บทที่ 342 คนแซ่ฉินที่เก็บงำความลับได้ดีจนไร้ช่องโหว่
เนิ่นนานผ่านไป เฉินชางก็ยังไม่กลับบ้าน ทันใดนั้นเฉินปิ่งเซิงก็เรียกเฉินชางมาที่ห้องเวรแล้วปิดประตูลง เขาบอกให้เฉินชางนั่งลง หยิบบุหรี่ออกมามวนหนึ่ง ส่งไปให้เฉินชางอีกมวนหนึ่ง
เฉินชางลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วรับมาสูบ
“ได้ยินว่าคุณชกหน้าเหยียนหมิงเหรอ” น้ำเสียงของเฉินปิ่งเซิงเรียบนิ่ง มองอารมณ์ไม่ออก
เฉินชางพยักหน้า สูบบุหรี่เข้าไปอีกเฮือกหนึ่งแล้วไอออกมา บุหรี่ไม่ควรสูบเลยจริงๆ
หลังจากสงบอารมณ์แล้ว เขาก็พยักหน้ายอมรับอย่างเรียบเฉย “ครับ”
ทันใดนั้นเฉินปิ่งเซิงก็สูบบุหรี่เฮือกใหญ่ แล้วพ่นออกมาช้าๆ “เฮ้อ…ความจริง…เหยียนหมิงก็เป็นคนน่าสงสารคนหนึ่ง”
เฉินชางชะงักไป เขาไม่เข้าใจ “ไม่ใช่ว่าเกิดปัญหาระหว่างผ่าตัดและถูกลงโทษหรือครับ จากนั้นก็ย้ายมาอยู่ที่แผนกฉุกเฉิน”
เฉินปิ่งเซิงส่ายหน้า “คุณประเมินเหยียนหมิงต่ำเกินไปแล้ว ตอนนั้น…โรงพยาบาลทำผิดต่อเขาจริงๆ บางทีอาจเป็นเพราะระบบมีช่องโหว่ สุดท้ายก็เป็นปัญหาที่หลงเหลือมาจากร่องรอยในอดีต เหยียนหมิงในตอนนั้น…เขาก็เก่งกาจเหมือนกับคุณ ถูกเรียกว่าเป็นอัจฉริยะในหมู่ศัลยแพทย์ของโรงพยาบาลอันดับสอง…”
เฉินปิ่งเซิงเล่าเรื่องให้เฉินชางฟังมากมาย พูดถึงเรื่องในอดีตมากมาย
จู่ๆ เฉินชางก็เงียบไป
“แต่ว่า…ในเมื่อเขามาที่แผนกฉุกเฉินแล้ว ก็ควรรับผิดชอบหน้าที่ในแผนกฉุกเฉินของตัวเองให้ดีสิครับ การกู้ชีพมาถึงช้าเกินไป”
เฉินปิ่งเซิงส่ายหน้า “อืม หลายปีมานี้เขาทำงานหย่อนยานไปมากจริงๆ แม้แต่ผมก็ทนดูไม่ไหว เรื่องนี้ไม่ต้องพูดถึงหรอก แต่ว่า…อยู่ดีๆ แผนกฉุกเฉินก็มีคนตายจากอาการกล้ามเนื้อหัวใจตาย เรื่องนี้ใครจะคาดเดาได้ล่ะครับ แล้วยังไปอาการกำเริบในห้องน้ำอีก”
“เฮ้อ ช่างเถอะ ผมไม่ได้จะว่าคุณ ผมแค่อยากจะบอกคุณว่า ต่อไปคุณต้องระวังตัวหน่อย อย่าได้ทำผิดซ้ำรอยเหยียนหมิง อะไรที่ควรต้องมีการเซ็นชื่อก็ห้ามขาดแม้แต่ใบเดียว อะไรที่ควรเอาเข้ากระบวนการก็ห้ามลัดขั้นตอน นี้เป็นสิ่งที่จะปกป้องคุณ”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เฉินปิ่งเซิงก็มีสีหน้าเคร่งขรึมลง ที่เขาเข้ามาไม่ใช่เพราะต้องการสั่งสอนเฉินชาง แต่อยากใช้เรื่องนี้ทำให้เฉินชางได้สติ!
อันที่จริงเรื่องเมื่อคืนก็ไม่น่าพูดถึง เพราะอย่างไรสาเหตุสำคัญก็เกี่ยวข้องกับญาติผู้ป่วย
แต่!
เรื่องที่เฉินชางทำในระยะนี้ทำให้คนอื่นรู้สึกไม่ค่อยวางใจ! โดยเฉพาะการผ่าตัดในห้องฉุกเฉินเมื่อวานนี้ เมื่อเฉินปิ่งเซิงรู้เรื่องก็ตกใจแทบตาย
“ผมได้ยินเรื่องของคุณในระยะนี้มาไม่น้อย คุณผ่าตัดในห้องฉุกเฉินโดยไม่ได้เชิญหัวหน้าแผนกมาด้วยซ้ำ โชคดีที่ไม่มีปัญหาอะไร หากเกิดปัญหาขึ้นมาจริงๆ คุณจะรับผิดชอบไหวหรือ ถ้าไม่ใช่ว่าหัวหน้าแผนกปกป้องคุณนะ! คุณต้องระวังให้ดี!
ที่ผมพูดเรื่องเหยียนหมิงกับคุณในวันนี้ไม่ใช่เพราะต้องการสั่งสอนคุณ และไม่ได้อยากให้คุณสงสารเหยียนหมิง แต่ผมอยากจะบอกคุณว่า อย่าได้ทำตัวเป็นวีรบุรุษให้มากเกินไป ต่อไปไม่ว่าจะเจอเรื่องอะไร คุณต้องจำไว้ว่าจะต้องทำตามกฎระเบียบให้สมบูรณ์!
แม้ระเบียบข้อบังคับจะยุ่งยาก แต่คุณจำไว้ให้ดี ระเบียบข้อบังคับกำหนดจากผู้มีประสบการณ์ สร้างขึ้นมาเพื่อปกป้องหมอ”
เฉินปิ่งเซิงรู้สึกร้อนใจและหวั่นวิตก เขารู้จักนิสัยของเฉินชางดี อีกฝ่ายเป็นคนที่มีความคิดเป็นของตัวเอง แต่เรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เลย
เรื่องราวของเหยียนหมิงเอามาอธิบายเรื่องพวกนี้กับเฉินชางได้พอดี
เฉินชางพยักหน้า แต่อารมณ์ของเขาก็ยังคงไม่ดีขึ้น “ขอบคุณครับ ผมรู้แล้ว ผมกลับก่อนนะครับ”
เฉินปิ่งเซิงเห็นเฉินชางยังคงไม่นำพาก็ส่ายหน้า เขายังเยาว์เกินไป อย่าได้พบเจอเรื่องย่ำแย่ใดๆ เลย…ต่อไปจะต้องพยายามดูเขาอย่างเต็มกำลังเสียแล้ว
……
……
หลังจากออกมาจากแผนกฉุกเฉิน เฉินชางก็ไม่ได้ไปไหน ข้าวก็ไม่ได้กิน ตรงกลับไปล้มตัวลงนอนทันที
เฉินชางฝันน้อยมาก แต่คราวนี้เขากลับฝันมากมาย เมื่อสะดุ้งตื่นฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว
นอนไปนานขนาดนี้เชียวหรือ
สัมผัสได้ถึงเสียงร้องโครกครากที่ดังออกมาจากท้อง ตอนนี้เฉินชางเพิ่งรู้ตัวว่าเขายังไม่ได้กินอะไรมาทั้งวัน
เขากำลังจะลงไปข้างล่าง เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
เฉินชางหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู จากนั้นก็ชะงักไปเล็กน้อย ทำไมฉินเยว่โทรหาเขาได้ล่ะ
เมื่อกดรับแล้วเฉินชางก็ถามว่า “ว่าไง”
เสียงของฉินเยว่ที่ดังออกมาดูอ่อนโยนกว่าปกติเล็กน้อย “เอ่อ…คุณกินข้าวหรือยัง”
เฉินชางส่ายหน้า “ยังไม่ได้กิน วันนี้ผมรู้สึกง่วงๆ ก็เลยหลับไป เพิ่งตื่นเมื่อกี้นี้เอง กำลังจะลงไปหาอะไรกินข้างล่าง จะไปด้วยกันไหมครับ”
ฉินเยว่ “เอาสิ!”
กินข้าวคนเดียวมันน่าเบื่อ หากมีคนไปแย่งกินเป็นเพื่อน อาหารอาจจะหอมอร่อยขึ้นก็ได้
นัดหมายเวลากันให้เรียบร้อย ยังคงนัดกินหม้อไฟด้วยกัน ร้านที่เลือกเป็นร้านหม้อไฟที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง ฉินเยว่ชอบที่นี่มาก ไม่ใช่เพราะร้านนี้มีเอกลักษณ์อะไรหรอก แต่เป็นเพราะมีร้านชานมดีๆ อยู่แถวประตูต่างหาก
วันนี้ตอนที่ฉินเยว่ไปทำงานก็ได้รู้เรื่องของแผนกฉุกเฉิน จึงรู้สึกเป็นห่วงเฉินชางขึ้นมา
ส่วนเรื่องที่เฉินชางทำร้ายเหยียนหมิงไม่ได้ถูกเล่าออกไป
คนเก่าแก่ในโรงพยาบาลอันดับสองรู้จักเหยียนหมิงดี ส่วนใหญ่ก็รู้สึกเสียดายเขา แต่คนหนุ่มสาวไม่ได้รู้สึกดีกับเหยียนหมิงเลยจริงๆ
ในความเป็นจริง ไม่ว่าใครก็ตามที่เปลี่ยนแปลงไปจนมีสภาพเหมือนในปัจจุบัน ใช่ว่าจะเป็นเรื่องไม่มีเหตุผล ทุกคนมีประสบการณ์ชีวิตเป็นของตัวเอง ในชีวิตคนเราก็เกิดการเปลี่ยนแปลงไม่หยุดหย่อน
เมื่อนั่งลงในสถานที่อันคุ้นเคยแล้ว เฉินชางก็บิดมือไปมา “ใครจะเลี้ยง วันนี้ผมอยากกินอะไรที่มันหรูหราสักหน่อยนะครับ”
ฉินเยว่กลอกตาใส่ “ฉันมีแค่สองร้อยหยวน เกินกว่านี้คุณก็รับผิดชอบเองแล้วกัน”
ทั้งสองต่อปากต่อคำกันคนละประโยคสองประโยค เฉินชางรู้สึกสบายใจ
เฉินชางไม่รู้เหมือนกันว่ามันเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขาชอบจนถึงขั้นคลั่งไคล้…หม้อไฟ
เก้าในสิบส่วนถูกฉินเยว่ลากมาทั้งนั้น
หากจะบอกว่าฉินเยว่มีของที่ชอบอยู่หลายอย่าง เฉินชางคิดว่าหม้อไฟและชานมจะต้องถูกจัดอยู่ในอันดับต้นๆ แน่นอน
มีฉินเยว่มาคอยขัดคอ อาหารมื้อหนึ่งก็ดูจะมีความสุขขึ้นมาก
ตอนแรกฉินเยว่เป็นห่วงกลัวว่าเฉินชางจะอารมณ์ไม่ดีหรือจะเกิดปัญหาอะไรขึ้นจึงตั้งใจมาอยู่เป็นเพื่อนเขาสักหน่อย แต่ตอนนี้ดูแล้วเหมือนจะไม่เป็นอะไร
ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว!
ผ่านไปครู่หนึ่ง จู่ๆ ฉินเยว่ก็พูดขึ้นว่า “ฉันอาจไม่อยู่ที่แผนกฉุกเฉินสักระยะ”
จู่ๆ ก็รู้สึกว่าสไบนางที่คีบขึ้นมาไม่หอมอร่อยเหมือนเคย
เฉินชางเงยหน้าขึ้นโดยพลัน “ทำไมล่ะครับ”
ฉินเยว่ถอนใจออกมา “คุณพ่อจะให้ฉันไปเรียนปริญญาเอก แต่งานที่แผนกฉุกเฉินยุ่งเกินไปจึงไม่เหมาะสม เขาเลยให้ฉันย้ายไปแผนกที่ว่างๆ สักหน่อย”
เฉินชางชะงักไปเล็กน้อย “อ้อ…ปริญญาเอก! ไปเรียนที่ไหนครับ”
ฉินเยว่คิดครู่หนึ่ง “คงเป็นเซียงหย่าไม่ก็ปักกิ่งยูเนี่ยน! ยังไงก็เปิดรับช่วงปลายปี แค่มาบอกก่อนจะได้เตรียมตัว”
เฉินชางวางตะเกียบลง ร้องอ้อออกมาคำหนึ่ง
จู่ๆ ก็รู้สึกว่าอาหารในวันนี้รสชาติธรรมดามาก
“แล้วจะไปอยู่ที่แผนกไหนครับ” เฉินชางถามอย่างสงสัย
ฉินเยว่คิดครู่หนึ่ง “ศัลยกรรมทั่วไปค่ะ หัวหน้าจางก็อยู่ที่นั่น”
เดิมทีฉินเยว่ก็มาจากแผนกศัลยกรรมทั่วไปอยู่แล้ว ไปแผนกศัลยกรรมทั่วไปคงจะเหมาะสมดี
เฉินชางรู้สึกสูญเสียเล็กๆ อย่างที่เขาไม่อาจหลีกเลี่ยง
สุนัขขี้ประจบจะไปแล้ว ต่อไปในชีวิตอันแสนสั้นของเขาจะไม่มีหญิงงามคอยตะโกนว่ายอดเยี่ยมอีกแล้ว นี่มันน่าเบื่อเกินไป!
คิดถึงตรงนี้เฉินชางก็ทอดถอนใจออกมา
สิ่งของยังอยู่แต่ผู้คนกลับจากลา
ดูท่าทางต่อไปนี้คงต้องไปแสดงความเสแสร้งที่แผนกศัลยกรรมทั่วไปสักหน่อยแล้ว…
ที่สำคัญก็คือ…เมื่อครู่เขาเพิ่งรู้ว่าคนแซ่ฉินนี่เก็บงำความลับได้ลึกจนไร้ช่องโหว่จริงๆ
น่าเสียดาย น่าเสียดาย!
หากรู้ก่อนหน้านี้ก็คงทำอะไรตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว
เฮ้อ…
บทที่ 336 คุ้มค่าแล้ว!
“การติดต่อญาติผู้ป่วยเป็นยังไงบ้างครับ” เฉินชางหันมาถาม
“มาแล้วค่ะ รออยู่ตรงประตู แล้วก็มีหัวหน้าของบริษัทขนส่งด้วยค่ะ” พยาบาลเสี่ยวเยี่ยนกล่าว
เฉินชางพยักหน้า “อืม ลำบากแล้วครับ”
หลังจากพูดจบเฉินชางก็ยังคงรู้สึกกังวล เขามองไปที่หลิวเจี้ยนแล้วพูดจากใจจริงว่า “อาจารย์หลิว รบกวนคุณแล้ว”
การผ่าตัดโรคเลื่อนบริเวณถุงเยื่อหุ้มหัวใจจะต้องมีวิสัญญีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเข้ามาร่วมผ่าตัดด้วย หลิวเจี้ยนคือตัวเลือกที่ดีที่สุดในหมู่วิสัญญีแพทย์
หลังจากได้รับโทรศัพท์จากเฉินชาง หลิวเจี้ยนที่เพิ่งผ่าตัดเสร็จไปหนึ่งเคสก็รีบมาโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
อันที่จริงตัวหลิวเจี้ยนเองก็ไม่รู้ว่าเหตุใดเขาจึงเชื่อมั่นในตัวเฉินชางถึงเพียงนี้!
กระทั่งตอนที่เฉินชางบอกว่าจะผ่าตัดในห้องฉุกเฉิน หลิวเจี้ยนก็รีบเตรียมตัวทันทีโดยไม่พูดอะไร หลังจากได้เป็นพยานในการผ่าตัดของเฉินชางอีกครั้ง หลิวเจี้ยนก็อดปาดเหงื่อไม่ได้ เรื่องร้อนเป็นเรื่องเล็ก แต่ที่มีมากกว่านั้นก็คือความกลัว
เขารู้ถึงความอันตรายของโรคเลื่อนบริเวณถุงเยื่อหุ้มหัวใจเป็นอย่างดี แต่เพราะเป็นเช่นนี้เขาจึงได้ทราบถึงความน่ากลัวของเฉินชาง
ตัวเขาประเมินความดีร้ายของการผ่าตัดครั้งนี้ไม่ได้เพราะเขาก็ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ แต่เขาเข้าใจเรื่องอื่นเป็นอย่างดี การตรวจพบโรคเลื่อนบริเวณถุงเยื่อหุ้มหัวใจอย่างรวดเร็วและการผ่าตัดในห้องฉุกเฉินอย่างทันท่วงทีนี้ การกระทำเหล่านี้ยากมาก เขารู้ดีว่างานตั้งแต่การวินิจฉัย การกู้ชีพ และการผ่าตัดจนสำเร็จนั้นยากเย็นเพียงใด
หลิวเจี้ยนเพิ่งเคยเห็นโรคเลื่อนบริเวณถุงเยื่อหุ้มหัวใจเป็นครั้งแรก แต่ว่า…คนที่ตรวจพบได้โดยเร็วและรักษาได้ทันเวลาจะมีแค่ไหนกันเชียว เรื่องนี้เขารู้อยู่แก่ใจ!
ตอนที่เขาเห็นหัวใจสีม่วง พลันรู้สึกได้ถึงความหวาดผวา หากดำเนินการไปตามปกติ เริ่มตั้งแต่ทำเรื่องแอดมิด ไปให้หัวหน้าเซ็นชื่อ จากนั้นก็รอให้ห้องผ่าตัดอนุมัติ สุดท้ายค่อยผ่าตัด…จะต้องรอนานแค่ไหนกัน
ตอนนั้นผู้ป่วยรอไม่ได้เลย!
เฉินชางหันไป จากนั้นก็เห็น ‘ชายฉกรรจ์’ ทั้งห้าคนที่อยู่ด้านหลัง ดวงตาของพวกเขากำลังจ้องตรงมาที่ตน
เฉินชางถอยหลังไปก้าวหนึ่งจนชนฉินเยว่อย่างไม่ตั้งใจ สุดท้ายจึงได้แต่ยิ้มกระอักกระอ่วน “หัวหน้า…พวกคุณมาได้ยังไงครับ”
หลี่เป่าซานในตอนนี้จะยังมีอารมณ์ขุ่นเคืองที่ไหนอีก เขาได้เห็นการผ่าตัดฉุกเฉินที่เร่งด่วนของเฉินชางจนกระทั่งสำเร็จเช่นนี้แล้ว ช่วยชีวิตไว้ได้หนึ่งชีวิตเช่นนี้ เขาจะเอาอะไรมาโกรธ!
หลี่เป่าซานมองเฉินชางอย่างสงบ “ลำบากแล้ว”
เฉินชางชะงักไป จากนั้นก็ยิ้มออกมา “หัวหน้า คุณก็ทำได้ใช่ไหมครับ”
ประโยคนี้ทำเอาหลี่เป่าซานรู้สึกลำบากใจจนหน้าแดง เพราะเขาถามใจตัวเองแล้วว่าจะวินิจฉัยและรักษาฉุกเฉินได้อย่างทันเวลาหรือไม่
คำตอบก็คือยากมาก
แต่เฉินชางก็กล่าวเช่นนี้ออกมาแล้ว…เขาคงทรยศความคาดหวังที่เฉินชางมีต่อตนไม่ได้สินะ
เมื่อคิดถึงตรงนี้หลี่เป่าซานก็ส่งเสียงอืมต่อไปคำเดียว
คำว่า ‘อืม’ อันราบเรียบกลับทำให้หวังเซี่ยงจวินที่มีฐานะเป็นหัวหน้าแผนกฉุกเฉินเช่นเดียวกันถึงกับมีสีหน้า…สงสัยและระแวง!
หลี่เป่าซานยอดเยี่ยมขนาดนั้นเลยหรือ
เมื่อคิดถึงตรงนี้ หวังเซี่ยงจวินก็อดกลืนน้ำลายไม่ได้
ไอ้ถ่านหลี่อย่างคุณแอบไปศึกษาเพิ่มเติมตั้งแต่เมื่อไหร่กัน หรือเป็นผมที่เกียจคร้านเกินไปหวังเซี่ยงจวินลอบตัดสินใจกับตัวเองแล้วว่าหลังจากกลับไป เขาจะสร้างสรรค์และส่งเสริมบุคคลผู้มีความสามารถในแผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลตงต้าให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ขณะเดียวกัน…ก็จะพัฒนาตัวเองไปด้วย
คุณลองดูแผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลอันดับสองในตอนนี้เถอะ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับโรคเลื่อนบริเวณถุงเยื่อหุ้มหัวใจก็จัดการรักษาได้ด้วยตัวคนเดียว ไม่ต้องติดต่อกับแผนกอื่นเลย
นี่เป็นการแสดงให้เห็นถึงศักยภาพ
เมื่อคิดถึงตรงนี้ หวังเซี่ยงจวินก็รู้สึกว่าหลายปีมานี้ตัวเขาออกจะลำพองใจเกินไปบ้าง
ไอ้ถ่านหลี่สุดยอดจริงๆ!
เฉินชางพยักหน้าทักทายหมอระดับหัวหน้าทั้งหลาย ในขณะที่ทักทายไปถึงเถามี่ก็พูดยิ้มๆ ว่า “อาจารย์เถา สวัสดีครับ”
เถามี่แค่นเสียงเย็นออกมาครั้งหนึ่งราวกับเด็กน้อย แสดงความอัดอั้นตันใจและไม่พอใจออกมาทางสีหน้า “ผมยังมีธุระอีก ขอตัวก่อนนะครับ”
นี่ทำให้หมอระดับหัวหน้าทั้งหลายชะงักไป
กระทั่งหลี่เป่าซานก็ตกใจจนตาค้าง “เสี่ยวเฉิน คุณทำอะไรให้หัวหน้าเถาไม่พอใจน่ะ”
เฉินชางมีสีหน้ากระวนกระวาย “ผม…ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะครับ”
……
……
ในตอนที่ซุนเป่าหมินลืมตาขึ้นมาก็สูดหายใจเข้าไปเฮือกใหญ่
เขารู้สึกเหมือนตัวเองหลับไปและฝันถึงอะไรบางอย่าง ฝันว่าถูกคนกดตัวเอาไว้ หัวใจถูกกำอยู่ในมือผู้อื่น รู้สึกว่าหัวใจของตนเองเต้นเร็วขึ้นเรื่อยๆ และหายใจไม่ออก…
นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าตัวเองใกล้จะตายแล้ว เป็นความรู้สึกว่าได้เข้าใกล้ความตายโดยไม่มีอะไรกั้นจริงๆ
สัมผัสได้ถึงความตาย!
นี่เขาจะตายแล้วหรือ
แต่ในตอนนี้เอง เขาก็รู้สึกเหมือนตนถูกผ่าเปิดหน้าอก จากนั้นก็…แม้เขาจะหมดสติแต่ความรู้สึกว่าถูกช่วยชีวิตไว้กลับสมจริงเป็นอย่างยิ่ง เหมือนกับคนจมน้ำที่ถูกช่วยขึ้นมาบนฝั่ง ระบายน้ำในท้องออก แล้วใส่เครื่องช่วยหายใจ…
ได้รับการช่วยเหลือแล้ว…
……
ในตอนที่ลืมตาขึ้น คนแรกที่ซุนเป่าหมินเห็นก็คือชายหนุ่มคนหนึ่ง คนคนนั้นยังอายุไม่มาก ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน กำลังมองมาที่ตน
ซุนเป่าหมินเงยหน้าขึ้น เขาอ้าปากคิดจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับไม่มีเรี่ยวแรง ความเจ็บปวดบริเวณหน้าอกทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองยังมีชีวิตอยู่
บนโลกใบนี้มีความเจ็บปวดอยู่สองประเภท ประเภทหนึ่งทำให้คนได้สติ อีกประเภทหนึ่งทำให้ผู้คนหวาดกลัว ตอนนี้ความเจ็บปวดบนร่างของซุนเป่าหมินก็คือความเจ็บปวดแบบที่ทำให้เขาได้สติแจ่มชัด
เฉินชางหันมามองหญิงวัยกลางคนอายุราวสี่สิบกว่าปีที่อยู่เบื้องหน้า จากนั้นก็กล่าวอย่างเรียบเฉยว่า “การผ่าตัดประสบความสำเร็จมากครับ แต่อาการยังไม่เสถียรชั่วคราว จะต้องสังเกตการณ์ที่ห้อง ICU อีกหลายวัน”
ตอนนี้หญิงคนนั้นกำลังมองไปยังซุนเป่าหมินที่นอนอยู่บนเตียง น้ำตาไหลหยดออกมาเป็นสาย เธอคิดไปถึงตอนที่รออยู่ด้านนอก ตอนที่พูดคุยและแนะนำตัวกับผู้อื่น ในใจของเธอหวาดหวั่นแทบตายแล้ว
เธอไม่กล้าจินตนาการเลยว่าหากเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับซุนเป่าหมิน ครอบครัวจะเปลี่ยนเป็นเช่นไร ไม่กล้าคิดเลยว่าหากสามีไม่อยู่แล้วเธอจะทำอย่างไร
ไร้ทางช่วยเหลือ!
เมื่อเห็นซุนเป่าหมินลืมตาขึ้น เมื่อเห็นสายตาอันคุ้นเคย เธอก็รู้ได้ทันทีว่าสามีของเธอไม่เป็นอะไรแล้ว
เธอรู้สึกเข่าอ่อนโดยไม่มีสาเหตุ คุกเข่าลงกับพื้นแล้วเริ่มร้องไห้ออกมา
“หมอคะ ขอบคุณมาก คุณเป็นผู้มีพระคุณของครอบครัวเรา…”
เมื่อซุนเป่าหมินเห็นท่าทางเช่นนี้ของภรรยา น้ำตาก็ไหลออกมาสองสาย สองข้างของหมอนเปียกชื้น
เฉินชางรีบพยุงเธอขึ้นมา “ไม่เป็นไรครับ คุณผู้หญิงลุกขึ้นก่อนเถอะ พวกเรายังต้องคุยกันอีก…”
ซุนเป่าหมินถูกพาไปที่ห้อง ICU เพื่อสังเกตอาการต่อไป อาจใช้เวลาสังเกตไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ การผ่าตัดในห้องฉุกเฉินมีอันตรายซ่อนเร้นมากมาย จึงต้องให้พยาบาลประจำห้อง ICU คอยเฝ้าดู ทั้งนี้เพื่อสะดวกกับการกู้ชีพซุนเป่าหมินด้วย
หัวหน้าบริษัทขนส่งมาแล้ว เรื่องของซุนเป่าหมินถูกเอาออกมาจากกล้องบันทึกภาพของรถโดยสารประจำทางเพื่อนำมาตรวจสอบ ตอนนี้เฉินชางจึงค่อยทราบสาเหตุของเรื่องที่เกิดกับซุนเป่าหมิน
ทุกคนดูซุนเป่าหมินเหงื่อออกท่วมหัว สีหน้าขาวซีด มือทั้งสองประคองพวงมาลัยรถพยายามขับรถมาถึงให้ที่ปลอดภัย เห็นได้ว่าเขาให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของผู้โดยสารทั้งหมดเป็นอันดับแรก! จนกระทั่งขับมาถึงป้ายรถแถวโรงพยาบาลอันดับสองจึงค่อยจอด!
แต่ในตอนนั้นซุนเป่าหมินก็อดทนไม่ไหวอีกต่อไป ถึงกับหมดสติไปบนที่นั่งประจำตัว
ตอนนี้ทุกคนเงียบลง พวกเขารู้สึกสะเทือนใจ!
ทันใดนั้นเฉินชางก็รู้สึกว่าความลำบากทั้งหมดทั้งมวลนี้ คุ้มค่าแล้ว!
บทที่ 331 ระยะห่างของความเป็นความตาย
ซุนเป่าหมินอายุสี่สิบห้าปี เขาเป็นพนักงานขับรถประจำทางสาย 818 ของเมืองอันหยาง เข้ามาทำงานที่บริษัทขนส่งอันหยางตั้งแต่อายุยี่สิบปี พริบตาเดียวก็ทำงานมายี่สิบห้าปีแล้ว
ในช่วงยี่สิบห้าปีนี้ เขาต้องขับรถไปตามเส้นทางสาย 818 ของอันหยางไม่รู้กี่รอบ ทิวทัศน์ระหว่างทางก็คือโลกของเขา เขาคุ้นเคยกับมันยิ่งกว่าบ้านของตัวเองเสียอีก
ในช่วงยี่สิบห้าปีนี้ เขาออกเดินทางตั้งแต่หกโมงเช้าของทุกวัน และมักพกกระติกน้ำร้อนขนาดหนึ่งลิตรติดตัวไปด้วย หลายปีมานี้รถของเขาถูกเปลี่ยนไปสามคันแล้ว สิ่งเดียวที่ไม่เปลี่ยนแปลงก็คือกระติกน้ำร้อนหนักๆ ที่มีสีเขียวปนเหลือง แต่หลายปีมานี้น้ำชาในกระติกน้ำร้อนถูกแทนที่ด้วยน้ำโกจิเบอร์รี่แล้ว
คนเราเมื่ออายุผ่านเลขสี่ไปแล้ว ไม่อยากแก่ก็ต้องแก่
จากสถานีซีนั่วเค่อถึงเป่ยเฉิงเมืองแห่งเฟอร์นิเจอร์ มีป้ายรถทั้งหมดสามสิบสามป้าย เขาจดจำได้ขึ้นใจ กล่าวอย่างภาคภูมิใจได้เลยว่าตนเองเป็นคนขับรถประจำทางรุ่นเก๋า
วันนี้ก็เช่นเดียวกับที่ผ่านมา ซุนเป่าหมินขึ้นไปนั่งประจำรถแล้วขับไปอย่างเชื่องช้า เขาขับรถอย่างระมัดระวังมาตลอด ในช่วงยี่สิบห้าปีนี้ไม่เคยเกิดเรื่องแม้แต่ครั้งเดียว นี่เป็นสิ่งที่เขาภาคภูมิใจที่สุด
อย่างไรก็ตาม ในตอนที่เขากำลังจะขับผ่านไฟแดงแห่งหนึ่ง จู่ๆ ก็มีสุนัขวิ่งดึงสายจูงของผู้หญิงคนหนึ่งออกมา เธอรีบเดินไปข้างหน้าสองก้าว ซุนเป่าหมินสีหน้าเปลี่ยนไปโดยพลัน เขารีบเหยียบเบรคอย่างรวดเร็ว!
รถโดยสารประจำทางขนาดใหญ่หยุดกะทันหัน เบรคแรงจนทำให้คนในรถกระเด็นไปข้างหน้า! ส่วนซุนเป่าหมินก็กระเด็นไปกระแทกกับพวงมาลัยเพราะการเหยียบเบรคกะทันหันครั้งนี้เช่นกัน
พวงมาลัยของรถโดยสารประจำทางค่อนข้างสูง กระแทกเข้าบริเวณหน้าอกของซุนเป่าหมินพอดี เขารู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดอันรุนแรงที่ลามมาจากบริเวณอก
ซุนเป่าหมินสูดหายใจเย็นยะเยือก เขาเบะปากแล้วลูบบริเวณหน้าอกตน
โคตรเจ็บเลย!
เขาเปิดหน้าต่างรถแล้วตะโกนด่าไปข้างนอกหลายคำ “ไม่เห็นไฟจราจรหรือไง อยากตายนักหรือ! หมามันสำคัญ หรือชีวิตที่สำคัญกว่า!”
หญิงสาวคนนั้นอุ้มหมาพุดเดิ้ลไว้ในอก เธอเห็นรถโดยสารประจำทางอยู่ห่างออกไปเพียงเจ็ดแปดเมตร เมื่อได้ยินเสียงด่าของซุนเป่าหมิน สีหน้าก็เปลี่ยนไปโดยพลัน “รถโดยสารประจำทางไม่รู้จักมีมารยาทให้ทางคนเดินถนนหรือไง เชื่อไหมว่าฉันจะฟ้องคุณแน่!”
ซุนเป่าหมินตกใจจนตาค้างไปแล้ว
แม่งเอ๊ย มีมารยาทให้ทางคนเดินถนนก็เรื่องหนึ่ง แต่นี่มันไฟเขียวไฟแดง ไม่เห็นหรือไงว่าสัญญาณคนเดินขึ้นไฟแดงอยู่!
ช่างเถอะๆ ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว!
ผู้โดยสารบนรถก็เริ่มพากันก่นด่าขึ้นมา
“ขับยังไงวะเนี่ย”
“แม่งเอ๊ย”
“โอ๊ย ทำบ้าอะไรวะ”
……
ซุนเป่าหมินรีบกล่าวขอโทษ “ขอโทษครับ อยู่ดีๆ ก็มีคนวิ่งตัดหน้า”
พูดจบซุนเป่าหมินก็เตรียมขับรถต่อไป
หญิงที่มากับหมาพุดเดิ้ลน้อยด้านล่างมองซุนเป่าหมินแล้วด่าออกไปอย่างอดรนทนไม่ไหว “ก็แค่คนขับรถโดยสาร เหม็นจริง!”
เธอด่าพลางเดินไปริมถนน
ตอนนี้คนในรถก็เริ่มเข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อได้ยินเสียงด่าของผู้หญิงด้านนอก พวกเขาก็ร่วมมือกันต่อต้านอีกฝ่ายทันที!
จะอย่างไรคนขับรถโดยสารก็เหยียบเบรกกะทันหันเพราะคุณ คุณไม่ซาบซึ้งอะไรก็ช่างเถอะ แต่นี่ยังมาด่าอีก!
ชั่วขณะนั้น สถานการณ์ก็เละตุ้มเป๊ะ
ซุนเป่าหมินบอกให้ทุกคนใจเย็นๆ จากนั้นจึงปล่อยเบรคแล้วเริ่มขับรถออกไป
ทว่า…ตลอดทาง ซุนเป่าหมินมักจะรู้สึกแน่นหน้าอกแปลกๆ รู้สึกไม่สบายมาก!
หลังจากขับผ่านไปแล้วเจ็ดแปดป้าย ขณะที่กำลังขับผ่านสะพานแห่งหนึ่ง ซุนเป่าหมินก็รู้สึกเจ็บแปลบที่หน้าอกตรงบริเวณหัวใจเหมือนถูกเข็มทิ่ม
เจ็บจนทนไม่ไหว!
ทันใดนั้นเอง ความรู้สึกราวกับถูกบีบอย่างรุนแรงแผ่ก็ออกมาจากด้านใน แต่รถกำลังเลี้ยว เตรียมจะลงสะพานแล้ว
ความรู้สึกเจ็บปวดรุนแรงนี้ทำให้ซุนเป่าหมินเกือบเสียการควบคุม! เขาพยายามอดทน มือทั้งสองกำพวงมาลัยแน่น มองไปเบื้องหน้าอย่างระมัดระวัง
จะให้หยุดรถบนสะพานในตอนนี้ย่อมทำไม่ได้แน่นอน เพราะผู้โดยสารจะลงรถไม่ได้ หากจะหยุดตรงทางเลี้ยวก็อันตรายมาก ถ้าหยุดรถตอนนี้จริงๆ จะทำให้ผู้ดดยสารในรถตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้น หากรถโดยสารประจำทางขนาดใหญ่จอดขวางอยู่ตรงนี้ ย่อมทำให้การจราจรด้านหลังติดขัดอย่างรุนแรงและอาจเกิดอุบัติเหตุขึ้นก็เป็นได้!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ซุนเป่าหมินก็ทำได้เพียงรวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดขับรถไปด้านหน้าช้าๆ คิดจะจอดตามป้ายรถที่ปลอดภัย
แต่ความรู้สึกคล้ายจะสูญเสียการควบคุมเมื่อครู่นี้ทำให้ซุนเป่าหมินหวาดกลัว คิดไปคิดมาเขาก็ทำได้เพียงพยายามขับรถให้ช้า ค่อยๆ เคลื่อนไปด้านหน้าเช่นนี้ จนกระทั่งผู้โดยสารบนรถเริ่มบ่นออกมาอย่างไม่สบอารมณ์แล้ว
ซุนเป่าหมินสิ้นไร้หนทาง เขาติดต่อไปยังปลายทางแล้วแจ้งสถานการณ์ให้อีกฝ่ายทราบ
ตอนนี้เอง จู่ๆ ผู้โดยสารแถวหน้าก็พบความผิดปกติ!
พวกเขาพบว่าสีหน้าของซุนเป่าหมินขาวซีดมาก มีเหงื่อไหลท่วมหน้า หน้าซีดจนทำให้พวกเขาหวาดกลัว! มือทั้งสองที่วางอยู่บนพวงมาลัยของซุนเป่าหมินก็เริ่มสั่น ทำให้พวกเขาทำอะไรไม่ถูกแล้ว!
ซุนเป่าหมินคุมตัวเองไม่ได้แล้ว! เขารู้สึกว่าลมหายใจของตนเริ่มกระชั้นถี่ หัวใจเต้นรุนแรง! อีกทั้งความเจ็บปวดบริเวณหน้าอกก็ทำให้เขายิ่งเจ็บตอนหายใจ
ชายที่อยู่ข้างๆ รีบเดินเข้ามาถาม “เป็นอะไรครับ คุณครับ ไม่สบายหรือเปล่า”
ซุนเป่าหมินเจ็บจนพูดไม่ออก บนใบหน้าบิดเบี้ยวเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ เขาพยายามชี้ไปที่หน้าอก
ชายฉกรรจ์เห็นดังนั้นก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที!
หัวใจวายหรือ
ชายคนนั้นรีบพูดขึ้นว่า “ใครมียาบำรุงหัวใจที่ออกฤทธิ์เร็วบ้างครับ หรือว่ายาโรคหัวใจก็ได้”
ทุกคนมองจนตาค้าง คนขับรถมีปัญหาอะไรหรือ
เมื่อคิดถึงตรงนี้ทุกคนก็หน้าเปลี่ยนสี
ซุนเป่าหมินไอออกมา กล่าวเสียงแผ่วว่า “ไม่ต้องสนใจผม…ช่วยผมประคองพวงมาลัยที!”
ชายคนนั้นรีบพยักหน้า เข้าไปช่วยจับพวงมาลัยอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็พูดกับคนด้านหลังว่า “รีบโทรหา 120 ทีครับ คนขับรถมีปัญหาแล้ว ด่วนเลย!”
ผู้โดยสารด้านหลังจึงรีบติดต่อไปตามที่เขาบอก
ตอนนี้เอง ชายวัยกลางคนก็พยายามเป็นผู้ควบคุมสถานการณ์ “ข้างหน้าเป็นโรงพยาบาลอันดับสอง รีบติดต่อแผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลอันดับสองเลยครับ บอกว่าพวกเราอยู่ตรงป้ายรถประจำทางหน้าโรงพยาบาลอันดับสองแล้ว!”
ในที่สุดรถก็หยุดลงที่ป้ายรถประจำทางของโรงพยาบาลอันดับสอง ซุนเป่าหมินเจ็บหน้าอกจนพูดอะไรไม่ออก เขาพยายามอดทนกับความเจ็บปวด หยิบไมโครโฟนประจำรถขึ้นมาแล้วรวบรวมเรี่ยวแรงกล่าวไปว่า “ผมติดต่อรถคันใหม่ให้ทุกคนแล้วนะครับ ทุกคนลงไปเปลี่ยนรถได้เลย ขออภัยจริงๆ นะครับ!”
ซุนเป่าหมินกำลังจะดึงเบรคมือและกดไฟฉุกเฉิน แต่ก็ไร้เรี่ยวแรงแล้วจริงๆ
เมื่อเขาก้มตัวลง ความเจ็บปวดมหาศาลก็ไหลทะลักออกมาจากบริเวณหัวใจ ทำให้เขาล้มหัวกระแทกพื้น
……
……
ณ แผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลอันดับสอง จู่ๆ เบอร์ฉุกเฉิน 120 ก็โทรเข้ามา กล่าวว่าคนขับรถสาย 818 จอดรถไว้ข้างป้ายรถประจำทางแถวโรงพยาบาลอันดับสองแล้ว คนขับมีอาการเจ็บหน้าอกกะทันหันจนพูดไม่ออก ตอนนี้หมดสติไปแล้ว!
เฉินชางและฉินเยว่อยู่ด้านข้างพอดี ได้ยินดังนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไปโดยพลัน รีบเข็นเตียงวิ่งออกไปทันที
แผนกฉุกเฉินอยู่ไม่ไกลจากป้ายรถ! ห่างกันไม่ถึงร้อยเมตร แต่ตอนนี้ระยะทางร้อยเมตรดูเหมือนจะเป็นระยะห่างระหว่างความเป็นความตายไปแล้ว
เฉินชางวิ่งเร็วมาก เขาเข็นเตียงไปอย่างรวดเร็วจนเกิดการเสียดสีกับพื้นอย่างรุนแรง เกิดเป็นเสียงดัง ‘ครืดๆ’
ส่วนฉินเยว่วิ่งไปมือเปล่า วิ่งเร็วกว่าเฉินชางอีก!
เจ็บหน้าอกรุนแรง! หมดสติไปแล้ว!
นี่…คงไม่ใช่อาการช็อคจากภาวะหัวใจล้มเหลว…หรือไม่ก็เสียชีวิตกะทันหันหรอกนะ
ทั้งสองไม่กล้าคิดฟุ้งซ่าน ทำได้เพียงวิ่งไปเบื้องหน้าเต็มกำลัง