เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ – บทที่ 436 ผมอยากมีชีวิตอยู่อีกห้าร้อยปีจริงๆ!

เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ

บทที่ 436 ผมอยากมีชีวิตอยู่อีกห้าร้อยปีจริงๆ!

ไม่ทันไรก็ถึงวันเสาร์แล้ว ตั้งนานแล้ววารสารแพทย์ BMJ ก็ยังไม่ตอบกลับจนเฉินชางเริ่มหมดหวัง ตอนแรกคิดจะทำให้ผู้คนตกตะลึงในงานสัมมนาประจำปีเสียหน่อย แต่ดูแล้วคงไม่มีโอกาส

“คิดอะไรอยู่คะ”

ในขณะที่เฉินชางกำลังคิดติดพัน เสียงกระจ่างใสเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นขัดความคิด เฉินชางหันมายิ้มมองยัยขี้ประจบฉิน อารมณ์ดีขึ้นมาเล็กน้อย

“งานสัมมนาประจำปีของศัลยแพทย์ คุณจะไปด้วยหรือเปล่าครับ” เฉินชางถามอย่างสงสัย “ถ้าคุณยอมไป…ผมจะช่วยขอบัตรเชิญให้คุณ!”

เฉินชางคิดว่าตอนนี้ตนพอจะมีหน้ามีตาในวงการศัลยกรรมตับและถุงน้ำดีอยู่บ้าง นอกจากนั้นความสัมพันธ์ของเขากับพวกคนใหญ่คนโตเหล่านั้นก็ค่อนข้างดีเลยทีเดียว เช่นคุณฝู หัวหน้าเฉียนเลี่ยง หรือถ้าสูงกว่านั้นก็ยังมีหัวหน้าโจวหงกวง!

แต่ฉินเยว่กลับยิ้มอย่างไม่ใส่ใจนัก “เจ๊เยว่ของคุณเป็นสมาชิกสมาคมนานแล้วค่ะ! ต้องให้คุณช่วยผลักดันด้วยเหรอคะ เสี่ยวชางเอ๋อร์”

เฉินชางชะงัก ถึงกับอึ้งไปชั่วครู่เลยทีเดียว ก็จริง ถึงอย่างไรไม่ว่าจะสภาพครอบครัว สถาบันการศึกษา หรือประวัติการศึกษาของฉินเยว่ก็ดีมาก เพิ่งเข้ามาทำงานที่โรงพยาบาลก็ได้บรรจุแล้ว ย่อมเข้าสมาคมได้ง่าย

ที่สำคัญก็คือฉินเสี้ยวหยวนผู้เป็นพ่อของเธอคือผู้อำนวยการโรงพยาบาลใหญ่ มีตำแหน่งใหญ่โตเช่นนี้ ถ้าอยากเข้าสมาคมไม่ใช่ว่าเป็นเรื่องง่ายดายหรอกหรือ

ตอนนี้เอง จู่ๆ ฉินเยว่ก็หันมาหัวเราะฮี่ๆ มองเฉินชาง ดวงตาหยีโค้ง กรีดนิ้วชี้ข้างขวาออกมาเชยคางเฉินชาง มองเขาด้วยสายตามั่นใจเจือหยอกล้อ

“ชางเอ๋อร์ เจ้ารับผิดชอบประทินโฉมงดงามสวมอาภรณ์เลิศล้ำดั่งบุปผา ส่วนข้าจักสวมเกราะถือหอกช่วงชิงใต้หล้ามาให้เจ้า เป็นอย่างไร”

พูดจบ เธอก็เว้นช่วงไปประมาณสามวินาที “พิจารณาดูให้ดี!”

เฉินชางอึ้งไปหมดแล้ว! เห็นสายตายั่วยุเจือหยอกเย้าของฉินเยว่ เฉินชางก็อยากหัวเราะจริงๆ

ถ้าอาจารย์เมิ่งซีทำเช่นนี้ บางทีคงทำให้ใจวาบหวิว ยากจะยับยั้งขึ้นมาก็ได้!

แต่ยัยหมาน้อยขี้ประจบคนนี้เป็นพวกน่ารักบ้องแบ๊วแต่กำเนิด ดวงตากลมโตคล้ายจะมีประกายสุกใสและซุกซนไม่จบไม่สิ้น การกระทำเช่นนี้กลับทำให้เฉินชางต้องคว้ามือเธอไว้อย่างอดไม่อยู่ ออกแรงเล็กน้อย ดึงเธอเข้ามา

เฉินชางดึงข้อมืออีกข้างหนึ่งของฉินเยว่ ทำให้เธอเข้าสู่อ้อมกอดของตน!

ยัยน่ารักนี่! ซนจริงๆ!

ฉินเยว่ที่ตอนแรกยังสวมบทบาทไม่ทันจกลับถูกเฉินชางดึงเข้าสู่อ้อมกอดไปแล้ว ทำให้เธอตะลึงจนตาค้าง สมองยังไม่ส่งปฏิกิริยากลับมา ตัวเองก็ถูกเฉินชางแบกขึ้นบนบ่าไปแล้ว! ทำเอาเธอตกใจจนสะดุ้ง!

“เฉินชาง วางฉันลงเดี๋ยวนี้!”

เฉินชางยืดตัวขึ้น ทำเป็นหูหนวก!

มือซ้ายกอดขาทั้งสองของเธอไว้ แบกฉินเยว่ขึ้นบ่า เฉินชางแบกเธอในสภาพเช่นนี้พลางเดินไปยังจุดหมาย

บรรยากาศในสวนสาธารณะตอนสามทุ่มดีมาก ลมฤดูใบไม้ร่วงไม่หนาวไม่ร้อน เย็นกว่าฤดูใบไม้ผลิไม่เท่าไร แต่กลับให้บรรยากาศอันเป็นเอกลักษณ์ของฤดูใบไม้ร่วง

ในสวนมีกลิ่นหอมจากดอกกุหลาบและดอกหอมหมื่นลี้มากมายที่ผลิบาน ให้ความรู้สึกเบาสบาย ทั้งยังมีดอกเก๊กฮวยที่อยู่ใต้เสาไฟ ทำให้ดูเปล่งประกายเป็นพิเศษ

ดูถึงตรงนี้จู่ๆ เฉินชางก็รู้สึกเหมือนเลือดกระหน่ำสูบฉีด! เขาตีก้นฉินเยว่เบาๆ สองครั้ง ปากก็ระบายรอยยิ้มพูดขึ้นว่า “อวดดีจริงๆ! ไม่ตีสามวันก็ซนขนาดนี้แล้ว กล้าหยอกผมเล่นแล้วเหรอ!”

ฉินเยว่รู้สึกราวกับมีอารมณ์แปลกประหลาดระลอกหนึ่งแผ่ซ่าน ใบหน้าแดงก่ำไปโดยพลัน!

แต่เธอถูกเฉินชางแบกอยู่เช่นนี้จนหน้าคว่ำไปด้านหลัง ให้ความรู้สึกเหมือนถูกจอมโจรภูเขาในยุคโบราณปล้นชิงตัวไปอย่างไรอย่างนั้น!

“เฉินชาง วางฉันลงนะ!”

เฉินชางไม่เพียงไม่สนใจ แถมยังตีก้นไปอีกครั้งหนึ่งด้วย คราวนี้ไม่หนักไม่เบา แรงกำลังพอดี!

ฉินเยว่ตะโกนอีกครั้ง “ตาบ้าเฉิน ปล่อยคุณหนูอย่างข้าลงเดี๋ยวนี้!”

เฉินชางชะงักไป ยัยนี่ยังมีอารมณ์สวมบทบาทอีกเหรอ

ด้วยเหตุนี้เขาจึงตีไปอีกครั้ง! แต่ครั้งนี้เขาพูดเสริมไปอีกประโยคหนึ่งว่า “แม่นางน้อย กลับภูเขาไปกับผู้ยิ่งใหญ่เช่นข้า ไปเป็นฮูหยินประจำคฤหาสน์เถิด! ไปร่วมทุกข์ร่วมสุขกับผู้ยิ่งใหญ่เช่นข้า!”

ฉินเยว่หน้าแดง “เจ้าหมาบ้า ต่อให้ตายเป็นผีข้าก็จะไม่ยอมปล่อยเจ้าไปแน่!”

เฉินชางหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจนัก เพียงแต่แรงที่ใช้ตีเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย “คุณชายเช่นข้าเป็นพวกใจกล้าแต่กำเนิด แม่นางงดงามขนาดนี้ จะไม่ส่งตัวถึงประตูบ้านได้อย่างไร!”

ฉินเยว่คล้ายเสพติดไปแล้ว ยิ่งแสดงก็ยิ่งอิน น้ำเสียงคละเคล้าไปด้วยความโศกเศร้า “เจ้าหมาบ้าเฉิน! ต่อให้เจ้าได้ตัวข้า เจ้าก็จะไม่ได้ใจข้า!”

เฉินชางได้ยินดังนั้นก็หัวเราะออกมา “เช่นนี้ยังไม่พออีกหรือ”

เพียงแต่…เพิ่งจะตีลงไปอีกครั้ง จู่ๆ เฉินชางก็ถูกภาพตรงหน้าทำเอาเขาเย็นยะเยือก!

เขาเห็นฉินเสี้ยวหยวนผู้เป็นพ่อตาและจี้หรูอวิ๋นผู้เป็นแม่ยายเดินเข้ามาหาพอดี! แถมพวกเขายังเห็นฉินเยว่ถูกเฉินชางแบกอยู่บนบ่าเข้าพอดีด้วย อีกทั้ง…ตอนนี้มือของเฉินชางก็ยังวางอยู่บน…ของลูกสาวพวกเขา!

ชั่วขณะนี้ ดวงตาทั้งสามคู่คล้ายส่องประกายวาบวับ เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกภายใต้แสงไฟ!

เหล่าฉินรู้สึกเหมือนเส้นประสาทบนใบหน้าตนเองกระตุกเกร็ง เพียงแต่…ไม่รู้ว่าเป็นเส้นประสาทใดในเส้นประสาททั้งสิบสองบริเวณใบหน้า!

จี้หรูอวิ๋นรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเธอแพ้กลิ่นหอมของดอกไม้ในวันนี้หรือเปล่า!

เฉินชางลดมือที่วางอยู่ตรงส่วนนั้นของฉินเยว่ลง รู้สึกเหมือนเส้นประสาทชาไปแล้ว อืม ถึงอย่างไรก็ขยับไม่ได้อยู่ดี!

ตอนนี้เอง ฉินเยว่ที่ดูเหมือนเข้าถึงบทบาทไปถึงจิตวิญญาณแล้วก็พูดขึ้นว่า “สามี เบามือกับภรรยาหน่อยนะเจ้าคะ…”

น้ำเสียงอ่อนหวานเต็มไปด้วยเสน่ห์ยั่วเย้า คละเคล้าไปด้วยความเชิญชวนเล็กน้อย ให้ความรู้สึก…คันยุบยิบ

ขณะนี้ทั้ งสามตะลึงพรึงเพริดจนตาค้างไปแล้ว!

ไม่ทราบว่าเพราะอะไร! พวกเขาคล้ายสับสนมึนงงและเหมือนสูญเสียอะไรบางอย่าง!

สายลมในวันนี้ ส่งเสียงดังจริงๆ!

……

ทันใดนั้นเฉินชางก็กลืนน้ำลายอึกใหญ่ รู้สึกเหมือนลำคอแห้งผาก ใจเต้นกระสับกระส่าย

เหล่าฉินรีบดึงจี้หรูอวิ๋นให้หันมาแล้วกลับหลังหัน พูดขึ้นว่า “เฮ้อ ภรรยาข้า ทำไมข้ารู้สึกตาพร่าจัง มองอะไรไม่เห็นเลย!”

จี้หรูอวิ๋นก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเบาหวิว “โอ้ สามี ข้าก็ด้วยเจ้าค่ะ แล้วก็…รู้สึกเหมือนมีเสียงดังวิ้งๆ ในหู ไม่ได้ยินอะไรเลย เป็นอะไรกันแน่นะ”

ฉินเสี้ยวหยวนเข้าสู่บทบาทได้อย่างรวดเร็ว ถึงกับกล่าวต่อไปว่า “รีบกลับบ้านเถอะ ข้าอยากพักแล้ว!”

จี้หรูอวิ๋นพยักหน้า!

ทั้งสองรีบร้อนเดินจากไป เฉินชางเห็นดังนั้นก็ตกตะลึงจนตาค้างไปอีกรอบ!

นี่มัน…อัศจรรย์เกินไปไหม!

ไม่รู้ว่าเพราะอะไร คิดไม่ถึงว่าผู้อำนวยการฉินจะมีปฏิกิริยาเช่นนี้กลับมา

ผู้อำนวยการก็คือผู้อำนวยการ ยิ่งคิดก็ยิ่งนับถือ

ว่าแต่ว่า…ครอบครัวนี้มันบ้านฉินการละครได้ขนาดนี้เลยหรือ…

คิดถึงปฏิกิริยาเมื่อครู่นี้ของผู้อำนวยการฉินแล้ว เฉินชางก็เหงื่อแตกพลั่ก

คิดถึงตรงนี้ จู่ๆ สัมผัสที่มือก็กลับมา จากนั้นก็บีบไปเล็กน้อย

อืม ไม่เลว ตรงไหนก็ดีไปหมด!

ถ้างั้น…ลงไปอีกหน่อยแล้วกัน?

คิดแล้วเฉินชางก็ลองดู!

ขณะที่เฉินชางคิดจะลองดูอีกครั้ง เสียงฉินเยว่ก็ดังขึ้นข้างหู “ชีวิตสำคัญอยู่นะคะ!”

เฉินชางหน้าซีดไปทันที! เขารีบวางฉินเยว่ลงทันควัน จากนั้นก็กระแอมแล้วพูดว่า “เอ่อ…คือ…เมื่อกี้ผมเส้นประสาทมือกระตุก ขยับไม่ได้!”

ฉินเยว่หรี่ตามองเฉินชาง จากนั้นก็พูดยิ้มๆ “งั้นเหรอคะ”

เฉินชางพยักหน้าอย่างจริงจัง ในดวงตาเต็มไปด้วยความใสซื่อบริสุทธิ์ แต่เมื่อคิดได้ว่าวิชาป้องกันตัวของฉินเยว่อยู่ในระดับสายดำแล้ว เฉินชางก็เริ่มกระสับกระส่าย

จู่ๆ เขาก็คิดถึงผู้อำนวยการฉินขึ้นมา พวกคุณอย่าไปเลย…ผมยังอยากมีชีวิตอยู่ต่ออีกสักห้าร้อยปี…

ฉินเยว่หรี่ตาตามองเฉินชาง “สบายดีแล้วเหรอคะ”

เฉินชางรีบพยักหน้าอย่างจริงใจ “อืม!”

เห็นประกายสังหารในดวงตาของฉินเยว่ เฉินชางก็ตัดสินใจว่าจะวิ่งไปก่อนสักสิบเมตรแล้วค่อยว่ากัน ไม่แน่ว่าตัวเองอาจมีทางถอย อาจมีชีวิตอยู่ต่อไปได้!

คิดแล้วเขาวิ่งหนีไปทันที!

ฉินเยว่เก็บใบไม้ขึ้นมาสองใบแล้วซัดใส่เฉินชาง น่าเสียดายที่เธอไม่เคยเรียนเคล็ดวิชาดรรชนีเด็ดบุปผา จึงทำได้เพียงไล่ตามไปด้วยท่าทางเย่อหยิ่ง “เจ้าหมาบ้า หยุดเดี๋ยวนี้! เรียกข้าว่าท่านยายแล้วจะไว้ชีวิตเจ้า!”

ตอนนี้เฉินชางหยุดไม่ได้แล้ว! เขาสาบานเลยว่า ถ้าเอาเปรียบอีกฝ่ายแล้วต้องรีบวิ่งหนี ถึงอย่างไรเขาก็ขายาวกว่า!

บทที่ 429 ความกังวลของอาจารย์เมิ่ง

ภายในห้องพักของหมอฝึกงาน ทุกคนกำลังสนทนากัน

“เฮ้อ อาจารย์ที่ผมติดตามเป็นอาจารย์ที่จบแค่ปริญญาตรี เข้ามาทำงานที่แผนกฉุกเฉินสามปี เดาว่าฝีมือคงไม่ดีไปกว่าผมหรอก!” ชายคนหนึ่งทอดถอนใจ “คงใช้ผมเขียนแต่ประวัติผู้ป่วย!”

“รัฐบาลให้มาฝึกงานเพื่อพัฒนาพวกเรา แต่ตอนนี้ดูแล้วดูเหมือนฝีมือหมอพวกนั้นยังเทียบพวกเราไม่ได้เลย!” ชายอีกคนหนึ่งพูดยิ้มๆ

พวกเขามาฝึกงานที่โรงพยาบาลอื่นก็เพราะใบรับรอง หากได้ใบรับรองจะได้รับพิจารณาตำแหน่งงานง่ายกว่า หลายคนมีอายุงานไม่น้อยแล้ว ที่สามสิบกว่าปีก็มี ที่สี่สิบกว่าปีก็มาก

“เสี่ยวสวี หมอที่คุณต้องติดตามคนนั้น ผมได้ยินว่าเขาก็จบแค่ปริญญาตรี ส่วนคุณเรียนปริญญาโทแล้ว ไม่แน่ว่าต้องสอนเขาอีก” ชายอายุสามสิบกว่าปีคนหนึ่งพูดด้วยรอยยิ้ม

สวีตงตงได้ยินแล้วก็ทำเพียงยิ้มแต่ไม่ได้พูดอะไร เขาดูออกว่าความรู้ของเฉินชางเหนือเขาไปไกลแล้ว

“ประสบการณ์ด้านงานคลินิกของหมอทุกท่านมากกว่าพวกเราเยอะ สิ่งที่ได้เรียนรู้ก็มีไม่น้อยเลยนะครับ” สวีตงตงยิ้ม นี่ไม่ใช่การพูดแก้ตัวให้ใคร แต่หากจะให้เขาพูดจาว่าร้ายเฉินชาง เขาคิดว่าไม่จำเป็น

ในห้องมีหมอฝึกงานสี่คน อยู่ที่แผนกฉุกเฉินทั้งหมด ทุกคนอายุประมาณสามสิบกว่าปี สวีตงตงมีประวัติการศึกษาสูงที่สุดแต่อายุน้อยสุด

“ฮ่าๆ เสี่ยวสวี คุณยังเด็กเกินไป ผมจะบอกคุณให้ ที่โรงพยาบาลอันดับสองไม่ใช่ว่าหมอทุกคนจะมีความสามารถกันหมดนะครับ หมอหลายคนก็เข้ามาเพราะเส้นสาย!” ชายที่เริ่มพูดเป็นคนแรกจงใจภูมิ

สวีตงตงคิดว่าถกกับพวกเขาเรื่องนี้ก็ไม่มีความหมาย จึงทำเพียงพยักหน้ายิ้มๆ

สวีตงตงทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลประชาชนแห่งอำเภอหลันได้สองเดือนแล้ว เขาพบว่าโรงพยาบาลใหญ่กับโรงพยาบาลเล็กแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดอยู่จุดหนึ่ง นั่นก็คือหากทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลเล็กๆ นานวันเข้าจะทำให้กลายเป็นคนไม่ชอบเรียนรู้ อาจเป็นเพราะบรรยากาศการแข่งขันต่ำ มีความปลอดภัยในหน้าที่การงานสูง หรืออาจเป็นเพราะสาเหตุอื่น…

โดยปกติหมอเหล่านี้จะเห็นการรักษาเป็นส่วนหนึ่งของงาน แต่ไม่ใช่ภารกิจที่ต้องทำให้สำเร็จ การแข่งขันไม่ได้วัดกันที่ทักษะการรักษา หรือฝีมือทางการเรียนรู้ แต่เป็นเรื่องของเส้นสาย

พวกเขามองหลายสิ่งหลายอย่างเป็นคอนเน็คชันและความสัมพันธ์ แต่ความจริงสาเหตุของสิ่งเหล่านั้นก็เพียงเพราะความเหนื่อยล้าในการพัฒนาตนเองเท่านั้น ในความคิดของสวีตงตง คอนเน็คชันที่แท้จริงขึ้นอยู่กับความสามารถในการพัฒนาตนเองแต่ละด้าน ไม่ว่าจะความสามารถในการทำงาน ความสามารถในกิจการ ตลอดจนความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม

แน่นอน ไม่ใช่ทุกคนจะเป็นเช่นนี้ แต่สวีตงตงคิดว่าหลายคนมีความคิดเช่นนี้

ทันใดนั้นสวีตงตงก็ย้อนคิดไปถึงตอนที่ตนเซ็นสัญญากับโรงพยาบาลประชาชนแห่งอำเภอหลัน อาจารย์หมอปริญญาโทคนหนึ่งพูดกับเขาอย่างจริงใจว่า “เสี่ยวสวี ต่อไปอย่าสะดวกสบายจนเคยตัว อย่าลืมขยันเรียนรู้ อย่าตามคนมากกว่าตามงาน”

ตอนนี้เขาเข้าใจประโยคนี้ลึกซึ้งขึ้นแล้ว

โรงพยาบาลอันดับสองจะเป็นอย่างไร เขาไม่ขอวิจารณ์ชั่วคราว แต่เขามาอยู่ที่นี่ได้วันหนึ่งแล้ว เขาสังเกตหมอที่นี่อยู่ตลอด ไม่ว่าจะอายุมากอายุน้อย ประวัติการศึกษาสูงหรือต่ำ ปกติหากมีเวลาก็จะพูดคุย หรือถกปัญหาเกี่ยวกับเคสต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานคลินิก หรือเรื่องการเรียนรู้ หากมีเวลาว่างทุกคนก็จะอ่านหนังสือ

นี่ไม่ใช่สิ่งที่เสแสร้งออกมา แต่เป็นความเคยชิน!

ความแตกต่างนี้เห็นได้ชัดมาก

ชายวัยกลางคนอีกสามคนที่อยู่ในห้องนี้ พอกลับมาแล้วก็เอาแต่คุยเล่น โทรหาคนที่บ้าน ไม่ก็ดูคลิปวิดีโอ ส่วนสวีตงตงก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดดูคลิปผ่าตัด

ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นความเชี่ยวชาญของเขา ควรพัฒนาเสียหน่อย

……

……

ณ ห้องพักหมอแผนกศัลยกรรมหัวใจแห่งโรงพยาบาลตงต้า

เมิ่งซีนั่งไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้ ปลดกระดุมเสื้อกาวน์ออกเม็ดหนึ่งเพื่อให้สบายตัว สองมือยกขึ้นกอดอก กำลังครุ่นคิดบางอย่าง

ทำไมช่วงนี้เฉินชางไม่มา

เพราะเธอทำอะไรไม่ดีหรือ

เพราะเธอเข้มงวดเกินไปหรือ

หรืออาจเป็นเพราะเธอยังใส่ใจเขาไม่พอหรือเปล่า

เมิ่งซีทำเรื่องนี้เป็นครั้งแรก แต่ไหนแต่ไรเธอไม่เคยเป็นอาจารย์ใคร จู่ๆ เฉินชางก็ไม่มา เธอจึงคิดเอาเองว่าตนไม่ดีตรงไหนหรือเปล่า! อันที่จริงเธอพอใจเฉินชางมากเลยทีเดียว

มั่นคง ขยัน พยายาม แสวงหาความก้าวหน้า!

ที่สำคัญที่สุดคือมีพรสวรรค์!

สุดยอดกว่าเพื่อนร่วมชั้นเรียนของเธอที่มีโชคชะตาไม่ธรรมดาและถูกขนานนามว่าอัจฉริยะเหล่านั้นเสียอีก

แต่ทำไมเฉินชางไม่มา

เมิ่งซีเป็นคนประเภทที่หากเจอเหตุการณ์อะไรมักจะคิดทบทวนตัวเองก่อน เธอกำลังคิดว่าวิธีที่เธอใช้สอนเฉินชางมีปัญหาหรือไม่ บางที…เฉินชางอาจคิดว่าเธอสอนเขาไม่ได้

เมิ่งซีคิดถึงการผ่าตัดสองสามเคสที่ผ่านมาพลันต้องหน้าแดง การผ่าตัดเหล่านั้น เธอแสดงฝีมือไม่ได้เลยจริงๆ ไม่แน่ว่าเฉินชางอาจมองเธอเป็นพวกไร้ความสามารถแล้วก็ได้!

คิดถึงตรงนี้ ในสมองของเมิ่งซีก็มีโทสะขึ้นมาแล้ว มองดูหมอทั้งสามคนที่อยู่ข้างๆ แต่ละคนจบการศึกษาระดับปริญญาเอก ยังไม่แต่งงาน มีความขยันเลือดร้อน เต็มไปด้วยความกล้าหาญพร้อมสู้ ตัวสั่นระริกระประหนึ่งเดินอยู่บนน้ำแข็งแผ่นบางๆ!

แต่เมิ่งซีไม่สนใจ ในสมองของเธอกำลังพิจารณาเพียงว่าต้องทำอย่างไรจึงจะเป็นตัวละครอาจารย์เมิ่งที่ดีได้

อย่างแรกเธอคิดว่าตัวเองควรปรามเฉินชางให้อยู่ ทำให้เขารู้ถึงความร้ายกาจของตน! แต่ก่อนหน้านั้นเธอควรพูดกับเฉินชางดีๆ ก่อนหรือเปล่า ให้รู้ว่าเขาอยากเรียนอะไร จากนั้นค่อย…

……

……

เฉินชางเลิกงานแล้วก็ไม่ได้เสียเวลาไปพลอดรักกับยัยขี้ประจบฉิน เขารีบร้อนเดินทางมาที่แผนกศัลยกรรมหัวใจของโรงพยาบาลตงต้าทันที

ยัยขี้ประจบฉินส่งข้อความมาให้ประโยคหนึ่ง ‘ห้ามวอแวหมอสาว!’

เฉินชางเหงื่อแตก

สัญชาตญาณผู้หญิงแม่นขนาดนี้เชียวหรือ

อีกอย่างผมแค่อยากทำให้อาจารย์หญิงของผมเซอร์ไพรส์เท่านั้นเอง!

เฉินชางคิดว่าความคิดของตัวเองบริสุทธิ์ผุดผ่อง ไร้เดียงสา บริสุทธิ์ไปถึงจิตวิญญาณ!

แต่จะใช้คำว่า ‘วอแว’ กับอาจารย์ก็ไม่ค่อยเหมาะสมจริงๆ

ใช้เวลาไปสิบนาที ในที่สุดเฉินชางก็มาถึงแผนกศัลยกรรมหัวใจของโรงพยาบาลตงต้าแล้ว

เดิมทีคิดว่าอาจารย์เมิ่งอาจไม่พอใจ แต่พอมาถึงแล้วเมิ่งซีกลับทำเพียงยิ้มบางๆ “มาแล้วหรือ!”

เฉินชางชะงักเล็กน้อย แต่ก็ยังพยักหน้าตอบ รู้สึกไม่ค่อยชินเท่าไหร่…ทำได้เพียงยิ้มแข็งทื่อ “เอ่อ…อาจารย์เมิ่ง ช่วงนี้มีเรื่องเล็กน้อย คือเมื่อวาน…”

เมิ่งซีสายหน้า พูดพร้อมรอยยิ้มว่า “ไม่เป็นไรค่ะ”

ตอนอยู่ที่วิทยาลัยแพทย์แคโรลินสกา เมิ่งซีเคยช่วยสอนมาแล้ว ทว่าแค่เรื่องดูแลนักศึกษาปริญญาโทคนหนึ่งกลับทำให้เธอรู้สึกกดดัน ยิ่งไปกว่านั้น คนที่ดูแลยังเป็นนักศึกษาปริญญาโทที่มีพรสวรรค์และพรแสวงอีกด้วย!

แต่…ไม่ว่าจะอย่างไร จะขี้ขลาดไม่ได้ จะต้องแสดงให้เห็นถึงทัศนคติของผู้เป็นอาจารย์

เธอคิดว่าควรใจกว้างกับเฉินชางให้มาก ทางที่ดีต้องแสดงความเข้มงวดของอาจารย์ออกมาด้วย และห้ามขาดความใส่ใจเป็นอันขาด

ยากจริงๆ…

ทุกคนล้วนต้องมีครั้งแรกกันทั้งนั้น ขอเพียงเดินก้าวแรกให้ได้ก็พอแล้ว คิดถึงตรงนี้ เมิ่งซีก็ถอนใจออกมา

ผู้เป็นอาจารย์ต้องสั่งสอนลูกศิษย์ด้วยกระบวนการสามอย่าง นั่นก็คือ ถ่ายทอดความรู้ สั่งสอนให้เข้าใจ และช่วยคลายข้อสงสัย

เธอควรสอนนักเรียนตามความถนัด ช่วยคลายข้อสงสัยในจุดที่เฉินชางไม่ทราบ

คิดถึงตรงนี้ เมิ่งซีก็ตัดสินใจคุยกับเฉินชางดีๆ เธออยากรู้ว่าเฉินชางต้องการเรียนอะไรกันแน่ “เสี่ยวเฉิน เธอวางแผนเกี่ยวกับการเรียนปริญญาโททั้งสามปีของตนเองไว้ยังไงบ้าง”

เฉินชางชะงักไปเล็กน้อย คิดๆ ดูแล้ว ถ้าจะมีแผนอะไรจริงๆ คงเป็น…เพิ่มค่าความรู้สึกดีให้ถึงหนึ่งร้อย จากนั้นก็ใช้ค่าความรู้สึกดีทุกวัน!

หากพูดให้ละเอียดขึ้นสักหน่อยก็คือ ทำให้อาจารย์เมิ่งประหลาดใจทุกวัน

เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ

เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ

Status: Ongoing

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท