บทที่ 512 ใช้มือห้ามเลือดขั้นสูง!
โรงพยาบาลไม่เหมือนกับที่อื่น การพูดว่า ‘ผมทำได้’ ย่อมยากกว่าการพูดว่า ‘ผมทำไม่เป็น’ มากนัก! เพราะตั้งแต่นักศึกษาแพทย์ไปจนถึงระดับศาสตราจารย์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญย่อมไม่มีแม้แต่คนเดียวที่จะพูดว่า ‘ทำได้’ กับเรื่องที่ตัวเองไม่มั่นใจ!
ประโยคที่ว่า ‘ผมทำได้’ จึงมีน้ำหนักมากจริงๆ
คำพูดนี้หมายความว่าผู้อื่นเชื่อมั่นในตัวคุณได้ สนับสนุนคุณได้ และช่วยคุณในการรักษาต่อไปได้ อีกทั้งสำหรับผู้ป่วยแล้ว การพูดว่า ‘ผมทำได้’ ย่อมหมายถึงผู้ป่วยเชื่อมั่นในตัวคุณโดยไร้เงื่อนไขได้นั่นเอง
ทุกสิ่งทุกอย่างนี้ เพียงเพราะอาชีพของคุณก็คือ หมอ!
ดังนั้นในตอนที่เฉินชางพูดออกมาว่า “ผมทำได้” ฟั่นไท่แห่งแผนกศัลยกรรมฉุกเฉินและเยว่เหวินชิงแห่งแผนกศัลยกรรมตับและถุงน้ำดีต่างรู้สึกยินดีและตื่นตะลึง!
ราวกับว่าในตอนที่ผู้ป่วยตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายถึงชีวิตและพวกตนไร้ความสามารถจะช่วยเหลือ จู่ๆ ก็มีคนผู้หนึ่งยื่นมือออกมาช่วย! แน่นอน นี่ย่อมหนีไม่พ้นการที่หวังเซี่ยงจวินยอมรับในตัวเฉินชางด้วย!
พวกเขารีบส่งตัวผู้ป่วยเข้าห้องผ่าตัดอย่างรวดเร็ว
แม้ว่าการตรวจอย่างละเอียดและการรักษาโดยไม่ต้องผ่าตัดจะช่วยให้อาการเยื่อหุ้มไตแตกเล็กน้อยเช่นนี้ดีขึ้นได้ แต่หากมีภาวะเลือดออกมากและต้องสงสัยว่าอาจมีภาวะรั่วซึมในถุงน้ำดีร่วมด้วยเช่นนี้ อาจทำให้ผู้ป่วยเกิดการติดเชื้อได้ ดังนั้นการผ่าตัดจึงเป็นโอกาสช่วยชีวิตเพียงโอกาสเดียวแล้ว!
ตอนนี้ไม่มีใครผ่อนคลายความระมัดระวังลงได้เลย
หมอจากแผนกธนาคารเลือดรีบเดินเข้ามาเตรียมตรวจสอบความเข้ากันของเลือดให้เรียบร้อย พยาบาลช่วยส่งอุปกรณ์ วิสัญญีแพทย์ และทุกคนเตรียมตัวอย่างรวดเร็ว หากเตรียมพร้อมก่อนเริ่มรักษาได้ย่อมดีที่สุด
ภายในห้องผ่าตัด ทีมแพทย์ลงมือกู้ชีพผู้ป่วยตั้งแต่ก่อนเริ่มการผ่าตัดแล้ว!
หวังเซี่ยงจวินไม่มีเวลาสนใจเรื่องเปลี่ยนชุด หรือล้างมืออีก เขารีบสวมเสื้อกาวน์แล้วเข้าไปในห้องผ่าตัดเพื่อเตรียมงานที่จำเป็นก่อนเริ่มการผ่าตัดให้เรียบร้อย!
เตรียมเลือด ถ่ายเลือด!
ฉีดยาบำรุงเลือด!
ให้ออกซิเจน!
ปรับสมดุลอิเล็กโทรไลต์!
ปรับสมดุลความเป็นกรดด่าง!
พยายามรักษาการทำงานของไตเอาไว้เพื่อป้องกันไตวาย…
การเตรียมงานก่อนผ่าตัดเหล่านี้ก็เหมือนกับการเตรียมพร้อมก่อนเริ่มสงครามที่กำลังจะมาถึง
ในตอนที่เฉินชางและคนอื่นๆ เดินเข้ามาในห้องผ่าตัด ความดันโลหิตของผู้ป่วยก็เสถียรแล้ว ทำให้ทุกคนในห้องผ่าตัดผ่อนคลายลงได้บ้าง
หากสภาพของผู้ป่วยยังไม่มั่นคง หากความดันโลหิตยังไม่เพิ่มขึ้น เช่นนั้นการผ่าตัดต่อจากนี้ย่อมอันตรายมาก!
การเตรียมงานก่อนผ่าตัดเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง!
เมื่อรมยาสลบแล้ว เฉินชางก็รับมีดผ่าตัดมาจากพยาบาลทันที!
ชั่วขณะนี้ คนทั้งสาม รวมถึงหวังเซี่ยงจวินและบุคลากรทางการแพทย์ทุกคนที่อยู่รอบๆ ต่างโฟกัสไปที่เฉินชาง!
แม้หวังเซี่ยงจวินจะยินดีเชื่อมั่นในคำพูดของเฉินชาง แต่…จะว่าอย่างไรดี นี่ค่อนข้างซับซ้อน! กระทั่งหมอจากแผนกศัลยกรรมตับและถุงน้ำดีอย่างเยว่เหวินชิงซึ่งเป็นแพทย์เจ้าของไข้ยังไม่กล้าพูดว่าตนผ่าตัดอาการตับแตกที่ซับซ้อนเช่นนี้ได้ แต่เฉินชางกลับกล้าพูด!
นี่เป็นความเชื่อมั่นในตัวเองหรือ ช่างอัดแน่นไปด้วยความทรงพลังจริงๆ
อย่างไรก็ตาม หวังเซี่ยงจวินหวังว่าเฉินชางจะทำได้จริงๆ หวังว่าเขาจะสร้างความแปลกใจให้ตนเองเฉกเช่นเมื่อก่อน
เฉินชางไม่มีความลังเลใดๆ และไม่มีความกระวนกระวายใดๆ ทำเพียงหยิบมีดผ่าตัดขึ้นมากรีดเบาๆ ไปตามตำแหน่งที่คิดไว้ก่อนแล้ว เกิดเป็นแผลที่มีลักษณะเฉียงยาวตั้งแต่ลิ้นปี่ลงมาถึงรักแร้ด้านขวา
เป็นแผลกรีดรูปตัว J
ขณะนี้ภายในช่องท้องเต็มไปด้วยเลือด ซึ่งเลือดจำนวนหนึ่งจับตัวกันกลายเป็นก้อนเลือดไปแล้ว
เฉินชางหันไปมองเยว่เหวินชิง “ได้ไหมครับ”
เยว่เหวินชิงเข้าใจความหมายของเฉินชางดี เขามองสายตาอันแน่วแน่ของอีกฝ่ายแล้วพยักหน้าอย่างหนักแน่น “ไม่มีปัญหา!”
“ดูดเลือด!”
“ผ้าก๊อซ!”
เยว่เหวินชิงเตรียมงานทำความสะอาดช่องท้องที่เขาเชี่ยวชาญ แม้เขาจะผ่าตัดภาวะตับแตกที่ซับซ้อนเช่นนี้ไม่ได้ ทว่าเขาเคยเป็นผู้ช่วยหัวหน้าเฉียนมาก่อน ดังนั้นเรื่องงานช่วยเหลือยังพอทำได้บ้าง
ตอนนี้จำเป็นต้องควบคุมภาวะเลือดออกให้ดีและตรวจสอบความเสียหายให้ละเอียด การกำจัดก้อนเลือดก็ต้องทำอย่างระมัดระวัง
ไม่นานภายในช่องท้องก็สะอาดขึ้นมาก!
แต่ในตอนนี้เอง จู่ๆ ก็มีเลือดออกนอกเนื้อเยื่อตับอย่างฉับพลัน!
อาจมีสาเหตุมาจากการที่ทำให้ความดันโลหิตเพิ่มขึ้นไม่ได้!
เฉินชางมีปฏิกิริยาว่องไว เขารีบใช้มือหยิบผ้าก๊อซแล้วกดลงไปเพื่อห้ามเลือด จับตับเอาไว้ด้วยมือทั้งสองแล้วเริ่มการห้ามเลือดทันที
มือทั้งสองของเขาจับตับอย่างระมัดระวัง กดผ้าก๊อซไปตรงกลางนิ่งๆ ใช้นิ้วหยุดเลือดนอกหลอดเลือดอย่างเชี่ยวชาญ!
ชั่วขณะนั้น! เลือดก็หยุดลงทันที!
การเคลื่อนไหวของเฉินชางดูเหมือนง่าย แต่กลับทำให้ทุกคนตกตะลึงจนตาค้าง อ้าปากกว้างอย่างเหลือเชื่อ!
กระทั่งหวังเซี่ยงจวินก็ยังเบิกตากว้าง มองฉากอันน่าตกตะลึงนี้อย่างไม่อยากเชื่อ
หยุดเลือดด้วยมือหรือ
หยุดเลือดออกบริเวณตับด้วยมือ!
ก่อนหน้านี้ล้วนเป็นการหยุดเลือดบริเวณหลอดเลือด หรือบริเวณที่เสียหายเพียงอย่างเดียว แต่การกระทำนี้ของเฉินชางนี่มัน…เขาทำได้อย่างไร
ดูผิวเผินเหมือนเป็นการใช้มือหยุดเลือดสบายๆ แต่จริงๆ แล้วจะต้องวินิจฉัยอย่างแม่นยำ ต้องกดลงตรงตำแหน่งที่แม่นยำ ทั้งยังต้องตอบสนองต่อเหตุการณ์ฉุกเฉินได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย
ในตอนนี้ เฉียนเลี่ยงรีบร้อนเดินเข้ามาในห้องผ่าตัดแล้ว เมื่อเขาสะดุ้งตื่นจากความฝันและรับรู้ว่าพวกเขากำลังผ่าตัดผู้ป่วยภาวะตับแตกกันอยู่ก็รีบเดินทางมาทันทีโดยไม่สนใจอื่นใด
แม้จะเป็นเช่นนี้ก็ยังเสียเวลาไปไม่น้อย
เขารีบล้างมืออย่างว่องไว จากนั้นก็เดินเข้ามาในห้องผ่าตัดโดยไม่ทันเปลี่ยนไปสวมเสื้อผ่าตัดด้วยซ้ำ ทันเห็นฉากอันน่าตกตะลึงนี้เข้าพอดี!
นั่นใครน่ะ
ทำไมถึงเก่งขนาดนี้!
เฉียนเลี่ยงตะลึงพรึงเพริด เขาดีใจจริงๆ แผนกของเขามีอัจฉริยะบุคคลเช่นนี้โผล่ออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!
ทว่าในตอนที่เฉียนเลี่ยงเลื่อนสายตามองไปกลับรู้สึกไม่คุ้น จึงต้องมองให้ละเอียด!
นั่นมันเฉินชางไม่ใช่หรือ!
ทันใดนั้นเฉียนเลี่ยงก็ยิ่งตกตะลึง
เฉินชาง…ผ่าตัดรักษาตับแตกได้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ในแผนกตับและถุงน้ำดีของโรงพยาบาลตงต้ามีหมอเพียงสี่คนที่ผ่าตัดอาการเช่นนี้ได้ ซึ่งล้วนเป็นหมอระดับหัวหน้าแพทย์ทั้งสิ้น
ส่วนเฉินชาง ก่อนหน้านี้เขาผ่าตัดแต่พวกไส้ติ่งกับถุงน้ำดีไม่ใช่หรือ
นี่…เขาผ่าตัดตับแตกได้ด้วยหรือ!
แถมยังใช้มือหยุดเลือดได้อีกด้วย นี่ทำให้เฉียนเลี่ยงตะลึงพรึงเพริศจริงๆ ทั้งยังสับสนเล็กน้อยด้วย
เขาคงไม่ได้อยู่ในฝันหรอกนะ!
เมื่อเฉินชางหยุดเลือดแล้วก็พอคลายใจได้บ้าง แต่การใช้มือหยุดเลือดเช่นนี้เป็นการควบคุมภาวะเลือดออกแค่ชั่วคราวเท่านั้น หากคิดจะผ่าตัดต่อไปย่อมไม่อาจทำแค่นี้!
เฉินชางรีบหันไปพูดกับเยว่เหวินชิงว่า “มัวอึ้งอะไรอยู่ครับ”
“รีบหยุดการไหลเวียนโลหิตที่ตับสิครับ!”
เยว่เหวินชิงหน้าแดง รีบรับคีมห้ามเลือดมาทันที ทว่าตอนนี้เอง เฉียนเลี่ยงก็รีบพูดขึ้นว่า “รอก่อน!”
ทุกคนเงยหน้ามอง ถึงได้รู้ว่าหัวหน้าเฉียนมาถึงแล้ว!
ชั่วขณะนั้นทุกคนอดคลายใจลงไม่ได้
หวังเซี่ยงจวินมองเฉียนเลี่ยงแล้วพยักหน้าให้ “มาแล้วหรือ!”
เฉียนเลี่ยง “ครับ!”
หลังจากสวมชุดผ่าตัดเรียบร้อยแล้ว เฉียนเลี่ยงก็เดินมาประจำตำแหน่งตรงข้ามเฉินชาง ฟั่นไท่จึงรีบหลบให้ทันที
เฉียนเลี่ยงมองเฉินชางแล้วพูดว่า “พร้อมหรือยังครับ”
เฉินชางพยักหน้า!
เฉียนเลี่ยงรับคีมห้ามเลือดมาแล้วหนีบห้ามเลือดทันที ทั้งรวดเร็วและเด็ดขาด
เฉินชางปล่อยมือทั้งสอง จากนั้นจึงรีบตรวจสอบต่อไป
วิธีการหยุดการไหลเวียนของเลือดบริเวณตับเช่นนี้ควบคุมหลอดเลือดแดงและหลอดเลือดดำบริเวณตับได้อย่างฉับพลันทันใดจริงๆ! ทว่าก็มีข้อจำกัดมากเช่นกัน ซึ่งก็คือจะหยุดการไหลเวียนของเลือดได้ไม่นาน โดยทั่วไปจะหยุดได้แค่ 15-20 นาทีเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่าการจะทำงานจุกจิกให้เสร็จสิ้นภายในระยะเวลาเท่านี้มันเป็นไปไม่ได้เลย ทำได้เพียงฟื้นฟูการถ่ายเลือดเป็นเวลาห้านาทีแล้วหยุดการไหลเวียนของเลือดอีกครั้ง!
ทั้งนี้ การวิจัยด้านการแพทย์ในปัจจุบันชี้ให้เห็นว่า หากหยุดการไหลเวียนเลือดซ้ำๆ จะไม่เป็นผลดีต่อการฟื้นตัวของตับ เมื่อเป็นเช่นนี้ย่อมต้องผ่าตัดให้เร็วยิ่งขึ้น! ซึ่งจะช่วยผู้เข้ารับการผ่าตัดได้มากขึ้นด้วย!
บทที่ 506 เห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน
การผ่าตัดแบบปาร์คส์เหมาะกับเคสกล้ามเนื้อหดรั้งภายหลังการขาดเลือดที่รุนแรง การผ่าตัดมีระดับความยากสูงมาก เงื่อนไขของแพทย์ผู้ผ่าตัดก็สูงมากเช่นกัน
ถ้าการหดตัวของกล้ามเนื้อเกิดขึ้นภายในหกเดือนถึงหนึ่งปี รอจนการทำงานของกล้ามเนื้อและเส้นประสาทมีการฟื้นตัวแล้ว ประสิทธิภาพการผ่าตัดก็จะดีที่สุด
แต่ถ้าเป็นเด็กเล็ก ต้องรอให้มีการหดตัวของกล้ามเนื้อหนึ่งปีขึ้นไปขึ้นจะผ่าตัดได้
ที่หวังอวี้ซานจะสื่อก็คือ ตอนนี้ยังไม่เข้าใจสถานการณ์ของเด็กแน่ชัด ดูจากผลการประสานตัว น่าจะบาดเจ็บมาเกินหนึ่งปีแล้ว
พอนึกถึงตรงนี้ ทุกคนก็อดใจหายหนักกว่าเดิมไม่ได้ กระดูกแขนหักมาหนึ่งปี คนในครอบครัวไม่สนใจไยดีสักนิดเลยเหรอ
แต่เฉินชางนึกขึ้นได้ว่าตรงนอกห้องห้องผ่าตัดตอนนี้ คนเดียวที่เป็นห่วงเด็กอาจจะเป็นคนเร่ร่อนคนนั้นกระมัง
เมื่อนึกถึงตรงนี้ เขาก็ทอดถอนใจ
ถ้าไม่ใช่เพราะบังเอิญมีพี่ใหญ่ทั้งกลุ่มอยู่ด้วย จะทำการผ่าตัดได้เหรอ
ไม่ต้องพูดถึงว่าเขาทำไม่ได้ ที่อันหยางมีใครทำได้บ้าง
แต่เห็นได้ชัดว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องนี้
หลังจากหารือกันไปรอบหนึ่ง วิธีการผ่าตัดแบบปาร์คส์ก็ทำให้ทุกคนยอมรับมาก!
กู้หงเหมยสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วบอกว่า “เด็กยังเล็ก บางทีอาจฟื้นตัวได้ดีกว่าผู้ใหญ่!”
หลังจากเตรียมการแล้ว ก่อนที่ผลทดสอบทางกายภาพเคมีจะออก หวังอวี้ซานก็มองเฉินชาง “เตรียมอุปกรณ์พยุงแบบไดนามิก เครื่องดึง ทางที่ดีขอแบบสำหรับแผนกศัลยกรรมมือโดยเฉพาะ”
หลังจากเฉินชางได้ยินก็อดหน้าแดงเพราะความอายไม่ได้ ห้องผ่าตัดของพวกเขาเพิ่งสร้างขึ้นไม่นาน อาจจะยังไม่ได้เตรียมอุปกรณ์เหล่านี้ไว้
คิดไปคิดมา เฉินชางก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาศิษย์รองถานจงหลิน
ไม่ง่ายเลยกว่าเด็กคนนี้จะได้กลับบ้านในวันหยุดสุดสัปดาห์ ตอนนี้ถานจงหลินห่อเกี๊ยวอยู่กับภรรยาที่บ้าน หลังจากเห็นเฉินชางโทรมา เขาก็รีบรับสาย พอรู้ว่าเฉินชางต้องการอะไร เขาก็วางตะเกียบและเกี๊ยวในมือทันที สลัดแป้งออกจากตัวแล้วหันตัวเดินออกจากบ้าน
พฤติกรรมนี้ทำให้ภรรยารังเกียจอยู่พักหนึ่ง ถ้ารู้ตั้งแต่แรกว่ามีสามีเป็นหมอแล้วจะลำบากขนาดนี้ ตอนนั้นเธอคงเลือกเหล่าเฮ่อที่เป็นข้าราชการไปแล้ว ตอนนี้อีกฝ่ายเป็นผู้อำนวยการไปแล้ว!
ภรรยาของเขาก็แค่ล้อเล่นเท่านั้น แต่ในฐานะคนในครอบครัวของหมอ แบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่สุขสันต์เท่าไรนัก
อย่าไปคิดว่าถ้าหาสามีเป็นหมอ ในภายหลังเจ็บป่วยขึ้นมาแล้วจะไม่ต้องกังวล
ความจริงแล้ว การที่คุณหาสามีเป็นหมอ คุณจะกังวลมากกว่า เพราะ…ตอนที่คุณป่วย เขาอาจไม่มีเวลามาดูแลคุณก็ได้
แต่การประคับประคองกัน เข้าใจกัน เดินไปข้างหน้าด้วยกัน ระหว่างสามีภรรยาก็เป็นแบบนี้ทั้งนั้น เธอหันตัวมาตะโกนบอกถานจงหลิน “กลับมาเร็วๆ นะคะ ฉันจะเหลือเกี๊ยวไว้ให้คุณ”
ถานจงหลินยิ้มแล้วหันตัวเดินออกไป ก้าวเท้าอย่างมั่นคงยิ่งขึ้น
……
……
ในห้องผ่าตัด ผู้ที่ยืนอยู่ตรงสี่เหลี่ยมทองคำของผู้ป่วยก็คือหวังอวี้ซาน ทังจินโป ฉางหงเหล่ยและกู้หงเหมย
พวกเขาสบตากันแวบหนึ่งแล้วพยักหน้าให้กัน!
ในดวงตาเต็มไปด้วยความฮึกเหิม
หลังจากผ่านไปยี่สิบปี ครั้งแรกที่พบกันก็มาปรากฎตัวอยู่บนเตียงผ่าตัด เตรียมทำการผ่าตัดที่สำคัญอย่างนี้แล้ว
พวกเขาต่างก็รู้ว่านี่คือศึกหนัก และเป็นบททดสอบเช่นกัน
หวังอวี้ซานมองทังจินโปแวบหนึ่ง ในดวงตาเต็มไปด้วยปณิธานแห่งการต่อสู้ บางทีฉันควรจะทำให้นายเห็นสักหน่อยว่าหลายปีมานี้ฉันมีความก้าวหน้ายังไง!
ทังจินโปเองก็ยิ้มเรียบๆ หลายปีมานี้ฝีมือฉันก็ไม่ตกเหมือนกัน
ฉางหงเหล่ยกับกู้หงเหมยมองทั้งสอง พวกเธออดทอดถอนใจไม่ได้
สันดอนขุดง่าย สันดานแก้ยาก เมื่อพบกันอีกครั้ง สองคนนี้ก็เป็นอย่างนี้อีกแล้ว
ไม่มีใครยอมใคร!
แต่ก็เพราะจิตวิญญาณนี้ ถึงทำให้หวังอวี้ซานกลายเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลไห่ตูซื่อลิ่ว และอาจจะกลายเป็นนักวิชาการอีกสมัยด้วย
และทำให้ทังจินโปค้นคว้าวิธีการเย็บแบบทังและทฤษฎีการแบ่งเขตเส้นเอ็นยืดเหยียดของทังสำเร็จ กลายเป็นปรมาจารย์ที่มีชื่อเสียงทั้งในและนอกประเทศ
การผ่าตัดเคสนี้ เป็นการทดสอบสำหรับทั้งสี่คน!
หลังจากฉีดยาชาแล้ว หวังอวี้ซานก็ใช้มีดผ่าตัดกรีดเปิดกลางท้องแขนของผู้ป่วย…
กู้หงเหมยยืนอยู่ด้านข้าง คอยห้ามเลือดอย่างชำนาญ ฉางหงเหล่ยเริ่มโยกย้ายผิวหนัง เนื่องจากเนื้อเยื่อเหลือค่อนข้างน้อยหลังจากขาดเลือด มีความยืดหยุ่นต่ำ เยื่อผังผืดส่วนลึกและกล้ามเนื้อตึง
ผิวสมานตัวกันแน่นเกินไป ตอนลอกผิวหนังจึงยากมาก แต่ฝีมือของฉางหงเหล่ยที่ดูเผินๆ เหมือนเบาและว่องไวกลับซ่อนความละเอียดลึกซึ้งเอาไว้
คนที่ดูอยู่รอบๆ อดปรบมือส่งเสียงเชียร์ไม่ได้!
นี่ไม่ใช่การผ่าตัดที่ทำด้วยตัวคนเดียวได้ ต้องใช้หลายคนร่วมมือกัน ทั้งยังต้องควบคุมและจัดการรายละเอียดทุกขั้นตอนอย่างเข้มงวดด้วย
“เครื่องกระตุ้นกล้ามเนื้อไฟฟ้า!”
“ลอกเนื้อเยื่อ!”
“คีมแยก…”
……
เป็นการผ่าตัดที่สามัคคีและมีระเบียบ แบ่งงานกันอย่างรอบคอบ ทุกคนล้วนแสดงบทบาทที่ไม่มีใครแทนที่ได้
ทุกขั้นตอนการทำงานล้วนทำให้กลุ่มคนที่อยู่รอบข้างกล่าวชมไม่หยุดปาก!
เป็นแพทย์หัวหน้าแผนกเหมือนกัน ถานจงหลินอดส่ายหน้าไม่ได้ บางครั้งก็ต้องยอมรับว่าแตกต่างกันชัดเจนมากจริงๆ
สังเกตการหดตัวของกล้ามเนื้อ!
ตรวจสอบส่วนที่เนื้อเยื่อตาย
ตรวจสอบเส้นประสาทมีเดียน…เส้นประสาทอัลน่า…
……
……
หวังอวี้ซานเป็นทหารกล้า ตีเมืองและยึดครองดินแดน ฝ่าห้าด่านสังหารหกขุนพล ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ ตรงไหนที่ไปเยือน ตรงนั้นกระจ่างชัดเจน!
และตอนนี้เอง หวังอวี้ซานมองทังจินโปแวบหนึ่ง
ทังจินโปยิ้มบางๆ แล้วรับมีดผ่าตัดมา!
ต่อมาก็ถึงเวลาของเขาแล้ว
“ฟื้นฟูขอบเขตการทำงาน”
ฟื้นฟูการทำงานของกล้ามเนื้อ!
ตัดและปลูกถ่ายเส้นเอ็นยืดนิ้ว
เย็บกล้ามเนื้อเฟลกเซอร์ พอลิซิส ลองกัส[1]…
จัดการกับเส้นเอ็นทุกเส้นได้อย่างพอเหมาะพอดี
ทุกจุดที่เย็บล้วนล้ำเลิศ
ตัดเส้นเอ็น ปลูกถ่ายเส้นเอ็น ผ่าตัดซ่อมแซมเส้นเอ็น!
เขาเคลื่อนไหวมืออย่างง่ายดายราวกับหยิบของออกจากกระเป๋า
หากหวังอวี้ซานเป็นทหารที่บุกเบิกดินแดนใหม่ ทังจินโปก็เป็นขุนนางฝ่ายบุ๋นที่ปกครองประเทศให้ประชาชนอยู่อย่างผาสุก!
การทำงานร่วมกันของทั้งสอง ทำให้การผ่าตัดทุกขั้นตอนยอดเยี่ยมไร้ที่เปรียบ
เช่นเดียวกัน กู้หงเหมยกับฉางหงเหล่ยทำงานละเอียดมาก!
ทุกขั้นตอนของการผ่าตัดเคสนี้ ราวกับเป็นดาราตัวท็อปมารวมตัวกัน ทุกคนล้วนกำลังพยายามเพื่อเป้าหมายเดียวกัน
ไม่เจอกันยี่สิบปี เมื่อขึ้นเวทียังเป็นพี่น้อง
จิตใจที่สื่อถึงกันได้กว่ายี่สิบปี ไม่เคยลืมเลือน
การผ่าตัดของทั้งสี่ทำให้ทุกคนที่อยู่รอบๆ มองจนเคลิบเคลิ้ม
อะไรคือยอดฝีมือ
อะไรคือตัวพ่อ!
ก็นี่ไงล่ะ!
เจียงเทากับหลี่อวี่ตัวสั่น กำลังคิดว่าตัวเองได้มายืนอยู่ข้างเตียงผ่าตัดอย่างอิสระเสรีขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน!
ส่วนเฉินชางจะไม่เกิดความอิจฉาได้อย่างไร
นานมาก…
นานมาก…
การผ่าตัดจบลงแล้ว
หลังจากเคลื่อนย้ายผู้ป่วยอย่างปลอดภัยแล้ว ทั้งสี่ก็สบตาและยิ้มให้กัน
ผลลัพธ์นี้คือกระดาษคำตอบที่ดีที่สุดของพวกเขาในยี่สิบปีที่ผ่านมา!
หวังอวี้ซานเงยหน้าจ้องทังจินโป อดพูดไม่ได้ว่า “จินโป นายเก่งจริงๆ”
“นายคือหมอที่ผ่าตัดซ่อมมือได้ดีที่สุดเท่าที่ฉันเคยเห็นมา!”
ทังจินโปก็มองหวังอวี้ซานตรงๆ เช่นกัน “ถ้าเป็นเรื่องระบบกระดูกมือ ฉันนับถือแค่นายเท่านั้น!”
ในสายตาของทั้งสอง นี่ไม่ใช่การแข่งขัน แต่เป็นสิ่งที่เรียกว่าความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน
ทั้งสองล้วนไม่ใช่คนที่ยอมอยู่ข้างหลังคนอื่น
ต่างก็ไม่อยากไปทำงานที่หน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง
แต่ในใจของพวกเขาต่างก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายเก่งมาก เยี่ยมมาก!
ตอนนี้เอง เฉินชางได้ยินเสียงเตือนจากระบบแล้ว
[ติ๊ง! คุณแก้ปมในใจรุ่นพี่สำเร็จ ได้เข้าอบรมทักษะระดับสมบูรณ์แบบหนึ่งรายการ: ผ่าตัดลบรอยแผลเป็น!]
เฉินชางตะลึงทันที!
เบิกตากว้างจ้องหนังสือทักษะสีทองด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ
ในใจตื่นเต้นมาก!
[1] กล้ามเนื้อเฟลกเซอร์ พอลิซิส ลองกัส (อังกฤษ: flexor pollicis longus, FPL) เป็นกล้ามเนื้อที่อยู่ในปลายแขน (forearm) และมือ ทำหน้าที่งอนิ้วหัวแม่มือ
บทที่ 500 ระลึกถึงวันวานที่มีความหมาย
ตอนนี้เวลาล่วงเลยมาจนถึงเที่ยงคืนแล้ว!
เมืองอันหยางยังอยู่ในปลายฤดูใบไม้ร่วง เริ่มมีลมพัดแรง
แต่กลุ่มคนที่เดินออกจากโรงพยาบาลอันดับสองยังคงกระฉับกระเฉง
ทังจินโปกับเฉินชางเดินอยู่ด้วยกัน ทั้งคู่พูดคุยเคล้าเสียงหัวเราะ สองมือออกท่าทางเกี่ยวกับภาพจำลองในอนาคตไม่หยุด บรรยายถึงอดีตเกี่ยวกับการฟันฝ่าเรื่องนี้
ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเหล่านี้ทยอยกันกลับไปแล้ว มีเพียงฉินเสี้ยวยวนกับหลี่เจี้ยนเหว่ยรวมทั้งหลี่เป่าซานที่ยังอยู่
พรุ่งนี้วันเสาร์ ทุกคนไม่ทำงาน
อารมณ์สนุกสนานมาเยือนเหมือนกระแสน้ำ ฉินเสี้ยวยวนพลันพูดขึ้นว่า “ศาสตราจารย์ทังมาไกล พวกเราไปหาอะไรกินที่ตลาดกลางคืนกันหน่อยไหมครับ ตลาดกลางคืนเมืองอันหยางมีเอกลักษณ์มาก เป็นแหล่งรวมอาหารทั้งเหนือใต้ออกตก ผสมอยู่บนพื้นที่เมืองอันหยางของพวกเรา รสชาติอร่อยไปอีกแบบครับ!”
“งั้นก็รบกวนผู้อำนวยการฉินด้วยครับ” ทังจินโปยิ้ม
พวกเขามาถึงตลาดกลางคืน แต่ละคนใส่ชุดสูทกับรองเท้าหนัง แต่นั่งบนม้านั่งตัวเล็กๆ
ผ่านไปไม่นาน บนโต๊ะก็วางอาหารไว้เต็ม!
หลี่เจี้ยนเหว่ยมองหลี่เป่าซานพลางยิ้มตาหยี “เป่าซาน…”
หลี่เป่าซานรู้ตัวเองว่าควรทำอะไร เขาลุกขึ้นยืนแล้วบอกว่า “พวกคุณรอก่อนครับ ผมจะไปสั่งเหล้า”
พูดจบก็เดินเข้าไปในร้าน
ทุกคนเริ่มพากันยิ้ม
ขอเพียงพวกฉินเสี้ยวยวนออกมากินข้าวกับหลี่เป่าซาน แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยพกเหล้ามาเลย และไม่จำเป็นต้องซื้อเหล้าด้วย ถึงยังไง…ในบ้านหัวหน้าแผนกหลี่ก็มีแต่เหล้า
ตามหลักแล้ว ผู้อำนวยการโรงพยาบาลอย่างพวกเขาขาดเหล้าได้หรือ
ขาดไม่ได้อยู่แล้ว แต่ละคนชอบดื่มมาก!
แต่พวกเขารู้ว่าหัวหน้าแผนกหลี่เป็นคนไม่ดื่มเหล้าแม้แต่หยดเดียว
ผ่านไปไม่นาน หลี่เป่าซานก็เดินอุ้มกล่องออกมา เป็นเหล้าเฝินจิ่ว[1]ที่หมักยาวนานสามสิบปี บรรจุอยู่ในขวดแก้ว แค่ดูเวลาก็รู้แล้วว่าหมักนานมาก
มองออกเลยว่าเขายอมควักเนื้อตัวเองเพื่อต้อนรับศาสตราจารย์ทัง
ฉินเสี้ยวยวนกล่าวด้วยรอยยิ้มร่าเริง “ศาสตราจารย์ทัง นี่เป็นลูกรักของเหล่าหลี่เลยนะครับ ผมอยากดื่มมาหลายปียังไม่มีโอกาสเลย ดูท่าวันนี้คงมีวาสนาแล้ว!”
วันนี้ทังจินโปมีความสุขมาก หรือจะบอกว่าตื่นเต้นมากก็ได้!
ราวกับเขาได้ย้อนกลับไปในวันวานอันมีความหมายตอนนั้น
พวกเขาเริ่มสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดกันอย่างช้าๆ พอดื่มมากขึ้น ตอนหลังก็พูดมากขึ้น
ทังจินโปมองเฉินชาง พร้อมกล่าวเนิบๆ ว่า “ผม หวังอวี้ซาน ฉางหงเหล่ยและกู้หงเหมยในตอนนั้น เพื่อที่จะทำคู่มือออกมาใหม่ พวกเราอดนอนทำงานล่วงเวลากันทุกวัน วันวันหนึ่งพวกเราผ่าตัดสิบกว่าเคส ทดลองไม่หยุด ก็เพื่อคิดค้นวิธีการเย็บเส้นเอ็นที่มีประสิทธิภาพเป็นเอกฉันท์ออกมา…
…พวกเราจะเจอกันเดือนละครั้ง ตอนนั้นนั่งรถไฟสีเขียวแบบดั้งเดิม นั่งครั้งหนึ่งก็ใช้เวลาหนึ่งวัน ผมกับเหล่าหวังเป็นผู้ชาย ฉางหงเหล่ยกับกู้หงเหมยเป็นผู้หญิง ก็ช่วยไม่ได้ เพื่อดูแลเพื่อนร่วมงานผู้หญิงอย่างพวกเธอ พวกราเลยไปเมืองหลวงทุกวัน พอไปถึงพวกเราก็เริ่มถกเถียงกัน เพราะถกเถียงกันเรื่องนี้แหละ ผมกับเหล่าหวังยังเคยชกกันด้วย ฮ่าๆ…แต่ตอนนี้แก่กันหมดแล้ว!”
พูดไปพูดมา ในแววตาของทังจินโปก็เต็มไปด้วยความรู้สึกหวนระลึก นั่นเป็นยุคที่พวกเขารุ่งโรจน์ที่สุด และเป็นยุคสมัยที่มีความหมายของพวกเขาเช่นกัน
“พวกเราสี่คน มีแนวคิดสี่แบบ แต่มีเพียงเป้าหมายเดียวเท่านั้น! พวกเราอยากทำคู่มือศัลยกรรมมือที่ก้าวนำโลกสักเล่ม…
พอพูดถึงตรงนี้ ทังจินโปก็สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วจ้องเฉินชาง “แนวคิดแบบนี้ของคุณ คิดว่าพวกเราไม่เคยคิดมาก่อนเหรอ…
…ผมทุ่มเทให้แนวคิดนี้มาห้าปีแล้ว! ห้าปีเต็มๆ เลยครับ พวกเราอยากขยี้วิธีการเย็บเส้นเอ็นแบบต่างๆ ออกมาทำใหม่ สร้างวิธีการเย็บแบบใหม่ขึ้นมา แต่เป็นงานที่ใหญ่เกินไป!…
…ตอนนั้นพวกเรายังใช้คอมพิวเตอร์ไม่เป็น ฉบับร่างที่เขียนด้วยมือกองอยู่เต็มห้อง แค่เพราะหวังว่าจะหาวิธีการเย็บที่ดีกว่านี้ได้…
…ตอนหลัง…พวกเราก็ไม่ได้ยืนหยัดทำต่อไป เพราะยิ่งเวลาล่วงเลยไป แนวคิดในใจของพวกเราก็ยิ่งุรนแรง ตอนนั้นผมร่างแผนขั้นต้นของวิธีการเย็บเส้นเอ็นแบบทังแล้ว เหล่าหวังยังยืนหยัดในแนวคิดของตัวเอง มีแค่ฉางหงเหล่ยกับกู้หงเหมยที่วิจัยค้นคว้าแบบเดิมมาตลอด…
…ตอนนั้นทีมเล็กก็เลยแยกย้ายกันเพราะไม่สบอารมณ์ แผนก็เลยถูกดองไว้อย่างนั้น…
…ตอนหลังพอวิธีการเย็บแบบทังคลอดออกมา ผมก็อายุสามสิบห้าแล้ว…
…หวังอวี้ซานอายุมากกว่าผมปีหนึ่ง กลายเป็นหัวหน้าแผนกศัลยกรรมมือของโรงพยาบาลหมัวตูซื่อลิ่ว นำทีมแผนกศัลยกรรมมือเดินไปสู่ความรุ่งเรืองสูงสุด กลายเป็นโรงพยาบาลด้านกระดูกและศัลยกรรมมือในประเทศที่มีน้อยจนนับนิ้วได้!…
…ฉางหงเหล่ยอายุเท่าผม กู้หงเหมยอายุน้อยกว่าผมสองปี เธอกับฉางหงเหล่ยย้ายจากวิทยาลัยการแพทย์ปักกิ่งยูเนี่ยนไปโรงพยาบาลจีสุ่ยถาน ทำให้แผนกศัลยกรรมมือของโรงพยาบาลจีสุ่ยถานกลายเป็นเสาหลักของภาคเหนือ”
พอพูดถึงตรงนี้ ทังจินโปก็น้ำตาไหลจนตาพร่าแล้ว
หลี่อวี่ไม่เคยได้ยินอาจารย์พูดถึงเรื่องพวกนี้มาก่อน และไม่เคยรู้ด้วยว่ายังมีเรื่องในอดีตพวกนี้อยู่
ทังจินโปมองเฉินชางพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พอได้เห็นงานของคุณ บอกตามตรงครับว่าทำให้ผมนึกถึงพวกเราตอนนั้น เคยเคียงบ่าเคียงไหล่กันฝ่าฟันเรื่องนี้ แต่…คุณมีก้าวแรกที่ไกลกว่าพวกเรา เสี่ยวเฉิน ผมหวังจริงๆ ว่าคุณจะทำเรื่องนี้ได้ดี คิดค้นวิธีการเย็บเส้นเอ็นออกมาได้ดี…
…นี่…เป็นเส้นทางที่พวกเรายังไม่เคยเดินจนสุดทาง!”
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ประโยคนี้ทำให้เฉินชาง เจียงเทาและหลี่อวี่คัดจมูกแล้ว
เฉินชางยกแก้วเหล้าขึ้นมา แล้วบอกทังจินโปว่า “ศาสตราจารย์ทัง พวกเราคารวะคุณหนึ่งจอก!”
เจียงเทากับหลี่อวี่รีบยกแก้วขึ้นมา “ศาสตราจารย์ทัง พวกเราคารวะคุณ!”
ทังจินโปยิ้มบางๆ “เป็นผมต่างหากที่ควรคารวะพวกคุณ!”
ดื่มเหล้าไปเยอะมาก ทังจินโปเมาแล้ว
ระหว่างทางที่กลับโรงแรม พูดไปพูดมาก็เริ่มร้องไห้ “หวังอวี้ซาน ไอ้เวรเอ๊ย ถึงขั้นไม่รับโทรศัพท์ฉันหลายปีเลยเหรอ แม่งเอ๊ย…นายคิดว่านายไม่โทรหาฉัน แล้วฉันจะโทรหานายเหรอ”
“ฉางหงเหล่ย! เธอบอกแล้วไงว่าตอนนั้นจะ…”
“หงเหมย พวกเรายืนหยักทำงานของพวกเรา ตอนนี้มีคนหนุ่มสาวมารับช่วงต่อแล้ว!”
ขณะประคองศาสตราจารย์ทังกลับโรงแรม เฉินชางหนักใจอยู่นานมาก
เจียงเทาเองก็ไม่เคยรู้เลยว่าที่แท้ตอนแรกอาจารย์ก็มีช่วงเวลาที่มีความหมายแบบนี้เหมือนกัน
เฉินชางมองศาสตราจารย์ทังที่ยังนอนร้องไห้อยู่บนเตียง จู่ๆ ในใจเกิดบางสิ่งที่เรียกว่าความรับผิดชอบและภารกิจ
คนรุ่นศาสตราจารย์ทังปูพื้นฐานที่เหนียวแน่นไว้ให้พวกเรา
หรือว่าธงใหญ่ผืนต่อไป ควรจะเป็นพวกเราที่แบกขึ้นมา
พอนึกถึงตรงนี้ เฉินชางก็มองเจียงเทาแวบหนึ่ง ตอนนี้เจียงเทาตาแดงก่ำ เขาเองก็ดื่มไปเยอะเหมือนกัน
ตอนที่ออกจากโรงแรม หลี่อวี่เรียกเฉินชางไว้แล้วพูดอย่างจริงจังว่า “ศาสตราจารย์เฉิน ปีหน้าผมจะเรียนจบแล้ว ผม…ผมอยากไปทำงานกับคุณครับ!”
เฉินชางอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนจะบอกว่า “ผมจะรอคุณครับ!”
หลี่อวี่พยักหน้า กลับมาที่ห้องในโรงแรม ตอนเห็นอาจารย์ตัวเองที่จนเมามายร้องไห้ฟูมฟาย เขาก็ปวดใจทันที
เขาแอบสาบานว่า “อาจารย์ครับ เส้นทางที่เหลือ ผมจะเดินให้สุดทางแทนอาจารย์เอง!”
ระหว่างทางกลับ จู่ๆ เจียงเทาก็พูดขึ้นว่า “ศาสตราจารย์…เฉิน!”
“คุณเรียกผมเหรอ” เฉินชางงุนงง
เจียงเทาพยักหน้า “ครับ!”
“แปลกๆ นะ” เฉินชางยิ้มเก้อเขิน
แต่เรื่องนี้ไม่สำคัญ จะเรียกอะไรก็ได้ทั้งนั้น
“ผมผิดไปแล้ว” เจียงเทาบอก
เฉินชางได้แต่ยิ้ม บางที…เขาอาจจะรู้ว่าสิ่งที่เจียงเทาพูดหมายความว่าอะไร
[1] เหล้าเฝินจิ่ว 汾酒 เหล้าขาวจีนที่มีชื่อเสียงของมณฑลส่านซี กลิ่นหอมละมุน สีใส รสสัมผัสอ่อนโยน