เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ – บทที่ 366 ความกดดันยิ่งสูง อารมณ์ก็ยิ่งมา

เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ

บทที่ 366 ความกดดันยิ่งสูง อารมณ์ก็ยิ่งมา

เช้าวันจันทร์ เฉินชางสัมผัสได้ถึงอารมณ์ที่แตกต่างออกไปจากยามปกติ นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินชางโหยหาการมาทำงานที่แผนกฉุกเฉินถึงเพียงนี้

เขาหยิบมือถือออกมาดูข้อความที่เขาแชทคุยกับฉินเยว่ รู้สึกเหมือนตัวเองยังตกอยู่ในเหตุการณ์นั้น โดยเฉพาะตอนเห็นข้อความที่ฉินเยว่ส่งมาให้เขาเป็นครั้งแรก มันทำให้เขารู้สึกอบอุ่นในใจ

“ตาทึ่ม คุณเป็นคนของฉัน ต่อไปก็รู้จักตักตวงซะบ้างสิ!”

เฉินชางเห็นข้อความนี้ก็ยิ้มออกมา

……

เจ็ดโมงเช้า แผนกฉุกเฉินวุ่นวายประหนึ่งตลาดสด

เช้าวันจันทร์เป็นการเริ่มต้นความวุ่นวายของสังคมเมือง ไม่ว่าจะเป็นการจราจรที่คับคั่งหรือจะเป็นขนส่งสาธารณะอันแน่นขนัดก็ตาม กระทั่งแผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลอันดับสองก็ยังยุ่งวุ่นวายสุดเปรียบ

ผู้คนมาทำงานอย่างเร่งร้อน นี่ทำให้เกิดปัญหาได้ง่าย การกระทบกระทั่งกันก็มีให้เห็นมากมาย

หวังหย่งไม่มีคาถาแยกร่าง แผนกฉุกเฉินมีผู้ป่วยมารอคิวอยู่เจ็ดแปดคนแล้ว ในแผนกก็ยุ่งไม่ต่างกัน

การมาถึงของเฉินชางทำให้ทุกคนผ่อนคลาย กระทั่งเหล่าพยาบาลก็เช่นกัน เมื่อพวกเธอเห็นเฉินชางก็รู้สึกราวกับเห็นผู้ช่วยชีวิต

“หมอเสี่ยวเฉิน คุณมาแล้ว!” เสี่ยวหลินยังไม่ออกเวรดึก เมื่อเห็นเฉินชางก็รีบพูดขึ้นทันที “ทางนี้มีผู้ป่วยรอตรวจอยู่หลายคนเลยค่ะ”

เฉินชางเก็บโทรศัพท์เข้าไปในกระเป๋าเสื้อ จากนั้นจึงเดินไปเปลี่ยนชุดในห้องสำหรับเปลี่ยนชุดแล้วเริ่มงานประจำวันของตน

[ติ๊ง! กระตุ้นภารกิจประจำวัน วินิจฉัยอาการให้ผู้ป่วย 10 คน หากสำเร็จจะได้รับถุงนำโชค 1 ชิ้น]

เฉินชางกดรับภารกิจแล้วเดินมาข้างๆ แม้จะเป็นภารกิจประจำวันธรรมดา แต่เขากลับรู้สึกคล้ายมีบางอย่างแตกต่างจากปกติ

ตรวจอาการให้ผู้ป่วยสิบคนไม่ยากเท่าไหร่

หรือเขาจะคิดมากไปเอง

คิดพลางเฉินชางก็เดินไปยังห้องตรวจ เตรียมตัวอย่างอดทน

……

……

ปีนี้อู๋อวี้ซู่อายุห้าสิบสองแล้ว เป็นช่วงวัยที่กล่าวได้ว่า บนมีพ่อแม่ ล่างมีลูกหลาน กลางมีภรรยา

มีคนพูดว่าผู้ชายวัยห้าสิบเป็นช่วงวัยที่ขีดเส้นชะตากรรมของตัวเอง อู๋อวี้ซู่ไม่ค่อยเข้าใจคำพูดนี้นัก แม้เขาอายุห้าสิบสองแล้วแต่ยังไม่กล้ากำหนดชะตากรรมของตัวเองหรอก เพราะเขารู้สึกกดดันหนักมาก

มารดาอายุแปดสิบกว่าปีเพิ่งผ่าตัดมา ต้องใช้เงินจำนวนหนึ่ง เดี๋ยวเดียวลูกชายก็จะแต่งงานอีกแล้ว ต้องซื้อเรือนหอราคาร่วมสามล้านหยวน ใช้เงินดาวน์หนึ่งล้าน เงินจำนวนนี้ก็ขุดเอาจากเงินที่เขาเก็บสะสมมาหลายปี

เมื่อซื้อเรือนหอแล้วก็ต้องตกแต่งอีก หากจะแต่งงานก็ต้องมอบเงินสินสอดให้เจ้าสาว เตรียมสินสอดแล้วก็ต้องเตรียมจัดงานแต่งงานต่อ ไปๆ มาๆ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ต้องใช้เงินทั้งนั้น

อู๋อวี้ซู่รู้สึกเหมือนหัวตัวเองจะระเบิด! เอาแต่คิดหดหู่ทั้งวัน

หากคนเรารู้สึกกดดันมากเข้าก็ย่อมทำให้เกิดความเครียดได้ง่าย ทำให้อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย คุมอารมณ์ได้ไม่ดี

อู๋อวี้ซู่ก็เป็นเช่นนี้เอง เดิมทีเขาเป็นข้าราชการตำแหน่งเล็กๆ ในหน่วยงานแห่งหนึ่ง ต้องปั้นหน้านิ่งทั้งวัน ไม่มีใครพูดดีๆ กับเขาสักคน พอกลับมาถึงบ้านภรรยาและลูกชายเห็นเขามีท่าทีเช่นนี้ก็ไม่กล้าเข้ามาพูดด้วย

ภรรยายิ่งแล้วใหญ่ อยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็กลัวเขาโกรธ หากโกรธขึ้นมาคงทะเลาะกันอย่างเลี่ยงไม่ได้ เป็นเช่นนี้ก็สะสมไปทีละน้อยจนสุดท้ายก็คิดว่าช่างมันเถอะ ทำให้การสื่อสารประจำวันระหว่างพวกเขาลดน้อยลงมาก

ลูกชายซื้อเรือนหอ พ่อแม่ต้องแบกรับค่าใช้จ่าย ไม่ทราบว่านี่กลายเป็นความคิดกระแสหลักของสังคมไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ถึงแม้เหล่าอู๋จะไม่พอใจแต่คิดดูแล้วก็ยังทนไม่ไหว ลูกผู้ชายอย่างเขา เหนื่อยก็เหนื่อยไปเถอะ

เช้าวันนี้ตอนเขาตื่นขึ้นมา อยู่ๆ ก็รู้สึกใจหวิวๆ จนทนไม่ไหว!

เขารู้สึกหน่วงๆ บริเวณหน้าอก เหมือนหายใจไม่ออกและเจ็บที่หน้าอกเล็กน้อย

พอลุกขึ้นนั่ง เขาก็รู้สึกหายใจสะดวกขึ้นบ้าง แต่พอนอนลงอีกครั้งก็ทรมานจนทนไม่ไหว ตอนแรกเขาคิดจะนอนอีกสักครู่ แต่พอรู้สึกเช่นนี้เลยต้องรีบลงจากเตียง

อาจเป็นเพราะช่วงนี้กดดันเกินไป เป็นเพราะสูบบุหรี่มากไปหรือเปล่า

ภรรยาเห็นท่าทีผิดปกติของอู๋อวี้ซู่ก็รีบถามว่า “เป็นอะไรคะ เหล่าอู๋ ไม่สบายหรือ”

อู๋อวี้ซู่ลูบหน้าอก ลังเลไปครู่หนึ่ง “รู้สึกหน่วงตรงหน้าอกน่ะ เกิดอะไรขึ้นผมก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน ผมหายใจลำบาก พอลุกขึ้นนั่งก็ดีขึ้น แต่พอนอนก็อึดอัดจนทนไม่ไหว!”

ภรรยาก็รู้สึกปวดใจเช่นกัน แต่เป็นเพราะนิสัยที่ติดตัวมาจากการใช้ชีวิตร่วมกันเป็นเวลานานจึงทำให้เธออดตำหนิไม่ได้ “ใครให้คุณสูบบุหรี่ล่ะคะ สูบมากขนาดนั้น ไม่เป็นอะไรก็แปลกแล้ว!”

อู๋อวี้ซู่ได้ยินคำพูดนี้ก็ไม่พูดอะไรอีก อาจเป็นเพราะช่วงนี้เขาสูบบุหรี่มากเกินไปก็ได้!

ต่อไปก็สูบให้น้อยหน่อยแล้วกัน

ส่วนเรื่องที่ภรรยาบ่น อู๋อวี้ซู่พอเข้าใจได้

อู๋อวี้ซู่คิดว่าตนเองรู้จักสภาพร่างกายของตนอยู่บ้าง อาการนี้คงเป็นสักวันสองวัน ผ่านไปช่วงหนึ่งอาจจะกำเริบขึ้นครั้งหนึ่ง แต่ปล่อยไปสักสองสามเดือนก็จะค่อยๆ ดีขึ้นเอง ดังนั้นจึงไม่ได้ใส่ใจนัก

เมื่อถึงเวลาอาหารเช้า อู๋อวี้ซู่ก็ไม่มีความอยากอาหารเลยแม้แต่น้อย เขารู้สึกว่าระยะนี้เขาทั้งเหนื่อยและล้า รู้สึกเหมือนท้องอืด อาหารไม่ย่อย

อู๋อวี้ซู่ทอดถอนใจออกมา เขาอายุห้าสิบแล้ว ร่างกายถดถอยจริงๆ แย่ลงทุกวัน อยากพักผ่อนก็พักผ่อนไม่ได้เพราะภาระที่ต้องแบกรับไว้ไม่ได้ลดน้อยลงเลย

อีกเดี๋ยวจะต้องเดินทางผ่านโรงพยาบาลอันดับสอง ตอนนั้นก็ให้หมอตรวจสักหน่อยแล้วกันว่าเป็นอะไร หากเป็นอะไรขึ้นมา ซื้อยาไปกินก็น่าจะพอ

เมื่อคิดถึงตรงนี้ อู๋อวี้ซู่ก็ไม่สนใจกินข้าวเช้าอีก เขารีบสวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อย หยิบกระเป๋าขึ้นมาแล้วออกเดินทางทันที เมื่อถึงทางที่ต้องผ่านโรงพยาบาลอันดับสองก็รีบแวะไปที่แผนกฉุกเฉิน ไปตรวจดูหน่อยว่ากระเพาะอาหารมีปัญหาหรือเปล่า หรือบางทีอาจเป็นโรคเก่า

ขณะที่อู๋อวี้ซู่กำลังต่อคิวอยู่นั้นก็มีคุณลุงคนหนึ่งเดินมาด้านหลัง คุณลุงคนนั้นอายุเจ็ดแปดสิบปี ผมขาว ใบหน้ามีริ้วรอยเหมือนคนแก่ตามปกติ เขาสวมชุดออกกำลังกาย ท่าทางกระฉับกระเฉง ดวงตาทั้งสองเต็มไปด้วยพลัง ท่าทางการเดินก็ดูมั่นคง

ภาพนี้ทำให้อู๋อวี้ซู่ตาเป็นประกาย อดอิจฉาไม่ได้

เขาลูบท้องของตัวเองแล้วทอดถอนใจออกมา

เฮ้อ…

ถ้าตอนอายุเจ็ดแปดสิบแล้วแข็งแรงเช่นนี้จะดีขนาดไหนนะ

ทำงานอีกสองปีแล้วรีบเกษียณเถอะ!

ความคิดนี้เพิ่งจะปรากฏ ก็ถูกอู๋อวี้ซู่สะบัดทิ้งทันที จะเกษียณไม่ได้ เขาแบกภาระค่าเรือนหอของลูกชายอยู่อีกหลายล้าน!

เมื่อคิดถึงตรงนี้ ลมหายใจของอู๋อวี้ซู่ก็กระชั้นถี่ยิ่งขึ้นจนไอออกมา

ในตอนนี้เอง ชายชราคนนั้นก็เดินมานั่งข้างอู๋อวี้ซู่ เมื่อเห็นท่าทางของอู๋อวี้ซู่ก็ขมวดคิ้วน้อยๆ แต่ไม่ได้พูดอะไร

นี่ทำให้อู๋อวี้ซู่รู้สึกแปลกใจ แต่ก็ไม่ได้ถามอะไร เพียงยิ้มแล้วพูดว่า “คุณลุงสุขภาพดีจังเลยนะครับ”

ชายชราพยักหน้าเล็กน้อย หลังจากลังเลไปครู่หนึ่งก็พูดขึ้นว่า “อายุมากแล้วก็ต้องใส่ใจสุขภาพสักหน่อย คุณก็ด้วยนะครับ”

อู๋อวี้ซู่พยักหน้า “ครับ วันนี้ผมรู้สึกไม่ค่อยสบายเลยรีบมาหาหมอ อายุขนาดผม มีทั้งพ่อแม่ลูกหลานให้ดูแล ไม่กล้าป่วยหรอกครับ”

เมื่อพูดถึงตรงนี้อู๋อวี้ซู่ก็หัวเราะกับตัวเอง

เขารู้สึกเหมือนกับว่าตอนที่อยู่กับคนคุ้นเคยกลับยิ้มไม่ออก แต่เมื่ออยู่กับคนแปลกหน้ากลับพูดคุยยิ้มแย้มออกมาได้

ชายชราพยักหน้า “มาก็ดีแล้วครับ ตรวจดูหน่อย ให้หมอดูอาการให้ดี อย่าได้ปล่อยปละละเลย อาการแบบนี้ถ้าเป็นอะไรขึ้นมาจะลำบาก”

อู๋อวี้ซู่ส่ายหน้า “ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ ผมรู้จักร่างกายของตัวเองดี น่าจะเป็นเพราะช่วงนี้ผมสูบบุหรี่มากไปหน่อยและไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย ระบบย่อยอาหารก็ไม่ดี จนทำให้พุงยื่นแล้วเนี่ยครับ”

ชายชราเห็นเขาพูดเช่นนี้ก็ทอดถอนใจออกมา สุดท้ายก็อดเตือนไม่ได้ “ในเมื่อมาแล้วก็ฟังคำพูดของหมอให้ดีเถอะครับ โอเคไหม”

อู๋อวี้ซู่ยิ้มแต่ไม่ได้พูดอะไร เขาคิดว่าลองตรวจดูก่อนแล้วค่อยซื้อยา จากนั้นก็กลับไปทำงานได้แล้ว

บทที่ 360 นี่คงไม่ถือว่าเป็นการเสแสร้ง

เมื่อจ่ายเงินแล้ว เฉินชางก็อาศัยเวลาที่ฉินเยว่ไปเข้าห้องน้ำวิ่งไปกลับหนึ่งกิโลเมตรเพื่อซื้อชานมผลไม้ที่ฉินเยว่ชอบที่สุดมาให้เธอ

เย็น เปรี้ยว และหวาน

ในแววตาของฉินเยว่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ในรอยยิ้มเต็มไปด้วยความรัก

“ต่อไปไม่กินร้านอี้ฟางแล้วนะคะ แพงเกินไป!” ฉินเยว่พูดเสียงแผ่ว

เฉินชางยิ้มบางๆ “ต่อไปถ้าคุณอยากกิน ผมจะซื้อให้คุณเอง”

คำพูดธรรมดาๆ แต่ทำให้ฉินเยว่รู้สึกตื้นตันไปทั้งใจ

มองดูสภาพเหงื่อท่วมตัวของเฉินชาง จู่ๆ ฉินเยว่ก็มีความสุข

ชั่วขณะนี้ ฉินเยว่รู้สึกว่าต่อให้เฉินชางไม่มีบ้านไม่มีรถ ขอเพียงเขายินดีซื้อชานมให้กิน เธอก็ยินดีแต่งให้เขาแล้ว อย่างมากก็ลำบากนิดหน่อย อย่างไรก็หาเงินได้

เมื่อคิดถึงตรงนี้ ฉินเยว่ก็หยิบหลอดขึ้นมา ใช้นิ้วชี้แตะปลายหลอด ค่อยๆ ออกแรงเจาะฝา ไม่มีกระเด็นหกเลยแม้แต่น้อย

นี่คือเทคนิค ‘ดื่มชานม’ ที่เธอฝึกฝนจนถึงขั้นสมบูรณ์แบบ

ฉินเยว่ยกยิ้มที่มุมปาก “คุณกินก่อนเลยค่ะ ดูท่าทางคงจะเหนื่อย!”

เฉินชางหัวเราะ กุมมือฉินเยว่ที่จับอยู่บนแก้วชานม จากนั้นก็ดูดไปอึกหนึ่ง รสหวานอร่อยจริงๆ

“ ไปดูห้องต่อกันเลยไหมครับ”

เฉินชางยื่นมือขวาออกไปจูงมือซ้ายของฉินเยว่อย่างคุ้นเคย ทางด้านฉินเยว่ก็ดูจะชินแล้วเช่นกัน จึงปล่อยให้เฉินชางจับจูงไปเช่นนั้น

ถูกมือใหญ่ๆ ของเฉินชางกุมกลางฝ่ามือเช่นนี้ ฉินเยว่มีความสุขมากจริงๆ รอยยิ้มของเธอในวันนี้ดูหวานกว่าวันวาน

……

……

ความรักทำให้คนตื่นเต้นจนกระทั่งลืมเหนื่อยได้เลย

ทั้งสองพักผ่อนครู่หนึ่ง ฉินเยว่เดินจูงมือเฉินชางจะไปดูห้องให้ได้ ส่วนเฉินชางก็เบิกบานใจมาก เดินตามหลังฉินเยว่ไปเช่นนั้น

ฉินเยว่รู้สึกว่าการดูห้องช่วงบ่ายทำให้เธอกระตือรือร้นและร่าเริงยิ่งกว่าเก่า เธอเดินไปเดินมาอยู่ในห้อง วางแผนแต่งนู่นแต่งนี่ จากนั้นก็ออกท่าทางอธิบายความคิดให้เฉินชางฟัง

“ตรงนี้พวกเราวางโซฟากันนะคะ ฉันอยากได้โซฟาตัวใหญ่ๆ แบบที่นอนได้น่ะค่ะ!”

“ตรงนี้ฉันอยากเลี้ยงแมวตัวเล็กๆ พออยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำก็มาเล่นกับมัน”

“ฉันอยากเชื่อมส่วนเตียงกับระเบียงเข้าด้วยกัน ตอนเช้าฉันจะใช้ระบบสมาร์ทโฮม พูดคำเดียวว่าเปิดหน้าต่าง! ตอนนั้นแสงแดดก็จะส่งเข้ามา พอแดดปะทะหน้าก็จะให้ความรู้สึกอบอุ่น ฉันชอบมากเลยค่ะ”

“แล้วก็ฉันอยากมีโปรเจคเตอร์ในห้องนอน เอาไว้ดูหนังตอนเย็น! แต่ห้ามดูหนังผีนะคะ”

……

ไม่ใช่แค่ฉินเยว่ กระทั่งเฉินชางก็ยังถูกดึงดูดเข้าไปในจินตนาการแล้ว

พวกเขาสองคนเดินไปมาอยู่ในห้อง ดูนี่บ้างจับโน่นบ้าง คิดว่าจะจัดห้องอย่างไร

นี่คือบ้านของพวกเขาสองคน ออกความคิดได้ตามสบาย ไม่มีข้อจำกัดเหมือนตอนอยู่กับพ่อแม่ นี่คือสรวงสวรรค์ของพวกตน จัดแจงได้ตามใจตัวเอง

ไม่ง่ายเลยกว่าทั้งสองจะพากันเดินไปดูห้องต่อไป ฉินเยว่ถามอย่างระมัดระวังว่า “สวัสดีค่ะ ห้องชุดนี้เท่าไหร่คะ”

พี่สาวพนักงานยิ้มบางๆ “คุณตาถึงจริงๆ เลยค่ะ ห้องชุดนี้เป็นห้องที่แพงที่สุดในอพาร์ทเม้นท์ของพวกเราแล้วค่ะ ราคาพื้นฐานของอสังหาริมทรัพย์ในท้องที่อยู่ที่ตารางเมตรละสองสามหมื่น ห้องชุดนี้ราคาตารางเมตรละเกือบสามหมื่นค่ะ ขนาดรวมหนึ่งร้อยยี่สิบกว่าตารางแมตร เมื่อคำนวณค่าใช้จ่ายทั้งหมดออกมาแล้วก็ประมาณสี่ล้านค่ะ!”

คำพูดของพนักงานขายทำให้ฉินเยว่ชะงักไปโดยพลัน!

สี่ล้าน!

ให้ตายเถอะ

ฉินเยว่แทบอยากจะคายลิ้นตัวเองออกมา

ต้องวางเงินดาวน์สามสิบเปอร์เซ็นต์ ก็เท่ากับล้านสองแล้ว!

เมื่อคิดถึงตรงนี้ฉินเยว่ก็พึมพำเสียงเบา “แพงจัง!”

เมื่อเฉินชางเห็นท่าทางของฉินเยว่ก็อดทอดถอนใจไม่ได้ เขาตัดสินใจได้ในทันที!

ซื้อ!

ห้องชุดนี้เฉินชางพอใจที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นราคา เลย์เอาท์ หรือแบบแปลนก็เหมาะกับตนและฉินเยว่มากที่สุด

สี่ล้าน ไม่ถูกจริงๆ

แต่ว่า…

กว่าจะเจอห้องที่ชอบจริงๆ ก็ไม่ง่ายเช่นเดียวกัน

ฉินเยว่ยิ้ม มองเฉินชางแล้วพูดว่า “ฉันว่ามันใหญ่ไปหน่อยนะคะ พวกเราไปดูห้องเล็กกว่านี้ดีไหมคะ ยังไงคุณก็อยู่คนเดียว ห้องใหญ่ขนาดนี้คงใหญ่เกินไปหน่อย!”

แม้ปากจะพูดเช่นนี้ แต่ฉินเยว่ตัดสินใจไว้แล้วว่าเมื่อกลับถึงบ้านจะให้พ่อแม่มาซื้อห้องนี้ให้ได้!

จะต้องซื้อให้ได้!

เธอดูออกว่าเฉินชางชอบห้องนี้จริงๆ เดินกันมาทั้งวัน นี่เป็นห้องที่เธอและเฉินชางถูกใจที่สุดแล้ว แต่สี่ล้านก็แพงเกินไป

เฉินชางคงซื้อไม่ไหว…

เธอเองก็ซื้อไม่ไหว!

ให้เธอกับเฉินชางรวมเงินกันซื้อก็ยังไม่ไหว…

คิดไปคิดมาก็มีแค่ทางเดียว คือให้พ่อแม่ของเธอซื้อร่วมกันจึงจะได้

ฉินเยว่คิดเรียบร้อยแล้ว ถึงตอนนั้นก็ให้พ่อของเธอซื้อเอาไว้ จากนั้นเธอกับเฉินชางก็ย้ายเข้ามาอยู่ แน่นอนว่าพวกเธอจะไม่เข้ามาอยู่ฟรีๆ พวกเธอจะให้ค่าเช่า ค่าเช่าก็เดือนละ…หนึ่งพันหยวน?

ฉินเยว่รู้สึกว่าหนึ่งพันหยวนก็ไม่น้อยเลยทีเดียว เธอยังต้องตกแต่งอีก หนึ่งพันก็ไม่น้อยแล้ว!

เธอจะช่วยพวกเขาตกแต่งห้อง จะไม่ขอเงินจากพวกเขาอีก แล้วยังจะให้ค่าเช่าด้วย แบบนี้ถือว่าไว้หน้ากันมากแล้ว

ไม่สิ!

ฉินเยว่คิดว่าพวกเขาต้องจ่ายค่าตกแต่งจำนวนหนึ่ง มิฉะนั้นเธอกับเฉินชางคงขาดทุนแย่!

อืม นี่คงไม่ได้เรียกว่าเห็นคนอื่นดีกว่าครอบครัวใช่ไหม!

หลังจากตัดสินใจแล้วฉินเยว่ก็จูงมือเฉินชางเดินออกไปข้างนอก เฉินชางขอเบอร์โทรศัพท์ของพนักงานขายเอาไว้ด้วย ซึ่งนี่ทำให้ฉินเยว่ไม่พอใจเล็กน้อย

สิงโตน้อยอย่างฉินเยว่ถือว่าเฉินชางอยู่ในอำนาจจัดการของตนแล้ว ไม่อนุญาตให้ผู้หญิงอื่นบุกรุกเขตแดนของเธอเป็นอันขาด

ทั้งสองกำลังจะเดินออกไป ทันใดนั้นก็พบว่ามีพี่สาวฝ่ายขายอีกคนหนึ่งเดินเข้ามา เห็นได้ชัดว่าห้องนี้ไม่ได้มีแค่พวกเขาที่มาดู

เรื่องเช่นนี้ปกติเป็นอย่างมาก

แต่…เมื่อเห็นว่าคนที่เข้ามาดูห้องก็คือจางฝาน ทั้งสองก็ชะงักไปเล็กน้อย

เมื่อจางฝานเห็นพวกเขาสองคนก็ยิ้มบางๆ

เขามองฉินเยว่ด้วยสายตาลึกซึ้ง จากนั้นก็มองเลยไปที่เฉินชางแล้วพูดว่า “เยว่เยว่ มาดูห้องหรือครับ ห้องนี้ไม่เลวเลยนะครับ”

หลังจากจางฝานเดินดูอยู่พักใหญ่ก็ถามพนักงานขายว่า “ห้องชุดนี้เท่าไหร่ครับ”

พนักงานขายยิ้มบางๆ กล่าวด้วยน้ำเสียงเช่นเคย “คุณผู้ชายตาถึงมากเลยนะคะ นี่เป็นห้องที่ดีที่สุดในเขตของพวกเราแล้ว ราคาประมาณสี่ล้านค่ะ”

จางฝานยิ้มบางๆ พยักหน้าเล็กน้อยจากนั้นก็พูดว่า “อืม สี่ล้าน ไม่แพงเลย!”

พูดจบจางฝานก็เดินทอดน่องดูรอบๆ จากนั้นก็กล่าวชมเชยว่า “อืม ไม่เลวจริงๆ ซื้อเลยแล้วกัน! สี่ล้านใช่ไหมครับ”

เมื่อเขากล่าวเช่นนี้ออกมา เฉินชางและฉินเยว่ก็ตกใจจนตาค้าง

ฉินเยว่เครียดหนัก เธออยากพูดอะไรบางอย่าง เฉินชางจึงรีบส่งสายตาเป็นเชิงห้ามเอาไว้

จางฝานเห็นภาพนี้ก็รู้สึกดีขึ้นมาทันที

ถึงปากจะไม่พูดอะไร แต่ในใจย่อมเข้าใจแจ่มแจ้ง

คุณชอบหมอน้อยไม่ใช่หรือ

ฮ่าๆ!

น่าเสียดายที่คุณซื้อห้องนี้ไม่ไหว!

ถึงแม้จางฝานจะหัวเราะเยาะเฉินชางไม่ได้ แต่เขาไม่ไว้หน้าอีกฝ่ายได้

เขารู้ว่าฉินเยว่ชอบห้องนี้จริงๆ

ชั่วขณะนั้น เฉินชางตัดสินใจได้ทันทีว่าจะต้องซื้อให้ได้! แต่เขาไม่อยากฉีกหน้ากับจางฝาน จึงจูงมือฉินเยว่แล้วพูดว่า “ไปเถอะครับ”

ฉินเยว่พยักหน้าอย่างหดหู่ เธอไม่สนใจเรื่องห้อง แต่เธอเห็นเฉินชางถูกคนอื่นเยาะเย้ยแล้วรู้สึกขัดตา

สิงโตน้อยจะปกป้องคู่ของมัน!

เฉินชางอ่านชื่อโครงการ จากนั้นจึงต่อสายหาเจิ้งกั๋วถาน

เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ

เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ

Status: Ongoing

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท