ตอนที่ 706 ปลุกเสกเบิกเนตร
บัดนี้ ณ จักรวาลดั้งเดิม
เทียนตี้ที่เพิ่งรู้ว่าเยี่ยนอวี๋กำลังแตกสลาย เขาก็… ทำหน้าขรึมทันที “เริ่มตั้งแต่เมื่อใด”
“หลังจากหลุมศพหายไป” หยวนสื่อเทียนจุนอดกลั้นจนเมื่อถึงจักรวาลดั้งเดิมจึงบอกเรื่องนี้แก่เทียนตี้ เพราะเขากลัวว่าข่าวจะรั่วไหล
เทียนตี้เข้าใจหัวอกของหยวนสื่อเทียนจุนดี เพียงแต่ว่ายังไม่สามารถยอมรับความจริงเรื่องนี้ได้ เขาเหินไปทางห้องบรรทมของเยี่ยนอวี๋แล้ว
ทันทีที่เขาเข้าไปในห้องก็รู้สึกถึงบรรยากาศอันหนักอึ้ง เพราะว่า… แขนของเยี่ยนอวี๋ก็เริ่มแตกร้าวแล้ว
ไม่เพียงเท่านี้… อินหลิวเฟิงก็เริ่มแตกร้าวแล้วเช่นกัน
เอ้อร์เหมาตระหนก “นายน้อย เหตุใดท่านจึงเริ่มเร็วเช่นนี้”
“ย่อมเป็นเพราะว่าตบะข้าสูงอย่างไรเล่า” อินหลิวเฟิงมองมือของตนเองอย่างไม่รู้สึกแปลกใจแม้แต่น้อย
สีหน้าของเทียนตี้ย่ำแย่ แต่เขาก็หันไปขอความช่วยเหลือหยวนสื่อเทียนจุนแล้ว “หยวนสื่อ เห็นทีต้องรบกวนท่านไปภูเขาปู้โจวซานพาฟ่านเจียงกลับมาแล้ว”
หยวนสื่อเทียนจุนรู้ว่าเทียนตี้ต้องการอะไรจึงลุกขึ้นและจากไปแล้ว
อินหลิวเฟิงพูดขึ้นว่า “ต้องพากลับมา จะตายก็ต้องตายหมู่”
“พล่ามอะไรของเจ้า” เทียนตี้โมโห “เจ้าตั้งตารอให้อาจารย์ตายหรือ”
อินหลิวเฟิงลูบจมูก “ข้าก็แค่ปากเสีย ข้าพูดผิดเอง”
เอ้อร์เหมามองนายน้อยจวนของตนอย่างเบื่อหน่าย “นายน้อย ท่านรู้ว่าตนเองปากเสีย ท่านยังพูดอีก ท่านไม่รู้ว่าท่านปากเสียแล้วยังดันแม่นมากอีกหรือ”
“…ไม่ใช่หรอกนะ” อินหลิวเฟิงกล่าวจริงๆ ว่า “ครั้งนี้ข้าไม่ได้ตั้งใจจริงๆ แค่ปากเสีย ไม่ได้มีเจตนาอื่น คำพูดของเด็กรู้เท่าไม่ถึงการณ์ อย่าได้ถือสา”
“เจ้าคิดว่าเจ้าคือท่านเสี่ยวเป่าหรือ” กู้จื่อเฟิงกลอกตา
“มิบังอาจ” อินหลิวเฟิงกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ท่านเสี่ยวเป่าเก่งกาจเช่นนั้น ข้าสู้เขาไม่ได้แม้แต่น้อย”
กู้จื่อเฟิง “…”
เขาไม่ได้หมายถึงเรื่องนี้เสียหน่อย เขาหมายถึงอายุต่างหาก
เจ้าวิหคทมิฬตัวนี้กลับชาติมาเกิดเป็นสัตว์ปีกไร้สมอง
ทว่าอินหลิวเฟิงผู้ไร้สมองยังกล่าวต่อไปด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ตอนนี้เห็นทีเราคงหนีไม่พ้นการแตกร้าว หลุมศพนั่นคือตัวปัญหาจริงๆ”
เทียนตี้ที่คิดถึงเรื่องนี้แล้วก็พยักหน้า “ข้าจะไปจำศีล จะพยายามหาวิธีแก้ไขให้ได้ พวกเจ้าดูแลอาจารย์ให้ดี โดยเฉพาะเสี่ยวเป่า อย่าให้เขาร้องไห้”
“เรื่องนี้…” อินหลิวเฟิงบอกว่าอันหลังนี่น่าจะยาก
เยี่ยนชิงกลับรับปากว่า “วางใจเถอะ เสี่ยวเป่าเป็นเด็กดี หากเขาตื่นขึ้นมา ข้าจะคุยกับเขาดีๆ เอง”
“รบกวนท่านลุงเยี่ยนแล้ว”
“เทียนตี้เกรงใจแล้ว ก่อนหน้านี้ยังไม่ได้ขอบพระทัยท่านที่ช่วยชีวิตไว้”
“ใช่แล้ว ขอบพระทัยเทียนตี้ที่ช่วยสามีหม่อมฉัน” จางอวิ๋นเมิ่งเองก็ปริปาก นางรู้สึกขอบคุณเทียนตี้จริงๆ หากไม่ใช่เพราะเทียนตี้อำพรางตนเป็นสามีนาง นางอาจจะต้องลาจากสามีไปตลอดกาล
และในครานี้คือนางมีชีวิต ส่วนเขาตาย
จุดจบเช่นนั้น… จางอวิ๋นเมิ่งแค่คิดก็หายใจไม่ออกแล้ว
ตอนตาย ‘ชาติที่แล้ว’ นางเกือบจะทำสิ่งที่อยากทำสำเร็จหมดแล้ว สิ่งที่เสียใจมากที่สุดก็คือไม่สามารถอยู่กับสามีจนแก่เฒ่า ทิ้งเขาอยู่เพียงลำพัง ทำให้เขาต้องแบกรับความทรมานจากการสูญเสียภรรยา
หากนางเกิดใหม่แล้วต้องแลกกับการตายจากของสามี เช่นนั้นการเกิดใหม่ของนางจะมีความหมายอะไร
ดังนั้น จางอวิ๋นเมิ่งอยากจะถือโอกาสคุกเข่าขอบคุณให้เทียนตี้
ทว่าเทียนตี้ย่อมไม่ปล่อยให้นางได้ทำ เขาใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ประคองนางไว้แล้ว “หากท่านป้าคุกเข่าลงไปจริงๆ อาจารย์ตื่นมาต้องกระทืบข้าแน่ อย่าทำร้ายข้าเลย”
จางอวิ๋นเมิ่งจึงลุกขึ้น ทว่า…
“เนะ…”
เสียงหน่อมแน้มของเด็กน้อยทำเอาทุกคนระวังตัวกันทันที
อินหลิวเฟิงรีบทำเสียง ‘ชู่’ ในขณะเดียวกันก็เดินย่องไปข้างหน้าแอบดูเด็กน้อยอย่างอย่างระมัดระวัง
จากนั้นเขาก็พบว่าเนื่องจากเจ้าตัวน้อยถูกพ่อแม่หนีบจนรู้สึกไม่สบาย เขาจึงประท้วงขึ้นในขณะที่ยังหลับ ละขยับร่างกายให้ได้ท่าที่สบายก่อนจะหลับต่อไป อินหลิวเฟิงถอนหายใจโล่งอก
แม้เยี่ยนชิงจะรับผิดชอบงานปลอบเด็กน้อย แต่ทุกคนยังคงกลัวมากอยู่ดี
ท่านเสี่ยวเป่าดูอ่อนโยน แต่โมโหขึ้นมา จักรวาลดั้งเดิมก็ต้องสั่นสะเทือน
“เราออกไปคุยข้างนอกเถอะ ข้ากลัวว่าเสียงจะดังทำให้ท่านเสี่ยวเป่าตื่น” อินหลิวเฟิงเสนอกับทุกคนอย่างขี้ขลาด
เยี่ยนชิงเองก็พยักหน้า “ออกไปก็ดี ให้เสี่ยวเป่านอนนานหน่อย เขาดูเหนื่อยไม่น้อย”
“ใช่ๆๆ ออกไปกันเถอะ” เทียนตี้ที่คิดถึงครานั้นถูกเจ้าตัวน้อยทั้งทุบและถลึงตามองก็รู้สึกขนหัวลุก
ทุกคนจึงเดินย่องออกจากห้องอย่างเข้าใจตรงกัน
ทว่า…
“ให้เทพอัสนีเฝ้าที่นี่เถอะ” อินหลิวเฟิงรู้สึกว่าหากทุกคนออกไปหมดจะไม่ดี ต้องคอยสังเกตการณ์ ‘ความคืบหน้า’ การแตกร้าวมิใช่หรือ แม้ตอนนี้เขาเองก็กำลังแตกร้าว แต่ถึงอย่างไรก็ไม่เหมือนกัน
ทว่าจะว่าไปแล้วเทียนตี้อดถามไม่ได้ว่า “มือของเจ้ากำลังแตกร้าว เหตุใดจึงไม่สลบเล่า”
อินหลิวเฟิงเพิ่งนึกขึ้นได้ “นั่นน่ะสิ ทำไมข้าไม่สลบนะ”
“จริงด้วย” กู้จื่อเฟิงเพิ่งสังเกตว่าผิดปกติ เมื่อครู่นี้เขาคิดไม่ถึงจริงๆ อาจจะเป็นเพราะถูกเจ้าวิหคทมิฬตัวนี้ทำเอาสมองใช้การได้ไม่ดีไปด้วย
“เช่นนั้นเทียนตี้ท่านดูให้ข้าหน่อยว่าข้าเป็นอะไร เหตุใดจึงไม่สลบ ทั้งยังกระปรี้กระเปร่าดีเช่นนี้ ไม่รู้สึกเจ็บตรงไหนเลย” อินหลิวเฟิงพูดพลางยื่นมือที่กำลังแตกร้าวของตนให้เทียนตี้
เทียนตี้ตั้งใจดูอยู่ครู่หนึ่ง “ไม่เจ็บจริงๆ หรือ”
“ไม่เจ็บ” อินหลิวเฟิงยืนยัน
เทียนตี้พยักหน้า… จากนั้นก็ได้ยินเสียงเริงร่าของซีหวังหมู่ “เสี่ยวเฮ่าเฮ่า เจ้ากลับมาแล้วหรือ”
“เซ่าเฮ่า” เทพอัสนีเองก็เดินไปรับเซ่าเฮ่าแล้ว
เทียนตี้ผละตัวออกจากอินหลิวเฟิงไปหาเซ่าเฮ่าแล้ว
อินหลิวเฟิงที่ยังชู ‘มือเละๆ’ ของตนคิดในใจ ใจร้ายเช่นนี้เลยหรือ
เซ่าเฮ่าในครานี้เดินมาทางห้องบรรทมของเยี่ยนอวี๋และพบปะกับเทียนตี้พวกเขาในเรือนแล้ว
“เหตุใดจึงกลับมากะทันหันเล่า เกิดอะไรขึ้นหรือ” เทียนตี้ถาม
เซ่าเฮ่าพยักหน้า “จวินโฮ่วเล่า”
“นอนอยู่กับนายท่านน่ะ”
“ข้าลองเข้าไปดู” เซ่าเฮ่าพูดพลางรีบเดินเข้าไปในห้อง
เทียนตี้รู้สึกเครียด แต่ไม่ได้แสดงออกมาทางสีหน้า
ผ่านไปครู่หนึ่ง เซ่าเฮ่าก็ออกมาจากห้องบรรทมแล้ว สีหน้าเคร่งเครียดกว่าเดิม
ซีหวังหมู่และเทพอัสนียังไม่รู้อะไรเลย “ทำไมหรือ นายท่านแค่นอนนานไปเล็กน้อยไม่ใช่หรือ หรือว่าเกิดเรื่องแล้วจริงๆ”
“เสี่ยวเหลย เจ้าเข้าไปเฝ้าในห้องบรรทม ซีซีเจ้าอย่าเข้าไป อย่ารบกวนนายน้อย มิเช่นนั้นหากเขาร้องไห้ เจ้ารับผิดชอบ” ตอนที่เทียนตี้พูดประโยคแรก ซีหวังหมู่อยากจะตามเข้าไปด้วยจริงๆ แต่ด้วยชื่อเสียงของเด็กน้อยจึงห้ามเขาไว้ได้สำเร็จ…
เทียนตี้จึงวางใจโอบไหล่ของเซ่าเฮ่า “ไป เราไปคุยในห้องโถง”
