เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ – บทที่ 374 ท่าทีที่เปลี่ยนแปลงไปของหัวหน้าเถา

เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ

บทที่ 374 ท่าทีที่เปลี่ยนแปลงไปของหัวหน้าเถา

บรรยากาศในห้องผ่าตัดไม่ได้เคร่งเครียดขนาดนั้น ถึงอย่างไรหัวหน้าแผนกเถามี่ก็เป็นศัลยแพทย์หลัก ทุกคนจึงค่อนข้างผ่อนคลาย

จางเหวินฟู่เป็นผู้ช่วยอันดับหนึ่ง เฉินชางเป็นผู้ช่วยอันดับสอง ส่วนเฉียนหลินและสหายตัวประกอบ A มีหน้าที่ส่งสายตาให้กำลังใจและคอยจับตะขอถือเครื่องมือ แต่สำหรับทั้งสองก็นับว่าพอใจมากเลยทีเดียว

อย่าคิดเชียวว่านักศึกษาแพทย์ทุกคนจะร่วมผ่าตัดได้ พวกเขายังเป็นเพียงต้นกล้าเท่านั้น

การผ่าตัดยังไม่เริ่ม วิสัญญีแพทย์หลิวเจี้ยนยืนคุยกับหัวหน้าเถาอยู่ข้างๆ พยาบาลย่วนย่วนกำลังช่วยสวมชุดผ่าตัดให้เฉินชางท่ามกลางสายตาของเฉียนหลินและสหายตัวประกอบ A

ทันใดนั้นเฉินชางก็คิดถึงปัญหาบางอย่าง นั่นก็คือจะเลือกตำแหน่งผ่าเปิดในการผ่าตัดครั้งนี้อย่างไร

คิดได้ดังนั้นเขาก็หันไปพูดว่า “ย่วนย่วน ช่วยหยิบใบผลตรวจให้ผมหน่อยครับ ผมอยากดูภาพเอกซเรย์ทรวงอกและภาพอัลตร้าซาวด์”

ข่งย่วนย่วนพยักหน้า จากนั้นก็หยิบผลตรวจขึ้นมาให้เฉินชาง เมื่อเขาดูแล้วก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย

หากดูจากภาพเอกซเรย์ทรวงอก ตอนนี้ที่เยื่อหุ้มหัวใจของผู้ป่วยต้องเป็นพังผืดแน่นอน ซึ่งสิ่งที่เฉินชางจะต้องแยกแยะให้ชัดเจนก็คือตำแหน่งที่เป็นพังผืดอยู่ตรงไหน เนื่องจากพังผืดคนละตำแหน่ง การเลือกตำแหน่งในการผ่าเปิดก็จะแตกต่างกันไป

ผลของเส้น x แสดงให้เห็นว่าเค้าโครงของหัวใจไม่ปกติ มันมีลักษณะแข็ง บริเวณเยื่อหุ้มหัวใจด้านหน้ามีลักษณะกว้าง เฉินชางดูผลตรวจแล้วเงียบลง

เถามี่เห็นดังนั้นก็มีประกายชื่นชมสะท้อนในดวงตา เขารู้ว่าเฉินชางกำลังทำอะไรอยู่

เมื่อเฉียนหลินและสหายตัวประกอบ A เห็นสายตาของอาจารย์พวกตนก็รู้สึกตัวขึ้นมาแล้ว พวกเขารีบหันไป เดินไปข้างหลังเฉินชางแล้วพากันดูผลเอกซเรย์

เฉียนหลินพยักหน้าด้วยท่าทางครุ่นคิด “อืม ใช่ ตรงนั้น มีหินปูนเล็กน้อย!”

สหายตัวประกอบ A ก็รวมสนทนาด้วย “อืมๆ เยอะเลย”

เฉินชาง “…”

……

……

หลายนาทีต่อมา เฉินชางก็มีความคิดในใจแล้ว สำหรับศัลยแพทย์คนหนึ่ง แผนผ่าตัดเป็นสิ่งสำคัญที่สุด และเป็นสิ่งที่ควรใส่ใจที่สุดด้วย นี่แสดงให้เห็นว่าเขาวางแผนสำหรับการผ่าตัดในเคสนี้มาอย่างละเอียดแล้ว วางแผนไว้ตั้งแต่ต้นจนจบ

เพียงไม่นานการผ่าตัดก็เริ่มขึ้น

เถามี่หยิบมีดผ่าตัดขึ้นมา พิจารณาครู่หนึ่งค่อยเริ่มลงมือ เห็นดังนั้นเฉินชางก็เข้าใจความคิดของหัวหน้าเถาได้อย่างชัดเจน

เถามี่เลือกกรีดในแนวขวางระหว่างหน้าอกทั้งสองด้าน ไม่เสียทีที่เป็นหัวหน้าแผนก การผ่าเปิดในครั้งนี้ทำให้เฉินชางตื่นเต้นมาก

จางเหวินฟู่หนังตากระตุก เขารีบหยิบผ้าก๊อตขึ้นมาช่วยหยุดเลือด เฉินชางถือคีมอยู่อย่างนั้นไม่ขยับเขยื้อน ในเมื่อหัวหน้าเถาเลือกผ่าตำแหน่งนี้แล้ว จุดประสงค์ก็ชัดเจนมาก นั่นก็คือต้องการเพิ่มพื้นที่ผ่าตัดและช่วยให้ดูแลทั้งสองด้านของหัวใจได้อย่างทั่วถึง

เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ต้องเตรียมคีมให้พร้อมจึงจะเตรียมงานขั้นต่อไปได้

จริงดังคาด เถามี่กล่าวขึ้นประโยคหนึ่งโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้า “คีมแยก”

เพิ่งพูดจบเฉินชางก็ส่งไปให้

เถามี่อดเงยหน้าขึ้นไม่ได้ เมื่อเห็นคีมแยกในมือของเฉินชางก็ยิ้มออกมา มีผู้ช่วยเช่นนี้ทำให้เขาผ่าตัดสบายขึ้นมาก

ต่อจากนั้น ไม่ว่าเถามี่ต้องการอะไร ไม่ว่าต้องการตอนไหน เฉินชางก็ร่วมมือกับเขาได้ดี ในตอนที่ขยับแยกอวัยวะออกจากกัน ยังยื่นมือไปช่วยด้วยตนเองอีกด้วย ไม่ต้องให้เถามี่คอยเตือน

การผ่าตัดเคสนี้ทำให้จางเหวินฟู่รู้สึกเลือดลมพลุ่งพล่าน มีความรู้สึกเหมือนกับเห็นสองพี่น้องเล็ทสึแอนด์โกลด์[1]

เร็ว! เร็ว! เร็ว!

พุ่งทะยาน! พุ่งทะยาน! พุ่งทะยาน!

พี่น้องผ่าตัดกำลังขยับมือ…

เนื่องจากหัวหน้าเถาและเฉินชางร่วมมือกันได้ดีเกินไป ทำให้จางเหวินฟู่ช่วยอะไรไม่ได้จนรู้สึกมือเท้าเกะกะ! นี่ทำให้จางเหวินฟู่เปลี่ยนตำแหน่งกับเฉินชางไปโดยปริยาย

การผ่าตัดดำเนินไปอย่างราบรื่น

แม้หัวหน้าเถาจะอายุห้าสิบกว่าแล้ว แต่ความคล่องแคล่วของมือก็ยังดีอยู่

เพิ่งกรีดกล้ามเนื้อจนเข้าไปถึงช่องท้อง เฉินชางก็นำคีมหยุดเลือดขึ้นมาหนีบเส้นเลือดภายในช่องท้องจนแน่น จากนั้นก็ตัดออก

ต่อมาจะต้องตัดกระดูกบริเวณใกล้กระดูกซี่โครงซี่ที่ห้าออกไป! พวกเขาต้องเปิดหน้าอกให้มากที่สุด นี่หมายรวมไปถึงกระดูกซี่โครงด้วย

จากนั้นก็เป็นการจับอวัยวะแยกออกจากกัน นี่เป็นการแสดงทักษะฝีมืออย่างหนึ่ง จะต้องจับเส้นประสาทแยกออกจากเยื่อหุ้มหัวใจให้ดี นอกจากนั้นจะต้องแยกออกไปโดยให้ติดเนื้อเยื่อ หรือไขมันไปให้มากที่สุดด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้เส้นประสาทได้รับความเสียหาย

กระบวนการผ่าตัดดำเนินไปอย่างพิถีพิถัน ตอนนี้เฉินชางจึงค่อยพบว่ามือของหัวหน้าเถานิ่งมาก!

งานต่อจากนั้นก็เป็นงานน่าเบื่อแล้ว แม้เฉินชางจะมีทักษะการผ่าตัดโรคเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบแบบบีบรัดในระดับปรมาจารย์ แต่ตอนเห็นหัวหน้าเถาทำงานก็ยังรู้สึกตื่นเต้น

เก่งมากจริงๆ!

พูดได้เพียงว่าแต่ละคนก็มีข้อดีของตัวเอง

พวกเขาช่วยพัฒนาซึ่งกันและกันได้ เถามี่มีความสามารถในการมองภาพรวมมากกว่าเฉินชาง จุดนี้เห็นได้จากการผ่าเปิดช่องอกในตอนแรก

ข้อดีของการเลือกกรีดตามขวางบริเวณหน้าอกทั้งสองค่อนข้างชัดเจน นั่นก็คือเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการผ่าเปิดไม่กี่วิธีที่ช่วยให้มีพื้นที่ผ่าตัดมาก ยิ่งไปกว่านั้นยังคำนึงถึงหัวใจทั้งสองด้านอีกด้วย ทำให้ผ่าเยื่อหุ้มหัวใจได้ดี ไม่ว่าจะเกิดอุบัติเหตุอะไรในการผ่าตัดก็จัดการได้สะดวก!

นี่เหมาะกับสภาพของอู๋อวี้ซู่ที่สุดแล้ว เนื่องจากร่างกายของอู๋อวี้ซู่อยู่กับโรคมานานแล้ว หากไม่ตัดบางส่วนออกก็จะประเมินสภาพของเยื่อหุ้มหัวใจไม่ได้ การเลือกตำแหน่งผ่าในครั้งนี้เรียกได้ว่าถูกต้องแล้ว

แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีจุดอ่อน เฉินชางคิดว่าหากใช้การผ่าข้างอกซ้ายร่วมกับการผ่าแนวขวางบริเวณหน้าอกทั้งสองด้านจะให้ผลดียิ่งกว่า

หากเป็นเช่นนี้ก็จะช่วยลดผลกระทบที่เกิดกับปอดได้มาก

ไม่มีโทษ มีแต่ประโยชน์มากมาย!

การผ่าตัดยังคงดำเนินต่อไป

หลังจากเห็นเยื่อหุ้มหัวใจแล้ว ในดวงตาของเฉินชางก็ปรากฏข้อมูลขึ้นมา

[มอนสเตอร์เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบแบบบีบรัด เลเวล 55 ระดับอิลิท (Elite) มีพังผืดมาก ต้องแยกอย่างระมัดระวัง]

เฉินชางชะงักไปเล็กน้อย

ไม่ใช่โรคเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบแบบบีบรัดธรรมดาจริงๆ ด้วย

เป็นอย่างที่คิดจริงๆ!

ตอนนี้เอง เถามี่เพิ่งจะกรีดเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ ทว่าสภาพที่ปรากฏด้านหน้าทำให้เขาชะงักไป

ยังไปไม่ถึงส่วนกล้ามเนื้อหัวใจเลย!

เนื่องจากพังผืดระหว่างเยื่อหุ้มหัวใจและหัวใจชั้นนอกติดกันแน่นเกินไปจึงแยกไม่ออก!

นี่แสดงให้เห็นว่า พังผืดระหว่างหัวใจและเยื่อหุ้มหัวใจแต่ละชั้นอยู่ในภาวะพังผืดที่รุนแรงมาก

เถามี่รู้สึกทอดถอนใจ

ยังดีที่เลือกผ่าตรงนี้!

ไม่งั้นคงแย่แน่…

ตอนนี้เอง เฉินชางก็ส่งมีดไปให้ ในสถานการณ์เช่นนี้จะต้องใช้ความคมของมีดค่อยๆ กรีดเพื่อแยกอวัยวะออกจากกัน!

เถามี่ชะงักไป คิดในใจว่า เสี่ยวเฉินคนนี้รู้ได้อย่างไร

แม้สีหน้าท่าทางของเถามี่จะไม่เปลี่ยนแปลง แต่ในใจตกตะลึงมาก การผ่าตัดก็เป็นเช่นนี้เอง รายละเอียดทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งสำคัญ

ดูเหมือนเฉินชางจะทำความเข้าใจกับทุกขั้นตอนได้อย่างไหลรื่น กระทั่งตอนที่เถามี่ยังไม่ดำเนินการต่อไปอีกขั้น เขาก็วางแผนขั้นต่อไปแล้ว!

จะไม่ให้เถามี่ตกใจได้อย่างไร

นี่แสดงให้เห็นถึงอะไร มันชัดเจนในตัวเองอยู่แล้วว่าเฉินชางไม่เพียงแต่ผ่าตัดโรคเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบแบบบีบรัดได้ ทั้งยังเชี่ยวชาญมากอีกด้วย! อาจไม่ด้อยกว่าตนเลยก็เป็นได้!

เมื่อคิดถึงตรงนี้ เถามี่ก็รู้สึกสั่นสะท้าน ไม่ว่าใครก็คงคิดไม่ถึงจริงๆ!

เสี่ยวเฉินคนนี้ จริงๆ เลย…

เฮ้อ…

……

……

การผ่าตัดดำเนินต่อไปอย่างเชื่องช้า เถามี่ทอดถอนใจในใจไปแล้วหลายหมื่นหลายพันครั้ง นานเท่าไหร่แล้วนะ นานเท่าไหร่แล้วที่เขาไม่ได้ผ่าตัดอย่างสบายอารมณ์เช่นนี้ มีคนระดับเดียวกันมาเป็นผู้ช่วย ความรู้สึกนี้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ

นั่นเป็นเพราะ…ถ้ามีความสามารถระดับนี้แล้ว ใครจะมายอมเป็นผู้ช่วยกันล่ะ

เมื่อคิดได้ดังนี้ เถามี่ก็ถอนใจออกมาอีกครั้ง…

บางทีโลกใบนี้คงมีผู้มีพรสวรรค์อยู่จริงๆ ชั่วขณะนี้ เถามี่รู้สึกเหมือนตัวเองเข้าใจเฉียนหลินและสหายตัวประกอบ A ขึ้นมาบ้างแล้ว

[1] สองพี่น้องเล็ทสึแอนด์โกลด์ – ตัวละครในการ์ตูนเรื่อง Let’s and Go มีเนื้อหาเกี่ยวกับการแข่งรถของเล่น

บทที่ 370 เจ้าหนูนี่ก้าวหน้าขึ้นอีกแล้ว

เมื่ออู๋อวี้ซู่กลับมาถึงบ้าน ก็พบว่าภรรยาและลูกชายไปทำงานกันหมดแล้ว เขาหาบัตรประกันสังคมอยู่นานก็ยังไม่เจอ ปกติภรรยาจะเป็นคนคอยดูแล เธอจะเก็บของพวกนี้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย

คิดได้ดังนั้นอู๋อวี้ซู่ก็รู้สึกว่าภรรยาเขาก็ลำบากเช่นกัน

ต้องไปทำงานทุกวัน ต้องเก็บบ้าน แล้วยังต้องดูแลเด็กและคนแก่ในบ้านด้วย

เขาขาดความใส่ใจที่ควรมีให้ภรรยาไปแล้วจริงๆ เพราะความกดดันทำให้อู๋อวี้ซู่พูดคุยกับภรรยาน้อยลงมาก

เป็นแบบนั้นจริงๆ สินะ…

เฮ้อ…

เมื่อคิดได้แบบนี้ อู๋อวี้ซู่ก็ทอดถอนใจออกมา ในความเป็นจริง หากไม่มีชีวิตอยู่แล้ว ดิ้นรนหาเงินมากมายขนาดนั้นไปจะมีความหมายอะไรอีก

คนเราก็เป็นเช่นนี้เอง มีเพียงตอนกำลังป่วยหรือตอนที่อยู่ในจุดต่ำสุดของชีวิตเท่านั้นถึงจะได้สติ

นี่เป็นการผ่าตัดครั้งแรกในชีวิตของอู๋อวี้ซู่ เขากังวลและไม่สบายใจมาก ตอนแรกเขาคิดจะแอดมิทที่โรงพยาบาลเงียบๆ แล้วค่อยว่ากันอีกครั้งเพราะไม่อยากให้คนในครอบครัวต้องมากังวลเรื่องของเขา

อู๋อวี้ซู่เป็นคนที่มีความคิดชายเป็นใหญ่เล็กน้อย หากในครอบครัวมีเรื่องใหญ่อะไร เขาจะเป็นคนตัดสินใจเองทั้งหมด แต่ตอนนี้ดูท่าทางจะต้องคุยกับภรรยาเสียแล้ว

เมื่อคิดถึงตรงนี้ อู๋อวี้ซู่ก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ลังเลไปพักหนึ่งแล้วจึงกดโทรหาภรรยา

เฉิงอ้ายเหมยผู้เป็นภรรยาของอู๋อวี้ซู่ทำงานเป็นอาจารย์อยู่ที่โรงเรียนประถมแห่งหนึ่ง ตอนนี้เธอกำลังสอนอยู่ เมื่อเห็นสามีของตนโทรหาก็ชะงักไป ทำไมสามีถึงโทรหาเธอในเวลาแบบนี้ล่ะ

เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วเดินออกไปคุยนอกห้องเรียน

“ฮัลโหล เหล่าอู๋ ฉันกำลังสอนอยู่ค่ะ มีอะไรหรือเปล่าคะ” เฉิงอ้ายเหมยถามอย่างสงสัย

อู๋อวี้ซู่ทอดถอนใจ “คือ…คุณครับ สมุดประกันสังคมกับบัตรประกันสังคมของผมอยู่ไหนครับ”

ประโยคนี้ทำให้เฉิงอ้ายเหมยชะงักไปทันที

จะเอาสมุดประกันสังคมไปทำอะไร

หากหาแค่บัตรประกันสังคมยังพอเข้าใจได้ เพราะต้องใช้บัตรประกันสังคมจะในเการซื้อยา แต่…สมุดประกันสังคมจะใช้ก็ต่อเมื่อต้องแอดมิทในโรงพยาบาลเท่านั้น!

เมื่อคิดถึงตรงนี้ เฉิงอ้ายเหมยก็สีหน้าเปลี่ยนไปโดยพลัน ในใจรู้สึกเคร่งเครียดขึ้นมาทันที

“เหล่าอู๋ คุณ…คุณเป็นอะไรคะ อย่าทำให้ฉันตกใจสิ!”

หลายปีที่ผ่านมา ถึงแม้อู๋อวี้ซู่จะอารมณ์ไม่ค่อยดี แต่ในฐานะที่เฉิงอ้ายเหมยเป็นภรรยาเธอก็เข้าใจสามีของตน ทั้งหมดเป็นเพราะสามีแบกรับความกดดันมากเกินไป ในฐานะที่เธอเป็นภรรยาจึงพยายามช่วยผ่อนคลายความกังวลของสามีอย่างสุดความสามารถ

ทว่าจู่ๆ ก็ต้องมารับรู้ว่าสามีต้องแอดมิทเข้าโรงพยาบาล นี่ทำให้เธอตกใจจริงๆ

อู๋อวี้ซู่บอกไปตามความจริง “คุณครับ เช้านี้ผมตื่นขึ้นมาก็รู้สึกหายใจลำบากใช่ไหมครับ ตอนจะไปทำงานผมต้องผ่านโรงพยาบาลอันดับสองอยู่แล้วก็เลยไปเข้าคิวลงทะเบียนที่แผนกฉุกเฉินซะเลย คิดจะไปตรวจดูหน่อย ผลก็คือ…หมอสงสัยว่าผมอาจเป็นโรคเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบแบบบีบรัด ต้องเข้ารับการผ่าตัด”

คำพูดของอู๋อวี้ซู่ยังไม่ทันจบ เฉิงอ้ายเหมยก็ตกตะลึงจนนิ่งไปแล้ว

สำหรับชาวบ้านทั่วไป คำว่าผ่าตัดหมายถึงมีเรื่องบางอย่าง และต้องเป็นปัญหาใหญ่ด้วย นอกจากนี้ อู๋อวี้ซู่ยังมีปัญหาที่หัวใจอีก

ผ่าตัดหัวใจเชียวนะ!

คิดถึงตรงนี้ เฉิงอ้ายเหมยจะยังมีอารมณ์สอนนักเรียนอีกที่ไหนกัน เธอรีบพูดขึ้นว่า “เหล่าอู๋ คุณรอฉันก่อนนะคะ ฉันจะรีบกลับบ้านเดี๋ยวนี้ ฉันจะไปโรงพยาบาลเป็นเพื่อนคุณ!”

เมื่อวางโทรศัพท์แล้ว เฉิงอ้ายเหมยก็รีบไปทำเรื่องลาหยุดกับหัวหน้า จากนั้นก็ฝากงานกับเพื่อนร่วมงานแล้วรีบกลับบ้านไปทันที

ระหว่างทางกลับบ้าน เฉิงอ้ายเหมยกังวลและตกใจมาก เธอกลัวว่าเหล่าอู๋จะเป็นอะไรไป

……

……

ในตอนที่สองสามีภรรยามาปรากฏตัวในแผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลอันดับสองอีกครั้ง ก็เป็นเวลาสิบโมงเช้าแล้ว

อู๋อวี้ซู่เดินนำภรรยาไปหาเฉินชาง พูดขึ้นว่า “หมอครับ ผมเอามาแล้วครับ รบกวนคุณหมอจัดการให้หน่อยนะครับ”

เฉินชางพยักหน้า ตอนแรกเขาตั้งใจจะให้อู๋อวี้ซู่ไปที่แผนกศัลยกรรมหัวใจโดยตรง แต่เมื่อคิดดูอีกครั้งก็ตัดสินใจว่าจะโทรหาเถามี่และเล่าเรื่องอาการของผู้ป่วยให้ฟัง

ตอนนี้เถามี่กำลังราวด์วอร์ด (ตรวจเยี่ยมผู้ป่วย) เมื่อเห็นเฉินชางโทรมาก็รู้สึกสับสน เรียกได้ว่าเถามี่ทั้งรักและเกลียดเฉินชางจริงๆ!

เด็กคนนี้เลือกเรียนศัลยกรรมหัวใจ แต่ตอนลงทะเบียนเป็นนักศึกษาปริญญาโทกลับไม่ลงชื่อตนเป็นอาจารย์ที่ปรึกษา เถามี่คิดแล้วก็เดือดดาล

แต่เมื่อคิดถึงการผ่าตัดในห้องฉุกเฉินของเฉินชางเมื่อหลายวันก่อน เถามี่ก็จำต้องยอมรับว่าอีกฝ่ายเป็นคนเก่งจริงๆ

หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็กดรับโทรศัพท์แต่ไม่ได้พูดอะไร รอให้เฉินชางพูดขึ้นก่อน จะอย่างไร…ฐานะของเรามันก็ต่างกัน

เฉินชางเห็นว่าอีกฝ่ายรับโทรศัพท์แล้ว แต่ผ่านไปนานก็ยังไม่มีเสียงคนพูดจึงชะงักไป “ฮัลโหล หัวหน้าเถา คุณอยู่ไหมครับ”

เถามี่พยักหน้า “อืม ผมราวด์วอร์ดอยู่ มีอะไรหรือเปล่า”

เฉินชางได้ยินว่าอีกฝ่ายกำลังราวด์วอร์ดก็คิดในใจว่า พอดีเลย!

“คือแบบนี้ครับ ที่แผนกฉุกเฉินมีผู้ป่วยคนหนึ่ง มีอาการหายใจลำบาก พอตรวจร่างกายแล้วก็พบว่าชีพจรผิดปกติ แล้วยังมีภาวะตับโต (Hepatomegaly) มีของเหลวสะสมในช่องท้องด้วยครับ…ผมสงสัยว่าผู้ป่วยเป็นโรคเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบแบบบีบรัด ต้องเข้ารับการผ่าตัด จะให้ผู้ป่วยไปที่แผนกเลยไหมครับ”

เถามี่ได้ยินดังนั้นก็เหมือนถูกกระตุ้นสัญชาตญาณหมอ

“วินิจฉัยให้แน่ใจหรือยังครับ” เถามี่ถาม

เฉินชางส่ายหน้า “ผมอยากให้ผู้ป่วยทำเรื่องแอดมิทก่อนแล้วค่อยตรวจร่างกายให้ละเอียดครับ แต่ผมตรวจสอบเบื้องต้นแล้ว ค่อนข้างแน่ใจว่าเป็นโรคเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบแบบบีบรัด ส่วนรายละเอียดจะต้องแอดมิทก่อนค่อยวินิจฉัยไปอีกระดับหนึ่ง หัวหน้าเถา รบกวนคุณจัดการได้ไหมครับ”

เถามี่แปลกใจเล็กน้อย การวินิจฉัยโรคเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบแบบบีบรัดไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย ยิ่งถ้าต้องใช้การตรวจร่างกายเบื้องต้นเพียงอย่างเดียวเพื่อวินิจฉัยโรคเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบแบบบีบรัดออกมาให้ได้ก็ยิ่งยาก

พริบตานั้น เถามี่ก็เป็นห่วงผู้ป่วยคนนี้ขึ้นมาแล้ว ขณะเดียวกันก็ตกใจกับการพัฒนาของเฉินชางเช่นกัน เพราะเฉินชางเพิ่งได้สัมผัสกับสิ่งต่างๆ ในแผนกศัลยกรรมหัวใจไม่นานเท่านั้นเอง

ในการเรียนเป็นแพทย์เฉพาะทางด้านใดด้านหนึ่ง ไม่ได้มีเพียงการผ่าตัดเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการแสดงอาการของผู้ป่วย การช่วยตรวจ การวินิจฉัย การรักษา และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งโรคเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบแบบบีบรัดก็ถือเป็นอาการป่วยที่ถูกจัดอยู่ในอาการระดับยาก แม้กระนั้นเฉินชางก็ยังมั่นใจหรือ

นี่ทำให้เถามี่ทั้งคาดหวังและแปลกใจกับระดับฝีมือของเฉินชางจริงๆ

อาการมันชัดเจนขนาดนั้นเลยหรือ

เมื่อคิดถึงตรงนี้เถามี่ก็พูดว่า “ได้ คุณให้ผู้ป่วยมาที่นี่เลยครับ”

จากนั้นก็กดวางสาย

ตอนนี้เถามี่เห็นว่าเตียงสิบเก้าว่างอยู่พอดีจึงถามขึ้นว่า “ใครเป็นคนดูแลเตียงสิบเก้าครับ”

จางเหวินฟู่บอกว่า “หัวหน้าครับ ผมเป็นคนดูแลเองครับ”

เถามี่มองจางเหวินฟู่ พูดขึ้นว่า “เดี๋ยวจะมีผู้ป่วยมาจากแผนกฉุกเฉินคนหนึ่ง เบื้องต้นสงสัยว่าเป็นโรคเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบแบบบีบรัด ผมจะให้คุณรับช่วงต่อนะครับ”

จางเหวินฟู่พยักหน้า “ได้ครับ”

ความจริงในใจเถามี่กำลังพิจารณาถึงเรื่องอื่นอยู่

เถามี่ที่กำลังตรวจเยี่ยมผู้ป่วยอยู่พอดีคิดครู่หนึ่งก็คิดว่าจะถือโอกาสนี้ถามหมอและนักศึกษาแพทย์ต่อยอดข้างๆ ไปเลย “ถ้าใช้แค่การตรวจร่างกายเบื้องต้นโดยไม่พึ่งตัวช่วยเบื้องลึก พวกคุณจะวินิจฉัยโรคเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบแบบบีบรัดได้หรือเปล่าครับ”

เมื่อเขาถามคำถามนี้ออกมา หมอรอบๆ ก็ชะงักไปทันที

หมายความว่าอะไร

ทำไมหัวหน้าถึงถามคำถามนี้

เดิมทีโรคเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบแบบบีบรัดเป็นโรคที่ต้องใช้การตรวจร่างกายร่วมกับตัวช่วยอื่นๆ ถึงจะวินิจฉัยออกมาได้อยู่แล้วไม่ใช่หรือ ถ้าใช้เพียงการตรวจร่างกายเบื้องต้นเพียงอย่างเดียว ดูเหมือนจะวินิจฉัยไม่ได้นะ

เมื่อคิดถึงตรงนี้ เถามี่ก็คิดถึงอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขาตัดสินใจแล้วว่าอีกสักครู่หากผู้ป่วยมาถึงแล้วจะให้สอนความรู้และขั้นตอนทางคลินิกให้นักศึกษาแพทย์ต่อยอดกลุ่มนี้สักหน่อยว่าจะวินิจฉัยโรคเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบแบบบีบรัดได้อย่างไร!

แม้งานด้านคลินิกจะต้องอาศัยการตรวจด้วยอุปกรณ์ต่างๆ แต่ก็ต้องเข้าใจลักษณะพิเศษตลอดจนสภาพร่างกายของผู้ป่วยให้ชัดเจนด้วย

ไม่มีอะไรจะทำให้นักศึกษาเหล่านี้ก้าวหน้าได้เร็วไปกว่าขั้นตอนด้านงานคลินิกอีกแล้ว

เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ

เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ

Status: Ongoing

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท