เมื่อเฟยหลงได้เดินจากไปและกลับไปยังบ้านที่ได้ซื้อเอาไว้เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็ได้พบกับเสี่ยวไป๋ที่กระโดดออกมาหาเฟยหลงอย่างดีใจแล้วร้องว่า
” อ๋าว~~~ ”
เฟหยลงจึงอุ้มมันขึ้นมาและกล่าวว่า
” เสี่ยวไป๋เจ้ามาต้อนรับข้ายังงั้นหรือ ”
และเฟยหลงได้เดินเข้าไปยังห้องของซูซ่านแต่เมื่อเปิดประตูกลับพบว่าไม่มีใครอยู่ข้างในจึงเเปลกใจและถามเสี่ยวไป๋ว่า
” เสี่ยวไป๋เจ้าเห็นนางไหมว่านางไปไหน ”
เสี่ยวไป๋ได้หันไปมองทางด้านลานกว้างหลังบ้านซึ่งเฟยหลงใช้เป็นสถานที่ฝึกฝนทักษะยุทธ์ซึ่ง
เมื่อเฟยหลงได้เดินไปยังลานหลังบ้านก็ได้พบว่าซูซ่านนางกำลังนั่งแหงนหน้ามองท้องฟ้าอยู่เฟยหลงได้เดินเข้าไปเงียบๆและเคลื่อนไหวด้วยก้าวพริบตาไปยังตรงหน้าของหน้าแล้วกล่าวว่า
” เจ้ากำลังคิดสิ่งใดอยู่ ”
ซูซ่านที่กำลังนั่งแหงนหน้ามองท้องฟ้าอยู่นั้นได้รู้สึกตนใจที่อยู่เฟยหลงก็มาปรากฏตัวตรงหน้านาง
” ท่านไปไหนมาเมื่อเช้าข้าไม่เจอท่านเลยเปิดประตูห้องของท่านเข้าไปดูแต่ก็ไม่พบท่านอยู่ด้านใน ”
เฟยหลงได้ตอบว่า
” ข้าไปหาบางสิ่งบางอย่างในเมือง ”
ซูซ่านได้ตอบกลับมายังเฟยหลงว่า
” อ้อ ”
เเละบรรยากาศได้เงียบไปทั้งสองรู้สึกอึดอัดและแล้วเฟยหลงก็คือผู้ที่ทำลายความเงียบนั้นโดยกล่าวว่า
” เจ้าจำได้ใช่ไหมว่าข้าเคยบอกเจ้าว่ามีกายศักดิ์สิทธิ์เป็รร่างกายที่เหมาะสำหรับการบ่มเพาะที่สุดแต่ตอนนั้นข้ายังไม่แน่ใจว่ามันเป็นกายศักดิ์สิทธิ์แบบไหนเพราะระดับการบ่มเพาะข้าต่ำเกินไปจึงไม่สามารถตรวจสอบได้ชัดเจนข้าจึงไม่สามารถหาทักษะบ่มเพาะที่เหมาะกับเจ้าได้ดีที่สุด ”
” แต่ตอนที่ข้าเห็นเจ้าว่ามีสัตว์มากมายที่ชอบมาอยู่ล้อมรอบตัวของเจ้าข้าก็ได้คาดว่าน่าจะเป็นกายศักดิ์สิทธิ์ที่มีพลังเกี่ยวกับพลังชีวิตซึ่งจ้าจะสอนทักษะบ่มเพาะให้เจ้าอย่างหนึ่งทักษะนั้นมีชื่อว่า ”
” ทักษะบ่มเพาะเทพแห่งชีวิต ”
ซึ่งเป็นทักษะบ่มเพาะอีกทักษะที่ได้มาจากหนังสือที่เฟยหลงได้ไปเจอในซากปรักหักพังโบราณแห่งหนึ่งแม้ว่าที่แห่งนั้นจะอยู่มานานและมีค่ายกลติดตั้งไว้แต่กาลเวลาได้ทำให้ค่ายกลเสื่อมสภาพลง
และด้วยตัวข้าเฟยหลงได้ไปพบเจอกับมันจึงถือโอกาศหยิบออกมาด้วยแม้ระดับมันจะไม่เทือบเท่ากับทักษะบ่มเพาะเทพจักรพรรดิสงครามแต่ก็เป็นทักษะบ่มเพาะที่หลงเหลือจากยุคบรรพกาล
ซูซ่านได้กล่าวถามเฟยหลงว่า
” ข้าสามารถบ่มเพาะได้แล้วขเาจะสามารถบินบนท้องฟ้าได้หรือไม่ ”
เฟยหลงได้ยิ้มให้ซูซ่านแล้วบอกว่า
” บินบนท้องฟ้าแค่นั้นสามารถทำได้อย่างง่ายดายอยู่แล้วแต่ข้าสามารถบอกเจ้าได้เลยว่าถ้าเจ้ามีความตั้งใจอย่าว่าเเต่บินเลยกระทั้งไปยังอีกโลกหนึ่งก็ไม่มีปัญหาสำหรับเจ้าถ้าเจ้ามีพลังพอไม่ว่าที่เเห่วไหนก็สามารถไปได้ทั้งนั้น ”
ซูซ่านที่ได้ยินสิ่งที่เฟยหลงกล่าวจึงถามอีกว่า
” งั้นแล้วท่านละจะไปกับข้าไหมไปผจญภัยตามสถานที่หลากหลาย ”
เฟยหลงได้ลูบหัวของนางอย่างเบามือแล้วมองไปยังท้องฟ้าเหมือนกับอยากมองไปให้ถึงหน้าผาบรรพกาลที่ตนเคยยืนอยู่และกล่าวว่า
” ข้านั้นจะพาเจ้าไปสถานที่ที่งดงามในโลกใบนี้และตามเจ้าไปทุกที่ไม่มีวันทิ้งเจ้า… ตลอดไป ”
ด้านตรอกที่เฟยหลงได้ทำการฆ่ามือสังหารชุดดำหลังจากนั้นหนึ่งชั่วยามก็ได้มีคนคนหนึ่งปรากฏออกมาจากที่มืดและมองดูซากศพของมือสังหารชุดดำเเล้วเมื่อเงยหน้าขึ้นก็บนกับกำเเพงที่เขียนด้วยเลือดไว้ว่า
‘ ขอบคุณสำหรับการบริจาคทรัพย์สิน ‘
เมื่อเห็นข้าความบนผนังแล้วก็อดคิ้วกระตุกไม่ได้เมื่อเขายืนเหมือนครุ่นคิดอะไรอยู่นานก็ได้หายไปในเงามืดและทิ้งเสียงที่ลอยมาตามสายลมว่า
” ต้องรีบกลับไปรายงานแล้วว่าภารกิจล้มเหลว ”
ชายคนนี้ได้กลับไปรายงานไปยังเจ้านายของตนซึ่งอยู่เบื้องหลังและไม่ใช่ใครนอกจากหยางโจที่กำลังโกรธแค้นอย่างมากและกล่าวว่า
” เจ้าคิดว่ารอดจากเงื้อมมือของข้าแล้วหรือข้าจะทำให้เจ้าชดใช้ที่ทำกับข้า ”
ซึ่งใบหน้าของหยางโจวเเม้ว่าจะใช้โอสถมากมายมารักษาแต่ก็ยังเห็นรอยที่โดนเฟยหลงทุบตีอยู่
