บทที่ 532 สองมาตรฐาน…
หลังจากตื่นนอนตอนเที่ยงแล้ว เฉินชางก็เก็บของและอาบน้ำ แล้วตอนบ่ายไปซื้อเสื้อผ้ากับยัยขี้ประจบฉิน
ตอนบ่ายฉินเยว่แอบหนีออกจากแผนกไป เฉินชางได้แต่กลอกตามองบน
ตอนนี้เธอแทบจะไม่กลัวอะไรแล้ว “เธอโดดงานอีกแล้วเหรอ!”
ฉินเยว่มองเฉินชางอย่างจริงจัง “คิดให้ดีแล้วค่อยพูดใหม่!”
เฉินชางถอนหายใจ “ประสิทธิภาพการทำงานของเธอดีจริงๆ”
พอได้ยินแบบนี้ ฉินเยว่ถึงได้เผยรอยยิ้มออกมา ตอนนี้เธออยู่ในสถานะกึ่งลาออกแล้ว ไม่ค่อยสนใจแผนกฉุกเฉินเท่าไร แผนกศัลกรรมทั่วไปก็ไม่อยากได้ คนที่เตรียมสอบปริญญาเอกก็อยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมแบบนี้
รับผิดชอบงานวิจัยของแผนกโดยเฉพาะ หัวหน้าแผนกหลี่เป่าซานนี่ก็ช่างคิดได้จริงๆ ที่เตรียมตำแหน่งแบบนี้ไว้ให้เธอ
ขณะที่มองยัยขี้ประจบฉินดีใจเพราะถูกตนปลอบอย่างขอไปที เฉินชางก็ถอนหายใจ
ผู้หญิงคนนี้ช่างตื้นเขินจริงๆ
แต่…ผู้ชายก็ดันชอบผู้หญิงที่ตื้นเขินแบบนี้!
เฮ้อ…ผู้ชายก็แบบนี้!
……
ฤดูใบไม้ร่วงอากาศปลอดโปร่ง เฉินชางไม่ได้ออกมาเดินซื้อของนานแล้ว ถนนการค้ายังคึกคักเหมือนเดิม
ฉินเยว่นำกระดาษใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อ “ไปค่ะ ไปซื้อเสื้อผ้ากัน!”
ขณะที่พูดก็ดึงเฉินชางเข้าไปในห้างสรรพสินค้า
“เธอเขียนอะไรไว้บนนั้น” เฉินชางสงสัย
“แผนการไงคะ” ฉินเยว่ตอบอย่างมีเหตุผล
“ไปซื้อเสื้อผ้าก่อน แล้วก็ไปทำผม จากนั้นก็ไปซื้อของขวัญ…”
เฉินชางมองกระดาษครึ่งหน้าของฉินเยว่แล้วขนหัวลุกนิดหน่อย เขารู้สึกว่าถ้าวันนี้ไม่ได้กินยาบำรุงพลัง ก็คงรายงานผลการปฏิบัติงานไม่ไหวเลย…
แต่พอคิดว่าต่อไปนี้ต้องทำการบ้านของยัยขี้ประจบฉินวันละห้าสิบนาที เฉินชางก็กลุ้มใจ ช่วงนี้ตัวเองต้องตีมอนสเตอร์ให้เยอะๆ หน่อยเพื่อดรอปยาบำรุงพลัง ยาบำรุงพลังอะไรพวกนั้น
ทางที่ดีควรดรอปหินเสริมแกร่งสักก้อน!
เฉินชางไม่ได้ช่างเลือกเสื้อผ้าอะไรมากมาย ใส่แบรนด์ไหนก็ได้ทั้งนั้น ขอแค่ใส่สบาย ดูแล้วสบายตาก็พอแล้ว
แต่ฉินเยว่สายตาดี ให้เฉินชางลองเสื้อผ้าไม่หยุด
ทุกครั้งที่ลองเสร็จ เธอก็ตาลุกวาว! ทำให้เฉินชางตัวสั่นทั้งที่ไม่ได้หนาว ไม่น่าเชื่อว่าจะรู้สึกขนลุกขนพอง
เหมือนหมาป่าสีเทากำลังจ้องแกะน้อยแสนสวย
พอออกมาจากร้านเสื้อผ้า เฉินชางก็มองฉินเยว่ด้วยสีหน้าจริงจังสุดๆ “บอกมาซะดีๆ คุณจ้องอยากได้ตัวผมมานานแล้วใช่ไหม!”
“คุณมั่นใจเกินไปแล้ว!” ฉินเยว่กลอกตามองเฉินชาง
เฉินชางพูดด้วยท่าทางดูถูก “เช็ดน้ำลายหน่อย พูดมาซะดีๆ!”
ฉินเยว่อึ้งทันที รีบเช็ดน้ำลายตัวเอง แต่พบว่าไม่มีน้ำลายไหล พอเธอรู้ว่าเฉินชางกำลังแกล้งเธอ เธอก็กระทืบเท้าอย่างหงุดหงิดทันที
ทั้งสองเดินห้างสรรพสินค้ากันทั้งบ่าย จนกระทั่งสองทุ่มถึงซื้อของเสร็จ บนตัวเฉินชางมีถุงใบเล็กใบใหญ่มากมาย ตรงไหนที่แขวนได้ก็แขวนหมด
……
……
ตอนกลางคืนกลับมาที่บ้าน ฉินเสี้ยวยวนกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องหนังสือ จี้หรูอวิ๋นกำลังนอนมาส์กหน้าอยู่บนโซฟา ฉินเยว่เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วมาเอนกายลงบนโซฟา เธอมองแม่แล้วอดถามไม่ได้ว่า “คุณแม่คะ พรุ่งนี้หนูต้องกลับบ้านเกิดของเฉินชาง เป็นวันเกิดของแม่เขาค่ะ เขาไม่ได้กลับบ้านมาหลายปีแล้ว หนูบอกว่าครั้งนี้หนูจะกลับไปเป็นเพื่อนเขา”
จี้หรูอวิ๋นได้ยินแล้วงงไปชั่วขณะ แต่จากนั้นก็เข้าใจทันที “แม่ก็คิดอยู่ว่าทำไมสองวันนี้ลูกแปลกๆ ไป ลูกทำกับข้าวทุกวัน แม่ยังบอกพ่ออยู่เลยว่าลูกสาวเราโตแล้ว!”
“ที่แท้ลูกก็ทำเพื่อเอาใจแม่สามีนี่เอง! ฉินเสี้ยวยวน คุณออกมาดูลูกสาวคุณสิคะ!”
เสียงตะโกนดังขนาดนี้ ฉินเสี้ยวยวนก็ต้องเดินออกมาทันทีอยู่แล้ว พอได้ยินจี้หรูอวิ๋นพูดแบบนี้ก็รีบถามทันที “มีอะไรเหรอที่รัก”
จี้หรูอวิ๋นแสยะยิ้ม “ลูกสาวคุณเตรียมจะกลับบ้านเกิดพร้อมเฉินชาง”
เมื่อภรรยาพูดแบบนี้ ฉินเสี้ยวยวนแทบก็จะตอบอย่างไม่ลังเล “ไม่ได้ๆ!”
ฉินเยว่งงทันที “ทำไมไม่ได้ล่ะคะ ก็แค่กลับไปเยี่ยมคุณอาคุณน้า มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“ไม่ใช่ บ้านของเสี่ยวเฉินรู้หรือเปล่าว่าเขาคบกับลูก แล้วอีกอย่าง…ทั้งสองคนก็ยังไม่ได้คบกันถึงขั้นนั้น ถ้าไปที่บ้านเขาแบบไม่ดูตาม้าตาเรือ…” ฉินเสี้ยวยวนกล่าว
ฉินเยว่ย่นจมูก “เฉินชางเคยเจอคุณพ่อกับคุณแม่แล้วไม่ใช่เหรอคะ เขาเองก็เริ่มชัดเจนกับหนูแล้ว หนูก็แค่ไปทำให้ชัดเจนกว่าเดิมไงคะ”
ฉินเสี้ยวยวนได้ฟังแล้วกระวนกระวายนิดหน่อย ถึงยังไงก็เป็นลูกสาวของตัวเอง เขาจึงเป็นห่วงมาก ในชีวิตมีตัวอย่างให้เห็นมากมาย ฉินเสี้ยวยวนพูดอย่างอดทนว่า “เยว่เยว่ หนูฟังพ่อนะ ถ้าหนูไปแบบนี้ บ้านเขาจะมองเรายังไงล่ะ…”
พอจี้หรูอวิ๋นได้ยินคำพูดหัวโบราณของฉินเสี้ยวยวนก็อดพูดไม่ได้ว่า “พอแล้วค่ะ เหล่าฉิน นี่มันยุคไหนแล้ว”
ฉินเสี้ยวยวนมองภรรยาตัวเอง “นี่…จู่ๆ ไปเข้าบ้านเขาแบบนี้ บ้านฝ่ายชายจะไม่ดูถูกเหรอ เมื่อก่อนคุณก็พูดกับผมแบบนี้นะ!”
จี้หรูอวิ๋นกลอกตา “พอแล้ว ความคิดหัวโบราณของคุณล้าสมัยไปนานแล้ว ใครบอกว่าผู้หญิงเข้าบ้านฝ่ายชายแล้วจะโดนดูถูก ใครจะมาดูถูกลูกสาวเราได้คะ!”
ฉินเยว่ยืดอกส่ายหน้า “ใช่ค่ะ หนูเคารพผู้อาวุโส จะโดนดูถูกได้ยังไงกัน”
ฉินเสี้ยวยวนมองจี้หรูอวิ๋น “ตอนนั้นที่ผมพาคุณไปบ้าน คุณก็บอกผมแบบนี้ไม่ใช่เหรอ”
จี้หรูอวิ๋นยิ้มเขินๆ “ยุคสมัยไม่เหมือนกัน แล้วอีกอย่าง คุณกับเสี่ยวเฉินก็ไม่เหมือนกัน ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้วค่ะ ตอนนี้ไม่มีใครพูดแบบนั้นแล้ว!”
เหล่าฉินได้ยินแบบนี้แล้วรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม
ทำไมไม่ว่าเรื่องอะไร พอไปเทียบกับเฉินชางก็กลายเป็นไม่เหมือนกันแล้ว
แบบนี้สองมาตรฐานเกินไปแล้ว!
ฉินเสี้ยวยวนเห็นว่าตัวเองไม่มีโอกาสเถียงชนะ แต่ก็ยังอดพูดกับจี้หรูอวิ๋นไม่ได้ “คุณมานี่ มาคุยกับผมสักหน่อย”
พอพูดจบก็เดินไปที่ห้องนอน
จี้หรูอวิ๋นมองฉินเยว่แวบหนึ่ง “ไม่ต้องห่วงลูก แม่จะโน้มน้าวพ่อเอง”
ฉินเยว่โบกกำปั้นสื่อว่าสู้ๆ!
จี้หรูอวิ๋นมาถึงห้องนอนแล้วปิดประตู “เป็นอะไรไปคะเหล่าฉิน”
ฉินเสี้ยวยวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วถอนหายใจ “ที่รัก คุณต้องคุยกับเยว่เยว่ให้ดีนะ ไป…ก็ไปได้ แต่ต้องระวังเรื่องบางอย่างไว้ด้วย”
“คุณลองคิดดูสิ ยกตัวอย่างเช่นหลังจากลูกไปที่นั่นแล้ว ตอนกลางคืนไม่ใช่ว่าพักอยู่ด้วยกันหรอกนะ ถึงยังไง…สองคนนั้นก็ยังไม่แต่งงาน คุณว่าผมพูดถูกไหม…
…ครั้งนี้ไม่ใช่แบบไปเช้าเย็นกลับด้วย ไม่ใช่แค่ค้างคืนเดียว แต่เธอคงไปสองวัน คุณต้องคุยกับเยว่เยว่ให้ดีนะ”
จี้หรูอวิ๋นเห็นฉินเสี้ยวยวนมีสีหน้ากลัดกลุ้ม ก็รู้เช่นกันว่าเขากังวลอะไร
ในฐานะคนเป็นพ่อ ก็ต้องคิดเผื่อลูกสาวไม่ใช่หรอกหรอ
เสี่ยวเฉินเป็นคนดี ฉินเยว่ก็ไม่ได้แย่ แต่จะมีใครคิดถึงในภายภาคหน้าบ้างไหม
แม้ความคิดของเขาจะคร่ำครึไปหน่อย แต่…เฮ้อ…
ช่างเถอะ ไม่พูดดีกว่า
จี้หรูอวิ๋นยิ้ม “เอาละ เหล่าฉิน ลูกสาวเราโตป่านนี้แล้ว คุณไม่ต้องควบคุมมากขนาดนั้นก็ได้ค่ะ แต่งงานมีลูกเร็วๆ ไม่ใช่เรื่องดีหรือไง…
…ฉันกำลังคิดว่า ครั้งนี้ให้เยว่เยว่ไปดูลาดเลาก่อน ถ้ามีโอกาสเมื่อไร เราสองครอบครัวค่อยมาเจอกัน ถือโอกาสกำหนดเรื่องแต่งงานให้เร็วขึ้น…
…ลูกสาวเราก็ไม่ใช่เด็กๆ แล้ว ทั้งยังอายุมากกว่าเสี่ยวเฉินหนึ่งปีด้วย ลูกอายุยี่สิบแปดแล้วนะคะ ตอนที่พวกเราอายุยี่สิบแปด เยว่เยว่อายุตั้งกี่ขวบแล้ว”
ฉินเสี้ยวยวนถอนหายใจ ใช่ว่าเขาจะไม่รู้เรื่องนี้ เป็นเพราะอยู่ที่โรงพยาบาลนานเกินไป เห็นความเป็นไปของโลกนี้มาเยอะมาก บางครั้งเวลาจะทำอะไรก็ต้องพิจารณามากขึ้นหน่อย
ถ้าเรื่องเกิดกับคนอื่นคงพูดง่าย บอกเพียงว่ายุคสมัยเปลี่ยนไปก็สิ้นเรื่องแล้ว แต่พอเรื่องนี้เกิดขึ้นกับตัวเอง ก็ไม่ได้พูดง่ายอย่างนั้นแล้ว
บทที่ 526 เด็กน้อยรู้สึกขมขื่นในใจ!
คนเราช่างแตกต่างกันจริงๆ
บริษัทของถังเส้าฮุยไม่ใช่เล็กๆ แต่เขาก็ยังอ่อนน้อมถ่อมตน อย่างน้อยก็ดูเหมือนคำนึงถึงคนงานของตัวเองจริงๆ
ดูจากท่าทีที่เขามีต่อผู้บาดเจ็บและครอบครัว ก็รู้แล้วว่านี่คือเถ้าแก่ที่ค่อนข้างใจดีคนหนึ่ง
นึกถึงจูเซวียนเหวินตอนนั้น เป็นคนที่ไม่เห็นใครอยู่ในสายตา ไม่มีขอบเขตเลยสักนิด
เฉินชางไม่ได้รู้จักถังเส้าฮุยมากนัก แต่ที่จริงแล้ว ทั้งมณฑลตงหยางรวมถึงมณฑลอื่นๆ เขาถือเป็นคนที่มีชื่อเสียงมาก ทั้งยังนิสัยดีและได้รับการพูดถึงในทางที่ดีด้วย
เฉินชางเห็นพวกเถ้าแก่ใจดำมาเยอะแล้ว เขายิ้มให้ถังเส้าฮุย “คุณถังก็เป็นเจ้าขององค์กรที่มีมโนธรรมเหมือนกันนะครับ”
ถังเส้าฮุยส่ายหน้า “ออกมาต่อสู้ดิ้นรนกันทั้งนั้น ชีวิตไม่ง่ายเลย ที่เดินมาได้จนถึงทุกวันนี้ ก็เพราะอาศัยความช่วยเหลือจากพี่น้องคนงานกลุ่มนี้ทั้งนั้น คนที่มาทำงานกับผม มีใครบ้างที่ไม่จนตรอกจนต้องออกมารับจ้างรายวันเพื่อหาเงิน ใครบ้างที่ไม่ได้รับการอบรมจากครอบครัว พวกเราหาเงินโดยขัดกับมโนธรรมของตัวเองไม่ได้หรอกครับ”
พูดจบเขาก็คุยกับคนในครอบครัวผู้บาดเจ็บนิดหน่อย แล้วทิ้งลูกน้องไว้คนหนึ่งเพื่อส่งพวกเขากลับบ้านโดยเฉพาะ
หลังจากขึ้นรถแล้ว น้องชายที่อยู่ในฐานะผู้ช่วยก็อดถามไม่ได้ว่า “พี่ครับ พี่ทำตัวเป็นมิตรกับหมอเฉินเกินไปหรือเปล่า”
ถังเส้าฮุยชะงักทันที แล้วส่ายหน้าถามว่า “เส้าหยาง นายรู้จักจูเซวียนเหวินใช่ไหม”
ถังเส้าหยางพยักหน้า เขาอยู่ในวงการก่อสร้างเหมือนกัน จึงรู้จักดีมาก ว่ากันว่าไปมีเรื่องกับคนใหญ่คนโตอะไรสักอย่าง “รู้จักครับ เขายุบบริษัทแล้วไม่ใช่เหรอ ได้ยินว่าลงไปฝั่งใต้แล้ว”
ถังเส้าฮุยยิ้ม “ใช่แล้ว เขาทำตัวโอ้อวดเกินไป ไม่รู้จักสงบเสงี่ยม ฉันจะให้นายดูคลิป”
พอพูดจบ ถังเส้าฮุยก็ยื่นคลิปในโต่วอินเมื่อช่วงก่อนหน้านี้ให้น้องชายดู ในฉากมีเฉินชางอยู่ด้วยพอดี
……
……
ตอนที่เฉินชางกลับมานั่งพักผ่อนที่ห้องเวร เขาก็เปิดดูผลตอบแทนที่ตัวเองได้รับ ถุงนำโชคหนึ่งใบ
หลังจากเปิดดู ก็มีเสียงแจ้งเตือนของระบบดังขึ้นทันที!
[ติ๊ง! ยินดีด้วย คุณเปิดถุงนำโชค ได้รับค่าความรู้สึกดีของเมิ่งซี +20!]
เฉินชางงงทันที โอ้แม่เจ้า
ระบบมีการทำงานแบบนี้ด้วยเหรอ
แต่คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าใช่ ถ้าจะให้ใช้ค่าความรู้สึกดีของอาจารย์เมิ่งอย่างเดียว ต้องทั้งยากทั้งลำบากแน่นอน ระบบต้องกลั่นแกล้งเขาแน่ๆ
ตอนนี้ค่าความรู้สึกดีที่เฉินชางมีต่อเมิ่งซีกลับมาถึง 60 แต้มแล้ว
เฉินชางดีใจขึ้นบ้างนิดหน่อย
ตอนนี้เอง ในห้องผ่าตัดของโรงพยาบาลตงต้า เมิ่งซีกับเก่อฮว๋ายกำลังทำการผ่าตัดเคสหนึ่ง
เก่อฮว๋ายเพิ่งได้รับคำชมจากเมิ่งซี เขากำลังผ่าตัดซ่อมแซมหลอดเลือดแดงใหญ่เอออร์ตาด้วยความรู้สึกชุ่มชื่นหัวใจ
แต่ทันใดนั้นเมิ่งซีก็รู้สึกแปลกๆ จู่ๆ…ก็คิดถึงเสี่ยวเฉินนิดหน่อย?!
ตอนนี้เมิ่งซีงงแล้ว!
ไม่ถูกสิ
ฉันจะคิดถึงเจ้าเด็กนั่นทำไม
เมิ่งซีมักถูกตำนิทุกครั้งที่เฉินชางสอนเธอผ่าตัด ซึ่งเธอรู้สึกไม่ปลื้มอยู่พักหนึ่ง
ไม่น่าเชื่อว่าตัวเองจะคิดถึงเขาแล้ว
อย่าบอกนะว่า…ฉันเป็นมาโซคิสม์
พอนึกถึงตรงนี้ เมิ่งซีก็รีบส่ายหน้า
แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร พอคิดถึงเสี่ยวเฉิน เมิ่งซีก็ขัดหูขัดตากับการผ่าตัดของเก่อฮว๋ายทันที
“หมอเก๋อ คุณต้องตั้งใจฝึกให้ดีนะคะ คุณดูตรงนี้สิ รายละเอียดตรงนี้…ฉันบอกคุณไปตั้งกี่รอบแล้ว นี่…คุณทำได้แย่กว่าเสี่ยวเฉินนิดหน่อยนะ!” เมิ่งซีถอนหายใจแล้วบ่นเก่อฮว๋าย
ส่วนเก่อฮว๋ายที่เพิ่งจมอยู่กับคำชมของเมิ่งซีอย่างถอนตัวไม่ขึ้น จู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนถูกน้ำเย็นสาดหน้าเรียกสติ
ผู้หญิงคนนี้…ทำไมอารมณ์ไม่ปกติแล้วล่ะ
คิดว่าสวยแล้วเจ๋งนักหรือไง!
เก่อฮว๋ายผ่าตัดต่อไปด้วยความจนใจ
ซย่าเกาเฟิงกลับมาที่โรงพยาบาล พอนึกถึงการผ่าตัดของเฉินชาง เขาก็รู้สึกคันไม้คันมือแล้วเหมือนกัน อีกทั้งการเย็บปิดแผลของเฉินชางชี้แนะเขาได้มากมาย เขาจึงเข้าห้องผ่าตัดเสียเลย
เดินผ่านห้องผ่าตัดของเก่อฮว๋ายพอดี เขาจึงเข้าไปเสียเลย
ตอนนี้เก่อฮว๋ายกำลังเย็บปิดเส้นเลือด พอเห็นอาจารย์ของตัวเองเข้ามา ก็เกิดความกล้าหาญขึ้นมาแล้ว
คุณผู้หญิงมาตำหนิผมเหรอ
อาจารย์ของผมมาแล้วนะ!
เขาคือคนที่หนุนหลังผม!
ซย่าเกาเฟิงดูการผ่าตัดของเก่อฮว๋าย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร สีหน้าผิดหวังนิดหน่อย หลังจากผ่านไปนาน…ก็อดถอนหายใจออกมาไม่ได้
“เฮ้อ…”
หลังจากดูการผ่าตัดจนจบด้วยความอดทน ซย่าเกาเฟิงก็มองเก่อฮว๋าย “เสี่ยวเก๋อ คุณก้าวหน้าช้าเกินไปจริงๆ!”
“คุณดูอย่างเสี่ยวเฉินสิ ไม่กี่วันก่อนผมเพิ่งสอนเขาผ่าตัดซ่อมเอออร์ตาส่วนขึ้น วันนี้เขาก็ทำเป็นแล้ว ทั้งยัง…เย็บปิดเส้นเลือดได้ดีกว่าคุณด้วย! คุณดูคุณทำสิ…
…คุณต้องเรียนรู้จากเสี่ยวเฉินให้มากๆ นะ”
หลายประโยคที่เขาพูดทำให้เก่อฮว๋ายเหม่อไปชั่วขณะ
นี่ผม…วันนี้ผมไปหาเรื่องใครเอาไว้
ทำไมถึงมาตำหนิผมกันหมดเลย
หมอดีกรีปริญญาเอกเบอร์สอง หมอดีกรีปริญญาเอกเบอร์สามกำลังผ่าตัดอยู่ห้องข้างๆ นะ ทำไมไม่ไปตำหนิพวกเขาล่ะ
แล้วอีกอย่าง…ทำไมต้องเอาผมไปเทียบกับเฉินชาง!
มีใครเขาทำแบบพวกคุณบ้าง
ผมกับเจ้าโรคจิตนั่นมีอะไรน่าเปรียบเทียบกัน
เก่อฮว๋ายรู้สึกขื่นขมในใจ แต่ก็พูดออกมาไม่ได้
เขาอยากจะยืดอกทำตัวเป็นผู้ชายสักครั้ง แล้วถามเมิ่งซีเสียงดังๆ ว่า ‘ตอนที่คุณถูกเฉินชางตำหนิ ทำไมไม่พูดอะไรบ้างล่ะ’
แล้วก็ถามอาจารย์ของตัวเองสักหน่อยว่า ‘ซย่าเกาเฟิง ทำไมคุณไม่เอาตัวเองไปเทียบกับเฉินชางเองล่ะ’
พวกคุณสองคน ทำ…เกินไปแล้ว…เฮ้อ…
เก่อฮว๋ายขมขื่นใจ!
ตอนนี้เอง โทรศัพท์ของซย่าเกาเฟิงดังขึ้นแล้ว
“สวัสดีครับ อ้อ ผู้อำนวยการหลี่เหรอ คุณมาถึงแผนกพวกเราแล้วเหรอครับ”
“ได้ครับๆ รอสักครู่ ผมจะกลับไปเดี๋ยวนี้”
พอวางโทรศัพท์ ซย่าเกาเฟิงก็มองเก่อฮว๋ายแวบหนึ่ง ก่อนจะหันตัวเดินออกไปด้วยความเจ็บใจที่ไม่อาจหลอมเหล็กให้กลายเป็นเหล็กกล้าได้
เมิ่งซีก็มองเก่อฮว๋ายแวบหนึ่งเช่นกัน แต่เธอก็ส่ายหน้าแล้วเดินออกไป…
เก่อฮว๋ายเหม่อทันที รู้สึกได้รับความอยุติธรรมจนอยากร้องไห้แล้ว
……
……
หลังจากซย่าเกาเฟิงกลับมาถึงแผนก ก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งพาหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งรออยู่อย่างกระวนกระวาย
พอเห็นซย่าเกาเฟิงมาแล้ว อีกฝ่ายก็รีบบอกว่า “หัวหน้าแผนกซย่า ผมมีเรื่องสำคัญจะขอให้ช่วยครับ!”
ซย่าเกาเฟิงชะงักทันที แล้วรีบบอกว่า “ผู้อำนวยการหลี่ คุณว่ามาเลยครับ”
หลี่ฮ่วนกล่าวด้วยสีหน้าร้อนรนมาก “หัวหน้าแผนกซย่า สองวันนี้คุณแม่ของผมแน่นหน้าอกมาก ท่านเองก็เป็นโรคหัวใจอยู่แล้ว ผมเอาภาพเอกซเรย์มาด้วย ผลปรากฏว่าพอดูแล้ว อีกฝ่ายก็บอกว่าบนหลอดเลือดแดงใหญ่เอออร์ตามีอาการหลอดเลือดแดงใหญ่โป่งพองเทียม ต้องผ่าตัดให้เร็วที่สุด!…
…ผมก็เลยรีบตามหาคุณ นี่คือผลตรวจครับ ภาพซีทีสแกน ภาพถ่ายทรวงอก ภาพเอกซเรย์อยู่ที่นี่หมดแล้ว” หลี่ฮ่วนยื่นของให้ซย่าเกาเฟิง
หลังจากซย่าเกาเฟิงได้ยินว่าเป็นหลอดเลือดแดงใหญ่โป่งพองเทียม สีหน้าก็เปลี่ยนไปเช่นกัน เขารีบรับผลตรวจมาดู
หลังจากดูหมด เขาก็อึ้งเหมือนกัน อาการตรงตำแหน่งนี้…แก้ไขยากมาก!
ทันใดนั้น เขาก็นึกถึงเฉินชาง วันนี้เขาแก้ไขปัญหาตรงตำแหน่งนี้ได้ดีเป็นพิเศษ บางที…อาจจะไปหาเขาได้
พอนึกถึงตรงนี้ ซย่าเกาเฟิงก็เกล่าด้วยสีหน้าจริงจัง “ผู้อำนวยการหลี่ ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากทำให้คุณนะครับ แต่ผมกลัวว่าผมจะทำได้ไม่ดี!”
“เอาอย่างนี้แล้วกันครับ ผมจะแนะนำคนคนหนึ่งให้ คุณไปหาเขาได้เลยครับ! จำไว้นะครับ คุณต้องให้เขาผ่าตัดด้วยตัวเองให้ได้”
พอหลี่ฮ่วนได้ยินซย่าเกาเฟิงพูดแบบนี้ก็งงทันที ถึงยังไง…ซย่าเกาเฟิงก็คือคนที่มีอำนาจที่สุดในเมืองอันหยางของเรา!
ถ้าไม่ใช่เพราะรีบร้อนมาก หลี่ฮ่วนคงพาแม่ตัวเองไปที่เมืองหลวงแล้ว แต่ก็กังวลว่าจะเกิดเรื่องขึ้นระหว่างทาง
พอเห็นหลี่ฮ่วนมีท่าทางแบบนี้ ซย่าเกาเฟิงก็อดกล่าวไม่ได้ว่า “ผู้อำนวยการหลี่ครับ พวกเรามีไมตรีต่อกันมาหลายปี ผมไม่ทำร้ายคุณอยู่แล้วครับ!…
…ผมจะให้เบอร์ติดต่อกับคุณ คุณจำไว้นะครับ คุณต้องให้เฉินชางทำให้คุณ เขาทำได้ดีแน่ครับ!”
หลี่ฮ่วนรีบลุกขึ้น พยักหน้าแล้วพาแม่ตัวเองเดินออกไป ส่วนซย่าเกาเฟิงก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาเฉินชาง
เก่อฮว๋ายที่อยู่ข้างๆ เดินผ่านมาพอดี พอได้ยินว่าอาจารย์ตัวเองเป็นฝ่ายส่งตัวคนไข้ให้เฉินชาง เขาก็อึ้งนิดหน่อย แล้วก็เบะปากขณะที่คิดในใจว่า คุณยังมาว่าผมอีกนะ ขนาดคุณเองยังทำได้ไม่ดีเท่าเฉินชางเลย ดีแต่รังแกผม!
ซย่าเกาเฟิงหันตัวมาจ้องเก่อฮว๋าย “เก่อฮว๋าย คุณมานี่หน่อย!”
เก่อฮว๋ายพูดไม่ออกทันที!