เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ – บทที่ 402 เข้าใจผิด!

เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ

บทที่ 402 เข้าใจผิด!

จางจื้อซิน ฉินเสียง หยางเทา ทั้งสามล้วนเป็นสมาชิกสมาคมศัลยแพทย์ความงามแห่งมณฑล ฉินเสียงเป็นประธาน หยางเทาเป็นรองประธาน ถือว่าเป็นคนใหญ่คนโตในวงการ แต่ตอนนี้ทั้งสามกำลังห้อมล้อมหญิงอายุห้าสิบกว่าปีคนหนึ่งเอาไว้

เธอมีรูปร่างผอม แต่งหน้าอย่างดีจนมองอายุไม่ออก สวมชุดกี่เพ้าดูเหมาะสม ทว่าดูไปแล้วกลับคุ้นๆ

กงไต้เจินยิ้มพลางพูดกับพวกฉินเสียงและจางจื้อซินว่า “การศัลยกรรมความงามในเมืองอันหยางเติบโตได้ดีทีเดียวนะคะ ผู้อำนวยการจาง คลินิกศัลยกรรมของคุณดูมีรสนิยมมากเลยนะคะ”

จางจื้อซินยิ้มตาม “ก็พอมีคุณสมบัติกับเขาบ้างละครับ ยังไงผมก็เป็นผู้อำนวยการคนหนึ่ง”

กงไต้เจินแค่นเสียง เดินไปเยื้องย่างเข้าไปในคลินิก เธอสำรวจการตกแต่งภายในตึกแล้วหัวเราะออกมา “ค่ะ คงตั้งใจมากจริงๆ ดูแล้วให้ความรู้สึกหรูหราและน่าเชื่อถือ”

เมื่อเอาคำว่าหรูหราและน่าเชื่อถือมารวมกันกลับให้ความรู้สึกไม่เหมาะสมนัก แต่เมื่อนำมาใช้กับวงการศัลยกรรมความงามกลับดูเหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง เพราะอย่างไรพวกมันก็เกี่ยวกับความหรูหราและน่าเชื่อถือทั้งหมด

กงไต้เจินมองจางจื้อซินด้วยท่าทางราวกับกำลังครุ่นคิดบางอย่าง จากนั้นจึงกล่าวไปอย่างหยอกเย้าว่า “ผู้อำนวยการจาง ฉันได้ยินว่าวันนี้เฉินชางมีผ่าตัด วันนี้ฉันเดินทางมาไกลก็เพราะอยากดูเขาผ่าตัด คุณคงไม่ปฏิเสธหรอกนะคะ”

จางจื้อซินรีบฉีกยิ้ม “ปฏิเสธหรือ จะเป็นไปได้อย่างไรครับ! แต่…วันนี้ค่อนข้างพิเศษ คือการผ่าตัดถูกเลื่อนออกไปแล้วน่ะครับ เดี๋ยวผมจะให้เสี่ยวเฉินลงมานะครับ”

จากนั้นเขาจึงยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาโทรออก ทว่าขณะนั้นเอง จู่ๆ ประตูลิฟท์ก็เปิดออก เฉินชางและสวีโหรวเดินมาทางด้านนี้อย่างเปิดเผย

กงไต้เจินเห็นเฉินชางก็อดมองสำรวจไม่ได้ ชายคนนี้อายุน้อยจริงๆ แต่ก็มีความสามารถมาก บุคลิกดีน่าเชื่อถือ เห็นแล้วรู้สึกมั่นคง คงเป็นชายหนุ่มคนนี้สินะ

กงไต้เจินแปลกใจขึ้นมา

ฉินเสียงเห็นดังนั้นก็รีบเดินเข้ามา “เสี่ยวเฉิน ขออนุญาตแนะนำหน่อยนะครับ ท่านนี้คือรองหัวหน้าสมาคมศัลยแพทย์ความงามแห่งประเทศจีน ท่านรองกง”

เฉินชางยิ้ม กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ดูไม่เย่อหยิ่งหรือต่ำต้อยเกินไป “ท่านรองกง สวัสดีครับ ได้ยินชื่อเสียงของคุณมานานแล้ว”

กงไต้เจินแย้มยิ้มออกมาเล็กน้อย “หมอเฉิน ฉันก็ได้ยินชื่อเสียงคุณมานานแล้วค่ะ อยากมาศึกษาแลกเปลี่ยนความรู้กันสักหน่อย พอดีฉันมีโอกาสพบผู้ป่วยที่ทำศัลยกรรมเสริมหน้าอกกับคุณ บอกตามตรงฉันรู้สึกประหลาดใจจริงๆ ค่ะ ฉันอยากมาแลกเปลี่ยนความรู้กับคุณนานแล้วแต่ก็ไม่มีเวลา วันนี้เป็นวันเสาร์พอดี เลยตั้งใจเดินทางจากเมืองหลวงมาเลยค่ะ สายงานอาชีพของพวกเราเปรียบเสมือนใต้หล้าของคนหนุ่มอย่างคุณ หญิงชราอย่างฉันเลยอยากมาแลกเปลี่ยนกันสักหน่อย เพื่อร่วมพัฒนาความรู้ไปด้วยกัน!”

กงไต้เจินอายุห้าสิบกว่าแล้ว ไม่นานก่อนหน้านี้เป็นวันเกิดเธอพอดี จึงมีนักเรียนกลุ่มหนึ่งไปอวยพรวันเกิด

เมื่อคนในวงการศัลยกรรมความงามมารวมตัวกันก็ต้องคุยเรื่องในวงการ ในงานเลี้ยง เธอบังเอิญได้ยินนักเรียนพูดถึงหมอน้อยในเมืองอันหยางคนหนึ่งที่ผ่าตัดเสริมหน้าอกในราคาหนึ่งล้านหยวน นี่ทำให้เธอตกใจจริงๆ

การคิดราคาสูงเช่นนี้ ถ้าไม่มีความสามารถจริงๆ คงทำไม่ได้ แน่นอนว่านี่อาจเป็นเพียงโฆษณาชวนเชื่อที่ถูกนำมาพูดเป็นเสมือนบทสนทนาหลังอาหาร แค่ฟังไปก็พอแล้ว กงไต้เจินที่เป็นผู้ใหญ่ในวงการก็ไม่ได้รู้สึกสนใจอะไร และยิ่งไม่จำเป็นต้องมาดูด้วยตาตัวเองเลย!

แต่สองสามวันหลังจากนั้นเธอกลับได้ยินชื่อเฉินชางอีกครั้ง ทั้งยังได้เห็นผลงานผ่าตัดของเฉินชางอีกด้วย เมื่อเห็นแล้วกงไต้เจินก็สนใจในตัวเฉินชางขึ้นมาทันที!

คนไข้ที่ว่านี้เคยไปหากงไต้เจินเมื่อหลายเดือนก่อน แต่เพราะเป็นงานยากเกินไปเธอจึงต้องกลับไปพิจารณาเสียหน่อย

เพราะสภาพคนไข้ค่อนข้างพิเศษ เธอจึงจำได้ดี คิดไม่ถึงว่าเวลาผ่านไปเพียงไม่นาน เมื่อเปรียบเทียบกับก่อนหน้านี้แล้วจะทำให้กงไต้เจินตกตะลึงได้จริงๆ เธอทึ่งมาก!

การที่กงไต้เจินประหลาดใจนั่นหมายความว่าคนผู้นั้นควรค่าแก่การพิจารณา ตอนนี้เธอรู้สึกจริงๆ ว่าราคาหนึ่งล้านหยวนคุ้มค่ามาก!

ชั่วขณะนั้น กงไต้เจินก็มีความคิดอยากเห็นเฉินชางผ่าตัดขึ้นมาทันที

……

ส่วนคำค่อนแคะของจางจื้อซินเธอไม่รู้เลยสักนิด หากรู้จะมาอย่างไร้ยางอายเช่นนี้หรือ จะอย่างไรเธอก็ถือเป็นผู้อาวุโสในวงการ ไม่จำเป็นต้องมาตรวจสอบหรือจ้องจับผิดเฉินชางเลย ยิ่งไปกว่านั้น เฉินชางมีรายได้เท่าไหร่ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเธอ อีกอย่าง การที่ผู้น้อยค่อนแคะผู้ใหญ่รังแต่จะทำให้ตัวเองเสื่อมเสีย ผู้คนจะพูดกันว่าไม่เคารพผู้ใหญ่

กงไต้เจินสนใจเฉินชางจริงๆ! ทว่าที่จางจื้อซินพูดค่อนแคะเธอให้เฉินชางฟังก็เพราะความเข้าใจผิด เนื่องจากนักเรียนของกงไต้เจินก็คืออันจิ้งที่เป็นหนึ่งในผู้บริหารคลินิกศัลยกรรมแอนนี่

เพื่อนในสายอาชีพเดียวกันก็คือศัตรู คำพูดนี้ไม่ผิดเลย

ถึงอย่างไรจางจื้อซินก็เป็นผู้อำนวยการคลินิก จะต้องคิดให้มาก มีเรื่องอะไรนิดหน่อยก็ต้องหาทางป้องกันและคิดถึงอนาคตไว้ก่อน เป็นเช่นนี้จนเคยชินแล้ว ดังนั้นจึงกลัวว่าคราวนี้จะเป็นแผนร้ายอะไร

อีกทั้งเขาก็อยากปกป้องเฉินชางด้วย เขากลัวเฉินชางถูกจ้องจับผิด ไม่ดีต่ออนาคตของเฉินชาง ดังนั้นจึงได้เตือนไปเช่นนั้น!

สุดท้ายความเข้าใจผิดก็เกิดขึ้นแล้ว ทำให้เฉินชางเห็นหญิงชราคนนี้เป็นศัตรูไปแล้ว

อย่างไรก็ตาม เฉินชางฟังดูแล้วพบว่าทั้งน้ำเสียงและการกระทำของกงไต้เจินเต็มไปด้วยความเกรงอกเกรงใจ ไม่เหมือนมาจ้องจับผิดเลยสักนิด อีกอย่าง เธอคนนี้ดูใจดีมาก คำพูดคำจาก็ไม่ได้ทำให้ผู้รับฟังรู้สึกไม่ดี

เฉินชางส่ายหน้า จะคิดมากไปทำไม ก็แค่การผ่าตัดไม่กี่เคสไม่ใช่หรือ

คิดถึงตรงนี้ก็ยิ้มออกมาโดยพลัน “ท่านรองกงมาได้พอดีเลยครับ วันนี้ผมมีผ่าตัดห้าเคสพอดี คุณได้ดูเต็มที่แน่นอนครับ”

จางจื้อซินส่งสัญญาณให้เฉินชางหยุด ส่วนฉินเสียงและหยางเทาก็แปลกใจ หรือว่า…ท่านรองกงคนนี้มาศึกษาแลกเปลี่ยนจริงๆ ตั้งใจมาดูเฉินชางผ่าตัดจริงๆ

หรือการผ่าตัดเสริมหน้าอกของเฉินชางมันดีขนาดนั้นจริงๆ

พวกเขาสองคนรู้ว่าเฉินชางมีพรสวรรค์ทางด้านการออกแบบ แต่ยังไม่เคยเห็นเฉินชางผ่าตัดเสริมหน้าอกจริงๆ

คนไข้ของคนอื่น พวกเขาจะมาดูตามใจไม่ได้!

ดังนั้นพวกเขาจึงสงสัยมาตลอด วันนี้มีโอกาสพอดี ดูการผ่าตัดของเฉินชางสักหน่อยก็เป็นตัวเลือกที่ไม่เลวเลย

เฉินชางมองจางจื้อซิน ส่งสายตาให้รู้ว่าไม่เป็นอะไร จากนั้นจึงให้สวีโหรวพาทั้งสามเข้ามาพักก่อน ส่วนตนไปต้องเตรียมผ่าตัด จึงเดินเข้าห้องไปกับจางจื้อซิน

เพิ่งเดินเข้ามา จางจื้อซินก็ถลึงตาใส่เฉินชาง “เสี่ยวเฉิน บ้าไปแล้วหรือ!”

เฉินชางยิ้ม “คุณเครียดอะไรครับ ไม่ไว้ใจผมเหรอ”

จางจื้อซินขมวดคิ้ว “ไม่ใช่ว่าผมไม่ไว้ใจ แต่…ผมคิดว่าเขามาจ้องจับผิดน่ะสิ!”

เฉินชางพยักหน้า “อืม ถ้างั้นพวกเราก็ทำให้เธอจ้องจับผิดไม่ได้ก็พอแล้ว ให้ท่านรองกงยอมรับทั้งกายใจก็พอแล้วไม่ใช่หรือครับ”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ เฉินชางก็คิดว่านี่เป็นโอกาสอย่างหนึ่ง หากได้รับการยอมรับจากท่านรองกง ตำแหน่งในวงการของเขาก็จะพุ่งทะยานเร็วยิ่งขึ้นแน่นอน

สมาคมศัลยกรรมความงามแห่งประเทศจีนให้ความสำคัญกับแผนกศัลยกรรมความงามและแผนกผิวหนังของโรงพยาบาลรัฐ ส่วนคลินิกหรือโรงพยาบาลเอกชนเช่นนี้เป็นองค์กรที่เน้นหาเงิน ตำแหน่งฐานะในวงการจึงค่อนข้างจำกัด

นี่เป็นสาเหตุที่ว่าทำไมหยางเทาถึงได้เป็นรองประธาน ส่วนจางจื้อซินเป็นเพียงสมาชิก

หากคิดจะเดินบนเส้นทางนี้ให้ไกล ก็ต้องเดินบนเส้นทางหลัก

และตอนนี้ก็เป็นโอกาสอย่างหนึ่ง

จางจื้อซินฟังเฉินชางจบก็ชะงักไปโดยพลัน

ทำให้เธอหาเรื่องจับผิดไม่ได้ก็พอแล้วหรือ

ทำให้ท่านรองกงยอมรับทั้งกายใจหรือ

ต้องมีความกล้าเท่าไหร่กันถึงได้พูดออกมาแบบนี้!

แต่เมื่อจางจื้อซินเห็นสีหน้าสงบนิ่งและท่าทางไม่ทุกข์ไม่ร้อนเช่นนั้นของอีกฝ่ายก็อดส่ายหน้าไม่ได้

ไอ้หนุ่มนี่ ช่าง…

เฮ้อ!

ช่างเถอะ!

ช่างเขา!

ช่างเขาเถอะ!

คิดถึงตรงนี้ จางจื้อซินก็พูดกับพยาบาลว่า “หัวหน้าพยาบาล เตรียมผ่าตัดเถอะ”

หัวหน้าพยาบาลพยักหน้าแล้วรีบไปเตรียมการผ่าตัด

จางจื้อซินมองเฉินชาง ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี ผ่านไปพักใหญ่จึงได้แต่ตบแขนเฉินชางแล้วพูดว่า “พยายามเข้านะครับ!”

เฉินชางพยักหน้าตอบ!

บทที่ 397 หนังสือแจ้งภาวะเจ็บป่วยวิกฤต

เวลาประมาณสามทุ่ม เป็นช่วงเวลาระมัดระวัง และเป็นช่วงเวลาที่ยุ่งที่สุดของแผนกฉุกเฉิน

เฉินชางเพิ่งเสร็จงานที่ห้องผู้ป่วยในแผนกฉุกเฉินก็ได้รับโทรศัพท์จากศูนย์ฉุกเฉิน 120 แจ้งให้เตรียมการกู้ชีพ พวกเขาจะส่งตัวผู้ป่วยหญิงที่กินยานอนหลับฆ่าตัวตายมาที่โรงพยาบาล

จิตใจอันตึงเครียดของเฉินชางถูกกระตุ้นขึ้นอีกครั้ง!

เฉินชางถามไปประโยคหนึ่ง “นานแค่ไหนแล้วครับ!”

ศูนย์ฉุกเฉินกล่าวว่า “มากสุดประมาณห้าชั่วโมงครับ ตอนแม่ของผู้ป่วยพบตัวเธอก็หมดสติไปแล้ว นอกจากนี้เธอก็มีแผลทั่วตัวด้วยครับ”

เมื่อวางโทรศัพท์ไปแล้ว เฉินชางก็รีบเตรียมห้องฟอกไตอย่างเร่งร้อน ปกติผู้ป่วยที่กินยานอนหลับเพื่อฆ่าตัวตายเช่นนี้จะถูกพบตัวหลังจากกินยาไปแล้วหกถึงสิบสองชั่วโมง ดังนั้นควรล้างกระเพาะทันทีเพราะตัวยายังไม่ถูกดูดซึมไปทั้งหมด

แต่กับผู้ป่วยที่หมดสติไป หรือไม่ได้ปัสสาวะออกมา ต้องเตรียมการฟอกไตให้เร็วที่สุดจึงจะดี

เมื่อพูดจบ เฉินชางก็รีบหันไปมองเสี่ยวเยี่ยนและเล่อเล่อ “เดี๋ยวจะมีผู้ป่วยกินยานอนหลับฆ่าตัวตายมานะครับ ตอนนี้หมดสติไปแล้ว สถานการณ์อันตรายมาก ต้องเตรียมล้างกระเพาะ”

เล่อเล่อไปเตรียมอุปกรณ์ล้างกระเพาะ ส่วนเสี่ยวเยี่ยนไปเตรียมยาสำหรับล้างพิษ

ทั้งสองทำงานอยู่ที่แผนกฉุกเฉินมาสองสามปีแล้ว พบเจอเรื่องเช่นนี้มาไม่ต่ำกว่าแปดครั้งสิบครั้งจึงจัดการงานได้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยและรวดเร็ว

เวลาผ่านไปประมาณสามสิบนาที รถฉุกเฉินที่แล่นมาอย่างรวดเร็วก็จอดลงตรงประตูของแผนกฉุกเฉิน หมอประจำรถและคนขับรถรีบเข็นเตียงผู้ป่วยเข้ามา ด้านหลังมีคนเดินตามมาด้วยสามคน คาดว่าเป็นญาติผู้ป่วย

หญิงอายุประมาณห้าสิบกว่าปีคนหนึ่งร้องไห้จนดวงตาทั้งสองบวมเป่ง ส่วนชายอายุประมาณเดียวกันใบหน้าบูดบึ้งเย็นชาเหมือนน้ำแข็ง ในดวงตาเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว เอาแต่เงียบงันไม่พูดจาแม้เพียงประโยคเดียว น่าหวาดกลัวเป็นที่สุด

เมื่อเทียบกันแล้ว ชายอีกคนหนึ่งที่เดินตามมาด้านหลัง ท่าทางยังอายุน้อย ประมาณสิบเจ็ดสิบแปดปี สวมเครื่องแบบนักเรียน เขายังมีสีหน้าร้อนอกร้อนใจและไม่สบายใจมากกว่า

ตอนนี้เฉินชางเห็นผู้ป่วยชัดแล้ว เธออายุไม่มาก ใบหน้าขาวซีด แต่ว่า…อาจดูซีดเซียวเพราะอาการป่วย นี่เป็นความคิดแรกของเขา

หมอประจำรถฉุกเฉินดึงเฉินชางไว้แล้วเริ่มอธิบายสภาพผู้ป่วย

“อาการค่อนข้างซับซ้อนเลยครับ”

หมอประจำรถยังอายุไม่มาก ประมาณสี่สิบปีเท่านั้น คำพูดนี้ทำให้เฉินชางชะงักไป

เฉินชางถามไปว่า “เป็นอะไรเหรอครับ”

หมอคนนั้นกล่าวว่า “บนตัวมีบาดแผลหลายแห่ง ต้นขาด้านในมีรอยช้ำรุนแรง นอกจากนี้ยังมีแผลเปิดอีกหลายจุด มีอาการกล้ามเนื้อกดทับหลายที่และปัสสาวะไม่ออก คุณต้องลองคิดถึงอาการกล้ามเนื้อสลายดูหน่อยนะครับ ตรวจสอบให้เรียบร้อยก่อน ไม่งั้น…อาจเกิดปัญหาได้”

พูดจบ หมอวัยกลางคนที่เพิ่งสังเกตเห็นว่าเฉินชางยังอายุไม่มากเท่าไหร่ก็พูดเสริมไปอีกประโยคหนึ่ง “ระวังเรื่องอารมณ์ความรู้สึกของญาติผู้ป่วยหน่อยนะครับ สถานการณ์มัน…ค่อนข้างซับซ้อน!”

หญิงวัยกลางคนมาถึงโรงพยาบาลแล้ว เมื่อเห็นเฉินชางก็เหมือนกับเห็นฟางช่วยชีวิตเส้นสุดท้าย เธอรีบวิ่งเข้ามา คุกเข่าลงกับพื้นจนเกิดเสียงดัง ดวงตาทั้งสองมีน้ำตาไหลออกมาจนเลอะเต็มหน้า!

“ขอร้องละค่ะ ขอร้องละค่ะคุณหมอ ช่วยลูกสาวฉันด้วย เธอเพิ่งจะอายุยี่สิบหกเอง! ขอร้องละค่ะ คุณต้องช่วยเธอนะคะ เธอยังอายุน้อยอยู่เลย!”

เฉินชางไม่สนใจปลอบใจญาติผู้ป่วย รีบหันไปพูดกับนางพยาบาลเล่อเล่อว่า “ส่งไปที่ห้องฉุกเฉิน สังเกตอาการให้ดี และตรวจเลือดด่วนด้วยนะครับ…”

หลังจากสั่งงานเสร็จแล้ว เฉินชางก็หันไปมองชายวัยกลางคน “คุณดูแลเรื่องอารมณ์กันหน่อยนะครับ พวกเราต้องไปช่วยผู้ป่วยก่อน”

ชายคนนั้นพยักหน้า “ครับ รบกวนด้วยนะครับคุณหมอ”

ขณะที่ชายคนนั้นอ้าปากพูด เฉินชางจึงค่อยเห็นว่าที่ฟันของอีกฝ่ายมีเลือดไหลออกมา คงเป็นเพราะเขากัดฟันจนเลือดไหล บริเวณตาขาวก็เต็มไปด้วยเส้นเลือด สภาพร่างกายคล้ายกับเดือดดาลมาก เพียงแต่โทสะนี้ถูกสติสัมปชัญญะของเขากดเก็บเอาไว้ภายในอย่างสุดความสามารถ

เฉินชางเห็นดังนั้นก็หนังตากระตุก

ตอนนี้เอง เด็กหนุ่มก็วิ่งออกไปข้างนอก “ไอ้เวรเอ๊ย กูจะฆ่ามึง! แม่งทำพี่สาวกูเป็นแบบนี้แล้ว ถ้าพี่สาวกูตาย กูจะฆ่ามึงทั้งครอบครัว!”

ชายวัยกลางคนเห็นดังนั้นก็ตะโกนออกมาอย่างโมโห “หยุดเดี๋ยวนี้!”

เด็กหนุ่มตัวแข็งทื่อ หันกลับมาตะโกนเสียงดังว่า “ที่นอนอยู่บนเตียงนั่นคือพี่สาวผมนะ!”

ชายวัยกลางคนได้ยินดังนั้นก็ตบหน้าอกตัวเองเสียงดัง “นั่นก็ลูกสาวฉันเหมือนกัน!”

……

……

ภายในห้องฉุกเฉิน

“รูม่านตาขยาย!”

“การตอบสนองต่อแสงไฟลดลง!”

“อัตราการหดตัวหายไป!”

……

“ความดันโลหิต 60/30 mmHg! ลดลงต่อเนื่อง!”

“หัวใจเต้นเร็ว! 120 ครั้งต่อนาที!”

ตอนนี้ผลตรวจเลือดมาแล้ว!

ขณะที่เฉินชางเห็นค่า ATP ก็ต้องชะงักไปทันที หนึ่งแสนหนึ่งหมื่น!

สูงเกินไปแล้ว!

ATP เป็นแสนเช่นนี้ ต้องรีบฟอกเลือดให้เร็วที่สุด

เมื่อคิดถึงตรงนี้ เฉินชางก็รีบโทรไปที่ห้องฟอกไต บอกให้พวกเขาเตรียมอุปกรณ์สำหรับฟอกไตฟอกเลือด

ขณะที่เฉินชางกำลังตรวจสอบอยู่นั้น เขาก็จับปากของผู้ป่วยหญิงให้อ้าออก ทว่าทันใดนั้นก็มีกลิ่นยาอันเข้มข้นโชยออกมาจากปากเธอ เฉินชางถึงกับใจกระตุก

นี่กินเข้าไปเท่าไหร่กันแน่

อย่างน้อยก็สามสิบห้าสิบเม็ดได้

กลิ่นยานอนหลับถาโถมออกมา เฉินชางเห็นคนกินยาฆ่าตัวตายมามากแล้ว แต่…ส่วนใหญ่เป็นการแสร้งทำเป็นฆ่าตัวตาย จะกินเข้าไปแค่สิบเม็ดแปดเม็ดเพื่อให้คนอื่นตกใจกลัวเท่านั้น แต่คนที่กินเข้าไปสามสิบห้าสิบเม็ดเช่นนี้เป็นพวกที่ตัดสินใจฆ่าตัวตายอย่างแท้จริง!

ผู้หญิงอายุยี่สิบหกปี ทำไมถึงตัดสินใจโหดเหี้ยมเช่นนี้ได้

สภาพของผู้ป่วยถูกจัดอยู่ในภาวะอันตรายขึ้นมาทันที รวมกับที่บนร่างกายมีแผลกดทับหลายแห่ง มีภาวะกล้ามเนื้อสลาย ทำให้เกิดไตวายเฉียบพลันและโพแทสเซียมสูงได้ง่าย จึงพูดได้ว่าตอนนี้สภาพของผู้ป่วยยังไม่เสถียร

ในตอนนี้ ความดันโลหิตยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง สูงสุดเพียงหกสิบ ต่ำสุดเกือบสามสิบ!

เฉินชางสีหน้าเปลี่ยนไปโดยพลัน รีบเพิ่มโดปามีนให้ผู้ป่วยโดยฉีดโดปามีนสองร้อยสิบกรัมจนความดันโลหิตค่อยๆ เพิ่มสูงขึ้นอีกครั้ง อัตราการเต้นของหัวใจก็เริ่มลดลงจนมาถึงประมาณหนึ่งร้อยครั้งต่อนาที

ภายในห้องฉุกเฉินเต็มไปด้วยบรรยากาศตึงเครียด!

เล่อเล่อกำลังล้างกระเพาะ ส่วนเสี่ยวเยี่ยนคอยช่วยเหลือ ทว่า…แม้จะพยายามกันถึงขั้นนี้แล้ว เฉินชางก็ยังไม่มั่นใจว่าจะช่วยชีวิตผู้ป่วยกลับมาได้หรือไม่ เพราะแค่พิษจากยานอนหลับมากมายเหล่านั้นก็อันตรายพอแล้ว เป็นอันตรายถึงชีวิตเลยทีเดียว แถมตอนนี้ยังมีภาวะกล้ามเนื้อสลายและโพแทสเซียมสูงร่วมด้วย…

มีภาวะอาการมากเกินไป! ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างนี้มารวมอยู่ด้วยกัน! คงพูดได้คำเดียวว่า ผู้ป่วย…อยู่ระหว่างความเป็นความตาย

ปัญหาสำคัญที่สุดก็คือผู้ป่วยอยากตาย และดูเหมือนความปรารถนานี้จะรุนแรงมากเสียด้วย

บางครั้ง พอได้มาอยู่ในแผนกฉุกเฉินแล้วอาจได้เห็นอะไรหลายสิ่งหลายอย่าง ของอย่างเช่นความปรารถนาจะมีชีวิตอยู่ก็เป็นสิ่งที่มีอยู่จริงๆ ซึ่งอาจเป็นสิ่งที่เทคโนโลยีในปัจจุบันตรวจสอบไม่ได้

ทว่า…เฉินชางเห็นคนเหล่านี้ในแผนกฉุกเฉินมามากจริงๆ เช่นชายที่ถูกเหล็กเสียบทะลุอกในตอนนั้น หากเป็นคนปกติคงมีอัตราการตายสูงมาก แต่…ชายคนนั้นก็ยังรอดมาได้

บางทีอาจเป็นเพราะในหัวใจของเขาเต็มไปด้วยครอบครัว! หรืออาจเป็นเพราะจิตใจของเขาแข็งแกร่งยิ่งกว่าเหล็กกล้า แต่…สำหรับคนที่คิดฆ่าตัวตายก็พูดยาก

โบราณกล่าวว่า ยารักษาได้เพียงคนที่ต้องการความช่วยเหลือ พระพุทธเจ้าช่วยได้เพียงผู้มีบารมี อันที่จริงคำพูดนี้ยังอธิบายได้อีกอย่างหนึ่งว่า มีเพียงผู้ที่ไม่อยากตายเท่านั้นจึงจะรักษาได้ และสำหรับคนอยากตาย ไม่ว่ายาอะไรก็รักษาไม่ได้!

มีหลายคนที่รู้ชัดว่าช่วยไม่ได้แล้ว แต่เพราะสิ่งที่เรียกว่าความปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ทำให้พวกเขาดีขึ้น

เฉินชางเดินถือเอกสารแจ้งอาการออกมาให้ญาติผู้ป่วยเซ็นเพื่อแสดงการรับรู้และยินยอม

ญาติผู้หญิงขดตัวร้องไห้อยู่ในมุมหนึ่ง ส่วนชายหนุ่มโกรธจนตัวสั่น ถือโทรศัพท์อยู่ในมือ ไม่รู้ว่ากำลังพิมพ์อะไร มีเพียงชายวัยกลางคนเท่านั้นที่ยืนไม่พูดไม่จาอยู่ตรงนั้น และเป็นเพราะแผนกฉุกเฉินไม่อนุญาตให้สูบบุหรี่ เขาจึงทำได้เพียงคาบบุหรี่มวนหนึ่งเอาไว้ในปากซึ่งตอนนี้ถูกขบจนเละ มีเลือดไหลออกมาตามก้นบุหรี่ ย้อมบุหรี่จนเป็นสีแดง

เฉินชางมองไปที่เขา “สวัสดีครับ นี่คือ…หนังสือแจ้งภาวะเจ็บป่วยวิกฤต เดี๋ยวผมอธิบายให้ฟังนะครับ”

ชายคนนั้นได้ยินก็ชะงักไปโดยพลัน แทบจะยืนไม่ไหว!

เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ

เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ

Status: Ongoing

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท