สิบปีแล้ว ในวันนี้เรามาเมากันให้เต็มที่ไปเลย”

ลุงเฒ่าหวูวางขวดเหล้าขวดเล็กนี้ไว้บนโต๊ะ

เปิดฝา กลิ่นหอมอบอวลไปทั่วทั้งห้อง ลู่ฝานมองดูลุงเฒ่าหวูเทเหล้าให้เขาหนึ่งถ้วยด้วยสายตาคลุมเครือเพราะความมึนเมา และพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ทำไมเหล้านี้ถึงเป็นสีเขียว”

ใบหน้าของลุงเฒ่าหวูสงบ และไม่ได้มีอาการเมาเลยแม้แต่น้อย เขาพูดเบาๆ ว่า “คุณดื่มมากเกินไปแล้ว”

ลู่ฝานยิ้มและพูดว่า “ใช่ ฉันดื่มมากเกินไปแล้ว ฉันขอลิ้มรสเหล้าถ้วยนี้ของคุณว่ามีอะไรแตกต่างกันหรือไม่”

ลู่ฝานเงยศีรษะขึ้นและเทเหล้าเข้าปากทั้งถ้วย ลู่ฝานรู้สึกเพียงเริ่มจากคอของเขา ราวกับว่ามีไฟพุ่งตรงเข้าไปในอกและท้องของเขา ใบหน้าทั้งหมดของลู่ฝานเปลี่ยนเป็นสีแดง

ลุงเฒ่าหวูเทเหล้าให้ลู่ฝานอีกถ้วย และกล่าวว่า “ดื่มต่อไป เหล้านี้แรงพอไหม”

ลู่ฝานรู้สึกว่าตัวเองแทบจะพูดอะไรไม่ออกแล้ว หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็สำลักออกมาสองคำว่า “แรงมาก”

หลังจากพูดจบ ลู่ฝานก็ดื่มเข้าไปอีกถ้วย คราวนี้ความรู้สึกมันยิ่งรุนแรงมากขึ้น

ดูเหมือนว่าลู่ฝานจะได้ยินเสียงกระดูกของเขาแตก เลือดของเขาพุ่งขึ้น และดวงตาของเขาก็เริ่มเบลอเล็กน้อย

ลู่ฝานลุกขึ้นยืน และกล่าวว่า “ลุงเฒ่าหวู ดูเหมือนว่าฉันจะเมาแล้วจริงๆ ไม่ได้ ฉันต้องกลับก่อนแล้ว”

ลู่ฝานเดินออกไปอย่างเซ่อๆ ลุงเฒ่าหวูมองไปที่แผ่นหลังของลู่ฝานและกล่าวว่า “วันหลังอย่าลืมมาดื่มอีกนะ ฉันจะเก็บเหล้าขวดนี้ไว้ให้คุณ”

ลู่ฝานโบกมือและพูดว่า “ไม่ต้องห่วง ฉันจะมาแน่นอน”

ลุงเฒ่าหวูยิ้มและพูดเบาๆ ว่า “คุณต้องมาอย่างแน่นอน”

ลุงเฒ่าหวูโบกมือเบาๆ เห็นเพียงขวดเหล้าลอยขึ้นมาอย่างนุ่มนวลราวกับมีผีวิญญาณควบคุมอยู่ จากนั้นก็บินกลับเข้าไปในเคาน์เตอร์

ลุงเฒ่าหวูเคาะโต๊ะด้วยนิ้วของเขาอย่างมีระเบียบ สั่นศีรษะและร้องเพลงเบาๆ ขึ้นมา

“ภูเขาแม่น้ำแปดพันไมล์เล่นผ่านด้วยกระบี่แหล้า ท้องฟ้าแจ่มใสเก้าชั้นเรายังฝันยังตื่น เพียงสามจอกรู้สู่ธรรมะ เพิ่มเป็นหกกลมเข้าใจเรื่องฟ้าดิน ความสนุกหยินหยางอยู่ในจอก ชีวิตมันอยู่ในเหล้า ไม่รู้ว่าวันรุ่งขึ้นจะไปแห่งใด ใครจะหัวเราะเยาะฉัน ฉันจะหัวเราะเยาะใคร……..”

ระหว่างทางกลับบ้าน สายลมเหนือส่งเสียงหวีดหวิว และหิมะที่ปลิวไสวกระทบหน้าลู่ฝานราวกับมีด แต่เขากลับไม่รู้สึกอะไรเลย

ร่างกายของเขาโซเซและเดินกลับไปที่ตระกูลลู่ เขาสามารถมองเห็นประตูได้จากระยะไกล

แต่ในเวลานี้ จุดศูนย์ถ่วงใต้ฝ่าเท้าของเขาไม่เสถียร และลู่ฝานก็ล้มลงกับพื้น

เมื่อนอนอยู่บนพื้น ลู่ฝานรู้สึกว่าร่างกายของเขาไม่มีกำลัง มีเพียงความร้อนที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของเขา

สติค่อยๆ จางลง ลู่ฝานนอนอยู่บนพื้นโดยไม่ลุกขึ้นมา และหิมะที่ตกหนักก็ค่อยๆ ปกคลุมร่างกายของเขา

รังสีของแสงสว่างขึ้นจากร่างกายของเขา และหายไปอย่างไร้ร่องรอย ร่างกายของเขาทำเสียงต่ำ รูขุมขนของร่างกายเปิดออก และมีกระแสอากาศหมุนวนรอบตัวเขา มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

หากปรมาจารย์วิชาบู๊อยู่ที่นี่พอดี พวกเขาจะร้องอุทานแน่นอน เพราะสถานการณ์ปัจจุบันของลู่ฝานนั้น คล้ายคลึงกับการกลับเนื้อกลับตัวใหม่อีกครั้งในตำนานวิชาบู๊มากเกินไป

หลังจากเดินวนไปมา ลู่ฝานก็ได้เดินมาถึงที่หน้าร้านแห่งหนึ่ง

นี่คือร้านเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ทรุดโทรม ไม่มีป้ายชื่อ และแหล่งลูกค้าก็ย่ำแย่มาก หาเลี้ยงชีพด้วยการขายเหล้าและอาหารทานเล่นเล็กๆ น้อยๆ ในวันธรรมดา นายของร้านเป็นชายชราผู้ย่ำแย่ ลู่ฝานมักเรียกเขาว่าลุงเฒ่าหวู ชายชราคนนี้มีอาการมึนเมามาโดยตลอด วันนี้ก็ไม่มีข้อยกเว้นเช่นกัน ลู่ฝานได้เดินมาถึงที่ประตูของเขาแล้ว และเขายังคงนอนหลับสบายโดยมีขวดเหล้าอยู่ในอ้อมแขนของเขา

โต๊ะและเก้าอี้ที่ทรุดโทรม เต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นเน่า ฝุ่นมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง และก็ยังสามารถมองเห็นหนูสองสามตัวที่วิ่งเล่นอยู่ตรงมุมห้อง แต่ลู่ฝานกลับชอบที่นี่ เพราะมันเงียบสงบ ไม่มีการเยาะเย้ยหรือเสียดสี

“ลุงเฒ่าหวู ขอเหล้าให้ผมหน่อย”

ลู่ฝานเคาะที่เคาน์เตอร์ แล้วลุงเฒ่าหวูถึงลืมตาขึ้นมา

เมื่อมองขึ้นไปที่ลู่ฝาน ลุงเฒ่าหวูก็ยื่นมือออกมาก่อน และลู่ฝานก็หยิบเหรียญเงินหลายอันออกมาแล้วโยนมันลงบนเคาน์เตอร์

ลุงเฒ่าหวูเก็บเหรียญก่อน แล้วจึงยื่นขวดเหล่าในมือให้ลู่ฝาน และพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยชัดเจนเล็กน้อยว่า “ยังเหลืออยู่ครึ่งหนึ่ง ให้คุณไปเลย ถ้าดื่มไม่หมดก็ให้นำมันกลับมาให้ฉัน……”

ลุงเฒ่าหวูยิ้มและหยิบชามที่มีรอยแตกออกมา แล้ววางบนเคาน์เตอร์

ลู่ฝานหยิบขวดเหล้าและชามไป หาโต๊ะที่หนึ่งแล้วนั่งลง เทเหล้าหนึ่งชาม เงยหน้าขึ้นแล้วดื่มลงไปคำหนึ่งใหญ่ๆ

เหล้าเข้มข้นเข้าสู่ช่องท้องจากลำคอของเขา และในไม่ช้าลู่ฝานก็รู้สึกว่าร่างกายของตัวเองร้อนขึ้น ราวกับว่ามีเปลวไฟลุกโชนอยู่ในร่างกายของเขา

“เหล้าชั้นดี”

ลู่ฝานถอนหายใจด้วยความชื่นชม เหตุผลที่สองที่เขาชอบร้านนี้ก็เพราะว่าเหล้าของที่นี่เข้มข้นมาก และแตกต่างจากที่อื่น

ลุงเฒ่าหวูยิ้มและกล่าวว่า “ไม่ต้องพูดถึง ก็ไม่ดูว่าเป็นเหล้าบ้านใคร ลู่ฝาน นายโดนกระทบจิตใจมาอีกแล้วหรือ?”

ลุงเฒ่าหวูยิ้มอย่างขมขื่นแล้วกล่าวว่า “มีวันไหนที่ฉันจะไม่โดนกระทบล่ะ”

เหล้าหวูกล่าวว่า “อย่าพูดอย่างนั้น คุณไม่รู้สึกเหรอว่าการอยู่รอดจนถึงตอนนี้มันก็ถือเป็นปาฏิหาริย์แล้วไม่ใช่หรือ? ฉันยังจำได้ว่าครั้งแรกที่คุณเดินเข้ามาในร้านของฉัน คุณผอมเหมือนลิงน้อยตัวหนึ่ง เกือบจะตายแล้วด้วยซ้ำ ดูที่คุณตอนนี้สิ ทุกอย่างเป็นปกติ”

ลู่ฝานหัวเราะขึ้นมา แต่สิ่งที่ลุงเฒ่าหวูพูดนั้นถูกต้อง ตอนเด็กคุณหมอเคยวินิจฉัยว่า และเขาจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ไม่ถึงสิบสองปีอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้เขาอายุสิบเจ็ดแล้ว และก็ยังสบายดี มันเป็นเรื่องปาฏิหาริย์จริงๆ

ลู่ฝานหันไปหาลุงเฒ่าหวูและพูดว่า “นั่นอาจเป็นเพราะเหล้าของคุณดีด้วย”

มีแสงประหลาดแวบเข้ามาในดวงตาของเฒ่าหวู่ และเขาพูดด้วยรอยยิ้มว่า “แน่นอน เหล้าของฉันดีที่สุดแน่นอน”

ลู่ฝานถอนหายใจและพูดว่า “ผู้หญิงของฉันทิ้งฉันเพราะฉันเป็นคนไร้ค่า”

ลุงเฒ่าหวูหรี่ตา และกล่าวว่า “งั้นนางจะต้องเสียใจทีหลังอย่างแน่นอน”

ลู่ฝานหัวเราะ และพูดว่า “ลุงเฒ่าหวู ขอบคุณที่ปลอบใจฉัน”

ลุงเฒ่าหวูยิ้มและพูดว่า “เชื่อฉันเถอะ นี่ไม่ใช่การปลอบใจ”

ลู่ฝานเทเหล้าให้ตัวเองอีกชาม แล้วพูดว่า “น่าเสียดาย เกรงว่าฉันจะไม่สามารถมานั่งดื่มเหล้าของคุณได้อีกแล้วในอนาคต”

รอยยิ้มบนใบหน้าของลุงเฒ่าหวูจางลง และเดินออกจากด้านหลังเคาน์เตอร์และพูดว่า “ทำไมเหรอ? คุณจะจากไปแล้วเหรอ?”

ลู่ฝานพยักหน้าและกล่าวว่า “ใช่ ฉันกำลังจะจากไป การคัดเลือกของสถาบันสอนวิชาบู๊ในปีนี้ ฉันไม่ผ่านอีกแล้ว ฉันอายุสิบเจ็ดปีแล้ว และอย่างมากที่สุดฉันก็มีเพียงโอกาสทำการทดสอบครั้งสุดท้ายในครั้งต่อไปในปีหน้าและปีที่สาม แต่ทางตระกูลจะไม่ปล่อยให้ฉันขายหน้าพวกเขาจนสุดหรอก น่าจะปล่อยฉันออกไป หลังจากเทศกาลเซ่นไหว้ประจำปีในปีนี้แล้ว และฉันก็ไม่รู้ว่าฉันจะถูกปล่อยไปตรงไหน แต่ฉันแน่ใจว่าฉันจะไม่ได้กลับมาที่นี่แน่นอน”

ลุงเฒ่าหวูเดินโซเซและนั่งลงตรงข้ามกับลู่ฝาน และพูดว่า “ช่างน่าสังเวชแบบนี้เชียว?”

ลู่ฝานพยักหน้าและกล่าวว่า “ใช่ มันช่างน่าสังเวชเหลือเกิน ลุงเฒ่าหวู ก่อนที่ฉันจะจากไปฉันจะซื้อเหล้าของคุณอีกสองสามขวด และเตรียมมันไว้สำหรับดื่มระหว่างทาง”

ลุงเฒ่าหวูพูดว่า “ไม่มีปัญหา ฉันจะเตรียมไว้ให้คุณหลายๆ ขวดอย่างแน่นอน แต่ฉันกลับคิดว่า คุณไม่จำเป็นต้องจากไป ทำไมปีหน้าคุณไม่ลองดูอีกสักครั้ง บางทีคุณอาจจะสอบผ่านก็ได้?”

เสียงตะโกนอย่างบ้าคลั่งดังขึ้น และบนใบหน้าของจางเยว่หานเต็มไปด้วยรอยยิ้ม โค้งคำนับให้กับทุกคน ดวงตาสวยสะกดมองไปที่ผู้ชม ลู่หมิงก็ปรบมืออยู่ในฝูงชน ด้วยท่าทางโล่งใจ อย่างไรก็ตามเมื่อสายตาของจางเยว่หานสบเข้ากับลู่ฝาน สายตาของเธอกลับผันผวนเล็กน้อย จากนั้นก็หันหน้าหนีไปทางอื่น

ลู่ฝานรู้สึกไม่ดีขึ้นมาทันที ในเวลานี้จางเยว่หานได้เดินลงมาแล้ว และก็เดินออกจากฝูงชนไป

ลู่ฝานเดินตามไปอย่างรวดเร็ว และหลังจากเดินวนไปมา ในที่สุดจางเยว่หานก็หยุดอยู่ในตรอกร้างที่ไม่มีผู้คนแห่งหนึ่ง

ลู่ฝานก็ได้หยุดลงเช่นกัน และมองไปที่จางเยว่หานโดยไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองไปที่เธอเล็กน้อย ลู่ฝานกล่าวว่า “เยว่หาน เธอเป็นอะไรไปเหรอ?”

จางเยว่หานกัดริมฝีปากของเธอ ราวกับว่าเธอตัดสินใจแล้ว เงยหน้าขึ้นแล้วพูดว่า “ลู่ฝาน เราไม่สามารถคบกันได้อีกต่อไปแล้ว”

ลู่ฝานรู้สึกเพียงราวกับเขาถูกฟ้าผ่าอย่างแรง ไม่มีใครรู้ว่า เขาและจางเยว่หานแอบคบกันมานานสามปีแล้ว

“ทำไมเหรอ?”

เสียงของลู่ฝานได้แหบแห้งเล็กน้อยแล้ว

“เพราะว่า ฉันได้สอบเข้าสถาบันสอบวิชาบู๊แล้ว ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ตัวตนของพวกเราก็จะต่างกันออกไปอย่างสิ้นเชิง ฉันจะกลายเป็นนักบู๊ และนาย…..”

คำพูดของจางเยว่หานเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น โดยไม่สนใจเลยว่าคำพูดของเธอจะทำร้ายจิตใจของลู่ฝานมากแค่ไหน

ลู่ฝานรู้สึกว่าถึงร่างกายของตัวเองสั่นเทาเล็กน้อย และพูดว่า “และผมก็เป็นแค่ไอ้ขยะคนหนึ่งใช่มั้ย?”

จางเยว่หานไม่ได้ตอบอะไร แต่ในสายตาของเธอกลับให้คำตอบกับลู่ฝานไปแล้ว

ลู่ฝานกล่าวต่อไปว่า “ที่เธอสามารถสอบเข้าสถาบันสอบวิชาบู๊ มันก็เป็นเพราะผม”

จางเยว่หานกัดฟันและพูดว่า “ฉันรู้ ยาที่นายให้ฉันมา ฉันก็จะคืนให้นายทั้งหมดในอนาคต รอให้ฉันเข้าไปในสถาบันสอบวิชาบู๊ ฉันก็จะนำยาที่ดียิ่งขึ้นมาให้นายแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้นเราก็ได้จบกันแล้ว”

ลู่ฝานถอยหลังไปสองก้าว ราวกับว่าเขาไม่รู้จักผู้หญิงที่อยู่ข้างหน้าเขาอีกต่อไปแล้ว

จางเยว่หานหยิบจี้หยกจากที่หน้าอกของเธอออกมา มันเป็นของขวัญที่ลู่ฝานมอบให้กับเธอ

ลู่ฝานจำได้ว่าในคืนนั้น จางเยว่หานนอนอยู่ในอ้อมแขนของเขา และรับจี้หยกไปด้วยรอยยิ้ม บนใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความสุข

แต่ตอนนี้ จางเยว่หานก้าวไปข้างหน้าและใส่จี้หยกกลับเข้าไปในมือของลู่ฝาน และกล่าวว่า “ลู่ฝาน ฉันหวังว่าหลังจากที่นายออกไปแล้วนายจะไม่บอกความสัมพันธ์ระหว่างเรากับคนอื่น ก็ถือว่ามันเป็นสิ่งสุดท้ายที่นายทำให้กับฉัน โอเคไหม?”

ลู่ฝานบีบจี้หยกในมืออย่างแน่นหนา แล้วพูดว่า “ไม่ต้องกังวล เราไม่เคยคบกันมาก่อน”

หลังจากพูดจบ ลู่ฝานก็กระแทกจี้หยกในมือลงกับพื้น สายตาของจางเยว่หานสั่นไหว แต่ก็ไม่ได้เก็บจี้หยกขึ้นมา ถอยหลังไปสองสามก้าว จางเยว่หานกล่าวว่า “ลู่ฝาน ยอมรับความจริงหน่อยเถอะ นายก็รู้ ระหว่างเรามันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ลาก่อน”

จางเยว่หานดูเหมือนจะไม่เต็มใจที่จะพูดอะไรกับลู่ฝานอีกเลย และจากไปอย่างรวดเร็ว

ลู่ฝานเฝ้ามองดูเงาหลังของเธอ ไม่สามารถซ้อนทับผู้หญิงที่น่ารักที่อยู่ข้างๆ เขากับผู้หญิงที่อยู่ข้างหน้าเขาในใจได้

เป็นไปไม่ได้?

ก่อนหน้านี้ตอนที่จางเยว่หานคบกับเขา เธอไม่เคยพูดแบบนี้กับเขามาก่อนเลย ตอนที่เขาแอบมอบยาสมุนไพรที่ตัวเองไม่ยอมกินให้เธอ เธอก็ไม่ได้พูดคำนี้เลย

ลู่ฝานยืนอยู่ที่เดิมเป็นเวลานาน และทันใดนั้นท้องฟ้าก็โปรยปรายไปด้วยหิมะ

สิ่งของและทิวทัศน์รอบกายยังคงเดิมแต่หญิงคนนั้นกลับไม่ใช่คนเดิมแล้ว!

ลู่ฝานเดินกลับไปที่จัตุรัสด้วยความสิ้นหวัง ในขณะนี้คนอื่นๆ ยังคงสนุกกับการทดสอบ

ทันใดนั้น ลู่ฝานเห็นจางเยว่หานที่กำลังคุยเล่นอย่างมีความสุขกับพี่ชายของเขาลู่หมิงในระยะไกล และในเวลานี้ ลู่หมิงยังได้มอบกระบี่ของเขาเองให้กับเธอเป็นของขวัญ จางเยว่หานกลับยอมรับมันด้วยความเขินอาย

อันที่จริงนั่นถึงเป็นเหตุผลที่แท้จริง นั่นถึงคือเหตุผลที่แท้จริง

ลู่ฝานหัวเราะคิกคัก และหันหลังเดินจากไปด้วยความโศกเศร้าอย่างไม่รู้จบในหัวใจของเขา

สักวันหนึ่ง เธอจะต้องเสียใจแน่นอน

มันต้องมีสักวันหนึ่ง!

เมืองเจียงหลิน อยู่ในช่วงฤดูหนาวที่หนาวเหน็บ ทุกสิ่งอยู่ในสภาพที่รกร้าง

ในจัตุรัสขนาดใหญ่ มีผู้คนมากมาย หินศิลาดำชิ้นหนึ่งสูงถึงสองฟุตตั้งตระหง่านอยู่ตรงกลาง บนหินศิลาดำ ถ้อยคำอันยิ่งใหญ่ของคำว่าวิชาบู๊ มันช่างน่าทึ่งเหลือเกิน

ในวันนี้ เป็นวันรับสมัครของสถาบันสอนวิชาบู๊แห่งประเทศอู่อัน เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่าสิบแปดปีในเมืองเจียงหลินสามารถสมัครได้ทั้งหมด ตราบใดที่ผ่านการทดสอบ พวกเขาก็จะสามารถเข้าไปฝึกฝนในสถาบันสอนวิชาบู๊เป็นเวลาสามปี และกลายเป็นนักบู๊ที่ทุกคนชื่นชม

“คนต่อไป ลู่ฝาน”

ตามผู้ตรวจการ ด้วยเสียงตะโกน ชายหนุ่มอายุสิบเจ็ดปีก้าวออกจากฝูงชน เขาร่างผอมเพรียว ใบหน้าหล่อเหลา สวมใส่ชุดนักบู๊สีขาว และที่หน้าอกของเขามีโลโก้ของตระกูลลู่แห่งเมืองเจียงหลิน

เดินอย่างช้าๆ ลู่ฝานเดินไปถึงข้างหน้าหินศิลาดำ และตั้งท่าทางของเขา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น

อาจารย์ของสถาบันสอนวิชาบู๊ที่ยืนอยู่ข้างๆ พยักหน้าเล็กน้อย เขาชื่นชอบสายตาของลู่ฝานอย่างยิ่ง มันมีพลังมาก

ลู่ฝานชกต่อยที่หินศิลาดำที่อยู่ข้างหน้าเขา ทันใดนั้นหินศิลาดำก็สว่างขึ้นมา เผยให้เห็นบรรทัดข้อความ ทำให้ทุกคนในจัตุรัสมองเห็นได้ชัดเจน

“แดนฝึกร่างชั้นสาม ระดับต่ำ”

มีเสียงเยาะเย้ยดังขึ้นในจัตุรัส อาจารย์ในสถาบันสอนวิชาบู๊ที่รู้สึกเห็นชอบจากเดิมก็ขมวดคิ้วขึ้นมา

“แค่แดนฝึกร่างชั้นสามก็กล้าที่จะขึ้นมาอวดดี อยากจะให้ฉันขำตายงั้นเหรอ?”

“นี่เป็นลู่ฝานไอ้ขยะของตระกูลลู่ไม่ใช่เหรอ? ทำไมผ่านไปตั้งหลายปีแล้ว เขายังอยู่ในระดับแดนฝึกร่างชั้นสาม ช่างเป็นไอ้ขยะที่ไร้ประโยชน์จริงๆ!”

“เขาอายุเกือบสิบแปดแล้วไม่ใช่เหรอ และคาดว่าเขาคงไม่สามารถพัฒนาถึงระดับพลังปราณในชีวิตนี้ได้หรอก”

“ลงมาเถอะ อย่าขายหน้าอีกเลย หน้าของตระกูลลู่พวกนายถูกไอ้ขยะอย่างนายทำลายทิ้งหมดแล้ว”

…….

การเยาะเย้ยแต่ละเสียงผสมกับการหัวเราะเยาะ ลู่ฝานแอบกัดฟันของเขา และหมัดที่กำแน่นของเขานั้นเพราะใช้แรงเกินไป และทำให้เล็บของเขาทิ่มแทงเข้าไปในเนื้ออย่างลึกล้ำ ลู่ฝานหันศีรษะ มองไปทางที่พ่อเขาที่นั่งอยู่ข้างๆ ชายผู้ที่ถูกเรียกว่าเป็นพยัคฆ์พลังปราณแห่งตระกูลลู่นั้นสีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความผิดหวัง

เสียงถอนหายใจราวกับดังก้องอยู่ในหูของลู่ฝาน เขากัดฟัน และลู่ฝานก็เดินลงมา

“คนต่อไป ลู่หมิง”

ผู้ตรวจการยังคงเรียกชื่อต่อไป และชายหนุ่มที่อายุราวๆ กับลู่ฝานก็เดินออกมา ชนกับลู่ฝานที่ไหล่พร้อมๆ กัน และเยาะเย้ยว่า “ไอ้ขยะ จะให้นายลองดูว่านักบู๊คืออะไร”

ลู่ฝานถูกเขาชนจนโซเซเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่ได้โจมตี เขาก้าวออกไป โดยไม่พูดอะไร ลู่หมิงซึ่งเดินไปข้างหน้าหินศิลาดำออกหมัดชกต่อยด้วยความแรง และด้วยเสียงอู้อี้ หินศิลาดำก็ระเบิดออกเป็นแสง

“แดนฝึกร่างชั้นแปด ระดับสูง”

ทันใดนั้น ฝูงชนก็อุทานด้วยเสียงความประหลาดใจ และแม้แต่ผู้ตรวจการก็อดไม่ได้ที่จะตะโกนออกมาในเวลานี้

ลู่ฝานหันศีรษะไปดูคำว่าแดนฝึกร่างชั้นแปดที่เปล่งประกายอย่างหาที่เปรียบไม่ได้บนหินศิลาดำ ม่านตาของเขาหดตัว ฝูงชนโดยรอบเริ่มที่จะชื่นชมยินดี

“แดนฝึกร่างชั้นแปดเลยเซียว ลู่หมิงของตระกูลลู่นั้นทรงพลังจริงๆ ฉันว่าเขาจะเป็นหัวหน้าคนต่อไปของตระกูลลู่”

“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว เมื่อเทียบกับน้องไอ้ขยะของเขา ลู่หมิงถึงเป็นคนที่ถูกคัดเลือกอย่างไม่ต้องสงสัย ดูการฝึกฝนวิชาบู๊ของเขาสิ!”

“ฉันว่าจะใช้เวลาอีกไม่นานเขาก็จะสามารถพัฒนาจนไปมีพลังปราณได้ เมื่อถึงเวลานั้นเมืองเจียงหลินของเราก็จะมีนักบู๊เพิ่มขึ้นมาอีกคนแล้ว”

“ลู่หมิงเป็นความภาคภูมิใจของเมืองเจียงหลินของเราเลยทีเดียว”

……

ลู่หมิงที่ได้ใจได้อ้าแขน เพื่อรับเสียงเชียร์จากฝูงชน อาจารย์ของสถาบันสอบวิชาบู๊ที่นั่งอยู่ข้างๆ ต่างก็ปรบมือเบาๆ และพวกเขาก็รับนักเรียนเพิ่มเข้ามาอีกคน อายุสิบแปดปี แดนฝึกร่างชั้นแปด ผลลัพธ์นี้มันก็พอจะผ่านเข้ารอบได้

หลังจากที่ลู่หมิงลงมา ผู้ตรวจการก็ได้อ่านชื่อบุคคลต่อไปอีกครั้ง

“คนต่อไป จางเยว่หาน”

สาวน้อยงามสง่าเดินออกมา สวมใส่ชุดกระโปรงยาว แต่นางกลับงดงามยิ่งนัก

ริมฝีปากสีแดงสดใส ดวงตาที่สวยงาม เอวเล็กดั่งกำมือ ผมดำเหมือนน้ำตก จางเยว่หานเดินไปที่หินศิลาดำ และใช้ฝ่ามือตบเข้าที่หินศิลาดำ

เสียงแตกสลายที่ชัดเจนก็ได้ดังขึ้นมา จากนั้นหินศิลาดำก็ส่องแสงประกายเจิดจ้าขึ้นมา

“แดนฝึกร่างชั้นเก้า ระดับสูง”

ทุกคนที่อยู่ในสถานที่ต่างหายใจเข้าลึกๆ เหล่าอาจารย์ของสถาบันสอบวิชาบู๊ก็ต่างพากันยืนขึ้นมาในเวลานี้ สายตาจ้องมองไปที่จางเยว่หานอย่างแน่นหนา และในที่สุดก็พบต้นกล้าที่ดี

หัวหน้าของตระกูลจางหัวเราะจนหุบปากไม่อยู่แล้ว และหัวหน้าตระกูลทั้งสองที่อยู่ข้างๆ เขาเริ่มจับมือเพื่อแสดงความยินดีกับหัวหน้าตระกูลจาง มีลูกสาวเช่นนี้หนึ่งคน ตระกูลก็จะเจริญรุ่งเรือง

“แดนฝึกร่างชั้นเก้าเลยทีเดียว จางเยว่หานช่างน่าทึ่งจริงๆ คุณคือเทพธิดาของฉัน”

“ปรากฏว่าผู้ที่แข็งแกร่งมากที่สุดในเมืองของเราคือจางเยว่หานนั่นเอง คราวนี้ตระกูลจางจะกลับมารุ่งเรืองอีกครั้งแล้ว”

“จางเยว่หาน คุณคือไอดอลของผู้หญิงของเรา”

……

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า

Status: Ongoing

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า แปลไทย นักยุทธ์ พลังเหนือฟ้า ฝึกฝนชี่เซียน เหนือความมุ่งหวัง ทางฝาน ครูฝึกชี่ที่โลกยุทธ์ ด้านนึงหยินหยาง ด้านนึงเอกภพ แผ่นดินใต้หล้า เพียงแค่เราผู้จอมเทวดา

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท