เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ – บทที่ 254 มือของนักเปียโน

เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ

บทที่ 254 มือของนักเปียโน

เมื่อเฉินชางได้ยินว่าเป็นสายเรียกเข้าของเคาน์เตอร์พยาบาล เขาก็ชะงักเล็กน้อย

สายที่โทรมาจากเคาน์เตอร์พยาบาลมีเรื่องที่เป็นไปได้สองเรื่อง แต่ในทุกครั้งมักเป็นเรื่องร้ายแรง!

ประเภทที่หนึ่งคือเรียกร่วมวินิจฉัยเคสด่วนภายในโรงพยาบาล แต่เคสเหล่านี้มักจะเป็นเคสที่เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของผู้ป่วย จำเป็นต้องรีบช่วยชีวิต

ประเภทที่สองคือสายด่วนจาก 120 มักเกี่ยวกับผู้ป่วยสาหัสที่ต้องได้รับการช่วยชีวิตด่วน

ทั้งสองประเภทล้วนเป็นเรื่องที่สร้างความร้อนใจ

เฉินชางรีบไปรับสายด้วยความรีบร้อน กล่าวด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด “สวัสดีครับ! ผมเฉินชางแผนกฉุกเฉินโรงพยาบาลอันดับสองครับ”

“หมอเฉิน ผมจางเค่อฉินครับ” เสียงดังฟังชัดของปลายสายทำให้เฉินชางหวนนึกขึ้นได้ถึงหัวหน้าทีมตำรวจปราบปรามอาชญากรรมที่น่าเกรงขามคนนั้น

แต่ได้รับสายจากหัวหน้าทีมตำรวจปราบปรามอาชญากรรมคงไม่ใช่เรื่องดีสักเท่าไหร่…

เฉินชางรีบถามทันทีว่า “หัวหน้าจางมีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ”

จางเค่อฉินกล่าวเสียงเข้ม “เมื่อกี้นี้ที่โรงละครโอเปร่าเฮ้าส์หนานสือฟาง โคมไฟขนาดใหญ่หล่นลงมา เศษแก้วกระเด็นโดนมือของสิงอวี่นักเปียโนได้รับบาดเจ็บ!”

เฉินชางชะงัก สิงอวี่…ชื่อนี้เป็นนักเปียโนที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากเลยไม่ใช่หรือ

อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นระหว่างการแสดง?

แต่…เรื่องนี้เกี่ยวโยงกับตำรวจปราบปรามอาชญากรรมอย่างพวกคุณอย่างนั้นหรือ

“ตอนนี้สิงอวี่กำลังถูกส่งตัวไปที่โรงพยาบาลประชาชนแห่งมณฑล ถ้าหมอเฉินสะดวก..ก็มาช่วยดูอาการหน่อยได้มั้ยครับ”

เฉินชางชะงักเล็กน้อย “หัวหน้าจางครับ สิงอวี่เป็นถึงนักเล่นเปียโนชื่อดัง คุณเชิญผู้เชี่ยวชาญมาดูอาการเถอะครับ โรงพยาบาลในเมืองหลวง โรงพยาบาลในเซี่ยงไฮ้ โรงพยาบาลหมัวตูซื่อลิ่ว ถ้าไม่ได้จริงๆ ก็โรงพยาบาลในต่างประเทศ…”

จางเค่อฉินถอนหายใจออกมา “คนที่ควรเชิญมาก็เชิญมาจนหมดแล้วครับ แต่…หมอเฉินก็รู้ เรื่องเกิดในเมืองอันหยางของเรา เราต้องเชิญเฉพาะผู้เชี่ยวชาญที่เราเชิญได้เท่านั้น อีกอย่าง มือของผมที่หมอเฉินรักษาให้เมื่อตอนนั้นฟื้นฟูดีมากไม่ใช่หรือไงครับ ยังมีอู๋กังอีกคน พ่อหนุ่มนั้นตอนนี้ยิงปืนได้สบายแล้ว! อธิบดีของพวกผมให้ผมโทรเชิญหมอเฉิน”

เฉินชางเข้าใจแล้ว นี่คือการระดมคน!

เฉินชางเพิ่งจะวางสายไป โทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้น ชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอคือผู้อำนวยการฉิน เฉินชางถึงกับชะงักงันในทันใด

ผู้อำนวยการฉินโทรมาหาตนทำไมกัน หลังจากที่กดรับสายแล้ว ฉินเสี้ยวยวนก็กล่าวขึ้นว่า “เสี่ยวเฉิน ไปช่วยสิงอวี่อย่างสุดความสามารถ คุณไม่ต้องสนใจงานในแผนกชั่วคราว”

เฉินชางพยักหน้า “ครับ”

ฉินเสี้ยวยวนกล่าวเสริมขึ้นอีกว่า “เอ่อ…อย่าอวดเก่งล่ะ ไปดูก็พอ”

เฉินชางชะงักพร้อมพยักหน้า

เฉินชางจะพูดอะไรได้ ลูกพี่ใหญ่พูดขนาดนั้นแล้ว ก็คิดเสียว่าไปเห็นหน้าราชานักเปียโนก็แล้วกัน

“ผมไปโรงพยาบาลประชาชนแห่งมณฑลนะครับ” เฉินชางกล่าวพร้อมถอดถุงมือออก หันไปมองฉินเยว่ที่ยืนอยู่ด้านข้างด้วยสีหน้าอยากซุบซิบ

ดวงตาของฉินเยว่เบิกโต “สิงอวี่บาดเจ็บ”

เฉินชางพยักหน้า “คุณรู้ได้ไง”

ฉินเยว่ “ฉันได้ยินที่คุณคุยโทรศัพท์ไง แล้วก็มีข่าวออกมาแล้ว!”

เมื่อฉินเยว่กล่าวมาถึงตรงนี้ เธอก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วชี้ไปที่ข่าว

เฉินชางไม่ได้สนใจสิ่งที่ฉินเยว่พูด เขาถอดชุดกาวน์ออก กล่าวทิ้งท้ายว่า “อืม ผมไปก่อนนะ”

ฉินเยว่ชะงัก “ฉันก็อยากไปด้วย”

เฉินชางหมดคำจะพูด “คุณจะไปทำอะไร”

ฉินเยว่ “ฉันเป็นแฟนคลับของสิงอวี่ ไม่โอกาสได้ไปชมการแสดง ไปดูที่โรงพยาบาลแล้วกัน”

เฉินชางกลอกตามองบน “ดารามีอะไรน่าวิ่งตาม ตั้งใจทำงานของคุณไป ชิ…”

ฉินเยว่ชำเลืองเฉินชางมองทีหนึ่ง “ฉันเห็นความเจ็บปวดในแววตาคุณ คุณกำลังหึงฉันหรือไง”

เฉินชาง: ฮึ ถุย!

รถแท็กซี่ที่เฉินชางนั่งยังไม่ทันถึงหน้าประตูโรงพยาบาลประชาชนแห่งมณฑล รถโดยรอบก็แออัดจนขยับไม่ได้แล้ว

คนขับรถชะงัก “ที่โรงพยาบาลมีอะไรกัน รถเยอะจริงๆ ทำไมคึกคักอะไรขนาดนี้!”

เฉินชางตัดสินใจจ่ายค่าโดยสารแล้วลงจากรถเลย

ก็แค่ดารา ทำไมจะต้องมีคนให้ความสนใจจำนวนมากขนาดนี้ บาดเจ็บทีมีคนมาดูกันล้นหลาม มีอะไรน่าดูนักนะ

บริเวณโดยรอบมีตำรวจคอยรักษาความเรียบร้อย เฉินชางเห็นอู๋กังแล้ว เขาสวมเครื่องแบบตำรวจยืนเท่อยู่ตรงนั้น

จู่ๆ เฉินชางก็รู้สึกว่าเครื่องแบบของหมอไม่ดูดีขนาดนั้น

อู๋กังเองก็เห็นเฉินชางแล้วเหมือนกัน เขารีบเดินเข้ามาหาเฉินชาง กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “คุณหมอเฉินครับ คุณมาแล้ว รีบเข้าไปเถอะครับ”

แววตาที่อู๋กังมองเฉินชางเปี่ยมล้นด้วยความซาบซึ้งใจ ถึงอย่างไรเสียเฉินชางก็เป็นคนทำให้เขากลับมาจับปืนได้อีกครั้ง “มีคุณอยู่ทั้งคน เดาว่าสิงอวี่จะต้องกลับมาเล่นเปียโนได้อีกครั้งแน่ครับ!”

เฉินชางหัวเราะ เดินฝ่าฝูงชนที่แออัดเข้าไปด้านใน

การเย็บเส้นเอ็นทำได้ภายในระยะเวลาสิบสองชั่วโมง จะว่าไปแล้วเฉินชางรีบร้อนไปก็เท่านั้น กล่าวตามความจริง ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเขาเรียกให้มา เฉินชางก็ไม่ได้สมัครใจมาสักเท่าไหร่

เพราะถึงอย่างไรเสียก็มีคนจำนวนมากคอยให้ความสนใจสิงอวี่อยู่แล้ว ถ้าการผ่าตัดไม่สำเร็จ ชั่วชีวิตนี้อย่าหวังว่าจะได้เป็นหมออย่างสงบสุข

แรงกดดันของคำวิพากษ์วิจารณ์มีพลังมากพอที่จะฆ่าคนคนหนึ่งให้ตายได้

จำได้ว่าเมื่อก่อนหน้านี้มีเคสผ่าตัดของดาราคนหนึ่งที่ผลผ่าตัดล้มเหลว คนในครอบครัวของแพทย์ผู้นำทีมผ่าตัดเคสนั้นโดนแฟนคลับระราน มีคนมายืนด่าอยู่ใต้ตึกทุกวี่ทุกวัน ทั้งยังส่งข้อความข่มขู่ต่างๆ นานา

แจ้งตำรวจไปก็เท่านั้น เพราะถึงอย่างไรเสียคนพวกนั้นก็ไม่ได้ทำร้ายร่างกายคุณ

ลูกของหมอท่านนั้นไปโรงเรียนก็โดนคนด่า ภรรยาก็ไม่กล้าไปทำงาน สุดท้ายทนแรงกดดันไม่ไหวต้องย้ายที่อยู่

แต่บรรดาแฟนคลับก็ยังกัดไม่ปล่อย สุดท้ายแรงกดดันของคำวิพากษ์วิจารณ์กดดันให้หมอท่านนั้นต้องกระโดดตึกฆ่าตัวตาย

สุดท้ายดาราคนท่านนั้นก็ชื่อเสียงป่นปี้ไปในที่สุด ส่วนแฟนคลับกลุ่มนี้ก็เหมือนว่าจะพอใจเป็นอย่างยิ่ง

ดังนั้นในบางช่วงเวลา การรักษาอาการเจ็บป่วยให้ดาราวุ่นวายยิ่งกว่ารักษาให้บรรดาผู้นำ แฟนคลับจำนวนมากไม่เข้าใจสถานการณ์ความเป็นจริง ถ้าไม่เป็นเพราะอายุน้อยเกินไป ก็เป็นเพราะไม่ยอมมองสถานการณ์ตามความเป็นจริง ก็เลยมีเหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง

ต่อมาภายหลังเหล่าดาราเริ่มมีไหวพริบในเรื่องนี้แล้ว เวลาที่จะไปหาหมอก็จะแอบไป บ้างก็ไปหาหมอที่ต่างประเทศ เพราะถ้าไม่ทำเช่นนี้ก็กลายเป็นเรื่องการสร้างความกดดันให้หมอ ทั้งมีโอกาสที่ตนเองจะต้องเสียชื่อเสียงด้วยถ้าเกิดเหตุการณ์บานปลายเพราะผลการรักษาไม่ถูกใจแฟนคลับ ถึงอย่างไรเสียดาราบางคนก็อาจจะไม่ได้คิดอะไรมากนัก เพราะเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของมวลชนทำให้เกิดกระแส

ดาราเป็นแค่เครื่องมือของเสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็เท่านั้นเอง ถ้าคุณอยู่ในกระแสก็เกาะกระแสคุณไปด้วย

ดังนั้นรักษาอาการเจ็บป่วยให้ดาราก็จะเป็นเช่นนี้ อาการเจ็บป่วยเล็กน้อย หมอก็จะแย่งกันรักษา รักษาหายก็มีชื่อเสียง พอเป็นอาการป่วยหนักๆ หมอพากันหนีหน้า เกรงว่าถ้ารักษาไม่หายชีวิตจะจบเห่

ในตอนนี้ ในห้องทำงานของแผนกศัลยกรรมเต็มไปด้วยผู้คน มีหมอ มีหัวหน้า เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง ในเวลานี้เฉินชางเห็นสิงอวี่แล้ว เขานั่งอยู่ที่เก้าอี้ มือวางอยู่บนโต๊ะ มือขวาของเขาถูกพันด้วยผ้าก๊อซหนาหลายชั้น สวมหมวกแก๊ปปิดบังใบหน้า ไม่รู้ว่าสีหน้าของเขาในตอนนี้เป็นอย่างไร

เฉินชางเดินเข้าไปทักทายจางเค่อฉิน แล้วพยักหน้าทักทายถานจงหลินด้วย

เมื่อถานจงหลินเห็นเฉินชางเดินเข้ามา เขาก็อดส่งสายตาให้เฉินชางไม่ได้ เมื่อเห็นว่าเฉินชางไม่เข้าใจ ก็เลยเดินตรงเข้าไปหาเฉินชาง ถลึงตาถามว่า “คุณมาได้ยังไง”

เฉินชางยักไหล่ด้วยความจนปัญญา “ผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งให้มาครับ”

ถานจงหลินเข้าใจ อุบัติเหตุในครั้งนี้เกิดขึ้นในเมืองอันหยาง บรรดาผู้นำทั้งหลายจะต้องทำทุกทางเพื่อที่จะรักษาภาพลักษณ์กับหน้าตาให้ดีที่สุด

ถานจงหลินมองเฉินชาง แล้วเหลียวซ้ายแลขวา จากนั้นก็ดึงตัวเฉินชางเข้ามุมไป กล่าวกับเฉินชางด้วยสีหน้าเคร่งขรึม น้ำเสียงแผ่วเบา “เสี่ยวเฉิน คุณตั้งใจฟังให้ดีนะ ครั้งนี้อย่าอวดเก่งเด็ดขาด ห้ามเด็ดขาด อย่าทำเชียวนะครับ นี่ไม่ใช่เวลาที่คุณจะอวดเก่ง…

…ผู้ป่วยรายนี้ไม่ใช่คนทั่วไป แต่เป็นถึงดารา ถ้าคุณเย็บแผลให้เขาได้ไม่ดี วันข้างหน้าคุณก็อย่าเป็นหมออีกเลย คิดจะมีชีวิตที่สงบสุขยังยาก คุณจำให้ขึ้นใจเลยนะ! อย่าอวดเก่ง!”

เฉินชางพยักหน้า “คุณวางใจเถอะครับหัวหน้าถาน ผมไม่ใช่เด็กไร้เดียงสาที่ทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลัง”

ถานจงหลินยังคงไม่วางใจ เขากำชับเฉินชางอีกครั้ง “อืม อีกเดี๋ยวผมจะไปทำความสะอาดกำจัดเนื้อตายและสิ่งแปลกปลอมออกจากแผลก่อน พวกเขาเองก็ไม่วางใจให้พวกเรารักษา ตอนนี้รอผู้เชี่ยวชาญจากที่อื่น รอพวกเขามาถึงแล้วค่อยหารือกันว่าจะดำเนินการรักษายังไง…

…คุณคิดเสียว่ามาเก็บเกี่ยวความรู้ ดูให้มาก พูดให้น้อย!…คุณเพิ่งจะอายุยี่สิบเจ็ด โอกาสในอนาคตยังมีอีกมาก จำพูดคำพูดผมไว้ให้ดี!…”

ดูเหมือนว่าถานจงหลินจะยังไม่วางใจ มองเฉินชางด้วยสายตาที่ระมัดระวังอยู่สองสามหน แล้วจึงหันหลังเดินจากไป

เฉินชางหัวเราะ ในใจยังคงรู้สึกอบอุ่น

ไม่ว่าจะถานจงหลิน หรือฉินเสี้ยวยวน ต่างก็เป็นห่วงเด็กหนุ่มไฟแรงที่ยังอ่อนต่อโลกอย่างตน

บทที่ 251 การเย็บเสื้อผ้าจุดชนวนความคิดอันล้ำลึก

มณฑลตงหยางเป็นมณฑลเก่าแก่ในเขตภาคกลาง เมืองอันหยางเป็นเขตพื้นที่ค่อนข้างพิเศษและมีความเป็นเอกลักษณ์

การพัฒนาในด้านอุตสาหกรรมหนักมีความถดถอยเพราะขาดการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ส่วนอุตสาหกรรมเบาถึงจะมีการส่งเสริมด้านการพัฒนาอยู่ แต่อัตราความเร็วในการพัฒนาก็ยังอยู่ระดับที่สร้างความวิตกกังวลในกับผู้คน สำหรับการพัฒนาของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวยังคงล้าหลัง

เพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมช่วงระยะเวลาไม่กี่ปีมานี้ ธุรกิจที่สร้างมลพิษส่งผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมรุนแรงถูกย้ายไปตั้งอยู่นอกเมืองใหญ่กันหมด

ผู้ป่วยสองรายที่เฉินชางรับมาเป็นผู้หญิงทั้งคู่ อายุประมาณห้าสิบปี

ผู้ป่วยนั่งสงบเงียบมากอยู่ตรงนั้น ไม่มีเสียงกรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดแต่อย่างใด และไม่มีเสียงโอดครวญชวนเวทนา ราวกับเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจนเคยชินแล้ว ดูสงบเยือกเย็นอย่างเห็นได้ชัด

ถึงจะดูไม่ตื่นตระหนก แต่สุดท้ายเมื่อต้องเข้าโรงพยาบาล บาดแผลที่ใหญ่ขนาดนี้ก็ยังคงทำให้กังวลใจอยู่ดี

สีหน้าของทั้งสองค่อนข้างเป็นกังวล ริ้วรอยเหี่ยวย่นบนหน้าผากขมวดมุ่นเข้าด้วยกัน ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

ในตอนที่เฉินชางเตรียมจะทำแผลให้ผู้หญิงที่ดูมีอายุ เขาอดถามด้วยความสงสัยไม่ได้ว่า “ต้าเจี่ย[1] ไม่เจ็บหรือครับ”

ต้าเจี่ยชื่อฟ่านอวิ๋นสยา เมื่อได้ยินคำถามของเฉินชาง เธอชะงักเล็กน้อย แล้วจู่ๆ ก็หัวเราะออกมา “จะไม่เจ็บได้ไงกันคะคุณหมอ!”

ฉินเยว่ยืนเป็นลูกมืออยู่ข้างๆ “ต้าเจี่ย คุณห้าวหาญมากจริงๆ! ถ้าฉันเป็นแบบนี้ฉันร้องไห้ไปตั้งนานแล้ว”

ฟ่านอวิ๋นสยาหัวเราะออกมาอีกครั้ง มองมือตนเองที่บาดแผลลึกจนถึงกระดูก แล้วก็ถอนหายใจออกมา จากนั้นก็มองฉินเยว่พร้อมกับกล่าวขึ้นว่า “สมัยนี้ดีขึ้นเยอะแล้ว ฉันจำได้ สมัยฉันอายุเท่าคุณหมอ สมัยยุคเก้าศูนย์ เครื่องจักรในโรงงานยังเป็นเครื่องเก่า เกือบจะทุกวันจะต้องได้ยินว่ามีคนบาดเจ็บ อุบัติเหตุนิ้วขาดเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นประจำ สมัยนี้เทคโนโลยีพัฒนาแล้ว ระบบความปลอดภัยก็สูงขึ้น!…

…แล้วนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่นิ้วมือฉันบาดเจ็บ มือข้างซ้ายเคยเย็บเส้นประสาทไปสองหน เย็บเส้นเอ็นไปหนึ่งหน แต่มือขวาบาดเจ็บครั้งนี้เป็นครั้งแรก”

เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ ฟ่านอวิ๋นสยาก็ถอนหายใจออกมา “บาดเจ็บเนี่ย ยังไงก็ต้องเจ็บ แต่ที่สำคัญคือ กังวลเรื่องอาการที่ส่งผลกระทบกับร่างกายภายหลังการรักษา…

…มือข้างซ้ายของฉันตอนนี้ไม่มีแรง ปลายนิ้วมือสองนิ้วชาอยู่ตลอด เวลาทำอาหารมือข้างซ้ายทำได้แค่จับหูหม้อหูกระทะ ยกไม่ไหว มีบางครั้งคิดจะเขย่ากระทะเวลาผัดอาหารก็ทำไม่ได้ ทำงานที่ใช้กำลังไม่ได้ นี่ก็ผ่านมาตั้งหลายปีแล้ว ก็ยังไม่มีแรงแบบนี้ ฉันค่อนข้างกังวลว่ามือข้างขวาจะเกิดอาการแบบเดียวกันนี้หรือเปล่า”

ทันใดนั้น ผู้หญิงคนนี้ยื่นมือข้างซ้ายออกมาพร้อมกล่าวต่อ “คุณหมอดูนิ้วมือฉันสิคะ ทุกวันนี้เหยียดตรงไม่ได้เลย ออกแรงนิดหน่อยก็เจ็บ ฉันเคยไปตรวจมาแล้ว คุณหมอที่ตรวจบอกว่าเป็นพังผืด แล้วก็มีอาการเส้นเอ็นอักเสบ โรคคนแก่ ให้รีบเกษียณได้แล้ว…

…คุณหมอบอกว่าอย่าปล่อยให้ตนเองบาดเจ็บที่มืออีก ไม่งั้นเดี๋ยวไม่มีแรงอุ้มหลาน ฉันคิดแล้วก็รู้สึกกังวล”

หลังจากที่เย็บเส้นประสาทกับเส้นเอ็นไปแล้ว ส่วนใหญ่มักจะมีอาการที่ส่งผลกระทบภายหลัง ผู้ป่วยหลายรายหลังจากเส้นประสาทได้รับความเสียหาย ถึงจะได้รับการรักษาแล้ว เส้นประสาทก็กลับมาทำงานได้ไม่เท่าเดิม มักจะมีอาการเหน็บชาเกิดขึ้น

การเย็บเส้นเอ็นก็มักพบอาการเช่นนี้เหมือนกัน หลังจากฟื้นตัวแล้วมักเกิดพังผืด ซึ่งสร้างความทรมานมากกว่าอาการเส้นเอ็นอักเสบมาก ยืดเหยียดได้ไม่เต็มที่ ใช้ชีวิตอย่างมีขีดจำกัด ถึงขั้นที่ไม่มีเรี่ยวแรง สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นอาการที่พบได้บ่อย

ถึงแม้ว่าเฉินชางกับฉินเยว่จะเย็บเส้นเอ็นมาหลายเคส รู้ถึงอาการผิดปกติหลังการรักษา แต่ถึงที่สุดแล้วก็ยังไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน…จึงไม่รู้ว่าอาการที่เกิดขึ้นให้ความรู้สึกอย่างไร

คำกล่าวที่ว่าเจ็บป่วยมานานจนกลายเป็นแพทย์ที่ดี คำกล่าวนี้ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล ถึงอย่างไรเสียคุณก็พอเข้าใจอาการของโรคอยู่บ้าง

เฉินชางอดถอนหายใจไม่ได้ โรคภัยไข้เจ็บบางโรคก็เป็นเช่นนี้ จะว่าสาหัสก็ไม่ แต่ก็เป็นโรคที่มีความยุ่งยากในการรักษามาก

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อระดับความเชี่ยวชาญมีจำกัด มีความรู้ความเข้าใจในการเย็บเส้นเอ็นไม่มากพอ สมัยยุคเก้าศูนย์ การเย็บเส้นเอ็นด้วยเทคนิคเย็บแบบมัดหกปมแบบสมัยนี้ยังไม่มีในประเทศ ในเมืองอันหยางยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย

ในเวลานี้ จู่ๆ ฟ่านอวิ๋นสยาก็กล่าวขึ้นว่า “คุณหมอ โรงงานที่ฉันทำงานมักมีคนได้รับบาดเจ็บที่เส้นเอ็นบ่อยๆ ฉันมีเพื่อนร่วมงานคนหนึ่ง ตอนที่เพื่อนคนนี้ไปหาหมอที่โรงพยาบาลบังเอิญเจอแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มาจากเมืองหลวงพอดี ได้ยินว่าวิธีการเย็บเส้นเอ็นของทังผลลัพธ์ดีมาก อาการของเพื่อนตอนนี้ฟื้นตัวได้ดีมาก คุณหมอคุ ณเย็บแบบทังเป็นมั้ยคะ”

ปัจจุบันนี้อินเทอร์เน็ตพัฒนาไปไกลมาก ข้อมูลข่าวสารต่างๆ ก็แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว ประชาชนได้ความรู้ต่างๆ เยอะมาก

เมื่อเฉินชางได้ยินเช่นนั้น เขาก็หัวเราะออกมา “ต้าเจี่ย ต้าเจี่ยรู้ลึกมากจริงๆ ครับ”

ฟ่านอวิ๋นสยายิ้มเขินอาย “ไอ้หยา ต้าเจี่ยก็แค่ถามไปเรื่อย อาการบาดเจ็บพวกนี้กลายเป็นโรคเรื้อรังของพวกเราไปแล้ว ก็เลยเข้าใจอาการพวกนี้มากหน่อย…

…แต่คุณหมออย่าใส่ใจคำพูดฉัน แน่นอนว่าฉันมาที่โรงพยาบาลก็เพราะฉันเชื่อมั่นในตัวคุณหมอ ลูกสาวฉันเป็นพยาบาล ฉันเข้าใจพวกคุณ”

ฟ่านอวิ๋นสยากับเหมือนกันกับหญิงวัยกลางคนส่วนใหญ่ รูปร่างอ้วนนิดๆ ริมฝีปากหนา สันจมูกโด่ง อบอุ่นเป็นกันเองมาก ตามแบบฉบับของผู้หญิงภาคเหนือ

การผ่าตัดยังไม่ทันเริ่มขึ้น เฉินชางกับฟ่านอวิ๋นสยาก็พูดคุยกันไปเยอะมาก

จู่ๆ ฟ่านอวิ๋นสยาก็กล่าวขึ้นว่า “พวกคุณเป็นคนมีความรู้ ไม่เหมือนคนสมัยฉัน ชีวิตทั้งชีวิตของฉันเย็บเป็นแค่เสื้อผ้า เย็บอวัยวะคนกับเย็บเสื้อผ้าเป็นคนละเรื่องกัน เย็บอวัยวะคนเทคนิคต้องสูงมาก!”

เฉินชางกับฉินเยว่อดหัวเราะไม่ได้ ต้าเจี่ยคนนี้มองโลกแง่ดีมากจริงๆ มือบาดเจ็บแผลลึกขนาดนี้ คิดไม่ถึงว่าจะหัวเราะได้อยู่ สภาพจิตใจแข็งแกร่งไม่เลวเลยจริงๆ

แต่คำพูดของฟ่านอวิ๋นสยาทำให้จู่ๆ เฉินชางก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

ถูกต้อง!

เย็บเส้นเอ็นกับเย็บเสื้อผ้าแตกต่างกันตรงไหน

สองสิ่งนี้มีความเชื่อมโยงกัน!

การเย็บเสื้อผ้ามีหลากหลายวิธีหลากหลายรูปแบบมาก การเย็บเส้นเอ็นก็เช่นเดียวกัน

ฟ่านอวิ๋นสยาถามขึ้นว่า “คุณหมอคะ วิธีเย็บเส้นเอ็นของทังนี่ดีเยี่ยมขนาดนั้นเลยหรือเปล่าคะ”

เฉินชางอธิบาย “ต้าเจี่ยครับ อย่าว่าไปเชียว ความจริงแล้วการเย็บเส้นเอ็นก็เหมือนกันกับการเย็บเสื้อผ้าของพวกคุณนั่นแหละครับ…

…เวลาที่เสื้อผ้าขาดชำรุด คุณคิดจะเย็บซ่อมแซมเสื้อผ้าที่ขาดก็มีวิธีเย็บหลากหลายวิธีให้คุณเลือกใช้ การเย็บเส้นเอ็นก็เช่นกันครับ วิธีเย็บเส้นเอ็นของทังก็เป็นวิธีหนึ่งในอีกหลายวิธี…

…เวลาที่ใช้เครื่องจักรเย็บผ้าจะได้ฝีเย็บที่ถี่และแน่น การเย็บเสื้อผ้าที่ฝีเข็มละเอียดแน่นเช่นนี้ก็เหมือนกันกับการเย็บเส้นเอ็น ในอดีตการเย็บเส้นเอ็นจะใช้วิธีเย็บเส้นเอ็นด้วยเทคนิคคลาสสิกคือการเย็บแบบมัดสองปม วิธีเย็บเส้นเอ็นของเคสเลอร์ วิธีเย็บเส้นเอ็นของสึเกะ…

…ต่อมาภายหลังก็มีการคิดค้นวิธีเย็บแบบมัดสี่ปม มีวิธีของลาเฮย์ วิธีของเบกเกอร์ จนกระทั่งมาถึงปัจจุบันนี้ก็มีการคิดค้นวิธีเย็บแบบมัดหกปม เช่น วิธีของซาเวจ วิธีเหล่านี้เป็นวิธีที่ชาวต่างชาติคิดค้น ต่อมาศาสตราจารย์ทังคนประเทศเราก็สร้างสรรค์วิธีเย็บเส้นเอ็นด้านในแบบมัดหกปมขึ้นมา เรียกว่าวิธีของทัง”

เมื่อฟ่านอวิ๋นสยาได้ฟังเช่นนั้น ก็เข้าใจในทันที!

“งั้นวิธีของทังก็ต้องยอดเยี่ยมมาก? เย็บเส้นเอ็นด้านในแบบมัดหกปมจะต้องได้ผลลัพธ์ออกมาดีมากแน่!”

เฉินชางหัวเราะพร้อมส่ายหน้า “คนส่วนใหญ่มักมีความเข้าใจผิดๆ เช่นนี้ คิดว่าเทคนิคขั้นสูงจะยิ่งให้ผลลัพธ์ดี ความจริงไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไปครับ…

…ในกรณีนี้ก็เช่นกันครับ วิธีเส้นเย็บของทัง ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเย็บซ่อมแซมเส้นเอ็นด้วยการเพิ่มมัดปม ซึ่งทำให้มีช่องว่างลดลง มีความแข็งแรงเหนียวแน่นมากยิ่งขึ้น แต่ใช้ไหมเย็บเส้นเอ็นจำนวนมากย่อมก่อให้ปัจจัยที่ส่งผลทำให้แผลหายช้าอย่างไม่ต้องสงสัย และแน่นอนว่าเป็นการเพิ่มโอกาสในการเกิดพังผืดอีกด้วย…

…แน่นอนครับว่าวิธีของทังมีข้อดี แต่ก็ไม่ได้เหมาะการเย็บเส้นเอ็นทุกเคส ข้อบกพร่องของวิธีนี้ชัดเจนมาก…

…เวลาที่เราจะเลือกวิธีเย็บเส้นเอ็น สิ่งสำคัญคือต้องดูตำแหน่งที่บาดเจ็บของเส้นเอ็นของคุณกับสมรรถภาพทั้งหมดที่เส้นเอ็นคุณมีก่อน แล้วจึงเลือกวิธีที่เหมาะสมกับคุณที่สุดในการเย็บเส้นเอ็น”

หลังจากที่เฉินชางอธิบายไปหนึ่งรอบ ฟ่านอวิ๋นสยาก็เข้าใจในที่สุด!

เธอกล่าวพร้อมเสียงหัวเราะ “คุณหมอเฉิน คุณเป็นหมอที่ใส่ใจจริงๆ มีหมอแบบคุณ ผู้ป่วยก็สบายใจ!”

ในขณะเดียวกัน สายตาที่เธอมองเฉินชางก็เปลี่ยนไปเป็นสายตาที่เชื่อมั่นขึ้นมาก

ความจริงแล้วความสัมพันธ์ระหว่างผู้ป่วยกับหมอดีขึ้นได้ผ่านการพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน

[1] ต้าเจี่ย คำเรียกผู้หญิงที่มีอายุมากกว่าด้วยความเคารพนับถือ

เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ

เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ

Status: Ongoing

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท