บทที่ 363 สายโทรเข้าจากแผนกฉุกเฉิน
เมื่อเห็นจางฝานมีสีหน้าท่าทางราวกับกินขี้เข้าไปแต่หากจะคายก็รู้สึกเสียดายแบบนั้นแล้ว ฉินเยว่ก็แทบจะหัวเราะออกมา!
แต่จะให้หัวเราะต่อหน้าจางฝานก็รู้สึกเกรงใจ! ด้วยเหตุนี้จึงจูงมือเฉินชางเดินออกไปข้างนอก พอเดินออกมาแล้วฉินเยว่ก็ดีใจเป็นล้นพ้น!
“ฮ่าๆๆๆ…ขำจะตายอยู่แล้ว เสแสร้งแบบนี้จบไม่ดีจริงๆ ด้วย!”
ฉินเยว่หัวเราะจนตัวสั่น
ตอนนี้เป็นเวลาเกือบทุ่มหนึ่งแล้ว ทั้งคู่เรียกรถไปยังถนนคนเดิน
พวกเขากินขนมกันไปไม่น้อย จากนั้นเฉินชางก็ชวนไปโรงหนังต่อ
เฉินชางจำกลยุทธ์ได้อย่างหนึ่ง ว่ากันว่าหากพาแฟนมาโรงหนัง ทางที่ดีควรดูหนังอยู่สองประเภท ประเภทแรกก็คือหนังซึ้ง อีกประเภทก็คือหนังน่ากลัว
หนังซึ้งคือหนังประเภททำให้คนดูสะเทือนใจ
หนังน่ากลัวก็คือหนังทริลเลอร์
เฉินชางคิดว่าตัวเองมีอีคิวสูงพอสมควรจึงเลือกหนังรักที่มีฉากซึ้งๆ มาเรื่องหนึ่ง แต่ความจริงก็คือเขากลัวว่าหนังประเภททริลเลอร์จะทิ้งเงาแห่งความหวาดกลัวไว้ให้เขา หากเขาต้องอยู่เวรดึกแล้วตกใจอะไรขึ้นมาคงไม่ดีแน่
……
……
“คุณครับ กี่โมงแล้ว” ฉินเสี้ยวหยวนหันไปถามภรรยาด้วยท่าทางกระสับกระส่าย
จี้หรูอวิ๋นถูกเขากวนจนทนไม่ไหว “คุณไม่มีมือถือหรือไงคะ นี่ถามมากี่ครั้งแล้ว”
ฉินเสี้ยวหยวนมองเวลา “สามทุ่มครึ่งแล้ว ทำไมยังไม่มาอีก ผมร้อนใจจะตายแล้ว”
จี้หรูอวิ๋นมองฉินเสี้ยวหยวน “คุณไม่สบายหรือไง ลูกของพวกเราออกไปเดท คุณจะเร่งทำไมคะ ฉันว่าทางที่ดีคืนนี้ไม่ต้องกลับบ้านจะดีที่สุด! ทำให้ข้าวสารกลายเป็นข้าวสุกจะได้แต่งออกไปเร็วๆ หน่อย! ลูกเราก็ยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดแล้ว ถ้ายังหาแฟนไม่ได้อีกก็กลายเป็นสาวเทื้อกันพอดี!”
ขณะจี้หรูอวิ๋นพูดถึงฉินเยว่ก็ทั้งโกรธทั้งขำ “คุณว่าพวกเราแนะนำผู้ชายให้ลูกกี่คนแล้ว แต่ละคนฐานะทางบ้านก็ไม่ใช่ต่ำต้อย แต่เยว่เยว่ไม่ชอบ ตอนนี้ดีเลย ไม่ง่ายเลยกว่าลูกจะเจอคนถูกใจ แต่คุณกลับกลายเป็นแบบนี้ไปซะได้”
ฉินเสี้ยวหยวนถูกคำพูดของภรรยาทำเอาเสียขวัญไปหมดแล้ว!
เขาไม่รู้ว่าควรจะพูดเช่นไรดี แต่ว่า…จะสี่ทุ่มแล้ว เหล่าฉินเป็นห่วง กลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นหรือไม่
คิดแล้วฉินเสี้ยวหยวนก็ไม่วางใจ ด้วยเหตุนี้จึงดำเนินตามแผนการทันที!
……
……
ตอนนี้ภาพยนตร์ฉายมาถึงช่วงปลายแล้ว พระเอกและนางเอกฝ่าฟันอุปสรรคนานัปการ ในที่สุดก็ทิ้งคนรวยไปครองคู่กัน ทั่วทั้งโรงหนังเต็มไปด้วยเสียงสะอื้นและเสียงพึมพำ รวมไปถึงเสียงพูดคุยถกกันด้วยความแปลกใจ
ไม่กล่าวไม่ได้ว่าพล็อตที่ทิ้งคนมีเงินไปแต่งงานกับคนรักเช่นนี้ ทำให้ซาบซึ้งได้ไม่เลวเลยทีเดียว
พระเอกนางเอกก็ไม่เลวเลย ฉินเยว่ดูแล้วก็รู้สึกสะเทือนใจไปด้วย
เฉินชางและฉินเยว่จับมือกันแน่น ดวงตาจ้องมองไปที่อีกฝ่าย
แสงสีอันมืดสลัวในโรงหนัง เสียงเพลงซึ้งๆ ที่กำลังบรรเลง สิ่งเหล่านี้ทำให้ทั้งสองรู้สึกดำดิ่งไปกับความรักอย่างง่ายดาย พานให้เกิดสิ่งที่เรียกว่าแรงกระตุ้น
ใบหน้าของทั้งคู่ขยับเข้าหากัน เฉินชางกัดฟัน มองฉินเยว่ด้วยสายตาลึกซึ้ง เขาต้องการจุมพิต…
ฉินเยว่ตื่นเต้นแทบตายแล้ว เธอตื่นเต้นมากจริงๆ!
นี่เป็นจูบแรกของเธอ
เธอเคยคิดมาหลายครั้งแล้วว่าจูบแรกของเธอจะเกิดในสถานการณ์เช่นไร จะเกิดกับคนแบบไหน ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากับเฉินชาง เธอกลับรู้สึกว่าเป็นแบบนี้ก็ไม่เลวเลย
เธอสัมผัสได้ถึงลมหายใจของเฉินชางที่เริ่มขยับเข้ามาใกล้ ยามที่ลมหายใจของเขากระทบลงบนหน้า ทำให้เธอรู้สึกร้อนรุ่ม
ชั่วขณะนั้นฉินเยว่รู้สึกกังวล เคร่งเครียด ไม่สบายใจ และคาดหวัง!
เธอหลับตาลง รอคอยสิ่งที่จะมาถึงในอีกไม่นาน!
ความจริงเธอรอมาหลายปีแล้ว รอตั้งแต่อายุสิบเจ็ดที่ยังไม่รู้จักความรัก เป็นวัยที่เริ่มดูหนังโรแมนติก เมื่อเวลาผ่านไป คนรอบตัวก็พากันแต่งงานไปทีละคนสองคน บางคนก็หย่าร้าง
ชั่วขณะนี้ เธอรู้สึกราวกับเวลาหยุดเดิน
เธอเกือบจะได้รับสัมผัสอันอ่อนโยนของเฉินชางอยู่แล้วเชียว
แต่ในตอนนี้เอง! เสียงโทรศัพท์ก็ดังเสียดหู!
ฉินเยว่และเฉินชางชะงักไปทันที!
โทรศัพท์ของทั้งคู่ดังขึ้นพร้อมกัน
ทั้งสองสีหน้าเปลี่ยนไปโดยพลัน
แผนกฉุกเฉินหรือ
นี่มันจะไร้เหตุผลไปหรือเปล่า ทำไมถึงดังพร้อมกันได้ล่ะ
ต่อจากนั้นน่ะหรือ ก็กระอักกระอ่วนสิ!
รับโทรศัพท์เถอะ!
เฉินชางหยิบโทรศัพท์ออกมาคุยเสียงเบา
เพิ่งกดรับก็ได้ยินเสียงพยาบาลเวรดังขึ้นว่า “หมอเฉินคะ ตอนนี้แผนกฉุกเฉินมีผู้ป่วยคนหนึ่ง หมอหวังวินิจฉัยไม่ได้…ตอนนี้คุณสะดวกมาหรือเปล่าคะ”
เฉินชางชะงักไปแล้ว!
สะดวกหรือเปล่าน่ะหรือ
ดูเหมือนไม่ค่อยสะดวกนะ
วินิจฉัยไม่ได้ก็ส่งเรื่องขอรักษาร่วมสิ
ผมเฉินชางกลายเป็นคนที่แผนกขาดไม่ได้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
เฉินชางรู้สึกอยากบีบโทรศัพท์ให้ระเบิดจริงๆ แต่หนังก็จบแล้ว ไปดูหน่อยแล้วกัน
“สาหัสหรือเปล่าครับ”
พยาบาลขมวดคิ้ว “ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกันค่ะ…”
เฉินชางชะงักไป นี่มันจะไม่เป็นมืออาชีพเกินไปหรือเปล่า
ทางด้านฉินเยว่เมื่อรับโทรศัพท์แล้วก็พบว่าได้รับคำพูดแทบจะเหมือนกัน
ทั้งสองสบตากัน ตัดสินใจว่าจะไปดูเสียหน่อย
หากเทียบกับเฉินชางแล้ว คนที่เกรี้ยวกราดที่สุดต้องยกให้ฉินเยว่แน่นอน ทว่าตอนที่ได้ยินเสียงของพยาบาลเสี่ยวหลิน ฉินเยว่ก็รู้สึกสิ้นไร้หนทาง
ไม่ง่ายเลยกว่าการรอคอยของเธอจะมาถึง…
โกรธมาก!
ทำยังไงดี!
ฉินเยว่มองเฉินชางด้วยใบหน้าแดงก่ำ เฉินชางก็มีท่าทีกระอักกระอ่วน
ช่างเถอะ ช่างเถอะ!
ทั้งสองรีบออกไปเรียกรถ มุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาลอันดับสองทันที
บนรถ เฉินชางและฉินเยว่รู้สึกแปลกๆ พวกเขาได้รับโทรศัพท์จากแผนกฉุกเฉินอยู่บ่อยๆ แต่ครั้งนี้กลับรู้สึกเหมือนมีบางอย่างไม่ถูกต้อง แต่ไม่ถูกต้องอย่างไรก็บอกไม่ถูก
ทว่าตอนนี้ทั้งคู่จะยังมีอารมณ์มาจุ๊บๆ กันอีกที่ไหนล่ะ
ถึงอย่างไรพวกเขาก็แสร้งทำเป็นมีอารมณ์จุ๊บกันไม่ลงแล้ว
ตอนนี้ใจของฉินเยว่คิดหาวิธีมากมาย เธอต้องกลับไปหารือกับเหล่าฉินเรื่องย้ายตำแหน่งสักหน่อยแล้ว จะต้องย้ายไปแผนกที่สบายๆ หน่อย
จะเป็นแผนกศัลยกรรมก็ได้ แต่ต้องไม่ยุ่งเกินไป
เธอจะเอาอย่างคุณแม่ได้หรือเปล่านะ
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ฉินเยว่ก็ตัดสินใจแล้วว่าพอกลับถึงบ้านจะไปปรึกษากับคุณแม่สักหน่อยว่าจะทำให้ตนบรรลุเป้าหมายได้อย่างไร
รถคันนี้ขับค่อนข้างเร็ว เพียงไม่นานก็มาถึงหน้าประตูโรงพยาบาลแล้ว
เฉินชางและฉินเยว่รีบวิ่งไปยังห้องโถงของแผนกฉุกเฉิน พบว่าเสี่ยวหลินนั่งอยู่ตรงเคาน์เตอร์พยาบาลดูเหมือนกำลังเตรียมข้อมูลสำหรับแลกเวรวันต่อไปหรืออะไรบางอย่าง ส่วนพยาบาลน้อยที่อยู่ข้างๆ ก็กำลังยุ่งอยู่กับการจัดยา
นี่มันบรรยากาศฉุกเฉินบ้านไหนวะครับ
เฉินชางโกรธจนแทบกระอัก!
โอกาสที่สร้างมาอย่างยากลำบากถูกทำลายลงเช่นนี้น่ะหรือ
เฉินชางมองเสี่ยวหลิน “มีผู้ป่วยไม่ใช่หรือครับ เป็นยังไงบ้างครับ”
เสี่ยวหลินชะงักไป “อ๋อ ผู้ป่วยอยู่ในห้องหมอค่ะ หมอหวังกำลังวินิจฉัยอยู่ค่ะ เมื่อครู่มีผู้ป่วยที่ต้องเย็บแผลอยู่หลายคน หมอหวังยุ่งจนรับมือไม่ไหว แต่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ หรือเร่งด่วนอะไรมากมาย หมอหวังคงรู้สึกไม่ดีหากจะไปรบกวนหัวหน้าแผนก สุดท้ายก็ได้แต่โทรหาคุณกับหมอฉินเพราะพวกคุณสองคนอยู่แถวๆ นี้น่ะค่ะ”
อืม พวกเขาฝืนรับข้ออ้างนี้อย่างไม่เต็มใจ!
เฉินชางและฉินเยว่เดินตรงไปที่ห้องหมอ เพิ่งจะเข้าไปในห้องพวกเขาสองคนก็ต้องหน้าเปลี่ยนสี เมื่อพบว่าขาของชายคนหนึ่งกลายเป็นสีม่วงดำไปแล้ว!
ตั้งแต่เข่าถึงข้อเท้า ทั้งสองด้านเป็นสีม่วงเล็กน้อย!
ที่แท้ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นหรอกเหรอเนี่ย
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เฉินชางก็เดินขึ้นหน้าไปด้วยใบหน้าเคร่งขรึมจริงจัง
บทที่ 357 ไม่รบกวนคุณจางแล้วครับ
จู่ๆ เฉินชางก็รู้สึกว่าการพาฉินเยว่มาดูห้องในวันนี้เป็นทางเลือกที่ฉลาดจริงๆ เพราะดูท่าทางเธอจะเข้าใจเรื่องนี้มากทีเดียว!
เธอพาเฉินชางเดินไปดูห้องกับพี่สาวฝ่ายขาย ฉินเยว่ถามคำถามละเอียดยิบ ตั้งแต่ค่าส่วนกลางน้ำไฟจนถึงร้านขายของก็ถามจนละเอียดถี่ถ้วน…อา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ถามได้ตรงจุด
เฉินชางเดินตามหลังฉินเยว่ อยู่ดีๆ ก็มีความรู้สึกเหมือนว่าฉินเยว่เป็นนายหญิงของบ้านอย่างไรอย่างนั้น เธอมีความรับผิดชอบสูงมาก รายละเอียดเกี่ยวกับห้องในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะแสงสว่าง น้ำไฟ หรือแปลนห้อง เธอก็จำได้ดี
นี่ทำให้เฉินชางซาบซึ้งมาก!
เฉินชางรู้สึกได้ว่าฉินเยว่ตั้งใจช่วยตนเลือกห้องจริงๆ ตั้งใจจนเฉินชางรู้สึกเหมือนว่าฉินเยว่กำลังเลือกห้องที่ตัวเองชอบอย่างไรอย่างนั้น
“ห้องนี้ ถ้าทำเป็นห้องนอนมาสเตอร์เรื่องแสงสว่างไม่ค่อยดีเลยค่ะ ฉันไม่ชอบ!”
“ห้องนี้ ถ้าเอามาทำเป็นห้องน้ำก็ไม่ค่อยเหมาะสม…”
“ฉันว่าห้องนี้ทำเป็นห้องหนังสือก็ได้นะคะ แต่ถ้าเป็นแบบนั้น…”
……
ตลอดทาง คำที่ฉินเยว่พูดมากที่สุดก็คือ ‘ฉันคิดว่า’ แต่นี่ไม่ได้ทำให้เฉินชางรู้สึกอึดอัดเลยแม้แต่น้อย กลับร่าเริงเสียด้วยซ้ำ ความรู้สึกนี้ช่างแปลกประหลาดจริงๆ
เฉินชางอยากพูดอะไรบางอย่างแต่ก็พูดไม่ออก ดูเหมือนฉินเยว่จะมีความสุขกับขั้นตอนการเลือกห้องเป็นอย่างยิ่ง เธอลากเฉินชางไปยังห้องต่างๆ พลางกล่าวเสนอแนะ
“วางโซฟาตรงนี้ตัวหนึ่ง ตรงนี้ก็ปูเสื่อทาทามิ สร้างเป็นห้องชาขนาดเล็ก คั่นด้วยประตูบานเลื่อน…”
“คุณดูสิคะ ความจริงระเบียงตรงนี้สร้างเป็นห้องหนังสือได้ห้องหนึ่งเลย…”
……
ดูเหมือนฉินเยว่จะมีเซ้นส์ในเรื่องการแต่งห้องอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าเป็นไปตามความคิดของเธอ หรือเป็นแบบที่เธอชอบกันแน่ เฉินชางคิดว่าเธอเป็นคนที่รู้จักใช้ชีวิตคนหนึ่งเลยทีเดียว
จะอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่าคนที่ตอนทำงานดูตั้งใจและพยายามขนาดนั้น พอเป็นเรื่องการใช้ชีวิตจะกลายเป็นสาวน้อยได้ขนาดนี้ รู้สึกว่าเธอเต็มไปด้วยจินตนาการมากมาย
เฉินชางมองฉินเยว่ในชุดเดรสเดินไปเดินมาอยู่ในห้อง บ้างก็เดินออกไปรับแสงแดด จู่ๆ ก็รู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างช่างงดงามเหลือเกิน
ดูเหมือนพี่สาวฝ่ายขายทุกคนจะเห็นทั้งสองเป็นว่าที่สามีภรรยาที่กำลังจะแต่งงานกันไปเสียแล้ว แรกๆ เฉินชางยังอธิบายเพื่อแก้ตัวอยู่บ้าง แต่สุดท้ายก็ไม่พูดอะไรอีก จะอย่างไรก็เหมือนที่พนักงานขายเหล่านั้นกล่าว ‘นอกจากพี่สาวฝ่ายขายแล้วก็ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนมาดูห้องเป็นเพื่อนผู้ชายอย่างจริงจังขนาดนี้เลยนะคะ!’
นี่ทำให้เฉินชางหน้าแดงก่ำอย่างไม่อาจควบคุม
……
……
การดูห้องครั้งแรกของเฉินชางไม่ได้ทำให้เขาเหนื่อยมากนัก กลับกัน เขารู้สึกเบิกบานใจด้วยซ้ำ ห้องอันว่างเปล่าทุกห้อง เมื่อถูกฉินเยว่บรรยายแต่งแต้มออกมาก็ทำให้มีสีสันขึ้นมาก เมื่อเพิ่มเครื่องเรือนแต่ละอย่างเข้าไปก็กลายเป็นบ้านได้จริงๆ
ความรู้สึกนี้ช่างอัศจรรย์
เฉินชางมองฉินเยว่ จู่ๆ ก็คิดในใจว่า ไม่ใช่ว่าตนชอบผู้หญิงคนนี้ไปแล้วหรอกนะ
คิดแล้วเฉินชางก็ใจเต้นแรง ต่อมาเขาก็รู้สึกว่าเวลาแต่ละนาทีและวินาทีที่ผ่านไปช่างล้ำค่ายิ่งนัก
ฉินเยว่มองตัวเองเป็นนายหญิงของบ้านไปแล้วจริงๆ เธอพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อผลประโยชน์ที่ดีที่สุด ไม่ทราบว่าผ่านไปแล้วกี่ห้อง ถึงอย่างไร…ตอนนี้ก็เป็นเวลาเที่ยงครึ่งแล้ว หากท้องฉินเยว่ไม่ส่งเสียงร้องออกมา คาดว่าทั้งสองคงไม่รู้สึกเหนื่อย
เฉินชางเกรงอกเกรงใจขึ้นมาแล้ว “ฉินเยว่ พวกเราไปกินข้าวกันก่อนเถอะครับ พักสักหน่อย อีกเดี๋ยวค่อยมาดู”
ฉินเยว่พยักหน้า เงยหน้ายิ้มให้ท้องฟ้า ไม่มีความรู้สึกเหน็ดเหนื่อย หรืออ่อนล้าแม้แต่น้อย กลับเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น เธอหัวเราะออกมาแล้วพูดว่า “วันนี้คุณจะพาฉันไปกินอะไรคะ”
เฉินชางอดพูดไม่ได้ว่า “คุณเลือกเลยครับ วันนี้คุณช่วยผมได้เยอะเลย ผมว่าผมพาคุณมาด้วยแบบนี้เป็นตัวเลือกที่ฉลาดมากจริงๆ คุณเก่งมาก รู้ทุกเรื่องเลย ถ้าไม่มีคุณ ผมคงมึนๆ งงๆ อยู่เลยครับ”
ฉินเยว่ตบหน้าอก “ใช่แล้ว ก่อนหน้านี้ฉันอยากเป็นสถาปนิกค่ะ อยากเป็นมัณฑนากร”
เฉินชางยิ้ม “ถ้างั้นต่อไปคุณก็มาแต่งห้องให้ผมดีไหมครับ”
ฉินเยว่ได้ยินดังนั้นก็พูดยิ้มๆ ว่า “ให้ฉันแต่งห้องให้แบบนี้ คุณไม่กลัวแฟนคุณไม่พอใจหรอคะ”
เฉินชางยิ้มบาง พูดด้วยท่าทางครุ่นคิดว่า “เธอน่าจะชอบนะครับ”
ฉินเยว่ไม่ได้พูดอะไร แต่ในใจกลับรู้สึกอิ่มเอม
……
ทั้งสองเดินไปคุยไป คุยเรื่องการแต่งห้องบ้าง คุยเรื่องการเลือกเฟอร์นิเจอร์บ้าง แถวนี้ไม่มีร้านอาหาร จึงต้องเดินไปค่อนข้างไกล
ตอนนี้เอง เมื่อเงยหน้ามองไปก็พบว่ามีชายหญิงคู่หนึ่งกำลังจูงมือเดินสวนมา
เฉินชางชะงักไป อดยิ้มขึ้นมาไม่ได้
คนคุ้นเคยนี่เอง!
นั่นมันไอ้หนุ่มที่มาเย็บหน้านี่นา
ผู้ชายจูงมือผู้หญิงที่แต่งตัวตามแฟชั่นมาอย่างสนิทสนม
เฉินชางส่ายหน้า ชีวิตของคนมีเงินนี่มันแตกต่างกันจริงๆ สองวันก่อนยังพูดอยู่เลยว่าจะปรับปรุงตัวเป็นคนใหม่เพื่อตามจีบฉินเยว่ ตอนนี้อยู่ดีๆ ก็เปลี่ยนผู้หญิงคนใหม่แล้ว!
อ๊าก อิจฉา!
ฉินเยว่ก็เห็นเข้าพอดี เธอแค่นเสียงเย็นในใจ จางฝานคนนี้เปลี่ยนสันดานไม่ได้จริงๆ เพิ่งมาสารภาพรักกับตน ไม่ทันไรก็พาสาวคนใหม่มาดูห้องแล้ว
ใช้ได้นี่!
แม้กระนั้นฉินเยว่ก็ไม่ใส่ใจ เพราะอย่างไรนี่ก็ไม่เกี่ยวกับตน คนเขาจะเลือกใช้ชีวิตอย่างไรก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเธอ
ทว่าถึงฉินเยว่และเฉินชางจะคิดเช่นนี้ แต่จางฝานกลับไม่คิดด้วย!
เขาเงยหน้าขึ้น เพิ่งเห็นฉินเยว่และเฉินชางเดินเคียงคู่กันมา ทันใดนั้นก็ตกใจจนตาค้าง สีหน้าแปรเปลี่ยนไปโดยพลัน รีบปล่อยมือผู้หญิงของตนแล้วเดินเข้ามาอย่างเร่งร้อนก่อนกล่าวว่า “เสี่ยวเยว่ บังเอิญจังเลยนะครับ!”
ฉินเยว่พยักหน้ายิ้มๆ ไม่ได้สนใจอะไรมาก แต่ก็ยังตอบกลับไป “บังเอิญจริงๆ ค่ะ!”
จางฝานมองเฉินชางแล้วชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็ดึงสายตากลับมาที่ฉินเยว่ “คุณมาดูห้องหรือครับ”
ฉินเยว่ส่ายหน้า “ฉันมาดูห้องเป็นเพื่อนเขาค่ะ”
จางฝานชะงักไปก่อนจะยิ้มออกมา แสร้งทำเป็นพูดอย่างใจกว้างว่า “หมอเฉินจะซื้อห้องเหรอครับ จะซื้อขนาดเท่าไหร่ครับ ผมมีเพื่อนเป็นผู้จัดการอยู่ที่นี่ บางทีอาจขอโปรโมชั่นให้คุณได้นะครับ”
เฉินชางได้ยินดังนั้นก็ส่ายหน้า “ไม่รบกวนดีกว่าครับ ผมมาดูคร่าวๆ น่ะครับ ไม่ได้รีบซื้อ”
เขาไม่มีความประทับใจดีๆ กับจางฝานเลยแม้แต่น้อย ตอนนี้ที่อีกฝ่ายพูดเช่นนี้ออกมาก็เพราะอยากเสแสร้งแกล้งทำเป็นคนดีต่อหน้าฉินเยว่เท่านั้นแหละ ซึ่งเฉินชางไม่ให้โอกาสเขาได้ทำแน่นอน
แต่ฉินเยว่ไม่คิดเช่นนั้น! เธอหัวเราะออกมาทันที “อ้อ ถ้าบอกชื่อคุณไปจะได้ลดกี่เปอร์เซ็นต์เหรอคะ”
จางฝานชะงักไป คุณคิดว่าซื้อเสื้อผ้าอยู่หรือไงถึงถามว่าลดกี่เปอร์เซ็นต์…
อย่างไรก็ตาม จางฝานยังคงยิ้มบางๆ มองเฉินชางแล้วพูดว่า “อย่างอื่นผมไม่กล้าพูดหรอกครับ แต่ถ้าเป็นอพาร์ทเม้นท์ขนาดสองห้องทางฝั่งโน้น ผมคิดว่าเพื่อนผมมีอำนาจอยู่พอตัว เขาเป็นผู้ร่วมสร้างตึกนั้นน่ะครับ ถ้าหมอเฉินจะซื้อ ผมว่าซื้อห้องราคาประหยัดที่ใช้งานสะดวกก่อนดีกว่า ห้องชุดขนาดเล็กแบบนี้ออกจะเกินตัวไปหน่อยนะครับ อีกอย่างห้องทางนั้นราคาค่อนข้างสูงเลยนะครับ”
จางฝานพูดเหมือนเกรงใจ แต่ความจริงไม่ได้มีความเกรงใจสักนิด
เฉินชางไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเขาอยู่แล้ว
แต่ว่า…เมื่อคิดดูอีกครั้ง จู่ๆ เขาก็ยื่นมือออกไปจูงมือฉินเยว่แล้วพูดว่า “ไปเถอะครับ พวกเราไปกินข้าวกันก่อนแล้วค่อยไปดูห้องกันต่อ เอ่อ…ไม่รบกวนคุณจางแล้วครับ”