บทที่ 344 สถานการณ์พิเศษ!
ปฏิบัติการทางคลินิกก็เป็นเช่นนี้เอง โรคภัยต่างๆ มีความซับซ้อน คุณจะต้องเปิดดวงตาทั้งสองให้กระจ่าง อย่าได้ถูกสิ่งอื่นมาทำให้ไขว้เขว
คำพูดของผู้ป่วยก็ไม่แน่ว่าจะเชื่อได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงญาติผู้ป่วยเลย!
จางซูเป็นอาจารย์หมอของแผนกฉุกเฉินฝ่ายอายุรกรรมที่ค่อนข้างเจนจัด มีประสบการณ์สูง หลังจากอ่านรายงานการตรวจเรียบร้อยแล้วก็ขมวดคิ้วพูดว่า “ระยะนี้ผู้ป่วยกินอาหารแปลกๆ มีอาการบาดเจ็บภายนอก หรือมีนิสัยที่ชอบทำจนเป็นปกติในชีวิตประจำวันหรือเปล่าคะ”
เถียนชงสูดหายใจลึก ทำให้ตัวเองใจเย็นลง
ความจริงก็เหมือนที่หมอพูด แก้ปัญหาก่อนค่อยว่ากันเถอะ!
“ไม่มีครับ ทุกอย่างที่เกี่ยวกับการดำเนินชีวิตของแม่ ผมเป็นคนดูแลด้วยตัวเอง ไม่มีอะไรผิดปกติ”
จางซูยังคงถามต่อไป “คุณมั่นใจหรือเปล่าคะว่าทางครอบครัวไม่มีใครมีประวัติเป็นโรคลมบ้าหมู”
เถียนชงใคร่ครวญอย่างละเอียดพบว่าไม่มีจริงๆ ชั่วชีวิตของเขาก็ไม่เคยได้ยินคุณตาคุณยายพูดถึงเรื่องนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่แม่ของเขามีชัก
“ไม่มี! ไม่มีแน่นอนครับ!”
คำตอบอันเด็ดขาดทำให้การวินิจฉัยจมลงสู่หล่มโคลนอีกครั้ง
ทางด้านเฉินชางกำลังอ่านอาการของผู้ป่วย ในสมองก็กำลังใคร่ครวญถึงโรคที่จะแสดงปฏิกิริยาเช่นนี้ พิจารณาถึงสาเหตุอาการทั้งหมดของโรคที่ถูกจัดอยู่ในประเภทลมบ้าหมู
สมองเป็นเหมือนซุปเปอร์คอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งจริงๆ มันกลั่นกรองและคิดคำนวณไม่หยุด!
เฉินชางวิเคราะห์อย่างรวดเร็ว ต้องการข้อสรุปเช่นกัน
กล้ามเนื้อใบหน้ากระตุก
มีอาการสั่นที่ริมฝีปากและใบหน้า
เหงื่อออก…น้ำลายไหล…ใจหวิว…วิงเวียน…คลื่นไส้…
ทั้งๆ ที่ผู้ป่วยมีอาการชักและมีอาการเหล่านี้ปรากฏให้เห็น แต่สติรับรู้ของผู้ป่วยก็ยังแจ่มชัด!
ไม่มีอาการที่แสดงว่าสติรับรู้ของผู้ป่วยพร่าเลือนเลย
นี่มันแปลกมาก…
ทันใดนั้นเอง! ในสมองของเฉินชางก็ปรากฏความเป็นไปได้บางอย่างขึ้นมา!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เฉินชางก็เงยหน้าขึ้นมองไปทางเครื่องให้ออกซิเจนข้างเตียง ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป!
เฉินชางรีบพูดขึ้นว่า “ใครตั้งค่าเครื่องให้ออกซิเจนจนมีขนาดการไหลมากขนาดนี้”
จางซูรู้สึกเหมือนตรัสรู้ทันใด มีปฏิกิริยาขึ้นมาทันที รีบเงยหน้ามองไปทางนั้นโดยพลัน!
สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความหวาดกลัว สภาพจิตใจเกิดความสับสน
จางซูหน้าเปลี่ยนสี รีบเดินออกมากล่าวกับหัวหน้าพยาบาลเสียงดังว่า “พยาบาลรับผิดชอบเตียงสิบเก้าคือใคร เข้ามานี่!”
นางพยาบาลเสี่ยวเหอได้ยินดังนั้นก็หวาดกลัวจนใจสั่น เดินเข้ามาด้วยท่าทางหวาดระแวง เมื่อพบจางซูก็พูดว่า “หัวหน้าจาง ฉันเป็นพยาบาลที่รับผิดชอบดูแลเตียงสิบเก้าค่ะ!”
จางซูเงยหน้าขึ้น เมื่อเห็นว่าเป็นเสี่ยวเหอก็รีบถามทันที “ใครเป็นคนตั้งค่าออกซิเจน”
เสี่ยวเหอเงยหน้าขึ้นด้วยอาการมึนงง จากนั้นสีหน้าก็แปรเปลี่ยนไป “7.5! บ้าหรือเปล่า!”
จากนั้นก็หันไปจ้องเถียนชง “ฉันบอกคุณแล้วไม่ใช่เหรอคะว่าอย่าปรับเอง ทำไมคุณปรับตามใจชอบ!”
เถียนชงก็สับสนเช่นกัน “ผมไม่ได้แตะนะ! ผมไม่ได้แตะต้องอะไรเลย!”
ขณะนั้นเอง หญิงอายุหกสิบกว่าปีผู้เป็นมารดาของเถียนชงก็พึมพำออกมาว่า “ฉัน…ฉันเป็นคนปรับออกซิเจนเอง…”
เมื่อเธอพูดออกมาเช่นนี้ รอบด้านก็เงียบลงทันที!
เถียนชงตกตะลึงไปแล้ว เขาโกรธจนทนไม่ไหว แต่ก็รู้สึกจนใจเช่นกัน “แม่! บ้าไปแล้วหรอครับ ที่นี่คือโรงพยาบาลนะ แม่ทำแบบนี้ทำไม”
หญิงชรารู้สึกไม่ดีนัก เธอถอนใจออกมาเบาๆ แล้วส่ายหน้า “เมื่อวานหมอบอกแม่ว่าสูดออกซิเจนสักหน่อยจะดี บอกว่าสมองของของแม่ขาดเลือดและขาดออกซิเจน ทำให้เกิดวิงเวียนศีรษะได้ง่าย…แม่เลยคิดว่าจะสูดออกซิเจนได้เท่าไหร่กันเชียว”
“เถียนชง อย่าตำหนิหมอกับพยาบาลเลย พวกเขาบอกแม่แล้วว่าอย่าสูดออกซิเจนมากเกินไป แต่แม่…อดใจไม่ไหว คิดว่าเสียเงินไปมากขนาดนั้น ถ้าไม่สูดออกซิเจนมากๆ ก็ขาดทุนแย่! แม่ก็เลยปรับให้มันสูงขึ้นสักหน่อย…”
เธอขยันและใช้ชีวิตเรียบง่ายมาชั่วชีวิต เลี้ยงดูลูกๆ สามคนด้วยตัวคนเดียวจนเติบใหญ่ เป็นลูกชายสองคนและลูกสาวหนึ่งคน ทำงานเพื่อค้ำจุนครอบครัวนี้ขึ้นมาได้ ชีวิตของเธอประหยัดจนเป็นนิสัย จุดนี้แก้ไขไม่ได้แล้ว
ตอนอยู่ที่บ้านก็เช่นเดียวกัน หากอาหารเหลือก็ทำใจทิ้งไม่ลง เก็บไว้กินเอง
ขนมปังหมดอายุ หากกินได้ก็กิน…
เถียนชงเข้าใจแม่ของตนเป็นอย่างดี เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ก็อดถอนใจออกมาไม่ได้ เขารู้จักแม่ตัวเองดีเกินไป เรื่องเหล่านี้แม่ทำออกมาได้จริงๆ
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เถียนชงก็มีสีหน้าโศกเศร้า คิดถึงตอนที่ตนตะโกนตำหนิหมอเมื่อครู่ พานให้รู้สึกไม่สบายใจ
ทุกคนตรวจรักษาให้แม่ของตนอย่างยากลำบาก แต่ตนกลับไปตำหนิผู้อื่นเช่นนั้น ไม่ดีเลยจริงๆ!
เถียนชงรีบพูดขึ้นว่า “หัวหน้าจาง หมอเหยา! ขอโทษจริงๆ ครับ ขอโทษด้วย ต้องตำหนิผมที่ไม่มีความรู้ ทำอะไรไม่รู้ความ คุณอย่าถือสาเลยนะครับ!”
เถียนชงพูดพลางโค้งตัวลง เรียกว่าเขาใส่ใจเกินไปจนวุ่นวาย!
เมื่อคนในครอบครัวเกิดป่วยขึ้นมา เถียนชงกดข่มอารมณ์และสงบจิตใจของตนไม่ได้เลยจริงๆ เขารู้สึกว่าแม่สำคัญกับเขามากเกินไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดๆ ที่อาจก่อให้เกิดการสูญเสีย เขาก็ไม่กลาชักช้า
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เถียนชงก็รู้สึกเสียใจจริงๆ
การวินิจฉัยบ่งชี้ว่าออกซิเจนเป็นพิษ แม้จะมีปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ถูกกักเก็บไว้สูง แต่สาเหตุสำคัญก็ยังมาจากประวัติการรักษา ประวัติอาการป่วย ตลอดจนลักษณะอาการ
ผู้ป่วยไม่รู้ว่าออกซิเจนก็เป็นพิษได้ด้วย หมอจึงคิดไปว่าผู้ป่วยคงไม่มีแรงจูงใจที่จะทำแบบนี้ หากไม่ใช่เพราะเฉินชางค้นพบได้อย่างแม่นยำ คาดว่าจางซูคงต้องใช้เวลาอีกครู่หนึ่งถึงจะรู้ตัว!
คิดถึงตรงนี้ สายตาที่จางซูใช้มองเฉินชางก็แปลกไปเล็กน้อย!
เสี่ยวเฉินคนนี้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ!
เขาวิเคราะห์ข้อมูลภายใต้สภาพแวดล้อมและเงื่อนไขเช่นนี้จนได้ผลลัพธ์ที่แน่นอนออกมาได้ นี่คือความสามารถที่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญสมควรมีและเป็นความสามารถที่หาได้ยากที่สุด
ยิ่งคิดจางซูก็ยิ่งรู้สึกว่าเฉินชางสุดยอด!
ส่วนเหยาจื้อเหวินก็มองเฉินชางด้วยท่าทีเคารพเลื่อมใส กล่าวตามจริง เหยาจื้อเหวินรู้สึกว่าเฉินชางกลายเป็นหัวหน้ากลุ่มของพวกเขาไปแล้ว แม้ว่าตน หวังหย่ง ฉินเยว่และคนอื่นๆ จะเรียนจบปริญญาโท แต่หากเทียบความสามารถทางด้านคลินิกจริงๆ พวกเขายังห่างไกลจากเฉินชางอีกมาก
นี่คือความเป็นจริง
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เหยาจื้อเหวินก็ยกนิ้วโป้งให้เฉินชางพร้อมสีหน้าเลื่อมใส กระซิบบอกว่า “สุดยอด!”
เฉินชางยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน “บังเอิญๆ…”
เหยาจื้อเหวินยิ้ม ไม่ได้พูดอะไรอีก
หากมีแค่ครั้งสองครั้งอาจเป็นเรื่องบังเอิญ แต่หากมีหลายครั้ง ยังจะเชื่อว่าเป็นเรื่องบังเอิญอีกหรือ หากคุณเชื่อ คุณก็ไร้เดียงสาเกินไปแล้ว!
เขาวินิจฉัยออกมาได้อย่างแม่นยำ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ
จางซูรีบเรียกพยาบาลเสี่ยวเหอเข้ามาเพื่อเตรียมการรักษา
อาการของผู้ป่วยชัดเจนมาก นั่นก็คืออาการออกซิเจนเป็นพิษ การรักษาหลักๆ ก็คือ ใช้ยาประเภทยากล่อมประสาท ยากันชัก หรือยานอนหลับ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายในตอนที่เกิดอาการตื่นตระหนก
หลังจากจางซูพิจารณาครู่หนึ่งก็พูดกับเหยาจื้อเหวินว่า “เสี่ยวเหยา ไดอะซีแพม[1] 10mg ฉีดเข้าเส้นเลือดดำช้าๆ พารัลดีไฮด์[2]สำหรับผู้ใหญ่ 5 ml ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ…”
เหยาจื้อเหวินรีบพยักหน้าแล้วเตรียมออกไปทำตามคำสั่งแพทย์ ส่วนนางพยาบาลเสี่ยวเหอก็รีบวิ่งออกไปจัดยา
ผู้ป่วยอีกหลายคนที่อยู่รอบๆ ก็พากันมองการวินิจฉัยและการรักษาในครั้งนี้ด้วยใจหวาดระแวง ในใจเต็มไปด้วยอารมณ์นับพันหมื่น แต่ละคนพากันส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ออกมา
“ออกซิเจนเป็นพิษได้ด้วยหรือ”
“ใช่แล้ว! นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้ยินว่าออกซิเจนก็เป็นพิษได้!”
“น่ากลัวเกินไปแล้ว!”
“พยาบาล ผมไม่สูดออกซิเจนแล้ว…”
“ใช่ๆ! ฉันด้วย ฉันก็ไม่สูดออกซิเจนแล้ว”
[1] ไดอะซีแพม – Diazepam เป็นยามีฤทธิ์ส่งผลให้สงบจิตใจลง ใช้ในการรักษาโรควิตกกังวล, โรคสั่นเพ้อเหตุขาดสุรา, โรคสั่นเพ้อเหตุขาดเบ็นโซไดอาเซพีน, อาการกล้ามเนื้อกระตุก, อาการชัก, โรคนอนไม่หลับ และกลุ่มอาการขาอยู่ไม่สุข
[2] พารัลดีไฮด์ – paraldehyde คือสารที่มีฤทธิ์เป็นยากดประสาทและยานอนหลับ
บทที่ 338 คุณหาข้ออ้างเตะผมทิ้งสินะ
เฉียนหลินคิดไปคิดมาก็ยังไม่เข้าใจสายตาอาจารย์ของตัวเอง รู้สึกแค่ว่ามันแปลกๆ!
ดูเหมือนไม่พอใจ ดูเหมือนจนใจ คล้ายมีคำพูดบางอย่างแต่ก็ไม่ได้พูดออกมา…
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เฉียนหลินก็รีบพูดขึ้นว่า “อาจารย์…คุณ?”
เถามี่โบกมือ “ไม่มีอะไร!”
ทันใดนั้นเถามี่ก็คิดขึ้นมาได้ว่าเฉียนหลินและเฉินชางเป็นนักเรียนรุ่นเดียวกัน ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็เปล่งประกาย “เสี่ยวเฉียน มานี่ ผมมีเรื่องจะถามคุณหน่อย”
เฉียนหลินกระตือรือร้นขึ้นมาทันที หรือว่าหัวใจของอาจารย์จะเชื่อมต่อกับตนนะ
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ดวงตาทั้งสองของเฉียนหลินก็ราวกับมีแสงพุ่งออกมา “อาจารย์พูดมาเลยครับ!”
เถามี่ถามขึ้นทันทีว่า “ผมอยากจะถามคุณหน่อย รู้จักเฉินชางหรือเปล่าครับ เขาเหมือนกับคุณ เรียนต่อยอดในปีนี้เหมือนคุณ”
เมื่อเฉียนหลินได้ยินดังนั้นก็พูดสิ่งที่ตนรู้ออกมาจนหมดเปลือก “ครับๆ รู้จักๆ เรียนคลาสเดียวกับผม ค่อนข้างสนิทกันเลยครับ!”
เถามี่กระตือรือร้นขึ้นมาทันที “อ้อ…งั้นคุณสนิทกับเฉินชางหรือเปล่า อาจารย์ที่ปรึกษาของเขาคือใคร”
เมื่อเฉียนหลินเห็นอาจารย์ถามเช่นนี้ก็รู้สึกยินดียิ่ง นี่เป็นเรื่องที่เขาเชี่ยวชาญเลยละ!
ต้องทราบว่าเขาเห็นกระบวนการที่เฉินชางไปหาเมิ่งซีด้วยตาตนเอง ด้วยเหตุนี้เฉียนหลินจึงยิ้มน้อยๆ
“รู้ครับ! อาจารย์ คุณถามถูกคนแล้ว ตอนที่เฉินชางไปขอให้คนคนนั้นเป็นอาจารย์ผมก็อยู่ด้วย เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟัง! อาจารย์ของเฉินชางก็คือหัวหน้าเมิ่ง เมิ่งซี อายุสามสิบปี จบปริญญาเอกด้านการแพทย์จากมหาวิทยาลัยแคโรลินสกาของสวีเดน…”
เถามี่ย่อมทราบดีว่าเมิ่งซีคือใคร เมื่อเห็นเฉียนหลินแนะนำอย่างเว่อร์วังเช่นนี้ก็รีบพูดว่า “หยุดก่อนๆ อาจารย์ของเฉินชางไม่ใช่ซย่าเกาเฟิงหรือ”
เฉียนหลินชะงักไป “ไม่ใช่แน่นอนครับ! เฉินชางเป็นคนวิ่่งไปหาหัวหน้าเมิ่งโดยตรง! ผมจะบอกอะไรให้ ตอนนั้นเรื่องมันเป็นแบบนี้ครับ…”
จากนั้นเรื่องในวันนั้นก็ถูกเล่าออกมาจากปากของเฉียนหลิน ให้ความรู้สึกเหมือนฟังนิยายเรื่องหนึ่ง การเปลี่ยนเวรเป็นภาษาอังกฤษบ้างแหละ การเย็บเส้นเลือดระดับเทพบ้างแหละ เทคนิคการวินิจฉัยอันเฉียบคมบ้างแหละ…
เถามี่ได้ยินดังนั้นก็รู้สึกเหมือนจมอยู่ในเมฆหมอก ถามด้วยใบหน้าครุ่นคิดว่า “คุณพูดจริงหรือ”
เฉียนหลินพยักหน้าทันที “จริงแท้แน่นอนครับ คุณไม่รู้หรอกว่าตอนนั้นหัวหน้าซย่าทำสีหน้าแบบไหน!”
พูดถึงตรงนี้แล้วเฉียนหลินก็พูดต่อไป “ตอนนั้นการเย็บเส้นเลือดของเฉินชางเร็วกว่าเก่อฮว๋ายที่เป็นนักเรียนในสังกัดหัวหน้าซย่าที่เรียนจบไปแล้ว ฝีมือของเขายอดเยี่ยมจริงๆ แต่คนที่เขาต้องการก็คืออาจารย์เมิ่ง เมิ่งซี!”
“ตอนนั้นผมเห็นสายตาของหัวหน้าซย่าเกาเฟิงด้วย เต็มไปด้วยความอิจฉาจนจะไม่ไหวแล้ว เกือบจะลงมือแย่งคนเลยทีเดียว! เหมือนกับ…”
เมื่อพูดถึงตรงนี้เฉียนหลินก็หยุดชะงักไป!
เนื่องจากเขารู้ตัวแล้วว่า ณ เวลานี้ สายตาของเถามี่ผู้เป็นอาจารย์ของตนดูคุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง! เหมือนกับเคยเห็นที่ไหนมาก่อน! มันดูเหมือน…สายตาของหัวหน้าซย่าเกาเฟิงในตอนนั้นมากเลยทีเดียว!
เมื่อคิดถึงตรงนี้เฉียนหลินก็รู้สึกกระวนกระวายใจโดยไม่มีสาเหตุ!
‘อาจารย์จะทอดทิ้งผมแล้ว ผมจะทำยังไงดี รอคำตอบอยู่นะครับ ด่วนมาก…’
……
……
หลังจากพิจารณามานาน เถามี่ก็รู้สึกผ่อนคลายลงมาก อย่างไรเสีย…เฉินชางก็ไม่ได้ไปลงทะเบียนกับซย่าเกาเฟิง!
ไม่เป็นไร!
ส่วนเสี่ยวเมิ่งคนนั้น อืม…ได้ยินว่าเมิ่งซียังไม่ได้แต่งงาน หน้าตาก็สวยมากด้วย
คิดไปคิดมา อยู่ๆ เถามี่ก็รู้สึกโล่งใจ เหตุผลคงจะอยู่ที่ตรงนี้แน่นอน ถึงอย่างไรเสี่ยวเฉินก็ยอดเยี่ยมเพียงนั้น เก่งกาจเพียงนั้น ยังต้องคารวะอาจารย์อีกหรือ หากไม่มีเหตุผลอื่นจะขอให้เมิ่งซีเป็นอาจารย์ทำไมกัน
เถามี่คิดถึงตรงนี้ก็อารมณ์ดีขึ้นมาก ถึงกับทอดถอนใจออกมาด้วยความสบายใจและมีความสุข
สายตาที่ใช้มองเฉียนหลินก็อ่อนโยนขึ้นมาก “อืม เสี่ยวเฉียน ไม่เลวๆ เรียนรู้เรื่องการเจาะช่องเยื่อหุ้มหัวใจได้เร็วขนาดนี้เชียว ไม่เลวเลย! พรุ่งนี้ตามผมไปผ่าตัดด้วยนะครับ”
เมื่อเฉียนหลินได้ยินดังนั้นก็รู้สึกหวาดระแวง สายตาที่มองไปยังเถามี่ดูเชื่อถือครึ่งหนึ่งสงสัยอีกครึ่งหนึ่ง
อาจารย์ คุณจะหาข้ออ้างเตะผมทิ้งให้ได้เลยสินะครับ
……
……
เฉินชางอารมณ์ไม่เลวเลยทีเดียว เมื่อคนเรามีความสุข จิตใจก็ดีตามไปด้วย เมื่อเห็นว่าตนมีทักษะเกี่ยวกับการผ่าตัดถุงเยื่อหุ้มหัวใจหลากหลาย แต่ละทักษะหากไม่ใช่ระดับสูงก็เป็นระดับปรมาจารย์ เฉินชางก็รู้สึกตัวพอง
สิ่งเดียวที่ไม่ค่อยสบอารมณ์ก็คือเขาเป็นเวรดึกในคืนนี้ จึงไปโอ้อวดที่โรงพยาบาลตงต้าไม่ได้
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เฉินชางก็รู้สึกว่าอดทนไว้ก่อนจะดีกว่า
ใกล้ถึงเวลาเลิกงานแล้ว เฉินชางเห็นเงาคนอันคุ้นเคยโดยไม่ได้ตั้งใจ ทันใดนั้นหัวใจก็เต้นตึกตัก
โอ้โห!
ทำไมเป็นเขาไปได้
ใช่แล้ว คืนนี้เฉินชางอยู่เวรดึกด้วยกันกับหมอเหยียนหมิง
เมื่อคิดได้ดังนั้น เฉินชางก็กระวนกระวายใจจนทนไม่ไหว ในแผนกฉุกเฉินมีคำพูดอยู่ประโยคหนึ่งที่จริงมาก นั่นก็คือ ไม่กลัวคู่ต่อสู้ระดับเทพ แต่กลัวเพื่อนร่วมทีมกากๆ
เมื่อเจอเหยียนหมิง เฉินชางก็อยากด่าไปถึงบรรพบุรุษจริงๆ
แต่ก็…ช่างมันเถอะ! สงบใจไว้ก่อนค่อยว่ากันเถอะ หากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นก็ใส่ใจให้มาก
อันที่จริงเฉินชางไม่ได้มีอคติอะไรกับเหยียนหมิง แต่หมอคนนี้ไม่มีความรับผิดชอบจริงๆ…
ม่านราตรีค่อยๆ แผ่ขยาย เฉินชางสั่งอาหารมากิน จากนั้นก็เริ่มราวด์วอร์ด (เดินตรวจเยี่ยมผู้ป่วยตามห้อง)
นี่เป็นนิสัยที่เฉินปิ่งเซิงสั่งสอนให้เฉินชาง เมื่อใดก็ตามที่คุณอยู่เวรดึก ก่อนจะทำงานคุณต้องทำความเข้าใจผู้ป่วยของคุณให้มากพอเสียก่อน จะต้องทำได้ถึงระดับรู้แจ้งแจ่มชัด! เพราะหากทำได้เช่นนี้ ต่อให้เกิดเหตุการณ์พิเศษอะไรขึ้นก็จะจัดการได้ทันเวลา ยิ่งไปกว่านั้น จะต้องพูดคุยกับผู้ป่วยให้มากหน่อย เพราะพวกเขาไม่เข้าใจเรื่องอาการป่วย
เฉินปิ่งเซิงทำเรื่องแบบนี้ได้ไม่เลวเลยทีเดียว ข้อมูลพื้นฐานทั้งหมดของผู้ป่วยของเขา เขาก็เข้าใจอย่างกระจ่างแจ้ง นี่ไม่ใช่เพราะเหล่าเฉินมีพรสวรรค์อ่านผ่านตาไม่ลืมเลือน แต่เป็นเพราะเขาใส่ใจและจริงจังกับผู้ป่วยมาก ไม่ว่าจะปรากฏสัญญาณใดออกมาให้เห็นเขาก็จะนำมันไปคิดวิเคราะห์อยู่นาน ดังนั้นจึงใช้วิธีการเช่นนี้ฝึกฝนจนเกิดเป็นนิสัย
เฉินชางก็เรียนรู้นิสัยและความเคยชินเช่นนี้มาจากเหล่าเฉิน
หลังจากยุ่งวุ่นวายกับราวด์วอร์ดอยู่รอบหนึ่ง เวลาก็ผ่านไปจนเกือบสี่ทุ่มแล้ว
เฉินชางที่กำลังจะกลับไปยังห้องพักหมอเห็นเหยียนหมิงถือกระติกน้ำร้อนยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์พยาบาล เขากำลังพูดคุยหัวร่อต่อกระซิกกับพยาบาลน้อยอย่างสุขี มีฉางลี่น่ายืนทำงานอยู่ข้างๆ
เฉินชางไม่อยากสนใจ แต่เมื่อคิดถึงตอนที่ไปตรวจเยี่ยมผู้ป่วยเมื่อครู่นี้ พบว่ามีผู้ป่วยเตียงหนึ่งเพิ่งจะเกิดอาการหัวใจวายในช่วงวันนี้ จึงอดเตือนไม่ได้ว่า
“อาจารย์เหยียน คุณระวังผู้ป่วยเตียงสิบสามหน่อยนะครับ เขาเพิ่งแอดมิดวันนี้เพราะหลอดเลือดหัวใจตีบเฉียบพลัน อย่าออกไปทำธุระที่ไหนนะครับ”
เมื่อได้ยินคำพูดของเฉินชาง เหยียนหมิงก็ยิ้มบางๆ จากนั้นก็พยักหน้าเล็กน้อย “ได้เลยเสี่ยวเฉิน อีกเดี๋ยวผมจะไปดู”
พูดจบก็ยังคงคุยกับพยาบาลน้อยอย่างสบายอุราต่อไป
เฉินชางส่ายหน้าก่อนจะเดินไปยังห้องพักหมอ
ไม่กล่าวไม่ได้ว่าชายเช่นเหยียนหมิงนี้ หากตัดเรื่องอาชีพและสิ่งอื่นๆ ทิ้งไป เขาก็มีหน้าตาเหมือนคุณอาแก่ๆ ที่ใจดีมีอารมณ์ขัน ทำอะไรไม่รีบไม่ร้อน ไม่เคยด่าคน พูดคุยยิ้มแย้มกับพยาบาลน้อยมาตลอด จึงค่อนข้างเป็นที่ชื่นชอบ
เมื่อลองเปรียบเทียบดูแล้ว เฉินชางก็พบว่าตนเองได้รับสืบทอดนิสัยเสียมาจากเฉินปิ่งเซิงอย่างหนึ่ง นั่นก็คือบางครั้งที่รีบร้อนมักจะขึ้นเสียงกับคนอื่นได้ง่าย
การขึ้นเสียงนั้นอาจจะไม่ได้ตั้งใจ แต่เป็นเพราะรีบร้อน อยากรีบช่วยคนให้เร็ว แต่…ก็ล่วงเกินคนอื่นได้ง่ายเช่นกัน
ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเข้าใจคุณไปซะหมด!
เฉินชางส่ายหน้าอย่างจนใจแล้วกลับไปที่ห้องผู้ป่วย