บทที่ 283 ในเวลานี้จำเป็นต้องมีผู้นำทีม
ด้านหนึ่งเป็นด้านของความเร่งด่วนที่เกี่ยวกับชีวิตและความเป็นความตาย เป็นส่วนงานของแผนกศัลยกรรมหัวใจ แผนกศัลยกรรมกระดูก แผนกเอกซเรย์ แผนกศัลยกรรมทรวงอก!
อีกด้านหนึ่งเป็นส่วนงานของห้องไอซียู ห้องผ่าตัด แผนกวิสัสัญญีวิทยา แผนกธนาคารเลือด แผนกห้องปฏิบัติการเทคนิคการแพทย์ หลายแผนกต่างให้ความร่วมมือกันในการรักษาผู้บาดเจ็บอย่างพร้อมเพรียง!
ลำดับต่อไปจะเป็นการเผชิญกับการต่อสู้อย่างสุดชีวิตกับการผ่าตัดที่อาจกินเวลายาวนานหลายสิบชั่วโมง!
ภายในห้องผ่าตัด!
เฉินชางแผนกฉุกเฉิน จิ่งหรานแผนกศัลยกรรมทรวงอก หวังเชียนแผนกฉุกเฉิน จางเสวียเหลียงแผนกกระดูก ทั้งสี่คนต่างรอคอยการผ่าตัดที่กำลังจะเริ่มขึ้นด้วยความกระสับกระส่าย!
นี่เป็นทีมแพทย์กู้ชีพที่อายุเฉลี่ยไม่ถึงสามสิบเอ็ดปี!
เป็นการกู้ชีพเร่งด่วนที่เกี่ยวโยงกับความเป็นความตาย!
และเนื่องจากเป็นเคสฉุกเฉิน เป็นเหตุการณ์ที่เกิดอย่างกะหัน แพทย์ที่หยุดในวันนี้ต่างก็กำลังเดินทางมา ส่วนหัวหน้าแต่ละแผนกก็ใกล้จะมาถึงแล้ว
ทีมแพทย์กู้ชีพที่จัดตั้งขึ้นชั่วคราวนี้จำเป็นต้องมีแพทย์หนึ่งคนที่รับหน้าที่เป็นผู้นำทีมสำหรับการผ่าตัดครั้งนี้
จิ่งหรานค่อนข้างขลาดกลัว!
ทว่าเขาเป็นหมอเพียงคนเดียวในทีมที่มีตำแหน่งเป็นรองหัวหน้าแพทย์ เขาจำเป็นต้องลุกขึ้นมารับหน้าที่นี้!
หลบหนี?
สาเหตุที่คุณคิดถอยหนีเป็นเพราะคุณหวั่นเกรงพญามัจจุราชอย่างไม่ต้องสงสัย!
ทว่าการที่คุณหวั่นเกรงไม่ได้ทำให้พญามัจจุราชมอบความห่วงใยให้คุณ สิ่งเดียวที่พญามัจจุราชจะมอบให้คุณคือเสียงหัวเราะเย้ยหยัน!
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ จิ่งหรานกัดฟันกรอด เขาปลุกขวัญกำลังใจให้ตนเอง!
จิ่งหรานสู้ๆ!
ในเวลานี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความรับผิดชอบในหน้าที่ หรือจะเป็นเรื่องอื่นๆ การรักษาผู้บาดเจ็บในครั้งนี้จำเป็นต้องทุ่มเทอย่างสุดความสามารถ
ณ ขณะนี้!
ภายในห้องผ่าตัดพรั่งพร้อมด้วยพยาบาลประจำห้องผ่าตัดทุกคน วิสัญญีแพทย์ แพทย์แผนกธนาคารเลือด แพทย์แผนกห้องปฏิบัติการเทคนิคการแพทย์ และในเวลานี้จำเป็นต้องมีผู้นำทีม
เพราะต้องมีหนึ่งคนในทีมที่เป็นผู้วางแผนและสื่อสารกับคนในทีมสำหรับการผ่าตัดครั้งนี้
จิ่งหรานกำลังจะเอ่ยขึ้น ทันใดนั้นเฉินชางก็กล่าวนำไปก่อนแล้ว!
เฉินชางหันมากล่าวว่า…
“เตรียมใส่ท่อช่วยหายใจ!”
“เตรียมใส่สายสวนหลอดเลือดดำ!”
เมื่อพยาบาลได้ยินคำสั่งของเฉินชาง เธอก็รีบทำตามคำสั่งทันที จิ่งหรานเองก็ไม่ได้ลังเลใดๆ เริ่มร่วมมือในการผ่าตัดทันที
ไม่กี่นาทีผ่านไป!
“ใส่ท่อช่วยหายใจสำเร็จ ใส่สายสวนหลอดเลือดดำสำเร็จ”
เฉินชางพยักหน้า กล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เตรียมทำบายพาสหัวใจและปอด[1]”
“เครื่องบายพาสหัวใจและปอดพร้อม”
เฉินชางเริ่มดำการขั้นตอนต่อไปอย่างเป็นระเบียบแบบแผน!
“เตรียมพลาสมา[2]!”
“ให้พลาสมาผู้ป่วย!”
“ใส่พอร์ต[3]ให้ผู้ป่วย”
…
การเรียกระดมทีมแพทย์แบบฉุกเฉิน!
การร่วมมือกันของทีมแพทย์!
มาตรการความปลอดภัยแต่ละมาตรการปรับปรุงให้เหมาะสมกับสถานการณ์ตลอดเวลา!
แผนการรักษาแต่ละรูปแบบที่มีผลบังคับใช้!
และการต่อกรกับพญามัจจุราชเพื่อยื้อแย่งชีวิตของผู้ป่วยกลับมา…
เฉินชางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งที เขารู้ว่าในเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่เขาจะคลายความตื่นตัวไม่ได้เด็ดขาด เพราะในลำดับต่อไปอาจต้องเผชิญกับการกู้ชีพที่โหดหินที่สุดอย่างที่ไม่เคยเจอมาก่อน!
เป็นอีกครั้งที่เฉินชางเป็นแกนนำหลักของทีม ทุกคนรอคำสั่งจากเฉินชางทุกขั้นทุกตอน!
ไม่มีใครสงสัยในตัวเฉินชาง เพราะในเวลานี้ไม่ใช่เวลาที่จะตั้งข้อสงสัย
หลิวเจี้ยนวิสัญญีแพทย์มองเฉินชางด้วยความตกตะลึง แววตาของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกที่เหมือนกำลังมองคนแปลกหน้า!
นี่ใช่เฉินชางหรือเปล่า
แม้แต่หวังเชียนเองก็ยังรู้สึกว่าเฉินชางมีกลิ่นอายบางอย่างที่ให้ความรู้สึกเหมือนไม่เฉินชางที่เขาเคยรู้จัก ดูไม่เหมือนหมอหนุ่มขี้เล่นคนนั้นเลย
พยาบาลสาวทุกคนในห้องผ่าตัดต่างรู้สึกได้เช่นกันว่าในเวลานี้เฉินชางมีพลังงานบางที่แผ่กระจายออกมา!
มั่นใจ!
เคร่งครัดและละเอียดถี่ถ้วน!
เคร่งขรึมจริงจัง!
เผด็จการ!
ถูกต้อง ลึกลงไปในจิตวิญญาณของเฉินชางในเวลานี้ไม่ใช่ตัวตนของเฉินชาง!
แต่เป็นนายแพทย์ที่ชื่อว่านอร์แมนเบธูน ที่กำลังใช้ความรู้กับประสบการณ์กู้ชีพทั้งหมดที่สั่งสมมาชั่วชีวิตในการช่วยเฉินชางช่วยชีวิตผู้บาดเจ็บในครั้งนี้ให้ดีที่สุด!
ใต้แสงไฟที่สาดส่องลงมาบนเตียงผ่าตัด คือลานสนามรบแห่งมหาสงครามที่ปราศจากเขม่าควันปืน สถานการณ์กำลังดำเนินไปด้วยความตึงเครียด
หมอหนุ่มอ่อนประสบการณ์สองสามคนยืนอยู่หน้าเตียงผ่าตัด พยายามทุ่มเทความรู้ที่มีทั้งหมดอย่างสุดพลังความสามารถ!
ภายในห้องผ่าตัด บุคลากรทางการแพทย์เจ็ดแปดคนเตรียมทุกสิ่งทุกอย่างพร้อมอยู่ตลอดเวลา
การผ่าตัดขั้นที่หนึ่งเริ่มขึ้น อันดับแรกก็คือต้องเข้าใจสภาพบาดแผลอย่างลึกซึ้ง!
ถึงแม้ว่าข้อมูลจากฟิล์มเอกซเรย์จะพึ่งพาได้ แต่มีหลากสิ่งหลายอย่างมากที่การเอกซเรย์มักมองจากฟิล์มไม่เห็น
ดังนั้นสิ่งที่จะต้องทำในลำดับต่อไปคือการผ่าเปิดทรวงอก
แต่วิธีนี้เปรียบเสมือนปัญหาหนักอึ้งที่วางอยู่ตรงหน้าทุกคน ปัญหาคือจะเลือกวิธีผ่าเปิดทรวงอกด้วยวิธีใด!
ในเวลานี้ วิธีที่ใช้ในการกรีดเปิดบาดแผลมีความสำคัญยิ่ง ต้องรับประกันความปลอดภัยของผู้ป่วยได้อย่างแท้จริง และไม่เพิ่มปัจจัยที่จะทำให้ผู้ป่วยต้องเสียเลือดปริมาณมาก ไม่ทำให้เนื้อเยื่อโดยรอบเสียหาย อีกทั้งยังจำเป็นต้องซ่อมแซมส่วนที่เสียหายใหญ่ๆ ได้ทั้งหมดได้ด้วย ในขณะเดียวกันก็ต้องช่วยให้ง่ายต่อการนำเหล็กเส้นแบบเกลียวที่เสียบลึกอยู่ในทรวงอกออกมาได้ด้วย
การกรีดเปิดบาดแผลต้องรับประกันเงื่อนไขทั้งหมดข้างต้นได้
จิ่งหรานค่อนข้างรู้สึกลังเล
จะทำยังไงดี…
ถ้าเป็นนักวิชาการหลิวอาจารย์ของตน ในสถานการณ์เช่นนี้…เขาจะทำอย่างไร
นี่เป็นวิธีคิดที่จิ่งหรานทำจนเป็นนิสัย
เวลาที่เจอกับปัญหาใดๆ ก็ตามที่เขาแก้ปัญหาไม่ได้ เขาก็จะเริ่มคิดว่าถ้าหากเป็นอาจารย์ของเขาเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ อาจารย์ของเขาจะจัดการปัญหาด้วยความสุขุมเยือกเย็นอย่างไร!
เฉินชางหันไปมองหมอที่มาจากแผนกเอกซเรย์ กล่าวขึ้นว่า “เปิดไฟตู้อ่านฟิล์มเอกซเรย์ทีครับ ผมจะดูฟิล์มเอกซเรย์สักหน่อย”
หมอแผนกเอกซเรย์พยักหน้าทันที
ตอนนี้เฉินชางเริ่มวิเคราะห์ทุกความเป็นไปได้อย่างต่อเนื่อง เริ่มประมวลผลในหัว และวิเคราะห์ออกมาเป็นแนวคิด
เวลาแต่ละนาที แต่ละวินาทีแสนล้ำค่า!
ทว่าการผ่าตัดไม่มียารักษาความรู้สึกเสียใจภายหลัง!
ทุกการลงมีดผ่าตัดหมายถึงการมีชีวิตรอด!
ทุกการลงมีดผ่าตัดหมายถึงความตาย!
เฉินชางต้องระมัดระวังและละเอียดรอบคอบ
เสียงเครื่องมือทางการแพทย์ในห้องยังคงดังไม่หยุด เครื่องบายพาสหัวใจและปอดยังคงทำงาน เสียงหายใจด้วยความวิตกกังวลของคนอื่นๆ ในห้องผ่าตัดยังคงดังเคล้าอยู่ทั่วห้อง
ผ่านไปหนึ่งนาทียี่สิบวินาที เฉินชางหันไปมองจิ่งหราน หวังเชียน จางเสวียเลี่ยง
เขาเริ่มถ่ายทอดสถานการณ์อย่างละเอียดทุกท้อยทุกคำ อธิบายแผนการผ่าตัดทั้งหมดที่ตนคิดพิจารณ์แล้วให้กับทุกคนฟัง ซึ่งทุกคนที่กล่าวถึงนี้รวมถึงหลิวเจี้ยนวิสัญญีแพทย์และพยาบาลในห้องผ่าตัดทุกคนด้วย!
เฉินชางต้องการการรับประกันว่าการผ่าตัดครั้งนี้จะไม่มีข้อผิดพลาด!
ในเมื่อไม่มีแพทย์ผู้อาวุโส!
ผมก็จะทำหน้าที่นี้เอง!
แผนการผ่าตัดของเฉินชางแบ่งออกเป็นสามขั้นตอน…
ขั้นตอนที่หนึ่ง: ผ่าเปิดทรวงอก เย็บหลอดเลือด เอาแท่งเหล็กเส้นออก
ขั้นตอนที่สอง: ซ่อมแซมอวัยวะภายในที่ได้รับบาดเจ็บเสียหาย
ขั้นตอนที่สาม: เปลี่ยนท่านอนของผู้ป่วยเพื่อซ่อมแซมกระดูกที่หัก และเย็บบาดแผล
เฉินชางรับมีดผ่าตัดมา เริ่มลงมือผ่าตัดตามขั้นตอนที่ตนวางไว้!
ชั่วขณะนี้เวลาหยุดชะงักอยู่ที่สิบเอ็ดโมงสิบนาที
สัญญาณชีพของผู้ป่วยปกติ การหายใจสม่ำเสมอ ความดันโลหิตกลับมาปกติ ออกซิเจนในเลือดอยู่ในเกณฑ์ปกติ และในตอนนี้ การผ่าตัดกำลังจะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ
มีดผ่าตัดกรีดลงบนผิวหนัง จิ่งหรานรีบนำผ้าก๊อซมาห้ามเลือด เขาเตรียมการทุกอย่างพร้อม
เมื่อจิ่งหรานเห็นตำแหน่งเฉินชางเลือกกรีด เขาก็ขมวดคิ้วครุ่นคิด!
ตำแหน่งนี้…เขาคิดไม่ถึงเลย!
นัยน์ตาของจิ่งหรานเปล่งประกาย ด้วยวิธีนี้ ก็จะหลีกเลี่ยงไม่ให้กระทบหลอดเลือดแดงใหญ่ได้พอดี แล้วก็ทำให้เย็บหลอดเลือดได้เลย!
แต่…ตำแหน่งนี้ค่อนข้างเหนื่อยมากจริงๆ!
เฉินชางจะยืนหยัดได้นานแค่ไหน
การผ่าตัดครั้งนี้เป็นเหมือนการสู้รบอย่างแท้จริง ระยะเวลาจะต้องยาวนานมากแน่
ตำแหน่งที่เฉินชางเลือกกรีดเปิดบาดแผลนั้น ทำให้จิ่งหรานรู้สึกว่าไม่ว่าจะอยู่องศาไหนก็ไม่สะดวก เพราะจำเป็นต้องเอียงตัวเพื่อให้ได้องศาที่เหมาะสม และลงมีดอย่างเชี่ยวชาญ
และด้วยวิธีการเช่นนี้ จะยิ่งทำให้สูญเสียกำลังแรงกายไปไวมาก
ไม่นานช่องทรวงอกก็เปิดออก สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาของทุกคนคือภายในช่องทรวงอกที่บาดเจ็บสาหัสมาก เป็นภาพที่โหดร้ายมาก!
ส่วนเฉินชางก็เห็นชื่อกำกับที่เป็นตัวอักษรสีแดงที่ปรากฏขึ้นหลายชื่อ
[1] การทำบายพาสหัวใจและปอด เป็นเทคนิคทางการแพทย์ที่จะใช้เครื่องควบคุมการทำงานของหัวใจและปอดชั่วคราวระหว่างการผ่าตัด
[2] พลาสมา (Plasma) หมายถึง น้ำเหลือง เป็นส่วนประกอบของเลือดที่ได้หลังจากแยกเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาวออกแล้ว พลาสมาช่วยในเรื่องของการแข็งตัวของเลือด การหยุดเลือด
[3] พอร์ต (Port-A-Cath) อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ฝังไว้ใต้ผิวหนังผู้ป่วย เพื่อง่ายต่อการเจาะเลือด การให้ยาต่างๆ รวมทั้งน้ำและสารอาหารเข้าสู่หลอดเลือดดำ
บทที่ 280 เฉินชางต่างหากเป็นแพทย์ผู้นำทีมผ่าตัด!
เกิ่งเหยียนมองเฉินชาง ถามด้วยรอยยิ้มว่า “เตรียมจะซื้อบ้านหรือเนี่ย ก้าวหน้าใหญ่แล้ว! จะแต่งงานแล้ว?”
เฉินชางส่ายหน้า “ยังไม่มีแฟนเลยจะแต่งงานได้ไงกัน แต่ซื้อบ้านเตรียมไว้ก่อน ถึงยังไงหน้าที่การงานก็มั่นคงแล้ว เลยหาที่อยู่ให้เป็นหลักแหล่ง”
เมื่อคุยถึงเรื่องคู่รัก เฉินชางก็เปลี่ยนเรื่องคุย “เธอก็มาดูบ้าน?”
เกิ่งเหยียนเป็นคนอันหยาง ครอบครัวมีฐานะดี สมัยเรียน เวลาไปกินอาหารกับเฉินชาง เธอมักเป็นฝ่ายเสนอตัวจ่ายบิลค่าอาหารอยู่บ่อยครั้ง และเพื่อที่จะรักษาความรู้สึกของเฉินชาง เวลาสั่งอาหาร เธอจะไม่ค่อยสั่งเมนูที่มีราคาสูง
ต่อมาหลังจากที่เลิกกันแล้ว ด้วยสาเหตุหลายด้าน ถึงอย่างไรแต่ละคนต่างก็มีอุดมการณ์เป็นของตนเอง ไม่อาจตราหน้าใครว่าเป็นฝ่ายผิดได้
กล่าวได้เพียงว่าทุกคนมีสิ่งที่เป้าหมายของตนเองที่ต้องตามล่า!
เกิ่งเหยียนพยักหน้า “อืม ใช่ ที่นี่ห่างจากโรงพยาบาลตงต้าไม่ไกลมาก ก็เลยเข้ามาดูหน่อย”
เฉินชางชะงัก อดถามไม่ได้ว่า “ตอนที่จิ่งหรานมาทำงานที่โรงพยาบาลตงต้าเขาได้สวัสดิการบ้านพักอาศัยด้วยไม่ใช่หรือ”
เกิ่งเหยียนพยักหน้า “ใช่ เดิมทีบอกว่ามีสวัสดิการบ้านอาศัยให้ แต่เป็นบ้านเก่า อีกทั้งพื้นที่ไม่กว้างขวาง ฉันเตรียมจะแต่งงาน หลังจากแต่งงานก็จะมีลูก อยากหาบ้านที่มีพื้นที่กว้างขวางหน่อย โรงพยาบาลเลยให้เงินสนับสนุนมา ฉันก็เลยแวะเข้ามาดู”
เกิ่งเหยียนอดกล่าวไม่ได้ว่า “การที่นายเลือกไม่เรียนต่อปริญญาโทน่ะถูกต้องแล้ว ตอนนี้งานหายาก คนที่เพิ่งเรียนจบปริญญาโทออกมายังหางานไม่ได้เลย เพื่อนพวกเรายังกลุ้มใจเรื่องนี้กันอยู่เลย”
เฉินชางหัวเราะกระอักกระอ่วน “ฉันก็กำลังเรียนปริญญาโทอยู่ไม่ใช่หรือไง ตอนนี้พวกเธอเป็นรุ่นพี่ฉันแล้ว”
เกิ่งเหยียนอดหัวเราะไม่ได้ “ดูแล้วการทำงานแผนกฉุกเฉินมาสามปีทำอะไรนายไม่ได้จริงๆ นายถึงยังเป็นคนขี้เล่นได้ขนาดนี้”
เฉินชางหัวเราะ ไม่พูดอะไร
หยางจยาฮุ่ยจูงเฉินหลัวกับเฉินต้าไห่ไปดูแบบบ้านด้วยท่าทางตื่นเต้นดีใจ คุยกับพนักงานขายอย่างซื่อๆ ตรงไปตรงมา พนักงายขายดูออกว่าหยางจยาฮุ่ยมาจากชนบท ถึงจะมาจากชนบท แต่มือก็มีแผ่นพับแบบบ้านหลายแบบถืออยู่ในมือ
หยางจยาฮุ่ย เฉินหลัว และเฉินต้าไห่ ไม่มีใครสนใจเฉินชางเลยสักนิด
เฉินชางถามขึ้นว่า “อ้อ จริงด้วย นี่เธอมาคนเดียวหรือ”
เกิ่งเหยียนส่ายหน้า “ฉันมากับจิ่งหร่าน อ้อ! จริงด้วย จิ่งหร่านเป็นสามีฉัน เรากำลังจะแต่งงานกัน ถึงวันนั้นนายอย่าลืมมาร่วมงานนะ”
เฉินชางอดหัวเราะไม่ได้ “โต๊ะสำหรับแฟนเก่าหนึ่งโต๊ะ?”
เกิ่งเหยียนแทบจะหัวเราะพรวดออกมา เธอด่าด้วยเสียงหัวเราะ “ไสหัวไปเลย งั้นทั้งโต๊ะก็มีนายนั่งคนเดียว!”
เฉินชางหัวเราะลั่น
ทั้งสองความสัมพันธ์ดีมากจริงๆ สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ความรักของทั้งสองไม่ใช่รักแรกพบ เฉินชางเป็นหัวหน้าห้อง เกิ่งเหยียนเป็นสมาชิกในห้องเรียน ทั้งสองเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันมาก ความสัมพันธ์เริ่มพัฒนาขึ้นในภายหลัง
และด้วยอุปนิสัยที่เข้ากันได้ ทั้งสองก็เลยขยับสถานะมาเป็นคนรัก
แต่เกิ่งเหยียนเป็นผู้หญิงที่มีอุดมการณ์กว้างไกล สุดท้ายต่างก็เลิกรากันไป
เฉินชางหัวเราะ “ฉันคิดว่าเธอจะเรียนถึงปริญญาเอกเสียอีก เรียนจบปริญญาโทก็จะแต่งงานแล้วหรือเนี่ย นี่ไม่ตรงตามที่เธอกล่าวปฏิญาณไว้ในตอนนั้นนะ!”
เกิ่งเหยียนยิ้มเยาะ “ตอนนั้นนายบอกเป็นตายยังไงก็ไม่เรียนต่อปริญญาโท แต่ตอนนี้นายเรียนปริญญาโทอยู่?”
หลังจากพูดจบ เกิ่งเหยียนก็ถอนหายใจออกมา “สมัยนั้นยังไร้เดียงสาเกินไป! ชีวิตเป็นไปตามแผนที่วางไว้ที่ไหนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่เราบอกว่าเราเลือกทางเดินชีวิตของเราเองก็ไม่สู้บอกว่า ชีวิตต่างหากที่เลือกทางเดินชีวิตให้เรา…
อันที่จริงทางเลือกที่นายเลือกก็เป็นทางเลือกที่ไม่เลว มันเหมือนกับฉันเรียนจบปริญญาโทแล้วเลือกที่จะแต่งงานกับทำงาน ทางเลือกนี้ก็ไม่ได้เป็นทางเลือกที่ผิดอะไร ทุกคนมีสถานการณ์ที่แตกต่างกัน และชีวิตคนเราไม่เคยเดินไปตามบทที่เขียนไว้ จินตนาการกับความเป็นจริงมีช่องว่างระหว่างกัน…
คนเราควรเลือกทำสิ่งที่ถูกต้องในเวลาที่เหมาะสมตามสถานการณ์ของตนเอง!”
เฉินชางหัวเราะ ไม่ได้พูดอะไร เกิ่งเหยียนเข้าใจสิ่งนี้ เมื่อเทียบกับแต่ก่อน ความเผด็จการของเธอเปลี่ยนแปลงเป็นลดน้อยลงไปมาก
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ หลังจากที่เกิ่งเหยียนลังเลอยู่พักหนึ่ง เธอมองเฉินชางและกล่าวอย่างจริงจังว่า “แต่เวลาที่นายมีทางเลือก ฉันยังคิดว่านายควรเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ตัวเอง ฉันคิดว่าการที่นายเลือกเรียนต่อปริญญาโทในครั้งนี้เป็นการตัดสินใจที่ดี เพราะถึงยังไงนายก็เป็นคนเก่ง…ผลการเรียนนายต้องออกมาดีแน่…
…โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นายทำงานอยู่ในโรงพยาบาลมานานขนาดนี้ นายก็น่าจะรู้ว่าโรงพยาบาลให้ความสำคัญกับประวัติการศึกษาสูงมาก วุฒิปริญญาตรีเป็นได้แค่แพทย์ประจำบ้าน แต่จิ่งหรานตอนนี้เป็นรองหัวหน้าแผนกไปแล้ว…
…ฉันไม่ได้กำลังบอกว่าจิ่งหรานยอดเยี่ยมแค่ไหน แล้วก็ไม่ได้กำลังคุยโว นายรู้จักฉันดี ฉันแค่คิดว่าบางครั้งประวัติการศึกษาก็มีความสำคัญมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเราเรียนแพทย์ ประวัติการศึกษาช่วยย่นระยะเวลาในการก้าวไปสู่ตำแหน่งที่ดีได้ไม่น้อย”
เฉินชางไม่ปฏิเสธ เพราะนี่คือความจริง
ที่โรงพยาบาล การที่คุณจะเลื่อนตำแหน่งได้รวดเร็วเป็นเรื่องที่ยากมาก หลังจากเรียนจบปริญญาตรีซึ่งใช้ระยะเวลาห้าปี คุณสามารถสอบระดับกลางได้ ซึ่งก็คือตำแหน่งนั้นคือแพทย์ประจำบ้าน และผ่านไปอีกห้าปีถึงสอบเป็นผู้ช่วยหัวหน้าแพทย์ และอีกห้าปีถึงสอบเป็นหัวหน้าแพทย์
แต่วุฒิปริญญาโท ใช้ระยะเวลาการศึกษาสองปีก็สอบเป็นแพทย์ประจำโรงพยาบาล ทำงานไปสามปีสอบเป็นรองหัวหน้า และทำงานไปอีกห้าปีสอบเป็นหัวหน้า!
วุฒิปริญญาเอกยอดเยี่ยมยิ่งกว่า พอเรียนจบก็เป็นแพทย์ประจำโรงพยาบาลเลย ผ่านไปสองปีก็สอบเป็นรองหัวหน้า และผ่านไปอีกสามปีก็สอบเป็นหัวหน้าได้เลย
คำนวณดูแล้วคุณห่างตั้งกี่ปี?
จิ่งหรานเคยทำงานเป็นนักวิจัยหลังปริญญาเอกมาก่อน พอเขาเข้ามาทำงานที่โรงพยาบาลตงต้า เขาก็ได้เป็นรองหัวหน้าแผนกเลยทันที เขาอายุเพิ่งจะอายุสามสิบต้นๆ ก็บรรลุในสิ่งที่คนอายุสี่สิบห้าสิบอาจทำไม่ได้ก็ได้
ทำไมเกณฑ์การเลื่อนตำแหน่งของโรงพยาบาลถึงได้สูงนัก
ก็เพราะคนมีศักยภาพสูงเหล่านี้!
เกิ่งเหยียนถอนหายใจแล้วกล่าวต่อ “จะว่าไปประวัติการศึกษาไม่ได้เป็นแค่ข้อพิสูจน์ ตลอดช่วงระยะเวลาในการเรียน นายจะได้เรียนรู้อะไรหลายสิ่งหลายอย่าง ได้เทคนิคต่างๆ มากขึ้น…
…ทำไมจิ่งหรานถึงเสนอเงื่อนไขกับทางโรงพยาบาลได้ ทั้งเรื่องบ้าน เรื่องขอตำแหน่งงานให้ฉัน นั่นก็เป็นเพราะจิ่งหรานมีความเชี่ยวชาญในด้านที่โรงพยาบาลตงต้ายังขาดอยู่ โรงพยาบาลตงต้าต้องการคนมีความสามารถเช่นนี้…
…นายไม่ได้ไปงานต้อนรับนักศึกษาใหม่เมื่อครั้งที่แล้ว มีนักศึกษาใหม่คนหนึ่งหมดสติไป ต่อมาผลวินิจฉัยออกมาว่าเป็นโรคพยาธิไฮดาติดในปอด โรคนี้ที่ตงหยางไม่มีหมอคนไหนรักษาได้ ถ้าไม่ใช่เพราะจิ่งหรานกับรุ่นพี่เฉินที่มาร่วมงานในวันนั้น นักศึกษาคนนั้นคงจากโลกนี้ไปแล้ว!…
…พูดตรงๆ นะ หัวใจสำคัญคือฝีมือในการวินิจฉัยและรักษา! ถ้านายไม่ได้เปิดโลกกว้าง นายก็จะไม่ได้เห็นเทคนิคการผ่าตัดที่มากมายหลายหลาก และโรคภัยไข้เจ็บอีกนานาชนิด!”
เฉินชางตกตะลึง พยาธิไฮดาติดในปอด? นั่นมันเคสที่ตนกับจิ่งหรานช่วยกันรักษา?
ฉัน……
เกิ่งเหยียนกล่าวต่อ “แล้วก็อีกอย่าง นายดูจิ่งหรานสิ มาทำงานงานที่โรงพยาบาลตงต้าได้สวัสดิการบ้านพักที่อยู่อาศัย เท่ากับได้เงินตั้งตัวหนึ่งล้านหยวน ทำงานโรงพยาบาลหกปีหาเงินได้เท่าไหร่กันเชียว หมอตำแหน่งทั่วไปเงินเดือนสามถึงห้าพันหยวนต่อเดือนจัดว่าไม่เลวแล้ว กว่าจะลืมตาอ้าปากได้ก็ต้องใช้เวลาสามถึงห้าปี”
เฉินชางมองเกิ่งเหยียน
ผม…
ในเวลานี้ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงคนเรียก “เกิ่งเหยียน!”
เกิ่งเหยียนขานรับทันควัน “มาๆ เฉินชาง ฉันจะแนะนำให้นายรู้จักกับสามีของฉัน”
ระหว่างที่พูดเกิ่งเหยียนก็หันไปจูงจิ่งหรานมา เธอกำลังจะกล่าวแนะนำว่า ฉันจะแนะนำให้นายรู้จัก ท่านนี้คือ…
จิ่งหรานชะงัก “หมอเฉิน?”
เฉินชางยิ้มกระอักกระอ่วน “สวัสดีครับหมอจิ่ง!”
ขณะที่ทั้งคู่ทักทายกัน เกิ่งเหยียนก็ได้แต่ยืนงงเป็นไก่ตาแตก
นี่มันอะไรกันเนี่ย
“รู้จักกันหรือเนี่ย”
จิ่งหรานค่อนข้างรู้สึกตื่นเต้นดีใจที่ได้เจอเฉินชาง เพราะถึงอย่างไรเสียการร่วมมือกันในครั้งนั้น ฝีมือของเฉินชางก็เป็นสิ่งที่ยากจะลืมเลือน
“รู้จักกันแน่นอนครับ ผู้ชายคนนี้ก็คือหมอเฉินที่ผ่าตัดช่วยชีวิตนักศึกษาที่ป่วยเป็นโรคพยาธิไฮดาติดในปอดคนนั้นกับผมที่โรงพยาบาลประชาชน!…
…ผมขอแนะให้คุณรู้จัก ท่านนี้คือหมอเฉินผู้มีฝีมือการผ่าตัดขั้นสูงมาก มีความเชี่ยวชาญมากจน ผมเทียบไม่ได้! ถ้าไม่ใช่เพราะเขา ตอนนั้นผมเองก็ทำไม่ได้”
เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ จิ่งหรานก็หัวเราะเขินอาย “…เมื่อตอนนั้นที่ผมเล่าให้คุณฟังผมโม้ ความจริงแล้วหมอเฉินเป็นแพทย์ผู้นำทีมผ่าตัดในครั้งนั้น ส่วนผมแค่คอยให้ความช่วยเหลือ ฝีมือระดับเทพของหมอเฉินเหนือชั้นกว่าผมมาก!”
คำพูดเหล่านี้ทำเอาเกิ่งเหยียนถึงกับตกตะลึงจนตาค้าง และพูดอะไรไม่ออกสักคำ!
เกิ่งเหยียนมองหน้าจิ่งหรานด้วยสีหน้างุนงง เมื่อกี้นี้ฉันเพิ่งจะหยิบยกเรื่องราวของคุณมาคุยโม้โอ้อวดไปหนึ่งยก คุณ…คุณทำฉันผิดหวัง!
เมื่อเห็นสีหน้าของเกิ่งเหยียนเปลี่ยนไป จิ่งหรานก็คิดว่าเธอคิดถึงรูปพยาธิที่เขาส่งไปให้เธอดูเมื่อครั้งนั้น สีหน้าของเธอถึงได้เปลี่ยนกะทันหัน “เกิ่งเหยียน รูปที่ส่งให้คุณเมื่อครั้งนั้น…ผมคิดว่า…หมอเฉินส่งรูปให้คนพิเศษดูเป็นคนแรก…ผมก็เลย…”
สีหน้าของเกิ่งเหยียนพลันเปลี่ยนอีกครั้ง!
เธอมองเฉินชางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด นายจงใจสินะ?
เฉินชางก้าวถอยหลังอย่างควบคุมไม่อยู่ เขามองจิ่งหราน ฉิบละ คุณอย่าดึงผมลงเหวสิ!
จิ่งหรานรีบกล่าวทันทีว่า “ความจริงแล้ว หมอเฉินแนะนำผมว่าอย่าส่งรูปให้คุณ!”
[ติ๊ง! ค่าความรู้สึกดีของเกิ่งเหยียน -5!]
เฉินชางหน้าถอดสี “เอ่อ…ไว้เราค่อยเจอกันวันหลังนะ ผมมีธุระกะทันหัน…”
และในตอนนี้เอง จู่ๆ ก็มีเสียงกรีดร้องดังขึ้น “ช่วยด้วย ช่วยด้วย! ใครก็ได้ช่วยที มีคนตกลงมาจากชั้นบน!”
เฉินชางกับจิ่งหรานหน้าถอดสี พวกเขาไม่มีเวลาสนใจเรื่องอื่นอีก ต่างก็วิ่งตรงไปทางนั้นทันที