บทที่ 412 หนึ่งปีสี่ฤดู ไม่ว่าหนาวหรือร้อนล้วนเป็นคุณ! (Part2)
อันเยี่ยนจวินก็เป็นเช่นนี้เอง เขามักบอกผู้ป่วยให้ทราบถึงปัญหาด้วยท่าทางเคร่งขรึมและจริงจัง นั่นเป็นเพราะเขากลัวว่าผู้ป่วยจะไม่ให้ความสำคัญมากพอ อย่างไรก็ต้องทำให้อีกฝ่ายใส่ใจมากขึ้นให้ได้ และเรื่องพวกนี้ก็คือความจริง
สีหน้าคุณยายเปลี่ยนไปโดยพลัน เธอตกใจมากจริงๆ ถึงขั้นรีบตอบรับไปว่า “ได้ค่ะ ได้ ได้ค่ะ ขอบคุณหมออันมากนะคะ ฉันจะจำไว้”
กล่าวจบก็ใช้มือทั้งสองกุมมือหัวหน้าแผนกอัน มองอันเยี่ยนจวินด้วยสายตาซาบซึ้ง “หมออัน รบกวนคุณแล้ว คุณรีบไปกินข้าวเถอะค่ะ”
อันเยี่ยนจวินล้างมือแล้วกลับไปกินข้าวตามปกติ
บางทีใครหลายคนอาจคิดว่ามันสกปรก ซึ่งอันที่จริงจะสกปรกหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับมาตรฐานการมองของตัวหมอเอง
คุณคิดว่าโรงแรมสะอาดหรือไม่ ดูผิวเผินแล้วสะอาดสะอ้านเงาวับ
แล้วคุณว่าห้องพักผู้ป่วยในโรงพยาบาลสะอาดหรือไม่ ดูผิวเผินทั้งเก่าและโทรม!
อันที่จริงความสะอาดในสายตาของหมอก็คือไม่มีแบคทีเรีย ไม่มีเชื้อโรค ไม่ใช่เพียงดูผิวเผินแล้วสะอาดสะอ้านเงาวับ เช่น ห้องพักผู้ป่วย ห้องสังเกตอาการ ห้อง ICU รวมไปถึงผ้าห่มผ้าปู ทุกอย่างจะต้องผ่านขั้นตอนการฆ่าเชื้อโรคและแบคทีเรียมาแล้วทั้งนั้น
เมื่ออันเยี่ยนจวินกลับมาแล้ว เฮ่อลี่ก็หัวเราะ “คุณทำงานไปเถอะค่ะ เดี๋ยวฉันกลับแล้ว พรุ่งนี้อย่าลืมเอากล่องอาหารกลับด้วยนะคะ ลูกทำการบ้านอยู่ที่บ้านแล้ว”
อันเยี่ยนจวินรีบลุกขึ้นเดินไปส่งที่ประตูแผนกฉุกเฉิน เฮ่อลี่เดินไปวาดขาขี่รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า “อ่า คุณกลับไปเถอะ ฉันไปก่อนนะคะ”
จากนั้นเธอก็โบกมือลาแล้วขับรถจากไป
อันเยี่ยนจวินมองรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าของเธอจนไม่เห็นเงาแล้วค่อยเดินกลับไป
ฉางลี่น่าที่อยู่ข้างๆ ทอดถอนใจออกมา “เฮ้อ ดีจริงๆ! อิจฉาค่ะ…”
ตอนนี้เองพยาบาลฝึกงานคนหนึ่งอดถามไม่ได้ว่า “หมออัน ภรรยาคุณทำงานอะไรหรือคะ”
อันเยี่ยนจวินยิ้ม “เป็นพนักงานขายที่ร้านเสื้อผ้าแห่งหนึ่งน่ะครับ ลำบากมากเลยทีเดียว”
พยาบาลน้อยได้ยินดังนั้น แม้ปากจะไม่ได้พูดอะไรแต่ในใจก็คิดว่า มิน่าล่ะ ถึงดีกับหมออันขนาดนี้…
ในสายตาของเธอ อันเยี่ยนจวินเป็นหมอระดับรองหัวหน้าแผนกของโรงพยาบาลอันดับสอง เป็นคนที่ยอดเยี่ยมมาก ในอนาคตคงได้เป็นหัวหน้าแผนก ส่วนเฮ่อลี่เป็นพนักงานขายที่ใครๆ ก็ทำได้ เมื่อเทียบคุณค่ากันแล้ว เธอรู้สึกว่าไม่ค่อยเหมาะสมนัก
ดังนั้นในความคิดของเธอ เฮ่อลี่ดีกับอันเยี่ยนจวินเพราะกลัวอันเยี่ยนจวินไม่ต้องการเธออีก ถึงอย่างไรเธอก็มองว่าตำแหน่งฐานะของอันเยี่ยนจวินสูงกว่าภรรยามากเลยทีเดียว
ตอนนี้ดูเหมือนอันเยี่ยนจวินจะรู้ความคิดของพยาบาลน้อยจึงอดพูดไม่ได้ว่า “เทียบกับภรรยาแล้ว สิ่งที่ผมมอบให้ครอบครัว สิ่งที่ผมเสียสละเพื่อครอบครัว ยังสู้เธอไม่ได้จริงๆ”
ฉางลี่น่าได้ยินดังนั้นก็กระตือรือร้นขึ้นมาทันที ปกติอันเยี่ยนจวินเป็นพวกหน้านิ่งใจอ่อน ไม่ค่อยพูดคุยเรื่องครอบครัวกับคนอื่น โดยปกติก็ไม่ค่อยพูดอะไรอยู่แล้วด้วย ดังนั้นจึงอดถามไม่ได้ว่า “หัวหน้าอัน ไม่เคยได้ยินคุณพูดเรื่องนี้มาก่อนเลยค่ะ คุณลองพูดให้สาวๆ พวกนี้ฟังหน่อยสิคะ”
ความจริง โดยปกติอันเยี่ยนจวินไม่ชอบพูดเรื่องของตัวเอง และยิ่งไม่ชอบพูดถึงเรื่องครอบครัว เดิมทีเขาก็มีนิสัยพูดน้อยอยู่แล้วจึงพูดเรื่องซุบซิบนินทาเช่นนี้กับคนอื่นน้อยมาก
“ผมกับภรรยารู้จักกันมายี่สิบกว่าปีแล้วครับ คบกันมายี่สิบกว่าปีแล้ว พวกเราสองคนเป็นคนบ้านเดียวกัน ตอนอยู่มัธยมต้นก็นั่งโต๊ะเดียวกัน ภรรยาผมไม่ชอบเรียน แต่ความจริงเธอฉลาดมาก ครอบครัวเธอมีพี่ชายและน้องชายที่ต้องเรียนหนังสือ ในยุคนั้นชาวบ้านในชนบทส่งเสียลูกสามคนไม่ไหว”
“ตอนนั้นพวกเราคบกัน หรืออาจเรียกได้ว่าพวกเราแอบคบกันก็ได้ เพราะไม่มีใครกล้าพูดออกไป พอเรียนจบชั้นมัธยมต้น ภรรยาผมก็ไม่ได้เรียนต่อ แต่เลือกทำงานเลย ผมไปเรียนที่ไหน เธอก็จะไปทำงานที่เมืองนั้น”
“เธอหาเงินมาได้ก็ไม่อยากใช้ซื้อข้าวซื้อเสื้อผ้า เอาแต่เก็บเงินส่งให้ที่บ้าน ส่งเสียพี่ชายและน้องชายให้ได้เรียนหนังสือ แล้วยังหักเก็บไว้ส่วนหนึ่งเพื่อส่งผมเรียนด้วย ตอนนั้นผมสาบานว่าต่อไปจะทำให้เธอมีชีวิตที่ดี”
“ต่อมาผมได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว คนในหมู่บ้านต่างมองว่าผมนำเกียรติยศมาให้บรรพบุรุษ เป็นคนเก่งยอดเยี่ยม ตอนนั้นภรรยาผมทั้งยินดีและหวาดกลัว เธอดีใจที่ผมสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ หวาดกลัวว่าสักวันหนึ่งผมจะไม่ต้องการเธอแล้ว แต่เธอเป็นพวกใจใหญ่เด็ดเดี่ยว เธอไม่เคยพูดออกมา ตอนผมเรียนเธอก็ไม่เคยไปหาผมที่มหาวิทยาลัยเพราะกลัวพวกเพื่อนๆ เห็นเธอแล้วจะดูถูกผม”
พูดถึงตรงนี้ฉางลี่น่าและพยาบาลน้อยทั้งหลายก็สูดจมูก กระทั่งอันเยี่ยนจวินก็ยังอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้าลึกๆ
“ตอนภรรยาผมอายุยี่สิบกว่าๆ เธอสวยมากนะครับ แต่…เธอไม่เคยแต่งตัวเลย ไม่อยากใช้เงินซื้อเสื้อผ้าใหม่ๆ เอาแต่ประหยัดเงินให้ผมซื้อเสื้อผ้าซื้อหนังสือ เธอมีความรู้ไม่มากเลยกลัวว่าสักวันหนึ่งจะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ไม่รู้ว่าเธอไปฟังคำพูดพวกนี้มาจากไหนถึงได้กลัวคุยกับผมไม่รู้เรื่อง ดังนั้นพอเลิกงานเธอจะไปช่วยงานที่ร้านหนังสือ…จะได้ถือโอกาสอ่านหนังสือให้มากหน่อย หลายปีมานี้ เธอซื้อหนังสือเข้าบ้านมากกว่าผมซะอีก”
“พอผมเรียนจบมหาวิทยาลัยแล้ว ความจริงผมก็อยากไปทำงาน แต่เธอจะให้ผมเรียนปริญญาโทต่อ ผมเห็นเธอลำบากขนาดนั้นเลยไม่อยากเรียน ตอนนั้นพวกเราวางแผนทำงานกันแล้ว แต่สุดท้ายไม่รู้ว่าเธอไปฟังทฤษฎีอะไรมาจากไหนถึงจะให้ผมเรียนปริญญาโทให้ได้ เพราะเรื่องนี้พวกเราทะเลาะกันไปไม่รู้กี่ครั้งแล้ว แต่ทุกครั้งผมก็สู้ไม่ได้ สุดท้ายเธอก็ตัดสินใจเด็ดขาดว่าหากผมไม่เรียนปริญญาโท เธอก็จะเลิกกับผม”
พูดถึงตรงนี้อันเยี่ยนจวินก็สูดจมูก รู้สึกสะเทือนใจ
“ต่อมาผมเรียนจบปริญญาโทก็ได้รับจัดแจงมาเป็นศัลยแพทย์ที่โรงพยาบาลตงต้าสาขาสอง คนในหน่วยงานแนะนำให้ผมรู้จักกับผู้หญิงมากมาย ภรรยาผมทราบเข้าก็แอบไปร้องไห้ทุกวัน แต่ตอนเห็นผมก็จะยิ้มสวยเหมือนดอกไม้”
“บอกตามตรงเลยนะครับ ตอนนั้นพวกเราสองคนคบกันมาประมาณสิบห้าปีแล้ว ชินกับการมีกันและกันแล้ว ถ้าผมจะใช้ชีวิตอยู่โดยไม่มีเธอจริงๆ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองยังสมควรเป็นคนอยู่ไหม ต่อมาผมทำงานเข้าปีที่สอง ก็เก็บเงินได้ห้าพันกว่า เลยแต่งงานกัน”
“แต่ก็ดีนะครับ พวกเรามีอดีตร่วมกันมาหลายปีขนาดนี้ เผชิญลมฝนร่วมกันมานาน ตอนนี้ลูกก็อายุสิบสองแล้ว เวลาผ่านไปเร็วจริงๆ”
คำพูดเหล่านี้ทำให้พยาบาลน้อยหลายคนรู้สึกสะเทือนใจ ความรักที่เสียสละเพื่อกันและกันเช่นนี้ ความรักที่คอยปกป้องลมฝนให้กันและกันเช่นนี้ ไม่ว่าจะเมื่อไรก็ทำให้คนอื่นอิจฉาได้เสมอ
การที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะทำได้ถึงขั้นนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ
ท่ามกลางกระแสสังคมแบบทุนนิยม ยังคงมีผู้คนไม่น้อยที่เสียสละเพื่อความรักของพวกเขาอยู่เงียบๆ
ตอนนี้ยังจะมีพยาบาลน้อยคนไหนดูถูกเฮ่อลี่ได้อีก
ทุกคนย้อนนึกไปถึงผู้หญิงที่สวมเสื้อผ้าเก่าๆ พูดจายิ้มแย้มหัวเราะง่ายคนนั้น จู่ๆ ก็รู้สึกว่าสุดยอดไปเลย!
ทำได้เพียงนับถืออยู่เงียบๆ ในใจ คนเช่นนี้ สมควรมีความสุขแล้ว! สมควรได้ครองคู่กับคนรักไปจนเส้นผมขาวโพลน!
……
……
สิบกว่าปีก่อนเฮ่อลี่เป็นคนที่เสียสละอยู่เงียบๆ
อันเยี่ยนจวินสาบานกับตัวเองว่า
อนาคตในภายภาคหน้า
ฤดูหนาวหิมะโปรยปราย ก็คือคุณ
ฤดูใบไม้ผลิบุปผาเบ่งบาน ก็คือคุณ
ฤดูร้อนพิรุณโปรยปราย ก็คือคุณ
ฤดูใบไม้ร่วงบุปผาโรยรา ก็คือคุณ
ทั้งสี่ฤดูไม่ว่าจะหนาวหรือร้อนล้วนเป็นคุณ
อันเยี่ยนจวินที่ภายนอกดูเย็นชา แต่ในใจอบอุ่นอ่อนโยนคนนี้ก็มีลูกไฟดวงน้อยๆ ลุกโชนอยู่ในใจ เป็นดวงไฟที่ลุกโชนเพื่อเฮ่อลี่คนเดียว แผดเผาเพื่อบรรเทาความหนาวเหน็บของเธอคนเดียว
………………
บทที่ 405 คุณไม่ต้องเป็นห่วงเฉินชางหรอก
กงไต้เจินกลับไปแล้วถึงทำให้จางจื้อซินผ่อนคลายลงได้
นี่เขาได้เข้าร่วมสมาคมศัลยแพทย์ความงามแห่งประเทศจีนเชียวหรือ
คิดแล้วก็ไม่อยากจะเชื่อ
เขามองฉินเสียงและหยางเทา กล่าวด้วยสีหน้าจนปัญญา “หัวหน้าหยาง คุณบอกว่าท่านรองกงเป็นหน่วยสอดแนมที่ถูกเชิญมาลับๆ ไม่ใช่หรือครับ”
หยางเทายิ้มกระอักกระอ่วน “ก็ผมเป็นห่วงคุณไง ยังไงซะพวกเราก็เปิดคลินิกศัลยกรรมเหมือนกัน ผมก็เลยเตือนคุณเพื่อเลี่ยงปัญหาไง”
หยางเทาก็เปิดคลินิกศัลยกรรมอยู่ข้างนอกเช่นกัน ย่อมคุ้นเคยกับปัญหาพวกนี้มากกว่า
ส่วนฉินเสียงก็หัวเราะ “ท่านรองกงเป็นคนเก่งมากเลยนะครับ เธอเป็นศัลยแพทย์ความงามกลุ่มแรกๆ ในประเทศจีนเลย ก่อนหน้านี้ก็เป็นแพทย์ผิวหนังเหมือนกันกับผม จากนั้นพอมีการก่อตั้งสมาคมศัลยแพทย์ความงามแห่งประเทศจีนขึ้นมา จึงเปลี่ยนเส้นทางจากการรักษาช่วยชีวิตไปเป็นวงการเฉพาะทางด้านนี้เลย”
“ปัจจุบันวงการศัลยกรรมความงามก้าวหน้ารวดเร็วมาก อันที่จริงหากวิเคราะห์ถึงที่สุดแล้วคงไม่พ้นประโยคที่ว่ารากฐานส่งผลถึงการเจริญเติบโต”
“พวกเราคือกลุ่มคนที่ผู้อาวุโสที่สุดในวงการศัลยกรรมความงาม ซึ่งส่วนใหญ่ก็ย้ายมาจากแผนกผิวหนังของโรงพยาบาลรัฐกันทั้งนั้น เรียกว่าพื้นฐานไม่ดี แต่ตอนนี้คนที่หันมาทำด้านศัลยกรรมความงามในประเทศมีมากมาย ที่ไม่ถูกกฎหมายก็พบเห็นได้จนเหมือนเรื่องปกติ และมีเรื่องวัฒนธรรมเกาหลีที่แผ่เข้ามาด้วย ทำให้พวกเราได้ความรู้มากมาย หลายปีมานี้รัฐบาลส่งเสริมให้สร้างนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ ของประเทศจีนมากขึ้น เพื่อส่งเสริมจิตวิญญาณชาวจีน และพัฒนาเส้นทางแต่ละสาขาให้กว้างไกล”
หยางเทาพยักหน้า นี่เป็นสิ่งที่เขามีประสบการณ์มาอย่างลึกซึ้ง!
“หลายปีก่อนโรงพยาบาลรัฐในประเทศจีนและรวมไปถึงโรงพยาบาลชั้นนำทั้งสามแห่งไม่ได้ให้ความสำคัญกับความงามและผิวหนังจนทำให้การพัฒนามีความล้าหลัง ถึงขั้นที่หลายโรงพยาบาลรวมแผนกผิวหนังและแผนกความงามเข้าด้วยกันเลยนะครับ”
“จนกระทั่งสิบปีก่อนถึงเริ่มให้ความสำคัญขึ้นมา เริ่มมีการพัฒนามากขึ้น ซึ่งช่วงนี้ก็มีการแย่งส่วนแบ่งการตลาดไปเยอะแล้ว ดังนั้นก็เหมือนกับที่หัวหน้าฉินบอก พัฒนาการล้าหลัง รากฐานไม่มั่นคง หนทางสะเปะสะปะ”
ฉินเสียงพยักหน้า “ใช่แล้ว เสี่ยวเฉิน ตอนแรกที่ผมเชิญคุณเข้ามาเพราะอยากพยายามไปพร้อมกัน ร่วมกันหาเส้นทางศัลยกรรมความงามที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง สร้างวัฒนธรรมและความเชื่อมั่นไปด้วยกัน สร้างนวัตกรรมของชาติไปด้วยกัน!”
“งานสัมมนาแลกเปลี่ยนในเดือนธันวาคมนี้พวกเราก็ต้องเตรียมตัวให้ดีๆ นะครับ!”
ฉินเสียงและหยางเทาไม่ได้อยู่นานนัก อยู่คุยเพียงครู่เดียวก็พากันกลับไป
นี่ทำให้เฉินชางรับรู้ถึงอะไรบางอย่างโดยไม่รู้ตัว!
[ติ๊ง! ภารกิจสำเร็จ ได้รับทักษะผ่าตัดลดริ้วรอยยกกระชับผิวถึงชั้น SMAS ทักษะระดับปรมาจารย์ ต้องการเริ่มต้นการฝึกพิเศษหรือไม่]
เฉินชางส่ายหน้า ตอนนี้เขายังไม่มีเวลา
จางจื้อซินมองเฉินชางยิ้มๆ “เสี่ยวเฉิน ผมได้พึ่งบารมีคุณแล้ว”
เฉินชางแปลกใจ “หมายความว่ายังไงครับ”
จางจื้อซินส่ายหน้า “คุณคงไม่รู้ว่าสมาคมศัลยแพทย์ความงามแห่งประเทศจีนไม่ค่อยต้อนรับหมอระดับรากหญ้าเท่าไหร่นัก ผมได้รับความช่วยเหลือจากหัวหน้าฉินถึงเข้าร่วมสมาคมระดับมณฑลได้ ส่วนระดับประเทศ ผมรู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้เลย เพราะส่วนใหญ่เป็นแพทย์ผิวหนัง หรือแพทย์ความงามจากโรงพยาบาลรัฐ ผมคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะได้เข้าร่วมเร็วขนาดนี้”
“บอกตามตรงเลยนะครับ ถ้าไม่ใช่เพราะคุณ ผมคงไม่ได้รับเชิญเข้าร่วมสมาคมเร็วขนาดนี้หรอก!”
เฉินชางหัวเราะออกมา “พูดแบบนี้แปลว่าพวกเราโชคดีในโชคร้ายสินะครับ”
จางจื้อซินหัวเราะ “ผมก็ไม่คิดว่าท่านรองกงจะมาศึกษาและแลกเปลี่ยนความรู้จริงๆ เสี่ยวเฉิน ชื่อเสียงของคุณโด่งดังไปไกลแล้ว ขนาดท่านรองกงที่เมืองหลวงก็ยังเคยได้ยินชื่อคุณ อนาคตของคุณไร้ขีดจำกัดแล้วละครับ จะว่าไปพวกเราก็เข้าใจท่านรองกงผิดไปแล้วจริงๆ ฮ่าๆ ๆ”
……
……
หลังจากกงไต้เจินออกมาจากคลินิกศัลยกรรมได้ครู่หนึ่งก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาต่อสายหาอันจิ้ง
ขณะนี้อันจิ้งร้อนรนจนทนไม่ไหว เธอกำลังรอสายจากอาจารย์อยู่พอดี
ตั้งแต่วันเกิดของอาจารย์คราวที่แล้ว อันจิ้งเผลอเผยข้อมูลของเฉินชางออกไปโดยไม่รู้ตัว ถึงขั้นแขวะเฉินชางต่อหน้าศิษย์ร่วมอาจารย์ไปด้วยซ้ำ
อันจิ้งไม่มีความประทับใจดีๆ กับเฉินชางมาตั้งแต่ตอนที่เผชิญหน้ากันที่บ้านของเจิ้งกั๋วถานแล้ว หลังจากนั้นการแข่งขันระหว่างคลินิกของเธอและคลินิกศัลยกรรมจื้อซินก็ทวีความร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ นี่ทำให้อันจิ้งไม่สบายใจ
เฉินชางเป็นพวกหน้าใหม่ แค่ค่าศัลยกรรมธรรมดาก็คิดหลายแสนหยวนแล้ว ส่วนศัลยกรรมเสริมหน้าอกยังกล้าคิดราคาหนึ่งล้านหยวน ไม่ได้ล้อเล่นกันใช่ไหม ดังนั้นเธอจึงเผลอพูดเรื่องนี้กับอาจารย์โดยไม่รู้ตัว
คิดไม่ถึงว่าผ่านไปหนึ่งเดือนอาจารย์จะมาจริง! มาดูการผ่าตัดของเฉินชางด้วยตัวเองจริงๆ
นี่ทำให้อันจิ้งแอบสะใจเล็กๆ และคาดหวังนิดหน่อย
เธออยากให้อาจารย์ฉีกหน้ากากเฉินชาง!
อันจิ้งรีบรับโทรศัพท์ “ฮัลโหลอาจารย์คะ ทำไมคุณเพิ่งโทรมาคะ ฉันกำลังสั่งข้าวที่ภัตตาคารจิงหยางอยู่ค่ะ…”
กงไต้เจินถอนใจออกมา เธอจองตั๋วรถไฟกลับเมืองหลวงแล้ว ออกเดินทางคืนนี้เลย
ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าอันจิ้งคิดอย่างไร อย่างไรคงไม่พ้นอยากให้ตนไปกดข่มความเย่อหยิ่งของอีกฝ่าย อันจิ้งคงอยากให้ตนฉีก ‘หน้ากาก’ มากเล่ห์ของเฉินชางจะแย่แล้วสินะ ต้องการให้อีกฝ่ายเผยความจริงออกมาให้หมด
เธอเข้าใจนักเรียนของตัวเองดีจริงๆ
อันจิ้งคนนี้จะว่ามีความสามารถก็มีอยู่ แต่มั่นใจในตัวเองมากเกินไป คิดเล็กคิดน้อยมากเกินไป เทียบกับแอนนี่พี่สาวของเธอแล้วยังห่างกันอีกไกล
เมื่อได้ยินเสียงอีกฝ่าย กงไต้เจินก็กล่าวไปอย่างเนิบช้าว่า “อันจิ้ง ฉันจองตั๋วรถไฟคืนนี้แล้ว พรุ่งนี้มีธุระอีก คงไม่รบกวนพวกเธอหรอก”
อันจิ้งได้ยินอาจารย์กล่าวเช่นนี้ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปโดยพลัน “อาจารย์คะ…ไม่รบกวนเลย…คุณพักผ่อนหน่อยเถอะค่ะ…”
กงไต้เจินกล่าวเนิบนาบ “ไม่เป็นไร ไม่ต้องเห็นอาจารย์เป็นคนอื่นคนไกลไปหรอก อาจารย์มีเรื่องจะพูดกับเธอด้วย”
“อย่างแรก ฝีมือการผ่าตัดเสริมหน้าอกของเฉินชางดีกว่าฉัน เธออย่าได้คิดเล็กคิดน้อยไปอีก”
“อย่างที่สอง ตอนนี้เฉินชางเป็นสมาชิกกลุ่มวิจัยหัวข้อการศึกษาล่าสุดของฉันแล้ว เขาอยู่ในลำดับสาม เป็นที่ปรึกษา ต่อไปเธอจะทำอะไรก็ต้องคิดให้ดี”
“อย่างที่สาม ทำเรื่องของตัวเองให้ดี อย่าไปยุ่งเรื่องของคนอื่น เรียนรู้จากแอนนี่พี่สาวของเธอให้มาก”
“สุดท้าย อาจารย์หวังว่าเธอจะทำตัวดีๆ…”
……
เมื่อวางสายแล้ว กงไต้เจินก็ถอนใจออกมา หวังว่าอันจิ้งจะรู้จักเติบโตขึ้นบ้าง คนเราหากทำอะไรราบรื่นไปหมดทุกอย่างก็ไม่ใช่เรื่องดี
ในฐานะที่เป็นอาจารย์ แม้จะตำหนิแต่ก็ยังใส่ใจ
ทางด้านอันจิ้ง เมื่อวางโทรศัพท์ไปแล้วในสมองก็เต็มไปด้วยความคิดสับสน จะอย่างไรเธอก็คิดไม่ถึงว่าอาจารย์ของตนจะกล่าวกับปากว่าฝีมือการผ่าตัดเสริมหน้าอกของเฉินชางดีกว่าอาจารย์!
เป็นไปได้อย่างไร
สำหรับอันจิ้ง นี่เป็นเรื่องที่ยากจะรับไหว แต่ที่รับไม่ไหวยิ่งกว่าคือเรื่องที่เฉินชางเพิ่งเข้าเป็นสมาชิกกลุ่มวิจัยของอาจารย์ เป็นสมาชิกระดับสาม ทั้งยังเป็นที่ปรึกษาเรื่องเทคนิคด้วย!
นี่…จะเวอร์ไปหรือเปล่า
เฉินชางมีความสามารถแค่ไหนกันเชียว
ตอนแรกเธออยากเข้าร่วมงานวิจัยกับอาจารย์แต่ถูกปฏิเสธเพราะหัวข้อวิจัยนี้เป็นหัวข้อที่รัฐบาลให้ความสำคัญมาก เป็นหัวข้อวิจัยที่เกี่ยวพันกับวงการศัลยกรรมความงามและวงการเทคโนโลยีแห่งประเทศจีน เป็นการร่วมมือกันระหว่างโรงพยาบาลจีสุ่ยถานที่อาจารย์ทำงานอยู่และมหาวิทยาลัยหลี่กงประจำเมืองหลวง เงินทุนพุ่งไปถึงสามสิบกว่าล้าน และหลังจากนี้อาจมีอย่างอื่นเพิ่มเข้ามาอีก
งานวิจัยเช่นนี้ เฉินชางได้เป็นที่ปรึกษาเชียวหรือ
ยิ่งกว่านั้น…ยังเป็นสมาชิกลำดับที่สามอีกด้วย!
ลำดับแรกคืออาจารย์ของเธอ ลำดับที่สองคือศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัยหลี่กง ลำดับที่สามก็คือเฉินชาง!
นี่มันเป็นไปได้อย่างไร
เวอร์เกินไปหรือเปล่า!
คิดถึงตรงนี้ อันจิ้งก็เงียบไปทันที…
บทที่ 400 ทุกอย่างจะดีขึ้น!
เฉินชางยังไม่เลิกงาน ใบหน้าเต็มไปด้วยความเคร่งขรึม อารมณ์ย่ำแย่
หลังจากแลกเวรและถกเรื่องเคสเสร็จแล้ว เฉินชางก็เตรียมไปที่ห้อง ICU เพื่อตรวจเยี่ยมผู้ป่วย แต่กลับถูกฉินเยว่ดึงไว้เสียก่อน
เฉินชางหันไปถาม “อะไรครับ”
ฉินเยว่เห็นสภาพของเฉินชางก็ได้แต่ถอนใจ “ไปนอนพักที่ห้องเวรหน่อยเถอะค่ะ ฉันซื้ออาหารเช้ามาให้คุณด้วย คุณกินแล้วก็ไปนอนพัก ถ้ามีอะไรเดี๋ยวฉันจะเรียกคุณเอง”
เฉินชางเห็นความเป็นห่วงที่ปรากฏชัดบนใบหน้าอีกฝ่ายก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย “ครับ ผมไม่เป็นไร ผมแค่อยากไปดูหน่อยว่าเป็นยังไงบ้างแล้ว”
ได้ยินดังนี้ ฉินเยว่จึงยิ้มออกมาอย่างสบายใจ “ค่ะ คุณไปพักสักหน่อยเถอะ”
ถึงอย่างไรก็ยังเยาว์วัย ล้วนดำดิ่งไปกับอารมณ์ของตนเองได้ง่าย ทว่าบางครั้งเรื่องเหล่านี้ก็ไม่เกี่ยวกับเรื่องอายุจริงๆ
ความจริง…เฉินชางก็ไม่ค่อยเข้าใจนัก
เขานอนจนถึงเที่ยง หลังจากเก็บกวาดห้องพักแล้ว ฉินเยว่ก็นำกล่องอาหารที่ยังอุ่นๆ มาให้ เป็นบะหมี่น้ำใสที่กระตุ้นความอยากอาหารได้ดี
ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าความสุขมันก็ง่ายดายเท่านี้เอง
ฉินเยว่นั่งลงข้างกายเฉินชางพร้อมหัวใจอันนุ่มฟู
“กินเถอะค่ะ”
เฉินชางส่งเสียงอืมตอบไปครั้งหนึ่ง
อันที่จริงตอนที่ฉินเยว่เห็นผู้ป่วยหญิงคนนั้นยังสะเทือนใจยิ่งกว่าเฉินชางเสียอีก ถึงอย่างไรก็เป็นผู้หญิง จึงสะเทือนอารมณ์ง่ายกว่า นี่คือสิ่งที่เรียกว่าความเข้าอกเข้าใจ
ขณะกำลังกินข้าว โทรศัพท์มือถือของเฉินชางก็ดังขึ้น
“หมอเฉิน ผู้ป่วยคนนั้นฟื้นแล้ว!”
คนที่โทรมาคือพยาบาลห้อง ICU เมื่อผู้ป่วยได้สติ พยาบาลก็โทรมาแจ้งเฉินชางทันที
เฉินชางวางตะเกียบลงทันใด “ได้ครับ ผมจะไปเดี๋ยวนี้”
เมื่อวางสายแล้วเฉินชางก็มองฉินเยว่ด้วยสีหน้ายินดี “เธอฟื้นแล้ว!”
ดวงตาของฉินเยว่เป็นประกายสดใส “ไป เราไปดูกันเถอะค่ะ”
ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงวัน ทุกคนกำลังพัก มีเพียงหมอเวรที่ทำงานอยู่
เฉินชางและฉินเยว่รีบมาที่ห้อง ICU พอเข้าไปก็เห็นผู้ป่วยหญิงนอนอยู่
ตัวเลขมากมายของสัญญาณชีพแสดงผลปกติ
เธอมองเฉินชางและฉินเยว่ด้วยสีหน้าแปลกใจ “สวัสดีค่ะ…พวกคุณคือ…” เสียงของเธอฟังดูอ่อนระโหยโรยแรง
เฉินชางกล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ “ผมเฉินชาง หมอแผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลอันดับสองครับ”
เธอนวดขมับ “ทำไมฉันถึงบาดเจ็บแบบนี้ล่ะคะ ฉันจำอะไรไม่ได้เลย”
เฉินชางชะงักไป หรือว่า…สูญเสียความทรงจำ?
คิดได้ดังนี้ก็อดถามไม่ได้ว่า “คุณชื่ออะไรครับ”
เธอทอดถอนใจ “ฉันชื่อเหอย่าลี่”
เฉินชางชะงักไปเล็กน้อย สีหน้าเต็มไปด้วยความยินดี เธอยังจำได้!
“คุณรู้ไหมครับว่าตัวเองได้รับบาดเจ็บได้ยังไง”
เธอคิดใคร่ครวญ จากนั้นจึงรีบส่ายหน้า “ไม่รู้ค่ะ ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองลืมอะไรไปหลายอย่างเลย”
เฉินชางถึงกับสูดหายใจลึก จากนั้นจึงถามเธอไปอีกหลายคำถาม
เขาพบว่า สติปัญญา ประสบการณ์ความรู้และความทรงจำระยะยาวของเธอไม่มีปัญหาอะไร เพียงสิ่งเดียวที่เธอลืมอาจเป็นเรื่องเกี่ยวกับ ‘เขา’ ที่บันทึกไว้ในสมุด
เธอสูญเสียความทรงจำ ยิ่งไปกว่านั้นเป็นการสูญเสียความทรงจำประเภท Selective amnesia เสียด้วย!
เฉินชางตัดสินสิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้อื่นไม่ได้จริงๆ!
แต่…สิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอ อาจเป็นทางเลือกและผลที่เหมาะสมที่สุดแล้วก็เป็นได้
การสูญเสียความทรงจำแบบ Selective amnesia คืออะไร
คือการสูญเสียความทรงจำเฉพาะบางเหตุการณ์ หรือที่เรียกว่า Selective amnesia จะเกิดขึ้นหลังคนคนหนึ่งได้รับการบาดเจ็บที่สมองอย่างรุนแรง หรือพบเจอเรื่องกระทบกระเทือนจิตใจอย่างสาหัส ส่งผลให้ผู้ป่วยหลงลืมเรื่องราวหรือผู้คนที่ไม่ต้องการจดจำ
ตอนนี้อาการสูญเสียความทรงจำเฉพาะบางเหตุการณ์กำลังเป็นหัวข้อศึกษาวิจัยทั้งในและต่างประเทศ เป็นความหวังที่จะนำมาปรับใช้กับการแพทย์ในอนาคต
เฉินชางไม่แน่ใจจึงรีบติดต่อหาศาสตราจารย์ตู้ผู้เป็นหัวหน้าแผนกอายุรกรรมระบบประสาทและสมองรวมไปถึงหลี่เป่าซานแห่งแผนกฉุกเฉิน
ศาสตราจารย์ตู้กำลังกินข้าวอยู่ที่บ้าน หลังจากได้รับโทรศัพท์ก็รีบวางชามวางตะเกียบลงทันที จากนั้นจึงบอกสามีว่า “เดี๋ยวคุณช่วยเก็บกวาดหน่อยนะคะ ฉันต้องไปโรงพยาบาลก่อน”
คนกลุ่มหนึ่งมารวมตัวกันอยู่ที่ห้อง ICU เพื่อดูอาการของผู้ป่วยหญิง
ทุกคนร่วมกันตรวจสอบอาการ สุดท้ายศาสตราจารย์ตู้ก็กล่าวอย่างมั่นอกมั่นใจว่า “น่าจะเป็นกลุ่มอาการสูญเสียความทรงจำเฉพาะอย่างค่ะ”
กล่าวจบศาสตราจารย์ตู้ก็หันมา “แต่อาจไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร รีบติดต่อญาติผู้ป่วยเถอะค่ะ”
แน่นอน!
สำหรับตัวผู้ป่วย บางทีการลืมเลือนอดีตคงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
ความเจ็บป่วยทางกายใดๆ ล้วนรักษาได้ สิ่งเดียวที่ไม่อาจรักษาก็คือรอยแผลที่ถูกทิ้งไว้ในใจ ทว่าตอนนี้ช่างพอดี กระทั่งบาดแผลในใจก็ยังดีขึ้นแล้ว หรือไม่ก็ถูกลืมเลือนไปเท่านั้น แต่สำหรับเธอที่เพิ่งอายุยี่สิบหกปี ควรดูแลรักษาร่างกายให้ดีและเริ่มต้นชีวิตใหม่
นี่คงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
แต่พวกเขาก็ต้องติดต่อและคุยกับญาติผู้ป่วยให้ดี ซึ่งอาจเกี่ยวพันไปถึงทางตำรวจด้วย
เฉินชางหันไปมองผู้ป่วยหญิงแล้วพูดยิ้มๆ ว่า “พักผ่อนให้ดีนะครับ ห้อง ICU ห้ามญาติผู้ป่วยเข้าเยี่ยม ดังนั้นรอให้อาการคุณเสถียรก่อนเดี๋ยวค่อยปรับเปลี่ยนกันนะครับ”
เธอยิ้มออกมา “ขอบคุณค่ะคุณหมอ แต่ว่า…ฉีดยาระงับปวดให้ฉันหน่อยได้ไหมคะ ฉันเจ็บจังเลยค่ะ ทำไมมีแผลเยอะขนาดนี้ล่ะคะ ฉันประสบอุบัติเหตุรถยนต์มาเหรอ”
……
……
หลี่เป่าซานเดินนำเฉินชางและคนอื่นๆ กลับมาที่แผนกฉุกเฉินแล้วรีบติดต่อญาติผู้ป่วย
ญาติผู้ป่วยที่ไม่ได้พักผ่อนมาตลอดคืนเพิ่งกลับไปถึงบ้าน ล้มตัวลงนอนยังไม่ทันหลับก็ได้รับข่าวว่าลูกสาวได้สติแล้วจึงรีบพากันมาที่โรงพยาบาลทันที
เมื่อเห็นชายวัยกลางคนเดินเข้ามา หลี่เป่าซานก็บอกไปว่า “เธอสูญเสียความทรงจำครับ”
ประโยคนี้ทำให้คนทั้งครอบครัวนิ่งไปทันที
หลี่เป่าซานอธิบายต่อไป “แต่พวกคุณวางใจได้ เธอสูญเสียความทรงจำเฉพาะบางเหตุการณ์ เธอมีความทรงจำเกี่ยวกับพวกคุณชัดเจน แต่…เรื่องสามีรวมถึงเรื่องอะไรพวกนั้น เธอลืมไปหมดแล้วครับ แม้แต่สาเหตุที่ตัวเองได้รับบาดเจ็บ…และอะไรต่างๆ พวกนี้ก็จำไม่ได้แล้ว”
ประโยคนี้ทำให้ทั้งสามทั้งตกใจและยินดี
นี่ไม่นับว่าเป็นเรื่องร้าย!
ทุกคนเข้าใจดี
ชายวัยกลางคนอดถามไม่ได้ว่า “งั้น…สภาพร่างกายของลูกสาวผมเป็นไงบ้างครับ”
หลี่เป่าซานใคร่ครวญครู่หนึ่งแล้วจึงบอกไปว่า “ตอนนี้พ้นขีดอันตรายแล้วครับ แต่ยังมีภาวะกล้ามเนื้อสลาย รวมถึงอาการรั่วซึมของยาเคมีบำบัดออกนอกหลอดเลือดดำ (extravasation) ด้วยครับ ต้องรักษาต่อเนื่องเป็นเวลานาน แต่ไม่อันตราย”
ชายวัยกลางคนได้ยินดังนั้น ดวงตาพลันปรากฏแววยินดี
ตอนนี้ตำรวจมาถึงแล้ว เมื่อเห็นเฉินชางก็รีบพูดไปว่า “ขอบคุณมากครับคุณผู้ชาย ตอนนี้พวกเรายื่นคดีไปแล้ว สมุดบันทึกและบัตรสุขภาพผู้ป่วยที่คุณให้มาช่วยพวกเราได้มากเลยครับ หัวหน้าระดับสูงให้ความสำคัญกับคดีนี้มาก จะจัดการอย่างรอบคอบแน่นอน!”
จากนั้นเฉินชางก็อธิบายอาการของผู้ป่วยให้ตำรวจฟังอีกครั้ง เสร็จแล้วครอบครัวของผู้ป่วยจึงค่อยมาพูดคุยและปรึกษากับตำรวจ
พวกเขาหวังว่าลูกสาวจะไม่ต้องไปขึ้นศาลเพราะไม่อยากให้เรื่องนี้ทำร้ายเธอเป็นครั้งที่สอง แต่ทางตำรวจยังไม่แน่ใจ ทำได้เพียงกลับไปปรึกษาเรื่องนี้กับผู้บังคับบัญชา
เวลาบ่ายสาม ครอบครัวผู้ป่วยพากันมาหาเฉินชางอีกครั้ง บอกเขาว่า “หมอเฉิน พวกเราต้องการย้ายโรงพยาบาลครับ”
เฉินชางชะงักไป “ย้ายโรงพยาบาลหรือครับ ย้ายไปที่ไหนครับ”
ชายวัยกลางคนทอดถอนใจ ไม่ง่ายเลยกว่าจะฝืนยิ้มออกมาได้ “ต้องขอบคุณสวรรค์ที่มอบผลลัพธ์ดีๆ เช่นนี้ให้ลี่ลี่ พวกเราไม่อยากให้เธออยู่ที่เมืองนี้แล้วครับ เราจะพาเธอไปทางใต้ ไปสถานที่ที่ไม่มีใครรู้จักพวกเราแล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่”
กล่าวจบเขาก็นั่งลง ดวงตาเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยว “ผมจะให้ภรรยา ลูกชายและลูกสาวไปด้วยกัน ส่วนผมไม่ไป ผมต้องอยู่ต่อเพื่อทวงความยุติธรรมให้ลูกสาว! ความเจ็บปวดของเธอ เลือดของเธอ จะต้องไม่เสียเปล่า! ผมจะไปดูไอ้เดรัจฉานนั่นถูกพิพากษาตามกฎหมายแทนลูกสาวผมเอง!”
……
……
เขาพูดอะไรอีกมากมาย เฉินชางได้แต่พยักหน้ารับ
เมื่อหลี่เป่าซานมาถึงก็พิจารณาเรื่องนี้อยู่นาน สุดท้ายก็ตอบรับคำขอของอีกฝ่าย ลงชื่อในหนังสือยินยอมแล้วเตรียมย้ายโรงพยาบาลให้เธอ
ในเวลาต่อมา ซึ่งก็คือหนึ่งเดือนหลังจากเหตุการณ์นั้น ระหว่างติดตามอาการผู้ป่วย เฉินชางได้ทราบว่าครอบครัวของเธอย้ายไปอยู่ที่ฉงชิ่งทั้งครอบครัว พวกเขาส่งรูปถ่ายมาให้ดูด้วย ในรูปนั้น เธอยิ้มอย่างเบิกบานใจ
ตอนดูข่าว เฉินชางจึงได้ทราบว่าผู้ต้องสงสัยแซ่ซุนถูกตัดสินจำคุก เพียงแต่…ขณะอยู่ในคุกเป็นโรคประสาท สุดท้ายเป็นอย่างไรไม่ต้องบอกก็คงทราบกันดี
จนกระทั่งสิบกว่าปีต่อมา ในตอนที่ผู้หญิงคนนั้นกลับมาอีกครั้ง เธอพาเด็กชายคนหนึ่งมาด้วย เด็กคนนั้นดูคล้ายเธอมาก ในเวลานั้นเฉินชางไม่ได้อยู่ที่โรงพยาบาลอันดับสองแล้ว หวังหย่งเป็นคนต้อนรับเธอ
หวังหย่งในตอนนั้นก็เป็นถึงรองหัวหน้าแผนกฉุกเฉินแล้ว
เธอใช้โทรศัพท์ของหวังหย่งโทรเข้าเบอร์เฉินชางเพื่อกล่าวขอบคุณ ความทรงจำของเธอกลับมาแล้ว แต่มันก็ผ่านไปแล้วเช่นกัน
ตอนนี้เธอมีครอบครัวเปี่ยมสุข มีสามีที่รักเธอ และมีลูกที่น่ารัก…
เมื่อเฉินชางได้ยินข่าวนี้ก็แย้มยิ้มด้วยความยินดี