เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ – บทที่ 413 ความดีไม่มีคำว่าสายไป

เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ

บทที่ 413 ความดีไม่มีคำว่าสายไป

ผู้ป่วยและภรรยาอยู่ในห้อง ICU พูดคุยสนทนากันเสียงเบา

ปีนี้ทั้งสองอายุหกสิบกว่าปีแล้ว แม้จะยังไม่ถึงเจ็ดสิบ แต่เพราะทำงานหนักมาหลายปีทำให้ดูแก่กว่าอายุจริงไปมาก สองปีมานี้ ไม่ง่ายเลยกว่าลูกจะสร้างเนื้อสร้างตัวได้ ชีวิตพวกเขาจึงผ่อนคลายได้บ้าง

ชายชรานั่งอยู่บนเตียงด้วยท่าทางผ่อนคลาย พูดไม่หยุดว่า “เฮ้อ ดีขึ้นมากแล้ว!”

“ขนาดลูกสาวยังรังเกียจว่าผมสกปรก แต่หมออันไม่รังเกียจเลยสักนิด ใช้มือล้วงให้ผมเลย ช่าง…เฮ้อ เป็นคนดีจริงๆ!”

อันที่จริงไม่ว่าเรื่องเช่นนี้จะเกิดขึ้นกับใครก็ต้องรู้สึกซาบซึ้งใจกันทั้งนั้น…

ชายชรานั่งพิงเตียง ถอนใจอย่างปลงอนิจจังไปหลายครั้งแล้ว ส่วนคุณยายท่าทางราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่าง เอาแต่นั่งไม่พูดไม่จา ใบหน้ามีสีแดงระเรื่อ

ชายชราเห็นภรรยาของตนไม่ยอมพูดจาก็อดถามไม่ได้ว่า “คุณเป็นอะไร ทำไมไม่พูด”

คุณยายลำบากใจเล็กน้อย เธออายที่จะพูด พอคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นตอนนั้นก็รู้สึกไม่สบายใจ

ชายชรารู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้องจึงหันไปมอง พบว่าใบหน้าของเธอแดงระเรื่อ เขาตกใจจนรีบพูดขึ้นว่า “คุณเป็นอะไร ทำไมหน้าแดงขนาดนี้ เดี๋ยวผมเรียกหมอให้คุณแล้วกัน!”

คุณยายเห็นดังนั้นก็รีบหยุดเขาเอาไว้ “ทำอะไรของคุณน่ะ นั่งสงบอารมณ์อยู่ที่นี่เลย!”

ชายชรายังคงไม่เข้าใจ “คุณนั่นแหละเป็นอะไร พูดมาเถอะ”

คุณยายอดทอดถอนใจไม่ได้ “หมออันคนนี้…เมื่อก่อนฉันเคยเจอเขา!”

ชายชราชะงักไปทันที “เมื่อไหร่”

อันที่จริงตั้งแต่วินาทีที่คุณยายเห็นอันเยี่ยนจวินเธอก็หน้าแดงแล้ว เธอเคยพบคนคนนี้มาก่อน ยิ่งไปกว่านั้น…ยังจำได้ดีอีกด้วย

คุณยายพูดขึ้นว่า “สิบปีก่อน แต่…ไม่ใช่ที่โรงพยาบาลนี้ แต่เป็นโรงพยาบาลตงต้าสาขาสอง”

ชายชราได้ยินคำว่าสิบปีก่อนก็จำไม่ค่อยได้แล้ว ตอนนั้นเขายังทำงานอยู่นอกบ้าน ครึ่งปีถึงจะได้กลับบ้านครั้งหนึ่ง ตอนนั้นลูกคนเล็กของเขายังเรียนอยู่ในระดับมหาวิทยาลัย ลูกคนโตก็ยังไม่ได้แต่งงาน ภาระทางบ้านค่อนข้างหนักหนา ชายชราจึงตามเพื่อนร่วมงานไปทำงานสร้างรถไฟใต้ดินที่เมืองหลวง ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าภรรยากำลังพูดเรื่องอะไรอยู่

คุณยายทอดถอนใจยาวๆ “เรื่องนี้…ฉันไม่ได้บอกคุณค่ะ ตอนนั้นคุณยังอยู่ที่เมืองหลวง ฉันเลยกลัวคุณเป็นห่วง ตอนนั้นฉันกำลังล้างจานอยู่ที่บ้านแต่พื้นเปียก ฉันไม่ระวังตัวจนลื่นหกล้ม ข้อมือกระแทกพื้น!”

“ตอนนั้นฉันเจ็บแขนจนยกไม่ขึ้น แต่ก็ไม่อยากไปหาหมอที่โรงพยาบาลเพราะเสียดายเงิน ปล่อยไว้วันหนึ่งอาการก็หนักขึ้นอีก ฉันก็เลยไปหาหมอที่โรงพยาบาลตงต้า พอไปถึงก็เป็นหมออันที่มาตรวจให้ฉันค่ะ”

“เขาเอกซเรย์ข้อต่อตรงข้อมือให้ฉัน กระดูกไม่ได้หัก ไม่เป็นอะไรมากมาย แค่ให้ยาแล้วก็ให้กลับบ้าน บอกให้ฉันกลับไปพักผ่อนที่บ้าน”

“แต่…พอกลับมาถึงบ้านแล้ว วันต่อมาก็ยังยกแขนไม่ขึ้น ฉันเลยไปที่แผนกฉุกเฉิน พอตรวจดูก็พบว่ากระดูกตรงข้อต่อแตกเล็กน้อย ตอนนั้นฉันโมโหมาก คิดว่าหมอน้อยคนนั้นตรวจสะเพร่าทำให้ต้องจ่ายเงินมากขึ้น โกรธจนฟ้องเรื่องหมอน้อยคนนั้นกับฝ่ายกิจการแพทย์เลยค่ะ”

“โชคดีที่ไม่สาหัสอะไร ไม่ต้องผ่าตัด ทางโรงพยาบาลเลยเข้าเฝือกให้ฟรีและยังให้ยามากินอีกไม่น้อย”

“แต่ความจริงคือ…ฉันไม่ได้บอกอาการชัดเจนเท่าไหร่ เฮ้อ…แล้วยังเอาเรื่องหมออันไปบอกคนอื่นอีก แย่จริงๆ …”

พูดถึงตรงนี้ คุณยายก็ไม่สบายใจ อย่างไรเสียตอนนั้นเธอก็ฟ้องหมอน้อยคนหนึ่งกับฝ่ายกิจการแพทย์ ซึ่งนี่จะทำให้หมอน้อยเสียประวัติและไม่เป็นผลดีต่ออนาคต

ตอนนี้เองคุณยายก็พูดขึ้นว่า “ต่อมาผ่านไปอีกระยะหนึ่ง ประมาณหนึ่งปีเห็นจะได้ ตอนฉันหั่นผักเผลอหั่นไปโดนมือจนบาดเจ็บเลยรีบไปที่โรงพยาบาลอีกครั้ง บังเอิญหมอที่เจอก็เป็นหมออันอีก!”

“เขาอาจจำฉันไม่ได้ แต่…ฉันจำเขาได้ พอฉันเห็นเขาก็รู้สึกไม่ดีเลยคิดจะกลับ ขอเปลี่ยนหมอคนใหม่”

“แต่หมออันตรวจแล้วก็บอกฉันว่าเอ็นขาดจะต้องผ่าตัด ตอนนั้นครอบครัวเรากำลังลำบากแทบไม่มีข้าวสารกรอกหม้อ ฉันจะทำใจไปผ่าตัดได้ยังไง พวกเราไม่มีเงินเลย! ฉันเลยบอกให้เขาฆ่าเชื้อและพันแผลให้ฉันก็พอ! หมออันอธิบายอยู่นาน พูดถึงความสำคัญของเส้นเอ็น…แต่ครอบครัวเราไม่มีเงิน!”

“ฉันตัดสินใจหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา หมออันเห็นว่าในผ้าเช็ดหน้าที่ฉันหยิบออกมาจากกระเป๋าเสื้อมีเศษเหรียญอยู่กองหนึ่งก็เข้าใจขึ้นมาทันที ถึงจะเป็นแบบนั้น…เขาก็ยังไม่ยอมแพ้เรื่องผ่าตัดเย็บเส้นเอ็น แต่พวกเราไม่มีเงินจริงๆ!”

“ต่อมาหมออันก็เย็บแผลให้ฉัน เย็บแผลให้ฉันในห้องตรวจ ส่วนค่าเย็บแผลก็ควักเอาจากกระเป๋าตัวเอง ตอนนั้นฉันจำได้ดี ฉันจ่ายเงินไปยี่สิบห้าหยวนเป็นค่าพันแผลและอีกห้าหยวนเป็นค่าลงทะเบียน”

“ตอนนั้นฉันเสียใจจริงๆ ฉันไม่กล้าบอกหมออันว่าตอนนั้นฉันฟ้องเรื่องเขา แล้วก็ไม่มีเงินให้เขาเพื่อแสดงความขอบคุณด้วย ได้แต่วิ่งออกมาเลย จากนั้นก็ไม่กล้ามาที่โรงพยาบาลตงต้าสาขาสองอีกเพราะกลัวเจอหมออัน!”

พูดถึงตรงนี้ ชายชราก็สับสนมึนงง คิดไม่ถึงว่าจะมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นด้วย

คุณยายนั่งอยู่เช่นนั้น เงียบไปพักใหญ่

ทั้งสองต่างก็เงียบอยู่เช่นนี้!

ผ่านไปครู่หนึ่ง คุณยายถึงค่อยกล่าวขึ้นว่า “เฮ้อ…สงสัยสวรรค์จะบันดาลให้ฉันมาตอบแทนบุญคุณความแค้นจริงๆ ฉันคิดว่าจะไม่ได้เจอหมออันแล้ว ไม่นึกว่าสวรรค์จะจัดแจงให้มาเจอเรื่องแบบนี้อีก”

ทั้งสองเงียบไปนาน ผ่านไปครู่ใหญ่ชายชราก็ลุกขึ้นยืน สวมรองเท้า มองไปที่ภรรยาแล้วพูดว่า

“ไปเถอะ เกิดเป็นคนจะต้องตรงไปตรงมา หมออันเป็นคนดี พวกเราก็ไปพูดกับเขาให้รู้เรื่องเถอะ ที่ควรขอโทษก็ต้องขอโทษ ประเดี๋ยวกลับมาก็โทรหาเจ้าใหญ่ บอกให้เขาเตรียมของขวัญมาให้หมออันพรุ่งนี้ด้วย คืนนี้พวกเราจะคุยเรื่องนี้ให้รู้เรื่อง”

ชายชราเป็นคนซื่อสัตย์ มีเรื่องในใจก็เก็บเอาไว้ไม่อยู่ ได้ยินภรรยากล่าวออกมาเช่นนี้แล้วก็อยากลุกขึ้นเดินไปคุยทันที

คุณยายได้ยินดังนั้นก็เกิดกระสับกระส่าย แต่ก็ยังลุกตาม

ทั้งสองเดินมาที่ห้องพักหมอด้วยความไม่สบายใจ ตอนนี้หมออันกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้อง

ชายชราเดินเข้าไปยิ้มแห้งๆ “หมออันครับ ไม่ได้มารบกวนคุณใช่ไหมครับ”

อันเยี่ยนจวินวางหนังสือลงแล้วพยักหน้า “ครับ มีอะไรหรือครับ ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า”

ชายชราส่ายหน้า กล่าวด้วยท่าทางลำบากใจ “ผมมาขอบคุณหมออันครับ ผมรู้สึกไม่ดีมากจริงๆ”

อันเยี่ยนจวินยิ้มพลางส่ายหน้า “ไม่เป็นไรครับ”

ชายชรามองภรรยาของตน คุณยายจึงค่อยๆ พูดขึ้นว่า “หมออันคะ ฉันมีเรื่องจะคุยกับคุณ คุณอย่าโกรธฉันเลยนะคะ!”

อันเยี่ยนจวินชะงักไป มองคุณยายด้วยความสงสัย “อะไรเหรอครับ”

คุณยายหน้าแดง กล่าวเสียงแผ่ว “ฉัน…ตอนคุณทำงานที่โรงพยาบาลตงต้าสาขาสอง ฉันเคยร้องเรียนเรื่องคุณ…”

“สิบปีก่อนได้ ตอนนั้นฉันหกล้มได้รับบาดเจ็บที่ข้อมือ คุณเป็นคนตรวจให้ฉัน บอกว่าไม่เป็นไร…วันต่อมาฉันเจ็บข้อมือเลยไปที่แผนกฉุกเฉิน พอไปตรวจคราวนี้หมอบอกว่าข้อมือแตกเล็กน้อย ฉันเลยโมโหนิดหน่อย เอาเรื่องคุณไปร้องเรียนกับฝ่ายกิจการแพทย์ บอกว่าคุณสะเพร่า ตอนนั้น…เป็นเพราะฉันไม่แจ้งอาการให้ชัดเจนเอง แล้วคุณก็ทำเพื่อช่วยฉันประหยัดเงิน ดังนั้น…เป็นความผิดของฉันเอง!”

อันเยี่ยนจวินได้ยินดังนั้นก็คิดออกแล้ว

ตอนนั้นเขาเพิ่งเข้าทำงานไม่นาน ยังมีประสบการณ์ไม่มากพอ ประสบการณ์ทางคลินิกก็น้อย ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างผลกระทบให้เขามากเลยทีเดียว!

เรื่องนี้ทำให้ภายหลังเขาเป็นคนนิสัยแบบนี้ ปัจจุบันอันเยี่ยนจวินเป็นคนเข้มงวดมาก เพราะเรื่องในตอนที่เขายังหนุ่มส่งผลกระทบกับเขามากเกินไป และเพราะเรื่องนี้ทำให้เขาเป็นคนที่มีทัศนคติในการทำงานที่เคร่งครัดถึงเพียงนี้

ตอนนั้นข้อพิพาททางการแพทย์ระหว่างหมอและผู้ป่วยยังไม่ได้ตึงเครียดเท่ากับปัจจุบัน ดังนั้น…อันเยี่ยนจวินจึงไม่ถูกลงโทษ ถึงอย่างไรตอนนั้นทุกคนก็ทำเรื่องผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ อยู่เสมอเพราะปัจจัยทางการแพทย์ในแต่ละด้านยังไม่ดีพอ

อันเยี่ยนจวินได้ยินดังนั้นก็รีบส่ายหน้า “เรื่องนี้จะโทษคุณไม่ได้หรอกครับ ความจริงผมต้องขอบคุณคุณด้วยซ้ำ”

อันเยี่ยนจวินหมายความตามนั้นจริงๆ หากไม่มีประสบการณ์ก็ไม่มีการเติบโต หลายปีมานี้ นิสัยเข้มงวดจริงจังช่วยเขาเอาไว้ไม่น้อยเลยทีเดียว!

ผ่านไปครู่หนึ่ง คุณยายก็พูดต่อไปว่า “แล้วยังมีอีกเรื่องหนึ่งค่ะ…จากนั้นมีอยู่ครั้งหนึ่งฉันถูกมีดบาด พอไปหาหมอที่โรงพยาบาลก็เจอคุณอีก ฉัน…ฉันไม่กล้าบอกเรื่องที่ฉันร้องเรียนคุณ ตอนนั้นคุณเห็นฉันไม่มีเงินแต่ก็ทำใจปล่อยฉันไปไม่ได้ คุณเลยเย็บรักษาให้ฉันฟรีๆ แล้วควักเงินตัวเองซื้ออุปกรณ์เย็บให้ฉัน…ฉันซาบซึ้งใจจริงๆ ค่ะ”

“ต่อมาฉันอยากขอบคุณคุณ แต่พอไปที่โรงพยาบาลตงต้าสาขาสองก็ไม่เจอคุณแล้ว พวกเขาบอกว่าคุณย้ายตำแหน่ง…เฮ้อ…ไม่คิดเลยว่าวันนี้จะได้เจอคุณอีก แล้วยังช่วยสามีฉันด้วย…หมออัน เมื่อปีนั้นฉันคงเลอะเลือนเกินไป หวังว่าเรื่องนี้จะไม่ส่งผลเสียกับคุณมากนัก”

อันเยี่ยนจวินฟังจบก็อดยิ้มไม่ได้ “เอาละครับ คุณตาคุณยาย พวกคุณกลับไปเถอะ รีบพักผ่อนกันหน่อย ไม่ต้องสนใจเรื่องนี้หรอก นี่เป็นสิ่งที่ผมสมควรทำอยู่แล้ว”

ชายชราส่ายหน้า “ไม่ได้หรอกครับหมออัน มีบุญคุณก็ต้องตอบแทน ถึงพวกผมจะไม่ค่อยมีความรู้ แต่คำพูดคำสั่งสอนของบรรพบุรุษก็ยังเคยฟังมาบ้าง”

พูดจบชายชราก็จูงมือภรรยาของตนมาโค้งขอบคุณให้อันเยี่ยนจวิน

“หมออัน คุณเป็นคนดี พวกเราจะจดจำบุญคุณของคุณไปชั่วชีวิต!”

บางครั้งชีวิตคนเราก็บังเอิญเช่นนี้เอง ในความปกติธรรมดาเต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลงและความบังเอิญมากมาย ทุกเรื่องส่งผลกระทบกับการเติบโตของคนเรา

แต่ความดีไม่มีคำว่าสายไป

บทที่ 406 ใครสวยก็ฟังคนนั้น!

“แม่ฉันอยากเจอคุณค่ะ!”

เมื่อได้รับข้อความนี้จากฉินเยว่ เฉินชางพลันรู้สึกไม่สบายใจ ทั้งตื่นเต้น เคร่งเครียดและสับสน แต่ละอารมณ์แปรเปลี่ยนไปภายในสามวินาที

เป็นสามวินาทีที่ยาวนานมากสำหรับเฉินชาง!

ยาวนานจนเขาคิดไปไกลแล้วว่าตอนเจอหน้ากันจะเรียกว่าคุณน้า หรือจะเรียกว่าแม่ไปเลยดี!

ยาวนานจนเขาคิดทบทวนไปแล้วว่าควรเอาคะแนนไปแลกเคล็ดวิชา ‘ทำอย่างไรให้พ่อตาแม่ยายมีความสุข’ ดีหรือไม่ จากนั้นก็รีบฝึกให้ถึงขั้นปรมาจารย์

ยาวนานจนคิดไปถึงว่า หากมีลูกจะให้พ่อตาแม่ยายเลี้ยง หรือจะให้พ่อแม่ตัวเองเลี้ยง

เหนื่อยใจจริง…

สามวินาทีผ่านไป เฉินชางจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา แต่ยังไม่รู้ว่าจะตอบกลับข้อความอย่างไรดี!

ทำได้แต่ส่งอีโมติคอนสีหน้าหวาดกลัวกลับไป

ฉินเยว่ที่นั่งอยู่บนโซฟาหัวเราะไปสิบนาทีเต็มๆ

สมองของเธอคิดไปถึงสภาพอารมณ์ของเฉินชางแล้ว แค่คิดถึงใบหน้าสับสนมึนงงของเขา ฉินเยว่ก็แทบจะหัวเราะออกมา

จี้หรูอวิ๋นเห็นลูกสาวนั่งหัวเราะอยู่บนโซฟาอย่างไร้ความเป็นกุลสตรีก็อดถอนใจไม่ได้

เด็กคนนี้นี่ ในที่สุดก็มีคนต้องการแล้วสินะ ถ้าฉันเจอพ่อหนุ่มคนนั้นคงต้องปลอบใจสักหน่อยแล้ว จะไม่พูดถึงเรื่องซื้อบ้านเด็ดขาด ขอแค่รถคันเดียวก็พอ!

แต่เมื่อคิดไปว่าหลังแต่งงานแล้วเยว่เยว่อาจเผยโฉมหน้าที่แท้จริงให้เห็น เสี่ยวเฉินคงไม่ตกใจหรอกนะ!

ถ้าอีกฝ่ายอยากคืนเจ้าสาว…คงขายหน้าคนอื่นแย่!

คิดถึงตรงนี้ จี้หรูอวิ๋นก็กำชับเสียงแผ่ว “ฉินเยว่ นั่งให้ดี! ดูท่าทางเข้าสิ เหมือนคนไร้สติยังงั้นแหละ…ดูผมลูกสิ รังนกยังดูดีกว่าเลย”

ฉินเยว่ไม่สนใจ กล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า “ไม่หรอกค่ะ!”

จี้หรูอวิ๋นกลอกตาใส่ “ไม่กลัวเสี่ยวเฉินคนนั้นรู้ธาตุแท้ของลูกแล้วจะไม่ต้องการลูกหรือไง!”

ฉินเยว่ชะงักไปทันที แต่เมื่อคิดดูอีกครั้งก็ตะโกนไปว่า “เขากล้าเหรอ!”

แต่เสียงเธอไม่เข้มเหมือนก่อนหน้านี้จนเห็นได้ชัด มันแฝงไปด้วยความหวาดหวั่นเล็กน้อย หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็มองมือถือด้วยสีหน้ากังวล จากนั้นจึงหยิบขึ้นมาส่งข้อความไปว่า “อยู่บ้านต้องฟังใคร”

ตอนนี้เฉินชางกำลังเสิร์ชหาไป๋ตู้ว่าจะเอาใจพ่อตาแม่ยายอย่างไร จู่ๆ ก็ได้รับข้อความนี้ ทำให้ชะงักไปทันที

หมายความว่าอะไร

หรือว่า…พ่อตาแม่ยายหยิบโทรศัพท์มาเล่น

คิดถึงตรงนี้ เฉินชางก็รีบสลัดความคิดเกี่ยวกับการประชุมเมื่อครู่นี้ให้ออกไปจากสมอง รีบทำความเข้าใจให้ทะลุปรุโปร่ง พลันรับรู้ได้ถึงพลังงานบางอย่างคล้ายกับเข้าสู่สภาวะตรัสรู้!

“ใครสวยก็ฟังคนนั้นครับ!”

เมื่อฉินเยว่ได้รับข้อความก็หัวเราะออกมาทันที “แม่คะ มานี่สิคะ หนูจะให้แม่ดูข้อความ”

พูดไปพลางดึงแขนจี้หรูอวิ๋นให้มานั่งบนโซฟาด้วยกัน จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา “แม่ ดูสิคะ!”

จี้หรูอวิ๋นรับโทรศัพท์มาด้วยความสงสัย หลังจากอ่านข้อความจบก็หัวเราะออกมาทันที

พ่อหนุ่มคนนี้มีความสามารถในการเอาตัวรอดสูงจริงๆ

สองแม่ลูกพากันหัวเราะร่า

ตอนนี้ฉินเสี้ยวหยวนกำลังรินชา เพิ่งชงเสร็จก็เดินเข้ามา เห็นสองแม่ลูกหัวเราะ]อย่างเบิกบานเช่นนั้นก็รีบถามอย่างแปลกใจ “มีอะไรหรือ ถึงได้หัวเราะกันขนาดนี้!”

จี้หรูอวิ๋นเกิดกระตือรือร้นขึ้นมาโดยพลัน “เหล่าฉิน ตอนอยู่บ้านต้องเชื่อฟังใคร!”

ฉินเสี้ยวหยวนตอบทันทีโดยไม่ต้องคิด “แน่นอนว่า…ใครมีเหตุผลที่สุดก็ต้องฟังคนนั้น!”

พูดจบ จู่ๆ ฉินเสี้ยวหยวนก็รู้สึกว่าอุณหภูมิรอบๆ ลดลง เย็นยะเยือกไปถึงกระดูกสันหลัง หนังศีรษะชาวาบ กระทั่งอากาศก็ยังดูหม่นหมองลง!

ทันใดนั้นสีหน้าเหล่าฉินก็เปลี่ยนไปโดยพลัน ประสบการณ์ทางคลินิกหลายปีที่ผ่านมากำลังบอกเขาว่าช่วงเวลานี้คือช่วงเวลาของการพลิกลิ้น!

“แต่ส่วนใหญ่คุณมีเหตุผลที่สุดแล้วครับ!”

จริงดังคาด เมื่อกล่าวจบ อุณหภูมิห้องก็คล้ายจะเพิ่มขึ้นอีกครั้ง แต่…เทียบกับตอนแรกก็ยังเย็นยะเยือกกว่าอยู่ดี

จี้หรูอวิ๋นจ้องเขม็งมาที่ตน ทำเอาฉินเสี้ยวหยวนสับสน

ยังไม่พออีกเหรอ

ส่วนฉินเยว่กลั้นขำจนสมองแทบระเบิดแล้ว!

แต่ด้วยสภาพในตอนนี้ จะหัวเราะออกมาไม่ได้เด็ดขาด ทำได้แค่ฮึบไว้!

ฮึบไว้ ฮึบไว้! แต่ในที่สุดก็ทนไม่ไหวจนระเบิดหัวเราะออกมา

จี้หรูอวิ๋นแค่นเสียงเย็น!

“ไม่รู้จักพูดเอาซะเลย!”

เหล่าฉินยิ้มแห้งๆ “ยังไม่พอใจอีกเหรอครับ!”

จี้หรูอวิ๋นพูดกับฉินเยว่ว่า “เยว่เยว่ บอกพ่อซิว่าเสี่ยวเฉินพูดยังไง!”

ฉินเยว่ยิ้มจนตาหยี “เฉินชางบอกว่าใครสวยก็ฟังคนนั้น!”

จี้หรูอวิ๋นเห็นอีกฝ่ายไม่ได้ดังใจก็ต้องทอดถอนใจออกมา ดูสิว่าคุณพูดอย่างไร “ใครมีเหตุผลก็ฟังคนนั้นหรือ! เหอะ ทำไมฉันรู้สึกว่าคำพูดนี้ไม่เข้าหูเลย”

ฉินเสี้ยวหยวนตาค้าง อดหัวเราะไม่ได้ ไอ้หนุ่มนี่ปากหวานจนเลี่ยน รู้จักประจบประแจงเสียด้วย!

ตอนนี้ฉินเสี้ยวหยวนยังไม่ยอมละทิ้งนิสัยหนุ่มใหญ่ของตน รีบยิ้มแล้วพูดว่า “พวกเราเป็นสามีภรรยากันมานานแล้ว จะพูดจาเล่นลิ้นแบบนี้กันไปทำไมครับ ใช่ไหม”

“อีกอย่าง คนเราก็ต้องแก่ตัวลง!”

พูดจบพลันเกิดความโกลาหลขึ้นอีกครั้ง!

จี้หรูอวิ๋นแค่นเสียงเย็น “ค่ะ! ฉินเสี้ยวหยวน ฉันรู้แล้ว คุณรังเกียจที่ฉันแก่สินะ ฉันยังไม่รังเกียจที่คุณไม่หล่อเลย แต่นี่คุณรังเกียจที่ฉันแก่!”

ตอนนี้ฉินเยว่รีบดึงแขนจี้หรูอวิ๋นเอาไว้ “แม่คะ อย่าไปฟังพ่อเขาเลย แม่เหมือนคนอายุห้าสิบที่ไหนกัน ผิวยังดีอยู่เลยค่ะ!”

ขณะพูดก็ขยิบตาให้เหล่าฉิน เหล่าฉินก็ไม่ใช่คนโง่ รีบถือกาน้ำชาเดินไปที่ห้องหนังสือทันที

จี้หรูอวิ๋นถอนใจออกมา อดพูดไม่ได้ว่า “แก่แล้ว รอยเหี่ยวย่นบนหน้าก็มีแต่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เฮ้อ…”

ขณะพูดก็หยิบกระจกเล็กๆ ที่วางอยู่บนโต๊ะกาแฟขึ้นมา ขมวดคิ้วมุ่น ลูบไปที่รอยย่นบนใบหน้าและรอยตีนกาบริเวณหางตาพลางทอดถอนใจออกมา

ฉินเยว่ปิ๊งไอเดียขึ้นมาทันที “แม่คะ มีรอยเหี่ยวย่นแล้วจะกลัวอะไร หนูได้ยินว่าปัจจุบันเรากำจัดรอยเหี่ยวย่นที่คลินิกศัลยกรรมได้แล้ว เจ็บน้อยด้วย แทบมองไม่ออกว่าผ่านมีดหมอมาเลย ใช้เทคนิคการปรับแต่งกล้ามเนื้ออะไรพวกนี้ก็ได้ค่ะ เท่านี้ก็กำจัดรอยเหี่ยวย่นที่ผิวบนใบหน้าได้แล้ว ทั้งยังให้ประสิทธิภาพดีเยี่ยม ว่ากันว่าไม่มีผลข้างเคียงด้วย! ไม่ทำลายเส้นประสาทบนใบหน้าแน่นอน”

พูดจบจี้หรูอวิ๋นก็ใจเต้นขึ้นมาทันที!

“จริงหรือเปล่า”

ฉินเยว่กล่าวด้วยท่าทีจริงจัง “จริงแท้แน่นอนค่ะ หนูจะหลอกแม่ไปทำไม เดี๋ยววันหลังหนูพาแม่ไปที่คลินิกศัลยกรรมเอง พวกเราลองไปถามดูสักหน่อยเป็นไงคะ”

ในดวงตาของจี้หรูอวิ๋นเต็มไปด้วยความคาดหวัง เกิดความสนอกสนใจขึ้นมาบ้างแล้ว เธอพยักหน้าตอบ “ดี”

ผู้หญิงก็คือผู้หญิง

ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ก็คือผู้หญิง

อายุเพิ่มขึ้น ใบหน้าก็โรยรา

แต่จิตวิญญาณของผู้หญิง ไม่แปรเปลี่ยนชั่วนิรันดร์

……

……

ขณะเดียวกัน เฉินชางเห็นฉินเยว่ไม่ยอมตอบข้อความนานแล้วก็เกิดกังวลใจ

หรือเขาตอบผิด

ทันใดนั้นฉินเยว่ก็ตอบมาว่า “ไม่เลว ให้คะแนนเต็มค่ะ คำตอบเมื่อกี้ฉันพอใจมาก!”

เฉินชางจึงค่อยผ่อนคลายลงได้

อย่างไรก็ตามฉินเยว่ยังคงส่งข้อความมาอีกว่า “แต่…ถ้าฉันแก่แล้ว ไม่ได้ดูดีแล้ว…ก็คงไม่สวยแล้ว”

เฉินชางตอบ “งั้นผมจะทำให้คุณสวยเอง ไม่รู้เหรอว่าผมเรียนด้านศัลยกรรมความงามไปทำไม ก็เพื่อทำให้คุณสวยตลอดกาลไงล่ะ!”

ฉินเยว่เห็นดังนั้นก็ดีใจขึ้นมาโดยพลัน

ยัยฉินขี้ประจบสบายไปทั้งใจ หัวใจเต็มไปด้วยความนุ่มฟู

“คุณพูดแล้วนะ!”

เฉินชางพยักหน้า “ผมพูดแล้ว!”

ฉินเยว่กอดมือถือไว้ที่หน้าอกด้วยอารมณ์หวานล้ำ จู่ๆ ก็คิดว่าโลกใบนี้คือความสุขของเธอจริงๆ

เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ

เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ

Status: Ongoing

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท