เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ – บทที่ 551 ที่น่ากลัวคือใจคน ไม่ใช่ความเจ็บป่วย (2)

เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ

บทที่ 551 ที่น่ากลัวคือใจคน ไม่ใช่ความเจ็บป่วย (2)

พอหวังโส้วเห็นสถานการณ์ดังนั้น ก็ยื่นหนังสือแจ้งภาวะเจ็บป่วยวิกฤตในมือมาให้ แล้วพูดกับภรรยาหยางหย่วนจงและพ่อแม่ของเขาด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ตอนนี้อาการของหย่วนจงอันตรายมาก โอกาสผ่าตัดสำเร็จมีไม่ถึงยี่สิบเปอร์เซนต์ โอกาสตายระหว่างผ่าตัดมีสูงถึงเจ็ดสิบเปอร์เซนต์ หลังจากผ่าตัด…สรุปก็คือ ตอนนี้สถานการณ์อันตรายมาก นี่คือหนังสือแจ้งภาวะเจ็บป่วยวิกฤต ดังนั้น…ช่วยเซ็นชื่อด้วยครับ”

เพียงแต่ สีหน้าของเขาเรียบเฉยราวกับรายงานสถานการณ์ผู้ป่วยทั่วไป

หยางหว่านซิ่วก็มองออกถึงท่าทางที่ไม่ปกติของหวังโส้วเช่นกัน เธอเห็นแล้วอดถอนหายใจไม่ได้

หลายปีมานี้ ตัวเองทำเกินไปแล้วจริงๆ

แต่…พอนึกถึงครอบครัวตัวเอง นึกถึงพ่อแม่และน้องชายตัวเอง เธอก็ไม่มีทางอื่นแล้วเช่นกัน…

หลังจากภรรยาของหยางหย่วนจงได้ยิน สีหน้าก็เปลี่ยนทันที “พี่เขย พี่ต้องช่วยหย่วนจงนะคะ! ขอร้องค่ะ!”

พ่อตาหน้าดำคร่ำเครียดยิ่งกว่าเดิม สีหน้าบึ้งตึง หว่างคิ้วเต็มไปด้วยความเครียดและความกังวล “หวังโส้ว ถึงยังไงเขาก็เป็นน้องเขยของเธอ เธอต้องช่วยเขาให้ได้นะ!”

หวังโส้วส่ายหน้า “ไม่ใช่ว่าผมไม่ช่วยเขา แต่สถานการณ์ของเขาอันตรายเกินไป มีอันตรายถึงชีวิตได้ทุกเมื่อ หย่วนจงถูกมีดแทงเข้าตับไปแล้ว เส้นเลือดเสียหายหนักเกินไป มีเส้นเลือดบริเวณรอบตับเสียหายชัดเจน ผมรับประกันโอกาสสำเร็จไม่ได้ครับ…

…นี่คือหนังสือแจ้งภาวะเจ็บป่วยวิกฤต พวกคุณใครจะเป็นคนเซ็นชื่อครับ” หวังโส้วถามอีกรอบ

เพียงแต่…ผ่านไปนานยังไม่มีใครตอบ

ในใจหวังโส้วเริ่มแสยะยิ้มแล้ว คนครอบครัวเดียวกัน เฮ้อ…

“ผมติดต่อหมอผ่าตัดที่ดีที่สุดในมณฑลนี้ให้พวกคุณได้ แต่จำเป็นต้องใช้ค่าวิชาชีพเฉพาะทาง พวกคุณเลือกเองเถอะครับ แล้วก็หนังแจ้งฉบับนี้ด้วย รีบเซ็นเถอะครับ ไม่อย่างนั้นจะไม่มีใครกล้าผ่าตัดให้นะครับ”

พอได้ยินน้ำเสียงราบเรียบของหวังโส้ว จู่ๆ พ่อของหยางหย่วนจงก็บอกว่า “เธอเป็นหมอที่เก่งที่สุดในแผนกศัลยกรรมตับและถุงน้ำดีของตงหยางไม่ใช่เหรอ ถ้าเธอทำไม่ได้แล้วใครจะทำได้…

…หวังโส้ว เธอเห็นคนใกล้ตายแล้วไม่ช่วยไม่ได้นะ ถึงยังไงหย่วนจงก็เป็นน้องชายแท้ๆ ของหว่านซิ่ว ทั้งครอบครัวรอให้เขาเลี้ยงอยู่ดี!”

หวังโส้วสูดหายใจลึก “คุณพ่อครับ ใจเย็นๆ ก่อน ผมพูดความจริงทั้งนั้น ผมทำไม่ได้จริงๆ อย่าว่าแต่ผมเลย ทั้งมณฑลตงหยางคงมีแค่คนเดียวที่ทำได้ ตอนนี้ผมกำลังเชิญเขามา แต่ต้องจ่ายค่าวิชาชีพเฉพาะทางแน่นอน อย่างน้อยหนึ่งหมื่นหยวน”

หลังจากได้ยิน พ่อตาหยางก็ลังเลพักหนึ่ง แล้วบอกว่า “หวังโส้ว พวกคุณอยู่ในระบบการทำงานเดียวกันทั้งนั้น หรือไม่อย่างนั้นเชิญมาก่อนแล้วค่อยคุยเถอะ…ถ้าการผ่าตัดไม่สำเร็จขึ้นมาล่ะ…”

พ่อตาหยางคิดว่า เป็นคนในระบบการทำงานเดียวกัน ทำไมไม่ช่วยเหลือกัน คุณเชิญผม ผมเชิญคุณ ยังต้องออกค่าวิชาชีพเฉพาะทางอีกเหรอ

ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าการผ่าตัดล้มเหลว ค่าวิชาชีพเฉพาะทางที่จ่ายไปจะไม่สูญเปล่าหรอกหรือ

หวังโส้วอึ้งทันที แทบจะหัวเราะออกมา คนบ้านนี้เสพติดการวางกับดักฉันแล้วสินะยอดวิถีแห่งปีศาจ

“แบบนั้นเป็นไปไม่ได้ครับ ถ้าพวกคุณไม่เซ็นชื่อ หรือไม่ให้ค่าวิชาชีพเฉพาะทาง อีกฝ่ายก็จะไม่ผ่าตัดให้ครับ”

หวังโส้วเข้าใจแล้ว เขาเหนื่อยจริงๆ!

ครั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร เขาก็จะไม่ยอมถอยให้แล้ว ยอมอ่อนข้อให้อีกไม่ได้แล้ว

พ่อตาหยางลังเลนิดหน่อย ก่อนจะบอกว่า “หวังโส้ว ค่าวิชาชีพเฉพาะทาง เธอออกให้ก่อนได้ไหม รอให้…”

หวังโส้วไม่รอให้พ่อตาหยางพูดจบประโยค เขาส่ายหน้าทันที!

เขาทนมามากพอแล้ว!

พ่อตาหยางมีเงินหรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย

ทุกครั้งเมื่อหยางหย่วนจงไม่มีเงิน เขาก็จะมาหาตน พ่อตาหยางมีบ้านที่เป็นชื่อของตัวเองกี่หลัง เขาจะไม่รู้เชียวเหรอ

ลูกชายคุณไม่มีเงิน คุณไม่ให้ แล้วยังจะมาหาผมอีกเหรอ

พวกเขารู้สึกว่าตนหาเงินมาได้ง่ายๆ มีเงินของใครบ้างที่ไม่ได้แลกมาจากหยาดเหงื่อแรงกาย

ลูกชายผมยังไม่มีบ้านเอาไว้แต่งงานเลยนะ

พ่อตาหยางเห็นดังนั้น สีหน้าก็เปลี่ยนทันที เขาจ้องหวังโส้วอย่างดุร้ายพร้อมกล่าวเสียงต่ำ “หวังโส้ว นี่เธอต้องการจะบีบให้หย่วนจงตายให้ได้เลยใช่ไหม”

หวังโส้วลุกขึ้น แล้วยื่นหนังสือยินนอมให้หมอที่อยู่ข้างหลัง “ถ้าพวกคุณเซ็นชื่อก็จะผ่าตัดได้ ผมจะออกไปข้างนอกสักรอบ”

พอพูดจบ หวังโส้วก็รีบเดินนอกประตูแผนกฉุกเฉิน

พ่อตาหยางตะโกนตำหนิเสียงดังตามหลัง “หวังโส้ว เธอมันเด็กอกตัญญู! ฉันตาบอดเองที่ยกลูกสาวให้แต่งงานกับเธอ!”

พอพ่อตาหยางเห็นหวังโส้วไม่กลับมา ก็ตะโกนเสียงดังกว่าเดิม “ถ้าเธอไม่ช่วยหย่วนจง ก็หย่ากับลูกสาวฉันซะ!”

หยางหว่านซิ่วนั่งอยู่ตรงนั้น ใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำตา ร้องไห้อย่างเจ็บปวด

หวังโส้วหยุดฝีเท้า แล้วหันมาบอกว่า “ได้ครับ หย่าวันนี้เลยก็ยังได้”

หวังโส้วพูดจบแล้วหันตัวเอง พอเดินออกไปแล้ว สีหน้าก็ดูผ่อนคลายอย่างประหลาด

พูดตามตรง หลายปีมานี้เขาเหนื่อยจริงๆ

อย่าว่าแต่หวังโส้วที่ถูกครอบครัวนี้ขูดรีด แม้แต่ลูกชายตนที่อยู่เมืองหลวง บางครั้งเวลาโทรศัพท์มาก็ยังเล่าให้ฟังเลยว่าคุณตาขอยืมเงิน น้าขอยืมเงิน อะไรทำนองนั้น

ลูกชายของหวังโส้วอายุยี่สิบแปดแล้วยังไม่ได้แต่งงานเลย เพราะซื้อบ้านที่เมืองหลวงไม่ไหว

หวังโส้วรู้ว่าพ่อตาหยางอาศัยว่าเขาทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลแล้วเขาจะกลัวชื่อเสียงจะถูกทำลาย จึงจงใจตะโกนเสียงดัง

ตอนนั้นที่น้องเขยซื้อบ้าน หวังโส้วกำลังติดตามหัวหน้าแผนกไปเดินตรวจผู้ป่วยในวอร์ด พ่อตาหยางคนนี้ก็ทั้งร้องไห้ทั้งโวยวาย ทำให้หวังโส้วเสียหน้าหมดแล้ว ตอนนั้นเขายังอยู่ที่โรงพยาบาลตงต้า

ใครจะไปรู้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการที่เขาไม่ได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าแผนกหรือเปล่า

เสียหน้า?

หึหึ!

คุณเชิญโวยวายต่อไปเถอะ

เขาคิดไว้ดีแล้วว่าถ้าเฉินชางมาแล้วพ่อตาไม่จ่ายค่าวิชาชีพเฉพาะทาง ไม่เซ็นชื่อ เขาก็จะไม่ผ่าตัดให้

ตอนนี้เอง จู่ๆ หยางหว่านซิ่วก็ลุกขึ้นแล้วตะคอกพ่อตัวเอง “พอแล้วค่ะพ่อ!…

…ถ้าไม่ใช่เพราะพ่อ ครอบครัวเราจะกลายเป็นแบบนี้เหรอ นี่พ่อยังเป็นพ่อคนอยู่ไหม พ่อต้องทำลายครอบครัวเราให้ได้เลยใช่ไหมถึงจะพอใจ…

…หยางหย่วนจงเป็นลูกชายพ่อ แล้วหนูไม่ใช่ลูกสาวพ่อเหรอคะ นอกจากเวลาต้องการเงิน เวลาอื่นเคยคิดถึงหนูบ้างไหม”

พอพูดจบ หยางหว่านซิ่วก็วิ่งไปข้างนอกเช่นกัน

ตอนนี้ตรงทางเดินนอกห้องผ่าตัดเงียบสนิท

หมอตำแหน่งเล็กๆ และพวกพยาบาลทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ถอนหายใจ

ทุกบ้านล้วนมีปัญหาที่จัดการยาก หัวหน้าแผนกก็หลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน…

หมอตำแหน่งเล็กๆ มองพ่อของหยางหย่วนจง “ขออนุญาตถามครับ ใครจะเป็นคนเซ็นชื่อ ถ้าไม่เซ็นก็ผ่าตัดไม่ได้ อาการของผู้ป่วยตอนนี้อาจเสียชีวิตได้ทุกเมื่อ รีบเซ็นเถอะครับ”

แม้แต่พยาบาลห้องฉุกเฉินที่เห็นเหตุการณ์นี้ก็เดินเข้ามาแล้วเช่นกัน เป็นเพราะมีหวังโส้วอยู่ ญาติผู้ป่วยจึงทำทุกอย่างได้ง่ายมาก ยังไม่ทำเรื่องแบ่งชำระเงินก็ใช้ทางลัดเดินเข้ามาแล้ว แต่ตอนนี้…

“สวัสดีค่ะ ญาติผู้ป่วยต้องชำระงินมัดจำก่อนนะคะ จะแบ่งชำระ หรือชำระทันทีคะ”

พ่อตาหยางถลึงตา “ผมคือพ่อของหวังโส้ว”

พยายาลยิ้มตอบ “ขอโทษนะคะ แต่ต่อให้ท่านเป็นหัวหน้าแผนกหวัง ท่านก็ต้องทำเรื่องจ่ายเงินก่อนค่ะ!”

หมอก็บอกเช่นกัน “ถ้าไม่เซ็นชื่อ พวกเราก็จะเตรียมเย็บปิดหน้าท้องแล้วนะครับ”

ประโยคนี้ทำให้พ่อตาหยางงงเป็นไก่ตาแตก

เขาโมโหจนกระทืบเท้า!

แม่ยายที่อยู่ข้างๆ ไม่พูดอะไรเลยตั้งแต่ต้นจนจบ ตอนนี้ก็บอกว่า “ฉันเซ็นเองค่ะ”

พ่อตาหยางได้ยินแล้วบอกทันที “เซ็นชื่ออะไรกัน! ฉันไม่เชื่อหรอกว่าหวังโส้วจะกล้าไม่รักษาให้!”

พอภรรยาของหยางหย่วนจงฟังถึงตรงนี้ก็รีบบอกว่า “ฉันเซ็นค่ะ ฉันเซ็นเอง ฉันเป็นภรรยาของหยางหย่วนจง ฉันมีอำนาจเซ็นไหมคะ”

พ่อตาหยางโมโหทันที “เธอเซ็นเถอะ เธอมีเงินเธอก็เซ็นไป! ฉันจะคอยดูว่าใครจะผ่าตัดให้เธอ!”

“คุณมีอำนาจเซ็นครับ” หมอตอบภรรยา

ภรรยาของหยางหย่วนจงจ้องพ่อตาหยาง “คุณพ่ออยากให้หย่วนจงตายเหรอคะ ตอนนี้ชีวิตเขาขึ้นอยู่กับการเซ็นชื่อ คุณพ่อต้องการให้เขาตายเหรอคะ!”

——————————————

บทที่ 545 ทำไมไม่ใช่ปีนี้

สองวันนี้เหล่าเฮ่อนอนพักฟื้นอยู่ในห้อง ICU ภรรยาของเขาอยู่ดูแลไม่ได้ จึงนั่งรถตู้ของเหล่าเฮ่อกลับบ้านไปเก็บข้าวของเสียเลย รอให้เหล่าเฮ่อย้ายตัวไปที่แผนกศัลยกรรมตับและถุงน้ำดีก่อน ถึงตอนนั้นค่อยไปดูแล

ระหว่างทางกลับบ้าน ความรู้สึกในใจของเฉินต้าไห่ขึ้นลงไม่หยุดนิ่ง!

เขารู้ว่าลูกชายของตัวเองเก่ง แต่…นึกไม่ถึงว่าจะเก่งขนาดนี้!

กลับบ้านมารอบเดียว ไปโรงพยาบาลแค่เที่ยวเดียว ไม่น่าเชื่อว่าจะกลายเป็นศาสตราจารย์ผู้เชี่ยวชาญชั่วคราวของโรงพยาบาลประชาชนแห่งมณฑลจิ้นหยางแล้ว จะว่าไปก็เป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูลและบรรพบุรุษจริงๆ!

พอนึกถึงว่าผู้อำนวยการโรงพยาบาลหลิวคนนั้นให้ความสำคัญกับชางเอ๋อร์ เหล่าเฉินก็รู้สึกสดชื่นสบายใจ

ตอนนี้เขาตัดสินใจว่าหลังจากกลับบ้านไปวันนี้ พรุ่งนี้เช้าจะไปเยี่ยมหลุมศพของบรรพบุรุษตระกูลเฉินสักหน่อย ไม่รู้ว่ามีควันเขียวผุด[1]จากหลุมฝังศพหรือเปล่า…

ลูกชายมีอนาคต คนเป็นพ่อภาคภูมิใจที่สุด

พอคิดว่าผู้อำนวยการและบรรดาหัวหน้าแผนกของโรงพยาบาลผู้สูงส่งมาเคารพนับถือตน ในใจของเฉินต้าไห่ก็ผ่อนคลายมากจริงๆ

เขาเอารื่องนี้ไปคุยอวดคนในหมู่บ้านได้ทั้งชาติเลย ไม่น่าเชื่อว่าตอนนี้เฉินต้าไห่จะรู้สึกว่าคนเราถ้าเก่งจริงๆ ใครยังจะมัวมาคุยอวดอีก

ก็เหมือนกับเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ ตนยังไม่ได้คุยอวด คนอื่นก็มองตนสูงส่งแล้ว ยังจะมีหน้าไปคุยอวดอีกเหรอ…

พอคิดได้แบบนี้ เหล่าเฉินก็รู้สึกทอดถอนใจจริงๆ!

……

คนที่ซาบซึ้งใจเรื่องนี้ที่สุดก็คือภรรยาของเหล่าเฮ่อและคนในครอบครัว เธอพูดถึงเฉินชางกับฉินเยว่ในแง่ดีตลอดทาง ซาบซึ้งใจมากจริงๆ

ครั้งนี้ถ้าไม่ใช่เพราะเฉินชาง ก็ยังไม่ต้องพูดถึงว่าต้องจ่ายเท่าไร ชีวิตของเหล่าเฮ่อก็อาจรักษาไว้ไม่ได้ด้วยซ้ำ!

ภายในเวลาสั้นๆ ไม่กี่ชั่วโมง นี่คือเวลาที่เธอรู้สึกทรมานที่สุดแล้ว

อีกทั้งพอนึกถึงคำพูดของเสี่ยวเฉินที่บอกว่าตนไม่ต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาล นี่ต้องเป็นเงินจำนวนเท่าไรกัน…

สำหรับครอบครัวคนธรรมดาทั่วไป บุญคุณส่วนนี้…หนักดุจขุนเขาจริงๆ!

เธอคิดไปคิดมา คิดว่าถ้าเหล่าเฉินจัดงานเลี้ยงเมื่อไร เธอก็จะไปช่วยงานในครัวสักหน่อยก็แล้วกัน ผู้หญิงคนหนึ่งจะมีความสามารถมากมายขนาดไหนกัน

รอให้ลูกตัวเองกลับมาก่อน จะต้องให้พวกเขาจดจำบุญคุณส่วนนี้ของเหล่าเฉินเอาไว้แน่นอน!

วันนี้เฉินชางกับฉินเยว่ต้องกลับเมืองอันหยาง ตั๋วรถก็จองไว้แล้ว จึงปฏิเสธคำเชิญรับประทานอาหารของผู้อำนวยการโรงพยาบาลและบรรดาหัวหน้าแผนกเสียเลย

ส่วนหยางจยาฮุ่ยพอรู้ว่าทุกคนจะกลับมา เธอก็รีบเตรียมกับข้าว นำไข่ไก่สิบกว่าชั่งที่เก็บไว้ในโกดังมาห่อใส่กล่อง นำข้าวฟ่างที่เก็บรักษาไว้ในห้องใต้ดินมาห่ออีกยี่สิบสามสิบชั่ง ฉินเยว่จะได้นำกลับไปด้วย

ในบ้านไม่มีของที่มีค่าอะไร ฉินเยว่ชอบไข่ไก่ที่บ้าน ทั้งยังบอกอีกว่าโจ๊กข้าวฟ่างหอมมากยอดวิถีแห่งปีศาจ

หยางจยาฮุ่ยห่อไข่ไก่กับข้าวฟ่างไว้ให้เต็ม ทั้งยังมีวอลนัทอีกมากมาย อยากจะให้ฉินเยว่และเฉินชางนำกลับไปด้วย แต่ก็นำไปได้ไม่เยอะเท่าไรเลย

ตอนที่กินข้าว เหล่าเฉินก็บอกกับเฉินชางว่า “ชางเอ๋อร์ ต่อไปเวลาไปกลับ ลูกซื้อรถสักคันเถอะ นั่งรถไม่สะดวก ลูกเองก็ขับรถเป็น จะได้พาเยว่เยว่กลับมาบ่อยๆ”

เป็นอย่างนี้จริงๆ เฉินชางเป็นคนที่ขับรถชำนาญ หลังจากสอบเข้ามหาวิทยาลัยก็ไปสอบใบขับขี่แล้ว เมื่อก่อนพอปิดเทอมกลับบ้านมาก็ขับรถตู้ของเฉินต้าไห่ไปซื้อของที่ตงหยาง

เฉินชางฟังแล้วพยักหน้า

หยางจยาฮุ่ยได้ยินเฉินต้าไห่ชมเฉินชาง เธอก็ย่อมมีความสุขมากอยู่แล้ว หลังจากได้ยินข่าวว่าเฉินชางจะได้กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญรับเชิญของโรงพยาบาลประชาชนแห่งมณฑลจิ้นหยาง สีหน้าก็ดูเบิกบานใจมาก

เพียงแต่สิ่งที่ทำให้เธอมีความสุขก็คือ ต่อไปนี้ลูกชายจะได้กลับบ้านบ่อยๆ แล้ว

ในฐานะคนเป็นแม่ บางครั้งก็ไม่อยากให้ลูกตัวเองสร้างผลงานยิ่งใหญ่อะไรมากมายนัก แค่ได้ใช้ชีวิตสงบสุขไปตลอด และกลับมาเยี่ยมบ้านบ่อยๆ ก็พอแล้ว

เธอกล่าวพร้อมรอยยิ้มทันที “ซื้อรถเถอะ รีบซื้อสักคันเถอะลูก แม่จะรวบรวมเงินให้ ซื้อรถดีๆ สักคัน! ต่อไปเยว่เยว่จะได้กลับมาเยี่ยมบ้านกับเฉินชาง”

ฉินเยว่พยักหน้า ตอนนี้เธอชอบคุณอากับคุณน้าที่ใช้ชีวิตเรียบง่ายสองคนนี้มาก

พอกินข้าวเสร็จ หยางจยาฮุ่ยก็ลังเลอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะจูงมือฉินเยว่เข้าไปในห้องนอนที่อยู่ข้างๆ

“เยว่เยว่ หนูนั่งลงก่อนจ้ะ”

พอพูดจบ หยางจยาฮุ่ยก็เดินเข้าไปข้างใน หยิบกล่องเล็กใบหนึ่งจากชั้นบนของตู้ แล้วนำกำไลหยกจากในนั้นออกมาวงหนึ่ง

หยกสีเขียวสด ส่วนเรื่องคุณภาพเป็นอย่างไร หยางจยาฮุ่ยก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน เพราะนี่คือกำไลที่แม่ของเฉินต้าไห่ให้เธอไว้ ถือเป็นสมบัติตกทอดจากตระกูลของเหล่าเฉิน

หยางจยาฮุ่ยทำงานหนักมาทั้งชีวิต กำไลหยกบอกบางและราคาแพง ปกติเธอทำใจนำออกมาใส่ไม่ได้เพราะกลัวจะทำแตก

ฉินเยว่รอด้วยความอยากรู้อยากเห็น ผ่านไปไม่นาน หยางจยาฮุ่ยก็เดินออกมา

เธอถือกำไลพร้อมพูดกับฉินเยว่ว่า “เยว่เยว่ นี่เป็นกำไลที่ย่าของเฉินชางให้น้าไว้ บ้านเราไม่มีของมีค่าอะไร หนูเก็บกำไลวงนี้ไว้เถอะ”

ฉินเยว่งงทันที จากนั้นก็อึ้งไปเลย เธอตกใจนิดหน่อย แล้วก็ประหลาดใจระคนใจ!

ถึงยังไง เธอก็เข้าใจดีว่าหมายความว่าอะไร

หรือพูดได้อีกอย่างว่า เธอได้รับการยอมรับจากพ่อแม่ของเฉินชาง แต่…สำหรับของที่ล้ำค่าขนาดนี้ เธอไม่กล้ารับไว้!

แต่…ลึกๆ ในใจเธอก็อยากรับไว้เหมือนกัน เพราะ…ถ้ารับไว้แล้ว ก็เท่ากับได้เป็นว่าที่ลูกสะใภ้แล้ว

“คุณน้า…นี่เป็นของที่ล้ำค่าเกินไปค่ะ…”

หยางจยาฮุ่ยยิ้ม “ล้ำค่าหรือไม่ล้ำค่าน้าดูออก หนูเป็นผู้หญิงที่ดี ต่อไปก็คอยดูเฉินชางไว้ ถ้าหนูได้รับความไม่ยุติธรรมอะไรก็โทรหาน้าได้เลย เดี๋ยวน้าจะช่วยหนูสั่งสอนให้เอง!”

ฉินเยว่ซาบซึ้งใจจนน้ำตาคลอทันที

……

……

ตอนที่ออกจากบ้าน เฉินชางหิ้วกระเป๋าใบเล็กใบใหญ่และของอีกเป็นกอง เฉินต้าไห่ขับรถไปส่งพวกเขาที่สถานีรถไฟ พอเห็นว่ารถที่พวกเขาขึ้นเคลื่อนไปไกลแล้ว เฉินต้าไห่ถึงได้ยิ้มออกมา

ลูกชายโตแล้ว ประสบความสำเร็จแล้วด้วย!

บนรถมีคนไม่มาก ที่นั่งบนรถมีคนนั่งเป็นบางจุด

ฉินเยว่ซบไหล่เฉินชาง กุมมือเขา แล้วจู่ๆ ก็บอกว่า “เฉินชาง พวกเราแต่งงานกันเร็วๆ เถอะค่ะ”

เฉินชางอึ้งทันที พลันหันตัวไปมองฉินเยว่ “คุณเป็นอะไรไป”

“ฉันกลัวว่าคุณจะเก่งเกินไป…แล้ววันหนึ่งคุณก็ไม่ต้องการฉันแล้ว…” ฉินเยว่บ่นเสียงเบา

เฉินชางหัวเราะทันที เขากุมมือฉินเยว่ไว้แน่น ใช้มืออีกข้างบีบจมูกเล็กๆ ของเธอ แล้วพูดกลั้วหัวเราะว่า “ไม่หรอก คุณคือยัยขี้ประจบฉินของผม ไม่มีคุณผมจะอยู่ได้ยังไง!”

พอฉินเยว่ได้ฟังก็อายจนโมโห “เอาโทรศัพท์มาให้ฉัน! ยังไม่ได้แก้ไขชื่อใช่ไหม”

เฉินชางยิ้มเขินๆ “ออกจะเหมาะสม เปลี่ยนแล้วไม่ดีหรอก”

ฉินเยว่หันตัวไปจ้องเฉินชาง “ถ้าคุณไม่ต้องการฉันแล้ว หรือต้องการจะมีมือที่สาม มือที่สี่ มือที่ห้าที่หกอะไรขึ้นมา ก็จะไปหาพ่อแม่ของคุณ ให้พวกท่านทวงความยุติธรรมให้ฉัน!”

ขณะที่พูด ฉินเยว่ก็อวดกำไลในมือ “เห็นไหมคะ นี่คือกระบี่อาญาสิทธิ์[2]! คุณน้าบอกไว้แล้วว่าให้คุณดูกำไลหยกวงนี้ไว้ กำไลวงนี้ก็เหมือนเห็นท่าน!…

…ดังนั้น คุณต้องทำตัวดีๆ นะคะ!” ฉินเยว่ยกมือลูบศีรษะเฉินชาง

“แม่ผมถึงขนาดมอบกำไลให้คุณเลยเหรอ” เฉินชางอึ้งไปเลย

ฉินเยว่เลิกคิ้ว กล่าวปนเสียงหัวเราะคิกคัก “ก็ใช่สิคะ คุณอากับคุณน้าชอบฉันแล้วค่ะ!”

เฉินชางกลอกตามองบน “เฮ้อ…หลังจากย่ามอบให้แม่ผม แม่ผมก็ไม่กล้าใส่มันเลยทั้งชีวิต”

พอฉินเยว่ได้ยินแบบนี้ ก็คิดอะไรเจ้าเล่ห์ไปเรื่อย ฉันควรจะซื้อกำไลให้คุณน้าสักวง กำไลทอง!

ไม่เลวเลย!

เพราะกำไลทองทนทาน!

คุณน้าต้องชอบแน่นอน

ฉินเยว่มองไปนอกกระจก

หลังจากผ่านไปนาน เธอก็มองเฉินชางพร้อมบอกว่า “ฉันจะดีกับคุณพ่อคุณแม่ของคุณนะคะ!”

เฉินชางมองฉินเธอด้วยรอยยิ้ม“อื้ม”

ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็ถามว่า “ปีหน้าพวกเราแต่งงานกันดีไหม”

ฉินเยว่เหม่อทันที “ทำไมไม่ใช่ปีนี้คะ”

“…” เฉินชางได้แต่งง…

[1] ควันเขียวผุดจากหลุมฝังศพบรรพบุรุษ 祖坟冒青烟 อุปมาว่ามีเรื่องดีๆ เกิดขึ้น มีคนกำลังจะได้เลื่อนตำแหน่งขุนนาง

[2] กระบี่อาญาสิทธิ์ ของที่ข้าราชการชั้นสูงได้รับพระราชทานจากพระเจ้าแผ่นดินให้กระทำการบางอย่าง ผู้ถือกระบี่อาญาสิทธิ์ย่อมมี ‘อาญาสิทธิ์’ ดังกล่าวเสมอองค์พระเจ้าแผ่นดิน

บทที่ 538 คงมาก่อกวนที่อาณาเขตคนอื่น

ตอนนี้เอง แพทย์สาวในหมู่บ้านก็นำเครื่องวัดความดันโลหิตกับหูฟังแพทย์วิ่งเข้ามา พอฉินเยว่วัดความดันโลหิตแล้วก็ถอนหายใจเฮือกหนึ่งแล้วบอกว่า “120/70mmHg! ความดันเลือดปกติ”

ส่วนเฉินชางก็ใช้หูฟังแพทย์ฟังที่ท้อง พบว่าเสียงในลําไส้หายไป ลำไส้ต้องเกิดความเสียหายแล้วแน่นอน ส่วนเดียวที่ไม่แน่ใจก็คือตับ แต่ตอนนี้มองไม่เห็นและคลำไม่ได้ ทำได้เพียงรอรถฉุกเฉิน!

ยังดีที่ตอนนี้ยังมีสัญญาณชีพมั่นคง

รอรถฉุกเฉินก็แล้วกัน!

ขั้นตอนนี้ทั้งยาวนานทั้งน่ากระวนกระวาย

ภรรยาของเหล่าเฮ่อดูอยู่ข้างๆ อย่างปวดใจ เธอโทรหาลูกที่อยู่ไกลถึงปักกิ่งพลางร้องไห้สะอึกสะอื้น

เฉินชางเห็นว่าสถานการณ์ของผู้ป่วยยังปลอดภัย จึงพูดขึ้นมาว่า “ขับรถส่งไปที่โรงพยาบาลในเมืองเถอะครับ ไม่ต้องรอรถฉุกเฉินแล้ว เทียวไปเทียวมาเสียเวลา”

เฉินชางพิจารณาอย่างระมัดระวังเช่นกัน ตอนนี้หล่าเฮ่อสัญญาณชีพปกติ ยังไม่มีความเสียหายมากนัก รถฉุกเฉินต้องขับออกมาจากในเมือง บวกกับตอนขับกลับไปก็มีแต่เสียเวลา

ตอนนี้เฉินชางรับประกันอาการของผู้ป่วยตอนนี้ได้ ยังไม่อันตรายถึงชีวิต

เมื่ออยู่ภายใต้เงื่อนไขที่รับประกันอาการของผู้ป่วยได้ ทางเลือกที่ดีที่สุดก็คือส่งตัวไปโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด อย่ามองว่ารถฉุกเฉินมหัศจรรย์ขนาดนั้น โดยเฉพาะเมื่อเจอกับผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บภายนอกแบบนี้

พอเฉินต้าไห่ได้ยินแบบนั้น ก็รีบกลับบ้านไปขับรถตู้ออกมา

นี่คือรถที่ปกติเฉินต้าไห่ใช้ขับไปซื้อกับข้าวและสินค้ามาตุนไว้ที่บ้าน

ส่วนเฉินชางก็รวบรวมคนให้ขนกระดานประตูมาแผ่นหนึ่ง คนสี่ห้าคนหามชายผู้บาดเจ็บขึ้นไปอย่างระมัดระวัง จากนั้นพับเบาะหลังของรถตู้ แล้วหามเหล่าเฮ่อขึ้นไป

เฉินชางกับฉินเยว่ขับรถพาภรรยาของเหล่าเฮ่อไปที่โรงพยาบาลด้วยกัน

ระหว่างทาง ภรรยาของเหล่าเฮ่อคุยกับเหล่าเฮ่อไม่หยุด เธอกลัวว่าเขาจะหลับไป

ส่วนเหล่าเฮ่อก็เจ็บจนยิงฟันร้องโอดโอย

เหล่าเฉินขับรถนิ่งมาก ฉินเยว่คอยความดันเลือดให้ทุกห้านาที กลัวว่าจะเกิดปัญหา

ตอนนี้ความดันเลือดยังเสถียรอยู่ที่หนึ่งร้อยขึ้นไป เฉินชางไม่ถึงขั้นกังวลเกินไปนัก…

แต่ถ้าต้องรอขึ้นรถพยาบาลไปจริงๆ ก็ต้องรออีกสักพักแน่นอน

เวลาผ่านไปนาทีแล้วนาทีเล่า ใช้เวลาไปประมาณสี่สิบนาทีรถก็มาจอดตรงประตูแผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลประชาชนแห่งมณฑลตงหยาง

เฉินชางกับเหล่าเฉินและเหล่าหยางที่ขับรถตามมาช่วยกันหามผู้ป่วยเข้าแผนกฉุกเฉินอย่างระมัดระวัง

“มีการบาดเจ็บที่ช่องท้อง เข็นเตียง” เฉินชางเข้ามาที่แผนกฉุกเฉินแล้วพูดกับพยาบาลด้วยความเคยชิน

พยาบาลที่อยู่ด้านข้างเบิกตากว้าง สีหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ

ก็ยังดีที่หมอที่อยู่ข้างๆ ไหวตัวเร็ว รีบบอกว่า “มัวยืนเหม่อทำไม รีบไปเข็นเตียงครับ!”

เสิ่นซิวหย่วนรีบก้าวขึ้นไปตรวจผู้ป่วย “เกิดอะไรขึ้นครับ”

เฉินชางตอบว่า “เฮ่อหย่งกาง เพศชาย อายุ 62 ปี แต่งงานแล้ว เกษตรกร เมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อนกลิ้งตกจากเขา ส่วนท้องมีบาดแผลถูกแทง ตอนนี้ยังมีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในท้อง อาการปัจจุบัน เจ็บท้องด้านบนขวาต่อเนื่องหนึ่งชั่วโมง…ยังรู้สึกตัว พูดชัด จากการให้ความร่วมมือในการตรวจร่างกาย ท้องด้านบนขวามีแผลไม่เป็นรูปร่างเส้นผ่านศูนย์กลางสี่เซนติเมตร แผลลึกไปถึงช่องท้อง เยื่อโอเมนตัมใหญ่[1]โผล่ออกมาภายนอก ทั้งท้องมีอาการกดเจ็บ[2]กึ่งอาการปล่อยเจ็บ[3] ความดันเลือด 100/60mmHg ไม่มีเสียงลําไส้แล้ว สงสัยว่ามีความเสียยหายที่ตับ ยังไม่มีสัญญาณของการเสียเลือดจำนวนมาก…ประวัติการป่วย เป็นความดันโลหิตสูงมา 13 ปี กินยา…”

เฉินชางสอบถามสถานการณ์ของผู้ป่วยจากคนในครอบครัวไว้เรียบร้อยแล้ว จึงบอกอาการอย่างชำนาญจนเสิ่นซิวหย่วนอึ้งไปเลย

แม่งเอ๊ย…เป็นมืออาชีพมาก!

เหมือน…เป็นมืออาชีพกว่าฉันซะอีก…

ขนาดพยาบาลแผนกฉุกเฉินที่อยู่ข้างๆ ยังมองจนตาค้าง

มีคนโหดโผล่มาแล้ว จะมาก่อกวนในอาณาเขตคนอื่นเหรอ

เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่!

หลังจากผลักประตูออกมาแล้ว ทุกคนก็หามเหล่าเฮ่อขึ้นไป เฉินชางมองเสิ่นซิวหย่วนพร้อมบอกว่า “คุณหมอ ลำบากคุณแล้วครับ!”

เสิ่นซิวหย่วนงงนิดหน่อย “ไม่ลำบากครับ ไม่ลำบาก!”

เสิ่นซิวหย่วนบอกพยาบาลข้างๆ “ให้ออกซิเจน! เตรียมเครื่องตรวจวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจ”

“เตรียมเจาะเลือดจากเส้นเลือดดำ ตรวจหากรุ๊ปเลือด ตรวจความเข้ากันได้ของเลือด”

……

เสิ่นซิวหย่วนยังนับว่าแจกจ่ายงานอย่างเป็นขั้นเป็นตอน เฉินชางเห็นแล้วโล่งใจ

เขาไม่มีทางเลอะเลือนไปแทรกแซงการรักษาของคนอื่น ยิ่งไม่มีทางบุ่มบ่ามบอกอีกฝ่ายว่าตัวเองเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ด้วย

อย่างไรเสียฐานะของเขาตอนนี้ก็คือญาติผู้ป่วย

ตอนที่รายงานอาการป่วยเมื่อครู่นี้ เขาก็พยายามทำให้แพทย์ฉุกเฉินเข้าใจอาการของผู้ป่วยขั้นต้นให้เร็วที่สุด

ในห้องฉุกเฉินตอนนี้ เสิ่นซิวหย่วนกำลังดูสัญญาณชีพของผู้ป่วย รวมทั้งสถานการณ์ที่ต่อเนื่องกัน พอนึกย้อนไปถึงคำพูดของชายหนุ่มเมื่อครู่นี้ เขาก็เริ่มอึ้งนิดหน่อย!

เพราะอีกฝ่ายรายงานอาการป่วยได้สอดคล้องกันตั้งแต่ต้นจนจบ ทั้งยังรายงานได้เป็นมืออาชีพ จริงจังและน่าเชื่อถือกว่าตนเสียอีก

พยาบาลที่อยู่ข้างๆ ถามเสียงเบาว่า “หมอเสิ่น เอ่อ…สุดหล่อคนเมื่อกี้คงจะเป็นหมอมั้งคะ!”

เสิ่นซิวหย่วนใช้กรรไกรตัดเสื้อของผู้ป่วยออก ตรวจดูบาดแผลพร้อมพยักหน้าขานรับ “คงจะใช่!”

พยาบาลโล่งใจ “แต่…ตอนที่เขารายงานอาการป่วยเมื่อกี้นี้ ดูมีออร่าสุดๆ ฉันนี่ตกใจเลยค่ะ ถ้าไม่รู้คงนึกว่าหัวหน้าแผนกมาเอง!”

เสิ่นซิวหย่วนอึ้งทันที ไม่ต้องพูดถึงเลย เหมือนจริงๆ!

เฉินชางทำการรักษาฉุกเฉินมาเป็นเวลานาน เผชิญกับสถานการณ์พิเศษอยู่บ่อยๆ บางครั้งพูดจากับแพทย์ในแผนกได้เด็ดขาดรวดเร็วมาก ให้ความรู้สึกเหมือนไม่มีอะไรต้องกังขา จึงทำให้พยาบาลที่ได้ยินอึ้งนิดหน่อย

เฉินชางที่อยู่ด้านนอกพาภรรยาของเหล่าเฮ่อไปทำเรื่องรักษา จากนั้นก็รอด้วยความอดทนและกระวนกระวาย

เมื่อเห็นเธอค่อนข้างวิตกกังวลจนเกือบสติหลุด เฉินชางก็เริ่มปลอบใจ

เป็นครั้งแรกที่เขานั่งอยู่ตรงนี้ด้วยฐานะญาติผู้ปป่วย เฉินชางบอกตามตรงว่าไม่มีความรู้สึกปลอดภัย!

ไม่แปลกใจที่ญาติผู้ป่วยทุกคนพากันกระวนกระวายใจ

แต่การที่ญาติผู้ป่วยวิตกกังวล ก็เพราะเป็นห่วงว่าสถานการณ์ของผู้ป่วยเป็นอย่างไรกันแน่

สิ่งที่เฉินชางกำลังคิดตอนนี้ก็คือ ตอนนี้ควรตรวจอาการที่เกี่ยวข้อง สอดท่อเข้ากระเพาะอาหาร ใส่เครื่องดูดเพื่อลดความดันในช่องท้อง…ใช้ยาปฏิชีวนะที่มีประสิทธิภาพ ผู้ป่วยที่มีการบาดเจ็บช่องท้องแบบนี้ ควรฉีดวัคซีนป้องกันบาดทะยักให้เสร็จสมบูรณ์โดยเร็วที่สุด…

จากนั้นก็รีบผ่าท้องเพื่อตรวจอย่างอื่นที่เกี่ยวข้องโดยเร็วที่สุด!

ถึงยังไงข้างในก็มีแท่งไม้ที่ไม่มั่นคงเสียบอยู่ในท้อง!

ทุกอย่างล้วนเป็นปัจจัยที่ไม่คงที่!

ความรู้สึกแบบนี้เหมือนให้คนขับรถผู้มากประสบการณ์นั่งตรงเบาะข้างคนขับ แล้วคอยดูคนอื่นขับรถแทน

ความรู้สึกแบบนี้ไม่มีความปลอดภัยเลย อยากจะสลับตำแหน่งเพื่อให้มีอำนาจเบ็ดเสร็จในการควบคุมพวงมาลัยเสียตอนนี้เลย…

เมื่อนึกถึงตรงนี้ เฉินชางก็รีบส่ายหน้า เป็นผู้ป่วยก็ต้องเชื่อมั่นในตัวหมอ

หลังจากเสิ่นซิวหย่วนเตรียมงานเสร็จ ก็ส่งตัวผู้ป่วยไปที่ห้องผ่าตัดทันที เตรียมผ่าท้องกำจัดสิ่งแปลกปลอม

แต่หลังจากเขาผ่าท้องแล้ว ก็พบว่ากิ่งไม้ที่แทงท้องไม่ใช่แค่แท่งไม้ธรรมดาแท่งเดียว ยังมีกิ่งไม้เล็กๆ ที่แตกแขนงออกมาด้วย มันแทงเข้าไปในตับแล้ว!

ปลายแหลมของง่ามกิ่งแทงลึกเข้าไปในลำไส้ เผยให้เห็นแผลทะลุขนาดใหญ่หนึ่งรอย

ส่วนตับที่อยู่อีกด้านหนึ่งกลับเป็นจุดที่อันตรายที่สุด ง่ามกิ่งที่แหลมเล็กแท่งหนึ่งเสียบอยู่ในเส้นเลือดบริเวณรอบตับ ตอนนี้มีเลือดซึมออกมาไม่หยุด

เสิ่นซิวหย่วนสีหน้าเปลี่ยนทันที หันไปบอกพยาบาลว่า “โทรหาหัวหน้าแผนก ให้เขามารักษาฉุกเฉินเดี๋ยวนี้เลย!…

…แล้วก็เตรียมหนังสือแจ้งภาวะเจ็บป่วยวิกฤต ให้ญาติผู้ป่วยเซ็นชื่อ”

สถานการณ์ตอนนี้ ไม่ใช่สิ่งที่เสิ่นซิวหย่วนจะรับมือไหวแล้ว!

ยังดีที่อีกฝ่ายส่งตัวมาถึงโรงพยาบาลทันเวลา ไม่อย่างนั้นก็จะเกิดปัญหาใหญ่กว่านี้ ตอนที่เห็นเส้นเลือดบริเวณรอบตับมีเลือดซึมไม่หยุด เสิ่นซิวหย่วนก็เหงื่อซึมเต็มหลัง!

[1] โอเมนตัมใหญ่ (Greater omentum) เป็นชั้นเยื่อบุช่องท้องที่หุ้มรอบอวัยวะภายในช่องท้อง

[2] อาการกดเจ็บ (tenderness) เป็นอาการแสดงทางการแพทย์อย่างหนึ่ง หมายถึงเมื่อตรวจร่างกายแล้วพบว่าผู้ป่วยมีอาการเจ็บที่อวัยวะหนึ่งเมื่อถูกกดหรือสัมผัส

[3] อาการปล่อยเจ็บ (rebound tenderness) คือค่อย ๆ กดหน้าท้องลงไปช้า ๆ (ระวังอย่าให้คนไข้เจ็บ) จนคนไข้เริ่มเจ็บหรือเริ่มรู้สึกตึงฝ่านิ้วมือที่กด แล้วให้ยกมือขึ้น (เลิกกด) ทันที ถ้าคนไข้สะดุ้ง หรือนิ่วหน้า หรือร้องเพราะเจ็บ แสดงว่าหน้าท้องบริเวณที่ตรวจนั้นมี “อาการปล่อยเจ็บ”

เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ

เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ

Status: Ongoing

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท