บทที่ 433 ยอมรับทั้งกายใจ!
จากนั้นเครื่องวัดกราฟหัวใจก็ถูกย้ายมา เฉินชางรีบติดตั้งแต่ละจุด!
ร่างกายหมดแรง!
ระบบทางเดินอาหารผิดปกติ!
หายใจลำบาก สงสัยว่ามีปัญหาเรื่องกล้ามเนื้อในระบบทางเดินหายใจ!
ใจสั่น!
โรคเบาหวาน!
เมื่อนำปัจจัยแต่ละอย่างมารวมเข้าด้วยกัน เฉินชางก็คิดถึงอะไรบางอย่างที่น่าหวาดกลัว คิดถึงโรคที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต! และยังเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ทุกเมื่อด้วย!
ทว่ายังไม่ทันทำกราฟหัวใจ เสี่ยวหลินก็ตะโกนว่า “หมอเฉิน อัตราการเต้นของหัวใจเหลือยี่สิบครั้งแล้วค่ะ!”
เฉินชางสีหน้าเปลี่ยนไปทันที “อะโทรปีน!”
พยาบาลเล่อเล่อรีบฉีดเข้าไป! แต่เมื่อฉีดเข้าไปแล้วกลับให้ผลธรรมดา! สภาพของผู้ป่วยไม่ดีขึ้น
ตอนนี้เครื่องวัดกราฟหัวใจเริ่มพิมพ์ผลออกมาอย่างเชื่องช้า เฉินชางฉีกผลกราฟหัวใจออกมา เอามาอ่านอย่างละเอียด ทันใดนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที
เป็นอย่างที่คิดจริงๆ ด้วย!
ผลของกราฟหัวใจรวมกับอาการทั้งหมดของผู้ป่วย ทุกสิ่งทุกอย่างอธิบายได้ชัดเจนแล้ว!
เฉินชางรู้สึกว่าตัวเองโชคดีจริงๆ ที่ไม่รีบให้น้ำเกลือ มิฉะนั้นหญิงชราคงจบสิ้นแล้ว ถึงตอนนั้นคงได้แต่เดินทางกลับสวรรค์แล้ว
พอเห็นค่ากราฟหัวใจ เฉินชางก็รู้สึกเหมือนมือตัวเองกำลังสั่น
เสี่ยวหลินพูดต่อไปว่า “หมอเฉิน อัตราการเต้นของหัวใจยังลดต่ำลงอยู่เลยค่ะ!”
ตอนนี้หญิงชรามีสีหน้าทรมาน เดิมทีเธอเป็นโรคเบาหวานมาหลายปี ทำให้ผอมมากอยู่แล้ว รวมกับมีอายุมากถึงแปดสิบปี ดังนั้นจึงเรียกได้ว่าหนังหุ้มกระดูก!
ตอนนี้ใบหน้าของเธอบิดเบี้ยวอย่างทรมาน ปากพ่นลมหายใจกระชั้นถี่ แล้วยังร้องอืออาอีกด้วย ทำให้แพทย์ฝึกงานหลายคนที่มาชมดูความสนุกอดถอยหลังไปไม่ได้!
น่ากลัวเกินไปแล้ว!
ดูเหมือนอะโทรปีนไม่มีประโยชน์อะไรเลย อัตราการเต้นของหัวใจยังอยู่ที่ยี่สิบครั้งต่อนาที
เฉินชางพิจารณา จากนั้นจึงรีบเปลี่ยนยาทันที “ไอโซพรีนาลีน[1]”
ในกล่องอุปกรณ์กู้ชีพฉุกเฉินมีอุปกรณ์อยู่ครบชุด ยาสำหรับใช้กู้ชีพมีครบครัน นางพยาบาลเล่อเล่อรีบค้นหา…
ตอนนี้เอง เฉินชางก็พูดกับเสี่ยวหลินที่อยู่ข้างๆ ว่า “เตรียมแคลเซียมคลอไรด์ 10 ml! ฉีดเข้าเส้นเลือดดำ! แล้วก็อินซูลินสิบยูนิตด้วยครับ ฉีดเข้าเส้นเลือดดำเหมือนเดิม!”
เมื่อเขาพูดออกมาเช่นนี้ พวกหมอฝึกงานที่อยู่ด้านหลังพลันตาค้าง!
ถึงกับใช้แคลเซียมคลอไรด์ในตอนนี้เชียวหรือ!
พวกเขามีสีหน้าสับสนมึนงง ไม่รู้ว่าทำไมพอเฉินชางดูกราฟหัวใจเสร็จแล้วก็รีบฉีดแคลเซียมคลอไรด์เข้าเส้นเลือดดำทันที
ผู้ป่วย…ขาดแคลเซียมหรือ
พวกเขาไม่เข้าใจ!
ความจริงสวีตงตงเองก็งุนงงเช่นกัน แต่ยังคงยืนอยู่ข้างหลัง ถือสมุดจดทุกประโยคของเฉินชางลงไป
เนื่องจากแคลเซียมคลอไรด์และอินซูลินไม่อยู่ในอุปกรณ์กู้ชีพ ดังนั้นจึงต้องให้พยาบาลไปเบิกมา
เมื่อมาถึงแล้ว เฉินชางก็มองเสี่ยวหลิน กล่าวกำชับว่า “จำไว้นะครับ! ฉีดแคลเซียมคลอไรด์ให้ช้าหน่อย 10 ml ให้เสร็จภายในห้านาที! อินซูลินก็ฉีดเข้าเส้นเลือดดำนะครับ!”
หลังจากมอบหมายงานเสร็จแล้ว เฉินชางก็ดูสัญญาณชีพ ตอนนี้อัตราการเต้นของหัวใจกลับมาที่สี่สิบห้าครั้งต่อนาทีแล้ว! คงเป็นผลจากไอโซพรีนาลีน
แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาดีใจ
อาการที่ย่ำแย่ที่สุดของผู้ป่วยยังไม่ถูกกำจัด! นี่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต อาจทำให้หัวใจหยุดเต้นภายในพริบตา!
ขณะนี้ หลี่เป่าซานผ่านทางมาที่แผนกฉุกเฉินเข้าพอดี เมื่อรู้ว่ากำลังเกิดเคสกู้ชีพผู้ป่วยก็รีบเดินเข้ามา!
หลี่เป่าซานเห็นเสี่ยวหลินกำลังฉีดยาจึงถามเฉินชางว่า “ผู้ป่วยเป็นอะไรครับ”
ขณะนี้แพทย์ฝึกงานที่อยู่ด้านหลังทุกคนล้วนมีสีหน้ามึนงง! พวกเขาเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ถึงจะตามมาตั้งแต่ต้น แต่ก็…ไม่เข้าใจอะไรสักนิด!
ตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ทำไมพวกผมอ่อนแอขนาดนี้
ทำไมพอเฉินชางเห็นกราฟหัวใจแล้วก็รีบทำเรื่องพวกนี้
กระทั่งสวีตงตงก็ไม่รู้
หมอชายที่คุยกับสวีตงตงเมื่อครู่ก็ไม่มั่นใจ หรือจะไม่ใช่อิเล็กโทรไลต์ผิดปกติ
เฉินชางเห็นอัตราการเต้นของหัวใจและความดันโลหิตเริ่มฟื้นเป็นปกติก็ผ่อนคลายลงได้ในที่สุด
เขาได้ยินเสียงหลี่เป่าซานเอ่ยถามก็รีบหันไป “หัวหน้า!”
“ผู้ป่วยมีอาการโพแทสเซียมสูงและภาวะคีโตอะซิโดซิส[2]โพแทสเซียมในเลือดอาจสูงถึงแปดกว่าๆ!”
หลี่เป่าซานได้ยินค่าโพแทสเซียมในเลือด สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที
นี่มันอันตรายถึงชีวิตได้เลย
ปกติค่าโพแทสเซียมในเลือดจะอยู่ที่ 3.5 ถึง 5.5 mmol/L หากเกิน 5.5 ไปแล้วก็คือโพแทสเซียมในเลือดสูง
หลี่เป่าซานทราบว่าโพแทสเซียมสูงขนาดนี้ก็รีบถามทันที “เซรั่มอิเล็กโทรไลต์ (ระดับเกลือแร่ในเลือด) ยังไม่มาใช่ไหมครับ”
เฉินชางพยักหน้า “เพิ่งส่งเรื่องไปไม่ถึงสิบนาที ยังไม่เร็วขนาดนั้นหรอกครับ!”
ประโยคนี้ของเฉินชางทำให้คนที่อยู่รอบๆ เงียบลง!
ไม่มีค่าเซรั่มอิเล็กโทรไลต์ แล้วเฉินชางพูดออกมาได้อย่างไรว่าค่าโพแทสเซียมในเลือดอยู่ที่แปดกว่าๆ เขาเดาได้อย่างไรว่าผู้ป่วยมีอาการโพแทสเซียมในเลือดสูง!
ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ เฉินชางตรวจแค่กราฟหัวใจเท่านั้น ขณะนี้หมอฝึกงานที่อยู่รอบๆ เกิดสงสัยขึ้นมาแล้ว!
เฉินชางคงไม่พูดว่าตัวเองเดาเอาหรอกนะ!
หลี่เป่าซานได้ยินเฉินชางพูดเช่นนี้ก็รีบหยิบกราฟหัวใจที่อยู่ข้างๆ ขึ้นมาอ่านอย่างละเอียด ทันใดนั้นก็ต้องขมวดคิ้วโดยพลัน!
“คุณใช้อะไรไปแล้วบ้าง”
เฉินชางตอบ “แคลเซียมคลอไรด์ น้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยอยู่ที่สิบหกกว่า ผมเพิ่มอินซูลินให้สิบยูนิต”
ตอนนี้เอง หลี่เป่าซานก็เดินมาข้างๆ มองดูผู้ป่วย ตอนนี้ทำได้เพียงรอดูการเปลี่ยนแปลงอย่างใจเย็นเท่านั้น
สิ่งที่ควรทำเฉินชางก็ทำไปหมดแล้ว
ตอนนี้หลี่เป่าซานพึงพอใจในตัวเฉินชางมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว หมอหนุ่มคนนี้จับทุกรายละเอียดได้อย่างเฉียบคม และนำมาวินิจฉัยอาการให้ผู้ป่วยได้เช่นนี้ ไม่ใช่อะไรที่คนธรรมดาจะทำได้จริงๆ
ต้องกล่าวว่าเฉินชางเพียงอ่านจากกราฟหัวใจแล้วนำมาวิเคราะห์ค่าโพแทสเซียมในเลือด นี่เป็นความสามารถอย่างหนึ่ง
หาไม่มีประสบการณ์หลายปีคงทำไม่ได้!
ที่แผนกฉุกเฉิน ทุกวินาทีมีค่า หากรอผลเซรุ่มอิเล็กโทรไลต์ออกมา ศพคงเย็นไปแล้ว!
เฉินชางจัดการได้ตรงจุดจริงๆ นี่ทำให้หลี่เป่าซานทอดถอนใจ เป็นคนหนุ่มที่ไม่เลวเลย
สิ่งที่ควรทำ เฉินชางก็ทำไปแล้ว หากยังไม่ไหวก็ต้องพาตัวไปฟอกไต
เวลาไหลผ่านไปทุกวินาที สัญญาณชีพที่ปรากฏบนเครื่องกระโดดไปมาไม่หยุดหย่อน ราวกับเป็นจังหวะของชีวิต
อัตราการเต้นของหัวใจค่อยๆ กลับมาหยุดอยู่ที่ห้าสิบครั้งโดยประมาณ ลมหายใจของผู้ป่วยก็สงบลงแล้ว ความดันโลหิตก็ปกติ
ตอนนี้เฉินชางและหลี่เป่าซานจึงค่อยผ่อนคลายลงได้
อาการของผู้ป่วยคงสงบลงแล้ว หญิงชราลืมตาขึ้น ผ่อนลมหายใจเบาๆ เธอรู้สึกว่าตัวเองเพิ่งกลับมาจากประตูผี
……
……
ขณะนี้หญิงที่เพิ่งส่งตัวมารดามาโรงพยาบาลกำลังเดินไปเดินมาอยู่หน้าประตูห้องสังเกตอาการด้วยความกระสับกระส่าย!
เธอเครียดแทบตายอยู่แล้ว! กลัวว่าแม่จะเป็นอะไรไป
ฉินไท่ซาน ลุงยามของแผนกฉุกเฉินเห็นดังนั้นก็อดปลอบใจไม่ได้ “คุณผู้หญิง อย่าร้อนใจไปเลยครับ ทำใจให้ดีเถอะ หัวหน้าหลี่เข้าไปแล้ว ไม่มีปัญหาแน่!”
แม้จะพูดเช่นนี้ แต่เธอจะวางใจได้อย่างไร ได้ยินฉินไท่ซานกล่าวเช่นนี้ก็อยากจะร้องไห้ออกมา!
“ฉันไม่ควรว่าแม่ ฉันควรซ่อมเครื่องวัดน้ำตาลในเลือดให้เร็วกว่านี้ ผิดที่ฉันเอง!”
“ฉันทำตัวแย่กับแม่เกินไป ต่อไปจะไม่ว่าแม่แล้ว…”
“สวรรค์ โปรดคุ้มครองแม่ฉันด้วย ได้โปรดช่วยให้แม่ผ่านวิกฤตไปได้ด้วยเถอะ!”
……
เสียงของเธอคลอไปด้วยเสียงสะอื้น อารมณ์อ่อนไหวไม่มั่นคง ทำให้ฉินไท่ซานที่อยู่ข้างๆ ไม่รู้จะพูดอะไรดี
พยาบาลเห็นเธอร้องไห้จนมีสภาพเช่นนี้ก็อดทอดถอนใจไม่ได้ นี่ก็คือลูกสาว!
มารดาทำผิดก็ตำหนิ ถึงอย่างไรคนแก่ก็แก่แล้ว กล่าวกันว่าคนเราเมื่อแก่ตัวไปจะทำตัวเหมือนเด็ก แก่แล้วจะไม่ค่อยรู้เรื่องราว คงมีแต่ลูกที่คอยบ่นว่าอยู่ข้างหู ส่วนคนอื่นไม่สนใจ
แต่บ่นก็ส่วนบ่น ตำหนิก็ส่วนตำหนิ ในตอนที่หญิงชราป่วยขึ้นมาจริงๆ ลูกสาวก็กังวลเหมือนกับตัวเองป่วยเอง
ตอนนี้หญิงชราเริ่มฟื้นตัวแล้ว แต่ก็ยังวางใจไม่ได้
อาการโพแตสเซียมในเลือดสูงมีหลายสาเหตุ ภาวะคีโตอะซิโดซีสก็เป็นสาเหตุหนึ่ง แต่ไม่อาจตัดสาเหตุอื่นออกไปได้ ดังนั้นจะต้องรอผลตรวจแลปออกมาก่อนแล้วค่อยทำเรื่องย้ายแผนก
หลี่เป่าซานโทรไปที่ฝ่ายแลปเพื่อเร่งผลตรวจ ไม่นานก็ได้ผลตรวจ!
พยาบาลรีบนำผลมาส่งให้
หลี่เป่าซานรับมา “โพแทสเซียมในเลือด 8.1”
ดีที่กู้ชีพได้ทันเวลา หากรอผลเซรุ่มอิเล็กโทรไลต์ออกมาจริงๆ ผู้ป่วย…คงอันตรายมาก
หมอฝึกงานที่อยู่ข้างๆ มองอย่างแปลกใจ ต่างตกตะลึงจนตาค้าง!
แปดกว่าจริงๆ!
ตอนนี้พวกเขาสงสัยจริงๆ ว่าเฉินชางเดาค่าโพแทสเซียมในเลือดของผู้ป่วยได้อย่างไร!
สวีตงตงเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น!
ในระยะเวลาสั้นๆ เพียงสองวัน เขาได้เห็นการกู้ชีพอันเคร่งเครียดอีกครั้งหนึ่งแล้ว! แม้จะสับสนมึนงง ไม่เข้าใจ แต่…เมื่อเห็นอาจารย์เฉินหาสาเหตุสำคัญของอาการออกมาได้ภายใต้เงื่อนไขอันจำกัด อีกทั้งผู้ป่วยยังมีโรคและอาการซับซ้อนเช่นนี้ แต่สุดท้ายเขาก็ยังรักษากู้ชีพได้สำเร็จ นี่มันยากเกินไปแล้ว!
เยี่ยมจริงๆ!
ตอนนี้สวีตงตงนับถือเฉินชางแล้ว!
นับถือทั้งกายใจ!
[1] ไอโซพรีนาลีน (Isoprenaline หรืออีกชื่อคือ Isoproterenol) เป็นยารักษาภาวะหัวใจเต้นช้า ภาวะหัวใจหยุดเต้น และบางกรณีก็นำไปรักษาอาการหอบหืดอีกด้วย อาจกล่าวได้ว่ายาไอโซพรีนาลีนเป็นยาช่วยชีวิตประเภทหนึ่งก็ได้ มักพบเห็นการใช้ยานี้ในห้องฉุกเฉินและห้องไอซียูของโรงพยาบาล
[2] ภาวะคีโตอะซิโดซิส (Diabetic ketoacidosis : DKA) เป็นภาวะแทรกซ้อนอย่างหนึ่งของโรคเบาหวานชนิดที่ 1 และโรคเบาหวานชนิดที่ 2 โดยภาวะนี้จะเกิดขึ้นเมื่อร่างกายผลิตอินซูลินได้ไม่เพียงพอ ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น ร่างกายลำเลียงน้ำตาลไปสู่เซลล์ต่างๆ ไม่ได้ จึงเริ่มเปลี่ยนไขมันให้เป็นพลังงาน กระบวนการดังกล่าวทำให้เกิดกรดสะสมในเลือดที่เรียกว่า คีโตน เรียกว่าภาวะคีโตอะซิโดซิส หรือเลือดเป็นกรด หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที สุดท้ายอาจส่งผลร้ายแรงต่อร่างกายผู้ป่วยเบาหวานถึงขั้นเสียชีวิตได้
บทที่ 426 อาจารย์เมิ่งคงไม่ตีผมหรอกนะ
รอบตัวคนเร่ร่อนราวกับถูกระเบิดลง คนกลุ่มใหญ่ล้อมกันเข้ามาถ่ายคลิป ถึงกับมีพวกช่างสอดรู้สอดเห็นเดินเข้ามาถามว่า “เฮ้ เขารักษาคุณจนหายแล้วเหรอ”
“ใช่ๆๆ ตอนนี้หายแล้วเหรอ”
……
เมื่อถูกคนกลุ่มใหญ่รุมซักไซ้ ชายเร่ร่อนก็ตัวแข็งทื่อขึ้นมาทันที เขาเคยเจอเรื่องแบบนี้ที่ไหนกัน ปกติมีคนมาสนใจเขามากขนาดนี้ที่ไหนกัน…มีแต่จะเดินอ้อมไปให้ไกล
เขาทำได้เพียงอ้าปากส่งเสียงอือๆ อาๆ แล้ววาดมือทำท่าทางต่างๆ จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนแล้วรีบเดินไปลากข้าวของของตน ก่อนจะเดินทางไปไกลพร้อมเสียงกรุ๊งกริ๊ง
ปล่อยให้ทุกคนยืนทำหน้าตะลึงอยู่ตรงนั้น!
“หายดีแล้วจริงอะ”
“แน่สิ! ไม่เห็นหรอว่าเขาขยับแขนข้างไหน!”
“มหัศจรรย์ขนาดนั้นเลย”
“คนเมื่อกี้ถ่ายได้ชัดหรือเปล่านะครับ”
……
พวกเขาพากันวิพากษ์วิจารณ์ แต่ละคนเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง นั่นเป็นเพราะในความคิดของพวกเขา นี่เป็นเรื่องเหลือเชื่อมากๆ ใครกระดูกหักมาโรงพยาบาลแล้วไม่ได้เอกซเรย์บ้าง เสร็จแล้วยังต้องตรวจและอาจต้องผ่าตัดด้วย…
ปกติจะทำตามขั้นตอนดังต่อไปนี้
เอกซเรย์!
ใช้มีดกรีด!
แหวกเนื้อหนัง!
ใส่เหล็กดาม!
ยึดตะปู!
มีใครทำเหมือนไอ้หนุ่มคนเมื่อกี้บ้าง แค่ขยับกุกกักก็หายแล้ว?
เป็นจอมยุทธ์ยอดฝีมือหรือไง
ทุกคนไม่เข้าใจ!
……
……
เมื่อกลับมาที่ห้องโถงของแผนกฉุกเฉินแล้ว ฉินเยว่ก็มองเฉินชางอย่างเหลือเชื่อ “เมื่อกี้…คุณ…นั่นมันอะไรน่ะ”
ฉางลี่น่ามีสีหน้าตื่นเต้น เขาเห็นเฉินชางขยับกุกกักจากนั้นอีกฝ่ายก็ดีขึ้นแล้ว ทำเอาตกใจจริงๆ!
“เสี่ยวเฉิน…ไม่สิ! จอมยุทธ์เฉิน? เมื่อกี้อะไร เคล็ดวิชาสุดโกงของยุทธภพเหรอคะ”
ใช่แล้ว! ในความคิดของฉางลี่น่า การกระทำเมื่อครู่นี้ของเฉินชางอยู่นอกเหนือความเข้าใจที่เธอมีต่อวิชาชีพแพทย์ไปแล้ว เห็นได้แต่ในโทรทัศน์ ทั้งยังมีแต่ในซีรีส์แนวจอมยุทธ์อีกด้วย ประมาณว่าตัวประกอบได้รับบาดเจ็บจนแขนหัก จากนั้นตัวละครเอกก็ขยับเข้ามารักษาให้รวดเร็วดั่งเสือ!
เฉินชางมองบน อะไรของพวกคุณวะครับ
“มันเป็นวิธีต่อกระดูกด้วยมือ ทักษะที่ใช้บ่อยๆ ในแผนกศัลยกรรมกระดูก”
“ตอนแรกผมอยากให้เขาเข้ามาเอกซเรย์ดูว่ากระดูกแตกหรือเปล่า แต่ทำยังไงเขาก็ไม่ยอมเข้ามา ผมจนปัญญาเลยได้แต่เคลื่อนกระดูกกลับที่ให้เขา ดีที่แค่ข้อต่อหลุดเลยไม่ต้องใส่เฝือก มันไม่ได้แฟนซีอย่างที่คุณพูดหรอก!” เฉินชางเห็นท่าทางของฉางลี่น่าก็อดยิ้มไม่ได้
ฉางลี่น่าชะงัก “ต่อกระดูกด้วยมือหรือคะ มันก็มีแค่ในหนังเหมือนกันนั่นแหละค่ะ ปัจจุบันนี้ใครจะมาต่อกระดูกด้วยมือได้อีก ฉันไม่เคยเห็น”
ขณะคุยกัน ฉางลี่น่าก็อยากลากเฉินชางไปคุยให้รู้เรื่อง
ฉินเยว่เคาะลงบนศีรษะของฉางลี่น่าเบาๆ จากนั้นจึงกล่าวด้วยท่าทางเหมือนคนยุคโบราณ “ไร้อารยะก็อ่านตำราให้มาก อย่าเอาแต่ซุบซิบนินทาทั้งวี่วัน ขายหน้า!”
ฉางลี่น่าตีหน้าระทมทุกข์ เฮ้อ วรยุทธ์ในความฝันของฉันถูกทำลายแล้ว!
……
……
เมื่อเฉินชางและฉินเยว่เก็บของเรียบร้อยแล้วก็เดินออกมาทางประตูใหญ่ของโรงพยาบาล เพิ่งออกมาจากโรงพยาบาล ฉินเยว่ก็เบิกตากว้าง ถามขึ้นด้วยสีหน้าสงสัย “เฉินชาง คุณต่อกระดูกด้วยมือเป็นตั้งแต่เมื่อไหร่กันคะ”
ฉางลี่น่าไม่เข้าใจเรื่องต่อกระดูกด้วยมือ แต่ฉินเยว่เข้าใจ!
ต้องทราบว่าสือน่าที่ฉินเยว่ติดตามอยู่หลายปีเป็นศัลยแพทย์กระดูก อีกฝ่ายพูดเรื่องเกี่ยวกับศัลยกรรมกระดูกให้ฟังไม่น้อย ทำให้ทราบว่าการต่อกระดูกด้วยมือเป็นทักษะที่เรียนรู้ได้ยาก ที่สำคัญก็คือปัจจุบันมีคนทำเป็นไม่มากแล้ว
หากผ่าตัดจะได้ทั้งเงินและความปลอดภัย มีอะไรไม่ดีบ้าง ในขณะที่วิธีการต่อกระดูกด้วยมือเป็นวิธีที่ค่อนข้างอันตราย หากทำผิดตำแหน่งจะทำให้เส้นประสาท เส้นเลือดและอวัยวะรอบๆ เสียหายจนอาการทรุดหนักยิ่งขึ้น วิธีการรักษาเช่นนี้มีแต่ปัญหา ใครก็ไม่อยากเห็น
นอกจากนี้ วิธีการต่อกระดูกด้วยมือจะต้องฝึกฝนและพัฒนาไม่หยุดหย่อน เช่นนี้จึงจะฝึกฝนทักษะออกมาได้ การที่หวังเซี่ยงจวินฝึกทักษะการต่อกระดูกด้วยมือได้นั้นเพราะเขาเจอผู้ป่วยมานับพันนับหมื่นคน ทั้งนี้เพราะเขาเป็นหมอที่เคยเข้าร่วมการช่วยเหลือในภัยแผ่นดินไหว
ดังนั้นทักษะการต่อกระดูกด้วยมือจึงมีคนทำได้น้อยลงทุกวันแล้ว!
เฉินชางเห็นสีหน้าอยากรู้อยากเห็นระคนเลื่อมใสของฉินเยว่ก็รู้สึกเหมือนมีดอกไม้ไฟปะทุในอก ความสุขท่วมท้นไปทั้งใจ
สาวน้อยข้างกายเลื่อมใสเขา ความรู้สึกนี้มันดีจริงๆ
เฉินชางยิ้ม “ตอนเป็นอินเทิร์น ผมเคยติดตามหมอในแผนกอยู่ระยะหนึ่ง ช่วยจัดการพวกปัญหาง่ายๆ จากนั้นก็อ่านหนังสือและคลำทางเอา…วันนี้เจอพอดี ลองใช้ดูแล้วผลลัพธ์ก็ไม่เลวเลย”
ฉินเยว่พึงพอใจยิ่งนัก เฉินชางสุดยอดขนาดนี้ เธอย่อมต้องดีใจ
“เจ๋ง!”
“สุดยอด!”
“ปังมากค่ะ!”
เฉินชางกระแอมออกมา เกินไปแล้ว อวยกันเกินไปไหม
ทั้งสองคุยไปหัวเราะไป มุ่งหน้าไปสู่ร้านหม้อไฟแพะที่เพิ่งเปิดใหม่
[ติ๊ง! สำเร็จภารกิจความเมตตาของผู้เป็นหมอ ได้รับรางวัล: ความรู้เรื่องกายวิภาคของร่างกายมนุษย์บางส่วนอย่างละเอียด สามารถเลือกระบบใดระบบหนึ่งของร่างกายได้ตามใจ เช่น ระบบย่อยอาหาร ระบบไหลเวียนโลหิต ระบบหายใจ เป็นต้น หลังฟังการบรรยายจบ คุณจะเชี่ยวชาญระบบนั้นๆ]
เมื่อเฉินชางเห็นแจ้งเตือนของระบบก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันที!
นี่เป็นของดี!
สิ่งแรกที่เฉินชางคิดถึงก็คือระบบประสาท!
มันเป็นระบบที่ทรมานที่สุด ขอบเขตความรู้ที่เรียนก็ยากที่สุด ดังนั้นจึงสมควรอย่างยิ่งที่จะเป็นระบบประสาท!
เฉินชางถูกการศึกษาเรื่องระบบประสาททรมานจนต้องนอนตาละห้อยอยู่บนเตียงมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว
หรือเขาจะเลือกตอนนี้เลย
แต่…เลือกไปแล้วก็ยังไม่ได้ใช้งานในเร็ววัน นี่คือสิ่งสำคัญ
คิดถึงตรงนี้เฉินชางก็ใจเย็นลงบ้างแล้ว เขาวิเคราะห์และพิจารณาให้ละเอียด จู่ๆ ก็คิดถึงระบบอีกระบบหนึ่งที่ไม่ใช่ระบบประสาท มันก็คือ ‘ระบบไหลเวียนโลหิต’
นี่คงเป็นความรู้ที่จำเป็นที่สุดสำหรับตนในปัจจุบันนี้แล้ว
เฉินชางคิดถึงการผ่าตัดเส้นเลือดในอีกไม่กี่เดือนหลังจากนี้ คิดไปคิดมาก็ตัดสินใจเลือกเรื่องระบบไหลเวียนโลหิต
อันที่จริง เรื่องเช่นนี้เอาไปใช้ประโยชน์ได้ดีทีเดียว…
ไม่ว่าเฉินชางเห็นระบบไหนก็อยากได้จนตาร้อนทั้งนั้น แต่ควรเลือกระบบที่เหมาะสมกับตนที่สุดเพียงระบบเดียว
[คุณเลือกระบบไหลเวียนโลหิต!]
……
ฉินเยว่เห็นเฉินชางนั่งเหม่อจึงถามด้วยความแปลกใจว่า “เป็นอะไรไปคะ ไม่หิวหรือ”
เฉินชางส่ายหน้ายิ้มๆ “เปล่าครับ!”
ฉินเยว่ร้องอ้อออกมา “ฉันก็นึกว่าคุณไม่หิวซะอีก ถ้าไม่หิวก็เอาชิ้นนั้นมาให้ฉันเถอะ อย่าเสียของ!”
เฉินชางจนคำพูด “…”
มีแฟนสาวเป็นนักชิมมันให้ประสบการณ์แบบนี้นี่เอง
เฉินชางจนปัญญาจริงๆ! มองฉินเยว่แล้วถอนใจออกมา เธอไม่ใช่ยัยหมาน้อยขี้ประจบแล้วแหละ เธอมันยัยหมาป่าจอมตะกละ!
ขณะกำลังกินข้าว จู่ๆ ฉินเยว่ก็คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “เฉินชาง นี่กระดูกสันหลังแพะท่อนที่เท่าไหร่คะ”
เฉินชางพูดอะไรไม่ออก ได้แต่กลอกตาใส่ “คุณเป็นคนอยู่หรือเปล่า ผมต้องไปศึกษาเรื่องกระดูกสันหลังแพะด้วยเหรอ!”
ดวงตาฉินเยว่เป็นประกาย เปลี่ยนท่าทางกลับไปเป็นยัยขี้ประจบน้อยเหมือนเดิม พูดด้วยสีหน้านับถือว่า “ไม่ใช่ว่ารู้ทุกอย่างเหรอคะ”
เฉินชางได้ยินดังนั้นก็ราวกับมีประทัดระเบิดอยู่ในอก เกือบถามระบบออกไปแล้วว่า ผมเสียใจทีหลังได้ไหม ไม่เลือกระบบไหลเวียนโลหิตแล้วได้ไหม เลือกระบบกระดูกแทนได้ไหม!
ไม่ใช่เพราะอะไร แต่ถ้าหลังจากนี้มากินหม้อไฟแพะกันอีก ผมจะได้โชว์เหนือ!
เฮ้อ!
เฉินชางทอดถอนใจออกมา ไม่แปลกใจเลยที่คนโบราณกล่าวกันว่านารีเป็นเหตุ!
เฮ้อ…บาปกรรม!
จู่ๆ เฉินชางก็คิดว่า ดูเหมือนคืนนี้…อาจารย์เมิ่งจะไม่ได้พักผ่อนแล้วละ แย่แน่…