เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ – บทที่ 265 ทักษะการเย็บเส้นเอ็นระดับสมบูรณ์ บทความวิจัยพร้อมเสิร์ฟ!

เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ

บทที่ 265 ทักษะการเย็บเส้นเอ็นระดับสมบูรณ์ บทความวิจัยพร้อมเสิร์ฟ!

คำถามของเฉินชางทำเอาหวังอี้ซานกับคนอื่นๆ ถึงกับตอบไม่ถูก…

หวังอวี้ซานยิ้มกระอักกระอ่วน “เอ่อ…ตำแหน่งคณะกรรมการบริหารสมาคม ไม่ใช่ผมคนเดียวที่ตัดสินใจเรื่องนี้ได้ ต้องอาศัยการพิจารณาคัดเลือกจากทุกฝ่าย ต้องพิจารณาในสองด้าน ด้านหนึ่งคือในด้านของประสบการณ์กับความทรงคุณวุฒิ อีกด้านหนึ่งคือผลงานวิจัยกับบทความวิชาการทางการแพทย์ ถ้าคุณอยากจะเป็นคณะกรรมการบริหารสมาคม คุณลองพิจารณาเรื่องเขียนบทความวิจัยแล้วเผยแพร่ก็ได้ครับ”

หวังอวี้ซานมองว่าถ้าเฉินชางอยากเป็นคณะกรรมการสมาคมศัลยแพทย์ด้านมือแห่งชนชาติจีน ยังนับว่าเป็นเรื่องที่ยากมากอยู่!

ส่วนถานจงหลินกลับแสดงสีหน้ามึนงง

ผม…ทำไมตอนผมอายุเท่าคุณผมไม่คิดเรื่องนี้ คุณเพิ่งจะอายุเท่าไหร่เอง คุณคิดจะเป็นคณะกรรมการบริหารสมาคมแล้ว…

ความจริงแล้วเฉินชางอยากจะเป็นคณะกรรมการบริหารสมาคมสาขาตงหยาง

ความเข้าใจผิดอันงดงามนี้ทำให้เฉินชางตัดสินใจว่าจะกลับไปตั้งใจเขียนบทความวิจัยออกมา

ส่วนฉางหงเหล่ยกล่าวว่า “เสี่ยวเฉินไม่ต้องกังวลไปนะ ฉันเพิ่งยื่นเสนอหัวข้อวิจัยใหม่ไปเสนอไป ตอนนี้ผลใกล้จะออกมาแล้ว ถึงเวลานั้นฉันจะเพิ่มชื่อคุณไว้ในทีมผู้ร่วมวิจัยด้วย!”

ถานจงหลินชะงัก เขาอยากถามจริงๆ ว่าเพิ่มชื่อเขาด้วยได้มั้ย

เฉินชางพยักหน้า ดูแล้วตำแหน่งคณะกรรมการบริหารสมาคมคงไม่ยากแล้วจริงๆ…

ก่อนหน้านี้หัวหน้าอันหลอกผม…

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เฉินชางคิดใคร่ครวญอย่างลึกซึ้งตลอดทางกลับโรงพยาบาลอันดับสอง

ทันทีที่เขากลับไปถึงโรงพยาบาล ฉินเยว่คนขี้ประจบเดินตรงเข้ามาหาเฉินชางจากด้านหลังอย่างว่องไวราวกับแมวที่กระโจนตัวเข้ามา

เฉินชางไม่พูดไม่จาแต่หัวเราะเยาะออกมา แสดงทีท่าไม่สนใจฉินเยว่ เขาเดินก้าวเท้ายาวๆ ไป แล้วกล่าวทิ้งท้ายว่า “ดูตัวคุณสิ บุคลิกขี้ประจบแบบนี้ อนาคตสดใสแน่…”

เมื่อฉินเยว่เห็นอากัปกิริยาเช่นนี้ เธอก็เร่งฝีเท้าตามไปพลางหัวเราะเยาะ “ชิ! คุณกำลังอิจฉา ถ้าคุณมีทักษะเล่นเปียโนเหมือนสิงอวี่เทพบุตรของฉัน ฉันก็ประจบคุณด้วยเหมือนกัน”

เฉินชางหยุดชะงักทันที เขาหันกลับมาอย่างรวดเร็ว สายตาจับจ้องฉินเยว่ “พูดจริง?”

ฉินเย่วเดินตามก้นเฉินชางมาติดๆ ใครจะไปคิดว่าเฉินชางจะหันขวับกลับมากะทันหันขนาดนั้น ทำเอาหน้าเธอแทบจะชนเข้ากับหน้าอกของเฉินชาง

ฉินเยว่รีบถอยหนึ่งก้าวทันที กล่าวเสียงเหนื่อยหอบว่า “พูดแล้วไม่คืนคำ!”

สีหน้าของเฉินชางดูพึงพอใจ ค่อนข้างใจเต้นแรง ครุ่นคิดว่าจะลงมืออย่างไรดี

ฉินเยว่เดินตามเฉินชางเข้าไปในห้องเปลี่ยนเสื้อ ถามขึ้นว่า “อ้อ จริงด้วย วันนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เล่าให้ฟังเร็วเข้า เกิดเรื่องใหญ่โตเลยใช่มั้ย”

เฉินชางถอนหายใจออกมาด้วยความเบื่อหน่าย “คุณต้องขอบคุณผมงามๆ วันนี้ถ้าไม่ใช่เพราะผมคนแซ่เฉินคนนี้ ชั่วชีวิตนี้เทพบุตรนักเปียโนของคุณอย่าได้คิดจะเล่นเปียโนอีกเลย”

ฉินเยว่กลอกตามองบน “คุณนี่ขี้โม้จริงๆ คุณไม่เห็นข่าวหรือไง ข่าวประกาศออกมาแล้วว่าการผ่าตัดของสิงอวี่ราบรื่นมาก แพทย์ผู้เชี่ยวชาญลงความเห็นว่าไม่ส่งผลกระทบกับการเล่นเปียโน แต่วันข้างหน้ายังจำเป็นต้องเข้ารับการฟื้นฟูสมรรถภาพมือระยะหนึ่งก่อน ฉะนั้นในช่วงนี้ต้องงดการแสดงเปียโนทั้งหมด…

…ทีมแพทย์ที่ผ่าตัดในวันนี้เรียกได้ว่าเป็นการรวมตัวของผู้เชี่ยวชาญระดับปรมาจารย์เชียวนะ มีผู้อำนวยการหวังจากโรงพยาบาลหมัวตูซื่อลิ่ว มีหัวหน้าถานจงหลิน มีหัวหน้าฉางหงเหล่ย ทุกคนเป็นผู้มีชื่อเสียงโด่งดังในแวดวงศัลยแพทย์มือกันนั้น มิน่าเล่าการผ่าตัดถึงได้ราบรื่นขนาดนี้!…

…ผู้เชี่ยวชาญเยอะขนาดนี้ เฉินชาง ฉันเดาว่าแม้แต่หน้าสิงอวี่คุณก็ไม่ได้เห็นมั้ย คุณเป็นเหมือนคนที่เดินผ่านแถวนั้นเท่านั้นเอง….”

เฉินชางถอนหายใจออกมา ใช่ แต่ไหนๆ ก็ไปถึงที่แล้ว คนพวกนั้นเป็นผู้ช่วยผมระหว่างผ่าตัดด้วยซ้ำ ผู้หญิงหนอผู้หญิง เชื่ออะไรง่ายจริงเชียว แค่ได้ยินจากข่าวก็เชื่อแล้ว! แถมยังเป็นข่าวบันเทิงอีกต่างหาก!

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เฉินชางก็ส่ายหน้า “เฮ้อ ฉินเยว่หนอฉินเยว่ ผมพบว่าการมีตัวมีตนของคุณช่วยพิสูจน์คำพูดหนึ่งได้ว่าเป็นความคิดที่ผิด!”

ฉินเยว่หันมามองด้วยสีหน้าสงสัย “หมายความว่าไง”

เฉินชางสวมชุดกาวน์ ยืดตัวตรงกล่าวทิ้งท้าย แล้วเดินออกไปจากห้องเปลี่ยนเสื้อไป “นมโตสมองกลวง!”

ช่วงบ่ายเฉินชางเย็บเส้นเอ็นไปสองสามเคส เขารู้สึกได้ว่าสายตาที่ฉินเยว่มองตนแฝงไว้ด้วยเจตนาร้ายกับความคิดที่อยากจะสังหารตน…อย่างชัดเจน!

มองเสียจนเฉินชางรู้สึกหวาดผวาใจคอไม่ดี!

จนกระทั่งหลังจากที่เลิกงานแล้ว เพื่อที่ป้องกันไม่ให้ฉินเยว่ลอบแทงข้างหลัง แล้วก็เพื่อความปลอดภัยในชีวิต เฉินชางจำใจต้องเลี้ยงเนื้อตุ๋นสมุนไพรฉินเยว่อีกมื้อ

อย่าถามว่าเย็บเส้นเอ็นไปเมื่อช่วงบ่าย แล้วตกเย็นทานเมนูเนื้อตุ๋นสมุนที่มีเครื่องในเป็นส่วนประกอบแล้วรสชาติจะไม่ต่างไปจากเดิมหรือ คำตอบคือไม่เลย กินอร่อยมาก ขาดอย่างเดียวคือติดฟัน

แต่เฉินชางไม่กล้าบอกให้ฉินเยว่รู้ ในกรณีที่บอกฉินเยว่ไปว่าฟันตนไม่ค่อยแข็งแรง ฉินเยว่จะต้องบอกตนว่าเป็นสัญญาณของโรคไตพร่องแน่ (เป็นโรคที่ส่งผลต่อสมรรถภาพทางเพศ)

หลังจากกินจนอิ่มหนำสำราญแล้วก็ตบท้ายด้วยชานมอี้ฟางหนึ่งแก้ว แล้วยัยฉินตัวร้ายก็อารมณ์ดีจนกลายร่างกลับมาเป็นยัยฉินขี้ประจบคนเดิม

จะต้องกล่าวว่าความสามารถในการฟื้นฟูตนเองของฉินเยว่แข็งแกร่งมาก ถึงแม้ปกติจะขี้บ่น ขี้โมโห แต่…ชานมหนึ่งแก้วจัดการเธอได้อยู่หมัด และที่ห้ามขาดเด็ดขาดก็คือเมนูหม้อไฟสักมื้อ

ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามแต่ กล่าวโดยสรุปได้ว่า แม่สาวน้อยคนนี้นิสัยดีไม่เลวเลยจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เธอเป็นคนหนักเบาเอาสู้ คอยติดตามเฉินชาง นับว่าเป็นงานที่ลำบากไม่น้อย

แถมยังทำงานหามรุ่งหามค่ำทุกวี่ทุกวัน ช่วงเช้าผ่าตัด ตกเย็นทำโอทีเพื่อทำวิจัยต่อ

ดังนั้นเฉินชางก็เลยมองว่าการเลี้ยงข้าวฉินเยว่เป็นเรื่องที่ขาดไม่ได้ ทุกวันติดตามตนไปผ่าตัดตั้งหลายเคสขนาดนั้น อย่าว่าแต่เลี้ยงข้าวหนึ่งมื้อเลย เลี้ยงข้าวทุกวันเลยยังได้

แล้วอีกอย่าง ฐานะทางการเงินของเฉินชางในปัจจุบันนี้ก็ดีมากแล้วด้วย ในระยะเวลาหนึ่งเดือนมีเคสศัลยกรรมเสริมหน้าอกสามเคส บวกกับเคสออกแบบศัลยกรรมตกแต่งอีกสองสามเคส รวมทั้งหมดแล้วได้มาสามล้านกว่าหยวน

จะต้องกล่าวว่าลูกค้าศัลยกรรมที่มีเงินน่ะมี แต่ก็ไม่ได้มีลูกค้าที่มีเงินหลายรายขนาดนั้น ความฝันที่จะร่ำรวยจากเคสศัลยกรรมเสริมหน้าอกของเฉินชางจึงเป็นอันต้องดับสูญ เขาต้องหารายได้จากเคสอื่นด้วย

ช่วงนี้ค่อนข้างยุ่ง เฉินชางยังไม่มีเวลาไปดูบ้าน อีกสองวันก็จะถึงวันชาติแล้ว เฉินชางวางแผนไว้ว่าจะพาพ่อแม่ไปดูบ้านด้วยกัน

ถึงอย่างไรเสีย…สำหรับผู้สูงอายุแล้ว การซื้อบ้านในเมืองเป็นเรื่องที่เป็นเกียรติแก่ครอบครัวมาก

โดยเฉพาะเฉินต้าไห่ พ่อของเขาที่มีนิสัยช่างพูดช่างคุย หลังจากที่เฉินชางกลับไปที่บ้านเกิดแล้ว พ่อของเฉินชางจะต้องซื้อเหล้าขาวมาเตรียมไว้ ทำกับข้าวสามอย่าง เรียกเพื่อนสองสามคนมาที่บ้าน กินไปโม้ไป อยากจะป่าวประกาศให้ทุกคนในหมู่บ้านรู้ว่าลูกชายเขาซื้อบ้านใหม่ในเมือง

แน่นอนว่าหลังจากที่ซื้อบ้านแล้วก็ไม่แน่ว่าพ่อแม่จะยอมมาอยู่กับตนหรือไม่ เพราะถึงอย่างไรเสียทั้งสองก็อยู่ที่บ้านหลังนั้นมาชั่วชีวิตแล้ว อีกทั้งยังเคยชินแล้วด้วย ในหมู่บ้านมีแต่คนกันเองทั้งนั้น พ่อแม่เคยชินกับการแวะไปคุยกับเพื่อนบ้าน และด้วยความเป็นพ่อครัวของหมู่บ้านของเฉินต้าไห่ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ไม่มีทางจากบ้านหลังเก่านี้ไป เขาชอบการตระเวนไปทำอาหารตามบ้านต่างๆ ในหมู่บ้าน วันนี้บ้านนี้มีงานก็ไป พรุ่งนี้บ้านหลังนั้นเชิญไปก็ไป เฉินต้าไห่ใช้ชีวิตเต็มเปี่ยมด้วยความสุข

คนสูงอายุได้รับความเคารพนับถือจากผู้คน นับเป็นเรื่องของศักดิ์ศรี อยู่ในเมืองก็ไม่สุขกายสบายใจเท่าอยู่ที่บ้านหลังเก่า

ถึงอย่างไรเสียสิ่งที่สำคัญที่สุดยังคงเป็นความสุขกายสบายใจของตนเองกับความรู้สึกของการได้รับความเคารพและเป็นที่ต้องการของทุกคน เป็นความรู้สึกที่มนุษย์ต้องการ

หลังจากที่เดินออกมาจากย่านธุรกิจการค้าเทียนเจียแล้ว ฉินเยว่ดื่มชานมแล้วก็ถอนหายใจออกมา “เฉินชาง นี่ก็หนึ่งเดือนแล้ว คุณมีแนวคิดอะไรบ้างหรือยัง ฮาร์ดไดร์ฟที่เราซื้อมาเพิ่มสามอันหน่วยความจำจะเต็มหมดแล้ว ข้อมูลสถิติที่วางกองอยู่บนเตียงนอนฉันจะสูงเป็นภูเขาแล้ว!…

…ถ้าคุณยังคิดทิศทางการวิจัยไม่ออกอีก ช่วงระยะเวลาที่เราลำบากลำบนมาก็คงจะเหนื่อยเปล่าแล้วจริงๆ ฉันเสียเงินค่ามาส์กบำรุงผิวหน้าไปหลายร้อนหยวนแล้วนะ!”

เฉินชางหัวเราะ “ใกล้แล้ว อีกไม่กี่วัน พวกเราก็ได้บทความวิจัยที่ยอดเยี่ยมกันแล้ว! ผมจะใส่ชื่อคุณเป็นผู้จัดทำชื่อแรกเลย!”

ฉินเยว่กลอกตามองบนใส่เฉินชางหนึ่งที “คุณอย่าคิดจะถามหาความเห็นจากอาจารย์ฉันนะ อาจารย์ฉันไม่รู้จักคนที่อยู่ในแวดวงวารศัลยกรรมมือ”

……

หลังจากที่ส่งฉินเยว่ที่ใต้ตึกที่อยู่อาศัยสำหรับบุคลากรของโรงพยาบาลแล้ว เฉินชางก็กลับบ้านเลย โดยที่ไม่รู้เลยว่าหน้าต่างชั้นสิบหก มีชายสูงวัยจ้องมองเฉินชางจากด้านหลังด้วยใจที่คิดคาดเดาไปต่างๆ นานาอยู่นาน

“เหล่าฉินยืนทำอะไรอยู่ที่หน้าต่าง”

ฉินเสี้ยวยวนถอนหายใจ “ชมวิวน่ะ!”

ความจริงแล้วเขาชมวิวที่ไหนกัน แต่กำลังดูคนที่อาจจะ…อาจะเป็นลูกเขยในอนาคต!

เมื่อเห็นว่าระยะนี้ลูกสาวดูใจลอย จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เหล่าฉินก็รู้สึกเศร้าใจ

……

งานยุ่งมาตลอดทั้งวัน หลังจากที่เฉินชางล้างหน้าล้างตาแล้ว เขาก็นอนเอนกายอยู่บนเตียง กดเปิดหน้าจอเสมือน

[ติ๊ง! ต้องการเปิดระบบอบรมหลักสูตรพิเศษวิธีเย็บเส้นเอ็นของทังระดับลึกซึ้งหรือไม่]

ประสบการณ์ [การผ่าตัดเส้นเอ็น] เฉินชางเรียนรู้อย่างอัดแน่นมาตั้งนานแล้ว ทว่านานแล้วยังไม่ยกระดับทักษะสักที

แต่ในตอนนี้เฉินชางมีลางสังหรณ์อย่างหนึ่งว่าหลังจากที่ผ่านการฝึกอบรมหลักสูตรพิเศษวิธีเย็บเส้นเอ็นของทังระดับลึกซึ้งแล้ว โอกาสบุกทะลวงยกระดับทักษะก็อยู่ตรงหน้าแล้ว!

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เฉินชางก็เริ่มฝึกอบรม

แล้วภาพที่ปรากฏตรงหน้าก็พลันเปลี่ยนไป เฉินชางยืนอยู่ในห้องผ่าตัด

มีชายสวมแว่นอายุห้าสิบกว่ายืนอยู่ตรงหน้าเขา ไม่ต้องถามก็รู้ว่าชายสูงวัยท่านี้ก็คือศาสตราจารย์ทังนั่นเอง

เฉินชางโค้งคำนับพร้อมกล่าวทักทาย ฝ่ายนั้นเริ่มการฝึกอบรมพิเศษ!

ในตอนแรกเริ่มเฉินชางยังคงสงสัยว่าทำไมถึงเรียกว่าการฝึกอบรมพิเศษระดับลึกซึ้ง

จนกระทั่งหลังจากที่เริ่มฝึกอบรมพิเศษแล้ว เฉินชางถึงเข้าใจแล้วว่าเพราะอะไร

หลังจากที่เฉินชางเย็บเส้นเอ็นวิธีทังเป็นแล้ว เขาก็เริ่มฝึกฝน

ทว่าทุกครั้งหลังจากฝึกฝนแล้ว จู่ๆ เส้นเอ็นที่เฉินชางเย็บไปแล้วก็ขยายใหญ่ขึ้น จนขนาดหนาพอๆ กับตัวเฉินชาง และภาพที่เห็นในลำดับต่อไปก็ทำให้ถึงกับตกตะลึงจนตาค้างไปเลย

เพราะว่า…

เขาคาดไม่ถึงว่าหลังจากที่ตนเย็บเส้นเอ็นแล้ว ก็จะได้เห็นกระบวนในการฟื้นฟูอย่างช้าๆ ของเส้นเอ็นที่เขาเย็บ รวมทั้งลักษณะการเปลี่ยนแปลงของเส้นเอ็นตลอดกระบวนการฝึกฝนพิเศษ!

เฉินชางถึงกับตะลึงในทันใด!

เป็นเทคนิคที่ล้ำสุดยอดไปเลย!

ทุกครั้งหลังจากที่เย็บเส้นเอ็นเสร็จ เฉินชางจะติดตามผลการรักษาได้เลยว่าแนวโน้มในการฟื้นฟูเป็นอย่างไร และนำสิ่งที่เห็นเหล่านี้มาวินิจฉัยอย่างละเอียดว่าปัญหาเกิดจากปัจจัยใดกันแน่ และในวันข้างหน้าควรจะปรับปรุงพัฒนาอย่างไร

การฝึกฝนดำเนินไปครั้งแล้วครั้งเล่า!

ในที่สุดเฉินชางก็พบแล้วว่าจุดเด่นที่ยอดเยี่ยมของวิธีการเย็บเส้นเอ็นของทังคืออะไร ใช้วิธีการเย็บเส้นเอ็นแบบมัดหกปม ความล้ำเลิศของวิธีนี้คือทำให้เส้นเอ็นยืดเหยียดกับเส้นเอ็นงอนิ้วฟื้นตัวได้ไวในเวลาอันสั้น เพียงสิบสองชั่วโมงก็เริ่มกระบวนการฟื้นฟูแล้ว ส่งผลให้ลดโอกาสการเกิดพังผืดได้

ว่ากันตามหลักการการเย็บแบบมัดหกปมจะเพิ่มโอกาสการเกิดพังผืด แต่วิธีของทังกลับเติมเต็มส่วนที่บกพร่องได้ ด้วยการย่นระยะเวลาฟื้นฟู เพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา

ในทุกครั้งหลังจากเรียนรู้ เฉินชางอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมวิธีเย็บเส้นเอ็นของทังถึงให้ความสำคัญกับการแบ่งหน้าที่การทำงานของเส้นเอ็นแต่ละเส้นเป็นอันดับต้น

เวลาแต่ละนาที แต่ละวินาทีผ่านไปดั่งสายน้ำ เฉินชางเย็บเส้นเอ็นวิธีของทังเป็นแล้ว ทั้งยังเข้าใจวิธีเย็บเส้นเอ็นของทังอย่างลึกซึ้งแล้วด้วย

ในตอนที่ระบบแจ้งว่าการฝึกฝนสำเร็จแล้ว ต้องการจะออกจากกระบวนการนี้หรือไม่

นับเป็นครั้งแรกที่เฉินชางเลือกที่จะปฏิเสธ!

เพราะดูเหมือนว่าเขาจะพบว่าตนข้อบกพร่องของตนในวิธีเย็บเส้นเอ็นของทังอยู่

ไม่ว่าจะวิธีไหนๆ เฉินชางก็ปรับปรุงและพัฒนาอย่างต่อเนื่องเสมอ และในวิธีของทังก็เช่นกัน สิ่งที่เฉินชางต้องการทำในลำดับต่อไปก็คือศึกษาอย่างเจาะลึกว่าจะปรับปรุงวิธีของทังได้อย่างไร

หลังจากที่เกิดแนวคิดนี้แล้ว เฉินชางก็ไม่อาจหยุดยั้งตนเองได้

เขาเริ่มฝึกฝนต่อทันที

โครงสร้างของเส้นเอ็นงอนิ้วกับเส้นเอ็นยืดเหยียด การแบ่งแยกวิธีเย็บเส้นเอ็นแต่ละเส้นตามหน้าที่การทำงาน สิ่งเหล่านี้เป็นตัวกำหนดความต้องการของผลลัพธ์ที่แตกต่างกันออกไปในการเย็บเอ็นแต่เส้น

เมื่ออยู่ในห้องจำลองผ่าตัด เวลาก็ไม่มีความหมายอีกต่อไป

ส่วนเฉินชางก็เหมือนว่าจะลืมการมีอยู่ของเวลาไปแล้ว

เฉินชางฝึกฝนซ้ำแล้วซ้ำแล้วไม่หยุด!

[บัตรฝึกพิเศษ] เป็นไอเทมที่ดีไอเทมหนึ่ง ทว่าน่าเสียดายที่ตอนนั้นไม่ประสีประสา ไม่รู้คุณค่าของไอเทมนี้ ข้ามขั้นตอนนี้ไป แล้วก็เพิ่มระดับทักษะการผ่าตัดไส้ติ่งอักเสบเป็นระดับสมบูรณ์เลย

กระทั่งถึงตอนนี้เฉินชางก็ยังไม่เห็น [บัตรฝึกพิเศษ] ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง

เดี๋ยวนี้ภารกิจประจำวันไม่ได้มอบรางวัลฝึกฝนพิเศษแบบนี้ให้ง่ายๆ ทำไมเขาถึงไม่รับบัตรนี้ไว้กันนะ

ทว่าไอเทม [บัตรฝึกพิเศษระดับลึกซึ้ง] ในวันนี้กลับทำให้นัยน์ตาของเฉินชางเปล่งประกาย

เขาไม่รู้ว่าในครั้งหน้าจะมีโอกาสได้เห็นบัตรฝึกพิเศษระดับลึกซึ้งนี้อีกเมื่อไหร่ บัตรนี้ทั้งใช้สำหรับฝึกฝนได้ ทั้งยังสามารถเห็นแนวโน้มในการฟื้นฟูของเส้นเอ็นได้ด้วย

ในที่สุด!

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน!

เฉินชางหัวเราะเสียงดังลั่นออกมา

โอกาสฝึกพิเศษระดับลึกซึ้งนับว่าเป็นโอกาสที่หาได้ยากจริงๆ การพัฒนาทักษะในด้านนี้ของตนให้สูงขึ้นก็ดูจะเห็นผลชัดเจนมาก

เฉินชางเข้าใจวิธีเย็บเส้นเอ็นของทังจนกระจ่างแจ้งแล้ว

วิธีของเฉินชางก็วิจัยออกมาแล้ว

ออกจากหน้าจอเสมือนด้วยความพึงพอใจ แล้วทันใดนั้นเฉินชางก็ได้ยินเสียงแจ้งเตือนจากระบบ

[ติ๊ง! ยินดีด้วย ทักษะการเย็บเส้นเอ็นพัฒนาไปถึง: ระดับสมบูรณ์!]

เฉินชางสังหรณ์ใจตั้งแต่แรกแล้วว่าระหว่างการอบรม เขาจะนำทุกวิธีมาผสมผสานเข้ากันได้ ไม่ใช่แค่เพียงหยิบวิธีเย็บเส้นเอ็นแต่ละวิธีมาวิเคราะห์ แต่ยังหาจุดเด่นจุดด้อยของแต่ละวิธีด้วย รวมถึงวิธีของทัง วิธีการเย็บเส้นอื่นๆ อีกหลายสิบวิธี เขาก็เข้าใจอย่างถึงแก่นหมดทุกวิธีแล้ว

ในเวลานี้เฉินชางไม่รู้สึกง่วงเลยสักนิด

เขาลุกขึ้นไปเปิดคอมพิวเตอร์ หลังจากที่คิดอยู่นานมาก เขาก็เริ่มเขียนบทความวิจัยที่ยอดเยี่ยมชิ้นแรกในชีวิต

‘ทิศทางกับแนวโน้มในการพัฒนาวิธีเย็บเส้นเอ็นของทังผ่านการวิเคราะห์ข้อดีข้อเสียจากวิธีเย็บเส้นเอ็นของทัง’

นี่เป็นเพียงการเขียนบรรยายสรุปอย่างง่ายๆ เฉินชางเขียนสิ่งใหม่ๆ เหล่านั้นลงในบทบรรยาย เขาเขียนสั้นและกระชับมาก ทว่าชวนให้ผู้อ่านบทความนี้นัยน์ตาเปล่งประกายได้จริงๆ

บวกกับระดับความรู้ความสามารถที่ตนมีอยู่ก่อนหน้านี้ ก็ดึงดูดความสนใจจากผู้ใหญ่ได้!

ในตอนนี้ ในหัวของเฉินชางมีความคิดผุดขึ้นมาเยอะมาก แต่ก็ควรที่จะทำไปทีละขั้นตอนถึงจะดี จะใจร้อนวู่วามเพื่อรีบคว้าชัยไม่ได้ ถ้าบทความวิจัยชิ้นนี้ของตนเกิดโด่งดังสะเทือนฟ้าสะเทือนดินกลายเป็นที่กล่าวขานขึ้นมา จะต้องมีอะไรให้ทำอีกแน่

ดังนั้นก่อนที่จะถึงวันนั้น เฉินชางตัดสินใจว่าจะลองเขียนบรรยายสรุปออกมาก่อน

เมื่อถึงตอนนั้น เฉินชางค่อยนำสิ่งที่ตนเองได้ศึกษาวิจัยมาเผยแพร่ทีละนิด

เขาเชื่อว่าถ้าศาสตราจารย์ทังได้เห็นบทความวิจัยนี้แล้วจะต้องดีใจมากแน่

เฉินชางเขียนเร็วมาก ใช้เวลาไปสามชั่วโมงกว่า ในที่สุดก็เขียนเสร็จ!

เฉินชางเขียนไปสี่พันกว่าตัวอักษร เน้นความสำคัญที่วิเคราะห์วิธีเย็บเส้นของทังอย่างเจาะลึก รวมทั้งทิศทางการพัฒนาวิธีของทังในอนาคต

และในตอนลงชื่อผู้จัดทำในตอนท้าย เฉินชางเขียนชื่อฉินเยว่ไว้ชื่อแรก ส่วนตนเองยังคงเป็นผู้ติดต่อประสานงานกับผู้ร่วมทำวิจัยที่เกี่ยวข้อง!

บทที่ 260 เป็นเกียรติของคุณ!

จู่ๆ หวังอวี้ซานก็รู้สึกค่อนข้างหมดแรง เป็นความรู้สึกโกรธตนเองที่ถึงเวลาต้องใช้ความรู้แต่ดันมีความรู้ไม่พอ

การเย็บเส้นเอ็นด้วยวิธีของบันเนลล์เป็นวิธีที่มีความซับซ้อนสูงมาก และถ้าไม่ระมัดระวังแม้แต่นิดเดียวก็อาจทำให้เส้นเอ็นเสียหายได้ เพิ่มปัจจัยที่จะทำให้เกิดพังผืดสูงมากขึ้น และภาวะบาดเจ็บระดับสองเช่นนี้จำเป็นต้องใช้วิธีของเคสเลอร์ร่วมด้วยกับวิธีของบันเนลล์ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าระดับความยากจะสูงขึ้นขนาดไหน!

หวังอวี้ซานรู้สึกหมดแรงทันใด!

เขากล่าวตามความจริง “ผมทำไม่ได้ วิธีนี้มีระดับความยากสูงมากเกินไป”

เมื่อประโยคนี้ออกจากปากหวังอวี้ซานไป ฉางหงเหล่ยไม่ได้ประหลาดใจมากนัก เพราะเทคนิคแบบนี้ยากอยู่แล้ว ตัวเธอเองก็ทำไม่ได้ หวังอวี้ซานคือความหวังเดียว

ดูแล้วหวังอวี้ซานเองก็ทำไม่ได้!

เมื่อถานจงหลินเห็นว่าทั้งสองมองมาที่ตน เขาก็รีบส่ายหน้าแล้วมองไปที่เฉินชาง “เสี่ยวเฉิน คุณทำได้มั้ยครับ”

ทั้งสามมองเฉินชางอย่างพร้อมเพรียง

เฉินชางพยักหน้าเล็กน้อย “ผมทำได้ครับ!”

คำว่า ‘ผมทำได้’ ที่เปล่งออกมา ช่างไพเราะเสนาะหูดั่งเสียงแห่งสายลมและนกร้อง

ถึงแม้ว่าน้ำเสียงของเฉินชางจะราบเรียบเหมือนบอกว่า ‘ผมกินข้าวแล้ว’ แต่คำพูดนี้ที่เปล่งออกมาสร้างความตกตะลึงราวกับได้ยินคำว่า ‘ผมกินขี้แล้ว’

แน่นอนว่าในสายตาของทั้งสามคน เห็นเฉินชางเป็นแค่หมอหนุ่มไฟแรงที่สุขุมเยือกเย็นไม่หวั่นเกรงต่อสิ่งใด ราวว่ากับไม่มีเรื่องอะไรที่รับมือไม่ได้จริงๆ

แต่…คำว่า ‘ผมทำได้’ สามคำนี้ กลับเป็นคำพูดที่มีแรงสั่นสะเทือนมหาศาลจริงๆ

ทว่าถานจงหลินที่เป็นฝ่ายถามเฉินชางกลับพลันหน้าถอดสีทันใด เขารีบขยิบตาส่งสัญญาณเตือนเฉินชาง เจ้าเด็กหนุ่มคนนี้กำลังจะอวดเก่งอีกแล้วจริงๆ!

รู้อย่างนี้จะไม่ให้เข้ามาในห้องผ่าตัดตั้งแต่แรก

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ หัวใจของถานจงหลินก็เต็มไปด้วยความเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไป!

สถานการณ์แบบนี้คุณยังเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยง หรือคุณจะบอกว่าไม่ใช่…เฮ้อ!

ใครบ้างที่ดูไม่ออกว่าเคสผ่าตัดเคสนี้เป็นเคสที่เละตุ้มเป๊ะไปแล้ว ถ้าทำออกมาได้ดีก็นับว่าสวรรค์คุ้มครอง ถ้าทำไม่ดีก็อย่างที่รู้กันอยู่ ตอนนี้ชีวิตคุณกำลังมีความสุขดี พ่อหนุ่ม คุณจะกระโจนเข้ากองไฟทำไม!

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ถานจงหลินอดคิดที่จะโน้มน้าวใจเฉินชางให้ถอยไม่ได้ เขากล่าวขึ้นว่า “เสี่ยวเฉิน! นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะ คุณทำได้จริงๆ หรือ นี่ไม่ใช่เวลาที่คุณจะอวดเก่งนะ!”

หวังอวี้ซานก็มองเฉินชางเหมือนว่ากำลังคิดอะไรอยู่ จากประสบการณ์ที่ผ่านมา เขาไม่รู้สึกว่าเฉินชางจะเป็นคนประเภทที่ทำอะไรบุ่มบ่ามขาดการยั้งคิดจริงๆ

เฉินชางไม่ใช่คนประเภทที่ทำทุกอย่างเพื่อชื่อเสียง

เมื่อตอนนั้นแค่เปิดโปงฉินเสียง เฉินชางก็สร้างชื่อได้ทันที แต่เฉินชางไม่ทำเช่นนั้น กลับอ่อนน้อมถ่อมตนราวกับเป็นเพียงฝุ่นละออง

แล้วคนอย่างเฉินชางเนี่ยนะ ที่จะลุกขึ้นมาเสนอตัวเพราะอยากอวดเก่ง?

ไม่มีทาง!

หวังอวี้ซานใช้ชีวิตมาห้าสิบกว่าปี สำหรับเรื่องมองคนแล้ว เขามองได้ทะลุปรุโปร่งมาก เขารู้ว่าเฉินชางเป็นคนประเภทสุขุมเยือกเย็น เป็นคนที่รู้จักปล่อยวาง อีกทั้งยังเป็นคนที่มีศักยภาพอย่างแท้จริง!

ถ้าคนประเภทนี้บอกว่าทำได้ นั่นก็หมายความว่าจะต้องทำได้อย่างแน่นอน!

และ เป็นไปได้ว่าทำได้ร้อยเปอร์เซ็นต์!

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ หวังอวี้ซานไม่ลังเล เขายื่นคีมจับเข็มเย็บแผลให้เฉินชาง “เสี่ยวเฉิน คุณมายืนตรงนี้!”

ขณะที่พูดนั้น หวังอวี้ซานก็ก้าวออกจากตำแหน่งผู้นำทีมแพทย์ผ่าตัด เวลานี้แม้แต่สิงอวี่ก็ยังตกตะลึง

ฉิบแล้ว…พวกคุณถอดใจที่จะช่วยผมแล้ว สิงอวี่แทบร้องไห้!

แต่แน่นอนว่าเขาไม่ได้คิดแบบนั้น เมื่อกี้นี้เขาเห็นและได้ยินกับตา เขารู้ว่าในเวลานี้เฉินชางเป็นความหวังเดียวของเขา

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ สิงอวี่ไม่เพียงแต่ไม่ต่อว่ากังขา แต่กลับมองเฉินชางด้วยสีหน้าจริงจัง กล่าวขึ้นว่า “คุณหมอ! ฝากด้วยครับ”

เฉินชางหัวเราะ “ครับ คุณปล่อยตัวสบายๆ เลยครับ”

สิงอวี่: ผมโดนฉีดยาชา ผมจะปล่อยตัวสบายๆ ยังไงครับหมอ…มือผมตอนนี้ชาจนไม่รู้สึกอะไรแล้ว โอเคมั้ยครับ

หลังจากที่เฉินชางรับคีมจับเข็มเย็บแผลมาแล้ว เขาก็กล่าวกับฉางหงเหล่ย รวมทั้งถานจงหลินว่า “ช่วยจับเส้นเอ็นไว้นะครับ แต่อย่าออกแรงดึงนะครับ”

ทั้งสองพยักหน้า

เฉินชางเริ่มทำตามขั้นตอนของเขาเอง

ถานจงหลินยังค่อนข้างเป็นห่วง เขารู้ว่าเฉินชางมีศักยภาพจริงๆ แต่…เขาก็ไม่ได้รู้สึกว่าเฉินชางจะเก่งไปหวังอวี้ซาน

ถ้าบอกว่าเฉินชางเป็นจอมยุทธ์แห่งยุทธจักร งั้นหวังอวี้ซานก็เป็นปรมาจารย์ในยุคนั้น!

เรียกได้ว่าห่างชั้นกันมาก!

แต่กระบวนท่าในการเย็บเส้นเอ็นของเฉินชางในขั้นตอนต่อไปทำเอาถานจงหลินถึงรู้สึกว่าตนช่างโง่เขลา

เฉินชางใช่จอมยุทธ์แห่งยุทธจักรที่ไหนกัน

เขาคือต๊กโกวคิ้วป้าย[1]!

ถานจงหลินรู้สึกยากจะยอมรับ

กล่าวให้ถูกต้องสักหน่อยคือนี่เป็นครั้งที่สามที่ถานจงหลินเห็นเฉินชางเย็บเส้นเอ็น ทั้งสามครั้งที่ได้เห็นล้วนเปิดมุมมองใหม่ให้กับถานจงหลินทุกครั้ง!

ครั้งแรกคือตอนที่เฉินชางเย็บเส้นเอ็นให้กับอู๋กัง ถานจงหลินกล่าวตามความจริงว่าเจ้าเด็กคนนี้ทำให้นัยน์ตาเขาเปล่งประกาย! ฝีมือเย็บเส้นเอ็นของเฉินชางในครั้งนั้นเรียกได้ว่ามีฝีมือระดับสูง

ครั้งที่สองเฉินชางเย็บเส้นเอ็นให้จางเค่อฉิน ในครั้งนั้นถานจงหลินรู้สึกได้เลยว่าฝีมือเย็บเส้นเอ็นของเฉินชางพัฒนาขึ้นไปอีกขั้น ไม่แน่ว่าอาจจะเก่งกว่าตัวเขาเองด้วยซ้ำ! และในครั้งนั้นเรียกได้ว่ามีฝีมือระดับปรมาจารย์แล้ว!

ส่วนครั้งที่สามก็คือครั้งนี้ ฝีมือการเย็บเส้นเอ็นของเฉินชางก้าวเข้าสู่ระดับตกผลึกเคล็ดวิชา ถึงกับดึงจุดเด่นของแต่ละวิธีออกมาประยุกต์ใช้ได้อย่างชาญฉลาด ครั้งนี้เฉินชางมีแนวโน้มว่ามีฝีมือจะอยู่ในระดับสมบูรณ์แล้ว!

ไม่นานเฉินชางก็เย็บเส้นเอ็นเส้นแรกเสร็จสมบูรณ์!

ทั้งสามถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจ!

เย็บได้ล้ำเลิศมากจริงๆ!

คนที่นำวิธีเย็บเส้นเอ็นทั้งสองมาใช้ได้ถึงระดับนี้ พบได้น้อยจริงๆ ไม่! ต้องเรียกว่าหายากเลยละ!

น้อยมากที่ทุกคนจะตั้งใจเรียนรู้วิธีเย็บเส้นเอ็นทุกวิธี คนส่วนใหญ่แค่เรียนรู้วิธีเย็บเส้นเอ็นวิธีใดวิธีหนึ่งเท่านั้น ยังไม่เคยเห็นคนที่เข้าใจวิธีการเย็บเส้นเอ็นแต่ละวิธีได้แตกฉานถึงเพียงนี้แบบเฉินชางมาก่อน

นี่คือศักยภาพอย่างหนึ่ง!

เมื่อทั้งสามคนคิดมาถึงตรงนี้ พวกเขาก็ค่อนข้างรู้สึกชื่นชมจากใจ!

หวังอวี้ซานทำเสียงจึ๊ๆ ด้วยความชื่นชม ถึงแม้ว่าจะสวมหน้ากากอนามัยอยู่ก็ยังได้ยินเสียงอย่างชัดเจน ฉางหงเหล่ยหันไปมองด้วยความสงสัย เป็นไปได้ว่าน้ำลายอาจจะไหลออกมาแล้ว?

ดูเหมือนว่าหวังอวี้ซานจะไม่ได้ใส่ใจกับสายตาของฉางหงเหล่ย เขามองเฉินชาง “เสี่ยวเฉิน เส้นเอ็นเส้นต่อไปคุณวางแผนยังไงครับ”

เฉินชาง : เย็บด้วยไหมเย็บเส้นเอ็นครับ

แน่นอนว่าเฉินชางรู้ว่าหวังอวี้ซานไม่ได้ถามในส่วนนี้ เขาใช้แหนบคีบเส้นเอ็นเส้นที่ทำหน้าที่งอนิ้วไว้อย่างระมัดระวัง อธิบายว่า “เส้นเอ็นเส้นนี้ใช้วิธีเย็บเส้นเอ็นของไคลเนิร์ทครับ วิธีนี้ค่อนข้างเรียบง่าย ส่งผลกระทบกับระบบหมุนเวียนเลือดน้อย และที่สำคัญที่สุดคือ วิธีนี้ทำให้เส้นเอ็นคงความยืดหยุ่นสูง อีกทั้งตรงจุดนี้ค่อนข้างห่างจากตำแหน่งเอ็นแผ่ฝ่ามือด้วย ทำให้โอกาสเกิดพังผืดค่อนข้างต่ำ วิธีนี้จึงเป็นวิธีที่ค่อนข้างดีวิธีหนึ่ง”

หลังจากที่เฉินชางตอบไปแล้ว หวังอวี้ซานก็พึมพำอยู่ในใจ วิธีเย็บเส้นเอ็นของไคลเนิร์ทพบเห็นน้อยมาก…หรือว่าแม้แต่วิธีนี้เฉินชางก็ศึกษาวิจัยแบบเจาะลึกมาแล้ว

ทันใดนั้นเฉินชางก็ให้คำตอบกับเขา!

ไม่ใช่แค่ศึกษาวิจัยธรรมดาๆ แล้ว แต่ศึกษาวิจัยจนทะลุปรุโปร่ง!

กระบวนท่าในการเย็บแผลของเฉินชางดูพลิ้วไหวมาก ไม่ว่าจะเป็นการเย็บผิวหนังในวันนั้น หรือจะเป็นการเย็บเส้นเอ็นในวันนี้ ช่างงดงามชวนมองจริงๆ!

นี่เป็นความรู้สึกของหวังอวี้ซาน!

เมื่อถึงตอนที่ต้องเย็บเส้นเอ็นเส้นสุดท้าย ทุกคนต่างไม่ถามเฉินชางแล้วว่าจะเย็บด้วยวิธีไหน เพราะถามไปก็เท่านั้น!

เฉินชางลงมือเย็บทันที!

ใช้เวลาไปครึ่งชั่วโมง การเย็บเส้นเอ็นเสร็จสิ้น!

สิงอวี่ถามหวังอวี้ซานอย่างระมัดระวังด้วยสีหน้าหวาดกลัว “หัวหน้าครับ…ผม…ยังเล่นเปียโนได้อยู่หรือเปล่าครับ”

หวังอวี้ซานสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมา

“คุณสิงครับ คุณได้เจอกับบุคคลผู้ทรงเกียรติแล้วจริงๆ ถ้าไม่มีหมอเสี่ยวเฉิน คุณต้องไปรักษาที่ต่างประเทศแล้ว ในตอนแรกผมยังคิดอยู่เลยว่าโอกาสเย็บซ่อมแซมเส้นเอ็นสำเร็จมีไม่สูงนัก แต่ตอนนี้ผมจะบอกคุณว่า ขอแค่มือของคุณฟื้นตัวได้อย่างเต็มที่ โอกาสกลับมาเป็นปกติมีสูงถึงเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์!…

…เพราะ…การเย็บซ่อมแซมเส้นเอ็นในครั้งนี้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากครับ!”

[1] ต๊กโกวคิ้วป้าย หนึ่งในตัวละครที่อยู่ในนวนิยายกำลังภายในของกิมย้ง ยอดฝีมืออายุน้อยผู้คิดค้นสุดยอดวิชาเก้ากระบี่เดียวดาย

เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ

เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ

Status: Ongoing

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท