เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ – บทที่ 543 เป็นผู้หญิง ตื้นเขินแบบนี้ดีแล้ว!

เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ

บทที่ 543 เป็นผู้หญิง ตื้นเขินแบบนี้ดีแล้ว!

หวังโส้วแปลกใจมาก ทำไมผ่านไปนานขนาดนี้แล้วหยางจื้อหมิงยังไม่โทรมาหาฉันอีก

อย่าบอกนะว่าอีกฝ่ายไม่ผ่าตัดแล้ว

หวังโส้วอยากถามดูสักหน่อย แต่ก็รู้สึกละอายใจ เพราะถึงยังไง…ก็ไม่มีใครเป็นฝ่ายถามเรื่องการผ่าตัดก่อนอยู่แล้ว!

ทำแบบนั้นไม่สอดคล้องกับสไตล์อันสูงส่งเย็นชาของเขา

ถ้าไม่ผ่าตัดแล้ว โทรกลับมาบอกตนหน่อยก็ไม่ใช่เรื่องผิด

ตอนนี้ไม่บอกอะไรตนสักอย่าง ย่อมทำให้หวังโส้วอึดอัดอยู่แล้ว

เขากำลังคิดว่าถ้ามีผ่าตัดครั้งต่อไปแล้วเรียกให้เขาไปอีก เขาก็ไม่ไปแล้ว!

ตอนนี้เอง เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นแล้ว พอหวังโส้วเห็นว่าเป็นหยางจื้อหมิงจากเมืองจิ้นหยาง เขาก็ชะงักครู่หนึ่ง แล้ววางโทรศัพท์ไว้ข้างๆ ยังไม่รับสาย

ผ่านไปประมาณครึ่งนาที เขาถึงได้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมารับสายด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ฮัลโหล”

เนื่องจากการผ่าตัดเมื่อครู่นี้ หยางจื้อหมิงจึงไม่มีเวลาโทรศัพท์หาหวังโส้วเลย เกือบลืมไปแล้วเหมือนกันว่าต้องโทรมา

หลังจากเฉินชางกำชับข้อควรระวังหลังจากผ่าตัดให้ผู้ป่วยแล้ว เขาถึงนึกได้แล้วโทรมา

พอได้ยินว่าหวังโส้วยังคงวางมาดเย่อหยิ่ง หยางจื้อหมิงก็ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง แต่ก็ยังพูดอย่างเป็นมิตร “หัวหน้าแผนกหวัง สวัสดีครับ ขออภัยด้วยครับ ขออภัยจริงๆ อาการของผู้ป่วยวิกฤตมาก จำเป็นต้องผ่าตัดด่วน เมื่อกี้พวกเราเพิ่งผ่าตัดเสร็จครับ”

หวังโส้วอึ้งทันที ผ่าตัด? เสร็จแล้ว?

“ใช่การผ่าตัดเคสเส้นเลือดบริเวณรอบตับเสียหายหรือเปล่า”

หยางจื้อหมิงพยักหน้าตอบอย่างตื่นเต้น “ครับ ใช่ครับ”

หวังโส้วได้ฟังแล้วหัวใจกระตุกวูบทันที ไม่น่าเชื่อว่า…จะเสร็จเร็วขนาดนี้

อย่าบอกนะว่าผู้ป่วยเสียชีวิตแล้ว

หยางจื้อหมิงเหมือนจินตนาการสีหน้าของหวังโส้วออก ในใจก็ตื่นเต้นมากเหมือนกัน อวดดีไปเถอะ ยังจะเอาสองหมื่นหยวนอีกเหรอ มาดูถูกหมอโรงพยาบาลระดับปฐมภูมิอย่างพวกเรา คุณเจ๋งนักหรือไง

ระหว่างคุณกับหมอเฉินน่ะ คนละชั้นกันเลย!

หยางจื้อหมิงตัดสินใจจะใส่สีตีไข่อีก “การผ่าตัดสำเร็จดีมากครับ ที่จริง การผ่าตัดซ่อมแซมเส้นเลือดบริเวณรอบตับเสียหาย ใช้เวลาไม่ถึงห้านาทีก็เสร็จแล้วครับ ส่วนการผ่าตัดหลังจากนั้นค่อนข้างซับซ้อน ขั้นตอนการผ่าตัดซ่อมแซมใช้เวลาเยอะเกินไป ไม่อย่างนั้น…คงโทรกลับหาหัวหน้าแผนกหวังเร็วกว่านี้แล้วครับ”

พอพูดจบ เขาก็ไม่ร้องไห้หวังโส้วพูดอะไร หยางจื้อหมิงพูดต่อว่า “หัวหน้าแผนกหวังครับ ต้องไปเตรียมดูแลผู้ป่วยแล้ว หลังผ่าตัดมีเรื่องที่ต้องจัดการยิบย่อยมาก ผมขอตัวก่อนนะครับ…”

หลังจากวางสาย หยางจื้อหมิงก็รู้สึกสดชื่นมาก!ยอดวิถีแห่งปีศาจ

นึกถึงทุกครั้งที่เชิญหวังโส้วมาผ่าตัด เจ้าหมอนี่ก็มักวางท่าสูงส่ง คิดว่าตัวเองเจ๋งที่สุด เรื่องนี้ทำให้หยางจื้อหมิงสะใจมาก

ในที่สุดก็ได้ระบายอารมณ์สักที!

หยางจื้อหมิงกำลังคิดว่า ตอนนี้หวังโส้วจะต้องมีสีหน้าตกตะลึงและเหม่อลอยแน่นอน

การผ่าตัดซ่อมเส้นเลือดเสียหายบริเวณรอบตับที่ใช้เวลาห้านาที ต่อให้คุณนอนฝันคุณก็ทำไม่ได้ถึงขั้นนี้!

หยางจื้อหมิงอดไม่ไหว ต้องระบายอารมณ์ออกมา!

รู้สึกสดชื่นนิดๆ…

แต่ตัวเองก็จะพูดให้ไม่น่าฟังเกินไปก็ไม่ได้ ถึงอย่างไรหลังจากนี้ก็ต้องเชิญเขามาที่นี่อีก เฮ้อ…ไม่สะใจเลย!

คนเราช่างต่างกันจริงๆ คุณดูอย่าง ‘อาจารย์เฉิน’ สิ มีฝีมือเหนือชั้น แต่ทำตัวสงบเสงี่ยม ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับของโรงพยาบาลอย่างเคร่งครัด ให้ความร่วมมือกับการพัฒนาโรงพยาบาล นี่ต่างหากคือผู้ยิ่งใหญ่!

ถ้า…เชิญให้อาจารย์เฉินมาเป็นแขกผู้เชี่ยวชาญของโรงพยาบาลของพวกเราได้ แบบนั้นจะดีขนาดไหนกัน!

หยางจื้อหมิงตกใจความคิดของตัวเอง!

นี่ความคิดของฉันเหรอ

ไม่น่าเชื่อว่าฉันจะมีความคิดก้าวหน้าเจ๋งๆ แบบนี้ได้?

อยู่ใกล้ชาดติดสีแดง อยู่ใกล้หมึกติดสีดำจริงๆ!

ติดตามอาจารย์เฉินผ่าตัดหนึ่งเคส สมองไบรท์ขึ้นเยอะเลย…

พอนึกถึงตรงนี้ หยางจื้อหมิงก็ไม่สนใจอย่างอื่นแล้ว วิ่งไปที่ห้องทำงานของผู้อำนวยการโรงพยาบาลทันที!

หยางจื้อหมิงคิดไม่ผิด แต่ยังขาดไปจุดหนึ่ง…

หวังโส้วในตอนนี้ไม่เพียงแค่ตกตะลึงและเหม่อลอยเท่านั้น ถึงขั้นเริ่มตั้งคำถามกับชีวิตแล้ว

เส้นเลือดบริเวณรอบตับเสียหาย ใช้เวลาซ่อมแซมแค่ห้านาทีงั้นเหรอ

นายแม่งล้อฉันเล่นหรือเปล่า

เป็นไปไม่ได้!

พวกเขาเข้าใจผิดแน่นอน คนที่แก้ไขปัญหานี้ได้ภายในห้านาที ทั้งประเทศมีแค่หยิบมือเดียว

บุคคลระดับนี้จะไปที่เมืองเล็กๆ อย่างเมืองจิ้นหยางเหรอ

เป็นไปไม่ได้!

พวกเขาพูดมั่วซั่วแน่นอน สงสัยเข้าใจผิดคิดว่าอาการบาดเจ็บอย่างอื่นเป็นเส้นเลือดบริเวณรอบตับเสียหาย

พอนึกถึงตรงนี้ หวังโส้วก็ส่ายหน้า หมอแบบนั้นวันๆ เอาแต่วางมาดใหญ่โตตบตาผู้คน ฝีมือฉาบฉวยเกินไปแล้ว

เพียงแต่ว่า…เขายังรู้สึกคันยุบยิบในใจเล็กน้อย อยากดูการผ่าตัดเคสนี้มาก

พอคิดได้ เขาก็ยังเป็นฝ่ายโทรศัพท์หาหยางจื้อหมิงก่อน น้ำเสียงสุภาพขึ้นเล็กน้อย “หัวหน้าหยาง วิดีโอการผ่าตัดเคสเมื่อกี้นี้ยังอยู่หรือเปล่าครับ ช่วยส่งให้ผมสักฉบับหนึ่ง”

ใช่แล้ว เขารู้สึกว่าถ้าตัวเองเรียกอีกฝ่ายว่าหัวหน้าหยาง ก็ถือว่าให้เกียรติหยางจื้อหมิงแล้ว

หยางจื้อหมิงอึ้งทันที ตอบว่า “เอ่อ…ไม่ใช่ว่าผมไม่ให้นะครับ หัวหน้าแผนกหวัง การผ่าตัดเคสนี้พวกเราไม่ได้ผ่าตัดกันเอง ผมต้องไปถามศาสตราจารย์เฉินก่อน”

พอวางหูโทรศัพท์ หวังโส้วก็ตะลึงค้าง!

นี่หยางจื้อหมิงไม่ให้ฉันเหรอ!

ก็แค่เคยผ่าตัดเคสหนึ่งเองไม่ใช่เหรอ

ว่าแต่…ใครคือศาสตราจารย์เฉิน

ทำไมไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน…

ไม่สนใจแล้ว ครั้งหน้าถ้าจะเชิญให้ฉันไปผ่าตัด ก็เลิกคิดไปได้เลยว่าจะง่ายเหมือนเมื่อก่อน!

ส่วนหยางจื้อหมิงก็แสยะยิ้ม ทำตัวเจ๋งต่อไปเถอะ! คลิปผ่าตัดงั้นเหรอ เลิกคิดไปได้เลย!

ทุกครั้งที่ผ่าตัดคุณไม่ยอมให้พวกเราเปิดกล้อง ทั้งยังขี้งก กังวลว่าพวกเราจะเรียนรู้เทคนิคของคุณ

คุณดูอย่างเฉินชางสิ เป็นฝ่ายปรับแสงไฟให้เอง แล้วให้พวกเราเปิดกล้อง…นี่แหละคือความแตกต่าง!

คุณไม่คิดดูบ้างว่า พวกเราจะเชิญให้คุณมาผ่าตัดอีกหรือเปล่า

คุณรอไปเถอะ รอให้พวกเราเชิญอาจารย์เฉินมาได้ ถึงตอนนั้นต่อให้คุณอยากมาก็ไม่มีโอกาสแล้ว!

พอคิดถึงตรงนี้ หยางจื้อหมิงก็เดินเข้าไปในห้องผู้อำนวยการโรงพยาบาล แล้วบอกผู้อำนวยการโรงพยาบาลว่า “ผู้อำนวยการหลิวครับ ผมมีเรื่องสำคัญจะปรึกษากับคุณ!”

……

……

ขณะเดียวกัน เฉินชางส่งตัวเหล่าเฮ่อเข้าไปอยู่ในห้อง ICU แล้ว เขากำชับจี้ชวีอย่างจริงจังว่า “หัวหน้าจี้ครับ ต้องระวังให้มากๆ นะครับ หลังจากผ่าตัดแล้วผู้ป่วยมีเรื่องต้องระวังค่อนข้างเยอะ…”

จี้ชวียังสมุดเล่มเล็กมาจากมือของเสิ่นซิวหยวน แล้วจดบันทึกอย่างตั้งใจ!

“ได้ครับๆ…”

พยาบาลกับเสิ่นซิวหยวนยืนมองอยู่ที่เดิม อดถามไม่ได้ว่า “หมอเสิ่นคะ เขาเป็นท่านเทพมาจากที่ไหนกันแน่ ทำไมขนาดหัวหน้าแพทย์ยังเหมือนเป็นนักศึกษาของเขาเลย!”

เสิ่นซิวหยวนถอนหายใจ “นี่คือคนดังของเมืองอันหยางนี่เลย หัวหน้าศูนย์การแพทย์ฉุกเฉินแนะนำมาด้วยตัวเองเลย”

พยาบาลที่กำลังรับคนไข้อยู่ข้างๆ อดพูดอย่างตื่นเต้นไม่ได้ “เมื่อกี้ฉันรู้สึกว่าคนคนนี้มีสง่าราศีมากเลยค่ะ! ตอนนี้พอดูอีกที เขาไม่ธรรมดาจริงๆ ด้วย”

“ก็ใช่สิคะ! หมอเสิ่น คุณดูตอนที่เขาบรรยายอาการผู้ป่วยสิ เป็นการตรวจร่างกายที่ครอบคลุมทั่วทุกด้านที่สุด ได้มาตรฐานที่สุด ละเอียดรอบคอบที่สุดแล้ว!”

“ที่สำคัญคือหล่อ!”

……

เมื่อเห็นพยาบาลสาวแต่ละคนทำตัวปัญญาอ่อน เสิ่นซิวหยวนก็ถอนหายใจ “พอแล้วๆ เลิกคลั่งรักได้แล้วครับ เขาไม่ใช่หมอของโรงพยาบาลเรานะ แค่ผ่านมาครั้งเดียว!”

“พวกคุณคลั่งรักเขาไม่สู้คลั่งรักผมดีกว่า ผมยังมีโอกาสทำให้พวกคุณเลื่อนตำแหน่งได้บ้าง”

พอพยาบาลสาวๆ ได้ยินก็อดพูดอย่างรังเกียจไม่ได้ “เฮ้อ…หมอเสิ่น ที่จริงคุณก็หล่อมากนะคะ แต่…เมื่อกี้พอเทียบกันแล้ว จู่ๆ ฉันก็รู้สึกว่าคุณไม่หล่อแล้ว…”

“ก็ใช่น่ะสิ เฮ้อ…น่าเสียดายที่วันนี้ผู้เชี่ยวชาญคนนั้นก็ต้องไปแล้ว”

“มองแก้ขัดไปก่อนแล้วกัน หมอเสิ่นก็ไม่ได้แย่นะ…”

เสิ่นซิวหยวนหน้าดำคร่ำเครียด พวกคุณมันเป็นผู้หญิงตื้นเขินที่มองคนจากรูปลักษณ์ภายนอก!

แต่…พอนึกถึงตรงนี้ จู่ๆ เสิ่นซิวหยวนก็รู้สึกว่า ถ้าเทียบคุณสมบัติภายในก็เหมือนยิ่งเทียบไม่ติด โดนคิลล์แบบไม่เหลือซากภายในไม่กี่วินาทีแน่ ช่างเถอะ เป็นผู้หญิง คิดอะไรตื้นเขินน่ะดีแล้ว…

ยังดีที่หลังจากนี้เฉินชางไม่มาอีกแล้ว พอคิดได้แบบนี้ เสิ่นซิวหยวนก็โล่งอก ยังรักษาตำแหน่งสุดหล่อของแผนกไว้ได้เหมือนเดิม

บทที่ 536 พ่อแม่วัยรุ่นต้องระวัง

วันนี้เฉินต้าไห่ภูมิใจมาก!

เหล้าเหมาไถสองขวดที่ฉินเยว่นำมาเป็นของขวัญทำให้เขามีความสุขทั้งคืน ไม่ใช่เพราะราคาแพง

แต่สาเหตุหลักเป็นเพราะฉินเยว่มอบของขวัญได้ตรงใจ ถ้าให้เฉินต้าไห่ซื้อเอง เขาจะต้องรู้สึกเสียดายเงินแน่!

ต่อให้ฉินเยว่ไม่พกอะไรติดไม้ติดมือมาด้วย เขาก็มีความสุขมากอยู่ดี แต่…การที่เธอนำเหล้าเหมาไถสองขวดมาด้วย ทำให้เฉินต้าไห่ที่เดิมทีก็มีหน้ามีตาอยู่แล้วรู้สึกภาคภูมิใจสุดๆ

ตอนบ่ายของวันนั้น เขาเรียกเพื่อนกินเพื่อนดื่มมาที่บ้าน แล้วนำเหล้าเหมาไถออกมาโอ้อวด

“นี่ เห็นหรือยัง ลูกสะใภ้ของฉันมาเอามาฝาก ทั้งชีวิตนี้ฉันยังไม่เคยดื่มเหล้าเหมาไถเลยนะ!” เฉินต้าไห่โอ้อวดพร้อมรอยยิ้ม

เพื่อนที่นั่งอยู่ข้างๆ หยกเหล้าเหมาไถขึ้นมาดู “โอ้ เหล่าเฉิน แกดูสิ นี่มันเหล้าของปี 1999 เลยนะ!”

เหล่าเฉินอึ้งทันที เมื่อครู่ยังไม่สังเกตตรงนี้ เขารีบยกมันขึ้นมาดูให้ละเอียด!

แล้วก็สังเกตเห็นโลโก้ปี 1999 ทันที

หลังจากเห็นแล้ว เหล่าเฉินก็สีหน้าเปลี่ยนฉับพลัน โอ้ลูกรัก นี่เก็บรักษามายี่สิบปีแล้วเหรอ ของล้ำค่าชัดๆ!

พอนึกถึงตรงนี้ เหล่าเฉินก็รีบแย่งขวดเหล้ากลับมาจากมือเพื่อนอย่างระมัดระวัง

“เหอะๆ วันนี้พวกเราไม่ต้องดื่มเหล้าหรอก!”

พอพูดจบเขาก็รีบลุกขึ้น นำเหล้าเหมาไถเก็บใส่กล่องอย่างระมัดระวัง จากนั้นวิ่งเข้าไปในบ้าน ยัดไว้ในอุโมงค์ใต้ดินแล้วล็อกกุญแจไว้อย่างดี พอขึ้นมาแล้วเห็นว่าไม่มีใครเห็นถึงได้โล่งใจ

ลูกรักของพ่อ เหล้าดีแบบนี้ ถ้าให้พวกแกดื่มก็เปลืองแย่น่ะสิ รอให้เฉินชางแต่งงานค่อยเปิดดื่มสักขวด พอลูกอายุครบเดือนก็ดื่มอีกขวด

ใช่แล้ว!

ตอนนั้นค่อยดื่มกับพ่อตา

พอกลับเข้ามาในบ้าน พวกเพื่อนๆ วงเหล้าก็จ้องเหล่าเฉิน “แกเรียกพวกเรามา…แค่เพื่อให้พวกเราดูเหล้าเนี่ยนะ”

เฉินต้าไห่หน้าแดง “ไม่ใช่อยู่แล้ว!”

ขณะที่พูด เขาก็ลุกขึ้นคว้าถั่วลิสงกำใหญ่ “กินถั่ว กินไปคุยไป!”

พวกเพื่อนๆ อับอายจนโมโหทันที!

“ดีจริง ๆ นะ เฉินต้าไห่ ตอนลูกเขยฉันเอาเหล้าอู่เหลียงเย่มาให้ ก็มีแกนี่แหละที่ดื่มบันเทิงสุด”

“ใช่ๆ เหล้าเหล่าเจี้ยวที่ลูกสาวฉันเอามาฝากปีที่แล้ว แกก็ดื่มไปไม่น้อยไม่ใช่เหรอ”

“นั่นเป็นเหล้าเฝินจิ่ว[1]ที่ฉันเก็บสะสมมาสามสิบปีเชียวนะ…”

เฉินต้าไห่หัวเราะลั่น เขาไม่ได้ใส่ใจเลย ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเหล้าเหมาไถที่หมักยี่สิบปี แค่คิดก็มีความสุขแล้ว

“ไม่ใช่ว่าจะไม่ดื่ม แต่สองวันนี้ไม่เหมาะ ฉันบอกแล้วไงว่าลูกสะใภ้ฉันมาบ้านครั้งแรก ถ้าเธอมาเห็นพวกเราดื่ม มันก็จะดูไม่ดีนะ รอให้ถึงวันดีๆ ก่อน แล้วพวกเราค่อยมาดื่มกันสักสองจอก!”

……

……

วันนี้เป็นวันเกิดของหยางจยาฮุ่ย แม่ของเฉินชาง ตอนค่ำคนในครอบครัวมารวมตัวกัน แม้จะไม่มีเค้กวันเกิด แต่ก็มีบะหมี่อายุยืน

ทั้งยังมีอาหารที่เฉินต้าไห่ทำไว้เต็มโต๊ะ

ตอนค่ำ เฉินหลัวโทรศัพท์มาหาแล้วเปิดกล้องคุยกันนานมาก

ทำให้หยางจยาฮุ่ยกับเฉินต้าไห่รู้สึกว่าลูกโตแล้วเช่นกัน

หยางจยาฮุ่ยจูงมือฉินเยว่มาคุยกันสองคน ส่วนเฉินต้าไห่กับเฉินชางก็ดื่มเหล้าขาวนิดหน่อย

ตอนนี้เอง จู่ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูแรงๆ ดังอยู่พักหนึ่ง

ตามด้วยเสียงร้องไห้งอแงของเด็กน้อย เสียงร้องดังจนแม้จะมีลานบ้านกั้นก็ยังได้ยินชัดเจน

เฉินต้าไห่รีบลุกขึ้นวิ่งไปเปิดประตู เห็นผู้หญิงคนหนึ่งอุ้มเด็กเดินเข้ามา

“ลุงเฉินคะ เฉินชางอยู่บ้านไหม”

เฉินต้าไห่เห็นแล้ว พบว่าเป็นเฉินเยี่ยนนี คนในหมู่บ้าน

“อยู่สิ อยู่สิ รีบเข้ามาในบ้านก่อน เด็กเป็นอะไรไป”

เฉินเยี่ยนนีร้อนใจแทบแย่แล้วเช่นกัน “ลูกฉันข้อแขนหลุดค่ะ แต่เหมือนไม่ได้หลุดปกติ พอฉันไปแตะโดนลูกก็เจ็บมาก”

หมอในหมู่บ้านตอนนี้เป็นหญิงสาวอายุน้อยทั้งนั้น หลังจากหมอเท้าเปล่า[2]รุ่นก่อนแก่ตัวลงแล้วเกษียณ หมออายุน้อยเหล่านั้นก็จะตรวจให้คนไข้แทน งานในแต่ละวันก็ไม่มีอะไรมากนอกจากบันทึกประวัติโรคเรื้อรัง ติดตามอาการผู้ป่วย ถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับสุขภาพ อะไรทำนองนั้น คนในหมู่บ้านส่วนใหญ่ถ้าไม่สบายก็จะไปโรงพยาบาล

นี่ก็เป็นสาเหตุว่าทำไมลูกหลานจึงรับคนแก่ที่อายุมากเกินเข้าไปอยู่ในเมือง เพราะไม่อย่างนั้นถ้าป่วยขึ้นมาจะทำอย่างไร

หมู่บ้านหนานฉวนก็เป็นแบบนี้เช่นกัน เดิมทีมีหมอเท้าเปล่าหนึ่งคน เป็นหมอแพทย์แผนจีน มีทักษะทางการแพทย์สูงมาก แต่หลังจากแก่ตัวลงก็ดูแลตัวเองไม่ได้ ลูกหลานจึงรับไปอยู่ในเมือง ในหมู่บ้านจึงเหลือแค่ผู้หญิงคนหนึ่งที่คอยกรอกประวัติและจัดยา ซึ่งเธอเองก็ไม่เคยเข้าเรียนโรงเรียนแพทย์มาก่อน ได้แต่ฝึกอบรมความรู้ไม่กี่วันเท่านั้น แล้วเธอจะตรวจผู้ป่วยได้อย่างไร

หลังจากอธิบาย เฉินเยี่ยนนีก็รีบบอกว่า “เสี่ยวเฉิน รีบมาดูเร็วเข้า”

ตอนนี้เด็ดร้องไห้ไม่หยุด หลังจากเฉินชางตรวจดูอาการแล้วก็อึ้งทันที

เป็นโรคที่พบได้บ่อยมาก!

‘ข้อศอกเคลื่อนจากการดึง’ หรือเรียกอีกอย่างว่า ‘ข้อศอกหมุน’

ถ้าเรียกให้ดูเป็นมืออาชีพหน่อยก็คือ ‘หัวกระดูกเรเดียสเคลื่อน’!

สถานการณ์แบบนี้พบบ่อยมาก ส่วนใหญ่เป็นเพราะผู้ปกครองไม่ระวัง ไม่ระวังตอนจูงเด็กเดินหรือขึ้นบันได หรือไม่ก็ตอนที่เด็กเผลอสะดุดล้ม ผู้ปกครองดึงมือเด็กไว้อย่างแรงและกะทันหัน ก็จะทำให้เกิดภาวะนี้ได้ง่ายมาก!

ตอนนี้มีผู้ปกครองวัยรุ่นหลายคนที่ไม่ดูลูกเลย ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย เฉินชางเจอสถานการณ์นี้บ่อยมากตอนอยู่แผนกฉุกเฉิน

อีกทั้งกระดูกของเด็กก็ยังไม่เติบโตเต็มที่ ถ้าหัวกระดูกเรเดียสเคลื่อนไปไกล ตอนที่กลับมาอยู่ตำแหน่งเดิม ครึ่งบนของเอ็นแอนนูลาร์ก็จะหดกลับไม่ทัน ติดอัดอยู่ในข้อต่อกระดูกแขน กลายเป็นหัวกระดูกเรเดียสเคลื่อน

เมื่อเวลานานไปก็จะเกิดปัญหาได้ง่ายมาก!

แต่ตอนที่เด็กเติบโตขึ้นทีละน้อย หัวกระดูกเรเดียสเจริญเติบโตได้ดี เอ็นแอนนูลาร์ก็จะหนาและแข็งแรง ในภายหลังก็จะไม่เกิดภาวะข้อเคลื่อนอีก

เฉินชางมองเด็กพร้อมบอกว่า “วางเด็กลงเถอะครับ”

เฉินเยี่ยนนีรีบพยักหน้า เด็กยังคงร้องไห้โวยวาย ไม่ยอมให้เฉินชางจัลแขนตัวเองเลย

ฉินเยว่รีบหยิบช็อกโกแลตออกมาหนึ่งชิ้น “ไม่ร้องนะ ไม่ร้องครับ น้าจะให้หนูกินอันนี้”

เฉินเยี่ยนนีก็บอกเช่น “คุณอาเป็นหมอ เดี๋ยวก็หายปวดแล้ว ไม่ดื้อนะ”

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะแรงดึงดูดของช็อกโกแลตหรือเพราะกลัวหมอ เด็กหยุดร้องไห้แล้วจริงๆ

ตอนที่เบี่ยงเบนความสนใจเด็กได้ เฉินชางก็ฉวยโอกาสหงายแขนแล้วดึงข้อศอกก่อน!

จากนั้นใช้นิ้วหัวแม่มือกดตรงหัวเล็กๆ ของกระดูกเรเดียสหน้าข้อศอกอย่างชำนาญ จัดกระดูกข้อต่อศอกให้เข้าที่!

มีเสียงกร๊อบดังขึ้นทันที!

ตอนนี้เด็กน้อยไม่ร้องไห้แล้ว

เฉินชางนำปลอกหมอนผืนหนึ่งในบ้านมาดามแขนให้เด็ก

ตอนนี้เอง พ่อแม่ของเฉินเยี่ยนนีรีบวิ่งเข้ามา พอเห็นว่าเด็กไม่ร้องไห้แล้ว พวกเขาถึงได้โล่งใจ

แต่เฉินชางกลับบอกว่า “กระดูกของเด็กยังไม่เจริญเติบโตเต็มที่ ต่อไปเวลาจูงเด็กก็อย่าออกแรงเยอะนะครับ ไม่อย่างนั้นจะทำให้กลายเป็นข้อเคลื่อนซ้ำซากได้ง่าย แล้วถ้าเกิดข้อเคลื่อนเป็นเวลานานก็ทำใหเกิดภาวะแทรกซ้อนมากมาย ไม่เป็นผลดีต่อการเจริญเติบโตของกระดูกเด็ก ต่อไปก็ระวังหน่อยนะครับ”

เฉินเยี่ยนนีที่กำลังเครียดพยักหน้าซ้ำๆ “ขอบคุณค่ะหมอเฉิน!”

พ่อแม่เฉินเยี่ยนนีงที่ยืนอยู่ข้างหลังก็พยักหน้าเช่นกัน “ได้สิ ได้ๆ เสี่ยวเฉิน เธอนี่ยอดเยี่ยมจริง ประเดี๋ยวเดียวก็รักษาหายแล้ว”

เฉินชางส่ายหน้า “กลับไปดามกระดูกสักหนึ่งสัปดาห์นะครับ อย่าขยับมั่วซั่ว ถึงยังไงเส้นเอ็นก็ถูกดึงจนบาดเจ็บ ถ้าระยะหลังฟื้นตัวได้ไม่ดี ก็จะส่งผลกระทบเยอะมาก!”

เฉินเยี่ยนนีพยักหน้ารัวๆ

เฉินชางถอนหายใจอย่างจนใจ วัยรุ่นสมัยนี้ไม่ใส่ใจดูแลเด็กเท่าคนแก่ ‘ภาวะข้อศอกเคลื่อนจากการดึง’ แบบนี้พบได้น้อยมากถ้าให้คนรุ่นก่อนดูแล แต่ตอนที่อยู่แผนกฉุกเฉิน เขาเจอวัยรุ่นอุ้มลูกวิ่งเข้ามาด้วยอาการนี้บ่อยมาก

เป็นเพราะตอนที่วัยรุ่น ‘เล่นกับเด็ก’ หรือพาเด็กออกไปเล่นมักไม่ระวัง พอออกแรงนิดเดียว ก็ทำให้เกิดการบาดเจ็บได้ง่าย ตอนที่จูงเด็กก็สะเพร่ามาก พอเด็กล้มก็กระชากขึ้นมาเลย สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้เกิดภาวะหัวกระดูกเรเดียสเคลื่อนได้ง่ายมาก

พ่อแม่วัยรุ่นยุคนี้เลี้ยงลูกประมาทจริงๆ

[1] เฝินจิ่ว เป็นเหล้าขาวจีนที่มีประวัติเก่าแก่สืบทอดกันมาอย่างยาวนาน มีความหอมของสมุนไพรนานาชนิด มีความซับซ้อนของกลิ่นและรสชาติสูงมาก

[2] หมอเท้าเปล่า 赤脚医生 คือ เกษตรกรที่ได้รับการฝึกการแพทย์และผู้ช่วยแพทย์พื้นฐานขั้นต่ำและทำงานในหมู่บ้านชนบทในประเทศจีน

บทที่ 530 เจอเรื่องแปลกทุกวัน

วุ่นวายอยู่กับงานทั้งบ่าย ไม่ง่ายเลยกว่าเฉินชางจะได้พักผ่อน คืนนี้ก็เป็นเวรดึกของเขาอีก

เฉินชางส่ายหน้าอย่างจนใจ เอนกายพิงพักผ่อนบนเก้าอี้นอนสักครู่หนึ่ง

จากนั้นเปิดดูผลตอบแทนที่ได้รับในวันนี้

[ติ๊ง! ผ่าตัดแก้ไขหลอดเลือดแดงใหญ่โป่งพองเทียม ได้รับรางวัล:

1. ค่าประสบการณ์ +5000

2. ถุงนำโชค +1

3. ยาบำรุงกำลัง +2]

เฉินชางเห็นข้อความแจ้งเตือนของระบบ เป็นถุงนำโชคอีกแล้วเหรอ

เขาเปิดถุงนำโชค [ได้รับคะแนนทักษะ +3]

เฉินชางดีใจ แบบนี้ก็ไม่แย่เหมือนกัน ทีแรกนึกว่าจะได้คะแนนทักษะเยอะ ผลปรากฏว่าได้น้อยจนไม่พอใช้เลย

เฉินชางที่ค่อนข้างเหนื่อยล้ากำลังมองยาบำรุงกำลัง แล้วจู่ๆ ก็เกิดความคิดบางอย่าง หรือ…จะลองดูสักหน่อยดีไหม

หลังจากเลือกใช้งานแล้ว เฉินชางก็รู้สึกสมองปลอดโปร่งทันที เหมือนแจ่มใสกระปรี้กระเปร่าไปทั้งตัว!

เฉินชางงุนงงนิดหน่อย ทีแรกนึกว่าเป็นเครื่องดื่ม ไม่แน่อาจได้ชิมรสชาติสักหน่อย นึกไม่ถึงว่าพอคลิกใช้งานแล้วจะเริ่มออกฤทธิ์ทันที

สัมผัสจากประสบการณ์แย่มาก!

แต่สภาพร่างกายของเขาก็เหมือนเพิ่งตื่นนอน ไม่เลวเลยจริงๆ ประสิทธิภาพใช้ได้ ติดที่ขาดขั้นตอนการเสพสุขไป

ของบางอย่าง บางทีขั้นตอนสำคัญกว่าผลลัพธ์…ยกตัวอย่างเช่น…กินของอร่อย! (อย่าคิดอะไรเพ้อเจ้อนะ)

ตอนนี้จู่ๆ ประตูห้องเวรก็เปิดออก เฉินชางเงยหน้ามอง พบว่าเป็นฉินเยว่ ในมือเธอกำลังถือกล่องข้าวเก็บอุณหภูมิ

หลังจากฉินเยว่เข้ามาเจอเฉินชางแล้ว เธอก็เดินเข้ามาด้วยสายตาอมยิ้ม

“เหนื่อยล่ะสิ”

เฉินชางส่ายหน้า “ไม่เหนื่อยครับ!…พอได้เห็นหน้าคุณ ทุกอย่างก็สบายดี มีแรงขึ้นมาเลย!”

ฉินเยว่กลอกตามองบน “เอ? ฉันว่านะเฉินชาง ตอนนี้ทำไมเวลาฉันได้ยินคำพูดของคุณ ฉันมักจะตีความหมายเพิ่มอีกหนึ่งชั้นตลอดเลย!”

เฉินชางได้ยินแล้วยิ้มเจื่อนทันที

ฉินเยว่เปิดกล่องข้าวเก็บอุณหภูมิออก แล้วบอกว่า

“ฉันทำอาหารมาให้คุณนิดหน่อย รีบกินเถอะค่ะ ฉันเห็นว่าคืนนี้คุณต้องเข้าเวรดึก แต่ก็ยุ่งกับการผ่าตัดมาทั้งวัน คุณไหวหรือเปล่า”

“หรือไม่อย่างนั้น คืนนี้ให้ฉันเข้าเวรแทนคุณไหม”

เฉินชางได้ฟังแล้วรู้สึกอบอุ่นใจทันที ขณะมองสาวน้อยที่รู้ความคนนี้ เขาก็อดยิ้มไม่ได้ “ไม่เป็นไรครับ!”

เปิดกล่องข้าวออก ข้างในเป็นกับข้าวสองอย่าง ซุปหนึ่งอย่างพร้อมข้าวสวย

กับข้าวสองอย่างมีผัดสามเซียนกับไข่ผัดต้นหอม

เฉินชางกินอย่างเอร็ดอร่อยเหมือนหมาป่าเขมือบอาหาร ฉินเยว่นั่งมองอยู่ข้างๆ ตาโตของเธอกำลังจ้องเฉินชางอย่างเฝ้าคอย!

ผ่านไปครู่เดียว ถึงได้ถามอย่างระมัดระวังว่า “อร่อยไหมคะ”

เฉินชางชะงักทันที!

พอเขาเห็นฉินเยว่ท่าทางดูระมัดระวังต่างจากยามปกติโดยสิ้นเชิง เหมือนคนกำลังรอผลสอบ ก็อดถามยิ้มๆ ไม่ได้ว่า “เป็นอะไรไป คุณวางยาในกับข้าวเหรอ”

ฉินเยว่ได้ยินแล้วยกน้ำซุปขึ้นมาทันที แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ฝ่าบาท เสวยยาเพคะ”

เฉินชางสำลักทันที แทบจะพ่นข้าวออกมา!

ยัยเด็กคนนี้ ทะเล้นเกินไปแล้ว

ฉินเยว่มองเฉินชางอย่างเฝ้าคอย “ฉันทำอย่างอื่นไม่เป็นแล้ว ทำเป็นแค่กับข้าวสองอย่างนี้ รสชาติเป็นยังไงบ้างคะ”

เฉินชางยิ้มตอบ “อร่อยเป็นพิเศษเลย!”

“ผมว่าพรสวรรค์ในการทำกับข้าวของคุณดีกว่าการผ่าตัดตั้งเยอะนะ”

“ก็แน่อยู่แล้ว!” ฉินเยว่ปลาบปลื้ม

พอพูดจบ ก็เผยสีหน้าเหี่ยวเฉาทันที “ฉันได้ยินว่าคุณอาคุณน้าเป็นเชฟ ฉันก็เลยกลัวว่าตัวเองจะทำได้ไม่ดี…เฮ้อ!”

พอเฉินชางเห็นฉินเยว่มีท่าทางแบบนี้ก็อดยิ้มไม่ได้

“พ่อแม่ผมเป็นเชฟ แต่ก็ไม่ได้จับผิดอาหารที่คุณทำซะหน่อย”

ฉินเยว่ได้ยินแล้วบอกทันที “งั้นวันเสาร์คุณไปเดินช้อปปิ้งเป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ ฉันจะซื้อเสื้อผ้าให้คุณสักชุด คุณไม่มีเสื้อผ้าที่เข้าท่าสักตัวเลย เดี๋ยวกลับไปจะถูกคนอื่นหัวเราะเยาะเอานะ ทำตัวให้ภูมิฐานหน่อยสิคะ!”

“แล้วฉันก็จะซื้อของขวัญกลับไปให้คุณอาคุณน้าด้วย…”

เห็นฉินเยว่บ่นไม่หยุด วางแผนเป็นฉากๆ อย่างใส่ใจเหมือนเตรียมตัวสอบ

พอได้เห็นแบบนี้ เฉินชางก็ชื่นใจ ทั้งยังรู้สึกได้รับการเติมเต็มด้วย

พอกินข้าวเสร็จ ฉินเยว่ก็เก็บของแล้วออกไป เฉินชางลุกขึ้นกลับห้องทำงานแพทย์

ตอนนี้คนไข้ไม่เยอะ เฉินชางหยิบปากกากับกระดาษขึ้นมานั่งวาดๆ เขียนๆ อยู่ตรงนั้น สรุปการผ่าตัดและการรักษาของวันนี้

นี่คือความเคยชินที่เขาทำมานานแล้ว

โดยเฉพาะการเย็บเส้นเลือดวันนี้ ได้เบิกความสว่างทางสติปัญญาให้เขาเยอะมาก

ประมาณสามทุ่มกว่า เฉินชางกำลังดูคลิปผ่าตัด พยาบาลเล่อเล่อก็เดินเข้ามา

“หมอเสี่ยวเฉินค่ะ หมอเหยาเรียกคุณ มีผู้ป่วยคนหนึ่งต้องใส่ท่อช่วยหายใจ”

เฉินชางพยักหน้า แล้วเก็บโทรศัพท์เข้าในกระเป๋าเสื้อ

เพิ่งจะเดินมาถึงประตูห้องผู้ป่วย ยังไม่ทันเข้าไป เฉินชางก็ได้ยินเสียงไอถี่ๆ เหมือนจะเป็นจะตายดังต่อเนื่อง!

“แค่กๆ…แค่กๆ…”

เสียงไอที่เหมือนปอดจะฉีกแบบนี้ ราวกับว่าพอเริ่มไอแล้วหยุดไม่ได้เลย ให้ความรู้สึกเหมือนจะไอจนสำรอกปอดออกมาให้ได้!

แค่ฟังเสียงก็ยังทำให้รู้สึกปวดใจ!

เฉินชางเริ่มจริงจังทันที ส่วนเหยาจื้อเหวินก็เผยสีหน้าจนใจ ทำให้เฉินชางแปลกใจมาก

บนเตียงเป็นคนแก่อายุแปดสิบกว่า ข้างๆ มีผู้หญิงอายุสี่สิบกว่านั่งอยู่สองคน แล้วก็มีหญิงชราอีกหนึ่งคน

คงจะเป็นลูกและภรรยาของผู้ป่วย

เหยาจื้อเหวินอธิบายด้วยความอดทน “ตอนนี้อาการของผู้ป่วยแย่มากค่ะ ต้องใส่ใส่ท่อช่วยหายใจ ไม่อย่างนั้นของเหลวที่ไอออกมาจะถูกดูดเข้าปอด ทำให้ปอดติดเชื้อและอาการป่วยหนักกว่าเดิมได้!”

แต่…สามคนนี้ดูไม่สะทกสะท้าน

นี่เป็นรอบที่สามแล้วที่เหยาจื้อเหวินอธิบายให้คนในครอบครัวฟัง แต่พอเห็นสามคนนี้ไม่สะทกสะท้านอะไร เหยาจื้อเหวินก็โมโหจนหนังศีรษะชาวาบ หันตัวมาบอกเล่อเล่อว่า “ไปเอาหนังสือยินยอมปฏิเสธการรักษามา ให้คนในครอบครัวเซ็นชื่อ”

ตอนนี้เอง หญิงชราที่ดูเหมือนมีความรู้ก็อดพูดขึ้นไม่ได้ว่า “ไม่เป็นไรค่ะ พวกเรามีเครื่องดูดเสมหะ ทั้งยังไอออกมาได้ด้วย ไม่ต้องใส่ท่อช่วยหายใจก็ได้”

ลูกสาวที่อยู่ข้างๆ อายุมากกว่าเฉินชางสิบกว่าปี เธอก็ไม่ลังเลเช่นกัน “ถ้าใส่ท่อช่วยหายใจ ก็แสดงว่าอาการป่วยยิ่งรุนแรงขึ้น รออีกสักหน่อยค่อยใส่ก็ได้ค่ะ เขาเรียกว่าอะไรนะ อ้อ ใช่ เรียกว่าแผนรับประกันขั้นต่ำ!”

ประโยคนี้ทำให้เหยาจื้อเหวินโมโหจนหัวเราะออกมา

ตอนที่มองญาติผู้ป่วยสามคนที่แทบจะนั่งดูอยู่เฉยๆ เหยาจื้อเหวินก็บอกเฉินชางว่า “เฉินชาง ช่วยอะไรฉันหน่อยค่ะ”

เฉินชางพยักหน้า ประคองผู้ป่วยขึ้นมาแล้วตบหลังให้เหยาจื้อเหวิน จากนั้นเพิ่มออกซิเจนให้หน้ากากออกซิเจน

แต่…นี่ไม่ใช่การรักษาที่ต้นเหตุ

เมื่อเห็นอาการไอของผู้ป่วยสูงอายุทุเลาลง ลูกสาวก็อดพูดไม่ได้ว่า “คุณดูสิคะ ฉันบอกแล้วไง ตบนิดหน่อยแล้วเพิ่มออกซิเจนก็สิ้นเรื่องแล้ว ไม่ต้องใส่ท่อช่วยหายใจเลย”

เมื่อได้ยินญาติผู้ป่วยผู้พูดจาไร้เหตุผลและขาดความรู้แบบนี้ เฉินชางก็ตบบ่าเหยาจื้อเหวินเบาๆ บอกใบ้ให้เธอใจเย็นๆ

“ผู้ป่วยมีอาการเป็นยังไงครับ” เฉินชางถาม

“ภาวะอุดตันหลอดเลือดสมองเฉียบพลัน เมื่อวานตอนเช้า จู่ๆ ผู้ป่วยก็แขนขาซ้ายอ่อนแรง เขาอยู่บ้านคนเดียวเลยไม่ได้ใส่ใจอาการ แล้วเช้าวันนี้อาการกำเริบหนักกว่าเดิม พูดไม่ชัด อัมพาตครึ่งซีกซ้าย ตอนบ่ายสามถูกส่งตัวมาที่โรงพยาบาล ดูจากผลตรวจแล้วเป็นก้านสมองฝั่งขวาอุดตัน” เหยาจื้อเหวินตอบ

“ทั้งยังเป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน…เพราะผ่านช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการรักษาไปแล้ว ทั้งยังมีข้อบ่งชี้ด้านการใช้ยา ยังไม่ทันให้ยาละลายลิ่มเลือด ญาติผู้ป่วยก็ปฏิเสธที่จะใส่สายสวนลากลิ่มเลือดแล้ว”

เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ

เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ

Status: Ongoing

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท