เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ – บทที่ 252 อบรมหลักสูตรพิเศษวิธีเย็บเส้นเอ็นของบันเนลล์

เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ

บทที่ 252 อบรมหลักสูตรพิเศษวิธีเย็บเส้นเอ็นของบันเนลล์

ความจริงแล้วเฉินชางอธิบายให้ฟ่านอวิ๋นสยาฟังไปพร้อมกับที่อธิบายให้ตนเองฟังด้วย!

หมายความว่าอย่างไร

ทุกคนล้วนเคยมีประสบการณ์ในการอธิบายอะไรให้คนอื่นฟังแล้วระหว่างที่กำลังอธิบายก็เกิดความรู้สึกอย่างหนึ่งขึ้นมา ก็คือจู่ๆ ก็พบว่าระหว่างที่อธิบายอยู่นั้น ตนเองเกิดความเข้าใจในเรื่องที่กำลังอธิบายลึกซึ้งขึ้น หรือไม่ก็พบว่าตนยังเข้าเรื่องที่อธิบายไม่มากพอ หรือไม่ก็รู้สึกเกิดความมั่นใจในความรู้ที่ตนมีในเรื่องที่ตนกำลังอธิบายเพิ่มขึ้น

การทบทวนความรู้เป็นประจำด้วยการใช้งานจริงช่วยพัฒนาความรู้ความเข้าใจในทฤษฎีนั้นๆ!

ฉินเยว่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ตั้งใจฟังยิ่งกว่าฟ่านอวิ๋นสยาเสียอีก เธอพบว่าเฉินชางเข้าใจเรื่องการเย็บเส้นเอ็นลึกซึ้งมากจริงๆ มิน่าเล่า ถึงเย็บเส้นเอ็นได้ยอดเยี่ยมขนาดนั้น!

ปกติหลังจากเลิกงานกลับบ้านไปแล้วเขาจะต้องหาความรู้เพิ่มเติมเป็นประจำแน่เลย?

ฮาร์ดดิสก์ของเขาจะต้องมีคลิปการผ่าตัดเยอะมากแน่ ไว้วันหลังค่อยขอเขาก็อปปี้ไว้หนึ่งชุด

จู่ๆ ฉินเยว่ก็พลันรู้สึกว่า บางทีเฉินชางอาจจะต้องการที่จะคิดค้นวิธีการเย็บเส้นวิธีใหม่ขึ้นมาจริงๆ ก็ได้ วิธีที่เรียกว่าวิธีเย็บเส้นเอ็นของเฉิน บางทีความคิดนี้อาจจะเป็นไปได้ก็ได้!

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ฉินเยว่ก็อดหัวใจเต้นระรัวไม่ได้

เป็นไปได้ว่าเฉินชางกำลังจะทำเรื่องอะไรที่ยิ่งใหญ่อยู่

ในตอนนี้ฉินเยว่รู้สึกได้ถึงภารกิจอันหนักอึ้ง ถึงอย่างไรเสีย เฉินชางก็ชวนเธอร่วมภารกิจนี้ด้วย เฉินชางพยายามขนาดนั้น ตนจะทำตัวถ่วงรั้งไม่ได้เช่นกัน

เดี๋ยวนี้เฉินชางเจตนาลดความเร็วในการเย็บบาดแผลลง เพราะตั้งใจที่จะเก็บรายละเอียดสิ่งที่ได้ระหว่างที่กำลังเย็บบาดแผลกับหาข้อบกพร่องให้เจอ

พยายามค้นหาว่าจะทำอย่างไรถึงจะลดปัจจัยที่ทำให้เกิดพังผืดและเพิ่มความเร็วในการฟื้นตัวของบาดแผลได้ เฉินชางต้องการที่จะหาข้อสรุปของสองข้อนี้?

งานรัดตลอดช่วงเช้า ผู้ป่วยเส้นเอ็นบาดเจ็บแห่แหนกันมาราวกับผึ้งแตกรัง ทยอยกันเข้ามาไม่หยุดไม่หย่อน

เฉินชางไม่เพียงไม่บ่นว่า แต่กลับรู้สึกปีติยินดีเป็นพิเศษ ย่นระยะเวลาที่ตนจะต้องเย็บเส้นเอ็นให้ครบห้าร้อยเคสได้มาก

ในช่วงเช้า เฉินชางเย็บเส้นเอ็นไปได้หกเคสโดยมีฉินเยว่เป็นลูกมือ ถึงแม้ว่าจะมีสามเคสที่ต้องทำที่ห้องหัตการซึ่งก็สะดวกสบายดี แต่เมื่อเทียบกันห้องผ่าตัดแล้ว การเย็บในห้องหัตถการมีความยุ่งยากอยู่สักหน่อย

หลังจากที่ทั้งสองเดินออกมาจากห้องหัตถการก็เป็นเวลาเกือบเที่ยงแล้ว เฉินชางบิดขี้เกียจ พลางมองดูฉินเยว่ที่กำลังกางแขนทั้งสองข้างทำท่าบริหารอก!

ทันทีที่จ้องมองไป เขาก็ถึงกับชะงักเล็กน้อย!

เอ๊ะ?

ดูเหมือนว่า…

จะไม่ใช่คัพเอ!?

จู่ๆ เฉินชางก็รู้สึกว่าตนเองกำลังช็อกกับสิ่งที่ค้นพบ

สิ่งนี้น่าประหลาดใจเสียยิ่งกว่าตอนที่พบข้อบกพร่องของวิธีการเย็บเส้นเอ็นแบบเคสเลอร์เสียอีก

เฉินชางอดกล่าวไม่ได้ว่า “บ้าจริง…ปกปิดได้มิดชิด!”

ฉินเยว่หันมาอย่างฉับพลัน สายตาของเธอดุดันเชือดเฉือนดั่งคมมีด ราวกับปรารถนาเป็นอย่างยิ่งที่จะควักลูกตาทั้งสองข้างของเฉินชางออกมา

เฉินชางกระแอมออกมาหนึ่งที กล่าวอย่างฉับไว “ผมเลี้ยงข้าวกลางวันคุณ ลำบากคุณแล้ว”

ฉินเยว่ “จัดว่าคุณเป็นคนมีจิตสำนึก”

ในช่วงเช้าเย็บเส้นเอ็นไปหกเคส ถึงแม้ว่าเคสเย็บเส้นเอ็นจะไม่ได้ทำเงินเท่าไหร่นัก เมื่ออิงจากระบบคำนวณค่าผ่าตัด เฉินชางจะได้เงินจากเคสประเภทนี้ไม่กี่ร้อยหยวน แน่นอนว่าฉินเยว่ก็ได้ด้วยเหมือนกัน นี่เป็นข้อดีของการเป็นบุคลากรในสังกัด ยิ่งทำยิ่งได้ ขอแค่คุณเซ็นชื่อเข้าร่วมผ่าตัด คุณก็มีเงินเข้าแล้ว

ตอนนี้เป็นเวลาเกือบบ่ายโมงกว่าแล้ว ช่วงเวลาพักรับประทานอาหารกลางวันของคนจำนวนมากผ่านพ้นไปแล้ว ทั้งสองเดินไปด้วยกัน ซึ่งดูเข้ากันได้ดี

ฉินเยว่ชอบสวมเสื้อผ้าตัวใหญ่ๆ สไตล์เกาหลีที่เสื้อผ้าตัวใหญ่โคร่ง ก็เลยทำให้มองไม่เห็นขนาดของทรวงอก

เฉินชางอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “ฉินเยว่ ทำไมคุณไม่สวมเสื้อผ้าเน้นทรวดทรง? คุณสวมเสื้อผ้าแบบนี้จะทำให้คนอื่นเข้าใจผิดคิดว่าคุณเป็นผู้ชาย!”

ฉินเยว่พ่นลมออกทางจมูกด้วยความไม่พอใจ “ชิ! ฉันกลัวคุณจะหลงใหลในความสวยของฉัน!”

เฉินชางแทบกระอักเลือด!

หลงใหลในความสวยของคุณเนี่ยนะ…

ทั้งสองรับประทานทานเมนูเนื้อตุ๋นสมุนไพรสิบห้าชนิดที่ร้านหลิวอี้กัวเป็นมื้อกลางวัน อาหารเลิศรสคือยาฟื้นฟูร่างกายชั้นยอดจริงๆ หลังจากที่ออกมาจากร้านแล้ว เฉินชางกับฉินเยว่อิ่มเอมและผ่อนคลายอย่างที่สุด ถ้าได้นอนสักงีบในตอนนี้คงจะเป็นอะไรที่สุดยอดมาก

แต่เนื่องจากว่าช่วงเช้ากว่าจะได้ออกไปพักก็สายแล้ว หลังจากที่รับประทานอาหารมื้ออร่อยไป ก็เป็นเวลาเกือบบ่ายสามโมงแล้วแล้ว เลยทำได้แค่เพียงกลับเข้างานทันที

ช่วงบ่ายผู้ป่วยยังคงไม่ลดลง มีเคสเย็บเส้นเอ็นหกถึงเจ็ดเคส

แม้แต่เฉินชางก็ยังยืนปวดเอว ส่วนฉินเยว่ก็เหนื่อยจนพูดอะไรไม่ออกสักคำ

เฉินชางคิดจะโอดครวญออกมาว่าปวดเอว แต่เขาก็หยุดความคิดที่จะพูดออกไป เกิดพูดออกไปแล้วโดนย้อนถามว่าคุณไตพร่อง[1]หรือไง จะไม่เท่ากับหาเรื่องให้โดนแขวะว่าไร้สมรรถภาพทางเพศหรือ

เขาเหนื่อยขึ้นนิดหน่อย แต่สิ่งที่ได้ก็ท่วมท้นทีเดียว!

เฉินชางรู้สึกว่าช่วงบ่ายวันนี้เขาเข้าใจในสิ่งต่างๆ เกี่ยวกับการเย็บเส้นเอ็นลึกซึ้งขึ้นมาก

เฉินชางกลับมาถึงบ้านด้วยความเหนื่อยล้า แล้วเขาก็ได้ยินเสียงแจ้งเตือนจากระบบดังขึ้น

[ติ๊ง! ภารกิจประจำวันเสร็จสิ้น ได้รับ: อบรมหลักสูตรพิเศษวิธีเย็บเส้นเอ็นของบันเนลล์ เริ่มการอบรมเลยหรือไม่?]

เฉินชางนอนว่างอยู่บนเตียงนอนไม่มีอะไรทำก็เลยกดเริ่มอบรมเสียเลย

ภาพตรงหน้าเปลี่ยนไปในทันใด เฉินชางปรากฏตัวอยู่ในห้องผ่าตัด

ทว่าตรงหน้าเฉินชางมีชายชาวต่างชาติคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า ชายชาวต่างชาติสวมชุดกาวน์สีขาวยืนอยู่ตรงนั้น

“สวัสดีครับ ผมชื่อบันเนลล์!” ชายชาวต่างชาตแนะนำตนเองด้วยรอยยิ้ม

เฉินชางค่อนข้างตะลึง นี่คือสิ่งที่เรียกว่าการอบรมหลักสูตรพิเศษวิธีเย็บเส้นเอ็นของบันเนลล์?

แต่คุณบันเนลล์จากโลกนี้ไปตั้งนานแล้ว แบบนี้เท่ากับเจอผีหรือเปล่าเนี่ย?

เฉินชางรีบโค้งคำนับ กล่าวทักทายท่านผู้อาวุโส “สวัสดีครับคุณบันเนลล์ที่เคารพ”

บันเนลล์หัวเราะพร้อมกับพยักหน้า “วันนี้ผมมาอบรมหลักสูตรพิเศษวิธีเย็บเส้นเอ็นของบันเนลล์ให้คุณ”

หลังจากที่กล่าวจบ บันเนลล์ก็ผายมือข้างหนึ่งออกไป แล้วผู้ป่วยคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้น

เขากวักมือเรียกเฉินชาง “ความจริงแล้ว แทนที่จะเรียกว่าวิธีเย็บเส้นเอ็นของบันเนลล์ ไม่สู้เรียกว่าเทคนิค Pull-out method จะเห็นภาพมากว่า หลักการคือสำคัญคือการเย็บเส้นเอ็นจากด้านในแล้วมัดปมด้านนอก โดยมัดปมเหนือหมุดที่วางอยู่บนแผ่นเล็บ…

…คุณเข้าใจกระบวนการสำคัญของวิธีเย็บเส้นเอ็นของบันเนลล์แล้วใช่มั้ยครับ ลำดับต่อไปลองเย็บเส้นเอ็นด้วยวิธีนี้ดูนะครับ”

“ตอนนี้คุณอาจจะพบว่า ความจริงวิธีเย็บเส้นเอ็นของบันเนลล์ไม่ได้เหมาะกับทุกเคส เส้นเอ็นของแต่ละบุคคลมีความแตกต่างกันออกไป เส้นเอ็นที่ไม่เหมือนกัน การวางตำแหน่งในการรักษาก็แตกต่างกัน วิธีรักษาก็ไม่เหมือนกัน เช่นเดียวกันกับลักษณะของบาดแผลที่มีความแตกต่างกันออกไป สิ่งเหล่านี้จำเป็นต้องให้คุณวินิจฉัยว่าลักษณะของเส้นเอ็นกับบาดแผลแบบไหนที่เหมาะกับวิธีของบันเนลล์ ตัวเลือกไหนที่ยอดเยี่ยมที่สุด…เชิญทดลองครับ…”

“โอเค หลังจากผ่านการการฝึกอบรมเป็นเวลานาน ตอนนี้คุณเข้าวิธีเย็บเส้นเอ็นของบันเนลล์มากพอแล้ว งั้นในลำดับต่อไป สิ่งที่คุณจำเป็นต้องรู้คือ จุดเด่นของวิธีการเย็บเส้นเอ็นของบันเนลล์!…

…จุดเด่นของวิธีนี้ชัดเจนมาก นั่นก็คือไม่มีวัสดุเย็บแผลที่ค้างอยู่ภายในเส้นเอ็น! ซึ่งส่งผลดีต่อการฟื้นฟูของเส้นเอ็นในในภายหลัง ในขณะเดียวกันก็ไม่ก่อให้เกิดพังผืดเพราะไม่มีสิ่งวัสดุเย็บแผลค้างอยู่ภายใน…

…แต่กระบวนในการเย็บเส้นเอ็นด้วยวิธีนี้ค่อนข้างซับซ้อนมาก ถ้าฝีมือไม่ถึงก็จะทำให้เกิดพังผืดได้ง่ายมากเช่นกัน ฉะนั้นจึงจำเป็นต้องให้คุณฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง…

…ดังนั้นช่วงเวลาต่อจากนี้ ขอให้คุณเริ่มฝึกฝนจนกว่าผมจะพึงพอใจ แล้วคุณถึงออกจากการอบรมได้”

ภายใต้คำชี้แนะของบันเนลล์ เฉินชางราวกับได้ผ่านประสบการณ์ในการปรับเปลี่ยนเทคนิคในการเย็บเส้นเอ็นมาเป็นเวลาสิบปี สิ่งเหล่านี้เป็นความรู้ใหม่ และเป็นความเข้าใจในเชิงลึกในเกี่ยววิธีเย็บเส้นเอ็น ผ่านการฝึกฝนครั้งแล้วครั้งเล่า การเรียนรู้ซ้ำๆ ทำให้เฉินชางเกิดความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยววิธีเย็บเส้นเอ็นวิธีนี้มากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ!

ทุกครั้งหลังผ่าตัดเสร็จ บันเนลล์จะวิเคราะห์ให้เฉินชางฟังด้วยตัวเขาเอง มองหาจุดบกพร่อง พยายามบุกทะลวงคอขวดอย่างเต็มที่!

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน ไม่รู้ว่าผ่านประสบการณ์ในการเย็บเส้นเอ็นวิธีนี้ไปกี่เคส เฉินชางมีความความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยววิธีเย็บเส้นเอ็นวิธีนี้มากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ อัตราความสำเร็จในการเย็บเส้นเอ็นก็สูงขึ้นเรื่อยๆ!

ส่วนบันเนลล์ก็มองเฉินชางแล้วหัวเราะออกมา “พ่อหนุ่ม คุณยอดเยี่ยมมาก หวังว่าวิธีเย็บเส้นเอ็นของบัลเนลล์ในมือคุณจะส่องแสงเรืองรอง แต่จำไว้นะครับว่า วิธีการเป็นเพียงแนวทางสำหรับการรักษา แต่อย่าเคร่งจนขาดความคิดนอกกรอบ ทุกวิธีการล้วนมีข้อจำกัดของแต่ละวิธี คุณจะต้องก้าวข้ามขีดจำกัดของแนวคิดให้ได้ ทำความเข้าใจกับโรค เพื่อเลือกวิธีในการรักษาที่เหมาะสม ความจริงแล้วการเย็บเส้นเอ็นไม่มีวิธีไหนที่ยืดหยุ่นไม่ได้ ถึงขั้นที่คุณเลือกวิธีต่างๆ มาผสมผสานกันตอนผ่าตัดได้!”

เฉินชางพยักหน้า โค้งคำนับด้วยความเคารพอย่างจริงใจ “ขอบคุณคุณบันเนลล์อย่างสุดซึ้งที่ให้คำชี้แนะครับ!”

ในครั้งนี้เฉินชางรู้สึกขอบคุณจากใจจริงๆ ถึงแม้ว่าจะเป็นภาพเสมือนของระบบ แต่ความรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นจริง

เฉินชางเพิ่งจะกล่าวขอบคุณไป เขาก็กลับมานอนอยู่บนเตียงแล้ว

กล่าวตามความจริง เฉินชางผ่านการฝึกอบรมหลักสูตรพิเศษมาหลายครั้ง ครั้งนี้เป็นครั้งที่เฉินชางรู้สึกสมจริงมากที่สุด!

การเรียนรู้วิธีเย็บเส้นเอ็นในครั้งนี้เป็นการเรียนรู้ภายใต้คำชี้แนะของบันเนลล์จริงๆ

เขาหลับตาลง ยังคงหวนนึกถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่ตนได้เรียนรู้จากการอบรมหลักสูตรพิเศษครั้งนี้

การอบรมในครั้งนี้ได้ความรู้อย่างลึกซึ้งมากจริงๆ ทำให้เฉินชางได้เรียนรู้ถึงจิตวิญญาณกับแก่นแท้ของการเย็บเส้นเอ็น สิ่งนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมาก

ถึงทักษะการเย็บเส้นเอ็นของเฉินชางจะอยู่ระดับปรมาจารย์แล้ว แต่เขาก็รู้สึกว่าถึงแม้ว่าเทคนิคการเย็บเส้นเอ็นของคุณบันเนลล์จะยังไม่ถึงขั้นสมบูรณ์แบบแต่ก็อยู่ไม่ไกล

แต่เฉินชางมองว่าทักษะการเย็บเส้นเอ็นระดับปรมาจารย์ของตนยังห่างไกลความสมบูรณ์แบบอยู่

ทว่าความสำเร็จในการเย็บเส้นเอ็นด้วยวิธีของบันเนลล์นี้ ทำให้ทักษะการเย็บเส้นเอ็นของเฉินชางก้าวเข้าใกล้ความสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้นอีกหนึ่งก้าวใหญ่!

[1] ภาวะไตพร่อง เป็นโรคที่ทำให้มีอาการปวดเอว ความรู้สึกทางเพศลดลง ร่างกายอ่อนเพลีย

บทที่ 249 หัวเดียวกระเทียมลีบ

ถึงอย่างไรเสียก็เป็นงานตั้งโต๊ะรับสมัครงาน ไม่ใช่แค่ต่งจยากับหลัวโจวเท่านั้นที่เข้ามาทักทายเฉินชาง ไม่นานก็มีคนเห็นเฉินชางในงานตั้งโต๊ะรับสมัครงาน คนเหล่านั้นต่างก็ทยอยกันเข้ามาซักถามข้อมูลจากเฉินชาง

เฉินชางให้ความสำคัญกับขอบเขตความพอดีมาก เขาไม่ได้รู้สึกว่าตนทำงานอยู่แผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลอันดับสองแล้วจะมีสิทธิพิเศษอะไร เขามาในวันนี้ก็แค่มาช่วยงานเท่านั้น

สำหรับเรื่องการคัดเลือกคนเข้าทำงาน? พูดคุยฝากฝัง? ใช้เส้นสาย?

เขารู้ว่าตนเองว่าเป็นแค่บุคลากรตัวเล็กๆ

กล่าวอย่างไม่น่าฟังก็คือ คำพูดของตนจะไปมีน้ำหนักอะไร

บุคลากรในสังกัดของโรงพยาบาลอันดับสองมีหนึ่งพันสี่ร้อยอัตรา หมอไม่กี่ร้อยคนที่รวมอยู่ในนั้นต่างก็เป็นแค่หมอตำแหน่งทั่วไป แล้วคำพูดของหมอตำแหน่งทั่วไปจะมีอำนาจอะไร

ดังนั้นเฉินชางก็เลยไม่รับปากอะไรส่งเดชหรือพูดอะไรไปเรื่อย

แต่การที่เฉินชางไม่ได้พูดอะไรส่งเดชก็ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะไม่คิดอะไรเพ้อเจ้อไปเอง

เฉินชางในเวลานี้กลายเป็นประเด็นร้อนในห้องแชทของกลุ่มห้องเรียน (เพื่อนเก่าสมัยปริญญาตรี) ไปแล้ว

ทุกคนต่างก็พาชื่นชมเฉิงชางจากใจว่าเก่งสุดยอด!

ถึงอย่างไรเสียในบรรดาเพื่อนสมัยเรียนปริญญาตรี เฉินชางก็จัดว่าเป็นคนที่มีความก้าวหน้า มีหน้าที่การงานที่มั่นคง เป็นบุคลากรในสังกัดของโรงพยาบาลอันดับต้นของมณฑล สิ่งนี้เป็นเรื่องน่าภาคภูมิใจขนาดไหน

และในตอนนี้เอง โทรศัพท์มือถือของเฉินชางมีคนส่งข้อความส่วนตัวกันมาอย่างต่อเนื่อง ข้อความต่างๆ นานาทยอยส่งกันเข้ามาหาเฉินชาง ส่วนใหญ่ก็นเป็นข้อความประมาณว่า ช่วยใช้เส้นสายให้หน่อยได้หรือเปล่า ช่วยฝากหัวหน้าแผนกฉุกเฉินให้ได้หรือเปล่า มีข้อมูลวงในหรือเปล่า อะไรทำนองนี้

เฉินชางไม่ได้ตอบข้อความกลับไป เขาคิดตรึกตรองดูแล้วมองว่าไม่เหมาะสม จึงตอบข้อความกลับไปว่า [อยากช่วยนะ แต่มันเกินความสามารถที่จะช่วยได้]

คนที่เข้าใจเฉินชางจริงๆ ก็ส่งอิโมจิหน้ายิ้มกลับมาเพื่อแสดงให้รู้ว่าเข้าใจ ส่วนคนที่ไม่เข้าใจก็ส่งมีม ‘เหอๆ’ ตอบกลับมา

เฉินชางหัวเราะด้วยความจนปัญญา ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องอธิบายเหตุผลให้คนที่ไม่เข้าใจเหล่านั้นฟัง

เพราะถึงอย่างไรคุณก็ไม่มีทางหาวิธีอธิบายให้คนประเภทนี้เข้าใจได้

อธิบายไปแล้วได้อะไร

คนที่โอบกอดสภาพจิตใจเช่นนี้ คิดถึงแต่ตัวพวกเขาเองทั้งนั้น คนพวกนี้ไม่ตรึกตรองสักนิดว่าคุณจะรู้สึกอย่างไรกับเรื่องนี้ ไม่ตรึกตรองสักนิดว่าจะส่งผลกระทบอะไรต่อตัวคุณหรือเปล่า

คบคนประเภทนี้เป็นเพื่อน?

ไม่มีความจำเป็น

ทว่าไม่นานเรื่องที่เฉินชางจบวุฒิปริญญาตรีและได้เข้าทำงานในโรงพยาบาลอันดับสองในสถานะบุคลากรในสังกัดก็กลายเป็นหัวข้อให้ถกกัน

บางคนก็กล่าวอย่างมีเจตนาแฝง แสร้งทำทีเป็นเปิดประเด็นว่า ‘เดี๋ยวนี้เฉินชางกลายเป็นคนเก่งไปแล้ว โรงพยาบาลส่งให้เขาเรียนปริญญาโท มองไม่เห็นเพื่อนเก่าอย่างพวกเราอยู่ในสายตาแล้ว’ นำพามาซึ่งการวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานา

ในตอนแรกเฉินชางยังตอบข้อความในกลุ่มอยู่ ทว่าต่อมาก็ขี้เกียจจะให้ความสนใจแล้ว ก็เลยออกจากกลุ่มวีแชทเสียเลย

ปัญหาอะไรที่แก้ได้ก็แก้ อะไรที่แก้ปัญหาไม่ได้ก็ต้องปล่อยไป

ในสังคมมีคนทุกรูปแบบ

เมื่อคนพวกนี้เห็นว่าคุณได้ดีกว่าใครอื่น ถ้าพวกเขาไม่รู้สึกเจ็บปวดจนทนไม่ไหว ก็จะเริ่มริษยาคุณอยู่ในใจ

ถึงอย่างไรเสีย หลังจากที่เฉินชางเรียนจบปริญญาตรีแล้วเขาก็ไม่ได้เรียนต่อปริญญาโททันที แต่คนพวกนั้นตอนนี้จบปริญญาโทกันหมดแล้ว

แล้วผลในปัจจุบันล่ะ

เฉินชางได้เป็นบุคลากรในสังกัด แถมยังเป็นบุคลากรในสังกัดของโรงพยาบาลอันดับต้นของมณฑลด้วย ส่วนวุฒิปริญญาโทในอนาคตก็มีแล้วเหมือนกัน!

ส่วนคนพวกนั้นที่รู้สึกว่าไม่ยุติธรรมเพราะกว่าตนเองจะสอบเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาโทได้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ หลังจากเรียนจบแล้วกลับหางานยากว่าคนวุฒิปริญญาตรีอีกก็เลยไม่พอใจ

ทว่าทุกคนต่างก็เป็นปุถุชนธรรมดา มีใครบ้างได้อะไรมาโดยไม่ต้องออกแรง

ทุกความสำเร็จของผู้ชนะย่อมแลกมาด้วยการต่อสู้ดิ้นรนอย่างสุดชีวิตกันทั้งนั้น

แต่บนโลกใบนี้มีคนทุกรูปแบบ คุณสั่งความคิดของคนอื่นไม่ได้

เฉินชางไม่ให้ความสนใจกับเรื่องพวกนี้

เมื่อเห็นว่าเฉินชางออกจากกลุ่มวีแชท บรรยากาศในกลุ่มวีแชทตกอยู่ในความเงียบงันในเวลาต่อมา

ในตอนนี้ทุกคนต่างก็เงียบสงบลงแล้ว เดิมทีที่แชทถามไถ่เรื่องเฉินชางกันอย่างคึกคัก ก็ไม่อยากเจอหน้าเฉินชางอีก ทุกคนต่างก็อดหัวเราะเยาะไม่ได้ จากนั้นก็ปิดหน้าวีแชทไป ไม่แชทต่อแล้ว

ทว่าเมื่อหม่าจื้อเถิงเห็นว่าเฉินชางออกจากกลุ่มวีแชทไปแล้ว ก็อดกล่าวไม่ได้ว่า: [เฉินอะไรดี ก็แค่บุคลากรในสังกัดไม่ใช่หรือ พวกเรายังไม่ได้เริ่มสอบบรรจุก็เท่านั้นเอง อย่าคิดว่าตัวเองเก่งนักเลย ออกจากกลุ่มวีแชท เก่งจังเลยนะ? เพื่อนเก่าขอให้คุณช่วยนิดช่วยหน่อยทำเป็นปฏิเสธต่างๆ นานา!]

สวีฮุ่ยฮุ่ยส่งข้อความหนึ่งข้อความ: [เกิ่งเหยียนเก่งขนาดนั้นยังไม่พูดเลย จบปริญญาโทวิทยาลัยการแพทย์ปักกิ่งยูเนี่ยน สามีก็เป็นนักวิจัยนักปริญญาเอกสถาบันโรคหลอดเลือดหัวใจแห่งชาติสังกัดโรงพยาบาลฟู่ว่าย มีอนาคตไกลขนาดนั้น ส่วนเฉินชางคางคกขึ้นวอจริงๆ]

หม่าจื้อเถิงรีบสมทบ: [จู่ๆ ก็รู้สึกว่าตอนนั้นที่เกิ่งเหยียนเลิกกับเขาไปเป็นการกระทำที่เฉียบแหลมมาก เขามีอะไรคู่ควรกับเกิ่งเหยียน อยู่แผนกฉุกเฉินโรงพยาบาลอันดับสองทำอวดดี ก็แค่แผนกฉุกเฉิน!]

ในเวลานนี้ เกิ่งเหยียนที่ส่งข้อความโต้ตอบในกลุ่มวีแชทน้อยมากก็ส่งข้อความหนึ่งข้อความ: [เฉินชางทำให้พวกเธอโมโห?]

เกิ่งเหยียนอ่านข้อความตั้งแต่ต้นจนจบ กล่าวตามความจริงว่าการที่เฉินชางได้เข้าไปทำงานในโรงพยาบาลอันดับสอง แถมยังได้บรรจุเป็นบุคลากรในสังกัดแล้วด้วย สิ่งเหล่านี้ค่อนข้างสร้างความประหลาดใจให้กับเกิ่งเหยียน เพราะถึงอย่างไรเสียงานก็หายาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นวุฒิปริญญาตรีด้วยแล้ว ยิ่งหายากเข้าไปใหญ่

แต่เมื่อเห็นคนอื่นพูดจาเช่นนี้ เธอค่อนข้างรู้สึกเหยียดหยามพฤติกรรมแบบนี้

หลังจากที่ส่งข้อความไปแล้ว เกิ่งเหยียนก็ออกจากกลุ่มวีแชทเช่นกัน

บรรยากาศในกลุ่มวีแชทร้อนระอุขึ้นในทันใด

หม่าจื้อเถิงกับสวีฮุ่ยฮุ่ยทั้งสองคนต่างก็ตกตะลึงจนตาค้าง นี่เกิดอะไรขึ้น

ในตอนนี้หลัวโจวก็อดไม่ได้แล้วเหมือนกัน เขากล่าวขึ้นว่า: [เฉินชางเก่งกว่าพวกนาย สมัยเรียนก็เก่งกว่าพวกนาย ตอนนี้ทำงานก็ยังเก่งกว่าพวกนาย!]

หลังจากส่งข้อความไปแล้วก็ออกจากกลุ่มวีแชทเช่นกัน!

หลินเหอหัวเราะพร้อมส่งมีม: [เหอๆ เจ็บปวด!]

หลังจากนั้นก็ออกจากกลุ่มวีแชทไปด้วยเช่นกัน

หม่าจื้อเถิงโกรธจัดจนหน้าแดงก่ำในในทันใด เขาคิดไม่ถึงว่าเรื่องราวกจะกลับกลายเป็นเช่นนี้ไปได้

ไม่นานสมาชิกในห้องแชทของกลุ่มห้องเรียน (เพื่อนเก่าสมัยปริญญาตรี) ก็ทยอยออกจากกลุ่มจนจำนวนสมาชิกห้าสิบกว่าคนลดฮวบลงไปครึ่งหนึ่ง ส่วนคนอื่นๆ คาดว่าคงจะปิดการแจ้งเตือนข้อความไปแล้ว

หม่าจื้อเถิงกับสวีฮุ่ยฮุ่ยตกตะตึงจนตาค้าง พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นได้

หม่าจื้อเถิงส่งข้อความเข้าข้างตนเองออกไป: [เหอะๆ ดัดจริตจริงๆ ทำเป็นดูถูกพฤติกรรมคนอื่น ไม่ใช่เป็นเพราะเห็นว่าตอนนี้เฉินชางเป็นบุคลากรในสังกัดหรอกหรือ ชิ! แต่ละคนรีบร้อนจะเลียแข้งเลียขา?]

ในเวลานี้มีเพื่อนนักศึกษาคนหนึ่งส่งข้อความไปว่า: [นายนี่มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่ล้มเหลวในการเกิดมาเป็นคนจริงๆ คิดไม่เลยถึงว่าจะยังไม่รู้ตัวอีกว่าต้นตอของปัญหาที่เกิดขึ้นคืออะไร ระยะเวลาสามปีที่นายเรียนปริญญาโทมามันช่างไร้ค่าจริงๆ]

หลังจากที่คนคนนั้นส่งข้อความไปแล้วก็ไม่ใส่ใจอะไรอีก กดปุ่มออกจากกลุ่มวีแชททันที

หม่าจื้อเถิงโกรธจัดจนอกแทบระเบิดในทันใด!

เฉินชางออกจากกลุ่มวีแชทไปแล้ว ก็ไม่สนใจอะไรแล้วว่าใครจะพูดอะไรทำอย่างไร

คนประเภทนี้ขาดทัศนคติที่ถูกต้อง ไม่มีประโยชน์ที่จะเสวนาด้วยแม้แต่ครึ่งคำ

ไม่นานเฉินชางก็ถูกลากเข้าไปในวีแชทกลุ่มอันใหม่

หลัวโจวหัวเราะ: [กลุ่มวีแชทกลุ่มนี้สงบเงียบ]

ทุกคนต่างก็พากันหัวเราะและเริ่มพูดคุยกัน

เฉินชางถึงเพิ่งรู้ว่าเมื่อครู่นี้เกิดเรื่องอะไรขึ้น

เฉินชางค่อนข้างรู้สึกซาบซึ้งใจขึ้นมาทันใด อันที่จริงแล้วคนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นคนดี แต่ในห้องเรียนก็มักจะมีคนที่มีนิสัยชอบก่อเรื่องอยู่คนสองคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่รู้สึกว่าตนเองเก่ง

เฉินชางหัวเราะ อดกล่าวไม่ได้ว่า: [ขอบคุณนะทุกคน]

ต่งจยายิ้มเล็กน้อย: [อั่งเปาๆ จะพูดอะไรก็ไม่สู้มอบอั่งเปา รับคำขอบคุณเป็นอั่งเปา]

ทุกคนต่างก็หยอกล้อสนุกสนาน

เฉินชางเองก็รู้สึกสนุกสนานไปด้วย สถานะทางการเงินของเฉินชางในปัจจุบันนี้ไม่เหมือนแต่ก่อน เมื่อวันที่หนึ่งกันยายน เขารับเงินล้านจากคลินิกศัลยกรรมจื้อซิน ตอนนี้เฉินชางมีเงินเก็บล้านกว่าหยวน

เฉินชางหัวเราะแล้วก็ทยอยส่งอั่งเปาสองร้อยหยวนให้เพื่อนๆ

ต่งจยาเดิมทีแค่หยอกเล่น ทุกคนก็แค่หยอกเล่นสนุกสนานด้วยเช่นกัน

คิดไม่ถึงว่าเฉินชางจะมีเงินอยู่ในมือเยอะขนาดนี้!

[สุดยอดเลยเถ้าแก่เฉิน!]

[ประธานเฉิน นี่คุณเกาะเศรษฐินีกินหรือไงครับ]

[มีความเป็นไปได้ ถึงยังไงเฉินชางก็หล่อขนาดนี้ มีใบหน้าขาวละอ่อนเป็นไม้ตาย!]

เฉินชางถึงกับหวาดกลัวถึงขีดสุด ทำไมพวกนายถึงรู้เรื่องนี้ได้

อย่าว่าไป ถ้าไม่ใช่เพราะเศษรฐินีพวกนี้ ตนไม่มีทางที่จะมีเงินเยอะขนาดนี้ได้…

เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ

เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ

Status: Ongoing

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท