บทที่ 432 ไม่ง่ายขนาดนั้น!
เก้าโมงเช้า แม่ลูกคู่หนึ่งมาที่แผนกฉุกเฉิน!
ลูกสาวอายุสี่สิบกว่าปี ร่างกายซูบผอม ประคองหญิงชราเข้ามาคนหนึ่ง ปากก็บ่นกับหญิงชราคนนั้นอย่างรังเกียจมาตลอดทาง “ไม่ให้กินแม่ก็จะกินให้ได้ ตอนนี้เป็นยังไงล่ะ ทั้งอ้วกทั้งถ่าย! อายุขนาดนี้แล้ว ดูตัวเองเถอะ!”
ดูเหมือนหญิงคนนี้เป็นพวกปากไวและพูดแรง บ่นหญิงชราที่มาด้วยกันไม่จบไม่สิ้น
“พวกของที่ทิ้งไว้จนเย็นแล้วจะเอามากินไม่ได้นะคะ กินเข้าไปก็ท้องเสียจนต้องมาโรงพยาบาล! ดูเอาเถอะ แม่กำลังทำให้ฉันลำบากใจ ทำงานอยู่ดีๆ ก็ต้องกลับมาพาแม่มาหาหมออีก! ให้เวลาฉันอยู่สงบบ้างไม่ได้เลยหรือไง”
หญิงชรายอมจำนน ไม่ท้วงติงอะไร ผ่านไปนานจึงค่อยพูดขึ้นประโยคหนึ่งว่า “แม่แค่คิดว่า…เหลือไว้ก็เสียดาย ก๋วยเตี๋ยวเหลียงเฝิ่นดีๆ แบบนั้นคงยังไม่เสียหรอก!”
หญิงชราผู้เป็นแม่มีอายุประมาณแปดสิบปีแล้ว ทั่วทั้งหน้าเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น ผมขาวโพลน แม้จะผอมไปบ้าง แต่โครงกระดูกใหญ่กว่าลูกสาว ลูกสาวประคองมาเช่นนี้ต้องใช้แรงมากทีเดียว!
เข้ามาถึงแผนกฉุกเฉินแล้ว ลูกสาวก็หอบหายใจ แต่ยังคงประคองหญิงชราอย่างระมัดระวัง กลัวจะทำให้อีกฝ่ายล้มหัวกระแทก
เฉินชางและสวีตงตงกลับมาจากตรวจเยี่ยมคนไข้พอดี เฉินชางเห็นดังนั้นก็รีบพูดว่า “เสี่ยวหลิน เข็นเตียงออกมาหน่อยครับ”
เสี่ยวหลินเห็นดังนั้นก็รีบพยักหน้า เขาทำงานคล่องแคล่ว ไม่นานก็วิ่งเข็นเตียงมา
เฉินชางและสวีตงตงเข้าไปช่วยพยุงหญิงชราขึ้นเตียง ลูกสาวร่างผอมจึงค่อยๆ สงบลมหายใจของตนได้บ้าง เพียงแต่ยังไม่ทันพักผ่อน ก็ต้องรีบไปต่อแถวรับคิวแผนกฉุกเฉิน
เฉินชางรีบถามขึ้นว่า “เป็นอะไรมาครับคุณยาย”
หญิงชราหลับตาไม่ยอมพูดอะไร เอาแต่นอนลงกับเตียง ดูเหมือนร่างกายจะล้าจนทนไม่ไหวแล้ว
หญิงร่างผอมตอบว่า “คิดว่าน่าจะท้องเสียนะคะ เช้านี้ฉันไปทำงานแล้วคุณพ่อก็โทรหาฉัน บอกว่าแม่ท้องเสียทั้งเช้าแล้วก็อาเจียนด้วยค่ะ หลายรอบเลย ฉันถามดูแล้วถึงได้รู้ว่าคุณแม่กินก๋วยเตี๋ยวเหลียงเฝิ่นของเมื่อคืนเข้าไป! ต้องเป็นเพราะกินของผิดสําแดงแน่เลยค่ะ”
เฉินชางฟังจบก็พยักหน้า “อ้อ! ก่อนหน้านี้มีโรคประจำตัวอะไรหรือเปล่าครับ”
อีกฝ่ายพยักหน้า “เป็นเบาหวานกับความดันโลหิตสูงค่ะ กินยาลดความดันอยู่ตลอด เรื่องโรคเบาหวานก็มีฉีดอินซูลินด้วยค่ะ ส่วนโรคความดันโลหิตสูงก็กินไนเฟดิปีนวันละครั้ง อินซูลินก็ใช้…ตอนเช้าแปดยูนิต…”
เธอบอกได้ละเอียดมาก นี่ทำให้เฉินชางถึงกับต้องเปลี่ยนมุมมอง “คุณเป็นหมอเหรอครับ”
เธอส่ายหน้า ทอดถอนใจออกมา “ไม่ใช่หรอกค่ะ แม่ฉันป่วยมาหลายปีแล้ว ฉันคอยดูแลมาตลอด แม่ไม่ยอมกินยาให้ดี ชอบคิดว่ายามันแพง ฉันเลยต้องคอยเตือนให้แม่กินยาให้ตรงเวลาทุกวัน”
พูดถึงตรงนี้ เฉินชางก็อดมองเธอไม่ได้ ถึงอย่างไร…ลูกหลานที่ทำได้ถึงขนาดนี้ก็มีไม่มากนัก
เมื่อครู่ที่บ่นไม่หยุดหย่อนก็คงเหมือนกับมารดาพร่ำบ่นลูกๆ ตอนยังเด็ก
ไม่ได้เป็นปัญหาอะไร
เมื่อคนเราแก่ตัวลง บทบาทจึงสลับกันเป็นธรรมดา แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ เมื่อฟังคำของคนเป็นลูกจบเฉินชางก็ไม่ได้เชื่อทั้งหมด เขาหยิบหูฟังแพทย์ขึ้นมาฟังบริเวณท้องด้วยความเคยชิน มีเสียงดังตรงลำไส้อยู่บ้าง
ตอนนี้หญิงชราลืมตาขึ้นแล้ว
เฉินชางถาม “คุณยายครับ รู้สึกไม่สบายตรงไหนครับ บอกผมหน่อยนะครับ”
หญิงชรากล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนระโหยโรยแรงคล้ายเหน็ดเหนื่อยจนหมดแรงแล้ว “ฉันไม่สบายท้อง แล้วก็เหมือนไม่มีแรง รู้สึกเจ็บไปหมดทั้งตัว อ้อ…รู้สึกใจสั่นเล็กน้อยด้วยค่ะ”
เฉินชางฟังถึงตรงนี้ก็ลังเล
ภาวะอิเล็กโทรไลต์ผิดปกติ[1]หรือ
หากโพแทสเซียมในร่างกายต่ำ อาจเป็นปัจจัยทำให้เกิดสภาวะต่างๆ ที่แสดงออกมาข้างต้น เช่นร่างกายหมดแรง หัวใจเต้นผิดจังหวะ หรืออาจมีความผิดปกติเกี่ยวกับระบบประสาทจำพวกกล้ามเนื้ออ่อนแรง
คิดถึงตรงนี้ เฉินชางก็พูดกับพยาบาลว่า “เสี่ยวหลิน ตรวจน้ำตาลในเลือดให้ผมหน่อยครับ แล้วก็ตรวจเม็ดเลือดกับอิเล็กโทรไลต์ด้วยนะครับ”
ผู้สูงอายุเป็นช่วงวัยที่ต้องเติมอิเล็กโทรไลต์ ในจุดนี้ต้องใส่ใจให้ดี พวกเขาอ่อนไหวกว่าคนหนุ่มสาวมาก
จากนั้นหญิงชราก็ถูกเข็นเข้าไปยังห้องสังเกตอาการ
ปกติแล้วอาการเช่นนี้พบเห็นได้บ่อยมาก ผู้สูงอายุกินของผิดสำแดงจนท้องเสีย ทำให้เกิดภาวะอิเล็กโทรไลต์ผิดปกติ เรื่องแบบนี้ถือว่าธรรมดามาก
สวีตงตงที่อยู่ข้างๆ เห็นเฉินชางสั่งตรวจก็ถามว่า “อาจารย์เฉิน นี่เป็นภาวะอิเล็กโทรไลต์ผิดปกติเหรอครับ แบบนี้จะทำให้โซเดียมและโพแทสเซียมต่ำ ถ้าเสริมผ่านน้ำเกลือก็คงไม่เป็นไรแล้วใช่ไหมครับ!”
เฉินชางมองสวีตงตงแล้วส่ายหน้า “ถึงจะเสริมให้ก็จะเสริมตามใจไม่ได้ครับ โดยเฉพาะผู้สูงอายุ เราไม่มีเซรุ่มที่ให้ผลช่วยกระตุ้นอิเล็กโทรไลต์ ถ้าเสริมโซเดียมโพแทสเซียมเข้าไปก็อาจส่งผลเสียได้!”
หมอชายหลายคนที่อยู่ห้องพักหมอเดียวกับสวีตงตงเห็นผู้ป่วยก็พากันรุมล้อมเข้ามา เมื่อได้ยินคำพูดของเฉินชาง แต่ละคนก็มีความคิดแตกต่างกันไป
เฉินชางเดินเข้าไปในห้องสังเกตอาการ หมอชายคนหนึ่งมองสวีตงตงยิ้มๆ “ทำเป็นวางมาด มันยากขนาดนั้นที่ไหนกันล่ะ ตอนผมอยู่ที่โรงพยาบาล ผู้ป่วยแบบนี้มีเยอะแยะ! แค่ให้น้ำเกลือก็พอ!”
ถึงสวีตงตงจะคิดว่าคำพูดของอีกฝ่ายไม่มีเหตุผล แต่ก็ไม่ได้คัดค้าน ได้แต่เดินเข้าไปในห้องสังเกตอาการ
ชายคนนั้นอดยิ้มไม่ได้ เขามองสวีตงตงและเฉินชางก่อนส่ายหน้า “เฮ้อ…พวกหนุ่มๆ ชอบทำอะไรลึกลับซับซ้อนจริง เรื่องมันลึกลับซับซ้อนขนาดนั้นที่ไหนกันล่ะ!”
การตรวจน้ำตาลในเลือดใช้เวลาไม่นาน ไม่ทันไรก็ได้ผลออกมาแล้ว น้ำตาลในเลือดคือ “16.4!”
เมื่อเฉินชางเห็นค่าน้ำตาลในเลือดก็ต้องขมวดคิ้วทันที!
จากคำพูดของผู้ป่วยและญาติผู้ป่วยจึงทราบว่าผู้ป่วยตรวจน้ำตาลในเลือดหนึ่งชั่วโมงหลังรับประทานอาหาร แต่…ค่าน้ำตาลในเลือดยังสูงไปบ้าง
เฉินชางมองลูกสาวผู้ป่วยแล้วถามว่า “คุมน้ำตาลในเลือดของคุณยายได้ไม่ดีเลยนะครับ ตอนนี้อยู่ที่ 16.4 mmol/L”
ลูกสาวได้ยินดังนั้นก็หน้าแดง “ขอโทษด้วยค่ะคุณหมอ เครื่องตรวจวัดน้ำตาลในเลือดของที่บ้านไม่ค่อยแม่น แล้วก็ไม่ได้ซ่อมเลยค่ะ ไม่ได้วัดค่าน้ำตาลในเลือดมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ฉีดอินซูลินทุกวันนะคะ”
ตอนนี้เอง จู่ๆ หญิงชราก็หายใจลำบาก เธออ้าปากพยายามสูดหายใจเข้าไป
อาการนี้ดึงดูดความสนใจของเฉินชาง
เฉินชางรีบถามว่า “ก่อนหน้านี้คุณยายไม่ได้เป็นโรคหัวใจ โรคปอด หรือโรคไตใช่ไหมครับ”
ลูกสาวเห็นอาการผู้เป็นแม่ก็ตกใจแทบสิ้นสติ รู้สึกร้อนใจขึ้นมาแล้ว เธอรีบส่ายหน้า “ไม่ค่ะ ไม่มีแน่นอน!”
เฉินชางเห็นดังนั้นก็รีบต่อออกซิเจนให้ผู้ป่วย จากนั้นก็หยิบหูฟังแพทย์ขึ้นมา ฟังบริเวณปอดและหัวใจของผู้ป่วย เขาได้ยินเสียงลมหายใจอ่อนมาก และหัวใจก็เต้นช้ามาก!
เฉินชางไม่เข้าใจ
“แสดงค่าคลื่นไฟฟ้าหัวใจบนจอด้วยครับ!”
ตอนนี้หญิงชรายังคงหายใจลำบาก ดูเหมือนการสูดออกซิเจนจะไม่ช่วยอะไรนัก เธอยังหายใจทางปากอยู่
ตอนนี้เฉินชางเครียดขึ้นมาแล้ว!
เสี่ยวหลินต่อเครื่องวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจให้ผู้ป่วยอย่างเชี่ยวชาญ เฉินชางหันไปพูดกับสวีตงตงว่า “พาญาติผู้ป่วยไปรอข้างนอก”
สวีตงตงเห็นดังนั้นก็เรียกให้ลูกสาวผู้ป่วยออกไปรอนอกห้องสังเกตอาการ
เฉินชางมองตัวเลขบนเครื่องวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจ
ค่าความดันโลหิตต่ำลงเรื่อยๆ!
70/40 mmHg
อัตราการเต้นของหัวใจก็ช้าลงเรื่อยๆ!
43 ครั้งต่อนาที!
เสียงหอบหายใจทำให้บรรยากาศในห้องตึงเครียด
เฉินชางเห็นดังนั้นก็รีบพูดว่า “กราฟหัวใจ!”
จากนั้นก็คลายเสื้อของผู้ป่วยออกอย่างร้อนรน!
ตอนนี้เฉินชางรู้แล้วว่าเรื่องราวไม่ได้ง่ายดายอย่างที่เห็น!
[1] ภาวะอิเล็กโทรไลต์ผิดปกติ (Electrolyte Imbalance หรือภาวะไม่สมดุลของเกลือแร่ในร่างกาย) เป็นภาวะที่อิเล็กโทรไลต์ในร่างกายไม่สมดุล ซึ่งอาจเกิดจากปริมาณของอิเล็กโทรไลต์ที่มากหรือน้อยจนเกินไป อิเล็กโทรไลต์เป็นชื่อที่ใช้เรียกแร่ธาตุที่มีบทบาทสำคัญในการรักษาระดับของเหลวในร่างกาย และช่วยให้ระบบที่สำคัญอื่นๆ ทำงานได้อย่างปกติ เมื่ออิเล็กโทรไลต์ไม่สมดุล อาจทำให้เกิดอาการอย่างหัวใจเต้นผิดปกติ เหนื่อยล้า ชัก และกล้ามเนื้ออ่อนแรงได้ สาเหตุของภาวะนี้อาจเกิดจากการสูญเสียน้ำในร่างกายเป็นจำนวนมาก เช่น การเสียเหงื่อ ท้องร่วง หรืออาเจียน
บทที่ 425 ต่อกระดูกด้วยมือ
มณฑลตงหยางเป็นมณฑลที่มีสี่ฤดู ช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วงเป็นช่วงที่ทำให้ผู้คนกังวลมาตลอด
ตอนใส่กางเกงลองจอนก็ร้อน แต่พอตกกลางคืน ไม่ทันไรอากาศก็กลับมาเย็นสบายอีกครั้ง ความแตกต่างของอุณหภูมิในช่วงกลางวันและกลางคืนเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
เวลาประมาณหกโมงกว่าซึ่งเป็นเวลาใกล้เลิกงาน ใครบางคนเดินวนไปวนมาอยู่ตรงประตูห้องหมอของแผนกฉุกเฉิน เขาเดินวนอยู่หลายรอบแล้ว ท่าทางลังเลอยู่พักใหญ่ก็ยังไม่กล้าเข้าไป
นางพยาบาลเสี่ยวหลินมองไปด้านนอก พูดกับฉางลี่น่าว่า “พี่น่า ด้านนอกมีคนอยู่ค่ะ แต่…นานแล้วก็ไม่เห็นเข้ามาสักที”
ฉางลี่น่าใจกล้ากว่าเสี่ยวหลิน เธอเป็นพวกกล้ารักกล้าชัง แม้เป็นคนพูดโผงผางอยู่บ้างแต่ก็มีนิสัยของหญิงแกร่งอยู่ด้วย!
หากใช้คำพูดของเสี่ยวหลินมาอธิบายก็คือ หากตอนนี้เป็นยุคโบราณ เธอคงเป็นนางโจรปล้นสะดม ไม่สิ! เป็นโจรสาวที่ปล้นคนรวยช่วยคนจนต่างหาก
ฉางลี่น่าได้ยินดังนั้นก็ถูกกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาทันที พูดไปว่า “เดี๋ยวฉันไปดูหน่อยแล้วกัน”
ขณะพูดก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินตรงไปนอกห้องโถงของแผนกฉุกเฉิน พอออกมาแล้วก็เจอคนเร่ร่อนเดินไปเดินมาอยู่หน้าประตู ท่าทางลังเล ตั้งนานแล้วก็ยังไม่ยอมเข้ามา
คนเร่ร่อนคนนี้สวมชุดเก่าๆ ขาดๆ อยู่ห่างไปสามเมตรห้าเมตรก็ยังได้กลิ่นไม่ดี เขาสวมเสื้อผ้าขาดๆ ทับกันหลายชั้น ผมเผ้ายุ่งเหยิง เขาลากของไร้ประโยชน์กองใหญ่มาด้วย เป็นพวกกระป๋อง กระดาษแข็ง ขวดน้ำ ดูเหมือนจะเป็นสมบัติทั้งหมดของเขา
คนที่เดินผ่านไปมาเห็นคนเร่ร่อนคนนี้ก็พากันหลีกเลี่ยง
เมื่อเห็นฉางลี่น่าเดินออกมา คนเร่ร่อนก็รีบหมุนตัวไปทันทีราวกับตกใจอย่างไรอย่างนั้น รีบลากของคิดจะเดินจากไป
ฉางลี่น่าชะงัก รีบร้องเรียกเอาไว้ “เดี๋ยว รอก่อนค่ะ!”
คนเร่ร่อนได้ยินเสียงเรียกก็เดินก้าวไปอย่างลังเลสองสามก้าวแต่สุดท้ายก็หยุดเดิน
ฉางลี่น่าตะโกนว่า “มีอะไรให้ช่วยไหมคะ”
อันที่จริงสถานการณ์เช่นนี้พบเห็นได้บ่อยในแผนกฉุกเฉิน ที่นี่มักมีขอทาน คนเร่ร่อน หรือคนบ้ามาปรากฏตัวอยู่ตรงประตูบ่อยๆ
ฉินไท่ซานยามประจำแผนกฉุกเฉินเห็นดังนั้นก็รีบเดินออกมาพูดกับคนเร่ร่อนว่า “มีธุระอะไรครับ ถ้าไม่มีอะไรก็กลับไปที่เดิมเถอะ นี่คือแผนกฉุกเฉิน อย่ายืนกีดขวางทางสัญจร”
คนเร่ร่อนได้ยินดังนั้นก็รีบพยักหน้าแล้วลากของของตนเดินไปด้านข้าง เพียงแต่ขณะเดินดูเหมือนแขนซ้ายจะยกไม่ค่อยขึ้น
ฉินไท่ซานส่ายหน้า เรื่องเช่นนี้เขายุ่งไม่ได้ ทำได้เพียงหลับตาข้างลืมตาข้างเท่านั้น
ตอนนี้เป็นเวลาหกโมงแล้ว เป็นช่วงเวลาเลิกงาน ทำให้มีคนเยอะ คนกลุ่มหนึ่งเห็นคนเร่ร่อนก็พากันเดินอ้อมไป
ฉางลี่น่าเห็นเขาไม่ตอบก็ถอนใจออกมา เธอไม่คิดวุ่นวายให้มากเรื่อง ได้แต่กลับไปที่ห้องโถงของแผนกฉุกเฉิน
ฉินเยว่แลกเวรกับหวังเชียนแล้วก็เลิกงานตามปกติ เธอมองเฉินชางแล้วพูดว่า “ไปกันเถอะ!”
พอมาถึงห้องโถงของแผนกฉุกเฉินก็เห็นคนเร่ร่อนนอกประตูเดินย้อนกลับมาอีกครั้ง คราวนี้มามือเปล่า เหมือนจะวางของไว้ที่มุมหนึ่งแล้วก็เดินย้อนกลับมา กระนั้นเขาก็ยังยืนอยู่ตรงประตูไม่กล้าเข้ามา
ฉางลี่น่ารีบพูดขึ้นว่า “หมอเสี่ยวเฉิน คนคนนี้ยืนอยู่ตรงประตูนานแล้วค่ะ ฉันดูแล้วเหมือนแขนของเขาจะมีปัญหา”
เฉินชางได้ยินดังนั้นก็ลังเลอยู่นาน สุดท้ายก็พูดกับฉินเยว่ว่า “รอสักครู่นะครับ”
พูดจบก็เดินออกไปด้านนอก
คนเร่ร่อนเห็นเฉินชางเดินออกมาก็รีบหลบทางไม่กล้ายืนขวาง แต่เฉินชางกลับเดินมาหาเขา
พอเดินเข้ามาใกล้อีกฝ่าย เฉินชางก็ถามขึ้นว่า “ผมเป็นหมอของโรงพยาบาลอันดับสองครับ คุณมีอะไรให้ช่วยหรือเปล่าครับ”
คนเร่ร่อนหยิบซองบะหมี่กึ่งสําเร็จรูปออกมาจากกระเป๋าเสื้อของตน จากนั้นก็เปิดซองบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป พบว่ามีถุงพลาสติกสีขาวอยู่อีกถุงหนึ่ง ข้างในมีเศษเงินอยู่ห้าหยวนและเงินเหรียญอีกกองใหญ่ เฉินชางคำนวณดูคร่าวๆ คิดว่าน่าจะมีประมาณร้อยสองร้อยได้
คนเร่ร่อนส่งเงินให้เฉินชาง ปากก็เปล่งเสียงว่า “อาๆๆ …อือ…”
เฉินชางชะงักไป เป็นใบ้หรือ?
คนเร่ร่อนร้อนใจ เขาชี้ไปที่แขนของตนแล้วลองออกแรง ทำท่าทางให้รู้ว่าขยับไม่ได้
เฉินชางรีบถาม “คุณขยับแขนไม่ได้เหรอครับ”
คนเร่ร่อนพยักหน้า “อือๆๆ!”
เฉินชางลังเลอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นจึงคิดพิจารณาไปตามความเคยชิน ต้องไปเอกซเรย์แล้วละ!
เฉินชางรีบพูด “ต้องเอกซเรย์ดูนะครับว่ากระดูกแตกหรือเปล่า”
คนเร่ร่อนสายหน้า ไม่ยอมเข้าไปเด็ดขาด จากนั้นก็ถอยหลังไปสองก้าวใช้นิ้วชี้ไปบนร่างกายราวกับจะบอกว่า ไม่ไปๆ ผมสกปรกมาก เดี๋ยวทำให้พื้นและอุปกรณ์สกปรกไปด้วย
ตอนนี้ฉินเยว่เดินออกมา คนเร่ร่อนก็ยิ่งเดินถอยห่างไปอีกหลายก้าวราวกับกลัวว่าจะทำให้ผู้หญิงคนนี้รังเกียจ
ฉินเยว่เห็นดังนั้นก็รีบเดินเข้าไป “พวกเราต้องดูแขนของคุณนะคะว่าวินิจฉัยถูกหรือเปล่า”
คนเร่ร่อนส่ายหน้า “อาๆ…อือๆ!”
เขาวาดไม้วาดมือแล้วดึงแขนลง
เฉินชางชะงัก จะบอกว่ากระดูกเคลื่อนหรือ
คิดถึงตรงนี้ เฉินชางก็คิดขึ้นมาได้ว่าตนเองมีทักษะจัดกระดูกอยู่ด้วยจึงพูดกับชายคนนั้นว่า “มา ให้ผมคลำดูหน่อยว่าเป็นอะไร ถ้าคุณเจ็บคุณก็ร้องออกมานะครับ”
คนเร่ร่อนลังเลครู่หนึ่ง ชี้ไปที่มือเฉินชางแล้วชี้มาที่แขนของตนก่อนส่ายหน้า จากนั้นก็วาดมือเป็นรูปถุงมือราวกับจะบอกว่า ‘ผมสกปรกมาก อย่าใช้มือจับ ไปใส่ถุงมือเถอะ’
เฉินชางอ่อนอกอ่อนใจไปโดยพลัน เขาส่ายหน้ายิ้มๆ “ผมไม่กลัว อีกเดี๋ยวค่อยไปล้างมือเอาก็ได้”
ชายคนนั้นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง อยากถอดชุดคลุมด้านนอกออก แต่ผ่านไปนานแล้วก็ยังไม่ถอด ถึงอย่างไรแขนซ้ายก็กระดูกหลุดแล้วขยับไม่ได้ ส่วนแขนขวาก็ขยับอยู่นานแต่ก็จนปัญญา
ฉินเยว่เดินไปข้างหน้าเพื่อช่วยปลดกระดุมและถอดเสื้อนอกให้เขาโดยไม่รังเกียจว่าอีกฝ่ายสกปรก คนเร่ร่อนเห็นดังนั้นก็ส่งอืออาน้ำตาไหล แต่ก็ยังพูดอะไรไม่ได้
เมื่อเห็นแขนอีกฝ่าย ฉินเยว่ก็พูดกับเฉินชางว่า “ให้ฉันโทรหาเสวี่ยเลี่ยงแผนกออร์โธฯ (ศัลยกรรมกระดูก) ไหมคะ”
เฉินชางส่ายหน้า “เดี๋ยวผมดูก่อนนะครับ”
พูดจบก็ยื่นมือไปจับแขนชายคนนั้นขึ้นมาแล้วใช้มือบีบนวด พลางถามไม่หยุดว่าเจ็บไหม
เมื่อถกเสื้อขึ้นมาถึงบริเวณไหล่ เฉินชางก็เห็นว่าบริเวณไหล่ซ้ายของคนเร่ร่อนมีรอยบุ๋มอย่างชัดเจน นี่…เป็นลักษณะไหล่แบบเหลี่ยมตามตำรา เฉินชางใช้มือกดลงไปบริเวณรักแร้และใต้จะงอยบ่าเบาๆ สัมผัสได้ว่าต้นแขนเคลื่อนที่ได้ และ…ตรงข้อต่อว่างเปล่า!
นี่คงเป็น…กระดูกข้อต่อบริเวณไหล่หลุดสินะ
เฉินชางพิจารณาในใจ จากนั้นจึงจับมือซ้ายของเขาวางลงบนไหล่ขวา พบว่าวางมือไม่ได้ ผลทดสอบเป็นบวก!
ตอนนี้แน่ใจแล้วว่ามีอาการข้อต่อไหล่หลุด ส่วนเรื่องกระดูกแตก…ยังไม่แน่ใจ แต่ดูจากสภาพตอนนี้แล้วคงไม่ได้กระดูกแตก ถ้าหากต้องการข้อมูลที่แน่ชัดจะต้องเอกซเรย์ แต่คนเร่ร่อนนี้ตีให้ตายก็ไม่ยอมเข้าไปในโรงพยาบาล พอบอกว่าให้เข้าไปก็จะวิ่งหนี เฉินชางเองก็จนปัญญา
ต่อให้กลับเข้าที่ก็แล้วกัน!
คิดถึงตรงนี้เฉินชางก็ใช้มือวางลงบนตำแหน่งกระดูกหัวไหล่ให้มั่นคงแล้วใช้อีกมือหนึ่งจับบริเวณแขนซ้ายของผู้ป่วยเอาไว้ หมุนตามแนวอย่างอ่อนโยนจากนั้นก็ออกแรงดัน ฉับพลันนั้นก็มีเสียงดังออกมา!
เข้าแล้ว!
ทางด้านคนเร่ร่อนคล้ายชินกับอาการไหล่หลุดแล้วจึงไม่ได้มีท่าทีอะไรมาก ขณะคุยกันยังทำท่าจะขยับอีกด้วย เฉินชางจึงต้องรีบหยุดเอาไว้ ใช้เสื้อของชายคนนั้นผูกแขนคล้องกับคอเพื่อให้แขนอยู่นิ่งๆ
“ช่วงนี้ให้อยู่นิ่งๆ ไปก่อนสักหนึ่งเดือน อย่าขยับมั่วซั่วนะครับ”
คนเร่ร่อนเห็นดังนั้นก็รีบพยักหน้า ใช้มือขวาหยิบเงินร้อยสองร้อยหยวนมายัดใส่มือเฉินชาง เฉินชางรีบปฏิเสธ ส่วนฉินเยว่อยากช่วยชายคนนั้นสวมเสื้อ แต่อีกฝ่ายกลับวิ่งไปไกลแล้ว
ทำได้แค่ช่างมัน!
อย่างไรก็ตาม เมื่อชายเร่ร่อนวิ่งไปไกลประมาณเจ็ดแปดเมตรแล้วก็คุกเข่าลงกับพื้น โขกศีรษะให้เฉินชางและฉินเยว่ ชั่วขณะนั้นคนบนถนนที่พากันหยุดดูมีมากขึ้นเรื่อยๆ บางคนถึงกับยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายคลิป
เฉินชางและฉินเยว่เห็นดังนั้นก็รีบวิ่งเข้าไปที่ห้องโถงของแผนกฉุกเฉิน
บทที่ 417 มอนสเตอร์ชื่อแดงกลุ่มหนึ่ง!
ต่งเฉียงเซิงเป็นลูกชายคนโตของครอบครัว พอรู้ว่าผู้เป็นพ่อป่วยก็รีบให้คนขับรถจากมณฑลเป่ยไห่ซึ่งอยู่ติดกันกลับมาส่งที่บ้านทันที
ต่งเฉียงเซิงเป็นคนเก่ง เป็นรองผู้บังคับบัญชาอยู่ในที่ว่าการอำเภอของเมืองเอกในมณฑลเป่ยไห่ นับว่าเป็นคนมีหน้ามีตาและมีอำนาจ คราวนี้เขารีบร้อนกลับมาโดยไม่ได้คิดอะไรมากมายขนาดนั้น
เมื่อได้ยินผู้เชี่ยวชาญหลายคนบอกว่าการผ่าตัดยากลำบากก็รู้สึกไม่สบายใจ แต่เมื่อเห็นบิดานอนหมดสติอยู่บนเตียง ในฐานะที่เป็นลูกชายคนโตย่อมอดเป็นห่วงไม่ได้
อย่างไรก็ปล่อยไว้แบบนี้ไม่ได้!
คิดไปคิดมา เขาก็ตัดสินใจว่าจะลองหาวิธีด้วยตัวเอง เช่นหาผู้เชี่ยวชาญคนอื่นมาตรวจดูสักหน่อย
“เอ่อ หมอครับ ดูจากสภาพร่างกายของพ่อผมจะทนได้ถึงหนึ่งวันหรือเปล่าครับ” ต่งเฉียงเซิงถามเฉียนเลี่ยง
เฉียนเลี่ยงตอบไปว่า “หนึ่งวันยังพอได้ แต่อย่าปล่อยเวลาไว้นานเกินไปนะครับ ถึงตอนนี้อาการของผู้ป่วยพอจะทรงตัวบ้างแล้ว แต่พวกเรากลัวว่าอาการจะเลวร้ายยิ่งขึ้น ถ้าจะใช้วิธีการทางอายุรกรรมในการรักษาและประคองอาการคงไม่มีปัญหาอะไร แต่ที่น่าเป็นห่วงก็คือหากไม่ผ่าตัด อาการจะเลวร้ายลง ผมเคยเห็นอาการประมาณนี้มาแล้ว การรักษาด้วยการให้ยาไม่ได้ให้ผลดีเท่าการรักษาด้วยการผ่าตัด และอาจทำให้อาการแย่ลงอย่างรวดเร็ว”
ต่งเฉียงเซิงพยักหน้า เขาตัดสินใจได้แล้ว และถือโอกาสขณะกำลังว่างๆ ออกไปโทรศัพท์
เพียงไม่นานต่งเฉียงเซิงก็ติดต่อไปหาหัวหน้าแผนกศัลยกรรมตับและถุงน้ำดีของโรงพยาบาล 301 ได้แล้ว เขาคือหัวหน้าแผนกโจวหงกวง
หัวหน้าแผนกโจวเป็นหมออันดับต้นๆ ในวงการศัลยกรรมตับและถุงน้ำดีระดับประเทศ ปัจจุบันคนที่อยู่ในวงการล้วนทราบดีว่าอีกไม่นานหัวหน้าแผนกโจวจะได้รับเลือกให้เป็นนักวิชาการของสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ
โจวหงกวงให้เกียรติต่งเฉียงเซิงมาก ตัดสินใจว่าจะเดินทางมาที่มณฑลตงหยางในคืนนี้เลย
ต่งเฉียงเซิงดีอกดีใจเป็นล้นพ้น รีบเข้ามาในห้องผู้ป่วยแล้วพูดขึ้นว่า “หัวหน้าเฉียน หัวหน้าหลี่ ผมติดต่อไปหาหัวหน้าแผนกโจวที่โรงพยาบาล 301 แล้วครับ เขาบอกว่าจะรีบเดินทางมาคืนนี้เลย เอาไว้พวกเราค่อยตัดสินใจพรุ่งนี้ได้หรือเปล่าครับ วันนี้ประคองอาการไปก่อน”
เมื่อเขากล่าวออกมาเช่นนี้ทุกคนก็ชะงักไปทันที
เฉียนเลี่ยงถามอย่างแปลกใจ “หัวหน้าโจว คุณหมายถึงหัวหน้าแผนกโจวหงกวงหรือครับ”
ต่งเฉียงเซิงพยักหน้า “ใช่ครับ เป็นหัวหน้าแผนกโจว”
เมื่อเขากล่าวออกมาเช่นนี้ทุกคนก็ไม่มีอะไรจะพูดอีก ถึงอย่างไร…หัวหน้าโจวคนนั้นก็เป็นหมออันดับต้นๆ ในวงการศัลยกรรมตับและถุงน้ำดีของประเทศจีน อีกไม่นานจะได้รับเลือกเป็นนักวิชาการแล้ว เป็นรองประธานสมาคมศัลยกรรมตับและถุงน้ำดีแห่งประเทศจีน คนเช่นนี้ยิ่งใหญ่เกินไปแล้ว!
ตอนนี้ทุกคนจึงค่อยมองต่งเฉียงเซิงอีกครั้ง เขามีความสามารถมากขนาดนี้เชียวหรือ สุดยอดไปเลย! อีกอย่างสำหรับพวกเขาก็ไม่ถือเป็นเรื่องแย่อะไร กลับเป็นเรื่องดีเสียด้วยซ้ำ
หากหัวหน้าโจวมาแล้ว ไม่ว่าจะรักษาดี หรือแย่ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเขานัก หน้าที่และความรับผิดชอบก็จะเบาลง ไม่แน่ว่าอาจได้โอกาสสานสัมพันธ์กับหัวหน้าโจวด้วยก็เป็นได้ ต่อไปหากจะเชิญอีกฝ่ายมาร่วมสัมมนาหรือผ่าตัดที่โรงพยาบาลอันดับสองก็จะสะดวกขึ้น
……
……
วันต่อมาเวลาประมาณเก้าโมงเช้า ต่งเฉียงเซิงพาโจวหงกวงมาที่โรงพยาบาลอันดับสองด้วยตัวเอง
ทางด้านเฉียนเลี่ยงก็ไม่ทำงานทำการแล้ว รีบแลกเวรให้เรียบร้อยแล้วมาที่แผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลอันดับสองทันที ในฐานะที่เป็นประธานสมาคมศัลยกรรมตับและถุงน้ำดีแห่งมณฑลตงหยาง เฉียนเลี่ยงย่อมรู้จักกับโจวหงกวงอยู่ก่อนแล้ว นับว่าเป็นเพื่อนเก่าที่มีความสัมพันธ์ไม่เลว มักร่วมประชุมด้วยกันอยู่บ่อยๆ
เมื่อเห็นโจวหงกวงเดินเข้ามา เฉียนเลี่ยงก็รีบเดินไปต้อนรับ “หัวหน้าโจว ไม่เจอกันนานเลยนะครับ!”
โจวหงกวงเห็นเฉียนเลี่ยงก็ยิ้มให้ “ไม่เจอกันนานเลยนะครับหัวหน้าเฉียน”
เนื่องจากตอนนี้เป็นเวลาเร่งด่วนจึงไม่ได้พูดจาตามมารยาทมากมายเกินไป หลังจากเตรียมพร้อมแล้ว ทุกคนก็มายืนอยู่หน้าเตียงชายชราผู้เป็นบิดาของต่งเฉียงเซิง
หลังจากโจวหงกวงตรวจผู้ป่วยเสร็จแล้วก็หันไปปรึกษาเฉียนเลี่ยง จางโหย่วฝูและคนอื่นๆ จากนั้นจึงมองต่งเฉียงเซิงแล้วกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “คุณต่ง ตอนนี้ผมเข้าใจสภาพอาการของคุณพ่อคุณแล้วนะครับ อันที่จริงความเห็นของผมก็เหมือนกับพวกหัวหน้าเฉียน หากใช้การรักษาทางอายุรกรรมจะให้ผลไม่ดีเท่าไหร่ หากปล่อยเวลาให้ยืดเยื้อต่อไปอาการจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ”
“แต่หากผ่าตัด ผมจะต้องพูดกับคุณให้ชัดเจนก่อนนะครับ การผ่าตัดครั้งนี้ยากเกินไปด้วยสาเหตุหลายอย่าง ประการแรกก็คือพ่อของคุณค่อนข้างอ้วน มีชั้นไขมันหนา พอเริ่มผ่าตัดจะหาถุงน้ำดียาก
ประการต่อมา อาการถุงน้ำดีอักเสบของผู้ป่วยกำเริบมาแล้วสี่วัน พื้นที่ส่วนใหญ่ในช่องท้องติดเชื้อไปแล้วและยังมีภาวะพังผืดอีกด้วย ทำให้การผ่าตัดยากขึ้นไปอีก
ประการสุดท้ายและเป็นสาเหตุที่สำคัญที่สุดก็คือ ผู้ป่วยอายุมากแล้ว และมีโรคประจำตัวมากมาย นี่จะทำให้การผ่าตัดอันตรายมากขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัยเลย”
“หากจะตัดถุงน้ำดีออก ผู้ป่วยคงทนไม่ไหวแน่นอน ต่อให้ทนรับไหวผมก็ไม่กล้าทำ บอกตามตรงเลยนะครับ ตอนนี้ผมประเมินแค่ว่าจับแยกถุงน้ำดีออกมาก็สร้างความเสียหายให้ตับอย่างแน่นอนแล้ว นี่เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นข้อเสนอแนะของผมก็คือผ่าตัดระบายถุงน้ำดี”
โจวหงกวงเป็นความหวังสุดท้ายของต่งเฉียงเซิง เมื่อได้ยินโจวหงกวงกล่าวเช่นนี้ยังจะพูดอะไรได้อีก ทำได้เพียงให้ความร่วมมือเต็มที่เท่านั้น
ไม่นานก็เตรียมการผ่าตัดเสร็จสิ้น โจวหงกวงเป็นศัลยแพทย์หลัก เฉียนเลี่ยง จางโหย่วฝูและหลี่เป่าซานก็ให้ความร่วมมือด้วย การผ่าตัดเคสนี้ คนที่จะเข้าร่วมได้มีเพียงหมอระดับหัวหน้าแพทย์ขึ้นไป
แต่…ข้อยกเว้นเพียงหนึ่งเดียวก็คือเฉินชาง
หลี่เป่าซานอายุมากแล้ว ความจริงเขาไม่อยากมาคลุกคลีกับเรื่องเช่นนี้แล้ว ที่มาเพราะอยากช่วยเสริมความกล้าให้เฉินชางเท่านั้น!
“เสี่ยวเฉิน คุณมาดูเพื่อการศึกษาด้วยนะครับ โอกาสเรียนรู้แบบนี้หายากจริงๆ!” หลี่เป่าซานพูดยิ้มๆ
เฉียนเลี่ยงก็พยักหน้า “ใช่แล้วเสี่ยวเฉิน คุณมานี่สิ หัวหน้าโจว ไม่สิ อีกเดี๋ยวได้เป็นนักวิชาการก็คงต้องเปลี่ยนคำเรียกแล้วละ ท่านนี้เป็นคนใหญ่คนโตในวงการศัลยกรรมตับและถุงน้ำดีแห่งประเทศจีนในปัจจุบันนี้ คุณต้องดูให้ดีนะครับ”
เฉินชางพยักหน้า “อาจารย์โจว สวัสดีครับ”
โจวหงกวงยิ้มมองหลี่เป่าซาน “หัวหน้าหลี่ เขาเป็นนักเรียนของคุณเหรอ”
หลี่เป่าซานยิ้ม “เป็นหมอในแผนกของพวกเราน่ะครับ มีพรสวรรค์ทางด้านศัลยกรรมมากเลย เรียนรู้อะไรก็เรียนได้เร็ว ผ่าตัดก็ทำได้ค่อนข้างดีทีเดียว”
โจวหงกวงยิ้มแบ่งรับแบ่งสู้พลางพยักหน้า
เขามองว่าหลี่เป่าซานอยากมอบโอกาสให้เฉินชาง ดังนั้นจึงถือโอกาสแสดงน้ำใจไปตามน้ำ “เสี่ยวเฉิน คุณมาเป็นผู้ช่วยผมสิครับ ทำได้หรือเปล่า”
เฉินชางได้ยินดังนั้นก็ดวงตาเป็นประกาย เป็นผู้ช่วยก็ดีแล้ว! นี่เท่ากับว่าระดับความร่วมมือในการผ่าตัดสูงยิ่งขึ้น โอกาสในการขโมยเรียนทักษะก็สูงขึ้นอีก!
คิดถึงตรงนี้เฉินชางก็พยักหน้า “ขอบคุณครับหัวหน้าโจว”
จางโหย่วฝูและคนอื่นๆ ก็ยิ้มตาม ความจริงพวกเขาเห็นการผ่าตัดในระดับยอดเยี่ยมมาไม่น้อยจึงไม่สนใจการผ่าตัดเคสสองเคสเช่นนี้ แต่เสี่ยวเฉินเพิ่งเริ่มต้น ยังขาดการฝึกฝนและเรียนรู้
สภาพของผู้ป่วยค่อนข้างพิเศษ หากใช้ยาชาเฉพาะที่จะค่อนข้างยุ่งยาก จะต้องรมยาชาบริเวณกล้ามเนื้อหน้าท้องและช่องท้องใหม่ทั้งหมด คิดไปคิดมาจึงวางยาสลบทั้งตัว
โจวหงกวงรับมีดผ่าตัดมา จากนั้นจึงเริ่มกดลงบริเวณซี่โครงขวา กรีดเบาๆ เป็นแผลในแนวเฉียง ระยะค่อนข้างยาว เฉินชางเข้าใจดีว่าคงเป็นเพราะจะสร้างพื้นที่ผ่าตัดให้มากที่สุดเพื่อให้เห็นถุงน้ำดีเต็มๆ และเพื่อการผ่าตัดที่ดี
แผลผ่าตัดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ชั้นไขมันปรากฏให้เห็นในพื้นที่ผ่าตัด เฉินชางรีบเข้าไปช่วยทันที
ผ่านไปครู่หนึ่งก็เห็นช่องท้อง เมื่อเปิดช่องท้องเรียบร้อยแล้วก็มีกลิ่นเหม็นโชยออกมา!
โจวหงกวงสีหน้าเปลี่ยนไปโดยพลัน!
ดูเหมือนอาการจะแย่กว่าที่เขาคิด เฉินชางมองไปในช่องท้องพบว่าภาวะพังผืดรุนแรงมาก ส่วนกลิ่นเหม็นคงมาจากน้ำดีที่กลายเป็นหนองไปแล้ว เห็นได้ชัดว่าช่องท้องติดเชื้อรุนแรง
เมื่อเฉินชางมองไปในช่องท้อง ก็พบมอนสเตอร์ชื่อสีแดงอยู่กลุ่มหนึ่ง ท่าทางแปลกมาก!