บทที่ 343 เหตุฉุกเฉิน
เหยียนหมิงลาออกแล้วทำให้แผนกฉุกเฉินต้องเร่งรับสมัครคน ไม่ว่าจะกล่าวเช่นไรเขาก็เป็นหมอเก่าแก่ที่มีอายุงานสูงคนหนึ่ง ทั้งยังมีประสบการณ์มากมาย การลาออกของเขาจึงทำให้แผนกฉุกเฉินฝ่ายอายุรกรรมเกิดความวุ่นวายไปขณะหนึ่ง
แผนกฉุกเฉินฝ่ายอายุรกรรมไม่มีเวลาผ่อนคลายเนื่องจากคนไข้ส่วนใหญ่ต่างก็เป็นผู้ป่วยฉุกเฉินในฝ่ายอายุรกรรมทั้งนั้น เมื่อเทียบกับฝ่ายศัลยกรรมแล้ว แผนกฉุกเฉินฝ่ายอายุรกรรมจะค่อนข้างจุกจิกกว่าและลำบากกว่า
การรับสมัครบุคลากรก่อนหน้านี้ก็เข้าสู่ช่วงปลายแล้ว ว่ากันว่าตำแหน่งใหญ่ๆ ที่เปิดรับสมัครเข้าสู่ช่วงเตรียมสัมภาษณ์งานแล้ว
เฉินชางเกิดความสงสัยจึงลองเปิดหน้าเว็บไซต์ของโรงพยาบาลขึ้นมาดู เขาอยากรู้ว่าเพื่อนร่วมเรียนของเขาเข้ารอบสัมภาษณ์หรือไม่
หลังจากตรวจสอบไปรอบหนึ่งจึงค่อยรู้ว่ามีเพียงหลัวโจวคนเดียวที่ทำคะแนนข้อเขียนได้อันดับหนึ่งและได้เข้าสู่รอบสัมภาษณ์ ส่วนคนอื่นๆ แม้จะเข้ามาได้แต่คะแนนการสอบรอบแรกก็ธรรมดา ไม่ได้มีจุดเด่นอะไร
อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน การสัมภาษณ์ก็เป็นงานที่ต้องให้ความสำคัญมาก
ทำไมถึงกล่าวเช่นนั้นน่ะหรือ ดังคำที่ว่า
คุณแกร่งก็ปล่อยคุณแกร่งไป
ดังสายลมโชยพัดขุนเขา
หากคุณร้ายก็ปล่อยคุณร้ายไป
สิ่งที่คุณทำจะเหมือนจันทร์กระจ่างที่สะท้อนบนสายน้ำ
นี่คือคำพูดในอินเทอร์เน็ต! หมายความว่าการสัมภาษณ์จะเป็นตัวสะท้อนทุกอย่างของคุณ!
หลังจากดูจบ เฉินชางก็ถอยออกไป หลัวโจวเข้ามาทำงานที่แผนกฉุกเฉินฝ่ายศัลยกรรมได้ก็ไม่เลว แต่ว่า…ต้องดูโชคชะตาของเขาแล้ว ส่วนตัวเองก็เป็นเพียงเด็กน้อยคนหนึ่ง ชีวิตของตัวเองยังเอาไม่รอด ยังจะว่างไปวุ่นวายกับคนอื่นอีกหรือ
……
……
หากว่ากันตามปกติ งานช่วงสายๆ ของวันศุกร์จะว่างกว่าวันอื่นเล็กน้อย อาจเป็นเพราะทุกคนรู้ว่าใกล้จะถึงสุดสัปดาห์แล้วจึงอดทนไว้! ดังนั้นปกติวันนี้จึงค่อนข้างว่าง แต่คืนวันศุกร์มักจะเสียงดังเอะอะ
สุดสัปดาห์ที่แสนมีเสน่ห์ใกล้จะเริ่มขึ้นแล้ว หลังจากสิ้นสุดสัปดาห์อันยากลำบากย่อมต้องเริ่มงานรื่นเริง
ช่วงสายของวัน ในตอนที่เฉินชางใกล้จะเลิกงานแล้ว จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายดังแว่วออกมาจากในห้องผู้ป่วย
เฉินชางหยุดฝีเท้าลงทันที
แม้แผนกฉุกเฉินจะแบ่งเป็นฝ่ายอายุรกรรมและฝ่ายศัลยกรรม แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ทำเพื่อให้ง่ายต่อการจัดการดูแลผู้ป่วย ไม่ว่าจะเป็นผู้ป่วยของฝ่ายใด หากมีอะไรเกิดขึ้น บุคลากรของทั้งสองฝ่ายก็ต้องพยายามช่วยส่งเสริมเต็มกำลัง
เฉินชางเป็นหนึ่งในคนที่เกิดความสงสัยจึงรีบเร่งฝีเท้าเดินไป ยังไม่ทันไปถึงก็ได้ยินเสียงผู้ป่วยตะโกนว่า “ช่วยด้วย! ช่วยแม่ผมด้วย!”
ชายคนหนึ่งวิ่งออกมาจากห้องด้วยท่าทางร้อนรน เฉินชางเห็นท่าทางไม่ดีหัวใจก็เต้นตึกตัก หรือว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น
เมื่อคิดถึงตรงนี้เฉินชางก็รีบวิ่งเข้าไปหาทันที
“เกิดอะไรขึ้นครับ” เฉินชางรีบถามญาติผู้ป่วย
ตอนนี้เอง จางซูและเหยาจื้อเหวินของฝ่ายอายุรกรรมก็รีบวิ่งเข้ามาแล้ว
ตอนนี้ญาติผู้ป่วยมีสีหน้าหวาดผวา “หมอ! รีบไปดูเร็วเข้า อยู่ๆ แม่ผมก็ชักไปแล้ว!”
ประโยคเดียวทำให้คนทั้งสามตกใจ รีบวิ่งเข้าไปในห้องทันที เห็นผู้ป่วยมีอาการกล้ามเนื้อกระตุก ใบหน้าสองฝั่งและปากเริ่มบิดเบี้ยว!
ตอนนี้ทั้งสามคนจึงค่อยๆ ผ่อนคลายลงได้!
คิดว่าเกิดอะไรขึ้นเสียอีก ที่แท้ก็…ลมบ้าหมู?
ความรู้สึกแรกหลังจากที่ทั้งสามได้เห็นอาการป่วยต่างก็เป็นเช่นนี้
ในขณะที่กำลังเตรียมจะเข้าช่วยเหลือ จู่ๆ ผู้ป่วยก็สงบลง ไม่ชักแล้ว
ลมบ้าหมูกำเริบเล็กน้อยหรือ
จางซูรีบถามญาติผู้ป่วยทันที “ทำไมอยู่ดีๆ ถึงเกิดอาการนี้ได้คะ”
ญาติผู้ป่วยส่ายหน้า สีหน้าเปลี่ยนไป เขามองไปยังมารดาของตนที่ในยามนี้มีเหงื่อท่วมศีรษะ รู้สึกปวดใจจนทนไม่ไหว รีบหยิบกระดาษทิชชูขึ้นมาเช็ดเหงื่อให้เธออย่างระมัดระวัง
“แม่ครับ ไม่เป็นไรใช่ไหม ทำเอาผมตกใจหมด! ตอนนี้รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือเปล่าครับ”
หญิงคนนั้นอายุประมาณห้าสิบหกสิบปี แต่งตัวธรรมดา ถุงเท้ามีรอยเย็บซ่อมหลายครั้ง ดูออกว่าสถานการณ์ทางบ้านอาจจะ…ธรรมดามาก
หญิงคนนั้นหลับตาลง ศีรษะเต็มไปด้วยเหงื่อ ปากก็ส่งเสียงพึมพำออกมา “โอ๊ย เจ็บเหลือเกิน รู้สึกใจหวิวๆ มึนหัว…แย่มาก อยากอ้วก!”
ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความทรมาน น้ำเสียงก็แหบแห้งและสั่นเล็กน้อย ดูออกว่าเธอทุกข์ทรมานมากจริงๆ!
ลูกชายมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที “ตกลงมันเกิดอะไรกันแน่ครับ ก็คุณบอกว่าแม่ผมมีอาการวิงเวียนศรีษะไม่ใช่หรือ แค่สมองขาดเลือดธรรมดาไม่ใช่หรือ ทำไมถึงชักได้! ตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่! อยู่ที่แผนกฉุกเฉินมาสามวันแล้ว อาการไม่ดีขึ้นแต่กลับแย่ลงอีก ถึงกับเริ่มชักอีกแล้ว จะรักษาได้หรือเปล่า!”
อารมณ์ของเขารุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่พูดประโยคสุดท้ายก็ถึงกับตะโกนออกมา
จางซูยังคงหน้าไม่เปลี่ยนสี “คุณหลบไปก่อนค่ะ ให้พวกเราดูผู้ป่วยหน่อย!”
ชายคนนั้นอายุสามสิบห้าปี ชื่อเถียนชง ไม่เคยเรียนปริญญา พอเรียนจบมัธยมปลายก็ทำงานทันที ดิ้นรนอยู่หลายปีในที่สุดก็ลงหลักปักฐานที่เมืองอันหยางด้วยกันกับภรรยา เขาเปิดร้านขายเสื้อผ้าแห่งหนึ่ง กิจการพอไปวัดไปวาได้แต่ก็ยุ่งมากจึงตัดสินใจรับมารดามาอยู่ในเมืองด้วยกัน ให้เธอช่วยดูลูก
พ่อของเถียนชงตายไปนานแล้ว ทุกอย่างจึงต้องอาศัยคนเป็นแม่คอยค้ำจุน ดังนั้นแม่จึงเป็นเหมือนที่พึ่งพิงของเขา
สามวันก่อน จู่ๆ แม่ของเขาก็วิงเวียนศีรษะอยู่ครึ่งคืนจนทนไม่ไหว มีอาการคล้ายโลกหมุน ทำให้เถียนชงตกใจจนโทรเรียกรถฉุกเฉิน 120 ให้มารับมารดาไปส่งที่โรงพยาบาลอันดับสอง
หลังจากมาถึงแล้ว จากการตรวจร่างกายก็พบว่าไม่ได้เป็นอะไรมาก อาการที่หมอสงสัยว่าจะเป็นไปได้มากที่สุดก็คือภาวะสมองขาดเลือดที่เกิดจากหลอดเลือดบริเวณสมองส่วนหลังเกิดการตีบตัน!
สมองของคนเราประกอบไปด้วยสมองส่วนหน้าและสมองส่วนหลัง เมื่อสมองส่วนหลังขาดเลือด เช่นก้านสมองขาดเลือดชั่วคราว จะทำให้มีเลือดไม่พอส่งไปยังระบบประสาทต่างๆ เช่นประสาทที่ควบคุมการทรงตัว จนทำให้มีปฏิกิริยาที่เกิดจากการขาดเลือดต่างๆ นานาปรากฏให้เห็น
เนื่องจากระบบประสาทส่วนที่ควบคุมการทรงตัวมีหน้าที่คอยควบคุมความรู้สึกทางด้านการรับรู้พื้นที่ ดังนั้นเมื่อขาดเลือดก็จะทำให้เกิดอาการที่เรียกว่าโลกหมุน
นี่เป็นอาการที่เกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน
จางซูมองเถียนชงแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “คุณอย่าเพิ่งร้อนใจไปนะคะ ร้อนใจไปก็แก้ปัญหาไม่ได้ ให้พวกเราดูก่อนว่าอาการเป็นยังไงกันแน่!”
เถียนชงมีสีหน้าอึมครึม ถลึงตาใส่จางซู “ถ้าแม่ผมเกิดอะไรขึ้น! ผม…ผมจะ…”
เถียนชงไม่ใช่คนเลวและไม่ใช่คนชั่วร้ายอะไร หากอยากให้เขาพูดจาแย่ๆ ออกมา จริงๆ เขาก็พูดไม่ออก เขาเพียงอยากให้มารดาของตัวเองอาการดีขึ้นเท่านั้น ส่วนเรื่องอื่นเขาไม่สนใจ
จางซูพยักหน้า “วางใจเถอะค่ะ หากเป็นความรับผิดชอบของพวกเรา พวกเราก็จะทำให้ดี คุณหลบไปก่อนนะคะ”
พูดจบจางซูก็กล่าวกับเหยาจื้อเหวิน “ไปเอาประวัติผู้ป่วยและรายงานการตรวจรักษามาให้หมด”
ตอนนี้ผู้ป่วยกำลังนอนอยู่บนเตียง ยังหอบหายใจอยู่ จางซูเห็นภาพนี้ก็รู้สึกแปลกใจ
ตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ทำไมเกิดอาการนี้ได้
ชักหรือ แปลกมาก!
ขณะนี้เอง หญิงคนนั้นก็มีใบหน้าขาวซีด จางซูรีบเข้ามาหาผู้ป่วยแล้วลองใช้เครื่องวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจตรวจดู ยิ่งดูจางซูก็ยิ่งแปลกใจ ยิ่งเห็นก็ยิ่งรู้สึกสงสัย ทุกอย่างรวมไปถึงคำสั่งแพทย์ก็เป็นคำสั่งปกติ ไม่มีปัจจัยใดที่จะทำให้เกิดสภาพแบบนี้ได้เลย
ตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
เป็นโรคที่รักษายากจริงๆ…
ผลการตรวจแต่ละอย่างล้วนเป็นปกติ สิ่งที่แปลกไปก็คือมีค่าไขมันในเลือดสูงและค่าความหนืดของเลือดสูง ส่วนอย่างอื่นไม่มีอะไรผิดปกติ
ในตอนที่แอดมิทเข้าโรงพยาบาล เพื่อขจัดข้อสงสัยว่าจะเป็นอาการเกี่ยวกับระบบประสาทจึงได้ทำซีทีสแกน MRI และอัลตร้าซาวด์สมองแล้ว ทุกอย่างเป็นปกติ
แล้วทำไมถึงชักได้ล่ะ
การวินิจฉัยโรคแต่ละครั้งก็ใช้วิธีการเหมือนกับการสืบสวนสอบสวน จุดประสงค์ก็คือหาตัวการที่แท้จริงออกมาให้ได้
หลังจากจางซูอ่านผลการตรวจทั้งหมดแล้วก็ยังคงส่ายหน้า ไม่มีสาเหตุอะไรเลย แม้แต่ผลข้างเคียงของยาก็ไม่มียาตัวใดทำให้เกิดอาการชักแบบนี้ได้เลย!
ตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
บทที่ 337 รออยู่ ด่วนมาก!
หลังจากหัวหน้าของซุนเป่าหมินเห็นภาพทั้งหมดก็ชะงักไปทันที เนิ่นนานผ่านไปจึงค่อยทอดถอนใจออกมา! นี่เป็นภาพของพนักงานขับรถประจำทางที่ไม่อาจประเมินค่า! เป็นความรับผิดชอบของพนักงานขับรถประจำทางที่ไม่อาจประเมินค่า!
พนักงานขับรถประจำทางเป็นเพียงอาชีพธรรมดาอาชีพหนึ่ง ในความคิดของคนอื่นก็เป็นเพียงคนขับรถ แต่ภาระที่แบกอยู่บนบ่าก็สำคัญเช่นเดียวกัน
ซุนเป่าหมินเป็นดั่งตัวแทนของพนักงานขับรถโดยสารนับพันนับหมื่นคน
หัวหน้าทอดถอนใจออกมา หัวใจของเขาถูกทำให้สั่นไหวแล้วจริงๆ เขามองพนักงานระดับสูงที่ยืนอยู่ด้านหลังแล้วพูดว่า “กลับไปเตรียมตัวให้ดี อย่าให้เสี่ยวซุนเสียเปรียบ อีกอย่าง…ย้ายเสี่ยวซุนไปตำแหน่งดีๆ ด้วย…”
หลังจากกล่าวจบ หัวหน้าบริษัทขนส่งก็มองไปทางภรรยาของซุนเป่าหมิน ถอนใจออกมาครั้งหนึ่ง “เรื่องของเสี่ยวซุนก็คือเรื่องของบริษัทขนส่งของพวกเรา!”
……
……
เรื่องเช่นนี้มีให้เห็นในแผนกฉุกเฉินอยู่ตลอดเวลา ไม่ได้จะบอกว่าพนักงานขับรถมีความยิ่งใหญ่เพียงใด แต่ทุกอาชีพล้วนเป็นเช่นนี้ พวกเขาเป็นคนธรรมดา มีตำแหน่งหน้าที่ธรรมดา สิ่งที่กระทำก็ดูธรรมดา แต่กลับเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดา
เฉินชางและฉินเยว่พากันเดินออกไปข้างนอก
ฉินเยว่ลังเลอยู่พักใหญ่ก่อนพูดขึ้นว่า “ฉันได้ยินเสี่ยวหลินบอกว่า…นายอยู่ในห้องเอกซเรย์กับซุนเป่าหมินหรือ”
เฉินชางชะงักไปเล็กน้อยก่อนยิ้มตอบ “ใช่แล้ว! เป็นการอยู่ในห้องเอกซเรย์ครั้งแรกของฉันน่ะ”
ฉินเยว่ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมา แต่อย่างไรก็อดเตือนเฉินชางไม่ได้ “อืม ครั้งสองครั้งไม่เป็นไร แต่อย่าเข้าไปทุกครั้งแล้วกัน”
เฉินชางตกตะลึงไปโดยพลัน จู่ๆ ก็หยุดฝีเท้าลง “โอ้ นี่เธอกำลังเป็นห่วงฉันใช่หรือเปล่า”
เฉินชางหยุดเดินกะทันหัน ทำให้ฉินเยว่ชนเขาอีกครั้ง เมื่อได้ยินเฉินชางพูดเช่นนี้เธอก็ถลึงตาโตพลางย่นจมูก “เหอๆ…”
เฉินชางหยุดยืนอยู่ตรงนั้น มองไปยังฉินเยว่ที่สวมชุดชื้นเหงื่อ พลันส่งเสียงกระแอมออกมา “เสื้อของเธอชื้นไปหมดแล้ว ไปเปลี่ยนชุดเถอะ”
ฉินเยว่ก้มหน้าลงมองก็พบว่าเสื้อผ้าตัวในของตนเปียกจนมองทะลุได้ แม้แต่เสื้อกาวน์ที่คลุมอยู่ด้านนอกก็แนบไปกับลำตัว เห็นดังนั้นเธอก็หน้าแดงระเรื่อ รีบวิ่งไปยังห้องเวรทันที
เฉินชางลูบคางตัวเอง มองไปยังแผ่นหลังที่ค่อยๆ ห่างออกไปอย่างพิจารณา สุดท้ายก็ทอดถอนใจออกมา “เฮ้อ…เรื่องสวมเสื้อผ้านี่ก็สำคัญมากนะ!”
ฉางลี่น่ายื่นหัวเข้ามาเมื่อไหร่ก็ไม่อาจทราบ เธอมองท่าทางยิ้มจนตาหยีของเฉินชาง “เป็นไง รูปร่างไม่เลวเลยใช่ไหมคะ”
เฉินชางพยักหน้าอย่างจริงจัง “อืม! คุณพูดไม่ผิดเลยจริงๆ ปกติมองไม่ออกเลยนะครับเนี่ย!”
ฉางลี่น่าทำสีหน้าเหมือนตัวเองแค่เดินผ่านทางมา จากนั้นก็กระซิบข้างหูเฉินชางด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ท่าทางดูลับๆ ล่อๆ “ฉันจะบอกความลับอย่างหนึ่งให้คุณฟัง!”
เฉินชางเบิกตากว้าง ต่อมซุบซิบเหมือนถูกกระตุ้น “อะไรครับ”
ฉางลี่น่าเผยรอยยิ้มที่ดูมีความหมายลึกซึ้งออกมา “ฉินเยว่มีดีมากเลยนะคะ…เพียงแต่ปกติตอนเลือกสวมเสื้อผ้า เธอไม่ชอบสวมชุดที่มันรัดรูปเกินไป”
เฉินชางหันไปมอง “คุณรู้ได้ยังไงล่ะครับ”
ฉางลี่น่าตอบ “คุณอยากรู้หรือคะ”
เฉินชางพยักหน้าอย่างจริงจังและจริงใจ
ฉางลี่น่าทอดถอนใจออกมา “เฮ้อ ช่วงนี้หมูขึ้นราคา ไม่ได้กินอะไรดีๆ นานแล้ว!”
เฉินชางเปิดแอปเหม่ยถวน (แอปซื้อของ) ขึ้นมา “คุณเลือก! ผมจ่าย!”
ฉางลี่น่าได้ยินดังนั้นก็เกิดสนใจขึ้นมา ดวงตาเปล่งประกายวาววับ ตบไหล่ของเฉินชางแล้วพูดว่า “ดีลค่ะ ถ้าเพิ่มให้อีกหนึ่งมื้อ ฉันจะส่งรูปให้คุณด้วย”
เฉินชางได้ยินว่ามีรูปก็กัดฟันตอบ “ดีลครับ!”
ฉางลี่น่าหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา เธอคิดเงียบๆ ในใจว่า อา…ฉินเยว่หนอฉินเยว่ อย่ามาตำหนิที่พี่สาวคนนี้ขายเธอเพื่อความรุ่งโรจน์เลยนะ ต้องโทษที่เนื้อหมูราคาแพงเกินไป…
อันที่จริงฉางลี่น่าอยากกินอาหารฟรีที่ไหนกัน เธออยากจับคู่ให้เฉินชางกับฉินเยว่ต่างหาก เฉินชางไม่เลวเลย ตอนนี้มีการงานมั่นคง รายได้ก็สูงมาก บุรุษเก่งกาจสตรีงดงามเช่นนี้ นับเป็นคู่ที่ดี!
โบราณกล่าวว่าปุ๋ยดีๆ ไม่ควรปล่อยไว้ในที่นาของคนอื่น ฉินเยว่เป็นทรัพยากรที่ดีขนาดนี้ หากปล่อยให้หลุดมือไปถึงคนอื่นก็คงน่าเสียดายแย่
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ฉางลี่น่าก็ส่งรูปฉินเยว่ตอนที่ไปเรียนโยคะด้วยกันให้เฉินชางหนึ่งรูป หลังจากส่งเรียบร้อยแล้วก็กล่าวด้วยสีหน้าระแวงและจริงจังว่า “คุณจะไม่ขายฉันใช่ไหมคะ”
เมื่อเฉินชางได้รับรูปแล้วก็เบิกตากว้าง คำอุทานหยุดอยู่ที่ปาก เนิ่นนานผ่านไปก็ยังไม่พูดอะไร!
นี่…มันจะแตกต่างกันมากไปหรือเปล่า
“ไม่หรอกครับ! ผมไม่ขายคุณแน่! ยังมีรูปอีกหรือเปล่าครับ” เฉินชางคิดว่าเขารู้จักฉินเยว่น้อยไปจริงๆ!
ฉางลี่น่าดวงตาเปล่งประกาย ขายหนึ่งครั้งก็คือขาย ขายสิบครั้งก็คือขาย ดังนั้นจึงถือโอกาสตอนที่ยังมีตลาดรองรับรีบขายไปเถอะ!
“จะว่ามีก็มีนะคะ…แต่เอาไว้วันหลังฉันอยากกินอะไรค่อยว่ากันเถอะ”
พูดจบฉางลี่น่าก็เดินยืดตัวจากไป
ส่วนเฉินชางก็ยกรูปขึ้นมาดูพลางส่งเสียงจิ๊ๆๆ!
……
……
เมื่อกลับไปถึงห้องพักหมอ เฉินชางก็เปิดดูของที่ได้รับมาวันนี้
[เสื้อกาวน์: คุณภาพสีฟ้า
คุณสมบัติ: รังสี -5 , พลังกาย +2]
เฉินชางมองไปยังแจ้งเตือนของระบบ ชะงักไปเล็กน้อย
พลังกายบวกสองเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่ว่า…รังสีลบห้านี่น่าสนใจจริงๆ
คุณสมบัตินี้เข้าใจได้ง่ายมาก รังสีที่ได้รับจะลดน้อยลง 50% ยอดเยี่ยมไปเลย
การผ่าตัดของแผนกศัลยกรรมหัวใจหลายอย่างจำเป็นต้องดำเนินไปพร้อมกับผลกระทบจากรังสีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการรักษาหรือการตรวจก็เป็นเช่นเดียวกัน เมื่อมีเสื้อกาวน์ที่ช่วยลดรังสีที่ได้รับลง 50% ก็ถือว่าน่ากลัวมากแล้ว
แม้โรงพยาบาลมีชุดตะกั่วที่ช่วยป้องกันรังสี แต่คุณสวมมันตลอดเวลาไม่ได้
ไม่เลว!
เป็นคุณสมบัติที่ไม่เลวเลย!
ที่สำคัญก็คือใช้งานได้จริง
นอกจากนี้ยังมีหนังสือทักษะอยู่อีกหนึ่งเล่ม เป็นทักษะเกี่ยวกับถุงเยื่อหุ้มหัวใจ
[หนังสือทักษะระบบถุงเยื่อหุ้มหัวใจ: ระดับปรมาจารย์ หลังจากเปิดใช้งาน จะสุ่มรับทักษะเกี่ยวกับการผ่าตัดเยื่อหุ้มหัวใจที่ยังไม่มีหนึ่งรายการ]
ได้รับหนังสือทักษะเกี่ยวกับการผ่าตัดเยื่อหุ้มหัวใจอีกเล่มหนึ่งแล้ว เฉินชางรู้สึกว่าตัวเองสบายมาก ยังไม่ทันเข้าสู่หัวใจก็จริง แต่บริเวณถุงเยื่อหุ้มหัวใจถูกตนเองจู่โจมจนเกือบหมดแล้ว
เมื่อคิดถึงตรงนี้เขาก็รีบเปิดใช้งานทันที
[ติ๊ง! ได้รับ: ทักษะการเจาะระบายของเหลวออกจากเยื่อหุ้มหัวใจ! ระดับปรมาจารย์ จะเริ่มเข้าสู่กันฝึกฝนหรือไม่!]
เฉินชางรู้สึกยินดียิ่ง
ทักษะการเจาะระบายของเหลวออกจากเยื่อหุ้มหัวใจหรือ
เยี่ยมไปเลย!
มีทักษะการกรีดเยื่อหุ้มหัวใจแล้ว ระดับสูง!
ทักษะซ่อมแซมเยื่อหุ้มหัวใจก็มีแล้ว ระดับปรมาจารย์!
ตอนนี้ก็ได้ทักษะการเจาะระบายของเหลวออกจากเยื่อหุ้มหัวใจแล้ว ทั้งยังเป็นระดับปรมาจารย์อีกด้วย!
เมื่อเป็นเช่นนี้ การผ่าตัดถุงเยื่อหุ้มหัวใจจะสร้างความลำบากให้เขาได้อีกหรือ
ยิ่งคิดก็ยิ่งเบิกบานใจ
ถุงเยื่อหุ้มหัวใจถูกพิชิตหมดแล้ว ดังนั้นหัวใจก็อยู่ไม่ไกลแล้วละ
……
……
เถามี่กลับมาที่แผนกศัลยกรรมหัวใจ ในใจรู้สึกหดหู่ไร้ซึ่งความสุข
เฉียนหลินเห็นอาจารย์กลับมาแล้วก็รีบเดินเข้าไปหา “อาจารย์! กลับมาแล้วเหรอครับ การผ่าตัดประสบความสำเร็จดีไหมครับ”
เถามี่มองเฉียนหลินครู่หนึ่ง จากนั้นก็คิดไปถึงเฉินชาง นี่ทำให้เขาสะเทือนใจเล็กน้อย แต่ก็ยังพยักหน้าตอบไปว่า “อืม!”
ตอนนี้เอง หวังเลี่ยงซึ่งเป็นหมอในแผนกก็เดินเข้ามา กล่าวชมเชยขึ้นประโยคหนึ่งว่า “หัวหน้าเถา พรสวรรค์ด้านศัลยกรรมหัวใจของเสี่ยวเฉียนไม่เลวเลยจริงๆ วันนี้เจาะถุงเยื่อหุ้มหัวใจได้ด้วย”
เถามี่มองเฉียนหลินสลับกับหวังเลี่ยง เขาอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ทำเพียงส่ายหน้า
ดั่งคำโบราณว่าไว้จริงๆ ไม่กลัวไม่รู้จักสินค้า แต่กลัวสินค้าถูกเปรียบเทียบ!
เสี่ยวเฉินเริ่มผ่าตัดโรคเลื่อนที่เกิดบริเวณถุงเยื่อหุ้มหัวใจด้วยตัวคนเดียวได้แล้ว เสี่ยวเฉียนเพิ่งจะได้สัมผัสกับการเจาะถุงเยื่อหุ้มหัวใจ
จริงๆ เลย…
เฮ้อ!
ทำไมผมถึงปวดใจขนาดนี้นะ ไม่ได้การ วันหน้าจะต้องไปคุยกับเสี่ยวเฉินสักหน่อยว่าทำไมถึงไม่มาให้ผมเป็นอาจารย์ ไม่กี่วันก่อนผมเพิ่งสอนการผ่าเปิดช่องเยื่อหุ้มหัวใจให้คุณเองนะ โอเคไหม…
เถามี่อัดอั้นตันใจมาก สายตาที่ใช้มองเฉียนหลินก็ค่อนข้าง…ซับซ้อน
เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา อยากจะเผยแพร่ในโมเมนต์วีแชทของกลุ่มเพื่อนจริงๆ ว่า
‘นักเรียนคนนี้โง่ไปหน่อย อยากจะโยนทิ้งแล้ว อยากสละทิ้งแล้ว อยากไล่ออกจากสำนักแล้ว จะทำยังไงดีครับ รอคำตอบอยู่นะครับ ด่วนมาก!’