ตอนที่ 489 ปฐมราชินีกลับตำหนักสวรรค์!
“ผานกู่?” ซีหวังหมู่มองสหายผู้บุกเบิกฟ้าดิน สร้างดวงดาว ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ รวมไปถึงแม่น้ำและภูเขาด้วยความคนึงหา “สหายเก่า เจ้าร่วงหล่นไปเจ็ดสิบล้านปีแล้ว”
เทพอัสนีก็รู้สึกปลงเช่นเดียวกัน จากนั้นพวกมันยังเห็นสหายเก่าอีกมากมาย มีทั้งที่ร่วงหล่นไปแล้วและยังไม่ร่วงหล่น รวมถึงพวกเขาเองด้วย ต่างปรากฏรอบกายเยี่ยนอวี๋อย่างต่อเนื่อง กลายเป็นภูเขาและท้องทะเลและกลายเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาล
ในกระบวนการนี้ ไม่ว่าจะเป็นซีหวังหมู่หรือเทพอัสนี พวกเขารับรู้ได้อย่างแจ่มชัดว่า “นายท่านฟื้นฟูพลังกลับมาได้อีกเล็กน้อยแล้ว! ดีจริงๆ เลย”
“สวย สวยจังเลย!” เยี่ยนเสี่ยวเป่าดูอย่างตื่นตาตื่นใจ “ว้าว พ่อ! พ่อดูสิ! สวย แม่สวยเป็นบ้าเลย! แม่… แม่…” เด็กน้อยที่ตื่นเต้นดีใจมากอยากจะปีนเข้าไปในอ้อมอกของท่านแม่แล้ว แต่กลับถูกท่านพ่อของเขา ‘ผลักไส’ อย่างไร้ความปรานี
เยี่ยนเสี่ยวเป่าที่ตะลึงงันก็มองท่านพ่อของเขาอย่างงุนงง ยังไม่ทันตั้งสติได้ ท่านพ่อแท้ๆ ที่อุ้มภรรยาไว้คนนั้นก็เอ่ยขึ้นว่า “อย่ารบกวนท่านแม่เจ้า ไปเล่นกับอิงอิงไป”
“ไม่!” เยี่ยนเสี่ยวเป่านั่งลงอย่างขุ่นเคือง ถลึงตามองท่านพ่อของเขาอย่างโมโห “พ่ออุ้ม!”
ต้าซือมิ่งที่อุ้มภรรยาและมีภรรยาแอบอิงในอ้อมแขนก็หรี่ตามองเด็กน้อยทีหนึ่ง แสดงออกด้วยสีหน้าปฏิเสธชัดเจน แต่เจ้าตัวดื้อทำหน้าบูดบึ้งสู้กับท่านพ่อของเขา “อุ้ม!”
“ปีนขึ้นมาบนหลังเอง” ท้ายที่สุดต้าซือมิ่งก็ยอมประนีประนอม แอบบ่นว่า ‘ลูกแท้ๆ จริงๆ’
เด็กน้อยเดินเตาะแตะไปด้านหลังของท่านพ่ออย่างมีความสุข ก่อนจะปีนขึ้นไปนั่งลงบนบ่าของท่านพ่ออย่างมั่นคงและมองท่านแม่ของเขาจากข้างบน “ว้าววว”
“ชู่” ต้าซือมิ่งที่ส่งสัญญาณให้เด็กน้อยเบาเสียงลง สายตาของเขาก็มองคนงามที่อยู่ในอ้อมอกของตน แน่นอนว่าเขาเองก็รู้สึกทึ่งกับความงามที่ไม่ธรรมดาของภรรยาที่กำลังหลับใหลเช่นกัน
เยี่ยนเสี่ยวเป่าที่ปิดปากตนเองไว้ก็กะพริบดวงตาโตเป็นประกายของตนมองดูท่านแม่รูปงามของเขาพร้อมท่านพ่อ กลายเป็นภาพครอบครัวสามคนที่งดงามและอบอุ่น
ซีหวังหมู่และเทพอัสนีเห็นดังนั้นก็เพียงพอที่จะทำให้พวกเขาที่มีใจอำมหิตและดุร้ายใจอ่อนยวบลง สายตาอ่อนโยนและอบอุ่น…
ในเหตุการณ์มีเพียงเสียงทำอาหารของจิ่วอิงเท่านั้นที่ฟังดูยุ่งวุ่นวาย ช่วยไม่ได้! ต้าซือมิ่งต้องอุ้มภรรยา เจ้าตัวน้อยก็จะกินข้าว ซีหวังหมู่และเทพอัสนีก็ทำอาหารไม่เป็น มีเพียงจิ่วอิงต้องลงมือทำเอง…
ทำเอาจิ่วอิงที่ไม่คุ้นเคยกับงานประเภทนี้วุ่นจนหัวหมุน มันไม่มีกะจิตกะใจจะมาชื่นชมภาพครอบครัวทั้งสามคนว่าอบอุ่นอย่างไรหรอก ศีรษะทั้งเก้าของมันไม่พอใช้แล้ว!
“ลำบากจริงๆ…” ศีรษะหนึ่งกำลังสับเนื้อ ศีรษะหนึ่งกำลังล้างผัก ศีรษะหนึ่งกำลังซาวข้าว ศีรษะหนึ่งกำลังก่อไฟ ศีรษะหนึ่งกำลังหั่นนั่นหั่นนี่ ศีรษะหนึ่งกำลัง… เอาเป็นว่าจิ่วอิงและศีรษะทั้งเก้าของมันที่กำลังวุ่นวายอยู่นั้นสาบานว่าต่อไปจะไม่ทำอีกแล้ว! เดิมทีมันคิดว่าทำอะไรง่ายๆ ให้ทานก็พอ ทว่าต้าซือมิ่งกลับยื่น ‘ตำรา’ ให้ บอกมันว่าต้องทำตามนี้เท่านั้น น่ารำคาญจริงๆ!
ทว่าถึงจะน่ารำคาญเช่นไรมันก็ไม่ได้ทิ้งงาน ทำให้ตี้เซินที่ ‘คอยชม’ ถึงตรงนี้รู้สึกอัศจรรย์ใจนัก ทว่าจิตใจของเขาอยู่ที่ตัวของเยี่ยนอวี๋มากกว่า รู้แก่ใจดีว่าเมื่อนางตื่นขึ้นมาก็จะถึงเวลาตายของเสด็จแม่ของเขาแล้ว
การตระหนักรู้เช่นนี้ทำให้ตี้เซินรู้สึกซับซ้อนในใจ ‘หวังว่าเสด็จแม่จะไม่เสแสร้งเกินไป บางทีอาจจะมีชีวิตรอดได้ แม้จะต้องดิ้นรนทุรนทุราย เสด็จแม่ก็น่าจะยอม…’
ตี้เซินที่คิดเช่นนี้อีกใจหนึ่งก็รู้ดีว่าเสด็จแม่ท่านนั้นของเขาเป็นแบบอย่างของสำนวนไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา ไม่มีวันยอมแพ้จนวันตาย
เขาเองก็เป็นเช่นนี้มิใช่หรือ เพียงแต่เขายังมีเสด็จพ่อคอยคุ้มกันหัว แต่เสด็จแม่…คงจะยาก
ตี้เซินรู้ดีว่าที่เขามีชีวิตอยู่ได้ในยามนี้ล้วนเป็นเพราะเขาไม่ได้มีส่วนร่วมในการหลอกล่อและทำร้ายเหล่าขุนเขาและท้องทะเล มิเช่นนี้แม้แต่เสด็จพ่อของเขาก็คงคุ้มกันเขาไว้ไม่ได้
“เสด็จแม่…” แววตาตี้เซินฉายแววซับซ้อนพลางก้มศีรษะลง ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรจึงจะรักษาชีวิตของเสด็จแม่ไว้ได้ เพราะเขาไตร่ตรองไปมา คิดแล้วคิดอีกก็รู้สึกว่าไม่มีทางรักษาไว้ได้ พูดได้ว่าบุตรชายรู้จักมารดาดีกว่าผู้ใด
หลังจากที่ตี้เซินครุ่นคิดอยู่นาน…
“แม่!”
เสียงเรียกอ่อนเยาว์และดีใจของเด็กน้อยเรียกสติของตี้เซินกลับมา ทำให้เขาเห็นว่าเยี่ยนอวี๋ตื่นแล้ว เด็กน้อยสวมกอดท่านแม่ของเขาอย่างดีอกดีใจ
“แม่!”
“จ้า”
เยี่ยนอวี๋ที่กอดเด็กน้อยตัวนุ่มนิ่มไว้ก็รู้สึกมีความสุขเพราะความร่าเริงของเด็กน้อย นางจูบขนอ่อนบนศีรษะของเด็กน้อย “เสี่ยวเป่ากินอิ่มหรือยัง”
“เสร็จแล้ว! ข้าวเสร็จแล้ว! เสี่ยวเป่ามานี่สิ! เสี่ยวเป่าล่ะ” จิ่วอิงที่เพิ่งทำอาหารเสร็จหันมามองเด็กน้อยที่แต่เดิมนั่งมองมันตาปริบอยู่ข้างๆ แต่บัดนี้กลับหายไปแล้ว
“อิงอิง! ทางนี้” เยี่ยนเสี่ยวเป่าตอบ แต่เขาไม่อยากออกจากอ้อมกอดของท่านแม่จึงพูดว่า “อิงอิง! มาป้อนเป่า ดีหรือไม่”
“ไม่ดี!” จิ่วอิงรำคาญจะตายอยู่แล้ว “มากินเอง!”
“อิงอิง!” เยี่ยนเสี่ยวเป่ายังคงเรียก
จิ่วอิง “…” ไม่ได้ยิน!
“อิงอิง” เยี่ยนเสี่ยวเป่ายังคงเรียก
“มาแล้วจ้า!” สุดท้ายจิ่วอิงยังคงมาอยู่ดี
เยี่ยนอวี๋หัวเราะ แต่นางก็ยังไม่อยากลุก ยังคงอิงแอบอ้อมอกของต้าซือมิ่ง “เสี่ยวเป่าลุกขึ้นมากินข้าวเองสิ”
ต้าซือมิ่งที่กอดภรรยาและเด็กน้อยไว้ เขาก็ยกเสี่ยวเป่าออกไป “กินอิ่มแล้วค่อยกลับมา”
“ขอรับ” ถึงอย่างไรเด็กน้อยก็หิวแล้ว เขานั่งทานข้าวอยู่ข้างหน้าจิ่วอิงอย่างเชื่อฟัง
เยี่ยนอวี๋ยื่นมือออกไปกอดเอวบางของต้าซือมิ่ง ถามเสียงเบาว่า “จะกลับตำหนักสวรรค์กับข้าแล้ว ตื่นเต้นหรือไม่”
หรงอี้เลิกคิ้วเล็กน้อย ไม่คิดว่าภรรยาจะถามคำถามนี้ แต่เขาก็ทำท่าครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า “ตื่นเต้นสิ กลัวว่าภรรยากลับไปเป็นปฐมราชินีแล้วจะมีสวามีเต็มเรือน”
เยี่ยนอวี๋หัวเราะขึ้นเบาๆ มุดศีรษะลงไปที่ซอกคอของชายคนนี้ นางรู้ว่าเขาหยอกนางเล่น ทว่าซีหวังหมู่คิดว่าพูดจริง “จวินโฮ่ววางใจเถอะ หากมีวันนั้นจริงๆ พวกเราก็จะชอบท่านมากกว่า!”
“ใช่ๆ” เทพอัสนีรีบกล่าว “ท่านเป็นถึงผู้ช่วยชีวิตของข้า ข้าต้องสนับสนุนท่านอยู่แล้ว! อีกอย่างนะ นายท่านอาลัยรักเก่า คนที่ชอบที่สุดต้องเป็นจวินโฮ่วอยู่ดี!”
หรงอี้ “…”
“พรวด… ฮ่าๆ”
เยี่ยนอวี๋หัวเราะไม่หยุด ต้าซือมิ่งอดกัดใบหูของนางไม่ได้จนนางสะดุ้ง รีบพูดว่า “สามีวางใจเถอะ ตำแหน่งจวินโฮ่วของท่านไม่หนีไปไหนแน่นอน”
“ซุกซนจริงๆ” ต้าซือมิ่งที่กอดภรรยาไว้จะทำอย่างไรได้ ได้แต่เอ็นดูนางเช่นนี้
หลังจากเด็กน้อยทานข้าวอิ่มและเรอออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เยี่ยนอวี๋ก็ลุกขึ้นพูดว่า “ไปกันเถอะ กลับตำหนักสวรรค์ ข้าอยากเห็นตำหนักสวรรค์ในยามนี้เหลือเกิน”
เมื่อคำพูดนี้ดังขึ้น…เสียงก็ดังสะท้อนไปถึงสวรรค์ชั้นเก้าทันที!
