บทที่ 404 ความคิดของเฉินชาง
ชั่วขณะนั้น จางจื้อซินถึงค่อยรู้ว่าตนเองกำลังเอาความคิดคนถ่อยไปตัดสินบัณฑิต!
ทว่ากันไว้ดีกว่าแก้ จางจื้อซินไม่รู้สึกเสียใจแม้แต่น้อย ถึงอย่างไรประสบการณ์ทางสังคมและการใช้ชีวิตก็สอนเขาว่าจิตใจมนุษย์เอาแน่เอานอนไม่ได้
ถึงแม้กงไต้เจินจะมาแลกเปลี่ยนความรู้จริงๆ ตนก็ยังต้องทำเรื่องที่สมควรทำอยู่ดี แต่ในเมื่อความเข้าใจผิดถูกแก้ไขแล้ว ก็ต้องพูดคุยกันให้ดีๆ
เฉินชางชะงักไปเล็กน้อย สมาคมระดับประเทศอีกแล้วหรือ
ถ้าเข้าร่วมสมาคมนี้ เขาจะสำเร็จภารกิจได้หรือเปล่า
ตอนนี้เขามีภารกิจระดับสูงอยู่อย่างหนึ่งนั่นก็คือเข้าร่วมสมาคม หรือองค์กรระดับประเทศสองสมาคม
แต่…ภารกิจพื้นฐาน ‘เข้าร่วมสมาคมระดับมณฑล’ ยังไม่สำเร็จ แบบนี้จะเหมาะสมหรือ
การจัดการของระบบมีปัญหาหรือเปล่า ทำไมภารกิจระดับสูงง่ายกว่าภารกิจเบื้องต้นล่ะ
คิดถึงตรงนี้เฉินชางก็ต้องส่ายหน้า
หากจางจื้อซินได้ยินความคิดของเฉินชางเข้าคงอยากกัดเฉินชางให้ตายแน่นอน คุณคิดว่าไม่ว่าใครก็เข้าร่วมสมาคมระดับประเทศได้ถึงสองสมาคมงั้นหรือ
แถมยังเป็นสมาคมเฉพาะอาชีพและเฉพาะสาขาด้วย!
หากไม่มีผลงานที่ดีพอ หากไม่มีคำแนะนำจากบุคคลพิเศษ เช่นนั้นการจะเข้าย่อมเป็นเรื่องยาก!
ดังนั้นเมื่อได้ยินคำเชิญของกงไต้เจิน เฉินชางย่อมไม่ปฏิเสธ
เฉินชางไม่ใช่บุคคลชนชั้นพิเศษอะไร หากไม่ยอมเข้าร่วม หรือแสดงท่าทียโสโอหังให้เห็นคงเป็นเรื่องโง่มาก
ท่านรองกงส่งคำเชิญเข้าร่วมสมาคมระดับสูงด้วยตัวเอง ทั้งยังมีฉินเสียงผู้เป็นประธานสมาคมเป็นคนแนะนำด้วย หากเฉินชางยังวางตัวไม่เหมาะสมอีกย่อมทำให้คนอื่นรู้สึกแย่เปล่าๆ
เฉินชางรีบยิ้ม เผยสีหน้ายินดีออกมา “ขอบคุณท่านรองกงที่เชิญผมนะครับ แล้วก็ขอบคุณหัวหน้าฉินและหัวหน้าหยางด้วยนะครับที่แนะนำ! ความจริงผมคิดอยู่ตลอด ไม่นึกเลยว่าจะเร็วขนาดนี้”
ทุกคนเห็นดังนั้นก็พยักหน้าน้อยๆ กงไต้เจินก็ยิ้มออกมา หนุ่มคนนี้ดีจริงๆ อายุยังน้อยแต่มีความสามารถมาก ที่สำคัญก็คือไม่ยโสโอหัง ไม่ใจร้อน ทั้งยังวางตัวเหมาะสมไม่ต่ำต้อยเกินไป!
นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินชางพบกงไต้เจิน แต่เขากลับมีความสงบนิ่งและสุขุม นี่เป็นสิ่งที่เธอคิดไม่ถึงจริงๆ
ทว่าตอนนี้เธอเข้าใจแล้ว! นั่นเป็นเพราะเฉินชางมีความสามารถสูง ความสามารถที่แข็งแกร่งทำให้จิตใจของเขาแข็งแกร่งตาม
ตอนนี้ฉินเสียงและหยางเทาอดถอนใจไม่ได้ อันที่จริง ตลอดเวลาที่ผ่านมา พวกเขารู้สึกบางอย่างกับการผ่าตัดเสริมหน้าอกราคาหนึ่งล้านหยวนของเฉินชางมาตลอด คิดว่าเป็นโฆษณาชวนเชื่อของคลินิกศัลยกรรมจื้อซินเพียงอย่างเดียว ดังนั้นแม้เฉินชางจะร่วมงานกับคลินิกศัลยกรรมของพวกเขาแล้ว แต่ไม่เคยได้ผ่าตัดเสริมหน้าอกเลย นั่นเป็นเพราะหยางเทาคิดว่านี่เป็นเรื่องไร้สาระ
แต่ตอนนี้หยางเทารู้สึกเสียใจขึ้นมาแล้ว!
หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ควรมาดูให้เร็วเสียหน่อย
เมื่อคิดว่าตนเองปล่อยให้โอกาสหลุดลอยออกจากมือไปหลายครั้ง ช่างปวดใจจริงๆ …
ถ้าตอนนี้ถามหยางเทาอีกครั้งว่าค่าผ่าตัดหนึ่งล้านหยวนคุ้มค่าหรือไม่ หยางเทาจะต้องตอบไปอย่างมั่นอกมั่นใจแน่นอนว่าคุ้มค่า!
ในความคิดของหยางเทา การผ่าตัดเสริมหน้าอกเช่นนี้ต่างจากการผ่าตัดเสริมหน้าอกแบบดั้งเดิมไปมากเลยทีเดียว
หากพูดให้ฟังดูเว่อร์วังหน่อยก็คือ หน้าอกพวกนี้มีจิตวิญญาณ! ไม่สิ มันคือจิตวิญญาณ!
เป็นเช่นนั้นจริงๆ!
การผ่าตัดเสริมหน้าอกของเฉินชางแตกต่างกับการผ่าตัดเสริมหน้าอกแบบดั้งเดิมอย่างใหญ่หลวง หากกล่าวว่าการผ่าตัดเสริมหน้าอกแบบดั้งเดิมเป็นการปรับเปลี่ยนขนาดเพียงอย่างเดียว เช่นนั้นการผ่าตัดของเฉินชางก็คือการปรับแต่งตั้งแต่รูปทรง ฐาน รูปร่างและสัดส่วน! นี่เหมือนกับการศัลยกรรมหน้าอกมากกว่าเสริมหน้าอกธรรมดา! ราวกับมอบชีวิตใหม่ให้กับมัน มอบโอกาสเปลี่ยนแปลงให้คนไข้
ชั่วขณะนี้ หยางเทาอดคิดไม่ได้จริงๆ ว่าเมื่อก่อนตัวเองกำลังเล่นอะไรอยู่!
ดั่งคำโบราณว่า ไม่กลัวสินค้าซ้ำแต่กลัวการเปรียบเทียบ!
เมื่อสิ่งของสองอย่างวางเรียงอยู่ตรงหน้า ย่อมเห็นความแตกต่างได้ในพริบตา
ขนาดและความงามเป็นแนวคิดที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
กงไต้เจินสังเกตเห็นเรื่องนี้นานแล้ว เธอเริ่มคิดแล้วว่าจะปรับปรุงการผ่าตัดเสริมหน้าอกแบบดั้งเดิมให้ดีขึ้นได้อย่างไร
คิดถึงตรงนี้ เธอก็อดกล่าวไม่ได้ว่า “เสี่ยวเฉิน คุณว่างเมื่อไหร่คะ ฉันอยากคุยเรื่องการผ่าตัดเสริมหน้าอกกับคุณให้ละเอียดสักหน่อย หวังว่าพวกเราจะช่วยกันวิจัยหัวข้อเฉพาะทางเรื่องนี้ได้นะคะ”
“ฉันว่าวิธีการและเทคนิคการผ่าตัดของคุณมีคุณค่ามากพอที่จะเป็นวัตถุดิบการวิจัยได้ดีเลย พวกเราอาจใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่มาทำให้การผ่าตัดสมบูรณ์แบบขึ้นได้ มาปรับการผ่าตัดให้ดีขึ้นได้”
“นี่เป็นหัวข้อและขอบเขตการศึกษาที่ควรค่าแก่การวิจัยเลยนะคะ”
“ตอนนี้ฉันกำลังทำวิจัยหัวข้อการศึกษาบางอย่างร่วมกับมหาวิทยาลัยหลี่กงที่เมืองหลวงอยู่ค่ะ เป็นการวิจัยเกี่ยวกับเครื่องจักรที่ช่วยในการผ่าตัด ฉันอยากเชิญคุณมาเป็นที่ปรึกษาของพวกเรา ไม่ทราบว่า…คุณสะดวกไหมคะ”
“พวกเราจะไม่รบกวนเวลาคุณมากเกินไปแน่นอน งานหลักๆ ที่ต้องการให้คุณช่วยก็คือพวกพารามิเตอร์หรือการเปรียบเทียบต่างๆ”
พูดถึงตรงนี้ กงไต้เจินก็อธิบายต่อไป “ในฐานะที่คุณเป็นที่ปรึกษา จะได้รับสิทธิประโยชน์และสิทธิบัตรร่วมของผลิตภัณฑ์ด้วยนะคะ”
เฉินชางคิดไม่ถึงเลยว่ากงไต้เจินจะเริ่มวิจัยรายละเอียดพวกนี้แล้ว ทั้งยังร่วมงานกับมหาวิทยาลัย หลี่กงของเมืองหลวงด้วย
ไม่กล่าวไม่ได้ว่า เบื้องบนมีทรัพยากรมากมายจริงๆ!
คนเหล่านี้เป็นคนเก่งจริงๆ ตัวเขาต้องพึ่งพาระบบโกง แต่ท่านรองกงกลับใช้ความรู้ในการพัฒนาทิศทางของอนาคต และเริ่มงานวิจัยที่มีคุณค่าไปแล้วด้วย
นี่เป็นงานวิจัยที่มีค่ามากจริงๆ
อาจพูดได้ว่า ความจริงแล้วเซ้นส์ด้านความงามก็คือความคิดที่คุณใช้บรรยายขนาดและลักษณะของอะไรบางอย่างให้เหมาะสม แต่ความสวยงามคืออะไร
ธรรมชาติก็คือความสวยงาม
แล้วอะไรคือธรรมชาติ ความประสานงานและความลงตัวก็คือธรรมชาติ!
ความลงตัวก็คือความสอดคล้องของสัดส่วน โครงสร้างและสรีระทางร่างกาย รวมแล้วย่อมกลายเป็นความสวยงามอย่างหนึ่ง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ย่อมมีข้อจำกัดมากมาย เพราะจะอย่างไรแต่ละคนก็มีสภาพร่างกายแตกต่างกัน หากใช้เครื่องจักรเครื่องมือทำออกมาย่อมไร้ซึ่งจิตวิญญาณ แต่ก็ใช้พัฒนาได้มากมาย
หากเทียบการผ่าตัดเสริมหน้าอกแบบดั้งเดิมเป็นงานฝีมือ เช่นนั้นก็มีการพัฒนาขึ้นมากแล้ว
เฉินชางไม่คิดปฏิเสธคำชวนของกงไต้เจิน นี่เป็นอนาคตที่ดี ทำไมต้องปฏิเสธด้วยล่ะ
เฉินชางพูดยิ้มๆ “ผมเฝ้ารอที่จะได้ร่วมงานกับท่านรองกงเลยครับ หวังว่าเทคนิคการเสริมหน้าอกของผมจะได้รับการส่งเสริมให้รุ่งเรืองนะครับ”
นี่คือคำพูดจากใจของเฉินชาง
ทำไมเฉินชางถึงเฝ้ารอน่ะหรือ เหตุผลก็คือ ถ้าเขาพึ่งแต่ระบบโกงจะต้องผ่าตัดกี่เคสกันล่ะ
ผ่าตัดวันละห้าเคส หนึ่งปีก็พันกว่าเคส สามสิบปีก็สามสี่หมื่นเคส ตายกันพอดี!
จะไม่ให้พักกันเลยหรือไง
อีกอย่าง ประเทศนี้ หรือโลกใบนี้ จะมีคนมากน้อยเท่าไหร่กันเชียว
ผลงานที่คุณจะทำได้จึงมีน้อยเกินไป
การปรากฏตัวของกงไต้เจินมอบความคิดใหม่ให้กับเฉินชาง นั่นก็คือใช้ระบบโกงของตัวเองเป็นพื้นฐานแล้วดูว่าจะเอาไปผสานร่วมกับการผ่าตัดภายนอกได้หรือไม่ จากนั้นก็ใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในยุคปัจจุบันมาปรับปรุงการผ่าตัดให้ดียิ่งขึ้น พัฒนาการผ่าตัดให้ได้ประสิทธิภาพ และลดผลข้างเคียงเป็นต้น
พลังของคนคนเดียวย่อมมีจำกัด! แต่หากคุณกลั่นวิชาความรู้อันยอดเยี่ยมของตัวเองออกมาแล้วถ่ายทอดให้กับผู้คนอีกมากมาย เช่นนี้จึงจะเรียกว่าเป็นการทำประโยชน์อย่างใหญ่หลวง
แม้ตอนนี้ความคิดของกงไต้เจินจะพุ่งเป้าไปที่การปรับปรุงวิธีผ่าตัดเสริมหน้าอกให้ดียิ่งขึ้นเพียงอย่างเดียว แต่เขาสามารถใช้โอกาสนี้เรียนรู้วิธีการต่างๆ เพื่อพัฒนาการผ่าตัดอื่นของตนในภายหลังได้ นี่เป็นการปูพื้นฐาน!
คิดถึงตรงนี้ เฉินชางก็อดถอนใจไม่ได้ คนใหญ่คนโตพวกนี้มีสายตากว้างไกลจริงๆ!
หากติดตามพวกเขาคงได้เรียนรู้อะไรไม่น้อย
กงไต้เจินไม่ได้รั้งอยู่นาน หลังจากแสดงความคิดเห็นของตนออกไปชัดเจนแล้วก็แลกเปลี่ยนข้อมูลติดต่อกับเฉินชางและจางจื้อซิน จากนั้นจึงพูดคุยสนทนากับจางจื้อซินสองสามประโยคแล้วเชิญเขาเข้าร่วมสมาคมศัลยแพทย์ความงามแห่งประเทศจีน สุดท้ายก็กลับไป
บทที่ 399 ความผันผวนคือสัจธรรมของมนุษย์
หลังจากเฉินชางหยิบสมุดออกมา ทุกคนก็ชะงักไปทันที
ตำรวจสองนายขยับเป็นคนแรก รีบยื่นมือออกมารับสมุดไป
เพิ่งเปิดสมุดออก เมื่อเห็นคำว่า ‘คำสั่งเสีย’ ก็พากันสะดุ้งตกใจ!
นี่…ของสิ่งนี้สำคัญเกินไปแล้ว
ญาติผู้หญิงของผู้ป่วยมองตำรวจ ส่วนชายวัยกลางคนตกตะลึง ดวงตาทั้งสองจับจ้องตำรวจ กล่าวด้วยแววตาคาดหวัง “ผม…ผมดูได้ไหมครับ”
ตำรวจสองนายสบตากัน จากนั้นจึงส่งสมุดไปให้อีกฝ่าย “ครับ อย่าทำให้เสียหายนะครับ นี่…เกี่ยวกับลูกสาวของคุณโดยตรง”
ชายคนนั้นพยักหน้า ยกมือสั่นเทาทั้งสองขึ้นมารับสมุด
“ครับ! ได้ครับ! ได้!”
ครอบครัวของผู้ป่วยทั้งสามคนรับสมุดมาแล้วก้มลงอ่านด้วยกัน
เพียงแต่…เฉินชางทราบดี
สำหรับตำรวจ สมุดเล่มนี้ก็คือหลักฐาน
สำหรับตน มันเป็นเพียงของที่ไม่สลักสำคัญ
แต่สำหรับครอบครัวนี้ อาจเป็นเหมือน…การแล่เนื้อเถือหนัง…เปรียบเสมือนโทษประหาร!
จริงดังคาด ชายคนนั้นใช้ทั้งสองมือรับสมุดมา อ่านทุกประโยคอย่างระมัดระวัง แต่ละประโยคราวกับมีดที่กรีดเฉือนลงบนขั้วหัวใจ!
ทุกประโยค เหมือนเข็มทิ่มแทงใจ!
เจ็บปวด!
……
……
เฉินชางถอนหายใจอย่างจนปัญญา ไม่มีอารมณ์ดูแลพวกเขา ตอนนี้ยังมีเรื่องสำคัญมากมายที่ต้องจัดการ
เล่อเล่อและเสี่ยวเยี่ยนมองดูผู้ป่วยหญิง ก็เกิดหวาดกลัวขึ้นมา!
เมื่อเจิ้งหย่งจวินผู้เป็นหมอประจำห้อง ICU เดินเข้ามา เฉินชางก็แสดงท่าทางบอกเล่า หมออายุสี่สิบต้นๆ เห็นเช่นนี้สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที ถึงกับกลั้นคำด่าไม่ได้ว่า “เดรัจฉาน!”
เธอเป็นแค่ผู้หญิงคนหนึ่ง ใครมันกล้าลงมือโหดเหี้ยมถึงขนาดนี้!
ทั่วทั้งร่างของผู้ป่วย นอกจากบริเวณใบหน้าและช่วงแขนที่ไม่มีแผล ส่วนอื่นของร่างกายที่อยู่ใต้ร่มผ้าก็มีรอยแผลอยู่ทุกหนทุกแห่ง
จากการสังเกตอาการพบว่าสัญญาณชีพมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ค่ำคืนนี้คงเป็นค่ำคืนที่ไม่อาจข่มตานอน
แต่ไหนแต่ไรมา การช่วยชีวิตก็หยุดกลางคันไม่ได้อยู่แล้ว!
เมื่อการฟอกไตเสร็จสิ้นก็ต้องรีบตรวจ CK อีกครั้ง
ตอนนี้เจิ้งหย่งจวินถือโอกาสส่งตัวผู้ป่วยไปที่ห้อง ICU เพราะที่นั่นมีอุปกรณ์พร้อมกว่า
ค่ำคืนนี้เปรียบเสมือนฝันร้ายสำหรับทุกคน!
สำหรับเฉินชาง นี่เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยพบเจอมาก่อน
เรื่องภาวะกล้ามเนื้อสลายเขาเคยเห็นและเคยรักษามาไม่น้อย เรื่องผู้ป่วยกินยานอนหลับเพื่อฆ่าตัวตายก็เคยเห็นและรักษามาไม่น้อย แต่ว่า…
ความรุนแรงในครอบครัว!
ความรุนแรงในครอบครัวที่สาหัสสากรรจ์ขนาดนี้ เฉินชางก็เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก
ทุกครั้งที่ย้อนนึกถึงตัวอักษรในสมุดบันทึกแต่ละตัวที่กระตุ้นให้ผู้อ่านเดือดดาล ในสมองมักปรากฏภาพการกระทำที่ไม่อาจให้อภัย เขาคิดว่าผู้กระทำสมควรได้รับการลงโทษอย่างเหมาะสม ทว่าเขาไม่ใช่คนตัดสิน เขาเป็นเพียงหมอคนหนึ่งเท่านั้น
แม้ผู้ที่นอนอยู่บนเตียงผ่าตัดจะเป็นนักโทษ เขาที่เป็นหมอก็ต้องพยายามรักษาสุดชีวิต
ทันใดนั้นเอง จู่ๆ เฉินชางก็รู้สึกว่า บางที…สำหรับคนเป็นหมอ สิ่งที่ยากที่สุดอาจไม่ใช่ทักษะการรักษา ทว่าคือการกระทำโดยปราศจากอารมณ์ส่วนตัวทั้งๆ ที่เห็นความโหดร้ายของมนุษย์อยู่เต็มตาต่างหาก
นี่เป็นเรื่องช่วยไม่ได้
บางที…หากสวรรค์รับรู้ คงโศกเศร้าเช่นกัน
ความผันผวนคือสัจธรรมของมนุษย์ ชั่วขณะนั้น เฉินชางคิดว่าตัวเองเข้าใจคำพูดประโยคนี้ลึกซึ้งขึ้นอีกมากเลยทีเดียว
……
……
เฉินชางเฝ้าอยู่ที่ห้อง ICU ถึงประมาณตีห้า ระหว่างนั้นหัวใจของผู้ป่วยหญิงหยุดเต้นไปครั้งหนึ่ง โชคดีที่กู้ชีพทันเวลาและช่วยชีวิตกลับมาได้
เฉินชางมองดูเส้นสัญญาณชีพที่ปรากฏบนหน้าจอ ประหนึ่งว่านี่คือวิญญาณอันอ่อนระโหยโรยแรงของเธอ
เขารู้สึกราวกับว่า ตอนนี้ขณะนี้ หญิงสาวที่อายุน้อยกว่าตนผู้กำลังนอนอยู่บนเตียงหลังนั้นเปรียบเสมือนกระต่ายที่ถูกกักขังวิญญาณ ถูกโบยตีอยู่ตลอดเวลา เธอต้องการหลีกหนีความทรมาน ดังนั้น…ตอนนี้จึงยังไม่ฟื้น
จนกระทั่งเขาได้รับโทรศัพท์จากแผนกฉุกเฉินจึงบอกลาเจิ้งหย่งจวินแล้วกลับไปที่แผนก
ตอนนี้มีผู้ป่วยใหม่มาที่แผนกฉุกเฉินแล้ว เฉินชางเริ่มยุ่งกับงานอีกครั้ง ค่ำคืนนี้เขากลัวว่างงานเป็นพิเศษ
เพราะทุกครั้งที่เขาว่าง จะอดคิดถึงเรื่องนี้ไม่ได้
ครอบครัวของผู้ป่วยหญิงยังคงรออยู่ในห้องโถงด้วยความกระวนกระวายใจ ชายวัยกลางคนยืนพิงกำแพงอย่างอ่อนล้า ขาทั้งสองไร้เรี่ยวแรงจะหยัดยืนจนค่อยๆ ทิ้งตัวลงนั่งกับพื้น สุดท้ายก็นั่งขดตัวแข็งทื่ออยู่เช่นนั้น ขาทั้งสองข้างกางออก ศีรษะทิ้งพิงไปกับกำแพงอันเย็นยะเยือก
แม้กระนั้น ในดวงตาก็ยังเต็มไปด้วยความหนักแน่นสุดเปรียบ บางทีเขาอาจตัดสินใจแล้วว่า ถ้าเขาไม่ตายจะไม่ยอมไปพักเด็ดขาด!
หนุ่มน้อยอายุสิบเจ็ดร้องไห้ราวกับเด็กสามขวบ เขากุมศีรษะสะอึกสะอื้นพลางทึ้งผมตัวเอง ส่วนผู้หญิงอีกคนเอาแต่เงียบงันไม่กล่าววาจา ไม่ทราบว่ากำลังคิดอะไรอยู่
ตำรวจนายหนึ่งจากไปแล้ว ส่วนอีกนายหนึ่งมองหนุ่มน้อยคนนั้นด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรบุ่มบ่าม
……
……
เวลาเก้าโมงเช้า หลี่เป่าซาน หัวหน้าแผนกฉุกเฉินเรียกประชุมอย่างเป็นทางการเพื่อหาวิธีรับมือกับผู้ป่วยหญิง
หมออายุรกรรมประสาทคนหนึ่งเสนอว่าควรทำ MRI และ EEG เพื่อดูว่ามีโรคเกี่ยวกับระบบประสาทหรือไม่ เพราะในสถานการณ์เช่นนี้ย่อมไม่อาจทิ้งความเป็นไปได้นี้ออกไปจริงๆ
ทางด้านหัวหน้าฝ่ายอายุรศาสตร์โรคไต หลังจากอ่านค่า CK ของช่วงเช้าไปแล้วก็กล่าวว่ายังไม่ถึงกับไตวาย สภาพในตอนนี้ไม่อันตรายเท่าไรนัก ส่วนเรื่องภาวะกล้ามเนื้อสลาย…ก็ไม่ได้ร้ายแรงถึงชีวิต อาจเป็นเพราะได้รับการฟอกเลือดทันเวลา
……
เมื่อทุกคนแสดงความเห็นของตนออกมาหมดแล้ว ผู้ป่วยหญิงก็ถูกนำตัวไปตรวจอีกครั้ง แต่เรื่องที่ทำให้ทุกคนต้องหวาดผวาก็เกิดขึ้นอีกครั้งแล้ว!
ผลการทำ MRI บ่งบอกว่ามีอาการสมองขาดเลือดชั่วคราวซึ่งอาจส่งผลเสียต่อสมองอย่างที่ไม่อาจรักษา ผลการตรวจ EEG พบว่าคลื่นสมองผิดปกติ…ลักษณะของคลื่นสมองที่ปรากฏดูแปลกไป
นี่มันแปลกมาก
ศาสตราจารย์ตู้ผู้เป็นหัวหน้าแผนกอายุรกรรมประสาทและสมองเห็นดังนั้นก็ชะงักไปทันที จากนั้นก็กล่าวออกมาอย่างเนิบช้า “นี่…ต้องดูที่ตัวผู้ป่วยแล้วละค่ะ”
กล่าวจบทุกคนก็พากันมองไปที่หัวหน้าแผนกตู้ เห็นดังนั้น หัวหน้าแผนกแซ่ตู้ผู้มีอายุเกือบหกสิบปีจึงกล่าวเสริมไปอีกประโยคหนึ่งว่า “ฉันเคยเห็นคลื่นสมองแบบนี้ค่ะ ทุกคนลองฟังดูก่อนก็ได้อย่าได้คิดเป็นจริงเป็นจังไป เพราะสิ่งที่ฉันจะเล่าไม่มีนัยยะสำคัญทางสถิติและไม่มีหลักฐานข้อพิสูจน์ทางการแพทย์ เป็นเพียงเคสทางการแพทย์เคสหนึ่งเท่านั้น”
ทุกคนพากันพยักหน้า นี่คือสิ่งที่เรียกว่าประสบการณ์ทางการแพทย์
ศาสตราจารย์ตู้กล่าวต่อไป “ตอนนี้สมองส่วนที่เสียหายคือสมองส่วนหน้า ซึ่งอาจส่งผลต่ออารมณ์ เมื่อผู้ป่วยได้สติก็จะทำให้อารมณ์แปรปรวน หรืออาจถึงขั้นเป็นโรคประสาทเลยก็ได้! แต่…อาจส่งผลแค่ทำให้ความทรงจำสับสน หรือไม่ก็…สูญเสียความทรงจำ”
“อีกอย่าง ผู้ป่วยจะฟื้นคืนสติหรือเปล่าก็ต้องดูที่ตัวผู้ป่วยเองด้วยค่ะ นอกจากนั้นคลื่นสมองเป็นแบบนี้แล้ว ความจริงก็พอจะดูออกว่าระบบสมองไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่ความผิดปกติของคลื่นสมองแบบนี้อาจเข้าใจได้ว่าเป็นการปกป้องตัวเองอย่างหนึ่ง!”
“พูดให้ชัดเจนก็คือ มนุษย์เราอาจไม่มีความปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ แต่ว่า…สิ่งมีชีวิตย่อมมีสัญชาตญาณเอาตัวรอด พอเห็นคลื่นสมองนี้แล้ว ฉันจึงสรุปได้ว่าร่างกายของผู้ป่วยกำลังต่อสู้และปรารถนาที่จะฟื้นขึ้นมา”
กล่าวจบทุกคนก็พากันเงียบ
ศาสตราจารย์ตู้กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า “รอเถอะค่ะ บางทีอาจฟื้นขึ้นมา บางทีอาจไม่ฟื้น ตอนนี้ต้องดูที่ตัวผู้ป่วยเองแล้ว”
ประโยคนี้เปรียบเสมือนกันโยนความหวังทั้งหมดไปที่ตัวผู้ป่วย
บางที เธออาจไม่อยากฟื้น
บางที เธออาจยินดีฟื้นขึ้นมาในรูปโฉมใหม่