บทที่ 462 โดนอะไรกระตุ้นมา
ฉินเสี้ยวหยวนไม่ได้โกรธ อย่างมากก็แค่รู้สึกจนใจ! แต่เขาจนใจกับลูกสาวตัวเอง ไม่เกี่ยวกับเฉินชางแม้แต่น้อย เขารู้ดีว่าเฉินชางทำเรื่องเช่นนี้ไม่ได้แน่ๆ นี่ต้องไม่ใช่ความคิดเสี่ยวเฉินแน่นอน ที่อีกฝ่ายพูดเช่นนี้ก็เพื่อยอมรับความผิดแทนฉินเยว่!
คิดแล้วฉินเสี้ยวหยวนก็โกรธไม่ลง กลับรู้สึกเบิกบานใจมากกว่า เพราะนี่แสดงให้เห็นว่าเฉินชางมีความรับผิดชอบ รู้จักปกป้องฉินเยว่ด้วย นับว่าเป็นเป็นสุภาพบุรุษ!
คนเป็นพ่อแม่จะไม่เข้าใจลูกสาวตัวเองเชียวหรือ
จี้หรูอวิ๋นมองเฉินชาง อดยิ้มไม่ได้เช่นกัน
เด็กคนนี้ ยิ่งมองก็ยิ่งไม่เลว ไม่เพียงแต่จะมีความสามารถสูง ทั้งยังเป็นคนดีอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ฉินเยว่ที่อยากปกป้องว่าที่สามีได้ยินดังนั้นก็รู้สึกไม่พอใจ จึงรีบบอกไปว่า “พ่อคะ แม่คะ นี่ไม่ใช่ความคิดของเฉินชางนะคะ อย่าตำหนิเขาเลย!”
“เป็นเพราะหนูเอง เมื่อคืนหนูเห็นว่าสูทของเฉินชางใส่ไม่ได้แล้ว แล้วเขาก็ยุ่งทั้งวัน เหนื่อยจนทำอะไรไม่ไหว หนูอยากให้เขาพักผ่อนเร็วๆ เลยไม่ได้ไปซื้อกัน คิดว่ายืมของพ่อมาใส่ก่อนแล้วค่อยไปซื้อ…”
ฉินเสี้ยวหยวนพูดยิ้มๆ ว่า “เอาละ พ่อไม่โกรธ ไม่ได้เอาไปใส่จนขาดสักหน่อย อีกอย่าง เสี่ยวเฉินใส่แล้วก็เหมาะมาก!”
“ลูกคนนี้นี่ มีอะไรก็มาบอกพ่อตรงๆ ได้เลย คนเป็นพ่อจะทำให้ลูกไม่ได้เชียวเหรอ ยังมาทำตัวลับๆ ล่อๆ กับพ่ออีก!”
ฉินเยว่ได้ยินดังนั้นก็ยิ้มกว้างออกมาทันที
ที่เหล่าฉินไม่ให้เสื้อไปเลย ไม่ใช่เพราะตัดใจไม่ได้ แต่เขารู้สึกว่าไม่ค่อยเหมาะสมนัก ถ้าตนยังไม่ได้ใส่ก็ยังดี แต่เสื้อตัวนี้เขาใส่ไปแล้ว หากมอบให้เฉินชาง เขากลัวว่าอีกฝ่ายจะรังเกียจ
ฉินเสี้ยวหยวนเป็นผู้นำมาชั่วชีวิต จึงค่อนข้างคิดมาก
เมื่อเห็นพ่อแม่ไม่โกรธ ฉินเยว่จึงคลายใจลงได้บ้าง เธอพูดยิ้มๆ ว่า “พ่อคะ ที่จริงพอเฉินชางใส่เสื้อตัวนี้แล้วก็ถือว่าได้เพิ่มรัศมีให้เสื้อของพ่อนะคะ! พ่อว่าใช่หรือเปล่า ตอนนี้มันมีความพิเศษขึ้นมาแล้วนะคะ”
ฉินเสี้ยวหยวนและจี้หรูอวิ๋นได้ยินฉินเยว่กล่าวเช่นนี้ก็ยิ้มออกมา
ตอนเที่ยง ทั้งสี่ไม่ได้กินข้าวในโรงแรม พวกเขาออกไปกินข้าวกันที่ร้านอาหารดีๆ แห่งหนึ่งด้วยกันโดยมีเหล่าฉินเป็นเจ้ามือ
……
……
เมื่อมีเฉินชางเข้ามาเพิ่ม ทำให้ครอบครัวสามคนดูคึกคักขึ้นมา
ทันใดนั้น เฉินชางก็คิดขึ้นมาได้ว่าอีกไม่นานจะเป็นวันเกิดของแม่เขาแล้ว ดังนั้นเขาจะต้องจัดตารางงานให้ดี เพราะเขาตัดสินใจแล้วว่าพอถึงเวลาจะพาฉินเยว่กลับบ้านไปร่วมงานวันเกิดแม่เขาด้วยกัน
ช่วงสองปีก่อนเขายุ่งทุกปี ปลีกตัวไปไม่ได้จริงๆ และเขาก็เป็นพนักงานใหม่จึงเกรงใจหากจะต้องขอแลกเวรกับคนอื่น ทว่าตัวเขาเองก็ทำงานให้คนอื่นไม่น้อยเลยทีเดียว
โรงพยาบาลอันดับสองของมณฑลนี้ไม่ใช่โรงพยาบาลที่ยอดเยี่ยมมากมายนัก เพื่อที่จะยกระดับคุณภาพการบริการของโรงพยาบาลและเพิ่มจำนวนผู้มาใช้บริการ ฉินเสี้ยวหยวนจึงไม่ได้กำหนดวันหยุดของโรงพยาบาล แต่จะใช้วิธีการเวียนกันหยุด เพื่อเป็นหลักประกันว่าบุคลากรจะเตรียมพร้อมทำงานได้ทุกเมื่อ
อย่างไรก็ตาม วันจันทร์หน้า พนักงานที่แผนกฉุกเฉินเพิ่งรับมาใหม่จะเข้ามาปฏิบัติงานอย่างเป็นทางการแล้ว บางทีอาจจะไม่ยุ่งเท่าไหร่นัก
เฉินต้าไห่ชอบงานอลังการ เฉินชางจึงคิดว่าอีกสองวันจะไปซื้อรถดีๆ สักคันหนึ่ง ขับพาว่าที่ลูกสะใภ้สวยๆ ไปด้วย ให้เหล่าเฉินรู้สึกมีหน้ามีตาสักหน่อย
ตอนนี้เฉินชางไม่ขาดแคลนเงินทอง เงินหลายล้านหยวนก็เอาออกมาใช้ได้สบายๆ เขาจึงคิดว่าหากพ่อแม่มาหา จะรับพวกท่านมาดูแลที่อันหยาง
ไม่ใช่ว่าในหมู่บ้านไม่ดี แต่บริการสาธารณสุขของที่นั่นยังไม่ดีนัก อีกอย่าง จะให้คนเฒ่าคนแก่ทั้งสองออกมาจากหมู่บ้านตอนนี้เลยพวกเขาคงไม่ดีใจ เพราะใช้ชีวิตอยู่ที่ชนบทกันมาจนเคยชินแล้ว
พวกเขารับประทานอาหารจนถึงบ่ายสอง เสร็จแล้วฉินเยว่กับเฉินชางก็ไปเดินเล่นด้วยกัน ส่วนฉินเสี้ยวหยวนและจี้หรูอวิ๋นก็กลับบ้าน
ก่อนแยกย้าย ฉินเสี้ยวหยวนแซวลูกสาวว่า “กลับช้าหน่อยก็ได้ เดินเที่ยวกันเยอะๆ หน่อย”
ช่วงเย็น ฉินเยว่และเฉินชางไปซื้อเสื้อผ้าสำหรับใส่ในแต่ละฤดูกาลด้วยกันที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง
เมื่อก่อนเสื้อผ้าของเฉินชางจะเน้นความคล่องตัวและใส่สบาย ฉินเยว่จึงเลือกเสื้อผ้าที่ดูเป็นผู้ใหญ่ให้เขาจำนวนหนึ่ง จากนั้นก็ซื้อสูท เสื้อเชิ้ต เข็มขัด รองเท้าหนัง และเน็คไท
เมื่อผู้ชายมีแฟน ชีวิตก็จะมีสีสัน กระทั่งการซื้อเสื้อผ้าก็ยังเต็มไปด้วยความสุข
ทั้งสองถือถุงใบเล็กใบใหญ่เดินออกมาจากห้างสรรพสินค้า เฉินชางบอกฉินเยว่เรื่องวันที่เขาคิดจะกลับบ้าน “เดือนหน้าจะถึงวันเกิดแม่ผมแล้วครับ ผมอยากให้พวกเราไปฉลองงานวันเกิดของแม่ผมด้วยกัน สองสามปีมานี้ผมไม่ค่อยได้ฉลองวันเกิดให้พวกเขาเลย” เฉินชางกล่าว
ฉินเยว่ได้ยินดังนั้นก็ตกใจและดีใจไปพร้อมกัน!
ลูกสะใภ้จะไปพบแม่สามี อย่างไรก็ต้องตื่นเต้นเป็นธรรมดา แต่ตื่นเต้นก็ส่วนตื่นเต้น ในใจเธอยังคงรู้สึกคาดหวัง เพราะการได้พบแม่สามีหมายถึงได้รับการยอมรับ ทันใดนั้นฉินเยว่ก็กระวนกระวายขึ้นมาบ้างแล้ว
เมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบไป เฉินชางจึงอดถามไม่ได้ “ทำไมครับ ไม่อยากไปเหรอ”
ฉินเยว่ได้ยินก็รีบตอบทันที “อยากไปค่ะ! แต่…ฉันแค่ตื่นเต้นนิดหน่อย”
เฉินชางอดยิ้มไม่ได้ “แม่อยากให้ผมมีแฟนมาตลอด คุณวางใจได้เลย ถ้าคุณไปแม่ผมต้องดีใจแน่ ไม่ต้องตื่นเต้นไปหรอก!”
ฉินเยว่จับมือเฉินชาง สูดหายใจลึกๆ แล้วก้มหน้าลง กล่าวด้วยท่าทีหดหู่ “ฉันกลัวแม่คุณไม่ชอบฉันน่ะค่ะ ฉันทั้งเปิ่น ทำอาหารก็ไม่อร่อย เย็บผ้าก็ไม่ได้ ทำงานบ้านก็ไม่ดี…แต่ฉันเรียนรู้ได้นะคะ! เดี๋ยวช่วงนี้ฉันจะไปลงคอร์สเรียนทำอาหาร พอกลับบ้านฉันจะทำอาหารอร่อยๆ ให้คุณลุงคุณป้ากิน!”
เฉินชางเห็นท่าทางเปิ่นๆ ของฉินเยว่ก็อดยิ้มไม่ได้
“พ่อแม่ผมเป็นเชฟนะครับ ต้องให้คุณทำอาหารอีกหรือ!” เฉินชางกล่าวเจือเสียงหัวเราะ “แค่คุณไปพวกเขาก็ดีใจแล้วครับ”
ฉินเยว่ส่ายหน้า “มันไม่เหมือนกันค่ะ คุณลุงคุณป้าทำอาหารได้ก็ส่วนทำได้ แต่…ยังไงฉันก็ต้องเรียน จะให้พวกเขาคอยทำให้ตลอดไม่ได้หรอกนะคะ!”
พูดถึงตรงนี้ ฉินเยว่ก็ตัดสินใจกับตัวเองแล้วว่ากลับไปจะตั้งใจเรียนทำอาหาร อย่างไรเสียเธอก็คิดว่าตัวเองหั่นเนื้อเฉือนหนังได้ดีเยี่ยม จะถุงน้ำดี หรือไส้ติ่งก็กรีดจนเป็นเรื่องปกติแล้ว ควรหั่นผักได้ดีถึงจะถูก!
คิดแล้วฉินเยว่ก็ตัดสินใจว่ากลับไปจะต้องให้แม่สอนสักหน่อย
พอตัดสินใจแล้วจึงไม่มีอารมณ์เดินเที่ยวอีก
พริบตาเดียว ฉินเยว่ก็รู้สึกราวกับตัวเองมีภาระเพิ่มขึ้นอีกอย่างหนึ่ง ตอนเย็นไม่ยอมกินข้าวกินปลา ตัดสินใจแน่วแน่ว่ากลับไปจะเริ่มทำอาหารมื้อแรกทันที
แต่เธอสาบานว่าจะไม่ให้เฉินชางกินแน่ ฝึกอีกสักพักค่อยเอาไปให้เขากิน!
เฉินชางชะงักไปทันที รู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก แต่เห็นฉินเยว่มีท่าทางมั่นอกมั่นใจเช่นนั้นก็ได้แต่ยอมแพ้! เขาคิดแล้วว่าต่อให้รสชาติแย่ขนาดไหนก็คงไม่มีปัญหา เพราะเขาไม่ใช่พวกเลือกกิน
กลับถึงบ้านแล้วเฉินชางก็เปลี่ยนเสื้อผ้า นำสูทไปส่งร้านซักรีดพร้อมกำชับที่ร้านอย่างดี
……
……
ทางด้านฉินเยว่ก็รีบกลับบ้านมาอย่างเร่งร้อนเพราะกลัวว่าพ่อแม่จะเริ่มกินข้าวกันแล้ว
ฉินเสี้ยวหยวนเห็นฉินเยว่กลับเร็วขนาดนี้ก็ชะงักไปทันที “ทำไมกลับเร็วจังลูก พ่อกับแม่ยังไม่ได้กินข้าวเลย”
ฉินเยว่ได้ยินดังนั้นพลันโล่งใจ มองเหล่าฉินยิ้มๆ “พ่อคะแม่คะ วันนี้ลำบากกันแล้วนะคะ เดี๋ยวหนูทำกับข้าวให้เอง!”
เมื่อประโยคนี้ถูกกล่าวออกมา จี้หรูอวิ๋นและฉินเสี้ยวหยวนพลันสบตากัน
รู้สึกไม่อยากจะเชื่อ!
นี่เป็นครั้งแรก…ในประวัติศาสตร์เลยมั้ง
ฉินเยว่เคยทำกับข้าวที่บ้านด้วยหรือ
ทั้งสองมองฉินเยว่อย่างกระวนกระวายใจ
ลูกคนนี้ไปโดนอะไรกระตุ้นมากันแน่!
บทที่ 456 นี่มันสุดยอดไปเลย!
หมอดีกรีปริญาเอกทั้งหลายมองหน้ากัน!
เรื่องที่หมอจบปริญาตรีทำได้แต่หมอจบปริญญาเอกทำไม่ได้
นี่มันปกติมากไม่ใช่เหรอ!
ทำไมพวกเราต้องตกใจด้วยล่ะ!
เพื่อนร่วมรุ่นปริญญาตรี ของพวกเขา ตอนนี้แต่งงานมีลูกจนเป็นลุงเป็นป้าได้แล้ว ส่วนพวกเขาไม่ต้องพูดถึงสามีภรรยาเลย แม้แต่แฟนก็ยังไม่มี!
ทำไมพวกเราต้องตกใจด้วย!
ตอนนี้เพื่อนที่จบปริญญาตรีพร้อมพวกเขาไปทำงานเกี่ยวกับเภสัชจลนศาสตร์[1]แล้ว รายได้ปีละล้านหยวนก็พอเลี้ยงดูสาวๆ แล้ว ส่วนพวกเขาอย่าพูดถึงสาวๆ เลย รู้จักแต่มือเท่านั้นแหละ!
ทำไมพวกเขาต้องตกใจด้วยล่ะ!
พวกเขาฝึกตนถึงขั้นต่อให้ภูเขาถล่ม หรือคลื่นยักษ์ซัดสาดก็ไม่ตกใจแล้ว อย่างมากก็แค่หยุดแสยะยิ้มให้มันอย่างไม่แยแส ทั้งหมดนี่ก็เพื่อปกปิดจิตวิญญาณที่กรีดร้องอยู่ภายใน!
โจวหงกวงมองเหล่านักเรียนที่นั่งหน้านิ่งไม่สะทกสะท้านตรงหน้าเหล่านั้น ดูเหมือน…พวกเขาจะไม่แปลกใจเลยสักนิด!
นี่…มันจะไม่เข้ากับบทบาทของตัวเองเกินไปหรือเปล่า!
เดิมทีโจวหงกวงตัดสินใจแล้วว่าจะถือโอกาสสั่งสอนพวกกระต่ายน้อยไม่รู้จักโลกเหล่านี้เสียหน่อย แต่ว่า…พอเห็นท่าทีของทุกคนที่นั่งฟังคำพูดของเขานิ่งๆ คล้ายจะ…ไม่มีความแปลกใจ หรือความตื่นตะลึงเลยแม้แต่น้อย นี่ทำให้โจวหงกวงไม่ชินเอาเสียเลย
โจวหงกวงมองต่งเฉิน หมอดีกรีปริญญาเอกผู้เป็นนักเรียนที่ได้ความที่สุดของตน คิดว่าควรต้องเชือดไก่ให้ลิงดูเสียหน่อยแล้ว จึงถามขึ้นว่า “เสี่ยวต่ง คุณไม่แปลกใจเหรอครับว่าเฉินชางทำอะไรได้บ้าง และทำไมผมถึงให้พวกคุณอยู่ต่อ”
ต่งเฉินแค่นเสียงหัวเราะออกมา ยังคงใช้มุกเดิมคือทำหน้านิ่งคล้ายท่าทางตั้งใจฟังแล้วจึงส่ายหน้า “ไม่สงสัยครับ!”
โจวหงกวงมองอีกฝ่าย คิดว่าเจ้าทึ่มนี่รู้จักฟังคำพูดเขาดีๆ ด้วยหรือ จากนั้นจึงทอดถอนใจออกมาแล้วมองหวังซินหลง นักเรียนดีกรีปริญญาเอกที่มีนิสัยค่อนข้างกระตือรือร้นมากกว่า “เสี่ยวหวัง คุณล่ะครับ”
หวังซินหลงตอบอย่างชาญฉลาด “ผมคิดว่าอาจารย์ให้พวกผมอยู่ต่อย่อมต้องมีเหตุผลของอาจารย์แน่นอนครับ!”
โจวหงกวงชะงักไปทันที
ไม่ใช่
ต้องไม่ใช่แบบนี้สิ
หลังจากโจวหงกวงดูการผ่าตัดของเฉินชางจบแล้วก็รู้สึกชื่นชอบในตัวหมอหนุ่มคนนี้มากขึ้นเรื่อยๆ อายุเพียงยี่สิบเจ็ดก็เก่งขนาดนี้แล้ว ไม่ใช่แค่ผ่าตัดได้ดีเท่านั้น แต่ยังปรับปรุงวิธีการผ่าตัดได้ถึงสองวิธี แล้วหมอดีกรีปริญญาเอกพวกนี้ล่ะ
คิดกันเองไม่เป็นเลยหรือไง
ไม่อายกันบ้างเหรอ
ด้วยเหตุนี้ โจวหงกวงจึงไม่พอใจมากจนอยากสั่งสอนพวกกระต่ายน้อยเหล่านี้เสียหน่อย แต่ว่า…เรื่องสั่งสอนไม่ใช่ปัญหา ปัญหาคือต้องมีเหตุผลอันสมควร!
ผลก็คือเพิ่งเข้ามาในห้อง เจ้าพวกนี้ก็มอบเหตุผลให้โจวหงกวงแล้ว นั่นก็คือความโอหัง!
ตนรั้งให้พวกเขาอยู่ต่ออีกหนึ่งคืน พวกเขาคงพานมีอคติกับเฉินชางไปแล้วแน่นอน คงดูถูกเฉินชางไปแล้ว ดังนั้นจึงได้แสดงท่าทางเช่นนี้ออกมา!
ด้วยเหตุนี้โจวหงกวงจึงจงใจพูดกระตุ้นความสงสัยของพวกเขา โดยการบอกพวกเขาว่าเฉินชางมีความเก่งกาจอย่างที่จะดูถูกไม่ได้ จากนั้นค่อยสั่งสอนพวกเขาให้ดี
น่าเสียดาย…
บทบาทนี้ดูเหมือนจะใช้ไม่ได้แล้ว เจ้าพวกนี้ถึงกับไม่สงสัยอะไรแม้แต่น้อย!
แต่…ขิงยิ่งแก่ก็ยิ่งเผ็ด!
โจวหงกวงไต่เต้าเป็นนักวิชาการได้ ไต่เต้าจนเป็นรองผู้อำนวยการโรงพยาบาลได้ ย่อมต้องมีความยืดหยุ่นในการสื่อสารเป็นธรรมดา
สุดท้ายจึงแค่นเสียงเย็นออกมาครั้งหนึ่ง “อ้อ!ใช่แล้ว พวกคุณคงไม่รู้สินะครับว่าเสี่ยวเฉินจบแค่ปริญญาตรี”
ต่งเฉินผู้เป็นพี่ใหญ่ของกลุ่มนักเรียนกล่าวอย่างเรียบเฉยว่า “พวกเรารู้แล้วครับ พวกเราตรวจสอบกันมาแล้ว! ดูสิครับ นี่เว็บไซต์ของโรงพยาบาลอันดับสอง”
ทุกคนพากันพยักหน้าเสริม ทำเอาโจวหงกวงแทบอยากจะทึ้งวิกผมทิ้ง!
“แล้วพวกคุณก็ไม่สงสัยเลย…?!”
นักเรียนคนหนึ่งส่ายหน้า…
สีหน้าโจวหงกวงเปลี่ยนไปโดยพลัน ถึงกับตบโต๊ะ ทอดถอนใจด้วยท่าทางเสียดายสุดแสน “ผมเคยสอนพวกคุณกี่ครั้งแล้วครับ ในฐานะที่พวกคุณทำงานเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และการวิจัย อีกทั้งยังเป็นบุคลากรทางการแพทย์แบบนี้ จะต้องมีใจใฝ่รู้เกี่ยวกับโลกภายนอกอยู่ตลอดเวลา จะต้องถามบ้างว่าทำไม!”
“แล้วลองดูพวกคุณสิ ไม่มีความอยากรู้อยากเห็นเลยสักนิด! เฮ้อ…พวกคุณทำให้ผมผิดหวังจริงๆ!”
“พวกคุณคิดว่าการที่พวกคุณเชื่อฟังคำพูดของผมแล้วจะทำให้ผมดีใจได้แล้วหรือ ผมหวังให้พวกคุณเรียนรู้ที่จะวิเคราะห์และพิจารณาด้วยตัวเองได้ต่างหาก! พิจารณาด้วยตัวเองน่ะ เข้าใจหรือเปล่า”
น้ำเสียงของโจวหงกวงเต็มไปด้วยอารมณ์ ทว่าในใจกลับยิ้มเยาะ คราวนี้พวกคุณคงอายบ้างแล้วสินะ
แต่น่าเสียดาย…เวลาไหลผ่านไปตามเข็มนาฬิกาที่ส่งเสียงดังติ๊กๆ…คนกลุ่มนี้ก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหว
ต่งเฉินกล่าวขึ้นประโยคหนึ่ง “อาจารย์ครับ…อาจารย์เคยบอกว่าไม่ให้พวกเราซุบซิบนินทานี่ครับ…”
โจวหงกวงได้ยินดังนั้นก็รีบตอบไปว่า “ผมไม่สนใจ! ยังไงซะวันนี้ผมก็ต้องสั่งสอนพวกคุณให้ได้ ไม่งั้นพวกคุณคงไม่รู้ว่าตัวเองห่างชั้นจากคนอื่นขนาดไหน!”
ทุกคนเงียบไปทันที เห็นโจวหงกวงมีท่าทางเช่นนี้ก็อดถอนหายใจไม่ได้ เฮ้อ…อยากด่าพวกเราก็บอกมาตรงๆ เถอะ อ้อมไปซะไกลเชียว ก็เป็นซะแบบนี้ทุกครั้ง…
ทุกคนถอนใจออกมา “อาจารย์ครับ พวกเราผิดไปแล้ว!”
โจวหงกวงพยักหน้าอย่างปลื้มปริ่ม “ผิดตรงไหนล่ะ”
ทุกคน “…”
โจวหงกวงกล่าวต่อไป “มาๆๆ นั่งลงๆ ผมจะบอกให้พวกคุณฟังว่าเสี่ยวเฉินคนนี้เก่งขนาดไหน แล้วจะบอกเหตุผลด้วยว่าทำไมผมถึงพาพวกคุณมาที่มณฑลตงหยาง!”
อันที่จริงโจวหงกวงขึ้นชื่อเรื่องดีกับนักเรียนมากเลยทีเดียว หากมีโอกาสก็จะพานักเรียนไปร่วมงานสัมมนาด้วยทุกครั้ง ซึ่งโดยทั่วไป หากเป็นศาสตราจารย์ที่มีฐานะเทียบเท่าโจวหงกวงมักจะแบ่งหน้าที่ให้หมอผู้น้อยพานักเรียนไปมากกว่า มิฉะนั้นก็เอาไปปล่อยทิ้งไว้ในห้องทดลองให้เรียนรู้ด้วยตัวเอง เจอแต่หนูทดลองตัวเล็กตัวน้อยทั้งวัน! เมื่อเรียนจบผู้เป็นอาจารย์ก็จะจัดแจงหน้าที่การงานที่มีอนาคตไม่เลวให้สักตำแหน่งหนึ่ง
นี่เป็นวิธีการทั่วไปที่อาจารย์ผู้ยอดเยี่ยมปฏิบัติต่อนักเรียน! และถึงจะเป็นวิธีการเช่นนี้ แต่ใครหลายคนก็ยังโหยหา เพราะทุกคนเข้ามาเรียนก็เพื่อมีอนาคตที่ดีไม่ใช่หรือ
ทว่าโจวหงกวงคิดถึงนักเรียนของตนอย่างแท้จริง สั่งสอนให้พวกเขารู้จักคิดเองเป็น ให้พวกเขาทำงานวิจัยและงานคลินิกได้
แน่นอนว่าการสอนส่วนการสอน อย่างไรเขาก็ยังหวังให้ลูกศิษย์พัฒนา!
โจวหงกวงกล่าวขึ้นว่า “พวกคุณไม่รู้สินะครับว่าเมื่อกี้ผมไปทำอะไรมา!”
“เมื่อกี้ผมไปดูการผ่าตัดของเสี่ยวเฉินมาครับ เป็นการผ่าตัดที่ทำให้ผมอึ้งจนอยากรับเสี่ยวเฉินเข้ามาเป็นนักเรียนของตัวเองเลยนะครับ”
“เป็นเคสผู้ป่วยที่ประสบอุบัติเหตุรถยนต์มา…ม้ามแตกอาการสาหัส แต่ผู้ป่วยเพิ่งจะอายุสามสิบสาม…เพื่อเธอ…เสี่ยวเฉินจึงตัดสินใจเย็บหลอดเลือดในม้าม ซึ่งตอนนั้นม้ามก็อ่อนแอมากแล้ว…”
โจวหงกวงเล่าเรื่องไปแบบตีไข่ใส่สี ทุกคนได้ฟังเรื่องราวก็พากันเงียบไป
พวกเขาคือหมอระดับแพทย์ดูแลไข้ที่มีประสบการณ์ทางคลินิกมากมายจึงรู้เรื่องพวกนี้เป็นอย่างดี ดังนั้นเมื่อโจวหงกวงเล่าจบแล้วจึงตื่นตะลึง
ชั่วขณะนั้น จู่ๆ พวกเขาก็รู้สึกคาดหวังกับการบรรยายของเฉินชางในวันพรุ่งนี้ขึ้นมาแล้ว!
ตอนนี้เอง โจวหงกวงเห็นว่าถึงเวลาอันสมควรแล้วจึงกล่าวเรียบๆ ว่า
“จริงสิ ผมได้ยินว่าปีนี้เสี่ยวเฉินตีพิมพ์วิทยานิพนธ์สองฉบับเลยนะครับ ฉบับแรกตีพิมพ์กับวารสารการปลูกถ่ายตับ ส่วนอีกฉบับหนึ่งถ้าไม่มีปัญหาอะไรคงได้ตีพิมพ์กับวารสาร BJS แล้วเขายังปรับปรุงวิธีผ่าตัดไปอีกสองวิธีด้วย นี่เป็นเหตุผลที่ผมพาพวกคุณมาที่นี่!”
เมื่อโจวหงกวงกล่าวจบ ทุกคนก็ชะงักไปทันที!
หากเป็นเรื่องอื่นพวกเขาก็ไม่คงไม่สนใจ แต่…เรื่องของวิทยานิพนธ์ พวกเขาคุยกันทุกวัน จะไม่เข้าใจเรื่องนี้ได้อย่างไร
เมื่อได้ยินอาจารย์กล่าวว่าเฉินชางเขียนวิทยานิพนธ์ระดับที่ได้เผยแพร่กับวารสารการปลูกถ่ายตับ แต่ละคนก็ถึงกับปากอ้าตาค้าง!
แถมยังปรับปรุงวิธีผ่าตัดไปอีกสองวิธีด้วย!
นี่มันเก่งสุดๆ ไปเลย!
[1] เภสัชจลนศาสตร์ คือ ศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับปฏิกริยาของร่างกายเมื่อได้รับยาต่างๆ