บทที่ 364 ความแปลกประหลาดของแผนกฉุกเฉิน
เฉินชางรีบเดินเข้าไปที่ห้องหมอของแผนกฉุกเฉิน
หวังหย่งก็เพิ่งเข้ามา เมื่อเห็นขาทั้งสองของผู้ป่วยก็ชะงักไปเล็กน้อย
เป็นอะไรกันแน่
ตอนนี้ขาส่วนล่างของผู้ป่วยกลายเป็นสีม่วงปนดำไปแล้ว ราวกับมีก้อนเลือดตกตะกอนอยู่ในนั้น
หากมีลิ่มเลือดที่ขาก็อาจส่งผลกระทบกับระบบไหลเวียนโลหิต โดยลิ่มเลือดจะไปขัดขวางการไหลเวียนของเลือดจนทำให้ขากลายเป็นสีเขียวม่วง และอาจมีอาการบวม แต่ในกรณีนี้ นอกจากจะทำให้บริเวณขาสีคล้ำมากกว่าปกติแล้วก็จะไม่มีอาการผิดปกติอื่นๆ
หรือจะถูกพิษไนเตรท
หากถูกพิษไนเตรทจะทำให้ฮีโมโกลบินสูญเสียความสามารถในการอุ้มออกซิเจนจนทำให้เกิดภาวะขาดออกซิเจนในเลือด และส่งผลให้ร่างกายกลายเป็นสีม่วงเขียว แต่การถูกพิษไนเตรทนั้นไม่ได้ส่งผลเฉพาะจุดแต่จะส่งผลให้มีอาการทั้งร่างกาย
ตอนนี้มีเพียงขาส่วนล่างของผู้ป่วยที่เริ่มกลายเป็นสีม่วง คงไม่ใช่แน่!
นี่เป็นการวินิจฉัยของเฉินชางหลังจากได้เห็นสภาพของผู้ป่วย!
สำหรับหมอคนหนึ่งแล้ว ประสบการณ์ทางคลินิกที่ยาวนานจะช่วยบ่มเพาะให้พวกเขามีดวงตาอันเฉียบแหลม แม้กระนั้น การวินิจฉัยอาการจะใช้เพียงดวงตาอย่างเดียวไม่ได้ จะต้องอาศัยการพิจารณาข้อมูลโดยรวม การซักถามประวัติอาการป่วยอย่างละเอียด การถามสาเหตุของอาการ รวมไปถึงพัฒนาการของอาการอีกด้วย หากจำเป็นก็ต้องให้ผู้ป่วยเข้ารับการตรวจสอบแต่ละอย่างถึงจะทราบ
ผู้ป่วยเป็นผู้ชายอายุไม่มาก ประมาณสามสิบกว่าปี เห็นได้ชัดว่าตอนนี้เขากำลังวิตกกังวล
“หมอครับ วันนี้ผมไปเตะบอลมา เสร็จแล้วก็ไปอาบน้ำ อยู่ดีๆ ขาทั้งสองก็กลายเป็นสีม่วง คุณช่วยตรวจด้วยนะครับ!”
ผู้ป่วยชายอยู่ในอาการตื่นตระหนก มองขาทั้งสองของตนด้วยอาการตื่นตกใจ
เฉินชางอดถามไม่ได้ว่า “เจ็บไหมครับ”
เขาพยักหน้า “ครับ! ตอนแรกไม่เจ็บ แต่ว่าตอนนี้…เจ็บนิดหน่อย ผมได้รับบาดเจ็บหรือเปล่าครับ ตอนผมเพิ่งเตะบอลเสร็จยังไม่รู้สึกเลยครับ แต่ต่อมาตอนไปอาบน้ำกับเพื่อนๆ พวกเขาบอกผม ผมถึงค่อยรู้ตัว ตอนนั้นก็เริ่มรู้สึกเจ็บแล้ว ผมกำลังคิดว่าผมได้รับบาดเจ็บตอนออกกำลังกายแต่ไม่รู้ตัวหรือเปล่าน่ะครับ หลังจากผมพักไปแป๊บหนึ่งก็รู้สึกแปลกๆ แถวเส้นประสาท ผมคิดว่าตอนนั้นเส้นประสาทค่อนข้างตึง เลยไม่มีปฏิกิริยาอะไร…”
ชายคนนั้นอธิบาย ทำให้ทุกคนชะงักไปเล็กน้อย!
ชายคนนั้นขมวดคิ้ว “แล้วก็คันนิดหน่อยด้วยครับ! ไม่รู้ว่าเป็นอะไร!”
หวังหย่งเห็นเฉินชางและฉินเยว่เดินเข้ามาก็พยักหน้าทักทาย
หวังหย่งมองขาของผู้ป่วยแล้วลองกดดูแต่ก็ไม่พบอะไรผิดปกติ ดังนั้นจึงถามต่อไป “ตอนนี้เจ็บหรือเปล่าครับ”
ชายคนนั้นลองคลำดูแล้วเงียบไปครู่หนึ่ง “ผมก็ไม่แน่ใจครับ ดูเหมือนจะเจ็บแต่ก็เหมือนไม่เจ็บ! ตอนนี้ผมไม่แน่ใจเลย”
คำตอบของเขาฟังดูคลุมเครือ
“แต่มันคันนิดหน่อยแน่ๆ!”
พูดจบเขาก็มีสีหน้ากังวล จากนั้นจึงถามด้วยใบหน้าเคร่งเครียด “หมอครับ มีอะไรไปอุดตันในเส้นเลือดผมหรือเปล่า ระหว่างเดินทางมาโรงพยาบาลเพื่อนผมลองเสิร์ชดูแล้ว เห็นว่าถ้ามีอะไรไปอุดตันในเส้นเลือดจะมีสภาพแบบนี้ ถ้าไม่ทำให้เลือดไหลเวียนเป็นปกติเร็วๆ อาจจะทำให้ขาตายได้!”
ชายคนนั้นพูดด้วยความหวาดกลัว เขาลองดูรูปภาพในอินเตอร์เน็ตแล้วพบว่าภาพเหล่านั้นคล้ายกับที่เขาเป็น ในนั้นเรียกว่าอาการลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำ หรือลิ่มเลือดอุดตันบริเวณขาอะไรนี่แหละ หากรักษาไม่ดี…อาจต้องตัดขาทิ้ง!
เมื่อพูดออกมาเช่นนี้แล้ว เขาก็มีท่าทีกังวล “ผมได้ยินว่าอาจเป็นเพราะออกกำลังกายหนักเกินไป ทำให้เอ็มโบลัส[1](embolus) ในร่างกายไม่เสถียร พอมันเดินทางไปถึงหลอดเลือดที่ขาก็จะเกิดการอุดตัน ทำให้เกิดอาการแบบนี้”
ชายคนนั้นพูดจาราวกับผู้เเชี่ยวชาญ กลับเป็นหวังหย่งที่ดูเหมือนเป็นคนนอกวงการแพทย์ เกือบถูกชายคนนั้นโน้มน้าวไปแล้ว
เพียงแต่…
ฉินเยว่มองดูขาของชายคนนั้นพบว่าไม่เหมือนอาการป่วย เพราะว่า…ส่วนที่เป็นสีดำสีเขียวสีม่วงบริเวณขาทั้งสองดูเหมือนจะมีรูปแบบตายตัวเกินไปหน่อย ขอบสีบริเวณขาด้านล่างก็ดูชัดเจน ขอบมันชัดเกินไป…เหมือนกับ…เหมือนกับใส่เลกกิ้งหรือถุงเท้าฟุตบอลอย่างไรอย่างนั้น
ฉินเยว่ถามด้วยท่าทางครุ่นคิด “ตอนบ่ายคุณสวมถุงเท้าหรือเปล่าคะ ถุงเท้าออกกำลังกายแบบรัดน่ะค่ะ”
ชายคนนั้นชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะกล่าวอย่างตกใจว่า “คุณทราบได้อย่างไรครับ”
ตอนเขาไปเตะบอลช่วงบ่าย เขาสวมถุงเท้าฟุตบอลแบบสูงกับเลกกิ้งไปด้วย ดังนั้นตอนเล่นบอลเขาวิ่งไปวิ่งมาก็ยังไม่รู้ตัว ต้องอาบน้ำก่อนถึงค่อยรู้ตัวว่ามีอาการนี้
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ฉินเยว่ก็เดินไปหยิบสบู่ข้างอ่างล้างมือแล้วเดินกลับมามาส่งสบู่ให้ชายคนนั้น “คุณลองล้างดูก่อนค่ะว่าล้างออกหรือเปล่า”
เขาชะงักไป ท่าทางตื่นตระหนก “คุณจะบอกว่า…สีตกหรือครับ”
ฉินเยว่ยิ้ม “คุณลองดูก่อนนะคะว่าล้างออกหรือเปล่า แล้วค่อยว่ากัน”
เมื่อเขาได้ยินดังนั้นก็คิดว่าอาจเป็นไปได้จึงลุกขึ้นไปข้างอ่างล้างมือแล้วออกแรงถูสบู่ จากนั้นก็ใช้น้ำล้างออก
ยังต้องพูดอะไรอีกล่ะ! สีจางลงเล็กน้อยจริงๆ
นี่ทำให้เขาทั้งดีใจและกระตือรือร้น “โอ้ ให้ตายเถอะ สีตกจริงๆ เหรอเนี่ย”
เมื่อกล่าวเช่นนี้ออกมาแล้ว ชายคนนั้นก็ขำคำพูดของตัวเอง เขาหยิบสบู่ขึ้นมาถูขาอีกข้างหนึ่ง เมื่อพบว่าทำให้สีจางลงได้จริงๆ ก็หัวเราะออกมา
“น่าอายจังเลยครับหมอ รบกวนพวกคุณแล้ว คงสีตกแหละครับ”
เมื่อพูดจบก็หยิบเลคกิ้งสำหรับออกกำลังกายทั้งสองข้างออกมาจากกระเป๋าที่สะพายไว้ด้านหลัง “ตอนบ่ายผมใส่ไอ้นี่ไปเตะบอล เพิ่งซื้อมาครับ! ผมคิดว่าวันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ เลยอยากสวมอุปกรณ์ชิ้นใหม่ไปเตะบอลสักหน่อย คิดไม่ถึงว่าสีจะตก! จะฮาเกินไปแล้ว”
ขณะพูดเขาก็รู้สึกไม่ดี
“ทำผมตกใจหมด ไป๋ตู้นะไป๋ตู้ นึกว่าจะต้องตัดขาซะแล้ว ตลกร้ายจริงๆ!”
เฉินชาง ฉินเยว่และหวังหย่งทนไม่ไหวจนต้องหัวเราะออกมา
ชายคนนั้นยิ้ม “อาบน้ำเสร็จผมค่อยรู้ตัว แล้วยังถูกเพื่อนๆ ขู่มาอีก รู้งี้ผมน่าจะขัดถูให้มากสักหน่อย อาจล้างจนสะอาดวิ้งเลยก็ได้!”
ฉินเยว่ยิ้ม “ไม่เป็นไรค่ะ รีบกลับเถอะ”
ชายคนนั้นยังคงรู้สึกอายตัวเอง เขาลุกขึ้นยืนเอ่ยลาแล้วกลับไป
แผนกฉุกเฉินมีเรื่องเช่นนี้ไม่น้อยเลยทีเดียว เรื่องสีตกแบบนี้ก็เห็นได้บ่อย ดังนั้นเมื่อเห็นแล้วฉินเยว่จึงรู้ตัวทันที แน่นอนว่าหวังหย่งก็พิจารณาถึงเรื่องนี้แล้วเพราะผู้ป่วยไม่มีอาการอื่นใด ทำให้เขาคิดถึงความเป็นไปได้อื่นๆ ไม่ออก
……
……
เรื่องเช่นนี้พบเห็นได้บ่อยมากและมีไม่น้อยเลยทีเดียว เฉินชางเคยเห็นเรื่องบ้าบอที่สุดก็ตอนที่เขาเป็นแพทย์อินเทิร์น ตอนนั้นเขาฝึกงานกับอาจารย์หมอผู้หญิงคนหนึ่งที่แผนกโรคผิวหนังและโรคติดต่อ
ตอนนั้นมีชายคนหนึ่งมาตรวจโรคถึงแผนกด้วยท่าทางเคร่งเครียด พอมาถึงก็เอะอะโวยวาย มีสีหน้าสับสน เฉินชางยังจำได้ดี
พอถามว่าเป็นอะไรมา ชายคนนั้นก็ตอบด้วยท่าทางอายๆ เขาคิดว่าตัวเองเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ บอกว่าส่วนนั้นของตนเป็นสีแดง!
หมอหญิงได้ฟังก็ให้ชายคนนั้นถอดกางเกงออกแล้วตรวจอย่างละเอียด
ยังจะพูดอะไรได้อีกล่ะ! เป็นเช่นนั้นจริงๆ
ส่วนนั้นของเขามีรอยสีแดงเป็นวงล้อมอยู่ด้านบน ที่สำคัญก็คือล้างไม่ออก ตอนนั้นผู้ป่วยตกใจมาก คิดว่าตนเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
ถึงอย่างไรก็มีรอยสีแดงที่ส่วนลับของตัวเอง ไม่ว่าใครก็ต้องกลัว!
ที่สำคัญก็คือระยะนี้ผู้ป่วยมีประสบการณ์ด้านนี้ค่อนข้างเยอะ ทั้งยังไม่ใช่ประสบการณ์ที่สะอาดสะอ้านนักเสียด้วย
ตอนนั้นผู้ป่วยตกใจจนเครียด
ในตอนที่หมอหญิงประจำหอผู้ป่วยนอกเห็นรอยสีแดงก็รู้สึกแปลกๆ จนเกิดความสงสัย
นี่ไม่เหมือนอาการป่วย ยิ่งไปกว่านั้น…สีก็ค่อนข้างผิดปกติ
หลังจากตรวจดูอย่างละเอียดแล้ว เธอก็คิดว่ามันดูเหมือนรอยลิปสติก
คิดไปคิดมาก็ถามออกมาประโยคหนึ่ง “เหมือนลิปสติกจูบไมหลุดเลยนะคะ”
ตอนนั้นหมอหญิงมีน้ำยาล้างเครื่องสำอางอยู่ในกระเป๋าพอดี เมื่อลองเช็ดดูพบว่ารอยหายไปจริงๆ
ทันใดนั้นผู้ป่วยชายก็มีท่าทางกระอักกระอ่วน ใบหน้าแดงก่ำ รีบดึงกางเกงขึ้นแล้ววิ่งออกไปทันที
แน่นอนว่าทิ้งเหตุการณ์แปลกประหลาดเอาไว้ด้วย เช่นว่ากางเกงในร่วง กางเกงในม้วนเป็นเกลียว…
สีตก! ตัวอย่างแบบนี้มีให้เห็นไม่น้อยเลย
แผนกฉุกเฉินเป็นแผนกจับฉ่ายที่มีผู้ป่วยมากมาย ไม่ว่าผู้ป่วยแบบไหนก็มีทั้งนั้น แต่ว่าบางครั้งหมออย่างพวกเขาไม่ได้กลัวผู้ป่วยน่าสงสัยแบบนี้ แต่กลัวผู้ป่วยที่คิดไปเองมากกว่า คนพวกนี้จะคิดไปเองว่าตัวเองไม่เป็นอะไร พอเป็นอะไรขึ้นมาถึงค่อยรู้ตัว ตอนนั้นก็สายเกินไป
ดังนั้นจะต้องให้ความสำคัญกับร่างกายตัวเองมากๆ
[1] เอ็มโบลัส (embolus) – สิ่งหลุดอุดหลอดเลือด
บทที่ 358 ความรักก็เพียงเท่านี้เอง
จางฝานเห็นเฉินชางจูงมือฉินเยว่ก็สีหน้าเปลี่ยนไปทันที! โทสะพุ่งสูงถึงสมอง!
เขาเบิกตากว้างจ้องมองเฉินชาง มองดูอีกฝ่ายจูงมือฉินเยว่เดินห่างออกไปเรื่อยๆ นี่ทำให้จางฝานโกรธจนหน้าเปลี่ยนสี ถึงขั้นหยิบมือถือของตนขึ้นมาปาลงกับพื้นอย่างแรง!
แม่งเอ๊ย!
ไอ้สารเลว!
จางฝานโกรธจนสั่นไปทั้งตัว เกร็งไปทั้งร่าง
พอคิดถึงตอนที่เฉินชางจูงมือฉินเยว่ จางฝานก็รู้สึกอยากฆ่าคนขึ้นมาจริงๆ
เป็นเพราะจางฝานชอบฉินเยว่มากหรือ
ทั้งใช่และไม่ใช่!
สาเหตุสำคัญเป็นเพราะคนที่ตนชอบถูกคนอื่นแย่งไปแล้ว
เขาไม่สบอารมณ์
ไม่พอใจมาก!
ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่พอใจ!
ผู้หญิงข้างกายมองดูจางฝาน เธอยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา
หึ เสแสร้งต่อไปเถอะ
แต่…เธอจะพูดแบบนี้กับแด๊ดดี้พ่อบุญทุ่มของตัวเองได้จริงๆ หรือ แน่นอนว่าไม่ได้ ทว่าตอนนี้เป็นเวลาอันเหมาะสมที่เธอจะใช้ประโยชน์ได้ดีที่สุด
เธอได้ยินคำพูดที่จางฝานกล่าวออกมาเมื่อครู่นี้หมดแล้ว ที่ว่าถ้าอพาร์ทเม้นท์แบบสองห้องเพื่อนของเขาเป็นผู้ร่วมสร้าง มีอำนาจอยู่พอตัวอะไรนั่นแหละ
เหมาะเจาะจริงๆ!
กำลังอยากได้ห้องชุดธรรมดาขนาดสองห้องอยู่พอดี
ส่วนจางฝานจะคิดอย่างไร…จะมีแฟนกี่คน…เรื่องนี้ไม่สำคัญ ที่สำคัญก็คือเธอจะไม่ยอมกินแต่น้ำแน่ๆ ต้องกินเนื้อให้ได้จะเป็นการดีที่สุด ยิ่งไปกว่านั้น…จะให้ดีก็ขอให้จางฝานหาแฟนได้หลายๆ คนหน่อยเถอะ จะได้ไม่ต้องมารบกวนเธอทั้งวัน
เฮ้อ…
ทำงานด้านการแสดงนี่มันยากดีจริงๆ
ฉันมั่นใจว่าทักษะการแสดงของฉันดีพอที่จะจับคุณได้เชียวแหละ
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เธอก็รู้สึกว่าจางฝานเป็นตัวขวางความก้าวหน้าในงานด้านการแสดงของเธอจริงๆ ที่สำคัญที่สุดก็คือ…เธอต้องคอยสรรเสริญเยินยอว่าเขายอดเยี่ยมขนาดไหน…
เหนื่อยจริงๆ
คุณไปหาแฟนสักหลายๆ คนหน่อยเถอะ จะได้ไม่ต้องมารบกวนฉัน
เมื่อคิดได้ดังนี้ เธอก็เริ่มวางแผนในใจ…
เพียงแต่…ตอนนี้เอง พนักงานรักษาความปลอดภัยคนหนึ่งก็เดินเข้ามาด้วยท่าทางขุ่นเคือง บนแขนของเขาสวมปลอกแขนสีเหลืองเอาไว้ด้วย
“คุณครับ ไม่เห็นเหรอว่าตรงนี้เขียนไว้ว่าอะไร”
จางฝานกำลังโกรธ จะมีอารมณ์ไปสนใจอย่างอื่นที่ไหนกัน เมื่อเห็นลุงยามเดินเข้ามาก็รู้สึกสับสน
“ทำไม”
ลุงยามยืดอกชี้ไปที่ป้ายเตือนข้างๆ “ไม่เห็นหรือครับ ห้ามทิ้งขยะมั่วซั่ว!”
พูดจบคุณลุงก็ชี้ไปที่เศษซากโทรศัพท์มือถือบนพื้นแล้วกล่าวอย่างทอดถอนใจ “รีบเก็บเถอะครับ ไม่งั้นเจ้านายของพวกเราเห็นเข้าผมคงถูกหักเงินเดือนแน่ ถึงตอนนั้นผมต้องปรับเงินคุณด้วย!”
จางฝานชะงักไปทันที เขาตกใจจนเบิกตากว้าง แทบจะกระอักเลือดออกมา!
บ้าเอ๊ย…
จางฝานใบหน้าบิดเบี้ยว โกรธจนแผลบนหน้าปริ!
เขารีบควบคุมอารมณ์ทันที กลัวว่าถ้าโกรธขึ้นมาแล้วทำให้รอยเย็บบนหน้าเสียหาย แบบนั้นคงซวยแย่
……
ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ ก็ต้องไปให้เฉินชางเย็บแผลให้อีก!
คิดได้ดังนี้ จางฝานก็แทบจะอกแตกตาย
โกรธแค่ไหนก็ไม่กล้าแสดงออก ทั้งยังไม่กล้าระเบิดโทสะ กลัวว่าจะส่งผลทำให้เนื้อบนหน้าอัปลักษณ์
โทสะของเขาเปี่ยมล้นจนแทบระเบิด อยากหาทางระบาย จะตะโกนก็ไม่กล้า พอเขวี้ยงโทรศัพท์ตัวเองยังถูกคนอื่นหาว่าทิ้งขยะมั่วซั่วแล้วยังต้องมาทำความสะอาดอีก
โมโหจะตายอยู่แล้ว!
จางฝานเดือดดาลเป็นที่สุด รู้สึกอยากระบายแต่ก็ไร้หนทาง เกือบปล่อยให้น้ำตาแห่งความอัดอั้นตันใจไหลออกมา
ทว่าเมื่อหันไปเห็นผู้หญิงข้างๆ ตน ในที่สุดจางฝานก็คิดหาวิธีได้!
……
……
ในขณะเดียวกัน ทางด้านฉินเยว่ก็สมองว่างเปล่าไปแล้ว
เธอปล่อยให้มือเล็กๆ ของตัวเองถูกเฉินชางจับจูงไปตามใจ
ในใจรู้สึกสับสน
ในสมองเต็มไปด้วยความมึนงง
อารมณ์ของเธอช่างซับซ้อน…
ตอนนี้ฉินเยว่รู้สึกว่าหัวใจของตนเต้นเร็วเกินพิกัด ความรู้ด้านอายุรกรรมหัวใจของเธอไม่ค่อยดีนัก ไม่รู้ว่าตกลงเป็นหัวใจห้องล่างของเธอที่เต้นผิดจังหวะ หรือเป็นหัวใจห้องบนของเธอที่เต้นผิดจังหวะกันแน่
เธอตื่นเต้นมากจริงๆ
เธอรู้สึกว่าลมหายใจของตนกระชั้นถี่ขึ้นเรื่อยๆ รู้สึกจิตใจไม่สงบ ตื่นเต้นจนหายใจลำบาก
นี่มันสัญญาณเตือนของอาการหัวใจวายหรือเปล่านะ
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ฉินเยว่ก็เคร่งเครียดและไม่สบายใจขึ้นมาแล้ว
ต้องหยิบมือถือขึ้นมาต่อสายหาศูนย์ฉุกเฉิน 120 ก่อนหรือเปล่า พอถึงเวลาจริงๆ การกู้ชีพจะได้มาถึงเร็วหน่อย
หากเทียบกับเฉินชางแล้ว ฉินเยว่ไร้เดียงสากว่ามากจริงๆ เธอโตมาขนาดนี้แล้วยังไม่เคยมีแฟนเลยสักคน เคยแต่ชอบผู้ชายคนอื่น แต่ยังไม่เคยพูดออกมา ดังนั้นเมื่อถูกเฉินชางจูงมือเดินออกมาอย่างกะทันหันแบบนี้จึงทำให้เธอตื่นเต้นจนรู้สึกเหมือนจะตาย
เธอชอบเฉินชางหรือเปล่า
ชอบสิ!
ชอบแน่นอนอยู่แล้ว!
แต่ว่าชอบแค่ไหนเธอเองก็ไม่รู้จริงๆ
เธอรู้แค่ว่า…
ถ้าเป็นเรื่องของเฉินชาง เธอเต็มใจทำให้
ถ้าเป็นงานของเฉินชาง เธอเต็มใจช่วยเหลือ
ถ้าเป็นคำขอร้องของเฉินชาง เธอจะพยายามสุดความสามารถ ต่อให้ต้องทำโอทีหรือโต้รุ่งก็จะทำให้ดี
ตอนนี้ถูกเฉินชางจูงมือเดินไป ในใจก็เต็มไปด้วยอารมณ์ตื่นเต้น ดีใจ อบอุ่นและเคร่งเครียด
ส่วนเฉินชางกลับรู้สึกสบายใจ
มือใหญ่กุมมือเล็ก ให้ความรู้สึกนุ่มลื่นดุจแพรไหม ความรู้สึกนี้ช่างสบายจริงๆ
ความจริงตอนแรกเฉินชางแค่รู้สึกไม่สบอารมณ์เท่านั้น เขาเห็นท่าทางเสแสร้งของจางฝานก็รู้สึกหงุดหงิดจึงถือโอกาสจูงมือฉินเยว่เดินออกมาเสียเลย
แต่ว่า…จูงไปจูงมาก็ไม่อยากปล่อยแล้ว
จนกระทั่งทั้งสองเดินออกมาหลายสิบเมตรแล้ว หากจะเรียกรถ เฉินชางก็ต้องเอาโทรศัพท์ของตนออกมาเปิดแอปเรียก แต่เขายังไม่อยากปล่อยมือ
ความรู้สึกตอนกุมมือมันช่างสบาย ให้ความรู้สึกเบิกบานใจ
พอคิดว่าหากจะเรียกรถก็กุมมือต่อไม่ได้แล้ว เฉินชางก็ไม่อยากเรียกขึ้นมาเสียอย่างนั้น
เฉินชางไม่ยอมเรียกรถ ฉินเยว่ก็ไม่ได้พูดอะไร
ทั้งสองปล่อยให้มันเป็นเช่นนั้น
มือใหญ่กุมมือเล็ก
เดินกันไปเรื่อยๆ
จู่ๆ เฉินชางก็อยากให้ถนนสายนี้ยาวขึ้นอีกหน่อย อยากใช้เวลาเดินให้นานอีกหน่อย
เฉินชางไม่พูด ฉินเยว่ก็ไม่ส่งเสียงปฏิเสธ
จริงๆ แล้วเฉินชางคนข้างคิดมาก เขากลัวว่าหากปล่อยมือแล้วอยากจะจับอีกครั้งคงยาก แต่เมื่อเห็นฉินเยว่ไม่มีท่าทางต่อต้านก็คิดเอาเองว่าฉินเยว่คงไม่ปฏิเสธ
ถึงอย่างไร…เธอก็ไม่ได้ต่อต้าน เดินไปกับตนเช่นนี้ คงเป็นการยินยอมแบบเงียบๆ สินะ
เฉินชางไม่ใช่คนโง่ อย่างไรเขาก็มีประสบการณ์มาแล้ว หากดูจากชีพจรของฉินเยว่ เขารู้สึกได้เลยว่าหัวใจเธอเต้นเร็วมาก เธอคงจะตื่นเต้นเหมือนกับเขาสินะ
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เฉินชางก็ยิ้มออกมาอย่างโง่งม
ฉินเยว่ก็เม้มปากเล็กๆ ของเธอ ดวงตาหรี่โค้งราวกับจันทร์เสี้ยว ทอดมองไปยังเส้นทางเบื้องหน้าด้วยรอยยิ้ม
เธออยากเดินเช่นนี้ตลอดไปจริงๆ
หวังให้ถนนสายนี้ทอดยาวตลอดไป ราบเรียบเช่นนี้ตลอดไป อยากให้อีกฝ่ายกุมมือตนอย่างอบอุ่นเช่นนี้ตลอดไป อยากให้วันเวลาในภายภาคหน้าทำให้เธอใจเต้นเช่นนี้ตลอดไป
……
……
……
ทั้งสองเดินอยู่บนถนน ถูกแสงแดดจ้าสาดส่อง
คนที่เดินผ่านไปมาเห็นพวกเขาทั้งสองก็ต้องปรายตามอง คิดในใจว่า คนสวยคนหล่อสองคนนี้ทำไมดูท่าทางเหมือนจะไม่เต็มนะ?
แดดร้อนขนาดนี้ ยังมาเดินจูงมือกันกลางถนนอีก ทำไมพวกคุณสองคนไม่ไปเดินที่ร่มๆ หน่อยล่ะ
บอกได้เลยว่า คนที่กำลังมีความรัก สติปัญญามักถูกบั่นทอนลงไปจริงๆ
ทว่าฉินเยว่และเฉินชางไม่สนใจสายตาของคนอื่น ตอนนี้พวกเขาสองคนยิ้มเหมือนคนโง่อย่างไรอย่างนั้น
บางที ความรักก็เพียงเท่านี้เอง
บางที ความรักก็ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้แล้ว
บางที ความรัก…