บทที่ 345 คู่แข่งความรัก???
ผู้ป่วยคนแล้วคนเล่าพากันปฏิเสธการใช้ออกซิเจนในการรักษา ทำเอาจางซูและเฉินชางมึนงง
เถียนชงก็แปลกใจเช่นกัน จึงอดถามไม่ได้ว่า “หมอครับ ออกซิเจนเป็นพิษได้จริงๆ เหรอครับ”
จางซูมองเถียนชง จากนั้นก็พูดว่า “คนเราขาดออกซิเจนไม่ได้ ในอากาศมีออกซิเจนเป็นส่วนประกอบอยู่แล้ว แต่ระดับความเข้มข้นของออกซิเจนสำคัญมาก เมื่อความดันออกซิเจนสูงกว่าครึ่งหนึ่งของความดันบรรยากาศ จะเริ่มเป็นพิษกับเซลล์ในร่างกาย หากอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีความกดอากาศสูง ปกติมนุษย์เราจะมีชีวิตอยู่ได้มากที่สุด 24 ชั่วโมง แต่เมื่อในออกซิเจนมีค่าความกดอากาศอยู่ที่ 0.3 Mpa เพียงไม่กี่นาทีก็ทำให้คนตายได้แล้ว”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ผู้ป่วยทุกคนก็สับสน!
มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ
พวกเขาคิดว่ายิ่งออกซิเจนมากก็ยิ่งดีซะอีก!
ตอนนี้ดูแล้วคงไม่ใช่เช่นนั้น หากออกซิเจนเป็นพิษ…ต่อไปหากออกจากบ้านจะต้องอุดจมูกไว้บ้าง…
จางซูเห็นดังนั้นก็รีบอธิบายต่อไป “แน่นอนว่าการที่หมอให้พวกคุณสูดออกซิเจนที่มีค่าการไหลเวียนต่ำอย่างต่อเนื่องจะเป็นประโยชน์กับอาการป่วยของพวกคุณ! ดังนั้นเครื่องพวกนี้จะปรับเองไม่ได้ ไม่งั้นหากเกิดปัญหาขึ้นมา ไม่ว่าใครก็ช่วยพวกคุณไม่ได้แน่!”
เถียนชงถูกคำพูดนี้ของจางซูทำเอาขวัญหนีดีฝ่อไปแล้วจริงๆ!
ออกซิเจนเป็นพิษได้จริงๆ สินะ
“หมอ…อาการของแม่ผมเป็นยังไงบ้างครับ สาหัสหรือเปล่า” เถียนชงถามอย่างระมัดระวัง
จางซูส่ายหน้า “ไม่ร้ายแรงมากค่ะ แม่ของคุณมีอาการออกซิเจนในสมองเป็นพิษ อาการที่สำคัญซึ่งแสดงออกมาให้เห็นก็คือการชักและกล้ามเนื้อกระตุก แต่โชคดีที่ตอนนี้แม่ของคุณเพิ่งจะแสดงอาการขั้นต้น ไม่มีปัญหามาก และดีที่รู้ตัวเร็ว ไม่งั้นหากอาการพัฒนาไปถึงระยะสุดท้ายจนมีอาการชักและสติพร่าเลือนก็จะยุ่งยาก”
คำพูดนี้ทำให้เถียนชงหวาดกลัว!
ยังดี ยังดี ยังดีที่เจอเร็ว!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เถียนชงก็รีบโค้งตัวทำมุมเก้าสิบองศาเพื่อขอบคุณ “ขอบคุณมากจริงๆ ครับ หัวหน้าจาง! ขอบคุณคุณมากจริงๆ”
จางซูส่ายหน้า บอกไปว่า “หากอยากขอบคุณก็ขอบคุณหมอเฉินให้ดีเถอะค่ะ หากไม่ใช่เพราะเขา เป็นไปได้มากว่าอาการของคุณแม่คุณจะถูกยืดเยื้อออกไปอีกหลายนาที”
จางซูก็วินิจฉัยได้เช่นกัน แต่คงไม่เร็วขนาดนี้! ถึงอย่างไรเฉินชางก็ขึ้นชื่อเรื่องความเร็ว วินิจฉัยเร็ว เย็บเร็ว ผ่าตัดก็เร็ว แต่ในเวลาสั้นๆ แค่นี้ เขาถึงกับค้นพบอาการสำคัญของผู้ป่วยและหาสาเหตุของอาการออกมาได้ เป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมและน่ากลัวมากเลยจริงๆ ความรู้ความเข้าใจที่มีต่อวิชาชีพของเขาน่าอัศจรรย์มาก
“เขาตรวจพบระยะเริ่มต้นของอาการได้ทันเวลา จากนั้นก็เลือกใช้มาตรการที่เหมาะสมเพื่อดึงผู้ป่วยออกจากสภาพออกซิเจนสูงเกินกำหนด นี่เป็นสิ่งสำคัญที่จะป้องกันไม่ให้เกิดอาการชักจากออกซิเจนเป็นพิษ ดังนั้นหมอเฉินช่วยได้มากจริงๆ ค่ะ”
เถียนชงรีบพยักหน้า จากนั้นก็หันไปขอบคุณเฉินชาง!
ไม่นานก็ควบคุมอาการของผู้ป่วยได้
หากต้องการเปลี่ยนสภาพแวดล้อมที่เป็นพิษจะต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง แต่เนื่องจากอยู่ในระยะต้น ไม่ได้มีความรุนแรงมาก จึงกำจัดพิษออกไปได้อย่างรวดเร็ว
อาการของผู้ป่วยเสถียรแล้ว แต่มารดาของเถียนชงก็ยังถูกส่งตัวไปดูอาการที่ห้องสังเกตอาการ
การที่เธอถูกย้ายห้อง ทำให้คนเฒ่าคนแก่ในห้องผู้ป่วยรู้สึกทอดถอนใจ
“อา…ตามยุคสมัยไม่ทันจริงๆ”
“ใช่แล้ว ออกซิเจนก็เป็นพิษได้ด้วย พวกเราล้าหลังแล้ว…”
“คนเราแก่แล้วก็แก่เลย จะต้องฟังคำพูดของลูกหลานให้มาก อย่าได้สร้างความยากลำบากให้ลูกหลาน”
“ใช่แล้ว ตอนนี้พวกเด็กๆ เหนื่อยกว่าพวกเราในตอนแรกซะอีก หากพวกเราอยู่เฉยๆ ก็จะดีทุกเรื่องนั่นแหละ!”
……
ไม่มีใครตำหนิ ดูถูก หรือเหยียดหยามแม่ของเถียนชง เพียงแค่คิดว่าต้องระมัดระวังเรื่องการสูดออกซิเจนอะไรพวกนี้สักหน่อย นี่เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ หญิงคนหนึ่งเลี้ยงดูลูกสามคนจนเติบใหญ่ กว่าจะสร้างครอบครัว เป็นเรื่องยากลำบากขนาดไหนกัน
จะต้องประหยัดเงินทุกหยวน!
บางครั้งคนที่แอดมิทอยู่ห้องเดียวกันก็มักจะพูดคุยกันไปมาจนกลายเป็นเพื่อน หลังจากออกจากโรงพยาบาลแล้วก็ยังไปมาหาสู่กันอยู่บ่อยๆ นอกจากนี้ แม่ของเถียนชงไม่รู้เรื่อง แล้วพวกเขารู้เรื่องหรืออย่างไร
ก็ไม่รู้เรื่องเหมือนกันนั่นแหละ!
หากไม่ใช่เพราะเรื่องของเธอ พวกเขาจะทำแบบนี้หรือเปล่า
แผ่นดินกว้างใหญ่ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็มีทั้งนั้น!
เฉินชางเพิ่งจะเดินออกมาจากห้องผู้ป่วยก็เห็นจางซูกำลังมองตนด้วยสีหน้าแปลกๆ
เฉินชางชะงักไปเล็กน้อย “อาจารย์จาง…สีหน้าผมแย่มากเลยเหรอครับ”
จางซูชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็ยิ้มออกมา “เสี่ยวเฉิน ฉันว่าเธอเหมาะสมที่จะเป็นหมอจริงๆ เธอมีความสามารถในการสังเกตอันเฉียบคม มีความสามารถในการวินิจฉัยและพิจารณาข้อมูลอย่างมีตรรกะ จับจุดสำคัญของอาการผู้ป่วยได้ จากนั้นก็หาสาเหตุของอาการออกมาได้!”
“เธอไม่จำเป็นต้องถ่อมตัวขนาดนั้น นี่คือความจริง! ไม่เลวเลย”
พูดจบจางซูก็เดินออกไป
……
……
ตอนบ่าย เฉินชางเข้างานเช่นทุกวัน เมื่อเลิกงานแล้วก็จะไปที่โรงพยาบาลตงต้า ไปแสดงฝีมือ ทำภารกิจอันสั่นสะท้านให้สำเร็จ
ช่วงบ่ายเฉินชางไม่ได้ยุ่งมาก ฉินเยว่ก็ไม่ยุ่ง ทั้งสองจึงช่วยกันวิเคราะห์ข้อมูลการผ่าตัดไส้ติ่งแบบแผลเล็ก
ตอนนี้เฉินชางกำลังเตรียมเขียนวิทยานิพนธ์อยู่ ต้องบอกว่าการวิเคราะห์ข้อมูลของฉินเยว่ทำได้ครบถ้วนรอบด้านและละเอียดมากด้วย ข้อมูลที่เลือกมาวิเคราะห์ก็เลือกได้ดี เพียงแค่การวิเคราะห์ข้อมูลนี้ก็ทำให้วิทยานิพนธ์อยู่ในระดับมาตรฐานแล้ว!
เพียงแต่มาตรฐานเท่านี้ยังเติมเต็มความต้องการของเฉินชางไม่ได้ ถึงอย่างไรเขาก็ต้องเอาวิทยานิพนธ์ไปดึงดูดชายที่มีคะแนนอยู่ในมือทั้งหมดสิบห้าคะแนน
ทันใดนั้นเฉินชางก็รู้สึกว่าการมีหมาขี้ประจบอย่างฉินเยว่อยู่ด้วย ทำให้ตัวเองไม่ต้องแบ่งสมาธิไปเรียนคำนวณเพิ่มเติม ดีจริงๆ
ตอนนี้เอง อยู่ๆ พยาบาลน้อยก็เดินเข้ามาพูดยิ้มๆ ว่า “หมอฉิน มีใครบางคนมาขอเปลี่ยนยากับคุณค่ะ!”
ฉินเยว่ขมวดคิ้วแน่น “ให้เขาไปรอฉันที่ห้องตรวจเลยค่ะ ฉันจะไปเดี๋ยวนี้”
เฉินชางเกิดความสงสัยขึ้นมาทันที “ใครเหรอครับ”
พยาบาลน้อยหัวเราะออกมา “หมอเสี่ยวเฉิน คุณไม่รู้หรือคะ เขามาหลายครั้งแล้ว!”
เฉินชางชะงักไป “หมายความว่ายังไงครับ”
ฉินเยว่สีหน้าเปลี่ยนไปโดยพลัน “อย่าพูดจาไร้สาระน่ะ!”
พยาบาลน้อยแลบลิ้นออกมา
หลังจากฉินเยว่เดินออกไปแล้ว นางพยาบาลน้อยก็พูดต่อไปว่า “หมอเสี่ยวเฉิน คุณต้องพยายามหน่อยนะคะ! คนที่มาขอเปลี่ยนยากับหมอฉินยังหนุ่มอยู่เลย แถมยังหล่อมากด้วย ผิวขาวสะอาดสะอ้าน เพียงแต่เป็นแผลที่หน้า เวลามาเปลี่ยนยาก็มักจะระบุชื่อฉินเยว่ ทุกครั้งที่มาก็เอาผลไม้มาฝากหมอและพยาบาลด้วย”
พยาบาลน้อยยังพูดต่อไป “ชายคนนั้นดูแล้วอายุไม่มาก แต่ท่าทางมีเงิน มาโรงพยาบาลสองครั้งแล้วก็เปลี่ยนรถสปอร์ตที่ขับทุกครั้ง! คงจะเป็นทายาทเศรษฐีรุ่นที่สอง!”
เฉินชางชะงักไป เขาก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี!
นี่มันเกิดอะไรขึ้น
แต่ว่า…
“หมอเสี่ยวเฉิน คุณต้องพยายามนะคะ อย่าให้ดอกไม้งามแห่งแผนกของพวกเราถูกคนอื่นแย่งไปนะคะ!”
เฉินชางเกิดความรู้สึกหวาดระแวงขึ้นมาทันที! อยู่ๆ ก็รู้สึกหัวใจถูกบีบรัด
คู่ต่อสู้หรือ
ไม่ใช่!
ทำไมผมถึงมีความคิดแบบนี้นะ
กับฉินเยว่…ผมไม่ได้สนใจสักหน่อย
เฉินชางรู้สึกสงสัยขึ้นมาแล้ว คิดไปคิดมา อยู่ดีๆ ก็ทนความสงสัยในใจไม่ไหว อยากออกไปดูสักหน่อย
เพิ่งจะเดินออกไปก็เห็นใบหน้าอันคุ้นเคย!
โอ้ นี่ไม่ใช่ผู้ป่วยที่ผมเย็บแผลให้หรือ
บทที่ 339 เพื่อนร่วมชะตา
ตีสองครึ่ง เฉินชางนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ กำลังศึกษาคลิปวีดีโอที่ไม่มีโครงเรื่อง มีแต่มีด เลือด เนื้อและกระดูกอย่างที่ต้องการนำเสนอ
ไม่ทราบว่าผ่านไปนานเพียงใด ในที่สุดคลิปวีดีโอนานสามสิบกว่านาทีก็จบลง เห็นได้ชัดว่าเฉินชางกดกรอไปข้างหน้า เอาจริงๆ คลิปแบบนี้ใครจะไปดูทุกวินาทีบ้างล่ะ เรื่องเหนื่อยเกินไปไม่ต้องพูดถึง ที่สำคัญก็คือหากทำเช่นนั้นจะดูได้แค่ไม่กี่เรื่อง
เฉินชางบิดขี้เกียจ สูดหายใจลึก
สนุกจริงๆ!
การผ่าตัดในหนังทำได้ดีจริงๆ!
สิ่งเดียวที่บกพร่องก็คือหากจะการเข้าชมแบบ HD ต้องเสียค่าใช้จ่ายมากเกินไป
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เฉินชางก็รู้สึกปวดใจกับค่าซื้อแพ็คเกจของตนเล็กน้อย
โดยปกติแล้วเวลานี้จะมีความรู้สึกอยู่สองแบบ แบบแรกก็คือง่วงเกินไปอยากนอน อีกแบบหนึ่งก็คือหิวเกินไปอยากกิน
เฉินชางลุกขึ้นขยับร่างกาย การนั่งขลุกอยู่กับวิดีโอตลอดเวลาเช่นนี้ไม่ดีต่อสุขภาพเลยจริงๆ
ขยับเนื้อขยับตัวสักหน่อย เฉินชางตัดสินใจแล้วว่าถ้าไม่นอนก็จะสั่งอาหารมากิน
หลังจากเดินออกมาแล้วก็พบว่าพยาบาลน้อยตรงเคาน์เตอร์พยาบาลสองคนกำลังถ่ายคลิปลง TikTok กันอยู่ มีเสียงเคลื่อนไหวอันคุ้นเคยดังแว่วมาให้ได้ยิน ส่วนเหยียนหมิงไม่รู้ว่าไปนอนอยู่ที่ไหนตั้งนานแล้ว อย่างไรเสียอีกฝ่ายก็เลยช่วงวัยกลางคนไปแล้ว จึงต้องรักษาสุขภาพให้ดี
เฉินชางก็อยากกลับไปนอน แต่เมื่อคิดดูอีกครั้ง เขารู้สึกว่าเหยียนหมิงผู้นี้พึ่งพาไม่ได้ หากไปนอนแล้วมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นคงแย่แน่
ถ้างั้นก็หาของกินเถอะ
เฉินชางเดินออกมาจากห้องโถงของแผนกฉุกเฉิน หยุดยืนอยู่ตรงประตู สัมผัสถึงลมกลางคืนที่เป็นเอกลักษณ์ของฤดูร้อน มันคละเคล้าไปด้วยความเย็นจางๆ ซึ่งแตกต่างจากอุณหภูมิที่เกิดจากแอร์ของห้องผ่าตัด
ความรู้สึกเย็นสบายเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกว่านี่คือความจริง
เฉินชางสัมผัสถึงความรู้สึกโล่งๆ ที่ได้ออกมาจากท้อง
สั่งอาหารเดลิเวอรี่มากินดีไหมนะ
ในขณะที่เฉินชางกำลังลังเลตัดสินใจไม่ได้อยู่นั้นเอง จู่ๆ ฉางลี่น่าก็เดินออกมา
“ทำไมมาอยู่ข้างนอกล่ะคะ”
เฉินชางชะงักไป “ออกมาสูดอากาศครับ”
ฉางลี่น่าหยั่งเชิง “อยากกินมื้อดึกหน่อยไหมคะ เช่น…พวกเนื้อเสียบไม้อะไรแบบนี้”
คำพูดของฉางลี่น่าไปกระตุ้นต่อมจินตนาการด้านอาหารเลิศรสที่มีอยู่เพียงน้อยนิดของเฉินชางให้ตื่นขึ้น แม้ปากจะบอกว่าไม่ แต่มือกลับหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเปิดแอปเหม่ยถวนโดยไม่รู้ตัว
ตอนนี้เอง ดูเหมือนฉางลี่น่าจะวางแผนมาอย่างยาวนาน เธอเปิดแอปเหม่ยถวนของตัวเองขึ้นมาแล้วกล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “เฮ้อ แพงจริงๆ ร้านนี้มีคนแนะนำมา ราคาต่ำสุดก็สามสิบสี่สิบหยวนไปแล้ว แถมยังต้องมีค่าส่งอีกห้าหยวน”
คำพูดประโยคนี้ของฉางลี่น่าทำให้เฉินชางรู้สึกว่าอดทนไว้หน่อยก็ดี หากไม่กินจะประหยัดเงินไปได้ไม่น้อย
คิดได้ดังนั้นเฉินชางก็ยิ้มออกมา “ความจริงกินข้าวตอนนี้ก็ไม่ดีกับสุขภาพ งั้นผมไปนอนละ”
ฉางลี่น่ากล่าวลอยๆ ขึ้นมาประโยคหนึ่ง “เฮ้อ ฉันเคยบอกว่าจะส่งรูปฉินเยว่ให้คุณอีกนี่นา เฮ้อ…ไม่มีแรงเลย ทำไงดีนะ”
แม้จะเป็นคนแซ่เฉินที่แข็งแกร่งประดุจเหล็กกล้า ชั่วขณะนี้ก็ยังต้องหันมา “มาๆๆ ผมก็หิวเหมือนกัน พอดีเลย งั้นให้ผมเลี้ยงนะครับ คุณสั่งได้เลย”
ฉางลี่น่าได้ยินดังนั้นก็พูดขึ้นว่า “ฉันไม่ได้ขู่คุณนะคะ!”
เฉินชางตอบกลับไปอย่างชอบธรรมว่า “พวกเราเป็นเพื่อนร่วมชะตากันครับ”
จ่ายเงินไปห้าสิบกว่าหยวน ได้เทปันยากิมาสองที่ หมี่กึงย่างเจ็ดแปดไม้ อาหารว่างอย่างน้อยอีกสิบกว่าชนิด ค่อนข้างมากมายเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าแผนกฉุกเฉินจะมีความลึกลับที่ยังคงดำรงอยู่มาตลอดตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน นั่นก็คือ ยิ่งเป็นช่วงเวลาที่หลับลึกหรือเป็นช่วงเวลาอาหารเลิศรสโอชา ก็ยิ่งมีโอกาสที่ผู้ป่วยอันตรายจะปรากฏตัวออกมาได้มากขึ้นเท่านั้น!
หลังจากเฉินชางกินอิ่มแล้ว จู่ๆ ก็ถูกความง่วงเข้าจู่โจม
เฉินชางมองไปทางฉางลี่น่าแล้วกำชับว่า “ผมไปนอนก่อนนะครับ คุณช่วยดูหน่อย ถ้ามีอะไรก็ไปเรียกผมได้”
เฉินชางเดินไปที่ห้องเวรของแผนกฉุกเฉินฝ่ายศัลยกรรม จากนั้นก็ทิ้งตัวลงนอน ไม่ถึงสิบนาทีก็หลับไป
ฉางลี่น่าเป็นพยาบาลมานานแล้วย่อมมีประสบการณ์สูง เธอนั่งจัดการงานเบ็ดเตล็ดอยู่ที่เคาน์เตอร์ กำลังจัดการบันทึกการเปลี่ยนเวรให้เรียบร้อย
เวลาประมาณตีสามตีสี่ จู่ๆ ก็มีหญิงชราคนหนึ่งเดินเข้ามา
“พยาบาล คุณพยาบาลคะ!”
ฉางลี่น่าหันไป ว่ามีหญิงชราคนหนึ่งยืนอยู่ สีหน้าดูร้อนรน
หญิงชราคนนี้เป็นโรคหลอดลมอุดกั้นเรื้อรัง[1] เมื่อวานตอนบ่ายเธอก็มาแล้ว หลังจากได้รับการรักษาอาการก็ดีขึ้นมาก ฉางลี่น่าคิดว่าเธอไม่สบายจึงรีบถามว่า “คุณยายคะ เป็นอะไรหรือคะ”
หญิงชราคนนั้นรีบร้อนพูดขึ้นว่า “คือ ผู้ป่วยเตียงสิบสามที่อยู่ข้างฉันไม่รู้ว่าไปไหนแล้วค่ะ ออกไปครึ่งชั่วโมงแล้ว”
ฉางลี่น่าได้ยินดังนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไป รีบลุกขึ้นแล้ววิ่งไปยังห้องของผู้ป่วยเตียงสิบสามทันที
ปฏิกิริยาแรกของฉางลี่น่าก็คือนั่งลงบนพื้นแล้วมองไปใต้เตียง
ไม่อยู่!
จากนั้นก็รีบวิ่งไปยังห้องน้ำ แต่เมื่อผลักประตูก็พบว่ามีคนติดอยู่ในนั้น
ทันใดนั้นเองฉางลี่น่าก็ตะโกนว่า “หลัวกั๋วฮว๋าเตียงสิบสาม อยู่ด้านในหรือเปล่าคะ!”
ผู้ป่วยทั้งหกคนของห้องนี้พากันสะดุ้งตื่น
นี่เป็นห้องใหญ่ มีห้องน้ำห้องเดียว ดังนั้นเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูของฉางลี่น่าทุกคนก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาทันที
ผ่านไปนาน ฉางลี่น่าก็ยังไม่เห็นว่าด้านในจะมีปฏิกิริยาอะไร เธอออกแรงผลักประตูเข้าไปอย่างระมัดระวัง ทันใดนั้นก็พบว่าชายอายุหกสิบกว่าปีคนหนึ่งนอนอยู่บนพื้นด้านใน
ฉางลี่น่าสีหน้าเปลี่ยนไปทันที!
เตียงสิบสามเป็นผู้ป่วยแผนกฉุกเฉินฝ่ายอายุรกรรม ฉางลี่น่าจึงรีบวิ่งไปยังประตูห้องทำงานของเหยียนหมิงแล้วเริ่มเคาะประตูไม่หยุด
“หมอเหยียน หมอเหยียน!”
ปังๆๆ!
เคาะประตูไปหลายสิบครั้งแต่ประตูก็ไม่เห็นจะเปิดออก ฉางลี่น่ามีสีหน้าเปลี่ยนไป เธอรีบวิ่งไปยังห้องทำงานแผนกฉุกเฉินฝ่ายศัลยกรรม เพิ่งจะเคาะไปสองครั้งเฉินชางก็รีบพลิกตัวลงจากเตียงแล้วออกมาเปิดประตูทันที
“มีอะไรครับ” เฉินชางนวดตาตนเอง รู้สึกตาพร่าเล็กน้อย
ฉางลี่น่ารีบบอกไปตามตรง “ผู้ป่วยเตียงสิบสามหมดสติในห้องน้ำค่ะ”
เฉินชางไม่ค่อยรู้เรื่องผู้ป่วยเตียงสิบสามมากนัก แผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลอันดับสองแบ่งเป็นฝ่ายอายุรกรรมและศัลยกรรมอย่างชัดเจน ถึงแม้จะใช้เคาน์เตอร์พยาบาลเดียวกันและห้องฉุกเฉินเดียวกัน แต่ผู้ป่วยฝ่ายอายุรกรรมจำนวนมากก็อยู่ในความดูแลของหมอฝ่ายอายุรกรรม
มิเช่นนั้นคงไม่ต้องให้มีหมอเวรจากสองฝ่ายมาเข้าเวรร่วมกันหรอก
ที่หลี่เป่าซานคิดระบบเช่นนี้ขึ้นมาก็เพื่อให้ฝ่ายอายุรกรรมและฝ่ายศัลยกรรมร่วมมือกันในตอนที่มีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้น จะได้ช่วยกันจัดการเรื่องราวต่างๆ ในแผนกฉุกเฉินให้ดี
สิ่งที่เฉินชางรู้เกี่ยวกับผู้ป่วยมีจำกัด มีเพียงสิ่งที่ได้รู้มาจากการพูดคุยไม่กี่ประโยคตอนไปเดินตรวจเยี่ยมเมื่อครู่นี้ และข้อมูลที่จางซูบอกเอาไว้ตอนเปลี่ยนเวร มีเพียงเท่านี้เอง!
เฉินชางรีบวิ่งไปยังห้องผู้ป่วย ตอนนี้กางเกงของผู้ป่วยกองอยู่ที่หัวเข่า ศีรษะอยู่กับพื้น เป็นตายไม่แน่ชัด!
เฉินชางตกใจจนเหงื่อไหลท่วม!
ผู้ป่วยหัวใจวาย!
มีการถ่ายอุจจาระ!
ช็อคจนหมดสติ!
คำพูดเหล่านี้รวบรวมกันจนเกิดเป็นอาการที่น่าหวาดกลัวอย่างหนึ่ง เมื่อคิดถึงตรงนี้เฉินชางก็รีบเรียกพยาบาล “ช่วยกันหามผู้ป่วยออกมา!”
ฉางลี่น่าพยักหน้า เธอที่ผ่านสนามรบของแผนกฉุกเฉินมานานย่อมไม่คิดปฏิเสธ รีบเข้ามาช่วยเหลือทันที
ผ่านไปหนึ่งนาที ทั้งสองก็พยุงผู้ป่วยขึ้นเตียงได้สำเร็จ
ตอนนี้สมองของเฉินชางแจ่มชัดมาก “ไปห้องฉุกเฉิน!”
ฉางลี่น่าตามเฉินชางไป พยาบาลที่กำลังพักผ่อนถูกเรียกมาทั้งหมด แต่ดูเหมือนว่าหมอเหยียนหมิงที่เป็นหมอเวรจะไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย
ตอนนี้เฉินชางไม่สนใจเรื่องการแบ่งงานแบ่งภาระอะไรอีกแล้ว เขารีบพาผู้ป่วยไปที่ห้องฉุกเฉิน คิดว่าตรวจอาการของผู้ป่วยก่อนค่อยว่ากันเถอะ!
ห้องฉุกเฉินถูกจัดเตรียมอย่างรวดเร็ว
[1] โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (Chronic Obstructive Pulmonary Disease หรือ COPD) เป็นกลุ่มของโรคปอดอักเสบเรื้อรังที่พบได้บ่อยและเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตเป็นอันดับต้นๆ ของประชากรทั่วโลก ลักษณะสำคัญของโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังคือ หลอดลม เนื้อปอด และหลอดเลือดปอดเกิดการอักเสบเสียหายเนื่องจากได้รับแก๊สหรือสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองเป็นเวลานาน ส่งผลให้หลอดลมค่อยๆ ตีบแคบลงหรือถูกอุดกั้นโดยไม่อาจฟื้นคืนสู่สภาพปกติได้อีก