บทที่ 483 ยังไม่โตจริงๆ!
ระหว่างออกจากห้องผ่าตัด เจียงเทาก็ยิ่งรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง!
เขาทบทวนคำพูดของอู๋ปัวผู้เป็นวิสัญญีแพทย์อย่างละเอียดอีกครั้ง
คำพูดที่ว่า ‘เรียนรู้จากหัวหน้าอันให้ดีๆ’ ไม่มีอะไรผิด ถึงอย่างไรหัวหน้าอันก็เป็นแพทย์อาวุโสของตน ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นหมอระดับหัวหน้าแพทย์แล้วด้วย ย่อมมีประสบการณ์ด้านงานคลินิกมากมาย ควรค่าต่อการเรียนรู้!
แต่ว่า…อะไรคือ ‘ถ้ามีเวลาก็ไปให้หมอเฉินชี้แนะให้ดี’ เห็นได้ชัดว่าประโยคนี้แสดงให้เห็นว่าการชี้แนะของเฉินชางมีค่ามากยิ่งกว่าหัวหน้าอันเสียอีก!
มีเหตุผลเช่นนี้ที่ไหนกัน! แล้วทำไมหัวหน้าอันจึงไม่โกรธเลยสักนิด
คิดแล้วเจียงเทาก็ยิ่งรู้สึกว่าเฉินชางซ่อนความลับอันใหญ่หลวงเอาไว้! ยิ่งคิดก็ยิ่งกระตือรือร้น! ด้วยเหตุนี้เจียงเทาจึงตัดสินใจกับตัวเองว่าจะต้องสืบค้นเรื่องนี้ให้ชัดเจนก่อนค่อยว่ากันอีกครั้ง
เมื่อกลับมาถึงห้องหมอของแผนก เจียงเทาพบว่าในห้องมีฉินเยว่กำลังจัดการข้อมูลต่างๆ อยู่เพียงลำพัง
เจียงเทาเดินยิ้มเข้าไปหา “สวัสดีครับหมอฉิน”
ฉินเยว่เงยหน้าขึ้น ยิ้มให้เล็กน้อย “สวัสดีค่ะหมอเจียง”
อืม ทักทายได้มีมารยาทมาก
เจียงเทาดึงเก้าอี้มานั่งข้างๆ ถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่า “หมอฉินครับ ผมได้ยินมาว่าคุณผ่านการทดสอบเข้าเรียนปริญญาเอกแล้วใช่ไหมครับ คุณคิดจะไปเรียนที่ไหนเหรอครับ”
เรื่องที่ฉินเยว่จะเข้าเรียนปริญญาเอกไม่ใช่ข่าวใหม่อะไร ทุกคนในห้องพักหมอในแผนกต่างพูดกันจนเป็นเรื่องปกติไปแล้ว รวมกับที่ตอนนี้ฉินเยว่อยู่ในช่วงเปลี่ยนสายงานไปทางงานวิจัย ทุกคนจึงรู้ว่าฉินเยว่กำลังอยู่ในช่วงเตรียมตัว
ฉินเยว่พยักหน้า “ค่ะ ฉันคิดว่าอาจจะไปเรียนที่เมืองหลวงค่ะ แต่ก็อาจเลือกเรียนภาคพิเศษ คงไม่ได้เรียนเต็มวันค่ะ”
เจียงเทาได้ยินดังนั้นก็รีบพูดขึ้นว่า “เมืองหลวงเหรอครับ เมืองหลวงก็ดี! แต่…ผมว่าจะเรียนทั้งทีก็เลือกเรียนเต็มวันไปเลยดีกว่านะครับ ตอนนี้มูลค่าของนักศึกษาปริญญาเอกที่เรียนภาคพิเศษไม่ค่อยสูง ไม่เป็นที่ยอมรับในหลายหน่วยงาน”
เจียงเทากล่าวไปตามเหตุผล
ฉินเยว่พยักหน้าแล้วพูดยิ้มๆ ว่า “ฉันอายุมากแล้วค่ะ ถ้าเลือกเรียนเต็มวันจะมีความกดดันเรื่องงานวิจัยสูง”
เจียงเทารีบพูดยิ้มๆ ว่า “คุณยังไม่โตขนาดนั้นหรอกครับ!”
เจียงเทาคิดว่ายิ่งใช้คำพูดที่ฟังดูตลกมากเท่าไหร่ก็ยิ่งสร้างความประทับใจให้คู่สนทนาได้มากเท่านั้น แต่เขาไม่สังเกตเลยว่าใบหน้าของฉินเยว่ดำคล้ำไปหมดแล้ว โกรธจนเลือดลมแทบตีกลับ
อะไรไม่โต
แกสิไม่โต!
เล็กไปทุกอย่างนั่นแหละ!
คำว่าเล็ก หรือไม่โต กลายเป็นคำต้องห้ามในพจนานุกรมของฉินเยว่ไปแล้ว กระทั่ง ‘ผู้อำนวยการเฉิน’ ก็ยังไม่กล้าพูด แต่อีกฝ่ายถึงกับพูดออกมาแล้ว!
ตอนนี้หวังเชียนเดินเข้ามาพอดี เมื่อเห็นภาพตรงหน้า สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปโดยพลัน
เจ้าหมอนี่กล้ามาตอแยดอกไม้ประจำแผนกเราเชียวหรือ เอาชางเอ๋อร์ไปไว้ที่ไหน ไม่ได้การแล้ว!
คิดถึงตรงนี้ หวังเชียนก็รู้สึกว่าตนเองควรช่วยเพื่อนสักหน่อย
จู่ๆ หวังเชียนก็กล่าวขึ้นว่า “หมอเจียง คุณยังหนุ่มแต่ก็มีความสามารถสูง ประวัติการศึกษาก็ดี มีแฟนหรือยังครับ”
หมอเจียงยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน “ผมเอาแต่เรียนมาตลอดเลยไม่ทันได้หาแฟนน่ะครับ นอกจากนี้ผมก็อยากกลับมาอันหยางด้วย ถ้ามีแฟนก็อาจไม่มั่นคง เลยคิดว่ารอให้มั่นคงก่อนค่อยว่ากัน!”
หวังเชียนได้ยินดังนั้นก็ยิ่งรู้สึกระแวง เจ้าหมอนี่…ใจไม่บริสุทธิ์ ต้องรีบไปเตือนชางเอ๋อร์สักหน่อยแล้ว ไม่งั้นถ้าดอกไม้ประจำแผนกอย่างฉินเยว่ถูกแย่งไป ผู้อำนวยการฉินก็จะถูกคนอื่นดึงตัวไปด้วย นี่เรียกว่าสูญเสียภรรยาไปแล้วยังเสียผู้อำนวยการไปอีก เสียหายหลายแสน!
……
ตอนนี้อันเยี่ยนจวินก็กลับมาถึงห้องหมอของแผนกแล้ว เขาเห็นเหตุการณ์นี้พอดีจึงอดพูดไม่ได้ว่า “เสี่ยวเจียง ไปตรวจเยี่ยมผู้ป่วยกับผมเถอะ เสี่ยวเฉินทำงานเสร็จแล้ว”
เจียงเทาพยักหน้า เทียบกับฉินเยว่แล้ว ตอนนี้เขาสนใจเฉินชางมากกว่า คิดแล้วก็รีบลุกขึ้นยืนแล้วเดินตามออกไปทันที
ความทรงจำของเฉินชางไม่เลวเลย เขาจดจำคนไข้ได้เป็นอย่างดี เมื่อไปถึงห้องผู้ป่วยเฉินชางก็พูดจายิ้มแย้มกับผู้ป่วยทุกคนด้วยท่าทางเกรงอกเกรงใจ ผู้ป่วยถูกเรียกชื่อจนครบทุกคนจึงทำให้รู้สึกสนิทสนมกับหมอยิ่งขึ้น
ถ้าสื่อสารกับผู้ป่วยให้ดีย่อมมีส่วนช่วยในงานได้มาก นี่คือสิ่งที่เหล่าเฉินสอนเฉินชาง
“เฮ้อ หมอเฉิน ผมรู้สึกว่าผมฟื้นตัวได้ดีเลยนะครับ ตอนเคลื่อนไหวก็ยิ่งรู้สึกได้…ต้องขอบคุณหมอเฉินมากเลยนะครับ!” ผู้ป่วยพูดยิ้มๆ
เฉินชางพยักหน้า “คุณผ่าตัดเสร็จไปสิบหกชั่วโมงแล้ว อีกเดี๋ยวก็ทำเรื่องออกจากโรงพยาบาลได้แล้วนะครับ คืนนี้ก็ไปเคลื่อนไหวทำกายภาพสักหน่อย พอจะออกจากโรงพยาบาลก็ไปรับคู่มือกายภาพที่เคาน์เตอร์พยาบาลด้วยนะครับ กลับไปก็ฝึกตัวเองให้ดี”
ผู้ป่วยได้ยินก็กล่าวขึ้นว่า “ไม่ต้องไปศูนย์กายภาพหรือครับ”
เฉินชางส่ายหน้า “ไม่ต้องครับ ผมทราบอาการของคุณดี กลับไปฝึกด้วยตัวเองก็ฟื้นตัวได้แล้ว!”
ผู้ป่วยยิ้มออกมาทันที
หลังจากตรวจผู้ป่วยไปหลายคน เขาพบว่าทุกคนฟื้นตัวได้ดีมาก บางคนเฉินชางก็กำชับให้ไปที่ศูนย์กายภาพ บางคนก็ให้กลับบ้านไปฝึกด้วยตัวเอง นี่ทำให้เจียงเทาสงสัย
ทำไมถึงทำอะไรตามใจแบบนี้ กลับไปฝึกด้วยตัวเองได้ด้วยเหรอ
อีกอย่าง…อะไรคือคู่มือกายภาพ
ตอนนี้ในสมองของเจียงเทาเต็มไปด้วยความสงสัย ต้องรอให้ผ่าตัดเกินยี่สิบสี่ชั่วโมงก่อนถึงจะทำกายภาพได้หรือ
บาดเจ็บที่เอ็นขวางข้อมือเช่นนี้ ทำไมเฉินชางถึงไม่ใช้วิธีการเย็บแบบถังล่ะ
ต้องทราบว่าวิธีการเย็บแบบถังมีประโยชน์ต่อเอ็นขวางบริเวณข้อมือมาก เป็นขั้นตอนที่ช่วยลดพังผืดได้ดีและทำกายภาพได้ภายในสิบสองชั่วโมงแรก!
เจียงเทาเริ่มสงสัยทักษะการเย็บเส้นเอ็นของเฉินชางแล้ว
ความรู้สึกของเขาก็เหมือนกับคนที่ออกจากเมืองหลวงเพื่อมาอยู่ในเมืองธรรมดา รู้สึกตัวเองเหนือกว่าคนอื่น
เมื่อออกมาจากห้องหมอของแผนกแล้ว เจียงเทาก็ไปหยิบคู่มือกายภาพเส้นเอ็นมาจากเคาน์เตอร์พยาบาลแล้วนำมาใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อ เมื่อเดินกลับไปที่ห้องหมออีกครั้งก็ถามขึ้นว่า “หัวหน้าครับ วิธีกายภาพเส้นเอ็นนี้มาจากไหนหรือครับ”
อันเยี่ยนจวินร้องอ้อออกมา “นี่เป็นผลงานของหมอเฉินนะครับ เขาศึกษาเรื่องวิธีการฝึกกายภาพด้วยตัวเอง ได้ผลลัพธ์ไม่เลวเลย นำไปให้ผู้ที่เส้นเอ็นบาดเจ็บระดับปกติฝึกฝนด้วยตัวเองได้จริงๆ ประหยัดเงินค่าทำกายภาพมากเลยครับ”
เจียงเทาได้ยินดังนั้นก็คิดว่า จะเพ้อเจ้อเกินไปแล้ว!
ตอนนี้เขารู้สึกว่าแผนกฉุกเฉินมันแปลกประหลาดกันไปหมด! ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ให้หมอหนุ่มคนหนึ่งไปตรวจเยี่ยมผู้ป่วย แต่นี่กระทั่งคู่มือกายภาพก็ยังให้หมอหนุ่มเป็นคนทำ
นี่มันจะเหลือเชื่อเกินไปหรือเปล่า
เมื่อกลับไปที่ห้องหมอ เจียงเทาก็ถามอันเยี่ยนจวินว่า “หัวหน้าอัน พวกเราเริ่มทำกายภาพกันภายในยี่สิบสี่ชั่วโมงแรกหรือครับ ทำไมถึงไม่ใช้วิธีการเย็บแบบถังล่ะครับ เริ่มทำกายภาพได้ตั้งแต่สิบสองชั่วโมงแรกเลย…”
อันเยี่ยนจวินนวดขมับ “วิธีเย็บแบบถังหรือ…เสี่ยวเฉินบอกว่าวิธีเย็บแบบถังมีส่วนที่ไม่สมบูรณ์อยู่ ต้องปรับปรุงต่อไปเรื่อยๆ ปกติพวกเราก็ใช้วิธีการเย็บแบบถังค่อนข้างน้อยน่ะครับ เดี๋ยวคุณจะค่อยๆ รู้ไปเอง”
เจียงเทางงไปแล้ว!
บ้าแล้ว!
เสียสติกันไปแล้วจริงๆ!
บ้ากันทั้งแผนกฉุกเฉินเลย!
เฉินชางถึงกับกล้าพูดว่าวิธีการเย็บแบบถังมีส่วนที่ไม่สมบูรณ์อยู่เชียวหรือ ทั้งยังต้องปรับปรุงไปเรื่อยๆ อีก นี่เป็นคำพูดที่แผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลธรรมดาแห่งหนึ่งสมควรพูดหรือ
คุณจะนับเป็นอะไรได้!
เจียงเทายิ้มอย่างกระอักกระอ่วน แม้ปากจะไม่พูดอะไร แต่ในใจว้าวุ่นไปหมดแล้ว
ชั่วขณะนั้นเขาก็เกิดสงสัยขึ้นมาว่า ตกลงการมาที่นี่ เขาคิดถูกหรือคิดผิดกันแน่
คนพวกนี้เป็นอะไรไปหมด
พอจะมี…หมอฉินเยว่คนเดียวที่ดูดีอยู่บ้าง…
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้หมอฉินเยว่กำลังจะไปเรียนปริญญาเอกแล้ว เธอต้องคิดว่าที่นี่มันแปลกแน่ๆ เลยคิดจะเปลี่ยนแผนก
คิดถึงตรงนี้ เจียงเทาก็ทอดถอนใจออกมา
ผู้ชายกลัวการทำงานผิดที่ที่สุดแล้ว
ตอนนี้เอง จู่ๆ สือน่าก็กล่าวขึ้นว่า “เสี่ยวฉิน อีกนานแค่ไหนเธอถึงจะย้ายไปแผนกศัลยกรรมทั่วไปน่ะ”
ฉินเยว่ส่ายหน้า “หลังปีใหม่มั้งคะ ช่วงปีใหม่แผนกฉุกเฉินค่อนข้างวุ่นวาย ฉันกลัวว่าจะมีคนไม่พอ รอให้ผ่านช่วงปีใหม่ไปก่อนฉันค่อยย้ายไปที่แผนกศัลยกรรมทั่วไป”
เจียงเทาได้ยินดังนั้นก็ถอนใจออกมาทันที เป็นผู้หญิงที่ดีจริงๆ!
แล้วก็ใจดีมากด้วย!
เจียงเทาอดส่ายหน้าไม่ได้ รู้อยู่แล้วแหละว่าแผนกฉุกเฉินคงรั้งหมอดีๆ แบบนี้ไว้ไม่ได้แน่!
บทที่ 477 ชางเอ๋อร์ รีบไปพักเถอะ!
เมื่อนำปลายหน้าตัดทั้งสองด้านมาประกบกัน ปลายหน้าตัดที่เดิมทีดูเละเทะราวถูกสุนัขแทะกลับเชื่อมต่อกันได้ในพริบตา!
เมื่อเมิ่งซีเห็นภาพนี้พลันต้องเบิกตากว้าง!
เฉินชางเปลี่ยนวิธีอีกแล้วหรือ
ภาพนี้ดูคล้ายกับฟันปลาสองด้าน เมื่อนำมาประกบกันแล้วก็ทำให้ปลายทั้งสองเชื่อมต่อกันได้พอดี
ภาพอันน่าทึ่งนี้ทำให้ทุกคนในห้องผ่าตัดประทับใจมาก
หากเดินออกไปจากประตูห้องผ่าตัดนี้แล้วอาจไม่ได้เห็นอีก หากนำไปพูดให้คนอื่นฟังคงไม่มีใครเชื่อ!
ช่วงเวลาอันน่าเหลือเชื่อที่ควรถูกเรียกว่ามายากลเช่นนี้ทำให้ทุกคนหายใจไม่ทั่วท้อง!
เมื่อครู่อาจดูเหมือนเฉินชางตัดเล็มส่วนล่างของหลอดเลือดโป่งพองไปตามใจ แต่ที่จริงเขาวางแผนไว้ดีแล้วนี่เอง! นี่เป็นสิ่งที่อยู่ในความคาดหมายของเขาแต่แรก!
แต่เพราะเป็นเช่นนี้ ทุกคนจึงตื่นตะลึงจนสั่นสะท้านไปหมด! ต้องมีความสามารถขนาดไหนกันจึงจะทำได้ถึงขั้นนี้ อย่างไรคุณก็เป็นแค่ศัลยแพทย์คนหนึ่ง เรื่องเหลือเชื่อเช่นนี้ ต่อให้เป็นนักออกแบบก็ไม่แน่ว่าจะทำได้!
หากไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง หากหัวหน้าแผนกเป็นคนเล่าให้ฟัง พวกเขาต้องไม่เชื่อแน่นอน!
ทว่าความจริงอยู่ตรงหน้าแล้ว ทุกคนจำเป็นต้องเชื่อว่านี่คือเรื่องจริง
หรือว่า…ความต่างชั้นของพวกเรามันมากขนาดนี้เชียวหรือ
พวกเราเห็นการผ่าตัดเป็นอาชีพ แต่อีกฝ่ายมองการผ่าตัดเป็นศิลปะ!
ที่แท้การเย็บก็ทำเช่นนี้ได้ด้วย!
เฮ้อ…
ในสมองของจิ่งหรานราวกับมีเพลงท่อนหนึ่งดังขึ้นมา
บอกไม่ถูกว่าทำไม ฉันจึงกลายเป็นคนธรรมดา
หากคุณชื่นชมใครบางคน การเย็บก็จะกลายเป็นเรื่องอัศจรรย์
ฉันอยากร้องถามดังๆ ว่าคุณทำสำเร็จได้อย่างไร
กระทั่งเพื่อนร่วมงานที่ยืนอยู่ข้างๆ ยังเดาได้เลยว่าตอนนี้ฉันตื่นเต้นอยู่!
ฉันกำลังอาลัยอาวรณ์ต่อคุณ…
จิ่งหรานรีบระงับความคิดของตน ถึงอย่างไรก็มีภรรยาแสนสวยก็รออยู่ที่บ้าน จะคิดฟุ้งซ่านไม่ได้เด็ดขาด
จิ่งหรานตื่นเต้นจริงๆ มีคู่หูผ่าตัดเช่นนี้ก็นับเป็นวาสนาอย่างหนึ่ง
……
เมิ่งซีมองเฉินชางด้วยสายตาสงสัย
ในสมองของไอ้เด็กนี่บรรจุอะไรไว้มากเท่าไหร่กันแน่นะ
ข้างในมีเวอร์เนียร์คาลิปเปอร์ หรือเครื่องสแกนอยู่หรือไง
ไม่งั้นจะทำเรื่องเหนือมนุษย์อย่างนี้ออกมาได้ยังไง
เฉินชางเตรียมเย็บต่อ ทันใดนั้นก็พบว่าอาจารย์เมิ่งเริ่มดูสติหลุดไปอีกแล้ว เธอกำลังเบิกตากว้างจ้องมองตนด้วยสายตาราวกับต้องการผ่าเปิดกะโหลกของตนออกมาดูอย่างไรอย่างนั้น!
เฉินชางอดพูดไม่ได้ว่า “อาจารย์เมิ่ง คุณจะเย็บหรือเปล่าครับ”
เมื่อเฉินชางเรียกเธอเช่นนี้ เมิ่งซีก็ได้สติกลับมา
แม้เฉินชางจะพูดเช่นนั้ นทว่าในคำพูดของเขากลับแฝงความหมายไว้ชัดเจนว่า: ยังไม่รีบมาช่วยอีก มัวอึ้งอะไรอยู่!
เห็นฉันเป็นผู้ช่วยเบ็ดเตล็ดไปซะแล้ว!
คิดถึงตรงนี้ เมิ่งซีก็ขุ่นเคืองแต่ไม่อาจระบายออกมาได้
ก็แค่เย็บไม่ใช่หรือไง
มีอะไรน่าสนใจกัน!
ชิ!
ขณะนั้นก็หันไปพูดกับพยาบาลว่า “ไหมเบอร์สี่ค่ะ”
พยาบาลส่งคีมจับเข็มมาให้ เมิ่งซีรับไว้พลางปรายตามองเฉินชาง: คอยดูเถอะ!
อย่างไรก็ตาม เมื่อเธอรับคีมจับเข็มมาแล้ว จู่ๆ ก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มลงมือจากตรงไหนดี!
เธอมองดูปลายตัดหลอดเลือดทั้งสอง รู้สึกราวกับเห็นรูปภาพสองภาพมาประกบกัน ดวงตาของเธอพลันมืดมน เกิดเป็นความสับสนมึนงง ความปรารถนาที่จะเป็นคนเย็บเองเลือนหายไปทันที
ไอ้หนูนี่…มันเอาความยากทั้งหมดมารวมไว้ในขั้นตอนการเย็บหลอดเลือดแดงใหญ่บริเวณช่องอก
เมื่อเทียบกับการปลูกถ่ายหลอดเลือดแล้ว การเย็บเช่นนี้ยังยุ่งยากกว่ามาก…ทั้งยังต้องใช้ความแม่นยำสูง หากเย็บไม่ระวังจนเกิดรูรั่วขึ้นมาคงพูดยาก
ยิ่งไปกว่านั้น หากเย็บไปตามรอยแผลอันซับซ้อนทื่อๆ จะทิ้งร่องรอยอะไรไว้หรือไม่ก็ยังไม่ทราบ อาจทำให้เกิดการตีบของหลอดเลือดแดงอีกครั้งก็เป็นได้!
คิดแล้วเมิ่งซีก็มือสั่นระริก!
เธอคิดว่านี่ไม่ใช่เพราะเธอกำลังกลัว แต่เป็นเพราะหน้าอกของเธอใหญ่เกินไปจนไปกดทับหลอดเลือด ทำให้เลือดไปเลี้ยงมือไม่พอ!
ทว่า…เมื่อเห็นแววตาล้อเลียนของเฉินชาง เมิ่งซีก็โกรธจนเลือดลมตีกลับ ขนาดชุดผ่าตัดหลวมๆ เมื่อครู่นี้ก็ยังทำให้เธอรู้สึกว่าจู่ๆ เสื้อก็รัดแน่นขึ้นมา
ไม่กล่าวไม่ได้ว่าหมอของโรงพยาบาลตงต้าล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญทั้งสิ้น ไม่ว่าคุณเมิ่งจะคิดทำอะไร พวกเขาก็จะไม่ว่อกแว่ก จดจ่ออยู่กับกับการผ่าตัดตรงหน้าเท่านั้น!
หากหวังเชียนอยู่ตรงนี้ด้วย ไม่ทราบว่าเขาจะมองไปที่ไหน!
……
จิ่งหรานและเพื่อนร่วมงานมองดูรอยตัดอันขรุขระบนผนังหลอดเลือดที่นำมาประกบกัน รู้สึกชาหนึบไปถึงหนังศีรษะ หากเย็บได้ต้องเก่งมากเลยทีเดียว!
ไม่ทราบว่าตั้งแต่เมื่อใด พวกเขามองเข้าไปในดวงตาของหัวหน้าเมิ่ง สัมผัสได้ถึงความน่าสมเพชจางๆ
วิสัญญีแพทย์เห็นท่าทางนิ่งค้างของเมิ่งซีก็อยากหัวเราะออกมาจริงๆ การเย็บคราวนี้ยุ่งยากมาก จากเดิมที่ต้องเย็บเป็นเส้นตรงกลายเป็นต้องเย็บแบบไม่สม่ำเสมอ
เมิ่งซีลังเล มองเฉินชางด้วยสายตาไร้อารมณ์ “มา เดี๋ยวฉันช่วยจับหลอดเลือดให้คุณเอง คุณมารับเข็มไปสิคะ!”
เฉินชางพยักหน้าแล้วรับคีมจับเข็มเอาไว้พลางมองเมิ่งซี
ดีมาก!
“จับให้ดีนะครับ!”
เมิ่งซีรู้สึกเหมือนได้ยินเฉินชางพูดว่า: ทำไม่ได้ก็ไปเป็นผู้ช่วยซะ อย่ามาแย่งงานผม จับตาดูให้ดีๆ แค่ยืนรอรับชัยชนะอยู่ข้างๆ ก็พอแล้ว ไม่ต้องมาแกล้งทำเป็นวางมาดอะไรหรอก…
อาจารย์เมิ่งพลันโกรธจนทนไม่ไหว!
ไอ้หมอนี่!
ดูถูกกันนี่นา!
ลืมไปแล้วสินะว่าระหว่างเราสองคนใครเป็นอาจารย์กันแน่
แต่ในการผ่าตัด อย่างไรก็ต้องมองภาพรวมเป็นสำคัญ
เฉินชางรับคีมจับเข็มมา ดวงตาจ้องมองไปที่รอยตัดหลอดเลือดแล้วเริ่มรวบรวมสมาธิ
คนอื่นไม่รู้วิธีเย็บ เพราะดูแล้วบาดแผลนี้ค่อนข้างยุ่งยากเลยทีเดียว ไม่รู้ว่าเฉินชางจะลงมืออย่างไร
แน่นอนว่าหากเฉินชางเชื่อมประสานรอยตัดทั้งสองได้ไม่ดี ย่อมกลายเป็นการเพิ่มภาระอย่างไม่ต้องสงสัยเลย เมื่อเป็นเช่นนั้นก็จะยุ่งยากเข้าไปอีก!
ความคิดของเขาเป็นความคิดที่ดีมาก ทำได้ถึงขั้นนี้ก็มหัศจรรย์มากแล้ว แต่ท้ายที่สุดก็ต้องดูที่การซ่อมแซมหลอดเลือดอยู่ดี
จะซ่อมแซมหลอดเลือดแดงเอออร์ตาที่ตัดไปแล้วให้สำเร็จได้อย่างไร นี่เป็นปัญหาที่ต้องใส่ใจที่สุด
เฉินชางยกคีมจับเข็มขึ้นมาโดยไม่กล่าวคำใด เลือกแทงเข็มไปยังส่วนที่สูงที่สุดก่อน จากนั้นก็เริ่มเย็บอย่างระมัดระวัง เย็บแต่ละฝีเข็มได้ประณีต การเย็บหลอดเลือดแดงใหญ่เช่นนี้ต้องพิจารณาหลายอย่าง ขณะเดียวกันก็ต้องจัดการรายละเอียดต่างๆ ให้ดีที่สุด
เมิ่งซีมองเฉินชางอย่างตื่นตะลึง
นี่มัน…วิธีเย็บแบบ Horizontal Mattress Suture หรือ
คงจะใช่…มั้ง
แต่ทำไมไม่ค่อยเหมือนล่ะ
เมิ่งซีมองดูการเย็บที่ค่อนข้างแปลกประหลาด เธอศึกษาเรื่องการเย็บหลอดเลือดมามาก เพียงได้เห็นก็รู้ว่าการเย็บของเฉินชางไม่ธรรมดา
เฉินชางปรับเปลี่ยนวิธีเช่นนี้ ทำให้ป้องกันไม่ให้ผนังหลอดเลือดภายในเสียหายได้พอดี ทั้งยังใช้ผนังชั้นในสุดของหลอดเลือดมารักษาความเรียบของบาดแผลได้ด้วย นี่เป็นข้อได้เปรียบอย่างหนึ่งของการเย็บหลอดเลือด!
ยิ่งไปกว่านั้น ฝีมืออันประณีตก็ชดเชยรอยไหมขรุขระในการเย็บได้พอดี
ยอดเยี่ยมจริงๆ!
ระดับความเสียหายและความเรียบของผนังหลอดเลือดชั้นในจะส่งผลกระทบต่อหลอดเลือดแดงใหญ่อย่างมีนัยยะสำคัญ!
วิธีการเย็บของเฉินชางช่วยกำจัดผลกระทบที่เกิดจากบาดแผลอันซับซ้อนออกไปได้ แค่จัดการรอยตัดหลอดเลือดเพียงอย่างเดียวก็ยากมากแล้ว! การเย็บรอยตัดหลอดเลือดที่นำมาประกบกันก็ยากมากเช่นกัน! และเมื่อนำงานทั้งสองมารวมกัน ระดับความยากก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้นอีกหลายเท่า
ตอนนี้เฉินชางใช้วิธีเย็บไปตามหลอดเลือด ทำให้กระบวนการทั้งหมดส่งเสริมซึ่งกันและกัน
เก่งจริงๆ!
หากเป็นคนอื่นคงไม่รู้จริงๆ ว่าจะจัดการอย่างไร
ขณะนี้เมิ่งซีรีบเก็บท่าทางเหลาะแหละของตนกลับไปแล้วตั้งใจดูเฉินชางทำงาน
ประเทศที่เธอเคยไปเรียนก่อนหน้านี้ให้ความสำคัญกับเรื่องการเย็บซ่อมหลอดเลือดมาก ดังนั้นเธอจึงมีสิทธิ์วิจารณ์เรื่องนี้ได้บ้าง
เธอมองฝีเข็มของเฉินชางอย่างจริงจัง…
เวลาไหลผ่านไปทุกนาที เฉินชางเปลี่ยนเข็มครั้งแล้วครั้งเล่า ในที่สุดก็เย็บเสร็จ!
เฉินชางพูดกับเมิ่งซีว่า “ดึงระบายอากาศหน่อยครับ”
เมิ่งซีชะงักไป ก่อนจะรีบดึงหลอดเลือดแดงที่เพิ่งเย็บเสร็จเล็กน้อย ทันใดนั้นรอยประสานอันเลืองรางที่เพิ่งเย็บเสร็จก็ปรากฏขึ้น เย็บได้แน่นและแม่นยำมาก
เมื่อเย็บหลอดเลือดเสร็จแล้วก็ต้องกำจัดอากาศออกด้วย มิฉะนั้นหากมีอากาศอยู่ภายในหลอดเลือดอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต!
ตอนที่ยังเป็นนักศึกษาแพทย์ระดับมหาวิทยาลัย เคยทดลองจบชีวิตกระต่ายด้วยการใช้เข็มฉีดยาฉีดอากาศเข้าไปที่หลอดเลือดบริเวณหูของกระต่าย ผ่านไปไม่นานกระต่ายก็ตาย
คนเรา…ก็ไม่แตกต่างกัน
การผ่าตัดดำเนินมาจนถึงตอนนี้ เรียกได้ว่างานหลักๆ สำเร็จไปหมดแล้ว ซึ่งแรงงานหลักในการผ่าตัดครั้งนี้ก็คือเฉินชาง!
ถึงตอนนี้เฉินชางก็ถอยหลังไปหนึ่งก้าว ทำเอาเมิ่งซีหนังตากระตุก
หมอนี่จะให้ฉันปิดงานหรือไง
ถึงอย่างไรเส้นทางบายพาสชั่วคราวที่สร้างขึ้นเมื่อครู่นี้ก็ยังไม่ได้เอาออก…
ไม่ผิดจากที่คาด เฉินชางถอนใจออกมา “เหนื่อยจัง!”
เมิ่งซีกัดฟันแน่น โกรธจนเสื้อผ่าตัดสั่นไปหมด!
ทุกคนมองดูท่าทางราวกับมังกรข่มเสือของเฉินชางอย่างอับจนคำพูด…
อย่างไรก็ตาม จิ่งหรานกลับกล่าวด้วยท่าทางปวดใจว่า “รีบไปพักผ่อนเถอะครับหมอเฉิน ลำบากแล้ว!”
บทที่ 470 คืนสละโสดก่อนแต่งงาน
เมื่อเฉินชางเดินออกไปก็พบว่าศูนย์ฉุกเฉิน 120 นำตัวผู้ป่วยชายมาส่งคนหนึ่ง! ตอนนี้กำลังเข็นเตียงเข้ามาที่ห้องฉุกเฉินแล้ว
เฉินชางก็เริ่มร้อนใจเช่นกัน รีบวิ่งตรงไปยังห้องฉุกเฉินทันที
ชายที่ตามมาด้วยเป็นชายวัยกลางคนรูปร่างอ้วนท้วม มีเหงื่อออกเต็มศีรษะ เห็นได้ชัดว่าตกใจไม่น้อย!
เมื่อเขาเห็นเฉินชางก็รีบพูดขึ้นว่า “หมอครับ! ช่วยเพื่อนผมด้วยนะครับ พรุ่งนี้เขาจะแต่งงานแล้ว! จะปล่อยให้เป็นอะไรไม่ได้นะครับ!”
เมื่อเขาพูดออกมาเช่นนี้ คนรอบๆ ก็ตกใจจนตาค้าง เฉินชางเองก็ตะลึงไปเช่นกัน
“ผู้ป่วยหมดสติได้ยังไงครับ”
เขากลืนน้ำลายอึกใหญ่ เห็นได้ชัดว่ากำลังเครียดหนัก อย่างไรเสียนี่ก็เป็นว่าที่เจ้าบ่าวที่กำลังจะแต่งงานพรุ่งนี้แล้ว จู่ๆ ก็ถูกศูนย์ฉุกเฉิน 120 พาตัวมาเช่นนี้ ถ้าไม่รู้สึกอะไรคงแปลกแล้ว!
ชายคนนั้นมองเฉินชาง พยายามย้อนคิดเรื่องราวที่เกิดขึ้น จึงกล่าวอย่างระมัดระวังว่า “เขาจะแต่งงานพรุ่งนี้แล้วครับ ช่วงนี้เลยยุ่งๆ ไม่ง่ายเลยกว่าจะจัดการธุระเสร็จ เมื่อวานพวกเราก็เลยจัดงานสละโสด นัดรวมตัวกับเพื่อนๆ น่ะครับ
เพื่อนผมคนนี้ชอบดื่มเหล้า ผมกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นเลยไม่ได้ออกไปข้างนอก แต่กินกันอยู่ที่บ้าน พวกเราซื้อของกินเข้ามาด้วย แต่หลักๆ ก็คือเหล้า พวกเรากินเหล้าร้องเพลงกัน ทำกิจกรรมมันทุกอย่าง!
แล้วก็…เมื่อคืนกินเหล้ากันเสร็จแล้วเขาก็ยังไม่เป็นอะไรนะครับ แต่วันนี้ตอนเช้า พอตื่นขึ้นมาเขาก็บอกผมว่าปวดหัวตาพร่า รู้สึกใจหวิวๆ จนทนไม่ไหว! ผมเห็นเขามีเหงื่อออกทั้งตัวเลยรีบแจ้ง 120 ให้มาส่งที่โรงพยาบาล! ยังไม่ทันไรเขาก็หมดสติไปครับ”
เฉินชางไม่สนใจอย่างอื่น เขาฟังชายคนนั้นเล่าไปพลางพูดกับเสี่ยวหลินว่า “ติดเครื่องวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจก่อนเถอะครับ! ดูกราฟหัวใจก่อน!”
จากนั้นจึงหันไปพูดกับชายคนนั้นต่อ “ได้กินอาหารทะเลเข้าไปหรือเปล่าครับ หรือว่ามีของกินที่เขาแพ้หรือเปล่า ไม่งั้นเขาดื่มเหล้าอะไรเข้าไปบ้าง ก่อนหน้านี้ผู้ป่วยป่วยเป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
คำถามที่ถาโถมเข้ามาเป็นระลอกทำให้ชายคนนั้นมึนงงเล็กน้อย
“ไม่มีอาการแพ้อะไรนะครับ เหล้าที่กินก็เป็นเหล้าปกติทั่วไป อาหารที่สั่งก็เป็นพวกเนื้อย่างเสียบไม้ที่ผมสั่งเดลิเวอรี่มาจากข้างนอก ก็กินกันตามปกติ ช่วงนี้พวกเราก็กินกันแบบนี้บ่อยๆ อีกอย่างเขาบอกว่าหลายวันมานี้รู้สึกเหมือนท้องไส้ไม่ค่อยดี ตอนกลางคืนก็ไม่ได้กินอะไรอีก!
ถ้าเป็นเหล้าที่ดื่มกันก็คือเหล้าเฝินจิ่ว (เหล้าขาวชนิดหนึ่ง) หมักสิบปี พวกเราสี่คนกินกันไปสองลิตร ปกติเพื่อนผมดื่มเก่งกว่าพวกเรามาก ปัญหาคงไม่ได้อยู่ที่เหล้าหรอกครับ!
ส่วนเรื่องที่ว่า…เขาป่วยเป็นอะไรมาก่อนหรือเปล่า อันนี้ผมก็ไม่รู้จริงๆ คงไม่ได้เป็นอะไรมั้งครับ”
พูดจบแล้วเขาก็คิดกับตัวเองในใจว่า ต่อให้เพื่อนป่วยก็คงไม่บอกเขาแน่
เฉินชางชะงักไปเล็กน้อย “ติดต่อญาติผู้ป่วยด้วยครับ ถามญาติว่าผู้ป่วยมีโรคประจำตัวอะไรหรือเปล่า”
ชายคนนั้นได้ยินก็รู้สึกร้อนใจขึ้นมาแล้ว
ติดต่อญาติผู้ป่วยหรือ…นี่มันค่อนข้างยุ่งยากเลยทีเดียว ถ้าคุณลุงคุณป้ารู้เข้าว่าพวกตนกินเหล้าด้วยกันคงตีเขาตายแน่!
แต่ถ้าไม่ติดต่อไป…หากเกิดปัญหาอะไรขึ้นมาจริงๆ คงแย่แน่ พรุ่งนี้จะเป็นวันแต่งงานแล้ว ถ้าเกิดอะไรขึ้นก็คงเป็นความผิดของตน คิดได้ดังนี้ เขาก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาต่อสายไปหาบิดาของผู้ป่วย “สวัสดีครับคุณลุง ผมนายอ้วนเองนะครับ ใช่ครับ!”
“คุณลุงครับ ผมมีเรื่องจะถามคุณลุง อย่าเพิ่งร้อนใจไปนะครับ โอเคไหมครับ คือว่าก่อนหน้านี้เสี่ยวกังไม่ได้ป่วยเป็นโรคอะไรใช่ไหมครับ!”
อีกฝ่ายได้ยินคำถามนี้ก็รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง จึงรีบถามขึ้นทันที “นายอ้วน เสี่ยวกังเป็นอะไร บอกลุงมาเดี๋ยวนี้!”
นายอ้วนได้ยินก็ต้องทอดถอนใจออกมาทันที สุดท้ายก็บอกไปตามตรง “คุณลุงครับ วันนี้เช้าตอนเสี่ยวกังเพิ่งตื่นมาไม่นานเขาก็หมดสติไป ผมโทรหาศูนย์ฉุกเฉิน 120 ให้มารับตัวเขาไปส่งที่แผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลอันดับสอง ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาลแล้วครับ หมอให้ผมถามคุณลุงว่าก่อนหน้านี้เสี่ยวกังป่วยเป็นโรคอะไรหรือเปล่า”
จริงดังคาด เมื่อกล่าวออกมาเช่นนี้ อีกฝ่ายก็ตกใจอย่างเห็นได้ชัด!
เฉินชางรับโทรศัพท์มาคุย “สวัสดีครับ ผมหมอเฉินชางของโรงพยาบาลอันดับสองนะครับ ก่อนหน้านี้ผู้ป่วยมีโรคประจำตัว หรือเคยป่วยเป็นอะไรมาก่อนหรือเปล่าครับ ทางครอบครัวมีโรคทางพันธุกรรมไหมครับ”
ขณะที่ยังวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจไม่เสร็จ เฉินชางจำเป็นต้องถามคำถามเหล่านี้ให้ชัดเจน เพื่อให้ได้ข้อมูลสำคัญในการรักษา!
คุณลุงได้ยินคำพูดของเฉินชางก็สูดหายใจลึก เสียงของเขาสั่นเล็กน้อย ถึงอย่างไรลูกชายเขาก็ใกล้จะแต่งงานแล้ว แต่จู่ๆ กลับต้องมาที่แผนกฉุกเฉิน ทั้งยังหมดสติไปอีก หากว่า…ให้ตายเถอะ!
เขาโมโหเล็กน้อย พยายามสงบใจของตนเองให้ได้ ความกังวลกับความโกรธผสมปนเปกันไปหมดทำให้น้ำเสียงของเขาฟังดูหงุดหงิด!
“สวัสดีครับหมอ เสี่ยวกังไม่มีโรคประจำตัวอะไรนะครับ ปีที่แล้วเขาก็เพิ่งไปตรวจร่างกายมา ทุกอย่างเป็นปกติหมด ส่วนเรื่องโรคทางพันธุกรรมของครอบครัว…ผมเป็นความดันโลหิตสูง ส่วนโรคอื่นไม่มีแล้วครับ!”
พูดจบก็กล่าวต่อไปด้วยน้ำเสียงอันสั่นเทา “หมอครับ ต้องช่วยเขาให้ได้นะครับ ผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้ เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา แล้วก็ไม่มีอะไรเป็นปัญหาทั้งนั้น คุณต้องช่วยเขานะครับ! เขาจะแต่งงานพรุ่งนี้แล้ว!”
ตอนนี้เสี่ยวหลินเข้ามาพูดกับเฉินชางว่า “หมอเฉินคะ ต่อเครื่องวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจเสร็จแล้วค่ะ!”
เฉินชางส่งโทรศัพท์ให้นายอ้วน แล้วรีบหมุนตัวเดินเข้าไปในห้องฉุกเฉินทันที
นายอ้วนเดินไปเดินมาอยู่ด้านนอก ใบหน้าเต็มไปด้วยความเสียใจและความรู้สึกผิด!
นี่ต้องโทษเขาทั้งนั้น!
ทำไมต้องดื่มเหล้าไปมากขนาดนั้นด้วย
ไม่รู้ว่าจะมีปัญหาอะไรหรือเปล่า
ทั้งสองเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เล็กจนโต เมื่อเพื่อนจะแต่งงาน เขาจึงลาหยุดสองวันเพื่อมาช่วยงานโดยเฉพาะ ทว่ายิ่งกลัวว่าจะเกิดเรื่อง ก็ยิ่งเกิดเรื่องได้ง่าย! นี่เป็นเวลาตัดสินชะตา เขาจึงตัดสินใจส่งตัวเพื่อนไปกับศูนย์ฉุกเฉิน 120!
คิดแล้วเขาก็ยกมือขึ้นมาตบหน้าตัวเองไปครั้งหนึ่งเพื่อให้ได้สติ ในใจตำหนิตัวเองไปไม่รู้กี่ครั้งแล้ว
……
……
ภายในห้องฉุกเฉิน สิ่งแรกที่เฉินชางคิดถึงก็คือพิษสุรา!
จากข้อมูลที่รวบรวมมาจากการพูดคุยเมื่อครู่นี้ ผู้ป่วยมีประวัติดื่มสุรามาเป็นเวลานาน ทั้งยังดื่มไปมากด้วย และช่วงนี้ผู้ป่วยก็ค่อนข้างเหนื่อยล้า รวมถึงมีอาการเบื่ออาหาร
ทันใดนั้นเสี่ยวหลินก็พูดขึ้นว่า
“ความดันโลหิต 110/70 mmHg!”
“อัตราการหายใจ 20 ครั้งต่อนาที!”
“อัตราการเต้นของหัวใจ 70 ครั้งต่อนาที!”
……
เฉินชางขมวดคิ้วทันที ความดันโลหิต อัตราการเต้นของหัวใจและอัตราการหายใจเป็นปกติ แล้วปัญหาอยู่ตรงไหนกันแน่ อาการตอนนี้ดูไม่เหมือนอาการจากพิษสุราเลย
เฉินชางรีบตรวจสอบรูม่านตา พบว่ารูม่านตาเป็นปกติ ไม่ได้ขยายใหญ่ตามอาการพิษสุรา!
หากเป็นพิษจากสุรา ปกติจะมีอาการความดันโลหิตสูงขึ้นจากนั้นจึงต่ำลง อัตราการเต้นของหัวใจเร็วขึ้น จังหวะและความถี่ของลมหายใจจะแตกต่างไปจากปกติ อุณหภูมิของร่างกายลดลง ปฏิกิริยาแย่ลง!
นี่ไม่เหมือนอาการพิษสุรา!
ตอนนี้กราฟหัวใจออกมาแล้ว เฉินชางรับมาดูอย่างละเอียด พบว่ากราฟหัวใจก็ไม่มีอะไรผิดปกติ!
นี่ประหลาดมาก
ตกลงหมดสติเพราะอะไรกันแน่
แต่…ตรวจปริมาณแอลกอฮอล์ก่อนดีกว่า
คิดแล้วเฉินชางก็พูดขึ้นว่า “ตรวจความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ในลมหายใจด้วยครับ”
ทันใดนั้นเฉินชางก็คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้จึงรีบหันไปพูดกับเสี่ยวหลิน “ตรวจน้ำตาลในเลือดก่อนครับ!”
เสี่ยวหลินที่กำลังจะเดินออกไปก็ย้อนกลับมาหยิบเครื่องวัดน้ำตาลในเลือดออกมาเริ่มตรวจ
การตรวจน้ำตาลในเลือดใช้เวลาไม่นาน เมื่อกระดาษตรวจปรากฏผล เสี่ยวหลินก็ต้องเบิกตากว้าง
จะอย่างไรเธอก็คิดไม่ถึงว่าน้ำตาลในเลือดจะออกมาเป็นเช่นนี้
“หมอเฉินคะ น้ำตาลในเลือดแค่ 2.5 mmol/L!”
เฉินชางมีสีหน้ายินดี เขาเริ่มสงสัยตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้ว
เฉินชางพูดขึ้นว่า “ฉีดกลูโคสห้าสิบเปอร์เซ็นต์เข้าเส้นเลือดดำ 40 มิลลิกรัม! อีกสักครู่ค่อยฉีดกลูโคสห้าเปอร์เซ็นต์เข้าเส้นเลือดดำอีก 250 มิลลิกรัม!”
เสี่ยวหลินได้ยินดังนั้นก็รีบเดินออกไปเตรียมของ
อันที่จริงเธอคิดไม่ถึงเลยว่าการดื่มเหล้าจะทำให้น้ำตาลในเลือดตกลงด้วย…
เหล้าทำมาจากพวกธัญพืชไม่ใช่หรือ
ทำไมดื่มเหล้าแล้วน้ำตาลในเลือดถึงลดลงล่ะ
เสี่ยวหลินสับสนจริงๆ!