บทที่ 373 ห้ามทำเป็นเก่งนะ!
เฉินชางมาถึงโรงพยาบาลแต่เช้า เขาวางอาหารเช้าที่ซื้อมาลงบนโต๊ะทำงานของฉินเยว่ มันเป็นแค่ของธรรมดาเช่นน้ำเต้าหู้ ซาลาเปา และไข่ต้มชา
ฉินเยว่ชอบตื่นสาย เธอมักจะดื่มนมแก้วหนึ่งแล้วมาทำงานเลย ด้วยเหตุนี้เฉินชางจึงตัดสินใจว่าจะซื้ออาหารเช้าให้เธอกิน
ในตอนที่หมุนตัวไปก็เห็นฉินเยว่วิ่งเข้ามาอย่างเร่งรีบ ในมือถืออาหารเช้ามาด้วยชุดหนึ่ง เมื่อเธอเห็นเฉินชางก็มองมาด้วยรอยยิ้ม ดวงตาเรียวโค้งเหมือนมองสมบัติล้ำค่า ท่าทางน่ารักน่าชังเป็นอย่างยิ่ง “มา ฉันมีอาหารเช้าให้คุณด้วยค่ะ!”
เฉินชางเห็นรอยนมที่มุมปากของฉินเยว่ เขาอดยิ้มไม่ได้ จากนั้นก็ยกมือขึ้นเช็ดให้เธอจนสะอาด “ทำไมไม่นอนอีกหน่อยล่ะครับ”
ฉินเยว่ยิ้ม “ฉันอยากซื้ออาหารเช้าให้คุณน่ะค่ะ”
เฉินชางหยิกแก้มฉินเยว่อย่างอดรนทนไม่ไหว จากนั้นก็ชี้ไปบนโต๊ะ “ผมกินแล้ว อืม! ซื้ออาหารเช้ามาให้กินด้วย รีบกินตอนร้อนๆ นะครับ ผมจะไปดูหน่อยว่าพี่เชียนมีอะไรให้ช่วยหรือเปล่า ต่อไปนี้คุณก็นอนให้มากหน่อยนะครับ เดี๋ยวผมจะคอยซื้ออาหารเช้ามาให้คุณเอง!”
ฉินเยว่หัวเราะ จู่ๆ ก็รู้สึกว่าเธอกลายเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลกไปแล้ว
เธอแอบหอมแก้มเฉินชางไปครั้งหนึ่ง
ตอนนี้เอง สือน่ากำลังเดินเข้ามาพอดี ฉินเยว่จึงรีบเดินไปหา “อาจารย์คะ อาหารเช้าให้คุณค่ะ!”
สือน่าชะงักไปเล็กน้อย “ไหนบอกสิเสี่ยวฉิน วันนี้มีเรื่องอะไรหรือเปล่า หืม”
ฉินเยว่รีบยิ้มตอบ “ไม่มีอะไรค่ะ ฉันแค่ซื้อมามากเกินไปหน่อย”
สือน่าส่งเสียงอ้อตอบไปทั้งที่ยังสงสัย เธอมองไปยังอาหารเช้าบนโต๊ะฉินเยว่ มีท่าทางใคร่ครวญบางอย่าง…
……
……
เวลาประมาณสิบโมงเช้า เฉินชางได้รับโทรศัพท์จากเถามี่ “เสี่ยวเฉิน มาห้องผ่าตัดหมายเลขสี่นะครับ เตรียมผ่าตัดกันแล้ว”
เฉินชางรีบพยักหน้าแล้วเดินไปยังห้องผ่าตัดทันที
เฉินชางไม่คิดลงมือผ่าตัดด้วยตัวเอง ซึ่งแน่นอนว่าเถามี่ก็ไม่ให้เฉินชางผ่าตัดอยู่แล้ว คงไม่มีหมอคนไหนเอาชีวิตผู้ป่วยมาล้อเล่นแน่นอน นอกจากนี้ การผ่าตัดผู้ป่วยโรคเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบแบบบีบรัดก็เป็นการผ่าตัดที่มีความอันตรายสูงมาก หากหัวใจและเยื่อหุ้มหัวใจติดกันแน่น เมื่อต้องจับแยกออกก็จะเกิดปัญหา อาจทำให้หัวใจเสียหาย หรือไม่ก็ทำให้เส้นเลือดรอบๆ เสียหายได้ หากเป็นเช่นนั้นจะถือว่าเป็นความรับผิดชอบของใครได้ล่ะ
ในขณะที่เฉินชางล้างมืออยู่นั้น เฉียนหลินและเพื่อนนักเรียนแผนกศัลยกรรมหัวใจคนหนึ่งก็เดินเข้ามา พูดยิ้มๆ ว่า “เอ๋ อาจารย์เฉิน คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงครับ”
ตั้งแต่เฉินชางสอนเพื่อนในคลาสตัวเองเมื่อครั้งที่แล้ว เฉินชางก็ได้ฉายา ‘อาจารย์เฉิน’ เพิ่มขึ้นมาอีกฉายาหนึ่ง
อืม อย่างน้อยก็ฟังดูดีกว่าอาจารย์ชาง
เฉินชางยิ้ม “มาร่วมแจมผ่าตัดครับ!”
เฉียนหลินได้ยินดังนั้นก็ถามอย่างสงสัย “แผนกของพวกคุณมีผ่าตัดหรือครับ”
เฉินชางตอบว่า “ไม่มีครับ! เป็นการผ่าตัดของแผนกศัลยกรรมหัวใจ ผ่าตัดผู้ป่วยโรคเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบแบบบีบรัด เมื่อสองวันก่อนผมส่งผู้ป่วยคนหนึ่งไปที่แผนกพวกคุณไม่ใช่เหรอครับ หัวหน้าเถาบอกว่าจะผ่าตัดวันนี้ ให้ผมมาดูได้”
เมื่อเขากล่าวออกมาเช่นนี้ เฉียนหลินและเพื่อนนักเรียนคนนั้นก็ชะงักไป หรือว่า…
คิดได้ดังนี้เฉียนหลินก็กลืนน้ำลาย! เอ่ยถามไปอย่างระมัดระวัง “คุณหมายถึงอู๋อวี้ซู่เหรอครับ”
เฉินชางพยักหน้า “ครับ! ใช่แล้ว อู๋อวี้ซู่น่ะครับ พวกคุณก็รู้จักเขาด้วยเหรอ”
เฉียนหลินและเพื่อนสบตากัน จะไม่รู้จักได้ยังไงล่ะ เป็นเพราะผู้ป่วยรายนี้ หัวหน้าเถาจึงโมโหถึงขั้นที่เรียกว่าองค์ลงได้เลยทีเดียว ทำให้ทุกคนต้องหันมาฝึกฝนและพัฒนาความสามารถในการตรวจโรคและวินิจฉัยของตนเอง
ระยะนี้หมอทั่วทั้งแผนกศัลยกรรมหัวใจจะพกสมุดเล่มเล็กๆ ติดตัวไปด้วย ด้านบนเขียนว่า s1 เสียงคือ…ความดันขณะหัวใจคลายตัวคือ…
ระยะนี้ ทุกคนรู้สึกเหมือนกับอยู่ในสงคราม พวกเขากลัวหัวหน้าแผนกจะถามคำถามที่ตอบไม่ได้
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ทั้งสองก็ใจเต้นรัว พวกเขาคิดถึงเรื่องน่ากลัวบางอย่างขึ้นมาได้…
เฉียนหลินอดถามไม่ได้ว่า “อาจารย์เฉิน คงไม่ใช่ว่าอู๋อวี้ซู่เป็นผู้ป่วยที่คุณวินิจฉัยแล้วส่งตัวมาที่แผนกพวกเราหรอกนะครับ”
เฉินชางพยักหน้า “ใช่แล้วครับ ผมเอง ทำไมเหรอครับ”
เฉียนหลินและเพื่อนตกใจจนตาค้างไปแล้ว!
เป็นแบบนี้จริงๆ ด้วย!
เมื่อคิดได้ดังนี้ เฉียนหลินก็อยากเขวี้ยงสมุดบันทึกที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อใส่หน้าเฉินชางจริงๆ จากนั้นก็ชี้หน้าด่าเฉินชางในใจ สารเลว! ต้องโทษแก รู้ไหมว่าช่วงนี้สายตาที่อาจารย์เถาใช้มองฉันมันแฝงไปด้วยความรังเกียจมากขึ้นทุกวันแล้ว ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะแก! ไอ้หมาสารเลวเอ๊ย
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เฉียนหลินก็กัดฟันกรอด มองเฉินชางอย่างขุ่นเคือง “ไอ้สุนัขแซ่เฉิน แก…แกทำลายอนาคตของฉัน!”
เฉินชางตะลึงจนตาค้างไปแล้ว
เมื่อกี้ยังเรียกว่าอาจารย์เฉินอย่างสนิทสนมอยู่เลย ตอนนี้เรียกผมเป็นหมาไปแล้ว
เฮ้อ คนเรา!
“ผมไม่ใช่ผู้มีพระคุณของคุณเหรอ ทำไมกลายเป็นหมาไปได้ล่ะ คุณมันคนทรยศ ไอ้อ้วนสมควรตายเอ๊ย!”
เฉียนหลินถลึงตาใส่ “แกยังมีหน้ามาพูดอีกเหรอ ต้องโทษแกทั้งนั้น! รู้หรือเปล่า! ตอนนี้สายตาที่หัวหน้าเถาใช้มองฉันมันมีความรังเกียจเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว แทบจะเตะฉันออกจากสำนักอยู่แล้วเนี่ย!”
เฉียนหลินอยากแสดงให้เห็นว่าเขาโกรธมาก โกรธโคตรๆ!
เพียงแต่ท่าทางเดือดดาลของเฉียนหลินไม่ได้ดูโหดเหี้ยมเลยสักนิด ใบหน้าเจ้าเนื้อไร้เดียงสาเช่นนั้นดูเหมือนหมีแพนด้าเสียมากกว่า เฉินชางเห็นแล้วก็ได้แต่ตีหน้านิ่ง ถอนใจออกมา
ช่างเถอะๆ คนหล่อไม่ถือสาคนน่าเกลียด
เมื่อเห็นท่าทางไม่สะทกสะท้านของเฉินชาง เฉียนหลินก็กระสับกระส่ายขึ้นมาทันที เขาคิดทบทวนดูอีกครั้ง ถ้าอยากให้อาจารย์มองตนเองใหม่ อัดเจ้าเฉินชางไปก็ไม่มีประโยชน์ มีเพียงต้องใช้เฉินชางมาทำให้ตนโดดเด่นขึ้นเท่านั้น
“ท่านเฉินผู้มีพระคุณ ไม่สิ อาจารย์เฉิน ปู่เฉินขอรับ พวกเรามาปรึกษาอะไรกันหน่อยเป็นยังไง”
เฉินชางปรายตามองด้วยความสงสัย “อะไรครับ”
เฉียนหลินรู้สึกอัดอั้นตันใจ เขาพูดด้วยท่าทางน่าสงสารว่า “คุณอย่าแสดงความสามารถโดดเด่นขนาดนั้นได้หรือเปล่า”
เพื่อนอีกคนพยักหน้า คิดว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ จึงใช้สายตาชื่นชมมองเฉินชาง “คุณโดดเด่นขนาดนี้มันทำให้พวกเราดูอ่อน”
เฉินชางทอดถอนใจออกมาอย่างสิ้นไร้หนทาง
ทำตัวเด่นก็ผิดอีก
……
……
ในตอนที่เฉียนหลินใช้ชานมสามแก้วและหม้อไฟอีกหนึ่งมื้อมาล่อลวงเฉินชาง ในที่สุดเฉินชางก็ให้สัญญาว่าการผ่าตัดในวันนี้ เขาจะไม่อวดเก่ง จะไม่แสดงความสามารถ จะไม่ทำงาน ทางที่ดีไม่ส่งเสียงอะไรเลยจะดีที่สุด
เฉินชางคิดว่าการแลกเปลี่ยนในครั้งนี้เขาได้กำไรจริงๆ!
เขาตัดสินใจแล้วว่าเมื่อผ่าตัดเสร็จจะเอาข่าวนี้ไปบอกฉินเยว่ จะบอกเธอว่าผู้ชายของเธอไปแย่งชิงหม้อไฟฟรีมาให้เธอมื้อหนึ่งแล้ว…อืม ของฟรีนี่มันให้รู้สึกดีจริงๆ
ตอนนี้เอง เถามี่ก็เดินเข้ามาพอดี เขาเห็นคนทั้งสามกำลังล้างมืออยู่
เมื่อเห็นเฉินชาง เขาก็ยิ้มอบอุ่นราวกับแสงอาทิตย์เดือนมีนาคม ประดุจสายลมอ่อนๆ ในเดือนเมษายน จากนั้นก็พูดขึ้นอย่างสนิทสนมว่า “เสี่ยวเฉิน มานี่เร็ว อีกเดี๋ยวคุณมาเป็นผู้ช่วยผมนะครับ!”
เฉินชางพยักหน้ายิ้มๆ “ได้ครับ หัวหน้าเถา”
เถามี่ยิ้มบางๆ ยิ่งมองเฉินชางก็ยิ่งรู้สึกพอใจ ไม่โอ้อวดไม่หยิ่งยโส ทั้งฉลาดเฉลียวและเก่งกาจ ที่สำคัญก็คือมีความสามารถมาก “อืม ไม่เลวจริงๆ!”
พูดจบก็มองไปที่เฉียนหลินและสหายตัวประกอบ A สีหน้าเขาแปรเปลี่ยนไปทันที เขากล่าวด้วยใบหน้านิ่งเรียบว่า “เฉียนหลิน เสี่ยวหยาง พวกคุณเรียนชั้นเดียวกับเสี่ยวเฉินใช่หรือเปล่า”
เฉียนหลินและสหายตัวประกอบ A พยักหน้าอย่างจนใจ
เถามี่ถอนใจออกมา “อาจารย์บอกพวกคุณแล้วไม่ใช่เหรอว่าต้องให้เวลากับการเรียนรู้ดีๆ อยู่ใกล้ชาดเปื้อนชาด อยู่ใกล้หมึกเปื้อนหมึก พวกคุณก็ไปสนิทสนมกับเสี่ยวเฉินไว้หน่อย เรียนรู้จากเขาบ้าง”
พูดจบเถามี่ก็ถอนใจอีกครั้ง จากนั้นก็เดินไปที่ห้องผ่าตัด ทิ้งคนทั้งสามเอาไว้ตรงประตู
เฉินชางถอนใจออกมา “ผม…”
เฉียนหลินกำหมัดแน่น “คุณอะไร!”
เฉินชางชะงัก แล้วถอนใจอีกครั้ง “คือ…”
สหายตัวประกอบ A “ยังจะพูดอะไรอีก!”
เฉินชางมีท่าทีอึดอัด มีความสิ้นไร้หนทางแฝงอยู่ในท่าทางนั้น
ก็…ผมยังไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย!
ช่างเถอะ ตอนผ่าตัดจะไม่ทำเป็นเก่งแล้ว จะเป็นผู้ช่วยไปดีๆ
บทที่ 369 วินิจฉัยโดยอาศัยสัญญาณทางร่างกายเพียงอย่างเดียวหรือ
เฉินชางทำกราฟหัวใจให้คุณเจิ้งด้วยตัวเอง จากนั้นก็นำผลมาตรวจดู พบว่ามีภาวะหัวใจเต้นก่อนจังหวะ (extrasystole) และอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะ (cardiac arrhythmia) เล็กน้อย รวมไปถึงภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดด้วย แต่อายุขนาดนี้ก็ถือเป็นเรื่องปกติ
เจิ้งซานสุ่ยยิ้มมองเฉินชางจนตาหยี ถามขึ้นว่า “ไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ”
เฉินชางพยักหน้า ตอบไปตามความจริงว่า “ครับ มีภาวะหัวใจเต้นก่อนจังหวะเล็กน้อย รวมไปถึงภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดและหัวใจเต้นผิดจังหวะด้วยครับ”
ขณะพูดเฉินชางก็ส่งกราฟหัวใจให้ดู ชายชรารับมาดูแล้วยิ้มออกมาทันที “ไม่เลว ดูดีมากเลยนะครับ!”
เมื่อได้ยินคำวิจารณ์ของชายชราแซ่เจิ้ง เฉินชางก็หน้าแดงก่ำ รู้สึกว่าตัวเองกำลังสอนจระเข้ว่ายน้ำ
คิดแล้วเฉินชางก็ยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน
ปกติเมื่อใช้เครื่องวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจในการตรวจ เครื่องจะส่งกราฟหัวใจออกมาให้ รวมไปถึงผลวินิจฉัยของตัวเครื่องด้วย แต่ผลจากตัวเครื่องมักไม่แม่นยำ ดังนั้นหมอที่มีประสบการณ์จะอ่านกราฟด้วยตนเอง ไม่ค่อยวินิจฉัยตามมาตรฐานของเครื่องวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจเท่าไหร่นัก
คุณเจิ้งยิ้มบางๆ “เฮ้อ อายุมากแล้วก็มีปัญหามาก ขอบคุณนะครับ หมอเสี่ยวเฉินใช่ไหมครับ ไม่เลวจริงๆ”
พูดจบก็ยิ้มให้ มองเฉินชางด้วยสายตาลึกล้ำแฝงความหมายบางอย่าง จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินจากไป
สิ่งที่เฉินชางแสดงให้เห็นในวันนี้ ทำให้เจิ้งซานสุ่ยประเมินเขาไว้สูงมากทีเดียว อายุยังไม่มาก ดูแล้วคงอายุยี่สิบกว่าปีเท่านั้น แต่มีฝีมือถึงระดับนี้แล้ว เจิ้งซานสุ่ยรู้สึกชื่นชมจริงๆ
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่นเลย แค่อีกฝ่ายเข้าใจอาการชีพจรผิดปกติและใช้การตรวจวัดความดันโลหิตมาพิจารณาอาการได้ก็มีความสามารถมากแล้ว
เฉินชางไม่ได้เดินออกไปส่งเพราะในห้องยังมีผู้ป่วยรอตนอยู่
ความจริงเฉินชางคิดไม่ถึงเลยว่าจะได้พบคุณเจิ้งในฐานะผู้ป่วยที่แผนกฉุกเฉินแต่เช้าเช่นนี้
ตอนนี้คุณเจิ้งเป็นอธิการบดีกิตติมศักดิ์อยู่ที่มหาวิทยาลัยการแพทย์ในมณฑลตงหยาง อายุเจ็ดสิบกว่าปีแล้ว ในหนึ่งอาทิตย์จะออกมาทำงานที่คลินิกผู้ป่วยนอกสองครั้ง คาดว่าเขาคงบังเอิญผ่านมาทางนี้ขณะกำลังออกกำลังกายตอนเช้า จึงถือโอกาสเข้ามาทำกราฟหัวใจเสียเลย
ความจริงด้วยความสามารถของชายชรา เพียงยกโทรศัพท์ครั้งเดียว ลูกศิษย์ของเขาก็ยกเครื่องวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจมาถึงบ้านชายชราได้แล้ว ต้องทราบว่าการจะเป็นปรมาจารย์ในวงการแพทย์ได้นั้น จะมีเพียงความสามารถส่วนบุคคลไม่ได้ แต่จะต้องมีความสามารถระดับมหภาคด้วย!
พูดให้ชัดก็คือคุณเจิ้งเป็นเหมือนสมบัติล้ำค่าของมณฑลตงหยาง
ไม่ว่าจะเป็นแพทย์แผนจีน หรือแพทย์แผนปัจจุบัน ขอเพียงรักษาอาการป่วยได้ ก็นับเป็นแพทย์ที่ดีทั้งนั้น ยิ่งไปกว่านั้น หากเป็นแพทย์ที่แท้จริงจะไม่กีดกันซึ่งกันและกัน เพราะจะอย่างไรก็มีเป้าหมายเดียวกัน ไม่ว่าจะใช้ทฤษฎีไหนก็เป็นการรักษาอาการป่วยเหมือนกัน
ยกตัวอย่างเช่นคุณเจิ้งคนนี้ เขามาโรงพยาบาลแต่เช้าก็เพื่อมาทำกราฟหัวใจ แต่ในเมื่อเขาสามารถชี้แนะให้เฉินชางใช้วิธีตรวจวัดความดันโลหิตมาวินิจฉัยอาการได้ก็บอกออกไปให้ทราบ เขามีความรู้เกี่ยวกับชีพจรมาก ไม่ใช่แค่ความรู้ในด้านแพทย์แผนจีนเท่านั้น แต่ยังมีความรู้ไปถึงทฤษฎีแพทย์ร่วมสมัยด้วย
เฉินชางเคยเห็นหมอที่ไปศึกษาเกี่ยวกับแพทย์แผนจีนเพิ่มเติมมามากเช่นกัน ทั้งนี้ก็เพื่อนำมาใช้ในการตรวจหาสาเหตุของอาการและวินิจฉัยอาการป่วยบางชนิด
การปรากฏตัวของคุณเจิ้งทำให้เฉินชางเข้าใจเรื่องนี้ได้อย่างลึกซึ้ง
……
……
หลังจากอู๋อวี้ซู่ลังเลอยู่นาน ในที่สุดก็ตัดสินใจได้แล้ว!
แอดมิทก็แล้วกัน!
สุขภาพเป็นทุนรอนในการปฏิวัติชีวิต หากตนเป็นอะไรขึ้นมาจริงๆ เช่นนั้น…ครอบครัวของเขาก็คงจบสิ้น ดังนั้นตรวจก่อนค่อยว่ากันเถอะ
คิดได้ดังนี้ อู๋อวี้ซู่ก็เริ่มติดต่อไปหาบริษัท เขาออกไปโทรศัพท์หลายนาที ต้องส่งมอบงานและจัดการธุระปะปังอีกมากมาย
เมื่อกลับมาในห้องตรวจอีกครั้งจึงค่อยพูดขึ้นว่า “หมอเฉินครับ เดี๋ยวผมจะกลับบ้านไปเอาบัตรประกันสังคมและสมุดบันทึกการรักษามานะครับ แล้วเดี๋ยวผมจะมาทำเรื่องแอดมิท แล้วก็…ถ้าผมมาแล้วให้มาหาคุณอีกไหมครับ”
เฉินชางพยักหน้า “คุณไปเตรียมตัวได้เลยครับ คุณกลับมาแล้วผมจะช่วยติดต่อแผนกศัลยกรรมหัวใจให้นะครับ ยังไงคุณก็ต้องผ่าตัด ไปแอดมิทกับแผนกศัลยกรรมหัวใจจะเหมาะสมกว่า”
เฉินชางไม่ได้บอกให้อู๋อวี้ซู่แอดมิทในแผนกที่ตัวเองทำงานอยู่เพียงเพราะตนผ่าตัดโรคเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบแบบบีบรัดได้ การรักษาโรคไม่ได้ขึ้นอยู่กับการผ่าตัดเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงระเบียบขั้นตอนอีกมากมาย เช่นการดูแลของพยาบาล หรือการปฏิบัติตามคำสั่งแพทย์เป็นต้น
ในแผนกฉุกเฉินจะไม่ค่อยเห็นการผ่าตัดโรคเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบแบบบีบรัด ดังนั้นหากแอดมิดที่แผนกฉุกเฉินจะนับว่าเป็นการไม่รับผิดชอบต่อผู้ป่วย ดังนั้นเฉินชางจึงไม่ได้บอกให้ผู้ป่วยแอดมิทที่แผนกฉุกเฉินเพียงเพราะจะพัฒนาการผ่าตัดของตนแน่นอน
อู๋อวี้ซู่พยักหน้า พูดขอบคุณ จากนั้นก็กลับไป
……
……
ไม่นานก็ได้เวลาแลกเวรแล้ว เฉินชางเพิ่งรู้ตัวว่าตนมักจะอยากมองไปที่ฉินเยว่ ยิ่งไปกว่านั้น…ก็มองจนเหม่อไปเล็กน้อยแล้วด้วย
เฉินชางรีบส่ายหน้า พยายามรวบรวมสมาธิ แต่…ก็ยังแอบปรายตามองฉินเยว่อยู่ดี
ฉินเยว่ถูกเฉินชางมองจนหน้าแดงระเรื่อ สุดท้ายก็มองเฉินชางครู่หนึ่ง เธอซื่อสัตย์กับตัวเองแล้ว ที่สำคัญก็คือ…ถูกเฉินชางมองเช่นนี้ ทำให้เธอใจเต้นจนแทบทนไม่ไหวจริงๆ
ทั้งสองแอบมองกันไปกันมา ท่าทางลับๆ ล่อๆ
ในที่สุดเฉินชางก็เข้าใจแล้วว่าทำไมบริษัทหลายแห่งถึงไม่สนับสนุนความรักในที่ทำงาน นี่ไม่มีผลดีกับการทำงานเลย ตอนนี้เป็นช่วงเวลาของหัวหน้าพยาบาลเถียนเซียงหลานที่เปรียบเสมือนผู้ดูแลใหญ่ ดังนั้นเฉินชางจึงเปิดแถบสถานะของตนขึ้นมาดู
[เฉินชาง ระดับ: 29: 1200/11600 (เปลี่ยนอาชีพแล้ว)
อาชีพที่1: ศัลยแพทย์ทรวงอก: 12 คะแนน
อาชีพที่2: ศัลยแพทย์หัวใจ (อาชีพลับ): 19 คะแนน]
เฉินชางชะงักไปเล็กน้อย คิดไม่ถึงเลยว่าคะแนนประเมินของอาชีพศัลยแพทย์หัวใจของตนจะแซงคะแนนของอาชีพศัลยแพทย์ทรวงอกไปเร็วขนาดนี้ เมื่อคิดถึงตรงนี้ เฉินชางก็ตกใจ
ท่าทางระยะนี้จะไม่ได้เสียเวลาเปล่าจริงๆ
ทันใดนั้น เฉินชางก็รู้สึกว่าอาชีพศัลยแพทย์หัวใจเป็นเหมือนจุดเปลี่ยน เพราะเมื่อดูในแผนผังทักษะแล้ว ทุกทักษะล้วนเป็นทักษะระดับปรมาจารย์สีม่วงทั้งนั้น จากการแจ้งเตือนของระบบ ถ้ามีทักษะสีม่วงจะบวกคะแนนเพิ่มสี่คะแนน
อืม…จะต้องใช้ทักษะด้านศัลยกรรมหัวใจถึงยี่สิบห้าทักษะเพื่อให้คะแนนประเมินทางอาชีพทะลุร้อยคะแนน จากนั้นจึงจะเปิดอาชีพที่สามได้
อีกอย่าง ขาดอีกแค่สามสิบเอ็ดคะแนนก็จะเปิดใช้ทักษะด้านศัลยกรรมหัวใจระดับสี่ได้แล้ว
นี่ทำให้เฉินชางเบิกบานใจจริงๆ
ในด้านศัลยกรรม ศัลยกรรมหัวใจถือเป็นวิชาเฉพาะทางที่ค่อนข้างยาก การผ่าตัดส่วนใหญ่อยู่ในระดับสี่ นี่ทำให้เฉินชางอึดอัดมาก ถ้าคิดจะเรียนทักษะระดับสี่ก็ต้องมีคะแนนประเมินอาชีพถึงห้าสิบคะแนนเสียก่อน
ดูท่าทางช่วงนี้ตนจะต้องทำให้เมิ่งซีที่โรงพยาบาลตงต้าตกใจบ่อยๆ แล้ว
ตอนนี้เฉินชางรู้ความลับเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับค่าความรู้สึกดีของระบบแล้ว นั่นก็คือการประจบประแจงไม่ค่อยมีประโยชน์อะไร มันมีขีดจำกัดอยู่ เมื่อค่าความรู้สึกดีไปถึงยี่สิบคะแนน ประจบประแจงต่อไปก็ไม่มีผล
แต่การทำให้อีกฝ่ายตกใจ (ในทางที่ดี) จะให้ผลดีกว่า ทำให้ตกใจครั้งหนึ่งก็ได้ค่าความรู้สึกดีมาครั้งหนึ่ง เฉินชางคิดดีแล้ว เขาต้องทำให้อาจารย์เมิ่งตกใจหลายๆ ครั้งหน่อย ให้ค่าความรู้สึกดีของอีกฝ่ายพุ่งทะยานขึ้นไปสูงๆ
วันนี้เขากดเปลี่ยนทักษะไปใช้ [ทักษะฟังเสียงหัวใจ] ครั้งหนึ่ง ทำให้สูญเสียค่าความรู้สึกดีไปสิบแต้ม ดังนั้นค่าความรู้สึกดีของเมิ่งซีจึงกลายเป็น [ค่าความรู้สึกดี: 40 (เหลือ30)]
เฉินชางเข้าใจดีว่ามันหมายถึงอะไร หมายความว่าความสัมพันธ์ระหว่างเฉินชางและอาจารย์เมิ่งจะถูกรักษาอยู่ในระดับสี่สิบแต้ม แต่จริงๆ แล้วมีค่าเพียงสามสิบแต้มเท่านั้น
แต่…เมื่อมองตัวเลขนั้นแล้ว เฉินชางก็จมลงสู่ความเงียบงัน
เขากำลังกังวลว่าถ้าค่าความรู้สึกดีของอาจารย์เมิ่งเพิ่มไปถึงร้อยแต้มแล้วจะเกิดอะไรขึ้น
เมื่อคิดถึงตรงนี้เฉินชางก็เงยหน้ามองฉินเยว่
ผมไม่ได้อยากนอกใจจริงๆ…
แต่ระบบบังคับผม
ทันใดนั้นเฉินชางก็คิดถึงปัญหาบางอย่างขึ้นมาได้ ตอนนี้ค่าความรู้สึกดีของฉินเยว่อยู่ที่เท่าไหร่กันแน่
เฉินชางกดดูค่าความรู้สึกดีของอีกฝ่ายทันที
[ฉินเยว่: ค่าความรู้สึกดี (ความรัก): 30]
เฉินชางชะงักไป ทำไมหลังคำว่าค่าความรู้สึกดีถึงมีคำว่าความรักเพิ่มมาด้วยล่ะ
[ติ๊ง! ระบบค่าความรู้สึกดีแบ่งออกเป็นหลายประเภท ได้แก่: ความสัมพันธ์แบบเพื่อน ความสัมพันธ์แบบคนรัก ความสัมพันธ์แบบศิษย์อาจารย์ ความสัมพันธ์แบบครอบครัว…มีค่าความรู้สึกดีหลายอย่าง การเพิ่มขึ้นของค่าความรู้สึกดีจะทำให้ไมตรีจิตในความสัมพันธ์แต่ละประเภทของพวกคุณดีขึ้นเท่านั้น]
ทันใดนั้นเฉินชางก็รู้สึกผ่อนคลาย
เขาพบว่าตัวเองคิดมากเกินไปแล้ว ไมตรีจิตระหว่างตนกับอาจารย์เมิ่งคงเป็นแบบศิษย์อาจารย์สินะ
อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นว่าค่าความรู้สึกดีของเหล่าเฉินทะลวงไปถึงเจ็ดสิบแต้มแล้ว เฉินชางก็รู้สึกตื่นตระหนักเล็กน้อย
ดูท่าทางต่อไปนี้เขาต้องหาทางทำลายสถิติค่าความรู้สึกดีอย่างไร้ยางอายบ้างซะแล้ว และตอนนี้ค่าความรู้สึกดีของตนและฉินเยว่ก็กลายเป็นประเภทความรักไปแล้ว