บทที่ 346 ถึงกับมาทำตัวเสแสร้งที่แผนกฉุกเฉินเชียว! ในมือใครบ้างไม่กุมชะตาชีวิตของคนอื่นไว้
เฉินชางยืนอยู่ตรงมุมกำแพงด้วยท่าทางลับลับๆ ล่อๆ ปรายตามองไปยังชายที่อยู่ในห้องตรวจ
ทันใดนั้นเขาก็ชะงักไปเล็กน้อย!
ไม่ใช่เด็กคนนั้นหรือ คนที่มาให้เขาเย็บแผลบนใบหน้าให้เมื่อหลายวันก่อนน่ะ ถึงกับมาขอเปลี่ยนยากับฉินเยว่เชียว เห็นได้ชัดว่าต้องการประกาศศึกสินะ
ผมควรก้าวออกไปเรียกร้องสิทธิ์ของตัวเองหรือเปล่า
เฉินชางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ขณะที่กำลังจะเดินออกไปก็ได้ยินเสียงโอดครวญดังแว่วมา
“ซี้ดๆ…โอ๊ยๆ เบาหน่อย เจ็บ!”
“โอ๊ย อะ…โอย เจ็บจัง…”
เฉินชางหยุดฝีเท้าลงทันที
อืม ไม่เลว!
ตนเองไปเปลี่ยนยาให้เขาไม่ได้ ต้องรู้ว่าการล้างแผลทำแผลของเขามีคุณสมบัติพิเศษ
คิดไปคิดมาเฉินชางก็รู้สึกว่าจะไปเอาเปรียบเด็กคนนี้ไม่ได้
คราวหน้าให้หวังเชียนมาช่วยเปลี่ยนยาเถอะ ให้เขาลงมือจะ ‘ปลอดภัย’ กว่า!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เฉินชางก็ตัดสินใจรอให้เปลี่ยนยาเสร็จก่อนแล้วค่อยหารือเรื่องนี้กับฉินเยว่อีกครั้ง
ขณะที่เฉินชางเตรียมจะเดินออกไปด้วยใจสงบ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงดังแว่วมาจากด้านใน!
“เสี่ยวเยว่ เลิกงานแล้วว่างหรือเปล่าครับ” ชายคนนั้นแสยะยิ้มถาม
ฉินเยว่ส่ายหน้า “ไม่ว่างค่ะ”
ชายคนนั้นได้ยินก็ลังเลครู่หนึ่ง “คุณมีอคติกับผมเหรอ”
ฉินเยว่ชะงักไปเล็กน้อย ฉันต้องมีอคติกับนายด้วยหรือไง
“คุณคิดมากไปแล้วค่ะ…” ฉินเยว่ยิ้มอย่างอึดอัด
อีกฝ่ายได้ยินมาถึงตรงนี้ ดวงตาก็จ้องมองตรงไปที่ฉินเยว่ พูดออกมาด้วยท่าทางไร้เดียงสาว่า “ถ้างั้นทำไมคุณถึงได้ปิดกั้นผมขนาดนี้ล่ะ ผมรู้สึกได้!”
ฉินเยว่ถูกท่าทางหลงตัวเองของอีกฝ่ายทำเอาขำแทบตาย!
คุณไปหาแฟนคลับคลั่งรักของคุณเถอะ ขับรถสปอร์ตวนรอบมหา’ ลัยจะดีกว่าหรือเปล่า
นี่ถึงกับขับมาถึงประตูโรงพยาบาลเพื่อมาแสดงความเสแสร้งเชียว…
ฉินเยว่อดยิ้มไม่ได้ “จางฝาน คุณคิดมากไปหรือเปล่าคะ ฉันไม่จำเป็นต้องปิดกั้นคุณเลย”
ชายคนนั้นมองฉินเยว่ตรงๆ แล้วพูดว่า “คุณพูดเองนะ! พรุ่งนี้เป็นวันสุดสัปดาห์แล้ว ผมได้ยินคุณอาบอกว่าคุณไม่ต้องทำงาน ไปด้วยกันนะ…”
ยิ่งพูดชายหนุ่มก็ยิ่งรู้สึกกระตือรือร้น
ฉินเยว่ไม่อยากพัวพันกับเขาจริงๆ เธอคิดว่าแผลบนใบหน้าเขาคงถูกสาวน้อยข่วนมาสินะ
เธอกับจางฝานรู้จักกันตั้งแต่เด็ก พ่อของเขาทำบริษัทยา ครอบครัวร่ำรวยมาก ทำธุรกิจกับโรงพยาบาลอันดับสองมาตลอด ดังนั้นทุกปีใหม่หรือเทศกาลก็จะมาเยี่ยมหาบ่อยๆ แต่จางฝานคนนี้ไม่ใช่คนดีอะไร เพื่อนของฉินเยว่เคยพูดกับเธอแล้วว่าให้อยู่ห่างเขาสักหน่อย
ฉินเยว่เห็นเขากระตือรือร้นขนาดนี้ก็พูดไปตามตรงว่า “เอาละ จางฝาน แผลหายแล้วลืมความเจ็บปวดหรือไงคะ ทำไมไปทำร้ายจิตใจสาวน้อยจนถูกข่วนแบบนี้ได้ล่ะคะ”
จางฝานเห็นฉินเยว่ถามเช่นนี้ก็อดพูดไม่ได้ว่า “เสี่ยวเยว่ คุณอย่าฟังคำพูดไร้สาระของคนอื่นนะ คนพวกนั้นอยากให้ผมมีเรื่อง ตอนนี้ผมพยายามทำงานอยู่ ฉินเยว่ พรุ่งนี้ผมจะพาคุณไปดูบริษัทของผม เป็นบริษัทสื่อบันเทิงสมัยใหม่…”
ฉินเยว่รีบหยุดไว้ทันที “พอๆๆ ฉันต้องเตรียมตัวสอบ ไม่มีเวลาไปดูบริษัทคุณหรอกค่ะ”
เดิมทีฉินเยว่ก็มีนิสัยตรงไปตรงมาอยู่แล้ว ไม่ชอบทำเป็นเล่น เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ของจางฝาน ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น “อีกอย่าง ถ้าฉันจะหาแฟนก็จะหาคนที่ทำอาชีพเดียวกัน หรือคนที่เรียนหมอ คุณอย่าคิดเพ้อเจ้อไปเลยค่ะ”
พูดจบฉินเยว่ก็ล้างมือ “นอกจากนี้แผลที่หน้าของคุณก็ไม่ต้องเปลี่ยนยาทุกวัน แล้วฝีมือของฉันก็มีจำกัด คุณไปให้หมอเฉินทำให้เถอะ คนที่ผ่าตัดให้คุณน่ะ คุณจะมาหาฉันทำไมคะ”
เฉินชางที่ยืนฟังอยู่ด้านนอกได้ยินดังนั้นก็ปลื้มปริ่มเหมือนกับได้กินน้ำผึ้ง!
ไม่สิๆ! ไม่ถูก!
จะพูดให้ถูกก็คือตอนนี้เฉินชางเหมือนผู้ป่วยน้ำตาลในเลือดต่ำที่จู่ๆ ก็ได้ยินคำพูดหวานหยดย้อยรัวๆ จนกระตุ้นค่าน้ำตาลในเลือดให้เพิ่มสูงขึ้น!
สบายไปทั้งตัว!
ขณะที่เฉินชางกำลังจะหมุนตัวเดินจากไปด้วยความพึงพอใจนั้น จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงดังแว่วมาจากข้างในว่า
“จางฝาน ทำอะไรน่ะ! ปล่อยฉันนะ!”
เสียงของฉินเยว่ดังแผ่วออกมา
จางฝานดึงแขนฉินเยว่เอาไว้ “เสี่ยวเยว่ พวกเรารู้จักกันมานานแล้ว ผม…ชอบคุณจริงๆ นะ! จริงๆ นะ แต่คุณไม่ให้โอกาสผมเลย ผม…”
เฉินชางสีหน้าเปลี่ยนไปทันที เขารีบพุ่งตัวเข้าไป อยากจะซัดหน้าจางฝานจริงๆ
แต่เมื่อเข้าไปแล้วก็พบว่าจางฝานล้มอยู่บนพื้น หลับตาปี๋ ส่วนฉินเยว่กำลังสะบัดแขน
ดูเหมือน…หมัดนี้ จะทำให้มือเจ็บไม่หยอกเลยนะครับ!
ฉินเยว่มองจางฝานด้วยใบหน้าโกรธเกรี้ยว “จางฝาน คุณทำแบบนี้ระวังฉันจะแจ้งตำรวจล่ะ จะบอกอะไรให้! ฉันไม่ใช่สาวน้อยในบริษัทสื่อบันเทิงของพวกคุณที่จะถูกท่าทางแบบนั้นของคุณหลอกได้! กลับไปแล้วฉันจะโทรหาพ่อของคุณแน่”
พูดจบฉินเยว่ก็หมุนตัวเดินไป
เฉินชางเห็นว่าฉินเยว่ไม่เป็นอะไรก็เดินออกไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แสร้งทำเป็นไม่เห็นอะไรทั้งนั้น แค่ฉินเยว่ไม่เป็นอะไรก็พอแล้ว
ความจริงตอนที่เฉินชางได้ยินเสียงฉินเยว่ร้องออกมา เขาก็รู้สึกเหมือนเลือดสูบฉีดไปถึงสมอง
ฉินเยว่ที่หันมากำลังจะเดินออกไป เห็นว่าเฉินชางเดินเข้ามาพอดี จู่ๆ ในใจก็เกิดความรู้สึกยินดีพลุ่งพล่าน ความพึงพอใจบางอย่างวิ่งไปถึงสมอง
แต่เธอทำตัวโง่ๆ เหมือนในละครด้วยการดึงเฉินชางเข้ามาแล้วแนะนำว่านี่คือแฟนของเธอไม่ได้หรอก ถ้าทำแบบนั้นจะเป็นการหาเรื่องให้เฉินชาง
คิดถึงตรงนี้ ฉินเยว่ก็จงใจถลึงตาใส่เฉินชาง “คุณว่างมากเหรอคะ”
เฉินชางกระแอมออกมา “อ้อ! ผมมาเอาไอโอดีน ห้องข้างๆ ไม่มีน่ะครับ!”
พูดจบเฉินชางก็หยิบขวดไอโอดีนขึ้นมาตามใจแล้วเดินออกไป
ฉินเยว่หัวเราะเสียงเย็นแต่ไม่ได้เปิดโปงเขา
เฉินชางปรายตามองไปยังจางฝานที่ล้มอยู่บนพื้น อยู่ดีๆ ก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาซะอย่างนั้น
มาเต๊าะสาวถึงแผนกฉุกเฉิน! ไม่รู้จักที่ตายเลยจริงๆ
ในมือของพวกเรา มีมือใครบ้างที่ไม่ได้กุมชะตาชีวิตของคนหลายคน
จิ๊ๆๆ
สมน้ำหน้าแล้ว…
คิดแล้วเฉินชางก็เดินออกไปด้วยใจอันปลื้มปริ่ม ยิ่งคิดถึงประโยคเมื่อครู่นี้ของฉินเยว่ที่บอกว่าจะหาแฟนเป็นคนร่วมอาชีพ เฉินชางก็ยิ่งรู้สึกกระตือรือร้น
ขอสลับฉากสักเล็กน้อย
หลังจากเฉินชางเลิกงานแล้วก็ตรงไปยังโรงพยาบาลตงต้าทันที ระหว่างเดินทาง เฉินชางก็ยิ่งรู้สึกว่าฉินเยว่ไม่เลวเลยจริงๆ
มีหลักการ!
มีไอคิว!
มีความน่าสนใจ!
อืม…
ที่สำคัญก็คือมีสายตาที่ดี รู้ว่าควรหาเพื่อนร่วมอาชีพเป็นสามี ใช่แล้ว โรงพยาบาลของเราผลิตเองขายเองแต่ก็ยังไม่พอ จะต้องปล่อยให้ไปอยู่ในมือคนอื่นด้วยหรือ
ไม่เหมาะ!
คิดถึงตรงนี้ ฝีเท้าของเฉินชางก็เบาสบายขึ้นเยอะ
……
……
เมื่อมาถึงแผนกศัลยกรรมหัวใจของโรงพยาบาลตงต้าแล้ว เฉินชางก็พบว่าประตูห้องหมอปิดอยู่ ดูเหมือนว่ายังไม่เลิกงาน ไม่รู้ว่าข้างในกำลังคุยเรื่องอะไรกันอยู่ เฉินชางเห็นดังนั้นก็ยืนรออยู่ตรงประตู
ดูเหมือนด้านในจะถกเถียงกันเรื่องเคสผู้ป่วยที่รักษายาก
เฉินชางก็อยากเข้าไปฟังด้วย แต่ถ้าเข้าไปตอนนี้จะเป็นการรบกวนการประชุมและดูไร้มารยาท อีกทั้งเขาก็ไม่ใช่หมอในแผนก หากเข้าไปคงกระอักกระอ่วนแย่
คิดไปคิดมา เฉินชางก็ตัดสินใจนั่งรออยู่ข้างนอก แต่ในตอนที่เฉินชางได้ยินเสียงอันแผ่วเบาดังแว่วมาจากข้างในก็ต้องชะงักไป!
“นี่เป็นการผ่าตัดเร่งด่วนที่ทำในห้องฉุกเฉิน ผมหวังว่าทุกคนจะใช้เรื่องนี้เป็นสิ่งเตือนใจ กำจัดความเย่อหยิ่งและนิสัยเอาตัวเองเป็นใหญ่ออกไปซะ!”
“คนอื่นเขาเป็นหมอแผนกฉุกเฉินคนหนึ่ง แต่ยังผ่าตัดโรคเลื่อนที่เกิดบริเวณถุงเยื่อหุ้มหัวใจได้ถึงขนาดนี้ แล้วพวกเราล่ะ พวกเราเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านศัลยกรรมหัวใจ…”
เฉินชางอดตะลึงไม่ได้จริงๆ!
ทำไมคำบรรยายของซย่าเกาเฟิงถึงได้ฟังคุ้นๆ แบบนี้นะ นี่หมายถึงตัวเองหรือเปล่า
บทที่ 340 คุณได้สติแล้วหรือ
ผู้ป่วยยังหัวใจเต้นอยู่ ลมหายใจอ่อนแรง แต่ตอนนี้สลบไปแล้วจึงไม่มีสติรับรู้
เฉินชางเรียกพยาบาลทันที “เตรียมเครื่องวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ติดต่อห้องไอซียูและแผนกอายุรกรรมหัวใจ รีบร้องขอการรักษาร่วมอย่างเร่งด่วน!
พยาบาลทุกคนรู้สึกราวกับอยู่ในสนามรบ พริบตาเดียวก็เข้าสู่โหมดการทำงานทั้งหมด
เฉินชางหันไปมองฉางลี่น่าแล้วพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “ไปเรียกเหยียนหมิงหน่อยครับ”
ฉางลี่น่าพยักหน้าแล้วรีบหมุนตัวเดินออกไปทันที
เหยียนหมิงคนนี้จะไร้ความรับผิดชอบเกินไปแล้ว
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เฉินชางก็อยากจะต่อยเขาสักหมัดจริงๆ
โง่อะไรอย่างนี้!
บอกให้ตรวจเยี่ยมผู้ป่วย เขาก็รู้ดีแก่ใจว่าต้องกำชับผู้ป่วยสักหลายประโยค แต่ก็ไม่ยอมตรวจ
ตอนนี้ดีแล้วไง!
……
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาระเบิดอารมณ์ การกู้ชีพทั้งหมดได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
“ใส่ท่อช่วยหายใจแล้วก็เชื่อมต่อกับเครื่องช่วยหายใจให้เรียบร้อย”
ตอนนี้เครื่องตรวจวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจส่งผลตรวจออกมาแล้ว เพิ่งจะเห็นผลที่ปรากฏ เฉินชางก็สับสนไปทันที
เมื่อครู่หัวใจยังเต้นอยู่เลย ทำไมตอนนี้ไม่มีแล้ว
เฉินชางตกใจแทบตาย
ทำไมอยู่ดีๆ หัวใจก็หยุดเต้น หรือจะช็อคเพราะโรคหัวใจ
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เฉินชางก็รู้สึกชาหนังหัวอย่างไม่มีสาเหตุ
อัตราการตายเพราะช็อกจากโรคหัวใจมีสูงมาก ตอนนี้เขาไม่เข้าใจสภาพแต่ละอย่างของผู้ป่วยเลย อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำได้ในตอนนี้ไม่ใช่อย่างอื่น แต่เป็นการกู้ชีพ!
เฉินชางมีเหงื่อออกเต็มหัว รีบหันไปพูดกับพยาบาลว่า
“อิพิเนฟริน[1]!”
“ดูดเสมหะ!”
พูดจบเฉินชางก็เริ่มทำ CPR ทันที
ผ่านไปครู่หนึ่ง อัตราการเต้นของหัวใจผู้ป่วยก็ยังไม่กลับมา ขณะนั้นจ้าวเจี้ยนไห่ หมอจากห้อง ICU ก็วิ่งเข้ามา เขามองสถานการณ์อย่างรวดเร็ว จากนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที “เตรียมเครื่องกระตุ้นหัวใจ!”
เฉินชางเห็นจ้าวเจี้ยนไห่ก็รีบพยักหน้า “อาจารย์จ้าว คุณมาแล้ว!”
จ้าวเจี้ยนไห่พยักหน้า “อืม!”
ทั้งสองรีบทำการกู้ภัยต่อไปทันที
ช็อตไฟฟ้า!
CPR!
ให้ออกซิเจน!
หลังจากดำเนินการกู้ชีพผ่านไปสองรอบ เหยียนหมิงถึงจะเดินหาวเข้ามายืนอยู่ข้างๆ จากนั้นก็มองทุกสิ่งทุกอย่างด้วยความตกตะลึง
ผู้ป่วยนอนอยู่บนเตียงกู้ชีพ ไม่ขยับเขยื้อน
เฉินชางกำลังกดหน้าอกเขา
สอดท่อช่วยหายใจเรียบร้อยแล้ว ต่อกับเครื่องช่วยหายใจแล้ว
พยาบาลคนหนึ่งรับผิดชอบเรื่องยา พยาบาลอีกคนหนึ่งรับผิดชอบดูดเสมหะ
เหยียนหมิงรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น พริบตานั้นเขาก็หน้าเปลี่ยนสี
ตอนนี้เฉินชางเหงื่อไหลจนชุ่มตัว ดีที่กินอะไรไปบ้างแล้วจึงทำให้มีเรี่ยวแรง มิฉะนั้นไม่รู้จริงๆ ว่าจะยืนหยัดทำ CPR มาได้นานขนาดนี้หรือไม่
เฉินชางหันไป เมื่อเห็นเหยียนหมิงก็ไม่สนใจจะตำหนิอะไรอีก “รีบติดต่อญาติผู้ป่วย!”
ฉางลี่น่าพยักหน้า รีบวิ่งออกไปใช้โทรศัพท์ที่เคาน์เตอร์พยาบาลอย่างเร่งร้อน ขณะเดียวกันพยาบาลน้อยอีกคนหนึ่งก็เชิญหมออายุรกรรมหัวใจมาได้แล้ว
เหยียนหมิงเห็นเฉินชางเหนื่อยจนทนไม่ไหวก็อดพูดไม่ได้ว่า “เดี๋ยวผมทำเอง คุณพักสักครู่เถอะ”
ดวงตาทั้งสองของเฉินชางแดงก่ำ การกู้ชีพดำเนินไปสิบกว่านาทีแล้วแต่ผู้ป่วยก็ยังไม่มีปฏิกิริยาใด เฉินชางไม่สบายใจจริงๆ
เมื่อได้ยินคำพูดของเหยียนหมิง เฉินชางก็ไม่ได้เงยหน้าขึ้น ยังคงกดหน้าอกผู้ป่วยต่อไป มีเพียงประโยคเดียวที่ถูกกล่าวออกมาพร้อมความโกรธเกรี้ยว!
“ไสหัวไปซะ!”
คำพูดประโยคเดียวที่แฝงเร้นไปด้วยความไม่พอใจทั้งหมดของเฉินชาง คำพูดเพียงประโยคเดียวที่แฝงไปด้วยความไม่ยินยอมพร้อมใจทั้งหมดของเฉินชาง
โธ่เว้ย คุณเป็นหมอนะ หมอแผนกฉุกเฉิน!
รู้จักอายบ้างหรือเปล่า
รู้จักความรับผิดชอบบ้างหรือเปล่า
ตอนนี้ฉางลี่น่าหยิบประวัติผู้ป่วยเข้ามา
“ผู้ป่วยเพศชาย อายุหกสิบสองปี มีอาการเจ็บหน้าอกหนึ่งชั่วโมงก่อนมาโรงพยาบาล ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจแล้ว ST-T มีการเปลี่ยนแปลงชัดเจน ตรวจเลือด cTn[2] แล้วพบว่าปกติ ผู้ป่วยมีประวัติความดันโลหิตสูง อาการเจ็บหน้าอกในครั้งนี้ถูกพิจารณาว่ามีโอกาสเป็นโรคในกลุ่มอาการหลอดเลือดหัวใจตีบมากที่สุด”
เฉินชางและจ้าวเจี้ยนไห่อดสบตากันไม่ได้
ชายชราเพศชาย มีอาการเจ็บหน้าอก สิ่งแรกที่ต้องพิจารณาควรเป็นอาการกล้ามเนื้อหัวใจตาย นี่เป็นแนวคิดของแผนกฉุกเฉินที่ปกติมาก
ผู้ป่วยมาแอดมิดนอนในโรงพยาบาลเพราะกังวลว่าจะเกิดอาการหัวใจวายเฉียบพลัน แม้ค่า cTn จะเป็นปกติ แต่ก็ยังไม่อาจตัดความเป็นไปได้นี้ออกไป
ตอนนี้ยังมาเกิดภาวะช็อกจากโรคหัวใจอีก…ผลลัพธ์เป็นอะไรที่ไม่ต้องพูดถึงเลยจริงๆ
ถ้าผู้ป่วยถูกวินิจฉัยจนมั่นใจแล้วว่ามีอาการกล้ามเนื้อหัวใจตาย อาการกล้ามเนื้อหัวใจตายรุนแรงจะทำให้การทำงานของหัวใจลดต่ำลงในพริบตา หัวใจสูบฉีดโลหิตไม่ได้ จากนั้นจะทำให้เกิดภาวะช็อกจากโรคหัวใจตามมา ซึ่งจะแสดงให้เห็นผ่านอาการต่างๆ เช่น ความดันโลหิตต่ำ หายใจลำบาก รู้สึกเหมือนกำลังจะตาย เป็นต้น
ในขณะเดียวกัน เมื่อเกิดภาวะช็อกจากโรคหัวใจ ในสิบคนจะมีโอกาสรอดหนึ่งตายเก้า!
ตอนนี้หัวใจของผู้ป่วยหยุดเต้นแล้ว
ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างกะทันหันเกินไป ทุกคนไม่ทันได้เตรียมตัวใดๆ
เฉินชางยังคงทำ CPR ให้ผู้ป่วยไม่หยุด ทุกสองสามนาทีที่ผ่านไปพยาบาลจะให้อิพิเนฟรินหนึ่งเข็ม แต่สิ่งที่ปรากฏบนเครื่องวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจก็ยังไม่มีความเปลี่ยนแปลง
หมอแผนกอายุรกรรมหัวใจมาแล้ว แต่ตอนนี้คงไม่มีประโยชน์อะไรอีก ทำได้เพียงมองดูจ้าวเจี้ยนไห่และเฉินชางกับเหล่าพยาบาลทำการกู้ชีพผู้ป่วยเต็มกำลัง!
ตอนนี้ญาติผู้ป่วยก็มาถึงแล้ว เป็นลูกชายหนึ่งคนและลูกสาวอีกสามคน พวกเขามารวมตัวกันอยู่นอกประตูห้องฉุกเฉิน ฉางลี่น่าอธิบายเรื่องอาการป่วยให้พวกเขาฟังแล้ว
ทั้งสี่กังวลใจจนอยู่ไม่สุข ในหมู่ลูกสาวสามคน คนที่อายุน้อยที่สุดอายุสี่สิบกว่าปีแล้ว ส่วนลูกชายคนที่อายุน้อยที่สุดในหมู่พี่น้อง เพิ่งจะสามสิบต้นๆ เท่านั้น
ตอนนี้ลูกชายยืนอยู่ตรงประตู ในดวงตาเต็มไปด้วยความหวัง ส่วนลูกสาวทั้งสามเริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้นแล้ว
……
……
ตอนนี้ภายในห้องผู้ป่วย จ้าวเจี้ยนไห่เงยหน้าขึ้นมองนาฬิกาบนกำแพง กู้ชีพมาสี่สิบนาทีแล้ว คาดว่าคงไม่มีหวังแล้ว
เขาอดทอดถอนใจออกมาไม่ได้ ดึงมือเฉินชางเอาไว้แล้วบอกไปว่า “พอแล้วครับ”
เมื่อเฉินชางได้ยินดังนั้นก็ยังไม่ยอมหยุด ยังคงกดหน้าอกต่อไป
แต่เขาก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง! ทำ CPR ต่อเนื่องสี่สิบกว่านาที ตอนนี้มือทั้งสองจึงสูญเสียความรู้สึกไปแล้ว ในตอนที่ได้ยินจ้าวเจี้ยนไห่พูดว่าพอแล้ว สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป เขารู้ดีว่านี่มันหมายถึงอะไร
หนึ่งชีวิตไหลผ่านไปแล้ว
ผู้คนล้วนกล่าวกันว่าแผนกฉุกเฉินเห็นการเกิดแก่เจ็บตายมากมาย แต่ในตอนที่ช่วงเวลาเหล่านั้นมาถึงจริงๆ ใครจะทำใจแข็งได้บ้าง
เฉินชางพบเจอการกู้ชีพล้มเหลวมามากมาย แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น ในขณะที่ชีวิตซึ่งอยู่ในมือตนกำลังหลุดลอยไป ความรู้สึกสิ้นไร้หนทางเช่นนั้นยากจะอธิบายจริงๆ!
คำว่าพอแล้ว ดูเหมือนจะเป็นคำพูดปกติ แต่สรุปแล้วก็คือ หมดหนทางแล้วจริงๆ
……
เฉินชางเดินเข้ามาใกล้ผู้ป่วย อีกฝ่ายหน้าเขียว ผิวหนังเริ่มม่วงไปทั้งตัว ร่างกายเย็นเฉียบ ม่านตาขยาย ประกายในดวงตามลายหายไป…ดูเหมือนว่าสัญญาณทุกอย่างจะแสดงถึงผลลัพธ์เพียงหนึ่งเดียว…
นี่คือคนที่ตายไปแล้ว
เฉินชางรู้สึกหมดสิ้นเรี่ยวแรง ตัวอ่อนยวบทรุดลงกับพื้น
จ้าวเจี้ยนไห่เดินออกไปด้านนอกแล้ว เขากำลังไปคุยกับญาติผู้ป่วย คาดว่าคงนำข่าวร้ายที่สุดไปแจ้งต่อพวกเขา
คาดว่าค่ำคืนนี้คงจะเป็นค่ำคืนที่ผ่านไปได้ยากเหลือเกิน
ตอนส่งมาที่โรงพยาบาล ผู้ป่วยยังดีๆ อยู่ แต่จู่ๆ ก็จากไปกะทันหัน ญาติผู้ป่วยจะต้องรับไม่ได้แน่นอน
แต่เรื่องเช่นนี้ก็ใช่ว่าจะมีน้อยเสียเมื่อไหร่
ใครจะไปคิดว่าผู้ป่วยจะหมดสติไปในห้องน้ำ
ใครจะไปคิดว่าผู้ป่วยมาถึงแผนกฉุกเฉินแล้วแต่กลับไม่มีคนคอยดูแล
ใครจะไปคิดว่า…
ไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึง!
ชีวิตคนเราก็อ่อนแอเช่นนี้เอง แต่ในฐานะที่เป็นบุคลากรทางการแพทย์ สิ่งที่ทำได้มีเพียงพยายามพูดคุยกับผู้ป่วยอย่างสุดความสามารถ ใคร่ครวญอาการของผู้ป่วยให้มากขึ้น
ผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเดิมทีก็เป็นอันตรายมากอยู่แล้ว จะต้องคอยกำชับดูแลทุกเวลา
เฉินชางลุกขึ้นยืน ใช้สองมือค้ำบนเตียง แต่แขนกลับไม่มั่นคงจนล้มลงกับพื้นอีกครั้ง
เหยียนหมิงยังไม่ได้ออกไป เขาไม่กล้าแม้แต่จะเดินออกไปด้วยซ้ำ เมื่อเห็นเฉินชางล้มลงก็รีบเข้ามาประคอง
ทันใดนั้นเฉินชางก็ซัดหมัดออกไปด้วยความโกรธเกรี้ยว! ปะทะลงบนใบหน้าของเหยียนหมิง!
“คุณแม่ง ไม่คู่ควรที่จะเป็นหมอเลยจริงๆ!”
ดวงตาทั้งสองของเฉินชางเต็มไปด้วยน้ำตา เขากำมือแน่น จ้องเหยียนหมิงเขม็ง “คุณสวมเสื้อกาวน์ตัวนี้ คิดว่าตัวเองคู่ควรแล้วเหรอ”
เหยียนหมิงเงียบไป ทรุดลงนั่งกับพื้น เลือดกำเดาไหลออกมา
เขาจะพูดอะไรได้
เขาไม่ได้เถียงด้วยซ้ำ
เถียงไปแล้วจะมีประโยชน์อะไร
บางทีเรื่องนี้อาจไม่เกี่ยวข้องกับเหยียนหมิงจริงๆ
แต่เขาทำหน้าที่ที่หมอคนหนึ่งพึงกระทำแล้วหรือเปล่า
[1] อิพิเนฟริน (Epinephrine) หรืออะดรีนาลีน (Adrenaline) เป็นยาที่ใช้ในกรณีฉุกเฉินทางการแพทย์ โดยมักใช้รักษาภาวะแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis) ที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตจากสาเหตุต่าง ๆ เช่น แมลงกัดต่อย แพ้อาหารและยา หรือสารชนิดอื่น รักษาภาวะช็อกหรือความดันโลหิตต่ำรุนแรง ใช้กระตุ้นการทำงานของหัวใจเมื่อหัวใจหยุดเต้น
[2] cTn (Cardiac troponins) เป็นกลุ่มโปรตีนที่พันอยู่กับเส้นใย Actin ของกล้ามเนื้อหัวใจ ทำหน้าที่ช่วยในการหดตัวของกล้ามเนื้อ ดังนั้นการตรวจ cTn ก็คือการตรวจโปรตีนในเลือดที่เป็นองค์ประกอบของกล้ามเนื้อหัวใจที่มีความจำเพาะต่อการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อหัวใจ ใช้เป็นตัวชี้วัดสุขภาพของกล้ามเนื้อหัวใจได้