บทที่ 365 ถ่ายรูปได้ดี!
เมื่อเฉินชางเห็นว่าที่แผนกไม่มีอะไรแล้วก็มองไปที่ฉินเยว่แล้วพูดยิ้มๆ ว่า “ไปเถอะ เดี๋ยวผมไปส่งคุณกลับบ้านนะครับ”
ฉินเยว่พยักหน้า จากนั้นจึงเดินออกไปด้านนอกกับเฉินชาง
เฉินชางหันมาพูดกับหวังหย่งว่า “พวกเราไปก่อนนะครับ ถ้ามีอะไรก็โทรหาผมได้เลย”
หวังหย่งพยักหน้า “เดินทางระวังด้วยนะครับ”
ปกติเฉินชางไปส่งฉินเยว่กลับบ้านอยู่แล้ว ดังนั้นหวังหย่งจึงไม่ได้รู้สึกตกใจ หรือคิดว่าแปลกตรงไหน กลับคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติด้วยซ้ำ
เมื่อออกมาจากแผนกฉุกเฉินแล้ว เฉินชางจึงค่อยจูงมือฉินเยว่ “เดี๋ยวผมไปส่งคุณกลับบ้านนะครับ”
ฉินเยว่ยิ้ม “ฉันว่าสายที่โทรหาพวกเราเมื่อกี้จะต้องมีลับลมคมในอะไรแน่ๆ เลยค่ะ!”
เฉินชางชะงักไป ทันใดนั้นก็รู้สึกว่ามันแปลกประหลาดจริงๆ “คุณจะบอกว่า…”
ฉินเยว่พยักหน้าด้วยท่าทางรู้สึกผิด “ค่ะ!”
ทันใดนั้นในสมองของเฉินชางก็ปรากฏภาพใบหน้าเจ้าเล่ห์ของฉินเสี้ยวหยวนขึ้นมา เขารู้สึกเหมือนมีภูเขาลูกใหญ่กำลังกดทับลงมาทันใด
ในอนาคต ศัตรูความรักก็คือคุณ พ่อตาก็คือคุณ ผู้อำนวยการก็คือคุณ
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เฉินชางก็รู้สึกเหนื่อยใจจนต้องส่ายหน้าอย่างอดไม่อยู่
แต่ยังมีวิธีการที่เรียกว่าให้ลูกสาวเป็นคนชักนำอยู่ด้วย
เฉินชางหัวเราะออกมาทันที
……
……
ขณะที่ทั้งสองคุยกันก็เดินทอดน่องจนมาถึงใต้ตึกพักอาศัยแล้ว
ฉินเยว่ยู่ปาก ทอดถอนใจออกมาครั้งหนึ่ง “บ้านอยู่ใกล้ก็ไม่ค่อยดีเหมือนกันนะคะ!”
เฉินชางพูดออกมายิ้มๆ “ถ้างั้นเดินรอบตึกของคุณสักรอบไหมครับ”
ตอนนี้เหล่าฉินนั่งเฝ้าอยู่ที่ระเบียงมาครึ่งชั่วโมงกว่าแล้ว ไม่ง่ายเลยกว่าคนที่รอจะมาถึง จึงเกิดอาการระริกระรี้ขึ้นมาทันที
“คุณ รีบมาเร็ว! ลูกสาวกลับมาแล้ว!”
จี้หรูอวิ๋นได้ยินดังนั้นก็เดินเข้ามาอย่างเร่งร้อน
จี้หรูอวิ๋นอยากเห็นลูกเขยในอนาคตมากกว่าลูกสาวตัวเองเสียอีก
ขณะคุยกัน เธอก็เดินมาถึงระเบียงแล้ว
ทั้งสองหรี่ตามองไปข้างล่าง ไม่นานก็เห็นเฉินชางจูงมือฉินเยว่ ทั้งสองยืนกันอยู่ข้างล่างไม่ยอมขึ้นมา
สายตาของจี้หรูอวิ๋นไม่เลวเลย ดูเหมือนอาการสายตายาวจะมีประโยชน์ก็ตอนนี้เอง ทำให้เธอมองเห็นชัดเจน ดูเหมือนเฉินชางจะมีหน้าตาหล่อเหลากระจ่างใส รูปร่างสูงโปร่ง ให้ความรู้สึกปลอดภัยอบอุ่น
ไม่เลวๆ!
เธอพอใจมาก
เมื่อคิดถึงตรงนี้ จี้หรูอวิ๋นก็วิ่งกลับไปที่ห้องแล้วหยิบโทรศัพท์ของตนขึ้นมา เล็งกล้องโทรศัพท์ไปทางเฉินชางแล้วใช้ฟังก์ชันซูม
ในกล้องมือถือ เธอเห็นเฉินชางและฉินเยว่ยืนหันหน้าเข้าหากัน มือของเฉินชางกำลังกุมมือของฉินเยว่เอาไว้
ผ่านไปนานแล้วฉินเยว่ก็ยังไม่ยอมขึ้นมา!
ทั้งสองคุยกันกระหนุงกระหนิงคล้ายมีเรื่องคุยกันไม่จบไม่สิ้น
จี้หรูอวิ๋นเห็นภาพนี้ก็ทั้งโหยหาและเบิกบานใจ
เฉินชางและฉินเยว่ยืนหันหน้าเข้าหากันอยู่ข้างล่าง
“กลับบ้านเถอะครับ!” เฉินชางพูดยิ้มๆ
ฉินเยว่พยักหน้าแล้วตอบกลับไปพร้อมรอยยิ้มว่า “คุณไม่มีอะไรอยากบอกฉันหน่อยเหรอคะ”
เฉินชางชะงักไปเล็กน้อย เขาใคร่ครวญครู่หนึ่ง “รีบนอนนะครับ!”
ฉินเยว่กลอกตาใส่ทันที “มีอีกไหมคะ”
เฉินชางรีบเค้นสมองคิด ทันใดนั้นเขาก็คิดถึงมุกในอินเตอร์เน็ตขึ้นมาได้จึงรีบฉีกยิ้มเบิกบาน พูดไปว่า “คุณอยากให้ผมขึ้นไปดื่มน้ำเหรอครับ ไม่ต้องหรอก!”
ฉินเยว่รู้สึกขัดใจจริงๆ เธออยากตบเฉินชางจนหน้าทิ่มดินให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย สุดท้ายก็พูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “พ่อฉันอยู่บ้านค่ะ ขึ้นไปด้วยกันก่อนสิคะ กินน้ำกินท่าก่อนค่อยกลับ!”
เฉินชางกระสับกระส่ายขึ้นมาโดยพลัน
ช่างมันเถอะ พอเขาคิดถึงสายตาที่ผู้อำนวยการฉินใช้จับจ้องมาที่ตน เขาก็คิดว่าไม่ต้องดื่มน้ำก็ได้ ช่างมันเถอะ
ฉินเยว่เห็นเฉินชางไม่พูดอะไรก็กลอกตาด้วยความขุ่นเคือง
สุภาพบุรุษจริงๆ!
ต้องสอนให้ดีสักหน่อยแล้ว!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ฉินเยว่ก็หันมายิ้มให้ “งั้นฉันไปก่อนนะคะ! เจอกันพรุ่งนี้”
เฉินชางพยักหน้า “รีบกลับเถอะครับ พ่อแม่คุณเป็นห่วงคุณแย่แล้ว”
เมื่อเห็นว่าฉินเยว่จะเดินเข้ามาในตึกแล้ว เหล่าฉินจึงรู้สึกผ่อนคลายได้บ้าง ยังดี ยังดี ในที่สุดก็ได้กลับมาอยู่พร้อมหน้ากันแล้ว
เฉินชางมองดูฉินเยว่เดินเข้าไป เขากำลังจะหมุนตัวเดินกลับบ้าน ทว่าจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงกระจ่างใสดังขึ้นว่า “เฉินชาง!”
เมื่อเขาหันมาก็พบว่ามีสายลมหอมกรุ่นระลอกหนึ่งพัดเข้ามาโอบล้อม ความหอมกรุ่นโถมเข้าใส่อ้อมกอดของเฉินชาง
ฉินเยว่เขย่งปลายเท้า ใช้มือทั้งสองโอบคอดึงศีรษะเฉินชางลงมาแล้วจุมพิตลงบนหน้าผาก
“ฉันชอบคุณนะคะ! ฝันดีค่ะ…”
คำพูดนี้ดังข้างหูเฉินชาง ทำให้เขาตกตะลึงจนนิ่งไป รู้สึกสมองว่างเปล่า
เฉินชางตกใจและตกตะลึง แต่ที่มีมากกว่าคือความสุข
เขาสัมผัสได้ถึงความบางเบาที่ฉินเยว่ทิ้งไว้บนหน้าผากตน เป็นสัมผัสที่อบอุ่นและเปียกชื้น ทำให้เฉินชางสั่นสะท้านไปหลายนาที
ฉินเยว่วิ่งเข้าไปในตึกอย่างเร่งร้อนจนหายไปจากสายตา พริบตานั้นเฉินชางรู้สึกตื่นเต้นมาก
ความรู้สึกนี้ทำให้เขามีความสุขจริงๆ
เซอร์ไพรส์!
คาดหวัง!
เป็นความรู้สึกแปลกๆ
เมื่อได้เผชิญกับความสุขที่มาเยือนอย่างกะทันหันเช่นนี้ เฉินชางก็คิดจริงๆ ว่าตนเองกำลังตกหลุมรัก
หรือบางทีความรักก็สมควรเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว
เขายื่นมือออกไปคิดจะลูบหน้าผากตนเองแต่ก็รู้สึกเสียดาย กลัวจะเป็นการลบสัมผัสของฉินเยว่ออกไปจนไม่เหลือ
ดีจริงๆ
นี่คือความรักหรือ
ฉินเยว่ก็รู้สึกเหมือนตนเองตกไปในชามน้ำผึ้ง
……
……
จี้หรูอวิ๋นมองลงไปข้างล่าง เธอเห็นฉินเยว่วิ่งเข้าใส่อ้อมกอดเฉินชางแล้วจุมพิตลงบนหน้าผากของอีกฝ่าย ทันใดนั้นเธอก็ตื่นเต้นจนแทบทนไม่ไหว! ถึงกับใช้มือทั้งสองดึงเสื้อฉินเสี้ยวหยวน ตื่นเต้นจนทนไม่ไหวแล้ว!
“จูบเขาแล้ว!”
“จูบแล้ว!”
“จูบแล้ว…จูบแล้ว! ฮ่าๆ…จูบแล้ว!”
จี้หรูอวิ๋นปลื้มปริ่มราวกับได้ดูซีรีส์ของไอดอลที่ตนชื่นชอบ เมื่อเห็นลูกสาว เธอก็รู้สึกเหมือนได้ย้อนกลับไปในช่วงวัยรุ่น
นี่คงเป็นจูบแรกของลูกสาวสินะ
คิดถึงตรงนี้ จี้หรูอวิ๋นก็เบิกบานใจขึ้นมาทันที เธอรีบยกโทรศัพท์ขึ้นกดบันทึกเหตุการณ์นั้นไว้
บางที หลังจากนี้อีกหลายปี เมื่อพวกเขาได้เห็นภาพนี้จะต้องมีความสุขมากแน่นอน
บางคนมีความสุข บางคนก็รู้สึกหดหู่
เหล่าฉินเห็นภาพนี้ของทั้งคู่ก็รู้สึกแสบจมูก
ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่รู้สึกเหมือนจมูกไม่ได้อย่างใจ คล้ายได้กลิ่นเปรี้ยวฝาด อยากจะร้องไห้
คิดแล้วเหล่าฉินก็ส่ายหน้า
จะเป็นแบบนี้ไม่ได้ ลูกสาวมีความสุขตนเองก็สมควรดีใจถึงจะถูก จะมาร้องไห้ได้อย่างไรกัน
ทว่าฉินเสี้ยวหยวนก็ยังห้ามความรู้สึกไม่ได้ เขารู้สึกเหมือนชิ้นเนื้อที่หัวใจถูกเฉือนออกไปส่วนหนึ่ง
รู้สึกไม่สบายไปหมด
คิดถึงตรงนี้ เหล่าฉินก็ไม่อยากดูแล้ว เขายืนขึ้นเดินกลับไปนั่งบนโซฟา รินชาให้ตนเองแก้วหนึ่ง นั่งเงียบไม่ยอมพูดอะไร
ทางด้านจี้หรูอวิ๋นกลับกระตือรือร้นเป็นอย่างยิ่ง เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูแล้วพูดด้วยท่าทางเบิกบานใจว่า “คิกๆ รูปนี้ถ่ายได้ดีจริงๆ! เหล่าฉิน ดูสิคะ”
ขณะพูดจี้หรูอวิ๋นก็เดินถือโทรศัพท์มาหาเหล่าฉิน “คุณดูสิ มุมนี้กำลังดีเลย ถ่ายได้ไม่เลวเลยนะคะ”
ในภาพ บนถนนที่มีแสงจากไฟทางสาดส่อง ฉินเยว่ยืนเขย่งปลายเท้า ประทับจูบลงบนหน้าผากของเฉินชาง ใบหน้าเต็มไปด้วยความสุข
บทที่ 359 ความรักก็ไม่มากไปกว่านี้
ณ โรงแรมห้าดาวหรูหราแห่งหนึ่ง
บนใบหน้าของจางฝานเปี่ยมล้นไปด้วยความมั่นใจ!
อืม ไม่เลว พัฒนาขึ้นแล้ว!
เขานอนสูบบุหรี่อยู่บนเตียง พ่นควันออกมาช้าๆ
ครั้งนี้น่าจะเป็นสถิติสูงสุดของเขาแล้ว
ต้องบันทึกเอาไว้ซะแล้ว!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ จางฝานก็เข้าใจอะไรบางอย่าง เขาคิดว่าความโกรธทำให้เขาก้าวหน้าขึ้นจริงๆ!
ทำไมคนอย่างฉินเยว่ถึงได้ชอบหมอน้อยคนหนึ่งไปได้
เมื่อคิดถึงตรงนี้ จางฝานก็ยังคงคิดไม่ตก
ไอ้หมอนั่นมีอะไรดี
ก็แค่หมอน้อยที่หน้าตาดีนิดหน่อยเท่านั้นเอง
ความหล่อกินแทนข้าวได้หรือไง
พ่อของจางฝานเปิดโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง หากจางฝานได้เส้นสายทางการแพทย์ของตระกูลฉินมาครองย่อมเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาธุรกิจในภายภาคหน้า
ต้องทราบว่าจี้หรูอวิ๋นผู้เป็นแม่ของฉินเยว่เป็นคนใหญ่คนโตในด้านประกันสังคมของมณฑล ปัจจุบันนี้ถ้าเปิดโรงพยาบาลแล้วไม่มีประกันสังคมใครจะมากันล่ะ
ทุกๆ ปี ประกันสังคมที่มีจำกัดจะถูกแบ่งสันปันส่วนไปยังโรงพยาบาลรัฐแต่ละแห่ง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงโรงพยาบาลเอกชนเลย ทุกวันนี้หากโรงพยาบาลเอกชนต้องการสร้างจุดเบิกจ่ายประกันสังคมก็ยากเสียยิ่งกว่ายาก
ปัจจุบันนี้ โรงพยาบาลเอกชนส่วนใหญ่ไม่ได้หารายได้จากการรักษาแล้ว พวกเขาจะมุ่งเป้าไปยังเงินประกันสังคมเสียมากกว่า ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นพ่อหรือแม่ของจางฝานก็อยากให้เขาใกล้ชิดกับฉินเยว่ทั้งนั้น
ผู้หญิงข้างกายสูดหายใจลึก
เหนื่อยจริงๆ!
เหนื่อยใจอะนะ…
ความยากและความลำบากของเธอเหมือนกับต้องไปแสดงละครร่วมกับหลิวเต๋อหัวเลยทีเดียว
เมื่อเห็นจางฝานมีท่าทางสบายอกสบายใจ รวมไปถึงท่าทางได้ใจของเขา เธอก็รู้ทันทีว่าบทละครในคราวนี้เธอ เธอเป็นนักแสดงยอดเยี่ยมอีกแล้ว
ช่างเถอะ ช่างเถอะ!
ถ้าไม่ไหวจริงๆ ค่อยไปญี่ปุ่นเอาแล้วกัน อาจหาเงินค่าข้าวได้บ้าง
แต่จะอย่างไร เรื่องห้อง เธอก็ยังต้องการอยู่
……
……
ตอนเที่ยง ขณะที่ทั้งสองกินข้าวด้วยกัน จู่ๆ ฉินเยว่ก็เกิดระมัดระวังตัวขึ้นมา แม้แต่สไบนางที่เธอชอบที่สุดก็ยังกินไปแค่เล็กน้อย
เธอกำลังคิดว่าหากซื้อห้องแล้วจะส่งผลกับคุณภาพชีวิตหรือไม่
หากเฉินชางซื้อห้อง เช่นนั้นเธอ…ต้องกลับไปหารือกับเหล่าฉินและคุณแม่เพื่อให้พวกเขาช่วยสนับสนุนเฉินชางหรือไม่ ถึงอย่างไรราคาห้องชุดในตัวเมืองมณฑลก็แพงมาก!
แม้ราคาเฉลี่ยจะอยู่ที่ตารางเมตรละหมื่นห้า แต่หลายแห่งก็ราคาขึ้นไปถึงสองหมื่นแล้ว ที่สำคัญคือนี่เป็นเพียงราคาพื้นฐานของห้องเท่านั้น
ตึกอยู่อาศัยของเขตเล็กๆ แห่งหนึ่ง ราคาพื้นฐานอาจแตกต่างกันเป็นหมื่น
หากลักษณะห้องดีวางแบบแปลนดี ราคาก็จะยิ่งแพง!
เฉินชางเพิ่งทำงานมานานแค่ไหนกันเชียว เพิ่งเป็นพนักงานประจำได้กี่วันเอง ครอบครัวก็เป็นเกษตรกร ไหนเลยจะมีเงินมากมายขนาดนั้น
คิดได้ดังนี้ ฉินเยว่ก็ไม่อยากสร้างความกดดันและภาระให้เฉินชางมากเกินไป
คิดไปคิดมา ฉินเยว่ก็เกิดความคิดบางอย่าง “เฉินชาง คุณแม่ของฉันเคยบอกว่าปีนี้ราคาบ้านที่เมืองอันหยางอาจจะถีบตัวสูง! ตอนนี้เดือนตุลาแล้ว ราคาห้องกำลังพุ่งสูง ช่วงนี้ยังไม่เหมาะกับการซื้อบ้าน เขาเรียกว่าเป็นช่วงไฮซีซั่นของอสังหาริมทรัพย์ พูดให้เข้าใจก็คือช่วงสองเดือนนี้ราคาบ้านจะพุ่งสูงขึ้นมาก ยิ่งใกล้ปีใหม่ หรือเป็นช่วงช่วงต้นปีปลายปีราคาก็จะพุ่งสูงขึ้นอีก รอให้ถึงช่วงเดือนพฤษภาคมมิถุนายน พวกเราค่อยมาดูกันใหม่เป็นไงคะ ตอนนั้นคงถูกลงไม่น้อยเลย!”
ฉินเยว่คิดเพื่อเฉินชางจริงๆ อย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นชนชั้นแรงงาน ซื้อบ้านแต่ละทีเรียกได้ว่าแทบจะขูดเนื้อเถือหนัง ต่อไปยังต้องกัดฟันสู้กันอีกหลายปี ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย
แต่ละวันเฉินชางต้องผ่าตัดหลายเคส แค่นี้ก็เหนื่อยมากแล้ว ฉินเยว่ไม่อยากเห็นเขาเหนื่อยขนาดนั้น
รอให้ถึงปีหน้าก่อน เธอ…กับเฉินชางค่อย…นั่นแหละ
คิดถึงตรงนี้ ใบหน้าเล็กๆ ของฉินเยว่ก็แดงระเรื่อ
จะซื้อห้องค่อยขอเงินเหล่าฉินแล้วกัน!
รอให้เธอมั่นใจเสียก่อน อีกอย่างตัวเองก็ต้องเก็บเงินด้วย ถึงตอนนั้นจะได้ช่วยกันซื้อ ไม่จำเป็นต้องปล่อยให้เฉินชางเหนื่อยขนาดนั้นเพียงคนเดียว
เฉินชางชะงัก มองฉินเยว่ด้วยรอยยิ้มสนอกสนใจ “งั้นเหรอครับ”
ฉินเยว่พยักหน้า “ใช่แล้วค่ะ!”
ทำไมเฉินชางจะไม่เข้าใจความคิดของฉินเยว่ล่ะ เธอช่างไร้เดียงสาและใสซื่อจริงๆ ความสัมพันธ์ยังไม่ชัดเจนก็กลายเป็นสาวน้อยที่พร้อมจะออกเรือนไปเสียแล้ว นี่ทำให้เขาอบอุ่นใจจริงๆ
แม้ทั้งสองจะยังไม่ได้กำหนดความสัมพันธ์กันอย่างจริงจัง แต่ในความคิดของฉินเยว่ มือก็จูงแล้ว ย่อมถือว่าตนเป็นคนของเฉินชางแล้ว
ไม่ใช่ว่าเธอหัวโบราณ เพียงแต่เธอแยกแยะความรู้สึกได้อย่างชัดเจน
ไม่ใช่ว่าเธอไม่เคยถูกคนอื่นจูงมือ เพียงแต่…นี่เป็นครั้งแรกที่ใจเต้นแรงขนาดนี้
ในตอนนี้ ฉินเยว่คิดเพื่อเฉินชางจากใจจริง คิดไปถึงบ้านในอนาคตของพวกเขาเลยทีเดียว
คิดไปถึงว่าจะขอเงินเหล่าฉินอย่างไร…สุดท้ายก็ซื้อห้องให้เฉินชางสักห้องหนึ่ง
แต่นี่เป็นไปไม่ได้เลย!
ฉินเยว่คิดว่าเฉินชางเป็นคนเก่งที่มีศักดิ์ศรี จะต้องไม่ยอมขอเงินพ่อแม่แน่นอน เมื่อเป็นเช่นนี้คงทําได้เพียงอาศัยเงินเก็บของตนและเฉินชางเพื่อไปซื้อบ้านแล้ว
แต่ว่า…ถ้าเป็นเช่นนั้นคงจะใช้เงินมือเติบไปกับการกินหม้อไฟและชานมไม่ได้แล้ว
ถึงเธอจะชอบมากก็ตาม…แต่หากเทียบกับของเหล่านี้ บ้านเล็กๆ อันอบอุ่นไม่ต้องใหญ่มากที่จะเป็นของพวกเขาสองคนอย่างแท้จริงคือสิ่งที่ฉินเยว่ต้องการมากที่สุด
ผู้หญิงชอบเพ้อฝัน ชอบคิดปรารถนาถึงความรัก อนาคตและครอบครัว
คิดไปคิดมา ฉินเยว่ก็ยิ่งไม่อยากกลับไปอยู่กับเหล่าฉินเหล่าจี้แล้ว
นั่นเป็นบ้านของพวกเขา!
ฉินเยว่ตัดสินใจแล้วว่าตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป หลังจากกินหม้อไฟมื้อนี้เสร็จแล้ว กินชานมมื้อนี้เสร็จแล้ว เธอก็จะเริ่มประหยัดเงินเพื่อบ้านเล็กๆ ของพวกเขา!
อยากกินค่อยกลับไปกินที่บ้าน ให้เหล่าฉินเลี้ยงแล้วกัน
ใช่แล้ว! จะให้เฉินชางจ่ายเงินไม่ได้ นี่เป็นเงินในอนาคตของพวกเธอ
หากซื้อบ้านได้เร็ว ช่วงวันหยุดพวกเขาสองคนก็จะได้อยู่ด้วยกัน หวานกัน กินหม้อไฟด้วยกัน ร้องเพลงด้วยกัน
คิดไปถึงยามเช้าอันอบอุ่น เธอสวมผ้ากันเปื้อนเตรียมมื้อเช้าร้อนๆ ให้เฉินชาง
คิดถึงยามบ่ายอันเกียจคร้าน ชงชามาสักหนึ่งกา เฉินชางนอนอยู่บนโซฟา ส่วนเธอนอนเกยตักเฉินชาง นอนกอดและหลับไปด้วยกัน
คิดถึงตอนที่มีลูกกันแล้ว พวกเธอจะช่วยกันเข็นรถเข็นเด็กไปเดินเล่นในสวนสาธารณะ
ใช่แล้ว หากจะซื้อห้องก็ต้องซื้อห้องที่ติดสวนสาธารณะด้วย!
แต่ว่า…หากมีสวนสาธารณะจะไม่แพงขึ้นอีกหรือ
แต่ไม่เป็นไร ถ้าไม่มีสวนสาธารณะ เดินเล่นใต้ตึกก็ได้
เธอยังคิดไปถึงช่วงเวลาหลังอาหารเย็น เขากับเธอจูงมือลูกคนละคน กลายเป็นครอบครัวสี่คน เดินเล่นรับลมยามค่ำคืนไปด้วยกัน
ใช่แล้ว!
ต่อไปต้องมีลูกสองคน คนหนึ่งชื่อเฉิน… อีกคนชื่อเฉิน…
คิดไปคิดมา อยู่ดีๆ ฉินเยว่ก็รู้สึกเหมือนว่าชีวิตของเธอเพิ่งเริ่มต้น เธอไม่เรียกร้องให้เฉินชางต้องมีความสามารถอะไรมากมาย ขอแค่เขาชอบเธอคนเดียวไปชั่วชีวิตก็พอ
ยิ่งคิดฉินเยว่ก็ยิ่งมีความสุข
ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกดื่มด่ำไปกับมัน
อาหารมื้อนี้ทั้งสองกินไม่มาก แต่กลับใช้เวลานาน
ฉินเยว่เริ่มเรียนรู้ที่จะคีบ ‘สุดยอดสไบนาง’ ใส่จานเฉินชางแล้ว
เฉินชางกัดเข้าไปคำหนึ่ง สัมผัสได้ถึงรสชาติอร่อยสดชื่น! กำลังดีเลย!
เขาชูนิ้วโป้งให้ฉินเยว่!
ฉินเยว่เห็นเฉินชางยิ้มอย่างดีอกดีใจก็รู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก รู้สึกเปรมปรีดิ์ รู้สึกดีกว่ากินเองเสียอีก
บางที…
ความรักก็เพียงเท่านี้เอง
ความรักก็ไม่มากไปกว่านี้แล้ว