บทที่ 463 โทรหาเฉินชาง!
จี้หรูอวิ๋นเห็นฉินเยว่กำลังยุ่งวุ่นวายอยู่เช่นนั้นก็ร้อนใจ เธออยากเข้าไปช่วย แต่กลับถูกอีกฝ่ายดันออกมาจากห้องครัว!
จี้หรูอวิ๋นและฉินเสี้ยวหยวนนั่งอยู่บนโซฟา สีหน้าดูกระวนกระวาย…
ลูกคนนี้นี่ ตกลงไปโดนอะไรกระตุ้นมากันแน่
ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าจะอร่อยหรือไม่อร่อยแล้วกัน…สิ่งที่พวกเขาคิดถึงเป็นอันดับแรกก็คือ ยัยเด็กนี่ต้องกินยาหรือเปล่า…
เหล่าฉินมองจี้หรูอวิ๋น “ทำไมเป็นแบบนี้ล่ะ”
จี้หรูอวิ๋นถลึงตาใส่ “ฉันจะไปรู้หรือคะ คุณถามฉัน แล้วฉันจะไปถามใคร”
ฉินเสี้ยวหยวนรีบพูดขึ้นว่า “ก็ไปถามเฉินชางไงครับ! เกี่ยวข้องกับไอ้เด็กนั่นหรือเปล่า ไม่งั้นเยว่เยว่จะมีท่าทางไร้สติขนาดนี้ได้ไง กลับมาถึงก็เอาตัวเองไปขลุกอยู่ในครัวเลย”
ดวงตาจี้หรูอวิ๋นเป็นประกาย จะต้องเกี่ยวข้องกับเฉินชางแน่นอน!
“ฉันไม่มีวีแชทเฉินชาง!”
ฉินเสี้ยวหยวนก็มีปฏิกิริยาขึ้นมาทันใด เหมือนว่าเขาเองก็ไม่มีวีแชทอีกฝ่ายนะ
ไม่ได้การ พรุ่งนี้พอไปถึงโรงพยาบาลแล้วจะต้องขอเพิ่มเพื่อนทางวีแชทกับเฉินชางให้ได้
จี้หรูอวิ๋นย้อนคิดดูอีกครั้งก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “ที่จริง…นี่ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรนะคะ เรียนทำอาหารก็เป็นเรื่องดี! ยังไงก็ปล่อยให้สองคนนั้นซื้อกินทุกวันไม่ได้หรอก มันไม่สะอาด”
ฉินเยว่พอมีฝีมืออยู่บ้าง แต่ประเด็นคือขั้นตอนที่เขียนอยู่บนอินเทอร์เน็ตมีมากเกินไป เธอจึงทำอาหารง่ายๆ ออกมาสองสามอย่าง อย่างน้อยก็ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้น
ฉินเยว่ชิมอาหารที่ตัวเองทำ คิดว่ารสชาติพอใช้ได้
เธอถือกล่องอาหารเดินออกมาเตรียมเอาไปให้เฉินชาง เตรียมเสร็จก็เดินออกจากบ้านไป “พ่อคะ แม่คะ กินกันเลยนะคะ เดี๋ยวหนูจะไปกินกับเฉินชาง”
ทั้งสองสบตากันแล้วพากันถอนใจออกมา!
พลังของความรักจะแข็งแกร่งเกินไปแล้ว
……
……
ฉินเยว่เพิ่งออกไปไม่นาน ทั้งสองก็เริ่มกินอาหารที่ฉินเยว่ทำ รสชาติพอใช้ได้ หน้าตาก็ดูน่ากิน
แต่ในขณะนั้นเองก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น จี้หรูอวิ๋นมองไปพบว่าเป็นโทรศัพท์มือถือของตัวเองจึงหยิบขึ้นมาดู พบว่าเป็นเบอร์เจ้านายเก่าของเธอ!
จี้หรูอวิ๋นรีบกดรับทันที “สวัสดีค่ะหัวหน้า มีอะไรหรือคะ”
เสียงชายวัยกลางคนดังมาจากอีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์
“พี่จี้ ผมหวงเหว่ยเหยียนนะครับ”
จี้หรูอวิ๋น “อ้อ! เหว่ยเหยียน มีอะไรหรือ”
หวงเหว่ยเหยียนกล่าวด้วยน้ำเสียงกังวล “พี่ครับ คือแบบนี้นะครับ วันนี้พ่อผมกินข้าวแล้วรู้สึกเสียดท้อง เขาอาเจียนเป็นเลือดด้วยครับ! ผมก็ไปดูอุจจาระของพ่อ เห็นว่ามันมีสีดำด้วย! ผมกังวลน่ะครับ…ไม่ทราบว่าจะมีปัญหาอะไรหรือเปล่า!”
แม้หวงเหว่ยเหยียนจะไม่ได้เป็นบุคลากรทางการแพทย์ แต่ยุคสมัยนี้เป็นสมัยที่ข้อมูลข่าวสารพัฒนาไปอย่างกว้างขวาง พ่อของเขาอายุเจ็ดสิบกว่าปีแล้ว จู่ๆ ก็มีเลือดออกในระบบทางเดินอาหาร หากจะบอกว่าไม่กลัวก็คงโกหกแล้ว!
เขากลัวว่าผู้เฒ่าหวงจะป่วยเป็นโรคร้ายแรงอะไร!
คิดแล้วหวงเหว่ยเหยียนก็กินข้าวไม่ลง จึงโทรหาจี้หรูอวิ๋นทันที
จี้หรูอวิ๋นได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้ว รีบถามว่า “เหว่ยเหยียนรอก่อนนะ สามีฉันอยู่ข้างๆ นี่เอง เดี๋ยวเธอคุยกับสามีฉันก็แล้วกัน!”
จี้หรูอวิ๋นส่งโทรศัพท์ไปให้ฉินเสี้ยวหยวนพร้อมบอกว่า “เหว่ยเหยียนน่ะค่ะ”
ฉินเสี้ยวหยวนกดเปิดลำโพงแล้วนำโทรศัพท์มาจ่อที่ปาก “เหว่ยเหยียน ฉันเอง มีอะไรหรือ”
หวงเหว่ยเหยียนรีบพูดไปว่า “สวัสดีครับ พ่อผมถ่ายหนักเป็นสีดำ แล้วก็อ้วกเป็นเลือดด้วยครับ ผมถามพ่อแล้วเขาบอกว่าจำไม่ได้ว่าเป็นมานานเท่าไหร่แล้ว ผมเป็นห่วง กลัวว่าจะมีปัญหาอะไรหรือเปล่า!”
ฉินเสี้ยวหยวนได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้วทันที
มีเลือดออกที่ระบบทางเดินอาหารส่วนบนหรือ
เดิมทีฉินเสี้ยวหยวนเป็นหมอที่เริ่มจากหมอด้านเนื้องอก ดังนั้นจึงคิดค่อนข้างมาก เขากล่าวไปว่า “อืม เหว่ยเหยียน อย่าเพิ่งคิดมาก แล้วก็ไม่ต้องสร้างภาระให้คนเฒ่าคนแก่ไปล่ะ เอาแบบนี้แล้วกัน อีกเดี๋ยวเธอขับรถมาส่งเขาที่โรงพยาบาลได้เลย เดี๋ยวพวกเราจะส่องกล้องดูกระเพาะอาหารกันว่าเป็นยังไง”
หวงเหว่ยเหยียนได้ยินดังนั้นก็รีบตอบรับทันที “ได้ครับ ผมจะพาพ่อไปเดี๋ยวนี้เลย”
เมื่อวางโทรศัพท์ไปแล้ว ฉินเสี้ยวหยวนก็หยิบมือถือขึ้นมาต่อสายหาเซียวเหอซึ่งเป็นหมอประจำห้องส่องกล้องของโรงพยาบาล “หัวหน้าเซียว ผมเองครับ ฉินเสี้ยวหยวน”
เซียวเหอได้ยินดังนั้นก็รีบตอบทันที “ผู้อำนวยการฉิน มีอะไรครับ”
ฉินเสี้ยวหยวนกล่าวไปว่า “ผู้ใหญ่ที่ผมรู้จักอาจมีเลือดออกที่ระบบทางเดินอาหารส่วนบน ตอนนี้เตรียมมาส่องกล้องดูกระเพาะแล้วนะครับ คุณพอจะว่างหรือเปล่าครับ”
เซียวเหอได้ยินดังนั้นแล้ว ต่อให้เขาไม่ว่างก็ต้องว่าง! ด้วยเหตุนี้จึงรีบตอบทันที “ผู้อำนวยการ ผมจะรีบไปภายในยี่สิบนาทีครับ”
ฉินเสี้ยวหยวนและจี้หรูอวิ๋นไม่มีอารมณ์กินข้าวกันแล้ว พวกเขารีบเก็บของแล้วออกเดินทางทันที
บิดาของหวงเหว่ยเหยียนเป็นเจ้านายเก่าของจี้หรูอวิ๋นชื่อว่าหวงหย่งอี้ เขาเกษียณจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขประจำมณฑลตงหยางแล้ว
หวงหย่งอี้ดูแลจี้หรูอวิ๋นเป็นอย่างดี หากไม่ใช่เพราะเขา เธอคงไม่ได้เป็นหัวหน้าศูนย์ประกันสุขภาพอย่างราบรื่นเช่นนี้แน่ กระทั่งฉินเสี้ยวหยวนที่ได้เป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลก็เพราะได้รับความช่วยเหลือจากเขา
ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างสองครอบครัวค่อนข้างดีเลยทีเดียว เมื่อได้ยินว่าหวงหย่งอี้ไม่สบาย ทั้งสองจึงร้อนใจ
เก็บของเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองก็รีบเดินทางไปยังโรงพยาบาลทันที
ไม่นานเซียวเหอก็มาถึง พอเจอฉินเสี้ยวหยวนก็รีบกล่าวทักทาย “ผู้อำนวยการฉิน”
ฉินเสี้ยวหยวนพยักหน้า “รบกวนคุณหน่อยนะครับหัวหน้าเซียว ดึกขนาดนี้แล้วยังต้องให้มาช่วยงานอีก”
เซียวเหอรีบโบกมือปฏิเสธ
ขณะนั้นเอง หวงเหว่ยเหยียนก็พาหวงหย่งอี้ผู้เป็นบิดามาถึงแผนกฉุกเฉินแล้วเช่นกัน เมื่อเขาเห็นฉินเสี้ยวหยวนและเซียวเหอก็รีบเข้ามาทักทาย
หวงเหว่ยเหยียนอารมณ์ไม่ค่อยดีนักเพราะเขากังวลเรื่องพ่ออยู่ ทว่าหวงหย่งอี้กลับหัวเราะแล้วพูดขึ้นว่า “เสี่ยวจี้ เสี่ยวฉิน มารบกวนพวกเธอดึกๆ ดื่นๆ แบบนี้ ฉันเกรงใจจริงๆ”
ฉินเสี้ยวหยวนรีบพูดขึ้นว่า “อาหวงเกรงใจเกินไปแล้วครับ เดี๋ยวผมจะไปทำเรื่องตามระเบียบการให้คุณนะครับ หรูอวิ๋น เหว่ยเหยียน อาหวง พวกเธอตามหัวหน้าเซียวไปที่ห้องส่องกล้องได้เลย”
หวงหย่งอี้ยิ้ม “ผมไม่เป็นไรหรอก ร่างกายผม ผมรู้ดี”
กล่าวจบก็เดินตามทุกคนไปยังห้องส่องกล้อง ส่วนฉินเสี้ยวหยวนรั้งอยู่ที่เดิมเพื่อทำเรื่องตามระเบียบการเข้ารักษา
อันที่จริงเมื่อมีตำแหน่งระดับหวงหย่งอี้แล้ว ปกติจะตัดบัญชีเพื่อแอดมิดไปก่อนได้เลย และไม่จำเป็นต้องพิจารณาเรื่องค่าใช้จ่ายให้มากความ แต่สิ่งที่พวกเขากังวลก็คือผู้ป่วยจะเป็นโรคร้ายแรงหรือไม่ ถึงอย่างไรก็อายุมากแล้ว ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้
……
……
ภายในห้องส่องกล้อง หวงหย่งอี้เข้ารับการส่องกล้องที่กระเพาะอาหาร
ฉินเสี้ยวหยวนจัดการขั้นตอนต่างๆ เสร็จแล้วก็ตามเข้ามาในห้องส่องกล้อง พบว่าหวงหย่งอี้ถูกรมยาแล้ว และกำลังจะเริ่มส่องกล้องในอีกไม่นาน
เมื่อส่งเทสโพรบ (Test probe) เข้าไปถึงหลอดอาหารจึงพบว่ามีแผลขนาดใหญ่อยู่แห่งหนึ่ง
ทุกคนชะงักไปทันที
บางทีอาจเรียกว่าเป็นแผลไม่ได้ เพราะเนื้อเยื่อบางส่วนขาดเลือดจนตายไปแล้ว รอบๆ ก็มีรอยเลือดอยู่ด้วย เซียวเหอรีบตรวจดูรอบๆ ไม่พบอะไรผิดปกติ พอตรวจไปถึงกระเพาะอาหารก็ไม่พบอย่างอื่นอีก
ดูท่าทาง สาเหตุที่เลือดออกคงอยู่ตรงนี้แล้ว!
ฉินเสี้ยวหยวนพูดกับหวงเหว่ยเหยียนว่า “ไม่ใช่ตรงนั้น”
แต่เซียวเหอกลับขมวดคิ้ว “ผู้อำนวยการฉิน ผมว่ารีบไปเอ็กซเรย์เถอะครับ จากนั้นก็โทรหาหัวหน้าเถากับเฉินชาง บอกให้พวกเขารีบมาที่โรงพยาบาลเลย!”
ฉินเสี้ยวหยวนชะงักไปทันที “ทำไมครับ เรียกพวกเขา…มาทำไม”
เซียวเหอกล่าวขึ้นว่า “ผมสงสัยว่าเลือดไม่ได้มาจากหลอดอาหาร แต่น่าจะมาจากหลอดเลือดแดงเอออร์ต้า!”
ประโยคนี้ทำให้ฉินเสี้ยวหยวนถึงกับหน้าเปลี่ยนสี
บทที่ 457 ผ่านแล้ว!
ณ ประเทศอังอฤษที่มีมหาสมุทรกั้นขวาง ขณะนี้เป็นเวลาน้ำชายามบ่าย เวลาน้ำชายามบ่ายของประเทศอังกฤษมีประวัติศาสตร์ยาวนาน จนกระทั่งถึงศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด วัฒนธรรมการดื่มชาของอังกฤษก็ได้รับการฟื้นฟูขึ้นมาอีกครั้ง
ภายใต้แสงอาทิตย์ยามบ่ายอุ่นสบายที่หาได้ยากยิ่งเช่นนี้ จอร์จ ซีเวอร์กำลังเพลินกับช่วงเวลาอันล้ำค่าของตน!
“คุณบรรณาธิการ ผมอยากให้คุณดูบทความนี้หน่อยครับ มันยอดเยี่ยมไปเลย! สาบานด้วยชื่อของผมเลยครับ!”
จอร์จ ซีเวอล์เห็นโทรศัพท์แจ้งเตือนข้อความเข้าจึงหยิบขึ้นมาดู พบว่าเป็นอีเมล์มาจากถังเซินจึงรู้สึกจนใจอยู่บ้าง
ซีเวอร์ถอนหายใจออกมา เธอจนปัญญากับไอ้หนุ่มนี่จริงๆ เลย!
ทว่าเธอก็ไม่คิดปล่อยให้เรื่องนี้ส่งผลกระทบกับชายามบ่ายของตนเอง จึงปิดโทรศัพท์แล้วดื่มชาต่อไป
คนอังกฤษนิยมดื่มชาแบบค่อยๆ จิบ…ทีละแก้ว…ไม่มีใครรู้ว่าจะดื่มเสร็จเมื่อไหร่
ถังเซินนวดขมับตัวเอง มองวิทยานิพนธ์ในมือ รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย!
ถังเซินเป็นชาวจีนที่มาเรียนแพทย์ระดับปริญญาเอกที่ประเทศอังกฤษ เมื่อจบการศึกษาแล้วอาจารย์ที่ปรึกษาของเขาก็แนะนำเขากับให้เข้าทำงานวารสาร British Journal of Surgery (BJS) แต่เมื่อมาถึงแล้วกลับไม่ได้รับความใส่ใจเท่าที่ควร ที่สำคัญก็คือ วิทยานิพนธ์ที่เขาเลือกผ่านการพิจารณายากมาก!
นี่ทำให้ถังเซินรู้สึกว้าวุ่นใจ
จนกระทั่งมาถึงตอนนี้ เขาก็ยังคงวนเวียนอยู่กับตำแหน่งงานบรรณาธิการฝึกหัดอันยากลำบากอยู่เช่นนี้เอง หากไม่มีผลงานที่ดี คงไม่ได้รับการพิจารณางานอย่างเป็นทางการแน่นอน
ถังเซินยอมเสียสละเวลาพักผ่อนของตนให้กับการทำงานและการทบทวนงานเพื่อหวังจะได้รับการพิจารณางานอย่างเป็นทางการเร็วขึ้นเสียหน่อย
วารสาร BJS เป็นวารสารเกี่ยวกับศัลยกรรมอันดับต้นๆ ของโลก ทุกวันกองบรรณาธิการจะได้รับอีเมล์จากทั่วโลกเป็นจำนวนมาก แต่เพราะเป็นเช่นนี้ จึงทำให้ถังเซินเห็นงานที่ส่งมาพิจารณาจากมาตุภูมิที่อยู่ห่างออกไปช่วงมหาสมุทรกั้นเร็วกว่าใคร
ถังเซินใช้เวลาชายามบ่ายอ่านวิทยานิพนธ์ฉบับนี้จนจบ ซึ่งมันทำให้เขาถึงกับตาเปล่งประกาย! เพราะวิทยานิพนธ์ฉบับนี้มีความโดดเด่นมากจริงๆ! ทั้งยังมีเอกลักษณ์มากด้วย
ช่วงครึ่งปีแรกของปีที่แล้ว วารสาร BJS เพิ่งเผยแพร่บทความวิทยานิพนธ์ของศาสตราจารย์ออสเตอร์แห่งแผนกศัลยกรรมทั่วไปของโรงพยาบาลรอยัลบรอมตันแห่งสหราชอาณาจักร เป็นหัวข้องานวิจัยเกี่ยวกับข้อด้อยของการผ่าตัดไส้ติ่งด้วยการส่องกล้อง
วิทยานิพนธ์นี้ทำให้ค่า Impact factor ของวารสาร BJS เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างหนัก และเมื่อศาสตราจารย์ออสเตอร์เผยแพร่เรื่องการผ่าตัดไส้ติ่งแบบแผลเล็กออกมา ก็ยิ่งได้รับความนิยมในต่างประเทศมากขึ้นกว่าเดิม
ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นวิธีการผ่าตัดแบบดั้งเดิม หากทำให้ผลข้างเคียงลดลงจนเหลือน้อยที่สุดได้ ย่อมลดปัจจัยที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการฟื้นตัวภายหลังเช่น พังผืดในช่องท้อง ลงไปได้มาก
ข้อดีของการผ่าตัดด้วยการส่องกล้องนั้นชัดเจนมาก แต่…ออสเตอร์คิดว่าหากใช้กล้องร่วมกับการผ่าตัดจะทำให้การผ่าตัดเคสนั้นเป็นการผ่าตัดที่สมบูรณ์แบบไม่ได้เลย
ในทางกลับกัน การผ่าตัดไส้ติ่งแบบแผลเล็กก็มีข้อจำกัดมากมาย ทั้งยังต้องการหมอที่มีทักษะสูงอีกด้วย ดังนั้นแม้จะได้รับการตอบรับค่อนข้างสูง แต่เขาพัฒนาวิธีการนี้มาปีกว่าแล้วก็ยังไม่ก้าวหน้า!
ด้วยเหตุนี้ เมื่อถังเซินเห็นบทความนี้ก็จับประเด็นสำคัญได้อย่างเฉียบคมทันที! เขาพบว่าหมอชื่อเฉินชางคนนี้ปรับปรุงการผ่าตัดไส้ติ่งแบบแผลเล็กให้ดีขึ้นได้จริงๆ
สำหรับคนอื่นอาจไม่สำคัญอะไรมากนัก แต่สำหรับวารสาร BJS และศาสตราจารย์ออสเตอร์แห่งโรงพยาบาลรอยัลบรอมตันแล้ว มันมีความหมายมากเลยทีเดียว! เพราะวิธีใหม่นี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการผ่าตัดไส้ติ่งแบบแผลเล็กวิธีดั้งเดิมออกมาได้มากมาย
คิดถึงตรงนี้ ถังเซินก็ดีใจเป็นอย่างยิ่ง นี่เป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้เขาได้รับพิจารณางาน!
เพียงแต่เขารอนานแล้ว บรรณาธิการอย่างจอร์จ ซีเวอร์ก็ยังไม่สนใจ นี่ทำให้เขาโกรธจนหน้าแดง
ตอนที่เขามาถึงแรกๆ บรรณาธิการดีกับเขามาก แต่…ดูเหมือนตัวเขาเองจะอาจคว้าโอกาสไว้ไม่ได้ ครั้งนี้จึงเป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่งของเขา!
คิดแล้วถังเซินก็กัดฟันแน่น เดินตรงไปยังสถานที่จิบชายามบ่ายของจอร์จ ซีเวอร์
“บรรณาธิการครับ ผมหวังว่าคุณจะดูวิทยานิพนธ์นี้หน่อยนะครับ ผมเชื่อว่าคุณจะต้องตกตะลึงแน่นอน นี่คือโอกาสครั้งสำคัญของวารสาร BJS ของพวกเรา!”
จอร์จ ซีเวอร์ถอนหายใจออกมา หากไม่ใช่เพราะว่าเธอเป็นเพื่อนกับอาจารย์ของถังเซิน คงไล่เขาไปโดยไม่เกรงใจแล้ว!
เธอหยิบวิทยานิพนธ์ขึ้นมาอ่านอย่างจนปัญญา
เพียงได้อ่าน สีหน้าของซีเวอร์ก็เปลี่ยนไปโดยพลัน รีบเก็บท่าทางไม่พอใจเมื่อครู่นี้กลับไปทันใด มีท่าทีจริงจังขึ้นมาแล้ว!
อ่านจบ สีหน้าของซีเวอร์ก็ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปทีละน้อย เธอมองถังเซินแล้วพยักหน้าชื่นชม “ไม่เลว! ต่อไปถ้าเจอบทความวิทยานิพนธ์ดีๆ อีกต้องรีบมาหาฉันนะคะ! จริงสิ ก่อนอื่นก็ส่งหนังสือตอบรับไปให้ผู้เขียนก่อนเลย!”
ซีเวอร์ลุกขึ้นยืน ตอนนี้เธอจะยังมีอารมณ์ไปจิบชายามบ่ายที่ไหนกัน เธอต้องติดต่อไปหาออสเตอร์เพื่อหารือเรื่องวิทยานิพนธ์ฉบับนี้กับเขาอย่างเร่งด่วน
เหมือนที่ถังเซินบอกจริงๆ นี่เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการผ่าตัดไส้ติ่ง!
หลายปีแล้วที่ชาวตะวันตกไม่ให้ความสำคัญกับไส้ติ่งถึงขั้นที่มีหลายคนเอาไส้ติ่งออกตั้งแต่เด็กเพื่อตัดปัญหาในอนาคตเลยทีเดียว และเพราะเป็นเช่นนี้ พวกเขาจึงให้ความสำคัญกับวิธีการผ่าตัดนี้มาก แม้งานวิจัยในปัจจุบันหลายงานจะบ่งชี้ให้เห็นว่าไส้ติ่งมีประโยชน์ แต่ก็มีเคสไส้ติ่งอักเสบเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ทำให้การตัดไส้ติ่งได้รับความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ แต่นี่ไม่เป็นอุปสรรคต่อการวิจัยการผ่าตัดไส้ติ่งเลย!
ซีเวอร์ตื่นเต้นมาก! เมื่อเธอเห็นถังเซินกำลังจะเดินกลับไปอย่างเร่งร้อนก็รีบพูดต่อไปว่า “ใช่แล้ว ทางที่ดีคุณก็ทิ้งข้อมูลติดต่อไว้ให้ผู้ประพันธ์คนนั้นหน่อยนะคะ ฉันเชื่อว่านี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เลย แล้วก็ยกเว้นค่าธรรมเนียมไปเลยก็ได้ค่ะ!”
ถังเซินได้ยินดังนั้นก็มีสีหน้าตื่นเต้น!
……
……
วันนี้เฉินชางเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว เขารู้สึกล้าเล็กน้อย งานกู้ชีพไม่ใช่อะไรที่คนทั่วไปจะทำได้จริงๆ เห็นได้จากที่แม้ศูนย์ฉุกเฉินจะให้เงินมากเพียงใดก็ไม่มีใครไปทำ
เมื่อสองวันก่อน เฉินชางเห็นข่าวรับสมัครงานของศูนย์ฉุกเฉินในเมืองหลวงประกาศรับสมัครนักศึกษาปริญญาโทมาช่วยแก้ปัญหาในเมืองหลวง ให้เงินเดือนมากกว่าสองหมื่นหยวน ซึ่งสำหรับนักศึกษาปริญญาโทที่เพิ่งจบการศึกษาแล้วเป็นเงื่อนไขที่น่าคาดหวังเลยทีเดียว
เพื่อนที่ไปสมัครพากันบอกว่าทำงานวันละสิบสองชั่วโมงเป็นเรื่องปกติ!
จู่ๆ พวกเขาก็รู้สึกอิจฉาคนที่ทำงานแบบเก้าโมงเช้าถึงสามทุ่มและทำหกวันต่อสัปดาห์ขึ้นมาแล้ว…
เฉินชางนอนหลับจนถึงกลางดึก จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงแจ้งเตือนจากอะไรบางอย่าง เขาลืมตาขึ้นตามสัญชาตญาณ มองไปยังหน้าจอมือถือที่ส่องแสงสว่างเรืองรองอย่างแปลกใจ
ช่วงหลายปีมานี้เขาพบว่าตนเองเริ่มบ่มเพาะนิสัยเสียขึ้นมาอย่างหนึ่ง นั่นก็คือจะหลับไม่ค่อยสนิท หากมีการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยก็จะตื่นง่ายมาก และจะมีความรู้สึกเฉียบคมกับเสียงมือถือมากเป็นพิเศษ
เขามองแสงจากหน้าจอมือถือ ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เพราะจะอย่างไรแผนกฉุกเฉินคงไม่ส่งข้อความมาให้ตนกลางดึกเช่นนี้แน่นอน ปกติจะโทรมามากกว่า
เขาหรี่ตามองหน้าจอมือถือ ปัดหน้าจอขึ้น เห็นอีเมล์ฉบับหนึ่ง เพียงแต่…เมื่ออ่านเนื้อหาแล้วก็ต้องหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง!
มันคือหนังสือตอบรับ!
หนังสือตอบรับของวารสาร BJS !
เมื่ออ่านข้อความจบแล้ว เฉินชางก็ดีใจสุดเปรียบ เดิมทียังคิดไปว่าจะอย่างไรก็ต้องรอหลายเดือนกว่าจะได้รับข้อความตอบกลับ คิดไม่ถึงว่าจะได้รับหนังสือตอบรับเร็วเพียงนี้ เฉินชางดีใจมากจริงๆ!
ปกติวารสารระดับสูงเช่นนี้จะมีขั้นตอนการพิจารณาในขั้นต้นและขั้นที่สองค่อนข้างซับซ้อน แต่นี่เพิ่งจะครึ่งเดือนกว่าก็ได้รับการตอบรับแล้ว