บทที่ 381 ชีวิตคนเราไม่อาจลืมเลือนความรู้สึกซาบซึ้งอันบริสุทธิ์ไปได้
ในตอนที่ผู้ป่วยชายฟื้นขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าตนเองกำลังนอนอยู่บนเตียงในห้องสังเกตอาการ
ตอนนี้เขาไม่ต้องเสียเงินไปนอนห้อง ICU อีกแล้ว ถึงอย่างไรถ้านอนห้องไอซียูหนึ่งวันก็ต้องจ่ายเงินหลายพันหยวน ครอบครัวธรรมดาย่อมรับไม่ไหว
ชายคนนี้จะคาดเดาได้หรือว่าก้างปลาเพียงชิ้นเดียวทำให้เขาต้องจ่ายเงินแสนกว่าหยวน แม้จะมีประกันสังคม แต่อย่างไรก็ต้องจ่ายเงินหลายหมื่นหยวนอยู่ดี!
เมื่อภรรยาเห็นสามีได้สติแล้วก็ดีใจเป็นอย่างยิ่ง!
“ที่รัก คุณฟื้นแล้ว!”
ชายคนนั้นลืมตาด้วยท่าทางสะลึมสะลือ “ผ่าตัดเสร็จแล้วหรือ”
ภรรยาพยักหน้า “ค่ะ เสร็จแล้ว การผ่าตัดราบรื่นมาก คุณอย่าเพิ่งขยับนะคะ ตอนนี้แผลยังไม่หายดี!”
เมื่อเธอกล่าวจบ เขาก็ล้มตัวลงนอนอีกครั้ง แม้จะผ่าตัดมาแล้วแต่กลับไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับขั้นตอนใดๆ เลยสักนิด
ทางด้านภรรยาที่นั่งอยู่ข้างเตียงก็คิดไปต่างๆ นานา ก้างปลาเพียงชิ้นเดียวกลับสร้างความเสียหายให้ครอบครัวมากมายมหาศาล! สำหรับครอบครัวที่เพิ่งสร้างตัว เงินหลายหมื่นหยวนเป็นความเสียหายที่ค่อนข้างหนักหนาสาหัสเลยทีเดียว
ห้องสังเกตอาการเป็นห้องที่ค่อนข้างกว้าง มีม่านกั้นระหว่างเตียงแต่ละเตียงเอาไว้ ทำให้ผู้ป่วยของแผนกฉุกเฉินรู้สึกปลอดภัยในตอนที่เกิดความตึงเครียดจนประหม่า
ผ้าม่านนี้ก็เหมือนกับผ้าที่ใช้ขวางกั้นความเขินอาย เหมือนกับกำแพงที่ใช้รักษาความเป็นส่วนตัว คนที่อยู่ด้านในจึงคุยเรื่องในบ้านกับครอบครัวได้อย่างสบายใจ
“การผ่าตัด…คงใช้เงินไม่น้อยเลยสินะ”
“ค่ะ…”
“เท่าไหร่ครับ”
“คุณไม่ต้องสนใจหรอกค่ะ! รักษาตัวให้ดีเถอะ มีฉันอยู่ทั้งคน!”
“พวกเราคงต้องขายบ้านช้าหน่อยแล้ว!” ชายคนนั้นทอดถอนใจ “หากขายบ้านแล้วยังซื้อบ้านไม่ไหว…”
ภรรยายิ้มเล็กน้อย “พวกเราก็เช่าบ้านได้นี่คะ! ฉันว่าเช่าบ้านก็ดีนะคะ ใช้ประโยชน์ได้ด้วย! ฉันจะบอกอะไรให้ ฉันเรียนเศรษฐศาสตร์มา ถ้าราคาบ้านสูงกว่าค่าเช่าบ้านต่อเดือนเกินสามร้อยเท่าอาจเป็นสัญญาณของภาวะฟองสบู่แตก! แบบนี้พวกเราเช่าบ้านอยู่ดีกว่าค่ะ…อีกอย่างฉันได้ยินว่าปีหน้าราคาอสังหาริมทรัพย์ของเมืองอันหยางจะลดฮวบ ไม่แน่ว่าพวกเราอาจจะโชคดีในความโชคร้ายก็ได้!”
……
เมื่อได้ยินภรรยาปลอบใจ ชายคนนั้นก็รู้สึกแสบจมูก มีภรรยาดีเช่นนี้ ผู้เป็นสามีก็ไม่ต้องการอะไรแล้ว
เขามองรอยยิ้มเข้มแข็งของภรรยาพลางยื่นมือไปกุมมือของเธอ
ผมตัดสินใจแล้ว ชีวิตนี้ ผมจะไม่ทำให้คุณลำบากอีก ที่รัก!
นอกห้อง บริเวณเคาน์เตอร์พยาบาลประจำห้องสังเกตอาการ เมื่อเหล่าหู่หมอแผนกฉุกเฉินฝ่ายอายุรกรรมได้ยินบทสนทนาระหว่างผู้ป่วยและภรรยาก็ถอนใจออกมา “กลัวขายบ้านแล้วจะซื้อบ้านไม่ไหวหรือ คนเป็นหมออย่างพวกเราก็กลัวตรวจผู้ป่วยไม่ไหวเหมือนกัน!”
……
……
ขณะนั้นเอง เรื่องทำนองเดียวกันก็กำลังเกิดขึ้นที่แผนกศัลยกรรมหัวใจ
การผ่าตัดของอู๋อวี้ซู่ประสบความสำเร็จมาก ตอนนี้เขานอนอยู่บนเตียง เฉิงอ้ายเหมย ภรรยาอายุห้าสิบกว่าปีวางถ้วยโจ๊กลงข้างเตียง รอให้โจ๊กเย็นลง
นี่คือโจ๊กลำไยและเมล็ดบัวที่อู๋อวี้ซู่ชอบที่สุด ปกติเขาทำใจกินไม่ลง ทว่าในใจก็อยากซื้อมาลิ้มรสทุกสามวันห้าวัน ส่วนเฉิงอ้ายเหมยก็ยุ่งมาก ไม่มีเวลาต้มให้เขากินทุกวัน
“คุณครับ การผ่าตัดครั้งนี้เสียเงินไปเท่าไหร่” อู๋อวี้ซู่ถามอย่างกังวล!
เฉิงอ้ายเหมยยิ้มแล้วกล่าวปลอบใจ “ไม่ต้องพูดเรื่องเงินแล้วค่ะ คุณรักษาตัวเองให้สบายใจเถอะ!”
อู๋อวี้ซู่ที่นอนอยู่บนเตียงอดทอดถอนใจไม่ได้ “เฮ้อ ผมไม่ได้นอนหลับดีๆ แบบนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ! สบายจริงๆ!”
เฉิงอ้ายเหมยมองสามีตน ชายที่มีนิสัยเบิกบานในอดีต ตอนนี้กลับคิ้วขมวดมุ่นทำให้เธอรู้สึกปวดใจ “วันหลังฉันจะให้วิสัญญีแพทย์มาฉีดยาให้คุณ ให้คุณนอนหลับให้สบายอีกหน่อย ดีไหมคะ”
อู๋อวี้ซู่ได้ยินดังนั้นก็หัวเราะออกมาโดยพลัน “ช่างเถอะครับ ถ้าฉีดยาก็ต้องใช้เงินมาก ผมคงเจ็บใจจนหลับไม่ลง”
เฉิงอ้ายเหมยมองเหล่าอู๋ รู้สึกเจ็บปวดไม่ต่างกัน การผ่าตัดในครั้งนี้ทำให้เธอตกใจมากจริงๆ ไม่ใช่เพียงเพราะเหล่าอู๋เป็นคนหาเงินเท่านั้น แต่เขายังเป็นเสาหลักของครอบครัวด้วย เป็นเหมือนกระดูกสันหลังของเฉิงอ้ายเหมย และเป็นพ่อของลูก ถ้าไม่มีเขาก็ไม่มีครอบครัวนี้!
นี่เป็นสิ่งที่ไม่อาจใช้เงินมาประเมินค่าได้เลย
ในช่วงเวลาเปราะบางเช่นนี้ มนุษย์เราทนความเจ็บปวดไม่ไหวจริงๆ
เรื่องในครั้งนี้ทำให้เฉิงอ้ายเหมยสะเทือนใจมากเกินไป
เธอเป็นอาจารย์คนหนึ่ง! ในเวลาปกติก็สอนหลักการและเหตุผลต่างๆ ให้คนอื่นมากมาย แต่เมื่อถึงคราวตนเองกลับปล่อยวางไม่ได้
เมื่อคิดได้ดังนี้ เฉิงอ้ายเหมยก็อดพูดไม่ได้ว่า “ที่รัก คุณอย่าทำให้ตัวเองเหนื่อยเกินไปเลยค่ะ! จริงๆ นะคะ ถ้าคุณไม่สบาย ครอบครัวเราก็ยืนหยัดต่อไปไม่ได้ เงินค่าบ้านของลูกหลาน ลูกหลานก็หาเองได้ พวกเราสองคนจะทนได้ขนาดไหนกันเชียว!”
อู๋อวี้ซู่ทอดถอนใจ “เป็นเพราะผมไม่อยากให้ลูกเหนื่อยเกินไปน่ะสิ! ความกดดันสูงขนาดนี้ เขาเพิ่งทำงานต้องมาแบกรับค่าผ่อนบ้านหลายล้านหยวนแล้ว ไม่ดีกับอนาคตของเขาเลยจริงๆ”
อู๋อวี้ซู่เป็นผู้มีการศึกษา เป็นคนระดับหัวหน้าในบริษัทรัฐวิสาหกิจ นับว่าพอมีอำนาจอยู่บ้าง ทั้งยังมีประสบการณ์มากมาย
“ลูกเพิ่งจะเริ่มก้าวเดิน หากได้รับแรงกดดันมากเกินไปอาจทำให้ระเบิดอารมณ์ออกมาได้ง่าย ไม่ดีหรอก! ผมว่านะ ผมอายุมากขนาดนี้แล้ว ไม่สนใจเรื่องพวกนี้หรอก หาเงินเพิ่มได้เท่าไหร่ก็อยากหาเงินเพิ่มอีกเท่านั้น ทำให้ลูกได้รับแรงกดดันน้อยลงเท่าไหร่ก็เท่านั้น! อีกไม่นานลูกก็จะแต่งงานแล้ว ไม่ว่าจะสินสอด บ้าน การแต่งบ้าน ทุกอย่างต้องใช้เงินทั้งนั้น”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ อู๋อวี้ซู่ก็อดถอนใจออกมาไม่ได้
เฉิงอ้ายเหมยเห็นดังนั้นก็รีบพูดขึ้นว่า “ถ้าซื้อรถไม่ไหว พวกเราจะซื้อช้าหน่อยก็ได้ค่ะ ส่วนเรื่องค่าแต่งบ้านพวกเราก็ค่อยๆ เก็บไปทีละนิด รีบร้อนไปแล้วมีประโยชน์อะไร!”
อู๋อวี้ซู่มองภรรยา อดพูดไม่ได้ว่า “ที่รัก การผ่าตัดนี้ทำให้ผมคิดเยอะมาก ผมรู้สึกว่าตัวเองไม่คู่ควรกับคุณเลย อยู่กับผมคุณคงมีความสุขแค่ไม่กี่วัน ปกติผมก็ไม่ได้ดูแลคุณให้ดี เฮ้อ…รอให้ผมเกษียณก่อนนะครับ ผมจะทำอาหารให้คุณกินทุกวัน คุณก็ไปเต้นรำกับเพื่อนๆ ส่วนผมจะเป็นพ่อบ้านอยู่ที่บ้านเอง”
เฉิงอ้ายเหมยมองสามีตน ในใจรู้สึกอบอุ่น
ตอนนี้เอง อู๋ฉยงที่ยืนอยู่หน้าประตูพลันน้ำตาไหลเต็มหน้า ยามได้ยินบทสนทนาของพ่อแม่ เขาก็รู้สึกเหมือนกับถูกเข็มทิ่มแทง ปกติพ่อแม่ของเขามักทำหน้าตายไม่ชอบพูดชอบจา ถึงขั้นแสดงท่าทางหงุดหงิดอยู่บ่อยๆ ด้วยซ้ำ นี่ทำให้เขารู้สึกไม่ดีจริงๆ
อู๋อวี้ซู่ไม่ชอบแสดงอารมณ์ความรู้สึกของตน มีเรื่องอะไรก็ชอบเก็บไว้ในใจ มีความรับผิดชอบอะไรก็จะแบกไว้บนบ่า เขาคนเดียวรับผิดชอบภาระหนักอึ้งของทั้งครอบครัว จะไม่เหนื่อยได้อย่างไร
เมื่อคิดได้ดังนี้ อู๋ฉยงก็เสียใจเป็นอย่างยิ่ง!
……
……
แต่ละครอบครัวก็มีความทุกข์เป็นของตนเอง แม้จะพบเห็นเรื่องเช่นนี้มามากมายแล้ว คิดว่าจะใจแข็งดุจเหล็กกล้าจนไม่สะเทือนใจง่ายๆ แต่เมื่อพบจริงๆ จึงได้รู้ว่าในชีวิตคนเราไม่อาจลืมเลือนความซาบซึ้งใจเช่นนี้ไปได้เลย
คืนนี้เมิ่งซีพักผ่อน เฉินชางจึงไม่ต้องไปที่โรงพยาบาลตงต้า
ตอนนี้เขาว่างมาก เขาเดินไปข้างๆ ฉินเยว่พลางกล่าวยิ้มๆ ว่า “คืนนี้อยากกินอะไรครับ ผมเลี้ยงเอง!”
ฉินเยว่กลอกตาคิด “ทางโน้นมีร้านหม้อไฟปลาเปิดใหม่ร้านหนึ่ง ไม่งั้น…ไปลองดูหน่อยเป็นไงคะ”
เฉินชางสีหน้าเปลี่ยนไปทันที “ไม่กินปลาได้ไหมครับ”
ฉินเยว่มองเฉินชางอย่างแปลกใจ “ทำไมคะ ปลาอร่อยมากเลยนะคะ!”
เฉินชางคิดอยู่นาน เขาคิดไปถึงการผ่าตัดในวันนี้ คิดว่าหากเกิดสำลักจนก้างติดคอขึ้นมาจะทำอย่างไร…สุดท้ายก็พูดไปว่า “จ่ายไม่ไหว!”
ฉินเยว่กลอกตาใส่ “เชอะ ขี้งก! เดี๋ยวฉันเลี้ยงคุณเอง คุณเอาปากไปก็พอ”
อย่างไรก็ตาม เฉินชางกลับถามขึ้นมาอีกประโยคหนึ่งว่า “หม้อไฟปลานี่ไม่มีก้างปลาใช่ไหมครับ”
บทที่ 375 เอ็นดู
ชั่วขณะนี้ ดูเหมือนเถามี่จะสัมผัสถึงความลำบากของเฉียนหลินและสหายตัวประกอบ A ได้แล้ว!
ต้องทำงานร่วมกับสัตว์ประหลาดแบบนี้แล้วยังมาถูกตนเปรียบเทียบกับคนอื่นอีก คงรู้สึกไร้พลังมากจริงๆ…
เมื่อคิดได้ดังนี้ เถามี่ก็ผ่อนลมหายใจออกมา ดูเหมือนจะทำกับพวกเขาเกินไปหน่อย ต่อไปจะต้องใส่ใจความรู้สึกของพวกเขาบ้างแล้ว ยังไงซะ…ก็ใช่ว่าทุกคนจะเป็นผู้มีพรสวรรค์กันหมด
อืม!
คิดได้ดังนี้ สายตาที่เถามี่ใช้มองเฉียนหลินและสหายตัวประกอบ A ก็อ่อนโยนขึ้นมาก
แต่ว่า…ในสายตาของเฉียนหลินและสหายตัวประกอบ A กลับรู้สึกว่าแววตาของเถามี่เปรียบเสมือนสายฟ้าเก้าเส้นที่ฟ้าผ่าลงมากลางกระหม่อม!
สั่นสะท้านไปทั้งตัว!
เฉียนหลินตกใจจนหน้าถอดสี
อะไรวะ นี่ผมทำอะไรอีก
ผมทำอะไรลงไปกันแน่เนี่ย
สายตาเหมือนจะส่งเสริมกันแบบนั้น นี่ผมดูผิดไปหรือเปล่า
เมื่อคิดถึงสายตาของหัวหน้าแผนกเถา เฉียนหลินก็รู้สึกหวาดกลัวและไม่สบายใจ
ผมมันมีความสามารถแค่ไหนกันเอง จะได้รับสายตาอ่อนโยนจากหัวหน้าเถาด้วยหรือ
ผมทำอะไรผิดไปกันแน่เนี่ย
หรือว่า…สายตาที่ผมใช้มองเยื่อหุ้มหัวใจยังไม่ร้อนแรงพอ
หรือบางที…บางทีอาจเป็นเพราะผมยังรักหัวใจไม่ลึกซึ้งมากพอ
สายตาแบบนี้มันอันตรายมาก!
สิ่งที่เฉียนหลินเห็นในสายตาของหัวหน้าเถาก็คือ ความสงสาร ความปลอบประโลม ความเข้าอกเข้าใจ ความเห็นด้วย ความสิ้นไร้หนทาง…และยังมีความรู้สึกทอดถอนใจแฝงอยู่อีกหลายส่วน!
นี่มันไม่ปกติจริงๆ!
ไม่ใช่แค่เฉียนหลิน กระทั่งสหายตัวประกอบ A ก็อดถอนใจออกมาไม่ได้ แถมยังกลืนน้ำลายลงไปอีกหนึ่งอึก!
ในใจเหมือนถูกคลื่นซัดสาด รู้สึกตื่นตะลึง เหมือนใกล้จะตาย…
ในที่สุดวันนี้ก็มาถึงแล้วสินะ
นี่ผมจะกลายเป็นนักศึกษาแพทย์ต่อยอดคนแรกที่ถูกอาจารย์ที่ปรึกษาเตะออกจากสำนักแล้วสินะ
เมื่อคิดถึงตรงนี้ สหายตัวประกอบ A ก็โศกเศร้าอย่างหนัก
อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาหันไปมองเฉียนหลิน อยู่ดีๆ ก็อารมณ์ดีขึ้นมาก
ยังไงซะผมก็ไม่ใช่คนนั้นคนเดียวหรอก
อืม อย่างน้อยก็มีเพื่อนร่วมทาง!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ สหายตัวประกอบ A ก็สบายใจขึ้นเยอะ
……
……
การผ่าตัดดำเนินไปอย่างเชื่องช้า
เฉินชางตั้งใจเรียนรู้และเปรียบเทียบ มองการผ่าตัดจนจบ เมื่อมีเฉินชางช่วยเหลือ เถามี่ก็ผ่าตัดได้เร็วขึ้นมาก
ทันใดนั้น เฉินชางก็ได้รับการแจ้งเตือนจากระบบ!
[ติ๊ง! แอบเรียนรู้สำเร็จ ได้รับทักษะของเถามี่: ทักษะการผ่าตัดโรคเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบแบบบีบรัด! ระดับปรมาจารย์]
เฉินชางตกใจจนตาค้าง
ให้ตายเถอะ…
ทักษะที่แอบเรียนมาได้!
ดูเถอะ ตอนที่ควรแอบขโมยเรียนก็ขโมยมาไม่ได้ ตอนที่ตั้งใจเรียนรู้ก็เรียนรู้เองไม่ได้!
ตอนนี้กลับขโมยเรียนได้ทักษะที่มีอยู่แล้วมาซะนี่
คิดดูสิ!
เฉินชางอยากด่ากราดออกมาจริงๆ อยากสูบเอาของเหลวในช่องอกออกมาให้หมดแล้วเอาไปสาดใส่หน้าเฉียนหลินจริงๆ
เขามีทักษะการผ่าตัดโรคเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบแบบบีบรัดอยู่แล้ว ตอนนี้ก็ได้เพิ่มขึ้นมาอีก
แต่ทันใดนั้น เฉินชางก็ได้รับเสียงแจ้งเตือนจากระบบอีกครั้ง!
[ติ๊ง! ตรวจพบว่าคุณมีทักษะการผ่าตัดโรคเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบแบบบีบรัดอยู่แล้ว ทำให้ทักษะของคุณมีคุณสมบัติพิเศษเพิ่มเติม]
[ทักษะผ่าตัดโรคเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบแบบบีบรัด: ระดับปรมาจารย์
คุณสมบัติพิเศษ:
1. ปลอดภัย
2. พิถีพิถัน
3. แยกอย่างแม่นยำ
4. ลดผลข้างเคียง]
เมื่อเฉินชางเห็นว่ามีคุณสมบัติพิเศษเพิ่มขึ้นมาอีกสองอย่างก็คิดไปว่าคงเป็นคุณสมบัติพิเศษที่ได้มาจากหัวหน้าเถาสินะ
ในเวลาเพียงพริบตาเดียว ข้อมูลจำนวนมหาศาลก็หลั่งไหลเข้ามาในสมองของเฉินชาง ทักษะผ่าตัดโรคเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบแบบบีบรัดของเฉินชางพัฒนาขึ้นมาก!
เวลาผ่านไปอีกสิบนาที ในที่สุดการผ่าตัดก็ใกล้จะเสร็จสิ้นแล้ว
เถามี่มองเวลา หากเทียบกับปกติแล้ว เสร็จเร็วขึ้นห้าสิบนาทีเลยทีเดียว!
นี่ถือเป็นผลงานของเฉินชาง!
จางเหวินฟู่ที่อยู่ข้างๆ เต็มไปด้วยอารมณ์หลากหลาย ถึงจะไม่ได้ร่วมผ่าตัดด้วย แต่การผ่าตัดเคสนี้ก็ทำให้เขาเข้าใจอะไรอีกมากมาย
ช่วงหลังของการผ่าตัดจ างเหวินฟู่ไม่ได้ดูหัวหน้าเถาแล้ว เขาตั้งใจดูเฉินชางแทน พบว่าจริงๆ แล้วการเคลื่อนไหวของเฉินชางมีรายละเอียดแฝงอยู่มากมาย นั่นทำให้เขาได้ประโยชน์มาก
ถึงอย่างไร…หากเป็นตอนปกติ จางเหวินฟู่ก็ไม่ได้เป็นศัลยแพทย์หลักอยู่แล้ว เขาเป็นเพียงผู้ช่วย เหนือเขายังมีแพทย์ระดับหัวหน้าอีกมากมาย ขอเพียงเขาทำงานของตนให้ดีก็พอแล้ว
ดังนั้นการผ่าตัดในวันนี้ เรียกได้ว่าเฉินชางสวมบทบาทผู้ช่วยอย่างสุดความสามารถจนยกระดับการผ่าตัดของหัวหน้าเถาจากระดับปรมาจารย์ไปเป็นระดับมหาปรมาจารย์ได้แล้ว!
นี่คือประโยชน์ของผู้ช่วย
ในตอนนี้ สายตาที่จางเหวินฟู่ใช้มองเฉินชางอัดแน่นไปด้วยความเร่าร้อน
รอให้ผ่าตัดเสร็จก่อนเถอะ กลับไปถึงบ้านก่อน เขาจะคุยกับเฉินชางสักหน่อย ศึกษาแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน
……
……
ไม่นานการผ่าตัดก็เสร็จสิ้น
เถามี่มองเฉินชางด้วยสายตาแปลกประหลาด เขารู้สึกเหมือนเฉินชางมีแนวคิดเกี่ยวกับการผ่าตัดเคสนี้อีกมากมายที่แตกต่างจากเขา
นี่ทำให้เถามี่รู้สึกคันยุบยิบที่หัวใจ
ในฐานะที่เป็นศัลยแพทย์คนหนึ่ง สิ่งที่เต็มใจทำที่สุดก็คือการพัฒนาความสามารถในการผ่าตัดของตนเองอย่างไม่หยุดหย่อน ค้นหาส่วนที่ตนขาดไป
แต่เถามี่พัฒนามาถึงระดับนี้แล้ว จะมีสักกี่คนกันเชียวที่จะหาข้อด้อยของเขาเจอ ถึงหมอเล็กหมอน้อยอย่างจางเหวินฟู่จะหาเจอก็คงไม่กล้าพูด!
แน่นอนว่าหากไม่มีความเข้าใจที่มากพอก็ย่อมหาไม่เจอ!
ในการผ่าตัด หากยืนตำแหน่งที่แตกต่างกันออกไป การมองเห็นและความเข้าใจของคุณก็จะแตกต่างกันมาก ถึงแม้เฉินชางจะไม่ได้พูดอะไรตั้งแต่ต้นจนจบ และไม่ได้แสดงอาการผิดปกติออกมาอย่างชัดเจน แต่เถามี่เป็นใครกัน เขาคือหัวหน้าแพทย์อายุห้าสิบกว่าปี พบเจอคนมามากยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด! มีความสามารถในการมองคนอยู่บ้าง เขาเห็นเฉินชางขมวดคิ้วคล้ายกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่หลายครั้ง สายตาเช่นนั้นเหมือนกับสายตาที่ตนใช้มองหมอน้อยเลย!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ในใจของเถามี่ก็รู้สึกคันจนทนไม่ไหว
ตกลงเขาทำไม่ดีตรงไหนกันแน่
ต้องทราบว่าหลายวันก่อนซย่าเกาเฟิงเพิ่งเชิญตนไปผ่าตัดโรคเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบแบบบีบรัดที่โรงพยาบาลตงต้า ทั้งยังขอให้บรรยายเกี่ยวกับการผ่าตัดอีกด้วย
ตอนนี้หากอาศัยเพียงความสามารถของเขา การจะพิชิตใจคนส่วนใหญ่ไม่ใช่ปัญหาอะไรเลย! แต่หากจะพิชิตใจซย่าเกาเฟิงคงยังไม่พอ! ยังคงขาดอะไรบางอย่าง ซึ่งเฉินชางก็เป็นโอกาสในการค้นหาสิ่งที่ตนขาดไป
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เถามี่ก็อดรนทนไม่ไหว หันไปพูดว่า “เสี่ยวเฉิน อีกเดี๋ยวไปที่ห้องผมหน่อยนะครับ ผมมีเรื่องจะพูดกับคุณ!”
เฉินชางมีสีหน้ากระสับกระส่าย จากนั้นจึงพยักหน้าตอบรับไป
……
……
เมื่อเถามี่พูดจบก็มองไปที่เฉียนหลินและสหายตัวประกอบ A ยิ้มให้เล็กน้อยประดุจอาจารย์ผู้มีเมตตา
ตอนนี้เถามี่คิดว่าไม่ควรมองพวกเขาสองคนอยู่ในระดับเดียวกับเฉินชาง แต่ควรสอนนักเรียนตามความถนัด! เพราะใช่ว่าทุกคนจะเป็นเหมือนเฉินชางกันหมด
คิดถึงตรงนี้ เถามี่ก็มองทั้งสอง
“เสี่ยวเฉียน เสี่ยวหยาง วันนี้ทำได้ไม่เลวเลย กลับไปก็ไปอ่านหนังสือให้ดี เอาคลิปการผ่าตัดกลับไปด้วย เอาไปดูให้ละเอียด แล้วศึกษาให้ดีล่ะ คราวหน้าพวกคุณก็มาเป็นผู้ช่วยนะครับ!”
พูดจบเถามี่ก็ส่งสายตาเป็นกำลังใจไปให้ ตบไหล่เฉียนหลินและสหายตัวประกอบ A จากนั้นก็หมุนตัวเดินออกไป เหลือทิ้งไว้เพียงคนสองคนที่มีสีหน้าตะลึงพรึงเพริด
เฉียนหลินตาค้างไปแล้ว
“ทำไมอาจารย์เปลี่ยนท่าทีได้ล่ะ อยู่ดีๆ ก็มาทำดีกับพวกเราขนาดนี้ได้ยังไง”
สหายตัวประกอบ A ส่ายหน้า กล่าวด้วยสีหน้าเรียบนิ่งว่า “นายไม่รู้สึกเหรอว่าสายตาที่อาจารย์ใช้มองพวกเรามันเหมือนอะไร”
เฉียนหลินกระสับกระส่าย เขาส่ายหน้าแล้วถามว่า “เหมือนอะไรเหรอ”
สหายตัวประกอบ A ถอนใจยาวๆ “เหมือนสายตาเอ็นดูเด็กน้อย…”
เฉียนหลินตัวสั่น ไขมันหนักเป็นร้อยกิโลกรัมสั่นเทา ย้อนคิดไปถึงสายตาสุดท้ายของหัวหน้าเถา รู้สึกแทบจะทรุด…
หัวหน้าเถา คุณเกลียดพวกเรายังจะดีซะกว่า…