บทที่ 491 ผมเคยได้ยินชื่อนี้!
พอได้ยินข่งเสียงหมินพูดแบบนี้ ฉินเสี้ยวยวนก็พอจะฟังอะไรออกบ้างแล้ว
แต่ฉินเสี้ยวยวนเงียบไปครู่หนึ่ง ไม่อยากให้เสียน้ำใจ จึงบอกว่า “ผู้อำนวยการ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรครับ เอาอย่างนี้ เสี่ยวเฉิน คุณพาเจียฮุยไปแผนกศัลยกรรมกระดูก ทำเรื่องย้ายออกจากแผนกุกเฉิน อีกเดี๋ยวผมตามไป”
“ทุกคนไปก่อนเลยครัย เดี๋ยวผมกับเสี่ยวเฉินตามไปทีหลัง”
ข่งเสียงหมินได้ฟังเขาบอกแบบนี้แล้วพยักหน้าเล็กน้อย “เอาอย่างนี้แล้วกัน เดี๋ยวผมนั่งคุยอยู่ตรงนี้สักประเดี๋ยวก็ได้ พวกคุณไปจัดการธุระก่อน แล้วค่อยโทรศัพท์หาผม”
ที่จริงการทำเรื่องการเข้าพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลของข่งเจียฮุย ข่งเสียงหมินที่เป็นพ่อควรไปจัดการเอง แต่…ด้วยฐานะพิเศษ เขาจึงไม่สะดวกออกหน้ามากนัก จะให้คนอื่นทำแทนก็ไม่เหมาะ แต่ถ้าให้เฉินชางไปทำแทน ก็ถือว่าเหมาะสมที่สุด ถึงอย่างไรเฉินชางก็ยังต้องเรียกลูกชายตัวเองว่าพี่เจียฮุย!
ต้องบอกเลยว่าฉินเสี้ยวยวนประสานงานเก่งมาก สั่งให้เฉินชางไปจัดการเรื่องนี้เหมาะสมที่สุดแล้ว ทั้งดีต่อตัวเฉินชางเอง ทั้งเพิ่มความสนิทสนมระหว่างกันได้
แต่ข่งเสียงหมินไม่ได้มีความคิดอย่างอื่น
……
……
เฉินชางกับพยาบาลเข็นข่งเจียฮุยไปทำเรื่องย้ายแผนก ส่วนฉินเสี้ยวยวนก็ครุ่นคิดเรื่องอื่นไปด้วยขณะเดินกลับตึกธุรการ
พูดตามตรง เขาเองก็อยากเห็นเหมือนกันว่าใครกันแน่ที่อยากหาเรื่อง แล้วอยากจะหาเรื่องอะไร
เพิ่งจะลงลิฟท์มา ก็เห็นถานลี่กั๋วยืนรออยู่ตรงทางเดินแล้ว อีกฝ่ายส่งสายตาให้ฉินเสี้ยวยวนทันที
ฉินเสี้ยวยวนรีบเดินเข้าไป
หลังจากผลักประตูเข้าไปแล้วเห็นคน ฉินเสี้ยวยวนก็กล่าวกลั้วหัวเราะทันที “หัวหน้าแผนกต้วน? สวัสดีครับ สวัสดี!”
พอต้วนเสวียเจินเห็นฉินเสี้ยวยวนมาถึงแล้ว ก็รีบลุกขึ้นพยักหน้ายิ้มทักทาย “ผู้อำนวยการฉิน ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ”
แม้โรงพยาบาลจะอยู่ในการควบคุมของสำนักสุขภาพ แต่เรื่องนี้ก็ค่อนข้างซับซ้อน
ในเมืองอันหยาง โรงพยาบาลอันดับสามของมณฑลมีหลายแห่งมาก แต่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นหน่วยงานระดับอำเภอ
แต่ยกตัวอย่างเช่นโรงพยาบาลตงต้า โรงพยาบาลตงต้าสาขาสอง โรงพยาบาลประชาชนแห่งมณฑล โรงพยาบาลกลางแห่งมณฑล โรงพยาบาลเหล่านี้ล้วนเป็นหน่วยงานระดับรอง เพราะผู้อำนวยการโรงพยาบาลต้องควบตำแหน่งรองของหน่วยงานอื่นอีก เช่นผู้อำนวยการโรงพยาบาลตงต้าที่ควบตำแหน่งรองอธิการบดีมหาวิทยาลัยการแพทย์แห่งมณฑลตงหยาง ส่วนผู้อำนวยการโรงพยาบาลประชาชนแห่งมณฑล ตอนนี้ก็ควบตำแหน่งรองผู้อำนวยการของสำนักงานสาธารณสุขมณฑล
โรงพยาบาลอันดับสองค่อนข้างธรรมดา ฉินเสี้ยวยวนก็ธรรมดาเช่นกัน พูดอีกอย่างก็คือ การไต่เต้าจากระดับอำเภอถึงระดับเมืองนั้นต้องอาศัยโอกาสและเงื่อนไขต่างๆ มากมาย เป็นการข้ามระดับที่ยากมาก
หลายปีมานี้ฉินเสี้ยวยวนไม่ได้เล็งเห็นความสำคัญตำแหน่งพวกนี้แล้ว ไม่ดึงดันอยากได้ด้วย แค่มีตำแหน่งปัจจุบันก็ไม่เลวแล้ว
เดิมทีเขาก็มีพื้นเพมาจากอาชีพแพทย์ ไม่ได้เสพติดการเลื่อนขั้นมากขนาดนั้น มิหนำซ้ำ ถ้าพูดแบบไม่น่าฟังหน่อยก็คือ จะได้นั่งทำงานในตำแหน่งนั้นสักกี่ปีเชียว
ไม่มีความหมายอะไรเลย!
แต่หลังจากได้เจอต้วนเสวียเจิน เขาก็อึ้งนิดหน่อย เพราะถึงแม้ทั้งสองจะไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมากนัก แต่ความสัมพันธ์ก็ไม่ได้แย่แน่นอน!
เพราะอะไรน่ะหรือ เพราะทั้งสองเคยเจอกันมาก่อนที่บ้านหวงหย่งอี้ เคยกินข้าวด้วยกัน ถือว่ามีการติดต่อกันอยู่บ้าง ถึงขั้นกล่าวได้ว่าหวงหย่งอี้คือผู้อำนวยการคนเก่าของพวกเขา ถือว่าทำงานรุ่นเดียวกัน!
ดังนั้น ฉินเสี้ยวยวนจึงฉงนใจมากเช่นกัน
หลังจากนั่งลง ต้วนเสวียเจินถึงได้บอกว่า “ผู้อำนวยการฉิน ที่ผมมาวันนี้ก็เพราะจะมาเตือนคุณ เมื่อสองวันก่อนมีคนจะมาหาเรื่องคุณครับ”
พอฉินเสี้ยวยวนได้ยินก็เข้าใจกระจ่างทันที!
ทีแรกนึกว่าผู้อำนวยการสำนักสุขภาพจะส่งคนมาตำหนิตน นึกไม่ถึงว่าจะมาเตือน
เขาแปลกใจทันที “หัวหน้าแผนกต้วน หมายความว่ายังไงครับ”
ต้วนเสวียเจินอธิบายว่า “ผมก็บังเอิญรู้มาเหมือนกัน ไม่ค่อยเข้าใจรายละเอียดมากนัก ผมรู้แค่ว่าช่วงนี้มีคนยุยงให้คนอื่นไปฟ้องเรื่องคุณที่สำนักสุขภาพ พยายามจะหาเรื่องคุณให้ได้ อีกทั้งคนคนนั้นก็เหมือนจะมีเส้นสายอยู่บ้าง ผมไม่สะดวกคุยทางโทรศัพท์ วันนี้ผ่านมาพอดี ก็เลยถือโอกาสมาเตือนคุณสักหน่อย คุณจะได้เตรียมใจเอาไว้”
“เมื่อถึงตอนนั้นจะได้ไม่ถูกคนเล่นงาน!”
ฉินเสี้ยวยวนพยักหน้า เข้าใจว่าเขาหมายความว่าอะไร ที่แท้ก็เป็นเรื่องใหญ่ระดับนี้!
แมวมีวิถีของแมว สุนัขมีวิธีของสุนัขจริงๆ เรื่องนี้ไม่ต้องพูดถึงเลย เป็นสไตล์การกระทำของจูเซวียนเหวินชัดๆ
ไม่มีเหตุผลอื่นนอกจากทำให้ตนรู้สึกรังเกียจ ทางที่ดีคือหาจุดด่างพร้อยของตนสักหน่อย
พอนึกถึงตรงนี้ ฉินเสี้ยวยวนก็ได้แต่ยิ้มเรียบๆ
แต่สำหรับคำเตือนของต้วนเสวียเจิน เขาเองก็ซาบซึ้งใจมากเช่นกัน บางครั้งถ้ามีใครสักคนมาบอกข่าวนี้กับตนได้ ก็ถือว่าช่วยได้มากแล้วจริงๆ!
การรู้ข่าวพวกนี้ก่อน จะทำให้เขาเตรียมตัวตั้งแต่เนิ่นๆ ได้
ต้วนเสวียเจินคนนี้ก็มีความตั้งใจดีจริงๆ พอคิดถึงตรงนี้ ฉินเสี้ยวยวนก็รีบบอกว่า “หัวหน้าแผนกต้วน ขอบคุณที่ชี้แนะนะครับ เรื่องนี้ต้องขอบคุณคุณจริงๆ!”
ต้วนเสวียเจินยิ้มให้เขา แล้วลุกขึ้นเตรียมตัวจะเดินออกไป “เกรงใจแล้วครับ ช่วยเหลือกันไว้ดีกว่า! ผมอยู่ต่อไม่ได้แล้ว ต้องไปก่อนแล้ว ยังมีธุระอีกนิดหน่อย”
ฉินเสี้ยวยวนรีบลุกขึ้นเดินไปส่ง การที่ต้วนเสวียเจินมีความคิดแบบนี้ได้ ก็ถือว่ามีความตั้งใจดีจริงๆ
เมื่อนึกถึงจุดนี้ หลังจากเดินออกไปส่งแล้ว ฉินเสี้ยวยวนก็พลันพูดขึ้นว่า “เอ่อ คือ…หัวหน้าแผนกต้วน จะไปพบใครบางคนกับผมไหมครับ ถือโอกาสทักทายเขาสักหน่อย”
ต้วนเสวียเจินงงทันที หมายความว่ายังไง
ตอนนี้ฉินเสี้ยวยวนถึงได้ยิ้มอย่างมีลับลมคมใน พร้อมตอบว่า “ผู้อำนวยการข่ง”
ต้วนเสวียเจินได้ฟังแล้วเบิกตากว้างทันที
……
……
ทางฝั่งนี้ เฉินชางพาข่งเจียฮุยเข้าพักรักษาตัวเรียบร้อยแล้ว พอกำชับอะไรนิดหน่อยก็ลงมาจากตึก
ฉินเสี้ยวยวนพาต้วนเสวียเจินที่ประหม่าและกังวลเล็กน้อยมาทางฝั่งห้องผ่าตัด ต้วนเสวียเจินเองก็เห็นข่งเสียงหมินชัดเจนแล้วเช่นกัน เขารีบเข้าไปต้อนรับด้วยรอยยิ้ม
“สวัสดีครับผู้อำนวยการ! ลูกชายคุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม” ต้วนเสวียเจินรีบทักทาย
ข่งเสียงหมินพยักหน้าจับมือเขา “ขอบคุณหัวหน้าแผนกต้วนที่เป็นห่วง โชคดีที่ผู้อำนวยการฉินกับหมอเฉินช่วยไว้ ยังดีที่ไม่เป็นอะไร นี่คุณมาทำงานเหรอครับ”
“มาคุยกับผู้อำนวยการฉินนิดหน่อยครับ” ต้วนเสวียเจินตอบ
ข่งเสียงหมินทำท่าครุ่นคิด แต่ไม่ได้ถามละเอียด
ต้วนเสวียเจินไม่ได้อยู่ต่อ มาทักทายเสร็จแล้วก็เดินออกไป
ส่วนพวกข่งเสียงหมินก็เดินไปทางร้านอาหารเช่นกัน
ผ่านไปไม่ถึงยี่สิบนาที ปรากฏว่าต้วนเสวียเจินยังไม่ไปไหนไกล แต่กลับมาอีกทีพร้อมของบำรุงสุขภาพและผลไม้จำนวนหนึ่ง หอบไปที่แผนกศัลยกรรมกระดูก
เขาคิดในใจว่า ครั้งนี้ไม่ได้มาเสียเที่ยวจริงๆ!
มนุษย์กับมนุษย์ก็เป็นอย่างนี้ เมื่อมอบกุหลาบให้คนอื่น กลิ่นหอมของกุหลาบก็ติดมือเรา ต้องช่วยเหลือกันและกันถึงจะเติบโตได้
ทีแรกต้วนเสวียเจินแค่รู้สึกว่าฉินเสี้ยวยวนกับตัวเองถือเป็นผู้อำนวยการแก่ๆ คนหนึ่งเหมือนกัน สื่อสารพูดคุยกันก็ถือเป็นการช่วยเหลือกัน
นึกไม่ถึงว่าจะได้รู้จักกับผู้อำนวยการข่งเพราะเรื่องนี้
คิดแล้วก็สะท้อนใจ!
……
……
ร้านอาหารไม่ได้หรูหรา แต่ก็ไม่เลวเหมือนกัน มีโต๊ะใหญ่สิบกว่าโต๊ะ หลังจากนั่งลงแล้ว ข่งเสียงหมินก็ไม่ได้วางมาดสูงส่ง ยกน้ำชาขึ้นมาพร้อมบอกว่า “เรื่องของเจียฮุยวันนี้ ต้องขอบคุณทุกคนที่อยู่ตรงนี้จริงๆ พวกเราสองสามีภรรยาจะดื่มคารวะสักแก้ว”
ทุกคนรีบยกแก้วขึ้นเป็นเพื่อนเขา พากันกล่าวปฏิเสธเช่นกัน
“วันนี้เป็นผลงานของหมอเฉินทั้งนั้น!”
“ใช้ วันนี้หมอเฉินลำบากแล้ว”
……
ขณะที่ฟังทุกคนกล่าวเยินยอ เฉินชางก็ยิ้มอย่างเก้อเขินเช่นกัน
พฤติกรรมนี้อยู่ในสายตาข่งเสียงหมิน จู่ๆ เขาก็มีท่าทางครุ่นคิดพร้อมบอกว่า “เสี่ยวเฉิน ผมรู้อยู่แล้วครับ เมื่อไม่กี่วันก่อนเพิ่งเห็นในหนังสือพิมพ์ เป็นข่าวเรื่องกู้ชีพจากอุบัติเหตุรถยนต์ ฝีมือเขาไม่เลวเลยจริงๆ”
ตอนนี้ภรรยาของข่งเสียงหมินพลันพูดขึ้นว่า “ฉันจำได้ว่าเมื่อสองเดือนก่อน บนหนังสือพิมพ์รอบเย็นของเมืองอันหยางก็มีชื่อของเสี่ยวเฉินเหมือนกันใช่หรือเปล่า เหมือนจะเป็น…เรื่องที่ไม่ให้คนแทรกแถวอะไรสักอย่าง”
ตอนนี้ข่งเสียงหมินนึกออกแล้วเช่นกัน นึงไม่ถึงว่าเฉินชางจะยอดเยี่ยมขนาดนี้!
เขามองเฉินชางด้วยรอยยิ้มแวบหนึ่ง แล้วกล่าวชม “เสี่ยวเฉินไม่เลวเลยจริงๆ มีพร้อมทั้งคุณธรรมและฝีมือ เป็นหมอที่ดี!”
บทที่ 486 คุณ! คุณ! แล้วก็คุณ!
ในห้องผ่าตัด หัวหน้าแผนกศัลยกรรมมือและแผนกศัลยกรรมกระดูกของโรงพยาบาลใหญ่แต่ละแห่งในมณฑลมารวมตัวกัน
สิ่งที่ทุกคนต้องเผชิญหน้าด้วยก็คือมือขวาข้างหนึ่งที่ขาดออกไปทั้งมือ จะผ่าตัดต่ออวัยวะให้เป็นจริงได้อย่างไร!
ถ้าไปที่เมืองหลวง อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาสี่ห้าชั่วโมง ไปเซี่ยงไฮ้ก็ยิ่งใช้เวลามากกว่า นี่ยังไม่นับเวลาที่ใช้เดินทางในระหว่างนั้น
ในใจข่งเสียงหมินกระวนกระวาย!
ไม่ว่าเขาจะตำแหน่งสูงขนาดไหน หรือมีเงินมากเท่าไร แต่เวลาเกิดเรื่องแบบนี้กับลูกตัวเอง เหนือสิ่งอื่นใด เขาก็คือพ่อคนหนึ่ง คือสามีคนหนึ่ง
ภรรยายืนอยู่ข้างกาย การอบรมบ่มเพาะที่ดีทำให้เธอไม่ถึงขั้นควบคุมอารมณ์ไม่ได้ แต่ถึงแม้จะเป็นแบบนี้ ร่างกายที่สั่นเทาก็ยังพิงอยู่บนตัวของข่งเสียงหมินเนิ่นนาน
“เอาละ ที่รัก ไม่เป็นอะไรหรอก!…
…จริงๆ นะครับ ขนาดผู้อำนวยการหวังของโรงพยาบาลหมัวตูซื่อลิ่วยังบอกเลยว่ามีหมอเฉินอยู่น่าเชื่อถือกว่ามีเขาอยู่อีก คุณไม่ต้องกังวลแล้ว!”
ภรรยาชื่อชีเหวิน เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย เป็นศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีตงหยาง
ชีเหวินสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ทำให้ตัวเองสงบลง
“เหล่าข่ง ประเด็นก็คือเขาเพิ่งอายุสามสิบ แถมนั่นยังเป็นมือขวาด้วย! ถ้าต่อได้ไม่ดี เขาก็จะพิการแล้วจริงๆ!” ชีเหวินกล่าวเสียงสั่น
มีหรือที่ข่งเสียงหมินจะไม่รู้เรื่องนี้
ตอนนี้ ถานจงหลินกับฉินเสี้ยวยวนพาเฉินชางเดินเข้ามาแล้ว
“นี่คือหมอเฉินใช่ไหมครับ!”
เฉินชางยังไม่ทันได้ทักทาย ข่งเสียงหมินก็หันตัวมาเป็นฝ่ายจับมือก่อนแล้ว “หมอเฉิน สวัสดีครับ ผมคือพ่อของผู้ป่วย”
ประโยคนี้ทำให้ระดับความรู้สึกดีของเฉินชางเพิ่มขึ้นหลายเท่า
ความหมายแฝงในคำพูดก็คือ คุณไม่ต้องเครียด คุณเป็นหมอ ผมเป็นคนในครอบครัว ผู้ป่วยอยู่ในห้องผ่าตัดแล้ว คุณไม่ต้องแบกรับภาระทางจิตใจอะไรทั้งนั้น!
เฉินชางไม่พูดพร่ำทำเพลง จับมือแล้วเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายด้วยสายตาแน่วแน่ “ผมจะพยายามสุดความสามารถครับ”
ข่งเสียงหมินพยักหน้า เนื่องจากงานยุ่งมาก เขาที่อายุเกือบหกสิบปีจึงมีผมหงอกแซม ดวงตาเต็มไปด้วยความขุ่นมัว บอกไม่ถูกว่าอยู่ในอารมณ์ไหน แต่กลับเต็มไปด้วยการเฝ้าคอยและฝากฝัง “ขอร้องล่ะครับ! หมอเฉิน”
หลัวจากเขาพูดจบ เฉินชางก็พาถานจงหลินเข้าไปในห้องผ่าตัด
ฉินเสี้ยวยวนไม่ได้ตามเข้าไป แต่นั่งเป็นเพื่อนข่งเสียงหมินกับภรรยานอกห้องผ่าตัด
……
……
เฉินชางเดินไปพลางถามถานจงหลินว่า “นานแค่ไหนแล้ว”
ถานจงหลินครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนตอบว่า “มือขาดได้ประมาณชั่วโมงครึ่ง เกือบสองชั่วโมงแล้ว ตอนที่มาถึงโรงพยาบาล พวกเราก็พยามตรวจเลือดโดยเร็วที่สุด ถ่ายภาพเอกซเรย์แล้วด้วย”
เฉินชางฟังจบแล้วเริ่มไตร่ตรอง คำนวณตามเวลาสองชั่วโมง ตอนนี้ยังทนต่อการขาดเลือดและขาดออกซิเจนไหว
ไม่ว่าจะเป็นนิ้วขาด หรือแขนขาด เมื่ออยู่ในสภาวะที่หลุดออกจากร่างกายและขาดออกซิเจน เซลล์เม็ดเลือดขาวฮีสติโอไซต์[1]จะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงทางพยาธิวิทยาจากเบาไปหนัก จนกระทั่งเปลี่ยนแปลงโครงสร้างโดยสมบูรณ์
ยิ่งนานก็จะยิ่งร้ายแรง!
ในอวัยวะที่ขาด เนื้อเยื่อกล้ามเนื้อมีกระบวนการสลายและสร้างใหม่ (metabolism)[2] มากที่สุด มันทนต่อสภาวะขาดออกซิเจนได้น้อยมาก ยิ่งเซลล์กล้ามเนื้อเปลี่ยนแปลงเร็ว กระบวนการนี้ก็ยิ่งร้ายแรงขึ้น
เมื่ออวัยวะอยู่ในสภาพสมบูรณ์ภายใต้อุณหภูมิปกติ แม้จะเป็นเวลาสี่ถึงหกชั่วโมง อวัยวะที่ขาดก็ยังทนต่อสภาวะขาดเลือดได้
แต่คุณต้องพิจารณาถึงหลายปัจจัย ยกตัวอย่างเช่นเนื้อเยื่อมีการติดเชื้อ ขั้นตอนการผ่าตัด สภาวะการฟื้นฟู ความแตกต่างของแต่ละบุคคล!
ดังนั้น เวลาที่ปลอดภัยที่สุดของอวัยวะที่ขาด เป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่ออยู่ในภาวะปกติและไม่มีปัจจัยอื่นรบกวนเท่านั้น
เฉินชางบอกได้แค่ว่า ยิ่งเร็วยิ่งดี!
หลังจากเฉินชางเข้ามาแล้ว ก็ตรงไปหาผู้ป่วยทันทีโดยไม่ได้ล้างมือก่อน
หลังจากคนที่อยู่รอบๆ เห็นเฉินชางเข้ามาก็ทยอยหลีกทางให้
แม้เฉินชางจะไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับบรรดาหัวหน้าแผนก แต่ทุกคนต่างก็เห็นว่าศัลยแพทย์หลักในครั้งนี้ก็คือแพทย์หนุ่มเสี่ยวเฉิน!
แต่ละคนพากันเผยสีหน้าประหลาดใจ ในใจเต็มไปด้วยความสงสัยว่าหมอเฉินคนนี้เก่งกาจขนาดไหนกันแน่ ถึงทำให้อีกฝ่ายมาส่งคนไข้ให้ด้วยตัวเองได้
แต่คนที่อยู่ตรงนี้เป็นระดับหัวหน้าแผนกในโรงพยาบาลทั้งนั้น แค่ละคนเป็นหัวกะทิ ย่อมไม่พูดอะไรซี้ซั้ว
พยาบาลย่วนย่วนเดินตามหลังเฉินชาง เพิ่งจะเห็นเฉินชางเข้ามา ทุกคนก็ทยอยกันหลีกทางให้ เมื่อฉากนี้ปรากฏสู่สายตา ก็ถือว่าน่าตกตะลึงจริงๆ!
อย่างกับพระราชาเสด็จกลับมาจากสนามรบ!
ชั่วขณะนั้น ย่วนย่วนก็ตะลึงนิดหน่อยเช่นกัน
ผู้ป่วยยังมีสติดีมาก นี่คือความรู้สึกแรกของเฉินชาง ที่มาพร้อมกันกับเฉินชางคือฮั่วกว๋อชิ่ง หัวหน้าแผนกศัลยกรรมมือโรงพยาบาลตงต้า ตอนนี้เขากำลังเก็บรักษามือที่ขาดอยู่
หลังจากข่งเจียฮุยเห็นเฉินชางแล้ว ก็ยิ้มยิงฟันทันที “หมอเฉิน ลำบากคุณแล้ว!”
เฉินชางพยักหน้าเล็กน้อย ไม่ได้กล่าวทักทายปราศัย แต่พูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “ผมขอดูอาการก่อน”
เฉินชางแกะผ้าก๊อซที่พันตรงตำแหน่งปลายกระดูกเรเดียสที่เดิมทีควรจะเป็นมือ ทันใดนั้น บาดแผลตัดที่นับว่ายังสมบูรณ์ก็ปรากฏสู่สายตาเฉินชาง หลังจากใช้แหนบคีบผ้าก๊อซมาตรวจดูครู่หนึ่ง เขาก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกทันที!
ค่อยยังชั่ว!
นี่อาจจะเป็นความโชคดีในความโชคร้ายก็ได้
ไม่ใช่เคสมือขาดจากการบดอัด หรือบีบอัด ถ้าเป็นอย่างนั้นก็จะยุ่งยากมาก ถ้าเทียบบาดแผลประเภทนี้กับบาดแผลตัดตรงจากอาวุธคม บางทีอาจเป็นเคสที่มีเงื่อนไขการผ่าตัดต่ออวัยวะดีกว่าก็ได้!
เพราะกุญแจสำคัญของการผ่าตัดต่ออวัยวะให้สำเร็จก็คือการเชื่อมต่อเส้นเลือด ยิ่งการสร้างการไหลเวียนเลือดมีอัตราสำเร็จมากเท่าไร การฟื้นฟูเส้นเลือดก็จะยิ่งสมบูรณ์ การผ่าตัดต่ออวัยวะก็จะมีอัตราความสำเร็จสูงเท่านั้น การฟื้นฟูการทำงานของอวัยวะในภายหลังก็จะดีขึ้นด้วย!
ดังนั้นตอนที่เห็นบาดแผล เฉินชางก็โล่งอกแล้ว จากนั้นก็บอกถานจงหลินว่า “เอาภาพถ่ายเอกซเรย์มาให้ผมทีครับ”
ถานจงหลินพยักหน้าซ้ำๆ นำภาพถ่ายเอกซเรย์ที่เตรียมไว้แล้วส่งให้เฉินชางทันที ขั้นตอนนี้เขาทำได้คล่องมากเหมือนเป็นผู้ช่วยมาจนชินแล้ว!
สิ่งนี้ทำให้หัวหน้าแผนกโดยรอบประหลาดใจขึ้นมาทันที
หมอเฉินคนนี้เป็นเทพมาจากไหนกันแน่
ทำไมก่อนหน้านี้ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน แล้ว…ทำไมหัวหน้าแผนกถานนับถือเขาขนาดนี้
หลังจากนั้นสามนาที ในหัวของเฉินชางก็เข้าใจอาการของผู้ป่วยค่อนข้างครบถ้วนแล้ว เขามองทีมแพทย์พร้อมบอกว่า “เตรียมผ่าตัด!”
หลังจากทุกคนได้ยินประโยคนี้ ก็เผยสีหน้าฮึกเหิมทันที อยากจะลงสนามแล้ว!
โอกาสแบบนี้พบเจอได้แต่ไม่อาจไขว่คว้า เพราะสุดท้ายก็ยังต้องดูว่าศัลยแพทย์หลักจะเลือกอย่างไร
เฉินชางเพียงหมุนตัวมามองคนที่อยู่รอบๆ แล้วชะงักไปครู่หนึ่ง แม้จะเป็นหัวหน้าแผนกทั้งหมด แต่เฉินชางก็ไม่คุ้ยเคย ไม่สู้ไม่ต้องใช้งานพวกเขาเลยดีกว่า
เขาจึงเรียกชื่ออย่างรวดเร็วฉับไว “หัวหน้าแผนกถาน หัวหน้าแผนกอัน แล้วก็…คุณ”
เฉินชางชี้ฮั่วกว๋อชิ่งที่กำลังถือมือที่ขาดพร้อมบอกว่า “พวกเรามาผ่าตัดด้วยกันเถอะครับ”
ฮั่วกว๋อชิ่งเลิกคิ้วทันที เขาอดใจรอไม่ไหวตั้งนานแล้ว รีบเดินออกมาพร้อมรอยยิ้มเพื่อล้างมือเตรียมผ่าตัด
ส่วนอันเยี่ยนจวินก็ยิ้มบางๆ สงสัย ‘ผู้อำนวยการเฉินจะยังไม่ลืมศิษย์ที่น่าภาคภูมิใจอย่างฉัน
ส่วนหัวหน้าแผนกอีกเจ็ดแปดคนที่เหลืออยู่ก็ค่อนข้างเหม่อลอย…
ในใจเกิดความรู้สึกมากมาย ซับซ้อนเกินไปแล้ว!
ไม่น่าเชื่อว่าในใจแต่ละคนจะรู้สึกเปรี้ยวๆ ฝาดๆ ราวกับว่าการไม่ถูกเฉินซางเลือกทำให้พวกเขารู้สึกผิดหวังอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน!
ถึงยังไงโอกาสนี้ก็หายาก!
หัวหน้าแผนกแต่ละคนปวดร้าวใจอยู่พักหนึ่ง มองหัวหน้าแผนกสามคนที่ได้รับเลือกจากเฉินชางด้วยความอิจฉาริษยา
ส่วนฮั่วกว๋อชิ่งก็แทบจะยิ้มออกมาตอนล้างมือ แต่เขาก็รีบหุบยิ้ม ถ้าคนอื่นสังเกตเห็นขึ้นมา แล้วถูกรายงานว่ามีความสุขบนความทุกข์คนอื่นก็คงไม่ดี
[1] ฮีสติโอไซต์(Histiocyte) เป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่ง จัดอยู่ในเซลล์ของระบบภูมิคุ้มกันต้านทานโรค มีหน้าที่จับกินสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่หลุดลอดเข้าสู่ร่างกายและช่วยเกี่ยวกับการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันต้านทานโรค
[2] กระบวนการสร้างและสลาย หรือ เมแทบอลิซึม (metabolism) เป็นกระบวนการสันดาปของร่างกาย ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางชีวเคมีของสารประกอบเคมีในสิ่งมีชีวิตในระดับเซลล์
บทที่ 480 อย่าทิ้งขยะมั่วซั่ว
จูเซวียนเหวินไม่นึกเลยว่าพยาบาลน้อยคนนี้จะกล้าเถียงตน เขารู้สึกเหมือนได้รับความอัปยศอดสูอย่างใหญ่หลวง สีหน้าจึงเปลี่ยนไปโดยพลัน ถึงกับยกนิ้วชี้ขึ้นมาชี้เสี่ยวหลิน “กฎระเบียบหรือ นี่คุณพูดเรื่องกฎระเบียบกับผมเหรอ”
จูเซวียนเหวินกล่าวขึ้นว่า “คุณรู้หรือเปล่าว่าเวลาของผมมีค่าเท่าไหร่! คุณคิดว่าผมเหมือนคุณหรือไง ยืนอยู่ตรงนี้ก็ไม่มีประโยชน์ เป็นงานที่ใครก็ทำได้ไม่ใช่หรือ”
“คนหลายร้อยคนรอกินข้าวกับผมอยู่นะครับ โรงพยาบาลของพวกคุณต้องเกรงใจผมสิ ยังกล้ามาพูดเรื่องกฎระเบียบกับผมอีก”
สีหน้าเสี่ยวหลินเปลี่ยนไปทันที
งานที่ฉันทำจะไม่มีความหมายได้อย่างไร อะไรคือเป็นงานที่ใครๆ ก็ทำได้
ดูถูกกันแล้วยังโจมตีเรื่องฐานะอีกหรือ
มีเงินแล้วเก่งนักหรือไง!
มีคนหลายร้อยคนรอกินข้าวกับคุณ ถ้างั้นคุณก็ไปหาพนักงานของคุณสิ!
เสี่ยวหลินถูกคำพูดของชายคนนั้นทำเอาโกรธจนหน้าแดงก่ำ!
เธอมาจากหมู่บ้านเล็กๆ ตอนนี้เธอโกรธขึ้นมาแล้ว คำพูดของชายคนนี้ทำร้ายความภูมิใจในตัวเองของคนอื่นเกินไป
เดิมทีเสี่ยวหลินก็รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจอยู่แล้ว คำพูดนี้ยิ่งทำให้เสียวหลินโกรธจนแสบจมูกไปหมด
พยาบาลที่ยืนอยู่ข้างๆ เสี่ยวหลินรีบดึงมือเสี่ยวหลินที่อยู่ใต้โต๊ะ พยายามส่งสัญญาณเตือนไม่ให้เธอทะเลาะกับเขา
เสี่ยวหลินพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไรอีก
ทะเลาะกับผู้ชายแบบนี้ไปก็ไม่มีประโยชน์! แต่เธอคิดไม่ถึงว่าชายคนนั้นจะระเบิดอารมณ์ใส่
เฉินชางเห็นดังนั้นก็รีบเดินเข้ามา “มีเรื่องอะไรกันครับ”
พยาบาลที่ยืนอยู่ข้างเสี่ยวหลินเห็นเฉินชางก็พูดขึ้นว่า “หมอเฉิน คนนี้เขาแซงคิวค่ะ”
ชายคนนั้นได้ยินคำพูดของพยาบาลก็ถลึงตาใส่ “อย่างผมจะเรียกว่าแซงคิวได้ยังไง แผนกฉุกเฉินให้บริการเร่งด่วนไม่ใช่หรือ ตอนนี้ผมเร่งด่วนที่สุดแล้ว จะเรียกว่าแซงคิวได้ยังไง”
เสี่ยวหลินแค่นเสียงเย็นออกมา กล่าวอย่างไม่เห็นด้วยว่า “มีคนที่อาการหนักกว่าคุณเยอะแยะค่ะ พวกเราจัดคิวตามความสาหัสของอาการค่ะ”
เป็นจริงดังนั้น แผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลอันดับสองมีคิวอยู่สามประเภท ได้แก่สีดำ สีแดงและสีเขียว
โดยปกติสีดำหมายถึงมีอันตรายถึงชีวิต จะต้องเร่งช่วยเหลือก่อน สีแดงคืออาการค่อนข้างสาหัส จะต้องรีบรักษาด่วน ส่วนสีเขียวไม่ค่อยเร่งด่วน รอไปก่อนได้ ซึ่งคิวที่ชายคนนี้ถืออยู่ก็คือคิวสีเขียวเบอร์สาม
เมื่อครู่เขาได้ยินคิวสีแดงเบอร์สี่ถูกเรียกเข้าไปจึงโกรธขึ้นมาทันที จะเอาคำอธิบายจากเสี่ยวหลินให้ได้
จูเซวียนเหวินได้ยินเสี่ยวหลินกล่าวเช่นนี้ก็พูดขึ้นว่า “คนไข้คนอื่นไม่เห็นว่าอะไรเลย แล้วเธอจะมายุ่งวุ่นวายทำไม เดี๋ยวผมรักษาเสร็จก็ไปแล้ว จะต้องไปพบแขกสำคัญอีก! ถ้าเรื่องนี้ทำให้ผมล่าช้า คุณมีปัญญาชดใช้หรือไง เงินเดือนชั่วชีวิตของคุณยังไม่พอชดใช้เลยด้วยซ้ำ”
ชายคนนั้นกล่าววาจาหยาบคายขึ้นเรื่อยๆ
เดิมทีเฉินชางไม่ได้โกรธ แต่เมื่อได้ยินอีกฝ่ายตำหนิเสี่ยวหลินเช่นนี้ก็โกรธขึ้นมาบ้างแล้ว
คุณมาโรงพยาบาลเพื่อมาโชว์เหนือหรือไง
ไม่ลองไปส่งเสียงดังหน้าประตูสถานีตำรวจดูหน่อยล่ะ
เฉินชางอดพูดไม่ได้ว่า “เสี่ยวหลิน เรียกคนต่อไปเลยครับ”
เสี่ยวหลินพยักหน้า “สีแดงเบอร์ห้าค่ะ”
จูเซวียนเหวินเห็นดังนั้นก็รู้สึกเหมือนถูกตบหน้า โทสะพลุ่งพล่านพล่านขึ้นมาทันที เขามองเฉินชางแล้วพูดว่า “ดี ดี ดี! ได้! พวกคุณไร้เดียงสาจริงๆ ถ้าผมไปธนาคารขนาดผู้จัดการธนาคารก็ยังต้องออกมาต้อนรับผม ไม่จำเป็นต้องต่อคิว ไม่นึกเลยว่าพวกคุณจะทำให้ผมเสียเวลาขนาดนี้ คอยดูเถอะว่าผมจะจัดการพวกคุณยังไง!”
“ถ้าวันนี้ผมไม่ได้ไปพบลูกค้า ผมจะมาจัดการพวกคุณ จะไปพบหัวหน้าพวกคุณ!”
คำพูดของเขาทำให้เฉินชางตกตะลึง!
คุณแม่งปัญญาอ่อนหรือไงวะครับ
เอาโรงพยาบาลไปเทียบกับธนาคารเนี่ยนะ
ทำไมไม่เอาไปเทียบกับหอฌาปนกิจศพเลยล่ะ!
ลองไปดูสิ ดูว่าต้องต่อคิวหรือเปล่า บางทีอาจได้รับการต้อนรับแบบ vip เลยก็ได้ ผู้จัดการอาจมาเผาศพให้คุณเองก็ได้
เฉินชางมองชายตรงหน้าด้วยสายตานิ่งเรียบ “รบกวนคุณอย่ามาโวยวายที่ห้องโถงแผนกฉุกเฉินด้วยนะครับ หากคุณยังไม่หยุด ผมจะให้ รปภ.มาเชิญคุณออกไป!”
ชายคนนั้นมองเฉินชาง ถลึงตาใส่อย่างดุดัน!
“อ้อ เชิญผมออกไปหรือ โรงพยาบาลเป็นบ้านคุณหรือไงถึงต้องเชื่อฟังคำสั่งคุณ”
เฉินชางหันไปพูดกับฝ่ายรักษาความปลอดภัย “ถ้าเขาส่งเสียงดังอีกก็ไล่เขาออกไปได้เลยนะครับ”
เดิมทีฝ่ายรักษาความปลอดภัยก็ไม่พอใจชายขี้อวดคนนี้อยู่แล้วจึงพากันเดินเข้ามาทันที
ชายคนนั้นสีหน้าเปลี่ยนไปโดยพลัน สุดท้ายก็นั่งลงไม่พูดอะไรอีก
ขณะนี้ ภายในห้องโถงของแผนกฉุกเฉิน ผู้ป่วยที่กำลังต่อคิวอยู่หลายคนมองชายคนนั้นราวกับเป็นเรื่องสนุก
โลกนี้มีคนอยู่ทุกประเภทจริงๆ!
คุณเป็นเจ้านายคนก็ต้องได้ตรวจก่อนหรือไง
นี่คือแผนกฉุกเฉิน! ไม่ใช่บ้านคุณ!
เฉินชางแค่นเสียงเย็นออกมาครั้งหนึ่ง จากนั้นจึงเดินนำผู้ป่วยไปรักษา
ผู้ป่วยคนนั้นพูดขึ้นยิ้มๆ “มาโรงพยาบาลทำให้ฉันได้เห็นโลกจริงๆ โลกนี้มีคนทุกประเภทเลยนะคะ!”
เฉินชางพยักหน้า เป็นเช่นนั้นจริงๆ มีพวกบ้าอำนาจมาโรงพยาบาลไม่ใช่น้อย หากเป็นคนที่มีไหวพริบเสียหน่อยจะกระทำเงียบๆ แต่หากเป็นพวกขี้โอ่ก็จะชอบเอะอะโวยวาย
มีเงินหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ขี้โม้มาก! แถมยังชอบดูถูกเรื่องเงินเดือนของพวกเรา…
อันที่จริง ยิ่งเป็นคนมีเงินก็ยิ่งถ่อมตัว
พวกที่ชอบอะโวยวายเช่นนี้ ยังไม่ต้องพูดถึงว่ารวยจริงหรือเปล่าเลย แต่ดูไร้รสนิยมมาก
เมื่อเฉินชางรักษาผู้ป่วยเสร็จแล้วก็เดินออกมาดู คิดไม่ถึงว่าชายคนนั้นจะยังชี้หน้าตำหนิเสี่ยวหลินอยู่อีก
คราวนี้เฉินชางโกรธขึ้นมาแล้ว!
“รอก่อนเถอะ อย่าออกไปจากโรงพยาบาลล่ะ! ฉันทนกับเธอมามากพอแล้ว กฎเหรอ กฎข้อบังคับก็เป็นมนุษย์กำหนดขึ้นมานี่แหละ!”
……
เห็นได้ชัดว่าชายคนนั้นกับอายจนกลายเป็นโกรธไปแล้ว
เฉินชางเห็นเสี่ยวหลินอัดอั้นตันใจจนแทบจะร้องไห้ก็พูดขัดชายคนนั้นทันที “ถ้าคุณสงสัยเรื่องระเบียบข้อบังคับของโรงพยาบาลพวกเราก็ไปร้องเรียนได้เลยครับ ต้องการทราบเบอร์โทรศัพท์สำหรับร้องเรียนไหมครับ”
ชายคนนั้นมองเฉินชางแล้วหัวเราะอย่างเย้ยหยัน “เหอะ!”
เฉินชางชะงักไป
Fu*k แม่มันเถอะ!
หน้าด้านจริงๆ
“คุณมีค่าพอมาพูดกับผมหรือไง” ชายคนนั้นหัวเราะ “พวกคุณรอก่อนเถอะ เดี๋ยวผมจะไปคุยกับผู้อำนวยการของพวกคุณ”
จากนั้นก็หันไปชี้หน้าเสี่ยวหลิน “พยาบาลน้อยคนเดียวกับหมอน้อยคนเดียว แล้วก็พวกยาม…เหอะ! น่าหัวเราะจริงๆ!”
เฉินชางหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา “ถ้าคุณยังส่งเสียงดังอยู่ที่นี่อีกผมจะแจ้งตำรวจแล้วนะครับ!”
ชายคนนั้นชะงักไป “แจ้งตำรวจ? ก็เอาสิ! ผมจะรอดูว่าจะจับผมได้หรือเปล่า ผมจ่ายภาษีให้เมืองตงหยางไปเยอะมาก!”
ตอนนี้เองจู่ๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น “ใครตามหาผมหรือ”
ทุกคนมองไปทางต้นเสียง เห็นฉินเสี้ยวหยวนเดินเข้ามาด้วยใบหน้าเคร่งขรึม เมื่อครู่เขาก็ยืนฟังอยู่ตรงประตูเช่นกัน
“คุณหาผมมีอะไรหรือเปล่าครับ” ฉินเสี้ยวหยวนหน้าดำคร่ำเครียด มองชายคนนั้นโดยไม่เกรงใจแม้แต่น้อย
จูเซวียนเหวินชะงักไป “คุณเป็นใคร”
ฉินเสี้ยวหยวน “ผมเป็นผู้อำนวยการของที่นี่ครับ”
จูเซวียนเหวินได้ยินดังนั้นก็มีสีหน้าอ่อนลง เขากลอกตาแล้วพูดขึ้นว่า “ผู้อำนวยการ ไปเดินคุยกันเถอะครับ”
ฉินเสี้ยวหยวนกล่าวโดยไม่เกรงใจเลยสักนิด “มีอะไรก็พูดมาตรงๆ เถอะครับ พวกเราเป็นแค่คนที่ทำอาชีพที่จะมีหรือไม่มีก็ได้ เป็นแค่งานไร้ประโยชน์ อย่าเสียเวลาคุณเลย รีบพูดมาเถอะ พูดจบจะได้รีบไป!”
คำพูดของฉินเสี้ยวหยวนทำให้คนในห้องโถงของแผนกฉุกเฉินทั้งหมดตะโกนว่า ดี!
จูเซวียนเหวินได้ยินฉินเสี้ยวหยวนกล่าวเช่นนั้น สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที “ผม…ผมล้อเล่นครับ ผมใจร้อนเกินไปหน่อย!”
ฉินเสี้ยวหยวนกล่าวต่อไป “คุณต้องขอโทษหมอและพยาบาลของพวกเรา ไม่งั้นโรงพยาบาลของพวกเราก็ไม่ขอต้อนรับคุณ!”
จูเซวียนเหวินหน้าถอดสี มองฉินเสี้ยวหยวนอย่างไม่เกรงใจ ยกมือขึ้นชี้หน้าแล้วกล่าวว่า “ดี! เหอะ! รอดูเถอะ!”
กล่าวจบก็หมุนตัวเดินออกไป!
ฉินเสี้ยวหยวนกล่าวขึ้นมาเรียบๆ ประโยคหนึ่ง “คุณลืมของหรือเปล่า”
ชายคนนั้นหยุดฝีเท้าลงทันทีแล้วหันกลับมามอง
ฉินเสี้ยวหยวนหัวเราะ “ถ้าคุณไม่อยากรักษาศักดิ์ศรีหน้าตาของตัวเองแล้วก็อย่าเอามาทิ้งเป็นขยะเรี่ยราด เดี๋ยวคนอื่นเขาจะรังเกียจเอาได้ อย่าลืมเก็บเศษหน้าไปด้วยนะครับ ทำลายสภาพแวดล้อมของโรงพยาบาลหมด!”
คำพูดนี้ทำให้ผู้ป่วยทุกคนปรบมือ!
“ดี!”
“ใช่แล้ว!”
“หน้าแตกยับก็เก็บกลับไปด้วย!”
“ถุย!”
“ขยะ!”
“วางท่าอะไรของเขา!”
“ผู้อำนวยการสุดยอด!”
“ผู้อำนวยการเจ๋งสุดๆ!”
……
เมื่อเห็นคนที่อยู่รอบๆ พากันตะโกนด่า ฉินเสี้ยวหยวนก็สูดหายใจลึกแล้วเดินไปที่เคาน์เตอร์พยาบาล มองเสี่ยวหลินแล้วพูดขึ้นว่า “ลำบากคุณแล้วนะครับ!”
เสี่ยวหลินเห็นผู้อำนวยการปกป้องเธอเช่นนี้ก็รู้สึกแสบจมูกขึ้นมาทันที น้ำตาก็พลันไหลออกมา
พนักงานตัวเล็กๆ อย่างเธอมีผู้อำนวยการเช่นนี้คอยปกป้อง ทุกอย่างที่ทำก็คุ้มค่าแล้ว!
คนรอบๆ ปรบมือให้ฉินเสี้ยวหยวน
ฉินเสี้ยวหยวนหันไปมองพยาบาลแล้วกล่าวขึ้นว่า “งานที่พวกคุณทำเป็นงานที่มีความหมายมากนะครับ ไม่ว่าใครก็มาแทนพวกคุณไม่ได้! ขอแค่มีพวกคุณอยู่ที่โรงพยาบาล จัดการเรื่องราวไปตามกฎข้อบังคับของโรงพยาบาล โรงพยาบาลก็จะเป็นที่พึ่งให้พวกคุณ!”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ฉินเสี้ยวหยวนก็มองทุกคน “ผมขอสัญญากับพวกคุณเลยว่า ไม่ว่าจะเป็นตอนไหน โรงพยาบาลก็จะปกป้องคุณเสมอ! เพราะสิ่งที่พวกคุณทำเป็นสิ่งที่มีค่ามาก เป็นงานที่มีความหมายมาก เป็นงานที่ยิ่งใหญ่มาก!”
คำพูดนี้ทำให้พยาบาลน้อยหลายคนรู้สึกอบอุ่นไปทั้งใจ ซาบซึ้งจนน้ำตาแทบไหลออกมา!
ผู้ป่วยที่อยู่รอบๆ ก็พากันปรบมือชม “ใช่แล้ว! งานของพวกคุณมีความหมายมากเลย!”
“ใช่!”